พิมพ์หน้านี้ - แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: thanatcha ที่ 17-05-2019 19:10:54

หัวข้อ: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-05-2019 19:10:54
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period)
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-05-2019 19:23:51







แสนคำนึง


"คุณเล็กไม่ไปได้ไหมครับ"
"คุณเล็กไปเรียนเดี๋ยวเดียวก็กลับ แสนอยู่ทางนี้เป็นเด็กดีได้ไหมครับ?"
"แสนจะเป็นเด็กดี จะรอคุณเล็กกลับมาครับ...ว่าแต่เมืองฝรั่งไกลมากไหมครับแสนพายเรือไปหาคุณเล็กได้หรือเปล่า?"




......................................................................................


แวะมาเปิดเรื่องใหม่หลังจากพี่เล้งกับอีตัวดีจบแล้ว

หวังว่าคุณเล็กกับหนูแสนจะเข้าไปอยู่ในหัวใจของแม่ๆได้นะเจ้าคะ

เรื่องนี้เราเริ่มเรื่องตั้งแต่ยุคต้นรัชกาลที่ 6 เราจะพยายามทำการบ้านให้ดีที่สุดหากมีตรงจุดใดที่หละหลวมหรือติดขัดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

สัญญาว่าจะทำการบ้านให้ดีๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period)
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-05-2019 19:26:05

"ต้นกำเนิดของหนูแสน"







     ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๓๘


     
ริมคลองบางหลวง...

     "เอ้าพวกเอ็งเร็วเข้า น้ำร้อนเตรียมให้พร้อม อีจวงไปต้มน้ำเพิ่ม หมอตำแยมาหรือยัง นังพวกนี้ทำอะไรชักช้าจริง"หญิงชราร่างท้วมยืนสั่งการบรรดาบ่าวไพร่ที่วิ่งวุ่นตั้งแต่รุ่งสาง ภายในห้องปรากฏร่างของสตรีท้องแก่จวนคลอดกำลังจับผ้าที่โยงลงมาจากขื่อ ตามไรผมมีหยาดเหงื่อผุดซึมจนไหลเรี่ยลงมาตามลำคอระหง หัวคิ้วขมวดมุ่น กัดริมฝีปากข่มความเจ็บที่กำลังจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆถือกำเนิด

     "ยายแช่มคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง" เด็กชายอายุ 13 ปีเริ่มแตกหนุ่มเดินนำเด็กหญิงวัย 10 ปีเข้ามาถามอย่างร้อนใจ เด็กหนุ่มหน้าตาผิวพรรณหมดจรดเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าสัวเช็งพ่อค้าใหญ่จากเมืองจีนที่มาตั้งรกรากทำมาค้าขายกับสยามตั้งแต่รุ่นปู่มีนามชื่อว่าคุณเสนเอ่ยถามยายแช่มที่วิ่งวุ่นไม่ได้หยุดตั้งแต่นายหญิงของบ้านน้ำคร่ำเดิน

     "โอ้ย  คุณเสนเจ้าขาพาคุณสนหลบไปก่อนนะเจ้าคะ บ่าวไพร่วิ่งวุ่นประเดี๋ยวมันไม่ระวังชนคุณๆทั้งสองจะเจ็บเนื้อเจ็บตัวเสียเปล่า บ่าวให้นังเยื้อนเตรียมสำรับให้ที่ห้องอาหารแล้วพาคุณสนไปทานข้าวก่อนเถอะเจ้าค่ะ"

     "นั่นสิพี่เสนไม่เห็นว่าจะต้องมารอเลยคุณแม่แค่คลอดลูก"เด็กหญิงผู้มีเค้าหน้าและผิวพรรณไม่ต่างจากพี่ชายนักพูดต่อบ่าวคนสนิทของผู้เป็นมารดาอย่างไม่เห็นสำคัญนัก ยายแช่มมองเด็กหญิงที่เดินกระทืบเท้าปึงปังออกไปอย่างระอาใจ

ด้วยตั้งแต่น้อยจนเติบใหญ่ก็เป็นลูกชังมาตลอดเพราะตั้งแต่คุณสนเกิดกิจการของครอบครัวก็ซบเซาจนคุณพยอมผู้เป็นมารดาต้องขนเอาเครื่องเพชรเครื่องทองที่เก็บหอมรอบริบมาตั้งแต่แต่งเข้าสกุลเช็งออกขายบรรดาเจ้านายฝ่ายในที่สะสมของล้ำค่าไปเสียเยอะจนแทบหมดกำปั่นคงเหลือไว้เพียงชิ้นสำคัญที่หักใจขายไม่ได้ ยามไปงานบุญหรืองานที่ได้รับเชิญกับเรือนใดคุณพยอมอับอายนักที่ต้องใส่เครื่องประดับชิ้นเก่าให้บรรดาคุณหญิงและนางข้าหลวงฝ่ายในที่เคยคุ้นกันแอบเอาไปนินทาว่าแต่งตัวไม่สมกับเคยเป็นนางกำนัลในวังมาก่อน ดังนั้นเด็กหญิงสนจึงถูกพูดว่าเป็นตัวล่องจุ๊นเกิดมาทำความล่มจมให้กับบ้าน อาก๋งอาม่าต่างไม่รักเจ้าสัวเช็งเองก็ไม่เล่นกับลูกสาวเหมือนที่เลี้ยงดูอุ้มชูคุณเสนลูกชายคนโต เจ้าสัวเช็งพยายามประคับประคองกิจการห้างฝรั่งที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปลายรัชกาลก่อนให้ยังคงเลี้ยงตัวเองได้นานนับสิบปีจนกระทั่งคุณพยอมท้องลูกคนที่สามซึ่งเป็นลูกหลงห่างจากพี่ๆนับสิบปี

เจ้าสัวเช็งและอาก๋งอาม่ารักลูกคนเล็กนี้นักเพราะพอคุณพยอมตั้งท้องกิจการที่เคยซบเซากลับค่อยๆฟื้นตัวจนกระทั่งตอนนี้กิจการดีวันดีคืนด้วยเจ้าสัวเช็งรับของจากเมืองจีนและต่างประเทศมาขายที่ห้าง สยามเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์พลอยทำให้ฐานะของบ้านดีขึ้นตามลำดับ แม้แต่วันคลอดของลูกชายคนเล็กเจ้าสัวเช็งก็ยังไม่กลับจากเมืองจีน

ตกสายเสียงคุณพยอมก็ร้องดังขึ้นจนลั่นเรือนพร้อมเสียงโหวกเหวกของยายแช่มที่ดังแข่งกับหมอตำแย

     "คลอดแล้ว เด็กผู้ชายน่าเกลียดน่าชังดีแท้ๆเลยเจ้าค่ะ"

     "คุณจะให้คุณหนูชื่ออะไรดีเจ้าคะ ตัวขาวน่าชังดีแท้ๆเลยเจ้าค่ะ"

     "แสน...ท่านเจ้าสัวบอกว่าถ้าเป็นลูกชายให้ชื่อแสน แสนรักของพ่อและแม่"




........................................................

ติดแท็กในทวิตเตอร์ได้นะคะ จะรออ่าน  #แสนคำนึง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ปฐมบท "ต้นกำเนิดของหนูแสน"
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 17-05-2019 19:56:15
น้องแสน~
แค่ชื่อก็น่าเอ็นดูแล้ว
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ปฐมบท "ต้นกำเนิดของหนูแสน"
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-05-2019 22:42:58
 :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ปฐมบท "ต้นกำเนิดของหนูแสน"
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 19-05-2019 15:50:23
ตอนที่ ๑





          บ้านของเจ้าสัวเช็งเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้หลังใหญ่ตั้งอยู่ริมคลองบางหลวงมีพื้นที่รอบตัวบ้านนับสิบไร่ ตึกแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นล่างเป็นปูนตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้ฝังมุกตามความชอบของคนจีนที่มีฐานะร่ำรวยสมัยนั้น ด้านล่างมีห้องนอนใหญ่สองห้องที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เนื่องจากเตี่ยกับม้าของเจ้าสัวเซ็งมีอายุมากแล้วไม่สามารถขึ้นลงบันไดได้อีก สวนชั้นสองถูกจัดให้เป็นพิ้นที่ส่วนตัวของเจ้าสัวและคุณพยอมภรรยา ชั้นสามถูกจัดเป็นห้องนอนของลูกๆ เจ้าสัวเช็งในวัยห้าสิบปีรักภรรยามากเนื่องจากถือว่าตนเองก็แค่พ่อค้าที่มักถูกมองว่าเป็นเจ๊กต่ำต้อยแต่กลับได้คุณพยอมที่เป็นลูกสาวขุนนางของสยามเป็นภรรยา ซ้ำยังเคยเป็นนางข้าหลวงในวังมาก่อน กริยาวาจาหมดจรดเรียบร้อย นุ่มนวลและสุภาพ ไม่เคยวางตัวเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนชาววังหลายๆคน เจ้าสัวเช็งเจอกับคุณพยอมตอนที่นำตลับหมากที่แกะสลักจากงาช้างไปมอบให้เนื่องจากเสด็จพระองค์หญิงเจ้านายของคุณพยอมทรงโปรดปรานดังนั้นคุณพยอมจึงเป็นธุระจัดหาให้ แม้จะอายุค่อนข้างมากแล้วในตอนนั้นแถมเป็นพ่อหม้ายเมียตายมาก่อนแต่เจ้าสัวเช็งก็ยังดูดีดูหนุ่มกว่าความเป็นจริงนิสัยใจคอสุขุมนุ่มนวลไม่ต่างกัน ได้พูดคุยกันไม่กี่ครั้งก็เกิดความรู้สึกชอบพอกันนานปีจนในที่สุดเจ้าสัวเช็งจึงพาเถ้าแก่ไปสู่ขอคุณพยอมที่เรือน

 

แน่นอน เมื่อแรกท่านเจ้าคุณบิดาของคุณพยอมไม่ชอบใจในตัวเจ้าสัวเช็งนักด้วยทั้งเป็นลูกเจ๊กแถมยังเป็นเพียงพ่อค้าซึ่งในตอนนั้นยังทำเพียงแค่ขนสินค้าจากเมืองจีนเช่นอาหารแก้ง สมุนไพรจีน ผ้าแพรสวยๆรวมทั้งผลไม้เมืองหนาวเข้ามาขาย ฐานะถึงยังไม่รวยแต่ก็ไม่ขี้ริ้ว พอไปเมืองจีนก็ขนสินค้าจากสยามกลับไปขายทางนู้น เจ้าสัวเช็งใช้การเทียวไปเทียวมานำของจากเมืองจีนมาฝากล้วนแล้วแต่เป็นของดีๆที่บำรุงสุขภาพ บางครั้งก็นำเหล้าฝรั่งรสเลิศมาฝากท่านเจ้าคุณ หยกเนื้องามมาฝากคุณหญิง ผ้าสวยๆหอบมาฝากทุกครั้งที่กลับจากเมืองจีน จนในที่สุดท่านเจ้าคุณพิพิธก็ใจอ่อนไปทูลขอกับเสด็จพระองค์หญิงให้คุณพยอมลาออกมาออกเรือน แรกนั้นเสด็จทรงกริ้วอยู่มิใช่น้อยด้วยหวังให้คุณพยอมนั้นได้ออกเรือนกับขุนนางดีๆซักคน แต่พอสืบท้าวถามความก็ได้รู้ว่าฝ่ายคุณพยอมนั้นก็มีใจรักมั่นกับเจ้าสัวเช็งหาน้อยไม่แม้อายุจะเลยวัยออกเรือนมาหลายปีก็มิชายตาแลผู้ใด ดังนั้นพิธีแต่งงานจึงถูกจัดขึ้นในปีนั้นเอง เสด็จทรงประทานเงินและทองเป็นขวัญถุงให้เก็บไว้ทำทุนเป็นจำนวนมากพอสมควร

 

เพราะคิดมาเสมอว่าตนเองมีวาสนาได้ดอกฟ้าเคียงเคียงคู่เจ้าสัวเช็งจึงรักคุณพยอมมาก อยู่แบบผัวเดียวเมียเดียวไม่ยอมมีเมียรองตามที่เตี่ยกับม้าบอก และคุณพยอมเองก็เป็นลูกสะใภ้ที่ดี งานบ้านงานเรือนเรียบร้อยไม่มีที่ติ ให้ความรักและเคารพพ่อผัวแม่ผัวประดุจพ่อแม่ของตน ปกครองบ่าวไพร่ในเรือนด้วยความยุติธรรม ยามต้องใช้พระเดชก็เด็ดขาดด้วยติดมาจากการได้ถวายรับใช้เสด็จพระองค์หญิงมานานปี จนกระทั่งปีต่อมาจึงให้กำเนิดคุณเสนลูกชายคนโต เจ้าสัวเช็งใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบมานานเปิดห้างแถวบางลำพู กิจการดีมากหลังจากนั้นสามปีก็ให้กำเนิดคุณสน  หลังคุณสนเกิดไม่นานพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อนก็สวรรคต  ซ้ำอยู่ๆก็เกิดวิกฤติข้าวยากหมากแพง บรรดาเจ้านายหลายพระองค์ถูกตัดเบี้ยหวัด เสด็จพระองค์หญิงเองก็ทรงได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน บางพระองค์ต้องเอาวิชาการเรือนที่มีติดตัวมาทำกับข้าวขาย

 

 

ความซบเซานี้ส่งผลมาถึงห้างของเจ้าสัวเช็งด้วย ในคราวนั้นอะไรที่เป็นของฟุ่มเฟือยคุณพยอมจำต้องตัดทิ้ง บ่าวไพร่ที่มีมากก็จำใจต้องให้ออกเพราะไม่มีปัญญาจ้างเยอะเหลือไว้เพียง 5-6 คนที่เป็นคนสนิทเอาไว้ดูแลเตี่ยกับม่าของเจ้าสัว งานครัวคุณพยอมลงครัวเองมีบ่าวคอยช่วยอีกสองคน อาหารที่เคยกินมื้อละหลายอย่างก็ลดเหลือมื้อละ 2-3 อย่างผลัดเปลี่ยนกันไม่ให้ซ้ำมื้อ บรรดาญาติๆต่างพูดกันว่าคุณสนดวงขัดลาภกับพ่อแม่เกิดมาทำให้ครอบครัวล่มจม ไม่มีใครสนใจหัวใจเด็กหญิงตัวเล็กๆเลยซักนิด ใครไปใครมาต่างก็พูดใส่เด็กแบบนั้น คุณสนจึงเติบโตมาพร้อมจิตใจที่เกลียดชังญาติๆ เด็กหญิงเป็นคนหยาบกระด้างและใจดำไม่มีเมตตาต่อข้าทาสบริวาร มีเพียงคุณเสนที่คุณสนให้ความเกรงใจด้วยพี่ชายดีกับคุณสนมาก คุณพยอมเองก็สงสารลูกสาวแต่จะห้ามปากคนก็คงยาก

 

            “แม่รักสนนะลูก อย่าไปฟังคำพูดร้ายๆ สนไม่ใช่ตัวซวย สนคือนางฟ้าตัวน้อยๆของแม่นะลูก”

 

            “คุณแม่ไม่ต้องมาโกหกสนหรอกค่ะ คุณแม่ก็คิดเหมือนคนพวกนั้น”เด็กหญิงสนผลักผู้เป็นแม่ออกแล้วเดินลงส้นตึงตังออกจากห้องไป ความอารมณ์ร้ายของคุณสนสร้างความหนักใจให้กับทุกคนในบ้าน บ่าวไพร่เองก็ไม่ค่อยอยากเข้าหน้านัก จนกระทั่งคุณสนอายุใกล้จะเต็มสิบขวบคุณพยอมก็ตั้งท้องอีกหน คราวนี้เป็นลูกหลงเพราะไม่คิดว่าจะท้องลูกอีกด้วยอายุที่เยอะแล้ว และเป็นเรื่องน่าแปลก การค้าที่ซบเซาของเจ้าสัวเช็งอยู่ๆก็ดีวันดีคืน เริ่มจากห้างขายผ้าที่มีลูกค้าเข้ามาเยอะแทบทุกวันเนื่องจากประชาชนเริ่มซื้อผ้าไปตัดชุดตามพระราชนิยมของล้นเกล้ารัชการที่ ๖ บรรดาคนหนุ่มคนสาวเริ่มเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวจากนุ่งโจงห่มสไบก็เปลี่ยนมานุ่งซิ่นเริ่มมีลูกเล่นในการตัดเย็บชุด บรรดาผู้มีอันจะกินก็แข่งกันอวดกันเป็นที่สนุกสนาน เมื่อตัดเย็บชุดแล้วก็ต้องเลือกเครื่องประดับให้เข้ากับชุดพลอยทำให้ร้านขายเครื่องประดับขายดีไปด้วย

 

            “ลูกคนนี้เกิดมาเกื้อหนุนครอบครัวโดยแท้ ลูกเทวดามาเกิดจริงๆ”เจ้าสัวเช็งลูบท้องคุณพยอมด้วยความรักโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคุณสนจ้องมองด้วยความน้อยใจ

 

หลังจากหนูแสนเกิดได้สองวันเจ้าสัวเช็งก็กลับถึงพระนครชายวัยกลางคนรีบตรงกลับบ้านมาหาเมียรัก ของบำรุงจากเมืองจีนถูกสั่งต้มให้คุณพยอมกิน ยิ่งเห็นเจ้าตัวน้อยในเปลยิ่งตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ ใครจะไปคิดว่าอายุตั้ง 50 แล้วจะยังมีลูกได้ เรื่องนี้ถูกเอ่ยสัพยอกไปเสียหลายหน หนูแสนตัวน้อยผิวกายแดงระเรื่อนอนหลับในเปลไม่ร้องไห้โยเยและเลี้ยงง่าย คุณพยอมอยู่ไฟมองดูพ่อเล่นกับลูกโดยการใช้ปลายนิ้วเขี่ยแก้มยุ้ยๆนั้นได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู พอวันที่สามบ่าวไพร่ก้มาเตรียมบายศรีปากชาม 1 สำรับอีกทั้งเครื่องกระยาบวชอีกหรึ่งสำรับเพื่อเตรียมสำหรับทำขวัญวันในวันรุ่งขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่าหากคลอดพ้นสามวันแล้วเด็กจะปลอดภัยจึงต้องทำการแบ่งลูกผีลูกคนเพราะเชื่อกันว่าเด็กทุกคนมีแม่ซื้อคอยดูแลเมื่อมาเกิดเป็นคนแม่ซื้ออาจจะมาหยอกมากวนทำให้เด็กป่วยกระเสาะกระแสะบางความเชื่อก็ถึงขั้นว่าแม่ซื้อจะมาเอาเด็กกลับไป ช่วงสายของวันที่สี่บรรดาญาติๆจึงมาที่เรือนของเจ้าสัวเช็งรวมทั้งเพื่อนบ้านทีมีเรือนติดกันอย่างเจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผกาที่พาคุณเล็กลูกชายวัยห้าขวบมาด้วย เจ้าคุณพิพิธและคุณหญิงพิกุลก็มาตั้งแต่เช้า เมื่อถึงพิธีทุกคนต่างนั่งล้อมหนูแสนไว้เป็นวงกลมท่านเจ้าคุณเป็นคนจุดธูปเทียนบูชาอัญเชิญเทวดาให้มาคุ้มครองเด็กจากนั้นจึงใช้สายสิญจน์มาลูบปัดที่แขนและข้อมือของหนูแสนเพื่อปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บทุกข์โศกแล้วจึงผกกับข้อมือน้อยๆนั้น ท่านเจ้าคุณใช้แป้งกระแจะเจิมหน้าผากให้หนูแสนจากนั้นก็ตักน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ป้อนหนูแสนห้าช้อนเล็กๆ

 

            “ตาขอให้หนูแสนอายุมั่นขวัญยืนเป็นเด็กที่มีความสุขมีแต่คนรักนะลูกนะ”หลังจากที่ท่านเจ้าคุณให้พรเสร็จคุณหญิงพิกุลก็ยกกระด้งที่หนูแสนนอนอยู่ร่อนแล้วพูดเสียงดัง

 

            “สามวันลูกผัสี่วันลูกคนลูกของใครมารับเอาไปเน้อ”

 

            “ลูกฉันเองจ้า”ทั้งคุณพยอมและเจ้าสัวเช็งต่างร้องรับแล้วอุ้มหนูแสนมาไว้กับอกเป็นการบอกแม่ซื้อว่าตอนนี้หนูแสนเป็นลูกคนโดยสมบูรณ์แล้วขอให้แม่ซื้อไม่มากวนหนูแสน หลังจากนั้นญาติๆที่เหลือจึงเข้ามาผูกข้อมือให้หนูแสนจนครบไม่เว้นแม้แต่คุณเสนพี่ชายคนโดตที่มองน้องน้อยด้วยสายตาแสดงความรักเต็มเปี่ยม เจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผกาพาคุณเล็กมาผูกข้อมือให้หนูแสนโดยสร้อยข้อมือทองเส้นเล็กๆน่ารัก



     "น้องน่ารักจังเลยค่ะคุณแม่"เด็กชายหันไปพูดกับคุณหญิงผกาผู้เป็นแม่



     "คุณเล็กต้องพูดว่าน้องน่าเกลียดน่าชังนะคะ ถ้าบอกว่าน้องน่ารักเดี๋ยวผีมาลักตัวน้องไป"คุณหญิงผกาบอกกับลูกชายด้วยน้ำเสียงเอ็นดู



     "งั้นน้องน่าเกลียดจังค่ะคุณแม่ เล็กอยากอุ้มน้อง"



     "ยังอุ้มไม่ได้ค่ะกระดูกน้องยังอ่อนต้องรอให้น้องโตกว่านี้นะลูก"



     "งั้นถ้าหนูแสนโตเล็กจะเลี้ยงหนูแสนเองค่ะ"



     "โถ...พ่อคุณ น่าเอ็นดูจังค่ะ"คุณพยอมเอ่ยชมเด็กชายที่เขี่ยแก้มหนูแสนด้วยความเบามือ คุณเสนมองน้องที่อยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วอดยิ้มไม่ได้

 

น้องน้อยของพี่น่าเอ็นดูนัก ตัวหรือก็แด๊งแดง ตาหูจมูกปากจิ้มลิ้มพริ้มเพรา คุณพยอมมองหาคุณสนที่ไม่อยู่ในห้องนี้จึงได้เห็นว่าเด็กหญิงยืนแอบดูทุกคนอยู่ที่หน้าประตู ผู้เป็นแม่จึงยิ้มให้แล้วร้องเรียกลูกสาว

 

            “สน ลูก เข้ามารับขวัญน้องสิลูก”หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคุณสนวิ่งปรู๊ดหนีหายไปเลย

 

            “จริงๆเชียวนังลูกคนนี้นี่”ท่านเจ้าสัวเอ่ยอย่างหงุดหงิด

 

            “คงอิจฉาน้องล่ะสิใครๆก็มารุมรัก”ญาติคนหนึ่งส่ายหน้าอย่างระอา

 

            “แม่สนยังเด็กก็ค่อยๆสอนกันไปฉันเชื่อว่ายังไงพี่น้องก็รักกัน ถ้ามันดื้อนักก็ส่งเข้าวังไปให้เสด็จท่านอบรมก็แล้วกัน”เจ้าคุณพิพิธพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก อันที่จริงท่านก็เอ็นดูหลานสาวคนนี้อยู่ไม่น้อยเพราะใครๆต่างก็ทักว่าคุณสนหน้าคล้ายท่านเจ้าคุณ พอมีใครมาว่าให้ได้ยินก็อดเคืองหูไม่ได้

 

            “ลูกกลัวว่าเสด็จท่านจะไม่ทรงโปรด แม่สนดื้อมากเจ้าค่ะคุณพ่อ”

 

            “ยังเล็กนัก ยังพอจะสอนได้ ไม้อ่อนดัดง่าย หล่อนก็อย่าปล่อยจนมันแก่เกินดัดก็แล้วกัน”





 

 

“ให้เย็นเหมือนฟัก
หนักเหมือนแฟง
ให้อยู่เหมือนก้อนเส้า
เฝ้าเรือนเหมือนแววคราว”

 

            ตั้งแต่หนูแสนเกิดมาบ้านที่เคยเงียบเหงาซึมเซาจากพิษเศรษฐกิจก็กลับมามีชีวิตชีวาคึกคักอีกครั้ง หลังจากหนูแสนอายุครบเดือนคุณพยอมก็จัดพิธีโกนผมไฟมีแขกเหรื่อญาติผู้ใหญ่คนที่รู้จักมากหน้าหลายตามางานบุญครั้งนี้อย่างคับคั่งรวมถึงท่านเจ้าคุณสรอรรถที่วันนี้ยกกันมาทั้งเรือนมีคุณหญิงผกา คุณชื่นเมียรอง คุณมณีเมียคนที่สามพร้อมลูกๆทั้งสี่คนเว้นเสียแต่คุณน้อยที่ยังเล็กพอกัน บรรดาเด็กๆวิ่งเล่นกันเจียวจาว ขนมนมเนยถูกสรรหามาให้มิได้ขาด คุณใหญ่บุตรชายคนโตของท่านเจ้าคุณสรอรรถกับคุณหญิงผกาเป็นเพื่อนกับคุณเสน คุณรองอายุน้อยกว่าหนึ่งปีเป็นบุตรของคุณชื่นเมียคนที่สอง ส่วนคุณกลางและคุณเล็กก็เป็นลูกของคุณหญิงผกาเช่นกัน คุณกลางอายุไล่เลี่ยกับคุณสนจึงได้เป็นเพื่อนเล่นกัน ส่วนลูกเล็กคนสุดท้องชื่อคุณน้อยเป็นลูกที่เกิดจากคุณมณีเมียคนที่สาม หลังจากวันงานผ่านพ้นไปเจ้าสัวเช็งก็เริ่มยุ่งกับงานเช่นเดิมโดยมีคุณเสนไปช่วยงานในวันหยุดที่ไม่ต้องไปโรงเรียน ทุกชีวิตดำเนินไปตามครรลองจนกระทั่งหนูแสนอายุได้หกขวบปี คุณสนที่ตอนแรกคุณพยอมจะเอาไปถวายเสด็จในวังก็ไม่ได้ไปเพราะหล่อนดื้อดึงไม่ไปท่าเดียวจนคุณพยอมอ่อนใจที่จะพูด ปีนี้คุณสนเป็นสาวสะพรั่งหน้าตาสะสวยหากแต่อุปนิสัยกลับโมโหร้ายยิ่งกว่าตอนเด็กๆ

 

            “อีเฟื้อง กูบอกกี่ครั้งแล้วว่ากูไม่ชอบซิ่นผืนนี้”เสียงโครมครามดังออกมาจากห้องนอนของคุณสนพร้อมกระจาดใส่ผ้าซิ่นที่บ่าวคนสนิทนำเข้าไปให้ถูกเขวี้ยงออกมาจากในห้อง อีเฟื้องกระเด็นตามออกมาด้วยถูกคุณสนถีบ คุณพยอมที่กำลังจะลงไปข้างล่างกับหนูแสนถึงกับชะงัก

 

            “แสนลูกลงไปรอแม่ที่ครัวก่อนนะ”คุณพยอมย่อตัวลงพูดกับลูกชายคนเล็ก หนูแสนในวัยหกขวบพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ยายแช่มเป็นคนมาจูงมือหนูแสนตรงไปที่ครัวแทนคุณพยอมที่เดินไปที่ห้องของคุณสน

 

            “อะไรกันเล่าแม่สน เอะอะมะเทิ่งดังไปสามบ้านแปดบ้าน”คุณพยอมก้มลงเก็บผ้าซิ่นที่อยู่บนพื้นขึ้นมาดู

 

            “ซิ่นผืนนี้ก็สวยดีคุณเตี่ยอุตส่าห์เอามาฝากทำไมถึงไม่ชอบล่ะลูก?”

 

            “ไม่มีเหตุผลค่ะ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบทำไมสนต้องหาเหตุผลมาอธิบายด้วยล่ะคะแม่”คุณสนถอนหายใจใส่ผู้เป็นมารดา คุณพยามแอบส่ายหน้าอย่างระอา แม้บางครั้งคุณสนจะออกฤทธิ์ออกเดชจนนึกอยากจะตีซักทีแต่หล่อนก็ไม่กล้า ด้วยความรู้สึกติดในใจว่าลูกคนนี้อาภัพนัก

 

            “เอาเถอะๆ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นแม่จะเก็บไว้นุ่งเองก็แล้วกัน ตอนนี้สนไปช่วยแม่ทำกับข้าวเถอะ คุณเตี่ยกับพี่เสนใกล้จะกลับมาแล้วกับข้าวจะได้เสร็จพอดีกิน”

 

            “บ่าวไพร่ก็มีตั้งหลายคนทำไมต้องให้สนไปช่วยด้วยก็ไม่รู้ทำไม่อร่อยขึ้นมาก็บ่นสนอีก”คุณพยอมถอนหายใจให้กับลูกสาวที่นั่งหันหลังให้ หล่อนเข้ามาจับไหล่ลูกให้หันมาคุยกัน

 

            “เกิดเป็นลูกผู้หญิงนะลูก งานบ้านงานเรือนอย่าให้ขาดตกบกพร่อง อีกหน่อยออกเรือนมีลูกมีผัวจะได้ทำให้ลูกให้ผัวกิน กับข้าวรสมือใครก็ไม่อร่อยเท่ารสมือแม่รสมือเมียหรอกลูกเอ้ย สนเองก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกแม่ที่เคยเป็นชาววังมาก่อน อย่าให้ใครเขาเอาไปนินทาว่าจับจดไม่เอาไหน ไปเถอะลูกไปช่วยแม่ในครัวนะลูกนะ”คุณสนมองผู้เป็นแม่ที่ส่งยิ้มอย่างใจดีมาให้ก็จำต้องลุกตามลงไปที่โรงครัว หนูแสนวัยหกขวบกำลังช่วยยายแช่มเด็กผักอย่างขยันขันแข็ง ตอนนี้หนูแสนทำอาหารง่ายๆเป็นหลายอย่างแล้วด้วยตามคุณแม่ลงครัวทุกวัน

 

            “หนูแสน เมื่อเช้าคุณเตี่ยบ่นๆว่าอยากกินหมูหวานหนูแสนทำให้คุณเตี่ยทานได้มั้ยจ๊ะ”คุณพยอมลูบผมนุ่มๆของลูกชายคนเล็กบอกวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้หนูแสนฟัง เด็กน้อยตัวขาวจ้ำม่ำพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น หนูแสนชอบทำกับข้าวเพราะเวลาคุณเตี่ยทานคุณเตี่ยมักจะชมไม่ขาดปาก หนูแสนชอบที่จะเห็นคนที่หนูแสนรักไม่ว่าจะเป็นคุณก๋ง อาม่า คุณเตี่ย คุณแม่คุณพี่เสนยิ้มอย่างมีความสุขเวลาทานของที่หนูแสนทำ ยกเว้นเสียแต่คุณพี่สนที่มักติรสมือของหนูแสนได้เสียทุกครั้ง

 

            “เดี๋ยวยายแช่มเตรียมหมูให้นะคะคุณแสนจะได้ทำได้ง่ายๆ”ยายแช่มรับอาสาหั่นหมูสามชั้นให้กับหนูแสน เด็กน้อยเอาน้ำตาลปี๊บลงเคี่ยวไฟอ่อนจนพอเหนียวเติมน้ำปลาปรุงรสให้กลมกล่อมจากนั้นจึงใส่หมูสามชั้นลงไปเคี่ยวไฟอ่อนจนกลายเป็นสีนวลตา คุณพยอมบอกว่าหมูหวานเป็นอาหารคาวที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะเสวย เพราะว่าอาหารชาววังนั้นจะต้องไม่มีรสใดรสหนึ่งโดดจนเกินไปเช่นต้องไม่เปรี้ยวไป ไม่เค็มไป ไม่หวานไปดังนั้นในหนึ่งสำรับก็จะมีอาหารที่ทานด้วยกันแล้วรสกลมกล่อมนุ่มลิ้น หวาน เค็ม เปรี้ยวอย่างพอดีๆ

 

            “สนเอาฟักมาแกะสลักเป็นดอกรักเร่นะลูก แม่จะต้มจืด ส่วนนังเฟื้องเอ็งไปขูดมะพร้าวเมื่อเช้าผลมันตัดบอนมาข้าจะทำแกงบอน”

 

            “หั่นเป็นชิ้นๆลงหม้อก็สิ้นเรื่องทำไมจะต้องมานั่งพิรี้พิไรแกะสลักให้วุ่นวายด้วยคะคุณแม่”คุณสนถามผู้เป็นแม่ด้วยความไม่เข้าใจ หล่อนหันฟักเป็นท่อนใหญ่คุณพยอมมองลูกสาวที่ใช้มีดบางเกลาชิ้นฟักให้เป็นทรงกลมอย่างไม่เต็มใจนัก

 

            “อาหารมันก็บ่งบอกถึงอุปนิสัยคนทำนั่นแหละลูก ยิ่งเราละเอียดพิถีพิถันก็แปลว่าเรานั้นเป็นคนละเอียดลออ อาหารของบ้านเราแต่ละมื้อนั้นได้ทั้งรูปได้ทั้งรส รูปต้องงามรสต้องกลมกล่อม”คุณพยอมเริ่มทำการแกะสลักดอกรักเร่ด้วยความคล่องแคล่วต่างจากคุณสนที่กว่าจะแกะได้แต่ละดอกใช้เวลาเสียโขจนคุณแสนทำหมูหวานเสร็จจึงได้ตักมาให้คุณแม่เป็นคนชิม

 

            “หืม...อร่อยแล้วลูก เก่งจริง แม่สอนแค่สองหนก็ทำได้รสมือดีเทียบชาววัง”หนูแสนยิ้มรับคำชมของผู้เป็นแม่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากขอบคุณคุณสนก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างหมั่นไส้เต็มทน

 

            “ยอกันเข้าไปเถอะค่ะเด็กแค่ 5-6 ขวบจะมาทำรสอร่อยเท่ากับคนโตได้ยังไงสนไม่เห็นด้วย”

 

            “สนก็พูดเกินไป น้องทำดีก็ควรชม อย่างหนูแสนน่ะถ้าหัดบ่อยๆรสมือดีไม่มีใครเทียบเชียวล่ะ”

 

เคร้ง!! คุณสนกระแทกฟักในมือลงบนพานผุดลุกขึ้นอย่างหมั่นไส้เต็มกลืน

 

            “ว่าไม่ได้เลยนะคะพ่อลูกชายคนดีเนี่ย สนก็พูดไปตามจริง ถ้าเด็กอายุแค่นี้รสมือดีคุณแม่ก็ให้ตาแสนทำไปแล้วกันค่ะ สนไม่ทำ น่ารำคาญ”คุณสนทำท่าจะกระทืบเท้าออกจากครัวไปหากแต่คุณพยอมใช้มือตบลงบนตั่งเสียงดังจนหนูแสนสะดุ้ง ยายแช่มดึงตัวเด็กน้อยไปกอดแนบอกเอาทืออุดหูไว้ด้วยเกรงว่าหนูแสนจะตกใจไปมากกว่านี้

 

            “หยุดเดี๋ยวนี้นะแม่สน ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ เห็นว่าแม่ไม่ว่าอะไรจะพูดจะจาอะไรไม่ต้องเห็นหัวคนอื่นเลยรึยังไง แม่คนนี้นี้ ทำกริยาแบบนี้ลูกชายบ้านไหนเขาจะอยากมาขอไปเป็นแม่ศรีเรือน นั่งลงแล้วทำงานของตัวเองไป อย่าให้แม่ต้องโมโหจนตีหล่อนต่อหน้าบ่าวไพร่เลย”คุณสนกำหมัดเม้มปากอย่างโกรธเกรี้ยวหากแต่หล่อนยังมีความเกรงกลัวคุณแม่อยู่บ้างจึงจำต้องนั่งลงแกะสลักฟักตามเดิม คุณพยอมส่งสายตาดุจ้องลูกสาวก่อนจะหันไปทางหนูแสน

 

            “แสนลูก เดี๋ยวแม่จะทำแกงบอนแสนช่วยไม่ได้หรอกนะคะเดี๋ยวจะคัน ออกไปเล่นเถอะคุณพ่อใกล้กลับค่อยมาอาบน้ำอาบท่านะลูกนะ”

 

            “แต่แสนอยากช่วยแม่นี่จ๊ะ”

 

            “เอาไว้พรุ่งนี้แม่จะสอนแสนตำน้ำพริกดีมั้ยลูก วันนี้เชื่อแม่ก่อน บอนมันคันนักเดี๋ยวกัดผิวอ่อนๆของเจ้าต้องเดือดร้อนหาหยูกยามาทากันจ้าละหวั่น”

 

            “งั้นหนูแสนขอไปหาคุณเล็กได้มั้ยจ๊ะแม่”เจ้าตัวน้อยเอ่ยขอด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

            “ถ้างั้นให้ไอ้มีไปเป็นเพื่อน แช่มไปเรียกไอ้มีมาหาข้า”คุณพยอมหันไปสั่งยายแช่มที่ช่วยเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำกับข้าวกับปลา ยายแช่มหายไปเพียงพักเดียวก็กลับมาพร้อมไอ้มีบ่าวชายวัยหนุ่มใหญ่

 

            “คุณพยอมมีอะไรให้กระผมรับใช้เหรอครับ”

 

            “คุณแสนจะไปเล่นที่เรือนคุณเล็ก เอ็งช่วยพาไปทีเถอะ แล้วระวังคอยดูอย่าให้ตกน้ำตกท่าไปเสียล่ะ”

 

            “ครับ”ไอ้มีจูงมือหนูแสนตรงไปยังรั้วไม้ที่กั้นพื้นที่ระหว่างเรือนเจ้าคุณสรอรรถกับเรือนของเจ้าสัวเช็ง เสียงซอแว่วหวานดังลอยมาจกศาลาริมน้ำ หนูแสนรีบสะบัดมือออกจากไอ้มีวิ่งดุ๊กๆไปตามเสียงทันที

 

            “คุณแสนครับ อย่าวิ่งครับพลาดล้มไปไอ้มีหลังขาดแน่ๆ”

 

            “นั่นตัวอะไรวิ่งตัวกลมมาเชียว”คุณเล็กร้องทักเมื่อเห็นเจ้าตัวขาววิ่งตรงมาหา หนูแสนส่งยิ้มแต้ประจบคนแก่กว่า

 

            “หนูแสนอยากเจอคุณเล็กไวๆนี่คะ”เจ้าตัวน้อยพูดจาประจบจนคนแก่กว่าอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ คุณเล็กหรือลิขิตในวัย 11 ปี ดูเป็นหนุ่มกว่าอายุ ด้วยแขนขายาวได้พ่อผิวขาวได้แม่ทำให้เป็นเค้าความหล่อเหลาตั้งแต่ยังไม่เข้ารุ่นหนุ่ม

 

            คุณเล็กเล่นเพลงอะไรคะ เพราะจัง”

 

            “ลาวดวงเดือนค่ะ ครูเพิ่งต่อเพลงให้เมื่อวันก่อน อยากฟังอีกหรือไม่คุณเล็กจะเล่นให้หนูแสนฟังอีกรอบ”คุณเล็กถามอย่างเอาใจ หนูแสนพยักหน้าเร็วอย่างชอบใจ

 

            “เอาค่ะ เดี๋ยวหนูแสนตีฉิ่งให้”เจ้าตัวน้อยว่าอย่างกระตือรือร้นจนคุณเล็กส่ายหน้าอย่างระอา

 

หาเรื่องซนเสียมากกว่า หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรไป มือเรียวสวยแตะลงบนสายซอก่อนจะชักคันชักเล่นเพลงลาวดวงเดือนอีกครั้งโดยมีหนูแสนตีฉิ่งแบบไม่ตรงจังหวะแต่ตรงใจคนตีเสียมากกว่า

 
“โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ว่าดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วงรักเจ้าดวงเดือนเอย
โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ว่าดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วงรัก เจ้าดวงเดือนเอย
ขอลาแล้วเจ้าแก้วโกสุม เฮ้อเออเออเออเอยเฮ้อเออเออเออเอย
เฮ้อเออเออเออเอยเฮ้อเออเออเออเอย พี่นี้รักเจ้าหนาขวัญตาเรียม
จะหาไหนมาเทียม โอ้เจ้าดวงเดือนเอย จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย
หอมกลิ่นเกษร เกสรดอก ไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูเรียมเอย
หอมกลิ่นกรุ่นครันหอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอ๋ยเราละหนอ
หอมกลิ่นเกสรเกสรดอกไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสู ของ รียมเอย
หอมกลิ่นกรุ่นครัน หอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอ๋ยเราละหนอ”



จ๋อม...

 

            “พุธโธ่เอ๋ย หนูแสน”คุณเล็กร้องอย่างอ่อนใจมองผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นวงสลับกับหน้าของหนูแสนที่ยิ้มแหยทันตา

 

            “เอาฉิ่งของคุณเล็กจำเริญน้ำไปเสียแล้ว”

 

 

            “

.................................





หนูแสน แสนน่ารักเป็นหนักหนา เจ้าขวัญตาโตไวไวให้ชื่นใจ ชะเอิงเอย





เราเชื่อว่าแต่ละบ้านย่อมมีทั้งลูกคนที่พ่อแม่รักมากกับลูกคนที่พ่อแม่ไม่รักซักเท่าไหร่ การที่คุณสนถูกเลี้ยงอย่างปล่อยปละไม่ได้รับการปกป้องจากคำพูดร้ายๆและผู้ใหญ่ที่พูดอะไรไม่คิดถึงใจเด็กจะทำให้เด็กคนหนึ่งนิสัยเสีย



ถ้ามีลูกมีหลาน อย่าทำกับเด็กแบบนั้น



หนูแสนได้ 4 วันแล้วนะจ๊ะ กว่าจะโต รากงอกแน่ๆ



พระเอกค่าตัวแพงค่ะออกแค่นี้พอ

ปล.แก้ไขชื่อแล้วนะคะ เราเบลอเองค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ แห่ะๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ปฐมบท "ต้นกำเนิดของหนูแสน"
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 19-05-2019 17:26:08
หนูแสนน่าเอ็นดู ตีฉิ่งยังไง ฉิ่งถึงได้ตกน้ำไปคะ
สงสารน้องสน ทำนิสัยไม่ดีแต่จะว่าก็ว่าไม่ลง พวกญาติปากเปราะนี่จริงๆเลย คงเป็นเพราะคนในครอบครัวไม่ได้ปกป้องด้วย  :เฮ้อ:
ท่านเจ้าคุณพิพิธที่วันนี้ยกกันมาทั้งเรือนมีคุณหญิงพิกุล คุณชื่นเมียรอง คุณมณีเมียคนที่สามพร้อมลูกๆทั้งสี่คนเว้นเสียแต่คุณน้อยที่ยังเล็กพอกัน บรรดาเด็กๆวิ่งเล่นกันเจียวจาว ขนมนมเนยถูกสรรหามาให้มิได้ขาด คุณใหญ่บุตรชายคนโตของท่านเจ้าคุณพิพิธกับคุณหญิงมณีเป็นเพื่อนกับคุณเสน คุณรองอายุน้อยกว่าหนึ่งปีเป็นบุตรของคุณชื่นเมียคนที่สอง ส่วนคุณกลางและคุณเล็กก็เป็นลูกของคุณหญิงพิกุลเช่นกัน คุณกลางอายุไล่เลี่ยกับคุณสนจึงได้เป็นเพื่อนเล่นกัน ส่วนลูกเล็กคนสุดท้องชื่อคุณน้อยเป็นลูกที่เกิดจากคุณมณีเมียคนที่สาม




สงสัยตรงนี้ค่ะ คุณพิพิธกับคุณพิกุลคือคนเดียวกันกับตายายของหนูแสนไหมคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 19-05-2019 19:04:49
น่าสงสารสนเหมือนกันยิ่งในความเป็นจริงเกิดเป็นผู้หญิงในครอบครัวคนจีนก็ว่าแย่แล้ว

พอเกิดมาทางบ้านดันค้าขายได้แย่อีกก็ยิ่งแล้วใหญ่...ไม่แปลกถ้าสนจะน้อยใจจนเกรี้ยวกราด

เจ้าแสนน้อยก็น่ารัก  o13
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 19-05-2019 19:51:30
 :mew6:  มากรีดร้องด้วยความดีใจก่อน  เดี๋ยวค่อยไปอ่าน  ... แต่คงต้องย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าไปก่อน  กลัวอารมณ์ไม่ต่อเนื่อง5555
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 25-05-2019 22:21:18

ตอนที่ ๒





          ศาลาริมน้ำเรือนของเจ้าพระยาสรอรรถปรากฏร่างเล็กของเด็กชายแสนวัยสิบขวบ เรือนกายขาวผ่องด้วยได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเสื้อผ้าที่ใส่สะอาดสะอ้านผ่านการซักรีดอบร่ำจนหอมฟุ้ง ยามลมแม่น้ำโชยพลิ้วต้องผิวกายเรือนผมสีดำสนิทลู่ไปตามลม ภายในน้ำปรากฏร่างของเด็กชายวัย 15 ปี บุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าคุณสรอรรถกำลังดำผุดดำว่ายหายลงไปในน้ำพาลให้เจ้าตัวน้อยชะเง้อตามจนคอแทบยืด ไอ้มีบ่าวคนสนิทคอยประกบติดเจ้านายตัวน้อยไม่ให้คลาดสายตา เพราะหากเผอเรอทำลูกของท่านเจ้าสัวพลัดตกน้ำตกท่าไปไอ้มีคงไร้เงาหัวเป็นแน่

 

          “คุณเล็กคะขึ้นมาเถอะค่ะ”เสียงเล็กร้องเรียกคนที่ยังคงดำผุดดำว่ายไม่ยอมฟังกันเสียที หนูแสนกดหน้าลงเรื่อยๆเป็นอาการที่บ่งบอกว่าตนเองนั้นเริ่มจะมีน้ำโหและงอนหน่อยๆแล้ว แต่ตอนนี้คุณเล็กกำลังสนุกสนานกับการงมกุ้งแม่น้ำอยู่

 

            “ถ้าพูดไม่รู้ความหนูแสนจะกลับบ้านแล้วนะคะ”และนั่นเหมือนจะเป็นคำประกาศิต คุณเล็กทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ไอ้พันบ่าวคนสนิทรีบเข้าไปรับกุ้งแม่น้ำตัวโตในมือเจ้านายที่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม คุณเล็กส่งตัวเองขึ้นมานั่งบนแพได้ก็หัวเราะเบาๆชอบใจกับกริยาแสนงอนนั้น

 

            “เอ...ชื่อหนูแสนนี่ย่อมาจากแสนงอนหรือเปล่าคะ ดูสิ คางชิดอกจนเป็นสองชั้นแล้ว”หากแต่คราวนี้ไม่ใช่แค่อาการปากคว่ำพอคุณเล็กพูดจบหนูแสนก็ทำตาคว่ำใส่อีกต่างหาก

 

            “โอ๋ๆ คุณเล็กไม่แกล้งแล้วค่ะ หนูแสนช่วยเอาผ้ามาห่มให้คุณเล็กหน่อยได้ไหมคะ ดูสิคุณเล็กหนาวจนตัวสั่นแล้ว”แสร้งยกมือยกแขนขึ้นมากอดอกทำตัวสั่นงันงกอย่างน่าสงสาร หนูแสนนั้นแม้จะงอนเพียงใดแต่พอเห็นคุณเล็กตัวสั่นก็เดินไปหยิบผ้ามาห่มกายให้คุณเล็กอยู่ดี คุณเล็กถือโอกาสนั้นดึงมือหนูแสนไม่ให้หนีไปไหน

 

            “ห่วงคุณเล็กเหรอคะ”เอ่ยถามเสียงหวาน ด้วยเพราะกลัวน้องน้อยจะโกรธไปมากกว่านี้จึงต้องรีบง้อ หากปล่อยให้งอนนานคุณเล็กคงอึดอัดใจเป็นแน่ ด้วยตั้งแต่น้อยจนเติบใหญ่ เจ้าน้องน้อยก็เหมือนเป็นเงาของคุณเล็กคอยติดตามหยอกเย้ามิได้ห่าง หากคุณเล็กไม่เดินไปเล่นด้วยที่เรือนเจ้าตัวน้อยก็จะมาหาเอง หนูแสนติดคุณเล็กยิ่งกว่าติดคุณเสนและคุณสนพี่สาวเสียอีก ด้วยคุณแสนอายุเข้ารุ่นหนุ่มก็เริ่มเรียนรู้ที่จะดูแลกิจการของครอบครัว เช้าก็ออกไปพร้อมเจ้าสัวเช็งกว่าจะกลับก็มืดค่ำ ส่วนคุณสนรายนั้นหารักน้องไม่ เอาแต่เกรี้ยวกราดพูดจาด้วยคำร้ายๆใส่น้องจนคุณแสนเข้าหน้าไม่ติด หลายครั้งต้นแขนขาวๆเล็กๆนี้ก็มีรอยจ้ำให้คุณเล็กขุ่นเคืองใจด้วยเพราะถูกคุณสนหยิกจนเนื้อเขียว คุณเล็กจึงทั้งรักและสงสารเด็กตัวขาวที่เอาแต่ตามติดเขาต้อยๆไม่เหมือนคุณน้อยน้องสาวที่ชอบเล่นกับบ่าวไพร่มากกว่ามาเล่นกับพี่ชาย เพราะฉะนั้นหากจะต้องไม่พูดกันชีวิตคงเหมือนขาดอะไรไป ยามพูดจากันเพราะคุณเล็กติดพูดคะค่ะกับคุณหญิงผกาและคุณกลางพี่สาวคุณน้อยน้องคนเล็กคำหวานหูจึงเผื่อแผ่มาถึงหนูแสนพลอยทำให้เจ้าตัวน้อยติดพูดคะขาตามไปด้วยซึ่งคุณเล็กเองก็คิดว่ายามคำหวานอ่อนช้อยนั้นออกจากปากหนูแสนมันช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน

 

หนูแสนนั้นน่ารักนักช่างพูดช่างเจรจาอ่อนหวานไม่ต่างอะไรกับคุณน้อยน้องสาวคนสุดท้ายเลยซักนิด

 

            “ห่วงสิคะ อากาศเย็นคุณเล็กลงน้ำนานปะเดี๋ยวจะได้ไข้”เจ้าตัวน้อยตอบตามซื่อ

 

            “คุณเล็กรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิคะเดี๋ยวหนูแสนจะกลับเรือนแล้ว”

 

            “ยังอยากอยู่เล่นกับหนูแสนอยู่เลยค่ะ”

 

            “อยากทานสะเดาน้ำปลาหวานไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวหนูแสนให้คนเอามาให้ ถ้าไม่กลับตอนนี้จะไม่ทันคุณลุงรับมื้อเย็นนะคะ”หนูแสนให้เหตุผลที่จำต้องกลับเรือนก่อนทั้งๆที่เพิ่งจะบ่ายสอง

 

            “งั้นนายพัน แบ่งกุ้งไปบ้านหนูแสนเดี๋ยวฉันจะขึ้นเรือนไปอาบน้ำผลัดผ้าล่ะ”คุณเล็กเอ่ยสั่งบ่าว ก่อนหันกลับมาหาหนูแสนอีกครั้ง

 

            “คุณเล็กจะรอนะคะ”คุณเล็กยอมปล่อยน้องให้กลับเรือนพร้อมกับถังใส่กุ้งแม่น้ำเกือบสิบตัวที่งมมาได้ ดวงตาคมมองไล่หลังหนูแสนที่เดินตามไอ้มีไปอย่างเงียบๆ

 

            “หนูแสนไปเอากุ้งที่ไหนมาเยอะแยะลูก ดูสิตัวโตเชียว”คุณพะยอมเอ่ยทักยามลูกชายคนเล็กเดินเข้ามาในโรงครัว กุ้งแม่น้ำตัวโตเบียดเสียดกันอยู่ที่ก้นกระป๋อง

 

            “คุณเล็กเธอลงไปงมมาจ้าแม่ บ่นว่าอยากทานสะเดาน้ำปลาหวานพอแสนบอกจะทำให้ทาน เธอก็ถอดเสื้อลงน้ำไปงมมาเลย”

 

            “ตายจริง อากาศเย็นขนาดนี้ ดีตะคริวไม่กินตาย”คุณพะยอมเอามือทาบอก ด้วยเพราะตอนนี้ปลายเดือนธันวาคม อากาศหนาวจนแสบผิวแต่คุณเล็กเรือนนู้นยังกล้าลงน้ำไปงมกุ้งให้ลูกชายของหล่อนเอามาทำ

 

            “แสนบอกเธอให้ขึ้นตั้งนานเธอไม่ยอมขึ้นจ้าแม่ คุณเล็กดื้อ”เด็กชายวัยสิบขวบทำหน้าอ่อนใจจนคนเป็นแม่นึกขำ

 

            “เฟือง เอ็งเอากุ้งไปล้างแล้วผ่าครึ่งนะ เดี๋ยวข้าจะย่าง ยายแช่มช่วยเบาไฟในเตาให้หน่อยเถอะจ้า นายมีช่วยไปเก็บสะเดาหลังบ้านมาให้ฉันหน่อยเถอะ ต้นริมสุดที่ช่อใหญ่ๆเป็นสะเดามัน ส่วนหนูแสนมานั่งใกล้แม่ แม่จะสอนทำน้ำปลาหวาน”หนูแสนทำตามแม่ว่าทันที คุณพะยอมเอาหอมแดงมาปอกและซอยจึงได้นำกระทะมาตั้งไฟอ่อน

 

            “จำไว้นะลูก ว่าต้องใช้ไฟอ่อนค่อยๆเจียวจนหอมเป็นสีเหลือง”หล่อนปล่อยตะหลิวเพื่อให้หนูแสนได้เป็นคนทำ

 

            “คอยคนอย่าให้ไหม้นะลูกไม่อย่างนั้นมันจะขมไม่อร่อย”

 

            “จ้าแม่”เจ้าตัวน้อยพลิกกลับหอมซอยในกระทะไปมาอย่างตั้งใจจนกระทั่งหอมกลายเป็นสีทองคุณพะยอมจึงให้หนูแสนใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา และน้ำมะขามตามลงไป คุณพะยอมปล่อยให้หนูแสนดูแลเคี่ยวน้ำปลาหวานให้เหนียว ส่วนตนเองเดินไปย่างกุ้งแม่น้ำตัวโตที่ล้างเรียบร้อยแล้ว ไม่นานกลิ่นหอมของมันกุ้งก็ลอยยั่วน้ำลายพร้อมๆกับที่หนูแสนเอาพริกใส่ลงไปเป็นอันเสร็จ หนูแสนตักแบ่งใส่ถ้วยเบญจรงค์ใบสวยโรยหน้าด้วยหอมเจียวที่แยกไว้ต่างหาก สะเดาถูกลวกวางคู่กับผักชีเอาไว้กินแนมกัน กุ้งแม่น้้ำตัวโตถูกเรียงใส่จานมันกุ้งตรงหัวสีเหลืองอร่ามดั่งทองส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย

 

            “เสียดายพี่สนไปบ้านคุณตา เลยอดกินกุ้งเผาของโปรดเลย”คุณพะยอมยิ้มให้กับเจ้าตัวน้อยที่ยังมีแก่จิตแก่ใจคิดถึงพี่สาวที่คุณตามารับไปอยู่ด้วยได้สองวันแล้ว

 

            “คิดถึงพี่เขาเหรอลูก วันพรุ่งก็กลับมาแล้วกุ้งสดยังมีเหลือค่อยทำให้เธอทานวันพรุ่งนี้ก็ได้ หนูแสนจะอยู่ช่วยแม่ทำกับข้าวต่อหรือจะไปอาบน้ำลูกแม่ให้เฟื้องมันรองน้ำตากแดดไว้จะได้ไม่ต้องอาบน้ำต้มน้ำร้อนให้ผิวแห้ง รีบอาบเสียตอนนี้จะได้ไม่หนาว”

 

          “แต่หนูแสนอยากช่วยแม่ทำกับข้าวต่อนี่จ๊ะ”เจ้าตัวน้อยเกาะแขนพลางซบหัวทุยๆลงบนต้นแขนของผู้เป็นแม่

 

            “วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว แม่ต้มจับฉ่ายไว้ตั้งแต่เพล ทอดปลาอีกซักอย่างทำน้ำจิ้มก็เสร็จแล้วลูก คุณเตี่ยกลับมาจะได้กินข้าว แสนเองก็ไปตะลอนๆกับคุณเล็กทั้งวันไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวแล้วอ่านหนังสือเถอะ พรุ่งนี้แม่จะทำขนมไปช่วยงานบ้านเจ้าคุณยุทธนาแสนค่อยมาช่วยแม่นะลูก”

 

            “ก็ได้จ้า งั้นหนูแสนไปอาบน้ำก่อนนะจ๊ะแม่”เจ้าตัวน้อยยืดตัวขึ้นไปจุมพิตแก้มของแม่แล้วเดินออกจากครัวไป ทิ้งให้คนเป็นแม่และบ่าวคนสนิทมองตามหลังด้วยความเอ็นดูรักใคร่

 

            “คุณแสนเธอน่ารักนะคะ ทั้งน่ารัก ทั้งใจดีใครๆก็รัก”

 

            “ลูกของฉันคนนี้น่ะเหมือนเกิดมาเป็นน้ำคอยดับไฟจากแม่สนเลยล่ะยายแช่ม  ฉันล่ะสะท้อนใจเหลือเกิน งานบ้านงานครัวที่ได้รับสั่งสอนมากจากในวังฉันก็หวังจะถ่ายทอดให้แม่สน แต่รายนั้นน่ะสนใจซักนิดก็ไม่มี ที่ยอมลงครัวทุกครั้งก็เพราะฉันต้องดุต้องขู่ตลอด แต่หนูแสนไม่ต้องเรียกก็มา ถ้าเกิดมาเป็นลูกสาวฉันจะชื่นใจไม่น้อย”

 

            “ไหนๆคุณแสนเธอก็ชอบงานบ้านงานเรือนแล้วคุณก็ค่อยๆถ่ายทอดให้เธอเถอะค่ะ อย่างน้อยวิชาก็ไม่ตายตามตัวไป คุณสนเธอไม่รักไม่ชอบทางนี้ไปข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ”ยายแช่มแนะให้กับคุณพะยอมที่กลุ้มใจเรื่องลูกสาวไม่เอางานครัวที่เป็นงานขึ้นชื่อของผู้เป็นแม่เลย ทั้งๆตอนที่เกิดวิกฤติคราวก่อนคุณพะยอมยังเคยรับทำขนมงานบุญหาเงินมาช่วยเจ้าสัวโดยไม่สนคำครหาเลยซักนิด

 

            “หม่อมแดงท่านยังขายห่อหมกได้ ทำไมฉันจะขายขนมสูตรชาววังไม่ได้”ยายแช่มจำคำได้ขึ้นใจ

 

            “ฉันก็หวังว่าหนูแสนจะรักจะชอบงานครัวไปตลอด ไม่ใช่พอแตกหนุ่มก็ทิ้งไปทำการค้ากับเตี่ยเขาน่ะสิ ดูอย่างพ่อเสนซิ ทุกวันนี้ตามติดคุณเตี่ยต้อยๆ ท่าทางคำพูดคำจาชักจะเป็นนายห้างใหญ่เข้าไปทุกที”คุณพะยอมเอ่ยถึงบุตรชายคนโตด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

 

            “ระวังจะได้ลูกสะใภ้เร็วๆนี้นะเจ้าคะ เป็นหนุ่มสวยยังกะพระเอกยี่เกขนาดนั้นต้องมีสาวๆมาชายตาแน่ๆ”

 

            “เอาเถอะ พ่อเสนก็ยี่สิบกว่าแล้วจะออกเรือนมีลูกเมียฉันก็จะไม่ขัดหรอกขอแค่ผู้หญิงขยันขันแข็งและรักลูกฉันจริงก็พอใจแล้ว ฉันเชื่อว่าลูกชายของฉันจะไม่ไปคว้าพวกจับจดหรือช็อกการีที่ไหนมาให้แปดเปื้อนวงศ์ตระกูล คนที่ฉันห่วงคือแม่สน รายนั้นนิสัยร้ายกาจใครจะอยากได้ทำเมียล่ะยายแช่มเอ้ย”คุณพะยอมถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับนิสัยลูกสาว

 

 

          เช้านี้เรือนของเจ้าสัวเช็งวุ่นวายตั้งแต่ยังไม่ย่ำรุ่ง ควันไฟลอยเอื่อยออกจากเตา คุณพะยอมคุมบ่าวไพร่ที่กะเกณฑ์กันมาช่วยทำขนมมงคลสำหรับเอาไปช่วยงานแต่งของบุตรีเจ้าคุณยุทธนา

 

ไข่เป็ดไข่ไก่แป้งน้ำตาลเกลือถั่วเขียวซีกรวมทั้งใบเตยใบตองถูกนำมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน หนูแสนที่ตื่นหลังคุณพะยอมเดินเข้ามาในครัวสีหน้าไร้ความงัวเงีย ยายแช่มขยับหลบยามคุณคนเล็กของบ้านมานั่งใกล้

 

            “อ้าว หนูแสน ตื่นนานหรือยังจ๊ะ”คุณพะยอมที่กำลังคุมบ่าวให้ทำทองหยิบหันมาถามลูกเล็ก หนูแสนยิ้มหวานให้คนเป็นแม่ ตัวสั่นเล็กน้อยด้วยลมแม่น้ำพัดความเย็นเยือกของเดือนธันวาคมมาให้ตึงผิว

 

            “น่าจะนอนอีกซักหน่อย อากาศเย็นนักแม่กลัวลูกจะได้ไข้”

 

            “หนูแสนนอนไม่หลับแล้วจ้าแม่ อยากจะลงมาช่วยทำขนม หนูแสนยังไม่เคยทำทองเอกกับสเน่ห์จันทน์เลย”เจ้าตัวน้อยตอบอย่างเด็กใฝ่รู้ พวกทองหยิบทองหยอดฝอยทองเม็ดขนุนรวมทั้งขนมชั้นน่ะนะหนูแสนทำเป็นหมดแล้วเพราะแม่ทำบ่อยแม้ว่าทองหยิบหนูแสนจะยังทำไม่สวยนักก็ตามเถอะแต่หนูแสนค่อยซ้อมมือวันหลัง ส่วนจ่ามงกุฏกับขนมถ้วยฟูหนูแสนทำเป็นแล้ว วันนี้หนูแสนอยากทำเสน่ห์จันทน์กับทองเอกมากกว่า คุณพะยอมส่งยิ้มอ่อนอกอ่อนใจให้ลูก

 

            “ลูกคนนี้นี่ ใฝ่รู้นัก หากแม่ไม่สอนเจ้าวันนี้คงรบเร้าไม่เลิกสินะ อย่างนั้นก็มานี่มา แม่จะทำอยู่พอดี”หนูแสนรีบขยับมานั่งใกล้ผู้เป็นแม่ทันที คุณพะยอมเลื่อนถาดใส่ไข่มาไว้หน้าลูกมีไข่แดงในอ่างถูกแยกไว้ปริมาณเยอะพอสมควรแล้ว หนูแสนแยกไข่เป็นแล้วแต่ก็ยอมนั่งแยกไข่ตั้งแต่ต้น

 

            “เสน่ห์จันทน์ใช้แป้งสองชนิดนะลูก แสนรู้มั้ยว่าใช้แป้งอะไรบ้าง?”

 

            “แป้งข้าวเจ้ากับแป้งข้าวเหนียวจ้า”

 

            “เก่งมากลูก ถ้าลูกใช้แป้งข้าวเจ้าไปเท่าไหร่ลูกก็ผสมแป้งข้าวเหนียวครึ่งหนึ่งของแป้งข้าวเจ้านะลูก”คุณพะยอมให้หนูแสนผสมแป้งด้วยตัวเอง

 

            “อันนี้แม่ให้แสนทำไว้ทานเองแสนอยากทำเท่าไหร่ก็ผสมเท่านั้น เดี๋ยวขนมอย่างอื่นแม่จะแบ่งใส่ถาดไว้ให้”

 

            “ถ้าอย่างนั้นหนูแสนแบ่งไปให้คุณเล็กทานด้วยได้มั้ยจ๊ะ”เจ้าตัวน้อยถามด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว ดวงตามีประกายระยิบราวกับดาวกำลังกระพริบแสง

 

            “ได้สิลูก มาเถอะทำต่อแม่จะสอน ลูกต้องผสมหัวกะทิกับน้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน ถ้าลูกใช้หัวกะทิสามถ้วยน้ำตาลทรายก็ใช้แค่ 2 ถ้วยแต่ถ้าอยากได้หวานน้อยกว่านี้ก็ลดน้ำตาลลงนิดหน่อย คนให้น้ำตาลละลายเข้ากันแล้วก็กรองอย่างนี้”คุณพะยอมผสมหัวกะทิกับน้ำตาลตั้งไฟแล้วคนจนน้ำตาลละลายจึงนำผ้าขาวบางมากรอง

 

            “พอกรองเสร็จก็เอามาผสมกับแป้งกับผงจันทน์ป่น เห็นมั้ยลูก สีเหลืองๆนี้พอใส่ลงไปจะมีกลิ่นหอมเหมือนลูกจันทน์แล้วตั้งไฟกวน แสนต้องใช้ไฟอ่อนนะลูก กวนจนกว่าจะจับเป็นก้อน”คุณพะยอมส่งพายไม้อันเล็กให้ลูกหลังจากเอาแป้งผสมใส่กระทะทองเหลืองขึ้นตั้งไฟให้ลูกแล้ว หนูแสนนั่งกวนแป้งของตัวเองในขณะที่คุณพะยอมเองก็ไม่ได้ว่างนั่งปั้นลูกจันทน์พลางมองลูกไปพลางจนแป้งที่หนูแสนกวนแป้งเข้ากันส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

 

            “เอาไข่ใส่ลงไปทีละฟองแล้วกวนให้เข้ากันลูกกวนเร็วๆ”หล่อนร้องบอกกับลูกหนูแสนเทไข่ในชามลงไปรีบคนจนแป้งกับไข่เข้ากันจนแป้งเป็นสีเหลืองนวลจับตัวเป็นก้อนยายแช่มมาช่วยยกลง หนูแสนรอให้แป้งเย็นพอปั้นได้ระหว่างนั้นก็ช่วยแม่ปั้นแป้งส่วนของคุณพะยอม

 

            “ปั้นให้เป็นลูกกลมๆนะลูก อย่าให้ใหญ่เกินอย่าให้เล็กเกิน”หนูแสนทำตามที่แม่บอกอย่างตั้งใจ เมื่อแรกยังกะขนาดไม่ได้ผลจันทน์ที่ได้จึงลูกใหญ่นักต้องปั้นใหม่อยู่ 2-3 ครั้ง พอแป้งของหนูแสนเย็นหนูแสนจึงหันไปปั้นของตัวเองได้มาเกือบสามสิบลูก พอปั้นเสร็จคุณพะยอมก็ให้หนูแสนเอาน้ำตาลปี๊บที่เคี่ยวจนเหนียวทำเป็นขั้ววงกลมแปะติดตรงกลางลูกจันทน์ที่ปั้นเตรียมไว้แล้วกดลงไปจนผลกลมๆกลายเป็นลูกจันทน์ผลแป้นแสนน่ารักสีน้ำตาลเข้มเงาวับตัดกับสีเหลืองสวยจากผลจันทน์สร้างรอยยิ้มให้หนูแสนไม่น้อย คุณพะยอมช่วยลูกเอาขนมเรียงใส่โหลจุดเทียบอบแล้วปัดจนเทียบดับเกิดควันแล้วปิดฝาทันที

 

            “ถ้าใช้ไข่ไก่สีจะอ่อนแต่ถ้าใช้ไข่เป็ดสีจะสวยกว่าแต่กลิ่นก็จะคาวกว่า”คุณพะยอมบอกเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆให้ลูก หนูแสนช่วยบ่าวหยิบจับทำนู่นนิดนี่หน่อยก็ได้เวลาทานข้าวเช้า คุณพะยอมแยกไปตระเตรียมสำรับขึ้นตึกใหญ่เพื่อให้คุณก๋งกับอาม่าที่ชราภาพมากแล้วก่อนจากนั้นบรรดาบ่าวจึงทยอยกันนำอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ เกือบแปดโมงเจ้าสัวเช็งกับคุณเสนจึงลงมา

 

            “ว่าอย่างไรเจ้าตัวดีเข้าไปป่วยแม่เขาที่ครัวอีกแล้วรึ”เจ้าสัวเช็งในวัยหกสิบปีเอ่ยถามลูกชายตัวน้อยที่วิ่งเข้ามากอดอุ้มลูกที่เริ่มตัวโตขึ้นทุกวันมานั่งอก หนูแสนยกมือคล้องแขนพ่อไว้พลางเอียงหน้าซบลงบนไหล่ของผู้เป็นบิดา

 

            “หนูแสนเปล่าซนนะคะ หนูแสนทำขนมมาให้คุณเตี่ยกับคุณพี่เสนทานก่อนไปทำงานด้วย”เจ้าตัวดีรับจานขนมที่ถูกจัดอย่างละนิดอย่างละหน่อยมาไว้ตรงหน้าพ่อ

 

            “น่ากินจังลูก แต่หนูแสนเมื่อไหร่จะเลิกพูดคะขาซักทีล่ะลูก เจ้าเป็นผู้ชายมาพูดคะพูดขาเตี่ยว่ามันเข้าท่า”

 

            “แต่คุณเล็กเรือนนู้นก็พูดนี่คะ”หนูแสนเอ่ยแย้ง เจ้าสัวเช็งส่ายหน้า

 

            “เป็นผู้ชายก็ต้องพูดครับสิคุณเล็กเธอจะพูดอะไรก็เป็นเรื่องของคุณเล็ก หนูแสนสิบขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นหนุ่ม”

 

            “หนูแสนไม่อยากเป็นหนุ่มนี่คะ...เอ่อครับ”เด็กน้อยรีบเปลี่ยนคำท้ายเมื่อเห็นแววตาดุๆของผู้เป็นบิดา

 

            “ไม่มีใครไม่โตหรอกลูกเอ๋ย ถ้าไม่โตหนูแสนจะต้องไปโรงเรียนทำไมจริงมั้ยลูก พอหนูแสนโตก็จะได้ไปช่วยเตี่ยกับพี่เสนทำงานที่ห้างไม่ดีหรอกหรือ”

 

            “โธ่ คุณพี่คะลูกยังเล็กอย่าเอาเรื่องหนักสมองมาใส่ลูกเลยค่ะ มาเถอะเช้านี้ฉันทำข้าวต้มเครื่อง เห็นบ่นอยากกินมาหลายวัน”คุณพะยอมดึงลูกให้กลับไปนั่งที่ เพราะเจ้าสัวเช็งเป็นคนหัวสมัยใหม่ในบ้านจึงมีห้องอาหารที่นั่งโต๊ะแบบฝรั่ง

 

            “แล้วนี่แม่สนจะกลับมากี่โมงกี่ยาม”

 

            “น่าจะบ่ายๆค่ะ”

 

            “ลูกคนนี้ก็แปลกคนชอบอยู่กับตากับยายมากกว่าอยู่กับพ่อกับแม่”

 

            “คุณพ่อท่านรักของท่านก็เว้นไว้ซักคนเถอะค่ะ รีบทานข้าวเถอะกำลังร้อนๆ”คุณพะยอมตัดบทเมื่อเห็นว่าเจ้าสัวเช็งทำท่าจะบ่นลูกสาวคนเดียวให้ยืดยาวอีก

 

หลังจากส่งเจ้าสัวเช็งกับคุณเสนเรียบร้อยแล้วคุณพะยอมก็จัดแจงนำขนมมงคลทั้ง 9 อย่างที่จัดใส่พานสวยงาม 9 พาน ลงเรือเพื่อเดินทางไปบ้านเจ้าคุณยุทธนา

 

            “ไม่ไปกับแม่จริงๆเหรอหนูแสน”

 

            แม่ไปเถอะจ้า งานมีแต่ผู้ใหญ่หนูแสนไม่รู้จะเล่นกับใคร ฟังก็ไม่รู้เรื่องหนูแสนง๊วงง่วงจ้า”เจ้าตัวน้อยทำปากยู่อย่างน่ารักจนคุณพะยอมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

            "ดูลูกคนนี้เถอะทะเล้นนัก ไม่ไปก็ไม่ไป หนูแสนอยูเรือนอย่าไปเล่นซุกซนที่ไหนนักล่ะ จะไปไหนให้เรียกนายมีให้ไปด้วยทุกครั้งนะรู้มั้ย ส่วนกับข้าวเย็นแม่จะให้ยายแช่มเตรียมไว้ให้”

 

            “เข้าใจแล้วจ้าแม่”หนูแสนรับคำของแม่ส่งแม่ลงเรือพอลับตาเจ้าตัวน้อยก็วิ่งปรู้ดเข้าครัวร้องเรียกนายมีไปด้วย

 

            “นายมี นายมีจ๋าอยู่ไหนจ๊ะหนูแสนจะไปเรือนคุณเล็กยกถาดขนมให้หนูแสนทีจ้า”

 

 

“เมื่อวานคุณเล็กคิดว่าหนูแสนจะมาทานข้าวเย็นด้วย ทำไมส่งมาแค่อาหารล่ะคะ”ทันทีที่เห็นเจ้าตัวขาวเดินเข้ามาในศาลาริมน้ำคุณเล็กก็เอ่ยถามเสียงตึงจนเจ้าตัวน้อยต้องรีบส่งยิ้มหวานประจบ

 

            “คุณเล็กโกรธหนูแสนเหรอ ขอโทษได้มั้ยคะพอดีคุณเตี่ยกลับเร็วมะรืนจะไปจีนอีกแล้วหนูแสนเลยต้องอยู่ทานข้าวพร้อมคุณเตี่ยค่ะ นี่คุณเล็กอ่านหนังสืออยู่เหรอคะ หยุดอ่านก่อนเถอะค่ะหนูแสนเอาขนมมาให้ลองชิม”หนูแสนดึงหนังสือเล่มหนาในมือของคุณเล็กออก ยู่ปากเมื่อตัวอักษรที่เห็นเป็นภาษาที่ตนเองอ่านไม่ออก

 

            “อ่านหนังสือฝรั่ง ไม่ยากเหรอคะ”คุณเล็กยอมวางหนังสือลงในขณะที่นายมีเอาถาดขนมใบเล็กมาวางลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า ขนมในถาดเก้าชนิดดูน่าทาน

 

            “คุณน้าพะยอมจัดขนมไปช่วยงานอีกแล้ว คราวนี้หนูแสนทำอะไรคะ”คุณเล็กถามอย่างรู้ทันเพราะทุกครั้งที่บ้านหนูแสนทำขนมไปช่วยงานหนูแสนก็จะนำมาฝากตลอดแต่เจ้าตัวจะบอกว่าวันนี้ทำขนมชนิดไหน

 

            “วันนี้หนูแสนทำเสน่ห์จันทน์ค่ะ”เจ้าตัวน้อยเลื่อนเสน่ห์จันทน์ลูกสวยให้คุณเล็ก

 

           " น้ำข้าวตูค่ะคุณแม่ทำไว้เมื่อเช้าหอมชื่นใจดี”คุณเล็กรับแก้วน้ำที่นายพันนำมาให้ยื่นให้หนูแสน ในแก้วมีน้ำแข็งก้อนลอยอยู่ หนูแสนยิ้มอย่างชอบใจ

 

            “เรือจากสิงคโปร์มาแล้วเหรอคะ ดีจริง”เพราะสมัยนั้นการจะมีน้ำแข็งกินต้องสั่งจากสิงคโปร์กว่าจะมาถึงสยามจากก้อนใหญ่ๆก็เหลือเพียงก้อนเท่าชามข้าว จะมีก็เฉพาะบ้านผู้มีอันจะกินเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้กินน้ำใส่น้ำแข็งชื่นใจซึ่งหนูแสนชอบนัก

 

            “มาแล้วค่ะ คราวนี้ได้ขนมฝรั่งมาหลายอย่าง เดี๋ยวหนูแสนขึ้นไปเล่นบนเรือนสิคะคุณเล็กจะเอาให้ แล้วก็ถ้าทานข้าวคนเดียวแล้วเหงามาทานข้าวกับคุณเล็กมั้ยคะ เจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไปงานบ้านเจ้าคุณยุทธนาเช่นกัน”

 

            “แต่ยายแช่ม...”หนูแสนทำหน้าครุ่นคิดเพราะวันนี้ยายแช่มจะเป็นคนทำกับข้าวให้กินถ้าไม่อยู่กินแกก็จะงอนเอาได้ แม้จะเป็นบ่าวแต่หนูแสนก็รักและเคารพเสมอเหมือนญาติสนิทคนหนึ่ง

 

            “ถ้าอย่างนั้นคุณเล็กรบกวนขอฝากท้องที่เรือนหนูแสนซักมื้อได้หรือไม่คะ”หนูแสนยิ้มรับทันที คุณเล็กเห็นรอยยิ้มนั้นก็พอใจตักขนมเสน่ห์จันทน์เข้าปาก รสหวานละมุนลิ้นกับความหอมของเทียนอบและผงจันทน์ป่นเข้ากันได้ดีกับความมันของกะทิทั้งหมดผสมผสานกันในคำเดียวความหวานที่ไม่หวานจัดอย่างขนมไทยทั่วไปทำให้คุณเล็กตักอีกลูกเข้าปาก

 

            “อร่อยมั้ยคะ? หนูแสนปรับใส่น้ำตาลให้น้อยลงเพราะคุณเล็กไม่ชอบหวานมาก”

 

            “อร่อยค่ะ หวานกำลังดีให้คุณเล็กทานหมดนี่ยังได้”

 

            “กินหมดนี่ก็จุกจนกินข้าวไม่ลงน่ะสิคะ..เอ้อ..ครับ”อยู่ๆหนูแสนก็เปลี่ยนคำลงท้ายสีหน้าอึดอัดเกิดขึ้นอย่างปิดไม่มิด คุณเล็กขมวดคิ้วทันที

 

            “ทำไมพูดครับล่ะหนูแสน มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

 

            “คุณเตี่ยบอกว่าหนูแสนเป็นเด็กผู้ชายไม่ควรพูดคะขา”

 

            “ก็เลยจะไม่พูดกับคุณเล็กด้วย?”หนูแสนพยักหน้ารับ คุณเล็กส่งเสียงหัวเราะบางๆก่อนจะใช้ฝ่ามือโคลงหัวเจ้าตัวเล็กเล่นอย่างเบามือ

 

            “หนูแสนก็ไม่ต้องไปพูดคะขากับใครสิคะ มาพูดกับคุณเล็กคนเดียวก็พอ”

 

 

 

 

.....................................................

 

 

 

ใส่ปุ๋ยเร่งโตจะได้โตไวๆ

 

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจเลยนะคะ ทุกครั้งที่เราเริ่มเรื่องใหม่มีความกลัวซ่อนอยู่ว่าจะไม่มีคนอ่านไม่มีคนชอบ แต่เห็นแม่ๆมาเอ็นดูหนูแสนเราก็ใจชื้นค่ะ

 

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-05-2019 23:08:23
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 26-05-2019 09:07:02
โถ คุณเล็ก แค่น้องแสนบอกจะกลับบ้านก็รีบขึ้นจากน้ำ น้องไม่มากินข้าวก็งอน หลงน้องมากใช่ไหมคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 30-05-2019 12:04:26
หนูแสนน่ารักเหลือเกินลูกก
คุณเล็กแง่งอนได้น่าเอ็นดูวว  :o8:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 03-06-2019 12:18:47
ได้กลิ่นขนมหวานๆของหนูแสนลอยมาถึงนี่เลยค่ะ

น่ารักจังเลย ต่อไปพอโตแล้ว คุณเตี่ยอย่าบังคับหนูแสนมากนะ คนอ่านหวง 55

คุณเล็กก็ดีค่ะ เห็นแววคุณชายหล่อๆ ทะเล้นๆ ซนๆ

ชอบที่เค้าพูดคะขากัน เป็นผู้ดีสมัยก่อนจริงๆ แต่ติดเวลาหนูแสนพูดจ้ากับแม่
ถ้าสลับไปใช้เสียงสั้นแบบ จ้ะ น่าจะอ่านได้ลื่นกว่านี้ค่ะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 16-06-2019 00:38:48



ตอนที่ ๓




                หนูแสนมองคุณสนที่ออกฤทธิ์กับบ่าวในบ้านด้วยสีหน้าเรียบตึง เด็กน้อยเรียนรู้ที่จะไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมาต่อหน้าผู้เป็นพี่สาว หลังจากคุณเตี่ยและคุณพะยอมออกจากบ้านเพื่อไปดูร้านผ้าแถวพาหุรัดคุณสนก็เริ่มออกฤทธิ์ เมื่อเห็นว่าอาหารที่ถูกตั้งขึ้นโต๊ะส่วนใหญ่เป็นของโปรดของหนูแสน ความอิจฉาริษยาที่มีต่อคนเป็นน้องตั้งแต่น้องเกิดมักจะถูกระเบิดขึ้นยามที่บุพการีทั้งสองและคุณเสนพี่ชายคนโตไม่อยู่บ้าน ความอิจฉาที่กัดกินหัวใจของคุณสนมาตั้งแต่เล็กจนโตทวีมากขึ้นทุกวัน เมื่อหนูแสนเหมือนจะรับแต่สิ่งดีๆมาจากผู้เป็นมารดา ทั้งหน้าตา ผิวพรรณ กริยามารยาทที่ใครๆต่างก็พากันเอ่ยปากชื่นชมทั้งๆที่หล่อนก็พยายามแล้วที่จะทำตัวให้โดดเด่นให้ทุกคนเห็นว่าหล่อนเองก็มีตัวตนอยู่ตรงนี้ แต่ทุกคนก็มองข้ามหล่อนไป



คนที่ไม่เป็นที่รัก พยายามให้ตายก็ไม่เป็นที่รักอยู่วันยันค่ำ



หล่อนเอาความผิดหวังความโกรธเกรี้ยวมาลงกับน้องคนเล็กที่พยายามเข้าหาพยายามทำดีกับหล่อน



ถ้าไม่มีหนูแสนซักคนหล่อนก็ไม่ต้องถูกเปรียบเทียบ



หนูแสนเกิดมาเพื่อเหยียบหัวหล่อนขึ้นไปเป็นที่รักของทุกคนโดยที่หล่อนไม่มีใครรักเลย แม้แต่บ่าวไหร่ก็ไม่อยากจะเข้าหาหล่อน จะเรียกใช้แต่ละทีต้องรอให้ทุกคนมาเอาอกเอาใจหนูแสนให้เสร็จก่อนอยู่บ่อยครั้ง



คุณสนเกลียด



แม้ไม่อยากเกลียดเพราะหนูแสนเองก็เป็นน้อง แต่ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ จะให้แสร้งทำเป็นรัก หล่อนก็ไม่อยากจะฝืนใจตัวเอง



                “พวกมึงลืมไปแล้วรึไงว่าเรือนนี้มีกูอยู่ด้วยอีกคน ของที่กูชอบไม่เคยมีขึ้นโต๊ะ อะไรๆก็ของโปรดหนูแสน”คนเป็นพี่ตวัดตามองน้องเล็กด้วยแรงริษยาที่สะสมมานานปี คุณสนมักจะวางอำนาจกับน้องยามที่พ่อแม่ไม่อยู่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน



                “มองอะไร เธอไม่พอใจอะไรพี่รึหนูแสน?”หล่อนเลิกคิ้วสูงกดเสียงต่ำจ้องหน้ากดดันคนเป็นน้อง



                “เปล่าครับ”หนูแสนหลบตาผู้เป็นพี่สาวเขี่ยข้าวในจานที่ยังไม่พร่องลงไปซักเม็ด



                “เหมือนกันหมด ทั้งนายทั้งขี้ข้า สุมหัวกันเอาอกเอาใจกันตั้งแต่เกิดจนโตเป็นควายแล้วก็ยังจะพะเน้าพะนอ อย่าลืมบ้านหลังนี้ยังมีกูเป็นนายอีกคน”คนสนหยิบชามแกงจืดลูกรอกขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปทางยายแช่มที่ยืนก้มหน้าหลบตาอยู่แตกกระจัดกระจายจนหญิงชราร้องวี้ด



                “ตายแล้วคุณสน ทำไมทำอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ”



                “ทำไม? ทำไมจะทำไม่ได้ ก็กับข้าวนี่ฉันไม่ชอบ ยายแช่มก็ไปทำมาใหม่จนกว่าฉันจะชอบ รู้หรือเปล่าว่าฉันชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร ฉันเบื่อเต็มกลืนที่ต้องฝืนกินกับข้าวที่หนูแสนชอบ”



                “โธ่ คุณเจ้าขา กับข้าวกับปลาก็ทำๆเวียนกันมาทุกวันนี่เจ้าคะ”ยายแช่มช้อนตามองคุณสนตอบเสียงอ่อย



                “ไม่รู้แหละ ยังไงฉันก็ไม่กินกับข้าวชุดนี้ ไปทำมาใหม่ เสร็จแล้วยกขึ้นไปให้ฉันที่ห้องฉันคร้านจะร่วมโต๊ะกับหนูแสนเกลียดขี้หน้าเต็มทน”คุณสนปาผ้าเช็ดมือลงบนโต๊ะแล้วเดินสะบัดหน้าขึ้นห้องโดยไม่สนใจน้องเล็กที่นั่งน้ำตาปริ่มเลยซักนิด ยายแช่มรีบเข้ามากอดปลอบคุณหนูคนเล็กอย่างแสนห่วง



หนูแสนก็เพิ่งจะ ๑๒ ขวบ แถมเป็นลูกหลงไม่แปลกเลยที่ใครๆจะพะเน้าพะนอ อีกทั้งกริยามารยาทคำพูดคำจาจ๊ะจ๋าแสนจะน่ารัก ไม่ว่าใครก็ต้องทั้งรักทั้งหลงด้วยกันทั้งนั้น



                “ไม่เป็นไรนะคุณเจ้าขา เดี๋ยวยายแช่มไปทำกับข้าวให้คุณพี่ หนูแสนทานข้าวไปนะคะ”



                “หนูแสนขอไปเรือนคุณเล็กได้มั้ยจ๊ะยายแช่ม เย็นๆหนูแสนจะกลับมาให้ทันคุณเตี่ยกับแม่กลับมาแน่ๆจ้า”เด็กน้อยช้อนตาขึ้นอ้อนร้องบอกความต้องการของตนเอง



                “รับข้าวให้อิ่มก่อนไม่ดีกว่าหรอกรึเจ้าคะ”



                “หนูแสนทานไม่ลงแล้วค่ะ ให้หนูแสนไปนะคะแล้วจะรีบกลับมา”เจ้าตัวน้อยกอดเอวหนาของยายแช่มแน่นเอ่ยคำพูดคำจาออดอ้อนจนหญิงชราใจอ่อน ใครล่ะจะไปขัดใจคุณเขาได้ลงคอ ลองได้จ๊ะจ๋า คะขาใส่แบบนี้ใจอ่อนทุกคน



                “ถ้างั้นก็ไปเถอะเจ้าค่ะทางนี้ยายแช่มจัดการเอง เดินระวังนะเจ้าคะปะเดี๋ยวเศษชามจะบาดเท้าเอาได้ อีเฟืองเก็บกวาดให้เรียบร้อยเดี๋ยวข้าจะไปทำกับข้าวให้คุณบนเรือนเธอใหม่”ยายแช่มคลายกอดจากเจ้าตัวน้อยหันไปสั่งงานบ่าวไพร่คนอื่น หญิงชราร่างท้วมเดินออกจากห้องอาหารส่งเสียงร้องเรียกนายมีพี่เลี้ยงของหนูแสนเสียงดังลั่นไปทั่วคุ้งน้ำ ไม่นานนายมีก็เข้ามารับหนูแสนไปเรือนคุณเล็ก



                “นายพัน คุณเล็กอยู่ที่ไหนจ๊ะ”หนูแสนเอ่ยถามยามไม่เห็นคุณเล็กนั่งอ่านหนังสือหรือซ้อมดนตรีที่ศาลาริมน้ำเหมือนเช่นที่เห็นทุกวัน



                “คุณเล็กอยู่บนเรือนใหญ่ขอรับ คุณหนูจะนั่งรอหรือขึ้นไปหาที่เรือนดี”



                คุณเล็กอยู่เรือนใหญ่มีอะไรหรือเปล่านายพัน”หนูแสนเอ่ยถามอย่างสงสัย ปกติถ้าเป็นเวลาว่างไม่ต้องไปเรียนคุณเล็กจะชอบนั่งทำกิจวัตรประจำวันอยู่ที่นี่นอกจากเจ้าคุณสรอรรถผู้เป็นพ่อเรียกไปคุยด้วยธุระสำคัญ



                “หนูแสนรอที่นี่ดีกว่า นายพันมีอะไรก็ไปทำเถอะ”หนูแสนนั่งลงบนพื้นไม้หยิบหนังสือที่คุณเล็กอ่านอยู่เป็นประจำขึ้นมาอ่านรอ เป็นนิทานภาพจากเมืองอังกฤษที่คุณเล็กได้เป็นของขวัญจากคุณใหญ่ส่งมาให้หลังเดินทางไปเรียนการทหารที่นั่น คุณเล็กมักอ่านให้หนูแสนฟังอยู่บ่อยๆ  หนูแสนนั่งสะกดภาษาอังกฤษในหนังสือทีละคำพลางดูรูปภาพประกอบอย่างไม่รู้เบื่อ พอนานเข้าก็ชักง่วงด้วยอากาศเย็นจากลมรำเพยในที่สุดเด็กชายตัวบางก็ค่อยๆเอนซบกับโต๊ะไม้ตัวเตี้ยและปิดเปลือกตาลงในที่สุด



                “พัน คุณแสนมานานหรือยัง”ร่างสูงก้าวขึ้นมานั่งเคียงข้างเจ้าตัวน้อยที่นั่งหลับทับแขนตัวเอง หนังสือกางวางกองอยู่บนโต๊ะ นายพันทิ้งงานในมือรีบเข้ามารายงานเจ้านายน้อยที่บัดนี้เป็นหนุ่มอายุ ๑๗ ปี โครงหน้าแบบเด็กชายในวันก่อนแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปงาม ดวงตาเรียวรี คิ้วโค้งรับกับจมูกโด่งสวย ริมฝีปากที่แดงโดยธรรมชาติมักเอื้อนเอ่ยคำหวานกับเจ้าตัวน้อยนั่นแย้มยิ้มด้วยความเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะลูบผมนุ่มมองแพขนตาหนาที่ปิดสนิทด้วยความเอ็นดู



                “มาได้ครูใหญ่แล้วขอรับ ตอนมาดูเธอตาแดงๆด้วยขอรับ”



                “ท่าจะโดนคุณพี่ดุมาอีกแล้วล่ะสิ พันจะไปไหนก็ไปเถอะ”คุณเล็กเอ่ยปากไล่คนสนิทก่อนจะดึงร่างน้อยของน้องให้มานอนหนุนตัก หนูแสนเมื่อเจอความอบอุ่นก็เบียดตัวเข้าหาขยับตัวหาท่าทางที่สบายที่สุดแล้วจึงนิ่งไป คุณเล็กหัวเราะเบาๆยามเห็นเจ้าตัวน้อยแก้มยู่ไปกับตัก หยิบเอาตำราเรียนขึ้นมาอ่าน หัวคิ้วสวยขมวดมุ่นหลุบตามองหนูแสนอีกครั้ง



                “หากต้องไปอยู่ไกลคุณเล็กต้องคิดถึงหนูแสนมากแน่ๆเลยค่ะ”







 

 

            หนูแสนขยับตัวก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อท้องร้องจนเจ้าของตักที่นอนหนุนหัวเราะออกมาเบาๆ เด็กน้อยรีบลุกขึ้นนั่งยกหลังมือเช็ดมุมปากเผื่อมีคราบน้ำลายเปรอะให้ได้อาย



            “สะอาดดีค่ะน้ำลายไม่ยืด”



            “คุณเล็กไปนาน”หนูแสนร้องออดหาข้ออ้างถึงเหตุผลที่ตัวเองต้องมาหลับอยู่ตรงนี้



            “พอดีเจ้าคุณพ่อเรียกไปคุยค่ะเลยนาน”คุณเล็กเลื่อนแก้วน้ำมะตูมที่บ่าวทยอยนำของว่างมาให้เจ้านายทั้งสองก่อนจะตักช่อม่วงลงจานเล็กให้หนูแสน



            “ชิมช่อม่วงดูสิคะ คุณแม่ลงครัวเองตั้งแต่บ่าย”



            “แหม กลีบดอกงามจริงค่ะ หนูแสนทำไม่ยักสวยแบบนี้”หนูแสนตักช่อม่วงเข้าปากรสกลมกล่อมที่อวลในปากทำเอาเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มออกมาได้ คุณเล็กเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นก็พลอยยิ้มตามอย่างอดไม่ได้



            “แล้วนี่หนูแสนมาทำไมคะ วันนี้แปลกไม่ยักมีขนมติดมือมา”



            “หนูแสนลี้ภัยค่ะ คุณพี่สน...”หนูแสนเงียบเสียงไปถอนหายใจเฮือกใหญ่



            “เธอหงุดหงิดใส่อีกแล้วสิท่า”



            “ค่ะ หนูแสนหิ๊วหิว ข้าวยังไม่ทันได้ทานเลยค่ะต้องรีบหลบออกมาก่อน”



            “งั้นก็ทานของว่างไปก่อนค่ะ หมูโสร่งกับล่าเตียงนี่ก็อร่อย วันนี้อยู่เรือนทั้งสองท่านเลยได้เครื่องว่างมาทานรองท้อง”คุณเล็กเลื่อนจานใส่หมูโสร่ง ล่าเตียง รวมทั้งกระทงทองและเมี่ยงกลีบบัวไปไว้ตรงหน้าหนูแสน



            “ว่าแต่คุณเล็กขึ้นเรือนไปคุยกับคุณลุงเรื่องอะไรคะ หนูแสนดูรูปในสมุดภาพรอจนหลับ”คุณเล็กชะงักไปกับคำถามนั้น



            “หนูแสนทานให้อิ่มก่อนค่ะเดี๋ยวคุณเล็กจะบอก”เด็กหนุ่มยื่นข้อต่อรองให้เจ้าน้องน้อยซึ่งหนูแสนก็ทำตามแต่โดยดี



สำหรับคุณเล็กแล้วหนูแสนเป็นเด็กหัวอ่อน ว่านอนสอนง่ายผิดกับคุณน้อยน้องสาวคนเล็กลูกคนละแม่ รายนั้นติดจะเอาแต่ใจอีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงจึงไม่ค่อยสนิทใจกันนักที่จะเล่นหัวกับน้องสาวเช่นที่เล่นกับหนูแสน ใช้เวลาไม่นานก็อิ่ม เพราะถึงแม้จะเป็นของว่างกินรองท้องแต่หนูแสนยังเด็กจึงทานได้น้อย คุณเล็กเรียกให้นายพันมายกสำรับออกไปรอจนหนูแสนดื่มน้ำเช็ดปากเรียบร้อยแล้วจึงได้เอ่ยปากพูดออกมา



            “หนูแสนอีกสามเดือนคุณเล็กจะไม่อยู่แล้วนะคะ”หนูเสนเงยหน้ามองคุณเล็กทันที ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าของคุณเล็กมิได้ละไปไหน



ใจดวงน้อยเต้นแรงจนอึดอัดไปทั้งทรวง หนูแสนไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรแต่หนูแสนเดาว่ามันคือความรู้สึก “ใจหาย”



            “เจ้าคุณพ่อท่านเรียกไปคุย ท่านบอกว่าคุณเล็กเอ้อระเหยมานานปีสมควรแก่เวลาที่จะไปเรียนต่อเหมือนพี่ใหญ่กับพี่รองได้แล้ว”



            “ต้องไปที่ไหนคะ? ลอนดอนหรือรัสเซีย?”หนูแสนนั้นทราบดีว่าคุณพี่ทั้งสองของคุณเล็กไปเรียนด้านการทหารเพื่อกลับมารับราชการรับใช้แผ่นดิน คุณเล็กส่ายหน้าน้อยๆ



            “คุณเล็กจะไปฝรั่งเศสค่ะ จะไปเรียนด้านกฎหมาย คุณเล็กเบื่อการทหารเต็มที บ้านนี้มีทหารเยอะแล้วค่ะ”



            “จะไปนานมั้ยคะ...”ที่สุดหนูแสนก็เอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจ



หากคุณเล็กไปแล้วหนูแสนคงจะเหงาน่าดู เพราะนอกจากคุณเล็กที่หนูแสนสนิทด้วยแล้วลูกบ่าวไพร่คนอื่นๆเขาก็จับกลุ่มเล่นกันเองไม่มีใครกล้าเล่นกับหนูแสนนัก



ตั้งแต่จำความได้หนูแสนก็มีคุณเล็กเป็นทั้งพี่ เป็นทั้งเพื่อน เป็นที่หลบภัยที่พักใจมาตลอดสิบสองขวบปี ไม่ว่าจะเดินมาหาคราวใดไม่เคยที่จะไม่เจอคุณเล็ก หิวก็หาข้าวหาปลาให้กิน ครั้นเริ่มเรียนอ่านเขียนก็ใจเย็นยิ่งกว่าน้ำคอยสอนไม่เคยตวาดตะคอกให้ต้องขวัญเสียเหมือนคุณสน ยามเล่นแม้จะอายุเยอะกว่าก็ไม่เคยถือตัวยอมนั่งเล่นกับหนูแสนได้ครั้งละนานๆ ยามลี้ภัยจากอารมณ์ผู้เป็นพี่สาวก็ได้คุณเล็กคอยปลอบให้คลายเศร้าหายกลัว



บัดนี้ที่พึ่งทางใจของหนูแสนกำลังจะเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล ไกลจนหนูแสนวิ่งมาหาเช่นทุกวันนี้ไม่ได้แล้ว



            “อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้สิคะ หนูแสนทำให้คุณเล็กไม่อยากไป”



            “สามเดือนสั้นแป๊บเดียวเองค่ะ ถ้าคุณเล็กไปหนูแสนคงคิดถึงแย่”คนเด็กกว่าทำหน้าหงอยจนคุณเล็กอกหัวเราอย่างเอ็นดูไม่ได้



            “อย่ามาขำหนูแสนสิคะ สามเดือนแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวคุณเล็กก็ไปแล้ว”เจ้าตัวน้อยทำตาละห้อย คุณเล็กยกมือขึ้นลูบเรือนผมนุ่มนิ่มนั้นอย่างเอ็นดู



            “คุณเล็กจะรีบไปรีบกลับ”ลิขิตพูดเสียงนุ่มหากทว่าคำพูดของเด็กหนุ่มนั้นมีแววหนักแน่นอยู่ในที



            “ไปอยู่ที่นู่นคุณเล็กคงคิดถึงหนูแสนทุกวันเหมือนกัน”เอ่ยบอกความนัยหากแต่เจ้าตัวน้อยกลับเข้าใจไปในแบบของเด็กๆ



            “ไปอยู่นู่นคงไม่มีเพื่อนเล่นแบบหนูแสนล่ะสิคะ”



            “ใช่เสียที่ไหนเล่า เด็กน้อย”คุณเล็กเคาะหัวหนูแสนไปเสียทีหนึ่ง



            “ซื่อบื้อ”แถมปรามาสไปอีกคำ



            “อ๊าว คุณเล็กมาว่าหนูแสนทำไมคะเนี่ย แถมมาเขกมะเหงกใส่หนูแสนอีก ขวางเสียจริง”เจ้าตัวเล็กทำเสียงฮึในลำคอแล้วแสร้งตีหน้างอใส่ เพียงเท่านั้นคุณเล็กก็รีบลูบหัวลูบหลังง้องอนคนที่กำลังกระฟัดกระเฟียด



            “โอ๋ๆ คุณเล็กหยอกเล่นค่ะ ไหนดูซิ หนูแสนอ่านนิทานไปถึงไหนแล้ว”พอเห็นว่าน้องน้อยจะงอนจริงๆก็ต้องรีบหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจ และแน่นอนเด็กกับนิทานย่อมเป็นของคู่กัน หนูแสนตั้งใจฟังคุณเล็กอ่านเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงฉะฉานแล้วแปลเป็นภาษาไทยให้หนูแสนฟัง ทั้งสองอยู่เล่นอยู่คุยกันจนเกือบเย็นคุณเล็กจึงได้เดินพาหนูแสนมาส่งที่รั้วบ้าน



            “อาบน้ำอาบท่าแล้วกินข้าวให้อร่อยนะคะ”คุณเล็กโบกมือลาหนูแสนที่มีนายมีคอยดูแลยืนรอจนร่างน้อยกลับเข้าไปในเรือนจึงได้หมุนตัวกลับ



อดใจหายมิได้เลยสักนิด อีกหน่อยจะไม่ได้เดินมาส่งหนูแสนแบบนี้อีกหลายปี



ช่วงเวลาที่ต้องแยกจากกันหนูแสนจะเติบโตอย่างเข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับพี่สาวอารมณ์ร้ายได้หรือเปล่าก็ไม่รู้



หนูแสนอ่อนโยนเกินไป หัวอ่อนและยอมคนง่าย หากโตไปแล้วยังเป็นอย่างนี้อยู่หนูแสนจะถูกรังแกและเขาเองก็อยู่ไกลเกินกว่าจะมาปกป้องหรือปลอบโยนได้อีก



คุณเล็กเกลียดความห่างไกลแต่ไม่ไปก็ไม่ได้



เด็กหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นห่วงหนูแสนนักหนาอาจจะเป็นเพราะความผูกพันที่มีให้กันมาตั้งแต่ยังเยาว์



เด็กดีอย่างหนูแสนน่ะควรค่าแก่การได้รับความรักจากทุกคนอยู่แล้ว คุณเล็กเองก็หวังว่าวันหนึ่งคุณสนจะมองเห็นความดีของน้องคนเล็กลดความเกรี้ยวกราดลงบ้างซักนิดก็ยังดี



บางทีหากวันหนึ่งได้เจอผู้ชายที่คู่ควรแล้วออกเรือนไปนั่นก็จะยิ่งดีต่อตัวหนูแสนเอง

 

          “กลับมาได้แล้วรึพ่อตัวดีหายหัวไปตั้งแต่เที่ยงยันเย็นไม่รอให้ตะวันตกดินก่อนลุถึงค่อยกลับ คราวหลังไม่หอบผ้าหอบผ่อนไปนอนที่เรือนนู้นเสียเลยล่ะ”หนูแสนที่กำลังย่องเข้ามาในเรือนถึงขั้นสะดุ้งโหยง เมื่อมองไปยังต้นเสียงก็เห็นคนสนนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ของเจ้าสัวเช็งหล่อนตบพัดเก็บก่อนจะวางปึงจนเกิดเสียง



            “คุณเตี่ยกับแม่ยังไม่กลับหรือคะ?”เสถามไปถึงพ่อแม่แต่คุณสนกับทำเพียงปรายตามอง



            “ทำไม เธอหาตัวช่วยเหรอ พี่ไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มารไม่ต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นก็ได้ คุณเตี่ยกับคุณแม่ให้คนมาบอกว่าจะนอนค้างบ้านที่บางลำพู”



            “อ่อค่ะ”หนูแสนรับคำ เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพี่น้องจนคุณสนถอนหายใจใส่



            “จะไปไหนก็ไปไป๊ รกหนูรกตาจริง”หล่อนเอ่ยปากไล่แล้วหันไปสนใจกับกล่องเครื่องประดับที่เอาออกมาเลือกเพื่อใส่ให้เข้ากับชุด หนูแสนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ลองคุณพี่ไม่ทำเสียงเกรี้ยวกราดใส่ก็แปลว่ากำลังอารมณ์ดีหนูแสนก็ไม่ต้องโดนดุโดนตีให้เจ็บตัว เจ้าตัวน้อยค้อมกายเดินผ่านผู้เป็นพี่สาวขึ้นบันได อดที่จะเหลียวกลับไปมองไม่ได้



คุณพี่สนสวย นั่นคือความรู้สึกของหนูแสน เธอเป็นคนแต่งตัวได้ดูดีทุกกระเบียดนิ้วยามหยิบเสื้อผ้าชุดใดขึ้นมาสวมใส่มักจะเลือกเครื่องประดับมาสวมจนโดดเด่นขึ้นมาเป็นที่เลื่องลือทั่วพระนครว่าธิดาเพียงคนเดียวของเจ้าสัวเช็งนั้นมีหัวทางด้านแฟชั่น ผิดกับหนูแสนซึ่งถ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกก็ใส่เพียงกางเกงแพรและเสื้อป่านคอกลมอยู่กับบ้านไม่ได้ใส่เชิ้ตนุ่งกางเกงติดสายเอี๊ยมแบบลูกฝรั่งอย่างกับคนรวยๆคนอื่นเขาแต่งตัวกัน คุณสนนั้นเคยค่อนขอดหนูแสนหลายครั้ง



            “ถึงไม่ใช่ลูกพระยานาหมื่นแต่เธอก็ควรแต่งตัวให้มันดีๆหน่อยนะหนูแสน แต่งเหมือนนุ่งผ้าขี้ริ้วไม่สมกับเป็นลูกเศรษฐี”



จะต้องแต่งตัวสวยๆไปทำไม หนูแสนชอบอยู่ในครัวถ้าแต่งสวยเกิดทำเลอะขึ้นมาก็สงสารคนซัก




อีกอย่างนอกจากเรือนของคุณเล็กแล้วหนูแสนก็ไม่เห็นอยากจะไปไหนซักหน่อย





...............................



