My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Valenthia #วิวาห์ในแดนฝัน (Omegaverse) : บทที่29-30 [P.10] --- 26/08/62 ---  (อ่าน 33453 ครั้ง)

ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


บทที่ 6




   งานวิวาห์ใกล้เข้ามาแล้ว คฤหาสน์ตระกูลคิมที่เคยเงียบสงบขณะนี้ในสวนกำลังพลุกพล่านไปด้วยเหล่าคนงานที่เข้ามาจัดเตรียมสถานที่ ซินเธียนั่งมองพวกเขาเหล่านั้นผ่านเรือนกระจกสองมือประคองแก้วชาเอาไว้เพื่อคลายความหนาวเย็น ไอความร้อนลอยกรุ่นผสมผสานกับกลิ่นหอมจากชาดอกจัสมินชั้นดี


   ชาจัสมินนี้เป็นของขวัญจากท่านชายมัวร์ โดยมีพ่อบ้านของทางนั้นนำมาส่งด้วยตนเอง ชาพวกนี้ถูกส่งมาจำนวนไม่น้อยบรรจุลงในกล่องไม้สลักลายอย่างงดงาม ครั้งแรกที่เห็นพ่อบ้านยกเข้ามาซินเธียรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากพร้อมฝากคำขอบคุณถึงท่านชายมัวร์ผ่านพ่อบ้านประจำคฤหาสน์มัวร์กลับไปไม่น้อย ทางนั้นยังบอกมาอีกว่าของขวัญชิ้นนี้ถือเป็นคำขออภัยล่วงหน้าสำหรับท่านชายที่จะไม่สามารถมาร่วมงานแต่งงานครั้งนี้ได้ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ


   ได้ยินดังนั้นซินเธียจึงฝากคำอวยพรเพื่อให้สุขภาพของท่านชายมัวร์ดีขึ้นในเร็ววัน การพักผ่อนนั้นสำคัญงานแต่งงานก็ถือเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์งานหนึ่ง การดูแลสุขภาพนั้นสำคัญกว่า ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังรู้ความว่าสถานะของเจย์เดน สการ์เล็ต มัวร์ นั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองเป็นเพียงโอเมก้ามาจากต่างแดนเท่านั้น ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่มางานแต่งของเขาด้วยเหตุผลเล็กน้อยกว่านี้ก็ไม่นึกโกรธเคือง


   นอกจากชาจัสมินแล้วภายกล่องไม้ใบนั้นยังมีชาชนิดอื่นอีกมากมาย แต่ซินเธียรู้สึกถูกปากกับจัสมินเป็นพิเศษ รสชาติอ่อนนุ่มลิ้น ยิ่งเติมนมลงไปตามแบบฉบับชาวแดนเหนือก็ยิ่งกลมกล่อม ส่วนกลิ่นของชาชนิดนี้ก็หอมเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าตนเองนั้นชักจะเริ่มคุ้นชินกับวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวแดนเหนือเข้าไปทุกทีเสียแล้ว เด็กหนุ่มไล้ปลายนิ้วบนผิวแก้วสายตาทอดมองความวุ่นวายนอกบานกระจก


   ระยะนี้หิมะหยุดตกแล้วแต่บริเวณสวนด้านหลังถูกงดใช้ชั่วคราวเพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยง พุ่มไม้ถูกตัดแต่งใหม่ทั้งหมดแถมยังมีดอกไม้บางชนิดถูกนำมาปลูกเพิ่ม


เหลืออีกเพียงสามวันเท่านั้น


งานวิวาห์ครั้งนี้ถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วอันมีผลมาจากหลากหลายสาเหตุ หนึ่งนั้นในนั้นคือการที่อัลฟ่าและโอเมก้ายังไม่จับคู่มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมันค่อนข้างมีความเสี่ยง โดยเฉพาะหากทั้งสองเป็นคู่แห่งโชคชะตาฟีโรโมนของทั้งคู่จะทำปฏิกิริยากันค่อนข้างรุนแรงเป็นสัญชาตญาณของการจับคู่


นับว่าโชคดี พวกเขาไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน


สำหรับคนทั้งสอง หากไม่ใช่ช่วงฮีทที่โอเมก้าจะปล่อยฟีโรโมนออกมารุนแรงเป็นพิเศษอันเป็นกลไกลของร่างกายเพื่อดึงดูดอัลฟ่าให้มาร่วมสัมพันธ์กันและเป็นช่วงที่ร่างกายของโอเมก้าพร้อมจะตั้งครรภ์ การอยู่ใกล้ชิดอัลฟ่าของซินเธียจึงไม่มีผลพิเศษหรืออันตรายอะไรมาก ฟีโรโมนในช่วงปกติสำหรับโอเมก้าแล้วก็จะเป็นเพียงกลิ่นอ่อนๆ กระจายอยู่รอบตัว ซึ่งกลิ่นของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันไป


ซินเธียไม่รู้ว่ากลิ่นของตัวเองเป็นแบบไหนเนื่องจากในชีวิตนี้นอกจากท่านพ่อแล้วคงมีเพียงแอชลีย์ที่เด็กหนุ่มใกล้ชิดมากที่สุด แน่นอนเจ้าตัวคงไม่คิดสนใจ


ฟีโรโมนของโอเมก้าจะส่งผลเฉพาะอัลฟ่าเป็นพิเศษ ส่วนเบต้ากับโอเมก้าด้วยกันเองจะได้ผลกระทบเฉพาะช่วงฮีท ท่านพ่อเคยบอกว่ากลิ่นของซินเธียคล้ายดอกไม้บางชนิดแต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร


ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุของการเร่งเตรียมงานนั้นก็คือวินเทอร์ฟอลกำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงที่หนาวที่สุดของปีในเดือนหน้า และมันคงยาวไปจนถึงช่วงสิ้นปีไม่เหมาะกับการจัดงานเลี้ยง พ่อบ้านอธิบายมาแบบนั้น ใจของซินเธียรู้สึกสั่นสะท้าน สำหรับคนเคยชินกับสภาพอากาศร้อนชื้นมาตลอดชีวิต ความหนาวระดับปัจจุบันก็มากเกินพอแล้ว


เขาชอบหิมะนะ มันทั้งสวยงามและดูบริสุทธิ์ ยามเมื่อทั้งเมืองถูกหิมะขาวโพลนปกคลุมทำให้วินเทอร์ฟอลไม่ต่างอะไรกับดินแดนในความฝัน


โอเมก้าต่างแดนดื่มด่ำกับการพักผ่อนจนกระทั่งถึงช่วงบ่ายแก่แอชลีย์ก็กลับมาจากการทำงาน ชายหนุ่มส่งเสื้อโค้ทให้แม่บ้านคนหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาด้านในห้องเรือนกระจก


“กลับมาแล้วหรือครับ”


เอ่ยทักทายคนพึ่งกลับมาจากข้างนอก อัลฟ่าหนุ่มตอบอืมมาคำหนึ่งระหว่างทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวมือขวาก็ยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อลงสองสามเม็ด ซินเธียเห็นชายหนุ่มดูเหนื่อยอ่อนอีกทั้งคุณพ่อบ้านก็ยังมัวยุ่งอยู่กับการจัดการตกแต่งสวนจึงตัดสินใจเดินเข้าครัวเพื่อจัดเตรียมน้ำชากับของว่างให้ด้วยตนเอง


อย่างไรเสียมันก็เป็นหน้าที่ของซินเธียอยู่แล้วในการดูแลอีกฝ่ายจะในอนาคตหรือปัจจุบันก็ต้องทำ ตอนนี้ก็แค่ทำเร็วขึ้นมาอีกสักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร


เด็กหนุ่มเลือกชงชามะลิให้อีกคน ความรู้จากคุณพ่อบ้านที่เคยได้เรียนเมื่อหลายวันก่อนยังพอจะจำได้บ้าง เขาแอบชิมไปเล็กน้อยแล้วก็พบว่ารสชาติไม่น่าเกลียดนัก


ปกติแอชลีย์ไม่ชอบดื่มชา ชายหนุ่มมักจะรับเป็นกาแฟเสียมากกว่าแต่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วไม่เหมาะต่อการรับคาเฟอีนอีก ตอนเช้าก็ดื่มเป็นประจำหนึ่งแก้ว ระหว่างทำงานก็ไม่รู้จะดื่มไปอีกเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการดื่มชาคงจะดีต่อร่างกายมากกว่า


หลังจัดการชาเสร็จเขาก็หยิบผลไม้ที่ถูกปอกเตรียมไว้ในตู้เย็นออกมาสองสามอย่างก่อนจะยกไปเสิร์ฟอีกคนแต่กลับพบว่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว


แอชลีย์นั่งพิงโซฟา เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงซ่อนดวงตาสีอำพันคู่สวยเอาไว้ข้างใต้


ดูท่าคงจะเพลียมากสินะ


เด็กหนุ่มวางถาดน้ำชากับของวางเอาไว้บนโต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟาแล้วย่อตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าคนอายุมากกว่า สายตาจับจ้องไปทั่วใบหน้าคมคร้ามนั้นอยู่นาน เป็นครั้งแรกกับการใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ ใกล้จนได้กลิ่นบางอย่างแผ่ออกมาอันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของอัลฟ่าผู้แข็งแกร่ง และใกล้... จนสามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างเต็มตาเพราะหากเป็นช่วงเวลาปกติเขาคงไม่มีความกล้าขนาดนี้


ชายผู้นี้อาจจะดูเย็นชาไปบ้าง


บางครั้งก็เข้าใจยาก


แต่ก็ไม่รู้ทำไม


ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในดินแดนต่างถิ่นแสนห่างไกลเช่นนี้ การมีอยู่ของแอชลีย์ คิมกลับทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด


‘หลังจากนี้เมื่อท่านชายฮีทควรจะให้คุณท่านช่วยนะครับ’

‘พวกคุณกำลังจะจับคู่กันอีกไม่นานแล้วไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาระงับอีก’


คำพูดของคุณพ่อบ้านวาบเข้ามาในความทรงจำ อีกครั้งพลันเด็กหนุ่มก็รู้สึกกระดากอายยามมองหน้าคนในบทสนทนาขึ้นมาเสียอย่างนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ดวงตาสีอำพันลืมขึ้น


แอชลีย์กระพริบตาแล้วจ้องเขม็งลงมาราวกับสงสัยว่าเจ้าโอเมก้าคนนี้มานั่งบื้ออะไรอยู่ตรงหน้าตัวเอง คนถูกจับได้ว่ามองสะดุ้งก่อนจะกระแอมแก้เก้อ เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาดีๆ พลางเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม


“น้ำชาครับ เอ่อ... เมื่อเช้าคุณชายมัวร์ให้คนนำมามอบให้”


“เป็นอะไร”


“ครับ?


คำถามไม่มีที่มาที่ไปทำเอาเด็กหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะ


“หน้าแดง”


“อะ อากาศมันหนาว” เขาตอบตะกุกตะกักมือเกือบเผลอยกขึ้นจับแก้มตัวเองโดยอัตโนมัติแล้วดียังยั้งเอาไว้ทัน แอบขยับให้ตัวเองนั่งห่างจากอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อยเพราะเกิดประหม่าขึ้นมากะทันหัน


“เหรอ” เสียงทุ้มรับคำคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อ ดวงตาหลุบลงมองถ้วยชาตรงหน้าไม่มีท่าทีจะยกมันขึ้นมาเลยสักนิด เห็นดังนั้นซินเธียก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบใจถึงได้รีบเอ่ยปาก


“เรารู้ว่าคุณไม่ชอบดื่มชา แต่ดื่มกาแฟมากไปก็ไม่ดีนะครับนี่ก็ใกล้จะเวลาอาหารเย็นแล้ว”


คนฟังเลิกคิ้วขึ้น “รู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ชอบ”


“ปกติเราเห็นคุณไม่ดื่ม...”


“การที่ฉันไม่สั่งชาไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบเสียหน่อย”


“ก็... ก็...” คนถูกต้อนอึกอัก ดวงตากลมกลอกไปมาอย่างพยายามคิดหาคำโต้ตอบ สุดท้ายก็ได้แต่เม้มปากแล้วเงียบไป เพราะสิ่งที่เจ้าตัวพูดมานั้นก็มีเหตุผล


เขาพึ่งเข้ามาอาศัยที่นี่ไม่นาน ยังไม่เห็นชีวิตประจำวันของอีกฝ่ายทั้งหมดแค่เห็นว่าชอบดื่มแต่กาแฟและการที่เจ้าตัวไม่สั่งน้ำชาไม่ได้แปลว่าจะไม่ชอบสิ่งนั้นเสียหน่อย บางทีอาจจะแค่ยังไม่อยากดื่มในเวลานั้นก็เท่านั้นเอง พอคิดได้แบบนั้นไหล่ของเด็กหนุ่มก็ลู่ลงเล็กน้อย


“หึๆ”


ในระหว่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ด้วยความที่นั่งใกล้กันจึงทำให้ซินธียได้ยินเสียงทุ้มๆ นั้นชัดเจน แอชลีย์หัวเราะในลำคอแล้วยื่นมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ท่าทางหย่อนอารมณ์เสียเต็มประดา


ซินเธียแอบถลึงตาใส่อีกฝ่าย


หัวเราะอะไรน่ะ


มีอะไรน่าขันกัน!

   
-------

   
   ก็ไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหหรอก


   อัลฟ่าหนุ่มละเลียดจิบชาด้วยความผ่อนคลายดวงตาเหลือบมองคนอ่อนกว่าซึ่งตอนนี้ลุกไปนั่งอ่านหนังสืออีกมุมของห้องเสียแล้ว


ยอมรับว่าพอได้เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของอีกคนนิสัยเก่ามันก็กดเอาไว้ไม่อยู่เผลอแกล้งออกไปไม่รู้ตัว ยิ่งพอได้มองเห็นดวงตากลมโตสีเงินคู่นั้นกรอกไปมาเพราะอับจนกับคำถามก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกน่าแกล้งเข้าไปใหญ่


แล้วก็...


รู้สึกทึ่งกับความใส่ใจของโอเมก้าต่างแดนคนนี้ เป็นความจริงที่ว่าชายหนุ่มไม่ชอบดื่มชา


ทั้งพ่อบ้านรวมถึงสาวใช้ทุกคนภายในคฤหาสน์แห่งนี้จะทราบดีไม่ว่าจะตัวชายหนุ่มเองก็ดีหรือคุณพ่อเองก็ดี ในคฤหาสน์คิมแห่งนี้เห็นทีคงจะมีก็แต่คุณแม่เท่านั้นชื่นชอบการดื่มชา พอพวกท่านวางมือจากหน้าที่ทั้งหมดแล้วออกไปใช้ชีวิตกันสองคนภายในสถานที่แห่งนี้ก็แทบจะไม่มีกลิ่นของใบชาให้รับรู้อีกเลย จนกระทั่งมีผู้อาศัยคนใหม่เข้ามา


ซินเธียเองก็คงจะสังเกตได้เลยจดจำพฤติกรรมการกินของเขาเอาไว้


พูดถึงโอเมก้าคนนี้แล้ว ครั้งแรกตั้งแต่ยังไม่พบหน้าแอชลีย์ก็เตรียมใจเอาไว้เรียบร้อยว่าเจ้าชายจากแดนใต้คนนี้คงจะมีนิสัยอย่างเชื้อพระวงศ์ถูกเอาใจพะเน้าพะนอทั้งวันคงจะปวดหัวไม่น้อย ช่างน่าประหลาดใจ เด็กหนุ่มสงบเสงี่ยมกว่าที่คิดทั้งยังสามารถปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้ว่าวิถีชีวิตของทั้งสองดินแดนจะต่างกันราวฟ้ากับเหว


ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นท่านชายซินเธีย วาเลนเธียปริปากบ่นอะไรแม้แต่ครึ่งคำ นั่นทำให้มุมมองและความรู้สึกที่แอชลีย์มีต่อเจ้าชายคนนี้เปลี่ยนไปพอสมควรและมันก็เริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ


ตั้งแต่อายุยังน้อยกว่านี้อัลฟ่าหนุ่มก็วางแผนอนาคตของตัวเองเอาไว้แล้วว่าในชีวิตนี้คู่ของเขาคงเป็นคุณหนูอัลฟ่าจากตระกูลสูงศักดิ์สักคน สำหรับคู่ที่เป็นโอเมก้านั้นเป็นทางเลือกอันดับท้ายสุด


เพราะโอเมก้าน่ะค่อนข้างเป็นปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฮีทของพวกเขาเหล่านั้น ยิ่งไม่ได้ทำการจับคู่ทำพันธะปัญหาใหญ่ก็อาจจะตามตัวมาทีหลัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากว่าเหล่าโอเมก้าที่โชคดีได้เกิดในตระกูลที่มีฐานะทางสังคมมากหน่อยมักจะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในคฤหาสน์หรูหรา นั่งอยู่บนหอคอยสูงส่งรอคอยโอกาสเหมาะสมเพื่อจับคู่กับอัลฟ่าที่มีฐานะทัดเทียมกันสักคน



ในโลกนี้ โอเมก้าหนึ่งเดียวที่แอชลีย์คิดอยากจะจับคู่ด้วยก็คงมีเพียงเจย์เดน สการ์เล็ต มัวร์ เจ้าของดวงตาสีทับทิมคู่นั้น


ทั้งสูงส่งและสง่างาม สายเลือดมัวร์ผู้เรืองอำนาจ แม้สี่ตระกูลหลักแห่งวินเทอร์ฟอลอย่างตระกูลคิม ตระกูลไล ตระกูลแสตนลีย์ หากเทียบกันแล้วตระกูลมัวร์นั้นน่าจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากที่สุด


วันต่อมาแอชลีย์นำเทียบเชิญไปแจกจ่ายกับโจชัวถึงฮิลตันด้วยตนเอง รถยนต์สีดำขลับจอดเทียบหน้าตึกอำนวยการ เมื่อประตูถูกเปิดออกปรากฏร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่าจากสี่ตระกูลใหญ่ นัยน์ตาสีอำพันกวาดมองบรรยากาศรอบกายใช้เวลาระยะสั้นรำลึกว่าครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตตนก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในสถาบันแห่งนี้


ตระกูลฮิลตันแม้จะไม่ใช่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แต่ก็นับเป็นหนึ่งในตระกูลผู้มีความสำคัญต่อวินเทอร์ฟอล ผู้นำคนปัจจุบันก็คือ โจชัว ฮิลตัน ต้นตระกูลของอัลฟ่าหนุ่มผู้นี้ได้ก่อตั้งสถานศึกษาขึ้นมาบนใจกลางเมืองวินเทอร์ฟอล สถานที่แห่งนี้จะรับเด็กที่มีอายุสิบห้าปีทุกคนในวินเทอร์ฟอลเข้ามาเรียนและอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดการศึกษา บทเรียนของฮิลตันจะมีทั้งการต่อสู้ กีฬา และวิชาการเท่าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันรวมถึงวิชาการแพทย์ โดยหลักสูตรมักจะขึ้นอยู่กับสายการเรียนที่เลือก อย่างการต่อสู้จะใช้เวลาราวสามปีทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของผู้เรียนด้วย


รุ่นของแอชลีย์นับเป็นรุ่นที่จบการศึกษาออกมาเร็วเพราะพวกเขาต่างก็ประสงค์เข้าร่วมการคัดเลือกจ่าฝูง หลังจากการประลองจบลงต่างคนก็ต่างกลับไปสืบทอดตระกูลของตัวเอง


หลังเข้ามาภายในตัวตึกและติดต่อกับผู้ช่วยของโจชัวก็พบว่าผู้อำนวยการฮิลตันไม่อยู่ที่นี่ เมื่อสอบถามจนได้ความว่าเจ้าตัวไปที่ไหนชายหนุ่มก็หมุนตัวมุ่งหน้าไปทันที


ระหว่างทาง แอชลีย์เดินผ่านสนามกลางอันเคยเป็นที่ฝึกซ้อมของตนสมัยก่อนได้กลับมาเห็นอีกครั้งก็รู้สึกว่าสำหรับฮิลตันแล้วไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นเสมอ


เดินเลียบตัวตึกมาเรื่อยจนกระทั่งถึงทางเข้าสวนแห่งหนึ่งอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้นไม้สูงใหญ่อายุมากกว่าร้อยปีเรียงรายตลอดทางเดิน ขนาดของมันสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ไปจนหมดสิ้นส่งผลให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น รวงไม้สีม่วงมากมายตัดกับสีเขียวขจีของใบหญ้าบนพื้นดินยิ่งทำให้มันดูงดงามและแปลกตาจนไม่สามารถจะละสายตาไปไหนได้


ยามเมื่อสายลมพัดวูบกลีบดอกสีม่วงก็ปลิวไสวงดงามราวกับดินแดนแห่งความฝัน แม้ว่าตอนนี้รวงไม้เหล่านั้นจะเริ่มเหลือน้อยเต็มทีตามฤดูกาล คาดว่าอีกไม่ถึงเดือนพวกมันก็คงโรยราจนเหลือแต่กิ่งก้านสีน้ำตาล


ฟึบ!


