บทที่ 8
คนทั้งสองมาถึงงานเลี้ยงช่วงประมาณสองทุ่ม เลทจากเวลาเริ่มงานเลี้ยงไปประมาณหนึ่งชั่วโมงแต่แอชลีย์ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ซินเธียไม่คุ้นชินกับรูปแบบงานเลี้ยงของชาวแดนเหนือเลยไม่รู้ว่าการมาสายแบบนี้มันเสียมารยาทหรือเปล่า หรือนึกจะมาตอนไหนก็ได้ ซึ่งคิดว่าอย่างหลังนั่นเป็นนิสัยของแอชลีย์ คิม
เขามักทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ
วันนี้แอชลีย์ไม่ได้ขับรถด้วยตัวเองเหมือนปกติ ชายหนุ่มนั่งเบาะหลังคู่กับซินเธียและให้คนขับรถของทางคฤหาสน์พามาส่ง
เมื่อรถคันหรูจอดเทียบหน้าคฤหาสน์หลังโตพนักงานต้อนรับคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาช่วยเปิดประตูรถใหญ่อย่างรู้หน้าที่ คนตัวสูงเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อนแล้วก็ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด ซินเธียเงยหน้ามองมือใหญ่ยื่นเข้ามาหาจึงชะงักไปชั่ววินาทีหนึ่งก่อนจะวางมือลงไปบนมือแสนอบอุ่นข้างนั้นปล่อยให้อีกคนช่วยพาเขาออกมาจากรถอย่างใจเย็น
พ่อบ้านตระกูลสแตนลีย์ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว กล่าวคำทักทายตามธรรมเนียมแล้วผายมือเชิญให้เข้าไปด้านใน ซินเธียเดินเคียงคู่ไปกับว่าที่คู่ชีวิตดวงตาก็คอยสังเกตการตกแต่งภายในไปด้วยความชื่นชม
เมื่อเทียบกับบรรดาคฤหาสน์ที่เคยเห็นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นของตระกูลมัวร์ก็ดี ตระกูลคิมก็ดี ทางตระกูลสแตนลีย์นับว่ามีการตกแต่งที่นำสมัยกว่าค่อนข้างมาก บรรยากาศของตัวคฤหาสน์มีความสดใส ให้กลิ่นอายสดชื่นอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะแชนเดอเลียร์คริสตัลขนาดใหญ่ตรงโถงทางเข้านั้นมันเด่นสะดุดตาแล้วก็งดงามมากจนซินเธียหยุดเดินแล้วยืนจ้องมันอย่างลืมตัว คริสตัลทรงหยดน้ำมากมายห้อยระย้าลงมายามกระทบแสงไฟก็ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับชวนให้หลงใหล
“ชอบหรือ”
เสียงทุ้มดังขึ้นข้างใบหู ซินเธียละสายตาจากแชนเดอเลียร์ตรงหน้าแล้วเงยขึ้นไปมองคนข้างกายแทน
“ครับ มันสวยมาก”
แอชลีย์ครางรับมาคำหนึ่งแล้วใช้มือแตะสะโพกเด็กหนุ่มเป็นเชิงให้เดินต่อ ไม่รู้อีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ ซินเธียเลยไม่ได้ออกปากอะไรเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนั้นอีก สองมือกระชับกล่องของขวัญสำหรับอวยพรวันเกิดให้แก่เจ้าภาพเอาไว้แน่นขึ้นอีกนิดเมื่อพวกเขาทั้งคู่เดินเข้ามาถึงห้องจัดงานเลี้ยงทางปีกตะวันตกของตัวคฤหาสน์
ตระกูลสแตนลีย์เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ผู้เรืองอำนาจของวินเทอร์ฟอล การจัดงานเลี้ยงฉลองของผู้นำตระกูลก็ใหญ่โตหรูหราสมฐานะ ทั้งอาหารเครื่องดื่มถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แขกอย่างใจกว้าง ภายในงานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอัลฟ่าจากตระกูลชั้นสูงมากมาย น้อยมากจะเจอโอเมก้าติดตามคู่ของตัวเองมาด้วยในคืนนี้
