♡ Crush on you แพ้รักเพื่อนสนิท ตอนพิเศษ หมวยเอาคืน สีแดงแรงสามเท่า (26/1/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♡ Crush on you แพ้รักเพื่อนสนิท ตอนพิเศษ หมวยเอาคืน สีแดงแรงสามเท่า (26/1/63)  (อ่าน 49133 ครั้ง)

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
*****************************************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************

เพื่อนสนิท ที่ฝ่ายหนึ่งอยากข้ามเส้น แต่ก็ไม่กล้าพอ
ส่วนอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้จักความรัก ไม่รู้เเม้กระทั่งหัวใจตัวเอง
เนื้อเรื่องที่จะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปให้ทั้งคู่ซึมซับความรู้สึกดี ๆ
นิยาย Feel Good ก็อยากให้มาค่อย ๆ รู้สึกดีด้วยกันนะคะ
มาลุ้นไปด้วยกันว่าพระเอกจะกล้ารุกนายเอกตอนไหน อิอิ :mc4:


*****************************************************************************************

Crush on you แพ้รักเพื่อนสนิท


ถ้าไม่พูดออกไปคงจะได้เป็นเพื่อนกันตลอดไป
แต่ถ้าไม่พูดออกไปจะเป็นได้ ' แค่ ' เพื่อนกันตลอดไป

ถ้าทนมองเขารักกับคนอื่นได้ก็จะยอมเก็บความรักเอาไว้
แต่เพราะทำไม่ได้ ถึงต้องพยายามสะสมความกล้า เปลี่ยนเป็นความรัก
จะพยายามมทุกวิถีทางจะเอาความรักฟาดหัว(ใจ)นายจนกว่านายจะยอมรักฉัน

ถ้าตฤนแปลว่าหญ้า เขาก็ยอมเป็นควายเพื่อกินหญ้า ไม่เป็นเเล้วนักปราชญ์...

//ความคิดในใจของผู้ชายที่เฝ้าแอบรักเพื่อนสนิทมาหลายปี แต่ไม่กล้าบอก

++++++++++++++++++++

[ ปราชญ์ แปลว่า ผู้มีปัญญา]

หนุ่มหล่อครบเครื่อง หน้าตาดี เล่นกีฬาเก่ง
โผล่มาช่วยเหลือตฤนเสมอเวลามีปัญหา
มีสาวมากมายมารุมรัก แต่ดันพ่ายแพ้ให้กับเพื่อนชายคนสนิท

+++++++++++++++++++

[ ตฤน แปลว่า ต้นหญ้า]

หนุ่มน้อยหน้าใส ไร้เดียงสา (ซื่อบื้อ) มีดีที่เรียนเก่ง
ผู้มีประวัติการมีแฟนเป็นศูนย์! ยังไม่เคยตกหลุมรักใคร
มีหัวใจให้เเค่ สาวน้อยในการ์ตูน กับสาวไอดอล


+++++++++++++++++++

[ วริษฐ์ แปลว่า ดียิ่ง (ดีวรนุชๆ) ]

หนุ่มหล่อเนี๊ยบ เหมือนจะดุแต่แสนใจดี
ขยันโปรยสเน่ห์ป้ายยาสาว ๆ ในที่ทำงานให้หลงใหล
มีความลับบางอย่างที่หลายคนไม่รู้...

+++++++++++++++++++
 :katai2-1:

[/color]
ฝากเพจด้วยนะคะ เพจใหม่ใสกิ๊ง เอาไว้อัพเดทนิยาย พูดคุย ติดตาม ทวงถามค่า
FB - RingoPle












































 :katai4:
__________________________________________________
เป็นมือใหม่ ยังมึนงงกับบอร์ดอยู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ :o8:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 23:42:39 โดย RingoPle »

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
​บทที่ศูนย์


     ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากเด็กมหาวิทยาลัยสู่วัยทำงานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การหางานไม่ได้รวดเร็วตามไปด้วย การส่งใบสมัครงานในเนตเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเรา กดไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบ 20 ที่แล้ว ยิ่งง่ายคู่แข่งก็ยิ่งเยอะ บริษัทก็สะดวกเข้าไปอีก นั่งดูชิลๆอยู่ในห้องแอร์ ใครน่าสนใจก็โทรนัด ใครไม่น่าสนใจก็ลบทิ้งไป ปล่อยให้คนส่งรออย่างมีความหวัง โดยไม่รู้ว่าความหวังลงไปอยู่ในกล่อง Deleted Items ซะแล้ว ผมก็เช่นกัน เดินสายไปสัมภาษณ์มา 4 ที่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครตามให้ไปเริ่มงาน เลยทำได้แค่นอนถอนหายใจให้หมาที่บ้านมันวิ่งข้ามหัวไปมา


“ตฤน จะนอนให้กี้มันวิ่งข้ามหัวอีกนานมั้ย ลุกมากินข้าวได้แล้ว”

“อือ มีไรกินอ่ะแม่” ผมลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเอื้อมมือจับหลังของกี้ ให้มันหยุดเดิน หมาพันทางที่มีพละกำลังเหลือเฟือจนน่าอิจฉา

“หางานเป็นยังไงบ้าง” คำถามที่ทำให้กับข้าวตรงหน้าน่ากินน้อยลง 45เปอร์เซน

“เมื่อวานสัมภาษณ์เป็นที่ที่ 4 แต่ก็เห็นยังเงียบนะ”

“ไม่เป็นไร ก็ค่อยๆดู งานมันหายาก อย่างน้อยก็ถือว่าได้พยายาม” แม่ควรข้ามหัวข้อสนทนาเรื่องนี้ ก่อนผมจะกินไม่ลง ฮือ

“นี่อร่อยดี” ผมชี้ไปที่ไก่ย่างขมิ้น แม่พยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปทางหลังบ้าน คงไปตากผ้า ส่วนกี้ พอแม่เดินไปก็เข้ามาประชิดตัวผมทันที ก่อนจะพยายามเอาขาหน้ามาเขี่ยขาผม

“กี้ นั่งลงรอ” กี้ถอยไปนั่งเรียบร้อย แต่ตากลับจ้องมองผมไม่วางตา “กี้ถ้าได้งานจะซื้อขนมหมาให้กล่องใหญ่เลยเอามั้ย” กี้พยักหน้าเหมือนฟังรู้เรื่อง


‘กริ๊งงงงงงง กริ๊งงงงง’


     เสียงโทรศัพท์มือถือแบบอนุรักษ์นิยมของผมดังขึ้น พอหยิบมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์แปลก จะไม่รับก็ไม่ได้ ผมยกน้ำขึ้นดื่ม สูดหายใจเตรียมรับโทรศัพท์ ไม่ขายประกัน ก็เรียกสัมภาษณ์งานนั่นแหละ


‘สวัสดีครับ คุณตฤนชาติหรือเปล่าครับ’ เสียงผู้ชายดังเจื้อยแจ้วมาตามสาย

“ครับ” ผมตอบรับไปด้วยใจครุ่นคิด เรียกชื่อแบบนี้ ต้องเรียกสัมภาษณ์งานแน่ ๆ

‘คือทางเรามีโปรโมชั่นดี ๆ มานำเสนอนะครับ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ !#$%^&*’

     ผมเปิดลำโพงเพื่อฟังการเสนอขายที่ยาวเหยียด เพราะต่อให้บอกว่าไม่สนใจตั้งแต่แรกก็จะพูดแนะนำอยู่ดี ก็เลยฟังเลยล่ะกัน คร่าวๆก็คือ ประกันชีวิต... ไม่ใช่ว่าไม่น่าสนใจนะ แต่มาไม่ถูกจังหวะ อย่างว่าแต่เงินซื้อประกันเลย เงินจะกินข้าวยังแทบไม่มี

“ขอบคุณมากนะครับ แต่ผมยังไม่สนใจบริการครับ ขออนุญาตวางสาย” ผมตอบกลับอย่างสุภาพก่อนจะวางสายไป เฮ้อ เมื่อไหร่จะหางานได้สักที

“หงิง” กี้ร้องครางเบาๆเรียกให้ผมสนใจ คงจ้องไก่มานานจนทนไม่ไหว ผมหยิบไก่ขึ้นมาล่อกี้


‘กริ๊งงงงงงง กริ๊งงงงง’


     ใครโทรมาอีกนะ? เป็นเบอร์แปลกอีกเช่นเคย มือข้างนึงถือไก่ ส่วนอีกข้างเอื้อมไปกดรับ เปิดลำโพงก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

‘สวัสดีครับ คุณตฤนชาติหรือเปล่าครับ’

      พูดเหมือนเมื่อกี้ไม่มีผิดเพี้ยน ขายอะไรอีกละ ไม่มีเงินซื้อ

‘คุณตฤนที่สมัครงานในตำแหน่ง HR Officer กับทางบริษัท ทีแอลวีนะครับ คือทางเราอยากจะนัดสัมภาษณ์งานครับ เป็นวันศุกร์ที่จะถึงนี้ไม่ทราบว่าสะดวกมั้ยครับ’

      ผมผุดลุกขึ้นทันที กดปิดลำโพง คว้ามือถือมาแนบหู

“ครับสะดวกครับ สะดวกมากๆเลยครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เผลอแสดงความตื่นเต้นดีใจมากไปหน่อย มันลนๆแบบไม่ทันตั้งตัว  มือไม้มันสั่น ขนาดถูกเรียกสัมภาษณ์มาหลายครั้งก็ยังไม่ชิน เหมือนว่าโลกมันสว่างสดใสขึ้นมา

‘เดี๋ยวผมจะส่งรายละเอียดวันเวลา สถานที่ การเดินทางพร้อมทั้งแผนที่ให้ทางอีเมลนะครับ แล้วถ้าได้รับยังไง รบกวนตอบกลับด้วยนะครับ’

“ได้ครับพี่ ขอบคุณนะครับ” ผมรู้สึกว่าเสียงปลายสายทุ้มนุ่ม ดูสุขุม ดูเป็นทางการ ในขณะที่เสียงของผมมันดูเด็กน้อย คำพูดก็เด็กน้อย มีแต่ความประหม่าตื่นเต้น

‘สงสัยตรงไหนโทรกลับมาที่เบอร์นี้ ติดต่อพี่วริษฐ์ได้เลยนะครับ เจอกันวันศุกร์ครับ’

“ขอบคุณครับ ไว้เจอกันครับ”

     โดนเรียกสัมภาษณ์งานอีกครั้ง! มันก็ยังรู้สึกตื่นเต้น แต่ไม่สุดเหมือนครั้งแรก ๆ มันทำให้เรารู้สึกมีความหวังทุกครั้ง แม้เวลาผิดหวังจะยิ่งทำให้รู้สึกท้อก็ตาม โดนเรียกอีกสักสิบ ยี่สิบที่ ผิดหวังบ่อยๆ ก็คงชินไปเอง…


‘โฮ่ง’

“อะไรนะกี้ จะบอกว่าได้งานที่นี่แน่ ๆ น่ะหรอ”

     ผมพูดเอง เออเองเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แม้ว่าความจริงกี้จะเห่าเพราะว่า มืออีกข้างของผมนั่นถือไก่โบกไปโบกมาตลอดการสนทนาก็ตาม เดี๋ยวจะต้องรีบเตรียมเอกสาร หาชุดเสื้อผ้าที่ดี แล้วก็หาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเพิ่มเติม

“แม่ ผมโดนเรียกสัมภาษณ์อีกที่แล้ว”  ผมเดินไปทางหลังบ้านเพื่อบอกข่าวดี แต่สิ่งที่ผมเห็น ทำให้หัวใจผมแทบหยุดเต้น “แม่!”


(TBC ทักทายเพื่อเป็นการให้กำลังใจกันได้นะคะ^^)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
อย่าบอกว่าแม่เป็นลมล้มไปนะ

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 1 นักปราชญ์ขี่ม้าขาว

“แม่!” ผมรีบพุ่งเข้าไปประคองแม่ที่สลบอยู่บนพื้น แม่ยังหายใจดี โชคดีที่ล้มบนกองผ้าที่กำลังจะซัก แม่ไม่มีรอยแผลอะไร ไม่มีเลือดออก

     ตฤนอุ้มแม่เข้ามาในบ้าน คว้าถุงที่เตรียมไว้เผื่อช่วงเวลาฉุกเฉิก ในนั้นมีบัตรโรงพยาบาลของแม่ และเงินจำนวนหนึ่ง ตฤนหยิบของจำเป็นทุกอย่างภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที แล้วอุ้มแม่ออกจากบ้านไป


     เพื่อนสนิทของเขา ขับรถเข้าผ่านมาพอดี เห็นตฤนอุ้มแม่ จึงเลื่อนกระจกลง และตะโกนเรียก

“ตฤน! แม่เป็นอะไร มาขึ้นรถ”

“ปราชญ์ช่วยด้วย!” ตฤนพูดได้แค่นั้น ในหัวว่างเปล่า พูดอะไรไม่ออก เขาอุ้มแม่เข้าไปในรถก่อนตัวเองจะเข้าตามไป เขาปรับท่าให้แม่นอนบนตัก และคอยให้ดมยาดม

“แม่ ตื่น” ตฤนตบที่ข้างแก้มแม่เบาๆ หวังปลุกให้ตื่น “แม่ทนนิดนึงนะ”

“ตฤน แม่จะไม่เป็นอะไร” ปราชญ์มองโรงพยาบาลที่อยู่อีกไม่ไกล เลี้ยวโค้งหน้าก็ถึงแล้ว

“แม่!” ตฤนส่งเสียงเรียกแม่ดังลั่นทันทีที่เห็นแม่ลืมตา เขารีบบอกคนที่นั่งเบาะหน้าทันที“ปราชญ์ แม่ฟื้นแล้ว”

     พร้อมกับที่ปราชญ์จอดรถตรงที่ส่งผู้ป่วย ของโรงพยาบาลพอดี                   

“ตฤน เสียงดัง” แม่ดุเสียงเบา คิ้วขมวดแน่น

“ถึงแล้ว พาแม่ไปตรวจก่อน เดี๋ยวตามไป”

     ตฤนเปิดประตูรถออก  เตรียมจะอุ้มแม่อีกครั้ง แต่แม่กลับลุกขึ้นนั่งพร้อมส่ายหน้าไปมาเป็นการปฏิเสธ

“ไม่หาหมอ”

“ไปตรวจหน่อยน่า” บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมารอรับตรงข้างประตูรถ แม่จึงต้องจำใจขึ้นรถเข็น โดยมีตฤนเป็นบุรุษพยาบาลจำเป็นคอยเข็นรถให้

“กลับบ้านกันเถอะ แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ อากาศร้อน เหงื่อมันออกเยอะ มันลุกขึ้นเร็ว แล้วก็วูบ แค่นั้นเอง”

     ผมจำเป็นต้องเข็นรถเข็นมาหลบมุม เพื่อคุยกับแม่ที่ดื้อ ไม่ยอมหาหมอ ผมยืนเถียงกลับแม่มาเกือบสิบนาทีแล้ว จะไมม่ยอมท่าเดียวเลย

“มาถึงโรงพยาบาลแล้วไม่ตรวจสักหน่อย”

“ตรวจไป ก็เสียเงินเปล่า”

“จะได้สบายใจไง” ผมกดมือถือเพื่อหาตัวช่วย พ่อเท่านั้นที่เกลี้ยกล่อมได้

‘ฮัลโหล ว่าไงตฤน’

“พ่อ แม่เป็นลม นี่พามาโรงพยาบาลไม่ยอมตรวจ ช่วยพูดหน่อย”

‘ขอพ่อคุยกับแม่หน่อย’ ผมยิ้มอยู่ในใจ แมทซ์นี้ชนะแน่นอน

     ตฤนยื่นโทรศัพท์ให้แม่ พร้อมกับส่งยิ้มกวน ๆ แบบผู้ถือไพ่เหนือกว่าให้

“อ้าว ทำไมมายืนหลบมุมอยู่ตรงนี้ ไปหาตรงที่รอคิวไม่เจอ โทรหาก็ไม่ติด”

     ตฤนส่งยิ้มแห้งๆตอบ ปราชญ์ผู้หน้าสงสารที่เดินหาทั้งคู่ไปทั่วตามจุดรอตรวจต่าง ๆ พยายามโทร ก็มีแต่เสียงตอบรับของหญิงสาว ที่พูดเหมือนๆเดิมทุกครั้ง หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ เหมือนทุกคนต่างลืมไปแล้วว่าเขายังอยู่ เขาแค่ไปวนหาที่จอดรถเท่านั้นเอง

“ลืมบอกว่าเปลี่ยนเบอร์ว่ะ เดี๋ยวกูจะซื้อมือถือสองซิมล่ะ อยากใช้สองเบอร์” เบอร์ใหม่ที่เปลี่ยนมาได้แค่หนึ่งเดือน เนื่องจากเบอร์เก่า มีคนทักว่าจะทำงานติดขัด การเงินไม่ดี พอเปลี่ยนเบอร์ใหม่  มีนัดสัมภาษณ์มา 4 ที แล้วเงียบหายหมดเลย ดวงดีมั้ยละ

“เออดี”

“ปราชญ์ ขอบคุณมึงมากนะเว้ย”

“ไม่เป็นไร กูก็เป็นห่วงแม่เหมือนกัน”

“ตฤน แม่หาหมอก็ได้”  แม่พูดพลางส่งมือถือคืนให้กับตฤน  ตฤนดูเวลาที่พ่อคุยกับแม่ แค่ 5 นาที แม่ก็แพ้ต้องยอมพ่อ พ่อคงจะเป็นคนเดียวในโลกที่แม่ยอม

“ต้องให้ถึงมือพ่อ พ่อพูดว่าอะไรจะได้จำไว้ใช้”

“รู้ไปก็เลียนแบบไม่ได้หรอก”

“ไหนขอดูเคล็บลับ”

“พ่อบอกว่าจะหาหมอหรือให้พ่อลางานกลับมาดูอาการเอง”

“อื้อหื้อ พ่อออ” แต่งงานกันมาตั้งนานยังจะมาสวีทหวานกันอีก นอกจากพ่อคงจะเป็นคนเดียวในโลกที่แม่ยอม แม่ก็คงเป็นคนสำคัญที่สุดของพ่อ ที่พ่อจะยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งงานที่รักมากเพื่อกลับมา

“ตกลงพ่อเป็นหมอหรอ” ปราชญ์ที่กอดอกยืนฟังเงียบๆ อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา

“มึงตบมุกหรอปราชญ์”

“เปล่า กูถามจริง ๆ”

“หมอเครื่องกลอ่ะมึง” ตฤนพูดก่อนจะเข็นรถเข็นแม่หนีไป


“หนุ่มนักบอลหน้าคม กับสาวผมบลอนปริศนานี่หว่า แม่สวัสดีค่ะ แม่เป็นอะไรคะ”  เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากทางด้านหลัง เหมือนหันไปก็พบกับพยาบาลสาว ตัวเล็กหน้าตาน่ารัก

“แม่เป็นลมน่ะ สองหนุ่มก็เลยพามาหาหมอ”

“พักผ่อน ดื่มน้ำเยอะๆนะคะ ช่วงนี้อากาศร้อน”

“จะเรียกชื่อแบบนี้อีกนานมั้ย พยาบาลกวาง” ปราชญ์หันไปตอบ ก่อนจะเจอการตอบกลับที่ทำให้ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ

“จนกว่า ลูกของปราชญ์จะบวชนั่นแหละ”

“น่าจะนานมากเลยนะ เพราะแค่แฟนมันยังไม่มีเลย” ตฤนพูดแซว ทั้งที่สถานะของตัวเองก็โสดเหมือนกัน

“ตฤนมีแฟนแล้วว่างั้น ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ” หญิงสาวในชุดพยาบาลหันไปเอ่ยถาม คนพูดแซวเพื่อน

“อ้าวกวาง ไหงพูดงั้นอ่ะ”

“ตฤนแกแต่งหญิงสวยขนาดนั้น คนทั้งโรงเรียนยังงงกันตาแตก ผู้ชายคลั่งไคล้แก ผู้หญิงต่างอิจฉา แล้วยิ่งไปเดินคู่กับหนุ่มนักบอล โอ้โห แกไม่โดนสาวๆดักตบก็บุญแล้ว” กวางพูดแซวยาวเหยียด แบบรัวเร็ว

“ถ้าจำได้ว่ากวางเป็นพยาบาลอยู่ที่นี่นะ ย้ายไปโรงพยาบาลอื่นแล้ว”

     ผมกัดไปที ก่อนตัดสินใจเดินหนีพาแม่ไปส่งให้พยาบาลวัดความดัน อยู่ดีๆ การมาโรงพยาบาลก็กลายเป็นการรียูเนียน ทั้งปราชญ์และกวาง ต่างเป็นเพื่อนร่วมชั้น ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม สมัยนั้นปราชญ์ เป็นนักบอล สูง ผิวสีเข้ม หน้าก็หล่อแต่น้อยกว่าผมหลายขุม แต่นั่นแหละ แฟนคลับมันเยอะมาก ก็คงเป็นธรรมดา ของผู้ชายนักกีฬา หน้าตาดี สาวๆก็ให้ความสนใจเยอะอยู่แล้ว ยิ่งช่วงม.ปลายมันย้ายมาอยู่ใกล้บ้านผม บางทีผมก็แอบเห็นว่ามีสาวๆ ในโรงเรียนมีเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นมากกว่าปกติ ส่วนกวาง เป็นผู้หญิง ตัวเล็กๆ ขาวๆ ใส่แว่น มีความกวนประสาทสูงกว่าส่วนสูงของตัวเองอยู่พอสมควร เป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ผมโดนจับแต่งหญิง เดินพาเหรดกีฬาสีคู่กับไอ้ปราชญ์ ตอน ม.4  ... รู้งี้เล่นกีฬาดีกว่า จะได้ไม่โดนเดินพาเหรด

“แหม... ก็แซวนิดแซวหน่อย ไม่ได้เจอหน้ามาตั้งเกือบเดือน”

“ผู้ชายอะไร ผิวขาวเนียน หน้าตาน่ารักขนาดนั้น พวกแกได้กันเอง ใครๆ ก็คงฟิน” กวางยังคงพูดไม่หยุด

“แกคนเดียวสิฟิน อยู่โรงพยาบาลเค้าห้ามแกพูดหรอ เจอเพื่อนถึงได้พูดไม่หยุด” ปราชญ์รีบพูดแย้ง

“ก็คิดถึงเพื่อน ไปทำงานแล้วก็ได้ ไว้นัดกันนะ บ๊ายบาย สวัสดีค่ะแม่”

     ผมหันไปโบกมือบ๊ายบาย กวาง แล้วความสงบสุขก็กลับคืนมา

“กวางพูดเก่งเหมือนเดิม”

     ผมพยักหน้าตอบแม่ ก่อนจะมองมือถือ มีข้อความเข้า ว่ามีเงินโอนมาจากพ่อ สองพันบาท

“แม่ พ่อโอนเงินค่าตรวจสุขภาพมาด้วย”

“อื้อ เก็บไว้ๆ”

     พอถึงคิว ตฤนกับแม่ก็เข้าไปพบหมอด้วยกัน ส่วนปราชญ์นั่งรออยู่ข้างนอก เขาลุกไปหาซื้อขนมปังกับน้ำผลไม้มาเป็นของว่างให้ตัวเอง และสองแม่ลูก เขานั่งรอสักพัก ทั้งสองคนก็เดินออกมา

“เป็นไงบ้างครับแม่”

“แม่บอกแล้วว่าปกติดี ไว้รอบหน้าค่อยมาตรวจสุขภาพประจำปี”

“ทานขนมครับแม่ ตฤนเอ้ารับไปกิน”

“แม่เกรงใจ พามาแล้วยังซื้อขนมมาให้อีก”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมคิดถึงอาหารฝีมือแม่มาก เดี๋ยวจะไปฝากท้อง”

“ทำดีหวังผลมากๆ” ผมแขวะมันเบาๆ

“เออ ตามนั้นเลย”

“แม่อยากลุกเดินแล้ว”

     ได้ยินแบบนั้นปราชญ์รีบประคองแม่ให้ลุกขึ้นยืน ส่วนผมจับรถเข็นเอาไว้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินไป โดยที่แม่จับยึดแขนของปราชญ์เอาไว้ แล้วเอาผมไปไว้ตรงไหนล่ะ ผมเป็นลูกนะ! ...


     เมื่อถึงบ้านปราชญ์ก็พาแม่เข้าบ้าน ส่วนผมเป็นได้แค่คนเปิดปิดประตู

“แม่ไปนอนพักก่อนมั้ย เดี๋ยวตฤนไปเปิดแอร์ให้”

     แม่พยักหน้าแทนคำตอบ ผมพาแม่ขึ้นไปข้างบนที่ห้องนอน

“ปราชญ์เอาน้ำในตู้เย็นกับแก้วตามมาที” ปราชญ์ที่เคยชินกับบ้านหลังนี้เพราะเคยมาเที่ยวเล่นตั้งแต่เด็ก ๆ เดินไปทำตามที่ได้รับมอบหมายอย่างว่าง่าย

     ตฤนดูแลแม่ได้เหมือนพยาบาลมืออาชีพ พามานั่งบนเตียง เปิดแอร์ รับน้ำกับแก้วน้ำมาวางให้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง พร้อมกับวางมือถือของแม่เอาไว้ตรงนั้นด้วย

“ด้วยคุณคนไข้นอนพักผ่อนนะครับ แล้วถ้าจะเอาอะไรโทรมาตามนะ”

“ทำดี เดี๋ยวจะให้ทิป”

     ตฤนหัวเราะ ก่อนจะทำท่าแบมือขอตัง

“เดี๋ยวรอขอกับคุณผู้ชาย”

“โอ้โห เล่นง่ายนะแม่”

     ตฤนไม่กวนแม่ต่อ เดินออกจากห้องนอนปล่อยให้แม่พักผ่อน ก่อนจะเดินลงมาเจอคุณชายนั่งชิลบนโซฟา กดมือถือเล่นไปมา ก่อนจะหันมาถามคำถามที่ไม่คิดว่าจะถาม

“ทำไมเปลี่ยนเบอร์มือถือไม่บอก”

“กูต้องบอกด้วยหรอวะ”

“เออดิ” ปราชญ์ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้ามาประชิด และฉวยเอามือถือของเพื่อนไปกดโทรออกหาตัวเอง

“ไม่เจอกันแค่แปปเดียวเอง”

 “เดือนนึงเลยต่างหาก จะมาเจอก็ไม่ได้ โทรก็ไม่ติดเลย ไม่เจอกันเป็นเดือน ไม่คิดจะโทรหาเพื่อนบ้างไง”

     ปราชญ์พูดจาด้วยน้ำเสียงเหมือนตัดพ้อหน่อย ๆ เป็นเขาเองที่ไม่ว่าง ไปอยู่ห่างไกล แต่ถึงเขาจะไม่ว่าง กำลังยุ่งเรื่องงาน แต่เขาก็หาเวลาโทรหาเพื่อน เดือนนี้คงเฉียดร้อยครั้ง แต่ไม่เคยเจอเสียงของเจ้าตัวเลย เจอแต่เสียงผู้หญิงคนเดิมซ้ำไปซ้ำมา หึ ที่ไหนได้เปลี่ยนเบอร์ไปโดยไม่บอก

“ช่วงนี้ยุ่ง” ยุ่งมากจริง ๆ ทั้งเดินสายสัมภาษณ์งาน ทั้งต้องเก็บตัวเพราะเงินเก็บน้อยลงเรื่อย ๆ ช่วงนี้เครียดจนไม่ได้เจอใครเลยนอกจากหมา…


“กี้หายไปไหน!” ผมตกใจสุดขีดเมื่อรู้สึกว่ากี้หายไป

“เออว่ะ ปกติต้องมาป่วน”

“กี้!!!!” ตฤนวิ่งไปดูหลังบ้านก็ไม่เจอ ใต้โต๊ะก็ไม่มี เขาเริ่มลนลาน “กี้ออกมาเร็ว”

“อาจจะหลุดไปข้างนอก ตอนแกพาแม่ไปโรงพยาบาล ออกไปหากันเถอะ” ปราชญ์มองก็รู้ว่ากี้ไม่อยู่ในบ้านแล้ว เพราะมันเป็นหมาที่ต้องยอมรับว่า ไม่เกเร และตอบสนองกับเสียงเรียกเสมอ

     ทั้งคู่เดินออกจากบ้านเพื่อตามหากี้ ที่ไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน

“ขอโทษนะครับ มีใครเห็นหมาตัวนี้มั้ยครับ” ปราชญ์กับตฤนเดินถามจากคนในซอยไปเรื่อย เปิดรูปจากมือถือให้ดู หมาพันทางตัวสีน้ำตาล ถามใครก็มีแต่คนไม่เห็น มีแต่คนส่ายหัวปฏิเสธ

“กี้ กลับมาได้แล้ว” ตฤนตะโกนเรียกเสียงดัง คิดว่าถ้าหมาของเค้าได้ยินคงวิ่งตามเสียงมา”

“ใจเย็นนะ เดี๋ยวก็เจอ” ปราชญ์พูดปลอบใจชายหนุ่มอีกคนที่กำลังกระวนกระวายใจ ก่อนจะหันไปโบกมือเรียกเด็กชายคนนึงที่ปั่นจักรยานมาพอดี “น้อง  เห็นหมาตัวนี้วิ่งในซอยบ้างมั้ย

“เหมือนตัวที่อยู่ทางนั้น” น้องผู้ชายชี้ไปทางท้ายซอย พวกเรารีบวิ่งไปพลางกวาดสายตามองหา โดยมีน้องผู้ชายปั่นจักรยานตามมา

“นั่นหรือเปล่าพี่! ผมเห็นตัวนี่แหละ ไปก่อนนะครับต้องรีบไปหาแม่” เด็กชายพูดจบประโยคก็ปั่นจักรยานจากไป

     ตฤนเห็นกี้กำลังยืนกินขนมแมวเลีย(?) จากมือของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

“กี้!” เจ้าหมาพอได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของก็ หันตามเสียง ก่อนจะร้องรับ

‘หงิง หงิง’

“มานี่เลยนะ มาตะกละอยู่ตรงนี้นี่เอง รู้มั้ยว่าเป็นห่วง” ตฤนเดินเข้าไปกอดกี้แน่น

“เผอิญเค้ามาเห่าแมวในบ้านน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงสดใส

“แมวคงตกใจแย่ ขอโทษด้วยนะครับ” ตฤนหันไปขอโทษหญิงสาวเจ้าของแมวใจดี ที่แบ่งขนมแมวให้หมาของเขา ถ้าเขาไม่ให้ขนมมัน มีหวังวิ่งเตลิดไปไหนแล้ว

“ไม่หรอกค่ะ มันชินแล้ว” พวกเขามองแมวในบ้านของหญิงสาว ที่นั่งเลียขนอย่างไม่สนใจใคร ‘ไม่แคร์อะไรจริงๆด้วย’ปราชญ์คิดในใจ

“อ่อ ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ให้ขนมกี้”

“ไม่เป็นไรค่ะ มีเยอะเลย น้องเจอเจ้าของก็ดีแล้ว” หญิงสาวยิ้ม

“ขอบคุณจริง ๆ ครับ ผมบ้านอยู่ตรงกลางซอย ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกผม เอ่อ ผมชื่อตฤนนะครับ”

“ฉันชื่อฟ้าค่ะ เพิ่งมาอยู่แถวนี้ไม่นาน ยังไงฝากตัวด้วยนะคะ แล้วอีกคนนึง” หญิงสาวปรายตาไปหาผู้ชายอีกคนที่ยืนมองสถานการณ์เงียบๆ

“ปราชญ์ครับ” เจ้าตัวแนะนำตัวก่อนจะส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้ และแน่นอน ฟ้าส่งยิ้มเขินกลับไป

‘เสน่ห์แรงจริง ๆ  เออใช่สิมันหล่อ’ ตฤนคิดในใจหลังจากมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของฟ้า

“ไปแล้วครับ ขอบคุณมาก” ตฤนอุ้มเจ้าหมาตัวไม่ใหญ่ไม่เล็กเอาไว้ 16 โล ตัวหนักไม่ใช่ย่อย

“ดีนะที่กี้มาไม่ไกล” ปราชญ์เดินข้าง ๆ ตฤน ก่อนจะเอื้อมมือลูบหัวตฤนไปมา “ดื้อจริง ๆ “

“ลูบผิดหัวหรือเปล่า”

“อ้าวรู้ซะแล้วหรอ ว่าจะเนียน” ปราชญ์ หันไปลูบหัวกี้แทน ก่อนจะดุเบา ๆ โดยที่ไม่รู้ว่ากี้จะรู้เรื่องมั้ย “แสบนะเรา ไม่หนีออกมาเองแบบนี้แล้วนะ ไม่งั้นถูกตีแน่”

“กี้ ไอ้อ้วน ไอ้ซน โดนกักบริเวณ งดขนม”

‘หงิง’ กี้หูลู่ ส่งเสียงประท้วงเบา ๆ เหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองผิด

“อย่าทำอีกนะ หัวใจจะวาย”

     ตฤนลอบถอนหายใจเงียบ ๆ วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายมากจริง ๆ มีหลายเรื่องเข้ามา ทำเอาเขาเกือบจะหัวใจวายติดกันหลายครั้งในวันนี้  ที่ผ่านมันมาได้ คงจะต้องขอบคุณ...

“เออ วันนี้ขอบคุณมากนะ”

“เดี๋ยวถูกทวงบุญคุณแน่นอนไม่ต้องห่วง”

     ปราชญ์อมยิ้มก่อนจะเดินนำไปเปิดประตูให้  ส่วนตฤนได้แต่นึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าเจ้าตัวจะมาแกล้งอะไร จะมาไม้ไหน เขาคงจะต้องเตรียมตัวโดนแกล้งเอาไว้ซะแล้วล่ะ

(ปราชญ์ยิ้ม ยิ้มอะไรรรรร) :hao7:

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 2 ความว้าวุ่นของปราชญ์


     ปราชญ์ใช้เวลาทั้งวันหมกตัวอยู่บ้านปั่นงานส่งไปให้พี่ชาย เขาของานบางส่วนกลับมาทำที่บ้าน เพราะว่าใจเขาส่วนหนึ่งมันอยู่ที่นี่ การที่เขาติดต่อตฤนไม่ได้เป็นเดือนมันทำให้เขาประสาทเสีย

     เขาอยากไปหาตฤน แต่ก็ไม่กล้าไปกวนบ่อย ๆ กลัวมันจะรำคาญ ขอเก็บโควต้าไปหาแบบวันเว้นวัน

     เวลาล่วงเลย เงยหน้าอีกทีฟ้าก็มืด เขาละสายตาจากกองงาน พลางบิดขี้เกียจ ปราชญ์นึกเบื่อ เขาอยากจะฟังเพลง นั่งดื่มเหล้านิดหน่อยรวมถึงไปเช็คเรตติ้งของตัวเอง

     คิดแบบนั้นเขาก็เปลี่ยนชุดก่อนคว้ากุญแจรถออกไปร้านเหล้าที่อยู่ไม่่ไกล ปราชญ์ได้โต๊ะเล็กๆ ที่มุมนึง เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนพากันเต้นโยกย้ายส่ายสะโพก ในขณะที่เขานั่งจิบเบียร์เย็น ๆ สบายๆ โยกขยับตัวนิดหน่อยตามจังหวะเพลง

"เอ่อขอนั่งด้วยได้มั้ยคะ" หญิงสาวคนนึงเดินมาที่โต๊ะของเขาพลางส่งยิ้มละมุนมาให้

"ได้ครับ" ปราชญ์เพ่งดูผญคนนี้อย่างละเอียด ใบหน้าสวยใส ผมดำขลับยาวประบ่า ผิวขาวเนียน ในชุดสายเดี่ยวสีดำอกอึ๋มกับกางเกงยีนส์ขาสั้นโชว์เรียวขายาว คนตรงหน้าแต่งเซ็กซี่โชว์เกือบทั้งตัว นัยน์ตาคมมองสำเร็จหญิงสาวอย่างไม่ปิดบัง จนเธอนึกเขินๆ แต่ใจก็ยังสู้เพราะเขาช่างสะดุดตาเหลือเกิน

"มาคนเดียวหรอคะ"

"ใช่ครับ"ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆ ให้พลางยื่นมือออกไป"ผมปราชญ์ครับ"

     หญิงสาวยื่นมือจับต่อด้วยท่าทางขวยเขิน

"เมษาค่ะ"

"ชื่อดูร้อนดีนะครับ" ชายหนุ่มเเซวพร้อมขยิบตาให้

     หญิงสาวพร้อมละลายลงไปตรงหน้าเพราะเสน่ห์ของเขา

"เมษามาคนเดียวหรอครับ"

"มากับเพื่อนค่ะ" เธอตอบพลางยกมือขึ้นเสยผมแบบเขินๆ

"แล้วทิ้งเพื่อนมาแบบนี้จะได้หรอ" หญิงสาวยิ้มพลางหันไปมองกลุ่มเพื่อน เผยให้เห็นว่าสายเดี่ยวของหญิงสาวนั้นผ่าหลังยาวจนแทบจะเห็นแผ่นหลังขาวเนียนนั่นทั้งหมด

'ตั้งใจมาหา...สินะ'ปราชญ์คิดในใจ

"เพื่อนไม่ว่าค่ะ" หญิงสาวพูดพลางจิบเบียร์ในมือ

"งั้นดื่มกับผม" ปราชญ์ยกแก้วขึ้นชน

"คุณมีแฟนหรือยังคะ"หญิงสาวถามอย่างตรงไปตรงมา เธอถูกใจผูู้ชายคนนี้เหลือเกิน

     ชายหนุ่มวางแก้วไว้บนโต๊ะ "ยังครับ"

"หรือคะ" นัยน์ตายิ่งสาวมีวี่แววของความดีใจ

"ผมไปสูบบุหรี่แปปนึงนะครับ" ชายหนุ่มทำท่าประกอบสองนิ้วแตะเบาๆ บนริมฝีปากตัวเองก่อนจะลุกขึ้น

     หญิงสาวหน้าร้อนแบบไม่มีสาเหตุ เมื่อมองนิ้วเรียวยาวที่แตะบนริมฝีปากของเขา เธอหันไปมองกลุ่มเพื่อนที่ทำไม้ทำมือว่าให้ตามไป หญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นตามร่างสูงที่เดินลิ่วออกไปที่ข้างตึกเพื่อสูบบุหรี่ เธอมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง


     ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีใครจ้องมอง จึงหันกลับไปมอง ก็เจอว่าเมษามองเขาอยู่

"สูบด้วยหรอ" เขาถาม

"เอ่อ ค่ะ" เธอไม่ได้สูบสักนิด แต่เผลอตามเขามาด้วย ตามคำยุของเพื่อน

"หรืออยากอยู่ใกล้ผม" ปราชญ์พูดพลางมองจ้อง

     หญิงสาวได้แต่จับผมทัดหูอย่างเขินๆ ก่อนรวบรวมความกล้า เดินเข้ามาใกล้ พลางเขย่งยื่นหน้ามาจูบแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม

     ปราชญ์จูบตอบสนองทันที เขาบดริมฝีปากคนตรงหน้าอย่างหนักหน่วง เขาห่างเรื่องนี้มาพักใหญ่ๆ เพราะมัวแต่ว้าวุ่นกับตฤน... ตฤน เขานึกใบหน้าเนียนของเพื่อนสนิท ในใจวูบวาบเมื่อคิดว่าถ้าคนตรงหน้าเป็นตฤน จูบเร้าร้อนขึ้นเป็นทวีคูณ หญิงสาวใช้มือดันอกชายหนุ่มเบาๆ เมื่อเธอหายใจไม่ทัน

     เขานึกหน้าเหนื่อยหอบของตฤนได้ภาพติดตามาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ภาพหน้าตฤนตอนนั้นเขาเหนื่อยหอบจากการวิ่ง ถ้าถูกเขาจูบล่ะหน้าจะเป็นยังไง เมื่อเขาถอนจูบใบหน้าที่เขาเห็นกลายเป็นเมษา หญิงสาวหน้าตาน่ารัก แม้ว่าเขาจะเริ่มมีอารมณ์ แต่เขาก็ว้าวุ่นเกินกว่าจะไปต่อกับใคร...

"โทษทีครับ เมษากลับไปที่โต๊ะก่อนเถอะครับ"

     หญิงสาวเดินเข้าไปในร้านอย่างว่าง่าย ส่วนเขาเดินกลับเข้าไปในร้าน เดินไปหาพนักงาน

"เอาเบียร์ขวดนี้ไปให้ผญคนนั้น ฝากบอกด้วยว่าเขากลับก่อน" จากนั้นเขาจึงเรียกเก็บเงินโดยไม่ได้เดินกลับไปที่โต๊ะ เขาขับรถออกไปโดยมีเป้าหมายอยู่ในใจ บ้านตฤน...

     เขาจอดรถที่หน้าบ้านหลังนึงถัดออกไปไกลนี่ก็สี่ทุ่มแล้ว เขาคงไม่ได้เห็นตฤนหรอก ที่เขามานี่ก็เพราะว่าแค่เขาได้เห็นหลังคาบ้าน และได้รู้ว่าอยู่ใกล้อีกฝ่าย แค่นี้ก็พอแล้ว

     แต่ทว่าประตูบ้านเปิดออก ปราชญ์สะดุ้งวิ่งหลบหลังต้นไม้พุ่มหนาของบ้านหลังข้างๆ ตฤนถือถุงขยะออกมาทิ้ง เขายืนบิดขี้เกียจหน้าบ้านสูดอากาศเย็นๆ อย่างผ่อนคลาย

     ปราชญ์ลอบมองอีกฝ่าย ประจวบเหมาะพอดีโชคดีที่ได้เห็นหน้า

"เชี่ย" ปราชญ์อุทานเบาๆ เมื่อมีมดแดงไต่อยู่ที่เท้าของเขาหลายตัว เขาขยับยุกยิกเพราะโดนมดกัด

ฟุบ ฟุบ

     ตฤนหันมองพุ่มไม้ด้วยความสงสัย 'อะไรอยู่ตรงนั้นวะ' เขาขยับเดินไปใกล้ มันดูขยับสั่นเบาๆ

"เมี้ยว"ปราชญ์ร้องออกมาเขาเป็นแมวไม่ใช่อะไรที่ไหน

"แมวหรอ" ตฤนเดินเข้ามาใกล้ แทนที่จะไม่สนใจ เขาสนใจยิ่งกว่าเดิมอีก

'ลืมไป ...นั่นมัน ไอ้คนบ้าสัตว์' ปราชญ์บ่นในใจ เอาไงดีวะ ถ้ามาเจอสภาพนี้ ดูไม่จืดเลยนะ เขากดมือถือโทรหาตฤนทันที ภาวนาให้มันดัง

"ตฤน มีคนโทรมา"เสียงแม่ตะโกนเรียกตฤนดังมาจากในบ้าน ทำให้เขาเดินหมุนกลับเข้าบ้านไป

"เฮ้อ" ปราชญ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ รอดไปหวุดหวิด เขาก้าวออกจากที่ซ่อน ใช้มือปัดมดที่เข้ามาพยายามไต่กัดเขา เหมือนเขาเป็นของหวาน

     ปราชญ์เดินกลับขึ้นรถก่อนจะรีบกลับไปบ้าน เขาไม่มีอารมณ์จะดื่มแล้ว แต่ยังมีอารมณ์อื่น...

     มือถือดังขึ้น ...ตฤนโทรกลับมา

"โทรมามีอะไร" ปราชญ์รับพลางถามคำถามที่เขาคิดว่า ประหลาดมากสำหรับตัวเขาเอง เขาเป็นฝ่ายโทรไปแท้ๆ ...

'หืม เมิงอ่ะโทรมา' ตฤนตอบกลับอย่าง งงๆ

"สงสัยอยู่ในกระเป๋า มันไปโดน"

'อ๋อ เออ งั้นแค่นี้แหละ'

"ฝันดี" ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทันได้ยินคำพูดสุดท้ายที่เขาบอกหรือเปล่า


     ปราชญ์มาถึงบ้านเขาวางข้าวของทุกอย่าง ก่อนจะโดดขึ้นที่นอน

     ถ้าคนที่เขาจูบเป็นตฤนก็คงดี ใบหน้าเนียนขึ้นเลือดฝาด หายใจไม่ทันเพราะจูบของเขา...

     ปราชญ์นอนพลิกไปพลิกมาอย่างกระสับกระส่าย ใบหน้าคนที่เขาคิดถึง ไม่ยอมหายไปง่ายๆ

     มันจะดูโรคจิตมัั้ยวะ ที่คิดถึงอีกฝ่ายแล้ว...

     พอเขาคิดแบบนั้นความปวดหนึบเสียวกระสันต์ก็แล่นขึ้นมา ส่วนล่างแข็งขืนยิ่งกว่าเดิม มันนูนขึ้นในกางเกงของเขา จนเขาอึดอัด เขาปลดกางเกงออกให้อิสระกับส่วนแข็งแกร่งนั้น ขณะมือหนาเอื้อมไปกำรูดรั้งแท่งเนื้อ

"อื้อ" เขาครางในลำคอ ขณะขยับมือ "ตฤน.." เขาเป็นเอามาก ภาพในหัวเขามีแค่ใบหน้าเหนื่อยหอบของตฤนเท่านั้น ไม่มีภาพติดเรทอื่นๆ แต่แค่นั้นก็พาเข้าไปถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านได้

     เขาลูบไล้วนที่ส่วนหัวก่อนรีบลุกไปยังห้องน้ำ เขาไม่ได้ทำมานานมันจะต้องเลอะเทอะแน่ๆ

"อื้ออ๊า" เขายืนพิงผนังห้องน้ำ มือหนาขยับเร่งจังหวะ เร็วขึ้นเรื่อยๆ

     ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ เสียงครวญครางอบอวลทั่วห้องน้ำ "อืื้อ อื้อออ"

     เขาเกร็งเขม็ง ด้านล่างกระตุก ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราย เขาปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนออกมาเปรอะเปื้อนบนฝ่ามือและพื้นห้องน้ำ

     เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนถอดเสื้อผ้าทั้งหมดเพื่ออาบน้ำชำระล้างความฟุ้งซ่านว้าวุ่นใจ น้ำเย็นปะทะร่าง

     เมื่อนึกว่าเมื่อกี้เขาทำอะไรลงไป ทำไปด้วยความรู้สึกแบบไหน เขานึกสมเพชตัวเองขึ้นมา ทั้งๆ ที่มีผู้หญิงพร้อมตอบสนองเขามากมาย เขาจะทำอะไรกับคนชื่อเมษานั่นก็ได้ เธอยอมอยู่แล้วถ้าเขาหว่านสเน่ห์ และขอมีความสัมพันธ์ชั่วคราวแค่คืนเดียวกับเธอ เขารู้ว่าเธอจะยอม และพร้อมจะทำกับเขา พลีกายให้เขา

    แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเขากลับต้องมานั่งคิดถึงเพื่อนสนิทคนที่ไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย ความคิดถึงที่มีแต่เขาฝ่ายเดียว... รู้สึกแค่คนเดียว... พอคิดแบบนั้นจิตใจของเขาก็กลับห่อเหี่ยว

[ปราชญ์คนผีทะเลลลล อะไรมันจะรักจะคิดถึงขนาดนั้นนนน -.,-////
นัก(อยาก)เขียนมีความมุ่งมั่นว่าจะอัพติดต่อกัน 5 วันรวด เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ]

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ปราชญ์ก็กล้ารุกหน่อยดิ ตฤนมาแนวสายอคนนะนั่น
ปล.อัพติดกันแค่ 5วันเองหรอคับ ปักหมุดแล้วเนี่ย

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
:pig2:
 :3123: :3123: :3123:
 :pig4:

 :กอด1: :กอด1:


อย่าบอกว่าแม่เป็นลมล้มไปนะ

ถูกเป๊ะเลยค่าาา

ปราชญ์ก็กล้ารุกหน่อยดิ ตฤนมาแนวสายอคนนะนั่น
ปล.อัพติดกันแค่ 5วันเองหรอคับ ปักหมุดแล้วเนี่ย

รู้ว่ามีคนรอ จะรีบมาต่ออัพรัว ๆ เลยค่าอิอิ
ว่าแต่ อคน คืออะไรหรอคะ

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
สายอึนคับ พิมพ์ผิดชีวิตเปลี่ยน แต่จะรออ่านเน้อๆๆๆๆ

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 3 สัมภาษณ์ภายใต้เเรงกดดัน​


     ตามแบบฉบับนักศึกษาจบใหม่ เวลาไปสัมภาษณ์งานชุดที่สุภาพที่สุดคงหนีไม่พ้นเสื้อเชิ้ตสีขาว กับกางเกงสแลคสีดำ รองเท้าหนังสีดำ และ เซ็ตผมเล็กน้อยให้ดูเรียบร้อย เหมือนนักศึกษาตอนไปเรียนไม่มีผิดเพี้ยน เอกสารสมัครงานถูกเตรียมลงแฟ้ม เช็คแล้วเช็คอีก ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าเป้ใบโปรดสีน้ำเงิน ด้วยความที่ไม่ชอบใช้กระเป๋าหนัง มันเลยอาจจะดูเด็กไปสักนิด  เพิ่ง 23 เอง จะต้องโตขนาดไหน ขายความเป็นเด็กกระตือรือร้นที่พร้อมเรียนรู้งานแทนไปก่อนแล้วกัน

     ผมมายืนอยู่หน้าตึก ตอน 8.15 น. แต่เวลานัดจริงคือ 9.00 น. ด้วยความตื่นเต้นและกลัวว่าจะหลงทางทำให้เผื่อเวลามาก่อนเวลานัดเป็นชั่วโมง ไปหลบอยู่ตรงไหนดี สายตาหันไปเห็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่คนไม่เยอะมาก มีที่ให้นั่งรอ อย่างน้อยก็หาอะไรกินฆ่าเวลา


“คุณวริษฐ์ นมคาราเมล ไซส์ M ได้แล้วค่ะ” พนักงานเรียกชื่อลูกค้าให้มารับเครื่องดื่ม จะไม่น่าสะดุดใจอะไรถ้าชื่อที่ได้ยิน ไม่ใช่ชื่อเดียวกับคนที่เรียกสัมภาษณ์งาน เขารับเครื่องดื่มแล้วเดินออกจากร้านไป ส่วนผมแอบมองลูกค้าที่สั่งนมคาราเมลอย่างตั้งใจ หวังว่าจะช่วยให้หายเกร็งกับการสัมภาษณ์ในวันนี้ สิ่งที่ผมเห็นคือผู้ชายร่างสูง ผิวค่อนไปทางขาว หุ่นดูสมส่วน สะอาดสะอ้าน ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีกรมท่า กับกางเกงสแล็คสีดำ สมาร์ทสมกับน้ำเสียงที่ได้ยินผ่านทางโทรศัพท์ ซวยแล้ว เกร็งกว่าเดิมอีก

“คุณคะ...”

“...”

     เจอคนเนี้ยบเข้าแล้ว ทำไงดีวะเนี้ย

“คุณคะ...”

“...”

     จะรอดมั้ยวะ เริ่มปวดท้องแล้วสิ

“คุณคะ รับอะไรดีคะ!!!” เสียงเรียกดังกว่าปกติ ของพนักงานตรงหน้าที่เริ่มหมดความอดทนกับการรอรับรายการ ช่วยปลุกตฤนให้ออกจากพะวัง

“ครับๆ เอ่อ เอาเป็น เอ่อ นมคาราเมล ไซส์ M” รู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงจากทางด้านหลัง เมื่อไม่ทันตั้งตัวคิดอะไรไม่ทัน เลยสั่งสิ่งสุดท้ายที่ได้ยินออกไป ทั้งๆที่ไม่เคยกินมันเลยสักครั้ง

     ผมเดินไปนั่งโต๊ะติดกับหน้าต่าง ข้างนอกหน้าต่างเป็นสวนเล็ก ๆในตึก ผมนั่งมองวิวหวังให้ใจสงบหายเกร็ง

“คุณตฤน นมคาราเมล ไซส์ M ได้แล้วค่ะ”

     เครื่องดื่มที่เพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งแรก มันหวานมันหอมกลิ่นคาราเมล ทำให้รู้สึกดี มันเป็นรสชาติที่ทำรู้สึกมีความสุข อร่อยแฮะ นั่งดื่มได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้เวลาต้องไป ยังเหลืออีกค่อนแก้ว เขาตัดใจทิ้งไม่ลง เลยจะพาเจ้านมคาราเมลไปสัมภาษณ์ด้วย เครียดก็แอบจิบ รสหวานๆ คงจะพอช่วยเขาได้


     ผมเดินไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์แจ้งชื่อบริษัท พร้อมกับแลกบัตรเพื่อจะใช้สแกนเข้าออกลิฟท์

“มาก่อนเวลา 10 นาที กำลังดี” ผมบ่นกับตัวเองขณะยืนอยู่หน้าบริษัท สูดหายใจฮึบและกดกริ่งที่ประตู

“มาติดต่อเรื่องอะไรคะ” พนักงานสาวหน้าตาน่ารัก ตรงเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์เอ่ยทัก

“มาสัมภาษณ์งาน กับคุณวริษฐ์ครับ”

“นั่งรอสักครู่นะคะ”

     ผมมองสำรวจภายในออฟฟิต ตรงกลางหน้าทางเข้าเป็นประชาสัมพันธ์ ทางด้านซ้าย เป็นประตูกระจกข้างในน่าจะเป็นที่ทำงาน ถัดจากประตูเป็นห้องน้ำ ส่วนทางด้านขวาเป็นทางเดินที่มีห้อง หลายๆห้อง ผมเดินไปนั่งรอ ในขณะที่พนักงานสาว ยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงใครสักคน

     ประตูกระจกที่สันนิฐานว่าเป็นที่ทำงาน มีผู้ชายใสแว่นหน้าตาเกลี้ยงเกลาเดินออกมา เขาใส่เสื้อโปโลสีเขียวเข้มของบริษัท กับกางเกงยีนส์สีดำ

“สวัสดีครับคุณตฤนชาติ”

“สะสวัสดีครับพี่” ผมรีบยกมือไหว้ทันที ไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อเช้า  ชื่อวริษฐ์นี่โหลหรอ

“เดี๋ยวเชิญทางนี้ครับ” ผมรีบลุกขึ้น แล้วเดินตามทันที ทางเดินทางด้านขวาไปจนสุดทางเดิน คุณวริษฐ์ เปิดประตู และให้ผมเดินเข้าไปก่อน ผมเข้าไปนั่งในห้องเล็กๆ มีหน้าต่างบานใหญ่ใสปิ๊งในนั้นมีโต๊ะกลมหนึ่งตัว และเก้าอี้สี่ตัว คุณวริษฐ์เชิญให้ผมนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหน้าต่าง พลางมองวิวตึกจากที่สูง มองไปก็รู้สึกเสียววาบ กลัวขึ้นมา ในท้องปั่นป่วนเกร็งไปหมด

“เดี๋ยวกรอกเอกสาร ในนี้ แล้วรอแปปนึงนะ” คุณวริษฐ์ยื่นใบสมัครของบริษัทมาให้ผมกรอก ก่อนที่เขาจะเดินออกไป ทิ้งผมไว้คนเดียว ความเครียดเข้าเกาะกุม ผมคว้านมคาราเมลขึ้นมาดื่มความหอมหวานทำให้รู้สึกดี

ก็อก ก็อก

     ผมกรอกเอกสารเสร็จพอดีกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“กรอกเอกสารเรียบร้อยหรือยัง” เสียงคุ้น ๆ ผมหันไปดูแล้วพบคุณวริษฐ์เบอร์ 1 ที่เขาเจอข้างล่าง

“เรียบร้อยแล้วครับ”

     วริษฐ์ก้าวเท้าเข้ามาในห้องและนั่งลงตรงข้ามกับตฤนชาติ เขามองสำรวจผู้สมัครอย่างละเอียด ทั้งท่านั่งการวางมือ การแต่งตัว ทรงผม มองละเอียดจนตฤนชาติยิ่งรู้สึกประหม่า

“พี่ชื่อวริษฐ์นะครับ คนที่โทรหาน้องเมื่อวันก่อน”

“ครับพี่”

“เราดูเด็กกว่าที่คิดเนอะ อาจเพราะชุดนักศึกษา”

“ครับ คงเพราะแบบนั้น” ดูเด็กนี่มันดีหรือไม่ดีนะ ?

“โอเค งั้นเดี๋ยวให้เราแนะนำตัวก่อน”

“สวัสดีครับ ผมชื่อตฤนชาติ  เรียก ชื่อเล่นว่าตฤนก็ได้ครับ จบคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกจิตวิทยาครับ”

     ผมสบตากับคุณวริษฐ์ เขาทำหน้าเหมือนกับว่า ทำไมแนะนำสั้นจัง

“แล้วเคยทำกิจกรรมอะไรมาบ้างสมัยเรียน”

“เป็นพิธีกร งานพิธีการในคณะครับ”

“แล้วทำอะไรอีก”

“เป็นสตาฟทำงานมหาวิทยาลัย แล้วก็ค่ายสร้าง”

“เราทำอะไรในค่ายสร้าง”

“เป็นฝ่ายสวัสดิการครับ”

“พี่ขอเตือนอย่างนึง เราต้องตอบให้เยอะกว่านี้ พรีเซนตัวเองให้มากกว่านี้

“ครับ ขอโทษครับ” ตายแน่กู กดดันจนหัวใจจะวาย

“โอเค ฝ่ายสวัสดิการทำอะไรบ้าง”

“ดูแลเสบียงของกินของใช้ของคนในค่ายครับ การคำนวณแล้วเตรียมของกินของใช้ให้คนทั้งค่ายแบบครบถ้วนและใช้พอ ไม่เหลือมากเกินไปจนเป็นการผลาญงบประมาณ และก็ทำให้ ลูกค่ายได้รับอย่างทั่วถึง อีกอย่างที่ต้องเช็คให้ละเอียดคือมีคนแพ้อาหารประเภทไหน หรือนับถือศาสนาอะไร ห้ามกินอะไร ข้อมูลตรงนี้ต้องพร้อม”

“ทำไมเราถึงเลือกทำค่ายสร้าง เล่าประสบการณ์ที่ประทับใจมาให้ผมฟังหน่อย”

“เริ่มที่อย่างแรกผมสนใจค่ายสร้างเพราะมันเป็นกิจกรรมที่ทำให้เรามีเพื่อนต่างคณะ ได้ไปในที่ ๆไม่เคยไปมาก่อน ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมวิถีชีวิตของชาวบ้าน และได้ใกล้ชิดธรรมชาติ เราได้เรียนรู้ที่จะดูแลรับผิดชอบตนเอง อีกทั้งเรายังได้ไปทำประโยชน์ให้คนอื่น ค่าค่ายแค่ 599 แต่เราได้อะไรกลับมาเยอะมากกว่าที่เราคิด ได้ไปใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติตั้ง 7-8 คืน ได้ประสบการณ์ที่ดีและมิตรภาพที่มีค่ามากๆ มันไม่มีที่ไหนทำได้ เท่าค่ายสร้างในสมัยเรียนอีกแล้ว”

     ผมพูดยืดยาวจนแทบไม่ได้เว้นวรรคหายใจพร้อมกับมองท่าทีของคนตรงหน้าที่ดูจะตั้งใจฟังมากๆ ทำให้ผมต้องใช้สมองอย่างหนัก ในการคิด และเรียบเรียงให้เป็นภาษาที่ฟังแล้วลื่นไหล

‘มีความมุ่งมั่นตั้งใจและมีจิตใจดี’ วริษฐ์ได้แต่คิดในใจ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ“แล้วเคยมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่เราทำงานสวัสดิการบ้างหรือเปล่า แล้วเราจัดการสถานการณ์นั้นยังไง”

“ก็สองวันก่อนที่เราจะถึงกำหนดกลับ ฝนตกหนักมากเหมือนพายุเข้า พวกเราไม่สามารถกลับลงมาจากค่ายได้ตามกำหนดเดิม เพราะทางไปค่ายเป็นถนนดินลูกรังสีแดง พอโดนฝนหนักๆ ถนนทั้งเละทั้งลื่น ค่อนข้างอันตราย รถไถลออกไปไม่ใช่ข้างทางคูน้ำนะ แต่เป็นเหว พวกเราจึงไม่เอาคน 45 ชีวิตไปเสี่ยง จากการคาดการณ์และประชุมร่วมกับชาวบ้าน เราจะต้องกลับหลังจากกำหนดเดิม 2 วัน รอให้ถนนแห้งพอที่จะใช้ได้ นั่นส่งผลกับเสบียงของเรา แม้เราจะเตรียมอาหารแห้งไว้พอสมควรก็ตาม แต่ต้องมาคำนวนกันใหม่ จากที่ เหลือเวลาอีกสองวัน กลายเป็นสี่วัน”  ผมพักหายใจ ลำคอแห้งผาก สีหน้าของคุณวริษฐ์ดูสนใจกับสิ่งที่ผมเล่า นั่นทำให้ผมใจชื้นมากขึ้น “เราปรับเปลี่ยนเมนูอาหารใหม่ ทำให้อาหารในแต่ละมื้อมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากขึ้น เพื่อจะได้อิ่มเร็วมากขึ้น และเพื่อเซฟวัตถุดิบที่เรามี เช่น ถ้าเราทำไก่ทอด 15 โล และกับข้าวอื่นๆ ใช้วัตถุดิบเยอะกว่าคนทั้งค่ายจะอิ่ม แต่ถ้าเราเอาไก่แค่ 8 โล มาทำ แกงจืดหรือ แกงเผ็ด คนซดน้ำแกง เอาน้ำแกงราดข้าว หรือมันเผ็ด ทำให้คนดื่มน้ำมากยิ่งขึ้น ทั้งน้ำในกับข้าว ทั้งข้าว ทั้งน้ำดื่ม แล้วก็กับเสริมเล็กน้อยเราก็ทำให้ทุกคนอิ่มได้ สารอาหารครบถ้วนเหมือนเดิม ไก่ที่เหลือก็ไปทำมื้ออื่น มีอยู่มื้อนึง เราต้มมาม่าหม้อใหญ่ใส่ไก่ ใส่ไข่และปลากระป๋อง เป็นมื้ออาหารที่อร่อยมากๆครับ ใช้วัตถุดิบหลายอย่าง แค่กๆ แต่จำนวนไม่มาก แค่ก”

     วริษฐ์มองคนตรงหน้าพูดเพลิน เขาเล่าไม่มีสะดุด จะมีขมวดคิ้วบ้างเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ แต่เล่าได้ละเอียดขนาดนี้ ดูท่าจะเป็นของจริง

“พักจิบนมคาราเมลได้นะครับ ละลายจนเป็นน้ำแล้ว” วริษฐ์พูดก่อนจะเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู *‘*พอได้พูดก็พูดไม่หยุด พูดจนคอแห้ง พูดจนไอ’

“ยังดูออกว่าเป็นนมคาราเมลด้วยหรอครับ ละลายจนไม่เหลือเค้าเดิม

“ตัวหนังสือที่เขียนอยู่ตรงฝาไงครับ”                 

“CM นี่หรอครับ”

“CM มาจาก Caramel Milk นี่เห็นว่ากินของโปรดของผมนะ ถึงได้ให้ดื่ม...ถ้าเป็นเครื่องดื่มอย่างอื่น ผมจะไม่ให้ดื่ม ปล่อยให้คอแห้ง”

“ถือว่าผมโชคดีนะครับ” ดีนะสั่งตาม ไม่งั้นสัมภาษณ์ต่อจากนี้คงได้ไอไปด้วยพูดไปด้วย

“แล้วเคยทำงานอะไรมาก่อนมั้ย”

“เคยทำงานพาร์ไทม์สมัยเรียนครับ”

“ทำอะไร ช่วงไหน”

“เคยทำพาร์ทไทม์ร้านขนม สมัยมัธยม กับทำงานที่แผนกบุคคลตอนปี 2 ครับ”

“ทำงานตอนเรียนแบ่งเวลาไหวหรอ เกรดเฉลี่ยเราก็ดีนี่นา ไม่เคยต่ำกว่าสามเลย”

“ไหวครับ ถ้าเราตั้งใจเรียนในห้องเรียน ตั้งใจทำงานทำการบ้านส่ง อ่านนิดหน่อย ก็ทำข้อสอบได้แน่นอน สิ่งที่เราต้องมีคือ ความรับผิดชอบครับ”

‘น่าสนใจ ดูมีความคิดความอ่าน ถ้ารับมาทำงาน น่าจะเรียนรู้ได้ดี’ วริษฐ์คิด และเขียนข้อดีต่างๆของคนตรงหน้าลงไปในเรซูเม่

“แล้วเราทำอะไรตอนทำแผนกบุคคล”

“ผมก็ดูแลเรื่องสวัสดิการ คอยแจ้งข่าวสารอัพเดท ส่งประกันสังคม จัดเก็บแฟ้มประวัติพนักงาน งานคร่าวๆก็ประมาณนี้ครับ เป็นงานแผนกบุคคลในห้าง ความยากก็คงจะเป็นการตามเอกสารของแต่ละแผนก”

“อืม... แล้วทำไมถึงอยากทำงานแผนกบุคคล”

“ผมคงติดใจมาจากตอนทำงานตอนนั้น และอยากเรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้นครับ”

“แล้วรู้จักบริษัทเราได้ยังไง… เป็นยังไง ... สนใจตรงไหน...แล้ว...”

     คำถามมากมายถูกถามและถูกตอบ กว่าสองชั่วโมง เรื่องแล้วเรื่องเล่า คุยกันเหมือนกับชดเชยเวลาทั้งชีวิตที่ไม่เคยรู้จักกัน นี่จึงเป็นการสัมภาษณ์งานที่ยาวนานที่สุดสำหรับทั้งคู่ ทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ กว่าสองชั่วโมงจากความกดดัน กลายเป็นความเหนื่อยล้า


“เอาล่ะ คำถามสุดท้าย”

“ถามได้เลยครับ” ถามก่อนที่ผมจะสลบ

“หิวข้าวหรือยัง”

“โครกกกกก...” ร้องได้ตรงจังหวะจริงนะ น่าอาย น่าขายหน้า ผมได้แต่ก่นด่ากระเพาะของตัวเองอยู่ในใจ

“ดูเหมือนตรงนั้นจะตอบแทนเราแล้วล่ะ” วริษฐ์พูดพลางชี้นิ้วไปที่ท้องของตฤน และพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้เจ้าของเสียงท้องร้องโครกครากรู้สึกอายกว่าเดิม

“ผมขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราคงไปห้ามไปสั่งกระเพาะอาหารไม่ให้ส่งเสียงไม่ได้”

     ตฤนไม่ตอบอะไรได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆให้

“เอาล่ะ งั้นวันนี้เราสิ้นสุดการสัมภาษณ์ได้ รับเอกสารไป แล้วก็ไปทำแบบทดสอบตามลิ้งเว็บอันนี้นะ พี่ชอบเรา แต่ถ้าเรา ทำแบบทดสอบไม่ผ่าน พี่คงช่วยอะไรไม่ได้”

     ...พี่ชอบเรา ...เป็นคำพูดเรียบๆ ที่คนพูดพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่ทำให้คนฟังอย่างผมรู้สึกประหลาดแปลกๆ จะว่าขนลุกก็ไม่เชิง ว่าแต่คำนี้มันแปลว่าผ่านสัมภาษณ์หรือเปล่า?


[เอาประสบการณ์ตรงของตัวเองมาพูดเล่น 555  :z13:
เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังหางานทำ คนที่เพิ่งจบใหม่และเเสนจะเคว้งคว้าง]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ตฤนของปราชญ์ วริษฐ์อย่ามายุ่ง ตาปราชญ์ก็เริ่มบุกได้บ้างแล้ว ช้าอยู่นั่น เดี๋ยวหมาคาบไปแดก

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 4 ตกลงเปลี่ยนมาชอบผู้ชายเเล้วหรอ


‘สวัสดีค่ะ กวางพูดสาย’

“ดีกวาง นี่ตฤนนะ ถามอะไรหน่อยดิ เมื่อเช้าไปสัมภาษณ์งานมา พี่เขาบอกว่า ‘พี่ชอบเรา แต่ถ้าเรา ทำแบบทดสอบไม่ผ่าน พี่คงช่วยอะไรไม่ได้’ ประโยคนี่แปลว่าผ่านสัมภาษณ์ใช่มั้ย”

     แค่อยากให้ใครสักคนมาช่วยยืนยันว่าผมไม่ได้หลงตัวเอง ผมผ่านสัมภาษณ์จริงๆ จะได้สบายใจ

‘หือ! ใครมาบอกชอบแก ผู้หญิงหรือผู้ชาย’ เสียงหญิงสาวดังลอดผ่านมือถือ ดูตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง เหมือนจิตใจของเจ้าตัวจะให้ความสนใจอยู่ที่ ประโยคเดียว

“ผู้ชายๆ”

‘หุ้ย ได้แน่นอน’

“จริงหรอ ผ่านใช่ป่ะ น่าจะได้งานใช่มั้ย!”

‘หึ ได้ผู้!’

“กวาง...”

‘ทำเสียงเข้มทำไม ก็มันจริงอ่ะ อยู่ดีๆ ผู้ชายมาบอกชอบ งุ้ยเขิน ไปบอกปราชญ์ดีกว่า’

“บอกมันทำไม เดี๋ยวได้งานค่อยบอก”

‘คิคิ แล้วผู้ชายคนนั่นหน้าตาเป็นไง’

“อืม ก็...หล่อดี” ผมนึกภาพคุณวริษฐ์ที่ผมเจอเมื่อเช้าในร้านกาแฟ

‘โอย ฉันมีความสุข’

“หยุดจิ้น แค่นี้ ไม่ต้องจินตนาการต่อ วางล่ะ ตั้งใจทำงาน”

‘เออ ตฤนนี่เบอร์ใหม่แกใช่มะ จะได้เมมไว้ ไว้จะโทรไปถามโมเม้นนะจ๊ะ บ๊าย’

     กวางไม่รอให้ผมตอบ แต่กดตัดสายไปก่อน ส่วนผมพอกวาง วางสายไปก็เต้นบ้าบออยู่คนเดียว ผ่านสัมภาษณ์แล้วว้อยยย


“หงิงหงิ้งหงิง” กี้ร้องครางอ้อน วิ่งผ่านผมไปที่หน้าประตูบ้าน ใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น

“ไม่มีเพลงก็เต้นได้หรอ มาเปิดประตูหน่อย” ปราชญ์ที่ยืนมองตฤนเต้น ยึกยักไปมานึกขำ ใจอยากเอามือถือขึ้มาอัดวิดีโอ แต่เสียดายที่มือไม่ว่าง

“เต้นได้ ดนตรีมันอยู่ในหัวใจ” ปราญช์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พร้อมยื่นส่งของในมือถุงใหญ่มาให้ เหมือนจะบอกว่า ถ้าว่างเต้นบ้าๆบอๆ ก็มาช่วยกันถือของ

“ไปชอปปิ้งกันหรอ แม่ลูก” ผมเอ่ยปากแซว

“มันมีคนนอนหลับไม่รู้เรื่องตั้งแต่ตอนบ่ายน่ะสิ ไม่รู้เหนื่อยอะไร ดีนะมีลูกชายตัวจริงแวะมา” แม่พูดตอบกลับ พร้อมเดินเอาของไปเก็บในครัว

“ใช่ซีย์มีลูกชายคนใหม่ ลืมคนเก่าเลยนะ”

“คนเก่าควรเอากับข้าวไปใส่จาน” ปราชญ์ยื่นมือมาผลักหัว ก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาหน้าทีวี และกดเปิดมันเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง พร้อมมีกี้เดินวนรอบ และพยายามที่จะเข้าสิง หรือว่าเราไม่ใช่ลูกชายตัวจริงของบ้านนี้…

“สัมภาษณ์เป็นไง”

“ก็ดีมีแววว่าจะผ่าน”

“เงินเดือนเดือนแรกต้องพาไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์นะ”

“เลี้ยงทุกคนเว้นมึงอ่ะ”

“โคตรหยาบคาย กี้อย่าโตไปเป็นแบบมันนะ”

“หงิง”

“ทำไมตอบรับว่าง่ายแบบนั้น มานี่เลยกี้” กี้ทำปากมุบมิบแต่ก็ยอมเดินมาหาผมแต่โดยดี ก่อนจะเอาหัวถูไปถูมากับขาของผม “ที่งี้ทำอ้อน” ผมเดินไปครัว โดยมีกี้เดินตาม

“จานตรงนั้น เอาไปเทกับข้าวที่โต๊ะเลย”

“แล้วแม่จะทำอะไรอีก ของกินเต็มไปหมด”

“ทำกระดูกหมูซอสน้ำแดง ของโปรดปราชญ์อีกสักอย่าง”

“แล้วไหนของโปรดน้องตฤนอ่ะครับ” ผมทำปากเบะ ทำเสียงงองแง

“บนโต๊ะนั่นไง รีบไปเทกับข้าวเลย”

“ตฤนไหนจานนนน” เสียงปราชญ์เรียกดังลั่น

“กำลังไปว้อย”

     ปราชญ์กำลังยืนแกะถุงกับข้าวอย่างตั้งใจ เสียงดังก็อบแก็บ ทำให้กี้ทิ้งผมไปหาปราชญ์ทันทีด้วยความตระกละ

“ว่าไงนะกี้ อ๋อ พยายามเร่งเต็มที่ให้ตฤนรีบยกจานมาหรอ อื้อ ...เก่งมาก ๆ กี้”

“เพ้อเจ้อ เมื่อคืนนอนน้อยหรอ”

“ใครจะนอนเยอะแบบตฤนล่ะครับ”

“แม่กับข้าวเสร็จยังงง ปราชญ์มันปากว่างเกินไปแล้ว” ผมพูดก่อนจะมองหาว่าอะไรจะยัดปากให้ไอ้บ้านี่มันเงียบได้สักพัก ไม่กัด ไม่ปากหมาสักสองสามนาที  ผมหยิบทอดมันออกมาและยื่นจ่อปากคนข้างๆ “กินเข้าไป จะได้ไม่พูดมาก”

     ปราชญ์อ้าปากงับทอดมันอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นแบบนั้นตฤนก็เลยส่งทอดมันเข้าปากตัวเองบ้าง

“ตกลงเปลี่ยนมาชอบผู้ชายแล้วหรอ”

“ฮะ! แค่ก ๆ อ่ะ แค่ก” คำถามน่าตกใจของปราชญ์ทำให้ตฤนถึงกับกลืนทอดมันผิดจังหวัด จนทำให้สำลัก ไอหนัก จนน้ำหูน้ำตาไหล

“กวางบอก ตฤนมีแฟนแล้ว เป็นผู้ชาย...”           

“แค่กๆ” ตฤนไอหนักไม่สามารถโต้ตอบได้ ในใจก็คิดว่า การเล่าอะไรให้กวางฟังนี่นะ จรรยาบรรณในการรักษาความลับนี่เท่ากับศูนย์เลย ถ้ากวางรู้อะไรโลกจะต้องรู้ ไวกว่า 4G ซะอีก แถมยังใส่สีตีไข่เกินความเป็นจริง ถ้าไปบ่น กวางก็คงทำแค่หัวเราะ และบอกว่า อาหารจะอร่อยก็ต้องใส่เครื่องปรุง ที่ทำก็เผื่อให้ข่าวออกมารสชาติดี

“เรื่องจริงหรอ” ปราชญ์ถามย้ำอีกครั้ง

“...” โอย ทอดมันติดคอ นี่จะเอาน้ำมาให้กินก่อน ดันมาถามเรื่องไร้สาระ จริงจังอะไรกับเรื่องแบบนี้วะเนี้ย

“ทำไม ไม่ตอบ หรือว่าจริง” ตฤนไม่ตอบแต่ขยับไปคว้าน้ำมายกดื่ม ข่าวผสมเครื่องปรุงของกวางเกือบทำเขาตาย

“ไม่จริงว้อย แล้วนี่กวางบอกตอนไหน เพิ่งคุยกับมันก่อนมึงมาไม่ถึง 5 นาที”

“ก็แชทไง เนี้ยทักมาเล่า เป็นฉากๆเลย”

“เชื่ออะไรกวางวะ โว้ย บ้าบอ ไหนเอาแชทมาดูดิ๊”

“ไม่ให้ดู เรื่องมีแฟนคงไม่จริง แต่มีคนมาบอกชอบอันนั้นจริงมั้ย”

“เอิ่ม อธิบายไม่ถูก ...” ต้องมานั่งเรียบเรียงประโยคใหม่  ที่คุณวริษฐ์บอกก็แค่จะบอกว่าผ่านสัมภาษณ์งานล่ะมั้ง

“...” ปราชญ์หรี่ตามอง พยายามจ้องจับผิด

“ก็ พี่ที่ไปสัมภาษณ์ด้วย เขาบอกประมาณว่า พี่ชอบเรา ถ้าเรา ทำแบบทดสอบไม่ผ่าน ก็ช่วยอะไรไม่ได้ น่าจะบอกเป็นนัยๆ ว่าผ่านสัมภาษณ์งาน ไม่ได้มีอะไรว้อย กวางมันสร้างเรื่องเอง”

“อ๋อ ฮ่าๆ กวางนี่มัน” ปราชญ์หัวเราะไม่หยุด ในขณะที่ตฤนรู้สึกกระดากอายอยู่ไม่น้อย การที่เขายังไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อน ก็ไม่ใช่ว่าหันไปชอบผู้ชายมั้ย!

“เรื่องนี้มีแค่กวางตัวแสบ กับคนโง่ คนที่เชื่อคือโง่มาก”

“เอ้า ก็ใครจะไปรู้” ปราชญ์พูดพลางยักไหล่ ก่อนจะเดินหนีไปในครัว


     ตฤนจัดโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อย รอก็แค่อาหารจานสุดท้ายที่แม่กำลังปรุงสดใหม่ คาดว่าน่าจะอีกไม่นาน เพราะกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากครัว เริ่มใกล้เคียงกับกลิ่นตอนที่ปรุงเสร็จ ระหว่างรอตฤนกดโทรศัพท์โทรหาตัวแสบ ที่กระจายข่าวไปไวโดยที่ไม่ได้ขอ

‘สวัสดีค่ะ’

“กวางงงงงงงง”

‘อะไรหรอ’

“บอกว่า อย่าเพิ่งบอกใครไง ให้ได้งานจริงๆก่อน แล้วเลิกแต่งเติมเรื่องเองได้แล้วนะ”

‘หืม? บอกอะไรรรร’ ปลายสายตีมึน ทำเสียงใสซื่อ เหมือนไม่รับรู้เรื่องที่ตัวเองทำ

“กวาง เล่าอะไรให้ไอ้ปราชญ์ฟัง”

‘ฮะ เล่าอะไรหรอ มันไปพูดอะไรหรอ’ ปลายยังคงตีมึนเหมือนเดิม แต่ความจริงคือกวางพยายามหลอกให้ตฤนเล่าว่าปราชญ์พูดอะไร

“มันถามว่าเปลี่ยนมาชอบผู้ชายแล้วหรอ?”

‘อุ๊บ ฮ่าๆ ถามโคตรตรง คนหรือไม้บรรทัดเนี้ย ฮ่าฮ่า’ กวางหัวเราะไม่หยุด ให้ตฤนเริ่มรู้สึกกอายขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอายอะไร อายที่โดนหัวเระเยาะหรือเปล่า

“กวางมันตลกหรอ แล้วเนี้ย มันถามตอนกำลังกินทอดมัน สำลักแทบตาย”

‘ใครจะไปคิดว่ามันกล้าถาม โอยตายๆ แล้วนี่มันอยู่กับตฤนหรอ’

“มันมาเนียนกินฟรีที่บ้านเนี้ย ตอนนี้อยู่ในครัวกับแม่”

‘อืม เอาน่า กวางแค่อยากให้สนุกๆ ปราชญ์ก็คนใกล้ตัว กินกันให้มีความสุขนะ ว้าย แค่นี้นะ’

     กวางปล่อยคำพูดชวนขนลุกก่อนจะตัดสายไปหน้าตาเฉย จะโทรไปบ่นนาง แต่ทำไมเจ้าตัวไม่ได้สลดสักนิดเลย เป้าหมายในการโทรไปบ่นเมื่อกี้ ล้มเหลวโดยสิ้นเขิง แถมยังรุ้สึกเหมือนตัวเองกำลังปช่วยเพิ่มเรื่องจิ้นให้กวาง

“กินข้าววววว” เสียงแม่เหมือนเสียงสวรรค์ ในที่สุดก็ได้กินข้าว

 “หอมกระดูกหมูซอสน้ำแดง” ของโปรดของปราชญ์ ก็คือของโปรดลำดับสองของผม ดังนั้นแค่ได้กลิ่นก็ทำให้รู้สึกมีความสุข

     ทุกคนต่างนั่งประจำที่ แม้กระทั่งกี้ ที่นั่งรออย่างสงบเสงี่ยม ด้วยดวงตาเป็นประกาย และน้ำลายที่ยืดนิดๆ ไม่ว่าใครก็ต้องยอมแพ้ต่อกลิ่นหอมของกระดูกหมูซอสน้ำแดงฝีมือแม่ทั้งนั้น

“ตฤน ถ่ายรูปส่งไลน์ไปให้พ่อหน่อย”

“แม่นี่นิสัยไม่ดีเลยนะ เดี๋ยวพ่อก็ลางานกลับมากินข้าวหรอก”

“ดีคิดถึง”

“โอยแม่ อย่ามาสวีทตอนนี้ได้มั้ย” ในฐานะที่เกิดมาไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน ภูมิต้านทานกับเรื่องพวกนี้เลยต่ำ ออกจะรู้สึกเขินๆ และรู้สึกอิจฉาไปด้วย แถมมีเพื่อนนั่งอยู่ตรงนี้อีกคนบอกตรง ๆ ว่าเขินแทน แต่แม่เหมือนชิล ๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย

“แม่พูดตรง จนผมเขินแทนเลย” ผมหันไปมองปราชญ์แล้วรู้สึกว่ามันกำลังเขินจริง ๆ พูดโดยไม่เงยหน้าสบตาใคร  มืออีกข้างก็จับช้อนเขี่ยข้าวไปมา คนฮอตที่มีสาวๆ มาทำดีให้ ก็ไม่น่าจะขี้เขินขนาดนี้ แต่เอาจริง ก็ไม่เคยเห็นปราชญ์มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เปลี่ยนแฟนบ่อยจนไม่รู้ว่ามีความรักบ้างหรือเปล่า คงจะภูมิต้านทานเรื่องสวีทหวานแบบนี้ต่ำเหมือนกัน

“พ่อบอกว่า อีกไม่กี่วันกลับมาแล้วต้องทำให้กินด้วยนะ แล้วก็ส่งสติ๊กเกอร์หมีส่งจูบมาให้ แม่ผมส่งสติ๊กเกอร์กลับไปแล้วนะ เรากินข้าวกันเถอะ” ผมพูดก่อนจะตักกระดูกหมูมาคลุกข้าว ในที่สุดก็ได้กิน ผมตักข้าวที่คลุกซอสเข้าปาก แต่ก็เกือบสำลักอีกครั้งเมื่ออยู่ ๆ แม่ก็พูดขึ้นมา...

“ปราชญ์ว่าชาตินี้ ตฤนมันจะมีแฟนกับเขาบ้างมั้ย”

“แม่!” ตฤนละล่ำละลั่กเรียก ทำไมไม่ได้กินข้าวอย่างสงบสักทีนะ

“อาจจะมีก็ได้ครับ” ปราชญ์พูดพลางยิ้มกริ่ม

“ไม่มีก็ไม่เป็นไรนี่แม่” ตฤนรีบพูดขึ้นมาทันที

“มีก็ดี แกจะได้เลิกซื้อ ตุ๊กตาการ์ตูนสาว ๆ แต่งตัวโป๊ เซ็กซี่นมเบอเร่อพวกนั้นมาสักที” ตฤนหน้าขึ้นสี แม่แอบไปสำรวจกรุสมบัติของเขาได้ยังไง ตฤนแอบใส่ชั้นไว้อย่างดี แถมแม่ยังพูดเหมือนเขาซื้อเยอะ ทั้งที่มีอยู่แค่สามตัวเท่านั้นเอง

“ตฤนนี่ทะลึ่งไม่ใช่ย่อย แอบจินตนาการอะไรแปลกๆ กับตุ๊กตาหรือเปล่า” ปราชญ์พูดแหย่ ยักคิ้วล้อเลียน

“มีแต่เมิงนั่นแหละคิดลามก ดูเพราะชอบ เพราะศิลปะว้อย” ตฤนรีบแก้ตัวพัลวัน เอื้อมมือหยิบน้ำมาจิบแก้เก้อ  เขาชอบมินะจัง(ชื่อตุ๊กตา) เพราะว่ารอยยิ้มสดใส ไม่ใช่เพราะว่าแต่งตัวเซ็กซี่สักหน่อย

“เฮ้อ มีลูกชายอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนี่มันน่าหวั่นใจจริง ๆ”

“แม่ ผมเลยวัยนั้นมาแล้ว หยุดแหย่ผมได้แล้ว”

     ปราชญ์หัวเราะกับท่าที  และคำพูดของคนข้าง ๆ ที่แลดูตลกเหมือนเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักโต ดีไม่ดี ก็ไม่รู้จักความรักด้วยซ้ำ แต่แบบนี้ก็ดี เขาจะได้ไว้วางใจ  ...

“เฮ้ย ปราชญ์ อย่าเอาหมูให้หมาตอนนี้”

“ฮะทำไมอ่ะ กินใกล้อิ่มแล้วนี่” ปราชญ์สะดุ้งก่อนทำหน้างง หมดลุคคนหล่อ

“เดี๋ยวมันเคยตัว จะให้อะไรก็วางกองไว้ ให้มันกินทีเดียว ตอนนี้ฝึกให้มันรอไปก่อน”

“ไม่สงสารมันหรอ ดูตามันดิ”

“อย่าไปมองสิ กี้มันมารยาร้อยเล่ห์ แล้วนี่อะไรอ้อนนิดเดียวก็แพ้แล้วหรอ” ผมส่งไข่ปลาหมึกในมือให้ หวังช่วยเบนความสนใจ น้ำลายกี้ยืดหยดลงบนพื้น เหมือนอดอยากมาจากไหน “กี้ ไปนั่งรอ” ผมใช้คำสั่งสั้นๆ ที่กี้คุ้นเคยเป็นอย่างดี

“ว่าง่ายดี”

“เพราะว่าสอนมาดี คนแถวนี้จะมาทำให้ระบบมันเสีย”

“จ้า” สิ้นเสียงขานรับของปราชญ์ ตฤนลุกไปเอาจานข้าวกี้มาวางให้ปราชญ์ใส่อาหาร ที่ปราชญ์อยากให้ เพราะปกติเขาจะไม่ค่อยเอาอาหารของคนให้หมากิน มันปรุงรสมากเกินไป ไม่ดีต่อหมาน้อยสุดรักของเขา

     มื้ออาหารค่ำที่วุ่นวายจบลง ปราชญ์อาสาล้างจาน แต่ไม่วายลากคอลูกชายตัวจริงของบ้านไปช่วย

“พรุ่งนี้ว่างมั้ย” ปราชญ์ถามทำลายความเงียบ

“ว่าง”

“พรุ่งนี้เจอกัน”

“ไปไหน”

“พรุ่งนี้ก็รู้ อ่ะ เอาไปคว่ำ กลับล่ะ” ปราชญ์ตัดบทไม่ให้อีกฝ่ายถามต่อ ก่อนจะส่งกองจานกองใหญ่ให้ตฤนไปคว่ำ โดยที่ปราชญ์ลอบมองแผ่นหลังบางของอีกฝ่ายที่ก้ม ๆ เงย ๆ เพื่อคว่ำจานอย่างนึกเอ็นดู มันน่ารักจริง ๆ นะ...

.

[ปราชญ์ที่หลงใหลในตัวตฤน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็น่ารัก น่ารักไปซะหมด 555
 :hao7: :hao7:]

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
​บทที่ 5 ความสุขของ...นักจิ้น


     ในห้องนอนอันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของห้อง ที่ไม่ได้มีสิ่งของอยู่มากมาย มีชั้นหนังสือเล็ก ๆ ที่มีรูปแปะอยู่ คนลักลอบเข้าห้องยืนมองรูป ที่มีตัวเองอยู่ในรูปด้วยความภูมิใจ ก่อนจะกลับไปสนใจเตียงนอนกว้างขนาดที่นอนได้สองคนที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับชายหนุ่มที่นอนหลับพริ้มใต้ผ้าห่มท่ามกลางกองตุ๊กตา

“ตื่นได้แล้ว ตื่น ตื่นเถอะ”

     เสียงหวานร้องปลุกข้างหูติดจะโหวกเหวกน่ารำคาญ มันควรจะไพเราะน่าฟัง ถ้าไม่มาตอนเช้าแบบนี้ ทำเอาคนกึ่งหลับกึ่งตื่น ขมวดคิ้วมุ่น

“ตฤน ตื่น!”

 ‘ฝันอยู่แน่ๆ ในบ้านของเขาไม่มีเสียงผู้หญิงแบบนี้แน่นอน โอย ทำไมขามันขยับไม่ได้’

“ตฤนนนนน”

‘หรือว่าจะโดนผีผู้หญิงอำ’

     เมื่อเจ้าชายนิทราทนต่อเสียงเรียก และความสงสัยของตัวเองไม่ไหว จึงลืมตาขึ้น เพื่อให้รู้กันเลยว่าใคร แต่ต้องชะงักเมื่อใบหน้าที่เป็นเจ้าของเสียง แล้วน้ำหนักที่ทับอยู่บนขา …ไม่มีทางเป็นเสียงของมันแน่ ๆ

“ปราชญ์! ลงไปว้อย”

     ปราชญ์อยู่บนเตียงด้วยท่าที่ล่อแหลม เขานั่งขัดสมาธิทับขาของตฤน ส่วนมือทั้งสองข้างกางคร่อมเพื่อถ่ายน้ำหนักไปที่แขนทั้งสองข้าง ใบหน้าเขาอยู่ใกล้จนน่าตกใจ

“มาปลุกคนขี้เซาไงคะ” เสียงหวานน่าขนลุกตอบกลับมา ก่อนจะเริ่มขยับโยกตัวไปมา

“อย่าขย่มเดี๋ยวขาหักว้อย”

“ตฤนก็ตื่นสิคะ”

“เลิกทำเสียงแบบนั้นได้แล้ว น่ากลัว”

“ไม่ได้ทำว้อย สังเกตดิปากได้ขยับสักทียัง”

“ตฤนหันซ้ายขวามองหาต้นเสียง แต่ก็ไม่เห็นใคร”

“แฮ่!!!” กวางที่หมอบอยู่ข้างเตียง โผล่พรวดขึ้นมาจนตฤนได้แต่สบถคำหยาบออกมายาวเหยียดด้วยความตกใจ

“สัตว์ออกมาทั้งป่าเลย”

“กวาง! หัวใจแทบวาย”

“นี่ถ้าไม่นั่งทับขาไว้นะ มันพุ่งออกนอกบ้านไปแล้ว สะดุ้งแรงมาก”

     แรงสะดุ้งเมื่อกี้ทำให้ปราชญ์เกือบจะหงายหลังตกเตียง ดีที่ตัวเขาเองรู้อยู่แล้วว่ากวางอยู่ตรงนั้น

“ตกใจแบบนี้จะได้ตื่นไง ไปอาบน้ำออกไปข้างนอกกัน ปราชญ์บอกแล้วไม่ใช่หรอ ว่าวันนี้จะออกไปข้างนอก”

กวางเอ่ยปากชวน สาวสวยในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ขยับมานั่งบนเตียง ส่วนตฤนได้แต่นึกย้อนถึงเมื่อวาน

“จะลากไปไหน นี่มันเพิ่งจะ ...”

“ 9 โมงแล้ว!” กวางโวยวาย เวลาพักของนางมีค่ามาก กว่าจะแลกเวรมาได้ ถ้าไม่สำคัญคงไม่ทุ่มเทขนาดนี้ จะมาเก็บโมเม้นไปแต่งนิยาย หญิงสาวคิดในใจ

“แล้วจะไปไหน”

“ไปห้าง ออกไปชอปปิ้งชุดทำงานไง เดินเล่น หาขนมกิน แล้วก็...คีบตุ๊กตา”

“พอได้ยินคำว่าตุ๊กตา ตาวาวเชียวนะ” ปราชญ์เอ่ยแซวคนแมนที่คลั่งไคล้ตุ๊กตา กวางเอาสิ่งที่เจ้าตัวชอบมาล่อ

“ได้มาเพิ่มก็ดี ส่วนมึงลงไปได้แล้ว ขาชาแล้ว”

     ปราชญ์ได้ยินรีบขยับหนี ก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ขยับให้แล้ว ลุกสิ”

“ชาไปแล้ว แปป”

“ธีมวันนี้เสื้อยืดกางเกงยีนส์นะจ๊ะ” ไม่พูดเปล่า กวางเอื้อมมือมาตีขาที่กำลังเป็นเหน็บของตฤน แน่นอนว่ามันจะต้องเจ็บแบบสั่นสะเทือนแน่ ๆ

“อย่าแกล้งตฤนนักเลย” ปราชญ์ เอามือมาบังไม่ให้กวางแกล้งตีอีกรอบ ส่วนกวางจดโมเม้นไว้ในใจ ‘แค่นี้ก็ต้องปกป้องด้วยหรอ น่ารัก’


     ผ่านไปเกือบชั่วโมง แก๊งเสื้อยืดกางเกงยีนส์ถึงได้เดินทางออกจากบ้าน ช้าเพราะตฤนแอบเข้าไปหลับในห้องน้ำ จนเกือบโดนทั้งคู่พังประตูเข้าไป

“ไปร้านตรงนั้นกัน”

     ด้านหน้าร้านเสื้อผ้ามีหุ่นสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กับกางเกงขายาวสีดำ เป็นชุดทำงานที่ดูสุภาพ

“สวัสดีค่ะ สนใจชุดไหนสอบถามได้นะคะ”

“พี่คะ อยากจะขอลองชุดที่หุ่นใส่อยู่น่ะค่ะ ไซส์ก็ผู้ชายสองคนนี้เลย”

“จะซื้อเหมือนกันหรอวะปราชญ์” ตฤนหันไปถามปราชญ์ ที่น่าจะมีเสื้อผ้าเนี๊ยบ ๆ พร้อมอยู่แล้ว

“ก็ลองดู เชื่อสายตากวางสิ” พนักงานเดินมาวัดตัวทั้งสองหนุ่ม ก่อนจะหยิบชุดมาให้พวกเขาไปลองเปลี่ยน และออกมาให้กวางดู

     ระหว่างรอกวางก็มองหาชุดเพิ่มเติมไปด้วย หยิบมาจนเต็มตะกร้าทั้งสองใบ ใบนึงของตฤนอีกใบของปราชญ์ จะบังคับให้ลองจนกว่าจะพอใจเลย

“โอเคมั้ยอ่ะ รู้สึกแพ้ยังไงไม่รู้ที่ใส่ชุดเหมือนมัน เหมือนไอ้หล่อเนี้ย” ตฤนเดินออกมาพร้อมถามและบ่นไปด้วย

     กวางหันมองทั้งคู่แอบรู้สึกฟินที่ทั้งคู่ใส่ชุดเหมือนกัน มันเหมือนเสื้อคู่ ./////. ถึงทั้งสองคนใส่ชุดเหมือนกัน แต่ให้อารมณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง ปราชญ์ใส่ออกมาแล้วดูสมาร์ท ดูเท่ ในขณะที่ตฤนใส่แล้วดูเรียบร้อย น่ารัก

“ชุดนี้โอเคนะ ไหนมายืนใกล้ๆกันตรงนี้สิ โพสท่าที่คิดว่าหล่อด้วย จะถ่ายรูป”

     ปราชญ์ยืนเฉยๆ ชิลๆ มือข้างหนึ่งปล่อยไว้ข้างลำตัว ส่วนอีกข้างล้วงกระเป๋า ยิ้มนิดๆ แบบผู้ชายเท่ ส่วนตฤนยิ้มเขินๆ และยืนตรงชูสองนิ้ว

“นายดูน่ารักนะตฤน” ปราชญ์พูดแซวคนข้าง ๆ แบบทีเล่นทีจริง

“ปลื้มใจโดนชมจากไอ้หล่อ”

“เอาล่ะ พวกนายเอานี่ไปลองกันต่อเลยนะ” ทั้งคู่มองตะกร้าเสื้อผ้าพูน ๆ ที่วางอยู่ข้างกวาง ชุดในมือที่ส่งมาให้รอบนี้ไม่เหมือนกัน

“ของปราชญ์ เสื้อเชิ้ตเขียวเข้ม กับกางเกงสีน้ำตาลอ่อน ส่วนตฤน เสื้อเชิ้ตน้ำตาลอ่อน กับกางเกงสีเขียวเข้ม ไปเปลี่ยน เริ่มได้”

รอบนี้ทั้งคู่กลับออกมา และยิ่งทำให้ดูแหมือนคู่รัก ที่มาซื้อชุดคู่กัน

“แมทช์กันได้เป๊ะเลย โอยมีความสุข เอ้ามายืนตรงนี้” กวางจัดและถ่ายรูปไปอีกหลายมุมด้วยความอิ่มเอมใจ ทิ้งให้ชายหนุ่มสองคนรู้สึกประหลาดๆ และเหน็ดเหนื่อยกับการเปลี่ยนชุดไปมา

“พอหรือยังกวาง” ปราชญ์ เอ่ยถามหลังจากโดนลองไปหลายชุด และรู้สึกว่าไม่ใช่แค่กวางที่สนุก แต่ถูกจับตามองด้วยพนักงาน ไม่ใช่ความกดดันให้ซื้อ แต่ดูพวกเขาจะสนุกไปด้วย ช่วงหลังถึงกับมาขอถ่ายรูปด้วย

“โอเค พอแล้วล่ะ เลือกชุดที่ชอบมาสิ จะได้ไปจ่ายเงินกัน” กวางที่ได้ภาพไปเยอะ ยิ้มแก้มปริ

“มีงบพอมั้ยวะ” ตฤนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเงินที่ฝากไว้กับกวางระหว่างลองชุด

“ตฤนซื้อเชิ้ตไปเลย 3 ตัว ตัวน้ำเงิน น้ำตาลอ่อน ชมพูอ่อน  กางเกงสีดำ ขาว แล้วก็เขียวเข้ม งบแม่นายให้มาแล้ว”

“แอบไปคุยกันมาตอนไหนฮะ”

“เมื่อเช้าตอนที่นายยังไม่ตื่น แล้วปราชญ์ล่ะ ชอบตัวไหน”

“เอาเสื้อสาม กางเกงสอง”

“เอาเยอะกับเขาด้วยแฮะ”

“ใส่แล้วหล่อ ก็เอาเลย”

“อยากใส่คู่กันล่ะซีย์”

     กวางแซวก่อนจะทำมือไล่ให้ไปจ่ายเงิน ก่อนที่เธอจะหันไปกดมือถือด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ไม่กี่นาทีมือถือของชายหนุ่มทั้งสองก็แจ้งเตือน

     ตฤนหยิบมือถือมาเปิดดูก่อน  และพบว่าโดนกวางแกล้งอีกแล้ว ตัวแสบลงรูปทั้งคู่ที่ลองชุด พร้อมสเตตัสที่เขียนว่า ‘หนุ่มหล่อสมาร์ท กดไลค์ หนุ่มน่ารักสดใส กดเลิฟ’

“น่าอาย” ตฤนบ่นเบา ๆ ให้ภาพที่เห็น ก่อจจะกดแสดงอารมณ์โกรธลงไปแทน

     ปราชญ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่เขากดเลิฟไป...


     พวกเขาเดินเล่นไปเรื่อย จนไปถึงโซนตู้เกม พวกเขาไม่ได้ออกมาเดินเล่นด้วยกันแบบนี้นานมากแล้ว ตฤนตาเป็นประกายเมื่อเห็นตุ๊กตาหมาตัวอ้วนกลมในตู้คีบ

     เขาเดินไปเกาะตู้ดูหน้าแทบจะแนบกระจก ในขณะที่เพื่อนสองคนได้แต่มองคนไม่รู้จักโตด้วยสายตาที่แตกต่างกัน คนนึงมองด้วยแววตาขบขัน ส่วนอีกคนมองด้วยความเอ็นดู...

     กวางเหลือบมองปราญ์ ก่อนจะถ่องศอกไปที่เอวปราชญ์เบา ๆ พร้อมพยักเพยิดหน้า

     ปราชญ์เดินไปแลกเหรียญมาอย่างว่าง่าย สิบเหรียญเพื่อตุ๊กตาหมาตัวกลม...หรือเพื่อรอยยิ้ม

“เอ้า ลองคีบเลย” ปราชญ์ส่งเหรียญในมือให้ตฤน ในขณะที่กวางแอบเก็บภาพทั้งคู่เงียบ ๆ พร้อมความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปอยู่ภายในใจขณะที่เฝ้ามองคนทั้งคู่

     ตฤนหยอดเหรียญแรกลงไป เขาบังคับคันโยกเล็ก ๆ ให้มันเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่เขาต้องการ ก่อนจะกดให้มันคีบ...และ... มันไม่คีบติดขึ้นมาเลยเพราะองศาไม่ถูกต้อง

“ไม่ได้ลุ้นเลย” ปราชญ์พูดแซว

“ขออีกที” ตฤนไม่ยอมแพ้ เขาหยอดอีกครั้ง รอบนี้เขามองอย่างถี่ถ้วน ตุ๊กตาหมาถูกลอยคีบขึ้นมา

“เฮ้ยๆ” ปราชญ์พลอยลุ้นไปด้วย

      ตฤนกลั้นใจลุ้น เจ้าหมาเคลื่อนมาใกล้กับปล่องมากขึ้น ๆ ก่อนจะปล่อยตุ๊กตาให้ตกลงไปก่อนจะถึงช่อง...

“เฮ้อออออ เสียดาย” ตฤนหน้าจ๋อย

“ปราชญ์ลองดิ” กวางแนะนำให้อีกฝ่าย พร้อมขยิบตาราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่าให้โชว์เลย เผื่ออีกฝ่ายประทับใจ

“อ่ะหลบไปตฤน เดี๋ยวจัดเอง”

     ปราชญ์ยืนประจำที่ ตาจ้องไปที่ตุ๊กตาตัวเดิมที่ตฤนคีบไว้รอบก่อน ท่ามันแปลกๆ เขาเล็งสองสามวิ ก่อนจะหยอดเหรียญ ทั้งสามคนลุ้นพอ ๆ กัน

“หึ้ยยยยย”

“ตฤนทำเสียงอะไร” กวางถามเพื่อนที่ทำเสียงลุ้นแปลก ๆ ออกมา

“หึ้ยยยยยยย”

     และความคาดหวังนั้นก็พังลง เมื่อมันปล่อยตุ๊กตาลงไปที่เดิม

“ขี้โกง” ปราชญ์บ่น เบา ๆ แต่ก็หยอดเหรียญใส่เข้าไปอีกครั้ง “รอบนี้ต้องได้น่า”

“เชื่อมั้ยว่าไม่ได้” กวางพูดยิ้ม ๆ

“ได้สิ” ตฤนพูดแทรกขึ้นมา มันต้องได้ เพราะเขาอยากได้ตุ๊กตาหมา

“เชื่อมือเลย” ปราชญ์เพ่งสามาธิ เขามองมัน มองแล้วมองอีกจนได้มุมที่ต้องการ

“มุมใช่ ท่าไม่ใช่ก็เท่านั้น” กวางพูดขึ้นมาลอย ๆ

“อย่ามาขัดสิ ต้องให้กำลัง...” ตุ๊กตาหมาคีบชึ้นมานิดหน่อยก่อนจะหล่นไปตามเดิม

“พอเถอะ เปลืองตัง” ตฤนพูดปลง ๆ ถ้าคีบมันยาก เดี๋ยวเขาจะซื้อเอา

“มาส่งเหรียญมา” กวางแบมือขอเหรียญจากปราชญ์ “เดี๋ยวดูของจริง”

     กวางมองตุ๊กตาหมาที่คว่ำหน้าอยู่ด้วยความมั่นใจ  “ถ้าคีบให้ตัวหนีบมันหุบได้จนแทบแตะกันนะ ตุ๊กตาจะไม่มีหล่น” กวางขยับจอยให้เคลื่อนไปทิศที่ต้องการ เล็งเล็กน้อยก่อนจะกดคีบด้วยท่าทางสบาย ๆ ที่คีบ คีบเข้าที่กลางลำตัว มันคีบได้พอดีจนดูแน่นหนา ก่อนจะพามาหย่อนลงปล่องพอดี

“ได้แล้วววว” ตฤนที่ดีใจกว่าใคร ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

“เก่งแฮะ” ปราชญ์พูดชมกวาง พวกเขาหมดไปฟรี ๆ สี่เหรียญทั้งที่มีเทพตู้คีบอยู่ตรงนี้ 1 คน

     กวางก้มลงไปหยิบตุ๊กตามาถือไว้

“ตฤนอยากได้มั้ย” กวางโชว์ตุ๊กตาให้ชายหนุ่มทั้งคู่ดู “จะให้”

“เอา” ตฤนตอบรับทันที

“แต่...” กวางทำหน้ากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ ไม่น่าไว้วางใจ “ถ้าพวกแกทำให้ฉันแฮปปี้ฉันก็จะให้”

“ทำอะไร?”

“ตามที่ฉันสั่งอ่ะ...” กวางยิ้มหวาน “ขอถ่ายรูปโมเม้นต่าง ๆ หน่อยล่ะกัน”

“โธ่ กวาง” ตฤนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นตบหน้าผากเบา ๆ “แกก็ถ่ายไปตั้งเยอะแล้วนี่หว่า”

“อยากได้อีก ทำได้มั้ยปราชญ์”

“เออ ได้” ปราชญ์ตอบรับคำขอของหญิงสาวอย่างว่าง่าย

“รูปแรกขอเป็น พวกแกไปยืนข้างกันตรงนั้น ยืนพิงราวไว้นะ แล้วก็หันมาสบตากัน”

     ปราชญ์เดินไปอย่างว่าง่าย แต่ตฤนที่ได้ผลประโยชน์กลับมีแววอิดออด

“เร็ว ตฤน ปราชญ์ไม่ได้อยากได้ตุ๊กตายังยอมทำง่ายๆเลย” กวางพูดพลางหันไปยักคิ้วใส่ปราชญ์ ปราชญ์น่ะได้กำไรเห็น ๆ

     ปราชญ์ยืนประจำที่ ก่อนจะกวักมือเรียกตฤนให้มายืนข้าง ๆ เขาลอบมองอีกฝ่าย

“หันไปสบตากันหน่อย” กวางพูดกำกับ

     ตฤนหันไปมองปราชญ์ และพบว่าอีกฝ่ายมองอยู่ก่อนแล้ว ตาสบตา ปราชญ์มองจ้องลงไปในดวงตาของตฤน มองจ้องลงไปราวกับค้นหาอะไรภายใต้ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม แม้หัวใจของเขาจะเต้นเเรงขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่ แต่ใบหน้าของเขายังคงเก็บอาการได้เเนบเนีย

“จ้องอะไรขนาดนั้น” ตฤนพูดเสียงเบา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองเขาจริงจังจนเกินไป

“อ่ะเปลี่ยนท่า ทำเป็นคุยกัน จับมือกันหน่อย”

     ปราชญ์ยื่นมือมาให้อย่างว่าง่าย ตฤนจำใจยื่นมือไปจับ

 “ทำเป็นคุยกันหน่อย” กวางพูดกำกับแต่ก็ระดมถ่ายรูปไปรัว ๆ

“มันชักจะเขิน ๆ แล้วนะกวาง” ตฤนร้องทักท้วงขึ้นมา มันออกจะแปลกๆ ให้มายืนจับมือกันอยู่แบบนี้

“อ่ะสุดท้ายแล้ว”กวางเดินเข้าไปใกล้ทั้งคู่พลางยื่นตุ๊กตาให้ปราชญ์ “ถือไว้นะ ตฤนก็มองแบบนั้นแหละ”

     กวางกดถ่ายรูปไปรัว ๆได้ภาพที่ดูธรรมชาติมากกว่าที่คิด ผู้ชายสองคน คนนึงมองตุ๊กตาอย่างมีความสุข อีกคนมองคนที่จ้องมองตุ๊กตาด้วยดวงตาที่อ่อนโยน และเธอที่มองทั้งคู่อยู่ตรงนี้...



[กวางเหมือนเป็นตัวเเทนของชาวเรา นักจิ้น แต่ความจริงเธอเป็นเเม่สื่อ...

เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวเรื่องหัวใจของปราชญ์ ตอนต่อไปจะพูดถึง วัยใสของทั้งคู่

//เม้นคุยกะเก๊าได้นะะะะ อัพไปอย่างไม่หยุดยั้ง :katai4:]

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 6 คิดถึงจนทนไม่ไหว (ปราชญ์เป็นบ้า)


“ตฤนตื่น พ่อกลับมาแล้ว” เสียงผู้เป็นพ่อที่เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด เขาซื้อของฝากมามากมาย แต่ลูกชายสุดรักของเขาเอาแต่นอน

     ตฤนงัวเงียลืมตาตื่นเพราะเสียงเรียกของผู้เป็นพ่อ เขาเดินสะลึมสะลือไปเปิดประตู ก่อนจะมานอนคว่ำหน้าบนเตียง

“ตฤนนี่พ่อไง ไม่ดีใจหน่อยหรอ”

“ผม... ดีใจ”

“ตฤน ได้ไอ้ลูกชาย”ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นไปนั่งทับบนหลังของตฤน “ไม่ตื่นก็ตาย”

“พ่อ โอเค ตื่นแล้ว” ชายหนุ่มต้องยอมตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขาจำใจลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางง่วงงุน

“ไหนมีอะไรจะเล่าให้พ่อฟังมั้ย”

“ยังไม่มี”

“แม่บอกว่ากำลังจะได้งาน”

“ยังไม่รู้ เขายังไม่โทรมาเลย” สิ้นคำพูด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี เบอร์ของบริษัทที่เขาบันทึกเอาไว้ แสดงบนหน้าจอ ฉับพลันเสียงง่วงก็สดใส เหมือนคนที่ตื่นนอนมาพักใหญ่ๆ

“สวัสดีครับ”

‘สวัสดีครับน้องตฤน พี่วริษฐ์เองนะ พี่โทรมาแจ้งผลการทำเทส...มัน...’ ปลายสายเว้นวรรคจนเขากลั้นหายใจลุ้นตาม ‘ออกมาดีมากเลย’

“ผมผ่านแล้วใช่มั้ย”

‘ใช่ ทีนี้เหลือไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ไปแจ้งที่ชั้นสอง บอกว่ามาตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงานของบริษัทเราเนอะ แล้วผลตรวจจะส่งมาที่บริษัทเลย ไม่ต้องสำรองจ่ายนะ อืม เราไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรอยู่แล้วใช่มั้ย’

“ครับพี่”

‘งั้นคงผ่านฉลุย พรุ่งนี้ไปตรวจเลยนะ พี่ได้รับผลตรวจแล้วจะโทรหาใหม่’

“ครับพี่ขอบคุณครับ” ตฤนพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงสดใส ไม่เหมือนคนงัวเงียเมื่อกี้

     ผู้เป็นพ่อที่นั่งฟังลูกชายคุยโทรศัพท์ จับน้ำเสียง ท่าทาง แล้วก็คำพูด คิดว่าน่าจะมีข่าวดี

“เป็นไงลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยทักทันทีที่ลูกชายกดวางสาย

“พ่อผมกำลังจะได้งานแล้ว ตรวจสุขภาพผ่านก็ผ่าน”

“เก่งมาก” ผู้เป็นพ่อพูดพลางยกนิ้วโป้งให้ “ไปเราไปกินข้าวกันดีกว่า”


     ชายหนุ่มนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนที่นอน ผุดลุกผุดนั่ง เพราะว่าเขาว่าง ว่างเกินไป หรือเพราะว่าเขาทำตัวว่างมากเกินไป

แอร์เย็นเฉียบ บรรยากาศเงียบสงบ ไม่ทำให้จิตใจเขาสงบลงได้เลย “ไปหา หรือไม่ไปหาดี” เขาบ่นออกมาเบา ๆ

‘เราไปหาถี่ไปมั้ย แต่ก็อยากเจอ’ ปราชญ์นอนทะเลาะกับตัวเองอยู่บนเตียง เขาอยากเจอตฤน แต่เขาก็คิดว่าเมื่อวานเพิ่งไปเจอ มันจะดู...

“ไปหาดีกว่า” ปราชญ์ลุกขึ้นเดินจะไปเปิดประตูแต่ก็ได้แค่หมุนลูกบิดประตูแล้วก็จับลูกบิดประตูเย็นเฉียบเอาไว้ พร้อมส่ายหน้าสองสามครั้ง “ไม่ดีกว่า เดี๋ยวมันจะเบื่อหน้า”

     ปราชญ์กดล็อคประตูแล้วเดินกลับมาที่เตียงนอนคว่ำหน้าไปกับที่นอน ก่อนหน้าที่จะเจอก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอเจอแล้ว ก็อยากเจออีก ช่วงเวลาที่เขาไปทำธุระต่างจังหวัด แล้วโทรหาตฤนไม่ติดเลย เขาแทบบ้า และเพราะเหตุผลนี้ เขาถึงได้เร่งจัดการเคลียงานได้เสร็จก่อนกำหนด เพื่อกลับมาเจอ...

“ว้อย เหมือนคนบ้าเลยว้อย”

     ปราชญ์ลุกขึ้นนั่งทึ้งผมตัวเองเหมือนคนบ้า เขาอาจต้องไปพบจิตแพทย์ แล้วบอกแพทย์ว่ามาหาเพราะคิดถึงใครบางคนมากเกินไป แบบนี้น่ะหรอ... พอเขาคิดแบบนั้นก็ต้องหงายหลังนอนแผ่ลงที่นอนอีกรอบ

“เฮ้อออออ” ปราชญ์ถอนหายใจยาวจนลมแทบหมดปอด เขานอนมองเพดานอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนที่สมองจะคิดหาว่าควรจะหาอะไรทำสักอย่าง เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ไปสะดุดเข้ากับกล่องกระดาษใบสีน้ำเงินที่วางอยู่บนชั้น เขาจำได้ว่าข้างในกล่องมีอัลบั้มรูปสมัยเรียนอยู่

     เขาลุกเดินไปยกกล่องมาวางบนที่นอนเพื่อเปิดดู ในกล่องมีอัลบั้มมากมายหลายขนาด เขาหยิบมันออกมานั่งดู รูปสมัยที่เขายังเด็กน้อย พี่ชายอุ้มเขาเอาไว้ เขาทิ้งพี่ชายให้คุมงานต่างจังหวัดคนเดียว ... เพราะเขาต้องกลับมา

     อัลบั้มรูปสมัยมัธยม รูปที่ถ่ายรวมกับเพื่อน ๆ เขากับตฤนยืนข้างกัน เขากอดคอตฤนเอาไว้

     เขามองรูปแล้วก็นั่งยิ้มคนเดียว คิดถึงช่วงเวลานั้น มันสนุกมากจนเขาอยากย้อนกลับไป

     รูปที่พวกเขาเดินพาเหรดด้วยกัน ตฤนในชุดผู้หญิง ยืนยิ้มแห้ง ๆ ตอนนั้นพวกเขาเดินพาเหรดด้วยกัน สาวสวยหน้าหวานที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินพาเหรดคู่กับเขานักกีฬาที่ป็อปที่สุดในโรงเรียน เรียกเสียงฮือฮาดังไปทั่ว ตอนนั้นที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่ากวางเสนอ กวางจูงใจเพื่อนได้เสมอ กวางบอกว่าต้องการความแปลกใหม่ แต่ความจริงคือสนองอารมณ์ตัวเอง ที่อยากจะจิ้น

     รูปตฤนที่หลับคากองหนังสือ ตอนนั้นมานั่งทำงานกลุ่มด้วยกันบ้านเขา ทุกคนหลับกันไปหมด เขาได้ภาพตลกๆ ไว้แกล้งเพื่อนเต็มไปหมด แต่กับตฤนเขากลับได้ภาพใบหน้าขาวเนียนที่กำลังนอนหลับอย่างมีความสุข รูปนี้คนถูกแอบถ่ายก็ไม่เคยได้เห็น

     ...

     เขานึกถึงสมัยเรียน ตอนที่ได้คุยกับตฤนเป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งแรก

.

.

ช่วงม.ต้น

     เขาไม่ค่อยได้เข้าห้องสมุดมากนัก ไม่ถนัดในการเดินหาหนังสือ แต่เมื่อต้องมาหาหนังสืออ้างอิง เขาก็จำใจจะต้องมา พื้นที่ของเขามันคือสนามบอล

     เขาเดินงง ๆ อยู่ในห้องสมุด จนมาสะดุดตากับเพื่อนร่วมห้อง ที่มีหนังสือกองสูงอยู่เต็มโต๊ะ

“โทษทีนะ หนังสืออ้างอิงพวกนั้นไปหาจากไหน”

“อ๋อตรงนั้น หมวดอ้างอิงตรงล็อคนั้นไง”

“ช่วยหาหน่อยดิ อีก 10 นาที ต้องไปซ้อมแล้วว่ะ”

     ตฤนลุกขึ้นอย่างว่าง่าย “หัวข้ออะไรอ่ะ”

“ของประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ อะไรก็ได้”

“อ่าฮะ”

     ตฤนเดินนำไปที่มุมนั้น ปราชญ์มองชั้นหนังสือที่อัดแน่น สันหนังสือบางเล่มเก่าจนอ่านไม่ออก บางเล่มต้องซ่อมสันใหม่ แค่มองชั้นหนังสือเขาก็ลายตาไปหมด

     ตฤนเอียงคอมองหนังสือ นิ้วมือลูบไล่ไปตามสันหนังสือ เขาหยิบเล่มนั้นเล่มนี้ออกมา เปิดดูผ่าน ๆ ก่อนจะส่งให้คนเดินตามหลังเอาไปถือ เขาหยิบหลายเล่มจนปราชญ์ต้องพูดเบรก

“พอแล้วแหละ”

     ตฤนหันมาดูหนังสือในมือปราชญ์ แล้วก็ยิ้มแห้ง ก่อนพูดออกมาเบา ๆ “โทษทีเพลินว่ะ”

“ขอบใจมาก” ปราชญ์พูดพลางยกกองหนังสือในมือไปยืมกับบรรณารักษ์ ส่วนตฤนก็กลับไปจมกับกองหนังสือของเขาเข่นเดิม

     นั่นเป็นช่วงเวลาแรกๆ ที่พวกเขารู้จักกันจริงๆ ถึงแม้ตฤนกับปราชญ์จะอยู่ห้องเดียวกัน แต่ผู้ชายสายกีฬา ที่ตากแดดตากลมอยู่ในสนามบอล กับผู้ชายเนิร์ด ๆ ที่ชอบอยู่ในห้องสมุดเย็น ๆ ก็ไม่น่าจะมาสนิทกันได้อยู่แล้วจนวันนึงที่...

     ปราชญ์ล้มข้อมือข้างถนัดอักเสบเขาเลยได้พักจากกีฬาที่เขารัก พอเลิกเรียนเขาก็เคว้งคว้างขึ้นมา ตัวเขาไม่ชินกับการกลับจากโรงเรียนเร็ว ๆ มาก่อนและคิดว่าจะลองเป็นเด็กแก่เรียนไปนั่งในห้องสมุดดู

     เขาเจอตฤนนั่งอยู่ในห้องสมุดหมือนเดิม แต่รอบนี้ มีเพื่อน ๆ สามคนนั่งอยู่กับตฤนด้วย ปราชญ์เดินไปทักตฤน แต่กลับถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ จากเพื่อนที่นั่งอยู่ก่อน

     เขารู้ว่าเพราะอะไร ในห้องเนี้ยตฤนกับเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นแก๊งหน้าห้อง ส่วนเขาหลังห้อง มาเรียนบ้างขาดบ้าง แต่กลับมาปรากฏตัวในห้องสมุด แถมยังมาทักตฤนอีก ก็คงดูไม่ปกติ

“วันนี้มาหาหนังสืออะไรล่ะ” ตฤนหันมาทักทายเขา

     หลายคนทำหน้างงงวยกับคำทักนี้ 'หึ ผิดคาดล่ะสิ กุกับหนังสือก็เป็นเพื่อนกันได้ว้อย’ ตฤนได้แต่คิดในใจ ก่อนยิ้มออกมา

“วันนี้จะมาทำการบ้าน”

     ปราชญ์ไม่รอรับคำเชิญ นั่งลงเก้าอี้ว่างข้างๆ ตฤนทันที

“จะมาขอลอกล่ะสิ” นายA ที่เขาจำชื่อไม่ได้พูดขึ้นมา ปากกล้าจนเขาคิ้วกระตุก

“ทำเองได้ไม่ได้ยาก”

     เขาใช้มือข้างที่ไม่มถนัดหยิบหนังสือ กับสมุดออกมา ความจริงคือเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการบ้านหน้าไหน

     ตฤนเห็นเพื่อนหยิบหนังสือไม่ค่อยถนัดดูน่าสงสาร เขาก็เลยช่วยจับแล้วก็เปิดหน้าที่ต้องทำให้

“ขอบใจ” ปราชญ์พูดตอบเบา ๆ

‘จงเติมเครื่องหมาย < , > หรือ = เพื่อทำให้ประโยคต่อไปนี้เป็นจริง

1. |-8|        |-5|

2. |1|         |-1|

3. |2|        |-7|

4. |4|        |0|

5. -|-3|       |3| ‘

‘อะไรวะ’ ปราชญ์นึกในใจ เขานั่งนิ่งไป ตาก็มองจ้องจนคิ้วขมวดเป็นโบว์ แท่งๆ เส้นนี่มันอะไรวะ วันนี้เขาแค่หลับในห้องไปนิดเดียว...

“สงสัยถามได้” ตฤนที่มองอีกฝ่ายนั่งนิ่งนานก็เลยเอ่ยถามขึ้น ท่ามกลางคนอื่นที่แอบมอง

“ใช้เป็นแต่แรงมั้ง” นายA คนเดิมพูดขึ้น

     ปราชญ์เม้มปาก ถ้าขืนมันกวนประสาทอีกคำ หนังสือนี่ต้องลอยใส่หน้ามันแน่ๆ

“จะมาลอกอ่ะดิ พอมีคนอื่นอยู่ก็เลยฟอร์ม” นายA ยังคงจ้อ

“พ่อนายมารับแล้วมั้ง” นายB เพื่อนอีกคนพูดขัดขึ้นมา

“เออจริงด้วย” นายA รีบเก็บของใส่กระเป๋า ก่อนจะรีบลุกออกไป“เจอกันพรุ่งนี้”

“เรื่องค่าสมบูรณ์ของจำนวนเต็มน่ะ” เนิร์ดC อีกคนพูดขึ้นเบา ๆ “มันไม่ยากถ้านายเข้าใจ”

“เดี๋ยวสอนให้” ตฤนพูดตัดปัญหา เขาว่าบางทีเพื่อน ๆ เขาก็มนุษย์สัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“ค่าสมบูรณ์ของจำนวนเต็มใด ๆ คือระยะที่อยู่ห่างจาก 0’ นายB พูดขึ้น

“ขีด ๆ นั่น คือสัญลักษณ์แทนค่าสมบูรณ์”

     ตฤนไม่พูดอะไรแต่หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาวาดเส้นจำนวน พลางพูดอธิบายไปด้วย

“ค่าสมบูรณ์ คือระยะที่ห่างจาก 0 ค่าสมบูรณ์คือระยะ ระยะไม่มีค่าลบ มีแต่บวกกับศูนย์

ถ้าเราจิ้มดินสอไปที่ 0 ค่าสมบูรณ์ของ 0 คือ 0 ดูตามเส้น ก็จะเห็นว่ามันอยู่กับที่ ก็คือระยะ 0

ถ้าเราจิ้มดินสอไปที่ 1 มันห่างจาก 0 มา 1 ช่อง ระยะ 1 ก็คือค่าสมบูรณ์ของ 1 เท่ากับ 1

ถ้าเราจิ้มดินสอไปที่ -1 มันห่างจาก 0 มา 1 ช่อง เหมือนกันระยะ 1 ก็คือค่าสมบูรณ์ของ -1 เท่ากับ 1”

“ค่าสมบูรณ์ก็คือระยะ” ปราชญ์ทวนคำพูดตาม

“ดังนั้นข้อแรก ‘ |-8|      |-5| ’ ตอบว่า”

“8 ก็ต้องมากกว่า 5 *ถูกมั้ย ต้องใส่  ‘ > ’ ถูกมั้ย”

“ใช่” นายC ชิงตอบขึ้นก่อน “บอกแล้วว่าไม่ยาก”

“ข้อ 5 ล่ะ” นายB ถามขึ้นมา เขารู้ดีว่าข้อนี้น่ะปราบคนสะเพร่า

“ปราชญ์มองโจทย์ ‘ -|-3|       |3|’ อืมข้อนี้ ลบสามกับสาม”

“เป็นลบได้หรอ” เนิร์ด C พูดให้เขว้

“ลบมันอยู่นอกแท่ง ๆ นั่น ก็ต้องได้ดิ ลบสาม แล้วถ้าดู ลบสามค่าน้อยกว่าสามอยู่แล้ว” ปราชญ์พูดพลางยักคิ้ว เขาไม่ได้โง่ เขาแค่ขี้เกียจเท่านั้น

“เก่งมาก” นายB กับนายC พูดชม หลายคนมักผิดข้อนี้

“โอ๊ย” ปราชญ์ฝืนเขียนเครื่องหมายด้วยมือข้างที่เจ็บ แต่ยังไม่ทันเขียนเสร็จเขาก็ร้องขึ้นมาสักก่อน ความเจ็บแล่นจากข้อมือสู่ปลายนิ้ว ดินสอกดหล่นจากมือลงพื้นจนไส้หัก

“เฮ้ย เจ็บมากมั้ย” ตฤนพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่กล้าที่จะโดนตัวเพื่อน กลัวว่ามันจะสะเทือน

ปราชญ์ส่งเสียงซี๊ดเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ใบหน้าที่เหยเกแสดงออกถึงความเจ็บอย่างชัดเจน เขาพยายามทำใจให้นิ่ง

“เจ็บว่ะ”

“ที่บ้านมาแล้ว กลับก่อนนะ ไปไก่” นายC ลุกขึ้น เมื่อมือถือสั่นแล้วแสดงบนหน้าจอว่าพ่อ นายB ของปราชญ์ชื่อไก่ พวกเขากลับพร้อมกันเสมอ ไก่จะติดรถของนายC ไปลงหน้าปากซอยบ้านปประจำ“หายไวๆนะ” C อวยพรก่อนจะเดินออกไป”

     ตฤนก้มลงไปหยิบดินสอที่ตกขึ้นมากด ๆ ให้ไส้ดินสอมันออกมา

“ปราชญ์ เอางี้ พูดคำตอบมาเดี๋ยวเขียนให้”

     ปราชญ์พยักหน้า ความเจ็บที่ยังคงแล่นแปล๊บทำให้เขาแทบน้ำตาซึม

“อันนี้มากกว่า” ตฤนเขียนตามที่ปราชญ์ตอบ


     พวกเขาอยู่ทำการบ้านจนเสร็จก่อนจะกลับบ้าน เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเดินออกจากโรงเรียนด้วยกัน ตฤนหอบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดเต็มมือ ปราชญ์ได้แต่มอง แม้อยากจะช่วยถือ แต่ด้วยข้อมือของเขา ... ไว้ครั้งหน้า เขาจะช่วยตฤนถือหนังสือ ครั้งหน้า...


      หลังจากนั้นแม้ว่าปราชญ์จะหายเจ็บมือแล้วเขาก็มักแวะเวียนมาลอกการบ้านตฤนเสมอ พวกเขามีสัมพันธภาพต่อกันที่ดี…

.

     พอขึ้นม.ปลาย พวกเขาก็กลับมาเจอกันอีก เพื่อนหลาย ๆ คนที่เรียนด้วยกันตอนม.ต้น กระจัดกระจายไปอยู่สายเรียนต่าง ๆ ปราชญ์โชคดีที่มีตฤนคอยติวให้ เขากับตฤนจึงได้มาอยู่ห้องเดียวกัน

.

“รีบ ๆ ลอก” ตฤนเดินเอาสมุดการบ้านของเขามาให้ผมที่มักขาดเรียนอยู่เป็นประจำ ซ้อมกีฬาบ้าง แข่งกีฬาบ้างล่ะ ตัวเขาเองไม่ใช่คนโง่ แต่บางครั้งการบ้านก็เยอะเกินไป

“ขอ 10 นาที” การบ้านต้องส่งในคาบต่อไป แต่เขายังทำไม่เสร็จ ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่เวลาไม่พอ

     ตฤนเดินกลับไปนั่งที่ ปราชญ์รีบก้มหน้าก้มตาเขียนการบ้าน...

.

“คิดถึงกว่าเดิมอีกว่ะ” ปราชญ์ตัดสินใจได้แล้วหลังจากทะเลาะกับตัวเองมานาน เขาหยิบอัลบั้มรูปที่ตฤนแต่งหญิงไปด้วย เขาจะไปหาเรื่องคุย จะอ้างว่าเก็บห้องแล้วเจอ เลยอยากมาแกล้งแซวก็ยังได้

     เขาเดินออกจากบ้าน ฝ่าแดดร้อนระอุช่วงเกือบเที่ยงเพื่อไปหาคนที่คิดถึง เหงื่อชื้นไหลซึมแผ่นหลัง แสงจ้าจนตาพร่า เขาพยายามหรี่ตาสู้แสง ‘คิดผิดคิดถูกที่เดินมา’ เขาบ่นในใจ

     สุดท้ายเขาก็มายืนอยู่หน้าบ้านของตฤนจนได้  …

.

​[ห้ามความคิดถึงไม่ได้ ปราชญ์เป็นเอามากจริง ๆ : เม้นให้กำลังใจเก๊าได้น้าค้าาาา

แฟนอาร์ตตัวเอง -​ปราชญ์ x ตฤน : วัยใส]



ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
​บทที่  7 คิดถึงต้องไปถึง


     ปราชญ์ยืนตาพร่าอยู่หน้าประตู ก่อนจะตะโกนเรียกตฤนให้ออกมา

“ตฤน!” ปราชญ์ยืนก้มหน้า เหงื่อไหลอาบแก้ม รู้สึกร้อนเหมือนถูกเผาเป็นหมูย่าง  เสียงประตูเปิด ใครบางคนออกมารับเขาแล้ว

“มาหาตฤนหรอ” เสียงชายวัยกลางคนพูดขึ้นตรงหน้า

     ปราชญ์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะรีบยกมือไหว้ วันนี้พ่อมันอยู่บ้าน…

“สวัสดีครับ”

“เข้ามาก่อนสิ ข้างนอกร้อน”

     ปราชญ์ยิ้มก่อนจะเดินเข้าบ้าน ในขณะที่พ่อของตฤนเอื้อมมือไปปิดประตู

“ใครมาอ่ะพ่อ” ตฤนเดินตามมาที่หน้าประตู

“คิดว่าเป็นใครล่ะ มีเพื่อนคนอื่นด้วยหรอไง” ปราชญ์พูดตอบอีกฝ่าย แบบตั้งใจจะกวนประสาท

“เหอะ มาทำไม” ตฤนทักกลับ

“ก็...” ปราชญ์อ้ำอึ้ง เขาไม่รู้ว่าจะตอบไปว่าอะไร คิดถึง? ไม่ได้สิ  “มาเพราะ...ว่างอ่ะ”

“ดี”

“ปราชญ์มาถูกวัน” แม่ที่ได้ยินเสียงคนคุยกันดังจากทางหน้าบ้านจนต้องเดินจากครัวมาดู

“แม่สวัสดีครับ”

“จ้า กินข้าวมาหรือยัง”

“ยังเลยครับ แต่ต่อให้ผมกินแล้ว ผมก็กินได้อีกถ้าเป็นอาหารฝีมือแม่” ปราชญ์หยอดคำหวาน กับสาว ๆ เขาพูดหวานเสมอ แบบนี้คนถึงได้มองว่าเป็นเสือ...

     พ่อขยับไปหาตฤน ก่อนกระซิบเสียงเบา “นั่นเพื่อนแก หรือว่ากิ๊กแม่”

“พ่อ! เพื่อนผม” ตฤนยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองเบา ๆ พ่อนี่ก็คิดไปได้

“พ่อครับแม่ครับ ผมมีอะไรให้ดู ตฤน ไปตักข้าวให้กินหน่อย” พอคล้อยหลังตฤน ปราชญ์ก็หยิบอัลบั้มรูปออกจากกระเป๋า ส่งให้คู่สามีภรรยาดูทันที เสียงหัวเราะคิกคักขบขันกับภาพลูกชายแต่งหญิงที่สวยจนพวกเขาแทบจำไม่ได้

     เสียงหัวเราะสนุกสนานนั้นดังลอดไปถึงในครัว ตฤนที่กำลังตักกับข้าวราดข้าว ได้แต่พยายามเงี่ยหูฟังว่าเขาถูกนินทาอะไรมั้ย แต่สิ่งที่ได้ยินมีแต่เสียงหัวเราะ

“ตลกอะไรกันนักหนานะ” ตฤนบ่นเบา ๆ

     เขาเดินกลับออกมาพร้อมกับจานที่มีกับข้าวพูน ๆ แม่ของเขาใช้มือปัดน้ำตาที่ซึมออกมา น้ำตาจากความขบขัน

“ตฤน ไม่เห็นเคยบอกแม่เลยนะ”

     ตฤนทำหน้าสงสัยกับประโยคที่แม่พูดกับเขา บอกอะไร?

     แม่หยิบอัลบั้มรูปให้ลูกชายดู

     ตฤนรับมาเปิดดู เขาตกใจตาโต พร้อมร้องเรียกคนข้างตัวที่พยายามขนอัลบั้มรูปพวกนี้มาจากบ้าน “ปราชญ์!!!”

“อะไรหรอ” ปราชญ์ตอบพร้อมกับทำหน้ากวนประสาทยักคิ้วล้อเลียน ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“ออกมาจากบ้านเพื่อเอาอัลบั้มพวกนี้มาสินะ”

“เก็บห้องแล้วเจออ่ะ มันตลกดี” ปราชญ์ตอบยิ้ม ๆ “แกสวยจะตาย พ่อแม่ต้องได้เห็น”

“ว้อย” ตฤนตอบโต้อะไรไม่ได้ ได้แต่ร้องโวยวายเบา ๆ

     พ่อเขาคว้ามือถือออกมากดถ่ายรูปจากอัลบั้มไปหลายรูป

“นั่นพ่อทำอะไร” ตฤนหันไปโวบวายใส่พ่อแทน ที่กดถ่ายรูปไปหลายรูป

“จะส่งให้พี่ขวัญดู” พ่อตอบหน้าตาย ในขณะที่มือกดเปิดโปรแกรมแชท แล้วกดส่งรูปไปรัว ๆ

“พ่อ ไม่ต้องใจดีขนาดนั้นนนนน” ตฤนร้องเสียงหลง พ่อส่งรูปเขาให้ลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของเขา แค่นี้เขาก็โดนแกล้งจนไม่รู้จะยังไงแล้ว

“แบ่งปันรอยยิ้มน่าลูก”

     ตฤนไม่ตอบเขานั่งลงข้าง ๆ ปราชญ์ พร้อมหันไปจ้องหน้าปราชญ์ ข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำหน้าทำตาเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อปราชญ์ให้ได้

“ทุกคนมีความสุข เมิงก็ดีใจดิวะ”

“เฮ้ออออ” ตฤนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความระอา

“เอ้อ พรุ่งนี้ตฤนไปตรวจสุขภาพใช่ป่าวลูก”

“ครับ”

“ไปกี่โมง พรุ่งนี้เดี๋ยวพาไป” ปราชญ์พูดแทรกขึ้นมา

“ไปเองได้” ตฤนตอบกลับทันควัน เขารบกวนปราชญ์มามากพอแล้ว จนเขาเองก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมา

“อยากไปโดนกวางแกล้งหรอไง”

“ไปโรงพยาบาลอี่น”

“ไม่ไหวเลย พรุ่งนี้ 8 โมงเดี๋ยวมารับ”


     ปราชญ์ตื่นแต่เช้าเพื่อไปรับตฤนไปโรงพยาบาล

     ทันทีที่ตฤนก้าวขึ้นรถ คาดเข็มขัดเสร็จ หันมองหน้าคนขับรถด้วยดวงตาปรือ เขาง่วงมากเกินกว่าอะไรทั้งหมด เพราะเมื่อคืนเขาพยายามนอนเร็วแต่กลับยิ่งทำให้นอนไม่หลับ พอมาเจอแอร์เย็น ๆ เขาก็ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทาง แล้วหลับไปทันที

“หลับง่ายแบบนี้ เดี๋ยวโดนเอาไปขาย”

“...” ตฤนหายใจสม่ำเสมอ หลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว เหมือนลูกหมาตัวน้อย ๆ ที่ไม่มีพิษสง หน้าเนียนใสดูน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาไม่อยากพาไปโรงพยาบาลแล้วแต่อยากนั่งมองคนขี้เซาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ปราชญ์นั่งมองอีกฝ่ายที่นอนหลับพริ้มอึดใจนึง ก่อนจะขับรถออกไป


 “ตฤนตื่น”   เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ปราชญ์ปลุกตฤนด้วยเสียงเรียก แต่ท่าทีตอบสนองกลับทำให้สติปราชญ์แทบเตลิด

“อื้ออออ” เจ้าตัวครางเบา ๆ 

     ปราชญ์เอื้อมมือไปจับแก้มตฤนเบา ๆ แก้มนุ่มเนียนละเอียด จนเขานึกหมั่นเขี้ยว

“ตื่น ตฤน!!! ” ปราชญ์หยิกแก้มคนขี้เซา พร้อมเพิ่มเสียงเรียกให้ดังขึ้น

     ความเจ็บและเสียงรบกวนทำให้ตฤนลืมตาขึ้นจนได้

“เจ็บ..” เสียงแหบ ๆ ดังออกมาเบาๆ

“ตื่นได้แล้ว ไปหาหมอ”

“อื้อออ” ตฤนส่งเสียงออกมาขณะขยับตัวบิดขี้เกียจ

     ทั้งคู่เดินไปติดต่อตามที่ทางบริษัทโทรแจ้ง เขาไปหาพยาบาลสาวหน้าตายิ้มแย้มสดใส เธอเริ่มแจงรายละเอียดว่าเขาจะต้องตรวจอะไรบ้าง ต้องเดินจุดไหนไปจุดไหน

“รายละเอียดตามเอกสารนะคะ เริ่มที่ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงความดัน ตรงนั้น แล้วก็ไปทดสอบสายตากับการฟัง ต่อด้วยเจาะเลือด ไปเก็บปัสสาวะ แล้วก็เอกซเรย์ จากนั้นเอาเอกสารกลับมาวางตรงนี้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

     ตฤนลุกเดินไปตรวจ ส่วนปราชญ์นั่งรออยู่มุมนึงที่พยาบาลจัดเอาไว้ให้ ญาตินั่งรอ ปราญ์หยิบพลิกหนังสือขึ้นมานั่งอ่าน


“คลินิกหัวใจ” ปราชญ์พูดพึมพำอ่านหน้าปกหนังสือที่เขาหยิบขึ้นมา “อาการอกหักมันเจ็บที่สมอง ส่วนอาการเจ็บที่หัวใจต้องรีบไปหาหมอ” ปราชญ์อ่านคำโปรยออกเสียงพร้อมกระตุกยิ้ม ‘เข้าใจเขียนจริง ๆ’

     ปราชญ์กวาดสายตาดูสารบัญ โรคหัวใจต่าง ๆ แนวทางการักษา ตัวหนังสือทำให้เขาเริ่มจะง่วงขึ้นมา เขานั่งพิงเก้าอี้ก่อนจะผล็อยหลับไป

     ตฤนเดินตรวจสุขภาพไปตามจุดต่าง ๆ จนครบ พอเดินกลับมาก็เจอว่าคนที่มารอหลับสนิทไปแล้ว สองมือคนนอนหลับกอดอกเอาไว้แน่น

“หนาวหรือเก๊กหล่อกระทั่งตอนนอน”

“ปราชญ์ ตื่น” ตฤนเรียก แต่คนตรงหน้ายังนิ่ง จะปลุกก็น่าสงสาร เพราะตื่นเช้ามาพาเขามาตรวจสุขภาพ ปราชญ์ดีกับเขาเสมอ เขาจะไปหาเพื่อนที่ดีขนาดนี้ได้จากไหนอีก ... แต่จะให้นอนแบบนี้ก็ไม่ได้ อดทนอีกนิด กลับไปนอนสบายๆ ที่บ้านยังดีกว่า

     ตฤนก้มลงไปใกล้ๆปราชญ์ เขาจะส่งเสียงดังกว่านี้ในพื้นที่โรงพยาบาลไม่ได้ “ปราชญ์ กลับไปนอนบ้านกันเถอะ ”ตฤนใช้สองมือเขย่าไหล่ปราชญ์เบา ๆ

     ปราชญ์ลืมตาขึ้นมามองเสี้ยวหน้าคนที่กำลังเขย่าไหล่เขา ใบหน้าห่างจากแก้มเนียนใสไม่ถึงคืบ ‘ถ้าได้เห็นทุกวันก็คงดี’ ปราชญ์คิดในใจ

“ตื่นแล้ว” เสียงแหบกระซิบที่ข้างหูคนพยายามปลุก

     ตฤนขนลุกซู่ ขยับเด้งตัวออก

“ปะ ไปกลับ”

     ปราชญ์บิดขี้เกียจก่อนลุกขึ้นยืน ตฤนเดินนำไปก่อน ปราชญ์มองตามก่อนจะอมยิ้มกับตัวเอง แล้วเดินตามหลังไปด้วยท่าทางสบาย ๆ

“ไม่ไปทักทายกวางหน่อยหรอ” ปราชญ์พูดทัก เมื่อตฤนเอาแต่เดินจ้ำ ๆ  ไม่ยอมหยุด

“วันอื่นล่ะกัน ไม่ง่วงนอนหรอไง รีบไปนอนกันเถอะ” ตฤนที่ยังง่วงอยู่หันมาพูด เมื่อรู้สึกว่าคนข้างหลังเดินช้าเหลือเกิน

“อยากจะนอนด้วยกันหรอ” ปราชญ์พูดเสียงทะเล้น ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเจิดจ้า จนตฤนที่หันไปมองแทบจะต้องหรี่ตาใส่

“เออ นอนด้วยกัน” ตฤนผู้ใสซื่อตอบกลับโดยไม่ได้คิดอะไร

“แน่นะ” ปราชญ์เดินยิ้มกว้างอ้าแขนมากอดคออีกฝ่ายไว้ เพราะปราชญ์ตัวสูงกว่าพอกอดคอตฤนคนตัวเล็กกว่า น้ำหนักที่โถมลงไปทำเอาตฤนเซ

“หนักว่ะ” ตฤนบ่นอุบ

“ก็เตี้ยอ่ะ”

“178  นี่ไม่เรียกเตี้ย เมิงสูงเกินไปต่างหาก 184 คนหรือเสาไฟ”

“หึ” ปราชญ์หัวเราะเบา ๆ แต่ก็ไม่ยอมเอามือออก

“อ้าว เฮ้ยตฤน สวัสดี” เสียงผู้ชายเอ่ยทักทาย ตฤนมองหาต้นเสียงจนมาเจอกับเพื่อนหุ่นอวบ ตัวขาวใส่แว่นหนาเอ่ยทักทายเขาอยู่

“เฮ้ย ไอ้ชัย” เพื่อนคณะของตฤน ที่พอจบมาก็ไม่ค่อยได้เจอกัน มันอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้แท้ ๆแต่ก็ไม่มีโอกาสเจอกัน

“สบายดีมั้ยเมิง”

“เออกุสบายดี” มาถามกันว่าสบายดีมั้ยในโรงพยาบาล มันก็จะดูแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ตัวเขาก็สบายดีแหละ

“แล้วมาโรงพยาบาลทำไมวะ”

“ตรวจก่อนเริ่มงานอ่ะ”

“อ่อ ส่วนกุปวดไหล่ เลยแวะมาหาหมอ” อีกฝ่ายตอบออกมาโดยไม่รอให้ถาม พลางใช้มือจับๆที่ไหล่ เพื่อบอกว่าเขาปวดไหล่อยู่

“หาหมอเสร็จยังอ่ะ”

“ยังเลยกำลังจะไปเนี้ย”

“เออ รีบไป ไว้นัดกันเมิง”

“ไว้หาเวลาว่าง ๆ  โทษทีที่เมิงชวนกุรอบก่อนแล้วไม่ว่าง” ชัยตอบย้อนหลังไปถึงนัดก่อน ที่ตฤนจะชวนเขาไปหาอะไรกินกะเดินซื้อของ แต่เขาปฏิเสธไป ไม่ได้ยุ่ง แต่ก็ไม่ได้ว่าง ที่จริงคือเพราะว่าขี้เกียจ

“ไม่เป็นไร ไว้เจอกันใหม่”

     ชัยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกไป โดยมีปราชญ์มองชัยที่เดินสวนเขาไป เพื่อนมหาวิทยาลัย คงไม่มีอะไรให้กังวล แต่พอเขาหันมองตามชัยไป กลับเจอผู้หญิงอีกคนยืนอยู่ด้านหลังเขา

“ใจคอจะไม่แวะมาทักทายกันเลยเนอะ” เสียงกวางดังขึ้น

     ตฤนหันกลับไปมอง ยกมือทักทายนิดหน่อย

“วันนี้เพลียว่าจะรีบไปนอน” ตฤนพูดขึ้นมาก่อน

“ทำอะไรกันมาหรอเพลียน่ะ” กวางพูดแซว “แล้ววันนี้มาฝากครรภ์กันหรอไง”

“รายนั้นมาตรวจสุขภาพเตรียมเริ่มงานต่างหาก” ปราชญ์ตอบพลางเปลี่ยนจากมือที่กอดคอมาเป็นชี้ๆ จิ้มใส่หัวคนตัวเตี้ยกว่า

“เอ้อ ไปล่ะ ได้เวลาเข้าเวรล่ะ” กวางที่บังเอิญผ่านมาเห็นทั้งคู่ แค่ได้ทักทายได้แซวสักหน่อยก็พอแล้ว เพราะเธอก็ไม่ว่าง ต้องรีบไปเข้าเวรแทนเพื่อน

“ไว้เจอกัน” ตฤนพูดก่อนจะโบกมือลาเพื่อน

     กวางหันกลับไปมองทั้งคู่ ใจนึงก็อยากให้ปราชญ์สมหวัง กว่า 6 ปี ที่ปราชญ์แอบชอบตฤนมา เขาควรเชื่อมั่นในหัวใจของเขา แล้วเลิกกลัวสักที  แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เข้าใจความกลัวของเขาดี เพราะเธอก็ไม่ต่างจากเขา เพียงแต่ปราชญ์ยังมีโอกาส แต่เธอไม่มี...

.

[นอนหลับกันง่ายจริง ๆ พวกนายจะอ่อยกันเองแบบนี้ไม่ได้นะ!!! ว้าย!!!

ตอนต่อไปจะมีความเขินนน ติดตามกันนะคะะะ ทำหน้าอ้อนเม้น]
 :mew2:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เชียร์ปราชญ์ค่ะ ✌✌✌

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4

บทที่ 8 ใต้ผ้าห่มอันอบอุ่น และหมอนข้างที่นุ่มนิ่ม


     ปราชญ์ขับรถกลับมาถึงบ้านของเขา

“คิดว่าจะเลยไปส่งบ้าน” ตฤนพูดขึ้นเมื่อปราชญ์จอดรถหน้าบ้านแล้วดับเครื่อง “พามาแล้วไม่พากลับ”

“หืม? ก็ไหนว่านอนด้วยกัน” ปราชญ์ถามพลางหันไปจ้องตาอีกฝ่าย

“บ้านใครบ้านมันเถอะ กลับแล้ว วันนี้ขอบใจมาก” ตฤนเปิดประตูรถ แล้วทำท่าจะเดินกลับบ้าน

     ปราชญ์รีบลงจากรถตาม พลางเอื้อมมือมาล็อคคออีกฝ่ายเอาไว้ “อยู่นี่ก่อนเถอะน่า บ้านไม่มีใครอยู่เลยเหงา”

“เหงาอะไรวะ ไม่ชินหรอไง”

“เออน่า อยู่ด้วยกันหน่อย”

     บ้านปราชญ์ทำงานทุกคน ไปต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง เลยทำให้บ่อยครั้ง บ้านปราชญ์มักจะไม่มีคนอยู่ ที่จริงตัวเขาเองก็ชินแล้ว แต่ที่พยายามทำอยู่ ก็แค่อยากอยู่กับคนเตี้ยกว่าให้นานกว่านี้อีกหน่อย

“เออ ๆ” ตฤนตอบก่อนจะโดนปราชญ์ล็อคคอลากเข้าบ้านไป

“หิวยังอ่ะ” ปราชญ์ถามอีกฝ่ายขณะไขประตูเข้าบ้าน

“หิว” ตฤนตอบกลับมาคำเดียวนิ่ง ๆ ทั้งหิว ทั้งง่วง เขาคิดว่าจะต้องกินก่อนจะได้หลับยาว ๆ

“เอาดิ อุปกรณ์มี ใช้ครัวได้เลย” ปราชญ์เดินนำเข้าไปในครัว ก่อนจะหยิบวัตถุดิบออกมากองให้ดู

“โธ่คิดว่าจะทำให้” ตฤนเดินไปดูวัตถุดิบ มีไข่ มีแฮมกับข้าวที่หุงทิ้งไว้แต่เช้า ตฤนขยับแขนยกเขียง เขารู้สึกระบมเล็ก ๆที่แขนตรงที่ถูกเจาะเลือด

     ปราชญ์ที่นั่งมองอีกฝ่ายเพลิน ๆ พอเห็นตฤนทำสีหน้าเหยแปลก ๆ เลยต้องเดินลุกไปหา

“เป็นอะไร”

“เจ็บที่แขนว่ะ สงสัยระบม”

     ปราชญ์คว้าแขนคนตรงหน้ามาก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นดู ตรงที่เจาะเลือดเป็นจ้ำสีแดง ๆ ม่วง ๆ มันขึ้นมาเยอะจนน่ากลัว ดูจะเจ็บ

“ไม่เคยช้ำขนาดนี้เลย” ตฤนมองรอยช้ำบนแขน มิน่าเขาถึงรู้สึกเจ็บ ๆ ตึง ๆ

“สงสัยพยาบาลเจาะแรง เส้นเลือดแตก ไปนั่งไปเดี๋ยวทำเอง”  ปราชญ์โชว์ฝีมือทำข้าวผัดไข่ใส่แฮมดูท่าทางคล่องแคล่ว  ส่วนตฤนนั่งเฉย ๆ นั่งมองตาปริบ ๆ สูดกลิ่นหอมของข้าวผัด

“ปราชญ์ นี่อย่างกับพวกพ่อบ้านเลยเนอะ”

“เออ อยากได้พ่อบ้านมั้ยละ”

“ไม่มีตังจ้าง ให้ใช้วิญญาณทำสัญญาแลกเปลี่ยนด้วยก็ไม่เอาหรอกนะ”

“ดูการ์ตูนมากไปแล้ว ไม่ใช่พ่อบ้านปีศาจนะคุณหนู”

     ปราชญ์ส่ายหน้าอ่อนใจ ก่อนตักข้าวใส่จาน ยกไปวางลงตรงหน้าตฤน

“กินเองไหวมั้ย หรือจะให้ป้อน”

“กุแค่แขนช้ำ ไม่ได้แขนหัก”

     พวกเขานั่งกินข้าวด้วยกัน ปราชญ์ลอบมองตฤนที่กำลังกินข้าวผัดฝีมือเขาอย่างมีความสุข ช่วงเวลาเรียบง่าย ที่เมื่อก่อนพวกเขาใช้ด้วยกันบ่อย ๆ สมัยเรียนมัธยม และห่างออกไปในช่วงมหาวิทยาลัย ช่วงที่เขาพยายามทดลองหัวใจของตัวเอง ว่าความรู้สึกที่เขามีมันจริงแค่ไหน เขาชอบผู้ชายคนนี้จริง ๆ ใช่มั้ย เขารู้ดีว่าถ้าเดินหน้าไปแล้ว ถ้าไม่สำเร็จ ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก...

“ดูการ์ตูนเรื่องนี้ยังอ่ะ” ปราชญ์พูดพร้อมกับเปิดการ์ตูนเรื่องดังกล่าวจากมือถือให้ตฤนดู

“ยังเลยว่ะ สนุกมั้ย”

“ดีอยู่ เป็นแบบจบในตอน เหมาะดูฆ่าเวลา” ปราชญ์กดเพิ่มเสียง พร้อมกางตั้งให้ตฤนดู ปราชญ์หยิบรวบรวมจานช้อนส้อมเป็นกองเดียว “ดูไปก่อนนะ ล้างจานแปป”

     ตฤนที่หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน เขารู้ว่ากินแล้วนอนลงคงไม่ดี เลยฝืนลืมตาเอาไว้

“ตาโคตรปรือ”

“รู้ได้ไงวะ เมิงหันหลังอยู่” ตฤนตอบกลับเสียงทักไป อีกกฝ่ายหันหลังล้างจานอยู่แท้ ๆ กลับมารู้ดีว่าตาเขาปรือ

“รู้แล้วกัน”

“เออไอ้หัวดำนี่พระเอกป่ะ แล้วหัวส้มเป็นนางเอก”

“ไม่รู้ว่ะ มันก็คลุมเครือ จะมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่สาระป่าววะ”

“เออ ก็...ไอ้หัวทองกับไอ้หัวดำนี่ โดนจิ้นชัวร์ คนแต่งแม่มสาววายแน่ ๆ”

“คิดเหมือนกันเลยว่ะ” ปราชญ์พูดเออออก่อนมายืนอยู่ข้างหลังตฤน “นั่งดูไป ดูจบตอนค่อยนอน”

     พวกเขาย้ายไปนั่งดูการ์ตูนที่ห้องนอน ปราชญ์อดตื่นเต้นไม่ได้เขาพยายามไม่คิดอะไร แต่เพราะคำพูดของตฤนที่เจ้าตัวบอกให้นอนด้วยกันทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ถึงความหมายแฝงนั้น ส่วนคนใสซื่อก็เอาแต่พยายามต่อสู้กับความง่วง พยายามถ่างตาเอาไว้ จนนั่งหลับใน

     ตฤนที่เผลอหลับในไปสะดุ้งกับฉากที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาพสุดท้ายที่เขาจำได้ เขางุนงง กับเนื้อเรื่องจนต้องเอ่ยปากถาม

“นี่มันมาไงวะ”

“นั่งหลับเฉย” ปราชญ์ผลักหัวตฤนเบา ๆ  “นอนไป น่าจะ พอนอนได้แล้ว”

     ตฤนพยักหน้า ก่อนขยับตัวจากนั่งพิงหมอนเป็นนอนราบไปบนที่นอน ตฤนดึงผ้าห่มขึ้นห่มจนถึงคอ เพราะแอร์เย็นเฉียบ ทำให้เขาหนาว ไม่มีอะไรมีความสุขเท่านอนในห้องเย็น ๆ โดยเราซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ

     ปราชญ์เห็นแบบนั้นก็สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม ระยะห่างของทั้งคู่ไม่ถึงคืบดี มีแค่ปราชญ์ที่รู้สึกตื่นเต้นอยู่คนเดียว ในขณะที่ตฤน เขาสู่ห้วงนิทราไปแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปราชญ์ก็หลับตามไปติด ๆ ทั่งคู่ขยับเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวด้วยความหนาวของแอร์อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส...

     ตฤนรู้สึกตัวก่อน เขารู้สึกอุ่น อุ่นมากจนร้อน เขาสลึมสลือลืมตาขึ้นเพื่อจะรู้ว่าใบหน้าของอีกคนอยู่ห่างจากเขาแค่นิดเดียว ใบหน้ายามหลับของปราชญ์อยู่ใกล้จนตฤนมองเห็นได้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง เครื่องหน้าที่ประกอบออกมาเป็นเขา ดวงตาเรียวยาวที่ปิดสนิท จมูกโด่งเป็นสัน ไม่แปลกที่ผู้หญิงจะหลงใหลมัน ถ้าเขาเป็นผู้หญิงก็คงจะเผลอชอบได้ไม่ยาก ใบหน้าผ่อนคลายกับลมหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเขากำลังหลับอย่างสบาย ตฤนพยายามขยับตัว แต่ก็ถูกสองแขนกำยำกอดรัดเอาไว้แน่น เขากำลังคิดว่าจะเอายังไง ถ้าขยับแรงกว่านี้ปราชญ์ก็จะต้องตื่นด้วย แต่ถ้าเขาไม่ขยับ เขาก็จะต้องอยู่แบบนี้...

     ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

     ละ แล้วทำไมหัวใจเขามันถึงเต้นแรงขนาดนี้วะเนี้ย

     ตฤนพยายามขยับอีกครั้ง สีหน้าของคนตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กหน่อยเพราะถูกกวน เขาหยุดขยับตัวแข็งทื่อ ถ้าปล่อยให้ตื่นไปด้วยก็สงสาร อุตส่าห์ตื่นเช้าไปเป็นเพื่อนเขา เลยต้องจำใจปล่อยไว้แบบนี้ แล้วหลับตาต่อ...

     เสียงโทรศัพท์แผดเสียงลั่นปลุกคนทั้งคู่ที่กอดกันกลมให้ตื่นขึ้น

     เมื่อพวกเขาต่างลืมตาขึ้นพร้อมกัน อึดใจนึงที่ตาสบตา ปราชญ์เผลอจ้องมองเหมือนตกในภวังค์ พลางลอบกลืนน้ำลาย แต่ไม่ยอมคลายอ้อมกอดแม้ใจอยากกระชับอ้อมแขนให้คนตรงหน้าอยู่ใกล้กว่านี้ ใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของเขา

     ขณะที่ตฤนรีบหลบตาแล้วพยายามขยับตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง เขาว่าแบบนี้มันใกล้เกินไป และน่าอาย ที่สำคัญในอกของเขาหัวใจมันเต้นรัวจนแทบระเบิด

“อึดอัดว้อย” ตฤนดิ้นไม่หยุด เมื่ออีกฝ่ายที่ตื่นแล้วไม่มีทีท่าจะคลายอ้อมแขน

     ปราชญ์มองคนตัวเล็กที่พยายามหนีจากอ้อมกอดของเขา มองท่าทางแล้วอดยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะคลายอ้อมแขนออก ตฤนเด้งตัวขึ้นนั่งเอื้อมมือไปหยิบมือถือมาดู

“หมอนข้างนิ่มดีจริง ๆ” ปราชญ์พลิกตัวนอนตะแคงข้าง ใช้มือค้ำศีรษะเอาไว้ มองคนตัวเล็ก กดมือถือดูคนที่โทรมา คนได้กำไรพูดแซวคนเสียเปรียบ สัมผัสอุ่นนุ่มยังเหลืออยู่

“พี่วริษฐ์โทรมา”

     ได้ยินแบบนั้นปราชญ์ขมวดคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนจากเดิม ผู้ชายหน้าไหนมันโทรมาทำลายบรรยากาศของเขา

     มือถือดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ตฤนกดรับอย่างรวดเร็ว

“ครับพี่ ครับ จริงหรอครับ! ครับอาทิตย์หน้า เข้าไปเซนสัญญา ขอบคุณครับ”

     ปราชญ์เพ่งมองอีกฝ่าย ที่ส่งเสียงตื่นเต้นมากกว่าปกติ

“ได้งานแล้วว้อย” เมื่อตฤนกดวางสาย เขาส่งเสียงร้องอย่างดีใจ เพราะปลายสายโทรมาแจ้งว่าผลตรวจสุขภาพเขาผ่าน ไม่พบอาการเจ็บป่วยต้องห้ามตรงไหน

“ดีใจด้วยนะ เก่งมาก” ปราชญ์แสดงความยินดีด้วย

“ไปดีกว่า จะกลับบ้านไปบอกข่าวดี”

“เดี๋ยวไปส่ง” ปราชญ์ลุกขึ้นไปกดปิดแอร์

“เดินไปเองก็ได้”

“เดี๋ยวไปส่งน่า แล้วแขนเป็นยังไง”

“ก็เหมือนเดิม คงหลายวันกว่าจะหาย”

     ปราชญ์เดินมาจับเเขนอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะทำเสียงแปลก ๆ ที่เหมือนกับเวลาที่ปลอบเด็ก ๆ เวลาหกล้มได้แผล

"เพี้ยง หาย"

"กูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ"

"แต่กูมีเวทมนต์นะ มึงจะหายเจ็บเร็วกว่าปกติ"

"ปัญญาอ่อน" ตฤนดึงแขนออกจากการเกาะกุม ปราชญ์มันบ้าชัด  ๆ

     ปราชญ์ขับรถไปส่งตฤนที่บ้าน เขาอยากเจอตฤนให้นานอีกหน่อย เพราะจะไม่ได้เจออีกหลายวัน แต่เขาไม่ได้บอกตฤนหรอกว่าเขาจะไม่อยู่ เผื่อคนข้าง ๆ จะคิดถึงเขาบ้าง กวางบอกว่าถ้าเราเจอใครสักคนบ่อย ๆ แล้วอยู่ ๆ เขาหายไป คนที่เคยชินกับการเจอทุกวัน ๆ เขาจะรู้สึกคิดถึงแล้วมองหา น่าจะต้องเป็นช่วงเวลานี้นี่แหละ ที่เขากลับมานี่ พวกเขาก็อยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน...

     ปราชญ์กลับมาบ้านพร้อมเก็บข้าวของเสื้อผ้าลงกระเป๋า เขาต้องไปทำงานต่างจังหวัดอีกแล้ว กลับมารอบหน้าเขาอาจจะเข้มแข็ง และมีกำลังใจมากพอที่จะก้าวออกไปจากเฟรนโซนนี้ก็ได้

“พ่อ แม่ ผมได้งานแล้ว” ตฤนบอกข่าวดีให้ที่บ้านฟังด้วยท่าทีตื่นเต้น

“เก่งมากไอ้ลูกชาย”

“ตฤนอยากกินอะไร แม่จะทำให้กิน” แม่ที่ดีใจยิ่งกว่าใครรีบออกปากพูดทันที

“คนที่มารับลูกไปโรงพยาบาลล่ะ” พ่อถามถึงคนเมื่อวานที่มีน้ำใจกับลูกเขา ตัวเขาเองก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาชายหนุ่มคนนั้นไม่น้อย

“แล้วปราชญ์ล่ะ” แม่ถามถึงลูกชายคนโปรดซ้ำอีกรอบ

“ไม่รู้มัน” ตฤนตอบปัด ๆ เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกทีมันต้องพวงติดตามมากินข้าวที่บ้าน แต่รอบนี้พอส่งเขาลงที่หน้าบ้าน ก็บอกแค่ว่า ‘ไว้เจอกันใหม่’ แล้วก็กลับออกไปเลย

“เพื่อนคนนี้ใช่คนที่มาช่วยถือของให้วันรับปริญญาลูกมั้ย”

     ตฤนพยักหน้าตอบรับแทนคำตอบ

“ปราชญ์น่ะ เด็กดีน่ารัก มาดูแลตฤนตลอด เด็กที่ช่วยพาฉันไปโรงพยาบาลก็คือปราชญ์ นี่แหละ” แม่พูดเสริมด้วยความเอ็นดู

“เพื่อนแบบนี้ต้องรักษาไว้ดี ๆ ” พ่อพูดสอน “เราก็ต้องดี ๆ กับเขาไว้นะ เหมือนที่เขาดีกับเรา”

      เพราะว่าพ่อพูดถึง ตฤนเลยนึกถึงปราชญ์ ภาพของปราชญ์ที่ปรากฏในความคิดของตฤน ดันเป็นภาพใบหน้าหลับพริ้มของปราชญ์เมื่อตอนบ่าย ...

“ครับ” ตฤนตอบรับก่อน เดินเอาข้าวของไปเก็บที่ห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง นั่งเล่นพักผ่อน

     มานึกดูแล้ว ตัวเขาเองไม่ค่อยได้ใส่ใจปราชญ์มากนัก ไม่มากเท่าที่อีกฝ่ายใส่ใจเขา พอมานึก ๆ ดู ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะออกปากหรือไม่ ปราชญ์ก็จะมาช่วยเสมอ ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่ความจริงช่วงมัธยมเขาช่วยอีกฝ่ายมากกว่าอีก คนที่มักมาขอลอกการบ้านเขา ให้เขาสอนหนังสือ ส่วนปราชญ์ก็ค่อย ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผิดหูผิดตา ในช่วงที่ห่างกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ที่นาน ๆ จะได้เจอกันทีปราชญ์ยุ่งกับกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย แต่จากตอนนั้นจนกระทั่งวันนี้ ปราชญ์ก็ช่วยเหลือเขาเสมอ ตลอดเวลา ครึ่งชีวิตของเขา ทุกช่วงเวลามีปราชญ์อยู่ด้วยเสมอ

“แล้วกูจะไปนั่งระลึกความหลัง คิดถึงมันทำไมวะเนี้ย” ตฤนได้แต่บ่นกับตัวเอง เขาดึงตัวเองออกมาจากความทรงจำในอดีต เขาลุกขึ้นไปกาปฏิทินวันที่จะต้องไปเซนสัญญาและเริ่มงานในวันแรก ในอีก 4 วันข้างหน้า เขาจะใช้วันหยุดที่เหลือทำในสิ่งที่อยากทำจนสาแก่ใจ

.

[เค้ากอดกันนนนน

 :hao5: :hao7: :-[

ตฤนเอ้ยคิดถึงปราชญ์บ้างเถอะ รักมันบ้างงงงง]

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 9 เริ่มงานวันแรกกับวริษฐ์ผู้มีแรงดึงดูด

“สวัสดีครับพี่” ตฤนเอ่ยทักทายทันทีที่เห็นคนมายืนรอรับ เขามองสำรวจคนตรงหน้า เจอกี่ครั้งก็ยังประหม่า ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดเกลี้ยงเกลา เส้นผมที่เซตมาเป็นอย่างดีดูเรียบร้อยสบายตา กับเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนทับด้วยสูทกับกางเกงสแลคสีดำดูสมาร์ท วันนี้เขาและพี่วริษฐ์แต่งตัวคล้ายกัน เสื้อเชิ้ตสีเหลือง ทำให้เขาแอบรู้สึกด้อยที่ใส่สีคล้ายกัน แต่ลุคไม่สามารถเทียบได้เลย

“เดี๋ยวเราไปเซ็นสัญญากันก่อน”

     วริษฐ์ชี้แจงรายละเอียดให้ตฤนฟังก่อนจะเอาสัญญาให้อ่าน ตฤนอ่านทุกหน้าทุกบรรทัดก่อนจะทำการเซ็นสัญญา

“เดี๋ยวพี่พาไปแนะนำกับพื่ ๆ ในแผนกนะ”

“สะใส่เสื้อสีเดียวกันเลยนะครับ” ตฤนช่วยคุยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“อืม สีเหลืองเพราะวันนี้วันจันทร์ใช่มั้ยละ” วริษฐ์ตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ พาเดินผ่านแผนกต่างๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องกระจก วริษฐ์เคาะที่ประตูสองครั้ง และเมื่อเปิดประตูเข้าไป ก่อนจะหันมาคว้าไหล่คนที่เดินตามหลังตลอดเวลา ขยับมาอยู่ข้างหน้า

“ทุกคนครับ นี่น้องตฤนนะครับที่จะมาร่วมทีมกับเรา”

“สะ สวัสดีครับ” เพราะถูกทุกคนจ้องมองอย่างไม่ละสายตา ทำให้น้องใหม่มีอาการประหม่า เหงื่อไหล เกร็ง มือสั่น คล้ายจะเป็นลมเสียให้ได้ วริษฐ์เดินจูงน้องไปหาหัวโต๊ะใหญ่ ก่อนจะผายมือไปทางพี่ผู้หญิงที่ดูมีอาวุโสที่สุด

“พี่สายใจ ผู้อำนวยการแผนกของเรา”

“สวัสดีครับ ผมชื่อตฤนครับ”

“จ้า ยินดีต้อนรับเข้าสู่ทีมทรัพยากรบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนะจ๊ะ”

“ครับ” ตฤนยิ้มนิด ๆ กับลักษณะคำพูดที่ดูเป็นกันเอง ของพี่สายใจสาวใหญ่ที่ดูท่าทางใจดี วริษฐ์พาน้องแนะนำตัวไปตามโต๊ะต่าง ๆ นอกจากนั้นยังแนะนำคร่าว ๆ ถึงพี่  ๆ และหน้าที่ของแต่ละครน

“นี่พี่มิ้นต์กับพี่ส้มคนสวย ดูเรื่องเงินเดือน พี่สันติ ดูเรื่องสวัสดิการ พี่กุ้งแก้วดูเรื่องกฎระเบียบ บทลงโทษพนักงาน ทางนี้เป็นเทรนนิ่ง พี่ใหม่ เมเนเจอร์ ส่วนคนนี้น่าจะรุ่นเดียวกับเรา ชื่อบุ้ง ดูแลเรื่องเทรนพนักงาน แถวนี้เป็นรีครูท ทำหน้าที่คัดสรรพนักงาน พี่อี้ตีเงินเดือน   พี่วาเนสซ่า รีครูท พี่เก๋ รีครูท และคีย์ประวัติพนักงาน ส่วนพี่แว่นที่เราเห็นแว่บ ๆ วันแรก เป็นมนุษย์ข้อมูล รายงาน ดาต้า เมมโมทุกอย่าง รวมถึงงานเบ๊ด้วย”

“เลือกได้ดีมาก หล่อ วริษฐ์ตกกระป๋องนะย้ายไปเลยไป” พี่ใหม่แซวขึ้นมา

“ผมไม่อยู่จะรู้สึก เดี๋ยวตฤนนั่งตรงนี้นะ”

     เมื่อได้นั่งพักหายใจ ตฤนถึงได้มองสังเกตรอบ ๆ ห้อง ห้องของฝ่ายทรัพยากรบุคคล เป็นห้องกระจก ครึ่งบนใส ครึ่งล่างขุ่น คงกลัวข้อมูลส่วนตัวพนักงานรั่วไหล ในห้องมีที่นั่ง 4 แถว ฝั่งละ 2 แถว นั่งหันหน้าชนกัน แถวนึงมีสามที่นั่ง โต๊ะใหญ่หัวโต๊ะ ที่แยกเป็นเอกเทศเป็นที่นั่งของพี่สายใจ ส่วนตัวเองนั่งตรงข้ามกับพี่วริษฐ์ ก็จะรู้สึกเกร็งๆ หน่อย  ไอทีเดินเอารหัสคอมพิวเตอร์มาให้บอกว่าให้ ล็อคอิน เข้าไปแก้รหัสด้วยแต่ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ยังไม่มาติดตั้ง

     ตฤนพยายามจดจำชื่อกับใบหน้าของพี่ ๆ ในแผนก พี่มิ้นต์กับพี่ส้มเป็นสองสาวตัวเล็กที่มีความคล้ายกันมาก ๆ จนเขาอาจจะเผลอทักผิด พี่สันติตัวสูงใหญ่ใบหน้าและท่าทางดูซื่อ ๆ พี่กุ้งแก้วรูปร่างท่าทางดูเหมาะกับเรื่องกฎระเบียบ เธอสวมแว่นทรงกลม กับผมที่รวบตึงเป็นหางม้า พี่ใหม่เป็นผู้หญิงตัวสูง หุ่นอวบมีน้ำมีนวลผมยาวประบ่า แต่งหน้าเข้มนิดหน่อย พี่อี้เป็นสาวผมสั้น ดูแล้วคล้าย ๆ ทอม แต่เขาก็ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า พี่วาเนสซ่าสาวหุุ่นดีตัวสูง ปล่อยผมยาวสลวย ใบหน้าเเต่งแต้มสีสัน เป็นอีกคนที่ดูจะแต่งตัวเก่ง บุ้งรุ่นน้องส่วนสูงพอๆกะเกณฑ์สาวไทย แต่หุ่นอวบเกินมาตรฐานไปนิด พี่เก๋สาวผมสั้น หุ่นอวบมีพุงหรือท้องก็ไม่รู้ พี่แว่นกับพี่วริษฐ์นี่หุ่นมีความคล้ายคลึงกัน ที่ต่างก็คือความเนี๊ยบและใบหน้าหล่อเหลาที่หัวหน้าเขากินขาด

     วริษฐ์เดินเอาแฟ้มเอกสารหนา 2 นิ้ว ที่มีข้อมูลบริษัทมาให้ตฤนอ่าน ซึ่งเป็นเรื่อง เกี่ยวกับบริษัทที่ทุกคนต้องรู้ บริษัทเราทำอะไรมีผลิตภัณฑ์อะไร มีวัตถุประสงค์ เป้าหมาย เป็นอย่างไร

     ตฤนก้มหน้าอ่านแฟ้ม พอเงยหน้าขึ้นมาก็มักจะสบตากับวริษฐ์อยู่บ่อยครั้ง มันทำให้เค้ารู้สึกประหม่าแปลก ๆ แถมยังเกร็งมาก  ตฤนจึงกดปุ่มปรับเก้าอี้ให้มันเตี้ยลง จะได้ไม่ต้องสบตากัน

“ทำไมตฤนนั่งเตี้ยจัง” พี่เก๋ที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยทัก ตฤนเหงื่อตกเล็ก ๆ สมองรีบประเมินคำตอบ จะให้บอกไปได้ยังไง ว่าไม่อยากสบตาวริษฐ์

“ผมนั่งแบบนี้ถนัดพอดีเลยครับ ได้องศา”

“ระวังปวดคอนะ”

     ตฤนยิ้มตอบนิด ๆ ก่อนพยายามทำท่าทางว่านั่งได้สบาย ๆ

“พี่ๆ คะ มีใครจะเบิกอุปกรณ์มั้ยคะ” เสียงบุ้งทำให้ทุกคนหันไปให้ความสนใจ เธอมักจะต้องใช้ของเยอะเวลาจัดอบรมให้กับพนักงาน แถมยังชอบโดนขโมยดินสอปากกา เลยมักเป็นคนทำเบิกเพื่อเติมปุกรณ์เสมอ และชวนคนอื่นเบิกด้วย จะได้ทำใบแค่ครั้งเดียว แล้วก็ได้รับของพร้อม ๆ กัน “ตฤนโต๊ะโล่งเลยเอาอะไรมั้ย”

“ขอตฤนดูก่อนนะ”

“ตฤนไม่ต้องเบิกคลิปนะ พี่มีให้ทุกไซส์” พี่อี้ส่งคลิปหนีบกระดาษมาให้กล่องใหญ่

“มาเอากล่องใส่ปากกาที่พี่นะ พี่ซื้อของตัวเองมาแล้ว ของบริษัทมันไม่น่ารักเลย” พี่ใหม่ยื่นกล่องใส่ปากกาของบริษัทมาให้ พร้อมโชว์กล่องใส่ปากกาสีชมพูมุ๊งมิ๊งของตัวเอง

“ขอบคุณครับพี่”

     ตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะพยายามจัดการของรก ๆ ในโต๊ะของตัวเองมาให้ตฤนที่โต๊ะยังว่าง ปากกากับสมุดจากบริษัทอื่น ๆ ที่มาร่วมงานด้วยกัน หรือของที่เคยเบิกมาเกิน หรือของที่เจ้าตัวเบิกมาแล้วเกิดไม่ชอบในรูปลักษณ์ของมัน บนโต๊ะของตฤนตอนนี้จึงไม่ว่างอีกต่อไป

“พี่ให้พระละกัน”

“เดี๋ยวสันติ นั่นอุปกรณ์ทำงานหรอ”

     พี่มิ้นแซว พี่สายใจแอบหัวเราะ

“เอาไว้ป้องกันตัวไง เรียกว่า วัตถุมงคล”

“ถ้าน้องเค้าศาสนาอื่นล่ะ ไม่ถามน้องก่อนหรอ”

“ตฤนศาสนาพุทธเนอะ” ตฤนพยักหน้าตอบรับแทนคำตอบ

“โหยตฤน ไม่ต้องเบิกแล้วมั้ง” บุ้งหัวเราะให้กับเหตุการณ์ที่เห็น มันไม่ต่างจากวันที่ตัวเองมาทำงานใหม่ ๆ ทุกคนต่างขนของมาให้จนโต๊ะรกไปหมด

“นั่นสิ” ตฤนมองของแล้วพยายามจัดเก็บ

“บุ้งเบิกกาวมาแท่งหนึ่งกับแม็คให้ตฤนเผื่อติดเอกสาร ติดรูปพนักงาน ติดจดหมาย” วริษฐ์ที่นั่งมองการถ่ายโอนของอยู่เงียบๆ และคิดว่าตฤนจะขาดอะไร

     คอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มาส่งแล้ว พี่แผนกไอทีคนเดิมกับเมื่อเช้า และพี่อีกคนเข็นของมาให้ ตฤนต่อทุกอย่างเองเพราะทำเป็นอยู่แล้ว ปรับย้ายจัดเก็บของจนพอใจ

“ตฤนเดี๋ยวบ่ายพี่จะให้อ่านตัวกฎระเบียบของบริษัทนะ” วริษฐ์พูดจากฝั่งตรงข้าม ทำให้ตฤนยืดตัวขึ้นตามมารยาทเพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังตั้งใจฟัง

“ไฟแรงสุด อย่าดุน้องนักละ” วาเนสซ่าเอ่ยแซว

“เดี๋ยวกลางวันนี้พี่สายใจจะพาทุกคนไปเลี้ยงชาบูใต้ตึก ต้อนรับน้องใหม่”

     เสียงเฮดังขึ้นเบาๆ ชาบูชั่วโมงนึงนี่ทันหรอ ตฤนได้แต่คิดในใจ แต่เขาเลี้ยงก็บุญแล้วแหละ

“แว่นโทรจองโต๊ะให้พี่หน่อย”

“ครับ 13 ที่นะครับ”

“เออ เก๋อยู่ถึงแค่สัปดาห์นี้นะ”

“ฮะ” ทั้งแผนกประสานเสียงพร้อมกัน หลังจากสิ้นคำพูดของพี่สายใจ

“ทำไมพี่เก๋จะหนีไปไหน”

“ส้มตกใจอะไร ใจคอจะไม่ให้พี่เก๋ลาคลอดลูกหรอไง”

“ลืมไปเลย”

“ขนาดพี่เก๋ท้องยังหุ่นดีกว่าพี่ใหม่เลย”

“อ้าวส้มแกอยากโดนตีหรอ”

     พี่ส้มไม่ตอบ แค่หัวเราะใส่ หลังจากนั้นทุกคนก็กลับไปตั้งใจทำงานความเงียบปกคลุมห้องกระจก เหลือแค่เสียงแป้นพิมพ์ คลิกเมาส์ กับ พลิกกระดาษเท่านั้น

     ก็อก ก็อก ก็อก

     เสียงเคาะประตูกระจกทำให้ทุกคนหันไปมอง ส่วนตฤนสะดุ้งสุดตัวด้วยความไม่ชิน

“ตั้มครับพี่ เอาใบแก้ไขเวลามาส่งครับ”

“สแกนไม่ติด หรือ มาสายแล้วไม่ยอมสแกน”

“พี่มิ้นต์ผมสแกนแล้วจริง ๆ ไม่เชื่อไปเปิดกล้องวงจรปิดดูได้เลย”

“เชื่อก็ได้ เอาใบมา เอ้อตั้ม ไหน ๆ ก็มาแล้วใช้กล้องโพราลอยด์เป็นมั้ย”

“เป็นพี่ ทำไมหรอ”

“เดี๋ยวถ่ายรูปให้หน่อย ทุกคนคะ ถ่ายรูปกันค่ะ พี่สายใจเชิญถ่ายรวมกัน”

“โอเคครับ โพสท่านิ่ง ๆ นะครับ 1 2 3” แฟลชสว่างวาร์ปจนทุกคนตาพร่า

“ทุกคนอย่าเพิ่งขยับนะ เดี๋ยวจะถ่ายอีกรอบ ไหนตั้มขอดูรูป” มิ้นต์รับรูปมายืนสะบัดภาพเบา ๆ เหมือนจะเร่งให้รูปปรากฏขึ้นเร็ว ๆ

“ได้มั้ยพี่” ตากล้องก็ลุ้นไปด้วย เพราะจำได้ว่าฟิล์มราคาแพง

“ได้ ขออีกรูปนะ”

“โอเคเตรียมตัวนะครับ 1 2 3” แสงแฟลชสว่างวาร์ปอีกรอบ ตากล้องหยิบรูปส่งให้พี่มิ้นต์ไปลุ้นต่อ

“เรียบร้อย ขอบคุณนะตั้ม ผ่านทั้ง 2 รูป”

     ทุกคนผลัดกันเชยชมรูปที่ออกมา แล้วทุกคนดูดี แถมกรอบรูปโพราลอยด์ก็เป็นลายน่ารัก มิ้นต์หยิบรูปใบหนึ่ง ส่งให้ตฤน

“พี่ให้เก็บไว้เป็นที่ระลึกสำหรับการมาเริ่มงานวันแรก”

“ขอบคุณครับพี่” ตฤนกลับไปนั่งที่พลางมองรูปด้วยความรู้สึกว่า ที่ทำงานที่แรกในชีวิต อาจจะอบอุ่นดีก็ได้

“เอ้านี่” วริษฐ์ที่นั่งตรงข้าม ยื่นหมุดเล็ก ๆ มาให้ ส่วนตฤนรับมา พร้อมทำหน้างง “เอาไว้ติดรูปไง”

“อ๋อครับ” ตฤนวางรูปหามุมก่อนจะปักหมุดให้รูปติดกับฉากกั้นโต๊ะทำงาน

“ทุกคน 11.50 แล้วเตรียมตัวนะ” กุ้งแก้วพูดเตือนทุกคน เพราะมีเวลากินชาบูแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

"ผู้ดูแลกฏที่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”

"เอาน่า ห้านาที สิบนาทีแค่นี้เอง ไม่ทำให้งานเสียหรอก เพราะพวกเรานั้นเป็นมืออาชีพ”

     เที่ยงตรงทุกคนก็ทยอยลงไปที่ร้านที่จองไว้ ไม่เสียงดังให้ใครสังเกต แปปเดียว เราก็มาพร้อมกันที่ร้านชาบู ทุกคนจัดฝั่งเลือกที่นั่ง เพราะมีคนไม่กินอาหารทะเล กับคนไม่ทานเนื้อสัตว์อยู่ โต๊ะยาว แบ่งเป็น 3 หม้อด้วยกัน หม้อแรก สำหรับคนไม่ทานเนื้อ หม้อกลางกินทุกอย่าง และหม้อสุดท้ายไม่ทานทะเล ผมนั่งตรงกลางระหว่างบุ้งกับพี่วริษฐ์ ตรงข้ามเป็นพี่ใหม่ พี่อี้แล้วก็พี่สันติ

“เนื้อสไลด์ 2 หมูสไลด์ 2 เบคอน 2 สันคอหมู 2”

“สันติอดอยากมาจากไหน” อี้ถาม เพราะเห็นอีกฝ่ายสั่งอย่างรวดเร็ว และในปริมาณมาก

“ก็...”

“พรุ่งนี้วันพระ งดเนื้อสัตว์ วันนี้เลยกินตุน ใช่มั้ยล่ะ” ใหม่ตอบแทน เพราะจำได้ว่าเคยชวนสันติกินลูกชิ้น เล้วเจ้าตัวตอบกลับมาว่า วันพระไม่กินเนื้อสัตว์

“ไข่สองฟองครับ”

“วริษฐ์มีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ว้าย”

“พี่ใหม่ ทะลึ่งต่อหน้าเด็ก ๆ ไม่ได้นะครับ” วริษฐ์ตอบกลับแบบเขิน ๆ เล่นมาพูดเรื่องแบบนี้ท่ามกลางสาธารณะชน แถมยังบนโต๊ะอาหารอีก เป็นใครก็คงกระดากอาย

“แว่นแกขโมยหมูพี่นะ”พี่กุ้งร้องโวยวาย เมื่อหมูที่แกตั้งใจปิ้งถูกคีบไปต่อหน้าต่อตา

"อร่อยมากครับพี่กุ้ง”

     ช่วงแรกของการกินชาบู เหมือนสงคราม ทุกคนสั่งมาเยอะมาก แล้วก็กินกันเร็วมาก ๆ ตฤนที่ช่วงแรกไม่กล้ากิน ก็ถูกคนนู้นคนนี้ตักมาให้ จนเต็มชาม ตาหันไปมองคนข้าง ๆ ที่เอาเนื้อหมูที่สุกแล้วไปจิ้มกับไข่ดิบ ก่อนจะคีบเข้าปาก

“พี่วริษฐ์ กินแบบนั้นมันไม่คาวหรอพี่”

“ไม่นะ ก็หวาน ๆ ลองมั้ย”

     วริษฐ์คีบหมูสไลด์ที่สุกกำลังดีจุ่มลงไปในไข่ดิบ ก่อนจะคีบใส่ในจานให้คนข้างๆ

     ตฤนมองหมูสไลด์ชุบไข่ดิบในจาน ก่อนจะแอบตักน้ำร้อนในหม้อมาราดนิดนึง เพราะกลัวจะคาว  แต่ทันทีที่เอาเข้าป

“เป็นไง”

“หวานๆ ลื่น มันก็แปลก”

“เพราะไม่ชินไง อร่อยดีนะ”

     วาเนสซ่าคีบหมูสไลด์ใส่ลงในจานให้กับวริษฐ์

“ดูแลดีประดุจสามี” เสียงพี่ใหม่เอ่ยแซวขึ้นมา พี่อี้จึงรีบคีบกุ้งลงในจานให้พี่ใหม่

“เดี๋ยวอี้ดูแลใหม่เองนะ กินอิ่มนอนหลับแน่นอน”

     มีบรรยากาศแปลกๆ เกิดขึ้นบนโต๊ะ  ตฤนรู้สึกถึงความประชดประชัน วูบนึง ก่อนที่จะอึดอัด ตฤนเลยพยายามจะแก้สถานการณ์ที่อาจจะคิดไปเองนี้ด้วยการ “มีใครจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยครับ”

“พี่เอา เบคอนสาม กุ้งสาม หมูสไลด์สาม”

“พี่สันติใจเย็นนะ” บุ้งรีบพูดเบรก เพราะเห็นทุกคนอาจจะเริ่มอิ่ม

“กินให้คุ้ม”

     ผ่านไปครึ่งชม. ทุกคนก็เริ่มอิ่ม สังคมแห่งการแบ่งปันจึงเริ่มขึ้น มีการตักใส่จานให้กันและกัน แทบจะป้อนกันเลยด้วยซ้ำ หลายๆคน หันไปกินของหวานล้างปากแทน

     ตฤนก้มมองจานตัวเอง ที่บุ้งคีบมาใส่ให้เรื่อยๆ จนพูนจาน

“บุ้งพอก่อนนะ พี่ถึงคอแล้ว”

     สายใจลุกไปจ่ายเงินเงียบๆ แต่ไม่รอดพ้นสายตาของมิ้นต์

“ขอบคุณค่าพี่สายใจ” มิ้นต์ขอบคุณสียงดัง คนอื่นๆ จึงส่งเสียงขอบคุณด้วย

“ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ”

“จ้า ทานกันให้อิ่ม บ่ายโมงตรงเจอกันนะทุกคน พี่ไปทำธุระก่อน”

"รับทราบค่า”

     หลังจากกินชาบู ทั้งแผนกก็เงียบกริบ  อย่างที่ว่ากัน หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน ...

“ตฤน”

“...”

“ตฤน”

“...”

“ตฤน!”

“ครับๆ” ตฤนเป็นอีกคนที่พ่ายแพ้ต่อความง่วง และนั่งหลับใน  วริษฐ์ยื่นแฟ้มกฎระเบียบบริษัทมาให้ เขารับมาด้วยตาที่ปรือใกล้หลับ

“พี่วริษญ์ รหัสคอมมันเปลี่ยนยังไง” ได้ยินคนตรงข้ามถามแบบนั้น เจ้าตัว เลยเดินอ้อมมาหาถึงที่ มายืนอยู่ด้านหลัง พร้อมพยายามบอกให้กดเข้าตามคำบอก แต่เหมือนความช้าของคนตรงหน้า จะทำให้เขารู้สึกไม่ทันใจ จึงโน้มตัวเข้าไป แย่งเมาส์เอามากดเอง คนตัวเล็กกว่า วางตัวไม่ถูกเหลือบมองเสี้ยวหน้า คนแย่งเมาส์ แก้มเนียนละเอียดจมูกสวยได้รูป ดูดีไปหมดทุกส่วนจนน่าอิจฉา

“สอนก็มองจอคอมสิ เดี๋ยวรอบหน้าก็ทำไม่เป็น บริษัทเราต้องเปลี่ยนรหัสใหม่ทุกๆ 4 เดือนนะ”

     คนโดนทัก รีบหันกลับไปจ้องคอม กางสมุดขึ้นมาจดขั้นตอนแก้เก้อ มันจะแปลกๆ มั้ย ที่เผลอไปจ้องหน้าผู้ชายด้วยกัน ...

‘ฮัลโหล ตฤนทำงานวันแรกเป็นไง’

“โอเคนะ พี่ที่ทำงานดูจะน่ารักดี เออกวาง พี่วริษฐ์แม่มหล่อชิบหาย กวางมาเจอต้องชอบแน่ๆ”

‘แล้วแกชอบหรือเปล่าล่ะตฤน’ ปลายสายย้อนถามกลับอย่างรวดเร็ว ด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ แถมคำถามยังทำเอาคนฟังชะงัก

“ชะ ชอบที่มีเขาเป็นรุ่นพี่นี่แหละ อย่าลืมดิกวาง กูชอบผู้หญิง”

‘ทำไมแกไม่ชอบฉันวะ ฉันผู้หญิงนะ’

“แกไม่ใช่สเป็กว้อย”

‘แล้วใครคือสเป็กแก’

     ตฤนพยายามนึกว่าผู้หญิงแบบไหนที่เขาจะชอบ ส่วนใหญ่ออกมาเป็นการ์ตูน เป็นผู้หญิง 2 มิติ

“เอ่อ เฌอปรางค์ BNK48”

‘อื้อหื้อ ขนาดนั้นเลยหรอ’

“แน่นอน”

‘ปราชญ์ติดต่อมาบ้างมั้ย’

“ไม่เลยหลายวันแล้ว”

‘หรอ จะเป็นอะไรมั้ยนะ ไม่ยอมตอบไลน์เลย’

“ยุ่งๆหรือเปล่า”

‘แปลก ๆ แค่นี้ก่อนนะตฤน พรุ่งนี้ก็สู้ ๆ’

     พอวางสายจากกวาง ตฤนคิดจะโทรไปหาปราชญ์ แต่พอดูเวลาแล้ว ก็คิดได้ว่ามันดึกเกินไป  พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

.

[ตอนนี้จะปูเรื่องราวของวริษฐ์ ด้วยชีวิตการทำงานของตฤน มันมีแอบมอง มีวอกแวกนะ

เดี๋ยวจะให้ปราชญ์สั่งสอน!!! ]
 :hao3:

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 10 มนุษย์เงินเดือนกับคนที่รอคอย

     ตฤนตื่นแต่เช้า เขาไปทำงานด้วยรถสาธารณะ เช้าอันสดใสที่ต้องสู้รบกับคนอื่นเพื่อแย่งชิงพื้นที่ยืนเบียดอัดเป็นปลากระป๋องบนรถไฟฟ้า มีแค่เสียงเพลงที่ช่วยให้เขาได้อยู่ในโลกส่วนตัว

‘ความรู้สึกที่เก็บเอาไว้ ถ้าเผลอเดินข้ามไป จากเส้นที่เธอขีด แล้วมันไม่ใช่ จะกลับมาอยู่ข้างเธอได้มั้ย’

     เพลงเศร้าจนตฤนต้องกดเปลี่ยนไปฟังอะไรที่คึกครื้นกว่านี้

     เขาไปถึงที่ทำงานก่อนเวลานิดหน่อย เขาเดินทักทายพี่ ๆ ทุกคน

“พี่ ๆ สวัสดีครับ”

“ไงตฤน” พี่วริษฐ์เอ่ยทักทาย เขาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้รุ่นน้องที่วันนี้ก็แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ้ตสีชมพู ตามสีประจำวันอังคาร “เมื่อวานถึงบ้านกี่โมง” เขาถามไถ่ตฤนเพราะเมื่อวานคุยกันว่าบ้านน้องค่อนข้างไกล

“ทุ่มครึ่งพี่ ก็ไม่ดึก” ตฤนลอบมองการแต่งตัวของวริษฐ์ วันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม  เซตผมเนี๊ยบดูดี ทำไมถึงได้ดูดีดูสมาร์ททั้งที่ไม่ต้องทำอะไรมาก

“ดีแล้วแหละ ถ้ากลับเร็วได้ก็ดี กอบโกยไว้” วริษฐ์พูดจนตฤนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าต้องกลับดึกมาก เขาจะได้ถึงบ้านกี่โมงกัน

     วันนี้ตฤนมีหน้าที่แนะนำรายละเอียดในการเซ็นต์เอกสารสมัครงานให้กับผู้สมัคร สำเนาเอกสารไม่ครบ ตฤนวิ่งถ่ายเอกสารให้ ผู้สมัครลืมเอาปากกามา ตฤนหาให้ เจ้าต้องก็จะวิ่ง ๆ หัวหมุนอยู่ไม่น้อย  พร้อมทั้งเป็นคนจัดคิวให้ผู้สัมภาษณ์ตำแหน่งนี้สัมภาษณ์กับพี่อี้ ต้องเชิญไปห้องไหน ตำแหน่งไหนสัมภาษณ์กับใคร เพื่อให้น่าเชื่อถือตฤนต้องใส่สูททั้งวัน หลังจากส่งผู้สมัครคนสุดท้ายเข้าห้องสัมภาษณ์ ตฤนถึงได้กลับมานั่งพักในห้อง ใกล้พักเที่ยงเขาหยิบมือถือขึ้นมาเล่น

“ปราชญ์เงียบหายไปเลยแฮะ” ตฤนบ่นกับตัวเองเบา ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจอทุกวัน แล้วอยู่ดี ๆ ก็หายไป แถมกวางยังพูดให้กังวลอีก ติดต่อไม่ได้งั้นหรอ... ตฤนคิดเขากดเปิดแอพ พลางพิมพ์ข้อความไปหา

‘หายไปไหน ยังสบายดีอยู่มั้ย’

     ถ้าวันนี้มันไม่ตอบก็ค่อยโทรไปหาตอนมืด ๆ ตฤนคิดในใจแบบนั้น ก็ถึงเวลาพักพอดี เขาลุกไปกินข้าวที่โรงอาหารใกล้ ๆ เวลาพักกลางวันแค่ 1 ชั่วโมง เดินไปกินข้าวเดินกลับ ก็หมดเวลาแล้ว

“ทักมาแล้ว!!!” ปราชญ์ที่กำลังทำงานสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า เขาเป็นแบบนี้ทุกวันตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาทำงานโดยไม่ได้บอกตฤน เขาก็หวังว่าอีกฝ่ายจะคิดถึงเขาแล้วติดต่อมา แบบที่กวางเคยบอก

     เขารีบโทรไปหากวางทันที พอเป็นเรื่องตฤน เขาสติแตกทุกครั้ง

“มันทักมาแล้ว” ปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

‘ก็ดีแล้ว จะได้เลิกบ่นสักที ทำไมมันไม่ทักมาบ้าง บลา บลา’ กวางพูดยืดยาว แต่ไม่ได้บอกปราชญ์ว่าเธอนี่แหละ คือคนที่กระตุ้นให้ตฤนนึกถึงเขา ให้ตฤนติดต่อไป เธอคิดว่าตำแหน่งแม่สื่อยอดเยี่ยมต้องเป็นของเธอ

“กวาง ...ตอบกลับเลยดีมั้ย”

‘ไม่ดี ปล่อยไปก่อน นายก็ตั้งสมาธิตั้งใจทำงานสิ จะได้กลับมาเร็ว ๆ’

“พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”

‘เร็วจัง’

“มีเป้าหมายกับแรงกระตุ้นที่ดี”

‘เหอะ พวกนายเนี้ย ไม่ต้องให้จิ้นแล้ว มันเรียลไปแล้ว ไปกินข้าวล่ะเดี๋ยวเวลาพักหมด’ กวางกดตัดสายไป

     ปราชญ์ใจชื้นขึ้นมา เขาบ่นทุกวันที่เขาหายไป ว่าอีกฝ่ายจะคิดถึงเขามั้ย ทำไมไม่ติดต่อมาบ้าง เป็นยังไงบ้างไม่รู้ เขาเลยขอให้กวางช่วย คุยกับตฤนแทนเขาแล้วก็มาบอกเขาว่าตฤนทำงานวันแรกเป็นยังไง... จริง ๆ ถ้าเขาสมหวัง เขาคงต้องปรนเปรอกวางให้สาสม

     หมดเวลาพักเที่ยง เขานั่งพักหายใจที่โต๊ะได้ไม่นาน ก็ถูกเรียกให้ช่วยจัดเตรียมเอกสารการประชุมทั้งพิมพ์ ทั้งตรวจเช็ค เพื่อเตรียมการประชุมในวันพรุ่งนี้ แต่ก็มีงานแทรกเข้ามาตลอด ตามแต่พี่ ๆ จะใช้งาน ช่วยบ่าย เขาแทบไม่ได้เจอหน้าของพี่วริษฐ์เลย คนที่จะคอยสอนงานเขา แต่เพราะเขายุ่งกับการสัมภาษณ์ตำแหน่งสำคัญขององค์กร ร่วมกับเจ้าของแผนกนั้น ๆ  ตฤนก็เลยได้แต่วิ่งวุ่นทำงานแบบงง ๆ ข้อดีของงานยุ่งคือทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตฤนนั่งเย็บเอกสารอยู่ที่โต๊ะ พอเงยหน้าดูนาฬิกาถึงได้พบว่าตอนนี้ 4 โมงกว่าแล้ว

     เขาทำงานตรงหน้าเสร็จเรียบร้อยใกล้ได้เวลาเลิกงานพอดี เขาลุกขึ้นเดินเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง

     วริษฐ์กับวาเนสซ่าเดินกลับมาที่ฝ่ายพร้อมกัน ในมือมีเอกสารปึกใหญ่ แต่สีหน้าของวาเนสซ่าดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

     ส่วนวริษฐ์ทักทายตฤนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เป็นไงวันนี้เหนื่อยมั้ย”

“นิดหน่อยครับ พี่ล่ะ”

“เหนื่อย...” วริษฐ์พูดพลางนั่งลงตรงข้ามเขา กดเปิดหน้าจอคอมขึ้นมานั่งพิมพ์

“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย” ตฤนพูดขึ้นมา เขาอยากช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มั้ย แม้ว่าตอนนี้จะใกล้เลิกงาน แต่ถ้าเขากลับก่อนโดยที่พี่เขาทำงานงก ๆ โดยเราไม่ปริปากขอช่วยก็คงแปลก ๆ

“ไว้พี่สอนก่อน ส่วนวันนี้ใกล้เลิกงานแล้วก็เตรียมตัวกลับบ้านได้”

“แต่...”

“กลับเร็วได้ก็กลับไปก่อนเถอะ ตักตวงไว้” วริษฐ์พูดพลางยิ้ม

“ครับพี่” ตฤนเก็บของลงกระเป๋า เขายกมือไหว้ลาทุกคน ก่อนจะเดินออกมา ตอนที่ฟ้ายังสว่าง

     เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู ก็พบว่าปราชญ์ยังไม่ตอบ ยังไม่กดอ่านด้วยซ้ำ เขาพิมพ์ข้อความไปอีกครั้ง

‘ไม่สบายหรือเปล่า’

     รอดู อีกฝ่ายก็ยังไม่เปิดอ่าน เขาจึงเปลี่ยนไปเปิดแอพเพื่อฟังเพลงแทน ท่ามกลางคนมากมายที่เบียดเสียด เสียงเพลงพาเขาเข้าโลกส่วนตัวไป

     ตฤนมาถึงบ้านเร็วกว่าเมื่อวาน เขากินข้าว อาบน้ำ แล้วก็เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเตรียมจะดูการ์ตูนสนุก ๆ สักตอน อย่างเรื่องที่ปราชญ์แนะนำ

     ติ้ง ติ้ง ติ้ง

     เสียงแจ้งเตือนในมือถือดังรัว ๆ จนตฤนต้องลุกไปดู เป็นปราชญ์ที่ทักมา และส่งสติ๊กเกอร์มาไม่ยอมหยุด

‘ยังอยู่ ตฤนเป็นไงบ้างทำงานวันแรก(สติ๊กเกอร์หมีทำหน้าสงสัย) (สติ๊กเกอร์หมีใส่ชุดทำงาน) (สติ๊กเกอร์หมีทำหน้าตกใจ) (สติ๊กเกอร์หมีเขวี้ยงมือถือ)’

“ปราชญ์ใจเย็นว้อย” ตฤนสบถเบา ๆ ถ้าเขายังรัวแบบนี้ เครื่องเขาจะค้างเอา

“รัวมาขนาดนี้กะให้เครื่องค้างหรอไง” ปราชญ์พิมพ์ตอบไป

‘ก็เห็นไม่ตอบ’

“พิมพ์มาไม่ถึงนาที จะให้ตอบอะไรเร็วขนาดนั้นวะ กุพิมพ์ทิ้งไว้ทั้งวัน กุยังไม่โวยวายเลย”

‘เออว่ะ’

“ไม่ต้องมาเออว่ะเลย เมิงยังไม่ตายก็ดีแล้ว”

‘ยุ่ง ๆ ว่ะ มาทำงานอ่ะ แต่พรุ่งนี้กลับแล้ว เดี๋ยวไปรับ (สติ๊กเกอร์หมียิ้ม)’

“เฮ้ยไม่เป็นไร กลับเองได้”

‘นั่งรถดี ๆ ไม่ชอบหรอ อยากอัดเป็นปลากระป๋องบนรถไฟฟ้าหรอไง’

“เกรงใจ”

‘ยังมีความเกรงใจกันอยู่อีกหรอ’

“เออดิ”

‘เดี๋ยวแวะรับ เรากลับทางเดียวกัน’

“หรอ ขอบใจมากเว้ย นอนล่ะ”

‘อื้อ(สติ๊กเกอร์หมีนอนหลับ)’

     พอได้คุยกับปราชญ์แล้ว ตฤนก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เขานอนหลับไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อีกฝั่ง นั่งโวยวายอยู่คนเดียว

“ทางเดียวกันอะไรวะ” ปราชญ์บ่น สนามบินอยู่ทางนึง บ้านอยู่ทางนึง ที่ทำงานตฤนอยู่ทางนึง เขาต้องวิ่งอ้อมเพื่อไปรับตฤนที่ทำงาน แต่เขาก็อ้างส่ง ๆ ไปงั้นอ่ะ ไกลแค่ไหนก็ไปรับได้

     เช้าวันใหม่มาถึงอย่างรวดเร็ว ชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ต้องเบียดเสียด เพื่อไปสแกนนิ้วที่ทำงานให้ทันเวลา และยกมือไหว้กล่าวทักทายทุกคนอย่างทุกวัน

“พี่ ๆ สวัสดีครับ”

“สวัสดีตฤน กินอะไรมายัง” วริษฐ์ยื่นถุงซาลาเปาส่งให้เขา

“กินข้าวมาแล้วครับ ขอบคุณครับ”

“เมื่อวานถึงบ้านเร็วเลยสิ”

“ใช่ครับ มันชิลมาก”

“แต่วันนี้น่ะ ไม่ชิลแน่” วริษฐ์พูดขึ้นมาแต่พนักงานใหม่เหมือนจะไม่ทันได้ยิน เพราะก้มหน้าก้มตาเก็บกระเป๋าอยู่

     วันนี้เป็นอีกวันที่งานยุ่งทั้งวัน บริษัทกำลังอยู่ในช่วงเติบโต ทำให้ต้องรับพนักงานเยอะมาก ๆ และเพราะแบบนั้นงานของเขาจึงได้หนักแม้ว่าจะเป็นการดูแลผู้สมัครในเบื้องต้นก็ตาม เอกสารที่ตฤนเตรียมไว้เมื่อวานจะเอามาใช้ในการประชุมวันนี้ ที่ตั้งใจจะประชุมกันในช่วงบ่าย แต่เผอิญตอนบ่ายวันนี้ มีความผิดปกติ เพราะเป็นวันที่มี ผู้สมัคร วอร์คอินเข้ามาสมัครงานเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีบริษัทมาเสนอเชิญชวนให้ใช้บริการเว็บไซต์หางาน ทำให้หลายคนยุ่งไปตามๆ กัน  การประชุมจึงต้องเลื่อนไปช่วงบ่ายแก่ๆ แทน ยุ่งชนิดที่ช่วงพัก ตฤนกับบุ้ง ต้องซื้อข้าวกล่องขึ้นมาให้พี่ ๆ ทุกคนกิน ไม่มีใครสามารถกระดิกตัวไปกินข้าวได้เลย

“เตรียมตัวนะ บ่าย 3 โมงครึ่งแล้ว เดี๋ยวสี่โมงเราไปประชุมกัน ไม่มีใครรีบไปไหนเนอะ” เสียงตอบรับไร้วิญญาณจากหลายๆ คน บ่งบอกว่าวันนี้ค่อนข้างจะเหนื่อย

“ประชุมตอนนี้ดูจะลากยาว” พี่ใหม่พูดพลางก้มลงไปหยิบกระเป๋าเงิน และพูดกระซิบเบาๆ ให้คนที่หันหน้ามาสบตากับพี่ใหม่อย่างตฤนฟัง “พี่จะไปเตรียมเสบียงนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็ลุกเดินออกไป

“อ่าครับ” ตฤนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ และไม่เคยเข้าร่วมการประชุมมาก่อน จึงไม่รู้ว่า ที่นี่เวลาประชุมวางแผน ยาวนานแค่ไหน

     ไม่ถึง 15 นาที ใหม่กลับมาพร้อมกับ น้ำผลไม้ปั่น ลูกอมแก้ง่วง ขนมปังแผ่นโฮมวีทแถวใหญ่ แยมสตรอเบอรี่ และสเปรดสลัดไก่

     เมื่อใกล้เวลาคนที่ไม่ติดธุระ ทยอยเดินไปนั่งที่ห้องประชุม ตฤนนั่งข้างพี่ใหม่ เนื่องจากเป็น 2 คนแรกที่มา พยายามนั่งห่างจากหัวหน้าองค์ประชุมให้มากที่สุด ก่อนที่วริษฐ์จะตามมานั่งข้างๆ และคนอื่นทยอยเข้ามา

“วันนี้เป็นยังไง เหนื่อยมั้ย” วริษฐ์เอ่ยถามตฤนเสมอว่าเหนื่อยมั้ย ทั้ง ๆ ที่เขานี่แหละคือคนที่เหนื่อยมาก ๆ คนนึง

“ไม่ค่อยเท่าไหร่ พี่แหละเหนื่อย สัมภาษณ์ตั้ง 7 คน”

     วริษฐ์ยกมือขึ้นบีบๆแก้มตัวเอง ท่าทางดูน่าเอ็นดูจนตฤนรู้สึกได้ถึงหลายๆสายตาที่มองมา

“พูดจนเมื่อยแก้มไปหมด” ถ้าได้นมคาราเมลก็ดีสิ” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี นมคาราเมลก็ลอยมาวางอยู่ตรงหน้า โดยคนถือมาคือพี่วาเนสซ่า

“นมคาราเมล ไซส์ M สำหรับคนตั้งใจทำงาน” เจ้าตัวพูดจบก่อนจะส่งยิ้มหวาน ตฤนรู้สึกว่าคงมีอะไรระหว่าง 2 คนนี้

“ขอบคุณนะครับ แต่...”วริษฐ์หยิบเงินมาส่งให้วาเนสซ่า

     แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ

“รับเถอะครับ”

     วาเนสซ่าเอื้อมมือคว้าเงิน ด้วยความจงใจให้ถูกมือของอีกฝ่าย ก่อนจะผลักมือกลับไปหาเจ้าตัวเบาๆ

“ไม่เป็นไร เราเลี้ยง” วาเนสซ่าส่งยิ้มอีกครั้งก็จะนั่งลงข้างๆ สมุดเล่มเล็กของพี่เก๋ถูกเลื่อนออกไปยังที่นั่งข้างๆ ที่ไม่มีคน

“ไม่เลี้ยงน้องบ้างล่ะ” เสียงพี่ใหม่ดังมาจากด้านหลัง

“......” ‘ชิบหาย’ โดนลากไปเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ตฤนแอบรู้สึกขนลุกซู่เหมือนมีรังสีแปลก ๆ แผ่ออกมา เขาเงยหน้ามองนาฬิกาในห้อง  เหลืออีก 5 นาทีก่อนถึงเวลานัด เขาควรไปจากตรงนี้ ทันทีที่ขยับเก้าอี้เตรียมลุกขึ้น

     คนข้าง ๆ ไวกว่าคว้าแขนตฤนเอาไว้ เหมือนกับอ่านความคิดได้

“จะไปไหนใกล้เวลาแล้ว”

“ผมแค่เมื่อยครับ เปลี่ยนท่านั่ง” วริษฐ์ปล่อยมือเพราะคิดว่าขัดจังหวะคนข้างๆ ที่เตรียมลุกหนีไปได้แล้ว ก็ยื่นแก้วนมคาราเมลมาให้แทน

“กินสิ พี่จำได้ว่าเราชอบเหมือนกัน” ตฤนจำต้องรับแก้วน้ำมากินอย่างเสียไม่ได้

“เอาล่ะ มาประชุมกันเถอะ” เสียงพี่สายใจผู้เดินเข้ามาอย่างกระชับกระเฉง เรี่ยวแรงเหลือเฟือกว่าใคร มาได้ทันเวลาพอดี ช่วยปัดเป่าบรรยากาศตึงเครียดออกไปได้หมด

     การประชุมเริ่มขึ้น มีการปรับแผน วางแผนจำนวนคน และศัพท์หลายๆอย่างที่ตฤนเองก็ไม่เข้าใจ ได้แต่พยายามฟังและจดให้ได้มากที่สุด เดี๋ยวไว้ไปหาคำตอบเอาทีหลัง เหมือนถูกความรู้พุ่งชนสมองสภาพแต่ละคนดูเหนื่อยล้า

“ให้พักสิบนาที อีกไม่กี่หัวข้อเราจะได้เลิกงานแล้ว สู้นะ”

     สายใจเบรกการประชุม เลยเวลาเลิกงานปกติมาครึ่งชม. หลายคนเริ่มกระสับกระส่าย หลายคนวิญญาณหลุด อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็จะเสร็จเรียบร้อย แต่ถ้าฝืนไปต่อโดยไม่พัก การประชุมคงไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีใครรับสารเข้าไปคิดต่อได้เลย

     หลายคนลุกไปเข้าห้องน้ำ ใหม่เรียกทุกคนกินขนมปัง เธอถามตฤนว่าอยากจะกินอะไร ก่อนจะบรรจงทาแยมสตรอเบอรรี่และส่งให้ตฤน เจ้าตัวรีบขอบคุณก่อนจะกินด้วยความหิว

“ของวริษฐ์เป็นสเปรดไก่ ส่วนของวาเนสซ่าเป็นสตรอ...เบอรรี่” น้ำเสียงและการเว้นวรรคคำ ทำให้คนอยู่ตรงกลางสองคนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ

     ประชุมก็ปวดหัวจะตายยังจะมาแผ่รังสีอาฆาตกันอีก วริษฐ์ได้แต่คิดในใจ ก่อนจะหยิบนมคาราเมลที่ละลายจนเจือจางขึ้นมาจิบ จะได้กินขนมปังทาสเปรดนี่ได้ลื่นๆคอ

     ตฤนลอบมองซ้ายทีขวาที ทั้งคู่ต่างหันไปคนละทิศละทาง แต่รู้สึกเหมือนมีไฟในดวงตาของแต่ละคน เหมือนเค้าไม่ค่อยถูกกัน... เรื่องอะไรนะ ในที่สุดตฤนที่ทนต่อสถานการณ์อึดอัดไม่ไหว ลุกขึ้นยืน และเริ่มบิดขี้เกียจไปมา ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ทั้งง่วง

     แต่ตฤนไม่รู้เลยว่ามือถือที่ถูกปิดเสียง แถมยัดใส่ไว้ในกระเป๋า ซึ่งกระเป๋าอยู่ในลิ้นชัก ที่มันกำลังพยายามสั่นแจ้งเจ้าของ เป็นรอบที่ 7 พร้อมกับข้อความทางไลน์เกือบ 20 ข้อความที่มาจากคน ๆ เดียว ปราชญ์...

.

[ปราชญ์มารับเเล้วลูกกกกกก เเง้ ตฤนลืมนัดดด]

แม้จะไม่มีคนเม้น ตะเเต่ว่า ยังมีคนรออ่านอยู่ใช่มั้ยคะ แง้
มาอ่านก่อนนะคะะะะ อย่าเพิ่งไปนะคะะะะ
 :impress3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ปราชญ์เอ้ยยย เมื่อไหร่จะจีบจริงจังซักที แต่จะว่าไปข้ามเฟรนด์โซนลำบากชิบหาย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 11 ไม่พอใจ... แต่ก็เป็นแค่เพื่อน


     ปราชญ์มาจอดรถที่ตึกก่อนเวลาเลิกงาน เขาส่งข้อความไปก็ไม่มีใครอ่าน โทรก็ไม่มีคนรับ ได้แต่นั่งรอไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะลงมาเมื่อไหร่เลยเวลาเลิกงานมาตั้งนาน ปราชญ์ตัดสินใจเข้าไปนั่งกินน้ำรอ สายตาก็จดจ้องไปที่ทางออก เผื่อว่าคนที่รอจะเดินออกมา

     เวลาผ่านไปช้าๆ กับน้ำแข็งที่ค่อยๆละลาย ร้านเริ่มเก็บทำความสะอาด ฟ้าเริ่มมืด อีก 15 นาทีทุ่มนึง ก็ยังไม่เห็นวี่แวว ปราชญ์โทรอีกเป็นครั้งที่ 10 ยังคงเหมือนเดิมไม่มีใครรับ

......

     การประชุมจบลง แบบหืดขึ้นคอ หลายคนเกือบสลบ แต่ยังไม่ตาย ตฤนเก็บของและเตรียมกลับบ้าน ยกของที่จะเอากลับมาไว้บนโต๊ะ

“โทรศัพท์สั่นหรือเปล่าตฤน” เก๋ถามชึ้นเพราะรู้สึกว่าโต๊ะสั่นนิดๆ และได้ยินเสียงแปลกๆ

     ตฤนเปิดกระเป๋าหยิบมือถือขึ้นมาดู 15 สายที่ไม่ได้รับ เป็นแม่สายนึง กวางสายนึง และที่เหลือเป็นของปราชญ์

‘เชี่ย ลืมสนิท’ ตฤนตกใจ รู้สึกผิดที่ลืม เพราะอีกฝ่ายจะมารับ รีบโทรกลับทันที ขาก็รีบก้าว เผื่อว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่

“เฮ้ย ปราชญ์ ขอโทษจริงๆ”

‘หายไปไหนมาโทรหาก็ไม่ติด ไลน์ก็ไม่อ่าน’

“ประชุมด่วนนี่ดิ คงไม่ได้รออยู่ใช่มั้ย”

‘อยู่ข้าง..’

“ตฤนๆ รีบไปไหนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” เสียงวริษฐ์เรียกตามหลัง ดังลอดเข้ามาให้ปราชญ์ได้ยินไปด้วย

“ไม่เป็นไรพี่ ผมกลับเองได้ ขอบคุณครับ”

“.....” วริษฐ์ไม่ตอบแต่เดินตามหลังมา ก่อนจะก้าวเท้ายาวแซงไปกดลิฟท์

“ฮัลโหล เออปราชญ์ นี่ยัง...”

‘อยู่ข้างล่างนะ’ ปราชญ์พูดแทรกเสียงดังก่อนที่ตฤนจะพูดจบประโยค ปลายสายตัดไป ไม่รู้ว่ากดตัดสายหรือว่าเข้าลิฟต์แล้วมันอับสัญญาณ

“เพื่อนมารับนี่เอง” วริษฐ์ทักก่อนจะตบหลังคนตัวเล็กกว่าเบา ๆ

     ประตูลิฟต์เปิดออก แต่ยังไม่ถึงชั้นล่างที่ต้องการจะลง คนพยายามอัดเข้ามาในลิฟต์ ตฤนขยับถอยหลังจนชนกับวริษฐ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง

     วริษฐ์ยื่นมือมาแตะที่ข้างลำตัวของตฤน เหมือนจะบอกว่า เขยิบเข้ามาได้อีกนะ แต่ตฤนกลับตัวแข็งทื่อ รู้สึกจั้กจี้แปลกๆ แทบอยากกลั้นหายใจ เขาเงยหน้ามองว่าตอนนี้ลิฟต์อยู่ที่ชั้นไหน อีกไม่กี่ชั้นก็จะได้ออกจากที่ ๆ เบียดเสียดนี่สักที

     ทันทีที่ลิฟต์เปิด ตฤนรีบออกมาจากลิฟต์ เขาพยายามมองหาปราชญ์ วริษฐ์เอื้อมมือมาแตะไหล่เขาจากด้านหลัง เขาเลยต้องหันกลับไปคุยด้วย

     ปราชญ์ยืนอยู่ไม่ไกลจากที่ตฤนยืนอยู่ เขาเห็นแผ่นหลังก็จำได้ทันที แต่สายตาของเขามองข้ามไหล่ไปถึงคนที่กำลังคุยกับตฤนอยู่ ร่างสูงที่พูดจ้ออยู่นั่น ไอ้ใบหน้าหล่อเนี้ยบขี้เก๊กนั่นมันทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ และเหมือนว่าร่างสูงนั่นจะเห็นผมที่ยืนจ้องอยู่ เขาถึงได้เหลือบมองมาทางผม ไม่รู้คิดไปเองมั้ย ที่เห็นเหมือนรอยยิ้มแปลก ๆ ในชั่วพริบตานั่น... แม่ง! น่าหงุดหงิดชิบ!

     วริษฐ์โบกมือลาตฤน และเดินออกไปลานจอดรถ ส่วนตฤนพยายามโทรหาปราชญ์อีกรอบ

     ปราชญ์ไม่รับมือถือ แต่ส่งเสียงเรียกชื่อแทน

“ขอโทษจริงๆ มาถึงนานมากเลยมั้ย” ตฤนรีบยกมือไหว้ขอโทษ คนที่กำลังยืนรอด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“มาถึงก่อนเวลาเลิกงานปกตินิดหน่อย” คนถูกถามตอบกลับเสียงเรียบ

     ทำให้คนถามวางตัวไม่ถูก มองหน้าอีกฝ่ายทำหน้านิ่งแบบที่ไม่ค่อยได้เห็น โมโหใส่ยังจะดีกว่า นิ่งเงียบแบบนี้ ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ ที่ปล่อยให้เพื่อนรอมาตั้งนานสองนาน แล้วนี่จะต้องง้อมันยังไง ...

“โกรธหรอวะ”

“รอได้ ไม่โกรธหรอก” ปราชญ์ส่งถุงขนมในมือให้ และพยักหน้าให้เดินตาม

“ไม่โกรธก็อย่าทำหน้าแบบนั้นสิวะ” ตฤนนึกในใจว่าแค่อยากให้อีกฝ่ายยิ้มแบบปกติ เขารู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนรอ รู้สึกเกรงใจที่มันมารอรับตั้งหลายชั่วโมงโดยที่ติดต่อมาก็ไม่มีคนรับ ปล่อยให้รอแบบไร้จุดหมาย ถ้าเป็นตัวเอง จะทนนั่งรอแบบนี้มั้ย... ใครจะไปรู้ว่ามีประชุม

“...”

“ใคร ... ใช้ให้มารับวะ อยากมาเองไม่ใช่หรอไง” ตฤนพูดจบ อยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ในหัวไม่ได้คิดจะพูดแบบนี้สักนิด แต่ปากดันพูดอีกสิ่งที่แว่บเข้ามาแทน

“ผิดที่อยากมารับเองแหละ” ปราชญ์หันไปสบตาตฤนตรงๆ “ขอโทษที่อยากมารับ ขอโทษที่นั่งรอ” ปราชญ์ พูดจบเขาก้าวเท้ายาว ๆ เดินนำไปลานจอดรถ ก้าวยาว ฉับ ฉับ ด้วยอารมณ์หงุดหงิด การนั่งรอแบบไม่มีจุดหมายมันน่าเบื่อหน่าย มันกลืนเอาคำพูดดีๆ ที่อยากจะคุยเล่นให้หายไปจนหมด แต่ก็อยากนั่งรอ อยากไปส่ง

     แย่! พัง! ตฤนได้แต่โวยวายโหวกเหวกอยู่ในใจ แล้วจะให้ทำยังไง ไม่ถนัด ไม่เคยต้องมานั่งง้อใคร นี่เพื่อนเอง เพื่อนที่ให้เพื่อนรอเกือบ สองชั่วโมง ก็มันลืมนี่หว่า โอย ปวดหัวว้อย

     รถเคลื่อนตัวออกไปจากตึกท่ามกลางความเงียบ ตฤนพยายามคิดคำพูดดีๆ เพื่อที่จะง้อเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ไม่รู้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีได้ยังไง

“ปราชญ์  คือ... คือ กู” ท่าทางอึกอัก อ้ำอึ้ง ได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายแค่การเลิกคิ้ว “เอ่อ ขอบคุณที่รอรับเว้ย ถ้าเป็นกูมารอรับ แล้วติดต่อไม่ได้ กูอาจจะเป็นห่วง แต่ก็คงจะส่งไลน์หรือข้อความไปบอกแล้วหนีกลับบ้าน ไม่นั่งรอแบบมึงหรอก” ตฤนพูดยาวแทบไม่หายใจในทีเดียว

“อือ”

“อย่าเงียบแบบนี้สิ มันอึดอัด”

     มือที่จับพวงมาลัยขับรถขยับมากดเปิดเพลงเพื่อทำลายความเงียบ เสียงเพลงดังคลอ



ถ้าไม่บอกว่าฉันคิดอะไรไปอย่างนั้น

ไม่พูดมันไอ้คำนั้นข้างในใจ

เธอก็คงยังดีกับฉันเราก็คงยังเป็นเพื่อนกัน

คงไม่มีวันที่ฉันเสียเธอไป



     เสียงเพลงในรถ ดังแทนการพูดคุยกันของคนทั้งสองคน คนหนึ่งรู้สึกเงียบเหงาวังเวงในใจ ส่วนอีกคนรู้สึกว่าเพลงนี้เสียดแทงใจเหลือเกิน

“เอ่อ ... ขนมนี่ขอบคุณนะเว้ย”

“...” อีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ไม่ได้หันกลับมาตอบ

“กินข้าวหรือยัง”

“ยัง”

“หิวหรือเปล่า”

“หิว...” ปราชญ์ที่ยังคงหงุดหงิดอยู่ ถามคำตอบคำด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จนตฤนได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาต้องประสาทกินแน่ ๆ

“งั้นแวะกินข้าวกัน” พูดไม่ทันขาดคำ ปราชญ์ก็ตีโค้งเลี้ยวรถเข้าร้านอาหาร ร้านหนึ่งทันที รถเลี้ยวกระทันหันจนเขาผวารีบคว้าที่จับข้างรถแทบไม่ทัน มันหงุดหงิดก็ไม่ควรขับรถแบบนี้นะว้อย

     เมื่อรถจอดสนิท ตฤนมองแว่บแรกก็แอบเหงื่อตก ด้านหน้ามีมาสคอสหมีตัวใหญ่อยู่หน้าร้าน มองเลยไปที่ตัวร้าน ตกแต่งโทนร้านสีฟ้าอ่อน ดูน่ารักจนไม่ควรเป็นร้านที่ผู้ชายสองคนเลือกที่จะมานั่งกิน

     ปราชญ์ดับเครื่องรถ หยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มือถือ พร้อมจะก้าวลงจากรถ แต่ต้องหันกลับมามองอีกคนที่นั่งนิ่งไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นแม้แต่น้อย

“ระร้านนี้เลยหรอ”  ตฤนละล่ำละลักถาม

“มีปัญหาอะไรหรอไง”

“มัน...เอ้อ น่ารักดี ป่ะไปกิน” ตฤนไม่อยากพูดบ่นเยอะมากเรื่อง กลัวอีกฝ่ายจะโมโหไปมากกว่านี้ เพราะแค่นั้นคิ้วก็ขมวดกันจนเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว

“ barely made it ยินดีต้อนรับค่า”

“สองที่ครับ”

“ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” พนักงานยิ้มร่าเริง ส่งเสียงสดใส ก่อนจะผายมือข้างหนึ่งไปทางโต๊ะว่าง และเดินนำทางไป ชุดเครื่องแบบร้านนี้น่ารักดี เสื้อเชิ๊ตสีน้ำเงิน กับกระโปรงสีขาวที่มีผ้ากันเปื้อนสีฟ้าผูกอยู่ที่เอวปักโลโก้มาสคอตที่มุมผ้า เป็นหมีหน้าตาทะเล้นแลบลิ้นลิ่วตา

“เมนูแนะนำวันนี้ คือ ‘ของโปรดของคุณหมี’ ”

“ครับ? ของโปรดของคุณหมี? ” ตฤนรู้สึกแสบตากับท่าทางที่สดใสเจิดจ้า และมึนตึบกับชื่อเมนู จึงได้แต่พูดทวนชื่อเมนู พร้อมกับทำหน้างงสงสัย

“ของโปรดของคุณหมี ส่วนประกอบหลักคือ แซลมอนค่ะ” พนักงานพูดขึ้นก่อนจะหยิบรูปเมนูที่กำลังพูดถึงให้ดู พร้อมอธิบายต่อ “ในจานจะประกอบไปด้วย ซาชิมิแซลมอน แซลมอนนึ่งซีอิ๊ว แซลมอนเบิร์นโรล และครีมครอกเก้ไส้แซลมอนซอสน้ำผึ้ง เราแถมคุณหมีในชุดด้วยนะคะ”

     ตฤนมองภาพพร้อมคำบรรยาย ก่อนจะแอบลอบกลืนน้ำลาย น่ากินมาก จานในรูปใบใหญ่สี่ขาว พร้อมของกินอยู่กันคนละมุมของจานดูเล็ก ๆ พอดีคำ ตรงกลางเป็นโมเดลตุ๊กตาหมีตัวเล็ก ๆ ขนาดประมาณยางลบ ทำหน้าทะเล้นอยู่ตรงกลางจาน ในภาพดูมุ๊งมิ๊งน่ารักน่ากิน แต่พอเหลือบดูราคาก็รู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อย สามร้อยสี่สิบ!!!

“เอาของโปรดของคุณหมีมาหนึ่งที่ครับ แล้วอย่างอื่นขอดูเมนูก่อน” ปราชญ์สั่งอาหารก่อนจะเปิดเมนูดู

“อีกสักครู่จะมารับรายการนะคะ”

“ครับ”

     ทันทีที่พนักงานเดินจากไปตฤนรีบโวยวายทันที

“แพงมาก! ร้านนี้มันแพงเกินไปมั้ย ของโปรดของคุณหมีอะไร ตั้งสามร้อยสี่สิบบาท!”

“อาจจะอร่อย” ปราชญ์ตอบสั้น ๆ
      ตฤนลยหนีจากสถานการณ์เงียบอึดอัดด้วยการก้มหน้าก้มตาดูเมนู แต่ละจานขายไอเดียตกแต่งน่ารักมุ๊งมิ๊งเต็มที่ ‘คุณหมีจะปกป้องคุณ’ ตฤนมองชื่อ มองรูปประกอบ และตั้งใจอ่านรายละเอียด มันคือชุดของต้มที่ครบ 5 หมู่ ทั้งหมู ทั้งผักหลากสี อย่างแครอท มันฝรั่ง และอีกมากมาย หน้าตาดูเด็ก ๆ เต็มไปด้วยสีสัน พร้อมกับชื่อที่น่าจะหมายความว่า ปกป้องให้เด็ก ๆ ไม่เจ็บป่วย ดูไปดูมาคอนเซปร้านเค้าก็น่ารักดีแฮะ (*////*)

     ตฤนวางเมนูอาหารที่ค่อนข้างหนาและหนักไว้บนโต๊ะ ใบหน้าสดใส อมยิ้มมีความสุข พลางหนังไล่ดูเมนูอาหารต่าง ๆ ที่ออกแบบมาอย่างน่ารัก และแน่นอนว่าชื่อประหลาดไม่ซ้ำกับใคร...เมนูอาหาร และเรื่องราวของมันทำให้ตฤนอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก มันน่ารักไปหมด

     แต่มีอีกคนนึงที่มองคนตรงข้ามแล้วคิดในใจแบบเดียวกัน...มันน่ารักไปหมด

“ตฤนสั่งอะไรเพิ่มมั้ย” คนถูกเรียกสะดุ้งตกใจ จนดูตลก

“เอา ๆ “

“เอาอะไร”

“ฝันหวานของคุณหมี ////// ” เจ้าตัวพูดชื่อเมนูอย่างเขิน ๆ มันเป็นขนมหวาน แพนเค้กราดด้วยน้ำผึ้ง พร้อมไอติม วนิลา และเยลลี่รสน้ำผึ้ง

“เอ้อ เอ้าได้ น้ำกินชาร้อนนี่มั้ย” ปราชญ์พูดพลางชี้เมนูให้ดู ถึงมันจะคือชาร้อน แต่ชื่อเมนูมันคือ

“ชาอบอุ่น! ทำไมไม่เรียกชื่อให้ถูก”

“มันน่าอาย! จะอินอะไรกับชื่อเมนูฮะ ก่อนหน้านี้ยังไม่กล้าเข้าอยู่เลย” ปราชญ์ย้อนเข้าให้ เขาอารมณ์ดีขึ้นมาก กับท่าทางของคนตรงหน้า ‘ถูกใจแบบนี้ก็ดีสิ’

“แล้วใครมันพามาล่ะ”

“เอ้อ” ปราชญ์ตัดบทโดยการหันไปเรียกพนักงาน “น้องครับ ๆ สั่งอาหาร”

“รับอะไรเพิ่มดีคะ”

“ขอเป็นนี่” ปราชญ์เปิดเมนู ก่อนจะชี้สั่งโดยไม่เรียกชื่อ หันไปสบตากับคนตรงข้ามที่จ้องเขม็ง “เอ่อ เอาฝันหวานของคุณหมี กับสามสหายร่วมรบ แล้วก็ชาอบอุ่นครับ แค่นี้ครับ” พนักงานจดตามก่อนจะหมุนตัวกลับอย่างร่าเริง ทีนี้เขาต้องรักษาคาแรคเตอร์กันขนาดนี้เลยหรอ หรือว่าคัดแต่คนที่มีลักษณะแบบนี้มาร่วมงานกันนะ

“สามสหายร่วมรบ ไอ้ที่เป็นข้าวรูปหมีกับผัดต้มยำแห้งใส่เห็ด 3 อย่างอ่ะหรอ”

“อื้อ น่ากินดี”

     ไม่นานพนักงาน ก็เดินมาเสิร์อาหารที่สั่งในตอนแรก นั่นก็คือ ของโปรดของคุณหมี ตฤนยกมือถือขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป ปราชญ์ก็เช่นกัน ตฤนถ่ายอาหาร ปราชญ์ถ่ายตฤนที่ถ่ายอาหาร...

“จะถ่ายทั้งทีก็ถ่ายให้มันดี ๆ สิ เดี๋ยวหมุนจานให้” แต่ตฤนกลับเข้าใจว่าอีกฝ่ายถ่ายอาหาร

“ตฤนยกจานขึ้นดิ เดี๋ยวถ่ายรูปคู่ให้”

     ตฤนที่ถูกใจกับรูปลักษณ์ของจานอาหาร ยกจานขึ้นใกล้หน้าอย่างว่าง่าย ส่งยิ้มเหมือนเด็กดีใจได้ของเล่นใหม่

“ทำหน้าได้เหมาะกับของในมือ”

“น่ารัก!”

“หน้าเอ๋อ”

     ตฤนลอบมองหน้าอีกฝ่าย พลางวางจานลงตรงกลางและคิดในใจว่า ‘ปราชญ์มันเลิกโกรธแล้วแฮะ’

“เออ กิน!” ตฤนเริ่มจิ้มส่วนต่าง ๆ ของจานเข้าปาก พร้อมทำหน้าทำตามีความสุข “อร่อยว่ะ ราคาโหด แต่รสชาติแบบนี้ก็ผ่านล่ะวะ”

“เห็นมั้ยล่ะ แถมเขาให้ไอ้หมีนี่กลับไปแทะที่บ้านอีก” ปราชญ์เอาส้อมชี้ไปทีตุ๊กตาหมีที่ยังยืนตะหง่านอยู่ตรงกลางจาน

“อันนี้มันกินไม่ได้ว้อย”

     ปราชญ์เอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาหมีมาดู ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดตรงฐานที่เปื้อนให้

“อ่ะเอาไปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ชอบมากนี่ไอ้พวกตุ๊กตาพวกนี้”

“มาก”

     อาหารที่เหลือทยอยตามมา หน้าตาดูดีไม่แพ้กัน ทั้งตัวภาชนะ และจานเสิร์ฟ

“จะรับฝันหวานเลยมั้ยคะ”

     พนักงานถามถึงของหวานที่สั่งไปพร้อมกับของคาว

     ตฤนแอบคิดค่าใช้จ่ายในใจ ถึงจะอร่อยแค่ไหน แต่มื้อนี้ ล่อไปพันกว่าบาทแหนะ ให้กินบ่อย ๆ คงไม่ไหว เงินในกระเป๋าตังไม่รู้ว่ามีพอหรือเปล่าด้วยซ้ำ

“อร่อยดีเนอะ ของนายอร่อยมั้ย” ตฤนถามปราชญ์ที่กำลังจะตักข้าวคำที่สองเข้าปาก ปราชญ์จึงยื่นช้อนป้อน ตฤนมองช้อนในมือปราชญ์ ด้วยความรู้สึกประหลาด มันดูแปลก ๆ สำหรับผู้ชายสองคน... แต่ก็อ้าปากชิมแบบไม่ปฏิเสธ

“อร่อยมั้ย”

“อร่อย ...อร่อยทุกอย่าง” ตฤนกินทุกอย่างด้วยตาเป็นประกาย กินแบบรู้ซึ้งถึงคุณค่าของเงินที่ต้องจ่ายไป

     ผู้ชายสองคนนั่งกินอาหารด้วยกันเงียบ ๆ ท่ามกลางความรู้สึกที่เป็นสุข จากอาหารที่อร่อย จากบรรยากาศที่สดใสจากเสียงเพลงน่ารัก ๆ เหมือนสมัยที่พวกเขายังเป็นเด็ก สุขใจจนลืมไปว่า พรุ่งนี้ยังคงเป็นวันทำงาน

“สั่งอะไรอีกมั้ย” ปราชญ์ถาม เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามตักไอติมที่ละลายเข้าปาก

“พอแล้ว อิ่มแล้ว”

     ปราชญ์ยกมือเรียกพนักงาน พนักงานคนเดิม โค้งก็จะยกกล่องใบเล็ก ๆ มา มันเป็นกล่องไม้ ที่บนฝาแกะสลักเป็นโลโก้รูปหมีประจำร้าน ด้านในมีใบเสร็จอาหาร ปราชญ์ตรวจดูก่อนจะหยิบบัตรเครดิตวางลงไปในกล่อง

“เท่าไหร่วะ” ตฤนถาม ก่อนจะล้วงเอามือถือออกมาเปิดฟังก์ชันเครื่องคิดเลข เตรียมหารราคา

“มื้อนี้เลี้ยง”

“โอกาสอะไร ทางนี้ต้องเลี้ยงขอโทษด้วยซ้ำ”

“เออน่าโอกาสที่ตฤนได้งานทำไง แล้วก็โอกาสที่ได้มาเห็นคนตะกละนั่งกินอาหารอย่างมีความสุข”

“งั้นจะเลี้ยงทุกมื้อก็ได้นะ จะกินตะกละ ๆ ให้ดู”

“แบบนั้นสงสัยจะจนแย่ ย้ายมา...อยู่บ้านฉันมั้ยล่ะ” ปลายประโยคคนพูดพูดเสียงเบา ก่อนจะหันหน้าเสไปมองทางอื่น

“ย้ายมาอะไรนะ” คนฝั่งตรงข้ามได้แต่งงกับท่าทางอีกฝ่าย พูดอะไรงุบงิบ ฟังไม่รู้เรื่อง

“บอกว่าย้ายมาเป็นคนรับใช้ที่บ้านฉันมั้ย เป็นเบ๊แล้วจะเลี้ยงข้าวเป็นอย่างดี”

     ตฤนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับสงสัยว่าคนใช้นี่ต้องเลี้ยงดูดีขนาดนี้เลยหรอ หรือว่าควรจะไปลาออกจากที่ทำงานวันพรุ่งนี้เลยดี

“เดี๋ยวไปขอฟอร์มลาออกก่อน” ปราชญ์ได้ยินแบบนั้น ก็ยื่นมือมาดันหน้าผากคนตรงหน้า

“ตะกละแบบนี้เหมือนกี้ไม่มีผิด เดี๋ยวจะเตรียมอาหารเม็ดไว้ให้”

“ไม่ใช่หมา!”

“ไม่ต่อปากต่อคำแล้ว กลับกัน พรุ่งนี้ทำงาน”

     ปราชญ์ไปส่งตฤนที่บ้าน มองส่งอีกฝ่ายไขประตูเดินเข้าบ้านไป ในใจก็นึกอยากไปรอรับ ไปส่งทุกวัน แต่ไม่รู้จะหาข้ออ้างยังไง ถ้าทำแบบนั้นมันจะต้องดูแปลก ... อีกฝ่ายจะว่ายังไงก็ไม่รู้

[ปราชญ์กำลังพยายามอยู่]


ปราชญ์เอ้ยยย เมื่อไหร่จะจีบจริงจังซักที แต่จะว่าไปข้ามเฟรนด์โซนลำบากชิบหาย

เฟรนด์โซนน่ะ เข้าเเล้วออกยาก ต่อให้อยากออกก็ไม่ใช่ว่าจะไปต่อได้ง่าย ๆ
ถ้าอีกฝ่ายไม่คิดเหมือนกัน พัง!!! เสียเพื่อน ฮือออออ ทำไมอินล่ะ ...
#อย่าเอาเรื่องจริงมาพูดเล่น
 :o12:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ฮึ่ย หงุดหงิดปราชญ์ ช้ายิ่งกว่าเต่าอีก

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 12 จะต้องรุกบ้างเเล้ว


     พอถึงบ้านตฤนก็ทิ้งของทุกอย่าง ลงนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยอ่อนโดยมีกี้นอนเบียดกระแซะอยู่ข้าง ๆ เขาหันไปดูนาฬิกาที่ข้างฝา มันบอกเวลาว่า สี่ทุ่มครึ่ง ดึกขนาดนี้แล้ว อยากจะหลับไปทั้งแบบนี้

“ตฤนไปอาบน้ำ”

     เสียงแม่ดังลอดมาจากชั้น 2 ของบ้าน ถ้าไม่มีใครอยู่บ้าน แม่ของเขาจะชอบขึ้นไปนอนดูละครในห้องนอน เปิดแอร์เย็น ๆ นอนซุกอยู่ในผ้าห่ม ... จริง ๆ ตฤนก็แอบอิจฉาแม่ที่ได้นอนสบาย

     ติ้ง ติ้ง ติ้ง

     เสียงไลน์ดังรัวติดกันจนตฤนต้องควานหามือถือ ทั้ง ๆ ที่ตากำลังจะปิด

‘อาบน้ำ นอนได้แล้ว (สติ๊กเกอร์หมีทำหน้าดุ)’ ปราชญ์ส่งข้อความมา เหมือนรู้ด้วยตาเห็นว่าเค้ายังไม่ยอมลุกไปอาบน้ำ แต่นอนทำแล้ว...

     แม่เดินลงบันไดมาหาเขา ก่อนจะเรียกตฤน จนเขาสะดุ้ง

“ตฤนแม่ไปต่างจังหวัดไปไหว้พระกับป้านิดนะ” แม่มักจะไปเที่ยวไหว้พระกับป้านิดเสมอ แกเป็นเพื่อนสมัยเรียนของแม่

“ครับ ไปกี่วันแม่”

“สามวันสองคืน อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย”

“สบายมาก แม่ไปเที่ยวเถอะ ผมอยู่ได้”

“เก่งมาก พรุ่งนี้แม่จะทำข้าวเช้าเตรียมไว้ให้นะ เราก็ไปอาบน้ำได้แล้ว”

“ครับแม่” ตฤนตอบรับ แม่จึงเดินมาลูบหัวเขาเบา ๆ ก่อนจะขึ้นไปนอน ส่วนเขาก็ยอมลุกขึ้น เดินสะโหลสะเหลไปอาบน้ำ ด้วยพลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ ‘ไปทำงานแค่ไม่กี่วัน ทำไมมันถึงได้เหนื่อยขนาดนี้ เฮ้อ จากนี้ก็คงมีแต่หนักขึ้น หรือไม่คงชินไปเอง’ ตฤนได้แต่นึกปลงอยู่ในใจ

     น้ำอุ่นกำลังได้ที่ ตฤนยืนแช่ใต้ฝักบัว หวังให้น้ำอุ่น ๆ ช่วยชำระความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าออกไปให้หมด เขานึกทบทวนวันนี้ เขารู้สึกผิดกับปราชญ์มากและคิดว่าถ้าเป็นตัวเองในสถานการณ์แบบปราชญ์ เขาคงโมโหกว่านี้ คงไม่รอ แล้วก็... คงเข็ดไม่คิดมารับอีกแล้ว

“ว่าแต่มันไปทำอะไรแถวนั้นนะ” ตฤนพูดพึมพำกับตัวเองอย่างไม่คิดหาคำตอบของคำถามนั้น

     ทันทีที่ตฤนหัวถึงหมอน เขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน หลับไปทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่แห้ง แถมยังหลับไปแบบไม่ได้ห่มผ้า ทั้งที่ห้องนอนของเขาเย็นเฉียบ แอร์ 21 องศาอาจทำให้เขาไม่สบาย...


“ต้องหาข้ออ้างอะไรเพื่อจะไปรับตฤนหลังเลิกงาน” ปราชญ์ต่อสายหาที่ปรึกษาส่วนตัวเรื่องความรัก เล่าอัพเดทชีวิตวันนี้

‘ทำไมระยะนี้ดูจะรุกจังนะ ทุกทีไม่กล้า ดูใจเย็นจะตาย’ ปลายเสียงถามเย้าแหย่

“ก็...”

‘มีอะไรที่ไม่ได้เล่า?’ กวางถามคำถามให้เจ้าตัวอึกอัก ถ้าเขาตอบตามความจริงจะเสียฟอร์มหรือเปล่า คนที่มั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองแบบเขากำลังรู้สึกหวั่นใจ

“ก็...”

‘ก็อะไร’

     ก็ปกติเขาจะวนเวียนอยู่รอบตัวตฤน ดูให้รู้ว่าไม่มีใครเข้ามาเกาะแกะ ดูให้รู้ว่าถ้ามีใครหลงเข้ามา เป็นศัตรูที่เขาจะเอาชนะได้มั้ย ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจออะไรที่สามารถลดทอนความมั่นใจลงได้แบบครั้งนี้

“คนที่ชื่อวริษฐ์ วันนี้ฉันไปเจอมา”

‘หืม? เขาเป็นยังไง’ กวางถามด้วยความสนใจ คนที่ทำให้เพื่อนที่แสนมั่นใจในตัวเองวิตกได้แบบนี้ต้องไม่ธรรมดา

“มันหล่อ”

‘อ๋อ ก็เลยกลัว?’

“ไม่ได้กลัว แค่ไม่ประมาท”

‘ถ้าไม่มีข้ออ้างจะไปรับ ก็ขอไปรับตรง ๆ เลยสิ’

“มันแปลก!”

‘มาถึงขนาดนี้แล้ว จับกดไปซะก็สิ้นเรื่อง’

     คำพูดตรง ๆ ของที่ปรึกษา ทำเอาปราชญ์เขินจนหน้าร้อนผ่าว เขายังไม่เคยคิดถึงตรงนั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น แค่แตะเนื้อต้องตัวนิดหน่อยเขาก็มีความสุขมากแล้ว อาจจะเก็บใบหน้าที่คิดถึงนั้นมาทำอะไรบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดมากไปกว่านั้น พอคิดภาพตาม... เขายิ่งเขินหนักกว่าเดิม ดีที่ปรึกษาทางโทรศัพท์ ถ้าเจอหน้ากันคงโดนล้อว่าหูแดงไปอีกนาน

‘กำลังคิดภาพตามหรอเขินเงียบขนาดนี้’

“เปล๊า นี่ฉันไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้นนะ”

     สารภาพว่าตัวเขาเองก็เคยทำเรื่องอย่างว่าตอนที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยกับผู้หญิง... ที่เจอกันในผับ กับข้อตกลงความสัมพันธ์แค่คืนเดียว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันเป็นความต้องการของทั้งสองฝ่ายที่ต่างตอบสนองซึ่งกันและกัน ไม่มีความรัก แต่มีความใคร่ เป็นการเจอกัน ที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงทางจิตใจ เราแยกย้ายจากกันในตอนเช้า ลืมเลือนหน้าตาของกันและกัน หายกันไปแบบไม่มีวันเจอกันอีกเลย

‘พ่อหนุ่มเสือผู้หญิง’ ปลายสายพอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ใสซื่อ กับเรื่องอื่น... แต่ถ้าเป็นเรื่องตฤน เขาก็เทียบเคียงได้กับเด็กอนุบาล กวางนึกแล้วได้แต่ขำ

“ไม่ถึงขนาดนั้น แค่ลองให้ได้รู้ ตอนนี้มีแค่ลูกแมวเชื่อง ๆ เท่านั้นแหละ”

‘ถ้าเป็นแค่ลูกแมว คงสู้อีกฝ่ายไม่ได้...’

     คำพูดของกวางทำให้ปราชญ์ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อนึกหน้าของอีกฝ่าย ที่มาทำให้คนอย่างเขาถึงกับเสียความมั่นใจ

     เสียงปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนจะพูดต่อ ‘เป็นพระเอกสิ นายจะได้ชนะ’

“เหอะ ชนะในนิยายของแกมันไม่พอหรอกนะ”

‘แหม... เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก็ลองจู่โจมไปรับสิ’

“เอาแบบนั้นหรอ”

‘ไม่มีอะไรจะเสียนี่ เอาเป็นว่า ถ้าเขาไม่รักก็กลับมาแล้วกัน’

“พูดอะไรแปลกๆ”

     ปลายสายหัวเราะรับกับคำพูดของปราชญ์ก่อนจะวางสายไปด้วยหัวใจสั่นระริก เธอแค่ ‘เผลอตัว’ พูดออกไป

     ปราชญ์นอนลืมตาเงียบ ๆ อยู่บนที่นอนพยายามคิดข้ออ้างมากมายเพื่อที่จะไปรับตฤน แต่ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย เลยสรุปกับตัวเองว่าจะพูดตรง ๆ

‘มาถึงขนาดนี้แล้ว จับกดไปซะก็สิ้นเรื่อง’

     เสียงกวางยังตามหลอกหลอน ประโยคที่ทำให้ใจคนฟังเต้นแรงไม่เป็นสุข ปราชญ์พยายามข่มตานอน เพื่อให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน เขาหลับไปท่ามกลางความคิดแบบนั้น

     และลืมตาตื่นในความฝัน เจอใครบางคนนอนอยู่ข้าง ๆกับตัวเขา ใบหน้าที่คุ้นเคย... ถ้าเป็นในฝันคงไม่เป็นไร ปราชญ์รั้งเอาคนข้าง ๆ มากอดไว้ อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมา เมื่อตาสบตาในระยะประชิด ปราชญ์โน้มหน้าไปใกล้ด้วยสัญชาตญาณ หมายครอบครองริมฝีปากบางที่เฝ้ามองมานาน สัมผัสนุ่มละมุน มันดูเหมือนความจริง...เหมือนมากเสียจน เจ้าของความฝันไม่อยากตื่นขึ้น... เพราะในความจริงยังคงห่างไกลกับเรื่องเหล่านี้

     ปราชญ์ชิมริมฝีปากหวาน อีกฝ่ายตอบสนองตามแลกรับลมหายใจซึ่งกันและกัน ก่อนถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ปราชญ์บรรจงพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้า และไล่ลงมาตามลำคอ ร่างกายของทั้งคู่บดเบียดแนบชิดกัน ทวีความเร่าร้อน หัวใจของปราชญ์เต้นสั่นระรัวความตื่นเต้นราวกับเด็กที่ไม่ประสีประสา ถึงอย่างนั้นบางอย่างแข็งขึงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ความสุขสมในฝันกำลังจะเป็นจริง ...เพียงแต่

     กริ๊งงงงงงงงงงงง

     นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่น ปลุกให้คนฝันหวานต้องตื่นอย่างอารมณ์ค้าง เขาลืมตาขึ้นมองเพดานห้อง ก่อนจะนึกทบทวนไปถึงความฝันเมื่อสักครู่ นี่เขาต้องการมากจนเก็บไปฝันถึงเลยหรือ ปราชญ์ยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้าด้วยความเขินอาย ใบหน้าร้อนผ่าว เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ถึงได้ฝันถึงเรื่องแบบนี้ มันต้องเป็นเพราะว่ากวางนั่นแหละที่เอาความคิดไม่ดีแบบนี้มาใส่หัวชายหนุ่มที่สุขภาพแข็งแรงอย่างเขา!

     ตฤนตื่นมาด้วยความรู้สึกหนัก ๆ มึน ๆ หัว เหมือนจะไม่สบาย เขาลุกขึ้นจัดการตัวเองเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน  วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแสลค ดูแล้วเหมือนนักศึกษาฝึกงาน

“ไหวมั้ยหน้าแดง ๆ หรือแม่ไม่ไปกับป้านิดดีนะ”

“ไปเถอะครับ”

“ไหวแน่นะตฤน” แม่เอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วงอีกครั้งก่อนที่เขาจะออกจากบ้าน ดีที่ข้าวเช้าฝีมือแม่และยาแก้ไข้ทำให้เขาดีขึ้น แต่พอต้องออกมาเจอสภาพอากาศร้อนระอุ และการเบียดเสียดกันบนระบบขนส่งสาธารณะ ทำให้เขาเหมือนจะไข้ขึ้นอีกรอบ

“พี่ ๆสวัสดีครับ” ตฤนมาถึงที่ทันงาน ทันเวลาพอดีก่อนจะยกมือไหว้ทักทายทุกคน เขาเดินไปนั่งประจำที่ให้หายเหนื่อย ก่อนจะเขียนงานที่ต้องทำวันนี้ทั้งวันไม่ให้ตกหล่น

     วริษฐ์ลุกขึ้นมาสอนงานในส่วนของวันนี้ เขาลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ตฤน และสังเกตได้ว่าสีหน้าของตฤนดูไม่ค่อยดี จึงเอาหลังฝ่ามือมาอังที่หน้าผาก เพื่อวัดไข้คร่าว ๆ ฝ่ายตฤนเมื่อถูกมือเย็น ๆ สัมผัสเขาสะดุ้งด้วยความตกใจ

“ไม่สบายหรือเปล่า ตัวรุ่ม ๆ”

“น่าจะเป็นไข้นิดหน่อย ไม่เป็นไรครับ ผมกินยาแล้ว”

“ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ”

“ครับ” ตฤนก้มหัวขอบคุณในความเป็นห่วงของวริษฐ์

“ชุดวันนี้ ดูเป็นเด็กฝึกงานเหมือนวันที่มาสัมภาษณ์เลย”

"ครับ อาจจะดูไม่เป็นผู้ใหญ่ไปสักหน่อย”

“อื้อ แต่ผู้ชายก็แบบนี้แหละ เครื่องแต่งตัวมันน้อย”

“ครับ” ตฤนไม่โต้ตอบเยอะ เขาตอบสนองช้าเพราะพิษไข้

     ตฤนที่ทำงานไปเหม่อไป ทำให้หลายคนในแผนกนึกห่วง ผลัดกันมาถามไถ่อาการ

“วริษฐ์ใช้งานน้องหนักหรอ น้องป่วยเลย” พี่ใหม่ถาม ก่อนจะลูบหัวตฤนด้วยความเอ็นดู

“ผมเปล่านะพี่ใหม่”

     ช่วงพักกลางวัน วริษฐ์ซื้อโจ้กกับแผ่นแปะลดไข้ขึ้นมาให้ พร้อมกับซื้ออาหารกลางวันของตัวเองมาด้วยเพื่อมากินข้าวข้างบน เรียกว่าดูแลน้องเล็กในปกครองเป็นอย่างดี ตฤนนั่งกินข้าวกินยา แล้วก็ได้นอนพักฟุบหน้าไปกับโต๊ะ วริษฐ์นึกเอ็นดู แอบถ่ายหน้าน้องตอนหลับเก็บไว้ กะจะแกล้งส่งลงกรุ๊ป

     หลับยาวจนเลยเวลาพัก แต่ไม่มีใครปลุกตฤนให้ตื่น พี่สายใจอนุญาตให้น้องเล็กนอนพักได้ เพราะป่วยจริงๆ ตอนนี้หน้าก็ยังร้อนมาก

“พี่สายใจวันนี้ผมออกก่อนเวลาครึ่งชม.ได้มั้ย”

“วริษฐ์มีธุระด่วนหรอ เรื่องอะไร” ที่นี่สามารถออกก่อนเวลางานได้นิดหน่อย ถ้ามีเหตุจำเป็น

“ผมจะพาตฤนไปหาหมอ แล้วก็พาไปส่งบ้าน”

     สายใจหันไปมองเด็กใหม่ที่นอนสลบไสล หน้าแดงแจ๋เพราะพิษไข้อย่างนึกสงสาร

“ได้พี่อนุญาต แล้วเราไปเขียนฟอร์มขออนุญาตมาด้วยนะ”

“ครับพี่” วริษฐ์เดินกลับไปอังหน้าผากตฤนอีกครั้ง ตัวไม่ร้อนมาก แต่น่าจะไปให้หมอตรวจสักหน่อย

“วริษฐ์ดูเอ็นดูตฤนมากเลยเนอะ” ส้มหันไปพูดกับมิ้นต์

“ใช่ ๆ ห่วงมาก ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นพ่อหนุ่มเจ้าสเน่ห์ ที่บริหารสเน่ห์กับสาว ๆ ทั้งออฟฟิค ต้องคิดว่า กำลังพยายามจีบน้องแน่ๆ” มิ้นต์ตอบกลับพลางทำสายตาเจ้าเล่ห์

“แต่ก็นะ เขารับกันมาก็คงต้องดูแลกันแหละ” ส้มพยายามไม่คิดไปทางว่าวริษฐ์ชอบผู้ชาย เพราะกลัวจะจมน้ำตาของสาว ๆ ในออฟฟิต เคยมีการจัดอันดับ หนุ่ม ๆ ในออฟฟิตแบบลับ ๆ แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือ วริษฐ์คนนี้นี่แหละ หน้าตาสูสีกับอีกคนในแผนกไอที แต่คารมชนะขาดอัธยาศัยดีตามประสาหนุ่มแผนกทรัพยากรมนุษย์ คนนั้นหน้าตาดีผิวเนียนละเอียด แต่โลกส่วนตัวสูงยิ่งกว่าตึกใบหยกซะอีก พี่ส้มคิดในใจ แต่ตัวเองก็กดโหวตให้อีกคนนะ เบื่อหน้าวริษฐ์

“อื้อ” ตฤนรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมารู้สึกว่าตัวเองนอนไปเต็มอิ่ม นอนนานจนเหมือนจะเกินเวลาที่พักกลางวัน ตฤนหันไปมองนาฬิกาก่อนตกใจสุดขีด นาฬิกาบอกว่าตอนนี้ บ่ายสามโมงแล้ว คิ้วขมวด มีความวิตกกังวลปรากฏชัดบนใบหน้า

“ไม่ต้องตกใจ ไม่มีใครว่าที่เราสลบหรอก ก็เราป่วย” วริษฐ์ที่นั่งแอบมองคนป่วยจากฝั่งตรงข้ามเอ่ยทักทันทีเมื่อเห็นสีหน้าฉายแววความไม่สบายใจของคนตรงข้าม

“ครับ ขอโทษครับ”

“เราก็จัดการงานค้าง แล้วก็เตรียมตัวไปหาหมอนะ พี่จะพาไป”

‘งานค้างอะไรมีที่ไหนล่ะ’ วริษฐ์นึกในใจ เขาพูดไปแบบนั้นเองแค่อยากแหย่คนป่วยขี้เซา เพราะตัวเขาเองน่ะดึงเอางานเร่งด่วนทั้งหมดของเด็กในปกครองมาทำให้เองหมดแล้ว ส่วนงานที่ต้องสอน ยกยอดไปในวันพรุ่งนี้แทน จริง ๆ เขาก็แอบแปลกใจตัวเอง ที่ถูกชะตาเจ้าเด็กคนนี้มากเป็นพิเศษ

     ตฤนพยายามมองหางานค้าง หายังไงก็ไม่เห็นจะมี จนต้องเอ่ยปากถาม “พี่ครับ เอกสารปึกเมื่อเช้าพี่เอาไปแล้วหรอครับ”

“เสร็จแล้วล่ะ พี่ขอรับค่าจ้างเป็นนมคาราเมลนะ”

"ได้เลยครับ”

     ตฤนรู้สึกขอบคุณที่วริษฐ์ช่วยทำงานให้ แต่อีกใจก็กังวล... เขาจะผ่านทดลองงานมั้ยนะ เหมือนถูกรับมาเป็นภาระมากกว่าคนมาช่วยทำงาน

“แล้วไปทำอะไรมา เป็นไข้”

“ผมก็ไม่แน่ใจ อาจจะเพราะนอนดึก เมื่อคืนหลับไปทั้งๆที่ผมเปียก และนอนห้องแอร์โดยไม่ห่มผ้า”

“ก็สมควรป่วยล่ะ เราน่ะ” ตฤนส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้ ก่อนจะลุกไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ถึงจะรู้สึกหนักๆหัวอยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นเยอะเพราะได้นอนเต็มอิ่มดี แล้วแบบนี้ยังจำเป็นต้องไปหาหมอมั้ยนะ

“มาหลบอู้อยู่นี่เอง” ตฤนหันไปมองต้นเสียง ผู้ปกครองมาตามเขาถึงในห้องน้ำ

“อ่ะ พี่วริษฐ์”

“เห็นหายไปนาน กลัวว่าจะวูบอยู่ในห้องน้ำ”

     ตฤนมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ต้องคอยห่วงทั้งวัน ถ้าขืนยังไม่หายป่วยแบบนี้ ดีไม่ดีจะไม่ผ่านโปรเอานะเราเนี้ย

     ทั้งคู่เดินออกจากห้องน้ำกลับไปที่โต๊ะ วริษฐ์ลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ เขาเริ่มสอนงานง่าย ๆ ให้ พร้อมเขียนขั้นตอนการดำเนินงานหลายๆ อย่างให้เผื่อสมองคนป่วยวันนี้จะรับความรู้เอาไว้ไม่ไหว จะได้เก็บเอาไว้อ่านในวันอื่น

“ไปเก็บของกลับบ้าน” วริษฐ์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานมากขึ้นทุกที

     ตฤนลอบมองนาฬิกาแล้วพบว่ายังไม่ใกล้เวลาเลิกงาน “หือ? อีกตั้งครึ่งชั่วโมง”

“พี่จะพาเราไปหาหมอ แล้วจะไปส่งเราที่บ้าน”

     วริษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง กับใบหน้าที่แฝงไปด้วยความเอ็นดู จนตฤนเผลอคิดไปว่าถ้าตัวเขาเป็นผู้หญิง แล้วมีผู้ชายหน้าตาดีแบบนี้มาคอยดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้ เขาคงจะตกหลุมรักแน่ ๆ

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมเกรงใจ”

“เอาตามนี้แหละ เก็บของได้แล้ว”

     วริษฐ์ตัดบทและเดินไปเก็บของที่โต๊ะของตัวเอง ตฤนจึงจำใจต้องลุกขึ้นเก็บของด้วย ไม่กล้าให้อีกฝ่ายที่อาสาไปส่งต้องมายืนรอ ไม่ถึง 5 นาที ทั้งคู่ก็พร้อมกลับบ้าน

“กลับก่อนนะครับจะไปพาคนป่วยไปให้หมอ”

     ทุกคนตอบรับ และอวยพรให้หายไวไว

“ตฤน ถ้าพรุ่งนี้ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะ หยุดได้” พี่สายใจรีบบอกด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเด็กใหม่จะไม่กล้าหยุดงาน ไม่เหมือนพวกทำงานมานาน ลาป่วยกันเป็นว่าเล่น

“ขอบคุณครับพี่”

     วริษฐ์พาตฤนไปคลินิกที่คุ้นเคยแทนไปโรงพยาบาล เพราะเจ้าตัวบอกว่ายังไม่มีสิทธิสวัสดิการอะไร พอไปตรวจ หมอก็แจ้งว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา มีสาเหตุชัดเจน ก็จัดยามาชุดนึง พร้อมกำชับให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ นอนให้เพียงพอ และทำตัวให้อบอุ่นอยู่เสมอ คุณหมอพูดคล้ายเดิมเกือบทุกครั้งที่ตฤนป่วย และถ้าทำตามไม่ดื้อล่ะก็ ...หายป่วยได้ง่าย ๆ ทุกครั้ง

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ตฤนยกมือไหว้วริษฐ์ พร้อมทั้งส่งยิ้มอ่อนแรงให้

     วริษฐ์ยกมือขึ้นลูบหัวตฤนเบา ๆ “พรุ่งนี้นอนพักอยู่บ้าน ไม่ต้องฝืนมานะ รู้มั้ย” น้ำเสียงทุ่มนุ่ม กับสัมผัสอ่อนโยนทำให้ตฤนนึกเคลิ้ม อยากจะหลับตรงนี้ให้ได้

"ครับพี่ ผมก็ไม่อยากไปเป็นภาระคนอื่น ๆ”

     ตฤนรู้สึกว่าการลาป่วย ไม่ใช่แค่ให้คนที่ลาได้พักผ่อน แต่เป็นการป้องกันคนอื่นติดโรค พลอยป่วยไปด้วย นอกจากนั้น ยังทำให้คนอื่นไม่ต้องมาคอยห่วงคอยดูแล เรียกง่าย ๆ ว่าไม่ไปเป็นภาระคนอื่นเขา แต่วริษฐ์ ไม่ได้นึกถึงเหตุผลอื่นนอกจากว่า กลัวเด็กใหม่คนนี้จะป่วยหนัก

“พี่ไม่ได้บอกว่าเราเป็นภาระ พี่แค่ห่วงว่าเราจะไม่สบายหนัก” วริษฐ์พูดแย้งตฤน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของคำพูดตนเองผิด

"ครับพี่ ขอบคุณจริง ๆครับ” ตฤนลงจากรถ เดินสโหล่สแหล่เข้าบ้าน เขาพร้อมจะทิ้งตัวนอนได้ทุกเมื่อ


“เอ...วันนี้ก็เลิกช้าหรอ” ปราชญ์มาดักรอรับตฤนเหมือนเดิม  เขาก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือที่ตอนนี้เลยเวลาเลิกงานมาแล้ว 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววเจ้าตัวลงมาแต่อย่างใด นั่งรอไปด้วยใจที่ไม่สงบ ความคิดฟุ้งซ่านโผล่เข้ามาทำให้ใจเต้นตึกตัก โดยเฉพาะภาพฝันเมื่อคืน ที่พอเผลอมันก็มักโผล่เข้ามาในความคิด ทำให้ปราชญ์ได้แต่นึกอยู่ในใจ

‘เรานี่มันบ้ากามจริง ๆ’

“อีก 5 นาทีไม่งั้นจะโทรหาแล้วนะ” ปราชญ์บ่นพึมพำกับตัวเองพลางจ้องมองนาฬิกาสลับกับทางที่ตฤนจะลงมา…
.
[คลาดกันเก่งงง]
 :katai1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
บทที่ 13 ปราชญ์หัวขโมยกับคนป่วยตัวนิ่ม

     คอยแล้วคอยเล่าคนที่รอก็ไม่โผล่มาง่าย ๆ ปราชญ์หยิบเอามือถือขึ้นมา กดเบอร์ที่เขาท่องจำได้ขึ้นใจ

‘ฮัลโหล’ ปลายสายเสียงแหบแห้งเบาหวิว

“ตฤนอยู่ไหน เป็นอะไร น้ำเสียงไม่ดีเลย”

‘ไม่สบาย’

     เสียงแหบ ๆ ที่ตอบกลับมา ทำให้ปราชญ์ยิ่งเป็นห่วง

“ตอนนี้อยู่ไหน”

‘บ้าน’

     เพราะตฤนกลับไปตั้งนานแล้ว เขาถึงมารอรับแล้วไม่เจอ

“เดี๋ยวไปหา” เขาพูดก่อนจะตัดสายไป


     ปราชญ์มาถึงหน้าบ้านตฤนอย่างรวดเร็ว การขับรถของเขาเมื่อกี้ น่าจะโดนผู้ร่วมใช้ถนนด่าแล้วด่าอีก ปราชญ์คิดขณะจอดรถหน้าบ้านตฤน บ้านค่อนข้างมืดจนเหมือนไม่มีคนอยู่

“ตฤน” ปราชญ์ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน “ตฤน!”

“โฮ่ง” ตฤนไม่ตอบ ตฤนไม่เดินมา มีแค่กี้ที่เห่าอยู่ที่ประตู

“ตฤน!!!” ปราชญ์ตะโกนเสียงดังขึ้น แต่ก็เจอแต่เสียงเห่าของกี้ ไม่มีวี่แววของคนที่เขาอยากเจอ

     ปราชญ์ไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งอีกฝ่ายเงียบแบบนี้ เขาก็ยิ่งร้อนใจ

“แม่งเอ๊ย จะโดนจับมั้ยวะ” ปราชญ์สบถกับตัวเองก่อนจะถอดรองเท้า โยนข้ามรั้วไป มองหาที่เหยียบที่จับที่มั่นคง ก่อนจะเริ่มปีนข้ามรั้ว

“โฮ่งงง โฮ่ง!!!” เสียงกี้เห่ากรรโชกเสียงดัง คงเพราะคิดว่าเขาเป็นขโมย

     ปราชญ์ รีบปีน เพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นแล้วเข้าใจผิด เขามองเล็งพื้น ก่อนจะโดดลงมาอย่างสวยงาม

“ชู่ว กี้ ปราชญ์เองกี้”

“โฮ่ง หงิง “ เหมือนกี้จะจำเสียงเขาได้ เปลี่ยนโทนเสียงจากเห่ากรรโชกเมื่อกี้ เป็นเสียงเห่าเรียกเบา ๆ พร้อมกับครางอ้อน

     ปราชญ์เดินไปที่ประตูมุ้งลวด แต่ก็พบว่ามันล็อค ตฤนไม่สะเพร่าลืมล็อคประตู เขาเลยลำบาก

“ตฤน!!!! “ ปราชญ์ตะโกนอีกครั้ง “ตฤนว้อยย!!! อยู่ไหนวะ!!!” ปราชญ์ส่งเสียงดังโหวกเหวก ไม่รู้ว่าเสียงเขาดังไปถึงหน้าปากซอยบ้านหรือยัง แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมาเลยแม้แต่น้อย

     เขาเอาหน้าแนบประตู มองเห็นขาใครบางคนโผล่พ้นเก้าอี้โซฟาออกมา น่าจะเป็นตฤน

“กี้!!! ตฤน!!! ไปปลุกตฤน!!!” กี้เหมือนกับฟังออก ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินชื่อตฤน ถึงได้วิ่งไปหา หรือว่าฟังเขาพูดรู้เรื่อง ... มันวิ่งไปกระโดดใส่ตฤนบนโซฟา

“หงิง หงิงงงงง”

     ปราชญ์แนบหน้ามอง ด้วยใจลุ้นระทึก ขาข้างนั้นขยับ ...มันได้ผล ตฤนลุกขึ้นนั่ง ปราชญ์เพ่งมองและเห็นว่าตฤนใส่หูฟังอยู่ คงเพราะใส่หูฟังแล้วหลับถึงไม่ได้ยินอะไร ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของเขา

     ตฤนรู้สึกหนัก ๆ หัว ขณะมองไปรอบ ๆ เขานอนกลิ้งเกลือกฟังเพลง แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เขาเห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่ตรงประตู ก็เลยหันไปหยิบแก้วน้ำ? มาเป็นอาวุธ อย่างน้อยทำให้แก้วแตกมันก็คมแหละ

“ใคร” น้ำเสียงแหบแห้งเบาหวิวจนตัวเองยังตกใจ

“โฮ่ง” ตฤนหันไปมองกี้เที่เห่าเบา ๆ แต่กระดิกหางดีใจ

“ปราชญ์เอง เปิดประตูหน่อย”

     ตฤนเดินโงนเงนไปเปิดไฟ เขาเห็นคนที่หน้าประตูเต็มสองตา ปราชญ์จริง ๆ เขารีบเปิดประตูให้ปราชญ์ที่มาหาเขาด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ให้เข้ามาในบ้าน

“มาไง”

“ปีนบ้านเมิงเข้ามาอ่ะดิ”

     ปราชญ์มองสำรวจคนตรงหน้า น้ำเสียงแหบแห้ง ใบหน้าแดงก่ำ  กับท่าทางอ่อนแรง แถมยังเดินเซไป เซมา

“ไหวมั้ย” ปราชญ์ถามด้วยความเป็นห่วง เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ กลัวว่าคนตัวเล็กกว่าจะล้ม จึงคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ พอแตะโดนตัวก็พบว่าคนตรงหน้าไข้สูงตัวร้อนจี๋

“มึน ๆ ว่ะ”

     ตฤนเดินโงนเงนเอียงไปเอียงมา ปราชญ์เห็นแบบนั้น ก็เลยตัดสินใจรวบเอวชายหนุ่มเข้ามา

“ทำ..อะไร” ตฤนไม่มีแรงขัดขืนเพราะพิษไข้ ได้แต่พูดถามเสียงเบา ถ้าเป็นทุกทีเขาคงดิ้นไม่หยุด แต่ไม่ใช่วันนี้ เขาไม่มีแรงเหลือเลย เขาเลยยอมให้ปราชญ์จับประคองเขาเอาไว้เหมือนกับเด็ก ๆ

“เดินไม่ไหวหรอก” ปราชญ์พูดพลางยกคนตัวเล็กกว่าขึ้นพาดบ่า คนป่วยจำใจยอมไม่ดิ้น ไม่ขัดขืน ยอมให้แบกขึ้นไปส่งที่ห้องนอนแต่โดยดี ปราชญ์ค่อย ๆ วางคนตัวเล็กลงบนที่นอน ใบหน้าแดงก่ำดูทรมาน

     เขาเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหายาลดไข้ ผ้าขนหนูกับกาละมัง เพื่อมาเช็ดตัวให้คนป่วย เขาหยิบเสื้อยืดตัวอุ่น กับกางเกงขาสั้นมาให้ด้วย

     ปราชญ์เช็ดหน้าเช็ดตาให้ตฤน และตามจุดต่าง ๆ เพื่อระบายความร้อน เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทำงานของตฤนออก

     ตฤนสะดุ้งกับนิ้วเรียวยาวนั้น ที่พยายามถอดกระดุมเสื้อเขา ก่อนถามเสียงอ่อย “จะถอดทำไม”

“ใส่เชิ้ตจะไปนอนสบายได้ยังไง”

     ร่างเปลือยท่อนบนปรากฏตรงหน้า ทำเอาปราชญ์นิ่งชะงัก บรรยากาศมันล่อแหลมทั้งความใกล้ สถานที่ คนป่วยที่ไม่มีแรงขัดขืนแถมยังเปลือยเปล่า กับจิตใจที่พุ่งพล่านของเขา...

     ตฤนเฝ้ามองคนตรงหน้าพยายามเช็ดตัวให้แบบเก้ ๆ กัง ๆ เพราะพิษไข้หรือเปล่าไม่รู้ หัวใจเขาถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ และเขากลับรู้สึกดี...

     ปราชญ์เช็ดตัวให้คนป่วยพยายามสะกดจิตตัวเองให้นิ่ง ไม่คิดสัมผัสผิวขาวเนียนนุ่มนิ่มตรงหน้ามากไปกว่าเช็คตัว เสร็จแล้วจึงซับตัวคนป่วยให้แห้งสนิทด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ แล้วส่งเสื้อยืดให้ใส่

“แล้วกางเกงสเลคนี่ล่ะ” ปราชญ์เอ่ยถาม เชิงขออนุญาต แต่ถ้าให้เขาทำ ก็ไม่รู้ว่าจะสติเตลิดหรือเปล่า

“ปะ เปลี่ยน เอง” ตฤนพยายามขยับยืนขึ้น

     ปราชญ์หันหลังให้กับคนป่วย คนป่วยก็หันหลังให้เขา แต่ที่คนป่วยไม่รู้คือ เงากระจกในห้องของเจ้าตัวมันสะท้อน และปราชญ์ไม่พลาดที่จะมอง เขาบอกกับตัวเองว่า ‘มองเพราะว่ากลัวตฤนจะล้ม’ ปราชญ์เฝ้ามองตฤนที่ถอดกางเกงสเลคออกเหลือเพียงกางเกงในสีดำที่ตัดกับผิวขาวเนียนละเอียด ปราชญ์ลอบกลืนน้ำลาย ในใจเขามันเต้นไม่เป็นส่ำ

     ตฤนยกขาขึ้นใส่กางเกง นั่นทำให้เขาเสียสมดุล เขาเอียงเซเหมือนจะล้ม ปราชญ์ที่มองอยู่ตลอดรีบถลาเข้าไปจับเอาไว้ เขาจับตรึงไหล่ทั้งสองข้างของตฤนเอาไว้

“รีบ ๆ ใส่สิ” ปราชญ์พูดขณะเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ถ้าเขาก้มมองลงใบหน้าแดงก่ำ และช่วงล่างขาวเนียน สงสัยเขาคงจะทนต่อไปไม่ไหว และข้ามเส้นคำว่าเพื่อนไปเป็นอย่างอื่นแน่ ๆ

     ตฤนรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้ามากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เมื่ออีกฝ่ายอยู่ใกล้ขนาดนี้ แล้วเขาอยู่ในสภาพหน้าอายแบบนี้

“ย่อ ตัวหน่อย จะหยิบกางเกง” ตฤนพูดเสียงเบาหวิว  เขาใส่กางเกงเสร็จอย่างทะลักทุเล “เสร็จแล้ว”

     ปราชญ์ประคองตฤนกลับไปส่งที่เตียง พร้อมกับหยิบยาและน้ำส่งให้ เขานั่งบนที่นอนดูคนป่วยกินยาเรียบร้อย ก็หยิบแก้วไปวางให้ พร้อมกับถามต่อ

“แม่มึงไปไหน”

“ไปทำบุญกับเพื่อน” ตฤนตอบเสียงอ่อย

“งั้น กูจะนอนนี่ เฝ้ามึง” ปราชญ์ตัดสินใจเองตามอำเภอใจ

“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวดีขึ้นแล้ว”

     ปราชญ์นอนลง ข้าง ๆ คนป่วย นอนตะแคงข้างใช้มือเท้าศีรษะมองคนป่วยที่ใบหน้าแดงก่ำ พร้อมพูดประโยคที่ดูน่ารักมุ๊งมิ๊งออกมา “อย่าดื้อดิ กุเป็นห่วง”

     คนป่วยมองพยาบาลจำเป็นตาแป๋ว ใบหน้าซื่อบื้อ ตาใส มองปราชญ์จนเขาเริ่มหนาว ๆ ร้อน  ๆ ‘เอ๊ะ กุพูดอะไรผิดหรือเปล่าวะ’ ปราชญ์คิดในใจพลางเสมองไปทางอื่น “เมิงก็นอนไปสิ”

     ตฤนได้ยินแบบนั้นก็เลยเลิกจ้องมองปราชญ์ เขาสงสัยอะไรบางอย่าง แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะคิด เขาดึงผ้าห่มขึ้นจนถึงคอ ก่อนจะหลับตาพริ้ม พิษไข้กับฤทธิ์ยาทำให้เขาหลับไปอย่างรวดเร็ว

     ปราชญ์นอนมองคนป่วย เขาจ้องมองเนิ่นนานด้วยความเพลิดเพลิน ‘แค่นี้เมิงก็มีความสุขหรอวะปราชญ์’ เขาบ่นด่าตัวเองในใจ มือของเขาขยับไปแตะที่ข้างแก้ม ยังร้อนอยู่ ก่อนที่ตัวเขาจะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น พลางโน้มหน้าไปที่ข้างแก้มเนียน จรดริมฝีปากสัมผัสแทนนิ้วมือ เขาขยับออก สายตาจ้องมองไปที่ริมฝีปากอ่อนนุ่ม แต่ต้องหยุดตัวเองเอาไว้... ก่อนจะไปไกลกว่านี้

“หายไวไวนะ”

     เขานอนข้าง ๆ ตฤน พยาบาลจำเป็นอย่างเขาจะต้องคอยดูแลคนป่วย…

     ปราชญ์สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เขากระพริบตาในความมืด มีแสงเล็ก ๆ ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา เขาอาศัยแสงนั้นช่วยให้มองเห็น เขาขยับฝ่ามือไปแตะที่หน้าผากคนป่วย ไม่ร้อนเหมือนเดิมไข้น่าจะลงแล้ว เขาลูบศีรษะตฤนไปมาเส้นผมอ่อนนุ่มทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม พรุ่งนี้ก็คงหายดี พอคิดได้แบบนั้นเขาก็นอนหลับต่ออย่างสบายใจ

     ตฤนตื่นขึ้นมาในตอนด้วยความสดชื่น อาการไข้เมื่อวานเหมือนเป็นแค่ฝัน...ที่เขาไม่รู้จะบอกว่ามันคือฝันร้ายหรือฝันดี... เขานึกถึงพยาบาลจำเป็นเมื่อคืน ที่ตอนนี้ไม่มีวี่แวว หรือว่าเขาจะฝันจริง ๆ ฝันว่ามีมือเย็น ๆ มาแตะที่หน้าผากเขาเมื่อตอนกลางดึก

‘แล้วนี่กุยิ้มทำไมวะ’ ตฤนได้แต่เอ็ดตัวเองในใจ

     ประตูเปิดออก พร้อมกับปราชญ์ที่ยกถ้วยโจ้กเดินเข้ามา โจ้กร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล

“สีหน้าดูดีขึ้นเยอะ” ปราชญ์ทักเมื่อเห็นคนป่วยนั่งอยู่บนที่นอน ใบหน้าไม่แดงก่ำเหมือนเคย สภาพดีไม่อิดโรยไร้เรี่ยวแรงแบบเมื่อวาน

“หายแล้ว” ตฤนมองปราชญ์ที่ยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม

“เก่งมากกกก เอ้ากินน้ำ” ปราชญ์พูดชมด้วยน้ำเสียงไม่เป็นธรรมชาติ น้ำเสียงโอเว่อออกไปทางประชดประชัน พร้อมกับส่งแก้วน้ำให้คนป่วยจิบ ต่อด้วยถ้วยโจ๊ก เขายื่นส่งให้คนป่วย แต่พอคนป่วยจะรับเขาก็ดึงกลับ

“ป้อนมั้ย” เขาถามเบา ๆ

“ไม่ต้อง” คนป่วยปฏิเสธทันควัน “ไปอาบน้ำไป หา ๆ เสื้อกับกางเกงในตู้เอานู้น ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่อยู่ในลิ้นชักที่สอง” ตฤนชี้ไล่ให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำ จะได้ไม่ต้องมาจ้องเขากินข้าว

     ปราชญ์ลุกขึ้นไปอย่างว่าง่าย เขาก็เหนียวตัวมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหมือนกัน ได้อาบน้ำหน่อยก็ดี ปราชญ์คิดพลางเดินไปหยิบผ้าขนหนูก่อนจะเดินออกจากห้องไปอาบน้ำ

     ตฤนนั่งกินโจ้ก พอกินก็รู้ว่าน่าจะเป็นร้านป้าที่หน้าปากซอยแกขายหมดเร็วมาก ปราชญ์ตื่นแต่เช้าไปซื้อให้เขาเลยแฮะ “มันใจดีจังวะ...”

     ปราชญ์อาบน้ำเสร็จแล้วเดินกลับมาที่ห้องด้วยการนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ตามตัว ผนวกกับหุ่นที่มีกล้ามเนื้อพอเหมาะพอเจาะ …

“ไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยวะ” ตฤนเอ่ยทักเมื่อปราชญ์มาเดินแก้ผ้าโทงเทงอยู่ในบ้าน

“อยากอวดหุ่น” ปราชญ์ตอบกลับมาหน้าตาเฉย ก่อนจะหันมาให้ตฤนเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างชัดเจน เขายืนเช็ดผมโชว์หุ่นแบบไม่สนใจอะไร

“ใครจะอยากดู” ตฤนหันหน้าหนี แต่ก็ยอมรับว่าหุ่นของปราชญ์นั้นไม่ธรรมดาเลย

“ฮ่า ๆ ๆ” ปราชญ์หัวเราะให้กับท่าทางของตฤน “ลองจับดูหน่อยมั้ยครับ” ปราชญ์ได้ทีพูดแหย่คนป่วย

“มีเหมือนกันว้อย” ตฤนโวยวาย เขาก็เจียมตัวอยู่ในใจ มีบ้าอะไรกล้ามเนื้อเขานุ่มนิ่มเหลวเละขนาดนี้

“ไหนดูหน่อย”  ปราชญ์ยังคงแหย่อีกฝ่ายไม่เลิก

“ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยดิ” ตฤนพูดพลางหันมาหาปราชญ์ แต่กลับเจอกล้ามหน้าท้อง อยู่ประชิดหน้า “ไอ้ปราชญ์!” ตฤนโวยวาย เมื่อกล้ามเนื้อนั่นมันจะอัดหน้าเขาอยู่แล้ว

“ฮ่า เออ ๆ ไม่แกล้งแล้ว” ปราชญ์ที่มีความสุขกับการเหย้าแหย่ตฤน เดินผละไปเลือกเสื้อผ้า เขาหยิบเอาเสื้อยืดสีน้ำเงินที่ดูจะตัวใหญ่หน่อยออกมาใส่ กับกางเกงบอลขาสั้นสีดำ

“วันนี้ไม่ไปไหนหรอไง” ตฤนทักขึ้น ตัวเขาเนี้ยหยุดเพราะว่าป่วย แต่ปราชญ์เนี้ย ทำไมมันว่างจัง

“ไม่ไปอ่ะ เออตฤนมีกุญแจสำรองมั้ย กุขอหน่อยดิ”

“จะเอาไปทำอะไรวะ จะแอบมาขโมยของหรอ” ตฤนถามเสียงซื่อ แม้ใจจะไม่ได้คิดแบบนั้น บ้านปราชญ์มีตัง ไม่มาขโมยของบ้านคนอย่างเขาหรอก

“กุไม่อยากต้องปีนรั้วแบบเมื่อวานอีกว่ะ” ปราชญ์บอกเสียงเรียบ อยู่ดี ๆ น้ำเสียงก็เครียดขึ้นมา

“ไม่ได้ป่วยบ่อย ๆ น่า”

“เอามา” ปราชญ์บอกเสียงเรียบ อยู่ดี ๆ น้ำเสียงก็เครียดขึ้นมา

“โจร”

     ปราชญ์ลุกไปหยิบของในกระเป๋ากางเกงออกมา เป็นกุญแจสำรองของเขา เขายื่นส่งกุญแจสำรองดอกเล็ก ๆ ให้ตฤน “อ่ะ หลักประกัน กุขโมยของบ้านเมิง เมิงก็มาขโมยของบ้านกุ”

“คนบ้าอะไรพกกุญแจสำรอง” ตฤนรับกุญแจมาถือเอาไว้

“เอ้าก็ต้องพกไว้ดิ ติดตัวอันนึง ติดกระเป๋าอันนึง กันหาย”

“กุญแจสำรองกุไม่มีอ่ะ เมิงไปหยิบพวงกุญแจข้างล่างมาให้กุดิ”

     ปราชญ์ลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่าง กี้ดีใจที่เห็นเขาลงมา

“หงิง” กี้ร้องครางพลางเดินเข้ามาอ้อนเขา

“หิวแล้วล่ะสิ” ปราชญ์เทอาหารเม็ดชามข้าวของกี้ กี้ถึงได้ผละจากขาของเขาไปกินอาหารเม็ดแทน

     พวงกุญแจที่มีลูกกุญแจอยู่ 5 ดอก กับที่ห้อยรูปหมา เขาหยิบแล้วก็เดินขึ้นไปข้างบน

     ตฤนรับพวงกุญแจมาถือไว้ ก่อนจะแงะเอากุญแจดอกนึงมาส่งให้ปราชญ์ “เมิงเอาไปปั้มดิ”

“ปั้มไหนดีวะ ปั้มเสือหรือปั้มหอยดี” ปราชญ์เล่นมุกหน้านิ่ง จนตฤนได้แต่ส่ายหัวเอือม

“ไม่ต้องเอาล่ะ” ตฤนแบมือขอกุญแจคืน

“เรื่องอะไรจะคืน”

     เสียงมือถือดังขึ้นขัดจังหวะการพพูดคุยของทั้งคู่ มือถืออยู่ใกล้มือปราชญ์มากกว่า มันขึ้นชื่อโชว์หราว่า ‘วริษฐ์’ ปราชญ์ถือวิสาสะหยิบมือถือขึ้นมา แต่แทนที่จะส่งให้ตฤน เขากลับกดรับเอง

“เฮ้ย” ตฤนร้องขึ้นมา

‘เป็นไงบ้างตฤน’ เสียงทุ่มนุ่มสอบถามอาการเจ็บป่วย ‘เมื่อวานตอนส่งพี่ก็ห่วง ๆ เรา’ พี่ที่ทำงานอะไรวะ ไอ้หน้าหล่อนั่น มันมาส่งตฤนถึงบ้าน มันคิดว่ามันเป็นใครวะ

“...” ปราชญ์นิ่งฟังแต่ยังไม่ตอบ

‘ฮัลโหล ตฤนได้ยินพี่มั้ย’

“ตฤนหลับ อาการมันดีขึ้นแล้ว แค่นี้นะ” ปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ก่อนจะกดวางหน้าตาเฉย

“กุตื่นอยู่” ตฤนมองหน้าปราชญ์อย่างไม่เข้าใจ เข้าไม่อยากพูดขัดเพราะมันดันบอกว่าเขาหลับ เขาก็ไม่อยากจะให้พี่วริษฐ์งง แล้วหาว่าไอ้ปราชญ์มันขี้โกหก

“ช่างมันดิ” ปราชญ์พูดอย่างไม่สนใจ

“นั่นคนสอนงานกุนะ”

“ก็วันนี้หยุดอ่ะ จะสนใจทำไม”

     ตฤนขี้เกียจเถียงด้วย เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าปราชญ์เป็นบ้าอะไร

“เดี๋ยวมา”

     ปราชญ์รีบออกไปปั้มกุญแจ ส่วนตฤนลุกไปอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น เขาก็ไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อคืนเหมือนกัน แม้ว่าปราชญ์จะเช็ดตัวให้เขา...แล้ว...อยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา เมื่อนึกถึงเมื่อคืน “อะไรกันวะ” เขาสบถออกมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจตัวเอง

     เขาพยายามไม่เข้าใจมัน... แล้วเดินลงมานั่งเล่นที่ชั้นล่างแทน เขาเปิดโทรทัศน์ดูนู้นดูนี่โดยมีกี้นั่งหมอบอยู่ที่ปลายเท้า

     กิ๊งก่อง กิ๊งก่อง

     เสียงกริ๊งหน้าประตูเรียกความสนใจจากตฤนได้เป็นอย่างดี  ใครมาตอนนี้ แถมยังกดกริ่งอีก เขาลุกขึ้นไปดู มองผ่านประตูมุ่งลวดไป เห็นเป็นผู้หญิงใส่หมวกแก๊ปอยู่ที่หน้าบ้าน...ใคร?

.
.
 :heaven 
[ปราชญ์ดูฟิน ๆ นะ อิอิ อดทนหน่อยนะคะ ปราชญ์มันเป็นพระเอกปอดแหกกก ...
แต่เราเคยพยายามข้ามเฟรนโซนเเล้วค่ะ พังไม่มีชิ้นดี ทุกวันนี้ ยังไม่ได้คุยกันอีกเลย]
 :z3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ RingoPle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
   
บทที่ 14 ความรักน่ะ มันก็คือความรัก

        หญิงสาวผมยาวประบ่า สวมหมวกแก๊ปสีน้ำเงินทำให้มองใบหน้าได้ไม่ชัด เธอคงพยายามซ่อนใบหน้าและดวงตาจากแดดร้อนระอุ

   “ตฤน!” หญิงสาวตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน เมื่อพบว่าเจ้ากริ่งหน้าประตูไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้

   “โฮ่งงง!!!“ รางวัลหมาดีเด่นที่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม กี้ต้องได้

   เขาเปิดประตูมุ่งลวดพร้อมชะโงกหน้าออกไป พลางระวังไม่ให้กี้แอบวิ่งลอดขาเขาออกไปข้างนอก

   “ใครครับ”

   “ตฤน พี่ขวัญไง” เธอพูดพลาง ขยับหมวกให้ชายหนุ่มเห็นหน้าเธอชัด ๆ

   “ผมก็คิดว่าใคร ประตูไม่ได้ล็อคพี่” หญิงสาวมองประตูแล้วก็พบว่ามันไม่ได้ล็อคจริง ๆ เธอเปิดประตูก่อนจะเดินไปหาลูกพี่ลูกน้องคนสนิท เธอมาในชุดเสื้อยืดสีขาว กับกางเกงผ้าสีฟ้าเข้ารูป สะพายเป้ใบใหญ่สีม่วง

   “แบกอะไรมา”

   “มาค้างด้วย”

   “ฮะ?”

   “พี่มาทำธุระ ค้างด้วยคืนนึง ตอนแรกก็ว่าจะไปคอนโด แต่น้าบอกว่าแกป่วยอยู่คนเดียว เลยมานี่แทน”

   “อ๋อ แล้วนี่พี่ขวัญกินอะไรมายัง” ตฤนถามพลางรับเอากระเป๋าเป้จากลูกพี่ลูกน้องมาถือเอาไว้

   “ยังเลย ในตู้เย็นมีอะไรกินมั้ย”

   “มีอยู่นะ ไปทำกินเอาเลยพี่”

   ขวัญลุกไปหาอะไรกินในครัว ส่วนตฤนก็นั่งดูโทรทัศน์สบายใจเหมือนเดิม

   

   ปราชญ์กลับมาจากปั้มกุญแจ เขากลับมาถึงบ้านตฤน พร้อมของกินสองถุงใหญ่ แต่เมื่อเขาเข้ามาถึงประตูบ้านก็เจอรองเท้าผ้าใบผู้หญิงถอดอยู่ที่หน้าบ้าน เขาเลยค่อย ๆ เดินเข้าไป เพราะคิดว่าตฤนคงมีแขก

   แต่พอเข้ามาในบ้านก็เจอตฤนนั่งเอกเขนกดูทีวีอยู่คนเดียว

   “มีแขกหรอ”

   “อื้อ ลูกพี่ลูกน้องอ่ะ อยู่ในครัว”

   พูดไม่ทันขาดคำคนที่ถูกพูดถึงก็เดินออกมาจากครัว พร้อมกับทักขึ้น เมื่อเห็นผู้ชายร่างสูงนั่งหันหลังให้ เธอเดินมาใกล้จนอยู่ในระดับสายตาที่ทั้งคู่ต่างเห็นกัน

   “สวัสดีครับ” ปราชญ์พูดทักทายพลางยกมือไหว้ เพราะดูแล้วเขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนี้ น่าจะเคยเจอ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อพี่ขวัญ

   “สวัสดีจ้า” หญิงสาวรับไหว้ปราชญ์ ก่อนหันขวับไปถามน้องชายแบบไม่กลัวคนไหว้เสียน้ำใจ “ใครอ่ะตฤน”

   “เพื่อน เด็กยกของวันรับปริญญาไงพี่” ตฤนตอบและแนะนำชื่อให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันเขาชี้มือไปที่ปราชญ์ “พี่ขวัญคนนี้ชื่อปราชญ์” หลายจากนั้นเขาผายมือไปทางพี่ขวัญ “ปราชญ์นี่พี่ขวัญ”

   “ว่าแล้วเชียว พี่สาวที่ตฤนพูดให้ฟัง” ตฤนพุ่งตัวไปใช้มือตะครุบปากคนปากโป้งทันที เขาจำได้ว่าที่เล่า ๆไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ออกแนวเผาและระบาย เขาถลึงตาใส่ปราชญ์ พูดไม่เข้าเรื่องเลย ปราชญ์นี่มันพูดธรรมดาไม่เป็นหรอ ‘ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่’ แค่นี้ไม่ได้หรอไง

   ขวัญหรี่ตามองท่าทางไม่น่าไว้ใจของทั้งคู่ และรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง... ก่อนจะถามตฤนเสียงดุ “แกนินทาพี่หรอ”

   “เปล่า” ตฤนตอบสั้น ๆ ก่อนจะส่งยิ้มแหยไปให้ขวัญ เขาเลิกเอามือปิดปากปราชญ์ แล้วบ่ายเบี่ยงประเด็นสนทนาแทน “พี่ขวัญ เนี้ยปราชญ์มันซื้ออะไรมาฝากเต็มเลย พี่หิวไม่ใช่หรอ เอาไปกินเลย”

   ขวัญมองกองของกิน เธอคว้าทั้งหมด ก่อนจะหายแว่บเข้าไปในครัวอีกครั้ง

   เมื่อเหลือกันแค่สองคน ปราชญ์ก็เอื้อมมือมาแตะหน้าผากของตฤน

   “อืมหายป่วยแล้วอ่ะเนอะ เอ้ากุญแจ” ปราชญ์ยื่นกุญแจต้นแบบคืนให้ตฤน

   “เออ” เขารับมา แล้วก็แงะพวงกุญแจ เพื่อเอากุญแจดอกนี้ใส่กลับลงไป

   “รู้มั้ยอาทิตย์หน้าวันอะไร” อยู่ดี ๆ ปราชญ์ก็ถามถึงอาทิตย์หน้าขึ้นมา ตฤนไม่ทันตั้งตัว เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้วันอะไร วันที่เท่าไหร่

   “วันอะไรวะ”

   “คิดดิ สำคัญมาก” ปราชญ์ทำหน้าเหมือนมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

   ตฤนเห็นแบบนั้นเขาก็รวบรวมสมาธิ วันอะไร เร็ว ๆ นี้มีวันสำคัญอะไร คิ้วขมวดมุ่น ปากบางเม้มแน่นอย่างใช้ความคิด “อ๋อ วันเกิดเมิง!”

   “ใช่!!!” ปราชญ์ยิ้มกว้าง เขาใจชื้น เมื่อพบว่าอีกฝ่ายจำวันเกิดเขาได้ “วันนั้นเจอกันร้านสวีทบาร์นะ จองโต๊ะแล้ว ชวนเพื่อน ๆ แล้วด้วย”

   “เออได้”

   “เราคงไม่เจอกันหลายวันนะ กูไปทำงานต่างจังหวัด มีอะไรก็โทรมา กูกลับก่อนล่ะ” ปราชญ์พูดรวดเดียว เขาต้องกลับแล้ว เพราะว่าถ้าช้ากว่านี้ เขาจะตกเครื่องบิน

   “ไปแล้วหรอ” ตฤนถามออกไปด้วยเสียงอ่อย ๆ กับท่าทางจ๋อย ๆ โดยอัตโนมัติ แบบที่เจ้าตัวก็ไม่ทันรู้ตัว ซักพักก็นึกขึ้นได้ว่า ‘ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้มันอยู่’ เขาสับสนและตบตีกับตัวเองบ่อยครั้ง จนคิดว่าอีกไม่นานเขาต้องเป็นบ้าแน่

   “ไปแล้ว นอนเฝ้าเมิงทั้งคืน กระเป๋ากุยังไม่ได้จัดเลย” ปราชญ์เอื้อมหยิบเสื้อผ้ากับข้าวของมาถือเอาไว้ “ดูแลตัวเองดี ๆ นะ เหงาก็โทรมา” ปราชญ์พูดพลางขยิบตาวิ้ง แบบโปรยสเน่ห์

   “เออไปเถอะ ไปดี ๆ” แต่ไม่ได้ผลกับตฤน ...

   ปราชญ์ลุกขึ้นยืน เขาเดินมาหาตฤนก่อนจะลูบหัวเขาเบา ๆ

   “ไม่ใช่หมา” ตฤนโวยวาย “ไปได้แล้ว”

   ขวัญแอบมองท่าทางของทั้งคู่อยู่ไกล ๆ บรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างคนสองคนนี้ เธอว่าเธอรู้ ไม่เคยเห็นใครอยู่ใกล้ตฤนมากขนาดนี้ เธอหันหลังกลับเข้าครัวไม่อยากจะเป็นก้าง ไม่แน่ น้องเธอก็กำลังมีความรัก...

   “พี่ขวัญผมไปก่อนนะครับ” ปราชญ์เดินไปในครัวเพื่อบอกลาพี่สาวของตฤน

   เขาโบกมือลาตฤนก่อนจะเดินออกจากบ้านไปแบบสดใส เมื่อคืนเขาเติมพลังไปแล้วเต็มที่ ได้แอบมองคนน่ารักหลับ เขามีพลังงานเต็มพร้อมไปลุยงานแล้ว แถมยังได้เครื่องรางมาอีก เพราะกุญแจสำรองบ้านตฤน เป็นของมีค่าสำหรับเขา

   

   พอปราชญ์ไป ตฤนก็มีอาการแปลก ๆ เขาแอบนึกถึงอีกฝ่าย นึกถึงเมื่อคืน มันทั้งอบอุ่น และเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เขาสับสนกับตัวเอง และไม่เข้าใจ ว่าเขากำลังเป็นอะไร

   “พี่ขวัญ...” ตฤนตัดสินใจเรียกพี่สาวที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่อีกด้านของโซฟา

   “หืม?” ขวัญตอบรับเบา ๆ โดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นสนใจน้องชาย

   “พี่ขวัญ ผม...” ตฤนทำอึกอัก เขาอยากถามบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า จนขวัญต้องเงยหน้าจากหนังสือในมือมามอง มองเขาด้วยสายตาตั้งคำถาม”จะวันเกิดไอ้ปราชญ์ ซื้ออะไรให้มันดี” ตฤนพูดเรื่องอื่นแทนเรื่องที่อึกอักอยู่ในใจ

   “ปราชญ์ชอบอะไรแกก็น่าจะรู้ดีนี่”

   พอฟังคำตอบนั้น ทำให้เขาพบว่า ตัวเขานั้นไม่รู้เลย

   “ผมนึกไม่ออก” นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ก็ทำให้เขาหนักใจด้วย

   “ง่าย ๆ ก็เสื้อมั้ย”

   “มันเดินทางบ่อย เสื้อกันหนาวดีมั้ยให้มันไปใส่บนเครื่อง”

   “ก็ดีนะ” ขวัญพูดพลางพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะกลับไปจดจ่อกับหนังสือการ์ตูนอีกครั้ง

   ตฤนนิ่งเงียบไปอึดใจนึงก่อนจะเริ่มถามต่อ ท่าทางมีพิรุธ ใคร ๆ ก็คงดูออก

   “พี่ขวัญ”

   “หือ?” ขวัญตอบรับแบบเดิม เพราะเธอจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือ

   “เพื่อน...เพื่อนผมมาขอคำปรึกษาเรื่อง...หัวใจ”” ตฤนพูดออกไป อึกอัก ไม่เต็มปากเต็มคำ แน่นอนว่าขวัญสังเกตเห็น เธอทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

   “ว่า?”

   “เขาบอกว่า เขาคิดถึงเพื่อนคนนึงมาก ๆ เอาแต่นึกถึงสิ่งที่เขาทำ แล้วก็รู้สึกดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร” เขาพูดด้วยท่าทางร้อนรน จนดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องคนอื่นคนไกลที่ไหน แต่คือเขาเอง

   “อืม เขาอาจจะมีความรักก็ได้”

   “ไม่น่านะพี่...” เจ้าตัวพูดปฏิเสธ แล้วเว้นวรรคไปชั่วอึดใจ ไม่น่าใช่ ไม่น่าเป็นแบบนั้น... “พวกเขาเป็นผู้ชายนะ”

   “แล้วยังไงอ่ะ” ขวัญพูดเหมือนเรื่องนี้มันธรรมดามาก แล้วเธอก็โชว์การ์ตูนที่กำลังอ่านอยู่ให้ น้องชายดู หน้าปกเป็นผู้ชายสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ในอ่างน้ำ อีกคนนั่งอยู่ที่ขอบอ่าง มือของเขาจับไหล่ของคนที่นั่งอยู่ในอ่าง “เนี้ย สองคนนี้ยังได้เลย”

   “นั่นการ์ตูน” ตฤนแย้ง แต่ความจริงเขาก็มีคนรู้จักที่มีแฟนเป็นเพศเดียวกันอยู่

   “ความรักน่ะ มันก็คือความรัก” ขวัญพูดปริศนาธรรมที่ทำให้ตฤนต้องเกาหัว เขาสารภาพว่า ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่เขาก็สะดุดใจในคำว่า ‘ รัก ‘ แต่เขาก็ได้แต่ปฏิเสธพัลวัน ว่ามันไม่ใช่หรอก

   “พระเอกกับนายเอกน่ะ เป็นเพื่อนกันมานาน นายเอกแอบชอบพระเอกมาตลอด เพราะพระเอกดีกับเขาเสมอ เนี้ยเหตุการณ์กำลังสนุก เพราะนายเอกเมาก็เลยกล้าบอกพระเอกว่าชอบ แล้ว...” ขวัญเล่าเรื่องหนังสือที่เธออ่าน บางอย่างกลับจี้ใจตฤน เขานิ่งฟังด้วยความสนใจ แล้วก็อึดอัดที่ขวัญเว้นช่วงนาน

   “แล้ว...”

   ตฤนมองจ้องตาแป๋ว ขวัญนึกขำ โบ้ยว่าเพื่อนฝากถาม อ้างคนอื่น แต่ตัวเองน่ะ ทำท่าสนอกสนใจจนออกนอกหน้า สงสัยตัวละคนเอกในชีวิตจริงน่ะคงเป็นน้องชายเธอกับเจ้าหนุ่มหน้าหล่อเมื่อกลางวัน ...เป็นห่วงกันออกนอกหน้าขนาดนั้น

   “ยังไม่รู้ เพราะแกมาขัด”

   ตฤนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายักไหล่เบา ๆ “พี่อ่านจบแล้วบอกแล้วกัน”

   “เอาไปอ่านเองมั้ย”

   “ไม่ดีกว่า” ผมรีบปฏิเสธทันควัน ไม่ไหว เขายังทำใจไม่ได้

   ขวัญเปิดหน้าหลัง ๆ พระเอกดันนางเอกชิดผนัง พร้อมกับจูบ ...ลองออกมาแบบนี้คงจบดีมีความสุขสมหวัง ขวัญเปิดหน้าถัดไปทำให้เขาต้องรีบพูดเบรก

   “พอพี่” เพราะว่าภาพที่เห็นมันติดเรทมาก ๆ พระเอกรุกโดยการจูบที่ซอกคอนายเอก ส่วยมือล้วงลงไปด้านล่าง

   “แกเขิน”

   ตฤนหน้าร้อน เขาเบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็น เขาไม่ชินกับเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่แค่ผู้ชาย กับผู้หญิงเขาก็ไม่ชิน เขาไม่เคยมีประสบการณ์อะไรพวกนี้

   

   “พี่ขวัญ ไปห้างเป็นเพื่อนหน่อย” ตฤนเบี่ยงประเด็นเรื่องหัวใจ ไปหาอีกประเด็นที่เขาสนใจ

   

   พวกเขามาถึงห้างสรรพสินค้าห้างใหญ่ใกล้บ้าน ฝ่าแดดร้อนระอุมาสู่อากาศหนาวเย็น พวกเขารู้สึกสดชื้นอย่างบอกไม่ถูก แต่เป้าหมายที่พวกเขามานี่ก็เพราะตฤนอยากซื้อของขวัญให้ปราชญ์ ช่วงเวลาที่มันไม่อยู่ และเขามีเพื่อนช่วยเลือก ก็ต้องวันนี้นี่แหละ

   “พี่ไปดูร้านนั้นกัน”

   ตฤนชี้ร้านแรกที่เห็น ก่อนเดินนำไป

   

   พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ เดินจนเมื่อย

   “ยังไม่เจอที่ถูกใจอีกหรอ” พี่ขวัญทำหน้าเหนื่อยหน่าย เพราะเป็นคนเดินตามต้อย ๆ เดินจนทั่วห้าง เป็นคนคอมเม้นชุดต่าง ๆ ที่ตฤนหยิบ มีหลายตัวเข้าตาเธอ แต่ตฤนก็ไม่เอา

   “ก็มีที่ถูกใจอยู่นะพี่” ตฤนส่งยิ้มแหย ๆ ออกมา เขาถูกใจร้านแรกสุด ที่เข้าไป เขาลังเลที่จะพูด เพราะรู้ดีว่าพี่ขวัญต้องว๊ากแน่ ๆ

   “ร้านไหน นำไปเลย”

   ตฤนพาขวัญเดินกลับมาหยุดที่ร้านแรก...

   “ถ้าจะเอาร้านนี้ ไม่เอาแต่แรกฮะ!” ขวัญที่ถูกลากให้เดินไปเดินมาจนเมื่อย ถึงกับว๊ากน้องชาย

   “พี่ขวัญครับ... เราก็ต้องเลือกดี ๆ มั้ยล่ะครับ” ตฤนตอบเสียงเบา ท่าทางอ่อนน้อม “อย่าว่าผมเลย นะครับพี่ เดี๋ยวเลี้ยงไอติม”

   “ก็ได้” ขวัญกอดอกด้วยอารมณ์หงุดหงิด เดินไปเป็นสิบร้าน สุดท้ายมาเอาร้านแรกสุด ไม่พอ เอาตัวแรกที่จับอีก เสื้อกันหนาวสีดำลายดอกไม้ มีฮู้ด ใส่แล้วเหมือนพวกนักร้องสายแร๊ปดูรวย ๆ

   ตฤนยืนเลือกไซส์เสื้อ เขาเลือกเสื้อแบบนี้เพราะเขาชอบ และคิดว่าถ้าปราชญ์ใส่มันคงตลก มันคงทำหน้าแหยงนิดหน่อย แค่คิดเขาก็ขำ อยากเห็นหน้ามันเร็ว ๆ ...เอ่อ หมายถึงเห็นหน้ามันทำหน้าแหยงเร็ว ๆ

.

[ทำเป็นมาปรึกษาาาา เเหมมมมมมมม ไปถึงดาวอังคารรรรร]
 :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด