ตอนที่ 22
จะรักแค่เธอไปจนวันตาย
"พี่แสง"
"..."
"นั่นพี่ใช่ไหม"
ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปต่อความสงสัยของสายป่านที่ตั้งคำถามขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว สายตาของพ่อกับแม่ต่างมองมาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนสายป่านจะหันบอกกับพวกเขา
"พ่อ แม่ นั่นพี่แสง พี่แสงของเรา"
"พูดอะไรเพ้อเจ้อน่ะสายป่าน"
"เขาคือพี่แสงจริงๆ นะแม่ ต้องเป็นพี่แสงแน่ๆ อะ!"
เสียงดังของสายป่านที่เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าผมคือแสงทำให้ถูกพ่อดุไปหนึ่งครั้งจึงยอมเงียบ ก่อนที่ทั้งพ่อและแม่จะหันมาหาผมที่ยังเอาแต่นิ่ง
"หนูคือคนที่โทรหาป้าใช่ไหมจ้ะ"
"ครับ"
"ขอบคุณมากเลยนะคะที่โทรมาบอกแล้วก็ยังอยู่เป็นเพื่อนสายป่านด้วย"
"คือ..." ผมอึกอัก พูดอะไรไม่ออก หันมองสายป่านที่ยังจ้องมาไม่ละ
"ที่สายป่านพูดน่ะ อย่าไปสนใจเลย สงสัยจะหัวกระแทกหรือไม่ก็คิดถึงพี่ชายตัวเองมากไปหน่อย ก็เลยพูดอะไรเพ้อเจ้อออกมา ยังไงลุงกับป้าต้องขอบคุณเราอีกครั้งนะ" พ่อพูดขำๆ ก่อนแม่พยักหน้าเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม แต่ความสับสนกำลังทำให้ผมลังเลใจ ควรเลือกที่จะเงียบต่อไปหรือตัดสินใจบอกว่าสิ่งที่สายป่านคิดมันไม่ผิดแม้แต่น้อย
"ผม..."
"เชิญทางนี้เลยครับ" บุรุษพยาบาลคนเดิมก้าวเข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนา ก่อนที่ทั้งพ่อและแม่จะหันไปสนใจสายป่านก่อน แม่หันมาบอกขอบคุณผมอีกครั้งแล้วเดินตามสายป่านกำลังถูกย้ายไปอีกห้อง สายตาของน้องยังหันมองแม้ถูกพาออกไปไกลแล้ว ผมจึงตอบคำถามนั้นด้วยเสียงแผ่วเบาที่สายป่านคงจะไม่ได้ยิน
"พี่เอง"
"..."
"นี่พี่เอง"
ในระหว่างทางที่กำลังเดินกลับ ความคิดที่กำลังสับสนทำทุกอย่างอื้ออึงอยู่ในหัวอย่างน่าอึดอัด ไม่ได้พูดคุยอะไรกับตามที่เดินตามหลังผมมาเงียบๆ เพราะเสื้อผ้าที่เลอะเลือดของผม ทำให้ตามต้องทิ้งระยะห่างไกลไปจากผมสามสี่ก้าว แต่ก็คงพอที่จะได้ยินคำพูดของผมในระดับเสียงปกติ
"ตาม"
"ฮึ?"
"เราไม่รู้ว่าเราคิดผิดหรือเปล่าที่ไม่ยอมบอกกับครอบครัวว่าเราเป็นใคร เราเลือกที่จะไม่บอกเพราะเราไม่คิดว่าเราจะอยู่ได้นานกว่านี้และต่อให้เราบอกพวกเขาจะเชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราตายไปตั้งนานแล้ว บางทีพ่อกับแม่อาจจะอยู่ในจุดที่กำลังทำใจได้แล้วมันจึงดีกว่าถ้าเราเลือกที่จะไม่บอกว่าเรากลับมา อีกอย่างเราอยู่ในร่างพลีส ไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นเด็กคนนั้นที่พ่อแม่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วพลีสอาจจะไม่ได้อยากมาหาพ่อกับแม่เรา ไม่ได้อยากให้ครอบครัวเรารู้จัก แล้วมันจะเป็นยังไงถ้าวันหนึ่งพลีสกลับมา แล้วถ้าการจากไปอีกครั้งของเรามันทำให้พ่อกับแม่ต้องเจ็บปวดอีกครั้งเหมือนที่เราได้ทำกับเธอ แค่กับเธอเราก็รู้สึกผิดมากแล้ว แค่เธอคนเดียวเราก็..."
คำพูดผมหยุดชะงักทำได้แค่ถอนหายใจออกมาแทน ความอัดอั้นของผมถูกร่ายยาวออกมาอย่างไม่มีเว้นวรรคก็เพื่อระบายความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้ตามฟังแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าผมควรจะทำยังไงดี
"เราไม่รู้แล้วว่าเราต้องทำอะไรไหม"
"..."
"เราไม่รู้จริงๆ เราแค่..."
"..."
"เราก็แค่..."
"..."
"อยากกอดเธอว่ะ"
ความปรารถนาถูกพูดออกไปในวินาทีเดียวสองแขนของคนข้างหลังก็ยกขึ้นโอบกอดผมอย่างที่หัวใจร้องขอ ผมนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยไม่รู้ว่าตามขยับมายืนใกล้ขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร การถูกโอบกอดจากด้านหลังทำให้ผมไม่ได้มองหน้าของตาม แต่ได้ยินเสียงชัดเจนดี เสียงที่กำลังปลอบผมเบาๆ
"ไม่เป็นไรนะ เรารู้ว่ามันยาก แต่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก"
เราต่างคนต่างไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นยังไงแต่คำว่าไม่เป็นอะไรมันก็ช่วยปลอบโยนให้ความรู้สึกที่อึดอัดเบาบางลง เพื่อเหลือพื้นที่ในความคิดให้ผมได้ค้นหาคำตอบว่าผมจะตัดสินใจกับเรื่องนี้ยังไงดี
เราเดินต่อเรื่อยๆ จนมาถึงหอตาม ตามดึงดันจะเป็นฝ่ายไปส่งผมที่บ้านแต่ผมยืนยันจะส่งตามตรงนี้ เถียงกันไปมาก็จบลงด้วยการยอมบอกลากันตรงนี้
"กลับดีๆ นะ"
"อื้ม"
"เราขึ้นห้องแล้วนะ"
"โอเค"
ตามหันหลังให้ผมแล้วเดินเข้าตึกไป ผมเองก็ก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ในจังหวะเดียวกันฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ มาก่อนหน้านี้ก็พลันตกซู่ลงมาเม็ดหนาเหมือนจะกลั่นแกล้งกัน หรือไม่บางที...ก็เป็นใจให้กัน
ว้า...กลับไม่ได้ละผมรีบก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปในตึก พุ่งตัวไปหาตามที่หันมาตกใจเล็กน้อย
"ฝนตก กลับไม่ได้ละ"
"ฮะ เดี๋ยว..."
"เราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ" ว่าแล้วก็คว้ากุญแจห้องจากมือตามแล้ววิ่งนำไปก่อน จัดการถอดเสื้อผ้าเลอะเลือดโยนไประเบียงหลังแล้วเปลี่ยนตัวใหม่ ผมไม่ได้กะจะนอนที่นี่เพราะไม่ได้บอกที่บ้านพลีสเอาไว้ก่อนแล้วพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปโรงเรียนด้วย จึงตั้งใจจะกลับตอนที่ฝนหยุดตก
ผมทำตัวตามสบายเหมือนกับว่านี่เป็นเพียงหนึ่งวันธรรมดาที่ได้อยู่กับตามเฉกเช่นตอนที่ยังมีชีวิต ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มผืนเดิม นอนกลิ้งอยู่บนเตียงนุ่ม พูดคุยเรื่องที่อยากคุย เปิดเพลงเพราะฟังเคล้าคลอเสียงฝน บรรยากาศแบบนี้มันโคตรจะ...
"น่ากินเบียร์"
"ฮะ?" ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนเมื่อได้ยินตามพูดอย่างนั้น
"อากาศแบบนี้น่ากินเบียร์" ไม่พูดเฉยๆ ยังเดินไปหยิบเบียร์หนึ่งกระป๋องจากตู้เย็น เปิดกระดกหน้าตาเฉย ตามเดินไปเลื่อนบานหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยแล้วยืนจิบเบียร์อยู่ตรงนั้น
"เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดจะแตะแอลกอฮอล์สักหยด เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนขี้เมาได้ไง"
"ไม่ได้ขี้เมาซะหน่อย"
"อยากลืมเราเหรอ"
ตามหันกลับมามองผม เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ดูสงสัยกับประโยคก่อนหน้า
"ก็กินให้เมาเพื่อที่จะได้ลืมเราไง"
มุมปากของตามขยับขึ้นยิ้มนิดๆ แล้วสวนกลับ
"เวลาเมา คิดถึงกว่าเดิมอีก" พูดแค่นั้นแล้วหันกลับไปเหม่อมองนอกหน้าต่างอย่างเดิม ผมเองเผยยิ้มบางๆ ก่อนเดินไปยืนข้างๆ
"ขอกินบ้างสิ"
"ไม่ได้"
"ทำไมไม่ได้"
"พลีสยังเป็นนักเรียน"
"พลีสอายุยี่สิบแล้ว"
"เธอรู้จักร่างกายพลีสดีพอหรือเปล่า กินเข้าไปจะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้"
"ไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราไม่ได้กินเบียร์มาสามปีแล้วนะ นานจนลืมรสชาติมันไปแล้วเนี่ย"
"ลืมไปเถอะ ไม่ใช่รสชาติที่ต้องจดจำ"
"โธ่!"
"ไม่ให้กิน"
"กระป๋องเดียว"
"ก็บอกว่าไม่..." คำพูดของตามหยุดชะงักตอนที่ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบชน ความน่ารักจากใบหน้าพลีสและความออดอ้อนจากจริตของผม พูดจาด้วยอารมณ์ดราม่าเพื่อทุบหัวใจแข็งๆ ของอีกคนให้อ่อนยวบ
"นี่มันอาจจะเป็นเบียร์กระป๋องสุดท้ายก่อนที่เราจะต้องจากโลกนี้ไปก็ได้นะ"
"..."
"ตามใจ"
"หึ!" ตามทำหน้าบึ้ง ก่อนยื่นกระป๋องเบียร์ในมือส่งให้ ปริมาณที่ยังเหลืออยู่มากกว่าครึ่งกระป๋องเพียงพอต่อความต้องการของผม ยกเบียร์ขึ้นดื่มรับรสชาติที่ขาดหายไปจากชีวิตนานกว่าสามปี จิบเบียร์เย็นเฉียบท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำและลมเย็นที่พัดกระทบใบหน้า หากแต่ว่าร่างกายอบอุ่นด้วยท่อนแขนของตามที่โอบเอวผมเอาไว้ให้เราได้ยืนคู่กันอย่างชิดใกล้...
เวลานี้ดีชะมัด "พรึบ!"
"กรี๊ด!"
ผมหลับตาแน่นเพราะเสียงกรีดร้องของตามดังกระแทกแก้วหูเนื่องมาจากไฟที่ดับกะทันหัน มือที่โอบเอวกลายเป็นรัดแน่น ร่างกายที่ชิดใกล้กลายเป็นเบียดจนแทบจะเข้ามาสิงร่าง แม้มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรแต่ผมก็เดาได้ว่าตามกำลังทำหน้ายังไง
"ปล่อยเราก่อน เดี๋ยวเราไปหยิบมือถือ"
"ไม่เอา!"
"งั้นก็อยู่มืดๆ แบบนี้แหละ"
"ก็ไม่เอา!"
"งั้นก็ปล่อยสิ"
"ไปด้วยกันๆๆ" ตามพูดรัว ก่อนกุมมือผมเอาไว้แล้วเดินช้าๆ ไปควานหาโทรศัพท์ที่อยู่บนเตียง ก่อนเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ห้องจึงสว่างขึ้นมา ถึงอย่างนั้นตามก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผมออก
"กลัวอะไร"
"กลัวผี"
"เราก็ผีนะ"
ตามนิ่งไปตอนได้ยินผมพูดเช่นนั้น เลื่อนสายตามองมือที่ยังกุมกันอยู่ ผมจึงยกสองมือของเราขึ้นมาตรงหน้า
"เธอจับมือผีอยู่นะเนี่ย"
ตามยิ้มออกมาบางๆ แล้วนั่งลงบนเตียง ผมเองก็พลอยต้องนั่งลงตามไปด้วยเพราะมือที่ไม่ยอมปล่อยซ้ำยังจับแน่นกว่าเดิม ความเงียบทำงานอยู่เนิ่นนาน ผ่านใบหน้าเรียบเฉยของตามผมรู้เพียงแค่ว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่อาจคาดเดาว่ามันคืออะไร ขณะเดียวกันในหัวผมเองก็มีหนึ่งความคิดผุดขึ้นมาเช่นกัน ไม่ใช่ผีทุกตัวที่จะชอบความมืด อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ผีแบบผม เพราะยิ่งมืดเท่าไรก็ยิ่งเดียวดายเท่านั้น
"จริงๆ ความมืดไม่ได้น่ากลัวเท่าไรหรอก..."
"ความเหงาต่างหาก"
ผมหันมองตามที่โต้ตอบกลับมาในทันทีที่ผมเว้นวรรคประโยค ราวกับว่าเมื่อครู่เรากำลังคิดเรื่องเดียวกันอยู่จึงเข้าใจความรู้สึกนั้น ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาตามต้องใช้เวลาไปกับความเหงามากมายเท่าไรแล้วหลังจากนี้ไปจะมีวันที่ตามต้องกลับไปเหงาอีกหรือเปล่า ผมเองไม่อาจอยู่เพื่อเฝ้าดูหรือว่าปลอบใจ สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ก็คงจะมีแค่คำขอร้องโง่ๆ
"ตาม ต่อไปนี้อย่าเหงาอีกเลยนะ"
"..."
"อย่าร้องไห้อีก"
"..."
"อย่าเศร้าหรือว่าเสียใจถ้าเราไม่อยู่แล้ว"
"..."
"ทำได้ไหม"
ใครจะไปทำได้วะ...เหมือนผมได้ยินคำนั้นผ่านใบหน้าของตามที่กำลังแสดงให้เห็น แต่แล้ววินาทีเดียวตามก็ปรับสีหน้าเป็นเผยรอยยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับ
"อืม...ทำได้"
แม้รู้ดีว่ามันเป็นคำตอบที่เพียงเพื่อให้ผมสบายใจแต่ผมก็เชื่อว่าในสักวัน ตามจะทำเช่นนั้นได้จริงๆ เพราะตามของผมเข้มแข็งที่สุดในโลกเลย เรายิ้มให้กันอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะหันมองไฟที่คิดว่ามันดับนานเกินไปแล้ว ตั้งใจจะลุกไปที่หน้าต่าง เพื่อดูว่าบริเวณยังดับอยู่เหมือนกันไหม แต่ในตอนที่ลุกขึ้นก็เกิดอาการมึนเหมือนหัวหมุนติ้ว ทิ้งร่างลงกลับไปนั่งที่เดิมคล้ายคนกำลังหมดเรี่ยวแรง
"เป็นอะไรหรือเปล่า"
ผมได้ยินเสียงตาม แต่ไม่ชัดนัก
"แสงเป็นอะไร"
ผมไม่ได้ยินเสียงตามอีกแล้วเพราะในหูถูกแทนที่ความอื้ออึง ดวงตาก็พร่าเบลอเหมือนใบหน้าของตามกำลังเลือนหายไปช้าๆ ราวกับสติสุดท้ายกำลังจะดับลง...
"แสง!"
"..."
"แสงเทียน!"
ทั้งเสียงและภาพกลับมาชัดเจนรวมถึงสติที่ย้อนกลับมา ผมกระพริบตาถี่มองตามที่แสดงสีหน้าตกใจ ถามผมซ้ำแล้วซ้ำอีก
"เป็นอะไรหรือเปล่า"
"เหมือนจะเมา"
"เมา?"
"อือ มึนหัว" อาจจะเป็นเพราะร่างกายของพลีสเพิ่งจะทำความรู้จักกับแอลกอฮอล์เป็นครั้งแรกจึงตอบสนองด้วยความมึนเมาได้อย่างง่ายดาย ผมคิดไปอย่างนั้น และทั้งๆ ที่ถูกเตือนแล้วว่าอย่าดื่มแต่ผมยังดื้อก็เลยโดนดุไปตามระเบียบ
"ก็บอกแล้วไงว่านี่มันร่างกายพลีส"
"ก็ใครจะไปคิดว่าคอจะอ่อนขนาดนี้เล่า ครึ่งกระป๋องเองเมาได้ไงวะเนี่ย" ผมบ่นอุบ เหลือบตามองตามที่ยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้า ปากกำลังจะบ่นต่อแต่ผมเบรกเอาไว้ด้วยการยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากแล้วส่ายหน้าเบาๆ ตามจึงกลืนคำพูดพวกนั้นลงไปแล้วถอนหายใจออกมาแทน
"งั้นเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้าน"
"ไม่กลับแล้ว"
"ไม่กลับได้ไง เดี๋ยวที่บ้านพลีสว่าเอา"
"ก็เราจะนอนกับเธอ"
"ไม่ได้"
"ได้!"
"ก็บอกว่าไม่ได้ อย่ามาดื้อ ลุกเร็ว!"
"ไม่เอา ไม่กลับๆๆๆ!" ผมโวยลั่นตอนที่ตามกำลังดึงผมให้ลุก แล้วขัดขืนด้วยการทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียง จะฝังร่างกายอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหนแต่ลืมไปว่าพลีสตัวเล็กนิดเดียว สองมือของตามยื่นเข้ามาช้อนตัวอุ้มผมออกจากเตียงอย่างง่ายดาย ผมจึงได้แต่ดิ้นพล่าน
"เราไม่กลับอะ! เราจะนอนที่นี่!"
"ไม่ได้นะ"
"ขืนกลับไปสภาพนี้ มีหวังโดนหนักกว่าไม่กลับอีก เดี๋ยวเราโทรบอกพี่หน่อยเองว่าจะนอนบ้านเพื่อน พี่หน่อยรู้ พี่หน่อยเข้าใจ"
"แน่ใจนะ"
"แน่ใจสิ วางเราลงได้แล้ว"
ตามพยักหน้ารับ ก่อนเดินกลับไปที่เตียงเพื่อวางผมลงบนนั้น จังหวะที่ตามปล่อยมือออกผมยกสองแขนของตัวเองขึ้นคล้องคอตามเอาไว้แล้วโน้มลงมาใกล้ อีกฝ่ายเผลอตกใจแล้วใช้สองแขนยันตัวเองเอาไว้กับเตียงเพื่อเว้นระยะห่าง ทำได้เพียงมองหน้า มองให้ลึกลงไปในแววตาคู่นั้นที่สบสายตากันอยู่เนิ่นนาน อีกไม่นานนับจากนี้ผมก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตามอีกแล้ว ช่วงเวลานี้จึงมีความหมาย
ผมไม่แน่ใจว่าสติที่เกือบจะดับวูบไปเมื่อครู่มันใช่อาการมึนเมาหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมหวั่นกลัว ครั้งนี้ผมอาจจะหลับไปแล้วไม่ได้ตื่นขึ้นมาในร่างของพลีสอีก คืนนี้ผมจึงไม่อยากกลับบ้านเพราะมันอาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่กับตามแล้ว
นิ้วมือของผมยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของตาม ลากไล้ปลายนิ้วไปทุกส่วนตั้งแต่ข้างแก้ม ริมฝีปาก ปลายจมูก จนไปหยุดอยู่ที่ดวงตา เรารู้ดีว่าเราติดอยู่ในหนึ่งข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่ควรใกล้กันกว่านั้นด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ใช่ร่างกายของผม แต่ความปรารถนาที่รบเร้าอยู่ในใจก็ทำให้ผมต้องโกงพลีสด้วยการหยิบยืมริมฝีปากของเขามาใช้อีกครั้ง
ปลายนิ้วสัมผัสเบาๆ ที่เปลือกตาของตามก่อนเขาจะหลับตาลง ผมบรรจงจูบตามผ่านริมฝีปากของพลีส แต่ความรู้สึกที่หยั่งลึกลงไปมันก็ยังคงเป็นของผม เมื่อเราหลับตาจิตนาการจึงพาเราล่องลอยวนกลับคืนไปสู่อดีตในวันที่ยังมีเรา ในภาพลวงที่ห้วงแห่งความคิดได้สมมติขึ้น ผมได้ร่างกายผมกลับคืนเพื่อให้ผมกับตามได้สัมผัสใกล้ชิด รอยจูบนั้นเติมเต็มความปรารถนาอย่างลึกซึ้งและยาวนาน ให้มันเป็นจูบลาก่อนที่ผมจะตายอีกครั้ง ให้มันเป็นจูบสุดท้าย...
ก่อนที่ผมจะหายไปตลอดกาล ...
"ตื่นได้แล้ว"
เสียงเรียกของใครบางคนปลุกผมให้ตื่นทั้งที่ยังไม่อยากลุก ยื้อเวลาหลับตาต่อแต่ก็ถูกเรียกอีกซ้ำๆ จึงต้องขยับเปลือกตาขึ้นมอง แสงในตอนเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามานั้นไม่สว่างพอที่จะเห็นอะไรได้ชัดเจน สติที่ยังไม่ตื่นดีกับดวงตาที่พร่าเบลอกำลังจ้องมองใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดกำลังเท้าเอวมอง...
ยมทูตเหรอ"ยังไม่ไปได้ไหมครับ"
"ไม่ได้"
"ขอเวลาอีกหน่อยไม่ได้เหรอ"
"ไม่ได้"
"ใจร้ายจัง" ผมพูดเบาๆ ก่อนหลับตาลงไปอีกที มีคำสั่งสั้นๆ ให้ผมลุกขึ้นในตอนนี้ จึงต้องปฏิบัติตามอย่างไม่อาจขัดขืนในโชคชะตา วันนี้แล้วสินะที่ผมต้องไป...
"เธอต้องไปโรงเรียนนะ"
"ฮะ?"
"เดี๋ยวก็สายหรอก"
เด้งพรวดขึ้นจากที่นอนตอนที่ตื่นเต็มตา ก้มมองร่างกายตัวเองสลับกับตามที่ยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ตามจะย้ำอีกทีให้ผมรู้ตัวแน่ชัดว่ายังมีชีวิต
"เราเรียกตั้งนานไม่ยอมลุกสักที เกือบจะทุบให้ตื่นอยู่แล้ว แล้วยังจะมาขอเวลาอะไร"
"ก็...อากาศดีไง ยังไม่อยากตื่น"
"จะสายแล้ว รีบไปอาบน้ำ เราซักชุดนักเรียนเมื่อคืนให้แล้วแต่รีดไม่เป็น ใส่ได้ไหม"
"ไม่เป็นไร ใส่อย่างนั้นก็ได้"
ผมบอกกับตามแล้วเดินเข้าห้องน้ำ จัดการอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเมื่อวาน ก่อนที่ตามจะออกมาส่งผมด้วย ทั้งที่ผมงอแงอยากอยู่กับตามมากกว่าที่จะมาโรงเรียนก็เถอะแต่สุดท้ายก็ถูกลากมาถึงโรงเรียนจนได้
"ตั้งใจเรียนนะลูก เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับ" พูดล้อเล่นพลางยกมือเคาะหัวผมเบาๆ ผมจึงสวนกลับด้วยคำพูดล้อเล่นเช่นกัน ถึงความหมายที่พูดนั้นมันจะจริงก็ตาม
"อยากอยู่กับพ่อมากกว่า ไม่อยากมาโรงเรียนเลย"
"อย่าดื้อสิลูก เดี๋ยวพ่อตีเลย"
"ก็อยากอยู่กับพ่อ! อยากอยู่กับพ่อ! หนูจะอยู่กับพ่อ!"
"เพียะ!"
คำพูดหยุดชะงักตอนถูกดีดหน้าผากจนหน้าเกือบหงาย ตามหัวเราะลั่นตอนที่ผมได้แต่ยกมือลูบหน้าผากพลางมองตาขวางแล้วโต้ตอบด้วยใบหน้าบูดๆ
"ไปแล้ว!"
"มาให้พ่อกอดที"
ผมหลุดยิ้มขยับตัวเข้าไปกอดตาม สองมือของตามก็โอบร่างผมเอาไว้แน่น แล้วพูดเบาๆ ที่ข้างหูด้วยประโยคที่ทำให้หัวใจของผมได้รู้สึกเช่นเดียวกัน
"อีกสักวันก็ยังดีเนอะ" ...
"พี่พลีส"
ผมหันไปมองไอ้ปั้นที่นั่งอยู่ข้างหลัง ปากมันเรียกพี่แต่เอาตีนสะกิดตูดผม มันน่าตบให้หัวทิ่มจริงๆ
"การบ้านคณิตเสร็จยัง"
"ระดับกู"
"ลอกหน่อย"
"มึงควรพยายามทำอะไรด้วยตัวเองบ้างนะ" ผมพูดแค่นั้นแล้วหันกลับมา ไอ้ปั้นโน้มตัวมาด่าใกล้ๆ หู ผมกำลังจะสวนกลับแต่มือถือที่วางอยู่ใต้โต๊ะสั่นขึ้นมาก่อนจึงละความสนใจจากมันไปรับโทรศัพท์
"ครับแม่"
(พลีส เมื่อคืนหน่อยบอกว่าพลีสไปนอนบ้านเพื่อนเหรอ)
"อ๋อ...ครับ"
(พลีสไปสนิทกับเพื่อนขนาดไปนอนบ้านเขาได้เลยเหรอ)
"ครับ ก็...สนิทกันครับ"
(เพื่อนคนไหน)
"คือ..."
(เพื่อนชื่ออะไร)
"ข้าวปั้นครับ"
ทันทีที่ผมพูดชื่อมัน ไอ้ปั้นก็ชะโงกหน้าเข้ามาอย่างสอดรู้
(ให้แม่คุยกับเพื่อนหน่อยได้ไหมลูก)
"แม่...แม่จะคุยกับปั้นเหรอ"
ไอ้ปั้นทำตาโต ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนที่ผมจะขอร้องให้มันช่วยด้วยการบอกผ่านใบหน้าออดอ้อน จนแทบจะยกมือไหว้เพราะแม่พลีสเอาแต่พูดซ้ำว่าอยากคุยกับมัน ไอ้ปั้นจึงยอมตกลงแล้วคว้าโทรศัพท์ไปจากมือผม
"สวัสดีครับคุณแม่ ครับ ผมข้าวปั้นครับ เมื่อคืนพี่พลีสนอนบ้านผมครับ สนิทกันครับ โอ๊ย สนิทกันมาก ทำไมมานอนบ้านผม...อ๋อ ติวเลขครับ พี่พลีสมาติวเลขให้ สอนการบ้านผมด้วยแล้วเมื่อคืนฝนตกหนักก็เลยชวนนอนที่บ้านครับ ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ไม่ได้ไปเกเรที่ไหนแน่นอนครับ ได้ครับคุณแม่ ครับผม"
ขอบคุณการแสดงอันแนบเนียนของปั้นที่ทำให้เอาตัวรอดจากเรื่องนี้ได้ เมื่อปั้นกดวางสาย ผมจึงยื่นมือไปขอโทรศัพท์คืนแต่อีกฝ่ายไม่ยอมคืนให้ซ้ำยังดึงมือหนีพลางหรี่ตามองแล้วเอ่ยปากถาม
"มึงไปนอนที่ไหนมา"
"เรื่องของกู"
"เรื่องของมึงแล้วเอาชื่อกูไปอ้างทำไม"
"เออน่า! เอามือถือคืนมา"
"เอาการบ้านคณิตมาแลก"
ผมได้แต่ส่งเสียงไม่พอใจก่อนต้องยอมเอาการบ้านไปแลกเพื่อตอบแทนที่มันช่วย ปั้นคืนโทรศัพท์มาให้แต่ยังไม่วายทำเสียงแซวด้วยความกวนตีน
"แรดเหมือนกันนะเราเนี่ย"
"ไอ้ห่า!"
"พลีส" เสียงเรียกของเพื่อนอีกคนดังแทรกเข้ามา ผมจึงหันไปมองก่อนที่เธอจะยื่นม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม
"ครูฝากมาคืน"
"อะไรเหรอ"
"ก็ภาพที่พลีสวาดในวิชาศิลปะแล้วได้โชว์ที่บอร์ดไง เขาเปลี่ยนภาพชุดใหม่เลยเอาของเก่าคืนให้"
ผมฟังคำอธิบายจากเพื่อนคนนั้นพลางกางภาพนั้นออกแล้วเผลอตกใจเมื่อได้เห็นภาพวาดฝีมือพลีส เป็นภาพลูกแอปเปิ้ลระบายสีไม้ที่เหมือนของจริงอย่างกับภาพสามมิติ ไม่รู้ว่ามีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย ผมเผลอออกปากชื่นชมความสามารถของพลีสจนอีกฝ่ายทำหน้างงๆ ว่าผมจะชมตัวเองทำไม จึงม้วนกระดาษนั้นเสียบเข้าไปในกระเป๋าแล้วทำได้แค่ยิ้มนิดๆ ให้เพื่อน
หนึ่งวันที่โรงเรียนผ่านไปอย่างช้าๆ อาจเป็นเพราะว่าผมคิดรอคอยเวลาเลิกเรียนมากเกินไป หันมองนาฬิกาอยู่บ่อยครั้งจนแทบไม่ได้สนใจบทเรียนจนกระทั่งการรอคอยสิ้นสุดลงตอนที่หมดชั่วโมงสุดท้าย ผมเก็บกระเป๋าออกจากห้องเป็นคนแรกๆ แล้วรีบเดินยังไปยังหน้าโรงเรียน กวาดสายตามองหาตามที่บอกว่าจะมารับ หันไปเห็นตามก็รีบวิ่งเข้าไปหาอีกคนที่กางแขนรอ แล้วรวบร่างผมเข้าไปกอด
"รอนานไหม"
"ไม่นานเลย"
"ไปไหนกันดี"
"หาอะไรกิน" ตามบอกแล้วเปลี่ยนเป็นจับมือผมพาเดินออกไปจากหน้าโรงเรียน เราตกลงกันว่าจะกินข้าวไข่เจียวร้านประจำ เป็นหนึ่งมื้อที่เรียบง่ายก่อนตบท้ายด้วยไอติมอีกคนละแท่ง ก่อนที่ผมจะเดินมาส่งตามที่หน้าหอเหมือนเคย
"พรุ่งนี้เจอกันไหม"
มันยากที่จะตอบคำถามง่ายๆ นั้น เพราะไม่มีอะไรที่จะยืนยันว่าวันพรุ่งนี้ของผมจะมาถึงจึงไม่อาจให้สัญญา
"ถ้ายังมีพรุ่งนี้"
"..."
"คงได้เจอกัน"
ตามพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนปล่อยมือออกจากผมแล้วบอกลา ผมถอยหลังออกมาแล้วแต่ก็ก้าวกลับเข้าไปอีกเพื่อขอกอดอีกสักที
"ขอกอดหน่อย"
ตามอ้าแขนรับแต่ในวินาทีนั้นก็ผลักผมออกจนตัวปลิวแล้วตะโกนลั่น
"ไปไกลๆ เลย!"
"ฟึ่บ!" ร่างของผมที่เกือบจะล้มแต่ถูกรับเอาไว้ด้วยสองมือของใครบางคน จากที่กำลังงงว่าตามทำอย่างนั้นทำไม ก็เข้าใจกระจ่างตอนที่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของฝ่ามือที่รับร่างของผมเอาไว้
"พี่ต่อ"
พี่ต่อปล่อยมือออกจากผม ขณะที่ตามก็ทำหน้าเลิกลัก แก้ไขสถานการณ์ด้วยการแถรัวๆ ให้พี่ต่อฟังโดยที่พี่เขายังไม่ได้เอ่ยปากถาม
"พลีสมาตื้อให้ตามพาไปหาพี่ต่ออยู่ได้ บอกว่าไม่ไปๆ ก็ตามมาถึงนี่เลย"
เล่นใหญ่เอาเรื่อง..."นี่ไง พี่ต่อมาพอดี ไปคุยกันสิ ไปเลยๆ"
ผมเบิกตากว้างมองตาม อีกคนก็ส่งซิกด้วยการพยักเพยิดใบหน้า คิดว่าพี่ต่อจะไม่เห็นหรือไงวะ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ตัดสินใจชวนพี่ต่อมานั่งคุยเพราะมีบางเรื่องต้องพูดกับเขาอยู่เหมือนกัน แต่สถานการณ์ช่างน่าอึดอัดเหลือเกินเพราะพี่ต่อนั้นเอาแต่เงียบ ผมก็ได้แต่ถามอะไรโง่ๆ
"พี่ต่อมาหาพี่ตามเหรอครับ"
"ครับ อยู่บ้านแล้วเหงา ก็เลยว่าจะมาชวนตามกินข้าว"
"อ๋อ แล้วพี่หายดีแล้วใช่ไหมครับ ที่ล้มวันก่อน"
"ครับ"
เดดแอร์...หลังจากคิดทบทวนดูแล้วก็รู้ตัวว่าผมไม่ควรปล่อยให้เรื่องระหว่างพี่ต่อกับพลีสเป็นแบบนี้ แอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปหาเขาอีกที
"พี่ต่อหายไปเลย ไม่เห็นติดต่อมา ไม่ตอบข้อความผมด้วย"
"ขอโทษครับ"
"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า"
"พอดีพี่งานยุ่งๆ"
"พี่ไม่ได้ไปทำงานตั้งหลายวันแล้ว ผมรู้"
พี่ต่อก้มหน้าเงียบ ผมจึงยกมือขึ้นแตะปลายคางให้พี่ต่อเงยหน้าขึ้นมอง
"พี่เป็นอะไรครับ"
"..."
"บอกผมเถอะ"
"พี่เพิ่งจะจำอะไรบางอย่างได้"
"..."
"เป็นเรื่องไม่ดีเลย"
ผมพยักหน้ารับเพื่อให้เขาได้พูดต่อ
"พี่ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องนั้นมันยังมีอะไรที่พี่ลืมมันไปอีกหรือเปล่า ถ้าหากว่าพี่เคยเป็นคนไม่ดีหรือเคยทำอะไรที่แย่กว่านั้นมันก็คงจะน่าผิดหวัง"
ผมยังคงรู้สึกผิดที่ดึงเอาพี่ต่อเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิดเลย เราทุกคนต่างเอาแต่โทษตัวเองอย่างไม่จบสิ้น พี่ต่อก็เช่นกัน ในตอนนี้ผมละทิ้งความพยายามที่จะเป็นพลีส แล้วยืนอยู่หน้าพี่ต่อในฐานะของแสง เอ่ยบางคำที่ผมสมควรจะพูดมาเนิ่นนาน
"ผมขอโทษนะครับ"
พี่ต่อแสดงสีหน้าสงสัยเมื่อผมพูดคำนั้นออกไป
"ให้อภัยผมด้วย"
ถึงสีหน้านั้นจะดูไม่เข้าใจเลยแต่พี่ต่อก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ผมยื่นมือไปจับมือพี่ต่อเอาไว้เพื่ออยากให้เขาได้มั่นใจ
"พี่ต่อ"
"..."
"พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นอีกแล้วและไม่มีเรื่องไหนที่พี่จะต้องผิดหวังในตัวเองหรือว่าใครจะต้องผิดหวังในตัวพี่"
"..."
"เพราะว่าพี่เป็นคนดีจริงๆ"
"..."
"เชื่อผมนะครับ"
ใบหน้าที่นิ่งเงียบๆ เผยรอยยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับ บทบาทของการเป็นแสงจึงจบลงเพียงเท่านั้น ผมกลับไปเป็นพลีสแล้วแกล้งทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
"แต่พี่หายไปแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับ"
"พี่แค่รู้สึกแย่กับตัวเองเลยไม่อยากให้น้องรู้สึกไม่ดีไปด้วย พี่ขอโทษนะครับ"
"ยิ้มให้ผมก่อน"
"ครับ?"
"ยิ้มกว้างๆ เลย"
พี่ต่อหลุดยิ้มให้ผมเห็น เป็นยิ้มที่อบอุ่นอย่างที่เขาเคยเป็น ผมหวังว่าหลังจากนี้พี่ต่อจะละทิ้งเรื่องราวในวันนั้นและกลับมาเป็นพี่ต่อที่แสนดีคนเดิม
"ว่าแต่..."
ผมเลิกคิ้วขึ้นมองพี่ต่อที่เว้นวรรคคำพูด ก่อนยกมือที่ประสานจับกันอยู่ขึ้นมาตรงหน้า
"เราจับมือกันแบบนี้ได้แล้วเหรอครับ"
"เอ่อ..."
"ถ้าทำได้ พี่ไม่ปล่อยแล้วนะ"
ผมรีบดึงมือตัวเองออกมาก่อนแล้วสวนกลับไป
"ไว้ผมมาบอกวันหลังว่าได้หรือไม่ได้"
หรือมีความหมายจริงๆ ว่าเอาไว้ให้พลีสตัวจริงมาบอกดีกว่า...