เมื่อเดินเข้ามาจนถึงส่วนด้านในเสียงของแหลมพุ่งแหวกอากาศก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ภาพด้านหน้าปรากฏเป็นอาคารไม้มีอัลฟ่าวัยเยาว์หลายคนกำลังซ้อมยิงธนูกันอยู่ในลานฝึกซ้อม ห่างออกมาเล็กน้อยก็จะเป็นม้านั่งเอาไว้สำหรับนั่งพักผ่อนหรือใครที่ชอบมาดูการฝึกซ้อม


แน่นอนว่าแอชลีย์ไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีมากพอจะมาชมดูการฝึกซ้อมของรุ่นน้องแต่เลือกจะมุ่งหน้าไปทางที่มีอัลฟ่ากลุ่มหนึ่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ ไม่ต้องเพ่งสายตาก็พอรู้ว่าบริเวณแห่งนั้นมีใครบ้าง คนคุ้นเคยทั้งนั้น ดีเลยล่ะเขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแวะนำเทียบเชิญไปให้ตามคฤหาสน์ของแต่ละคน


“เฮ้ ดูสิว่าใครมา”


อัลฟ่าตัวสูงชะลูดเจ้าของผมบลอนด์ทองเป็นคนแรกที่เงยหน้าขึ้นมามองเมื่อรู้สึกถึงฝีเท้าย่างเข้ามาใกล้ เจ้าตัวเลิกคิ้วแล้วเอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดีตามนิสัย


คนผู้นี้ก็คือคุณชายแบล็ควู้ด โรเมโอ แบล็ควู้ด


“แปลกนะที่เห็นนายปรากฏตัวที่นี่” โจชัวเลิกคิ้ว ในแววตามีความประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง


แน่ล่ะ


แอชลีย์ค่อนข้างรักสันโดษ สมัยยังอยู่ที่ฮัลตันก็ไม่ได้ร่วมจับกลุ่มสนิทสนมกับคุณชายคนไหนเป็นพิเศษแม้แต่อัลฟ่าทั้งสามคนตรงหน้านี้ก็ตาม พวกเขารู้จักกันเพียงเพราะความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ในตระกูลก็เท่านั้น พอเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปก็ยิ่งต้องคบค้ากันให้มากหน่อยเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ อีกทั้งสามตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้ตำแหน่งหัวหน้าจ่าฝูงในปีนั้นก็จะได้ตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้นำฝูงโดยอัตโนมัติทั้งนี้เพื่อเป็นการคานอำนาจกัน


“แค่มาส่งเทียบเชิญ โชคดีที่ตามกลิ่นพวกนายได้มาจนถึงที่นี่เลยไม่ต้องเปลืองแรงไปเวียนแจกตามบ้าน” เจ้าของเทียบเชิญกระตุกยิ้มมุมปาก เลือกส่งเทียบเชิญให้คาร์ลิน ไล ผู้นำวินเทอร์ฟอลคนปัจจุบันเป็นลำดับแรก


“ไม่พาท่านชายมาด้วยหรือ” คาร์ลินรับเทียบเชิญสีน้ำเงินเข้มมาเปิดดู บนกระดาษเนื้อดีสลักตัวอักษรสีเงินตวัดอย่างสวยงามปากก็เอ่ยถามถึงหนึ่งในคนสำคัญของงานที่ควรจะตามว่าที่คู่ชีวิตมาด้วย


ตามหลักแล้วเทียบเชิญจะถูกแจกไปยังตระกูลผู้เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของงาน ส่วนแขกหรือตระกูลที่มีระดับความสำคัญค่อนข้างสูงเจ้าของเทียบเชิญจะต้องมาแจกด้วยตนเองเป็นมารยาทและแสดงถึงความเคารพ


“นั่นสิ ฉันล่ะอยากจะเห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวของคนอย่างนายเต็มทน ไม่นำมาโชว์ให้คนอื่นดูบ้างล่ะ” โรเมโอเอ่ยอย่างอารมณ์ดี


“ท่านชายซินเธียน่ะหรือ ก็สง่างามสมกับความเป็นเชื้อพระวงศ์” โจชัวสมทบส่วนสายตาก็กวดมองรายละเอียดของงาน “มีแค่งานเลี้ยงช่วงเย็นเองนี่”


“หา! นายเคยเห็นเจ้าสาวของเจ้าบ้านี่แล้วเรอะ นายล่ะคาร์ลิน”


“อืม ได้เจอช่วงเวลาสั้นๆ น่ะ เขามาหาเจย์ที่คฤหาสน์” ผู้นำฝูงเอ่ยเสียบเรียบ นึกเสียดายเหมือนกันที่ยังไม่มีโอกาสได้ต้อนรับท่านชายวาเลนเธียดีๆ เสียที เพราะงานของเขาช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งเป็นพิเศษ ยังดีที่เจย์เดนช่วยจัดการรับแขกแทนไม่นับว่าเสียมารยาทต่อฝั่งนั้นมาก


“ทำไมมีแค่ฉันคนเดียวที่ยังไม่ได้เจอ” โรเมโอโวยวายตามนิสัยคนที่ชื่นชอบเรื่องซุบซิบเป็นพิเศษ


“คู่ของฉันเป็นของแปลกหรือไงถึงต้องเอามาโชว์ไปทั่ว” แอชลีย์เอ่ยไม่ค่อยสบอารมณ์


ทำไมเขาจะต้องเอาเด็กคนนั้นมาให้ไอ้หมอนี่ดูด้วยกัน ไร้สาระสิ้นดี เดาได้เลยว่าต่อให้ชวนอีกคนก็คงไม่อยากมายิ่งเป็นพวกตื่นคนแปลกหน้าอยู่ด้วย ให้มาเจอคนประหลาดอย่างโรเมโอมีหวังคงได้วิ่งหนีมาหลบหลังเขาเป็นแน่


พอคิดถึงท่าทางที่อีกคนแสดงออกมาในวันแรกที่ตนพากลับคฤหาสน์แล้วก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ ไอ้อาการที่พอเจอเหล่าคนรับใช้ของคฤหาสน์ออกมายืนต้อนรับก็แตกตื่นจนต้องขยับกายไปหลบด้านหลังเขาทีละน้อยแบบนั้นน่ะมันไม่ต่างอะไรจากลูกแมวตื่นคนเลยสักนิด


“อยู่ๆ ก็หัวเราะเป็นบ้าอะไร” โรเมโอซึ่งโดนกีดกันเริ่มอารมณ์บูดตามบ้างแล้ว


“เหอะ!”


แอชลีย์ปลายหางตามองอัลฟ่าผมบลอนด์ก่อนจะแค่นเสียงในลำคอออกมาแล้วสะบัดเสื้อคลุมหมุนตัวเดินจากไป


“หมอนี่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังทำตัวไม่น่าคบเหมือนเดิม” คุณชายแบล็ควู้ดได้แต่บ่นตามหลังอย่างทำอะไรไม่ได้ เพราะเจ้าคนเจ้าปัญหาน่ะเพียงชั่วเวลาเดียวก็เดินลิ่วราวกับหายตัวไปในกลีบเมฆเสียแล้ว


“เอาน่า” คาร์ลินปรามให้เพื่อนใจเย็นลง


“นายคิดถึงตอนที่เขาจะมาแย่งเจย์เดนไปสิ ซัดกันเกือบตายวันนั้น กวนประสาทเป็นบ้า”


“เรื่องมันจบไปแล้วนายจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีกทำไม” กลับกลายเป็นเจ้าของประเด็นอย่างคาร์ลินเสียเองที่ใจเย็น


อย่างไรเสียอดีตก็เป็นเพียงอดีต แอชลีย์ถึงจะชอบพูดจายั่วประสาทแต่ก็มีศักดิ์ศรีในตัวเองเมื่อแพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี หลังจบเรื่องก็ไม่ได้มีความบาดหมางอะไรต่อกัน


และถึงต่อให้แอชลีย์ คิมยังไม่ยอมจบสุดท้ายก็ไม่สามารถช่วงชิงเจย์เดนไปจากเขาได้อยู่ดี เพราะคนตัวเล็กน่ะเขาชิงจับคู่ตัดหน้าไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนหน้าวันคัดเลือกจ่าฝูง


“นายก็อย่าตั้งแง่กับเขานักเลย” เป็นโจชัวที่ออกปากบ้าง “โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว”


“พวกนายก็เห็นว่าฉันพยายามพูดดีๆ ด้วยแต่ไอ้บ้านั่นต่างหากที่กวนประสาทกลับมา”


“ก็นายไปยั่วโมโหเขาก่อน” คาร์ลินส่ายหน้า รู้สึกระอาเต็มแก่กับเพื่อนสนิทที่มีความบกพร่องทางด้านการอ่านสถานการณ์


“ยั่วโมโห? ฉันไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”






TBC...

Talk คุยกันหน่อยน้า



ตอนนี้ #วิวาห์ในแดนฝัน ใกล้จะอัพถึงตอนล่าสุดที่เขียนเอาไว้แล้ว หลังตอนที่8ไปริต้าอาจจะไม่ได้มาอัพทุกวันแบบนี้แล้วนะคะ และ ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นภาคต่อจาก Scarlett #โชคชะตาสีชาด เป็นเรื่องราวของคาร์ลินกับเจย์เดนซึ่งอัพจบแล้ว เผื่อใครอยากอ่านสามารถไปเสิร์ชกูเกิ้ลอ่านกันได้นะคะ อันที่จริงก็เคยลงในเล้าด้วยแหละแต่ริต้าไม่ได้ใช้ไอดีนั้นแล้วเลยคิดว่าอาจจะเอามารีอัพในนี้หากมีคนสนใจอ่านกันมากก็จะเอามาลงให้อ่านนะคะ ใครชอบอ่านในเว็บนี้มากกว่าและอยากให้นำมาอัพก็บอกน้า ปล.ฝากติดตามคุณแอชกับซินเธียด้วยนะจ๊ะ

มนริต้า


ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เคยชอบคนเดียวกับเพื่อนด้วย
แต่น้องช่างสังเกตดีจัง แต่ก้ยังไปแหย่น้องอีก
 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0





พอคิดถึงท่าทางที่อีกคนแสดงออกมาในวันแรกที่ตนพากลับคฤหาสน์แล้วก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ ไอ้อาการที่พอเจอเหล่าคนรับใช้ของคฤหาสน์ออกมายืนต้อนรับก็แตกตื่นจนต้องขยับกายไปหลบด้านหลังเขาทีละน้อยแบบนั้นน่ะมันไม่ต่างอะไรจากลูกแมวตื่นคนเลยสักนิด




นอกจากอดหัวเราะไม่ได้ก็ยังอดเอ็นดูน้องไม่ได้ด้วยใช่ไหมคะท่านแอชลีย์ แหม เปรียบน้องเป็นลูกแมวน้อยน่ารักเชียว

ท่านแอชลีย์แอบทึ่งที่น้องช่างสังเกต จะชมน้องสักหน่อยก็ไม่ได้ ต่อไปมีใครมาชมน้องตัดหน้าจะสมน้ำหน้าให้

 :pig4:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เอ็นดูน้องก็แสดงออกหน่อย ไม่งั้นน้องไม่รู้หรอกนะคะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


บทที่ 7




   เช้าวันนี้ซินเธียตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรูปกติ ในระหว่างนั่งรอให้สาวใช้คนหนึ่งช่วยสางผมก็รู้ว่าวันนี้ร่างกายของตัวเองไม่ค่อยปกติ แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบแล้วหายไปฉะนั้นจึงไม่ได้นึกเก็บมาใส่ใจอีก


   “ผมของท่านชายทั้งยาวสลวยแล้วก็นุ่มมากเลยนะคะ”


   หญิงสาวเบต้าเอ่ยขึ้นหลังจัดการสางผมยาวระบั้นเอวของผู้เป็นนาย เมื่อผมกลับมาตรงสลวยดังเดิมก็จัดการถักเปียให้อย่างตั้งใจ


   “นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นโอเมก้ามีผมยาวขนาดนี้” ไม่สิต้องพูดว่าเป็นคนแรกมากว่า ในวินเทอร์ฟอลต่อให้เป็นหญิงสาวทั่วไปก็ยังไม่เคยพบเจอใครไว้ผมยาวระดับนี้


   “ขอบคุณนะ” ซินเธียตอบรับ นัยน์ตาทอดมองเส้นผมสีจินเจอร์ของตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจก “ในธอร์นพวกเราทุกคนจะไว้ผมยาวเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่ง ยิ่งมีผมยาวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นผ่านประสบการณ์มากมาย” ริมฝีปากสีอ่อนยกยิ้มยามเมื่อพูดถึงดินแดนบ้านเกิด


   แมรี่คือหญิงราวอายุราว 16 17 เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้เก่าแก่ภายในคฤหาสน์ พอรู้ความก็ได้มาทำงานอยู่ด้วยกันกับผู้เป็นมารดา ตั้งแต่ซินธียมาที่นี่ก็คอยได้เธอช่วยเหลือให้ความสะดวกในหลายเรื่อง แม้อาจจะไม่ถึงขั้นใกล้ชิดจนสนิทใจกันเหมือนแคลร์ แต่อย่างน้อยเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ซินเธียสามารถพูดคุยได้โดยไม่รู้สึกเกร็งแล้ว


   ด้วยความเป็นสาวแรกรุ่นไม่ค่อยประสา ความอยากรู้อยากเห็นจึงมีมากจนกล้าเอ่ยปากถามนู่นถามนี่มากเป็นพิเศษ ซินเธียเองก็ไม่ได้ถือสาตนเองอยู่แต่ในคฤหาสน์อุดอู้ วันๆ ไม่ได้พบเจอใครพอมีคนเริ่มชวนคุยก็พอทำให้คลายความเหงาในต่างแดนออกไปบ้าง


   “แสดงว่าที่นั่นทุกคนก็ไว้ผมยาวเหมือนกันหมดเลยหรือคะ”


   “ทั้งหมด การมีเส้นผมยาวนั้นเหมือนเป็นความภาคภูมิของพวกเรา หากใครที่แพ้การต่อสู้จะถูกคู่ต่อสู้ตัดเส้นผมทิ้ง”


   “อ่า...”


   การถูกตัดเส้นผมนั้นไมต่างจากการถูกฆ่าให้ตายหลังพ่ายแพ้ หรือบางคนอาจจะทั้งถูกฆ่าและตัดเส้นทิ้ง ทว่าซินเธียไม่กล้าพูดประโยคนั้นออกไปเมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหญิงสาวจืดเจื่อนลง


   ในสายตาของคนภายนอกแล้วแดนใต้ก็ยังคงเป็นดินแดนของกลุ่มคนหน้ากลัว บ้าคลั่งและโหดร้าย ซินเธียไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หญิงสาวหวาดกลัวเลยสักนิด


   เกิดความกระอักกระอวนขึ้นหลังจากนั้น โอเมก้าหนุ่มจึงไม่ปริปากเล่าเรื่องใดอีก หลังจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจึงลงมารับประทานมื้อเช้าตามปกติ ที่นั่งหัวโต๊ะถูกจับจองด้วยเจ้าบ้านคนเดิม


แอชลีย์ คิมกำลังนั่งดื่มกาแฟไปพร้อมอ่านเอกสารบางอย่าง คนตัวสูงพึ่งลงมาก่อนหน้าเขาไม่นาน เมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ร่วมโต๊ะลงมาครบแล้วพ่อบ้านจึงเริ่มสั่งให้คนนำอาหารมาเสิร์ฟ ส่วนแอชลีย์ก็วางมือจากเอกสารแล้วเริ่มรับประทานมื้อเช้า


“คืนนี้มีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของผู้นำตระกูลแสตนลีย์ เธออยากจะไปด้วยหรือเปล่า”


คนตัวสูงเปรยขึ้น น้ำเสียงยังคงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ซินเธียซึ่งมัวแต่ง่วนกับการก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารในจานเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย วันนี้เขามีความรู้สึกว่ากลิ่นของอัลฟ่าตรงหน้าแปลกไปจากปกติ ยิ่งพอได้สบกับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นมือที่ถือส้อมอยู่ก็เผลอกำแน่นขึ้นมา


“เราไปได้เหรอ”


“มีตรงไหนไม่สมควรล่ะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว จริงอยู่ว่าท่านชายวาเลนเธียมาอยู่วินเทอร์ฟอลได้พักใหญ่แล้ว นอกเหนือจากพาไปห้องเสื้อแคทเธอรีนกับร้านจิวเวอรี่ครั้งนั้นอีกคนก็ไม่เคยถูกพาไปไหนอีก


ไม่ใช่ว่าไม่อยากพาไปไหนหรอก แต่แค่ยังไม่มีโอกาสเหมาะๆ จะพาออกไปเปิดหูเปิดตาก็เท่านั้น แอชลีย์รู้ว่าอีกคนค่อนข้างตื่นคนแปลกหน้าอีกทั้งยังไม่คุ้นเคยกับดินแดนทางเหนือขืนปล่อยให้ออกไปคนเดียวคงได้เกิดปัญหา แต่พอวันก่อนโรเมโอทักขึ้นมาก็เริ่มกลับมาคิดว่าอีกคนอุดอู้อยู่แต่ในคฤหาสน์ วันๆ ไม่ได้ทำอะไรคงเบื่อหน่ายน่าดู


ประจวบเหมาะกับทางตระกูลแสตนลีย์มีงานพอดี


“ถ้าอยากไป ก็จะพาไป”


คนอายุน้อยกว่าเม้มริมฝีปากทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ท่าทางคล้ายอยากไปแต่ก็ไม่อยากไปในที แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบตกลงในที่สุด


“อื้ม ถ้าคุณอนุญาตเราก็อยากไป”


“อย่างนั้นตอนเย็นฉันจะเข้ามารับ ส่วนเรื่องชุดให้อีริคจัดการให้” ประโยคหลังเอ่ยถึงพ่อบ้าน ชายชรารับคำสั่งแล้วหายไปจัดการให้ในทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผู้เป็นนายเอ่ยปากสั่งงานซ้ำ


แอชลีย์เช็ดปากแล้วยกกาแฟขึ้นจิบเป็นครั้งสุดท้าย ลุกขึ้นหันไปรับเสื้อโค้ทสีเข้มจากสาวใช้ก่อนจะหมุนตัวไปก็สังเกตท่าทีของว่าที่คู่ชีวิตชั่วขณะหนึ่งในแววตามีความสงสัยเจือจางก่อนจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร


หลังจบมื้อเช้าซินเธียก็พาตัวเองมาขลุกอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหน้าคฤหาสน์เนื่องจากสวนด้านหลังถูกงดใช้ชั่วคราว เขานั่งสูดอากาศอยู่บริเวณนั้นทั้งครึ่งเช้า ก่อนหน้านี้อยู่ในห้องอาการแล้วรู้สึกตาลายจากกลิ่นที่ฟุ้งอยู่ในอากาศซึ่งปกติมักจะเจือจาง ทว่าวันนี้ออกจะดูรุนแรงเป็นพิเศษ


พอได้ออกมาอยู่ด้านนอก กลิ่นของดอกไม้รอบกายทำให้เด็กหนุ่มหายใจคล่องคอขึ้นบ้าง ในสมองครุ่นคิดคำนวณอะไรบางอย่างที่คิดไม่ตกมาตั้งแต่เช้า


คงไม่ใช่หรอกมั้ง...


ปกติมันไม่ใช่ช่วงนี้นี่นา


คิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่เกือบชั่วโมงซินเธียก็ถูกคุณพ่อบ้านตามกลับเข้าไปในคฤหาสน์เนื่องจากอากาศหนาวเย็นไม่ควรเอาตัวมาให้โดนไอหนาวนานนัก หลังจากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือบ้าง เรียนรู้วัฒนธรรมของชาวแดนเหนือต่อบ้างทั้งบ่ายจนหลงลืมสิ่งที่คิดไปจนหมดสิ้น อาการแปลกๆ ที่ว่าก็หายไปตามระยะเวลา เขาคิดว่าตัวเองคงจะคิดมากไปจนกระทั่ง...


