___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]  (อ่าน 30920 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 11


            ไอ้กาลมันเรียนเช้าแทบทุกวัน พอมันตื่นขึ้นมาทำธุระส่วนตัว เปิดตู้ ค้นนู่นจัดนี่ผมก็ตื่นตาม ไม่เหมือนตอนมันนอนห้องผมที่พอตื่นก็แค่ลุกออกจากเตียงไป แม้วันนี้ผมจะเรียนบ่ายแต่ตาสว่างแล้วเรียบร้อย

            นอนเกลือกกลิ้งด้วยความขี้เกียจอยู่ห้องน้องชายได้สักพัก หลังจากมันอาบน้ำเสร็จผมก็กลับห้องตัวเอง เปิดประตูเข้าไปเจอแมวนอนขดอยู่บนเตียง จะเข้าไปกวนก็เห็นว่ายังเช้าอยู่เลยเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันแทน

            วันนี้ไม่มีมื้อเช้าเพราะกาลมันขี้เกียจทำ แต่งตัวเสร็จก็คว้ากระเป๋าเตรียมออกจากห้อง ผมเลยคว้ากระเป๋าสตางค์เดินลงไปพร้อมมัน แต่แยกกันที่ลานจอดรถใต้หอ

            ผมเดินไปซื้อโจ๊กที่ปากซอยข้างๆ สำหรับมื้อเช้าของวันนี้ ซื้อแบบพิเศษใส่ไข่เผื่อแมวขาวที่ยังนอนอุตุอยู่บนเตียง ไม่ได้กินโจ๊กมาเป็นสิบปีผมว่ามันคงคิดถึง

            กลับมาถึงห้องก็วางถุงโจ๊กไว้บนเตียงแล้วเดินเข้าห้องนอน แมวเปอร์เซียสีขาวเปลี่ยนจากท่านอนขดเป็นนอนหงายโชว์พุงหลาม เชิญชวนให้ทาสอย่างผมย่องเข้าไปขยุ้ม หยิบมาสก์มาใส่แล้วปืนขึ้นจากปลายเตียง นอนคว่ำเท้าคางมองแมวขี้เซาที่ยังไม่รู้ตัวว่าจะโดนลักหลับ

            ผมลูบท้องเล่นเบาๆ มันก็ยังไม่มีทีท่ากว่าจะตื่น ใจอยากจะเอาหน้าซุกพุงแรงๆ ก็กลัวมันจะตกใจแล้วโดนตะกุยหน้าจนหมดหล่อเอา นอนเกาพุงเล่นอยู่ได้ไม่นานมันก็ตื่น

            "ตื่นแล้วเหรอขี้เซา" ถามพลางใช้สองมือจับตัวมันเขย่าเบาๆ แมวขาวร้องประท้วง แต่ยังยอมนอนให้ผมเล่นอยู่เหมือนเดิม

            ยิ่งเล่นยิ่งมันมือ ยิ่งเล่นก็ยิ่งนึกสงสัยไปเรื่อย บังเอิญมองเห็นนมแมวตรงท้องผมก็แหวกขนหา อยากรู้ว่านมแมวจะมีกี่เต้า แต่ยังหาได้ไม่ทันครบขนนุ่มๆ ก็พลันหายไป กลายเป็นผิวเนียนๆ มาแทนที่

            สองตาจ้องมอง การกระทำหยุดชะงัก แม้กระทั่งคำพูดทักทายก็นึกไม่ออก จะกลับมาเป็นคนทำไมไม่นัดกันก่อน จะได้ไม่อยู่ในท่าที่มันล่อแหลมขนาดนี้

            ผมรีบเอามือที่วางอยู่บนหน้าอกล่อนจ้อนออกแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งดีๆ ถ้าไอ้กาลอยู่แล้วเปิดมาเจอฉากที่ผมกำลังคร่อมล่อนจ้อนแถมจับนมมันอีกแบบเมื่อกี้ รับร้องน้องชายผมกรี๊ดห้องแตกตกใจยิ่งกว่าเจอแมวซะอีก

            "โทษที" พูดไปแล้วก็รู้สึกเขินแปลกๆ ล่อนจ้อนหูแดงแป๊ด ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยไม่พูดอะไร ผมเลยดึงผ้าห่มมาปิดของสงวนให้

            ก็แค่ได้จับนมจะเขินทำไมก็ไม่รู้ ของก็เคยๆ เห็นจนชินตาแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ เคยมองแต่ผมไม่เคยจับไง

            ผมลุกจากเตียงไปเตรียมเสื้อผ้ามาวางไว้ให้บนโต๊ะ รู้สึกเก้ๆ กังๆ นิดหน่อยตอนคนบนเตียงช้อนตามอง นี่มันยังไม่หายหูแดงอีกเหรอวะ แค่เผลอจับนมนิดเดียวเอง

            "ใส่เสื้อผ้าแล้วก็ไปแปรงฟันไป ซื้อโจ๊กมาให้อยู่ที่โต๊ะ"

            รอจนล่อนจ้อนพยักหน้ารับผมก็เดินออกมาจากห้อง

 

            การล้างหน้าแปรงฟันครั้งที่สองหลังจากกลับมาเป็นมนุษย์ ผมไม่ได้เข้าไปดูว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีหรือเละเทะแค่ไหน เพราะมัวยุ่งอยู่กับการเทโจ๊กใส่ถ้วย จัดการทุดอย่างเสร็จแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าล่อนจ้อนมีแผลใต้คางให้ต้องระวัง เลยเดินไปดูที่หน้าประตูห้องน้ำ คนที่ล้างหน้าเสร็จพอดีก็หันมายิ้มให้

            "น้ำโดนแผลมั้ย"

            ผมชี้ที่ใต้คาง ล่อนจ้อนก็เงยหน้าให้ดู ซึ่งแน่นอนว่าเละ เสื้อที่เพิ่งใส่ก็เปียกจนเกือบถึงพุง ล้างหน้ายังไงให้เปียกขนาดนี้เนี่ย

            "งั้นเดี๋ยวล้างแผลก่อนค่อยกินข้าว เปลี่ยนเสื้อด้วย"

            "ขอโทษ" บอกเสียงหงอย แต่ก็โทษล่อนจ้อนไม่ได้หรอก ผมไม่ทันระวังเอง เอาไว้เย็นนี้ค่อยไปหาซื้อผ้าปิดแผลแบบกันน้ำมาใช้

 

            เปลี่ยนเสื้อล้างแผลเสร็จก็ได้เวลามื้อเช้าตอนเก้าโมง โจ๊กที่ซื้อเริ่มหายร้อนแล้ว ล่อนจ้อนดูมีความสุขกับอาหารมื้อนี้ดี เวลาได้กินอาหารอะไรก็ตามหลังจากได้กลับมาเป็นคนเจ้าตัวมักจะทำหน้าฟินเสมอ ยิ้มจนตาหยีหมวดแมวขึ้น แก้มก็เป็นก้อนซาลาเปา เป็นคนแปลกๆ ที่หน้าอ้วนจะตัวผอม

            "เมื่อคืนเป็นไง หลับสบายมั้ย"

            "สบายมาก เตียงนุ่ม"

            "กลัวมั้ยนอนคนเดียว"

            "ไม่กลัว ที่ผ่านมาก็นอนคนเดียว"

            เออเนอะ ผมก็ถามไม่คิด ทั้งตัวคนเดียว ทั้งเร่ร่อน มันน่ะเป็นแมวที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว

            "ต่อไปนี้ก็จะได้นอนสบายๆ แล้ว"

            "แต่ไม่ได้นอนกับลิขิต" ล่อนจ้อนพูดด้วยหน้าซื่อๆ แต่หารู้ไม่ว่าความคิดคนฟังอย่างผมไม่ได้ใสซื่อด้วยเลย

            "ก็ล่อนจ้อนเป็นแมวไงเลยนอนด้วยไม่ได้"

            "งั้นถ้าเป็นคน ก็นอนด้วยได้ใช่มั้ย" แล้วทำไมมันต้องอยากให้ผมนอนด้วยขนาดนั้น

            "ไม่รู้ดิ ถ้าไอ้กาลมันนอนคนเดียวได้เมื่อไรก็คงได้มั้ง"

            "แล้วทำไมกาลถึงนอนคนเดียวไม่ได้"

            ปัญหาของน้องชายผมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากผม และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะแก้ไขได้เหมือนกัน หมอก็ไม่ช่วยให้อาการมันดีขึ้นเลย

            "กาลมันมีปัญหานิดหน่อย ชอบฝันร้าย เลยคนเดียวไม่ได้"

            "กาลไม่เก่งเลย"

            "ใช่มั้ย แต่อย่าไปพูดแบบนี้กับมันนะ"

            "โอเค"

            มองคนตรงหน้าเวลาพูดถึงไอ้กาลผมก็ชอบนึกถึงใครอีกคน คนที่หน้าคล้ายล่อนจ้อนจนเคยมีความคิดว่าอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้

            "ล่อนจ้อนมีญาติพี่น้องที่หน้าตาคล้ายกันบ้างมั้ย" ในเมื่อผมกับไอ้กาลเป็นพี่น้องกัน แล้วเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของเราล่ะจะมีโอกาสเกี่ยวข้องกันได้มั้ย ถ้ามันเกี่ยวข้องกันจริง อาจจะทำให้เรื่องนี้แก้ไขง่ายขึ้นก็ได้

            "ไม่มี เป็นลูกคนเดียว"

            "ลูกพี่ลูกน้องก็ไม่มีเหรอ"

            "มี แต่หน้าไม่เหมือน"

            "ลองนึกดีๆ"

            "ไม่มี"

            เมื่อเจ้าตัวยืนยันหนักแน่นผมก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ ก็ใช่ว่าจะไม่มีสักหน่อย คนที่หน้าคล้ายกันแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด

            "ถามทำไม" ล่อนจ้อนถามกลับ

            "มันอาจจะแปลกนิดหน่อย แต่ล่อนจ้อนอ่ะ หน้าคล้ายไอ้ดื้อของไอ้กาลมัน"

            "ไอ้ดื้อ?"

            "หมายถึงแฟนเก่ามันน่ะ"

            "แฟนเก่า?"

            "จริงๆ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าเก่าได้หรือเปล่า"

            "ไม่เข้าใจ"

            "ช่างมันเถอะ ก็แค่หน้าเหมือนกันเฉยๆ ถ้ามีโอกาสคงได้เจอ" โอกาสที่เปอร์เซ็นต์แทบเป็นศูนย์ แต่ถ้าล่อนจ้อนกับไอ้ดื้อได้เจอกันจริงผมว่าคงสนุกน่าดู

            แม้สีหน้าจะยังดูสงสัยแต่ล่อนจ้อนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ผมแบ่งตับให้เพราะเห็นเหมือนว่าอีกฝ่ายจะชอบ พอได้ของโปรดเพิ่มเลยยิ้มขอบคุณจนตาเป็นขีด

            "ตอนเด็กๆ เรียนที่ไหนจำได้มั้ย" พอจะนึกคำถามเกี่ยวกับเรื่องสมัยเด็กออกผมก็ถาม ถึงบางเรื่องอาจจะไม่เกี่ยวกับปัญหานักก็เถอะ เผื่อมันอาจจะช่วยฟื้นความทรงจำที่หายไปได้บ้าง

            "ประถมเหรอ"

            "ก็ต้องประถมดิ"

            "โรงเรียนในอำเภอ"

            "ไกลจากบ้านสวนมั้ย"

            "ไม่ไกลมาก"

            "แล้วไปโรงเรียนยังไง"

            "พ่อไปส่ง"

            "ตอนปิดเทอมก็อยู่ที่บ้านสวนตลอดเลยเหรอ"

            "ใช่ ช่วยงานพ่อกับแม่"

            "ตอนเด็กเราไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันใช่มั้ย แล้วกับคนอื่นล่อนจ้อนสนิทด้วยหรือเปล่า"

            "ก็สนิทกว่าลิขิต กับกาล"

            ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พวกนั้นอยู่ด้วยกันมากกว่าผมกับไอ้กาลที่แวะไปแค่เปิดเทอมยังไงก็ต้องสนิทกว่าอยู่แล้ว ผมก็ถามอะไรไม่คิดอีกแล้ว

            "แล้วคนอื่นเป็นยังไงบ้าง" ล่อนจ้อนถามกลับมาบ้าง แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นที่ว่านั้นหมายถึงใคร

            "คนอื่น?"

            "เพื่อนคนอื่นๆ แม็ก น้ำอ้อย..."

            "อ๋อ พวกนั้นไม่ได้ติดต่อกันแล้ว" อีกฝ่ายไล่ชื่อยังไม่ทันจบผมก็ชิงตอบก่อน

            "ทำไมล่ะ"

            "พอขึ้นมัธยมปู่ก็เสีย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้กลับไปเล่นที่นั่นเหมือนเดิมแล้ว"

            "ปู่ข้ามภพเหรอ"

            "ใช่ ปู่เสียไปหลายปีแล้ว"

            สีหน้าล่อนจ้อนไม่เชิงว่าเศร้า แต่ดูเหมือนจะใจหายมากกว่าที่ได้ยินข่าวนี้ ปู่ผมน่ะใจดีกับทุกคน ไม่ว่าจะลูกหลานหรือคนงานก็ชอบปู่กันหมด ผมกับไอ้กาลก็เหมือนกัน

            "เสียใจด้วย"

            "ปู่ไปสบายแล้ว"

            กลายเป็นว่าเรื่องการจากไปของปู่ผมทำล่อนจ้อนซึมไปชั่วขณะ เรากินโจ๊กที่เหลืออยู่ไม่มากจนหมดโดยไม่ได้พูดคุยอะไร จนผมยกจานทั้งหมดมาไว้ที่อ่างล่อนจ้อนก็เดินตามมา

            "เดี๋ยวช่วยล้าง" เสนอตัวพร้อมกับเข้ามายืนเบียด

            "ไม่ต้อง ไปรอไป"

            "อยากช่วย"

            "เดี๋ยวล้างเอง ไปนั่งรอไป"

            ตอนแรกผมตั้งใจจะแช่ไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาล้าง แต่ประเมินจากสถานการณ์แล้วล่อนจ้อนต้องแอบมาล้างตอนผมไปเรียนแน่ เพราะฉะนั้นจัดการให้เสร็จไปเลยน่าจะดีกว่า

            คนอยากล้างจานไม่ยอมขยับไปไหนแม้จะโดนไล่แล้วไล่อีก ล่อนจ้อนยืนส่งสายตาแมวอ้อนให้ผม มันได้ผลแน่ถ้าผมยังฝืนเล่นจ้องตาด้วยอยู่ เลยต้องหันหน้าหนีแล้วสั่งเสียงเข้มอีกรอบ

            "ไปรอ อย่าดื้อ"

            ผมไม่รู้ว่าล่อนจ้อนทำหน้ายังไงก่อนยอมเดินไปนั่งรอที่โซฟา ที่ไม่อยากให้ช่วยส่วนหนึ่งก็เพราะยังไม่ไว้ใจให้ล่อนจ้อนทำคนเดียว และสอง อ่างมันเล็ก แค่ล้างจานสองใบ ทำคนเดียวกินเวลาไม่กี่นาทีหรอก

 

            ล่อนจ้อนดูทีวี ผมเล่นมือถือ เข้าไอจี ไถเฟซบุ๊กดูนู่นนั่นนี่ไปเรื่อยๆ เข้ากลุ่มไลน์ไปคุยกับเพื่อนบ้าง พสุมันชอบเข้ามาบ่นขิงบ่นข่าแล้วก็ทะเลาะกับคิริน หนักข้อเข้ามงคลก็เข้ามาห้ามแล้วแยกย้าย เป็นกลุ่มที่ไม่เคยมีสาระอะไรทั้งสิ้น

            เข้าไอจีไล่กดไลค์ ดูสตอรี่เพื่อนจนไม่มีอะไรทำก็วนกลับมาเข้าเฟซบุ๊ก นอนดูคลิปตลกๆ ที่เพื่อนมันชอบแชร์มา เลื่อนลงมาอีกนิดก็เจอคลิปแมวที่คิรินเป็นคนแชร์ แมวเปอร์เซียสีขาวเหมือนคนที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆ ผมเลย

            "น่ารักมั้ย เหมือนล่อนจ้อนเลย" ดูจบไปหนึ่งรอบผมก็เปิดให้คนข้างๆ ดู ล่อนจ้อนเอนตัวมาหาเกือบซบไหล่ผม มองเจ้าแมวสีขาวในจอไปก็ยิ้มไป

            "น่ารัก"

            "ชมตัวเองเหรอ" เจอมุกแป้กของผมเข้าไปคนฟังถึงกับหันมาทำหน้างงใส่

            "เปล่า แมวน่ารัก"

            "ล่อนจ้อนก็เป็นแมวเหมือนกันไง สีขาวเหมือนกัน"

            จ้องหน้าผมแล้วก็หันกลับไปมองจอก่อนจะร้องเอ๋อออกมา ลืมหรือไงว่าตัวเองก็เป็นแมวสีขาว น่ารักขนฟู บางทีก็ดุหน่อยๆ

            "ตอนเราเป็นแมวน่ารักเหรอ" แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถามด้วยหน้าซื่อๆ

            ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจว่าจะแซวเล่นๆ พอต้องตอบจริงจังแล้วรู้สึกแปลกยังไงไม่รู้ ความจริงก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยแค่ชมแมวว่าน่ารัก ใครๆ เขาก็ชมกัน ตอนล่อนจ้อนเป็นคนผมก็เคยชอบออกบ่อย แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้มันกลับไม่กล้าพูดแบบเต็มปาก

            "ก็น่ารัก"

            "แล้วตอนเป็นคนล่ะ"

            นี่ผมกำลังโดนเอาคืนอยู่หรือเปล่าวะ ก็แค่ชมแบบที่เคยชม ทำไมต้องตื่นเต้น

            "น่ารักเหมือนกัน"

            "แล้วก็หล่อด้วย" พูดแก้ก่อนหันกลับไปสนใจทีวี แล้วทำไมต้องทำหูแดงด้วยฮะ แต่ก่อนเวลาชมยังทำหน้าบึ้งใส่อยู่เลย แค่นี่เขินเหรอ

            "ล่อนจ้อน"

            โดนผมกวนอีกรอบเจ้าของชื่อก็หันมาเลิกคิ้วใส่

            "อยากมีไอ้นี้ไว้ใช้มั้ย" ผมโชว์มือถือให้ดู ล่อนจ้อนก็รีบพยักหน้ารับทันที

            "อยาก"

            "งั้นรอแป๊บนึง"

            ผมจำได้ว่ายังเก็บมือถือเครื่องเก่าเอาไว้ ไม่ได้ขายหรือยกให้ใคร อาจจะตกรุ่นไปหลายปีแต่ถ้าเอาแค่พอใช้งานพื้นฐานได้ก็ยังพอไหวอยู่ อย่างน้อยมันก็เล่นไลน์ได้

            ค้นในลิ้นชักอยู่นานสองนานในที่สุดก็หาเจอ โชคดีที่มันยังชาร์ตแบตเข้า เครื่องอืดไปนิดแต่ไม่น่ามีปัญหาอะไรถ้าเล่นด้วยความใจเย็น ขาดก็แค่ซิมที่ต้องซื้อกลับมาตอนเย็น มีมือถือแล้วต่อไปจะได้ติดต่อกันได้ทุกเวลาที่ต้องการ เอ่อ...หรืออาจจะต้องเว้นตอนเป็นแมวไว้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่แมวฉลาดอย่างล่อนจ้อนน่าจะพอเล่นได้อยู่ล่ะมั้ง

            ผมโผล่หน้าไปเรียกล่อนจ้อนให้เข้ามาหาในห้อง จะได้แนะนำเพื่อนใหม่ให้รู้จัก

            "เครื่องนี้ให้ล่อนจ้อนไว้ใช้นะ เป็นเครื่องเก่าของเราเอง"

            เจ้าตัวพยักหน้า รับมือถือเครื่องเก่าของผมไปถือไว้ แต่ยังไม่กล้ากดอะไร

            "เดี๋ยวสอนโทรออกกับเล่นไลน์ แต่ต้องรอซิมก่อน ตอนเย็นซื้อมาให้"

            "แล้วเล่นอย่างอื่นได้มั้ย"

            "เล่นได้ ดูหนังฟังเพลง เล่นเกม ดูยูทูปได้หมด แต่รอแบตเต็มก่อนค่อยเล่น"

            "เมื่อไรจะเต็ม"

            "ซักสองชั่วโมงมั้ง"

            "นาน"

            "ดูหนังรอกันมั้ย"

            "ดู แล้วันนี้ลิขิตไม่ไปเรียนเหรอ" รีบพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น แล้วก็ถามขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกออก

            "มี"

            "แล้วทำไมไม่ไปเรียน"

            "วันนี้เรียนบ่าย คงกลับมาอีกทีเย็นๆ นู่น"

            "งั้นตอนเย็นก็ไม่ได้เป็นคนแล้วสิ"

            "ก็คงอย่างนั้น"

