ตอนที่ ๖
๕๐%
ในที่สุดก็ถึงวันเดินทางของคุณเล็ก บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมของขึ้นเรือยนต์ คุณเล็กแต่งตัวด้วยชุดสูทพร้อมเดินทาง แม้จะเพิ่งอายุ 17 ปี หากแต่ก็สูงโปร่งผึ่งผายสมกับที่ชอบออกกำลังกาย เด็กหนุ่มรับประทานข้าวเช้าร่วมกับสมาชิกในครอบครัว คุณหญิงผกามองลูกชายที่เติบใหญ่ด้วยหัวใจที่หน่วงหนักอย่างบอกไม่ถูก เพราะเป็นลูกชายคนเล็กก็อยากเก็บไว้ใกล้ตัวหากเป็นลูกหลานเจ้าพระยาเรือนอื่นก็คงไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เก้าขวบสิบขวบแล้ว เจ้าคุณสรอรรถก็บ่นคุณหญิงผกาออกบ่อยครั้ง
“เก็บลูกไว้กับอกจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร” ยืดเยื้อกันนานถึงเจ็ดปีจนคุณเลิกเติบใหญ่เป็นหนุ่มนั่นแหละคุณหญิงผกาจึงจำต้องตัดใจส่งลูกคนเล็กออกห่างอก ด้วยมองเห็นถึงความเจริญก้าวหน้าที่ลูกชายควรได้รับ
“พ่อใหญ่ก็ไปนานเป็นสิบๆ ปีอิฉันก็ต้องหวงลูกเล็กไว้เป็นธรรมดาสิเจ้าคะคุณพี่”
“คุณพี่ไปเรียนที่นู่นอย่าลืมซื้อของเล่นกลับมาฝากน้อยนะคะ” คุณน้อยน้องคนเล็กวัยสิบสองปีเท่าหนูแสนเอ่ยบอกผู้เป็นพี่ด้วยดวงตาใสแจ๋ว
“แม่น้อย กว่าคุณพี่จะกลับมาเธอก็คงโตเป็นสาวจนไม่อยากเล่นของเล่นเสียแล้วกระมัง” คุณชื่นเอ่ยบอกกับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ เจ้าคุณสรอรรถจ้องหน้าลูกชายคนโปรดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังจนสมาชิกคนอื่นๆ ต้องเงียบเสียงเพื่อตั้งใจฟัง
“เล็ก พ่อขอสอนเจ้า จงจำและปฏิบัติตาม ไปอยู่ทางนู้นไกลบ้านไกลพ่อไกลแม่ลูกจงเชื่อฟังเจ้าพระยาสุรเดชให้มาก เขาจะคอยดูแลนักเรียนที่นู่น อย่าสร้างปัญหาให้พ่อแม่หนักใจเพราะถ้ามีอะไรขึ้นมาพ่อแม่ไปช่วยเจ้าไม่ได้ เงินทองใช้แต่พอควร อย่าอวดร่ำอวดรวยอย่าถือตนว่าเป็นลูกเจ้าพระยาแล้วใช้เงินมือเติบ อย่าทำตัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้านายพระองค์อื่นๆ จงเคารพนอบน้อมพูดให้น้อยคิดให้มากเข้าใจที่พ่อสอนหรือไม่?”
“ขอรับเจ้าคุณพ่อ ลูกจะจดจำคำสั่งสอนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจะไม่ทำให้เจ้าคุณพ่อและคุณแม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจแน่นอนครับ”
“เช่นนั้นก็ดี พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่รอรับทางนู้นแล้ว จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าซักครึ่งปีแล้วจะกลับ ช่วงที่ยังไม่เปิดเทอมเขาจะพาเจ้าไปเที่ยวเสียก่อน ได้เวลาแล้ว ลาพี่น้องแล้วตามพ่อไปที่เรือ” เจ้าคุณสรอรรถลุกขึ้นแล้วเดินนำคุณหญิงผกาลงเรือนไป คุณเล็กหันไปไหว้ลาคุณชื่นและคุณมณี ล่ำลาพี่น้องคนอื่นๆ แล้วจึงเดินลงเรือนตรงไปท่าน้ำที่มีเรือยนต์ติดเครื่องรอพร้อมแล้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเส้นทางเล็กๆ ที่ใช้มาตลอดสิบกว่าปี
ไร้เงาเจ้าน้องน้อย หนูแสนไม่มาส่งเขาจริงดังที่พูด
“อย่ามัวช้าร่ำไรตาเล็กเดี๋ยวจะสาย” คุณหญิงผการ้องเรียกลูกคุณเล็กจึงได้ตัดใจเดินลงไปนั่งบนเรือ เรือยนต์ค่อยๆ เคลื่อนออกจากท่าจนกระทั่งผ่านท่าน้ำบ้านหนูแสน คุณเล็กหัวใจฟูฟ่องเมื่อเจ้าตัวน้อยยืนรออยู่ที่ท่าน้ำ ใบหน้าที่เคยระบายรอยยิ้มบัดหน้าเศร้าหมองจนน่าสงสาร นายมีนั่งอยู่ไม่ไกลเพื่อดูแลผู้เป็นนาย มือเล็กยกขึ้นแล้วโบกไหวกล่าวลาน้ำตาค่อยๆ ไหลลงบนสองแก้มตึงเอื้อนเอ่ยคำลาโดยไร้เสียง ลิขิตเหมือนทำหัวใจหล่นลงไปในน้ำ
“นั่นหนูแสน ดูเถอะออกมารอส่งพี่ น่าสงสารจริงต่อจากนี้ก็ไม่มีเพื่อนเล่นซนแล้ว” คุณหญิงผกาพูดออกมาอย่างเอ็นดู เรือค่อยๆ แล่นผ่านไปพร้อมกับร่างของหนูแสนที่ตัดสินใจวิ่งตามเรือ คุณเล็กได้ยินเสียงร้องไห้โฮของเด็กน้อยก็หันกลับไปดู เจ้าตัวขาววิ่งตามพลางโบกมือ น้ำเสียงสะอึกสะอื้นดังให้ได้ยินแว่วๆ
“อย่าไปนานนะคะคุณเล็ก...ฮึก...รีบๆ กลับมานะ หนูแสนคิดถึง” คุณเล็กที่ทนนั่งนิ่งอยู่นานก็ถลาไปนั่งข้างกราบเรือป้องปากตะโกนเด็กตัวขาวบนฝั่งที่วิ่งตามมาไม่ลดละ
“หนูแสน อย่าวิ่งเดี๋ยวล้มจะเจ็บตัวเอานะคะ คุณเล็กจะรีบไปรีบกลับ ดูแลตัวเองด้วยอย่าให้คุณเล็กต้องเป็นห่วง”
“หนูแสนจะรอ จะรอคุณเล็กนะคะ ลาก่อน” เจ้าตัวน้อยป้องปากตะโกนบอกยามเรือยนต์พ้นโค้งน้ำหนูแสนก็ทรุดตัวลงร้องไห้โฮสะอึกสะอื้น นายมีนั่งมองเจ้านายตัวน้อยร้องไห้แล้วก็ให้นึกเอ็นดูสงสาร
เด็กหนอเด็ก
ปล่อยให้หนูแสนนั่งสะอึกสะอื้นจนแก้มแดงตาบวมใช้ชายเสื้อตัวเองเช็ดน้ำหูน้ำตานายมีจึงอุ้มเจ้านายตัวน้อยให้หนูแสนซบหน้ากับเสื้อเก่าๆ โดยไม่สนว่าน้ำมูกน้ำตาจะยืดเปรอะพากลับเรือน
“จะร้องห่มร้องไห้พิรี้พิไรไปทำไม” คุณสนเอ็ดน้องเสียงดุที่สะอื้นฮักจนตัวโยน คุณพะยอมส่งค้อนให้ลูกสาวก่อนจะคว้าตัวหนูแสนมากอดปลอบ
“แม่สนจะมาดุน้องให้ได้อะไร น้องเสียใจอยู่ ตั้งแต่เกิดก็มีแค่คุณเล็กเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียว เขาไปไกลก็ใจหายเป็นธรรมดา”
“ไม่มีเพื่อนสนก็ไม่เห็นจะตายเลยนี่คะ สนยังอยู่มาได้เลย ไม่มีใครเลยด้วยซ้ำ เลิกร้องไห้ร่ำไรเสียทีเถอะหนูแสน ฉันรำคาญปะเดี๋ยวก็ฟาดเข้าให้หรอก” คุณสนวางสะดึงปักผ้าลงบนตักแล้วเอ็ดน้องเสียงเขียว
“เอ๊ะ คุณสนนี่ก็ขวางจริงเชียวเจ้าค่ะน้องรึกำลังเสียใจแทนที่จะพูดกับเธอดีๆ ไปค่ะคุณแสนเดี่ยวยายแช่มพาอาบน้ำนะคะ นอนหลับซักตื่นบ่ายๆ จะทำขนมให้กินนะเจ้าคะ อย่าไปฟังคุณพี่พูดเลยเจ้าค่ะ” ยายแช่มทำตาคว่ำใส่คุณสนอย่างไม่ชอบใจก่อนจะฉวยข้อมือเล็กๆ ของเจ้านายตัวน้อยพาขึ้นชั้นบนหนีคุณพี่เสียด้วยรำคาญใจที่คุณสนไม่เห็นใจน้อง
“ดูรึคนเราน้องมาขลุกมาช่วยหยิบจับข้าวของตั้งหลายวันแทนที่จะปลอบน้องกลับมาเย้ยใส่” ยายแช่มยังไม่วายเลิกบ่นแม้จะพาหนูแสนขึ้นมาบนห้องแล้วก็ตามที
“ยายอย่าว่าคุณพี่เลย หนูแสนขี้แยเองค่ะ”
“โถ...ยังจะปกป้องเขาอีก ไปอาบน้ำอาบท่านะเจ้าคะเดี๋ยวยายเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้”
“หนูแสนคิดถึงคุณเล็ก” น้ำเสียงเล็กเจือสะอื้นร้องบอก รับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่อบร่ำเสียหอมกรุ่นมาไว้ในมือ ยายแช่มมองอย่างสงสาร
“ยายรู้เจ้าค่ะ แต่คนเราต้องมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง คุณหนูเองหลังจากนี้เมื่อโตขึ้นก็จะมีหน้าที่มากกว่าวิ่งเล่นในครัวเหมือนกัน บ่าวเชื่อนะเจ้าคะว่าคุณเล็กเธอรักษาสัจจะ ไม่นานปีก็จะกลับมาคงไม่ไปนานเหมือนคุณใหญ่หรอกเจ้าค่ะ ไม่รู้กลับมาคราวนี้จะเอาเมียแหม่มมาฝากท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงมั้ย”
“เมียเหรอจ๊ะยายแช่ม แล้วอย่างนี้ถ้าคุณเล็กกลับมาจะพาเมียแหม่มกลับมาด้วยหรือเปล่า” หนูแสนถามอย่างใจเสีย
ถ้าคุณเล็กพาเมียแหม่มกลับมาคุณเล็กก็จะไม่มีเวลาให้หนูแสนเหมือนที่ผ่านมาแน่ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นหนูแสนก็ไม่อยากให้คุณเล็กมีเมียหรอก หนูแสนหวงไม่อยากให้คุณเล็กไปให้ความสำคัญกับใครมากกว่าหนูแสน
“อันนี้ยายก็ไม่รู้สิเจ้าคะ อย่าสนใจคนแก่เลยเจ้าค่ะรีบๆ ไปอาบน้ำแล้วมานอนพักเถอะเดี๋ยวยายจะลงไปช่วยคุณแม่ทำขนมแล้ว”
“มาแล้วรึพ่อตัวดี เลิกเป่าปี่ได้แล้วหรือไงเรา” คุณสนเอ่ยทักน้องชายที่ลงมาจากด้านบน อีเฟื้องรีบถอยฉากออกไปนั่งอยู่มุมประตูยามที่หนูแสนเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ ผู้เป็นพี่สาว
“มาแล้วค่ะ คุณพี่สนมีอะไรจะเรียกใช้หนูแสนหรือคะ?” คุณสนเหลือบมองไปทางอีเฟื้อง
“อีเฟื้อง มึงไปที่โรงครัวไปถามหาของว่างบอกว่าคุณแสนตื่นนอนแล้วแล้วอยู่รอสำรับด้วยตัวเอง”
“เจ้าค่ะ” อีเฟื้องถอยออกไปอย่างว่าง่ายเมื่อเห็นว่าบ่าวคนสนิทลับตาไปแล้วคุณสนจึงได้ออกปากพูดสิ่งที่คิดไว้ในใจมานานแล้วกับน้องชาย
“พี่มีอะไรจะไหว้วานเธออย่างหนึ่งเธอช่วยพี่หน่อยได้หรือไม่?”
“อะไรเหรอคะ จะให้หนูแสนช่วยอะไรคะ?”
“พี่อยากให้เธอช่วยพูดกับคุณเตี่ยให้หน่อย พี่จะไม่อ้อมค้อมหรือพูดยืดเยื้อแล้วกันนะ เธอช่วยขอคุณเตี่ยให้พี่ทีว่าให้ช่วยเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าให้พี่หน่อย พี่อยากทำร้านแต่ไม่มีสถานที่”
“แต่...” หนูแสนเกิดความลังเลด้วยคิดว่าการขอในสิ่งที่คุณสนต้องการนั้นก็เหมือนกับที่หนูแสนขอของเล่นแพงๆ อีกอย่างเรื่องร้านตัดเสื้อนี้เป็นเรื่องของคุณสนดังนั้นคุณสนจึงควรที่จะเป็นคนเอ่ยปากขอเองเสียมากกว่า
“แต่อะไร? ทำไมหรือ เรื่องแค่นี้เธอก็ช่วยพี่ไม่ได้รึ? ทีตอนเธอต้องการความช่วยเหลือพี่ยังช่วยไม่อิดออด ถึงคราวพี่ต้องขอให้เธอช่วยบ้างเธอจะไม่มีน้ำใจให้พี่ซักนิดเชียวรึ?” คุณสนจับแขนเล็กของน้องบีบจนหนูแสนเจ็บ ดวงตาของคนเป็นพี่จ้องมาอย่างน่ากลัว
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...ก็ได้ค่ะ หนูแสนจะลองพูดให้ แต่หนูแสนไม่รับปากนะคะว่าคุณตี่ยจะอนุญาตมั้ย” ที่สุดเพราะกลัวคุณพี่จะโกรธหนูแสนจึงจำต้องรับปาก คุณสนถึงยอมปล่อยแขนเล็กๆ ของน้อง
“ขอแค่เธอช่วยพูด ยังไงคุณเตี่ยก็ยอม เธอมันลูกรักนี่” คุณสนตั้งความหวังเอาไว้สูงมากและมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ผิดหวัง
หากแต่ไม่เป็นดังที่คิดไว้ เพราะหลังจากรับประทานอาหารเย็น หนูแสนที่จดๆ จ้องๆ รอจังหวะอยู่นานก็เดินตามผู้เป็นบิดาเข้าไปในห้องทำงาน เพียงไม่นานเสียงร้องเรียกหาคุณสนก็ดังลั่นบ้านจนบ่าวไพร่รวมไปถึงคุณพะยอมและคุณเสนที่นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นถึงกับตกใจ
“แม่สน เข้ามาหาเตี่ยเดี๋ยวนี้” คุณสนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อหาได้มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวแม้แต่นิด เรือนกายระหงยืดตรงลำคอตั้งตรงและไม่คิดจะหลบตาผู้เป็นพ่อแม้แต่น้อย ทั้งหยิ่งและทะนงตนเป็นที่สุด ในนั้นหนูแสนยืนตัวลีบอยู่หน้าโต๊ะโดยที่เจ้าสัวเซ็งยืนเอามือไขว้หลังมองอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“หล่อนคิดว่าการใช้ให้น้องเข้ามาเป็นใบเบิกทางแล้วเตี่ยจะยอมอนุญาตอย่างนั้นรึ”
“แล้วไม่ได้หรือคะ?” คุณสนย้อนถามอย่างไม่เกรงกลัว
“มันเป็นความต้องการของหล่อนเหตุใดจึงไม่เข้ามาพูดกับเตี่ยเอง ใช้น้องเข้ามาพูดทำไม?”
“แล้วถ้าสนพูดเองคุณเตี่ยจะอนุญาตหรือเปล่าล่ะคะ”
“ไม่ให้ เป็นหญิงผู้ดีอยู่กับเหย้ากับเรือนน่ะดีแล้วจะต้องออกไปตากหน้าเป็นขี้ข้าคนอื่นเขาหาสมควรไม่” เจ้าสัวเช็งปฏิเสธเสียงแข็ง คุณสนที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นเช่นไรถึงกับแค่นยิ้ม
“สนก็ทราบอยู่แล้วว่าคุณเตี่ยจะต้องไม่ให้ ทำไมหรือคะ? เหตุผลเพียงเพราะสนเป็นลูกผู้ดีแค่นั้นหรือคะ ตัดที่เป็นหลานสาวเจ้าพระยาเป็นลูกสาวนางข้าหลวงในวัง สนก็แค่ลูกพ่อค้าธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเองนะคะคุณเตี่ย ไม่ได้สูงส่งกว่าใครเขาเลย” คำพูดของคุณสนนั้นไปสะกิดแผลในใจของเจ้าสัวเช็งอย่างหนัก ด้วยในใจคิดมาเสมอว่าตนนั้นต่ำต้อยไม่คู่ควรกับคุณพะยอมเสมอมา
“หล่อนกำลังดูถูกเตี่ยอยู่นะ”
“สนไม่ได้ดูถูกคุณเตี่ยเลยซักนิดค่ะ สนเคารพและชื่นชมคุณเตี่ยเสมอ แต่สนก็อยากเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง สนไม่ถือว่าการเปิดร้านตัดเย็บจะเสื่อมเกียรติตรงไหน เจ้าคุณตาเองก็สนับสนุนสน ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะคะคุณเตี่ย ผู้หญิงทำงานนอกบ้านได้ เดี๋ยวนี้พวกชนชั้นสูงมีกำลังจ่ายเยอะๆ ตัดชุดใหม่ใส่ประกวดประขันกันให้เกร่อ สนมีความรู้ความสามารถตรงนี้สนก็อยากใช้มันให้เกิดประโยชน์”
“ไม่ต้องมาอ้างนู่นอ้างนี่ ไม่ให้ก็คือไม่ให้ เห็นทำดีกับน้องนึกว่าจะรักจะเอ็นดูน้องที่ไหนได้หลอกใช้เด็ก หล่อนนี่มันร้ายเหลือเกินแม่สน ขอให้เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่จะเอาเปรียบน้องแบบนี้นะ เตี่ยรับไม่ได้จริงๆ ออกไปได้แล้ว เตี่ยจะทำงาน” เจ้าสัวเช็งปฏิเสธหนักแน่นอีกครั้ง คุณสนจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ สองมือค่อยๆ กำจนแน่น หล่อนผิดหวัง
อุตส่าห์ทำดีกับหนูแสน ตัดชุดสูทให้ทั้งเจ้าสัวเช็งและคุณเสนเพื่อให้ผู้เป็นพ่อมองเห็นความสามารถของตน แต่สิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันสูญเปล่าไม่มีค่าอะไรเลยซักนิด ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตนนั้นกลั่นออกมาเป็นน้ำตาและตามด้วยคำพูดร้ายๆ อย่างคนคุมสติของตนเองไม่ได้
“สนไม่ได้ขออะไรไร้สาระเลยซักนิดทำไมคุณเตี่ยไม่ให้ ถึงสนจะเป็นผู้หญิงแล้วสนไม่ใช่ลูกของคุณเตี่ยหรือไงคะ ทำไมจะขออะไรแต่ละอย่างมันช่างยากเย็นนัก ถ้าสนไม่ใช่ลูกรัก ถ้าเกลียดชังสนนักทำไมไม่เอาขี้เถ้ายัดปากให้สนตายๆ ไปเลยล่ะคะ ปล่อยให้สนมีชีวิตอยู่เพื่อผิดหวังและเสียความรู้สึกกับความลำเอียงทำไม!! คุณเตี่ยลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน!!” คุณสนแผดเสียงใส่ผู้เป็นพ่อแล้วจึงหันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป หนูแสนกลัวจนตัวสั่น ทั้งคุณสนและท่านเจ้าสัวยามนี้น่ากลัวนัก เด็กน้อยค่อยๆ ถอยออกจากห้องทำงานอย่างเงียบเชียบทันได้เห็นคุณสนถีบนังเฟื้องเสียจนหงายหลังแล้วเดินลงส้นปึงปันขึ้นชั้นบนโดยมีคุณพะยอมเดินตามไปติดๆ
“ปล่อยให้คุณแม่คุยกับแม่สนเถอะ หนูแสนขึ้นไปนอนไปเดี๋ยวพี่คุยกับคุณเตี่ยเอง” คุณเสนวางหนังสือพิมพ์ที่อ่านลงแล้วเดินมาโคลงศีรษะเจ้าน้องน้อยเล่นเบาๆ หนูแสนยอมทำตามอย่างว่าง่าย ถ้าคุณพี่เสนออกปากยังไงเสียคุณเตี่ยก็จะรับฟัง เมื่อผู้เป็นพี่ชายคนโตหายเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ หนูแสนจึงกลับขึ้นไปยังห้องนอนตัวเอง เมื่อผ่านห้องคุณสนก็ได้ยินเสียงข้าวของตกกระทบพื้นเสียงร้องไห้โวยวายสลับกับเสียงปลอบของคุณพะยอม เด็กน้อยค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าให้เบาเงียบเชียวราวกับขนนกที่ตกกระทบพื้น
หากตอนนี้คุณเล็กอยู่ด้วยก็คงจะดี ถึงจะช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้แต่ถ้าคุณเล็กอยู่อย่างน้อยคุณเล็กก็จะช่วยปลอบใจหนูแสนให้คลายกังวลได้ มือเล็กกุมนาฬิกาที่คุณเล็กสวมใส่คอให้ราวกับจะใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจของตัวเองให้เข้มแข็ง
คิดถึง...คิดถึงคุณเล็กเหลือเกิน...
...............................
ช่วงนี้ลมจะแรงๆหน่อยต้นสนเลยลู่จนแทบหัก
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ นักเขียนได้รับพลังจากเรื่องนี้พอสมควรเลยค่ะเข้ามาอ่านเม้นท์ทุกวันก็มีทุกวันปลื้มใจมาก หากใครเล่นทวิตเตอร์สามารถพูดคุยผ่านแท็ก #แสนคำนึงได้นะคะ