ตกเย็น


แอชลีย์ลับมาก่อนเวลาค่อนข้างมาก ตะวันยังไม่ทันตกดินเสียด้วยซ้ำเดาว่าเจ้าตัวคงอยากพักผ่อนสักเล็กน้อยก่อนออกไปงานเลี้ยง พอเห็นร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่าหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องเรือนกระจกอย่างทุกที ซินเธียซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วก็รีบไปยกน้ำชากับของว่างมาให้อีกคนรองท้องก่อนมื้อเย็นทันที


ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังวางถาดลงบนโต๊ะกระจก กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าราวกับถูกสาดซัดเข้าใส่ร่างส่งผลให้ร่างกายสั่นเทิ้มไปพลัน หัวใจเต้นระรัวทั้งถี่และแรงโดยอัตโนมัติ


แต่มันคงไม่เท่าความรุนแรงของฟีโรโมนโอเมก้าจากร่างกายตนเองซึ่งกำลังแผ่กระจายออกไปจนเหล่าคนรับใช้ที่เป็นเบต้าไม่กล้าเข้ามาในรัศมีห้องเรือนกระจก แม้กระทั่งพ่อบ้านอย่างอีริคยังต้องพาคนให้ถอยห่างออกไปจากบริเวณนั้นทันที


ไม่ต้องพูดถึงคนที่ได้ผลกระทบมากสุดอย่างแอชลีย์ คิม อัลฟ่าหนุ่มขมวดคิ้วขณะมองคนที่นั่งหอบหายใจอยู่บนพื้นตรงหน้าของตัวเอง


ซินเธียพยายามกลั้นความรุ่มร้อนที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วร่าง กัดปากจนเริ่มได้กลิ่นคาวเลือด จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นหวังจะรีบออกไปจากบริเวณนี้ ทว่ากลับโดนมือหนาของคนอายุมากกว่าคว้าเอาไว้ได้ทัน


“จะทำอะไร” ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม ดวงตาจ้องใบหน้านวลเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อจนเห็นเด่นชัด แขนที่กำลังจับอยู่ก็ร้อนจัดไม่ต่างอะไรไปจากร่างกายของตนในตอนนี้


“เรา... เรา...” ซินเธียพยายามดึงสติสัมปชัญญะของตัวเองให้คงอยู่มากที่สุด “จะไปเอายา”


พอได้ฟังคำตอบนั้นปมคิ้วที่ขมวดก็ยิ่งผูกกันยุ่งเข้าไปใหญ่ แอชลีย์มองอาการของคนตรงหน้าก็เข้าใจตั้งแต่แวบแรก “มันเริ่มเป็นตั้งเมื่อเช้าแล้วใช่ไหม”


คนถูกถามพยักหน้ารับหลายครั้ง เมื่อเช้าบนโต๊ะอาหารรู้สึกได้ถึงฟีโรโมนของคนเป็นโอเมก้าว่ามันดูแรงกว่าปกติก็พอจะฉุกใจขึ้นแล้ว แต่ยังเห็นท่าทางสงบนิ่งของอีกคนก็เลยไม่ได้ใส่ใจมาก ใครจะคิด


ว่าซินเธียจะฮีทขึ้นมาจริงๆ


“ขอโทษที่ทำให้คุณได้รับผลกระทบไปด้วย อึก... เรา เราจะรีบไปกินยาระงับเดี๋ยวนี้”


ซินเธียพูดด้วยเสียงแหบพร่า ตาของเขากำลังเลือนรางตามสติไปทุกที เกรงว่าหากยังไม่รีบออกไปจากตรงนี้จะต้องแย่แน่


แต่กลายเป็นว่ายิ่งพยายามสลัดข้อมือให้หลุดมากแค่ไหน มือร้อนของอีกคนก็ยิ่งกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ


ซินเธียเงยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ต้องนิ่งไปเมื่อถูกตรึงด้วยดวงตาคมกริบสีอำพันคู่นั้น


“มีฉันอยู่ตรงนี้แล้วยังจะไปกินยาอีกทำไม”


เพราะอับจนต่อคำกล่าวซินเธียจึงได้แต่เดินตามแรงจูงขึ้นบันไดไปด้วยสติพร่าเลือน สองข้างทางมันเบลอไปหมดสติใกล้จะหายไปทีละน้อย จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูและร่างกายถูกเหวี่ยงลงบนฟูกนุ่มที่มีกลิ่นคุ้นเคยลอยอบอวล


กลิ่นของแอชลีย์กับตัวเขาเอง


ปรือตามองคนที่ยืนอยู่เหนือร่าง ริมฝีปากอ้าหอบหวังระบายความรุ่มร้อนที่กำลังกัดกินภายใน


ดวงตาสองคู่สอดประสานมันค่อนข้างยาวนานในความรู้ทว่าเสี้ยวนาทีในความเป็นจริง


"คุณไม่ต้องทำเพื่อเราขนาดนี้ก็ได้" เสียงของซินเธียแหบพร่าเนื้อความผลักไส ตกตะกอนให้ใช้ความตระหนัก แต่ในความเป็นจริงกลับฟังราวคำเชิญชวน


แอชลีย์รู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วแน่ๆ กับความคิดแบบนั้น หรืออันที่จริงมันเป็นเพียงพิษร้ายจากฟีโรโมนหอมหวานซึ่งกำลังฟุ้งกระจายอยู่ตอนนี้เพื่อมอมเมาตน


"แล้วอย่างไร"


แอชลีย์ขบกรามแน่นเสียงทุ้มต่ำกว่าช่วงเวลาปกติ เขาเองก็กำลังต่อสู้กับตัวเองไม่น้อยเพื่อไม่ให้หน้ามืดตามัวหลงกระทำอีกคนอย่างดิบเถื่อน


"ปล่อยให้เธอกินยาระงับ ส่วนฉันก็จัดการตัวเองสินะ"


เมื่อความเป็นเหตุเป็นผลถูกยกมาซินเธียก็เถียงไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันทั้งอีกไม่นานก็จะกลายเป็นสามีภรรยากันแล้วถึงจะดื้อดึงใช้ยาแต่ก่อนหน้านั้นก็คงสร้างความลำบากให้กับอีกคนพอสมควร


ท้ายสุดก็ได้แต่หลับตารับสัมผัสร้อนแรงที่โหมเข้ามาจนเกือบตั้งตัวไม่ทัน


เขาได้ยินเสียง ‘หึ’ ดังลอดมาจากลำคอยามคนตัวโตโถมร่างกายเข้ามาครอบครองริมฝีปากกัน กักขังร่างกายน้อยๆ นี้เอาไว้ใต้อาณัติจนหมดหนทางหนีรอด


ความร้อนแผดเผาแนบแน่นบนริมฝีปากกระจับดูดดึงจนไร้ช่องว่างราวกับจะช่วงชิงลมให้ใจกันให้ได้


ซินเธียรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งกายยามมือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วผิวเนื้อเนียน ฟ้อนเฟ้นอย่างเอาแต่ใจจนอดจะส่งเสียงครางอื้ออึงในลำคอไม่ได้


   สองมือจิกแน่นลงไปบนกล้ามเนื้อแขนหนั่นแน่นเพื่อบอกให้รู้ว่าลมหายใจของตนนั่นใกล้จะถูกคนใจร้ายช่วงชิงไปจนหมดแล้ว นับว่าดีที่อีกคนยังฟังกัน ในชั่วขณะริมฝีปากเป็นอิสระ เด็กหนุ่มหอบหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างคนหิวกระหาย ใบหน้าเนียนจากที่ขึ้นสีระเรื่อก็กลายเป็นแดงจัด


พักหายใจยังไม่ทันครึ่งนาทีจุมพิตหวานล้ำก็เข้ามามอมเมากันอีกครั้งอย่างคนไม่รู้จักพอสร้างเสียงน่าอายดังไปทั่วห้อง หยาดน้ำหวานไหลย้อนจากมุมปากทว่าคนตัวโตกลับไม่ยอมปล่อยให้มันเล็ดลอดแม้เพียงสักนิด ตามเก็บเลาะเล็มไปจนถึงมุมปากก่อนลากยาวลงมาจนถึงช่วงลำคอระหง ซินเธียเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้อีกคนได้ซุกไซ้ถนัดขึ้น


เมื่อสัญชาตญาณอยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดกว่าจะรู้ตัวว่าบนร่างไร้อาภรณ์ปกคลุมอวดผิวเนื้อเนียนสีน้ำผึ้งที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครเชยชมมาก่อนก็ตอนริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นลากผ่านจากช่วงลำคอมาจนถึงไหปลาร้ายาวลงมายังแผ่นอก


ระ เร็วเกินไปแล้ว


ซินเธียเม้มริมฝีปากแน่น กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างก็กลับกลายเป็นส่งเสียงออกมาแผ่วเบาแทนเมื่อถูกจับพลิกตัวหันหลัง แทบจะในชั่ววินาทีก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนแทรกเข้ามาในกายไร้ความปราณี ต่างคนก็ต่างครางเสียงต่ำจากลำคออดกลั้นต่อความร้อนระอุและคับแน่น เพียงแค่จังหวะแรกก็สร้างความรู้สึกยากจะบรรยาย


   ไม่ทันตั้งตัว ไม่แม้แต่จะได้เตรียมใจ


   ซินเธียคิดว่าตัวเขานั้นผ่านการต่อสู้มามากมาย ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด แต่กลับไม่มีการสู้ครั้งไหนจะรู้สึกเสียเปรียบได้ขนาดนี้


เพียงแค่เริ่มต้นก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ยอมจำนนแด่ชายผู้อยู่เบื้องหน้าคนนี้อย่างหมดท่า


   เด็กหนุ่มถูกกดใบหน้าด้านหนึ่งลงกับหมอนใบโต สองมือจิกกำผ้าปูเอาไว้แน่นจนรู้สึกได้ถึงคมเล็บของตัวเองทะลุออกมา รับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์ที่กำลังโหมกระพือไม่ต่างจากพายุหิมะโถมพัดบ้าคลั่ง ราวเกล็ดน้ำค้างหลอมละลายลงบนกลีบดอกไม้ในทุ่งกว้าง มีแต่ยิ่งมาก ยิ่งมากขึ้นทุกวินาที


ทั้งสาดซัด แทรกซึมลึก


ทั้งเจ็บปวด เสียวซ่าน


มึนงงและสับสน ความรู้สึกสารพัดปนเปจนได้แต่ระบายออกมาทางริมฝีปาก ยิ่งมาก ยิ่งดัง ยิ่งดัง ยิ่งมาก ตอบสนองทุกสัมผัส ทุกความบ้าคลั่งอย่างลืมอาย ใบหน้าแดงก่ำเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วทุกสรรพางค์กาย ดีดทะยานจนไม่อาจหาจุดสิ้นสุดได้


จวบจนกระทั่งทุกอย่างจบลงก็ได้แต่ทรุดตัวลงบนผืนฟูกอย่างหมดแรง


แอชลีย์เสยเส้นผมชื้นที่ปรกหน้าของตัวเองขึ้นลวกๆ ริมฝีปากยังคงเผยอหอบเล็กน้อยจากการพึ่งปลดปล่อยทุกความรู้สึกไปเมื่อครู่ นัยน์ตาสีอำพันหลุบมองคนที่นอนทอดกายอยู่เบื้องหน้าในสภาพไม่ต่างกันนัก เส้นผมสีจินเจอร์แผ่สยายไปตามแนวส่วนเว้าโค้งของร่างกายบดบังผิวเนื้อนวลวับแวมมองดูเย้ายวน


นอกจากริมฝีปากบวมเจ่อเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้แตะต้องสร้างรอยด่างพร้อยอะไรให้กับคนตรงหน้าอีก


แค่ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้


   เขาลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมสีเข้มมาสวมก่อนจะเดินมาช่วยคลุมผ้าห่มบดบังร่างกายเปลือยเปล่านั้นเสีย กลิ่นฟีโรโมนรุนแรงเมื่อตอนแรกจางลงมากแล้ว แต่เกรงว่าหากยังปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ก็มีโอกาสจะต้องซ้ำรอยอีกครั้ง


   “พักผ่อนสักหน่อย แล้วค่อยไปงานเลี้ยง”


   ตอนนี้ยังพอมีเวลาอัลฟ่าหนุ่มจึงปล่อยให้อีกคนได้พักผ่อนสักนิด ส่วนงานเลี้ยงในคืนนี้หากจะไปสายเล็กน้อยก็คงไม่เป็นอะไร


คนฟังพยักหน้ารับกับหมอน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าไปสบตาอีกคน นอนนิ่งสักพักจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนเขาก็ค่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา


----


ซินเธียถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งทั่วทั้งห้องก็มีเพียงแสงจากโคมไฟสลัว หญิงรับใช้พอเห็นผู้เป็นนายตื่นก็พูดอะไรบางอย่างสองสามคำแล้วจากไปแต่คนที่กำลังสะลึมสะลือกลับจับใจความไม่ได้ ได้ยินแค่ได้เวลาเตรียมตัวแล้วอะไรสักอย่างเท่านั้น


เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงมือข้างหนึ่งยกขึ้นนวดขมับ ยามเมื่อผ้าห่มไหลเคลื่อนลงจากกายปรากฏผิวเนื้อเปลือยเปล่าสติที่กำลังกระจัดกระจายราวกับถูกดึงกระชากกลับมาทันที


อ่า...


มือที่กำลังนวดขมับเปลี่ยนมาเป็นปิดใบหน้าเอาไว้ทันที


โอเมก้ายามเมื่อฮีทสติจะไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่น่าแปลก ในช่วงเวลานั้น


ทุกสัมผัส


ทุกความรู้สึก


กลับจดจำได้ขึ้นใจ


นั่งรวบรวมสติกับตัวเองอยู่พักใหญ่ซินเธียก็พยุงกายขึ้นไปชำระร่างกาย บนปลายเตียงมีชุดสำหรับออกงานหนึ่งชุดถูกวางเตรียมเอาไว้พร้อมเครื่องประดับอีกเล็กน้อย


หลังจัดการตัวเองเสร็จเขาก็หยิบชุดที่ว่านั่นขึ้นมาสวม เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายแขนทรงบอลลูนคู่กับกางเกงสแล็กสีดำ ระหว่างปกเสื้อกลัดด้วยอัญมณีอำพัน


ซินเธียสวมใส่ทุกอย่างด้วยความเก้กัง ส่วนผมยุ่งเหยิงของตัวเองก็จัดการหวีให้เรียบแล้วรวบเอาไว้หลวมๆ


ปกติแล้วไม่ว่าจะที่บ้านเกิดหรือวินเทอร์ฟอลแห่งนี้มักจะมีคนช่วยเด็กหนุ่มแต่งตัวเสมอ ยิ่งเป็นการสวมใส่เสื้อผ้าของชาวแดนเหนือแล้วเขายิ่งไม่คุ้นชิน อาจจะใช้เวลามากไปสักนิดแต่สุดท้ายทุกอย่างก็ออกมามาเรียบร้อยดี


เขาคิดว่าแอชลีย์คงจะสั่งไม่ให้ใครเข้ามาในห้องนี้สักพักจนกว่าช่วงฮีทจะหมดลง หากจะมีก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่นาน


เมื่อลงมาด้านล่างก็พบว่าใครอีกคนนั่งรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว แอชลีย์ คิมในคืนนี้ก็ไม่แตกต่างจากเวลาปกตินัก สูทกึ่งทางการสีดำ บนปกเสื้อประดับด้วยเข็มกลัดอำพันแบบเดียวกันเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า ส่วนสิ่งที่ดูแปลกตาไปเห็นจะมีก็แต่เส้นผมสีดำเหล่านั้นถูกเสยขึ้นโชว์รูปหน้าหล่อเหล่าสมกับความเป็นอัลฟ่า


ยอมรับว่ายังคงไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายนัก จากที่ปกติก็ไม่ได้มีความกล้ามากมายอยู่แล้ว


“เวลาฮีทของเธอนานเท่าไหร่” นั่นเป็นประโยคแรกจากคนตัวสูง ซินเธียเม้มปากแล้วครุ่นคิดถึงคำตอบนั้น


“ราวๆ 3 – 4 วันครับ”


รอบฮีทของโอเม้าในหนึ่งเดือนนั้นจะอยู่ในช่วง 7 วันไม่เกินนี้ในกรณีที่ไม่ได้รับการฉีดยาระงับคุณภาพดีหรือยาชนิดเม็ดขนาดรุนแรง ทั้งนี้จำนวนระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละคนด้วย อย่างเช่นโอเมก้าในตระกูลมีฐานะของวินเทอร์ฟอลนั้นพวกเขามักจะได้รับการฉีดยาระงับเป็นประจำ ทำให้อาการฮีทในแต่ละรอบเดือนไม่ส่งผลกับชีวิตประจำวัน และก็เป็นดังที่คุณพ่อบ้านเคยกล่าวเอาไว้ว่ายาจำพวกนั้นไม่ควรรับเข้าสู่ร่างกายในระยะเวลานานมากเกินไป


ในส่วนของอัลฟ่ากับโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากันแล้วอาการฮีทก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แต่คู่แห่งโชคชะตานั้นโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อยมาก ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลยคิดว่ามันเป็นเพียงตำนานหรือนิทานสนุกๆ ในเวลาน้ำชายามบ่ายเท่านั้น น้อยคนจะเชื่อ


“อืม” แอชลีย์ตอบมาคำหนึ่ง สำหรับรอบฮีทของซินเธียถือว่าปกติดีและไม่นานจนเกินไป


“อันที่จริงถ้าเธอไม่ไหวจะนอนพักต่อก็ได้นะ งานเลี้ยงนั่นไม่ได้สำคัญอะไรมาก” ทั้งที่เจ้าตัวก็เปรยออกมาเสียงเรียบไม่แสดงท่าทีอะไรแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังอย่างซินเธียถึงรู้สึกอยู่ไม่สุขก็ไม่รู้


“เรา... ไม่เป็นไร”


กับครั้งแรกมันอาจจะเจ็บไปบ้างแต่สำหรับโอเมก้าอย่างพวกเขาธรรมชาติสร้างสรีระขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมต่อสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร


และอาจจะเพราะเป็นแอชลีย์ คิม


 “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาแล้วเป็นฝ่ายเดินนำออกไป


เพราะเป็นผู้ชายคนนี้ก็ได้ที่ทำให้ร่างกายของซินเธียไม่นึกต่อต้าน



TBC

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
รู้สึกเมากลิ่นน้องซินเธียไปด้วยเลยค่ะ  :o8:
ตอนน้องนอนคว่ำผมแผ่สยายปิดวับๆแวม มันอื้อหือมากเลย รู้สึกเหมือนจะไม่ไหว ฮรือ  :m25:
ท่านแอชลีย์เย็นชาเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ทำไปเพราะหน้าที่อย่างเดียวจริงๆเหรอคะ  :m17:

 :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แค่ทำตามหน้าทีงั้นคุณชายอย่าหวั่นไหวกับน้องนะ :hao7:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เย็นชามากนายคนนี้  :ling2:

ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


บทที่ 8





   คนทั้งสองมาถึงงานเลี้ยงช่วงประมาณสองทุ่ม เลทจากเวลาเริ่มงานเลี้ยงไปประมาณหนึ่งชั่วโมงแต่แอชลีย์ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ซินเธียไม่คุ้นชินกับรูปแบบงานเลี้ยงของชาวแดนเหนือเลยไม่รู้ว่าการมาสายแบบนี้มันเสียมารยาทหรือเปล่า หรือนึกจะมาตอนไหนก็ได้ ซึ่งคิดว่าอย่างหลังนั่นเป็นนิสัยของแอชลีย์ คิม


เขามักทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ


วันนี้แอชลีย์ไม่ได้ขับรถด้วยตัวเองเหมือนปกติ ชายหนุ่มนั่งเบาะหลังคู่กับซินเธียและให้คนขับรถของทางคฤหาสน์พามาส่ง


เมื่อรถคันหรูจอดเทียบหน้าคฤหาสน์หลังโตพนักงานต้อนรับคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาช่วยเปิดประตูรถใหญ่อย่างรู้หน้าที่ คนตัวสูงเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อนแล้วก็ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด ซินเธียเงยหน้ามองมือใหญ่ยื่นเข้ามาหาจึงชะงักไปชั่ววินาทีหนึ่งก่อนจะวางมือลงไปบนมือแสนอบอุ่นข้างนั้นปล่อยให้อีกคนช่วยพาเขาออกมาจากรถอย่างใจเย็น


พ่อบ้านตระกูลสแตนลีย์ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว กล่าวคำทักทายตามธรรมเนียมแล้วผายมือเชิญให้เข้าไปด้านใน ซินเธียเดินเคียงคู่ไปกับว่าที่คู่ชีวิตดวงตาก็คอยสังเกตการตกแต่งภายในไปด้วยความชื่นชม


เมื่อเทียบกับบรรดาคฤหาสน์ที่เคยเห็นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นของตระกูลมัวร์ก็ดี ตระกูลคิมก็ดี ทางตระกูลสแตนลีย์นับว่ามีการตกแต่งที่นำสมัยกว่าค่อนข้างมาก บรรยากาศของตัวคฤหาสน์มีความสดใส ให้กลิ่นอายสดชื่นอยู่ตลอดเวลา


โดยเฉพาะแชนเดอเลียร์คริสตัลขนาดใหญ่ตรงโถงทางเข้านั้นมันเด่นสะดุดตาแล้วก็งดงามมากจนซินเธียหยุดเดินแล้วยืนจ้องมันอย่างลืมตัว คริสตัลทรงหยดน้ำมากมายห้อยระย้าลงมายามกระทบแสงไฟก็ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับชวนให้หลงใหล


“ชอบหรือ”


เสียงทุ้มดังขึ้นข้างใบหู ซินเธียละสายตาจากแชนเดอเลียร์ตรงหน้าแล้วเงยขึ้นไปมองคนข้างกายแทน


“ครับ มันสวยมาก”


