บทที่ 5
แม้ร่างกายจะอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม แต่นิสัยบางอย่างของรวีพิรุณก็คล้ายกับเด็กคนหนึ่ง พอวิ่งเล่นมากๆ ได้ทำเรื่องที่ชอบใจมากๆ เข้า ก็จะเหนื่อยและหิว พอได้กินอิ่มท้องก็จะหล่นในนิทรา เจ้ารวีก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
สหเดชะนั่งมองร่างผอมๆ ของมักกะลีผลนอนเหยียดสบายอยู่บนเตียงของเขา ใบหน้านั้นหลับพริ้มเป็นสุข หลับสนิทหลับลึกเสียจนแม้เขาแกล้งจิ้มแก้มนุ่มๆ ก็ยังไม่รู้สึกตัว
ผิวของเจ้ามักกะลีผลผู้นี้ช่างนุ่ม เนียน ลื่นมือเสียจริงๆ ยามจับแล้วก็รู้สึกอยากจะสัมผัสอีกไม่รู้แล้ว เขาประหลาดใจเหลือเกินว่าตั้งแต่อุ้มพาน้องเจ้ามาจากดงไม้มักกะลีผลแล้ว เขาก็ดูจะตกอยู่ในหล่มแห่งอารมณ์ของมนุษย์เสียเหลือเกิน ตบะก็ดี สมาธิก็ดี ราวกับจะถูกเปลวร้อนบางอย่างแผดเผาเสียจนป่นปี้ ความคิดความอ่านก็คล้ายจะกระเกิดกระเจิงไปหมด
นี่หากเขาเร่งบำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมี เพิ่มพูนตบะได้มากพอแล้วไซร้ เมื่อสิ้นบุญจากจาตุมหาราชิกา อาจได้ไปจุติบนดาวดึงส์ หรือยามาก็เป็นได้ แล้วนี่กระไร...มัวแต่หลงระเริงกับอะไรอยู่ คิดแล้วก็ให้ว้าวุ่นยิ่งนัก ทำอย่างไรจึงจะสลัดภาพต่างๆ ในมโนนึกนี้ออกไปได้ ภาพดวงตาเบิกกว้างด้วยตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ที่เห็น ภาพน้ำระริกใสกลิ้งอยู่ในแววตานั้นยามได้รับนามเรียกขานของตน ท่าทางสดใสยามวิ่งเล่นอยู่บนพื้นหญ้า ยังดวงตากระจ่างใสยามได้รับประทานผลไม้เลิศรสนั้นอีก ในความนึกคิดของสหเดชะยามนี้มีแต่ภาพของเจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อย ไม่ว่าจะพยายามเช่นไร ก็ไม่อาจลบหรือกลบบังไปได้
ดูซี ดูใบหน้ายามหลับนั้นซี ปากนิด จมูกหน่อย แก้มนิ่ม...นุ่ม...หอม ขนตาเป็นแพโค้งงอ
สหเดชะจับแขนผอมๆ นั้นขึ้นมาพิศ ไม่เห็นแม้ตำหนิใดที่อาจทำให้ลำแขนขาวๆ นั้นน่ามองน้อยลงกว่าเดิม ครั้นพินิศมือของน้องเล่า ก็เห็นนิ้วสวยเล็กเรียว เล็บเป็นสีชมพูสะอาด
เล็บนี้มิใช่หรือ มือนี้มิใช่หรือ ที่น้องเจ้ากำรวบเอากล้วยผลนั้น เพื่อส่งเข้าปาก...
สหเดชะกัดฟันกรอด ข่มอารมณ์พลุ่งพล่านให้สงบลง นึกอยากจะกระโดดจากวิมานของตนลงไป ‘โหม่ง’ เทือกวินธัยเสียให้สิ้นเรื่อง แต่อย่าเลย...วินธัยเป็นเทือกเขาสำคัญของแดนฟ้านี้ จึงแข็งแกร่งยิ่งนัก หากเขาพุ่งลงไปกระแทกก็คงถึงกาลม้วยมรณา หากเขาไม่อยู่แล้ว ใครจะสอนเจ้ามักกะลีผลล่ะ ใครจะพาออกไปวิ่งเล่น ใครจะพาเหาะดูแดนฟ้าในห้วงอากาศ ใครจะพาเจ้าไปกินผลไม้อร่อยๆ ใครจักพาเจ้าไปนครกินรี ไปนครโลหะของชาวกุมภัณฑ์...
สุดท้าย ความนึกคิดก็วนเวียนกลับมาหาเจ้าผู้หลงอยู่ในหลับบนเตียงนอนนี้เอง เจ้าช่างโหดร้ายนัก น้องเอ๋ย...หรือเจ้าขึ้งเคียดที่พี่อุ้มสมลักพาเจ้ามาจากแม่และเพื่อนพ้อง เจ้าคงโกรธที่พี่ปลิดเจ้ามาจากขั้ว เจ้าจึงได้จำฝังใจ...และเด็ดหัวใจของพี่ไปเช่นนี้
เมื่อแรกปลิดเจ้าจากขั้ว พี่หวังเพียงได้กอดเจ้าไม่กี่ราตรี
บัดนี้ เมื่อได้อยู่ใกล้เจ้า พี่กลับหักใจให้ข่มเหงน้ำใจเจ้าไม่ลง แม้อกพี่จะหมกไหม้ด้วยไฟราคะเพียงใด ทว่าเจ้าก็เป็นดังดอกไม้สีขาว ออกดอกเบ่งบานอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน จะให้พี่เด็ดเจ้ามาบดขยี้ให้กลีบช้ำได้เยี่ยงไร
ดอกไม้ริมทางซึ่งแปลกตากว่าดอกไม้อื่นๆ คิดว่าเป็นดอกไม้ดาดๆ ไม่พิเศษอันใด
แต่เมื่อหันกลับไปมองซ้ำ...
กลับเป็นยอดแห่งดอกไม้ในสายตา มีค่ายิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ
***
ราตรีนั้นผ่านไปด้วยอารมณ์ร้อนระอุ สมาธิใดที่สงบเย็นดับร้อนก็กลับเย็นไม่พอ เขาไม่อาจเพ่งไปที่สมาธิอันเป็นดวงแก้วสว่างนั้นได้เลย ตบะใดที่ว่ากล้าแข็งก็กลับอ่อนยวบลงเมื่อนึกถึงภาพ ณ ริมแอ่งน้ำในสวนป่า มันเป็นสมาธิอันกระสับกระส่ายเกินกว่าจะเรียกว่าสมาธิ จิตใจว้าวุ่นถึงเพียงนี้หากขืนผูกมัดตนกับการเพ่งจิตมากเกินไปอาจเกิดจิตระส่ำได้ คราต่อไปไม่เพียงไม่อาจรวมจิตแน่วแน่ แต่ยังอาจจะไม่เข้าถึงสมาธิด้วยซ้ำ
เมื่อมิรู้จะทำเช่นไร สหเดชะจึงลุกจากสมาธินั้นเสีย เดินดุ่มออกไปนอกปราสาท เสกพระขรรค์คู่กายออกมา กวัดแกว่งมันเพียงครั้งเดียวก็ลอยตัวขึ้นจากพื้นดิน
ยามอากาศเย็นปะหน้า จึงค่อยคลายประสาท เหาะไปตามอากาศด้วยจิตใจสงบขึ้นบ้าง มองเห็นเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่งอยู่ต่ำกว่าเกาะของตนลงมาไม่มากนัก สหเดชะนึกถึงอะไรบางอย่าง ก็จึงมุ่งหน้าไปหาทันที
สหเดชะรู้สึกราวกับว่ามีม่านบางใสขวางเขาไว้ แต่เมื่อเขาแตะปลายดาบกับม่านนั้นเขาก็ผ่านเข้าไปได้ทันที ม่านนี้เป็นอาคมอันเจ้าของวิมานร่ายไว้เพื่อป้องกันมิให้ศัตรูหมู่ปัจจามิตรลอบเข้าไปได้ แต่เมื่ออาคมนี้ปล่อยให้เขาผ่านเข้าไป แสดงว่าเจ้าของวิมานนี้มิได้เห็นเขาเป็นศัตรู
วิมานเกาะแห่งนี้มีขนาดเล็กกว่าเกาะของสหเดชะ แต่ราวกับมีพื้นที่มากกว่า ด้วยพื้นที่ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ มีป่าละเมาะเล็กๆ อยู่ตรงด้านหนึ่ง ชายป่านั้นปลูกกระท่อมเล็กๆ จากไม้หลังหนึ่ง เป็นกระท่อมเรียบๆ ราวกับมิใช่วิมานของวิทยาธรกระนั้น
“ราตรีนี้พระโสมส่องช่างงดงามนัก สหเดชะท่านมีกิจใดจึงมาหาเราหรือ”
ร่างหนึ่งยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้หลากพันธุ์
“ภมรธรา เราไม่คิดรบกวนการนั่งสมาธิของท่าน...”
“หามิได้” ฝ่ายนั้นตอบ “ราตรีนี้เราไม่เข้าสมาธิดอก”
สหเดชะมิได้เอ่ยถามว่าด้วยเหตุใด แต่มองดูดอกไม้ที่ขึ้นสวยอยู่กลางแสงจันทร์
ภมรธรานั้นมีอาภรณ์เป็นสีเหลือง เป็นวิทยาธรผู้หลงในรสน้ำเมา ดอกไม้เหล่านี้ของเขาเป็นแหล่งอาหารของฝูงผึ้งจำนวนมาก เมื่อได้น้ำผึ้งแล้ว เขาก็จะทำเป็นน้ำเมาอย่างหนึ่ง
วิทยาธรผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่ยิ่งกว่าสหเดชะเสียอีก ทว่าในด้านพละกำลังและคุณวิเศษอื่นๆ แล้ว สหเดชะนับว่าเหนือกว่า กระนั้น...เขาผู้นี้เองเป็นคนสอนให้สหเดชะได้กอดนารีผลครั้งแรก รีบเร่งพาเขาไปยังต้นมักกะลีผล ด้วยกลัววิทยาธรหรือชาวฟ้าอื่นๆ จะแย่งปลิดไปหมด
“เราเคยบอกท่านแล้วมิใช่หรือ สหเดชะ ท่านมาที่วิมานเราได้ทุกวาร เอ...แล้วราตรีนี้ท่านมีเรื่องร้อนใจใดหรือ จึงได้มาเพลานี้”
“ร้อนใจ? ไม่ใช่เรื่องร้อนใจดอก เราเพียงอยากจะมาชมทุ่งดอกไม้ของท่าน”
“นั่นซี ทุ่งดอกไม้เรานี้นับว่าเป็นเยี่ยมกว่าใครๆ ในพิทยานคร คงทำให้ผู้ได้ชมรู้สึกชื่นบานไม่น้อย เอ้อ...สหเดชะ ท่านได้ยินมาบ้างหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องน่าแปลกบางอย่าง”
“เรื่องน่าแปลกใดหรือ”
ภมรธราเดินเข้ามาใกล้สหาย พลางเอ่ย “ก็ที่ต้นแม่มักกะลีผลน่ะซี นักสิทธิ์ตนหนึ่งเกิดโวยวายขึ้นว่ามีคนแอบตัดเอามักกะลีผลไปจากต้น”
หากจะมีอาการใดในร่างของสหเดชะที่ผิดปรกติ ก็คงเกิดขึ้นเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น เขายังคงมองดอกไม้ตรงหน้าต่อไป
“นักสิทธิ์ตนนั้นร้องป่าวไปทั่วว่าวิทยาธรผู้หนึ่งตัดลูกมักกะลีผลจากต้น ตัดไปทั้งที่ลูกนั้นยังไม่สุกงอมดีนัก”
“ยังไม่สุกงอมดีหรือ จะตัดได้อย่างไร มักกะลีผลไม่ตายเสียหรือ” ปากเอ่ย ตามองดอกไม้นิ่งอยู่
วิทยาธรผู้สหายเดินเข้ามาใกล้แล้ว “สหเดชะ แม้ดอกไม้ของเราจะงดงามแค่ไหน แต่ท่านก็คุยโวว่าชอบดอกไม้บนวิมานท่านมากกว่า ไฉนคืนนี้จึงดูท่านจะชอบดอกไม้ของเรามากนักเล่า”
“เรา...”
“เราก็เพิ่งไปที่ต้นมักกะลีผลมา เจอนักสิทธิ์ตนนั้น เราเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สุงสิงกับชาวฟ้าพวกอื่นๆ ยิ่งพวกนักสิทธิ์ด้วยแล้วเราเป็นหนีห่าง แต่นักสิทธิ์ตนนี้...ไม่ได้หวังร้าย ท่านรู้ใช่ไหม...”
ในที่สุด สหเดชะจึงเงยหน้ามองตอบสหายเจ้าของวิมาน
ฝ่ายนั้นไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง ทว่ามองตรง แน่วแน่ “นักสิทธิ์ตนนี้เป็นสหายท่าน เราจำได้ ไม่มีวิทยาธรคนไหนจะคบหากับนักสิทธิ์ หรือกระทั่งคนธรรพ์ หรือพวกแทตย์ ท่านแปลกกว่าพวกเราชาววิทยาธรอื่นๆ ท่านเป็นมิตรกับใครเขาไปทั่ว”
“...”
“ต้นมักกะลีผลเป็นต้นไม้ที่องค์อินทร์ทรงเสกไว้ เมื่อคราวพระโพธิสัตว์ออกบำเพ็ญบารมี ณ ป่าแห่งนั้น หลังจากพระโพธิสัตว์ละจากโลกและขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อรอไปเกิดและตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ต้นมักกะลีผลก็กลายเป็นที่ที่เหล่าชาวฟ้าผู้ใฝ่ในรสแห่งกายมาชุมนุม ท่านก็รู้ว่าเราสามารถปลิดมักกะลีผลได้เมื่อสุกงอมเต็มที่ ไม่เคยมีใครตัดขั้วมักกะลีผลเมื่อยังห่ามอยู่ดอกหนา”
สหายต่อสหาย สหเดชะไม่หลบสายตา ขณะเอ่ย “เราไม่นึกเสียใจแม้สักน้อย หากจะมีอะไรเกิดขึ้นจากนี้...เราก็ยินดีรับ”
“ฟังว่ามักกะลีผลผู้นี้แปลกกว่ามักกะลีผลอื่นหรือ?”
“ท่านได้ยินอะไรมาอีก”
“เขาว่า...มักกะลีผลนี้มิใช่...นารีผล”
สหเดชะเงียบไป แล้วเอ่ย “เป็นเช่นนั้น”
“สหเดชะ ไม่ว่าเป็นนารีผลหรือผลบุรุษ...ก็ไม่เป็นปัญหาใด อีกเรื่องท่านตัดมักกะลีผลนั้นตอนยังห่ามก็ไม่น่าจะมีเรื่องราวใดใหญ่โต ท้าวจาตุมหาราชท่านปกครองชาวเราด้วยเมตตา ซ้ำตัวท่านเองก็เป็นผู้มีฤทธิ์มาก นับว่าเป็นข้าใต้บาทท่านท้าวอันสำคัญผู้หนึ่ง เรื่องเพียงเท่านี้อย่าวิตกไปเลย ที่เกิดเป็นเรื่องแตกตื่นกันขึ้นมาก็เพราะท่านบุ่มบ่ามกระทำการนั้นโดยหุนหันเท่านั้นดอก”
ภมรธราวางมือลงบนไหล่หนาของสหาย “เราชาววิทยาธรแม้มุ่งหวังการหลุดพ้น แต่ก็ยังยึดติดอยู่กับโลกมนุษย์ยิ่งกว่าชาวสรรค์อื่นๆ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงรัดเราแน่นเหนียวเจียวท่านเอ๋ย ฉะนั้น...หากท่านกลัดกลุ้มนัก ก็จงให้น้ำเมาที่เราบ่มไว้นี้ช่วยคลายใจท่านให้สบายเถิด”
“ภมรธรา เราไม่ดื่มน้ำเมาท่าน”
ผู้ชอบน้ำเมาส่ายหัว “น่าเสียดายจริงๆ เราจะบอกท่านว่า เราได้นารีผลมาสองนาง ก่อนท่านมา เราเพิ่ง...” บัดนี้วิทยาธรเจ้าของวิมานกระแอมหนึ่งที “นั่นละ น้ำเมาเรานี้ดีหลาย นารีผลทั้งสองนางดื่มกินแล้วเป็นสุขยิ่งนัก เรา...ก็เป็นสุขเช่นกัน แล้วมักกะลีผลผู้นั้นเล่า งามมากหรือ”
สหเดชะมองใบหน้ายิ้มแย้มเป็นสุขของภมรธราแล้วชักไม่ชอบใจ “งาม”
“ท่านชอบมากหรือ”
“พึงใจเรามากทีเดียว”
“เช่นนั้นเราก็ควรจะได้ยลโฉมบ้าง”
“ไม่ดีหรอก”
วิทยาธรผู้รักในน้ำเมาหัวเราะเสียงดังลั่น “รู้หรือไม่ ท่านยังไม่เปลี่ยนไปจากตอนอุบัติใหม่ๆ ในพิทยานครนี้สักเท่าใดเลยนะ ตอนเราเห็นแสงสีเขียวสว่างโร่ขึ้นเหนือศีรษะเราไป เรารีบเหาะขึ้นไปดู ก็ได้รู้จักกับท่าน ตอนนั้นท่านช่างเดียงสาไปเสียทุกอย่าง” ภมรธรายกยิ้ม “แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปจนนิดเดียวคือเอ่ยวาจาไม่มีน้ำใจเช่นนี้แหละ มักกะลีผลนั้นมิกลัวท่านแย่หรือ”
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ จับวิทยาธรผู้นี้โยนให้โหม่งเขาวินธัยคงดีไม่น้อย
“อ้า เรารู้ละ” ภมรธรายังไม่หยุดพูด สหเดชะคิด...วิทยาธรผู้นี้คงจะปรารถนา ‘โหม่ง’ เทือกวินธัยจริงๆ “ท่านรักป่าผลไม้ของท่าน หวงสวนขวัญของท่านยิ่งกว่าสิ่งใด อะไรที่เป็นของท่าน...ท่านจะรักราวกับเป็นร่างกายตนเอง ท่านคงอ่อนโยนกับมักกะลีผลผู้นี้มากล่ะซี”
“ท่านช่างรู้มาก”
ภมรธราหัวเราะลั่นอีกครั้ง ด้วยรู้ว่ามิใช่คำชม
“เขาคงน่ารักมากล่ะซี ตอนที่...”
บัดนี้ สหเดชะคิดจะจับสหายทุ่มลงจากวิมานแล้วจริงๆ แต่ก็ทำเพียงเงียบไว้ ฝ่ายนั้นอ้าปาก แล้วส่งเสียงราวกับไม่เชื่อ
“นี่ท่านยังไม่... จริงหรือ สหเดชะ เหตุใด...” ภมรธรามองสหายราวกับเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก “เอาน้ำเมาเราไปให้เขาดื่มเสียซี จะได้ง่ายขึ้น หรือท่านจะดื่มเองก็ยิ่งดี”
“เห็นจะไม่ดีนัก”
สหเดชะเห็นว่าควรกลับไปที่วิมานตนเสียที จึงรีบหันกายจะเดินผละมา
“จะไปแล้วหรือ” เจ้าของวิมานท้วง
สหเดชะชะงักเท้า หันกลับมาหาสหายเจ้าของวิมาน “ท่านพอมีน้ำผึ้งบ้างหรือไม่”
“น้ำผึ้ง? เอาน้ำผึ้งไปทำไม น้ำเมาดีกว่ามาก”
“น้ำผึ้งนั่นละ ท่านมีใช่ไหม”
“มีสิ ท่านจะเอาไปทำอะไร”
“น้ำเมาไม่ดื่มหรอก แต่น้ำผึ้งนั้นดีทีเดียว”
สหเดชะเผลอยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มสว่างสดใสของรวีพิรุณ
หากน้องเจ้าได้ดื่มน้ำผึ้งรสหอมๆ กับผลไม้ละก็ คงชอบน่าดู
“เราขอสักคนโทหนึ่งได้หรือไม่”
***
รวีพิรุณตื่นเพราะเสียงนกร้องจิ๊บๆ อีกแล้ว อากาศยามเช้าหนาวเย็น ทว่าเจ้านกน้อยก็ราวกับจะไม่ยี่หระต่อความเย็นนั้นเลย มันเกาะอยู่ตรงช่องบัญชรนั้น ส่งเสียงจิ๊บๆ แล้วก็จิ๊บๆ อยู่ไม่แล้ว ราวกับจะบอกว่า เจ้าคนขี้เกียจ ลุกฟื้นตื่นขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้ สวนดอกไม้เพรียกหา สายธารากวักมือคอยเจ้าอยู่แล้วนา
คราวจะลุก เจ้ารวีก็ลุกพรวดขึ้นมา ยกมือถูๆ ตรงใบหน้าสองสามครั้ง แล้วหย่อนเท้าลงจากเตียง ความรู้สึกตอนได้หยัดกายลุกยืนตรงนี้ช่างวิเศษจริงๆ
รวีพิรุณเปิดยิ้ม ดวงตาพราวระยับ “เจ้านกน้อย เจ้าน่ะเอง เจ้าหายไปไหนมา”
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
สกุณาชาติตัวน้อยเอียงหน้ามองมักกะลีผลที่สวมใส่ผ้าเนื้อบางลื่นสีขาวสะอาด ผ้านั้นคลุมลงมาถึงหัวเข่า เปิดให้เห็นแข้งสวยเรียว เท้าเล็กๆ นั้นหยัดยืนอย่างมั่นคง
แล้วเจ้านกน้อยก็บินเข้ามาภายในโถงนอน
“อ๊ะ จะไปไหนน่ะ รอก่อนสิ”
ตอนจะก้าวขาตามยังเซนิดหน่อย แต่พอตั้งหลักได้ก็ออกวิ่งปร๋อ ตามเจ้านกน้อยไปติดอยู่ที่ประตูห้องที่หับไว้อย่างดี แต่พอมักกะลีผลน้อยยื่นมือไปผลักเบาๆ มันกลับแง้มออกอย่างง่ายดาย ทั้งนกทั้งมักกะลีผลเห็นสิ่งกีดขวางเปิดออกแล้ว ทางโล่งดี นกก็ขยับปีกบินไป มักกะลีผลก็ก้าวขาออกวิ่งตาม
รวีพิรุณออกวิ่งเหย่าๆ ตามเจ้านกน้อยแสนฉลาดออกไป ผ่านทางเดินมากหลาย ผ่านห้องหับมากเหลือ กระทั่งลุถึงลานโล่งด้านนอกซึ่งต่อกับสวนดอกไม้นั่นเอง
“เจ้านก รอก่อน”
นกไปแล้ว มักกะลีผลเล่า? ก็ต้องตามไปน่ะซี
รวีพิรุณส่งเสียงหัวเราะสดใสยามเมื่อเท้าสัมผัสหญ้านุ่มๆ สูดกลิ่นหอมของอากาศอันบริสุทธิ์ น้ำค้างยอดหญ้ายามเช้านั้นเย็นจัด กระนั้นน้องรวีเจ้าก็ไม่หวั่น ย่ำเท้าไปตามนกน้อยตัวนั้น แต่เพราะใจมันโลดแล่นกับความงามของธรรมชาติยามเช้า มองหาเจ้านกน้อยนั้นแล้วก็ไม่เห็นว่าอยู่ไหน
“นกจิ๊บๆ เจ้าไปไหนเสียแล้ว นกน้อยจิ๊บๆ”
รวีพิรุณผ่อนฝีเท้าลง พร้อมกับหันกายมองหาสกุณาชาติตัวนั้นไปด้วย ขณะนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
ไม่ไกลจากปราสาทใหญ่โตนั้นนัก มีหมู่หินสีขาวโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน รวีพิรุณค่อยก้าวเข้าไปใกล้ มองเห็นน้ำผุดขึ้นมาจากช่องเล็กๆ ระหว่างหินเหล่านั้น
สายน้ำใสสะอาดผุดขึ้นมาแล้วไหลลงไปที่แอ่งน้ำเล็กๆ ด้านล่าง ก่อนจะไหลออกจากแอ่งน้ำนั้น...แล้วไหลเรื่อยออกไป
มักกะลีผลผู้อยากรู้อยากเห็นค่อยๆ ย่างเท้าเดินตามสายน้ำเล็กๆ นั้น จากแอ่งน้ำไปสู่ร่องน้ำ แล้วทันใดนั้นเอง...เจ้ามักกะลีผลก็เริ่มออกวิ่งอีกครั้ง
ช่างน่าอัศจรรย์ ร่องน้ำเล็กๆ นี้เริ่มขยายใหญ่ออกกว้างกลายเป็นธารน้ำใส ธารน้ำใสนี้เองสินะที่เรานั่งอยู่กับวิทยาธรผู้นั้น เขาเป็นวิทยาธร...มีพระขรรค์ด้วย
รวีพิรุณวิ่งตามธารน้ำใสนั้นไป มันคดเคี้ยวไปทางซ้าย รวีเจ้าก็วิ่งซ้าย มันเลี้ยวป่ายไปทางขวา รวีเจ้าก็ไปขวา เจ้าวิ่งไป เส้นผมนุ่มยาวเลยไหล่ก็สยายออกด้านหลัง
“รวี!”
ขณะกำลังวิ่งไปและเริ่มมองเห็นสวนผลไม้อยู่ลิบๆ นั้นเอง ก็มีเสียงเรียกนามของเขาดังก้อง พอมองไปจึงเห็นวิทยาธรผู้นั้นกำลังหอบอะไรมาเต็มแขน เดินมาจากสวนผลไม้นั้นเอง
“ตื่นแล้วหรือ”
รวีพิรุณหยุดเท้า ยืนนิ่งอยู่ริมธารน้ำ อืม ตรงนี้หญ้านุ่มจริงๆ
พอหันไปมองอีกที ก็เห็นวิทยาธรนั้นลอยอยู่เหนือผิวน้ำของลำธารแล้ว รวีพิรุณผงะถอยเล็กน้อย
“ยังไม่ชินอีกหรือ พี่เป็นวิทยาธร...ก็ต้องเหาะได้”
น้องไม่ตอบคำแต่มองของในอ้อมแขน “ผลไม้”
“พี่เอากล้วยมาให้ เจ้าชอบมิใช่หรือ”
“เราชอบ”
ในที่สุดเขาก็แน่ใจ น้องเจ้ากินลูกไม้ได้ และไม่รังเกียจที่จะกินสักนิด
“งั้นนั่งลงเถอะ พี่มีของอร่อยมาฝาก”
“ของอร่อย อะไรหรือ ผลอุลิดหรือ?”
วิทยาธรนั่งลงก่อน รวีพิรุณจึงต้องนั่งตาม
คนผู้นั้นแกว่งมือในอากาศแล้วทันในนั้นก็มีวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ เขามองอย่างสนใจ
“นี่คือคนโท” ฝ่ายนั้นอธิบาย “พี่ใส่น้ำผึ้งมาฝากเจ้า”
“น้ำผึ้ง? ผึ้งบินว่อนน่ะหรือ”
“ใช่ ผึ้งบินว่อน ผึ้งกินน้ำหวาน แล้วเอากลับไปที่รัง ทำน้ำผึ้งออกมา เราก็ได้กินน้ำผึ้ง”
“กินน้ำผึ้ง เราแย่งผึ้งหรือ”
สหเดชะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ไม่แย่งหรอก รวี ผึ้งแบ่งให้เราต่างหาก เขามีน้ำผึ้งเยอะ จึงแบ่งให้เรากิน เอาไว้กินกับกล้วยนี้ไง”
“ผึ้งใจดีจัง”
“เช่นนั้นรวีก็กินเสีย ผึ้งจะได้ดีใจ”
“รวีกินแล้วผึ้งจะดีใจหรือ”
“นั่นซี” สหเดชะมองสีหน้ากระตือรือร้นของน้องเจ้าแล้วก็ยิ้มกริ่ม เอียงคนโทเพื่อเทน้ำผึ้งลงกับกระเปาะทำจากใบไม้ น้องมองหน้าเขาเช่นกัน เขาจึงเอานิ้วชี้จุ่มกับน้ำผึ้ง แล้วยื่นไปจ่อตรงหน้าน้องเจ้า “ลองชิมดูซี”
ดวงตาที่มองมานั้นดูอยากรู้อยากลองเสียจริงๆ รวีพิรุณค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ แล้วอ้าปากน้อยๆ ครอบลงกับนิ้วที่ยื่นไว้รอซึ่งเยิ้มไปด้วยน้ำผึ้งหอมหวาน
ทันทีที่มักกะลีผลครอบปากลงบนนิ้วนั้น สหเดชะก็เม้มปากแน่น ส่งเสียงฮึมในลำคอ จ้องปากของน้องที่อมนิ้ว จ้องนิ้วที่อยู่ในปากน้องซึ่งบัดนี้กำลังออกแรงดูดเบาๆ ลิ้นเล็กๆ ตวัดถูกปลายนิ้วเพื่อลองชิมรสน้ำผึ้ง สหเดชะเริ่มเห็นว่าภมรธราก็เป็นสหายที่ดีเช่นกัน
ไม่นานรวีพิรุณก็อ้าปาก ถอยกลับไป ปากน้องเจ้าวาวใส เปื้อนเยิ้มด้วยคราบน้ำผึ้ง
ปากคอพี่ราวกับจะสั่น “อะ...อร่อยไหม”
น้องยิ้มทั้งปากเยิ้ม “อร่อย! รวีชอบ!”
“พี่ก็ชอบ...เอ้อ...ที่เจ้าชอบ”
รวีพิรุณยิ้มหวานเช่นเดียวกับน้ำผึ้งที่กิน “รวีกินแล้วชอบ ผึ้งจะดีใจไหม”
“ดีใจซี ผึ้งดีใจแน่ๆ”
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าภมรธราเรียกผึ้งทุกตัวที่อยู่ในบริเวณนี้ไปที่วิมานของเจ้าตัวหมดละก็ คงจะมีผึ้งสักฝูงบินตอมดอกไม้ให้รวีพิรุณได้ดูอยู่หรอก คิดแล้วสหเดชะก็เห็นว่าภมรธราไม่น่าจะใช่สหายที่ดีสักเท่าไหร่
แม้จะชอบผลไม้มากเพียงไร รวีพิรุณก็รับประทานกล้วยไปเพียงสองลูกเท่านั้น แค่นี้ก็อิ่มแปล้แล้ว ส่วนน้ำผึ้งนั้นเจ้ามักกะลีผลรับประทานด้วยมือจนเปรอะไปหมด จึงเลียนิ้วเพื่อทำความสะอาด ทว่าสหเดชะเห็นการไม่ดี จึงพาไปล้างมือในธารน้ำใส
วิมานแห่งสวนไม้ดอกและไม้ผลของสหเดชะราวกับถูกอวยพรโดยพระสูรยาทิตย์ เพราะมีแสงแดดอุ่นๆ ส่องลงมาทุกวาร ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป
น้องมักกะลีผลนั่งมองน้ำไหลในธารใส พี่วิทยาธรนั่งมองหน้าเปื้อนยิ้มของน้อง ครั้นแล้วสหเดชะก็ร้องขึ้น
“เจ้าอยากเหาะได้ไหม”
รวีพิรุณหันหน้ามามอง “เหาะหรือ”
“เจ้าชอบใช่หรือไม่ ที่พี่พาเจ้าชมเมืองเมื่อวานนี้”
“รวีชอบ”
“รวี...พี่สอนให้เจ้าเหาะดีไหม?”
“สอนเราเหาะหรือ”
“ถูกต้อง พอเจ้าเหาะได้ ก็พาพี่เหาะไปดูเมืองบ้าง”
“อยาก...รวีอยากเหาะ สอนรวีเหาะ”
มักกะลีผลกระโดดผึงขึ้นแล้วเขย่งเท้าเหย็งๆ ใบหน้าเบ่งบานด้วยรอยยิ้ม มองสีหน้าเช่นนี้แล้วใครจะทนไหว
“เจ้าเป็นมักกะลีผลจึงไม่มีอำนวจวิเศษอะไร พี่เอง...แม้เป็นวิทยาธรแต่หากไม่มีพระขรรค์คู่กายก็ไม่อาจเหาะได้ ดังนั้นวิธีการเหาะที่พี่จะสอนคือเหาะโดยใช้พระขรรค์กายสิทธิ์นี้”
สหเดชะตวัดมือในอากาศ แล้วพระขรรค์สีเงินก็ปรากฏในมือ “พี่จะบอกเจ้าบางอย่าง พระขรรค์นี้ปรากฏขึ้นพร้อมพี่ เมื่อพี่อุบัติขึ้นในแดนฟ้านี้ เรียกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพี่เอง แต่หากพี่ปรารถนาจะมอบมันให้ใครก็สามารถทำได้ แล้วจึงค่อยบำเพ็ญตบะสร้างมันขึ้นมาใหม่ กระนั้นมันก็สำคัญกับวิทยาธรอยู่มากทีเดียว เพราะไม่มีพระขรรค์ก็เหาะไม่ได้ วิทยาธรจึงไม่ให้ใครแตะต้องพระขรรค์ตน หากมิใช่คนสำคัญจริงๆ ในอดีตก็เคยมีวิทยาธรมอบพระขรรค์ให้แก่คนที่ช่วยชีวิตตนเอง สำหรับเจ้าแล้ว รวี พระขรรค์ของพี่...พี่มอบให้เจ้าใช้ได้ตามใจ”
สหเดชะมองสบกับดวงตากลมโตสีดำสนิทนั้น รู้สึกราวกับมีอะไรอุ่นวาบอยู่ในอก “ก่อนอื่น เจ้าต้องยืนให้มั่น สองขาแยกจากกันพอประมาณ...อย่างนี้ กำพระขรรค์ให้แน่น แกว่งพระขรรค์หนึ่งครั้งคือเหาะขึ้น หากอยากจะเหาะให้เร็วต้องควงพระขรรค์เป็นวง แล้วชี้ไปด้านหน้าหรือตรงทิศนั้นๆ ที่เราอยากไป...”
ขณะพี่อธิบาย น้องก็รับฟัง ดวงตานั้นสุกใสบ่งบอกสติปัญญา “หากเจ้าอยากจะลอยเรี่ยดินก็ตวัดพระขรรค์จากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย...เช่นนี้”
พอทำดังพูด ร่างของสหเดชะก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นหญ้า ร่างลอยค้างอยู่เหนือพื้นดินเช่นนั้น “แล้วก็ชี้ปลายพระขรรค์ไปแล้วแต่เจ้าอยากไป”
สหเดชะชี้ปลายพระขรรค์มาหารวีพิรุณ ร่างจึงค่อยๆ ลอยเข้ามาใกล้กับเจ้ามักกะลีผล กระทั่งอยู่ใกล้กันไม่เกินหนึ่งฝ่ามือขวาง วิทยาธรหนุ่มก้มหน้าลงมามองเข้าไปในดวงตาของน้องเจ้า “เจ้าเข้าใจที่พี่สอนหรือไม่”
มักกะลีผลมองพี่เฉย แล้วทันใดก็เปิดยิ้มกว้าง พยักหน้า แล้วยื่นมือมาขอพระขรรค์ “ให้รวีลองเหาะบ้าง”
“เอาซี”
สหเดชะลงแตะพื้นหญ้า เขายื่นพระขรรค์กายสิทธิ์ให้เจ้ามักกะลีผล ฝ่ายนั้นเอื้อมมือมาหยิบเอาไป พอมือขาวๆ นั้นจับด้ามพระขรรค์แล้ว ก็เบิกตากว้าง ราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง
***
(อ่านต่อรีพลายด้านล่างค่ะ)