∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋
ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก
คิดว่าหายไปซะแล้ว...
วืบแรกที่เห็นชีทการอ่านภาษาญี่ปุ่นขั้นสูงยื่นส่งมาจากคนตรงหน้าผมคิดได้เพียงเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังส่งสายตาตัดพ้อมาอย่างเต็มที่ พอเงยขึ้นไปอีกทีถึงกับ
ชะอุ๊ย...
“มะ...เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ กูไม่ทันฟัง” ไม่ว่าสิ่งใดก็เกินคาดสำหรับคนชื่อเม่นเสมอ ขนาดวันนี้ที่มันตะโกนเรียกดาร์ลิ้งขึ้นกลางเวทีก็ว่าทีนึงแล้ว มาคราวนี้คิดว่าคงมีเหวี่ยงฟาดงวงฟาดงาแต่มันกลับเอื้อมมือมาตะปบคว้าเข้าที่ท้ายทอยแล้วกระชากผมเข้าหาเต็มแรง
“...!”
“หูหนวกเหรอ”
ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะเข้าใบหู
“กูถามว่า”
ริมฝีปากเลื่อนเข้ามาแนบติด เสียงทุ้มลึกแล่นเข้าสู่ประสาทโดยตรง
“สัดเรวะมึงไม่รู้หรือไม่อยากบอกกูกันแน่”เชี่ยแก้วหูแทบร้าว ทำไมสลับมาตะโกนใส่หูกูได้วะ รีบหมุนหัวไปเผชิญหน้าเอาหูตนเองให้ห่างปากอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไอ้เม่นก็เล่นไม่เลิก มันคล้องคอล็อคผมไว้แถมยังเอนโยกโค้งไปมาเป็นเลขแปดตามการหลบตัวของผมอีก
“โว้ย ไอ้เม่น ปล่อยดิวะ อย่าเล่นแบบนี้ หูกู หูกู”
“ม่ายยยยยปล่อยเว้ยยยยยยยย”
มีทำเสียงแบบอังพัดลมใส่อีก หูชาแล้วโว้ย ไม่เคยมีใครสอนเหรอวะว่าห้ามเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้ ร่างสูงทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่จนต้านไม่ไหว เลยหงายหลังลงไปแผ่สองสลึงกับเตียง ตามมาด้วยแรงหนักๆที่ทับลงมาจนเกือบจุก
“ไอ้เม่น มึงเล่น...” สะดุดคำพูดตัวเองเมื่อลืมตาไปสบกับอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีท่าทีกวนส้นตีนอีกต่อไป หากสายตากลับฉายแววจริงจังชัดเจนจนน่าขนลุก แขนมันที่โอบผมไว้ทั้งตัวออกแรงรัดเบาๆ ร่างสูงกำลังจ้องมองลงมานิ่ง
“บอกกูบ้างได้มั้ย”
“หา?”
“อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมึง”
“มึงหมายถึง...”
“กูอยากสำคัญสำหรับมึง”“...!”
ยะ...แย่แล้ว หัวใจผม...มันกำลังพองตัวขึ้นเรื่อยๆ...ใครก็ได้...ช่วยหยุดมันที
“มะ..มึง...สำคัญ...สำหรับกูอยู่แล้ว” ตอบอ้อมแอ้มก้มหน้า เสียงแทบจะหายไปกับลำคอ ทำไมผมต้องมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่ชิน ไม่ชินโว้ย
“สำคัญยังไงก็ยังไม่ใช่‘แฟน’”
หา?
ชักหน้าขึ้นไปมองแทบไม่ทัน สายตาคมกำลังจ้องมาทางผม มันพาลพาให้คิดถึงใบหน้าที่คุ้นเคยยามเอ่ยคำรักหวานซึ้งซึ่งปนมาตามอารมณ์เพลงและท่วงทำนองตอนอยู่ร้านข้ามคืน
“มึงหมายถึง...”
“กูอยากเป็นแฟนมึง”ตี๊ด
ตี๊ดดด
ตี๊ดดดดด
ตี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ไอ้เหี้ยขอเครื่องปั๊มหัวใจด่วน ผมกำลังจะตาย หายใจไม่ออก ไอ้เม่นมึงไม่สบายใช่มั้ย ผมรีบยกมือไปแปะหน้าผากมัน
“ทำอะไรวะ”
“วันนี้มึงกินเปียกปูนใบเตยที่แฟนคลับมึงเอามาให้รึเปล่า”
“ท้องเสียครั้งเดียวกูก็เข็ดแล้ว”
“หรือว่าพี่ตี๋เลี้ยงเหล้ามึง”
“บอกแล้วไงว่าพี่ตี๋เลี้ยงแต่นม”
“งั้นมึงคง...”
“เรวะ กูสบายดี”
“นมัสเต”
“ไม่ใช่สวัสดีภาษาลาวเว่ย!” รู้มุกผมอีก “นี่มึงกำลังกลัวอะไรวะ”
“เปล่ากูไม่ได้...”
“หรือมึงไม่อยากคบกับกู”
“หา?”
“นั่นสินะ ไม่งั้นมึงคงไม่ไปบอกแม่กูหรอกว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“เดี๋ยวดิไอ้เม่น นั่นมัน...”
“ช่างเถอะ” มันดันตัวถอยห่างจากผมทันที แถมมีพลิกตัวหนีเปล่งออร่าโคตรของโคตรงอนออกมา
“ไอ้เม่นหันมาคุยกันก่อน”
“มึงอย่าพึ่งมองหน้ากูเลย กูจะร้องไห้ว่ะ”
“มึงจะร้องไห้ทำไมวะ”
“คนพึ่งอกหักนะเว้ย หรือมึงจะให้กูหัวเราะ พระเอกนะครับไม่ใช่คนบ้า” โหย หลงตัวเองสัดสัด มึงไปเล่นละครเรื่องอะไรวะถึงได้เป็นพระเอก
“มึงเคยดูละครแล้วรำคาญพระเอกโง่ๆมั้ย”
“กูเป็นพระรองก็ได้ ยังไงก็ไม่มีทางสมหวังอยู่แล้ว” ยังอีก
“หันมาคุยกันให้เคลียร์ก่อนดิวะ มึงกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ”
“เข้าใจผิดอะไรวะ บอกกูมาดิ”
“มึงหันมาก่อนดิ”
“มึงพูดกับแผ่นหลังกูก็ได้” พูดกับแผ่นหลัง...ให้กูคุยกับกำแพงเลยมั้ยนั่น ช่างเถอะ เอาก็เอาวะ สุดท้ายก็ตัดสินใจโผเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายจากแผ่นหลังตามที่มันบอก ไอ้เม่นกระตุกตัวอย่างตกใจ แต่ไม่ได้ขยับหนี ผมเลยซบหน้าลงไปที่แผ่นหลังกว้างของมัน
“ไอ้เม่น”
“...”
“มึงคงได้ยินจากแม่มึงมาใช่มั้ย ว่ากูพูดอะไรไป”
“กูอยากทำเป็นไม่ได้ยิน” เสียงอู้อี้ดังผ่านแผ่นหลังที่ผมแนบหูอยู่
“มึงไม่ต้องได้ยินก็ได้ แต่คราวนี้มึงต้องฟังกู”
“ถ้ามึงจะพูดคำเดียวกับที่บอกแม่กู มึงหุบปากไปเลยสัด”
“งั้นกูเปลี่ยนคำพูดก็ได้”
“มึงจะยกมาทั้งพจนานุกรมกูก็ไม่ฟัง” โว้ย มีคว้าหมอนมาปิดหูอีก ถ้าไม่ได้ยินคำพูดคราวนี้ คนที่แย่จะเป็นผม ใครมันจะยอมล่ะ หมอนก็หมอนดิวะ กูมุดหัวเข้าไปหายใจรดต้นคอแม่ง ไอ้ตัวสูงยังมีกระเถิบตัวหนีไปข้างหน้าแต่มันสุดขอบเตียงแล้วไง มึงหมดทางหนีกูแล้วล่ะ
“กูไม่อยากให้มึงเข้าใจผิด”
“ตอนนี้กูเข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่ะ มึงเลิกพูดเถอะ”
“กูหมายถึงเรื่องของพวกเราตอนแรกที่เป็นแฟนกัน มันเกิดจากความเข้าใจผิด กูอยากให้เป็นโมฆะ”
“แล้วมึงก็เลยไปบอกกับแม่กูเนี่ยนะ ทีหลังไม่ต้อง มึงมาบอกกับกูนี่ กูรับได้”
“เออก็ได้วะ กูชอบมึง”“...!”
ถ้าจะบอกว่าโลกเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ตอนนี้เห็นทีจะได้ ร่างในอ้อมแขนค้างนิ่งไม่ไหวติงก่อนทุกอย่างจะกลับตาลปัตรร้อยแปดสิบองศา ไอ้เม่นมันพลิกตัวมาอย่างไวว่อง
“เชี่ยเรวะ มึงว่าไง...เหี้ย!”
พรึ่บ!!
จุดจบสุดท้ายของไอ้สุดหล่อประจำสินกำ แค่มันหันพลิกตัวมาเท่านั้นแหละ สารร่างที่เต็มไปด้วยมวลกระดูกและกล้ามตามที่เจ้าตัวเคยอวดก็ร่วงตกข้างเตียงไปต่อหน้าต่อตาผม
ตุบ!!
“เชี่ยเม่น!”
สัด ตายมั้ยวะ เสียงดังแทบลั่นไปทั้งห้อง ไม่นานเสียงโอดครวญก็ตามมา เจ้าตัวนอนตะแคงพลางลูบสีข้างป้อยๆ
“เจ็บสัด” มันบ่นกระปอดกระแปด เหมือนยังไม่มีแรงลุกขึ้นนั่ง ผมพรวดพราดยื่นมือเข้าไปหวังจะฉุดมันขึ้นมา แต่ฉุกใจชักมือกลับ คนเจ็บเลยได้แต่สับมือค้างเก้ออยู่กลางอากาศพลางมองหน้าผมแบบโคตรสงสัย รู้เลยมันกำลังด่าผมในใจว่า ‘ทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย’
“เรวะมึง...”
“กูไม่ช่วยนะ”
“ฮะ?”
“ไม่ช่วยแน่ๆอ่ะ” ผมนั่งยองลงไปให้เสมอระดับสายตา กอดเข่ามองมันกระพริบตาปริบๆใส่อย่างงุนงง ไอ้หล่อมันถอนหายใจปิดเปลือกตาลงอย่างปลงตกพร้อมสบถออกมา
“เป็นเหี้ยอะไรของ...”
“เป็นไง หลุมรักที่กูขุดไว้”
“หา?”
“ตกลงไปเจ็บมั้ย”งานนี้ไม่มันตาย ผมก็หน้าแตก รู้ดีเลยว่ายิงมุกน้ำที่ไม่เข้ากับสุขภาพเอาเสียเลย มีสิทธิ์ทำไอ้เม่นแปะปากมองบนด่าวนไปถึงชาติหน้า แต่มาถึงจุดนี้แล้วไงไม่มีปัญญาแม้แต่จะกลบเกลื่อนคำสารภาพที่โพล่งออกมา ก็ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ทำกันไปดิครับ
“ทำไปได้นะมึง”
“ทะ...โทษทีว่ะ”
“กูหมายถึงหลุมรักมึงน่ะ ขุดลึกไปมะ เจ็บสัดสัด”ถ้าเป็นมึงกูก็อยากเจาะทะลุให้ถึงแกนโลกเลยว่ะ ง่อลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล
อยากกลับบ้าน เพิ่งรู้สึกอยากกลับบ้านขนาดหนักก็ตอนเวลาเลยผ่านตีหนึ่งมาแล้ว ไอ้เม่นมันลุกจากพื้นไปหาหยูกยาทาสีข้างซึ่งโดนหลุมซาดาโกะดูดวิญญาณของผมทำร้ายเสร็จ มันก็เดินจงกรมกลับมาที่เก่าโดยเพ่งสายตามองมาทางนี้ตลอดเวลา ทะลุแล้วคร้าบ เลิกมองกูทีเถอะ กูขอ
“หายเจ็บยังวะ”
“ตกเตียง ไม่ใช่มดกัด จะได้หายกันได้ง่ายๆนะมึง” มันดึงชายเสื้อยึดคอกลมขึ้นมองรอยแดงที่เริ่มออกอาการช้ำ จงใจโชว์ร่องซิกแพคให้กูเห็นชัดๆเลย ในเมื่อให้มาก็ต้องตอบสนองด้วยการหยอกเล่นเล็กๆตามนิสัย ผมคลานเอื้อมมือไปจับสีข้างเปื้อนรอยแดง จนร่างสูงกระตุกตัวหลบด้วยอาการตกใจ “ทำอะไรวะ”
“สัมผัสซิกแพคของพี่เม่นคนดัง” มันปัดมือผมทิ้งก่อนดึงชายเสื้อลงอย่างไว
“หยอกกูเล่นบ่อยๆ ระวังตัวมึงให้ดีเถอะ”
“อย่างกูมีอะไรให้ระวัง ถ้ามีอย่างพี่เม่นคนดังก็ว่าไป...”
“ระวังคนอย่างกูนี่ไง”
“หา?”
และแล้วมันก็พิสูจน์ให้เห็นจริง จากคลานสี่ขานิ่งๆอยู่บนเตียง กลับโดนจับหงายหลังไม่ต่างกับแมลงสาบโดนทำร้ายตะเกียกตะกายขยับตีนอยู่กลางอากาศ เสื้อนอนซึ่งหยิบยืมมันมานับเป็นครั้งที่ร้อยถูกเลิกขึ้นจนเห็นสะดือจุ่นๆของตนเองพร้อมรอยแผลเป็นรวบมาแบบเซตคอมโบ มือหนาแปะลงตรงแผ่นท้องตะโบมลูบตามร่องรอยดั้งเดิมอย่างหนักหน่วง
“เชี่ย...เดี๋ยว ไอ้เม่น”
“เจ็บมั้ยวะ”
“กูหายเจ็บตั้งนานแล้ว” ผ่านมาเกือบอาทิตย์ ถ้ายังไม่หายป่านนี้กูคงตายไปแล้วล่ะ
“ทำไมคนถึงเกลียดมึงได้หนักหนาวะ มึงก็ออกจะ...”
“ทำไมเหรอ...น่ารักอ่ะดิ” ผมยิ้มทะเล้น คนอย่างมันไม่มีทางชมผมหรอก เลยต้องชิงชมตัวเองก่อน
“กวนส้นตีน” นั่นไง
“แต่เขาว่ากันว่าคนน่ารักมักโดนทำร้ายนะมึง”
“ยอมโดนทำร้ายเพื่อจะได้น่ารักเหรอวะ แฟนกูท่าจะประสาทว่ะ”
หืม? กระพริบตาปริบๆ
“อะไร”
“เออะ...” กรอกตาซ้ายขวา วนตามเข็มนาฬิกาหนึ่งรอบอย่างหาจุดตกไม่ได้
“เมื่อกี้มึงว่าไงนะ”
“ยอมโดนทำร้าย...”
“ไม่ใช่ๆ หลังจากนั้นไปอีก”
“ท่าจะประสาท...”
“หลังไป เอาก่อนหน้านั้นดิวะ”
“เพื่อจะได้น่า...”
“โว้ย!นั่นก็หน้าไป”
“ว่าไงครับ คุณแฟน”“....!!!!”
โอ้โหไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยไม่ชมกูยังไม่ว่า แต่ดันเสือกมาเรียกกูว่าแฟน!!!
กะทันหันเกินไปจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ รีบตะแคงหน้าหลบเอามือปิดกลัวมันจะรู้ แต่ที่ไหนได้มันกลับคว้าเข้ามาที่ข้อมือแล้วจับแหก...ย้ำ ว่าจับแหก แค่เห็นหน้าผมเท่านั้นแหละยิ้มหล่อๆของมันก็ปรากฏที่มุมปาก
“มึงแม่ง ดีแต่ปากตลอด ชอบหยอกกูสุดท้ายคนที่เขินหนักกว่าก็มึงเนี่ยแหละ”
“ปกติกูไม่เป็นแบบนี้”
“ครับ กูเชื่อ เชื่อมาก”
“กูจะเป็นเฉพาะตอนที่อยู่กับมึงเนี่ยแหละ”
“...!”
“กูไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตอนที่เจอกับมึงใหม่ๆ ไม่เห็นจะเป็นแบบ...เออจะว่ายังไงดีล่ะ” อธิบายไม่ค่อยถูก เลยต้องก้มหน้าคิดอยู่สักพัก “มึงเคยแยกแยะความรู้สึกรักและหวนแหนเพื่อนกับความรู้สึกที่มันพิเศษกว่านั้นออกจากกันไม่ได้มั้ย”
“เคยดิ”
“ฮะ? กับใคร? กับไอ้หงส์เพื่อนมึงเหรอ”
“สัดกับมึงเนี่ยแหละ”“...!”
“พากูออกนอกเรื่องตลอด วันนั้นที่มึงมาบอกชอบกูไง มึงรู้มั้ยว่ากูถึงกับต้องแบกหน้าไปหาไอ้คีย์ ทำลายศักดิ์ศรีประสบการณ์รักยี่สิบเอ็ดปีมีแฟนคนเดียวของกูซะเละ แล้วสุดท้ายเป็นไง ทีหลังมึงไม่ต้องฝากมาบอกผ่านแม่กูว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกันก็ได้ เขียนจดหมายใส่ขวดโหลแล้วโยนทะเลให้กูรู้ชาติหน้าเลยน่าจะดีกว่า” โหย มีประชด โหยๆ
“แทนที่มึงจะดีใจที่ไม่ต้องสับสนเรื่องกูแล้วอ่ะนะ”
“กูเลิกสับสนมานานแล้ว”
“ตั้งแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่ใจกูคิดว่าอยากจะซั่มมึง”เชร้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด มันรวบเอวผมเข้ากะทันหัน บอกได้เลยว่าไอ้เม่นไม่ได้เป็นคนสักแต่พูด!! ดูด้านล่างมันดิโด่จนยื่นมาชนต้นขากูแล้ว!!
“เงียบทำไม ไม่ถามต่อแล้วเหรอ”
“ถะ...ถามว่า” แขนที่สอดข้างใต้กระชับหนักกว่าเก่า ส่งเสริมให้ร่างกายเราชิดกันมากยิ่งขึ้น
“อยากจะสานสัมพันธ์กับมึงตั้งแต่เมื่อไร”
“กูไม่อยากรู้”
“แต่กูอยากบอก”
“แต่ที่กูไม่ให้มึงบอกเพราะกูรู้คำตอบแล้วงายยย” ถ้าถามออกไปมึงต้องบอกว่าตอนนี้แน่นอน เชี่ย มึงถอยปายย เอาแต่ขยับตัวเสียดสีกับท้องน้อยกูอยู่นั่นแหละ
“กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงรู้”
คนนะครับไม่ใช่พระอิฐพระปูน ตอนนี้มันถูไปถูมาจนผมจะเริ่มรู้สึกตามไปแล้ว เหลือบไปเห็นช่องว่างระหว่างเราเลยขยับมือไปกั้นไม่ให้ของต้องชิดกันหนักกว่าเก่า...ชิดกันหนักกว่า
“อือ...”
“!!!” ชิท!!พึ่งรู้ว่ากูคิดผิด กลายเป็นว่าไปเผลอสะกิดโดนของไอ้เม่นเข้า ไอ้หล่อถึงกับครางกระเส่าในลำคอ
“ไอ้เม่นมึงอย่าหื่นดิวะ กูขอออออ”
“มึงทำให้กูหื่นเอง” โทษกูอี๊กก
“แล้วต้องทำยังไงมึงถึงหาย”
“มึงเคยได้ยินภาษิตโบราณมั้ย หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”
“แต่หนามมึงใหญ่ไป กูบ่งไม่ไหวหรอกนะ!”
“งั้นลูบ...”
“ฮะ?”
“ลูบหนามกูไปก่อน” โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย หนามมึงกูจับกระชับถนัดมือมากเลยโน๊ะ สัด!!
เอาวะ...ผมตัดสินใจ ผู้ชายเหมือนกันจะไปกลัวอะไร เขามีอะไรเราก็มีเหมือนเขา เอื้อมมืออย่างละล้าละลังไปเตะขอบกางเกงที่เหมือนกับกำแพงขนาดยักษ์ที่ผมจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ แล้วเริ่มบรรจงลากลงอย่างเบามือ ดูเหมือนไม่ทันใจมือใหญ่เลยขยับมาจับให้ผมสัมผัสตัวตนของมันซึ่งนูนโดดเด่นผ่านเนื้อผ้าเข้ารูป
ร้อนฉิบเป๋ง...หมายถึงหลังกูอ่ะ เหงื่อแตกพลั่กอย่างกับน้ำก๊อก นี่ขนาดเปิดแอร์แชร์ความเย็นจนกระจายไปทั่วห้องแล้วนะ
"อึ..." ตั้งใจขยับไล้อยู่ดีดี มือใหญ่ของไอ้เม่นกลับเลื้อยมายังส่วนคล้ายคลึงกันของผมกับมันเสียได้ ในสมองผมเลยเอ๋อไปชั่วขณะเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง "ไอ้เม่น...มึง...ไม่ต้อง" ผมคราง....เหี้ย ผมครางจนเกือบจะไม่ได้ศัพท์
"ไม่เป็นไรกูไม่ถือ" ไม่ถือเหี้ยอะไรอยู่ในมือมึงทั้งอัน!!
"ฮึก...สัดอย่าจับแรง"
“ประมาณนี้พอมั้ย” กว่าจะรู้ตัวอีกมือผมก็แทบเป็นอัมพาต มันหยุดทำงานแถมยังย้ายไปเกาะแขนเสื้ออีกฝ่าย กางเกงวอร์มขายาวตัวเก่งของคุณชายซึ่งตอนนี้ถูกจับขึ้นแท่นให้เป็นว่าที่ชุดนอนผมโดนดึงรั้งส่วนหน้าลง จนบ๊อกเซอร์ที่ซ้อนขวางอย่างหมิ่นเหม่เกือบหลุดออกเผยให้เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน
เกร๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
“เม่น เชี่ยเม่น มึงหยุดก่อน” ผมจับข้อมือมันไว้
“ฮะ? เป็นอะไร ปวดขี้เหรอ” หน้าตอนนี้กูคงเหมือนอยากถ่ายหนักมากเลยสินะ
“เปล่า มึงไม่ง่วงเลยเหรอไง นี่มันจะตีสองแล้วนะ” โอเค เฉไฉให้ได้เรื่อง ไม่ได้เล่นตัว แต่ยังไม่พร้อมให้มึงเห็นของดี เข้าไจ๋
“กูไม่ง่วง แถมตื่นเต็มทีเลยล่ะ” ไม่ว่าเปล่าแถมยังยกตัวให้กูดูตรงนั้นอีกสัด
“กูไม่ได้หมายถึงตรงนั้น”
“เรวะ”“!!!”
โหยยยยยยยยยยยยเสียงมึ้ง กระเส่าจนกูสะดุ้ง แถมเล่นท่าไม้ตายเรียกชื่อที่ไม่มีใครเรียกอีก
“หึ หน้ามึงแดงแป๊ดเลย เขินเหรอวะ”
“กูไม่ได้เขินนนน”
“แล้วทำไมต้องเอียงหน้าหนีด้วย”
“กู...กูคอเคล็ด เอียงมองหน้ามึงตอนร้องเพลงพี่ปั๊บนานไปหน่อย”
“หึขี้แถ แต่เอาเถอะ เพลงนั้นน่ะกูโคตรเซอร์ไพรส เสียงมึงแม่งโคตรใส”
“กูก็ใช่ว่าร้องได้ทุกเพลงหรอกนะ แต่บังเอิญช่วงนี้สุ่มเพลงฟัง แล้วพอเพลงนี้มันดังหน้ามึงก็ลอยขึ้นมา”
“กูเลยอยากร้องเพลงให้มึงบ้างเลย”
“ว่ามาดิ” ตอนนี้เพลงไหนก็ได้แล้วนั่น แต่มึงอย่าพึ่งลงไปกระทำกับของของกูเลยนะ
“สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ อาอิชิเตะรุ”
“โหย ไอ้เม่นว่าแต่กู มึงก็ร้องเพลงอนิเมะคลาสสิคเหมือนกันนั่นแหละ”
“ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ โคตรชอบ กูชอบมึงนะ กูรักมึงมาก”“!!!”
“...”
“...”
“มึงไม่ต้องมองกูจนตาถลนขนาดนี้ก็ได้ กูแค่แปลความหมายเพลง”ฮะ?
ไอ้เหี้ยยยยยยย มันหยอกผม! รอยยิ้มนั่น มึงไม่มีทางรู้ญี่ปุ่นแน่ๆอ่ะ!!! ฮืออออออ ผมจะตายมั้ย โดนดาเมจรุนแรงเกินไปใจจะสลายแล้วโว้ยยยยยย
เอาจริงๆ หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้แล้ว หากใครคิดว่าใจตรงกัน ได้กัน เป็นอันจบ ผมกับไอ้เม่นเห็นอย่างนี้ก็ไม่ธรรมดานะครับ ทำไมน่ะเหรอ คือกูเพลียจนหลับไปไงล่ะ ไอ้สัดดดดดดด
ตื่นมาอีกที กายสูงก็หายไปจากเตียงแล้ว ปล่อยให้ผมเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวกวาดตามองอย่างเคว้งคว้างไปทั่วห้อง จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากระเบียบตรงปลายสายตาแทน
“อือ กูรู้แล้ว ขอบใจมึงมาก ฝากมึงตามเก็บให้ทีละกัน...”
เดินมาเงี่ยหูฟังตามนิสัยอยากรู้อยากเห็น เด็กวัยกำลังโตก็อย่างนี้แหละครับ อย่าถือสา ว่าแต่ตามเก็บ? ตามเก็บใคร นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้เม่นเป็นลูกคนไม่มีอิทธิพลผมคงไปกระชากเสื้อมันเปิดดูลายมังกรที่สลักอยู่แผ่นหลังแล้วนั่น
“เจอ...ยังไม่ได้คุยจริงๆจังๆ รายนี้น่ะปากแข็งชอบทำให้กูเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
ใคร ใครปากแข็งกันวะ? แถมยังทำให้ไอ้เม่นเป็นห่วง ท่าความสัมพันธ์จะไม่ธรรมดา
“สัด มึงไม่ต้องมาจินตนาการปากแฟนกูเลย...”ฮะ?
“ทำไมจะต้องอายวะ...ก็เป็นแฟนกันแล้วจริงๆนี่หว่า”
เป็นแฟนกันจริงๆแล้วนี่หว่า อ่าอ่าอ่าอ่า...เสียงไอ้เม่นก้องอยู่ในหูผม สักพักมันก็หันหัวมาสบตากันพอดี
“แป๊บ แฟนกูตื่นแล้ว”
“...!”
“เออ แค่นี้นะ” มันกดวางสายแล้วเดินเข้ามาใกล้ พกรอยยิ้มมาใหญ่เต็มเบอร์ “หลับสบายป่ะ”
อึก...มือมัน...มือมันกำลังลูบหัวผม ผมที่ดูยุ่งเหยิงและเดาว่าลูกเป็ดคงตามมาเป็นคณะ เห็นอย่างนี้ทุกเช้าผมต้องตื่นมาสระแถมจัดทรงด้วยความยุ่งยาก เนื่องจากไอ้สีแอชเกรย์ที่ทำบ่อยจนห้ามขาดการบำรุง ไม่อย่างงั้นป่านนี้ไม่ได้ผมนุ่มๆอย่างนี้แน่นอน
“เมื่อคืนแฟนมึงมาค้างเหรอกูไม่ยักรู้” ผมกล่าวทักไปอย่างแก้เขิน ได้ยินเสียงจิ๊ปากดังเหนือหัวขึ้นไปหลังจบประโยค
“เออ นอนบนเตียงเดียวกับมึงด้วยน่ะ ไม่รู้ตัวเหรอ”
“มะ...ไม่..” สายตาคมก้มโค้งมาระดับเดียวกันผมแทบกลั้นหายใจ
“มันเขี้ยวว่ะ แม้แต่แค่จินตนาการกูยังหึงเลย”
ฮะ? และแล้วการกระทำถัดไปของมันก็ทำให้ผมตกใจจนยืนค้างนิ่งตัวแข็งเป็นเสาหินกับที่ ไอ้เม่นมันเอียงหน้าเข้ามาแนบริมฝีปากได้อย่างพอดิบพอดี แต่พอคิดว่ามันคงมาแบบเบบี๋สัมผัสเบาๆให้ใจเต้นแรงนิดๆแล้วปล่อย มันกลับโอบแขนเข้ารอบเอวดึงตัวเข้าไปใกล้
“ไอ้เม่น อื้อออ...กูยังไม่...”
เสียงจุ๊บๆดังมาจากริมฝีปากของพวกเราที่ประกบกันแล้วถอนออกวนซ้ำไปมา ไอ้เม่นมันหยอกผมอีกแล้ว นี่กะจะทำให้ครบโหลแล้วค่อยหยุดใช่มั้ย กูยังไม่ได้แปรงฟันเลยยยยยยยย
“ยังไม่อะไร”
“ไม่...อื้อ”
“ไม่พอ?”
“ไม่...อื้อ”
“งั้นกูทำให้ร้อยรอบเลยก็ได้”
“ไม่...อื้อออออออออออ” ไม่ใช่โว้ยยยยยยยยยย
สัด!!จะตอบก็ขัดด้วยปากอยู่ได้ ปากเปื่อยจะตายแล้ว
[ไอ้เชี่ย น18+++++]“!!!”
สะ...เสียงใครวะ!!!!
ผมดันแขนไอ้เม่นออก หันไปมองรอบๆ ไม่มีนี่หว่า เสียงมาจากไหน
[ทำไมเงียบไปแล้ววะ กำลังค้างเลย]
[ยกสูงกว่านี้ดิไอ้เชี่ยเม่น ที่กูเห็นนี่มันอะไรวะ ตูดไอ้เรเหรอ]
[เชี่ยพวกมึงพูดไปไก่ก็ตื่นหมด ป่านนี้พวกมันรู้ตัวแล้ว]
ชัดเลย...ดังมาจากมือถือที่อยู่ในกำมือไอ้เม่น ที่ผมเห็นเป็นภาพสามคนเพื่อนมันกำลังเคลื่อนไหว เบียดกันไปมาหน้ากล้อง
“สัด...กูกดวางไปแล้วนี่หว่า กลายเป็นวิดีโอคอลได้ไง”
ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ได้ยินบ่อยตามหนังจีนกำลังภายในสมัยก่อน แต่ตอนนี้ที่ที่อันตรายที่สุดคงไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผมแล้วล่ะ ถึงแม้ไอ้เม่นมันจะบอกว่ามีถุงยางไอ้เชี่ยกูไม่ได้หมายความถึงปลอดภัยแบบนั้นเปล่าวะ...ฮืออออ
ตอนนี้ผมเลยบังคับให้พวกเราได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันที่สวนสาธารณะกลางเมือง อากาศแม่งก็โคตรร้อนแต่ยังพอกล้อมแกล้มนั่งแห้งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ได้
ความจริงเหมือนกึ่งมาปิกนิก ผมกับมันแวะซื้อข้าวมันไก่ใส่กล่องโฟมที่ร้านใกล้ตลาดพร้อมกับหิ้วขวดน้ำอันใหญ่มา โดยหวังว่าจะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ส่วนไอ้เม่นก็มีกีตาร์โปร่งคู่ใจมาเป็นของแถม มันบอกว่าว่างๆเผื่อสร้างบรรยากาศคลายอารมณ์(หื่นของมัน)ด้วยเสียงเพลงอันไพเราะของนักร้องยอดนิยมประจำร้านข้ามคืนอย่างมัน
เสียงติ๊วๆแด่วๆมาจากการนั่งปรับสายกีตาร์ ไอ้เม่นนั่งโค้งก้มลงมองของในมืออย่างตั้งใจ ถ้าถ่ายภาพนี้ไปรับรองว่าขายได้หลายตังค์ ขนาดมันแค่ปรับสายกีตาร์ยังเท่ลากเลือดขนาดนี้ หันมามองสภาพตัวเอง เสื้อโอเวอร์ไซส์ขนาดใหญ่กว่าตัวแบบไม่ได้ตั้งใจเพราะบังเอิญคนที่ให้ยืมใส่มันตัวหนากว่าผม กับท่อนล่างที่เป็นกางเกงยีนส์สีดำเข่าขาดตัวเก่ง ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา อยากโทษคนบนฟ้าที่ให้มาไม่เท่ากันจริงๆ
“อยากร้องเพลงอะไรมั้ย” ผมส่ายหัว
“กูร้องไม่เก่ง มึงร้องให้กูฟังเถอะ แต่ไม่เอาอิคคิวซังแล้วนะ”
“คนนะ โคะโตะอี้นะ...”
“โดราเอม่อนก็ไม่เอา!” กวน
“งั้นเอาเพลงที่ไม่ต้องร้องละกัน” มันเริ่มเกาสายกีตาร์รัวๆ ท่วงทำนองดนตรีที่ไร้คำร้องดังขึ้นมา พัดพาบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวให้จากไป ตามมาด้วยความรู้สึกสบายยามเมื่อได้ฟังดนตรีของสุดหล่อย่างมันเล่นคลอตาม ผมรู้จักเพลงนี้...
...START ของ depapepe…
แต่เป็นเวอร์ชั่นช้าๆเข้ากับบรรยากาศชิวๆของคนดีดที่ใส่แค่เสื้อกับกางเกงวอร์มสีดำตามคอนเซ็ปต์ บางทีผมก็แอบนึกอิจฉานะ ว่าทำไมถึงเกิดมาหน้าตาดี มีพรสรรค์ แถมยังบ้านรวย คนที่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้มีที่ไหน เคยเจอแค่ในนิยาย
สายกีตาร์โดนเกาเรื่อยๆไอ้เม่นมันหลับตาโยกไปตามอารมณ์เพลง บางช่วงมันก็โชว์ดวงตาคู่คมพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้ แทบละลาย...เพราะแดดแม่งส่องลงมาที่หน้ากูเต็มๆ สักพักผมสังเกตเห็นเงาบางอย่างพาดผ่านพื้นเบื้องหน้าทำให้ต้องเหลือบสายตาไปมอง
โอ้โห...รู้อย่างนี้กูหงายหมวกกางแล้ววางลงตั้งแต่ตอนแรกก็ดี
คนตั้งมากมายไม่รู้จากไหน มายืนล้อมพวกเราสองคนเป็นวงใหญ่ ส่วนไอ้คนดีดล่ะ ก็ไม่สนใจดีดมันต่อไปดิครับ มันกำลังอินกับอารมณ์เพลงพลางยิ้มมองมาทางผมอย่างสม่ำเสมอจนถึงท่อนสุดท้ายที่ปลายนิ้วจรดลงบนเส้นสายทองแดง
“เพลงนี้กูให้มึง”“...”
“มา ‘สตาร์ท’ เรื่องราวชีวิตต่อจากนี้ไปพร้อมกับกูนะ”อยากลงไปดิ้น...ไม่ใช่อะไร ไอ้เม่นแทบไม่สนใจเสียงปรบมือจากคนรอบข้างที่มองมันอยู่เลย มันเอาแต่มอง ‘ผม’ ผม...และผม แค่ผมคนเดียว คนอื่นได้ยินหมดแล้วโว้ยยยย ถึงคราวหวานน้ำตาลยังไม่อาจต้านทานคุณพลลภัตม์ได้ เฮ้ออออออ
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าปวดขี้อีกแล้ว”
“กูเปล่า” ทำไมชอบให้กูไปขี้จัง
“แล้วเป็นอะไร”
“กูแค่ไม่อยากสตาร์ทอย่างเดียว แต่กูอยากแฮปปี้เอนดิ้งไปพร้อมกับมึงด้วยว่ะ” ฮิ้ววววววววววววว โอเค จบการแซว
หลังจากนั้นพอมันเห็นคนก็แค่ตกใจเล็กๆ ก่อนจะแกล้งผมไม่ยั้งด้วยการบังคับให้นั่งร้องเพลงตามที่มันดีดโดยมีเสียงผู้ชมยืนที่รายล้อมโห่เชียร์เป็นกำลังใจให้ไม่ขาดสาย กับการช่วยเหลือจากแฟนๆใจดีที่เปิดเนื้อเพลงให้ผมมั่วคีย์ดำน้ำได้จนสุดทาง บันเทิงสัดๆ
“วันนี้โคตรสนุกเลยว่ะ” แต่กูคอแห้งสุดๆ น้ำที่แบกไปขวดใหญ่ก็หมดเพราะผม แถมยังตามมาด้วยการวิ่งเข้าห้องน้ำตั้งหลายรอบ จนไอ้เม่นมันตราหน้าว่าผมขี้แตกแบบไม่สนใจว่าจะปฏิเสธหรือไม่ไปแล้ว “เป็นไงอยู่ในที่ๆมีใครรายล้อม รู้สึกยังไงบ้าง”
“รู้สึกแปลกๆว่ะ”
“แปลกที่ว่ามันดีหรือไม่ดีล่ะ”
“แปลกคือจะทำอะไรก็ดูเก้ๆกังๆไปหมด แต่พอกูทำอะไรโง่ๆลงไปพวกเขาก็หัวเราะและยิ้มให้...มันเลยรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
“ไม่ได้รู้สึกไม่ดีใช่มั้ย”
“อือ” ผมเกาคอพยักหน้า ใช่...มันเหมือนได้รับการยอมรับจากทุกคน ทั้งๆที่คนอย่างผมไม่เคยได้รับสิทธิ์ตรงนั้น
“กูเชื่อ ว่าถ้าพวกเขารู้จักมึง รู้จักตัวตนที่แท้จริงของมึง พวกเขาจะรักมึงเหมือนอย่างที่กูรัก”คนตรงหน้าเอ่ยเปรยออกมาด้วยรอยยิ้ม มันเป็นยิ้มที่หล่อที่สุด ยิ้มที่ทำให้ผมหลง ยิ้มของคนที่เป็นทั้งเพื่อนคนแรก และคนรัก...คนแรกของผม
จู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ผมไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีและดีมาก ผมดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ ดีใจที่ได้เจอมัน
“กูขอบคุณมึงนะ”
“เรวะ...”
“ขอบคุณจริงๆ”
“ไม่เอาดิ มึงแม่ง...” เม่นมันดึงตัวผมเข้าไปกดหัวให้ซบไหล่มัน
นึกถึงเพลงนึงที่มันดีดให้ผมร้องในวันนี้ ไอ้เม่นบอกว่าทุกเพลงในวันนี้เป็นเพลงที่มันอยากร้องให้ผม แต่เพลงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอกมันมากที่สุด...
ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้...ดีใจที่มีมึงนะ...ไอ้เม่น...
....TBC....
++++++++++++++++++++++++++++
ทำไมเหม็นความรัก