โตกันทีละปีสองปีแล้วนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 16-06-2019 06:29:11
  :m3:    ชอบเรื่องนี้มากกกกก…


ยิ่งพระ-นาย พูดคะ ๆ ขา ๆ เนี่ย…    :m1:

เคืองคุณเตี่ยอะ! คุณแสนเธอเป็นลูกผู้ดี แม่ก็เป็นชาววัง ก็ต้องพูดคะขากับบุพการีและคนที่เธอรักสิ    o12



แอบตะหงิดตรงคำว่า “ทาน” อะ! 

ไม่ทราบเราใช้เป็น “กิน” หรือ “รับประทาน” ดีกว่าไหมหนอ?



หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-06-2019 13:00:12
 :pig4:
 :L2:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-06-2019 18:28:49
อ่านเพลินๆ หมดตอนซะแล้ว
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 16-06-2019 19:48:42
คุณเล็กเธอจะไปแล้วหรืออ

เอ็นดูหนูแสน คุณเล็กไปแล้วหนูแสนจะไปอยู่กับใคร

ส่วนคุณสน เห็นว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้ายนะ แค่เธอน้อยใจก็เท่านั้น

อย่างคุณเล็กว่า ถ้าคุณสนเธอออกเรือนไปหนูแสนน่าจะดีกว่านี้
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 26-06-2019 02:06:25
น่าสงสารหนูแสน คงจะเหงาแย่เลย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 26-06-2019 03:24:18
สนุกค่ะตัวร้ายมีมิติด้วย ชีวิตนางน่าสงสารนะ มีที่มาที่ไป
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 29-07-2019 10:58:56
มาต่อนะคะ รออ่านอยู่ค่ะ :mew3:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๓ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-07-2019 15:45:54
นานแล้วน๊าาาา รอตอนที่ 4 นะคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๔ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 27-11-2019 20:22:54



ตอนที่ ๔


   ควันสีเทาจากโรงครัวลอยเอื่อยท่ามกลางแสงจันทร์ที่ยังไม่ลับขอบฟ้า เสียงไก่ขันเสนาะหูหรีดหริ่งเรไรร้องรับกันระงมไปทั่วคุ้งน้ำ บนยอดหญ้ามีหยดน้ำค้างเกาะพราว เท้าเล็กของหนูแสนก้าวเข้ามาในโรงครัวไม่มีท่าทีงัวเงียเลยซักนิด คุณพะยอมยิ้มรับลูกชายที่เริ่มสูงตามอายุ เด็กน้อยทิ้งกายนั่งลงใกล้ผู้เป็นแม่ สูดลมหายใจเอาอากาศที่มีกลิ่นดอกมะลิอวลวนเข้าไปจนเต็มปอด

   “ห๊อมหอมค่ะแม่”

   “กลิ่นน้ำลอยดอกมะลิยายแช่มแกไปเก็บมาตั้งแต่เย็นวานมีเหลืออยู่ในพานหอมจริงอย่างลูกว่า”

   “หนูแสนชอบกลิ่นมะลิจ้ามันหอมเย็น ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสงบ”หนูแสนหยิบดอกมะลิในพานขึ้นมาดมเบาๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวานให้กับดอกไม้สีสะอาดในมือ คุณพะยอมลูบผมลูกคนเล็กก่อนจะตบที่ว่างข้างๆให้ลูกขยับไปนั่งใกล้

   “มานี่มา แม่จะสอนทำบุหลันดั้นเมฆ”คุณพะยอมเลื่อนถ้วยใส่น้ำดอกมะลิไปไว้ด้านหน้าลูกชาย น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยอธิบายกับลูกด้วยความใจเย็น

   “หนูแสนรู้มั้ยลูก ขนมนี้ใช้เป็นขนมเสี่ยงทายได้ด้วยนะลูก”หนูแสนเงยหน้ามองผู้เป็นแม่อย่างอยากรู้ ดวงตาใสแจ๋วจดจ้องอย่างจดจ่อแม้ไม่เอ่ยปากพูดแต่ก็ดูออกว่าอยากรู้มากขนาดไหน

   “มีความเชื่อว่าถ้าหากหยอดบุหลันแล้วขึ้นสวยสิ่งที่คิดไว้จะสมหวัง จะโชคดีหน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าหยอดแล้วบุหลันไม่ขึ้นออกมาไม่สวยสิ่งที่หวังไว้จะไม่สมหวัง”

   “แต่หนูแสนเพิ่งทำครั้งแรกบุหลันจะขึ้นเหรอจ๊ะแม่”หนูแสนเอ่ยถามอย่างกังวล ในใจของหนูแสนนั้นอธิฐานให้คุณเล็กหากหนูแสนหนอดแล้วบุหลันไม่ขึ้นคุณเล็กไม่โชคร้ายรึ? คุณพะยอมมองท่าทางของลูกชายด้วยความเอ็นดู หล่อนยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

   “หนูแสนลูก อย่าคิดมากสิจ๊ะ มันเป็นแค่ความเชื่อ ลูกทำครั้งแรกแม่ไม่ได้หวังให้ลูกทำออกมาแล้วสวยเหมือนคนที่ทำมานับครั้งไม่ถ้วนหรอก คนที่ทำมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ใช่ว่าจะทำขึ้นทุกครั้งไปนี่ลูก”

   “แล้วเขาโชคร้ายมั้ยจ๊ะแม่”หนูแสนผู้อ่อนต่อโลกยังมิคลายกังวลจนคุณพะยอมร้องพุทโธ่พรางหัวเราะอย่างเอ็นดูพลอยทำให้บ่าวคนอื่นๆอดยิ้มขำนายทั้งสองไม่ได้ ยายแช่มแยกออกไปทำสำรับเช้าเพื่อตั้งโต๊ะให้เจ้าสัวและคุณๆบนเรือนทุกคน ยกเว้นคุณก๋งและอาม่าที่ต้องต้มข้าวต้มเละๆกินกับอาหารที่ทั้งสองท่านจะเคี้ยวและกลืนได้ง่ายด้วยเพราะชรามากแล้ว

คุณพะยอมเริ่มทำขนมด้วยการนำน้ำดอกมะลิลงต้มจนเดือด ส่วนหนูแสนได้รับหน้าที่จัดการกับดอกอัญชัน เด็กชายเอาน้ำร้อนเทใส่ชามที่เด็กดอกอัญชันล้างน้ำเรียบร้อยลงไปใช้ตะเกียบคนเบาๆจากน้ำร้อนสีใสก็กลายเป็นสีม่วงสวยคุณพะยอมสอนวิธีตวงแป้งข้าวเจ้าและแป้งถั่ว บ่าวที่เป็นลูกมือตั้งซึ้งบนเตาไฟจนเดือดจัดควันโขมงไปทั่วโรงครัว ด้วยหนูแสนยังเล็กนักงานหยอดแป้งลงถ้วยตะไลที่นึ่งจนร้อนจัดจึงเป็นหน้าที่ของคุณพะยอมและบ่าว หนูแสนมองความรวดเร็วที่แม่และบ่าวหยอดแป้งด้วยความทึ่งเมื่อเต็มแล้วก็ปิดฝาเพียงครู่ก็เปิดแล้วหยิบถ้วยออกมาเทแป้งออกปรากฏเป็นแป้งที่สุกแล้วมีรูโหว่ตรงกลาง

   “มานี่สิลูก หยอดไข่ลงไปแบบนี้นะ”คุณพะยอมหยอดส่วนของบุหลันที่ทำจากไข่แดงผสมน้ำตาลลงไปให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง หนูแสนจ้องอย่างไม่วางตา

กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะหยอดเลอะเทอะทำให้ขนมไม่สวยแล้วจะโชคร้าย

   “เอาเลยลูก”คุณพะยอมยื่นชามใส่ไข่แดงผสมให้ลูก หนูแสนรับมาพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใจดวงน้อยตั้งจิตอธิฐานถึงพี่ชายข้างบ้านที่ใกล้จะเดินทางไกล

ขอให้คุณเล็กเดินทางปลอดภัยไม่เจ็บไม่ไข้และกลับมาหาหนูแสนเร็วๆ หนูแสนหยอดตัวบุหลันลงไปในรูว่างๆตามที่แม่สอนหลังจากนั้นก็รอจนนึ่งเสร็จตอนที่คุณพะยอมจะเปิดฝาซึ้งเด็กน้อยอดจิกเล็บกับพื้นกระดานไม่ได้

กลัวจะทำไม่ขึ้นแล้วคุณเล็กต้องมาโชคร้ายเหลือเกิน

   “ดีจริง”เสียงคุณพะยอมเอ่ยออกมาอย่างพอใจ

   “หนูแสนมาดูสิลูก”คุณพะยอมเรียกลูกน้อยให้ยื่นหน้ามาดูขนมที่เรียงใส่มาในถาดเรียบร้อยแล้ว บุหลันดั้นเมฆผิวเรียบสวยเสมอกันทุกถ้วยราวกับดวงจันทร์กระจ่างที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องนภายามค่ำคื่น สีเหลืองนวลตาตัดกับสีม่วงอมน้ำเงินสวยเสียเหลือเกิน หนูแสนคลี่ยิ้มอย่างดีใจที่ขนมขึ้นสวยกันถ้วนทั่วทุกถ้วย คุณพะยอมจัดขนมใส่กระทงวางรวมกับถาดที่เตรียมไว้ใส่บาตรพระ อาหารเช้าของยายแช่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าวสวยร้อนๆหอมๆถูกตักใส่ขันทองเหลืองฉลุลายวิจิตงดงามมีแกงส้มใส่กุ้งตัวใหญ่และปลาเค็มทอดไว้กินแนมกัน

   “วันนี้ทำไมมีแกงส้มมื้อเช้าล่ะจ๊ะแม่?”หนูแสนถามอย่างสงสัยเพราะปกติตอนเช้าจะกินอาหารรสอ่อนๆกันเสียมากกว่า

   “คุณเตี่ยกับพี่สนอยากกินน่ะลูก เห็นบ่นถึงมาหลายวัน กลางวันแม่ว่าจะทำยำปลากุเลา ให้นายพันไปหามะดันสดมาตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้คุณพี่เธอทานเสียหน่อยจะได้ไม่บ่นว่าแม่ทำแต่ของโปรดหนูแสน”

   “จะเรียกว่าของโปรดก็ไม่ถูกหรอกเจ้าค่ะก็คุณหนูเธอทานทุกอย่างไม่เคยบ่นว่าไม่ชอบอะไรเลยคุณสนน่ะเธอขวางไปเอง”ยายแช่มพูดแทรกพลางทำตาประหลักปะเหลือกใส่ลมใส่แล้งเมื่อนึกถึงคุณคนกลางของบ้าน

   “ยายแช่มนี่ก็ไม้เบื่อไม้เมากับหนูสนเธอจริงๆ”

   “คุณไม่เคยเจอตอนคุณสนเธอเขวี้ยงชามแกงใส่แบบอิฉันนี่คะ”ยายแช่มทำเสียงสะบัดพลางบ้วนน้ำหมากใส่กระโถน

   “ฉันก็ต้องขอโทษยายแทนลูกด้วยนะจ๊ะ”คุณพะยอมเอ่ยปากขอโทษผู้เป็นบ่าวเก่าแก่ที่ดูแลกันมาตั้งแต่คุณพะยอมเกิด ยายแช่มถอนหายใจอย่างอ่อนใจ

แบบนี้ใครจะไปโกรธลงกันเล่า

หลังจากส่งคุณเตี่ยและคุณเสนไปทำงานเสร็จหนูแสนก็ว่างเด็กน้อยหยิบหนังสือมาอ่านทบทวนบทเรียนที่เรียนมาตอนสายก็ลงไปช่วยคุณพะยอมทำยำปลากุเลา คุณสนอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อแม่ทำอาหารที่เธออยากทานจนใจดีตักแบ่งให้น้องกินเป็นภาพที่หายากเสียเหลือเกินตอนสายคุณสนลงมานั่งข้างล่างมาจับๆวัดๆหุ่นที่สั่งจากเมืองฝรั่งส่งมาจากสิงคโปร์เธอนำผ้ามาเทียบที่ตัวหุ่นแล้วเริ่มขีดๆเขียนๆง่วนอยู่คนเดียวโดนมีหนูแสนนั่งมองอยู่ห่างๆ

   “คุณหนูขอรับคุณเล็กมาหาขอรับ”นายพันเข้ามาบอกหนูแสนเบาๆโดยพยายามไม่รบกวนคุณสน พอได้ยินว่าใครมาหาหนูแสนก็ลุกขึ้นยืนทันทีอย่างดีใจก็พอดีกับที่คุณสนหันมามองพอดี

   “จะไปไหนอีกล่ะพ่อตัวดี”หล่อนเอ่ยถามด้วยเสียงตึง

   “ไปหาคุณเล็กค่ะ”

   “วันๆเอาแต่ละลอนเที่ยวเล่น จะให้ช่วยหยิบจับอะไรซักนิดล่ะไม่มี จะไปไหนก็ไปไป๊ รกหูรกตาเสียเหลือเกิน”คุณสนส่งค้อนให้น้องหนูแสนพอได้รับคำอนุญาตก็วิ่งปรู้ดออกจากบ้านไปทันที พอออกมาด้านนอกเดินเลาะริมบ้านไปทางรั้วก็พบคุณเล็กยืนรออยู่พร้อมม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่คุณเล็กจูงอยู่ หนูแสนตาโตด้วยความตื่นเต้นทันที

   “คุณเล็ก เอาม้ามาจากไหนคะ?”

   “เจ้าคุณพ่อสั่งมาหลายเดือนแล้วเอาไปฝึกจนเชื่องเพิ่งมาถึงเรือนเมื่อวานซืน”

   “สวยจังเลยค่ะ คุณเล็กขี่ไปเที่ยวมาเหรอคะ แต่งตัวเสียเต็มยศเชียว”หนูแสนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าวันนี้คุณเล็กแต่งตัวต่างจากที่เคย โดยปกติคุณเล็กจะใส่เสื้อคอกลม เสื้อป่านและกางเกงแพร หากวันที่ไปเรียนก็ใส่เครื่องแบบแต่วันนี้คุณเล็กแต่งกายด้วยชุดขี่ม้าแบบฝรั่งที่หนูแสนเคยเห็นในหนังสือ

   กำลังจะไปขี่ม้าเล่นค่ะ เลยจะเอาเด็กแถวนี้ไปด้วย”คุณเล็กตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดี ส่วนหนูแสนพอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างจนตาหยีราวพระจันทร์ยิ้ม

ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก...

   “จริงเหรอคะ ดีจริงหนูแสนอยากลองขี่ม้ามานานแล้วแต่คุณเตี่ยไม่ให้กลัวหนูแสนตกม้า”

   “ไปกับคุณเล็กไม่ต้องกลัวค่ะ ต่อให้ตกม้าคุณเล็กก็จะเป็นคนรับหนูแสนไว้เอง”คุณเล็กลูบผิวแก้มหนูแสนเบาๆยามพูดบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนทำให้เด็กน้อยมั่นใจว่าตนเองจะไม่เป็นอันตราย หนูแสนมองชุดที่ตัวเองใส่แล้วหัวเราะ

   “หนูแสนต้องไปเปลี่ยนชุดมั้ยคะ?”เด็กน้อยหัวเราะเบาๆยามเห็นคุณเล็กหลุดหัวเราะกับคำถามนั้น

   “ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณเล็กก็แต่งแบบนี้ไปอย่างนั้นแหละอีกหน่อยคงต้องใส่บ่อยๆ”

   “จริงด้วยค่ะ”หนูแสนหุบยิ้มพลางก้มหน้าทันทีเมื่อคิดถึงวันที่ไม่มีคุณเล็กคอยมาเล่นหัวด้วยเหมือนเช่นทุกวัน คุณเล็กรู้ตัวว่าตนเองพูดให้เสียบรรยากาศก็รีบเปลี่ยนเรื่อง

   “ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวแดดจะแรง”หนูแสนเดินเข้ามาใกล้ม้าตัวใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามองคุณเล็ก

   “หนูแสนขึ้นม้าไม่เป็นค่ะ...”เด็กน้อยทำหน้าอายๆยามที่บอกความแก่คุณเล็ก คนแก่กว่าไม่ได้พูดเย้าให้น้องได้อายทำเพียงย่อตัวลงแล้วช้อนอุ้มน้องน้อยให้ขึ้นไปนั่งบนม้า เด็กน้อยที่ลอยหวือได้แต่เกาะคอม้าไว้แน่นโดยที่คุณเล็กปีนขึ้นมาขี่ม้าโอบรอบตัวหนูแสนไว้จนแทบจะจมอก หนูแสนเพิ่งรู้วันนี้เองว่าคุณเล็กโตมากกว่าหนูแสนไปมากโข นอกจากตัวจะสูงกว่าหนูแสนแล้วอกและไหล่ของคุณเล็กก็กว้าง ต้นแขนแน่นแข็งแรงอีกกี่ปีหนูแสนจะตัวใหญ่เหมือนคุณเล็กนะ แล้วเขาว่าเมืองฝรั่งกินแต่นมเนยผู้ชายก็ตัวสูงใหญ่ราวยักษ์วัดแจ้งหากคุณเล็กไปอยู่ที่นั่นตัวจะใหญ่มากกว่านี้ขนาดไหนนะ

   “คิดอะไรอยู่คะ นั่งเงียบเชียว”คุณเล็กก้มหน้ามาถามเมื่อเห็นหนูแสนที่ช่างพูดช่างเจรจาเงียบไปจนผิดสังเกต

   “คิดถึงคุณเล็กค่ะ...”


   หลังจากคำพูดน่าเอ็นดูนั้นคุณเล็กก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเจ้าตัวน้อยเอาแต่ก้มหน้างุด คุณเล็กจึงค่อยๆบังคับม้าให้เดินไปตามทางตัดท้ายคลองเล็กๆที่สองข้างทางเต็มไปด้วยพืชไร่พืชสวนที่ชาวบ้านปลูกเต็มสองข้างทาง ยอดมะพร้าวไหวลู่จนเกิดเสียงยามสายลมพัดแรง ฝุ่นสีมัวปลิวจนหนูแสนต้องหลับตาหนี คุณเล็กเองก็รีบยกมือขึ้นป้องตาน้องอย่างเคยชิน

   “ฝุ่นเข้าตาไหมคะ?”เอ่ยถามด้วยความห่วงใยอดไม่ได้ที่จะเชยคางน้องน้อยให้หันมาทางตน หนูแสนส่ายหน้า

   “ไม่เข้าค่ะ หนูแสนหลบทัน”เจ้าตัวน้อยว่าก่อนหันกลับมามองทางอีกครั้ง เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะจนหนูแสนต้องหาเรื่องขึ้นมาคุย ก็ไม่พ้นเรื่องของกินที่อยากจะทำให้คุณเล็กได้ทานก่อนจะเดินทางในไม่ช้า

   “พรุ่งนี้คุณแม่บอกว่าจะทำแกงรัญจวน คุณเล็กอยากทานมั้ยคะ ถ้าอยากหนูแสนจะเอาไปให้”

   “อยากค่ะ แต่อยากทานฝีมือหนูแสนมากกว่า หนูแสนทำให้คุณเล็กทานได้มั้ยคะ”แสร้งถามอย่างลองใจทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

อย่างหนูแสนน่ะ ไม่เคยไม่ได้ ไม่ว่าคุณเล็กอยากทานหวานทานคาวแม้กับข้าวหรือขนมนั้นจะไม่เคยลงมือทำก็ไปออกอ้อนคุณพะยอมให้สอนจนได้

   “ได้สิคะ ตอนนี้ไม่ว่าคุณเล็กอยากรับประทานอะไรหนูแสนก็ทำให้ได้ทุกอย่างเลยค่ะ”เจ้าตัวน้อยเอ่ยบอกอย่างเอาใน คุณเล็ดอดไม่ได้ที่จะวางมือลงบนศีรษะกลมนั้นอย่างเอ็นดู

จากกันคราวนี้อีกกี่ปีหนอถึงจะได้พบ

   “ถ้าคุณเล็กไปนานหนูแสนจะรอคุณเล็กกลับมามั้ยคะ เราจะยังสนิทกัน คุยเล่นแบบนี้ได้อยู่อีกหรือเปล่า?”

   “รอสิคะ มีเหตุผลอะไรที่หนูแสนจะไม่รอคุณเล็กล่ะ”คุณเล็กรู้สึกหัวใจพองฟูยามได้ยินคำตอบจากความจริงใจของเด็กตรงหน้า

   “ได้ยินแบบนี้คุณเล็กก็ดีใจ”

หนูแสนเพลิดเพลินกับการขี่ม้าเล่นกับคุณเล็กนัก ยามลัดลำคลองมาก็จะขึ้นถนนใหญ่เมื่อไปอีกไม่ไกลก็เป็นตลอดเล็กๆที่ชาวบ้านขนเอาข้าวของมาขาย ในคลองมีเรือพายบรรทุกพืชผลการเกษตรข้าวปลาอาหารแห้งพายผ่านเป็นระยะ หลายคนเอ่ยทักทายคุณเล็กด้วยคุ้นหน้า คุณเล็กเอาม้าไปผูกไว้แล้วจูงจูงมือเจ้าน้องน้อยให้เดินเข้าไปด้านใน ขนมฝีมือชาวบ้านที่ไม่ได้ประดิบประดอยเหมือนที่คุณพะยอมทำยามที่ได้มายืนเลือกซื้อหน้าร้านก็น่าอร่อยไปเสียหมด รสชาติแม้ไม่กลมกล่อมละมุนหอมหวานเหมือนที่แม่ทำด้วยวัตถุดิบและความพิถีพิถันไม่สู้ของชาวรั้วชาววังหากแต่พอได้แบ่งกันกินกับคุณเล็กก็พลันอร่อยลิ้นไปเสียหมด คุณเล็กพาน้องน้อยเดินเที่ยวเล่นซื้อตุ๊กตาตั๊กแตนสานให้น้องเสียหนึ่งตัวเมื่อเห็นหนูแสนทำตาโตตื่นเต้น ชาวบ้านหลายคนที่รู้จักเอ่ยปากทักเป็นระยะ สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับเมื่อชาวบ้านพ่อค้าแม่ขายหลายคนเริ่มเอานู่นเอานี่มาเป็นของกำนัลด้วยเคยพึ่งใบบุญเจ้าคุณพ่อของคุณเล็ก

   “อยู่นานกว่านี้ปะเดี๋ยวเราสองคนคงได้เดินกลับเพราะเอาของขึ้นบรรทุกหลังม้าจนหลังแอ่น”คุณเล็กแอบกระซิบน้องน้อยตอนพี่เอาหนูแสนขึ้นม้าเรียบร้อยแล้ว หนูแสนหัวเราะคิกด้วยว่าเห็นจริงตามนั้น

   “กลับกันเถอะค่ะ เย็นแล้วปะเดี๋ยวหนูแสนจะโดนคุณคนกลางเอ็ดเอา”คุณเล็กว่าก่อนจะบังคับม้าให้กลับไปทางเดิม ม้าตัวใหญ่ค่อยๆเหยาะย่างอย่างเชื่องช้าด้วยผู้เป็นเจ้าของมิได้เร่งรีบนัก น้ำเสียงเล็กเอ่ยคุยจ้อเล่านู่นเล่านี่เกี่ยวกับโรงเรียนและเพื่อนๆที่ได้พบเจอมาตลอดสัปดาห์ ขนมในมือที่ซื้อมาหมดไปแล้วรสหวานบาดคอยังไม่จางไปจากปาก

   “สังขยาอร่อยดีค่ะ แต่แหม หวานจริงเชียว”เจ้าตัวน้อยแหงนหน้าขึ้นไปพูดกับคุณเล็ก เด็กหนุ่มมองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นด้วยสายตามีประกายไหววูบกลีบปากอิ่มแดงระเรื่อของน้องน้อยลอยอยู่ไม่ไกลหน้าพาเอาใจคนรุ่นหนุ่มกระตุก คุณเล็กใช้ปลายนิ้วเกลี่ยกลีบปากสีเรื่อนั้นด้วยความเบามือ

   “ข้าวเหนียวติดปากค่ะ”ว่าด้วยน้ำเสียงกลัวขำแต่เจ้าน้องน้อยหาได้มีความอายกลับคลี่ยิ้มราวดอกไม้เบ่งบานจนตาหยี

   “พูดซะหนูแสนเป็นเด็กตะกละเชียว”หนูแสนละความสนใจจากคุณเล็กมองไปยังกิ่งไม้ที่ไหวสะท้านตามแรงกระโดดของกระแตตัวน้อย นกกระจอกเริ่มส่งเสียงร้องลั่นพุ่มไม้ แสงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนลงทุกที รั้วเรือนปรากฏอยู่ไม่ไกล

หนูสอนกัดปากยามที่นึกชั่งใจว่าตนเองควรพูดประโยคนี้ดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจหันไปหาคุณเล็กอีกครั้ง

"คุณเล็กไม่ไปได้ไหมคะ”เจ้าน้องน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ลิขิตรับรู้ได้ถึงความเหงาในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา ไม่แปลกซักนิดที่หนูแสนจะอาลัยอาวรณ์ก็เพราะตั้งแต่เกิดมาเพื่อนที่สนิทที่สุดของหนูแสนก็คือคุณเล็ก คุณเล็กวางฝ่ามือลงบนเรือนผมนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง

 "คุณเล็กไปเรียนเดี๋ยวเดียวก็กลับ แสนอยู่ทางนี้เป็นเด็กดีได้ไหมคะ”ปลายน้ำเสียงทอดหวานคล้ายจะออดอ้อนหลอกล่อให้คนฟังคล้อยตามได้ไม่ยาก และมันก็ได้ผลเมื่อเจ้าตัวน้อยพยักหน้ารับแม้น้ำเสียงที่ตอบรับจะแสนอ่อน

 "แสนจะเป็นเด็กดี จะรอคุณเล็กกลับมาค่ะ...ว่าแต่เมืองฝรั่งไกลมากไหมครับแสนพายเรือไปหาคุณเล็กได้หรือเปล่า?”คำถามแสนซื่อแทบจะทำให้คนฟังวิ่งโร่ไปขอเจ้าคุณพ่อยกเลิกไม่ไปฝรั่งเศสแล้ว หากแต่คุณเล็กถือว่าตนโตแล้วจะมาทำตัวเหลาะแหละเป็นเด็กเอาแต่ใจคงไม่ได้

“ไกลมากค่ะ ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลกว่าตอนคุณเตี่ยหนูแสนไปจีน กว่าหนูแสนจะพายเรือไปหาคุณเล็ก คุณเล็กก็คงเรียนจบพอดี อยู่รอคุณเล็กที่นี่นะคะคนดี คุณเล็กสัญญาจะรีบกลับมาหาหนูแสนเร็วๆ”

“ถ้าคุณเล็กไปแล้วหนูแสนคงจะเหงาน่าดูเลยค่ะ เรือนกว้างใหญ่แต่ไม่มีใครเล่นกับหนูแสนเลย”

“เดี๋ยวหนูแสนก็โตขึ้นมีอะไรใหม่ๆให้ทำอีกมากมาย พอโตแล้วทำนู่นทำนี่หนูแสนอาจจะไม่มีเวลาจะเหงาเผลอๆอาจจะลืมคุณเล็กไปเลยก็ได้”คุณเล็กแกล้งทำน้ำเสียงตัดพ้อหากแต่เจ้าตัวน้อยหันมายู่ปากใส่อย่างน่าเอ็นดู

“ไม่มีทางค่ะ หนูแสนจะคิดถึงคุณเล็กทุกวัน คิดถึงจนกว่าจะกลับมาเลย”

และก็เป็นอีกครั้งที่เด็กชายอายุสิบสองปีทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเต้นผิดจังหวะเป็นครั้งที่สองของวัน


“กลับมาเสียเย็นเชียวนะพ่อตัวดี”หนูแสนชะงักเท้าที่ก้าวเข้าบ้านเมื่อคุณสนส่งเสียงดุมาให้ เด็กน้อยทำเป็นยิ้มกระลิ้มกะเหลี่ยใส่ผู้เป็นพี่สาว คุณสนขยับสร้อยไข่มุกที่พันเป็นสายยาวจากคดหุ่นจนถึงเอวแบบสมัยนิยม ชุดเดรสที่เห็นพี่สาวขีดๆเขียนๆเป็นรูปใส่กระดาษเริ่มเป็นรูปเป็นร่างโดยมีเข็มหมุดติดแทนตะเข็บ

“แหม...งามจริงค่ะชุดของคุณพี่สน”

“ประจบเก่ง ไปอาบน้ำอาบท่าเสียเถอะแล้วลงมาช่วยพี่เก็บของปะเดี๋ยวคุณเตี่ยกับแม่กลับมาจะได้กินข้าวกินปลา เห็นแก่ความปากหวานของเธอพี่จะไม่บอกคุณเตี่ยกับแม่ว่าเธอออกไปเที่ยวเล่นเสียเพลินจนกลับเรือนเกือบค่ำ”หนูแสนอมยิ้มกับความใจดีของคุณสน เด็กน้อยหัวใจฟูกระโจนเข้าไปสวดกอดพี่สาวจากทางด้านหลัง

“คุณพี่สนคนงามใจก็ดี๊ดีค่ะ เดี๋ยวหนูแสนรีบลงมาช่วยนะคะ”เด็กน้อยว่าอย่างเอาใจ

“ไปไป๊ เหม็นเหงื่อ”อีกครั้งที่ผู้เป็นพี่สาวออกปากไล่ หล่อนส่งค้อนยามน้องชายวิ่งจนเกิดเสียงตึง

“ปะเดี๋ยวเถอะฉันจะเคาะตาตุ่มเธอ”คุณสนร้องเอ็ดเสียงเขียวจนหนูแสนชะงักเท้าแล้วค่อยๆก้าวขึ้นบันไดอย่างแผ่วเบา มิวายจะหันมาส่งยิ้มแห้งให้พี่สาว

บรรยากาศอาหารมื้อเย็นนั้นอร่อยจนหนูแสนกินข้าวได้ตั้งสองจาน

ถ้าคุณสนอารมณ์ดีได้อย่างนี้ทุกวันหนูแสนต้องอ้วนจนคุณเล็กอุ้มขึ้นม้าอีกไม่ได้แน่ๆ

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๔ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 28-11-2019 03:18:48
ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องเริ่มดีแล้ว
หวังว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครมาทำอะไรให้กลับมาแย่อีกนะ

ส่วนคุณเล็กกับน้อง ขอให้มั่นคงแบบนี้ไปตลอดนะ
หวั่นใจว่าเวลาผ่านไปนานๆ จะมีตัวแปรโผล่มารึเปล่า
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๔ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 28-11-2019 08:26:49
คุณสนคนนี้น่ารักนะ หนูแสนจะได้มีความสุขและไม่เหงา ตอนที่คุณเล็กไปเรียนที่ฝรั่งเศษ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๔ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-11-2019 00:13:58
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๕ ((๕๐%)) ๐๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 08-12-2019 17:00:28


แสนคำนึง

ตอนที่ ๕


          คุณพะยอมเดินเข้ามาในโรงครัวก็ได้ยินเสียงตำอะไรซักอย่างดังมาจากลานนั่งกลางครัว บ่าวไพร่คอยช่วยเหลือหยิบจับข้าวของให้คุณหนูตัวน้อยที่กำลังตำน้ำพริกอย่างขมักเขม่น

            “หอมจริง”อดชมกลิ่นหอมจากการเอากะปิห่อใบตองย่างไฟแล้วนำมาตำเป็นน้ำพริกของลูกชายไม่ได้

            “น้ำพริกกะปิจ้าแม่”เจ้าตัวน้อยเงยขึ้นมาตอบคำถามผู้เป็นมารดาแล้วหันไปปรุงรสน้ำพริกอีกครั้งอย่างตั้งใจ คุณพะยอมมองข้าวของที่ลูกชายตระเตรียมไว้ก็พอจะเดาได้ว่าหนูแสนจะทำอะไรเป็นกับข้าวมื้อกลางวัน

            “ดีจริง วันนี้แม่สนคงเจริญอาหาร มีแกงรัญจวนขึ้นตั้งโต๊ะ ดีจริงมีหนูแสนทำของคาวแล้วแม่จะได้ทำของว่างไว้กินเล่น ยายแช่มไปเอากระเจี๊ยบแห้งมาต้มคั้นน้ำให้ฉันทีเถอะฉันจะทำขนมลิ้นจี่”คุณพะยอมเริ่มเตรียมของเพื่อจะทำขนมลิ้นจี่ หนูแสนเองก็เดินไปดูหม้อที่ตุ๋นเนื้อไว้เมื่อชั่วโมงก่อน พอเห็นว่าเนื้อที่ต้มไว้ได้ที่ก็ตั้งหม้อน้ำใหม่เมื่อเดือดก็ใส่น้ำที่ตุ๋นไว้ตามด้วยน้ำพริกกะปิที่เพิ่งตำเสร็จ ตามด้วยตะไคร้ซอยและพริกขี้หนูสวนบุบลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวตบท้ายด้วยใบโหระพาหอมฟุ้งไปทั้งครัว หนูแสนจัดการกับแกงของตัวเองเสร็จก็ไปนั่งช่วยคุณพะยอมปั้นถั่วเขียวเลาะเปลือกที่เอาไปนึ่งพอสุกก็เอามาคลุกกับมะพร้าวขูดแล้วเอาไปตำจนผสมเข้ากันจากนั้นจึงนำมาปั้นให้เป็นลูกกลมๆเล็กๆ ยายแช่มเอาสาคูแช่น้ำกะทิเติมน้ำกระเจี๊ยบสีแดงสวยลงไปผสมทิ้งไว้จนสาคูบานได้ที่ก็นามาแผ่บนมือเอาถั่วที่ปั้นเสร็จมาห่อด้วยสาคู

ที่แผ่ไว้จนเป็นทรงกลม

            “อย่าให้สาคูหนาเกินไปนะลูก”คุณพะยอมบอกกับลูกชายที่กำลังบรรจงห่อสาคูอย่างตั้งใจ ยายแช่มเอาลังถึงที่รองใบตองทาน้ำมันจนทั่วมาวางไว้ให้ผู้เป็นเจ้านายอย่างรู้งาน

            “ขอบใจจ้ายายแช่ม ถ้าไม่ได้ยายคอยช่วยหยิบจับฉันคงเหนื่อยกว่านี้เป็นแน่”ยายแช่มส่งยิ้มหวานจนเห็นฟันสีดำเพราะกินหมากให้กับคุณพะยอม เมื่อเรียงเม็ดสาคูลงในลังถึงจนเต็มก็ยกเอาไปนึ่งจนสุก หนูแสนทำตาโตเมื่อเห็นเม็ดสาคูหุ้มถั่วที่ปั้นออกมาพอสุกแล้วกลับเป็นสีแดงสดคล้ายผลลิ้นจี่จริงๆ คุณพะยอมเอากิ่งไม้แห้งที่นังเฟื้องเก็บมาล้างและตากแดดตั้งแต่วันก่อนเสียบทำเป็นขั้วลิ้นจี่มีใบไม้ประดับแทนใบลิ้นจี่สวยงาม

            “แสนเอามาทำบ้างสิลูก เสร็จแล้วก็ให้นายมียกไปแบ่งให้คุณๆเรือนนู้น”

            “จ้าแม่”หนูแสนรับกิ่งไม้จากเฟื้องมานั่งบรรจงเสียบลงบนผลลิ้นจี่ทีละลูกอย่างตั้งใจ

            “แล้วนี่คุณเล็กเธอจะออกเดินทางตอนไหนหนูแสนรู้มั้ย?”หนูแสนชะงักมือที่กำลังทำอดที่จะใจหายไม่ได้ แม้จะแสร้งทำเป็นลืมๆมันไปว่าลิขิตจะต้องออกเดินทางในเร็ววันแต่สุดท้ายก็หนีความจริงไม่ได้อยู่ดี

            “ต้นเดือนหน้าจ้าแม่”เจ้าตัวน้อยถอนหายใจเฮือก คุณพะยอมเห็นแล้วก็ให้สงสาร ขาดคุณเล็กไปซักคนลูกของหล่อนคงเหงาแย่ เป็นเพื่อนเล่นคอยพะเน้อพะนอดูแลกันมาตั้งแต่น้อยจนเติบใหญ่ คุณเล็กบุตรชายบ้านนู้นก็เป็นเหมือนพี่และเพื่อนที่หนูแสนรักและสนิทที่สุด

            “ไปอยู่ทางนู้นจะมีใครทำกับข้าวกับปลาขนมนมเนยให้เธอทานบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้นะเจ้าคะ”ยายแช่มทำหน้าตาสงสารคุณเล็กที่นางรักเหมือนเจ้านายคนหนึ่ง ก็คุณเล็กน่ะทั้งอ่อนโยนทั้งใจดีไม่เคยถือตัวกับใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือบ่าวไพร่

            “เธอไปคงคิดถึงแย่”

            “ไม่รู้ว่าคุณผกาจะเตรียมอะไรไปให้ลูกชายกินบ้าง ทางนั้นไม่ถนัดเรื่องสำรับคับค้อนเสียด้วย ไปแรกๆอาหารของพวกฝรั่งจะถูกปากมั้ยก็ไม่รู้”

            “อย่างนี้เราทำพวกของแห้งที่เก็บไว้กินได้นานๆให้คุณเล็กติดตัวไปด้วยได้มั้ยจ๊ะแม่”หนูแสนเอ่ยถาม

            “เราต้องไปถามทางเรือนนู้นเขาก่อนลูกว่าเขาจะทำกันเองมั้ย ถ้าเราทำไปก่อนมันจะข้ามหน้าข้ามตาแม่เขามันไม่ดีลูก”คุณพะยอมบอกลูกชายอย่างใจเย็น หล่อนรู้ว่าหนูแสนนั้นห่วงใยคุณเล็ก ยามเมื่อคนพี่ต้องไปไกลใจเจ้าตัวน้อยย่อมห่วงใยเป็นธรรมดา แต่การจะถือวิสาสะทำอะไรตามใจชอบของตนนั้นหล่อนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องดีนัก หากคุณเรือนนู้นไม่เข้าใจเจตนาก็จะกล่าวหาว่าลูกชายของหล่อนข้ามหน้าข้ามตากันไปได้

            “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูแสนเอาแกงรัญจวนกับขนมลิ้นจี่ไปให้เรือนนู้นหนูแสนจะลองถามคุณป้าผกาดูนะจ๊ะแม่”

            “เอาอย่างนั้นแหละลูก”

 

 

            “มาแล้วหรือคะหนูแสน มาช้าจริงคุณเล็กรอจะจะเงกอยู่แล้วเชียว”ลิขิตเอ่ยทักเจ้าตัวน้อยที่เดินยิ้มแป้นขึ้นมาบนเรือน คุณหญิงผกายกมือรับไหว้หนูแสนที่แทบจะกลายเป็นคนในครอบครัวของหล่อนอยู่แล้ว

            “ว่าอย่างไรเล่าหนูแสน วันนี้ทำอะไรมาให้ป้ากับคุณเล็กกินจ๊ะ”คุณหญิงผกามองแกงรัญจวนที่ถูกอุ่นจนร้อนควันลอยฟุ้งส่งกลิ่นหอมฉุยและถาดขนมลิ้นจี่ที่ตกแต่งจนเหมือนจริงด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม

            “ดีจริง แกงรัญจวนป้าไม่ได้กินนานแล้ว อันนี้หนูแสนทำเองหรือแม่พะยอมทำจ๊ะ”

            “หนูแสนทำเองค่ะ แต่ว่าแม่สอน สูตรของแม่ค่ะ”

            “อืม...เก่ง แม่พะยอมยังโชคดี ถึงลูกสาวจะไม่เอางานครัวก็ยังมีลูกชายที่สานต่อ แม่กลางของป้าพอออกเรือนไปก็ไม่ได้เอาวิชาไปด้วยเลย”คุณหญิงผกาเอ่ยถึงบุตรีคนที่สองที่เพิ่งออกเรือนไปได้ไม่นานอย่างเอ็นดู

            “ว่าแต่หนูสนเถอะ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วนะ ป้าจำได้ว่ารุ่นราวคราวเดียวกับแม่กลางของป้า มีคนรักแล้วหรือยัง ตั้งแต่เป็นสาวก็ไม่ค่อยได้เห็นเลย”

            “คุณแม่ เล็กหิวแล้วค่ะ เรากินข้าวกันเถอะ”คุณเล็กเห็นว่าคำถามของผู้เป็นมารดานั้นก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของบุคคลที่สามจึงกล่าวเบี่ยงประเด็น คุณหญิงผกาเองก็ได้สติรีบเปลี่ยนเรื่องโดยสั่งให้บ่าวไพร่ไปยกสำรับมาตั้ง เรือนของคุณเล็กก็นั่งโต๊ะเหมือนแบบฝรั่งคล้ายบ้านของหนูแสนด้วยความเป็นคนหัวสมัยของเจ้าคุณสรอรรถ จานชามถูกวางให้ผู้เป็นนายรวมทั้งหนูแสนทั้งสามพูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ คุณเล็กนั้นเจริญอาหารมากกว่าปกติตักแกงรัญจวนใส่จานข้าวตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนคนทำอดปลื้มใจไม่ได้ คุณผกาเองก็เอ่ยปากชมไม่ได้ขาด จนกระทั่งของคาวจบลงจึงล้างปากด้วยขนมที่หนูแสนเอามาให้ เจ้าตัวน้อยที่รอเวลาจึงเอ่ยปากถามถึงเรื่องของกินที่จะให้คุณเล็กเอาติดตัวไปกินที่เมืองฝรั่งเศส

            “ป้าก็คิดอยากจะทำอยู่แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มซักที ตอนพ่อใหญ่ไปก็ไม่ได้มีเวลาเตรียมตัวมากจดหมายมาบ่นอุบเชียวว่าเหม็นนมเหม็นเนย”

            คือ...หนูแสนกับแม่อยากจะช่วยทำพวกขนมหรือของกินแห้งๆที่เก็บไว้ได้นานให้คุณเล็กเอาไว้ทานเล่น คุณป้าจะอนุญาตมั้ยคะ?”

            “โอ้ย...ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีเลย แม่พะยอมเขารู้ว่าป้าไม่ถนัดงานครัวเท่าไหร่ ถ้ามีหนูแสนกับแม่พะยอมมาช่วยป้าจะได้เบาใจ

            “ถ้าอย่างนั้นก่อนคุณเล็กเดินทางซักสองวันหนูแสนจะทำมาให้นะคะ คุณเล็กอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยหนูแสนจะได้ทำให้เยอะๆหน่อย”เจ้าตัวน้อยหันไปหาคนเป็นพี่ด้วยดวงตาคาดหวังกับคำตอบ ลิขิตส่งยิ้มอ่อนโยนทอดเสียงนุ่มทุ้มบอกอย่างเอาใจคนฟัง

            “อะไรก็ได้ค่ะ ถ้าหนูแสนทำให้คุณเล็กก็ชอบทั้งหมด”หนูแสนรู้สึกใจกระตุกกับน้ำเสียงและสายตาที่คุณเล็กมองมา หนูแสนไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรยามที่คุณเล็กยื่นมือมาลูบเรือนผมหัวใจก็สั่นเหมือนเรือที่โยกโคลงเคลงยามมีคลื่นจากเรือยนต์ซัดผ่าน

หนูแสนรู้เพียงว่าทุกคำพูดทุกการกระทำที่คุณเล็กมอบให้นั้นมันช่างอบอุ่นใจเสียเหลือเกิน

หนูแสนอยากเป็นคนละโมบ อยากเก็บความใจดีเอื้ออารีย์ของคุณเล็กไว้กับตัวแค่คนเดียวไม่อยากแบ่งความใจดีที่คุณเล็กมีให้ใครเลยซักนิด

 

            ช่วงบ่ายหลังจากนั่งเล่นกับคุณเล็กซักพักหนูแสนก็ขอตัวกลับ เมื่อเข้ามาในเรือนก็เห็นภาพชินตาคือคนสนนั่งเย็บปักถักร้อยเสื้อผ้าที่เธอออกแบบเองตัดเย็บและใส่เอง

ด้วยเรือนการสูงระหงยามใส่ชุดลูกไม้ปล่อยชายยาวกับผ้าซิ่นราคาแพงยิ่งส่งให้คุณสนดูสวยผุดผาด

            “คุณพี่สนคนงาม ใส่อะไรก็ง๊ามงามค่ะ”หนูแสนส่งเสียงชมผู้เป็นพี่สาวที่หมุนตัวไปมาหน้ากระจก คุณสนมองน้องชายที่พักหลังๆชักจะประจบเก่งผ่านกระจกเงาแล้วส่งค้อนให้

          “เธอไม่ต้องมาทำปากหวานใส่พี่หรอกหนูแสน คำชมของเธอมันจะเชื่อได้ซักเท่าไรเชียว”คุณสนหยิบสร้อยไข่มุกเส้นยาวมาทาบบนเสื้อ

            “หนูแสนชมจริงๆนะคะ คุณพี่สนแต่งตัวแบบนี้งามมากเลยค่ะ ถ้าใส่ออกไปข้างนอกคนทั่วพระนครก็ต้องชมเหมือนที่หนูแสนชมนั่นแหละ จริงมั้ยเฟื้อง”หันไปถามนังเฟื้องบ่าวต้นห้องของคุณสนที่คอยหยิบจับรับใช้อยู่ไม่ไกล นังเฟื้องรีบพยักหน้ารับทันทีด้วยเห็นว่ายามนี้เจ้านายสาวที่มักจะเกรี้ยวกราดกำลังอารมณ์ดี

            “จริงเจ้าค่ะ คุณสนน่ะงามที่สุดในคลองบางหลวงแล้วค่ะ ใครก็เทียบไม่ได้”คุณสนกลั้นยิ้มทำเชิดหน้าราวไม่สนใจกับคำชมนั้น หล่อนเยื้องย่างไปนั่งที่เก้าอี้ยาวบุนวมปักดิ้นทองที่เจ้าสัวเช็งสั่งนำเข้ามาจากเมืองฝรั่ง

            “จะเชื่อก็ได้นะว่าที่เธอพูดมาน่ะมันจริง ว่าแต่ไปตะลอนๆเรือนนู้นมาอีกแล้วล่ะสิ เดี๋ยวพอคุณเล็กไปเรียนต่อระวังเธอจะหงอยเป็นดอกไม้เฉา หัดอยู่ให้มันติดบ้านบ้างถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็มาช่วยพี่หยิบจับข้าวของก็ยังดี”

            “ก็หนูแสนไม่ได้เก่งเรื่องเย็บปักอย่างคุณพี่นี่คะ”เป็นอีกครั้งที่คุณสนมีรอยยิ้มที่มุมปาก คนที่คิดว่าตัวเองเป็นรองน้องชายมาตลอดรู้สึกดียามที่หนูแสนก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดไม่เก่งเหมือนที่หล่อนไม่เก่งเรื่องงานบ้านงานครัว

            “เธอก็หัดสิ ไม่เก่งเอาแค่พอทำได้เวลาพี่เรียกใช้เธอจะได้ไม่เงอะงะ ถ้าเธอเอาแต่ไปเที่ยวเล่นเรือนนู้นชาตินี้ก็ทำอะไรไม่เป็นอยู่อย่างนั้น”คุณสนหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักลวดลายสวยงามขึ้นมาซับเหงื่อที่ไรผม หนูแสนมองอย่างสนใจ ตรงมุมปักด้วยด้ายหลากสีเป็นดอกไม้ที่มีเถาพันเลื้อยเล่นกับมุมหนึ่งของผ้าเช็ดหน้า มีนกตกเล็กๆสีสวยบินอยู่เหนือดอกไม้สีชมพูอ่อนหวาน รอบขอบเป็นลูกไม้ที่ใช้วิธีถักด้วยเข็มโครเชต์สวยงาม

            “ผ้าเช็ดหน้าของคุณพี่สวยจังค่ะ”คุณสนหยุดซับเหงื่อแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้น้องชายดู

            “นี่น่ะหรือ ฉันปักเอง สวยมั้ย คุณยายสอนตอนไปที่เรือนนู้น”

            “สวยจริงๆค่ะ สวยมาก คุณพี่สนสอนหนูแสนทำแบบนี้บ้างได้มั้ยคะ”หนูแสนร้องขออย่างกระตือรือร้น ปลายนิ้วน้อยๆลูบไล้ลวดลายวิจิตบนเนื้อผ้าอย่างหลงใหล

            “สอนให้เธอทำเอาไปประจบคุณเตี่ยกับแม่น่ะเหรอ ฉันไม่สอนเธอหรอก”คนสนสะบัดหน้าใส่ด้วยคิดว่าหนูแสนตั้งใจจะเรียนเพื่อที่จะเอาไปใช้ประจบผู้เป็นพ่อและแม่ พอคิดได้เช่นนั้นอารมณ์ที่กำลังดีๆก็กลับขุ่นมัวอย่างนึกเคือง

            “ไม่ใช่นะคะ พี่สนอย่าเข้าใจน้องผิด หนูแสนแค่อยากปักคำง่ายๆ หนูแสนอยากทำให้คุณเล็กค่ะ หนูแสนสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณเตี่ยกับแม่แน่ๆค่ะ”เจ้าตัวน้อยรีบแก้ตัวกับคนเป็นพี่ด้วยเห็นว่าคุณสนเข้าใจผิดและทำท่าจะเกรี้ยวกราดใส่ เมื่อได้ยินดังนั้นลำคือที่แข็งเชิดก็อ่อนลงคุณสนผินหน้ามามองน้องด้วยปรายตา

            “จริงรึ?”

            “จริงสิคะ หนูแสนไม่ปดคุณพี่สนหรอกค่ะ”

            “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป ถ้าอยากเรียนจริงก็จะสอนให้ แต่เธอรับปากพี่นะ ห้ามทำให้คุณเตี่ยกับแม่เพราะพี่ปักไว้ให้ท่านทั้งสองคนแล้ว”

            “สัญญาค่ะ หนูแสนจะไม่ทำ ถึงทำไปก็ไม่เก่งเท่าพี่สนหรอกค่ะ พี่สนคนดี๊คนดีไม่โกรธหนูแสนแล้วนะคะ หนูแสนสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน”เจ้าตัวน้อยเกาะแขนของผู้เป็นพี่สาวทำน้ำเสียงออดอ้อน

            “ไปนั่งให้มันดีๆไม่ต้องมาเกาะพี่ น่ารำคาญจริงเชียว นังเฟื้อง”คุณสนปัดแขนน้องออกราวกับรำคาญเสียเต็มประดาก่อนจะร้องเรียกนังเฟื้องที่นั่งเย็บมุกใส่ผ้าลูกไม้อยู่ไม่ไกล

            “เจ้าคะ”

            “เอ็งขึ้นไปเอาสะดึงอันเล็กในห้องของข้ามาให้คุณแสน”

            “เจ้าค่ะ”

            “ส่วนเธอ มานี่ พี่จะให้เธอวัดและตัดผ้าทำเป็นผ้าเช็ดหน้าให้” หนูแสนเดินตามผู้เป็นพี่ไปที่โต๊ะวางผ้าที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆอย่างเชื่อฟัง เจ้าตัวน้อยฟังคำอธิบายของพี่สาวอย่างตั้งใจ ลงมือทำตามอย่างเชื่อฟัง โดนตีมือเสียก็หลายหนยามปักไม่ตรงลายที่ร่างไว้ คุณพะยอมที่ตื่นจากการนอนกลางวันลงบันไดมาเห็นภาพสองพี่น้องที่ทำกิจกรรมร่วมกันโดยที่คุณสนไม่เกรี้ยวกราดใส่น้องก็ให้นึกยินดี หากคุณสนเมตตาน้องอย่างนี้ตลอดไปคุณพะยอมก็คิดว่าหากตนเองตายก็คงตายตาหลับ แต่คุณพะยอมก็รู้ดีว่าคุณสนน่ะเหมือนลม เอาแน่เอานอนไม่ได้ หล่อนจึงหวังแค่ให้คุณสนเมตตาน้องแบบนี้ไปให้ได้นานที่สุดก็พอ





..........................



จะเอาแน่เอานอนอะไรกับใจคนล่ะเจ้าคะ



ใจคุณสนก็เช่นกัน

 

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๕ ((๕๐%)) ๐๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-12-2019 02:14:25
ในวันหน้าจะมีเรื่องใหญ่อะไร
ที่คุณสนจะร้ายใส่น้องอีกหรือเปล่าน๊าาา
ขออย่างเดียว อย่าใช่เรื่องคุณเล็กแล้วกัน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๕ ((๕๐%)) ๐๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 09-12-2019 03:50:42
ขอแค่อย่าให้พี่น้องต้องแตกหักกันเล๊ย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๕ ((๕๐%)) ๐๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 20-12-2019 12:58:56



((ต่อ))



          กลายเป็นภาพชินตาของบ้านเจ้าสัวเช็งไปเสียแล้วที่เห็นคุณหนูคนกลางกับคุณหนูคนเล็กขลุกตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่ หนูแสนยังคงช่วยคุณพะยอมทำครัวเหมือนเดิมไม่ได้ขาดหากแต่หลังมื้ออาหารนั่งเล่นพอให้ข้าวเรียงเม็ดก็ขึ้นไปช่วยคุณสนขนอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยลงมาไว้ที่ชั้นล่าง ผ้าฝ้ายถูกนำมาวัดแล้วตัดเป็นชิ้นเท่าๆกันจำนวนมากพอสมควร สะดึงอันเล็กถูกขึง ลวดลายง่ายๆถูกวาดลงไปตรงจุดที่จะปักเป็นลายด้วยมือของหนูแสนเอง คุณสนเริ่มสอนให้น้องปักผ้าตามแบบของเธอ หลายครั้งแขนเล็กถูกฟาดเพี๊ยะด้วยปักไม่ได้ดั่งใจของคุณพี่ เฟื้องคอยช่วยหยิบจับข้าวของให้ผู้เป็นนายทั้งสอง คุณสนเองก็เริ่มตัดเย็บเสื้อสูทเพื่อให้เจ้าสัวเช็งและคุณแสนไว้ใส่ออกงาน



            “คุณพี่เก่งจังเลยค่ะ ไปเรียนตัดเย็บที่ไหนมาหรือคะ”หนูแสนเอ่ยชมเมื่อเสื้อสูทเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง



            “ตอนไปอยู่บ้านเจ้าคุณตาพี่ไปเรียนตัดเย็บกับช่างฝรั่ง เขาเก่งมากเลยตัดได้ทั้งชุดผู้ชายทั้งชุดผู้หญิง รูปแบบเสื้อผ้าก็นำสมัยไม่โบราณคร่ำครึเหมือนของที่เราๆเคยใส่”คุณสนเริ่มขยับเท้าเพื่อให้จักรเย็บผ้าทำงาน



            “เธอรู้อะไรมั้ยหนูแสนว่าจักรเย็บผ้าตัวนี้ พี่เพียรขอคุณเตี่ยกับแม่จนน้ำลายแทบท่วมบ้านแต่คุณเตี่ยไม่ให้ คุณเตี่ยบอกว่าแค่เย็บผ้าเล่นเย็บมือเอาก็ได้ ไม่ได้สร้างรายได้สร้างอาชีพอะไรพี่จึงต้องไปอ้อนขอเจ้าคุณตาท่านเมตตาจึงได้สั่งมาจากญี่ปุ่น บางครั้งพี่ก็สงสัยนะว่าทำไมพี่ขออะไรซักอย่างมันถึงได้ยากเย็น ไม่เหมือนเธอกับคุณพี่แสนที่แค่บ่นว่าอยากได้คุณเตี่ยก็ให้”แม้กริยาคุณสนจะดูปกติ เธอยังคงเย็บเสื้อสูทอย่างสงบแต่ทว่าปลายน้ำเสียงกลับเจือความขุ่นข้องน้อยใจ หนูแสนวางผ้าในมือเดินไปหาคุณพี่เอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเอาใจ



            “โธ่ หนูแสนก็ไม่ได้ขอได้ทุกครั้งหรอกค่ะ อะไรที่แพงเกินไปหรือคุณเตี่ยบอกว่าไม่มีประโยชน์หนูแสนก็ไม่ได้ แต่ปกติหนูแสนก็ไม่ค่อยได้ขออะไรอยู่แล้ว”เจ้าตัวน้อยแก้ตัวเสียงออด หนูแสนไม่อยากให้คุณสนโกรธขึ้งหรือหมองใจอะไรอีก ทุกคนในเรือนก็อยากให้คุณสนอารมณ์ดีรักและเมตตาน้องเล็กอย่างนี้ไปนานๆจึงพยายามไม่ขัดใจเธอ ของคาวของหวานที่คุณสนโปรดก็ขึ้นสำรับบ่อยขึ้นจนเห็นได้ชัด หนูแสนเองก็พยายามทำตัวให้คุณพี่เอ็นดู ยังดีที่ช่วงนี้หนูแสนอยู่ติดเรือนให้คุณพี่เรียกใช้สอยได้ทั้งวันเพราะคุณเล็กต้องออกไปกราบลาเจ้านายผู้ใหญ่ในกรมและญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ไกลไม่สะดวกมาส่งคุณเล็กในวันเดินทาง หนูแสนตั้งอกตั้งใจเรียนสิ่งที่พี่สาวสอนและพยายามทำตามอย่างสุดความสามารถ คุณสนเป็นคนมีระเบียบกับการทำงาน ฝีมือประณีตแม้แต่จุดเล็กๆที่หนูแสนปักผิดคุณสนยังจับได้ด้วยความเข้มงวดนี้ทำให้งานของหนูแสนเสร็จช้าแต่ลายปักกลับสวยงามอ่อนหวาน สามผืนแรกนั้นหนูแสนเอาไปมอบให้พ่อกับแม่และคุณแสนโดยไม่ลืมบอกกับเจ้าสัวเช็งและคุณพะยอมว่าคุณสนเป็นคนบอกให้นำมามอบให้ ลวดลายบนผ้าเช็ดหน้านั้นคุณสนก็ช่วยสอนช่วยปัก คุณพะยอมและคุณแสนเอ่ยชมทั้งคุณสนและหนูแสนส่วนเจ้าสัวเช็งมอบถุงเงินให้ลูกทั้งสองโดยไม่พูดอะไรแต่ก็เก็บผ้าเช็ดหน้าที่ลูกนำมามอบให้ติดตัวไม่เคยห่างตัว



เหลืออีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ที่คุณเล็กจะเดินทางหนูแสนก็ทำผ้าเช็ดหน้าสำหรับคุณเล็กเสร็จเรียบร้อย ยายแช่มเป็นคนช่วยเอาไปซักและอบร่ำรีดพับซ้อนกันไว้ให้จนเรียบร้อย คุณสนพักงานเสื้อผ้าที่ทำไปบ้านเจ้าคุณตาตั้งแต่รุ่งเช้าหนูแสนจึงมีเวลาว่างได้เริ่มตระเตรียมทำของแห้งที่คุณเล็กจะสามารถนำไปกินที่เมืองฝรั่งได้อย่างเต็มตัว เจ้าตัวน้อยเป็นลูกมือสำคัญช่วยคุณพะยอมเตรียมวัสดุอุปกรณ์ บ่าวไพร่ในเรือนวิ่งกันให้วุ่นทางเรือนของคุณเล็กส่งวัตถุดิบมาให้ตั้งแต่เมื่อวานซืนอะไรขาดเหลือที่ต้องใช้คุณหญิงเรือนนู้นก็มอบเป็นเงินมาให้แต่คุณพะยอมก็ปฏิเสธไม่รับไว้



            “ถือว่าช่วยๆกันคุณเล็กก็เหมือนลูกเหมือนหลานของฉันเช่นเดียวกัน”คุณพะยอมคืนถุงเงินที่นายพันนำมามอบให้



            “นังเฟื้องเอ็งปอกกล้วยน้ำว้าดิบแล้วแช่น้ำผสมน้ำมะนาวทำกล้วยฉาบไว้นะ จวงเอ็งทำครองแครงกรอบ ส่วนนังสร้อยเอ็งเอาแป้งมันคั่วไฟอ่อนแล้วอบควันเทียนเอาไว้รอ ข้าจะสอนหนูแสนทำปั้นขลิบ ยายแช่มช่วยทำถั่วกรอบแก้วให้ฉันทีนะจ๊ะ”คุณพะยอมแจกแจงงานที่ต้องทำในวันนี้ก่อนจะมานั่งกับลูกชายคนเล็กที่เตรียมช่วยแม่ทำขนมปั้นขลิบ



            “หนูแสนลูกช่วยแม่โขลกพริกไทยกับรากผักชีทีลูก เดี๋ยวแม่จะเอาหมักหมูไว้ทำไส้”คุณพะยอมเลื่อนครกหินให้ลูก หนูแสนตอบรับอย่างกระตือรือร้นเสียงโขลกพริกไทยดังสม่ำเสมอเป็นจังหวะจนกระทั่งแหลกได้ที่คุณพะยอมจึงให้หนูแสนเอาไปผัดกับหอมแดงสับหมูสับและไชโป๊สับ หนูแสนปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลโดยมีแม่สอนว่าควรใส่ปริมาณแค่ไหนผัดจนแห้งบ่าวที่เหลือก็มาช่วยผสมแป้งนวดแป่งแระคลึงรีดจนเป็นแผ่นบางทั้งหมดช่วยกันปั้นและจับจีบเป็นอันเล็กๆจึงเอาลงทอด ยายแช่มเองก็สาละวนกับถั่วกรอบแก้วหนูแสนจำได้ว่าคุณเล็กทานได้ทีละมากๆส่วนเฟืองก็กำลังขมักขเม่นกับการปอกกล้วยแล้วฝานจนเป็นแผ่นบางๆ คุณพะยอมเอาปั้นขลิบที่ทอดเสร็จพักไว้จนเย็นแล้วเก็บใส่โหลแก้ว



            “คราวนี้ล่ะคุณเล็กมีขนมกินได้เป็นเดือนๆ”ผู้เป็นแม่บอกกับลูกยิ้มๆ หนูแสนมองขนมโหลใหญ่ที่เตรียมไว้ให้คุณเล็กแล้วทั้งดีใจที่คุณเล็กจะมีของอร่อยกินพอให้หายอยากหายคิดถึงบ้านแต่ก็แอบใจหายว่าอีกนานหลายปีบางทีอาจเป็นสิบปีกว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก



            “ทำหน้าหงอยอีกแล้วลูก มานี่เถอะมาทำขนมสัมปันนีกับแม่ดีกว่า”คุณพะยอมให้บ่าวเก็บเอาอุปกรณ์ทำปั้นขลิบที่เสร็จแล้วออกไปแล้วแทนที่ด้วยชามแป้งมันที่อบควันเทียนจนหอม



            “ทำไมต้องคั่วแป้งด้วยล่ะจ๊ะแม่”หนูแสนถามอย่างสนใจหลังจากก้มลงไปดมกลิ่นควันเทียนที่อยู่ในตัวแป้ง



            “ก็เราจะทำให้คุณเล็กไว้ทานได้นานๆไงลูกถ้าเราคั่วแป้งขนมก็จะกรอบแต่ถ้าเราชอบกินสัมปันนีแบบอ่อนก็ไม่ต้องคั่ว จริงๆใช้แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวจ้าวหรือแป้งท้าวยายม่อมก็ได้ แต่แป้งมันใช้แล้วเนื้อจะเบา”คุณพะยอมเริ่มเคี่ยวน้ำกะทิกับน้ำตาลทรายด้วยไฟอ่อน



            “หนูแสนต้องคอยขูดขอบกระทะไว้ด้วยนะลูกแต่ไม่ต้องคนบ่อยพอเสร็จแล้วหนูแสนแบ่งน้ำเชื่อมเป็นถ้วยๆนะลูก อยากได้สีไหนก็ใส่สีเติมลงไปแม่ให้บ่าวเตรียมไว้ให้แล้ว”คุณพะยอมเอาชามน้ำสีแดง เขียว และม่วงมาวางให้หนูแสน



            “น้ำใบเตยห๊อมหอมค่ะแม่”เจ้าตัวน้อยหันไปบอกกับแม่แล้วจึงเทน้ำใบเตยที่คั้นไว้ลงไปจนเกิดสีเขียวอ่อน ส่วนอีกชามก็เติมสีแดงที่ได้จากครั่งลงไปส่วนสีม่วงที่ได้จากน้ำอัญชันผสมน้ำมะนาวหนูแสนใส่ตามเป็นลำดับสุดท้าย



            “แม่จ๋าสัมปันนีเก็บไว้ได้นานด้วยเหรอจ๊ะ?”เจ้าตัวน้อยเอ่ยถามอย่างสงสัยมือก็คอยกวนแป้งในกระทะทองเหลืองต่ออย่างขมักขเม่น”



            “ไม่นานหรอกลูกได้ซักอาทิตย์หนึ่ง”



            “อ้าว”เจ้าตัวน้อยร้องออกมาอย่างสงสัย



            “แม่จะทำไว้เป็นของว่างต่างหากเล่า”คุณพะยอมตอบอย่างเอ็นดูลูกที่ทำหน้างงๆ



            “อ่อ หนูแสนก็นึกว่ามันเก็บได้นาน”



            “หนูแสนรู้มั้ยลูกว่าขนมสัมปันนีเป็นขนมที่มีความหมายมาก”คุณพะยอมช่วยลูกกวนแป้งไปด้วยชวนคุยไปด้วย จนกระทั่งทิ้งแป้งให้เย็นแล้วเอาเข้าแม่พิมพ์ที่เจ้าสัวเซ็งสู้อุตส่าห์ซื้อมาให้เมื่อครั้งไปเมืองจีนจนออกมาเป็นรูปดอกไม้สวยงามน่ากิน



            “ความหมายว่าอะไรเหรอจ๊ะ?”



            “สัมปันนีความหมายของชื่อคืออันเป็นที่รัก”



            “ทำไมแปลว่าอันเป็นที่รักล่ะจ๊ะ”



            “ก็เพราะเวลาที่ผู้กินขนมนี้เข้าไปยามที่แป้งละลายในปากจะมีทั้งความหอมและความหวานแทนความคิดถึงและความห่วงหาของผู้ทำไงลูก เวลาคุณเตี่ยกลับจากเมืองจีนแม่ชอบทำให้คุณเตี่ยทานกับน้ำชา เดี๋ยวนี้รูปร่างขนมก็ดูสวยมากกว่าสมัยก่อนที่ทำเป็นสี่เหลี่ยมทื่อๆเพราะคุณเตี่ยซื้อแม่พิมพ์มาให้ จริงๆขนมทุกอย่างกับข้าวทุกจานที่เราทำไปมันก็แสดงออกถึงความรักความใส่ใจของผู้ทำทั้งนั้น ยิ่งเรารักเขามากเราก็ยิ่งอยากให้เขาได้กินแต่ของที่ดีมีประโยชน์ทั้งนั้น เดี๋ยวหนูแสนจะตามนายมีไปเรือนนู้นใช่มั้ยลูก”



            “จ้า พันบอกว่าวันนี้คุณเล็กอยู่เรือนไม่ได้เจอคุณเล็กหลายวันแล้ว วันเดินทางก็ไปส่งไม่ได้”



            “เหงาแย่เลยเพื่อนเล่นตั้งแต่อ้อนแต่ออก”ยายแช่มเอาโหลถั่วเคลือบแก้วมาวางไว้ให้เป็นอันเสร็จ



            “งั้นก็ไปเถอะอย่ากลับให้มันเย็นค่ำมากนะลูก ฝากบอกคุณป้าเรือนนู้นด้วยว่าขนมนี่คงพอกินได้ซักเดือนคงพอให้หายคิดถึงบ้านบ้าง พวกหมูแผ่นหมูเค็มข้าวตังน้ำพริกแม่จะทำให้ก่อนวันเดินทางซักสองวัน ก็คงพอกินระหว่างอยู่บนเรือถึงเมืองฝรั่งก็คงต้องพึ่งตัวเองแล้ว เอาล่ะให้บ่าวช่วยกันยกโถขนมตามไปเถอะแม่จะไปดูคุณก๋งกับอาม่าซักหน่อย”คุณพะยอมลุกขึ้นเดือนออกจากเรือนครัวกลับเข้าไปในตึกหนูแสนจึงได้เดินตามบ่าวที่มาช่วยยกโหลขนมที่ทำเสร็จเข้าประตูเล็กที่ใช้เข้าออกระหว่างสองเรือน เจ้าตัวน้อยยิ้มอย่างชอบใจยามได้ยินเสียงซอแว่วหวานดังมาจากเรือนใหญ่ออกเดินนำหน้าพาบ่าวไพร่ขึ้นมาบนเรือนไทยที่นานๆครั้งจะมาเสียหนปกติยามนัดพบก็คือเรือนแพริมน้ำที่ชอบไปนั่งเล่น วันนี้คนบนเรือนหนาตากว่าทุกวันภริยาทั้งสามของท่านเจ้าพระยาก็อยู่กันครบ หนูแสนคลานเข่าเข้าไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่มากหน้าหลายตาที่นั่งอยู่บนเรือน



            “กราบค่ะคุณป้า กราบค่ะคุณชื่น กราบค่ะคุณมณี กราบคุณพี่กลางคุณพี่น้อย”หนูแสนยกมือไหว้ภรรยาของเจ้าคุณสรอรรถจนครบแล้วจึงหันไปไหว้คุณกลางบุตรสาวของคุณหญิงผกาและคุณน้อยบุตรสาวของคุณมณีที่นั่งพับเพียบอยู่ไม่ไกล คุณเล็กวางซอลงตั้งแต่หนูแสนเดินขึ้นเรือนมาส่งยิ้มให้เจ้าน้องน้อยอย่างดีใจ ไม่ได้เจอกันเสียหลายวันดูเหมือนไม่ได้เจอกันหลายปี อยากจะพูดคุยหากแต่ต้องสงบปากคำด้วยมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย คุณผกาและภรรยารองทั้งสองรับไหว้เด็กน้อยด้วยความยินดี



            “ไหว้พระเถอะหนูแสน ขนมเสร็จหมดแล้วหรือ”



            “ค่ะ เพิ่งทำเสร็จก็เอามาให้เลยค่ะ”



            “ดีจริง ป้าฝากขอบคุณแม่ของเราด้วยนะ จะให้เงินค่าจ้างรึก็ไม่ยอมรับไว้ ป้าเกรงใจจะส่งบ่าวไปช่วยแม่พะยอมก็บอกว่าบ่าวของตัวก็มีมากแล้วเอาไปก็ไม่รู้มือรู้งานจะเกะกะเสียเปล่าๆ”



“หนูแสนนี่เก่งนะ ตัวแค่นี้ช่วยงานบ้านงานเรือนคุณพะยอมได้แล้วคุณมณีออกปากชมอย่างเอาใจด้วยรู้ว่าหนูแสนนั้นเป็นคนโปรดของคุณเล็ก



                        “หนูแสนน่ะรสมือดีจะเอาอาหารคาวหวานก็ทำได้ทั้งหมด ผิดกับแม่สนรายนั้นเกียจคร้านตัวเป็นขน”



            “นี่ถ้าหนูแสนเป็นผู้หญิงคุณเล็กคงส่งขันหมากไปสู่ขอตีตราจองไว้ก่อนเป็นแน่เลยค่ะคุณพี่”คุณชื่นกับคุณมณีหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างเข้าขาหากแต่คุณหญิงผกากลับปรายตามองอย่างไม่ชอบใจ



            “ฉันไม่เห็นขัน เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ควรไปนินทาว่าลูกคนอื่นจะดีจะชั่วก็ให้พ่อแม่เขาเป็นคนว่าเองไม่ใช่คนนอกไปตัดสินลูกของเขา อีกอย่างหล่อนจะพูดเล่นอะไรเห็นหัวฉันกับพ่อเล็กบ้างหนูแสนก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้”หนูแสนเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปก็หน้าเสียรีบพูดบอกความที่คุณพะยอมฝากมาเพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องเสียโดยพลัน

 

            “แม่บอกว่าไม่เป็นไรเลยค่ะ ทำให้คุณเล็กก็เหมือนทำให้ลูกให้หลาน แม่ฝากมาบอกว่าพวกน้ำพริกหมูแผ่นหมูทอดจะทำก่อนวันคุณเล็กเดินทางซักสองวันนะคะ แต่คงทำไม่เยอะเพราะกลัวจะเสียก่อนกลางทาง”



            “หาใครใจดีเท่าเรือนแม่พะยอมไม่มีอีกแล้ว แล้วนี่ถ้าพี่เขาไปหนูแสนไม่เหงาแย่ เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก”คุณหญิงผกาลูบหัวเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดูเอ่ยถามด้วยไมตรีจิต



            “เหงาค่ะ แต่เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวหนูแสนโตก็คงมีเรื่องอื่นๆให้ทำมากกว่าเที่ยวเล่น คุณเตี่ยบอกว่าจะให้หนูแสนเรียนรู้พวกงานที่ห้าง”



            “อย่างนั้นก็ดี ถ้าว่างหรือไม่ได้ทำอะไรก็แวะมาคุยกับป้าได้นะ อย่าห่างหายไปหนูแสนก็เหมือนลูกหลานป้าเหมือนกัน แล้วนั้นห่ออะไรจ๊ะ?”คุณหญิงผกาเหลือบมองห่อกระดาษขางตัวหนูแสน เจ้าตัวน้อยเหลือบมองคุณเล็กแล้วจึงแย้มยิ้มน้อยๆ



            “ผ้าเช็ดหน้าค่ะ หนูแสนปักมาให้คุณเล็กเก็บไว้ใช้ที่นู่น”เจ้าตัวน้อยหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ตนเองบรรจงปักอดทนโดนคุณพี่ดุโดนตีมือไปเสียหลายทีโดนเข็มตำไปเสียหลายหนให้คุณหญิงผการับไปดู ลวดลายบนผ้าเป็นดอกไม้และเถาไม้เล็กๆมีนกสองตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ข้างใต้ปักอักษรภาษาอังกฤษเป็นตัวย่อ ตัว LS คู่กันแทนชื่อของลิขิต สรอรรถโยธิน  ริมผ้าถักเป็นลูกไม้ระบายจนรอบแม้จะยังไม่ละเอียดบรรจงเหมือนช่างในวังแต่ก็ถือว่าสวยมากแล้วสำหรับเด็กอายุเพียงเท่านี้



            “แหม...งามจริง ปักเองเหรอจ๊ะ?”



            “คุณพี่สนช่วยสอนค่ะ”



            “เก่งจริง ไม่คิดว่าแม่สนใจมีฝีมือด้านเย็บปักถักร้อย”



            “ตายจริงหนูแสน ใครเขาให้ผ้าเช็ดหน้ากันจ๊ะ โบราณเขาถือ”คุณชื่นเมียรองเอ่ยท้วงด้วยถือเคล็ดตามโบราณ หากใครให้ผ้าเช็ดหน้าผู้รับจะพบเจอแต่เรื่องระทมทุกข์



            “นั่นสิจ๊ะ โบราณเขาถือ”คุณมณีอดคล้อยตามไม่ได้ คุณเล็กเมื่อเห็นหนูแสนหน้าเสียก็คลานเข้ามานั่งใกล้เจ้าน้องน้อย ฉวยเอาผาเช็ดหน้าที่หนูแสนทำมาให้ไปไว้กับมือก่อนจะปลอดสร้อยที่ห้อยนาฬิกาบนคอออกแล้วจับมือเจ้าน้องน้อยไว้วางนาฬิกาแขวนลงบนมือน้อย



            “คุณเล็กซื้อแก้เคล็ดนะคะ เรื่องโบราณคุณเล็กไม่ถือ หนูแสนไม่ต้องกลัวนะคะ”หนูแสนยิ้มรับกับคำปลอบใจนั้นมือน้อยกำนาฬิกาแขวนที่คุณเล็กหวงนักหวงหนาในมือด้วยความตื้นตัน คุรชื่นกับคุณมณีสงบปากนิ่งด้วยรู้ว่าสิ่งที่คุณเล็กทำนั้นนอกจากปลอบใจหนูแสนแล้วเธอยังปรามคุณชื่นกับคุณมณีอยู่ในทีที่พูดเรื่องที่ทำให้หนูแสนไม่สบายใจ



            “ขอตัวหนูแสนซักครู่ได้มั้ยคะคุณแม่ เล็กมีของจะให้น้อง”คุณเล็กหันไปขออนุญาตคุณหญิงผกา



            “ไปเถอะ เดี๋ยวแม่จะเอนหลังเสียหน่อยเหนื่อยมาหลายวัน แม่มณีกับแม่ชื่นก็กลับเรือนเถอะ แม่กลางมาบีบหลังให้แม่หน่อยปวดเมื่อยเสียเหลือเกิน”คุณหญิงผกาลุกเดินแยกเข้าห้องของตัวเองไปพร้อมกับคุณกลางที่ออกมาเยี่ยมบ้าน คุณน้อยยกมือไหว้ลาแล้วตามคุณมณีกลับเรือน คุณเล็กรอจนผู้ใหญ่ลับตาไปหมดแล้วจึงจูงหนูแสนเข้ามาในห้องของตัวเองที่อยู่ทางปีกซ้ายของตัวเรือน



            “จะไม่ไปส่งคุณเล็กจริงๆเหรอคะ”เมื่อหับประตูเรียบร้อยพาเจ้าน้องน้อยเดินมานั่งที่เตียงนอนคุณเล็กนั่งลงบนเตียงส่วนหนูแสนยังคงยืนอยู่ทำให้ความสูงระดับสายตาในตอนนี้เท่าๆกันแล้วก็เอ่ยถามน้ำเสียงนั้นเจือความเว้าวอน



            “ไม่ไปดีกว่าค่ะ”เป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวน้อยเอ่ยปฏิเสธ



            “ใจร้าย”



            “หนูแสนไม่ได้ใจร้ายเสียหน่อย หนูแสนแค่...”คำพูดถูกกลืนหายเมื่อเจ้าตัวรู้สึกเหมือนจะร้องไห้



            “แค่อะไรคะ?”



            “แค่ไม่อยากร้องไห้ส่งคุณเล็กน่ะสิคะ หนูแสนขี้แยจะตายถึงวันนั้นคงเป่าปี่ให้อายคนทั้งพระนคร”



            “โธ่เอ๋ย...”คุณเล็กร้องออกมาเบาๆยามฟังเหตุผลเจ้าตัวเล็ก



            “คุณเล็กไปหลายปีหนูแสนรู้ใช่มั้ยคะ?”



            “ทราบค่ะ”



            “จะลืมคุณเล็กมั้ยคะ?”ปากเอ่ยถามหากใจก็กลัวเจ้าตัวน้อยตรงหน้าจะลืมตน



            ไม่ลืมค่ะ หนูแสนไม่มีทางลืมคุณเล็กแน่นอน”หนูแสนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น



            “อยู่ที่นู่นคุณเล็กคงคิดถึงหนูแสนมากแน่ๆ”



            “หนูแสนก็คงคิดถึงคุณเล็กเหมือนกัน”



            “ถ้าโตไป อย่าไปชอบใครอื่นมากกว่าคุณเล็กได้มั้ยคะ?”



            “หนูแสนชอบคุณเล็กที่สุด ให้คุณเล็กเป็นที่หนึ่งเลยค่ะ”



            “ไม่เอาที่หนึ่งได้มั้ยคะ”



            “ถ้าไม่เอาที่หนึ่งแล้วคุณเล็กอยากเป็นที่เท่าไหร่คะ?”



            “คนเดียว ถ้าจะชอบใครก็ขอให้ชอบคุณเล็กแค่เพียงคนเดียว...ได้มั้ยคะ? เพราะคุณเล็กก็จะชอบหนูแสนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นค่ะ”คุณเล็กจ้องตาหนูแสนด้วยสายตาที่หนูแสนรู้สึกว่ามันระยิบวิบวับมากกว่าทุกวันพลันแก้มใสก็ร้อนเห่อราวกับสะบัดร้อนเจ้าตัวน้อยรู้สึกในใจมันคันยุบยิบราวมีมดนับร้อยๆตัวรุมกัด ทุกคราวยังมองตากับคุณเล็กได้แต่วันนี้หากหนูแสนมองตาคุณเล็กอีกเพียงวินาทีก็คงมลายมอดไหม้เสียตรงนี้ ดังนั้นเจ้าตัวน้อยจึงหันหน้าหนีพลางพยายามจะดึงมือออกจากมือคุณเล็ก เมื่อเห็นดังนั้นคุณเล็กจึงรั้งไว้แล้วเชยคางเล็กให้หันกลับมามองที่ตนอย่างหยอกเย้า



            “หันหนีคุณเล็กทำไมคะ? ไม่อยากคุยกับคุณเล็กแล้วหรือ”



            “อยากค่ะ แต่หนูแสนทนมองตาคุณเล็กไม่ไหวค่ะ”



            “อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นเสียล่ะคะ?”



            “ไม่ทราบค่ะ หัวใจมันจักจี้พิกล”



            “ไหนให้คุณเล็กจับดูหน่อยสิคะว่าหัวใจเต้นแรงมั้ย”คุณเล็กจับน้องให้นั่งลงบนตักก่อนจะทาบฝ่ามือลงบนอกด้านซ้ายของน้องเบาๆ ใบหน้าก็คลอเคลียอยู่ไม่ห่างเจ้าตัวน้อย ยิ่งมาอยู่ใกล้ชิด ยิ่งลมหายใจรินรดกดสองแก้มก็ยิ่งแดงปลั่งหัวใจกลับเต้นเร็วมากกว่าเดิม ยามปลายจมูกของคุณเล็กปัดผ่านผิวแก้มหนูแสนก็รู้สึกเหมือนตัวเองร้อนรุ่มไปทั้งตัวจนร่างแทบระเบิด คุณเล็กยิ้มน้อยๆยามใจเจ้าตัวน้อยบนตักเต้นระรัว



            “หัวใจเต้นแรงแบบนี้ แก้มแดงแบบนี้ ผู้ใหญ่เขาเรียกว่าเขินนะคะ จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดี ขอให้มันมีให้กับคุณเล็กเพียงคนเดียว อย่าไปรู้สึกแบบนี้กับใครอื่นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเข้าใจมั้ยคะ”



            “ข...เข้าใจค่ะ”ตอบรับคำอย่างประหม่า งุนงงกับความรู้สึกของตัวเอง หนูแสนรู้ว่านี่เป็นความรักเหมือนที่หนูแสนรักคนในครอบครัวแต่อาการใจเต้นแรงแบบนี้หนูแสนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีให้แค่คุณเล็ก



            “หนูแสนคะ”เจ้าตัวน้อยออกจากความคิดของตัวเองยามคุณเล็กเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว



            “คะ?”



            “คุณเล็กขอกอดหนูแสนได้มั้ยคะ”ร้องถามอย่างขออนุญาต เจ้าตัวน้อยเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าเบาๆ คุณเล็กผุดรอยยิ้มพราวเต็มดวงหน้าสอดแขนโอบรอบเอวน้องกอดรัดเบาๆฝังปลายจมูกลงบนเรือนผมดำขลับ หลับตาพริ้มซึมซับความรู้สึกนี้ไว้ประทับในหัวใจก่อนที่จะต้องลาจากกัน



            รัก...รักหนูแสนเสียเหลือเกิน



       รู้ใจแน่ชัดแล้วก็ในวันนี้



            รอพี่เถิดนะเจ้าพี่จะรีบกลับมาหาเจ้าจอมขวัญ อย่าเอาใจหนีร้างห่างไปให้ใครอื่น จะรีบกลับมาอุ้มสมเจ้าทรามเชย เป็นคู่เชยยอดชู้ทุกคืนวัน...



..............................


เจ้าข้าเอ้ยยยยย มีคนล่อลวงเด็กเจ้าค่าาาาาาาาาาา

#แสนคำนึง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๕ ((๑๐๐%)) ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๐
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-12-2019 19:37:47
อร้ายยยยย เขิน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๕ ((๑๐๐%)) ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๐
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 21-12-2019 18:27:22

ชอบมากค่ะ


 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๕ ((๑๐๐%)) ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๐
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-12-2019 10:02:29


ตอนที่ ๖

๕๐%


           





     ในที่สุดก็ถึงวันเดินทางของคุณเล็ก บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมของขึ้นเรือยนต์ คุณเล็กแต่งตัวด้วยชุดสูทพร้อมเดินทาง แม้จะเพิ่งอายุ 17 ปี หากแต่ก็สูงโปร่งผึ่งผายสมกับที่ชอบออกกำลังกาย เด็กหนุ่มรับประทานข้าวเช้าร่วมกับสมาชิกในครอบครัว คุณหญิงผกามองลูกชายที่เติบใหญ่ด้วยหัวใจที่หน่วงหนักอย่างบอกไม่ถูก เพราะเป็นลูกชายคนเล็กก็อยากเก็บไว้ใกล้ตัวหากเป็นลูกหลานเจ้าพระยาเรือนอื่นก็คงไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เก้าขวบสิบขวบแล้ว เจ้าคุณสรอรรถก็บ่นคุณหญิงผกาออกบ่อยครั้ง



     “เก็บลูกไว้กับอกจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร” ยืดเยื้อกันนานถึงเจ็ดปีจนคุณเลิกเติบใหญ่เป็นหนุ่มนั่นแหละคุณหญิงผกาจึงจำต้องตัดใจส่งลูกคนเล็กออกห่างอก ด้วยมองเห็นถึงความเจริญก้าวหน้าที่ลูกชายควรได้รับ



     “พ่อใหญ่ก็ไปนานเป็นสิบๆ ปีอิฉันก็ต้องหวงลูกเล็กไว้เป็นธรรมดาสิเจ้าคะคุณพี่”



     “คุณพี่ไปเรียนที่นู่นอย่าลืมซื้อของเล่นกลับมาฝากน้อยนะคะ” คุณน้อยน้องคนเล็กวัยสิบสองปีเท่าหนูแสนเอ่ยบอกผู้เป็นพี่ด้วยดวงตาใสแจ๋ว



     “แม่น้อย กว่าคุณพี่จะกลับมาเธอก็คงโตเป็นสาวจนไม่อยากเล่นของเล่นเสียแล้วกระมัง” คุณชื่นเอ่ยบอกกับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ เจ้าคุณสรอรรถจ้องหน้าลูกชายคนโปรดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังจนสมาชิกคนอื่นๆ ต้องเงียบเสียงเพื่อตั้งใจฟัง



     “เล็ก พ่อขอสอนเจ้า จงจำและปฏิบัติตาม ไปอยู่ทางนู้นไกลบ้านไกลพ่อไกลแม่ลูกจงเชื่อฟังเจ้าพระยาสุรเดชให้มาก เขาจะคอยดูแลนักเรียนที่นู่น อย่าสร้างปัญหาให้พ่อแม่หนักใจเพราะถ้ามีอะไรขึ้นมาพ่อแม่ไปช่วยเจ้าไม่ได้ เงินทองใช้แต่พอควร อย่าอวดร่ำอวดรวยอย่าถือตนว่าเป็นลูกเจ้าพระยาแล้วใช้เงินมือเติบ อย่าทำตัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้านายพระองค์อื่นๆ จงเคารพนอบน้อมพูดให้น้อยคิดให้มากเข้าใจที่พ่อสอนหรือไม่?”



     “ขอรับเจ้าคุณพ่อ ลูกจะจดจำคำสั่งสอนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจะไม่ทำให้เจ้าคุณพ่อและคุณแม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจแน่นอนครับ”



     “เช่นนั้นก็ดี พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่รอรับทางนู้นแล้ว จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าซักครึ่งปีแล้วจะกลับ ช่วงที่ยังไม่เปิดเทอมเขาจะพาเจ้าไปเที่ยวเสียก่อน ได้เวลาแล้ว ลาพี่น้องแล้วตามพ่อไปที่เรือ” เจ้าคุณสรอรรถลุกขึ้นแล้วเดินนำคุณหญิงผกาลงเรือนไป คุณเล็กหันไปไหว้ลาคุณชื่นและคุณมณี ล่ำลาพี่น้องคนอื่นๆ แล้วจึงเดินลงเรือนตรงไปท่าน้ำที่มีเรือยนต์ติดเครื่องรอพร้อมแล้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเส้นทางเล็กๆ ที่ใช้มาตลอดสิบกว่าปี



ไร้เงาเจ้าน้องน้อย หนูแสนไม่มาส่งเขาจริงดังที่พูด



     “อย่ามัวช้าร่ำไรตาเล็กเดี๋ยวจะสาย” คุณหญิงผการ้องเรียกลูกคุณเล็กจึงได้ตัดใจเดินลงไปนั่งบนเรือ เรือยนต์ค่อยๆ เคลื่อนออกจากท่าจนกระทั่งผ่านท่าน้ำบ้านหนูแสน คุณเล็กหัวใจฟูฟ่องเมื่อเจ้าตัวน้อยยืนรออยู่ที่ท่าน้ำ ใบหน้าที่เคยระบายรอยยิ้มบัดหน้าเศร้าหมองจนน่าสงสาร นายมีนั่งอยู่ไม่ไกลเพื่อดูแลผู้เป็นนาย มือเล็กยกขึ้นแล้วโบกไหวกล่าวลาน้ำตาค่อยๆ ไหลลงบนสองแก้มตึงเอื้อนเอ่ยคำลาโดยไร้เสียง ลิขิตเหมือนทำหัวใจหล่นลงไปในน้ำ



     “นั่นหนูแสน ดูเถอะออกมารอส่งพี่ น่าสงสารจริงต่อจากนี้ก็ไม่มีเพื่อนเล่นซนแล้ว” คุณหญิงผกาพูดออกมาอย่างเอ็นดู เรือค่อยๆ แล่นผ่านไปพร้อมกับร่างของหนูแสนที่ตัดสินใจวิ่งตามเรือ คุณเล็กได้ยินเสียงร้องไห้โฮของเด็กน้อยก็หันกลับไปดู เจ้าตัวขาววิ่งตามพลางโบกมือ น้ำเสียงสะอึกสะอื้นดังให้ได้ยินแว่วๆ



     “อย่าไปนานนะคะคุณเล็ก...ฮึก...รีบๆ กลับมานะ หนูแสนคิดถึง” คุณเล็กที่ทนนั่งนิ่งอยู่นานก็ถลาไปนั่งข้างกราบเรือป้องปากตะโกนเด็กตัวขาวบนฝั่งที่วิ่งตามมาไม่ลดละ



     “หนูแสน อย่าวิ่งเดี๋ยวล้มจะเจ็บตัวเอานะคะ คุณเล็กจะรีบไปรีบกลับ ดูแลตัวเองด้วยอย่าให้คุณเล็กต้องเป็นห่วง”



     “หนูแสนจะรอ จะรอคุณเล็กนะคะ ลาก่อน” เจ้าตัวน้อยป้องปากตะโกนบอกยามเรือยนต์พ้นโค้งน้ำหนูแสนก็ทรุดตัวลงร้องไห้โฮสะอึกสะอื้น นายมีนั่งมองเจ้านายตัวน้อยร้องไห้แล้วก็ให้นึกเอ็นดูสงสาร



เด็กหนอเด็ก



ปล่อยให้หนูแสนนั่งสะอึกสะอื้นจนแก้มแดงตาบวมใช้ชายเสื้อตัวเองเช็ดน้ำหูน้ำตานายมีจึงอุ้มเจ้านายตัวน้อยให้หนูแสนซบหน้ากับเสื้อเก่าๆ โดยไม่สนว่าน้ำมูกน้ำตาจะยืดเปรอะพากลับเรือน



     “จะร้องห่มร้องไห้พิรี้พิไรไปทำไม” คุณสนเอ็ดน้องเสียงดุที่สะอื้นฮักจนตัวโยน คุณพะยอมส่งค้อนให้ลูกสาวก่อนจะคว้าตัวหนูแสนมากอดปลอบ



     “แม่สนจะมาดุน้องให้ได้อะไร น้องเสียใจอยู่ ตั้งแต่เกิดก็มีแค่คุณเล็กเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียว เขาไปไกลก็ใจหายเป็นธรรมดา”



     “ไม่มีเพื่อนสนก็ไม่เห็นจะตายเลยนี่คะ สนยังอยู่มาได้เลย ไม่มีใครเลยด้วยซ้ำ เลิกร้องไห้ร่ำไรเสียทีเถอะหนูแสน ฉันรำคาญปะเดี๋ยวก็ฟาดเข้าให้หรอก” คุณสนวางสะดึงปักผ้าลงบนตักแล้วเอ็ดน้องเสียงเขียว



     “เอ๊ะ คุณสนนี่ก็ขวางจริงเชียวเจ้าค่ะน้องรึกำลังเสียใจแทนที่จะพูดกับเธอดีๆ ไปค่ะคุณแสนเดี่ยวยายแช่มพาอาบน้ำนะคะ นอนหลับซักตื่นบ่ายๆ จะทำขนมให้กินนะเจ้าคะ อย่าไปฟังคุณพี่พูดเลยเจ้าค่ะ” ยายแช่มทำตาคว่ำใส่คุณสนอย่างไม่ชอบใจก่อนจะฉวยข้อมือเล็กๆ ของเจ้านายตัวน้อยพาขึ้นชั้นบนหนีคุณพี่เสียด้วยรำคาญใจที่คุณสนไม่เห็นใจน้อง



     “ดูรึคนเราน้องมาขลุกมาช่วยหยิบจับข้าวของตั้งหลายวันแทนที่จะปลอบน้องกลับมาเย้ยใส่” ยายแช่มยังไม่วายเลิกบ่นแม้จะพาหนูแสนขึ้นมาบนห้องแล้วก็ตามที



     “ยายอย่าว่าคุณพี่เลย หนูแสนขี้แยเองค่ะ”



     “โถ...ยังจะปกป้องเขาอีก ไปอาบน้ำอาบท่านะเจ้าคะเดี๋ยวยายเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้”



     “หนูแสนคิดถึงคุณเล็ก” น้ำเสียงเล็กเจือสะอื้นร้องบอก รับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่อบร่ำเสียหอมกรุ่นมาไว้ในมือ ยายแช่มมองอย่างสงสาร



“ยายรู้เจ้าค่ะ แต่คนเราต้องมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง คุณหนูเองหลังจากนี้เมื่อโตขึ้นก็จะมีหน้าที่มากกว่าวิ่งเล่นในครัวเหมือนกัน บ่าวเชื่อนะเจ้าคะว่าคุณเล็กเธอรักษาสัจจะ ไม่นานปีก็จะกลับมาคงไม่ไปนานเหมือนคุณใหญ่หรอกเจ้าค่ะ ไม่รู้กลับมาคราวนี้จะเอาเมียแหม่มมาฝากท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงมั้ย”



     “เมียเหรอจ๊ะยายแช่ม แล้วอย่างนี้ถ้าคุณเล็กกลับมาจะพาเมียแหม่มกลับมาด้วยหรือเปล่า” หนูแสนถามอย่างใจเสีย



ถ้าคุณเล็กพาเมียแหม่มกลับมาคุณเล็กก็จะไม่มีเวลาให้หนูแสนเหมือนที่ผ่านมาแน่ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นหนูแสนก็ไม่อยากให้คุณเล็กมีเมียหรอก หนูแสนหวงไม่อยากให้คุณเล็กไปให้ความสำคัญกับใครมากกว่าหนูแสน



     “อันนี้ยายก็ไม่รู้สิเจ้าคะ อย่าสนใจคนแก่เลยเจ้าค่ะรีบๆ ไปอาบน้ำแล้วมานอนพักเถอะเดี๋ยวยายจะลงไปช่วยคุณแม่ทำขนมแล้ว”



     “มาแล้วรึพ่อตัวดี เลิกเป่าปี่ได้แล้วหรือไงเรา” คุณสนเอ่ยทักน้องชายที่ลงมาจากด้านบน อีเฟื้องรีบถอยฉากออกไปนั่งอยู่มุมประตูยามที่หนูแสนเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ ผู้เป็นพี่สาว



     “มาแล้วค่ะ คุณพี่สนมีอะไรจะเรียกใช้หนูแสนหรือคะ?” คุณสนเหลือบมองไปทางอีเฟื้อง



     “อีเฟื้อง มึงไปที่โรงครัวไปถามหาของว่างบอกว่าคุณแสนตื่นนอนแล้วแล้วอยู่รอสำรับด้วยตัวเอง”



     “เจ้าค่ะ” อีเฟื้องถอยออกไปอย่างว่าง่ายเมื่อเห็นว่าบ่าวคนสนิทลับตาไปแล้วคุณสนจึงได้ออกปากพูดสิ่งที่คิดไว้ในใจมานานแล้วกับน้องชาย



     “พี่มีอะไรจะไหว้วานเธออย่างหนึ่งเธอช่วยพี่หน่อยได้หรือไม่?”



     “อะไรเหรอคะ จะให้หนูแสนช่วยอะไรคะ?”



