บทที่๕
“โอ๊ย เสี่ยวซุนไม่ได้เรื่องเลย!” มู่ซูฮวากระแทกเสียงอย่างขัดใจ ร่างบางโยนกระบี่ในมือทิ้งก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น มือเรียวปัดเศษดินและใบไม้ที่เปื้อนเสื้อไปหมดอย่างอารมณ์เสีย
สามวันแล้วที่ซูฮวาและพวกมาใช้เวลาอยู่ในสวนไผ่ของเทียนชินอ๋อง แรกเริ่มเดิมทีพระชายาน้อยมาที่นี่เพื่ออ่านตำราแต่พอมาเห็นพื้นที่จริงก็พบว่ามันเหมาะแก่การฝึกวิชาบู๊เป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นคนงามจึงสั่งให้เสี่ยวซุนกลับไปหอบกระบี่มาจากวังอ๋องเพื่อใช้ฝึกจริง
โดยพื้นฐานแล้วซูฮวาเป็นคุณชายที่บุ๋นไม่เอาไหนบู๊ห่วยแตกแต่หลี่หมิงไม่คิดว่าซูฮวาจะไม่ได้เรื่องถึงขนาดเจอเสี่ยวซุนฟาดคมดาบใส่ทีหนึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่าแล้ว เธอกับเสี่ยวซุนพยายามโน้มน้าวให้ผู้เป็นนายหันมาอ่านตำราตามความตั้งใจแรกเริ่มแต่ซูฮวากลับดื้อนัก
“ขอประทานอภัยอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่มีฝีมือจึงไม่สามารถสอนพระชายาได้ ถ้ายังไงพระชายาเปลี่ยนไปอ่านตำราแทนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวซุนไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือรีบเข้ามาคุกเข่ายื่นหนังสือที่หอบมาจากวังอ๋องให้ร่างบาง
ดวงตาคู่กลมมองหนังสือสลับกับกระบี่ในมือไปมา
“ข้าอยากฝึกวรยุทธนี่...” พระชายาน้อยกล่าวเสียงอ่อย
“แต่ว่า---“หลี่หมิงกำลังจะเดินเข้ามาช่วยเสี่ยวซุนไกล่เกลี่ยทว่าซูฮวากลับเอ่ยขัดขึ้นก่อน
“ความจริงข้าเคยฝึกกระบี่มาบ้างเพราะท่านพ่อต้องการให้ข้ามีวิชาติดตัวไว้ป้องกันตัว แต่เพราะไม่ใช้นานประกอบกับมีคนจ้องมองทำให้ข้าตื่นเต้น เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้าขอฝึกวิชาคนเดียว” กล่าวจบก็พเยิดหน้าไปทางศาลาไม้หลังใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
“มัวยืนอยู่อีก ข้าบอกให้พวกเจ้าไปนั่งรอในศาลาไง”
“กระหม่อมต้องถวายการอารักขาพระชายา” เสี่ยวซุนแย้ง
“ข้าจะไปฝึกอยู่ริมแม่น้ำตรงโน้น ใกล้นิดเดียวหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะส่งเสียงเรียกพวกเจ้าเอง ที่สำคัญนี่คือที่ดินส่วนตัวของชินอ๋องจะมีใครกล้าเข้ามาทำร้ายข้ากัน” ศีรษะที่วันนี้ไม่ได้ประดับเครื่องตกแต่งมาส่ายเบาๆ ก่อนรอยยิ้มหวานจะปรากฏตรงมุมปากของคนงามอย่างประจบประแจง
“นี่เป็นความฝันของข้าแต่เด็กแล้ว พวกเจ้าอย่าห้ามเลย นะๆๆ” เจอสีหน้าแววตาแสนสุดจะออดอ้อนเข้าไปสองบ่าวก็ได้แต่ยกธงขาวยอมแพ้
ร่างบางร้องเย้ออกมาไม่เบาไม่ดังก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ไปยังริมแม่น้ำซึ่งแอบเล็งเอาไว้นานแล้วว่าจะไปฝึกตรงนั้น ปล่อยให้หลี่หมิงกับเสี่ยวซุนชะเง้อคอมองตามอย่างเป็นห่วง ในขณะที่คนที่ทำให้ชาวบ้านเขาเป็นห่วงพอพ้นสายตาคนปุ๊บก็เริ่มวาดกระบี่ในมือออกกระบวนท่าตามที่เคยร่ำเรียนมาสมัยเด็กๆ
มู่ซูฮวาจำเป็นต้องฝึกออกกระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำไปมาอยู่ครึ่งชั่วยามกว่าร่างกายจะรื้อฟื้นความทรงจำ สืบเนื่องมาจากร่างกายของเจ้าตัวอ่อนกะปวกกะเปียกไม่ค่อยมีกำลังวังชาเป็นทุนเดิมหลังจากฝึกกระบวนท่าแรกเสร็จก็ลงไปนั่งหอบแฮกๆ อยู่กับพื้น
“หิวแล้ว” แถมยังใช้พลังงานไปจนหมด กระเพาะของพระชายาน้อยว่างแล้ว
แต่จะให้เดินกลับไปหาพวกหลี่หมิงตอนนี้ก็ใช้ที่ ร่างบางเหลียวมองไปยังทิศที่มีศาลาไม้อยู่ หากเขากลับไปตอนนี้ละก็เจ้าสองคนนั้นต้องตื๊อขอให้เลิกฝึก วรยุทธแล้วหันมาอ่านหนังสือแทนแน่ๆ
“ข้าอยากพิชิตใต้หล้านี่นา” สมัยเด็กตอนที่โดนท่านแม่จับอ่านหลักคุณธรรมของผู้เป็นภรรยาอยู่ในจวนคนเดียวนั้นซูฮวามักจะแอบเอานิยายประโลมโลกมาสอดไส้ แสร้งทำเป็นอ่านตำราแต่ความจริงแล้วอ่านเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นของโลกภายนอกอยู่
ตัวเอกในนิยายประโลมโลกพวกนั้นล้วนมีวรยุทธแก่กล้ากันทั้งนั้น ซูฮวาเองก็อยากเป็นบ้าง
แกร่บ
ในระหว่างที่กำลังนอนผึ่งอย่างหมดสภาพอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าปริศนาดังมาจากด้านหลัง
ทีแรกซูฮวาคิดว่าพวกหลี่หมิงมาหาก็เลยนอนแอ้งแม้งต่อไปเช่นนั้น ทว่าผู้มาใหม่กับมีน้ำเสียงทุ้มเข้มฟังดูไม่คุ้นหู
“ช่างไม่ระวังตัวเอาเสียเลยนะ”
“!?” ร่างบางรีบคว้ากระบี่ข้างตัวและลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว แต่พอเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ซูฮวาก็ลดกระบี่ในมือลง
“ท่านคือสหายของพี่หูโปกับพี่ถังเฟยนี่” คนตัวเล็กฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายวาววับยามจับจ้องใบหน้าคมคายของบุรุษตรงหน้า คราวก่อนชายผู้นี้จ่ายเงินค่าเสียหายให้พี่หูโปที่พังร้านซะเละเทะเสร็จก็เดินจากไปจึงยังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลย มาวันนี้ยังมีโอกาสได้พบกันอีกซูฮวาจึงคิดว่าพวกตนน่าจะมีชะตาต้องกัน
“ข้ามู่ซูฮวา ขอทราบนามของท่านได้ไหม” ร่างบางทำท่าคารวะตามแบบฉบับของเหล่าจอมยุทธ
เห็นคนงามทำท่าทางเช่นนั้นแล้วคนมองก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ หลังจากที่บุรุษหน้าดุยืนพินิจร่างกายของพระชายาน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นานจนคนโดนมองเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนเขาก็กล่าวออกมาเพียงสองคำสั้นๆ ว่า “หยางจิน”
“โอ้ ชื่อสกุลของท่านช่างมีความหมายยิ่งใหญ่นัก ไม่ทราบว่าหยางในที่นี้มาจากพระอาทิตย์ ส่วนจินมาจากชื่อของแคว้นต้าจินใช่หรือไม่” เดิมทีซูฮวาก็คิดว่าคุณชายท่านนี้มีกลิ่นอายของผู้มีอำนาจบารมีอยู่แล้ว เมื่อได้ยินชื่อสกุลของอีกฝ่ายก็อดกล่าวชื่นชมบิดามารดาผู้ตั้งชื่อให้เขาในใจไม่ได้
หยางจินแปลว่าผู้นำพาแสงสว่างมาสู่ต้าจิน
ช่างเป็นนามที่ยิ่งใหญ่ขนาดโอรสสวรรค์ฟังแล้วยังต้องอาย!
มู่ซูฮวามีสีหน้าตื่นเต้นยามนึกถึงความหมายของชื่ออีกฝ่าย แต่ตัวเจ้าของชื่อกลับขมวดคิ้วมุ่น บรรยากาศรอบตัวชวนอึดอัดขึ้นหลายระดับจนกระทั่งซูฮวาสังเกตเห็นจึงรีบเอ่ยแก้ “ขออภัยที่เสียมารยาท ความจริงแล้วท่านแซ่หยางชื่อจินดังนั้นความหมายของชื่อจึงไม่ได้เป็นดั่งที่ข้าเข้าใจสินะ”
“หึ”
“...”
คราวนี้เป็นฝ่ายคนงามบ้างแล้วที่ต้องขมวดคิ้ว เห็นผู้ชายคนนี้ทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ซูฮวาเลยรีบขอโทษ แต่พอขอโทษเสร็จอีกฝ่ายกลับแค่นเสียงหัวเราะใส่ราวกับกำลังเย้ยหยัน
“คุณชายจิน ท่านมีปัญหาอะไรกับข้าหรือเปล่า ข้าเข้ามารบกวนท่านหรือเปล่า” การที่อีกฝ่ายสามารถเดินล่อนในที่ดินส่วนตัวของเทียนชินอ๋องได้ก็แปลว่าเขาน่าจะเป็นคนรู้จักของเทียนชินอ๋องและอาจจะกำลังไม่พอใจที่ซูฮวามาฝึกกระบี่ต๊อกๆ อยู่ในที่ของเขา
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
“คุณชายจิน” ร่างบางเหยียดหลังตรง ไม่รู้ทำไมยามสนทนากับคุณชายท่านนี้ตนจึงรู้สึกเกร็งราวกับกำลังถูกฝึกทหารอยู่
น่ากลัวมาก เป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่ทำความหล่อเสียของแท้ๆ หากไม่เอาแต่แผ่ไอสังหารอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ละก็ซูฮวามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องติดทำเนียบอันดับบุรุษเมืองหลวงหน้าตาดีสามปีซ้อนแน่ๆ
“ข้าเรียกคุณชายจินไม่ได้หรือ แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไร” ซูฮวาช้อนตามองคนตัวสูงกว่า ตามปกติแล้วไม่ว่าจะเก่งกล้ามาจากไหน ลองเจอสายตาละห้อยของเขาเข้าไปเช่นนี้ก็จอดไม่ต้องแจวกันแล้ว แต่ตรรกะทั้งหลายล้วนไม่สามารถนำมาใช้กับคุณชายที่กำลังจ้องร่างบางด้วยแววตาเย็นชาผู้นี้ได้
“เพ้ย! ท่านไม่คิดว่าตัวเองน่ากลัวเกินไปเหรอ เคยส่องกระจกแล้วสะดุ้งบ้างไหมเนี่ย” ในที่สุดพระชายาน้อยก็หมดความอดทน
คนโดนทักหรี่ตาก่อนจะร้องโอ้ออกมาเบาๆ ราวกับชื่นชมในความกล้าหาญของคนตัวเล็กที่บังอาจมายอกย้อนตนเช่นนี้
หยางจินก้มลงมองกระบี่ในมือบางก่อนจะชักกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของตนออกมาบ้าง การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ร่างบางกระโดดผล็อยถอยหลังไปไกลด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่ชักอาวุธออกมาเฉยๆ ดูไม่เหมือนจะมาทำร้ายกันก็เลยเดินเตาะแตะกลับมา
“ท่านจะท้าประลองกับข้าหรือ” ดวงตาคู่โตทอประกายแพรวพราว “ท่านเก่งไหม”
พอได้ยินซูฮวากล่าวถามด้วยความใส่ซื่อหยางจินผู้เคร่งขรึมถึงกับเสียอาการไปชั่วขณะ หางคิ้วของชายหนุ่มกระตุกเบาๆ คล้ายเกิดมาไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าถามเขาว่าท่านเก่งไหมมาก่อน
“ตั้งท่าซะ” ตอนที่หยางจินมาถึงก็เห็นว่าร่างบางนอนหอบแฮกอยู่บนพื้นแล้วเขาจึงไม่ทันเห็นฝีมือของคนตัวเล็ก แต่ถ้าจะให้ประเมินละก็หยางจินไม่ได้คาดหวังกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เห็นคนอายุน้อยกว่าตั้งแต่อย่างกระตือรือร้นแล้วก็ได้แต่บอกให้อีกฝ่ายเริ่มโจมตีมาก่อน
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหยางจินแล้วซูฮวาก็เปิดฉากบุกทันที ทั้งนี้กระบวนท่าที่พระชายาน้อยฝึกปรือจนเชี่ยวชาญนั้นมีเพียงกระบวนท่ารุกหนึ่งท่าและรับอีกหนึ่งท่าเท่านั้น ดังนั้นการต่อสู้กับหยางจินในครั้งนี้ร่างบางจึงหยิบเอาสองกระบวนท่านี้มาใช้วนไปเวียนมา
เรี่ยวแรงที่ฟาดฟันมานั้นช่างเบาหวิว ท่วงท่าก็เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ในดวงตาคู่งามกลับฉายประกายแห่งความมุ่งมั่นอันแรงกล้า หยางจินใช้มือเพียงข้างเดียวในการปัดป้องและโจมตีกลับเล็กน้อยๆ ราวกับหมาหยอกแมว คู่ต่อสู้ที่ฝีมือห่างกันขนาดนี้เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงอะไรเลย
ทั้งๆ ที่เห็นความต่างขนาดนี้แต่เจ้าคู่ต่อสู้ตัวน้อยกลับทำสีหน้าเหมือนกำลังมองหาวิธีเอาชนะเขาอยู่
“ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย เด็กน้อยเอ๋ย” หยางจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม คล้ายกำลังเย้ยหยันแต่ในนั้นกลับเจือแววชอบใจ
สุดท้ายชายหนุ่มก็ปัดกระบี่จนหลุดจากมือของซูฮวา
ร่างบางมองไปยังทิศที่กระบี่ของตนกระเด็นไป มองเช่นนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยสักพักก่อนจะฉีกยิ้มออกมา “ข้าช่างเก่งกาจเหลือเกิน! แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าพรสวรรค์”
“หะ...” หยางจินเสียมาดอีกครั้ง ชายหนุ่มถึงกับหลุดคำอุทานออกมาเบาๆ แต่เสียงตกใจของเขาคงเบาเกินไปคนที่กำลังหัวเราะคิกคักกล่าวชื่นชมตัวเองไม่หยุดปากจึงไม่ได้ยิน
“ข้าเก่งใช่ไหม” กล่าวชมตัวเองอย่างเดียวไม่พอ พระชายาน้อยยังหันมาหาแนวร่วมอีกด้วย
หยางจินคร้านจะต่อปากต่อคำกับคนตัวเล็กกว่าแล้ว ชายหนุ่มเก็บกระบี่เข้าฝักและทำท่าเหมือนจะเดินจากไป ทว่าเขากลับโดนคนตัวเล็กกระโจนมาขวางหน้าไว้ก่อน “เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนข้าประลองกับเสี่ยวซุนข้ายังไม่ทันได้เหวี่ยงดาบก็ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าเพราะว่าเขาเป็นแต่บุกเข้ามา ไม่เหมือนกับท่านที่เว้นจังหวะให้ข้าตั้งหลักอยู่เสมอ ที่ข้าสามารถสู้ได้ขนาดนี้ก็เพราะท่านมองฝีมือของข้าออกและปรับลดกำลังของตนลงมาให้ไม่กดข่มข้าจนหน้าหงาย”
ร่างบางลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นดังตุบ
“ท่านช่างเป็นยอดคนในยอดคน! ได้ประมือกันก็รู้ว่าแท้จริงแล้วท่านมี วรยุทธลึกล้ำราวกับก้นสมุทรที่ไม่มีสิ้นสุด!” เสียงหวานกล่าวคำเยินยอออกไปหนึ่งชุด “ดังนั้นท่านช่วยรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”
“...”
ชายหนุ่มที่ถูกคุกเข่าขอคารวะเป็นอาจารย์แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเคร่งขรึมเหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของมู่ซูฮวา ร่างบางเห็นว่าคนเด็ดขาดอย่างเขาไม่กล่าววาจาตัดรอนออกมาในทันทีก็แปลว่าตนมีโอกาสอยู่บ้าง
“นะ ท่านอาจารย์จิน นะๆๆๆ” ไม้ตายเด็ดก้นหีบของพระชายาน้อยนามว่ากระบวนท่าส่งสายตาออดอ้อนและเสียงนะๆ ในตำนานถูกงัดออกมาใช้อีกครั้ง บอกตามตรงว่ากระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิชาดาบของสำนักไหนในใต้หล้า โอกาสโจมตีสำเร็จคือสิบเต็มสิบ แต่อนิจจาร่างสูงเจ้าของใบหน้าดุดันกลับไม่รวมอยู่ในสิบเต็มสิบที่ว่า
“เจ้าจะฝึกวิชาบู๊ไปเพื่ออะไร” เสียงทุ้มกล่าวถามเรียบๆ
“แต่เล็กจนโตข้าถูกท่านแม่เลี้ยงดูมาเยี่ยงสตรี ได้แต่เฝ้ามองเด็กชายคนอื่นวิ่งเล่นปีนป่ายต้นไม้ในขณะที่ตนเองต้องมานั่งท่องหลักสี่คุณธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักผิดชอบชั่วดี เชื่อฟังผู้อื่นเป็นสำคัญ ใช้ชีวิตเพื่อบุรุษเมื่อออกเรือนชีวิตของข้าก็เหมือนตกเป็นของสามี...” กล่าวไปกล่าวมาจากใบหน้าสดใสยามพบอาจารย์ยอดฝีมือบัดนี้พระชายาคนงามเบะปากคล้ายจะร้องไห้
“ข้าอยากเป็นอย่างพี่รองที่เก่งบู๊และบุ๋นแต่ข้าไม่มีโอกาสได้เรียนอะไร สักอย่าง มาวันนี้ข้าได้รับอิสระแล้วข้าอยากทำตามความปรารถนาของตนเอง สักตั้ง กลางวันเรียนวิทยายุทธกับท่าน ตกกลางคืนอ่านตำราเพื่อสอบเป็นบัณฑิต!” ข่าวดีอีกข้อสำหรับซูฮวาก็คือภรรยาชายในแคว้นต้าจินสามารถสอบเป็นขุนนางได้เหมือนบุรุษทั่วไป
“นะ...” ขอร้องขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายยังคงใจแข็งอยู่เลย เสียงหวานอ่อยลงเรื่อยๆ แล้ว
“ข้ามีงานต้องทำ”
“ไม่ต้องทุกวันก็ได้ วันเว้นวัน...ไม่สิ วันเว้นสองวันก็ได้!”
“เจ้าจงมาที่นี่ทุกวัน หากข้ามีเวลาว่างเมื่อใดจะแวะเวียนมาชี้แนะ” หยางจินกล่าวออกมาในที่สุด
คำตอบของชายหนุ่มร่างสูงสร้างความพึงพอใจแก่พระชายาน้อยเป็นอย่างยิ่ง
“ซูฮวาขอคารวะท่านอาจารย์!!” ร่างบางก้มหัวคารวะอาจารย์งกๆ
ความไม่ถือตนแม้แต่น้อยของซูฮวาอยู่ในสายตาของผู้มองอยู่ตลอด หยางจินบอกให้ซูฮวาลุกขึ้นยืน
“เจ้ามาที่นี่ลำพังหรือ”
“ข้ามากับหลี่หมิงแล้วก็เสี่ยวซุน พวกเขารออยู่ที่ศาลา ท่านจะไปนั่งพักด้วยกันหน่อยไหม” ร่างบางไม่รอช้า เดินกระโดดอย่างมีความสุขไปยังทิศที่ทิ้งบ่าวทั้งสองเอาไว้ และเมื่อกลับมาถึงศาลาซูฮวาก็พบว่าพวกเสี่ยวหมิงกำลังนั่งกินขนมกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
ผู้ที่นำขนมมาให้ก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่ถังเฟยคนนั้นนั่นเอง
“เสร็จแล้วหรือ” พอถังเฟยเห็นพวกเขาเดินกลับมาก็เอ่ยทักท่านอาจารย์ของซูฮวาทันที
คนตัวสูงพยักหน้าแทนคำตอบ
“กลับเลยหรือว่าจะอยู่ต่อ” น้ำเสียงของถังเฟยคราวนี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายเจือความหยอกล้ออยู่หลายส่วน
“กลับ”
พอได้ยินหยางจินตอบเช่นนั้นบุรุษที่มีนิสัยขี้เล่นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง เขาหันมากล่าวทักทายซูฮวาสองสามประโยคก่อนจะเดินตามหยางจินไป
ยังไม่ทันคล้อยหลังออกมาถังเฟยก็ได้ยินเสียงหวานตะโกนไล่หลังมาว่า “ท่านอาจารย์จิน โปรดรักษาสุขภาพด้วย”
“อาจารย์จิน?” ถังเฟยหันไปแสดงความสงสัยใส่หยางจินทันที
“เด็กคนนั้นคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว”
“ถึงเรื่องที่พระชายาน้อยคารวะท่านเป็นอาจารย์จะน่าตกใจก็เถอะ แต่ข้าติดใจว่าทำไมท่านซูฮวาถึงเรียกท่านว่าจินเฉยๆ อย่าบอกนะว่าท่านหลอก พระชายาน้อยว่านามของท่านคือจิน?”
คนโดนซักไซ้ส่ายหน้าอย่างรำคาญใจ “ข้าแนะนำตัวว่าหยางจิน”
หยางจินไม่ได้หลอก แค่พูดไม่หมด
“ฮะๆๆ คนงามของท่านจะเข้าใจผิดคิดว่าท่านแซ่หยาง นามจินก็ไม่แปลกแล้ว ทำไมท่านไม่บอกพระชายาน้อยไปตรงๆ เล่าว่าท่านคือหานชินอ๋อง ไท่ติงหยางจิน “ในแผ่นดินต้าจินแห่งนี้มีคนต่างตระกูลที่ใช้แซ่ซ้ำกันมากมาย อย่างแซ่หลี่ จาง หรือหวังนี่มองไปทางไหนก็เจอ แต่ไท่ติงนั้นเป็นแซ่ที่ต่างออกไป มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่ใช้ได้ หากเอ่ยออกไปว่ามีแซ่ไท่ติงต่อให้เป็นคนป่าหลังเขามาจากไหนก็รู้จัก
กล่าวจบถังเฟยก็หัวเราะออกมาจนตัวคดตัวงอ เรียกสายตาอำมหิตจากบุรุษที่เดินอยู่ข้างๆ ได้เป็นอย่างดีแต่ทว่าถังเฟยติดตามชายคนนี้มานานจนหนังหนาหน้าทนไม่กริ่งเกรงต่อสายตาที่เหมือนจะไม่พอใจแต่ดันมีความประหม่าเจือมาด้วยจางๆ เช่นนี้หรอก
ตอนจ่ายเงินชดใช้ให้หูโปที่ร้านเมื่อวันก่อนหยางจินน่ากลัวกว่านี้นัก
“ท่านคิดเปลี่ยนใจจะกลับบ้านสักหน่อยไหม” ถังเฟยถามเข้าประเด็น
-------------------------------
จิตใจของพี่หานช่างซับซ้อนแปดตลบ แม้แต่นิคโค่ก็ไม่เข้าใจ เป็นผัวดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นอาจารย์สอนวรยุทธมากกว่า 5555
#มาลาสุราลัย