            ริมฝีปากที่ยกยิ้มเมื่อครู่คว่ำลง กลายเป็นหงอยจนอดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นลูบหัว ผมเองก็อยากทำให้คนตรงหน้ากลับมาเป็นคนได้เร็วๆ อยู่หรอก แต่เพราะยังไม่รู้วิธีการที่ชัดเจนเลยทำไม่ได้

            "พรุ่งนี้ค่อยกลับมาเป็นคนใหม่ไง ไม่ต้องเศร้าหรอก"

            "อืม"

            "ไหนยิ้มก่อน"

            ล่อนจ้อนช้อนตามองผมแถมยังไม่ยอมทำตาม

            "ยิ้มให้เหมือนแมวอ่ะ ให้หนวดตรงนี้ขึ้น" ผมจิ้มแก้มล่อนจ้อนทั้งสองข้าง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมยิ้มอยู่ดี แถมยังตัดพ้อจนผมรู้สึกผิด

            "ไม่อยากเป็นแมว"

            "ขอโทษ"

            "ขอโทษทำไม"

            "ที่ทำให้เป็นแมว" ผมทำบึ้งใส่บ้าง เป็นความจริงที่ทำให้ผมรู้สึกผิดเสมอเมื่อนึกถึง

            "ยิ้มแล้วนี่ไง ยิ้มแล้ว" แต่มันกลับทำให้ล่อนจ้อนยอมยิ้มเสียอย่างนั้น

            "ยิ้มจริงเปล่าเหอะ"

            "ยิ้มจริงๆ"

            "โอเคๆ เชื่อแล้ว หนวดแมวขึ้นเลย"

            ผมเคยบอกมั้ยว่าตอนล่อนจ้อนยิ้มมันน่ารักมาก เวลายิ้มเห็นฟันจะเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง ตาปิด มีหนวดแมวขึ้นที่แก้ม เป็นคนที่โคตรเหมือนแมว แล้วก็เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วชวนให้ยิ้มตาม

            "เราอยากเป็นคนนะ"

            "รู้แล้ว"

            "เพราะเป็นคนแล้วลิขิตจะได้อยู่ใกล้ๆ ได้"

            ประโยคที่ได้ฟังทำเอาผมต่อบทสนทนาไม่ถูกเลย มันเป็นความรู้สึกดีๆ เหมือนมีคนมาสารภาพว่าชอบ พาให้สติหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และยิ่งลอยไปไกลมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

            "เราไม่อยากนอนคนเดียว"

            เอาล่ะ ถ้าผมแปลความหมายของทั้งสองประโยคนี้ไม่ผิดล่ะก็ ล่อนจ้อนเพิ่งบอกว่าอยากนอนกับผม นอนในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำอะไรกัน แค่นอนด้วยกัน อยู่ข้างๆ กัน พูดคุยและเปลี่ยนเรื่องราวที่ได้พบเจอมาแต่ละวัน แค่ลองจินตนาการถึงผมก็รู้สึกได้ถึงความสุขแล้ว

            "ถ้ากลับมาเป็นคนได้แล้วจะนอนด้วยกันเหรอ" ผมถามกลับไปหลังจากดึงสติกลับมาได้ ถึงจะกลับมาเป็นคนแล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกัน หรือมีเหตุผลพอที่ต้องนอนด้วยกันหรือเปล่าผมยังไม่รู้เลย

            "ไม่ได้เหรอ"

            "ก็...ไม่ใช่ว่าไม่ได้"

            ผมจะคิดเสียว่านี่คือความคิดของเด็กอายุสิบหก เป็นความคิดอันใสซื่อบริสุทธิ์ผุดผ่อง แม้บางครั้งล่อนจ้อนจะกวนตีนเหมือนไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เถอะ

            "งั้นสัญญานะว่าจะนอนด้วยกัน"

            สัญญาอีกแล้ว เป็นสัญญาระหว่างเราข้อที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่กับสัญญาข้อนี้แล้ว...ไม่กล้าพูดออกไปเลยผม เพราะไม่มั่นใจเลยตัวเองเลยว่าจะนอนเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้

            "ไม่ได้เหรอ"

            "โอเคๆ สัญญา"

            ได้รับคำตอบแล้วล่อนจ้อนก็ยิ้มตาปิด

            ก็แค่นอนเฉยๆ เองมันจะไปยากอะไรถ้าไม่คิดอะไร แต่ก็นั่นแหละที่ยาก ผมรู้ใจตัวเองดี รู้ว่ามันคิดอะไรและรู้สึกอะไรอยู่

            ล่อนจ้อนน่ารักนะ...น่ารักที่ควรรัก

            ใจผมมันบอกตัวเองอยู่แบบนี้ทุกวัน

 

            ได้เวลาที่สมควรผมก็ทิ้งล่อนจ้อนให้นั่งดูหนังต่อคนเดียว แล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียน แต่อยู่คนเดียวได้ไม่นานนักหรอก คนที่บอกอยากอยู่กับผมก็โผล่มาแอบดูหน้าประตูห้อง เป็นจังหวะที่ผมกำลังติดกระดุมเสื้อพอดี

            "มีไรเปล่า"

            ล่อนจ้อนส่ายหน้า ก้าวช้าๆ เข้ามาในห้องแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม ทำตัวแปลกๆ แบบนี้มันต้องมีอะไรแล้วล่ะ

            "จะเอาอะไรหรือเปล่า"

            "อยากใส่" สุดท้ายก็ยอมสารภาพออกมา

            นิ้วป้อมๆ ชี้มาที่ชุดนักศึกษาของผม มันก็แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำที่ผมไม่เห็นว่ามันจะน่าใส่ตรงไหน แต่กับคนที่ไม่เคยใส่คงให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป อาจจะเหมือนผมตอนได้ลองใส่ครั้งแรกที่ตื่นเต้นนิดหน่อย เป็นความรู้สึกที่บอกว่าตัวเราโตขึ้นอีกนิดแล้วนะ จากเด็กมัธยมกลายเป็นเด็กมหา'ลัยแล้ว

            "ถ้ากลับมาเป็นคนเมื่อไรเดี๋ยวก็ได้ใส่"

            "จริงนะ"

            "ถ้าได้เรียนนะ" ผมเองก็ตอบได้ไม่เต็มปาก

            ปัญหานี้ยังไงผมต้องแก้ได้อยู่แล้ว ต้องทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมให้ได้ แต่ถ้าทำสำเร็จแล้วเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปผมก็ยังเดาไม่ออก ทุกคนกลับมาจำล่อนจ้อนได้แล้วยังไง ชีวิตความเป็นอยู่ การเรียน และเรื่องอื่นๆ จะเป็นไปในทางไหน ผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นนะ หรือบางทีชีวิตหลังสิ้นสุดปัญหานี้ของล่อนจ้อน อาจจะเป็นชีวิตที่เจ้าตัวเลือกเดินหากไม่เกิดเรื่องประหลาดนี้ก็ได้

            "แต่ถ้าอยากลองใส่เดี๋ยวกลับมาแล้วให้ลอง"

            ล่อนจ้อนพยักหน้ารับ ยิ้มจนหนวดแมวขึ้น

            "แต่อย่าค้นของมาใส่เองนะ"

            "รู้แล้ว พอลิขิตไปก็กลับไปเป็นแมว ค้นอะไรไม่ได้หรอก"

            "ไว้ใจได้ใช่มั้ย" ใครว่าแมวค้นไม่ได้ ขนาดหมายังรื้อบ้านจนเละได้เลย อันนี้ผมเคยเห็นในคลิปเยอะแยะ ซึ่งแมวที่มีความคิดเหมือนคนย่อมมีความสามารถมากกว่าแมวธรรมดาอยู่แล้ว

            "ไม่ไว้ใจกันเหรอ"

            "อย่าดื้อแล้วกัน" ผมยีหัวฟูๆ นั่นก่อนเดินไปหยิบเข็มขัดมาใส่ ล่อนจ้อนทำปากยื่นขัดใจแล้วเดินหนีออกไปนอกห้อง

            เป็นแมวที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จริงๆ

            ผมเอาชามข้าวกับน้ำของแมวมาวางไว้ใกล้ๆ ประตูห้องหลังจากแต่งตัวเสร็จ เปิดประตูเอาไว้เผื่อล่อนจ้อนง่วงอยากขึ้นไปนอนบนเตียง ประตูห้องน้ำก็เปิดไว้เช่นกัน

            "ปิดทีวีแล้วนะ ถ้าปวดท้องก็เข้าห้องน้ำเอา"

            ล่อนจ้อนเป็นแมวฉลาด น่าจะใช้ห้องน้ำได้มั้ง แม้ตอนเป็นคนผมยังต้องสอนตอนเข้าห้องน้ำครั้งแรกก็เถอะ

            "เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวรีบกลับ"

            "ซื้อขนมมาด้วย"

            "ครับ"

            "ตั้งใจเรียนนะ"

            "รู้แล้ว"

            ผมยีหัวฟูๆ ของคนที่นั่งยิ้มส่งบนโซฟาอีกรอบก่อนออกจากห้อง ทั้งห่วงทั้งกังวลที่ต้องปล่อยให้ล่อนจ้อนอยู่คนเดียว    เสียดายที่มือถือยังไม่พร้อมใช้งาน ไม่งั้นคงสั่งให้รายงานทุกชั่วโมง จะใช้อุ้งตีนแมวพิมพ์อะไรมาก็ได้ให้ผมรับรู้ว่ายังอยู่ดีก็พอ


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ล่อนจ้อนน่ารักมากก น้องงงงงง :mew2:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ถูกใจล่อนจ้อนมาก ดูออก

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
ล่อนจ้อนน่ารักเนื้อเรื่องดีงามมมมม ภาษาก็ดีคืออ่านแล้วไม่สะดุดเลยค่ะทำให้น่าติดตาม  o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 12


            "เดี๋ยวนี้มันติดมือถือว่ะ" อยู่ๆ พสุที่นั่งข้างผมก็พูดขึ้นมา ดึงความสนใจจากคิรินที่นั่งอยู่ข้างมันมาจากอาจารย์ที่กำลังพูดอยู่หน้าห้อง รวมถึงมงคลที่นั่งข้างคิรินอีกทีให้เหล่มามองได้

            "ก็ปกติ"

            "ปกติของมึงคือไม่เล่นเวลาเรียน"

            "เหรอ กูเป็นงั้นเหรอ"

            "หรือแอบมีแฟนไม่บอกพวกกู"

            "ไม่มี"

            "อย่าคิดว่ากูไม่รู้เรื่องนั้นนะ" คิรินพูดด้วยหน้าตามีลับลมคมใน ทำเอาผมชักรู้สึกระแวงว่าแม่งไปรู้อะไรมากันอีก ไอ้พวกนี้ยิ่งไว้ใจไม่ค่อยได้อยู่ สืบกันเก่ง

            "อะไรของมึง"

            "เรื่องพี่ณดา ทำไมมึงไม่บอกวะว่าจริงๆ แล้วพี่เค้าตามจีบมึง วันนั้นกูเจอพี่เค้าอยู่กับไอ้น้องเหนือก็เสร่อไปแซว หน้าแหกเลย"

            "เออใช่ เรื่องนี้ต้องเคลียร์ที่มึงปิดบังพวกกู" พสุเห็นดีเห็นงามด้วย สงสัยพาไปหน้าแหกด้วยกันมาถึงได้เครียดแค้นกันขนาดนี้

            พูดถึงพี่ณดา จะว่าไปแล้วช่วงนี้คุณพี่เธอไม่ค่อยเข้ามาวุ่นวายกับผมเท่าไร อาจจะมีทักไลน์มาบ้างแต่ผมไม่ได้ตอบเป็นปกติอยู่แล้ว อาทิตย์นึงตอบกลับสักหนึ่งครั้ง บางทีพี่เธออาจจะเบื่อคนเล่นตัวเยอะอย่างผมแล้วก็ได้ ซึ่งถ้าจริงมันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ

            "พี่เค้าก็จีบไปทั่วอ่ะมึง"

            "แล้วมึงไม่ชอบพี่เค้าเหรอวะ" พสุถาม ขณะที่มือจดเล็กเชอร์ไปด้วย

            "ถ้าชอบก็คงเป็นแฟนกันไปนานละ"

            "หล่อเลือกได้จังเลยเพื่อนกู"

            ผมไหวไหล่ ก็คนมันไม่ชอบจะให้ทำไง ฝืนคุยฝืนคบกันไปก็ไม่มีความสุขอยู่ดี

            "แล้วสรุปมึงคุยกับใครวะ" ทั้งที่พสุเป็นคนเปิดประเด็นแต่กลับเป็นคิรินที่สานต่อ มันยังไม่ล้มเลิกความอยากรู้อยากเห็นอีกเหรอวะ

            "คุยกับแมว"

            "ตลกละสัด"

            "คุยกับไอ้น้องเหนือของพวกมึงอ่ะ วันนี้ว่าจะไปซื้อของ" ผมกดล็อกหน้าจอแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋าเพื่อตัดความสงสัยของพวกมัน พอได้คำตอบที่พอใจแล้วเพื่อนรักทั้งสามก็กลับไปฟังอาจารย์กันเหมือนเดิม

            ตอนพูดความจริงล่ะไม่เชื่อแต่ดันเชื่อตอนโกหก ก็ผมน่ะคุยกับแมวจริงๆ พิมพ์อะไรกลับมายังอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักประโยค

 

            เลิกเรียนปุ๊บผมก็บึ่งกลับห้องทันที วันนี้สัญญากับล่อนจ้อนไว้แล้วว่าจะพาไปซื้อของเพราะเลิกเรียนเร็ว กลับมาถึงห้องเปิดประตูเข้ามาก็เจอเจ้าแมวขาวนั่งอยู่ เพราะผมไลน์มาบอกก่อนหน้านี้ว่ากำลังจะกลับ เลยมีแมวมารอต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตูแบบนี้

            "นั่งรอเป็นหมาเลย" ผมไม่ได้เข้าไปลูบหัวลูบหาง แต่เดินเบี่ยงเลี่ยงไปที่ห้องนอน อยากแกล้งแซวคนรอให้ถูกโกรธเล่นๆ

            แม้ไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลังแต่เสียงฝีเท้าที่เปลี่ยนไป ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าแมวสีขาวที่นั่งทำหน้าอารมณ์ดีอยู่หน้าประตูนั้นหายไปแล้ว กลายร่างเป็นคนหน้าแมวไม่ใส่เสื้อผ้าและกำลังทำหน้างออยู่แน่ๆ

            เปิดประตูเข้ามาในห้องผมก็คว้าผ้าขนหนูหันกลับไปล็อกตัวแมวขี้แกล้งได้พอดี คนที่อยู่ในอ้อมกอดผมอ้าปากค้าง ที่รู้ทันเพราะเมื่อวานผมก็โดนแกล้งแบบนี้ ถูกกระโจนใส่จนหน้าทิ่มเตียง แถมไอ้คนที่ทับอยู่ดันไม่ใส่เสื้อผ้าอีก แนบชัดขนาดนั้นต้องใจแข็งขนาดไหนคิดดู

            "ลิขิตรู้ได้ไง"

            "เมื่อวานก็เล่นแบบนี้"

            "ไม่น่ารีบเป็นคนเลย"

            "แต่ถ้าตะปบตอนเป็นแมวได้เลือดแน่ๆ"

            "จะข่วน" ไม่พูดเปล่ายังพยายามขยับแขนที่อยู่ใต้ผ้าขนหนู แต่ล่อนจ้อนน่ะสู้แรงผมไม่ได้อยู่แล้ว

            "ถ้าข่วนจะตี ไปใส่เสื้อผ้าไป" ผมปล่อยแขนออก จับปลายผ้าขนหนูให้ล่อนจ้อนถือไว้แล้วดันหลังให้เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

            วันนี้จะออกไปข้างนอก ต้องหาชุดดีๆ ให้ใส่หน่อย

            ผมเลือกเสื้อแขนยาวสีกรมท่ากับกางเกงยีนสีดำให้ล่อนจ้อน รวมถึงกางเกงใน ถุงเท้า แล้วก็เข็มขัด เพราะขนาดตัวเราต่างกันไม่มากเลยใส่ทุกอย่างได้พอดี แต่งตัวเสร็จแล้วก็ถือว่าดูดีใช้ได้ ไม่สิ ดูดีมากเลยล่ะ

            "เซ็ตผมหน่อยมั้ย" มองผมฟูๆ สีบลอนด์นั่นแล้วก็อยากเซ็ตให้มันดูดีขึ้นมาหน่อย ถ้าแต่งองทรงเครื่องครบผมว่าสาวๆ มองกันเหลียวหลังแน่

            "ทำยังไง"

            "เดี๋ยวจัดการให้"

            ผมพาล่อนจ้อนไปนั่งหน้ากระจกแล้วเริ่มลงมือ ฝีมืออาจจะไม่ได้เก่งกาจเท่าไร เพราะผมเองยังขี้เกียจเซ็ตผมเวลาออกไปข้างนอกเลย แต่ก็นั่นแหละ หน้าตาดีอยู่แล้วไม่ต้องทำอะไรเยอะก็ยังดูดี

            ผมใช้เวลาไม่กี่นาทีจัดทรงผมให้ล่อนจ้อนใหม่ พอทำผมดีๆ แล้วก็เปลี่ยนจากลุคหนุ่มน่ารักแบบเซอร์ๆ เป็นหนุ่มหล่อน่ารักแบบใสๆ ผมหน้าม้าเช็ตขึ้นเปิดหน้าผากนิดหน่อย ข้างหน้าก็หวีให้เข้าทรงที่ดูไม่ค่อยเป็นทรงนัก หรือผมควรจะพาล่อนจ้อนไปตัดผมด้วยเลยดี

            "ตัดผมด้วยดีมั้ย หน้าม้ายาวจนทิ่มตาแล้ว"

            "ตัดยังไง"

            "เดี๋ยวพาไปร้าน ไปเสริมหล่อด้วย อยากตัดทรงไหนเป็นพิเศษมั้ย"

            "เอาแบบหล่อๆ"

            "จัดไป"

            เรายิ้มให้กันผ่านกระจก ก่อนผมจะผละออกมาหาเสื้อเปลี่ยนบ้าง จะได้รีบไปรีบกลับ

 

            ขึ้นรถไฟฟ้ามาไม่กี่สถานีก็ถึงห้างสรรพสินค้าที่หมาย คนที่เพิ่งเคยขึ้นรถไฟฟ้าครั้งแรกดูจะตื่นเต้นไม่น้อย ถามว่ารู้จักมั้ยก็รู้จัก แต่เพราะอยู่ต่างจังหวัดเลยไม่เคยขึ้นมาก่อน จะว่าไปรถไฟฟ้าก็สร้างมายี่สิบปีได้แล้ว แต่ในกรุงเทพฯ ก็ยังมีอยู่แค่ไม่กี่สาย ช่วงนี้มาสร้างพร้อมกันหลายสาย รถเลยติดบรรลัยจนผมไม่อยากจะเดินทางไปไหนเลย

            ผมพาล่อนจ้อนเข้าร้านตัดผมก่อนเป็นอันดับแรก ให้เจ้าตัวเลือกทรงที่ชอบแล้วส่งให้ช่างจัดการ ใช้เวลาไม่นานนักก็แปลงโฉมเจ้าแมวขนฟูเสร็จ ผมสั้นขึ้นนิดหน่อยและดูเป็นทรงมากขึ้น หน้าตามันไม่ได้ดูแปลกไปจากเดิมมากนัก ยังดูน่ารักเหมือนเดิม

            จ่ายเงินให้แล้วผมก็จูงมือล่อนจ้อนออกมานอกร้าน มันค่อนข้างดูตื่นเต้นกับทรงผมใหม่ หลังตัดเสร็จก็ยืนส่องกระจกอยู่นานสองนาน

            "ช่างถามว่าทำสีผมที่ไหนด้วย" พูดเสียงเจื้อยแจ้วพลางจับผมตัวเองแล้วยิ้ม ตอนตัดผมนั่งเล่นมือถือรอ เลยไม่รู้ว่าช่างคุยอะไรกับล่อนจ้อนบ้าง

            "แล้วตอบไปว่าไง"

            "จำไม่ได้"

            "แต่ผมดำก็เริ่มยาวแล้วนะ เค้าไม่ชวนทำสีผมใหม่เหรอ" ปกติช่างทำผมชอบชวนทำนู่นทำนี่ เห็นผมดำขึ้นแบบนี้ต้องชวนทำสีผมใหม่แน่นอน

            "ชวน"

            "แล้วตอบไปว่าไง"

            "ชอบผมดำมากกว่า"

            "เค้าไม่ตื๊อเหรอ"

            "ตื๊อ แต่เค้าพูดอะไรไม่รู้เยอะแยะ เลยยิ้มให้อย่างเดียว"

            "ทำดี"

            ได้รับคำชมล่อนจ้อนก็ยิ้มกว้าง พอผมสั้นแล้วทำให้เจ้ตัวดูเด็กลงนิดหน่อย เห็นแก้มเป็นก้อนๆ ตอนยิ้มแล้วก็อยากดึง

            "แล้วแบบนี้ตอนกลับไปเป็นแมวขนจะเปลี่ยนทรงมั้ย" จะว่าไปแล้วมันก็น่าคิด ในเมื่อร่างคนตัดผมแล้วร่างแมวล่ะ จากแมวขนฟูจะกลายเป็นขนสั้นมั้ย เป็นเปอร์เซียขนสั้นจะดูแปลกๆ หรือเปล่า