     “พี่อยากให้เธอช่วยพูดกับคุณเตี่ยให้หน่อย พี่จะไม่อ้อมค้อมหรือพูดยืดเยื้อแล้วกันนะ เธอช่วยขอคุณเตี่ยให้พี่ทีว่าให้ช่วยเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าให้พี่หน่อย พี่อยากทำร้านแต่ไม่มีสถานที่”



     “แต่...” หนูแสนเกิดความลังเลด้วยคิดว่าการขอในสิ่งที่คุณสนต้องการนั้นก็เหมือนกับที่หนูแสนขอของเล่นแพงๆ อีกอย่างเรื่องร้านตัดเสื้อนี้เป็นเรื่องของคุณสนดังนั้นคุณสนจึงควรที่จะเป็นคนเอ่ยปากขอเองเสียมากกว่า



     “แต่อะไร? ทำไมหรือ เรื่องแค่นี้เธอก็ช่วยพี่ไม่ได้รึ? ทีตอนเธอต้องการความช่วยเหลือพี่ยังช่วยไม่อิดออด ถึงคราวพี่ต้องขอให้เธอช่วยบ้างเธอจะไม่มีน้ำใจให้พี่ซักนิดเชียวรึ?” คุณสนจับแขนเล็กของน้องบีบจนหนูแสนเจ็บ ดวงตาของคนเป็นพี่จ้องมาอย่างน่ากลัว



     “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...ก็ได้ค่ะ หนูแสนจะลองพูดให้ แต่หนูแสนไม่รับปากนะคะว่าคุณตี่ยจะอนุญาตมั้ย” ที่สุดเพราะกลัวคุณพี่จะโกรธหนูแสนจึงจำต้องรับปาก คุณสนถึงยอมปล่อยแขนเล็กๆ ของน้อง



     “ขอแค่เธอช่วยพูด ยังไงคุณเตี่ยก็ยอม เธอมันลูกรักนี่” คุณสนตั้งความหวังเอาไว้สูงมากและมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ผิดหวัง



หากแต่ไม่เป็นดังที่คิดไว้ เพราะหลังจากรับประทานอาหารเย็น หนูแสนที่จดๆ จ้องๆ รอจังหวะอยู่นานก็เดินตามผู้เป็นบิดาเข้าไปในห้องทำงาน เพียงไม่นานเสียงร้องเรียกหาคุณสนก็ดังลั่นบ้านจนบ่าวไพร่รวมไปถึงคุณพะยอมและคุณเสนที่นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นถึงกับตกใจ



     “แม่สน เข้ามาหาเตี่ยเดี๋ยวนี้” คุณสนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อหาได้มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวแม้แต่นิด เรือนกายระหงยืดตรงลำคอตั้งตรงและไม่คิดจะหลบตาผู้เป็นพ่อแม้แต่น้อย ทั้งหยิ่งและทะนงตนเป็นที่สุด ในนั้นหนูแสนยืนตัวลีบอยู่หน้าโต๊ะโดยที่เจ้าสัวเซ็งยืนเอามือไขว้หลังมองอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง



     “หล่อนคิดว่าการใช้ให้น้องเข้ามาเป็นใบเบิกทางแล้วเตี่ยจะยอมอนุญาตอย่างนั้นรึ”



     “แล้วไม่ได้หรือคะ?” คุณสนย้อนถามอย่างไม่เกรงกลัว



     “มันเป็นความต้องการของหล่อนเหตุใดจึงไม่เข้ามาพูดกับเตี่ยเอง ใช้น้องเข้ามาพูดทำไม?”



     “แล้วถ้าสนพูดเองคุณเตี่ยจะอนุญาตหรือเปล่าล่ะคะ”



     “ไม่ให้ เป็นหญิงผู้ดีอยู่กับเหย้ากับเรือนน่ะดีแล้วจะต้องออกไปตากหน้าเป็นขี้ข้าคนอื่นเขาหาสมควรไม่” เจ้าสัวเช็งปฏิเสธเสียงแข็ง คุณสนที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นเช่นไรถึงกับแค่นยิ้ม



     “สนก็ทราบอยู่แล้วว่าคุณเตี่ยจะต้องไม่ให้ ทำไมหรือคะ? เหตุผลเพียงเพราะสนเป็นลูกผู้ดีแค่นั้นหรือคะ ตัดที่เป็นหลานสาวเจ้าพระยาเป็นลูกสาวนางข้าหลวงในวัง สนก็แค่ลูกพ่อค้าธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเองนะคะคุณเตี่ย ไม่ได้สูงส่งกว่าใครเขาเลย” คำพูดของคุณสนนั้นไปสะกิดแผลในใจของเจ้าสัวเช็งอย่างหนัก ด้วยในใจคิดมาเสมอว่าตนนั้นต่ำต้อยไม่คู่ควรกับคุณพะยอมเสมอมา



     “หล่อนกำลังดูถูกเตี่ยอยู่นะ”



     “สนไม่ได้ดูถูกคุณเตี่ยเลยซักนิดค่ะ สนเคารพและชื่นชมคุณเตี่ยเสมอ แต่สนก็อยากเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง สนไม่ถือว่าการเปิดร้านตัดเย็บจะเสื่อมเกียรติตรงไหน เจ้าคุณตาเองก็สนับสนุนสน ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะคะคุณเตี่ย ผู้หญิงทำงานนอกบ้านได้ เดี๋ยวนี้พวกชนชั้นสูงมีกำลังจ่ายเยอะๆ ตัดชุดใหม่ใส่ประกวดประขันกันให้เกร่อ สนมีความรู้ความสามารถตรงนี้สนก็อยากใช้มันให้เกิดประโยชน์”



     “ไม่ต้องมาอ้างนู่นอ้างนี่ ไม่ให้ก็คือไม่ให้ เห็นทำดีกับน้องนึกว่าจะรักจะเอ็นดูน้องที่ไหนได้หลอกใช้เด็ก หล่อนนี่มันร้ายเหลือเกินแม่สน ขอให้เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่จะเอาเปรียบน้องแบบนี้นะ เตี่ยรับไม่ได้จริงๆ ออกไปได้แล้ว เตี่ยจะทำงาน” เจ้าสัวเช็งปฏิเสธหนักแน่นอีกครั้ง คุณสนจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ สองมือค่อยๆ กำจนแน่น หล่อนผิดหวัง



อุตส่าห์ทำดีกับหนูแสน ตัดชุดสูทให้ทั้งเจ้าสัวเช็งและคุณเสนเพื่อให้ผู้เป็นพ่อมองเห็นความสามารถของตน แต่สิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันสูญเปล่าไม่มีค่าอะไรเลยซักนิด ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตนนั้นกลั่นออกมาเป็นน้ำตาและตามด้วยคำพูดร้ายๆ อย่างคนคุมสติของตนเองไม่ได้



     “สนไม่ได้ขออะไรไร้สาระเลยซักนิดทำไมคุณเตี่ยไม่ให้ ถึงสนจะเป็นผู้หญิงแล้วสนไม่ใช่ลูกของคุณเตี่ยหรือไงคะ ทำไมจะขออะไรแต่ละอย่างมันช่างยากเย็นนัก ถ้าสนไม่ใช่ลูกรัก ถ้าเกลียดชังสนนักทำไมไม่เอาขี้เถ้ายัดปากให้สนตายๆ ไปเลยล่ะคะ ปล่อยให้สนมีชีวิตอยู่เพื่อผิดหวังและเสียความรู้สึกกับความลำเอียงทำไม!! คุณเตี่ยลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน!!” คุณสนแผดเสียงใส่ผู้เป็นพ่อแล้วจึงหันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป หนูแสนกลัวจนตัวสั่น ทั้งคุณสนและท่านเจ้าสัวยามนี้น่ากลัวนัก เด็กน้อยค่อยๆ ถอยออกจากห้องทำงานอย่างเงียบเชียบทันได้เห็นคุณสนถีบนังเฟื้องเสียจนหงายหลังแล้วเดินลงส้นปึงปันขึ้นชั้นบนโดยมีคุณพะยอมเดินตามไปติดๆ



     “ปล่อยให้คุณแม่คุยกับแม่สนเถอะ หนูแสนขึ้นไปนอนไปเดี๋ยวพี่คุยกับคุณเตี่ยเอง” คุณเสนวางหนังสือพิมพ์ที่อ่านลงแล้วเดินมาโคลงศีรษะเจ้าน้องน้อยเล่นเบาๆ หนูแสนยอมทำตามอย่างว่าง่าย ถ้าคุณพี่เสนออกปากยังไงเสียคุณเตี่ยก็จะรับฟัง เมื่อผู้เป็นพี่ชายคนโตหายเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ หนูแสนจึงกลับขึ้นไปยังห้องนอนตัวเอง เมื่อผ่านห้องคุณสนก็ได้ยินเสียงข้าวของตกกระทบพื้นเสียงร้องไห้โวยวายสลับกับเสียงปลอบของคุณพะยอม เด็กน้อยค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าให้เบาเงียบเชียวราวกับขนนกที่ตกกระทบพื้น



หากตอนนี้คุณเล็กอยู่ด้วยก็คงจะดี ถึงจะช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้แต่ถ้าคุณเล็กอยู่อย่างน้อยคุณเล็กก็จะช่วยปลอบใจหนูแสนให้คลายกังวลได้ มือเล็กกุมนาฬิกาที่คุณเล็กสวมใส่คอให้ราวกับจะใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจของตัวเองให้เข้มแข็ง



คิดถึง...คิดถึงคุณเล็กเหลือเกิน...









...............................



ช่วงนี้ลมจะแรงๆหน่อยต้นสนเลยลู่จนแทบหัก

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ นักเขียนได้รับพลังจากเรื่องนี้พอสมควรเลยค่ะเข้ามาอ่านเม้นท์ทุกวันก็มีทุกวันปลื้มใจมาก หากใครเล่นทวิตเตอร์สามารถพูดคุยผ่านแท็ก #แสนคำนึงได้นะคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๖ ((๕๐%)) ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๓
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 26-12-2019 20:45:02


สงสารน้อง

อยากให้คนพี่กลับมาไวๆ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๖ ((๕๐%)) ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๓
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 27-12-2019 08:52:43
อืมมมม ทำดีกับน้องเพืีอหลอกใช้
คุณสนทำไมร้ายเยี่ยงนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๖ ((๕๐%)) ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 28-12-2019 00:02:47

ตอนที่ ๖

๑๐๐%




 

หลังจากรอให้คุณพะยอมกลับห้องของตนเองเรียบร้อยแล้ว เฟื้องที่คอยท่าอยู่นานก็ค่อยๆแง้มประตูห้องนอนของคุณสนและเข้าไปหาผู้เป็นนายอย่างเงียบเชียบ คุณสนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่างเหม่อมองออกไปเบื้องหน้าที่ถูกความมืดปกคลุม มีเพียงแสงจากตะเกียงริมทางที่ส่องสว่างอยู่ริบหรี่ เฟื้องค่อยๆคลานเข้ามาหาคุณสนช้าๆก่อนจะจับขาคุณสนเบาๆ คุณสนหันมามองบ่าวคนสนิทแม้ไม่มีน้ำตา แม้ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญแต่เฟื้องก้รู้ดีว่าคุณสนนั้นเจ็บปวดในหัวใจเพียงไหน



“เอ็งเจ็บหรือไม่นังเฟื้อง”น้ำเสียงที่มักเกรี้ยวกราดเป็นนิจบัดนี้เอ่ยถามผู้เป็นบ่าวเสียงแผ่ว เฟื้องรีบส่ายหน้าพลางยิ้มแย้มเผยให้เห็นฟันสีดำจากการกินหมาก



“ไม่เจ็บเลยเจ้าค่ะ บ่าวไม่เป็นกระไรเลยเจ้าค่ะ คุณสนหาได้ถีบบ่าวแรงไม่”



“ข้าขอโทษเอ็งด้วยนะ”ผู้เป็นนายเอ่ยปากขอโทษ นังเฟื้องยิ้มอย่างไม่ถือโกรธยิ่งได้ยินคำขอโทษน้ำหูน้ำตาพาลจะไหลเสียให้ได้



ใครๆในเรือนหลังนี้มักพูดถึงคุณสนลับหลัง ตั้งแต่เล็กเติบใหญ่หามีใครซักคนพูดถึงลูกสาวของคุณพะยอมในมุมดีๆไม่ หลายครั้งที่เฟื้องเข้าไปกินข้าวในครัวแล้วถูกบ่าวคนอื่นๆมานินทาคุณสนใส่เฟื้องก็ด่ากราดไปเสียหลายรอบ



จะดีจะชั่วคุณสนก็เป็นลูกของท่านเจ้าสัวคนหนึ่งก็ไม่ควรถูกนินทาว่าร้าย คนพวกนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าแท้จริงแล้วคุณสนน่าสงสารเพียงใด ไม่มีใครรู้หรอกว่านายของมันน่ะปากร้ายแต่ใจดี หลายครั้งที่นังเฟื้องเจ็บไข้ได้ป่วยก็มีคุณสนที่หยิบยื่นเงินให้มันไปหาหมอซื้อหยูกยามารักษา บ่อยครั้งก็หยิบยื่นน้ำใจไม่ว่าจะทรัพย์สินเงินทองเล็กๆน้อยๆ เสื้อผ้าข้าวของให้กับเฟื้องนำไปให้ญาติพี่น้องเป็นของขวัญ ยามอารมณ์ดีก็คุยเล่นกับมันอยู่บ่อยๆเพียงแต่ทำลับหลังกับนังเฟื้องเพียงผู้เดียวหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นคุณสนจะดึงสีหน้าเรียบดุอยู่เสมอ ยามเมื่อไปเยี่ยมตายายคุณสนนั้นราวกับคนละคนกับตอนอยู่บ้าน เป็นหลานสาวที่ช่างพูดจาฉอเลาะคะขาไม่เคยปล่อยให้เจ้าคุณตาและคุณหญิงต้องเหงา หยิบจับงานบ้านเท่าที่พอจะทำได้ ผู้เป็นยายก็รู้ว่าหลานสาวไม่ถนัดงานบ้านงานครัวแต่ก็ไม่เคยคิดว่ากล่าว

"หลานข้าแม้ไม่ถนัดงานเรือนข้าก็ไม่ได้เดือดร้อนข้ามีเงินเลี้ยงแม่สนจะไม่หยิบจับอะไรเลยข้าก็ไม่ว่า หากแม้นใครมาสู่ขอให้ออกเรือนแล้วยอมรับไม่ได้ว่าแม่สนไม่เอางานเรือนก็ไม่ต้องมาขอ หลานคนเดียวข้าเลี้ยงได้"คุณหญิงเคยพูดให้คนสนิทฟัง ท่านทั้งรักและเห็นใจคุณสน ตามจริงแล้วอยากให้คุณสนมาอยู่เสียที่เรือนแต่คุณสนนะั้นยืนยันว่าจะอยู่กับพ่อแม่ ท่านจึงไม่ขัด อีเฟื้องรู้ว่าจริงๆแล้วคุณสนเปราะบางขนาดไหน คุณสนนั้นใจดีขนาดไหน



 เพียงแต่คนเหล่านั้นไม่เคยได้รับความเมตตาปราณีจากคุณสนหากแต่เฟื้องนั้นได้รับหน้าที่ดูแลคนสนมาตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อย เฟื้องรู้ดีว่าคุณสนต้องการความรักของท่านเจ้าสัว ต้องการความดูแลเอาใจใส่จากคุณพะยอม แต่คุณสนแทบจะไม่เคยได้รับความรักและความเอาใจใส่จากคนรอบข้างเลย จากเด็กหญิงแสนน่าสงสารคุณสนทำตัวก้าวร้าวเพื่อปกปิดความอ่อนแอในใจ ยามที่คุณสนเป็นเด็กดีตัวตนของคุณสนกลับเจือจางจนไม่มีใครสนใจ แต่พอคุณสนทำตัวร้ายๆใส่ทุกคนทุกคนให้ความสนใจทุกคนต้องเอาอกเอาใจด้วยเกรงว่าคุณสนจะอาละวาดจนบ้านแตก เมื่อทำตัวเกรี้ยวกราดบ่อยเข้าคุณสนจึงติดเป็นนิสัยจนยากจะควบคุมตัวยามโกรธหรือโมโหใคร เฟื้องคือเหยื่ออารมณ์ของคุณสน ทุกครั้งที่โมโหหรือไม่พอใจอะไรคุณสนจะไม่รั้งรอที่จะระเบิดอารมณ์ออกมาเลยซักครั้ง คุณสนแค่อยากทำให้ใครซักคนเจ็บ เจ็บเหมือนที่คุณสนเจ็บ หากแต่ความเจ็บของคุณสนนั้นหาใช่ที่กายแต่เป็นที่ใจ บาดแผลจากความลำเอียงและคำพูดว่าคุณสนเป็นตัวซอยกรีดลึกมากขึ้นทุกวัน



แผลในใจไม่เคยถูกสมาน พอคล้ายว่าจะดีก็มีเพิ่ม



เฟื้องจำได้ดี ตอนคุณสนอายุสิบขวบคุณสนพลั้งมือเขวี้ยงตลับใส่กระแจะจันทน์ใส่เฟื้องจนหัวปูดเมื่อหายโกรธแล้วตอนที่เฟื้องกำลังจะกางมุ้งให้คุณสน มือเล็กๆของเด็กหญิงก็แตะลงหน้าผากของเฟื้องอย่างแผ่วเบา ดวงตาที่เจือแววเศร้าตลอดเวลามองหน้าเฟื้องอย่างรู้สึกผิด



“เจ็บมั้ยเฟื้อง? ขอโทษนะ”เดิมทีเฟื้องนั้นก็นึกเคืองคุณสน แม้จะรู้ว่าที่คุณสนนิสัยเสียก็เพราะพวกผู้ใหญ่ปากพล่อย แต่พอคุณสนเอ่ยปากขอโทษความสงสารก็พลันแล่นริ้วเข้ามาเกาะหัวใจของเฟื้อง



“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ บ่าวเจ็บเดี่ยวพรุ่งนี้ก็หาย”



“โกรธฉันมั้ย?”คล้ายว่าคุณสนจะยังไม่มั่นใจในตัวเฟื้อง



“ไม่เลยเจ้าค่ะ บ่าวไม่โกรธคุณสนเลย เจ็บกว่านี้ก็ไม่โกรธ แต่บ่าวขอคุณสนได้มั้ยเจ้าคะ อย่าไปทำแบบนี้กับใคร ถ้าโกรธก็มาทำกับอีเฟื้องคนเดียวพอ”

 

“ข้าบอกเอ็งกี่ครั้งแล้วนังเฟื้องว่าอย่ามาขวางเวลาข้าโกรธ”คุณสนส่งสายตาดุต่างจากคุณสนในวัยเยาว์นัก



“ดีกว่าไปลงกับคนอื่นเจ้าค่ะ”คุณสนหยิบตลับยาทาแก้ฟกช้ำแล้วยื่นให้บ่าวคนสนิท เฟื้องรับไว้แล้วเอ่ยถามด้วยห่วงใย



“ท่านเจ้าสัวไม่อนุญาตรึเจ้าคะ?”คุณสนนิ่งไปกับคำถามนี้ ผินหน้ากลับไปมองด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง



“ข้าก็ไม่ได้แปลกใจนักหรอก เป็นเรื่องที่นึกอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าน้อยใจ คุณเตี่ยด่าว่าข้าหลอกใช้หนูแสน เอ็งรู้มั้ยเฟื้องตอนนั้นถ้าตีหนูแสนได้ข้าก็จะตีให้เนื้อแตกโทษฐานที่เกิดมาแล้วทำให้ข้าเป็นอีนางมารร้าย ข้าอยากจะเกลียดหนูแสน เกลียดให้เข้ากระดูกดำที่เกิดมาขโมยเอาความรักจากทุกคนไป”คุณสนเม้มริมฝีปากแน่น เรือนกายสั่นเทาเมื่อความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นวาบเข้ามาในใจ



“เอ็งรู้มั้ยว่าข้าน่ะชังน้ำหน้าหนูแสนนัก แต่หนูแสนก็เป็นน้องเป็นลูกของคุณเตี่ยเหมือนกันข้า แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือความรัก”คุณสนพยายามกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในอกลงไป นังเฟื้องกอดขาผู้เป็นนายไว้แน่นด้วยสงสารจับจิต



“ทั้งๆที่เป็นลูกเหมือนกันแต่คุณเตี่ยกับแม่ก็ลำเอียงนัก หากแม่บอกว่ารักลูกเท่ากันก็มาลากข้าไปประหารให้ดับดิ้นเถอะ คำว่ารักลูกเท่ากันมันไม่มีจริงหรอกเพราะตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าไม่เคยได้รับความรักที่เท่าเทียมซักครั้ง ข้าผิดเองที่เกิดมาเป็นลูกสาว ข้าบอกกับตัวเองทุกคืนว่าให้เจียมตัวอย่าไปเสนอหน้าทำตัวเทียบเคียงกับคุณพี่เสนหรือหนูแสนเลยแต่ข้าก็เถียงกับตัวเองทุกครั้งว่าเป็นลูกสาวแล้วทำไมล่ะ เป็นลูกสาวข้าก็ช่วยดูแลกิจการได้เหมือนกัน เป็นลูกสาวข้าก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้เหมือนๆกับคุณพี่เสน ข้าถึงได้ขอ ขอโอกาสที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มี และมันไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น”ปลายน้ำเสียงสะบัดพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาอย่างผิดหวัง นังเฟื้องซบหน้ากับตักของคุณสนอย่างสงสาร



“โธ่ ทูนหัวของบ่าว”



“บางทีข้าก็คิดนะเฟื้อง หากข้าเกิดเป็นชาย คุณเตี่ยคงจะรักข้าได้ซักครึ่งกับที่รักหนูแสน ข้าไม่น่าเกิดมาเลยนังเฟื้อง”



“อย่าคุณอย่างนั้นสิเจ้าคะคุณสนเจ้าขา อย่างน้อยก็ยังมีท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงพิกุลที่รักคุณสนนะเจ้าคะ ทำไมไม่ลองไปขอให้ท่านเจ้าคุณช่วยพูดให้ล่ะเจ้าคะ ถ้าท่านช่วยพูดท่านเจ้าสัวต้องเกรงใจต้องยอมให้คุณสนเปิดร้านตัดเสื้อแน่ๆเจ้าค่ะ”นังเฟื้องออกควานเห็นตามความคิดตน คุณสนนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด



“จริงด้วยสิ ข้าไม่ทันคิดถึงเจ้าคุณตา หากเจ้าคุณตาออกปากพูดคุณเตี่ยต้องยอมแน่ๆ หรือหากไม่ยอมเจ้าคุณตาก็คงเป็นคนออกทุนเปิดร้านให้ข้าเอง แต่ถ้าเจ้าคุณตาไม่ช่วยล่ะ”



“ก็หาผู้ชายดีๆ ฐานะดีๆซักคนแล้วออกเรือนไปกับเขาสิเจ้าคะ  ออกไปจากบ้านหลังนี้แล้วไปใช้ชีวิตของตัวเอง ให้ท่านเจ้าคุณหาให้ก็ได้”นังเฟื้องเสนอวิธีตามแบบของคนที่ไม่ได้มีการศึกษาสูงๆเหมือนลูกหลานท่าน คุณสนตวัดสายตาดุพลางลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์นัก



“ไม่ เรื่องคู่ครองหากไม่ใช่ชายที่ข้าหมายปองรักใคร่ข้าจะไม่ออกเรือนไปกับใครเด็ดขาด ต่อให้เป็นสาวเทื้อคาเรือนข้าก็ไม่สน ยิ่งจะให้ไปใช้เงินคนอื่นข้าไม่ยอมหรอก เอ็งเตรียมตัวไว้พรุ่งนี้ข้าไปไปหาเจ้าคุณตา”



“เจ้าค่ะ”

 

 

ท่ามกลางความมืดในห้องนอนของหนูแสน เจ้าตัวน้อยขดตัวเป็นก้อนกลมกอดหมอนข้างแล้วซุกหน้ากับหมอนใบยาวราวกับจะใช้มันเป็นตัวแทนของคนที่กำลังเดินทางสู่แดนไกล เสียงสะอื้นเล็กๆดังเล็ดลอดออกมาเบาๆ ดวงตากลมโตที่เคยยิ้มจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวบัดนี้เปรอะนองไปด้วยหยาดน้ำตา หากเป็นวันวานหนูแสนคงหลับไปแล้ว แต่ในเวลานี้ใจดวงน้อยคิดถึงแต่คุณเล็ก กว่าจะข่มตาหลับไปได้ก็ยามดวงจันทร์คล้อยไปแล้วค่อนคืน



ไม่ต่างกับคุณเล็กที่ทอดสายตามองผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า เรือเดินสมุทรลำใหญ่แล่นแหวกผิวน้ำจนเกิดละอองฟองฟ่อง ลมทะเลพัดพาความชื้นและเหนียวเหนอะมาต้องผิวกาย



มาไกลเกินจะกลับไปเสียแล้ว



ไม่รู้ว่าอีกซักกี่ปีจะได้กลับไปหาหนูแสน



ถึงเวลานั้นคำมั่นสัญญาที่หนูแสนรับปากว่าจะไม่ไปสนิทสนมรักใคร่กับใครจะยังคงอยู่หรือไม่



หากกลับจากฝรั่งเศสแล้วหนูแสนจะยังจำตัวเองได้ไหมหรืออาจจะลืมเลือน



ความสนิทสนมในวัยเยาว์จะถูกกาลเวลากลืนกินหรือเปล่า



ลิขิตไม่รู้เลย ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยซักนิด



ไม่รู้แม้กระทั่งหากหนูแสนเติบใหญ่พอที่จะเรียนรู้ว่าความรักคืออะไร หนูแสนจะเอาใจออกห่างด้วยเกรงคำครหาหรือไม่หนูแสนเองอาจจะกลายเป็นชายชาตรีที่เติบใหญ่และออกเรือนกับผู้หญิงดีๆที่มีฐานะสมน้ำสมเนื้อกันก็ได้



ลิขิตเข้าใจดีว่าไม่มีอะไรแน่นอน



หัวใจของมนุษย์ก็เช่นกัน



เขาเพียงหวังว่า หนูแสนนั้นจะมีใจตรงกันกับเขา



และเขาจะไม่ยอมให้กาลเวลามาพรากหนูแสนไปจากตน



แม้อยู่ไกลกันสุดหล้าฟ้าเขียวลิขิตก็จะไม่ยอมให้หนูแสนลืมตนเด็ดขาด จะไม่มีทางหายไปจากชีวิตเจ้าตัวน้อยแน่นอน



ขอเพียงรอ ขอเพียงให้หนูแสนรอเขาอยู่ที่นั่น แค่นั้นก็พอ

 

 



...............................

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๖ ((๑๐๐%)) ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๖
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 28-12-2019 02:29:38


สงสารหนูแสน

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๖ ((๑๐๐%)) ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๖
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-12-2019 16:44:03
เกิดเป็นลูกสาวตระกูลคนจีน แถมเป็นลูกคนกลาง มันเจ็บปวดจริงนะ เข้าใจคุณสนเลย แต่คุณสนไม่ควรเอาความโกรธของตัวเองมาลงที่คนอื่นไหม
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๖ ((๑๐๐%)) ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๖
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 28-12-2019 21:27:59
เฮ้ออออ รอวันหนูแสนโต
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๖ ((๑๐๐%)) ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๓๖
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 29-12-2019 12:16:30

แสนคำนึง

ตอนที่ ๗  ((๕๐%))


               



ถึงหนูแสนที่รักยิ่ง



หนูแสนเป็นอย่างไรบ้างคะ คุณเล็กเขียนจดหมายฉบับนี้ที่อินเดีย เรือมาพักที่นี่ก็พอดีกับมีเรือจากอินเดียกำลังจะกลับบ้านเราคุณเล็กจึงขอฝากจดหมายมากับเขา อากาศที่นี่ร้อนเสียเต็มประดา ร้อนจนแทบจับไข้ อยู่บนเรือเป็นเดือนคิดถึงบ้านเสียเหลือเกิน คิดถึงอาหารบ้านเรา โชคดียังได้น้ำพริกหมูฝอยอีกทั้งขนมที่หนูแสนทำมาให้กินพอให้หายคิดถึงอาหารบ้านเรา มีเรื่องตลกก็ตรงตอนที่คุณเล็กเอาทุเรียนกวนที่หนูแสนห่อด้วยกาบหมากมาให้ทีหลังนั่นน่ะพอเปิดออกกินกลิ่นทุเรียนโชยไปทั่วห้องหลายคนทำจมูกฟุดฟิดเป็นที่น่าขัน บ้างก็ชมว่าหอมแต่หลายคนก็บ่นว่าเหม็น จะกินแต่ละทีต้องแอบเข้าไปกินในห้องเป็นที่วุ่นวาย





จากกันมาเสียนานแล้วป่านนี้หนูแสนลืมคุณเล็กหรือยังคะ คุณเล็กคิดถึงหนูแสนเสียเต็มกำลัง จะคุยเล่นกับใครก็ไม่สนุกเหมือนหนูแสน แต่ละคนคุยโก้แต่เรื่องน่าเบื่อเตรียมตัวกันเป็นนักเรียนนอกจนน่าเวียนหัว บางคนไม่แตะอาหารบ้านเรากินเพียงขนมปังแฮมและชีส บ้างก็นั่งจิบชายามบ่ายเหมือนผู้ดีอังกฤษ ที่อินเดียนี่ฝรั่งเยอะเสียเหลือเกิน ด้วยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษไปเสียแล้ว อาหารที่นี่บางอย่างก็อร่อยเสียแต่หนักเครื่องเทศไปสักหน่อยไม่อร่อยนุ่มลิ้นเหมือนที่หนูแสนเคยทำมาให้ ผู้คนแบ่งชนนั้นตามวรรณะ ผิวพรรณบ้างก็สวยบ้างก็ดำคล้ำแต่จมูกโด่ง แขกบางคนก็พูดภาษาอังกฤษได้แม้จะฟังยากแต่ก็พอสื่อสารกันรู้เรื่อง ส่วนผู้หญิงติดจะขี้อาย ที่เคยได้ยินคนเขาเล่าเรื่องกลิ่นตัวเหม็นเขียวนั้นไม่ผิดเพี้ยนเลยทีเดียว มาถึงวันแรกๆ คุณเล็กเวียนหัวจนต้องร้องขอส้มโอมือมาดมให้หายมึน น่าจะเป็นเพราะเขากินเครื่องเทศอีกทั้งยังทำงานกันกลางแดดร้อนเปรี้ยงแต่อยู่มาซักวันสองวันก็พอจะชิน ที่นี่เขานับถือฮินดูการเห็นวัวเดินกินลมชมวิวในตลาดแล้วไม่มีใครตีถือเป็นเรื่องปกติอยากให้หนูแสนมาเห็นบ้างจังหนูแสนคงสนุก อีกสองวันเรือก็จะออกจากท่าแล้วคราวนี้คุณเล็กคงต้องรอให้ถึงปารีสถึงจะเขียนจดหมายมาหาหนูแสนได้อีกครั้ง





หนูแสนอยู่ทางนั้นรักษาตัวเองดีๆ นะคะอย่าเจ็บไข้ได้ป่วย ตั้งใจเรียน คุณเล็กเป็นห่วงหนูแสนเหลือเกิน อยู่ใกล้ๆ คุณน้าพะยอมไว้นะคะ คุณพี่สนจะได้ไม่เอ็ดเอาอีก รอคุณเล็กกลับไปหานะคะ





สุดท้ายนี้คุณเล็กขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดคุ้มครองหนูแสนของคุณเล็กให้มีความสุขนะคะ





คิดถึงเสมอ

ลิขิต







หนูแสนในวัยสิบสามปีพับจดหมายที่คุณเล็กเขียนมาถึงรอยยิ้มมิได้จางไปจากดวงหน้าเลยแม้แต่น้อย จากกันนานนับเดือนหนูแสนเริ่มชินกับการไม่มีคุณเล็กอยู่ในชีวิตประจำวันแล้ว ความอาลัยอาวรณ์เศร้าสร้อยที่เคยมีช่วงเดือนแรกจางหายเหลือไว้เพียงความระลึกถึงยามที่อยู่คนเดียว หนูแสนเริ่มใช้ชีวิตแบบที่คุณเล็กเคยบอกคือมีเพื่อนใหม่ๆ ก็พอให้หายเหงาไปได้บ้าง คุณสนเองก็ไม่ได้มาเกรี้ยวกราดใส่เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว เพราะหลังจากท่านเจ้าสัวประกาศว่าจะไม่เปิดร้านให้คุณสนวันรุ่งขึ้นคุณสนก็หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่บ้านเจ้าคุณตาพร้อมนังเฟื้องบ่าวคนสนิท และเพียงสองวันเจ้าคุณตาก็มาหาที่เรือนพร้อมกับคุณสน ในที่สุดสามเดือนต่อมาห้องเสื้อของคุณสนก็เปิดอยู่ใกล้ร้านขายผ้าของเจ้าสัวเช็ง เป็นร้านที่หรูหรากว่าใครในย่านนั้น และด้วยฝีมือการตัดเย็บที่แสนปราณีตและรูปแบบที่ทันสมัยแบบที่สตรีในสังคมชั้นสูงชื่นชอบไม่นานคุณสนก็มีลูกค้าประจำจนงานล้นมือต้องจ้างลูกจ้างมาช่วยงานหลายคน ทุกวันนี้จะพบหน้าก็เพียงก่อนคุณสนออกจากบ้านไปที่ห้องเสื้อเท่านั้น เจ้าสัวเช็งที่เคยคิดว่าลูกสาวคงจะทำอะไรได้ไม่จริงจังก็เริ่มมองคุณสนใหม่เนื่องจากหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงปีคุณสนก็เอาเงินที่เจ้าสัวเซ็งลงทุนทำร้านมาคืนให้ ด้วยเพราะมีหัวทางการค้าคุณสนจึงเปิดอีกร้านหนึ่งติดกันเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าขายให้กับคนที่มีฐานะปานกลางในราคาที่ย่อมเยาขึ้น คุณสนกลายเป็นที่รู้จักในวงสังคม ด้วยภาพลักษณ์หลานสาวท่านเจ้าพระยาอีกทั้งเป็นลูกสาวเจ้าสัวที่มีกิจการมากมายและท่าทางเย่อหยิ่งนั้นทำให้มีผู้ชายหลายคนอยากเด็ดดอกฟ้ามาเชยชม เจ้าสัวเช็งหมายมั่นจะให้คุณสนออกเรือนกับทายาทเศรษฐีซักคนที่มีหน้ามีตาในสังคมหากแต่คุณสนกลับไม่ปรายตาแลผู้ใดเลยซักนิดและยืนกรานว่าจะไม่ออกเรือนกับผู้ชายที่เจ้าสัวเช็งเลือกให้



หกเดือนต่อมาเรือนเจ้าสัวเช็งก็มีงานมงคลเป็นงานแต่งงานของคุณเสนกับลูกสาวเศรษฐีที่มีฐานะเทียมหน้าเทียมตากัน เจ้าสัวเช็งยกที่ข้างตึกใหญ่ให้คุณเสนสร้างเป็นเรือนหอ เจ้าสาวของคุณเสนเป็นคนหัวอ่อนให้ความเคารพและเชื่อฟังพ่อและแม่สามีเป็นอย่างดี หนูแสนเองก็เริ่มถูกผู้เป็นพ่อเรียกตัวมาใช้งานบ่อยครั้ง หนูแสนเริ่มเรียนรู้งานด้านบัญชี การใช้ลูกคิดคิดตัวเลขรายรับรายจ่ายต่างๆ ยามว่างก็ได้ไปเที่ยวเล่นสนุกตามประสากับลูกบ่าวในเรือนพอให้คลายเหงา ครึ่งปีต่อมาคุณก๋งและอาม่าก็เสียชีวิตไล่เลี่ยกันด้วยโรคชรา หนูแสนร้องไห้ไปเสียหลายวันด้วยคิดถึงผูกพัน นับเป็นการจากตายจากคนที่รักครั้งแรกจนซึมไปหลายวัน





ทุกคนใช้ชีวิตในแบบของตนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณเล็กไปเรียนต่อได้ปีครึ่ง เรือนของเจ้าพระยาสรอรรถก็มีความคึกคัก คุณหญิงผกามาหาคุณพะยอมที่เรือนเพื่อสั่งขนมและอาหารไปเลี้ยงแขกต้อนรับคุณใหญ่กลับมาจากปารีสในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า





“คุณหญิงคงดีใจมากสินะคะ”





“ดีใจสิจ๊ะ ลูกชายของฉันจากบ้านไปเสียเป็นสิบปี อ่านแค่จดหมายปีละไม่กี่ฉบับมันหายคิดถึงเสียเมื่อไหร่ล่ะแม่พะยอม”





“เอาเป็นว่าอิฉันจะทำให้สุดฝีมือเลยค่ะคุณหญิงวางใจ”





“เฮ้อ...คิดถึงตาเล็ก ตั้งแต่ลูกไปฉันก็เหงาเหลือทน ไม่มีใครมาคะขาใส่”





“ปะเดี๋ยวเรียนจบเธอก็กลับมาค่ะ คุณหญิงโชคดีมีลูกหัวก้าวหน้าไปศึกษาหาความรู้เป็นเกียตริแก่วงศ์ตระกูล อิฉันสิคะ ท่านเจ้าสัวเธออยากให้ลูกทำการค้ามากกว่า เธอว่าเป็นพ่อค้ามีแต่กำไรไม่ก็ขาดทุน ถ้าเป็นข้าราชการไม่มียศไม่มีศักดิ์ติดตัวมาก็หาทางก้าวหน้าได้ยาก ทำตัวไม่ถูกใจนายจะโดนลงโทษโดนจับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” คุณพะยอมว่าอย่างเสียใจนิดหน่อยด้วยต้นตระกูลก็รับราชการกันต่อมาเป็นทอดๆ บรรดาญาติคนอื่นๆ ก็ล้วนรับราชการกันทั้งหมดทั้งสิ้น คุณหญิงผกาตบลงบนหลังมือของคุณพะยอมเบาๆ อย่างปลอบใจ





“อย่าคิดมากไปเลย กิจการของท่านเจ้าสัวเจริญก้าวหน้า แม้ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์แต่หล่อนก็มีทรัพย์สินเงินทองใช้ไม่ขาดลูกเต้าอยู่สบายกันทุกคน ทุกอาชีพล้วนมีข้อดีข้อต่างกัน ภูมิใจกับลูกให้มากๆ เถิด ได้ข่าวว่าหนูแสนก็เริ่มจะคล่องงานแล้วนี่ไม่เห็นเล่นซุกซนเหมือนเมื่อก่อน”





“ท่านเจ้าสัวก็ออกปากชมอยู่ค่ะว่าหนูแสนหัวไว”





“โตเป็นหนุ่มแล้ว นี่ถ้าตาเล็กกลับมาเจอน้องคงจำไม่ได้”





“ตัวไม่โตขึ้นซักเท่าไหร่เลยค่ะ กินอะไรก็เท่าแมวดม ติดจะชอบชิมเสียมากกว่า” คุณพะยอมพูดถึงลูกคนเล็กอย่างเอ็นดู หล่อนชะโงกหน้าดูเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์จอดที่หน้าบ้าน หนูแสนวัยสิบสี่ปีที่ความอ้วนล่ำแบบเด็กๆ หายไปตอนนี้เรือนกายโปร่งระหงท่วงท่าสำรวมยามเห็นคุณหญิงผกา เด็กชายยื่นกระเป๋าใส่หนังสือเรียนให้นายมีเอาไปเก็บก่อนจะคลานเข้าไปไหว้คุณหญิงผกา





“กราบคุณป้าครับ”





“ไหว้พระเถอะหนูแสน เพิ่งเลิกเรียนเหรอจ๊ะ”





“ครับ เลิกเรียนก็กลับบ้านเลย”





“โตเป็นหนุ่มแล้วจริงๆ คำพูดคำจาก็เปลี่ยนไปจนป้าใจหาย เอาเถอะกลับมาเหนื่อยๆ หนูแสนไปพักเถอะป้าก็จะกลับแล้ว อาทิตย์หน้าคุณใหญ่กลับมาคงได้จดหมายจากปารีสอีกฉบับล่ะนะ” หนูแสนอมยิ้มน้อยๆ แล้วจึงลุกขึ้นประคองคุณหญิงผกาไปส่งที่หน้าเรือน





“ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะลูกแม่ทำกับข้าวไว้แล้วรอคุณเตี่ยกับพี่เสนกลับมาก็กินได้เลย แม่สนก็คงกินมาจากข้างนอกตามเคย” ปลายน้ำเสียงของคุณพะยอมแผ่วลงอย่างน่าใจหาย ตั้งแต่คุณสนเปิดห้องเสื้อการกลับมาร่วมวงกินข้าวกับครอบครัวก็ห่างหายจนในที่สุดคุณสนก็ไม่กลับมากินข้าวที่บ้านอีกเลย เมื่อถามก็ตอบว่าเธอรับข้าวจากข้างนอกมาแล้ว แม้จะเก็บอาหารไว้ให้คุณสนก็ไม่แตะเลยซักครั้งกลับถึงบ้านก็ขึ้นห้องของตัวเองเก็บตัวเงียบอยู่ในนั้น





หนูแสนกลับขึ้นมาบนห้องของตนเอง วางกระเป๋าหนังสือลงบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วจึงนั่งลง เปิดลิ้นชักแล้วหยิบจดหมายสามฉบับที่คุณเล็กส่งมาให้จากฝรั่งเศส เมื่อแรกคุณเล็กเล่าถึงการไปถึงเมืองปารีสครั้งแรก คุณเล็กเล่าว่าหนาวจับใจ คุณเล็กล้มป่วยเสียหลายวันจึงปรับตัวได้จากนั้นคุณใหญ่และคณะนักเรียนไทยในฝรั่งเศสก็พากันนั่งรถไฟไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ รูปถ่ายที่คุณเล็กส่งมาให้คือคุณเล็กที่สวมสูทแบบสากลและมีเสื้อโค้ทกันหนาวตัวใหญ่ด้านหลังคือทิวทัศน์ของหอไอเฟลที่คุณเล็กบอกว่าล้นเกล้ารัชกาลที่ห้าทรงเคยเสด็จมาที่นี่ หนูแสนเอารูปของคุณเล็กใส่กรอบวางไว้บนหัวนอน หลายครั้งที่ไปพบเจออะไรที่โรงเรียนหรือที่ห้างฝรั่งของคุณเตี่ยหนูแสนก็จะเอามาเล่าให้รูปคุณเล็กฟัง เป็นความผูกพันและความคิดถึงระยะไกล ยามเขียนจดหมายหาคุณเล็กหนูแสนจะเล่าแค่เหตุการณ์สำคัญในช่วงนั้นๆ บอกคุณเล็กทุกครั้งว่าตนเองสบายดีและมีเพื่อนใหม่เยอะแยะแต่หนูแสนไม่เคยบอกเล่าถึงปัญหาต่างๆ ที่ตนได้พบเจอเลย





หนูแสนบอกกับตัวเองเสมอว่าหนูแสนโตแล้ว





หนูแสนจะโตให้ทันคุณเล็กคุณเล็กกลับมาจะได้ไม่ผิดหวังในตัวหนูแสน มือเล็กอดที่จะลูบนาฬิกาแขวนที่ห้อยคอของตัวเองไม่เคยห่างกายปลดสลักที่ล็อกฝานาฬิกาออกเผยให้เห็นภาพของคุณเล็กในวัยสิบเจ็ดปีอยู่ในนั้น รอยยิ้มละมุนถูกมอบให้คิดในรูปเหมือนเช่นทุกวัน





“หนูแสนคิดถึงคุณเล็กนะคะ กลับมาเร็วๆ นะ”









.....................................................................





อดทนรอกันนิดหนึ่งนะคะเดี๋ยวก็กลับมาเจอกันแล้ว





ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตของตัวเองกันซักสองสามตอนเนอะ





ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจของเรามากๆ ทำให้เรามีแรงที่จะพิมพ์นิยายเอามาอัพให้อ่านทุกวัน จะพยายามอัพให้ได้บ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้นะคะ





ติดแท็กหรือแนะนำเรื่องได้ใน #แสนคำนึง นะคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๕๐%)) ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-12-2019 16:10:09
คุณสน ต้องเป็นถึงขนาดนี้ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๕๐%)) ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 29-12-2019 17:15:13


ดีใจจัง..
หนูแสนโตเป็นหนุ่มแล้ว..

รอๆๆๆๆๆ...
หนุ่มนักเรียนนอก.
..กลับมา

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๕๐%)) ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-12-2019 17:36:27
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๕๐%)) ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ค.ห. ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 01-01-2020 21:55:14


((ต่อ))



 

 

            วันนี้คุณพะยอมวุ่นวายอยู่ในเรือนครัวตั้งแต่เช้าตรู่ ขนมหวานขนมไทยรสละมุนจากฝีมือของคุณพะยอมและยายแช่มโดยมีหนูแสนเป็นลูกมือถูกจัดใส่ถาดจัดเรียงอย่างสวยงามสมกับเป็นอาหารชาววัง ตกบ่ายจึงทำอาหารคาวเพื่อรับรองแขก คุณใหญ่กลับถึงพระนครตั้งแต่เมื่อวานซืน ได้ยินเสียงบ่าวเรือนนู้นตกแต่งสถานที่ดังมาแว่วๆ



            “ไม่ได้รู้สึกว่าเรือนนู้นคึกคักมานานมากแล้ว”คุณพะยอมเอ่ยกับยายแช่มที่กำลังโขลกพริกแกงมือเป็นระวิง



            “เห็นว่าเชิญเพื่อนที่จบจากโรงเรียนทหารมาด้วย อาหารพวกแกงอย่าให้เผ็ดจนเกินไปเผื่อยังไม่คุ้นลิ้น น่าจะชินกับนมเนยของฝรั่งหากเผ็ดไปจะเสาะท้องได้”



            “เจ้าค่ะ”ยายแช่มรับคำตามที่ผู้เป็นนายสั่ง คุณพะยอมหันไปมองหนูแสนที่กำลังคนทำยำทวายอยู่ใกล้ๆ



            “เตรียมแต่งตัวได้แล้วมั้งลูก เดี๋ยวไปช้าจะน่าเกลียด”



            “ไม่น่าเกลียดหรอกจ้าแม่ หนูแสนไม่ได้สนิทสนมอะไรกับคุณใหญ่ไม่ไปยังได้”



            “ไม่ไปไม่ได้คุณหญิงผกาเชิญพวกเราทั้งบ้าน วันนี้คุณเตี่ยกับพี่เสนก็บอกจะรีบกลับ บ้านใกล้เรือนเคียงกันไปช่วยเขาหยิบจับช่วยงานอะไรได้ก็ไปเถอะลูก”



            “ยายแช่มที่เหลือทางนี้ช่วยดูต่อทีนะจ๊ะ ฉันจะขึ้นไปดูคุณสนซักหน่อยว่าแต่งตัวไปถึงไหนแล้ว”



            “ก็คงงามเป็นนางละครนั่นแหละค่ะแต่งตัวสวยกรีดกรายไปมาทำอะไรไม่เป็น”ยายแช่มที่ตำพริกแกงเสร็จอดที่จะค่อนขอดคุณหนูคนรองของบ้านไม่ได้จนคุณพะยอมต้องทำสีหน้าดุใส่ ตั้งแต่เล็กจนโตคนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณสนต่อปากต่อคำได้ตลอดก็คือยายแช่ม แม้จะโดนคุณสนด่าว่าเอาหลายครั้งหลายหนแต่ยายแช่มเองก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวเหมือนบ่าวคนอื่นๆก็เป็นเพราะคุณพะยอมเองก็ไม่อยากจะว่ากล่าวให้เคืองใจกัน ด้วยก็อยู่กันมานานตั้งแต่คุณพะยอมยังเด็ก แต่เหมือนยิ่งคุณพะยอมไม่พูดว่าอะไรเพราะไม่อยากจะหักหน้าแกต่อหน้าบ่าวไพร่คนอื่นๆยายแช่มก็ได้ใจค่อนขอดคุณสนจนเป็นเรื่องเคยชิน



            “ยังไงคุณสนก็เป็นลูกฉันนะยายแช่ม อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะถือว่าฉันขอ ที่ฉันไม่ว่าอะไรเพราะยายแช่มอยู่กับฉันมานานเป็นผู้ใหญ่ทั้งยังเคยช่วยฉันเลี้ยงคุณสนเมื่อยังเล็กก็นับว่ามีบุญคุณกัน แต่ฉันขอเถอะนะยายแช่มพวกคำพูดประชดประชันอะไรก็ให้เพลาๆลงบ้างเถอะนะ ”ยายแช่มหน้าเสียลงไปก่อนจะยกมือไหว้ขอโทษคุณพะยอม



            “อิฉันขอโทษคุณเจ้าค่ะ อิฉันลืมตัวไป แต่ที่พูดไปอิฉันไม่ได้พูดเพราะความเกลียดชังหรอกนะคะ ต่อไปอิฉันจะระวังไม่ต่อปากต่อคำกับคุณสนเธอนะคะ”



            “ฉันขอบใจแช่มที่เข้าใจนะจ๊ะ”คุณพะยอมลุกขึ้นไม่ลืมสั่งหนูแสนให้ไปอาบน้ำเตรียมตัวก่อนจะเดินกลับเข้ามาในตึกเดินขึ้นบันไดเพื่อตรงไปห้องของคุณสนที่วันนี้ปิดร้านเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับคุณใหญ่



            “งามจริงลูกสาวแม่”เอ่ยปากชมดรุณีที่งามผุดผาดผิวขาวผ่องละเอียดลออในชุดลูกไม้ชั้นดีสีแดงเลือดนก ขับผิวจนตาพร่า คุณสนยิ้มพอใจกับคำชมของผู้เป็นแม่ คุณพะยอมนั่งดูลูกสาวแต่งหน้าทำผมด้วยความภูมิใจ คุณสนในตอนนี้ดัดผมเป็นลอนตามสมัยนิยม ดวงหน้าสวยจัดด้วยแต่งแต้มจนวิจิตร



            “แม่คะ สนขอยืมเครื่องเพชรชุดทับทิมล้อมเพชรของแม่ได้ไหมคะ”หันหาหาผู้เป็นเป็นเอ่ยบอกความต้องการ คุณพะยอมชะงักไปเล็กน้อยด้วยทับทิมล้อมเพชรนั้นเป็นเครื่องประดับที่เสด็จประทานให้ในวันแต่งงาน มีมูลค่าและคุณค่าทางใจสูงมาก หากไม่ใช่งานใหญ่ๆคุณพะยอมไม่เคยเอาออกมาใส่เลยซักครั้ง คุณสนเห็นท่าทางลังเลของแม่ก็แค่นยิ้ม



            “สนนึกอยู่แล้วล่ะค่ะว่าคงไม่ให้ ก็ลองขอไปอย่างนั้นเอง”



            “โธ่ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกลูก แม่เห็นว่าทับทิมชุดนั้นมันใหญ่ไป เราไปงานเลี้ยงต้อนรับไม่ควรใส่ให้เด่นเกินหน้าเจ้าของงาน อีกอย่างสนอายุยังน้อยใส่เครื่องเพชรชุดใหญ่มันจะดูแก่เกินวัยนะลูก”



            “แล้วเมื่อไรสนจะใส่ได้ล่ะคะ สนไม่ได้ไปออกงานที่ไหนบ่อยๆก็อยากสวยบ้าง อีกอย่างชุดทับทิมล้อมเพชรก็เข้ากับชุดของสนชุดนี้มาก มันไม่ได้ใหญ่เทอะทะจนน่าเกลียดซักหน่อยนี่คะ แม่ให้สนยืมไม่ได้เหรอคะ”ปลายเสียงคล้ายจะออดอ้อนอยู่ในทีจนคุณพะยอมถอนหายใจออกมา



            “อืม...แม่ให้สนยืมก็ได้ แต่สนต้องระวังนะลูกทับทิมล้อมเพชรชุดนี้เสด็จทรงประทานให้แม่กับคุณเตี่ยตอนที่แม่ไปทูลลาออกมาแต่งงาน มีค่ากับแม่มาก”



            “โอ้ย  สนทราบแล้วค่ะ จะรักษาอย่างดีแม่ไปหยิบมาเถอะค่ะ สนจะได้ลอง”คุณสนหันไปสนใจกับทรงผมของตัวเองอีกครั้งทิ้งให้คุณพะยอมยืนหน้าเหวออยู่ด้านหลังด้วยไม่คิดว่าลูกสาวจะทำน้ำเสียงแบบนั้นใส่ตน



ในที่สุดทับทิมล้อมเพชรครบชุดก็ประดับอยู่บนเรือนร่างของคุณสน ทันทีที่เห็นบุตรสาวใส่เครื่องประดับชุดนั้นเจ้าสัวเช็งถึงกับหันไปมองหน้าคุณพะยอมที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วตามลงมาสมทบ คุณพะยอมยิ้มให้กับผู้เป็นสามีบอกเป็นนัยๆว่าตนเป็นคนเอาให้คุณสนใส่เอง ส่วนหนูแสนในวัยกำลังแตกเนื้อหนุ่มรูปร่างผอมบางก็แต่งตัวด้วยชุดสากลทิ้งคราบเด็กน้อยกลายเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาผิวขาวสะอาดสะอ้านไม่ผิดจากพี่ๆ บรรดาบ่าวไพร่ต่างลำเลียงอาหารคาวหวานเดินตามผู้เป็นนายไปยังเรือนของเจ้าคุณสรอรรถ สถานที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณใหญ่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านมีโต๊ะสำหรับให้แขกนั่งทานอาหารวางเรียงกันจนเกือบเต็มพื้นที่ ริมสุดจัดเป็นซุ้มโดยใช้ทางมะพร้าวสานตกแต่งแซมกันดอกไม้ที่จัดเป็นช่อสวยงาม คุณหญิงผกากำลังคุมบ่าวไพร่ให้เตรียมสถานที่ให้เรียบร้อยเมื่อครอบครัวของเจ้าสัวเช็งมาถึงก็รีบเดินมาต้อนรับทันที



            “เชิญค่ะเจ้าสัว แหม นานๆได้เจอกันทีดูไม่แก่ขึ้นเลยนะคะเนี่ยคุณหญิงผกาเอ่ยเย้าท่านเจ้าสัวเช็งอย่างคุ้นเคย



            “แหม คุณหญิงก็พูดเกินไป วันนี้คุณหญิงเองก็งามเช่นกันไม่ผิดเพี้ยนจากตอนสาวๆเลยขอรับ”



            “ตายจริง มายอฉันกลับอย่างนี้ปะเดี๋ยวฉันลอยข้ามยอดไม้ไปล่ะจะแย่ ตายจริง วันนี้หนูสนงามนัก ปกติก็งามอยู่แล้วพอแต่งองค์ทรงเครื่องก็งามดังนางฬะเวง”คุณสนที่ถูกกล่าวถึงยกมือไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม



ยิ้มเพราะรู้จักวางตัวเข้าหาผู้ใหญ่ คุณหญิงผกานั้นเป็นผู้กว้างขวางลูกค้าที่ห้องเสื้อของคุณสนหลายคนก็มาจากการแนะนำของคุณหญิงผกาทั้งนั้น



            “ขอบพระคุณคุณหญิงป้าค่ะที่ชม แต่สนไม่ได้งามถึงเพียงนั้น”



            “งามสิจ๊ะผิวได้พ่อหน้าได้แม่ทั้งขาวและสวยคมหน้าตาแบบนี้หาได้ยากนักทั่วทั้งพระนครเห็นจะมีแต่หนูสนคนเดียว พ่อเสนกับหนูแสนกันนี้ก็ดูโก้ราวกับฝาหรั่ง”คุณเสนและหนูแสนต่างยกมือไหว้ขอบคุณ



            “คุณป้ามีอะไรให้หนูแสนรับใช้ไหมครับ หนูแสนเต็มใจช่วย”



            “โอ้ย ไม่ต้องช่วยหรอกจ้าแค่อาหารคาวหวานน่ากินที่ยกมาก็เพียงพอแล้ว บ่าวไพร่ช่วยกันจัดเตรียมจะเสร็จแล้ว เชิญท่านเจ้าสัวและครอบครัวไปนั่งที่โต๊ะเถอะนะคะ แขกเริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว ตามสบายเลยนะคะ ฉันอาจจะมาดูแลได้ไม่บ่อยนักต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะคะ”



            “โอ้ย เรื่องแค่นี้คุณหญิงไม่ต้องคิดมาก พวกกระผมอยู่ไม่นานอาจจะต้องกลับก่อนเพราะพรุ่งนี้มีเรือสินค้าเข้ามาที่ท่าเรือว่าจะไปดูแต่เช้า”เจ้าสัวเช็งโบกไม่โบกมืออย่างไม่ถือสากับการรับรองที่อาจจะไม่ทั่วถึง



            “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันเข้าใจ แค่ให้เกียรติมาร่วมงานก็ขอบคุณมากแล้ว เชิญเลยค่ะเชิญนั่งได้เลยฉันจะให้บ่าวพาไปที่โต๊ะนะคะ”คุณหญิงผกาเรียกนายพันบ่าวคนสนิทของคุณเล็กให้มาเชิญครอบครัวของเจ้าสัวเช็งไปนั่งที่โต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ใกล้กับโต๊ะของเจ้าคุณสรอรรถกับครอบครัว แขกเหรื่อทยอยกันเข้ามาในงาน แสงไฟถูกเปิดประดับประดาสวนที่ถูกดูแลตกแต่งอย่างดี เพลงที่เล่นบรรเลงคลอในงานเป็นดนตรีสากลทั้งสิ้นแขกที่เข้ามาในงานมีทั้งคุณรุ่นเก่าที่ยังคงแต่งกายด้วยชุดราชประแตน ส่วนคนรุ่นหนุ่มสาวนั้นแต่งกายตามราชนิยมล้วนแล้วแต่เป็นลูกผู้ดีมีสกุล หลายคนที่เจ้าสัวเช็งทักทายนั้นคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจล้นฟ้า



            “ท่านเจ้าคุณสรอรรถนี่กว้างขวางจริงๆ มีแต่คนใหญ่คนโตมาจนเต็มบ้าน เห็นทีคุณใหญ่คงก้าวหน้าทางหน้าที่การงานไม่น่าห่วงล่ะ”เจ้าสัวเช็งเอ่ยชมเจ้าของเรือน ดวงตาคอยจับจ้องว่ามีใครเข้ามาในงานบ้างตามวิสัยของนักธุรกิจ



            “นั่นสิคะ เหมือนไม่ใช่งานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ เหมือนเลี้ยงเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งมากกว่า”คุณพะยอมเห็นด้วยกับสามี



            “งานเริ่มตั้งนานแล้ว สนไม่เห็นว่าเจ้าของงานเขาจะลงมาเสียที มัวรีรออะไร ทำราวเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน สนรำคาญพวกผู้ชายที่เข้ามาคุยด้วยจะแย่อยู่แล้วอยากกลับบ้าน”คุณสนยกแก้วแชมเปญขึ้นดื่มอย่างหงุดหงิดเพราะไม่เห็นว่างานจะเริ่มเสียที



            “ไม่เอาน่าสน อย่าไปพูดถึงพี่เขาไม่ดีสิลูก นี่เพิ่งจะหัวค่ำ รออีกซักหน่อยเถอะลูก เดี๋ยวพอคุณใหญ่มาเราค่อยขอตัวกลับ”



            “งั้นเดี๋ยวสนขอไปดูอาหารก่อนนะคะ นั่งนานๆเบื่อ”คุณสนลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะจัดวางอาหารที่เป็นซุ้มฝรั่ง เป็นพวกของกินเล่นคำเล็กๆน่ารัก คุณสนเดินดูเพื่อเลือกว่าจะกินอะไรดีก็พอดีกับที่มีใครคนหนึ่งยื่นจากที่ตักอาหารไว้แล้วยื่นมาให้



            “ลองทานนี่ดูมั้ยครับ น้องสนน่าจะชอบ”คุณสนแม้จะตกใจกับการมาถึงของใครบางคนที่ไม่รู้ตัวแต่ก็ยังรักษากริยาของตนหันไปมองคนที่เข้ามายืนด้านหลังก็พบกับผู้ชายรูปร่างสูงกำยำผิวคร้ามแต่ไม่ได้คล้ำใบหน้าคมสันตัดผมรองทรงดูสะอาดสะอ้าน แม้จะคุ้นหน้าคล้ายว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อนแต่กลับนึกไม่ออก อนลหัวเราะกับใบหน้าที่ทำเหมือนนิ่งแต่สายตากลับบ่งบอกว่ากำลังประเมินตัวเขาอยู่



            "จำพี่ไม่ได้เหรอครับ พี่ใหญ่อย่างไรเล่า”อนลแนะนำตัวกับหญิงสาวด้วยดวงตาแพรวพราวก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อทักทาย คุณสนเมื่อรู้ว่าเป็นใครก็ร้องอ๋อเบาๆก่อนจะยกมือไหว้กลับ



            “คุณพี่ใหญ่นี่เอง สนจำไม่เห็นได้ สวัสดีค่ะ ต้องขอตัวกลับไปหาคุณเตี่ยกับแม่ก่อนนะคะ”พูดจบก็เบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินจากไปโดยไม่ได้รับจานอาหารและไม่จับมือกับคุณใหญ่ตามแบบสากล อนลมองตามเรือนร่างระหงของหญิงสาวข้างบ้านที่บัดนี้ที่โตเป็นสาวสะพรั่งเหมือนดอกไม้ที่กับลังอวดดอกเบ่งบานล่อแมลงให้มาดอมดม เกิดความพึงใจตั้งแต่แรกเห็น



            “น่าสนใจดีนี่คะคุณสน สงสัยต้องไปทำความรู้จักที่บ้านเสียหน่อย ไม่ได้เจอกันเสียนานคงจะลืมพี่ใหญ่คนนี้ไปแล้ว”ชายหนุ่มหยิบแซนวิชชิ้นเล็กในจานเข้าปากแล้วเหยียดยิ้มอย่างพอใจ



อะไรที่ได้มายากมักท้าทายเสมอ



ผู้หญิงก็เช่นกัน



.....................................................................

สวัสดีปีใหม่ค่ะ



เปิดตัวคุณใหญ่แล้วนะคะ



แฟนคลับคนสนเยอะจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๑๐๐%)) ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ ค.ห. ๔๔
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 01-01-2020 22:22:13
พี่+พี่
น้อง+น้อง
แบบนี้แหล่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๑๐๐%)) ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ ค.ห. ๔๔
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 03-01-2020 13:49:35

คิดถึงหนุ่มนักเรียนนอก

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๑๐๐%)) ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ ค.ห. ๔๔
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-01-2020 03:27:57
อะๆ ยังไงละ มาขอตามด้วยคน

มาต่อบ่อยๆนะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๗ ((๑๐๐%)) ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ ค.ห. ๔๔
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 05-01-2020 14:14:47
ตอนที่ ๘

๕๐%



           
 

             “นังเฟื้อง เอาไปคืนเขา บอกไปว่าข้าไม่รับ”คุณสนปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงสดที่ภายในมีสร้อยข้อมือบุษราคัมประดับอยู่แล้วยื่นคืนให้นังเฟื้องบ่าวคนสนิทด้วยสีหน้าเรียบเฉย

   “อ้าว คืนทำไมล่ะเจ้าคะ สร้อยข้อมือง๊ามงามดูท่าจะราคาแพงอยู่นะเจ้าคะ”นังเฟื้องร้องถามด้วยนึกเสียดายแทน

   “ข้าบอกให้เอาไปคืนก็ทำตามอย่ามาเวิ่นเว้อวุ่นวาย แก้วแหวนเงินทองแค่นี้ถ้าข้าอยากได้ข้าหาของข้าเองได้ไม่ต้องให้ผู้ชายหามาประเคน ทำราวกับข้าเป็นพวกผู้หญิงใจง่ายเขามีของกำนัลมาให้ก็ใจอ่อนรับไมตรี ให้ข้าได้เอ็งนึกรึว่าเขาจะไม่ให้คนอื่น บอกเขาให้กลับไปข้าไม่ต้องการจะพูดคุยด้วย”พูดจบคุณสนก็หันหน้าหนีไปอีกทางเป็นการบอกว่าไม่ต้องการจะเจรจาด้วยอีก นังเฟื้องปิดกล่องกำมะหยี่แล้วออกจากห้องลงไปยังสวนหน้าบ้านที่คุณใหญ่นั่งจิบกาแฟรออยู่โดยมีคุณเสนและคุณอุ่นเรือนนั่งคุยอยู่เป็นเพื่อน  นังเฟื้องนั่งลงกับพื้นแล้วจึงยื่นกล่องแหวนคืนอนล ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม

   “คุณสนให้มาเรียนว่าคุณสนไม่ขอรับของกำนัลนี้ค่ะ”

   “อ้าว ทำไมรึ น้องสนไม่ชอบของที่ฉันให้รึ?” อนลรับกล่องแหวนคืนมาด้วยความไม่เข้าใจ ปกติผู้หญิงมักชอบเครื่องประดับ ไม่ว่าใครได้ก็ดีใจทั้งนั้น แต่คุณสนกลับไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอเลยซักนิด

   “มิทราบได้เจ้าค่ะ คุณสนให้มาเรียนว่าเธอไม่ขอลงมาพูดคุยด้วยให้คุณใหญ่กลับไปเถอะค่ะ”

   “แม่สนนี่เสียมารยาทจริง”คุณเสนออกปากว่าน้องสาวที่ทำตัวเสียมารยาทกับคุณใหญ่

   “ไม่เป็นไรหรอกเสน นายอย่าไปว่าหนูสนเธอเลย”

   “บ้านใกล้เรือนเคียงกันแท้ๆคุณใหญ่เองก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นเพื่อนของกระผม อีกอย่างแม่สนก็ถึงวัยที่ควรออกเรือนได้แล้วกระผมไม่เห็นว่าคุณใหญ่จะเสียหายอะไร ถ้าเทียบกับผู้ชายคนอื่นๆที่มาเกี้ยวแม่สนคุณใหญ่นั้นดีกว่าทั้งหมดที่ผมเคยเห็นมา ยังจะมาทำตัวหยิ่งทะนงไร้มารยาทแบบนี้ก็สมควรต้องตักเตือนกันบ้าง”

   “อย่าเลย แบบนี้ล่ะดีแล้ว ให้เธอได้เป็นตัวของเธอเอง ยังไงฉันก็ขอบใจนายมากนะเสนที่ไม่กีดกันฉัน”คุณใหญ่ตบลงบนบ่าของคุณเสน 2-3 ที พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอีกไม่นานคุณใหญ่ก็ขอตัวกลับเรือนโดยมีสายตาของคุณสนที่แอบแง้มประตูมองตาม ริมฝีปากโค้งลงอย่างไม่ชอบใจนัก

   “คงเที่ยวไปทำอย่างนี้กับผู้หญิงฝาหรั่งมานับไม่ถ้วนแล้วสินะ”มือเรียวปิดม่านลูกไม้ลงอย่างดูถูกผู้ชายบ้านใกล้และไม่คิดจะให้ความสนใจกับคุณใหญ่อีก

   แม้จะโดนคุณสนปฏิเสธและไม่ยอมพบหน้าอีกทั้งตามไปหาที่ห้องเสื้อคุณสนก็ปฏิบัติตัวกับคุณใหญ่เหมือนลูกค้าทั่วไปแต่คุณใหญ่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะท้อถอยแต่อย่างใด ยามว่างจากราชการก็เทียวไปเทียวมาอยู่เสมอเหมือนกับชายหนุ่มคนอื่นมีทั้งพ่อค้าและคนที่รับราชการอีกหลายคนที่เวียนกันมาทำคะแนน ความงามของคุณสนติดตาต้องใจชายหลายคนบางคนนั้นมีเมียอยู่ก่อนแล้วแต่ก็ยังหวังจะเด็ดดอกไม้งามด้วยหวังหน้าที่การงานทางราชการและทรัพย์สินเงินทอง แม้จะไม่ใช่ลูกสาวเจ้าพระยานาหมื่นแต่ก็เป็นหลานตาของเจ้าคุณพิพิธ ฐานะก็ร่ำรวยจากทางพ่อ ชีวิตของคุณสนดำเนินต่อไปจากที่เจอคุณใหญ่ครั้งแรกไปอีกหกเดือนจนวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้นกับคุณสน

   “เฟื้องเอ็งขึ้นไปหยิบลูกไม้สีแดงที่ข้าได้มาใหม่ที ข้าจะเอามาตัดให้คุณพัด”คุณสนสั่งเฟื้องในขณะที่ยังนั่งวาดแบบเสื้อให้ลูกค้า เมื่อเฟื้องขึ้นไปแล้วก็ปรากฏว่ามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนเข้ามาในร้าน คุณสนเงยหน้าขึ้นมองชายสองคนที่มองหันรีหันขวางกวาดตาไปจนทั่ว แม้ในใจจะนึกเคืองแต่ก็จำต้องยิ้มแย้มให้

   “มาตัดสูทหรือคะ?”

   “มึงใช่มั้ยที่ชื่ออีสน”หนึ่งในสองคนเอ่ยถามเสียงดังส่วนอีกคนก็เดินไปทำลายข้าวของในร้านจนระเนระนาด คุณสนขมวดคิ้วตีสีหน้าบึ้งตึงทันทีเมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนไม่ใช่ลูกค้าหากแต่เป็นอันธพาล หญิงสาวถอยกรูดยามที่นักเลงสองคนสาวเท้าเข้ามาหาก่อนจะกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อพวกมันเข้าตะครุบตัวคุณสนราวกับแมวที่ล่าหนูตัวเล็กๆ

   “เฟื้องช่วยข้าด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”คุณสนร้องเรียกบ่าวคนสนิทก่อนจะหน้าสะบัดเพราะถูกตบจนหน้าชา คุณสนพยายามดิ้นเพื่อหนีจากคนร้ายหากแต่มันแรงเยอะจนเกินกำลัง นังเฟื้องที่ได้ยินเสียงนายสาวกรีดร้องก็รีบวิ่งลงมาดูก่อนจะกระโจนเข้าช่วยผู้เป็นนายอย่างไม่กลัวตาย ผลที่ได้รับก็คือถูกตบจนคว่ำลงไปกองกับพื้น โชคร้ายของคุณสนที่ลูกจ้างต่างกลับกันไปหมดแล้วเพราะเลยเวลาเลิกงานมาเป็นชั่วโมง ตามปกตินิสัยของคุณสนคือชอบนั่งทำงานต่อจนดึกดื่นจึงจะกลับบ้าน

   “ได้ข่าวว่ามึงงามนักใช่มั้ย มีคนเขาฝากกูมากรีดหน้ามึงให้เสียโฉมจะได้ไม่ต้องไปชม้อยชม้ายชายตาให้ผัวเขาอีก แต่ก่อนจะกรีดหน้างามๆของมึงกูขอเด็กดอกฟ้าให้หนำใจก่อนจะเป็นไร”ไอ้คนร้ายพุ่งเข้าหาคุณสนด้วยท่าทางกักขฬะคุณสนร้องวี้ดด้วยความตกใจกลัวพยายามดิ้นหนีการจับกุมของคนร้าย ในขณะที่กำลังจะถูกลวนลามร่างของผู้ชายคนนั้นก็ถูกกระชากออกอย่างแรง คุณใหญ่ที่ตั้งใจจะแวะมาหาคุณสนฟาดหมัดใส่หน้าคนร้ายอย่างไม่ออมแรง อีกคนที่จับคุณสนไว้เหวี่ยงคุณสนออกจนเซไปล้มกองรวมอยู่กับนังเฟื้อง คุณใหญ่ต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งต่างฝ่ายต่างแลกหมัดแลกเท้ากันอย่างไม่มีใครยอมกันจนคุณใหญ่เพลี่ยงพล้ำถึงถีบท้องจนล้ม นักเลงทั้งสองที่มีสภาพสะบักสะบอมสาวเท้าหมายจะกระทืบ

   “พวกมึงลองเข้ามาอีกก้าว กูจะยิงให้ตายเหมือนหมาข้างถนนเชียว”อนลหยิบปืนที่อยู่ข้างเอวออกมาขึ้นนกเล็งไปที่ผู้ร้ายทั้งสองคน มันหันมามองหน้ากันแล้วจึงพากันออกไปจากร้าน อนลเช็ดเลือดที่มุมปากแม้จะเจ็บร้าวไปทั้งซีกแก้มเพราะถูกหนึ่งในคนร้ายต่อยมาเต็มหมัดหากแต่เขาไม่ได้สนใจกับความเจ็บนั้นนัก เก็บปืนเข้าซองแล้วรีบไปหาคุณสนที่นั่งตัวสั่นโดยมีนังเฟื้องกอดปลอบอยู่

   “น้องสนเป็นอะไรไหมคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

   “ไม่ค่ะ สนไม่เป็นอะไรค่ะ คุณใหญ่ล่ะคะ เจ็บมากมั้ยคะ? ดูสิมีเลือดไหลด้วย”คุณสนมองดูมุมปากที่มีเลือดซึมของคุณใหญ่ด้วยความเป็นห่วง”

   พี่ไม่เป็นอะไรครับ เจ็บเล็กน้อย เฟื้องไปแจ้งตำรวจว่ามีคนร้ายบุกเข้ามาทำร้ายเดี๋ยวฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณสนเอง”คุณใหญ่หันไปบอกเฟื้องบ่าวคนสนิทมองเจ้านายสาวอย่างเป็นห่วงคุณสนจึงพยักหน้าให้เฟื้องทำตามที่คุณใหญ่บอก คุณสนกวาดตามองสภาพร้านที่ระเนระนาดแล้วได้แต่เม้มปากแน่น

ไม่เคยคิดเลยซักนิดว่าวันหนึ่งจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้เพราะวางตัวดีไม่เคยชม้อยชม้ายชายตาให้ชายใดเลยซักครั้ง ยิ่งผู้ชายคนไหนที่มีลูกเมียอยู่แล้วคุณสนไม่เคยเปิดโอกาสด้วยการสนทนาหรือพูดคุยอะไรด้วยเลยซักครั้ง

   “ถ้ากลัวร้องไห้ก็ได้นะครับ พี่ไม่ล้อหรอก”เสียงคุณใหญ่ดึงคุณสนให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เพียงแค่ประโยคเดียวความกลัวความเสียขวัญที่กดไว้เมื่อครู่ก็พังทลายกลายเป็นหยาดน้ำตา ร่างกายของคุณสนสั่นเทิ้มราวกับเหน็บหนาวจนถึงกระดูก คุณใหญ่ทำได้เพียงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน แต่ความอ่อนโยนนั้นกลับไปพังกำแพงหนาที่คุณสนก่อไว้ในใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อนลเข้าใจในวันนี้เองว่าผู้หญิงที่ดูแข็งกร้าวอย่างคุณสนนั้นแท้จริงซ่อนความอ่อนไหวไว้ในใจมากมายเสียเหลือเกิน



   ถึงหนูแสนที่รักยิ่ง

หนูแสนเป็นอย่างไรบ้างคะ สบายดีหรือเปล่า กว่าจดหมายจะถึงสยามก็คงเป็นหน้าร้อนแล้ว ตอนนี้ที่นี่หนาวมาก มองไปทางใดก็ขาวโพลนไปด้วยหิมะ คุณเล็กได้มีโอกาสตามเสด็จ เสด็จในกรมไปอังกฤษเป็นที่ตื่นตาตื่นใจเสียเหลือเกินค่ะ บ้านเมืองของเขาสวยงามสะอาดสะอ้าน ผู้คนก็สุภาพมองไปทางไหนก็เจริญหูเจริญตาไปหมด ปราสาทของเขาสวยงามเหมือนภาพในนิทานที่เราเคยอ่านด้วยกันบ่อยๆ คุณเล็กได้ไปเที่ยวชมหลายที่มีทั้งทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน ตึกรัฐสภา หอนาฬิกาบิ๊กเบน รวมทั้งพระราชวังบักกิ้งแฮม ช่างใหญ่โตหรูหราเสียเหลือเกินหากหนูแสนได้มาเห็นกับตาคงดีไม่น้อย คุณเล็กได้ไปเที่ยวแถบชนบทของอังกฤษบ้านที่ไปพักสวยงามร่มรื่น เสด็จทรงเข้าป่าไปล่ากวางมาตัวหนึ่งกินกันไปเสียหกเจ็ดวัน บางวันก็มีเนื้อกระต่ายเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ ถ้าหนูแสนมาเห็นซากกระต่ายน้อยตัวขาวๆฟูๆคงร้องไห้เพราะสงสารแน่ๆ คิดถึงกับข้าวฝีมือของหนูแสนจังค่ะ อยู่นี่มาเป็นปีนานๆจะได้กินน้ำพริกซักถ้วย แม้รสชาติจะปร่าๆด้วยวัตถุดิบไม่ครบแต่ก็พอให้หายคิดถึงอาหารบ้านเราไปได้ มาอยู่ที่นี่แรกๆคุณเล็กจะตายเสียให้ได้ด้วยเหม็นนมเหม็นเนย อาหารรสชาติก็จืดๆเค็มๆไม่ได้เปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดเหมือนบ้านเรา วันไหนได้กินน้ำพริกต่อให้รสชาติจะประดักประเดิดก็ยังถือว่าอร่อย นานๆจะได้ไปซื้อของจากร้านขายของเจ๊กมาทำกินซักหนหนึ่งก็พอทำให้หายคิดถึงบ้านไปได้บ้าง หนูแสนก็คงทราบว่าฝีมือทำอาหารของคุณเล็กนั้นแย่เพียงใดคุณเล็กจึงทำได้เพียงแค่ทอดไข่ต้มจืดไปตามเรื่อง เคยแกงเผ็ดไปหา มะเขือก็ไม่มี น้ำปลาก็ไม่มีเครื่องแกงก็ไม่ครบทั้งปร่าทั้งเผ็ดกินไม่ได้เลยจำต้องเททิ้ง เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาแถมโดนด่าเพราะเหม็นฉุนไปทั้งบ้านเป็นที่ขบขันยิ่งนัก

   เรื่องการเรียนของคุณเล็กที่หนูแสนเคยถามมาว่ายากไหม คุณเล็กก็ขอตอบตามสัตย์จริงว่ายากมาก ทั้งภาษาฝรั่งเศสที่ต้องเรียนเพิ่ม อยู่ทางนี้ถ้าอยากฝึกภาษาให้คล่องก็ต้องคบหากับชาวปารีเซียงให้มากๆจะได้ใช้แต่ภาษาของเขา หลายครั้งก็ต้องไปเที่ยวกับเขา ก็สนุกดีค่ะ ตอนนี้คุณเล็กมีเพื่อนมากพอให้คลายเหงาไปได้บ้าง ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์นี้คุณเล็กได้เพื่อนหลายคน บางครั้งก็ต้องตามเขาไปดูละครโอเปร่าเป็นละครร้องที่ทำเอาคุณเล็กแอบเงกไปเสียหลายหน แต่ไม่ว่าจะมีเพื่อนซักกี่คนก็มาทำให้คุณเล็กคิดถึงหนูแสนน้อยลงไม่ ยังคงคิดถึงอยู่ทุกวัน ยามใดที่แหงนหน้ามองดวงจันทร์ก็เห็นหน้าหนูแสนลอยเด่นอยู่ในนั้น คิดถึงเพลงลาวดวงเดือนที่เคยเล่นให้หนูแสนฟังบ่อยๆคิดถึงจนอยากให้เวลาเดินเร็วๆจะได้กลับบ้านไปหาหนูแสนไวๆ หนูแสนอยู่ทางนั้นไม่เจ็บไข้ได้ป่วยใช่ไหมคะ ตั้งใจเรียนนะคะ คุณเล็กอยู่ทางนี้ก็จะตั้งใจเรียนเหมือนกัน อยากเห็นรูปหนูแสนในตอนนี้บ้างจังค่ะ หนูแสนใจร้ายจริงไม่ยอมส่งรูปถ่ายมาให้คุณเล็กบ้างเลย แต่ไม่เป็นไรค่ะเอาไว้คุณเล็กจะกลับไปดูหน้าหนูแสนด้วยตาตัวเองจะดีกว่า อยากรู้ว่าจะโตมากขึ้นขนาดไหนแล้วโตพอที่คุณเล็กจะอุ้มขึ้นหลังม้าแบบตอนเด็กๆได้หรือเปล่า

   สุดท้ายนี้ขอให้หนูแสนรักษากายรักษาใจรอคุณเล็กกลับไปนะคะ อย่าเพิ่งมีใจให้ใคร คุณเล็กเชื่อว่าตอนนี้หนูแสนน่าจะรู้แล้วว่าความรักคืออะไร หากภายหน้าหนูแสนไม่ได้มีใจตรงกันกับคุณเล็ก คุณเล็กก็จะไม่ถือโกรธเราจะยังคงเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ แต่คุณเล็กก็ยังหวังว่าใจเราจะตรงกันนะคะ

รักและคิดถึงเสมอ
ลิขิต สรอรรถโยธา





.............................

คุณเล็กกับหนูแสนเขายังไม่กลับมาเจอกันก็อ่านจดหมายให้คลายความคิดถึงนะคะ

แสนคำนึงมาจากประโยคท้ายจดหมายของคุณเล็กนั่นและค่ะ คิดถึงน้องเสมอ

#แสนคำนึง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๕๐%)) ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-01-2020 14:52:24
งุ้ยยยยย เอาน้องมาอีกๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๕๐%)) ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 05-01-2020 15:08:28


วู้ววว..จีบน้องกลางอากาศเลย

...ดีใจจัง..กำลังคิดถึงก็มาพอดี

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๕๐%)) ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 05-01-2020 16:12:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๕๐%)) ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 08-01-2020 10:58:39



     ถึงคุณเล็กที่คิดถึง

 

คุณเล็กเป็นอย่างไรบ้างคะ หนูแสนอยู่ทางนี้สบายดีค่ะ จดหมายฉบับที่แล้วบอกว่าอยากได้พวกเครื่องปรุงบ้านเราหนูแสนได้ฝากคุณพระพินิจไปแล้วนะคะ พวกกะปิ น้ำปลาเครื่องปรุงรสที่อยากได้ ข่าตะไคร้ใบมะกรูดเอาแช่น้ำก็ใช้ได้แม้จะไม่สดใหม่แต่น่าจะพอให้หายคิดถึงอาหารบ้านเราไปได้มากโข พวกปลาเค็ม กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้งหนูแสนใส่โหลไปให้เวลาจะใช้ทำอะไรกินก็เอาออกมาล้างให้สะอาดก่อนนะคะ ไข่เค็มหนูแสนต้มไว้ให้แล้วน่าจะพอกินไปเป็นเดือนๆ เผื่ออยากกินข้าวต้มกุ๊ยกับยำไข่เค็ม สูตรอาหารแบบง่ายๆหนูแสนจดใส่สมุดเล่มเล็กที่แนบมาด้วยคุณเล็กลองเปิดอ่านดูนะคะ ขนมทานเล่นอาจจะไม่เยอะเท่าครั้งที่คุณเล็กเดินทางแต่หนูแสนทำเองกับมือทุกอย่าง  มะตูมตากแห้ง กระเจี๊ยบแดงและเก๊กฮวยเอาไว้ต้มดื่มกับน้ำตาลทรายแดงนะคะ ที่ทำให้ด้วยใจหวังให้คุณเล็กได้คลายความคิดถึงบ้านได้บ้างไม่มากก็น้อย



ตอนนี้คุณใหญ่กับพี่สนคบหาดูใจกันอย่างเปิดเผยมาได้ราวครึ่งปีแล้วเมื่อวันก่อนยังพากันไปดูละคร พี่สนแต่งตัวง๊ามงามค่ะ ไม่รู้ทำไมเวลาคนมีความรักถึงได้ดูงามขึ้น ผุดผ่องอิ่มเอิบ ที่สำคัญยิ้มแย้มและเป็นมิตรกับคนในบ้านมากขึ้น ส่วนคุณพี่อุ่นเรือนภรรยาคุณพี่เสนก็กำลังตั้งครรภ์ คุณเตี่ยกับแม่ดีใจมากพากันประคบประหงมลูกสะใภ้กันน่าดู หนูแสนก็ดีใจค่ะที่จะมีหลานมาให้เล่น อยู่ทางนี้หนูแสนเหงามากเลยค่ะ คิดถึงเพลงลาวดวงเดือนที่คุณเล็กเคยเล่นให้ฟัง คุณเล็กยังจำฉิ่งอันที่หนูแสนทำพลัดตกน้ำเมื่อหลายปีก่อนได้ไหมคะ เมื่อวันก่อนนายพันเอามาให้หนูแสนบอกว่าพวกบ่าวลงไปลอกคลองเพราะผักตบมาเกาะกันหน้าเรือนแพมากแล้วเขาไปงมเจอ นึกถึงวันนั้นก็ตลกนะคะ หนูแสนเก็บเอาไว้รอคุณเล็กกลับมาเล่นซอให้ฟังนะคะ ที่โรงเรียนหนูแสนทำกิจกรรมกับเพื่อนๆเยอะเลยค่ะตอนนี้ลูกผู้ดีเขาเห่อเล่นเทนนิสกันหนูแสนก็มีโอกาสได้ไปเล่นกับเขาด้วยเหนื่อยจนปอดแทบจะหลุดออกมานอกอก ยิ่งเพื่อนๆรู้ว่าหนูแสนเล่นกีฬาไม่เก่งก็ตีหลอกให้หนูแสนวิ่งไปซ้ายทีขวาทีเดี๋ยวตีแรงไปข้างหลังเดี๋ยวหยอดมาข้างหน้าทั้งเหนื่อยทั้งเวียนหัวเล่นไปได้เดือนกว่าหนูแสนก็รู้แล้วว่าเทนนิสคงไม่ถูกโรคกับหนูแสนอยากจะเอาไม้ตีเทนนิสไปจำเริญน้ำตามฉิ่งที่เพิ่งงมมาเสียเหลือเกิน พอหนูแสนบอกว่าจะเลิกเล่นก็โดนคุณพี่เสนเขกหัวไปเสียทีหนึ่ง คุณพี่เสนบอกว่าหนูแสนเหลาะแหละเล่นอะไรก็ไม่ได้นานไม่เหมือนทำกับข้าวทำขนมขลุกอยู่ในครัวได้ทั้งวัน คุณเล็กรู้หรือไม่คะว่าตั้งแต่คุณเล็กไปเรียนต่อเวลาทำกับข้าวหรือขนมอะไรก็นึกถึงคุณเล็กไปเสียทุกอย่าง อันนั้นคุณเล็กก็ชอบทานอันนี้คุณเล็กก็โปรด ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณเล็กจะไปเรียนสามปีแล้ว คุณป้าบอกว่าคุณเล็กจะกลับมาหลังจบ Master's Degree ก็คงอีก 4-5 ปี กว่าจะกลับ หนูแสนคงต้องทนคิดถึงคุณเล็กไปอีกนาน คุณเล็กรีบเรียนให้จบแล้วกลับมาหาหนูแสนไวๆนะคะ หนูแสนจะรอ จดหมายฉบับนี้คงต้องจบแต่เพียงเท่านี้คุณเล็กต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะคะ อย่าเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยนัก อยู่ทางนั้นไม่สบายหนูแสนก็ไปหาไม่ได้ เป็นห่วงเหลือเกิน



            หนูแสนขออาราธนาคุณพระศรีรัตนะตรัยโปรดดลบันดาลให้คุณเล็กของหนูแสนมีความสุข สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วยนะคะ หนูแสนอยู่ทางนี้จะรอคุณเล็กกลับมาไม่เปลี่ยนแปร



คิดถึงเสมอ

หนูแสน


            ลิขิตยิ้มให้กับจดหมายที่หนูแสนส่งมาให้ เพียงแค่ข้อความในจดหมายก็เหมือนต่อลมหายใจให้คุณเล็กให้มีชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี ใช่ว่าจะไม่อยากรีบกลับเพียงแต่ว่าเพราะผู้เป็นบิดาวางเส้นทางการเรียนไว้ให้แล้ว ลิขิตทำได้เพียงตั้งใจเรียนให้จบโดยไม่ช้าไปกว่าที่ตั้งใจไว้ ชายหนุ่มพับจดหมายเก็บเข้าซองแล้วเปิดลิ้นชักวางลงในกล่องที่มีจดหมายของหนูแสนฉบับก่อนๆอีก 2-3 ฉบับ ยามเหนื่อยล้าจากการเรียนชายหนุ่มมักหยิบขึ้นมาอ่านเติมกำลังใจให้กับตัวเองเสมอ ลิขิตขยับแว่นสายตาให้เข้าที่แล้วจึงหยิบตำรากฎหมายเล่มหนาที่อ่านค้างไว้อีกครั้งอย่างแข็งขัน ชาร้อนถูกจิบแกล้มกับมะตูมเชื่อมหวานฉ่ำที่หนูแสนฝากมาให้เข้ากันอย่างประหลาด



          “รสมือยังดีเหมือนเดิมเลยนะคะ คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงมากๆเลยค่ะ”

 

 

 

            “สนไปไม่ได้หรอกค่ะ”คุณสนเอ่ยปฏิเสธคำชวนของคุณใหญ่ มือก็เย็บเสื้อของลูกค้าไปด้วย คุณใหญ่ที่หน้ามุ่ยใส่แล้วทำเสียงออดอ้อนเป็นไม้ตาย



            “โธ่ น้องสน เราไม่เคยได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลๆด้วยกันเลยนะคะ”



            “สนเป็นหญิง จะให้ไปนอนค้างอ้างแรมกับผู้ชายถือเป็นรื่องไม่สมควรนะคะ”



            “น้องสนทำไมหัวโบราณจังคะ ยุคนี้สมัยนี้คู่รักคู่ไหนๆเขาก็ไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ  นะคะ น๊า ไปเที่ยวหัวหินกับคุณใหญ่นะคะเราไม่เคยไปไหนด้วยกันเลยนะคะไปเปิดหูเปิดตาไปสูดอากาศบริสุทธิ์กัน”



            “แต่สนต้องดูร้านนี่คะ เสื้อลูกค้าก็ตั้งหลายคน”



            “เฟื้องกับรำภาก็ทำแทนน้องสนได้นี่คะ อีกอย่างเราไปแบบเช้าไปเย็นกลับไม่ได้ไปค้างคืนไม่เสียหายอะไรหรอกค่ะ เราก็คบหากันมาได้ระยะหนึ่งแล้วน้องสนยังไม่ไว้ใจคุณใหญ่อีกเหรอคะ น่าน้อยใจจริง”คุณใหญ่ทำน้ำเสียงกระเง้ากระงอดอีกทั้งสีหน้าก็แสกดงออกว่าน้อยใจหญิงคนรักจนคุณสนเริ่มใจอ่อน



            “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เอาเป็นว่าสนขอคิดดูก่อนแล้วกันนะคะ จะให้ทิ้งร้านไปก็เป็นห่วง”



            “ได้จ้า ขอแค่น้องสนไม่ตัดรอนคุณใหญ่ก็ดีใจแล้วค่ะ ยังไงพรุ่งนี้คุณใหญ่จะมาเอาคำตอบนะคะ”อนลยิ้มกว้างอย่างดีใจจนคุณสนอดยิ้มตามไม่ได้



            “ดูเถอะทำตัวราวเด็กๆเชียวนะคะ อายุก็ขนาดนี้แล้ว”



            “ก็คุณใหญ่ดีใจนี่จะได้ไปเที่ยวทะเลกับน้องสนสองคน”คุณใหญ่คว้ามือคุณสนไปกุมไว้อย่างเอาใจทั้งยังโมเมว่าคุณสนยอมตกลงไปเที่ยวกับตัวเองแล้วจนโดนคุณสนค้อนเข้าให้เสียดอกหนึ่ง



            “ขี้ตู่ค่ะ สนยังไม่ได้รับปากซักหน่อย”



            “เตรียมชุดสวยๆไว้ไปเดินเล่นชายหาดด้วยนะคะหรือชุดเล่นน้ำด้วยก็ดี”



            “เอ๊ะคุณใหญ่นี่ยังไงคะ”คุณสนตีแขนคุณใหญ่ไปทีหนึ่งด้วยหมั่นไส้ เฟื้องแอบมองเจ้านายของตัวเองคุยเล่นกับคนรักด้วยสีหน้ามีความสุข เพียงแค่ได้เห็นคุณสนสดใสสมวัยมันก็มีความสุขแล้ว คุณใหญ่คนนี้เหมือนน้ำฝนที่ตกลงมารดดอกไม้ที่ถูกแดดจ้าแผดเผาให้ได้เบ่งบานสดชื่นอีกครั้ง



            “เจ้าประคู๊ณ ขอให้คุณใหญ่รักและดีกับคุณสนให้มากๆนะเจ้าคะ จะเอาหมูหมูไก่ต้มหรือขนมต้มแดงต้มดำลูกก็จะถวายให้เจ้าค่ะ”เฟื้องยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรให้เจ้านายของตัวเอง เป็นสิ่งเดียวที่บ่าวจะทำให้ได้



แค่คุณสนมีความสุขมันก็มีความสุขแล้ว

 



.........................................

อ่านจดหมายหนูแสนบ้างนะคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๑๐๐%)) ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-01-2020 13:16:13
งือออ น่ารัก
ขอให้คำขอของนังเฟื้องเป็นจริงด้วยเถิด
อยากให้คุณสนมีความสุข
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๑๐๐%)) ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 08-01-2020 13:45:09

ขอให้สมหวัง

..
ทั้งพี่ทั้งน้องด้วยเถิด..

เจ้าประคุ๊นนนน

รักคนเขียนที่ซู๊ดดดค่ะ

 :mew1:



หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๑๐๐%)) ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-01-2020 23:34:27
 อีกตั้งหลายปีกว่าจะจบโท คุณเล็กแก่พอดี หยอกๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๑๐๐%)) ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 09-01-2020 19:51:22
เอ็นดู
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๘ ((๑๐๐%)) ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 10-01-2020 18:15:51
ตอนที่ ๙

๕๐%

   คุณสนหยิบเอาเสื้อผ้าในตู้ออกมาวางเรียงรวมทั้งหมวกปีกกว้างที่จะใส่ตอนเดินเล่นชายหาดโดยมีเฟื้องนั่งดูอยู่ใกล้ๆ

   “เฟื้อง เอ็งว่าข้าใส่ชุดไหนดี?”หันไปถามความคิดเห็นของบ่าวคนสนิท นังเฟื้องกวาดตามองแล้วจึงชี้ชุดที่เป็นลายดอกไม้เล็กๆสีชมพูดูอ่อนหวานน่ารัก

   “ชุดนี้ก็ดีเจ้าค่ะ”

   “สีมันหวานไปไหม? ข้าว่ามันดูสาวน้อยเกินไป”

   “ใส่อะไรที่ดูสบายตาสบายใจบ้างก็ดีเจ้าค่ะ ดูน่ารักอ่อนหวานดีนะเจ้าคะ ชุดนี้คุณสนก็ยังไม่เคยใส่เลยตั้งแต่ตัดมานะเจ้าคะ”

   “จริงสิ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเชื่อเอ็งก็แล้วกัน เอ็งไปหยิบรองเท้าสานที่ข้าซื้อมาวันก่อนให้ข้าหน่อยข้าจะเอามาลองใส่ว่ามันเข้ากันมั้ย”นังเฟื้องรีบทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างว่าง่าย คุณสนทาบชุดลงกับตัวแล้วใส่รองเท้า หมุนกายไปมาที่หน้ากระจกโดยมีนังเฟื้องมองตามด้วยสายตาชื่นชม

   “คุณสนของอีเฟื้องงามกว่าใครในพระนครเลยเจ้าค่ะ”รอยยิ้มพึงใจปรากฏชัดบนดวงหน้า ด้วยเจ้าตัวก็มั่นใจในความงามของตนเองไม่ต่างกัน

   “เฟื้อง เอ็งว่าคุณใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”ยื่นชุดให้บ่าวคนสนิทแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง  นังเฟื้องเอาชุดกลับไปเก็บในตู้แล้วจึงมานั่งแทบปลายเท้าเจ้านายสาว มันมีสีหน้าครุ่นคิด นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายเดือนจึงได้คำตอบ

   “ก็เป็นคนดีนะเจ้าคะ ฐานะ หน้าที่การงานดีทุกอย่าง หน้าตาก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ แม้จะคล้ำกว่าพี่ๆน้องๆคนอื่นๆแต่ก็คมเข้มสมชายชาตรี หากจะเทียบลูกแม่ท้องเดียวกันกับคุณเล็กก็งามคนละแบบ คุณเล็กหน้าตาเธอเกลี้ยงเกลาส่วนคุณใหญ่คมสันสมเป็นชายชาติทหารเจ้าค่ะ”

   “ข้าไม่ได้หมายความถึงหน้าตาหรือฐานะ ข้าหมายถึงนิสัยของเขา เอ็งว่าเป็นยังไง”

   “ก็ดูแลเอาใจใส่คุณสนดีนะเจ้าคะ บ่าวว่าเธอจะดูแลคุณสนให้อยู่สุขสบายได้ตลอดชีวิต”

   “ข้อนั้นก็จริง แต่เรื่องความสุขสบายเอ็งก็รู้ดีว่าข้าไม่ได้ขาดเหลืออะไร สิ่งที่ข้าต้องการจากคุณใหญ่คือความซื่อสัตย์ ข้าอยากได้คู่ครองที่รักเดียวใจเดียวต่อให้มีเงินหรือมีอำนาจบารมีล้นฟ้าก็จะรักและมีข้าเพียงคนเดียว เหมือนคุณเตี่ยที่รักแม่ไม่ยอมมีอนุ ถ้าข้าจะต้องออกเรือนกับใคร ข้าก็อยากได้ผู้ชายแบบคุณเตี่ย เมื่อถึงวันนั้นจะให้ข้าเป็นนังกุลาก้นครัวทำกับข้าวกับปลาทำงานบ้านงานเรือนแม้ข้าจะทำไม่เป็นข้าก็พร้อมจะหัดเพื่อปรนนิบัติรับใช้ทำหน้าที่แม่ศรีเรือนไม่ให้เขาต้องอายใคร”นังเฟื้องยิ้มบางๆมองเจ้านายของตัวเองด้วยความเอ็นดู

แม้จะแสดงออกว่าต่อต้านผู้เป็นพ่อแค่ไหนแต่ลึกๆแล้วในใจก็เทิดทูนและเอาผู้เป็นพ่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตแท้ๆ

เสียดายที่ท่านเจ้าสัวไม่ได้มองเห็นในข้อนี้

   “คุณสนของบ่าวทำได้อยู่แล้วค่ะ ถ้าออกเรือนไปไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนเฟื้องก็จะตามคุณสนไปเจ้าค่ะ”เฟื้องจับมือของคุณสนมาแนบหน้า คุณสนยิ้มให้กับบ่าวคนสนิท เป็นยิ้มที่จริงใจเท่าที่นายจะมอบให้กับบ่าวที่แสนจงรักภักดีคนหนึ่งจะให้ได้

   “ข้าขอบใจเอ็งมากนะเฟื้อง ขอบใจจริงๆ”



   “หนูแสนทำอะไรอยู่ลูก”คุณพะยอมเอ่ยถามลูกชายที่บัดนี้เริ่มเข้าสู่รุ่นหนุ่มแล้ว หนูแสนเงยหน้าขึ้นมามองแม่มือก็กวนแป้งในกระทะไปเรื่อยๆ

   “หื๊ม...หอมเชียวลูก ลืมกลืนสินะจ๊ะกลิ่นมะลิโชยมาอ่อนๆ”

   “ใช่ค่ะ พอดีวันนี้ว่างๆค่ะเลยทำลืมกลืนไว้กินเล่น คุณเตี่ยบ่นอยากกินมาหลายวันแล้วหนูแสนไปโรงเรียนเลยไม่ว่างทำให้ซักทีค่ะ”

   “งั้นเดี๋ยวแม่ช่วยเคี่ยวแป้งกับกะทิหยอดหน้านะลูก”คุณพะยอมช่วยหนูแสนเคี่ยวกะทิหยอดหน้าขนมลืมกลืน ในขณะที่ช่วยกันทำขนมก็ได้ยินเสียงรถยนต์เข้ามาจอดตรงหน้าเรือน

   “สงสัยคุณใหญ่จะมารับพี่สนแล้วค่ะ”หนูแสนชะเง้อหน้ามอง คุณพะยอมถอนหายใจอย่างไม่สบายใจ

   “จริงๆแม่ไม่อยากให้ไปไหนกันสองต่อสองเลย ยิ่งไปไกลถึงหัวหินยิ่งไม่อยาก แต่หนูแสนก็รู้พี่สนน่ะลองถ้าเราห้าม เขาก็จะไปแม่จึงต้องปล่อย”

   “แต่หนูแสนคิดว่าคุณพี่สนเธอหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองน่าจะระมัดระวังตัวได้ดีค่ะ”หนูแสนออกความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดไว้ในใจ

   “หนูแสนคิดอย่างนั้นหรือลูก หญิงกับชายน่ะเหมือนน้ำมันกับไฟอยู่ใกล้กันอันตราย”

   “เรื่องนั้นมันก็จริง แต่แม่อย่าลืมนะจ๊ะว่าเจ้าคุณตาเลี้ยงและอบรมคุณพี่สนมา เธอเชื่อฟังและรับเอาความคิดของเจ้าคุณตามามากพอสมควร อีกอย่างคุณใหญ่ก็ไม่น่าจะทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาคุณเตี่ยกับแม่หรอกค่ะ หนูแสนว่าเราเชื่อใจพี่สนดูก็ไม่มีอะไรเสียหายนะคะ”หนูแสนตักเอากะทิที่เคี่ยวจนข้นหยอดลงบนตัวแป้งของลืมกลืนอย่างบรรจง

   “เอายังงั้นก็ได้ ว่าไงว่าตามกัน แล้วนี่จานนี้แยกไว้ทำไมลูก”คุณพะยอมชี้ไปที่ถาดขนมลืมกลืนที่หนูแสนแยกไว้ต่างหากอีกถาดหนึ่ง

   “หนูแสนจะเอาไปให้คุณหญิงป้าค่ะ”

   “จะว่าไปคุณเล็กก็ไปเรียนหลายปีแล้วนะ จะสามปีแล้ว เวลาผ่านไปไวจริงๆ ไม่รู้กลับมาจะเป็นหนุ่มสูงใหญ่แบบคุณใหญ่มั้ย”

   “จดหมายฉบับที่แล้วบ่นเรื่องนมเนย บ่นเหม็นชีสน่าสงสารเชียวค่ะ”

   “ยังต้องทนไปอีกหลายปี น่าสงสารเธอ”คุณพะยอมหัวเราะน้อยๆด้วยนึกเอ็นดูลูกชายบ้านข้างๆ

   “คราวหน้าเดี๋ยวหนูแสนไปดูที่กรมท่าจะได้รู้ว่าจะมีเรือออกจากท่าไปฝรั่งเศสอีกเมื่อไหร่จะได้เตรียมของส่งไปให้เธออีก”

   “จะทำอีกเมื่อไหร่ก็บอกแม่แล้วกัน ช่วยกันทำจะได้เสร็จไวๆ เอล่ะเสร็จแล้ว หนูแสนยกไปให้คุณเรือนนู้นเถอะ เดี๋ยวแม่จะทำน้ำปรุงต่อ”

   “งั้นเดี๋ยวหนูแสนกลับมาช่วยนะจ๊ะ”หนูแสนลูกขึ้นยืนนายมีที่รอทีอยู่แล้วก็เข้ามาถือถาดใส่ขนมที่มีใบตองรองจัดแต่งสวยงามเดินตามนายน้อยของตัวเองไปติดๆ บ่าวไพร่ในบ้าน 2-3 คน กำลังจัดเตรียมดอกไม้ที่จะใช้ในการทำน้ำอบน้ำปรุงซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ของคุณพะยอม เดินลัดเข้าประตูไม้ที่ใช้เชื่อมที่ดินของสองเรือนแล้วมุ่งตรงไปเรือนใหญ่ คุณน้อยนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่ที่ศาลาริมสวนเอ่ยทักทายเมื่อเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเดินลิ่วมาแต่ไกล

   “หนูแสน วันนี้เอาอะไรมาฝากคุณหญิงเหรอ?”

   “ขนมลืมกลืนน่ะค่ะคุณน้อย ดีเลยคุณน้อยอยู่ตรงนี้หนูแสนทำมาเผื่อด้วยงั้นแบ่งไว้ให้ตรงนี้เลยแล้วกันค่ะ”หนูแสนเดินนำนายมีมาหาคุณน้อยแล้วจึงแย่งขนมให้คุณน้อยชิม

   “เห็นแค่รูปร่างหน้าตาก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยจนลืมกลืน รสมือหนูแสนไม่เป็นสองรองใคร”

   “คุณน้อยก็ยอหนูแสนเกินไปถ้าหนูแสนลอยขึ้นฟ้าจะทำยังไงคะ”

   “ก็เอาไม้สอยสิ”คุณน้อยหัวเราะคิกกับมุกตลกของตัวเองหนูแสนเห็นคุณน้อยหัวเราะก็นึกขำ

   “เดี๋ยวหนูแสนเอาขนมไปให้คุณหญิงป้าก่อนนะ วันนี้แม่ทำน้ำปรุงหนูแสนจะไปช่วยแม่”

   “ดีจริง ถ้าทำเสร็จแล้วฉันขอซื้อเพิ่มอีกสองขวดนะ คราวก่อนที่ซื้อมาแม่ชอบมากบอกว่าหอมทนหอมติดตัวเป็นนางตัวหอม”

   “ได้ค่ะเดี๋ยวหนูแสนแบ่งมาให้นะคะ”

   “บ้านหนูแสนนี่รวยก็รวยแถมยังขยันอีกคุณพี่สนเห็นเป็นผู้หญิงแต่วงสังคมพูดกันให้แซดว่าเธอมีรายได้มากกว่าผู้ชายตระกูลดีๆหลายคนเสียอีก คุณน้าพะยอมก็ขยัน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนแท้ๆแต่มีรายได้ไม่ขาดมือเอาเงินเอาทองไปเก็บไว้ไหนกันจ๊ะ”

   “โธ่ ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ แม่อยู่บ้านก็คงจะเหงาเลยหาอะไรทำแก้เบื่อ มีเงินเหลือก็ดีกว่าไม่มีเงินเลยไม่ใช่เหรอคะ”

   “ก็จริงนะ ฉันยังอยากทำอะไรขายเป็นรายได้มั่งเลยแต่คุณแม่บอกว่าขืนทำได้โดนเจ้าคุณพ่อเอ็ดแย่ เป็นลูกพระน้ำพระยาแต่ไปเที่ยวกระเดียดของขายคนได้เอาไปลืมว่าพระยาสรอรรถโยธาไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ตายจริงชวนหนูแสนคุยเพลิน เอาขนมขึ้นไปให้คุณหญิงเถอะจ้า”คุณน้อยรู้ตัวว่าพูดมากไปจึงตัดบท หนูแสนเอ่ยคำลาแล้วจึงชวนนายมีตรงไปที่เรือนใหญ่เมื่อถึงตัวเรือนก็รับถาดขนมจากนายมีมาถือแล้วตามบ่าวของคุณหญิงผกาขึ้นไปบนเรือน

   “วันนี้เอาอะไรมารึหนูแสน”

   “ลืมกลืนค่ะ คุณเตี่ยบ่นอยากกินวันนี้วันหยุดหนูแสนเลยมีเวลาทำให้ก็เลยเอามาฝากเจ้าคุณลุงกับคุณหญิงป้าด้วย”

   “ดีจริง ขอบใจมากนะจ๊ะ ท่านเจ้าคุณกลับมาจะได้ยกเป็นของหวานหลังอิ่มข้าว นี่ถ้าตาเล็กอยู่คงกวาดเป็นของตัวเองหมด”

   “ป่านนี้ขนมนมเนยที่ฝากไปให้ไม่รู้จะหมดหรือยังนะคะ”

   “รายนั้นน่ะเขากินพอให้หายอยากน่าจะกินได้นานอยู่หรอก พ่อเล็กเขาชอบกินกับพวกน้ำชา คราวหลังถ้าหนูแสนจะทำก็มาเอาเงินที่ป้านะ ป้าเกรงใจ แล้วก็อย่าปฏิเสธเลย บ้านหนูแสนทำของกินฝากให้พ่อเล็กเขาหลายครั้งแล้วป้าไม่เคยต้องเตรียมอะไรเองเลยสบายจนเคยตัวแล้ว”

   “งั้นก็ได้ค่ะ ไว้คราวหน้าหนูแสนจะมาเรียนคุณป้าก่อนนะคะ เดี๋ยวยังไงวันนี้หนูแสนต้องกลับเรือนก่อนแม่กำลังจะทำน้ำปรุง”

   “ไปเถอะ ขอบใจอีกครั้งนะจ๊ะสำหรับขนม ไว้กระแจะจันทน์กับน้ำปรุงป้าหมดจะไปอุดหนุนใหม่ กลิ่นกุหลาบมอญป้าพรมแต่ละทีหอมฟุ้งไปทั้งวันสมกับเป็นแม่พะยอมเขาจริงๆ”

   “แม่จะทำเตรียมไว้ขายช่วงสงกรานต์ค่ะ ลูกค้าก็มาสั่งไว้เยอะ ยังไงหนูแสนกราบลาคุณหญิงป้าก่อนนะคะ”

   “หนูแสน ป้าชอบนะที่หนูแสนกลับมาพูดคะขากับป้าอีกครั้ง ฟังแล้วคิดถึงพ่อเล็ก ขอบใจนะลูกที่มาพูดมาคุยให้คนแก่หายเหงาไปบ้าง”

   “ไม่เป็นไรค่ะถ้าคุณป้าชอบแบบนี้หนูแสนก็จะพูดกับคุณป้า แต่ถ้าอยู่ที่เรือนของหนูแสนก็อาจจะต้องพูดครับเพราะคุณเตี่ยไม่ชอบ”

   “ป้าเข้าใจ ไปเถอะป้าไม่รั้งแล้ว ว่างก็มาหาป้าใหม่นะลูก”คุณหญิงผกายิ้มให้หนูแสนที่กราบลาแล้วลงจากเรือนไป

เห็นเด็กตัวน้อยเติบใหญ่จนโตเกือบจะเท่าลูกชายคนเล็กที่พลัดจากอกไปหลายปีแล้วก็ให้คิดถึง

ไม่ต่างกับหนูแสนที่ก็คิดถึงคุณเล็ก...ไม่ต่างกัน



…………………….

คิดถึงเหมือนกันเจ้าค่ะ
 ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ด้วยเราอ่านทั้งหมดนะคะ ชอบมากจริงๆ
ถ้าเราหายไปนานได้โปรดรู้ไว้ว่าเน็ตตัดนะคะ ระหว่างนี้จะพิมพ์ทุกวัน สัญญาเลยค่ะ
แล้วก็อยู่กับเรื่องราวของคุณสนไปอีกตอนสองตอนนะคะเดี๋ยวคุณเล็กก็กลับมาแล้วเวลาเดินเร็วจะตายไป
เมืิ่อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันไปได้หรอกค่ะ
#แสนคำนึง

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๕๐%)) ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 10-01-2020 20:42:03


ว้าวๆๆๆๆๆ...

..เขาจะได้เจอกันแล้ว

ดีใจจัง

..รอค่าา

 :mew1:


หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๕๐%)) ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: Toey0810 ที่ 10-01-2020 22:37:50
ขอให้คู่คุณสนกับคุณใหญ่ไปกันได้ด้วยดีอย่าให้คุณสนต้องเสียใจอีกเลยน่าสงสารเธอ ส่วนหนูแสน ขอให้ได้เจอคุณเล็กเร็วๆน้า

เป็นกำลังใจให้นักเขียนมากๆๆๆๆๆๆนะค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๕๐%)) ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-01-2020 00:59:37
ขยันทำจิงพ่อ น่ารักจิงๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๕๐%)) ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-01-2020 05:31:51
คุณสนเธอน่ารักนะคะ
คิดว่าในภายภาคหน้า
คุณสนคงเป็นกำลังใจ
ให้กับหนูแสนกับคุณเล็กแน่ๆ
เพราะคุณสนเธอหัวสมัยใหม่
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๕๐%)) ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 11-01-2020 19:32:32
น่ารักค่ะ หนูแสน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๕๐%)) ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 11-01-2020 21:16:37
เขียนได้น่าอ่านมาก
มีเรื่องไหนอีกบ้างคะ
อยากตามไปอ่าน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๕๐%)) ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 12-01-2020 20:21:43

   “หนูแสนลูก มานี่มามานั่งใกล้ๆแม่”คุณพะยอมตบพื้นข้างๆตัวให้หนูแสนขยับมานั่งข้างๆ

   “แม่จะสอนหนูแสนทำน้ำปรุง อีกหน่อยถ้าแม่ตายไปหนูแสนจะได้สานต่อกิจการของแม่ ทั้งสูตรอาหาร สูตรน้ำปรุงน้ำอบ สูตรแป้งแม่เขียนใส่สมุดไว้แล้ว”

   “แม่ไม่ตายหรอกจ้า”หนูแสนรู้สึกใจหายเมื่อคุณพะยอมพูดเรื่องเป็นเรื่องตาย

   “แม่ยังไม่แกซักหน่อย ยังอยู่กับหนูแสนได้อีกนานเลยจ้า”คุณพะยอมยิ้มรับคำพูดลูก หากแต่หล่อนนั้นเป็นคนมองโลดด้วยสัจธรรม ไม่มีใครอยู่ยืนค้ำฟ้า ซักวันหนึ่งตนและท่านเจ้าสัวก็จะล้มหายตายจากจึงไม่อยากให้วิชาความรู้ที่มีติดตัวต้องสูญหายตามตัวไป จะหวังฝากฝังไว้ที่คุณสนก็รู้ว่าคงไม่ได้แล้วด้วยคุณสนเธอไม่มีความรักความชอบในงานด้านนี้เลยซักนิด คุณเสนเองก็ต้องรับช่วงกิจการต่อจากท่านเจ้าสัวด้วยเป็นลูกชายคนโตของตระกูลก็มีแค่หนูแสนเพียงคนเดียวที่รักงานบ้านงานครัวพอจะฝากฝังวิชาความรู้ที่ได้มาจากในวังต่อจากคุณพะยอมได้

   “คนเราไม่มีใครไม่ตายหรอกลูก มีแค่ตายช้าหรือตายเร็ว ก่อนแม่ตายก็อยากจะให้ลูกซักคนสืบทอดความรู้ที่แม่ได้มาจากในวังไม่อยากให้มันตายตามตัวแม่ไปเข้าใจมั้ยลูก?”

   “เข้าใจจ้า”

   “แม่จะสอนทำน้ำอบน้ำปรุง สูตรนี้เสด็จทรงสอนนางข้างหลวงในตำหนักทุกคนเป็นสูตรของพระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์หอมติดทนนานราวกับน้ำหอมฝรั่ง”

   “ทำไมต้องมีทั้งน้ำอบและน้ำปรุงล่ะจ๊ะแม่”

   “น้ำอบกลิ่นจะจางกว่าน้ำปรุงไงลูก น้ำอบเหมือนโคโลญจน์ของฝรั่งกลิ่นจะหอมบางๆหอมไม่นานส่วนน้ำปรุงติดทนทานหอมกว่าเหมือนน้ำหอมที่ฝรั่งใช้”คุณพะยอมใช้ทัพพีไม้คนน้ำที่ตั้งใส่หม้ออวยไว้ หยิบดอกไม้ที่เตรียมไว้แต่ละชนิดขึ้นมาใส่ลงไปในหม้อ ประกอบด้วย ดอกมะลิ กุหลาบมอญ ดอกพิกุล ดอกชมนาด และดอกจำปาอย่างละหนึ่งกำมือ

   “น้ำที่ต้มแม่ใส่ใบเตย เปลือกชะลูดใส่ต้มลงไปตั้งแต่แรกแล้ว ขั้นต่อไปคือใส่ผิวมะกรูดแล้วก็พวกดอกไม้หอมชนิดต่างๆลงไปต้มไปเรื่อยๆจนกว่าสีของดอกไม้จะซีด”

   “แบบนี้ถ้าหนูแสนอยากได้กลิ่นอื่นก็ใส่ดอกไม้อื่นๆลงไปได้ใช่มั้ยจ๊ะ”

   “ได้ลูกขอแค่มีกลิ่นหอมดอกไม้แต่ละชนิดกลิ่นไม่เหมือนกันส่วนมากก็จะใช้พวกนี้ที่มีกลิ่นหอมแรง ปริมาณดอกไม้ที่ใช้มากน้อยก็อยู่กับน้ำและภาชนะที่ใช้ อย่างนางพวกข้างนอกนั่นให้หม้อใบใหญ่จำนวนดอกไม้ที่ใส่ก็ต้องมากขึ้น อันนี้แม่ใช้สอนหนูแสนก็ใส่แค่นี้พอ”คุณพะยอมอธิบายกับลูกอย่างใจเย็น หนูแสนเรียนรู้ขั้นตอนการทำน้ำอบอย่างตั้งใจ ได้ลงมือทำตั้งแต่ต้มดอกไม้ กรองกากออก รวมถึงได้ทำแป้งที่ใช้ผสมในน้ำอบ

   “ใช้ของเยอะมากเลยนะจ๊ะ”หนูแสนนั่งตำส่วนผสมพวกดอกไม้แห้งชนิดเดียวกับที่ต้มในน้ำผิวมะกรูดตากแห้ง พิมเสน เปลือกชะลูดตากแห้ง น้ำตาลอ้อย ใบเตยตากแห้งทีละชนิด

   “แป้งหินนี้แม่อบควันเทียนมาแล้วสิบเอ็ดครั้ง”

   “ทำไมต้องสิบเอ็ดครั้งด้วยล่ะจ๊ะ”

   “ยิ่งอบบ่อยยิ่งหอมนาน คนโบราณเขาถือก็จะอบเป็นจำนวนเลขคี่เป็น สาม ห้าเจ็ด เก้า และสิบเอ็ด ส่วนสะตุชะมดเช็ดให้ใส่ในใบเตยหรือใบพลูแล้วลนไฟเพื่อฆ่าเชื้อและดึงกลิ่นมาใส่ในน้ำอบกลิ่นจะได้หอมนาน”คุณพะยอมผสมแต่ละอย่างเข้าด้วยกัน หนูแสนจดจำทุกอย่างที่แม่สอนด้วยความใส่ใจ จริงๆการผสมส่วนผสมต่างๆไม่ได้ยากเลยแต่ที่ต้องใช้เวลานานก็คือการอบควันเทียนและอบกำยานในขั้นตอนสุดท้าย แค่นี้ก็กินเวลาไปทั้งวันแล้ว

   “หนูแสนไม่แปลกใจแล้วจ้าว่าทำไมคนถึงสั่งซื้อมากกว่าทำใช้เอง”เจ้าตัวน้อยบอกในขณะที่กรอกน้ำอบใส่ขวด เมื่อต้องมาลงมือทำด้วยตัวเองจึงได้รู้ว่ากว่าของแต่ละอย่างจะเสร็จต้องใช้ทั้งฝีมือและเวลา ต้องใช้ความใส่ใจและความอดทนมากขนาดไหน ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้คนที่พอจะมีเงินใช้เงินจับจ่ายซื้อความสะดวกสบายมากกว่าต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งทำเองทั้งของกินของใช้



   คุณใหญ่ขับรถพาคุณสนมาถึงหัวหินในตอนสาย ชายหนุ่มเดินอ้อมจากฝั่งคนขับมาเปิดประตูรถให้คุณสนแล้วยื่นมือไปให้คุณสนจับเพื่อประคองตัวให้ลุกออกจากรถ ลมทะเลพัดเอาความชื้นมาปะทะหน้าเสียงคลื่นที่สาดกระทบฝั่งและบรรยากาศที่ไม่ร้อนมากนักทำให้คุณสนพอใจ

   “เดี๋ยวเราปูเสื่อนั่งทานข้าวกันตรงใต้ต้นไม้นะคะ สายแล้วน้องสนคงหิว”คุณใหญ่หยิบเอาอุปกรณ์ปิคนิคมาถือไว้แล้วจึงฉวยมือของคุณสนเพื่อจะจูงไปนั่ง หากแต่คุณสนก็ดึงออกอย่างสุภาพ อนลยิ้มให้กับหญิงสาวเขาไม่ดึงดันที่จะจับเนื้อต้องตัวคุณสนทำเพียงผายมือเชิญให้คุณสนเดินไปที่ใต้ต้นสนใหญ่ริมหาด คุณใหญ่ปูเสื่อและรองด้วยผ้าผืนใหญ่อีกชั้น จัดแจงเอาอาหารที่ให้บ่าวเตรียมไว้ให้ออกมาวาง เป็นอาหารทานเล่นง่ายๆพวกแซนวิช น้ำส้ม และของว่างอีกสองอย่าง มีผลไม้ไว้ล้างปาก เมื่ออิ่มแล้วคุณใหญ่ก็ชวนคุณสนออกไปเดินเล่มริมชายหาด

   “น้องสนถอดรองเท้าแล้วเดินเท้าเปล่าสิคะ เดี๋ยวพี่ถือรองเท้าให้”คุณใหญ่เอ่ยแนะนำเมื่อคุณสนเอาแต่เดินวิ่งหนีฟองคลื่นที่กระทบฝั่งไปมาเพราะกลัวรองเท้าสานจะเปียก คุณใหญ่คุกเข่าลงแล้วจับข้อเท้าของคุณสนยกขึ้นเพื่อถอดรองเท้าหากแต่คุณสนก็ดึงดันไว้

   “ไม่เป็นไรค่ะ สนเดินเล่นแบบนี้ก็ได้ค่ะ”

   “ถอดเถอะครับ เชื่อพี่ ลองเดินด้วยเท้าเปล่าดูแล้วจะรู้ว่ามันรู้สึกดีกว่าใส่รองเท้าเดินเยอะเลยค่ะ”คุณใหญ่มองหน้าคุณสนทำให้หญิงสาวจำต้องยอมให้คุณใหญ่ถอดรองเท้าออกมาถือไว้ให้ก่อนจะพากันเดินเคียงคู่ปล่อยให้เกลียวคลื่นสาดกระทบจนท่วมเท้า

   “พี่ดีใจนะคะที่น้องสนยอมมาเที่ยวกับพี่”

   “จะดีใจทำไมคะ ก็เจอกันเกือบทุกวัน”

   “มันไม่เหมือนกันนี่คะ พบเจอกันทุกวันก็อยู่ในสายตาคนอื่น ได้พูดคุยกันก็นิดเดียว แต่การมาเที่ยวเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ ได้พูดคุยในเรื่องของเราสองต่อสอง ความรู้สึกมันต่างกันตั้งเยอะค่ะ”

   “เหรอคะ สนไม่ยักรู้ว่าคุณใหญ่อยากอยู่อยากคุยกับสนขนาดนั้นเลย”

   “โธ่ ถ้าไม่อยากอยู่ไม่อยากคุยด้วยพี่จะไปหาคุณสนแทบทุกวันทำไมล่ะคะ ที่ไปหาก็เพราะรักเพราะคิดถึง อยากเห็นหน้า จริงๆอยากเห็นหน้าน้องสนทั้งตื่นนอนและก่อนอนเลยด้วยซ้ำ”คุณใหญ่ทำเสียงคล้ายจะอ้อนจนคุณสนที่นิ่งฟังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

เป็นธรรมดาของสตรีได้ฟังคำหวานจากชายที่ตนเองมีใจให้ก็ย่อมจะอ่อนไหวเป็นปกติ ใจคุณสนนั้นก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรซักเท่าไหร่ สองปรางแก้มขึ้นสีเรื่ออย่างน่าดูยามที่คุณใหญ่ขยับมายืนตรงหน้าแล้วคุกเข่าลงไปอีกหนจับมือเล็กๆของคุณสนมากุมไว้โดยที่คุณสนไม่ได้ดึงออกเพราะความตื่นเต้น หัวใจเต้นจนเป็นส่ำยามสายตาคมช้อนขึ้นมอง

ไม่ลดละ

ไม่หลีกหนี

มั่นคง

และหนักแน่นยามเอื้อนเอ่ย

   “เราก็คบหาดูใจกันมาระยะหนึ่งแล้ว พี่เชื่อว่าน้องสนคงจะเห็นถึงความจริงใจที่พี่มีให้มาตลอด น้องสนจะขัดข้องมั้ยคะถ้าพี่อยากจะขอให้น้องสนมาเป็นคู่ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่จนแก่เฒ่า แต่งงานกับพี่มั้ยคะ มาเป็นแม่ศรีเรือนให้กับพี่”

   “ ตายจริง คุณใหญ่ลุกขึ้นเถอะค่ะ สนไม่เก่งงานบ้านงานเรือนนะคะ จะไปเป็นแม่ศรีเรือนให้กับคุณใหญ่ได้ยังไงกัน”คุณสนดึงให้คุณใหญ่ลุกขึ้นยืน พูดความกังวลใจของตนเองออกไป หากแต่คุณใหญ่กลับส่ายหน้าเพราะไม่เห็นความสำคัญในเรื่องที่คุณสนกังวลซักนิด

   “ไม่เป็นไรค่ะ บ่าวไพร่มีมากมาย พี่แค่อยากให้น้องสนมาช่วยดูแลควบคุมเรื่องในบ้านมาดูแลพี่เป็นศรีภรรยาของพี่ นะคะ พี่รักน้องสนจริงๆนะคะ”

   “สนก็รักคุณใหญ่ค่ะ แต่...”คุณสนหยุดเพื่อคิดว่าตนควรจะพูดเรื่องที่อยู่ในใจดีหรือไม่

   “แต่อะไรคะ น้องสนมีอะไรน้องสนบอกพี่ได้เลยนะคะ พี่สัญญาว่าพี่จะทำให้น้องสนทุกอย่าง”

   “สนขอแค่เรื่องเดียวค่ะ ถ้าคุณใหญ่ทำให้สนได้ ก็ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอสนกับคุณเตี่ยกับแม่ได้เลย”คุณสนจ้องตาคุณใหญ่ด้วยสายตาที่จริงจังแน่วแน่

   “อะไรคะ น้องสนบอกพี่มาได้เลย พี่ทำได้แน่นอน ยกเว้นขอดาวขอเดือนอันนั้นก็สุดปัญญาพี่”

   “สนไม่หวังของที่ไม่มีทางเอามาให้ได้หรอกค่ะ สนขอแค่คุณใหญ่จะเป็นเหมือนคุณเตี่ยจะรักและมีแค่สนเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีเมียเล็กเมียน้อย ไม่มีผู้หญิงคนอื่นให้สนต้องเจ็บช้ำน้ำใจคุณใหญ่ให้สนได้มั้ยคะ?”



   ถึงคุณเล็ก
กว่าจดหมายฉบับนี้จะมาถึงเราก็คงเกี่ยวดองเป็นญาติมิตรกันเรียบร้อยแล้วแน่ๆค่ะ คุณใหญ่ส่งผู้ใหญ่ในกระทรวงมาสู่ขอคุณพี่สนกับคุณเตี่ยและแม่ ข่าวการแต่งงานของคุณใหญ่และพี่สนโด่งดังถูกพูดถึงไปเกรียวกราวด้วยว่าครอบครัวขุนนางใหญ่กับนายห้างฝรั่ง คุณเตี่ยกับแม่แม้จะอยากให้คุณพี่ได้ออกเรือนกับลูกชายเพื่อนมากกว่าแต่เมื่อคุณพี่สนตั้งมั่นออกปากว่าหากไม่ใช่คุณใหญ่ก็จะไม่ขอออกเรือนกับใครและเจ้าคุณตาก็เห็นว่าฐานะและยศศักดิ์ของคุณใหญ่ก็ไม่น้อยหน้าใครสุดท้ายฤกษ์แต่งงานก็จะมีในช่วงเดือนห้าที่จะถึงนี้ คุณพี่สนเธอออกแบบชุดสำหรับยกน้ำชากับชุดสำหรับตักบาตรรวมทั้งชุดรดน้ำสังข์ของเธอเอง สั่งผ้าลูกไม้จากอิตาลีมาหลายม้วน แถมยังมาจัดแจงจะตัดชุดให้หนูแสนด้วย โดนไม่บัดทัดฟาดขาไปเสียสองทีเพราะหนูแสนไม่ได้อยากแต่งตัวให้วิลิศมาหราอะไรนัก อยากแต่งแค่สูทเรียบๆเท่านั้นแต่พี่สนบอกว่าจะเพิ่มลูกไม้ตรงปกและแขนเสื้อลงไปด้วย คงเหมือนนายละครร้องของฝรั่งน่าดู ตอนนี้น้ำอบน้ำปรุงของแม่ขายดิบขายดีจนแทบจะทำส่งไม่ทัน ยิ่งใกล้สงกรานต์ยิ่งต้องเร่งทำกันมือเป็นระวิง หนูแสนส่งน้ำอบ น้ำปรุง และแป้งกระแจะจันทน์มาให้คุณเล็ก เอาไว้ประตัวหลังอาบน้ำตัวจะได้หอมๆนะคะ หรือว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช้แล้วเพราะว่าน้ำหอมของเมืองฝรั่งเศสมันหอมกว่าก็เททิ้งไปก็ได้นะคะ ที่ส่งไปให้หนูแสนทำเองกับมืออาจจะราคาไม่กี่สตางค์แต่ใส่ความคิดถึงลงไปจนล้นปรี่ คุณเตี่ยเริ่มพูดถึงการเรียนต่อ ม.ศ.๘ ของหนูแสนแล้ว ความตั้งใจของคุณเตี่ยนั้นอยากให้หนูแสนไปเรียนต่อที่เมืองจีน แต่หนูแสนไม่ได้อยากจากบ้านไปไกลจึงขอเรียนที่อาซมซาน กอเล็ศ ต่อไปซึ่งแม่ก็เห็นด้วย หนูแสนจึงตกลงใจว่าจะเรียนต่อในสยามคงไม่เดินทางไปไกลบ้านนัก คุณเตี่ยกลัวนักว่าหนูแสนจะไปเข้ารีตด้วยว่าเป็นโรงเรียนคริสต์ แต่หนูแสนก็บอกท่านไปว่าเราจะนับถือศาสนาใดมันไม่เกี่ยวกับโรงเรียน หากเรานับถือพุทธ เป็นพุทธศาสนิกชนต่อให้ไปเรียนไกลถึงยุโรปก็ไม่มีใครเอาศาสนาออกไปจากใจเราได้กล่อมกันเสียหลายวันนั่นแหละถึงได้ยอมลงให้กับหนูแสน
หน้าร้อนใกล้จะมาถึงทุกที คิดถึงคุณเล็กเหลือกำลัง แม่บอกสงกรานต์ปีนี้จะทำข้าวแช่ไปถวายพระทำบุญกระดูกคุณทวดและบรรพบุรุษ คุณเล็กคิดถึงหมูหวานและลูกกะปิไหมคะ ยังไงหนูแสนจะกินแทนคุณเล็กเองนะคะ อยู่ทางนู้นรักษาเนื้อรักษาตัวให้มาก อย่าลืมว่ามีคนทางนี้คิดถึงและเป็นห่วงคุณเล็กหลายคน หนึ่งในนั้นก็มีหนูแสนรวมอยู่ด้วย จดหมายฉบับนี้คงต้องจบเพียงเท่านี้ หวังว่าคุณเล็กจะไม่เจ็บไม่ไข้และกลับมาหาหนูแสนไวๆนะคะ

คิดถึงเสมอ
หนูแสน

   คุณเล็กพับจดหมายเก็บใส่ซองเหมือนเดิมหยิบเอาขวดน้ำอบและขวดน้ำปรุงที่หนูแสนส่งมาให้พร้อมกับจดหมายขึ้นมาสูดดมเอากลิ่นหอมเสียเต็มปอด เปิดขวดน้ำปรุงที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้หลากชนิด หอมกลิ่นเจือเปลือกไม้จางๆไม่หวานจนเกินไปแต่ก็ไม่ฉุนกลิ่นออกเย็นๆละมุนเหมือนคนทำไม่ผิดเพี้ยน ใช้ปลายนิ้วแตะเอามาประตัวเพียงน้อยกลิ่นหอมก็ติดกาย

กลิ่นกายหนูแสนจะหอมเหมือนกันหรือไม่นะ

อยากกลับไปพิสูจน์ด้วยตัวเองเสียเหลือเกิน...
   



............................................

แต่งค่ะ!!
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๑๐๐%)) ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 12-01-2020 21:52:43
ขออีกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๑๐๐%)) ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-01-2020 22:30:00
คุณเล็กรีบกลับมาด้ายล้าววว
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๑๐๐%)) ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: black_Aphrodite ที่ 12-01-2020 22:40:33
คิดถึงด้วยคน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๑๐๐%)) ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-01-2020 03:10:58
ดีใจที่หนูแสนคิดอย่างไรก็ยอกคุณเล็กอย่างนั้น

คุณใหญ่อย่าทำคุณสนเสียใจนะ
คุณสนเธอไม่ควรเสียใจเพราะความรักที่มีให้คุณใหญ่
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๑๐๐%)) ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 13-01-2020 07:48:59


แหม....

หวานเจี๊ยบเชียวนะคะตอนท้าย

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๑๐๐%)) ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: davil01 ที่ 13-01-2020 17:08:47
ติดตามครับ   เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๙ ((๑๐๐%)) ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-01-2020 19:12:52

ตอนที่ ๑๐

๕๐%


เสียงซออู้แว่วหวานผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในดินแดนแห่งเมืองศิวิไลซ์ เรียวนิ้วแตะสัมผัสสายเอ็นสองเส้นสลับไปมาจนเกิดท่วงทำนองแว่วหวานจับจิต คุณเล็กในยามนี้เรือนกายสูงใหญ่ ใบหน้าที่เคยดูหวานก็คมเข้มขึ้น เรียวคิ้วดำสนิทเหมือนสีผมดวงตาที่เคยมองสิ่งต่างๆอย่างสุขุมนุ่มลึกบัดนี้มีแววไหวระริกตามแสงไฟที่ทอแสงนวล นิ้วเรียวแตะลงบนสายซอเป็นท่วงทำนองคล้ายจะส่งผ่านไปหาใครบางคนที่อยู่อีกซีกโลกให้เข้าสูนิทราฝันดี เหม่อมองดูดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลกลางนภามืดก็ให้คิดถึงคนที่อยู่ไกลสุดซีกโลก หวังให้เสียงซอแว่วหวานส่งสัญญาณของความคิดถึงคะนึงหาไปให้เจ้าตัวได้รับรู้ ว่าคนทางนี้คิดถึงสุดหัวใจ นับวันคอยที่จะได้กลับไปพบหน้า วันเวลาผันไปนานนับปีแต่ก็เหมือนจะช้ากว่าใจของคุณเล็กยิ่งนัก


การเรียนที่ว่ายากดูจะทรมานหากแต่ความคิดถึงเจ้ายอดดวงใจตัวน้อยนั้นกลับมีมากกว่า หนูแสนเขียนจดหมายหาเขาน้อยฉบับลง เช่นเดียวกับที่คุณเล็กเองก็แทบไม่มีเวลา จากที่ได้พูดคุยผ่านตัวอักษรปีละ 3-4 ฉบับ มาปีนี้พวกเขาต่างได้รับจดหมายของอีกฝ่ายแค่เพียงฉบับเดียว รู้เพียงว่ากิจการน้ำอบน้ำปรุงของคุณพะยอมนั้นขยายใหญ่ขึ้นด้วยพวกพ่อค้าแม่ค้าเร่ที่ได้ลองซื้อจากคนกลางไปใช้ต่างก็ติดใจในกลิ่นหอมไม่เหมือนใครทำให้หนูแสนต้องเข้ามาช่วยแม่อย่างเต็มแรง อีกทั้งเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำให้เวลาว่างนั้นหายากยิ่ง ความคิดถึงมันอัดแน่นในอกจนต้องหยิบซอขึ้นมาเล่นกลั่นเอาความคิดถึงนั้นออกมาเป็นท่วงทำนองแสนเสนาะ

พระแย้มยิ้มพริ้มเพราเย้าหยอก สัพยอกยียวนสรวลสม
พักตร์เจ้าเศร้าสลดอดบรรทม พี่จะกล่อมเอวกลมให้นิทรา
สายสมรนอนเถิดพี่จะกล่อม เจ้างามจริงพริ้งพร้อมดังเลขา
นวลละอองผ่องพักตร์โสภา ดังจันทราทรงกลดหมดมลทิน
งามเนตรดังเนตรมฤคมาศ งามขนงวงวาดดังคันศิลป์
อรชรอ้อนแอ้นดังกินริน หวังถวิลไม่เว้นวายเอย

   
[/i]

คุณเล็กแย้มยิ้มยามนึกถึงดวงหน้าเจ้าน้องน้อยที่เคยวิ่งตามเขาต้อยๆราวกับลูกไก่ตัวเหลืองๆวิ่งตามแม่ของมันคุ้ยเขี่ยหากิน ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มเต็มตัวคงไม่นุ่มนิ่มน่ากอด ร่างกายอาจจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบที่ชายพึงมี ในหัวใจมีแต่ความคะนึงหา ป่านนี้จะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่อาจจะรู้ได้ ทุกคืนก่อนนอนได้แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่หนูแสนปักให้มาสูดดม กลิ่นร่ำที่อบจางหายไปหลายปีแล้ว เขาสู้อุตส่าห์ทะนุถนอมไม่เคยเอาออกมาใช้เลยซักครั้ง ทำเพียงพกติดกระเป๋าไว้ข้างตัว ยามว่างก็นั่งลูบไล้รอยปัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูแสนฝากมากับเรือในแต่ละครั้งหากเป็นของกินรสมือหนูแสนแล้วลิขิตทำตัวราวกับหัวขโมยที่คอยแอบซ่อนขวดโหลให้ไกลตาเพื่อนร่วมบ้าน เขาไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวอะไร หากเป็นของจากทางบ้านส่งมาหรือของที่หนูแสนไม่ได้เขียนกำกับมาว่าทำเองเขาก็จะให้พ่อบ้านจัดใส่จานถวายเจ้านายพระองค์อื่น เอาไปฝากเพื่อนที่อยู่ห้องอื่นบ้านให้ทุกคนพอได้คลายความคิดถึงอาหารไทย แต่หากเป็นของที่หนูแสนทำส่งมาให้เขาจะเก็บงำไว้ในห้องนอนไม่ยอมแบ่งใครแม้เพียงเศษขนมร่วงๆ จนโดยท่านชายอาทิตย์เย้าไปหลายหน

“เธอนี่ช่างหวงของเสียจริง อยากรู้นักว่าใครทำส่งมาให้ ทำราวกับทองคำ”

“คนสำคัญกระหม่อม”

“น่าจะสำคัญจริง ลูกสาวบ้านไหนรึ กลับไปจะให้เสด็จพ่อไปขอให้”

“หามิได้กระหม่อม หม่อมฉันยังไม่เคยคิดเรื่องสู่ขอ”

“คิดเมื่อไหร่ก็บอกฉันแล้วกัน เธอก็เปรียบเหมือนเพื่อนรักของฉันร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายปีไม่ต้องเกรงใจกัน”

หากท่านชายอาทิตย์ทรงทราบว่าคนที่อยู่ในใจของคุณเล็กเป็นใครก็คงจะตบอกผาง เผลอๆจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียเปล่าๆปล่อยให้เข้าใจผิดว่าเป็นลูกสาวไปก็แล้วกันไม่ถือว่าหลอกลวงแต่ประการใด





   “คุณสนเจ้าขา ทานข้าวเถอะเจ้าค่ะ”นังเฟื้องคุกเข่าข้างเจ้านายที่ครรภ์ใหญ่ใกล้คลอดเต็มที หากแต่คุณสนกลับไม่ได้สนใจคำพูดของนังเฟื้องเลย กลับเดินประคองท้องตัวเองชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนอยู่บ่อยครั้ง

   “ข้ายังไม่หิว จะรอกินพร้อมคุณใหญ่ เอ็งเก็บไปก่อนเถอะ”

   “แต่นี่มันมืดแล้วนะเจ้าคะ ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกในท้องบ้างเถอะเจ้าค่ะ ป่านนี้คุณหนูหิวแย่แล้ว”

   “เฟื้อง พักนี้คุณพี่กลับบ้านช้ามากเลยนะ”คุณสนยอมกลับมานั่งที่โต๊ะกินข้าว อาหารสองสามอย่างถูกอุ่นมาตั้งให้จนร้อนน่ากินหากแต่คุณสนนั้นไม่ได้มีกะจิตกะใจจะแตะต้องอาหารเหล่านั้นซักเท่าไหร่นัก ชีวิตหลังการแต่งงานนั้นไม่เหมือนกับตอนที่คบหาดูใจกันเลยซักนิด

จากหญิงสาวที่มั่นใจในความคิดของตัวเอง เอาอารมณ์และความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้งก็เริ่มปรับตั้งแต่ย้ายมาอยู่เรือนหอคุณสนต้องเริ่มตั้งแต่เรียนรู้งานบ้านงานครัว จริงอยู่แม้จะมีบ่าวไพร่ทำให้แต่บ่อยครั้งที่คุณหญิงผกาคอยพร่ำบอกเรื่องหน้าที่ของแม่ศรีเรือนที่ดี

   “เป็นผู้หญิงก็ต้องทำให้เป็นตอนนี้ก็หัดทำเพื่อดูแลผัวอีกหน่อยมีลูกก็ต้องทำให้ทั้งลูกทั้งผัวกิน แม่สนจะไว้ใจให้คนอื่นมาทำให้คนที่เรารักกินโดยไม่ดูแลไม่ใส่ใจไม่ได้”

   “สนจะพยายามค่ะคุณแม่”

ในช่วงปีแรกนั้นชีวิตหลังการแต่งงานหอมหวานตามแบบของข้าวใหม่ปลามัน คุณสนยอมปิดห้องเสื้อเพราะคุณใหญ่ขอให้มาอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนด้วยให้เหตุผลที่จำต้องฟังว่า

   “สนเป็นเมียพี่ หากยังออกไปทำงานนอกบ้านหาเงินเอง คนอื่นจะเอาไปนินทาได้ว่าร้อยโทอนลปล่อยให้เมียไปเร่ขายเสื้อขายผ้า ไม่มีปัญญาเลี้ยงเมียให้สุขสบาย”

   “แต่ร้านของสนกำลังขึ้นนะคะ ขายดีขนาดนั้นเงินเข้ามือไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เลิกไปสนเสียดาย”

   “เชื่อพี่เถอะคนดี อีกหน่อยสนได้เป็นคุณหญิงอย่างไรก็ต้องปิดอยู่ดี”

   “ถ้าอย่างนั้นสนขอเปิดไว้แต่ให้รำภาดูแลแทนแล้วกันค่ะ สนอยู่บ้านเฉยๆก็เบื่อขอสนได้ออกแบบเสื้อผ้าอยู่กับบ้านก็ได้ค่ะ”

   “ดื้อจริง เอาเถอะ ถ้าสนสบายใจแบบนั้นพี่ก็จะยอมให้ตอนนี้พี่อยากให้สนจำไว้ว่าสนเป็นเมียพี่แล้วต้องรักษาเกียรติของตระกูลสรอรรถโยธาไว้ให้มาก พี่รู้ว่าบางอย่างอาจไม่ถูกใจสนนักแต่ขอให้ค่อยๆปรับกันไปสนทำให้พี่ได้ไหมคะ?”


   “ได้ค่ะ สนจะทำทุกอย่างให้คุณพี่มีความสุข”

คุณสนตักข้าวเข้าปาก รสชาติอาหารฝีมือแม่ยังคงกลมกล่อมเหมือนเดิมหากแต่คุณสนกลับไม่รับรู้รสชาตินั้นเลย  หลายเดือนมานี้คุณใหญ่เริ่มกลับบ้านผิดเวลา แรกๆก็อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง วันหยุดที่เคยอยู่บ้านเคยออกไปไหนมาไหนด้วยกันมาตอนนี้ตั้งแต่คุณสนตั้งครรภ์คุณใหญ่ก็ห่างบ้านมากขึ้น พอเอ่ยปากถามคุณใหญ่ก็มักจะลงเอยด้วยประโยคเดิมๆทุกครั้งว่า

   “พี่ใกล้ได้เลื่อนยศก็ต้องติดตามเจ้านายไปนู่นไปนี่ สนอย่าคิดมากสิ เดี๋ยวกระทบลูกในท้องนะจ๊ะ”

คุณสนรวบช้อนแล้วหยิบน้ำขึ้นดื่ม

   “อิ่มแล้วหรือเจ้าคะ นังเฟื้องมองอาหารที่แทบไม่พร่องลงไปเลยด้วยความหนักใจ คนสนในยามนี้ไม่ผุดผ่องอิ่มเอิบเหมือนก่อนออกเรือนเลยซักนิด แม้ท้องจะใหญ่หากแต่ตัวไม่ได้มีน้ำมีนวลแบบที่คนท้องควรจะเป็น ไม่เหมือนตอนท้องคุณหนูยิ่งคุณสนนั้นอวบอิ่มเปล่งปลั่งไม่เหมือนที่โบราณว่าเอาไว้ซักนิดว่าหากได้ลูกชายคนเป็นแม่จะโทรม ตอนนี้คุณหนูยิ่งวัยสามขวบกว่ากำลังน่ารัก ตกกลางคืนหากคุณหญิงผกาคิดถึงก็จะให้บ่าวมาพาไปนอนด้วย คุณสนแทบจะไม่ได้เลี้ยงลูกเองเลย  ตอนคุณหนูยิ่งคลอดนั้นทั้งฝ่ายย่าฝ่ายยายวิ่งกันให้หัวหมุนเพราะคุณสนเจ็บท้องมาก คุณใหญ่รีบกลับจากกรมมาเฝ้าอยู่หน้าห้อง ทั้งร้อนรน ตื่นเต้น และดีใจ เมื่อลูกคลอดออกมาเป็นชาย สมใจทั้งย่าและพ่อคุณหนูยิ่งก็ถูกประคบประหงมราวไข่ในหิน คุณสนมีหน้าที่ให้นมเพียงอย่างเดียว

ผิดกันกับครั้งนี้ ด้วยเป็นท้องที่สองความตื่นเต้นก็คลายลงไปมาก มีเพียงคุณพะยอมที่มาหาแทบจะทุกวัน เอาข้าวปลาอาหารมาให้แต่อยู่คุยเป็นเพื่อนได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับไปคุมบ่าวทำน้ำอบน้ำปรุง หากมียอดสั่งซื้อมากๆคุณพะยอมก็จะให้บ่าวเอากับข้าวมาให้ไม่ได้มาด้วยตัวเอง มีเพียงหนูแสนที่จะวิ่งมาเล่นกับหลานโดยอุ้มเอาคุณอ้นกับคุณอิ่มลูกชายลูกสาวของคุณเสนมาหาช่วงวันหยุดเรียนเท่านั้น

คุณสนมีปัญหาหนักอยู่ในอกหากแต่ก็ไม่ยอมปริปากบอกใครแม้แต่คุณพะยอมผู้เป็นแม่

   “ข้ากินไม่ลงแล้วล่ะเฟื้อง เก็บไปเถอะ”คุณสนลุกขึ้นยืน ยังไม่วายจะเดินไปชะเง้อมองหน้าบ้านว่าจะมีแสงไฟจากรถยนต์ของคุณใหญ่เข้ามาหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีเลยซักนิด ลมเย็นพัดมาต้องผิวให้รู้สึกไหวยะเยือกในจิตใจ เรือนใหญ่และเรือนของเมียรองของเจ้าคุณสรอรรถเงียบสงบไร้เสียงพูดคุย มองไปทางตึกที่เคยอยู่ตั้งแต่อ้อนแต่ออกยังคงเห็นแสงไฟสว่าง

แต่กลับไปไม่ได้แล้ว...

เหงาจับใจ

เหงาเสียจนอยากจะร้องไห้

   “คุณสนเจ้าขา เข้ามาเถอะเจ้าค่ะ โดนลมมากๆเดี๋ยวจะป่วยนะเจ้าคะ”นังเฟื้องแตะต้นแขนของผู้เป็นนายเบาๆด้วยความห่วงใย

   “เฟื้อง ข้าคิดถึงแม่”

   “พุทธโธ่เอ๋ย คุณแม่ก็มาหาทุกวันเอากับข้าวกับปลามาให้ไม่ได้ขาดนี่เจ้าคะไม่ได้อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ห่างกันแค่รั้วกั้นแค่นั้นเอง คิดถึงก็แค่เดินไปหาคุณแม่เธอไม่ว่าอะไรหรอกเจ้าค่ะ”

   “มันไม่เหมือนกันหรอก ข้าออกเรือนมาแล้วจะทำตัวเป็นลูกแหง่ติดแม่ เอะอะมีอะไรก็วิ่งโร่ไปหาแม่แบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว อีกอย่างข้าก็ถือดีเกินกว่าจะแบกหน้าไปเล่าเรื่องในครอบครัวให้แม่ฟัง ผัวคนนี้ข้าก็เลือกเองกลับไปก็อายเขา”

   “คุณน่ะคิดเยอะเกินไปเจ้าค่ะ ออกเรือนแล้วอย่างไรเสียก็ยังเป็นแม่ลูกกัน”

   “ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ข้าไม่อยากให้แม่ต้องมาวิตกทุกข์ร้อนไปกับเรื่องของข้า หากปริปากพูดไป บ่าวคนอื่นๆมันมาได้ยินข้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน ข้าก็ได้แต่หวังว่าคุณพี่คงจะยุ่งเรื่องงานจริงๆไม่ได้แอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยที่ไหนนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าคงอกแตกตายเป็นแน่”คุณสนถอนหายใจอย่างหนักอึ้งที่ในอก เมื่อรอจนดึกคุณใหญ่ยังไม่กลับก็ยอมเข้าไปนอน แต่แม้จะข่มตาให้หลับซักเท่าไหร่ก็ไม่อาจหลับได้ ยังคงคิดฟุ้งซ่านวนเวียนจนเกือบค่อนรุ่งจึงได้เผลอหลับไปโดยไร้เงาของคุณใหญ่จนรุ่งเช้า




 “ยายแช่ม แม่เป็นอย่างไรบ้าง บ่าวที่ครัวบอกว่าวันนี้คุณแม่เป็นลมล้มลงไปอีกแล้วรึ?”หนูแสนเอ่ยถามบ่าวคนสนิทอย่างร้อนใจ เด็กหนุ่มบัดนี้เติบใหญ่อายุเข้า 19 ปี สาวเท้าก้าวเข้ามายังห้องโถงที่ยายแช่มยืนรอด้วยท่าทีร้อนรนกระวนกระวาย

   “ฟื้นแล้วเจ้าค่ะแต่บอกว่าเวียนหัว หน้าเธอซี้ดซีดเจ้าค่ะ”ยายแช่มรับกระเป๋าหนังสือให้กับนายมีแล้วรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองก้าวเข้าไปในห้องนอนของแม่ด้วยความเป็นห่วง คุณพะยอมนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางซูบโรย หนูแสนทิ้งตัวนั่งที่ข้างเตียงคว้ามือซูบของแม่มากุมไว้ ด้วยทั้งรักและทั้งห่วงใย คุณพะยอมมองหน้าลูกเล็กแล้วน้ำตาพาลจะไหลด้วยร่างการที่อ่อนแอพาลพาให้จิตใจหม่นหมองตามไปด้วย

   “แม่จ๋า แม่เป็นอย่างไรบ้างคะ ไม่สบายตรงไหนบอกหนูแสนได้มั้ยคะ?”

   “แม่ไม่มีแรงเลยหนูแสน ใจแม่มันหวิวๆ หนาวๆเหมือนเป็นตะพ้าน”

   “แม่ไปโรงหมอกันดีกว่ามั้ยจ๊ะ หนูแสนเป็นห่วง”

   “ไม่เอา ไม่เอา แม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก อายุมากแล้วเลือดลมเดินไม่สะดวกเหมือนตอนสาวๆ พักซักหน่อยพรุ่งนี้แม่ก็เดินปร๋อแล้ว หนูแสนกลับมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมกินข้าวเถอะลูก”คุณพะยอมรีบปฏิเสธทันทีเมื่อหนูแสนชวนไปโรงหมอ หล่อนคุ้นชินกับแพทย์แผนไทยมากกว่าจะเอาชีวิตไปฝากกับหมอฝรั่ง

   “ดื้อจังค่ะ งั้นแม่รออยู่นี่นะคะเดี๋ยวหนูแสนลงไปทำข้าวต้มมาให้นะจ๊ะ”

   “อย่างนั้นก็ได้ลูก”คุณพะยอมนอนลงตามเดิม มองหนูแสนที่เดินกลับห้องตัวเองด้วยสายตาทั้งรักทั้งห่วง คนเราไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำก็ต้องตายทุกคน คุณพะยอมรู้ดีว่านี่คือสัจธรรมของมนุษย์ คุณเสนเองก็มีครอบครัวมีลูกเมียสมบูรณ์พูนสุข อย่างไรเสียสมบัติของเจ้าสัวเช็งก็ต้องตกเป็นของคุณเสนเสียส่วนมากด้วยเป็นลูกชายคนโต คุณสนเองก็ออกเรือนไปกับคุณใหญ่ที่กำลังรุ่งเรืองทางราชการ อนาคตอาจจะได้ตำแหน่งคุณหญิงมีทั้งยศและเงินทองไม่ต้องกังวลสิ่งใด อีกทั้งยังมีลูกชายไว้สืบสกุลคุณหญิงผกาทั้งรักทั้งหลง ชีวิตของคุณสนจึงไม่น่าห่วง มีเพียงหนูแสนเท่านั้นที่ดูไม่มีอะไรอย่างพี่ๆเขาเลย ลูกชายคนเล็กของหล่อนมีเพียงฝีมือทำอาหารและความจิตใจดีเท่านั้น หากพ่อแม่ตายไปก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน คุณเสนเองก็จะเมตตาน้องๆเหมือนตอนที่พ่อแม่ยังอยู่หรือไม่ น่าเป็นห่วงเสียเหลือเกิน หากเติบใหญ่เป็นชายเต็มตัวได้ตบแต่งกับลูกสาวคหบดีมีฐานะมั่นคงเสียตั้งแต่พ่อแม่ยังอยู่ก็คงจะดีไม่น้อย แต่คุณพะยอมเลี้ยงลูกมาเหตุใดเล่าจะไม่รู้ว่าหนูแสนหาได้มีใจปฏิพัทธ์แก่หญิงใด ตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงคนสำคัญในชีวิต หนึ่งในนั้นต้องมีคุณเล็กรวมอยู่ด้วยเสมอ

หากสัญชาติญาณความเป็นแม่ของหล่อนไม่ผิดนัก

ลูกชายคนเล็กของหล่อนนั้นมอบใจรักให้กับลูกชายคนเล็กของคุณหญิงผกาไปทั้งดวงแล้วแน่นอน



   หนูแสนอาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดลำลองเสร็จก็เข้ามาในครัว บ่าวกำลังเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นให้ท่านเจ้าสัว ส่วนคุณอุ่นเรือนพี่สะใภ้เข้ามาช่วยด้วย ถึงแม้ว่าคุณเสนจะแยกเรือนไปแล้วหากแต่ก็อยู่ใกล้ในรั้วเดียวกัน เจ้าสัวเช็งชอบความเป็นครอบครัวใหญ่จึงบอกให้บุตรชายคนโตนั้นกลับมากินข้าวร่วมสำรับกัน หนูอ้นกับหนูอิ่มก็เล่นกับลูกบ่าวอยู่นอกครัวโดยมีคนสนิทนั่งเฝ้าไม่ให้คลาดสายตา

   “วันนี้น้องแสนกลับบ้านเร็ว”เอ่ยทักน้องสามีที่เดินเข้ามา หนูแสนยกมือไหว้ตามความเคยชิน

   “เลิกเรียนไวน่ะค่ะ เป็นห่วงอยากกลับมาหาแม่ นายมีบอกว่าแม่เป็นลมใจก็จะแล่นกลับมาเสียให้ได้”

   “แล้วนี่จะทำอะไรคะ ทำสำรับให้คุณแม่เหรอ?”

   “ค่ะ แม่ไม่สบาย หนูแสนว่าจะต้มข้าวต้มกุ๊ยแล้วยำปลาทูใส่มะดันสดให้แม่ทาน ยายแช่มจ๊ะ ช่วยต้มข้าวต้มให้หนูแสนทีนะจ๊ะ ใส่ใบเตยลงไปด้วยจะได้หอมๆ”

   “เจ้าค่ะ”ยายแช่มลุกไปต้มข้าวต้มตามคำสั่ง หนูแสนหยิบปลาทูนึ่งที่เจ้าสัวเช็งได้มาจากแม่กลองเมื่อวานนี้มาจัดการทอดแล้วเลาะก้างเป็นชิ้นๆ สับมะดันสดหยาบๆหั่นหอมแดงและพริกขี้หนูสวนเตรียมไว้ เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดก็ผสมน้ำปลา น้ำตาลทราย มะนาวและพริกขี้หนูสวนคนจนเข้ากันจึงน้ำปลาทูทอด มะดันสับหอมแดงใส่ลงไป คุณอุ่นเรือนมองน้องสามีที่ลงครัวอย่างคล่องแคล่วแล้วได้แต่นึกชม หากเป็นลูกสาวขี้คร้านหนูแสนจะได้ออกเรือนก่อนคุณสนน้องสาวคนกลางเป็นแน่ หนูแสนตักยำปลาทูทอดลงจานแบ่งเป็นสองจานแล้วโรยใบสะระแหน่ด้านบนเป็นอันเสร็จ

   “เดี๋ยวผัดไชโป้วใส่ไข่อีกอย่างหนูแสนจะยกไปให้แม่เลย ฝากบอกคุณเตี่ยว่าให้รับมื้อเย็นไปได้เลยไม่ต้องรอนะคะหนูแสนจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน”หันกลับมาบอกพี่สะใภ้แล้วจึงง่วนกับการทำกับข้าวอีกหน เย็นนั้นคุณพะยอมรับข้าวได้เยอะกว่าทุกวันด้วยรสชาติยำปลาทูทอดนั้นกลมกล่อมถูกใจ หนูแสนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนแม่ก็พลอยใจชื้นขึ้นบ้าง ได้แต่หวังว่าอาการป่วยของแม่จะดีวันดีคืนไม่แย่ไปกว่านี้อีก


หนูแสนหวังแค่ว่าแม่จะแข็งแรงและอยู่กับหนูแสนไปนานๆเท่านั้นเอง























...............................

#แสนคำนึง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๕๐%)) ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๑
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-01-2020 19:43:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๕๐%)) ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๑
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 17-01-2020 20:53:06


อ่านตอนนี้แล้วบอกไม่ถูก

มันหน่วงๆไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๕๐%)) ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๑
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-01-2020 22:25:33
เจอตอนนี้ไป จิตใจห่อเหี่ยวเลย
กลัวใจคุณใหญ่จัง กลัวจะไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย
ถ้ามีจริง คุณสนคงไม่ทนเป็นแน่ จากที่ว่าอนาคต
คุณสนจะเข้าในเรื่องคุณเล็กกับหนูแสน
ก็จะกลายเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์เป็นแน่แท้
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๕๐%)) ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๑
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-01-2020 13:04:55
เห้อออ!! ไม่เอาดราม่าน้า สงสาร
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๕๐%)) ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๑
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 18-01-2020 13:31:27
กลัวคุณใหญ่จะมีบ้านเล็กจัง สงสารคุณสนไม่อยากให้เจอปมชีวิตซ้ำเติมอีก
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๕๐%)) ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๑
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 21-01-2020 08:05:27


((ต่อ))




   “เฟื้อง เอ็งเอาคุณหนูไปนอนแล้วไปตามนายพันมาพบข้า”คุณสนส่งลูกสาวคนเล็กวัยสามเดือนให้นังเฟื้องเอาไปนอนหลังจากเข้าเต้าเรียบร้อยแล้ว เฟื้องหายไปเพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมบ่าวคนสนิทของคุณเล็กที่บัดนี้กลายมาเป็นคนขับรถให้คุณสนยามที่ต้องการจะไปธุระข้างนอก นายพันเข้ามายืมกุมมือสงบเสงี่ยมต่อหน้าเจ้านายสาว

   “คุณสนมีอะไรให้กระผมรับใช้หรือขอรับ?”

   “ที่ข้าให้เอ็งแอบตามคุณใหญ่ได้ความว่ายังไง?”คุณสนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นายพันรีบหลุบตามองต่ำ ท่าทีอ้ำอึ้งจนคุณสนถอนหายใจออกมาช้าๆ

   “ที่ไหน?”น้ำเสียงแสนเรียบคล้ายน้ำเย็นจัดที่รินรดหัว หากแต่เมื่อสัมผัสกลับทำให้ร้อนจนถึงสมอง นายพันเอ่ออ่าคล้ายคนติดอ่างจนคุณสนที่พยายามใจเย็นตบโต๊ะดังเปรี้ยง

   “ฉันถามว่าคุณใหญ่ไปที่ไหน!!”

   “ห...ห้องเสื้อของคุณสนขอรับ”นายพันละล่ำละลักบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คุณสนเมื่อได้ยินคำตอบก็กัดฟันกำมือแน่นในอกคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นเอาถ่านร้อนสุมมาใส่จนปวดแสบปวดร้อนไปหมด น้ำตาไหลออกจากสองข้างตา ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไร้เสียงกรีดร้อง ไร้เสียงสะอื้นคร่ำครวญอย่างที่นายพันเคยคิดไว้ มีเพียงเสียงลอดไรฟันที่ทำให้คนฟังขนลุกไปทั้งตัว

   “อีรัมภา!!”

   “วันนี้คุณพี่จะกลับกี่โมงคะ ให้สนเตรียมกับข้าวไว้รอหรือเปล่า”คุณสนเอ่ยถามในขณะที่กลัดกระดุมตรงปกชุดทหารให้สามี ดวงตาคมช้อนขึ้นสบตาอนลอย่างรอคำตอบ
   “เย็นนี้พี่คงกลับดึก ต้องตามนายไปราชการตั้งแต่บ่ายกว่าจะเสร็จก็คงดึกๆเหมือนเดิม สนกินข้าวไปเลยไม่ต้องรอพี่นะจ๊ะ”อนลขยับคอเสื้อให้เข้าที่ตอบกลับคุณสนด้วยน้ำเสียงรื่นหูเหมือนที่ผ่านมา คุณสนส่งยิ้มเย็นให้สามี

ทุกอย่างยังคงเดิมคล้ายกับไม่มีอะไร คุณสนยังคงปรนนิบัติคุณใหญ่เหมือนเช่นทุกวัน ก่อนออกไปทำงานก็พาหนูยิ่งกับหนูหยกมาลาคุณพ่อ พอคุณใหญ่ออกไปจากบ้านก็เอาผ้ามานั่งปักไม่พูดจากับใครแม้แต่นังเฟื้องบ่าวคนสนิท พอสายๆคุณหญิงผกาก็ให้บ่าวมาพาหนูยิ่งไปเลี้ยง

คงเดิมเช่นทุกวัน ที่ไม่เหมือนทุกวันคือพอตกเย็นคุณสนก็เรียกนายพันให้มาหาแล้วนั่งรถออกไปจากเรือนโดยสั่งให้นังเฟื้องดูแลหนูหยก ไม่ลืมกำชับให้พาไปให้คุณพะยอมกับหนูแสนช่วยเลี้ยงระหว่างที่ตนเองออกไปจากบ้าน
   “จอดอยู่ตรงนี้แหละ”คุณสนสั่งให้นายพันจอดรถในตรอกแคบๆตรอกหนึ่ง หน้ารถมองออกไปก็จะเป็นหน้าร้านของตนเอง นายพันเหงื่อตกเพราะรู้ว่าคุณสนกำลังจะจับให้ได้คาหนังคาเขาว่าคุณใหญ่แอบมามีบ้านเล็ก ที่สำคัญบ้านเล็กที่ว่าคือลูกจ้างที่คุณสนไว้ใจ ถือว่าเป็นมือขวาของคุณสนเลยก็ว่าได้เพราะทำห้องเสื้อด้วยกันมานานหลายปีจนกระทั่งคุณสนออกเรือนถูกขอไม่ให้มาทำงานที่ร้านจึงให้รัมภาเป็นผู้ดูแลร้านแทนตน

ก็ไม่เคยคิดว่าดูแลร้านไม่พอยังจะมาดูแลผัวแทนคุณสนอีกด้วย

ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตคุณสนก็ไม่คิดว่าตนเองจะมีความอดทนรออะไรได้นานขนาดนี้จนกระทั่งเกือบหกโมงเย็น รถยนต์คุ้นตาก็เคลื่อนเข้ามาจอดริมฟุตบาทหน้าร้านที่ลูกจ้างกลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่รัมภาที่อาศัยนอนอยู่ด้านบนของร้าน เลือดในกายของคุณสนเย็นเฉียบเมื่อผู้เป็นสามีเดินหายเข้าไปในร้าน

คุณใหญ่ทำการหยามใจเธอนัก ทั้งๆที่ร้านก็อยู่ใกล้ร้านขายผ้าของท่านเจ้าสัว ลูกน้องก็มากมายแต่กลับไม่กลัวเกรงเลยซักนิด คุณสนปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่แล้วจึงลงจากรถค่อยๆสาวเท้าก้าวเข้าไปเรื่อยๆ ประตูร้านนั้นปิดไปนานแล้วตั้งแต่คุณใหญ่หายเข้าไปลองขยับบานประตูด้านหน้าพบว่าถูกลงกลอนไว้เรียบร้อยแล้วดังนั้นคุณสนจึงเดินไปที่ข้างร้านเพื่ออ้อมไปทางด้านหลัง เพราะอยู่ตรงนี้มานานปี หล่อนรู้ดีว่ากลอนประตูด้านหลังไม่ค่อยดีนักมันหลวมเพราะว่าช่างเจาะรูกลอนตื้นเกินไปออกแรงเขย่าไม่กี่ทีกลอนประตูก็คลายออก คุณสนก้าวเข้าไปในร้านไร้เสียงคนพูดคุยด้านล่าง ข้างล่างว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ หญิงสาวสูดลมหายใจค่อยๆเดินขึ้นไปชั้นบนทุกย่างก้าวมันหนักราวกับมีหินมาถ่วงหากแต่กลับเงียบกริบราวกับฝีเท้าแมว เสียงพูดคุยดีงออกมาจากในห้องนอนใหญ่ไม่ใช่ห้องนอนเล็กที่จัดให้รัมภาอยู่ ห้องนอนที่เป็นของคุณสนเคยใช้พักระหว่างที่ทำงานที่ร้านนี้

อีขี้ครอก...ความโกรธสุมรุมอยู่ในอก มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบปืนออกมาถือไว้ ประตูห้องแง้มไว้เล็กน้อยเมื่อค่อยๆเปิดออกก็พบภาพบาดตากรีดลึกเข้าไปในอกด้วยผัวรักที่เคยสัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อเธอคนเดียวกำลังขยับร่างอยู่ด้านบนโดยมีลูกจ้างคนสนิทส่งเสียงครางยั่วยวนอยู่ด้านล่าง ใบหน้าสุขสมราวกับกำลังจะแตะขอบสวรรค์ทำให้คุณสนหมดความอดทน

   “มีความสุขกันมากมั้ย ถ้ามีมากก็ไปมีต่อในนรกแล้วกันอีชั่ว”คุณสนเหนี่ยวไกปืนใส่คนบนเตียงแต่แรงดีดของปืนเพราะว่าคุณสนยังยิงไม่เป็นทำให้พลาดเป้ากระสุนฝังกับหัวเตียงรัมภากรีดร้องอย่างตกใจ คุณใหญ่ผละออกจากชู้รักด้วยสีหน้าแตกตื่นคุณสนไม่พูดพร่ำทำเพลงปรี่เข้ามาหาสามีแล้วใช้ด้ามปืนตบลงบนหน้าของคุณใหญ่เต็มแรง อนลหน้าหันไปกับแรงตบนั้นยังไม่ทันได้อธิบายคุณสนก็กระโจนใส่รัมภา ฝ่ามือฟาดลงสองข้างแก้ม ทั้งตบทั้งขยุ้มผมของหญิงสาวคนสนิทอย่างไม่ออกแรง เสียงด่าด้วยความโกรธดังลั่นด้วยแรงอารมณ์รัมภาพยายามปัดป้องจากการทำร้ายของคุณสน เมื่ออนลตั้งสติได้ก็เข้ามาแยกทั้งสองคนออกแต่ตอนนี้คุณสนสติแตกไปแล้ว หล่อนเอาความอดทนอดกลั้นที่มีทั้งหมดมาระบายภายในวันนี้

   “อีร่าน กูไว้ใจให้มึงดูแลร้านให้กูมึงยังมาเป็นเมียน้อยผัวกู กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา วันนี้ถ้ากูไม่ฆ่ากูให้ตายอย่ามาเรียกกูว่าอีสน”คุณสนสะบัดตัวจนหลุดจากคุณใหญ่แล้วกระโจนเข้าใส่รัมภาอีกรอบหญิงสาวกรีดร้องด้วยกลัวตาย เห็นตัวเล็กๆแต่ว่าพอโกรธแล้วหล่อนก็ไม่รู้ว่าคุณสนไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน หญิงสาวจับหัวของรัมภากระแทกกับขอบเตียงจนหัวแตก อนลกระโจนเข้ามาจับเมียอีกครั้งเปิดโอกาสให้รัมภาหนีไป หญิงสาวด้วยความรักตัวกลัวตายก็รีบวิ่งออกจากห้องทั้งที่ยังมีสภาพเปลือยเปล่า คุณสนใช้เล็บข่วนหน้าคุณใหญ่จนคุณใหญ่เผลอปล่อยมือจากตัวของคุณสน หญิงสาวก้มลงคว้าปืนที่หล่นขึ้นมาถือแล้ววิ่งไล้รัมภาไปในขณะที่กำลังจะคว้าผ้ามาคลุมตัว รัมภาพอเห็นคุณสนวิ่งถือปืนตามมาก็กรีดร้องและรีบเปิดประตูวิ่งหนีออกไปนอกร้านทันทีท่ามกลางสายตาของคนที่สัญจรไปมา คุณใหญ่ที่ใช้ผ้าพันท่อนล่างมาแล้วรีบวิ่งมาแย่งปืนออกจากมือคุณสนแล้วรวบร่างของคุณสนลากกลับเข้าไปในบ้าน คุณสนที่ทั้งเหนื่อยทั้งโกรธเมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็กรีดร้องด้วยความแค้นใจอย่างสุดเสียง
เป้นกริยาที่คุณใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณสนในมุมนี้น่ากลัวเหลือเกิน

   “หล่อนทำกริยาแบบนั้นไปได้อย่างไรแม่สน พ่อใหญ่เสียชื่อเสียงจากการที่หล่อนไปไล่ตบไล่ตีเมียน้อยเหมือนคนไม่มีสกุลรุนชาติแบบนั้นได้ยังไง”คุณหญิงผกาเอ่ยตำหนิคุณสนทันทีเมื่อทราบเรื่องที่ผู้คนในแวดวงราชการของคุณใหญ่เอาไปพูดกันสนุกปากว่าคุณใหญ่คุมเมียไม่อยู่ปล่อยให้ไปอาละวาดตบตีกับเมียน้อยที่ข้างถนน คุณสนตวัดสายตามองคุณหญิงผกาด้วยสายตาแข็งกร้าวแบบที่ไม่เคยทำ

   “แทนที่คุณแม่จะมากล่าวหาสนว่าทำให้คุณใหญ่เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำไมคุณแม่ไม่ว่าคุณใหญ่เรื่องที่นอกใจสนไปมีเมียน้อยล่ะคะ”

   ไหล่อนจะโวยวายไปทำไม ใครๆเขาก็มีทั้งนั้นไม่ใช่ตาใหญ่คนแรกซักหน่อย”คุณหญิงผกาเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ในความคิดของหล่อนการที่ผัวมีเมียมากนั้นไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเพราะผู้ชายนั้นก็มีเมียมากกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว
   “คุณแม่อาจเห็นเป็นสำคัญแต่สำหรับสนไม่คิดอย่างนั้นค่ะ ก่อนแต่งงานกันคุณใหญ่สัญญากันสนเป็นมั่นเหมาะว่าจะมีสนแค่คนเดียว มาวันนี้คุณใหญ่ตระบัดสัตย์สนทนไม่ได้”

   “หล่อนก็เลยไปไล่ยิงไล่ฆ่าลูกชายฉันกับผู้หญิงคนนั้นเหรอแม่สน ถ้าวันนั้นหล่อนยิงโดนตาใหญ่ขึ้นมาจะทำอย่างไร ทำใจซะเถอะแม่สน ยังไงซะทำงานแบบนี้ถ้าออกหัวเมืองก็ไม่พ้นจะได้ผู้หญิงกลับมา หัดทำใจนิ่งๆใจกว้างใจเย็นดุจแม่น้ำเสียบ้างเถอะ สงบปากสงบคำทำตัวสูงๆให้สมกับเป็นเมียตบเมียแต่ง เมียน้อยมันก็แค่เมียน้อยตราบใดที่ผัวยังวางหล่อนไว้สูงที่สุดในบรรดาเมียก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายหล่อนอย่าทำตัวใจแคบนักเลย ดูอย่างฉันสิท่านเจ้าคุณก็มีนางเล็กๆตั้งหลายคนแต่สุดท้ายคนที่เป็นคุณหญิงก็มีแค่ฉันคนเดียว”

   “คุณแม่อยากจะทนก็ทนไปเถอะค่ะ คุณแม่ก็ถามใจตัวเองดูว่าทุกวันนี้มีความสุขดีหรือคะต้องแบ่งผัวให้คนอื่น สนไม่ทนหรอกค่ะ คุณใหญ่สัญญากับสนด้วยปากของคุณใหญ่เองเพราะฉะนั้นสนจะถือแค่คำสัญญาของคุณใหญ่เพียงคนเดียว ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วก็ควรเลิกซักทีกับความเชื่อเรื่องมีเมียมากแล้วจะแสดงอำนาจยิ่งใหญ่ สนเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ครั้งนี้สนจะยอมจบแต่ถ้ามีครั้งหน้าสนไม่รับปากนะคะว่าจะยิงพลาดแบบวันนี้อีกมั้ย สนลาล่ะค่ะเหนื่อยเต็มที”คุณสนยกมือไหว้ลาผู้เป็นแม่ผัวแล้วออกจากเรือนใหญ่ทันทีอย่างไม่ยี่หระกับท่าทางของคุณหญิงผกา ตอนนี้หล่อนไม่สนใจใครทั้งนั้นเพราะคุณใหญ่ทำตัวไม่สมกับความทุ่มเทความรักและการยอมเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของหล่อนเลย ต่อไปนี้หล่อนจะกลับไปเป็นคุณสนคนเดิม ในเมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วผลที่ได้คือการทรยศหล่อนก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทอะไรให้กับผู้ชายคนนี้อีกต่อไป



   ถึงหนูแสนที่คิดถึง
คุณเล็กดีใจที่จดหมายฉบับนี้จะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายของเราสองคน หลังจากจดหมายฉบับนี้ถึงหนูแสน ไม่นานคุณเล็กก็จะกลับไปถึงสยาม ตอนนี้เหลือแค่สอบก็จะสิ้นสุดการศึกษาที่นี่อย่างสมบูรณ์

ส่วนเรื่องพี่ใหญ่และคุณสนที่ระหองระแหงกันมาหลายปีนั้นคุณเล็กไม่อยากให้หนูแสนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย มันเป็นเรื่องในครอบครัวที่เขาต้องแก้กันเอง ในภายหน้าอาจจะมีปัญหาใหญ่ตามมานั่นก็เป็นเพราะพี่ใหญ่สร้างมันขึ้นมาดังนั้นพี่ใหญ่จึงต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง หากหนูแสนเจ้าไปยุ่งเกี่ยวนอกจากจะดูไม่ดีแล้วยังจะโดนคุณสนเกรี้ยวกราดใส่ สิ่งเดียวที่หนูแสนทำได้ก็คือช่วยดูแลหลานๆของเรา อย่าให้แกต้องรับอารมณ์ร้ายๆหรืออย่าให้แกเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยนัก ตายิ่งนั้นโตพอจะรู้แล้วว่าพ่อแม่มีปัญหากันส่วนหนูหยกก็กำลังเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้และเลียนแบบหากเห็นพ่อแม่ทะเลาะเกรี้ยวกราดใส่กันมากๆเกรงว่าจะซึมซับว่าความก้าวร้าวและการใช้อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติ คุณเล็กอยากให้หลานของเรามีนิสัยอ่อนโยนน่ารักแบบหนูแสนนะคะ หนูแสนเหมือนน้ำในแม่น้ำ นิ่งสงบและเย็นฉ่ำต่างกับคุณสนที่เหมือนทะเลมีแต่คลื่นแรงบ้างเบาบ้างไม่คงที่ คุณเล็กยินดีกับหนูแสนด้วยที่สำเร็จการศึกษาแล้ว โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ส่วนเรื่องงานที่ห้างร้านนั้นเมื่อมันเป็นกิจการในครอบครัวก็เลี่ยงไม่ได้ หนูแสนเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วในสายตาของเจ้าสัวเช็งเมื่อเรียนจบก็ต้องไปช่วยงานของครอบครัวเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากอยากอยู่ดูแลคุณน้าก็ควรให้คุณน้าช่วยพูดให้น่าจะดีกว่า หรือไม่ก็เอากิจการทำน้ำอบน้ำปรุงมาเป็นข้ออ้างว่าต้องช่วยดูแลแทนคุณน้าที่เจ็บป่วยเรื้อรัง อันที่จริงอาการป่วยของคุณน้าพะยอมนั้นอยากให้พาท่านไปหาหมอที่โรงหมอมากกว่ากินยาหม้อรักษาไปเรื่อยๆแบบนี้
การเติบโตเป็นผู้ใหญ่มันอาจจะเหนื่อยเพราะภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมีมากโขแต่คุณเล็กเชื่อว่าหนูแสนนั้นจะผ่านมันมาได้เพราะหนูแสนของคุณเล็กเป็นคนเก่งทั้งยังมีวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรับใบปริญญาเรียบร้อยแล้วคุณเล็กก็จะลงเรือหลังจากนั้นภายในหนึ่งเดือน หวังว่าเมื่อกลับไปหนูแสนจะมารอคุณเล็กนะคะ อยากเห็นหน้าใจจะขาด คุณเล็กจินตนาการหน้าตาของหนูแสนไม่ออกเลย ทุกวันนี้ยามอ่านจดหมายที่หนูแสนเขียนมาก็ได้แต่จินตนาการรูปหน้าของหนูแสนเป็นหนูแสนในวัยสิบสองขวบอยู่ร่ำไป ความตื่นเต้นนี้ล้นอยู่ในอกจนแทบจะว่ายน้ำกลับสยามอยู่แล้ว

คิดถึงสุดหัวใจ
ลิขิต สรอรรถโยธา


................................
#แสนคำนึง

จบตอนนี้อาจจะหายยาวนะคะเจอกันเมื่อจ่ายค่าเน็ตแล้ว5555555555555
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๑๐๐%)) ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๗
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 21-01-2020 08:47:36


เขาจะได้เจอกันแล้ว..

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๑๐๐%)) ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๗
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 21-01-2020 12:20:21
อืออออออรีบมาต่อน้าา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๑๐๐%)) ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๗
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-01-2020 15:52:37
จจนได้นะคุณใหญ่ สงสารคุณสนมาก

รอคุณเล็กมายโฉมหนูแสน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๑๐๐%)) ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-01-2020 18:59:50
เห้ออออ สงสารคุณอะ ไม่น่าเจอแต่เรื่องแย่ๆเลย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๑๐๐%)) ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๗
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 22-01-2020 00:34:36
โธ่ คุณสน นี่แหละนะผู้ชายเจ้าชู้ ตอนอยากได้เค้าก็พูดได้ทำได้ทุกอย่าง
พอหางโผล่ล่ะ เฮ้อออ ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวอีก เจ็บมาก
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๐ ((๑๐๐%)) ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๗๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 22-01-2020 10:30:32


แสนคำนึง
ตอนที่ ๑๑

๕๐%

   “แม่สนเป็นอย่างไรบ้างเฟื้อง”คุณพะยอมที่กำลังเล่นกับหนูหยอกวัยสองขวบเอ่ยถามถึงลูกสาวคนกลางด้วยความเป็นห่วง
   “แย่เจ้าค่ะ นับวันจะยิ่งเกรี้ยวกราดโมโหร้าย ทะเลาะกับคุณใหญ่เธอได้ทุกครั้งที่กลับบ้านผิดเวลา”นังเฟื้องตอบอย่างเหนื่อยใจเมื่อเอ่ยถึงนายสาวที่บัดนี้ความใจร้อนโมโหร้ายกลับมาอีกครั้ง หลังจากปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อผู้ชายที่ตนเองเลือกมาเป็นสามี

   “วันก่อนข้าได้ยินเสียงทะเลาะโวยวายดังมาตอนเกือบสองยาม สงสารหลานๆ ต้องมาเห็นพ่อแม่ตีกันแทบทุกวัน”

   “คุณยิ่งยังไม่เท่าไหร่ค่ะ คุณหญิงผกาเธอให้เอาไปนอนด้วย รายนั้นเป็นหลานรักคุณย่าค่ะ สงสารแต่คุณหนูหยก สะดุ้งตื่นมาร้องทุกครั้ง บ่าวก็จนปัญญาจะปลอบ”

   “ข้าก็สามวันดีสี่วันไข้ จะเอาแม่หยกมาเลี้ยงก็เกรงจะเป็นลมเป็นแล้งอุ้มกันตกน้ำตกท่าไป สงสารเหลือเกินเพิ่งจะได้สองขวบ หากเห็นพ่อแม่สาดอารมณ์ใส่กันคงมิแคล้วจะเป็นแม่สนคนที่สองเอาน่ะสิ”

   “ให้หนูหยกมานอนกับแสนก็ได้จ้าแม่”หนูแสนนั่งช่วยบ่าวกรอกน้ำอบใส่ขวดขันอาสา อันที่จริงแล้วก็เวทนาหลานสาวอยู่ไม่น้อย หนูแสนในวัยยี่สิบปีเติบโตเต็มวัยหากแต่กลับไม่ได้สูงเหมือนยักษ์ปักหลั่นหรือตัวใหญ่เหมือนคุณเสนพี่ชายคนโตแต่กลับกันรูปร่างของหนูแสนนั้นสูงกว่าคุณสนเพียงนิดเดียว เอวบางร่างน้อยราวนางเอกงิ้วผิวกายขาวราวน้ำนมดูอิ่มเอิบผุดผ่องด้วยการอยู่การกินสมบูรณ์พร้อมพรั่ง ดวงตากลมโตผิดจากลูกคนจีนด้วยได้ตาสองชั้นแบบคนสยามจากแม่ ริมฝีปากบนบางรับกับริมฝีปากล่างอิ่มเต็มสีแดงเรื่อเพราะไม่เคยเสพยาเมาหรือสูบบุหรี่หรือยาเส้นแบบที่ผู้ชายนิยมชมชอบ เรือนกายมีกลิ่นหอมติดอยู่ตลอดเพราะคลุกคลีอยู่กับน้ำอบน้ำปรุง เดินไปทางใดบ่าวไพร่ก็รู้ว่าบุตรชายคนเล็กของท่านเจ้าสัวมาแล้ว คุณน้าคนเล็กเดินไปล้างมือล้างไม้ที่โอ่งน้ำนอกชายคาแล้วจึงเดินกลับมาหาหลานสาว อุ้มหนูหยกมานั่งตักแล้วบิขนมสาลี่เป็นคำเล็กๆป้อนให้หลาน

   “คุณหญิงผกาก็แปลกนะเจ้าคะ “เฟื้องเปิดประเด็นถึงคนเรือนนู้น

   “เธอเอาแต่คุณหนูยิ่ง กับคุณหนูหยกเล่นด้วยแป๊บๆก็ไม่เอาแล้ว”

   “เอ็งก็พูดไป หนูยิ่งคุณหญิงเธอก็ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่แรก ส่วนหนูหยกแม่สนเขาเลี้ยงเองบ้างเอามาให้ฉันเลี้ยงบ้างเธอจะเอาตอนไหนมาเล่นกับหลานล่ะ ยิ่งเกิดเรื่องคราวนั้นแม่สนยิ่งไม่เอาลูกไปให้แม่ผัวเล่นด้วยอีก”

   “คุณล่ะก็มองโลกในแง่ดีเกินไปนะเจ้าคะ รู้อยู่แก่ใจ”นังเฟื้องอดจะค่อยคุณพะยอมไม่ได้แต่พอเห็นหนูแสนมองหน้าอย่างตำหนิก็รีบตบปากตัวเอง

   “บ่าวขอประทานโทษเจ้าค่ะ บ่าวก็แค่ห่วงคุณหนูหยก”

   “เอาเถอะแล้วก็ให้แล้วไป แต่ข้าขอเตือนว่าอย่าไปพูดแบบนี้ให้ใครฟังอีก คนเห็นด้วยก็อาจจะมี คนที่ไม่เห็นด้วยเขาจะไปเพ็ดทูลอะไรก็ได้ สุดท้ายคนที่จะได้รับผลกระทบนี้ก็คือแม่สน”

   “เจ้าค่ะ บ่าวจะจำไว้”



   คุณสนนั่งปักผ้าอยู่ที่ห้องรับแขก ดวงตาคมตวัดมองคุณใหญ่ที่แต่งตัวเสียหล่อฉีดน้ำหอมจนกลิ่นฟุ้งเตรียมตัวจะออกจากบ้านทั้งๆที่เป็นวันหยุด

   “จะออกไปไหนคะคุณพี่” น้ำเสียงที่เอ่ยถามไร้ความอ่อนหวาน กลับกันมันมีแววประชดประชันจับผิดอยู่เต็มเปี่ยม
แม้จะบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นหล่อนจะให้มันแล้วกันไป แต่แผลที่เกิดในใจนั้นมันหาได้สมานกันไม่ ความรักนั้นยังมีเต็มล้นหากแต่ความไว้เนื้อเชื่อใจมันไม่เหลืออยู่ คุณใหญ่ถอนหายใจก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

   “ไปสโมสร”

   “ไปกับใครคะ?”

   “นัดกินน้ำชากับพวกท่านเจ้าคุณราชปาลี สนจะสนใจไปทำไมพี่ไปสังสรรค์บ้างไม่ได้หรือ”

   “ถ้าไปสังสรรค์กันในหมู่ผู้ชายสนก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ กลัวแต่ว่าเอางานมาอ้างแล้วไปแอบกกกับใครอีก สนขอเตือนนะคะ ตอนนี้สนยิงปืนแม่นแล้ว หากมีอีกครั้งคราวนี้สนไม่พลาดแน่”คุณสนพูดจบก็หันไปสนใจกับผ้าที่ปักตามเดิม คุณใหญ่เองเมื่อได้ยินดังนั้นก็หุนหันออกไปด้วยความรำคาญ

   “นับวันยิ่งทำตัวน่าเบื่อ คิดว่าฉันกลัวนักรึไง ที่ทนทุกวันนี้ก็เพื่อลูกหรอก”เสียงรถแล่นออกไปแล้วคุณสนช้อนตามองตามท้ายรถด้วยสายตาที่วาวขึ้นด้วยความกรุ่นในใจ เลือดไหลซึมปลายปลายนิ้วที่ถูกเข็มตำลงบนผ้าผืนขาวที่มีลายปักนกเงือกสองตัวเกาะบนกิ่งไม้คู่กัน

ไม่มีใครรู้ว่าในใจของคุณสนนั้นคิดอะไรอยู่ มันเรียบนิ่งและสงบคล้ายทะเลที่สงบไร้คลื่นลม ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ความสงบนั้นมีคลื่นใต้น้ำค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละน้อย รอวันถล่มเข้าชายฝั่งในวันใดวันหนึ่ง



   ปารีส ฝรั่งเศส

เพราะใกล้จะได้กลับสยามแล้วสายของวันนี้ท่านชายอาทิตย์จึงได้ชวนบรรดานักเรียนไทยทุกคนมาหาซื้อของฝากของที่ระลึกกลับไปฝากคนทางบ้าน คุณเล็กจึงได้มีโอกาสตามเสด็จท่านชายมาที่ตลาด Marché Bastille ซึ่งเป็นตลาดที่ขายของหลากหลายชนิด มีทั้งอาหารพื้นเมือง ต้นไม้รวมทั้งของฝากของขวัญ มีผู้คนแวะเวียนมาจับจ่ายใช้สอยหนาตาโดยเฉพาะวันนี้ที่เป็นวันหยุด บรรยากาศคุกคัก กลิ่นหอมของขนมชนิดต่างๆโชยมาให้อยากลิ้มรส เมื่อมาถึงด้านหน้าท่านชายอาทิตย์จึงบอกให้บรรดาหนุ่มๆแยกย้ายกันไปซื้อของฝาก

   “ซักบ่ายสามกลับมาเจอกันตรงนี้”เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยคุณเล็กจึงแยกออกไปเดินดูของเพียงคนเดียว เขาแวะไปนั่งจบกาแฟกับของว่างเป็นการรองท้องแล้วคิดว่าตนควรซื้ออะไรฝากใครบ้าง เพราะท่านผ่านมาคุณเล็กไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยดังนั้นเงินเก็บจึงมีมากพอที่จะซื้อของไปฝากทุกคนหากแต่ที่สำคัญๆมีเพียงคุณหญิงผกา คุณกลางพี่สาว และหนูแสนเท่านั้น ส่วนคุณใหญ่ คุณรองนั้นเป็นผู้ชาย ไม่ได้สนใจเรื่องของฝากนัก ส่วนคุณน้อยที่อายุเท่าหนูแสนนั้นเป็นสาวแล้วเขาอาจจะซื้อหวีเสียบผมที่เป็นรูปดอกไม้เล็กๆให้หล่อนซักอัน คุณเล็กยังคิดเผื่อไปถึงคุณสนและลูกๆรวมทั้งคุณพะยอมและเจ้าสัวเช็งอีกด้วย เมื่อกินกาแฟเสร็จคุณเล็กจึงเริ่มเดินเข้าไปในตรอกพ่อค้าแม่ค้าเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวก็ส่งเสียงร้องเรียก ลิขิตเดินเข้าไปที่ร้านขายเครื่องประดับสตรีเพื่อซื้อของให้คุณกลางกับคุณน้อย คุณกลางนั้นคุณเล็กซื้อเป็นกำไลข้อมือให้ส่วนคุณน้อยเป็นหวีประดับด้วยดอกไว้และมีผีเสื้อตัวเล็กๆดูเหมาะกับผู้หญิงที่อายุยังไม่มาก คุณเล็กไปเจอท่านชายอาทิตย์ในร้านขายไวน์ต่างคนต่างหาซื้อไว้ไปคนละสองสามขวดเพื่อเป็นของฝากเมื่อเห็นขวดที่คุณเล็กเลือกเป็นไวน์ราคาค่อนสูงคุณภาพดีก็อดชมถึงรสนิยมของคุณเล็กไม่ได้ท่านชายให้คุณเล็กฝากไวน์ไว้กับท่านจะได้เดินไปซื้อของอย่างอื่นได้สะดวกด้วยว่าท่านมีคนรับใช้มาคอยถือของด้วย เมื่อแยกกันคุณเล็กจึงเดินต่อเพื่อซื้อของฝากหนูแสนและหลานๆ หนูหยกนั้นเพิ่งจะสองขวบดังนั้นคุณเล็กจึงซื้อตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่เย็บจากผ้านิ่มๆส่วนหนูยิ่งนั้นหกขวบแล้วคุณเล็กซื้อดาบไม้อันไม่ใหญ่มากกับโล่อันเล็กๆพอดีกับตัวเด็กให้หลาน ส่วนของหนูแสนนั้นคุณเล็กเลือกเป็นกล่องดนตรีที่ด้านบนเป็นม้าหมุนทำจากไม้รูปร่างน่ารัก เมื่อเดินซื้อของฝากให้คุณพะยอมเป็นพัดลูกไม้ที่ด้ามฉลุเป็นลวดลายสวยงามหนึ่งอันและผ้าลูกไม้เนื้อดีให้คุณสนเอาไว้ตัดชุดเป็นพับเล็กๆประมาณสามเมตรเสร็จคุณเล็กก็หอบถุงของพะรุงพะรังกลับมารอตรงจุดรวมที่ท่านชายนัดไว้ ของถูกคนรับใช้มารับไปลำเลียงที่รถ ระหว่างทางกลับคุณเล็กมองบรรยากาศสองข้างทางด้วยต้องการจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ เวลาเกือบแปดปีจะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น หากแม้คุณเล็กไม่มีใครรอคอยและไม่มีใครอยากกลับไปหา การใช้ชีวิตที่นี่ก็สุขสบายดี ทั้งบรรยากาศและความเจริญของบ้านเมือง ความหัวก้าวหน้าของผู้คน คุณเล็กชอบบรรยากาศที่ผู้คนออกมานั่งพูดคุยวิจารณ์การทำงานของชนชั้นปกครองได้อย่างเสรี

หลังจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว ด้วยรู้ดีว่าสยามนั้นยังล้าหลังกว่าประเทศแถบยุโรปมากนัก

สามวันหลังจากนั้นคณะนักเรียนไทยในปารีสก็เก็บของออกจากบ้านพักเดินทางมาที่เรือเดินสมุทรลำใหญ่ที่จะพานักเรียนไทยกลับสู่ประเทศ ในขณะที่คุณเล็กกำลังจะขึ้นเรือก็มีสตรีต่างชาตินางหญิงจูงลูกชายวัยเจ็ดขวบวิ่งมาร้องเรียกอยู่ด้านล่าง หล่อนหอบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ติดตัวมาด้วย

   “เล็ก เธอจะทิ้งฉันไปแบบนี้ไม่ได้ เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเราตกลงกันไปอย่างไร เธอจะทำกับฉันและลูกอย่างนี้ไม่ได้!!”หญิงสาวชาวฝรั่งเศสนางนั้นจ้องหน้าของลิขิตอย่างไม่กลัวเกรง

   “ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเธอจะทิ้งฉันกับอเล็กซ์ไว้ที่นี่ฉันจึงซื้อตั๋วเรือไว้แล้ว ยังไงเธอก็ต้องพาฉันกลับสยามไปด้วย ลูกของฉันต้องมีพ่อเธอต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย”



   
   วันนี้หนูแสนลงมาที่ครัวตั้งแต่เช้ามืด เมื่อสามวันก่อนหนูแสนให้นายมีขับรถไปที่กรมท่าเพื่อดูว่าเรือจากปารีสจะเทียบท่าวันไหน ในหัวของหนูแสนมีเมนูอาหารหลายอย่างที่อยากจะทำให้คุณเล็กได้ทาน เรือจะเทียบท่าตอนเก้าโมงเช้า กว่าคุณเล็กจะกลับมาถึงบ้านก็น่าจะเที่ยงๆ หนูแสนทำกับข้าวสำหรับขึ้นสำรับตอนเช้าให้คนในบ้านโดยไม่ลืมแบ่งใส่หม้ออวยเล็กๆให้บ่าวเอาไปให้คุณสนและหนูหยกที่เรือนนู้น เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วหนูแสนจึงต้มเนื้อกับใบมะกรูด ข่า ตะไคร้สำหรับทำแกงรัญจวน ตำน้ำพริกกะปิเตรียมไว้

   “ยายแช่มจ๋า หนูแสนฝากดูเนื้อในหม้อด้วยนะจ๊ะ หนูแสนจะเคี่ยวเอาไว้ทำแกงรัญจวนให้คุณเล็ก”

   “ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวยายแช่มคอยดูให้นะเจ้าคะ”

   “งั้นหนูแสนไปช่วยบ่าวทำน้ำปรุงก่อนนะคะ วันนี้คุณกล้าจะมารับของเธอจะกลับแปดริ้วแล้วครั้งนี้สั่งมากต้องไปตรวจนับให้ดีๆกลัวจะขาด”

   “เจ้าค่ะ”
   
   “คุณพี่เจ้าคะ ช่วยน้องดูหน่อยสิคะว่าตาเล็กออกมาแล้วหรือยัง”คุณหญิงผกาหันไปตีอกเจ้าคุณสรอรรถที่เอาแต่พูดคุยกับคุณพระวรนาทที่มารอรับลูกชายเหมือนกัน บรรดาผู้โดยสารหลากหลายเชื้อชาติต่างพากันทยอยลงเรือน้ำเสียงจอแจราวนกกระจอกแตกรังยามเมื่อพบคนที่มารับ บรรดานักเรียนไทยต่างทยอยลงมาจากเรือแยกย้ายกันกลับบ้านจนกระทั่งคณะของท่านชายอาทิตย์คุณหญิงผกามองหาลูกชายคนเล็กก็พบว่าคุณเล็กนั้นเดินรั้งท้ายขบวนรูปร่างสูงใหญ่ท่วงท่าสง่างามผิดจากเด็กหนุ่มเมื่อ 8 ปีก่อน หากแต่คุณหญิงผกานั้นจำลูกชายได้อย่างแม่นยำด้วยผิวกายขาวสะอาดสะอ้านใบหน้าหล่อเหลาหมดจรดไม่ได้ทิ้งเค้าเดิมซักเท่าไหร่ คุณเล็กเมื่อมองมาเห็นครอบครัวก็รีบเดินเข้ามาหาวางกระเป๋าเดินทางและข้าวของที่คนเรือเอาออกมาวางไว้ให้แล้วไหว้ท่านเจ้าคุณสรอรรถผู้เป็นบิดาเป็นคนแรก

   “กระผมกราบคุณพ่อขอรับ”เจ้าคุณสรอรรถคว้าร่างลูกชายมากอด ตบหลังลูกเบาๆ

   “กลับมาซักทีนะตาเล็ก พ่อดีใจ”ท่านเจ้าคุณคลายกอดจากลูกชายเพื่อให้คุณเล็กได้ทักทายคุณหญิงผกาให้สมกับที่คิดถึงมาหลายปี

   “กราบคุณแม่ค่ะ”คุณเล็กไหว้ผู้เป็นแม่ คุณหญิงผกายิ้มอย่างปลื้มปริ่มในอกยิ่งได้ยินคำคะขาจากปากลูกความคิดถึงก็ถูกกลั่นเป็นน้ำตาโผเข้ากอดซบลูกชายที่อ้าแขนรับอย่างแสนรัก

   “โถลูก แม่คิดถึงเหลือเกิน กลับมาคราวนี้ไม่ไปไหนแล้วนะลูก”

   “ไม่ไปแล้วค่ะ เล็กกลับมาอยู่กับคุณแม่แล้วค่ะ”คุณหญิงผการัดร่างลูกชายแน่นๆไปหนึ่งครั้งให้สมกับที่คิดถึงก่อนจะผละออกหากแต่สายตากลับมองเห็นผู้หญิงฝรั่งผมบลอนด์กับเด็กชายอายุโตกว่าหนูยิ่งหน้าฝรั่งผมดำเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของคุณเล็ก พูดจาด้วยภาษาที่เธอฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็ให้สงสัย

   อะไรกันตาเล็ก ฝรั่งนี่ใครกัน”

   “คุณแม่คะ นี่แอนนากับอเล็กซ์ค่ะเป็นเมียของ...”คุณหญิงผกาไม่ทันได้ฟังคำแนะนำของคุณเล็กให้จบก้ชิงเป็นลมไปก่อนเจ้าคุณสรอรรถกับคุณเล็กต้องรีบรับร่างของคุณหญิงไว้ก่อนที่จะร่วงลงไปกองกับพื้น


ทางด้านหนูแสนหลังจากรอเวลาจนกระทั่งเที่ยงก็กลับเข้ามาในครัวเพื่อปรุงแกงรัญจวนไว้ให้คุณเล็ก กลิ่นน้ำพริกกะปิที่เอาลงในหม้อหอมฟุ้งไปทั่วครัว หนูแสนปรุงรสแล้วตักแกงใส่ชามเบญจรงค์ใบใหญ่ นังเฟื้องวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในครัวนั่งลงด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ

   “วิ่งทำไมล่ะเฟื้อง แก่แล้วนะทำตัวเป็นเด็กสาวรุ่นๆไปได้”

   “มาแล้วค่ะ คุณเล็กมาแล้วค่ะ ง๊ามงามเจ้าค่ะ โตขึ้นมากเลยทีเดียว”เพียงได้ยินชื่อของคุณเล็กหัวใจของหนูแสนก็เต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นดีใจ หากแต่ประโยคต่อมาหัวใจที่พองฟูเหมือนลูกโป่งอัดลมก็พลันแตกสลายเมื่อนังเฟื้องพูดว่า

   “แต่คุณเล็กเธอพาเมียแหม่มมาด้วย มีลูกชายโตกว่าคุณยิ่งมาอีกหนึ่งคนเจ้าค่ะ”


...........................

#แสนคำนึง

พ๊าม ผ่าม พ้ามมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๕๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๓
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-01-2020 10:54:49
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๕๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๓
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-01-2020 12:50:46
หัวใจสลายเลยหนูแสน
 คนอ่านน้ำตาคลอ สงสารหนูแสน

มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๕๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 22-01-2020 13:16:54


ต่อ)


   “นังแม้นเอายาลมมาให้ข้า ข้าจะเป็นลม”คุณหญิงผกาที่นั่งพิงอกคุณเล็กเรียกหายาดม หนูยิ่งที่นั่งอยู่ไม่ห่างด้วยติดคุณย่านักก็บีบนวดแขนขาให้อย่างเอาใจ คุณหญิงผกามองหน้าแหม่มคนสวยและอเล็กซ์ลูกชายแล้วลมจะจบอีกรอบ
ลูกหนอลูก แม่ส่งไปเล่าเรียนถึงเมืองนอก แทนที่จะสนใจแต่เรื่องเรียนดันไปซุกซนจนปล่อยให้ฝาหรั่งมังค่ามันตามกลับมาถึงสยาม
   “รอสักประเดี๋ยวเถอะได้บ้านแตก”ท่านเจ้าคุณสรอรรถที่ยืนเอามือไขว้หลังมองออกไปนอกระเบียงอย่างรอคอย
   “ตาเล็ก ถามเขาให้แม่หน่อยว่าหิวมั้ย สงสารเด็ก ยังไงก็หลาน ให้เขามากินข้าวกินปลาเถอะจะบ่ายแล้ว”ที่สุดคุณหญิงผกาก็อดสงสารเจ้าเด็กตาน้ำข้าวนั่นไม่ได้ คุณเล็กหันไปส่งภาษาพูดคุยกันแอนนาและเด็กชายทั้งสองจึงได้ลุกขึ้นเดินตามคุณหญิงผกาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
   “ดีนะบ้านเรานั่งโต๊ะกินข้าวกันมาหลายปีตามแบบพระเจ้าอยู่หัว ลองให้มานั่งเปิบข้าวด้วยมือคงไม่ต้องกินกัน”คุณหญิงผกาจัดแจงตักข้าวให้ท่านเจ้าคุณ ก็พอดีกับที่นังเฟื้องประคองชามใส่แกงรัญจวนขึ้นมาบนเรือน
   “เอาอะไรมาล่ะนังเฟื้อง”
   “คุณแสนให้เอาแกงรัญจวนมาให้เจ้าค่ะ”คุณเล็กที่นั่งอยู่ถึงกับหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อของหนูแสน ใจที่เดยสงบนิ่งกลับเต้นโครมครามราวกับหนุ่มรุ่นได้ยินชื่อสาวคนรัก หากแต่จำตั้งสงบใจสำรวมกริยาไว้ไม่ให้เป็นพิรุธ
   “ดีจริง ของโปรดตาเล็ก หนูแสนช่างรู้ใจ แล้วทำไมหนูแสนไม่มากินข้าวด้วยกันที่เรือนนี้ล่ะ”
   “คุณแสนให้เรียนว่าไม่สบายค่ะ เลยขอตัว”
   ตายจริง เป็นอะไรไปเป็นไข้หัวลมหรือเปล่า เมื่อวานยังเห็นวิ่งรอกส่งน้ำปรุงอยู่ หยูกยาหาให้กินหรือยัง?”
   เธอบอกทานข้าวแล้วจะนอนพักซักหน่อย ประเดี๋ยวก็หายเจ้าค่ะ”
   “ฝากบอก ว่าข้าขอบใจ อันที่จริงหนูแสนพักบ้างก็ดี ตัวก็เล็กแค่นั้นทำงานหามรุ่งหามค่ำเกินตัว เอ็งกลับไปดูแลนายของเอ็งเถอะ หายมานานเดี๋ยวเขาจะมาถอนหงอกข้าเอาได้”นังเฟื้องลากลับไปแล้วหากแต่ชื่อของหนูแสนยังคงก้องอยู่ในอก
ความคิดถึงยิ่งรุมเร้าจนอยากจะตามไปดูให้รู้แน่ว่าเจ้าน้องน้อยในกาลก่อนป่วยไข้ไม่สบายตรงไหน หากแต่จำต้องนั่งกินข้าวและคอยดูแลสองแม่ลูกที่ยังไม่ค่อยคุ้นกับอาหารไทยนัก
   “กินได้หรือไม่ล่ะนั่น เห็นตาใหญ่บอกว่าพวกฝาหรั่งไม่คุ้นลิ้นคุ้นกลิ่นกับพวกกะปิน้ำปลา ถ้ายังไงให้พวกบ่าวมันทอดไข่ให้เอามั้ย หรือจะให้กุ๊กเจ๊กทำอาหารจีนให้กิน?”คุณเล็กหันกลับไปพูดกับแอนนาและลูก หญิงสาวยกมือไหว้ด้วยท่าทางเก้งกัง
   “หล่อนบอกว่าไม่เป็นไรค่ะแม่ แอนนากับลูกกินได้”
   “แบบนั้นก็ดี บอกเขา ถ้าจะอยู่ที่นี่ก็ต้องหัด”เจ้าคุณสรอรรถเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา มื้ออาหารมื้อนั้นจึงเริ่มและจบอย่างเรียบง่าย คุณเล็กเจริญอาหารกว่าตอนอยู่ฝรั่งเศสมากนัก ที่ตักบ่อยจนแทบจะเก็บไว้กินคนเดียวก็คือแกงรัญจวนของหนูแสน คุณหญิงผกาเห็นลูกชายกินข้าวได้มากก็ปลื้มใจ
   “ท่าจะคิดถึงอาหารบ้านเรามากสินะ กินได้มากเชียว”
   “ค่ะ คิดถึง คิดถึงมากๆ”คุณเล็กตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มๆ ไม่มีใครรู้ว่าคำว่าคิดถึงที่คุณเล็กพูดนั้นไม่ได้หมายถึงอาหาร แต่เป็นคนที่ทำอาหารชามนั้นต่างหาก

   “คุณหญิงเจ้าขา คุณใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”นังแม้นที่ถูกคุณหญิงผกาสั่งให้ไปนั่งคอยดูว่าบุตรชายคนโตจะกลับมาเมื่อไหร่รีบวิ่งกลับมารายงาน คุณหญิงผกาพยักหน้าแล้วจึงสั่งให้นังแม้นไปเชิญคุณเรือนนู้นมา ซึ่งก็หมายถึงคุณใหญ่และคุณสน ไม่นานทั้งคุณใหญ่และคุณสนก็มาถึงเรือน ทั้งคู่ยกมือไหว้คุณหญิงผกา
   “คุณแม่เรียกลูกกับแม่สนมามีอะไรหรือครับ?”
   “แม่มีเรื่องจะคุยด้วย ก็เลยต้องเรียกมาทั้งสองคน”
   “เกี่ยวกับสนด้วยหรือคะ?”คุณสนถามอย่างแปลกใจ ด้วยตั้งแต่เกิดเหตุคราวก่อนความสัมพันธ์ของคุณหญิงผกากับคุณสนก็ทบจะขาดออกจากกัน คุณหญิงผกาไม่ไปหาหลานๆที่เรือน ไม่เรียกคุณสนเข้าพบ ไม่คุยกันมานานปี มาวันนี้กลับให้บ่าวไปตามมาพบ
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
   “เกี่ยวกับหล่อนโดยตรง ก็อยากจะพูดกันต่อหน้า”คุณหญิงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆไร้การประชดประชัน ด้วยเรื่องที่กำลังพูดนั้นใหญ่มาก หากพูดอะไรผิดพลาดไปแม้แต่นิดอาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ อดนึกค่อนสามีไม่ได้ที่ทิ้งให้คุณหญิงผกาแก้ไขปัญหานี้เพียงลำพัง เจ้าตัวหนีไปนั่งคุยกับพระมหาที่วัดปากน้ำเอาเสียดื้อๆ
   “แม่สน แม่ก็เห็นแม่สนมาตั้งแต่เกิด แม่กับแม่พะยอมก็เป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเป็นนางข้าหลวงในวัง สิ่งที่แม่จะพูดต่อไปนี้ แม่อยากให้แม่สนค่อยๆคิดตริตรองและทำใจให้นิ่งสงบเอาไว้”
   “คุณแม่มีอะไรจะบอกสนคะ สนไม่เข้าใจสิ่งที่คุณแม่จะสื่อ บอกกันตรงๆมาเลยเถอะค่ะไม่ต้องอ้อมค้อม ถ้าเป็นสิ่งที่สนยอมรับได้ สนก็จะรับฟัง”
   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ฉันก็ไม่อยากอ้อมค้อมแต่อยากถนอมน้ำใจหล่อนจึงต้องเกริ่นนำ นังแม้น ไปเชิญคุณเขามา”คุณหญิงผกาหันไปบอกบ่าวที่คอยรับใช้อยู่ใกล้ แม้นเดินไปทางห้องที่เคยเป็นห้องนอนเก่าของคุณใหญ่ ไม่นานแอนนาที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเหมือนที่ชาวสยามแต่งกันและเด็กชายอเล็กซ์ที่เปลี่ยนมาสวมเสื้อป่านและกางเกงจีนก็เดินตามบ่าวออกมา คุณใหญ่เมื่อหันไปเห็นก็สะดุ้ง ร่างทั้งร่างชาวาบหันมามองคุณสนที่ต้องแอนนาและเด็กชายไม่วางตาด้วยความตกใจ ครั้นพอแอนนาเห็นคุณใหญ่ที่นั่งอยู่ก็ดีใจกรีดร้องส่งเสียงเรียกดังลั่นเรือนรีบลากลูกชายมาหาแล้วสวมกอดคุณใหญ่ไว้ทันทีด้วยความคิดถึง
   “อนล ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน”หล่อนประคองหน้าของอนลแล้วประกบจูบด้วยความเคยชิน คุณหญิงผกายกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ พาลจะเป็นลมไปอีกรอบ ส่วนคนสนลุกขึ้นยืนปรี่เข้าไปแยกคนทั้งคู่ออกจากกันด้วยแรงโทสะ
   นี่มันอะไรกันคะคุณพี่!!”คุณสนหายใจแรงด้วยระงับความโกรธเกรี้ยวในใจไม่ได้
“สนอย่าเพิ่งโวยวายฟังพี่ก่อน”
“ฟังอะไรคะ คุณพี่อธิบายมาก่อนสนจะตบอีนั่นที่มันบังอาจมาจูบคุณพี่ต่อหน้าสน”
“แอนนา เธอมาได้ยังไง?”คุณใหญ่หันไปหาแหม่มแอนนาที่กำลังกอดลูกชายไว้ด้วยว่าเด็กชายตกใจกับเหตุการณ์ด้านหน้า
“เธอไม่ติดต่อฉัน ฉันกับลูกต้องการเธอนะอนล ไหนเธอสัญญากับฉันว่าจะไปรับฉันกับลูกมาอยู่ด้วยยังไงล่ะ ฉันรอเธอตั้งหลายปีเธอก็ไม่ไปซักทีพอฉันรู้ว่าเล็กจะกลับสยามฉันจึงซื้อตั๋วเรือเที่ยวเดียวกันตามกลับมาด้วย แล้วผู้หญิงคนนี้ใครกัน? ทำไมเขาทำตัวเป็นเจ้าของเธอ หรือว่า หล่อนเป็นเมียเธอที่นี่? เธอนอกใจฉันหรืออนล?”
“ใช่ คนนี้คือเมียฉันเอง เธอใจเย็นก่อนเดี๋ยวฉันขอจัดการกับสนก่อน”อนลขอให้แอนนาใจเย็นเพราะคนที่เขาต้องจัดการก่อนก็คือคุณสนที่ตอนนี้คล้ายภูเขาไฟที่ปะทุลาวาร้อนออกมาเตรียมเผาผลาญทุกคน
“สน ฟังพี่ นี่คือแอนนา...”
“สนไม่ได้อยากรู้จักชื่อของมัน สนอยากรู้แค่ว่ามันเป็นใคร เป็นอะไรกับคุณพี่!!”คุณสนตวาดสวนทันทีที่คุณใหญ่เอ่ยชื่อของแอนนา
“เป็นเมียพี่ที่ฝรั่งเศส” คุณใหญ่เอ่ยตอบอย่างรำคาญที่คุณสนไม่สนใจจะฟังคำอธิบาย คุณสนมองหน้าทั้งสองคนแล้วจึงปรี่เข้าไปหาแอนนาหวังจะตบให้ตายคามือหากแต่อนลรีบเข้าไปปกป้องแอนนาที่คุณสนหันไปเตรียมจะเล่นงานจนคุณสนร้องกรี๊ดดังลั่นอย่างขัดใจ
“ตายแล้ว พอทีแม่สน เลิกร้องกรี๊ดๆเป็นผีเปรตซักทีเถอะแม่คุณ อายบ่าวอายไพร่มันเสียบ้าง”คุณหญิงผกาเต้นผางเมื่อเห็นฤทธิ์ของคุณสน ยิ่งได้ยินคุณหญิงผกาเอ่ยตำหนิคุณสนก็ยิ่งกรี๊ดหนักกว่าเดิม จนลิขิตที่ไม่คิดจะเข้ามายุ่งต้องออกมาจากห้อง ร่างกายของคุณสนเกร็งจนแทบจะล้มลงไปชักแต่คุณใหญ่ก็เอาแต่กอดปกป้องเมียแหม่มไว้ ยิ่งเห็นดังนั้นไฟในใจก็ยิ่งเผาผลาญให้คุณสนเกิดโทสะมากขึ้น หญิงสาวกระโจนจะเข้าไปกระชากสามีออกแต่คุณเล็กก็เข้าไปสวมกอดรั้งร่างพี่สะใภ้ได้ทัน
“คุณพี่ใจเย็นก่อนครับ คุณแม่คะเล็กว่าพูดกันวันนี้ก็ไม่รู้เรื่อง รอให้พี่สนสงบลงก่อนค่อยพูดกันเถอะค่ะ”
“ปล่อย คุณเล็กปล่อยพี่ พี่จะฆ่ามัน คุณใหญ่ตลบตะแลงตอแหลมาหลอกให้พี่รัก บอกว่าจะมีพี่คนเดียวแล้วอีฝรั่งนี่คือใคร ไหนบอกกับสนว่าไม่มีใครและจะไม่มีใครเพิ่มแล้วอีนี่กับไอ้เด็กนั่นคือใครคุณใหญ่ตอแหล”
“หล่อนหยุดโวยวายได้แล้วแม่สน ถ้าให้นับตามจริงแอนนาเขามาก่อน ลูกเขาก็โตกว่าตายิ่งลูกของหล่อน ใครกันแน่ที่มาทีหลัง”คุณหญิงผกาเข้าข้างลูกชาย คุณเล็กถึงขั้นถอนหายใจที่เรื่องมันจะยิ่งบานปลายเพราะไม่มีใครเข้าข้างคุณสนเลยซักนิด ยิ่งมาพูดเพิ่มเชื้อไฟคุณสนก็ยิ่งดิ้นยิ่งอาลาวาด ลิขิตจึงรวบร่างของพี่สะใภ้อุ้มแล้วพากลับเรือนไปโดยมีเสียงก่นด่าของคุณสนดังไปตลอดทาง
ทางด้านคุณพะยอมที่นอนป่วยอยู่ได้ยินเสียงกรีดร้องของลูกสาวก็พยุงตัวลุกขึ้น
   “ได้ยินเสียงแม่สนมั้ยยายแช่ม ดังแว่วๆมาอีกแล้ว”
   “ทะเลาะกันอีกแล้วมั้งคะ คุณนอนพักเถอะค่ะ เดี๋ยวมีอะไรนังเฟื้องคงมารายงานเอง”
   “ฉันใจไม่ดีเลยยายแช่ม ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อนแม่สนก็โมโหร้ายเหลือเกิน”
   “เธอออกเรือนไปแล้ว คุณก็เข้าไปยุ่งอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ ให้เธอจัดการเรื่องในเรือนของเธอไปหากเราไปยุ่งคุณเรือนนู้นเขาจะว่าเอาได้นะเจ้าคะ นอนพักเถอะค่ะถ้ามีอะไรเดี๋ยวคุณแสนเธอคงไปช่วยคุณพี่เอง”

   “หยุดบ้าเสียทีแม่สน”คุณใหญ่ที่ตามคุณเล็กมาติดๆตวาดเอ็ดคุณสนที่แผลงฤทธิ์ไม่เลิก คุณเล็กวางร่างพี่สะใภ้ลงที่ห้องนอนแล้วก็ถูกคุณใหญ่โบกมือไล่ให้กลับไปก่อนดังนั้นลิขิตจึงผละออกไปปล่อยให้คุณใหญ่กับคุณสนคุยกันเอง
   “หล่อนจะมาทำกริยาเอาแต่ใจตนเหมือนตอนอยู่บ้านหล่อนแบบนี้ไม่ได้ คิดว่าทำฤทธิ์แล้วจะได้ทุกอย่างที่ต้องการหรือ หล่อนแก่เกินจะทำอย่างนั้นแล้ว ไม่อายลูกอายเต้าหรือแก่จนหัวจะหงอกแล้วยังมาทำร้องแร่แห่กระเชิงราวสาวรุ่น”คุณใหญ่เอ่ยด่าอย่างเหลืออด ด้วยเห็นว่าเพราะคุณสนเคยออกฤทธิ์กับคนที่เรือนท่านเจ้าสัวแล้วได้ทุกอย่างที่ต้องการจึงทำจนเป็นนิสัย หากแต่สมัยรักกันใหม่ๆคุณใหญ่อาจจะยอมได้ แต่มาวันนี้ความรักมันจืดจางจนแทบจะไม่เหลือ ที่ยังทนทุกวันนี้ก็เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์รุ่นพ่อแม่
   “สนจะทำ คุณใหญ่จะทำไม คุณใหญ่ยังมีหน้ามาด่าสนอีกหรือคะ สนทำอะไรผิด สนอยู่ของสนดีๆคุณใหญ่มาเกี้ยวพา มาขอสนแต่งงานทำไม ในเมื่อสนเป็นเมียคุณใหญ่ ทำไมสนจะห้ามไม่ให้เอาอีเมียน้อยเข้าบ้านไม่ได้ คุณใหญ่สัญญากับสนเองว่าจะมีสนคนเดียวจำไม่ได้เหรอคะ”
   “ฉันก็สัญญาไปอย่างนั้น เห็นว่าเป็นคนสวยคนเก่ง ใครมาเกี้ยวพามาสู่ขอก็ไม่ยอมก็อยากจะรู้ว่าจะใจแข็งได้ซักเท่าไหร่ ฉันทำอุบายให้คนเข้าไปปล้นร้านแล้วเข้าไปช่วยนิดเดียวหล่อนก็ใจอ่อนแล้ว หากรู้ว่าจะเป็นคนหยาบคายแบบนี้ฉันไม่เอามาทำเมียให้เสียเวลาหรอก”
   “อะไรนะคะ?...คุณใหญ่หมายถึงอะไร? คนที่มาทำร้ายสนวันนั้นคุณใหญ่ส่งมาเองหรือคะ?”คุณสนเอ่ยถามอย่างตกใจ เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงฝังอยู่ในหัว บ่อยครั้งยามเห็นผู้ชายตัวใหญ่ๆน่ากลัวๆคุณสนยังอดผวาไม่ได้ คุณใหญ่ยืดอกอย่างถือดีตอบรับอย่างไร้ซึ่งละอาย
   “ใช่ ฉันส่งพวกมันไปป่วนหล่อนเอง นึกว่าจะฉลาดกว่าหญิงอื่นในพระนคร ที่แท้ก็โง่เง่าไม่ต่างกัน อีกอย่างถ้าจะนับตามจริงแอนนาเขาเป็นเมียฉันตั้งแต่อยู่ฝรั่งเศสหล่อนก็คิดเอาเถอะว่าใครกันแน่ที่เป็นเมียหลวงใครกันแน่ที่เป็นเมียน้อย ฉันไม่ได้จะให้หล่อนเป็นเมียน้อยเพราะก็ตบแต่งออกหน้า ฉันแค่จะขอว่าให้แอนนามาเป็นเมียของฉันอีกคน หล่อนก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
   “สารเลว”คุณสนแค่นคำพูดออกมาอย่างแค้นใจ
นึกโกรธตัวเองที่โง่เง่ามอบใจมอบกายให้ผู้ชายร้อยเล่ห์ เสียใจที่หลงเชื่อคารมผู้ชายสับปลับ คุณใหญ่จ้องหน้าคุณสนอย่างไม่สะท้าน หากจะต้องแตกหักก็ต้องยอมเพราะเขาก็เบื่อคุณสนเต็มที
   “หล่อนก็คิดเอาเถิดว่าจะเป็นเมียหลวงหรือเมียน้อย ฉันให้เวลาหล่อนคิด คืนนี้จะไปนอนเรือนนู้น เบื่อเต็มทน”คุณใหญ่หันหลังจะกลับไปหาแอนนาที่เรือนนู้น
ความโกรธความแค้นที่ถูกหลอกแถมยังมาหยามใจกันทำให้คุณสนตัดสินใจล้วงมือเข้าไปใต้หมอนของคุณใหญ่ หยิบเอาปืนขึ้นมาถือเล็งไปที่ผัวรักที่กลายมาเป็นคนที่ทำให้แค้นใจมากที่สุด
   “สนบอกคุณพี่แล้วใช่มั้ยคะ ว่าสนจะยอมให้คุณพี่แค่ครั้งเดียวถ้ามีครั้งต่อไป สนเอาตาย”คุณใหญ่ชะงักกับคำพูดของคุณสน หันหลังกลับมามองด้วยความสังหรณ์ใจก็พบว่าคุณสนเล็งปืนมาที่ตน สายตาที่มองคุณใหญ่อย่างผิดหวังเมื่อครู่วาววับเต็มไปด้วยความคั่งแค้นรีบยกมือขึ้นปัดป้องปากก็เอ่ยห้ามเมื่อเห็นปลายนิ้วของคุณสนค่อยๆกดลงบนไกปืนคุณใหญ่ก็หันหลังเตรียมวิ่งหนี
หากแต่ทุกอย่างสายเกินไป
ปัง
เกิดเสียงดังลั่น กระสุนพุ่งออกจากปลายกระบอกปืน จากที่เล้งหน้าอกของคุณใหญ่เมื่อเจ้าตัวหันหลังมันจึงเจาะเข้ากลางหลังอย่างพอดิบพอดี คุณสนไม่สนใจอะไรแล้ว
หล่อนโกรธ
โกรธจนหน้ามืดตามัว
ในเมื่อหยามน้ำใจหล่อน
ไม่ซื่อสัตย์
หมดรัก
ก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อ
คุณสนเหนี่ยวไกสะเปะสะปะไปอีกหลายนัดปล่อยน้ำตาให้ไหลยามเห็นคุณใหญ่ล้มลงกับพื้น เลือดแดงฉานไหลออกจากเสื้อ
ทุกคนบนเรือนใหญ่รวมทั้งเรือนเจ้าสัวเช็งสะดุ้งกับเสียงปืนนั้น หนูแสนที่กำลังคนดอกไม้ในหม้อสะดุ้งอย่างตกใจจนทัพพีหลุดมือ
   “อุ้ยพระ...”นังเฟืองได้สติก่อนใคร เมื่อจับได้ว่าเสียงปืนมาจากทางไหนก็ร้องเรียกคุณสนแล้ววิ่งกลับไปที่เรือนของคุณสนทันที หนูแสนเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามไป ส่วนคุณเล็กที่ยังเดินไม่ทันจะถึงเรือนใหญ่ดีก็รีบวิ่งกลับไปทางเรือนเล็กอีกครั้ง เสียงกรีดร้องของนังเฟื้องยิ่งทำให้คุณเล็กสับเท้าเร็วขึ้น ภาพที่เห็นคือคุณสนนั่งร้องไห้จนหมดสภาพในอ้อมกอดของผู้ชายตัวเล็กผิวขาวคนหนึ่ง ส่วนคุณใหญ่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น คุณเล็กกับหนูแสนสบตากันในใจนั้นความคิดถึงกำลังเรียกร้องหากแต่เห็นการณ์ตรงหน้าทำให้คุณเล็กต้องสนใจกับคนเจ็บที่หายใจรวยรินก่อน
   “พัน เอารถออกฉันจะพาคุณใหญ่ไปโรงหมอ เร็วๆ”คุณเล็กสั่งนายพันที่วิ่งตามมาโดยมีคุณหญิงผกาและแอนนาตามมาด้วย พอเห็นคุณเล็กอุ้มร่างโชคเลือดของคุณใหญ่ออกมาคุณหญิงผกาก็กรีดร้องอย่างตกใจ
   ตาใหญ่ลูกแม่!!”
   “คุณแม่ คุณแม่กลับเรือนไปก่อนนะคะ ถ้ามาดึงไว้อย่างนี้ปะเดี๋ยวพี่ใหญ่จะตายได้”คุณเล็กบอกกับคุณหญิงแล้วสั่งให้บ่าวพาคุณหญิงกลับเรือนส่วนตนเองกับนายพันก็พาคุณใหญ่ไปโรงพยาบาล
ทางด้สนคุณสนที่ตอนนี้นั่งนิ่งไม่ไหวติงดวงตาคู่สวยที่เคยคมดุบัดนี้เลื่อนลอยไร้จุดหมายหญิงสาวยกมือตนเองที่เพิ่งลั่นไกสาดกระสุนใส่ผัวรักขึ้นมาดูแล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
   “คุณใหญ่ต้องมีสนคนเดียว รักสนคนเดียว”หล่อนพร่ำพูดประโยคนี้ซ้ำๆวนๆ
ตอนนี้ในสมองของหญิงสาวถูกปิดกั้นด้วยโลกแห่งจินตนาการของตนเอง
โลกที่มีเพียงคุณใหญ่และคุณสนครองคู่กันอย่างมีความสุข
มีความสุขชั่วนิรันดร์ ความสุขที่คุณสนสร้างขึ้นมาและจะไม่มีใครเข้ามาพรากคุณใหญ่ออกไปได้...ตลอดกาล



.........

ลาก่อย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๑ๆ๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๖
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-01-2020 14:13:18
 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๑ๆ๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๖
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 22-01-2020 14:26:31
       

คุณใหญ่ช่างเลวไม่มีที่ติจริงๆ

ตายไปได้เสียก็ดี

หมดอรรถรสหวานๆ..

ของคุณเล็กกับหนูแสนไปเลย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๑ๆ๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๖
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 22-01-2020 15:07:25
กะแล้วเชียว ว่าเหตุการณ์วันนั้นอีคุณใหญ่ต้องมีส่วน

สงสารคุณสน เฮ้อออ ส่วนอิคุณใหญ่ไม่อยากให้ตายนะ พิการดีกว่า
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๑ๆ๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๖
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-01-2020 15:53:08
เราเข้าใจสนนะ
รักมากให้โอกาสแล้ว
สุดท้านทำเราเจ็บที่สุด
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๑ๆ๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๖
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-01-2020 19:16:14
สมควรแล้วแหล่ะคุณใหญ่
อย่าตายเลยสบายเกินไป
ร่างกายพิการแต่สมองยังรับรู้ทุกอย่างน่ะแหล่ะ
เหมาะสมกับความเลวที่มีมาตลอด
อยากรู้นักเมียแหม่มหรือเมียน้อยคนไหนจะมาดูแล

กนูยิ่งกับหนูหยกคุณเล็กกับหนูแสนจะดูเอง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๑ๆ๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๖
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-01-2020 23:19:47
ตายไปเลยเนาะ แม่ผัวก็เลว ปวดใจสงสารคุณสนที่ต้องเจออะไรแบบนี้
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๑ ((๑ๆ๐%)) ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๘๖
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 23-01-2020 17:04:40

ตอนที่ ๑๒

๕๐%



            อาการของคุณใหญ่สาหัสมากคุณเล็กส่งตัวคุณใหญ่มารักษาที่ราชแพทยาลัยเป็นการด่วนด้วยเครื่องไม้เครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์ดีกว่าโรงหมออื่นๆมากนัก เมื่อหมอพาคุณใหญ่ไปแล้วคุณเล็กจึงได้ทิ้งกายลงนั่งกับเก้าอี้ไม้ตัวยาวอย่างหมดแรง

            “คุณเล็กหิวน้ำหรือของกินอะไรไหมขอรับ ถ้าหิวประเดี๋ยวกระผมจะออกไปดูแถววังหลังแล้วซื้อหาเข้ามาให้”

            “ก็ดีเหมือนกัน นายพันเอาสตางค์ไปแล้วจะซื้ออะไรก็ซื้อมาเถอะ หาเสื้อมาซักตัวที่ใส่อยู่เปื้อนเลือดพี่ใหญ่จนดูไม่ได้แล้ว”นายพันรับเงินที่คุณเล็กพอจะมีติดตัวมาบ้างนิดหน่อยแล้วจึงแยกไป คุณเล็กนั่งรออย่างไร้จุดหมายว่าจะต้องรอถึงเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าคุณใหญ่จะตายหรือจะรอด ทุกอย่างเคว้งคว้างไปหมด

ลิขิตนึกโทษตัวเองว่าถ้าเขาใจแข็งซักนิดไม่ยอมให้แอนนาและลูกตามมาคุณใหญ่ก็จะไม่พบกับชะตากรรมแบบนี้

คุณเล็กจำเป็นต้องกลับบ้านก่อนเพราะนางพยาบาลออกมาบอกว่าให้ญาติกลับไปพัก การผ่าตัดของอนลนั้นค่อนข้างยากเพราะคมกระสุนเจาะเข้ากระดูกสันหลังจนกระดูกแตกยับเยินอีกทั้งยังตัดเส้นประสาทโอกาสรอดน้อยมาก หรือแม้จะรอดก็อาจจะพิการตลอดชีวิต เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณหญิงผกาถูกพาไปพักในห้องแล้ว แอนนาเดินกระสับกระส่ายรอคอยอยู่นอกชาน ท่านเจ้าคุณสรอรรถนั่งรออยู่ที่โต๊ะกลางเรือนเมื่อเห็นคุณเล็กกลับขึ้นมาบนเรือนแอนนาก็รีบเข้าไปถามอาการอย่างร้อนใจ

            “ขอฉันเรียนคุณพ่อซักประเดี๋ยวเธอรอก่อนได้หรือไม่แอนนา”คุณเล็กร้องขออย่างสุภาพ แอนนาจึงยอมปล่อยต้นแขนของคุณเล็ก ชายหนุ่มเดินตรงไปหยุดแล้วนั่งลงตรงหน้าผู้เป็นบิดา เจ้าคุณสรอรรถในยามนี้มีสีหน้าอมทุกข์ ด้วยอนลเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ท่านเจ้าคุณรักมากที่สุด เป็นลูกชายคนโตที่สร้างแต่ความภาคภูมิใจให้กับท่านเจ้าคุณมาโดยตลอดและเป็นลูกชายที่เจริญรอยตามท่านเจ้าคุณทางด้านการทหาร เรียกได้ว่าได้ดั่งใจในทุกด้าน

มาวันนี้ วันที่ท่านตั้งใจจะให้ลูกเมียแก้ปัญหาด้วยตัวเองเพราะเห็นว่าคุณใหญ่ก็ออกเรือนเป็นผู้ใหญ่มีลูกมีเต้าก็สามคนแล้วน่าจะจัดการปัญหาภายในบ้านตัวเองได้ แต่เหตุกลับไม่เป็นดังที่คิดลูกชายคนโปรดจะเป็นหรือจะตายก็ยังไม่รู้ เหตุเพิ่งเกิดไม่กี่ชั่วโมงหากแต่ความทุกข์โทรมนัสกับกัดกร่อนพลังชีวิตของท่านเจ้าคุณไปมากโข สองพ่อลูกนิ่งอยู่ครู่ท่านเจ้าคุณถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างยอมจำนนกับสิ่งที่กำลังจะได้ฟัง

            “จะอยู่หรือจะตาย? เห็นแม่เขาว่าแม่สนยิงเข้ากลางหลังพ่อใหญ่เลย”

            “หมอยังไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรขอรับเจ้าคุณพ่อ อาการพี่ใหญ่ค่อนข้างสาหัส บอกแต่เพียงว่าอาจจะตายหรือถ้ารอดก็คงพิการเพราะเส้นประสาทและกระดูกสันหลังเสียหายมาก แล้วทางนั้นเป็นอย่างไรบ้างขอรับเจ้าคุณพ่อ ลูกเห็นเธอนิ่งไป”

            “แม่พะยอมเขามาเอาลูกกลับไปดูแลที่เรือนเขา เห็นว่าสติจะวิปลาสไปเสียแล้วล่ะไม่รับรู้ไม่หือไม่อือกับใครเอาแต่นั่งตาลอย เวรกรรมจริงๆ”ท่านเจ้าคุณตอบอย่างปลงๆ หากถามว่าท่านโกรธคุณสนมั้ย แน่นอนใจคนเป็นพ่อย่อมโกรธเป็นธรรมดา เพราะผ่านโลกมามากและเป็นคนที่มีเหตุผลมากพอเมื่อสืบสาวราวเรื่องก็ได้รู้ว่าเหตุที่เกิดเป็นเพราะความตลบตะแลงพลิกลิ้นของลูกชายท่านเองจากความโกรธก็กลายเป็นความเวทนา ด้วยก็เห็นคุณสนมาตั้งแต่เกิดเห็นถึงการเลี้ยงดูที่ถูกปล่อยปละ เห็นถึงความเอาแต่ใจของคุณสน รับรู้แม้กระทั่งชื่อเสียงที่เลื่องลือด้านการทำงานและความมั่นใจในตัวเองของคุณสน อดนึกนิยมชมชอบอยู่ไม่น้อยที่เป็นเพียงลูกเจ๊กลูกจีนแต่ทำตัวมีศักดิ์ไว้ศรีแห่งลูกหลานเจ้าพระยาพิพิธ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาทาบทามสู่ขอก็ไม่เคยชายตาแลผู้ใด หากเป็นคนหัวเก่าก็คงมองว่าคุณสนนั้นแข็งเกินกว่าจะเอามาทำลูกทำเมียแต่ด้วยคุณใหญ่นั้นเป็นชายหนุ่มหัวใหม่ วันที่เข้ามาบอกว่าตกลงจะหมั้นหมายตบแต่งกับคุณสนท่านเจ้าคุณและคุณหญิงได้ทักท้วงแล้วหากแต่คุณใหญ่ดื้อรั้นดึงดันอยากได้คุณสนมาเป็นภรรยา ความว่าปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอนแม้คุณหญิงผกาจะไม่เห็นด้วยนักแต่ก็ยอมตามใจลูกผัวด้วยเป็นช้างเท้าหลัง

วิบากกรมในวันนี้ต้นเหตุก็มาจากคุณใหญ่ที่ไปรับปากด้วยความอยากเอาใจคุณสน คิดว่าผู้หญิงเมื่อตกเป็นเมียแล้วในอนาคตก็จะโอนอ่อนผ่อนตามเหมือนที่คุณหญิงผกายอมให้ท่านมีบ้านเล็กบ้านน้อยไม่เคยปริปากพูดแม้จริงๆแล้วจะเจ็บช้ำน้ำใจสักเพียงไหน

            “คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ ก่อนลูกพาพี่ใหญ่ขึ้นรถเห็นเหมือนจะล้มลงไปอีกหน”

            “ก็ทุกข์ใจหนักอยู่ เอาเถอะเรื่องอาการเดี๋ยวพ่อจะบอกแม่เอง เล็กไปคุยกับแหม่มเถอะ อยากรู้แย่แล้วตั้งแต่กลับมาเห็นเดินไปเดินมาไม่หยุด พ่อเข้าห้องล่ะเหนื่อยเต็มที”ท่านเจ้าคุณสรอรรถลุกขึ้นเพื่อกลับเข้าไปในห้อง ท่านรู้ว่าคุณหญิงผกานั้นยังไม่นอนและคงกำลังรอที่จะฟังข่าวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่ส่วนลิขิตเองก็เดินไปหาแอนนาบอกอาการของคุณใหญ่ตามตรง หญิงสาวร้องไห้ออกมาอย่างตกใจยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้องหากแต่ทั้งคู่กลับได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายราวกับคนที่กำลังใจสลายออกมาจากห้องนอนของคุณหญิงผกา เสียงหรีดหริ่งเรไรที่ส่งเสียงร้องเงียบลงไปทันทีเหลือเพียงความมืดที่โอบล้อม เรือนเจ้าคุณสรอรรถไม่เคยต้องเผชิญกับบรรยากาศแบบนี้มาก่อน

นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่คุณเล็กลืมตาเกิดมาเลยทีเดียว

 

            “เฟื้อง พี่สนกินข้าวหรือยัง?”หนูแสนที่อาบน้ำอาบท่าให้หนูหยกพาหลานสาวตัวน้อยเข้านอนเรียบร้อยก็ย่องออกมาหาคุณสนที่ห้อง คุณสนนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ไหวติงโดยมีเฟื้องปรนนิบัติพัดวีเจ้านายสาวไม่ห่าง สีหน้าของเฟื้องนั้นทุกข์ตรม

            “คุณพะยอมเธอมาป้อน รับได้แค่สองคำก็เมินไม่ยอมกินต่อค่ะ เธอบอกว่าเธอจะรอคุณใหญ่ วันนี้คุณใหญ่คงกลับดึกอีก คุณแสนเจ้าขา บ่าวสงสารคุณสน เธออยู่ของเธอดีๆแท้ๆทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ สติก็ก็พลอยหายไปด้วยไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันถึงต้องทำกันแบบนี้ ท่าจะเรื่องผู้หญิงอีกตามเคย”นังเฟื้องพูดไปก็กลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไม่ได้ด้วยสะเทือนใจกับชะตาชีวิตของเจ้านาย

            “ร้องไห้ทำไมล่ะเฟื้อง สงบจิตสงบใจเสียก่อนเถิด บุญเท่าไหร่แล้วที่เราวิ่งไปทันไม่อย่างนั้นป่านนี้อาจจะได้นั่งรับแขกอยู่วัดนะ อีกอย่างเราเองก็ยังไม่รู้แน่ว่าเรื่องเป็นยังไงก็ไม่ควรเดาสุ่มไปเรื่อยนะรู้มั้ย”หนูแสนเอ็ดนังเฟื้อง ส่ายหน้าอย่างระอาใจ

            “เฟื้องไปพักเถอะ เช็ดน้ำหูน้ำตาเสีย เดี๋ยวฉันดูพี่สนเอง”

            “ให้บ่าวอยู่เถอะเจ้าค่ะ บ่าวอยู่ได้ เผื่อเธอปวดหนักเบาบ่าวจะได้ดูแล คุณแสนอย่างไรเสียก็เป็นผู้ชาย ไม่สะดวกหรอกเจ้าค่ะ”

            “จริงด้วยสิ ฉันก็ลืมข้อนี้เสียสนิทเอาแต่เป็นห่วงพี่สนไม่ได้นึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันนั่งเป็นเพื่อนพี่สนซักพักว่าแต่เฟื้องจะไหวหรือ ให้บ่าวคนอื่นมาอยู่ด้วยมั้ยจะได้ช่วยๆกันดู”หนูแสนเอ่ยถามด้วยเป็นห่วงนังเฟื้องที่ต้องอยู่ดูแลรับใช้คุณสนเพียงคนเดียวตลอดเวลา แต่นังเฟื้องกลับจับเท้าของคุณสนที่นอนนิ่งอย่างภักดี

            “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ บ่าวก็ดูแลเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก หากเอาคนอื่นมาบ่าวกลัวว่าจะไม่รู้ใจกัน เดี๋ยวถ้าคุณสนหลับบ่าวปูผ้านอนหน้าเตียงก็ได้เจ้าค่ะ”

            “อย่างนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้เฟื้องไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาให้อิ่มก่อนเถอะแล้วค่อยขึ้นมาดูแลพี่สน ฉันจะดูให้ก่อน”หนูแสนหันกลับมาหาคุณสนที่ตอนนี้หลับไปแล้วนังเฟื้องเมื่อเห็นดังนั้นก็ยอมถอยออกจากห้องทำตามที่หนูแสนบอกอย่างไม่ดื้อดึง หนูแสนขยับผ้าแพรห่มให้พี่สาว ในดวงตาที่จ้องร่างซูบซีดของคุณสนนั้นมีทั้งความหนักใจและเศร้าสร้อยเจืออยู่

ทั้งๆที่วันนี้ควรเป็นวันที่น่ายินดีเนื่องจากคุณเล็กเพิ่งเดินทางกลับมาแล้วแท้ๆกลับมามีเรื่องมีราวร้ายๆ ไหนจะยังความรู้สึกซึมและเศร้าในใจเรื่องที่ว่าคุณเล็กพาเมียแหม่มกลับมาอีก ใจของหนูแสนเจ็บเหมือนจะขาดรอนๆ เกิดคำถามมากมายว่าเหตุใดคุณเล็กไม่เคยบอกว่ามีลูกเมียอยู่ที่นั่นแล้ว เห็นว่าลูกชายของคุณเล็กนั้นโตกว่าหนูยิ่งเสียอีก

ถ้าอย่างนั้นเมื่อครั้งไปถึงแรกๆคุณเล็กอาจจะตื่นตาตื่นใจกับแหม่มสาวๆสวยๆตามประสาวัยหนุ่มคะนองสินะ

คุณเล็กนะคุณเล็ก ในจดหมายบอกว่ารักนักรักหนา คิดถึงอย่างนั้นอย่างนี้ โกหกพกลมทั้งเพ หลอกให้หนูแสนรอบอกย้ำเสมอว่าอย่าไปมีใครแต่ตัวเองกลับไปซุกซนจนได้เมียได้ลูก นิสัยเจ้าชู้นี่เป็นกรรมพันธุ์หรืออย่างไร

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด หนูแสนส่ายหน้ายกมือขึ้นตบแก้มตัวเองอย่างเรียกสติให้ตัวเองกลับมาสนใจคุณสนเช่นเดิม

ตอนนี้สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือพี่สาวของตนที่นอนอยู่ตรงนี้

เรื่องของคนอื่น จะลูกใครเมียใครก็คงต้องปล่อยเขา คนนอกอย่างหนูแสนคงไปทำอะไรไม่ได้นอกจากตัดใจ

 

            ตอนเช้าหลังจากเจ้าสัวเช็งและคุณเสนกินข้าวกินปลาพูดคุยกันถึงเรื่องเมื่อวานเล็กน้อยและออกไปทำงานแล้วคุณอุ่นเรือนก็อาสาดูแลหนูหยกให้คุณพะยอมกับหนูแสนจึงเดินไปที่เรือนของเจ้าคุณสรอรรถ คุณเล็กพาแอนนาและอเล็กซ์ที่รบเร้าขอตามไปด้วยออกไปโรงพยาบาลก่อนที่หนูแสนจะมาถึงเพียงไม่นานทำให้คลาดกันบนเรือนจึงมีเพียงคุณหญิงผกาและเมียรองทั้งสองคนของท่านเจ้าคุณสรอรรถนั่งอยู่ นังแม้นคอยปรนนิบัติพัดวีคุณหญิงผกาไม่ได้ห่าง เมื่อเห็นว่าใครก้าวขึ้นมาบนเรือนความเจ็บช้ำน้ำใจความเจ็บแค้นแทนลูกชายก็ส่งผลให้คุณหญิงผกาทำท่าปั้นปึ่งหมางเมิน

            “แม่ผกา...”คุณพะยอมเอ่ยเรียกคุณหญิงผกาด้วยคำเรียกเหมือนสมัยยังเป็นนางข้าหลวงด้วยกัน

            “หล่อนมาทำไมรึแม่พะยอม มาดูหรือว่าลูกชายของฉันตายแล้วหรือยัง ถ้าจะมาด้วยเหตุนั้นฉันก็ต้องบอกว่ายังไม่ตายหรอก กลับไปเถอะ”

            “โธ่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นซักนิด ที่มาก็อยากจะมาขอโทษแม่ผกาที่ลูกสาวของฉันทำเรื่องรุนแรงกับคุณใหญ่ ฉันเสียใจจริงๆนะ ถ้ารู้ว่าแม่สนจะทำแบบนี้ฉันจะไปนั่งเฝ้าลูกไว้เลย แต่เมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว แม่สนเองก็เสียใจจนสิ้นสติกลายเป็นคนไม่รับรู้อื่นใดแล้ว ฉันก็อยากจะขอให้แม่ผกายกโทษให้ลูกฉันด้วย เห็นแก่หัวอกคนเป็นแม่เหมือนกัน อีกอย่างแม่สนเองก็มีลูกกับคุณใหญ่ถึงสองคนอย่างไรเสียพ่อยิ่งกับแม่หยกก็เป็นหลานของเราหากมาตึงใส่กันแบบนี้ฉันเกรงว่าหลานจะทำตัวไม่ถูก”

            “เห็นแก่ความเป็นแม่หรือ หล่อนเองยังทุกข์ใจที่ลูกหล่อนเสียสติ แล้วฉันเล่าแม่พะยอม ลองชายของฉันตั้งแต่เกิดมาคำน้อยก็ไม่เคยว่าให้ระคายใจ ตีซักแปะยังไม่กล้า แต่แม่ลูกสาวคนดีของหล่อนเอาปืนมายิงลูกฉันเป็นตายเท่ากันใครจะมาเห็นถึงหัวใจฉันบ้างว่าทุกข์ตรมเพียงไหน ลูกสาวของหล่อน หล่อนก็เอากลับไปเลี้ยงไปดูแลเถอะ นับจากวันนี้ขอให้ขาดกัน ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ส่วนลูกของตาใหญ่ฉันจะรับเลี้ยงเองทั้งสองคน”คุณหญิงผกาประกาศกร้าวด้วยความโกรธ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังไม่โกนจุกถนอมน้ำใจกันมาตลอดช่วยเหลือเกื้อหนุนอารีอารอบให้กันมาหลายสิบปีมาบัดนี้เพราะความแค้นอกแค้นใจที่คุณสนมาทำให้คุณใหญ่เจ็บปางตายคุณหญิงผกาก็เอาอารมณ์ตนขึ้นมาอยู่เหนือเหตุผลประกาศตัดความสัมพันธ์กับคุณพะยอม

            “โธ่...แม่ผกา ทำไมเป็นเช่นนั้นเล่า แล้วเรื่องหลานๆเธอจะพรากแม่พรากลูกเขาได้อย่างไร”

            “พรากได้ไม่ได้ฉันก็จะพราก ตายิ่งฉันก็เลี้ยงของฉันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หากหล่อนกลัวว่าฉันจะพรากแม่พรากลูกของแม่ลูกสาวคนดีของหล่อนอย่างนั้นฉันก็ยกแม่หยกเป็นสิทธิ์ขาดของหล่อนเลยแล้วกัน”คุณผกาหันหน้าหนีบอกเป็นนัยว่าตนไม่ประสงค์จะเสวนากับคุณพะยอมอีกต่อไป คุณพะยอมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจหนูแสนได้แต่กุมมือแม่ไว้อย่างปลอบโยน เมื่อเห็นทีว่าคงพูดกันไม่รู้เรื่องจึงยอมลงจากเรือนมายังไม่ทันจะเหยียบถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงคุณหญิงผกาดังมาอย่างจงใจจะให้ได้ยิน

            “ไอ้มิ่ง ไอ้อีคนไหนอยู่แถวนี้บ้าง ส่งคุณเรือนนู้นเสร็จก็ให้บ่าวเอาไม้ไปปิดประตูเล็ก ปิดตายไปเลยห้ามใครเข้าออกไปมาหาสู่กันอีก หากใครไม่ฟังคำข้าก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน





.....................................

ครึ่งหน้าคุณเล็กกับหนูแสนจะได้เจอกันแล้วนะเจ้าคะ คราวนี้เจอกันจริงๆ เจอแบบถึงเนื้อถึงตัว

#แสนคำนึง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๕๐%)) ๒ภ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๓
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 23-01-2020 18:24:03
เนื้อเรื่องเข้มข้นมากจริงๆเอาไปสร้างละครได้เลย
รอตอนต่อไปน้าาา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๕๐%)) ๒ภ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๓
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 23-01-2020 19:31:10


แม่ผกานี่ไม่น่าคบเลย..

ทีกับเหล่าอนุของสามี..

ยังใจกว้าง...

เปิดใจรับได้เลย

คนเห็นแก่ตัว

ลูกชายตัวเอง.

ก็ใช่จะดีเลิศประเสริฐศรี

ผิดศีลเป็นอาจิณกรรม

ลูกๆกำลังเติบโต

แทนที่จะเป็นตัวอย่างให้เด็ก

พอกันครอบครัวนี้พ่อแม่ลูก

ยกเว้นคุณเล็ก



หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๕๐%)) ๒ภ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๓
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 23-01-2020 21:36:33
ไม่เผาผีกัน
นี่ซินะอุปสรรคของคุณเล็กกับหนูแสน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๕๐%)) ๒ภ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 24-01-2020 00:32:08
   ((ต่อ))

         “หล่อนทำแบบนี้มันก็เกินไปนะคุณหญิง อย่างไรเสียก็เพื่อนใกล้ชิดมิตรใกล้บ้าน ตอนนี้พ่อใหญ่ก็รอดแล้วแต่ลูกเขาเป็นบ้าเป็นบอไปหล่อนไม่คิดบ้างรึว่าเขาก็เจอมาหนักเหมือนกัน” ท่านเจ้าคุณเอ่ยตำหนิคุณหญิงทันทีที่กลับถึงเรือนเมื่อเห็นบ่าวไพร่พากันเก็บเครื่องไม้เครื่องมือหลังจากเอาไม้กระดานไปปิดประตูเล็ก คุณหญิงผกาเชิดคอแข็งขึ้นมาทันที

            “ต่อให้พ่อใหญ่รอดแล้วจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้แม่สนทำแบบนี้มันหนักเกินไปอิฉันรับไม่ได้หรอกค่ะ ชาตินี้ขออย่าให้ต้องเกี่ยวดองกันอีกเลย”

            “คุณหญิงนี่นะ บทจะไร้เหตุผลก็หัวแข็งเหลือกำลัง ลองคิดกลับกันดูบ้างลูกสาวเขาต่อให้ไม่ป่วยกายแต่ก็ป่วยใจ ตอนลูกไปเรียนเมืองฝาหรั่งก็ได้เขาลงแรงทำกับข้าวกับปลาทั้งคาวทั้งหวานส่งให้ยิ่งกว่าเราที่เป็นพ่อแม่ ตั้งแต่ดองกันมาก็ไม่เคยทำอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจเลยซักครั้ง ฉันเชื่อว่าการที่เขายอมมาขอโทษในสิ่งที่แม่สนทำเป็นเพราะเขาเห็นใจเราและสำนึกผิดจริงจากก้นบึ้งของหัวใจ หลานสองคนก็ต้องการทั้งปู่ย่าและตายาย เขาไม่ได้ตายจากหรือหนีหายไปมีชู้ถึงจะพรากลูกพรากแม่จากกัน ฉันขอเถอะนะให้มันจบแค่เพียงเท่านี้อย่าต่อความยาวสาวความยืดอย่าผูกเวรผูกกรรมกันอีก เรื่องที่เกิดขึ้นหล่อนก็รู้ดีว่ามันเกิดเพราะความโกหกปลิ้นปล้อนของลูกเรา พรุ่งนี้ฉันจะให้ตาเล็กไปหาเขาไปขอโทษที่หล่อนทำแบบนี้ แก่จนหัวหงอกทั้งหัวแล้วทำอะไรก็คิดให้มันเยอะๆ”เจ้าคุณสรอรรถยื่นคำขาดให้กับคุณหญิงผกา

            “คุณพี่!”แม้จะส่งเสียงกเรียกซักเท่าไหร่ท่านเจ้าคุณสรอรรถก็ทำหูทวนลมเดินเข้าห้องพระแล้วหับประตูห้องไม่สนใจอีกปล่อยให้ผู้เป็นภรรยาฟึดฟัดอยู่เพียงคนเดียว

ทางด้านบ้านเจ้าสัวเช็ง คุณพะยอมที่ปกติจะนอนแล้วแต่ตอนนี้กลับยังนั่งคิดเรื่องของคุณสนอยู่ไม่อาจข่มตาให้นอนได้ เจ้าสัวเช็งกลับเข้ามาในห้องเห็นภรรยายังไม่หลับก็รู้ว่าคุณพะยอมนั้นยังคิดมากเรื่องที่คุณหญิงผกาตัดความสัมพันธ์อย่างไม่ใยดี เจ้าสัวเช็งนั่งลงข้างภรรยาแล้วจึงคว้ามือที่ถึงแม้บัดนี้จะเรี่ยวเหี่ยวย่นตาวัยและเพราะทำงานไม่ได้หยุดขึ้นมาลูบและตบลงเบาๆบนหลังมือ คุณพะยอมมองหน้าสามีแล้วจึงปล่อยน้ำตาให้ไหล

            “ฉันสงสารลูกค่ะ”ยามอยู่ต่อหน้าลูกๆคุณพะยอมนั้นนิ่งสงบและไม่ร้องไห้ไม่โวยวายไม่พูดโทษหรือโกรธใคร แต่ทว่าครั้งใดที่มีเรื่องทุกข์ใจยามอยู่กันเพียงลำพังกับท่านเจ้าสัวคุณพะยอมก็เป็นเพียงเมียที่รักและเทิดทูนสามีแม่ที่รักและอยากจะปกป้องดูแลลูกๆ หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงเข้มแข็งอะไรเลยซักนิด ยามเมื่อนึกถึงชะตาชีวิตที่ลูกสาวคนเดียวได้เจอหัวใจของคุณพะยอมก็เจ็บราวถูกเหยียบ

            “แม่สนไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้ ฉันเชื่อว่าลูกไม่ใช่คนเริ่ม ฉันเชื่อว่าคุณใหญ่ต้องทำอะไรให้แม่สนเหลืออดถึงได้ทำอะไรแบบนั้นไป แม่สนถึงจะเอาแต่ใจเจ้าอารมณ์แต่เขาไม่เคยคิดเอาชีวิตใคร บ่าวในบ้านแม่สนก็ไม่เคยตบตีใครนอกจากนังเฟื้อง ถึงลูกจะปากร้ายแต่ลูกไม่ได้มีจิตใจอำมหิตถึงขนาดจะตั้งใจฆ่าใครได้ แต่ทำไมไม่มีใครเห็นใจลูกสาวฉันเลย ต้องให้ลูกฉันเป็นคนเจ็บแบบคุณใหญ่หรือแม่สนถึงจะได้รับความเห็นใจ”คุณพะยอมสะอื้นให้อย่างเจ็บปวด เจ้าสัวเช็งดึงร่างภรรยาเข้ามากอดอย่างเข้าใจในความรู้สึก

            “อย่าไปโกรธคุณหญิงเธอเลย ลูกเธอเจ็บเธอเลยเสียใจ ในเมื่อเขาตัดญาติตัดมิตรกับเราแล้ว เราก็เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานของเราไป เรื่องครั้งนี้ส่วนหนึ่งเราเองก็ผิด เราเลี้ยงแม่สนอย่างปล่อยปละ ฉันก็ผิดที่ไม่เคยให้ความรักความเอาใจใส่ลูกเอาแต่คิดว่าแม่สนเป็นเด็กดื้อเด็กหัวรั้น ซ้ำยังเป็นเด็กผู้หญิง เมื่อเติบใหญ่ก็เห็นว่ากล้าเก่งเกินหญิงแก้ปัญหาอะไรได้ด้วยตัวเองจึงไม่คิดจะใส่ใจ ต่อไปฉันสัญญาว่าจะเอาใจใส่แม่สนให้มากกว่านี้ อาจจะดูว่ามันสายไปแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำ แม่พะยอมทำใจให้สงบเถอะนะ อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจอะไรเลย ในเมื่อตอนนี้ลูกกลับมาอยู่กับเราก็รักษากันไป ฉันสัญญาว่าจะหาหมอดีที่สุดไม่ว่าจะแผนไทยแผนจีนหรือแผนฝาหรั่งจะเอามารักษาแม่สนให้หายให้ได้ แม่พะยอมเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆอยู่กับฉันไปนานๆนะรู้มั้ย ฉันรักแม่พะยอมมากแม่พะยอมรู้ใช่มั้ย อย่าให้เหตุทุกข์ใจครั้งนี้ทำให้แม่พะยอมคิดมากจนอาการป่วยไม่ดีขึ้นอีกนะ”เจ้าสัวเช็งกอดภรรยาแน่นขึ้นไปอีก สองสามีภรรยาใช้ไออุ่นจากอ้อมกอดปลอบใจซึ่งกันและกันภายนอกแม้จะเศร้าแต่ในใจก็หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใช้สติ

 

            “เสียงอะไรปึงปังตั้งแต่เช้าน่ะยายแช่ม”คุณพะยอมถามยายแช่มที่ยืนชะเง้อชะแง้มองไปยังประตูเล็กที่มีเสียงตึงตังมาได้ซักพักแล้ว

            “ไม่ทราบสิเจ้าคะ หรือว่าคุณหญิงผกาสั่งบ่าวให้มาตรึงประตูให้แน่นขึ้นนะเจ้าคะ”

            “เมื่อวานยังแน่นไม่พออีกรึ ฉันละยอมใจคุณหญิงเธอจริง หัวรั้นหัวแข็งตั้งแต่เด็กยันแก่ แล้วนี่หนูแสนออกไปเก็บรากบัวเม็ดบัวที่คลองแล้วรึ”

            “เจ้าค่ะ ออกไปเมื่อครู่เห็นบอกว่าจะต้มรากบัวกับกระดูกหมูไว้ให้คุณๆบำรุงกำลัง กับจะเก็บเม็ดบัวมาต้มขนมหวานให้คุณเล็กๆกินเจ้าค่ะ ส่วนดอกบัวเห็นว่าจะเอามาตากทำชาไว้ให้คุณเสนกับท่านเจ้าสัวดื่ม”

            “ขยันจริงลูกคนนี้ อ้าว...”คุณพะยอมร้องอย่างแปลกใจเมื่อประตูที่ถูกปิดตายถูกเปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวดูมีสง่าก้าวเข้ามาในตัวบ้าน คุณพะยอมหรี่ตามองก็รู้สึกคลับคล้ายคับคลาคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน

            “ไหว้คุณน้าพะยอมครับ”คุณเล็กยกมือไหว้คุณพะยอมอย่างนอบน้อม พอนึกขึ้นได้ว่าใครคุณพะยอมก็ยิ้มอย่างดีใจเกิดความปลื้มปิติในใจลึกๆว่าคุณเล็กมารื้อประตูเชื่อมระหว่างสองบ้านเพื่อมาหา

            “ตายจริง คุณเล็ก โตเป็นหนุ่มเต็มตัวสูงใหญ่อะไรขนาดนี้กันคะ”ลูบหลังลูบไหล่อย่างรักใคร่เอ็นดูไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังเยาว์วัยเลยซักนิด

            “อยู่ที่นู่นกินนมกินเนยแบบฝรั่งครับเลยสูงขึ้นตัวหนาขึ้น คุณน้าพะยอมสบายดีมั้ยครับ อันที่จริงตั้งใจจะมาไหว้ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาแต่ก็เกิดเรื่องเสียก่อน”คุณพะยอมหน้าเสียไปนิดเมื่อคุณเล็กท้าวความถึงวันที่คุณสนก่อเหตุ

            “เมื่อวานมีโปลิสมาที่บ้านจะมาสอบปากคำเรื่องของพี่ใหญ่ แต่คุณน้าไม่ต้องกลัวนะครับเจ้าคุณพ่อบอกไปว่าเป็นอุบัติเหตุปืนลั่น ส่วนจะมีนอกมีในอะไรมั้ยอันนี้เล็กก็ไม่ทราบ แต่คุณพี่สนจะไม่ถูกรบกวนแน่นอน ที่เล็กมาในวันนี้ก็เพราะเจ้าคุณพ่อฝากความมาขอโทษทางคุณน้าที่พี่ใหญ่ทำเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจให้พี่สน หวังว่าคุณน้าจะให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ”คุณเล็กนำความที่เจ้าคุณสรอรรถฝากมาบอกอย่างครบถ้วน คุณพะยอมนั้นไม่ได้นึกโกรธขึ้งอะไรทางบ้านคุณใหญ่เลยจึงให้อภัยโดยง่าย คุณเล็กนำของฝากที่ซื้อมามอบให้คุณพะยอมรวมทั้งไวน์ชั้นดีอีกสองขวดฝากให้ท่านเจ้าสัวกับคุณเสน ผ้าลูกไม้ที่ตั้งใจจะเอามาฝากคุณสนถูกมอบให้กับคุณพะยอมเช่นกัน สายตาก็สอดส่ายมองหาเจ้าน้องน้อยที่คิดถึงหากแต่โรงครัวกลับว่างเปล่า ตรงลานด้านหน้าก็มีเพียงบ่าวไพร่ที่กำลังปรุงน้ำอบน้ำปรุงและแป้งกระแจะจันทน์

            “แล้ว...หนูแสนไปไหนเสียเล่าครับ?”

            “อยู่ที่คลองน่ะ ไปเก็บบัว อีกนานแหละกว่าจะกลับรายนั้นไปเก็บบัวทีไรเพลินลืมเวลาทุกที คุณเล็กจะไปหาน้องก็ไปเถอะค่ะไม่เจอกันนานหลายปีคงมีอะไรเล่าให้หนูแสนฟังเยอะเลยใช่มั้ยคะ”

            “งั้นเล็กขอไปหาหนูแสนก่อนนะครับ มีของมาฝากเหมือนกัน”คุณเล็กไหว้ลาคุณพะยอมแล้วจึงตรงไปที่ท่าน้ำหน้าบ้านตรงส่วนที่อยู่ด้านขวาที่ไม่ติดกับเรือนของคุณเล็กจะมีกอบัวกอใหญ่บานสะพรั่งเต็มคลองมันเป็นคลองที่แยกออกมาเป็นเวิ้งกว้างๆตรงโค้งน้ำ มีทั้งบัวสายและบัวหลวงตรงตีตลิ่งนั้นมีน้ำสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆแต่ว่าใบบัวและดอกบัวหลวงนั้นสูงพ้นน้ำ เมื่อลองเพ่งมองก็เห็นใบบัวสะท้านไหวอยู่ตรงมุมหนึ่งก็นึกรู้ว่าหนูแสนอยู่ตรงไหน คุณเล็กค่อยๆย่องไปที่ตลิ่งอย่างเงียบเชียบ ตรงพื้นดินนั้นมีรองเท้าของหนูแสนถอดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ คุณเล็กจัดการถอดเสื้อของตัวเองวางไว้ใกล้ๆกันแล้วค่อยย่องลงไปในน้ำเดินเบาๆราวกับแมวย่องในที่สุดก็เห็นน้องน้อยตัวขาวในเสื้อป่านคอกลมกำลังเพลิดเพลินกับการเก็บดอกบัวหลวงสีสวยไว้ในอ้อมแขน หนูแสนนั้นไม่ได้รู้เลยซักนิดว่ามีใครบางคนค่อยย่องมาจากด้านหลัง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่แผ่นหลังปะทะกับแผงอกของคุณเล็กเสียแล้วหนูแสนสะดุ้งด้วยความตกใจหันกลับมามองอย่างตื่นตระหนกก็พบกับผู้ชายที่คุ้นตา เพราะหันมาเร็วเกินและที่ยืนอยู่ข้างใต้ก็เป็นเลนโคลนทำให้หนูแสนเสียหลังล้มลงไปในน้ำจนคุณเล็กต้องรีบดึงเจ้าน้องน้อยขึ้นมาประคองไว้ในอ้อมแขน คนที่ดวงใจไม่เคยลืมเลือนเลยซักครั้ง คนที่เห็นผ่านเพียงรูปถ่ายสองใบที่ส่งมาให้ในระยะเวลาแปดปี ความคิดถึงคะนึงหานั้นพอกพูนเพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งพอได้มาเห็นหน้าใกล้ๆความคิดถึงก็ไม่ได้จางลงไปเลย หนูแสนนั้นดีใจจนแทบจะโผเข้ากอดคุณเล็ก ดอกบัวนับสิบดอกที่เพิ่งเก็บร่วงจากมือหล่นลงน้ำ มันทั้งอุ่นวาบในหัวอกหากแต่ความเย็นเยียบก็ตามมาอย่างทันท่วงที

คิดถึงแค่ไหน

อยากกอดมากแค่ไหน

สุดท้ายก็ต้องตัดใจ

หนูแสนผละตัวออกจากคุณเล็ก ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับกริยาหมางเมินนั้น

            “ไม่ทักทายคุณเล็กหน่อยหรือคะ?”ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเจ้าน้องน้อยปิดปากเงียบเป็นพระเตมีย์ใบ้ คุณเล็กจึงเป็นฝ่ายออกปากชวนน้องคุยเสียเอง

            “คุณเล็กมาทำไมคะ ประตูไม้ถูกปิดไปแล้วนี่คะ”

            “ปิดแล้วก็เปิดใหม่ได้ คุณเล็กมาก็เพราะคิดถึง...”คุณเล็กยังพูดไม่ทันจบหนูแสนก็ชิงหันหลังหนีราวกับไม่อยากฟังต่อ

            “คุณเล็กอย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ ประเดี๋ยวใครมาได้ยินจะไม่ดี ยิ่งถ้ามีคนเอาไปบอกเมียแหม่มของคุณเล็กจะเป็นปัญหากันเปล่าๆ”

            “ห๊ะ??...หนูแสนว่าอะไรนะคะ?”คุณเล็กเอ่ยถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เมื่อทบทวนคำพูดของหนูแสนแล้วก็ได้แต่ยกมือตบหน้าผากตัวเองดังฉาด

พุทธโธ่เอ๋ย...ที่ไม่ยอมหันมาพูดจากันดีๆก็เพราะเข้าใจอะไรๆผิดไปนี่เอง

เจอเล่ห์ฤษีแปลงสารเข้าให้แล้วไหมล่ะ

            “หนูแสนคะ หันมาฟังคุณเล็กอธิบายก่อนได้มั้ยคะ”ลองแตะต้นแขนน้องเบาๆหากแต่หนูแสนกลับเบี่ยงตัวหลบราวกับต้องของร้อน หากแต่คุณเล็กก็ดึงให้น้องหันกลับมาหาตนจนได้ ด้วยขนาดตัวที่ต่างกันมากคุณเล็กนั้นสูงใหญ่ส่วนหนูแสนนั้นตัวเล็กดูบอบบางน่าทะนุถนอมเสียเหลือเกิน แม้จะหันกลับมาเผชิญหน้ากันแล้วหนูแสนก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ก็หันไปทางอื่นหลบไม่ยอมจ้องตากับคุณเล็กจนคุณเล็กค่อยๆใช้มือขวาประคองใบหน้าของน้องแล้วใช้มืออีกข้างเชยคางมนให้น้องเงยหน้าขึ้นมาสบตา เมื่อคุณเล็กก้มลงมาจนหนูแสนรู้สึกว่าเราอยู่ใกล้กันเกินควรก็จับต้นแขนของคุณเล็กดันไว้เบาๆ

            “หนูแสนคนดีฟังคุณเล็กนะคะ”คุณเล็กลูบแก้มหนูแสนเบาๆอย่างแสนรัก รอยยิ้มถูกส่งให้น้องน้อยไม่ต่างจากวันวาร กาลเวลาที่ผันผ่านไม่เคยพรากรอยยิ้มนี้ไปจากคุณเล็กได้เลยซักนิด ยิ่งสบตาคมที่จ้องมาไม่มีลอกแลกยิ่งเหมือนถูกสะกดให้นิ่งฟัง

เมื่อเห็นว่าคนน้องไม่มีท่าทีต่อต้านและยอมนิ่งฟังแล้วคุณเล็กก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ใจหนูแสนอ่อนยวบในทันที

            “แหม่มแอนนาและเด็กคนนั้นไม่ใช่เมียคุณเล็ก แต่เป็นเมียและลูกของคุณใหญ่ค่ะ ได้ยินมั้ยคะ?”เจ้าตัวน้อยนั้นทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มก็ไม่กล้า จะดีใจก็ไม่สุด หากแต่ในอกเกิดความโล่งใจที่คุณเล็กบอกว่าแหม่มคนนั้นหาใช่เมียของตัวเองไม่

            “จริงหรือคะ? แล้วทำไมเขามากับคุณเล็กได้ล่ะคะในเมื่อเป็นเมียคุณใหญ่ทำไมไม่กลับมาพร้อมคุณใหญ่”

            “ก็ตอนที่พี่ใหญ่อยู่ที่นู่นพี่ใหญ่ก็มีสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคน แอนนาคือหนึ่งในนั้นตอนพี่ใหญ่กลับสยามแอนนาเพิ่งจะตั้งท้องพี่ใหญ่บอกกับหล่อนว่าจะกลับมาขออนุญาตเจ้าคุณพ่อที่จะแต่งงานพาแอนนามาอยู่ด้วยแต่สุดท้ายก็มาแต่งงานกับพี่สน”

            ถ้าอย่างนั้นคุณเล็กก็ทราบอยู่แล้วสิคะว่าคุณใหญ่มีลูกเมียอยู่ที่นู่นแล้วทำไมไม่เคยบอกหนูแสน หนูแสนจะได้เตือนพี่สนได้ทันก่อนจะออกเรือนกับคุณใหญ่ อย่างนี้ถ้าจะให้เดาที่พี่สนยิงคุณใหญ่ก็เพราะเรื่องเมียแหม่มหอบลูกมาด้วยใช่มั้ยคะ?”

            “เรื่องแอนนากับอเล็กซ์คุณเล็กสาบานด้วยความสัตย์จริงว่าคุณเล็กไม่รู้มาก่อนว่าพี่ใหญ่แอบมีเมียและลูกอยู่ทางนู้น แอนนาเพิ่งติดต่อคุณเล็กมาก่อนกลับสยามเพียงสองเดือน เธอถือจดหมายที่พี่ใหญ่เขียนตอบมาตลอดระยะเวลา 7 ปี มาให้คุณเล็กดูเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ คุณเล็กก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะอย่างไรเสียอเล็กซ์ก็มีเลือดของสรอรรถโยธาอยู่ครึ่งหนึ่ง จะเขียนจดหมายบอกก็ไม่น่าจะทันสุดท้ายจึงต้องปล่อยเลยตามเลย หนูแสนอย่าโกรธคุณเล็กเลยนะคะ คุณเล็กก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเลยเถิดถึงเพียงนี้”หนูแสนหลบสายตาตัดพ้อที่คุณเล็กส่งมาให้

            “ดูหรือคุณเล็กอุตส่าห์มาหา หวังจะได้เห็นรอยยิ้มหวานๆให้หายคิดถึง แต่กลับไม่มีเลยซักนิด น่าน้อยใจนัก แทนที่ได้กลับมาพบกันจะได้พูดเรื่องของเรากลับต้องมายืนแช่น้ำอธิบายเรื่องของคนอื่น หนูแสนโตขึ้นแล้วยังใจร้ายขึ้นด้วยหรือคะ คุณเล็กไม่ยักรู้”

            “หนูแสนเปล่าเสียหน่อย...หนูแสนขอโทษคุณเล็กที่เข้าใจผิด ก็เฟื้องบอกว่าคุณเล็กพาเมียแหม่มกลับมาหนูแสนก็เลยเข้าใจผิด คุณเล็กให้อภัยหนูแสนได้มั้ยคะ?”ปลายประโยคนั้นทอดเบาคล้ายจะอ้อน ยิ่งริมฝีปากอิ่มระเรื่อที่พูดตรงหน้ายิ่งสะกดให้คุณเล็กเผลอมองอย่างลืมตัว

            “หนูแสนโตขึ้นมากนะคะ หากเจอกันข้างนอกคุณเล็กอาจจะจำไม่ได้ รู้มั้ยคะว่าคุณเล็กคิดถึงหนูแสนทุกวัน เอาแต่คอยนับวันเวลาที่จะได้กลับมาเจอกันทุกคืน ยิ่งตอนที่เรือแล่นเข้าน่านน้ำของสยามใจของคุณเล็กก็แทบจะทนรอไม่ไหว ขอคุณเล็กกอดให้สมกับความคิดถึง ขอให้หนูแสนบอกคุณเล็กซักนิดให้คุณเล็กชื่นใจว่าหนูแสนนั้นก็...”คุณเล็กกลืนคำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมาเมื่ออยู่ๆหนูแสนก็โถมกายเข้ากอดคุณเล็กไว้ทั้งตัว แก้มกลมของเจ้าน้องน้อยก็แนบอยู่กับไหล่คุณเล็ก ถ้อยคำที่วาดหวังจะได้ฟังกับหูของตัวเองมาตลอดแปดปีก็ถูกเอื้อนเอ่ยด้วยปากของหนูแสนเอง

            “คิดถึงค่ะ หนูแสนคิดถึงคุณเล็กที่สุดเลย”คุณเล็กกอดร่างเจ้าแน่งน้อยไว้แนบกายหลับตาลิ้มรสกับความหวานหู

หวานกว่าที่เคยจิตนาการ เสียงของหนูแสนที่บอกว่าคิดถึงนั้นหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้าเสียอีก

            “ชื่นใจเหลือเกินค่ะ หนูแสนของคุณเล็ก”

            “กลับมาแล้ว อย่าไปไหนไกลอีกนะคะ หนูแสนคร้านจะรอแล้ว”

            ไม่ไปไหนแล้วค่ะ คุณเล็กไปไหนไม่รอดแล้ว จะอยู่ข้างหนูแสนแบบนี้จนกว่าหนูแสนจะเบื่อเลยดีมั้ยคะ”หนูแสนผละกายออกจากคุณเล็ก ดวงตากลมเป็นประกายแสดงออกว่าเจ้าตัวมีความสุขมากขนาดไหน

            “หนูแสนไม่มีวันเบื่อคุณเล็กหรอกค่ะ ไม่มีวันเบื่อแน่นอน”เจ้าตัวน้อยให้คำมั่นหนักแน่นก่อนจะถูกรวบไปกอดอีกครั้ง นับเป็นความสุขใจครั้งแรกหลังจากเกิดเรื่องร้ายๆ หนูแสนไม่รู้หรอกว่าหลังจากนี้จะต้องพบเจอกับอะไรหนูแสนรู้เพียงว่าในตอนนี้หนูแสนกำลังเป็นคนที่มีความสุข

มีความสุขที่สุดในโลกเลยเพราะตอนนี้หนูแสนได้อยู่ในอ้อมกอดชองคนที่หนูแสนรู้ตัวแล้วว่าหนูแสนนั้นรักคุณเล็กเสียเหลือเกิน

 

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๑๐๐%)) ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๗
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 24-01-2020 02:40:30
นึกว่าจะเหมือนขมิ้นกับปูนซะแล้ว ยังดีที่ท่านเจ้าคุณเป็นคนมีเหตุมีผล

อุปสรรคเดียวของหนูแสนน่าจะจากคุณหญิงคนเดียวแล้วล่ะ

ส่วนคุณสนคงต้องใช้เวลาในการเยียวยา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๑๐๐%)) ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-01-2020 08:03:39
เห้อ สงสารคุณสน ส่วนเรื่องหนูแสนก้อแลดูจะยากขึ้น ทั้งยุคสมัยและความบาดหมางอีก
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๑๐๐%)) ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๗
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 24-01-2020 10:48:59
ได้กอดกันสักทีนะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๑๐๐%)) ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๗
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 24-01-2020 12:33:19
ลุ้นคู่นี้ต่อออ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๑๐๐%)) ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๗
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 25-01-2020 05:18:49
ได้กลับมาเจอกันสักที​ รอมานาน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๒ ((๑๐๐%)) ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๙๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 25-01-2020 09:43:42


แสนคำนึง
ตอนที่ ๑๓

๕๐%



            หลังจากการผ่าตัดเอาหัวกระสุนออกและพักอยู่ที่โรงพยาบาลห้าวันอาการของคุณใหญ่ก็พ้นขีดอันตราย นับเป็นปาฏิหาริย์ที่คุณหญิงผกาแทบจะกราบลมกราบฟ้า แอนนาดีใจจนออกนอกหน้าหล่อนวาดฝันเอาไว้ว่าถ้าคุณใหญ่หายดีและกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ทำกายภาพบำบัดซักระยะคุณใหญ่ก็จะเดินเกินและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หล่อนวาดฝันว่าคุณใหญ่จะตบแต่งยกย่องหล่อนให้เป็นเมียเอกแทนคุณสนที่ถูกตัดสัมพันธ์จากคุณหญิงผกาแล้ว หลายวันมานี้หล่อนพยายามบอกให้ลูกชายที่มีศักดิ์เป็นลูกชายคนโตได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณหญิงผกาเพื่อเป็นการเอาใจและหวังว่าคุณหญิงผกาจะรักและเอ็นดูลูกชายของหล่อนมากกว่าหนูยิ่ง

วิมานของหล่อนนั้นสวยหรู หล่อนสู้อุตส่าห์อดทนเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง จากผู้หญิงที่บ้านทำร้านขายขนมพื้นเมืองจนๆจับพลัดจับพลูได้มาเป็นสะใภ้พระยาสรอรรถโยธินขุนนางผู้ร่ไรวยแห่งสยาม ชีวิตของหล่อนหลังจากนี้จะสุขสบายไม่ต้องนวดแป้งอบขนมจนดึกจนดื่นเหมือนที่ผ่านๆมาอีกแล้ว

หากแต่หลังจากอนลฟื้นคืนสติความจริงที่ไม่มีใครรู้ก็ปรากฏเมื่ออนลถ่ายหนักเบาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยซักนิดทำให้แอนนาที่มาอยู่เฝ้าต้องเป็นคนเช็ดล้างทำความสะอาดแค่เพียงคนเดียว เมื่ออนลเล่าอาการให้หลวงแพทย์ฟัง หลวงแพทย์จึงทำการตรวจอย่างละเอียด สีหน้าของหลวงแพทย์นั้นไม่สู้ดีจนอนลสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง

            “คุณอาหมอครับ กระผมเป็นอะไรหรือครับทำไมกระผมไม่รู้สึกอะไรเลย”

            “พ่อใหญ่ตั้งสติแล้วฟังอานะ เนื่องจากกระสุนไปทำลายกระดูกสันหลังและเส้นประสาทเสียหายทำให้ครึ่งล่างของพ่อใหญ่เป็นอัมพาต พ่อใหญ่จะไร้ความรู้สึกและขยับร่างกายส่วนนั้นไม่ได้”อนลมองหน้าหลวงแพทย์ด้วยสายตาตระหนกหลังจากได้ยินชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นโกรธแค้นคุณสนที่ทำให้ตายต้องกลายเป็นชายพิการหากแต่ทิฐิและความทระนงตนทำให้ต้องอดทนรักษากริยาไม่โวยวายไม่นานก็กลายเป็นความสิ้นหวัง หลักจากหลวงแพทย์ไปแล้วอนลที่นอนกำมือแน่นระงับความโกรธ ความท้อแท้ ความเสียใจก็ระเบิดออกมาด้วยการร้องไห้

นับเป็นการร้องไห้ครั้งแรกในชีวิตลูกผู้ชายของอนล

เขารู้ว่าความพิการนี้จะทำให้เขาต้องออกจากราชการ

เขารู้ว่าความพิการนี้จะทำให้เขาต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง

เขารู้ว่าความพิการนี้จะทำให้คนรอบข้างค่อยๆทิ้งเขาไปทีละคน

สุดท้ายนี้อนลจะไม่เหลือใคร

ตายทั้งเป็น...

 

หลังจากกลับมาสยามได้หนึ่งเดือนคุณเล็กก็ไปรายงานตัวที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อเข้ารับราชการตามที่เจ้าคุณสรอรรถได้แนะนำและฝากฝังไว้ คุณเล็กจึงต้องออกจากบ้านในตอนเช้าเพื่อไปทำงานที่กระทรวงกว่าจะกลับก็เย็นย่ำเวลาที่จะไปพบหนูแสนก็ไม่ค่อยมีพอขยับตัวลงจากเรือนนิดเดียวคุณหญิงผกาก็เอ่ยเรียกไว้ไม่ยอมให้ลูกชายห่างกาย ที่สุดเมื่อทนความอึดอัดไม่ไหวจึงได้ขอให้เจ้าคุณสรอรรถซ่อมแซมเรือนแพที่ตนชอบไปนั่งเล่นตอนเด็กๆให้กลายเป็นเรือนส่วนตัวโดยบอกกับคุณหญิงว่าบนเรือนใหญ่นั้นหนูยิ่งและอเล็กซ์เล่นกันเสียงดังคุณเล็กไม่มีสมาธิจะทำงานอีกทั้งเขาชอบที่จะอยู่เรือนแพมากกว่า คุณหญิงผกาแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ขัดท่านเจ้าคุณไม่ได้ ดังนั้นภายในเวลาไม่นานเรือนแพที่เก่าตามกาลเวลาก็ถูกรื้อและสร้างขึ้นมาใหม่ห่างจากเรือนใหญ่และเรือนเมียรองของท่านเจ้าคุณสรอรรถจนเกือบจะชิดรั้วบ้านของหนูแสนเยื้องไปตรงกันข้ามคือเรือนของคุณใหญ่ที่อยู่กับคุณสน บัดนี้ถูกปิดนับตั้งแต่คุณพะยอมมาเอาคุณสนกลับไปดูแล คุณหญิงผกาที่ตามมาดูบ่าวผู้ชายขนของเข้าไปไว้ในเรือนแพตามที่คุณเล็กสั่งก็อดบ่นว่าไม่ได้

            “ตาเล็กนี่ทำอะไรขวางจริง บ้านช่องห้องหับก็มีอยากจะย้ายไปอยู่เรือนแพให้วุ่นวาย”

            “ลูกมันโตแล้วก็ปล่อยมันบ้างเถอะ”

            “ยังไม่ออกเรือนมีเมียมีลูกเสียหน่อยนี่คะคุณพี่”

            “หล่อนนี่ก็ขวางไม่ต่างจากลูก พ่อเล็กมันโตแล้วมันจะทำอะไรก็ให้มันทำเถอะ ถ้าหล่อนฟุ้งซ่านนักก็เอาเวลาไปดูตาใหญ่เถอะหรือไม่งั้นก็ไปฟังเทศน์ฟังธรรมกับฉันที่วัดยังจะดีกว่ามาคอยจับผิดลูกเต้ามัน”เจ้าคุณสรอรรถหันหลังเตรียมกลับไปที่เรือนใหญ่ เมื่อเห็นคุณหญิงผกาไม่ยอมตามมาก็ส่งเสียงเรียก

            แม่ผกา มาได้แล้ว เลิกไปวุ่นวายกับลูกมันเสียทีไปยืนให้เกะกะบ่าวไพร่มันขนของ เร็ว”

 

            “หนูแสน ไปไหนลูก?”คุณพะยอมเอ่ยถามยามเห็นลูกชายคนเล็กหิ้วปิ่นโตออกจากโรงครัว หนูแสนรีบเข้าไปประคองผู้เป็นแม่ให้มานั่งที่โต๊ะตัวยาว

            “วันนี้ทำขาหมูต้มพะโล้กับแกงป่าเนื้อหนูแสนเลยตักแบ่งไปให้คุณเล็กค่ะ วันนี้เธอขนของมาไว้ที่เรือนแพ”

            “อย่างนั้นก็ไปเถอะ แต่อย่ากลับให้มันค่ำมืดมากนัก แม่หยกติดหนูแสนไม่เห็นคุณน้าปะเดี๋ยวจะร้องไห้งอแงไม่ยอมนอน”คุณพะยอมเอ่ยปากอนุญาต หนูแสนจึงได้หิ้วปิ่นโตมาที่เรือนแพของคุณเล็ก บรรดาบ่าวไพร่กลับไปแล้วบนเรือนแพมีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น ส่วนมากเป็นพื้นที่โล่งมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้ตั้งชิดมุมเรือนแพ ติดกันเป็นเก้าอี้โยกตัวยาวที่คุณเล็กนั่งหลับอยู่บนอกมีหนังสือเล่มหนาคว่ำไว้เป็นประมวลกฎหมายที่หอบหิ้วมาจากฝรั่งเศส หนูแสนเมื่อเห็นคุณเล็กหลับก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยเรียกด้วยเพราะรู้ว่าเวลาร่วมเดือนที่ผ่านมาคุณเล็กนั้นต้องวิ่งรอกระหว่างบ้าน โรงพยาบาล และกระทรวงมากมายขนาดไหน คนที่เคยดูแลร่างกายตัวเองจนเกลี้ยงเกลาบัดนี้ใบหน้าที่เคยไร้หนวดเคราก็ขึ้นตอหนวดจนเขียวครึ้ม มองแล้วก็ให้นึกสงสาร หนูแสนวางปิ่นโตลงบนโต๊ะแล้วค่อยๆยกเก้าอี้มานั่งข้างๆ หยิบพัดที่แขวนไว้ตรงฝาบ้านมาพัดให้คุณเล็กเบาๆ อีกทั้งยังคอยปัดยุงที่เริ่มจะบินมาเมื่อตะวันใกล้ค่ำ

ลิขิตรู้สึกตัวตื่นเมื่อมีใครบางคนมาประคองใบหน้าของตนเมื่อลืมตาก็เห็นหนูแสนทำหน้าตาเหรอหรา เจ้าตัวน้อยทำท่าจะหดมือกลับแต่ชายหนุ่มกลับไวกว่า มือแกร่งรั้งมือเจ้าน้องน้อยไว้ก่อนจะฉวยโอกาสกดจูบลงบนหลังมือขาวนั้นจนหนูแสนสะดุ้งรีบหันรีหันขวางด้วยเกรงจะมีใครมาเห็นเข้า

            “คุณเล็ก ทำอะไรคะ ไม่งามเลย”

            “คุณเล็กจับโจรเตรียมจะขโมยจูบคุณเล็กน่ะสิคะ”ชายหนุ่มแกล้งเย้าด้วยหวังเห็นผิวแก้มแดงเรื่อด้วยความอาย ซึ่งหนูแสนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

            “หนูแสนไปขโมยจูบคุณเล็กตอนไหนคะ คุณเล็กขี้ตู่เสียจริง”หนูแสนย่นจมูกใส่คนที่มาใส่ร้ายตนหน้าตาซื่อ

            “อ้าว ก็เห็นหนูแสนประคองหน้าคุณเล็กคล้ายกำลังจะทำมิดีมิร้ายอยู่รอมร่อแล้วนี่คะ”

            “หนูแสนจะจัดท่านอนให้หรอกค่ะ เห็นหลับคอพับคออ่อนเป็นไก่ไหว้เจ้า ดูรึอุตส่าห์นั่งพัดนั่งปัดยุงให้ตั้งนานยังมาโดนกล่าวหาว่าเป็นโจรขโมยจูบเสียได้ ทำคุณคนไม่ขึ้นจริงๆ”เจ้าตัวแสร้งตัดพ้อไม่จริงไม่จังนักหากแต่คนฟังกลับทำสีหน้าตื้นตันจนเห็นได้ชัด

            “นี่หนูแสนนั่งพัดให้คุณเล็กนานเท่าไหร่คะ?”

            “ก็น่าจะช่วงสี่โมงเย็น ตื่นแล้วก็ดีค่ะจริงๆไม่อยากให้คุณเล็กนอนนานนักตะวันจะทับตาเอาปะเดี๋ยวจะปวดหัว คุณเล็กลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาดีกว่าไหมคะหนูแสนเอากับข้าวมาให้เสร็จแล้วจะได้มาทาน เสียดายไม่ร้อนแล้วที่เรือนคุณเล็กมีอุปกรณ์ทำครัวหรือเปล่าคะ?”

            “ไม่มีเลยค่ะ คุณเล็กไม่ได้นึกว่าจะต้องมี แต่พรุ่งนี้จะให้บ่าวมันจัดหามาให้ หนูแสนจะได้มาทำกับข้าวให้คุณเล็กกินทุกวันเลยดีมั้ยคะ?”เอ่ยถามด้วยแฝงความนัยแต่เจ้าน้องน้อยกลับหัวเราะเบาๆ

            “บ่าวไพร่เรือนคุณเล็กก็มีตั้งมาก ยายอ่อนก็เป็นแม่ครัวใหญ่กับข้าวกับปลาสมบูรณ์ดีแล้วเทำไมหนูแสนต้องมาทำกับข้าวให้คุณเล็กทานทุกวันด้วยล่ะคะ”

            “ก็มันไม่เหมือนกันนี่คะ”คนเอาแต่ใจเถียง

            “ไม่เหมือนยังไงคะ คุณเล็กอย่ามายวนหนูแสนสิคะ”

            “กับข้าวยายอ่อนก็เป็นแค่กับข้าวของบ่าว แต่กับข้าวของหนูแสนเป็นกับข้าวของคนที่คุณเล็กรัก ย่อมใส่ใจและอร่อยกว่ากับข้าวของใครทั้งหมดนี่คะ ไม่เห็นจะยากเลย”คุณเล็กแสร้งเงยหน้าส่งตาหวานให้หนูแสนที่แทบจะซักหน้าลงไปใต้โต๊ะด้วยเกรงว่าคุณเล็กจะเห็นว่าตนเองนั้นกลั้นยิ้มจนแก้มแทบจะแตกด้วยความเขินอายแค่ไหน

ที่ฝรั่งเศสเขาสอนอะไรคุณเล็กมานะ ทำไมพูดประโยคหวานเลี่ยนได้อย่างหน้าไม่อายเช่นนี้

หนูแสนฟังแล้วหน้าจะไหม้อยู่แล้ว

            “ไปล้างหน้าเสียทีเถอะค่ะ พูดมากจริง”หนูแสนผลักหน้าคุณเล็กที่ทำล้อเลียนออกไปเบาๆ คุณเล็กไม่ได้เซ้าซี้ที่จะแกล้งให้คนน้องอายไปมากกว่านี้จึงยอมลุกไปแต่โดยดี หนูแสนเอากับข้าวและข้าวเปล่าออกจากเถา ลองเดินไปตรงส่วนที่คิดว่าน่าจะเป็นครัว โชคยังดีที่มีจานชามและช้อนติดอยู่บ้าง ส่วนเครื่องครัวอื่นๆนั้นไม่มีเลย หยิบชามมาสองใบจานและช้อนส้มสองคู่จัดแจงถ่ายกับข้าวและข้าวเปล่าใส่จาน รินน้ำเปล่าจากเหยือกที่วางบนโต๊ะใส่แก้วรอ ไม่นานคุณเล็กก็กลับมาด้วยสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้นไม่หลงเหลืออาการงัวเงียอย่างคนตื่นนอนเหมือนเมื่อครู่

            “อะไรคะ?กวาดตามองกับข้าวในชามก็ส่งยิ้มให้หนูแสน

            “ขาหมูต้มพะโล้ค่ะ เมื่อวานเจ๊กฮงแกพายเรือมาขายหนูแสนซื้อไว้ต้มพะโล้ให้เด็กๆกิน เลยแบ่งมาให้คุณเล็กด้วย หนูแสนไม่ได้ทำหวานมากนักคุณเล็กคงทานได้ ส่วนนี่แกงป่าเนื้อค่ะใส่มะเขือเหลืองเยอะๆแบบที่คุณเล็กชอบ”

            “หนูแสนรู้ใจคุณเล็กที่สุดเลยรู้มั้ยคะ ขนาดยายอ่อนทำกับข้าวให้คุณเล็กกินตั้งแต่เด็กแกยังไม่รู้เลยว่าคุณเล็กชอบกินอะไรไม่ชอบอะไร ส่วนมากก็ทำรสที่พี่ใหญ่กับเจ้าคุณพ่อชอบ”คุณเล็กตักข้าวเข้าปากโดยมีหนูแสนตักขาหมูที่หั่นเอาแต่เนื้อใส่จานให้อย่างเอาใจ

            “หนูแสนคะ...”เอ่ยเรียกเจ้าน้องน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

            “ที่คุณเล็กพูดว่าอยากให้หนูแสนมาทำกับข้าวให้คุณเล็กกินทุกวัน คุณเล็กไม่ได้เย้าหนูแสนเล่นนะคะ คุณเล็กพูดจริง”

 

 

 

            .....................................



คนหรือทองหยอดเจ้าคะ หยอดเก่งจริง

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-01-2020 10:42:28
ปล้ำเลย 5555
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 25-01-2020 12:59:59
แต่งเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 25-01-2020 14:25:36


คุณเล็กสู้ๆๆนะคะ


คนอ่านเป็นกลจ.ให้ค่ะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-01-2020 14:25:49
แหมๆๆๆๆ พอรู้ว่าน้องเข้าใจความรัก
ก็แพรวพราวเลยนะคะคุณเล็ก
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 07-02-2020 15:14:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 08-02-2020 09:25:39
หยอดเก่งงงงง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 08-02-2020 16:56:34
เป็นนี่ก็ยิง ผัวเฮงซวยเอ้ยยย ทำไมปืนไม่ลั่นโดนแม่ผัวด้วยวะ ฮึ่ย ขัดใจ :ling1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 08-02-2020 22:50:05
คุณสนน่าสงสาร


แอนนาก็ไม่ผิด


คนผิดคืออิคุณใหญ่


พิการเลยสมน้ำหน้า
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๕๐%)) ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๐๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 10-02-2020 22:53:16


   
   สามเดือนหลังจากคุณใหญ่ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน คุณหญิงผกาจัดห้องให้ลูกชายบนเรือนใหญ่เสียใหม่เพื่อสะดวกต่อการดูแล แอนนาได้รับมอบหมายให้เป็นพยาบาลคอยดูแลอนลอย่างเต็มตัวโดยที่อเล็กซ์ก็เริ่มพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย ยามคุณหญิงผกาซักถามพูดคุยอะไรเด็กลูกครึ่งก็พอจะจับใจความได้ทำให้การพูดคุยดีกว่าเมื่อช่วงแรกมาก หนูหยกไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาดูคุณพ่อที่เรือนใหญ่ด้วยคุณหญิงผกาสั่งห้ามเด็ดขาด ดังนั้นหนูยิ่งจึงจะมีโอกาสได้เล่นกับน้องสาวก็ต่อเมื่อคุณเล็กพาไปเล่นด้วยที่เรือนแพ

   “น้ำ หิวน้ำโว้ย!! พวกไอ้อีขี้ข้าไปมุดหัวอยู่ไหนกันหมด กูหิวน้ำ ได้ยินมั้ย”คุณใหญ่ตะโกนโหวกเหวกอาละวาดจนแอนนาที่เพิ่งได้พักกินข้าวกลางวันได้ครู่เดียวต้องรีบวางจานข้าวแล้ววิ่งกลับเข้าไปหาอนล เมื่อเห็นเมียแหม่มเข้ามาในห้องอนลก็ฉวยเอาแก้วที่วางไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียงแล้วปาใส่แอนนาทันทีด้วยความโมโห แอนนากรีดร้องด้วยความเจ็บ เลือดหยดจากหางคิ้วไหลลงข้างแก้มแดงฉาน

   “อนล ทำไมเธอทำแบบนี้ เธอมาทำร้ายฉันทำไม?”หล่อนเอ่ยถามผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีด้วยดวงตาผิดหวังในตัวอนล
   “ไหนเธอบอกว่าจะดูแลฉันอย่างดีไงล่ะแอนนา เธอไปไหนทำไมทิ้งฉันไว้คนเดียว ใช่สิฉันมันพิการง่อยเปลี้ยเสียขาแล้วนี่เธอก็เลยทิ้งๆขว้างๆฉันไม่ใยดี ฉันมันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอหวังแล้วใช่มั้ยล่ะ”

   “เธอนี่มันจริงๆเลยนะอนล โทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง ฉันดูแลเธอตั้งแต่เช้าจนดึกเวลาส่วนตัวแทบจะไม่มีในขณะที่เธอเอาแต่นอนแล้วใช้ปากร้องขอเรียกร้องนั่นนี่จากคนอื่นตลอดเวลา เธอหลอกฉันทิ้งฉันไว้ปารีสให้ฉันเลี้ยงลูกคนเดียวแล้วมามีเมียใหม่ออกหน้าออกตาที่นี่ พอถึงวันที่เธอลำบากถึงจะมาเห็นค่าแทนที่เธอจะสำนึกบุญคุณกับเธอกลับมาทำร้ายฉันแบบนี้นะเหรออนล เธอนี่มันเนรคุณจริงๆ”แอนนาหมุนกายออกจากห้องของอนลไปทันที อนลตะโกนโวยวายจนบ่าวที่หลบอยู่แถวนั้นต้องเข้ามารับใช้แทน คุณหญิงผกาได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจกับความเอาแต่ใจของลูกชายคนโต

   “พ่อใหญ่เอาแต่ใจ เกรี้ยวกราดขึ้นทุกวัน ขืนเป็นแบบนี้บ้านได้ร้อนเป็นไฟแน่ๆ”


   เสียงโขลกพริกแกงดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอออกมาจากโรงครัว คุณพะยอมนั่งป้อนขนมให้หนูหยกเอ่ยถามยายแช่มที่นั่งคุมคนง่ายกรอกน้ำปรุงอยู่ไม่ไกล

   “วันนี้หนูแสนทำอะไรกินหรือยายแช่ม”

   “เห็นว่าได้แตงร้านมาหลายลูกคุณแสนเธอเลยบอกว่าจะทำแกงบุ่มไบ่เจ้าค่ะ”

   “ดีจริง ฉันไม่ได้กินมานานแล้วแกงบุ่มไบ่นี่ แค่เตรียมเครื่องก็ยุ่งยากเต็มทน”

   “ตอนแรกเธอว่าจะทำยำทวายเจ้าค่ะแต่เครื่องไม่พร้อม”

   “ถ้าเป็นลูกสาวก็คงดี”

   “เป็นลูกชายก็ดีเจ้าค่ะ เป็นลูกสาวดีตรงไหน ดูคุณสนสิเจ้าคะสติเลื่อนลอยขวัญหายยังหาไม่เจอเลย”

   “ถ้าหนูแสนเป็นลูกสาวฉันเชื่อว่าแกจะมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่านี้ ยายแช่มรู้มั้ยท่านเจ้าสัวบ่นเสียดายที่ลูกเอางานบ้านงานครัวไม่ยอมไปช่วยงานที่ห้างแต่กลับมาช่วยฉันทำน้ำอบน้ำปรุง ท่านว่ามันจะได้ซักกี่สตางค์ อีกหน่อยจะเลี้ยงตัวได้หรือ พ่อเสนก็รับภาระไปคนเดียว”

   “ก็แกรักแกชอบที่จะทำตรงนี้นี่เจ้าค่ะ อีกอย่างรายได้จากตรงนี้ก็ไม่ใช่น้อย น้ำอบน้ำปรุงของคุณชื่อเสียงเลื่องลือ คราวๆหนึ่งได้เงินเป็นฟ่อน ท่านเจ้าสัวน่ะอคติ จะเงินมากเงินน้อยหากรู้จักเก็บจักออมก็รวยได้ เท่าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่รู้จะเอาไปฝังดินเก็บที่ไหนแล้วเจ้าค่ะ คุณน่ะโชคดียังมีลูกคอยปรนนิบัติใกล้ชิด บ้านนี้ถ้าไม่มีคุณแสนเธอซักคนก็คงจะเหนื่อยกันเสียมาก ไหนจะคุณสนที่ป่วย คุณหนูหยกก็ยังเล็ก ไอ้ครั้นจะฝากผีฝากไข้กับคุณอุ่นเรือนเธอก็แค่สะใภ้จะมาดูแลเราดีเหมือนลูกแท้ๆคงไม่ได้”

   “ก็จริงของยายแช่ม แต่ฉันห่วงว่าต่อไปหนูแสนจะลำบาก อายุเข้าวัยที่ควรออกเรือนแล้วแต่ยังวิ่งเล่นเป็นเด็กติดคุณเรือนนู้นแจเสียอย่างนี้”

   “เธอรักใคร่สนิทสนมกันตั้งแต่เกิดนี่เจ้าค่ะ ถึงวันหนึ่งถ้ายังไม่รักใครชอบใครเดี๋ยวเจ้าสัวท่านก็หาผู้หญิงดีๆที่ฐานะสมน้ำสมเนื้อกันมาแต่งเองแหละเจ้าค่ะ ฐานะอย่างท่านเจ้าสัวน่ะถึงไม่ใช่พระยานาหมื่นแต่ก็เงินถุงเงินถังไปขอลูกสาวบ้านไหนขี้คร้านจะเอาใส่พานถวายนะเจ้าคะ”ยายแช่มหัวเราะคิกยกชายผ้าแถบขึ้นมาซับน้ำหมากที่ขอบปาก คุณพะยอมได้แต่ทอดถอนใจอย่างหนักอก

ไปขอสาวบ้านไหนเขาก็ยกใส่พานถวายนั่นน่ะไม่ไกลคำพูดยายแช่มเลยซักนิด ห่วงอย่างเดียวก็คือลูกชายของหล่อนนั้นจะไม่เอาใครน่ะสิ


หนูแสนที่ตำเครื่องแกงจนละเอียดเข้ากันดีแล้วก็เอากระทะตั้งไฟแล้วเทหัวกะทิลงไปตั้งจนแตกมันจึงใส่เนื้อที่หมักขมิ้นกับหัวกะทิตามลงไป แตงร้านที่ได้มาก็หั่นเป็นชิ้นใหญ่เอาเมล็ดออกเตรียมไว้เมื่อเนื้อสุกก็ใส่แตงร้าน หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศสีดา สัปปะรด พริกหยวก และมันฝรั่งลงไปเคี่ยวปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกกับมะนาวน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บเคี่ยวจนเนื้อเปื่อยนุ่มหอมฟุ้งไปทั้งครัว เด็กหนุ่มใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่ไหลจากขมับอย่างไม่ใส่ใจนัก หนูแสนมีความสุขที่ได้ทำอาหารให้คนที่บ้านกินโดยไม่ลืมที่จะแบ่งใส่หม้ออวยใบเล็กไว้ให้คนที่เรือนแพที่มักจะหิวโซกลับมาแทบจะทุกวัน

ตั้งแต่คุณเล็กไปทำงานกลับมาตอนเย็นมักจะบ่นทุกวันว่ากับข้าวที่แม่ค้าหาบมาขายแถวที่ทำงานนั้นไม่อร่อย

   “รสชาติทำเหมือนขอไปที คุณเล็กกลืนไม่ลงจริงๆค่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นไม่ให้แม่ครัวที่บ้านทำใส่ปิ่นโตไปให้ล่ะคะ คุณเล็กจะได้ไม่ต้องทนหิวหิ้วท้องกลับมากินที่บ้าน”หนูแสนเคยเสนอ คุณเล็กส่ายหน้าปฏิเสธแทบจะทันที

   “ไม่เอาดีกว่าค่ะ ตอนนี้บนเรือนใหญ่ก็วุ่นวายกันเต็มที พี่ใหญ่ออกฤทธิ์ไม่เว้นแต่ละวัน อาละวาดเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้านหนูแสนก็คงทราบ คุณเล็กไม่อยากต้องไปเป็นภาระเขาอีกคน อีกอย่างหิ้วท้องกลับมารอกินข้าวฝีมือหนูแสนดีกว่า อิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งใจ”

หนูแสนทำหมูหวานไว้สำหรับเด็กๆรวมทั้งต้มจืดอีกอย่างไว้ให้ได้ซดน้ำเป็นอันเสร็จ เด็กหนุ่มทิ้งงานอื่นให้บ่าวทำต่อแล้วจึงเดินไปเก็บกระด้งที่ตากกลีบดอกบัว ดอกมะลิ ใบเตย เก๊กฮวย กุหลาบที่หั่นตากแดดไว้สำหรับชงดื่มเป็นชาฝัดเอาเศษฝุ่นที่อาจจะมาเกาะออกแล้วแบ่งใส่โหลไว้ ไม่ลืมที่จะแบ่งไว้ให้คุณเล็กด้วยโหลหนึ่ง คุณเล็กชอบดื่มชาเวลาอ่านสำนวนคดีที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ คุณพะยอมเข้ามานั่งมองลูกชายที่ทำงานง่วนอยู่คนเดียว หนูแสนเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่มือก็หยิบจับทุกสิ่งอย่างด้วยความคล่องแคล่ว

   “แบ่งไปให้คุณเล็กเหรอลูก”

   “ค่ะ คุณเล็กเธอชอบคราวก่อนเอาหอมหมื่นลี้ อัญชัญกับดาวเรืองไปให้ใกล้จะหมดแล้ว”

   “เย็นนี้ก็อย่าไปนานนะลูก คุณเตี่ยบ่นหลายครั้งแล้วว่าหนูแสนไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน วันนี้ก็รีบกลับนะลูก มะรืนคุณเตี่ยก็จะลงเรือไปจีนแล้วเดี๋ยวแกจะน้อยใจเอา”หนูแสนหัวเราะขำกับคำพูดของผู้เป็นแม่

   “วันก่อนก็บ่นค่ะว่าหนูแสนเอาแต่ดูแลหลานจนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เข้าไปหาที่ห้องทำงาน จะให้ไปได้อย่างไรล่ะคะ ทั้งพี่สน ทั้งหนูหยก กว่าจะดูแลทั่วถึงก็หมดวัน อีกอย่างเข้าไปก็ถูกใช้ให้คิดบัญชี หนูแสนดีดลูกคิดจนนิ้วพันกันไปหมด ขอถือโอกาสนี้อู้งานเสียเลยก็แล้วกันค่ะ”

   “ลูกหนอลูกไม่ชอบเอาเสียจริงงานของพ่อ”คุณพะยอมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ หนูแสนไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรต่อ พอตกเย็นถึงเวลาคุณเล็กกลับจากทำงาน หนูแสนทิ้งระยะให้คุณเล็กได้ขึ้นไปกราบคุณหญิงผกาที่เรือนใหญ่ซักพักจึงหิ้วหม้ออวยที่ใส่แกงบุ่มไบ่เดินเข้าประตูเล็กตรงไปที่เรือนแพ คุณเล็กยิ้มอย่างดีใจที่หนูแสนมาหา

   “วันนี้มาช้าจังเลยค่ะ คุณเล็กกลับมาถึงรอหนูแสนนานแล้ว”

   “ทำไมวันนี้กลับจากเรือนใหญ่เร็วล่ะคะ หนูแสนคิดว่าจะอยู่คุยกับคุณหญิงป้าเสียอีก”

   “ขี้เกียจฟังคุณแม่บ่นค่ะ”คุณเล็กลุกจากเก้าอี้โยกเดินมายืนมองหนูแสนที่สาละวนกับการตั้งกระทะเพื่อเจียวไข่

   “วันนี้ทำอะไรมาคะ หิวไส้จะขาดอยู่รอมร่อ”คุณเล็กเปิดฝาหม้อดู

   “แกงมัสมั่น? ไม่ใช่สิมีแตงกวาอยู่ด้วย”

   “แกงบุ่มไบ่ค่ะ หน้าตาคล้ายๆกันแต่ไม่เหมือนกัน วันนี้หนูแสนเอากับข้าวมาให้ได้แต่อยู่นั่งเล่นเป็นเพื่อนด้วยไม่ได้นะคะ ประเดี๋ยวก็ต้องรีบกลับเรือนแล้ว”หนูแสนจัดแจงก่อเตาใส่ถ่านเพียงเล็กน้อยเพื่อทำไข่เจียวให้คุณเล็กพอไฟติดก็เอากระทะตั้งเทน้ำมันหมูที่เจียวไว้ให้ลงไปตั้งไฟจนร้อนเทไข่ที่ตีจนเข้าเนื้อลงบนกระทะ ตอบคุณเล็กไปมือก็จับตะหลิวแซะดูว่าไข่เหลืองกรอบได้ที่แล้วหรือยัง

   “มีอะไรหรือเปล่าคะทำไมรีบกลับ”

   “คุณเตี่ยบ่นถึงค่ะว่าพักนี้ไม่กลับไปรับมื้อเย็นด้วย คุณเล็กไปนั่งรอที่โต๊ะเถอะค่ะเดี๋ยวหนูแสนยกไปให้”หนูแสนตักไข่ใส่จานคุณเล็กก็ไม่ได้รอให้คนน้องปรนนิบัติตัวเองฝ่ายเดียวชายหนุ่มเดินไปหยิบจานและแก้วน้ำไปวางรอ ตอนนี้เรือนแพของคุณเล็กมีอุปกรณ์ทำครัวครบครันเพราะยามว่างในวันหยุดบางครั้งหนูแสนก็พาหนูหยกมานั่งเล่นแล้วทำอาหารกินกัน

   “คุณพี่สนเป็นอย่างไรบ้างคะ ดีขึ้นมั้ย”

   “ช่วงนี้ก็ดีขึ้นค่ะ ถามอะไรไปบางครั้งก็ตอบกลับมาบ้างสั้นๆ เจ้าคุณตากับคุณยายก็มาหาบ่อยครั้งก่อนก็บอกกับแม่ว่าอยากพาพี่สนไปอยู่ด้วยท่านเป็นห่วงแต่แม่ก็บอกว่าอยู่ทางนี้ถึงหมอมากกว่า แล้วคุณใหญ่ล่ะคะเป็นอย่างไรบ้าง”

   “ร้อนราวกับไฟ อาละวาดได้ไม่เว้นวัน คุณแม่ปวดหัวจะแย่ ทำตัวราวเด็กเอาแต่ใจ วันนี้ก็เพิ่งเอาแก้วเขวี้ยงหัวแอนนา”
   “ตายจริง แหม่มเป็นอย่างไรบ้างคะ”หนูแสนเอ่ยถามอย่างเห็นใจ

   “คิ้วแตกค่ะ โกรธจนไม่ยอมเข้าไปดูแลพี่ใหญ่ ลูกๆก็เข้าหน้าไม่ติดพี่ใหญ่เล่นตะเพิดเสียวงแตกไปหมด”หนูแสนหน้าหมองลงไปถนัดตา คุณเล็กกุมมือของหนูแสนไว้อย่างเป็นห่วง เขารู้ดีว่าคนอ่อนโยนแบบหนูแสนนั้นเป็นห่วงหลานแต่ไปปกป้องไม่ได้
   “หนูยิ่งไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณแม่รักกว่าใครท่านไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรหลานได้หรอก”

   “หนูแสนก็ห่วงเด็กๆทั้งสองคนนั่นแหละค่ะเจอคุณพ่อดุใส่ก็คงจะกลัว”

   “ตอนนี้ก็คงต้องช่วยกันประคับประคองกันไปจนกว่าจะดีขึ้นหนูแสนเองก็เหมือนกัน พักบ้างนะคะ เห็นหนูแสนทำงานสารพัดคุณเล็กก็เป็นห่วง”คุณเล็กบีบมือของหนูแสนเบาๆ

มือคู่เดิมเหมือนเมื่อครั้งวัยเยาว์ที่เคยพาจูงวิ่งเล่น

เมื่อก่อนไม่ต้องแบกภาระอะไรมากมายหากวันนี้กลับเปลี่ยนไป หนูแสนเติบใหญ่และมีภาระที่ต้องทำมากขึ้น ทั้งดูแลพ่อแม่ที่เริ่มชราภาพลงตามวัย ทั้งกิจการที่สานต่อจากผู้เป็นแม่อีกทั้งต้องดูแลคนป่วยทางจิตอย่างคุณสน ฟูมฟักหลานเล็กอย่างหนูหยก

   “เหนื่อยมั้ยคะ ที่ทำอยู่หนูแสนเหนื่อยมากหรือเปล่า?”

   “เหนื่อยค่ะ”หนูแสนพยักหน้ารับหากแต่ในคำว่าเหนื่อยที่เอ่ยออกมา ใบหน้ากลับเผยยิ้มละมุนให้กับคนตรงหน้า

   “แต่หนูแสนมีความสุขที่ได้ดูแลคนที่หนูแสนรัก”

   “ในจำนวนนั้นมีคุณเล็กรวมอยู่ด้วยมั้ยคะ?”คุณเล็กเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังจ้องตาเพื่อรอคำตอบอย่างจดจ่อ

   “มีค่ะ คุณเล็กก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”





.........................
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๑๐๐%)) ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-02-2020 00:05:19
หนูแสนมาแล้ว แสนดีจิงๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๑๐๐%)) ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 11-02-2020 05:15:40
คุณเล็กถามแบบนั้นความหมายนี่รักแบบไหนจ๊ะพ่อ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๑๐๐%)) ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 11-02-2020 07:06:09


ดีจัง..หนูแสนมาแล้ว

คิดถึงทุกวันเลยค่ะ

อย่าหายไปนานนะคะ

คนอ่านคิดถึ้งคิดถึงค่ะ

อิอิ..

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๑๐๐%)) ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 11-02-2020 07:58:06
หนูแสนลูก



อภิชาติบุตรจริงๆลูก



คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไมไหม้



ภัยอันตรายผีร้ายไม่อาจเข้าใกล้



นะลูกนะ



ส่วนคุณเล็ก ก็ขอให้ดีจริง



อย่าทะลึ่งดีแตกเหมือนอิคุณใหญ่ล่ะ

.

ตอแหลหลอกลวง ร่างกายกลายเป็นง่อย



จิตใจกลายเป็นปีศาจ สาสมกับความเลว
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๑๐๐%)) ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 11-02-2020 10:49:11
มาแล้ววววว​ หายไปนานคิดถึง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๓ ((๑๐๐%)) ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 16-02-2020 18:48:32
ตอนที่ ๑๔

๕๐%

   เสียงไก่ขันเซ็งแซ่รับแสงของรุ่งอรุณ ลมเย็นพัดโชยเอากลิ่นดอกสายหยุดให้ชื่นใจ หนูแสนจัดสำรับตักข้าวใส่ขันทองเหลืองเตรียมออกไปตักบาตรที่ท่าน้ำ อีกไม่นานพระจะพายเรือมาบิณฑบาต กับข้าวสามอย่างมีปลาทอดหั่นเป็นท่อนๆใส่ในปิ่นโตได้พอดี ต้มจืดและไก่ผัดขิงเมื่อจัดเตรียมครบทุกอย่างก็เดินไปเก็บช่อมะลิซ้อนมัดรวมเป็นกำเพื่อถวายพระ ยายแช่มมองเจ้านายที่เติบใหญ่แต่กิจวัตรประจำวันยังคงเป็นคุณหนูตัวน้อยที่เอาแต่วิ่งตามและทำตามอย่างคุณแม่ต้อยๆไม่มีผิดเพี้ยน
หนูแสนถือถาดสำหรับใส่อาหารตักบาตรมานั่งรอพระที่ศาลาริมน้ำ เสียงจั๊กจั่นที่ร้องเซ็งแซ่หยุดเสียงลงราวกับนัดกันพร้อมๆกับร่างผึ่งผายของเจ้าของเรือนแพใกล้บ้านปรากฏกายขึ้น หนูแสนส่งยิ้มให้กับคุณเล็ก
   “พระมาหรือยังคะ?”คุณเล็กก้าวเข้ามานั่งเคียงคู่ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวเช็ง หนูแสนส่ายหน้าตอบ
   “ยังค่ะ อีกซักประเดี๋ยวก็คงจะมา”
   “ถ้าอย่างนั้นคุณเล็กขอตักบาตรด้วยคนได้ไหมคะ”ลิขิตเอ่ยขออนุญาต หนูแสนแสร้งถอนหายใจใส่คนแก่กว่า
   “ใครจะไปห้ามคนจะทำบุญได้ล่ะคะ บาปกรรม”
   “จริงๆถ้าคุณเล็กจะตักบาตรก็ไปตักพร้อมกับคุณแม่ก็ได้ แต่คุณเล็กเลือกจะมาตักบาตรพร้อมหนูแสน รู้มั้ยคะว่าทำไม?”ลิขิตเอ่ยถามคล้ายจะโยนหินถามทาง
   ก็คงขี้เกียจเดินไปที่เรือนใหญ่มั้งคะ เทียบกันแล้วตรงนี้ใกล้กว่า”หนูแสนตอบตามซื่อ คุณเล็กส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
   “ใช่เสียที่ไหนเล่าคะ คุณเล็กมาตักบาตรพร้อมหนูแสนเผื่อผลบุญจะพาให้เราไปเกิดคู่กันในชาติหน้าต่างหากล่ะค่ะ ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เหลือแค่เด็ดดอกไม้ร่วมต้นก็จะได้ครองคู่กันตลอดไป”เมื่อได้ฟังคำเฉลยหนูแสนก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
   “ตายจริง นี่คำพูดคำจาของคนที่ไปเล่าเรียนถึงเมืองฝรั่งจริงหรือคะเนี่ย ยังจะเชื่อเรื่องโบราณคร่ำครึอยู่อีก”
   “หนูแสนจะด่าว่าคุณเล็กแก่ก็พูดออกมาตรงๆเถอะค่ะ คุณเล็กรับได้”
   “แก่ค่ะ คุณเล็กมีความคิดแก่มาก”หนูแสนแกล้งย้ำคำว่าแก่หนักๆให้กับคุณเล็ก ทั้งคู่จ้องหน้ากันต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปครู่แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ นั่งคุยกันอีกไม่นานพระก็พายเรือมาเทียบท่า หนูแสนเป็นฝ่ายตักข้าวใส่บาตรส่วนคุณเล็กคอยช่วยหยิบจับอยู่ข้างๆเมื่อถวายปิ่นโตให้พระเด็กวัดก็เอาปิ่นโตเถาเมื่อวานยื่นคืนหนูแสนวางช่อมะลิซ้อนลงบนฝาบาตรแล้วทั้งคู่ก็พนมมือไหว้พระ เมื่อพระพายเรือจากไปแล้วคุณเล็กก็ฉวยโอกาสตอนที่หนูแสนง่วนอยู่กับการเก็บของใส่ถาดกระซิบใกล้ๆ
   “คิดถึงนะคะ มาเพราะคิดถึง อยากเห็นหน้าเป็นคนแรกในตอนเช้าทุกวันเลย”ทันทีที่ได้ยินคำหวานหนูสองแก้มก็แดงปลั่ง หนูแสนอมยิ้มจนแก้มตุ่ย น่าเอ็นดูจนคุณเล็กอยากจะจับมาฟัดแก้มให้ช้ำ หากแต่สิ่งที่ทำได้คือต้องห้ามใจ หนูแสนควบคุมจิตใจตัวเองจนสงบแล้วจึงช้อนตาขึ้นสบกับคุณเล็ก ริมฝีปากสวยกล่าวคำเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้คุณเล็กเป็นฝ่ายใจเต้นแรงไม่แพ้กัน
   “คิดถึงเหมือนกันค่ะ อยากเห็นหน้าคุณเล็กเป็นคนแรกในตอนเช้าทุกวัน อยากเห็นหน้าคุณเล็กเป็นคนสุดท้ายทุกคืน...”


   เช้าวันนี้หลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อยแล้วคุณพะยอมก็รับหน้าที่ดูแลหนูหยกเพราะหนูแสนต้องไปนับน้ำอบห้าร้อยขวดที่ลูกค้าสั่งไว้ตั้งแต่เดือนก่อน เพราะอากาศช่วงเช้ากำลังดีไม่ร้อนจนเกินไปเฟื้องจึงพาคุณสนออกมานั่งเล่นตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน
   “คุณสนนั่งรอบ่าวอยู่ตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวอีเฟื้องจะเข้าไปเอาน้ำกับขนมมาให้คุณทานเล่นนะเจ้าคะ”เฟื้องบอกกับนายสาวผู้ยังมีแววตาเลื่อนลอย คุณสนนั่งนิ่งไม่ไหวติงหากแต่นกขมิ้นสีเหลืองตัวน้อยกลับบินมาเกาะกิ่งไว้อยู่แถวริมน้ำ คุณสนลุกขึ้นเดินไปหานกตัวน้อยหวังจะไปชมเชยใกล้ๆ แต่พอเข้าไปใกล้นกก็บินไปเกาะกิ่งประดู่ที่ทอดยอดลงไปริมตลิ่ง คุณสนไม่สนใจเสียงเครื่องยนต์ของเรือที่แล่นเข้ามาเทียบท่าจิตใจของหญิงสาวมุ่งแต่จะมองหาเจ้านกตัวน้อย ลืมมองพื้นที่เหยียบว่ามันลื่นและเทลงไปในน้ำ กว่าจะรู้ตัวก็ก้าวพลาดเสียหลักจนร้องวี้ดออกมาอย่างตกใจ ร่างบางกำลังจะไถลลงไปในน้ำหากแต่ใครบางคนที่เห็นท่าทางไม่ปกติของหญิงสาวรีบขึ้นจากเรือยนต์แล้ววิ่งเข้ามาคว้าแขนและเอวของคุณสนไว้ได้ทัน
   “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”คุณสนมีสีหน้าตื่นตกใจยืนตัวแข็งทื่อมองผู้ชายแปลกหน้าที่ประคองตนเองอยู่ด้วยสายตาแปลกใจ
   “ใคร?”คุณสนเอ่ยถามด้วยสายตางุนงง พลางเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของคนแปลกหน้า
   “สวัสดีครับ กระผมชื่อกล้า เป็นพ่อค้ามาจากปากน้ำโพ วันนี้กระผมจะมารับน้ำอบที่สั่งไว้ ไม่ทราบว่าคุณเป็นเจ้าของบ้านใช่หรือไม่”กล้าตอบคำถามของคุณสนด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มดูใจดี คุณสนไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม มีเพียงนังเฟื้องที่เห็นเจ้านายสาวยืนคุยกับคนแปลกหน้า มันรีบวิ่งมาคว้าแขนคุณสนให้ไปหลบอยู่ด้านหลัง มันมองสำรวจท่าทางและเครื่องแต่งกายของกล้า เมื่อประเมินดูแล้วท่วงท่าดูดีมีฐานะอีกทั้งเครื่องแต่งกายก็สะอาดสะอ้านเรียบร้อยด็เอ่ยถาม
   “คุณเป็นใครเจ้าคะ มีธุระอะไร?”แต่ยังไม่ทันที่กล้าจะเอ่ยตอบเสียงคุณสนก็พูดแทรกขึ้นมาเบาๆ
   “ชื่อกล้ามาซื้อน้ำอบ”นังเฟื้องหันไปมองคุณสนพลางส่งยิ้มให้เจ้านาย
   “คุณสนถามแล้วหรือเจ้าคะ เก่งจังเลยเจ้าค่ะ”มันเอ่ยชมราวกับว่าคุณสนเป็นเด็กเล็กที่ทำความดีแล้วจะได้รางวัล
   “บ่าวเอาน้ำกับขนมมาให้คุณสนแล้วนะเจ้าคะ คุณสนไปนั่งทางนั้นดีกว่าเดี๋ยวตกน้ำตกท่าไปมันอันตราย”มันพาคุณสนกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม
   “ส่วนคุณ เดินตามทางไปด้านหลังนะเจ้าคะ จะมีคุณพะยอมกับคุณแสนเตรียมของรออยู่”เฟื้องชี้มือไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐมอญไปทางข้างตัวตึก กล้าพยักหน้ารับก่อนจะหันไปพูดกับคุณสน
   “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณสน ไว้มีโอกาสคงได้เจอกันใหม่”กล้าค้อมศีรษะให้กับคุณสนน้อยๆแล้วเดินไปตามทางที่เฟื้องบอก คุรสนมองตามชายหนุ่มผมคร้ามแดด หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาติดจะธรรมดาแต่กริยาวาจาสุภาพ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานุ่มทุ้มน่าฟัง สายตาของคนๆนั้นบ่งบอกว่าเป็นคนใจดี หากแต่ความรู้สึกนั้นคล้ายผิวน้ำที่นิ่งสงบแล้วมีหินก้อนเล็กถูกเขวี้ยงลงมาจนผิวน้ำเกิดระลอกคลื่นเป็นวงเล็กน้อยแล้วค่อยกลับมาสงบตามเดิม ในที่สุดคุณสนก็ลืมเลือนไปไม่ได้ให้ความสนใจอะไรอีก


   “ร้อน ร้อนจะตายอยู่แล้วโว้ย ไอ้อีคนไหนอยู่แถวนี้เข้ามาเช็ดตัวให้กูหน่อย”เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากห้องของคุณใหญ่ทำเอาคุณหญิงผกาที่กำลังนั่งปักผ้าสะดุ้งจนเข็มตำมือ คนเป็นแม่ส่ายหน้าอย่างระอาใจที่ลูกชายคนโตทำฤทธิ์ได้ทุกวัน เสียงกระเบื้องตกกระทบพื้นแล้วแตกดังลั่น
   “เขวี้ยงแก้วชาอีกแล้วกระมัง แม่แอนนา หล่อนมัวพิรี้พิไรทำอะไรอยู่ผัวร้องเรียกทำไมยังไม่มา”คุณหญิงผกาส่งเสียงเรียกลูกสะใภ้แหม่ม หากแต่ไร้เงาของแอนนา
   แม่คนนี้นับวันยิ่งเหลวไหล ตอนแรกก็ดูแลดีอยู่หรอก พอนานวันเข้าก็เริ่มไปทางนู้นทีทางนี้ที นี่ไปไหนอีกแล้ว”คุณหญิงผกาบ่นแต่ก็ต้องเงียบเสียงแล้วเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของคุณใหญ่ ทันทีที่ก้าวขาเข้าไปก็อดทำหน้าผะอืดผะอมไม่ได้เมื่อมีกลิ่นเหม็นโชยมาจากตัวของคุณใหญ่
   “ตายจริงพ่อใหญ่ ถ่ายหนักหรือลูก”
   “ไอ้อีขี้ข้ามันไปไหนหมดคุณแม่ มันปล่อยให้ลูกนอนแช่ขี้แช่เยี่ยวอยู่อย่างนี้ได้ยังไง”คุณใหญ่ตะโกนโวยวายใส่ผู้เป็นแม่ คุณหญิงผกาออกไปร้องเรียกบ่าวที่อยู่ด้านนอกซึ่งทุกคนแทบจะหลบไปให้พ้น ไม่มีใครอยากจะมาดูแลคนป่วยติดเตียงแถมถ่ายหนักถ่ายเบาเรี่ยราดแบบนี้ ตั้งแต่คุณใหญ่กลับมารักษาตัวตอนนี้ก็เกือบครึ่งปีมีบ่าวขอลาออกไปหลายคนแล้ว ที่มาใหม่ก็ทนงานสกปรกแบบนี้ได้ไม่นานจนตอนนี้เหลือเพียงคนเก่าๆที่แก่ชรากันเสียส่วนมาก ที่เป็นกำลังหลักจริงๆก็คือแอนนาที่อยู่ดูแลคุณใหญ่แม้ว่าจะทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่บ่อยๆก็ตามที
   “มาช่วยกันล้างตัวคุณใหญ่หน่อยเถอะ ข้าคนเดียวเปลี่ยนผ้าไม่ไหวหรอก”บ่าวที่เข้ามาสองคนกลั้นหายใจก่อนจะช่วยกันยกตัวยกขาดึงผ้าเปรอะเปื้อนออก คุณหญิงผกาเป็นคนเช็ดตัวให้ลูกชาย ใช้เวลานานร่วมชั่วโมงกว่าจะแล้วเสร็จเล่นเอาพยาบาลจำเป็นทั้งสามเหงื่อซึมเหนื่อยหอบไปตามๆกัน
   “พวกเอ็งออกไปได้แล้ว”คุณหญิงผกาเอ่ยปากไล่บ่าวอีกสองคนให้ออกไป เมื่อประตูห้องถูกหับเรียบร้อยแล้วนางก็เดินมานั่งข้างเตียงของลูกชาย
   “พ่อใหญ่ เป็นอย่างไรบ้างลูก สบายตัวขึ้นมั้ย อยากได้อะไรอีกหรือเปล่าเดี๋ยวแม่จะให้บ่าวเอามาให้”
   ลูกอยากได้ขา อยากเดินอยากกลับไปเป็นปกติ คุณแม่หามาให้กระผมได้หรือไม่เล่าขอรับ?”คุณใหญ่ที่อารมณ์ไม่ดีเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงห้วน คุณหญิงผกาหน้าเสียเมื่อได้ฟังความต้องการของลูก
   “โธ่...พ่อใหญ่ ขออะไรที่แม่หาให้ได้สิลูก”
   “ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ก็ไม่ต้องมาถามเซ้าซี้ให้กระผมรำคาญใจ ทำไมลูกต้องมานอนเป็นผักเป็นปลาแบบนี้ด้วย ตายก็ไม่ตาย”ปากเอ่ยตัดพ้อโชคชะตามือก็ทุบลงบนขาที่ไร้ความรู้สึกของตัวเองจนเกิดเสียงดัง คุณหญิงผการีบผวาไปคว้าแขนของลูกไว้ไม่ให้ทำร้ายตัวเอง น้ำตาไหลด้วยความสงสารเวทนาผู้เป็นบุตรชาย
   “พ่อใหญ่ อย่าทำแบบนี้สิลูก ไม่เอาอย่าทำร้ายตัวเอง หากแลกแขนขนแลกชีวิตกันได้แม่ก็จะยกชีวิตของแม่ให้กับลูก แต่นี่แม่ก็จนใจ แม่ช่วยอะไรลูกไม่ได้จริงๆ แบ่งเบาความเจ็บปวดของลูกก็ไม่ได้ แม่ขอโทษนะลูกนะ”คุณหญิงผกากอดลูกชายไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ อนลนอนปล่อยน้ำตาให้ไหลลงข้างแก้มนิ่งเลิกโวยวายแต่ก็ไม่ยอมรับชะตาชีวิตที่ตนเองกำลังเผชิญ

กระท่อมท้ายสวนที่มีไว้ให้กับบ่าวผู้ชายพักปรากฏร่างของเด็กชายอเล็กซ์และหนูยิ่งกำลังแอบมองอะไรบางอย่างภายใน เด็กทั้งสองป้องปากหัวเราะคิกคักก่อนจะพากันวิ่งแอบพากันกลับเรือน ทิ้งกระท่อมไว้เบื้องหลังแต่ภาพที่เห็นถูกจดจำไว้ในสมองของเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้
   “หนูยิ่งลูก ยกมะปรางริ้วเข้าไปให้คุณพ่อไป”คุณหญิงผกาเลื่อนจานมะปรางริ้วให้กับหนูยิ่งยกไปให้ผู้เป็นพ่อ หนูยิ่งวัย 6 ขวบทำตามคำสั่งผู้เป็นย่าอย่างว่าง่าย แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปเสียงเอะอะโวยวายก็ดังออกมาให้ได้ยินเหมือนเช่นทุกวัน
   “อนล เธอทำร้ายฉันอีกแล้วนะ”แอนนาตะเบ็งเสียงใส่อนลที่ทึ้งผมของหล่อนด้วยความโมโหที่แอนนาตัดเล็บให้แต่พลาดทำเอาเข้าเนื้อ
   “แกมันโง่ ตัดเล็บง่ายๆยังทำไม่ได้ นั่นมือหรือตีน แกทำฉันเจ็บเห็นมั้ย”
   “ถ้าเก่งนักทำไมเธอไม่ทำเองล่ะ พิการง่อยเปลี้ยแล้วไม่สำเหนียกตัว เอะอะเอาแต่ใจ ฉันจะทนเธอไม่ไหวแล้วนะ”
   “ทนไม่ไหวแล้วเธอจะมีปัญญาทำอะไรได้ ผู้หญิงหิวเงินที่ปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจับผู้ชายอย่างเธอ ถ้าไม่มีเงินจะมีปัญญาไปไหนได้ไกล สมใจเธอหรือยังล่ะ ที่ชีวิตฉันพังแบบนี้ก็เพราะเธอ ถ้าเธออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวรอรับเงินรายเดือนอยู่ฝรั่งเศสฉันก็ไม่ต้องมานอนแบบนี้”
   “นี่เธอโทษฉันหรืออนล เธอควรโทษตัวเองมากกว่ามั้ย ถ้าเธอไม่ตอแหลปลิ้นปล้อน ไม่มักมากในกามเธอก็ไม่ต้องมานอนเป็นผักเน่าๆแบบนี้หรอก ถ้าฉันรู้ว่าการมาหาเธอแล้วฉันต้องมาลำบากต้องมาตกนรกแบบนี้ จ้างให้ฉันก็ไม่มา ทุเรศ เกิดเป็นชายเสียเปล่าแต่ให้ความสุขใครก็ไม่ได้แล้วซ้ำยังมาเป็นภาระให้คนอื่นดูแล เธอมันกระจอก อนล รู้ไว้ด้วย ฉันจะบอกเธอให้นะ ตอนนี้ฉันน่ะเจอคนที่ให้ความสุขฉันได้มากกว่าเธอ หนุ่มกว่าเธอแข็งแรงกว่าเธอ ลีลาก็ดีกว่าเธอ พอกันที ฉันจะไม่ทนกับคนทุเรศไร้ประโยชน์อย่างเธออีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้ก็ช่วยเหลือตัวเองก็แล้วกัน ฉันไม่ทนแล้ว”แอนนาปาผ้าเช็ดมือใส่หน้าอนลแล้วผลุนผลันออกจากห้องไป อนลร้องเรียกเท่าไหร่เธอก็ไม่หันกลับมา ไม่นานหญิงสาวก็หิ้วตะกร้าใส่ข้าวของส่วนตัวก่อนจะมายืนต่อหน้าคุณหญิงผกาที่ทำหน้าตาเหรอหราด้วยไม่รู้ว่าทั้งคู่ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร มีเพียงอเล็กซ์ที่ฟังออกหมดทุกคำรีบวิ่งเข้ามากอดผู้เป็นมารดาไว้ แอนนาเอ่ยกับคุณหญิงเป็นภาษาไทยแปร่งหู
   “ฉันขอลา”
   “ลา? ลาอะไร หล่อนจะไปไหน?”คุณหญิงผกาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ มองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่แอนนกยกออกมาพลันก็รู้สึกใจหาย
   “ทะเลาะอะไรกันเล่า? ร้ายแรงถึงขั้นต้องหอบผ้าหอบผ่อนหนีกันเชียวหรือ?”
   “ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว อนลร้ายกาจเจ้าอารมณ์มาก”
   “หล่อนไปแบบนี้พ่อเล็กเล่า อดทนอีกหน่อยเถอะนะ ถือว่าเห็นแก่ลูก”
   “ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงสยามเลยซักนิด ทำไมเราต้องอดทนถ้าชีวิตคู่มันไปด้วยกันไม่ได้ การแยกทางกันอาจจะเป็นผลดีกับเด็กมากกว่า ฉันไม่อยากให้ลูกต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่พ่อแม่ตะโกนใส่กันทุกวันหรอกค่ะ”
   “แล้วหล่อนจะไปอยู่ที่ไหน กลับเมืองฝาหรั่งรึ? แล้วพ่อเล็กเล่าจะเอาไปด้วยหรือไร?”คุณหญิงผกาถามอย่างใจหาย เวลาหลายเดือนหล่อนก็รู้สึกรักและเอ็นดูเจ้าหลานลูกครึ่งพอๆกับที่รักหนูยิ่ง ในใจคุณหญิงผกานั้นกลัวว่าแอนนาจะเอาลูกไปด้วย แอนนาก้มลงมองลูกชายที่กอดหล่อนไว้แน่น หล่อนพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสบอกกับลูกชายให้รู้เพียงสองคน
   “ลูกแม่ ลูกต้องอยู่ที่นี่ ลูกเป็นหลานชายคนโตของคุณปู่ ที่แม่ไม่เอาลูกไปก็เพราะแม่รักลูกมาก แม่อยากให้ลูกมีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ จำไว้นะลูกรัก เมื่อลูกเติบใหญ่ อย่าทำตัวเหมือนพ่อ อย่าหลอกให้ใครรักจงเป็นชายที่รักเดียวใจเดียว แม่จะหมั่นมาเยี่ยมหาลูกบ่อยๆ”หล่อนนั่งลงแล้วกดจูบลงบนหน้าผากของลูกชาย หันไปยกมือไหว้ลาคุณหญิงผกาแล้วหมุนตัวเตรียมลงจากเรือน อเล็กซ์รีบวิ่งไปสวมกอดผู้เป็นแม่
   “แม่อย่าไป พลีส”แอนดาสะอื้นไห้กับคำร้องขอนั้นของลูก ที่ตีนบันไดปรากฏร่างของไอ้อิน บ่าวที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่สวนได้ไม่นานยืนรออยู่หล่อนตัดในดึงลูกออกและผลักให้ห่างตัวก่อนจะวิ่งลงบันได้แล้วคว้าข้อมือของอินพากันวิ่งหนีออกมาจากเรือนใหญ่ คุณหญิงผการีบวิ่งมากอดรั้งร่างของอเล็กซ์ที่ร้องตามถลาจะวิ่งตามแม่ไปไว้กับอก มองภาพสะใภ้แหม่มวิ่งหนีไปพร้อมบ่าวคนใหม่แล้วอยากจะเป็นลม
ไม่นานข่าวสะใภ้แหม่มของเจ้าคุณสรอรรถหนีตามผู้ชายก็กระจายไปทั่ว ผลกระทบจากคำนินทาอื้ออึงนั้นย่อมถึงเจ้าคุณสรอรรถและคุณเล็ก หลายคนที่ทำงานด้วยกันต่างพากันมาถาม บ้างก็ซุบซิบนินทาให้เห็นซึ่งๆหน้าก็มี หากแต่สองพ่อลูกทำวางเฉยเสียไม่ได้พูดจาต่อความยาวสาวความยืดกับใครในที่สุดคนเหล่านั้นก็เลิกสนใจหันไปสนใจเรื่องของคนอื่นที่มีกระแสมาให้ซุบซิบแทน

   อนลนอนเหม่อมองหนูยิ่งที่นั่งเล่นอยู่บนพื้นเพียงลำพัง อเล็กซ์ออกไปข้างนอกเพื่อไปเอาของเล่นที่ห้องเมื่อครู่ ชายหนุ่มมองลูกชายวัยหกขวบที่เขาไม่ค่อยได้สนใจลูกซักเท่าไหร่
   “ยิ่ง...”คุณใหญ่เอ่ยเรียกลูกชาย หนูยิ่งเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นพ่อกวักมือเรียกก็เดินเข้าไปหาอย่างเชื่อฟัง
   “ที่ผ่านมาพ่อไม่เคยได้ดูแลลูกให้สมกับการเป็นพ่อที่ดี พ่อขอโทษนะ ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้พ่อยิ่งจำไว้ว่าพ่อรักลูกนะ”
   “หนูยิ่งก็รักคุณพ่อครับ”เด็กน้อยตอบผู้เป็นพ่อตามประสาซื่อ คุณใหญ่ส่งยิ้มให้ลูก มือหนาวางลงบนกลุ่มผมของลูก ลูบเบาๆอย่างหมายจะซึมซับความรู้สึกนี้ให้นานที่สุด
   “ช่วยอะไรพ่อซักอย่างได้มั้ย?”
   “คุณพ่อจะให้หนูยิ่งทำอะไรครับ?”
   “หยิบของในลิ้นชักข้างล่างให้พ่อที”หนูยิ่งมองตามนิ้วของคุณใหญ่ที่ชี้ไปที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานชั้นล่างสุด หนูยิ่งเดินไปเปิดลิ้นชักตามที่พ่อบอก มือน้อยหยิบห่อผ้าที่ห่อวัตถุบางอย่างที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก
   “นั่นแหละ เอามาให้พ่อ”คุณใหญ่สั่งลูกชายที่ทำท่าจะเปิดห่อผ้าออกดู หนูยิ่งละความสนใจกับห่อผ้าเดินเอามามอบใส่มือผู้เป็นพ่อ
   “พ่อคอแห้ง อยากกินชาร้อน ยิ่งไปบอกบ่าวในครัวให้พ่อทีได้มั้ยว่าพ่อขอชาร้อนซักกา”
   “ได้ครับ เดี๋ยวหนูยิ่งไปบอกในครัวให้นะครับ”หนูยิ่งฉวยเอากาที่วางบนโต๊ะซึ่งบัดนี้เหลือเพียงกากชาวิ่งปร๋อออกไปจากห้อง เด็กน้อยรู้สึกลิงโลดใจที่วันนี้ผู้เป็นพ่อพูดกับตัวเองมากกว่าทุกวัน แต่พอลงมาจนถึงบันไดขั้นล่างสุดเด็กน้อยก็สะดุ้งสุดตัว กาน้ำชาในมือหล่นแตกเมื่อมีเสียงเปรี้ยงดังราวฟ้าผ่าดังอกมาจากห้องนอนของคุณใหญ่ คุณหญิงผกาที่นอนพักอยู่ในห้องรีบเปิดประตูออกมาหาต้นตอของเสียงด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
   “เสียงอะไร เสียงปืน ใครยิงปืน!!”
   “เสียงมาจากห้องคุณใหญ่เจ้าค่ะคุณหญิง”นางผินตอบผู้เป็นนายสีหน้าแตกตื่นไม่แพ้กัน คุณหญิงผกาพอได้ยืนคำบอกว่ามาจากห้องคุณใหญ่ก็รีบวิ่งไปทันที วินาทีที่เปิดบานประตูไม้ ภาพที่คุณหญิงเห็นคือคุณใหญ่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง หมอนสีขาวรวมทั้งผ้าปูที่นอนเปรอะเปื้อนด้วยโลหิตและมันสมอง ที่ขมับปรากฏแผลจากคมกระสุนทะลุมาที่กกหูอีกด้าน วินาทีนั้นคุณหญิงผการ้องเรียกลูกชายเสียงหลงแล้วเป็นลมล้มพับหัวฟาดกับธรณีประตูแน่นิ่งไปทันทีโดยที่นางผินก็รับร่างผู้เป็นนายไม่ทัน



............

บันทัดมันชิดกันไปมั้ยคะ

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เราอ่านทุกอันค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 16-02-2020 19:20:02
ทำไมเป็นแบบนี้ๆๆๆ
สงสารหนูยิ่ง
ตะรู้สึกผิดขนาดไหน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-02-2020 19:42:57
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 16-02-2020 21:21:25
หมดเวรหมดกรรมสักที จากนี้ไปมีแต่เรื่องดีๆบ้างนะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 17-02-2020 12:32:32
ลูกชายตาย



แม่หัวฟาด



กลายเป็นอัมพฤกแทน


หรือตายคู่ล่ะทีนี้


โอ๊ย มีแต่เรื่อง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 17-02-2020 17:54:45

อ้าว...หนูยิ่งเพิ่งจะดีใจ

แล้วหนูอเล็กซ์ล่ะ

แม่ทิ้ง..พ่อตาย.ย่าอีก

แม่ผกา..จะรอดมั้ยนั่น

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 17-02-2020 20:40:08
กรรมใดใครก่อ​ กรรมนั้นคือสนอง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 17-02-2020 21:43:39
สงสารหนูยิ่ง มันจะเป็นตราบาป ในใจน้อง ว่าตัวเองเป็นคนทำให้พ่อตายรึป่าว
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-02-2020 00:26:05
กรรมเวร
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๕๐%)) ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 23-02-2020 12:42:41
ตอนที่ ๑๔
๑๐๐%


   ควันสีเทาลอยเอื่อยบนอากาศ ท่านเจ้าคุณสรอรรถยืนส่งลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย
ตอลดชีวิตที่ผ่านมาผ่านความเสียใจและความยากลำบากมาหลายหน สิ่งที่ทำให้ท่านภูมิใจที่สุดก็คือการมีลูกๆที่ได้ดั่งใจทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคุณใหญ่ คุณกลาง คุณเล็ก คุณรองและคุณน้อย ในบรรดาลูกห้าคนคุณใหญ่นั้นดูจะฝากผีฝากไข้ฝากความหวังในชีวิตราชการได้ดีที่สุด แต่สุดท้ายลุกชายคนโตก็เลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองลงด้วยวัยยังไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ
   “หักอกหักใจบ้างเถิดท่านเจ้าคุณ”ท่านเจ้าพระยาพิพิธที่บัดนี้ชราวัยลงไปมากวางมือลงบนไหล่คนอ่อนกว่า
   “เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นสัจธรรมไม่มีใครหนีพ้นหรอก”
   “กระผมทราบดีขอรับคุณอา แต่ลูกมาตายจากแบบนี้บอกตามตรงกระผมเสียใจกว่าการที่เขาจะเจ็บป่วยตายเสียอีก”
   “ทุกคนย่อมมีกรรมของตัวเอง ตอนนี้คนที่ตายเขาไม่รับรู้แล้วเหลือแต่คนที่อยู่นั่นแหละที่ต้องดูแล แม่ผกาคงเสียใจมาก”
   “ขอรับ ล้มป่วยตั้งแต่วันนั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเอาแต่ร้องไห้ ซ้ำยังมาเป็นอัมพฤก กระผมทุกข์ใจเหลือเกินขอรับ”
   “ป่วยก็ต้องรักษากันต่อไป แม่ผกาป่วยทั้งกายป่วยทั้งใจ ลูกชายตายต่อหน้าเป็นแม่คนไหนก็ทำใจไม่ได้หรอก”
   “อย่าว่าแต่แม่เขาทำใจไม่ได้เลยขอรับคุณอา กระผมเองตั้งแต่ตาใหญ่ตายไปข่มตาหลับไม่ลงเลยซักคืน ยังดีที่ได้ตาเล็กคอยวิ่งเต้นจัดการงานศพให้ บ้านเจ้าสัวเช็งก็ดีแสนดีงานครัวกับข้าวกับปลาเลี้ยงพระเลี้ยงแขกก็มาช่วยจัดการไม่ได้ขาดตกบกพร่องจนกระผมรู้สึกละอายใจที่ลูกชายของกระผมไปทำแม่สนเจ็บช้ำน้ำใจจนสติหลุด ไหนๆก็ได้คุยกันแล้วกระผมก็อยากจะกราบขอโทษคุณอานะขอรับ กระผมทราบดีว่าคุณอานั้นรักแม่สนที่สุดในบรรดาหลานๆแต่กระผมก็ไม่ได้ให้ความเอาใจใส่ดูแลจนเกิดเรื่อง”เจ้าคุรสรอรรถยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าซึ่งเจ้าคุณพิพิธเองก็ได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ปลอบ
   “เอาเถอะๆ เรื่องมันแล้วไปแล้วเธอเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะพ่อโต”ชื่อเล่นที่เคยเรียกขานมาตั้งแต่เด็กถูกนำมาเอ่ยอีกครั้ง คนสองวัยปรับความเข้าใจกันทามกลางความเศร้าโศก คุณเล็กพาเณรยิ่งและเณรอเล็กซ์ไปลาสิขาหลังงานศพของคุณใหญ่เสร็จสิ้น  ส่วนในครัวหนูแสนและคุณพะยอมยุ่งอยู่กับการช่วยกันเก็บของเมื่อเสร็จเรียบร้อยและของที่ยืมวัดออกมาใช้ถูกนับจำนวนจนครบถ้วนก็เตรียมตัวกลับบ้าน
   “หนูแสน คุณน้า อย่าเพิ่งกลับครับ”คุณเล็กพาหลานทั้งสองที่ลาสิขาเสร็จกลับมาร้องเรียกไว้
   “ประเดี๋ยวกลับด้วยกันเถอะครับ”คุณเล็กเข้าไปฉวยเอาของในมือของหนูแสนมาถือไว้เสียเอง คุณพะยอมเห็นว่ายังไงก็บ้านใกล้กันจึงตกลงกลับกับคุณเล็ก
   “แม่เราเขาเป้นอย่างไรบ้างล่ะคุณเล็ก”เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเพื่อนกันมานานคุณพะยอมก็อดเป็นห่วงคุณหญิงผกาไม่ได้
   “แย่ครับ ไม่กินไม่นอนเอาแต่ร้องไห้”
   “หัวอกคนเป็นแม่นั่นแหละ ยิ่งพ่อใหญ่เป็นลูกชายคนแรกทั้งรักทั้งหวงก็ย่อมเสียใจมากเป็นธรรมดา ช่วงนี้พ่อเล็กก็คอยดูแลเอาอกเอาใจเธอหน่อยประเดี๋ยวเวลาผ่านไปก็คงจะดีขึ้น”
   “กระผมก็เข้าไปหาแม่ทุกวันนะครับคุณอา แต่แม่ไม่พูดกับใครเลยเอาแต่นอนร้องไห้ ยังดีที่คุณพี่กลางมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ก็ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที”คุณเล็กบอกเล่าความเป็นไปของคนที่บ้าน
   “อาอยากไปเยี่ยม แต่แม่เราเขาโกรธถึงขั้นไม่เผาผีก็เลยไม่กล้า กลัวไปให้เห็นหน้าจะทรุดมากกว่าเดิม”
   “ลองไปมั้ยล่ะครับ ช่วงนี้คุณแม่อ่อนแอ คุณอาเองก็เป็นเพื่อนรักกระผมว่าแม่ก็คงจะยอมฟังบ้าง”
   “ไม่กล้าหรอกจ้าพ่อเล็ก อากลัวเห็นหน้าจะพาลทรุดลงกว่าเดิม แม่ผกาเขาเจ้าทิฐิมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
   “แต่หนูแสนอยากไปเยี่ยมคุณป้านะคะ ให้หนูแสนลองไปก่อนมั้ยคะ”หนูแสนที่นั่งข้างคุณเล็กหันไปพูดกับผู้เป็นแม่ด้วยดวงตากระตือรือร้น
   “จะดีหรือลูก”
   “ลองดูก็ได้ครับ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนหนูแสนเอง”
   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”คุณพะยอมออกปากอนุญาต
   “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าหนูแสนจะไปเยาวราช ไปซื้อพวกเครื่องยาจีน หนูแสนจะทำไก่ดำตุ๋นยาจีนให้คุณป้าทาน”
   “ดีเหมือนกัน บ้านเราไม่ได้ทำไก่ดำมานาน สรรพคุณก็ช่วยบำรุงร่างกายบำรุงเลือด ยังไงหนูแสนซื้อไก่ดำมาซักสองตัวนะลูกจะได้พอแบ่งกันบ้านละตัว”
   “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณเล็กไปรับหนูแสนตอนเช้านะคะ คุณเล็กลาหลายวัน”ลิขิตรีบเสนอตัวรับอาสาพาหนูแสนไปเยาวราช คนเด็กกว่าไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธทำเพียงอมยิ้มน้อยๆ จะพูดจาโต้ตอบอะไรก็ไม่ถนัดด้วยคุณพะยอมก็นั่งอยู่ด้วย
เมื่อส่งคุณพะยอมและหนูแสนถึงบ้านแล้วคุณเล็กก็ขับรถกลับบ้านตัวเอง เรือนใหญ่เงียบเหงามีเพียงหนูยิ่งและอเล็กซ์ที่กลับมาพร้อมเจ้าคุณสรอรรถนั่งเล่นอยู่ที่ชานเรือนโดยมีบ่าวคอยดูแลหนึ่งคน
   “เจ้าคุณพ่อล่ะชด?”
   “เข้าไปดูคุณหญิงในห้องแล้วขอรับ ท่านฝากบอกว่าไม่รับมื้อเย็นนะขอรับ”
   “อ้าว ตาเล็กมาแล้วหรือ?”คุณกลางผู้เป็นพี่สาวเอ่ยทักน้องชาย คุณเล็กรีบเดินไปประคองพี่สาวที่ท้องแก่เต็มทีให้มานั่งที่โต๊ะอาหาร
   “บ้านเราตอนนี้เงียบเหงาเสียเหลือเกินนะตาเล็กนะ ไม่เหมือนตอนเรายังเด็กๆ เราสี่คนพี่น้องวิ่งเล่นกับให้เจียวจาว บ้านไม่เคยเงียบเสียง แล้วดูตอนนี้สิคุณรองลาราชการได้ไม่กี่วันก็ต้องรีบกลับยังไม่ทันได้เผาผีคุณใหญ่เลยซักนิด พี่ก็ท้องแก่ต้องดูแลคุณแม่งานเผาก็ไม่ได้ไป พี่ใหญ่หนอพี่ใหญ่ ไม่น่าคิดสั้นอย่างนี้เลย”
   “อย่าคิดมากเลยค่ะพี่กลาง เดี๋ยวจะกระเทือนถึงหลาน คิดเสียว่าพี่ใหญ่เธอหมดเวรหมดกรรมแล้วในชาตินี้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป”
   “ห่วงก็แต่คุณแม่ท่าน พี่ใกล้คลอดเต็มทีอีกวันสองวันก็ต้องกลับบ้านแล้วใครจะดูแล”
   “เล็กว่าจะหาพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลท่าน”
   “จะไว้ใจได้หรือเปล่า?”ก็ยังอดห่วงไม่ได้
   “แต่ก็ดีกว่าให้บ่าวรับใช้อย่างน้อยพยาบาลเขาก็รู้ว่าต้องดูแลคนป่วยยังไงพี่กลางไม่ต้องห่วงนะคะ ดูแลตัวเองดีๆหลานออกมาจะได้สมบูรณ์แข็งแรง”
   “อย่างนั้นพี่ก็ฝากเล็กด้วยนะ ตอนนี้คุณแม่ก็เหลือแค่เรา พี่ออกเรือนไปแล้วจะไปๆมาๆบ่อยๆก็ลำบาก”คุณกลางออกปากฝากผีฝากไข้ผู้เป็นแม่กับน้องชายคนเล็ก ซึ่งคุณเล็กเองก็ยินดีจะรับภาระนี้

   “ต้องใช้อะไรบ้างคะ?”คุณเล็กเอ่ยถามหนูแสนที่นั่งหน้าคู่กันมา
   “จริงๆไปบอกร้านว่าเอาเครื่องยาจีนห่อหนึ่งเขาก็จะจัดให้ครบค่ะ แต่ถ้าอยากทราบละเอียดว่ามียาจีนตัวไหนบ้างก็มีรากโสม พุทราแห้ง เก๋ากี้ ฮ่วยซัว ตังเซียม บัคกี้ เง็กเต็ก แล้วก็ขิงค่ะ ใช้อย่างละเท่าๆกัน เครื่องปรุงก็ใส่เกลืออย่างเดียว หนูแสนจะให้คุณป้าทานน้ำซุปมันช่วยบำรุงร่างกายบำรุงกำลังดี”หนูแสนอธิบายเมนูอาหารที่จะทำไปเยี่ยมคุณหญิงผกาในวันนี้ คุณเล็กมองริมฝีปากอิ่มที่พูดอธิบายแล้วอดยิ้มไม่ได้
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ หนูแสนก็ยังเป็นคนที่ทำให้คุณเล็กสบายใจได้มากที่สุด
ต่อให้ใครทำให้ร้อนใจแค่ไหนแต่เมื่ออยู่กับหนูแสนก็คล้ายมีน้ำทิพย์มาชโลมใจให้ชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ ลิขิตค่อยๆเคลื่อนมือของตัวเองมากุมมือของหนูแสนไว้สอดประสานเรียวนิ้วเข้าด้วยกัน หนูแสนเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้ขัดขืนไม่ได้ดึงออกแต่กลับกระชับมือของตัวเองจับมือคุณเล็กให้แน่นขึ้น
   “เหนื่อยมั้ยคะ?”หนูแสนเอ่ยถามด้วยความห่วงใย หนูแสนรู้ดีว่าหลังจากนี้ภาระและความคาดหวังทั้งหมดที่คุณใหญ่เคยได้รับจะต้องมาตกอยู่ที่คุณเล็ก ชายหนุ่มหันมายิ้มให้กับคนรัก
   “เหนื่อยค่ะ”และเช่นเดิม กับหนูแสนคุณเล็กไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกของตนเองเลยซักครั้ง รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น
   “หนูแสนอยู่ข้างคุณเล็กนะคะ ถ้าคุณเล็กเหนื่อย หงุดหงิด หรือไม่สบายใจคุณเล็กบอกหนูแสนได้ทุกเรื่องนะคะ หนูแสนอาจจะช่วยออกความคิดเห็นอะไรไม่ได้เพราะหนูแสนเห็นโลกมาน้อยกว่าคุณเล็กแต่หนูแสนจะเป็นความสบายใจให้คุณเล็กเองค่ะ”และเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน เหมือนในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น หนูแสนแสดงความปรารถนาดีที่มีให้กับคุณเล็กเช่นเคย
   “แค่มีหนูแสนอยู่ข้างๆคุณเล็กก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่พยายามเข้าไปหาคุณแม่ อย่างน้อยความสัมพันธ์จะได้ไม่ขาดกัน คุณแม่เองก็เอ็นดูหนูแสนไม่น้อยเมื่อก่อนพูดถึงอยู่เสมอ หากทำลายทิฐิในใจท่านได้เราสองบ้านก็คงกลับมาปรองดองกันเหมือนเดิม ห่วงก็แต่เรื่องของเรา”คุณเล็กเงียบไป ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าข้างทาง
   “หนูแสนคะ”
   “คะ”
   “หลังจากอะไรเข้าที่เข้าทาง คุณเล็กจะเรียนเจ้าคุณพ่อเรื่องของเราหนูแสนจะว่าอะไรมั้ยคะ?”คุณเล็กหันมาถามหนูแสนด้วยสายตาจริงจังในขณะที่หนูแสนกลับมีท่าทางที่ลังเล
   มันจะดีหรือคะ?”
   “ทำไมถึงคิดว่ามันจะไม่ดีล่ะคะ?”
   “เราเป็นผู้ชาย...”
   “แล้ว?”
   “ตัวหนูแสนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คุณเล็กทำราชการมันจะเป็นผลเสียกับคุณเล็กเองนะคะ”
   “อย่างมากก็แค่ออกจากราชการแล้วมาของานที่ห้างท่านเจ้าสัวทำ”
   “อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนตั้งไกล”
   “อันนั้นคุณเล็กไปเพราะต้องเชื่อฟังพ่อแม่นี่คะ”
   “คุณเล็กทราบดีใช่มั้ยคะว่าความรักของเรามันขัดต่อจารีตของสังคม ผลที่จะตามมาจะเป็นยังไงเราก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ถ้าเราบอกใครไปชาวบ้านก็จะว่ามาถึงพ่อแม่เรา มันไม่ใช่ว่าเรารักกันสองคนก็จบนะคะ”หนูแสนแสดงออกถึงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัดจนลิขิตต้องเชยคางของน้องให้เงยขึ้นมาสบตากัน
   “แค่เรารักกัน แค่พ่อแม่รับรู้ แค่นั้นก็พอค่ะ ช่างขี้ปากชาวบ้านประไรเราไม่ได้ขอข้าวเขากินนี่คะ”
   “แล้วถ้าพ่อแม่เราไม่เห็นงามด้วยจะทำอย่างไรเล่าคะ”
   “คุณเล็กก็จะพาหนูแสนหนี หากไม่ได้ครองรักกับหนูแสนคุณเล็กก็ไม่ขอออกเรือนไปกับใคร ถ้าถูกจับพรากคุณเล็กขอตายเสียดีกว่า”หนูแสนรีบเอามือปิดปากคุณเล็กสีหน้าตื่นตระหนก
   ไม่เอาค่ะ ไม่พูดเรื่องตายสิคะ”ดวงตากลมคลอไปด้วยม่านน้ำตา หนูแสนไม่ชอบเลยซักนิดที่คุณเล็กพูดถึงเรื่องตาย ในชีวิตหนูแสนไม่ปรารถนาจะเห็นบุคคลอันเป็นที่รักต้องล้มหายตายจากเลยซักนิดไม่ว่าจะเป็นคนไหน คุณเล็กจุมพิตที่มือนุ่มนั้นอย่างแสนรัก
   “จนกว่าจะถึงวันนั้น เชื่อมั่นในตัวคุณเล็กได้มั้ยคะ? คุณเล็กสัญญาว่าจะจัดการเรื่องของเราให้เรียบร้อย ความรักของเราจะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกคนในครอบครัว รอพี่ได้มั้ยคะคนดี”ปลายประโยคเอ่ยคำวอนเว้า ดวงตาจับจ้องหน้าเจ้าน้องน้อยไม่ได้ละไปไหน หนูแสนมองเห็นทะลุถึงความจริงจังจริงใจนั้น ดวงใจพลันอุ่นวาบด้วยรู้ว่าเมื่อคุณเล็กพูดออกมาแล้วเขาจะทำตามที่พูด
คุณเล็กเป็นคนรักษาสัญญาข้อนี้หนูแสนรู้ดี เจ้าน้องน้อยค่อยๆพยักหน้ารับ รอยยิ้มหวานที่มองกี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อปรากฏชัดบนใบหน้า ริมฝีปากอิ่มสีเรื่อโดยธรรมชาติเอื้อนเอ่ยคำที่ต้องการ
   “ได้ค่ะ หนูแสนจะรอ จะรอแค่คุณเล็กคนเดียว ผิดจากนี้ไม่เอาใคร”




.................................................

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 23-02-2020 13:08:22


จะสมหวังมั้ยน้ออ

ลุ้น...

เอาใจช่วยทั้งคู่

กลัวใจคนเขียนซะจริง..

เดาทางไม่ถูก...

คงต้องรอออออออ...

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 23-02-2020 14:03:13
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 23-02-2020 16:04:40
อบอุ่นนนน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-02-2020 16:34:34
อย่าทำร้ายกันน้าาา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 23-02-2020 19:06:10
ต่างอยู่แบบนี้แหละ


อย่าปะโคมข่าวเลย


เจ้าสัวรับไม่ได้หรอก


แล้วยังมีญาติผู้ใหญ่อีก


อยู่กันแบบเงียบๆไปก่อน


ดูๆกันไปก่อน สองเรือนมีแต่เรื่องร้อน



อย่าเพิ่งรีบเพิ่มเรื่องร้อนอีกเลย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 24-02-2020 08:03:57
โอม​ จงสมหวัง​ จงสมหวัง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 24-02-2020 20:39:30
 มาแล้วจ้าแม่ๆๆๆๆๆๆ​ เดาทางนักเขียนไม่ถูกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๔ ((๑๐๐%)) ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๒๗ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 01-03-2020 18:08:06
ตอนที่ ๑๕

๕๐%


หนูแสนประคองถ้วยซุปที่เคี่ยวหลายชั่วโมงด้วยความระมัดระวัง แม้ใจอยากจะเข้าไปในห้องของคุณหญิงผกาแต่เมื่อมาถึงหน้าห้องแล้วขากลับแข็งจนก้าวไม่ออก คุณเล็กมองท่าทางลังเลของคนน้องแล้วนึกเอ็นดู
   “เข้าไปเถอะค่ะ อย่างมากก็แค่ถูกตะเพิดออกมา”คุณเล็กแกล้งขู่จนหนูแสนทำหน้ามุ่ยหันมางอแงเบาๆ
   “พุทธโธ่เอ้ยคุณเล็กนี่ ทราบอยู่แล้วว่าหนูแสนกลัวยังจะมาเย้ากันเล่น”หนูแสนส่งค้อนให้คุณเล็กวงใหญ่
   “เข้าไปเถอะค่ะไม่ต้องกลัว คุณเล็กจะอยู่ข้างๆ”คุณเล็กจับต้นแขนของน้องน้อยกระชับให้น้องอุ่นในก่อนจะดันบานประตูออกพาหนูแสนเข้ามาในห้องของคุณหญิงผกา
   “ออกไปกันก่อนเถอะเดี๋ยวฉันจะดูแลคุณแม่เอง”คุณเล็กไล่บ่าวสองคนที่คอยดูแลคุณหญิงผกาให้ออกไป คุณหญิงผกาที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ในคราวแรกดีใจที่คุณเล็กมาหาแต่พอเห็นว่ามีหนูแสนมาด้วยก็สะบัดหน้าเมินไปทางอื่นยิ่งทำให้หนูแสนใจแป้วคุณเล็กตบแขนหนูแสนเบาๆอย่างให้กำลังใจ
   “คุณแม่คะ เล็กพาหนูแสนมาเยี่ยมคุณแม่ค่ะ”หนูแสนวางถาดไก่ดำตุ๋นยาจีนแล้วนั่งลงกับพื้นยกมือไหว้คุณหญิงผกาอย่างนอบน้อม   “หนูแสนกราบคุณหญิงป้าค่ะ เห็นคุณป้าไม่สบายหนูแสนเลยทำไก่ดำตุ๋นยาจีนมาให้คุณป้าทาน”
   “ลูกหนอลูก รู้ว่าแม่เกลียดคนเรือนนู้นเข้าไส้ก็ยังจะพามาให้เห็นหน้า”คุณหญิงผกาเมินไม่ทองหนูแสนแต่กลับหันไปตัดพ้อคุณเล็กแทนจนคุณเล็กต้องมานั่งประคองผู้เป็นแม่อย่างปลอบประโลม
   “ที่พ่อใหญ่ต้องพิการต้องตรอมใจจนฆ่าตัวตายก็ฝีมือพี่สาวเขาทั้งนั้นแล้วนี่ยังจะหน้าด้านหน้าทนมาหาในใจไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึฉันถามเธอหน่อยเถอะถ้าเป็นลูกเธอๆจะรู้สึกอย่างไร?”คุณหญิงผกาจ้องหน้าหนูแสนเอ่ยคำถามที่ทำให้หนูแสนต้องก้มหน้าหลบตา
   “ลูกทราบว่าคุณแม่ชังน้ำหน้าคุณพี่สน แต่นี่หนูแสนไงคะ น้องไม่ได้ทำอะไรให้เราเลย”
   “ไม่ได้ทำแต่ก็เป็นคนเรือนนู้น เป็นพี่เป็นน้องกันมีหรือเชื้อจะทิ้งแถว ในขณะที่แม่สนอยู่สุขสบายไม่ต้องรับรู้อะไรแล้ว แต่พ่อใหญ่...”คุณหญิงผกากลั้นสะอื้นยามเอ่ยถึงลูกชายคนโปรด ในใจของคนเป็นแม่นั้นทุกข์ตรมเจียนจะตายตามลูกไป คุณหญิงผกาสะอื้นไห้จนตัวโยน
   “พ่อใหญ่ของแม่”คุณหญิงผการ้องไห้สะอึกสะอื้นยามคิดถึงลูกชายที่เพิ่งจากไป ความทุกข์ตรมของคนเป็นแม่ทำให้คุณเล็กต้องรีบไปประคองกอดไว้อย่างปลอบประโลม หนูแสนมองภาพที่น่าหดหู่นั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง วางถาดซุปบนโต๊ะก่อนจะค่อยๆคลานเข่าเข้าไปใกล้คุณหญิงผกา
   “คุณป้าคะ”หนูแสนเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว ดวงตากลมที่เคยสดใสบัดนี้พราวไปด้วยหยาดน้ำตา
   “หนูแสนทราบดีว่าคุณป้าโกรธเกลียดพี่สนที่ทำให้คุณใหญ่ต้องพิการและพี่สนเองก็ได้รับผลที่เธอทำไว้แล้ว หนูแสนกราบขอโทษคุณป้าแทนพี่สนอีกครั้งนะคะ”หนูแสนค่อยๆก้มลงกราบคุณหญิงผกาแต่คนสูงวัยกลับขยับตัวหนี ความเสียใจที่พยายามเก็บกักไว้ทลายกลายเป็นหยาดน้ำตา หนทางความรักของหนูแสนกับคุณเล็กที่พากันเดินมาในทางไม่ปกติทางสังคมว่ายากแล้วกลับยิ่งยากมากขึ้นเมื่ออุปสรรคชิ้นใหญ่คือคนในครอบครัวที่อาจจะไม่ยอมรับอยู่ก่อนแล้วยังมาโกรธเกลียดกัน หนูแสนไม่เห็นแสงสว่างที่ทางใดจะช่วยให้ความรักของหนูแสนและคุณเล็กราบรื่นเลยซักนิด
   “ไปไป๊ ไม่ต้องมากราบมาไหว้อะไรฉันหรอก”คุณหญิงผกาเอ่ยปากไล่ในขณะคุณเล็กเองก็มองแม่อย่างปรามๆ หนูแสนเงยหน้าขึ้นมองคุณหญิงผกา ดวงตาที่เคยสดใสบัดนี้มีทั้งความเสียใจและความเศร้าสร้อยฉายชัด
   “คุณป้าขา หนูแสนทำอะไรให้คุณป้าโกรธเกลียดเหรอคะ หนูแสนทำอะไรผิดคุณป้าบอกหนูแสนได้มั้ยคะ? หนูแสนจะได้ทำให้คุณป้ากลับมาเมตตาเอ็นดูหนูแสนเหมือนเมื่อก่อน”หนูแสนเอื้อมมือไปจับขาของคุณหญิงผกาไว้ร้องไห้จนตัวโยน คุณเล็กรีบเข้ามาประคองหนูแสนไว้ คุณหญิงผกามองหนูแสน วูบหนึ่งในใจนึกเวทนาสงสารเพราะลึกๆแล้วก็ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรหนูแสน โกรธเพียงแต่คุณสนเท่านั้น หากเพราะทิฐินั้นเกาะกินใจหนามานานเกินพอคุณหญิงผกาจึงปัดความเมตตาเอ็นหนูที่มีต่อหนูแสนนั้นทิ้งไป
รู้อยู่เต็มอกว่าคนอื่นๆในเรือนเจ้าสัวเช็งนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในความผิดที่คุณสนทำเลยซักนิดแต่ก็ยังจะพาล
และเช่นกัน คุณหญิงผกา รู้อยู่เต็มอกว่าที่คุณใหญ่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้นก็เป็นเพราะนิสัยเจ้าชู้และโกหกปลิ้นปล้อนของลูกตัวเอง แต่เมื่อเกิดเหตุแล้วหล่อนก็โทษ
โทษว่าคุณสนนั้นไม่มีน้ำอดน้ำทนไม่รู้จักเปิดใจให้กว้าง การมีเมียหลายคนนั้นเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย มันแสดงถึงความมีอำนาจมีบารมี
หล่อนโทษทุกอย่างโทษทุกคนหากแต่ไม่โทษลูกชายคนโปรดเลยซักนิด หล่อนทำใจให้มืดบอดเพื่อที่จะกลบความผิดของลูกชาย
   “กลับไปเสียเถอะ ฉันเหนื่อยแล้วอยากนอนพัก”เป็นอีกครั้งที่คุณหญิงผกาเอ่ยปากไล่ หนูแสนก้มหน้ากลั้นน้ำตาไว้ เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้วจึงกราบลาแล้วยอมถอยออกมาโดยมีคุณเล็กวิ่งตามออกมาด้วย ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมีเพียงคุณเล็กที่ฉวยเอามือน้องมากุมไว้แล้วพาลงจากเรือนมา บ่าวสองคนกลับเข้าไปรับใช้คุณหญิงผกาอีกครั้ง คุณหญิงผกาไม่ได้เอ่ยพูดอะไรกับใครอีกปล่อยเวลาให้ไหลไปราวกับสายน้ำ ในหัวมีเรื่องให้ต้องคิดอีกมากมาย
ทุกอย่างที่คิดนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องของลูกหลาน

ทางด้านคุณเล็กที่กุมมือน้องน้อยลงมาจากเรือนก็พาหนูแสนมาที่เรือนแพ
   “เข้ามาในนี้ก่อนนะคะ”คุณเล็กพาหนูแสนเข้ามาในห้องนอนดันน้องให้นั่งลงแล้วเช็ดน้ำตาให้น้องเบาๆ หนูแสนปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆไม่ฟูมฟายไม่ตัดพ้อไม่พูดอะไรออกมาซักคำจนกระทั่งปล่อยให้เวลาล่วงไปซักพักหนูแสนจึงเงยหน้าขึ้นมองคุณเล็ก
   “คุณเล็กคะ หนูแสนว่าเราพอเพียงเท่านี้ดีมั้ยคะ? คุณเล็กควรไปมีชีวิตดีๆแล้วแต่งงานกับผู้หญิงดีๆซักคนอย่ามารักกับหนูแสนเลย”คุณเล็กใจหล่นวูบเมื่อหนูแสนเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมารีบรวบร่างของน้องไว้ในอ้อมอกราวกับว่าหากปล่อยไปแม้เพียงนิดหนูแสนจะมลายหายไป
   “ไม่เอานะคะ ไม่พูดแบบนั้นสิคะคนดี...”
   “มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยคุณเล็ก หนูแสนดูแล้วเส้นทางของเรามันตันเสียแล้วค่ะ หนูแสนสู้ไม่ไหวหรอก”
   “หนูแสนฟังคุณเล็กนะคะ หนูแสนเป็นกำลังใจเพียงสิ่งเดียวที่คุณเล็กมีอยู่หากหนูแสนทิ้งคุณเล็กเสียแล้วที่คุณเล็กทำมาก็สูญเปล่า คุณเล็กทราบดีว่ามันยาก แต่คุณเล็กสัญญาว่าจะทำให้เจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ยอมรับในความรักของเรา  ขอแค่หนูแสนมั่นใจในตัวคุณเล็ก เรารอกันมานานเกือบสิบปีเพื่อที่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน อย่างนี้แล้วหนูแสนจะทิ้งคุณเล็กไว้กลางทางเหรอคะ ไม่รักไม่เวทนาคุณเล็กบ้างเลยหรือ?”
   “เพราะรักไงคะ รักจนไม่อยากให้คุณเล็กต้องมาเจอกับปัญหาอะไรแล้ว ดูก็รู้ว่าคุณป้าท่านสิ้นเอ็นดูหนูแสนเสียแล้วหากฝืนคบกันต่อไปไม่แยกวันนี้วันหน้าก็ต้องถูกจับแยกอยู่ดี หนูแสนสู้รบปรบมือกับใครไม่ไหวหรอกนะคะคุณเล็ก”หนูแสนปล่อยให้น้ำตาไหลลงข้างแก้มสายตาที่มองคุณเล็กนั้นทั้งรักทั้งบูชา
   “คบกันไปหนูแสนก็จะเป็นคนถ่วงความเจริญของคุณเล็กเปล่าๆ”
   “ไม่ใช่ค่ะ...”คุณเล็กประคองสองข้างแก้มของน้องด้วยความเบามือ สายตาที่เคยอ่อนโยนฉายชัดถึงความหนักแน่น
   “หนูแสนไม่ใช่คนที่จะมาถ่วงความเจริญของคุณเล็ก เพราะมีหนูแสนเป็นกำลังใจเป็นแรงผลักดันคุณเล็กถึงอดทนเรียนที่ฝรั่งเศสได้ตั้งนานหลายปี หนูแสนเป็นแรงผลักดันของคุณเล็ก หนูแสนเคยเชื่อมั่นในตัวของคุณเล็กมาโดยตลอดเพราะฉะนั้นคุณเล็กขอนะคะ ขออีกครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวที่หนูแสนจะเชื่อใจให้คุณเล็กจัดการเรื่องของเรา ความรักของเราจะต้องไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น อย่าทิ้งคุณเล็กนะคะถ้าหนูแสนตัดรอนสะบั้นความสัมพันธ์กับคุณเล็กแล้วคุณเล็กคงมีลมหายใจอยู่ต่อไปไม่ได้ หากต้องแยกกับหนูแสนแล้วคุณเล็กมิสู้โดดน้ำตายให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียยังจะดีกว่า”ไม่พูดเปล่าคุณเล็กยังลุกขึ้นถลันจะออกไปด้านนอกเพื่อจะกระโดดน้ำให้หนูแสนดูจนเจ้าน้องน้อยใจหายวูบต้องผวามากอดรวบร่างของคุณเล็กไว้ ปากก็ร้องห้ามปานจะขาดใจ
   “ไม่เอานะคะ คุณเล็กอย่าทำแบบนี้ หนูแสนไม่เลิกแล้ว ฮึก...อยู่กับหนูแสนนะคะ อย่าไปไหน หนูแสนจะเชื่อใจคุณเล็ก จะเชื่อคุณเล็กแค่คนเดียว ห้ามตายนะห้ามทิ้งหนูแสนนะคะ”หนูแสนกอดร่างของคุณเล็กไว้แน่นอย่างหวงแหน หนูแสนกลัวการสูญเสีย ยิ่งจากตายนั้นหมายถึงจะเจอเขาได้แค่ในห้วงความคิดถึงจะไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องใหม่ๆ จะไม่ได้เห็นหน้าและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าดวงใจก็เจ็บไปหมด คุณเล็กรีบหันกลับมากอดปลอบน้องด้วยหนูแสนร้องไห้จนตัวสั่น
   “”หนูแสน  หนูแสนคะ ไม่ร้องแล้วนะคะคนดี คุณเล็กไม่ไปไหนแล้ว หนูแสนก็อย่าไปจากคุณเล็ก อย่าบอกเลิกกันอีกนะคะ”คุณเล็กร้องขอคำสัญญากับน้องในอ้อมแขน หนูแสนกระชับอ้อมกอดของตนเองพยักหน้ารับพร้อมให้คำมั่น
   “ได้ค่ะ หนูแสนจะไม่บอกเลิกคุณเล็กอีก ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”
   “แค่นี้ก็ชื่นใจคุณเล็กแล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้ขอให้หนูแสนทำตามที่คุณเล็กบอกนะคะ อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่คุณเล็กขอให้หนูแสนอดทน หนูแสนจะทำได้ไหมคะ”
   “ได้ค่ะ คุณเล็กจะให้หนูแสนทำอะไรคุณเล็กก็บอกหนูแสนมาได้เลย หนูแสนจะทำตามที่คุณเล็กบอกทุกอย่าง เหนื่อยแค่ไหนหนูแสนก็ทนได้ ถ้านั่นมันจะทำให้เราได้อยู่ด้วยกัน”หนูแสนรับปากสิ่งที่คุณเล็กบอก คุณเล็กยิ้มให้กับคำตอบนั้น
อย่างน้อยตอนนี้เขาจะลองให้หนูแสนทำตามแผนที่เขาคิด เขาเชื่อว่าหัวใจคนนั้นเป็นเพียงก้อนเนื้ออ่อนๆ จะมาแข็งแกร่งเกินความดีความมีมานะพยายามไปไม่ได้ และเขาเองก็มั่นใจว่าหนูแสนจะใจเย็นและอดทนพอที่จะทำตามแผนนี้และหนูแสนจะทำมันด้วยความเต็มใจ เขาจะค่อยๆทำให้ทุกคนในบ้านยอมรับหนูแสนด้วยความดีของหนูแสนเอง




......................................


หลังจากนี้จะเป็นการฝ่าฟันอุปสรรคของทั้งคู่แล้วนะคะ

ไม่มีความรักของคู่ไหนไม่มีปัญหาอยู่ที่ว่าจะจับมือไปด้วยกันหรือทิ้งกันไปกลางทาง
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๕๐%)) ๐๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๓๕ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 01-03-2020 20:40:52


แม่ผกานี่พาลชัดๆ

 :z6:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๕๐%)) ๐๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๓๕ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 01-03-2020 23:30:20
ให้กำลังใจคุณเล็กแชะหนูแสน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๕๐%)) ๐๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๓๕ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-03-2020 00:02:41
สู้ๆน้าา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๕๐%)) ๐๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๓๕ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 02-03-2020 00:59:38
อยากเอาหนังสะติ๊ก​ยิงแม่ผกา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๕๐%)) ๐๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๓๕ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 22-03-2020 18:57:44
แสนคำนึง ตอนที่ ๑๕

๑๐๐%


   คุณพะยอมนั่งดูหนูแสนที่กำลังมูนข้าวเหนียวอย่างขะมักขะเม่นก็ได้แต่ทำหน้ายุ่ง เพราะลูกโตแล้วไม่ใช่เด็กเล็กเหมือนวารวันจึงทำให้คุณพะยอมไม่กล้าออกปากเตือนหรือห้ามปรามตรงๆ ยิ่งเห็นลูกมีสีหน้าที่มีความสุขคุณพะยอมก็เหมือนน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออกสักเท่าไหร่นัก ยิ่งลูกชายกระตือรือร้นทำอาหารไปฮัมเพลงในลำคอเบาๆคุณพะยอมยิ่งพูดไม่ออก หนูแสนนั่งกวนข้าวเหนียวมูนเสร็จก็หันมาเตรียมปลาช่อนแห้งปิ้งจนสุกลอกหนังและก้างออกลงโขลกจนละเอียดแล้วจึงนำลงผัดกับน้ำตาลทรายและหอมแดงเจียวผัดจนเข้ากันแล้วจึงจัดใส่จานเป็นสำรับๆ แตงโมผลโตที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
   “แม่จ๊ะ แม่จะรับเลยหรือเปล่าจ๊ะ”หนูแสนเงยหน้าขึ้นมาถามคุณพะยอม

   “ร้อนๆแบบนี้กินแตงโมให้ชื่นใจดีกว่านะจ๊ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะแบ่งไปเรือนนู้นคุณป้าท่านน่าจะทานได้”หนูแสนจัดของใส่จานให้ผู้เป็นแม่ คุณพะยอมรับจานปลาแห้งแตงโมที่ลูกยื่นให้แล้วจึงตัดสินใจพูด

   “หนูแสน แม่ขอพูดอะไรด้วยหน่อยได้มั้ยลูก”

   “อะไรหรือคะ?”

   “พวกเอ็งออกไปช่วยข้างนอกเขาทำน้ำปรุงเถอะ ในครัวไม่มีอะไรแล้ว”คุณพะยอมออกปากไล่บ่าว 2-3 คนที่คอยอยู่รับใช้ให้ออกไปด้วยเรื่องที่อยากคุยกับลูกชายคนเล็กนั้นไม่สมควรมีใครได้ยิน

   “ยายแช่มคอยดูไว้ให้ฉันทีเถอะ อย่าให้มีใครเข้ามาป้วนเปี้ยนวุ่นวายได้”ยายแช่มรับคำแล้วจึงถอยกลับไปนั่งที่แคร่ด้านหน้าสายตาคอยสอดส่องและสั่งงานพวกที่กำลังทำน้ำอบน้ำปรุงเพื่อกั้นพื้นที่ส่วนตัวให้กับผู้เป็นเจ้านายทั้งสอง ส่วนหนูแสนเองเมื่อเห็นแม่มีท่าทางเช่นนั้นก็รู้ว่าเรื่องที่แม่กำลังจะพูดนั้นสำคัญในระดับหนึ่ง มือเรียวจึงวางจากงานที่กำลังทำอยู่แล้วหันมาสนใจผู้เป็นแม่อย่างเต็มตัว

   “แม่มีอะไรจะพูดกับหนูแสนหรือคะ?”

   “ไหนๆก็ไหนๆแล้วแม่ก็ขอพูดตรงๆกับแสนนะลูก อันที่จริงแม่ไม่เห็นด้วยนักที่ลูกจะไปดูแลคุณที่เรือนนู้นเขา แค่เราขอโทษและหยิบยื่นน้ำใจให้เป็นครั้งคราวแม่ว่ามันก็เพียงพอแล้ว แต่นี่ลูกขอไปดูแลแม่ผกาเขาเต็มตัวแบบนี้แม่ว่าไม่เหมาะ”

   “แม่คะ คุณป้าเธอไม่มีใครแล้วนะคะ”หนูแสนเอ่ยแย้งด้วยเสียงอันเบา

   “บ่าวไพร่ที่เรือนเขาออกจะมาก คุณเล็กเองก็ยังอยู่”

   “แต่คุณเล็กต้องทำงานนี่คะกว่าจะกลับมาก็เย็น”

   “มันไม่ใช่หน้าที่ของเราเลยลูกเอ้ย ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เห็นใจแม่ผกานะ แม่ผกาเป็นเพื่อนรักของแม่ แต่แม่พูดถึงความเหมาะสม หนูแสนรู้มั้ยว่าหนูแสนเหมือนคนรักของคุณเล็กเข้าไปทุกวัน”คำพูดของผู้เป็นแม่ทำเอาเลือดในกายของหนูแสนเย็นจนตัวชาไปทั้งร่าง หนูแสนหลุบตาลงต่ำหลบสายตาที่จับจ้องของผู้เป็นแม่

   “หนูแสน...”คุณพะยอมเอื้อมมือไปจับมือของลูกไว้ บีบเบาๆก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาติดอยู่ในใจมานาน

   “คะแม่?”

   “หนูแสนกับคุณเล็ก รักกันใช่มั้ยลูก?”หนูแสนลืมตัวเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ ดวงตากลมเบิ่งกว้างขึ้นก่อนจะหลบตามเดิม
   “แม่เอาอะไรมาพูดคะ? หนูแสนกับคุณเล็กก็เหมือนพี่น้องกัน”

   “อย่าปดแม่เลยลูก แม่เลี้ยงแสนมาและแม่เองก็เคยมีความรักแบบนี้กับคุณเตี่ยมาก่อน หนูแสนกับคุณเล็กรักกันแบบคู่รักใช่มั้ยลูก?”หนูแสนไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ด้วยรู้ว่าความรักของตนเองกับคุณเล็กนั้นไม่ใช่ความรักที่ปกติ

   “หนูแสนฟังแม่นะ มันไม่ผิดทีมีความรู้สึกพิเศษกับใคร เพียงแต่ถ้าหนูแสนกับคุณเล็กรักกันฉันท์ชู้สาวมันก็ผิดธรรมชาติ ผู้ชายย่อมคู่กับผู้หญิงสิลูก ผู้ชายกับผู้ชายหนูแสนก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”คุณพะยอมจ้องหน้าลูกนิ่งไม่หันเหสายตาไปไหน
   “แต่แม่คะ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ใช่หรือคะ?”

   “ใช่ลูก ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนที่แวดล้อมไปด้วยพ่อแม่พี่น้องและสังคม ลูกจะทนได้หรือหากมีใครรู้ว่าลูกกับคุณเล็กแอบคบหากันเป็นคู่รัก ลูกจะทนคำนินทาไหวหรือ อย่าลืมนะหนูแสนบ้านเราไม่ใช่ตาสีตาสาเจ้าคุณตาเองก็เป็นถึงเจ้าพระยามีคนนับหน้าถือตามากมายฝั่งนู้นเองก็ไม่ต่างกันลูกคิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”

   “เราอยู่กันอย่างเงียบๆก็ได้นี่จ๊ะแม่”หนูแสนพยายามหาทางต่อรอง

   “เราเงียบแต่หากบ่าวไพร่มันเอาไปพูดต่อๆกันหนูแสนคิดว่าเรื่องมันจะรู้แค่พวกเราหรือ แม่รู้ว่าหนูแสนโตแล้วคงจะหาทางจัดการเรื่องพวกนี้ได้ แต่แม่ผกากับท่านเจ้าคุณจะรับได้หรือเปล่า?”คุณพะยอมถอนหายใจเมื่อเห็นลูกชายมีสีหน้าเศร้าลงในทันที

   “หนูแสนเป็นลูกแม่ อะไรที่ลูกทำแล้วมีความสุขแม่ก็จะไม่ขัด แต่แม่กลัวว่าความรักของหนูแสนจะมีปัญหา ลูกกับคุณเล็กเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่หากวันใดวันหนึ่งคุณเล็กเกิดอยากจะมีทายาทไว้สืบสกุลหนูแสนไม่คิดรึว่าแม่ผกาก็ต้องหาเมียมาตกมาแต่งให้กับคุณเล็กอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นหนูแสนจะไปอยู่ตรงไหน ถ้ายังอยู่กับคุณเล็กจะอยู่ใน,ฐานะอะไร  แต่ถ้าหากลูกตกลงว่าจะรักกันก็ให้คุณเล็กไปตกลงกับครอบครัวของเขาเสียก่อนถ้าทางนู้นเขารับได้และพร้อมจะรับลูกของแม่ไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว จะไม่รังแกไม่รังคัดรังแคเหมือนที่เคยทำกับแม่สนก็ให้คุณเล็กเอาผู้หลักผู้ใหญ่มาคุยกับแม่กับคุณเตี่ยให้เป็นกิจจะลักษณะแม่ไม่ยอมให้ลูกของแม่ไปเป็นเมียลับๆของใครเด็ดขาด หนูแสนเข้าใจแม่ใช่มั้ยลูก ลูกของแม่ๆเลี้ยงมาทะนุถนอมไม่เคยต้องทำให้เสียใจเพราะฉะนั้นหากใครจะเอาลูกแม่ไปก็จะต้องไม่ซ้ำรอยเดิมเหมือนที่แม่สนเคยเจอ”

   “หนูแสนทราบจ้าแม่ หนูแสนจะจำคำแม่สอนนะจ๊ะ”หนูแสนกลั้นน้ำตาที่รื้นมาปริ่มขอบตาไว้ก่อนจะโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ คุณพะยอมลูบผมของลูกรักอย่างแสนรัก หล่อนหาได้อยากทำให้ลูกต้องเสียใจแต่หนูแสนไม่ใช่เด็กเล็กที่ต้องคอยปลอบคอยพูดให้สบายใจแต่อย่างเดียวอีกต่อไป หากแต่ตอนนี้หนูแสนจักว่าโตเป็นหนุ่มเต็มตัวอายุย่าง ๒๑ แล้ว เพราะฉะนั้นหนูแสนจะต้องอยู่กับโลกของความเป็นจริงว่ามันไม่ได้สวยงามเหมือนนิยายประโลมโลกที่มีให้อ่านเกลื่อนเมือง ชีวิตของคนเรานั้นมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้หากหนูแสนใช้ชีวิตอย่างประมาทเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาคนที่จะต้องเจ็บช้ำก็คือหนูแสนเอง



   ความไม่สบายใจที่หนูแสนได้รับมาจากการคุยกับผู้เป็นแม่ยังคงตามติดในใจแม้กระทั่งตอนก้าวขึ้นมาบนเรือนใหญ่ของเจ้าคุณสรอรรถ หนูยิ่งพอเห็นคุณน้าเดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับนายมีที่ถือถาดใส่ปลาแห้งแตงโมก็รีบวิ่งเข้ามากอดทันที
   “วันนี้คุณน้ามาช้าหนูยิ่งกับพี่อเล็กซ์คิดว่าคุณน้าจะไม่มาแล้ว”หนูแสนย่อกายนั่งให้เสมอกับหลานชายอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มของหลานเบาๆอย่างมันเขี้ยว

   “มาสิคะ น้าแสนจะไม่มีหาหนูยิ่งกับอเล็กซ์ได้ยังไง วันนี้น้าแสนทำปลาแห้งแตงโมมาให้ทานกันนะคะ หนูยิ่งกับอเล็กซ์ไปนั่งทานกันนะคะเดี๋ยวน้าแสนเข้าไปดูคุณย่าก่อน”หนูแสนให้นายมีเอาปลาแห้งแตงโมที่หั่นมาพอดีคำจัดใส่จานมาเรียบร้อยเอาไปให้เด็กๆส่วนตัวเองก็เอาอีกจานที่เตรียมไว้เข้าไปให้คุณหญิงผกาในห้อง ทันทีที่หนูแสนก้าวเข้าไปคุณหญิงผกาที่นั่งพิงหัวเตียงก็สะบัดหน้าหนีทันที

   “มาทำไมนักก็ไม่รู้ คนเขารำคาญจะแย่ก็ยังจะมาอยู่นั่นแหละ”แสร้งพูดเสียงดังอย่างไม่รักษาน้ำใจ หนูแสนทำเอาหูทวนลม บ่าวที่ดูแลคุณหญิงอยู่ถอยออกไปอย่างรู้งานเพราะคุณเล็กเคยสั่งไว้ว่าหนูแสนจะมาคอยดูแลคุณหญิงผกาทุกวัน

   “คุณป้าทานข้าวหรือยังคะ วันนี้หนูแสนทำปลาแห้งแตงโมมาให้ อากาศร้อนทานแล้วจะได้ชื่นใจ”

   “ฉันไม่ได้อยากกินเสียหน่อย”คุณหญิงผกาตัดรอนน้ำใจเหมือนที่ผ่านมาในหลายๆวัน

   “พ่อเล็กนี่ก็พิลึกจะให้มาดูแลทำไมบ่าวไพร่ก็เต็มเรือน น่ารำคาญ”หนูแสนยิ้มให้กับคำบ่นนั้นราวกับไม่รู้สึกรู้สา หยิบหนังสือท้าวแสนปมที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาเปิดจากนั้นก็อ่านให้คุณหญิงผกาฟัง แม้จะไม่ชอบที่หนูแสนเข้ามาวุ่นวายแต่คุณหญิงผกาเป็นคนชอบเรื่องรื่นรมย์อีกทั้งชื่นชอบการฟังนิทานนิยายต่างๆ บ่าวไพร่ก็หารู้หนังสือก็นิ่งฟังหนูแสนไม่ได้พูดอะไร หนูแสนอ่านหนังสือด้วยจังหวะสม่ำเสมอและน้ำเสียงที่น่าฟัง จากนั้นก็แสร้งปิดหนังสือเมื่ออ่านไปได้สองบท คุณหญิงผกาที่กำลังเพลินถึงกับค้อนตาตาแทบคว่ำเพราะหนูแสนหยุดอ่านตอนที่เนื้อเรื่องกำลังสนุก

   “คุณป้าน่าจะอยากนอนแล้วหนูแสนประคองนะคะ”หนูแสนวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วเข้าประคองให้คุณหญิงผกาได้นอนได้สบายจากนั้นจึงผสมกระแจะจันทร์กับน้ามาลูบตามแขนของคุณหญิงผกาให้ได้รู้สึกเย็นกาย หยิบพัดมาพัดเบาๆจนคุณหญิงผกาหลับโดยไม่มีท่าทางเบื่อหน่าย ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาคุณหญิงผกาก็ยังเห็นหนูแสนนั่งพัดให้ตัวเองไม่ได้กลับไปแต่อย่างใดแล้วจึงกลับออกไปเมื่อใกล้เวลาที่คุณเล็กจะกลับจากทำงาน เป็นอย่างนี้ทุกวัน

หลังจากลงจากเรือนใหญ่ของเจ้าคุณสรอรรถหนูแสนก็ตรงกลับเรือนของตนเองเพื่อเตรียมอาหารเย็นให้กับคนในบ้าน ก่อนจะแวะเข้าโรงครัวหนูแสนเห็นคุณกล้าลูกค้าน้ำอบน้ำปรุงจากปากน้ำโพธิ์นั่งคุยกับคุณสนด้วยท่าทางสนุกสนาน คุณสนที่เคยซึมเศร้าไร้ความรู้สึกเริ่มมีรอยยิ้มมากขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอคุณกล้าที่หลังๆไม่ได้มาที่เรือนเฉพาะตอนมารับสินค้า บางทีถ้าคุณกล้าเข้าพระนครเพื่อซื้อขายสินค้าอย่างอื่นก็มักจะแวะมาหาคุณสนอยู่เป็นประจำ และคุณสนเองก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อคนรอบข้างดีขึ้น ที่สำคัญหากคุณกล้าไม่มาหาเป็นระยะเวลาที่นานกว่าปกติคุณสนก็จะไปชะเง้อคอยอยู่ที่ท่าน้ำ

   “คุณสนเธอพูดคุยมากขึ้นนะเจ้าคะเวลาที่คุณกล้ามา”เมื่อเข้ามาในครัวก็ได้ยินยายแช่มคุยกับคุณพะยอมเกี่ยวกับเรื่องบุตรีคนเดียวของบ้าน

   “เห็นแม่สนพูดจาหัวเราะหัวใคร่ได้แบบนี้ฉันก็ดีใจ”

   “อิฉันว่าคุณกล้าเธอชอบคุณสนนะเจ้านะ”ยายแช่มทำเป็นกระซิบกระซาบราวกับจะไม่อยากให้บ่าวคนอื่นๆได้ยิน หากแต่ทุกคนในครัวกลั้นขำกันทุกคน


   “พูดไปยายแช่ม คนเสียหายก็คือแม่สน”

   “ก็มีแค่พวกเราแค่นั้นเองเจ้าค่ะคุณเจ้าขา แต่อิฉันว่าคุณกล้าเธอก็ดูดีนะเจ้าคะไม่ได้สวยได้งามเท่าคุณใหญ่แต่ดูดีแถมมีอันจะกิน อีกอย่างรู้ทั้งรู้ว่าคุณสนเธอเจออะไรมาก็ไม่คิดรังเกียจ

   “เขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นก็ได้ยายแช่ม”

   “เชื่อหัวอีแช่มเถอะเจ้าค่ะ ยังไงก็ชอบคุณสนแน่นอน”

   “หนูแสนก็คิดเหมือนยายแช่มนะจ๊ะแม่”หนูแสนที่หยิบผักมาช่วยหั่นออกความเห็น

   “แต่แม่กลัวว่าคุณกล้าเธอจะไม่ได้จริงจัง อาจจะเวทนาแม่สน ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่ากินผัวน่ะก็ถูกด่าไปจนวันตายนั่นแหละ”

   “เขาไม่ใช่คู่แท้กันมันเลยจบลงแบบนั้นมากกว่าจ้าแม่ หากพี่สนได้คู่ครองที่รักและให้เกียตริเป็นคู่แท้คู่จริงหนูแสนว่าจะไม่มีใครตายจากกันก่อนวัยอันควรหรอกจ้าแม่”

   “แม่ก็หวังว่าสนจะเจอคนดีๆคนที่เป็นคู่แท้จริงๆเหมือนกัน”

   “แล้วถ้าคุณกล้าเธอขอคุณสนไปเป็นแม่บ้านแม่เรือนจริงๆคุณจะว่ายังไงล่ะเจ้าคะ”

   “ฉันก็คงแล้วแต่แม่สนนั่นแหละ แต่ก็ต้องถามเจ้าคุณพ่อท่านด้วย ท่านรักของท่าน”คุณพะยอมมองไปที่คุณสนที่นั่งคุยกับคุณกดล้าโดยมีนางเฟื้องนั่งเล่นกับหนูหยกอยู่ไม่ห่าง



   หลังจากเตรียมอาหารเสร็จหนูแสนก็แบ่งกับข้าวใส่สำรับเพื่อยกมาให้คุณเล็ก เพราะเจ้าสัวเช็งล่องเรือไปซื้อขายสินค้าที่เมืองจีนหนูแสนจึงขอคุณพะยอมไปรับสำรับเย็นที่เรือนแพของคุณเล็ก คุณพะยอมสำทับลูกว่าไม่ให้กลับมืดค่ำเกินไป ทันทีที่มาถึงเรือนแพหนูแสนก็เห็นคุณเล็กนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงที่เป็นมุมโปรด คุณเล็กวางปากกาลงทันทีที่เห็นหนูแสน ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างดีใจ

   “กลับมานานแล้วหรือคะ อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว”

   “อาบแล้วค่ะ ก่อนกลับมาแวะไปดูคุณแม่มา เห็นบ่าวบอกว่าวันนี้หนูแสนทำปลาแห้งแตงโมไปให้คุณแม่กับหลานๆ
   “ใช่ค่ะ เห็นว่าอากาศร้อนเลยทำไปให้แต่ว่าคุณป้าไม่รับค่ะ”หนูแสนวางจานกับข้าวลงบนโต๊ะทีละอย่าง
   “ใครบอกล่ะคะ บ่าวบอกว่าหลังจากหนูแสนกลับคุณแม่ทานไปหลายชิ้นอยู่ เห็นบ่าวบอกคุณแม่บ่นว่าไม่กินก็เสียดายของ”หนูแสนยิ้มกับคำบอกเล่าของคุณเล็ก ในใจรู้สึกปิติยินดีกับสิ่งที่ได้ยิน

   “ดีใจจังเลยค่ะ”

   "น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน คุณแม่เดิมทีก็เอ็นดูหนูแสนอยู่แล้ว ท่านใจแข็งได้ไม่นานหรอกค่ะ เห็นบ่าวบอกคุณแม่บ่นว่าหนูแสนวางยาใส่คุณแม่นี่คะ”

   “หนูแสนไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย”

   “ท้าวแสนปมที่โต๊ะหัวเตียงนั่นทำคุณแม่กระวนกระวายน่าดู หลังจากวันนี้แกล้งไปไปดูแลคุณแม่ซัก 2-3 วันสิคะ ขี้คร้านจะมีคนแก่ชะเง้อมองคอยืดคอยาว”

   “ไปแกล้งท่าน นิสัยไม่ดีเลยนะคะ”หนูแสนตีแขนคุณเล็กเบาๆ ทั้งคู่นั่งกินข้าวด้วยกันพูดคุยเรื่องที่พบเจอระหว่างวันอย่างไม่รู้สึกเบื่อ หลังจากนั่งพักจนข้าวเรียงเม็ดคุณเล็กก็เอาหนังสือนิยายของฝรั่งเศสที่ซื้อไว้ก่อนกลับสยามมานั่งอ่านและแปลให้หนูแสนฟัง

   “หนูแสนคะ”อยู่ๆคุณเล็กก็หยุดอ่านและเอ่ยเรียกหนูแสนเบาๆ

   “คะ?”

   “ขอคุณเล็กนอนหนุนตักได้มั้ยคะ นั่งนานชักจะตึงหลัง”คุณเล็กเอ่ยขอเสียงอ้อน หนูแสนกลั้นยิ้มก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ฝ่ายคุณเล็กเมื่อได้รับอนุญาตก็ยิ้มกริ่มเอนตัวลงนอนเอาหัวหนุนตักเจ้าน้องน้อยอย่างสมใจ หนูแสนมองคุณเล็กที่อ่านหนังสือให้ฟังด้วยดวงตาที่แสดงความรักอย่างไม่ปิดบังเมื่อลืมตัวก็ใช้มือลูบผมของคุณเล็กเล่นจนคุณเล็กรู้ตัว

   “แอบมองคุณเล็กแบบนี้อ่านไม่ออกเลยค่ะ”

   “หนูแสนป่าวแอบมองซักหน่อย หนูแสนมองตรงๆ”

   “เถียงเก่งจังเลยค่ะเดี๋ยวนี้”แสร้งว่าน้องก่อนจะลุกขึ้นนั่งอีกหน

   “เถียงเก่งแล้วรักไหมล่ะคะ ถ้าไม่รักจะได้กลับ”

   “รักสิคะ รักมาตลอด”เอ่ยตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด หนูแสนที่ได้ฟังคำรักก็ก้มหน้างุดด้วยไม่อาจสู้สายตาหวานเชื่อมที่คุณเล็กส่งมาให้ได้

   “หนูแสนคะ”คุณเล็กเชยคางหนูแสนขึ้นมาให้สบตาตนเองอีกหน

   “คะ?”ขานรับเสียงแผ่ว สองแก้มขึ้นริ้วเรื่อน่าเอ็นดู

   “คุณเล็กขออนุญาตหอมแก้มหนูแสนซักครั้งได้มั้ยค?”เป็นอีกครั้งที่เจ้าน้องน้อยพยักหน้า คุณเล็กจิตใจพองฟูก่อนจะค่อยๆจรดปลายจมูกที่แก้มของน้องสูดลมหายใจล้ำลึก

แก้มน้องหอมจรุงด้วยกลิ่นน้ำปรุงที่คลุกคลีอยู่ทุกวัน

กลิ่นที่ได้รับนั้นทั้งเย็นจิตและเย็นใจเมื่อสูดลมหายใจเอากลิ่นแก้มน้องจนชุ่มปอดก็ผละหน้าออก

   “ชื่นใจเหลือเกินค่ะ ทูนหัวของคุณเล็ก"



................................................

ฉึ่นจ๊ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๑๐๐%)) ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๐ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-03-2020 22:34:00
คิดถึงงงงง
รีบมตาออีกน้าาา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๑๐๐%)) ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๐ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-03-2020 23:07:42
รีบเคลียนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๑๐๐%)) ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๐ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 22-03-2020 23:20:43

แม่ผกานี่ฤทธิ์เยอะจัง

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๑๐๐%)) ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๐ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 02-04-2020 14:11:55
แง้ๆๆๆๆๆ อ่านจบละชื่นใจจังค่ะ อยากเอาไปแนบแก้มหนูแสนบ้างจัง55555 น้ำหนดลงหินทุกวันไม่แคล้วจะได้สมหวัง คุณกล้าาา คือความหวังใหม่ รออ่านอยู่ครับผมมม :katai1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๕ ((๑๐๐%)) ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๐ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-04-2020 22:13:15

แสนคำนึง
ตอนที่ ๑๖
๕๐%

   เพราะหนูแสนมาปรนนิบัติรับใช้อยู่นานวันในที่สุดก็กลายเป็นความเคยชิน จนวันหนึ่งหนูแสนหายหน้าหายตาไปไม่มาคอยดูแลรับใช้ไม่มาอ่านหนังสือให้ฟังเหมือนเช่นวันก่อน ๆ ก็ทำให้คุณหญิงผการู้สึกผิดหวัง ริมฝีปากบิดเบี้ยวยกขึ้นอย่างไม่พอใจนัก
ก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้ จะทนได้ซักกี่น้ำกัน พอหล่อนไม่ญาติดีด้วยหน่อยก็ถอดใจ คุณหญิงนอนกระฟัดกระเฟียดจนบ่าวคนสนิทต้องแอบส่ายหน้าอย่างระอาใจ เมื่อก่อนก็ยังไม่เอาแต่ใจตัวถึงเพียงนี้ เวลาแค่ปีเดี๋ยวคุณหญิงผกาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนท่านเจ้าคุณปวดหัว ต่อให้เอาธรรมะเข้าสู้คุณหญิงก็จะตะบึงตะบอนเกรี้ยวกราดทุกครั้งไปจนท่านเจ้าคุณต้องหนีรำคาญไปนอนเรือนเมียรองคนอื่น ๆ นั่นยิ่งทำให้จิตใจของคุณหญิงผกามัวหมองเข้าไปกันใหญ่ หลายคืนที่นอนร้องไห้ หล่อเองก็ทุกข์ระทมกับความมากชู้หลายเมียของท่านเจ้าคุณ หล่อนสู้ทนเก็บความเจ็บช้ำไว้ในอกแสร้งทำหน้าชื่นตาบานยอมให้ท่านเจ้าคุณรับเมียใหม่เข้าบ้านเพียงเพราะต้องการรักษาสถานะของตัวเองให้มั่นคง หล่อนได้ความมั่นคงนั้นโดยมีตำแหน่งคุณหญิงเป็นของรางวัลในความอดทน หากแต่ในยามนี้ ยามที่หล่อนล้มป่วยยามที่หล่อนต้องการกำลังใจจากผู้เป็นสามีมากที่สุด แต่เขากลับไม่อยู่เคียงข้างคอยปลอบใจหล่อนอย่างที่ควรจะเป็น หลังจากอนลตายคุณหญิงผกาเองก็มาล้มป่วย อำนาจบารมีที่เคยมีก็ลดน้อยถอยลงไปมาก ซ้ำชีวิตในแต่ละวันก็แสนน่าเบื่อ อเล็กซ์ที่เจ้าคุณสรอรรถเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เพราะไปพ้องกับชื่อของคุณเล็กเป็นอโณทัยและหนูยิ่งก็โตพอที่จะไม่อยากขลุกอยู่กับผู้เป็นย่า พี่น้องคนละแม่พากันไปเล่นซุกซนกับบ่าวผู้ชายแทบจะไม่เข้ามาหาย่าเลยถ้าไม่เรียกหา ลิขิตเองก็มีงานราชการให้สะสางกลับมาตอนเย็นมาอยู่พูดคุยป้อนข้าวป้อนน้ำบีบนวดผู้เป็นมารดาเสร็จก็กลับเรือนแพไปทำงานจนดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะได้นอน

ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ในหัวใจของคุณหญิงผกานั้นว้าเหว่

หากอนลยังอยู่หล่อนคงไม่เหงาถึงเพียงนี้ ลูกชายคนโตของหล่อนเป็นคนช่างพูดช่างคุยเอาอกเอาใจหล่อนมากกว่าลูกชายคนเล็ก แม้นจะกล่าวว่าหล่อนรักลูกเท่ากันแต่คุณหญิงผกานั้นรู้ดีว่าหล่อนรักและเอ็นดูอนลมากกว่าลูกคนไหน
คิดถึงพ่อใหญ่ของแม่เหลือเกิน

นางโฉมค่อยๆคลานออกนอกห้องก่อนจะหับบานประตูให้ผู้เป็นนายอย่างเงียบเชียบ บ่าวคนอื่นๆที่กำลังทำงานอยู่มองหน้าอย่างรู้กัน

   “สงสารคุณหญิงท่าน ร้องไห้คิดถึงคุณใหญ่อีกแล้ว”

   เรือนเจ้าคุณพิพิธบิดาของคุณพะยอมบัดนี้ดูเงียบเหงา คุณพะยอมจับมือผู้เป็นบิดาไว้แน่นมีคุณหญิงพิกุลนั่งเช็ดน้ำตาอยู่อยู่ข้าง

   “ห่วงแม่สน”เสียงแหบแห้งพร่ำพูดถึงหลานสาวคนโปรด คุณสนที่นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆขยับมาหาเจ้าคุณตา ความรักความผูกพันลึกซึ้งตั้งแต่วัยเยาว์ทำให้แม้จะสิ้นสติเลือนความทรงจำที่เคยมี แต่ความทรงจำใหม่นานนับปีของคุณสนก็บรรจุคำว่ารักเจ้าคุณตาไว้อยู่เต็มหัวใจ

   เจ้าคุณพ่อไม่ต้องห่วงแม่สนแล้วนะเจ้าคะ ลูกจะดูแลแม่สนอย่างดี”คุณพะยอมเอ่ยบอกกับบิดาที่หายใจรวยริน

   “อย่าให้ใครมารังแกหลานพ่อ แม่สนอาภัพมามากแล้ว”

   “ไม่มีใครทำร้ายแม่สนได้แล้วเจ้าค่ะ ลูกสัญญา”คุณพะยอมส่งเสียงสะอื้น เจ้าสัวเช็งบีบไหล่ภรรยาไว้อย่างปลอบโยน หนูแสนร้องไห้เงียบๆส่วนคุณเสนนั้นจับปลายเท้าของผู้เป็นตาไว้แล้วบีบเบาๆ

   “อย่าว่าตาลำเอียงนะเสน แสน แต่แม่สนอาภัพมาตั้งแต่เล็กๆ”ท่านเจ้าคุณพิพิธหยุดกลืนน้ำลายเมื่อรู้สึกคอแห้งผาก

   “เรือนหลังนี้พร้อมที่ดินยกให้พ่อเสน แต่ขอให้ยายเขาอยู่จนกว่าจะสิ้นบุญ พ่อเสนรับปากตาได้หรือไม่ว่าจะช่วยดูแลแม่พิกุลแทนตา”คุณเสนก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นตา

   “หลานกราบขอบพระคุณเจ้าคุณตา หลานสัญญาขอรับเจ้าคุณตาว่าจะดูแลยายให้ดี เจ้าคุณตาไม่ต้องห่วงนะขอรับเจ้าคุณพิพิธพยักหน้าเบาๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอย่างพึงใจด้วยรู้นิสัยของคุณเสนดีว่าเป็นคนรักษาคำพูดมากเพียงใด

   “หนูแสน”ท่านเจ้าคุณเรียกหลานคนสุดท้อง หนูแสนค่อยๆคลายเข้ามาหาผู้เป็นตา

   “ขอรับเจ้าคุณตา”

   “ที่ผ่านมาตาไม่ค่อยได้เอาใจใส่เจ้า เจ้าโกรธตาหรือไม่ ? “ท่านเจ้าคุณมองหน้าหลานชายคนเล็ก ดวงตาฝ้าฟางนั้นมีหยาดน้ำตาคลออยู่เต็มหน่วยตา หนูแสนกุมมือผู้เป็นตาไว้ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ

   “ไม่เลยขอรับ แสนไม่เคยคิดโกรธหรือน้อยใจเจ้าคุณตาเลยซักครั้ง แสนเชื่อว่าเจ้าคุณตารักหลานทุกคน แต่เจ้าคุณตาห่วงพี่สนมากที่สุดเพราะพี่สนได้รับความดูแลเอาใจใส่น้อยกว่าใคร”เจ้าคุณพิพิธยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบของหลานชาย

   “ได้ยินอย่างนี้ตาก็สบายใจ ตาคิดมาตลอดว่าแสนจะน้อยใจที่ตาไม่ค่อยได้เลี้ยงดูหรือเอาใจใส่กับแสนนัก เพราะตาเห็นว่ารอบตัวของเจ้ามีแต่คนคอยล้อมหน้าล้อมหลังประคบประหงมมาตั้งแต่เกิด ส่วนแม่สนนั้นเพราะเป็นตัวล่องจุ๊นในความคิดของใครหลายๆคนถึงได้ถูกปล่อยปละมาตลอดตาทั้งรักทั้งเวทนา แต่ตาก็ไม่ได้รักแสนน้อยไปกว่าใคร ที่ดินตรงสาทร 12 ไร่ ตายกให้แสนนะลูกนะ เก็บไว้ทำทุนในภายภาคหน้า”หนูแสนก้มลงกราบผู้เป็นตาก่อนจะถอยให้คุณสนได้เข้ามาแทนที่เมื่อท่านเจ้าคุณกวักมือเรียก คุณสนมองชายชราที่อ่อนแรงบนเตียงน้ำตาไหลรินอาบแก้ม แม้ความทรงจำในครั้งเก่าก่อนหายไปแต่เมื่อหล่อนสูญเสียมันไปคนที่แสดงความรักและห่วงใยเมตตาปราณีต่อหล่อนก็ยังคงเป็นชายชราคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำเก่าหรือใหม่ท่านเจ้าคุณพิพิธก็คือความทรงจำดีๆความรักความเทิดทูนที่คุณสนมอบให้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

   “ต่อไปนี้ไม่มีตาอยู่ด้วยสนต้องมีชีวิตที่ดีนะลูก”ท่านเจ้าคุณวางมือลงบนศีรษะหลานสาวคนโปรด คุณสนพยักหน้ารับ ร้องไห้สะอึกสะอื้น

   “ตารักสน อยากให้สนมีความสุข”

   “สนจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเจ้าคุณตาอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้สนนะเจ้าคะ”

   “ตาแก่มากแล้วสน คงอยู่ดูแลสนไม่ได้อีกแล้ว สนจะต้องเข้มแข็งมีชีวิตที่มีความสุข ตาหวังแค่ให้สนมีความสุข ไม่ต้องทุกข์ตรมไม่ว่าจากเรื่องใด ๆ อีก มีความสุขเพื่อตาได้มั้ย?”เจ้าคุณพิพิธจ้องหน้าหลานสาวที่ท่านรักมากกว่าหลานคนไหนๆ คุณสนส่งยิ้มให้กับผู้เป็นตาแม้น้ำตาจะไหลเปรอะเต็มหน้า

   “สนจะมีความสุขเจ้าค่ะ”

   “ดีแล้ว ตาอยากให้สนปล่อยวาง ไม่ว่าภายภาคหน้าจะพบเจอเรื่องอะไรก็ขอให้ปล่อยวางอย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจไม่ว่าเรื่องอะไร ให้คิดให้ถี่ถ้วน และอยากให้สนจำไว้ว่าไม่มีใครไม่รักสน ทุกคนรักสน ตายกที่ดินที่นครชัยศรีให้สน”เจ้าคุณพิพิธมองหลานชายทั้งสองคน ท่านอยากได้ยินกับหูของท่านเองว่าหลานทั้งสองจะยินยอมเพราะที่ดินริมแม่น้ำนครชัยศรีนั้นมีจำนวนนับร้อยไร่ หากมีใครคนใดคนหนึ่งกินแหนงแคลงใจคิดว่าท่านลำเอียงก็จะได้พูดกันให้จบเสียในวันนี้

   “แสนกับเสนขัดข้องมั้ย?”

   “ไม่มีขอรับ”ทั้งคุณเสนและหนูแสนตอบรับพร้อมกัน

   “หลานทั้งสองไม่คัดค้านความประสงค์ของเจ้าคุณตาเลยขอรับ น้องควรได้รับที่ดินในส่วนนี้ เรือนหลังนี้อีกทั้งที่ดินแปลงนี้ก็มีค่ามาก ของหนูแสนเองอีกหน่อยมูลค่าก็คงพุ่งขึ้นสูง หลานเชื่อว่าเจ้าคุณตาคิดถี่ถ้วนดีแล้วที่แบ่งที่ให้พวกหลานแบบนี้”
   “แสนก็ไม่ขัดข้องขอรับเจ้าคุณตา ที่ดินมากมายแสนคงไม่ได้ทำประโยชน์ให้มันเพิ่มพูนออกดอกออกผล ใจรักแต่จะค้าขายเล็กๆน้อยๆช่วยแม่เท่านั้นเองขอรับ เดิมทีคุณพี่สนมีหัวคิดก้าวหน้าวันใดที่พี่สนคนเดิมกลับมาหลานเชื่อว่าที่ดินตรงนั้นจะทำรายได้ให้พี่สนพอเลี้ยงตัวได้อย่างไม่ลำบากเลย”

   “อย่างนั้นก็ดีแล้ว แม่พิกุลหยิบถึงเงินแจกให้หลานๆเถอะ”เจ้าคุณพิพิธหันไปบอกกับคุณหญิงพิกุลที่นั่งซับน้ำตาเงียบๆ หญิงชราหยิบถุงเงินที่โต๊ะไม้สักมายื่นให้หลานๆคนละถุง สามพี่น้องก้มลงกราบขอบคุณความรักความเมตตาที่ผู้เป็นตามอบให้ด้วยความซาบซึ้ง

หากแต่ใจจริงแล้วไม่มีใครยินดีกับเงินถุงนี้เลย

หากซื้อชีวิตให้กับผู้เป็นตาได้ทั้งเงินและที่ดินที่ได้รับก็อยากจะแลกเป็นอายุที่ยืนยาวมากขึ้น

หากแต่สังขารไม่เที่ยง คนเราทุกคนเกิดมาต้องตาย เจ้าคุณพิพิธก็หนีสัจธรรมข้อนี้ไม่พ้นเช่นเดียวกัน

   “ตาแบ่งเงินให้พวกเจ้าคนละ ๕๐ ชั่ง เอาไว้เป็นทุน หลังจากนี้ตาคงไม่มีโอกาสให้อะไรพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว อย่าฟุ่มเฟือย อย่าสุรุ่ยสุร่ายเราไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ยามเดือดร้อนขัดสนค่อยเอาออกมาใช้ เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้ ตามีเรื่องจะคุยกับพ่อแม่ของพวกเจ้า”ท่านเจ้าคุณโบกมือไล่เบาๆ คุณเสน คุณสนและหนูแสนจึงค่อยๆถอยออกไปด้านนอกโดยที่หนูแสนรั้งท้ายเมื่อออกไปนอกประตูแล้วก็ปิดประตูให้กับผู้เป็นตา

   “เจ้าสัว แม่พะยอม”ท่านเจ้าคุณเรียกลูกสาวและลูกเขยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สภาพร่างกายนั้นอ่อนล้าเต็มที่หากแต่ท่านก็ยังอยากจะสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย คุณพะยอมและเจ้าสัวเช็งขยับเข้ามานั่งใกล้ๆคุณพะยอมที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

   “เจ้าคุณพ่อมีอะไรจะบอกลูกหรือเจ้าคะ”

   “ที่ผ่านมาเจ้าสองคนเป็นพ่อแม่ที่ดี พ่อดีใจที่เจ้าไม่บังคับใจลูก อาจจะเพราะเกรงใจพ่อกับแม่ หลังพ่อตายแล้วก็ยังอยากให้เป็นเช่นนี้อยู่ หลานๆทั้งสามคนเป็นคนดีอีกหน่อยเขาจะมีชีวิตของตัวเอง สิ่งใดที่ลูกเป็นก็ปล่อยให้เป็นไป สิ่งใดที่ลูกอยากทำเราต้องไม่ห้ามถ้าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่จงส่งเสริมและให้คำปรึกษาลูก เรื่องชีวิตคู่ของแม่สนกับเจ้าแสนก็เหมือนกัน เขาจะรักใครจะออกเรือนกับใครถ้าคนๆนั้นเป็นคนดีก็อย่าบังคับอย่าห้าม เราเป็นพ่อแม่เป็นคนให้ชีวิตแต่ไม่ใช่เจ้าชีวิตของเขา เข้าใจมั้ย?”ทั้งเจ้าสัวเช็งกับคุณพะยอมรับปากท่านเจ้าคุณ เจ้าสัวเช็งนั้นด้วยเพราะท่านเจ้าคุณเองตอนที่เขามารักมาชอบกับคุณพะยอมแม้ท่านจะเป็นข้าราชการระดับสูงมียศฐาบรรดาศักดิ์เป็นที่นับหน้าถือตาแต่ท่านก็ไม่เคยกีดกันห้ามปรามที่คุณพะยอมธิดาเพียงคนเดียวของท่านจะมาคบหากับพ่อค้าชาวจีนแถมยังเป็นพ่อหม้ายเมียตาย ดังนั้นยามที่คุณเสนและคุณสนออกเรือนในเมื่อลูกๆรักชอบคู่ของตนเองท่านจึงไม่ขัดแม้ว่าคู่ของคุณสนนั้นจะดีแตกตอนท้ายแต่นั่นถือว่าเป็นบุญเป็นกรรมที่เขาทั้งคู่ได้ทำร่วมกันมา ท่านเจ้าคุณสั่งเสียเรื่องทรัพย์สมบัติที่เหลือที่ยกให้กับคุณหญิงพิกุลและคุณพะยอมก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

แม้สมบัติที่ได้จะมากมายหากแต่ไม่มีใครยินดีกับสิ่งที่ได้มาเลยสักนิด เจ้าสัวเช็งและคุณเสนจำต้องกลับบ้านคลองบางหลวงเพราะต้องไปดูแลกิจการส่วนคุณพะยอมและคุณสนกับหนูแสนอยู่ปรนนิบัติท่านเจ้าคุณและคุณหญิงพิกุล คุณสนนั้นเฝ้าอยู่ข้างๆคอยรับใช้ไม่ได้ห่างหลังจากทรงๆทรุดๆมาได้สี่วันกลางดึกคืนวันที่สี่ท่านเจ้าคุณก็เกิดอาการแน่นหน้าอก คุณหญิงพิกุลนั้นร้อนใจจะออกไปเรียกหนูแสนให้ไปตามหมอหากแต่ท่านเจ้าคุณก็ห้ามไว้

   ไม่ต้องไปหรอกคุณหญิง มาอยู่กับฉันเถอะนะ”คุณหญิงพิกุลกลับมานั่งบนเตียงตามเดิม มือที่เหี่ยวย่นตามวัยถูกกุมไว้โดยผู้เป็นสามี

   “คงต้องลากันแล้วนะ...”ท่านส่งยิ้มให้กับภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี

   “ไม่อยากจากกันเลย”ท่านลูบมือของคุณหญิงอย่างรักใคร่”

   “อิฉันก็ไม่อยากให้คุณพี่ไปเหมือนกันเจ้าค่ะ”คุณหญิงพิกุลร้องไห้สะอึกสะอื้นดึงมือของผู้เป็นสามีขึ้นมาแนบแก้ม

   “คุณพี่ล่วงหน้าไปรออิฉันก่อนนะเจ้าคะ พอถึงเวลาอิฉันจะตามไป ไม่ต้องห่วงอะไรทางนี้แล้ว”ท่านเจ้าคุณพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะค่อยๆสิ้นลมไปในที่สุด คุณหญิงพิกุลร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความอาลัยรัก ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นสามีหัวใจแทบจะแตกสลาย คุณพะยอม คุณสน และหนูแสนที่ได้ยินเสียงร้องไห้รีบมาที่ห้องของท่านเจ้าคุณ เมื่อเห็นภาพข้างในต่างก็เข้ามากราบศพของท่านเจ้าคุณด้วยความเศร้าโศก คุณสนนั้นร้องไห้ราวเด็กเล็กที่ขาดร่มโพธิ์ร่มไทร ก้มลงจูบเท้าของผู้เป็นตาแล้วซบหน้าร่ำไห้

   “สนรักเจ้าคุณตานะเจ้าคะ รักมากๆ”



   หลังเจ้าเจ้าคุณพิพิธถึงแก้อนิจกรรมข่าวก็แพร่ไปทั่ววงข้าราชการ งานศพคืนแรกจึงมีแขกที่เป็นข้าราชการระดับสูงมาร่วมงานจนล้นศาลาวัด รวมทั้งเจ้านายหลายพระองค์ก็ส่งตัวแทนมาแสดงความเสียใจจนครอบครัวของคุณพะยอมแทบไม่มีเวลานั่งพัก หนูแสนรับหน้าที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำอาหารเลี้ยงแขก คุณเล็กที่เลิกงานกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับงานศพก็มาพร้อมกับเจ้าคุณสรอรรถผู้เป็นพ่อโดยมีคุณรองที่ลาราชการจากเมืองกาญจนบุรีเพื่อมาร่วมงานด้วยก็มาถึงในช่วงพลบค่ำทันฟังพระสวด

   “เจ้าคุณพ่อขอรับ”คุณเล็กกระซิบเรียกผู้เป็นบิดาที่นั่งเก้าอี้แถวหน้าในฐานะแขกผู้ใหญ่

   “หืม?”

   “เล็กขอไปนั่งกับหนูแสนนะขอรับ”คุณเล็กมองไปทางหนูแสนที่ออกมานั่งแอบตรงเสาต้นใหญ่ฟังพระเงียบๆคนเดียว

   ไปเถอะ”เจ้าคุณสรอรรถอนุญาตลูกชาย คุณเล็กจึงค่อยๆค้อมตัวเดินผ่านบรรดาแขกผู้ใหญ่ที่นั่งฟังพระเพื่อตรงไปหาหนูแสน หนูแสนมองคุณเล็กที่ลงนั่งเคียงข้าง ดวงตากลมโตที่เคยสดใสบัดนี้มีแววเศร้าเจืออยู่ เขารู้ว่าหนูแสนเองก็รักท่านเจ้าคุณพิพิธไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆเลย

   “หนูแสนทานข้าวหรือยังคะ?”คุณเล็กกระซิบถามเบาๆ หนูแสนส่ายหน้าน้อยๆ น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยตอบเบาแทบไม่ได้ยิน

   “กินไม่ลงค่ะ”

   “กินไม่ลงก็ต้องกินไม่งั้นงานเจ็ดวันหนูแสนจะเอาแรงที่ไหนมาทำกับข้าวเลี้ยงแขกคะ?”คุณเล็กส่งเสียงขรึมใส่หนูแสนซึ่งเจ้าน้องน้อยก็ไม่ได้เอ่ยตอบโต้ทำเพียงหลุบตาลงพื้นคล้ายเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุ คุณเล็กถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางของหนูแสนที่ดูเศร้าจนน่าใจหาย

   “หนูแสนคะ”เอ่ยเรียกอีกครั้งให้เจ้าน้องน้อยเงยหนขึ้นมาสบตา

   “คะ”

   “รู้ใช่มั้ยคะว่าคุณเล็กเป็นห่วงไม่ได้ดุ”

   “ทราบค่ะ”

   “หลบไปกินข้าวด้วยกันในครัวดีมั้ยคะ คุณเล็กหิ๊วหิว เลิกงานก็ตรงมาที่วัดเลยยังไม่ได้กินข้าวเลย เมื่อเที่ยงก็ทำงานจนลืมกินข้าวตอนนี้คุณเล็กปวดท้องนิดๆแล้วด้วยค่ะ”คุณเล็กเปลี่ยนน้ำเสียงกลายเป็นอ้อนคนน้องกลายๆ หนูแสนทำตาโตเมื่อได้ยิน

   “ตายจริง ทำไมปล่อยให้ตัวเองอดข้าวคะ”หนูแสนทำคิวขมวดใส่คนพี่ก่อนจะยกมือจรดกราบลาพระแล้วถอยออกมานำคุณเล็กเข้ามาในครัวที่มีบ่าวกำลังเตรียมอาหารเลี้ยงแขกก่อนกลับ หนูแสนจัดสำรับเล็กๆมานั่งกินด้วยกันกับคุณเล็ก ต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไรกันอีกทำเพียงกินข้าวเงียบๆ ผลัดกันตักกับข้าวใส่จานให้กันและกัน หนูแสนรู้ดีว่าจริงๆคุณเล็กคงมีคำพูดมากมายที่จะพูดปลอบใจหากแต่ถ้าพูดออกมาตอนนี้หนูแสนอาจจะร้องไห้ออกมาได้จึงทำเพียงคอยอยู่เคียงข้างในที่ของตนเองเงียบๆไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือวุ่นวายทำตัวเป็นแขกที่ดี หลังจากสวดศพเสร็จแขกเหรื่อที่มาร่วมงานทยอยกลับเจ้าคุณสรอรรถจึงได้กล่าวลาคุณพะยอมและเจ้าสัวเช็ง

   “ฉันกลับก่อนนะเจ้าสัว แม่พะยอม พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่”เจ้าคุณสรอรรถกล่าวลาเพื่อนบ้านก่อนจะขึ้นรถที่คุณเล็กเปิดประตูรอ คุณรองเป็นคนขับสตาร์ทรถรออยู่ก่อนแล้ว คุณพะยอมและท่านเจ้าสัวรวมทั้งลูกๆทั้งสามคน คุณอุ่นเรือนและลูกๆยกมือไหว้ลา
   “คุณเล็กกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะมาใหม่”เอ่ยลาคนรักก่อนจะก้าวขึ้นรถไป หนูแสนมองตามท้ายรถที่ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปด้วยหัวใจที่ดีขึ้น เป็นความอุ่นใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณเล็กมาเติมให้ในวันที่อ่อนล้า ความอ่อนปแอที่เกาะกินใจมาตั้งแต่เมื่อคืนวานค่อยๆดีขึ้นจนเจ้าตัวมีแรงที่จะทำงานในอีกหกวันที่เหลือให้ดีที่สุด



......................

รักนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ (๕ ((*๐%)) ๒(g,Kkpo พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๕
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-04-2020 07:11:03
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ (๕ ((*๐%)) ๒(g,Kkpo พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๕
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 28-04-2020 08:19:39
1ติดตามมมม
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ (๕ ((*๐%)) ๒(g,Kkpo พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๕
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 29-04-2020 12:05:31

ทยอยล้มหายตายจากไปทีละคนๆๆๆ



 :mew1:

ขอบคุณที่มาต่อให้ค่ะ

...หายไปนาน..

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ (๕ ((*๐%)) ๒(g,Kkpo พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๕
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-04-2020 21:15:51
รีบมาต่ออีกนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ (๕ ((*๐%)) ๒(g,Kkpo พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๕
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 30-04-2020 15:49:46
หนูแสนของน้องงงงงงงงงงงงงงง​
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ (๕ ((*๐%)) ๒(g,Kkpo พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๕
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 30-04-2020 18:54:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ (๕ ((*๐%)) ๒(g,Kkpo พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๔๕
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-05-2020 21:23:54

ตอนที่ ๑๗

๕๐%




“คุณน้าแสนคนดีหายไปไหนมาตั้งนาน หนูยิ่งคิดถึง” หนูยิ่งที่เห็นผู้เป็นน้าก้าวขึ้นมาบนเรือนก็ทิ้งของเล่นที่กำลังเล่นกับอโณทัยวิ่งมาสวมกอดเอวของผู้เป็นน่าทันที หนูแสนส่งถาดอาหารที่ตนเองถือมาจากเรือนให้บ่าวเอาไปจัดสำรับก่อนจะนั่งลงกอดหลานชายตัวน้อยไว้
“น้าแสนก็คิดถึงหนูยิ่งนะคะ”
“ถ้าคิดถึงทำไมไม่มาตั้งนาน” หนูยิ่งทำหน้าอ้อนผู้เป็นน้าจนหนูแสนหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“ก็น้าแสนต้องไปดูแลตาทวดนี่คะ หนูยิ่งอยู่กับคุณย่าซนหรือเปล่า?” แสร้งทำเสียงขรึมเอ่ยถามหลานชาย เจ้าตัวเล็กรีบส่ายหน้า
“หนูยิ่งกับพี่อโณไม่ดื้อไม่ซนเลย แต่คุณย่าก็ยังเอ็ดไล่ให้หนูยิ่งกับพี่อโณไปเล่นไกล ๆ คุณย่ารำคาญ” หนูยิ่งเอ่ยฟ้องผู้เป็นน้า
“คุณย่าไม่สบายก็เลยอารมณ์ไม่ดีเป็นธรรมดา น้าแสนเอาขนมมาฝากหนูยิ่งกับอโณ เดี๋ยวไปนั่งกินกันตรงนู้นนะคะ เดี๋ยวน้าแสนเข้าไปหาคุณย่าก่อน” หนูแสนลูบผมของหลานชายก่อนจะเดินตรงไปที่หน้าประตูห้องของคุณหญิงผกา สูดลมหายใจรวบรวมความกล้าแล้วจึงส่งเสียงเข้าไปก่อนเพื่อให้คนด้านในรู้ตัว
“คุณป้าคะ หนูแสนมาเยี่ยมค่ะ”
“จะเข้าก็เข้ามาสิ ปกติไม่อนุญาตก็เข้ามาอยู่แล้วนี่” หนูแสนยิ้มให้กับคำประชดนั้นเปิดประตูเข้าไปด้านใน คุณหญิงผกานั่งพิงหัวเตียงหน้าตาไม่ทุกข์ไม่ร้อนเรียบเฉยเช่นเดิม
แต่มีบางอย่างที่หนูแสนรู้สึกว่าคุณหญิงผกาในวันนี้ไม่เหมือนเช่นทุกวันก็คือแววตาที่มองหนูแสน
“คุณป้าสบายดีมั้ยคะ?”
“อืม...ก็ดี” คุณหญิงผกาตอบกลับ แต่เป็นคำตอบที่ทำให้หนูแสนแปลกใจ เพราะปกติคุณหญิงผกาจะไม่ตอบหรือไม่ก็พูดเหน็บจนหนูแสนชิม
“มองอะไรล่ะ จะนั่งก็นั่ง ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไม่งาม” คุณหญิงผกาส่งเสียงเอ็ดจนหนูแสนต้องรีบนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เกิดความเงียบปกคลุมจนรู้สึกอึดอัด หนูแสนเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาทำเพียงแสร้งหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาพลิกหาหน้าที่คั่นไว้เมื่อครั้งก่อน
“เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดา” หนูแสนชะงักมือที่กำลังพลิกหน้าหนังสือ ดวงตากลมเงยขึ้นสบตากับคุณหญิงผกา ผู้อาวุโสกว่ามองหนูแสนด้วยสายตาที่หายไปนานนับปี
“ไม่มีใครหนีความตายพ้น หักห้ามใจหักห้ามความทุกข์โศกเสียเถอะนะหนูแสน” คุณหญิงผกายื่นมือมาลูบศีรษะของเด็กตรงหน้า หนูแสนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองอุ่นวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ขอบตาร้อนผ่าวไม่ได้เกิดจากความเศร้าเสียใจ หากแต่เป็นความปีติยินดีที่ค่อยๆ เพิ่มพูนใน
“คุณป้าหายโกรธหนูแสนแล้วหรือคะ?” เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ แม้จะคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าคุณหญิงผกากลับมาเป็นคุณป้าผู้ใจดีเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์แต่ก็ขอถามเพื่อความแน่ใจ คุณหญิงผกาดึงมือที่ลูบบนศีรษะของหนูแสนออก ดวงตาที่มีแววโรยราไม่ว่าด้วยตามวัยหรือด้วยประสบการณ์ชีวิตทั้งสุขและเศร้าที่ได้รับมาชั่วชีวิตนั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ต้นสายหยุดที่ออกดอกเหลืองเต็มต้นส่งกลิ่นหอมเย็นๆ ยามเช้ามืดนั้น คุณหญิงให้บ่าวเอามาปลูกเมื่อครั้นออกเรือนกับท่านเจ้าคุณใหม่ๆ
เป็นต้นสายหยุดต้นเดิม หากแต่ไม่เหมือนเดิม มันสูงใหญ่ออกดอกไสวต่างจากต้นที่เอามาใหม่ ทั้งเล็กและดูเปราะบาง บัดนี้มันเปลี่ยนแปลง เติบโตและแข็งแรง
ชีวิตคนก็เช่นกัน ไม่มีอะไรคงเดิมมีแต่จะเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วัน แต่ตัวคุณหญิงเองกับจมปลักในวังวนแห่งความเคียดแค้นชิงชัง
เมื่อได้อยู่กับตัวเองลองนึกทบทวนตรึกตรองดูแล้วจึงทำให้ค่อย ๆ คิดได้ทีละนิดว่าแท้ที่จริงแล้วความทุกข์ที่เสมือนไฟกองใหญ่คอยเผาใจให้ร้อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นนั้นมันเกิดขึ้นจากหล่อนทั้งสิ้น
หนูแสนปล่อยให้คุณหญิงผกาได้คิดทบทวน ไม่ได้เร่งเร้าจะเอาคำตอบ หรือหากแม้นคุณหญิงผกาไม่ตอบก็จะไม่เซ้าซี้ จะปล่อยให้มันผ่านไป หากแต่อีกครู่หนึ่งเหมือนคุณหญิงผกาตกตะกอนความคิดของตัวเองเสร็จแล้วท่านก็หันมาทางหนูแสน
“ที่ผ่านมา ป้าขอโทษหนูแสนนะ” คำขอโทษถูกเอ่ยออกจากปากคนแก่กว่า หนูแสนเพิ่งรู้ว่าความปลื้มปีตินั้นรู้สึกอย่างไรก็วันนี้ เด็กหนุ่มกราบลงบนตักของผู้อาวุโสก่อนจะเงยหน้ามาเอ่ยถ้อยคำหวานหู
“หนูแสนต่างหากค่ะที่ต้องกราบขอโทษคุณป้า ที่ผ่านมาหนูแสนคงทำตัวไม่น่ารักไปหลายครั้ง คุณป้ายกโทษให้หนูแสนด้วยนะคะ”
“อย่ามาชิงขอโทษป้าเลย ถึงป้าจะแก่กว่าก็ใช่ว่าจะขอโทษเด็กไม่ได้ ในเรื่องนี้ป้าผิดป้าก็คิดว่าป้าควรเป็นฝ่ายขอโทษ โกรธคนหนึ่งพาลมาฟาดงวงฟาดงากับอีกคนมันใช้ได้ที่ไหน ใคร ๆ เตือนก็ไม่ฟังหาว่าเขาไม่เห็นใจ สุดท้ายเขาเบื่อเขารำคาญเขาเหนื่อยจะพูดก็ตีตัวออกหากกันไปหมด”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะคุณป้า” หนูแสนบีบมือคุณหญิงผกาอย่างให้กำลังใจ
“ไม่ต้องมาปลอบป้าหรอก ป้ารู้ดีว่าสิ่งที่ป้าทำมันแย่มาก ๆ ดูสิ” คุณหญิงผกากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง
“เมื่อก่อนมีผู้คนห้อมล้อมป้ามากมาย แต่ตอนนี้ไม่เหลือใครเลย” ปลายน้ำเสียงนั้นแผ่วจนน่าใจหาย หนูแสนรู้ดีว่าคุณหญิงผกานั้นจะรู้สึกอ้างว้างเพียงใด
“เมื่อก่อนตอนลูกๆ ยังเด็กป้าก็คิดว่าการที่ท่านเจ้าคุณไปเรือนแม่ชื่นหรือแม่มณีนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยป้ายังมีลูกๆ จนกระทั่งพ่อใหญ่ถูกส่งไปเมืองฝรั่ง แม่กลางก็เข้าไปถวายตัวเป็นนางในจากนั้นก็ออกเรือนป้าก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังเหลือตาเล็ก แต่พอตาเล็กจากไปอีกคนป้าก็เหงาเสียยิ่งกว่าเหงา เรือนที่เคยว่าอยู่กันแบบพอดีตัวมันก็กว้างเสียจนป้ารู้สึกโดดเดี่ยว มองไปทางไหนก็ไม่เหลือลูกหลานให้เลี้ยงดูพูดคุยให้ชื่นใจ จนพ่อใหญ่กลับมาป้าถึงรู้สึกว่าความสุขมันกลับมาอีกหน” คุณหญิงผกายิ้มให้กับภาพลูกชายคนโตที่จะต้องแวะมากอดมาหอมแก้มมาพูดคำหวานให้หล่อนทุกวันหลังเลิกงาน
“พ่อใหญ่เป็นคนปากหวาน สรรหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังต่าง ๆ นานามันก็ช่วยให้คลายเหงาขึ้นมาได้บ้าง จนพ่อให้มาบอกว่าจะแต่งงานกับแม่สน ขอบอกตามตรงว่าจริงๆ แล้วป้าค้านหัวชนฝา อย่าหาว่าป้าดูถูกแม่สนเลยนะ แต่เห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็รู้ๆ นิสัยกันอยู่ว่าเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจหัวสมัยไม่ยอมใคร ร้อนกับร้อนเจอกันก็มีแต่พัง แต่ในเมื่อพ่อใหญ่ยืนยันว่าจะเอาคนนี้ก็ต้องตามใจ สุดท้ายก็พังจริง ๆ” แววตาของคุณหญิงผกาหม่นแสงลงยามนึกถึงเรื่องราวชีวิตของลูกชายคนโต หนูแสนเม้มริมฝีปากแน่น ในสมองก็คิดว่าตนเองควรจะพูดขอโอกาสให้กับพี่สาวหรือไม่
จะว่าไปแล้วเราทุกคนล้วนเคยทำเรื่องผิดพลาด ตอนนี้แต่ละคนได้รับผลจากความผิดพลาดนั้นแล้ว คุณสนก็เช่นกัน ดังนั้นหนูแสนจึงตัดสินใจขอโอกาสให้พี่สาวอีกครั้ง
“คุณป้าขา...ยกโทษให้พี่สนได้มั้ยคะ หนูแสนอยากพาพี่สนมากราบขอโทษคุณป้า ได้ไหมคะ?” คุณหญิงผกามองหน้าหนูแสนที่สบตาไม่ได้หลบ ในหัวใจหนักอึ้ง
“เอาเป็นว่าป้ายกโทษให้ แต่อย่าพามาเจอเลย”
“ทำไมล่ะคะ” หนูแสนถามอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อยกโทษให้กันได้ทำไมถึงไม่ยอมให้มากราบขอโทษด้วยตัวเอง
“หนูแสนไม่เคยมีลูก หนูแสนไม่รู้หรอกว่าหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่สูญเสียลูกไปน่ะมันช้ำแค่ไหน วันหนึ่งถ้ามีลูกเป็นของตัวเองก็คงจะเข้าใจ” คุณหญิงผกาทิ้งท้ายคำพูดไว้เพียงเท่านั้น หากแต่ประโยคที่ว่าวันหนึ่งหากหนูแสนมีลูกหนูแสนจะเข้าใจกลับกลายเป็นคำพูดที่ทำให้ใจดวงน้อยนั้นสั่นจนน่ากลัว
หนูแสนจะมีลูกได้อย่างไร...ในเมื่อหนูแสนเป็นผู้ชาย เมื่อรักคุณเล็กแล้วก็ไม่คิดจะไม่ออกเรือนกับหญิงใด เรื่องผู้สืบสกุลก็ไม่เห็นเป็นสำคัญด้วยมีตาอ้นลูกของคุณพี่เสนเป็นผู้สืบสกุลรุ่นถัดไปแล้ว
แต่คุณเล็กเล่า?
หากวันหนึ่งคุณเล็กอยากมีทายาทขึ้นมาจะทำอย่างไร...


หลังเสร็จงานศพเจ้าคุณพิพิธได้ไม่กี่วันคุณพะยอมกับบ่าวก็ต้องมาเร่งมือทำน้ำอบน้ำปรุงส่งลูกค้าที่มากขึ้นแบบปากต่อปาก หลังๆ มานี้หนูยิ่งพาอโณทัยข้ามมาหาน้าแสนบ่อยครั้งจึงได้อยู่กินขนมพูดคุยกับผู้เป็นยาย หนูหยกดีใจที่พี่ชายมาหามาเล่นด้วย เด็กๆ พากันเล่นซนรวมทั้งลูกๆ ของคุณเสน บ้านที่เงียบก็พลันสดใสขึ้นด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะของเด็กๆ เฟื้องพาคุณสนออกมานั่งเล่นตรงชานเรือนเหมือนเช่นทุกวัน
“เสียงเด็กที่ไหนเล่นกันเสียงขรม” คุณสนเอ่ยถามพลางชะโงกหน้ามองหาต้นเสียง นังเฟื้องไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเดินตามนายสาวไปเรื่อยๆ ใจหวังให้คุณสนจำคุณยิ่งได้แต่ก็นึกชังอโณทัยลูกแหม่มแอนนาจับจิต
“ตายจริง ลูกใครนั่นมีเด็กฝาหรั่งด้วยหน้าตาน่าเอ็นดู เด็กผู้ชายคนใกล้ ๆ ก็น่ารัก” คุณสนออกปากชมหนูยิ่งผู้เป็นลูกชายด้วยนึกเอ็นดูและถูกชะตา นังเฟื้องได้ทีจึงดันให้ผู้เป็นนายลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ลูกใครกันหรือคะแม่” เอ่ยถามคุณพะยอมที่นั่งมองหลาน ๆ เล่นกัน เด็กๆ หันมามองคุณสน หนูยิ่งที่ไม่ได้เจอแม่นานแต่ก็โตพอจะรู้ความและจำผู้เป็นแม่ได้มองคุณสนด้วยความคิดถึง เด็กชายวัยหกขวบวิ่งถลาเข้ามากอดเอวผู้เป็นแม่ด้วยความรัก
“แม่จ๋า แม่สนของหนูยิ่ง หนูยิ่งคิดถึงแม่” เด็กน้อยร้องบอกผู้เป็นแม่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มือเล็กเช็ดน้ำตาป้อยๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ไหลออกมา
คุณพ่อเคยบอกไว้ว่าลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้
แต่ทำไมน้ำตามันไม่ยอมหยุดไหลก็ไม่รู้
คุณสนที่ชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ เด็กชายแปลกหน้าก็วิ่งเข้ามากอดย่อกายลงนั่งให้เสมอกับหนูยิ่ง รอยยิ้มถูกมอบให้อย่างใจดี มือสวยคว้ามือเล็กของเด็กน้อยแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บไว้ตรงเข็มขัดนากออกมาซับน้ำตาให้เบา ๆ
“อย่าใช้มือขยี้ตาสิคะ ประเดี๋ยวตาจะเจ็บได้” หนูยิ่งมองดูแม่ที่บรรจงเช็ดหน้าให้ตนเองไม่ละดวงตาไปไหน
นานเท่าไหร่แล้วหนอที่ไม่เคยได้พบเจอแม่
ภาพของแม่ในวันนี้คล้ายจะเป็นคนละคนกับในวันวาน
แม่ที่เคยเอิบอิ่มสวยงามใบหน้าเคยมีสีสันบัดนี้กลับเรียบนิ่งดูสงบไร้ซึ่งสีสันฉูดฉาดชินตา
แม่ที่บางครั้งก็เผลอเกรี้ยวกราดยามทะเลาะกับคุณพ่อมาวันนี้กลับดูใจดีอย่างน่าประหลาด
แต่ไม่ว่าแม่จะเป็นแบบไหนหนูยิ่งก็รัก
ร่างเล็กของเด็กชายโผเข้ากอดแม่อย่างที่โหยหาและปรารถนาจะทำมาโดยตลอด แขนเล็กโอบรั้งรอบลำคอของแม่ ใบหน้าซุกกับอกแม่ร้องไห้โฮ
ช่างเรื่องของลูกผู้ชายปะไร
หนูยิ่งรู้เพียงว่าหนูยิ่งเป็นลูกของแม่เท่านั้น
“คิดถึงคุณแม่ คิดถึงมาก ๆ เลย” เด็กชายเอ่ยด้วยเสียงเจือสะอื้น ท่ามกลางสายตาของยาย น้าและบ่าวไพร่ หนูยิ่งไม่สนและไม่นึกอายที่ต้องเป็นเด็กอ่อนแอ ความคิดถึงเอ่อล้น อยากเจอแม่มาตลอดปีกว่าแต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ข้ามบานประตูไม้ข้ามเขตมาจนกระทั่งคุณย่าดีกันกับน้าแสน
หนูแสนมองภาพแม่ลูกที่กอดกันกลมแล้วก็ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความปลื้มใจ พลันความอุ่นที่ฝ่ามือก็ทำให้ต้องเงยหน้ามอง คุณเล็กที่น่าจะเพิ่งเสร็จจากงานที่หอบมาทำในวันหยุดมาถึงตอนไหนก็ไม่รู้ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างแล้วกุมมือหนูแสนไว้
คุณสนที่ถูกสวมกอดโดยไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ผลักไสเด็กชายออก ปล่อยให้หนูยิ่งกอดจนพอใจ มือเรียวก็ลูบหลังเล็กนั้นอย่างใจดี เมื่อเด็กชายสงบลงจึงดันร่างเล็กให้ห่างตัว หญิงสาวส่งยิ้มเอ็นดูเจือแววเวทนาเด็กน้อยอยู่ในที
“คิดถึงแม่หรือคะ?” เอ่ยถามเด็กตรงหน้า หนูยิ่งที่ร้องไห้จนตาหูแดงพยักหน้า
“แม่ไปไหนเสียล่ะคะ?” คำถามที่ถูกถามออกมาทำเอาเด็กน้อยงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมที่จ้องมองผู้เป็นแม่มีแววสลดวูบ ทุกคนในที่นั้นลอบถอนหายใจเบา ๆ
“ก็แม่ไงจ๊ะ แม่เป็นแม่ของหนูยิ่ง” เด็กน้อยร้องตอบอย่างไม่เข้าใจท่าทีของแม่
“ฉันไม่ใช่แม่ของหนูหรอกจ้า ฉันมีลูกคนเดียวคือหนูหยก นั่นไงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นั่น” คุณสนชี้มือมาทางหนูหยกที่ยืนรวมกับพี่ๆ หนูยิ่งมองแม่ด้วยดวงตาไม่เข้าใจและผิดหวัง หนูแสนเห็นท่าทางของหลานชายก็ให้นึกสงสารจึงเดินเข้าไปดึงหนูยิ่งออกจากผู้เป็นแม่
“หนูยิ่งมากับน้าแสนก่อนนะ” เมื่อหนูแสนดึงหนูยิ่งให้เดินกลับมาที่ม้านั่งคุณสนสิ่งยิ้มให้เด็กชายอีกครั้งแล้วก็เดินกลับไปนั่งเล่นที่ชานเรือนตามเดิม ทิ้งความเสียใจของเด็กน้อยไว้ข้างหลังอย่างคนที่ไม่เหลือความทรงจำในวันเก่า
“คุณแม่ไม่รักหนูยิ่งแล้วคุณน้าแสน” เด็กน้อยร้องบอกอย่างเสียใจ หนูแสนสวมกอดร่างเล็กไว้แน่นอย่างสงสาร
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหนูยิ่ง หนูยิ่งคนดีฟังน้าแสนนะคะ ไม่ใช่ว่าคุณแม่ไม่รักหนูยิ่ง คุณแม่รักทั้งหนูยิ่งหนูหยก แต่ตอนนี้คุณแม่ป่วย ความทรงจำของคุณแม่หายไปคุณแม่เลยจำใครไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าคุณแม่จำหนูยิ่งไม่ได้แค่คนเดียวนะ คุณยาย คุณก๋ง หนูหยก น้าแสน รวมทั้งคนอื่น ๆ คุณแม่ก็จำใครไม่ได้เลยสักคน”
“แต่คุณแม่บอกว่ามีน้องหยกเป็นลูกแค่คนเดียว แปลว่าคุณแม่จำน้องได้น่ะสิน้าแสน”
“เปล่าเลย แม้แต่หนูหยกคุณแม่ก็จำไม่ได้ ทุกคนในตอนนี้คือครอบครัวใหม่ที่คุณแม่ต้องจดจำ ตอนนี้หนูยิ่งเข้ามาอยู่ในความทรงจำอันใหม่ของคุณแม่แล้วหนูยิ่งต้องไม่ถอดใจนะคะ ถ้าคุณแม่ยังจำไม่ได้ก็ต้องค่อยๆ เข้าไปหาเธอทีละนิด” หนูแสนอธิบายให้หลานชายฟังอย่างใจเย็น คุณเล็กปล่อยให้หนูแสนเป็นคนรับหน้าที่นี้ไปเพราะหนูแสนนั้นรู้สถานการณ์ในเรือนตัวเองดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์หรือความทรงจำของคุณสน ดังนั้นคุณเล็กจึงไม่ก้าวเข้าไปปลอบหลานชาย หนูยิ่งได้ฟังดังนั้นก็คิดตามสิ่งที่น้าชายพูด แต่เด็กน้อยก็เกิดความไม่แน่ใจ
“แม่จะจำหนูยิ่งได้จริงๆ เหรอครับน้าแสน”
“ถ้าแม่จำไม่ได้ก็มาสร้างความทรงจำใหม่กับแม่กันดีมั้ยคะ ตอนนี้หนูยิ่งมาเที่ยวเล่นบ้านคุณก๋งได้แล้วก็มาหาแม่บ่อย ๆ น้าเชื่อว่าวันหนึ่งแม่ก็จะรักหนูยิ่งเหมือนที่รักหนูหยก ดีมั้ยคะ?” กระชับกอดหลานตัวน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้บังคับให้หลานมาหากแต่ถือความสมัครใจของหนูยิ่งเป็นที่ตั้ง เด็กน้อยสวมกอดน้าชาย พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“คุณแม่จำใครไม่ได้เลยน่าสงสารนะครับ หนูยิ่งสัญญาโตขึ้นหนูยิ่งจะเป็นหมอแล้วมารักษาคุณแม่ให้หายดี ถึงวันนั้นวันที่แม่จำได้ แม่จะได้รักหนูยิ่งเพราะรู้ว่าหนูยิ่งเป็นลูกจริงๆ” เด็กน้อยบอกผู้เป็นน้าอย่างมุ่งมั่น หนูแสนลูบผมหลานชายอย่างเอ็นดู
“เอาเลย หนูยิ่งอยากทำอะไรทำเลย อยากเรียนอะไรก็เรียนเลย น้าแสนคุณอาเล็กหรือแม้แต่คุณก๋งคุณยายก็จะส่งให้หนูยิ่งเรียน เพราะอะไรรู้มั้ย” หนูแสนทิ้งจังหวะ มองหน้าหลานชายด้วยสายตาที่แสดงความรักอย่างจริงใจ
“เพราะพวกเรารักหนูยิ่ง หนูยิ่งไม่ได้ขาดความรักเลยเห็นมั้ยคะ” หนูแสนชี้มือให้หนูยิ่งมองไปทางคุณเล็ก คุณพะยอมและหลานๆ คนอื่นที่มองมาอย่างห่วงใย หนูยิ่งมองตามมือผู้เป็นน้าก็รู้สึกอุ่นใจและเห็นจริงตามที่น้าแสนบอก ทุกสายตาที่มองมามีแต่ความรักความห่วงใยโดยที่เด็กน้อยก็สัมผัสได้ ไม่มีใครเกลียดหนูยิ่งเลยสักนิด เด็กชายซบลงกับไหล่ผู้เป็นน้าเอ่ยคำหวานให้คนข้างๆ จนหนูแสนยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“หนูยิ่งก็รักน้าแสน รักอาเล็ก รักคุณยาย รักทุก ๆ คนเหมือนกัน” คุณเล็กมองภาพสองน้าหลานที่นั่งคุยกันกะหนุงกะหนิงด้วยหัวใจที่เป็นสุข ในใจนั้นคิดเรื่องสำคัญ เรื่องที่ตนเองควรเข้าไปพูดกับท่านเจ้าคุณสรอรรถกับคุณหญิงผกาให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที เวลาผ่านมาเนิ่นนานและคนทั้งคู่นั้นผ่านอะไรร่วมกันมาทั้งสุขและทุกข์มาพอสมควร พ่อและแม่ของเขาควรรับรู้เรื่องที่ตนเองกับหนูแสนรักกันได้แล้ว อย่างน้อยเขาก็อยากให้เกียรติหนูแสนและครอบครัว ลิขิตไม่อยากแอบคบหากันโดยที่พ่อแม่ของตนเองไม่รับรู้ไปอย่างนี้เรื่อย ๆ
เด็กๆ แยกตัวออกไปเล่นด้วยกันโดยมีนายมีและนายพันคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง คุณพะยอมกับยายแช่มก็ง่วนอยู่กับการผสมดอกไม้ชนิดต่างๆ หนูแสนปลีกตัวมานั่งเล่นที่เรือนแพของคุณเล็กตามคำชวนของคนรัก ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน คุณเล็กทำเพียงนอนหนุนตักเจ้าน้องน้อยมองใบหน้าพริ้มเพราอย่างแสนรัก หนูแสนเองถูกมองเท่าไหร่ก็หาได้ชินกับสายตาระยิบระยับที่คุณเล็กมองมาเสียที แสร้งเบนสายตาหลบมองไปยังผิวน้ำเบื้องหน้า
“เขินเหรอคะ?” แสร้งถามทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งรู้
“ไม่แกล้งหนูแสนสิคะ”
“คุณเล็กแกล้งหนูแสนตรงไหนคะ ก็หนูแสนกำลังเขินคุณเล็กจริง ๆ ดูสิคะแก้มแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว” ไม่พูดเปล่ายิ่งส่งมือไปลูบแก้มของน้องเบา ๆ
“ถ้าไม่กลัวจะมีใครเข้ามาเห็น คุณเล็กก็อยากจะขอจูบหนูแสนสักที”



.................................

คิดถึงกันหรือไม่เจ้าคะ
ว่าที่แม่ผัวลูกกะไพ้เขาคุยกันแร้วน้า
ครึ่งหลังไปคุยกับเจ้าคุณพ่อคุณหญิงแม่เรื่องของเรากันนะคะ
เม้นท์เยอะจะรีบมาพิมพ์ก่อนไปโรงพยาบาล ไม่งั้นก็เจอกันหลังกลับจากโรงพยาบาลนะคะ
เป็นกำลังใจให้โรคสงบด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๕๐%)) พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 17-05-2020 22:27:01
รออ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๕๐%)) พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 18-05-2020 05:59:27


แม่ผกา..ผีออกแล้วสินะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๕๐%)) พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-05-2020 07:28:48
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๕๐%)) พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 28-05-2020 23:43:40


ตอนที่ ๑๗

๑๐๐%


 ทุกวันอาทิตย์จะเป็นวันหยุดของเจ้าสัวเช็งและคุณเสน ทุกวันหยุดกิจวัตรประจำวันของท่านเจ้าสัวก็จะเป็นเหมือนเดิมซ้ำๆ เริ่มจากตื่นนอนเวลาประมาณตีห้าครึ่ง คุณพะยอมก็จะเตรียมน้ำสำหรับล้างหน้าและอุปกรณ์สีฟัน เมื่อทำธุระเช้าเรียบร้อยแล้วก็จะนั่งจิบชาจีน บางวันหากหนวดยาวก็จะใช้กรรไกรเล็กๆ ค่อยๆ เล็มหนวดอย่างใจเย็น ราว ๆ เจ็ดโมงเช้าก็จะลงมานั่งที่ห้องนั่งเล่น อ่านหนังสือพิมพ์ที่บ่าวเตรียมไว้ให้บ้างก็นั่งเล่นกับหลานๆ เป็นคุณก๋งผู้ใจดี พอแปดโมงเช้าก็จะนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับลูกหลาน ช่วงสายๆ ซักสิบโมงเช้าเจ้าสัวก็จะย้ายตัวเองไปอยู่ที่เรือนต้นไม้ด้านหลังเพื่อดูแลบอนไซและพวกไม้ดัดแคระที่ท่านปลูกมานานบางต้นนั้นแก่กว่าคุณเสนบุตรชายคนโตเสียอีก เป็นที่รู้กันว่าเรือนต้นไม้นี้หากไม่ได้รับอนุญาตหลานๆ เล็กๆ จะไม่ได้เข้ามาเด็ดขาดเพราะต้นไม้ทุกต้นล้วนราคาแพงอีกทั้งกระถางที่ใช้ปลูกบางกระถางก็เป็นเครื่องลายครามเก่าแก่ ท่านเจ้าสัวจะใช้เวลาอยู่ในเรือนต้นไม้ครั้งละนานๆ เวลาที่ได้ต้นใหม่ๆ มาท่านจะค่อยๆ บรรจงใช้ลวดดัดกิ่งให้เป็นไปในรูปทรงที่ต้องการ บางครั้งก็ไปแคะมอสส์ที่ขึ้นอยู่ตามอิฐหรือโอ่งดินเผาที่ขึ้นเขียวมาปูคล้ายสนามหญ้าในกระถาง

ทุกอย่างล้วนทำอย่างตั้งใจตัดแต่งทีละกิ่งอย่างพิถีพิถัน เหมือนการทำการค้าเจ้าสัวคิดและวิเคราะห์การตลาดอย่างละเอียดว่าควรนำเข้าและส่งออกสิ่งใดบ้าง การค้าของท่านจึงก้าวหน้ากว่าพ่อค้าคนอื่นๆ ท่านเจ้าสัวใช้เวลาในการดูแลต้นไม้จนเกือบเที่ยงหนูแสนก็พาคุณเล็กเดินเข้ามาโดยมีคุณพะยอมนำหน้ามาก่อน ท่านเจ้าสัววางกระถางชาฮกเกี้ยนใบจิ๋วลงบนโต๊ะเมื่อลิขิตเข้ามายกมือไหว้

“กระผมกราบท่านเจ้าสัวขอรับ”

“ไหว้พระเถอะคุณเล็ก ลมอะไรหอบมาหรือนี่ ปกติเห็นแต่เจ้าตัวดีนี่ไปหาทุกวัน” ท่านเจ้าสัวนั่งลงบนโต๊ะพลางกวักมือให้คุณเล็กมานั่งด้วยกัน หนูแสนเป็นคนเดินมารินชาให้กับผู้เป็นพ่อคุณเล็กเป็นคนฉวยแก้วชาใบเล็กนั้นยื่นให้ท่านเจ้าสัวและคุณพะยอมก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ คุณเล็ก

“ว่ายังไงล่ะพ่อ วันนี้ทำไมถึงมาหาคนแก่ได้ เห็นหนูแสนว่าคุณเล็กงานยุ่งหอบงานกลับมาทำทุกวัน เหนื่อยหน่อยนะวัยกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว”

“ก็เหนื่อยขอรับ แต่ก็ไม่ได้หนักอะไรมากยังพอรับไหว”

“งานราชการก็อย่างนี้แหละ งานมากแต่เบี้ยหวัดน้อย ยังดีที่คุณเล็กจบจากเมืองฝาหรั่ง เงินเดือนก็เลยมากกว่าพวกข้าราชการตัวเล็กๆ ตาสีตาสา” ท่านเจ้าสัวเป่าชาร้อนให้อุ่นลงก่อนจะดื่มเข้าไปอึกใหญ่ คุณพะยอมเลื่อนมะตูมเชื่อมให้ท่านเจ้าสัวกินคู่กับชา

“คือท่านเจ้าสัวขอรับ” คุณเล็กกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า ฝ่ามือชื้นเหงื่อด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะพูด เจ้าสัวเหลือบตามองแล้วตักมะตูมเชื่อมเข้าปากอย่างรอฟัง

“วันนี้ที่กระผมมาหาท่านเจ้าสัวเพราะกระผมมีเรื่องอยากจะเรียนปรึกษาน่ะขอรับ”

“อื้อ เอาสิ จะปรึกษาเรื่องอะไรกันล่ะ?”

“คือกระผม...” คุณเล็กหยุดรวบรวมความกล้าแล้วจึงสบตาท่านเจ้าสัว

“กระผมอยากจะมาขอคบหากับหนูแสนขอรับ” คำพูดที่เปล่งออกมาหนักแน่นไม่มีลังเล ท่านเจ้าสัววางส้อมที่ตักขนมลงจานจนเกิดเสียง มองลูกชายคนเล็กสลับกับบุตรชายพระยาข้างบ้านด้วยดวงตาที่เรียบนิ่ง

นิ่งจนหนูแสนใจเสีย

“พูดอะไร? คบหาอะไรกัน ทุกวันนี้เธอสองคนก็เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันอยู่เล้วนี่”

“กระผมไม่ได้หมายความเช่นนั้นขอรับ กระผมมาขอคบหาหนูแสนแบบคนรักขอรับ”

“ฟ้าผ่าตายกันพอดี!!” เจ้าสัวตบโต๊ะจนเกิดเสียงดังตวาดลั่นราวฟ้าผ่าจนหนูแสนและคุณพะยอมสะดุ้งจนตัวโยน หนูแสนตัวสั่นด้วยความกลัวด้วยรู้ว่าท่าทางและน้ำเสียงแบบนี้ก็คือคุณเตี่ยกำลังโกรธจัด คุณพะยอมรีบจับแขนผู้เป็นสามีไว้แล้วลูบเบา ๆ ให้ท่านใจเย็น

“ผู้ชายกับผู้ชายมันจะมารักกันได้ยังไงฉันไม่เห็นทาง”

“แต่กระผมกับหนูแสนเรารักกัน รักตั้งแต่กระผมจะเดินทางไปเรียนต่อแล้ว รักมาเป็นสิบปีไม่เคยเลิกรักได้เลยสักนิด อันที่จริงกระผมอยากจะมาขอหนูแสนไปเป็นคู่ชีวิตตั้งแต่ปีกลายแต่ด้วยเรื่องยุ่ง ๆ ต่าง ๆ ทำให้ต้องรอ จนตอนนี้ความรักของกระผมมันเต็มจนล้นหัวใจแล้ว กระผมไม่อยากรออีกต่อไปแล้วจึงได้ตกลงกันว่าจะมากราบเรียนให้ท่านเจ้าสัวทราบในวันนี้”

“มันไม่ถูกต้อง” ท่านเจ้าสัวผลักจานขนมออกห่างตัว หายใจเร็วอย่างคนสงบอารมณ์ คุณเล็กลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าท่านเจ้าสัว คุณเล็กทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเงยหน้าสบตา ในดวงตาที่เคยเรียบนิ่งบัดนี้ไหวราวระลอกคลื่นบนผัวน้ำยามต้องสายลม

ลิขิตกำลังอ้อนวอน หนูแสนเองก็มาคุกเข่าตรงหน้าผู้เป็นพ่อ ดวงตาอาบไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งกลัว ทั้งเสียใจที่ทำให้พ่อโกรธขึ้งบึ้งตึงถึงเพียงนี้

“รักเขาหรือเปล่า?” เอ่ยถามบุตรชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงที่เบาลง หนูแสนพยักหน้ารับ”

“รักขอรับ”

“จะทนคำคนนินทาได้รึ เจ้ารู้ใช่รึไม่หากมีใครรู้ว่าเจ้ารักกับผู้ชายด้วยกันก็ไม่พ้นคำติฉินท์”

“ลูกทราบขอรับคุณเตี่ย”

“แล้วได้บอกพ่อกับแม่ของคุณแล้วหรือยัง เขารับรู้แล้วหรือยัง?”

“ยังขอรับ กระผมอยากมาเรียนท่านเจ้าสัวก่อน กระผมขอความกรุณาให้เราสองคนได้รักได้อยู่ด้วยกันด้วยเถอะขอรับ กระผมรักหนูแสนด้วยใจจริงหากผิดจากหนูแสนกระผมก็คงไม่ออกเรือนไปกับใคร กระผมจึงขอความเมตตาจากท่านให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันด้วยเถอะขอรับ” คุณเล็กพูดจบก็ก้มลงกราบแทบเท้าของท่านเจ้าสัวทันที หนูแสนเมื่อเห็นดังนั้นก็ก้มลงกราบด้วยอีกคน เจ้าสัวเช็งถอนหายใจด้วยความหนักอก หันไปมองหน้าคุณพะยอมที่คอยลูบแขนให้ใจเย็น

“คุณเล็กรู้มั้ย บอนไซพวกนี้ฉันเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดู คอยดัด คอยตกแต่งไม่ให้มันโตเกินไป ต้นไม้พวกนี้หากปล่อยตามธรรมชาติมันก็จะเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดา ๆ ที่ไม่มีค่าอะไร แต่ฉันก็เฝ้าเพียรดูแลเอาใจใส่มันจนมันกลายเป็นต้นไม่มีราคา เปลี่ยนจากกระถางดินเผาให้เป็นกระเบื้องเคลือบ ก็เหมือนกับการเลี้ยงลูก ฉันเลี้ยงหนูแสนมาอย่างดี อบรม ให้การศึกษา ให้เงินทองใช้ไม่ได้ขาดมือ ถึงจะเป็นลูกเจ๊กแต่ก็มีคนนับหน้าถือตาให้ความเคารพ หากฉันยกลูกของฉันให้คุณแล้ว คุณรับปากกับฉันได้หรือไม่ว่าจะดูแลหนูแสนได้ดีเท่ากับที่ฉันเลี้ยงลูกมา แล้วฉันจะเชื่อได้อย่างไรว่าถ้ายกลูกให้คุณแล้ว คุณจะไม่ทำลูกฉันเสียใจเหมือนที่พี่ชายของคุณทำกับลูกสาวของฉัน”

“กระผมสัญญาขอรับ กระผมจะรักและซื่อสัตย์กับหนูแสนคนเดียว จะวางหนูแสนไว้ในหัวใจแค่เพียงคนเดียว ต่อให้ภายภาคหน้าเราจะแก่เฒ่าลงไปผมหงอกกลบผมขาวก็จะรักแค่เพียงหนูแสน จะไม่มีบ้านเล็กบ้านน้อยจะไม่มีวันมองหญิงอื่น จะรักและให้เกียรติ จะมอบเกียรติไม่ยอมให้ใครมาทำลายหนูแสนได้ กระผมขอสัญญาว่าจะทำให้หนูแสนเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก กระผมสัญญาด้วยชีวิต” ท่านเจ้าสัวนิ่งฟังคำที่คุณเล็กพูด ด้วยรู้นิสัยกันมาตั้งแต่ยังเล็กว่าคนอย่างคุณเล็กนั้นไม่ใช่คนพูดมาก หากแต่วันนี้คำสัญญายาวเหยียดหนักแน่นนั้นมีความจริงจังมั่นคงอยู่ในน้ำเสียงท่านจึงจำต้องตัดสินใจ

แม้ในใจนั้นจะไม่เห็นด้วยเลยสักนิดแต่เพราะก่อนท่านเจ้าคุณพิพิธจะสิ้นเจ้าสัวเช็งได้รับปากไว้แล้วว่าจะไม่ขวางหากลูกจะรักและแต่งงานกับใคร

แน่นอนว่าท่านเสียใจที่ลูกชายคนเล็กเลือกที่จะมีชีวิตคู่วิปริตผิดธรรมชาติแต่ลูกผู้ชายพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ

“ฉันก็ขอให้คุณเล็กจำคำมั่นสัญญาในวันนี้ที่ได้ให้กับฉันไว้ หากวันใดหนูแสนต้องเสียใจเพราะคุณหรือต้องเสียน้ำตาแม้เพียงครึ่งหยดฉันจะเอาลูกคืน”

“มันจะไม่มีวันนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอนขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้น...” ท่านเจ้าคุณหยุดเพื่อรวบรวมเสียงเพื่อจะเปล่งประโยคที่ยากลำบากนั้นออกมา

“ฉันก็ยกลูกให้คุณ” ทั้งคุณเล็กและหนูแสนก้มลงกราบท่านเจ้าสัวอีกครั้ง ทั้งคู่สบตากันด้วยความดีใจและโล่งใจ หนูแสนขยับเข้าไปซบหน้ากับหน้าตักของผู้เป็นพ่อ

“หนูแสนรักคุณเตี่ย” ท่านเจ้าสัวลูบศีรษะลูกแผ่วเบาอย่างถนอม

“เตี่ยก็รักเจ้า ในเมื่อเลือกทางนี้แล้ว เลือกชีวิตคู่ของตัวเองแล้วก็ต้องมีความสุขให้มากรู้ไหม? แล้วก็ไปเรียนเจ้าคุณกับคุณหญิงเสียให้เรียบร้อย ถ้าเจ้าคุณกับคุณหญิงไม่ยอมรับในความรักของคุณกับหนูแสน ฉันก็ขอลูกคืน ฉันคงให้ลูกไปอยู่กับครอบครัวที่ไม่รักไม่ยอมรับลูกของฉันไม่ได้อีกแล้ว ฉันไม่อยากให้หนูแสนต้องหวานอมขมกลืนเหมือนแม่สน ถ้าตกลงกันได้ เขายอมรับได้ก็ให้พ่อกับแม่คุณมาขอลูกของฉันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสีย”

“ขอรับ กระผมจะทำให้มันจบในวันนี้ ท่านเจ้าสัววางใจเถอะขอรับ กระผมจะไม่ให้หนูแสนต้องเจอเรื่องร้าย ๆ แบบคุณสนแน่นอน”

 
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๑๐๐%))๒๘ พ.ค. พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 29-05-2020 00:37:09
ยินดีด้วยนะคะหนูแสน​ คุณเล็ก​ เหลือแค่ที่บ้าาของคุณเล็ก​ เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๑๐๐%))๒๘ พ.ค. พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-05-2020 02:34:26
อะ อีกบ้านจะรอดมะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๑๐๐%))๒๘ พ.ค. พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-05-2020 12:31:24
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๑๐๐%))๒๘ พ.ค. พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 29-05-2020 13:10:40


สู้ๆๆๆ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ เลิฟๆๆ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๑๐๐%))๒๘ พ.ค. พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 30-05-2020 14:36:50
น่ารักกกกกกกกก
คุณเล็ก​ ผชอบอุ่น
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๗ ((๑๐๐%))๒๘ พ.ค. พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 02-06-2020 21:30:56

ตอนที่ ๑๘

๕๐%




     ลิขิตมองแม่ของตนเองที่นั่งตรงข้าม วันนี้คุณหญิงผกาหน้าตาดูสดชื่น อาหารเย็นบนโต๊ะมีอยู่สามสี่อย่างหนูแสนส่งน้ำพริกกะปิกับผักสดผักต้มสลักเสลาสวยงามจนแทบไม่กล้ากินมาให้เมื่อตอนสี่โมงเย็น คุณเล็กเป็นคนบอกให้หนูแสนกลับเรือนไป เขาจะเป็นคนพูดกับพ่อแม่ของตนเองหากผลลัพธ์ออกมาไม่ดี หากเจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผการับไม่ได้เกรี้ยวกราดขึ้นมาเขาก็พร้อมจะรับอารมณ์นั้นของบุพการีแต่เพียงผู้เดียว แม้หนูแสนจะยืนยันว่าตนเองต้องการที่จะอยู่เคียงข้างกับคนรักแต่คุณเล็กก็ยังยืนยันที่จะให้หนูแสนกลับไปก่อน


     “เชื่อคุณเล็กนะคะคนดี” ลิขิตลูบแก้มของหนูแสน รอยยิ้มใจดีเหมือนทุกครั้งถูกมอบให้คนรัก แม้จะไม่อยากปล่อยให้คุณเล็กต้องไปเผชิญปัญหาเพียงลำพังแต่หนูแสนก็รู้ดีว่าภายใต้ท่าทางใจเย็นใจดีของคุณเล็กนั้น หากคุณเล็กพูดว่าไม่มันก็จะคือไม่โดยไม่มีข้อโต้แย้ง

ท่านเจ้าคุณสรอรรถยังคงเป็นพ่อที่คอยถามไถ่ทั้งเรื่องการงานและชีวิตประจำวันอยู่เช่นเดิม ระหว่างรับประทานของหวานล้างปากท่านไตร่ถามบุตรชายถึงเรื่องงานที่กระทรวงที่ค่อนข้างยุ่งจนต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านจนดึกดื่น ลิขิตเองไม่ใช่คนเกียจคร้านหนักไม่เอาเบาไม่สู้ เขาชอบความท้าทาย ยิ่งคดีที่ทำยากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกสนุก ตั้งแต่ทำงานมาเขาได้รับผิดชอบตั้งแต่คดีๆ เล็ก ๆ เช่นการลักเล็กขโมยน้อย จนถึงคดีใหญ่ที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้คือคดีฉ้อโกง จำเลยเป็นข้าราชการเก่าแก่ที่เจ้าคุณสรอรรถนั้นรู้จักดี

     “เล็กต้องระวังให้มาก ระวังคำนินทาว่าจะเอื้อประโยชน์ให้จำเลย ขอให้เล็กทำงานด้วยความรอบคอบ ในเมื่อเขาทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด อย่าเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทพ่อแล้วจะเว้นให้กันได้ ยิ่งสนิทก็ต้องยิ่งรัดกุมหากพลาดพลั้งเผอเรอ คนที่ต้องเดือดร้อนก็คือตัวเจ้าเองเข้าใจไหม?”

     “ขอรับเจ้าคุณพ่อ” ลิขิตตอบรับอย่างหนักแน่น ชายหนุ่มลอบมองอากัปกิริยาของพ่อแม่ เมื่อเห็นว่าทั้งท่านเจ้าคุณและคุณหญิงผกาดูอารมณ์ดีและเขาเองก็รู้สึกว่ามันสมควรแก่เวลา รอจนบ่าวไพร่มาเก็บสำรับเรียบร้อยชายหนุ่มคิดว่าเวลานี้แหละเหมาะที่จะบอกเรื่องของตนกับหนูแสนเสียที

     “เจ้าคุณพ่อ คุณแม่ขอรับ ลูกมีเรื่องจะเรียนปรึกษา”

     “เรื่องอะไรรึ สำคัญหรือเปล่า?” ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามบุตรชายคนเล็กด้วยความใส่ใจ

     “สำคัญขอรับ”

    “ตาเล็ก มีอะไรหรือลูก?” คุณหญิงผกาเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของลูก ในใจนั้นนึกหวั่นว่าอาจจะเป็นเรื่องร้าย

     “หรือจะโดนย้ายไปประจำหัวเมือง?”

     “ไม่ใช่ค่ะแม่” ลิขิตรีบปฏิเสธก่อนที่ผู้เป็นแม่จะคิดเลยเถิดไปไกล ด้วยรู้ว่าแม่นั้นกลัวว่าเขาต้องโดนย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัดเป็นนักหนา

     “มีอะไรก็ว่ามาเถอะก่อนที่แม่แกจะหัวใจวายตาย” เจ้าคุณสรอรรถบอกกับลูกชาย ลิขิตสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยคำที่อยู่ในใจมาเนิ่นนาน

     “ลูกมีคนรักขอรับ เลยอยากจะกราบเรียนเจ้าคุณพ่อกับแม่”

     “ตายจริง ลูกสาวบ้านไหน ทำไมไม่เคยบอกพ่อกับแม่ให้รู้เลย” คุณหญิงผกาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ด้วยบุตรชายคนเล็กนั้นตั้งแต่กลับจากฝรั่งเศสก็ไม่เคยจะพาผู้หญิงคนใดเข้ามาแนะนำตัวเลยสักคน ไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีสนใจผู้หญิงคนไหน วัน ๆ ทำแต่งาน เช้าออกจากบ้านก็ตรงเข้าที่ทำงาน เย็นก็กลับบ้าน วนเวียนอยู่แค่นี้ การที่บุตรชายเข้ามาบอกว่าตนเองมีคนรักแล้วออกจะเป็นที่น่าประหลาดใจไปสักหน่อย

     “นั่นสิ ลูกสาวพระน้ำพระยาบ้านไหนหากรักใคร่ชอบพอกันจริงพ่อจะได้ส่งเถ้าแก่ไปทาบทามสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วไปรักไปชอบกันตอนไหนทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยระแคะระคายเลย”

     “รักกันมานานแล้วขอรับ รักใคร่ชอบพอกันตั้งแต่ก่อนไปฝรั่งเศส”

     “ไฮ้ ตาเล็ก ถ้านานขนาดนั้นทำไมไม่บอกพ่อกับแม่ แม่ไม่เห็นว่าเล็กจะมีท่าทีกับใคร วัน ๆ ก็ตะลอน ๆ ไปกับหนูแสน หรือว่าไปเจอผู้หญิงคนนั้นตอนออกเที่ยวกับหนูแสน?” คุณหญิงผกามีสีหน้าครุ่นคิดว่าลูกชายนั้นจะไปรักชอบลูกสาวบ้านใดได้ ถ้าเป็นผู้หญิงแถวนี้ส่วนมากก็จะมีแต่ลูกชาวไร่ชาวสวนม้าค้าร้านตลาด หาลูกสาวข้าราชการหรือคหบดีที่อายุไล่เลี่ยกันนั้นยากนัก ส่วนมากหากไม่แก่กว่าก็จะเป็นเด็กเล็ก

     “ลูกจะเรียนเจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ว่า คนที่ลูกรักชอบมานับสิบปีนั้นคือหนูแสน” คุณเล็กไม่ปล่อยให้ผู้เป็นมารดาต้องเดานาน ในเมื่อตัดสินใจจะบอกแล้วเขาก็บอกออกไปตรงๆ ซึ่งคำตอบนั้นเป็นผลให้คุณหญิงผกาหน้าซีดลมจับไปทันที

     “คุณแม่ คุณแม่ขอรับ” ลิขิตรีบเดินไปคุกเข่าบีบนวดผู้เป็นมารดาโดยมีบ่าวเอายาลมอังที่จมูกให้ เจ้าคุณสรอรรถนิ่งเงียบไม่พูดอะไรจนลิขิตรู้สึกใจเสีย

     “เจ้าคุณพ่อขอรับ...”

     “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พาแม่เจ้าเข้าไปพักในห้องเถอะ” เจ้าคุณสรอรรถบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนคุณเล็กเดาทางไม่ออกว่าผู้เป็นพ่อนั้นรู้สึกอย่างไร
แต่วูบแรงที่เขาสบตาผู้เป็นพ่อ เจ้าคุณสรอรรถผิดหวัง...
 


     หลังจากคุณเล็กอุ้มคุณหญิงผกาเข้ามานอนในห้องไม่นานคุณหญิงก็ได้สติ ทันทีที่เห็นหน้าลูกชายนางก็หันหนีทันทีด้วยความเสียใจ

     “ลูกหนอลูก ผู้หญิงดีๆ มีทั่วพระนคร จะเอาลูกพระน้ำพระยาบ้านไหนเจ้าคุณพ่อก็ขอให้ได้ดันจะคว้าเอาผู้ชายด้วยกันมาเป็นคู่มันถูกต้องเสียที่ไหน” คุณหญิงผกาตัดพ้อด้วยความเสียใจ

     “แต่ลูกกับหนูแสนรักกันด้วยใจจริง รักกันมานานเป็นสิบปี ลูกจึงอยากจะขอความกรุณาให้เจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ เห็นแก่ความรักที่ซื่อตรงของเราทั้งคู่ อนุญาตให้เราได้อยู่ด้วยกันด้วยเถอะขอรับ ลูกรอหนูแสนมานานมากแล้ว ไม่อยากจะต้องแยกจากกันทุกวันอีกต่อไปแล้ว”

     “รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่นเลยนะตาเล็ก” เป็นเจ้าคุณสรอรรถที่พูดออกมาหลังจากเงียบไปนาน

     “นั่นสิลูก จะหาผู้หญิงดีๆ สักกี่คนพ่อกับแม่ก็หาให้ได้ ขอแค่เล็กบอกมาว่าอยากได้แบบไหน ลูกสาวเศรษฐี ลูกสาวขุนนาง จะเอานางในวังแม่ก็จะไปทูลขอเสด็จให้ได้ จะเอาเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้งานบ้านงานครัวไม่บกพร่องหรือจะเอาแบบฐานะร่ำรวยเสมอเราแม่ก็หาให้ได้”

     “แล้วหนูแสนต่างจากผู้หญิงที่คุณแม่ยกมาให้ลูกฟังตรงไหนคะ ตาของเขาก็เป็นเจ้าพระยาบรรดาศักดิ์ใหญ่กว่าเจ้าคุณพ่อเสียอีก การศึกษาก็สูงกว่าคนทั่วไป งานบ้านงานเรือนไม่มีบกพร่อง ใจเย็นมีน้ำอดน้ำทน ที่สำคัญหนูแสนรักและเคารพเจ้าคุณพ่อและคุณแม่ด้วยใจจริง ยังเผื่อแผ่ไปถึงคุณน้าเรือนเล็กทั้งสองอีกทั้งบ่าวไพร่ก็ไม่เคยถือยศถืออย่าง ฐานะทางครอบครัวถ้าจะให้นับจริงๆ เขาร่ำรวยกว่าเรามากโขไม่มีอะไรน้อยหน้าเลยสักนิดนะคะ ที่ผ่านมาหนูแสนดีกับพวกเรามาตลอดคุณแม่ก็ทราบ คุณแม่ไม่รักไม่เอ็นดูหนูแสนบ้างเลยหรือคะ?”

     “ไม่ใช่ว่าแม่รังคัดรังแคอะไรหนูแสนหรอกตาเล็ก หนูแสนดีทุกอย่างเสียแต่ว่าเป็นผู้ชาย หากเป็นผู้หญิงแล้วเล็กมาเอ่ยปากให้ยกขันหมากไปขอแม่ก็จะไม่ขัดเลย แต่นี่...” คุณหญิงผกาถอนหายใจแรง
เสียดายเหลือเกินหากหนูแสนเป็นผู้หญิงนางจะไม่ขัด ด้วยเห็นมาตั้งแต่คลอด แต่นี่ แค่คิดคุณหญิงก็หนักใจคล้ายมีภูเขาไกรลาสมาถ่วงอยู่ในอก

     “ลูกขอความเมตตาจากเจ้าคุณพ่อและคุณแม่โปรดเห็นใจความรักของลูกกับหนูแสนด้วยเถอะนะขอรับ ถ้าไม่มีหนูแสนชีวิตของลูกก็อยู่ไปวัน ๆ ไม่มีจุดหมายอะไรเหลืออยู่เลย”

     “เขาสำคัญขนาดนั้นเลยรึตาเล็ก สำคัญขนาดยอมเสื่อมเสียชื่อเสียงเกียตริยศของวงศ์ตระกูลเพื่อลูกเจ๊กลูกจีนแค่คนเดียวอย่างนั้นหรือ?” ท่านเจ้าคุณถามลูกชายด้วยสายตาและน้ำเสียงคล้ายคนอ่อนแรง

     “สำคัญขอรับ หนูแสนเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกตั้งใจเรียนไม่เถลไถลไปไหน หนูแสนทำให้ลูกอยากมีหน้าที่การงานที่มั่นคงเพื่อเป็นหลักให้กับทุกคนได้ ยอมหิวข้าวปลาไม่เคยขาด เหนื่อยจากงานกลับมาก็มีแค่เขาที่มาคอยปรนนิบัติพูดคุยให้คลายเหนื่อย ลูกไม่รู้ว่าชีวิตนี้ถ้าไม่มีหนูแสนลูกจะยังเป็นผู้เป็นคนที่ดีแบบนี้อยู่ได้มั้ย หากเจ้าคุณพ่อกับคุณแม่กลัวจะถูกครหา ลูกสองคนยินดีจะอยู่กันอย่างเงียบๆ ปิดบังไม่ให้ใครทราบ จะให้มีเพียงเราสองบ้านที่รู้”

     “แล้วถ้าแม่ไม่อนุญาตล่ะตาเล็ก” คุณหญิงผกาจ้องหน้าลูกชายอย่างคาดคั้นคำตอบ ลิขิตถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก
เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องของเขากับหนูแสนนั้นมันไม่ง่าย เพราะเจ้าคุณสรอรรถผู้เป็นพ่อนั้นรักชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมากกว่าสิ่งใด ส่วนผู้เป็นแม่นั้นก็หัวแข็งเสียเหลือเกิน เขาไม่อยากต้องใช้ไม้แข็งหรือยาแรงกับพ่อแม่ แต่หากจะต้องทำ เขาก็จะทำ

     “อย่างเบาก็คงขอย้ายตัวเองไปอยู่ตามหัวเมืองเพราะลูกคงทนเห็นหน้าหนูแสนแล้วไม่คิดถึงไม่เสียใจไม่ได้ หรือถ้าไปไม่ได้ลูกก็ขอบวชไม่ขอสึกตลอดชีวิต”

     “โธ่ลูก...ทำไมใจร้ายกับแม่อย่างนี้” คุณหญิงผกาที่ทำคอแข็งมาตั้งแต่ฟื้นร้องไห้ออกมาอย่างทุกข์ตรมใจ

     “ใจคอเล็กจะทิ้งแม่ไปอีกคนเหรอ ไม่รักไม่สงสารแม่เลยสักนิดรึ แม่เฝ้าเลี้ยงดูเล็กมาบั้นปลายชีวิตก็อยากให้เล็กอยู่ใกล้ ๆ กับแม่ แต่นี่เพื่อลูกเรือนนู้นเล็กถึงกับออกปากจะทิ้งแม่ไป ลูกหนอลูกแม่เสียใจนัก ลูกไม่รักแม่เลย” คุณหญิงผการ้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนช้ำในอก ลิขิตรีบเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ไว้

     “รักสิคะ เล็กรักคุณแม่ เล็กจึงเข้ามากราบเรียนคุณแม่ อนุญาตให้เล็กกับหนูแสนได้อยู่ด้วยกันเถอะนะคะ ผิดจากหนูแสนแล้วเล็กรักใครไม่ได้อีกแล้วจริง ๆ

     “กลับเรือแพไปก่อนเถอะตาเล็ก ขอพ่อกับแม่ได้ปรึกษากันสักหน่อยเถอะ” ท่านเจ้าคุณสรอรรถตัดบทให้ลูกชายกลับเรือนของตนเองเสีย ลิขิตรู้นิสัยของพ่อดี เขาไม่ดึงดันที่จะเซ้าซี้ต่อ ชายหนุ่มถอยออกมาแล้วหับประตูปิดให้เรียบร้อยมุ่งหน้ากลับเรือนแพของตน
เงาร่างที่เดินไปเดินมาอย่างคนร้อนใจที่เรือนแพทำเอาคนที่เดินคิดหนักมาจากเรือนใหญ่ยิ้มได้ ทันทีที่หนูแสนเห็นคุณเล็กเดินลงมาบนแพหนูแสนก็เอ่ยถามทันที

     “เป็นอย่างไรบ้างคะ คุณลุงกับคุณป้าว่าอย่างไรบ้างคะ?”

     “ท่านขอเวลาปรึกษากันค่ะ”

     “แล้วถ้าท่านไม่อนุญาตล่ะคะ” หนูแสนถามออกมาอย่างเป็นกังวล

     “ถ้าเจ้าคุณพ่อกับคุณแม่รักลูกจริงท่านจะเข้าใจในความรักของเรา ท่านจะยอมเหมือนที่คุณเตี่ยกับคุณแม่ของหนูแสนยอม” ลิขิตตอบ เมื่อได้คำตอบนั้นมันไม่ได้ทำให้หนูแสนสบายใจเลยสักนิด ความกังวลนั้นฉายชัดบนใบหน้า คุณเล็กส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วจึงดึงร่างน้องเข้ามากอด

     “อย่าได้กังวลไปเลยหนูแสน คุณเล็กเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี เชื่อคุณเล็กนะคะ แค่ตอนนี้เราต้องให้เวลาท่านได้คิดทบทวน คุณเล็กเชื่อนะคะว่าสุดท้ายความดีของหนูแสนที่ผ่านมาจะทำให้ท่านตัดสินใจได้ว่าจะให้คุณเล็กกับหนูแสนลงเอยกันได้ด้วยดีหรือจะแยกเราออกจากกัน และสุดท้าย ท่านจะยอม” คุณเล็กพูดอย่างมั่นใจ หนูแสนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง กระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นขึ้นซบหน้ากับอกแกร่งอย่างหวังพึ่งพาคุณเล็กให้พาตนข้ามผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างราบรื่นที่สุด

     “แล้วนี่ทำไมมามืด ๆ ได้คะ?” คุณเล็กเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้หนูแสนเครียดไปกว่านี้ เจ้าตัวน้อยถูแก้มกับอกของคุณเล็กไม่ยอมผละออกตามแรงดันเบาๆ ของคุณเล็ก

หนูแสนกำลังอ้อน

อ้อนแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

หากแต่คุณเล็กกลับนึกขำ

ก็คงจะกังวลใจนั่นแหละเลยไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าตอนนี้

     “ขอแม่มาค่ะ บอกว่าจะมาเดี๋ยวเดียว”

     “ถ้าอย่างนั้นกลับเถอะค่ะเดี๋ยวคุณเล็กเดินไปส่ง”

     “ไล่เหรอคะ?” หนูแสนแกล้งถาม

     “จริงๆ อยากให้อยู่ด้วยกันทั้งคืน แต่ขอทำคะแนนกับว่าที่พ่อตาก่อน ประเดี๋ยวเจ้าสัวเปลี่ยนใจไม่ยกลูกชายให้คุณเล็กคงได้ขาดใจตาย”

     “ไปเอาคำพูดแบบนี้มาจากไหนคะ ฟังแล้วขนลุก” หนูแสนหัวเราะขำกับคำเชย ๆ ที่คุณเล็กพูดออกมาแล้วจึงขยับกายออกห่างอีกนิด คุณเล็กจับมือน้องขึ้นมาจุมพิตลงไปอย่างอ่อนโยน มองตากัน ยิ้มให้กับ ในดวงตานั้นฉายชัดถึงความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน คุณเล็กเอื้อมมือไปหยิบตะเกียงที่แขวนไว้มุมเสาแล้วจูงน้องพาเดินไปส่งถึงตึกใหญ่

     “ฝันดีนะคะ” จูบลงบนหน้าผากของคนน้องแล้วจึงล่ำลากัน หนูแสนจำต้องหันหลังกลับเข้าเรือนของตัวเองโดยมียายแช่มที่รอท่าอยู่คอยผิดประตูให้ ส่วนคุณเล็กก็เดินกลับเรือนแพ

เขาก็แค่ต้องอดทนรอเวลา เขาจะให้เวลาพ่อและแม่ได้ทบทวนความเหมาะสมของหนูแสน หากแม้ว่าเจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผกาไม่ยินยอม เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะลาออกจากราชการแล้วแต่งเข้าบ้านหนูแสน ไปช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับเจ้าสัวเช็งไปทำงานในส่วนที่หนูแสนจะต้องทำ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว อย่างไรเสียเขาก็คิดว่าพ่อและแม่จะใจอ่อนเข้าสักวัน


........................
พาหนีก็สิ้นเรื่อง

ปั๊ดโถ๊ะ!!

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๕๐%))๒ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 02-06-2020 22:17:10


55555. ฮาหนูแสน..

..อ้อนเป็นด้วย

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๕๐%))๒ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 02-06-2020 22:36:08
หนีไปค่ะ​ 555
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๕๐%))๒ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 02-06-2020 23:13:24
555555พากันหนีอย่างที่ไรท์ว่าเลยจ้า้าา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๕๐%))๒ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-06-2020 22:26:23
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๕๐%))๒ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-06-2020 19:43:22
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๕๐%))๒ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 05-06-2020 21:03:16


ตอนที่ ๑๘

๑๐๐%






คุณพะยอมกลับเข้ามาในห้องนอนหลังจากเห็นว่าลูกคนเล็กกลับมาถึงเรือนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าสัวเช็งนั่งมองบรรยากาศรอบๆ บ้านด้วยท่าทางที่เงียบสงบ เมื่อเห็นภรรยาเข้ามาในห้องจึงได้เคลื่อนกายมานั่งลงบนเตียง คุณพะยอมส่งยิ้มให้กับผู้เป็นสามีอย่างคนที่เข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นพ่อ หล่อนหย่อนกายนั่งลงเคียงข้างสามี มือเรียวที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาตบลงเบาๆ บนหลังมือของเจ้าสัวเช็งอย่างปลอบประโลม
“ไม่เป็นไรนะคะเจ้าสัว”
“บอกตามตรงว่าฉันก็เสียใจอยู่ลึก ๆ”
“ถ้าเสียใจทำไมไม่ห้ามล่ะเจ้าคะ เจ้าสัวก็รู้ว่าหากออกปากห้าม คนหัวอ่อนอย่างหนูแสนอย่างไรก็ต้องยอมฟังพ่อแม่” คุณพะยอมแกล้งพูดเพื่อลองใจสามี ท่านเจ้าสัวถอนหายใจออกมาหนักหน่วง
“จะไปห้ามอย่างไรเล่าแม่พะยอม” ท่านหยุดนิ่งราวกับจะตกผลึกความคิดของตัวเอง
“เพราะเจ้าคุณพ่อขอไว้ใช่รึไม่เจ้าคะ?”
“เปล่า เรื่องนั้นไม่เกี่ยวหรอก”
“อ้าว แล้วทำไมถึงยอมให้เด็กสองคนเขาคบกันล่ะเจ้าคะ?”
“ความสุขของลูก ฉันจะไปกล้าขวางได้อย่างไร” คุณพะยอมยิ้มให้กับคำตอบของสามี
“ใช่เจ้าค่ะ ความสุขของลูก เขาโตแล้ว เขาควรได้เลือกคู่ครองด้วยตัวเองเหมือนพี่ ๆ ของเขา อิฉันขอบคุณเจ้าสัวนะคะ ที่ให้โอกาสลูกได้เลือกด้วยตัวเอง”
“เพราะฉันรู้ดีอย่างไรล่ะว่าคู่ครองถ้าได้เลือกคนที่เรารักมันมีความสุขแค่ไหน เหมือนที่ฉันเลือกแม่พะยอมมาเป็นเมีย อยู่กันมาจนลูกมีเหย้ามีเรือนแม่พะยอมก็ยังเป็นความสบายใจของฉันเสมอ”
“ก็อิฉันเป็นเมียท่านเจ้าสัวนี่คะ ถ้าคนเย็นบ้านก็เย็น งานนอกบ้านเจ้าสัวก็ทำมาอย่างหนักแล้ว กลับถึงบ้านก็อยากให้ได้อยู่อย่างสบายอกสบายใจ อิฉันดีใจที่เจ้าสัวเข้าใจลูกมองความสุขของลูกเป็นเรื่องหลัก ตั้งแต่เกิดมาหนูแสนไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียอะไรเลย ทำตัวดีอยู่ในกรอบที่เราวางไว้ให้ตลอด หากจะต้องมาเสื่อมเสียก็เพราะความรักอิฉันไม่สนใจหรอกกับคำคน ขอแค่ลูกมีความสุขกับสิ่งที่เลือกก็พอ ห่วงแต่คนเรือนนู้นจะไม่เข้าใจก็เท่านั้น”
“ถ้าเขาไม่ยอมรับลูกเรา ฉันก็จะปลูกเรือนหลังใหม่เอาใหญ่ใหญ่เทียมหน้าเทียมตาแล้วแต่งคุณเล็กเข้าบ้านเสียเลย จะตัดแม่ตัดลูกกันก็ตามใจลูกเขยคนเดียวฉันก็เลี้ยงไหว”
“แต่อิฉันกลับคิดว่าคุณหญิงผกาแกผ่านเรื่องราวในชีวิตเกี่ยวกับลูก ๆ มาเยอะ แกน่าจะคิดอะไรได้บ้างแล้ว” คุณพะยอมกล่าวอย่างคนที่รู้นิสัยกันดี
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น อย่าให้ถึงกับต้องหักกันเลย”


“มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของอิฉันหรือเจ้าคะคุณพี่ ชาติที่แล้วอิฉันไปทำกรรมอะไรไว้กับคนเรือนนู้น ลูกชายคนโตก็ตายเพราะลูกสาวเขา ลูกชายคนเล็กก็ไปหลงรักลูกชายคนเล็กของเขาอีก”
“หล่อนอย่าไปคิดอย่างนั้นสิคุณหญิง หนูแสนเองก็ดีกับหล่อนมาตั้งมากที่เดินเหินหายป่วยก็เพราะเขาหาหมอมารักษาดูแลปรนนิบัติหล่อนอย่างดี ความดีของเด็กคนนี้ก็มีมาก” เจ้าคุณสรอรรถเอ่ยขัดผู้เป็นภรรยา
“อันที่จริงอิฉันก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์อะไรหนูแสนหรอกเจ้าค่ะ เด็กคนนั้นน่ะดีกิริยามารยาทฐานะชาติตระกูลก็ไม่ด้อยไปกว่าใครเหมือนที่ตาเล็กว่าจริงๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ” คุณหญิงผกาเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันยอมนะ ถ้ามันเป็นความสุขของลูกฉันยอม ศักดิ์ศรีมันก็แค่เรื่องสมมติแต่ความสุขของลูกเราเห็นได้จริง ๆ” ในที่สุดเจ้าคุณสรอรรถก็เอ่ยออกมาหลังจากนั่งเงียบกันไปสักพัก
“แต่ในฐานะที่หล่อนเป็นแม่ ฉันก็จะให้หล่อนเป็นคนตัดสินใจ หากหล่อนว่าไม่ ฉันก็ไม่ หลังจากนี้ลูกก็คงจะต้องจากหล่อนไปอยู่หัวเมืองตามที่ลูกบอก หล่อนก็รู้ว่าตาเล็กเป็นคนยังไง ภายนอกดูสุภาพอ่อนโยนแต่จริงๆ เป็นคนพูดคำไหนคำนั้นเหมือนเจ้าคุณพ่อของฉัน” เจ้าคุณสรอรรถกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัวเตรียมออกจากห้อง คุณหญิงผกาที่กำลังทุกข์ตรมเอ่ยปากทักเมื่อเห็นผู้เป็นสามีเตรียมจากไป
“ไม่ค้างเสียที่นี่ล่ะเจ้าคะคุณพี่ ดึกแล้ว”
“ฉันไปนอนเรือนแม่มณีดีกว่า สบายใจกว่าเขาช่างปรนนิบัติพัดวี พูดจาฟังรื่นหูไม่เหมือนคุณหญิง เถียงฉันได้ทุกเรื่อง นอนกับคุณหญิงเดี๋ยวก็ได้ถกกันไม่รู้จักจบ คิดเห็นประการใดพรุ่งนี้ก็ให้คำตอบลูกมันก็แล้วกัน” ท่านเจ้าคุณผลักประตูก้าวออกไปอย่างไม่ลังเล ทิ้งให้คุณหญิงผกาโดดเดี่ยวอยู่เพียงคนเดียว คุณหญิงผกาพยายามจะกลั้นก้อนสะอื้นแห่งความเสียใจลงไป
เพราะไม่ได้แต่งกันด้วยความรักหากแต่แต่งกันเพื่อความเหมาะสม ดังนั้นท่านเจ้าคุณจึงไม่วางใจวางเรื่องราวในชีวิตไม่ได้วางทุกข์สุขให้กับคุณหญิงผกา ดังนั้นหล่อนจึงต้องอยู่เพียงลำพังบนเรือนกว้างและตำแหน่งคุณหญิง ส่วนความรักความสบายใจความเมตตาของท่านเจ้าคุณนั้นเอาไปแบ่งให้เมียน้อยทั้งสองคนนั่นต่างหาก
อยู่กับคนที่ไม่รักมันก็เจ็บแบบนี้...

ลิขิตตื่นนอนตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น เสียงไก่ขันรับกันเป็นทอด ๆ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากที่นอน พับผ้าแพรเพลาะแล้ววางไว้อย่างเรียบร้อย จัดการธุระส่วนตัวแล้วก็นั่งอ่านสำนวนคดีที่ทำค้างไว้ เสียงจิ้งหรีดดังระงม ลมเย็นโชยพัดจนกิ่งไผ่ลู่น้อยๆ ส่งเสียงลั่นเอียดอาด ผิวน้ำเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ เรือของชาวบ้านเริ่มมีให้เห็น บ้างก็เป็นเรือที่พายบรรทุกสินค้าพวกพืชผักและเนื้อสัตว์ บ้างก็เป็นข้าวแกง บ้างก็เป็นเรือหาปลาของชาวบ้านแถวนี้ อีกไม่นานพอมีแสงสว่างก็จะมีเรือจากทางวัดพายพาพระสงฆ์มาบิณฑบาต กลิ่นควันลอยตามลมมาแสดงว่าเรือนครัวของหนูแสนกำลังเริ่มประกอบอาหารมื้อเช้า เจ้าตัวน้อยของเขาก็คงกำลังสาละวนช่วยคุณพะยอมและยายแช่มตระเตรียมอาหารสำหรับตักบาตรและให้กับสมาชิกในครอบครัวซึ่งรวมถึงครอบครัวของเขาและแยกใส่ปิ่นโตมาให้กับเขาด้วยเพื่อเอาไว้ไปกินตอนกลางวัน หลายครั้งที่ลิขิตถูกเพื่อนร่วมงานพูดเย้าเรื่องที่หิ้วปิ่นโตราวเด็ก ๆ แต่เขาก็ไม่สนใจ อาหารทุกมื้อที่เขากินมาจากรสมือของหนูแสน ทั้งอร่อยทั้งกลมกล่อมและมีปริมาณพอดีให้เขาอิ่มได้จนถึงมื้อเย็น บางครั้งก็มีขนมอันเล็กๆ เอาไว้ให้กินล้างปาก ราว ๆ หกนาฬิกา ลิขิตก็วางงานในมือลงแล้วเดินตรงไปยังท่าน้ำบ้านของหนูแสน อากาศยามเช้าของปลายเดือนมกราคมยังคงหนาวเหน็บ หมอกลอยพลิ้วอยู่บนผิวน้ำ บางจังหวะก็มีปลากระโดดขึ้นมาฮุบแมลงที่บินอยู่เหนือผิวน้ำ หนูแสนกำลังประคองถาดใส่อาหารที่จะตักบาตรมุ่งหน้าตรงมาเช่นกัน คุณเล็กก้าวเข้าไปหาก่อนจะรับถาดนั้นมาถือเสียเอง
“อากาศเย็นแบบนี้ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาๆ คะ?” คุณเล็กเอ่ยถามเมื่อเห็นหนูแสนใส่เพียงกางเกงแพรและเสื้อคอป่านสีขาวเหมือนเช่นทุกวัน
“อยู่ในครัวอุ่นจนร้อนค่ะ ใส่บาตรเดี๋ยวเดียวก็เสร็จไม่ทันป่วยหรอกค่ะ” หนูแสนตอบด้วยน้ำเสียงเอาใจด้วยกลัวว่าจะถูกคุณเล็กเอ็ดเอามากกว่านี้
“คราวหลังมีผ้าคลุมไหล่ติดมาสักผืนก็ดีนะคะ ให้คออุ่น ๆ เข้าไว้จะได้ไม่ป่วย” หนูแสนหลุดขำกับความเอาจริงเอาจังของคุณเล็ก
“ทราบแล้วค่ะ พรุ่งนี้จะคลุมผ้านวมมาเลย ดีไหมคะ”
“ดีค่ะ” ในเมื่อน้องแกล้งพูดมาคุณเล็กก็แกล้งตอบกลับจ้องตากันเพียงครู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้วที่คุณเล็กจะมาใส่บาตรพร้อมหนูแสนก่อนจะกลับเรือนแพไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปทำงานแล้วแวะไปกินข้าวกับแม่ที่เรือนใหญ่ คุณเล็กเอาผ้าที่คลุมไหล่ของตัวเองมาคลุมให้หนูแสนแทน รอเพียงไม่นานเรือของพระก็มาเทียบท่า ทั้งสองช่วยกันใส่บาตรจนเสร็จ รอจนพระมากันครบทุกวัดก็ไปกรวดน้ำเสร็จแล้วจึงเก็บของเตรียมเข้าบ้าน เป็นวิถีชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายแต่เป็นการเติมพลังให้กับคุณเล็กก่อนไปทำงาน ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำแต่ก็ทำให้อารมณ์ดีไปทั้งวัน หลังจากแยกย้ายกับหนูแสนเรียบร้อยแล้วคุณเล็กก็กลับมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปทำงานโดยมีนายพันบ่าวคนสนิทเป็นคนตระเตรียมเสื้อผ้าข้าวของให้
“พัน เจ้าคุณพ่อนอนเรือนไหน?”
“เรือนคุณมณีขอรับ”
“ก็คงรับข้าวเช้าที่นั่นเลย” คุณเล็กรับหมวกที่นายพันยื่นให้แล้วจึงมุ่งตรงไปที่เรือนใหญ่ ด้านบนคุณหญิงผกากำลังสั่งบ่าวไพร่ให้ตั้งสำรับ อาหารเช้าง่ายๆ ของคุณหญิงเป็นข้าวต้มกุ๊ยกินกับเครื่องเคียงต่างๆ ส่วนของคุณเล็กมีกาแฟ น้ำส้ม และ Breakfast แบบฝรั่ง
“มาแล้วเหรอลูก” คุณหญิงผกาเอ่ยทักลูกชายที่หยุดยืนสวัสดีผู้เป็นแม่
“วันนี้แม่ให้บ่าวทำอาหารฝาหรั่งแบบที่ลูกบอกว่าอยากกิน”
“เล็กขอบคุณแม่ค่ะ” คุณเล็กเลื่อนเก้าอี้ให้คุณหญิงผกานั่งก่อนจึงขยับไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง สองแม่ลูกกินอาหารของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ลิขิตไม่กล้าที่จะพูดคุยกับแม่ด้วยกลัวว่าจะเป็นการกวนน้ำให้ขุ่นเสียเปล่าๆ ชายหนุ่มคอยตักอาหารให้แม่เป็นระยะ ๆ ใช้เวลาไม่นานก็จบมื้อเช้า เป็นอันว่าได้เวลาออกไปทำงาน ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูดกันเขาจึงกราบลาแม่เพื่อออกไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน หากแต่ก่อนจะลงเรือนไปเขาก็ได้ยินผู้เป็นแม่พูดตามหลัง




“วันหยุดนี้แม่จะไปขอหนูแสนให้เตรียมตัวไว้ล่ะ”



........................

ความสุขของลูกย่อมมาก่อนเหตุผลข้ออื่น ๆ เสมอ

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เราอ่านทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ

เราจะลงอีกตอนและจะทิ้งช่วงยาวจนกว่าจะออกเล่มเสร็จนะคะ

รักทุกคนเลย

ติดแท็กให้โลกรู้ว่ามีนิยายเรื่อง #แสนคำนึง ที่มันน่าอ่าน 55555555555
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-06-2020 21:09:23
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 05-06-2020 21:45:13
โอ้ยยยย มาน้อยเกิ๊นนนน ยังไม่ทันหายคิดถึงเลย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 05-06-2020 21:55:03
โอ้ยยยยยดีใจเหมือนคุณเล็กจะมาขอตัวเอง

ลุ้นนนอยากอ่านตอนหน้าาาา
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 05-06-2020 22:03:01
 :hao7: :กอด1:  555
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 05-06-2020 22:12:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-06-2020 23:32:24
ดีใจแทนนะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 06-06-2020 06:09:48


กว่าจะคิดได้เนอะคนเรา

..เกือบสายไปเนอะแม่ผกา

ขอบคุณคนเขียนค่าา.

 :mew1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-06-2020 13:48:23
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 12-06-2020 19:24:05
ดีมากเรื่องนี้ เขียนละเอียดมาก
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: Moonoii ที่ 13-06-2020 14:45:31
สมหวังเสียทีนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 19-06-2020 07:47:50
มารอคุณเล็กกับหนูแสน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 19-06-2020 11:08:04
รอๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๘ ((๑๐๐%)) ๕ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๕๖๘
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 19-06-2020 23:19:38


ตอนที่ ๑๙

๕๐%




วันนี้เรือนของเจ้าสัวเช็งดูคึกคักเป็นพิเศษ ท่านเจ้าสัวที่ปกติจะใส่เพียงกางเกงแพรตัวเก่าๆ และเสื้อกล้ามง่ายๆ แต่วันนี้กลับแต่งตัวเหมือนเวลาไปทำงาน คุณเสนและคุณอุ่นเรือนก็นั่งแทบจะไม่ติดด้วยความตื่นเต้น ที่ดูปกติที่สุดเห็นจะเป็นคุณพะยอมที่นั่งจัดดอกมะลิเสียบก้านมะพร้าวใส่แจกัน โดยมีหนูแสนนั่งพับเพียบช่วยอยู่ใกล้ๆ ถัดไปไม่ไกลกันมีคุณสนนั่งเล่นกับหนูหยกอยู่อีกมุมห้อง

“ยายแช่ม ของรับรองแขกเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”

“เสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ยายแช่มตอบผู้เป็นนายแล้วจึงคลานเข้ามานั่งใกล้หยิบจับข้าวของให้คุณพะยอม

“ไม่ต้องทำก็ได้ยายแช่ม แก่แล้วหูตาฝ้าฟางประเดี๋ยวก็ทิ่มนิ้วทิ่มมืออีก” คุณพะยอมเอ่ยห้ามเมื่อเห็นยายแช่มหยิบเอาเข็มร้อยมาลัยมาถือ ยายแช่มส่งค้อนให้ผู้เป็นนายทันควัน

“ให้อิฉันทำเถอะเจ้าค่ะคุณ ไม่อย่างนั้นอิฉันคนเดินเป็นกระแตวนเหมือนท่านเจ้าสัว ตื่นเต้นที่คนเรือนนู้นจะมาขอคุณแสน”

“ขวางจริงเชียวยายแช่ม สู่เขิงสู่ขออะไรกันจ๊ะ ก็แค่มาพูดคุยกันให้รับทราบทั้งสองฝ่าย” หนูแสนเอ็ดยายแช่มหากแต่สองแก้มแดงเรื่อด้วยความเขินอาย

ใช่ว่าจะไม่ตื่นเต้น เมื่อวันก่อนที่คุณเล็กมาบอกว่าทางคุณหญิงผกายินยอมที่จะให้ทั้งคู่ได้รักกัน หนูแสนดีใจเสียจนแทบจะเป็นลม

“ไม่ต้องมาเหนียมอายหรอกเจ้าค่ะคุณแสน โตแล้ว เรื่องการมีเรือนมันก็ธรรมดา แต่ของคุณแสนพิเศษตรงที่คู่ตุนาหงันเป็นผู้ชายเหมือนกัน”

“แล้วยายแช่มไม่เห็นว่ามันแปลกเหรอจ๊ะ?” ในเมื่อนั่งทำดอกไม้กันเงียบ ๆ ก็เหงา หนูแสนจึงชวนยายแช่มคุณให้คลายกังวล ยายแช่มทำลอยหน้า ปากก็เคี้ยวหมากหยับ ๆ อย่างยักท่า ก่อนจะบ้วนน้ำหมากสีแดงลงกระโถน

“ไม่แปลกหรอกเจ้าค่ะ ยายแช่มชินแล้ว เห็นออกจะบ่อย”

“ไปเห็นที่ไหนมาจ๊ะ?” หนูแสนถามอย่างสงสัย ยายแช่มยืดกายขึ้นราวกับผู้ทรงภูมิ

“ก็ละครนอกที่ตลาดไงเจ้าคะ คนเล่นเป็นผู้ชายทั้งหมด แม่นางเอกนี่อรชรอ่อนช้อยราวกับผู้หญิงก็มิปาน ตานี่หวานเหมือนน้ำผึ้ง”

“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ที่หายไปตลาดเสียนานสองนานก็เพราะมัวแต่ไปดูละครนี่เองใช่ไหมยายแช่ม?” คุณพะยอมแกล้งทำเสียงเขียว ยายแช่มพอรู้ตัวว่าหลุดสารภาพความผิดไปโดยไม่รู้ตัวท่ายืดเมื่อครู่ก็กลายเป็นหลังค่อมหัวหดไปทันไป

“บ่าวก็แค่เดินผ่านๆ ก็เลยหยุดดูเดี๋ยวเดียวเองเจ้าค่ะคู้ณ” พอโดนจับได้ว่าแอบอู้งานไปดูละครนอก ยายแช่มก็แก้ตัวเสียงสูง ทำค้อนปะหลักปะเหลือกแล้วยกชายผ้าแถบขึ้นมาเช็ดน้ำหมากที่มุมปาก หลังจากกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้วไม่นานท่านเจ้าคุณสรอรรถ คุณหญิงผการวมทั้งคุณเล็กก็เดินทางมาถึงเรือนของเจ้าสัวเช็ง ทั้งสามคนแต่งกายมาในเครื่องแต่งตัวที่เต็มยศไม่แพ้ท่านเจ้าสัวเลยสักนิด มีเพียงคุณพะยอมที่นุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม ส่วนท่อนบนเป็นเสื้อคอสี่เหลี่ยมตรงปกคอเป็นลูกไม้ดูสุภาพแต่ไม่ทางการที่แต่งตัวเบาพอ ๆ กับหนูแสนที่เคยแต่งอย่างไรก็แต่งอย่างนั้นไม่มากพิธี

“มากันแล้วเจ้าค่ะ” ยายแช่มที่ตั้งตารอขบวนของบ้านสรอรรถโยธารีบกระซิบบอกผู้เป็นนาย เจ้าสัวเช็งต้อนรับขับสู้เจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผกาด้วยท่าทางสุขุมแต่มีรอยยิ้มอยู่ในหน้า ทั้งคู่รับไหว้คนเรือนเจ้าสัวเช็งรวมทั้งคุณสนที่ในยามนี้รู้จักเจ้าคุณสรอรรถในฐานะมิตรอันดีของเจ้าสัวเช็ง ส่วนคุณหญิงผกานั้นกลายเป็นคนแปลกหน้าที่หล่อนยกมือไหว้ตามมารยาทตามที่นังเฟื้องบอกให้ไหว้

ไร้ความทรงจำโดยสิ้นเชิง ไม่มีความรัก ความเคารพ หรือความผูกพันด้วยตั้งแต่กลับมาอยู่เรือนเดิมก็ไม่เคยได้พบเจอคุณหญิงผกาอีก

กลับกัน ในดวงตาของคุณหญิงผกาที่มองเห็นคุณสนในตอนนี้ความเกลียดชังเจือจางลงไปแล้วบัดนี้ความรู้สึกเวทนาเข้ามาแทนที่ ยิ่งเห็นคุณสนเล่นกับหนูหยกกับหลาน ๆ ซึ่งเป็นลูก ๆ ของคุณเสนนั้น ราวกับคนละคนกับคุณสนผู้หยิ่งทะนงตนที่เคยเห็น

“คุณล่ะไม่ยอมแต่งองค์ทรงเครื่องให้เหมือนคุณหญิงเรือนนู้น ดูสิเจ้าคะเขามางามพร้อมราวกับจะไปออกงานฉลองกรุง” ยายแช่มแสร้งว่าเจ้านายที่ขยับจะไปนั่งใกล้เจ้าสัวเช็ง คุณพะยอมที่นุ่งโจงสีเข้มและเสื้อคอสี่เหลี่ยมสีขาวตรงปกมีลูกไม้ประดับเล็กน้อยทำตาดุใส่ยายแช่ม

“ฉันอยู่แต่กับเรือนจะให้งามไปให้ใครดู แบบนี้ก็สุภาพแล้วถ้าจะต้องงัดผ้าไหมแพรพรรณเพชรนิลจินดามาใส่แข่งเห็นทีจะไม่เอา เขามาพูดธุระเดี๋ยวเดียวก็คงกลับ ไปไป๊ ไปเตรียมน้ำเตรียมท่ามารับแขก หนูแสนมากับแม่” คุณพะยอมไล่ยายแช่มให้ไปทำหน้าที่ของตนเองก่อนจะฉวยมือลูกชายคนเล็กให้เดินมาเข้าร่วมวง คุณเล็กยกมือไหว้คุณพะยอมก่อนจะรับไหว้หนูแสนที่ไหว้ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงผกาเรียบร้อยแล้ว แสร้งจ้องหน้าน้องน้อยด้วยสายตาหวานเชื่อมจนคนน้องแทบจะมุดหน้ากับตักแม่ เจ้าคุณสรอรรถเห็นท่าทางของเด็ก ๆ แล้วได้แต่แสร้งกระแอมเบา ๆ จนคุณเล็กต้องสำรวมขึ้น หลังจากแสร้งถามสารทุกขฺสุกดิบกันได้เล็กน้อยท่านเจ้าคุณสรอรรถก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้าที่จะพูดในเรื่องที่มาเป็นธุระในวันนี้

“เอาล่ะท่านเจ้าสัว ฉันคิดว่าเจ้าสัวก็คงจะรู้แล้วว่าวันนี้ที่ฉันกับแม่ผการวมทั้งตาเล็กมาด้วยธุระอะไร ฉันก็จะไม่พูดจาอ้อมค้อมให้ยืดยาวเพราะอย่างไรเสียเราก็เป็นมิตรที่ดีกันมานาน ฉันกับแม่ผกามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาสู่ขอหนูแสนให้ไปเป็นคู่กับตาเล็กลูกชายของฉัน ท่านเจ้าสัวจะเห็นด้วยหรือไม่?”

“กระผมไม่ขัดข้องอะไร เพราะคุณเล็กได้มาบอกกับกระผมไว้แล้ว แม้ว่ามันจะดูประดักประเดิดไปบ้าง แต่ในเมื่อเด็กสองคนเขารักกันกระผมก็ไม่ขัดข้องเพราะทางนี้ในอิสระลูกในการออกเรือนไม่เคยบังคับกัน ว่าแต่ทางท่านเจ้าคุณเถอะขอรับ รังเกียจหรือเปล่าที่จะรับหนูแสนไปเป็นลูกอีกคน” ท่านเจ้าสัวเช็งตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่สายตานั้นมองไปทางคุณหญิงผกาอย่างเปิดเผย คุณหญิงผกาเมื่อถูกถามโดยตรงก็เหมือนจะทำสีหน้าไม่ถูกนัก ลำคอเกิดแห้งผากจนแทบจะไม่มีเสียงพูด

เจ้าสัวเช็งในท่าทางเป็นมิตรนั้นคล้ายจะเล่นสงครามประสาท

“กระผมรักลูก ไม่ว่าลูกคนไหนก็รัก จะให้ออกเรือนไปกับใครก็อยากให้พ่อผัวแม่ผัวเขาเอ็นดูหากไม่แล้วก็ไม่อยากจะให้ใครไปทั้งนั้น แม้จะรักกันแค่ไหนแต่ถ้าไม่เอ็นดูลูกของกระผม กระผมก็จะไม่ยกให้ ไม่อยากให้ต้องเป็นบ้าเป็นบอเหมือนแม่สนไปเสียอีกคน”

“ฉันจะรักและเอ็นดูหนูแสนให้เหมือนลูกของฉันอีกคน ฉันรับรอง ยกหนูแสนให้ตาเล็กเถอะนะเจ้าสัว อะไรที่แล้วมาฉันจะไม่ถือโกรธอีกแล้วนับจากนี้” คุณหญิงผกาเอ่ยปากพูดราวคนจนตรอก คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มให้กับเจ้าสัวเช็งได้ไม่น้อย เจ้าคุณสรอรรถแสร้งหัวเราะเพื่อทำลายบรรยากาศที่ชักจะไม่น่ารื่นรมย์ระหว่างเจ้าสัวเช็งและภรรยาของตน

“ดีเลย ๆ จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันอีกรอบ ส่วนเรื่องสินสอดทองหมั้นเจ้าสัวอยากจะเรียกเท่าไหร่ฉันไม่ขัดข้องทั้งสิ้น หนูแสนเป็นเด็กดีฉันก็พร้อมจะให้เท่าที่เจ้าสัวต้องการ”

“เรื่องสินสอดกระผมไม่ขอเรียกอะไรทั้งนั้น งานแต่งก็คุยกันแล้วว่าทำบุญตักบาตรกันเฉพาะภายในก็พอ แต่กระผมขออย่างเดียว”

“ขออะไรรึ?”

“ขอให้คุณเล็กแต่งเข้าบ้านของกระผม แล้วกระผมจะปลูกเรือนแยกให้ ท่านเจ้าคุณจะว่าอะไรไหม?” เจ้าคุณสรอรรถมองหน้ากับคุณหญิงผกาทันทีที่ได้ยินข้อเสนอนั้น แม้ในใจจะไม่เห็นด้วยสักเพียงใด แต่เมื่อไปที่ลูกชายใจของท่านเจ้าคุณก็อ่อนยวบ

แววตาของคุณเล็กนั้นบอกจนหมดสิ้นแล้วว่ายอม ยอมทุกข้อเสนอ แล้วเขาผู้เป็นพ่อจะทำลายความสุขของลูกชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวได้อย่างไร

“ได้ เอาตามที่เจ้าสัวต้องการ ส่วนฤกษ์ยามฉันจะให้พระครูท่านหาให้นะ” ท่านเจ้าคุณสรอรรถมองตรงมาที่หนูแสนด้วยสายตาของผู้ใหญ่ที่อารีต่อคนเด็กกว่า

“หนูแสน”

“ขอรับเจ้าคุณลุง” หนูแสนตอบรับคำเรียกนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“มาเป็นลูกอีกคนของลุงนะ ต่อไปนี้ก็เรียกลุงกับป้าว่าพ่อกับแม่นะ เอาล่ะ ฉันมารบกวนท่านเจ้าสัวกับแม่พะยอมมานานแล้วต้องขอตัวกลับก่อนนะ ได้ฤกษ์เมื่อไหร่ฉันจะมาบอกนะ” ท่านเจ้าคุณสรอรรถลุกขึ้นยืนทำให้คนอื่น ๆ พลอยลุกตามกันไปด้วย เจ้าสัวและคุณพะยอมเดินออกไปส่งแขก คุณหญิงผกาหยุดยืนมองคุณสนที่เล่นขายข้าวแกงกับหนูหยกอยู่ที่มุมห้อง

“หนูหยก” เอ่ยปากเรียกหลานสาวที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะสนใจ เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังหยอดขนมครกชะงักมือแล้วหันมามองผู้เป็นย่า

“เจ้าคะคุณย่า”

“มาหาย่าหน่อย สักประเดี๋ยว ย่ามีของจะให้” หล่อนกวักมือเรียกหลานสาววัยเกือบสี่ขวบให้เข้าไปหา หนูหยกหันหน้าไปมองคุณสน คุณสนจึงพยักหน้าให้

“ไปสิหนูหยก คุณย่าเรียกก็รีบไปอย่าให้ผู้ใหญ่รอนาน เดี๋ยวแม่รอเล่นด้วยต่อ” คุณสนที่แม้จะไม่มีความทรงจำและไม่มีความผูกพันกับคุณหญิงผกาหลงเหลืออยู่ แต่เมื่อเห็นว่าทางผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นแทนตนเองว่าย่ากับผู้เป็นลูกสาวก็ไม่ได้รั้งรอที่จะให้บุตรสาวคนเล็กได้เข้าไปหาผู้เป็นย่า หนูหยกก็ช่างว่าง่าย เด็กหญิงตัวน้อยเดินเข้าไปหาคุณหญิงผกาอย่างไม่อิดออด เช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ ความทรงจำและความผูกพันกับผู้เป็นย่านั้นจางมากเหมือนหมอกควัน รู้ว่าเป็นคนในครอบครัวแต่ให้รักเท่าคุณก๋งและคุณยายนั้นเป็นอันเทียบกันไม่ได้ เด็กหญิงเพิ่งมาจำหน้าย่าได้ก็ตอนที่สถานการณ์ของสองบ้านดีขึ้นไม่ถึงปี ได้ติดสอยห้อยตามอาเล็กและพี่ชายทั้งสองไปที่เรือนนู้นอยู่หลายครั้ง
“ละม้ายคล้ายพ่อใหญ่อยู่นะ แต่ขาวผุดผาดได้แม่มามากโข” เอ่ยปากชมเมื่อได้เห็นหลานใกล้ ๆ สร้อยพระเส้นนี่ย่าให้หนูหยกใส่ไว้ให้บารมีหลวงพ่อท่านคุ้มครองนะลูกนะ จงเก็บรักษาไว้ให้ดี ๆ เอาไว้โตเป็นสาว เครื่องเพชรเครื่องทองที่ย่ามี ย่าจะยกให้หนูหยกนะลูกนะ”คุณหญิงผกาเอาสร้อยทองออกจากถุงผ้าสีแดงที่ห้อยพระเครื่ององค์เล็กๆเลี่ยมทองสวมให้หนูหยกก่อนจะผกาเหลือบตามองอดีตลูกสะใภ้ที่มองมาทางตน รอยยิ้มอ่อน ๆ ในดวงหน้านั้นเผยให้เห็นอย่างเป็นมิตร “แม่สน สบายดีนะ”

“สบายดีค่ะคุณป้า” คุณสนตอบกลับตามมารยาท ออกจะประดักประเดิดเคอะเขินบ้างด้วยไม่คุ้นหน้า

“สบายก็ดีแล้ว อายุมั่นขวัญยืนนะ ที่แล้วมาแม่ยกให้ไม่ถือโทษโกรธเคืองกันแล้ว” คุณหญิงผกาส่งยิ้มให้กับคุณสน แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นผู้ใหญ่พูดแต่คุณสนก็ยกมือไหว้เป็นการแสดงความขอบคุณ ในขณะที่คุณหญิงผกาเองก็ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้นได้

หล่อนรู้สึกวูบโหวงในใจแต่พอพูดประโยคนั้นออกไปในใจกลับเบาและรู้สึกว่าความหนักอึ้งที่แบกไว้มานานปีคลายลงจนหมดสิ้น คุณหญิงผกาเดินตามสามีและลูกชายออกจากเรือนของเจ้าสัวไปในขณะที่ทุกคนในเรือนเจ้าสัวเช็งนั้นมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ คนหัวแข็งอย่างคุณหญิงผกาจะยอมให้อภัยคุณสน

“หมดทุกข์หมดโศกกันเสียที” เจ้าสัวเช็งกระชับไหล่บางของผู้เป็นภรรยาที่สั่นน้อยๆ ด้วยความปลื้มใจ ยายแช่มที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ตลอดถึงกับยกมือพนมท่วมหัวกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามลมตามแล้ง หนูแสนส่งยิ้มให้คุณเล็กที่หันกลับมายิ้มให้ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันความกังวลที่มีมาตลอดถูกปลดเปลื้องไปจนหมดสิ้น ตัวหนูแสนเองก็หวังว่าต่อไปนี้ทั้งสองครอบครัวจะพบพานแต่ความสุขอย่าได้มีเหตุอันใดมาทำให้ทุกข์ใจอีกเลย


....................................

จริง ๆ พิมพ์เสร็จหลายวันแล้ว แต่คอมเรามันเกเร วันนั้นฝนตกไปตกและคอมดับทุกอย่างหายเกลี้ยงต้องพิมพ์ใหม่หมดเลย
ครึ่งหลังเราจะลงให้อ่านเป็นครึ่งสุดท้ายแล้ว หลังจากเล่มวางขายจะกลับมาต่อตอนจบให้นะคะ
นานมาแล้วเราเคยสงสัยว่านิยายวายที่ไม่ต้องมีฉากคัท ไม่ต้องมาฉากจูบแลกลิ้นแลกสารอาหารเหลวจะมีคนอ่านมั้ย ตอนนี้เรารู้แล้วค่ะว่ามี ขอบคุณทุกคนที่ติดตามความรักแบบค่อยเป็นค่อยไปของหนูแสนและคุณเล็กนะคะ นิยายเรื่องนี้เราอิ่มในใจมาก เราไม่ต้องเหนื่อยที่จะคิดฉากคัท เราสบายใจกับกำลังใจที่ทุกคนให้มา เรามีความสุขทุกครั้งที่มีคนถามว่าเมื่อไหร่หนังสือจะออกเล่ม
จริงๆเราควรส่งต้นฉบับไปให้ สนพ.ตั้งนานแล้วแต่เราก็ขอส่งช้าเพราะเราต้องทำขนมขาย
ขอบคุณ สนพ.ที่เข้าใจและไม่เคยเร่งรัดเราเลยว่าต้องส่งต้นฉบับแล้วนะ เราจะรีบพิมพ์ให้เสร็จเร็ว ๆ นะคะ อยากจับเล่มแล้วเหมือนกัน
เรารักพวกคุณนะคะ รู้บ้างหรือเปล่า

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๕๐%)) ๑๙ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๑
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 20-06-2020 00:01:20
อบอุ่นจังเลย
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๕๐%)) ๑๙ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๑
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 20-06-2020 12:27:57
ทำไมถึงคิดว่าวายแล้วต้องมีฉาก NC ละคับ วายแบบนี้ก็ละมุนจะตาย เนื้อหามันละเมียดละไม น่าสนใจน่าอ่าน มันก็ชวนให้ติดตามละคับ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๕๐%)) ๑๙ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๑
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 20-06-2020 13:10:45
ชั้นหัวยายแช่มเด้อ​ ท็อปฟอร์มตลอด​ 555
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๕๐%)) ๑๙ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๑
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 20-06-2020 17:12:40
จะแต่งกันแล้ววววว :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๕๐%)) ๑๙ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๑
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-06-2020 22:50:05
ขอเป็นเรื่องราวดีๆเนาะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๕๐%)) ๑๙ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๑
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 27-06-2020 14:36:34

ตอนที่ ๑๙

๑๐๐%


            หลังจากวันที่เจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผกาไปทาบทามสู่ขอหนูแสน ทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่ตนเองเคยใช้ คุณพะยอมที่ง่วนอยู่กับโรงงานน้ำอบน้ำปรุงขนาดย่อมและแป้งกระแจะจันทน์รวมทั้งดินสอพองยังไงก็ยังคงยุ่งอยู่อย่างนั้น ตอนนี้เรื่องงานบ้านงานครัวคุณพะยอมปล่อยให้หนูแสนคุมเองได้โดยไม่ต้องห่วง ทางด้านหนูแสนเองก็ดูแลอาหารการกินของคนในบ้านอีกทั้งงานบ้านงานเรือนไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แล้วยังแวะไปช่วยดูแลคุณหญิงผกาทุกวัน บ่าวในเรือนที่ทำงานบ้านงานเรือนไม่เป็นระบบตั้งแต่คุณหญิงผกาป่วยก็กลับมาทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็งตามเดิม ใครที่ทำงานดีรับผิดชอบงานของตัวเองและดูแลคุณหญิงผกา ท่านเจ้าคุณสรอรรถ คุณเล็กรวมทั้งหลานชายทั้งสองดีหนูแสนก็จะมีรางวัลให้เป็นครั้งคราว ส่วนใครที่เกียจคร้านหลบเลี่ยงงานอีกทั้งไม่มีระเบียบเรียบร้อยก็จะถูกตักเตือน หนูแสนเริ่มเรียนรู้การใช้ทั้งพระเดชและพรคุณเหมือนผู้เป็นมารดา หากบ่าวคนไหนเหลือทนหนูแสนก็บอกไปตามตรงว่าก็คงจะไม่เลี้ยงไว้ ดังนั้นบ่าวในเรือนคุณหญิงผกาที่ไม่มีที่ไปก็จะทั้งเคารพและเกรงหนูแสนอยู่ในที ด้วยรู้ว่าคนนี้จะมาเป็นนายอีกคนบนเรือนใหญ่ เรื่องของคุณเล็กและหนูแสนที่จะตกแต่งเป็นคู่กันนั้นถูกสั่งให้ปิดเงียบห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเมียเรือนเล็กหรือบ่าวไพร่ก็ห้ามโพนทะนา หากเรื่องคู่รักชายทั้งสองหลุดออกไปสู่หูคนนอกท่านเจ้าคุณสรอรรถประกาศเอาไว้แล้วว่าจะไม่เลี้ยงไว้ และด้วยอำนาจบารมีเขาเองจะลบชีวิตใครก็ได้ ถึงแม้จะเป็นคำขู่แต่เพราะเดิมทีท่านเจ้าคุณเป็นคนเอาจริงเอาจังพูดคำไหนคำนั้น ทั้งเมียรองและบ่าวไพร่ต่างก็กลัวกันหัวหดจึงไม่มีใครกล้าเอาไปโพนทะนาข้างนอกเรือน อย่างมากก็ทำเพียงซุบซิบกันเอง จนเวลาผ่านไปแรมเดือนเสียงซุบซิบก็เบาลงจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว



            “พักบ้างเถอะค่ะ”คุณเล็กที่เห็นหนูแสนช่วยบ่าวจัดสำรับกับข้าวเอ่ยขัดก่อนจะฉวยโถข้าววางลงบนโต๊ะแล้วดึงมือหนูแสนยึดไว้ไม่ให้ทำงานต่อ



            “เป็นนายไม่ต้องทำทุกอย่างก็ได้ค่ะ”กดไหล่คนน้องให้นั่งลงบนเก้าอี้ หนูแสนส่งยิ้มให้คนรัก



            “ยิ่งเป็นนายเขา ยิ่งต้องทำให้เป็นทุกอย่างสิคะ ไม่อย่างนั้นถ้าบ่าวทำอะไรผิดพลาดจะเอาความรู้ที่ไหนไปตักเตือนเขาล่ะคะ”หนูแสนแย้งด้วยเหตุผล



            “แต่คุณเล็กอยากให้หนูแสนพักบ้าง หลังๆมานี่คุณเล็กเห็นหนูแสนทำงานไม่ได้หยุดเลย”



            ไม่ได้เหนื่อยอะไรนี่คะ หนูแสนสนุก”เจ้าตัวตอบด้วยรอยยิ้ม



            “เมื่อวานเจ้าคุณพ่อไปหาหลวงพ่อมาแล้วนะคะ ได้ฤกษ์มาแล้ว”คุณเล็กบอกด้วยสีหน้าของคนมีความสุข หนูแสนพลอยตาโตตื่นเต้นไปด้วย



            “เหรอคะ เมื่อไหร่คะ?”



            “สิบสองค่ำเดือนอ้ายค่ะ”



            เร็วจริง อีกแค่สามเดือนเอง”หนูแสนทำสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที



            “เร็วเสียที่ไหนคะ คุณเล็กอยากให้แต่งกันเสียวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ”



            “เรือนหอก็ยังไม่เสร็จ กว่าคุณกล้าจะเอาไม้ล่องมาจากปากน้ำโพธิ์ก็เดือนสิบสองนู่นเลยนะคะ”



            “คุณเล็กอยากใช้เรือนแพเป็นเรือนส่งตัวมากกว่าค่ะ พอเรือนหอเสร็จตกแต่งเสร็จเราค่อยย้ายเข้าไปอยู่หนูแสนว่าดีไหมคะ?”คุณเล็กบอกความต้องการของตนแต่ก็ไม่ลืมถามความสมัครใจของหนูแสนด้วย



            “หนูแสนแล้วแต่คุณเล็กค่ะ”และก็เช่นทุกครั้ง ถ้าหากคุณเล็กพอใจอะไรหนูแสนก็ยินดีที่จะโอนอ่อนตาม



            “หนูแสนคะ”คุณเล็กกระชับมือของหนูแสนไว้ เขาคิดว่าการที่มีคนรักโอนอ่อนผ่อนตามมันก็ดี แต่เขาชอบหนูแสนที่คอยเป็นเพื่อนคู่คิดกันมากกว่า



            “หากมีอะไรที่หนูแสนไม่ชอบใจ หรือว่าหนูแสนมีความคิดเห็นอะไรที่ต่างกับคุณเล็กหนูแสนบอกคุณเล็กได้นะคะ อีกหน่อยเราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คุณเล็กอยากให้หนูแสนมีความสุข อยากให้ชีวิตคู่ของเราสองคนดีเหมือนที่ท่านเจ้าสัวกับคุณแม่ของหนูแสนอยู่ด้วยกันนะคะ”



            “โธ่ คุณเล็กคะ เรื่องเรือนแพ หนูแสนเห็นด้วยจริง ๆ นะคะ หนูแสนชอบเรือนแพ ตั้งแต่เล็กจนโตจนถึงตอนนี้หนูแสนรักและผูกพันกับเรือนแพไม่แพ้คุณเล็กเลยค่ะ เราเล่นด้วยกัน กินขนมกินข้าวด้วยกันที่เรือนแพเสียส่วนใหญ่ หนูแสนก็เลยชอบค่ะ จริง ๆ ถ้าคุณเตี่ยไม่ขอให้คุณเล็กแต่งเข้าเรือนหนูแสน หนูแสนก็อยากอยู่เสียที่เรือนแพ เวลาลมพัดเข้ามามันทั้งเย็นกายเย็นใจ”คุณเล็กยิ้มให้กับคำตอบนั้น ความกังวลใจที่มีอยู่คลายลงไป หนูแสนบีบมือของคุณเล็กกลับอย่างขอให้เชื่อใจ เชื่อในคำพูดที่ตนเองกล่าวออกไปนั้นล้วนจริงใจทั้งสิ้น



            “เราอยู่ด้วยกันมาชั่วชีวิตของหนูแสนแล้ว หากมีเรื่องอะไรที่หนูแสนชอบหรือไม่ชอบหนูแสนจะไม่ปดไม่ปิดอะไรทั้งนั้นคุณเล็กสบายใจได้นะคะ”เจ้าตัวน้อยส่งยิ้มให้คนเป็นพี่จนคุณเล็กเองก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้

 

 

            หลังจากได้ฤกษ์ยามวันแต่งของคุณเล็กและหนูแสน เจ้าสัวเช็งจึงได้เรียกลูก ๆ มาประชุม รวมทั้งคุณพะยอม เว้นแต่คุณสนที่ถึงแม้มานั่งก็คงไม่รับทราบอะไรกับสิ่งที่กำลังจะพูด แต่คุณพะยอมก็ค้านผู้เป็นสามี



            “อย่างไรเสียก็ลูกเราคนหนึ่ง จะบ้าใบ้สติไม่สมประกอบก็ต้องให้รับรู้ด้วย เรากันแม่สนออกไปชั่วชีวิตแล้ว อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะคะท่านเจ้าสัว” เพราะคำขอร้องของภรรยา ตอนนี้คุณสนจึงได้มานั่งเรียงกันกับคุณเสนและหนูแสน



            “คุณเตี่ยเรียกพวกเรามามีอะไรหรือขอรับ”คุณเสนผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยถาม เจ้าสัวยกแก้วชาขึ้นจิบ มองหน้าบ่าวด้วยการปรายตา บ่าวที่ทำงานรับใช้มานานจึงเก็บถาดแล้วถอยออกไปจากห้อง ไม่ลืมที่จะหับประตูปิดจนมิดชิด



            “เตี่ยอยากเรียกลูก ๆ มาพูดเรื่องมรดกที่เตี่ยจะยกให้แต่ละคน”



            “ทำไมต้องรีบล่ะขอรับ คุณเตี่ยก็ยังแข็งแรง”คุณเลยร้องท้วงด้วยความเชื่อที่ฝังรากลึกมานานว่าหากบุพการีหรือญาติผู้ใหญ่คิดแบ่งสมบัติให้ลูกหลานแล้วก็จะตายในที่สุด ใจของผู้เป็นลูกหายวาบราวกับน้ำที่เทซัดลงบนผืนทรายร้อน ๆ



            “เตี่ยไม่ได้จะตายวันตายพรุ่งเสียหน่อย แต่ในเมื่อหนูแสนจะออกเรือนก็ต้องมาทำความเข้าใจตกลงกันใหม่ เตี่ยไม่อยากให้ลูก ๆ ผิดใจกันในภายภาคหน้า”เจ้าสัวเช็งไล่สายตาไปที่ลูก ๆ ทีละคน เหมือนเห็นหนูแสนแรกเกิดตัวแดงๆเมื่อไม่นานมานี้ มีคุณเสนคอยหยอกเย้าน้องคนเล็ก ส่วนคนสนก็แยกออกไปเล่นเพียงคนเดียวไม่เอาน้อง เวลาผ่านไปคล้ายลมพัดเพียงชั่วครู่ ลูก ๆ ก็เติบใหญ่จนมีชีวิตมีครอบครัวเป็นของตัวเอง คุณเสนเองเป็นเด็กมีความคิดรอบคอบมาตั้งแต่ยังเล็ก ยามเติบใหญ่ถึงวัยออกเรือนก็เลือกผู้หญิงที่ดี ใจเย็นและเคารพพ่อผัวแม่ผัว เป็นแม่ศรีเรือนเพียบพร้อม มีลูกชายไว้สืบสกุลเป็นรุ่นต่อไป เห็นชีวิตลูกคนโตแล้วเจ้าสัวเช็งก็มีความสุข



เมื่อมองมาที่คุณสน



ลูกสาวคนนี้ในช่วงปีที่ผ่านมาทำให้ท่านเจ้าสัวต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ ทั้งๆที่ลูกสาวควรเป็นลูกคนที่ได้รับการฟูมฟักทะนุถนอมมากที่สุด แต่เพราะคุณสนเกิดในช่วงที่ครอบครัวตกต่ำเจ้าสัวไม่เคยโทษความผิดพลาดของช่วงเวลา ไม่เคยโทษตัวเองว่าในตอนนั้นตัวเองอาจจะยังไม่มีหัวการค้ามากพอจะประคับประคองธุรกิจให้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่ลำบาก เจ้าสัวเอาความคิดว่าคุณสนคือตัวซวยมาโยนใส่ลูกสาว นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คุณสนกลายเป็นเด็กก้าวร้าว และไม่ฟังใคร ชอบทำตัวให้เด่นกว่าน้อง



ยามเติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่ง งามลออซ้ำยังมีความสามารถด้านตัดเย็บ แทนที่เจ้าสัวจะเห็นดีเห็นงามสนับสนุน แต่ไม่เลยท่านเจ้าสัวกลับไม่คิดเอาใจใส่หรือภาคภูมิใจในตัวลูกสาวเลยสักนิด แม้แต่จะสนับสนุนก็ไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยมีเพียงผู้เป็นพ่อตาที่มาคุยว่าอยากให้คุณสนได้มาอาชีพเลี้ยงตัวจึงต้องจำใจยกตึกแถวให้เพื่อเปิดร้านตัดเสื้อ



ทั้งที่รู้ทั้งรู้ เห็นกับสองตาว่ากิจการของลูกสาวเฟื่องฟูขนาดไหน แต่กลับคิดว่าเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ของผู้หญิงนั้นเป็นกระแสไม่นานเดี๋ยวคนก็ไปเห่อกับสิ่งใหม่ ๆสิ่งที่เจ้าสัวภูมิใจมีเพียงหนึ่งเดียวคือการที่คุณสนได้ออกเรือนไปกับลูกของเจ้าคุณสรอรรถที่เป็นถึงนายทหารอนาคตไกลและหัวก้าวหน้า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใครไปใครมาก็ออกปากชมลูกเขยไม่ได้ขาดพลอยทำให้เจ้าสัวเช็งที่กำพืดเดิมเป็นแค่เจ๊กที่มาแบบเสื่อผืนหมอนใบได้ยิ้มจนหน้าชื่นขึ้นมาบ้าง



แต่นั่นแหละ ความสุขอยู่กับเจ้าสัวไม่นานเมื่อคุณสนกลายเป็นหญิงวิปลาสไปเสียแล้ว ภาพในวารวันค่อยๆฉายชัดมาว่าตนเองรักลูกสาวน้อยเพียงใด ทุกวันนี้หากคุณสนเอ่ยปากอยากได้หรืออยากทำอะไรเจ้าสัวไม่เคยอิดออดที่จะหามาให้ คุณสนคนใหม่เองก็ปรับตัวเข้ากับคนที่เรือนได้ทีละน้อย จากลูกสาวที่เย่อหยิ่งจองหองกลายเป็นลูกสาวที่พูดน้อยและสงบเสงี่ยม แม้จะชอบคุณสนคนปัจจุบันมากกว่าแต่ก็โหยหาลูกสาวผู้หญิงทะนงในศักดิ์และศรีของตัวเองคนนั้นอยู่ทุกวัน



ส่วนหนูแสน เพราะเกิดมาในช่วงที่การค้าจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง กลายเป็นตัวนำโชคของผู้เป็นพ่อ ความลำเอียงจึงเกิดขึ้น แถมเป็นลูกหลงมาตอนเจ้าสัวอายุมากแล้วยิ่งหลงลูกชายคนเล็กมากกว่าพี่ ๆ เจ้าลูกน้อยนั้นช่างเจรจาพูดจาไพเราะ ใจเย็นเหมือนน้ำ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ใคร่จะชอบใจนักคือการที่ลูกชายติดคำพูดจากคุณเรือนนู้นมาพูดคะขาจนติดปาก อีกทั้งท่าทางยังนุ่มนิ่มอ่อนโยนกว่าผู้ชายทั่วไป แต่เพราะคุณพะยอมหลงลูกคนเล็กเป็นนักหนาอีกทั้งกิจการที่ดีวันดีคืนจึงทำให้ไม่ได้เข้มงวดและอบรมสั่งสอนมากนัก



เจ้าสัวเช็งอยากสร้างธุรกิจให้เจริญมากขึ้น ทั้งหมดนั้นล้วนทำเพื่อลูก ๆ โดยหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญนั้นก็ไม่ใช่ใคร คุณเสนเริ่มตั้งแต่ช่วยยกของ ตรวจนับจำนวน ทำทุกอย่างเหมือนที่ลูกจ้างทั่วไปทำ เรียนรู้งานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ในขณะที่ลูก ๆ คนอื่นได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองอยากจะใช้ แต่คุณเสนไม่เคยได้รับสิทธิ์นั้นเลย เมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่จะมีผลต่อไปในอนาคตเจ้าสัวเช็งจึงอยากให้ลูก ๆ มารับรู้ในสิ่งที่ตนเองจะพูด



            “อีกไม่กี่วันหนูแสนก็จะออกเรือนแล้ว ลูกทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเราอยู่กับแบบระบบกงสี ถ้าใครแต่งออกก็จะถูกถอดจากกงสีเหมือนครั้งแม่สนออกเรือนไปกับคุณใหญ่ ตั้งแต่เตี่ยค้าขายมา ลูกสามคนมีเพียงพ่อเสนที่คอยแบ่งเบามา เตี่ยจึงอยากจะถามความเห็นของลูก ๆ ว่าถ้าหนูแสนออกเรือนไปเรื่องกงสีจะว่าอย่างไร เพราะแม่สนออกจากกงสีไปแล้ว ถ้าหนูแสนออกเรือนก็จะไม่ได้ตรงนี้อีกหนูแสนจะขัดข้องไหม?”เจ้าสัวจ้องหน้าลูกชายคนเล็ก หนูแสนส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ ดวงตากลมนั้นยังคงใสซื่อและจริงใจเช่นเดิม



            “หนูแสนไม่ขัดข้องเลยขอรับคุณเตี่ย คุณพี่เสนทำงานหนักมาตลอดหากคุณเตี่ยจะยกให้ทั้งหมดลูกก็ไม่ขัดข้องอะไรเลย กลับยินดีเสียด้วยซ้ำ เพราะกิจการของเราถ้าไม่ได้คุณพี่เสน หนูแสนก็ไม่รู้ว่ามันจะรุ่งเรืองขนาดนี้มั้ย”



            “อย่างนั้นเตี่ยก็สบายใจ”



            “แต่ลูกไม่สบายใจขอรับคุณเตี่ย”คุณเสนท้วงขึ้นในทันที สีหน้าของเขานั้นดูจริงจังมากกว่าเดิม   



            “ลูกคิดว่า น้อง ๆ ควรจะได้ใช้เงินในกงสีเช่นเดิม รวมทั้งแม่สนด้วย”



            “ทำไมคิดอย่างนั้นเล่าพ่อเสน?”



            “เพราะเราทุกคนเป็นลูกคุณเตี่ย แม่สนกับหนูแสนเองก็เป็นน้องของลูก ถึงทั้งคู่จะไม่ได้ไปช่วยงานที่ห้างแต่แม่สนก็ช่วยคุณแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน จริงๆเป็นเราเองไม่ใช่เหรอขอรับที่ผลักน้องออกไปจากงานที่ห้างทั้ง ๆ ที่เราก็รู้กันดีว่าแม่สนเดิมนั้นมีหัวการค้าแต่เพราะเป็นผู้หญิงเราถึงไม่มอบงานให้น้องเลย ตอนนี้ก็กลับมาอยู่ที่เรือนด้วยกันแล้วถึงจะไม่-ได้ใช้เบี้ยอัฐอะไรมากแต่น้องก็ควรได้มีส่วนร่วมในกงสี ส่วนหนูแสนเองถึงไม่ได้ไปช่วยที่ห้างแต่เรื่องบัญชีหนูแสนก็ทำให้อยู่ตลอดแล้วหนูแสนยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในโรงงานน้ำอบน้ำปรุงของแม่ถึงจะออกเรือนน้องก็ยังจะช่วยแม่อยู่ดังนั้นลูกจึงเห็นสมควรว่าให้ทุกคนได้มีส่วนใช้เงินกงสีกองนี้ หากคุณเตี่ยไม่สบายใจจะแบ่งเป็นส่วนๆให้น้องก็ได้ คุณเตี่ยจะขยายกิจการตามที่คุยกับนายเล็กไว้ถ้าจะหาผู้ร่วมลงทุนอย่างนั้นส่วนแบ่งในห้างคุณเตี่ยก็แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ให้น้อง ๆ เป็นผู้ถือหุ้นเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วรับรายได้จากทางนั้นก็ได้ขอรับ ในตอนนี้คุณเตี่ยยังแข็งแรงอยู่เราก็ใช้ระบบกงสี แต่หากไม่สบายใจก็เรียกคุณพระพินิจมาทำพินัยกรรม แบ่งยกให้แต่ละคนเหมือนที่เจ้าคุณตาทำก็ได้ขอรับ”คุณเสนเสนอวิธีให้กับผู้เป็นพ่อ ถึงแม้ตนเองจะทำงานหนักกว่าน้อง แต่นั่นเป็นเพราะเขาเต็มใจทำ สำหรับน้องสองคนนั้น คุณสนเพราะเป็นน้องสาวแม้จะมีที่หลายร้อยไร่กับเครื่องเพชรนิลจินดาแต่นั่นไม่ทำให้เงินพอกพูนได้ถ้าไม่ตัดขาย ด้วยความทรงจำที่หายไปพลอยทำให้ความสามารถที่มีอยู่เลือนหายไปด้วยคุณสนจึงมีหน้าที่แค่ช่วยงานคุณพะยอมบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อยากได้อะไรตนและผู้เป็นแม่ก็จะเป็นคนหามาให้ ค่าใช้จ่ายไม่ได้มากเท่าตอนที่ยังดี ๆ อยู่ ส่วนหนูแสนนั้น สำหรับคุณเสนแล้ว แม้อายุจะเลยยี่สิบปีมาแล้วแต่หนูแสนก็ยังคงเป็นเจ้าน้องน้อยที่คอยดูแลบ้านช่องให้เป็นระเบียบสะอาดสะอ้านกลับจากทำงานเหนื่อย ๆ ก็มีอาหารอร่อยถูกปากรออยู่ไม่ได้ขาด แถมยังช่วยเลี้ยงลูก ๆ ให้กับเขาและคุณอุ่นเรือน   เรื่องบัญชีก็ทำอย่างละเอียดรอบคอบเงินไม่เคยตกกระเด็นสักสลึง หากไม่มีหนูแสนแล้วคุณพะยอมผู้เป็นแม่ที่อายุมากขึ้นทุกวันก็คงจะเหนื่อยมากเพราะน้ำอบน้ำปรุงที่ทำนั้นมีลูกค้ามากขึ้นทุกวัน



บ้านหลังนี้ขาดลูกคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนควรมีส่วนร่วมในทรัพย์สินที่หามาได้ เพราะแต่ละคนนั้นต่างก็มีหน้าที่ต้องทำ



เจ้าสังเช็งเมื่อฟังคำตอบจากบุตรชายคนโตแล้วก็เผยรอยยิ้มที่นาน ๆ ครั้ง จะได้เห็นสักหน



ในใจของผู้เป็นพ่อนั้นชุ่มชื่นราวกับมีน้ำทิพย์สักล้านหยดร่วงลงมารดหัวใจ



ในความเป็นพ่อเป็นแม่นั้นเห็นลูกเติบโตได้ดิบได้ดีนั้นคือความสุขอย่างหนึ่ง



แต่การที่พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันไม่เอาแต่ประโยชน์เข้าตนนั้นคือสิ่งที่พ่อแม่ปารถนามากที่สุด หากวันนี้คุณเสนรับข้อเสนอว่าตนเองควรได้รับมรดกไปคนเดียวเต็ม ๆ เจ้าสัวเช็งคงต้องคิดใหม่ 



            “ถ้าพ่อเสนคิดเห็นเช่นนั้นเตี่ยก็จะทำตามที่บอก ระหว่างนี้ก็ใช้เงินกงสีกันไป ใครจะใช้จะทำอะไรถ้าเรื่องไม่ใหญ่มากก็ไปขอกับพ่อเสน แต่ถ้าจะลงทุนทำอะไรในภายภาคหน้าก็มาบอกกับเตี่ย ส่วนเรื่องทรัพย์สินต่าง ๆ เตี่ยจะให้คุณพระท่านมาทำพินัยกรรมเอาไว้ ลูก ๆ ทุกคนไม่ต้องห่วงเตี่ยจะให้ตามสมควร ตามความสามารถของแต่ละคน สำหรับแม่สนหากสติยังไม่กลับคืนหากเตี่ยกับแม่ตายไปอย่าทิ้งน้อง อย่าทิ้งพี่นะลูกนะ  อีกอย่างเตี่ยขออย่างเดียว เมื่อเตี่ยตายไปจงเลี้ยงดูแม่ให้สุขสบายในบั้นปลายพวกเจ้าทำให้เตี่ยได้หรือไม่?”



            “ได้ขอรับ”ทั้งคุณเสนและหนูแสนต่างตกปากรับคำ คุณเสนลุกจากเก้าอี้ลงไปนั่งคุกเข่าแล้วกราบลงบนตักผู้เป็นพ่อด้วยความนอบน้อมเคารพ ก่อนจะถอยออกให้หนูแสนได้เข้าไปกราบผู้เป็นพ่อบ้าง



            “สน ไปกราบคุณเตี่ยสิลูก”คุณพะยอมแตะแขนคุณสนเบาๆพยักหน้าให้กับลูกสาวคนเดียวที่นั่งฟังอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก รู้เพียงแต่ว่าผู้เป็นพ่อฝากฝังตนเองให้พี่น้องดูแลในบั้นปลาย หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความรักที่ผู้เป็นพ่อมีให้ ดังนั้นจึงคลานเข่าเข้าไปหาแล้วกราบลงบนตักผู้เป็นพ่อ มือหนาเหี่ยวย่นตามวัยลูบศีรษะลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างอ่อนโยน ความอุ่นวาบแล่นเข้ามาในหัวใจอย่างประหลาด เป็นความปิติและสัมผัสที่คล้ายจะโหยหา คุณสนเงยหน้าช้อนตามองผู้เป็นพ่อก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนหวาน



            “สนรักคุณเตี่ยนะเจ้าคะ”เจ้าสัวเช็งยิ้มรับกับคำหวานของลูกสาว



            “เตี่ยก็รักสนเหมือนกัน”         

     

 

            ทางด้านเรือนของเจ้าคุณสรอรรถนั้นก่อนวันแต่งของคุณเล็กกับหนูแสนบรรดาลูก ๆ ของเจ้าคุณสรอรรถก็กลับมาบ้านกันอย่างพร้อมเพรียง คุณกลางเองก็ยอมทิ้งลูกๆมาช่วยเตรียมงาน เป็นแม่งานใหญ่หัวเรี่ยวหัวแรงแทนผู้เป็นแม่ได้มากโข คุณหญิงผกาได้ปรึกษากับคุณพะยอมว่าให้ทำพิธีเสียที่เรือนนี้ ถือว่าทำบุญบ้านไปในตัวเพราะตั้งแต่ผ่านเรื่องร้าย ๆ มา ก็ยังไม่เคยทำบุญอีกเลย เพื่อความสบายใจของคุณหญิงผกาคุณพะยอมก็ยินยอมแต่โดยดี   



ด้านเมียรองของเจ้าคุณสรอรรถก็พลอยได้อานิสงส์ชื่นมื่นไปด้วยเมื่อคุณรองที่รับราชการทางหัวเมืองลาราชการกลับมาบ้านด้วย คุณชื่นจัดเรือนเตรียมห้องรอลูกชายเป็นครึ่งค่อนเดือนเพราะคราวนี้จะกลับมาหลายวันพอให้ผู้เป็นแม่ได้แช่มชื่นบ้าง



            “พ่อรอง พ่อรองของแม่”คุณชื่นกางอ้อมแขนออกสวมกอดลูกชายเพียงคนเดียวที่ก้าวขึ้นมาบนเรือนด้วยความดีใจ ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเปื้อนยิ้มแบบคนมีความสุข



            “มาเหนื่อย ๆ กินข้าวกินปลามาหรือยังลูก แม่ให้อีผินมันเตรียมของว่างให้กินรองท้องก่อน พ่อรองหิวมั้ยลูก?”



            “ยังไม่หิวขอรับคุณแม่ เมื่อครู่รองแวะไปกราบคุณแม่ใหญ่ที่เรือนมาท่านเลี้ยงขนมมาบ้างแล้วขอรับ”คุณรองที่กราบแม่เสร็จเอ่ยตอบแล้วพากันไปนั่ง



            “กลับมาถึงบ้านแทนที่จะแวะมาหาแม่ก่อน ไม่มีเลย กลับแวะไปหาคนอื่นก่อน”คุณชื่นทำเสียงน้อยอกน้อยใจ



            “โธ่แม่ ก็รถมันต้องจอดหน้าเรือนใหญ่กระผมก็ต้องแวะกราบคุณแม่ใหญ่ก่อนสิขอรับ เธอเห็นแล้วไม่ขึ้นไปก็เดี๋ยวจะเคืองใจกันเปล่า ๆ “คนลูกกล่าวตอบอย่างง้องอน



            ก็แล้วไป นึกว่าคิดถึงคนอื่นก่อนคิดถึงแม่ รองซูบไปหรือเปล่าลูก มาคราวก่อนดูตัวใหญ่กว่านี้นี่”คุณชื่นจับเนื้อจับตัวลูกชายที่ดูซูบลงและคล้ำขึ้น แม้ดวงหน้าจะละม้ายคล้ายคุณเล็กแต่กลับไม่ดูมีสง่าเท่าลูกเรือนนู้นเลยสักนิด



            “กลับมาอยู่บ้านนานก็ดี แม่จะขุนเสียให้อ้วน ช่วงนี้ก็เข้าไปหาเจ้าคุณพ่อท่านบ่อย ๆ นะลูก คุณเล็กดันอุตริแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน คุณใหญ่ก็มาตาย ตอนนี้ก็เหลือแค่รองแล้วนะลูกที่จะเป็นลูกชายคนเดียวเป็นผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวแล้ว ทำตัวให้เจ้าคุณพ่อท่านรักท่านเมตตา อีกหน่อยเรือนใหญ่ท่านก็จะยกให้รองได้ครอบครอง”



            “คิดอะไรอย่างนั้นกันเล่าแม่ รองไม่เคยคิดจะประจบสอพลอใครไม่ว่าจะพ่อหรือเจ้านาย อีกอย่างตาเล็กก็ยังอยู่ไม่ได้ไปไหน พี่ใหญ่เองถึงจะเสียไปแล้วแต่เธอก็มีลูกชายตั้งสองคน แม่อย่าให้รองทำอะไรแบบนั้นเลยนะอย่างไรเสียตาเล็กก็เป็นน้องของรอง คุณพี่กลางกับแม่น้อยก็ด้วย แม่อย่าพูดอะไรที่ทำให้รองต้องบาดหมางกับพี่ ๆ น้อง ๆ เลยนะขอรับ รองขอตัวไปพักก่อนนะแม่ เดินทางมาไกลเหนียวตัวเหลือเกิน”คุณรองผละจากแม่เข้าห้องไปทันที ไม่ฟังเสียงร้องเรียกตามหลังของผู้เป็นแม่เลยสักนิด คุณชื่นได้แต่ถอนหายใจหนักใจขัดใจไปหมดที่ลูกชายไม่ได้ดั่งใจ   



....................................

 
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-06-2020 16:49:25
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 27-06-2020 17:22:51
เหมือนจะมีมารมากั้นนนน
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 27-06-2020 19:44:04
อย่านะ​ อย่าดราม่าก่อนแต่งนะคะ​
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-06-2020 00:46:35
อะๆ เรือนเล็กไม่เลวสิ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 30-06-2020 13:09:01
ต้องต้มน้ำร้อนรอเปล่าค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 14-08-2020 21:29:50
 
“อ้าวเร็วๆ หน่อยสิพวกหล่อน อย่ามัวพิรี้พิไร ไอ้มั่น อาสนะพระจัดเรียงให้เรียบร้อยอย่าทำมักง่าย นังโฉมดอกไม้จัดให้งามให้สมกับเป็นเรือนพระน้ำพระยาอย่ามาทำลวกๆ ข้าไม่ชอบ ตายแล้วอโณ หนูยิ่งจะไปปีนบันไดเล่นแบบนั้นไม่ได้นะ ตกไปหัวหูแตกจะทำยังไง นังพัดถูให้ขึ้นเงานะกระดานน่ะ” คุณหญิงผกาที่ดูจะไม่เห็นด้วยกับการออกเรือนของคุณเล็กและหนูแสนนั้น ในวันนี้กลับวิ่งให้วุ่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่คอยสั่งบ่าวไพร่ให้จัดเรือนให้สวยงาม เพราะในวันนี้จะเป็นงานแต่งของคุณเล็ก แม้จะจัดเป็นการภายในหากแต่ก็ไม่อยากน้อยหน้าใคร นางโฉมกับนางพัดส่งค้อนให้ควักเมื่อโดนสั่งงานจนหัวไม่วางหางไม่เว้น เมื่อคุณหญิงผกาลงจากเรือนเพื่อไปโรงครัวบ่าวสองคนก็ขยับมานินทาผู้เป็นนายทันที

“ตอนแรกล่ะรังคัดรังแคคุณเรือนนู้นพอตอนนี้ล่ะเห่อเสียไม่มี”

“จริง เนี่ย ข้าถูจนกระดานจะสึกเป็นเบ้าขนมครกอยู่แล้วยังไม่ถูกใจท่าน ประเดี๋ยวกลับมาคงให้ข้าขึ้นไปถูหลังคาแน่ ๆ คุณพะยอมเธอจะจัดงานเลี้ยงพระที่เรือนเธอคุณหญิงก็ไม่ยอม ขอให้มาจัดที่เรือนนี้ ถ้าจัดเรือนนู้นป่านนี้เราก็ไม่ต้องมาเหนื่อยอย่างนี้หรอก”

“นั่งนินทาเจ้านายกันอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวคุณหญิงท่านขึ้นมาฟ้าก็ผ่าอีกหรอก” นายมั่นที่จัดอาสนะพระเสร็จแล้วออกปากปรามบ่าวผู้หญิงสองคนด้วยสีหน้าเอือมระอา นางโฉมส่งค้อยให้นายมั่นแล้วจึงหุบปากเสียเมื่อเห็นท่านเจ้าคุณเดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับคุณรองที่กลับพระนครมาร่วมงานแต่งของน้องชาย

“อันที่จริงพ่อก็อยากให้รองย้ายกลับมาประจำที่พระนครนะ ไปอยู่ทางนั้นคนเดียวแม่เขาก็ห่วง บ่นให้พ่อฟังอยู่เรื่อยว่าห่วงลูกคิดถึงลูก”

“ลูกชอบบรรยากาศทางนั้นมากกว่าขอรับเจ้าคุณพ่อ ชาวบ้านก็นิสัยดี กับข้าวกับปลาลูกก็ไม่เคยขาด คนแถวนั้นทำแกงอะไรก็เอามาปันให้เรื่อย แม่เขาห่วงไปเอง”

“ชาวบ้านดีหรือไปถูกใจลูกสาวใครทางนู้นหรือเปล่าพ่อรอง” คนเป็นพ่อเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ คุณรองอมยิ้มน้อย ๆ สีหน้าคร้ามแดดดูมีลับลมคมใน

“ลูกสาวใครล่ะ?”

“หลวงแพทย์ขอรับ”

“คนโตหรือคนเล็ก?” เอ่ยถามออกไปเพราะหลวงแพทย์ที่คุณรองพูดถึงนั้นก็เคยรู้จักกันมาบ้างทราบว่ามีบุตรี 2 คน

“คนโตขอรับ สวย ใจดี พูดจาอ่อนหวานกิริยามารยาทเรียบร้อย” คุณรองพูดถึงอุษาบุตรสาวคนโตของหลวงแพทย์ด้วยน้ำเสียงชวนฟัง ดวงตาเป็นประกายระยิบยามนึกถึงหญิงคนรัก

“ก็น่าจะพามาเสียด้วยกัน”

“ไม่ได้หรอกขอรับ อุษาเขาค่อนข้างระวังตัว เรื่องจะไปค้างอ้างแรมที่ไหนเป็นไม่ไป”

“อย่างนั้นก็ดี ถ้าอยากให้พ่อไปสู่ขอให้เมื่อไหร่ก็ส่งข่าวมานะ พ่อพร้อมจะไปขอมาให้”

“ขอเวลาอีกสักหน่อยเถอะขอรับเจ้าคุณพ่อ แม่อุษาอายุเพิ่งจะย่างสิบแปด พ่อแม่เขายังอยากให้อยู่กับเรือนอีกสักพัก”

“อย่างนั้นก็คงอีกสักสองสามปีสินะ รอได้รึเราน่ะ” คุณรองยิ้มให้กับคำถามของผู้เป็นพ่อ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขล้นในหัวใจ

“รอได้ขอรับ ว่าแต่เจ้าเล็กอยู่ไหนขอรับ?”

“อยู่ในห้องเดิมเขาน่ะ ไอ้มั่นไปนิมนต์พระมาแล้วสักพักก็คงจะถึง”

“เจ้าคุณพ่อไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับกับเรื่องนี้?” คุณรองถามอย่างเป็นห่วง เจ้าคุณสรอรรถยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

“เขาเลือกของเขาแล้ว รักกันมาเป็นสิบปี หากพ่อขัดขวางก็ดูจะใจดำเกินไป เรื่องคู่ครองมันต้องแล้วแต่ใจใครใจมัน หนูแสนเองก็เป็นเด็กดีมีชาติมีตระกูลไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ถ้าพ่อเล็กเขามีความสุข พ่อก็ไม่ขัดอะไร”

“อย่างนั้นกระผมก็สบายใจขอรับ หากเจ้าคุณพ่อมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ เจ้าคุณพ่อคุยกับลูกได้นะขอรับ” คุณรองบอกกับผู้เป็นพ่อด้วยใจที่เป็นห่วง เพราะแม้ภายนอกเจ้าคุณสรอรรถจะดูปล่อยวางและยอมรับได้ แต่ภายในนั้นคุณรองไม่อาจทราบได้เลยสักนิดว่าผู้เป็นพ่อนั้นจะยินดีชมชื่นกับลูกสะใภ้ที่เป็นผู้ชายหรือไม่

สำหรับเขา หนูแสนเองก็เห็นมาแต่น้อย เขาไม่ติดขัดหรือกระอักกระอ่วนอะไรกับการที่จะได้มาเป็นน้องสะใภ้ กลับยินดีด้วยที่สองคนได้ครองคู่กันสมกับที่รอคอยกันมาเนิ่นนาน

ไม่นานพระภิกษุเก้ารูปก็มาถึงเรือน เจ้าคุณสรอรรถกราบนมัสการเจ้าอาวาส พูดคุยกันนิดหน่อยหนูแสนและคุณเล็กก็ออกมาจากในห้อง ทั้งคู่ใส่เสื้อที่ตัดด้วยผ้าไหมสีงาช้างเหมือนกัน นุ่งโจงไม่ได้แต่งแบบสากล หลวงพ่อเองก็ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าอันที่จริงไม่ได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เมื่อคุณเล็กและหนูแสนประเคนเครื่องรับรองถวายอันได้แก่น้ำมะตูมกับน้ำชาจีน คุณเล็กและหนูแสนจึงขยับไปจุดธูปเทียนพุทธบูชาโดยคุณเล็กนั่งทางขวาหนูแสนอยู่ทางด้านซ้าย เมื่อจุดเทียนและธูปปักลงกระถางแล้วทั้งคู่ก็ก้มลงกราบพระพร้อมกันแล้วจึงประเคนสายสิญจน์ให้กับหลวงพ่อที่เป็นประธานสงฆ์ หนูแสนและคุณเล็กนั่งฟังพระสวดให้พรด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข เมื่อเสร็จพีธีสงฆ์แล้วหลวงพ่อก็ทำการซัดน้ำให้กับคู่แต่งงาน ถวายภัตราหารเช้าเรียบร้อยคุณรองกับนายมั่นก็รับหน้าที่ขับรถส่งพระกลับวัด ก่อนจะลงจากเรือนหลวงพ่อได้หยุดให้พรกับคุณเล็กและหนูแสนด้วยเพราะคุ้นกันมาตั้งแต่เด็กสองคนนี้เกิด

“หลวงพ่อขอให้โยมทั้งสองรักกันจนแก่เฒ่า มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขนะ” ทั้งคุณเล็กและหนูแสนก้มลงกราบหลวงพ่อด้วยหัวใจที่แช่มชื่น เมื่อคุณรองกลับมาถึงเรือนแล้ว ทั้งหมดก็เริ่มทยอยกันมารดน้ำสังข์ให้กับคุณเล็กและหนูแสน ท่านเจ้าสัวเช็งให้เกียรติเจ้าคุณสรอรรถและคุณหญิงผกาก่อน เจ้าคุณสรอรรถรับสังข์รดน้ำมาจากคุณน้อยที่ส่งให้ก่อนจะรดลงไปบนมือของลูกทั้งสอง

“พ่อขอให้ลูกทั้งสองครองรักกันอย่างมีความสุขนะ หนักนิดเบาหน่อยให้อภัยกัน รักและให้เกียรติซึ่งกันและกันนะลูก” คุณเล็กและหนูแสนกราบเจ้าคุณสรอรรถด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข คุณหญิงผกาเป็นคนรดน้ำสังข์เป็นรายต่อไป หล่อนหยุดมองหนูแสนครู่หนึ่งก่อนจะรดน้ำสังข์ลงไป

“เป็นลูกสะใภ้แม่แล้วนะหนูแสน แม่ขอฝากตาเล็กให้หนูแสนดูแลด้วยนะ” หนูแสนที่เดิมยังนึกหวั่นใจว่าคุณหญิงผกานั้นลึก ๆ ในใจจะไม่ยอมรับตนในฐานะลูกสะใภ้ แต่พอได้ยินคำพูดจากปากของคุณหญิง ความหนักอึ้งที่อยู่ภายในใจคล้ายจะถูกปลดจนเบาลง ยิ่งคุณหญิงผกายื่นมือมาลูบศีรษะหนูแสนก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปีติ

“เตี่ยฝากหนูแสนให้คุณเล็กดูแลด้วยนะ ถึงหนูแสนจะเป็นลูกชาย แต่เตี่ยก็เลี้ยงมาอย่างดีรักและทะนุถนอมมาก หากหนูแสนทำอะไรผิดให้มาบอกเตี่ยกับแม่ หากวันไหนหมดรักหรืออยู่กันไม่ได้เตี่ยจะขอลูกคืน”

“กระผมสัญญากับคุณเตี่ยว่ากระผมจะรักและดูแลหนูแสนให้เหมือนแก้วมณีล้ำค่า หากวันใดหนูแสนต้องร้องไห้ หนูแสนจะร้องไห้เพราะมีความสุขมากเท่านั้นขอรับ กระผมจะไม่ทำให้หนูแสนต้องเสียใจหรือคิดว่าตัวเองคิดผิดที่เลือกแต่งงานกับกระผมเลยแม้แต่วินาทีเดียว” คุณเล็กให้คำมั่นด้วยดวงตาที่แน่วแน่ ทุกคำที่กล่าวออกไปล้วนกลั่นออกมาจากใจไม่มีความเท็จเลยสักเพียงนิด หนูแสนยิ้มออกมาเบาๆ อย่างตื้นตันใจ ไม่ต่างกับเจ้าสัวเช็งที่พยักหน้ารับอย่างพอใจ

“ดี ฉันเชื่อใจคุณเล็ก” เจ้าสัวเช็งยื่นสังข์คืนให้กับคุณน้อย คุณพะยอมยิ้มให้กับลูกเมื่อเห็นหนูแสนมีหยาดน้ำตาไหลรินสองข้างแก้ม

“แม่ขอให้หนูแสนมีความสุขความเจริญนะลูกนะ ฝากน้องด้วยนะคะคุณเล็กหนักนิดเบาหน่อยให้อภัยกัน หากมีอะไรไม่พอใจกันอย่าหันหลังให้กันนะคะ ตอนนี้คุณเล็กและหนูแสนมีชีวิตในอีกแบบหนึ่งแล้วช่วยกันประคับประคอง พ่อกับแม่ก็จะคอยมองห่าง ๆ นะคะ” คุณเล็กและหนูแสนไหว้รับพรของคุณพะยอม หลังจากนั้นบรรดาญาติคนอื่นๆ ก็ทยอยกันมารดน้ำสังข์ให้กับทั้งคู่ หลังจากเสร็จพิธีรดน้ำสังข์และผูกข้อไม้ข้อมือท่านเจ้าคุณสรอรรถก็เรียกทุกคนมานั่งล้องวงเพื่อมอบสินสอดให้กับเจ้าสัวและคุณพะยอม

“ฉันรู้ว่าเจ้าสัวไม่ได้อยากได้ไม่เคยเรียกร้องสินสอดทองหมั้น แต่เพื่อเป็นค่าข้าวป้อนน้ำนมที่เจ้าสัวและคุณพะยอมเลี้ยงหนูแสนจนเติบใหญ่มาเป็นคู่เรียงเคียงหมอนกับลูกชายของฉัน เพื่อให้เห็นว่าฉันและครอบครัวเห็นค่าของหนูแสนจริง ๆ ฉันและแม่ผกาเลยปรึกษากันว่าจะให้ค่าสินสอดให้สมฐานะ ฉันขอมอบเงินร้อยชั่ง ทองยี่สิบบาท ให้เป็นค่าสินสอดหนูแสนไม่ทราบว่าท่านเจ้าสัวจะขัดข้องหรือไม่” ท่านเจ้าคุณรับถุงเงินจากบ่าวเอาวางลงตรงเบื้องหน้าเจ้าสัวเช็ง

“ส่วนแหวนแต่งงานแม่ผกาเขาจะยกวงที่ฉันใช้หมั้นเขาให้หนูแสน เล็กเอาแหวนสวมให้น้องสิ น่าจะใส่กันได้อยู่ ใส่ไปก่อนถ้าหลวมหรือคับไปเดี๋ยวพ่อจะให้ช่างเขาแก้ให้” คุณเล็กขยับเข้าไปรับแหวนที่ผู้เป็นแม่ยื่นให้แล้วจึงจับมือน้อยของน้องมาสวมแหวนเพชรล้อมด้วยนพเก้าน้ำงามยามเมื่อเข้าไปอยู่บนนิ้วเรียวขาวของหนูแสนยิ่งดูเปล่งประกายงามจับตา หนูแสนยกมือไหว้พ่อแม่ของคุณเล็ก เมื่อเจ้าคุณสรอรรถมอบสินสอดให้เสร็จ เจ้าสัวเช็งก็พยักหน้าให้กับคุณพะยอม ยายแช่มรีบประเคนพานทองใบใหญ่ที่จัดมาอย่างดีให้ผู้เป็นนายทันทีอย่างรู้งาน

“ฉันเองก็เตรียมทุนรอนเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ลูกเขยและลูกชายของฉันเหมือนกัน ลูกของฉันมีค่าน้ำนม ลูกของท่านเองก็เลี้ยงมาด้วยความรักความยากลำบากเหมือนกัน ฉันไม่อยากให้ใครมามองว่าหนูแสนเป็นลูกจีนลูกเจ๊กจะต้องมาเกาะผัวกิน ฉันก็ขอมอบเงินร้อยชั่ง ทองยี่สิบบาท เครื่องมรกตล้อมเพชร โฉนดตึกแถวตรงเจริญนครให้กับคุณเล็กและหนูแสนไว้ลงทุนทำการค้าให้งอกเงยในภายหน้า เงินตรงส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับกงสีที่หนูแสนจะได้นะลูก เตี่ยให้เอาไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็นหรือคิดจะทำการค้าอยากจะทำอะไรที่ต้องใช้เงินมากลูกก็เอาตรงส่วนนี้ไปใช้นะลูกนะ” เจ้าสัวเช็งบอกกับลูกชายคนเล็กด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความรักใคร่ ก่อนจะถอดแหวนทองวงใหญ่ที่สวมติดนิ้วมาตลอดยื่นให้หนูแสน

“สวมให้พี่เขาสิลูก ถือเป็นแหวนแต่งงานที่เตี่ยให้” หนูแสนก้มลงกราบผู้เป็นพ่อด้วยหัวใจที่เต็มตื้น รู้ทั้งรู้ว่าคุณเตี่ยรักแหวนวงนี้มากเพียงใดแต่ก็ยอมถอดให้หนูแสนใช้เป็นแหวนแต่งงาน นั่นหมายความว่าคุณเตี่ยนั้นรับคุณเล็กเข้ามาเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของบ้านอย่างเต็มใจ หนูแสนมองหน้าคุณเล็ก พลันใบหน้าก็ขึ้นริ้วแดงเมื่อเห็นสายตาที่จ้องมานั้นพราวระยิบคล้ายผิวน้ำในยามสายที่ต้องแสงตะวัน มีทั้งความอบอุ่นและรักใคร่ แหวนทองวงใหญ่ถูกสวมลงบนนิ้วของคุณเล็กด้วยความตั้งใจ ความรู้สึกทั้งรัก ผูกพัน หวงแหน และภักดีถูกสวมลงไปจนสุดโคนนิ้วตีตราความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์ สลักรักลงไปเป็นพันธะสัญญาว่าต่อจากนี้คนทั้งคู่จะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตร่วมกันจนกว่าจะตายจาก หนูแสนยกมือไหว้คุณเล็กตามธรรมเนียมซึ่งคุณเล็กก็รับไหว้ตอบ ทั้งคู่ขยับกายหันหน้าไปหาบุพการีทั้งสองฝั่งก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อแม่ทั้งสองบ้าน คุณพะยอมนั้นตื้นตันถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เจ้าสัวเช็งและเจ้าคุณสรอรรถมองลูกๆ ด้วยสายตาของความรักใคร่ ส่วนคุณหญิงผกาแอบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหางตาเบา ๆ พอเห็นคนเป็นลูกมีความสุขแล้วใจคนเป็นแม่ก็พลอยอิ่มเอมตามไปด้วยเมื่อคุณเล็กและหนูแสนขยับมากราบตนคุณหญิงผกาก็ดึงตัวหนูแสนเข้ามากอด

ถึงแม้เคยรู้สึกไม่ดีที่ต้องได้ลูกสะใภ้เป็นผู้ชาย แต่พอเป็นหนูแสนแล้ว ความดี ความอ่อนโยน ความเสมอต้นเสมอปลายที่หนูแสนมีให้กับครอบครัวของตนนั้นเป็นสิ่งที่เห็นมาตลอด แม้จะทำใจแข็งปานหินเพียงใดแต่หนูแสนกลับเหมือนน้ำที่ค่อยๆ หยดลงบนหินทีละน้อยแต่สม่ำเสมอ มันไม่เหมือนคราวที่คุณใหญ่กับคุณสนออกเรือน

เมื่อได้ลูกสะใภ้ที่พิเศษกว่าใครหล่อนก็ยิ่งควรถนอมไว้

“อยู่กับแม่กับพี่เขาไปนานๆ นะลูก”
 
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 14-08-2020 21:32:57
     หลังเสร็จพิธีในช่วงเช้าซึ่งกินเวลาไปจนถึงกลางวัน มีการนิมนต์พระมาถวายเพลอีกรอบแล้วร่วมกินข้าวด้วยกันในบรรดาญาติ ๆ ก็เป็นอันเสร็จพิธี หนูแสนต้องกลับไปพักที่เรือนของตัวเองก่อนเพราะยังไม่ถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหอ บ่าวไพร่เริ่มเก็บข้าวของทำความสะอาด ญาติที่มาร่วมงานก็ทยอยกลับโดยมีท่านเจ้าคุณเดินไปส่งด้วยตัวเอง บรรดาญาติ ๆ ต่างชมหนูแสนถึงกิริยามารยาทที่ผิดกับคุณสนในตอนที่แต่งกับคุณใหญ่

“แม่สนก็ส่วนแม่สนหนูแสนก็ส่วนหนูแสนเขาคนละคนกันจะเอามาเปรียบกันไม่ได้ พวกหล่อนก็เห็นแล้วนี่ว่าตอนนี้แม่สนเขาเปลี่ยนไปแล้ว”

“ก็จริงเจ้าค่ะคุณพี่”

“ยังไงฉันก็ขอร้องพวกหล่อน ในฐานะอาของตาเล็ก เห็นแก่หลาน เห็นแกพี่ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของทั้งตาเล็กทั้งพี่คงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี”

“คุณพี่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ชื่อเสียงของคุณพี่ก็เป็นชื่อเสียงของพวกเราเหมือนกัน” บรรดาคุณอาของคุณเล็กรับปากเป็นมั่นเหมาะทำให้เจ้าคุณสรอรรถค่อยคลายความกังวลใจไปได้บ้าง

 
เวลาผ่านไปจนกระทั่งค่ำ เมื่อได้เวลาส่งตัวเข้าหอ หนูแสนและคุณเล็กก็มาที่เรือนแพโดยมีคุณพะยอมและเจ้าสัวรับหน้าที่นอนบนเตียงเพื่อเอาเคล็ดให้คู่แต่งงานใหม่ครองคู่กันไปจนแก่เฒ่าและไม่มีเรื่องระหองระแหงใจกันเช่นคุณพะยอมและเจ้าสัว พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต่างนั่งเพื่อให้พรแก่ลูก ๆ เป็นอันเสร็จพิธี ทั้งหมดจึงแยกย้ายกลับ บัดนี้เรือนแพจึงเหลือเพียงคุณเล็กและหนูแสนในห้องหอเพียงลำพัง

ความเงียบเข้าปกคลุมอย่างน่าประหลาด แม้แต่เสียงหริ่งเรไรหรือจักจั่นสักตัวก็ไม่มีให้ได้ยิน มีเพียงเสียงปลากระโดดเป็นครั้งคราวอยู่ด้านนอก เสียงกอไผ่ที่เสียดสีกันยามลมพัดหอบเอาความหนาวเย็นของฤดูมาเท่านั้น
ต่างคนต่างประหม่า ยิ่งหนูแสนด้วยแล้วยิ่งไม่กล้าสบสายตาของคุณเล็กเลยสักนิด ภายในห้องหอเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามราวกับจะหลุดกระเด็นออกมานอกอก คุณเล็กเอื้อมมือไปจับมือหนูแสนมากุมไว้ มือน้องนั้นเย็นเฉียบจนน่าตกใจ
“กลัวคุณเล็กหรือคะ?” เอ่ยปากถามท่ามกลางความเงียบ เจ้าตัวน้อยส่ายหน้า

“เปล่าคะ ไม่ได้กลัว”

“แล้วทำไมมือเย็นอย่างนี้ล่ะคะ สั่นด้วย” คลึงหัวแม่มือลงบนหลังมือน้องอย่างแผ่วเบา ยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นแก้มขาวของน้องแดงเรื่อ ยิ่งดวงตากลมนั้นช้อนขึ้นสบหนูแสนในยามนี้ยิ่งน่ารักน่าชังไปเสียหมด

“หนูแสนรู้ไหมคะว่าคุณเล็กดีใจที่เราสองคนมีวันนี้ วันที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน”

“หนูแสนก็ดีใจค่ะ” หนูแสนตอบกลับด้วยความสัตย์จริง ทั้งคู่รักและรอกันมายาวนานนับสิบปี ผ่านอุปสรรคระหว่างคนในครอบครัวมาจนคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ในตอนนี้ วินาทีนี้ การได้แต่งงานกันโดยความยินยอมของพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความฝันเสียเหลือเกิน

“แล้วรู้ไหมคะ ว่าคุณเล็กรักหนูแสน รักจนไม่รู้ว่าจะรักน้อยกว่านี้ได้หรือเปล่า เพราะนับวันคุณเล็กก็มีแต่จะรักหนูแสนมากยิ่งขึ้น” คุณเล็กเชยคางหนูแสนให้เงยขึ้นสบตากับตนตรง ๆ

“ขอบคุณหนูแสนนะคะที่มาเป็นยอดดวงใจของคุณเล็ก คุณเล็กสัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อหนูแสนคนเดียว จะไม่ชายตาและใครไม่ว่าจะหญิงหรือชาย คุณเล็กจะเป็นของหนูแสนเพียงคนเดียว แค่คนเดียว หากแม้นผิดคำสัญญาขอให้คุณเล็กมีอัน...” น้ำเสียงของคุณเล็กขาดหายเมื่อริมฝีปากอุ่นของหนูแสนทาบทับลงมาอย่างอ่อนโยน ในคราแรกคุณเล็กตกใจแต่พอตั้งสติได้มือหนาก็ประคองท้ายทอยของน้องไว้แล้วจูบตอบอย่างอ่อนโยน

เป็นจูบครั้งแรกของคนสองคน คนที่แค่จะจับมือก็ยังต้องขออนุญาตเพราะกลัวน้องจะเป็นราคี กลัวจะเป็นการลดเกียรติของน้อง แต่ในตอนนี้เขามีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวหนูแสน เหมือนที่หนูแสนเองก็มีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวของเขา

แม้จะเป็นจุมพิตที่แสนเงอะเงิ่นเพราะต่างคนต่างก็ไม่เคยทำแบบนี้กับใครหากแต่ธรรมชาติจะเป็นฝ่ายชักนำไปเอง เสื้อสีขาวถูกปลดกระดุมจนหมดเผยผิวขาวลออ เนื้อตัวของหนูแสนนั้นนวลเนียนสะอาดตา กลิ่นหอมติดกายทำอารมณ์ของคุณเล็กค่อยๆ ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากคลอเคลียดูดดึงไม่ผละออก ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกวาดต้อนดึงอารมณ์รักของหนูแสนให้ค่อย ๆ คล้อยตามมาทีละน้อย ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนต้องประคองให้นอนลงบนเตียงอย่างช้า ๆ ยามเมื่อน้องขยุ้มอกเสื้อคุณเล็กจึงจำต้องผละออกอย่างอ้อยอิ่งเสียดาย ใบหน้าของหนูแสนในตอนนี้น่ารักน่าชังอีกทั้งน่ารังแกเสียเหลือเกิน

“รัก รักเหลือเกินรู้ไหมคะ” เอ่ยคำหวานรื่นหูให้น้องฟัง ดวงตาที่เคยคมดุต่อหน้าคนอื่นบัดนี้หวานเชื่อมราวกับน้ำตาลเชื่อมที่เคลือบบนผิวขนมด้วยเกิดจากอารมณ์รักและความปรารถนาที่จะได้ครอบครองเจ้าน้องน้อยทั้งกายและใจ หนูแสนลูบแก้มของคุณเล็กแผ่วเบาราวกับอยากจะทะนุถนอมคนตรงหน้าไม่ให้สึกกร่อนก่อนกาลเวลา

“หนูแสนก็รักคุณเล็กค่ะ รักมากเหลือเกิน”

“เป็นของคุณเล็กนะคะ คุณเล็กสัญญาว่าจะรักและถนอมหนูแสนให้เหมือนมณีอันล้ำค่า จะดูแลยามป่วยไข้ จะเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ให้หนูแสนเก็บ หากอยากได้อะไรขอให้บอกคุณเล็ก หากไม่เกินความสามารถคุณเล็กจะเอามาวางกองแทบเท้าหนูแสนเอง ขอแค่เอ่ยปากบอก...”

“อยากได้แค่คุณเล็กค่ะ แค่คุณเล็กเพียงคนเดียว” หนูแสนเอ่ยพูดก่อนที่คุณเล็กจะพูดจบ ดวงตากลมส่องประกายระยิบระยับด้วยแรงปรารถนาที่วิ่งพล่านอยู่ในอก

คุณเล็กส่งยิ้มพึงใจก่อนจะค่อยๆ โน้มกายเข้าหา แม้จะเงอะเงิ่นเพราะเขาเองก็ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร สู้อุตส่าห์เก็บกายเก็บใจไว้เพื่อหนูแสน แต่ร่างกายและหัวใจจะทำตามความปรารถนาเอง เสื้อผ้าบนร่างที่เหลือถูกปลดเปลื้องทิ้งลงพื้นทีละชิ้นก่อนพายุอารมณ์จะเริ่มต้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน
 
รื่นรื่นลมแผ่วพัด
แพสงัดไร้สุ้มเสียง
ไหวไหวชายตาเพียง
เชิญร่วมเรียงเคียงข้างไป
ร่ำร่ำใจรอนรอน
อาวรณ์รักปักกลางใจ
วาบวาบหวามหรือไม่
ต่างเข้าใจสื่อนัยย์ตา
ร้อนร้อนเล่ห์รัญจวน
ลมพัดหวนเสน่หา
หึ่งหึ่งใช่เสียงฟ้า
ดำฤษณาพาคร่ำครวญ
ริกริกระยับพราย
เส้นเงาสายชิดเชิญชวน
อุ่นอุ่นอ้อมกอดล้วน
ถนอมนวลมณีริน
เอื่อยเอื่อยธารน้ำไหล
แพสั่นไหวไม่จบสิ้น
ซ่านซ่านรักหวานลิ้น
จักดื่มกินตราบชีพวาย
 
 
กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารปลุกให้คุณเล็กที่นอนหลับสนิทเมื่อช่วงก่อนจะรุ่งได้ไม่นานรู้สึกตัวตื่น ชายหนุ่มขยับผ้าห่มที่คลุมกายออกเผยให้เห็นแผงอกครัดแน่นสมชาย เหลือบมองไปยังที่ว่างด้านข้างที่เคยมีร่างของเจ้าน้องน้อยอยู่ในอ้อมกอดตลอดคืนแล้วก็เผยยิ้มแห่งความสุขออกมา คุณเล็กก้าวออกจากห้องนอน เดินออกมาเพียงนิดก็เป็นครัวเล็กๆ ที่บัดนี้มีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาโดยครบถ้วนกำลังสาละวนทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว หนูแสนคนข้าวต้มกุ้งที่ใกล้จะยกลงอีกครั้งโดยไม่ได้สังเกตว่าคุณเล็กมายืนข้างหลัง กว่าจะรู้ตัวเอวบางก็ถูกสวมกอดแล้วดึงเข้าไปหาจนหลังชิดแผ่นอกเปลือยของผู้เป็นสามี แก้มขาวถูกหอมจนดังฟอดใหญ่อย่างแสนรักแสนใคร่

“อย่าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวมาเห็นจะไม่งาม”

“ไม่งามตรงไหนคะ คุณเล็กหอมแก้มเมียตัวเอง พันรู้มีรู้ ใครต่อใครก็รู้” คุณเล็กเถียงตาใส หนูแสนหันไปส่งค้อนแล้วตีแขนคุณเล็กเบา ๆ

“คุณเล็กนี่ก็ชอบแกล้งหนูแสนเสียจริง ปล่อยก่อนค่ะ หนูแสนจะยกหม้อลง”

“หอมแก้มคุณเล็กก่อนสิคะแล้วจะปล่อย” นอกจากไม่ปล่อยแล้วคุณเล็กยังฟัดแก้มหนูแสนจนแทบจะช้ำ หนูแสนอ่อนอกอ่อนใจกับความเจ้าเล่ห์ของคุณเล็กเสียเหลือเกิน หากใครมาเห็นคงไม่เชื่อตาตัวเองเป็นแน่ว่านี่คือคุณเล็กผู้แสนเงียบขรึม มีเพียงหนูแสนเท่านั้นที่ได้เห็นคุณเล็กแสนขี้เล่นคนนี้เท่านั้น เมื่อเห็นว่าดื้อดึงไปรังแต่จะชักช้าเสียเวลา หรือแสนจึงยอมหันไปกดปลายจมูกลงบนแก้มของคุณเล็ก นั่นแหละเจ้าตัวถึงยอมคลายอ้อมกอด แต่ก็ไม่ยอมไปไหนไกล คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ คล้ายแมวที่เดินพันแข้งพันขาไม่ได้ห่าง

“หนูแสนไม่เจ็บแล้วหรือคะ?” เอ่ยถามเมื่อไม่เห็นหนูแสนมีท่าทางเจ็บบั้นเอวยังคงเดินเหินได้คล่อง แต่คนถูกถามนั้นบัดนี้หน้าขึ้นสีร้อนเห่อราวกับโดนไอจากกาน้ำร้อนพัดมาประทะ

ดูเถิด ใครเขาให้มาถามอะไรประเจิดประเจ้ออย่างนี้กันเล่า ช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง

นึกค่อนคุณเล็กในใจ

“เจ็บนิดหน่อยค่ะ” แต่ก็ยังตอบ ถือเสียว่าตอบให้คลายสงสัยจะได้ไม่ถามอะไรน่าอายอย่างนี้อีก

“เจ็บแล้วทำไมไม่นอนต่อละคะ ลุกมาทำกับข้าวทำไม?”

“ก็ลุกมาเตรียมอาหารเช้าให้คุณเล็กไงคะ วันนี้หนูแสนทำข้าวต้มกุ้ง แต่ถ้าคุณเล็กอยากทานเบรกฟาสแบบฝรั่งเมื่อวานกุ๊กเฮงทำขนมปังเดี๋ยวหนูแสนไปเอามาให้ ทอดไข่ดาวกับแฮมก็ทานได้แล้วค่ะ”

“แล้วแกงจืดนี่ทำไปทำไมคะ?” คุณเล็กมองไปที่หม้อแกงจืดที่ส่งกลิ่นหอมจากต้นหอมขึ้นฉ่ายอีกทั้งยังมีข้าวที่หนูแสนดงไว้บนเตาด้วยความสงสัย

“อ๋อ แกงจืดกับข้าวสวยหนูแสนทำไว้ตักบาตรค่ะ คุณเล็กรอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวหนูแสนไปเตรียมน้ำล้างหน้าให้จะได้ออกไปใส่บาตรด้วยกัน ตะวันจะขึ้นแล้วประเดี๋ยวหลวงตาคงมาบิณฑบาต” หนูแสนหันไปบอกคุณเล็กให้เข้าไปรอในห้อง เมื่อจัดการงานครัวทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเตรียมเหยือกน้ำกับอ่างสำหรับล้างหน้า หยดโคโลญจน์ลงไปในน้ำเล็กน้อย กิ่งข่อยกับเกลือสะตุสำหรับสีฟันจัดใส่ถาดใบเล็กพร้อมด้วยผ้าใช้สำหรับซับหน้าอบร่ำจนหอมกรุ่น

คุณเล็กนั้นกล้าพูดได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาในชีวิต การได้รักหนูแสนนั้นถือเป็นความสุขแล้ว แต่การได้หนูแสนมาเป็นภรรยานั้นกลับทำให้เขากลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

การได้เห็นหน้าหนูแสนเป็นคนสุดท้ายยามหลับ และเป็นคนแรกที่ได้เห็นยามตื่นมันทำให้หัวใจของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความสุข

ทุกการกระทำของหนูแสนนั้นงดงามตรึงใจ ไม่มีอะไรขัดตาเลยสักนิด หากจะให้บอกรักหนูแสนทั้งวันเขาก็ทำได้เพราะหนูแสนนั้นควรค่าแก่การได้รัก เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าสัวเช็งและคุณพะยอมพ่อตาแม่ยายหวงแหนรักและทะนุถนอมหนูแสนดุจเป็นลูกสาว เพราะหนูแสนนั้นดีด้วยเนื้อแท้ของนิสัยใจคอ อีกทั้งการดำเนินชีวิตนั้นเรียบร้อยหมดจรด หลังจากล้างหน้าล้างตาจนสดชื่นแล้วคุณเล็กก็เอาเสื้อมาใส่เพื่อออกไปตักบาตรกับหนูแสน หากเป็นเมื่อก่อนเขาต้องเดินไปหาหนูแสนที่บ้าน แต่ในวันนี้วันที่ได้มาใช้ชีวิตแบบคู่ผัวตัวเมียด้วยกันสถานที่ก็เปลี่ยนไป บัดนี้ทั้งคู่ช่วยกันตักบาตรที่เรือนแพของตนเอง เมื่อตักบาตรเสร็จหนูแสนก็จัดเตรียมอาหารให้กับคุณเล็ก กาแฟชั้นดีถูกต้ม ขนมปังจัดใส่ตะกร้าหวายใบเล็กดูน่าทาน มีถ้วยใส่แยมผลไม้ที่ทำเองรวมทั้งเนยวางเคียงกัน เบค่อนทอดกรอบพอดีกับไข่ดาววางจัดจานน่ากิน

“ขอข้าวต้มด้วยค่ะ” เอ่ยบอกกับภรรยาด้วยคำหวาน หนูแสนตักข้าวต้มกุ้งใส่ถ้วยโรยต้นหอมกับขึ้นฉ่ายซอยกับขิงที่ขยำเกลือลดความเผ็ดใส่ลงไป ทั้งสองนั่งกินข้าวด้วยกัน คุยกันเบาๆ เป็นชีวิตคู่ที่เรียบง่ายแต่มีความสุข
คุณเล็กคิดว่าชั่วชีวิตนี้ของตนนั้นหาได้ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์หรือแก้วแหวนเงินทองอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดนั่งอยู่ข้างๆ เขา
ทั้งคู่ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเช่นเดิม คุณเล็กยังคงต้องไปทำงานในวันปรกติ หนูแสนยังคงไปช่วยคุณพะยอมที่โรงงานน้ำอบ แต่ก็ยังแบ่งเวลามาดูแลคุณหญิงผกาไม่ได้ขาดตกบกพร่อง บ่าวไพร่ที่เมื่อแรกนึกรังคัดรังแคที่คุณเล็กเป็นพวกลักเพศพอเวลาผ่านไปด้วยความดีที่หนูแสนมีความเมตตาที่หยิบยื่นให้ ในที่สุดทุกคนก็ยอมรับหนูแสนในฐานะภรรยาของคุณเล็ก ยอมรับให้เป็นนายของตนอีกคนหนึ่ง การมีครอบครัวและการได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ทำให้หนูแสนต้องรอบคอบในทุก ๆ ด้าน อะไรที่ทำแล้วไม่เป็นผลดีกับคุณเล็กหนูแสนก็จะไม่ทำ หรือหากจะทำอะไรก็จะปรึกษาคุณเล็กรวมทั้งเจ้าสัวเช็งผู้เป็นพ่อและเจ้าคุณสรอรรถพ่อสามี

“วันนี้คุณเล็กอาจจะต้องกลับค่ำหน่อยนะคะ ต้องแวะไปงานเลี้ยงของท่านชายอาทิตย์” คุณเล็กบอกหนูแสนที่ช่วยติดกระดุมเสื้อให้

“ได้ค่ะ จะกลับมืดมากไหมคะ?”

“ยังไม่ทราบเลยค่ะ หนูแสนทานข้าวไปก่อนเลยนะคะไม่ต้องรอ ถ้าเหงาก็ขึ้นไปทานข้าวกับเจ้าคุณพ่อกับแม่ที่เรือนใหญ่ก็ได้นะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูแสนเก็บกับข้าวไว้รอนะคะ เผื่อกินจากงานไม่อิ่มกลับมาจะได้มีกิน”

“กลับมาก็ไม่อยากกินข้าวค่ะ อยากกินอย่างอื่นมากกว่า”

“อยากทานอะไรคะ หนูแสนจะได้เตรียมไว้ให้”

“อยากกินเมียค่ะ เตรียมไว้ให้ได้หรือเปล่า” คุณเล็กตอบด้วยสายตากรุ้มกริ่มแถมยังฉวยโอกาสหอมแก้มของหนูแสนเสียฟอดใหญ่ หนูแสนทุบอกคุณเล็กเบา ๆ หน้าแดงลามไปถึงหูและคอ

“เซี้ยวแท้เชียวค่ะ ไปทำงานได้แล้ว ประเดี๋ยวสายมาโทษหนูแสนไม่ได้นะคะ”

“ไม่อยากไปเลย อยากลาออกมาอยู่กับเมีย” ยังไม่วายแกล้งหยอกหนูแสนให้เขินเล่น

“ก็ออกมาช่วยคุณเตี่ยไงคะ ที่ดินที่สาทรหนูแสนว่าจะปลูกตึกแถวให้คนเช่าทำสำนักงาน หรือคุณเล็กจะไปเปิดสำนักงานกฎหมายเองด้วยก็ได้ คุณเล็กว่าดีไหมคะ”

“การลงทุนมันเยอะอยู่นะคะ ต้องมาคุยรายละเอียดกันอีกที แต่ให้คนเช่ามันก็ดี ดีกว่าปล่อยที่ไว้เปล่า ๆ ยังไงเดี๋ยววันหยุดเรามาคุยกันเรื่องนี้นะคะ ตอนนี้คุณเล็กไปทำงานก่อน ขอกำลังใจหน่อยได้ไหมคะ?” แกล้งยื่นแก้มไปหาน้องซึ่งหนูแสนก็ยอมหอมแก้มแต่โดยดี

เพียงแค่นี้คุณเล็กก็ใจฟูหน้าบานเป็นกระด้งทาชันออกไปทำงานได้ทุกวัน หลังจากคุณเล็กออกไปทำงานแล้วหนูแสนก็กลับเข้ามาในห้องนอนเพื่อเก็บเตียงและกะว่าจะทำความสะอาดห้องใหม่ ใช้เวลานานนับชั่วโมงในการเก็บกวาดจนมาหยุดที่โต๊ะทำงานของคุณเล็ก เอกสารราชการและคดีความต่างๆ ถูกวางซ้อน ๆ กันไว้ไม่เป็นระเบียบนัก ด้วยช่วงนี้งานของคุณเล็กค่อนข้างมาก หนูแสนไม่ได้ขยับย้ายที่เอกสารเหล่านั้น ทำเพียงแค่จัดให้เข้าที่เข้าทาง ปากกาและจดหมายต่างๆ ถูกเรียงใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเปิดลิ้นชักก็เจอกล่องเหล็กลวดลายสวยงามวางอยู่ เมื่อเปิดออกดูก็พบจดหมายที่มีลายมือจ่าหน้าซองแสนคุ้นตา จดหมายที่หนูแสนเขียนหาคุณเล็กตลอดหลายปีที่คุณเล็กไปเรียนที่ฝรั่งเศส คุณเล็กเขียนเลขกำกับไว้ทั้งหมดว่าเป็นฉบับที่เท่าไหร่ ในกล่องปรากฏกระดาษแผ่นหนึ่งพับรวมกันอยู่ในนั้น เมื่อเปิดออกอ่านก็พบว่าเป็นกลอนบทสั้น ๆ แต่จับใจหนูแสนเสียเหลือเกิน เนื้อหาที่บ่งบอกถึงความรักความคิดถึงที่มีให้กันตลอดเก้าปีที่ต้องร้างห่างไกล

วาดความรักร้อยเรียงเคียงอักษร
ด้วยอาวรณ์คิดถึงจึงเขียนหา
ทุกทุกครั้งจรดหมายปลายปากกา
ให้รู้ว่าในอุรา “แสนคำนึง”

หนูแสนพับกระดาษกลอนใบนั้นเก็บกลับที่เดิมด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่น

ไม่มีอีกแล้ว

ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายหากันอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีอีกแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีการร้างห่างไกลให้ต้องคิดถึงอีกแล้ว

ตอนนี้ เวลานี้ ได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ จนได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้วก็จะไม่พรากจากกันไปไหนอีกแล้ว

ยกกล่องจดหมายขึ้นมากอดแนบอกด้วยความสุขที่ปริ่มล้นในใจ

จากนี้ไปจะอยู่ครองคู่กันชั่วนิรันดร์ตราบจนวาระสุดท้ายของลมหายใจ จนกว่าลมหายใจจะสิ้น
 
จบบริบูรณ์
 
................................


คงต้องลากันแล้ว....ตอนสุดท้ายแล้ว
หวังว่าทุกคนจะยังติดตามเรื่องต่อ ๆ ไปของเรานะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกหัวใจ ทุกโดเนทที่มอบให้นะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เดินทางด้วยกันมาจนเกือบจะสุดปลายทางแล้ว
 
เจอกันในเล่มนะคะ

หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๑๙ ((๑๐๐%)) ๒๗ มิ.ย พ.ศ.๒๕๖๓ คห.๑๘๗
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 14-08-2020 22:08:36
อย่าลืมอัพหัวข้อนะคะ
เดี๋ยวอ่านแล้วจะมาคอมเม้นท์นะ

..............
งดงามและซึ้งมากค่ะ ชอบวายพีเรียดที่ละเมียดละไมแบบนี้ มันดูไม่ลูกกวาดดี
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 15-08-2020 07:30:19
ซับน้ำตา​ อิ่มเอมใจเป็นที่สุด​ต่อไปก็เรื่องของแสนดีนะคะ​ (รอน้องแสนดีอยู่ 555) เห็นหนูแสนได้สามีดีอย่างคุณเล็ก​ เราก็อยากมีแบบนี้บ้าง​ 555​ อยากได้แฟนเป็นหมอต้องทำไง​ ฮืออออออออออ​ คุมหมออออออออ
ขอบคุณ​สําหรับ​นิยาย​ดี​ๆนะคะ​ รอแสนดีนะคะ​ ^^
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Ritawongishere ที่ 15-08-2020 10:47:23
เย้~~~ จบแล้วววว รอมาต่ออีกเรื่องอยู่นะคะ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-08-2020 03:05:27
ขอบคุณมากๆเลยครับบ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-08-2020 08:34:39
ดีงามแท้
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-08-2020 20:19:18
ขอบคุณมากนะคะ เรื่องนี้ให้ข้อคิดได้หลายเรื่องเลยค่ะ
ตัวละครแต่ละคนคือเรียนรู้จากสิ่งที่พลาดได้เยอะ

คุณเล็กคือรักมั่นคง และหนูแสนก็น่าเอ็นดู เชื่อมั่นและรอคอยไม่ต่างกัน
ทั้งคุณเล็กและหนูแสน อยู่ในมุมที่กดดันไม่ต่างกัน แต่เลือกใช้ชีวิต
ถึงบางทีจะเลี่ยงที่จะรับรู้ไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าต้องเผชิญและเจ็บปวด

สนเติบโตได้ดีนะ เลือกใช้ชีวิตได้ดี ถึงจะเป็นคนอารมณ์ร้าย
เพราะต้องการความสนใจและกดดันจากครอบครัว
แต่ถ้าไม่พลาดเรื่องคุณใหม่ สนมีชีวิตที่ดีเลยแหละ

สำหรับเรื่องคุณใหญ่ ถ้าจะเจอแบบนี้ ก็ไม่แปลกใจ
เล่นกับความรู้สึกคนอื่น เรื่องความรุนแรง ไม่ได้สนับสนุนนะ
แต่ความไม่สำนึกของคนเรา มันนำพาให้เกิด

บทส่งท้ายช่วยฮีลใจได้เยอะเลยค่ะ หนูแสนละมุนมากจ้า
และคุณเล็กก็อบอุ่นมาก คุ้มกับสิบปีที่รอคอย

เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ เป็นนิยายที่ดีมากค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 19-09-2020 21:13:40
อบอุ่นในหัวใจจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: แสนคำนึง (Period) ตอนที่ ๒๐ ((๑๐๐%)) ๑๔ ส.ค พ.ศ.๒๕๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-09-2020 17:57:24
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: