ตอนที่ 21
เสียใจให้พอเพื่อที่จะยอมรับความเป็นจริง
แสง : เป็นหนึ่งเช้าที่ผมตื่นได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องถูกปลุกด้วยสิ่งใด ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ตื่นมาพร้อมความรู้สึกเต็มอิ่มเหมือนหลับได้สบายกว่าทุกวัน อุณหภูมิแอร์ที่เย็นกำลังสบาย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากปลอกหมอนและผ้าห่มพาให้ผมต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง อยากซุกตัวอยู่ในนี้ไปอีกสักพัก แต่แสงสว่างที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา บอกกับผมว่าถึงเวลาต้องตื่นแล้ว ผมหรี่ตาขึ้นช้าๆ ก่อนมองเห็นตามยืนมองผมอยู่ ใบหน้าดูเคร่งเครียดด้วยหัวคิ้วที่ขยับแทบชนกัน แววตาก็ดูสับสนคล้ายกำลังคิดกังวลอะไรสักอย่าง
ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะที่รัก... ผมยกมือขึ้นแตะใบหน้านั้น สัมผัสอุ่นจากผิวเนื้อบอกกับผมว่านี่คือความจริง มุมปากของตัวเองจึงยกขึ้นยิ้มบางๆ ก่อนได้ยินเสียงเรียกของอีกคน
"แสง"
"..."
"เป็นเธอใช่ไหม"
ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่ตามจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ถอนหายใจพลางคลายสีหน้ากังวล ผมเข้าใจความคาดหวังของตาม คงกำลังภาวนาให้ผมลืมตาขึ้นมาแล้วยังคงเป็นผมอยู่
"เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม"
ผมพยักหน้ารับอีกที ก่อนยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำก่อนที่ผมจะหลับไปวนเข้ามาในความคิดตอนที่นึกขึ้นได้ มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย ผมมองเห็นเลือดข้นไหลนองออกมาจากบาดแผลที่ถูกแทง มันเจ็บปวดเกินทนไหว ทรมานไม่ต่างกับวันที่ตายคล้ายกำลังถูกพรากเอาชีวิตไปอีกครั้ง
ในความเงียบระหว่างเรา ผมรู้ว่าตามคิดไม่ต่างไปจากที่ผมกำลังคิด หากเราเข้าใจไม่ผิด นั่นคงจะเป็นสัญญาณเตือน
"ตาม นี่มันคง..."
"ไม่ต้องพูด"
"คงใกล้จะหมดเวลาแล้ว"
"บอกว่าไม่ต้องพูดไง!"
"เราคงต้องไปแล้ว"
"เราไม่ให้เธอไป"
"แต่เราอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้"
"แต่เราไม่ให้เธอไปไง!"
ผมดื้อรั้นต่อโชคชะตาและยื้อเวลามามากพอ หากฝืนต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ทั้งวิญญาณและร่างกายของพลีสจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ หรือไม่บางทีในตอนสุดท้ายมันอาจจะไม่เหลือทั้งผม ไม่เหลือทั้งพลีสเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วผมจึงไม่อาจเห็นแก่ตัว
ผมขยับลงไปนั่งที่พื้นข้างๆ ตาม ดึงเขาเข้ามากอดแต่ตามไม่ยอมมองหน้าผม เบือนหน้าหนีไปอีกทาง เพียงกระพริบตา หยดน้ำตาก็ไหลลงมาทั้งที่ยังทำหน้าบึ้งตึง
"ตาม เหลือเวลาไม่มากแล้ว ครั้งนี้เรามาจากกันไปด้วยดีเถอะนะ"
"..."
"ต่อไปนี้ เธออย่าเจ็บปวดอีกเลยนะ"
"จะไม่ให้เจ็บได้ยังไง เธอจากไปทั้งคน"
ตามผละตัวออกจากอ้อมกอดของผม กดกลั้นน้ำตาแล้วพูดออกมาด้วยอารมณ์โกรธ
"เธอกลับมาเพื่อที่จะจากไปอีกครั้ง เหมือนเธอกำลังฆ่าเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เห็นใจเราบ้างหรือไง!"
"แต่...ตาม..."
"เราไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น!"
การไม่ยอมรับทำให้ตามต่อต้านความเป็นจริง แต่ผมเข้าใจ เพราะมันจริงอย่างที่ตามว่า ผมกลับมาก็เพื่อที่จะจากไป เพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำ เพื่อให้ผมได้ปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองอย่างไม่ค้างคา แต่ทว่าการจากไปอีกครั้งมันคงทำให้ตามต้องเจ็บปวดซ้ำอีก แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่อาจฝืนโชคชะตาที่ให้เวลาผมแค่นั้น สิ่งเดียวที่ผมทำได้ ก็คงต้องไขว่คว้าหาโอกาสสุดท้ายเพื่อให้เราได้จากกันไปด้วยดี...
เมื่อเวลานั้นมาถึง ...
ผมยังต้องมาโรงเรียนทั้งที่ไม่ได้อยากมา อยากเอาเวลาไปทำสิ่งอื่นมากกว่าที่จะมาเสียเวลานั่งเรียนไปอีกหนึ่งวัน แต่ผมยังคงเป็นพลีส มีรายงานสำคัญที่ต้องส่ง มีงานกลุ่มที่ขาดพลีสไปไม่ได้ ผมจึงต้องรักษาหน้าที่นี้เอาไว้ด้วย
"ไอ้พลีส!"
พลั่ก! สองขาผมทรุดฮวบลงกับพื้นตอนที่ไอ้ปั้นตรงเข้ามาตบไหล่ผมอย่างแรง ได้แต่เงยหน้ามองตาขวางก่อนที่มันจะช่วงพยุงผมขึ้นมา แล้วยืนกอดอกทำท่ารับโทษ คงคิดว่าผมจะสวนกลับแน่ๆ แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์เล่นด้วยก็เลยทำได้แค่ถอนหายใจใส่หน้ามันเบาๆ
"อ้าว นี่พลีสเวอร์ชั่นหนึ่งเหรอ"
"อะไร"
"ผีออกไปแล้วรึไง"
"กูยังอยู่"
"แล้วเป็นอะไรวะ ปกติด่ากูลั่นตึกไปแล้ว"
ผมส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนเดินตรงไปโรงอาหารพร้อมปั้น กลายเป็นเรื่องปกติที่เราจะนั่งกินข้าวด้วยกัน แต่ในระหว่างนั้น ผมได้แต่นั่งเขี่ยข้าวไปมาเพราะกินไม่ลง
"พลีส มึงเป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนคนกำลังจะตาย"
"ใครจะตาย! ไม่ตายโว้ย!"
"อะไรของมึง กูแค่เปรียบเทียบไง ดูมึงทำหน้าเข้าสิ"
ผมปัดมือไอ้ปั้นที่ยกขึ้นดึงแก้มจนเล่นเอาเจ็บ ก่อนที่มันจะกลับไปกินข้าวในจานตัวเองต่อ ส่วนผมยังเอาแต่เขี่ยข้าวในจานไม่หยุด
"ไม่แดกเหรอ"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ปั้นจึงยกส้อมตัวเองมาจิ้มเอาไก่ทอดในจานของผมไป ก่อนดูดนมสตรอว์เบอร์รี่ที่มันชอบตามเข้าไป ไอ้บ้านี่มันกินนมแทนน้ำด้วยซ้ำ ตัวถึงได้สูงเป็นเปรตแบบนี้ใช่ไหม
"มึงเป็นอะไร ใครทำอะไร ใครแกล้งเดี๋ยวกูไปต่อยให้"
"ในโรงเรียนนี้ไม่มีใครแกล้งกูนอกจากมึงแล้วล่ะ"
"แน่นอน ไม่มีใครเจ๋งเท่ากู"
"ไม่มีใครสันดานเหมือนมึงมากกว่า"
"เออ! แล้วมึงเป็นอะไร ซึมเศร้าไหม จะโดดตึกหรือเปล่า"
"มึงนี่!"
ไอ้ปั้นโยกตัวหลบกำปั้นของผมที่หวังจะทุบกบาลสักที มันหัวเราะหยอกเป็นเชิงว่าล้อเล่น ก่อนปรับสีหน้าจริงจังแล้วถามผมอีกครั้งว่าเป็นอะไร ไหนๆ ก็ไหน หลังจากวันนี้ผมอาจจะไม่ได้พูดคุยกับมันแล้ว วันนี้ก็เลยยอมบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้เด็กนี่ฟัง
"เสียดายชีวิตว่ะ"
"หืม?"
"ยังไม่อยากตายเลย"
"หืมเข้าไปอีก"
"ยังใช้ชีวิตไม่พอเลย"
"หืมสุดๆ ไปเลย"
ไอ้เวรนี่ไม่ใช่ผู้ฟังที่ดีเลย กูพูดตรงนี้...
"มึงพูดอะไรเข้าใจง่ายๆ หน่อยดิ ขี้เกียจหืมแล้ว"
"สมมติว่ากูกำลังจะตาย แล้วกูก็กำลังระบายความรู้สึกของกูให้มึงฟังอยู่ โอเคไหม"
"มึงไม่ได้จะตายจริงๆ ใช่ไหม แค่แบบ อยากพูดคุยปรัชญาชีวิตอะไรแบบนี้ใช่ปะ"
"เออ ประมาณนั้น"
"อ่าหะ"
"กูยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะ ทั้งๆ ที่กูก็รู้ว่าวันหนึ่งกูต้องไปจากที่นี่ แต่พอถึงเวลาจริงๆ กูกลับไม่อยากทำใจยอมรับ กูอยากเป็นคนอายุยืน อยู่กับคนที่กูรักไปนานๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็อยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มกว่านี้"
ผมหันมองไอ้ปั้นที่กำลังดูดนมจนหมดกล่อง จริงจังกับการดูดจนหยดสุดท้ายแล้วหลุดหัวเราะเรียกให้ผมดูกล่องที่บิดเบี้ยวเพราะถูกดูดเอาอากาศออกไปหมด
"ดูดิๆ"
"มึงได้ฟังกูบ้างไหมเนี่ย"
มันหัวเราะอีกทีแล้วเปลี่ยนจากดูดกล่องเป็นเป่าลมเข้าไปให้กล่องพองเป็นรูปร่างเดิม
"รู้งี้กูไปพูดกับหมาดีกว่า"
"โห่ มึงจะคิดมากไปทำไมวะ จะตายวันนี้พรุ่งนี้หรือไง"
ผมคงไม่สามารถอธิบายให้ปั้นเข้าใจไปมากกว่านั้นได้ ก็เลยทำได้แค่พยักหน้ารับ ทำเหมือนกับว่าเราแค่เพียงสนทนาปรัชญาชีวิตจบไปก็พอ
"มึงจะเอาอะไรมากกับชีวิต เราเพิ่งอายุสิบแปดเอง"
"กูยี่สิบละ"
"เออ มึงแก่กว่ากูตั้งสองปี จริงๆ ต้องเรียกพี่ปะเนี่ย"
"ได้ก็ดี"
"พี่พลีส อย่างเนี้ยเหรอ"
"ทำได้ไหมล่ะ"
"ยากตรงไหน พี่พลีส"
เราทั้งคู่หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนผมจะยกมือขยี้หัวไอ้ปั้นและบอกกับมันด้วยคำที่มักจะพูดอยู่เสมอ
"มึงก็ใช้ชีวิตให้ดี"
"..."
"มีความสุขมากๆ นะข้าวปั้น"
ตอนที่ผมอายุเท่ากับปั้นก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องของความตาย คิดว่ายังมีเวลาอีกตั้งมากมายจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะใช้ชีวิต อายุขัยไม่ใช่เรื่องราวที่จะหยั่งรู้ได้ ความตายก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว อาจมีบางคนที่กำลังดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อและมีอีกคนที่กำลังเลือกจะจบชีวิตลงอย่างไม่เสียดาย สุดท้ายความตายก็พลัดพรากใครบางคนจากไปอยู่เสมอ...
และผมก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นที่ต้องจากไป
...
"พี่ต่อ"
"สบายดีไหมครับ" ผมก้าวเท้าเดินไปตามถนนพลางมองมือถือที่เพิ่งจะส่งข้อความหาพี่ต่อแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับหรือกระทั่งเปิดอ่าน ตั้งแต่วันที่พี่ต่อกลับมาจำเรื่องราวของผมได้ เขาก็หายเงียบไปไม่ติดต่อมาเลย อาจยังมีความเสียใจหลงเหลืออยู่ในความรู้สึกจนทำให้พี่ต่อไม่พร้อมคิดถึงเรื่องอื่นกระทั่งไม่คิดถึงพลีสด้วย ผมกำลังสมมติว่าตัวเองเป็นพลีสและพยายามคิดว่าควรทำอย่างไรกับการเงียบหายไปเฉยๆ ของพี่ต่อ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเอาความรู้สึกของตัวเองมาตัดสินอยู่ดีว่าพี่ไม่ควรหายไปแบบนี้สิ...พลีสไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
ผมถอนหายใจยาวก่อนเก็บมือถือใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมองถนน สองขากำลังพาผมเดินไปยังหอพักของตาม แต่ไม่รู้ว่าตามจะอยากเจอหน้าผมไหม จะใจเย็นลงหรือยัง ก็เลยลังเลว่าจะหันหลังกลับตอนนี้หรือจะไปต่อให้ถึงดี เป็นสถานการณ์ที่ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจไม่สิ้นสุด
"เฮ้อ"
"ฟิ้ว!" "หืม?"
ผมหันขวับมองใครบางคนที่วิ่งฉิวผ่านหน้าผมไปด้วยความเร็วที่ทำเอางงว่านั่นคนหรือผี เห็นหลังไวๆ เกือบคิดว่าเป็นตามแล้วด้วยสรีระรูปร่างที่คล้ายกันแถมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มนั่นยังเหมือนชุดที่ตามชอบใส่ไม่มีผิด แต่คิดขึ้นมาได้ว่าตามไม่มีทางวิ่งเร็วขนาดนั้นแค่ขึ้นบันไดเจ็ดแปดขั้นยังหอบเป็นหมา
"จับมันไว้!"
"โอ๊ย!"
"อยู่เฉยๆ ไอ้หัวขโมย!"
เสียงเอะอะจากที่ดังมาจากอีกมุมถนนดึงความสนใจทั้งหมดของผมไป ก่อนรีบก้าวเท้าไปยังตรงนั้น ภาพที่เห็นคือตามกำลังโดนผู้ชายตัวใหญ่จับแขนไขว้หลังแล้วกดลงกับพื้น ผู้หญิงรูปร่างท้วมวัยกลางคนอีกคนก็ตรงเข้ามาร่วมด้วย
"อะไรเนี่ย! โอ๊ย! เจ็บนะ!"
"เอาเงินกูคืนมานะ!"
ใช้เวลาชั่ววินาทีผมก็เข้าใจสถานการณ์นั้นได้จึงรีบเข้าไปช่วยตาม
"เข้าใจผิดแล้วครับ! จับผิดคนแล้ว!"
"มันนี่แหละขโมย กูเผลอหน่อย กวาดเงินในร้านมาเกลี้ยง!"
"ผมเปล่านะ!" ตามออกปากเถียงก่อนโดนชายคนนั้นคว้าคอแล้วกระแทกลงไปกับพื้น แรงจนตามร้องเสียงหลง การกระทำนั้นทำเอาผมไม่อาจอยู่เฉย ตรงเข้าไปผลักตาลุงนั่นออกจากตาม
"ปล่อยเลยลุง เข้าใจผิดแล้ว"
"ไอ้หนูอย่ามายุ่ง!"
ผมถูกผลักไหล่ให้ออกมาจากตรงนั้น ก่อนป้าจะก้มลงไปล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างของตาม ควักออกมาเป็นแบงก์ยี่สิบสามสี่ใบกับเหรียญอีกจำนวนหนึ่ง หาเงินที่ว่าไม่เจอก็คว้าคอเสื้อแล้วดึงตามขึ้นมา ทั้งทุบทั้งด่าด้วยถ้อยคำหยาบ
"เอาเงินกูคืนมา! ไหน! มึงเอาไปซ่อนไว้ไหน!"
"ไม่ใช่ผม!"
"อย่านะป้า" ผมพยายามคว้ามือป้าที่เอาแต่ทุบตามโดยไม่ฟังความอะไรเลย แต่พลีสตัวเล็กเกินไป เจอป้าสะบัดทีเดียวเล่นเอาเซ
"ดูสภาพก็รู้แล้วว่ามึงติดยา นี่จะขโมยเงินกูไปซื้อยาใช่ไหม ไอ้เด็กเปรต! ขยะสังคม! เอาเงินกูคืนมา!" ตามได้แต่ยกแขนป้องตัวเองตอนถูกตี ร้องโอดโอยไม่เป็นคำพูด เสียงร้องของตามทำเอาผมคำรามลั่นด้วยความโกรธสุดขีด
"พอได้แล้ว!"
"มึงไม่เกี่ยว! หลบไป๊!"
"นี่แฟนผม!"
มือของป้าค้างกึกกลางอากาศ ก่อนผมจะดึงตามให้ถอยออกมาแล้วก้าวเท้าไปเผชิญหน้ากับป้าร่างท้วมด้วยความโมโห
"ผมบอกแล้วไงว่าเข้าใจผิด ขโมยมันวิ่งหนีไปเป็นชาติ ป่านนี้เอาเงินไปใช้หมดแล้ว เพราะมัวแต่จับคนผิดเนี่ย!"
"แต่กูจำมันได้!"
"ป้าจำผิด!"
"กูจำได้!"
"ไปตัดแว่น!"
เสียงตะโกนที่ดังกว่าของผมทำเอาป้าเงียบ ก่อนพูดอึกอัก เถียงได้ไม่เต็มปาก
"กู...กูจำมันได้จริงๆ"
"ป้าน่าจะจำผิดจริงๆ นั่นแหละ น้องคนนี้เขามาซื้อข้าวร้านหนู ยืนรออยู่ตั้งนานเพิ่งจะได้ข้าวไปเนี่ย" เสียงจากพี่เจ้าของร้านข้าวช่วยเข้ามาเป็นพยาน ตามพยักหน้าหงึกๆ พลางหันมองข้าวกล่องที่หล่นเละเทะอยู่ข้างๆ แอบเห็นนะว่าทำหน้าเสียดายกะเพราปลาหมึก ก่อนหันขวับกลับไปมองตาขวางใส่ลุงกับป้าที่ยืนหน้าจ๋อย
"ขอโทษจ้ะ ขอตัวไปจับขโมยก่อนนะ"
"อ้าว เฮ้ย!" ผมโวยตอนที่ลุงกับป้าจับมือกันวิ่งออกไปจากตรงนี้หน้าตาเฉย ไทยมุงสลายตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่เจ้าของร้านข้าวก็ใจดีเก็บกล่องข้าวนั่นไปทิ้งให้ ตามยังมองกล่องข้าวตาละห้อยด้วยความอาลัยยิ่ง ใจผมก็ยังเดือดพล่าน โมโหไม่หยุด
"อะไรของเขาวะ มากล่าวหาคนอื่นแบบนี้ได้ไง"
"นั่นดิ!" ผมหันมองตามที่โพล่งขึ้นมา ดูเหมือนว่าผมจะไปจุดชนวนความโมโหให้เขาอีกคน หรือไม่ก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องโวยวายจึงพ่นคำพูดออกมาเสียงดังลั่น
"หาว่าเราเป็นขโมยแถมบอกสภาพเราเหมือนคนติดยา หน้าเราเหมือนคนติดยาเหรอ เหมือนเหรอ!"
"นิด...นิดนึงมั้ง"
"ติดยาเนี่ยนะ! ข้าวกล่องละสี่สิบบาทยังไม่มีตังค์ซื้อเลย จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อยา! ด่าเราเป็นขยะสังคม เกิดมายังไม่เคยโดนด่าแรงขนาดนั้นเลย ขยะสังคมเนี่ยนะ!"
"ใจเย็นๆ" กลับกลายเป็นผมที่ต้องพูดปลอบพลางลูบหลังเบาๆ
"เขาทำร้ายร่างกายเราด้วย แทบจะหักแขนเราเลย จับเรากระแทกพื้นด้วย ป้านั่นก็ทุบเราไม่หยุด เจ็บไปทั้งตัวเลยเนี่ย" ตามทำเสียงไม่พอใจ ใบหน้าบูดบึ้ง ผมเองก็โมโหจนมองข้ามบาดแผลที่ตามได้มาตอนถูกหน้ากระแทกพื้น รอยถลอกทำเลือดไหลซิบ ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว ในตอนที่ตามกำลังงอแงบ่นเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ผมจึงยกสองมือกางออกเป็นเชิงโอ๋ ก่อนตามจะโน้มตัวลงมาซบ
"เจ็บไปหมดเลย เจ็บแขนด้วย พรุ่งนี้ต้องช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ เลย"
"ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย" ผมพูดปลอบใจพลางใช้จังหวะนั้นเช็ดเลือดออกจากหน้าตามก่อนที่อีกคนจะรู้ตัว ในตอนที่ผมก้มมองให้แน่ใจว่าไม่มีเลือดตรงไหนแล้ว ตามก็เหลือบตาขึ้นมองผม สบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ตามจะรีบผละตัวออกไปจากผม ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยแล้วพูดเสียงแข็ง
"อ้าว พลีส"
ผมขมวดคิ้วมองหน้าตาม
"โทษทีพี่เข้าใจผิดคิดว่าพลีสเป็นคนอื่น ที่แท้ก็พลีสนี่เอง นี่มันพลีสชัดๆ"
"กวนตีน"
"เมื่อกี้พลีสบอกว่าเป็นแฟนพี่เหรอ มาเป็นแฟนพี่ตอนไหน แฟนพี่ตายแล้ว"
"นี่"
"พี่ไปก่อนนะพลีส"
"จะไปไหน"
"ถามทำไม เราไม่ได้สนิทกันนะพลีส พลีสกลับบ้านพลีสไปเถอะ" ตามทิ้งความกวนตีนเอาไว้ก่อนสะบัดหน้าเดินหนีไปอีกทาง ก้าวไปได้สักระยะหนึ่งก็หันหลังกลับมา เห็นว่าผมยังยืนอยู่ที่เดิมก็สะบัดหน้าใส่อีกที เพราะหมั่นไส้ความกวนประสาทนั้น ผมจึงก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาแล้วยกฝ่ามือขึ้นตบกบาลไปหนึ่งทีเน้นๆ
"ป้าบ!" ตามยืนนิ่งอยู่กับที่ เงยหน้ามองพลางกระพริบตาปริบๆ ผมยักไหล่หน่อยๆ แล้วเดินออกมาก่อนเอ่ยปากเรียก
"ไปกินข้าวกัน"
"ไม่ไปโว้ย!"
"เดี๋ยวเลี้ยง"
ผมพูดโดยไม่ได้หันไปมอง ก่อนได้ยินเสียงเท้าเดินตามมา ช่วงขายาวๆ ของตามไม่กี่ก้าวก็เดินเข้ามาอยู่ข้างๆ ผม แสร้งหันมองไปทางอื่น แต่ปากบอกกับผม
"อยากกินสเต็ก"
"..."
"สเต็กร้านนั้นอะ"
"..."
"พลีสคงไม่รู้จักหรอกมั้ง"