บทที่ 9
เมื่อแรก รวีพิรุณรู้สึกถึงความร้อนอันมากล้นแผ่ซ่านไหลเวียนไปทั่วร่างกาย แล้วความว่างเปล่าอันกะทันหันก็โผล่ขึ้นมากลางอก ราวกับว่าหัวใจและความรู้สึกทั้งปวงถูกมือยักษ์แทงเข้าไปในอกแล้วกระชากเอาดวงใจออกมา
ในอนุสติอันเลือนราง รวีพิรุณรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนของสหเดชะ สัมผัสถึงอ้อมกอดอันสั่นสะท้าน อกใจไหวหวั่น
ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ
รวีกลัว ท่านพี่ ทำไมในอกของรวีจึงร้อนเช่นนี้ มีแรงบางอย่างกำลังพยายามฉุดดึงให้รวีตกลงไป...ลงไปในที่ว่างกว้างใหญ่นั่น
ที่ว่างมีเสียงร้องโหยหวน เหมือนมีใครกำลังส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน เป็นจำนวนมากยิ่งกว่าใบหญ้าในทุ่งดอกไม้ของท่านพี่ มากมายเสียยิ่งกว่าใบของต้นไม้ในสวนป่า
ท่านพี่ อย่าปล่อยให้รวีตกลงไปในปล่องนั้น รวีไม่อยากไปอยู่กับพวกเขา!
มักกะลีผลรู้สึกถึงหยาดน้ำไหลจากหน่วยตา ร่ำร้องอ้อนวอนเป็นเสียงอันสั่นเทา ขณะเสียงร้องโหยหวนราวกับภูตผีนับแสนล้านโกฏินั้นก็เริ่มดังขึ้น จนกึกก้องกลบทุกเสียงราวกับจะกลืนกินร่างน้อยๆ ของรวีพิรุณไป
เขารู้สึกราวกับว่าได้กลับไป ณ จุดที่ทุกอย่างเริ่มขึ้น ราวกับว่าจะกลับไปสู่ความมืดมิดก่อนตัวเขาจะตื่นขึ้นจากหลับใหล ณ โคนต้นมักกะลีผลฉะนั้น
รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าสัมผัสของสหเดชะค่อยเคลื่อนห่างหายไป
........
....
นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในความรู้สึกราวกับว่าตนเองถูกแรงมหาศาลบางอย่างดูดลงไปยังปล่องอันว่างเปล่านั้น รวีพิรุณคล้ายจะเห็นแสงสว่างส่องวาบ ครั้นแล้วก็เจิดจ้าขึ้นมา ความร้อนใดๆ ที่ห่อหุ้มร่างของเขาและแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์อยู่นั้นก็พลันค่อยๆ ลดน้อยถอยลง กระทั่งหลงเหลือเพียงความเย็นสบาย คล้ายลมรำเพยอ่อนๆ ที่ทุ่งหญ้าของท่านพี่
ความเย็นสบายนั้นขยับเคลื่อนจากศีรษะลงไปปลายเท้า แล้วค่อนเคลื่อนกลับขึ้นมาที่ศีรษะอีกครั้งหนึ่ง
ริ้วแสงสีทองบางอย่างลอยเลื่อนเข้ามาใกล้ เกาะเกี่ยวเอาแขนขาของมักกะลีผลไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะฉุดดึงให้ลอยขึ้นสูงจากปล่องอันมหึมานั้น เสียงร่ำร้องโหยหวนน่าหวาดแสยงนั้นค่อยๆ เงียบลง เมื่อรวีพิรุณรู้สึกราวกับตนเองเคลื่อนผ่านม่านบางๆ คล้ายตอนโผล่ศีรษะขึ้นมาพ้นผิวน้ำนั่นแหละ...เสียงน่าหวาดกลัวนั้นก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
รวีพิรุณกำลังนั่งอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เขาเห็นแสงระยิบระยับสีทองเป็นประกายลอยเกลื่อนอากาศ มีเสียงเพลงราวกับบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีบางอย่างดังคลออยู่ไม่ขาด แล้วทันใดนั้นเอง เจ้ารวีก็มองเห็นป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มองเห็นผืนป่าลอยเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงเห็นที่ว่างกลางป่าแห่งนั้น สถานที่ซึ่งเขาถือกำเนิดขึ้น มองเห็นใบไม้บนกิ่งส่ายไหวในสายลม เห็นร่างขาวโพลนหลายๆ ร่างติดอยู่กับขั้วของต้นไม้ใหญ่
ต้นแม่มักกะลีผลนั่นเอง
สายลมแรงพัดวูบหนึ่ง ใบไม้หลายใบปลิดปลิวจากต้น ใบหนึ่งตกต้องกายของมักกะลีผลเจ้า อีกใบนั้นรวีพิรุณคว้าไว้ได้ ครั้นแล้วร่างผอมก็ลอยเข้าไปใกล้อีก มองเห็นใบหน้างามพริ้มหลับตาอยู่ ณ โคนต้น พวกนางเป็นนารีผลนั่นเอง
อยู่ๆ นารีผลซึ่งบ้างนั่ง บ้างยืนอยู่ ณ โค้นต้นแม่ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกันแล้วหันมามองเขาเป็นจุดเดียว รวีพิรุณผงะไป ก่อนจะมองเห็นว่าพวกนางมิได้ทำสิ่งใดนอกจากมองเขาเงียบๆ แล้วเปิดรอยยิ้มอันเป็นมิตรให้เขา รวีพิรุณยื่นมือออกไปคล้ายกับจะสัมผัสร่างของหนึ่งในพวกนาง ทว่าคล้ายกับมีบางอย่างฉุดรั้งเขาไว้ เมื่อก้มลงมองจึงเห็นริ้วสีทองนั้นยังพันตามร่างเขาอยู่
รวีพิรุณขยับปากจะเอ่ยคำ ทว่าคล้ายมีใครจับลิ้นเขาไว้ ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ แล้วริ้วสีทองนั้นก็ค่อยๆ ฉุดดึงเขาให้ลอยเลื่อนออกห่างจากต้นมักกะลีผลนั้น ลอยตัวพุ่งผ่านม่านอากาศอันเย็นสบาย มองเห็นหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย มองเห็นท้องโพยมอาบด้วยสีกุหลาบ ครั้นแล้วเทือกผาใหญ่กว้างก็ปรากฏตรงหน้า
รวีพิรุณมองเห็นภาพตรงหน้าก็จำได้ขึ้นใจ
มิใช่ท่านพี่หรอกหรือ ที่พาเขาเหาะขึ้นกลางอากาศแล้วจึงทัศนาภาพนี้
พิทยานครมิใช่หรือ นครแห่งชาววิทยาธรน่ะเอง
เกาะวิมานแห่งหนึ่งลอยเลื่อนสูงยิ่ง บนเกาะนั้นเขาเห็นป่าไม้โปร่ง เห็นธารน้ำใส เห็นทุ่งหญ้าดอกไม้ เห็นปราสาทสวยงาม นี่เป็นวิมานท่านพี่มิใช่หรือ
รวีพิรุณมองเห็นร่างของตนนอนแน่นิ่งกับพื้น ใกล้ๆ กันนั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่งมีรัศมีสว่างเรืองรอง บุรุษนั้นหันมามองเขาครู่เดียว แต่เพียงเท่านั้นรวีก็เห็นถึงความเมตตาเปี่ยมล้นแผ่ออกมาจากดวงตาเป็นประกายจ้านั้น แล้วรวีพิรุณก็เห็นใครอีกคนอยู่ใกล้กัน
โอ...นั่นท่านพี่มิใช่หรือ
ท่านพี่นอนแน่นิ่งเคียงข้างกับรวี ท่านพี่เป็นอะไรไปแล้ว
รวีพิรุณขยับจะเข้าไปหา แต่แล้วกลับสัมผัสถึงม่านบางๆ ทว่าแข็งแกร่งยิ่งเหลือกั้นไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้ได้
เสียงอบอุ่นเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้น
“มักกะลีผลหนุ่มน้อยเอ๋ย อย่าเพิ่งร้อนใจ จงยืนดูอยู่ตรงนั้นเถิด”
บัดนี้รวีพิรุณไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งนั้น เหตุไฉนเขาจึงมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วเหตุใดจึงมีร่างของเขานอนอยู่ตรงนั้น นอนอยู่เคียงข้างท่านพี่ ท่านพี่กำลังหลับตาพริ้มเชียว รวีอยากไปหาท่านพี่
บุรุษผู้นั้นวางมือลงบนหน้าอกของท่านพี่ รวีพิรุณมองเห็นไม่ชัดนักว่าเขาทำอะไร แต่แล้วบุรุษผู้นั้นก็ยกฝ่ามือขึ้น แล้ววางลงบนหน้าอกของร่างรวีที่นอนเคียงกับท่านพี่
“อ๊ะ...”
รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าถูกแรงมหาศาลผลักให้ถลาไปด้านหน้า ผ่านม่านแข็งแกร่งนั้นเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
พลันบัดนั้น...เจ้ามักกะลีผลก็รู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่าง กลิ่นบางอย่าง สัมผัสบางอย่าง
อะไรบางอย่างซึ่งเป็นอื่นไปไม่ได้...นอกจากท่านพี่
ความอุ่นของกอดท่านพี่ กลิ่นของท่านพี่ มันมีความสดชื่น ปลอดโปร่งดั่งเช่นวิมานของท่านพี่นี่ไง รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าตนกำลังฝังใบหน้าลงไปบนแผ่นอกของท่านพี่ เกลือกใบหน้าอยู่ในความกำยำนั้น สูดดมกลิ่นอันอบอุ่นของท่านพี่ สัมผัสถึงความแข็งแกร่ง และใจดีนั้น
***
ลมเย็นปะทะใบหน้า รวีพิรุณมองเสี้ยวหน้าคมสันของสหเดชะ อดรู้สึกมิได้ว่าคนผู้นี้ดูแปลกไปกว่าเก่า แต่ไม่รู้ว่าแปลกอย่างใด อย่างไรก็ตาม...รวียิ้มกว้างเต็มใบหน้า โผเข้าไปโอบรอบคอของท่านพี่ด้วยความดีใจ
ขอเพียงได้อยู่กับท่านพี่ ขอเพียงไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องโหยหวนน่าแสยงเกล้าเช่นนั้นก็พอแล้ว
เขาจำได้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ก็ดีใจยิ่งแล้วที่ได้เห็นสหเดชะ ความรู้สึกว่างโหวงในอกหายไปหมดแล้ว และยิ่งเต็มตื้นมากขึ้นเมื่อสหเดชะพุ่งเข้ามากอดไว้แน่น ถ่ายทอดความรู้สึกให้รับรู้ผ่านอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น
มาบัดนี้พวกเขาพุ่งตัวออกมาจากวิมานลอยฟ้าของสหเดชะ รวีพิรุณหันกลับไปมอง จึงเห็นความน่าตกใจบางอย่าง
เกาะวิมานของสหเดชะยามนี้สั่นสะเทือน เศษหินเศษดินเริ่มแตกกะเทาะออกจากตัวเกาะ มีรอยปริแยกปรากฏขึ้นมากมาย ราวกับถูกบางสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าเกาะนั้นพุ่งชน มันสั่นสะเทือนอยู่นาน กระทั่งขอบเกาะด้านหนึ่งเริ่มเอียงกะเท่เร่เค้เก้อยู่อย่างนั้น แล้วเกาะอันใหญ่โตก็ค่อยๆ ลอยต่ำลงไป
“ท่านพี่...บ้านท่านพี่” รวีพิรุณร้องออกมาเสียงดัง
สหเดชะมิได้เอ่ยคำ เพียงแต่กอดกระชับน้องไว้แน่น กัดกรามเป็นสัน จ้องมองเกาะวิมานของตนค่อยลอยต่ำลงไปสู่พื้นดินเรื่อยๆ ดวงตาของเขาแข็งกร้าวแดงก่ำ
“บ้านของเรา...” สหเดชะเอ่ยเสียงเครือ
“ทำไม บ้านถึง...” รวีเสียงแผ่ว
“สหเดชะ” ภมรธราเอ่ยแทรกขึ้นมา “ไปวิมานเราก่อนเถิด”
“ไม่”
วิทยาธรหนุ่มเอ่ยปฏิเสธ อีกฝ่ายถอนฉิวยิ่งแล้ว “เหตุใดท่านจึงดื้อด้าน หุนหันพลันแล่น ไม่คิดก่อนทำ เชื่อคำเราสักครั้งเถิด ไปที่วิมานเราก่อน จะทำอะไรค่อยคิดอ่านกันต่อไป”
“ไม่ได้ ภมรธรา เราจะไม่ไปวิมานท่าน เราจะไม่กวนท่านมากกว่านี้”
สหเดชะเพ่งมองเกาะอันเคยใช้เป็นที่พักพิง บัดนี้ค่อยๆ ปริแยกออกจากกัน ปราสาทของเขาก็ดี ทุ่งดอกไม้ก็ดี ป่าผลไม้อันหวงแหนก็ดี บัดนี้ป่นปี้กลายเป็นภัสมธุลีหมดเสียแล้ว
เกาะวิมานของวิทยาธรนี้เป็นของทิพย์ หากจะสลายลงไปก็ต้องคืนสู่ความว่างเปล่านั่นเอง ดังนั้นเมื่อเศษหินเศษดิน ต้นไม้ใบหน้าอันหาดินสำหรับเกาะรากไว้ไม่ได้เสียแล้วนั้น จึงร่วงหล่นลงไปสู่พื้นดิน ทว่าก่อนจะแตะพื้นดิน...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเกาะแห่งวิทยาธรสหเดชะก็กลายสภาพเป็นเพียงเถ้าธุลี ลอยหายไปกับสายลม
“กระต่าย...กระต่าย!”
รวีพิรุณร้องออกมา พร้อมกับชี้นิ้วใหญ่
เห็นร่างเล็กๆ หลายตัวกำลังพุ่งลงไปด้านล่าง พวกมันกระเสือกกระสนเต็มที สหเดชะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพุ่งร่างออกไป
“รวี พี่จะเหาะเข้าไปนะ เจ้ารับพวกมันที”
“ดะ...ได้”
น้องพยักหน้า พี่จึงพุ่งเข้าไปหาร่างที่พยายามขยับกายต่อต้านแรงดึงลงสู่พื้นโลกนั้น สหเดชะพุ่งร่างพาน้องหลบหลีกก้อนหินใหญ่น้อยทั้งหลาย เข้าไปหาเจ้ากระต่ายที่อุตส่าห์ไปขอมาจากวิมานของภมรธรา
รวีพิรุณเอื้อมมือออกไปเมื่อเข้าไปใกล้ และด้วยความอัศจรรย์ เขาก็สามารถโอบรับเอาพวกมันเข้ามาไว้ในอ้อมกอดได้ เจ้าสัตว์ตื่นภัยตัวสั่นงันงก เมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดนี้ก็ราวกับจะตะลึงไป
สหเดชะพุ่งลงสู่พื้นโลก พอเท้าแตะพื้นเจ้ารวีก็รีบปล่อยให้กระต่ายที่ช่วยไว้นั้นลงไปอยู่กับพื้น พวกมันตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอหลุดพ้นเจ้าคนร่างผอมมาได้ก็พากันกระโดดแผล็วหายไปในพุ่มรกพงชัฏด้วยความรวดเร็ว
“อ๊ะ...เดี๋ยว เจ้ากระต่ายน้อย จะไปไหน”
ผวาร่างจะตามไป ทว่าสหเดชะก็คว้าแขนไว้ได้ก่อน รวีหันมามองราวกับจะวิงวอนท่านพี่ แต่แล้วก็เห็นแววตาเศร้าหมองในดวงตาท่านพี่ รวีพิรุณจึงเงียบเสียงลง ขยับเข้าไปหาโดยดุษณี
สองร่างยืนอยู่ ณ ที่สูงแห่งหนึ่ง มองดูเกาะวิมานอันใหญ่โตแตกสลายกลายเป็นเพียงหินก้อนเล็กน้อย ไม่เหลือภาพความใหญ่โตเช่นเคยเป็นอีกแล้ว
บัดนี้วิมานที่เคยลอยฟ้า ก็กลับลอยลงสู่ดิน
กลับไปเป็นหนึ่งกับทุกสรรพสิ่งเช่นเดิม
รวีพิรุณมองเสี้ยวหน้าและสันกรามอันแข็งแกร่งของสหเดชะ คล้ายกับเข้าใจถึงความรู้สึกบางอย่าง จึงก้มลงมองมือของวิทยาธรซึ่งกำไว้แน่นเป็นกำปั้น บัดนี้กำลังสั่นระริก
รวีพิรุณเงยขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจบางอย่าง แม้ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็คงไม่ผิดแน่ที่อีกฝ่ายกำลังเศร้าอย่างเหลือแสน รวีเจ้าจึงกอบกำมือของพี่ไว้ในมือตนทั้งสองข้าง เอามือเล็กๆ ขาวนวลนั้นวางทาบกับกำปั้นพี่ ก่อนจะค่อยๆ คลายมันออก แล้วสอดมือข้างหนึ่งของตนเข้าไปสอดประสานนิ้วทั้งห้ากับท่านพี่ จากนั้นจึงวางทาบมืออีกข้างไว้อีกด้านหนึ่ง พร้อมกับบีบเบาๆ
สหเดชะก้มลงมองคนตัวเล็กที่มอบรอยยิ้มบางๆ ตอบกลับมา
รวีขยับเข้าไปใกล้ ขณะมือกุมมือพี่ไว้ และเอียงตัวเข้าไปหา พิงร่างไว้กับร่างกำยำนั้น ก่อนจะมองซากสุดท้ายของวิมานแห่งวิทยาธรนามว่าสหเดชะสลายกลายเป็นละอองธุลีสู่พื้นดิน
***
“สหเดชะ ท่านจะไปไหน”
ภมรธราลอยตัวตามไป เมื่อเห็นสหเดชะจูงมือมักกะลีผลคนนั้นเดินเข้าไปในระหว่างต้นไม้ใหญ่
“ตอนนี้เรามิใช่พวกพ้องพงศ์เดียวกับท่านแล้ว เราอยู่พิทยานครอีกต่อไปไม่ได้”
ภมรธราถอนหายใจ “ไฉนไม่ปรึกษาเราก่อน ท่านไม่คิด...”
“สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วคงกลับไปแก้ไขไม่ได้”
“ท่านช่างหัวแข็งนัก สหเดชะ” ภมรธราลอยไปขวางหน้าอีกฝ่ายไว้ “แล้วจากนี้จะคิดอ่านทำการใด”
“เราจะออกไปจากที่นี่ก่อน”
“แล้วจากนั้นเล่า...”
“...”
สหเดชะเงียบคำ ชำเลืองมองมักกะลีผลแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ภมรธรา ท่านเป็นสหายเรานับแต่เราลืมตาตื่นในพิทยานคร มาบัดนี้...วิมานเราสูญสิ้น ท่านยังอาทรเรามิต่างอันใดกับพี่น้อง หากวันใดมีโอกาสตอบแทน เราจะยินดีนัก ท่านดีต่อเรายิ่งแล้ว”
“โธ่...สหเดชะ”
ภมรธราครวญคำออกมาด้วยระท้อในใจ สิ้นคำทัดทาน
“ท่านไปที่วิมานเราก่อนมิดีกว่าหรือ”
“เราอิ่มใจที่ท่านช่วยเหลือ แต่เราไม่อยากให้ท่านเดือดร้อนไปกับเราด้วย จำต้องขอลาแล้ว”
“หมู่เทือกวินธัยใหญ่กว้าง อันตรายจากสัตว์ป่าดุร้ายมีมากเหลือ เกลือกว่าท่านเดินทางท่อมๆ กลางป่าเช่นนี้ ไปปะกับสัตว์วิเศษดุร้ายเข้า มิเป็นอันตรายหรือ”
“เรามีพระขรรค์...ของท่าน...จักเป็นอาวุธคอยคุ้มครองกาย”
ภมรธราไม่อยากเห็นสหายผู้น้องต้องจากไปเช่นนี้ คิดหาถ้อยคำห้ามปราม ทว่าเมื่อมองใบหน้าเจ้าสหเดชะก็เห็นเพียงแววตาแน่วแน่ไม่ระย่อต่อภยันตรายใด จึงจนแก่คำพูด ต้องเงียบเสียงไว้ นอกจากสัตว์วิเศษดุร้ายนานาแล้ว ในป่านี้ยังมีสิ่งอื่นที่น่ากลัวกว่าสัตว์อีก ซ้ำยังวิมานที่ลอยเลื่อนสู่ดิน และผิวตรงแขนของสหเดชะที่ภมรธราได้ลองสัมผัสดู บอกให้ภมรธรารู้แน่ว่าหากเจอกับ...สิ่งอื่น...ที่มีฤทธิ์เข้าละก็ ไม่ตัวตายก็เต็มกลืน
“เช่นนั้นให้เราไปกับท่านและหนุ่มน้อยผู้นี้เถิด”
“เราขอรับความหวังดีของท่านไว้ ภมรธรา แต่เราไม่อยากให้ท่านเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่านี้ ท่านมิเห็นหรือ...” สหเดชะกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ “วิมานเราเป็นเช่นไร เรากับท่านอยู่กันคนละโลกแล้ว อย่าเอาตัวท่านมาเกี่ยวกับปัญหาของเราเลย”
ภมรธรามองนิ่งอยู่ มองสหเดชะทีหนึ่ง มองหนุ่มน้อยมักกะลีผลนั้นทีหนึ่ง ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยคำ “ขอพระวิษณุช่วยอำนวยชัยให้ท่าน”
แล้วภมรธราก็หลีกทางให้ สหเดชะจูงมือรวีพิรุณให้เดินเคียงกันเข้าไปในหมู่ไม้ใหญ่สูง เฝ้ามองอยู่เช่นนั้นจนเห็นแผ่นหลังของสองคนหายลับไปกับหมู่ไม้ ภมรธราจึงหันหลังเหาะกลับวิมานตน ได้แต่เฝ้าสวดอ้อนวอนองค์พระนารายณ์ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองมิให้สองคนนั้นมีภัยตกต้องถึงตัว
***
สองพี่กับน้องเดินทางตามด่าน แม้หัวใจจะหนักอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งประสบ ทว่าก็ยังดียิ่งแล้วมิใช่หรือ ที่น้องไม่เป็นอะไร สหเดชะค่อยฟื้นคืนความสุขในอก แม้ต้องแลกด้วยสิ่งใด ก็ขอให้ได้มีน้องเคียงใกล้
เขาเห็นน้องเงียบไปก็กังวล เกรงว่าตนจะเป็นต้นเหตุให้เจ้าต้องหม่นหมอง น้องเพิ่งผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัสมาเขาจะต้องคอยคุ้มครองให้น้องไม่เป็นอะไร
ทางด่านกลางป่านี้เกิดจากสัตว์ป่ามากมีเดินท่องมาเพื่อหาดินโป่งซึ่งเป็นแหล่งเกลือ จึงพออาศัยเส้นทางนี้ลัดเลาะผ่านไปท่ามกลางไม้ใหญ่ไพรสูงขึ้นแน่นขนัดได้
สหเดชะเดินพลางชี้ชวนให้น้องเจ้าได้ชมดอกไม้ป่านานาพรรณ ซึ่งขึ้นอยู่ในพงหญ้าบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง หรือเป็นดอกของไม้ใหญ่ต่างๆ ชูช่อออกมาล่อภู่ผึ้งให้ลิ้มรสน้ำหวาน ปะเหมาะเข้ากับต้นไม้ใดออกลูกสล้างดูหวานฉ่ำ ก็กระโดดคว้าเอามาป้อนให้ถึงปากน้อง เจอะเข้ากับห้วยละหานธารน้ำก็ปลิดใบไม้มาทำเป็นจอกตักน้ำเย็นใสขึ้นมาให้น้องได้ดื่มชุ่มคอ เหลือเท่าใดตนจึงได้กิน น้องอิ่มท้องแล้วตนจึงกินบ้าง
รวีพิรุณตื่นใจกับป่าใหญ่นี้ ทว่าบางครั้งก็ก้มหน้างุด คล้ายจะซ่อนสีหน้าอึดอัดกังวลจากพี่ แต่แล้วก็ทำเสียงดีใจยามเห็นสัตว์ป่าตัวน้อยบ้าง ตัวใหญ่บ้าง ยามหนึ่งขณะพวกเขากำลังเดินไปอย่างเงียบเสียง เพราะไม่ได้คุยอะไรกัน สหเดชะก็เหลือบไปเห็นสัตว์บางอย่างกำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งนัก จึงสะกิดรวีให้หยุดเดิน เมื่อฝ่ายนั้นหันมามองอย่างสงสัยเขาก็เอานิ้วแตะริมฝีปาก เป็นเชิงบอกให้ไม่กระโตกกระตาก แล้วพยักพเยิดให้น้องมองไปทางเจ้าสัตว์ตัวนั้น
น้องมองตาม แล้วดวงตาสงสัยก็เบิกกว้างขึ้น
เจ้าสัตว์ตัวนั้นเป็นกวางหนุ่มตัวหนึ่ง กำลังก้มลงเคี้ยวหญ้าเขียวที่พื้น แล้วสักหน่อยก็ยืดคอขึ้นไปกินใบไม้อ่อนที่ต่ำพอลิ้นจะกวัดเข้าปากได้ บนหัวของมันมีเขาเป็นกิ่งก้านสาขามากมาย มองดูเช่นนี้งดงามยิ่งนัก
รวีพิรุณสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วร้องออกมา “กะ...กวางน้อย!”
น้อยเสียเมื่อไรล่ะ สหเดชะส่ายหัว
กวางตัวนี้ไม่ได้น้อยเลยสักนิด ยืนเต็มเหยียดแล้วสูงเท่าสหเดชะด้วยซ้ำ
เขาเห็นน้องร้องออกมาก็จะเอ่ยห้ามไม่ให้ส่งเสียงอีก ทว่าช้าเกินการณ์เสียแล้ว ด้วยยินเสียงร้องแปลกประหลาด เจ้ากวางไพรจึงโกยอ้าว เปิดแนบหายไปตรงทางด่านสายหนึ่ง
“อ้าว” น้องทำเสียงเสียดมเสียดาย “ไปซะแล้ว”
“พี่บอกไม่ให้รวีทำเสียงดังไม่ใช่หรือ กลัวมันจะตื่น”
“ท่านพี่ไม่ได้บอกเสียหน่อย” น้องเถียง
“พี่บอกซี พี่เอานิ้วแตะปากอย่างนี้ๆ” สหเดชะทำท่าทางให้ดู
รวีพิรุณทำปากยื่น “ก็น้องดีใจนี่ กวางน้อยตัวนั้นมีกิ่งไม้อยู่บนหัวด้วย กิ่งไม้เยอะแยะไปหมดเลย”
สหเดชะส่ายหัวอย่างระอา ยังจะกวางน้อยอีกหรือ? เขาเอ่ยออกมาอย่างจนใจปนเอ็นดู “เอาเถอะ ป่าใหญ่ไพรกว้างเช่นนี้ ขี้คร้านเจ้าจะได้เห็นจนเบื่อ”
แล้วสองน้องพี่จึงออกเดินอีกครั้ง ทว่าพอเดินได้สักระยะหนึ่ง สหเดชะก็สังเกตว่ารวีพิรุณเริ่มเดินกะเผลก จึงจับไหล่น้องให้หยุด เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ จับพิจารณาเท้าของน้องเจ้า แล้วจึงเห็นว่ามีแผลจากหญ้าคมบาด และหนามไหน่ปักแทงจนเลือดซิบ
“เจ็บเท้าหรือไม่”
“รวีเจ็บ”
“แล้วไยจึงไม่บอกพี่เล่า ฝืนเดินทำไม”
“รวีเดินได้”
“อย่าดื้อสิ มา...พี่จะให้เจ้าขี่หลัง”
“ท่านพี่จะหนักนะ รวีตัวนั้กหนัก”
“เจ้าน่ะหรือตัวหนัก เบาอย่างนี้พี่อุ้มได้ทั้งวันทั้งคืน”
เขามองหน้าน้องพลางเอ่ยประโยคนั้น รวีอ้าปากหวอน้อยๆ มองใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของพี่ แล้วก็พลันเกิดสีแดงเรื่อตรงแก้มขาว ปากเล็กๆ เป็นกระจับก็ยื่นออกมา หันหน้าหนีไม่มองหน้าพี่ราวกับแหนงหน่ายกันเสียแล้ว
“พี่พูดอะไรไม่ถูกใจหรือ”
“ท่านพี่...ท่านพี่...” รวีอึกอัก
“ท่านพี่อะไร” สหเดชะดวงตาเป็นประกาย
“ท่านพี่...บ้า!” น้องแหวออกมา
“อ้าว ทำไมล่ะ”
เขาหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ขณะนั่งหันหลังยองๆ ให้น้องขึ้นมาขี่หลังก็ยังหัวเราะหึๆ กับตัวเองเบาๆ รวีพิรุณนึกหมั่นไส้นัก จึงฟาดเข้าที่ไหล่กำยำทีหนึ่ง
“ตีพี่ทำไม รวีเป็นคนใจร้ายแล้วหรือ”
“ไม่ร้าย ท่านพี่นั่นแหละร้าย”
สองพี่กับน้องเดินทางกลางเถื่อนไปไกล หนทางไกลเพียงใดไม่ย่อระยั่น ไม่น่ากลัวสำหรับสหเดชะสักนิด เขายอมบากบั่นฟันฝ่าความยากลำบากเพื่อท้ายที่สุดแล้วจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกับรวีพิรุณเพียงสองคน
เขาไม่ห่วงแล้วละเรื่องอายุขัยของรวีพิรุณ ก็มิใช่ว่าคำสวดอ้อนวอนของเขาเป็นจริงแล้วล่ะหรือ พระนาสัตยะได้ทำให้สิ่งที่เขาขอเป็นจริงแล้ว เขารู้ในอก เขาสะทกสะท้อนในใจ สิ่งที่เสียไปก็คุ้มแล้วกับสิ่งที่ได้มา เขาจับขาน้องให้กระชับเข้ากับสะบักเอวของตนให้แน่นขึ้น เร่งเดินไปตามทางด่าน หรือลัดเลาะไปตามหมู่ไม้ใหญ่สูง
ทั้งพี่และน้องไม่ได้เอ่ยถึงเหตุผลว่าทำไมสหเดชะจึงเลือกจะใช้วิธีเดินท่องป่าแทนที่จะร่ายพระเวทใช้พระขรรค์เหาะไป ซึ่งจะต้องเร็วกว่ามาก ยามนี้พระขรรค์เงินด้ามนั้นซึ่งภมรธรามอบให้ก็ยังเหน็บอยู่ข้างเอวของสหเดชะ แต่เจ้าตัวดูจะไม่อยากใช้มันเสียเลย
รวีพิรุณสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดท่านพี่จึงไม่เหาะไป แต่มีอะไรบางอย่างในใจที่กล่าวเตือนว่าอย่าเอ่ยถามเลย เงียบไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นการดี รวีพิรุณซึ่งในยามปรกติจะโพล่งถามเรื่องที่สนใจหรืออยากรู้ทันที แต่ครานี้กลับเลี่ยงจะเอ่ยถึง
ช่วงหนึ่งรวีพิรุณกอดกระชับวงแขนรอบลำคอพี่แน่นเข้า วางแก้มลงแนบกับลำคอแข็งแกร่งของพี่ ลมหายใจร้อนๆ พ่นใส่ผิวของพี่
สหเดชะตั้งหน้าตั้งตาเดิน ทว่าในใจนั้นตื้นตันยิ่งนัก
ลมหายใจของน้องนี่ปะไร บอกว่ามันยิ่งใหญ่เพียงไหนที่ตอนนี้พวกเขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็เถอะ
***
ไกลเข้าไปในป่าใหญ่แห่งเทือกวินธัย พระสูรยาทิตย์ได้ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว สหเดชะและรวีพิรุณก็ลุถึงพื้นที่โล่งกลางหมู่ไม้แห่งหนึ่ง มันไม่ไกลจากลำธารสายหนึ่งนัก สหเดชะพบว่าตนไม่อาจเดินต่อได้อีกแล้ว จึงหาฟืนมาก่อไฟ และร่ายพระเวทบางบทที่ยังใช้ได้ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเข้ามาย่ำกราย
หาผลหมากรากไม้เพื่อกินอิ่มหนำดับหิวแล้ว ก็ชวนมานั่ง เขาแบะขาออกเล็กน้อย แสดงท่าทางให้น้องมานั่งที่ตักของเขา เสร็จแล้วจึงใช้แขนโอบรอบเอวน้องไว้ กอดกระชับให้อุ่นอยู่ข้างกองไฟ กระซิบหยอกเย้าเล่นหัว
ค่ำคืนในป่าเย็นเยียบ น้ำค้างตกลงต้องใบไม้ ความเย็นยิ่งเย็นหนักเข้า กระนั้นน้องพี่ก็อุ่นอยู่ข้างกองไฟ
สหเดชะหล่นหลับเมื่อใดไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ค่อนคืนเสียแล้ว ด้วยได้ยินเสียงหนึ่งในโสต
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงนี้ปลุกให้เขาตื่นจากหลับ เสียงนกน่ารำคาญนี้ไม่เท่าใดดอก เพียงแต่บางอย่างทำให้เขาไม่อาจนอนต่อไปได้ สัญชาตญาณร้องขึ้นให้เขาต้องระวังตน
มีกลิ่นสาบสางรุนแรงฉุนจมูก ราวกับมันจะโอบคลุมกลุ้มรุมอยู่โดยรอบ ขณะนี้เขากอดน้องนอนหันหน้าเข้าหากองไฟ สหเดชะรู้สึกว่ากลิ่นนั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน ขนอ่อนหลังคอลุกตั้ง จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปคว้าพระขรรค์กระชับมั่นไว้ในมือ แล้วผละจากตัวน้อง พลิกตัวไปอีกด้านซึ่งมืดดำไร้แสงไฟ
ใบหน้าหนึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงช่วงสุดแขนยื่น กำลังจ้องมองพวกเขา
สหเดชะแทบผงะ ทว่ามิได้แสดงอาการใดให้รู้ว่าตื่นตระหนก เขาจ้องมองใบหน้านั้นเขม็ง สู้สายตาไม่หลบหลีก
ใบหน้านั้นใหญ่โตโอฬารเหลือเกิน ใหญ่ราวกับหนองน้ำแห่งหนึ่ง มันมีดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากแดงราวกับเปียกไปด้วยเลือด เขี้ยวขาวโง้งราวกับเขี้ยวหมูป่างอกออกมาจากมุมปากทั้งสองด้าน สหเดชะเห็นร่างกายใหญ่โตด้านหลัง มันกำลังหมอบอยู่กับพื้น ร่างกายเอนไปกับแนวราบของพื้นดิน มือใหญ่มหึมาสองข้างยันพื้นไว้มั่น ใบหน้าต่ำเรี่ยดิน จ้องมองมาที่พวกเขาเขม็งอยู่ กลิ่นสาบสางยิ่งรุนแรงขึ้นอักโข
มันอ้าปากกว้างขึ้น ราวกับว่าปากของมันเป็นปากถ้ำ ภายในดำมืด คล้ายกับจะสามารถกลืนกินสัตว์ใดๆ เข้าไปได้ในคำเดียว เสียงร้องตกใจดังขึ้นจากทางด้านหลัง
รวีตื่นแล้ว!
น้องขยับตัวเข้ามาแนบชิดกับแผ่นหลังของเขา ร่างสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ร่างกายของน้องเจ้าขาวโพลนในความมืด ใบหน้ามหึมานั้นนิ่งอยู่ ทว่าดวงตาหลุกหลิกกลับกลอกกลิ้งลงมาจับจ้องอยู่ที่ร่างตื่นตระหนกของรวีพิรุณ เสียงประหลาดคล้ายกับก้อนหินหลายร้อยลูกกลิ้งลงจากเขาสูงดังขึ้นมาจากภายในปากของสิ่งมีชีวิตใหญ่โตนี้
“เหะ เหะ เหะ” มันหัวเราะชอบใจ “เนื้อ...เนื้อหวานฉ่ำน่าอร่อย”
เพียงคืนแรกที่เข้าป่ามา ก็เจอะเข้ากับยักษ์โขมดแล้วหรือ!
****
ติดตามตอนต่อไปในวันจันทร์หน้านะคะ
แป้งจี่ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ให้นะคะ เลิฟเลย