แอชลีย์ครางรับมาคำหนึ่งแล้วใช้มือแตะสะโพกเด็กหนุ่มเป็นเชิงให้เดินต่อ ไม่รู้อีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ ซินเธียเลยไม่ได้ออกปากอะไรเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนั้นอีก สองมือกระชับกล่องของขวัญสำหรับอวยพรวันเกิดให้แก่เจ้าภาพเอาไว้แน่นขึ้นอีกนิดเมื่อพวกเขาทั้งคู่เดินเข้ามาถึงห้องจัดงานเลี้ยงทางปีกตะวันตกของตัวคฤหาสน์


ตระกูลสแตนลีย์เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ผู้เรืองอำนาจของวินเทอร์ฟอล การจัดงานเลี้ยงฉลองของผู้นำตระกูลก็ใหญ่โตหรูหราสมฐานะ ทั้งอาหารเครื่องดื่มถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แขกอย่างใจกว้าง ภายในงานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอัลฟ่าจากตระกูลชั้นสูงมากมาย น้อยมากจะเจอโอเมก้าติดตามคู่ของตัวเองมาด้วยในคืนนี้


เมื่อต้องเข้ามาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่เหนือกว่าซินเธียก็เกิดอาการหวั่นวิตกขึ้นมาในใจ เขาขยับตัวเข้าไปชิดแอชลีย์ตามสัญชาตญาณซึ่งอีกคนก็คงทราบสาเหตุดีถึงได้เอื้อมมือมาโอบเอวว่าที่คู่ชีวิตเอาไว้


ตอนนี้ซินเธียกำลังอยู่ในช่วงฮีทจิตใจจะอ่อนไหวเป็นพิเศษพอๆ กับร่างกายที่ดึงดูดอัลฟ่าได้ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในบรรดาโอเมก้าในงานเลี้ยงคืนนี้เด็กหนุ่มดูแตกต่าง


ทั้งรูปร่างสูงเพรียว ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนกับเส้นผมยาวสลวยสีแปลกตา ช่างให้ความรู้สึกงดงามแบบแปลกๆ


ท่ามกลางกลุ่มคนผมบลอนด์ผมดำผิวขาวแบบนี้ นับว่าโดดเด่นจนดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพราะหลายคนเห็นว่าโอเมก้าคนนี้มีเจ้าของแล้วถึงได้มีใครกล้าเข้ามายุ่ง


“ผมนึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว แอชลีย์ คิม”


แดเนียล สแตนลีย์เดินแหวกฝูงชนเข้ามาต้อนรับแขกคนสุดท้ายของงานพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม งานเลี้ยงเริ่มตอนหนึ่งทุ่มตรงตามปกติแล้วแขกในงานมักจะมาสายกันไม่มากไปจากเวลาในเทียบเชิญนัก ชายหนุ่มจึงคิดว่าบางทีท่านผู้นำแห่งตระกูลคิมผู้ชื่นชอบทำอะไรตามใจตัวเองคงจะไม่มาร่วมงานเสียแล้ว


“มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย” คนตัวสูงว่า “นี่คือซินเธีย วาเลนเธีย คู่หมั้นของผม”


“สวัสดีครับ” ซินเธียขยับตัวออกมาจากด้านหลังของคนข้างกายเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้อัลฟ่าผมสีบลอนด์หน้าตาใจดีตรงหน้า เขามีส่วนสูงน้อยกว่าแอชลีย์เล็กน้อย เวลายิ้มดวงตาทั้งสองข้างก็จะกลายเป็นเส้นโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยวดูเป็นมิตรน่าเข้าหา


“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”


“เช่นกันครับ ส่วนนี่ของขวัญของคุณขอให้มีความสุขมากๆ นะครับ”


ซินเธียประคองกล่องของขวัญกำมะหยี่ขนาดไม่ใหญ่มากส่งให้กับอัลฟ่าเจ้าของงานพร้อมเอ่ยคำอวยพรอย่างประหม่าทำตัวไม่ค่อยถูก ในเมื่อก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทางมาจู่ๆ แอชลีย์ก็ส่งกล่องของขวัญนี้มาให้แถมยังบอกอีกว่าหน้าที่นี้เขาควรจะเป็นคนทำ สุดท้ายเลยกลายเป็นทำให้เด็กหนุ่มนั่งกอดกล่องของขวัญเกร็งมาตลอดทางด้วยไม่รู้ควรจะมอบของขวัญให้เจ้าของงานอย่างไรดีถึงจะไม่ดูเหมาะสม


“โอ้ ขอบคุณมากครับ” แดเนียลรับไป เขาอมยิ้มเล็กๆ มองสำรวจโอเมก้าจากต่างแดนชั่วขณะแล้วพูดต่อ “ได้ยินมาว่าคุณมากจากดินแดนทางใต้แต่สำเนียงของคุณคล้ายคนแดนเหนือมากเลยนะครับ”


ซินเธียไม่ตอบอะไรนอกจากรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าทางนั้นชมเพราะมารยาทหรือว่าเป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริง


ระยะนี้หากมีเวลาซินเธียก็จะพยายามเรียนรู้สำเนียงของชาวแดนเหนือจากการฟังแอชลีย์พูด ไม่ว่าจะพูดกับตนเองหรือสั่งงานพวกคนงานในคฤหาสน์ ช่วงแรกอาจจะยังไม่ค่อยกล้าพูดกับใครนัก แต่พอได้คุยกับคุณชายอิลลาเรียนคราวนั้นเขาก็อยากจะพัฒนาตัวเองเพื่อที่เจอกันครั้งหน้าพวกเราจะได้สามารถพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนานมากกว่านั่งฟัง


 “น่าเสียดายวันนี้ท่านชายมัวร์ไม่ค่อยสะดวกเลยไม่ได้ตามท่านคาร์ลินมาด้วย อดเจอหลานเลย” ประโยคแรกนี้แดเนียลคล้ายพูดกับซินเธียมากกว่า อีกฝ่ายคงจะเข้าใจว่ามันคงดีกว่าหากมีเพื่อนโอเมก้าด้วยกันให้คุยแก้เบื่ออีกทั้งการต้องมาอยู่ท่ามกลางอัลฟ่าจำนวนมากแบบนี้เด็กหนุ่มคงไม่สบายใจสักเท่าไหร่


“’งานเลี้ยงกลางคืนแบบนี้คงไม่เหมาะกับเด็กสักเท่าไหร่” แอชลีย์เอ่ยเสียงเรียบ


“ก็ส่วนหนึ่ง แต่เห็นว่าสุขภาพช่วงนี้ไม่ค่อยดีน่ะ จริงสิ คาร์ลินกำลังถามถึงคุณอยู่พอดี มาทางนี้สิ”


แดเนียลที่ยืนคุยกับแอชลีย์อยู่พูดเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ อัลฟ่าหนุ่มผายมือไปทางมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยงเป็นมุมที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านและค่อนข้างเป็นส่วนตัว


“ถ้ากังวลก็จับแขนฉันเอาไว้” ในระหว่างเดินไปคนข้างกายโน้มลงมากระซิบเสียงเบา


“อะ อื้ม”


ใบหน้าอีกฝ่ายยังคงไม่บ่งบอกอารมณ์ดังปกติแต่ซินเธียก็รับรู้ได้ถึงความใส่ใจเล็กน้อยนั้น พอได้รับคำอนุญาตกลายๆ จึงรีบยื่นมือขึ้นไปจับแขนของชายหนุ่มทันที


หลังเข้ามาทักทายผู้นำของวินเทอร์ฟอลเรียบร้อยซินเธียก็ได้แต่นั่งฟังเหล่าอัลฟ่าคุยกันใจความส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องงานมากกว่า เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วห้องจัดเลี้ยงอีกครั้งอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร ไม่นานก็ต้องหันกลับมาเมื่อบทสนทนาเริ่มเอนเอียงมาทางตัวเอง


“งานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้างครับท่านชายวาเลนเธีย” คำถามนี้แดเนียลเป็นคนเอ่ย


“ดีครับ อาหารก็อร่อยมาก”


ในระหว่างนั่งคุยแอชลีย์ให้คนไปตักอาหารมาให้ซินเธียจำนวนหนึ่ง มีทั้งขนมหวานและของทานเล่นส่วนเครื่องดื่มก็เป็นน้ำผลไม้รสชาติอ่อน เขาเลือกชิมไปสองสามอย่างก็รู้สึกว่าอร่อยดี โดยเฉพาะแซนวิซทูน่าราดด้วยน้ำสลัดถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กพอดีคำตกแต่งด้วยมะเขือเทศเชอร์รี่ลูกเล็กด้านบน


ผลไม้ชนิดนี้โตได้ดีในสถานที่มีอากาศเย็นซินเธียจึงไม่เคยกินมาก่อนเมื่อได้ลองแล้วก็ติดใจทันที


“ถ้าชอบก็ทานให้มากหน่อย” คนข้างกายพูดเสียงเบา มือก็ผลักจานแซนวิซจานที่สองมาให้ เป็นเพราะเมื่อตอนเย็นหลังซินเธียฮีท พอทำเรื่องอย่างนั้นกันเสร็จก็ผล็อยหลับไปจนกระทั่งถูกปลุกขึ้นมาร่วมงานเลี้ยงลืมกินแม้กระทั่งมื้อเย็น


“ว่าแต่งานเลี้ยงของวินเอทร์ฟอลกับดินแดนของคุณเหมือนกันไหมครับ” เจ้าภาพผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลาเอ่ยถามต่อหลังรอให้โอเมก้าหนึ่งเดียวในตอนนี้กินจนพอใจ


เรื่องราวของดินแดนทางใต้นั้นค่อนข้างน่าสนใจในสายตาคนนอกไม่น้อยเหมือนกัน เพราะคนจากเมืองอื่นๆ ไม่มีใครเคยติดต่อหรือเดินทางไปเส้นทางแถบนั้น ทั้งเรื่องระยะทางก็ดี ทั้งข่าวลือที่เล่าต่อกันมาก็ดี


“ค่อนข้างแตกต่างครับ”


ซินเธียตอบหลังจากจัดการมะเขือเทศเชอร์รี่จำนวนหนึ่งซึ่งเขาเก็บไว้กินเป็นอย่างสุดท้ายจนหมด เป็นอีกหนึ่งนิสัยแบบเด็กๆ ที่แก้อย่างไรก็ไม่เคยหายอย่างการชอบเก็บของที่ชอบไว้กินเป็นอันดับสุดท้าย ท่านพ่อเองก็เคยเตือนเขาถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน


ถ้าไม่ติดว่าต้องอยู่ต่อหน้าคนมากมายเขาก็คงหยิบเจ้ามะเขือเทศจิ๋วเหล่านี้ยัดใส่ปากทีละหลายๆ ลูกไปแล้ว


ฝ่ายแอชลีย์ก็ได้แต่มองคนข้างกายอย่างอ่อนใจ ตอนอยู่บนโต๊ะอาหารในคฤหาสน์เขาก็พอสังเกตพฤติกรรมนี้ได้อยู่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ตาม แต่สำหรับคนที่ต้องร่วมมื้ออาหารด้วยกันมาตลอดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสังเกตเห็น ชายหนุ่มยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วโป้งช่วยเช็ดคราบน้ำสีแดงเล็กๆ ตรงมุมปากให้คนที่มัวแต่เคี้ยวจนไม่ทันระวังอย่างเอร็ดอร่อย


มะเขือเทศน่ะเป็นผลไม้จำพวกที่มีน้ำอยู่มาก พอต้องรีบเคี้ยวให้หมดปากก่อนตอบคำถามของท่านชายสแตนลีย์จึงไม่ทันระวังเผลอกินเลอะเอาจนได้


“งานเลี้ยงของพวกเราจะมีนางระบำกับนักดนตรีมาคอยให้ความบันเทิง อาหารก็จะเน้นไปทางพวกเนื้อสัตว์กับสุราหมักครับ” นอกจากนี้ดนตรีที่ใช้บรรเลงก็จะเป็นดนตรีพื้นเมือง เหล่านางระบำจะสวมใส่เสื้อผ้าโปร่งพลิ้วเพื่ออวดเรือนร่างและผิวกาย


“หืม? ฟังดูน่าสนใจมากเลยครับ”


ซินเธียยิ้มไม่ตอบอะไร เกือบจะพลั้งปากเอ่ยชวนไปแล้วว่าหากมีเวลาก็ไปเยี่ยมเยือนแดนใต้ได้ แต่ก็คิดได้เสียก่อนว่าคงไม่มีใครอยากไปที่นั่น การเดินทางก็แสนจะลำบากเต็มไปด้วยป่าทึบกับถนนสายแคบพอให้ม้าวิ่งเท่านั้น


“จริงสิ เมื่อสักครู่เหมือนผมจะเห็นคุณชายอิลราเรียนอยู่แถวนี้นะ ไม่รู้โจชัวพาเดินไปไหน”


เมื่อบทสนทนาเดินทางมาถึงทางตันแดเนียลทำท่ามองหาคนทั้งสองแต่เนื่องจากแขกเหรื่อในงานมีค่อนข้างมากเลยทำให้สังเกตคนได้ยาก


“ปล่อยให้ทานชายมานั่งฟังพวกเราพูดคุยเรื่องปวดหัวคงน่าเบื่อแย่”


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราคิดว่าจะออกไปสูดอากาศในสวนสักหน่อย” กลิ่นของอัลฟ่ามันตีกันเยอะแยะเต็มไปหมดซินเธียไม่ค่อยอยากอยู่ในบรรยากาศแบบนี้นานนัก


“เดี๋ยวฉันพาไป” ได้ยินดังนั้นแอชลีย์หันมามองทันทีแต่ซินเธียกลับส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงปฏิเสธ


“คุณคุยเรื่องงานต่อเถอะ เราออกไปไม่นาน”


อีกคนทำหน้าไม่ค่อยวางใจแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าในที่สุด ก่อนซินเธียจะลุกออกไปก็ไม่ลืมกำชับว่าอีกไม่นานจะเดินตามไปแล้วพากลับบ้าน เขารู้ว่าชายหนุ่มเองก็ไม่ชอบอยู่ในงานสังคมแบบนี้นานๆ เหมือนกันจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินออกมายังสวนด้านนอก


อากาศข้างนอกค่อนข้างปลอดโปร่งกว่าด้านในอย่างเห็นได้ชัด ซินเธียสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เหล่านั้นพลางแหงนหน้าขึ้นมองด้านบน สองสามวันมานี้หิมะไม่ค่อยตกเลยส่งผลให้ผืนฟ้าในคืนนี้เปิดกว้างไร้เมฆครึ้มบดบัง ดวงดาวทอประกายระยิบระยับแต่งแต้มไปทั่วราวกับคริสตัลเม็ดงามปักดิ้นบนผ้ากำมะหยี่สีดำ


เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นลูบแขนของตัวเองในระหว่างเดินทอดน่องอยู่ในสวน เสื้อผ้าสำหรับใส่มางานเลี้ยงบางเกินไปเมื่อต้องออกมาปะทะลมหนาวด้านนอก


สวนของคฤหาสน์ตระกูลสแตนลีย์ค่อนข้างกว้างและมีไม้ยืนต้นปลูกเอาไว้มาก สองข้างทางมีไฟประดับสลัวพอให้มองเห็นทาง แต่เดินต่อมาได้ไม่เท่าไหร่หูก็พลันได้ยินเสียงประหลาดพร้อมกับเงาตะคุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซินเธียชะงักไปเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น


“อืม... ว๊าย!”


หญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้มดื่มด่ำอยู่กับรสชาติอันหอมหวานในอ้อมกอดของชายคนหนึ่งลืมตาขึ้นมามองเห็นเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ตกตะลึงจนเผลอผลักชายหนุ่มออกไป เป็นเพราะเธอยืนหันหลังให้กับต้นไม้จึงทำให้เมื่อลืมตาขึ้นมาก็สบเข้ากับดวงตาของซินเธียพอดิบพอดี


ด้วยความไม่ได้ตั้งใจฝั่งซินเธียเองก็ตกใจไม่น้อย เขากระแอมก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงเบากำลังจะขอตัวออกมาแต่กลับโดนเรียกไว้เสียก่อน


“เฮ้”


เป็นชายหนุ่มอัลฟ่าคนนั้นนั่นเอง เขายกหลังมือขึ้นเช็ดคราบลิปสติกบนปากออกก่อนจะเอ่ยเรียกคนแปลกหน้าเอาไว้ คนทั้งคู่เดินออกมาจากเงาใต้ร่มไม้เพื่อจะได้มองหน้าคนขัดจังหวะได้ชัดขึ้น ฝ่ายหญิงหรี่ตามองเมื่อเห็นลักษณะของโอเมก้าตรงหน้าดูแตกต่างจากตัวเองก็แค่นเสียงหึในลำคอทันที


“โอ้ ดูโอเมก้าตรงหน้าสิรูปลักษณ์แบบนั้นมันคืออะไรกันน่ะ” เธอหัวเราะก่อนจะชี้มายังซินเธียที่ยืนตีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ไม่ไกล “นี่คือคนจากแดนใต้อย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่า”


“คนจากแดนใต้?” อัลฟ่าคนนั้นทำหน้าฉงนแล้วหันมามองซินเธีย เป็นเพราะไม่ค่อยชื่นชอบเรื่องซุบซิบในวงสังคมเท่าไหร่จึงไม่ค่อยรู้เรื่องภายนอกมากนัก


“คุณไม่รู้เรื่องที่คนตระกูลคิมกำลังจะรับโอเมก้าจากแดนใต้เข้าตระกูลหรือ เห็นว่างานแต่งงานจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”


“อ้อ งานของท่านแอชลีย์” เรื่องงานวิวาห์ก็พอจะได้ยินมาอยู่บ้าง แต่เพราะงานนี้เป็นงานภายในที่เชิญเฉพาะแขกสำคัญเท่านั้นตระกูลของชายหนุ่มถึงจะมีหน้ามีตาอยู่บ้างในสังคมชนชั้นสูงแต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะสามารถรับเทียบเชิญจากสี่ตระกูลใหญ่


“ไม่รู้ว่าท่านแอชลีย์คิดอะไรอยู่ถึงได้ยอมแต่งงานกับพวกคนป่าไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้”


เธอพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจ เดิมทีเรื่องเล่าจากดินแดนห่างไกลแห่งนั้นก็นับเป็นละครสนุกๆ ที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยกันในเวลาน้ำชายามบ่ายอยู่แล้วยิ่งพอโดนมาขัดจังหวะในช่วงเวลาแบบนี้หญิงสาวทั้งรู้สึกอายและหงุดหงิดไปในเวลาเดียวกัน


อันที่จริงเธอเองก็เป็นโอเมก้าเช่นเดียวกัน แต่ตระกูลของเธอนั้นไม่ได้มีฐานะดีมากอะไรซึ่งกว่าเธอจะยั่วยวนอัลฟ่าจากตระกูลร่ำรวยให้พาตัวเองมาร่วมงานเลี้ยงนี้ได้ก็ยากมากพอแล้ว ตอนนี้พอสบโอกาสสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นก็ดันเจอคนต่างถิ่นไม่รู้เรื่องรู้ราวเดินมาเจออีก ระดับความโมโหจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว


“ที่เขาว่าคนจากป่าดงดิบเหล่านั้นไร้อารยธรรมเห็นจะเป็นเรื่องจริงมาแอบดูคนอื่นแบบนี้ช่างไร้มารยาทสิ้นดี”


“เราแค่บังเอิญเดินผ่านมา”


ซินเธียขมวดคิ้วมุ่น รู้ดีว่าในสายตาคนภายนอกภาพลักษณ์ของชาวธอร์นคงไม่ค่อยน่าดูชมเสียเท่าไหร่ ไม่มีใครนึกใส่ใจในเมื่อพวกเขาก็ไม่ได้คิดไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกเพียงอาศัยอยู่ในดินแดนของตัวเองอย่างสงบสุข


ในใจนึกบริภาษหญิงสาวตรงหน้าไปไม่น้อยแต่ด้วยไม่เห็นความจำเป็นต้องแสดงกริยาแบบเดียวกับอีกฝ่ายโต้ตอบกลับไปจึงตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกมา


“ขออภัยที่มารบกวน”


เขาคิดว่าตนเองควรจะกลับไปหาแอชลีย์ได้แล้ว


“เดี๋ยวครับ” แต่กลับเป็นอัลฟ่าคนนั้นที่เรียกเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่หญิงสาวต่อว่าโอเมก้าตรงหน้าแม้แต่นิด กลับกันเขาดันรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ดูมีเสน่ห์แตกต่างจากชาววินเทอร์ฟอลแบบแปลกๆ


ผิวสีน้ำผึ้งนวลนั้นไม่ได้ดูน่ารังเกียจเลยสักนิด อีกทั้งดวงตาสีเงินคู่นั้นกลับดูมีพลังและอำนาจบางอย่างชวนให้รู้สึกหลงใหล มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเติบโตมาในตระกูลที่ไม่ธรรมดา


ยิ่งแตกต่างก็ยิ่งดึงดูด


ซินเธียหยุดเดินแต่ไม่ได้หันกลับไปทำเพียงผินใบหน้าไปด้านหลังเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งแต่นัยน์ตาสีเงินยามต้องแสงไฟสะท้อนเป็นประกายงดงามราวคริสตัลจนคนมองตาพร่าไปชั่วขณะ


“มีอะไรหรือครับ”


ยิ่งได้เห็นใบหน้าเรียบเฉยกับน้ำเสียงเรียบนิ่งแบบนั้นก็ยิ่งกระตุ้นอะไรบางอย่างเข้าอีกทั้งสิ่งที่ทำให้อัลฟ่าหนุ่มสนใจคนตรงหน้านี้ก็คือกลิ่นฟีโรโมนหอมยั่วยวนของเจ้าตัวถึงจะไม่รุนแรงมากแต่ก็ทำให้รู้ได้ทันที


“ดูเหมือนคุณกำลังอยู่ในช่วงฮีทสินะ”


“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”


คำตอบกับท่าทีชะงักของอีกฝ่ายช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม เจ้าตัวยิ้มแฝงเลศนัยก่อนจะเดินเข้าไปคว้าข้อมือนุ่มนั้นมาจับ


“เฮ้ ไม่เอาน่า ผมช่วยคุณได้นะ”


ชายหนุ่มเอ่ยเสียงพร่าเมื่อเห็นอีกคนขืนข้อมือกลับไปก็เปลี่ยนเป็นกระชากซินเธียเข้าหาตัวเองหวังจะสูดมกลิ่นอันหอมหวนตรงซอกคอทว่าเด็กหนุ่มเองก็รวดเร็วพอกัน ทันทีที่ร่างกายโดนกระชากเข้าหาก็หมุนตัวรวดเร็วใช้เวลาชั่ววินาทีแทงข้อศอกอีกข้างกระแทกใส่ปลายคางทันทีทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวเซถอยหลังไป ฝั่งนั้นเมื่อโดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัวก็เกิดโทสะขึ้นหวังจะกระโจนเข้าใส่ทว่ากลับถูกเด็กหนุ่มใช้ขาถีบกลับไปจนลำตัวเซไปชนต้นไม้เข้า


“อั่ก! บ้าเอ๊ย” อัลฟ่าหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย ใบหน้าดำคล้ำเต็มไปด้วยโทสะคุกรุ่น


สำหรับซินเธียที่เติบโตมาในดินแดนแห่งการเอาตัวรอดและฝึกศิลปะการป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก คนตรงหน้าเมื่อเทียบกับอัลฟ่าที่คลั่งการต่อสู้ในธอร์นแล้วแทบไม่นับเป็นตัวอะไร  คนเหล่านั้นมีทั้งพละกำลังมหาศาลและขาดความปราณีต่อคู่ต่อสู้เป็นที่สุดสู้กันแต่ละครั้งหวังมุ่งจะเอาชีวิต แตกต่างจากชาววินเทอร์ฟอลที่รักในความสุขสบายมากกว่าจะหาเรื่องฆ่าฟันกันเพื่ออวดความแข็งแกร่ง เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากคุณชายตรงหน้าเอาจริงเขาก็อาจจะสู้ไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถต่อกรได้เลย


 “คุณชาย!” หญิงสาวเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้าไม่น้อยเธอรีบเข้าไปประคองชายหนุ่มแล้วหันมาตวาดใส่ซินเธียทันที


“แก! ไอ้คนน่ารังเกียจ คนแบบพวกแกมันดีแต่ใช้กำลังกันจริงสินะ แต่ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนไร้อารยะธรรมที่แกจะมาแสดงคามป่าเถื่อนแบบนี้ได้”


“เราทำได้มากกว่านี้ถ้าพวกคุณยังกล้าเข้ามาแตะต้องเราอีก” ซินเธียกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทุกอย่างก็ล้วนทำไปเพื่อการป้องกันตัวเท่านั้น ต่อให้ต้องถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนต่างถิ่น เขาเสียใจแต่ก็ไม่นึกโต้ตอบหากอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีคุกคามใส่


“จะหวงตัวอะไรนักหนา ที่เธอมาที่นี่ก็ไม่ใช่เพราะเสนอตัวให้พวกตระกูลใหญ่เองไม่ใช่หรือไง” ชายหนุ่มเย้ยหยันในดวงตาประกายกร้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบปลายคางอย่างนึกเจ็บใจ แรงดีใช่ย่อย


“เหอะ ตอนแรกหรือก็เสนอตัวให้ท่านคาร์ลินแต่เขาไม่เอา แน่ล่ะสิคู่ของเขาก็ดีถึงเพียงนั้นทำไมยังต้องมาสนใจโอเมก้าจากต่างถิ่นแบบแกอีก สุดท้ายก็ต้องวิ่งไปยัดเยียดตัวเองให้กับท่านแอชลีย์เสียแทน”


ซินเธียหน้าเสียไปทันทีหลังโดนความจริงกระแทกใส่หน้า เด็กหนุ่มกำมือแน่นพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดเพื่อจะไม่โต้ตอบกลับไป


สิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูดไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลย งานวิวาห์ในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก็จริงแต่มองให้ชัดเจนแล้วไม่ใช่ทางฝั่งเขาหรือที่ยื่นข้อเสมอไป ไม่ต่างอะไรกับการเสนอตัวเองเพื่อแลกกับผลประโยชน์เลยสักนิด


 “ทำเป็นถือตัว คุณชายอุตส่าห์เมตตาแต่กล้าดียังไงถึงมาทำร้ายคุณชายอเล็กซ์ แกรู้ไหมว่าตระกูลของเขาเป็นใคร!!”


“แล้วเป็นใครกันล่ะ”


คนทั้งสามชะงักไปทันทีเมื่อเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นจากทางด้านหลัง ซินเธียรู้สึกได้ถึงเสื้อนอกถูกคลุมลงบนลาดไหล่ทั้งสองข้างกลบไอหนาวจากรอบกายไปจนหมดสิ้น


....รวมถึงความหนาวเหน็บภายในใจ


ต่อให้ไม่ต้องหันไปมองเขาก็จำกลิ่นของผู้มาใหม่ได้แม่นยำ


แอชลีย์ คิม


เด็กหนุ่มเม้มปาก มือที่กำเอาไว้แน่นค่อยๆ คลายออกเปลี่ยนมาเป็นกระชับเสื้อคลุมเข้าหาตัวเองแทน


เกิดความเงียบรอบตัวอยู่นานพร้อมกับบรรยากาศลึกลับบางอย่างเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมโดยรอบ ชายหญิงทั้งสองตกตะลึงจนตาค้างก่อนต่อมาจะกลายเป็นหวาดหวั่นเพราะถูกรังสีอัลฟ่าของผู้มาใหม่ตรึงเอาไว้


“ทะ ท่านแอชลีย์...” เป็นนานกว่าคนทั้งสองจะตั้งสติได้ ยามเมื่อหันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นก็อดจะพรั่นพรึงไม่ได้ รู้สึกราวกับตัวเองได้ไปทำความผิดใหญ่หลวงอะไรสักอย่างเอาไว้จนเส้นชะตาชีวิตเริ่มริบหรี่


แอชลีย์มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร นึกไม่ออกและไม่อยากจะนึกด้วย


“ขนาดตัวเองยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมคู่ของผมต้องเสียเวลาไปใส่ใจเรื่องของคุณด้วย” เสียงทุ้มกล่าวเนิบนาบคล้ายไม่ใส่ใจอะไร “หึๆ น่าขำสิ้นดี”


เสียงหัวเราะเมื่อครู่สำหรับคนฟังแล้วกลับรู้สึกได้ถึงหายนะครั้งใหญ่ ราวกับดวงตาคมคู่นั้นจะแทงทะลุไปทั้งร่าง เหงื่อแตกซกไปทั้งตัวไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เพราะเกรงว่าจะไปทำให้ท่านแอชลีย์ผู้ยิ่งใหญ่หงุดหงิดเข้าแล้วมากระทืบตัวเองระบายอารมณ์เอา


คนจากสี่ตระกูลใหญ่อำนาจในมือมีมากมายทำหน้าที่ปกครองวินเทอร์ฟอลมาไม่รู้กี่ร้อยปี คนเหล่านี้ต่อให้เป็นโอเมก้าแต่ก็เป็นโอเมก้าชนชั้นสูง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ค่อยมีใครกล้าไปล่วงเกิน ยิ่งเหล่าอัลฟ่าแทบไม่ต้องพูดถึง


ครั้งนี้ถือว่าซวยมากแล้วจริงๆ


หลังยืนนิ่งทำสงครามประสาทครู่ใหญ่ คิดเอาไว้ว่าจะรอฟังดูเสียหน่อยว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ทางนั้นก็ไม่ปริปากอะไรออกมา


ไร้สาระเสียจริง


แอชลีย์ปลายตามองสองคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโอบไหล่ว่าที่คู่ชีวิตเดินกลับออกมาจากสวนมุ่งหน้าเดินทางกลับคฤหาสน์


“ไปเถอะ ตากลมอยู่ข้างนอกนานๆ จะป่วยเอาได้”


“อื้ม”








TBC




เอาล่ะตอนนี้เดินทางมาถึงสต็อคที่ตุนไว้แล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้คงไม่ได้มาทุกวัน :hao5:
ขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นรวมถึงทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ อยากให้อัพไวๆอีกก็ฝากส่งฟีดแบคหน่อยน้า

 :impress2: :impress2:

มนริต้า.

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น้องซินเธียเท่มาก ท่านแอชลีย์ทันเห็นจังหวะหมุนตัวกระแทกศอกของน้องไหม รู้สึกทึ่งในตัวน้องขึ้นไปอีกเลยใช่ไหมคะ
บทนี้ท่านแอชลีย์ทำตัวดี คอยโอบน้องดูแลน้องตลอด ฮรือ เป็นท่านชายขรึมๆที่อ่อนโยนกับน้องขนาดนี้ แล้วน้องจะไปไหนรอด

คุณนักเขียนสู้ๆนะคะ รออ่านทุกวันเลย เข้ามาดูตอนใหม่บ่อยมาก แล้วก็อ่านตอนเก่าวนไป

 :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
น้องเก่งมาก เราว่าน้องเอาตัวรอดได้แน่ ๆ แต่จะดีมาก ๆ ที่แอชลีย์เข้ามาช่วยแบบนี้

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ปากเปราะมาก  :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

บทที่ 9






   หลังกลับจากงานเลี้ยงในคืนวันนั้น ชีวิตของซินเธียสองสามวันมานี้เรียกได้ว่าแทบจะใช้ชีวิตบนเตียงเสียส่วนใหญ่


   “อึก.. อื้อ”


   เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนต้นแขนหนึ่งในสองข้างที่กำลังตั้งศอกอยู่บนฟูก ร่างกายสั่นสะท้านไปตามแรงส่งจากด้านหลัง อารมณ์ดีดทะยานขึ้นสูงครั้งแล้วครั้งเล่า เนื้อตัวแดงก่ำรุ่มร้อนไปหมดทั้งตัว


   กลิ่นฟีโรโมนของคนสองคนคละคลุ้งไปทั่วห้องซึ่งบัดนี้นับเป็นสถานที่ต้องห้ามของคนทั้งคฤหาสน์นอกเหนือจากเจ้าของแล้วหากไม่มีธุระสำคัญไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สมควรแม้แต่จะย่างกายเฉียดผ่าน


   สองมือแข็งแรงที่เคยยึดสะโพกคนใต้ร่างเอาไว้เปลี่ยนมาดึงสองมือของเด็กหนุ่มที่กำกันเอาไว้แน่นออกเพื่อสอดประสานนิ้วลงไปแทน ซินเธียดวงตาพร่าเลือนสมองขาวโพลนไปหมด ผมเผ้ายุ่งเหยิงปอยผมส่วนหนึ่งไหลตกลงมาบดบังหน้าตาแต่ผู้เป็นเจ้าของกลับไม่มีเวลามากพอจะปัดมันออก เด็กหนุ่มเอียงใบหน้าด้านหนึ่งจดจ้องไปยังเพชรน้ำงามบนนิ้วนางข้างซ้าย


   วงหนึ่งมันอยู่บนนิ้วของเขาเอง ส่วนอีกวง...


เขาขยับนิ้วแล้วบีบมือใหญ่ของอีกคนเอาไว้ปลายนิ้วลูบไปบนวงแหวนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับของตัวเองในขณะเดียวกันก็ต้องนิ่วหน้าหอบเอาลมหายใจหนักหน่วงออกมาจากจังหวะย้ำๆ ปานจะขาดใจ


   แรงเสือกสนจากคนด้านหลังนั้นถูกส่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่าไม่มีความเหน็ดเหนื่อย และมันก็ยิ่งสร้างความเสียวซ่านมากขึ้นไปอีกจนต้องกัดริมฝีปากจนห้อเลือดยามเมื่อรู้สึกได้ถึงคมเขี้ยวมาคอยป้วนเปี้ยนแถวต้นคอ ซินเธียขนลุกไปทั้งกายยามแนวฟันนั้นขูดกับผิวเนื้อแผ่วเบา


เขาใจเต้นระส่ำลุ้นระทึกกับการกระทำของอีกคนไม่น้อย ในช่วงเวลาฮีทหลายวันมานี้ยามเมื่อพวกเขากระทำร่วมกันมีหลายครั้งทีเดียวที่แอชลีย์มักจะเข้ามากัดๆ เล็มๆ แถวหลังคอราวกับหมั่นเขี้ยวแต่สุดท้ายก็จะผละออกไปแล้วเปลี่ยนไปฝังคมเขี้ยวลงบนหัวไหล่แทน


บริเวณลำคอ โดยเฉพาะด้านหลังนับเป็นจุดอ่อนไหวสำหรับโอเมก้า เป็นพื้นที่หวงห้าม ทันทีที่มันถูกล่วงล้ำนั่นหมายความว่าโอกาสจะถูกกัดเพื่อสร้างพันธะย่อมมีสูงตามไปด้วย


ในห้วงเวลาอันลึกซึ้งเป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การสร้างพันธะเพื่อจับคู่ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ดี ความลุ่มหลง มัวเมาและกลิ่นฟีโรโมนจะทำให้เหล่าอัลฟ่าหน้ามืดขาดสติ สมองจะสั่งให้ฝังคมเคี้ยวอัตโนมัติโดยไม่ต้องคิดหรือไตร่ตรอง สำหรับอัลฟ่าที่ถูกฝึกสอนในเรื่องการควบคุมตนเองมาอย่างดีมักจะยับยั้งใจตัวเองได้ เพื่อไม่ให้ไปสร้างสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของกับใครมั่วซั่ว


แอชลีย์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่สามารถควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม


ชายหนุ่มส่งเสียงครางต่ำเร้าอารมณ์ยามเมื่อปลดเปลื้องความคับคั่งในอกออกไปจนหมดสิ้นพลางทิ้งตัวลงนอนอีกด้านหนึ่งของเตียงนอน
ซินเธียยังคงหอบจากกิจกรรมใช้แรงกายเมื่อครู่ ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นแนบชิดจากด้านหลังคาดว่าอีกคนก็คงจะเหนื่อยไม่ต่างกัน
เสียงหอบหายใจผะแผ่วดังเคล้ากลิ่นยั่วยวนกำจายไปทั่วห้อง


ช่วงนี้แอชลีย์ไม่ค่อยออกไปไหน ชายหนุ่มอยู่เป็นเพื่อนกันทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ ถึงจะไม่ได้ออกไปไหนแต่จำนวนงานก็ไม่ได้ลดน้อยลงหรือหยุดพักผ่อนสบายๆ อยู่ในคฤหาสน์


ทำงานก็เหนื่อยพอแล้ว...


ยังจะต้องมาคอยช่วยเขาอีก


ซินเธียทั้งกระดากอายและเกรงใจไปในเวลาเดียวกัน พอพูดเสนอความหวังดีอะไรออกไปคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงใบหน้าเรียบเฉย ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตกลง ไม่อะไรเลยสักอย่าง


เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน กว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว ความอบอุ่นที่เคยทาบอยู่ตรงแผ่นหลังก็หายไปเช่นกัน เขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นใช้ผ้านวมคลุมร่างเอาไว้แล้วก็เหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


พรุ่งนี้แล้วสินะ


วันแต่งงาน


แกร็ก!


เสียงเปิดประตูดึงซินเธียให้ออกจากภวังค์ พอได้เห็นร่างสูงปรากฏตัวเข้ามาแล้วดวงตามันก็เสกลับมาอัตโนมัติ
ต่อให้ผ่านเรื่องแบบนั้นกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถทำตัวให้ชินได้เลย ทุกครั้งหลังจากทุกอย่างจบลงซินเธียไม่อาจทำใจสบตากับชายหนุ่มได้ตรงๆ


ต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักอาการในอกมันถึงจะพอทุเลาลงบ้าง
ตอนทำน่ะสติมันไม่ค่อยจะมีหรอกเลยไม่นึกกระดากอายมาก ดีว่าส่วนใหญ่หลังซินเธียตื่นขึ้นมาอีกคนก็หายไปจัดการงานของตัวเองแล้วเจอกันอีกทีก็อาจจะเป็นช่วงเวลาอาหารมื้อถัดไป


   “หิวหรือยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เขาแอบเหลือบมองร่างสูงสง่าเดินเอื่อยเฉื่อยมาหยุดตรงหน้าบานกระจกข้างเตียง แสงอาทิตย์ยามอัสดงสะท้อนเป็นสีแดงก่ำสาดทับลงบนใบหน้าด้านหนึ่งของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น


“ไม่เท่าไหร่ครับ”


ปกติซินเธียไม่ใช่คนกินมากอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้พึ่งใช้แรงไปก็เลยค่อนข้างหิว... นิดหน่อย เด็กหนุ่มกระชับผ้านวมบนร่างขึ้นซึ่งเริ่มไหลไปกองอยู่บนข้อศอก


“อืม” แอชลีย์ตอบรับในลำคอ “คนกำลังตั้งโต๊ะ อีกสักพักคงเสร็จ”


“ไม่เป็นไรเรารอได้...”


“เรื่องการแต่งงานในวันพรุ่งนี้” ชายหนุ่มเกริ่นขึ้นมาหลังเงียบไปช่วงเวลาหนึ่ง ซินเธียเลยขยับกายยืดหลังตรงเพื่อตั้งใจฟังอีกฝ่ายพูด
ไม่บ่อยเลยที่จะได้ยินเขาพูดอะไรยืดยาวเกินจำเป็น และถ้าเขาเริ่มแสดงว่าใจความหลังจากนี้เป็นเรื่องสำคัญ


“หลังพิธีทุกอย่างสิ้นสุดลง เราจะยังคงใช้ชีวิตกันเหมือนเดิม ฉันหมายถึงก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไรหลังจากนั้นก็จะยังไม่เปลี่ยนแปลง”


อ่า...


 “ฉันจะไม่บังคับ” เขาเว้นไปจังหวะหนึ่งแล้วขยายความต่อ “เธอก็ใช้ชีวิตของเธอไป ฉันให้อิสระทุกอย่างแต่หากจะออกไปข้างนอกก็ควรบอกพ่อบ้านเอาไว้บ้าง”


ซินเธียคิดว่าตนเองเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังจะสื่อ


อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกขอบคุณคนตรงหน้าก็คือการที่อีกฝ่ายไม่บังคับฝืนใจหรือฉวยโอกาสสร้างพันธะในช่วงฮีท คิดถึงตรงนี้ก็อดจะยกมือขึ้นลูบผิวเนื้อเรียบเนียนไร้รอยตำหนิบนหลังคอของตัวเองไม่ได้


“เราเข้าใจแล้ว”


.
.
.


แต่ความจริงแล้ว หากเป็นชายผู้นี้เขาก็ไม่นึกรังเกียจหรอก



----



ในที่สุดวันสำคัญก็เดินทางมันถึง
ซินเธียเหม่อมมองเงาร่างที่มีหน้าตาเหมือนกับตนเองทุกประการสะท้อนอยู่บนเงากระจก ถัดลงมาบนโต๊ะเครื่องแป้งมีกล่องกำมะหยี่สีดำสองกล่องวางเคียงกัน


เป็นแหวนแต่งงานของพวกเราทั้งสอง


หนึ่งในนั้นคือวงที่ซินเธียใส่ติดตัวเป็นประจำตั้งแต่ได้มา ไม่เคยคิดถอดออกเลยสักครั้ง


ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาเริ่มแล้ว งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในช่วงเย็น เป็นงานเลี้ยงแบบเรียบง่ายภายในสวนด้านหลังของคฤหาสน์คิม แขกภายในงานก็จะมีแค่เฉพาะคนสำคัญที่รู้จักกับทางตระกูลคิมมานานรวมถึงอีกสามตระกูลใหญ่ด้วย


แม้งานเลี้ยงแต่งงานของเขาจะไม่ได้ถูกจัดอย่างหรูหรา มีการเลี้ยงฉลองใหญ่โตสมฐานะ ซินเธียก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือคิดว่ามีตรงไหนไม่สมควรเลยสักนิด กลับกันมันดีแล้วล่ะ


ไม่อยากจะอยู่ในกลุ่มคนมากมายหรือทำอะไรให้มันเอิกเกริก แขกเหรื่อที่เชิญมาต่อให้มากมายแต่เขาก็ไม่ใช่ประเภทที่ชอบไปปั้นหน้ายิ้มทางธุรกิจ


ซินเธียนั่งเตรียมตัวอยู่ในห้องตั้งแต่ช่วงบ่าย เอาเข้าจริงมันก็อดตื่นเต้นเล็กๆ ไม่ได้ หลังจากวันนี้แล้วตัวเขากับแอชลีย์ก็จะกลายเป็นคู่ชีวิตกันอย่างแท้จริง


“ท่านชายคะ มีจดหมายส่งมาถึงท่านค่ะ”


ซินเธียรับจดหมายจากสาวใช้นำมาเปิดอ่านปล่อยให้แม่รี่คอยจัดการเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองต่อไป เด็กหนุ่มพินิจซองจดหมายในมือ เนื้อกระดาษสีครีมยามคลีออกมาส่งกลิ่นหอมแสนคุ้นเคย เช่นเดียวกับตราประทับด้านล่า


จดหมายจากท่านพ่อ


เด็กหนุ่มนั่งอ่านทุกตัวอักษรอย่างตั้งใจ เนื้อความมากมายเริ่มต้นด้วยการถามสารทุกสุขดิบ เพียงแค่ประโยคแรกก็สัมผัสได้ถึงกระแสความคิดถึงอย่างสุดหัวใจ


‘ซินเธียลูกรัก’


‘ลูกสบายดีไหม กว่าจดหมายฉบับนี้จะไปถึงมือมันก็คงจะเป็นวันสำคัญของลูกแล้ว หรือไม่ อาจจะนานกว่านั้น พ่อเสียใจที่ไม่อาจเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของลูกได้ พ่ออยากจะยืนอยู่ตรงนั้นเหลือเกิน ยืนมองลูกของพ่อก้าวเดินไปบนเส้นทางดอกไม้พร้อมกับคู่ชีวิต และพ่อก็เสียใจที่ไม่สามรถปกป้องลูกด้วยสองมือของตัวเอง พ่อเข้าใจหากลูกจะนึกโกรธ เกลียด ไม่เป็นไรหากหนทางนั้นจะสามารถปกป้องอัญมณีแสนล้ำค่าของพ่อได้ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ไม่นึกเสียดายเลยสักนิด’


ไม่เลย ซินเธียไม่เคยนึกโกรธเคืองท่านพ่อเลยสักนิด เขาเม้มปาก พยายามกระพริบตาหลายครั้งเพื่อบังคับไม่ให้ธารน้ำไหลซึมออกมาขณะอ่านบรรทัดต่อไป


‘วินเทอร์ฟอลสวยหรือเปล่า’


สวย ดินแดนแห่งนี้สวยงามราวกับความฝันเลยล่ะ


‘พ่อได้ยินว่าดินแดนแห่งนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปีแตกต่างจากบ้านของเราหวังว่าลูกของพ่อจะไม่เจ็บป่วย ผู้นำตระกูลคิมคนนั้นเขาดูแลลูกดีหรือเปล่า เขาดีต่อลูกหรือไม่’


ดี เขาดีต่อลูกมากเลย คนผู้นั้น


‘การไปวินเทอร์ฟอลครั้งนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่มีเพียงการก้าวไปข้างหน้า มันอาจจะมีหลากหลายเรื่องราวให้รู้สึกลำบาก ชีวิตในโลกภายนอกแม้ไม่สวยงามเหมือนดังช่วงเวลาที่อยู่ในวังแต่พ่อหวังว่าลูกจะอดทน รู้จักปรับตัวเพื่อก้าวต่อไป พ่อรู้ ลูกของพ่อเข้มแข็งเสมอต่อให้ต้องเจอกับอะไร’


‘ซินเธีย วาเลนเธีย ชื่อของลูก พ่ออาจจะไม่เคยบอก ตัวอักษรเธียท้ายชื่อของลูกนั้นมาจากชื่อของคนที่พ่อรักอย่างสุดหัวใจ อลิเธีย แม่ของลูก เพื่อให้เราสามารถระลึกถึงเธอได้ตราบชั่วชีวิต แน่นอนมันหมายถึงชื่อของลูกด้วย ทุกอย่างหลอมรวมขึ้นมาเป็นโอเมก้าตัวน้อยๆ ที่พวกเรารักและทะนุถนอม เด็กน้อยแสนงดงาม ไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นแบบไหน มันก็คือความรัก เช่นเดียวกับชื่อของลูก ซินเธีย’


‘สุดท้ายแม้พ่อจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ส่งลูกด้วยมือของตัวเองแต่พ่ออยากให้ลูกจำเอาไว้เสมอ พวกเรารักลูกมากนะ อากาศหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ทานให้มากและนอนหลับฝันดี’


‘มายวาเลนเธีย’


‘ลิมเบิร์ก’


หลังอ่านจบ ซินเธียพับกระดาษจดหมายลงเก็บไว้ในซองดังเดิมด้วยความทะนุถนอม ทุกตัวอักษร ทุกประโยค ทุกเนื้อความถูกจดจำเอาไว้ในใจ


ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด เหลือไว้เพียงถ้อยคำนับพันนับหมื่นอยู่ภายในใจทว่าไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำได้


ปลายนิ้วลูบไล้ตราประทับครั่งสัญลักษณ์ประจำตระกูลบนซองจดหมายอย่างเหม่อลอย นานจนไม่รู้ว่าผ่านไปเมื่อไหร่


สาวใช้คนหนึ่งเดินมาเคาะประตูห้องพร้อมกล่าวว่าได้ว่าเวลาแล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ดอกยิปโซช่อสุดท้ายถูกประดับลงบนผม แม่รี่ตรวจเช็คความเรียบร้อยของผู้เป็นนายครั้งสุดท้ายแล้วถอยไปยืนรอหน้าประตู ซินเธียละสายตาจากของในมือ เขาพยักหน้ารับพลางวางมันไว้ใกล้กับกล่องเก็บสร้อยอความารีน


สมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ท่านแม่มอบให้


“ท่านแอชลีย์รออยู่ด้านล่างแล้วค่ะ”


“อือ”


ซินเธียสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติให้พร้อมก่อนจะจ้องมองตัวเองภายในกระจกบานโตเป็นครั้งสุดท้าย


“เราจะไปเดี๋ยวนี้”







ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


ภายในสวนมีแขกเหรื่อเดินทางมาถึงประปรายแล้ว ซินเธียถูกพาไปยังซุ้มทางเข้างานเพื่อยืนต้อนรับแขก ในครรลองสายตามองเห็นชายผู้หนึ่งยืนอย่างสงบนิ่งตรงนั้น ใครอีกคนที่วันนี้ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้พบหน้ากันเลย


ทันทีเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็หันหน้ามามองกัน


แอชลีย์ คิม ในวันนี้ก็ยังคงหล่อเหลาและสง่างามเช่นเคย เส้นผมสีดำสนิทถูกเซ็ตขึ้นเปิดโชว์เครื่องหน้าแสนเพอร์เฟ็ค รอบกายเต็มไปกลิ่นอายของอัลฟ่าผู้แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ทว่ากลับดูอ่อนโยนอยู่ในที ยิ่งอยู่ในชุดสูทสีกรมก็ยิ่งขับผิวขาวซีดของอีกคนให้ดูเปล่งประกาย


ในส่วนของซินเธียนั้นสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกรอมคอกลัดด้วยโชคเกอร์ประดับอความารีนทรงรี ช่วงอกแต่งระบายเล็กๆ เช่นเดียวกับตัวแขนเสื้อ ผมยาวสลวยถูกถักเป็นเปียหลวมๆ ประดับแซมด้วยดอกไม้ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์และนุ่มนวล บนข้อมือทั้งสองข้างประดับด้วยกำไลดอกไม้สดต่างชนิดถึงสามอย่าง


 เป็นธรรมเนียมการแต่งงานของชาวแดนใต้ว่าเจ้าสาวจะต้องสวมกำไลทำจากดอกไม้ป่านำโชคสามชนิดเพื่อเป็นการอวยพรแด่ชีวิตของคู่บ่าวสาวหลังจากนี้ ส่วนทางเจ้าบ่าวจะกลัดดอกไม้แบบเดียวกันบนอกเสื้อ ด้วยเวลาจำกัดการจะไปหาดอกไม้ป่าประกอบพิธีให้ตรงตามต้นฉบับเป็นไปได้ยากแอชลีย์จึงได้นำสิ่งเหล่านั้นมาดัดแปลงเปลี่ยนเป็นดอกไม้เมืองหนาวที่ให้ความหมายเกี่ยวกับรักอันยั่งยืนมาใช้สร้างกำไลแทน นับว่าท่านชายคิมใส่ใจรายละเอียดในงานวิวาห์ครั้งนี้ไม่น้อยแม้จะมีเวลาเตรียมตัวไม่นาน


เมื่อตอนสาวใช้นำกำไลดอกไม้เหล่านี้มาสวมซินเธียนึกประหลาดใจพอสมควร แต่เด็กหนุ่มคงไม่อาจทราบว่าหลังจากนี้จะยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตนประหลาดใจได้มากกว่านี้


ภายในสวนของคฤหาสน์คิมเวลานี้อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้นานาชนิดเคล้าเสียงบรรเลงเปียโนจากนักดนตรีมืออาชีพช่วยบรรเลงขับกล่อมให้งานวิวาห์ในสวนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรัก


“ยินดีด้วยนะครับ”


นั่นเป็นคำทักทายจากคาร์ลิน ไล ผู้นำวินเทอร์ฟอลคนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้งชายหนุ่มก็ยังคงสงวนท่าทีสุภาพเรียบร้อยแผ่รอยยิ้มอบอุ่นตามแบบฉบับผู้ชายรักครอบครัว วันนี้ราชาอัลฟ่าแห่งแดนเหนือไม่ได้ควงคู่ชีวิตมางานเลี้ยงด้วยกันแต่จับจูงเด็กชายตัวน้อยผู้มีใบหน้าถอดแบบตัวเองมาร่วมยินดีแทน ซินเธียโบกมือทักทายท่านชายไลฉบับย่อส่วน เจ้าตัวน้อยยังคงสดใสเช่นเคยโบกมือเล็กๆ กลับมาให้อย่างน่ารัก


คุณชายน้อยเจสเปอร์ยามเมื่อยู่กับบิดาดูจะเรียบร้อยสงบเสงี่ยมผิดปกติ แต่ก็ยังแผ่ความสดใสสมวัยออกมาไม่เสื่อมคลาย


คาร์ลินพูดคุยกับแอชลีย์อีกสองสามประโยคแล้วอวยพรให้แก่ชีวิตคู่ของพวกเขาก่อนจะโน้มตัวลงยื่นกล่องของขวัญในมือให้คนเป็นลูกชายมีส่วนร่วมเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเอง คุณชายน้อยดูตื่นเต้นมากเจ้าตัวยิ้มกว้างจนน่าเอ็นดู ซินเธียเป็นฝ่ายย่อตัวลงไปรับด้วยตนเอง


“ขอบคุณนะครับ” เขายิ้มอย่างเอ็นดู


“ของขวัญชิ้นนี้คุณแม่ห่อเองกับมือ เจสก็ช่วยห่อด้วยล่ะ อ๊ะๆ แต่คุณพ่อก็ช่วยด้วยนะๆ คุณพ่อเป็นคนจ่ายเงิน!” หนุ่มน้อยบอกเล่าเจื้อยแจ้วน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต กระตือรือร้น


“แม้เจย์จะไม่ค่อยสะดวกมาร่วมแต่ก็ฝากคำยินดีมาให้ท่านชายด้วยนะครับ” คาร์ลินลูบหัวลูกชายดวงตาทอประกายรักใคร่


“ไม่เป็นอะไรเลย ฝากขอบคุณเรื่องชาอีกครั้งนะครับ เราชอบมาก” ซินเธียฝากข้อความไปถึงคนที่ไม่ได้มาในวันนี้ แม้จะเคยฝากคำขอบคุณไปกับคุณพ่อบ้านแล้วแต่ลึกๆ ก็ยังอยากขอบคุณด้วยตนเองอีก ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อเสียงร่าเริงของผู้มาใหม่อีกคนก็ลอยเข้ามายังวงสนทนาเสียก่อน


“นี่ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหม”


เป็นอัลฟ่าผมบลอนด์ทองที่ซินเธียไม่คุ้นหน้า บุคลิกดูเป็นคนยิ้มแย้มอารมณ์ดีคล้ายแดเนียล สแตนลีย์แต่ให้ความรู้สึกคนละแบบ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะสนิทกับแอชลีย์พอสมควรแต่แปลกที่ยังไม่เคยพบเจอ


“ความจริงนายส่งมาแค่ของขวัญก็ได้” แอชลีย์ปรายสายตามองอีกฝ่ายเปล่งวาจาน้ำเสียงเรียบเรื่อย หากเป็นคนอื่นนับว่าเป็นการเสียมารยาทพอสมควรแต่ดูจากสีหน้าคนฟังแล้วไม่ได้ดูทุกข์ร้อนราวกับชินชา หรือบางทีอาจจะไม่ได้สนใจคำพูดของฝ่ายเจ้าของงานด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ต้นสายตาของชายหนุ่มก็จับจ้องอยู่บริเวณโอเมก้าผิวสีน้ำผึ้งรูปร่างสูงเพรียวไม่วางตา มุมปากกระตุกยิ้มขณะพิจารณาคู่วิวาห์ของท่านชายคิมไม่อาจเดาความคิดในหัวได้เลย


“ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับท่านชายมานานแต่ไม่มีโอกาสได้พบกันเสียที” ประโยคหลังนี้คนพูดหันไปมองคนตัวสูงข้างๆ ซินเธียแวบหนึ่งแล้วหันกลับมาฉีกยิ้มใส่เขาดังเดิม


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมคือโรเมโอ แบล็ควู้ด”


เมื่ออีกฝ่ายแสดงความเป็นมิตรด้วยการยื่นมือมาหวังจะจับทักทายฉบับชาวแดนเหนือ ซินเธียก็ไม่คิดจะเสียมารยาทกำลังจะยื่นมือไปจับตอบทว่ากลับถูกใครอีกคนชิงตัดหน้าไปเสียก่อน


โรเมโอหุบยิ้มทันทีเมื่อจู่ๆ แอชลีย์ที่ยืนทำตัวเป็นตอไม้มานานยื่นมาจับมือเขาตอบมิหนำซ้ำยังแอบบีบจนกระดูกเขาลั่นดังกร็อบด้วยใบหน้าเฉยชา


ไอ้หมอนี่!


“ยินดีที่ได้รู้จัก พิธีกำลังจะเริ่มแล้วเชิญที่โต๊ะด้านใน”


“แก ไอ้บ้า เจ็บนะโว้ย” ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวเอ่ยเสียงลอดไรฟัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงการเลิกคิ้วส่งมาให้ ช่างเป็นกิริยาชวนโมโหเสียจริง อะไรของมัน ตอนนั้นเขาบอกให้พามาแนะนำก็ทำเมินเฉย เขาล่ะอยากจะเห็นเสียให้เต็มตาอยากรู้ใจจะขาดกว่าคนแบบไหนถึงได้โชคร้ายมาจับคู่กับคนแบบนี้ พอวันนี้สบโอกาสได้พบเจอก็เลยอยากจะทักทายตามประสาคนอัธยาศัยดี แต่ดูสิ่งที่ได้รับสิ!


“หวงก้างจริง ได้เขาแล้วหรืออย่างไร ฉี่รดทำเครื่องหมายไว้แล้วเรอะ” ผู้มาใหม่ใบหน้าบูดบึ้ง


“เรื่องส่วนตัว”


แอชลีย์ตอบเสียงเรียบ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดเหมือนปกติ เขาดึงมือกลับมาวางแนบลำตัวไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนอะไรราวกับกำลังสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่คนฟังที่มีส่วนเอี่ยวในบทสนทนาสุดๆ อย่างซินเธียนั้นแทบจะอยากแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นอยากจะเดินหนีก็ทำไม่ได้ รู้สึกเห่อร้อนไปทั้งหน้า ที่สำคัญในวงสนทนานี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาสามคนเสียหน่อย ยังมีอีกหนึ่งอัลฟ่าอีกหนึ่งเด็กน้อย ครั้นพอเหลือบไปมองสองพ่อลูกก็เห็นคาร์ลินกลั้นยิ้มสุดกำลังสองมือยกขึ้นปิดหูลูกชายแล้วพาเดินหลบฉากเข้างานไปอย่างแนบเนียน


“ทำเป็นพูดดีไป กลิ่นของนายเนี่ยมันฟุ้งเต็มตัวท่านชายไปหมด ได้กลิ่แล้วมันคัดจมูกเสียจริง เหอะ”


ฝ่ายคนถูกกวนประสาทไม่ยอมตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์นาน พอพูดจนพอใจแล้วก็ยัดของขวัญใส่มือเจ้าภาพแล้วสะบัดหน้าเดินเข้างานไป ทิ้งระเบิดลูกโตเอาไว้ไม่สนใจใครอีกคนที่ได้แต่ยืนหน้าบางอยู่ที่เดิม


พอจะรู้มาบ้างว่าอัลฟ่ากับโอเมก้าหลังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันกลิ่นของอีกฝ่ายมักจะติดมาด้วยแต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะจางลง คล้ายกับโอเมก้าที่ถูกกัดกลิ่นของฟีโรโมนเดิมจะเปลี่ยนไป มีกลิ่นของคู่ตนเองผสมเจือจางเป็นเครื่องหมายให้อัลฟ่าคนอื่นรู้ไว้ว่าโอเมก้าคนนี้มีเจ้าของแล้วแตกต่างกันแค่การจับคู่กลิ่นของอัลฟ่าคู่ชีวิตเจือจางแต่ไม่มีวันหายไป


ซินเธียเองก็พึ่งจะผ่านช่วงฮีทมาก่อนหน้างานไม่นาน แต่เพราะปกติเจ้าของร่างกายมักจะไม่ได้กลิ่นของตัวเองอยู่แล้วเด็กหนุ่มเลยไม่ได้สนใจกับรายละเอียดตรงนี้


หากถามเขาก็ขอไม่รับรู้เอาเสียดีกว่า... จะชอบคุณมากหากคุณชายแบล็ควู้ดคนนั้นจะเพียงเก็บเรื่องราวนี้เอาไว้ในใจ


“เหนื่อยหรือยัง” คนข้างกายก้มลงมากระซิบถามหลังจากพวกเขาพึ่งให้การต้อนรับหนึ่งในคู่ค้าคนสำคัญของตระกูลคิมไป


“ไม่เลย”


ซินเธียยิ้มคำตอบไม่ได้เกินจริง งานวิวาห์ของพวกเขาจัดอย่างเรียบง่ายไม่ใหญ่โต จำนวนแขกจึงค่อนข้างน้อยการต้องมาคอยยืนต้อนรับจึงไม่ได้รู้สึกว่าหนักหนาอะไร ให้พูดตามตรงแล้วตั้งแต่มายืนอยู่ตรงนี้เขาเพียงแค่คอยยืนยิ้มเงียบๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ต้อนรับพูดคุยกับแขกอะไร เป็นอีกคนเสียอีกที่ควรจะเหนื่อย ทั้งต้องคอยพูดคุย ตอบคำถาม ปั้นหน้ายิ้มให้ใครต่อใคร ถึงนิสัยส่วนตัวจะเป็นคนไม่ยินดียินร้ายกับโลกภายนอก ทว่าในวันสำคัญแบบนี้แล้วแอชลีย์ คิม กลับแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดี เป็นผู้นำตระกูลที่น่านับถือ ทุกอย่างล้วนไม่มีสิ่งไหนขาดตกบกพร่อง


...รวมถึงการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ซึ่งนับต่อแต่นี้พวกเรากำลังจะร่วมกันสร้างขึ้นมา ชายผู้นี้เป็นจำพวกไม่พูดมาก แต่ทุกอย่างในชีวิตล้วนถูกวางแผนและจัดการเอาไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ตัวเองเผื่อแผ่มาถึงว่าที่คู่ชีวิตเฉกเช่นเขา ภายใต้หน้ากากของความเฉยชานั้นกลับเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนใส่ใจ


ทั้งหมดทั้งมวลหล่อเลี้ยงจนก่อเกิดเป็นความผูกพันทีละนิด ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาภายในโลกอันแสนอ้างว้างใบนี้


ซินเธียมองเห็นและอดไม่ได้ที่จะแอบวาดภาพอนาคต


ต่อให้จุดเริ่มต้นของเราทั้งสองจะไม่ได้สวยงามดั่งคู่วิวาห์ใครอื่น ต่อให้หลังจากวันนี้ชีวิตของพวกเขาในสถานะครอบครัวจะไม่ได้หอมหวานดั่งคู่ชื่นใครๆ แค่ให้มันเป็นแบบที่ผ่านมา


ก็พอใจมากแล้ว


ช่วงเวลาของงานวิวาห์เดินทางมาถึงพิธีสำคัญอย่างการกล่าวคำสาบานและแลกแหวนแต่งงาน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น บ่าวสาวให้คำสัตย์ซึ่งกันและกัน ผลัดกันสวมแหวนสัญลักษณ์ตีตราว่าหลังจากนี้ไปคนทั้งสองจะต่างเป็นของกันและกัน เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง จะรักและดูแล ปกป้องหวงแหนตราบชั่วชีวิต


ซินเธียมองแหวนเพชรน้ำงามค่อยๆ ถูกเลื่อนขึ้นมาตามข้อนิ้วนางข้างซ้าย ความรู้สึกในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันแรกที่เขาได้รับมันมา


ในวันนั้นหัวใจมันเพียงรู้สึกระส่ำ ทว่าวันนี้กลับอัดแน่นไปด้วยหลากหลายถ้อยคำยากจะบรรยาย ยามประกายของอัญมณีล้ำค่ากระทบกับดวงตาสีเดียวกัน ข้างในนี้มันช่างเต็มตื้น เด็กหนุ่มอมยิ้มกับตัวเองก่อนจะหยิบแหวนอีกวงที่มีลักษณะเข้าคู่กันขึ้นมาสวมให้คู่ชีวิตตรงหน้า ค่อยๆ เลื่อนมันขึ้นไปจนสุดโคนนิ้วข้างเดียวกัน


มือของแอชลีย์นั้นใหญ่กว่าซินเธียมาก ทั้งแข็งแรงและดูมีพลังสมกับความเป็นอัลฟ่าโตเต็มวัย น่าแปลกที่ถึงมันจะใหญ่แต่ชายหนุ่มกลับมีข้อนิ้วเรียวสวยในแบบฉบับของบุรุษ บางครั้งก็เผลอไผลแอบมองไม่รู้ตัวหลายหน เขามักจะสวมแหวนอำพันซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลบ่งบอกถึงตำแหน่งความเป็นผู้นำไว้เสมอ และตอนนี้ก็มีแหวนแต่งงานของสองเราสวมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวงยิ่งขับให้เรียวนิ้วนั้นน่ามองไปอีกเท่าตัว


เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังขึ้นเมื่อสิ้นสุดพิธีสำคัญ ทว่ายังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ซินเธียใบหน้าซับสีระเรื่อกระดากอายพอตัวเมื่อได้ยินเสียงตะโกนให้คู่วิวาห์รีบทำขั้นตอนสุดท้ายของพิธีมาจากแขกผู้ร่วมงานในวัยไล่เลี่ยกัน เขาแอบเหลือบมองไปทางที่นั่งแขกเร็วๆ ไม่กล้าสบตาใคร


ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกลิ้มลองเชยชม มากยิ่งกว่านั้นก็เคยมาแล้ว ทว่านั้นเป็นเรื่องภายในห้องนอนระหว่างคนสองคน ซึ่งเวลานี้ต้องให้มาทำต่อหน้าผู้คนมากมายเขาทำตัวไม่ถูก ระดับความอายมันเทียบกันไม่ติด


ถึงขนาดว่าราชาอย่างคาร์ลิน ไลผู้นั้นก็ยังกระโจนเข้ามาร่วมวงกระทำเรื่องสนุกสนานกับคนอื่น เป็นหนึ่งในเสียงโห่ตะโกนให้รีบจบขั้นตอนสุดท้ายของพิธีอย่างสวยงาม


“ไร้สาระจริง”


แอชลีย์พึมพำแต่ระดับความดังก็มากพอให้คนเหล่านั้นได้ยิน ชายหนุ่มหันไปเปิดกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งในมือของพ่อบ้านที่ไม่รู้เดินเข้ามาตอนไหน กล่องนั้นมีลักษณะเดียวกับกล่องแหวนของพวกเขาแต่มีขนาดใหญ่กว่ามากเรียกสายตนสนอกสนใจจากผู้คนไม่น้อยรวมถึงซินเธียด้วย เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจคิดว่าตัวเองคงรอดพ้นจากสถานการณ์ชวนกระดากนี้แล้ว


จากความกระอักกระอวนแปรเปลี่ยนมาเป็นตกตะลึงเมื่อมองเห็นสิ่งของในมือของคู่ชีวิต จดจ้องสิ่งนั้นด้วยความรู้สึกท่วมท้น ยิ่งตอนที่มันถูกวมลงมาบนศีรษะแผ่วเบาช่างเป็นอะไรที่ยากเกินจะบรรยาย


บ่งบอกถึงการให้เกียรติ เครื่องหมายอันแสดงถึงฐานะของผู้สวมใส่ไม่ว่าจะตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกนี้จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็จะยังคงติดตัวเขาไปชั่วชีวิต


ซินเธียจับจ้องมันไม่วางตาตั้งแต่ของสิ่งนั้นปรากฏสู่สายตา จนถึงวินาทีที่มันถูกมอบให้ มงกุฎดอกไม้วาววับ มันไม่ใช่ดอกไม้จริงแต่เป็นสิ่งที่หลอมขึ้นมาจากอัญมณีมากค่า ตัวมงกุฎเกี่ยวพันคดเคี้ยวดั่งกิ่งไม้เลื้อย ตัวดอกประดับสลักมาจากมุกและคริสตัล


ซินเธียเงยหน้ามองคนที่พึ่งสวมสิ่งนั้นให้ด้วยสองมือของตนเอง


ครั้งแรกกับการได้มองนัยน์ตาอำพันคู่นั้นฉายแววยิ้มออกมา


“แด่คู่ชีวิตของผม”


เป็นประกายงดงาม


 “แด่คุณ”


สั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ


“My Prince”


ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี ซินเธียไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความโล่งใจที่เขาพึ่งรู้สึกไปเมื่อสักครู่น่ะมันผิดถนัดไปเลยเมื่อจบคำกล่าวนั้น ดวงตาที่เขากำลังจดจ้องมันเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมกับมือใหญ่เลื่อนขึ้นมากอบกุมใบหน้าด้านหนึ่งเพื่อบังคับทิศทางให้แหงนรับสัมผัสหวานล้ำไม่ทันให้ได้เตรียมใจสร้างความตื่นตะลึงยิ่งกว่าตอนมงกุฎถูกสวมลงมาบนศีรษะเสียอีก


เหมือนจะยังไม่สาแก่ใจคนชอบแกล้งเมื่อริมฝีปากบางที่ประทับแนบลงมานั้นขยับเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนเป็นขมเม้มแล้วดูดดึงริมฝีปากล่าง ซินเธียเบิกตากว้างหัวสมองขาวโพลนไปหมดกับสัมผัสวาบหวามแสนกะทันหัน เสียงโห่ตะโกนชอบใจของแขกเหรื่อด้านล่างแท่นพิธีกลายเป็นเสียงอื้ออึงอยู่ภายในหู สองมืออ่อนเปลี้ยจนแทบจะเผลอปล่อยช่อดอกไม้ในมือร่วงหล่น โชคดียังพอยั้งเอาไว้ได้ทันจนกลายเป็นต้องกำมันเอาไว้แน่นต่างหลักยึด


จุมพิตหวานซึ้งในงานวิวาห์ เนิ่นนานจนหัวใจที่เต้นระรัวจนกลัวว่าจะทะลุออกมาจากอกเริ่มสงบลงเฉกเช่นเดียวกับดวงตาของเด็กหนุ่มเลื่อนปิดลงอย่างจำยอมพร้อมใจ


หากถามความรู้สึกของซินเธียในตอนนี้ มันค่อนข้างยากหากจะต้องเรียบเรียงออกมา


ดินแดนแห่งนี้


วันแรกที่ได้ก้าวเท้าเข้ามาอย่างโดดเดี่ยว ไร้ผู้ซึ่งติดตาม ไร้ซึ่งคนผู้ไว้วางใจ เป็นความโดดเดียวที่เกาะกุมอยู่ทั้งใจ ความกังวลมากมายต่างๆ นานากัดกินเด็กหนุ่มมาตลอดการเดินทาง


ซินเธียไม่ต่างอะไรกับปลาเลี้ยงถูกปล่อยลงสู่ท้องทะเล


ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูแปลกใหม่ไปหมด โลกใบเดิมดูกว้างใหญ่ไปถนัดตาเมื่อเขายืนอยู่เพียงลำพัง มันแตกต่าง ไม่เหมือนการควบอาชาคู่ใจท่องไปบนทุ่งหญ้าโล่งกว้างเพราะเมื่อเขาเหนื่อยก็แค่หันหลังกลับ ยังมีแคลร์ ยังมีท่านพ่อ แต่กับวินเทอร์ฟอลมันไม่ใช่ เขาไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว


จนกระทั่งมือใหญ่ข้างนั้นยื่นเข้ามา วันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้พบกัน อากาศรอบกายมันเหน็บหนาวทั้งกายและใจ ซินเธียนั่งอยู่ในรถม้าระหว่างเราทั้งสองมีเพียงผ้าม่านผืนบางกั้นเอาไว้ ชายหนุ่มยื่นมือเข้ามา กล่าววาจาเร่งเร้าให้รีบออกมาเสียที


เขาจำได้ดี


อัลฟ่าคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาของเขาเป็นสีอำพันงดงามแต่ก็แฝงไปด้วยความดุดันราวกับดวงตาของหมาป่า


ยามเมื่อซินเธียยื่นมือออกไปและเขากุมมันเอาไว้กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด


ชายผู้แสนเย็นชาคนนั้น เขามักแสดงท่าทางไม่ยินดียินร้ายไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาไหนก็ตาม นัยน์ตาคมยังคงดุดัน ใบหน้าเรียบเฉยชวนให้เกรงขาม เขามีพลังบางอย่างที่ทำให้ทุกคนต้องยอมศิโรราบ จำนนยอมเมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้


น่าแปลก


เขากลับรู้สึกปลอดภัย


มือคู่นั้นคอยกอบกุมมือของซินเธียเอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะหันไปแห่งหนใดก็มักจะมองเห็นใบหน้าเฉยชานั้นอยู่ในครรลองสายตาไม่เคยทิ้งห่าง


กว่าจะรู้ตัว สายสัมพันธ์อันเปราะบางค่อยๆ ถูกร้อยเรียงถักทอภายในโลกใบเล็กแต่แสนกว้างใหญ่ใบนี้ของซินเธีย


โลกที่ไม่ได้มีเพียงแต่ตนเพียงผู้เดียวอีกต่อไป


มันชื่อว่า แอชลีย์ คิม



TBC

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เป็นห่วงซินเธียยังไงไม่รุ้  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากรู้ความคิดของแอชลีย์ :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
แอบมีหวงท่านชายนะ แอชลีย์ คิม

 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จริง ๆ อยากรู้ว่าแอชลีย์คิดยังไงถึงรับข้อเสนอของพ่อวาเลนเธียนะ

ออฟไลน์ monrita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


บทที่ 10




กว่าจะดำเนินการส่งแขก จัดระเบียบความเรียบร้อยหลังงานวิวาห์จบลงก็เป็นเวลาเกือบจะล่วงเข้าวันใหม่แล้ว  อัลฟ่าหนุ่มผู้นำตระกูลเดินกลับขึ้นมาบนห้องนอน ในตอนที่มือผลักบานประตูสลักลายเข้าไปภาพแรกที่ได้เห็นนับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ชายหนุ่ม


เวลานี้หนึ่งในเจ้าของห้องกำลังนั่งก้มหน้าราวกับจดจ้องบางสิ่งบางอย่างบริเวณปลายเตียงด้านในอันเป็นตำแหน่งหลับนอนประจำ


ท่านชายผู้นี้ ปกติแล้วยามเขากลับมาร่วมใช้ห้องนอนด้วยอีกคนมักจะอาบน้ำจัดการตัวเองจนเรียบร้อยพร้อมเข้านอนจะต่างก็เพียงกิจกรรมก่อนนอนในแต่ละวันเพื่อรอเขากลับมาและเข้านอนพร้อมกันเสมอ บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็นั่งทอดสายตาชมบรรยากาศยามวิกาล


แต่วันนี้อีกคนยังอยู่ในชุดคลุมหลังอาบน้ำเสร็จ


เด็กหนุ่มกำลังนั่งหันหลังให้ประตูห้องไม่ทันได้รู้ตัวว่าตนเองไม่ได้อยู่ลำพังอีกต่อไป บัดนี้กำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องไม่วางตาอยู่


ชุดคลุมก็เป็นเพียงชุดคลุม เนื้อผ้าเรียบลื่นสีอ่อนปักดิ้นทองไร้ซึ่งคุณสมบัติบดบังร่างกาย เส้นผมเปียกชื้นถูกรวบไว้บนลาดไหล่ข้างหนึ่งอวดผิวเนื้อต้นคออันเป็นจุดอ่อนไหวสู่สายตาผู้ถ้ำมอง แสงสว่างในห้องมีเพียงโคมไฟสีนวลอมส้มบนโต๊ะข้างเตียง ยามแสงเหล่านั้นตกกระทบบนเรือนร่างก่อเกิดเป็นภาพอันเย้ายวนโดยไม่รู้ตัว


มันประหลาด


ทั้งที่ร่วมเตียงชิดใกล้กันมากกว่าหนึ่งครั้ง เตียงก็เป็นเตียงหลังเดิม ห้องห้องเดิม คนคนเดิม แต่วันนี้บรรยากาศกลับต่างออกไป


หรือเพราะสถานะของพวกเขามันแปรเปลี่ยนเป็นคู่ชีวิตโดยสมบูรณ์


แอชลีย์ไม่แน่ใจ


สองเท้าก้าวเดินตรงเข้าไปใกล้ใครอีกคนอย่างมั่นคง

เสียงปิดประตูทำให้เด็กหนุ่มบนเตียงจำต้องละออกจากทัศนียภาพตรงหน้า ซินเธียกำลังเฝ้ามองมงกุฎดอกไม้หนึ่งในของขวัญแต่งงานที่คู่ชีวิตหมาดๆ มอบให้ เพราะชอบมองถึงได้เอาแต่จดจ้องไม่รู้จักเบื่อหน่ายเผอเรอจนลืมเวลา ทั้งที่ก่อนหน้านี้พึ่งอาบน้ำเสร็จเตรียมแต่งตัวเพื่อทำกิจวัตเหมือนปกติ พอเดินออกจากห้องน้ำมาสายตาดันเคลื่อนไปตกยังของล้ำค่าชิ้นนั้นเนิ่นนานจนขนาดคนงานยุ่งกลับเข้ามาก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว กว่าจะตั้งสติได้ก็เป็นตอนถูกแสงเงาสูงใหญ่คืบคลานเข้ามากลืนกิน


“มัวทำอะไรอยู่ไม่ยอมแต่งตัวให้เรียบร้อย”


คนอ่อนกว่าสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำมากระซิบข้างหู เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนขี้แกล้งได้


“เรา เรา... จะรีบไปแต่งตัว” คนตอบเลิ่กลั่กรีบผุดลุกขึ้น


กว่าจะระลึกได้ว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อยเปิดเผยเนื้อหนังเกินควรมันก็สายไปเสียแล้ว เสื้อคลุมผืนบางตัวนี้แต่เดิมก็ไม่ใช่ชุดคลุมอาบน้ำอยู่แล้ว เป็นแค่ชุดสำหรับสวมทับชุดนอนตัวเนื้อผ้าเลยค่อนข้างบางเบา ถึงจะไม่ได้บางมากขนาดมองทะลุถึงผิวเนื้อแต่พอมันโดนแสงไฟกระทบแล้วสิ่งที่บางกลับยิ่งดูบางไปกว่าเดิม


พอสติมา ความอายมันก็ตามมาด้วย


“ไม่ต้องแล้ว”


แน่นอนว่าคนมาใหม่ย่อมไม่อาจปล่อยให้แมวน้อยขี้ตื่นตระหนกตัวนี้หนีรอดไปได้ รีบคว้าข้อมือบางเอาไว้ก่อนอีกคนจะทันได้วิ่งแจ้นหลบฉากออกไป


เดิมทัศนคติที่ชายหนุ่มมีต่อโอเมก้าต่างแดนผู้นี้ไม่ได้เข้าขั้นเชิงลบและก็ไม่ได้อยู่ในเชิงบวกถึงระดับพึงพอใจตั้งแต่แรกเห็น ถึงอย่างนั้นก็ไม่นึกรังเกียจหากความสัมพันธ์มันจะพัฒนา ชายหนุ่มไม่ได้คิดปิดกั้นตนหรือสร้างกำแพงกับใคร เพียงแต่เรื่องราวทุกอย่างต้องเป็นไปตามกลไกของมันเอง


อดีต ช่วงชีวิตของแอชลีย์ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำ ในฐานะอัลฟ่าคนหนึ่งย่อมมีภาวะผู้นำโดยสัญชาตญาณ ต้องการแสวงหาอำนาจและขึ้นอยู่เหนือใครอื่น


ในฐานะตำแหน่งว่าที่ผู้นำตระกูล ทายาทเพียงคนเดียวซึ่งถูกเลี้ยงดูปลูกฝังให้เติบโตมาด้วยความเป็นผู้นำ ต้องปกครองตระกูล เครือธุรกิจสานต่อสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างมาไม่ใช่เพียงแค่รักษาให้คงเดิมแต่ต้องขยายให้มันเติบโตไปยิ่งขึ้น


ชายหนุ่มไม่ใช่นักรักและไม่คิดแสวงหาความรัก ปัจจุบัน ในความคิดของแอชลีย์มีเพียงการสร้างความมั่นคงให้กับตนเองและตระกูล ครอบครัวจึงเป็นสิ่งไกลตัวในความคิดอัลฟ่าหนุ่ม เขาคิดเพียงว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสมค่อยหาใครสักคนมาเป็นคู่ก็พอแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าในอนาคตอันใกล้นี้จึงไม่มีเรื่องของการสร้างครอบครัวอยู่ในแผนชีวิต


แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธเมื่อได้รับมอบโอกาสมา แถมยังเป็นโอกาสชิ้นใหญ่เสียด้วย มีหรือจะไม่ไขว่คว้าเอาไว้


การใช้ชีวิตร่วมกันตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เราต่างก็คุ้นเคยกับตัวตนของกันและกันเกิดเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว แอชลีย์ไม่ใช่คนเสแสร้งแกล้งทำ รู้สึกแบบไหนก็แสดงออกแบบนั้น นึกคิดอะไรก็พูดออกไปตามตรง เช่นเดียวกับซินเธีย วาเลนเธีย เด็กหนุ่มนิสัยเรียบง่าย เชื่อฟังแต่ไม่หัวอ่อน รู้สึกนึกคิดใดใดล้วนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน เขินอายกับเรื่องเล็กน้อย เป็นความไม่ประสาในแบบของคนประสบการณ์ชีวิตน้อย


ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นสร้างความพึงใจกับเขาไม่น้อย การได้มองเห็นท่าทีเขินอายของอีกฝ่ายนับเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง


แน่นอน แอชลีย์เป็นจำพวกเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สุด ไม่ว่าอะไรก็ตามในเมื่อมันเป็นของเขา มันก็คือของของเขา การรักษาผลประโยชน์ส่วนตนจึงไม่ใช่เรื่องผิดแผกอะไร


และเขามันเป็นพวกใจแคบไม่ชอบแบ่งปันสมบัติกับใครเสียด้วย แม้แค่เชยชมก็ไม่คิดปัน พอนึกถึงอัลฟ่าผมบลอนด์ผู้มีชื่อเสียงในด้านคารมเป็นพิเศษคนนั้นความขุ่นหมองที่ตกตะกอนอยู่ในใจราวกับถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง


แอชลีย์ไล้สายตาขึ้นไปตามรูปหน้ามนสวย พินิจพิจารณาคู่ชีวิตหมาดๆ ของตนไร้ซึ่งถ้อยคำใด กลิ่นหอมประจำตัวคละเคล้าไปกับกลิ่นครีมอาบน้ำผสมปนเปชวนให้มัวเมาไม่ยาก


แล้วเขาก็ดันไปเมามันเข้าจริงเสียด้วย


“เอ่อ...”


คนในอ้อมแขนเกิดอาการทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเมื่อจู่ๆ เจ้าของวงแขนก็โน้มใบหน้าลงมาซุกไซ้ต้นคอ เด็กหนุ่มเม้มปากกลั้นหายในในตอนที่รู้สึกถึงแรงดูดเม้ม


ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็เข้าใจเจตนาทันที นัยน์ตาอำพันนั้นมันแสดงออกมาทุกสิ่งอย่างไม่คิดปิดบังหรือถนอมใจกันเสียบ้างเลย อัญมณีคู่นั้นประกายพราวระยับ สัมผัสเปียกชิ้นไล้ขึ้นมาตามช่วงลำคอระหง หยุดประทับข้างมุมปากต่างจุดแวะพักแล้วถึงค่อยขยับไปประทับแนบชิดลงมาบนอวัยวะเดียวกัน มอมเมาด้วยรสหอมหวานปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิงสติความนึกคิดไปด้วยความเต็มใจ เคลิบเคลิ้มเสียจนไม่ทันรู้สึกว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกำลังค่อยๆ ลากผ่านจากแผ่นหลัง เคลื่อนตามแนวสันหลังและส่วนเว้าแบบฉบับสรีระของโอเมก้าไล่ระดับต่ำลงไปเรื่อยจนถึงสะโพกผาย อันเป็นส่วนที่ขยายออกมาตามกลไกธรรมชาติซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตเล็กๆ


แอชลีย์โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อย่อตัวก่อนจะรวบแขนใต้สะโพกหนั่นช้อนคนตัวเบาขึ้นมา


 “!?”


เผลออุทาน ลืมตาโพลงเมื่อจู่ๆร่างกายก็ถูกยกขึ้น ทว่าอีกคนกลับไม่ปล่อยให้ได้ตั้งสติ รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ร่างกายลอยวืดปะทะลงกับฟูกนุ่มบนเตียงกว้างเสียแล้ว


ชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหวต่อในทันทีกลับทำเพียงพักสายตาเอาไว้กับร่างที่กำลังนอนทอดกายอยู่ใต้อาณัติอันมีสองแขนแข็งแรงต่างกรงขัง


ที่ผ่านมาไม่เคยพินิจพิจารณาสักครั้ง พอวันนี้ได้ลองดันถอนสายตากลับออกมาไม่ได้


ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึกในสายตาผู้จับจ้อง


เส้นผมยาวแผ่สยายไปตามผืนผ้า ใบหน้ากระจ่างขึ้นสีระเรื่อจากการถูกช่วงชิงลมหายใจเป็นเวลานาน ริมฝีปากอิ่มยังคงเปิดเผยอหอบกอบโกยเอาอากาศกลับคืน


คล้ายกุหลาบแรกแย้มดอกหนึ่ง


เบ่งบานอวดสีสัน กำจายกลิ่นหอมรัญจวนเชิญชวนให้เข้าหา


มันทั้งดูบริสุทธิ์ชวนเฝ้าถนอม และ ยั่วยวนชวนให้อยากขยี้จนกลีบดอกช้ำคามือ


ชุดคลุมที่เหมือนไม่ได้ใช้คลุม สาบเสื้อแหวกออกจนเผยเนินเนื้อบนแผ่นอกจุดอ่อนไหวสองข้างวับแวมชวนให้หวามไหว ชายเสื้อด้านล่างแหวกออกตามแรงเหวี่ยงอวดเรียวขายาวสวยข้างหนึ่งซึ่งตั้งชันขึ้นมาเล็กน้อยจนทำให้รู้ว่า...


ภายใต้ผ้าแพรผืนนี้ว่างเปล่าไร้อาภรณ์อื่นใด


เพราะทนสายตาคู่นั้นไม่ไหว คนใต้อาณัติได้แต่กลอกตาไปมา ไม่รู้วันนี้แอชลีย์เป็นอะไรเอาแต่จดจ้องมองไปทั่วจนเจ้าของร่างกายอย่างซินเธียชักทนไม่ไหว


ปติก็ไม่เห็นจะมองอะไร ถึงเวลาก็แค่จัดการไปตามท้องเรื่อง สุดท้ายก็เลยขยับเปลี่ยนท่าทางเป็นหันหลังดันตัวขึ้นเล็กน้อยใช้สองแขนและสองเข่าชันกับฟูกนอน ท่านี้มันน่าอายมากแต่เด็กหนุ่มคิดว่าการถูกสายตาวาววับคู่นั้นจับจ้องเฉยๆ มันน่าอายมากกว่า เห็นอีกคนไม่ทำอะไรเสียทีเขาก็เลยจัดการอำนวยความสะดวกให้เสียเลย


“ทำอะไร” แอชลีย์ขมวดคิ้ว เปล่งเสียงทุ้มเอ่ยถามหลังปล่อยให้ทั้งห้องเงียบมานานกว่าครึ่งค่อนวัน


“เอ่อ... ก็...” พูดไม่ออก จะให้บอกออกไปได้อย่างไรกัน ซินเธียหน้าร้อนจนแทบไหม้


“ก็อะไร” ส่วนทางนี้ก็ต้อนกันไม่เลิก ชวนให้รู้สึกว่าไม่น่าพลาดทำตัวอวดรู้แบบนี้เลย


“ก็...คุณ...”


“...”


แล้วก็กลายเป็นต่างคนต่างเงียบ มันนานมากในความรู้สึก ตอนนี้ซินเธียรู้แล้วว่าคนด้านบนกำลังรอคำตอบของตนอยู่แน่นอน แล้วก็คงจะไม่ดำเนินการใดทั้งสิ้นจนกว่าจะได้คำตอบที่เขาพึงใจ


เด็กหนุ่มเม้มปากสลับคลายทำอย่างนั้นวนอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ค่อยๆ ขยับกายเปลี่ยนเป็นนั่งทับลงบนขาของตัวเองแทน


“คุณ...” เด็กหนุ่มถอนหายใจ ยกมือรวบผมมาพาดไว้บนหัวไหล่ด้านหนึ่ง “อยากทำไม่ใช่หรือครับ”


“ใช่” สุ้มเสียงทุ้มกระซิบชิดใบหู ใกล้จนคนฟังขนลุกชันไปทั้งกายมือเผลอกำปอยผมในมือแน่น “หันหน้ามาสิ”



“ปกติคุณไม่ได้ให้หันหน้า” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มตอบ อันที่จริงคือไม่กล้าหันไปอีกแล้ว


“วันนี้อยากให้หัน” เป็นถ้อยคำเลื่อนลอย ไม่ต้องการคำตอบราวกับแค่อยากบอกให้รู้ มือใหญ่เลื่อนเข้ามาเชยปลายคางคนอ่อนกว่าบังคับให้ขยับเอียงใบหน้าหันมารับจุมพิตแสนเอาแต่ใจที่ครั้งนี้ดูร้อนแรงทบทวี


แรกเริ่มมันเนิบช้าคล้ายหลอกล่อให้ตายใจ ปลายลิ้นกวาดต้อนสำรวจทุกซอกมุม เลาะเล็มตักตวงทุกหยาดหยด ค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักในการย้ำบนกลีบปากทีละขั้น ทีละขั้น ไม่ทันต้องตั้งตัว


ซินเธียตัวอ่อนจนแทบเหลว ร่างกายไหวเอนไปตามแรงชักจูงถูกกดตรึงเอาไว้จนร่างกายแทบจะจมหายไปในฟูกนุ่ม


มือใหญ่กระตุกปมเชือกคลายออก แหวกสาบเสื้อเชยชมผิวเนื้อเนียนให้กระจ่างชัดเต็มสายตา โลมไล้ทั้งสายตาทั้งสองมือ ฟอนเฟ้นผิวกายนุ่มนิ่มทิ้งรอยนิ้วแดงไปทั่วทั้งกาย แอชลีย์มองผิวสีน้ำผึ้งนวลนั้นอย่างหลงใหล


ผิวของซินเธียสวยมาก นุ่มละเอียดไม่ว่าจะแตะต้องตรงส่วนไหนก็ลื่นมือไปเสียหมด ถึงจะแตกต่างแต่ก็เป็นเสน่ห์ในแบบที่ทั่วทั้งวินเทอร์ฟอลมีเพียงหนึ่งเดียว พลันถ้อยคำสัตย์สาบานในพิธีแลกแหวนช่วงพลบค่ำดังขึ้นในหัวช่วยตอกย้ำความคิดในขณะนี้ของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี


เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง


กลิ่นหอมจากฟีโรโมนคละคุ้งกำจายไปทั่วห้องตามแรงอารมณ์ แอชลีย์ดอมดมดอกไม้ตรงหน้าจนพอใจถึงค่อยเคลื่อนมือไล้ต่ำลงมาจนถึงปลายยอดเกสร คนถูกสัมผัสสะดุ้งเฮือกรีบยกมือปิดปากระงับเสียงหน้าอายจากการถูกหยอกเย้าไม่เลิกรา อีกคนดูสนุกสนานกับการเชยชมมันเสียเหลือเกิน ปลายนิ้วหัวแม่มือคลึงส่วนยอด เพียงแค่สัมผัสเล็กๆ กลับสร้างกระแสไฟฟ้าพาลสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย


“ฮื่อ”


จนกระทั่งคนถูกแหย่ทนไม่ไหวเผลอหลุดเสียงอื้ออึงออกมาสร้างความพอใจแก่อัลฟ่าหนุ่มเป็นอย่างมากมือถึงค่อยขยับรูดลงเป็นจังหวะ มอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับดอกไม้แรกแย้มของตนเรียกเสียงครางกระเส่าจากคนถูกกระทำเสียจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย สะโพกหนั่นเผลอกระทั้นกายขึ้นรับกับจังหวะหวามไหวไม่รู้ตัว ในหัวสบสนมึงงง ทั้งกระดาก ทั้งพลุ่งพล่าน ปะปนคละเคล้ากันไปเสียหมดจวบจนเกสรระเรื่อช่อนั้นคายน้ำหวานออกมาเปราะเปื้อนทั่วเนินท้องน้อย


เด็กหนุ่มหอบตัวโยน ดวงตาปรือฉ่ำน้ำเหม่อลอยได้เพียงครู่เดียวก็ต้องรีบหันหนีเมื่อเห็นคนตรงหน้าแลบลิ้นเลียปลายนิ้วของตัวเองดังภมรชิมน้ำดอกไม้


อาย อายจนไม่รู้จะนำใบหน้าของตัวเองไปซุกซ่อนไว้ตรงไหนแล้ว เด็กหนุ่มตะโกนในใจ เขายอมให้อีกฝ่ายกระทำจากด้านหลังพอเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วผละจากไปอย่างเช่นที่ผ่านมาเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนรับรู้เรื่องราวอะไรแบบนี้


“หลบตาทำไม”


ยังต้องถามกันอีกหรือ!


คนถูกถามรู้สึกว่าสองแก้มตัวเองมันใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ สุดท้ายก็ต้องลากสายกลับมาเมื่ออีกคนกลับมาใช้มาตรการเดิมอีกแล้ว


นั่นก็คือการหยุดชะงักทุกสิ่งอย่าง จะไม่ทำอะไรจนกว่าเขาจะได้รับสิ่งที่ต้องการ


นี่คือด้านที่ดื้อดึงของแอชลีย์ คิม เด็กหนุ่มค้นพบแล้วในวันนี้


ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอแววตาทอประกายความพอใจไม่น้อย มือที่ชะงักไปก็กลับมาเคลื่อนไหวรังแกคนใต้ร่างอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเล่นจนพอใจก็เปลี่ยนจุดหมายใหม่เคลื่อนมาด้านบน


ซอกคอศูนย์รวมกลิ่นฟีโรโมนชั้นยอด แอชลีย์ซุกไซ้ สูดดมมันราวกับต้องการให้กลิ่นเหล่านี้มอมเมาตนเองอีกครั้ง เผยออ้าใช้ฟันลากขูดไปบนผิวเนื้อนวลเบาๆ ยิ่งพอเห็นท่าทางอยู่ไม่สุขของคนใต้ร่างก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกคนอ่อนไหวกับบริเวณนี้แค่ไหน ด้วยความหมั่นเขี้ยวเลยงับลงน้ำหนักลงบนลาดไหล่ทำเอาเด็กหนุ่มตัวเกร็งเผลอจิกเล็บลงไปบนท่อนแขนกำยำ


“อื้อ! อย่ากัด”


เหมือนจะได้ผลแค่ทำให้หยุดกัดตรงจุดหนึ่งแต่ก็ย้ายลงมาอีกจุดหนึ่งแทน ริมฝีปากร้อนจูบลากลงมาจนถึงเนินเนื้อหน้าอกข้างหนึ่งดื่มด่ำกับยอดอกราวคนหิวกระหายส่วนมือซ้ายก็ทำหน้าที่ปลุกเร้าอีกข้างไม่ให้น้อยหน้ากัน ซินเธียถูกเร้าดูดดึงจุดอ่อนไหวสลับไปมาทั้งสองข้างจนไม่รู้ตัวว่ายามนี้ส่วนเร้นลับของตนกำลังถูกรุกล้ำไปทีละน้อย


“อ๊า...!”


คราวนี้เสียงครางขรมหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอย่างกลั้นไม่อยู่เช่นเดียวกับชายหนุ่มเองที่ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเมื่อสามารถแนบกายเข้าไปจนชิดไร้ช่องว่างแม้แต่อากาศก็ไม่อาจล่วงล้ำ ไม่ว่าจะกี่ครั้งสิ่งที่กำลังโอบตัวตนของเขาเอาไว้ก็ยังรัดรึงจนสติแทบแตกกระเจิง แอชลีย์ขบกรามแน่นแช่กายจนรู้สึกว่าทุกอย่างผ่อนคลายลงแล้วถึงได้เริ่มขับเคลื่อนเป็นจังหวะบดกลีบดอกไม้หวังให้ช้ำคามือตามความตั้งใจแรกเริ่ม


เด็กหนุ่มหวีดร้องจนลืมอายกับความเสียวกระสันที่อีกคนมอบให้ ยิ่งบทรักในครั้งนี้ต่างคนต่างก็ได้เห็นกันและกันชัดเจนอารมณ์ที่ควรพุ่งก็ยิ่งพุ่งจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป สองมือปัดป่ายหาหลักยึดจับ ศีรษะโยกคลอนตามจังหวะที่โหมกระหน่ำเข้ามาราวพายุคลั่งพัดพาเอามวลไม้เอนไหวไปตามแรงลมไม่จบสิ้น เหงื่อกาฬไหลซึมแม้อากาศในค่ำคืนจะหนาวเย็น ทว่าอากาศรอบกายตอนนี้มันระอุคละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของกามารมณ์ก่อเกิดแรงปรารถนาจุดกระพือไม่จบสิ้น


“อะ อื้อ...”


เป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากถูกช่วงชิงดูดเอาเสียงร่ำร้องหายลงไปในลำคอ ได้แต่จิกเล็บครูดไปตามแผ่นหลังกว้างอุดมกล้ามเนื้อของคนกระทำต่างระบายความเสียวซ่าน บทรักในครั้งนี้มันช่างแตกต่างจากที่ผ่านมาเหลือแสน เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก เป็นครั้งแรกกับการได้พินิจใบหน้าคมคร้ามใกล้ถึงเพียงนี้ แต่มันก็ทำได้ไม่นานเนื่องจากไม่อาจต้านทานดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของคนตัวสูง สุดท้ายก็ได้แต่เบี่ยงใบหน้าฝังลงกับหมอน รู้สึกปั่นป่วนมวลอยู่ในท้องสุดจะบรรยายยามเมื่อทุกห้วงอารมณ์ดีดทะยานสู่จุดสูงสุด อีกคนส่งแรงกระแทกเข้ามาย้ำๆ อีกสองสามครั้งแล้วนิ่งไป


เป็นช่วงสามวินาทีที่ซินเธียรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ


เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง


“โอ๊ย!”


จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดพุ่งขึ้นสู่แกนสมองสั่งให้ร่างขยับขืนตัวออกโดยอัตโนมัติซึ่งนอกจากจะขยับออกไม่ได้แล้วความเจ็บกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ต่อมาร่างกายรู้สึกได้ถึงธารสายอุ่นกำลังหลั่งไหลอยู่ภายในจำนวนมาก เด็กหนุ่มนิ่วหน้าทั้งเจ็บทั้งสับสนเขาเงยหน้าขึ้นมองคนด้านบนก็เห็นว่าทางแอชลีย์เองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย


ซินเธียกลืนน้ำลาย สบตาคนด้านบนเอ่ยถามน้ำเสียงติดแหบคล้ายไม่แน่ใจทั้งที่ในใจก็มีคำตอบนั้นอยู่แล้ว ลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้คนทั้งสองยังคงอยู่ในท่วงท่าน่าอาย


“แอชลีย์”


“…” ชายหนุ่มกระพริบตา มองกลับมาหน้าซื่อ


“นี่คุณ คุณน็อทเหรอ!?”


“โทษทีนะ”


ชายหนุ่มตอบใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เป็นสถานการณ์ชวนกระอักกระอวนเอามาก เขาไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว หรือกระทั่งควรต้องแสดงสีหน้าแบบไหน


ตั้งแต่มีสัมพันธ์กันมาตลอดช่วงฮีท นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดการน็อทขึ้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบากใจไม่ว่าจะฝ่ายไหน เพราะมันสร้างความเจ็บให้แก่ทั้งสองฝ่ายดูจากสีหน้าอดกลั้นของเจ้าตัวแล้วก็พอเดาได้


ไหนว่าจะต่างคนต่างอยู่ไง แต่นี่มัน...


เป็นนานที่ความเงียบกลืนกินบรรยากาศรอบกาย เขาเห็นแอชลีย์หลับตาลงขบกรามแน่นจนเห็นเป็นรอยนูนออกมาก่อนวินาทีถัดไปชายหนุ่มจะรวบตัวเขาไว้แล้วพลิกสลับให้ตัวเองเป็นฝ่ายอยู่ด้านล่างแทนส่วนซินเธียนอนทับอยู่บนกายของเจ้าตัว


การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำเอาใบหน้าของซินเธียเหยเกไม่น้อย


“อยู่แบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน” แอชลีย์กล่าวพักมือข้างหนึ่งไว้บนเนินสะโพกกลมขยับปลายนิ้วม้วนเส้นผมสีจินเจอร์เล่นฆ่าเวลา


“คนแดนใต้เป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่า” คำถามนี้คงจะหมายถึงสีผม เดาจากความเพลิดเพลินในการม้วนเล่นไปมา


“ส่วนใหญ่ครับ อาจจะมีสีน้ำตาลหรือดำบ้าง”


เชื่อว่าสำหรับกลุ่มคนแถบเขตทางเหนือการมีสีผมโทนแดงแบบนี้คงดูแปลกประหลาดไม่น้อยกลับกันหากมีพวกหัวขาวหัวทองหลุดเข้าไปในธอร์นมันก็คงน่าประหลาดเช่นเดียวกัน


“ว่าแต่พวกเราต้อง... เอ่อ อยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่หรือครับ”


ในระหว่างนี้ก็ซบใบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างหลบเลี่ยงการสบสายตาสุดฤทธิ์


การสลับตำแหน่งแบบนี้ซินเธียรู้สึกสบายตัวกว่าตอนแรก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะอยู่ในท่วงท่าน่าอับอายแบบนี้นานๆ


“อีกสักพักใหญ่ๆ”


เด็กหนุ่มเงียบไป อีกคนเองก็ไม่ได้คิดยื้อบทสนทนาให้ยืดยาว ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้หากเขาจะหยุดใช้มือของตนเองป้วนเปี้ยนบริเวณสะโพกนั่นเสียที


ซินเธียลอบถอนหายใจ สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เขานึกกังวลใจในบางเรื่อง


ถ้าหาก ถ้าหากว่า...


“นี่... แอชลีย์” เอ่ยเรียกอีกคนเสียงค่อย


“หืม?”


“คุณ” เขาเว้นจังหวะ เม้มริมฝีปากครุ่นคิดให้ละเอียดอีกนิดก่อนเอ่ยคำถาม ทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้เกรงกลัวต่อคำตอบ “คุณคิดอย่างไรกับคำว่าครอบครัวหรือครับ”


“หมายถึงตระกูลคิมน่ะเหรอ”


“เปล่า” ซินเธียส่ายศีรษะบนแผ่นอกของอีกคน “หมายถึงคุณ แค่ของคุณ”


คนถูกถามเงียบไปคล้ายกำลังขบคิดถึงคำตอบ


“ไม่ได้แสวงหา แต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยง”


หมายความว่าเขาไม่ได้รังเกียจสินะ


“เมื่อถึงเวลาที่ต้องมี มันก็ต้องมี”


“แล้วตอนนี้เราล่ะ เป็นครอบครัวของคุณหรือเปล่า”


ไม่รู้ว่าจู่ๆ ความกล้ามาจากไหนมากมาย แต่อยากจะรู้มากจริงๆ อยากจะรู้ว่าสำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งใดในสายตาของชายผู้แสนเย็นชาคนนี้ หัวใจเต้นระรัวยามเฝ้ารอคำตอบ เนิ่นนานในความคิดทว่าในความเป็นจริงแล้วมันเป็นระยะเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้นกับคำตอบของคำถาม


และเป็นคำตอบที่ทำให้เด็กหนุ่มปล่อยวางความหนักอึ้งภายในใจลง


“เป็นสิ”


“อื้ม”


ดวงตาสองคู่เลื่อนปิดลงอย่างเหนื่อยล้าให้แหวนบนนิ้วมือที่วางแนบอยู่ใกล้ใบหน้าเป็นจุดสุดท้ายของสายตา คลายความกดเกร็งวางร่างกายลงบนร่างสูงใหญ่ปล่อยให้สติค่อยๆ ดับลงทีละน้อย


วิ่งวุ่นเตรียมตัวกันมาตั้งแต่เช้าเพื่องานวิวาห์จนตอนนี้ก็ผ่านมาค่อนคืนจนล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว


วันนี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ




TBC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด