ตอนที่ 15: เมสเสจก่อนนอน
“ยังไงก็รีบพากันเข้าบ้านมาคุยให้เรียบร้อยก่อนเถอะครับคุณอ้อม ดึกๆแบบนี้ยุงมันชุม”เสียงลุงพงษ์ร้องบอกมาจากหลังรั้วแล้วก็กอดไหล่คนตัวเล็กที่เหลียวหลังมามองผมอย่างเป็นห่วงพลางหันกลับเข้าบ้าน หลังจากที่ผมเล่าให้ทุกคนฟังว่าแผลบนหน้าผากมาจากอะไรแม่ก็ขอออกมาตรวจความเสียหายของรถ หลังวนเดินดูรอบๆแล้วแม่ก็เงยหน้าขึ้นมองผมแว่บหนึ่ง ตอนแรกผมคิดว่าแม่จะพูดอะไรด้วย แต่กลายเป็นว่าแม่แค่ปั้นหน้าเรียบแล้วเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ผมเลยรีบฉุดแขนมุ้ยที่เดินออกมาดูรถด้วยไว้ก่อนจะเดินตามแม่ผมไป
“ทำไมแม่เรามาอยู่นี่ได้วะมุ้ย แล้วพ่อของนะด้วย แล้วนี่เค้าคุยอะไรกันไปบ้างรึยัง?”
มุ้ยมองผมแล้วก็ยิ้มแหยๆ “ก็...ชั้นก็ไม่รู้นะว่าวันนี้มันฤกษ์ราหูเข้าดาวเสาร์แทรกหรืออะไร แต่ว่าลุงพงษ์ดันกลับมาจากต่างจังหวัดหลังแกโทรมาบอกว่าตามน้องนะเจอแล้วจี๊ดดดดเดียว ทีนี้อาจารย์เค้าเลยเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้ชั้นก็เป็นห่วงว่าเดี๋ยวแกกลับมาจะโดนลุงพงษ์คาดคั้นเลยโทรให้น้าอ้อมมาอยู่ด้วย อย่างน้อยฝั่งเราก็จะได้นับว่ามีผู้ใหญ่เหมือนกันไง”
มุ้ยอธิบายเสียงอ่อยๆแล้วก็เหลือบมองผมอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่พอได้ยินคำอธิบายแล้วผมกลับรู้สึกเหนื่อยใจมากกว่าโกรธ ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจตรรกกะของเพื่อน แล้วก็รู้ด้วยว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่ไม่รู้ว่าพอเป็นแบบนี้แล้วเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่หรือเปล่าน่ะสิ
ผมถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวเดินตามแม่ไป ยายเพื่อนตัวดีเลยรีบจ้ำตามมายื้อแขนผมไว้แล้วทำเสียงน่าสงสาร “เฮ้ยๆๆ แกอย่าโกรธชั้นนะอ๊อฟ ที่จริงทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ก็ดีนะ จะได้คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยไง น้าอ้อมน่าจะช่วยพูดให้แกอยู่แล้วแหละ”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องของเรากับนะทำให้ผู้ใหญ่ลำบากใจกันขนาดนี้”
ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ เพราะผมเชื่อว่าการที่เราคบกับใครมันก็เป็นเรื่องของเราสองคน แต่ในเมื่อพวกพ่อแม่รับรู้กันแล้วอย่างนี้ จะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ได้
มุ้ยตบบ่าผมอย่างให้กำลังใจก่อนพวกเราจะพากันเข้าไปในบ้าน พอเปิดประตูมุ้งลวดออกก็เห็นว่าลุงพงษ์กับอาจารย์วรรณีนั่งขนาบลูกชายตัวเองอยู่บนโซฟายาวในห้องรับแขก ผมเลยเดินไปนั่งลงข้างๆแม่ที่โซฟาสั้นฝั่งตรงข้าม ส่วนมุ้ยก็นั่งลงที่เก้าอี้เดี่ยวที่ตั้งอยู่ใกล้กัน
ไม่มีใครพูดอะไรก่อนอยู่เป็นนาน ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์แบบนี้ผมควรเป็นฝ่ายพูดอะไรก่อน หรือว่ารอให้พ่อแม่ของนะพูดก่อนถึงค่อยตอบโต้กันแน่ แต่ผมก็ขยับนั่งตัวตรงโดยสัญชาติญาณทันทีที่เห็นลุงพงษ์อ้าปากทำท่าจะพูด ทว่าเสียงที่ดังขึ้นก่อนกลับเป็นเสียงจากคนข้างตัวซะนี่
“ขอโทษนะคะ ก่อนจะมาว่ากันเรื่องตาอ๊อฟกับน้องนะ ชั้นมีเรื่องต้องคุยกับลูกก่อน”
ผมหันไปมองแม่อย่างงงๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนตีแขนดังเพียะ
“มันน่ามั้ย ฮึ!? มีเรื่องอะไรก็ไม่เคยบอกให้แม่รู้ แล้ววันนี้ยังขับรถประมาทจนเจ็บตัวอีก ใจคอจะให้แม่หัวใจวายให้ได้เลยใช่มั้ย ว่าไงอ๊อฟ!?”
แม่หันมาเอ็ดผมเสียงเขียว ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะโดนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกผมเลยอ้ำๆอึ้งๆ “ไม่ใช่นะแม่ ฟังอ๊อฟก่อนสิ…”
“นี่ดีนะว่าโดนแค่หัวแตก ถ้าหากมันกลับตาลปัตรเป็นรถคว่ำหรือประสานงากับคนอื่นจนเป็นอะไรรุนแรงกว่านี้จะทำยังไง ไม่อยากมาเผาผีแม่แล้วใช่มั้ย ใช่สิ เดี๋ยวนี้โตแล้ว ไม่ต้องพึ่งแม่แล้วนี่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากตัดสินใจอะไรเองก็ได้แล้ว แม่คงผิดเอง เลี้ยงลูกมาไม่ดี ลูกมันเลยไม่เห็นหัว”
แม่เล่นใส่เอาๆจนผมเริ่มมึน เพราะปกติแม่ไม่ใช่คนชอบใช้อารมณ์เลยทำให้ไม่รู้จะแทรกยังไง แต่พอได้ยินคำตัดพ้อท้ายประโยคผมก็เงียบต่อไม่ได้
“เฮ้ย! แม่พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ อ๊อฟเคยคิดแบบนั้นที่ไหน ยังไงแม่ก็สำคัญที่สุดสำหรับอ๊อฟอยู่แล้ว”
“จริงด้วยค่ะน้าอ้อม ถึงอ๊อฟมันจะหัวช้าไปบ้าง แต่มุ้ยก็คิดว่าซื่อๆอย่างมันเนรคุณไม่เป็นหรอกค่ะ”
ผมหันกลับไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวดีที่ชอบสอดไม่ดูกาลเทศะก่อนจะหันกลับไปกอดไหล่แม่ไว้ อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันดูผิดที่ผิดทางชอบกล ทั้งที่ตอนนี้ผมควรจะโดนลุงพงษ์กับอาจารย์วรรณีซักไซ้ไล่เลียง แต่กลับกลายเป็นว่าผมต้องมานั่งง้อแม่ตัวเองให้ครอบครัวของแฟนดูไปซะฉิบ
“เอ่อ...พี่อ๊อฟไม่ผิดหรอกฮะ นะต่างหากที่จู่ๆก็หายไป พี่อ๊อฟเลยต้องเจ็บตัวเพราะไปตามหา”
พ่อหนูน้อยของผมเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น ร่างอวบน้อยๆในอ้อมแขนผมเลยหันกลับไปยิ้มอย่างใจดีให้จนผมตามแทบไม่ทันว่าทำไมแม่ตัวเองถึงเปลี่ยนอารมณ์ได้ฉับพลันทันใจขนาดนั้น
“น้องนะไม่ผิดหรอกลูก อ๊อฟน่ะใจร้อนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมมีอะไรก็ชอบเก็บเงียบเอาไว้คนเดียว ถ้าจะโทษว่าใครผิดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุวันนี้...ก็น่าจะลูกแม่คนเดียวนี่ล่ะ”
แม่ว่าแล้วก็หันมาค้อนใส่ ผมเลยกอดไหล่แม่แน่นเข้า “เอ้า! อ๊อฟผิดก็ได้ แม่ก็เลิกโกรธซักทีสิ”
สุดท้ายเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นจากคนที่อาวุโสที่สุดในวงสนทนา ผมอดหันไปมองลุงพงษ์ที่นั่งกอดอกฟังพวกเรามานานไม่ได้ ถึงแม้จะเคยเห็นสามีของอาจารย์ผ่านๆสมัยยังเรียนม.ปลาย แต่ผมก็ไม่เคยได้พูดคุยด้วยมาก่อนเลยไม่รู้ว่าพ่อของนะเป็นคนยังไง
“เอาล่ะ ผมคงต้องขอพูดอะไรบ้างในฐานะที่เป็นพ่อของคู่กรณี ผมยอมรับว่าช็อคพอสมควรที่กลับถึงบ้านปุ๊บก็เจอเซอร์ไพรส์แบบนี้เลย แต่อย่างน้อยเรื่องในวันนี้มานะก็มีส่วนผิด เพราะงั้นผมว่าคุณอ้อมก็ไม่ควรจะโทษลูกคุณอยู่ฝ่ายเดียว หรือมานะจะว่าไง?”
ท้ายประโยคลุงพงษ์หันไปถามคนตัวเล็กที่นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ ผ่านเรื่องนั้นไปก็มาว่าเรื่องของสองคนนี้กันบ้าง ใช่ว่าผมไม่เข้าใจว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป บ้านเราก็เลี้ยงลูกมาแบบประคบประหงมกันจริงๆ เป็นไปได้ว่าพอมานะไปอยู่กรุงเทพฯคนเดียวเลยเหงา แล้วพอดีว่า...”
ลุงพงษ์ตวัดสายตามาทางผมจนรู้สึกว่าตัวเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ “ชื่ออ๊อฟใช่มั้ยเราน่ะ?”
“ครับ”
“นั่นแหละ คงเพราะมานะเห็นว่าอ๊อฟเป็นรุ่นพี่ตั้งแต่สมัยม.ปลาย ก็เลยทำให้รู้สึกคุ้นเคยและวางใจ ทีนี้ก็เลยหลงเข้าใจว่าความรู้สึกแบบพี่น้องนี่เป็นความรู้สึกแบบอื่น”
ใบหน้าหวานหันขวับไปมองพ่อตัวเอง “ไม่ใช่นะพ่อ! ทำไมชอบเห็นนะคิดอะไรเป็นเด็กๆแบบนั้นอยู่เรื่อยเลยล่ะ”
“น้องนะ ให้พ่อเค้าพูดให้จบก่อนสิลูก”
อาจารย์วรรณีพูดเสียงอ่อนโยนแล้วก็จับมือเล็กข้างหนึ่งไว้ ผมเห็นนะตวัดสายตาขึ้นเหลือบมองแม่ตัวเองแล้วก็ก้มหน้าไม่สบตาจนผมอดเห็นใจอาจารย์ไม่ได้
“ชั้นเข้าใจที่คุณพงษ์พูดมานะคะ เพราะลูกเราก็เข้าไปเรียนในกรุงเทพฯตามลำพังกันทั้งคู่ เด็กๆคงจะเหงา ก็เลยเป็นไปได้ที่จะหลงไปอย่างที่ว่า”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับผมทันทีที่แม่พูดจบประโยค ดวงตากลมโตคู่สวยวูบไหวจนผมต้องรีบหันไปแก้ความเข้าใจผิดของคนข้างตัว
“แม่พูดอะไรแบบนั้นล่ะ! อ๊อฟไม่ได้เป็นคนแบบนั้นสักหน่อย”
“ไม่รู้ละ ว่าแต่น้องนะ แม่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”
แม่โบกมือไม่สนใจผมแล้วก็หันไปหาคนตัวเล็กที่เหลือบตามองผมนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“พูดกันตรงๆ อย่าโกหกนะ อ๊อฟบังคับให้เราไปอยู่ห้องเดียวกันหรือเปล่า ถ้าเกิดว่าน้องนะต้องลำบากใจมาตลอดก็บอกมาได้เลย แม่จะได้ให้อ๊อฟย้ายออกมา คุณพ่อคุณแม่เค้าจะได้สบายใจกว่าด้วย หรือน้องนะว่าไงลูก?”
ผมถึงกับผงะ นี่แม่เห็นผมเป็นพวกชอบบังคับขู่เข็ญไปแล้วหรือเนี่ย พอหันไปมองพ่อกับแม่ของคนตัวเล็กที่ทำท่าเงียบไปเหมือนเห็นด้วยก็ให้ร้อนใจขึ้นมาทันที แต่นะกลับยิงทะลุกลางปล้องออกมาก่อนผมจะทันอ้าปากเสียอีก
“พี่อ๊อฟไม่ได้บังคับ นะเป็นคนขอย้ายไปอยู่ด้วยเอง”!!!!????
“ตอนแรกพี่อ๊อฟห้ามแล้ว แต่นะรั้นเอง เพราะงั้นพี่อ๊อฟไม่จำเป็นต้องย้ายออกหรอกฮะ”
พ่อหนูน้อยของผมพูดเสียงนิ่งแต่ไม่ยอมหันมาสบตาจนผมขมวดคิ้ว ก็จริงอยู่ว่าตอนนั้นผมไม่ได้บังคับ (ถึงตอนถามจะรวบรัดแบบไม่ให้ปฏิเสธก็เถอะ) แต่เรื่องที่ว่านะเป็นคนขอมาอยู่ห้องเดียวกันเองนี่ยังไงก็แต่งขึ้นมาชัดๆ
ลุงพงษ์มองหน้าคนข้างตัวแล้วถามอย่างตกใจ “มานะ นี่พูดจริงหรือเปล่า?”
“อื้อ”
“ไม่จริงครับ”
ผมแทรกขึ้นทันที คนตัวเล็กหันมามองผมอย่างขัดใจแต่ผมส่งสายตาปรามไป ยังไงผมก็เป็นลูกผู้ชายพอ กล้าชวนเค้าให้มาอยู่ห้องเดียวกันได้ก็ต้องกล้ายอมรับกับพ่อแม่เค้าสิ จะให้นะโกหกเพื่อปกป้องผมได้ยังไงล่ะ
“ผมชวนนะให้มาอยู่ห้องเดียวกันเอง เพราะว่าอยากให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากขอให้เป็นอย่างนั้นต่อไปครับ”
ผมตัดสินใจไม่เล่าว่าเพื่อนร่วมคณะของคนตัวเล็กก็มีส่วนทำให้ผมชวนนะมาอยู่ด้วยกัน เพราะกลัวไอ้เชนมันจะมาทำก้อร่อก้อติกกับนะอีกหลังจากมาส่งที่หอเมื่อคืนนั้น แต่ขืนเล่าไปเดี๋ยวจะยิ่งทำให้เรื่องยาวกันเปล่าๆ
“ต่อให้วันนึงข้างหน้า...อะไรๆระหว่างพวกเธอสองคนอาจจะเปลี่ยนไปน่ะเหรอ?”
ผมหันกลับไปหาอาจารย์วรรณีที่เพิ่งยอมพูดด้วยเป็นประโยคแรกตั้งแต่ผมพานะกลับมา ใบหน้าของอาจารย์เรียบสนิทไม่แสดงอารมณ์อะไร ทว่าความแน่วนิ่งของแววตาและน้ำเสียงกลับทำให้ผมรู้สึกว่าอนาคตของเราสองคนขึ้นอยู่กับคำตอบของคำถามนี้อย่างบอกไม่ถูก
“นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตครับ แต่สำหรับตอนนี้ผมตั้งใจว่าจะคอยดูแลนะไปเรื่อยๆ แล้วก็มั่นใจว่าไม่มีใครดูแลน้องได้ดีกว่าผม”
ชั่ววูบหนึ่งผมเห็นประกายบางอย่างในแววตาหลังกรอบแว่นของอาจารย์ เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งหลังจากที่ผมพูดประโยคสุดท้ายออกไปเพราะไม่มีใครปริปากพูดอะไรอีกเลย ห้องทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงพัดลมคอสูงที่กำลังพัดส่ายไปมาชัดเจน
ลุงพงษ์ถอนหายใจก่อนจะกอดไหล่บางไว้หลวมๆ “พ่อยังยอมรับไม่ได้เท่าไหร่หรอกนะเรื่องที่พวกเราคบกันน่ะ ยังไงมานะก็เป็นลูกชายคนเดียว”
“พ่อ...” นะหันไปหาพ่อตัวเองเหมือนจะแย้ง แต่ลุงพงษ์ยกมือห้ามไว้ซะก่อน
“แต่มานะก็โตแล้ว ถ้าลูกเลือกคบใครแล้วมีความสุขพ่อกับแม่ก็คงห้ามไม่ได้ แล้วพ่อก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบวันนี้อีก เพราะถ้าใครคนใดคนหนึ่งเจ็บตัวหนักกว่านี้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายคงทนไม่ไหว หรือคุณอ้อมว่าไงครับ?”
ลุงพงษ์หันมาถามแม่ผม ซึ่งแม่ก็พยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ “ชั้นเข้าใจคุณพงษ์ค่ะ ตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน แต่ในฐานะที่เลี้ยงอ๊อฟมากับมือ ชั้นเชื่อว่าลูกพูดคำไหนคำนั้น แล้วแกก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะชักชวนใครไปทำเรื่องเสียหายแน่นอน ส่วนเรื่องที่ลูกจะคบกับใคร ชั้นก็เห็นว่าเป็นอิสระของเจ้าตัว เราไปห้ามเค้าไม่ได้หรอกค่ะ”
“ผมก็คิดว่าการที่ผู้ใหญ่รับรู้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยถึงจะอยู่ไกลบ้านกันทั้งคู่แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสายตาพ่อแม่ แม่ล่ะว่าไง?”
ท้ายประโยคลุงพงษ์หันไปถามอาจารย์ที่วันนี้ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นอะไร อาจารย์เลยยิ้มบางๆตอบ
“พ่อพูดไปหมดแล้วนี่ แม่ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ แม่แค่เป็นห่วงลูกเฉยๆ กลัวว่าวันนึงลูกจะถูกใครทำให้เสียใจ”
“ฮื้อ! ก็มัวแต่ประคบประหงมอย่างนี้ลูกก็ไม่โตกันพอดีซิ พ่อว่าเรื่องของคนหนุ่มให้เขาตัดสินใจเองเถอะ ถ้าในอนาคตมันจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ถือว่าเพราะเจ้าตัวเค้าเลือกเอง”
คนตัวเล็กหันมองพ่อกับแม่ของตัวเองสลับกันไปมา แล้วสุดท้ายก็หันไปหาลุงพงษ์
“ตกลงว่า...พ่อกับแม่ไม่ว่าเรื่องที่นะคบกับพี่อ๊อฟแล้วนะ?”
“ก็ตราบใดที่พวกเราไม่พากันไปทำเรื่องเสียหายล่ะก็นะ แล้วต่อให้พ่อกับแม่ห้าม มานะจะยอมทำตามหรือไงล่ะ?”
ลุงพงษ์ว่าแล้วก็หัวเราะก่อนจะโอบไหล่คนตัวเล็กที่ทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ ผมเห็นภาพนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ จู่ๆบรรยากาศอึดอัดก็ค่อยๆคลี่คลาย อย่างน้อยตอนนี้ที่บ้านก็ไม่มีปัญหากับการที่พวกเราคบกันแล้ว สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกตัวเบาอย่างบอกไม่ถูก
ผมเหลือบมองแม่ที่ในที่สุดก็ยอมหันมายิ้มให้สักทีก่อนจะจับมือแม่มาบีบไว้แล้วยิ้มตอบ
“อ๊อฟอย่าลืมขอบคุณมุ้ยเค้าด้วยล่ะ ถ้าไม่ได้เพื่อนเรามาอยู่เป็นเพื่อนครูวันนี้ ตอนนี้เราคงไม่ได้นั่งคุยกันดีๆอย่างนี้หรอกนะ”
อาจารย์วรรณีเอ่ยขึ้น ผมหันไปมองยายตัวดีที่นั่งยิ้มหน้าบานและไม่วายหันมายักคิ้วให้แล้วก็ต้องยิ้มก่อนจะส่ายหน้า ถือว่าติดค้างกันไปอีกดอกแล้วกันคราวนี้ “ครับๆ”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นอีกพักใหญ่ แต่ใบหน้าหวานก็ยิ้มให้ผมอย่างมีความสุข และผมคิดว่าหน้าตาตัวเองตอนนี้คงไม่ต่างกันเพราะโดนแม่กระทุ้งเอวเข้าให้เบาๆ
“เอาล่ะ มารบกวนก็นานแล้ว คงต้องขอพาสองคนนี้กลับบ้านก่อนนะคะจะได้พักผ่อนกันเสียที แล้วก็น้องนะ อย่าทำผู้ใหญ่ใจหายใจคว่ำแบบวันนี้อีกนะลูก นี่ถ้าอ๊อฟไม่ไปตามเราจนเจอพ่อกับแม่เค้าต้องเป็นห่วงมากแน่ๆเลย”
พ่อหนูน้อยของผมยิ้มเขินขณะที่แก้มสองข้างแต้มสีเลือดฝาดขึ้นนิดหน่อย ทั้งสามคนเดินตามมาส่งพวกผมที่หน้ารั้วแล้วอาจารย์ก็ชวนพวกเราให้มาทานข้าวด้วยกันสักวันซึ่งแม่ก็รับคำด้วยความยินดี ผมเห็นนะยืนยุกยิกอยู่ข้างพ่อตัวเอง ใจหนึ่งผมก็อยากเดินเข้าไปหาแล้วกอดร่างเล็กด้วยความโล่งใจที่เราผ่านพ้นปัญหากันไปได้สักที แต่ก็รู้ว่าต่อให้พวกผู้ใหญ่รับรู้แล้วผมก็ไม่ควรทำอะไรรุ่มร่ามอยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวนัดกันอีกทีก่อนพวกเด็กๆกลับกรุงเทพฯแล้วกันนะคะ คืนนี้คงต้องขอเคลียร์เรื่องรถกับพ่อจอมซิ่งคนนี้ก่อน ไป อ๊อฟ มุ้ย กลับบ้าน”
แม่ว่าแล้วก็เดินนำออกไปโดยมีมุ้ยเดินตามไปติดๆ ผมเลยไหว้ลาอาจารย์กับลุงพงษ์ก่อนจะยิ้มให้แฟนตัวเองอีกทีแล้วจึงตามไปขึ้นรถ คราวนี้แม่ขอขับเองเพราะผมเพิ่งเอารถไปโดนเสยมาหมาดๆ
“เฮ้อออออ ค่อยยังชั่ว เมื่อกี้หนูกลัวแทนอ๊อฟเลยแหละน้าอ้อมว่าลุงพงษ์จะว่าอะไรหรือเปล่า น้องนะก็น่ารักซะขนาดนั้น นี่ถ้าเกิดเป็นลูกหนู หนูก็คงหวงเหมือนกัน”
พอขึ้นรถปุ๊บเพื่อนผมก็ทำเสียงโล่งอกขึ้นมาทันทีจนผมอดงึมงำกับตัวเองด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้
“จะได้มีเร้อ...ลูกน่ะ หาพ่อของลูกให้เจอก่อนดีกว่ามั้ง”
“ไอ้อ๊อฟ! เมื่อกี้พูดอะไร ได้ยินนะยะ!!”
แม่เหลือบมองกระจกหลังแล้วก็หัวเราะ เพราะผมกับมุ้ยชอบแหย่กันแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนเป็นเรื่องปกติ
“น้าก็ว่างั้นแหละ ที่จริงน้าเองก็สงสัยตั้งแต่ตอนเจอน้องนะครั้งแรกแล้วล่ะ แถมอ๊อฟยังอ้ำๆอึ้งๆเหลือเกินตอนถามถึงเรื่องแฟน แต่เห็นว่าเจ้าตัวไม่อยากเล่าน้าเลยไม่ได้คาดคั้น”
ผมหันไปมองแม่อย่างไม่อยากเชื่อหู “อ้าว! งั้นแม่ก็รู้อยู่แล้วเหรอ?”
“แหม ก็แค่คิดเผื่อๆไว้ ตอนมุ้ยโทรมาเล่าให้ฟังแม่เลยไม่ค่อยแปลกใจไง ถือว่าโชคดีไปนะอ๊อฟที่สุดท้ายพ่อแม่น้องเค้ายอมฟังเราน่ะ แม่ก็ไม่ถนัดพูดเกลี้ยกล่อมใครด้วยสิ”
“แล้วแม่ไม่ว่าใช่มั้ย เรื่องของอ๊อฟกับน้อง”
ถึงแม่จะไม่ได้มีท่าทางต่อต้านอะไรแต่ผมก็ยังกังวลอยู่ดีว่าแม่โอเคด้วยจริงๆหรือเปล่า แม่ชำเลืองมองผมแวบหนึ่งก่อนจะยื่นมือมาเขย่าหัวเบาๆ “ความสุขของลูกนี่แม่จะไปว่าอะไรได้ อีกอย่างน้องเค้าก็น่ารัก แม่ถูกชะตาด้วยกว่าแฟนเก่าอ๊อฟเมื่อตอนปีหนึ่งเป็นไหนๆ ยังไงตัวเองออกปากจะดูแลน้องเค้าซะขนาดนั้นแล้วก็รักษาคำพูดด้วยล่ะ ถ้ามีเรื่องแบบวันนี้อีกแม่ไม่ช่วยแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะน้าอ้อม เดี๋ยวหนูช่วยดูให้ ถ้าเห็นแววจะเกิดเรื่องเมื่อไหร่หนูจะรีบรายงานเลยค่ะ”
มุ้ยว่าแล้วก็แลบลิ้นให้ผมก่อนจะถอยกลับไปนั่งเบาะหลังดีๆเสียที ผมอดส่ายหน้าด้วยความระอาไม่ได้ ถ้ามันจะยุ่งก็เพราะมียายตัวดีนี่มาป้วนเปี้ยนใกล้ๆนี่แหละ แม้จะอดยอมรับไม่ได้ว่าผมได้เพื่อนคนนี้ช่วยมาหลายครั้งแล้วก็เถอะ
หลังจากกลับถึงบ้านและมุ้ยขับมอร์เตอร์ไซค์ตัวเองออกไปแล้ว แม่ก็ต้มโจ๊กให้แล้วถามผมเรื่องรายละเอียดตอนโดนชนกับเอาเลขทะเบียนรถไป หลังทานโจ๊กเสร็จผมอาสาจะล้างถ้วยกับหม้อให้แต่แม่ไล่ผมขึ้นนอนเพราะเห็นว่าดึกแล้ว
พอเข้าห้องแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะโทรหาแฟนตัวเองก่อนนอนเสียหน่อย แต่พอหยิบมือถือออกดูก็ปรากฏว่าแบตหมดสนิทเลยรีบหาสายชาร์จมาเสียบ ปรากฏว่ามีมิสคอลมาจากนะถึงห้าครั้งผมเลยรีบโทรกลับทันที
“ฮัลโหล...ทำไมพี่อ๊อฟโทรกลับช้าจัง?”
เสียงงัวเงียจากปลายสายทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ เพราะปกตินอนด้วยกันทุกคืนผมเลยนึกภาพคนหน้าหวานขยี้ตาด้วยความง่วงได้ชัดเจน
“โทษที พอดีพี่คุยกับแม่เรื่องรถอยู่แล้วพอดีแบตหมดเลยไม่รู้ว่านะโทรมา จะนอนต่อมั้ย? เดี๋ยวพี่โทรมาหาพรุ่งนี้ก็ได้”
“ไม่เป็นไร ไม่ง่วงแล้ว ว่าแต่แผลพี่อ๊อฟเป็นไงบ้าง?”
พอโดนทักปุ๊บก็เหมือนความรู้สึกปวดหนึบๆที่ตรงหางคิ้วจะกลับมาทันที ผมหนีบหูโทรศัพท์กับไหล่ก่อนจะหยิบถุงยาจากโรงพยาบาลขึ้นคุ้ยดูก่อนจะตอบกลับไป “ก็ตึงๆอยู่ แต่ถ้าได้กินยาก็คงดีขึ้นแล้วล่ะ ว่าแต่หลังจากพี่กลับมาพ่อกับแม่ของนะเค้าคุยอะไรต่อหรือเปล่า?”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เค้าก็แค่บอกว่าเป็นห่วง แต่นะบอกแล้วว่าพี่อ๊อฟดูแลดี ไม่เคยพาไปทำเรื่องเสียหาย เพราะงั้นไม่ต้องห่วง”
“พอฟังนะพูดอย่างนั้นแล้วเหมือนพี่เป็นพี่ชายเราเลยแฮะ”
ผมอดแซวไม่ได้ เสียงอีกฝ่ายกลั้นหาวดังมาตามสายเลยยิ่งทำให้ยิ่งหุบยิ้มไม่ได้เข้าไปใหญ่
“พี่อ๊อฟอยากเป็นพี่ชายเฉยๆมั้ยล่ะ” เสียงพ่อหนูน้อยเริ่มงัวเงียขึ้นมาอีกครั้ง สงสัยตอนนี้จะง่วงเต็มที่แล้วแต่ยังไม่อยากวางสาย เผลอๆอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังพูดอะไรอยู่เพราะเวลาง่วงทีไรเป็นแบบนี้ทุกที
“ไม่เอา เป็นพี่ชายเฉยๆก็ทำนู่นทำนี่กับน้องชายไม่ได้สิ”
“ทะลึ่ง...”
แม้น้ำเสียงจะงัวเงียแต่ผมก็นึกภาพออกว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แล้วก็อดคิดถึงร่างอุ่นๆที่ชอบมานอนซุกอยู่ข้างๆทุกคืนไม่ได้ เฮ้อ พอคิดถึงแล้วก็อยากกอดชะมัดเลย
“นะเสียงง่วงมากแล้วนะครับ คืนนี้นอนได้แล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”
“อือ...งั้นพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวนะโทรหา พี่อ๊อฟอย่าลืมกินยาก่อนนอนด้วยนะ”
“ไม่ลืมครับ ราตรีสวัสดิ์”
ปลายสายกดวางโทรศัพท์ไปแล้ว แต่ผมก็ยังนั่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม ถึงแม้จะเริ่มเพลียเพราะแค่วันนี้วันเดียวก็มีเรื่องราวต่างๆประดังประเดเข้ามาเยอะเหลือเกิน แต่พอมานั่งคิดว่าผลลัพธ์ของวันนี้คืออะไรก็อดยิ้มไม่ได้ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกที แต่คราวนี้เลือกส่งข้อความเฉยๆจะได้ไม่รบกวนคนที่หลับไปแล้ว
“ฝันดีครับคนเก่ง ถึงคืนนี้จะไม่ได้นอนด้วยกัน แต่พี่ก็จะคิดถึงนะทั้งคืนเลยนะ” ++------++
แฮ่กๆ เอิ๊กส์ ว่าจะเอามาลงวันอาทิตย์แต่ข้ามคืนมาจนได้ (แต่ก็พิมพ์วันอาทิตย์น้า) อ่านตอนนี้แล้วทุกคนที่ช่วยลุ้นพี่อ๊อฟ-น้องนะมาตลอดคงสบายใจกันแล้วเน้อ
นอกเรื่องนิด ตอนนี้วันๆเปิดเว็บหาข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น กะจะไปกับเพื่อนอีกคนแบบไม่ง้อทัวร์ช่วงสงกรานต์น่ะคับ ใครมีทิปอะไรจะแบ่งปันมะ (ได้ข่าวว่ากว่าจะสงกรานต์ก็อีกสองเดือน วีซ่ายังไม่ได้ไปขอเลยแต่อิป้าบอกลางานล่วงหน้าแล้ว ก๊าก) 