เมื่อต้องเข้ามาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่เหนือกว่าซินเธียก็เกิดอาการหวั่นวิตกขึ้นมาในใจ เขาขยับตัวเข้าไปชิดแอชลีย์ตามสัญชาตญาณซึ่งอีกคนก็คงทราบสาเหตุดีถึงได้เอื้อมมือมาโอบเอวว่าที่คู่ชีวิตเอาไว้
ตอนนี้ซินเธียกำลังอยู่ในช่วงฮีทจิตใจจะอ่อนไหวเป็นพิเศษพอๆ กับร่างกายที่ดึงดูดอัลฟ่าได้ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในบรรดาโอเมก้าในงานเลี้ยงคืนนี้เด็กหนุ่มดูแตกต่าง
ทั้งรูปร่างสูงเพรียว ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนกับเส้นผมยาวสลวยสีแปลกตา ช่างให้ความรู้สึกงดงามแบบแปลกๆ
ท่ามกลางกลุ่มคนผมบลอนด์ผมดำผิวขาวแบบนี้ นับว่าโดดเด่นจนดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพราะหลายคนเห็นว่าโอเมก้าคนนี้มีเจ้าของแล้วถึงได้มีใครกล้าเข้ามายุ่ง
“ผมนึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว แอชลีย์ คิม”
แดเนียล สแตนลีย์เดินแหวกฝูงชนเข้ามาต้อนรับแขกคนสุดท้ายของงานพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม งานเลี้ยงเริ่มตอนหนึ่งทุ่มตรงตามปกติแล้วแขกในงานมักจะมาสายกันไม่มากไปจากเวลาในเทียบเชิญนัก ชายหนุ่มจึงคิดว่าบางทีท่านผู้นำแห่งตระกูลคิมผู้ชื่นชอบทำอะไรตามใจตัวเองคงจะไม่มาร่วมงานเสียแล้ว
“มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย” คนตัวสูงว่า “นี่คือซินเธีย วาเลนเธีย คู่หมั้นของผม”
“สวัสดีครับ” ซินเธียขยับตัวออกมาจากด้านหลังของคนข้างกายเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้อัลฟ่าผมสีบลอนด์หน้าตาใจดีตรงหน้า เขามีส่วนสูงน้อยกว่าแอชลีย์เล็กน้อย เวลายิ้มดวงตาทั้งสองข้างก็จะกลายเป็นเส้นโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยวดูเป็นมิตรน่าเข้าหา
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกันครับ ส่วนนี่ของขวัญของคุณขอให้มีความสุขมากๆ นะครับ”
ซินเธียประคองกล่องของขวัญกำมะหยี่ขนาดไม่ใหญ่มากส่งให้กับอัลฟ่าเจ้าของงานพร้อมเอ่ยคำอวยพรอย่างประหม่าทำตัวไม่ค่อยถูก ในเมื่อก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทางมาจู่ๆ แอชลีย์ก็ส่งกล่องของขวัญนี้มาให้แถมยังบอกอีกว่าหน้าที่นี้เขาควรจะเป็นคนทำ สุดท้ายเลยกลายเป็นทำให้เด็กหนุ่มนั่งกอดกล่องของขวัญเกร็งมาตลอดทางด้วยไม่รู้ควรจะมอบของขวัญให้เจ้าของงานอย่างไรดีถึงจะไม่ดูเหมาะสม
“โอ้ ขอบคุณมากครับ” แดเนียลรับไป เขาอมยิ้มเล็กๆ มองสำรวจโอเมก้าจากต่างแดนชั่วขณะแล้วพูดต่อ “ได้ยินมาว่าคุณมากจากดินแดนทางใต้แต่สำเนียงของคุณคล้ายคนแดนเหนือมากเลยนะครับ”
ซินเธียไม่ตอบอะไรนอกจากรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าทางนั้นชมเพราะมารยาทหรือว่าเป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริง
ระยะนี้หากมีเวลาซินเธียก็จะพยายามเรียนรู้สำเนียงของชาวแดนเหนือจากการฟังแอชลีย์พูด ไม่ว่าจะพูดกับตนเองหรือสั่งงานพวกคนงานในคฤหาสน์ ช่วงแรกอาจจะยังไม่ค่อยกล้าพูดกับใครนัก แต่พอได้คุยกับคุณชายอิลลาเรียนคราวนั้นเขาก็อยากจะพัฒนาตัวเองเพื่อที่เจอกันครั้งหน้าพวกเราจะได้สามารถพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนานมากกว่านั่งฟัง
“น่าเสียดายวันนี้ท่านชายมัวร์ไม่ค่อยสะดวกเลยไม่ได้ตามท่านคาร์ลินมาด้วย อดเจอหลานเลย” ประโยคแรกนี้แดเนียลคล้ายพูดกับซินเธียมากกว่า อีกฝ่ายคงจะเข้าใจว่ามันคงดีกว่าหากมีเพื่อนโอเมก้าด้วยกันให้คุยแก้เบื่ออีกทั้งการต้องมาอยู่ท่ามกลางอัลฟ่าจำนวนมากแบบนี้เด็กหนุ่มคงไม่สบายใจสักเท่าไหร่
“’งานเลี้ยงกลางคืนแบบนี้คงไม่เหมาะกับเด็กสักเท่าไหร่” แอชลีย์เอ่ยเสียงเรียบ
“ก็ส่วนหนึ่ง แต่เห็นว่าสุขภาพช่วงนี้ไม่ค่อยดีน่ะ จริงสิ คาร์ลินกำลังถามถึงคุณอยู่พอดี มาทางนี้สิ”
แดเนียลที่ยืนคุยกับแอชลีย์อยู่พูดเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ อัลฟ่าหนุ่มผายมือไปทางมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยงเป็นมุมที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านและค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ถ้ากังวลก็จับแขนฉันเอาไว้” ในระหว่างเดินไปคนข้างกายโน้มลงมากระซิบเสียงเบา
“อะ อื้ม”
ใบหน้าอีกฝ่ายยังคงไม่บ่งบอกอารมณ์ดังปกติแต่ซินเธียก็รับรู้ได้ถึงความใส่ใจเล็กน้อยนั้น พอได้รับคำอนุญาตกลายๆ จึงรีบยื่นมือขึ้นไปจับแขนของชายหนุ่มทันที
หลังเข้ามาทักทายผู้นำของวินเทอร์ฟอลเรียบร้อยซินเธียก็ได้แต่นั่งฟังเหล่าอัลฟ่าคุยกันใจความส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องงานมากกว่า เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วห้องจัดเลี้ยงอีกครั้งอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร ไม่นานก็ต้องหันกลับมาเมื่อบทสนทนาเริ่มเอนเอียงมาทางตัวเอง
“งานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้างครับท่านชายวาเลนเธีย” คำถามนี้แดเนียลเป็นคนเอ่ย
“ดีครับ อาหารก็อร่อยมาก”
ในระหว่างนั่งคุยแอชลีย์ให้คนไปตักอาหารมาให้ซินเธียจำนวนหนึ่ง มีทั้งขนมหวานและของทานเล่นส่วนเครื่องดื่มก็เป็นน้ำผลไม้รสชาติอ่อน เขาเลือกชิมไปสองสามอย่างก็รู้สึกว่าอร่อยดี โดยเฉพาะแซนวิซทูน่าราดด้วยน้ำสลัดถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กพอดีคำตกแต่งด้วยมะเขือเทศเชอร์รี่ลูกเล็กด้านบน
ผลไม้ชนิดนี้โตได้ดีในสถานที่มีอากาศเย็นซินเธียจึงไม่เคยกินมาก่อนเมื่อได้ลองแล้วก็ติดใจทันที
“ถ้าชอบก็ทานให้มากหน่อย” คนข้างกายพูดเสียงเบา มือก็ผลักจานแซนวิซจานที่สองมาให้ เป็นเพราะเมื่อตอนเย็นหลังซินเธียฮีท พอทำเรื่องอย่างนั้นกันเสร็จก็ผล็อยหลับไปจนกระทั่งถูกปลุกขึ้นมาร่วมงานเลี้ยงลืมกินแม้กระทั่งมื้อเย็น
“ว่าแต่งานเลี้ยงของวินเอทร์ฟอลกับดินแดนของคุณเหมือนกันไหมครับ” เจ้าภาพผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลาเอ่ยถามต่อหลังรอให้โอเมก้าหนึ่งเดียวในตอนนี้กินจนพอใจ
เรื่องราวของดินแดนทางใต้นั้นค่อนข้างน่าสนใจในสายตาคนนอกไม่น้อยเหมือนกัน เพราะคนจากเมืองอื่นๆ ไม่มีใครเคยติดต่อหรือเดินทางไปเส้นทางแถบนั้น ทั้งเรื่องระยะทางก็ดี ทั้งข่าวลือที่เล่าต่อกันมาก็ดี
“ค่อนข้างแตกต่างครับ”
ซินเธียตอบหลังจากจัดการมะเขือเทศเชอร์รี่จำนวนหนึ่งซึ่งเขาเก็บไว้กินเป็นอย่างสุดท้ายจนหมด เป็นอีกหนึ่งนิสัยแบบเด็กๆ ที่แก้อย่างไรก็ไม่เคยหายอย่างการชอบเก็บของที่ชอบไว้กินเป็นอันดับสุดท้าย ท่านพ่อเองก็เคยเตือนเขาถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ถ้าไม่ติดว่าต้องอยู่ต่อหน้าคนมากมายเขาก็คงหยิบเจ้ามะเขือเทศจิ๋วเหล่านี้ยัดใส่ปากทีละหลายๆ ลูกไปแล้ว
ฝ่ายแอชลีย์ก็ได้แต่มองคนข้างกายอย่างอ่อนใจ ตอนอยู่บนโต๊ะอาหารในคฤหาสน์เขาก็พอสังเกตพฤติกรรมนี้ได้อยู่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ตาม แต่สำหรับคนที่ต้องร่วมมื้ออาหารด้วยกันมาตลอดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสังเกตเห็น ชายหนุ่มยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วโป้งช่วยเช็ดคราบน้ำสีแดงเล็กๆ ตรงมุมปากให้คนที่มัวแต่เคี้ยวจนไม่ทันระวังอย่างเอร็ดอร่อย
มะเขือเทศน่ะเป็นผลไม้จำพวกที่มีน้ำอยู่มาก พอต้องรีบเคี้ยวให้หมดปากก่อนตอบคำถามของท่านชายสแตนลีย์จึงไม่ทันระวังเผลอกินเลอะเอาจนได้
“งานเลี้ยงของพวกเราจะมีนางระบำกับนักดนตรีมาคอยให้ความบันเทิง อาหารก็จะเน้นไปทางพวกเนื้อสัตว์กับสุราหมักครับ” นอกจากนี้ดนตรีที่ใช้บรรเลงก็จะเป็นดนตรีพื้นเมือง เหล่านางระบำจะสวมใส่เสื้อผ้าโปร่งพลิ้วเพื่ออวดเรือนร่างและผิวกาย
“หืม? ฟังดูน่าสนใจมากเลยครับ”
ซินเธียยิ้มไม่ตอบอะไร เกือบจะพลั้งปากเอ่ยชวนไปแล้วว่าหากมีเวลาก็ไปเยี่ยมเยือนแดนใต้ได้ แต่ก็คิดได้เสียก่อนว่าคงไม่มีใครอยากไปที่นั่น การเดินทางก็แสนจะลำบากเต็มไปด้วยป่าทึบกับถนนสายแคบพอให้ม้าวิ่งเท่านั้น
“จริงสิ เมื่อสักครู่เหมือนผมจะเห็นคุณชายอิลราเรียนอยู่แถวนี้นะ ไม่รู้โจชัวพาเดินไปไหน”
เมื่อบทสนทนาเดินทางมาถึงทางตันแดเนียลทำท่ามองหาคนทั้งสองแต่เนื่องจากแขกเหรื่อในงานมีค่อนข้างมากเลยทำให้สังเกตคนได้ยาก
“ปล่อยให้ทานชายมานั่งฟังพวกเราพูดคุยเรื่องปวดหัวคงน่าเบื่อแย่”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราคิดว่าจะออกไปสูดอากาศในสวนสักหน่อย” กลิ่นของอัลฟ่ามันตีกันเยอะแยะเต็มไปหมดซินเธียไม่ค่อยอยากอยู่ในบรรยากาศแบบนี้นานนัก
“เดี๋ยวฉันพาไป” ได้ยินดังนั้นแอชลีย์หันมามองทันทีแต่ซินเธียกลับส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงปฏิเสธ
“คุณคุยเรื่องงานต่อเถอะ เราออกไปไม่นาน”
อีกคนทำหน้าไม่ค่อยวางใจแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าในที่สุด ก่อนซินเธียจะลุกออกไปก็ไม่ลืมกำชับว่าอีกไม่นานจะเดินตามไปแล้วพากลับบ้าน เขารู้ว่าชายหนุ่มเองก็ไม่ชอบอยู่ในงานสังคมแบบนี้นานๆ เหมือนกันจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินออกมายังสวนด้านนอก
อากาศข้างนอกค่อนข้างปลอดโปร่งกว่าด้านในอย่างเห็นได้ชัด ซินเธียสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เหล่านั้นพลางแหงนหน้าขึ้นมองด้านบน สองสามวันมานี้หิมะไม่ค่อยตกเลยส่งผลให้ผืนฟ้าในคืนนี้เปิดกว้างไร้เมฆครึ้มบดบัง ดวงดาวทอประกายระยิบระยับแต่งแต้มไปทั่วราวกับคริสตัลเม็ดงามปักดิ้นบนผ้ากำมะหยี่สีดำ
เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นลูบแขนของตัวเองในระหว่างเดินทอดน่องอยู่ในสวน เสื้อผ้าสำหรับใส่มางานเลี้ยงบางเกินไปเมื่อต้องออกมาปะทะลมหนาวด้านนอก
สวนของคฤหาสน์ตระกูลสแตนลีย์ค่อนข้างกว้างและมีไม้ยืนต้นปลูกเอาไว้มาก สองข้างทางมีไฟประดับสลัวพอให้มองเห็นทาง แต่เดินต่อมาได้ไม่เท่าไหร่หูก็พลันได้ยินเสียงประหลาดพร้อมกับเงาตะคุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซินเธียชะงักไปเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น
“อืม... ว๊าย!”
หญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้มดื่มด่ำอยู่กับรสชาติอันหอมหวานในอ้อมกอดของชายคนหนึ่งลืมตาขึ้นมามองเห็นเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ตกตะลึงจนเผลอผลักชายหนุ่มออกไป เป็นเพราะเธอยืนหันหลังให้กับต้นไม้จึงทำให้เมื่อลืมตาขึ้นมาก็สบเข้ากับดวงตาของซินเธียพอดิบพอดี
ด้วยความไม่ได้ตั้งใจฝั่งซินเธียเองก็ตกใจไม่น้อย เขากระแอมก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงเบากำลังจะขอตัวออกมาแต่กลับโดนเรียกไว้เสียก่อน
“เฮ้”
เป็นชายหนุ่มอัลฟ่าคนนั้นนั่นเอง เขายกหลังมือขึ้นเช็ดคราบลิปสติกบนปากออกก่อนจะเอ่ยเรียกคนแปลกหน้าเอาไว้ คนทั้งคู่เดินออกมาจากเงาใต้ร่มไม้เพื่อจะได้มองหน้าคนขัดจังหวะได้ชัดขึ้น ฝ่ายหญิงหรี่ตามองเมื่อเห็นลักษณะของโอเมก้าตรงหน้าดูแตกต่างจากตัวเองก็แค่นเสียงหึในลำคอทันที
“โอ้ ดูโอเมก้าตรงหน้าสิรูปลักษณ์แบบนั้นมันคืออะไรกันน่ะ” เธอหัวเราะก่อนจะชี้มายังซินเธียที่ยืนตีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ไม่ไกล “นี่คือคนจากแดนใต้อย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่า”
“คนจากแดนใต้?” อัลฟ่าคนนั้นทำหน้าฉงนแล้วหันมามองซินเธีย เป็นเพราะไม่ค่อยชื่นชอบเรื่องซุบซิบในวงสังคมเท่าไหร่จึงไม่ค่อยรู้เรื่องภายนอกมากนัก
“คุณไม่รู้เรื่องที่คนตระกูลคิมกำลังจะรับโอเมก้าจากแดนใต้เข้าตระกูลหรือ เห็นว่างานแต่งงานจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”
“อ้อ งานของท่านแอชลีย์” เรื่องงานวิวาห์ก็พอจะได้ยินมาอยู่บ้าง แต่เพราะงานนี้เป็นงานภายในที่เชิญเฉพาะแขกสำคัญเท่านั้นตระกูลของชายหนุ่มถึงจะมีหน้ามีตาอยู่บ้างในสังคมชนชั้นสูงแต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะสามารถรับเทียบเชิญจากสี่ตระกูลใหญ่
“ไม่รู้ว่าท่านแอชลีย์คิดอะไรอยู่ถึงได้ยอมแต่งงานกับพวกคนป่าไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจ เดิมทีเรื่องเล่าจากดินแดนห่างไกลแห่งนั้นก็นับเป็นละครสนุกๆ ที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยกันในเวลาน้ำชายามบ่ายอยู่แล้วยิ่งพอโดนมาขัดจังหวะในช่วงเวลาแบบนี้หญิงสาวทั้งรู้สึกอายและหงุดหงิดไปในเวลาเดียวกัน
อันที่จริงเธอเองก็เป็นโอเมก้าเช่นเดียวกัน แต่ตระกูลของเธอนั้นไม่ได้มีฐานะดีมากอะไรซึ่งกว่าเธอจะยั่วยวนอัลฟ่าจากตระกูลร่ำรวยให้พาตัวเองมาร่วมงานเลี้ยงนี้ได้ก็ยากมากพอแล้ว ตอนนี้พอสบโอกาสสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นก็ดันเจอคนต่างถิ่นไม่รู้เรื่องรู้ราวเดินมาเจออีก ระดับความโมโหจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“ที่เขาว่าคนจากป่าดงดิบเหล่านั้นไร้อารยธรรมเห็นจะเป็นเรื่องจริงมาแอบดูคนอื่นแบบนี้ช่างไร้มารยาทสิ้นดี”
“เราแค่บังเอิญเดินผ่านมา”
ซินเธียขมวดคิ้วมุ่น รู้ดีว่าในสายตาคนภายนอกภาพลักษณ์ของชาวธอร์นคงไม่ค่อยน่าดูชมเสียเท่าไหร่ ไม่มีใครนึกใส่ใจในเมื่อพวกเขาก็ไม่ได้คิดไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกเพียงอาศัยอยู่ในดินแดนของตัวเองอย่างสงบสุข
ในใจนึกบริภาษหญิงสาวตรงหน้าไปไม่น้อยแต่ด้วยไม่เห็นความจำเป็นต้องแสดงกริยาแบบเดียวกับอีกฝ่ายโต้ตอบกลับไปจึงตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกมา
“ขออภัยที่มารบกวน”
เขาคิดว่าตนเองควรจะกลับไปหาแอชลีย์ได้แล้ว
“เดี๋ยวครับ” แต่กลับเป็นอัลฟ่าคนนั้นที่เรียกเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่หญิงสาวต่อว่าโอเมก้าตรงหน้าแม้แต่นิด กลับกันเขาดันรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ดูมีเสน่ห์แตกต่างจากชาววินเทอร์ฟอลแบบแปลกๆ
ผิวสีน้ำผึ้งนวลนั้นไม่ได้ดูน่ารังเกียจเลยสักนิด อีกทั้งดวงตาสีเงินคู่นั้นกลับดูมีพลังและอำนาจบางอย่างชวนให้รู้สึกหลงใหล มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเติบโตมาในตระกูลที่ไม่ธรรมดา
ยิ่งแตกต่างก็ยิ่งดึงดูด
ซินเธียหยุดเดินแต่ไม่ได้หันกลับไปทำเพียงผินใบหน้าไปด้านหลังเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งแต่นัยน์ตาสีเงินยามต้องแสงไฟสะท้อนเป็นประกายงดงามราวคริสตัลจนคนมองตาพร่าไปชั่วขณะ
“มีอะไรหรือครับ”
ยิ่งได้เห็นใบหน้าเรียบเฉยกับน้ำเสียงเรียบนิ่งแบบนั้นก็ยิ่งกระตุ้นอะไรบางอย่างเข้าอีกทั้งสิ่งที่ทำให้อัลฟ่าหนุ่มสนใจคนตรงหน้านี้ก็คือกลิ่นฟีโรโมนหอมยั่วยวนของเจ้าตัวถึงจะไม่รุนแรงมากแต่ก็ทำให้รู้ได้ทันที
“ดูเหมือนคุณกำลังอยู่ในช่วงฮีทสินะ”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
คำตอบกับท่าทีชะงักของอีกฝ่ายช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม เจ้าตัวยิ้มแฝงเลศนัยก่อนจะเดินเข้าไปคว้าข้อมือนุ่มนั้นมาจับ
“เฮ้ ไม่เอาน่า ผมช่วยคุณได้นะ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงพร่าเมื่อเห็นอีกคนขืนข้อมือกลับไปก็เปลี่ยนเป็นกระชากซินเธียเข้าหาตัวเองหวังจะสูดมกลิ่นอันหอมหวนตรงซอกคอทว่าเด็กหนุ่มเองก็รวดเร็วพอกัน ทันทีที่ร่างกายโดนกระชากเข้าหาก็หมุนตัวรวดเร็วใช้เวลาชั่ววินาทีแทงข้อศอกอีกข้างกระแทกใส่ปลายคางทันทีทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวเซถอยหลังไป ฝั่งนั้นเมื่อโดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัวก็เกิดโทสะขึ้นหวังจะกระโจนเข้าใส่ทว่ากลับถูกเด็กหนุ่มใช้ขาถีบกลับไปจนลำตัวเซไปชนต้นไม้เข้า
“อั่ก! บ้าเอ๊ย” อัลฟ่าหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย ใบหน้าดำคล้ำเต็มไปด้วยโทสะคุกรุ่น
สำหรับซินเธียที่เติบโตมาในดินแดนแห่งการเอาตัวรอดและฝึกศิลปะการป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก คนตรงหน้าเมื่อเทียบกับอัลฟ่าที่คลั่งการต่อสู้ในธอร์นแล้วแทบไม่นับเป็นตัวอะไร คนเหล่านั้นมีทั้งพละกำลังมหาศาลและขาดความปราณีต่อคู่ต่อสู้เป็นที่สุดสู้กันแต่ละครั้งหวังมุ่งจะเอาชีวิต แตกต่างจากชาววินเทอร์ฟอลที่รักในความสุขสบายมากกว่าจะหาเรื่องฆ่าฟันกันเพื่ออวดความแข็งแกร่ง เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากคุณชายตรงหน้าเอาจริงเขาก็อาจจะสู้ไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถต่อกรได้เลย
“คุณชาย!” หญิงสาวเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้าไม่น้อยเธอรีบเข้าไปประคองชายหนุ่มแล้วหันมาตวาดใส่ซินเธียทันที
“แก! ไอ้คนน่ารังเกียจ คนแบบพวกแกมันดีแต่ใช้กำลังกันจริงสินะ แต่ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนไร้อารยะธรรมที่แกจะมาแสดงคามป่าเถื่อนแบบนี้ได้”
“เราทำได้มากกว่านี้ถ้าพวกคุณยังกล้าเข้ามาแตะต้องเราอีก” ซินเธียกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทุกอย่างก็ล้วนทำไปเพื่อการป้องกันตัวเท่านั้น ต่อให้ต้องถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนต่างถิ่น เขาเสียใจแต่ก็ไม่นึกโต้ตอบหากอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีคุกคามใส่
“จะหวงตัวอะไรนักหนา ที่เธอมาที่นี่ก็ไม่ใช่เพราะเสนอตัวให้พวกตระกูลใหญ่เองไม่ใช่หรือไง” ชายหนุ่มเย้ยหยันในดวงตาประกายกร้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบปลายคางอย่างนึกเจ็บใจ แรงดีใช่ย่อย
“เหอะ ตอนแรกหรือก็เสนอตัวให้ท่านคาร์ลินแต่เขาไม่เอา แน่ล่ะสิคู่ของเขาก็ดีถึงเพียงนั้นทำไมยังต้องมาสนใจโอเมก้าจากต่างถิ่นแบบแกอีก สุดท้ายก็ต้องวิ่งไปยัดเยียดตัวเองให้กับท่านแอชลีย์เสียแทน”
ซินเธียหน้าเสียไปทันทีหลังโดนความจริงกระแทกใส่หน้า เด็กหนุ่มกำมือแน่นพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดเพื่อจะไม่โต้ตอบกลับไป
สิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูดไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลย งานวิวาห์ในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก็จริงแต่มองให้ชัดเจนแล้วไม่ใช่ทางฝั่งเขาหรือที่ยื่นข้อเสมอไป ไม่ต่างอะไรกับการเสนอตัวเองเพื่อแลกกับผลประโยชน์เลยสักนิด
“ทำเป็นถือตัว คุณชายอุตส่าห์เมตตาแต่กล้าดียังไงถึงมาทำร้ายคุณชายอเล็กซ์ แกรู้ไหมว่าตระกูลของเขาเป็นใคร!!”
“แล้วเป็นใครกันล่ะ”
คนทั้งสามชะงักไปทันทีเมื่อเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นจากทางด้านหลัง ซินเธียรู้สึกได้ถึงเสื้อนอกถูกคลุมลงบนลาดไหล่ทั้งสองข้างกลบไอหนาวจากรอบกายไปจนหมดสิ้น
....รวมถึงความหนาวเหน็บภายในใจ
ต่อให้ไม่ต้องหันไปมองเขาก็จำกลิ่นของผู้มาใหม่ได้แม่นยำ
แอชลีย์ คิม
เด็กหนุ่มเม้มปาก มือที่กำเอาไว้แน่นค่อยๆ คลายออกเปลี่ยนมาเป็นกระชับเสื้อคลุมเข้าหาตัวเองแทน
เกิดความเงียบรอบตัวอยู่นานพร้อมกับบรรยากาศลึกลับบางอย่างเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมโดยรอบ ชายหญิงทั้งสองตกตะลึงจนตาค้างก่อนต่อมาจะกลายเป็นหวาดหวั่นเพราะถูกรังสีอัลฟ่าของผู้มาใหม่ตรึงเอาไว้
“ทะ ท่านแอชลีย์...” เป็นนานกว่าคนทั้งสองจะตั้งสติได้ ยามเมื่อหันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นก็อดจะพรั่นพรึงไม่ได้ รู้สึกราวกับตัวเองได้ไปทำความผิดใหญ่หลวงอะไรสักอย่างเอาไว้จนเส้นชะตาชีวิตเริ่มริบหรี่
แอชลีย์มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร นึกไม่ออกและไม่อยากจะนึกด้วย
“ขนาดตัวเองยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมคู่ของผมต้องเสียเวลาไปใส่ใจเรื่องของคุณด้วย” เสียงทุ้มกล่าวเนิบนาบคล้ายไม่ใส่ใจอะไร “หึๆ น่าขำสิ้นดี”
เสียงหัวเราะเมื่อครู่สำหรับคนฟังแล้วกลับรู้สึกได้ถึงหายนะครั้งใหญ่ ราวกับดวงตาคมคู่นั้นจะแทงทะลุไปทั้งร่าง เหงื่อแตกซกไปทั้งตัวไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เพราะเกรงว่าจะไปทำให้ท่านแอชลีย์ผู้ยิ่งใหญ่หงุดหงิดเข้าแล้วมากระทืบตัวเองระบายอารมณ์เอา
คนจากสี่ตระกูลใหญ่อำนาจในมือมีมากมายทำหน้าที่ปกครองวินเทอร์ฟอลมาไม่รู้กี่ร้อยปี คนเหล่านี้ต่อให้เป็นโอเมก้าแต่ก็เป็นโอเมก้าชนชั้นสูง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ค่อยมีใครกล้าไปล่วงเกิน ยิ่งเหล่าอัลฟ่าแทบไม่ต้องพูดถึง
ครั้งนี้ถือว่าซวยมากแล้วจริงๆ
หลังยืนนิ่งทำสงครามประสาทครู่ใหญ่ คิดเอาไว้ว่าจะรอฟังดูเสียหน่อยว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ทางนั้นก็ไม่ปริปากอะไรออกมา
ไร้สาระเสียจริง
แอชลีย์ปลายตามองสองคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโอบไหล่ว่าที่คู่ชีวิตเดินกลับออกมาจากสวนมุ่งหน้าเดินทางกลับคฤหาสน์
“ไปเถอะ ตากลมอยู่ข้างนอกนานๆ จะป่วยเอาได้”
“อื้ม”
TBC
เอาล่ะตอนนี้เดินทางมาถึงสต็อคที่ตุนไว้แล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้คงไม่ได้มาทุกวัน
ขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นรวมถึงทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ อยากให้อัพไวๆอีกก็ฝากส่งฟีดแบคหน่อยน้า
มนริต้า.