            "ไม่รู้ดิ"

            "ถ้าเปอร์เซียขนสั้นมันจะน่าเกลียดมั้ย"

            "น่าเกลียดเลยเหรอ" ล่อนจ้อนทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที มันหันกลับไปมองร้านตัดผมเหมือนอยากจะบอกว่า 'เอาผมข้าคืนมา'

            "ไม่น่าเกลียดหรอก เราก็พูดไปงั้นอ่ะ ไปกินข้าวก่อนมั้ย แล้วค่อยไปซื้อของ" ผมพาเปลี่ยนเรื่องโดยการเอาของกินเข้าล่อ เลยเที่ยงมาสักพักแล้วผมรู้ว่าล่อนจ้อนต้องหิว ไม่งั้นไม่รีบพยักหน้ารับหรอก

            ที่ชั้นใต้ดินมีร้านอาหารมากมายให้เลือก ครั้งนี้ผมให้ล่อนจ้อนเป็นคนตัดสินใจ อยากกินอะไรก็ได้ผมตามใจทุกอย่าง คนเลือกไม่ได้เลยเดินวนอยู่หลายรอบ ก่อนจะตัดสินใจเลือกพิซซ่าเพราะอยากกินตั้งแต่เห็นโฆษณาในทีวีเมื่อคราวก่อน

            "ตอนเด็กๆ เคยกินมั้ย" ผมชวนคุยระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ

            "ไม่เคย"

            "จริงดิ"

            "มันแพง ถ้าเคเอฟซีเคยกิน"

            ผมพอจะนึกภาพออก ตอนเด็กๆ พ่อแม่ผมก็ไม่ค่อยให้กินอะไรแบบนี้เหมือนกัน นานๆ ถึงจะได้กินที กับคนงานในบ้านสวนแล้วถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษหรือมีคนเลี้ยงคงไม่ซื้อกินกันหรอก

            "งั้นวันนี้ก็กินเยอะๆ เลย"

            "รู้แล้ว" ล่อนจ้อนบอกแล้วอมยิ้ม พร้อมกับที่พนักงานเอาน้ำมาเสิร์ฟพอดี

            เพราะคนในร้านไม่เยอะเมนูที่สั่งไปเลยทยอยออกมาเสิร์ฟเรื่อยๆ ในเวลาไม่นานนัก ล่อนจ้อนกินพิซซ่าไปคนเดียวสี่ชิ้น เคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มอูมออกมา ดูมีความสุขกับอาหารมื้อนี้จนอดไม่ได้ต้องเชียร์ให้กินเยอะๆ

            "อิ่มแล้ว" กินไก่ชิ้นที่สองหมดก็คว้าแก้วโคล่าไปดื่มจนหมด จัดการทุกอย่างบนโต๊ะจนเกลี้ยง กินได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ

            "เดินไหวใช่มั้ย ต้องไปซื้อเสื้อผ้าต่อนะ"

            "ไหว"

            "ให้นั่งพักก่อนแป๊บนึง" ผมต้องโบกมือห้ามเมื่อคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำท่าจะลุกออกไปเลย กินอิ่มแล้วต้องคึกขนาดนี้เลยเหรอ

            ผมเรียกเช็คบิลระหว่างรอล่อนจ้อนพัก แต่พอพนักงานเอาบิลมาวางก็โดนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแย่งไปดู เห็นราคาแล้วก็ทำตาโตก่อนส่งกลับมาให้ผม

            "แพง"

            "ก็ตั้งสิบปีแล้ว ค่าครองชีพมันก็แพงขึ้นเรื่อยๆ" ผมดูราคาแล้วเปิดกระเป๋าหยิบแบงส์พันออกมาเตรียมไว้ แต่ล่อนจ้อนยังไม่เลิกตกใจ

            "แพงกว่าตัดผมอีก แต่ตัดผมก็แพง"

            เห็นอีกฝ่ายทำหน้าลำบากใจผมก็ได้แต่ยิ้มให้ ปกติซื้อแต่ของเล็กๆ น้อยๆ มูลค่าไม่ได้มากมายอะไรให้ ต่างกับที่พามาห้างฯ วันนี้ที่แบงส์สีเทาได้ปลิวออกจากกระเป๋าหลายใบแน่ๆ แต่ผมเต็มใจจ่ายนะ มันไม่ได้เดือดร้อนอะไร

            "ลิขิตมีตังค์เหรอ" เพราะคนที่เดือดร้อนดูจะเป็นคนรับมากกว่า

            "ก็แค่แมวตัวเดียว เลี้ยงได้น่า"

 

            ออกจากร้านพิซซ่าผมก็พาล่อนจ้อนไปหาซื้อเสื้อผ้า ได้ชุดชั้นในกับชุดใส่เล่นอยู่ห้องมาอย่างละห้าชุด โดยที่เจ้าตัวเป็นคนเลือกเอง ส่วนชุดสำหรับไปเที่ยวหรือออกไปข้างนอกให้ยืมชุดผมใส่ไปก่อนเพราะคงไม่ได้ออกไปไหนบ่อยๆ อีกอย่างเดี๋ยวเงินไม่พอใช้ถึงสิ้นเดือน ผมก็อยากจะเบิกพ่อสำหรับงบการแก้ปัญหาเรื่องราวแปลกประหลาดในชีวิตอยู่หรอก แต่ตอนนี้พอยังใช้ ก็ใช้ไปก่อน

            เราแบ่งกันถือของคนละครึ่งซึ่งไม่ได้มากมายอะไร เสร็จภารกิจหาเสื้อผ้าให้ล่อนจ้อนแล้วผมก็แวะไปซื้อของใช้ที่บิ๊กซีชั้นหนึ่ง จะได้ซื้อของกินกับขนมไปตุนให้สมาชิกใหม่ของห้องด้วย

            ล่อนจ้อนขอเป็นคนเข็นรถพอผมไม่ให้ก็ทำหน้างอใส่ เถียงกันอยู่สักพักสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอม เลยต้องคอยประคองไว้ไม่ให้แมวดื้อเข็นไปชนใครเขาเข้า

            ปกติเวลาซื้อของใช้เข้าห้องผมจะมากับไอ้กาลจะได้มีคนขับรถ เลือกวันหยุดต้นเดือนแล้วซื้อทีเดียวเยอะๆ ส่วนของใช้ที่ต้องซื้อวันนี้มีเฉพาะของล่นจ้อนคนเดียว

            ผมเลือกแปรงสีฟัน โฟมล้างหน้า แล้วก็ครีมทาผิวให้ ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้พวกครีมบำรุงเท่าไร แต่เห็นผิวล่อนจ้อนแล้วอยากให้มันใช้ ดูบอบบางจนนึกไม่ออกเลยว่าตอนเด็กๆ เคยอยู่ในสวนในไร่ หรือพอเป็นแมวสีขาวแล้วทำให้ผิวมันดีขึ้นก็ไม่รู้ มีขนปกปิดช่วยปกป้องจากแดดลมฝน

            เลือกของใช้ครบตามลิสต์ก็พาเข้าโซนของกิน ให้ล่อนจ้อนเลือกหยิบขนมไปตุนไว้ได้ตามใจ แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะเลือกทุกอย่างที่อยากกินทั้งหมด มีดูราคา ปริมาณก่อนแล้วค่อยเลือก อันไหนแพงเกินไปก็ไม่เอา

            "ถ้าอยากกินก็หยิบเลย" ผมบอกตอนล่อนจ้อนวางช็อคโกแลตราคาเหยียบร้อยไว้ที่เดิม

            "มันแพง ได้นิดเดียวเอง"

            "ซื้อได้ หยิบมาเลย"

            "ไม่เอาอ่ะ" ปฏิเสธอย่างหนักแน่นแล้วก็เดินนำหน้าผมไป รถเข็นก็ไม่เอาแล้ว ให้ผมเข็นตามเหมือนเป็นคนติดตามของคุณหนูยังไงยังงั้น

            เดินจนครบโซนของกินผมก็พาวนกลับไปที่แคชเชียร์ ตอนผ่านโซนเสื้อผ้าผู้ชายล่อนจ้อนก็ดึงเสื้อผมยิกๆ ก่อนชี้ไปยังที่ราวชุดที่อยู่ใกล้ๆ

            "ชุดนอน"

            "อยากได้เหรอ"

            "ใช่ ลิขิตไม่มีชุดนอน"

            ชุดนอนผมก็บ๊อกเซอร์กับเสื้อยืดสักตัว หรือไม่ก็ใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวไปเลย ตั้งแต่ขึ้นมหา'ลัยไม่เคยคิดอยากใส่เลยชุดนอน

            "ใส่บ๊อกเซอร์นอนก็ได้"

            "ไม่ๆ อยากใส่ชุดนอน" บอกแล้วล่อนจ้อนก็ลากผมไปหาไอ้ชุดนอนนั่นทันที

            ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดไว้ว่าอยากให้ล่อนจ้อนใส่ชุดนอน แต่หลังจากทดลองอยู่ด้วยกันแล้วชุดนอนก็กลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นไปแล้ว พอแยกกันตอนกลางคืนเดี๋ยวคนก็กลายเป็นแมว กลับมาเป็นคนอีกทีก็ไม่ใส่เสื้อผ้า เพราะฉะนั้นซื้อชุดนอนไปก็ไม่ได้ใส่นอนอยู่ดี แต่ถ้าอยากได้ผมก็ไม่ขัด

            ผมยืมเกาะรถเข็นปล่อยให้ล่อนจ้อนเลือกชุดนอนไป บอกแล้วว่าวันนี้จะตามใจ อยากซื้ออยากทำอะไรผมยอมให้หมดเลย นอกเสียจากว่า....

            "ตัวนี้ให้ลิขิต"

            จะบอกให้ผมใส่ชุดนอนนอน

            ล่อนจ้อนหยิบชุดหนึ่งออกมาจากราวแล้วเอามาทาบกับตัวผม เป็นชุดสีน้ำเงินลายหมีน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน

            "เดี๋ยวเราใส่บ๊อกเวอร์เหมือนเดิมก็ได้ ล่อนจ้อนเลือกชุดที่ชอบเลย"

            "ไม่เอาดิ ใส่ด้วยกัน"

            "ไม่เป็นไร"

            "ใส่ด้วยกันนะ"

            ผมปฏิเสธล่อนจ้อนก็ตื๊อ ทำหน้าดื้อๆ ไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ แล้วดูชุดละตั้ง 399 บาท ทีเมื่อกี้ขนมไม่ถึงร้อยไม่ยอมซื้อ ถ้าซื้อสองชุดก็แปดร้อยเลยนะ

            "นะ ใส่ด้วยกัน"

            "แต่ก็ไม่ได้นอนด้วยกันอยู่ดี"

            "ใส่ดิ ในนิทานยังใส่ชุดนอนเลย"

            ผมเอานิทานไปเผาทิ้งตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วใช่มั้ย แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยสอนให้ล่อนจ้อนบอกฝันดีกับจุ๊บก่อนนอนเป็น

            "ไม่อยากใส่จริงเหรอ"

            มาแล้วสายตาแบบแมวอ้อน

            "มันน่ารักออก"

            ตามด้วยแววตาเศร้าสร้อยแสนน่าสงสาร

            "แค่อยากให้ใส่ชุดนอนคู่กันเอง"

            จบเกมด้วยประโยคท่าไม้ตาย

            "ก็ได้ซื้อก็ได้ เลือกเลย" หมดปัญญาจะต้านทานแล้วจริงๆ

            ล่อนจ้อนยิ้มกว้างหันกลับไปเลือกชุดนอนต่อ เดินวนจนรอบราวสุดท้ายก็เลือกมาสองชุด เอาไอ้ชุดสีน้ำเงินลายหมีเก็บแล้วเลือกชุดเรียบๆ ที่เหมือนกันสองชุดออกมาแทน

            ชุดที่ดูเป็นคู่กัน

            ชุดที่ถ้าไอ้กาลเห็นมันต้องแซวอีกแน่

 

            หลังจากซื้อครบทุกอย่างของก็ถูกอัดใส่ไว้เต็มรถเข็น เข็นรถไปก็ต้องคอยมองคนข้างๆ ไปว่าจะแอบเถลไถลแวบไปไหนหรือเปล่า เดินอยู่ดีๆ เดินเข้าร้านขายของกระจุกระจุกโดยไม่บอกผมก็มี พาตัวออกมาได้เลยต้องบังคับให้ช่วยกันเข็นรถ อยากจับมือไว้แต่จะให้เข็นรถที่มีของเยอะๆ ข้างเดียวผมก็ไม่สามารถ

            เข็นรถออกมาถึงหน้าประตูห้างสายตาผมก็ปะทะเข้ากับสายตาของเพื่อนร่วมสาขาพอดี มันยิ้มทักทายผมแต่สายตากลับโฟกัสที่ใครอีกคน จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากันมันก็ยังไม่หยุดมอง

            "มาซื้อของเหรอ"

            "อืม มึงอ่ะ" ผมถามกลับ มันถึงได้ละสายตาจากล่อนจ้อนแล้วหันมาคุยกับผม

            "ดูหนัง"

            "คนเดียว"

            "เปล่า นัดพวกไอ้เนมไว้ ไปดูด้วยกันมั้ย"

            "มึงไปเถอะ กูจะกลับแล้ว"

            "เออๆ เจอกัน"

            เราพยักหน้าลากันพอเป็นพิธีก่อนมันจะเดินสวนไป ก่อนไปก็ไม่วายมองล่อนจ้อนอีกรอบด้วยสายตาสงสัย มันไม่ถามผมก็ไม่บอก ซึ่งก็ดีแล้ว

            "ใครเหรอ" เพื่อนผมเดินจากไปไม่ทันไรล่อนจ้อนก็ถาม

            "เพื่อนที่มหา'ลัย"

            "เขามองเราตอลดเลย"

            ไม่แปลกหรอกที่ล่อนจ้อนจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ หน้าตาดีแถมผิวขาวเหมือนมีสปอตไลท์ส่องตลอดเวลา ไหนจะผมสีบลอนด์นี่อีก เป็นผมผมก็มอง

            "มันไม่รู้จักไงก็เลยมอง"

            "วันหลังพาไปหาเพื่อนบ้างดิ" แล้วก็ลามไปเรื่องเพื่อนจนได้

            "ไม่ต้องเลย"

            "ทำไมอ่ะ อยากรู้จักเพื่อนลิขิตบ้าง"

            "เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อน ถ้ากลับมาเป็นคนได้เมื่อไรจะพาไปรู้จัก โอเคมั้ย"

            "แล้วเมื่อไรจะได้กลับไปเป็นคนจริงๆ"

            "เราก็ต้องช่วยกันไง เดี๋ยววันเสาร์นี้จะพาไปบ้านสวน"

            "ไปได้แล้วเหรอ"

            "ได้ไม่ได้ก็ต้องไป ถ้าอยากรู้วิธีกลับมาเป็นคนเร็วๆ น่ะนะ"

            ล่อนจ้อนยิ้มแล้วพยักหน้า ผมไม่รู้หรอกว่าไปบ้านสวนแล้วจะมีเบาะแสหรือช่วยให้ปัญหานี้สิ้นสุดลงได้จริงๆ หรือเปล่า แต่การกลับไปที่จุดเริ่มต้นย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

            ขึ้นแท็กซี่จากหน้าห้างกลับมาถึงห้องตอนสี่โมงเย็น ลองนับนิ้วดูแล้วล่อนจ้อนยังเหลือเวลาอยู่ในร่างคนได้อีกประมาณห้าชั่วโมง กินข้าวเย็น อาบน้ำ เข้านอน ก็คงหมดเวลาพอดี

            "ซักผ้ากัน" ผมชวน คนที่เพิ่งทิ้งตัวลงบนโซฟาถึงกับเอียงคอมอง

            "ซักทำไม"

            "เสื้อผ้าซื้อมาใหม่ต้องซักก่อนใส่ ซักแล้วตากไว้จะพรุ่งนี้จะได้มีใส่ไง"

            "คืนนี้ก็ไม่ได้ใส่ชุดนอนอ่ะดิ"

            "คืนพรุ่งนี้ค่อยใส่ มาเร็ว เดี๋ยวสอนใช้เครื่องซักผ้า"

            ผมเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ของล่อนจ้อนไปใส่รวมกับเสื้อผ้าของพวกผมที่เพิ่งซักไปเมื่อวันก่อนเลยมีแค่ไม่กี่ชุด ส่วนเสื้อสีเพียงตัวเดียวที่ซื้อมาก็แยกเอาไว้ซักมือเพราะกลัวว่าสีจะตก รวมถึงกางเกงในด้วยที่ต้องแยกไว้

            "ที่หอเครื่องซักผ้ามันจะเป็นแบบหยอดเหรียญ ถังเล็กสามสิบ ถังใหญ่สี่สิบ วันนี้เสื้อผ้าไม่เยอะมากเอาถังเล็กก็พอ" ผมนับเหรียญสิบในกระป๋องเหรียญมาสามเหรียญแล้วอธิบายให้ล่อนจ้อนฟังไปด้วย

            "ต้องหยอดเหรียญด้วยเหรอ"

            "มันเป็นของส่วนรวม จะใช้ก็จ่ายตังค์ ตอนอยู่บ้านสวนได้ใช้เครื่องซักผ้ามั้ย"

            "เครื่องซักผ้ามีแต่ที่บ้านใหญ่ แม่บอกให้ซักเองสะอาดกว่า แล้วถ้าเอาไปซักเครื่องมันจะสะอาดมั้ย" ถามแล้วเหล่มองตะกร้าผ้า

            "สะอาดมั้ง แต่ซักเครื่องมันดีตรงที่ไม่ต้องเสียเวลาไง โยนลงเครื่องแล้วรอตากเลย จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น แต่กางเกงในต้องซักเองนะ ซักเป็นใช่มั้ย"

            "เป็นมั้ง"

            ตอบแบบนี้ผมว่าไม่เป็นชัวร์ เด็กสิบขวบพอจะทำอะไรเป็นแล้วก็จริง ยิ่งเป็นเด็กต่างจังหวัดคงได้ช่วยงานบ้านบ่อยๆ แต่จากการที่เห็นล่อนจ้อนทำอะไรหลายๆ อย่างแล้ว เอาไว้ผมสอนอีกทีดีกว่า

            ผมอุ้มตะกร้าผ้าพาล่อนจ้อนที่ถือขวดน้ำยาซักผ้าเดินตามหลังลงมาที่โซนเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของหอ เห็นเครื่องที่ซักประจำยังว่างก็รีบเดินเข้าไปหา เช็กในถังกับช่องใส่น้ำยาว่าไม่มีอะไรค้างอยู่แล้วก็เทผ้าใส่ลงไป

            "ใส่ผ้า แล้วก็ยอดเหรียญตรงนี้ ส่วนน้ำยาใส่ช่องนี้ แล้วก็ปิดผา" ผมทำให้ดูแล้วบอกล่อนจ้อนทีละขั้นตอน ในอนาคตไม่ได้คิดว่าจะปล่อยให้เจ้าตัวลงมาซักผ้าคนเดียวหรอก แค่บอกไว้เป็นความรู้รอบตัว

            รอดูจนน้ำไหลแล้วผมก็ชวนล่อนจ้อนขึ้นห้อง เอากางเกงขาสั้นให้เปลี่ยน จากนั้นก็ลากมาซักเสื้อสีที่แยกไว้กับกางเกงในด้วยกัน แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดว่าไว้ว่าล่อนจ้อนซักผ้าไม่เป็น แถมยังดูสนุกสนานกับการตีฟองเป็นพิเศษ ตีจนน้ำกระเด็นเปียกไปทั้งขา

            "พอแล้ว เลอะเทอะว่ะ"

            "ฟองเต็มเลยดูดิ"

            "เห็นแล้ว เล่นเป็นเด็กเลย"

            ล่อนจ้อนย่นจมูกใส่ผม โดนว่าไปแบบนั้นถามว่าเลิกเล่นมั้ยก็ไม่ หยิบกางเกงในมาขยี้ตรงฟองอย่างเมามัน

            "ไม่ต้องขยี้แรงขนาดนั้น"

            พอผมบอกแล้วก็หัวเราะใส่ ชักจะทำตัวร่าเริงเกินไปแล้ว มัวแต่เล่นแบบนี้ซักถึงเย็นก็ไม่เสร็จ

            "เดี๋ยวซักเอง" ผมแย่งผ้าทั้งหมดมาซักเอง ปล่อยให้แมวนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเล่นฟองไป

            แค่เสื้อหนึ่งตัวกับกางเกงในไม่กี่ชุดกลับใช้เวลาซักและตากนานเกือบครึ่งชั่วโมง เสื้อก็ชื้นจนต้องเปลี่ยนใหม่ ส่วนคนที่เอาแต่เล่นหลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จก็หลับคาโซฟาไปแล้ว ปล่อยให้ผมลงไปเอาผ้าที่ซักไว้คนเดียว กลับขึ้นมาบนห้องอีกทีคนก็หายไปเหลือแค่แมวสีขาวนอนขดอยู่บนโซฟา

            ลืมนึกไปว่าถ้าห่างกันล่อนจ้อนจะกลับไปเป็นแมว แต่ผมลงไปไม่ถึงห้านาทีเลยนะ ตามกำหนดที่ผมจดบันทึกไว้วันนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง เป็นแบบนี้มีหวังโดนแมวงอนอย่างไม่ต้องสงสัย           

            ซวยแล้วมั้ยล่ะ


tbc.


ก็แค่แมวตัวเดียว เลี้ยงได้เนอะลิขิตเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
ลิขิตสายเปย์

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แมวตัวนี้ขี้งอนด้วย
รีบง้อเลย

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 944
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
น้องงงงงงง น่ารักจังเลยลูกกกกก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
ลิขิตครั้งที่ 13


            วันหยุดสัปดาห์นี้ผมสัญญากับล่อนจ้อนไว้ว่าจะพากลับบ้านสวน คนจะได้กลับบ้านก็ดีอกดีใจจัดกระเป๋ารอ แต่อาจารย์ดันสั่งทำงานกลุ่มตัดหน้าแถมให้เวลาแค่อาทิตย์เดียว พอถึงวันหยุดผมเลยต้องยกเวลาให้เพื่อนและงานกลุ่มแทน แมวก็เลยหน้างอไปตามระเบียบ

            "ไปด้วย" ล่อนจ้อนบอกหน้าง้ำหน้างอ นั่งกอดกระเป๋าที่จัดไว้ตั้งแต่วันก่อนอยู่บนเตียง

            "ไม่ได้หรอก"

            "ทำไม"

            "ยังไม่อยากให้เพื่อนเจอตอนนี้ เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมามันจะวุ่นวาย" เหตุฉุกเฉินจะเป็นอะไรได้บ้างผมยังไม่แน่ใจ แต่ถ้าพาล่อนจ้อนไปด้วยล่ะก็พวกเพื่อนผมมันคงสนใจคนหน้าแมวมากกว่างานแน่ๆ ไหนจะต้องเตรียมคำตอบเผื่อไว้สำหรับคำถามแปลกๆ จากพวกมันอีก ต้องตัวติดกันตลอดทิ้งให้ห่างไม่ได้ เกิดพลาดพลั้งกลับไปเป็นแมวขึ้นมาจะซวยเอา ผมยังไม่อยากมีเรื่องระทึกในชีวิตเพิ่ม ขี้เกียจคิดข้ออ้างต่างๆ ไม่อยากโกหกด้วย หรือจะบอกว่าล่อนจ้อนคือเรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตผมก็ไม่ได้ด้วย

            "จะไม่วุ่นวาย จะอยู่เฉยๆ สัญญา"

            "ไม่ได้"

            "อยู่ห้องมันน่าเบื่อ กาลก็ไม่อยู่" ตอนแรกไอ้กาลมันก็จะไปบ้านสวนกับผมนี่แหละ แต่พอบอกว่าไปไม่ได้แล้วมันเลยเปลี่ยนแผนไปหาไอ้ดื้อแทน อาบน้ำแต่งตัวออกไปตั้งแต่เก้าโมงนู่น

            "กลับไปเป็นแมว หลับแป๊บเดียว ตื่นอีกทีก็เย็นแล้ว"

            "เบื่อแมว ไม่อยากเป็นแมว"

            "เข้าใจ แต่พาไปด้วยไม่ได้จริงๆ เอาตอนเย็นจะซื้อขนมมาฝาก"

            "ไม่ใช่เด็กนะจะเอาของกินมาล่อ"

            เดี๋ยวนี้มีพัฒนาการหลอกล่อด้วยของกินไม่ได้แล้วงั้นสิ แต่ถึงจะงอแงยังไงสุดท้ายผมก็พาไปด้วยไม่ได้อยู่ดี

            "อยู่ห้องนะครับเด็กดี" ผมวางมือลงบนผมสีบลอนด์ ยังไม่ทันได้ลูบก็โดนปัดมือทิ้งก่อนคนงอนจะนั่งหันหลังให้

            เพิ่งจะหายงอนกันไม่นานก็โดนงอนอีกแล้ว

            "ไปแล้วนะ" ลองยื่นมือไปลูบหัวอีกครั้ง คนที่หันหลังให้ก็โยกตัวหลบทันทีที่มือผมสัมผัส แต่ผมไม่มีเวลาง้อแล้ว ต้องรีบออกก่อนจะโดนโทรตาม เพราะอีกห้านาทีผมจะสาย ไอ้พวกนี้ไม่ใช่คนที่ชอบมาเลทกันด้วย

            มองแผ่นหลังใต้เสื้อยืดสีขาวตัวบางที่ยังนั่งกอดกระเป๋าอยู่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ยังไงผมก็ต้องพาล่อนจ้อนกลับบ้านสวนก่อนสอบมิดเทอม ไม่งั้นคงติดอ่านหนังสือกันยาวๆ และโดนงอนแบบนอนสต๊อป ถ้าเราเจอกันช่วงปิดเทอมผมคงแก้ปัญหาทุกอย่างได้รวดเร็วกว่านี้ ไม่ได้อยากปล่อยให้ปัญหามันค้างคาอยู่แบบนี้เลย

 

            ตั้งใจจะรีบทำงานแล้วรีบกลับ เอาเข้าจริงกลับลากยาวตั้งแต่สิบเอ็ดโมงยันหกโมงเย็น เก็บของเสร็จพสุก็ยิ้มกว้างแท็กทีมกับคิรินลากผมมากินชาบูด้วยกันทั้งที่บอกแล้วแท้ๆ ว่าจะรีบกลับ แต่พอนึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อขนมไปง้อแมวเลยยอมทำตามมันมา เดินเล่นหาซื้อของอีกสักพักแล้วค่อยกลับ แมวที่ห้องคงไม่งอนไปมากกว่านี้แล้วมั้ง

            กว่าจะกลับมาถึงห้องก็สองทุ่มกว่า ไอ้กาลกลับมาแล้ว นอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟาทั้งที่เปิดทีวีไว้ บนโต๊ะมีถุงขนมที่แกะแล้ววางอยู่

            "มึงกลับมากี่โมง"

            "หกโมงกว่า"

            "ล่อนจ้อนอ่ะ"

            "ก็อยู่ในห้องมึงดิ เป็นแมวอยู่ไม่ใช่เหรอตอนนี้ กูไม่อุ้มออกมาเล่นแน่นอน" มันทำหน้าหวาดๆ บุ้ยปากไปที่ห้องผม ถ้าล่อนจ้อนเปิดประตูเป็นไอ้กาลไม่ได้นั่งสบายอารมณ์อยู่อย่างนี้แน่ ส่วนแมวขี้งอนป่านนี้สงสัยยังนอนอยู่ ไลน์หาก็ไม่เห็นตอบ ปกติจะชอบพิมพ์ภาษาแมวกลับมา

            "กูจะเข้าห้องแล้วนะ ระวังตัวด้วยเผื่อล่อนจ้อนวิ่งออกมา"

            "ไม่ต้องมาขู่กู" โบกมือไล่ผมแล้วไอ้กาลก็หันหน้าเข้าหาโซฟา

            ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง มองเตียงก่อนเป็นอันดับแรกแต่บนนั้นกลับว่างเปล่า เลยเปิดไฟวางถุงขนมกับกระเป๋าไว้บนโต๊ะ เดินไปดูข้างเตียงก็ไม่เจอ เห็นตู้เสื้อผ้าปิดไม่สนิทเลยลองเปิดดูเผื่อมันจะมุดเข้าไปนอนก็ไม่มี หลังตู้ก็ไม่มี ลองสะลัดผ้าห่มดูก็ไม่มี เสื้อผ้าที่ใส่เมื่อเช้าก็ไม่อยู่

            "มึงเห็นล่อนจ้อนป้ะ" โผล่หน้าออกไปถามไอ้กาลที่กลับมานั่งปกติแล้ว มันเลิกคิ้วใส่ก่อนส่ายหน้า

            "ไม่นะ"

            "ได้ยินเสียงแมวร้องบ้างมั้ย"

            "ไม่ได้ยิน"

            "ตั้งแต่กลับมาอ่ะนะ"

            "อืม"

            ล่อนจ้อนในร่างแมวเปิดประตูไม่เป็น เราทำข้อตกลงกันแล้วด้วยว่าล่อนจ้อนจะไม่ออกจากห้องนอนในเวลาที่ผมไม่อยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไอ้กาลกลัวจนช็อกตายไปก่อน แล้วตอนนี้มันหายไปไหนกัน

            "ทำไมวะ ล่อนจ้อนไม่อยู่ในห้องเหรอ"

            "ไม่อยู่"

            "หาดียัง"

            "กูหาดีแล้ว หรือมันจะแอบนอกมานอกห้องหลังจากกูออกไปวะ พอมึงกลับมาก็ไปซ่อนเพราะกลัวโดนเห็น"

            "แต่ถ้ามึงกลับมาแล้วก็น่าจะส่งเสียงบอกหรือเปล่า"

            "นั่นดิ แล้วตอนมึงกลับมาเห็นชุดกองอยู่บนพื้นมั้ย"

            "ไม่มีนะ"

            "ในห้องมึงอ่ะ"

            "ไม่มีเหมือนกัน"

            เอาล่ะ ผมชักจะเริ่มเครียดแล้ว เมื่อเช้าโดนงอนเลยมีสิทธิ์ที่ล่อนจ้อนจะทำอะไรพิเรนทร์ๆ เพื่อเอาคืนผมได้ แต่การหายไปซ่อนตัวแบบนี้มันไม่สนุกเลย

            "ล่อนจ้อนอยู่ไหน ออกมา" ผมลองเรียก เดินดูรอบๆ ห้อง แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ

            "มึงหาในห้องนอนดีแน่แล้วใช่มั้ย" ไอ้กาลถามย้ำอีกรอบ และผมก็ยังยืนยันคำเดิม

            "ดีแล้ว"

            "งั้นลองหาในห้องอีกรอบก่อน เผื่อหลับอยู่ตรงไหน"

            ผมกับน้องชายแยกกันหาคนละฝั่ง ผมดูฝั่งครัว ส่วนไอ้กาลดูฝั่งห้องน้ำ ไม่รู้มันแค่ทำใจกล้าหรือลืมไปแล้วว่าตัวเองกลัวแมวเลยยอมช่วยกันหา แต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไรอยู่ดี ไม่เจอเสื้อผ้า ไม่พบร่องรอยอะไร แม้แต่ขนแมวสักเส้นก็ไม่มี

            "หาที่ระเบียงหรือยัง"

            "เอ่อว่ะ"

            ผมรีบกลับเข้าไปในห้องทันทีที่ไอ้กาลทัก เปิดไฟเปิดผ้าม่านแล้วเปิดประตู ซึ่ง...มันไม่ได้ล็อก ทั้งที่ผมจำได้ว่าก่อนออกจากห้องผมล็อกมันไว้

            "เจอมั้ย" ไอ้กาลตะโกนถามอยู่ตรงหน้าประตูห้อง

            "เจอ" ผมกวาดสายตามองไปทั่วระเบียงที่มีเพยงกระบะทรายกับราวตากผ้าที่อยู่ฝั่งห้องไอ้กาล เพราะชามอาหารกับเบาะนอนเก็บเข้ามาไว้ข้างในหมดแล้ว

            "ค่อยยังชั่ว"

            "แค่ชุด" ผมก้มลงหยิบเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นที่ล่อนจ้อนใส่เมื่อเช้าขึ้นมา หันไปบอกไอ้กาลที่เดินตามเข้ามาหาในห้อง

            "แล้วล่อนจ้อน"

            "ไม่รู้"

            "อย่าเพิ่งทำหน้าเครียดดิวะ"

            ผมโยนชุดทิ้งไว้หน้าระเบียง ปิดประตูล็อก ปิดม่าน ปิดไฟเอาไว้เหมือนเดิม เดินสวนไอ้กาลออกไปนอกห้อง

            "จะออกไปตามหาเหรอวะ"

            "ไม่ตาม"

            "แล้วมึงจะไปไหน"

            "ไปหาน้ำกิน"

            "แล้วล่อนจ้อน"

            "ช่างแม่ง"

            ผมคว้ากุญแจแล้วออกจากห้องมา รู้ตัวว่าใช้น้ำเสียงไม่ค่อยดีกับไอ้กาลแต่ผมกำลังโมโห เหลือแค่ชุดกองอยู่ที่ระเบียงแล้วตัวหายไปแบบนั้นคิดได้อย่างเดียวคือหนีออกไปเที่ยว เปิดประตูเองตอนอยู่ในร่างคนแถมปิดไว้อย่างดีก่อนจะกระโดดออกทางระเบียงไปตอนกลายเป็นแมว หนีไปทันทีหลังจากผมออกไปเรียน ดีไม่ดีอาจจะออกไปได้ก่อนผมจะออกจากตึกด้วยซ้ำ

            ในเมื่ออยากหนีออกไปเที่ยวนักผมก็ไม่ตามหาให้เสียเวลาหรอก ที่อยากให้อยู่แต่ในห้องเพราะห่วงกลัวจะไปมีเรื่องแล้วโดนทำร้ายมาอีก หรือถ้าอยากจะออกไปเที่ยวเล่นเหมือนตอนก่อนมาอยู่ด้วยกันผมก็ไม่ว่า แต่ไม่ใช่หนีออกไปโดยไม่บอกแบบนี้ ถ้าจะอ้างว่าบอกตอนกลายเป็นแมวไม่ได้ผมว่ามันฟังไม่ขึ้นในกรณีที่หนีออกไปทันทีที่ผมออกจากห้องแบบครั้งนี้ แค่บอกผมก่อนออกมาว่าอยากออกไปเที่ยวเล่นแบบแมวๆ ผมก็ให้ไปแล้ว อย่างเดียวที่ไม่อยากให้ทำตอนนี้คือไม่เจอคนรู้จักของผมในร่างคนแค่นั้นเอง

            จากอารมณ์คุกรุ่นบนห้อง เดินเห็นหมาหน้าเซเว่นอยู่ๆ อารมณ์ผมก็เย็นลงเพราะดันไปนึกถึงตอนที่พาล่อนจ้อนมาเซเว่นครั้งแรก กับเรื่องที่มันเล่าว่าไม่ค่อยมาแถวนี้เพราะหมาเยอะ แล้วก็ชวนให้นึกถึงแผลที่ได้มาจากการตบตีกับแมวตัวอื่นเมื่อเร็วๆ นี้ มันเองก็หนีออกไปตั้งมาหลายชั่วโมงแล้วทำไมถึงยังไม่กลับมาสักที

            ไม่ใช่ว่าไปตีกับแมวหรือหมาที่ไหนอีกหรอกนะ

            ‘กูฝากเก็บชุดล่อนจ้อนที่ระเบียงหน่อย’

            หลังจากเข้ามาในเซเว่นผมก็ไลน์ไปบอกไอ้กาล ตอนนี้หายโกรธแล้วนิดนึง

            ‘แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เก็บเข้ามาวะ’

            ‘โกรธอยู่’

            ‘แล้วตอนนี้ไม่โกรธ’

            ‘โกรธ’

            ‘อะไรของมึงเนี่ย’

            ‘ฝากหน่อย’

            ‘เออๆ แล้วมึงอยู่ไหน’

            ‘เซเว่น’

            ‘ไปซื้อน้ำจริงเหรอวะ’

            ‘อืม เอาไรมั้ย’

            ไอ้กาลอ่านแต่ไม่ตอบอะไรกลับมาผมเลยเก็บมือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินดูของทั้งที่ไม่ได้อยากซื้ออะไร ขนมที่ว่าจะเอามาง้อแมวก็ซื้อให้แล้ว ข้าวก็กินแล้ว ที่ว่าจะมาซื้อน้ำก็แค่พูดส่งๆ ไปงั้น แค่อยากมาเปลี่ยนบรรยากาศให้มันผ่อนคลายเฉยๆ ขืนยังนั่งรอล่อนจ้อนกลับมาอยู่ในห้องอารมณ์ผมไม่เย็นลงง่ายๆ แน่ จะให้ออกไปตามหาก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหนด้วย เพราะตอนเป็นแมวผมไม่รู้เลยว่ามันชอบไปที่ไหนบ้าง

            ‘รีบขึ้นมา’

            ทิ้งเวลาสักพักกว่าไอ้กาลจะตอบกลับมา ผมกดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก่อนยัดมือถือใส่กระเป๋าไว้แล้วเดินดูของต่อ

            ผ่านไปประมาณสามนาทีก็มีสายเรียกเข้าจากน้องชาย

            [ขึ้นมายัง]

            "ยัง มึงเอาอะไร"

            [กูบอกให้รีบขึ้นมาไง]

            "แป๊บนึง รอของเวฟอยู่"

            [ล่อนจ้อนกลับมาแล้วมึงรีบขึ้นมา]

            "เหรอ" ได้ยินแล้วมันก็โล่งอก แต่เพราะยังโกรธอยู่ผมเลยตอบกลับไปได้แค่นั้น

            [เหรอพ่อง! รีบมา แม่งร้องใหญ่แล้ว กระโดดมาตอนกูจะเดินไปเก็บชุดพอดี หัวใจจะวาย]

            "เออๆ แป๊บนึง"

            [รีบมา!]

            "เออออออ" ผมลากเสียงยาวใส่มันก่อนวางสาย ได้ไส้กรอกที่กำลังรอเวฟพอดีเลยรีบเดินกลับหอก่อนไอ้กาลจะโวยวายห้องแตก

 

            กลับมาถึงห้องก็เจอไอ้กาลนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่สภาพยังดูปกติไม่เหมือนน้ำเสียงที่โวยวายตอนโทรมาสักนิด หรือที่โทรมานั่นมันแค่แสดง

            "อยู่ไหน"

            "ในห้องดิ" มันบอกแล้วบุ้ยปากไปที่ห้องผม

            "เข้ามาในห้องยัง"

            "ไม่รู้ กูหนีออกมาก่อน ประตูไม่ได้ปิดน่าจะเข้ามาแล้วมั้ง"

            "สภาพมันปกติดีมั้ย"

            "มันก็ก้อนขาวๆ อ่ะ มึงเข้าไปดูเองเถอะ ถามกูไปก็ไม่ได้อะไรเพราะไม่ได้มอง ต้องรีบหนี"

            "อืม มึงกินได้นะ"

            ผมวางของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะข้างซองขนมไอ้กาลก่อนเดินเข้าไปในห้อง เห็นแมวสีขาวนั่งอยู่หน้าประตูระเบียงเลยหยิบมาสก์มาใส่ ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้เพื่อเว้นระยะห่าง จนแมวที่นั่งอยู่ลุกเดินเข้ามาหาเอง

            "หยุดอยู่ตรงนั้นเลยไม่ต้องเดินมา"

            เจ้าสี่ขาหยุดเดิน มันร้องถาม น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมดันเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ผมโกรธอยู่ และจะไม่ยอมหายโกรธง่ายๆ ด้วย ไม่งั้นครั้งหน้ามันก็จะทำแบบนี้อีก หนีไปอีกโดยไม่บอกกัน แอบหนีออกไปข้างนอกโดยไม่คิดเลยว่าคนรอจะเป็นห่วงหรือเปล่า

            ผมมองสำรวจขนสีขาวที่สั้นขึ้นนิดหน่อยตั้งแต่พาไปตัดผมเมื่อวันนั้น ขนยังขาวสะอาดดีไม่มีสีอื่นแปดเปื้อนให้รู้สึกกังวลใจไปมากกว่าเก่า ท่าทางการเดินเมื่อครู่ก็ปกติ สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมก็คือดวงตาเศร้าสร้อยที่มองผมอยู่ เพิ่งรู้ว่าแมวก็รู้สึกผิดได้เหมือนกัน

            "ทำไมถึงเพิ่งกลับ หนีออกไปแบบนี้รู้มั้ยว่าเป็นห่วง"

            "เมี้ยว"

            "คิดจะไปก็ออกไปไม่บอกกันแบบนี้เหรอ"

            "เมี้ยว"

            "ออกไปเที่ยวสนุกมั้ย อยู่แต่ในห้องคงเบื่อสินะ ถ้าไม่อยากอยู่แล้วบอกกันดีๆ ก็ได้ ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไม่บังคับหรอก"

            "เมี้ยว"

            "ไม่ต้องเดินมา"

            เจ้าแมวสีขาวหยุดเดินแล้วนั่งลงอีกครั้ง สายตามันบอกว่าต้องการอธิบาย แต่เสียงเมี้ยวๆ ไม่สามารถทำให้ผมเข้าใจได้อีกแล้ว ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมที่อีกฝ่ายไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย

            "ถ้าหิวก็กินข้าวไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยคุย" ทิ้งท้ายไว้เท่านี้ผมก็เดินออกมาจากห้อง

            เสียงเมี้ยวๆ ยังดังให้ได้ยินเรื่อยๆ แม้ประตูห้องจะปิดลงแล้ว ไอ้กาลนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟามองมาอย่างวาดระแวงว่าจะมีตัวอะไรเดินตามผมออกมาหรือเปล่า

            "คุยกันเสร็จแล้วเหรอ"

            "อืม"

            "คุยกับแมวรู้เรื่องด้วย"

            "กูพูดคนเดียว มันก็ร้องเมี้ยวๆ"

            "มึงเข้าใจเหรอ"

            ผมส่ายหน้าให้ ถอดมาสก์ออกเดินไปนั่งข้างมันบนโซฟาแล้วถอนหายใจ เสียงร้องเมี้ยวๆ ยังดังให้ได้ยินเป็นระยะชวนให้ใจอ่อน หรือผมจะใจร้ายเกินไป

            "ยังไม่หายโกรธอีกเหรอมึง มันก็กลับมาแล้วไง"

            "ก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น"

            "แต่หน้าหงิกขนาดนี้เลย"

            "มันก็ต้องสั่งสอนหน่อยป้ะวะ ทำไมตัวไม่น่ารักแบบนี้"

            "เออเนอะ ปกติเขาน่ารัก"

            "มันใช่เวลามาแซวมั้ย"

            "ก็อยากให้มึงผ่อนคลาย"

            "กูไปอาบน้ำละ"

            "หัวร้อน ตัวร้อน"

            ผมไม่ได้หันกลับไปต่อล้อต่อเถียงกับไอ้กาล ลุกไปจะเดินเข้าห้องตัวเองก็ต้องชะงักแล้วเดินเข้าห้องน้องชายแทน วันนี้ขอยืมชุดกาลมันใส่ก่อนแล้วกัน

 

           - อ่านต่อด้านล่าง -


ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5


            หลับไม่สนิท มันหลับๆ ตื่นๆ จนผมต้องลุกขึ้นมากลางดึก กดดูหน้าจอมือถือบอกเวลาตีหนึ่ง ไอ้กาลดูเหมือนจะหลับสนิท แต่ผมกลับฝันทุกครั้งที่ใกล้จะหลับสนิท ฝันถึงคนที่อยู่ห้องข้างๆ ไม่สิ ต้องบอกว่าแมวที่อยู่ห้องข้างๆ มากกว่า

            ตั้งแต่ทิ้งให้ล่อนจ้อนในห้องตัวเดียวไม่นานมันก็หยุดร้อง ตั้งใจจะทำใจแข็งให้ถึงที่สุดแล้วเคลียร์กันทีเดียวตอนอีกฝ่ายกลับมาเป็นคนทีเดียวพรุ่งนี้ แต่พอทิ้งตัวลงนอนก็หลับฝันถึงแทบจะทุกครั้งที่หลับตา เก็บมาคิดหนักขนาดไหนคงไม่ต้องบอก

            ถ้าจำไม่ผิดไอ้กาลมันบอกว่าประตูระเบียงห้องผมไม่ได้ปิด ตอนเข้าไปผมก็ลืมสนใจเพราะมัวแต่โกรธแมวอยู่ ถ้าออกไปปิดให้ตอนนี้จะทันมั้ย คงไม่มีโจรปีนระเบียงย่องมาขโมยของหรอกนะ

            ผมก้าวลงจากเตียงเปิดประตูระเบียงห้องไอ้กาลที่แทบจะปิดตายอย่างเบามือ มองมันที่ยังหลับสนิทก่อนปิดประตูแล้วเดินไปห้องข้างๆ ประตูระเบียงห้องผมยังเปิดไว้อย่างที่คิด ชุดของล่อนจ้อนที่ฝากมันเก็บก็ยังวางกองไว้อยู่ที่เดิม ลองแหวกม่านที่ปิดอยู่มองเข้าไปข้างในเห็นแมวสีขาวนอนขดอยู่ฝั่งขวาของเตียง เลยเก็บชุดแทรกตัวเข้าไปข้างในแล้วค่อยๆ ปิดประตู

            แมวยังคงไม่รู้สึกตัว

            ผมวางชุดไว้ข้างประตู ยืนมองแมวที่ยังหลับไม่รู้เรื่องว่ามีคนบุกเข้ามาในห้อง เห็นแบบนี้แล้วเหมือนมีแค่ผมที่คิดมากไปคนเดียวยังไงก็ไม่รู้ คิดมากจนนอนไม่หลับ ขณะที่คู่กรณีกลับนอนหลับสบายดี

            ได้แต่ถอนหายใจแล้วนั่งลงอีกฝั่งของเตียงที่ยังว่าง ถึงจะโกรธแต่ผมไม่ได้อยากให้ล่อนจ้อนเป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนกันนักหรอก หมายถึงไม่ได้อยากให้มันรู้สึกแย่ แค่อยากให้มันรู้ว่าผมห่วงขนาดไหนถึงได้โกรธขนาดนั้น กลับมาอยู่ในร่างคนเมื่อไรก็อยากได้คำอธิบายดีๆ ที่แอบหนีออกไปโดยไม่บอกกัน ผมอยากฟัง และให้อภัยมันตั้งแต่ตอนนี้เลย

            "ขอโทษนะที่พูดไม่ดีใส่" บอกกับแมวที่กำลังหลับ ทั้งที่รู้ว่าตอนนั้นมันเถียงไม่ได้ผมก็ใส่เอาๆ ถ้ามันตื่นเมื่อไรก็อยากจะบอกคำนี้อีกครั้ง

           

            หนัก รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก

            ผมลืมตาโพลงตอนแสงแดดแทงตาแต่กลับลุกไม่ขึ้นเมื่อบนตัวมีก้อนสีขาวทับอยู่บนอก มันมองผมตาแป๋วก่อนจะเริ่มเอาหัวมาสี ร้องเมี้ยวๆ ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ แมวตัวนี้มันลืมไปหรือเปล่าว่าผมแพ้ ตัวผมเองก็ลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองแพ้ ทำไมเมื่อคืนไม่กลับไปนอนกับไอ้กาล แล้วนอนในห้องตัวเองที่มีแมวอยู่แบบนี้

            ยังไม่ทันตั้งสติได้ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ แมวบนอกก็กลายร่างเป็นคนนอนแปะอยู่บนตัวผม ล่อนจ้อนยันแขนทั้งสองข้างกับที่นอนเอาไว้ได้ทันก่อนหน้ามันจะเข้ามากระแทก แล้วกลายเป็นมอร์นิ่งคิสที่อาจจะได้เลือดแถมมาด้วย

            ช่างเลือกเวลากลายร่างได้ดีจริงๆ

            "ลุกก่อน หนัก" ผมดันตัวล่อนจ้อนออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอม มันสอดแขนกอดผมไว้แถมยังซุกหน้าลงมาที่คออีก ได้โปรดใจเย็นๆ ก่อน ถ้าไอ้กาลพรวดพราดเข้ามาเห็นตอนนี้มันจะไม่งาม

            "ขอโทษ"

            "ลุกก่อน จะได้คุยกันดีๆ"

            "เราขอโทษ ลิขิตไม่โกรธนะ"

            "ล่อนจ้อนลุกขึ้นก่อน"

            "บอกก่อนว่าไม่โกรธ" ไม่พูดเปล่ายังขยับตัวยุกยิกไปมาไม่หยุด ไม่รู้หรือไงว่าการทำแบบนี้มันอันตรายขนาดไหน            "อืม ไม่โกรธ"

            "จริงนะ"

            "แต่ถ้าไม่ยอมลุกแล้วยังถามอีกครั้งจะโกรธอีกรอบ"

            คำขู่นี้ได้ผล ล่อนจ้อนยอมลุก ผมรีบลุกตามแล้วโดนผ้าห่มไปปิดของรักของหวงให้ กลุ้มใจ ทำไมไม่รู้จักหวงเนื้อหวงตัวสักที

            "เมื่อวานลิขิตน่ากลัวมาก" บอกแล้วทำหน้างอเหมือนจะร้องไห้ ตั้งแต่รู้จักกันมาเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมรู้สึกอยู่เหนือกว่าขนาดนี้ ปกติแพ้แมวตลอด

            "เป็นเด็กไม่ดีก็ต้องดุดิ"

            "ตอนเราจะอธิบายก็ไม่ฟังด้วย"

            "ภาษาแมวคงจะฟังรู้เรื่อง"

            เจอผมสวนกลับไปล่อนจ้อนก็ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้มากกว่าเดิม ก็มันเรื่องจริง ได้ยินแค่เสียงร้องเมี้ยวๆ ผมจะไปรู้ได้ไงว่าตอนนั้นแมวกำลังพูดอะไร

            "มีอะไรจะอธิบายมั้ย"

            "มี"

            "ว่ามาเลย"

            ผมขยับไปนั่งพิงหัวเตียงเพื่อตั้งใจฟัง ล่อนจ้อนสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งแล้วค่อยๆ ผ่อนออก มันขยับเข้ามาใกล้ผม ก่อนจะเริ่มอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อวาน

            "เมื่อวานหลังลิขิตออกไปจากห้อง เราก็ออกไปทางระเบียง รอจนกลายเป็นแมวแล้วก็ออกไป เราเหงา เราเบื่อ ไม่อยากอยู่แต่ในห้อง อยากออกไปเล่นข้างนอกบ้าง แต่ลิขิตไมให้ไปด้วย เลยต้องแอบหนีออกไป"

            "แล้วทำไมไม่บอกกันก่อน"

            "ถ้าบอกก็ไม่ได้ไป"

            "ไม่อยากให้ไปเจอคนรู้จัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ออกไปข้างนอกเลย ถ้าบอกยังไงก็ให้ออกไปอยู่แล้ว แต่ก่อนล่อนจ้อนก็เป็นอิสระไง ตอนนี้ก็ไม่ได้อยากกักกันไว้ขังขนาดนั้น"

            "ก็ไม่รู้" ตอบกลับมาเสียงอ่อย จนเสียงผมอ่อนลงตาม

            "ถ้างั้นต่อไปนี้ตอนกลางวันก็อยู่ข้างนอก ตอนกลางคืนค่อยกลับเข้ามาในห้องดีมั้ย"

            "ไม่เอา"

            "แล้วจะเอายังไง"

            "ลิขิตอย่าดุ"

            "ไม่ได้ดุ แค่ถาม"

            "ถ้างั้นวันไหนอยากออกค่อยบอกได้มั้ย" ล่อนจ้อนคว้ามือผมไปจับไว้แล้วถามตาแป๋ว

            "ได้ ยังไงก็ได้"

            พยักหน้ารับถี่ๆ พลางขยับเข้ามาใกล้อีก เป็นการถูกง้อจากแมวที่ผมไม่ค่อยชินเท่าไร ความรู้สึกเหมือนมันอยากจะเอาตัวมาสีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ต้องเตือนสติตัวเองไว้ว่าตอนนี้อยู่ในร่างคน เลยทำได้แค่ส่งสายตาน่าสงสารมาให้แทน สายตาแมวๆ ที่ผมแพ้อีกตามเคย

            "มันเหงาขนาดนั้นเลยเหรอ"

            "เหงาที่ไม่ได้อยู่กับลิขิต"

            "ขอโทษนะที่แก้ปัญหาให้ไม่ได้สักที"

            คนที่จับมือผมอยู่ส่ายหน้า ขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิดจนหัวเข่าชนกันแล้ว

            "ขอโทษที่เมื่อวานดุแบบไม่มีเหตุผลด้วย"

            "ไม่ๆ เราผิด ลิขิตดุได้ เราขอโทษ"

            "ไอ้ลูกแมวเอ๊ย!" ยกมือยีผมคนตรงหน้าอย่างอดรนทนไม่ไหว พูดมาได้ว่า ‘ลิขิตดุเราได้’ ด้วยหน้าเด็กดื้อสำนึกผิดแบบนั้นคิดว่ามันน่าให้อภัยนักหรือไง

            เออใช่! มันน่าให้อภัย แล้วก็โคตรน่าบีบแก้มเลย

            "ไปอาบน้ำไป"  ผมผลักหัวล่อนจ้อนเบาๆ มันย่นจมูกใส่ก่อนลุกจากเตียงยอมทำตามอย่างว่าง่าย โชว์ก้นขาวๆ ให้ผมดูตอนเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาพันเอว มีการหันมายิ้มให้กันหนึ่งทีก่อนเดินไปเปิดประตู

            "กาล"

            แล้วก็เจอกับน้องชายฝาแฝดผมยืนขมวดคิ้วรออยู่ มันหลบทางให้ล่อนจ้อนเดินออกไป ก่อนจะเดินหน้าตึงเข้ามาหาผม

            "ทำไมกลับมานอนห้องไม่บอกกูวะ"

            "ขอโทษ กูแค่แวะมาดูเพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้ปิดประตูระเบียง แล้วก็เผลอหลับ มึงฝันร้ายเหรอ"

            "เปล่า"

            "แล้วทำหน้าเครียดทำไมวะ"

            "พี่ชายหายกูก็ตกใจไง"

            "ติดพี่ชายนี่หว่า" ผมแซว ทำเอาไอ้กาลขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ปกติมาแนวนี้จะเข้าทางมันนะ ชอบเหลือเกินเล่นอะไรเลี่ยนๆ กับผมเนี่ย แต่คำตอบคราวนี้กลับไม่ใช่

            "กูแค่ติดใครก็ตามที่นอนด้วย"

            "เหมือนกูเป็นคู่นอนมึงเลย"

            "หรือไม่จริง"

            "ไอ้สัดขนลุก"

            "แต่กูสงสัย มึงแอบหนีมาตอนไหน ทำไมกูไม่ฝันร้ายวะ" มันไม่ต่อมุกแถมยังถามเป็นจริงเป็นจัง พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความฝันมันจะเข้าโหมดเครียดเคร่งทุกที

            "ตอนตีหนึ่ง แต่กูว่าที่มึงไม่ฝันอาจจะเป็นเพราะมึงไม่รู้ตัวว่านอนคนเดียวอยู่ก็ได้"

            "ใช่เหรอวะ"

            "ถ้าไม่มั่นใจเดี๋ยววันหลังกูลองทำอีกรอบ"

            ไอ้กาลพยักหน้าเห็นด้วย ตกลงทำการทดลองเพื่อหาทางออกจากโรคฝันร้ายที่กำลังเผชิญ แต่พอจบเรื่องตัวเองมันก็ยังจ้องหน้าผมแล้วขมวดคิ้วไม่เลิก

            "ว่าแต่มึงมานอนห้องเดียวกับแมวไม่ต้องใส่มาสก์เหรอวะ"

            "เออว่ะ กูลืม ตอนตื่นล่อนจ้อนแม่งมานอนบนตัวกูด้วย"

            "อ่ะยังไง นอนบนตัว" จากสีหน้าเคร่งเครียดสงสัยเปลี่ยนมาเป็นกวนประสาทช่างจับผิดจนผมอยากถีบมันออกไปนอกห้องซะตอนนี้

            "ก็แมวไงไอ้สัดมานอนบนตัวกูเนี่ย แต่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร"

            "อาการยังไม่ออกหรือเปล่า"

            "งั้นมั้ง"

            "ถ้าแพ้ก็รีบกินยาเลยนะมึง"

            "เออ รู้แล้ว"

            สบายใจมันแล้วไอ้กาลก็เดินออกจากห้องผมไป แต่มันก็น่าแปลกจริงๆ ที่ผมยังไม่มีอาการแพ้ทั้งที่นอนกับแมวมาครึ่งค่อนคืน จะว่าหายแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้อีก ทางเดียวที่พอคิดได้คือมันอาจจะเกี่ยวกับปัญหาสุดแปลกประหลาดที่ผมกำลังประสบอยู่ตอนนี้ แต่จะเป็นจริงหรือเปล่านั้นไม่มีทางรู้ได้จนกว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขได้จริงๆ

            "เมี้ยว!"

            ผมกับไอ้กาลหันมองไปที่ประตูห้องพร้อมกันเมื่ออยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแมวร้องทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนแล้ว ผมเองก็ยังอยู่ตรงนี้ แล้วแมวจะมาจากไหน แถมเสียงดังอยู่ในห้องด้วย

            "เมี้ยว!"

            รอบนี้เสียงร้องดังขึ้นกว่าเดิม ไอ้กาลแทบจะมุดตัวเข้าไปซ่อนในผ้าห่ม เสียงดังก้องๆ อยู่ใกล้ขนาดนี้ชักไม่ดีแล้ว

            "แมวที่ไหนวะ"

            "เดี๋ยวกูไปดูก่อน"

            ยังไม่มั่นใจแต่ผมปักใจไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าเสียงดังมาจากในห้องน้ำแน่ๆ รีบลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูห้องน้ำเพื่อความแน่ใจ แล้วก็เจอแมวสีขาวปากเปื้อนฟองนั่งร้องอยู่หน้าอ่างล้างมือ ข้างๆ มีแปรงสีฟันตกอยู่ ทำให้กฎเกี่ยวกับการกลับคืนร่างชัดเจนขึ้นมาอีกข้อ

            จากเตียงผมถึงห้องน้ำห้าเมตรได้ ระยะเวลาที่อยู่ห่างกันไม่เกินห้านาที

            เป็นวันที่เป็นคนได้คุ้มเลย ขอโทษนะเจ้าแมว

 
tbc.

 
โกรธๆ ง้อๆ กันนะคู่นี้
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ลิขิตอย่าดุบ่อยสิ สงสารน้อง เป็นแมวอยู่ในห้องมันน่าเบื่อนะ  :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
น่าสงสาร

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมไม่แพ้แมวแล้วหล่ะ?

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ดุแล้วน่ากลัวอ่าลิขิต TT
แสดงว่าอยู่ไกลกันไม่ได้ถูกมั้ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 เรื่องนี้น่ารักมากเลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 14


            ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมทดลองทฤษฎีการฝันของไอ้กาลโดยไม่บอกมันถึงจะตกลงร่วมมือกันไปแล้วก็ตาม แต่ผมกลับคิดว่าถ้าทำโดยไม่บอกน่าจะได้ผลกว่า ทุกคืนพอมันหลับสนิทผมจะแอบย่องออกมา ตอนเช้าก็บอกมันว่าตื่นก่อน สามคืนแรกทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี จนเข้าสู่คืนที่สี่มันก็รู้ตัวและนอนฝันร้ายในคืนนั้น เท่ากับว่าถ้าไอ้กาลไม่รู้ตัวว่านอนคนเดียวฝันร้ายก็จะทำอะไรมันไม่ได้

            ส่วนผมก็ได้ทดสอบอาการแพ้ของตัวเองเหมือนกัน ตลอดทั้งสัปดาห์มานี้ผมนอนกับล่อนจ้อนทุกคืน แล้วก็แทบไม่เกิดอาการแพ้เลย ผมคิดเอาเองว่าอาจจะชินกับการอยู่กับแมวแล้วซึ่งไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีทางเป็นไปได้หรือเปล่า อีกเหตุผลที่คิดได้คือปัญหาที่เผชิญอยู่เริ่มดีขึ้นอาการเลยดีขึ้นตาม คิดมาถึงตรงนี้ผมก็พอจะคิดอะไรออกอีกอย่าง พ่อเคยบอกว่าปัญหานี้จะช่วยให้ชีวิตผมดีขึ้น ปัญหาที่ว่าอาจจะเป็นอาการแพ้แมวด้วยก็ได้

 

            หลังจากสัปดาห์ที่แล้วโกรธกันงอนกันสลับไปมาจนวุ่นวาย วันหยุดนี้ผมก็ได้โอกาสแก้ตัวใหม่ เราช่วยกันเก็บกระเป๋าตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้กาลเป็นคนขับรถ นัดลุงพิทักษ์ไว้แล้วเรียบร้อยว่าจะไปหา พอเจ็ดนาฬิกาก็ได้เวลาออกเดินทางสู่จังหวัดจันทบุรี

            ถึงตัวเมืองใช้เวลาสองชั่วโมง แต่กว่าจะถึงสวนต้องบวกเพิ่มความซับซ้อนไปอีกนิดหน่อย เรามาถึงกันตอนสิบโมง ผมปลุกล่อนจ้อนที่หลับอยู่เบาะหลังตลอดทาง พอเห็นบ้านที่ตัวเองคุ้นเคยสมัยเด็กก็ยิ้มกว้างออกมา

            "คิดถึงมั้ย" ผมลองถาม ล่อนจ้อนเอามือทาบกระจกรถมอง กวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนอยากมองให้เห็นทั่วทั้งสวน แต่เมื่อรถจอดสวนก็หายไปจากสายตา มองเห็นแค่บ้านใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินกับทะเลสาบหน้าบ้านเท่านั้น ที่จริงมันเป็นสระน้ำขุดแต่ผมเรียกให้ดูดีขึ้นมาหน่อย

            "คิดถึง"

            "ที่นี่คือ" ผมชี้ไปที่คือบ้าน อีกคนก็รีบตอบทันที

            "บ้านใหญ่ไง"

            "เข้าบ้านกัน อาพิทักษ์เดินลงมารับแล้วนู่น" ผมลงจากรถเดินไปเปิดประตูให้ล่อนจ้อน ก่อนคนขับจะตามลงมา

            "เข้าได้เหรอ" เด็กที่ไม่เคยขึ้นบ้านใหญ่ถามผมตาแป๋ว กิตติศัพท์ของอาพิทักษ์สมัยก่อนก็ดุใช่ย่อย ดูกว่าปู่อีก ไม่แปลกที่ล่อนจ้อนจะกลัว

            "ขึ้นได้ดิ ก็มาด้วยกัน ลงมาเร็ว" ผมต้องจับมือแมวขี้กลัวไว้ถึงได้ยอมลงมา

            อาพิทักษ์เดินมาถึงรถพอดี ผมกับไอ้กาลยกมือไหว้ทักทาย ล่อนจ้อนทำตามเป็นคนสุดท้าย อายกมือรับไหว้ยิ้มแย้มอย่างใจดี แต่หนวดงามๆ ของแกน่าจะกำลังทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างผมกลัว

            "ไปๆ ขึ้นบ้านกันก่อน" อาพิทักษ์ตบไหล่ไอ้กาลเบาๆ ก่อนเดินนำไปยังบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ บ้างหลังนี้ยังดูไม่เปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่ผมมานัก บ่งบอกได้ว่าเจ้าของคนใหม่ดูแลมันอย่างดี

            การพูดคุยเริ่มจากไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ เราสองพี่น้องไม่ได้เจออาพิทักษ์มาหลายปีใหญ่แล้ว เหตุที่ทำให้พวกผมกลับมาที่นี่ผมเลือกบอกอาไปตามตรง ครอบครัวของเราต้องเคยเจอเรื่องราวแปลกๆ นี้กันทุกคน อาพิทักษ์ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่สามารถเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวที่จบไปแล้วในอดีตให้ใครฟังได้ พ่อผมบอกว่ามันเป็นภารกิจปกปิดความลับของตระกูลที่ห้ามให้คนนอกล่วงรู้ แม่ผมก็ไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนเหตุผลนั้นพ่อบอกว่าเดี๋ยวผมก็จะเข้าใจเองเมื่อเรื่องราวนั้นจบลง

            "ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครล่ะ สีผมเท่เชียว" คุยเล่นกับพวกผมอยู่สักพักอาพิทักษ์ก็พุ่งประเด็นไปที่ล่อนจ้อน คนโดนถามรีบยืดตัวนั่งหลังตรง เหล่มองผมอย่างไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

            "ก็เกี่ยวกับปัญหานั่นแหละครับ คิดว่าอาน่าจะรู้จัก"

            "คนนี้เหรอ" อาพิทักษ์พยักหน้าแล้วอมยิ้ม ดูมีเลศนัยแปลกๆ

            "อาคุ้นหน้าบ้างมั้ยครับ"

            "ไม่คุ้นนะ"

            "อาลองจ้องดูดีๆ เผื่อจะนึกออก"

            รู้ว่าล่อนจ้อนกลัวผมเลยแกล้ง อาพิทักษ์ก็เล่นตาม ขมวดคิ้วจ้องจนคนกลัวตัวหด ผมว่าถ้าทำได้มันคงอยากกลับร่างแมวแล้ววิ่งหนีออกไปจากบ้านมันซะตอนนี้

            "ไม่คุ้นอยู่ดี"

            "ถ้าอาจำได้มันจะแปลกมาก เพราะผมยังจำไม่ได้เลย"

            "แสดงว่าเป็นคนรู้จัก"

            "จากข้อมูลที่หามาได้ก็ใช่ครับ"

            "แล้วเราจำอาได้มั้ย" อาพิทักษ์ถามล่อนจ้อน มันพยักหน้ารับเบาๆ ท่าทางหวาดๆ เหมือนเด็กกลัวโดนผู้ใหญ่ดุ ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน

            "มันจำได้ ไม่งั้นไม่กลัวอาขนาดนี้หรอก"

            "อาน่ากลัวเหรอ" อาพิทักษ์ถามล่อนจ้อนอีกรอบ พอมันพยักหน้ารับอาก็หัวเราะชอบใจ

            "ก็ไปแกล้งมัน" แล้วก็โดนไอ้กาลว่าเข้าให้ทั้งผมทั้งอา

            "แต่ตอนพี่ภพโทรมาบอกอาไม่เห็นบอกนะว่าจะพาเพื่อนมาด้วย พ่อยังไม่เคยเจอพ่อหนุ่มคนนี้เหรอ"

            "ยังครับ ยังไม่เคยพาไป เพราะปัญหาดูเหมือนจะเกิดจากที่นี่ผมเลยพามาที่นี่แทน"

            อาพิทักษ์พยักหน้ารับ ไม่ออกความเห็นหรือแนะนำแนวทางอะไรให้เหมือนพ่อผมเลย แกแค่รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่เข้ามาช่วยเหลือไม่ได้ คนที่ดูจะเข้ามาพัวพันกับปัญหาของผมมากสุดก็เห็นทีจะเป็นเหนือกาล ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดผลกระทบตามมาทีหลังมั้ย แต่ถ้าไม่มีมันคอยช่วยปัญหาของผมอาจจะยังไม่คืบหน้าถึงขนาดนี้ก็ได้ เพราะไม่มีคนขับรถมาส่ง

            "อาครับ พวกคนงานเก่าๆ ของสวนยังทำงานกันอยู่ที่นี่หรือเปล่า"

            "ลาออกก็มี ที่ยังอยู่ก็มี อาว่าลิขิตลองไปดูเองดีกว่า"

            "แล้วพวกลูกคนงานล่ะครับ"

            "พวกที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ น่ะเหรอ"

            "ครับ"

            "เข้ามหาลัยกันหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่สวนหรอก จะเหลือก็แค่เจ้าแม็ก ไอ้นี่มันขี้เกียจ จบม.ปลายแล้วไม่เรียนต่อ ออกมาช่วยงานพ่อแม่มันแทน"

            "แล้วอาจะเข้าสวนมั้ยวันนี้"

            "วันนี้อาจะไปทำธุระในเมือง นัดไว้ในเมืองตอนสิบเอ็ดโมง ลิขิตกับกาลจะไปเดินเล่นในสวนเลยก็ได้นะ ตอนเที่ยงค่อยกลับมากินข้าว เดี๋ยวอาให้แม่บ้านเตรียมมื้อเที่ยงไว้ให้"

            "ได้ครับ"

 

            หลังจากอาพิทักษ์ขับรถออกไปไอ้กาลก็ตัวขอไปนอน ผมกับล่อนจ้อนเดินเลียบริมน้ำเพื่อเข้าไปในสวน ริมขวาของสระมีบ้านพักคนงานตั้งอยู่หลังหนึ่ง อีกส่วนอยู่ด้านในซึ่งเป็นที่ที่ล่อนจ้อนเคยอาศัยอยู่ตอนเด็ก

            ที่นี่เป็นสถานที่ที่เราต่างคุ้นเคย แม้จะไม่ได้มาเยี่ยมเยือนนานแล้วแต่ยังจำรายละเอียดต่างๆ ได้ดี บรรยากาศของสวนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก พื้นที่ทั้งหมดราวๆ หนึ่งร้อยไร่ ปลูกมังคุดกับลองกองเป็นหลัก พวกเงาะกับลำไยก็มี

            เดินเข้ามาบริเวณสวนก็เริ่มเจอคนสวนกำลังทำงาน ถึงตอนเด็กๆ ผมจะมาที่นี่บ่อยแต่ความจริงแล้วแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำสวนเลย เป็นเด็กก็ห่วงแต่เล่น ยิ่งเป็นหลานจ้าของสวนด้วยเลยไม่ค่อยได้มาคลุกคลีงานแบบจริงๆ จังๆ มีบ้างที่ถูกปู่ใช้ให้รดน้ำกับถอนหญ้า สอนทำปุ๋ยก็เคย แต่ทุกความรู้อันน้อยนิดที่ได้เรียนรู้มาได้หายไปตามกาลเวลาแล้วเรียบร้อย

            เราเดินผ่านต้นมังคุดที่ปลูกเรียงรายเป็นแถว ถ้าผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าตรงนี้ปลูกมังคุดผมก็คงไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือต้นอะไร ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูกาลของผลไม้ชนิดนี้ เลยมีแค่ลำต้นกับใบเขียวๆ ดูร่มรื่นเย็นสบายจนอยากเอาเสื่อมาปูนอน

            สมัยเด็กที่ผมมาบ่อยๆ บ้านสวนแห่งนี้มีคนงานไม่ถึงสามสิบคน ตอนนี้ก็น่าจะยังคงเป็นอย่างนั้น ดูเป็นสวนที่สงบร่มรื่น ใช้ชีวิตแบบสบายๆ อยู่กับธรรมชาติ กินของที่ปลูกเอง แต่เงินจะพอใช้หรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ผมอยู่ไม่ได้แน่เพราะใช้เงินโคตรเปลืองจนบางเดือนพ่อยังบ่น

            "พ่อชื่อดอกรัก แม่ชื่อบุหงาใช่มั้ย" ผมถามล่อนจ้อนเพื่อยืนยันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็ลืมถามอาพิทักษ์ว่ามีคนงานชื่อนี้หรือเปล่า พออาบอกให้ลองมาดูเองผมก็เออออตามไปเลย

            "ใช่ ลิขิตจำได้ด้วย"

            "ก็ต้องจำได้ดิ เรื่องสำคัญขนาดนี้"

            ล่อนจ้อนอมยิ้ม เราเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ มองต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ แล้วก็ทำให้ผมนึกบางอย่างที่เกี่ยวกับชื่อพ่อแม่ของล่อนจ้อนขึ้นมาได้

            "บุหงานี่ใช่บุหงาส่าหรีมั้ย งั้นก็ชื่อดอกไม้ทั้งคู่เลยดิ"

            "มั้งนะ" ล่อนจ้อนพยักหน้าเบาๆ เหมือนไม่ค่อยเข้าใจ หรือว่าไม่รู้จักชื่อดอกไม้

            "รู้จักดอกไม้ป้ะเนี่ย"

            "รู้จักดอกรัก เอาไว้ไหว้ครู"

            "ส่วนนี่ดอกบุหงา เอาไว้ทำอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน" ผมเข้ากูเกิ้ลเปิดรูปดอกบุหงาส่าหรีให้ล่อนจ้อนดู ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ เรียงกันเป็นพวง

            "สวยดี"

            "แบบนี้ชื่อล่อนจ้อนก็มีสิทธิ์เป็นชื่อดอกไม้เหมือนกันดิ เริ่มคุ้นๆ ขึ้นมาบ้างยัง"

            เจ้าตัวพยายามทำหน้านึกก่อนจะส่ายหน้า มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อยู่ๆ จะนึกออกขึ้นมา

            เราพับเก็บเรื่องชื่อกันเอาไว้ก่อนแล้วเดินไปหาคนงานคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไป เขามองผมด้วยสีหน้าสงสัย วัดจากความคุ้นเคยที่แทบไม่รู้สึกเลยของผมแล้วน่าจะเป็นคนงานใหม่ที่ผมไม่รู้จัก แล้วคุณน้าคนนี้ก็เป็นฝ่ายทักพวกเราขึ้นมาก่อน

            "คุณลิขิตหรือกับคุณกาลเปล่าครับ"

            "ใช่ครับ" คุณลิขิตน่ะใช่ แต่คุณกาลนอนอืดอยู่ที่บ้านใหญ่นู่น รู้จักกันแบบนี้แสดงว่าอาพิทักษ์คงบอกคนงานไว้แล้วว่าพวกผมจะมา

            "ตามสบายเลยนะครับ เสียดายที่มาเดือนนี้ จะมีก็แต่กล้วยน้ำว้า" น้าแกยิ้มปลอบใจผมหนึ่งที มาช่วงไม่ดีไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวของสวนเลยไม่มีผลไม้ให้กิน

            "ไม่เป็นไรครับ"

            "ถ้างั้นต้องการอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ" น้าแกยิ้มให้ผมอีกรอบ ทำท่าจะหมุนตัวเดินหนีผมเลยต้องรีบรั้งไว้ก่อน

            "น้าครับ ผมขอถามอะไรหน่อย"

            "ครับ"

            "น้าบุหงากับน้าดอกรักยังทำงานอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ"

            "อ๋อ ถ้าบุหงาอยู่บ้านใหญ่นู่นครับ ส่วนดอกรักเสียไปได้สามปีแล้ว"

            "เสียแล้วเหรอครับ"

            "ครับ"

            "แกเป็นอะไรเสียเหรอครับ"

            "ปอดติดเชื้อล่ะมั้งครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจ"

            ผมหันไปมองล่อนจ้อนที่ยังยืนนิ่ง แต่เหมือนสติจะหลุดลอยหายไปแล้วเมื่อได้ฟังข่าวร้ายที่ไม่คาดคิด การหายออกจากบ้านไปเป็นสิบปีทั้งยังต้องอาศัยอยู่ในร่างแมว ไม่มีใครจำได้ ไม่มีคนสนใจ แล้วต้องกลับมาพบกับความจริงว่าพ่อของตัวเองจากไปโดยที่ไม่ได้ล่ำลามันต้องเจ็บปวดขนาดไหน ผมโคตรเกลียดตัวเองเลยที่ทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้

            "ขอบคุณครับ"

            "ครับ" น้าแกยิ้มให้อีกรอบก่อนกลับไปทำงาน

            ผมคว้ามือล่อนจ้อนมาจับไว้ ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเมื่อความรู้สึกผิดจุกอยู่เต็มอก เป็นเพราะผมเองที่พรากมันไปจากพ่อแม่ เพราะผมเองที่ทำให้ชีวิตมันไม่ปกติ ทุกอย่างเป็นเพราะผม เพราะความแปลกประหลาดบ้าๆ ที่หาเรื่องดีๆ จากเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เลย

            "ลิขิต" คนเรียกบีบมือผมเบาๆ ล่อนจ้อนยังคงยิ้มแม้แววตานั้นจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

            ผมยกมือข้างที่ว่างวางบนหัวคนตรงหน้า ถ้าผมจะมีพลังอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้อย่างการดึงความเศร้าออกจากผู้คนได้คงจะดี

            "ขอโทษนะ"

            "ขอโทษทำไม"

            "ขอโทษที่มันกลายเป็นแบบนี้"

            ล่อนจ้อนส่ายหน้าเบาๆ จับมือทั้งสองข้างของผมไปกุมไว้ ส่งยิ้มให้อย่างไม่คิดโกรธเคือง

            "ไมใช่ความผิดของลิขิตเลย"

            "แต่เรา..."   

            "กลับบ้านใหญ่กันเถอะ"

            แต่ผมก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้อยู่ดี

           

            เราเดินทอดน่องจับมือกันมาถึงบ้านใหญ่ตอนใกล้เที่ยง ไอ้กาลตื่นแล้ว กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ที่ระเบียงบ้าน บรรยากาศช่างเงียบเหงาเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยนอกจากพวกเรา อาพิทักษ์กับภรรยาเข้าไปทำธุระในเมือง ลูกชายคนโตกับลูกสาวคนรองไปเรียนมหาวิทยาลัยอยู่จังหวัดอื่น จะเหลือก็แค่แม่บ้านที่คงกำลังจัดเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเรา ซึ่งผมยังไม่เห็นหน้าเลย

            "เป็นไงบ้างวะ" ไอ้กาลวางมือถือหันหน้ามาคุย มันนั่งขัดสมาธิ ข้างๆ มีจานขนมวางอยู่

            "คนงานที่สวนบอกว่าแม่ล่อนจ้อนอยู่ที่บ้านใหญ่" ผมตอบ ขณะที่ล่อนจ้อนยังนั่งเหม่ออยู่

            "ที่นี่เหรอ"

            "เออ แล้วขนมนั่นใครเอามาให้มึง"

            "ป้าสักคน แม่บ้านมั้ง กูไม่คุ้นหน้า แกบอกกับข้าวใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวมาเรียกอีกที" ไอ้กาลบอกพร้อมกับเลื่อนจานขนมมาให้ คำตอบของมันทำให้ผมไม่แน่ใจว่าป้าแม่บ้านที่ว่าจะใช่บุหงาแม่ของล่อนจ้อนหรือเปล่า ถึงตอนเด็กจะแวะมาบ้านสวนบ่อยๆ ก็ใช่ว่าเราจะรู้จักคนงานทุกคนเหมือนกัน

            "อยู่ในครัวใช่มั้ย"

            "ทำกับข้าวก็ต้องในครัวดิ อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ล่อนจ้อน"

            "ยังไม่แน่ใจ มึงรู้ชื่อป้าเขามั้ย"

            "ไม่อ่ะ กูไม่ได้ถาม"

            "งั้นคงต้องไปดูก่อน ไปดูกันเลยมั้ย" ตอบไอ้กาลแล้วผมก็สะกิดเรียกล่อนจ้อน มันหันมามองก่อนพยักหน้าตกลง

            "แต่ป้าแกมีเด็กอยู่ด้วยนะ เป็นเด็กผู้หญิง น่าจะซักสามสี่ขวบมั้ง" ไอ้กาลพูดเสริมขึ้นมา

            "ลูกป้าแกเหรอ"

            "มั้งนะ อยู่ด้วยกันก็คงลูกแหละ เออ แล้วพ่ออ่ะ เจอมั้ย"

            ผมเหลือบมองคนข้างๆ ล่อนจ้อนหันกลับมานั่งดีๆ แล้วหลังจากนั่งมองสระหน้าบ้านเมื่อครู่ รอยยิ้มบางๆ ถูกส่งให้ไอ้กาล ความเศร้ายังไม่จางหายไปจากแววตา ก่อนจะเป็นคนตอบคำถามนั้นออกมาเอง

            "พ่อเสียแล้ว"

            คนถามนิ่งไป พวกเรายังไม่เคยสูญเสียคนในครอบครัวเลยบอกไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ได้รับรู้ข่าวร้ายนั้นเป็นยังไง มันคงจะเหมือนโลกใบหนึ่งของเราหายไปล่ะมั้ง โลกที่อยู่ห่างไกล โลกที่เมื่อมีโอกาสโคจรมาใกล้กันอีกครั้ง แต่โลกใบนั้นก็ไม่อยู่แล้ว

            "เสียใจด้วย"

            "เราไม่เป็นไร"

            "ไปในครัวกันมั้ย เผื่อแม่จะอยู่ที่นั่น"

            ผมชวนอีกครั้งล่อนจ้อนก็พยักหน้ารับ ตอนเราลุกขึ้นยืนเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนเดินมาหาพอดี เป็นผู้หญิงอายุน่าจะสักสี่สิบกว่า ผมยาวรวบเป็นหางม้าด้านหลัง ข้างๆ มีเด็กผู้หญิงเกาะขากางเกงเดินตามมาด้วย

            "กับข้าวเสร็จแล้วนะคะ ไปทานกันได้เลย" ป้าแกบอก เวลายิ้มตาจะหยีมีหนวดแมวเหมือนใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เลย

            "ป้าบุหงาหรือเปล่าครับ"

            "ใช่ค่ะ"

            ผมหันมองล่อนจ้อน ปากมันยิ้ม แต่ตาเริ่มฉ่ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ผมเคยคิดว่าหากได้เจอแม่แล้วมันจะรีบวิ่งเข้าไปกอดแล้วร้องไห้เหมือนเด็กหลงทางเสียอีก แต่เจ้าตัวกลับคว้ามือผมไปจับไว้แล้วบีบแน่น พอคิดดูอีกทีมันคงไม่ใช่ความประทับใจแรกที่ดีถ้าอยู่ดีๆ ก็มีเด็กที่ไม่รู้จักวิ่งไปกอดแบบนั้น

            "ลูกสาวป้าเหรอครับ" ผมลองถาม เพื่อยืนยันด้วยว่าลูกชายที่หายไปเมื่อสิบปีก่อนนั้นถูกลืมจริงๆ

            "ค่ะ ชื่อโบตั๋น ไหนโบตั๋นสวัสดีพี่ๆ สิคะ" เด็กน้อยทำตามที่แม่บอกก่อนจะไปหลบอยู่หลังแม่ เป็นเด็กที่หน้าตาคล้ายล่อนจ้อนอยู่เหมือนกัน

            "ป้ามีลูกคนเดียวเหรอครับ"

            การตอบคำถามที่รู้อยู่แล้วและมีคำตอบที่แน่นอนควรตอบออกมาได้ในทันที แต่เมื่อผมถามออกไปป้าบุหงากลับขมวดคิ้วแล้วเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ

            "ใช่ค่ะ คนเดียว"

            แรงบีบที่มือผมหนักกว่าเดิม ล่อนจ้อนยังคงยิ้ม ยิ้มให้กับแม่ที่จำตัวเองไม่ได้ ยิ้มให้กับความตายที่พรากพ่อไป ผมอยากดึงมันเข้ามากอดและบอกว่ามันคือแมวที่เข้มแข็งที่สุดในโลก เก่งมากที่ยังยิ้มได้ เก่งมากที่ยังไม่ร้องไห้ออกมา

            "ไปกินข้าวกันค่ะ" ป้าบุหงาชวนอีกรอบก่อนเดินจากไป

            "มึงไปก่อนเลย" ผมบอกไอ้กาล มันเองก็เข้าใจเดินออกไปก่อนโดยไม่ถามอะไร

            ล่อนจ้อนปล่อยมือแล้วเปลี่ยนมาใช้สองแขนกอดรอบเอวผมไว้ ซุกหน้าลงที่ไหล่ ไม่มีคำพูด ไร้น้ำตาและเสียงสะอื้น ผมกอดตอบ กอดไว้ให้แน่นที่สุด บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่ตรงนี้ยังมีผมอยู่ คนที่จะทวงคืนสิ่งที่เป็นคนพรากไปกลับมาให้เอง

