ตอนที่ 18
มนุษย์มักจะคิดได้ ก็ในวันที่สายไปทุกที
สามปีที่แล้ว (พี่แสง วันนี้กลับบ้านหรือเปล่า)
"ไม่กลับครับ"
(โห่!)
"ทำไม จะเอาอะไร"
(เปล่า แค่อยากให้พี่แสงกลับบ้านเฉยๆ วันนี้แม่ทำแกงเขียวหวานกับหมูทอด แถมพ่อซื้อไก่ย่างมาตัวหนึ่งด้วย ไม่งั้นหนูจะกินคนเดียวให้หมดเลย)
"ยังอ้วนไม่พอมั้ง"
(ไอ้พี่แสง!)
"ไม่สุภาพ!"
(ชิ! ตกลงจะไม่กลับจริงๆ ใช่ไหม)
"พี่บอกตามไว้แล้วไงว่าวันนี้จะนอนด้วย"
(รำคาญคนติดแฟนอะ)
"อะไร อาทิตย์นี้ได้อยู่ด้วยกันวันเดียวเอง"
(ไม่รู้แหละ! พี่ไม่มีเวลาให้หนูเลย พรุ่งนี้กลับมากินข้าวที่บ้าน นี่เป็นคำสั่ง!)
"ก็ได้"
(ชวนพี่ตามด้วยนะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ บาย!)
"จ้า" ผมตอบรับสายป่านก่อนอีกฝ่ายกดวางสายไปก่อน ยิ่งโตยิ่งอ้อนแถมเอาแต่ใจแต่ก็โทษน้องไม่ได้เพราะดันเลี้ยงมาแบบตามใจไม่มีขัด โดยเฉพาะผมที่แพ้ทางไอ้อ้วนเต็มๆ ด้วยความขี้อ้อนของมัน
ผมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง ในระหว่างที่กำลังจะเดินไปยังหอพักของตาม พลันสายตามองไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งตรงเข้าไปจอดที่หน้าตึก ความสนใจพุ่งไปยังคนที่เปิดประตูออกมาก่อน ตามมาด้วยคนขับที่เปิดประตูลงมาด้วยและเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ผมก็รีบก้าวเท้าตรงเข้าไปทันที
"ขอบคุณนะครับพี่นัท ที่ให้ติดรถมาด้วย"
"ไม่เป็นไร ทางเดียวกันอยู่แล้ว"
"ทางเดียวกันตรงไหน หอพี่อยู่ไกลไปอีกสองกิโล" เสียงแทรกนั่นแน่นอนว่าเป็นผมที่เสนอหน้าเข้าไปขัดบทสนทนาของสองคนนั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามอง หนึ่งในนั้นคือตามของผม ส่วนอีกคนคือ พี่นัท เป็นรุ่นพี่ในเอกผม ที่ควรจะเรียนจบไปแล้วด้วยซ้ำแต่ปีที่แล้วดรอปเรียนไปก็เลยจบช้า แล้วเขาก็รู้จักกับตามด้วย เหตุเพราะตามไปหาผมที่คณะบ่อยๆ ก็เลยได้ทำความรู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่ง
"อ้าว แสงเทียน"
ผมฉีกริมฝีปากฝืนยิ้มแล้วเข้าไปยืนข้างๆ ตาม สายตาของอีกฝ่ายมองมาอย่างรู้ดีว่าผมกำลังแสดงความเป็นเจ้าของ ความไม่พอใจของเขาปกปิดไม่มิดผ่านมุมปากที่ขยับขึ้นยิ้มข้างหนึ่ง เห็นไหม มันยิ้มแบบตัวร้าย!
"ถ้าวันหลังเลิกเรียนเวลานี้ ก็กลับพร้อมพี่ได้นะ"
"ครับ"
"เอาไว้ถ้าตามว่าง ไปกินข้าวด้วยกันบ้างนะ"
"ตามไม่ว่างหรอกครับ"
ผมคงจะไม่เสียมารยาทแบบนี้ถ้าพี่นัทมันเป็นเพียงรุ่นพี่ที่คณะเฉยๆ แต่ดันเป็นรุ่นพี่ที่คอยตามจีบตามมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ดีว่าตามมีผมอยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าไอ้หน้ากากหมูแก้มสีชมพูนี่มันจะเสน่ห์แรงจนทำให้รุ่นพี่ที่ทั้งหล่อ ทั้งรวยนี่มาสนใจไม่เลิกรา
"งั้นพี่ไปก่อนนะตาม"
"เชิญครับ" เป็นผมที่ตอบรับด้วยน้ำเสียงขับไล่ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดกับผมสักนิด เหมือนมีกระแสไฟฟ้าพุ่งออกมาจากสายตาของเราสองคนราวกับไม่ชอบหน้ากันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว พอหันไปมองตามก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มหวานได้รวดเร็วเหมือนสับสวิตซ์ ก่อนที่จะหันไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ผมจะทำอะไรได้นอกจากหันหลังเดินขึ้นตึกด้วยอารมณ์ขุ่นๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนที่ตามจะเอ่ยปากพูด แม้จะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ก็กำลังต่อว่าผมอยู่
"แสง วันนี้เธอทำตัวไม่น่ารักเลยนะ"
"เราทำอะไร"
"ทำเป็นหวงเรา ต่อหน้าพี่นัท"
"เราไม่มีสิทธิ์หวงหรือไง ใครๆ เขาก็รู้ว่าไอ้พี่นัทมันชอบเธอ"
"แต่ใครๆ เขาก็รู้ว่าเธอเป็นแฟนเรา เราจะไปชอบคนอื่นได้ยังไง"
"ไม่รู้แหละ เราโมโห เราไม่ชอบ"
"ไม่น่ารัก"
"ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก"
"มาให้เรากอดนี่มา"
"ไม่ ไม่ต้องมากอดเรา ก็บอกว่าไม่ไง ปล่อย! ออกไป!" ผมหนีอ้อมกอดของตามไม่ทัน ครั้นจะดีดดิ้นก็ไม่ยอมหลุดเพราะแรงของอีกคนที่มากกว่าโอบร่างผมเอาไว้แน่น
"ไม่ปล่อย"
"วันนี้เราไม่รักเธอแล้ว"
ตามหัวเราะในลำคอเบาๆ เอาคางมาเกยที่ไหล่แล้วเอ่ยปากถาม
"แต่พรุ่งนี้จะกลับมารักใช่ไหม"
"ใช่" ผมพูดตามตรงเพราะไม่คิดจะโกรธตามนาน
"โอเค งั้นยอมให้เกลียดวันหนึ่งก็ได้"
"เออ"
"แสง เธอไม่ต้องรักเราทุกวันก็ได้นะ"
"..."
"แต่ขออย่างเดียว ให้เราแก่ตายไปด้วยกัน"
"..."
"ตกลงไหม"
ผมหันมองตามที่อยู่ๆ ก็พูดออกมาเช่นนั้น แต่ด้วยน้ำเสียงจริงจังและแววตาที่เรียบนิ่งกว่าที่เคย มันก็ทำให้ผมยอมที่จะหายโกรธในหนึ่งวินาทีนั้นได้เลย จึงพยักหน้ารับแล้วยิ้มออกมาจนได้
"เธอน่ารักที่สุดเลย" ตามว่าแล้วกดปลายจมูกเข้ามาที่ข้างแก้มของผมทีหนึ่ง ผมหันไปเอาคืนที่ริมฝีปาก ก่อนที่ตามจะโต้ตอบจูบนั้นพลางกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดร่างกายของผมเอาไว้ไม่ให้ขยับ อาจจะเป็นจูบครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่ล้าน แต่ในทุกๆ รอยจูบนั้น มันยังคงตื่นเต้น นุ่มนวล หอมหวาน...
และพาเราเคลิ้มลอยไปไกลเหมือนในทุกครั้ง ...
ผมเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายที่ผ่านการฝึกงานมาแล้วเรียบร้อย ในเทอมสุดท้ายของผมจึงไม่ค่อยมีวิชาใดให้เครียดหรือเป็นกังวล แถมคณะของผมยังไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์เหมือนคนอื่นเขาอีกด้วยก็เลยเป็นเทอมที่สบายๆ รอสอบปลายภาคอีกครั้งก็จบโดยสมบูรณ์ แต่ในระหว่างเทอมนี้คณบดีเสนอทุนการศึกษาให้ไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศสสำหรับนักศึกษาปีสุดท้าย ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีก็เลยคิดจะลองดู ด้วยเกรดที่ไม่ได้แย่และความสามารถในภาษาฝรั่งเศสที่ร่ำเรียนมาตั้งหลายปีทำให้ผมผ่านการคัดเลือกจากการสอบข้อเขียนในรอบแรก เหลือเพียงสอบสัมภาษณ์อีกครั้งก็รู้ผล หากว่าโชคดีผมก็จะมีช่วงเวลาในเทอมสุดท้ายที่แสนวิเศษไปเลย ช่วงนี้ผมก็เลยต้องเตรียมตัวด้วยการร่างคำตอบและซ้อมคร่าวๆ เพื่อเตรียมตัวสำหรับสอบสัมภาษณ์อาทิตย์หน้า
"โอ๊ย! เลือด!"
ผมละสายตาจากกระดาษในมือไปมองตามที่ซุกหน้าเข้ามาซบ ขณะกำลังนอนดูซีรีส์เกี่ยวกับการแพทย์แล้วก็เจอเข้ากับฉากเลือดกระจายเต็มจอ
"อี๋! ศพ!"
มุดเข้ามาหนักกว่าเดิมเมื่อฉากนั้นเป็นศพที่ทำออกมาซะเหมือนจริงจนน่าขนลุก
"กรี๊ด!"
"ตาม! จะมุดไปถึงไหนเนี่ย!"
"ก็มันน่ากลัว!"
"น่ากลัวแล้วดูทำไม"
"ก็มันสนุกอะ" ปากเถียงผม พลางยกมือขึ้นปิดตาแต่ก็แหวกนิ้วมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มี ก่อนจะหลับตาปี๋เพราะมีฉากที่ศพโผล่มาอีกที
"เลยฉากศพไปยัง"
"ไปแล้ว"
"ไม่หลอกนะ"
"ไม่หลอก" ผมบอกตามตรง ก่อนที่ตามจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง
"กลัวทำไม ก็รู้อยู่ว่าเป็นละคร"
"ก็มันทำเหมือนอะ"
"พอเราตาย เราก็กลายเป็นศพแบบนี้ เธอจะกลัวไหม"
"กลัวดิ! เธอเป็นผีนะ!"
ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่ตามจะหันไปดูซีรีส์ต่อแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมขาราวกับว่ามันจะปลอดภัยถ้าผีจะโผล่มาตอนนี้ ตามเป็นลูกหมูตัวโตที่ขี้กลัวไปซะทุกอย่าง ทั้งกลัวเลือด กลัวเข็ม กลัวผี กลัวแมงมุม กลัวตุ๊กแก ร่างกายอ่อนแอ แพ้ขนหมา รวมอยู่ในคนๆ เดียวทั้งหมดแบบไม่แบ่งใคร ตอนพระเจ้าสร้างตามคงลืมที่จะใส่ความเท่มาให้บ้าง หรือไม่บางทีพื้นที่ในร่างกายคงไม่เหลือพอ เพราะพระเจ้าเทความน่ารักอัดแน่นจนล้นไปหมดแล้วมั้ง ผมยิ้มนิดๆ ก่อนยกมือหยิกแก้มพองของตามเบาๆ อีกคนก็จับมือผมไปกุมเอาไว้ให้คลายความกลัว...
แบบนี้อุ่นใจดีนะ ...
วันสอบสัมภาษณ์กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ เย็นวันนี้นักศึกษาทั้งหมดที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ถูกอาจารย์ในคณะเรียกไปเพื่อแจ้งเปลี่ยนกฎการสอบสัมภาษณ์จากภาษาฝรั่งเศสไปเป็นภาษาอังกฤษ แม้เราทั้งหมดจะทักท้วงว่ามันกะทันหันจนกว่าจะเตรียมตัวได้ทันแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะทางคณบดียื่นคำขาดมาแบบนั้น จึงได้แต่โอดครวญไม่เป็นภาษาตอนที่ออกมาจากห้องพักอาจารย์ ด้วยเหตุผลเดียวกันทั้งหมดว่าถึงแม้ทักษะทางภาษาฝรั่งเศสของเราจะดี ก็ใช่ว่าความสามารถในภาษาอังกฤษจะดีไปด้วย โดยเฉพาะกับผม มุ่งมั่นแต่กับวิชาเอกมาโดยตลอด ภาษาอังกฤษแค่พอไปวัดไปวา ให้มาด้นสดสอบสัมภาษณ์ โอกาสก็คงพลิกเป็นศูนย์ หรือไม่ก็อาจจะติดลบด้วยซ้ำ
"ไม่เข้าใจเลย ทุนไปฝรั่งเศสดันให้สอบภาษาอังกฤษ ทำไมไม่สัมภาษณ์เป็นภาษาญี่ปุ่นไปเลยล่ะ"
"แล้วมาบอกเอาวันสุดท้าย ใครจะไปเตรียมตัวทันวะ"
"กูสละสิทธิ์เลยก็แล้วกัน ไม่สงไม่สัมมันละ"
"กูว่านะ ทุนนี้มันอาจจะไม่ได้มีเพื่อเรามาตั้งแต่แรกว่ะ" เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนปรายสายตาไปยังพี่นัทที่ยืนอยู่ห่างๆ เขาเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่ยื่นทุนนี้และมีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ด้วย ทุกคนในเอกรู้ดีว่าพี่นัทพูดภาษาอังกฤษได้ดีขนาดไหน เพราะปีที่แล้วที่ดรอปเรียนไปก็เพราะได้ทุนมหาลัยไปเรียนที่อังกฤษตั้งหนึ่งปี งานนี้เราทั้งหมดคงผิดหวัง เพราะมีผู้ชนะตั้งแต่ยังไม่ได้แข่งด้วยซ้ำไป
"กลับกันเหอะ"
ผมพยักหน้ารับเพื่อน ก่อนเราจะแยกกันตรงนั้น เดินเรื่อยเปื่อยคิดอะไรเพลินๆ ออกมาจากตึกคณะก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวมันเบาๆ แปลกๆ
"เวร ลืมกระเป๋า" สบถกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินย้อนกลับเข้าไปในตึก แต่ก่อนที่ผมจะเข้าไปยังห้องพักอาจารย์ ก็เห็นพี่นัทกับอาจารย์ในเอกและรองคณบดีคณะบริหารฯ ที่เป็นแม่ของพี่นัทยืนคุยกันอยู่ตรงนั้น
"ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ"
"ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ธนัทเขาเก่งอยู่แล้ว ได้ใช้ความสามารถของตัวเองแน่นอนค่ะ"
ดูเหมือนการเปลี่ยนกฎกะทันหันคงไม่ใช่ความคิดเห็นของคณบดีคณะผม แต่เป็นรองคณบดีคณะอื่นที่เข้ามาก้าวก่ายอย่างไม่เป็นธรรม ข่าวลือของปีที่แล้วที่เล่ากันว่าพี่นัทได้ทุนมหาลัยเพราะอำนาจของแม่ก็ดูจะเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเข้าใจดีว่าเรื่องเส้นสายกับสังคมเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ทำไมต้องเป็นพี่นัท...ทำไมต้องเป็นเขาด้วย
ผมเดินผ่านคนพวกนั้นเข้าไปหยิบกระเป๋าโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก่อนที่จะเดินออกมากลับถูกพี่นัทเรียกเอาไว้ก่อน
"แสงเทียน"
ผมหันไปมอง ไม่ได้ยินดีนักที่จะมีบทสนทนาด้วยจึงแสดงออกผ่านใบหน้าขุ่นเคือง
"พรุ่งนี้สัมภาษณ์แล้ว พร้อมหรือเปล่า"
"พร้อมมาตลอดก่อนที่จะมีคนโกง"
พี่นัทดึงแขนผมให้ก้าวเท้าออกไปให้พ้นหน้าห้อง เพื่อที่จะได้แสดงความเป็นตัวเองออกมา เปลี่ยนใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่เป็นแววตาดุดันพลางแสยะยิ้ม
"โกงตรงไหน เขาก็วัดกันที่ความสามารถ"
"ความสามารถที่แม่พี่สร้างให้เหรอครับ"
"คนอย่างพี่ ถ้าอยากได้อะไรจริงๆ ก็แย่งมาได้ทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าแสงเก่งจริง ก็มาแข่งกันสิ"
ผมเลียนแบบใบหน้าแสยะยิ้ม หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วโต้ตอบด้วยความโกรธแค้น
"ไม่ล่ะครับ ยกให้"
"..."
"พี่นัทได้ทุนก็ดีเหมือนกัน พี่จะได้ไปไกลๆ ส้นตี..."
"..."
"หมายถึงไปเรียนไกลๆ น่ะครับ ยินดีด้วยล่วงหน้านะครับ" ทั้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ไม่อยากนั้นคงได้กระโดดถีบใครสักคนเพื่อระบายความโมโห เหมือนไฟค่อยๆ ลุก พรึบพรับในทุกจังหวะที่สับขาเดิน ความโมโหไม่ลดลงแม้แต่ขีดเดียวจนกระทั่งผมเดินมาถึงหอตาม เปิดประตูเข้าห้องแล้วเผลอกระแทกสุดแรงตอนปิด จนคนข้างในสะดุ้งเฮือก ปากที่กำลังเคี้ยวอาหารหยุดชะงักหันมองผมตาโต
"เป็นอะไร"
"โมโห!"
ตามรีบทิ้งอาหารในมือ ก่อนลุกขึ้นเดินเข้ามา อ้าแขนพร้อมจะกอด ผมได้แต่ทำหน้าบูด โต้ตอบอ้อมกอดนั่นแต่ก็ยังอารมณ์เสีย ตามรู้ว่าอารมณ์ของผมยังไม่ลงมาคงที่ จึงทั้งกอดทั้งจูบ ลูบหัวให้ใจเย็น จนกระทั่งผมรู้สึกดีขึ้น
"ที่รักของเราเป็นอะไร"
"โกรธแล้วพาลไปหมด"
"ใครทำอะไรเธอ"
"เรื่องทุนน่ะ" ตามเปิดโอกาสให้ผมเล่า ผมก็ใส่ทุกอารมณ์ที่มีผ่านคำอธิบายถึงสาเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวนั้น ไม่ลืมที่จะพูดถึงพี่นัทซึ่งเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมโมโหมากที่สุด
"แม่พี่นัทต้องเป็นคนบอกให้เปลี่ยนการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษแน่ๆ "
"อาจจะไม่จริงก็ได้ อย่าเพิ่งพูดไป เธอไม่มีหลักฐาน คนอื่นเขาอาจจะว่าเธอคิดเองก็ได้"
"มันชัดซะขนาดนั้น"
"แล้วเธอจะไปสัมภาษณ์หรือเปล่า"
"ไปให้แพ้เหรอ โคตรเกลียดมันเลย!"
"อย่าโกรธเลยนะ"
"จะโกรธ!" ผมหันไปโวยตอนที่ตามแย้งไม่หยุด มันก็ฟังดูมีเหตุผลแหละ เพียงแค่มันไม่ถูกใจผม เพราะผมไม่ชอบที่ตามมองไม่ออกว่าคนๆ นั้นมันไม่ใช่คนดีอย่างที่ตามคิด
"เธอคิดว่าเราเกลียดเราโดยไม่มีเหตุผลเหรอ"
"ก็ไม่ได้ว่าเธอ"
"เธอไม่รู้จักเขาดีพอ"
"ก็เลยไม่ตัดสินไง"
"นี่เธออยู่ข้างใครกันแน่เนี่ย!"
"ก็อยู่ข้างเธอนี่ไง!"
กลายเป็นผมที่เงียบเพราะตามโต้ตอบด้วยเสียงที่ดังกว่า ก่อนสองมือของตามจะยกขึ้นกอดผมเอาไว้ แล้วย้ำอีกครั้ง
"อยู่ข้างๆ เธอนี่แหละ"
"..."
"ไม่โมโหแล้วนะที่รัก"
"..."
"ไม่น่ารักเลย"
ด้วยริมฝีปากที่กดเข้ามาเบาๆ ที่หน้าผากของผม อารมณ์ขุ่นเคืองจึงถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางๆ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพาลใส่ตามอย่างไร้เหตุผล ได้สติจึงพยักหน้ารับ ขอโทษเขาหนึ่งครั้งที่เกือบทำให้ความรู้สึกต้องพังเพราะความใจร้อนของตัวเอง
"เอาไว้เดี๋ยวเราพาเธอไปเอง เราจะทำงานเก็บเงินเยอะๆ เลย ไปเที่ยวด้วยกันอย่างที่เคยสัญญาไว้ไง"
"รอบโลกเลยนะ"
"อื้อ รอบโลกเลย ไปดาวอังคารด้วยก็ยังได้"
"บ้า" ผมยกมือทุบตามเบาๆ ก่อนตามจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วดึงผมเข้าไปนอนหนุนแขน
"ยังมีเรื่องต้องทำด้วยกันอีกเยอะเลยเนอะ"
"นั่นสิ กี่ปีถึงจะพอนะ"
"สิบปี"
"ไม่น่าพอ"
"ยี่สิบ"
"ต้องมากกว่านั้น"
"ห้าสิบ"
"ขออีกนิดหนึ่ง"
"จะเอาเท่าไร"
ผมพลิกตัวขึ้น ยันตัวเองเอาไว้ด้วยสองแขนเพื่อจะได้มองหน้าตามที่นอนอยู่ข้างๆ ยิ้มกว้างแล้วถามหนึ่งคำถามออกไป
"ตลอดไปได้ไหม"
ตามพยักหน้ารับแล้วตอบกลับในทันที ด้วยประโยคนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่า แม้บางครั้งผมจะทำตัวไม่ดีไปบ้าง และชีวิตก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเท่าไรนัก แต่การที่มีตามอยู่ด้วยมันทำให้ผมนั้น...ได้กลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก
"เราให้เธอได้ทั้งชีวิตเลย" ...
เมื่อคืนผมกลับมานอนที่บ้าน เช้านี้เลยได้กินข้าวเช้ากับสายป่านที่กำลังงอแงขอให้ผมพาไปดูหนังวันหยุดนี้
"หนูชวนพ่อแล้วแต่พ่อบอกว่าไม่ชอบหนังการ์ตูน แม่ก็บอกว่าไม่ว่าง แต่หนูอยากดูมากเลยนะ พี่แสงพาหนูไปนะ"
"พาไปแล้วพี่จะได้อะไร"
"หนูจะไม่ดื้ออีกต่อไปเลย"
"เห็นพูดอย่างนี้ทุกที"
"คราวนี้พูดจริง!" ดวงตากลมมองผมด้วยความอ้อนวอน พยักหน้าหงึกๆ ยกมือเกาะแขนแล้วเขย่าเบาๆ เรื่องความอ้อนนี่ไม่มีใครเกิน สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือการตามใจน้องอย่างที่เป็นมาตลอด
"ก็ได้ เดี๋ยววันเสาร์พี่พาไป"
"เย้!" ทำท่าดีใจแล้วตักข้าวใส่ปากไปหนึ่งคำ ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากใช้งาน
"ไปหยิบน้ำให้พี่หน่อยสิ"
"เรื่องอะไร พี่แสงอยู่ใกล้กว่าก็ไปหยิบเองสิ"
"หนูจะไม่ดื้ออีกต่อไปเลย" ผมแกล้งเลียนแบบประโยคที่สายป่านเมื่อครู่ ก่อนที่อีกคนจะย่นจมูกใส่แล้วรีบลุกไปหยิบน้ำมาเทใส่แก้วให้เรียบร้อย ก่อนที่แม่จะเข้ามาเร่งให้สายป่านรีบกินข้าวเพราะน้องต้องไปโรงเรียนพร้อมกับพ่อที่เตรียมตัวเสร็จแล้ว ส่วนผมไม่ได้รีบร้อนอะไร กินเสร็จก็มีเวลาพอที่จะช่วยแม่ล้างจานก่อน เสร็จจากตรงนั้นก็เดินออกมาหาแม่ที่กำลังยืนชงกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ เพื่อไปส่งให้ป้าอุ่นที่เป็นลูกค้าประจำของร้าน
"จะไปแล้วเหรอแสง"
"เสร็จยัง เดี๋ยวแสงไปส่งเอง"
"เหลืออีกสองแก้ว เดี๋ยวแม่ไปส่งเองก็ได้ แสงไปเถอะ"
"ไม่เป็นไร รอได้"
"จะสายเอานะ"
"ไม่สายหรอกน่า" ผมว่าก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ มองดูแม่ที่กำลังเร่งมือชงกาแฟ ความรีบร้อนของแม่อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุอะไรก็ได้ เพราะแม่เป็นคนซุ่มซ่ามที่หนึ่ง เห็นว่าแม่กำลังรีบเกินกว่าเหตุเลยต้องออกปากบ่น
"ไม่ต้องรีบขนาดนั้น เดี๋ยวก็ทำแก้วแตกอีกหรอก"
"ขี้บ่นน่า"
"ร้านเราไม่เหลือกำไรเพราะต้องเอาเงินไปซื้อแก้วใหม่ แม่รู้ตัวไหม"
"ใครบอก กำไรเยอะจะตาย"
"ถ้าเงินเหลือเยอะก็เอาไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่บ้างสิ เมื่อไรจะเลิกใส่ตัวนี้สักที" ผมบ่นเรื่อยไปยังเรื่องอื่น เพราะเสื้อผ้าที่แม่ใส่มักจะมีแต่ตัวเดิมๆ แม่เป็นคนที่แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อยืดตัวหลวมๆ กับกางเกงขายาวสีพื้นๆ ผมไม่เคยเห็นแม่แต่งหน้า แต่แม่เป็นคนตัวขาว ผิวพรรณดี และมีใบหน้าที่ก็ดูอ่อนกว่าวัยแม่จึงสวยอยู่เสมอในสายตาของผม
"เสร็จแล้ว"
ผมรับกาแฟสี่แก้วมาจากแม่ แล้วบอกลากันอย่างทุกวัน
"แสงไปก่อนนะแม่"
"จ้า ตั้งใจเรียนนะลูก"
"ครับ" รับคำแม่แล้วเดินออกจากร้านตรงไปยังออฟฟิศป้าอุ่นที่อยู่ไม่ไกลมาก ป้าอุ่นเป็นลูกค้าที่อุดหนุนแม่มาตั้งแต่เปิดร้านใหม่ๆ รู้จักผมดีเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ประตูออฟฟิศเปิดเอาไว้อยู่แล้วผมจึงเดินเข้าไป ไม่ทันจะเอ่ยปากเรียกป้าอุ่นก็เดินออกมาพอดี
"อ้าวแสง วันนี้มาเองเลยเหรอลูก"
"ครับผม" ผมตอบรับแล้ววางกาแฟไว้บนโต๊ะ
"นี่กำลังจะไปเรียนเหรอ"
"ใช่ครับ"
"ปีสุดท้ายแล้วสิ เดี๋ยวก็สบายแล้วเนอะ ทั้งเก่งทั้งขยันแบบแสง อนาคตดีแน่นอน"
ผมพยักหน้ายิ้มๆ รับป้าอุ่นที่คอยออกปากชื่นชมผมอยู่เสมอ มันก็เป็นคำชมที่ทำให้ผมภาคภูมิใจในตัวเองอยู่บ้าง แต่เล่นชมทุกครั้งที่เจอหน้ามันก็ทำเอาเขินแปลกๆ เหมือนกัน
"เออแสง เมื่อคืนป้าลองอบขนม ทำตามสูตรในหนังสือน่ะ ลองผิดลองถูกแต่ว่าพอกินได้ แสงลองชิมดูสิ" ไม่รอให้ผมตอบรับอะไร ป้าอุ่นหันหลังไปหยิบขนมปังชิ้นหนึ่งแล้วมายื่นให้ถึงปาก ผมก็เลยต้องกัดเข้าไปหนึ่งคำแต่ปรากฏว่ามันอร่อยเลยเผลอทำตาโตมองป้าอุ่น
"เป็นไง"
"อร่อยครับ"
"เอาไว้ป้าทำเก่งๆ จะไปฝากขายที่ร้านแม่เรานะ"
"มาเลยครับ ต้องขายดีแน่นอน"
"งั้นเอาไปกินอีกชิ้นสิลูก"
ผมไม่ได้ปฏิเสธตอนที่ป้าอุ่นยื่นขนมปังให้อีกชิ้น เป็นขนมปังไส้กรอกที่เห็นแล้วนึกถึงตาม รสชาติแบบนี้ตามต้องชอบมากแน่ๆ จึงคิดจะเก็บเอาไปฝาก ผมบอกลาป้าอุ่นก่อนจะเดินออกมานอกร้านไปยังป้ายรถเมล์ แต่ในระหว่างนั้นก็ต้องหยุดชะงักเพราะเจ้าหมาโกลเด้นท์ตัวใหญ่ที่รู้จักเข้ามาทักด้วยการพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว
"โฮ่ง!"
ผมนั่งลงทักทายหมาตัวใหญ่ที่กำลังดมตรงนั้นที ตรงนี้ที
"ยู่ เดี๋ยวเสื้อพี่แสงก็เลอะหมดหรอก" ลุงหมีเจ้าของหมา ดุยู่หน่อยๆ แล้วดึงเชือกที่รัดคอให้เจ้านี่ถอยห่างผมไปนิดหนึ่ง แต่เจ้าตัวดูท่าจะไม่ยอม เพราะปกติยู่จะได้ของกินจากผมเป็นอาหารว่างอยู่เสมอ ตอนนี้สายตาคู่นั้นก็กำลังมองมายังขนมปังไส้กรอกในมือ
ไม่ อันนี้ของพี่ตาม"เอาไส้กรอกไปก็แล้วกัน"
ผมแพ้ดวงตาใสปิ๊งของเจ้าหมาโกลเดนท์หน้าเด๋อจึงยอมจำนน แกะไส้กรอกจากขนมปังให้ยู่ก่อนที่จะถึงตาม แล้วดูเหมือนว่ารสชาติจะถูกใจ กินเสร็จก็เอาหน้ามาคลอเคลียน่ารักน่าเอ็นดู
"ไว้วันหลังเอามาให้อีกนะ" ผมลูบหัวยู่สองสามทีแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนที่ลุงหมีจะเอ่ยปากชวนพูดคุย
"กำลังจะไปเรียนเหรอแสง"
"ใช่ครับ"
"กินข้าวเช้าหรือยัง เอานมไปกินสิ"
"ครับ?"
"เอารสอะไร สตรอว์เบอร์รี่ไหม" ลุงหมีถามเองตอบเอง พลางล้วงถุงในมือแล้วหยิบนมให้ผมกล่องหนึ่ง
"ไม่เป็นไรครับลุง ผมกินข้าว..."
"เอาไปเถอะน่า"
"ไม่เป็นไรครับ..."
"เอาไว้เผื่อหิวตอนนั่งเรียนไง"
"แต่ลุงครับ..."
"เอาไป" ลุงหมีทำเสียงดุเหมือนตอนดุยู่ แล้วยัดนมกล่องนั้นใส่กระเป๋าเสื้อนักศึกษาของผม ตบไหล่เบาๆ สองทีก่อนจะพายู่เดินออกไป ผมได้แต่ขอบคุณลุงหมีอีกที โบกมือลายู่แล้วเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ทีแรกก็คิดว่าจะไม่สาย แต่ทำไปทำมาเหลือเวลาอีกไม่นานซะแล้ว ในตอนที่กำลังยืนรอรถเมล์ก็ถูกสะกิดเรียกจากคนที่ไม่รู้จัก
"หนู ป้าจะไปโรงพยาบาลนี้ เรียกแท็กซี่แต่ไม่มีคันไหนรับเลย ป้านั่งรถเมล์ไปได้ไหม"
ผมก้มมองชื่อโรงพยาบาลที่ถูกจดใส่เศษกระดาษด้วยลายมือโย้เย้และถูกกำจนยับย่น โรงพยาบาลนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากตรงนี้ ถ้าจะโดยสารด้วยรถเมล์ก็ค่อนข้างนานและไม่มีสายไหนตรงไปถึงที่นั่น การต่อรถค่อนข้างจะซับซ้อน ผมชี้ตัวเลขที่แสงสายรถเมล์บนป้ายให้ป้าดู และพยายามจะอธิบายช้าๆ ให้ป้าฟัง
"ป้าขึ้นรถเมล์สายนี้นะครับ แล้วไปลงที่หน้าโรงเรียนใหญ่ๆ โรงเรียนจะอยู่ซ้ายมือนะครับ แล้วก็ข้ามไปอีกฝั่ง ขึ้นรถเมล์สีส้มๆ สังเกตป้ายหน้ารถมันจะบอกทางไป..."
ผมหยุดคำอธิบายไว้กลางคัน เพราะใบหน้าของป้าดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดสักนิดเลย ก่อนที่อีกคนจะล้วงกระเป๋าหาปากกาขึ้นมาจดลงบนฝ่ามือตัวเอง
"ขออีกทีได้ไหมลูก ป้าต้องขึ้นรถเมล์สายไหน..."
"เอางี้ครับป้า เดี๋ยวผมไปส่ง"
เป็นการตัดสินใจในนาทีนั้นจนลืมคิดไปว่า ถ้าไปส่งป้าถึงโรงพยาบาลนั่นผมคงเข้าเรียนไม่ทันแน่ๆ แต่ความเดือดร้อนของคนตรงหน้าทำให้ไม่อาจมองข้าม รถเมล์ที่จะต้องไปมาถึงพอดี ผมจึงจูงมือป้าขึ้นไปโดยไม่ได้สนเรื่องอื่น
"ป้าจ่ายค่ารถให้นะจ้ะ"
"ไม่เป็นไรครับป้า"
"ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าจ่ายให้เอง หนูมีน้ำใจมาส่งป้า ช่างใจบุญเหลือเกิน"
ผมได้แต่ยิ้มนิดๆ ด้วยความเคอะเขิน ก่อนที่ป้าจะเป็นคนจ่ายเงินค่ารถให้ผม ในระหว่างทางผมก็เป็นฝ่ายชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยจึงได้ความว่า ลูกสาวของป้าที่ทำงานอยู่ที่นี่เกิดป่วยกะทันหันและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ได้ข่าวก็เลยรีบมาหาลูก ด้วยไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นก็เลยต้องมาคนเดียว เรื่องราวของป้ามันทำให้ผมรู้สึกว่า จะโดดเรียนสักคาบก็คงไม่เป็นไรหรอก
ผมมาส่งป้าจนกว่าจะได้เจอหน้ากับลูกสาว โชคดีที่อาการป่วยของลูกป้าดีขึ้นมากแล้วก็เลยหายห่วงขึ้นมาได้บ้าง ผมได้รับการตอบแทนเป็นคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกจนใจผมมันล้นไปด้วยความเอิบอิ่มยินดี ก่อนที่จะเดินออกมาจากโรงพยาบาลนั้น ตั้งใจจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา แต่ปรากฏว่าหน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่ได้รับสายเกือบสิบสาย เก้าในสิบคือเบอร์ของตามที่ทำเอาผมต้องรีบโทรกลับ ปลายสายกดรับในแทบจะทันที
(เธออยู่ไหนเนี่ย! เพื่อนเธอโทรมาบอกว่าเธอไม่ได้เข้าเรียน โทรไปก็ไม่รับ แม่เธอบอกว่าเธอออกมาแล้ว นี่เป็นอะไรหรือเปล่า)
"ใจเย็นๆ" ผมต้องยับยั้งอารมณ์ของตามเอาไว้ขณะที่รัวคำถามใส่ไม่เว้นวรรค
(แล้วอยู่ไหน)
"กำลังจะไปมหาลัยแล้ว เดี๋ยวเจอกันจะเล่าให้ฟัง"
(ได้ เราเรียนเสร็จแล้วจะไปหาที่คณะ)
"ครับๆ" ผมตอบรับตาม แล้วเดินออกมารอรถเมล์เพื่อกลับไปมหาลัย ด้วยเส้นทางนี้ห่างไกลกับมหาลัยคนละฟากฝั่ง ซ้ำรถยังติดยาวทำเอาถึงมหาลัยอีกทีก็เกือบจะเที่ยง ผมตรงไปยังโรงอาหารคณะที่เพื่อนบอกว่ารออยู่ที่นั่นแล้ว เดินไปถึงก็เห็นลูกหมูสวมเสื้อช็อปวิศวะสีแดงเด่นสะดุดตากว่าใครเพื่อนนั่งรออยู่ตรงนั้นด้วย
"ไงไอ้แสง มึงหายหัวไปไหนมา"
"ฟังกูก่อนเพื่อน"
"แล้วเราโทรไปทำไม่ไม่รับ"
"ใจเย็นที่รัก"
ยกมือเบรกทั้งเพื่อนทั้งแฟนที่รุมถามไม่เปิดโอกาสให้อธิบาย ไม่คิดว่าการหายไปของผมแค่สองสามชั่วโมงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปซะได้ ผมจึงต้องอธิบายให้ทุกคนฟังตั้งแต่ต้นจนจบแบบละเอียดยิบ
"มึงก็ใจดีเหลือเกิน ยอมโดดเรียนไปส่งเขาเนี่ย"
"ถ้ากูไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยเขาวะ"
"เออ! ไอ้พลเมืองดี แต่ตัวเองกำลังเดือดร้อนนะ รู้ตัวไหม"
"ทำไมวะ"
"มึงลืมใช่ไหมว่าวันนี้มีควิซ"
"ฉิบหาย!" นึกขึ้นมาได้ตอนที่สายไปแล้ว ผมลืมเรื่องควิซไปสนิท ห้าคะแนนดิบไม่หารปลิวหายไปแล้วต่อหน้าต่อตา หมายความว่ามีโอกาสที่ชวดเกรดเอได้เลยนะนั่น
"ไงล่ะ ชอบพาตัวเองไปยุ่งเรื่องของคนอื่นดีนัก"
"เออ ครั้งสุดท้ายแล้ว จะไม่ยุ่งเรื่องของใครอีกแล้ว"
"พูดแบบนี้ทุกที" ตามว่าพลางส่ายหน้ายิ้มๆ จนผมต้องขยับเข้าไปซบไหล่แล้วทำเสียงอ้อน
"ที่รักกำลังช้ำ อย่าตอกย้ำให้เจ็บกว่านี้"
ตามหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือเคาะหัวผมสองสามที
"ไม่เป็นไร ทำดีแล้ว"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปสนใจเพื่อนที่กำลังเปลี่ยนเรื่องคุย
"เออ เย็นนี้เพื่อนในชมรมนัดเจอกันว่ะ พี่พลมาหา บอกว่าจะพาไปเลี้ยงเหล้า"
"พี่พลมาเหรอ" ผมเด้งหัวที่ซบตามขึ้นมาหลังจากได้ยินชื่อนั้น พี่พลเป็นรุ่นพี่ในคณะที่จบไปแล้ว รวมถึงเป็นอดีตประธานชมรมอาสาพัฒนาชนบทที่ผมเป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย เป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพรักมาก ความดีใจแสดงออกนอกหน้าตอนที่รู้ว่าพี่พลกลับมาหา
"มึงไปใช่ไหมเย็นนี้"
"ไปดิ ไม่เห็นต้องถาม"
"ถามเหอะ ถามคนข้างๆ มึงก่อน"
ผมหันมองตามที่กำลังทำสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเพื่อนหันมองก็ฝืนยิ้มออกมาบางๆ เพราะตามไม่ค่อยชอบเวลาที่ผมจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านเหล้า แต่ผมมีเพื่อนต่างคณะค่อนข้างเยอะทั้งที่รู้จักกันในชมรมและกิจกรรมต่างๆ ที่ชอบเข้าร่วม และการนัดเจอกันมันก็มักจะไม่พ้นร้านเหล้าซึ่งทำให้ตามไม่พอใจอยู่เสมอ