           

            หลังกินข้าวเสร็จล่อนจ้อนอาสาไปช่วยป้าบุหงาล้างจาน แต่ในฐานะแขกของบ้านป้าแกเลยให้มันอยู่เฉยๆ แล้วคุยเป็นเพื่อนแทน ผมเองก็นั่งสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ห่างมากไม่ได้เพราะถ้าเกิดอยู่ๆ ล่อนจ้อนกลับร่างแมวขึ้นมาจะแย่เอา ส่วนไอ้กาลกลับไปนอนเล่นอยู่ที่ระเบียงบ้านมุมโปรดของมัน

            "ไม่ได้แวะมาที่นี่นานเลยนะคะ เข้ามหา’ลัยหรือยัง" ป้าบุหงาหันมายิ้มให้ผมตอนถามขณะที่มือสาละวนกับการล้าง โดยมีลูกน้อยวัยสามขวบเกาะแกะอยู่ไม่ห่าง

            "ปีสองแล้วครับ ว่าแต่ป้าทำไมถึงได้มาอยู่บ้านใหญ่ล่ะครับ"

            "ช่วงนั้นแม่บ้านคนเก่าลาออกพอดีค่ะ สามีป้าก็เพิ่งเสีย โบตั๋นก็เพิ่งเกิด คุณพิทักษ์เลยให้ป้ามาดูแลบ้านใหญ่แทน จะได้มีเวลาเลี้ยงลูกด้วย"

            "แย่เลยนะครับ"

            "ตอนนี้ก็ดีเยอะขึ้นแล้วค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไร"

            "สามีป้าชื่อดอกรักใช่มั้ยครับ"

            "ใช่ค่ะ จำได้ด้วยเหรอ" ป้าบุหงาหันมายิ้มให้อีกครั้ง

            "ก็พอจำได้ครับ"

            "แกเป็นปอดติดเชื้อค่ะ นอนโรงพยาบาลได้สัปดาห์เดียวก็เสีย สมัยหนุ่มๆ แกสูบบุหรี่หนักด้วย มาเลิกจริงจังเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว"

            "สิบปีที่แล้วเหรอครับ" ผมกับล่อนจ้อนหันมองหน้ากัน บางทีสาเหตุการเลิกบุหรี่ของลุงดอกรักอาจจะเกี่ยวกับล่อนจ้อนก็ได้

            "ใช่ค่ะ อยู่ๆ แกก็อยากเลิก ป้าดีใจมากตอนที่แกตั้งใจแบบนั้น แต่ปอดมันก็แย่ไปแล้ว"

            "เราเคยบอกให้พ่อเลิกบุหรี่" ล่อนจ้อนพูดขึ้นมาเบาๆ ป้าบุหงาหันมายิ้มให้อย่างเข้าใจ โดยไม่รู้เลยว่าพ่อของล่อนจ้อนก็คือสามีของตัวแกเอง

            "ดีแล้วค่ะ อย่าไปสูบมันเลย"

            บรรยากาศชวนเศร้ากลับมาอีกครั้ง ล่อนจ้อนนั่งมองแผ่นหลังของแม่ไม่ละสายตาไปไหน อยากจะดึงบรรยากาศให้ดีขึ้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัวกลับมีแต่เรื่องชวนให้เศร้าอยู่ดี คนที่ร่าเริงที่สุดในนี้เห็นทีจะเป็นน้องโบตั๋นที่ยิ้มโชว์ฟันน้ำนมให้พี่ชายอยู่ล่ะมั้ง

            "ผมเพิ่งสังเกต ครอบครัวป้าชื่อเป็นดอกไม้กันทุกคนเลยนะครับ" เห็นสองพี่น้องยิ้มแมวใส่กันผมก็นึกเรื่องชื่อขึ้นมาได้ เราคุยเรื่องนี้กันที่สวน ถ้าโบตั๋นชื่อเป็นดอกไม้ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้สูงที่ล่อนจ้อนจะมีชื่อเป็นดอกไม้เหมือนกัน

            "ใช่ค่ะ ช่างสังเกตนะเนี่ย"

            "โบตั๋นเป็นผู้หญิง แล้วถ้าเกิดป้าบุหงามีลูกเป็นผู้ชายจะตั้งชื่อว่าอะไรครับ"

            "ถามแบบนี้ป้าคิดไม่ทันเลย"

            "ถ้าคิดได้แล้วบอกผมทีหลังก็ได้ครับ"

            ป้าบุหงาหันมายิ้มให้ สิ่งที่ผมคิดไว้จะเป็นจริงมั้ยไม่รู้ แต่ชื่อที่ป้าบุหงาคิดอาจจะเป็นชื่อของล่อนจ้อนจริงๆ ก็ได้ หากรู้ชื่อจริงๆ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะทำให้ความทรงจำอันเลือนรางชัดเจนขึ้นมา

            หลังจากล้างจานเสร็จป้าบุหงาก็ขอตัวไปทำงานอย่างอื่นต่อ เราโบกมือให้น้องโบตั๋นที่บ๊ายบายกลับแบบเขินๆ ล่อนจ้อนยิ้มค้าง แม้สองแม่ลูกจะเดินลับสายตาไปแล้วรอยยิ้มก็ยังคงแต้มที่ริมฝีปาก

            "ไม่เห็นถามอะไรแม่เลย" ประโยคเดียวที่ล่อนจ้อนพูดคือบอกให้พ่อเลิกบุหรี่ ตลอดเวลาสิบนาทีมีแค่เสียงผมกับป้าบุหงาต่อบทสนทนากันไปมา

            "ก็ลิขิตถามให้หมดแล้ว"

            "ไม่มีเรื่องที่อยากรู้เลยเหรอ"

            "รู้แค่ว่าตอนนี้แม่สบายดีก็พอ แถมยังมีน้องสาวด้วย"

            "เห่อน้องเลยดิแบบนี้ น่ารักด้วย"

            "ให้น้องจำได้ก่อนแล้วค่อยเห่อ"

            คนเรานะ จี้ใจดำตัวเองก็เป็น

            มือผมยื่นไปยีผมสีบลอนด์นั่นอย่างเคยชิน เจ้าแมวที่กำลังเศร้าเลยเอาหัวมาสีมาอ้อนใหญ่ เผลอแป๊บเดียวก็นั่งเบียดกันเสียแล้ว 

            "อยากไปไหว้พ่อ" ล่อนจ้อนซบหัวลงที่ไหล่ผม บอกเสียงงอแง

            "เมื่อกี้ก็ไม่ถาม" แต่พอผมพูดแบบนี้ก็รีบกลับมานั่งตัวตรงทันที ท่าทางแบบนี้เตรียมตัวเถียงกลับชัวร์

            "มันจะไม่แปลกเหรอที่อยู่ๆ คนไม่รู้จักจะไปถามแบบนั้นน่ะ ที่จริงก็อยากถามนะ หลายๆ เรื่องเลย แต่แม่จำเราไม่ได้ไง ถามไปก็ดูก้าวก่ายเปล่าๆ มันไม่น่าจะดีถ้าไปถามผู้ใหญ่แบบนั้น"

            "พูดคล่องเชียว"

            ล่อนจ้อนย่นจมูกใส่ ถ้าเป็นร่างแมวคงกำลังแยกเขี้ยวเตรียมเอาเล็บตะปบหน้าผมอยู่

            ผมเข้าใจที่ล่อนจ้อนไม่กล้าถาม เพราะถ้าหากถามอะไรแปลกๆ ออกไปอาจกลายเป็นเด็กไม่ดีในสายตาป้าบุหงาได้ เลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วให้ผมเป็นฝ่ายถามแทน ความคิดความอ่านที่พัฒนาขึ้นของคนตรงหน้าชวนให้แปลกใจได้ทุกครั้ง จากเด็กสิบขวบตอนนี้เราโตเท่ากันแล้ว ล่อนจ้อนคือคนอายุยี่สิบที่ทำทุกอย่างได้ไม่ต่างจากผมเลย

            "งั้นจะลองถามอาพิทักษ์ให้ แต่กระดูกน่าเก็บไว้ในบ้านพักนั่นแหละ เดี๋ยวพาไปไหว้ ไม่เศร้าแล้วนะ"

            "อื้ม" ล่อนจ้อนยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ก่อนเสียงกระแอมของบุคคลที่สามจะเรียกให้เราสองคนหันไปมอง

            "กูเบื่ออ่ะ ว่าจะไปเที่ยว ไปด้วยกันมั้ย"

            "จะไปไหน"

            "ทะเล หาดเจ้าหลาวมั้ง เปิดกูเกิ้ลดูเมื่อกี้"

            "ทะเล" คนตื่นเต้นเป็นล่อนจ้อนที่สีหน้าดูเบิกบานขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าทะเล

            "แต่ไม่รู้ช่วงนี้มันเล่นน้ำได้หรือเปล่านะ จะไปมั้ย"

            "ไป"

            "เออ ไปๆ"

            ล่อนจ้อนไปผมก็ต้องไปนั่นแหละ ต้องตามไปคุมคนไม่ให้กลายเป็นแมว เดี๋ยวคนกลัวแมวจะช็อกตายเอา


tbc.


มาบ้านใหญ่แล้ว จะทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนได้มั้ยมาลุ้นกัน
แล้วก็ชื่อของล่อนจ้อน มาทายกันค่ะ (ทายอีกแล้ว ฮ่า)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
แงงงงงสงสารล่อนจ้อน  แม่จะจำล่อนจ้อนได้ไหมมมมมมมมมมมมมม

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอให้แก้ปัญหาได้ไวๆนะ สงสารล่อนจ้อน

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
หวังว่าจะหาทางแก้ได้เร็วๆ  :hao5:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 944
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
สงสารล่อนจ้อน :hao5:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมแม่จึงจำลูกไม่ได้?  ลูกหายไปทั้งคนนะ

หรือว่า...คำสาปจะทำให้คนที่ถูกสาปนั้นไม่มีตัวตนด้วยการทำให้ถูกลืมไปจากทุกคน?

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 15


            หาดเจ้าหลาวอยู่ห่างจากบ้านสวนประมาณหนึ่งชั่วโมง เราออกเดินทางตอนเกือบบ่ายสอง กว่าจะมาถึงก็บ่ายสาม ไอ้กาลจอดรถปุ๊บล่อนจ้อนก็เปิดประตูลงจากรถเป็นคนแรก ยังดีที่ไม่ตื่นเต้นจนวิ่งหนีผมไปก่อน ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นแมวเปอร์เซียสีขาวที่เป็นได้เล่นน้ำทะเลแทน ร่าเริงขึ้นขนาดนี้เชื่อแล้วว่าอยากมาเที่ยวจริงๆ

            "คนน้อยกว่าที่คิด" ไอ้กาลว่า ใส่แว่นกันแดดยืนเท้าเอวมองชายหาดที่มีนักท่องเที่ยวน้อยจนนับหัวได้ ทั้งที่เป็นวันหยุด แดดที่ควรจะสาดแสงจ้าก็ไม่ค่อยมีเช่นกัน เป็นบรรยากาศที่ไม่เหมาะกับการมาทะเลเอาซะเลย

            "ก็ดีแล้วคนน้อยๆ" แต่ผมชอบนะ มันดูสงบดี ไม่วุ่นวาย

            "น้อยทั้งคนน้อยทั้งน้ำเลยมึง ทะเลอยู่ไหนวะ" น้องชายผมถึงกับถอดแว่นมอง

            เราเดินลงมากันที่หาดทราย ชายหาดที่นี่ยาวมากจนมองไม่เห็นว่ามันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แล้วมันก็กว้างมากด้วย กว้างจนมองแทบไม่เห็นน้ำทะเล

            "กูเพิ่งเคยเห็นน้ำลงขนาดนี้" จากจุดที่พวกเรายืนอยู่ต้องเดินไปอีกไกลกว่าจะถึงจุดที่น้ำขึ้นสูงสุด ไกลจนล่อนจ้อนเขย่งเท้ามอง

            "ไหนอ่ะทะเล"

            "อยู่นู่นนนน จะเดินไปมั้ย" ผมตอบล่อนจ้อน แต่เป็นไอ้กาลที่ยกมือยอมแพ้คนแรก

            "เห็นแล้วท้อ พวกมึงจะไปก็ไปนะ เดี๋ยวกูนั่งรอแถวนี้"

            "ไม่ไปถ่ายรูปหน่อยเหรอวะ"

            "เดี๋ยวถ่ายแถวนี้เอา"

            "ถ่ายตรงนี้แม่งเห็นแต่หาด"

            "เออนั่นแหละ แปลกดี"

            "ไหนว่าเบื่อ"

            "ก็ยังดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ"

            ด้วยเหตุนี้ผมกับล่อนจ้อนเลยออกเดินตามหาน้ำทะเลกันแค่สองคน เดิมทีเราไม่ได้ตั้งใจมาเล่นน้ำกันอยู่แล้ว แค่พาคนอยากเห็นทะเลมาเที่ยว ให้เอาขาจุ่มน้ำเป็นพิธีพอ

            "ตอนเด็กๆ เคยมาเที่ยวทะเลมั้ย" ผมถามระหว่างเราเดินย่ำทรายไปหาน้ำทะเล ล่อนจ้อนถอดรองเท้าแตะมาถือไว้ เดินไปก็เอานิ้วเท้าจิ้มทรายเล่น

            "เคย"

            "แล้วตอนเป็นแมวอ่ะ"

            "จะไปเคยได้ไง"

            "ก็ตอนเร่ร่อนจากที่นี่ไปกรุงเทพฯ ไง ไม่หลงมาเจอทะเลบ้างเหรอ"

            "ตอนเร่ร่อนไม่ได้เดินจากที่นี่ไปกรุงเทพฯ ซักหน่อย มีคนเก็บไปเลี้ยงเขาก็อุ้มขึ้นรถไป แล้วอยู่กรุงเทพฯ พอดี"

            "ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง"

            "อ้าวเหรอ" ล่อนจ้อนหันมายิ้มแมวใส่ผม อดไม่ไหวเลยดึงแก้มซะ มันเขี้ยวนัก

            คนโดนแกล้งไม่ยอมแพ้ปัดมือผมทิ้งแล้วกระโดดขี่หลัง ไอ้ผมก็ไม่ทันตั้งตัวรีบล็อกขาเอาไว้อย่างดีกลัวแมวตก ยังงงๆ ตอนได้ยินเสียงหัวเราะกับแขนที่โอบกอดรอบคอไว้หลวมๆ พร้อมคำสั่งที่บอกให้ไปข้างหน้า

            "ไปเลยๆ"

            "สนุกมั้ยเนี่ย"

            "ลิขิตหลอกง่ายอ่ะ"

            "นี่ไม่เรียกหลอก นี่เรียกบังคับ"

            "อ้าวเหรอ"

            "ทำไมเดี๋ยวกวนจังฮะ"

            เป็นเสียงหัวเราะที่ตอบกลับมา

            "ถือรองเท้าดีๆ หน่อย มันจะโดนหน้าแล้วเนี่ย"

            "ขอโทษๆ"

            ล่อนจ้อนขยับมือที่ถือรองเท้าให้ออกห่างจากหน้าผม จัดท่าทางเสร็จคนที่ขี่หลังผมอยู่ก็ก้มหน้าลงมาหา ผมไม่เห็นหรอกแต่รู้สึกถึงสัมผัสที่หู เหมือนมีขนแมวนุ่มๆ มาคลอเคลีย

            "หนักมั้ย"

            "ตัวเท่าลูกแมว"

            "เราสูงต่างกันนิดเดียวเอง"

            "นิดเดียวที่ไหน ล่อนจ้อนเตี้ยกว่าตั้งเยอะ"

            "ลิขิตสายตาไม่ดีใช่มั้ย"

            ผมหัวเราะเมื่อล่อนจ้อนพยายามใช้มือข้างที่ว่างจิ้มขมับผมเหมือนโกรธแค้นกันมาก่อน แต่ผมก็สายตาไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ

            "ไม่หนักจริงเหรอ ลงได้นะ" กลับมากอดคอดีๆ แล้วก็ยังห่วงไม่เลิก

            "ไม่เป็นไร แค่นี้สบาย"

            "ปวดหลังไม่รู้ด้วยนะ"

            สัมผัสนุ่มๆ ข้างหูหายไป ผมมองทางตรงหน้าแล้วก็ยิ้ม ใจอยากจะแกล้งทิ้งลงทรายเพื่อเอาคืน แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มกับหนวดแมวของคนที่เจอเรื่องน่าเศร้ามาทั้งวันแล้วก็ทำไม่ลง ผมไม่อยากทำอะไรให้ล่อนจ้อนต้องเศร้าอีกแล้ว เพิ่มสัญญากับตัวเองอีกข้อว่าจากนี้จะมอบแต่สิ่งดีๆ ให้กับคนคนนี้ จะดูแลแมวตัวนี้ให้ดีที่สุด

            เดินมาหยุดอยู่ตรงจุดน้ำขึ้นสูงสุดผมก็ปล่อยล่อนจ้อนลง เรานั่งยองๆ ข้างกัน เอามือกวักน้ำเขี่ยทรายเล่น เป็นการมาเที่ยวทะเลแบบแปลกๆ ที่ไม่ค่อยให้ความรู้สึกเหมือนมาทะเลสักเท่าไร แดดไม่ค่อยมีแต่ลมยังแรงอยู่ น้ำก็ลงซะไกลจนเห็นหาดทรายกว้างกว่าที่เคย นักท่องเที่ยวก็น้อยอีกต่างหาก จะว่าดีมันก็ดี เหมือนอยู่หาดส่วนตัว

            ลองมองไปรอบๆ ไม่มีใครมุมานะเดินมาไกลเท่าเราสองคนเลย จะว่าไปมันก็ดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน น้ำลงเยอะๆ แบบนี้อยู่ๆ เกิดสึนามิขึ้นมาจะทำยังไง แต่ถ้าว่ากันตามภูมิประเทศอ่าวไทยค่อนข้างปลอดภัยจากสึนามิอยู่แล้ว ยกเว้นจะมีอุกาบาตตกลงมา ซึ่งความเป็นไปได้นั้น...

            อยู่ๆ ก็มีน้ำทะเลสาดใส่หน้าผมเหมือนอยากจะบอกว่าหยุดคิดอะไรเพ้อเจ้อเถอะ เหตุการณ์นี้สามารถแยกคิดได้สองประเด็นคือคลื่นซัดแรงจนมันกระเด็นมาโดนซึ่งปัดทิ้งไปได้เลย และสองมีคนแกล้ง ซึ่งเมื่อฟังจากเสียงหัวเราะคนข้างๆ แล้วคนร้ายเป็นใครไปไม่ได้แน่นอน

            "จะเอาใช่มั้ย" ผมกวักน้ำสาดใส่คืน ล่อนจ้อนลุกหนีแล้วนั่งลงทำท่าจะกวักน้ำใส่ผมตรงจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล แต่เมื่อผมตั้งท่าพร้อมโต้กลับเจ้าตัวก็เปลี่ยนใจวิ่งหนีแทน

            อย่าหวังว่าจะหนีรอดเลย

            ล่อนจ้อนวิ่งเลียบไปตามความยาวของชายหาด ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะโดยที่ความเร็วของฝีเท้าไม่ลดลงเลยสักนิด ผมก็ลืมไปว่าแมวตัวนี้คล่องแคล่วว่องไวขนาดไหน ซึ่งสิ่งที่ผมได้เปรียบน่ะเป็นพละกำลังไม่ใช่ความเร็ว

            "วิ่งห่างไปมากๆ เดี๋ยวก็กลับไปเป็นแมวหรอก" พอผมตะโกนไปแบบนั้น คนที่วิ่งนำอยู่ก็หยุดแล้ววนกลับมาหาทันที อันนี้ผมไม่ได้พูดแกล้งเล่น เพราะมันเคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วว่าถ้าอยู่ห่างกันมากๆ แม้จะยังไม่ครบกำหนดเวลาก็สามารถกลับไปร่างแมวได้

            "ลิขิตช้าอ่ะ" วิ่งกลับมาหาผมแล้วก็บ่นทันที

            "เรื่องความเร็วยอมครับ"

            ผมยืนหอบอย่างหมดท่า ล่อนจ้อนอมยิ้ม ยื่นมือมาจัดผมข้างหน้าให้ผม แววตาที่มองมาดูไม่เศร้าหมองเหมือนก่อนหน้านี้

            "หายเศร้าหรือยัง" ผมเป็นฝ่ายจัดผมหน้าม้าให้คนตรงหน้าบ้าง แต่มันก็ถูลมพัดจนเสียทรงอยู่ดี

            "ไม่ได้เศร้าแล้ว"

            "ทิ้งทะเลไปให้หมดเลยนะความเศร้าน่ะ ต่อจากนี้รับแค่ความสุขอย่างเดียวก็พอ"

            "ไม่ได้ดิ ต้องเป็นฝ่ายให้ด้วย"

            ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกภูมิใจนัก คิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าล่อนจ้อนเติบโตขนาดนี้ได้เพราะผม เพราะคอยดูแล เพราะคอยสอนสิ่งต่างๆ แม้ความจริงสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นตัวตนจริงๆ ของล่อนจ้อนก็ได้ เป็นสิ่งที่พ่อแม่เคยปลูกฝังไว้ให้ตั้งแต่เด็ก

            "ลิขิตก็หยุดโทษตัวเองได้แล้วนะ" และเป็นคนที่น่ารักทั้งความคิดและหน้าตามาตั้งแต่ตอนนั้น

            "ครับ"

 

            กลับมาหาไอ้กาลอีกทีก็เจอมันนั่งหลับอยู่ที่ศาลา เป็นคนชวนมาเที่ยวที่ทำตัวเหมือนไม่อยากมาเที่ยวที่สุด ผมเข้าเฟซบุ๊กเห็นรูปชายหาดของมันโพสต์เมื่อสิบนาทีก่อน กับแคปชันเสี่ยวๆ ว่า ‘ไปทะเลเจอหาดทราย ใจละลายเมื่อเจอเธอ’ อยากรู้ว่ามันไปจำมาจากไหน เลยถ่ายรูปมันตอนหลับแล้วคอเมนต์กลับไป ผมว่าบรรดาแฟนๆ ของน้องเหนือคงชอบ 

            ยังไม่ทันได้ปลุกกาลมันก็ตื่น นั่งคุยรับบรรยากาศริมทะเลอีกสักพักเราก็ชวนกันกลับ ระหว่างทางน้องชายผมมันบ่นอยากเลยแวะซื้อเบียร์มาสองขวด เอาไว้ไปนั่งกินกันที่ระเบียงบ้านตอนดึกๆ

            กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบมืด ได้กินข้าวเย็นฝีมือป้าบุหงาอีกหนึ่งมื้อ ไอ้แม็กที่รู้ว่าพวกผมมาก็มาหาที่บ้านใหญ่ จากที่คิดว่าจะนั่งกินเบียร์กันชิลๆ สองคนพี่น้องเลยได้มันมาร่วมวงอีกคน ส่วนอาพิทักษ์แกขอบาย อยากให้คุยกันตามประสาเด็กๆ มากกว่า

            ไอ้แม็กตอนนี้กับตอนเด็กไม่ต่างกันนัก หน้าตาไม่ค่อยเปลี่ยนแต่สูงขึ้นกว่าเดิมเยอะ ผมหมายถึงไม่คิดว่าโตมาแล้วมันจะสูงขนาดนี้ ตอนเด็กมันเตี้ยกว่าเราสองพี่น้องอีก แต่ตอนนี้สูงนำไปแล้ว อาจจะห้าเซนต์ได้มั้ง

            "พวกมึงเป็นแฝดที่กูแยกออกที่สุดละ ไม่มีความเหมือนกันเลย" เวลาเจอหน้าพวกเราไอ้แม็กมันชอบพูดแบบนี้ เป็นสิ่งที่มันดูภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน

            "แต่หล่อเหมือนกัน" แล้วพวกผมก็ชอบตอบมันกลับไปแบบนี้อย่างพร้อมเพรียง

            คนฟังขำแล้วส่ายหน้า ผมแท็กมือกับไอ้กาลแบบที่นานๆ ทีจะเห็นพร้องกันสักครั้ง ปกติเถียงกันเรื่องความหล่อตลอด

            "แล้วนี่ใครวะ" มันชี้ไปที่ล่อนจ้อนถามแบบตรงๆ

            "เพื่อนกูเอง พามาเที่ยว หน้าคุ้นมั้ย" ผมแกล้งถาม คนถูกแนะนำตัวยิ้มให้ แน่นอนว่าล่อนจ้อนจำไอ้แม็กได้ ขณะที่ไอ้แม็กไม่มีทางจำล่อนจ้อนได้ แต่มันก็ยังอุตส่าห์ทำหน้าให้ผมลุ้น

            "เหมือนจะคุ้นแต่ไม่คุ้น แล้วกูจะไปรู้จักเพื่อนมึงได้ไงวะ ขนาดหน้าพวกมึงยังไม่ได้เห็นมาตั้งหลายปี ว่าแต่ชื่ออะไรครับ เราชื่อแม็ก"

            "พูดเพราะเชียวนะมึง"

            "แน่นอน" ไอ้แม็กยิ้มรับด้วยสีหน้าภูมิใจ แต่ตอนนี้กำลังเกิดปัญหาใหญ่ ไอ้แม็กมึงเป็นใครทำไมต้องถามชื่อล่อนจ้อน ขนาดอาพิทักษ์กับป้าบุหงายังไม่ถามเลย หรือผมควรปล่อยเบลอไปเลยดี จะบอกว่าชื่อล่อนจ้อนมันก็จะแปลกเกินไปหน่อย

            ไม่มีใครยอมตอบชื่อล่อนจ้อนแม้แต่เจ้าตัว ต่างฝ่ายต่างยิ้มแห้งให้กัน จนไอ้แม็กมันทวงอีกรอบ

            "สรุปชื่ออะไรครับ รู้ชื่อแล้วจะได้สนิท เป็นเพื่อนมันสองคนก็เหมือนเพื่อนผม"

            "ถามเขาก่อนว่าอยากเป็นเพื่อนกับมึงมั้ย" ไอ้กาลช่วยสกัด แต่ผมก็ยังนึกชื่อดีๆ ไม่ออก ในหัวตอนนี้มันมีแต่ชื่อดอกไม้ที่ไม่น่าเอามาตั้งเป็นชื่อผู้ชายได้เลย ไฮเดรนเจียบ้าง คาร์เนชันบ้าง ไม่มีความเป็นไทยเหมือนชื่อครอบครัวล่อนจ้อนสักนิด

            ผมพยายามส่งซิกกับล่อนจ้อนที่ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนเท่าไร หรือว่าจะคิดชื่อดีๆ ออกแล้ว

            "สรุปกูจะได้รู้ชื่อมั้ยวะ"

            "จ้อน"

            "จ้อน?" ไอ้แม็กทวนชื่อที่ล่อนจ้อนบอก ขอบคุณที่ไม่บอกชื่อเต็มออกไป

            "อืม จ้อน"

            "โอเคจ้อน เราแม็ก"

            "รู้แล้ว"

            "มาหมดแก้ว เพื่อมิตรภาพ" มันชูแก้วเตรียมชนกับเพื่อนใหม่ทำเอาผมกับไอ้กาลเลิ่กลั่ก ล่อนจ้อนยังไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์ แต่ทำไมเสือกมีสี่แก้ววางอยู่ ใครริน!

            "จ้อนมันไม่กิน" ผมแย่งแก้วที่ล่อนจ้อนกำลังจะคว้ามาถือไว้เอง

            คนโดนแย่งแก้วหันมาถลึงตาใส่ ไม่ได้หวงขนาดนั้น ถ้าอยู่ด้วยกันก็อยากให้กินอยู่ แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ให้ล่อนจ้อนอยู่สภาพที่สติยังครบร้อยเปอร์เซ็นต์ดีกว่า แม้วันนี้ชั่วโมงการเป็นคนจะเหลือเยอะจนน็อกรอบวันได้เลยก็เถอะ

            "ทำไมกินไม่ได้วะ"

            "มันแพ้"

            "แพ้อะไรไม่แพ้เสือกแพ้เบียร์ อ่า โทษๆ แพ้อะไรไม่แพ้ดันเบียร์"

            "ไม่ต้องแก้แล้วมั้งไอ้สัด" ไอ้แม็กหัวเราะเสียงดังตอนโดนไอ้กาลด่า มันดื่มจนหมดไปครึ่งแก้วก่อนวางไว้ ส่วนคนที่โดนห้ามก็กินกับแกล้มแก้เซ็งไป

            "ตอนนี้มึงได้ติดต่อกับคนอื่นๆ อยู่ป้ะ" ผมเริ่มชวนคุยเรื่องเพื่อนๆ ไอ้แม็กมันอยู่ที่นี่ตลอด น่าจะพอรู้ความเคลื่อนไหวของคนอื่นๆ

            "ไม่ถึงกับติดต่อ ปิดเทอมก็มีกลับมาเยี่ยมบ้าง แยกย้ายไปเรียนกันอยู่คนละมุมประเทศนู่น"

            "แล้วลูกป้าบุหงาล่ะ"

            "โบตั๋นอ่ะนะ เพิ่งสามขวบ"

            "กูหมายถึงลูกชายคนโต" ล่อนจ้อนรีบหันมามองเมื่อผมถามออกไปตรงๆ แต่คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้

            "ป้าบุหงามีลูกคนเดียว มึงไปเอาลูกชายคนโตมาจากไหน"

            "สงสัยกูจำผิด"

            ไอ้แม็กไม่ได้ติดใจอะไรกับคำถามของผม มันหันไปคุยเล่นกับไอ้กาล พูดถึงไอ้โปเต้ที่ตอนนี้สอบติดวิศวะไปเรียนอยู่เชียงราย พ่อมันก็ลาออกจากสวนแล้วด้วย ไม่รู้ป่านนี้ไปทำงานอยู่ที่ไหน ทำเอาไอ้กาลบ่นเสียดายที่อาจจะไม่ได้เจออริเก่าอีก

            แรงกระตุกเบาๆ ที่แขนเสื้อเรียกให้ผมหันไปมองคนข้างๆ แล้วก็เจอกับสายตาปรือๆ ที่มองมา เหมือนว่าเจ้าแมวอยากจะเข้านอนแล้ว

            "ห้าทุ่มแล้ว" ไม่บอกเปล่ายังกดเวลาในมือถือให้ดู

            "ไปนอนก่อนมั้ย เดี๋ยวไปส่ง"

            "ยังไม่ได้อาบน้ำเลย"

            "เออว่ะ แต่ถ้าเป็นแมวไม่ต้องอาบก็ได้นะ" ผมกระซิบบอก เป็นวิธีง่ายๆ สำหรับคนขี้เกียจ กระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนได้เลย ไม่ต้องอาบน้ำให้เสียเวลาเพราะยังไงก็ต้องนอนในร่างแมวอยู่ดี แต่ล่อนจ้อนกลับทำหน้างอแงใส่

            "อยากอาบ มันร้อน"

            "โอเค เดี๋ยวพาไป"

            รับปากล่อนจ้อนแล้วผมก็หันไปบอกไอ้แม็กกับไอ้กาลที่ยังจ้อกันไม่หยุด ขอตัวพาแมวไปอาบน้ำส่งเข้านอน แล้วจะกลับมานั่งกับพวกมันต่อ

 

            บ้านหลังนี้มีอาคารหลักกับอาคารเล็กรวมทั้งหมดมีสี่ห้องนอน ห้องอาพิทักษ์กับภรรยาหนึ่งห้อง ลูกสาวอาหนึ่งห้องอยู่อาคารหลัก ส่วนอาคารเล็กที่ต้องเดินข้ามทางเชื่อมานิดหน่อยมีสองห้องนอนที่ถูกขั้นกลางด้วยห้องน้ำ หนึ่งห้องเป็นของลูกชายอาที่พวกผมขอใช้นอนชั่วคราว ส่วนอีกห้องยกให้ล่อนจ้อนนอนคนเดียว

            ผมนั่งมองล่อนจ้อนถอดเสื้อผ้าซึ่งเจ้าตัวไม่เคยมีอาการเขินอายแต่อย่างใด ถอนจนหมดสมชื่อแล้วค่อยเอาผ้าขนหนูมาพันเอว ทั้งที่ตอนอยู่ห้องจะถือผ้าขนหนูเข้าไปถอดในห้องน้ำ หรือว่าผิดที่ผิดทางเลยลืมตัว จนผมต้องเป็นฝ่ายหันไปมองทางอื่นแทนก่อนใจจะคิดอกุศล พอถอดเสร็จก็หันมาเอียงคอมองกันไม่เข้าไปอาบสักที

            "เปิดประตูนี้เข้าไปได้เลย มันเชื่อมกัน" ผมชี้ไปที่ประตูอีกบานที่เป็นแบบบานเลื่อน ห้องน้ำห้องนี้มีทางเข้าสามทาง ถ้าเข้าไปแล้วลืมล็อกประตูสักบานแล้วมีคนเปิดเข้ามาก็...นั่นแหละ

            "ลิขิตไม่อาบเหรอ"

            "อาบก่อนเลย" ผมว่าจะไปนั่งกินต่อเลยยังไม่อยากอาบ เผลอๆ นอนเลยแบบไม่ต้องอาบ

            คนอยากอาบน้ำนอนยังลีลาไม่ยอมไป หรืออาจจะแปลกที่แปลกทางจริงๆ

            "กลัวเหรอ"

            "เปล่า"

            "ไปอาบเถอะ เดี๋ยวนั่งรออยู่นี่แหละ"

            "อยู่ใกล้ๆ ประตูนะ"

            "รู้แล้ว" ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูให้แล้วดันหลังล่อนจ้อนเข้าไป ก่อนปิดประตูแล้วนั่งพิงมันซะเลย

            ที่แท้ก็กลัวกลับไปเป็นแมว เพราะเหตุการณ์แบบนั้นมันเคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งหนึ่งผมคุยกับไอ้กาลอยู่ในห้องนอนตอนนี้ล่อนจ้อนกำลังอาบน้ำ ผ่านไปสักพักได้ยินเสียงแมวร้องเลยออกไปดู พอเปิดประตูห้องน้ำก็เจอแมวสีขาวตัวนั่งมองตาขวางอยู่ หลังจากนั้นเวลาล่อนจ้อนเข้าห้องน้ำผมเลยต้องอยู่ใกล้ๆ ตลอด

            อาบน้ำเสร็จก็เช็ดผมให้จนแห้ง ส่งเจ้าแมวน้อยขึ้นเตียงแต่ก็อยากแกล้งสักหน่อย นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้จุ๊บก่อนนอน อาจจะเป็นตั้งแต่เจ้าตัวเลิกอ่านนิทานล่ะมั้ง พอโตขึ้นก็ไม่ยอมจุ๊บกันแล้ว

            "ไหนจุ๊บก่อนนอนก่อน"

            "เล่นอะไรอีก"

            "ก็แต่ก่อนยังจุ๊บเลย"

            "เคยแค่สองครั้งเอง" พูดเองก็ขำเอง คงนึกได้ล่ะมั้งว่าตอนกลับมาเป็นคนใหม่ๆ ตัวเองเหมือนเด็กแค่ไหน ตอนนี้โตแล้วใครเขาจะทำเหมือนตอนเด็กกัน

            "จุ๊บก่อนเร็ว"

            "ไม่เอา"

            "จุ๊บก่อน จะได้หลับฝันดี"

            เห็นว่าคนบนเตียงไม่ขยับผมเลยขยับเข้าไปหาเอง ล่อนจ้อนถอยหนีไม่ได้เพราะนั่งพิงหัวเตียงอยู่แล้ว พอก้มหน้าลงไปใกล้อีกนิดเจ้าตัวก็หลับตา เข้าไปใกล้จนปลายจมูกจะสัมผัสกับหน้าผากอยู่แล้วแต่ใจผมกลับสั่งให้เปลี่ยนจุดหมายกะทันหัน ขยับต่ำลงมาอีกนิดแล้วใช้ริมฝีปากสัมผัสกันแทน

             ปากแตะกันไม่ถึงเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำผมก็ผละออก ขยับออกมายืนมองคนที่กำลังนั่งหน้าแดงมองกัน อยากได้แค่จุ๊บก็เอาแค่นั้น ถึงจะเป็นจุ๊บที่ผิดตำแหน่งไปหน่อยก็เถอะ

            "ถ้าจุ๊บแบบนี้มันก็จะได้ทีเดียวจบไง" เป็นคำแก้ตัวที่โคตรฟังไม่ขึ้น แต่ดูจะเป็นคำตอบที่น่าพอใจสำหรับคนฟัง

            "ลิขิตลืมบอกฝันดี" ล่อนจ้อนเม้มปาก ค่อยๆ ขยับตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นขึ้นมาปิดถึงปาก ทำตัวน่ารักอีกแล้ว

            "ฝันดีครับ"

            "ฝันดี"

            ได้ยินเสียงตอบกลับมาเบาๆ ผมก็หมุนตัวเดินออกมาจากห้อง ปิดประตูแล้วยืนพิง ตั้งสติควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติก่อนจะกลับไปหาไอ้ตัวร้ายสองคน เพราะเชื่อเถอะว่าผมต้องโดนไอ้กาลแซวแน่ถ้ากลับไปด้วยสีหน้าเบิกบานขนาดนี้

            หุบยิ้มไม่ได้เลย

 

            มันเป็นความรู้สึกเกลียดชัง เกิดขึ้นได้ยังไงหรือเพราะอะไรผมไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อใดที่เห็นคนตรงหน้า ก็มักจะเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาทุกที

            ผมยืนอยู่ในสวนที่มีต้นไม้ล้อมรอบ หากไม่เคยมาที่นี่บ่อยๆ คงคิดว่าหลงอยู่ในป่าสักแห่งที่หาทางออกไม่เจอและคงจะร้องไห้เรียกหาพ่อในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ในสวนผมในวัยสิบขวบกำลังมองเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกัน ผมรู้จักเขา เคยเล่นด้วยกันบ้างแต่ไม่ค่อยสนิทนักในตอนนี้ ถ้าเป็นสักเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนก็ไม่แน่ ความรู้สึกผมมันบอกว่าเคยสนิท แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมเลือกที่จะตีตัวออกห่าง เป็นเหตุผลที่ผมไม่รู้ พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

            "ทำอะไรน่ะ" ผมเลือกที่จะตะโกนถามออกไปเมื่อยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สักพัก เด็กผู้ชายคนนั้นกำลังไล่จับแมวสีขาว เขาหันมามองโดยไม่พูดอะไร ทำเป็นไม่สนใจกัน

            เพราะรู้ตัวว่าแพ้แมวผมเลยไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยนัก ทั้งพ่อทั้งปู่ก็บอกให้ผมอยู่ห่างๆ แมวไว้จะได้ไม่ป่วย แต่การกระทำของเด็กคนนั้นกำลังทำให้ผมเหลืออด เขาใช้ถังไล่ครอบแมว เมื่อจับได้ก็จับมันกดกับพื้นแล้วนั่งทับไว้ ดึงหูดึงหมวดจนแมวร้องประท้วงแต่ก็ไม่ยอมปล่อย

            "ปล่อยแมวซะ!" ผมตะโกนบอกอีกรอบแต่ก็ไร้ผลเหมือนเดิม เขาเพียงหันมามองผม ดึงหางแมวจนมันร้องเสียงดังถึงได้ปล่อยมันหนีไป

            ในฐานะคนชอบแมวแต่เล่นกับแมวไม่ได้ผมโคตรโมโห เดินเข้าไปยืนประจันหน้า เราจ้องตากันแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้อยากต่อกรกับผมนัก เลยได้แต่ตะคอกใส่อีกฝ่ายแล้วเดินหนีมาเพราะไม่อยากมีเรื่องให้ปู่กับอาต้องปวดหัวกับผมอีก   

            "ขอให้....กลายเป็นแมวดู จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง"

            ทุกอย่างชัดเจนยกเว้นก็แต่ชื่อของเด็กผู้ชายคนนั้นที่ผมพูดออกไป อย่างกับว่ามันโดนเซนเซอร์เพราะเป็นคำหยาบคายไม่สามารถออกอากาศได้  ทั้งที่มันคือจุดสำคัญที่ผมควรจำ ทั้งที่ผมเป็นคนทำให้เกิดชะตาชีวิตบ้าๆ นี้ขึ้นมาแต่กลับลืมมันเสียสนิท

            ความฝันเกี่ยวกับเหตุการณ์วัยเด็กทำผมสะดุ้งตื่น ไอ้กาลนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ เราแยกย้ายกันตอนเที่ยงคืนกว่า ไอ้แม็กกลับไปนอนบ้านพัก ผมแวะไปดูล่อนจ้อนที่ห้อง เห็นผ้าห่มพองๆ คิดว่ามันคงนอนขดอยู่ในนั้นก็กลับมาอาบน้ำนอน หัวถึงหมอนหลับไปตอนตีหนึ่ง แต่หลับไปได้แป๊บเดียวก็ฝัน

            ผมนอนลืมตามองเพดาน ในหัวเริ่มคิดทบทวนถึงความฝันที่น่าจะเป็นความจริงในอดีต น่าแปลกที่ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่เคยฝันถึงเหตุการณ์วัยเด็กเลยสักครั้ง ไม่เคยฝันเห็นอะไรก็ตามที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังเผชิญ แต่ครั้งนี้มันกลับชัดเจน เด็กผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวกับในรูปถ่าย คือล่อนจ้อนตอนสิบขวบ

            บางทีอาจเป็นเพราะสถานที่เกิดเหตุเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำ ผมพูดอย่างที่ล่อนจ้อนเคยเล่า มันถูกต้องทุกอย่าง ยกเว้นเพียงแต่ความรู้สึกเกลียดชังที่ผมไม่เข้าใจ เพราะอะไรในตอนนั้นผมถึงมีความรู้สึกแบบนั้น และได้ลืมเลือนไม่หลงเหลือในความทรงจำเลย

            ผมไม่เข้าใจ


tbc.

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด