พิมพ์หน้านี้ - ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P.3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sakutaka ที่ 10-02-2019 23:54:39

หัวข้อ: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 10-02-2019 23:54:39
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ถ้าผมเกิดเป็นคนอย่างเรวะ ผมคงยอมกัดลิ้นตายตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว
คนที่โดนสังคมรังเกียจ ไม่ยอมรับแม้แต่การมีตัวตนอยู่
ถึงผมจะไม่ได้รับผลกระทบจากคนที่ชื่อ เรวะ แต่ก็ยังไม่คิดจะเฉียดเข้าไปใกล้
แต่ทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกให้ผมต้องมาเจอกับเรวะวะ!!

+++++++++++++++++++++++++++

ผลงานอื่นๆ

เรื่องยาว
{Will you be my family?(น้องครับพี่ขอนับญาติได้มั้ย?)} (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61187.0)

{Shall I be your husband?} พี่ครับผมขอเป็นสามีพี่ได้มั้ย? Special (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67554.msg3848004#msg3848004)

เรื่องสั้น
สงกรานต์เมษาผ้าขาวม้ายกสยาม (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59452.0)

ลอยระทวย(ลอยกระทง) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63497.msg3730840#msg3730840)

ลอยระทวย(อวยปีใหม่) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63497.msg3764969#msg3764969)


+++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ บทนำ [10/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 11-02-2019 00:03:24
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

บทนำ

ความตรงข้ามคือจิ๊กซอว์ที่ต่อเข้ากันอย่างฝืนๆ


“ก่อนอื่น น้องเม่นจ๊ะ ช่วยแนะนำตัวเองหน่อยค่ะ ลูก”

“ครับ ผมชื่อพลลภัตม์ จงรักกิจการกุล ชื่อเล่นชื่อเม่น เรียนอยู่ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์ ปีสามครับ”

“คิดว่าเสน่ห์ของตัวเองคืออะไรจ๊ะ”

“เสน่ห์ของผมเหรอ คงเป็นความไม่ถือตัว แล้วก็พร้อมจะเปิดใจให้กับทุกคนที่เข้ามาทักทายมั้งครับ”

“ไฮ น้องเม่น”

“อันยองครับ พี่ดิบ”

“กรี๊ด รอยยิ้มนี้ รอยยิ้มนี้ ค้างไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่ของถ่ายรูปเก็บไว้เป็นคอลเลคชั่น เอร๊ย ลงบทสัมภาษณ์แป๊บ” ว่าแล้วก็ล้วงมือถือขึ้นมารัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง นั่นถ่ายไปกี่รูปวะ

“อีดิบ มึงก็อย่าระริกระรี้ให้มาก น้องเขามาสัมภาษณ์ลงบทความ ไม่ได้มาสมัครเป็นผัวมึง รีบๆทำงานเข้า” หนึ่งในทีมงานคุณภาพที่คอยจัดแสงฉากไฟให้ด้านหลังตะโกนด่ากลับมาหลังจากพี่แกนัวเนียอยู่กับผมเป็นนานสองนานแต่ยังไม่เข้าเรื่องซักที

“โทษทีนะจ๊ะน้องเม่น อีสองตัวนี้มันก็ทะเลาะกันแบบนี้แหละ อย่าถือสา” คราวนี้เป็นคนที่แต่งหน้าให้ผมอยู่พูดออกมา

“ไม่เป็นไรครับ”

“อยากแต่งตรงไหนเพิ่มมั้ยจ๊ะ พี่จะได้เติมให้”

“ขอน้ำแร่ได้มั้ยครับ”

“ฉีดหน้าเหรอ”

“ฉีดปากผมครับ ยิ้มจนเหงือกแห้งแล้ว”

“ว้าย ตายจริง น้ำๆทำไมไม่มีใครมาเสิร์ฟน้ำให้น้องเขาเลยล่ะยะ”


ความจริงผมน่าจะชินกับสถานการณ์แบบนี้ได้แล้ว ปีกว่ากับการได้เป็นเป้าสายตาของมวลมหาประชานักศึกษา ทั้งที่พยายามจะไม่ทำตัวโดดเด่นอะไร ไม่เข้ากิจกรรมอะไรซักอย่าง แต่มันกลับมีทางเลือกให้คนที่ชอบเสพอาหารตาเข้าไปดูได้ อย่างไอ้เพจชื่อSexy Dippy Cutie boy in the University หรือแอนนิเวอร์ซารี่อะไรเนี่ยดิ

 
ผมถึงไม่รอดจนต้องมานั่งให้พี่ดิบ แอดมินซึ่งโด่งดังในหมู่ผู้ชายคิ้วท์ๆ สาวประเภทสองที่คอยจ้องตามล่า ตามกระชากหัวมาหนุ่มๆทั้งหลายไม่ว่านักศึกษาชายหรือบัณฑิต มาถ่ายภาพลงเพจแบบเก๋ๆ แถมประวัติตั้งแต่เกิดยันตายแปะลงหน้าฟีดกระจายให้ชาวบ้านชาวช่องรู้ว่า เกิดวันที่เท่าไร เวลาตกฟากตอนไหน โรงพยาบาลอะไร เริ่มหัดฉี่ที่โถเมื่อไร แล้วยกขาข้างไหนฉี่

“นิสัยส่วนตัวเป็นคนยังไงคะ”

“เป็นคนเงียบๆครับ บางครั้งเลยอาจจะดูว่าหยิ่ง แต่ถ้าใครเข้าหาจริงๆก็พร้อมจะยอมเปิดใจให้ไม่ปิดกั้นตัวเอง”

“งั้นเวลาพี่เข้าหาอย่าลืมเปิดใจให้พี่ด้วยน้า”

“ครับ” ยิ้มๆ

“อร๊ายยยยตายแป๊บ เอาล่ะเรามาต่อคำถามต่อไปกันเลยค่ะ อันนี้เป็นคำถามสำคัญระดับชาติ ถ้าไม่ถามพี่จะต้องโดนลูกเพจสามแสนกว่าคนรุมยำตีน มาค่ะ เห็นหล่อๆหน้าตาดีอย่างนี้ มีใครเป็นเจ้าหัวใจรึยังจ๊ะ คุณพลลภัตม์”

“ยังครับ ผมยังไม่มีใคร”

“โอ๊ย ตอบแบบนี้เดี๋ยวพี่ก็จับให้มีอะไรกับพี่ซะเลยดีมะ” ก่อนที่มือไม้ปลาหมึกจะเลื้อยมาไต่ผม แท่งยาวๆของแปรงที่เหมือนกระบองพยายมก็ถูกเคาะเข้าไปที่ศีรษะของพี่ดิบ ถามว่าแรงขนาดไหนฟังเสียงที่ดังออกมาจากหัวพี่มันแทนละกันครับ “อะ โอ๊ย ทำอะไรยะอีแนนซี่”

“หยุดเลยอีดิบ เผลอไม่ได้เลยนะเต๊าะเด็กที่มาให้สัมภาษณ์ตลอด” พี่ช่างแต่งหน้าแกปกป้องผมสุดฤทธิ์ ก่อนหันมาทางผม “ว่าแต่จริงเหรอคะที่ยังไม่มีแฟนน่ะ” ขอถอนคำพูดครับ ความจริงก็แค่อยากรู้ชีวิตส่วนตัวของผมเหมือนกันสินะ

“ไม่มีจริงๆครับ”

“ตายจริง หน้าตาขนาดนี้ทำไมไม่มีใครมาจีบ ไว้เจ๊แนะนำคนดีดีให้เอามั้ยจ๊ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”

“รออะไรคะ รอคนๆนั้นที่ชั้นฝันหา รอเธอเสียใจ รอพี่มากที่ท่าน้ำ หรือรอเจ๊ดิบอยู่จ๊ะ อร๊าย กรี๊ด” นอกจากจะโดนสัมภาษณ์แล้ว กูเหมือนกำลังโดนคุกคามทางเพศอยู่ ผมถอนหายใจก่อนตอบออกไปจากใจตามที่ผมคิด

“รออีกครึ่งหนึ่งของชีวิต ที่จะมาเติมเต็มจิ๊กซอว์ส่วนที่ขาดหายไปครับ”

“กรี๊ดดดดด คมบาดจิต หล่อบาดใจ แม่เลี้ยงด้วยอะไรถึงน่าจับเลียขนาดนี้เนี่ยยยยย”

“ถ้าพี่หิวติม เดี๋ยวผมพาไปเลี้ยง” แต่อย่าเลียผมเลย

“เลี้ยงไหวเหรอ พี่กินจุนะ” ไอ้ท่าเลียริมฝีปากล่างแล้วกัดปากตัวเองคืออะไรวะ!!

“ไหวครับ ผมรวย”

“รวยอะไรจ๊ะ ถ้ารวยแต่เขือพี่ยอมนะ”

“รวยจริงครับ” ไม่ได้โม้

“เอาเถอะ มาที่คำถามต่อไปกันดีกว่าจ๊ะ น้องเม่นคิดอย่างไรกับเพศทางเลือกคะ”

“ไม่คิดครับ” จบคำตอบเท่านั้นแหละ เงียบกริบ...พี่สองคนต่างมองหน้ากันอย่างงงๆก่อนหันกลับมามองผม

“...”

“ทำไมจะต้องคิดล่ะครับ เขาก็คนๆนึง”

“...” หืม? พี่ดิบนิ่งไป ผมตอบอะไรผิดเหรอ ก็แค่บอกออกไปตามที่คิด หรือคำตอบที่พี่ดิบต้องการจะไม่ใช่...

“เยี่ยม!!เยี่ยมมากเลยจ๊ะน้องเม่น คำตอบนี้ซึ้งกินใจพี่มาก มา เอาล่ะ เพื่อไม่ให้น้องเม่นต้องเหนื่อยเกินไป งั้นเรามาตอบคำถามสุดท้ายกัน”

“ได้เลยครับ ว่ามาเลย” จะได้จบๆซะที

“ช่วยตัวเองครั้งล่าสุด เมื่อไรคะ”

สึด ใครคิดคำถามนี้วะ...

“ผมจำเป็นต้องตอบคำถามนี้ด้วยเหรอครับ”

“ต้องสิจ๊ะ มันเป็นธรรมเนียมนะ ไม่ว่าคิ้วท์บอย เซ็กซี่บอยจากที่ไหน ถ้ามานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้แล้ว ทุกคนต้องตอบคำถามนี้ของพี่จ๊ะ”

“งั้นผมขอเปลี่ยนเก้าอี้”

“แหนะๆๆๆ นั่งแล้วห้ามลุก ตอบจ๊ะ เดี๋ยวนี้” โหดสัด ไหนก่อนสัมภาษณ์บอกว่าจะไม่บังคับตอบคำถามที่ไม่อยากบอกวะ ก็ได้ โอเค ยอม

“ตอนก่อนมาให้สัมภาษณ์พี่เนี่ยแหละ น้ำออกเยอะจนแทบไม่มีแรงเดินมาเลย”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

ขออภัยครับ ช่วยเรียกสัปเหร่อมารับสามศพในสตูดิโอนี้ที




ท่อน้ำในหอผมแตก ผมก็ต้องช่วยตัวเองพยายามซ่อมอุดรอยรั่วก่อนที่มันจะท่วมห้องผมดิ จริงมั้ย คิดอะไรเลอะเทอะ จบประเด็นไอ้เม่นน้ำแตก ผมก็เดินออกมาหาของกินตามประสาคนหิว ก็พี่มันเล่นลากผมมาสัมภาษณ์ตั้งแต่บ่ายลากยาวไปจนถึงเย็น จริงจังยิ่งกว่าตอนเรียนอีกพวกนี้

ผมเดินออกมาตรงสี่แยกที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยซึ่งผมมักจะฝากท้องไว้ประจำ พักนี้พอขึ้นปีสามเริ่มเกี่ยงงอนกับการออกกำลังกายเลยทำให้รู้สึกกล้ามเนื้อท้องค่อยๆจางลงไป ถ้าเกิดอีพวกเจ๊ๆแก๊งเพจคิ้วท์บอยห่าบรมนั่นมาแอบถ่ายตอนผมเผลอถอดเสื้อ มีหวังหมดความเท่กันพอดี วันนี้ขอฝากท้องไว้กับร้านขายผลไม้ละกัน

ขณะที่ผมกำลังหยิบกล้วยหอมหวีสวยส่งให้กับป้าคนขายนั้นเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ดังไล่หลังมาแต่ไกล

“ช่วยด้วยค่า มีคนวิ่งราวกระเป๋า!” เชี่ยแล้ว นี่มันสี่แยกใกล้มหาวิทยาลัยแถมยังกลางวันแสกๆด้วยเนี่ยนะ เออไม่ใช่สิ นี่ก็เย็นแล้ว แต่ท้องฟ้ายังสว่างสดใสอยู่ ผมรู้สึกเหมือนสายลมเย็นเบาๆผ่านไปก่อนจะหันหลังไปเจอกับเด็กผู้ชายคนนึงที่วิ่งกระหืดกระหอบผ่านหน้าผมไปราวกับเท้าติดจรวด

เชี่ยนี่มัน...

จิตใต้สำนึกผมมันบอกอะไรซักอย่าง ผมคว้าแบงค์ห้าสิบในกระเป๋ายื่นให้แม่ค้า

“ป้า นี่ครับไม่ต้องทอน” แทบไม่ต้องรอให้หัวสมองคิด ผมหิ้วกล้วยที่ตัดสินใจให้มันเป็นอาหารมื้อดึก แล้ววิ่งกระเตงมันตามไอ้ห่านั่นไปติดๆ แต่ฝีเท้ามันไวปานเสือซีตาร์ทั้งที่ตัวขามันสั้นกว่าผมที่มีส่วนสูงถึง186แท้ๆ ผมเห็นแผ่นหลังมันเล็กเท่าขี้มด แต่ตราบใดที่ยังเห็นอยู่ก็น่าจะยังตามทัน

“เชี่ย หยุดดิวะ” ขาแทบขวิด เอาวะกลั้นใจอีกนิดจะถึงตัวมันแล้ว เพื่อนเลวแม่งต้องห้าม ผมรู้นะว่ามันเลวอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเลวถึงขั้นเปลี่ยนจากนักเรียนไปเป็นโจรวิ่งราวกระเป๋าชาวบ้านได้


อย่าถามผมว่ามันเป็นใคร...เพราะมันเป็นบุคคลในตำนาน


“ไอ้เลวมึงหยุด!” นี่ไม่ใช่เสียงผม แต่เป็นเสียงไอ้เชี่ยว่าที่หัวขโมยนั่นตะโกนโดยไม่หันมามองหน้าผม ก่อนทำท่าเหมือนกระโดดเหยงๆกระโจนไปข้างหน้า แม่งคิดว่าเป็นกระต่ายหรือไงวะ กระโดดแล้วอย่างกับจะทำให้ไวขึ้น แล้วก็มึงน่ะ ด่าคนผิดแล้ว คนที่เลวน่ะมันมึง ไม่ใช่กูเว้ย!! แรงฉุนเฮือกสุดท้ายโคตรออกฤทธิ์รุนแรง ผมสั่งลาหน้าที่โปลิศไล่จับหมาในคราบขโมย ด้วยการคว้าคอเสื้อมันแล้วกระชาก

แคว่ก!!

เสียงขาดของเสื้อผ้าดังเข้าโสต ไม่นานไอ้คนโดนขัดขวางทำการชั่วหมุนตัวกลับมา

“ทำเชี่ยอะไรวะ!” ตัวเงินตัวทองโบ้มเข้าเต็มหน้า “สัด เสื้อกูไอ้เวรเอ๊ย” เหี้ยเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมึงไม่รู้เหรอ ด่ามาทั้งสองคำสิ้นเปลืองฉิบหาย ถ้ากูเป็นตัวเหี้ยอย่างมึงก็เป็นไอ้ควายใส่เสื้อเปลือยไหล่ขาวๆที่ไม่รู้จักกาลเทศะมาสวมรอยเป็นโจรแถวที่เรียนตัวเองล่ะวะ

“มึงเรียนคณะโจรกรรมศาสตร์หรือวะ ถึงว่างมาเรียนวิชาเลือกอย่างวิ่งราวกระเป๋าชาวบ้านเนี่ย”

“วิ่งราวบ้านมึงดิ ไอ้เวร!!” ฉุนเฉียวฉิบหาย

โครม!!

สุดท้ายก็เต็มๆหน้ากูดิครับ จะอะไรซะอีกล่ะ หมัดมันไงมาเต็มๆรัก มึงไม่ต้องรักกูมากก็ได้ไอ้ควายเอ้ย ผมหงายหลังลงไปนั่งกองกันพื้น รู้สึกเหมือนมุมปากมีของเหลวบางอย่างไหลออกมา น้ำลายกูแน่เลย ตอนนี้กูกำลังหิวผลไม้ ว่าแต่ทำไมน้ำลายกูสีแดงวะ

“กรี๊ดดดด ใจเย็นๆค่ะคุณน้องอย่าทะเลาะกัน” เสียงกะเทยควายที่ไหน อ้าวไอ้พี่ดิบ หลังสัมภาษณ์ผมเสร็จพี่มันคงเดินเป็นสัมภเวสีหาของกินอยู่แถวนี้ไม่กลับบ้านกลับช่องมั้ง เลยทันมาเห็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทต่อยตีของผมกับไอ้สถุลนี่เข้า “เชี่ยเม่น หน้าน้อง ต่อยลงไปได้ไงคะน้องเร!!” คิดภาพนะครับ เสียงต้นประโยคแกมาแบบตัดกล่องเสียงชาตินี้ไปเสียงหวานอีกทีชาติหน้า พี่ดิบทำท่าจะทรุดลงมาประคองผม หากผมยันตัวลุกหลบขึ้นมาได้ทันเสียก่อน และไม่รอช้าผมก็เขวี้ยงหมัดใส่หน้ามันคืน

เอาดิ มึงทำกู กูก็ต่อยมึงคืนได้วะ

“กรี๊ดดดดดดดดดด อย่าค่ะอย่าทะเลาะกัน” เสียงพี่ดิบเป็นเพลงพื้นหลังชั้นดีที่ทำให้บรรยากาศคุกรุ่นยิ่งขึ้น อารมณ์ผมมา ปากผมแตก แก้มผมช้ำ แล้วแถมกล้วยที่ซื้อมายัง...

แปร่ด!!

“เชี่ยกล้วยกู!!!” หวีละห้าสิบยังไม่ได้แตะซักผล แถมยังมาโดนคนอย่างไอ้เชี่ยนี่เดินถอยหลังไปเหยียบซะเละ ไอ้โจรมันยกขาขึ้นมองกล้วยที่นอนตายอยู่ด้วยสีหน้าสมเพชเวทนาก่อนหันหน้ามามองผม

“มึงต่อยกูก่อนเองนะ”

“แต่กล้วยกูก็ไม่ผิด มึงไม่จำเป็นต้องเหยียบ ไอ้สัดเอ๊ย เป็นโจรไม่พอยังชอบทำลายของกินชาวบ้านอีกเหรอวะ”

“มึงหาว่าใครเป็นโจรวะ” อีกฝ่ายพุ่งเข้าหาคว้าคอเสื้อผมด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วกระชากขึ้น กระชากขึ้น...เออ ไม่ได้แฮะ มันเตี้ยกว่าผม ผมเลยได้แต่ก้มลงไปมองข่มมัน

“ไอ้โจรเตี้ย”

“โว้ยย” แหนะๆ อย่าคิดว่ากูไม่รู้ว่ามึงจะทำอะไร มือที่หมายจะปล่อยเสื้อเพื่อง้างหมัดต่อยเข้ากรามผมกลับโดนตัดหน้ารวบข้อมือสองข้างไม่ให้มันกล้าปล่อย อยากจับก็จับให้ตลอดดิวะ “ปล่อยแขนกู!!” ไอ้เตี้ยมันดิ้นถอยหลังจะเอามือออกให้ได้ ผมเลยใส่แรงหนักขึ้นอีกเท่าตัวกระชากมันกลับมา จนร่างตรงหน้าเสียการทรงตัวมาซบอกผมเต็มๆ มันชักสีหน้าตื่นๆขึ้นมามองผม

โอ้โหแฮะ เพิ่งเคยได้เห็นหน้าบุคคลในตำนานใกล้ๆ ดูไม่ออกว่ามันเลวอย่างที่ใครๆเขาว่ากัน แค่สีผิวก็กินขาดความขาวแล้ว ไหนจะคิ้วเข้มๆ ตาเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสัน แล้วจะยังริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปนี่อีก

ความจริงมันไม่ได้เตี้ยอย่างที่ผมว่ามาเหรอ มันสูงสูสีเฉลี่ยชายชายไทยน่าจะห่างจากผมประมาณไม่ถึงสิบเซนต์ได้ สีผมแอชเกรย์ขับใบหน้าให้ดูสว่างกว่าเดิม แต่ก็โดนกลบมิดด้วยผมดัดที่ร่วงลงมาปิดหน้าปิดตาของเจ้าตัว ถ้าให้เทียบเครื่องหน้าไอ้หมอนี่แม่งเหมือนศิลปินเกาหลีชั้นดีคนนึงได้เลย ขัดอย่างเดียวคือรอยช้ำตรงมุมปากที่ผมเป็นคนสร้างไว้กับนิสัยเลวๆของมัน

“กระเป๋า!!” กว่าจะมีสติรู้ตัวอีกที ผู้หญิงที่เคยตะโกนโวยวายว่าโดนวิ่งราวกระเป๋าก็วิ่งมาจนถึงตัวพวกเรา ผมเพิ่งรู้ว่าเธอเป็นนักศึกษาม.เดียวกับเราเนี่ยแหละ เธอหยุดยืนตรงหน้าพวกเราทั้งคู่ยกมือขึ้นกุมอกพลางส่งสายตาไปหาไอ้คนที่กำคอเสื้อผมอย่างขอความเห็นใจ “ขอกระเป๋าเราคืนเถอะนะ” เพราะการที่เราสองคนยืนตัวชิดกันมากเลยทำให้ผมรู้ว่าร่างกายคนตรงหน้าสั่นกระตุกวูบไหว แต่มันก็เป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาที

มันปล่อยมือออกจากคอเสื้อของผม แล้วยื่นกระเป๋าสะพายสีชมพูหวานที่คล้องอยู่กับแขนเขวี้ยงคืนไปให้กับอีกฝ่ายอย่างไร้น้ำใจและเกรี้ยวกราด ก่อนหมุนตัวแล้วเดินจากไปอีกทาง

“เฮ้ย จะไปไหนวะ” ขโมยของคนอื่นแล้วทำไมไม่รู้จักขอโทษ ผมได้แต่ตะโกนไล่หลังอย่างคนที่ขี้เกียจตามไปหาเรื่องเอาความ

“อุ๊ยตาย เถื่อนจัง ไม่เป็นไรนะหนู” เสียงพี่ดิบดังแทรกดึงความสนใจให้ผมหันกลับไปมอง คนที่ตัวเป็นชายแต่ใจเป็นสาวกำลังตบไหล่ปลอบประโลมจิตใจของผู้ประสบเหตุไปหมาดๆ เด็กสาวพยักหน้าด้วยอาการงุนงงก่อนมองตามคนที่เดินลับหายไป พี่ดิบถอนหายใจออกมาขัดจังหวะความเงียบ

“ถ้าเลิกนิสัยเกรี้ยวกราดไปได้จะเป็นเด็กที่น่ารักมากเลยนะคะ น้องเรเนี่ย” น่ารัก ผมจินตนาการตามพี่ดิบไม่ออกว่าถ้าไอ้บุคคลในตำนานมันเงียบเรียบร้อยเหมือนลูกแมวเชื่องๆตัวนึงขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร

“ทำไมพี่เรียกมันว่าเร ชื่อเล่นมันชื่อเรวะไม่ใช่เหรอ” ถึงจะเป็นชื่อเล่นที่แสนประหลาด แต่ผมยังจำได้ดีในวันแรกพบของรุ่นพี่กับน้องๆปีหนึ่ง เด็กหน้าตาดีคนหนึ่งเดินออกไปหน้าลานและแนะนำตัวด้วยท่าทางเชื่องซึมท่ามกลางเสียงฮือฮาของกลุ่มผู้หญิง กว่าจะฟังชื่อเล่นมันออกต้องลำบากรุ่นพี่หลายคนให้มาตั้งใจฟังเสียงงึมงำของมัน แล้วค่อยบอกต่อผ่านไมค์ให้ทุกคนรู้ชื่ออันแปลกประหลาดว่า ‘เรวะ’ ที่มาที่ไปไม่มีใครรู้หรอกครับว่ามันแปลว่าอะไร เพราะพอพวกรุ่นพี่ถาม ไม่ทันจะจบคำมันก็เดินกลับไปนั่งรวมกลุ่มพวกน้องใหม่ปล่อยให้บรรยากาศรอบข้างเคว้งคว้างไปเสียอย่างนั้น

พี่ดิบเลิกคิ้วมองหน้าผม “อ้าวตายละ นี่เราไม่รู้หรอกเหรอว่าชื่อ ‘เรวะ’ น่ะ เป็นชื่อต้องห้าม”

“ฮะ? ชื่อต้องห้าม”

“คนที่อยู่ใกล้ตัวน้องเรต้องรู้เรื่องนี้ไว้นะจ๊ะ ไม่งั้นมีหวังโดยต่อยปากแตกหมอไม่รับเอา เอ๊ยเย็บกันทีเดียวเชียวล่ะจ้ะ”

“ห้ามไม่ห้ามยังไงผมก็โดนต่อยไปแล้ว แต่ช่างเหอะพี่ไม่ต้องบอกผมก็ได้ยังไงชาตินี้ผมก็ไม่มีทางได้เจอมันอีกหรอก” และไม่หวังให้เจออีกด้วย ทีเดียวผมเข็ดไปจนวันตายเลย มีอย่างที่ไหนจะห้ามเพื่อนร่วมโลกไม่ให้เป็นโจร แต่เสือกซวยโดนต่อยเสียเอง ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ

หมดธุระตรงนี้แล้ว ผมตั้งใจว่าจะหมุนตัวกลับ แต่ดันเห็นน้องหนูปีหนึ่งที่ยังยืนจับกระเป๋ามองตาใสมาตรงนี้นิ่งจึงอดที่จะเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้ “ตรวจดูของในกระเป๋ารึยังมีอะไรหายรึเปล่า”

“ไม่มีอะไรหายค่ะ” เธอส่ายหัวก่อนก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วกล่าวงึมงำเสียงอ่อย “รู้สึกผิดเลย”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกเรื่องสุดวิสัย ใครเขาอยากโดนวิ่งราวกระเป๋ากันบ้างล่ะ”

“อ้อ เปล่าค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น คือหนูหมายถึง รู้สึกผิดเลยที่ทำกริยาแย่ๆใส่พี่เร”

หา? เรื่องนี้ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วตีลังกาคิดไปสามตลบ ว่าไงนะ กับโจรทำไมต้องทำดีด้วย น้องมันเด็กดีเกินมนุษย์มนาไปรึเปล่า

“ไม่ใช่หนูเรสินะ” คราวนี้เป็นเสียงพี่ดิบที่ยืนหรี่ตามองน้องผู้หญิงอย่างรู้ทัน ไม่ใช่เร คืออะไร ยังไงวะ

“ค่ะ พี่คนนั้นเป็นคนละคนกับไอ้คนที่มากระชากกระเป๋าหนูไป”

หา!!!ว่าไงนะ

“แล้วใครที่เป็นคนกระชาก”

“หนูมองหน้าไม่ทันเห็นแต่ใส่เสื้อยืดสีดำๆแล้วก็ใส่หมวก”

ไอ้เรมันใส่เสื้อสีขาว ต่อให้บ้ายังไงก็ไม่มีทางตาฝาดมองเห็นจากขาวเป็นดำได้หรอก ที่น้องมันพูดเรื่องจริงใช่มั้ยเนี่ย

ผมยืนงงอยู่ตรงนั้น เหลือบมองผิวตรงหลังมือซึ่งยังคงแดงอยู่ กระดูกฝ่ามือยังรู้สึกเจ็บจากการต่อยอีกฝ่ายไม่หาย นี่ผมทำอะไรไปวะ

“หนูอยากขอโทษพี่เขาจัง”

“แหมๆ ไม่ต้องเสียใจแล้วจ้ะ นู้น เจ้าตัวเดินมานู้นแล้ว คราวนี้ก็อย่าอึ้งอีกล่ะ ลูกชะนี” เริ่มคิดว่าตัวเองหูฝาดเป็นรอบที่สอง ผมผินหน้ากลับไปมองทางที่อดีตโจรมันเดินหายไป ใช่ มันกลับมาจริงๆ แต่ดูแปลกๆ แบบไม่ค่อยเป็นมิตร แล้วก็กำลังเดินย่างสามขุมดุ่มๆมาทางนี้ทีเดียวเชียวล่ะ

“ไอ้เวรนี่!!” คำทักทายหลังจากเจอหน้ากันครั้งที่สองของรอบวันโคตรจับจิต แถมยังมีสกินชิพด้วยการกระชากคอเสื้อเชิ้ตผมอีกเป็นระลอกสอง เมื่อเห็นท่าทีไม่ดีพี่ดิบเลยรีบลุกลี้ลุกลนเข้ามาขวางเป็นการใหญ่

“เดี๋ยวๆๆ น้องเรใจเย็นก่อนสิจ๊ะ ค่อยๆพูดกันก็ได้ อารมณ์ร้อนจริง แล้วนี่เป็นอะไรเนี่ย ความรู้สึกช้าหรืออะไร โดนเขาต่อยแล้วเพิ่งมาโมโหหลังผ่านไปสิบนาทีเนี่ย อย่าเพิ่งต่อยน้องเม่นของพี่เลยนะ พี่ขอ หน้าน้องเม่นเป็นสมบัติของชาติ ถ้าเธอต่อยไปผู้หญิง ตุ๊ดตานอย ชะนีน้อยหอยสังข์ ทั้งหลายจะต้องเสียใจร้องไห้น้ำท่วมโลก เธอยอมเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนเหรอจ๊ะ!!”

“แต่มันทำเสื้อผมขาด!”

“เสื้อตัวเดียวไม่เห็นต้องโมโหขนาดนี้เลยนี่” ผมเถียงกลับไปทั้งๆที่ยังโดนกระชากคอเสื้อไว้อยู่

“ไม่โมโหได้ไงวะ”

“แล้วมึงจะโมโหไปเพื่ออะไร”

“กูมีเสื้อตัวเดียวโว้ย!!”

หา?

“เลิกทำหน้าโง่ซักที กูบอกว่ากูมีเสื้อแค่ตัวเดียวเว้ย แล้วอย่างนี้พรุ่งนี้กูจะใส่อะไรไปเรียนวะ”

...ไอ้เฟี่ย กูถามจริงเถอะ คนบ้านไหนมีเสื้อนักศึกษาอยู่แค่ตัวเดียววะ...


....TBC....

หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ บทนำ [10/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 11-02-2019 00:24:02
 :katai2-1: :katai2-1: ปูเสื่อรอคร้าบบบ ชอบที่สุด
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่1 :: ความสนใจดึงดูดให้สายตามองหา [11/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 11-02-2019 21:02:47
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่1 :: ความสนใจดึงดูดให้สายตามองหา


มันไม่ง่ายเลยกับการให้มองเรวะเป็นคนดี ใครๆก็รู้กันว่ามันนิสัยยังไง ทำไมมันถึงสอบติดมาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมได้วะ สงสัยเรื่องยัดเงินตามที่เขาลือกันท่าจะจริง

และตอนนี้ผมก็กำลังพาผู้ใหญ่ที่ใช้เงินแก้ปัญหามาถึงหอเพื่อให้ยืมเสื้อชุดนักศึกษาไปใส่ก่อนชั่วคราว พูดแล้วก็ขำคนบ้านรวยที่ไหนเขาทำกัน ซื้อเสื้อนักศึกษาตัวเดียวไว้ใส่มึงจะอินดี้ไปไหน

“เข้ามาดิ” ผมเปิดประตูเดินเข้าห้อง ก่อนเฉลียวใจจนต้องหันไปมองคนหน้าใหม่ที่อยู่ด้านหลัง เป็นอย่างที่คิด เรวะไม่ตามมา แถมยังยืนนิ่งค้างอยู่ตรงหน้าประตูราวกับกังวลอะไรบางอย่าง

“เป็นอะไร ทำไมไม่เข้ามา”

“...” มันนิ่ง

“จะเอาเสื้อไม่ใช่เหรอ”

“...” ยังนิ่งอีก ถ้านิ่งอย่างนี้อีกนิดเดี๋ยวผมปั๊ด...

“โอเคไม่เข้าใช่มั้ย...ถ้าไม่เข้ากูจะปิด” บอกเลยไวกว่าเสือชีตาห์ก็หมาอย่างเรวะล่ะครับ ขายาวๆมันรีบเข้ามาขัดประตูที่ผมกำลังจะปิดแล้วผลักออกก่อนแทรกตัวเข้ามาเผชิญหน้ากับผมในช่องทางแคบๆ

“สัด อย่าเสือกปิดประตูใส่หน้ากู”

“แล้วยืนนิ่งรอเชี่ยอะไร”

“รอให้มึงหลบทางให้ไง”

“หลบเพื่อ ทางก็ไม่ได้...”

เหลือบไปมองทางเดินเข้าห้อง เออ แคบแฮะ ไม่เคยมีโมเมนต์แบบเพื่อนกรูกันเข้ามาในห้องไง เพราะไม่เคยจัดปาร์ตี้หนังโป๊ หรือเชียร์บอลนัดเดือดดาลอะไรทั้งนั้น ห้องผมมันแคบ ส่วนใหญ่ก็จะไปหมกตัวที่คอนโดเพื่อนในกลุ่มอย่างไอ้เชี่ยต๊อบกัน ผมขยับตัวไปข้างหน้ากะว่าจะหลบให้แต่จู่ๆไอเดียพิเรนทร์มันก็ฝุดขึ้นมาในหัวเลยแกล้งขยับตัวไม่สุดแล้วหยุดหันมามองไอ้เด็กเสื้อรุ่งริ่งอีกรอบ

“เข้ามาดิ”

“...”

“ถ้าไม่อยากให้ปิดประตูใส่หน้าอีกรอบก็เข้ามา”

แก้วตาแววใสมองมายังช่องแคบมะละกอระหว่างผมกับกำแพง ก่อนทำหน้าตึง ถึงมันไม่พูดผมก็รู้ว่ามันกำลังด่าผมในใจ พื้นที่เท่านี้ผู้ชายผ่านไปได้แบบไม่เบียดกันก็เรียกว่ามันตัวผอมเท่าไม้เสียบผีได้แล้ว ผมโคตรอยากลองใจว่าคนนิสัยเสียอย่างมันจะทำยังไงกับเหตุการณ์แบบนี้

ในที่สุดไอ้เรก็ขยับตัว แต่แทนที่มันจะผลักผมให้กระเด็นแล้วก้าวเข้าไปอย่างองอาจ แต่มันกลับ...

“ถอด”

“หา?”

ยื่นใบหน้าประจันเข้ามาแบบไม่เกรงใจแถมยังเจืออารมณ์ข่มขู่นิดๆ หรือเมื่อกี้ผมฟังผิด ความจริงมันพูดว่าให้ถอยรึเปล่าวะ

“กูบอกให้ถอดเสื้อ”

หา!!

“ทำไมกูต้องถอดด้วย”

“ไม่ต้องถามมาก กูบอกให้ถอดก็ถอดไง”

“ทำอะไรมันต้องมีเหตุผลดิวะ”

“กูขี้เกียจคุยกับมึงแล้ว”

“ขี้เกียจแล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่กูต้องถอดเสื้อด้วยวะ”

“ถอดเสื้อมึงมา”

“เฮ้ยๆๆเดี๋ยว” พอผมเงียบแขนยาวๆของมันก็ยื่นมาจับปกเสื้อผมตั้งท่าจะปลดกระดุมจากรังจนผมต้องยกมือมาดันห้าม “ทำเชี่ยไรเนี่ย” มึ้ง...กูไม่อยากเชื่อข่าวลืออีกอย่างที่ได้ยินมาหรอกนะ แต่มึงกำลังทำให้กูคิด

“ก็มึงเล่นเชี่ยกับกูก่อน”

“...”

“กูก็จะเล่นมันเชี่ยๆ แบบนี้แหละ” เวร ไอ้เรมันออกแรงดันจนผมติดกำแพงตอนทีเผลอ บอกตามตรงมันก็ไม่ใช่ผู้ชายตัวจ้อย ขนาดต่อยผมปากแตกยังทำมาแล้ว เจองานนี้กระแทกทีผมชาไปทั้งหลัง แล้วมันก็เริ่มดึงทึ้งเสื้อผมขึ้น

“เชี่ย!!” แกะจากรังดุมไม่ได้มึงก็กะเอาออกทางหัวเลยเหรอวะ เวรละ เสื้อกำลังจะหลุดจากตัวผม ถ้างานนี้มันเอาจริง ผมไม่แย่เลยเหรอ พื้นฐานเดิมก็ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นอยู่แล้ว ถูกมันยัดเยียดความเป็นผัวให้อีก แม่งขายขี้หน้าชาวบ้านชาวช่องแน่ ให้ตายก็ไม่ยอมหรอกเว้ย “สัด กูไม่ได้ชอบผู้ชาย ให้ตายกูก็ไม่คิดจะมีอะไรกับมึงหรอกนะ ทำไรหัดคิดมั่งดิวะ อย่าคิดจะเอาร่างกายแบล็คเมล์ชาวบ้านเขาง่ายๆอย่างนี้ อย่างนี้มึงมีแต่เสียกับเสียนะเว้ย” มือที่กระชากเสื้อผมหยุดชะงัก ร่างที่อยู่ใกล้ชิดจนติดขอบเวทีเงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาสั่นไหว

“มึงพูดเชี่ยอะไร”

“จะอะไร ก็มึงกำลังจะบังคับให้กูมีอะไรกับมึง แล้วก็เอาเรื่องราวไปแฉให้กูอายชาวบ้านจนต้องยอมมึงใช่มั้ย”

“...” มันนิ่งทำหน้าตื่นอย่างกับรับไม่ได้ในสิ่งที่ผมพูด คงแทงใจดำสินะ ผมจ้องตามันที่ดูกำลังสับสน ปนไปด้วยหลากหลายอารมณ์ ก่อนจะปัดมือมันออกจนเสียงกระทบกันของผิวเนื้อดังไปทั่วห้อง

“ปล่อยกูได้แล้ว” ผมจับเสื้อแสงให้เข้าที่ ก่อนถอยออกมาตั้งหลักพลางมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นอะไรแล้วนอกจากสายตาที่หลุบต่ำ กับริมฝีปากที่กำลังบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง

“...นะ” มันพูดอะไรของมันวะ แต่ช่างมันเถอะงานนี้สวัสดิภาพตัวผมสำคัญกว่าจะมาฟังเรื่องไร้สาระของคนแปลกหน้าคนนึงที่ชื่อเรวะ

“จะเอาเสื้อก็รีบเอาไป แล้วก็กลับไปได้แล้ว อยู่กับมึงแล้วกูแม่งรู้สึกได้ถึงแต่...”

“ไอ้สัด มึงคิดได้นะ!!”

พลั่ก!!

รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกเต็มๆอก ร่างผมเสียการทรงตัวจนในที่สุดก็ทิ้งก้นลงไปกระแทกกับพื้นจังเบ้อเริ่ม ตูดชาร้าวจนต้องเบ้หน้า พอเงยขึ้นไปเห็นคนที่พึ่งเอาฝ่าตีนมายันมันก็อดไม่ได้ที่จะรีบหยัดกายเพื่อจะลุกขึ้นไปตั๊นหน้าคืน แต่ไอ้เรดันตะโกนขึ้นมาจนเสียงดังลั่นออกไปนอกห้อง

“ต่อให้กูเป็นอย่างที่เขาว่ากัน กูก็ไม่มีวันเสียตูดให้คนอย่างมึงหรอกเว้ย!!”

“เชี่ยถึงได้กูก็ไม่เอาเปล่าวะ เฮ้ยแล้วนั้นจะไปไหน” ไอ้เรสะบัดตูดตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป ผมรีบคว้าไหล่มันไว้จนเจ้าตัวต้องหมุนกลับมาเผชิญหน้ากับผมตามแรงดึง “เสื้อนักศึกษามึงไม่เอาแล้วเหรอไง” สายตาแข็งกร้าวมองสบกลับมา ก่อนที่มันจะคว้าคอเสื้อผมแล้วจับกระชากจนกระดุมหลุดกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง

“ทำเหี้ยอะไรวะ!!”

“ในเมื่อมึงไม่ให้ กูก็ไม่เอาแล้วเว้ย!!” มันผลักอกผมหนึ่งทีเป็นการส่งท้าย ก่อนทิ้งผมให้เดียวดายกับเสื้อขาดๆและความเงียบที่เข้ามาอย่างกะทันหัน

“ใครบอกวะ ว่าจะไม่ให้” มองสภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยก็ให้นึกก่นด่าในใจ ผมไปเล่นเชี่ยกับมันตอนไหน อย่างมากก็แค่ขวางทางมันเล่นเท่านั้นเอง แต่มันจะลงเอยด้วยการถอดเสื้อปล้ำผมเนี่ยนะ บ้ารึ...

‘กูบอกให้ถอดเสื้อ’

เอ๊ะ...

‘กูขี้เกียจคุยกับมึงแล้ว’

เดี๋ยวนะ...

‘ถอดเสื้อมึงมา’

หรือว่ามันตั้งใจจะเอาเสื้อที่ผมใส่อยู่เพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องมุดเข้าไปเอาถึงในห้องวะ

“จริงเหรอวะเนี่ย”

นี่ผมคิดอกุศลกับมันไปไกลโข เพราะข่าวลือที่มันมั่วกับคนอื่นไปทั่วโดยเฉพาะการยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้ชาวบ้านเนี่ยนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมแม่งก็โคตรเลว

...รู้สึกผิดกับมันว่ะ...

ถ้าผมวิ่งไปตอนนี้จะยังทันมันมั้ยวะ...

ผมผุดลุกขึ้นโดยไม่ลังเล ทันไม่ทันไม่รู้แต่วิ่งไปดูก่อนละกัน


ระหว่างที่ก้าวลงจากตึกมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมไม่เห็นวี่แววของผู้ชายที่ชื่อเรวะเลยจนกระทั่ง วิ่งมาจนถึงลานกว้างใต้ตึก

“เชี่ยเร!!” ใครบอกว่าไม่ได้ยินผมพร้อมจับมันไปส่งหมอหูเลยเอา แต่ไอ้เรวะเนี่ยดิ แม่งไม่หันแถมยังเดินเร่งฝีเท้าให้ห่างออกไปอีก จนแล้วจนรอดผมก็ไปไม่ถึงตัว

“เชี่ยเร มึงได้ยินก็หยุดดิวะ หยุดๆๆๆๆ” ฮากับความบ้าของตัวเอง ผมจำได้สมุดพกสมัยประถมคุณครูชอบชมว่ากล้าแสดงออก แล้วตอนนี้คนที่ผ่านไปมาแม่งก็มองมาทางนี้เป็นตาเดียว ส่วนไอ้คนที่ผมเรียกเนี่ยดิเมื่อไรมันจะหยุดแล้วหันมาวะ อย่าให้กูต้องเหนื่อย อย่าให้กูต้องวิ่ง!!

“เชี่ยเร!!” ในที่สุดก็คว้ามือมันมาได้ แขนเรวะเกร็งต้านแรงอย่างหนักแต่สุดท้ายก็ทนความดึงดันของผมไม่ไหวจนต้องหมุนตัวกลับมา มันหันมามองหน้าผมบิดมือขืนตัวพยายามให้หลุดออก

“กูชื่อเร ไม่มีเชี่ย”

“เออ ไม่มีเชี่ยก็ได้...เร”

“...” เหมือนการเรียกชื่อทำให้เจ้าตัวสงบลงมาระดับหนึ่ง

“เมื่อกี้มึง...”

“ทำไมจะต่อยกูเหรอ เอาดิ เอาเลย โกรธที่กูทำเสื้อมึงขาดสินะ” เสื้อมันก็ขาดเถอะแถมอาการหนักกว่าผมด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นผมจำได้ว่าผมกระชากมันด้วยน้ำหนักตัว มาตอนนี้สภาพมันเลยไม่เหลืออะไรที่เรียกว่าเอาไว้ใส่ไปเรียนได้เลย

“เปล่ากูไม่ได้จะมาต่อยมึง”

“งั้นมาทำอะไร มาเทศน์กูเหรอ กูไม่ได้เอาของอะไรออกมาจากห้องมึง ถ้าไม่เชื่อจะค้นตัวก็ได้ เอาเลยดิ เอาเลย!!” มันตวาดผมแถมเดินเข้าใส่แบบท้าทาย ด้วยเชิ้ตขาดๆที่เปิดโชว์ให้เห็นอกของมันหน่อยๆเนี่ยแหละ

“เปล่า กูแค่เอาเสื้อมาให้” ผมโยนเสื้อที่ถือติดมือมาใส่อกมัน ทำให้ไอ้เรต้องยกมือขึ้นมารับไว้โดยอัตโนมัติ มันจ้องของในมือก่อนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความประหลาดใจ “มึงเอาไปเลยก็ได้ ถือว่าเป็นคำขอโทษที่กูแกล้งมึง ทำรุนแรงกับมึง แต่มึงก็ดันมาทำรุนแรงกับกูก่อนเอง พูดมาดีดีก็ได้ แค่นี้กูก็ถอดให้แล้ว...อุ๊บ!!” ไอ้เรมันเอาเสื้อที่ได้ไปมาอุดปากผมกะทันหัน ใจมันทำด้วยอะไรวะ เกรี้ยวกราดไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้อภัยกันสักทีจะเป็นไร แต่แล้วผมกลับจับสังเกตได้ว่าใบหน้าขาวไม่ได้ให้ความสนใจกับเสื้อ แต่พุ่งประเด็นไปกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบข้าง จนผมต้องยกมือขึ้นมาดึงเสื้อให้ห่างจากปากตัวเอง “เป็นบ้าอะไรวะ”

“มีคน แอบฟังอยู่”

หา? มึงเป็นเซเลบเหรอ ถึงต้องมีคนมาแอบฟัง...เถียงอยู่ในใจ แต่แล้วเสียงซุบซิบใกล้ๆก็ทำให้รู้ว่ามีคนแอบมองมาทางพวกเราจริง

“นี่แก นั่นใช่พี่เม่นรึเปล่าน่ะ” อ้าว...เข้าใจผิดไปโข คนดังน่ะมันผมต่างหาก

“พี่เม่นจริงๆด้วย ว่าแต่ทำไมถึงอยู่กับ...” กลั้นหายใจยืนนิ่งรอฟังต่อ แต่คนใกล้ตัวกลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เดี๋ยวจะมีข่าวเสียหาย” ผมขยับสายตากลับมามองคนที่ดึงเสื้อกลับไปกอดไว้แนบอก ก่อนเลิกคิ้วเป็นเชิงฉงนใจ

“อยู่กับกูมันแย่ขนาดนั้นเลย?” เหอะ ไอ้คนยโสโอหัง คิดว่ามึงชื่อดีนักหรือไง วีรกรรมของมึงใครๆเขาก็โจษจัน เล่าขานไปทั่ว มีแต่กูเนี่ยแหละที่...

“เปล่า มึงต่างหากที่จะเสียหาย”

“...”

“ขอบคุณสำหรับเสื้อ”

“...”

“แล้วก็ขอโทษ ที่ทำเสื้อมึงพัง” มันถอยหลังก่อนหมุนตัวเดินจากไปอย่างไว ปล่อยให้ผมยืนเคว้งคว้างเดียวดายท่ามกลางสายสืบที่แอบซุ่มตัวอยู่เงียบๆตามซอกตึก

ผมยังช็อกอยู่ ชีวิตนี้ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้อึ้งรัวเป็นคอมโบขนาดนี้ ไอ้เรมันขอบคุณผม แถมยังขอโทษ แล้วคนที่มันเป็นห่วงว่าจะเสียหาย....ดันเป็นผมด้วยเนี่ย...

“สรุปแล้ว มึงเป็นคนยังไงกันแน่วะ”

วันนี้ผีต้องเข้าสิงมันแน่ๆ ถึงได้ทำอะไรผิดแผกจากที่ชาวบ้านเขาว่า ให้ผมเอาหัวเป็นประกันเลยเอา
 


 


หลังจากผ่านเรื่องราวอะไรหลายๆอย่าง ผมก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกับมันอีก ชีวิตนี้ให้ได้เจอคนชื่อเรวะทีเดียวก็พอแล้ว ความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ของพวกเราแทบไม่มีอะไรจะมาบรรจบกันได้เลย จนกระทั่งผมเห็นมันเดินฉวัดเฉวียนไปมาในครรลองสายตาเป็นหนึ่งในรอบสามปีเนี่ยแหละ

“เชี่ยทำไมมาบ่อยจังวะ”

“อะไรของมึงวะไอ้เม่น” ไอ้ต๊อบเพื่อนร่วมคณะแล้วแถมยังเป็นเพื่อนสนิทไปไหนเฮนั่นคลานตามกันมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งยันจวบจนป่านนี้ทักขึ้น หลังจากผมบ่นเมื่อเห็นใครบางคนในสายตา

“มึงไม่สังเกตเห็นเหรอ” มันหมุนหัวกวาดตามมองจนแทบจะครบสองร้อยเจ็ดสิบองศาแล้วกลับมาถามต่อ

“เห็นอะไร”

“ก็นั่นไง ไอ้เรวะน่ะ พักนี้ทำไมมันมาแถวนี้บ่อยจังวะ” ร่างโปร่งๆเดินคล่องตัวผ่านไปช้าๆในสภาพที่ใส่เสื้อชุดนักศึกษาของผมอยู่ ให้บรรยากาศแปลกๆว่ะ มันใส่เสื้อผมแล้ว...แบบบรรยายยังไงดี เหมือนเด็กใส่เสื้อผู้ใหญ่ เหมือนผู้หญิงใส่เสื้อแฟนอะไรเทือกนั้น

“มึงบ้ารึเปล่า มันเรียนอยู่มนุษย์ หนึ่งในคณะสามเหลี่ยมทองคำ มันก็ต้องมาแถวนี้บ่อยดิวะ ทุกครั้งไม่เห็นมึงจะว่าอะไร แต่ทำไมคราวนี้ดันเสือกทักลางร้ายอย่างไอ้เรขึ้นมาได้”

ถึงมหาวิทยาลัยผมจะมีอาณาเขตของแต่ละคณะแยกห่างจากกันก็จริง แต่ตรงกลางที่เป็นศูนย์รวมความเจริญของทุกสิ่งกลับมาอยู่ตรงส่วนประกบติดของสามคณะ ที่ประกอบด้วยมนุษยศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ สามเหลี่ยมซึ่งเป็นศูนย์รวมของแหล่งความรู้ สามเหลี่ยมซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาของมหาวิทยาลัยเพราะเป็นสามคณะที่ติดท๊อปไฟว์คะแนนสอบเข้าสูงสุด อีกทั้งยังเป็นสามเหลี่ยมที่ครบเครื่องได้ด้วยร้านอาหาร สถานที่จำหน่ายเครื่องเขียน ศูนย์คอมและหอสมุด รวมไปถึงตึกเรียนรวมที่คนจากหลากหลายคณะจะต้องมาใช้

“มึงอำกูเล่นป่ะ” ...นี่กูเพิ่งเห็นมันครั้งแรกเลยนะ...

ไอ้เรวะ บุคคลที่ผมไม่ให้ความสนใจในระดับต้นๆ แต่กลับเข้ามาในสายตาผมนับตั้งแต่วันนั้น หรือดวงผมจะตกตามที่ไอ้ต๊อบมันบอกมั้ยวะ ผมไม่แน่ใจเลย


...มีต่อด้านล่างค่ะ...
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่1 :: ความสนใจดึงดูดให้สายตามองหา [11/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 11-02-2019 21:04:00
“กูขอโทษ!!”

“เชี่ยคีย์ มึงทำกูได้นะ”

“กูไม่มีทางเลือกจริงๆ มึงต้องเข้าใจกูนะ”

“ชีวิตกูโสด กูไม่เข้าใจมึงหรอก ไอ้เวร”

“ถ้าคราวนี้กูบอกปฏิเสธแยมอีก กูโดนตัดหางปล่อยวัดแน่ๆ คราวที่แล้วก็โดดนัดไปแตะบอลกับพวกมึงแล้ว คราวนี้ถือว่ากูขอเถอะนะ”

“ก็เรื่องของมึงดิวะ”

“ไม่ใช่เรื่องของกู แต่เป็นเรื่องของพวกเราเว้ย” เคยมั้ยเพื่อนทะเลาะกับแฟนแต่เสือกโดน ‘แยม’ แดกหัว เออแฟนไอ้คีย์หนึ่งในก๊วนแก๊งสี่ซี้ของผม เมียมันชื่อแยม มันเป็นคนที่ติดแฟนที่สุดในกลุ่ม ส่วนผมกับไอ้ต๊อบ ไอ้หงส์ น่ะเหรอ ไม่มีครับ โสดสนิทไม่ติดเมียแต่ทำให้ผู้หญิงเพลียบนเตียงได้

“แล้วกูจะคู่กับใครวะ” อาจารย์ในคลาสให้พวกผมจับคู่กันทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ให้สมกับชื่อวิชาที่ลงเรียนไป วิชาบังคับทั่วไปที่นักเรียนปีสามอย่างพวกผมจะต้องผ่านเทอมนี้ไปให้ได้ เรียนอย่างเดียวยังพอว่าแต่อาจารย์เสือกสร้างปัญหาให้กูด้วยการปล่อยให้จับคู่อิสระ เชี่ยคีย์มันถึงโดนเมียจับบังคับทำด้วย กรรมมันเลยมาตกที่ผม ซึ่งเป็นคู่ขาจับคู่ทำรายงานกับเชี่ยคีย์มาตั้งแต่ปีหนึ่ง

“ไอ้ต๊อบไง”

“ไอ้ต๊อบมันคู่กับไอ้หงส์ มึงก็รู้” เพื่อนผมมันกัดฟันเหมือนหนักใจกับปัญหาโลกแตกที่ยังไงชาตินี้ทั้งชาติก็ดูเหมือนจะเคลียร์ไม่ได้

“งั้นมึงหาเอาใหม่ กูเชื่อว่ามึงหาได้ ผู้หญิงที่ไหนก็อยากคู่กับมึง” หาได้เชี่ยอะไรคณะที่อาจารย์ให้จับคู่แม่งเสือกมีอยู่เอกเดียว แถมคนโคตรน้อย ถึงจะบอกอิสระ แต่อาจารย์กลับดักให้เด็กคณะนี้ต้องคู่กับคณะนั้นเพื่อป้องกันการไม่ครบคู่

พอมาคิดๆดูว่าถ้าไอ้คีย์มันไปดึงแฟนมันจากภาคนั้น เศษที่เหลือมันก็จะต้องมี...

...มีเชี่ยอะไรล่ะ...ป่านนี้แล้วมันจะเหลือได้ไงวะ ป่านนี้ที่ว่ามันคือวันรุ่งขึ้นจะต้องส่งรายชื่อจับคู่กับอาจารย์แล้วนะเว้ย สัดเอ๊ยทำไมทำกันได้วะเชี่ยคีย์

“กูแม่งทำเดี่ยวได้มั้ยวะ”

“เฮ้ยไอ้เม่นมึงอย่าพึ่งหมดหวังดิวะ ถ้ามึงยอมแพ้แล้วอาจารย์แม่จะทำไง อาจารย์แม่เลยนะเว้ย”

“มึงทำให้กูไม่มีทางเลือกเอง”

“ใครบอกมึงไม่มี” ไอ้คีย์มันพูดราวกับรู้วิธีหาทางออกอยู่แล้ว ผมรีบกระตือรือร้นขยับเข้าไปใกล้มัน ก่อนถาม

“หรือมึงมีวิธีดีดีอะไร มีอะไรก็รีบบอกมาดิวะ”

“ภาคแฟนกู ใครๆก็รู้ว่าต้องมีอยู่หนึ่งคนที่เหลือเป็นเศษอยู่แล้ว”

แต่ทำไมกูไม่รู้ “ใครวะ”

“เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง”

“ให้มันแน่นะมึง”

“เออ แน่อยู่แล้ว รอแป๊บ” มันยกคิ้วให้ก่อนยกมือถือขึ้นมากดหาใครบางคน ทันทีที่อีกฝ่ายรับมันก็ปรับสีหน้าเป็นระริกระรี้ขี้อ้อนทันที “แยม คีย์ขอโทษนะที่โทรตอนเรียน คีย์มีเรื่องให้แยมช่วยหน่อยน่ะ” อ๋อที่แท้ก็ยอดยาหยีมัน เสียงเปลี่ยนเชียวนะไอ้เวรคีย์ ผมยืนกอดอกตั้งใจฟังที่มันพูด ดูว่ามันช่วยแก้ปัญหายังไงให้ผม

“แยมมีเบอร์คนนั้นมั้ย”

ใคร?

“คนที่วันก่อนแยมเล่าให้คีย์ฟังไง”

สงสัยคนรู้จักของแฟนมัน

“ใช่ๆที่ว่าแปลกๆน่ะ แยมมีเบอร์เขามั้ย”

หา? แปลก? นี่มึงกำลังหาคนหรือมนุษย์ต่างดาวมาให้กูกันแน่วะ

“ก็ไอ้เม่นน่ะดิมันไม่มีคู่พอดีแล้วมันบอกให้คีย์ช่วยหาให้”

ตอแหลสุด ทำใจดีได้หน้าเลยนะมึง ได้ข่าวว่ามึงเทกู

“ได้ๆ เดี๋ยวคีย์ส่งต่อให้ไอ้เม่นมัน ส่งมาเลยนะ ดูมันเดือดร้อนจนตูดไม่ติดเก้าอี้แล้ว จ้ะ จ้ะ ไว้เจอกันนะ บาย”

หลังจากวางสายปุ๊บ เสียงข้อความจากโปรแกรมแชทยอดฮิตก็ดังขึ้น ผมเห็นมันกดโน่นจิ้มนี่ ก่อนที่มือถือผมจะสั่นขึ้นมา พอกดเปิดมองข้อความใหม่ที่เป็นของไอ้คีย์ก็ได้แต่เอียงหัวสงสัย

“มานับยู...อะไรของมึงวะ”

“ไอดีไลน์”

“ของใคร”

“คนที่จะทำงานคู่กับมึง”

“ใคร? เด็กภาคไหน?”

“ภาคเดียวกับแฟนกูเนี่ยแหละ รับรองยังไม่มีใครจับคู่กับมันชัวร์”

“ผู้ชาย?”

“เดี๋ยวนี้ชายได้ชายเขาเรียกว่ายอดชายเว้ย"

"สัดกูหาคู่ทำกิจกรรมไม่ได้คู่นอน"

"เออกูล้อเล่น แค่นี้มึงก็ซีเรียสไปได้ เอาเถอะมาถึงตอนนี้แล้วมึงก็อย่าเรื่องมากน่ะ จะหญิงก็ได้ชายก็เอาไปเถอะ มึงรีบทักแชทเขาไปเลย ถามว่ามีคู่ยัง รีบกดดิวะ” เหี้ย โคตรน่าสงสัย แต่บางทีไอ้คีย์มันอาจจะถามเอาจากแฟนก็ได้ว่า ใครที่ดูเหมือนยังไม่มีคู่ ผมเริ่มกดหาจากไอดี ภาพที่เด้งขึ้นมาเป็นภาพท้องฟ้าที่มีเครื่องบินอยู่ไกลลิบ สีโทนซีเปียสร้างอารมณ์โดดเดี่ยวและอ้างว้างได้อย่างชะงัด ชื่อของอีกฝ่ายคือ


...Leave me alone...


ถามจริง แล้วกูจะกล้าทักมั้ย แค่ชื่อก็ไม่น่าเข้าใกล้แล้ว แต่เอาวะ มาถึงตอนนี้อย่างน้อยขอแค่คู่ในนามมาทำกิจกรรมให้มันจบๆเรียนให้มันเสร็จๆไปเป็นอันใช้ได้ ผมนิ่งคิดอยู่ครู่นึง ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง เอาแบบสั้นๆง่ายๆให้อีกฝ่ายเข้าใจแค่ประโยคเดียว กลั่นกรองความคิดอยู่สักพักจึงตัดสินใจเริ่มบรรจงนิ้วเคาะลงไปบนหน้าจอ
 
PoPo_Porcupine
สวัสดี คุณได้ลงเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์ของเซกอาจารย์ปทุมรึเปล่า มีคู่ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แล้วรึยัง

ทันทีที่กดส่งผมจ้องหน้าจออยู่นาน แต่มันนิ่ง นิ่งมาก นิ่งสนิทเลยจ้า แบบเจ้าตัวไม่คิดจะกดขึ้นมาดู แต่เมื่อกี้ไอ้เชี่ยคีย์คุยกับแฟนว่ามีเรียน อีกฝ่ายก็อยู่ภาคเดียวกัน บางทีอาจจะยังดูมือถือไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจกดล็อคหน้าจอ แล้วยัดมือถือใส่กระเป๋าตามเดิม

“ไง ตอบมาแล้วเหรอ” ไอ้คีย์มันทำหน้าแบบโคตรลุ้นระทึก

“ยังไม่ได้อ่าน อาจจะกำลังเรียนอยู่ก็ได้”

“เออ จริงของมึง พยายามตื้อให้ได้ละกันโชคดีนะเพื่อน เดี๋ยวกูไปรับแฟนก่อน” ไอ้คีย์ลุกขึ้นทำท่าเร่งรีบจะออกไป แก้ปัญหาได้ก็จะชิ่งเลยเหรอวะ

“กูไปด้วย”

“หา? ไปทำไมวะ” ไอ้เชี่ยคีย์ถึงกับเหลียวหลังมามอง

“กูจะให้แฟนมึงชี้ว่ากูต้องทำงานกับคนไหน ไม่ใช่ให้กูมานั่งมโนกับไอดีไลน์แบบนี้” ไอ้คีย์มันกลอกตาขึ้นลงราวกับรำคาญ

“เออ ยังไงก็ได้ตามใจมึง ถ้าจะไปก็รีบตามมา เดี๋ยวแฟนกูรอ”



เดินตามไอ้คีย์ไประหว่างทางก็หยิบมือถือขึ้นมาดูเผื่อว่าเจ้าคนปริศนาเปิดมาอ่านข้อความ แต่สิ่งที่พบกลับมีเพียงความว่างเปล่า จนบางครั้งผมก็หันไปให้ความสำคัญกับการทักทายคนที่เดินสวนไปมา ไม่ใช่ว่าจะรู้จักกับใครมากมายอย่างที่ทุกคนคิด หากเพราะบทสัมภาษณ์ของพี่ดิบในวันนั้นเลยทำให้ผมดังขึ้น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอยู่ในมุมเงียบๆของมหาวิทยาลัยอย่างที่เคยเป็นมากลับกลายเป็นว่าฐานเสียงแฟนคลับเพิ่มเป็นเท่าทวี ขาดก็แค่แฟนคลับผมมันดันไม่มีใครเรียนวิชานี้แล้วอยู่คณะมนุษย์ปีสาม ผมเลยต้องมานั่นกลุ้มหาคู่ทำงานอยู่ตอนนี้ไง

ในที่สุดผมกับไอ้คีย์มาหยุดตรงโต๊ะใต้ตึกเรียนรวม เพื่อนผมมันนั่งง่วนกับการกดมือถือแชทหาแฟน ส่วนผมก็ได้แต่มองหน้าจอที่ไร้การตอบสนอง นั่งดูจนเบื่อเลยสลับไปดูไอจีเพจของเจ๊ดิบแก้เซ็ง วันนี้เพจพี่แกดูแปลกๆ ไร้การเคลื่อนไหวและปราศจากการอัพรูปมาตั้งแต่เช้า ปกติแอดมินที่นี่ขยันกันจะตายเห็นอัพรูปแต่ละวันอย่างต่ำมากกว่าสิบภาพ แต่วันนี้กลับ...

หืม...ระหว่างที่ไถหน้าจอไปเรื่อยก็มีการอัพเดตรูปๆหนึ่งขึ้นมา พื้นหลังโคตรคุ้นตาเหมือนเป็นสถานที่ที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้ หรือผมจะโดนพี่ดิบมันเล่นอีกแล้ววะ

แต่เปล่าเลยรูปเหยื่อรายแรกที่เปิดซิงเพจSexy Dippy Cutie boy in the universityในวันนี้กลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดเสื้อนักศึกษาที่ออร่าเด่นเว่อร์ ความขาวของสีผิวกระจายเผื่อแผ่ให้แมงเม่ารอบข้างราวกับหลอดนีออนเปิดสู้ความมืดมิดตอนกลางคืน เสื้อที่ดูจะโอเว่อร์ไซส์นิดๆให้อารมณ์โคตรฮิปสเตอร์ กอปรกับแขนขายาวๆที่ก้าวลงบันได กางเกงขาเดฟที่ใส่ให้ลุคเกาหลีอวดรูปร่างสมส่วนเรียวชะลูดทะมัดทะแมง ประกายความเป็นศิลปินที่หาตัวจับยากเฉิดฉายจำรัสขึ้นมาภายใต้กรอบหน้ารูปไข่กับเรือนผมสีเทาที่พลิ้วสไวไปตามจังหวะการก้าวเดิน เจ้าตัวกำลังง่วนกับการก้มหน้าก้มตาดูมือถือโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกแอบถ่ายอยู่เลยสักนิด
 
Sexy Dippy Cutie boy in the university รอข้อความจากเค้าอยู่เหรอตะเอง~

มโนสัดเลยอีพี่ดิบ ผมยังคงจ้องหน้าหวานๆของอีกฝ่ายในมือถือต่อไปก่อนสายตาจะไล่ไปสะดุดกับคำบรรยายชื่อคนและคณะ...

เร มนุษยศาสตร์ IG :ป้ายังหาไม่ได้เลยค่า อย่าได้ DM มานะจ๊ะ ป้าตอบไม่ได้

...เรวะเหรอวะเนี่ย... ทำไมมันขึ้นกล้องได้ขนาดนี้วะ ไม่ใช่ว่าตัวจริงมันดูไม่ดีหรอกนะครับ แต่ภาพที่ถ่ายกับอากัปกิริยาแบบธรรมชาติของมันทำให้ดูเท่และดูดีอย่างบอกไม่ถูก เล่นเอาคนกดหัวใจให้เป็นพันๆดวงทั้งที่ลงไปไม่กี่นาที

ครืดดดด

มือถือผมสั่นพร้อมกับแจ้งเตือนข้อความในโปรแกรมแชทเด้งขึ้น หรือจะเป็นคู่พาร์ทเนอร์จากนี้ไปในอนาคตของผมมันตอบกลับมาแล้ววะ

Leave me alone
ยัง


ซื้อหวยไม่ถูก คนที่ผมกำลังจีบให้มาเป็นคู่หูตลอดช่วงการทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ตอบกลับมาโคตรสั้น ผมเลยรีบรัวพิมพ์ไม่ยั้งตอบกลับไป
 
PoPo_Porcupine
คู่กับเรามั้ย เราไม่มีคู่อยู่พอดี

Leave me alone
ได้


“ไอ้เม่น แฟนกูมาแล้ว” เสียงไอ้คีย์เรียกผม ผมเงยหน้าขึ้นไปหาแยม แฟนสาวของไอ้คีย์ที่คุ้นหน้ากันดีก่อนยิ้มทักทาย

“ไงแยม”

“ไงเม่น สบายดีมั้ย” จะไม่สบายก็ต้องแต่โดนแย่งคู่ทำงานไปแหละครับ

“ก็เรื่อยๆน่ะ ว่าแต่วันนี้วิชาสุดท้ายแล้วเหรอ”

“ใช่ เดี๋ยวจะไปหาอะไรกินต่อกับคีย์น่ะ เออจริงสิ เรื่องคนที่จะมาคู่กับเม่นน่ะ เม่นน่าจะเคยเห็นหน้าบ้างแล้วนะ เมื่อกี้แยมเห็นเดินอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวนะ” เธอทำท่าชะโงกหน้ามองหาใครคนหนึ่งซึ่งผมโดนสมมุติทึกทักว่าเคยเห็นหน้ามาแล้วไปทั่วลานใต้ตึก

“แยม ไม่เป็นไรแล้วล่ะ คู่เม่นตอบมาแล้ว เดี๋ยวค่อยหาเวลานัดอีกรอบนึง”

“แต่เม่นอุตส่าห์มาแล้ว แยมก็อยากให้เจอน่ะ เดี๋ยวนะแยมว่าเมื่อกี้แยมเห็นอยู่แวบๆ” โธ่คุณเธอ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมคณะจริงๆก็โทรตามให้มาที่นี่เลยก็สิ้นเรื่องจะชะโงกมองหาให้เสียเวลาทำไมกัน
 
ครืดดดด

มือถือในมือผมสั่นระหว่างที่แฟนเพื่อนกำลังตั้งใจมองหาคู่แห่งชะตาของผม ผมจึงหยิบขึ้นมาดูข้อความอีกครั้ง

Leave me alone
คุณชื่ออะไร ผมจะติดต่อคุณได้ยังไง


PoPo_Porcupine
ตอนนี้คุณยังอยู่ใต้ตึกเรียนรวมใช่มั้ย
ผมอยู่ใต้ตึกพอดี
มาหาผมตรงที่โต๊ะกลางลานสิ
ผมชื่อ
...เม่น

“เม่น!!” พอจิ้มส่งปุ๊บเสียงแฟนไอ้คีย์ก็ดังปั๊บ ทำเอาตกใจจนแทบมือถือหล่น ก็เล่นตะโกนอย่างกับว่าผมไม่ได้อยู่ข้างๆเธอยังไงอย่างนั้น ผมเงยหน้าขึ้นไปมองแยม สีหน้าเธอผิดแปลกไปจากเดิมแถมพยายามพยักพเยิดให้ผมมองไปข้างหน้า “มาแล้ว คู่นายน่ะ กำลังเดินมาทางนี้เลย คุยกันไปสองคนก่อนนะ พวกเราไม่กวนแล้ว” เธอหมุนตัวหันหลังอย่างร้อนรนพลางเกี่ยวแขนแฟนหนุ่มให้ก้าวตามไป ไอ้คีย์ได้แต่ทำหน้าเหลอหลาเหมือนไม่ได้เตี๊ยมอะไรกับแฟนมาก่อน

เหอะ...คู่ประหลาด...

ผมก้มหน้าส่ายหัวอย่างระอาปนเอ็นดู ทันใดนั้นกางเกงยีนส์ขาดๆกับรองเท้าอาดิดาสเก่าๆของใครบางคนก็เข้ามาอยู่ในสายตา

“โพโพ โพคุพาย” ทักทายภาษาชนเผ่าโพคูหรือไง แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูคุ้นหูยังไงชอบกล มันทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง

เชี่ย...

คนที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกันจริงๆจังๆอีกครั้งกลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ชื่อว่า 'เรวะ'

ผมพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ภาวนาให้อีกฝ่ายทักคนผิด แต่พอสบสายตาที่จ้องมองมาเท่านั้นแหละ โยนคำภาวนาทิ้งลงอ่าวไทยแทบไม่ทัน มันตั้งใจมองหน้าผมชัดเจนขนาดนั้น ถ้าบอกว่าไม่มีธุระผมคงได้แต่ทักว่าหาเรื่องแล้ว

“มีอะไร” มองหน้านานๆกูคิดตังค์นะ

“เม่น” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อเล่นของตัวเองหลุดออกจากปากคนที่ชาตินี้ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เกี่ยวดองกัน เด็กชายเรวะพูดชื่อผมด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ทว่าดูเหมือนการเน้นย้ำยืนยันตัวตนของผมเสียมากกว่า

“เรียกทำไม...เฮ้ย ทำอะไรวะ!!” แทนที่มันจะตอบ มันกลับยื่นมือยาวๆมาดึงโทรศัพท์ไปจากมือผม พอคิดว่าจะโดนขโมยไอ้เรวะกลับไม่วิ่งแถมยังยืนนิ่งกดมือถือผมยิกๆ ทางนี้ก็ได้แต่มองอย่างอึ้งๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เจ้าตัวส่งมือถือกลับมาให้ผมแล้ว

“ผมชื่อเร”

“หา?”

ปล่อยให้ยืนงงในดงมันฝรั่งแล้วก็จากไป ผมมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปช้าๆ กว่าจะดึงสติกลับมาที่หน้าโฮมได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายนาที มือถือผมดูสงบนิ่งไร้ร่องรอยการถูกกระทำชำเราราวกับสาวพรหมจรรย์

มัน ทำอะไรของมัน?

ควรใส่ใจหรือปล่อยผ่าน?

ตามความคิดไม่ถูกเลยจริงๆ
 
แล้วหลังจากนั้น ทันทีที่ผมตัดสินใจว่าจะปล่อยผ่าน ผมก็รู้ตัวว่า ผมคิดผิด...



Leave me alone
ขอบคุณที่ชวนผม



...TBC...


ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ m(_ _)m
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 2 :: สัญชาติโจรโดยกำเนิด [13/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 13-02-2019 20:27:24
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 2 :: สัญชาติโจรโดยกำเนิด


...เดจาวูฉิบหาย...

เมื่อสามนาทีก่อน...ผมโดนขโมยเบอร์มือถือ

เมื่อหนึ่งปีก่อน...ผมเคยโดนขโมยเงินในกระเป๋าสตางค์...


‘เป็นอะไรวะไอ้เม่น’

‘กระเป๋าตังค์’

‘หา?’

‘กูหากระเป๋าตังค์ไม่เจอ’

‘เมื่อกี้ยังเห็นมึงถืออยู่ที่ร้านข้าว’

‘เชี่ยหงส์ เดี๋ยวกูมา’


อะดรีนาลีนผมหลั่ง แทบจะวิ่งอย่างบ้าพลังกลับมายังโรงอาหารเสียด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องมองหาตามพื้นหรือพงหญ้าริมทางเดิน เพราะเผื่อบังเอิญไม่ได้ทำหล่นไว้ที่ร้านข้าวดังคำกล่าวของพยานอย่างไอ้หงส์แล้วล่ะก็ ผมคงกลับมาที่เก่าได้ไวกว่านี้

ขึ้นชื่อว่าลืมก็คือลืมเถอะต่อให้ขุดเค้นออกจากสมองก็นึกไม่ออกว่าตัวเองทำหล่นตอนไหน แต่แน่ใจว่าใส่กระเป๋าหลังจ่ายค่าข้าวแล้วอย่างแน่นอน หรือว่าจะโดนล้วงตอนที่เบียดผู้คนออกมาจากตลาดนัดทางผ่านระหว่างโรงอาหารกับศูนย์เรียนรวม

ไม่น่ะ...ผมคงไม่โชคร้ายตกเป็นเป้าหมายของโจรเข้าให้ในวันที่เงินเต็มกระเป๋าอย่างวันนี้หรอก...

...ใช่...คงไม่ดวงตกถึงขนาดทำกระเป๋าตังค์หายในวันที่พกเงินมามากมายเพื่อโอนตังค์ค่าหน่วยกิตในวันสุดท้ายอย่างวันนี้หรอก...ผมผิดเองแหละที่มัวแต่เอาเวลาทั้งปิดเทอมบินไปหาพ่อแม่จนปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึงตอนนี้...

พอพาตัวเองมาจนถึงหน้าร้านกะเพราไก่ไข่ดาวเจ้าเด็ดประจำมอ สายตาก็กวาดมองทั้งซ้ายขวาหน้าหลังหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาจนครบสี่ครั้งก็ยังไม่เห็นวี่แววกระเป๋าสีดำที่ผมเป็นเจ้าของ หนทางสุดท้ายที่คิดได้คือการถามคนละแวกนั้นอย่างป้าแม่ค้าที่ผัดกับข้าวหน้ามันอยู่ในร้าน

‘ป้าครับ’ คุณป้าเงยหน้าขึ้นมามอง

‘อ้าวเราที่มาซื้อไปเมื่อกี้นี้หนิ จะสั่งอะไรเพิ่มเหรอ’

‘เออเปล่าครับ...คือผมแค่จะมาถาม เมื่อกี้ป้าเห็นกระเป๋าสตางค์ตกอยู่แถวนี้บ้างมั้ยครับ’ โคตรลุ้น...ลุ้นให้ป้าพยักหน้าแล้วบอกว่าเป็นคนเก็บไว้ ไม่งั้นชะตากรรมผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ตราบใดที่พ่อแม่ไม่บินกลับไทยผมอาจจะต้องแลกกับการถูกลบชื่อในระบบลงทะเบียนต้องเรียนซ้ำชั้นไปอีกหนึ่งปีก็เป็นได้ โว้ย ไม่อยากจะคิด

‘ไม่เห็นนะ’

ใจผมแม่งแฟ่บลงทันตา

‘ลองถามคนแถวนี้ดูก่อนมั้ย เผื่อใครเห็น ป้าก็อยู่แต่ในนี้ ไม่ทันได้มองหรอก’

จบแล้ว...ชีวิตปีสองของผม...

‘จริงสิ เด็กคนนั้นไง’ เสียงป้าดังขึ้นมาอีกระลอก สายตาเธอมองพลางชี้ปลายนิ้วไปยังทิศทางที่ไกลออกไปทางขวามือ ‘คนที่ยืนอยู่ตรงถังขยะตรงนั้นน่ะ ป้าจำได้ว่ามาซื้อกับป้าหลังเรา มากับผู้ชายอีกคนนึงแต่ตอนนี้ไม่รู้ไปไหนแล้ว เห็นเจ้าตัวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานแล้วล่ะ เราลองไปถามดูมั้ย’

จบคำบอกเล่าผมเร่งฝีเท้าเข้าหากองส่งกลิ่นไม่พึ่งประสงค์โดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอีกต่อไป พอเข้าใกล้ก็ชะลอความเร็วลงอย่างตั้งใจว่าจะทักอย่างละมุนละม่อม แต่คนตรงหน้ากลับทำท่าแบบโคตรลับ ลวง พราง หันหลังเข้าถังขยะแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ผมจึงค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้จากด้านข้าง

ทันทีที่เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างโคตรคุ้นตาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่ให้เค้นจากสมองนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เหมือนมันติดอยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำ เศษเสี้ยวที่ยังไม่ตกผลึก อะไรบางอย่างผลักดันให้ผมขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น จนกระทั่งอีกฝ่ายรู้สึกตัวจึงหันมาเผชิญหน้ากันโดยตรง

‘นาย’ หน้าแม่งโคตรไอดอล ถ้าไม่บอกว่าเป็นนักศึกษาผมคงคิดว่าดาราที่ไหนมาจัดอีเวนท์อะไรกลางมหาลัยตอนนี้ ร่างที่เล็กกว่าผมไป...เออประมาณไม่เกินสิบเซนต์ได้มั้ง กำลังหันมามองทางนี้ด้วยสายตาเป็นเชิงประหลาดใจ เสียงที่เรียกสรรพนามแทนผมเล็กว่าที่คิด แถมยังแหบแห้ง ผมรู้สึกได้ถึงความลุกลี้ลุกลนที่เจ้าตัวพยายามซ่อนอะไรบางอย่างไว้ด้านหลัง

เฮ่ นี่มันชักจะยังไงแล้วนะ ผมหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างจับสังเกต ไม่อยากตัดสินคนจากภายนอก หากแต่พฤติกรรมของคนตรงหน้าขัดลูกตาฉิบหาย แล้วผมรู้สึกเหมือนกำลังระลึกชาติได้แล้วว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใคร...

‘นายใช่ที่เรียนอยู่ปีเดียวกันรึเปล่า...ที่ชื่อว่าเรว...’

‘เร ชื่อเร ไม่มีอะไรต่อหลัง’

‘เออ เร ได้ยินจากป้าแม่ค้าตรงนู้นว่านายซื้อข้าวต่อจากเรา นายมีเห็นกระเป๋าสตางค์สีดำ ตกอยู่แถวนั้นบ้างมั้ย’ ขอให้ตอบเถอะว่ามี นอกนั้นไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว กลั้นใจรอคำตอบอยู่นานสุดท้ายเจ้าตัวก็บอกในสิ่งที่ผมปรารถนา

‘เห็น’

‘เชี่ย จริงป่ะ แล้วมันอยู่ไหนน่ะ’ เจ้าตัวค่อยๆขยับสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมา ทันทีที่เห็นผมรีบคว้าเอาไว้แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง และทันใดนั้นแม่งเตะเข้าจมูกเต็มๆเลยครับ ไม่ใช่ตีนใครนะ แต่กลิ่นเนี่ยดิเน่าเรียกพี่ แบบคลองหลังบ้านในวันฝนตกห่าใหญ่ที่มีขี้หมาลอยไปลอยมา โหย ใครมันเอาไปจิ้มจุ่มแซ่มฮัทกับน้ำขยะมาวะ อย่าบอกนะว่าไอ้ที่แฉะๆนี่ก็... เชี่ยเอ๊ยบอกได้คำเดียวว่า...เละ

ส่วนสภาพคนเก็บก็ไม่ต่างกันมือมันทั้งดำและเปียก สายตาคมโตจ้องมาที่ผมนิ่ง

‘มันตกลงไปในถังขยะ’

‘ตกลงไปได้ไงวะ’ นี่หน้ามืดขนาดปากระเป๋าลงถังขยะได้แล้วเหรอวะไอ้เม่น สงสัยบ้านผมจะรวยเกินไปจนไม่อยากใช้ตังค์ แต่ช่างเหอะได้คืนมาก็ถือว่าบุญแล้ว ผมต้องขอบคุณคนตรงหน้า ‘เออนาย ขอบใจนะที่ช่วย...’

‘ผมทิ้งลงไปเอง’

‘...’

‘เงินในกระเป๋า ผมใช้ไปหมดแล้ว ไว้เจอกันอีกทีผมจะมาใช้คืน’ พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปแบบนิ่งๆ ปล่อยให้ผมยืนเป็นควายหน้าโง่ ตีความคำพูดอีกฝ่ายไม่ถูกอยู่หลายวิ

‘ใช้...ไปหมดแล้ว’ จากที่ตัดสินใจไม่เปิดเช็คเพราะสภาพเละเกินเยียวยา ผมนี่ยอมเป็นขยะเปียกวันนึงเลย ภายในกระเป๋าเหมือนจะมีของทุกอย่างขาดก็แต่...

เงิน!!

ของที่สำคัญที่สุด ที่กังวลที่สุดว่าจะหายไป แล้วมันก็เสือกหายไปเนี่ยนะ แล้วไอ้ไอดอลเมื่อครู่มันก็เป็นคนบอกตรูว่าใช้ไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย จะให้วิ่งตามไปตอนนี้ก็ไม่ทัน เพราะผมไม่ทันมองด้วยซ้ำว่ามันเดินไปทางไหนเพราะมัวแต่สนใจของในกระเป๋า

‘นี่มันบ้าอะไรวะ’
   


จบการรำลึกความหลัง ในวันนั้นยังมีอีกอย่างที่หายไปจากกระเป๋าสตางค์ผม...บัตรนักศึกษา ทำให้ผมต้องวิ่งวุ่นไปเดินเรื่องทำบัตรใหม่ไม่พอยังต้องให้ผมติดต่อไปทางเจเฟอร์สันหัวหน้าสาขาบริษัทที่พ่อแม่ผมทำงานอยู่ให้ช่วยติดต่อฉุกเฉินแจ้งว่ามีเรื่องด่วนไปยังขั้วโลกใต้อีก...ยุ่งยากขั้นสัด

ไม่อยากกล่าวโทษใคร แต่เรวะก็เป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้ผมเกือบหมดสิทธิ์การเป็นนักศึกษา แล้วผมยังควรจะมองมันในแง่ดีอยู่มั้ย แล้วทำไมคราวนี้กูต้องมาจับคู่กับมันทำกิจกรรมวิชาบังคับตลอดหนึ่งเทอมด้วยวะ


มนายุ กานต์พงศ์สุจริต รหัสนิสิต 5911XXX คณะมนุษยศาสตร์ เอกวิชาภาษาญี่ปุ่น ปี 3



“ไอ้เม่น กูปวดหัว”

“พาราอยู่ในกระเป๋า”

“ไอ้หงส์มันหมายถึงให้มึงหยุดเดินวนไปวนมาสักทีได้มั้ยวะ น่ารำคาญ” ไอ้ต๊อบเขวี้ยงขวดน้ำมาโคตรตรงเป้าแต่ผมก็อาศัยทักษะมวยที่เคยเรียนหลบให้ผ่านวืดไปอย่างเนียนๆตอนนี้ผมไม่มีเวลาไปสนไอ้เพื่อนผมสามตัวนี้หรอก

กระดาษในมือผมต่างหากที่สำคัญ เส้นตายคือวันนี้ วันนี้ที่จะต้องยื่นชื่อเนื้อคู่ตูนาหงันจับคู่กันทำกิจกรรมไปยันชาติหน้าให้อาจารย์แม่

“เอากระดาษมึงมาได้แล้ว กูจะเอาไปส่ง” ไอ้คีย์ตัวการของเรื่องมันยื่นมือมา ส่วนในมืออีกข้างก็รวบกระดาษของไอ้ต๊อบกับไอ้หงส์รวมถึงของมันกับเมียมันไว้ไม่มีการสำนึกใดใดทั้งสิ้น

“ให้กูคิดอีกสักนิดจะได้มั้ยวะ”

“คิดมากอะไรวะ ก็เห็นไอ้เรมันดูเข้ากันกับมึงดีออก”

“ฮะ? เข้ากัน? มึงเอาอะไรมาพูด กูยังไม่เคยรู้จักมันเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ แล้วเอาอะไรมาบอกว่าเข้ากัน”

“หลักฐานมันคาตาเว้ย”

หลักฐาน? ผมไปมีหลักฐานอะไรให้พวกมันเข้าใจผิดว่าสนิทกับไอ้เรได้วะ

“ในไอจีเนี่ยไง จีบกันหนุงหนิงมีแลกบงแลกเบอร์จับมือ หูยกูเนี่ยแอบคิดเลยว่าเพื่อนกูเสร็จไอ้เรแล้วแน่ๆ”

“เดี๋ยวพวกมึงกูไปแลกเบอร์กับไอ้เรวะมันตอนไหน มึงเอาอะไรมาพูด เรื่องจับมือน่ะถ้าไม่ใช่ผู้หญิงก็อย่าหวัง กูไม่ทำให้เปลืองมือหรอกเว้ย” ตอนนั้นมันอาจจะแค่เอามือถือผมไปเล่นอาร์โอวี เออแค่เสี้ยวสิบวินาทีนั่นแหละ บางทีมันอาจจะล็อกอินไม่ได้ เพราะเน็ตใต้ศูนย์เรียนรวมมันกากคนเยอะแย่งกันใช้เลยต้องส่งคืนให้ผม แล้วเรื่องจับมงจำมือ...

...เฮ้ย เดี๋ยวก่อนเมื่อวานในไอจี ผมจำได้แค่ว่ามีภาพไอ้เรวะสุดหล่อออร่าจับเป็นภาพสุดท้ายแล้วทำไม ไอ้เพื่อนผมสามตัวมันถึงพูดเหมือนอยู่ในเหตการณ์ได้วะ...

“เมื่อวานหลังจากนั้นมึงคงยุ่งมากสินะ” ไอ้คีย์มองมาทำหน้ามีเลศนัย

“ไม่ได้ยุ่ง กูแค่ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงดี”

“ไม่รู้วิธีทำไมไม่ศึกษาไปก่อน” ไอ้ต๊อบถาม ยังดีที่กูฉลาดพอจะเชื่อมโยงได้

“ศึกษาอะไรวะ ก็ไอ้เชี่ยคีย์มันไม่เหลือทางเลือกให้กูเลย”

“กระชั้นไปจนไม่มีเวลาให้ศึกษา ถึงขนาดว่าไม่มีเวลาดูเพจที่มึงติด ท่าจะเป็นเอาหนักมากเลยว่ะ” ไอ้หงส์สำทับ
ว่าแต่...

“พวกมึงพูดเรื่องเชี่ยอะไรกันวะ” กูชักไม่มั่นใจในสกิลเชื่อมโยงกูแล้ว

“ตอนนั้นคนแม่งกดไลค์จนเพจพี่มันแทบถล่ม” ไอ้หงส์มันพูดต่อแถมไถมือถืออย่างตั้งใจ

“มึงไม่ต้องให้กูดูหรอก กูเห็นแล้ว ภาพเดี่ยวของไอ้เรวะใช่ป่ะ”

“เปล่า ภาพคู่ของมึงกับไอ้เรนั่นแหละ” พวกมันควรไปเรียนเอกขับร้อง ขอแบบประสานเสียงด้วย รับรองจบไปด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งแน่ๆ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นควรให้รางวัลเผือกทองคำมันก่อน...

หืม?

ว่าแต่...ผมมีภาพคู่กับเรวะได้ไงวะ?


ภาพคู่ตอนเม่นนั่งเรวะยืนแล้วสบตากันพอดี

Sexy Dippy Cutie boy in the university เรจะมีใจรึเปล่า เรจะมองมาที่เม่นรึเปล่า

เม่น ศิลปกรรมศาสตร์ ปีสาม IG : PoPo_Pine เร มนุษยศาสตร์ ปีสาม IG : N/A


โฮลี่ชิท!! ประเด็นมันไม่ใช่ภาพแต่เป็นข้อความด้านล่างที่โคตรชวนเข้าใจผิดต่างหาก ต่อให้เป็นท่อนฮุกของเพลงพี่ป๊อบ ปองกูล แต่กูขอเป็นเพลงอื่นได้มั้ย อย่าง ‘แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี’ หรืออะไรก็ได้ จะได้เป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านพ้นวิชาอาจารย์ปทุมไปได้น่ะ ไม่ใช่ให้กลายมาเป็นคู่จิ้นชั่วข้ามคืนแบบสายฟ้าแลบขนาดนี้

ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวรีบส่ง DM ไปหาเชี่ยพี่ดิบทันที

PoPo_Pine ช่วยลบภาพผมกับไอ้เรวะออกด้วยครับ

Sexy Dippy Cutie boy in the university อยากเก็บเอาไว้ดูเล่นแค่สองคนหรอก แหมๆๆวันก่อนยังเห็นต่อยกันอยู่เลยไปสนิทกันตอนไหนจ๊ะ

PoPo_Pine ผมไม่ได้สนิทกับมัน ช่วยลบภาพนี้ออกทีเถอะครับพี่ดิบ

Sexy Dippy Cutie boy in the university โอ๊ย พ่อเด็กขี้อาย ไม่ต้องเขินหรอกจ๊ะ หลักฐานมันอยู่ตำตาบนตัวนุ้งเรนั่นแหละ

PoPo_Pine ผมไม่ได้เขิน ช่วยลบออกทีเถอะครับ

Sexy Dippy Cutie boy in the university เห็นนุ้งเรใส่ชุดโคร่งๆแล้วเอ็นดู๊เอ็นดู ชุดน้องเม่นใช่มั้ย วันก่อนสายพี่บอกว่ามีจูงมือกันไปเอา(เสื้อ)ถึงบนหอ ลงมานี่สภาพหลุดลุ่ยรุ่งริ่งไปตามๆกัน

PoPo_Pine ผมไม่ได้เขิน ช่วยลบออกทีเถอะครับ


ประโยคสุดท้ายสาบานว่ากูก๊อปแปะ ขี้เกียจพิมพ์

แต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าไอ้ที่เรวะเตือนจะกลายเป็นจริง

‘เดี๋ยวจะมีข่าวเสียหาย’

หมายถึงเรื่องนี้เหรอวะ นี่ผม...ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย


ใจลอยเหม่อไปนึกถึงวันก่อน พอหันมาตั้งท่าจะพิมพ์เถียงไอ้เจ้าของเพจบ้าบอให้เลิกล้มความตั้งใจในการสร้างคู่จิ้นหน้าใหม่ประจำมอ มือถือกลับแผดเสียงร้องขึ้นมาเสียก่อนพร้อมกับการปรากฏของเบอร์โทรที่ไม่รู้จัก ผมชินแล้วล่ะกับเรื่องแบบนี้ กับการที่มีเบอร์โทรของสาวๆแปลกหน้าตบเท้าเข้ามาเสนอตัวว่าพร้อมจะดูแลหัวใจของผม และการได้คุยกับหญิงสาวหลากหลายคนมันก็ไม่เลว ดูมีทางเลือกดี ดังนั้นผมจึงกดรับแบบไม่ลังเล

“ครับ”

[นายอยู่ที่ใต้ตึกรึเปล่า]

“หา?” เป็นเสียงตัวผู้ครับ ผมดึงมือถือออกมาดูหน้าจออีกครั้ง เออ...ลืมไปว่าไม่ได้เมมเบอร์ แต่ทำไมคำพูดคำจาเหมือนสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อนวะ “ใครวะ”

[ไม่ต้องแล้ว] เฮ้ย ไม่ต้องอะไร แล้วทำไมวางสายเฉย

“หูยยยยยยย” คราวนี้ไม่ใช่เสียงผม แต่เป็นไอ้เชี่ยต๊อบที่ทำท่ายิ้มกรุ้มกริ่มมองมา

“เป็นอะไรของมึงวะ ปวดขี้เหรอ”

“เมื่อวานได้ดูภาพ วันนี้ได้ดูของจริงว่ะ” คราวนี้เป็นไอ้หงส์ที่พูดบ้าง

“ของจริง?” ทำไมพวกมึงพูดแต่เรื่องให้กูงง

“คู่จิ้นมึงไง” ไอ้คีย์บอกพลางส่งสายตาไปด้านหลังผมไม่ขาด

“หา?”

แกร่บ!!

กระดาษรายชื่อในมือโดนกระตุกออกไป เล่นเอาสะดุ้ง ผมเหลียวหลังทันควันให้ไปเจอกับเงาสูงที่บดบังแสงแดดซึ่งสาดส่องเข้ามายังใต้โถงคณะยามบ่ายแก่ๆ แต่แทนที่จะเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับถูกซ่อนไว้หลังกระดาษ ใบเดียวกับที่ดึงไปจากมือผมเนี่ยแหละ เจ้าตัวดูจะสนอกสนใจในเนื้อหานั้นเป็นอย่างมาก...มึงเป็นใครวะ!!

“กรอกเสร็จแล้วหนิ”

อีกฝ่ายค่อยๆลดกระดาษลงจนเห็นใบหน้าขาวๆ ดวงตาคมๆ บวกกับผมสีแอชเกรย์  แค่นั้นแหละผมรู้เลยว่าแม่งวันนี้ชะตาขาด
เชี่ยเม่น มึงจุดธูปเบอร์ไหนถึงทำให้เรวะมาหาถึงใต้ตึกคณะได้ฟระ!!

“เดี๋ยวเอาไปส่งให้ละกัน”

“ฝากนี่ด้วย” ไอ้คีย์มันยื่นอีกสองใบอย่างไวให้กับไอดอล ก่อนที่อีกฝ่ายจะหมุนตัวแล้วเดินจากไปโดยปล่อยให้ผมกวักมือไหวๆ ราวกับไขว่คว้าหาโอกาสสุดท้ายที่ไม่มีทางได้มันกลับมา



ครั้งแรก เงินค่าหน่วยกิต

ครั้งที่สอง เบอร์มือถือ

ส่วนครั้งที่สามก็เป็นใบลงชื่อจับคู่เซกอาจารย์แม่เหรอวะ!!


...TBC...

หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 2 :: สัญชาติโจรโดยกำเนิด [13/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 13-02-2019 20:54:58
ทำไมเรต้องเป็นคนที่ทุกคนไม่โอเคด้วย ออกจะน่ารักนะๆๆ ยกเว้นตอนเอาค่าหน่วยกิตเม่นไปเนี่ย หนูเดือดร้อนอะไรลูก ไปเอาที่พี่ดิบสิลู้กก
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 3 :: ทารุณกรรมแม้กระทั่งสัตว์ประเสริฐ [14/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 14-02-2019 21:38:36
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 3 :: ทารุณกรรมแม้กระทั่งสัตว์ประเสริฐ


“เอ๋งๆๆ”


...เรวะเตะหมา...


ทุกคนหันไปมองตามเสียง คิดว่าหมาที่ไหนกัดกัน แต่ดันเห็นคนหุ่นสูงๆขาวๆ กำลังยืนกัดกับหมา เท้าที่ยกค้างอยู่กลางอากาศช่างน่าหวาดเสียวว่ามันจะเหวี่ยงลงมาโดนตัวเจ้าหมาน้อยที่หดหางเข้าตัวอย่างหวาดกลัวเมื่อไร ถ้าองค์กรกรีนพีชมาเห็นคงจับมันไปปรับหรือลงโทษสถานหนักโทษฐานที่ก่อคดีร้ายแรงกับสัตว์โลกแล้ว ไอ้หมาชะตาขาดถึงกับต้องจรลีชิดเข้าฟุตบาท หูหางตกเหมือนเจอหัวหน้าฝูงมาไล่ที่

...ทำไมมึงไม่ฉี่ทำอาณาเขตให้มันรู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ...ไอ้เรวะ...

“ปี๊นๆๆๆ”

รถกระบะเร่งเครื่องขับผ่านไป บดบังสายตาของผมซึ่งกำลังมองไปที่อีกฟากถนนตรงหน้าร้านกาแฟ ไม่ใช่ว่าผมตั้งใจมาดูไอ้บุคคลแห่งตำนานทำอะไร แต่ผมบังเอิญนั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะบาร์ยาวที่หันหน้าออกทางกระจกบานใหญ่ของร้าน แล้วบังเอิญว่าเรวะมันเดินเข้ามาอยู่ในสายตาผมพอดี

เออ..เดี๋ยวนี้กรรมมันติดจรวดแฮะ เมื่อครู่นี้แกล้งหมา ตอนนี้มันเลยกำลังจะโดนรถกระบะเฉี่ยวแทน แต่ผมก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขยันแช่งให้ชาวบ้านเป็นอะไรขนาดนั้นหรอก...เฮ้ย...


...เชี่ยเว้ย เรวะล้ม...


ผมเผลอลุกจากเก้าอี้พรวดพราด เสียงขาเหล็กครูดกับพื้นทำเอาคนในร้านหันมามองทางผมเป็นตาเดียว นี่ผมจะตกใจทำไมวะ คนอื่นน่าจะเห็นเรวะมันล้มด้วยนี่หว่า แต่ทำไม...ไม่มีใครช่วยมันสักคน...

ผมโคตรลงทุน รู้ทั้งรู้ว่าร้านนี้คนมานั่งจับจองพื้นที่เรียนหนังสือ จับกลุ่มพูดคุย หรือนั่งสบายจิบน้ำกินขนมแช่อยู่ทั้งวันตั้งเยอะ แล้วที่ตรงนี้ผมก็อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าออกจากหอเพื่อมาจับจองจะได้นั่งตากแอร์เย็นๆอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายใจ แต่ไม่ทันไรก็ต้องเสียม้า เพราะความมีมนุษยธรรมมันดลใจให้ผมกวาดข้าวของลงกระเป๋า ลุกขึ้นเดินออกจากร้านข้ามฟากไปยังจุดหมาย

พอมาถึงผมไม่ทัก แต่ยืนนิ่งจากด้านหลังคนที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น เจ้าตัวคงรู้สึกถึงเงาที่พาดมาบดบังจึงเหลียวหลังมาทางผม มันทำตาโตก่อนเปล่งเสียงออกมา

“โพโพ..โพคุ” ภาษาเชี่ยอะไรของมัน ผมได้ยินเป็นครั้งที่สองในสองครั้งที่เผชิญหน้ากับมันแล้ว

“ลุกไหวเปล่า” ดีที่ผมไม่ตอบกลับไปว่า พิคะพิคะจู้ มีหวังไอ้เรวะได้แปลงร่าง

“ไหว” มันตอบสั้นๆ แล้วหันกลับไปทางเก่า ส่วนผมถ้าบอกว่าไหวก็จะไม่ช่วย ยืนรอต่อไปให้ลุกเอง แต่ไอ้สปีดขยับแขนสิบมิลลิเมตรต่อชั่วโมงเนี่ยมันก็เกินไปเปล่าวะ

“เมื่อกี้โดนรถเฉี่ยวเหรอ” บอกแล้วว่ารถบัง ผมเลยไม่เห็นฉากสำคัญว่ามันโดนเฉี่ยวแล้วหนี หรือแค่เห็นเหรียญสิบตกแล้วก้มลงไปเก็บเท่านั้น

“เปล่า” อ่าว นั่นไง สงสัยตกเป็นประเด็นอย่างหลัง

“งั้นก็รีบลุก นั่งตรงนี้มันเกะกะชาวบ้านเขา” แถมใกล้ถนนอีก มาอีกคันคราวนี้คงได้โดนเฉี่ยวจริง ทำไมคำภาวนาของผมมันเห็นผลทันตาอย่างนี้วะ แอสตัน มาร์ติน ดีบีสิบเอ็ดกำลังแล่นมาทางนี้อย่างไว

ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้ยุ่งยาก ผมคล้องแขนฉุดร่างเพรียวๆที่ยังนั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวขึ้นจากพื้นแล้วสืบเท้าถอยไปด้านหลังให้พ้นรัศมีความแรงของเครื่องยนต์ห้าร้อยแรงม้า สายลมตามความแรงมาพัดผ่านหน้าไปชั่วเสี้ยววิ แล้วทุกอย่างก็สงบลง

“รถโคตรเท่” สีแมกเนติก ซิลเวอร์ ดูดีอย่างเมพจนอดชื่นชมตามหลังไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้น่าจะเฉี่ยวเอาคนที่อยู่ในวงแขนผมไปด้วยนะ คิดแล้วผมก็ก้มลงไปสำรวจคนที่อยู่แทบติดตัว

เรวะหมุนคอมามองหน้าผมนิ่ง เหมือนจะนึกรู้ว่าผมสาปแช่งอยู่ในใจ ผมเลยแกล้งทำหน้ากลบเกลื่อนจ้องตอบ

บอกเลยว่าด้วยสภาวะที่ใกล้ขนาดนี้มันทำให้ผมได้เห็นจุดเด่นบนใบหน้ามันหลายๆอย่าง เรวะเป็นคนหน้าใส ผิวเนียนละเอียดไร้รูขุมขน โครงคิ้วได้รูปอยู่เหนือแก้วตาสีน้ำตาลอ่อนกับแพขนตายาวมองสบมาทางผมนิ่ง ริมฝีปากบาง แถมยังสีสดใสเป็นธรรมชาติอีก หากสาวคนใดได้มายืนตรงจุดที่ผมเห็นอยู่นี้...

...รับรองพร้อมพลีมดลูกให้...แต่ผมไม่มีไงแล้วยกอะไรให้มันดีล่ะ...อืม...กล้ามเนื้อท้องก้อนนึงละกัน...

“โพโพ”

นี่ไง...ไอ้ใบหน้าที่ทำตาฉงนสงสัยแบบนี้แหละใสซื่อสิ้นดี สมควรแล้วที่ใครต่อใครจะโดนมันหลอก โดยเฉพาะไอ้พี่ดิบที่ขยันหาเวลามาจับทริปตามล่าหาเรวะแล้วถ่ายภาพอัพลงเพจไอจีมันทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีแม้แต่วี่แววหนุ่มหล่อนอกกระแสหัวแอชเกรย์อย่างมันโผล่มาให้เห็นสักครั้งเดียว สองปีมานี้มึงไปมุดหัวอยู่ไหนมาวะ พี่ดิบถึงพึ่งมาล่าขุมทรัพย์ได้แค่ภาพเดี่ยวไอดอลลงจากตึกเรียนสุดคูล แล้วก็...

...ภาพของพวกเราแบบอยากรู้แต่ไม่อยากถาม...

“เฮ้ย!!” เรวะร้องเสียงหลง เพราะผมเผลอปล่อยมือ หลอนว่ามีเสียงพี่ป๊อบ ปองกุลลอยมา ก่อนที่คนถูกช่วยเหลือจะร่วงลงพื้นอีกรอบมันหาวิธีเอาตัวรอดโดยคว้าแขนผมไว้แน่น หัวไอ้เรเลยเหมาะเจาะลงน้ำหนักมาที่อกผมเต็มๆ อีกฝ่ายพยายามฝืนตัวไม่ให้ล้ม ส่วนผมได้แต่ยืนตัวตรงนิ่ง นี่มันโลกคู่ขนานเปล่าวะ เหมือนผมกำลังสวมบทบาทสไปเดอร์เม่น ส่วนมันเป็นแมรี่ เจน เรวะสัน ที่เจอกันในวันฝนตก เราสองคนมองตากันในสภาพกลับหัว

แต่ผมไม่ขอให้มันเปิดหน้ากากแล้วจูบผมอย่างเร่าร้อนแบบนั้นหรอกนะ ผมถือ

“โทษที” มันมองตาผม รู้เลยว่ากำลังคาดโทษอยู่ คิดว่ากูแกล้งสินะ งั้นต้องถอยหลังสนองนีดส์มันหน่อย

“เฮ้ย!!ถอยทำเชี่ย!!”

“อ๊ะ โทษๆ” กลัวครับกลัว เกรี้ยวกราดไม่มีใครเกิน แต่อย่าลืมว่าผมอยู่บน แค่ถอยเท้าอีกก้าวมันก็นอนเช็ดพื้นแล้วได้แล้ว ใครเหนือกว่าให้มันรู้ไป ว่าแล้วผมก็ขยับตัวถอยไปอีกนิด

“เชี่ยมึง!!”

“เฮ้ย ไม่ได้ตั้งใจ โทษทีโทษที” แหะ สนุกวะ การได้แหย่คนๆนี้ทำไมมันสนุกจังวะ

“หยุดขยับซะทีได้มั้ยวะ!!” ผมไม่สนแถมถอยเท้าต่ออย่างนึกสนุก แต่ดันก้าวกว้างไปนิด หัวของเรวะเลยหลุดจากซิคแพกผมทันควัน โชคดีที่ประสาทตอบรับอัตโนมัติไวพอที่จะใช้มือสองข้างประคองศีรษะทุยๆไว้ได้...บอกเลยว่าผมใจหาย ส่วนเรวะก็...

...หน้าตื่นระดับสิบ...

“อึก...” เสียงแปลกๆดังขึ้นมาใกล้ตัว ทำไมมือกูเปียกๆวะ เชี่ย...อย่าบอกนะว่า...

“นี่ตกใจจนร้องไห้เลยเหรอวะ”

“เปล่า แค่ง่วง ก็เลยหาว” หาวห่าอะไร มึงมีปัญญาง่วงตอนหัวกำลังจะโหม่งพื้นด้วยเหรอ

“กลัวขนาดนั้นเลย”

“ไม่ได้กลัว แต่โรงพยาบาลไม่ใช่ที่ที่ผมต้องไป”

“หา?” แล้วมึงควรไปไหน ไปลงนรกหรืออะไรอย่างงั้นเหรอ

“ดันขึ้นทีได้มั้ย เกร็งจนปวดท้องไปหมดแล้ว” เออ...เจอกันครั้งที่สามก็เล่นท่ายากเลยนะเชี่ยเม่น นี่ถ้าไอ้พี่ดิบเดินผ่านมาแล้วเก็บภาพไปได้ บวกกับช็อตที่อีกฝ่ายยังบ่นกระปอดกระแปดว่าปวดเอวอีกล่ะก็ มีหวังผมกับมันได้ขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งแบบไม่ต้องสงสัย

ผมจับตัวมันดันขึ้นก่อนประคองให้อีกฝ่ายทรงตัว สภาพกางเกงไอ้เรวะเปื้อนฝุ่นไปหมด แล้วดูเหมือนจะลามไปตรงชายเสื้อตัวใหญ่ของผม...ใช่...เสื้อที่ผมให้มันยืม อดไม่ได้ที่จะปัดมือไปตามรอยเอาฝุ่นออก ร่างเพรียวตรงหน้าสะดุ้งกระตุกตัวหลบจนผิดสังเกต

“ทำอะไรวะ!” มันส่งเสียงถาม

“กางเกง” ผมชี้ลงล่างก่อนวาดนิ้วขึ้นด้านบน “แล้วก็เสื้อที่ให้ยืมไป ขอทีเถอะ อย่าทำเปื้อน”

“ยังไงก็ต้องซักก่อนส่งคืนอยู่แล้ว” ถือว่ายังพอมีสามัญสำนึกในการยืมข้าวของคนอื่น ผมเหลือบตามองคนที่อยู่เหนือผม ไอ้เรที่หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผมมีท่าทีหงุดหงิดรำคาญใจ อะไรวะ เซ็งที่โดนผมจับหรือไง

“ไม่มีอะไรแล้ว กู...” สะดุดเล็กน้อยกับการที่ต้องเรียกตัวเองว่า ‘กู’ผมแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่ครั้งแรกตอนวิ่งไล่จับกันพวกเรายังพ่นคำหยาบใส่กันไม่ยั้ง แต่พอหลังจากที่ได้พิมพ์แชทคุยโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร การปฏิบัติตัวต่อไอ้เรที่มีกับผม หรือการปฏิบัติตัวของผมสำหรับไอ้เรมันดูสุภาพขึ้นเป็นกอง “ผมไปล่ะ” ได้เวลาไปหาที่นั่งทำงานใหม่ ผมอาจจะต้องกลับหอไปนอนตากพัดลมร้อนๆให้ตัวเหนียวเล่นอีหรอบเดิมก็ได้ เวลาป่านนี้หลังบ่ายแก่ๆอย่างนี้ ร้านกาแฟที่ไหนก็เต็ม

“เดี๋ยว” เสียงของไอ้เรเรียกผมเอาไว้ ผมหมุนตัวกลับไปมองนิ่งไม่ขานตอบ บอกแล้วถ้าไม่ยุ่งได้เป็นดี แต่ที่วิ่งออกจากร้านกาแฟก็ถือว่าพลาดแล้วให้แล้วไป พอเห็นผมหยุดยืนตั้งใจฟังร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อโอเวอร์ไซส์กับกางเกงยีนส์รัดรูปสีดำปาดเข่าจึงถือโอกาสพูดต่อ “นายมีจักรยานมั้ย”

“มี” วันนี้ผมปั่นมา เพราะร้านกาแฟอยู่ใกล้หอเลยไม่อาศัยไอ้บิ๊กเบิ้มขี่มาให้เปลืองน้ำมัน ว่าแต่ไอ้เรมันจะถามทำไม อย่าบอกนะว่ามันจะปล้นจักรยานผม

“พาผมไปที่นึงหน่อย”

“เพื่อ?” ใครหาว่าผมไร้น้ำใจก็ช่างเถอะ บอกแล้วไงว่าห่างไกลได้เป็นดี

“ถ้าไม่พาไปก็ต้องเดินกลับหอ”

“หา?” นับวันผมยิ่งฟังไอ้เรพูดไม่รู้เรื่องเข้าไปทุกที

“กุญแจโซ่คล้องจักรยานคุณอยู่กับผม”

ชิท!!




ในฐานะที่เคยเป็นอดีตฝ่ายโปรโมตกิจการนักศึกษา รณรงค์ให้คนปั่นจักรยานมาเรียนแทนที่จะขับรถ ผมเลยถนัดกับการให้คนมาเกาะซ้อนท้าย แต่ไม่ขอแบบนี้ได้เปล่า...

ปกติมันจะต้องเป็นภาพที่ผมปั่นส่วนผู้หญิงอาจจะเป็นดาวคณะ ลีดมอ หรืออะไรก็ตามที่มีดีกรีเป็นถึงไอดอลมหาวิทยาลัยมานั่งใส่กระโปรงสอบเบี่ยงข้างเกาะเอวซ้อนจักรยานสร้างบรรยากาศให้อยากปั่นจักรยานมาเรียน หากตอนนี้ผมกลับโดนไอ้สัมภ ‘เรวะ’สีเกาะหลังนั่งคร่อม แขนผอมๆของมันโอบรอบเอวผม บอกตรงโคตรแปลก

“เกาะดีดีได้มั้ย” ผมยังคงรักษาสมดุลถีบรถต่อไป

“ยังไง” แขนไอ้เรขยับมากระชับผมหนักกว่าเก่า อ้าวไหงเป็นงั้นวะ ที่ต้องการจะสื่อคือ แค่จับชายเสื้อก็น่าจะพอแล้ว ผมมั่นใจว่าผมปั่นจักรยานแข็งพอ ไม่ทำให้ล้มหรอกน่า สุดท้ายผมเลยต้องทำตรงกันข้ามกับมิวสิกวิดีโอแบบพวกที่เดาเนื้อเรื่องได้ โดยการเอื้อมไปแกะนิ้วทั้งห้าของเรวะ แล้วย้ายมันมาลงตรงชายเสื้อด้านข้างแทน

“จับตรงนี้ ใช้แค่นิ้วชี้กับนิ้วโป้งได้ยิ่งดี” นั่งทางในใช้นิมิตมาจับกูได้ยิ่งเลิศ จะยินดีโคตรโคตร

“แล้วจะไม่หล่น”

“ไม่” ผมบอกอย่างมั่นใจ แต่ผลที่ได้คืออีกฝ่ายใช้ท่ารำวงมาตรฐานมาจีบเสื้อผมแน่น แขนเขินที่จับแฮนด์จักรยานอยู่เลยตึงเปรี๊ยะ จากปั่นตรงๆในเลนอยู่ดีดีคราวนี้แม่งวิ่งเป็นตัวเห้เมาเหล้าเลยครับ “อย่าดึงแน่นดิ ผมขี่ไม่ถนัด” ไอ้เรวะมันไม่รู้จักกะแรงหรือไงวะ อ้าวๆยังไม่เบาอีก ผมถอนหายใจก่อนจับมือมันให้กลับมาโอบผมอย่างเก่า

“อ้าว”

“ไม่ต้องอ้าวแล้ว โอบไปเถอะ” บอกได้คำเดียวครับว่าปลง “แล้วนี่ให้ไปทางไหนต่อ”

“ตรงไปก่อน เห็นตู้ไปรษณีย์ตรงนั้นมั้ย ปั่นเลยตู้ไปแล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆข้างหน้า”

ผมปั่นตามที่เรวะบอก ทางไม่ไกล แต่มันซอกแซกไปมาจนคนอาจงง ขนาดผมที่เป็นคนปั่นยังจำทางได้เลือนรางว่าเลี้ยวซ้ายมากี่ครั้ง เลี้ยวขวามากี่ที จนกระทั่งพวกเรามาหยุดตรงที่ตึกแถวแห่งหนึ่ง ผมจอดจักรยาน ลงมาล็อครถ แล้วยืนมองบ้านที่มีลักษณะคล้ายร้านอะไรบางอย่าง ด้านหน้าเป็นกระจกบานใหญ่ที่มองทะลุเข้าไปได้ถึงภายใน บนกระจกมีสกรีนตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเขียนสีขาวอ่านได้ว่า Relax time อีกทั้งยังมีลวดลายอาร์ตต่างๆ ด้านหน้าประดับประดาไปด้วยแจกันสแตนเลสทรงกระบอกปักดอกหญ้า กับตะกร้าสานใส่ดอกอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางนี้เสียด้วยสิ

“นั่นดอกแคสเปียร์” เสียงเรวะแทรกเข้ามาในภวังค์ผม “ส่วนที่อยู่ทางซ้ายดอกสแตติส คุณไม่ได้แพ้เกสรดอกไม้ใช่มั้ย”

“ไม่” เกิดมากูยังไม่เคยแพ้ใครด้วยซ้ำ ยกเว้น...

“งั้นเข้ามาเถอะ” เรวะผลักประตูและกำลังจะก้าวเข้าไป

“ผมแค่มาส่ง”

“คุณจะเดินกลับเหรอ”

"เปล่า รอคนใช้ที่บ้านขับฮอลฯมารับ"

"งั้นโชคดีละกัน"

"เรวะ..."

"..."

"ผมพูดเล่นป่ะ"

"..."

"กุญแจ"

"..."

"เอาคืนมาซะทีได้มั้ยวะ"

มือเบาระดับพระกาฬต้องยกนิ้วให้คนนี้เลย หายไปอยู่กับมันตอนไหนทำไมผมไม่รู้ตัววะ รู้แต่ว่าเห็นน้องต่ายห้อยออกมาจากกระเป๋ามันอยู่รำไร น้องต่ายที่หม่าม้าผมให้รับขวัญไอ้โซ่หลุดในวันแรกที่ย้ายเข้าหอ

"คุณหมายถึงอันนี้เหรอ" มึงอย่ายกกุญแจกูขึ้นแกว่ง เพราะมันจะทำอารมณ์โกรธกูกำลังแกว่งตามไปด้วย

“เรวะ ทำไมนายถึง...”

“เรียกผมว่า ‘เร’”

“จะอะไรก็ช่างเหอะ ทำไมนายมันถึงขี้ขะ......”

“เร” บอกเลยไม่ใช่เสียงผมที่ยอมตามใจเรียกมันเพราะยอมแพ้หรอกนะครับ แต่เป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีที่เปิดประตูออกมาจากร้านตรงหน้าต่างหาก เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าซีดๆกับกางเกงขายาวตัวใหญ่ที่ปกคลุมด้วยผ้ากันเปื้อน บนศีรษะของเธอผูกผ้าคาดผมสามเหลี่ยมอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับร้านนี้ รอยยิ้มเป็นมิตรถูกส่งมาทางผมอย่างเปิดเผย จนอดที่จะค้อมหัวเล็กๆเป็นการทักทายไม่ได้ “พาเพื่อนมาเที่ยวเหรอจ๊ะ” ไอ้เรมองไปทางอีกฝ่ายที่ถามขึ้นมาก่อนหันมาสบสายตาผมนิ่ง

“ครับ เพื่อนผมเอง”



ผมก้าวเข้าไปในร้านที่หญิงสาวหน้าตาดีคนเมื่อครู่เชื้อเชิญ ทันทีที่มวลอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศปะทะผิวกลิ่นอายเฉพาะตัวของกาแฟก็ตามติดมาให้ได้เคลิบเคลิ้ม ความหอมสดชื่นกำจายไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสองคูหาที่ยาวลึกเข้าไป ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายตา กำแพงสีขาวตัดกับตัวอักษรสีดำอาร์ตๆที่วาดลวยลายไปทั่วร้าน พร้อมประดับประดาด้วยดอกไม้แห้ง กับต้นไม้จิ๋วในกระถางขนาดเล็กซึ่งวางอยู่ทั่วโต๊ะทุกมุม มีบันไดเหล็กสีดำทอดยาวขึ้นไปยังชั้นลอยซึ่งเป็นส่วนของที่นั่งอีกโซน สถานที่แห่งนี้ทำให้ผมเหมือนหลุดมาอีกโลก ตัดขาดกับบรรยากาศจอแจของร้านกาแฟที่คนทั่วไปรู้จักกัน ผู้หญิงคนนั้นเธอเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ที่สูงท่วมเอว ด้านข้างมีตู้กระจกโชว์ขนมเค้กหน้าตาน่ารับประทานเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก และรอบๆยังรายล้อมไปด้วยดอกไม้ประดับประดาในกระถางขนาดเล็กหลากสีสัน

“อยากนั่งที่เคาน์เตอร์หรือโต๊ะส่วนตัว” ไอ้เรที่เดินเข้ามาด้วยกันมันเลือกจะตามหลังอยู่ห่างๆ เหมือนอยากปล่อยให้ผมดื่มด่ำกับบรรยากาศก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาทำลายความเงียบ

“นายรู้จักร้านนี้ได้ยังไง”

“เคาน์เตอร์หรือโต๊ะส่วนตัว”

“ทำไมถามแล้วไม่ชอบตอบวะ”

“เคาน์เตอร์หรือโต๊ะส่วนตัว”

“โต๊ะส่วนตัว” พี่ป็อบได้กล่าวไว้ ว่าอยากรู้แต่ไม่อยากถาม...แต่นี่มัน...กูอยากถามแต่มันเสือกไม่อยากตอบให้กูรู้

มันเดินนำผมผ่านลูกค้าหลายๆคนที่กำลังดื่มด่ำกับโลกส่วนตัวโดยไม่ได้สนใจว่าใครจะเข้าออกร้าน ไปจนถึงโต๊ะหัวมุมที่อยู่ลึกสุด เก้าอี้กึ่งโซฟาล้อมกรอบโต๊ะสี่เหลี่ยมเป็นรูปตัวยูประดับด้วยหมอนอิงที่ปลีกตัวอยู่ห่างจากโซนทั่วไป จึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง

“นั่งตรงนี้ อยากดื่มอะไร” มือฉวยเมนูราวกับรู้ที่อยู่ของข้าวของเป็นอย่างดี มันทำท่าจะยื่นให้ผมแต่แล้วก็ชักมือกลับเอาเสียดื้อๆ ผมที่กำลังยื่นมือไปรับเลยเก้อเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ “เดี๋ยวผมสั่งให้ละกัน”

เฮ้ยๆๆ แม้แต่สั่งเครื่องดื่มก็ยังบังคับกันเหรอวะเนี่ย ไอ้เรวะไม่สนใจเดินหมุนตัวสะบัดตูดออกไปทางเคาน์เตอร์ ผมเลยได้แต่นั่งเซ็งๆเอนตัวพิงโซฟาอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้มันวันอะไรวะ แต่เอาเถอะอย่างน้อยผมก็ได้มาในที่ที่ไม่เคยมา แถมดูท่าว่าน่าจะฝากชีวิตช่วงเตรียมสอบได้จากนี้และตลอดไป ผมอาศัยช่วงจังหวะที่รอลุ้นเครื่องดื่มในตำนานจากคนในตำนาน คว้าชีทในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่านพลางขีดเขียน จนกระทั่งเรวะมันเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมนำเครื่องดื่มใส่ถาดมาสองแก้ว

“คาปูชิโน่ร้อนไม่หวาน”

“...”

“เป็นอะไร”

“รู้ได้ไง”

“เรื่อง”

“ว่าผมดื่มแต่คาปูฯ”

“...”

“...”

“...”

เชี่ยมันเงียบบบบบบบ...พี่ป็อบ บอกผมทีว่าควรจะทำยังไง กับเมนูคาปูชิโน่ร้อนไม่ใส่ไซรัปที่ผมทิ้งไว้ในร้านก่อนหน้าเกือบเต็มแก้ว แต่เจ้าตัวกลับเสกมันขึ้นมาให้เหมือนเด๊ะราวกับต้องการจะไถ่โทษ เรวะไม่หือไม่อือและคงไม่คิดจะตอบด้วยซ้ำ เจ้าตัวขยับแก้วทรงยาวใสอีกแก้วในถาดมาวางข้างหน้า ดูจากสีแล้วน่าจะเป็นกาแฟเน้นนมหนักๆแบบคาเฟอีนโคตรเจือจาง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งแล้วดูดน้ำตรงหน้าเข้าไปสองสามอึก

...เฮ้ย อย่าบอกนะ...

“เรวะ”

“ผมชื่อเร”

“เออเรก็ได้”

“...”

“ถามจริงเถอะ...ใครบอกให้นายนั่งตรงนี้”

“...”

สาบานว่าผมไม่ได้ต้องการเข้ามาร้านนี้เพื่อที่จะนั่งทำการบ้านโดยมีคนที่ชื่อมนายุอยู่ร่วมโต๊ะ จิตมันไม่น่าจะสงบได้ อย่างที่บอกถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยว

เรวะมองตอบกลับมาด้วยแววตาดุดัน ก่อนชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ผมเห็นความสั่นไหว ผมไม่ทันยืนยันให้แน่ใจ เจ้าตัวก็หลบสายตาไปเสียก่อน ร่างเพรียวเคลื่อนไหวช้าๆหยิบแก้วเครื่องดื่มสีน้ำตาลอ่อนตามติดไปด้วย ทำไมผมถึงแอบรู้สึกผิดวะ หรือเพราะเรวะมันไม่เคยอ่อนข้อต่อหน้าผมอย่างงั้นเหรอ

จะเรียกให้กลับมานั่งตามเดิมก็ดูประดักประเดิดยังไงชอบกลับ ผมควรจะทำไง ระหว่างที่คิดจนหัวหมุนเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมาใกล้ตัว

“เร...ให้แม่ดูแผลหน่อย” เป็นผู้หญิงคนเดียวกับเมื่อครู่ที่ออกไปต้อนรับพวกเราเดินเข้ามา ที่แท้เธอก็เป็นแม่ของไอ้วายร้ายนี่น่ะเหรอ ผิดคาดสุดๆ หน้าตายังดูเยาว์วัยเกินกว่าจะเป็นแม่คนรุ่นไอ้เรวะได้แท้ๆ เมื่อกี้แม่ของไอ้เรมันพูดว่าไงนะ แผล? ใครมีแผล?

“ผมไม่เป็นไร ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“แต่เมื่อกี้เราบอกแม่ว่าล้ม” อ๋อเรื่องรถกระบะเฉี่ยวเมื่อครู่ ตอนนั้นไอ้เรวะมันก็แค่ก้มลงไปเก็บเหรียญสิบที่ตกพื้นเฉยๆไม่ใช่เหรอ

“ก็แค่ล้มเอง”

“ยังไงก็ให้แม่ดูแผลหน่อยเถอะ”

“แม่ไม่ต้องดูหรอก ผมไม่เป็นไรจริงๆ”

“แต่...”

“ถ้าไม่เป็นไรจริงๆก็ให้คุณน้าดูแผลสิ จะปิดไปเพื่อ”

เสียงผมแทรกทะลุกลางปล้องระหว่างคนทั้งสอง บอกเลยว่าชักรำคาญกับการยื้อไปมา ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ขยับผมเลยจัดการยื่นกางเกงฟุตบอลในกระเป๋าสะพายให้

“ไปเปลี่ยนกางเกงแล้วกลับมานั่งที่เก่า” รับไปแบบงงๆ อย่าว่าแต่มันเลย แบบนี้โคตรจะผิดวิสัยของผมสำหรับคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ในที่สุดเจ้าตัวก็ยอมหมุนตัวเดินไปยังประตูด้านในสุดของเคาน์เตอร์อย่างว่าง่ายพร้อมกับผู้เป็นแม่คอยประคับประคองไปตลอดทาง





สภาพเรวะ...ไม่เหลือ...


ไม่เหลือเค้าโครงความสะอาดของขาขาวๆอยู่เลย เพราะตอนนี้มันเปรอะไปด้วยรอยถลอก คราบเลือดและเนื้อสีชมพู อีกฝ่ายลุกขึ้นเดินโดยที่ไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาได้ยังไงวะ ผมล่ะเชื่อมันเลย

คนที่ตื่นตกใจไม่แพ้กันคงหนีไม่พ้นคุณน้า ที่รีบวางกล่องปฐมพยาบาล หาหยูกยากะละมังมารองเท้าเตรียมล้างน้ำเกลือฆ่าเชื้อแผล

“คุณน้าครับ ให้ผมจัดการดีกว่า คุณน้าไปดูร้านเถอะ” ตบปากสามสิบทีปฏิบัติ ผมพูดอะไรออกไปวะ พูดอะไร พูดอะไร

“จะดีเหรอจ๊ะ”

“ครับ ให้ผมจัดการเถอะครับ” สามสิบทีกูว่าไม่พอแระ ต้องซีทีแสกนเช็คสมอง แต่เอาเถอะถ้าลูกค้ามาเห็นเจ้าของร้านกำลังล้างแผลให้ใครคงจะไม่ดีเท่าไร

“งั้นน้ารบกวนด้วยนะ”

“ครับ” ถึงจะกังวลแต่อีกฝ่ายก็ยอมฝากฝังแล้วเดินจากไป ผมอาศัยจังหวะที่พวกเราอยู่กันตามลำพังหันไปถามเรวะ “นี่นายโดนรถเฉี่ยวจริงๆเหรอเนี่ย”

“เปล่า นี่หมากัด”

“หมากัดอะไร เห็นอยู่ชัดๆว่านายทำร้ายหมา”

“คุณเอาเรื่องอะไรมาพูด”

“ภาพมันเห็นอยู่ตำตา”

“...” สรุปเรวะนิ่งไปหลังจากจบประโยคนั้น ส่วนผมก็นิ่ง ในเมื่อบทสนทนาไม่สามารถไปต่อได้ผมจะดันทุรังพูดต่อไปทำไม การพูดคุยกับคนอย่างเรวะมันทำให้รู้สึกอึดอัดได้จริง ถ้าทำแผลให้อีกฝ่ายเสร็จผมควรจะไปจากที่นี่เสียที การอยู่ในห้องร้อนๆอาจจะสบายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ หากอีกฝ่ายไม่พูดขัดขึ้นมาด้วยคำถามแปลกๆเสียก่อน

“คุณมองผมอยู่ตั้งแต่ต้นรึเปล่า” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบกับสายตาที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว เรวะจ้องมาทางนี้ มองตาแป๋ว ราวกับคำตอบนั้นสำคัญเป็นนักหนา

“เปล่า ทำไมเหรอ” ไม่ได้มองแต่ต้น แต่มองนับจากตอนที่อีกฝ่ายเข้ามาในครรลองสายตา มองแบบไม่สามารถเบนความสนใจไปทางอื่นได้ ผมพึ่งรู้วันนี้ว่าการมองเรวะเป็นอะไรที่เพลินจนทำให้ผมลืมแม้แต่ดูเวลา ซึ่งแม้แต่ตัวผมเองยังแปลกใจ

“มิน่าถึงไม่รู้”

“อะไรนะ”

“เปล่า”

จบที่ผมงง ช่างเถอะอย่าได้ใส่ใจ คนที่ชื่อเรวะไม่สลักสำคัญอะไรกับชีวิตผมอยู่แล้ว ผมเริ่มหยิบจับข้าวของขวดน้ำเกลือที่คุณแม่ของเรวะหยิบมาให้เปิดฝาก่อนกล่าวเตือนอีกฝ่าย

“ผมจะล้างแผลให้ อาจจะแสบหน่อย”

“คุณราดมาเถอะ ผมไม่แสบหรอก แต่ต่อให้ผมแสบ ผมก็จะไม่พยายามแสดงอาการทรมานให้คุณเห็น”

“เพื่ออะไร คุณไม่จำเป็นต้องเก็กเท่หรอก”

“เปล่า ผมแค่อยากรู้ว่า ถ้าผมไม่แสดงอาการเจ็บ คุณจะทำแผลให้ผมต่างจากตอนที่รู้ว่าผมเจ็บหรือเปล่า”

“ความคิดคุณเนี่ย แปลกๆนะ ต่อให้คุณไม่บอกว่าเจ็บ ผมก็ไม่ทำแผลแรงๆกับคนเจ็บหรอก”

“การปฏิบัติตัวต่ออีกฝ่ายขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาเห็น รับรู้ และได้ยินเสมอ ไม่ขึ้นอยู่กับว่าความจริงจะเป็นอย่างไร”

“...”

“ถ้าผมปิดปากแล้วให้ปล่อยคุณดูจากท่าทีภายนอก คุณอาจจะใช้แรงแบบที่คุณคิดว่าธรรมดา แต่อีกฝ่ายอาจจะรู้สึกเจ็บ”

“ไม่หรอก” ผมนึกค้านอยู่ในใจจนต้องแย้งออกมา

“...”

“ต่อให้คุณเอ่ยปากว่าเจ็บหรือไม่เจ็บยังไง ผมก็จะใช้แรงมือที่เบาที่สุดของผมตามที่ผมคิดว่าจะปฏิบัติตัวต่อคนเจ็บอยู่แล้ว ไม่มีเปลี่ยนผันแปรไปตามสิ่งที่เห็นหรอก”

“...”

“และยิ่งในกรณีของคุณ ยิ่งถ้าคุณร้องมากเท่าไรผมก็จะยินดีแล้วราดน้ำเกลือใส่เพิ่มให้ด้วยซ้ำ” เรวะเป็นคนประหลาด การที่ผมบอกว่าจะกระทำแรงๆต่อเขากลับทำให้เขาหลุดยิ้มออกมา

“ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณผมทำไม นี่ผมกำลังประชดคุณนะ”

“ขอบคุณที่เสมอต้นเสมอปลายไม่หยุดมือ เพราะการทำแผลคนเดียวมันลำบากจริงๆ ผมโชคดีที่มีคุณ”

“...”

ผมรู้สึกแปลกๆกับประโยคที่เรวะพูด การที่เราพูดสุภาพใส่กันมันอาจจะดูทำให้ห่างเหิน แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหมือนใกล้ชิดคนที่ชื่อ ‘เรวะ’มากกว่าเก่า





และผมก็โดนกวนประสาทด้วยการแกล้งทำเสียงร้องโอดโอยของคนเจ็บอย่างต่อเนื่อง

“โอ๊ย”

“คุณไม่ต้องร้องทุกๆสามวิก็ได้”

“โอ๊ย”

“มันจะทำผมประสาทกิน”

“โอ๊ย”

“พอเถอะคุณ ถ้ากลัวว่าผมจะไม่ทำแผลให้ก็พอเถอะ ผมสัญญาว่าจะทำให้จนเสร็จ”

เชื่อมั้ยผมไม่เคยคิดว่าคนอย่างเรวะจะมีนิสัยขี้แกล้งได้ แต่พอได้ยินประโยคกล่าวราวกับยอมจำนนของผม รายนั้นกลับจุดรอยยิ้มเบาๆที่มุมปาก และทั้งที่เป็นรอยยิ้มจางๆแต่มันกลับจุดความรู้สึกบางอย่างในใจผม อาจจะเพราะไม่เคยเห็นวี่แววความสดชื่นมาจากอีกฝ่ายเลยสักครั้ง มันเลยทำให้ผม...เผลอใจเต้นตึกตักแบบแปลกๆ

...TBC...

+++++++++++++++++++++++++


ขอบคุณที่ปูเสื่อรอค่า >_<

ถึงแม้น้องเรจะการเงินมีปัญหา แต่น้องคงไม่ใส่ชุดนักศึกษาไปหาพี่ดิบแน่ๆ555

หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 4 :: มันเป็นไบ [1ุ6/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 16-02-2019 14:16:42
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 4 :: มันเป็นไบ


“อย่าไปยุ่งกับมันให้มากจะดีกว่านะ”


จู่ๆไอ้เชี่ยคีย์มันโพล่งขึ้นมาขณะแก๊งพวกผมจับกลุ่มซ้อมดนตรีใต้ตึกเรียนอยู่เพลินๆ บ่องตงสายตาดูโคตรจริงจังกับชีวิตยิ่งกว่าตอนคิดจะเยเมียมันครั้งแรกอีก

“พูดเรื่องอะไรของมึงวะ เพลงยังมีอินโทรเลย แล้วนี่อะไรของมึงไม่มีบทเกริ่นนำมาเลยสักนิด”

“กูพอรู้ว่าเรื่องอะไร” ไอ้หงส์ที่นั่งเคาะตามจังหวะเพลงอยู่ชี้ไม้กลองจี้มาที่หน้าเชี่ยคีย์ ขาแม่งขยับดิกๆ ใครเดินผ่านไปผ่านมาเหมาว่ามันเป็นโรคชักกระตุก มันเบนสายตาไปทางคู่หูมันก่อนกะพริบตาให้ แต่กว่าไอ้ต๊อบมันจะตอบสนองกล้ามเนื้อตาแม่งก็แทบขึ้นรอยซิกแพคอยู่รอมร่อ

“วันก่อนก็ปวดหัว วันนี้มาตาเจ็บเหรอวะ ให้กูพาไปห้องพยาบาลมั้ย หรือให้กูจองวัดไหนดี”

“สัด กูส่งซิกให้ไอ้เชี่ยต๊อบมัน เข้าใจบ้าง” แล้วอย่างกับคู่หูมึงรู้ตัวนักนี่ ดูมันดิยังตะบี้ตะบันเกากีตาร์

“ซิกมึงแม่งกูดูไม่ออกเลยเนอะ”

“อย่างน้อยมึงก็ยังไม่รู้เปล่าวะ ว่าพวกกูกำลังพูดเรื่องอะไร”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่รู้”

“เห็นมึงทำหน้าโง่ๆอยู่” ผมรีบยกมือขึ้นแตะหน้า ฉิบหายสิวขึ้นที่คางเม็ดเป้ง หรือมันเป็นสิวโง่อย่างที่ไอ้เชี่ยหงส์บอกวะ

“ถึงไม่ต้องทำ หน้ามันก็โง่อยู่แล้วเปล่าวะ” ในที่สุดไอ้มือเบสประจำวงมันก็กระโดดเข้าร่วมวงสนทนา มันเปิดตัวโคตรอลังการด้วยการเกากีตาร์กระพืออารมณ์และความสนใจจากทุกคน

“ช่ายเลยไอ้ต๊อบ มึงมาโคตรถูกจังหวะ” คู่หูเข้าทางดีใจยิ่งกว่าโดนสาวจีบอีกไอ้หงส์

“มึงหมายถึงเรื่องที่คุยกันวันก่อนใช่มั้ยคีย์หนึ่ง”

“เป็นอย่างที่มึงคิดแหละต๊อบสอง” ไอ้คีย์รีบวางกีตาร์แล้วกระตือรือร้นขยับตัวเข้ามาใกล้ คราวนี้เป็นไอ้หงส์ที่หันมาทำหน้าจริงจังใส่ ทำไมกูเหมือนกำลังจะโดนพวกมึงกระทำชำเราวะ

“ไอ้เม่น”

“ว่าไงไอ้หงส์สาม”

“เราจะไปบุกเมืองย่างกุ้ง!!”

ผัวะ!!กำปั้นไอ้ต๊อบลงหัวไอ้เจ้าพ่อหมูกระทะเต็มรัก

“เชี่ยหงส์ หงส์สามไม่ใช่หงสาอย่าพาออกอ่าว มากูพูดเอง เชี่ยเม่น ตอนแรกพวกกูก็ไม่คิดจะว่าอะไรหรอกนะ แต่เรื่องมันดูจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่สอดปากพูดก็เห็นทีจะไม่ได้”

“ถ้าจะพูด มึงพูดเนื้อๆเน้นๆมาเลยดีกว่า ไม่ต้องเอาน้ำ” กูชักจะรำคาญแล้ว

“ได้ งั้นกูถามมึงตรงๆเลยนะ”

“ว่ามาเลย อย่าลีลา”

“มึงกำลังจีบไอ้เรอยู่เหรอวะ”

“...”

“...”

เดดแอร์ข้างบนที่ว่ามันแค่สามวิ พอดึงสติกลับมาได้ไม่ต้องพูดพล่ำทำเพลงกูนี่คว้ามือถือขึ้นมาดูเลยครับ

โป๊ะเช้ะ แทบยอมใจอยากจะวิ่งไปแผงลอตเตอรี่ให้มันรู้แล้วรู้รอด ถ้าเทียบเลขท้ายสามตัวกับการเดาใจพี่ใหญ่ประจำเพจคิวต์บอยหรรษาหลั่นล้าวิ่งในทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์อย่างพี่ดิบแล้วล่ะก็ ป่านนี้ผมคงเป็นเศรษฐีเงินล้านแบบไม่ต้องไปกู้ธนาคารที่ไหน หน้าเพจที่เคยเต็มไปด้วยภาพชายไทยในชุดนักศึกษามากหน้าหลายตา ปรากฏความป๊อบปูล่าของภาพชุดสามภาพที่บอกเล่าเรื่องราวความหวานจ๋อยหอยหลอดระหว่างผมกับใครที่หลายคนรู้จักกันในนาม...ไอ้เร มนุษยศาสตร์ ปีสาม IG : N/A


...ภาพผมประคองร่างปวกเปียกก่อนจะพาปั่นจักรยานแล่นไปยังสถานเสวภาตอนวันที่ชะตาตกต้องกับรถแอสตัน มาร์ตินคันนั้น ช่างน่าภิรมย์เสียนี่กระไร...


Sexy Dippy Cutie boy in the university เจี๊ยบกับน้อยหน่าก็มา #แฟนฉัน


สัด ละมุดกับทุเรียนดิไม่ว่า ผมรีบคว่ำหน้ามือถือ ทนกับแรงกดดันกระหน่ำไลค์ไม่ได้ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ กูรู้เลยว่านรกที่แท้ทรูอยู่ตรงไหน เพจพี่ดิบเนี่ยไม่เท่าไรแต่สายตาเพื่อนกูเนี่ยดิส่งพลังเผือกมาแบบคูณสิบ ประกายวิบๆวับๆแผ่ซ่านกระจุยกระจาย

“มองเหี้ยอะไร”

“มองคนมีความรัก”

“รักบ้านมึงดิ”

“บ้านกูมีพ่อกับแม่คอยดูแลแล้ว ไม่ต้องให้มึงมาร่วมรักด้วยหรอก”

“สรุปมึงเป็นอะไรกับเร พวกกูสงสัย” ไอ้คีย์นั่งนิ่งอยู่ต่อไปไม่ไหวต้องมาผสมโรง

“คนที่ต้องทำงานกลุ่มด้วยไง”

“แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องปั่นจักรยานไปส่งให้ถึงที่บ้านเลยนี่หว่า”

“มันโดนรถเฉี่ยวเจ็บขา กูก็ต้องพามันไปส่งดิวะ”

“ได้ข่าวว่ามันล้มคนอื่นยังไม่สนใจมันเลย”

“ก็กูเห็นเป็นคนแรกไง แล้วมันจะต่างอะไรกับการที่กูเห็นคนแก่แล้วไปช่วยจูงเขาข้ามถนน”

“ก็ไม่ต่างหรอกว่ะ ถ้าคนนั้นไม่ใช่ไอ้เร”

“...”

“ไอ้เรที่ใครๆพอได้ยินชื่อ...”

“...”

“ก็ไม่อยากจะเข้าใกล้” สามคนแม่งต่อประโยคประสานเสียงราวกับเตี๊ยมกันมาก่อนล่วงหน้า แล้วใครล่ะที่เสือกเอาคนที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้มาให้กูจับคู่ทำงานด้วยเนี่ยนะ ไอ้สัดคีย์

“เพื่อนเม่น มึงบอกมาตามตรงเถอะว่ามึงชอบมัน”

“หา?” เพื่อนหงส์ครับ กูไม่ใช่พระเอกในนิยายที่จะได้ไปช่วยนางเอกตอนล้มแบบภาพสโลโมชั่นแล้วปิ๊งรักกันกลางถนนนะวะครับ

“เห็นหน้าตาไอ้เรมันดีอย่างนั้น แต่มันร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะมึง” ไอ้ต๊อบ เพื่อนมึงชอบผู้หญิง ต้องให้กูพูดย้ำเตือนอีกกี่ครั้ง

“เออ...ได้ข่าวว่ามันขี้ขโมย” ไม่ต้องฟังข่าวกูก็รู้ป่ะ เพราะปีสองกูเคยโดนมาแล้ว

“อารมณ์ร้อนชอบทะเลาะวิวาท” หลักฐานคาปากผมวันนั้นไง เล่นเอาคนทั้งคณะทักตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย ว่าเอาปากไปจูบตีนใครมา

“ที่สำคัญมันเป็นไบ” ข่าวเก่าเล่าใหม่เปล่าวะ เรื่องนี้กูก็รู้พร้อมพวกมึงตั้งแต่ข้ามขึ้นปีสองมา

“ล่าสุดกูได้ข่าวสำคัญมา” อะไรคือการหลุกหลิกราวกับกลัวคนจับผิดว่ากำลังนินทาชาวบ้าน ไอ้คีย์มันขยับเข้าหาพลางป้องปากกระซิบ

“มันเคยติดคุกข้อหาฆ่าคนตายมาก่อน”

...นี่คงเป็นข่าวเดียวล่ะมั้งที่ทำให้ผมสะดุ้งได้...

“บ้าแล้วมึง ต่อให้มึงได้ยินข่าวลือมาขนาดไหน ก็อย่าเชื่อไปหมดได้มั้ยวะ ถ้ามันไม่จริงขึ้นมาอีกฝ่ายจะแย่เอา” ผมแย้ง

“ปกป้องมันเหรอ”

“กูมองอย่างเป็นกลาง”

“กลางใจไอ้เรเหรอมึง”

“เวรคีย์มึงฟังเพื่อนบ้าง”

“เชี่ยเม่น มึงเปลี่ยนรสนิยมแล้วก็ไม่บอก เห็นขาวๆใสๆแบบนั้นอยู่ใกล้กันก็ต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา”

“เวรต๊อบ กูชอบผู้หญิง ไม่ชอบชนช้าง แล้วกูก็ไม่ได้เข้าหา...” อยากต่อให้จบแต่เพื่อนหงส์มันยกนิ้วชี้เสมอหน้ากระดิกไปมาพลางทำปากจุ๊ๆ ก่อนจะตบโต๊ะดังฉาดจนเพื่อนทั้งโขลงรวมถึงคนบริเวณนั้นแม่งตกใจสะดุ้งไปตามๆกัน

“ไอ้เม่นหนวดกุด!! หากมึงไม่ลงศึกแล้วไซร์ อโยธยาจักอยู่ได้เยี่ยงไร!!” มึงอินกับละครย้อนยุคที่แม่มึงเปิดให้ดูมากไปแล้วสัด

“มึงกลับหงสาไปเลยไปไอ้ตระเวนละเลงปี้ ถามจริงเถอะสรุปพวกมึงจะเชียร์หรือจะห้าม”

“เชียร์”

เหยดดดดดด

“เอากับมันซักครั้งถือว่าเป็นประสบการณ์นะมึง”

“ร้ายๆอย่างไอ้เรถ้าสยบใต้มึงได้มันจะน่าทึ่งขนาดไหน แค่คิดกูก็สนุกแล้ว”

“แต่กูไม่สนุก”

“...”

“ต่อให้ไอ้เรมันเลวร้ายขนาดไหนก็เถอะ มันก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกชีวิตมันด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาล้อเล่นกับชีวิตมัน”

“เชี่ยโว้ย” ผมคิดว่าไอ้คีย์มันจะจริงจังใส่คำพูดผม ถึงได้อุทานแบบสำนึกผิดขึ้นมา แต่พ่อบ้านใจกล้ามันเสือกทำสีหน้าผีหลอกวิญญาณหลอน มองข้ามช็อตผ่านตัวผมไปไกล ทำให้รู้ว่าประเด็นไม่ได้ตกมาที่กูเลยแม้แต่น้อย แต่มันเสือกเลยไปสนใจไอ้โต๊ะไม้ข้างเคียง “เชี่ยคีย์มึง...”

“เร...ไอ้เร...”

สึด!!! กระวีกระวาดหันตัวไปมองตามด้วยความตกใจ กวาดตามองจนทั่วก็ไม่มีใคร ไหนวะไอ้เร ไหน??? เสียงกลั้นขำสุดกำลังแต่น้อยกว่ากลั้นตดเข้าหู กูรู้เลยครัชว่าโชว์โง่ออกไปแล้ว

“ฮ่าๆๆๆๆ ดูไอ้เม่นมันดิ กลัวจนตัวสั่นเลย”

“เชี่ยคีย์ มึงอย่าล้อเล่นอย่างนี้ได้มั้ยวะ”

“มึงมันก็ดีแต่ปาก ความจริงกลัวมันใช่มั้ยล่ะถึงได้ไม่ยอมรุก”

“กูเปล่า”

“งั้นแน่จริงมึงก็รุกมันดิ”

“ไม่รุกเว้ย”

“รุก”

“ไม่รุก”

“มึงต้องรุก”

“ไม่ต้องรอให้มันรุกหรอก เดี๋ยวกูรุกเอง”

“...”

“...”

หืม? ผมกับไอ้คีย์มองหน้ากันก่อนหันไปทางด้านหลังซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นที่มาของเสียง หากปรากฏเพียงความว่างเปล่า กับคนง่วงเหงาหาวนอนสองพันสิบสองที่เลื้อยตายหันหลังเอนกายหลบมุมนอนอยู่โต๊ะไม้ข้างเคียง มันหลับก่อนพวกผมจะมานั่งทำเสียงเอะอะโวยวายในตอนแรกเสียอีก

“เมื่อกี้เสียงใครวะ ไอ้เม่น”

“เสียงมึงไม่ใช่เหรอ แกล้งกูได้ครั้งนึงแล้วอย่ามาเนียน กูรู้สันดานมึง”

“กูไม่ได้พูดจริงๆเว้ย” ไอ้พ่อบ้านใจกล้ามันชูสามนิ้วขึ้นมาปฏิญาณด้วยเกียรติแห่งลูกเสือสามานย์

“แล้วใครพูดวะ” หันไปมองไอ้ต๊อบกับไอ้หงส์สองตัวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกมันเอาแต่ส่ายหัวดิ๊ก

“กูเอง”

เสียงแม่งโคตรคุ้น คลับคล้ายคลับคลาประหนึ่งว่าเคยรู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อน ผมหันไปมองทางต้นเสียงอีกครั้ง ทำไมกูต้องมาทำอะไรซ้ำๆด้วยการเห็นร่างเดิมร่างเดียวที่นอนไหลตายเป็นศพไร้ญาติอยู่ตรงนี้ด้วยเนี่ย ใครก็ได้ครับมาเก็บขยะสดขยะไร้มลพิษออกไปให้ห่างจากสายตาผมที หันมามองทีไรกูก็นึกว่าก้อนดำอุกกาบาตที่ไหนมาตกอยู่ตรงนี้ ในที่สุดร่างนั้นก็ขยับตัวยุกยิกพลิกหัวที่ปกคลุมไปด้วยฮู้ดไปอีกด้านหันหน้าหนีราวกับรำคาญเสียง ประสาทช้าหรือว่าขี้เซามาขยับตัวเอาตอนนี้วะ แต่ช่างเหอะผมควรจะกลับมาหาเรื่องเพื่อนโคตรรักที่มันขยันจะจับคู่ให้เพื่อนโสดโดยไม่สนสี่สนแปดว่าอีกฝ่ายมันจะเป็นตัวผู้เนี่ยดิ

“อย่าให้กูรู้ว่าใครบีบเสียงแกล้งกู” ผมชี้หน้าไอ้สามตัวกราดแบบหาเรื่อง

“ถ้ารู้แล้วจะทำไม”

“กูก็จะ...” ผีเกาะไหล่ หลอนจนไข่ลุก แขนยาวๆที่ปกคลุมด้วยผ้าสีดำพาดมาด้านหน้าดึงตัวผมให้เอนไปซบอกบางๆของใครบางคน รู้สึกว่าร่างนั้นเซเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับล้ม แถมยังก้มหน้าลงมาแนบปากลงข้างหู

“นายจะทำอะไร”

“...!!” กระเส่ายันไปถึงเบ้าหน้า เหมือนนั่งอยู่กลางไอแม็กซ์ซีนีม่าที่ถึงเวลาฉายหนังโฟร์ดีขึ้นจอ ไอ้เชี่ยโว้ยยยไม่ต้องพิสูจน์อัตลักษณ์ใดใดทั้งสิ้นกูก็จิ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เสื้อฮู้ดดำที่นอนไหลตายอยู่ตอนนั้นไงที่แท้ก็เป็นไอ้เรวะ ทำให้กูหัวใจเกือบวายกะทันหันยังไม่พอ ยังมีต่อเอาหัวเลื้อยมาตามไหล่จงใจส่งสายตามาประสานกับผมนิ่ง หน้าเหนือๆของมันทำให้รู้ว่ากูพลาดที่เสือกให้มันมาอยู่ร่วมเหตุการณ์นินทามหากาพย์ของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจอมโฉดอย่างแก๊งผม

“จะ...”

“หืม”

“จะ...”

“จะ?”

จ้ะ กูยอมแล้วจ้ะ!! วินาทีนี้ที่พึ่งสุดท้ายคงหนีไม่พ้นเพื่อนตายสามตัวที่นั่งรวมหัวอยู่กับผม...


ว่างเปล่า...บอกได้คำเดียวว่าสะอาดกริ๊บ ไม่เหลือแม้แต่ซากอารยธรรมชนชั้นผู้น้อยไว้ติดโต๊ะและเก้าอี้สักตัว เพื่อนผมมันหายหัวไปหมดแล้ว แม้แต่กีตาร์โปร่งที่ดูน่าจะพาลพาพะรุงพะรังที่สุดมันยังแบกหายไปได้ไวยิ่งกว่าแบกโอ่งตอนไฟไหม้อีก

...เปล่า พวกมันมุดไปหลบกันใต้โต๊ะ...สัด

“ให้เวลาคิดจนกว่าจะหมดวันสุดท้ายของวิชาบำเพ็ญประโยชน์ละกัน”

“มึงไม่ต้องให้เวลา กูคิดออกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทำอะไร” ผมเผลอ ตลอดชั่วโมงที่ผ่านมาคุยกับเพื่อนพ่นแต่คำหยาบใส่กันตลอด พอไอ้เรวะโผล่มาแบบกะทันหันมันเลยกลับลำไม่ถูก จะเรียกว่าคุณก็ดูแปลกปากเลยพลาดเรียกกูมึงแบบสนิทสนมไป

“จะทำอะไร”

“จะขอโทษที่นินทามึง”

“...”

“ขอโทษแทนเพื่อนกูทั้งสามคนที่นินทามึง”

“เม่น...” ไอ้เรวะมันเรียกชื่อผมอีกแล้ว ผมเริ่มจะจับสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่เรวะเรียก ‘เม่น’ จะเป็นตอนที่ต้องการให้ผมหันไปมีสมาธิกับตัวมัน

“อะไร”

“มึงเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆว่ะ”

“เหยดดดดดดดดดดดดดดด” สาบานเลยว่าผมร้องในใจ แต่ไอ้เสียงที่ดังออกมาจะเป็นใครที่ไหนถ้าไม่ใช่ของไอ้เพื่อนสามตัวที่มันนั่งติดริงไซด์อยู่ในเหตุการณ์




นั่งอยู่ตรงนี้มาได้สักพักใหญ่แล้ว เรียกว่าโชคไม่ดีก็ได้ที่ดันไม่มีวิชาเรียนช่วงบ่ายเลยไร้ข้ออ้างในการจากลากับคนชื่อเรวะ คณะมนุษย์ฯ ปีสาม บุคคลในตำนานที่ใครๆเขาก็กล่าวขานแต่เรื่อง(แย่ๆ)ของมัน

“สวัสดี”

“สะ...สัด...เอร๊ย..สวัสดี”

แม่งโคตรอนุบาลหมีน้อยเลย นี่ผมกำลังดูอะไรอยู่วะ เรวะพบปะประชาชนเหรอ แล้วทำไมเพื่อนผมจะต้องมานั่งแนะนำตัวกับไอ้คนที่เป็นคู่หูแค่ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์กับผมด้วย ไม่เข้าใจ

“พวกกูขอโทษด้วยนะ ที่พูดเรื่องไม่ดีของมึง แต่พวกกูไม่ได้ตั้งใจนะ แค่ได้ยินข่าวเขามา” ไม่ใช่ไอ้หงส์มันกล้าสารภาพผิดอะไรหรอก ผมรู้ว่ามันกลัวไอ้เรวะต่อยเอา ข่าวเรื่องเล่นคนจนเลือดตกยางออกเข้าโรงพยาบาลมันเบาซะที่ไหนดังจนครึกโครมไปทั่วมหา’ลัย แต่หาหลักฐานอะไรไม่ได้ไง มีแต่พยานที่เห็นเหตุการณ์แบบห่างๆอย่างห่วงๆว่าเหง้าหน้าไอ้หนุ่มผมเงินยวงเหมือนไอ้เรวะโคตรพ่อโคตรแม่ คำให้การมีแค่นั้นเลยทำให้เจ้าตัวอยู่ลอยหน้าลอยตามาได้จนถึงทุกวันนี้

“ไม่เป็นไร” สั้นๆ แต่สั่นสะท้าน เพราะใบหน้าขาวแม่งโคตรเย็นชาแถมผมที่ปรกลงมายังทำให้อ่านสายตาไม่ออกสุดๆ จนไอ้เพื่อนหงส์มันต้องไปหลบหลังไอ้ต๊อบหาเกราะกำบัง

“แล้วข่าวที่มึงเป็นไบน่ะจริงเปล่า” เฉียบ ทำไมไม่ลุกขึ้นมาชมคู่หูมึงล่ะวะไอ้หงส์ ทำแบบเมื่อกี้ที่ยกสองนิ้วโป้งขึ้นสูงๆแล้วบอกว่ามันมาโคตรถูกจังหวะน่ะ ผมรู้ว่าไอ้ต๊อบมันกล้า..แต่เฉพาะกับเรื่องที่มันสู่รู้หรืออยากรู้ฉิบหาย ส่วนไอ้หงส์น่ะเหรอกลืนหายเข้าไปในหลังคู่หูมันเรียบร้อยแล้ว คนถูกถามอย่างไอ้เรวะมันเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนหันหน้ามาทางผม

“มองมาทางนี้ทำไม คนถามเป็นไอ้ต๊อบ ไม่ใช่กู” ทางนู้นเลยครับ หันกลับไปเลย เชื่อครับ ไอ้เรวะมันหันกลับไปจริง มองหน้าเพื่อนต๊อบนิ่งจนมันสะดุ้ง

“มะ...กูไม่อยากรู้แล้วก็ได้” มาขี้ขลาดอะไรตอนนี้ล่ะเพื่อนต๊อบ

“เออเพื่อนกูก็ไม่อยากรู้แล้ว งั้นมึงก็ไม่ต้อง...”

“แต่กูอยากบอก”

“หะ?”

“กูเป็นไบ”

“...!!” เชร้ดดดดดด

“ไบลิงกัว พูดได้สองภาษา ญี่ปุ่นกับไทย” แต่กูกำลังจะเป็นไปไบโพล่าอารมณ์เหวี่ยงไปมาอะไรขนาดนี้วะแม่ม!!

“อืม ข่าวนี้จริง น่าสนน่าสน” แล้วมึงก็อินตามมันไปอีกเพื่อนกู

“มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง อยากจะเค้นคอไอ้เรมันนักหนาว่ามึงมานั่งสนทนาภาษาไทยกับเพื่อนกูอะไรอยู่ตรงนี้

“กูนอนอยู่”

“กูเห็นแล้ว”

“กำลังหาที่นอนเงียบๆสบายๆ”

“...”

“แต่แล้วเพื่อนมึงกลับมาทำให้ตื่น”

“...!!”

“แล้วบอกให้มึง ‘ลุก’ พูดบ่อยจนกูรำคาญกูเลยจะ ‘ลุก’ แทน” ไอ้เหี้ยขนแขนแสตนด์อัพ ไม่พูดเปล่าเสือกขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีก จากเต็มตูดถอยจนเหลือครึ่งตูด ตอนนี้เสี้ยวตูดก็จะไม่มีที่ให้รองก้นแล้ว ผมหน้าตาตื่นกลืนน้ำลายหนึ่งอึก นะ...ไหนมึงบอกว่าเป็นแค่ไบลิงกัวไง

“หึ...หน้าตลกฉิบหาย” ร่างโปร่งหัวเราะขึ้นจมูกพลางจ้องหน้าผม “สุดท้ายกูเลยลุกมานั่งที่มึงไง”

“เชร้ดดดดดดดดดดด”

“ไอ้เรยิ้ม”

“โคตรพ่อโคตรแม่สิ่งมหัศจรรย์ในสามโลก” เสียงเพื่อนสามตัวดังเป็นเพลงพื้นหลังให้ผมคิดตาม หากแต่สายตาไม่อาจละจากใบหน้าคนใกล้ตัวได้ รอยยิ้มของเรวะอาจจะเป็นครั้งแรกที่เพื่อนผมมันเห็นกัน แต่ถ้านับจากสถิติของผมมันเป็นครั้งที่สองที่เห็นไอ้คนในตำนาน...แสยะยิ้ม...



นับจากนั้นก็ผ่านไปสองวันที่ได้ทำความรู้จักแนะนำเพื่อนฝูงกับเรวะ อะไรมันทำให้วงโควรของเราสองอ้อมมาเจอกันได้ จะบอกว่าเป็นดาวบริวารอย่างพระจันทร์ กูว่าป่านนี้ราหูคงอมไปนานแล้ว ชีวิตโคตรเคราะห์ซ้ำกรรมซัดต่อเนื่องเพื่อนทรยศสุดๆ

สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกเรื่องหนึ่งคือการไม่เรียกแทนเรวะว่าคุณและเรียกแทนตัวว่าผม กับวันนี้อีกหนึ่งวันที่ต้องมานั่งรอเรวะอยู่ใต้ตึกคณะ จะมีอะไรซะอีกนอกจากกูรอมันมาเอาเสื้อนักศึกษาที่ถูกขอร้องแกมบังคับให้หยิบยืมเป็นตัวที่สอง

ไม่ช้าไม่นานร่างโปร่งๆกับเสื้อโคร่งๆก็ผ่านเข้ามาในม่านสายตา เรวะยังคงโดดเด่นไม่สร่าง ทำเอาคนรอบข้างที่เดินผ่านต้องเหลียวหลังจนคอเคล็ดคอหักได้ เจ้าของเรือนผมสีแอชเกรย์มองซ้ายมองขวาก่อนเดินเข้ามาใกล้

“ไหนเสื้อ” เป็นคนตรงๆ มาถึงปุ๊บเข้าเรื่องปั๊บ ไม่ต้องปฏิสนธิปฏิสัมพันธ์อะไรให้มาก ถุงพลาสติกถูกส่งผ่านไปให้

“อันนี้ยังใหม่มึงสบายใจได้” อีกนิดกูจะคิดว่าเป็นเอเย่นค้ายาแล้ว คุยสามคำยื่นหมายื่นแมว ขาดแต่ทางนี้มีหมาไปให้แต่ทางนั้นกลับไม่มีอะไรตอบแทนเลยซักอย่าง

“ขอบใจ”

“เดี๋ยวก่อน” กระตุกถุงไว้เหมือนเล่นตุกติก จนไอ้เรขมวดคิ้วย้อนถาม

“อะไร”

“มึงใส่แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

“เหม็น?”

“น้ำยาปรับผ้านุ่มกูมี”

“คัน?”

“กูไม่ได้เป็นโรคผิวหนัง”

“ราขึ้น?”

“เสื้อผ้ากูตากจนแห้งสนิททุกวัน”

“มีอารมณ์ทางเพศ?”

“ดมกลิ่นกูแล้วขึ้นเลยดิสัด” ขอจูนสติแป๊บ บ้าจี้ไปเล่นกับมันได้ไงวะ “กูหมายถึงขนาดต่างหาก”

“ไม่ ขนาดกำลังพอดี” พอดีบ้านพ่อดิ โคร่งขนาดเอาควายเข้าไปวิ่งเล่นได้อย่างนี้บ้านมันเรียกพอดี

“ของกูมันใหญ่”

“เออ ใหญ่จนกูอิจฉา” สาบานว่ามันพูดถึงขนาดเสื้อ

“อิจฉาอะไร”

“อยากใหญ่แบบมึง”

“กูออกกำลังกาย”

“ออกท่าไหน”

“ก็ทั่วไปตามในยูทูบ”

“ส่งลิงค์ให้ที” จริงจังสุดตอนหยิบมือถือขึ้นมา

“หุ่นมึงก็ดีอยู่แล้วเปล่าวะ” แค่ไม่อ้วน เห็นรอยกล้ามน้อยๆสาวก็กรี๊ดตรึมไม่ต้องไปพึ่งเวย์โปรตีนแล้ว

“ตรงไหน”

“ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่ดีจริงพี่ดิบคงไม่ชิ่งมาหาถึงที่หรอก”

“ผ้าดิบ?” สัด นั่นมันเอาไว้ห่อศพ

“กูหมายถึงพี่ดิบ พี่ดิบน่ะคนที่เจอเมื่อวันก่อน ตอนที่มีโจรวิ่งราว...” สะดุดกึก เกือบเหยียบเบรกไม่ทัน ลืมไปได้ไงวะว่าวันนั้นเป็นวันแรกของเรา ไหนจะแรกพบ ไหนจะแลกหมัด ไหนจะแลกเสื้อ บันเทิงสัด แล้วผมจะขุดเรื่องเก่ามาให้ต่างฝ่ายต่างตะขิดตะขวงใจทำไม ระหว่างที่คิดยาวไปไกลว่าจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระดับบุคคล เรวะกลับไม่สนใจแถมถามต่อกลับมาว่า

“พี่ดิบ...ใช่ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆกันเมื่อวันก่อนรึเปล่า”

“เออใช่...คนนั้นแหละ พี่มันเป็นแอดมินเพจคิวต์บอยประจำมอ เมื่อวันก่อนเห็นแอบถ่ายรูปมึงลงเว็บเพจ ผู้หญิงกดหัวใจกันระเบิดระเบ้อ” และยังมีอีกหลายๆครั้งที่พี่แกขยันทำหน้าที่แจกจ่ายความหล่อเกาหลีของคนข้างๆ ให้ปีหนึ่งปีสองน้องเข้าใหม่ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่ามันเป็นใครได้ฟินตายวายชีวา แต่ขอรูดซิปปากไว้ละกัน กลัวไอ้เรมันรับไม่ได้จนไปกระทืบพี่ดิบตายคาตีน ว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาดูเสียหน่อย ช่วงนี้ห่างจากข่าวสารการบ้านการมหา’ลัยชะมัด

“ถ่ายไปลงทำไม” ผมเงยขึ้นไปมองหน้าเรวะ มันไม่เข้าใจความหล่อของตัวเองเหรอวะ

“ของดีมีก็ต้องโชว์”

“ของดี”

“อืม...ของดี”

“ตรงไหนที่ว่าดี”

“หน้าตามึงไง เหมือนนักร้องเกาหลี เดี๋ยวนี้เขาก็ฮิตเทรนหนุ่มหน้าตี๋ ตาโตกันทั้งนั้น”

“แต่กูไม่ใช่ลูกครึ่งเกาหลี”

“แล้วกูมีบอกว่ามั้ยว่ามึงนามสกุลคิมมนายุ หรือลีเรวะอะไรนั่นหน่ะ”

“ตอบให้ตรงคำถามหน่อย โอปป้าเม่น” สัด มีรับมุกกลับด้วย

“เรวะ”

“เร”

“เออ เรก็ได้ กูจะสอนอะไรให้นะ เดี๋ยวนี้คนเราน่ะมันดูกันที่ภายนอกทั้งนั้นแหละ”

“...”

“ต่อให้บอกว่าไม่ได้เป็นลูกครึ่งเกาหลี แต่ใครๆเห็นมึงตอนนี้ก็คงมีแต่กรี๊ดกร๊าด” ใช่ดูจากเสียงส่วนใหญ่ในตอนนี้ ถ้าไม่ชอบก็คงกลัวมึงไปเลยล่ะ “แล้วการที่มีคนมากดไลค์แสดงว่าพวกเขาต่างคลั่งไคล้ในหน้าตา บอกเลยว่าสเป็คผู้หญิงสมัยนี้หน้าตาอย่างมึงมาแรง” อะไรคือความอวยกัน เรวะไม่ได้จ้างผมมาให้บรรยายสรรพคุณของตัวมันให้ใครต่อใครฟังหรอก แต่ผมแค่อยากตัดรำคาญกับความช่างถามของอีกฝ่าย

“แล้วทำยังไงคนถึงจะมองกันที่ภายใน”

เดี๋ยวนะ...ทำไมคำถามมันยากขึ้นเรื่อยๆวะ

“ไม่รู้สิ คงต้องให้หมอมาผ่าแล้วควักด้านในออกมาให้ดูมั้ง”

“...”

“...”

“...”

“โอเคไม่ล้อเล่นแล้วก็ได้ ถ้าอยากให้คนมองเห็นถึงข้างในก็ต้องแสดงความจริงใจกับอีกฝ่ายก่อน แล้วก็คบกันไปเรื่อยๆให้รู้ไส้รู้พุงกันไป แค่นั้นก็เรียกได้ว่ารู้ลึกถึงเนื้อในแล้ว” ไม่ต้องยกตัวอย่างไกล เอามันตรงนี้อย่างแก๊งสี่จตุรเทพเพื่อนผมเนี่ยแหละ เกิดและเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ม.ปลายยันมหาวิทยาลัย ต่างรู้สันดานของกันและกันเป็นอย่างดี อย่างไอ้เชี่ยคีย์ก็เป็นได้แค่พ่อบ้านใจกล้าวันๆถามหาแต่เมีย ส่วนไอ้ต๊อบเจ้าพ่อนักกีฬาที่บ้า(พนัน)บอลขั้นเทพ แล้วก็ไอ้หงส์ที่ติดเกมอย่างกับอะไร นิสัยแต่ละอย่างมันก็ติดตัวมาจนเป็นสันดาน การจะคบกับไอ้พวกนี้ก็ต้องยอมรับข้อเสียของกันและกันให้ได้เสียก่อน

“จริงใจ แล้วคบกันอย่างนั้นเหรอ”

“ทำได้รึเปล่าล่ะ ถ้าไม่ได้” ผมพ่นลมออกจากปากส่งเสียงฟิ้ว ทำมือเหมือนเครื่องบินที่ทยานขึ้นสูงก่อนจู่ๆก็ร่อนลงสู่ภาคพื้นดิน

“ก็ปิ๋วไป” รอยยิ้มนี้ไม่ได้ท้าทายนะ แต่ผมว่าเรวะทำไม่ได้หรอก ถ้าจริงใจป่านนี้ก็คงไม่มีคนบาปที่ชื่อเรวะอยู่บนโลกนี้แล้ว

“เม่น” จู่ๆอีกฝ่ายก็เรียกชื่อเล่นผมแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาความกล้าที่มีอยู่แม่งหายวูบไปในอากาศ

“คะ...ครับ” แล้วผมก็เผลอตอบสุภาพไปซะด้วย ให้มันได้อย่างนี้ดิ อยากตีปากให้แตก

“มาคบกับกู”

“...”

“แล้วกูจะจริงใจกับมึง”


....TBC.....

 
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 4 :: มันเป็นไบ [1ุ6/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 20:52:41
หื้มมม เดี๋ยวนะ ขอคบนี่คบแบบไหน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 4 :: มันเป็นไบ [1ุ6/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2019 21:15:42
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 5 :: ตื้อเท่านั้นที่ได้เพื่อน [17/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 17-02-2019 18:05:21
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 5 :: ตื้อเท่านั้นที่ได้เพื่อน


วันที่ 24สิงหาคม ผมได้เพื่อนใหม่ที่ชื่อเรวะ หรือชื่อจริงว่ามนายุ...


เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน เขียนลงสมุดเลคเชอร์ทำเพื่อ ปากกาที่เคยจรดลงหน้ากระดาษใช้เขียนตอนนี้กลับเอามันมาขีดฆ่าข้อความที่เพิ่งเขียนไปเมื่อครู่อย่างไม่ใยดี

...เพื่อนอย่างงั้นเหรอ ถ้าได้มาเห็นสภาพเรวะตรงหน้าตอนนี้ นี่น่ะหรือคนต้องการเพื่อน...


ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบนาทีก่อนที่ยังนั่งเอ๋อปากหวอมองคนที่อยากจะทำจริงใจใส่อยู่


“เพื่อนเหรอ?”

“ใช่ เพื่อน” เรวะตอบกลับด้วยท่าทีนิ่งๆ ส่วนทางนี้ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเบาๆ ใครมันทำให้คิดอย่างนั้นได้วะ

“กูบอกไปเมื่อไรว่ากูจะ...” แผ่นสะดุดเลยครับ สายตาจ้องมองมามันเหมือนมีความหมายอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ทำให้ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไง เลยต้องกลืนคำที่จะกล่าวต่อไปแล้วนิ่งหายใจมองตอบอยู่สักพัก “ถามจริงเหอะ ทำไมต้องเป็นกู คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ”

“เป็นมึงแหละดีแล้ว”

“ตรงไหน”

“เพราะมึงดวงดี”

“ตอนม.ต้นกูจับฉลากเด็กพื้นที่ไม่ได้ ตอนม.ปลายกูสอบเข้าเตรียมไม่ผ่าน พอมามหา’ลัยคณะอันดับหนึ่งที่กูเลือกเสือกขาดไปคะแนนนึง อย่างนี้เรียกว่าดวงดีเหรอวะ”

“มึงดวงดีที่เจอกู”

“แต้มบุญกูคงหมดแล้วล่ะ”

“คบกับกูรับรองขึ้นไม่อั้น”

“อารมณ์กูอ่ะดิ”

“มันจะดีกูรับรอง”

“กูว่ามึงเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะกูไม่คบกับใครง่ายๆ หากกูไม่สมัครใจ”

“งั้นกูต้องทำยังไง ถึงจะทำให้มึงสมัครใจคบกับกู”

“...”

เคยได้ยินมั้ย ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความพยายามก็อยู่ที่นั่น บอกเลยเรวะโคตรพยายาม พยายามที่จะหว่านล้อมผม แล้วมันก็ได้ผลดีซะด้วยเพราะแววตาของอีกฝ่ายส่งมาดูเหมือน...จะมีอิทธิพลต่อผมแปลกๆ กว่าจะรู้ตัวก็เกือบเผลอไผลไปตามอีกฝ่ายจนต้องหลุบตาลงต่ำห้ามทัพแทบไม่ทัน

“เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว จากคุยเรื่องหุ่นอยู่ดีดีไหงมาเป็นเรื่องนี้ได้วะ” ทางนี้เองแหละที่บ้าบอ มัวแต่นั่งคุยกับคนที่ไม่ควรคบที่สุดในมหา’ลัยนี้ แทนที่จะลุกหนีไปให้พ้นเสียแต่เนิ่นๆ ผมจับสายกระเป๋าอย่างไม่รีรอก่อนผุดตัวลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากม้าไม้อย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่อยากทำให้เสียมารยาทจนเกินไปเลยหันไปบอกกับเรวะอีกครั้ง

“สำหรับกู มึงก็แค่คนที่ต้องทำงานกลุ่มด้วย อย่ามายุ่งกับกูให้มากนักจะดีกว่า”

“ทำไมล่ะ คนที่ทำงานกลุ่มด้วยก็คือเพื่อนไม่ใช่เหรอ” แม่งทำไมถึงตื้อไม่เลิกอย่างนี้วะ

“เรวะ ‘เพื่อน’ น่ะมันไม่จำเป็นต้องบังคับกันเป็นหรอกนะ”

“งั้นกูต้องเป็นอะไรกับมึง”

“ไม่ต้องปงไม่ต้องเป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ให้กูเป็นพี่มั้ย”

“พวกเราอายุเท่ากันป่ะ”

“งั้นเป็นน้อง”

“กูเกิดปีสี่ศูนย์ เป็นลูกคนเดียว จำไม่ได้ว่าเคยมีน้อง”

“งั้นเป็นพ่อ”

“เรวะ อย่าลามปาม”

“หรือจะให้กูเป็นแฟนมึง”

“กูไม่ชอบแฟนขี้ตื้อดื้อดึงขนาดนี้”

“ได้ งั้นกูจะปรับปรุง”

“มึงทำไม่ได้หรอก”

“ถ้ากูทำได้แล้วมึงจะยอมอ่อนให้กูมั้ย”

“ถ้าทำได้กูยอมให้อยู่แล้ว แต่มึงต้องทำให้ได้ก่อนล่ะนะ”

เอ๊ะ?

หืม?

เดี๋ยวๆๆๆ ทำไมรู้สึกบทสนทนามันแปลกๆวะ สรุปที่เรวะมันกำลังบีบบังคับขอคบด้วยตกลงนี่คือ...

“มึง” นิ้วชี้จี้ไปที่ใบหน้าขาว เล่นเอาดวงตานิ่งๆถูกย้อมด้วยความสงสัยในทันใด เจ้าตัวเอียงคอมองกลับมาทางผม

“...”

“กับกู” ลุ้นไปอีกสัด

“...”

“เป็นแฟนกัน?”

“ใช่”

เหยดดดดดดดดดดดดด ยกมือขึ้นมากอดนมตัวเองแทบไม่ทัน จำได้ว่ามันประกาศใส่หน้าผมเรื่องไม่ยอมเสียตูดให้ หรือว่ามันจะเปลี่ยนบทบาทเป็นอยากเสียบตูดแทนแล้ววะ เชี่ย...ข่าวลือเป็นเรื่องจริง เรื่องที่ว่าเรวะมันหญิงก็ได้ชายก็ดี ถ้าใครโดนหมายหัวแล้วคือเสร็จทุกราย ผมตกเป็นเป้าหมายของมันแล้วหรือไง เหลือบตาไปมองคนที่สูงน้อยกว่าอย่างกล้าๆกลัวๆ เรวะขมวดคิ้วได้รูปเข้าหากันมองมาทางผมอย่างสงสัย

“มะ...มึงทำกูกลัวแล้วนะเนี่ย”

“กลัว? เรื่อง?”

“ก็เรื่อง...” ท่าผมนี่ยังบ่งบอกไม่พอเหรอวะ หรือต้องบี้หัวนมให้ดูประกอบคำอธิบาย เรวะส่งสายตามองมาทางนม...เอ๊ยมือผม ตอนนี้กูเหมือนเทพีวีนัสที่พยายามจะปกปิดส่วนสำคัญในร่างกายแต่สุดท้ายพึ่งนึกได้ว่ากูไม่ได้ใส่เสื้อผ้า!! เจ้าตัวสบตาผมอยู่ชั่วครู่ก่อนผงะถอยหลังไปเหมือนตะลึงกับอะไรบางอย่าง

“เฮ้ย กูแค่พูดเล่น” แต่กูแยกแยะไม่เป็นโว้ยยย “บอกแล้วไงว่ากูไม่ใช่แบบนั้น”

“กูก็ไม่ใช่”

“แล้วใครเป็นวะ”

“กูจะไปรู้เหรอ” อย่ามาถามกู๊ กูสับสน

“ถ้าไม่รู้ก็ให้กูเป็นได้มั้ย”

“หา?” เป็นอะไร? เป็นอะไรอีกฮะ มึงพูดดีๆ

“เป็นเพื่อนมึง”

สามวินาที แต่เหมือนเวลามันผ่านไปนานหลายนาที ผมกับเรวะจ้องตากัน สายตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นจากที่ตื่นตกใจกลายเป็นเว้าวอนขอร้องตั้งแต่เมื่อไรวะ ผมควรจะทำยังไง ผมควรจะตอบกลับไปว่าอื้อสั้นๆแค่นั้นเหรอ หรือผมควรจะ...

“เฮีย!!” เสียงตะโกนเบี่ยงเบนความสนใจของไปจากคนตรงหน้า รู้ตัวดีว่าเรวะยังคงจ้องหน้าอยู่ แต่เพื่อเปลี่ยนประเด็นแบบเนียนๆเลยรีบหันไปตามเสียงทุ้มต่ำที่ดังมาแต่ไกล จนเจอเข้าให้กับเจ้าของเสียง ผู้ชายตัวสูงใหญ่ไม่คุ้นหน้าใส่ชุดนักศึกษาถูกระเบียบกำลังวิ่งตรงมาทางพวกผม

“เรวะ” ทันทีที่เข้ามาถึงก็กล่าวชื่อคนที่มาหาทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเรียกใคร ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างราวกับยินดีปรีดาที่ได้เจอเจ้าของชื่อเสียเต็มที่ พอเข้ามาใกล้ผมรู้เลยว่าผมรู้จักไอ้หมอนี่

...เออ ก็จะให้ไม่รู้ได้ไงในเมื่อคนอย่างอดีตเดือนมหาวิทยาลัยมายืนอยู่ตรงหน้า...

ทั้งๆที่ผ่านมาตั้งปีกว่าแล้ว แต่มันกลับดังไม่สร่าง ดังนานลากยาวมาจนมันขึ้นปีสอง ไอ้บูม เด็กวิศวะที่ควบตำแหน่งอดีตเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัย แถมยังติดท็อปไฟว์ในโพลหัวข้อผู้ชายเกรี้ยวกราดที่สาวๆอยากให้ทำมิดีมิร้ายที่สุด ซึ่งโพลนั้นหนึ่งปีพี่ดิบมันจะจัดขึ้นมาสักทีตามประเพณีประจำเพจ

“มาได้ไง” เด็กชายมนายุเอ่ยทักทันทีที่เห็นหน้าราวกับรู้จักกันมานาน...อย่าง...สนิทสนม? หืม?

“เปล่า แค่เดินผ่านมาน่ะ” รอยยิ้มแม่งโตรเทพบุตร ผิดกับลุคเกรี้ยวกราดที่เห็นตามท้องตลาดทั่วไป หรือว่าผมจะจำคนผิด นั่นดิ คนอย่างอดีตเดือนมหาวิทยาลัยจะมารู้จักคนที่โลกต้องการจะลืมอย่างเรวะได้ยังไง

“งั้นก็ผ่านไปได้แล้ว”

“เฮ้ยเรวะอย่าเย็นชาอย่างงั้นดิ ว่าแต่จะกลับยัง วันนี้ไปหาแม่นิมั้ย ว่าจะไปหาพอดี” แม่นิ? หรือว่าจะเป็นแม่ของเรวะ รู้จักกันถึงขั้นแม่ที่แน่ๆไม่ธรรมดา แต่ไอ้สุดหล่อหน้าเหมือนบูมวิศวะนี่มันใครกันวะ

“บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกชื่อนั้น”

“อ้าว หรือจะให้เรียกเฮีย” ส่งยิ้มชอบใจเหมือนกำลังเล่นสนุกได้แกล้งคนที่ตัวเองอยากหยอกสำเร็จ จนเรวะมันทนไม่ได้ฟาดกบาลอีกฝ่ายไปหนึ่งรอบ แต่ไอ้บ้านี่ยังคงทำหน้ายิ้มระรื่น ท่าจะเป็นพวกชอบให้ใช้ความรุนแรง

“ยังไงกูก็รุ่นพี่มึงนะไอ้บูม”

บูม...เฮ้ยตัวจริงเสียงจริงนี่หว่า แล้ว แล้วมันรู้จักกับเรวะได้ไงวะ

“แก่กว่าแค่หนึ่งปี อย่าทำแก่แดดน่ะ ไป กลับบ้านกัน” ไม่พูดเปล่ามือคว้าต้นแขนคนตรงหน้าผมอย่างถือวิสาสะ ส่วนไอ้เรวะที่มีท่าทีอิดออดในตอนแรกกลับขยับตามแรงมือไปซะอย่างนั้น ร่างโปร่งเหลือบมามองหน้าผมแล้วขืนตัวไว้

“เม่น”

“...” เรียกชื่ออีกแล้ว หลังจากเถียงกันมาโหมดนี้กูไม่ถนัดเลย

“ไปด้วยกันมั้ย”


...เหอะ...คิดเหรอว่าผมจะไป...
 


 
 
 
อะไรคือการที่คิดว่าต่อให้ตายก็ไม่ตามไป แต่ตอนนี้กายหยาบกูเสือกมาเหยียบร้านกาแฟของแม่มันได้วะ กูเพลีย


ผมนั่งจ้องสมุดเลคเชอร์ที่เผลอไผลเขียนสิ่งไร้สาระลงไป พลางคิดถึงเรื่องราวตกกระไดพลอยโจนต่างๆที่เกิดขึ้น เรวะไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตผมเลย แต่ทำไมทุกครั้งที่มันเข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิตถึงทำให้กระแสความเป็นอยู่ของผมมันเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้

“เมื่อวันก่อนขอบใจนะจ๊ะ”

“ครับ?” คุณน้าคนเดิมเพิ่มเติมคือรอยยิ้มที่ส่งตรงมาให้ ซึ่งมากกว่าเดิมถึงร้อยเท่าพันเท่า เธอเดินมาเสิร์ฟคาปูชิโนร้อนด้วยตัวเองถึงที่ ผมแปลกใจกับคำขอบคุณจนต้องขึ้นเสียงสูงถาม

“ที่ทำแผลให้เรไง”

“อ๋อ” ที่แท้ก็เรื่องวันนี้ เชื่อป่ะกว่าจะทำแผลเสร็จเล่นเอาถึงกับต้องไปเช็คประสาท วันนั้นบอกเลยว่าตอนฝันกูยังหลอนหูเสียงโอดโอยของเรวะ จนนอนไม่หลับไปถึงเช้า ดีที่วันถัดไปไม่มีเรียนตั้งแต่หัววันไม่งั้นได้เงิบคาห้องแน่ ว่าแต่แผลที่ขามันหายรึยังวะ
“นานแล้วนะที่เรไม่พาเพื่อนมาที่นี่” รอยยิ้มเปี่ยมสุขบวกคำขอบคุณที่มาจากการแสดงสีหน้าแบบไม่เจือปนการเสแสร้งใดใดทำให้ความรู้สึกที่ส่งตรงมาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ทำไมแม่ไอ้เรต้องดีใจขนาดนี้ทั้งๆที่...

“เร...เขาก็พาเพื่อนมาที่นี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ” ไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่แค่อยากให้เป็นภาพประกอบเลยเลื่อนสายตาไปทางอีกฝ่ายที่นั่งจับคู่อยู่กับเดือนวิศวะตรงโต๊ะที่อยู่ไกลออกไปอีกฝั่ง ความสนใจตอนนี้รวมศูนย์ไปที่เดือนคณะแต่เพียงผู้เดียว

“อ๋อ บูมน่ะเหรอ รายนั้นอยู่บ้านติดกันมาตั้งแต่เด็กๆ เลยสนิทกันน่ะ แต่แม่... เออ น้า โทษทีนะจ๊ะ ลืมตัวไป นานๆทีจะเจอคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรเลยเผลอเรียกว่าแม่ไป แต่น้า...”

“เรียกแม่เถอะครับ”

“เอ๊ะ” เกลียดนิสัยชอบเอาชนะของตัวเองก็ตรงนี้ว่ะ กับไอ้บูมทำไมมึงต้องไปสู้ด้วยวะไอ้เม่น กะอีแค่เมื่อกี้ได้ยินคุณน้าเรียกแทนตัวเองว่า ‘แม่’ ต่อหน้าไอ้เดือนมหา’ลัย...แม่งเอ๊ย

“เออ เมื่อกี้ผม...” ถอนคำพูดทันมั้ยวะ

“ปกติน้าไม่ค่อยเรียกแทนตัวเองว่าแม่กับใคร เพราะเรเขาไม่ค่อยพาใครมาน่ะ จะมีก็แต่บูม...”

“รับผมเป็นลูกบุญธรรมเลยก็ได้”

“เอ๊ะ?” เชี่ยแล้ว

“ผมจะยินดีมากเลย” โว้ยๆๆๆๆๆ

“จะดีเหรอจ๊ะ”

“ดีสิครับ”

“แต่น้า..”

“แม่สิครับ”

“เอ๊ะ?”

“เรียกตัวเองว่าแม่สิครับ”

เชี่ยโว้ยกูติดลมบนนนนนนนนนนนนนนนน

จบประโยคแม่ไอ้เรเหมือนโดนสะกิดต่อมขายหัวเราะสาวดอกไม้กับนายกลัวไข่ สรวลเสเฮฮาใส่ผมไม่หยุด จบไปผมจะไปเปิดคณะตลกเป็นเม่น เถิดเทิง ท่าจะรวย ระหว่างรอคุณแม่บุญธรรมป้ายแดงมีความสุขกับการได้ลูกชายตัวโตเท่าควายแบบสายฟ้าแลบ ผมก็ยกคาปูชิโนขึ้นมาจิบฆ่าเวลา แปลกที่ว่ากาแฟตรงหน้าไม่หวานอย่างที่คิดไว้

“เรเขากำชับนักหนาว่าห้ามใส่ไซรัป”

“...”

“คนไทยส่วนใหญ่น่ะติดหวาน กาแฟดำหรือจะใส่แค่นมก็ยังขมไปสำหรับใครบางคน”

“ผมติดแค่นมไม่ติดหวาน แล้วมันก็ดีต่อสุขภาพด้วย” แม่ของเรวะยิ้มให้ผมนิดๆก่อนพยักเพยิดไปทางหนึ่ง

“แต่รายนั้นน่ะ เขาดื่มไม่ได้เลย เหมือนพ่อเขาไม่มีผิด” แค่เลื่อนสายตาตามไปเท่านั้นแหละกูโดนของเลย เรวะมันกำลังมองเขม็งมาทางนี้ ผมหลบตาแล้วต่อบทสนทนาที่กำลังออกรสออกชาติแสร้งทำราวกับว่ามองไม่เห็น

“งั้นเหรอครับ แต่วันก่อนผมเห็นเขาดื่มกาแฟ”

“วันก่อน?”

“วันที่ผมมาที่ร้านนี้”

“อ๋อ นั่นน่ะเหรอ นั่นมันไวท์มอลต์จ๊ะ รายนั้นน่ะ ต่อให้ตายยังไงก็ดื่มไม่ได้ เพราะเรเขา...”

“แพ้คาเฟอีน”

เสียงดังมาจากด้านข้าง แม่งใช้พลังงานย้ายสารร่างชั่วพริบมาหรือไงวะ ทำไมกูไม่รู้สึก

“กูแพ้คาเฟอีน จิบคำเดียวตาสว่างยันเช้า”

“ไม่ต้องถึงขั้นเรียกว่าแพ้หรอกมั้ง คนบางคนเขาก็เป็นกัน”

“ที่บอกว่าแพ้เป็นเพราะว่าแค่จิบก็ไม่ได้ แต่ที่คนส่วนใหญ่เขาเป็นกันคือดื่มตอนดึกหรือดื่มมากไปใจเลยสั่น นอนไม่หลับ ส่วนกู...”

“พิสูจน์ให้กูดูสิ” ผมดันแก้วคาปูชิโน่ของผมไปหาฝ่ายตรงข้าม “ว่าแค่จิบแล้วนอนไม่หลับจริง”

เหมือนเล่นสงครามประสาท ไม่ได้กวน แต่ไม่เชื่อ ยังเปิดใจให้เชื่อคนตรงหน้าอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มไม่ได้ ถ้าเรวะไม่ดื่มอาจจะเป็นเพราะไม่กล้าท้ากับคำพูดโกหกที่พ่นออกมา แต่ถ้ากล้าดื่มจริงผมจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งเฝ้าว่ามันนอนไม่หลับจริงมั้ย คิดยังไงทางเลือกที่ว่าดื่มก็ดีกว่า

...แต่ถ้ามันนอนไม่หลับตามที่มันพูดขึ้นมาจริงๆล่ะ...นี่ผม ล้อเล่นอะไรไม่คิดไปอีกแล้วเปล่าวะ...

สภาพแวดล้อมรอบข้างนิ่งและเงียบไปถนัดตา ผมรู้สึกถึงความกระวนกระวายของผู้เป็นแม่ เธอทำท่าเอ่ยปากจะพูด แต่แล้วการเคลื่อนไหวของใครอีกคนกลับเข้ามาแทรกอย่างกะทันหัน ถ้วยกาแฟคาปูชิโน่ที่ส่งคำท้าไปถูกดันกลับมายังที่เก่าอย่างแรงจนของเหลวสีน้ำตาลอ่อนกระฉอกออกมาเปื้อนโต๊ะเป็นวงกว้าง ดีที่มันไม่ผลักจนตกไปกระแทกพื้น

“แล้วทำไมเฮียจะต้องทำตามที่มึงพูดด้วย”

“บูม!!”

ไอ้บูมวิศวะมันเดินอย่างอาจหาญเข้ามาร่วมวงด้วย สีหน้าท่าทางของมันไม่ต้องบอกก็รู้ ว่ามันตราหน้าผมเป็นศัตรูไปแล้ว

“กูแค่อยากพิสูจน์ว่าอาการแพ้คาเฟอีนเป็นยังไง”

“เรื่องอย่างนี้มันเอามาล้อเล่นกันได้ด้วยเหรอวะ” มันเอาจริง เดือดดาลขั้นสุดถึงขนาดคว้าคอเสื้อผมกระชากขึ้นอย่างแรง

“บูม!!อย่าเสียมารยาทกับลูกค้าสิ”

“แม่นิก็รู้ว่าเรมันไม่ถูกกับคาเฟอีน”

“แต่เราจำเป็นต้องทำรุนแรงกับพี่เขาแบบนี้มั้ย พี่เขาก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องให้กินเสียหน่อย” ใช่ กูไม่ได้เอามีดหรือปืนมาจี้มันเสียหน่อย แล้วกูก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตไอ้ไอดอลนี้ด้วย ถ้ามันไม่ดื่มก็ไม่เห็นจะทำให้โลกแตกอะไร

“ไม่ได้บีบบังคับอะไร ที่มันพูดมาน่ะบังคับกันชัดๆ หาว่าโกหกบ้างล่ะ ถ้าไม่ทำก็เหมือนกับโดนกล่าวหาจริงๆดิวะ”

เคร้ง!!

สายตาทุกคู่หันไปมองตามเสียงระฆังตัดเข้าโฆษณา ไม่ใช่สิมันเป็นเสียงถ้วยเซรามิกที่เคยใส่คาปูชิโน่ของผมดังกระทบจานรองต่างหาก ไอ้เรวะมันคว้าถ้วยกาแฟผมไปดื่มอึกๆต่อหน้าทุกคนแบบไม่เกรงใจใคร ก่อนกลับมาวางไว้ที่เก่าในสภาพเกลี้ยงแก้ว เล่นเอาบริเวณนี้เดดแอร์ไปเลยสัด มันเผยรอยยิ้มน้อยๆจ้องมาทางผม ตอนนี้สภาพมันถ้าไม่บ้าก็ น่าจะเมาคาเฟอีน

“โทษทีนะ”

“...”

“เผลอจูบทางอ้อมไปแล้ว”

สึด!!กูยืนยันแม่งแพ้คาเฟอีนชัวร์

“เรวะ มึงดื่มไปทำไมวะแม่งคายออกมา” ไอ้บูมจับไหล่เฮียมันเขย่าๆ ถ้าทำได้มันคงจับพาดบ่าคว่ำหน้าให้สำรอกออกมาแล้วมั้ง

“ถ้าเขย่าแรงอีกนิดกูจะพ่นใส่หน้ามึง” เฉียบ...สั่งได้ดั่งใจ มันบิดตัวจนมือไอ้บูมหลุดจากไหล่แล้วหันมาทางผม

“กูดื่มหมดแล้ว คืนนี้ขอไปพิสูจน์ที่ห้องมึงละกัน”

...ใครก็ได้ไปซื้อยาฆ่าเหาให้ที ตอนนี้มันอยู่บนหัวผมตัวเบ้อเริ่มเลย...


 

“ไอ้เร”

“อะไร”

“กูเชื่อแล้ว”

“หา?”

“มึงไม่ต้องไปหรอก”

“หา?”

“ห้องกูน่ะ”

“หา?”

หา?หา?หา?หา?หา? หาเตี่ยมึงดิ อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินได้มั้ยวะ กูก็ไม่ได้ปั่นไวอะไรมาก ลมที่ตีหน้ามาเรียกได้ว่าสามสิบเมตรต่อชั่วโมงด้วยซ้ำ ถ้าช้ากว่านี้ไอ้โซ่หลุดของกูก็สล็อตแล้ว ผมบีบแฮนด์เบรกกะทันหันจนร่างข้างหลังเสียการทรงตัวมากระแทก

“กูบอกว่า...”

“ขับรถเขาบอกให้มองข้างหน้า” มาเลยครับเต็มฝ่ามือ ยันหน้ากูเนี่ยแหละ

“กูปั่นจักรยานอยู่มั้ยล่ะ”

“ก็เหมือนกัน มันอันตราย”

“กูก็กำลังจะจอดข้างทางแล้วไง” พามึงไปห้องกูดิอันตรายกว่า

“ปั่นไปเถอะ อีกนิดก็จะถึงแล้ว” แขนยาวๆของเรวะชี้ตรงไป เชี่ยเอ๊ย ใครยกตึกหอมาไว้ข้างหน้ากูได้วะเนี่ย ปั่นมันต่อไปสิครับ หมดทางหนีจนได้

ถ้านับเวลาตั้งแต่รู้จักใครหลายคนมา เรวะเป็นคนที่ระดับความถี่ในการเยือนห้องผมสูงที่สุดในรอบหนึ่งเดือน อยากจะไขกุญแจเปิดประตูแล้วหายวับเข้าไปโดยทิ้งคนข้างหลังไว้แบบใจร้าย แต่ทำไม่ได้เพราะเรวะแม่งโคตรตามติดเป็นเหาฉลาม

“มึงจะทำอะไรก็ทำไป กูจะอาบน้ำนอนแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า” เขวี้ยงกระเป๋าลงข้างเตียง คว้าผ้าขนหนูเน่าๆประจำตัวได้ก็เดินฉับเข้าห้องน้ำ จะเหลือเหรอ มาถึงได้ผมก็เทมันสิครับ รีบๆนอนพรุ่งนี้ตื่นมาเช้าวันใหม่จะได้จบๆกันไป

ระหว่างอาบน้ำก็ได้แต่หวังว่านิสัยโจรของเรวะจะพาลพาขโมยสมบัติในลิ้นชักผมแล้วชิ่งหนีไป คิดแล้วหวั่นใจรีบอาบน้ำไวเท่าแสงแล้วแวบออกมาดูสถานการณ์

“เชี่ยยยยทำเหี้ยไรวะ” เต็มๆตาเลยครับ ไอ้เรวะมันกำลังถอดกางเกงเหลือบ๊อกเซอร์ห้อยต่องแต่งไปมาแค่ตัวเดียว

“ทำไร ก็จะอาบน้ำต่อจากมึง”

“มึงไปถอดในห้องน้ำก็ได้”

“กางเกงกูมีตัวเดียว ใส่นานๆเหงื่อออกสกปรก เดี๋ยวไม่มีใส่”

“อย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้เอามาเปลี่ยน”

“แล้วมึงเห็นกูไปหยิบอะไรก่อนออกมากับมึงมั้ยล่ะ” ไม่ ผมเห็นแต่เรวะที่กระตือรือร้นหยิบกระเป๋าเดินออกมาพร้อมกับผม

“รู้ทั้งรู้ว่าจะมาค้างแต่เสือกไม่เอาชุดมาเนี่ยนะ”

“กูตื่นเต้นไปหน่อย”

“...”

“ตื่นเต้นที่จะได้มาค้างห้องเพื่อนคนแรกของกู” เพื่อน...สรุปผมเป็นเพื่อนมันไปแล้วจริงๆใช่มั้ย ถ้าเถียงมีหวังได้เข้าอีหรอบเดิมคือการวนตอบลูกตื้อไม่มีที่สิ้นสุดของคนตรงหน้า

“เดี๋ยวกูให้ยืมกางเกงบอล”

“กูใส่บ๊อกเซอร์นอนก็ได้”

“แต่กูไม่ให้มึงใส่” กูเสียวไข่แทน แล้วสายตากูเป็นอะไรวะเนี่ยมองต่ำจัง มองไปยันขาไอ้เร... “ขามึง”

“...”

“หายดีรึยัง” แค่มองก็รู้ว่าทางกายภาพอีกนานกว่าจะหาย รอยแผลบางส่วนเพิ่งเริ่มตกสะเก็ดด้วยซ้ำ แต่ที่อยากรู้คือการเดินเหินของมันไม่มีปัญหาใช่มั้ย

พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ แถมยังยืนนิ่งเหมือนเดินผ่านสถานีรถไฟแล้วเพลงชาติไทยขึ้นกะทันหัน ผมเลยกลับลำเงยขึ้นมามองหน้าอีกฝ่าย สาบานเลยแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นที่ผมเห็นมันยกยิ้มที่มุมปาก

“นี่แหละ ที่กูอยากได้” ทิ้งท้ายเอาไว้แล้วคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปอย่างแมนๆ

ที่อยากได้? คืออะไร? มันไม่ได้หมายถึงผมใช่มั้ย


...ความปลอดภัยไม่มีในโลก แม้แต่หอตัวเอง...


...TBC...

++++++++++++++++


เพื่อนจ้า...ใสใส
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 5 :: ตื้อเท่านั้นที่ได้เพื่อน [17/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-02-2019 20:31:36
 :m31:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 5 :: ตื้อเท่านั้นที่ได้เพื่อน [17/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 18-02-2019 01:42:23
เรคือร้ายอะ ร้ายเงียบๆแต่ดื้อมาก น่าจับตี ไปห้องผู้ชายแบบนั้นได้ยังไงเนี่ย :katai3:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 6 :: ชื่อที่ไม่มีความหมาย [19/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 19-02-2019 08:58:27
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 6 :: ชื่อที่ไม่มีความหมาย


“เรวะ”

“เร”

“เออ ไอ้เร”

“อะไร”

“ใครบอกให้มึงนอนเตียง”


ใช่ สภาพนี้ไม่อยากจะบอก หลังจากหายหน้าไปอาบน้ำอาบท่าจนตัวหอมหึ่งไปด้วยสบู่กลิ่นฟลอร่าดอกไม้กำจาย ในสภาพที่มีเสื้อยืดกับกางเกงบอลติดกาย แม่งก็มุดเข้ามาใต้เตียงเดียวกันเฉยเลย

มองหน้ามันแบบให้สำนึก กลับถูกมองตอบกลับมาด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนหมุนตัวหันหลังให้แบบไวเท่าแสง เฮ้ยยยยเมินกันดื้อๆอย่างนี้เลยเหรอ แต่จู่ๆเรวะก็ยิงคำถามใส่ผม

“เตียงมีไว้ทำอะไร”

“หา?”

“กูถามว่าเตียงมีไว้ทำอะไร”

“ก็นอนไง”

“กูกำลังจะนอน”

“ไหนมึงบอกว่านอนไม่หลับ”

“หรือมึงจะให้กูทำอย่างอื่น”

“...!!”

เออ กูนอนนิ่งๆอย่างนี้กะด่ะ!!

แสงไฟบนเพดานสาดเข้าตาจนต้องปรับตัวนอนตะแคงข้าง หมุนตัวโดยไม่ลังเลว่าจะหันไปด้านไหน ผ้าห่มผืนเดียวที่คลุมกายซึ่งกันและกันอยู่ขยับมาทางผมเล็กน้อย แต่ไอ้เรวะแม่งดึงกลับอย่างไม่รีรอแถมกระชากเกินส่วนที่โดนดึงมาเสียอีก

ฮ่วย!! นี่ห้องกูนะ กูเป็นเจ้าถิ่นมึงต้องให้เกียรติกันบ้างดิ ดูท่าว่าจะไม่ให้เกียรติแถมยังทำท่าจะเกลียดกันมากกว่า ไม่งั้นมันคงไม่ดั้นด้นมากลั่นแกล้งกันถึงในห้องผมอย่างนี้หรอก เออห้องกูแท้ๆ กูแสบตาแล้วทำไมไม่เดินไปปิดไฟเองวะ ไวเท่าความคิดผุดตัวลุกขึ้นพุ่บจนผ้าห่มเลิ่กพั่บเท่านั้นแหละ มือใครก็ไม่รู้โผล่มากระชากผมอย่างแรงให้ลงไปนอนแน่นิ่งยังที่เก่า

ตุบ!!

หืม?

เดี๋ยวๆๆๆ

เหยดดดดดดดดดด เชี่ยภาพตรงหน้าช่วยบอกกูทีว่ากูฝันร้าย

เรวะมันขึ้นคร่อมผม!!

ขึ้นคร่อมผม!!!

ขึ้น!! คร่อม!! ผม!!

พอเถอะกูเหนื่อยโวยวายกับตัวเองในใจ ขอตะโกนใส่ไมค์ให้สุดเสียงว่า...

“ทะ...ทำเหี้ยอะไรเนี่ย” ขึ้นคร่อมกูทำมั้ย!! ใบหน้าขาวๆตอนนี้โดนผมสีแอชเกรย์ลงมาปิดตา น่ากลัวยิ่งกว่าหนังซาดาโกะ อาโออิ มิยาบิเสียอีก

“มึง”

“จะ...จะนอนก็นอนดีดีดิวะ กู...กูยอมให้ยืมเตียงก็ได้” ปากหรือไฟผับวะนั่น สับพั่บๆเป็นเจ้าเข้าเลย

“มึงน่ะ”

“อะรั้ยย จะอะไรก็รีบพูดดิ มัวแต่มึงเหนอะมึงน่ะอยู่นั่นแหละ” ขาหนีบกูเนี่ยแหละที่จะเหนอะหนะตามคำพูดมึงแล้ว เหงื่อไหลเป็นก๊อกน้ำเลย

“เป็นหมีเหรอ”

“เห็นอะไรไม่เห็นโว้ย” ไม่เห็นหมี แต่ตอนนี้กูกำลังจะเห็นหรร....ตี๊ดดด

“เม่น”

“อะไร”

“สติ”

“...”

“กูกำลังถามมึงว่า มึงเป็นหมีเหรอ”

“หา? แล้วทำไมกูจะต้องเป็นหมีด้วยวะ”

“ไปหรี่แอร์เดี๋ยวนี้ กูหนาว”

แทบสะดุ้ง ขาของไอ้เรวะมันขยับมาโดนขาผมแบบจงใจ ความเย็นเยือบของผิวกายถ่ายทอดตรงมาสู่น่องจนจี๊ดเข้าเส้นประสาท มันเป็นความหนาวสะท้านที่คนดักดานอยู่แต่ในผ้าห่มอย่างผมไม่รู้สึกมาก่อน

“ไปอาบน้ำแข็งมาเหรอวะนั่น”

“ก่อนสงสัยว่ากูอาบน้ำกับอะไร มึงไปหรี่แอร์สิบแปดองศาของมึงก่อนมั้ย”

เออจริงด้วยแฮะ...เสือกลืมไปว่าตั้งแอร์ไว้แบบหนาวจัด เพราะใส่เสื้อโคตรรัดกุมไข่ เกรงว่าใครจะประทุษร้าย สุดท้ายเลยตัดใจต้องทิ้งเรวะไว้แล้วไปกดหรี่ให้แอร์เหลือยี่สิบห้าองศาช่วยรักษาไม่ให้โลกร้อน พอเดินกลับมาก็เห็นมันนอนตะแคงข้างหันมาทางผม

“หมีขาว”

นอกจากไบโพล่าแล้วมันยังยกตำแหน่งให้ผมเป็นแบร์โพล่าอีก บันเทิงขั้นสุด

“อย่าประชดกู กูแค่ตาเบลอเห็นเลขหนึ่งเป็นเลขสอง” เออหนาวจริง ขนหน้าแข้งถึงกับลุกขึ้นเคารพธงชาติกันเป็นทิวแถว รีบเดินกลับเตียงเลิกผ้าห่มมุดกกไออุ่นแทบไม่ทัน จนกระทั่งหัวถึงหมอนเท่านั้นแหละ ถึงพึ่งนึกได้ว่ากูลืมปิดไฟ

“ไปไหน” พอจะลุกอีกครั้งมือยาวๆกลับคว้าไหล่รั้งไว้เป็นหนสอง เรวะ...กูไม่ใช่ดาราครับ ไม่ต้องว้อนกระทบน่องกระทบขาแล้วหันมาอยากกระทบไหล่ต่อก็ได้

“ไปปิดไฟ”

“ไม่ต้อง กูยังไม่นอน”

“ตกลงมึงจะเอายังไงกันแน่ เดี๋ยวนอนเดี๋ยวไม่นอนย้อนแย้งฉิบเป๋ง”

“กูนอนไม่หลับ”

“แต่กูจะนอน” ใครบางคนได้กล่าวไว้ ว่าเราจะใส่ใจกับคนสำคัญของเราได้ แต่เราจะแคร์คนทั้งโลกไม่ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ชื่อมนายุซึ่งไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับชีวิตเลย ผมลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วเดินกลับมาขดตัวบนเตียงอย่างเก่า ร่างโปร่งข้างกายเงียบไปแล้ว หากแต่ยังสัมผัสไม่ถึงสัญญาณเสียงลมหายใจของคนที่อยู่ในโหมดนิทรา วินาทีนี้ใครจะสนล่ะ หลับตาลงสิครับ แล้วเข้าสู่ห้วงความฝันกัน




ครืด...

หืม?

แกร่ก...

เสียงอะไร?

ปรือตาขึ้นมากลอกสำรวจไปมา จนสายตาไล่ไปเห็นเงาบางอย่างตะคุ่มๆอยู่ข้างหน้าบดบังแสงไฟที่สาดฉายเข้ามาจากภายนอก

คะ ใครวะ!!

กว่าจะรวบรวมสติไม่ให้ตะโกนโวยวายออกไปก็เล่นเอาหอบหายใจอยู่พักใหญ่ พอเพ่งสังเกตพินิจพิจารณาไปสักระยะผมถึงได้รู้ว่าแสงเงามันสะท้อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ตรงระเบียงที่ยื่นออกไปนอกห้อง ร่างๆหนึ่งกำลังกระถดตัวลงนั่งกอดเข่าหลังพิงบานเลื่อนกระจกใสเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด

เหอะ จำได้แล้วว่าใคร ไอ้เรวะที่มาค้างห้องผมไง นึกยังไงถึงไปนั่งตากน้ำค้างกลางดึกตอนนี้ โคตรอินดี้สัด

หยิบมือถือข้างเตียงขึ้นมากดดู เชี่ยตีสองสิบห้านาที...พยายามข่มตานอน...เออะ ไม่ใช่ดิ ไม่หลับไม่นอนกันเหรอไงวะ ช่างมันเถอะใครไม่นอนเราจะนอน คว่ำหน้าจอมือถือลงหวังจะจมสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง แต่ทว่าวินาทีนั้นคำพูดของเรวะมันจู่ๆก็แล่นเข้าหัว

‘กูแพ้คาเฟอีน จิบคำเดียวตาสว่างยันเช้า’

แค่นั้นแหละ ตื่นตัวจนถึงกับต้องยันกายลุกขึ้นนั่ง หันไปมองร่างที่อ้อยอิ่งให้กับความเงียบเหงาและบรรยากาศเศร้าๆยามค่ำคืน

“ทำไมต้องลงทุนขนาดนี้ด้วยวะ” โดยพื้นฐาน ในความคิดของทุกคนถ้าเป็นเรื่องความเจ้าเล่ห์หรืออะไรร้ายๆเรวะทำได้เสมอ นี่อาจจะเป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษของมันหลอกให้คนหลงเชื่อและตายใจเพื่อให้เข้าทางมันในที่สุด

บางทีตอนนี้มันอาจจะนั่งหลับพิงระเบียงโดยเอาปากกาเมจิกเขียนที่เปลือกตาแบบเนียนๆไปว่านอนไม่หลับก็เป็นได้ เพื่อเป็นการทำให้มันหน้าแหกหมอไม่รับเย็บผมเลยจัดการฝืนความง่วงที่มีอยู่ลุกออกจากเตียงค่อยๆกระย่องกระแย่งไปยังระเบียงห้อง

เมื่อเดินเข้ามาถึงกลับเป็นอะไรที่ผิดคาด เรวะมันไม่ได้หลับจริง แถมยังมีของไม่พึงประสงค์ที่เจ้าตัวพึ่งหยิบขึ้นมาหนีบไว้คามือมันอีก ผมเลยรีบเลื่อนประตูบุกเข้าไปฉวยมาไว้กับมือ

“ทำเชี่ยอะไร”

“โพคุ?” เรวะหันมาทำหน้าฉงนปนประหลาดใจสุดขีด “ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“กูถามว่ามึงทำเชี่ยอะไร”

“นั่ง”

“ก่อนหน้านั้นดิวะ”

“กำลังจะสูบบุหรี่”

“สูบเพื่อ”

“กูนอนไม่หลับ”

“แล้วทำอย่างกับสูบแล้วมึงจะหลับ”

“ไม่หลับ แต่กูสบายใจ”

“กูไม่ให้มึงสูบ นี่มันระเบียงห้องกู กลิ่นเข้าห้องหมด”

“...”

มันไม่ตอบโต้ แต่หันกลับไปแล้วนั่งกอดเข่าเงียบๆคนเดียว ทำไมให้อารมณ์เหมือนกูทำร้ายเด็กอยู่วะ ท่าทีแบบนั้นทำให้ผมอดที่จะขยับตัวลงนั่งข้างมันไม่ได้

“ทำไมถึงมานั่งนอกระเบียง” เรวะหันกลับมามองเบิกตากลมใสที่สะท้อนแสงไฟยามค่ำคืนใส่ ทำราวกับประหลาดใจว่าทำไมผมถึงยังอยู่ตรงนี้

“กูเบื่อเตียง ระหว่างโถส้วมกับระเบียง กูเลือกตรงนี้”

“มึงจะนอนแล้วทำไมมึงจะต้อง...”

“ห้องน้ำมันลื่นเล่นท่ายากไปมีหวังได้หัวร้างข้างแตก ระเบียบถึงคนเห็นมากแต่โล่งกว้างขยับท่าทางก็สบาย”

“สัด มึงเลือกที่นอนหรือเลือกที่เย”

“หึ” แอบสยองกับเสียงหัวเราะ แต่ลงจอดแล้วไง จะกลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็กลัวจะไม่เตียงแล้วมาเสร็จตรงระเบียงมันเนี่ยแหละ เลยยอมทู่ซี้นั่งประจำที่ต่อไป

“ที่เตียงกูมองเห็นแต่เพดาน”

“มึงให้เกียรติหลอดไฟกับจิ้งจกในห้องกูด้วย” มืดนะ แต่มุมปากที่ยกขึ้นสูงของเรวะก็ชนะรัตติกาลยามค่ำคืนนี้ได้

“ตรงนี้วิวสวย” ผมเหม่อมองไปตามปลายสายตาอีกฝ่าย

“อือ” ก็สวยอยู่

“ดาวสีเทาปลิวไสวกระจายเต็มท้องฟ้าเลย”

“สัด นั่นมันกางเกงในกูเปล่าวะ”

“ฮ่าๆ ก็บ้านกูไม่มีอย่างนี้นี่หว่า”

“บ้านมึงไม่มีแน่นอน นั่นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น” จบประโยคไอ้เรวะมันระเบิดหัวเราะออกมาจนต้องปาดน้ำตาที่เล็ดข้างแก้ม

“แค่กลิ่นมึงติดก็ลิมิเต็ดพอแล้ว”

“หอมเหมือนเสื้อกูแหละ”

“ดมแล้วอารมณ์ขึ้นด้วยป่ะ” เอิ่มว่ายังไงดีล่ะ เผลอหัวเราะและยิ้มตามอย่างลืมตัว บทสนทนาที่ลื่นไหลขนาดนี้ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างผมกับคนตรงหน้า แต่แล้วมันก็จบลงเมื่อเจ้าตัวเริ่มออกตัวไล่ผม

“มึงไปนอนเถอะ”

“มึงก็ด้วยดิ”

“ชวนกูนอนเหรอ”

“สัด อย่าแม้แต่จะคิด กูถามจริงเหอะ นี่มึงนอนไม่หลับจริงเหรอวะ” เรวะหันจ้องหน้าผมด้วยสายตาพราวระยับดุจดารายามค่ำคืน เหมือนพิสูจน์ได้ว่าแม้แสงไฟจะเจือจางแต่เจ้าตัวกลับไม่มีอาการของคนง่วงนอนแต่อย่างใด

“อยากรู้มั้ยว่าทำไมกูนอนไม่หลับ”

“ไม่” ตอบเร็วทันใจฉิบหายวายวอด แต่คนอย่างเรวะมีหรือจะฟังใคร มันก็เล่าต่อไปสิครับ

“กูบอกแล้ว กูแพ้คาเฟอีน กูเสพติดมันมาตั้งแต่เด็ก เพราะกูไม่อยากฝัน กูเกลียดความฝัน พอเป็นอย่างนั้นมาเรื่อยๆใจกูเลยสั่งให้การดื่มกาแฟทุกครั้งกูต้องห้ามนอน”

“...” เรื่องเล่าน่าประหลาดราวกับกระดิ่งของพาฟลอฟหลุดออกมาจากปากช่างจ้อเฉพาะยามอยู่กับผม อีกฝ่ายเหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่แสนไกลพลางยิ้มขื่น กะจะให้ผมถามต่อล่ะสิ อย่าเลย อย่าแม้แต่จะคิด ผมไม่มีทาง...

“มึงฝันเรื่องอะไร” โอ๊ยยยยยย อยากตีปากตัวเองจังโว้ย

หงุดหงิดตัวเองที่เสือกไม่เข้าเรื่อง แต่ที่หงุดหงิดยิ่งกว่าคือตอนกูถามเรวะแม่งเสือกเงียบ ปล่อยให้ผมลุ้นซะงั้น จนกระทั่งอยากตัดรำคาญเลยเอ่ยประโยคบางอย่างตัดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

“ถ้ามึงไม่อยาก...”

“อย่ารู้เลย”

“...”

“ไม่สลักสำคัญอะไรกับชีวิตมึงหรอก มึงไปนอนเถอะ” อ้าวเฮ้ย พูดอย่างนี้ก็มีขึ้นดิ มาหลอกให้อยากแล้วจากไป แถมยังทำท่าจะตัดผมออกจากสารบบความวังเวงในชีวิตอีก เรวะผินหน้าทอดสายตาให้ความสนใจสายลม ท้องฟ้า ดวงดาว และกางเกงในอีกเก้าตัวของผมแทน

“เออ มึงมันไม่สำคัญ” ผมลุกขึ้น อาจจะคิดไปเองที่จับสังเกตการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเรวะได้ หากคนที่อยู่ต่ำกว่ากลับยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับโดนแช่แข็งไว้

“...”

“แต่สำหรับคนที่ถูกยกให้เป็นเพื่อนอันดับหนึ่งอย่างกู...มันเดือดร้อนเว้ย” อย่าถามว่าสติผมครบมั้ยในเมื่อตอนนี้มันตีสาม กูเลยตัดรำคาญคว้าแขนไอ้เรฉุดมันขึ้นมาอย่างแรงจนตัวมันลุกเซเข้ามาใกล้

“เม่นมึง...”

“เรวะ กูจะกล่อมมึงเอง”





“กาเหว่าเอย”

“เอย”

“ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก”

“ฟัค”

“ด่ากูเพื่อ”

“กูแค่พูดคำลงท้ายตามมึง”

“เมื่อไรจะง่วงวะ”

“แล้วมึงทำอะไรอยู่เนี่ย”

“ร้องเพลงกล่อมเด็กไง มึงไม่เคยได้ยินเหรอ”

“เสียงมึงเพราะดีนะ”

“มึงอย่าลืมว่ากูอยู่สินกำ เอกขับร้อง ถ้าเพราะก็รีบง่วงแล้วนอนดิวะ”

“แต่ตีนมึง...”

“อย่าเรื่องมาก แล้วนอนๆไปได้แล้ว”


อย่าบอกว่ากูไม่อ่อนโยน ใครมันจะไปลงทุนโอบอีกฝ่ายเอาไว้แล้วเอื้อมมือไปตบไหล่เบาๆให้เคลิ้มไปล่ะวะ นี่ไม่ใช่หนังโรแมนติกรักแรกแย้มของวัยรุ่น แต่มันเป็นหนังไซไฟที่มีผู้ชายธรรมดาอย่างผมต้องมานั่งทำภารกิจมิชชั่น แบบเป็นการลงทุนที่คาดหวังผลกำไรให้มันหลับไปซะที ด้วยการเอาตีนกูเนี่ยแหละเตะเบาๆไปที่ต้นขาของเรวะผ่านผืนผ้าห่ม ท่ากูตอนนี้แม่งคงประหลาดพิลึก

“มึงนอนเถอะ”

เฮือก เกือบวืบไป บอกเลยตอนนี้ไหลไปหาพระอินทร์ได้โคตรง่าย ถ้าไม่ได้เสียงไอ้เรวะดักไว้มีหวังผมได้ไปก่อนมัน ในเมื่อไม่เข้มข้นเราไม่นอนก็คงต้องย้อนแย้งกับตัวเองด้วยการหาเรื่องชวนอีกฝ่ายคุยให้ตายกันไปข้าง

“เรวะ”

“กูชื่อเร”

“...” บทสนทนาขาดหายไปจนใครบางคนผิดสังเกตรีบหันมามองอย่างไม่ทันระวังตัว สายตาสีน้ำตาลอ่อนขยับสบมาทางผมที่นอนตะแคงข้าง เรวะออกอาการตื่นๆขืนตัวเกร็งดันตัวออกห่างราวกับตกใจไม่คิดว่าผมจะตื่นอยู่ เจ้าตัวกลอกสายตาลงต่ำแต่ปิดบังความลนลานของตัวเองไม่มิด พลางเอ่ยเสียงขัดความเงียบที่อึดอัดตรงนี้

“มะ...มีอะไร”

“ทำไมถึงไม่ให้เรียกเรวะ...”

“...”

“กูจำได้ ว่าตอนแนะนำตัว มึงบอกว่าชื่อเรวะ”

“เด็กเจนวายไม่จำเป็นต้องชื่อเล่นสองพยางค์เสมอไป”

“ทฤษฎีน่ะใช่ ถ้าหากมึงไม่ได้ชื่อเล่นพยางค์เดียวมาแต่แรกล่ะนะ”

“...”

“พี่ดิบบอกกูว่า ‘เรวะ’ เป็นชื่อต้องห้าม”

“...”

“ทำไมต้องห้ามเรียกด้วย”

“ ‘เรวะ’ มันไม่มีความหมาย”

“แล้วทำอย่างกับ ‘เร’ มีความหมาย”

“รังสี”

“ชื่อมึงไม่มียอยักษ์การันต์แน่ถ้าให้กูเดา”

“แปลว่าวาง”

“นั่นมันลอลิงป่ะ”

“งั้น มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ”

“มีทั้งลิงทั้งการันต์ไม่เข้าข่ายทั้งนั้นเลยว่ะ”

...สัด นี่กูกำลังเล่นเกมเวทีทองกับมันอยู่เหรอวะ...

“มีคนบอกว่าใครเรียกมึงเรวะ โดนต่อยยับไม่รับเย็บ”

“เคยโดนรึยังล่ะ”

“เคยดิสัด วันแรกที่กูเจอมึงไง”

“นั่นไม่ใช่เรวะ แต่เพราะมึงทำเสื้อกูขาด”

“เหตุผลคนละอย่างแต่สุดท้ายกูก็ปากแตกอยู่ดีเปล่าวะ แต่เออ...ช่างเหอะต่อให้มีความหมายหรือไม่มีความหมาย ยังไงกูก็เรียกมึงเรวะ เพราะกูชินปากแล้ว”

สรุปจบ โอเคนะ กูมันเผด็จการขอให้มึงจำไว้ ไอ้เรวะเงยหัวมามองผมด้วยสายตาซึ่งระคนไปด้วยอารมณ์หลากหลายก่อนจะเผยยิ้มสยองน้อยๆตามแบบฉบับของคนที่ทั้งโลกนั้นเกลียด...

“แต่มันกำลังจะกลายเป็นชื่อที่มีความหมายสำหรับกู”


วืบหนึ่งผมรู้สึกได้ว่าเรวะมันไม่ได้หมายถึง ‘เรวะ’ ที่เป็นชื่อของมัน...





เสียงนกร้องจิ๊บๆดังเข้าโสต สายลมเย็นสดชื่นโชยอ่อนผ่านร่องหน้าต่างเข้ามาพร้อมกับแสงแดดยามอรุณ

เช้าแล้วครับ สว่างแล้วครับ ตากูเนี่ยแหละสว่างยันเช้าแม่งไม่ได้นอนสักแอะ แต่คนข้างๆสัญญาณกลับแย่กว่า หน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้มสามน้ำแถมแสดงอาการหอบหายใจรวยระริน ถ้าไม่ติดว่าใส่เสื้อผ้ากันครบชุดใครๆเขาคงครหาว่าพวกเราไปเอากันมายันฟ้าเหลือง

“เรวะ มึงตื่นยัง”

“กูไม่ได้หลับ”

“ไม่ต้องบอกกูก็รู้” แค่ถามเผื่อไปงั้นๆ

“แต่ท่อนล่างกูตื่นเต็มที่เลย”

“สัด อย่ามาสัปดนแถวนี้” เจอไอ้เรวะไปทีกูนี่ไปบวชชีได้เลย สกิลกูโคตรดาวน์ สกิลความหื่นของผมนะ

ร่างข้างๆขยับตัวซวนเซโอนเอน อีกมือหนึ่งก็กุมไข่เดินเข้าห้องน้ำไป...เชี่ย...จริงเหรอวะ นึกว่าล้อเล่น

นั่งรออยู่สองสามนาทีเจ้าตัวก็กลับออกมาใหม่ ในสภาพชุดนอนที่ผมให้ยืมตามเดิม

“จะกลับยัง”

“...” แปลกเหรอวะที่ทักทันทีที่ออกมา บอกตามตรงจนถึงตอนนี้ผมยังขัดใจไม่อยากจะสนิทสนมสนทนากับมันเท่าไร เพราะเพื่อนผมมันเตือนไว้เยอะ

“รอกูอาบน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวออกไปด้วยกัน”

“กูหิวข้าว”

“เออ ก็บอกให้รอแป๊บนึงไง หรือมึงจะไปก่อน” งอแงฉิบหาย

“กูจะกินกับมึง”

“มึงว่าอะไรนะ”

“กูจะกินกับมึง...เพื่อนเม่น”

ใครเป็นเพื่อนมึงกัน!!




“แถวนี้มีอะไรน่ากินบ้าง”

“โจ๊กกับหมูร้านริมถนน กับข้าวมันไก่ประตูน้ำตรงหัวมุม” แล้วทำไมผมต้องเสือกทำตัวเป็นสิริคอยตอบคำถามมันด้วยวะ
กว่าจะง่วนอาบน้ำแต่งตัวสะพายกระเป๋าพาคนที่บ่นกระเง้ากระงอดว่าปวดท้องกระเพาะแดกลงมาด้านล่างได้ก็แทบลมจับ เพราะโดนไอ้เรวะมันกวนตีนยกสองตอนที่ผมคะยั้นคะยอให้มันมุดกลับห้องน้ำไปผลัดเปลี่ยนกางเกงบอลกับเสื้อยืดคอกลมที่ใส่อยู่

 
‘ทำเชี่ยไรเนี่ย’

‘คืนเสื้อกับกางเกงมึง’

‘กูบอกให้มึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่ให้มาแก้ผ้า’

‘’ไม่ได้ว่าอยากได้เสื้อคืน?’

‘ก็เออดิวะ สภาพมึงเมื่อกี้ จะออกไปผีเห็นผีหรือไง” กางเกงบอลกับเสื้อตัวใหญ่แล้วมองทางไหนแม่งก็ไม่ควรออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอก ไหนจะขาขาวๆที่เป็นรอยแผลทางยาวนั่นอีก

‘งั้นกูไปทั้งอย่างนี้’ สัด กางเกงบ๊อกเซอร์ ไม่ใช่แค่ผีแล้วกูเนี่ยแหละจะเห็นแทน

‘เปลี่ยนกลับเป็นตัวเดิมที่มึงใส่มาก็ได้’

‘วันนี้ต้องใส่อีก กู...’

‘โว้ย มึงใส่เสื้อกูไปแหละแม่ง’ รำคาญ!! กูคว้ากระเป๋าสะพายข้างเตรียมไปซื้อเสื้อผ้าที่ประตูน้ำมาตุนไว้เลยครัช



หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น มันเดินชิลใส่กางเกงจ๊อกกิ้ง วิ่งลงมาด้านล่าง

“เฮีย” เสียงเรียกคล้ายเมื่อวานยังตามมาหลอกหลอน เป็นอย่างที่คิดไว้ ไอ้บูม เด็กเดือนมหา’ลัยยืนโชว์ป้ายไฟเรียกเฮียมันอยู่หน้าทางเข้าหอแต่เช้า มันตามมาถึงนี้ได้ไง มันรู้ว่าหอผมอยู่ไหน ฉลาดเกินไปแล้ว

“มาทำไม” พี่มันก็นะ คนอะไรวะเย็นชาสุดๆ

“เชี่ยตาโหลอย่างกับศพ กูบอกไม่ฟังให้อ้วกออกมา” ท้ายประโยคยังมีปลายตามากระแนะกระแหนกูอีกแม่ม...

“เลิกโทษใคร กูตั้งใจดื่มเอง มาถึงนี่ มึงคงไม่ได้มาดูสภาพกูอย่างเดียวใช่มั้ย”

“กูมารับ”

“...”

“กลับด้วยกัน”

จู่ๆก็เงียบไปทั้งคู่ กูอาศัยจังหวะนี้หนีหายไปเลยดีมั้ย เอาไงดีวะ จะให้สอดปากพูดออกไปมันก็ไม่มีตรงไหนให้แทรกตั้งแต่แรก ก่อนที่ผมจะหาทางหนีทีไล่ได้ไอ้เรวะมันก็ชิงลงมืออย่างไวทำสีหน้าจริงจังใส่ไอ้บูม

“เมื่อวานมึงไม่ได้กลับบ้านใช่มั้ย”

“...”

“เกิดอะไรขึ้น”

“เปล๊า...ก็ไม่มีอะไรหรอก” ไอ้บูมมันเกาหัวกลบเกลื่อน

“อย่าให้กูต้องถีบ”

“ไม่มีอะไรจริงๆเฮีย”

“สัดบูม!” จบคำลาสองมือล้วงกระเป๋าสองเท้ายกขึ้นมา ไอ้เรวะมันคือคนจริงสองพันสิบแปด แม่งถีบไอ้บูมลงไปนั่งจนไม่เหลือคราบเดือนคณะวิศวะอยู่เลย แต่เหมือนอีกฝ่ายจะชินกับความรุนแรงแม่งไม่สะทกสะท้านสักแอะ แถมลุกขึ้นมาปัดฝุ่นที่ขาทำท่านิ่งๆ เล่นเอากูตาโตตกใจตั้งแต่ไก่โห่ไปเลยสัด

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เฮียบอมมันกลับมาแล้วน่ะ”


เอ๋? ใครคือบอม? คิมบอม?ดาราเกาหลีอย่างนั้นเหรอ?


...TBC...

++++++++++


ค่าตัวขนาดนั้นป้าไม่มีปัญญาจ้างมาประกอบฉากหรอกลูกเม่น...

อย่าตีน้องเลยน้องไม่ได้คิดอะไรจริงๆ...ไม่ทันคิดมากกว่า...
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 6 :: ชื่อที่ไม่มีความหมาย [19/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 19-02-2019 13:59:13
เฮียบอมจะมาสร้างความวุ่นวายอะไรอีกมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 7 :: ร่วมกัน...แยกกัน [20/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 20-02-2019 20:04:40
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 7 :: ร่วมกัน...แยกกัน


“ช่วงนี้มึงแบกข้าวของมาอยู่กับแม่กูก่อน”


คิดว่าเรวะจะมีธุระกับไอ้บูมต่อ แต่พอพูดประโยคนี้กับไอ้หล่อเสร็จ มันก็หมุนตัวกลับมาจับแขนกูกระตุกให้เดินเฉย

“อ้าวเฮ้ย...” มันใช่เวลามาลากกูไปมั้ย หันรีหันขวางไปมองไอ้หล่อที่ดูเหมือนจะมีประเด็นเด่นประเด็นร้ายอย่างเรื่องที่เข้าข่ายว่าจะตามตัวไปมีตแอนด์กรี๊ดดาราอย่างคิมบอม แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไอ้เรวะโดนสับเบรคด้วยการคว้าหมับไปที่ต้นแขน

“เฮียจะไปไหนวะ”

“กูจะไปแดกข้าวกับเม่น”

“ไปแดกกับกูก็ได้”

“แต่เม่นมันรอแดกกับกูอยู่”

พรึ่บ!!

สองหัวสี่ตาหันมาทางกูซึ่งอยู่ในบทสนทนาทันที

“อะ...เออ...”

...ไม่ทราบว่าถามกูรึยังครับ ว่าอยากแดกด้วยมั้ย...สถานการณ์แบบนี้ ทางเดียวที่ทำได้คือแถมันไปว่า...

“คะ...คือ...บังเอิญกูพึ่งนึกได้ว่ามีธุระ” เชิญตามสบายเลยครับทั้งสองคน อีกนิดคิดว่าจะปลีกตัวได้แล้ว แต่มือของเรวะที่ยังคงจับต้นแขนผมอยู่กลับออกแรงฉุดอีกครั้งจนต้องเกร็งตัวรั้งไว้ “เฮ้ย เดี๋ยวดิ กูบอกแล้วไงว่ามีธุระ”

“ธุระกับกูไงสัด” หูยนี่กูลืมได้ไงวะว่ามีธุระกับมึง เชี่ย ใช่ที่ไหนเล่า ปล่อยกูดิวะ ไอ้บูมมันมองกูตาขวางแล้ว แต่เอ๊ะ...ทำไมมันไม่ตามมาวะ ผมได้มองคนที่คล้อยหลัง โดยที่อีกฝ่ายได้แต่ยืนนิ่งจนลับสายตาไป




“ทางไหน”

“ฮะ?”

“ร้านโจ๊ะมึงทางไหน”

“โจ๊กมั้ยล่ะมึง อย่ามาลิ้นไก่สั้นแถวนี้” ถ้าจะโจ๊ะกันจริงๆมึงต้องไปที่เตียงกรู ติงเสร็จผมก็ชี้ไปที่อีกฟากของถนน “นั่นน่ะ ร้านที่คนต่อคิวเยอะๆ”

“โจ๊กหมูหรืออาฟเตอร์ยูเมืองไทยวะ” ไอ้เรวะมันอุทาน จริงของมันคิวต่อแม่งยาวเข้าขั้นเชียงใหม่-สุไหงโกลก เช้าๆอย่างนี้บางทีหาของกินลำบากต้องเข้าใจ ส่วนใหญ่คนมักจะฝากท้องไว้ที่ร้านของกินง่าย อย่างข้าวมันไก่ ร้านโกปี๊กาแฟโบราณข้างทาง หากแต่ร้านที่ผมพามามันเสือกอร่อยและฮิตในหมู่นักศึกษาย่านนี้ คิวมันเลยยาวได้ยาวดีไงล่ะ

“เปลี่ยนใจไม่กินก็ได้นะ” เข้าทางกูเลย

“กิน กูมีเวลาถึงบ่าย” แล้วถามกูมั้ยว่ากูมีเรียนตอนไหน จะเรียกว่าโชคดีก็ได้เพราะความที่ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับเรวะเกินสิบสองชั่วโมงเลยทำให้ผมออกจากห้องมาก่อนเวลาเรียนถึงสองคาบ ยอมจำใจทนเป็นเพื่อนกินมันต่อไปจะได้จบๆ

ไม่รู้นะ ผมรู้สึกได้ว่าร้านที่ดังๆมันจะมีระบบจัดการถ่ายคนเข้าร้านอย่างรวดเร็ว การที่พลพรรคนักปั้นหมู นักกวนข้าว และนักเสิร์ฟ ผสานกำลังกันทำงานจนหน้าดำคร่ำเครียดมันเลยทำให้แถวที่ต่อเคลื่อนที่ไปเรื่อยย่นระยะพวกเราจนเกือบถึงคิว

“มึงจะสั่งอะไร”

“โจ๊กหมูใส่ทุกอย่างพิเศษ แล้วมึง...”

“เอาเหมือนมึง” เลียนแบบกูอีก “กูอยากกินตับ”

“กูชักอยากกินแค่หมูอย่างเดียวแล้วว่ะ” สมงสมองกูไปทางนั้นตลอดถ้าเป็นคำพูดของเรวะ

“เอาดิ ถ้าอยากกินมึงบอก เดี๋ยวกูแบ่งตับให้”

“ช่วงนี้หมอบอกให้งดเครื่องใน ตรวจพบคอเลสเตอรอลในเลือดสูง”

“มึงเนี่ยแก่เกินอายุเนอะ” ไอ้เรวะหัวเราะ เออกูยอม ถ้าข้ออ้างนี้จะทำให้กูไม่ต้องกินตับมึง ไม่ปล่อยให้ผมเสวนากับคนตรงหน้านานเด็กรับคิวก็เดินมาหา

“กิคงคับ” เสียงทักฟังสำเนียงไม่ชัด ดูท่าว่าจะเป็นแรงงานต่างด้าว

“สองคนครับ” ชูสองนิ้วประกอบเพราะเสียงมันจ๊อกแจ๊กจอแจเกินจนกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยิน

“ถ่ะมะมีที่พี่แย่กโต๊ะกันดั้ยมั้ย”

“ยินดีครับ อะโอ๊ย ทำเชี่ยไรวะ” เกือบคิดว่าเข้าทางกูแล้วเชียว แต่ไอ้เรวะแม่งเสือกเอาศอกมากระแทกซิกแพคผมแบบไม่ออมมือ

“โต่ะลงเยกันได้ช่ะมะคับ” เฮ้ยเดี๋ยว ใจเย็น มึงพูดช้าชัดๆก็ได้ไอ้เด็กรับคิวกูไม่รีบ

“เยไม่ได้ครับ เพื่อนผมมันหมายถึงยินดีที่จะรอ เพราะพวกเราไม่เคยเยกันกินข้าวครับ” ว้อยยแยกเว้ยไม่ใช่เย แล้วกูเคยกินข้าวกันมึงที่ไหนนน

ด้วยความโชคร้ายหรือดวงซวยขั้นสุด คนคู่หนึ่งที่กินเสร็จเพิ่งลุกจากโต๊ะ ณ ขณะที่พวกเรากำลังเถียงกันพอดี

“ตงนั้นลุกพอดี เพ่ะม่ะต้องเยกันแล้วนะคับ” ถึงลุกไม่ลุกกูก็ไม่เยกันอยู่แล้ว!!!

“ไปมึง เข้าไปได้แล้ว” นี่กูมาร้านโจ๊กหรือมาโรงแรม ใครก็ได้ช่วยบอกที ผมเดินตามเรวะเข้าไป มันจับข้อมือผมไว้อย่างกับกลัวจะหาย กว่าจะปล่อยได้ก็นั่น...จนกระทั่งมาถึงโต๊ะ

“สั่งอะรัยเดคับ”

“โจ๊กหมูพิเศษใส่ทุกอย่างสอง แล้วก็ปาท่องโก๋จานนึง” ไม่ต้องบอกไอ้เรวะก็สั่งให้ผมเสร็จสรรพ

“เศษหมูทุกอย่างสอง!! โก๋จาน!!” เออ...นี่แหละความพิเศษของร้านนี้ เวลาสั่งพิเศษแต่ละทีอย่างกับกูเป็นสัมภเวสีมาขอเศษหมูกิน ช่วงที่เริ่มมีช่องว่างระหว่างการรออาหารผมแสร้งทำเป็นหยิบมือถือขึ้นมาสนใจดูแต่โลกโซเซียล จงใจหนีการเสวนาพูดคุยกับอีกฝ่าย หากแต่ปลายสายตายังคงเหลือบมองคนตรงหน้าเป็นระยะเผื่อมันยึกยักทำอะไรแปลกๆใส่ผมอีก แล้วก็ให้ได้แปลกใจในเมื่อเรวะมันไม่ได้มองหน้าผมแต่กำลังทำหน้านิ่งๆหันไปอีกทิศหนึ่ง พลางชูสองนิ้วแบบบรรยากาศโคตรไม่เข้ากับหน้าตามันสักนิด

“ทำบ้าอะไรวะ”

“โพสให้กล้อง”

“ฮะ!!”

ประสาทตอบรับอัตโนมัติไวเท่าแสง มันสั่งการให้เรดาห์จับทิศทางไปยังอีกฟากของโต๊ะ อูยยยย กูโดนเข้าให้แล้วไงมาเต็มคันรถเลยครับ ไหนจะเจ๊แนนซี่ เจ๊มินนี่ พี่หอย น้องผิง พวกแก๊งเจ๊ดิ๊บซี่ที่อยู่ในเครือเพจคิ้วท์บอยมากินโจ๊กกันยกคณะ ทำไมตอนเดินเข้ามากูไม่เห็นวะ ผมรีบหันกลับมาหลอกลวงตัวเองว่ายังมองไม่เห็น สยองว่ะไม่รู้ว่าคราวนี้จะโดนคำโปรยใต้ภาพอะไรอีก แต่โดนแชะไปแล้วไงจะเดินหนีตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว

“เชี่ย อย่าไปมองดิวะ”

“แต่เขาโบกมือเรียก”

“มึงก็ไม่ต้องสนใจทุกคนที่โบกมึงเสมอไปก็ได้

“แต่ถ้าเป็นมึงโบกกูจะสนใจเป็นคนแรกเลย”

“...” ประโยคนี้ทำกูอึ้ง แม่งอ่อยกูได้อ่อยกูดี แต่จู่ๆคนตรงหน้าก็เปลี่ยนท่าทีมาเป็นลุกลี้ลุกลนแบบแปลกๆ ก่อนเอ่ยประโยคนึงออกมาแบบโคตรพลิกลิ้น ผิดจากคนจริงที่ยอมยืนรอกินโจ๊กหมูแบบไม่แยกโต๊ะคนเมื่อกี้ลิบ

“กลับกันมั้ย”

“หา?”

“ไปเถอะ” ไอ้เรวะลุกขึ้นกะทันหันพลางพยายามจะฉุดมือให้ผมตามไปด้วย

“เชี่ย เดี๋ยวดิวะ”

“...”

“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย”

“เปล่า”

“งั้นก็นั่ง”

“...” เรวะสั่งให้นั่งได้ แต่ผมไม่สามารถอ่านจิตใจมันได้

“จู่ๆเป็นอะไรขึ้นมา โจ๊ะมึงล่ะไม่กินแล้วหรือไง” เล่นมุกพูดไม่ชัด เผื่อคนตรงหน้าจะอาการดีขึ้น แต่ทว่า...

“กูไม่ค่อยอยากโจ๊ะแล้ว” จ๋อยแดก เฮ้ยเกิดอะไรขึ้นกับเรวะ หรือว่า...

“หรือคนที่ชื่อบอมมันมา” เดาส่ง เดามั่ว เดาไปทั่วเผื่อจะถูก ไอ้คนถูกถามก็ทำตาโตใส่ผมเหมือนอย่างเคยไปสิครับ

“เปล่า...ไอ้บอมไม่ได้มา”

“แล้วมึงเป็นอะไร”

“กูไม่ได้เป็นอะไร”

“กูหมายถึงมึงเป็นอะไรกับคนที่ชื่อบอม” ตอนแม่ผมท้องคงแดกเผือกกวน เผือกฉาบ เผือกเคลือบน้ำตาลไปเยอะ ลูกถึงได้ออกมาช่างเผือกสไตล์เนียนๆขนาดนี้ ไอ้เรวะมันเงียบพลางจ้องหน้าผมนิ่ง คิดว่าจะตกใจแต่ที่ไหนได้มันกลับยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น พลางทำสายตาได้กวนส้นตีนขั้นสุด

“อยากรู้เรื่องของกูขนาดนั้นเลย”

“...!!”

“ถ้าอยากรู้ขนาดนั้นกูบอกให้ก็ได้ ไอ้บอมน่ะมัน...”

“ป๊ะต้งโก๋คับ!!” อยากกลิ้งลงไปก้มกราบเด็กเสิร์ฟให้ถึงใจพี่ชายคนนี้ ทันทีที่แม่งโยนปาท่องโก๋มาพร้อมจาน กูไม่นึกคร้านจะยัดเข้าใส่คนตรงหน้าในจังหวะที่อ้าปาก ไอ้เรวะถึงกับติดคอตาเหลือกกระเดือกไม่ลง เลยประวิงเวลาหน้าบางๆของผมไปได้สามวิฯ

“แดกไปเงียบๆ ไม่ต้องพูดแล้ว” เจ้าตัวยกมือขึ้นแยกอีกซีกออกมาพลางเคี้ยวตุ้ย ดูแค่นี้กูรู้เลยว่าแม่งแอบยิ้ม

“ปาท่องโก๋มึงอร่อยเนอะ”

“กูบอกให้แดกไปไม่ต้องพูด...อู๊!!”

“กูป้อนให้บ้าง”

“!!!” เสียบเข้ามาพร้อมนิ้วที่โดนปากผมเต็มๆ “ตอบแทน” กูตอบเองได้ มึงไม่ต้องมาตอบแทน

ฮ่วย เหนื่อย...

พอปาท่องโก๋ของสองเราบินมาเสิร์ฟได้ไม่นาน โจ๊กเศษหมูสองชามก็ตามมา จากที่จะเดินออกไปไอ้เรวะเลยถอดใจลงจอดที่เก่า นั่งเขี่ยโจ๊กคลายร้อนเหงาๆพลางฉีกปาท๋องโก๋ใส่ชามของตัวเอง

“วันนี้เริ่มเรียนวิชาบำเพ็ญประโยชน์แล้ว” เกริ่นนิด มันน่าจะรู้แหละ ตารางเรียนตัวเองแท้ๆต้องจำได้ดิ

“อ้าวเหรอ”

ฮะ?

เหลือบตามามองแล้วหันไปนั่งตักโจ๊กกลบปาท่องโก๋แบบโคตรเฉย หรือกูจะเข้าใจผิดดูตารางเรียนพลาดวะ ก็ไม่นี่หว่าเช็คมาอย่างดีแท้ๆ

“มึงจะเข้าเปล่า”

“ถ้าเข้าก็เห็น” ถามเพราะต้องการคำตอบแบบนี้จากมันเหรอ ถามเพื่อ!!

“ขอคำตอบอะไรที่มันเป็นรูปธรรมกว่านี้ได้มั้ยวะ”

“อย่างเช่นว่า”

“จะเข้าไม่เข้าอะไรแบบนี้”

“โจ๊กมึงอร่อยจริงๆว่ะ”

“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” ทำไมมันชอบไม่ตอบคำถามผมวะ

“วิชานี้โดดได้กี่ครั้ง”

“อาจารย์แม่ไม่เช็คชื่อแต่มึงต้องสะสมชั่วโมงทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ให้ครบไม่งั้นเอฟ”

“งั้นมึงคงไม่ได้เจอกูแล้วล่ะ”

“...”

“ดีใจป่ะ”

“...”

โหวงขึ้นมาทันที เหมือนมีอะไรมาอัดลิ้นปี่ให้หายใจไม่ออก มันว่าอะไรนะ มันบอกว่าผมจะไม่ได้เจอมันอีกแล้ว ผมนิ่งไป ท่าทีแสดงออกของผมมันคงชัดเจนเกินเหตุ เรวะถึงกับต้องวางช้อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“เม่น...มึงเป็นอะไรรึเปล่า”

หึ...ยื่นมาให้กูก็ฟาดฝ่ามือเข้าไปที่ท้ายทอยสิครับ

“เชี่ย!!”

“ดีใจกะผีดิสัด วิชาบำเพ็ญประโยชน์ ทำกิจกรรมคู่ ถ้ามึงเสือกโดดกูก็โดนหางเลขไปด้วย สามปีที่พากเพียรอดตาหลับขับตาเรียนหวังเพียงเกียรตินิยมอันดับหนึ่งกูจะสูญสิ้นก็เพราะมึงเหรอวะ!”

“อูย มาเป็นชุด ใจเย็นดิวะ กูแค่ล้อเล่น” ยังมีหน้ามายิ้มอีก นี่กูกำลังหงุดหงิดมึงเข้าใจ๊

“ล้อเล่นบ้านมึงดิเสือกทำหน้าจริงจัง แล้วเด็กเกเรอย่างมึงบอกว่าไม่จะมาเรียนเลยกูเชื่อนะโวะ...”

“แดกโจ๊กไป จะได้ใจเย็น” ไอ้เรวะแม่งยัดช้อนโจ๊กในมือมันเข้าปากผม ควันฉุยขนาดนั้นเสือกจะยังบอกให้กูใจเย็น จะพ่นไฟอยู่แล้วเว้ย หมูสับสองก้อนถูกช้อนตักลอยมาใส่ชามผม “กูยกให้ มึงจะได้ให้อภัยกู”

“...” ตาขวางใส่ดิ หมูสองก้อนมึงคิดว่าจะคุ้มกับลิ้นปี่กูที่โดนทำร้ายเหรอวะ?

“เอ๊า ไม่พอเหรอ อะอะเอาไปอีกสองก้อน นี่กูให้หมดหน้าตักแล้วนะ”

“...”

“เชี่ยเงียบอีก งั้นมึงเอาปาท่องโก๋กูไปด้วยเลย”

“...”

“ตับๆ กูยกตับให้”

“...” มึงเอาตับอ่อนกูไปกินมั้ย?

“งั้นไข่ๆ...”

“พอ...มึงหยุดเลยไอ้เรวะ” ยกมือดันช้อนตักไข่ที่เกือบจะลอยหวือมาใส่ชามผม “นี่มึงจะฆ่ากูใช่มั้ย”

“ฆ่า? ตรงไหน?”

“บอกแล้วไงว่ากูลดเครื่องในช่วงนี้”

“ไม่เป็นไรถ้ามึงสลบไป กูจะปั๊มหัวใจ แล้วพาไปส่งให้ถึงโรงพยาบาล”

“สัดรักกูมากเลยนะมึง”

“เรื่องเฝ้าไข้ให้เป็นหน้าที่กู แต่ถ้าดูแล้วอาการไม่ค่อยดี กูจะจองศาลาสี่เตรียมเผาให้ในวันเดียว” จะขำก็ขำไม่ลง ปลงกับมุกของไอ้เรวะ นั่งก้มหน้ากุมขมับจนเผลอหลุดยิ้มออกมาเอง

“มึงนี่เชี่ยจริงๆ”

“เพราะเชี่ยไง ถึงไม่มีใครอยากคบกู”

“...” หืม?

“แดกกองทัพคอเลสเตอรอลของมึงต่อเถอะ มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”

สั่งจบก็ตั้งหน้าตั้งตากินโจ๊กที่แทบจะเหลือแต่ข้าวต่อ ปล่อยให้ผมมองกำแพงที่จู่ๆก็ถูกสร้างขึ้นมากลางอากาศกั้นขวางพวกเราไว้ทั้งคู่ ไม่ให้ผมสู่รู้เรื่องราวของคนตรงหน้า...คนที่ชื่อว่ามนายุอีก



“อิ่มฉิบหาย”

“แต่กูไม่อิ่มเลย”

“เพราะมึงแหละตัวดี โยนมาให้กูอยู่ได้ แทนที่จะเก็บๆไว้กินเองบ้าง”

“ถือว่าชดเชยกับจำนวนวันที่กูจะไม่เข้าคาบกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ละกัน” คว้าข้อมือมันไว้ไวเท่าแสงแถมไม่ออมแรงกำแน่น

“งั้นวันนี้กูยอมโดดคาบเช้า”

“หา?”

“มึง-ต้อง-ไป-กับ-กู”

“เชี่ย”

“ไม่เข้าใจ ทำไมถึงไม่ไปเรียนวะ คิดบ้างดิแม่ส่งมึงมาเรียนนะ ไม่งั้นจะขวนขวายจนมาได้ถึงมหา’ลัยขนาดนี้เหรอ”

“กูส่งตัวเองมาเรียนต่างหาก”

“ฮะ?”

“อยากเป็นพ่อกูอีกคนหรือไงเม่น”

“กูเปล่าเว่ย” กูก็ไม่ได้อยากเสือกเรื่องชีวิตมึงมากนักหรอก

“แต่ถ้ามึงเป็น มึงคงครองแชมป์หลายๆอย่างที่เป็นคนแรกของกู”

“...” สาบานได้ว่าไอ้เรวะมันพูดภาษาคน แต่ที่กูงงมันคืออะไร

“มึงจะเป็นเพื่อน พ่อ และคู่นอนคนแรกของกู”

“เชี่ย สัด ลามกแล้วมึง” ขนลุก

“ทำไมพึ่งมารู้สึกตัวเอาตอนนี้ เราได้กันไปแล้วนะ”

“ได้เชี่ยอะไร”

“ได้นอนด้วยกันไง”

โว้ยยย กูเกลียด นี่มันไม่ใช่สองแง่สองง่ามแล้ว สิบสามแง่สิบหกง่ามเลยเหอะพูดจาแบบนี้น่ะ ดีนะไม่มีใครอยู่ละแวกใกล้ มีแค่หมาตัวน้อยตัวเดิมเจ้าเก่าในมหา’ลัยกับต้นไม้ใบหญ้า...หมา...อ้าวเวรละ ไอ้เรวะมันไม่ถูกกับหมาตัวนี้นี่หว่า

“งืดๆ” เสียงกลั้วในลำคอของน้องหมาดังมา พอมันเห็นพวกเราเท่านั้นแหละ ทำท่าขู่ฆ่าแถมตะบี้ตะบันวิ่งเข้าหาราวกับพลังบ้าเข้าสิง แยกเขี้ยวยิงฟันเข้าใส่ กูนี่สับเกียร์ถอยหลังตั้งการ์ดด้วยอารามตกใจ จะให้กูไปฉีดยารอบสะดือเอาตอนนี้ ตอนที่หมาเลียตูดไม่ถึงแล้วเนี่ยสัดเอ๊ยอายชาวบ้านตาย

“ไอ้เม่นมึงหยุด!” หยุดบ้านมึงดิ วิ่งมาขนาดนี้แล้วไม่ให้กูหนีได้ไงวะ!! แต่พอหันกลับไปไอ้เรวะไม่ได้คุยกับผม มันยืนนิ่งๆปล่อยหมากัดขา...เอ๊ย แบบนี้มันเรียกว่าคลอเคลียนี่หว่า เฮ้ยๆๆได้ไงวะ สุดท้ายมันหันมาทางผมที่ห่างออกไปสองช่วงตัวแล้วกวักมือเรียก

“มึงมาเหอะ เม่นมันไม่กัดคนชื่อเดียวกันหรอก” สัด!!เมื่อกี้มันไม่ได้เรียกผมมันเรียกหมา???

“ทำไมชื่อเหมือนกูวะ”

“ตอนแรกก็ไม่มีชื่อหรอก กูเพิ่งตั้งให้” เหี้ยตัวการมันอยู่นี่ ไอ้หมาตัวกระจ้อยจากที่ทำท่ากร่างตัวเท่าบ้านแม่งอย่างกับแลสซี่เพื่อนรักนัวเนียหนุบหนับอยู่กับขาของไอ้เรวะมันท่าเดียว

“ทำไมเชื่องกับมึงขนาดนี้”

“ปกติมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่มึงไม่เห็น”

“แต่วันก่อนมึง...”

“วันก่อนมันดื้อ ซน จะวิ่งลงถนนท่าเดียว กูเลยต้องเตะสั่งสอนมันนิดหน่อยจะได้จำ” รักวัวให้ผูกรักหมาให้เตะ วันก่อนที่ผมเห็นเรวะมันเตะตัดขาหมาน้อยนี่ก็เพราะกำลังไล่ให้มันไปเดินบนฟุตบาทเหรอวะ

“...”

“งงดิ”

“...”

“ไม่คิดว่ากูจะเป็นคนดีใช่มั้ย”

“ใช่เลย” จบประโยคไอ้เรวะมันมองหน้าผมแบบทึ่งๆ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหนักหน่วงมาก เจ้าตัวกุมท้องขำไม่หยุด สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมามองผม

“มึงเป็นคนตรงๆดีว่ะ กูชอบ”

“...” แต่กูไม่อยากให้มึงชอบว่ะ ยังมีขำต่ออีกเหยดแหม่

“กูน่ะ เป็นคนดีมาสองปีแล้ว แต่แค่ไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง”




เด็กโดดเรียนในวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ที่โดดงานให้วันหน้า อย่ามาใช้ทฤษฎีนี้กับผม เพราะกูที่เป็นเด็กดีเพิ่งโดดคาบแรกของวันไปเมื่อกี้นี้เอง ผมกลับมานั่งที่คาเฟ่ของแม่ไอ้เรวะ ฆ่าเวลารอมันอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ากลัวมันจะหายหน้าไปแบบไม่บอกกล่าว เลยกลายเป็นหมาเฝ้าเจ้าของนั่งซดคาปูร้อนๆแก้ง่วง จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง

Rrrrrrrrrrr

พลิกหน้าจอดู ไอ้คีย์โทรมา คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ไม่เห็นกูตอนเช้าล่ะมั้ง

“ไงมึง”

[ไม่ไงว่ะ มึงอยู่ไหนวะ ทำไมไม่เข้าคาบเช้า]

“ติดธุระกะทันหันเลยเข้าไม่ได้ มึงโทรมามีอะไร”

[ไอ้หงส์กับไอ้ต๊อบจะไปแดกเสต็กที่หน้ามอกัน มึงจะไปด้วยมั้ย]

“พวกมึงไปกันเถอะ กูกินอิ่มมาจากหอแล้ว”

[อิ่มมากป่ะ]

“หา? ถามอะไรแปลกๆวะ ก็ต้องอิ่มดิ” ถึงไม่ไปแดกเที่ยงกับพวกมึงไง

[เปล่า กูก็แค่ถามเผื่อไว้ เผื่อมึงไม่อิ่มมากจะได้รอให้มึงออกมาด้วยกัน]

“เออ อิ่มจนท้องจะแตกตายห่าอยู่แล้ว พวกมึงไปแดกเหอะ เออแค่นี้”

ผมวางหูไป กลิ่นแม่งไม่ค่อยดีว่ะ หืม? เออกลิ่นเริ่มดีแล้วกลิ่นหอมๆนี่มันมาจากไหนวะ ฟุดฟิด หาทิศของลมได้หมุนหัวไปกะจะพิสูจน์ว่ากลิ่นอะไร

“เชี่ย!!”

“ยิ่งกว่าไอ้เม่นอีก ชอบดมตามกลิ่นของกินเรื่อย” ไอ้เรวะในชุดนักศึกษามันเดินมาประชิดพร้อมถาดของกิน สปาเก็ตตี้...เดาว่าขี้เมาไก่มั้ง กลิ่นมันเมาๆยังไงก็ไม่รู้ “แดกนี่ก่อนแล้วค่อยไป”

“ไอ้เม่นที่มึงว่านี่หมายถึงหมาใช่มั้ยวะ”

“หรือจะให้หมายถึงมึง”

“อยากให้มึงเลิกเอาชื่อเล่นกูไปตั้งชื่อหมามากกว่า”

“งั้นกูเอาชื่อเล่นหมามาตั้งชื่อมึงแทนละกัน”

“สัด”

“เอากินซะ จะได้ไปเรียนอย่างที่มึงอยากให้เรียนไง”

“ไม่ได้ยินกูบอกเพื่อนหรือไงว่ากูอิ่ม” เพราะโจ๊กมึงนั่นแหละ

“กูถึงได้เอามาจานเดียวไง มา แบ่งกัน”

ถอนหายใจไว้อาลัยให้กับความดื้อด้านของมัน ไอ้เรวะมันวางถาดลงโต๊ะ เหมือนเตรียมมาพร้อมมาก เพราะมีจานเล็กๆวางแยกออกมาอีกสองอันพร้อมช้อนส้อม

เออกินๆไปจะได้จบ ผมหยิบส้อมขึ้นมาตักแยกสปาเก็ตตี้ที่วางระหว่างเราทั้งคู่ ไอ้เรวะหย่อนตัวลงข้างเคียงแล้วเริ่มลงมือกินบ้าง ตักคำแรกแม่งต้องสาวยาวขึ้นไปถึงเพดานกว่าจะแยกออกมาได้ไม่รู้แม่ครัวมือดีมาจากไหนลวกยังไงให้เส้นไม่ขาดได้วะ สักพักเริ่มรำคาญผมเลยคว้าจานเลื่อนมาใกล้ตัวเล็กน้อย พลางกินมันแบบอินดี้ไม่ต้องมีแยกจงแยกจานมันแล้วเดี๋ยวกล้ามขึ้นแขนตึงจดเลคเชอร์ไม่ได้กันพอดี เหลือบมองปลายสายตาก็เห็นคนข้างๆทำเลียนแบบผม จะขำก็ขำ พฤติกรรมมันชวนงกเงิ่นชะมัด หึไอ้ขี้ลอก เอาเหอะกูไม่จดลิขสิทธิ์ นั่งดูดเส้นปรู๊ดปร๊าดจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ ณ ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นแหละ

“สัด!!”

“เชี่ย!!”

ไม่ใช่เจอแมลงสาบในจานอาหาร แต่มันเป็นปรากฏการณ์~ เฮียโต๋ อย่ามาเล่นแถวนี้ กูซีเรียส ใครมาฉายหนังทรามวัยกับไอ้ตูบแถวนี้วะ แต่กูขอตั้งชื่อเรื่องว่า ‘ทรามสัดรัสเซียกับไอ้เชี่ยเม่น’ ได้มั้ย เวรเอ๊ยฉากกินสปาเก็ตตี้ในตำนานของเลดี้กับแทรมป์แม่งพังทลายไม่เป็นท่า กลายมาเป็นฉากสยองขวัญของผมกับเรวะ ที่จะจำไปจนวันตาย ณ วันนี้และเวลานี้แหละ

...ใครก็ได้ขอน้ำยาบ้วนปากที...เมื่อกี้ สาบานเลยว่า...


...ปากผมแม่งแตะโดนปากไอ้เรวะมันนิดนึง...

...TBC...

+++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 8 :: เรื่องมันเหี้ยรินเบียร์ให้เพื่อน [24/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 24-02-2019 09:36:22
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 8 :: เรื่องมันเหี้ยรินเบียร์ให้เพื่อน


“แยกกันเดิน มึงอ้อมไปประตูตรงห้องน้ำฝั่งโน้น เดี๋ยวกูเข้าฝั่งนี้ แล้วอย่าตุกติกหนีไปเชียวล่ะ”


ผมกับคู่หูมาถึงตึกเรียนรวมหน้าห้องเรียนวิชาบำเพ็ญประโยชน์แล้ว แต่เดี๋ยวก่อน งานนี้เตี๊ยมกันไว้ก่อน ต้องเอาให้เนียนที่สุด เนียนว่าผมไม่ได้มากับไอ้เรวะมัน แต่ดูท่าอีกคนจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไร

“ทำไมต้องเดินไปเข้าอีกทางด้วย ประตูก็อยู่ตรงหน้าแค่เนี้ยะ”

“เออน่ะ เพื่อความสบายใจ”

“ใครสบายใจ”

“กูเนี่ยแหละ” อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองอยู่สักพัก ก่อนยอมหมุนตัวเดินไปอีกทาง เออว่าง่ายอย่างนี้ดิ ถึงจะน่ารัก...

...น่ารัก...

“เชี่ยละ” สะบัดหัวไล่ภาพสปาเก็ตตี้ขี้เมามึงออกไปซะ เข้าห้องเรียนเว้ย เข้าห้องเรียน

โป๊ะเชะกับจังหวะที่ผมเปิดประตูเข้าไปไอ้เพื่อนตัวแสบมันก็วิ่งไล่ลงมาจากสโลป หน้าตาแม่งตื่นมาเชียว ตื่นเต้นเหมือนเจอเรื่องอะไรสนุกๆเข้าให้แล้วซี

“ไอ้เพื่อนเม่น!!” เป็นไอ้ต๊อบที่มาถึงตัวผมก่อน ไอ้นี่แม่งขาบอลประจำหอ วิ่งไวกว่าใครเพื่อน หมายถึงโพยบอลนะ

“เดินลงมาดีดีก็ได้มึง แล้วแค่โบกกูก็เห็นแล้วมั้ย ไม่ต้องลงมาต้อนรับอะไรขนาดนี้ก็ได้”

“กูกลัวเพื่อนกูไม่เห็น”

“ใครวะจะไม่เห็นห้องโล่งขนาดนี้”

“เพราะความรักกำลังทำให้เฮียเม่นตาบอด”

“ฮะ?”

“โธ่เอ๊ย ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ครับเพื่อนเม่น” คราวนี้เป็นคู่หูอีกตัวที่เดินตามไอ้ต๊อบมา ขาไอ้หงส์แม่งสั้น สองก้าวของมันเทียบเท่าเพื่อนรักมันหนึ่งก้าว มันเลยสับเท้าตามมาเป็นระวิง “เปิดประตูเดินเข้ามาเฉยๆก็ได้”

“พวกมึงพูดเรื่องอะไรกัน”

“นู้น ไอ้คีย์แม่งเดินไปรับแฟนมึงแล้ว”

“ฮะ? แฟนกูคนไหน”

“คนที่เปิดประตูหัวใจเข้ามาพร้อมๆกับมึงไง” สัด ไม่เนียนขั้นสุด สวรรค์ชั้นไหนรังสรรค์ให้ไอ้เรวะมันเสือกขายาวสาวไปถึงด้านหนึ่งอย่างไว แล้วเปิดประตูเข้ามารับความสดใสของไอ้เชี่ยคีย์พร้อมๆกันกับที่ผมเจอไอ้ต๊อบกับหงส์อย่างนี้วะ

“เฮ้ย แค่บังเอิญพอดีกันรึเปล่าวะ พวกมึงน่ะคิดมาก” เหมือนมีก้อนอะไรมาติดคอ ยิ้มแห้งๆ จนตอนนี้หน้ากูค้างอยู่ท่าเดิมแล้ว

“อ๋อ แค่พอดีกันโนะ พอดีกินโจ๊กร้านเดียวกัน พอดีป้อนปาท่องโก๋กัน แล้วก็พอดี๊พอดีแบ่งตับให้กัน”

“ตับ ตับตับ ตับตับ” โหยแม่มท่าหอยตลับพับฝาลอยขึ้นฟ้าก็มา แต่นั่นมันคุ้กกี้เสี่ยงทายเปล่าวะ

“ตับบ้านมึงดิ ไร้สาระ กลับสโลปมึงได้แล้ว”

“ตับบ้านกูหวานนะ”

“กูไม่อยากแดก” พอไอ้สองตัวมันเลิกวอแว ผมก็เริ่มตามตูดมันไป สงสัยคงหนีไม่พ้นแก๊งไอ้พี่ดิบมันเอาผมไปปู้ยี่ปู้ยำในเพจมันแน่ๆ แต่ละคำที่ไอ้คู่หูมันพูดออกมาอย่างกับเล่าเหตุการณ์ได้เป็นฉากๆ เสียหมาก็คราวนี้แหละกู

ระหว่างทางก่อนก้าวขึ้นขั้นแรกผมเหลือบไปมองทางอีกฟาก ไอ้คีย์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมกับเรวะ เฮ้ยแม่งยืนทำอะไรกันวะ

“มีอะไร” เสียงของไอ้เรวะดังแว่วเข้าหูผม

“เปล่า กูแค่จะมาชวนมึงไปนั่งด้วย”

“กูนั่งคนเดียวได้” เฮ้ย ไหงไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขนาดนั้นวะ ไอ้พ่อบ้านใจกล้าแม่งหน้าเจื่อนไปโดยปริยาย ไม่ได้การแล้วผมต้องช่วยเพื่อน

“ไอ้คีย์มันก็นั่งกับกูเนี่ยแหละ ทำงานคู่กับกูมึงก็มานั่งกับกูดิวะ” ตะโกนแทรกออกไปก่อนที่บรรยากาศมันจะมอดไหม้ไปมากกว่านี้ พอได้ยินแค่นั้นไอ้เรวะก็เดินผ่านตัวไอ้คีย์มาแบบไม่ฟังอีร้าค้าอีรม มันพุ่งตัวมาหาผมตรงดิ่งจนน่ากลัว

“เฉียบเลยเพื่อนกู”

“ในที่สุดก็ได้เห็น ไอ้เรตัวเป็นๆฟังตามคำสั่งเจ้าของ กูตายตาหลับแล้ว”

“เดี๋ยวมึงจะได้ตาย แต่ตายแบบตาไม่หลับเนี่ยแหละ” อยากยกมือขึ้นฟาดกบาลพวกมันฉิบหาย แต่ก็ทำได้แค่ข่มขู่

“เพื่อนกู ตั้งแต่ได้เมียเนี่ยเกรี้ยวกราดขึ้นเยอะนะครับ”

“มึงหยุด” พอชี้นิ้วห้าม มันก็ทำตามสั่ง อาจเป็นเพราะเรวะมันเดินมาถึงตัวผมแล้วก็ได้มั้ง เฮ้ยพวกมึงควรกลัวนี่ กลัวกูคนนี้ดิวะ ไม่ใช่ไอ้เรวะ

“เม่น”

“หูยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เอาให้ยาวไปถึงโลกหน้าเลยนะ ส่งเสียงแซวกันได้แซวกันดี

“ไร”

“มึงนั่งไหน”

“ตรงนั้น” ชี้นิ้วไปทางที่เห็นกระเป๋าไอ้พวกเชี่ยต๊อบมัน

“กูนั่งข้างมึง”

“กิ๊วๆ ก๊าวๆ”

“ชิดริมซ้ายเลยครับที่นั่งแอบหลับประจำของไอ้เม่น”

“สัดกูตั้งใจเรียน ไม่เคยหลับ” มีแต่พวกมึงเนี่ยแหละ ที่เอาแต่กดโทรศัพท์กับแอบหลับในห้อง

“หึ” ไอ้เรวะมันขำกูอีกแล้ว นี่เห็นกูเป็นตลกหรือไงวะ ตลกอยู่มั้ย ตลกอยู่มั้ย ....อยู่ตรงนี้ไง ชื่อเม่น เถิดเทิง





ถึงจะบอกไม่เคยเกเรขี้เกียจเรียน แต่วันนี้เล่นเอากูตัวเกร็งขยันเป็นพิเศษเลย เพราะมีไอ้เรวะมันนั่งอยู่ข้างๆ กับไอ้สองตัวเพื่อนรักที่ขยันแซวกูได้ตลอดคาบมากกว่าเรียนเสียอีก ส่วนไอ้คีย์แม่งจัดชิดริมติดเมียมันไปอีกฟาก เพราะเมียมันยังกระดากไม่กล้านั่งกับเพื่อนร่วมเอก รู้เลยสายตาแยมไม่คุ้นเคยและดูแปลกใจทุกครั้งที่เรวะคุยกับผม

“สรุปต้องไปไล่หากิจกรรมแล้วทำให้ครบชั่วโมงเหรอวะ น่าเบื่อสัด” ไอ้หงส์บ่นกระปอดกระแปดเสียงเหนื่อยอ่อนยามรู้ถึงการบ้านตลอดหนึ่งเทอมที่อาจารย์แม่มอบหมายมา

“ตอนจะลงมึงก็ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอวะ” ก่อนลงก็ปรึกษากันแล้วแท้ๆ

“รู้งี้กูเข้าสแตนด์เชียร์ตั้งแต่ปีหนึ่งให้มันจบๆดีกว่า”

“มึงทำได้นะ” ไอ้ต๊อบตอบ

“ยังไงวะ” หน้าเพื่อนแม่งระริกระรี้ขึ้นมาทันควันเหมือนเจอความหวังสุดท้าย พลางเขย่าแขนเพื่อนชายเป็นระวิง

“ไปซิ่วแล้วเข้าใหม่”

“เชี่ยต๊อบกูจะทำอย่างนั้นทำไมให้โง่วะ”

“เออ ก็ไม่โง่นี่หว่า”

“สัด” เออกัดกันเข้าไป อย่าพุ่งประเด็นมาใส่กูตอนนี้ละกันเพราะกูกำลังจะหันไปหาเรวะ

“มึงคิดได้รึยังว่าอยากจะทำอะไร” พวกค่ายอาสาก็จะงานหนักหน่อยแต่ชั่วโมงได้เป็นวันๆเพราะต้องไปทำกิจกรรมต่างจังหวัด ส่วนกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์รายย่อยก็ต้องทำถี่ๆไม่งั้นไม่มีทางเก็บหมด อาจารย์แม่กับผู้มีประสบการณ์ในการเรียนเขาว่ากันงั้น

“กูไม่อยากไปค่าย”

“ไม่นึกว่าจะเป็นลูกคุณหนู” ผมยิ้มเยาะ ตัวขาวขนาดนี้เห็นทีจะไม่เคยออกแดด

“เปล่า กูทำงาน ไปทีวันหยุดเสาร์อาทิตย์กูหมดพอดี”

“งาน? งานอะไร ช่วยงานแม่ที่ร้านเหรอ”

“เปล่า งานของกูเอง” เสียงออดเลิกเรียนดังขัดจังหวะการสนทนาของผมต่อ ไอ้เรวะลุกขึ้นจับกระเป๋าแล้วหันมามองทางผม “กูไปก่อนนะ”

“หา? เฮ้ย เดี๋ยวดิ” ไวพอพอกับตอนที่มันเดินไปเข้าห้องอีกฟากประตู ร่างโปร่งเดินปลิวหายวับไปจากห้อง ปล่อยให้ผมนั่งเอ๋อกับการกระทำเร่งร้อนของมันแบบไม่มีสาเหตุ

“โดนเมียทิ้งเหรอวะ น่ามสาน” ไอ้หงส์มันตบไหล่ผม

“น่ามสาน แต่ไม่เสือกจะเกิดผล” ตาขวางใส่ให้มันรู้ซะมั่งว่าไผเป็นไผ ไอ้หงส์ถึงกับหงอปล่อยมือจากไหล่เลย

“เม่นไปสนิทกับเรตั้งแต่เมื่อไร ไม่ยักรู้” คราวนี้เป็นแยมที่กล้าพูดขึ้นมาสักทีหลังจากเป็นใบ้อยู่นานตลอดคาบที่มีเรวะอยู่

“ก็ไม่ได้สนิทหรอก แค่ไม่อยากเอาเกรดตัวเองไปเสี่ยง” ผมไม่ใช่คนดี ใจพ่อพระขนาดนั้น

“แต่อยู่ด้วยกันมากๆ ระวังเรตติ้งตกเอานา”

“เรตติ้งอะไรช่างมันเถอะ ปกติก็ไม่มีอยู่แล้ว”

“เม่นน่ะดังจะตาย ยิ่งพักหลังเพจพี่ดิบลงข่าวใหญ่ไม่เว้นวันนี่ยิ่งดังใหญ่ แต่ก็พอพอกับเพจแอนตี้ทวงคืนพี่เม่นจากเรล่ะนะ”

“หา?” วันนี้กูหามากี่รอบแล้วนับดู มีแต่เรื่องให้ทั้งประหลาดใจทั้งปวดหัวอยู่ตลอดเวลา

“ลองไปอ่านคอมเมนต์ใต้ภาพเพจคิวต์บอยดูสิแล้วจะรู้” คอมเมนต์มีเป็นหมื่นเป็นแสน ปกติผมก็ไม่ค่อยใส่ใจจะอ่านอะไรอยู่แล้ว แค่เห็นภาพกับอ่านด้านบนพอเป็นพิธี แต่นี่มีใครมาแอนต้งแอนตี้อะไรผมด้วยเหรอวะ ไม่ยักรู้

“ไม่น่ามั้ง น่าจะเป็นเพจแอนตี้ทวงคืนมันจากเม่นมากกว่า ไอ้นั่นก็ใช่ว่าหน้าตาขี้เหร่ซะเมื่อไร”

“แต่นิสัยก็อีกเรื่องนึงนะ”

“...” ผมนิ่งไปและสงสัย กับไอ้ที่ใครหลายๆคนว่าเรวะมันเลวมันร้าย มันควรไปตายตกขุมนรกไหนกับเพื่อนนักเลงของมัน แต่ทำไมหลายวันที่ผ่านมาผมถึงยังไม่เห็นท่าทางร้ายๆแบบให้ตายแล้วไปเกิดใหม่ก็ยังไม่ร้ายเท่าจากไอ้คนตัวขาวเลยวะ กลับกันผมเสือกเห็นด้านดีของมันโผล่มาเรื่อยๆ จนนึกย้อนกลับไปถึงอิมเมจเรวะก่อนหน้านั้นไม่ออก

“เอาเถอะ เราผิดเองแหละที่ทำให้เม่นต้องมาทำกิจกรรมคู่กับเร” พึ่งรู้ตัวหรือครับคุณเมียเพื่อน!!

“พยายามเข้านะมึง” ไอ้คีย์นวดไหล่เมีย ณ จุดๆนี้มึงควรจะขอโทษเพื่อให้กูให้อภัย มากกว่าส่งเสียงเชียร์กูเป็นไหนๆ

“เออ ถึงกูไม่พยายาม กูก็ตามไอ้เรวะมาเรียนได้ ไม่ต้องลำบากให้พวกมึงเป็นห่วงหรอก” ผมลุกขึ้นคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมา เออ กูไม่ลำบากเลย...

...แค่ต้องแลกมากับคาบแรกที่หายไปเท่านั้นเอง...




สงสัยตัวเองว่ะ นี่ผมเดินออกมาจากห้องเรียนเพื่ออะไรวะ ปกติเลิกเร็วอย่างนี้มันจะต้องอยู่สังสรรค์กับเพื่อนกินขนมซ้อมดนตรีฆ่าเวลาจนกว่าจะพอใจแล้วค่อยกลับไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงจิตหลุดไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดนี้ได้ สงสัยคงเพราะโดนเพื่อนแซวหนักไปหน่อยล่ะมั้ง

พลิกดูเวลาในมือถือตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสามกว่าๆ กลับไปเอากีตาร์ที่ห้องชมรมมานั่งเกลาซ้อมเสียงเล่นน่าจะดี ไหนๆก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วแอบเข้าไปดูเพจพี่ดิบมันซะหน่อยว่าลงรูปห่าเหวอะไรไร้สาระลงไปบ้าง

ภาพแรกที่ผมเจอเป็นภาพของเด็กปีสามสถาปัตย์ที่เห็นหน้ากันในเพจพี่มันบ่อยๆ พอไถมือลงมาเรื่อยก็เป็นไปตามที่ไอ้พวกหงส์มันว่าภาพล่าสุดไอ้เรวะตักตับให้ผม ปัดไปทางขวายังคงเป็นช็อตภาพช้อนไอ้เรวะที่ยัดเข้าปาก ถัดมาอีกภาพเป็นปาท่องโก๋ที่ฉีกใส่ปากให้กัน ส่วนภาพขวาสุดนั้นเป็นภาพไอ้เรวะชูสองนิ้วให้กล้อง


Sexy Dippy Cutie boy in the university โหยเอ็นดูคนมีคู่มาเดต
Sexy Dippy Cutie boy in the university ไหนบอกรอจิ๊กซอว์แต่พี่ว่าเธอรอปาท่องโก๋มากกว่า ง่อวววว
Sexy Dippy Cutie boy in the university โจ๊กหรือถั่วเขียวต้มน้ำตาลหวานได้อีก
Sexy Dippy Cutie boy in the university โง้ยยยย เม่นกินตับหนูเร ใจป้าอ่อนแอ


ขอบคุณภาพชุดก่อนพรีเว้ดดิ้งนะครับ เกือบมือลั่นพิมพ์ไปอย่างนั้นแต่สายตาพลันสะดุด กับคอมเมนต์ยอดไลค์อันดับหนึ่งที่เด้งขึ้นมากระแทกตา


Yaimai พี่เม่นโคตรดูดีอ่ะ แต่ขอล่ะอย่ากับคนนี้ได้มั้ย หนูทำใจไม่ได้อ่ะ
Peawfah เราชอบเม่นนะ ตามมาตั้งแต่ตอนร้องสดที่ร้านข้ามคืน เป็นผู้ชายสายศิลป์ในดวงใจ แต่ทำไมถึงไปสนิทกับคนนี้ได้


น้อยแต่ก็มี ส่วนใหญ่เพจพี่มันคนจะเน้นไปทางดูแล้วก็ไลค์มากกว่าแต่มาคราวนี้ กลับเริ่มมีคอมเมนต์อย่างนี้เข้ามานับตั้งแต่รูปปั่นจักรยานคราวนั้นของพวกเรา เป็นอย่างที่แยมบอกจริง ผมกดปิดหน้าจอ วันนี้ไม่ค่อยเพลิดเพลินกับการส่องเพจพี่มันสักเท่าไรไม่รู้ทำไม ยังไม่ทันจะยัดมือถือใส่กระเป๋าอย่างเก่ากลับมีสายของไอ้คีย์เข้ามา

“ไงมึง คิดถึงกูมากเลยใช่มั้ย” ออกมาไม่ทันไร จะแซะอะไรกูอีกล่ะ

[ไงพ่อนักร้องนำ มึงลืมอะไรไปรึเปล่า]

“ลืม? ลืมอะไรวะ”

[วันหลังหัดแดกน้ำมันปลาให้มากกว่าโจ๊กหน้ามอนะมึง]

“ที่จะคุยมีแค่นี้ใช่มั้ย งั้นกูวาง”

[เฮ้ยเดี๋ยวดิวะ ถ้ามีเท่านี้แล้วกูจะโทรมาหามึงทำซากอะไร กูบอกมึงไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าวันนี้มีงาน]

“งาน?”

[ความรักมันไม่ได้ทำให้แค่ตาบอดแล้วว่ะ แต่เสือกทำให้เฮียเม่นเป็นอัลไซเมอร์] อ๋อ กูนึกออกแล้วว่าไอ้คีย์มันหมายถึงอะไร

“สัดกูจำได้เหอะ เออๆร้านเดิมใช่เปล่า”

[เออ เจอกันที่เก่าเวลาเดิม แค่นี้] เสร็จธุระก็ทิ้งกันเห็นกูมีค่าเป็นแค่นักร้องนำใช่เปล่าวะ แล้วกูจะตัดพ้อมันเหมือนเมียทำซากหมาหอยอะไร ท่าจะเหงา



มีต่อด้านล่างค่า...
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 8 :: เรื่องมันเหี้ยรินเบียร์ให้เพื่อน [24/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 24-02-2019 09:37:18
ช่วงเวลาสองชั่วโมงกว่าผ่านไปไวเหมือนโกหก พอถึงเวลานัดปุ๊บพวกเราสี่คนก็มารวมตัวที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย

‘ร้านข้ามคืน’ เป็นร้านสุดฮิตในหมู่นักศึกษาและคนทั่วไปที่จะนัดมารวมตัวทานอาหารสังสรรค์ฟังดนตรีสดเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสบายๆคลายสมองจากการทำงานและตรากตำร่ำเรียน และนี่ก็เป็นอีกร้านที่เด็กสายดนตรีอย่างพวกผมมักจะคอยมาฝากฝีมือแสดงโชว์ให้คนทั่วไปได้รับฟังกันเป็นประจำ โดยคนที่ทำหน้าที่ติดต่อร้านนั้นเป็นไอ้คีย์ที่มีเส้นสายคนรู้จักมากมายในวงการ อานิสงค์ดีดีที่ผมได้มีโอกาสขึ้นเวทีอยู่บ่อยครั้งก็มาจากมันเนี่ยแหละ

หลังจากซาวน์เช็คจนทุกอย่างเรียบร้อย การร้องเพลงขับกล่อมลูกค้าแขกคนสำคัญที่เริ่มทยอยเข้ามาก็เปิดฉากขึ้น ช่วงแรกพวกเรายังคงสลับวนกันร้องโดยข้ามไมค์ผ่านตัวผมไปยังอีกสามคน ผมทำหน้าที่เพียงดีดกีตาร์โปร่งเคล้าคลอเสียงดนตรีประสานแซกโซโฟนบ้างคีย์บอร์ดบ้างจากไอ้คีย์มือดนตรีระดับเทพ แม่งเล่นได้เยอะเครื่องจนหน้ากลัว ส่วนไอ้หงส์ก็นั่งตบคาฮองกับเพอร์คัชชันไปเรื่อย

รอเวลาพวกลูกค้าเริ่มกรึ่มๆถึงจะย้ายไปนั่งหลังกลองชุดสร้างความสนุกสนานครื้นเครง ส่วนไอ้ต๊อบดวลกีตาร์โปร่งยาวๆรอจังหวะเดินไปคล้องเบสบรรเลงเพลงเต้นประกอบจังหวะ ไคลแม็กซ์ของทุกวันจะอยู่ที่ผมผู้ซึ่งจะจับไมค์ร้องในโค้งสุดท้ายตอนคลูดาวน์บรรยากาศ...

พอไมค์ถึงมือ ผมกวาดสายตามองรอบ สร้างอายคอนแท็กกับลูกค้า บางคนก็หน้าคุ้นเหมือนเป็นขาประจำที่มานั่งฟังดนตรีสดแถวหน้าแทบทุกครั้ง บางคนก็เหมือนขาจรที่ดูสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีที่พวกเราขับกล่อมจนอดรู้สึกครื้นเครงตามไปไม่ได้

“ความจริงอยากให้เต้นกันต่อนะ เผื่อเหนื่อยหิวจะได้สั่งเครื่องดื่มกับของกินเพิ่ม”

เสียงหัวเราะครื้นเครงดังมาจากไม่ใกล้ไม่ไกล

“แต่ผมห่วงกลัวพี่ตี๋เจ้าของร้านของเราจะเงินเข้ากระเป๋าเยอะเกินไปแต่ไม่มีปัญญาใช้ ทางเราเลยขอคูลดาวน์จังหวะกันเล็กน้อยนะครับ”

ส่งสายตาให้ไอ้ต๊อบที่หันมาจับกีตาร์โปร่ง มันเริ่มจรดมือลงบนสายจนเสียงดนตรีทำนองคุ้นหูดังขึ้น

“หูยยยย พี่เม่นอ่ะ”

“อย่างนี้ไม่ได้เรียกคูลดาวน์แล้วนะ” ผมยิ้ม กระดกคิ้วสองข้างหยอกสาวๆตรงโต๊ะที่โวยวาย พลางส่งสายตากวนๆไปยังผู้ชายอีกหลายคนที่หัวเราะเอ็นดูพวกเธอ

“ก็เลยต้อง ‘ขัดใจ’ ใครอีกหลายคนที่ยังไม่อยากหยุดเต้นไง” ถูกของพวกเธอจังหวะนี้ไม่ได้เป็นการค่อยๆทำให้เย็นลงแล้วล่ะ ผมแม่งจับลูกค้าเข้าแช่ช่องฟรีซเลยครับ เมื่อกี้กูยังบรรจงร้อยมาลัยอยู่ดีๆมาคราวนี้คงต้องขัดใจเหล่าลูกค้าไม่ให้เลือดลมสูบฉีบจนแอลกอฮอล์กระจายทั่วร่างเมาซวนเซไปมากกว่านี้

“เธอเข้ามากระชากหัวใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้พบกัน...”

เริ่มต้นเพลงไม่ทันครบสามประโยค ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นใครบางคนช่างคุ้นตาเดินเข้ามาในร้าน ปกติการจะหาที่นั่งใกล้ตรงส่วนเวทีได้นั้นจะต้องพึ่งบุญวาสนาเป็นอย่างมาก เพราะการที่โต๊ะจะว่างระหว่างทางได้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด ลูกค้าพวกนี้เปรียบเหมือนผู้ป่วยติดโต๊ะถ้าอารมณ์มาแล้วอย่าหวังจะลุกจนกว่าจะหมดคืน ไม่งั้นคงไม่ได้ชื่อร้านว่าข้ามคืนมาง่ายๆหรอก

อีกฝ่ายเหมือนมองไม่เห็นผม อาจเพราะเจ้าตัวกำลังให้ความสนใจกับใครอีกคนที่เดินเข้าร้านมาด้วยกัน...ใช่แล้ว...ไอ้เรวะกับใครบางคนที่หน้าโคตรคุ้น...ไอ้บูม?

ไม่ใช่...บรรยากาศคล้ายแต่ไม่ใช่...ใครวะ...

“อยากจะสานสัมพันธ์กับเธอต่อไปให้ยาวนาน...อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ หยุดประเดี๋ยวนี้”

หยุดแป๊บ...หยุดต่อมเผือกกูแป๊บ ถึงจะไม่ใช่กลุ่มดนตรีรับจ้างประจำร้านแต่ก็เรียกได้ว่ามาบ่อย ผมไม่เคยเห็นเรวะมันมาร้านนี้เลยสักครั้งจนกระทั่ง มากับใครบางคน คนที่ผมไม่รู้จัก

“ตอนที่เราจ้องตาเป็นมัน...” ไม่มันแล้ว เผือก...ตอนนี้ผมได้เพียงเผือกต้มน้ำตาลเท่านั้นแหละ แหงะ...แม่งมองเห็นผมแล้ว ไม่รู้อะไรมาดลใจให้มันมองมาทางนี้ มองแบบไม่ธรรมดา มองแบบตาแป๋วด้วย

“พร้อมกับส่งสัญญาณว่าฉันชอบเธอ..” สะท้อนใจกูสุดๆ ทำไมจะต้องมาร้องประโยคนี้ตอนต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยเนี่ย ใจผมอยากจะวางไมค์โยนกีตาร์แล้วบินถลาแล่นลมบินล่องบินลอยออกไปจากร้าน ณ ตอนนี้เลย แต่มันทำไม่ได้ไง!! ในที่สุดก็ต้องอดทนด้นไปจนจบเพลงด้วยสมาธิ สติ ปัญญาที่ไม่มีมากับตัว พอถึงคอร์ดสุดท้ายไม่ปล่อยให้เป็นการเสียเวลาเสียบไมค์เข้าขาตั้งได้กูก็โกยดิครับ

“ขอพักแป๊บ”

“เฮ้ยเดี๋ยว เชี่ยเม่นพึ่งร้องไปได้เพลงเดียวมีมาพักป๊งพักแป๊บอะไร” ชีวิตคนเรามักมีอุปสรรคเสมอ อุปสรรคก้อนใหญ่ของกูคือไอ้ต๊อบที่ตอนนี้แม่งนั่งขวางทางอยู่ แถมยังจับแขนกูไม่ให้ไปไหนอีก สัดต๊อบปล่อยมือกู บนเวทีแม่งก็เด่นพออยู่แล้ว ให้กูมุดหายไปเงียบๆได้มั้ยวะ

“เอาล่ะครับ บังเอิญนักร้องนำของพวกเราแขกตี้กะทันหัน เดี๋ยวพวกเรามาเปลี่ยนบรรยากาศฟัง เคนนี่ คีย์ โชว์ฝีมือแซกดวลกับกีตาร์ระดับเทพของพี่เต้ยไปพลางๆก่อนนะครับ” ไอ้หงส์พูดออกไมค์ยิ่งกว่ารู้ใจคู่ขามันแล้วรวมหัวกันจับแขนผมลากออกห่างจากเวที ระหว่างทางผมได้ยินเสียงแว่วหลังบ่นกันระงมว่าเสียดาย กับอีกประโยคที่ทำให้กูแทบอยากเดินกลับเวที

“พี่เม่นท้องเสียถึงกับต้องให้พี่ต๊อบกะพี่หงส์หามเลยเหรอ ไหวมั้ยนะ เป็นห่วงจัง” สัด กูได้ยินนะ

ห่างออกมาใกล้ห้องครัวหลังร้าน พี่ตี๋ที่ยืนคุมเคาน์เตอร์บาร์อยู่ถึงกับร้องทัก

“มาปวดขี้อะไรตอนนี้วะเชี่ยเม่น ลูกค้าอารมณ์กำลังได้เลย”

“พี่กูเปล่าปวด ไอ้พวกนี้แม่ง..”

“มันไม่ได้ปวดขี้หรอกพี่ตี๋ มันปวดใจ”

“หา พูดอะไรของพวกมึงวะ”

“ปวดใจ เรื่องอะไรวะ”

“กูเห็นนะ ว่าใครเดินเข้าร้าน” คราวนี้ไอ้หงส์ที่ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องมันหยอดมา

“ภาพมันบาดตาบาดใจเกินทนรับไหว เลยต้องหนีออกมาทำใจที่หลังร้านเลยอ่ะดิ”

“เฮ้ยเชี่ย พวกมึงอย่าบอกนะว่านักร้องนำประจำร้านเรามีหญิง”

“ใจนักเลงสักเพลงมั้ยเพื่อน” ตบบ่ากูเพื่อ แล้วเรื่องอะไรกูต้องร้องเพลงนั้นด้วยวะ

“ตอนมันร้องขัดใจอยู่กูนึกว่ากำลังดูมิวสิกวิดีโอ ไอ้เรมันมากับใครวะโคตรไม่คุ้น”

“มันจะมากับใครทำไมมึงต้องไปคุ้นด้วยวะ” ขนาดกูยังไม่รู้จักเลย...ขนาดกู...หืม? ไม่ใช่ขนาดกูดิ ใช้ภาษาไทยผิดแล้วครับไอ้เม่น

“หน้าตาเด่นขนาดนั้นถ้าเป็นเด็กในมอกูก็ต้องอ๋อบ้างล่ะวะ แต่นี่ไม่รู้จักแสดงว่าไม่ใช่เด็กมหา’ลัยเรา” ไอ้ต๊อบมันทำท่าครุ่นคิด ทำเนียบดาวเดือนอุกาบาตรรวมไปถึงสะเก็ดดาวเคราะห์อยู่ในสมองมันหมด “กูพูดในฐานะเด็กเดินโพยบอล”

“แต่กูว่าหน้ามันคุ้นๆ” ไอ้หงส์ตั้งข้อสังเกต “ถ้าคุ้นแสดงว่าต้องเคยดัง ถ้าเคยดังในฐานะคนที่เกี่ยวข้องกับเรวะ แสดงว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับข่าวเมื่อสองปีก่อน”

“ข่าวเรื่องที่มีเด็กมหา’ลัยโดนซ้อมจนปางตายนั่นเหรอ”

ไอ้หงส์มันเป็นประเภทความจำดีกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเรียน ข่าวไหนคนดังใครคบกับใครมันรู้หมด รวมถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อนตอนที่ผมพึ่งเข้ามหา’ลัยมาได้ใหม่ๆ ข่าวนี้เป็นข่าวดังไปทั่วจริงๆเรื่องที่ว่ามีเด็กนักเรียนตีกันในเขตมหา’ลัย แต่คู่กรณีเป็นใครนั้นไม่รู้ มีแต่ข่าวลือหนาหูเพราะภาพกล้องวงจรปิดที่จับได้แบบลางๆดันมีเค้าความเหมือนไอ้เรวะเข้าให้เต็มๆ

“แต่กูว่าที่หน้าคุ้นอาจจะเพราะว่าหน้ามันเหมือนไอ้บูม” ผมเอ่ยพร้อมทั้งมองไปสุดสายตาตรงที่นั่งของคนหน้าใหม่กับไอ้เรวะ

“หา? บูม? บูมไหนวะ” ไอ้หงส์หันมาทางนี้สลับกับมองไปทางโต๊ะของคนในบทสนทนา

“ไอ้บูมเด็กรุ่นน้องที่เคยเป็นเดือนมหา’ลัย” สารานุกรมเดือนดาราศาสตร์มาเลยจ้า ไอ้ต๊อบมันบอกพลางมองตาม “ดูไปดูมาก็คล้ายๆว่ะ ว่าแต่ทำไมมึงยิงตรงเป้าจังเลยวะไอ้เม่น”

“กูเพิ่งไปเจอไอ้บูมมา มันมาหาไอ้เรวะ เหมือนจะรู้จักแล้วก็สนิทกันด้วย”

“มึงเลยหึง”

“ทนไม่ไหว”

“แพ้แล้วพาล”

“หนีลงจากเวที”

“โดยการแกล้งทำเป็นแขกตี้ต่อหน้าชาวบ้าน”

“สัด เรื่องแขกตี้พวกมึงก็พูดกันเองเปล่าวะ” ไอ้พวกนี้ได้ทีแท็กทีมโจมตีกูเลยนะ

“นี่พวกกูช่วยพูดกู้หน้าให้มึงเลยนะ”

“ช่ายๆ อยู่ดีดีก็ลงจากเวทีไป ลูกค้าคนที่ตั้งใจมาดูมึงก็ผิดหวังแย่”

“ไหนพี่ตี๋ยังจะเสียเครดิตอีก”

“พี่แกบอกรึยังว่าเสียเครดิต กูยังไม่เห็นพี่มันพูด...”

“ใช่กูเสีย”

ฮะ? เบรกอารมณ์กูสุด ก็ไอ้เจ้าของร้านสุดเกรียนเนี่ยแหละ พี่มันรอจังหวะซิทคอมอยู่ใช่มั้ยมึงตอบ!! ผมหันไปมองหน้าพี่ตี๋ที่เพิ่งเคลมนักดนตรีไปหมาดๆแล้วชี้ไปทางไอ้ต๊อบกับไอ้หงส์

“พี่ว่าผมแล้วไอ้สองตัวนี้อ่ะ” ไอ้หงส์ไอ้ต๊อบทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องแบบรู้แหละว่าพี่มันไม่มีทำร้ายพวกมันแน่ๆ

“ไอ้สองตัวนั้นจะยืนหน้ามันอยู่หลังเวทีกูก็ไม่มีอะไรจะเสียหรอก”

“อ้าวเฮ้ยพี่ ทำไมพูดงี้อ่ะ คนมาดูผมสองคนก็เยอะอยู่น้า”

“ใช่ๆๆ” ประสานเสียงกันอย่างดัง

“แต่ถ้ากูยังขืนยืนอยู่ตรงนี้จะมีแต่เสียกับเสีย ยืนมาตั้งนานแล้วแม่งยังไม่รู้เลยว่ากิ๊กไอ้เม่นเป็นใคร เสียเวลาชะมัด” เวร ที่แท้พี่มันก็เป็นไปกับเขาด้วย ด่าเสร็จก็เดินส่ายหัวอ้อมเคาน์เตอร์เข้าไปเช็ดแก้วเปียก ทำเอาเพื่อนผมสองตัวมันร้อนตัวรีบวิ่งเข้าไปเลียเป็นระวิง

“โหยพี่อย่างอนดิ ตรงนู้นไงนั่งอยู่ตรงนู้น ผู้ชายที่พึ่งเข้ามาใหม่สองคนตรงนู้นไง” พี่แกก็ชะโงกหน้าแบบไม่เก็บอาการ

“อ้าว ตัวผู้ทั้งคู่นี่หว่า ตัวโตหรือตัวขาว”

“ตัวขาว ขาวจั๊ว น่าเจี๊ยะเลยพี่”

“เออ ก็เข้าเค้าอยู่ หน้าตาน่าเอ็นดูเหมือนโอปป้าหลงฝูงในดงหมาไฮนีย่า” ช่างเปรียบเกินไปแล้วพี่มึง “เฮ้ยเจ็ท” บังเอิญมีลูกน้องแกเดินผ่านมาแถวนี้พอดี ดูท่าทีจริงจังเหมือนว่าจะสั่งงาน สมกับเป็นเจ้าของร้านอาหารและเบียร์สดที่ดังที่สุดในย้ายมหา’ลัย “มึงเอานี่ไปให้ที่โต๊ะโน้นนะ ให้ลูกค้าที่ผมสีเทานั่น เออนั่นแหละบอกว่าจากเม่นนักร้องนำประจำร้านเรา”

ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย ไหงกูโดนนนนน

“อ้าวเฮ้ย พี่ตี๋ทำงี้ได้ไง เฮ้ยไอ้ ชื่ออะไรวะ อะไอ้น้องเจ็ทแลค น้องกลับมานี่ก่อน โว้ย!!” ไปซะแล้ว ไม่ทันแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” หันมาเจอไอ้สองตัวนี้หัวเราะกันระงม

“โหยพี่ตี๋อ่ะ”

“อ้าว มาโวยวายอะไรใส่กูเนี่ย มึงต้องขอบคุณกูนะ ผู้มีพระคุณมึงนะครับเนี่ย”

“พระคุณบ้านพี่ดิ”

“เออ ไอ้นี่เอะอะก็บ้านพี่บ้านกู ไปอยู่บ้านไอ้หนูหัวเทามึงไป” แล้วนี่กูกำลังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้วะเนี่ย มาให้เพื่อนกับเจ้าของร้านมันเผาอย่างงี้เหรอ บ้าบอ

เดินกลับไปเวที จังหวะก็ดีเหลือเกินไปตอนที่ไอ้คีย์ดวลแซกเพลง I’m yours กับพี่เต้ยมือกีตาร์วงที่จะขึ้นต่อจากเราเสร็จพอดี เสียงกรี๊ดต้อนรับของแฟนเพลงหน้าเวทีทำเอาปวดหัว นี่พวกเธอเจอนักร้องที่ใช่หรือเจอผีไทยบุปผาราตรีกันแน่วะ

“พี่เม่นหายปวดท้องแล้วเหรอคะ” เสียงน้องนางที่นั่งข้างเวทีดังขึ้นมา ผมจึงยิ้มตอบพวกเธอไปว่า

“ผมไม่ได้ปวดท้องหรอก ไอ้หงส์มันก็พูดไปเรื่อย” จบประโยคเสียงผู้ชายที่ผมสังเกตว่ามองมาทางนี้ตาเป็นประกายตั้งแต่แวบแรกที่เข้าร้านก็พูดแทรกขึ้น

“ถ้างั้นก็อย่าจ้องตาเค้านานนะ”

“ทำไมล่ะครับ” แทบจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ปกติผมก็มองผู้ชมไปทั่วอยู่แล้วนะ

“เดี๋ยวพี่เม่นท้อง อุกรี๊ดดดด” อ่อมมมมมมม อีกสักพักกูว่าจะปวดท้องจริงแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ไอ้ต๊อบไอ้หงส์วิ่งกลับมาพอดี พวกเราเลยเริ่มต้นบรรเลงเพลงเต็มวงโดยสมบูรณ์อีกครั้ง

ส่วนไอ้เรวะมันก็ยังจ้องผมตาแป๋ว แถมมีแก้วเบียร์ที่ว่างเปล่าในมือมันตอกย้ำกูไปอีก โถ ชีวิต

หลังจากนั้น ใจนักเลง แพ้แล้วพาล PLEASE มาหมดเลยครับ ไม่ได้เตี๊ยมไม่ได้ขอ แต่กูต้องร้องเพราะเพื่อนมันดีด!!

แต่ไอ้เรวะก็ไม่ได้อยู่ฟังผมจนจบ มันกลับไปก่อนและเหมือนจะพยายามออกไปจากร้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยลากเพื่อนผู้ชายที่ผมมโนล้วนๆว่าเป็นไอ้บอมพี่ชายไอ้บูมคนที่ได้ยินชื่อเมื่อตอนเช้าออกไปพร้อมๆกัน

คงเพราะโดนไอ้พี่เจ้าของร้านกับคุณเพื่อนอีกสองตัวชงมากไปมั้งจนกูแอบอินว่าโดนทิ้งเป็นหมาหัวเน่าเข้าให้แล้ว พอกันความเล่นใหญ่ของกู

คอแห้งไปสามน้ำ รับค่าจ้าง จบงาน เก็บเครื่องดนตรีส่วนตัวเสร็จ ผมกับไอ้คีย์ ไอ้ต๊อบ ไอ้หงส์ก็เตรียมบอกลาพี่ตี๋แล้วจรลีกลับบ้าน แต่ทว่าไอ้เจ็ทแลคพนักงานตัวแสบตัวดีที่ตีนแม่งโคตรไวดันเดินมาขวางไว้เสียก่อน

“พี่เม่น”

“อะไรครับน้องเจ็ทแลค” เมื่อกี้พี่เรียกก็เสือกทำหูทวนลมนะ ทีตอนนี้มาทักกูอย่างกันสนิทกันมานมนาน

“คนเมื่อกี้ที่พี่ฝากเบียร์ไปให้ เขาฝากไอ้นี่ไว้” ถุงพลาสติกขุ่นสีขาวถูกส่งมาให้ ผมมองมันด้วยสายตาแปลกใจ

“ให้พี่?”

“ครับให้พี่เม่นนักร้องนำของร้าน” ชักไม่อยากจะได้คำต่อท้ายชื่อแบบนี้แล้ว ผมรับถุงมาแหวกออกดูในนั้นเหมือนมีห่ออะไรเล็กๆอยู่เต็มไปหมด

“อะไรวะ อะไร” ไอ้เพื่อนสามตัวของผมมันก็สาย ผ. ฟังให้ดีนะครับ ผอ ไม่ได้ฝอ สายเผือกดีดีนี่เอง แม่งแล่นมาเกาะไหล่ผมชะโงกหัวมองกันใหญ่ จนกระทั่งผมล้วงทุกอย่างออกมาจากถุง

“งุ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย”

“ให้ตายเถอะโรบิน”

“เค้าเป็นห่วงตัวเองอ่ะให้ตายเถอะ”


...สัด ไม่แซวสักวันมันจะตายมั้ย....


ยาผงถ่านสองแผง กับผงน้ำตาลเกลือแร่ซองใหญ่มีทั้งกลิ่นธรรมชาติและกลิ่นส้มชื่นใจเต็มกำมือกูเลยครับ...


...TBC...
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 8 :: เรื่องมันเหี้ยรินเบียร์ให้เพื่อน [24/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-02-2019 10:19:13
ว้อยย สงสารเม่น โดนแกล้งเฉยเลย
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 8 :: เรื่องมันเหี้ยรินเบียร์ให้เพื่อน [24/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 25-02-2019 01:11:11
555555ชอบอ่ะ คือควรจะขำความซึนของเม่น ความตาแป๋วของเร ความเผือกของแก๊งผ. หรือ ยารักษาความแขกตี้ของเม่นดี งื้อออ ไม่รู้แหละ เพราะดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินน รออตอนต่อไปเลยฮับบบ
สงสัยแล้วว่าผู้ชายที่มากับเร เขาเป็นใคร และเขาเกี่ยวข้องยังไงกับเร  :mew1:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 8 :: เรื่องมันเหี้ยรินเบียร์ให้เพื่อน [24/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-02-2019 02:29:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 9 :: เก็บขยะความทรงจำ [26/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 26-02-2019 19:57:49
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 9 :: เก็บขยะความทรงจำ


Leave me alone
นอนไม่หลับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แขกตี้ อากู๋บอกมา


ถ้าอากู๋จะเป็นห่วงขนาดนี้ก็ช่วยฝากบอกไปทีว่า...กูไม่ได้แขกตี้อย่างที่มึงเข้าใจ!!


ผมจ้อง จ้องลึกลงไปในข้อความบนหน้าจอมือถือ และซองยาที่กระจัดกระจายเรียงรายอยู่บนเตียง กินดีมั้ย? กินไปเพื่อ?

“ฟุ้งซ่านว่ะไอ้เม่น” อย่าบ้าจี้ตามพวกขี้ชงมันเป็นอันขาด โกยซองผงน้ำตาลเกลือแร่ แผงคาร์บอนกลับเข้าที่เก่าแล้วคว้ามือถือขึ้นมาพิมพ์ตอบกลับ


PoPo_Porcupine
ถ้าจะห่วงกูขนาดนี้ ทีหลังไม่มาเฝ้าไข้เลยล่ะ


เชื่อว่าเรวะมันนอนแล้ว พิมพ์เล่นๆ พิมพ์ไปงั้น ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่จู่ๆเสียงแจ้งเตือนข้อความก็ดังขึ้นมา ทำให้คว้าโทรศัพท์แทบไม่ทัน

Leave me alone
ไว้คราวหน้าละกัน กูสัญญา


...มึงจะทำตามสัญญา...แต่กูเนี่ยสิน้ำตาจะไหล...ทำไมมือต้องลั่นไปหาเรื่องใส่ตัวได้ตลอดเลยฟะเนี่ยไอ้เชี่ยเม่น...


ปามือถือทิ้งลงเตียง แสดงอุดมการณ์อ่านแต่ไม่ตอบ ถือเป็นการบอกกลายๆว่ากูไม่ได้ง่าย ไม่รับปาก ไม่ดีใจ ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ยกเว้นเรื่องทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์กับมึง แล้วให้เอะใจนึกขึ้นได้ว่าควรจะเริ่มเตรียมการหากิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อะไรสักอย่าง เผื่อจะได้กรุยทางไปยังการหลุดพ้นจากเรวะ ไม่ต้องไปจมปลักอยู่กับมันให้เร็วขึ้นสักวันก็ยังดี
คว้ามือถือขึ้นมาอีกที กดเปิดเบราว์เซอร์จิ้มแป้นระรัวคำว่าอาสาสมัคร แต่ขณะที่กำลังจะเคาะเอนเทอร์นั้นใครไม่รู้ดันเด๋อวีดิโอคอลเข้ามา กูเลยแทบบ้าเพราะเผลอพลาดจิ้มปุ่มสีเขียวป้าบเข้าให้

“เชี่ย!!!!!!!”

คะ...ใครโทรมาวะ!!

บอกเลยว่าตอนนี้มือกูสั่นยิงกว่ากำรีโมตwiiอีกสัด

[ถ้านี่เชี่ย นั่นก็ลูกเชี่ยแหละจ้า]

เสียงหวานสวยระรื่นหูดังเข้ามาในโสตประสาท ใบหน้ายิ้มแย้มแช่มชื่นปรากฏขึ้นกลางหน้าจอ แทบไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร หน้าตาแบบนี้ เนื้อดีพิมพ์นิยมแบบนี้ คงหนีไม่พ้น...

“มะ...แม่”

[เรียกพี่สิลูก]

“แม่”

[กวนตีนนะเรา บอกให้เรียกพี่ดันเรียกแม่]

“ผมก็กวนตีนเหมือนแม่แหละครับ”

[เบื่อ ขี้เกียจเถียง อย่าให้รู้นะว่าพ่อแม่เป็นใครจะด่าไม่ยั้งเลย] แหนะมีมองบนแถมค้อน ท่าทีแบบนั้นทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

คิดถึงว่ะ คิดถึงแม่โคตรๆ นานแล้วที่ผมไม่เจอ ไม่ใช่แค่เพราะตัวอยู่ห่างกันนะ แต่กับแค่โทรศัพท์ วิดีโอคอล หรืออีเมลติดต่อข้อความสั้นๆยังไม่อาจจะมีมันได้เลย ผ่านมาเกือบสามปีแล้วมั้ง ตั้งแต่ตอนที่สองสามีภรรยาตัดสินใจหันมาจับงานที่ต่างฝ่ายต่างมีใจรักอย่างเต็มตัว จนต้องย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ต่างประเทศ ลงพื้นที่จนไม่มีเวลาเดินทางกลับมา ปล่อยให้ผมกลายเป็นกำพร้าได้เวลาหาความอิสระใส่ตัวเต็มๆ

“ทำไมถึงโทรมาได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าแค่อยากได้ยินลูกตัวเองเรียกพี่ถึงมีเวลาโทรมา”

[แหมอายุขึ้นเลขสี่มันก็ต้องมีบ้างแหละจ้ะ ที่อยากจะได้ยินสุดหล่อของแม่เรียกว่าพี่น่ะ]

“อย่าชมครับ เขินแย่เลย”

[แหม ประเด็นอยู่ที่ประโยคหลังรึเปล่าฮึ เด็กบ้า ว่าแต่เราเถอะ เมื่อกี้ตกใจอะไรทำไมถึงต้องตะโกนคำหยาบใส่แม่ด้วย]

“ผมเปล่าซะหน่อย”

[แหนะ มีหลบตา อย่าโกหกแม่ แอบอะไรไว้บอกมาเดี๋ยวนี้ ปล่อยให้อยู่คนเดียวนานๆไม่ได้เลย ชักเอาใหญ่แล้วนะ] ไม่น่าวีดิโอคอลเล้ย มีอะไรแม่กูจับผิดได้หมด แม้กระทั่งท่าทาง

“ผมก็แค่คิดว่าใครโทรมา”

[แค่นั้นเหรอ แล้วทำไมจะต้องตกใจอะไรเบอร์นั้น กำลังรอโทรศัพท์ใครอยู่กันแน่]

“เปล่าครับ ไม่ได้รอ”

[รอโทรศัพท์ใครบอกแม่มา]

“ผมไม่ได้รอจริงๆ”

[รอใคร]

“ผมเปล่า..”

[รอคะ...]

“ผมก็แค่คิดว่าไอ้เรวะมันโทรมา”

[...] เชื่อดิ ไม่ตอบไปมีหวังกูได้แขกตี้สะสม เพราะโดนแม่ระดมคำถาม อย่างกับตำรวจสอบสวนกลางประจำบ้านจงรักกิจการกุลจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนแน่ๆ เลยตอบไปให้มันจบ

“แม่สบายดีมั้ยครับ”

[เรมนี่ใคร]

เอาแล้วไง อย่าไว้ใจคุณนายอลิษา สมาธิแม่ผมเรียกได้ว่ามีระดับเหนือกว่าชาวบ้าน ต่อให้โดนเฉไฉไปประเด็นไหนก็กลับมาได้เสมอ

“เขาชื่อเรวะครับ”

[อะไรนะ เรวะ? ชื่อแปลกจัง ใครน่ะ?]

“เพื่อนร่วมมหา’ลัยผม”

[กลุ่มเรามีแค่สี่คนไม่ใช่เหรอ]

“คนที่ต้องทำงานกลุ่มด้วยน่ะ”

[อ๋อ เพื่อนใหม่เหรอ แล้วทำไมต้องคุยกันดึกดื่นขนาดนี้ด้วย นี่มันก็เที่ยงคืนกว่าแล้วหนิที่นั่น]

“แค่เมื่อกี้มีประเด็นกันนิดหน่อยน่ะครับ อย่าไปสนใจเลย”

[ยิ่งพูดแม่ยิ่งสนใจ กลับไปต้องขอดูหน้าสักหน่อยแล้ว ใครกันนะที่ทำให้ลูกแม่ตกใจได้มากขนาดนี้]

“หึ พูดอย่างกับว่าจะได้กลับมา” ความเงียบเข้าแทรกหลังประโยคที่ผมแซะแม่ไป สีหน้าแม่นิ่งจนเล่นเอาผมใจเสีย “เฮ้ยนี่ผมไม่ได้ดราม่านะ แค่พูดแซวเล่นเฉยๆ แม่สบายใจเถอะทำงานอยู่ที่นั่นไม่ต้อง...”

[ใครบอกล่ะ]

“หืม?”

[ใครบอกล่ะว่าแม่ดราม่า]

“อ้าวแล้วทำไมจู่ๆก็เงียบ”

[แม่กำลังจะบอกว่า เดี๋ยวแม่จะไปหาแล้วนะจ๊ะ พ่อเด็กดื้อ]

“หา?”

[ไม่ต้องมาหงมาหาแล้วล่ะ แม่กับพ่อตัดสินใจแล้ว ว่าจะพักงานสักสามเดือนกลับไปอยู่เมืองไทย กลับไปอยู่กับลูกไง ดีใจมั้ย]

หา!!! อยากจะแคปสภาพของตัวเองที่อ้าปากกว้างทำตาโตเท่าไข่ห่านแล้วส่งให้เพจพี่ดิบมันลงเพื่อเช็คเรตติ้งเสียจริง ตอนนี้ผมโคตรของโคตรความเซอร์ไพรส์

[อ้าวทำไมทำหน้างั้นอ่ะ ไม่ดีใจเหรอ]

“ดีใจดิครับ ถามได้” สุดท้ายก็ไปจบที่รอยยิ้มกว้าง หน้าบานเป็นชามกะโล่ ใครจะว่าผมเป็นลูกแหง่ก็ช่าง แต่คนมันไม่เจอพ่อแม่มาสามปีมันก็ต้องดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่อย่างนี้แหละ ผมทิ้งตัวลงบนเตียงมองหน้าคนที่คลอดผมมาผ่านมือถือเงียบๆพลางยิ้มเหมือนคนบ้า

[ยิ้มหล่อ ให้อภัย] แม่ก็ยิ้มตอบ พลางเอานิ้วเขี่ยกล้องทำท่าบี้จมูกผม อย่างกับว่าจะทะลุออกมาจากฟากโน้นให้ได้

“ลูกชายใครก็หล่อเหมือนคนนั้น”

[สวยจ้ะไม่ได้หล่อ ว่าแต่นั่นอะไรน่ะ ใครทำลูกแม่ท้อง...]

ฮะ? หันขวับไปตามปลายสายตาแม่ เห็นแผงผงถ่านคาร์บอนแลบออกมาจากถุงที่ผมเพิ่งโกยใส่ไป ทำไมแม่กูตาไวจังวะ

“อย่าพูดไม่เต็มประโยคดิแม่ ท้องเสีย ท้องเสีย”

[เออ นั่นแหละ เราท้องเสียได้ยังไง ไปกินอะไรเข้าไป แล้วไหวมั้ยเนี่ย ต้องไปโรงพยาบาลรึเปล่า]

“ใจเย็นครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

[แล้วทำไมต้องกินคาร์บอนด้วย]

“อยากขี้ดำ”

[กวนแระ]

“เปล่าแค่มีคนซื้อให้น่ะ เขาเข้าใจผิดว่าผมท้องเสีย”

[ใครกันนะใจดีจัง ใช่แฟนลูกแม่คนนั้นรึเปล่า]

“แพรวเหรอ หูย คนนั้นเลิกกันไปนานแล้ว” เลิกไปตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างห่างกันออกไป คุยกันน้อยลง เลยจบเหมือนคนไม่เคยคบกัน

[แล้วคราวนี้ใครกันจ๊ะ หนูเรมคนนั้นเหรอ] ตวัดตัวลุกขึ้นนั่งไวเท่าแสง ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง แต่ที่แน่ๆหัวแม่งส่ายไหวอย่างกับเจ้าเข้า

“เฮ้ยไม่ใช่ โหยแม่ไม่เอาดิ อย่าเดามั่ว”

[เม่น]

“มันก็แค่กลัวผมไม่ทำงานกลุ่มด้วยล่ะมั้ง”

[เม่น]

“ไม่ใช่ว่ามันเป็นห่วงอะไรผมหรอก”

[ชักอยากจะเห็นหน้าหนูเรมคนนี้แล้วสิ]

“เห็นไปทำไมตาก็มีสองตา จมูกหนึ่ง ปากหนึ่ง เหมือนคนทั่วไปแหละแม่”

[ก็เขาทำให้ลูกชายแม่สติแตกได้ขนาดนี้]

“...”

[ไว้เจอกันตอนถึงไทยละกันนะลูกรัก นอนได้แล้ว ดึกแล้ว สวีทดรีมจ้ะ] นางอลิษา หรือชื่อปะกิดว่าอลิซ่ากดวางหูไปโดยทิ้งบอมไว้ก้อนใหญ่ให้ผม


ว่าแต่...แล้วผมจะร้อนตัวไปเพื่ออะไรเนี่ย!!


ตี๊ดี๊ดิ๊ด~

Leave me alone
เบียร์มึงอร่อยดี ขอบคุณที่เลี้ยง




“คนที่มาใหม่นะครับ ถ้าจัดแถวกันเสร็จก็เดินมาหยิบอุปกรณ์ตรงนี้ไปได้เลยนะ ถุงขยะเอาไปก่อนสองคนถุง หน้ากากอนามัย กับที่คีบขยะก็จัดกันไปคนละอันไม่ต้องแย่งกัน ส่วนถุงมือจัดไปเป็นคู่อย่าเผลอเอาไปเป็นข้างนะ สโมฯเราไม่ขี้งกอยู่แล้ว”

เช้าวันเสาร์ ใช่วันหยุดทั้งทีแต่ผมต้องเจียดเวลาดีดีมานั่งจุ้มปุ๊กรอแก๊งสโมฯจัดแถวกันแต่ย่ำรุ่งเพราะเมื่อวานตอนดึกเสือกกดลงทะเบียนไปแบบไม่ทันยั้งคิดว่าจะต้องมาเปลืองเศษเสี้ยวชีวิตอดหลับอดนอนขนาดนี้ กิจกรรมเก็บขยะหลังงานเทศกาลตลาดนัดมอประจำปี...กิจกรรมดีดีที่ใครๆต่างเฝ้ารอ

ไม่ใช่ว่าใครๆก็โหยหาการเก็บซากอารยธรรมหลังฝูงชนและเหล่าแร้งที่มาลงหาอาหารในวันเทศกาลซึ่งร้านรวงต่างคึกคักเปิดศึกจัดหนักจัดเต็มขายของหวานคาวเค็มเต็มคันรถหรอกนะครับ หากเป็นเพราะกิจกรรมนี้มันจัดแค่ครึ่งวันแต่กลับเหมือนได้โชคสองชั้นเป็นชั่วโมงกิจกรรมคูณสอง พวกเราเหล่าเพื่อนพ้องเลยพร้อมใจกันลงแบบไม่ยอมงงให้กับไอ้น้องๆสโมฯที่เปิดกิจกรรมโชว์ขึ้นหน้ากระดานข่าวก่อนงานจริงแค่หนึ่งวัน เพราะอย่างนั้นมันเลยยังเหลือรอดมาถึงเงื้อมมือแก๊งโฉดใจโหดไม่ชอบกิจกรรมอย่างพวกเราไงครับ

วันนี้ผมมาช้ากว่าไอ้สามตัวในแก๊งขั้นสุด สาเหตุบอกง่ายๆเลยว่าตื่นสาย ไอ้สองคู่นั้นที่มาก่อนมันเลยคว้าอุปกรณ์ไปทำกิจกรรมถึงไหนต่อถึงไหน ปล่อยให้ผมกับเรวะมันยืนห้อยติ่งเป็นคู่ทิ้งท้ายอยู่ตรงนี้

“เดี๋ยวกูไปหยิบเอง มึงรออยู่นี่” เสียงดังขึ้นจากคนข้างๆที่นั่งขัดสมาธิจับข้อเท้าตัวเองอยู่นานจนถึงเมื่อครู่ คู่หูของผม เจ้าของหัวสีแอชเกรย์ที่ดูโดดเด่น มันผุดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงหลังจากเอ่ยทิ้งท้ายไว้ ยืนปัดขากางเกงไปมาอยู่สองสามที  ก่อนเดินตรงรี่ไปส่วนกองกลางที่วางอุปกรณ์

วันนี้มันมาแปลกดูมีแรงทำกิจกรรมถึงกับขั้นขันอาสากระวีกระวาดลุกขึ้นมาจับอุปกรณ์จนพร้อมทุกสิ่งแล้วเดินตรงดิ่งกลับมา ผมได้แต่แหงนคอจ้องหน้ามันอยู่นาน

“มองอะไร”

“เปล่า”

“งั้นก็ลุก”

“เรวะ นี่มึงไม่สบายรึเปล่า”

“ตบปากตัวเองดีกว่ามั้ย ใครกันแน่ที่ไม่สบาย” อ้าว นี่สงสัยเลยถาม ทำไมโดนด่ากลับวะ

“กูไม่สบายตรงไหน”

“หน้ามึงซีด”

“กูนอนไม่พอ”

“เพราะเอาแต่เข้าห้องน้ำใช่ป่ะ”

“ใช่ที่ไหนล่ะวะ” เพราะกูมัวแต่คุยกับแม่ต่างหาก

“กินยาไปรึยัง”

“ยาอะไร”

“คาร์บอนที่กูให้ไปเมื่อวาน”

“...” อย่าบอกนะว่ามันเชื่อจริงว่าผมท้องเสีย

“ดื้อชะมัด”

“กูดื้อตรงไหนวะ”

“ก็ตรงที่ไม่กินยากูไง”

“...”

“เอาเถอะ ถ้าวันนี้จะล้มอะไรมึงบอก”

“ทำไม มึงจะช่วยประคองกูไปส่งห้องพยาบาล”

“เปล่ากูจะเก็บมึงใส่ถุงดำไปพร้อมขยะด้วย”

“สัด รักกูจริง เมื่อวานใครวะที่พิมพ์ว่าจะมาเฝ้าไข้กู”

“แต่ถ้ามึงเป็นอีก กูจะไปป้อนโจ๊กให้ถึงบ้านจริงๆ กูสัญญา”

“...”

“เอ้าๆ ตรงนั้นจีบกันเสร็จยัง มาสายแล้วก็ไปทำงานสิครับ เดี๋ยวตัดชั่วโมงกิจกรรมให้เท่ากับชั่วโมงที่จีบกันเลยเนี่ย” นึกว่าใครที่แท้ก็ไอ้เพื่อนสโมฯ โชคร้ายที่เกิดมาเป็นคนกว้างขวาง เหตุเพราะหน้าตาไม่บ้านเลยรู้จักกับเฮดใหญ่ของงานที่ยืนถือโทรโข่งอยู่กลางลานตรงนี้ ได้ทีเพื่อนมันเลยขยี้กูใหญ่ใส่โทรโข่งไม่ยั้งคนแม่งจ้องกันมาตาเป็นมัน ตกเป็นเป้าคนทั้งกลางลาน

“ไอ้สัดแฮ็ค ตะโกนใส่ไมค์ทำเพื่อ” ลุกขึ้นพรวดพราดปัดกางเกงคว้าอุปกรณ์ทุกอย่างมาจากมือขาวได้ก็ตบแขนมันสองทีพร้อมบอกให้จรลีไปด้วยกัน หากแต่พอไล่หลังไม่กี่ก้าวไอ้เพื่อนเวรเสือกประกาศตามมาแบบไม่ไว้หน้ากูอีก

“ไอ้เม่น  ทำกันแค่สองคนเพื่อสุขอนามัย อย่าลืมใส่ถุงทำนะเว้ย!!”

มึงหมายถึงถุงมือใช่มั้ยไอ้สัด ไม่ต้องบอกกูก็รู้วิธีเว้ย!!



เดินตามรอยคนอื่นเขามาเป็นธรรมดาที่จะไม่มีอะไรให้เก็บ ผมกับเรวะเลยต้องเดินลึกมาไกลถึงโซนริมคูรอบมหา’ลัยที่ใครต่อใครต่างรู้จัก ว่ามักจะมีสายนักชิมจอมขี้เกียจ แวะเวียนกันมาพักรับประทานอาหารข้างทางตรงนี้ แทนที่จะไปยังโรงอาหาร จึงเหลือซากอารยธรรมเยอะกว่าชาวบ้านชาวช่อง

พอเดินมาถึงก็รู้เลยว่ากองงานขนาดมหึมารอพวกเราอยู่ ผมเห็นคนข้างๆหยุดเดินแล้วหันไปมองต้นไม้ใหญ่ตรงตำแหน่งที่ตั้งถังขยะเขียวเหลืองแดงในมหา’ลัยอยู่นานอย่างผิดสังเกต

“เป็นอะไร”

“คนเราก็แปลกเนอะ ถังขยะอยู่ตรงหน้าแท้ๆ”

“ใครๆก็เอาสบายทั้งนั้นแหละ ยิ่งคนเยอะกว่าจะฝ่าไปถึงตรงนั้นได้เห็นระยะเท่านี้เดินกันเป็นนาทีเลยนะ” ไอ้เรวะมันเลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างประหลาดใจ

“เป็นนาที?”

“เออระยะทางมันใกล้กูก็รู้กูมองออก แต่กูก็อยากขอบใจพวกนั้นว่ะที่ทำให้กูได้ชั่วโมงกิจ...” หลังพูดประโยคนี้เสร็จมันทำตาวาวใส่ เล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบกลัวมันจะนึกชื่นชมผมอยู่ในใจแล้วเก็บไปเรียกร้องว่าอยากมีเพื่อนพ้องอย่างกู “เลิกพูดมากแล้วใส่ถุงกับหน้ากากได้แล้ว”

“มึงรู้วิธีใส่?”

“อย่ามาทำโง่ ก็แค่สวมเข้าไปมึงจะเอาอะไรวะ” รอยยิ้มนี้กูแม่งแทบอยากจะวิ่งไปขี้ แล้วจรลีกลับมาตอนเวลากิจกรรมเลิกเลย “มึงเอาสกิลหื่นนี้มาจากไหน”

“ฮะ? หื่นอะไร”

“อย่ามาตีหน้ามึน”

“ผู้ชายใครๆก็เป็นกันเปล่าวะ” เรวะมันเริ่มสวมถุงมือใส่หน้ากากคว้าที่คีบขยะขึ้นมาก้มลงไปจัดการกับงานตรงหน้า ผมเลยเริ่มใส่
ถุงมือแล้วตามไปขยุ้มกำปากถุงดำช่วยกันถือ

“เข้าใจว่าใครๆก็เป็น แต่นี่มึงเล่นทะลึ่งกับกูซะถี่ นี่คิดอะไรกับกูรึเปล่าเนี่ย”

“กับคนอื่นกูก็เล่น”

“กับใครวะ กูไม่เห็นมึงจะมี...” ปากดีเหลือเกินไอ้เม่น ทำไมมึงไม่ทำอะไรให้ไว อย่างเช่นไปหาคู่คนอื่นที่ไม่ใช่เรวะ แทนที่กับการต้องมานั่งงับปากห้ามไม่ให้พูดไปตามใจคิดวะ

“เพื่อนเหรอ”

“...” ผมเงียบ ไม่อยากซ้ำ เดี๋ยวทำคนเจ็บ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก อยากพูดอะไรก็พูดมา ไหนๆพวกเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว” ตอนไหนวะ!! “เพื่อนน่ะเคยมี แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ผมนั่งคุ้ยประวัติเรวะในสมอง จากการกรองด้วยสายตาเท่าที่เคยมีปัญญาเห็น บุคคลซึ่งมาวนเวียนอยู่เป็นสัมภเวสีให้ไอ้เรวะจะมีก็แต่ไอ้บูมกับ...

“ไอ้บอม?” คิ้วไอ้เรวะกระตุก มือที่หนีบขวดน้ำพลาสติกค้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ก่อนโดนเขวี้ยงลงไปในถุงเบาๆ

“ทำไมอยู่ๆถึงพูดชื่อนี้ออกมา”

“เมื่อวานเห็นมึงอยู่ที่ร้านกับมัน กูเลยเดาส่งไปงั้น”

“มึงรู้จักไอ้บอม?”

“กูจะไปรู้จักได้ไง แค่มันหน้าตาคล้ายไอ้บูมก็เท่านั้นเอง”

“กูก็ว่ามึงไม่น่าจะรู้จัก” มันก้มลงเก็บขยะชิ้นต่อไปใส่ถุงเรื่อยๆ เหมือนคุยเล่นคุยเพลินๆกับผม แต่บังเอิญผมกลับรู้สึกว่าเหมือนมันกำลังกลบเกลื่อนอาการอะไรบางอย่าง “ไอ้บอมไม่ใช่เพื่อน มันโตกว่ากูปีนึงเป็นพี่ชายของไอ้บูม”

“แล้วก็เป็นเพื่อนข้างบ้านกันมาตั้งแต่เด็กๆกับมึง ไม่ต้องถามว่ากูรู้ได้ยังไง กูได้ยินมาจากแม่มึง”

“อย่าร้อนตัวเม่น กูยังไม่ได้พูดอะไรซะหน่อย” เหอะ อ้างก่อนก็โดนหาว่าร้อนตัว พอกูไม่พูดอะไรมึงก็ซักไซร้ว่ากูสนใจในตัวมึงจะเอาอะไรวะไอ้นี่ “ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังมีคนที่กูเล่นแบบนี้ด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”

“...”

“มึงเลยพิเศษสำหรับกู”

“อย่ามองหน้ากู กูขนลุก”

“เชี่ยใครมาทิ้งถุงยางไว้ตรงนี้วะ”

“สัด นี่มันมหา’ลัยใช่สวนลุมมั้ย อย่ามาอำกูให้ยาก”

“มึงจะเล่นท่ายากกลางสวนเลยเหรอ”

“สัดเรวะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” รอยยิ้มเสียงหัวเราะทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติไปหมด แม้กระทั่งการพูดคุยกับมัน ผมไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะมีวันได้คุยกับคนในตำนานอย่างโคตรธรรมดาขนาดนี้ เพราะปกติจะมีแต่คนที่หลีกลี้หนีให้ห่างจากคนอย่าง ‘มนายุ กานต์พงศ์สุจริต’ กันทุกคน



ใช้เวลาอยู่นานกว่าผมกับเรวะจะเดินเก็บขยะจนรอบริมคู บอกเลยว่าบีฟอร์กับอาฟเตอร์แม่งช่างต่างกัน ตอนนี้ทั้งสะอาดใสเกลี้ยงกริ๊บ แบบไม่มีเม็ดพริกจากตำมะยมหรือซากขนมปังปิ้งเหลือทิ้งให้รกหูรกตา

เนื่องจากเก็บงานไปมากคนเลยบางตาไปเยอะพอเสร็จกิจจากตรงนี้ก็ยังมีที่อื่นต่อ ผมกับไอ้เรวะเลยตัดสินใจเดินประคองถุงขยะอันหนักอึ้งมาจนถึงต้นไม้ กะว่าถ้าเคลียร์เสร็จได้เมื่อไรต้องไปอู้คำเมือง แต่กว่าทำได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกไปตามๆกันไหนจะต้องมัดปากถุงยัดลงถังแม่งเล่นเสียพลังไปโข

“หนักชะมัด กินบ้ากินบออะไรกันเยอะแยะวะ”

“นั่นดิ กินไม่เผื่อ นี่ก็หิวแล้วเหมือนกันนะเว้ย” ผมหันไปมองหน้าไอ้เรวะ...คนที่สามารถโยงเรื่องของกินกับขยะได้ มันเอาหลังมือลูบท้องป้อยๆ ดูท่าจะหิวจริง

“เมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวมาหรือไง”

“ตื่นสายเลยไม่ได้กิน”

“ทำไม เมื่อวานก็เห็นไม่ได้กลับดึกอะไร หรือมีไปต่อกับไอ้บอมนั่น”

“เม่น”

“ไร”

“สังเกตกูอยู่ตลอดเวลาเลยนะ”

“กูไม่ได้สังเกต”

“มึงอยากรู้อดีตชาติกูมั้ย” มันขยับตัวเข้ามาใกล้

“ไม่ว่ะ”

“มึงต้องอยากรู้อดีตกูแน่ๆ” มันขยับตัวเข้ามาใกล้อีก ราวกับจะต้อนผมให้จนมุม

“ก็บอกว่าไม่ไง”

“แล้วทำไมถึงถามกูจัง”

“...” บอกตามตรง...ผมก็แค่ติดใจ เหมือนกับคนทั่วไป เพราะอะไรหลายๆอย่างของเรวะมันดูขัดแย้งกับสิ่งที่ผมได้ยินมา

“ถ้าอยากรู้มึงต้องเอารูปในอดีตชาติมึงมาโชว์ให้ดูก่อน”

“หา?” ไหงมาเข้าเรื่องนี้วะ “ก็บอกว่าไม่ไง”

“เอารูปในกระเป๋าตังค์มึงมาดู”

“กูไม่อยากรู้แล้ว”

“ไหนเอามาดูดิ๊” พูดจบแม่งเล่นผมเลยครับ ด้วยการขยับจะเอามือมาจับกระเป๋ากางเกงกูให้ได้

“สัด เชี่ยมึง ถุงมือมึงก็สกปรกเหอะ” แค่นั้นแหละมันยอมสละชีพถอดถุงมือล้วงเข้ามาในกางเกงคว้ากระเป๋าสตางค์ผมไปเฉย “เฮ้ย กระเป๋ากู!!”

เรวะหัวเราะคิกคักอย่างกับเด็กได้ของเล่น มันขยับมือรูดซิปกระเป๋ามองหาอะไรที่เป็นรูปภาพตามที่ผมเข้าใจแล้วชักขึ้นมาดู

“เฮ้ยนี่รูปมึงเหรอ ฮ่าๆๆๆ”

สัดกูรู้เลยรูปอะไร ภาพนู้ดตอนเด็กที่คุณอลิซ่าแอบใส่ลงในกระเป๋าไว้เป็นที่ระทึกไงล่ะครับ ขนาดเพื่อนสนิทอย่างไอ้คีย์ ไอ้ต๊อบ ไอ้หงส์แม่งยังไม่เคยได้ดูรูปนี้ แล้วมึงมีสิทธิ์อะไรถึงมากระทำชำเรากับอดีตกูได้ว่ะ ไอ้เชี่ยเรวะ!!

พยายามจะคว้าเอามันกลับมาที่เก่า แต่เรวะกลับโยกหลบพลิ้วเสียจนแย่งคืนมาไม่ได้

“เอาคืนมาดิวะ”

“ขอกูเถอะ”

“ไม่ให้เว้ย”

“ไม่คืนว่ะ”

“เรวะ”

“ครับ”

“เรวะ”

“ว่าไงนะครับ”

“กวนตีนนะมึง!!” ภาพตัดมาที่ไมเคิล จอดำกระโดดทำรีบาวน์ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย ปัดปลายมือไปโดนกระเป๋าได้แค่เท่านั้นแหละ แม่งปลิวลอยหวืออย่างกับกระสือเล่นลม เหมือนมีใครบรรจงมาถ่ายภาพสโลโมชั่นโฟกัสไปที่กระเป๋าตังค์ผม

ตุบ!!

“เชี่ย กระเป๋าสตางค์กู!!” ลงถังขยะเปียกเต็มๆ โว้ยยยยทำไมซวยอย่างนี้ ระหว่างที่โวยวายอยู่ในใจกลับมีใครบางคนวิ่งตัดหน้าผมไป ล้วงมือเปล่าแบบไร้ถุงลงไปจุ่มในถังทำเอากูได้แต่ยืนเงียบงันเพราะอึ้งจนหมดคำบรรยาย ถังขยะตรงหน้ามันทั้งใหญ่และลึกเจ้าตัวที่มุดลงไปก็แทบจะจมหายเข้าไปในนั้น ทำเอาผมใจเสีย

“เชี่ยเรวะมึงพอได้แล้ว”

“...”

“เรวะ”

“ได้แล้ว!!” เสียงตะโกนอย่างดีใจดังก้องอยู่ในถังขยะ เท้าที่ลอยอยู่กลางอากาศกลับลงสู่ภาพพื้นดิน เจ้าตัวผินหน้ากลับมาเผยรอยยิ้มร่าราวกับว่าพึ่งถูกหวยสิบล้านมาหมาดๆ ในมือที่เปรอะเปื้อนถือกระเป๋าตังค์วิ่งพุ่งมาทางผมก่อนยื่นให้ “อะ กระเป๋าตังค์มึง” ตัวเรวะมอมแมมเหมือนแมวจรจัดที่สนุกกับการเล่นโคลนชะมัด มันทำผมถึงกับระลึกได้ถึงวันนั้น...

“เม่น...”

“...”

“มึงเป็นอะไร” ฝ่ามือโบกไหวผ่านหน้าไปมา ราวกับต้องการเรียกสติผมที่กำลังจมดิ่งถึงเรื่องราวในอดีต มือนี้มัน... “เชี่ย!!ทำอะไรวะตกใจหมด” ผมคว้าข้อมือมัน กำไว้แน่น ใช่เหตุการณ์แบบนี้มัน...

“นี่มึงจำกูไม่ได้จริงๆเหรอวะ เรวะ”

...TBC...


+++++++++++

ขอบพระคุณจริงๆที่ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 9 :: เก็บขยะความทรงจำ [26/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-02-2019 20:20:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 9 :: เก็บขยะความทรงจำ [26/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 27-02-2019 00:13:23
สนุกกก. แงง ชอบที่ไรท์อัพถี่ ขอบคุณนะคะ แต่งสนุกมาก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 9 :: เก็บขยะความทรงจำ [26/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 27-02-2019 11:28:49
สรุปว่า ยังไม่ได้ตังค์คืน ==
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 9 :: เก็บขยะความทรงจำ [26/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 27-02-2019 16:36:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 10 :: เกรี้ยวกราดตามแบบฉบับเม่น [1/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 01-03-2019 19:14:34
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 10 :: เกรี้ยวกราดตามแบบฉบับเม่น


“มึง...เป็นใคร?”

แก้วตาสีน้ำตาลอ่อนรื้นน้ำมีอาการสั่นไหว สีหน้าตื่นตกใจปนความสับสนแต่ยังคงนิ่งราวกับคาดหวังคำตอบอะไรบางอย่าง

“เร...วะ”

“หมอเสียใจด้วยครับ สมองเพื่อนคุณได้รับความกระทบกระเทือน สะเทือนไปถึงไส้ติ่ง วิ่งลงไปกระเพาะ ลัดเลาะไปถึงลำไส้ใหญ่ แล่นเข้าสู่หัวใจ ปรืดดดดด จนความจำเสื่อม”


...ไอ้เวร แม่งกวนตีนผม...


“เชี่ยเรวะมึง..”

“มึงเป็นบ้าอะไรวะเม่น อยู่ดีดีมาถามว่าจำมึงได้มั้ย นี่ไม่ใช่เรื่อง ฟิฟตี้ เชดส์ ออฟ เกรย์นะเว้ย”

“ฟิฟตี้ เฟิร์ส เดทส์เปล่าวะ ถ้ากวนตีนกว่านี้อีกสัด กูจะตบหัวสีแอชเกรย์มึงเอง” ยกมือขึ้นข่มขู่ อยากฟาดลงไปสองสามที แต่กลัวมันวิ่งรี่ไปแจ้งตำรวจ แล้วเสือกโดนข้อหาทำร้ายร่างกาย เลยได้แต่แนบลงกลุ่มผมนุ่มแล้วลูบไล้ไปมาด้วยความเกรี้ยวกราด ย้ำ...ด้วยความเกรี้ยวกราด

“อะ โอ๊ย ไอ้เม่น มึงอย่า” สมน้ำหน้า คิดสะใจในหัวไม่ทันไร ไอ้เรวะที่โค้งตัวต่ำกว่าผมมันก็เงยหน้าทะเล้นปนรอยยิ้มของมันขึ้นมา “ใครจะจำมึงไม่ได้ล่ะ”

“อย่าบอก เพราะกูเป็นนักร้องนำร้านข้ามคืน อย่าบอก เพราะกูเด่นเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์ให้นักศึกษาปั่นจักรยานมามหา’ลัย มุกมันเก่าแล้วเว้ย”

“เปล่าซะหน่อย เพราะมึงเป็นทุกอย่าง”

เอ๊า...อินโทรมา

“เป็นเพื่อนเธอไปดูหนัง...”

“อยู่ด้วยกันตอนเธอเหงา...”

“ฟังทุกเรื่องราว ที่เธอระบาย...”

“ยาวจนเช้า ฉันก็ยังยินดี...”

“แม้ไม่ใช่คนพิเศษ ไม่ได้สำคัญสำหรับเธอ...”


“...”

“...”

เวร...อารมณ์ศิลปินขึ้น เผลอตบมุกร้องเพลงสลับกับมันเฉย ไอ้เรวะมันมองหน้าผมนิ่ง สักพักก็ทำตาโตพรวดพราดก่อนก้มหน้าลงไปกุมท้อง งอตัวสั่นอย่างกับเจ้าเข้า

“เฮ้ยเป็นอะไรมึง!!”

“กูปวดท้อง”

“ปวดท้อง? ปวดท้องอะไร หิวข้าวใช่มั้ย เชี่ยแม่งแทนที่จะแดกอะไรมาก่อน”

“เปล่า ไม่ใช่ กู”

“มึง มึงอะไร พูดมาดิวะ”

“กูขำมึงว่ะเม่น ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

...สัด เอากับมันดิ ขำจนปวดท้อง ตลกไปอีก...

“เฮ้อ เบื่อจะเคลียร์ว่ะ” และบอกตามตรงว่าโกรธมันไม่ลง แค่เห็นรอยยิ้มกับสภาพมอมแมมของมันก็เหลือเฟือแล้ว ทำท่าจะตัดใจแล้วเดินออกไป แต่ทว่าเสียงใสๆของมันกลับรั้งผมไว้ได้อย่างชะงัด

“กูบอกแล้วไงว่าจะคืน”

“...”

ประโยคเดียวที่โพล่งขึ้นมา มันแฝงไว้ด้วยความหมายหลากหลายอย่าง ผมหันขวับไปมองหน้าเรวะด้วยความประหลาดใจ แต่แฝงไว้ซึ่งการระแวดระวัง

...ระวังมันยิงมุกซ้ำใส่ผม...

“กูบอกแล้วไง เงินที่เอาไป ถ้าหาได้จะเอามาคืน”

“มึงจำได้”

“แล้วใครบอกว่ากูจำไม่ได้ล่ะ”

“ถ้าใช่ ทำไมไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้กูโวยวายเพื่อ”

“กูชอบวิธีการแสดงออกของมึง”

“...”

“มันดูตลกดี”

“เชี่ยนี่” โว้ย เก็บกดตบหัวคนไม่ได้ กูก็ลูบแบบกระแทกกระทั้น แบบชายฉกรรจ์มันยาวไปสิครับ

“โอ๊ยๆๆ ไอ้เม่น ฮ่าฮ่าฮ่า” สุดท้ายก็ลืมไปว่า สัดกูมือเปื้อน!!! เน่าครับงานนี้ ทั้งหัวเรวะและตัวผม





มาถึงช่วงโค้งสุดท้ายของการทำกิจกรรม ผมกับคู่หูช่วยกันขนแบกอุปกรณ์กลับมาวางที่เก่า แม้หัวกับตัวจะสกปรกจนไม่รู้ว่าจะทำให้มือสะอาดไปเพื่ออะไรก็เถอะแต่ผมกับมันต่างฝ่ายก็ต่างเดินแยกกันไปล้างไม้ล้างมือ พอเดินกลับมาตรงจุดที่รวมตัวกันเช็คชื่อว่าทำกิจกรรมครบชั่วโมง เห็นเพื่อนสามตัวบวกแฟนไอ้คีย์อีกหนึ่งยืนมองมาแต่ไกล  พร้อมรอยยิ้มละมุนละไมที่โคตรไม่น่าไว้ใจฉิบหาย

“เก็บขยะมีความสุขมั้ยครับคุณเพื่อน” ไอ้ต๊อบมันถามขึ้นมาเป็นคนแรก

“ก็ดี รู้สึกเหมือนช่วยทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นเยอะ” สะบัดมือชื้นๆเข้ากับขากางเกง ไม่ทันมองสีหน้าห่าเหวของพวกมัน แต่พอเหลือบตาขึ้นเท่านั้นแหละ

“หูย ตอบโคตรพ่อพระ โลกน่าอยู่ โลกเป็นหัวใจสีชมพูเลยนะมึง”

“น่ารักว่ะ งุ้ยๆๆๆ”

“พูดบ้าอะไรของพวกมึงวะ”

“ไอ้เม่นมึงไม่ต้องทำตาขวางใส่พวกกูเลย”

“พวกกูเห็น พวกกูรู้ พวกกูดูออก ก็เพราะเนี่ย” ไอ้หงส์มันยื่นมือถือมาให้ดู คราวนี้เป็นจั่วหัวไอจีของสโมสรนิสิตมหาวิทยาลัย โธ่ กูก็นึกว่าอะไร ที่แท้ภาพบรรยากาศกิจกรรมอาสาสมัครเก็บขยะในมอ อัพไวฉิบหาย

“แล้วไง”

“มึงดูให้ดีก่อน”

“ดู?” ก็แค่ภาพมึงกูเก็บขยะ มีอะไรน่าสนวะ

“ความเอ็นดูลูบหัวนี้ท่านได้แต่ใดมา”

“ขนาดกับแยมกูยังไม่หวานออกสื่อขนาดนี้ ไอ้เม่นมึงเด็ดว่ะ”

“เด็ดหัวมึงเนี่ยแหละเชี่ยคีย์ ดูก็รู้มั้ยว่ากูกำลังโกรธอยู่ ไม่ได้เอ็นดูมัน”

“เหรอ ดูรู้มากเลยนะ” ไอ้สามตัวแม่งประสานเสียงกัน สาบานว่าสักวันนึงกูจะให้พวกมันไปรับจ๊อบในโบสถ์ ระหว่างปล่อยให้เพื่อนแซว ไอ้แมวมอมแมมก็เดินมาพอดี

“เรวะ” มันหยุดหันมามอง คิดว่ามันจะเดินมาตามเสียงเรียก แต่ที่ไหนได้กลับหมุนหัวไปทางเก่าแล้วทำท่าจะเดินต่อ อ้าวเฮ้ย ไม่ได้ยินที่เรียกเหรอวะ อ้าปากจะตะโกนชื่อมันอีกรอบ แต่สัดแฮ็คเสือกเดินสวนมาซะก่อน

“เชี่ยเม่น” เพื่อนต่างคณะสมัยเข้ามาใหม่ๆตอนที่ผมยังมีกะใจจะทำกิจกรรมมหา’ลัยมันตรงดิ่งมา ไม่วายหันไปมองคนที่เดินสวนไปด้วยสายตาพิศวง “ไงเหนื่อยหน่อยนะพวกมึง เด็กแม่งทำพลาดไปหน่อยไม่งั้นงานไม่ด่วนขนาดนี้หรอก เออ มีไปต่อกันที่ไหนป่ะ ถ้ายังไงแวะไปสโมฯก่อนดิ มีขนมเลี้ยง”

“ขนม? กูเห็นมึงบอกมีขนมทีไร ไปมีแต่ขนมปี๊บที่ซื้อมาตุนตั้งแต่งานรับน้อง สัดขึ้นรายังวะ”

“อ้าว พูดอย่างนี้สโมฯกูก็เสียดิครับเทพต๊อบ ตั้งแต่งานรับน้องอะไร ตั้งแต่ซ้อมใหญ่รับปริญญาพี่บัณฑิตปีที่แล้วต่างหากเว้ย”

“ถุย!!”

ไม่ได้แค่ขึ้นราแล้วล่ะแม่ง สงสัยเพาะดอกขายได้เลย ผมเลิกสนใจกระบวนการแซวมหาปะลัยของไอ้เพื่อนร่วมรุ่น ชะโงกมองไปยังคนที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ เจ้าตัวไม่ได้เดินไวอะไรขนาดนั้นเลยทำให้เห็นแผ่นหลังเหงาๆของมันอยู่ไกลๆ ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตะโกนเรียกชื่อมันออกมา

“เรวะ!!” กลัวจะไม่ได้ยิน เลยตะเบ็งเสียงออกไปเต็มที่ ร่างโปร่งที่เดินด้วยจังหวะเรื่อยๆหยุดชะงัก ผินหน้ามาครึ่งซีก แต่ไม่หันมาทั้งตัวเหมือนแสดงอาการแบ่งรับแบ่งสู้อยู่กลายๆแบบกลัวอายว่าคนทักผิด

“...”

“ไปแดกขนมที่สโมฯมั้ย!!”

“...” มันยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเองราวกับต้องการยืนยันให้มั่นใจ

“เออมึงนั่นแหละ ไหนมึงบอกว่าหิวไง!!” จบประโยคเชิญชวน เสียงหึ่งๆรอบตัวของเพื่อนร่วมก๊วนแม่งดังขึ้นมาทำลายล้างประสาทกูทันที

“สัดเม่น”

“เอาแล้ว”

“ไอ้เม่นมันวร้ายยย”

มีแต่ไอ้แฮ็คกับแยมที่ไม่พูดอะไร ได้แต่หันไปมองปฏิกิริยาของร่างโปร่งนิ่ง ใช่ไอ้เรวะมันนิ่งเหมือนชั่งใจอะไรหลายๆอย่าง อย่างมากก็โดนปฏิเสธไม่เห็นจะมีอะไร แต่ทว่ามันกลับตะโกนใส่ผมกลับมาว่า...

“ถ้ามึงชวน กูก็ไป!!”







จะบอกว่าอึดอัดมั้ย ผมไม่รู้ว่าใครควรอึดอัดมากกว่ากัน ระหว่างเพื่อนผม หรือไอ้เรวะที่เดินอยู่ข้างกันมาตลอดทางไปสโมฯ

“กูถามมึงตรงๆได้มั้ย” ไอ้หัวเทาที่เดินเงียบมาตลอดทางเงยหน้ามาหาผมที่เอ่ยประโยคตัดความเงียบขึ้น

“ว่า?”

“เงินกูที่มึงเอาไปตอนนั้น มึงเอาไปทำอะไร”

“ทำไมถึงอยากรู้”

“ก็เงินตั้งหลายหมื่นคนบ้าอะไรจะใช้หมดภายในวันเดียว แถมยังแค่ไม่กี่นาทีที่กูทำหล่นไว้ด้วย ถ้ามึงบอกเอาไปซื้อกับข้าวกินกูจะไม่เชื่อ ข้าวในมหา’ลัยที่ไหนจานละหมื่น”

“กูซื้อน้ำแข็งใสกินด้วย”

“...”

“โอวัลตินภูเขาไฟปั่น โรยช็อคบอล”

“เออ...ยกมาให้หมดโรงอาหารเลยมั้ย”

“เม่น อย่ามองหน้ากูแบบนี้ กูไม่อยากโกหกมึง” สายตาสีน้ำตาลอ่อนหลุบลงต่ำ หน้ากูดูจริงจังมากเลยนะ จริงจังที่จะเค้นความจริงจากมึง

“ไม่ให้มองหน้ามึง แล้วให้กูหันไปมองแล้วพูดกับต้นไม้หรือไง” หันหัวไปรอบๆกวาดตาหาพอเห็นเป้าหมายก็รีบเดินรี่เข้าไปนั่งยองๆฟัดใส่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “ไงฮึ จะบอกได้รึยังว่าเอาไปทำไร” นี่แหนะ นี่แหนะ ปู้ยี่ปู้ยำขยำหัวสิ่งมีชีวิตตรงหน้าขนานใหญ่ จนกระทั่งเสียงใครคนนึงที่ไม่ใช่เรวะมันเสือกทักขึ้นมา

“เม่น มึง”

“...”

“คุยกับหมาทำไมวะ”

“...” อะไรคือการที่พอหันหัวไปกลับโดนไอ้สี่ตัวกับหนึ่งสายตาที่เดินจับกลุ่มด้วยกันมาทักเหมือนคนบ้าว่ากำลังคุยกับหมา ‘เม่น’ ที่อยู่แถวนั้น เพียงเพราะใจมันอยากด่าเปรียบเทียบไอ้เรวะกับหมาตรงหน้า

...ฮ่วย...


ผมกับเพื่อนๆเดินมาถึงสโมฯ ขนมปี๊บที่ฝันหากำลังเรียงหน้ารอพวกเราอยู่ ไม่ว่าจะขาไก่ โอโจ้ปลอม ขนมปังกรอบสับปะรด เวเฟอร์ เอบีซี มีมาหมด สรุปคือนี่กูต้องกินไอ้พวกนี้แทนข้าวเช้าจริงเหรอวะ

“เอ๊า ใครหิวจัดเลยคร้าบบบ ไม่ต้องเกรงใจเปิดได้ทุกปี๊บ” คำเชิญชวนไอ้แฮ็คก็โคตรรื่นรมย์ ว่าแต่มีใครบอกสักคำยังว่าพวกกูเกรงใจ เพื่อนร่วมรุ่นมันหันมาจับเรดาห์ที่หน้าผมแล้วกระตุ้นให้เดินไปหยิบ “หิวก็กินดิไอ้เม่น”

“ชวนแต่กู มึงหันไปดูไอ้สามตัวนู้น ให้พวกมันไปแดกกัน”

“ดูทรงแล้ว พวกมันไม่ได้ตั้งใจจะมากินหรอก”

“อ้าว แล้วมันมาทำไมกันวะ” คิดว่าอยากกินขนมปี๊บด้วยเลยตามมา

“อยากเสือกเรื่องมึงอ่ะดิ” จบคำไอ้แฮ็ค ผมหันขวับไปมองหน้าไอ้สามตัว แม่งหลบตากันแบบไม่รู้เลยจ้า พวกมึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่เปล่าวะ จะเอาข่าวกูไปขายให้เพจไหนมึงบอกมา

“อะแฮ่ม ใครอยากกินพิซซ่าบ้าง เดี๋ยวไอ้คีย์คนนี้เลี้ยงเอง” รู้เลยว่าไอ้พ่อบ้านมันพูดตัดขึ้นมาแก้เก้อ ถ่วงเวลาให้อยู่ตรงนี้นานขึ้น แต่อย่างน้อยผมก็คงจะได้ลาภปากจากเหตุการณ์นี้บ้าง

“กูๆๆ” ไอ้หงส์แม่งยกมือตอบสนองอย่างไม่ต้องสงสัยรองมาก็เป็นไอ้ต๊อบ

“กูด้วย”

“แยมขอฮาวาเอี้ยนนะคีย์”

“ได้เลยครับ จัดไป” ยกมือถือขึ้นมาเปิดประตูเดินออกไปสั่งข้างนอก ปล่อยให้สองตัวกับเมียมันเริ่มนั่งหานู่นแกะนี่เปิดขนมในปี๊บกินแก้ขัดกันไป ส่วนผมก็ลงไปขัดสมาธิกับพื้นเหลือบเห็นกล่องสีเงินที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยแท่งสีนวลหลากสี โอโจ้รสสตอเบอร์รี่โคตรคิกขุอาโนเนะอยู่ข้างกาย มองซ้ายมองขวาเห็นอีกคนที่ยังยืนแปลกแยกอยู่ตรงหน้าไม่เริ่มต้นทำอะไรเหมือนคนอื่นเขาเข้าก็ให้กวักมือเรียก

“มานี่ดิ” ว่าง่ายไม่เข้ากับใบหน้า ไอ้เรวะมันเดินเข้ามาก่อนหย่อนกายนั่งลงข้างผม “เอ๊า”

“อะไร”

“โอโจ้ไง ไม่เคยเห็นเหรอ” แกะจากปี๊บให้มันเสร็จสรรพ งานนี้ไม่กินมีเรื่องนะครับพี่น้อง สายตาเรวะมันมองแบบโคตรสงสัย แถมขมวดคิ้วใส่ผมเป็นการใหญ่

“ให้กู”

“หยิบแล้วยื่นให้มึงขนาดนี้คงให้ไก่กินมั้งเนี่ย”

“ให้กูจริง?”

“มึงฟังภาษาคนรู้เรื่องเปล่าวะ หรือว่าต้องใช้ภาษาไก่คุย กุ๊กๆๆๆ เคเอฟซี เท็กซัส บอนชอน ถ้าไม่กินกูจะกินแล้วนะเว้ย” สงสาร เห็นใจว่าหิว แต่เจอถามย้ำไม่หยุดแบบนี้ เห็นทีกูไม่ต้องห่วงแล้วมั้ง ชักกลับหวังจะยัดเข้าปากตนเอง แต่ร่างโปร่งเสือกโวยวายตามมาพร้อมพุ่งตัวทยานใส่ผม

“กินๆๆกูกิน”

หงับ!!

เต็มปากเต็มคำ...หมายถึงปลายข้างนึงที่มีมันส่วนปลายอีกข้างนั้นที่มีผม

คิดดูสิ ไอ้เรวะกระโดดเข้ามาในอ้อมอกผมเต็มรัก ส่วนผมที่โดนแรงกระทำจนหงายหลังไปนอนแอ้งแม้งในท่าขัดสมาธิ ....สภาพหลังจากนั้นมันน่าดูชมขนาดไหน

โป๊ก!!

“อุ้ยเชี่ย!!”

“แม่เจ้าโว๊ย”

กูตายตาหลับแล้วล่ะ ณ จุดๆนี้ เพราะหัวกูโขกกับปี๊บที่อยู่ข้างหลังแถมยังมีคนตัวขาวอีกหนึ่งนอนทับตัวเชื่อมกันด้วยสื่อหัวใจรักอย่างโอโจ้สีชมพูที่คาบคาปากกูกับมัน อีกทั้งสักขีพยานอีกสี่ฝ่าย

ผมปรือตาที่หยีจากอาการเจ็บหัว น้ำหนักตัวที่ทับลงมากะทันหันทำให้ขยับไม่ได้ พวกเราสองคนเลยจบที่การจ้องตากันอย่าง...นิ่งนาน

“ตอนที่เราจ้องตาเป็นมัน...พร้อมกับส่งสัญญาณว่าฉันชอบเธอ” เสียงเพลงประกอบราวกับนิยายรักน้ำเน่าถูกบรรเลงขึ้น

“สัดแฮ็ค มึงอย่าบิลด์ ปิดยูทูปมึงเลย” ปุ่มสเปสบาร์ของพีซีที่วางอยู่กลางห้องสโมฯคามือแม่งเลย ทีอย่างนี้เสือกไว ทีลงข่าวในกระดานเพจเสือกช้า อย่าให้กูด่า ผมจับต้นแขนไอ้แมวซนเห็นแก่กินดันตัวขึ้นนั่ง ส่งสายตาหงุดหงิดมองมัน

“ทำไมกูต้องซวยเพราะของกินตลอดเลยวะ” บ่นเบาๆ ส่วนไอ้เรวะก็รีบดันโอโจ้เข้าปากจนหมดพลางเคี้ยวหงุบหงับอย่างเร่งด่วน

“มึงหมายถึงเรื่องอะไร”

“ก็หมายถึง...” หน้ามันแม่งโคตรไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมเลยหยุดคำพูดเอาไว้ “เปล่า...ช่างมันเถอะ”

“สปาเกตตี้ขี้เมา?” เชี่ยทำไมทีอย่างนี้เสือกรู้ มันเกาท้ายทอยเก้อๆ จนผมต้องกลืนน้ำลายหนึ่งอึก อย่าบอกนะว่ามึงเขิน

“...”

“โทษทีว่ะ คราวนั้นแม่งจูบทางตรงเลย”

“เชี่ยเรวะมึงอย่าขยี้”

“กูไม่ได้กำลังซักผ้า กูจะขยี้ไปทำไม” ผมรีบผละจากมันลุกพรวดพราด ตั้งใจว่าจะเดินออกจากห้องจนสวนทางกับไอ้คีย์ที่กลับเข้ามา

“เชี่ยเม่นจะไปไหน ไม่รอกินพิซซ่าก่อนเหรอวะ”

“ไม่กินโว้ย!!” คราวที่แล้วก็คาปูชิโน่ สปาเกตตี้ โอโจ้ แล้วคราวนี้จะจบด้วยอะไรอีกล่ะ มอสซาเรลล่าที่ยืดมาจากพิซซ่าเปล่าวะสัด



อารมณ์เสีย มีแต่คนเขาจะเชียร์ให้เพื่อนได้เมียสวย แต่นี่กลับเชียร์ให้ได้กับเรวะซะงั้น ผมเดินเซโรงังจังไรออกมาจากห้อง ไปอาบน้ำอาบท่าให้สะอาดแล้วนอนโง่ๆอยู่ที่หอดีกว่าว่ะ

“ไอ้เม่น มึงจะไปไหน” เสียงเรียกตามมาด้านหลัง เจ้าของประเด็นที่ร่วมตกเป็นแพะรับบาปให้สมาคมขี้ชงเดินตามผมออกมา

“กลับหอ”

“ไปด้วยดิ”

“ถ้าอยากกินพิซซ่า มึงอยู่ต่อก็ได้ ไม่ต้องตามกูมาหรอก”

“อย่าทิ้งกู”

“ใครบอกว่ากูทิ้งวะ”

“เป็นคนชวน มึงก็หัดรับผิดชอบด้วยดิ”

“เฮ้ย นี่แค่ชวนมากินขนม...” ทำอย่างกับกูไปทำมึงท้อง อยากจะพูดต่อแต่โดนไอ้เรวะมันขัดขึ้นมาเสียก่อน

“กูไม่ถนัดอยู่กับคนแปลกหน้า”

“แปลกหน้า? แปลกหน้าอะไร พวกนั้นมันก็เพื่อนกู พวกมันสนิทกับคนง่ายจะตาย อยู่ๆไปเดี๋ยวมึงก็ชิน”

“แต่กูไม่ชิน...มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยมีเพื่อน”

“...” ผมมองหน้ามันที่นิ่งสนิท แต่กลับรู้สึกได้ถึงความหวั่นไหวบางอย่าง ต้องมีความกล้าขนาดไหนถึงจะบอกต่อหน้าคนอื่นว่าตัวเองไม่เคยมีเพื่อนได้

“แล้วไอ้บูม กับไอ้บอมล่ะ”

“ไอ้บูมมันเหมือนน้องแท้ๆ ส่วนไอ้บอม...กูไม่เคยนับว่ามันเป็นเพื่อน” ไม่เคยนับว่าเป็นเพื่อน? แล้วที่ไปแดกเบียร์ถังฟังดนตรีสดล่ะวะ สงสัยก็สงสัย แต่ใบหน้าตอนนี้ของไอ้เรวะมีแต่ผลักดันให้ไม่ไปซ้ายก็ขวา ทั้งที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายผมกลับยื่นมือไปตบไอ้หัวมอมแมมมันสองทีก่อนเอ่ยปาก

“เออ ก็ได้ กลับหอกัน”

ใครจะเป็นจะตายเพราะกลิ่นกายกูไม่สน แต่ที่แน่ๆ นี่คือจักรยานที่ผมปั่นมา เพราะฉะนั้นผมก็ต้องได้สิทธิ์ในการปั่นกลับ โดยมีเรวะเกาะท้ายดมกลิ่นหอมกำจายของอดีตคนเก็บขยะมันยาวไปจนถึงหอ พอมาจอดเทียบใต้ตึกพึ่งนึกสังวรณ์ว่าทำไมกูไม่พามันไปส่งที่ร้านรีแล็กไทม์แทนที่จะมาส่งใต้หอที่เปรียบเสมือนบ้านตูวะ งงใจ แต่ไหนๆก็มาแล้วเอาเถอะชวนมันออกไปหาอะไรกินอร่อยๆดีกว่านั่งกร่อยเหงาแดกอยู่คนเดียวละกัน

“ขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องกูก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน” เดินนำมาตรงทางเข้าหอซึ่งคิดว่าเรวะมันน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี บอกเลยช่วงนี้มาถี่ยิ่งกว่าไอ้สามเกลอเจอผีของผมซะอีก แต่พอก้าวไปได้แค่สามก้าวผมกลับรู้สึกไม่เห็นแววของใครอีกคน เลยหันกลับไปมองทางเก่า “อ้าว ยืนทำอะไรวะ มาดิ” กวักมือหยอยๆจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมขยับตัว ทั้งที่คิดว่าจะเดินขนานกันแต่มันวิ่งมาจับชายเสื้อผมเฉย

“หืม?” บอกเลยว่างง มองมือขาวสลับกับมองหน้าที่แสดงอาการเหมือนคนกินห่อหมกฮวกใส่พริกสี่สิบเม็ดเข้าไปก็ให้แปลกใจ

“เป็นบ้าอะไรของมึง”

“สัดเม่น มึงกำลังทำกูรู้สึกผิด” อ้าวชิท กูไปทำอะไรให้วะ

“ทางนี้น่าจะรู้สึกผิดมากกว่านะ” ให้มึงดมกลิ่นเต่ากูมาตลอดทาง

“มึงแม่งโคตรเป็นคนดีเลยว่ะ”

“เรวะ มึงมามุกไหน ถึงชมไปกูก็ไม่เลี้ยงชาบูหน้ามอมึงหรอกนะเว้ย” เดือนนี้กูช็อต แม่บอกว่าจะกลับเลยไม่ยัดเงินใส่ธนาคารให้ ต้องรอจนกว่าฟ้าฝนจะเป็นใจให้กูพบหน้าคุณอลิซ่าเป็นๆ

“กูต่างหากที่ต้องเป็นคนเลี้ยงมึง”

“เพื่ออะไรวะ?”

“ชดใช้เงินหลายหมื่นที่น้องกูเอาไปลงทะเบียนเรียน”

หา?

สุดตรงนี่แหละ แม่งเหมือนนั่งดูหนังแนวสืบสวนหาตัวฆาตกรแบบคิดจนหัวแตกยังไงก็คิดไม่ออกอยู่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง สุดท้ายมาตายตรงที่คนร้ายเอ่ยปากสารภาพเอง แล้วพระเอกอย่างกูจะมีไว้ทำไม? อ๋อลืมไปกูไม่ใช่โคนัน

“น้อง? มึงมีน้องด้วยเหรอ”

“...”

“แล้วทำไมถึงเอาเงินกูไปลงทะเบียนเรียน ของอย่างนี้มันต้องเตรียมมาล่วงหน้าแล้วเปล่าวะ”

“...”

“แล้วทำไมวันนั้นตอนกูวิ่งไป ถึงไม่เจอน้องมึง” คำถามในหัวผมถูกรัวคอมโบออกมาชุดใหญ่ ทำเอาไอ้เรวะมันยืนนิ่งมองตาใส กะพริบเปลือกตาปริบๆไปมา

“อุ๊บ...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” สักพักมันก็หลุดเสียงหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ออกมา เล่นเอากูนิ่งอึ้งตะลึงงันเลยสัด

“นี่กูถามมึงอยู่นะ” หัวเราะทำเผือกอะไร

“มึงกับกูยังมีเวลาคบหาดูใจกันอีกนาน ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ค่อยๆเรียนรู้กันไปนะ เม่น”







กูไม่ไล่มึงกลับบ้านก็บุญแล้ว คนเชี่ยไรวะบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอย่างว่า แต่หยอดกูได้สามเวลาเช้ากลางวันเย็นมึงเห็นกูเป็นขนมครกหรือยังไง พอขาก้าวไปในห้องเท่านั้นแหละ ผมก็...

“มึงคว้าผ้าขนหนู เสื้อผ้าแล้วไสหัวเข้าไปอาบน้ำเลยสัด”

“แล้วมึงไม่...”

“กูบอกให้ไป”

“อ้าวไอ้เม่นมึงไม่...”

“หรือต้องให้กูอาบด้วย”

“...!!” อาศัยจังหวะที่มันอึ้งแบบทึ่งว่าผีขนุนเข้าร่างกู ผมก็คว้าผ้าขนหนูที่อยู่ตรงราวใกล้ประตูกับเสื้อยืดกางเกงบอลมั่วๆมาปาใส่ ดันหัวมันเข้าไปในห้องน้ำ

“ล็อคประตู แล้วก็รีบอาบซะ”

ปัง!!


สักพักไอ้เรวะมันก็ออกมาในสภาพที่หัวคลุมผ้าขนหนูเหอหูเปียกปอน ผมที่ยืนแสตนด์บายพร้อมอยู่ตรงหน้าประตูเล่นเอาคนไม่รู้สะดุ้งโหยง มันยืนตาตั้งมองผมที่ยืนกอดอกกราดสายตาไปที่ใบหน้าขาว

“ช้าเชี่ยๆ สาบานว่าอาบน้ำ”

“มึงเป็นบ้าอะไรวะไอ้เม่น เฮ้ยเดี๋ยว ลากกูไปไหน” ได้ยินเสียงมันอุทานเมื่อผมจับลากมาที่เตียงเหวี่ยงให้ลงนั่ง “เชี่ยเม่น! มึงจะทำไรวะ”

“จะทำอะไร มึงก็รู้อยู่แก่ใจ”

“เหี้ย!! บอกแล้วไงว่ากูไม่ โอ๊ยๆๆ” จะห้ามกูก็ไม่ทันแล้ว ผมตะบี้ตะบันขยี้ผ้าขนหนูเข้ากับหัวที่เปียกแฉะ สระผมอย่างนี้เสื้อมีหวังเปียกจนเหม็นอับพอดี ยีจนไอ้หัวสีแอชเกรย์ของมันฟูฟ่อง

“เป่าหัวให้แห้ง ไดร์อยู่ตรงนั้น นั่งรอกูแป๊บ”

จบประโยคหายตัววับเข้าห้องน้ำ รู้ตัวเลย กูโคตรประหยัดคำพูด ในที่สุดกลยุทธ์ที่ผมหยิบมาใช้ก็คือการพยายามไม่ไปต่อปากต่อคำกับเรวะ แล้วมันก็เหมือนจะได้ผล แต่ไอ้เม่นคนใจดีก็จะมีลุคออกไปในเชิงที่...เกรี้ยวกราด...นิดนิด

ผมคิดอะไรหลายอย่างเรื่อยเปื่อยระหว่างอาบน้ำ จัดการเอาคำพูดของเรวะมาปะติดปะต่อจนเหมือนจะได้จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญออกมา แต่กว่าจะได้ครบส่วนก็เล่นเอาขี้ไคลแทบจะกลายเป็นผุยผง ตัวเปื่อยจนหนังเกือบหลุดติดออกมา เพราะเพลินกับกระแสความคิดสรตะของตัวเองที่ว่า

...น้องไอ้เรวะก็คือไอ้บูม...

พอเปิดประตูออกมาในห้องกลับเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงการทำงานของไดร์เป่าผม กูคงจะอาบน้ำนานไปจริงๆ เพราะไอ้เรวะมันนอนแน่นิ่งหลับปุ๋ยไปบนเตียงผมแล้ว

“หัวเปียกเปล่าวะ หมอนกูขึ้นราหมด”

เดินไปหย่อนตัวลงนั่งข้างเตียง พลางเอื้อมมือไปจับผมสีแอชเกรย์ ความชื้นหายไปหมดแล้วเหลือไว้เพียงความละมุนนุ่มมือราวกับขนแมวที่ให้ความรู้สึกดียามสัมผัส ผมมองใบหน้าคนหลับลึกที่ปล่อยลมหายใจสม่ำเสมอออกมา สงสัยคงจะเพลียสะสมนับตั้งแต่วันที่แพ้คาเฟอีนล่ะมั้ง

“มึงเป็นคนทำให้ชีวิตกูปั่นป่วนฉิบหายเลย”


...TBC...

++++++++++++++++



มาตามดูกันต่อว่าเม่นจะได้ตังค์คืนมั้ย โปรดติดตามชมตอนต่อไปอัยอัยอัย

ปอลิง ที่อัพถี่เพราะพี่มีสต็อก ว่ะฮ่ะฮ่ะ(พอละ เดี๋ยวหาว่าคนเขียนบ้า)
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 11 :: ฝันซ้อนฝัน [5/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 05-03-2019 17:05:51
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 11 :: ฝันซ้อนฝัน


“....อ่า...”


พรึ่บ!!

นั่งกอดเข่าเล่นคอมอยู่เพลินๆตรงโต๊ะหนังสือ จู่ๆเสียงแว่วแผ่วเบาก็ดังลอยเข้าหู ผมแทบจะหันหัวไปในจังหวะเดียวกับที่มีความเคลื่อนไหวบนเตียง หรือว่าเมื่อกี้ตาฝาด แต่รู้สึกได้ถึงสัญญาณการขยับตัวของใครบางคนซึ่งยึดที่นอนตนเองไป นั่งนิ่งหายใจสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ แต่ร่างตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับหรือส่งเสียงอะไรออกมา

...หลอนๆว่ะ...

ไม่แปลกหรอกที่จะรู้สึกอย่างนี้บ้างยามอยู่ห้อง ใช่ว่าคนไร้รูมเมทอย่างผมจะชินกับการอยู่คนเดียวโดยไม่อ่อนไหวกับเสียงเล็กน้อยที่ดังขึ้น แล้วยิ่งในสภาวะห้องเงียบอย่างนี้ด้วยแล้วล่ะก็...ยิ่งอาการหนัก ปกติเลยมักจะเสียบหูฟังไม่ก็เปิดเพลงเสียงดังๆกล่อมเกลาจิตใจ หากวันนี้เงื่อนไขทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยนไปเพราะมีคนมาเยี่ยมเยียนถึงห้อง ไอ้เรวะที่นอนหลับเป็นตายมาได้สี่สิบห้านาทีแล้ว...

เห็นว่าไม่มีท่าทีอะไรผิดปกติเลยหันกลับมานั่งเปิดเว็บเลื่อนดูตารางกิจกรรมถัดไปต่อ แต่ทว่า...

“..อำ.....ม”

พรึ่บ!! ตอนนี้ใจกูเริ่มเต้นโครมครามตามรอบของเสียงครางอือไม่ได้ศัพท์ที่แว่วเข้าหูแล้ว หรือว่าจะมีพลังงานบางอย่างในห้องวะแม่ง...เม่น ยานแม่ รู้สึกได้...

ผมค่อยๆลุก ย่องไปตามทิศที่คิดว่าเป็นต้นตอของเสียง จนกระทั่งมาจนถึงขอบเตียงที่มีร่างหนึ่งนอนไหลตายอยู่

จังหวะหายใจหนึ่งสูดสี่วิฯ โคตรเสถียรอย่างนี้ไม่น่าจะเวียนละเมอมาเพ้อสามสี่พยางค์ให้ได้ยินแน่ สุดแท้แต่มันจะแกล้งผมหวังให้เป็นลมตายคาหอ คิดได้เลยจัดการดัดหลังด้วยการงอนิ้วไปอังใต้จมูกให้ร่างข้างใต้สูดหายใจติดขัดเล่น

“อื้อ...” แกล้งนิดๆไม่คิดว่าจะตื่น ร่างโปร่งปรือตาขึ้นมาภายใต้ม่านบังตาสีแอชเกรย์ ท่าทีเหมือนคนเมายาหยอดตาสูตรเย็นเพราะเล่นยู่หัวคิ้วซะจนยับ รู้เลยว่าพยายามปรับสายตาให้เข้ากับภาพตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ มันยกมือขึ้นมาอย่างไวจับแขนผมไว้กะทันหัน ไม่ทันจะหลบเลี่ยงร่างทั้งร่างก็โดนยึดไว้กับเตียงเต็มแรง

“แม่?...”

“ไม่ใช่แม่ กูเม่น”

“เม่น?”

“มึงฝันเห็นอะไรวะ”

พรึ่บ!!

เสียงนี้ไม่ใช่ผมที่หันหัวแต่เป็นเจ้าตัวที่ลืมตาโพลงมองหน้าผมด้วยความตื่นตกใจ สายตาหวั่นไหวจ้องสบกลับ ริมฝีปากบางขยับอย่างแผ่วเบา

“กู...เปล่า”

“นี่ใช่มั้ยฝันร้ายที่มึงว่า”

“...” สายตามันยังคงมีแววสับสนหลุกหลิกไปมา

“มึงฝันว่า...”

“ฝันว่าตื่นมาเจอหน้ามึงเนี่ยแหละ เม่น”

สัด...อารมณ์จะเค้นคอกูหมดหดกลับเข้าอู่ไปในบัดดล...

“กวนตีนนะมึง เฉไฉเก่งเอาเรื่อง” สะบัดมือย้ายตูดลงนั่งบนเตียง ส่วนไอ้เรวะก็ลุกขึ้นมาในสภาพหัวเหอโคตรรุงรังเป็ดห่านมากันทั้งเล้า แถมยังเกาท้ายทอยแสดงอาการมึนสัดรัสเซีย นิ่งเงียบไปพักใหญ่

“ตื่นยังวะ หน้าโคตรเมาขี้ตา”

“ยืมไหล่หน่อย”

“หา?”

“กูมึน ยืมไหล่มึงหน่อย”

“มึงมึนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับไหล่...” มันไม่สนใจที่ผมแย้ง แถมยังโก่งตัวเอนหัวพุ่งมาตรงไหล่ผมเต็มที่ ถ้าจะบังคับกันอย่างนี้ทีหลังมึงไม่ต้องขอกูนะ มึงทำไปเลย

“...”

“...”

“เฮ้ย” ผมกระตุกไหล่

“...”

“อย่าบอกนะว่ามึงหลับ” บนไหล่กูเนี่ยนะ หลับไม่ดูสถานที่เกินไปแล้ว คิดแก้เผ็ดไอ้เด็กขี้เซาด้วยการขยับไหล่ดึ๊กดั๊กไปมาซ้ายขวาจนหน้าสั่น จนกระทั่งมันครางเสียงหงุดหงิดออกมา แต่ยังคงเอาหน้าซบไหล่ไว้ไม่ห่าง

“เม่น” โหแม่งเกาะหนึบเป็นตุ๊กแก แบบนี้เห็นทีแผ่นดินไหวสิบริกเตอร์ก็ยังไม่เผลอเอาหัวออกห่างจากไหล่แน่ ผมเลยเพิ่มแรงขั้นสุดลงไป จนมันทนไม่ไหวชักหน้าขมวดคิ้วเป็นโบว์ขึ้นมามอง แถมประคองต้นแขนผมไว้มั่น บีบบังคับไม่ให้สั่นอีกต่อไป “ทำเชี่ยอะไรวะ”

“เลิกนอนได้ยัง เดี๋ยวก็ฝันร้ายเห็นหน้ากูอีกหรอก”

“ถึงมึงจะโผล่มาในฝันมึงก็เป็นฝันที่ดีกว่าฝันร้ายในฝันกู” ซ้อนยิ่งกว่าสายโทรศัพท์ ซ้อนยิ่งกว่าจักรยาน ก็ประโยคที่ไอ้เรวะมันพูดมาเนี่ยแหละ สรุปว่าดีหรือเลววะนั่น

“เมื่อกี้มึงบอกว่าฝันร้าย มึงเจอกูในฝันอย่างนี้ก็แปลว่ากูเป็นฝันร้ายของมึงดิวะ”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”

“แล้วมันหมายความว่าไง ก็ในเมื่อมึงฝันร้าย แล้วกูเสือกไปโผล่ในฝัน แต่ดันไม่ได้เป็นฝันร้ายของมึงเนี่ยนะ”

“มึงเป็นฝันดีในฝันร้ายของกู”

“นั่นไงมึงบอกว่าฝันร้าย” ยกมือชี้นิ้วเข้าที่ใบหน้าขาว มันทำท่าเหมือนรำคาญแล้วปัดมือผมออก

“แล้วไงวะ”

“งั้นต่อให้กูเป็นฝันดี แต่มึงฝันร้าย กูก็เป็นฝันร้ายของมึงอยู่วันยังค่ำดิวะ”

“อย่าวนกลับมาเรื่องเก่าได้มั้ยเม่น”

“ฟังยังไงกูก็เป็นฝันร้ายของมึง แล้วจะให้กูเชื่อได้ไงว่ากูเป็นฝันดี”

“แต่มึงไม่ใช่ฝันร้ายของกู”

“ถ้ากูไม่ใช่ฝันร้ายของมึงแล้วมึงฝันอะไร”

“...”

“ฝันที่มึงบอกว่ากูโผล่เข้าไป กูก็ควรมีสิทธิ์รับรู้เหมือนกันว่ามึงฝันอะไรด้วยดิวะ” ล่วงล้ำอธิปไตยความฝันกันมันซึ่งๆหน้า ผมมองตาสีน้ำตาลอ่อนที่หมดอาการง่วงเหงาหาวนอนไปนานแล้ว เรวะจ้องสบดวงตาผมไม่หลบราวกับชั่งใจว่าควรจะเอ่ยคำอะไรออกมาดี

“มึงเป็นคนเข้าไปมึงก็ต้องจำได้เองดิวะ”

“กูเป็นอัลไซเมอร์”

“...”

“ตั้งแต่มาเจอมึง”

“...”

“มึงฝันเห็นอะไร มึงบอกกูมา อย่าให้กูต้องเกรี้ยวกราดไปมากกว่านี้เลย” ร่างตรงหน้ากลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบากยากเย็น แววตาสับสนหาจุดลงไม่ได้เลยได้แต่มองไปอย่างไร้ทิศทาง

“กูฝันเห็นสมัยตอนกูเด็กๆ”

“เด็กๆ หน้ามึงหลอนถึงขั้นฝันร้ายเลยเหรอวะ” อ้าวหาจุดตกได้แล้วเหรอวะ ตวัดสายตามามองหน้ากูเขม็งเลย

“ถ้ามึงฝัน มึงจะฝันเห็นหน้าตัวเองมั้ยถามจริง”

“เออ ถูกของมึง แล้วไงต่อ”

เดดแอร์กลายเป็นเรื่องปกติไปเลยสำหรับบทสนทนาช่วงนี้ ผมกลั้นใจรอคนที่นิ่งเงียบไปเอ่ยประโยคถัดมา

“ฝันถึง...เด็กคนนึงที่โดนไล่ออกจากบ้าน ฝันถึง...เด็กคนนึงที่เกิดมาไม่เคยมีใครต้องการ” เรวะยิ้ม แต่ไม่ได้ยิ้มให้ผม ปลายสายตาที่เหม่อมองไปเหมือนกำลังยิ้มขื่นให้กับใครอีกคนในความฝัน

“กูหวังว่าเด็กคนนั้นคงไม่ใช่มึง”

“งั้นมึงคงผิดหวังแล้วล่ะ” ร่างโปร่งขยับมาสบตาผม มือข้างหนึ่งของมันขยับมาตีแขนผมเบาๆ ส่วนอีกข้างก็ยันเตียงยกตัวขึ้นคุกเข่าเหมือนจะลุกหนีหายไป จนผมต้องเอื้อมจับข้อมือมันไว้กะทันหัน

“มึงจะไปไหน” สีหน้าโคตรเหมือนผู้ร้ายกำลังหนีการจับกุมของตำรวจ มันมองกลับมาด้วยแววตาประหลาดใจราวกับไม่คิดว่าคนอย่างผมจะดื้อด้านรั้งไว้อีก

“กูว่ามึงกลับไปนั่งเล่นเน็ตของมึงต่อเถอะ ฟังไปก็ไม่สนุกหรอก”

“หนีเหรอวะ”

“ใครหนี”

“มองตามึงก็รู้ ว่ามึงจะหนีไปร้องไห้ในห้องน้ำ”

“อย่างกูเนี่ยนะจะหนีไปร้องไห้ในห้องน้ำ ประสาทแล้วเม่น”

“แล้วไอ้ที่เห็นรื้นๆอยู่ขอบตามึงเนี่ย ประสาทกูหลอนมากเลยเนอะ หลอนทั้งตา หลอนทั้งสัมผัส” นิ้วโป้งที่ยกไปแตะขอบตาภายใต้ผมหน้าแสนยุ่งเหยิงของมันเปียกอยู่ชัดๆ ไอ้เรวะเหมือนโดนจับได้ว่าทำผิดนิ่งอึ้งอ้าปากค้างไปแล้ว

“มึงอย่าบิลด์กู”

“อย่ามาหาว่ากูบิลด์ ถ้ามึงไม่ได้จะไปร้องไห้”

“ฮึก...ไอ้เหี้ย” อูย เต็มๆหน้า นี่กูไม่น่าเข้าไปขวางมึงเลยใช่มั้ย หน้านิ่งเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเหยเก ผิวขาวนวลปรากฎรื้นแดงจางๆขึ้นตามปลายจมูกและขอบตา

“กั๊กไว้ทำไมวะ”

“...”

“ถ้าอยากระบาย ก็ปล่อยออกมาเลย” จากรอยน้ำเปลี่ยนเป็นหยาดหยดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาราวกับทำนบแตก ผมแทบจะรั้งตัวมันมาซบไหล่เกือบไม่ทัน

“อย่าทำที่นอนกูเปื้อน”

“สัดเม่น...ฮึก...กูร้องไห้...ยังเสือก ฮึก มาห่วงที่นอน”

“ไม่ห่วงที่นอนแล้วให้ห่วงใคร ให้ห่วงมึงหรือไง”

“ไม่ต้องห่วงก็ได้ ฮึก กูมันก็แค่...เด็ก คนนึงที่โดนทิ้งไม่มีค่าพอ จะให้ใครมาเป็นห่วงหรอก”

“ขี้งอนว่ะ แค่นี้กูก็ให้มึงมากพอแล้วนะ จะเอาเพิ่มอีกกูได้เป็นหลังคาแน่”

“หลังคาบ้าอะไรของมึงวะ” มันดันตัวออกมามองหน้าผม หน้าตาหัวเหอแม่งแทบดูไม่ได้ เปียกเลอะเทอะไปหมด โดยเฉพาะดวงตาที่แดงก่ำอย่างกับคนอดนอนมาสามวัน

“หลังคาห้าห่วง หรือจะเอาหกห่วง เจ็ดห่วง มึงอยากเพิ่มก็เพิ่มได้”

“ฮึก....เกลียดมุกมึง” อ้าวเฮ้ย ร้องไห้หนักกว่าเก่า หรือว่ามุกเรามันทำร้ายนายขนาดนั้นเลยเหรอวะ หูยยย

“ถามจริงเถอะ มึงโดนใครทิ้งวะ ทุกวันนี้ไอ้บูมก็ตามตูดมึงต้อยๆ ส่วนวันก่อนก็มีเพื่อนดื่มเหล้าอย่างไอ้บอ...”

“แม่กูเอง”

“...!!”

“คนที่พยายามไล่กูให้ออกไปจากชีวิต คนที่เอาแต่พร่ำบ่นทุกวันว่ากูไม่น่าเกิดมา คนที่ทำได้แม้กระทั่งลงมือกับลูกตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายหายไป ”

“เรวะ...มึงละเมออะไรรึเปล่า”

“ถ้ากูละเมอมันคงไม่มีรอยแผลเป็นข้างเอวกู แล้วถ้ากูทำได้ กูก็อยากจะละเมอแล้วไม่ต้องตื่นมาอีก”

“...” ผมหมดคำพูด ได้แต่นั่งนิ่งมองแววตาไร้สิ้นซึ่งความรู้สึกของคนตรงหน้า ถ้าสิ่งที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง มันคงทำให้ผมช็อกน่าดู คนอย่างแม่นิที่แลเป็นห่วงเป็นใยลูกชายตัวเองอย่างกับอะไร ท่าทีในวันที่เจอกันครั้งแรก อาการกระวีกระวาดยามเมื่อได้รู้ว่าลูกชายตนเองบาดเจ็บ มันดูไม่หลอกลวงเลยสักนิด ขัดกับคำพูดและการกระทำของเรวะที่ดูห่างเหินและเกรงใจกับผู้เป็นแม่อย่างประหลาด ราวกับว่าคนทั้งคู่...ไม่ใช่แม่ลูกกันจริงๆ

“ขอดูแผลที่เอวมึงหน่อย” เรวะไม่ใช่คนเลวในสายตาผม แต่ก็ไม่ใช่คนที่ควรจะเชื่อในสิ่งที่พูดตั้งแต่ครั้งแรก ผมได้ยินข่าวลือของเจ้าตัวมามาก มากพอที่จะขาดความเชื่อใจกันและกัน ถ้าหากยังไม่ได้คบกันมานานจริง

จบคำขอร้องจากผม อีกฝ่ายจึงขยับตัวช้าๆ คุกเข่าหันแผ่นหลังเข้าหา พลางวาดมืออันสั่นเทาจับผืนผ้าที่เอวข้างซ้าย ค่อยๆกำชายเสื้อยืดขึ้นอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเลิกสูงขึ้นมาพอให้เห็นรอยแผลเป็นทางยาวบนเอวคอดขาว รอยนั้นไม่ลึก แต่ไม่จางหาย และยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกอีกฝ่ายนิ่งนาน

“แม่ทำอะไรมึง”

“เอาไม้แขวนเสื้อตีแล้วพลาด เหล็กไส้ในยื่นออกมาเกี่ยวโดนเอว”

“...”

“เจ็บมั้ย” มือผมยื่นไปสัมผัสแผลเป็นนั้นอย่างแผ่วเบา ร่างตรงหน้ามีอาการสะดุ้งเล็กน้อย ปลายมือของเรวะกำชายเสื้อแน่นขึ้นจนเหมือนจะจิกเล็บเข้าเนื้อตนเอง

“ถ้าไม่เจ็บก็โกหกแล้ว เด็กห้าขวบนะมึงโดนไม้แขวนเสื้อแทงซะทะลุ”

“แล้วทำไมแม่นิต้องตีมึงด้วยวะ”

“เพราะกูไม่ได้เกิดมาจากความตั้งใจไง” จบประโยคเรวะปล่อยชายเสื้อลงแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง เจ้าตัวนั่งลงขัดสมาธิเหมือนกับท่าเดิมที่เคยซบไหล่ผมเมื่อก่อนหน้า

“...”

“กูเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อทิ้งแม่กูไป...กูไม่ได้เป็นเด็กที่ใครๆต้องการ”

“แต่ตอนนี้ก็เห็นแม่นิดีกับมึง...”

“กูไม่เชื่อ กูไม่สามารถทำให้ตัวเองเชื่อได้อย่างสนิทใจว่า แม่กูไม่ได้คิดอะไรกับกูอีก ตราบใดที่พ่อกูยังไม่กลับมา กูก็ยังคงเป็นฝันร้ายสำหรับเขา เป็นลูกที่ไม่เคยมีใครต้องการ แล้วกูก็ยังจะต้องฝันร้ายเห็นฉากซ้ำๆที่ถูกไล่ตีให้ออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา อยู่อย่างคนไร้ค่าไปจนวันตาย”

แผลไม่รุนแรงพอที่จะทำให้ตาย แต่ก็ไม่เลือนหายไปจากชีวิต และยังคงเหมือนมีดที่ปักมิดด้ามลงไปที่หัวใจดวงน้อยนั้นซ้ำๆตลอดกาล ผมไม่รู้หรอกว่าอดีตเจ้าตัวเคยเจออะไร ชีวิตที่ผ่านมาทรมานขนาดไหน แต่ตอนนี้ถ้าให้ผมทำได้อย่างนึง ผมก็จะ...

“เรวะ”

“...” สายตาสีน้ำตาลอ่อนมองสบกลับมา

“ต่อให้มึงเป็นฝันร้ายของใคร แล้วต่อให้มึงฝันร้ายเรื่องในอดีตมามากขนาดไหน แต่กูอยากให้มึงจำไว้ว่าการที่ได้เจอมึงไม่ได้เป็นฝันร้ายสำหรับกูเลย”




ผมไม่ใช่พนักงานเงินเดือน ไม่ได้ซื้อลอตเตอรี่ แต่ตอนนี้ต้องมาง่วนกับการทำเมนูหลังหวยออกควบก่อนสิ้นเดือน ร่วมกับคนไม่มีงานประจำอย่างเรวะ ทั้งที่ไม่ได้ต้องการประหยัดอะไรเลยแท้ๆ แต่เป็นเพราะสภาพคนตรงหน้ามันเละจนเกินเยียวยาเนี่ยดิ ไหนจะตาที่บวมเป่งเพราะร้องไห้มาเต็มสตรีม จมูกที่แดงก่ำจนกูนึกว่าไปทำสักสี ตัวพี่เลยต้องแลกกับการที่จะได้ไปหาร้านอาหารดีดีกินเพลินเติมไม่อั้นสนองอาการท้องว่างมาทั้งวัน มาเป็นนั่งหักบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โยนเข้าหม้อต้มจนน้ำเดือดแล้วก็โยนเครื่องปรุง ไข่ ไส้กรอก แฮมทุกอย่างที่มีในตู้เย็น ณ ตอนนี้มันลงไป

คงมีคนสงสัยว่าหลังจากนั้นเป็นยังไงน่ะเหรอ พอจบประโยคนั่นไอ้เรวะมันก็เอาแต่จับมือผมแน่นก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงมาสัมผัสกับมือพวกเราทั้งสอง จนกระทั่งเสียงท้องอีกฝ่ายร้องขึ้นมาเนี่ยแหละ...คอมเมดี้สัด...จุดจบผมเลยต้องมาอยู่ตรงนี้ไง

“มึงทำอะไรน่ะ” เรวะที่ถือผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นประคบดวงตาร้องทักขึ้น หลังจากเจ้าตัวเดินเข้ามาใกล้

“มาม่าไง แหกตาดูก็น่าจะรู้”

“เปล่า กูหมายถึงมึงกำลังจะทำอะไร” มันชี้ไปที่มือข้างขวาของผมที่กำผักสดไว้กับมือ

“ใส่ผัก”

“กูไม่กินกะหล่ำ”

“ก็เรื่องของมึงดิ”

“ใส่ไปกูก็กินไม่ได้ดิวะ”

“มีอะไรให้แดกก็แดกๆไปเถอะน่า อย่างนี้ไงมึงถึงไม่โตสักที”

“กูก็ตัวเท่ามึง ไม่โตตรงไหนวะ”

“เท่ากัน? มึงเตี้ยกว่ากูเกือบสิบเซนต์ เอวก็เล็กกว่ากูตั้งครึ่งคืบ แล้วอย่างไหนเรียกว่าเท่ากันวะ” ไม่สน กูจะกินต้องได้กิน คว้ากะหล่ำขึ้นมาอีกรอบแต่ยังไม่ทันจะเขวี้ยงเข้าไปก็โดนคนไซส์เล็ก(กว่า)เข้ามาจับแขนไว้อย่างแรง “เชี่ยทำไรวะ”

“กูไม่แดกกะหล่ำ”

“ต้มแป๊บๆเดี๋ยวก็ละลายไปกับน้ำแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า”

“มันจะหายไปได้ไงเล่า เนี่ยยังเป็นเส้นๆคามือมึงอยู่เลย”

“ให้กูสับละเอียดเลยมั้ย”

“ก็บอกว่าไม่กินไง”

“ลองแดกดูแล้วมึงจะรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด”

เถียงกันอยู่อย่างนั้น ยักแย่ยักยันดึงกันไปมาจนมาม่ากูจะเดือดจนค่อนไปทางอืดแล้ว ขืนไม่ทำอะไรมีหวังผมได้กินเส้นใหญ่แทน เลยจัดการงัดท่าไม้ตายที่เคยใช้แกล้งเพื่อนในกลุ่มมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ยังได้ผลออกมาใช้...

หมับ!!

“เชี่ย!!!” เรวะร้องเสียงหลงถอยกรูด จนเสียหลักไปนั่งกองกับพื้น ดีที่ลงเบาไม่งั้นกลัวว่าต้องไปนั่งเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลสาเหตุเนื่องมาจากอาการก้นกบร้าว ผมอาศัยจังหวะที่มันเผลอ เขวี้ยงกะหล่ำลงไปในหม้อเสร็จยกทัพพีขึ้นคนจนสมใจอยากจึงหันหน้ากลับมาทางเก่า

“เรวะ จะนั่งอยู่นั้นอีกนานมั้ย แล้วมึงจะหน้าแดงทำเพื่อ”

“สัด!! โดนทำแบบนี้ ไม่หน้าแดงก็บ้าแล้ว”

“หรือกูทำแรงไป”

“มันใช่ประเด็นมั้ยวะ!!”

“แล้วประเด็นคืออะไรวะ ก็เห็นมึงนั่งกุมตรงนั้นมาตั้งนาน”

“ประเด็นคือมึงจะจับไข่กูทำเพื่ออะไรวะ!!”

“กลุ่มกูมีประเพณีอย่างนี้ ใครดื้อด้านโดนจับไข่ แล้วมึงก็กำลังทำตัวดื้อด้าน เข้าใจ๋?”

“ไม่เข้าใจเว้ย!!” มันหอบหน้าแดงหน้าดำเถียงผมจนเหมือนจะหมดพลังกาย

“มึงยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้เหรอวะ”

“กูจะไปชินได้ไง!!”

“อ้าวก็ไหนข่าวลือบอกว่ามึงเป็นบะ...” ฉิบหาย...ผมเผลอพลั้งปาก พอสนิทกับมันมากขึ้นก็เริ่มจะปล่อยตัวตามใจ ไม่กลั่นกรองคำพูดออกมาให้ดีเสียก่อน

“นั่นมันเป็นข่าวลือที่ไอ้บอมมันปล่อยทั้งนั้น ไม่มีความจริงสักอย่าง กูไม่ได้เป็นไบ ไม่ได้ชอบผู้ชาย ไม่เคยมีแฟนเว้ย” ยิงไปหนึ่งประโยคเล่นได้คอมโบคำตอบมาถึงสาม แต่ยังติดอยู่ประเด็นนึงตรงที่...

“คนปล่อยข่าวคือไอ้บอม? มันเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ มันจะปล่อยไปเพื่ออะไรวะ” มึงเป็นนักแสดงนำเรื่องเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหรือไง

“กูถึงไม่เคยนับว่ามันเป็นเพื่อนไง”


Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr


เสียงโทรศัพท์ขัดจังหวะได้อย่างแม่นเหมาะ ไม่ทันได้ตั้งคำถามต่อ ก็ต้องหันไปมองกับสิ่งที่ร้องแผดลั่นดังไม่หยุดหย่อน ณ เบื้องหลัง

“เสียงโทรศัพท์กู เรวะมึงเทใส่ชามแล้วแดกไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอ” พูดทิ้งท้ายก่อนปิดเตาวิ่งเข้าหาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่นอนดิ้นครืดคราดอยู่บนโต๊ะข้างเตียง หน้าจอส่องแสงสว่างวาบปรากฏชื่อเบอร์ของผู้เป็นมารดาแบบโคตรเฟี้ยว ALISA BLACKLABEL นึกสงสารศิลปินเกาหลีที่มีชื่อคล้ายนี้แบบจับจิตจับใจเลยว่ะ แต่แม่กรูสายไม่หลับไม่เอาไม่เมาไม่เลิกไง เลยทำให้รู้สึกแต่ต่างอยู่โข หลังจากปล่อยให้โทรศัพท์ดังมาประมาณสี่ห้าครั้งผมก็กดปุ่มรับสาย ป่านนี้คุณอลิษาคงหงุดหงิดโวยวายนึกน้อยใจอยู่กลายๆแล้วมั้ง ว่าทำไมลูกชายเธอยังไม่รับโทรศัพท์

“ไงครับคุณอลิษา” ภาพของแม่ที่แต่งหน้าจัดเต็มในลุคโฉบเฉี่ยวปรากฏอีกฟากพร้อมกับฉากพื้นหลังที่ไม่คุ้นเคย

[รับช้านะเรา วันเสาร์แท้ๆเลย]

“วันเสาร์ต่างกับวันธรรมดาตรงไหน ทำไมผมต้องรับโทรศัพท์เร็วด้วยล่ะครับ”

[ก็วันเสาร์น่ะ มันวันหยุด ถ้าเราไม่ขลุกอยู่แต่ในห้องซ้อมดนตรีเล่นกีตาร์ ก็ต้องไปไหนมาไหนกับแฟนใช่มั้ยล่ะ แต่นี่เราก็เลิกกับพลอยแล้ว...มันน่าสงสัย]

“สงสัยอะไรของแม่น่ะ” ผมขำให้กับท่าทีขมวดคิ้วนึกทำตัวราวกับตนเองเป็นนักสืบของแม่

[สงสัยว่าลูกชายแม่จะมีคนคบหาดูใจคนใหม่ซะแล้วน่ะสิ]

“เฮ้ย ไม่มี เมื่อกี้ผมแค่กำลังต้มมาม่าอยู่” นึกถึงมาม่าผมก็รีบหันไปดูท่าทีด้านหลัง ไอ้เรวะมันทำท่าเหมือนตักแบ่งลงชามแต่สิ่งที่ตามมากับตะเกียบกลับเป็น... “เชี่ยเรวะ อย่าเขี่ยกะหล่ำกูออกนะ” มันสะดุ้งโหยงเงยหน้าขึ้นมามอง “คิดว่าจะแอบกูทำได้เหรอ อย่าหวัง” ชี้หน้าคาดโทษมันจ้องจับพฤติกรรมอยู่พักใหญ่ แต่ทว่า...

[แล้วคิดว่าปิดแม่ได้เหรอ อย่าหวัง]

หา? หันขวับมาตามเสียงแทบไม่ทัน ใช่ แม่ผมยังอยู่ในสายแถมสอดส่ายประหนึ่งว่าอยากรู้เรื่องราวเต็มประดา

[เบนกล้องไปข้างหลังอีกนิดสิจ๊ะลูกชาย]

“แล้วทำไมผมต้องทำด้วยอ่ะ”

[แหมหนูเรมมาใช่มั้ย ทำไมไม่บอกแม่ ปล่อยให้เดาส่งไปเรื่อยเลยว่าลูกชายแม่มีลับลมคมในอะไร ที่แท้ก็มีกะใจจะทำมื้อเที่ยงกินกับแฟนกันสองคน แล้วทำไมลูกชายแม่เกรี้ยวกราดกับแฟนอย่างนี้เนี่ย กลับไปต้องสอนมารยาทให้หนักซะแล้ว] แหมไอ้ที่ทำอยู่มันก็เดาส่งไม่ใช่เหรอ

“แฟนเฟินที่ไหนไม่มีทั้งนั้นแหละแม่ แล้วถ้าเป็นแฟนผมอ่ะนะผมคงใจดีกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า ไม่มาทำตัวเกรี้ยวกราดใส่อย่างนี้หรอก” กับพลอยก็ไม่เคย...หมายถึงไม่เคยคบกันนานขนาดเผยธาตุแท้ความเป็นเม่นคนคูลๆใส่กันได้หรอก แต่กับคนนี้บอกเลยว่ากูจะ...

[งั้นคนนี้ใคร...]

ม๊วฟฟฟฟฟฟ เสียงดูดด๊วบข้างแก้มดังจนแก้วหูสั่น อะไรนิ่มๆมายันสันโหนกของกูวะ ภาพที่ฉายขึ้นจอวีดิโอคอลเห็นเพียงฮู้ดสีเทาและเงาลางๆของ...ผมสีแอชเกรย์

“เชี่ย!!”

“เอาคืนที่มึงจับไข่กู” ไอ้เรวะกระซิบเบาๆ ให้ช้ำใจแล้วจากไปอย่างไวว่อง แต่ผมนี่เล่นอุทานจนคุณอลิซ่าหน้าหัน นิ่งอึ้งตะลึงงันไปแล้ว

[ไหนบอกแม่ว่าไม่มีอะไรไงไอ้ลูกชาย]

“ก็ไม่มีอะไรไง”

[ไหนบอกว่าทำมาม่า นี่ไข่เจียวหอมใหญ่รึเปล่าเนี่ย]

“ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรไงครับ หัดหวงลูกชายตัวเองบ้างเถอะแม่” หัวสมัยใหม่ไม่ใช่ว่าอะไรก็ยอมรับไปหมดนะครับคุณอลิซ่า

[หืม...ให้หวงเหรอ โอเค งั้นส่งโทรศัพท์นี้ให้หนูเรมสิ]

“แม่จะทำอะไร”

[แสดงความหึงหวงลูกชายต่อหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ไง]

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงแม่”

[นี่อย่าบอกนะว่าคบกันแล้วยังจำกัดนิยามไม่ได้น่ะ]

“โอ๊ย เรื่องจะไปกันใหญ่แล้ว” ผมทึ้งหัวตัวเองส่วนปลายสายพอได้ทีเข้าหน่อยก็หัวร่องอหายออกมาเสียงดัง

[ชอบจังเวลาทำลูกชายคนนี้หัวปั่น] จบประโยคเสียงประกาศบางอย่างจากอีกฟากดังแทรกเข้ามาเป็นระยะจนผมนึกแปลกใจ

“นี่แม่อยู่ที่ไหนเนี่ย”

[สนามบินจ้ะ]

“หา? เฮ้ย แล้วเดี๋ยวใครไปรับเนี่ย แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไร”

[อย่าตื่นตูมไปค่ะคุณลูกชาย แม่กับพ่อพึ่งอยู่ดีซีเอง นั่งเครื่องกว่าจะถึงก็นู่นห้าทุ่มพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรแม่จะวางสายแล้วนะ เหมือนเขาจะประกาศให้ขึ้นเครื่องแล้ว]

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิแม่ แล้วพรุ่งนี้จะเอายังไงให้ผมไปรับ...” เล่นคุยเรื่องสะใภ้เรวะมันซะครึ่งบทสนทนา กว่าจะหาเนื้อหาสาระได้ก็ต้องมานั่งเร่งเอาตอนท้ายเหรอเนี่ย

[ไม่ต้องมาหรอก ลำบากเปล่าๆ เผื่อวันจันทร์มีเรียนแต่เช้า แต่ถ้าจะมาจริงต้องโชว์ป้ายไฟใหญ่ๆไม่งั้นแม่ไม่สนใจนะเออ] เว่อร์ไปอีก

“ป้ายไฟ? ใครมันจะไปทำของแบบนั้นกันล่ะแม่ แล้วถึงกล้าทำก็ไม่กล้าโชว์เหอะ” กูหน้าบางเป็นทุนเดิม ไม่คิดจะโชว์ให้เขินตัวแตกหรอก

[งั้นก็ไม่ต้องมา อยู่หอเตรียมเก็บของรอกลับบ้านได้เลยจ้า]

“เก็บของ? กลับบ้าน?”

[อย่าบอกนะ ว่าที่แม่กับพ่อตั้งใจจะกลับมาอยู่กับลูกชายสามเดือน มันไม่สะเทือนไปถึงสมองเราเลยน่ะ] โหยบทโศกก็มา คุณอลิษาทำท่าซับน้ำตาด้วยกระดาษทิชชู่เปื้อนชีสจากเฟรนด์ฟรายของนาง

“เฮ้ยไม่ใช่ ผมแค่ตามไม่ทัน” เล่นปั่นสปีดโค้งสุดท้ายซะอย่างงั้น สมองใครมันจะตามทันล่ะ “แล้วหอตรงนี้ล่ะ”

[ทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวแม่จ่ายเป็นก้อนให้เอง กลับมาอยู่ด้วยกันเถอะนะ] รอยยิ้มอ่อนหวานพาลให้ใจผมสั่นไหว โอเค คิดถึงแม่กับพ่อครับ บางครั้งไม่อยู่อย่างอิสระซะบ้างอาจช่วยเปลี่ยนบรรยากาศการใช้ชีวิตก็ได้ ผมพยักหน้ารับคำของมารดาก่อนตอบ

“โอเคครับ ไว้ผมจะเก็บของรอ”

[ไม่ต้องทำหน้าเศร้าไปค่ะคุณลูกชาย ถ้าหนูเรมอยากมาหาเมื่อไรก็มาได้ แม่ไม่ถือ]

“ใครบอกจะให้มันมา...”

[เลิกบ่นได้แล้วเรา รีบกลับเข้าไปช่วยเขาทำกับข้าวได้แล้ว เห็นหาไข่อยู่ไม่ใช่เหรอ ไปเถอะแม่วางนะ]

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ แม่...แม่..” ตัดสายไปแล้ว หน้าจอดำเชียว ทำไมแม่ชอบวางระเบิดให้กูอย่างนี้ตลอดเลยว้า แล้วที่ว่ามันหาไข่ ใช่ที่ไหน มันกำลังด่าว่าผมไปจับไข่มันต่างหากล่ะ!!

ถอนหายใจยาวๆ แล้วเดินกลับมายังโต๊ะอาหารในโซนทำครัว ตอนนี้ไอ้ตัวปัญหามันกินมาม่าสบายใจเฉิบ แถมยังมีซากกะหล่ำปลีกองมหึมาที่วางอยู่ในชามแยกของกูอีก จนนึกสงสัยตกลงกูมากินมาม่าหรือข้าวหน้าทงคัตสึกันแน่วะ

“เห็นกูเผลอก็จับยัดกะหล่ำให้กูเลยนะ” เลื่อนเก้าอี้ลงนั่ง จัดการกับตะเกียบที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ ส่วนคนฟังก็เงียบไม่สนใจเอาแต่สูดเส้นมาม่าเข้าเป็นการใหญ่ “กินไม่รอกูอีก ขอให้ติดคอตาย”

“ก็มึงบอกให้กูกินไปก่อนไม่ใช่เหรอ”

“แต่ก็เสือกมีปัญญามาหอมแก้มกูนะ” ผมหนีบตะเกียบเข้ากับเส้นเริ่มจัดการอาหารมื้อแรกของวัน ในระหว่างที่ก้มลงไปนั้นก็ได้มีปัญญาเห็นหน้าไอ้เรวะมันที่ก้มอยู่

...เชี่ย หน้านี่แดงเถือกอย่างกับโดนพริก...

รีบหยิบซองเปล่าข้างกายที่วางนอนตายอยู่บนโต๊ะขึ้นมา พลางอ่านชื่อรสชาติ...

“หมูสับ” ข้างหลังแม่งก็ไม่มีต่อ ‘ต้มยำ’ หรือ ‘น้ำข้น’ อะไรนี่หว่า แล้วทำไมมันถึงหน้าแดงได้ขนาดนั้นวะ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าผมสังเกตได้มันเงยหน้าขึ้นมาพลางประกาศว่า...

“กูเผ็ดพริกป่น!!”

“เออกูเชี่อมึง!!”

...เชื่อทั้งๆที่ซองพริกบ่นยังนอนปนอยู่ในซองเปล่า ในสภาพที่ไม่ถูกกระทำชำเราแต่อย่างใด...

...TBC...
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 11 :: ฝันซ้อนฝัน [5/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-03-2019 18:15:27
เล่นเองเขินเอง
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 11 :: ฝันซ้อนฝัน [5/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 05-03-2019 23:55:12
อ่ะ ความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียก.  มันยังไง มันต้องรู้สึกว่า เห้ย เพื่อนกัน ซบไหล่กัน ปาดน้ำตา หอมแก้มกัน ฯลฯ อะไรแบบนี้ไหมมมมม.  ซึนเดระกันอ่ะ เนี่น คนอ่านเขาต้องเขินเองงง. -3-    :o8: :-[ :impress2:


นิยายยย รอไรท์ตอนต่อไปปปปป มันกำลังฟินและลุ้นนนนอ่ะ งุ้ยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 11 :: ฝันซ้อนฝัน [5/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 06-03-2019 09:49:44
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 12 :: สีกันได้ แม่อนุญาต [9/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 09-03-2019 18:51:35
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 12 :: สีกันได้ แม่อนุญาต


“ฮัลโหล...กูไม่ได้พกมือถือไว้กับตัว...กูมาแวะหาอะไรกินก่อนกลับ...มึงรู้ได้ไง...เสือกแล้ว...มาเพื่ออะไรวะ...เออเดี๋ยวกูลงไป”

นานๆจะได้เห็นไอ้เรวะมันมีสายเข้าสักที ดูท่าว่าปลายสายจะทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับมาก มันกดวางโทรศัพท์แล้วรีบเก็บชามของมันกับหม้อต้มมาม่าขึ้น

“เดี๋ยวกูกลับแล้ว”

“มึงปล่อยไว้ก็ได้ เดี๋ยวกูล้างเอง ไอ้บูมมันรออยู่ใต้หอไม่ใช่เหรอ” ร่างตรงหน้าชะงักเท้าแล้วมองผมอย่างประหลาดใจ

“มึงรู้ได้ไง” กูนั่งทางใน เข้าไปฝังอยู่ในจิต เพ่งนิมิตว่าเห็นไอ้บูมคุยกับมึงมั้ง ถามได้ อย่าลืมว่าเมื่อกี้กูได้ยินที่มึงพูดทุกประโยค ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าคนเพื่อนน้อยอย่างมึงใครโทรหา

“เพราะกูฉลาด ไม่ต้องถามมาก มึงไปเถอะ” ลุกขึ้นไปคว้าหม้อกับชามในมือมันมา

“งั้นกูไปนะ” เรวะมองหน้าผมวืบหนึ่ง กล่าวคำอำลา ก่อนหยิบมือถือแล้วรีบผลุนผลันออกไป ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่กับท่าทีรีบร้อนของมัน

“ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วยวะ” ยังคงมองตามภาพสุดท้ายของแผ่นหลังที่หายไปยังอีกฝั่งของประตู แล้วเหมือนพึ่งนึกอะไรออกเลยรีบวางชามหม้อช้อนกลับที่เก่า ก่อนหมุนตัวเดินพุ่งไปยังเตียง

“เชี่ยแม่ง ลืมไว้จริงๆด้วย” เสื้อเน่าๆหลังเก็บขยะของมันถูกวางพับไว้อย่างเรียบร้อย แสดงว่าไอ้เรวะมันลงไปทั้งเสื้อยืดกางเกงบอลผมเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ

...จำได้ว่ามันต่อยผมครั้งแรกเพราะเสื้อผ้า แต่มาคราวนี้มันทิ้งเสื้อผ้าเพียงแค่จะไปหาไอ้บูม...





ผมย้ายกลับมาอยู่บ้านได้เกือบสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่วันนั้นไอ้เรวะก็หายตัวไป หายไปแบบไม่เห็นแม้แต่กายหยาบเดินเพ่นพ่านอยู่แถวสามเหลี่ยมทองคำ จนกระทั่งเพจเจ๊ดิบวุ่นวายเกือบประกาศตามหาคนหายเพราะไม่มีนายแบบหัวสีแอชเกรย์มาช่วยฉุดเรตติ้งโอปป้าประจำถิ่นให้สูงขึ้น ส่วนผมก็ยังคงวนเวียนอยู่กับชีวิตประจำวัน เรียน เล่น ทำงานอดิเรกร้องเพลงยามค่ำคืนมันต่อไป

“แปลก แปลกมาก” ไอ้หงส์โพล่งขึ้นมาระหว่างที่พี่ตี๋อนุญาตให้พวกเราพักเบรกคั่นรายการที่ร้านข้ามคืนกันอีกตามเคย

“แปลกอะไรของมึงวะไอ้หงส์” จิ้มแชทกับแฟนอยู่ดีดี แต่ยังมีปัญญาแยกสมาธิมาเผือกได้ถือเป็นหนึ่งในสกิลของไอ้คีย์

“ก็แปลกเรื่องที่ไม่เห็นหน้าแฟนไอ้เม่นมาหลายวันแล้วไง” ไอ้ต๊อบเป็นคนไขความกระจ่าง คู่หูมันชอบวางปริศนาไว้ปล่อยให้นายแพทย์วัตสันอย่างมันต้องคอยตามล้างตามเช็ดคำพูดเสมอ

“ในทางกลับกัน ขนมกองนั้นน่ะ!!” แม่งตวัดนิ้วทีเพื่อนทั้งกลุ่มแทบจะหันหัวไปตามที่มันชี้ จังหวะนี้แม่งโคตรพีค “มันกลับเพิ่มพูนขึ้นทุกวันอันอันอันอัน”

“ไอ้หงส์มึงจะสร้างเอคโค่ทำเพื่อ”

“ให้มันดูยิ่งใหญ่ น่าตกใจไงมึง ไอ้เม่นมึงไม่สังเกตเห็นเหรอว่ากองขนมตรงนั้นน่ะ กองขนมที่ทุกทีจะมีอัตราส่วนเกินกว่าเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นของมึง แต่มันเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัวเลยนะเว้ย”

“แล้วไงวะ กูโง่ กูไม่เข้าใจที่มึงพูด” ก็แค่แปลกใจว่าทำไมปริมาณขนมของเหล่าบรรดาแฟนๆที่ผมต้องแบกกลับมันถึงได้มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่จากร้านนะ ตอนที่อยู่มหา’ลัยก็ใช่ย่อย มีแต่บอกว่าคนนู้นคนนี้ฝากมาให้แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงสักที ตอนแรกก็คิดว่าพวกแฟนคลับมีไอเดียสร้างสรรค์อยากเน้นปริมาณไม่เน้นคุณภาพเลยฝากมาให้ถุงใหญ่กว่าเดิม แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเนี่ยสิ มันทั้งเพิ่มปริมาณแถมยังไม่ลดคุณภาพอีกต่างหาก

“ก็หมายความว่า ฐานแฟนคลับมึงเพิ่มขึ้นหลังจากที่ข่าวมึงกับไอ้เรเริ่มสร่างซาไปอ่ะดิ”

“หา?”

“ช่วงนี้พี่ดิบไม่อัพรูปคู่พวกมึงมาตั้งเกือบอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่กระแสหลังงานเก็บขยะ ทุกอย่างก็ดูเงียบลงซะ สงสัยพวกเด็กในเพจทวงคืนเม่นจากเรวะจะปลุกกระแสว่ามึงเลิกยุ่งกับมันแล้วมั้ง”

“กูเปล่าเลิกยุ่ง แค่มันไม่รู้หายตัวไปไหนเท่านั้นเอง”

“แต่ภาพมันฟ้องว่าอย่างนั้น ทุกคนเชื่อ ทุกอย่างจบ” ให้มันได้อย่างนี้ดิ มิน่าล่ะพวกดาราถึงทนกระแสสังคมไม่ไหว ทำให้มีทั้งคบเลิกลาจากกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ไอ้เม่นมันว่าไงนะ เปล่าเลิกยุ่ง ฟังแล้วจักจี้ว่ะ”

“ตรงไหนวะ”

“ฟังแล้วยังดูมีอัณฑะต่อกัน”

“พันธะรึเปล่าวะ!!” เฮ้อ เสื่อมไม่มีใครเกิน อย่าได้ไปคิดเพลินตามมันมีหวังประสาทแดก

“แล้วไอ้เรมันหายไปไหนวะ ปกติก็เห็นมันชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆตัวมึง ตั้งแต่มึงจับคู่กับมันก็ไม่มีวันไหนไม่เห็นหน้า” คนที่ถามคำถามนี้ได้คงมีแต่ไอ้ต๊อบที่วันๆแม่งไม่ทำอะไรเอาแต่คอยสังเกตสังกาสิ่งรอบตัวอยู่เรื่อย

“กูก็ไม่รู้”

“นี่มึงไม่ได้ติดต่อกับมันเลยเหรอ” ไอ้คีย์ทำท่าสงสัย

“ปกติกูก็ไม่ได้ติดต่อกับมันก่อนอยู่แล้ว ยกเว้นตอนที่มีกิจกรรมต้องทำเท่านั้น”

“โหย อะไรวะไอ้เม่น สมควรแล้วที่จะเลิก เป็นแฟนภาษาอะไรวะ”

“แฟนที่ไหนล่ะ ไอ้พวกนี้เดี๋ยวโดนกูถีบ สาปแช่งให้พวกมึงไม่มีเมียรายตัวเลย”

“กูมีแล้ว กูรอด” โล่งใจออกนอกหน้าเลยนะมึงไอ้คีย์

“อย่างมึง กูต้องขอให้เลิกกับเมีย”

“ไอ้เวรเม่น ไอ้ปากพล่อย มึงหยุด...”

“อ้าวๆ อีกสามสิบวิถ้าพวกคุณมึงยังไม่ก้าวฝ่าตีนข้างขวาขึ้นเวที กูจะตัดเต็มหนึ่งชั่วโมงนะเว้ย”

เชี่ยพ่อตี๋มา คราวนี้ล่ะแทบจรลีกันไม่เห็นฝุ่น เกือบจะคว้าเครื่องดนตรีผิดกัน เล่นเอาฮามันทั้งร้าน นึกว่าวงเราเล่นมุกตลกโชว์ หลังจากนั้นแนวเพลงที่ร้องก็เปลี่ยนไป กลายเป็นแนวทางเตรียมใจเพื่อจากลา...สัด พวกมึงรักประวัติชีวิตกูจริง...




พอโดนไอ้เพื่อนจอมชงกระทุ้งหลายๆรอบผมเลยชักสังหรณ์ใจแปลกๆ หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาไอ้เรวะหลังจากกลับมาถึงบ้าน แต่สิ่งแรกที่ผมได้ยินจากโทรศัพท์กลับเป็นเสียงครางไม่ได้ศัพท์ของอีกฝ่าย จนเดาไม่ได้ว่าใครรับ ใช่ไอ้เรวะรึเปล่าวะ

“เรวะ”

[...อืออ...]

“ใช่มึงเปล่าวะ”

[...ใคร...]

“กูเอง”

[...กูน่ะ...ใคร?]

“เม่นไง”

[เม่น...กู...ไม่ไหวแล้ว...] โหย ประโยคนี้เล่นเอาวงการม้ามตับไตสะเทือนไปถึงขั้นสิบ จากที่นั่งเอนตัวพิงโซฟาสบายๆอยู่กูนี่หลังตรง นมตั้งเลยครับ

“กะ...เกิดอะไรขึ้นวะ”

[...ครึก...ตู๊ดตู๊ดตู๊ด]

เชี่ย...สายตัดไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นวะ โคตรเดือดเนื้อร้อนใจเพราะดูจากเข็มนาฬิกานี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น ผมขยับตัวลุกขึ้นวิ่งเข้าห้องส่วนตัวคว้ากระเป๋าเป้กับกุญแจไอ้บิ๊กเบิ้มได้ ก็รีบสตาร์ทเครื่องบิดเร่งสปีดออกมาจากบ้าน

โชคดีที่ร้านแม่ไอ้เรวะเพิ่งปิด เลยทันตอนหญิงสาวกำลังขยับกระถางดอกไม้ ใบเดียวกับที่ไอ้เรวะเคยแนะนำผมตอนมาร้านครั้งแรกว่าเป็นต้นอะไรเข้าบ้าน

“แม่นิ!!” คนถูกเรียกชื่อยังคงหันรีหันขวางจับทางเสียงไม่ถูก จนกระทั่งผมจอดแล้วเดินเข้าไปใกล้

“อ้าวลูกเม่น มาได้ไงเนี่ย”

“เรวะล่ะครับ”

“อยู่ในบ้านน่ะจ้ะ มีอะไรรึเปล่า” ยังอยู่ที่บ้าน? แล้วไอ้เสียงเมื่อกี้มันอะไรวะ

“เออ...ขอผมเข้าไปหาเรวะหน่อยได้มั้ยครับ” แม่นิทำหน้าประหลาดใจแต่ไม่ถึงกับโอเว่อร์ ก่อนจะตอบรับด้วยสีหน้ายินดี คงสงสัยว่าทำไมมาหาลูกแกยามวิกาล

“ได้สิ เข้ามาเลยจ้ะ”

“มาครับ ผมช่วย” กระถางดอกไม้ถูกย้ายเข้ามาอย่างว่องไว ตราบใดที่ยังไม่เห็นตัวเป็นๆผมก็ยังนึกร้อนใจอยู่ดี  ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัว

แม่นิเดินนำทางขึ้นบันไดเหล็กสีดำ ผ่านชั้นลอยซึ่งเป็นส่วนของที่นั่งมาจนถึงด้านในสุด ก่อนหยุดเคาะประตูที่หน้าห้องๆหนึ่ง

“เร เพื่อนมาหาน่ะ”

มีเพียงเสียงเงียบตอบรับกลับมา จนผู้เป็นมารดาต้องยกมือขึ้นมาอีกครั้ง “เรลูก ได้ยินมั้ย เม่นมาหาน่ะ”

ตุบ! แกร่ก! เคร้ง!

เสียงอย่างกับเกิดสงครามกลางเมืองในห้อง ใจผมแม่งแทบร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เชี่ยเกิดอะไรขึ้นวะ หรือคนร้ายแม่งดักปล้นในห้องไอ้เรวะมัน แล้วเกิดการต่อสู้ขัดขืนขึ้น คราวนี้ผมไม่อยู่นิ่งอีกต่อไป กระวีกระวาดขยับตัวไปขวางหน้าแม่นิพลางรัวทุบประตูอย่างหนัก

“เรวะ มึงเปิดดิวะ” อย่าทำให้กูกังวล “ถ้าไม่เปิดกูจะพังเข้าไปแล้วนะเว้ย” อีกนิดกูตั้งท่าฝ่าตีนประจันบาลแล้ว แต่ประตูเบื้องหน้ากลับเปิดขึ้นเสียก่อน

แกร๊ก!!

“...!!”

“...!!”

ประหลาดใจเสียยิ่งกว่าเสียงดังในห้องก็คงเป็นคนที่ปรากฏในม่านสายตา ใครเดาว่าเจ้าของห้องมาเปิดประตูให้ มึงเดาผิดให้คิดใหม่ คนที่คาดไม่ถึงอย่างเด็กเดือนมหา’ลัยต่างหาก ที่มันเดินมาขวางอยู่หน้าประตู

“ไอ้บูม?” เจ้าของชื่อทำหน้าตื่นทันทีที่เห็น แต่ก่อนจะโวยวาย ไอ้ตัวร้ายตัวดีจอมป่วนสติผมจนต้องบึ่งมอเตอร์ไซต์มาทั้งชุดนอน มันยืนอยู่ด้านหลังกลับโพล่งเสียงดังขึ้นขัด

“เชี่ยบูมมึงกลับห้องมึงไปเลยไป เกะกะฉิบหาย” พอดันไอ้ตัวโตด้านหน้าออกมาได้เสร็จ มันก็คว้าข้อมือผมแล้วฉุดอย่างแรงให้เข้าห้อง “แม่ อย่าให้ไอ้บูมมันมากวนผมอีกนะ”

ปัง!!


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 12 :: สีกันได้ แม่อนุญาต [9/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 09-03-2019 18:52:18
กูอึ้งครับ ไม่มีปัญญาแม้แต่ตีความว่าเหตุการณ์เมื่อครู่มันคืออะไร พอปิดประตูลงกลอนได้เจ้าของห้องก็ไม่พูดพล่ำทำเพลงปล่อยมือผมแล้วเดินสะโหลสะเหลพุ่งไปยังที่นอน

ตุบ!!

ท่ามันแม่ง จะบอกว่าน่าขันหรือน่าเอ็นดูดีวะ ก็เล่นล้มหน้าคว่ำซะ

“เป็นอะไรวะ เมื่อกี้ที่คุยโทรศัพท์ ที่บอกว่าไม่ไหวแล้ว”

“...”

โอเคจ้า มันเงียบจ้า ผมเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงข้างเตียง มองหัวทุยๆของมันว่าเมื่อไรจะหันมาเสวนากับกู

“มึงรู้มั้ย กูนี่รีบบึ่งมอเตอร์ไซส์มาเสื้อผ้าแม่งก็ไม่ได้เปลี่ยน นึกว่ามึงโดนใครบุกปล้นชิงทรัพย์ หรือโดนฆ่าปาดคอไปตายอยู่แถวไหนซะแล้ว”

“กูยังไม่ตาย” ในที่สุดก็ยอมหันมา แต่สภาพแม่งไม่ไหวจะเคลียร์

“ไม่ตายก็เหมือนกำลังจะตายยังไงไม่รู้ว่ะ ไปทำอะไรมาวะ เสียงงัวเงียเพลียขั้นสิบ ตานี่โหลเกินสิบสองชิ้นได้แล้วมั้ง ถ้าบอกว่ามีญาติห่างๆเป็นหมีแพนด้ากูนี่เชื่อเลย”

“งั้นมึงกับกูก็เป็นญาติห่างๆกัน”

“หา?”

“กูเป็นแพนด้า ส่วนมึงเป็นโพล่าแบร์”

“สาระดิเรวะ”

“เนี่ยสาระสุดๆแล้ว”

“สารคดีสัตว์โลกน่ะสิมึง กูถามก็ตอบดิ” นิสัยถามไม่ตอบ ผ่านมากี่ครั้งมันก็ยังไม่เลิก แต่ทว่าขณะที่กำลังทวงถามหาคำตอบ คนบนเตียงกลับนิ่งแล้วหลับตาเฉย

“เรวะ อย่าบอกนะว่ามึงหลับ”

“...”

“ไอ้เร...”

“ยัง...กูยังไม่หลับ...แค่ใกล้...แต่ตอนนี้กูรู้สึก...”

โครกกกกก

ชัดเลย

“กู...” มันลืมตาขึ้นมาทำท่าจะแก้ตัวเรื่องเสียงปริศนาที่ดังขึ้นมาขัด

“เออ ไม่ต้องบรรยายหรอก กูรู้ว่ามึงเป็นอะไร” ผมขยับกระเป๋าเป้เปิดออก รู้สึกโชคดีที่พกติดตัวมาด้วย จำได้ว่าขนมของพวกแฟนคลับที่ขนกลับมายังคาอยู่ในกระเป๋า “ทำเหี้ยอะไรไม่ยอมทานข้าว”

“ทำงาน”

“งานอะไร...เชี่ย!” ตอบดีดีไม่ได้ต้องแขนยกมือฟาดงวงฟาดงา นิ้วชี้ยาวๆของมันชี้ไปทางโน้ตบุ๊คที่เปิดค้างอยู่ ในนั้นเป็นเอกสารบางที่ปรากฏตัวอักษรยุบยับเต็มไปหมด ตรงหน้าที่เปิดค้างไว้มีทั้งตัวอักษรภาษาไทย...แล้วให้ผมเดาอีกอันนึงน่าจะเป็นภาษาญี่ปุ่นปะปนกันอยู่

“แปลเอกสาร?” อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ยังฝังหัวจมกับเตียง

“งานมหา’ลัย?”

“หิวจัง..” ฟังกูบ้างดิวะ เฮ้อ เอาเถอะลืมไปว่าเวลาคนหิวอะไรมันก็ไม่เข้าหัว ผมเลยคว้าซองกล่องขนมออกมารัวๆจากกระเป๋า

“กูมีแค่นี้ อยากกินอันไหนก็หยิบเอาละกัน” ได้ยินเท่านั้นมันผุดตัวพรวดพราดลุกขึ้นจากเตียง หันหัวปรายตามองลงมายังกองขนมขนาดใหญ่

“มึงเอามาจากไหน”

“แฟนคลับให้กูมา”

“ไม่ดีหรอก มึงกินเถอะ”

“กูแดกคนเดียวก็ไม่หมดหรอก” ผมคุ้ยของในถุงออกมามีทั้ง พุดดิ้ง ถั่วตัด มันฝรั่งทอดกรอบ รวมถึงเปียกปูนกะทิสด แม่งโคตรวาไรตี้ นี่กะให้กินทีเดียวอ้วนไปถึงชาติหน้าเลยรึเปล่าวะ เหลือบตาขึ้นมามอง เรวะมันยังนิ่งไม่กล้าที่จะหยิบกิน

“ถ้ามึงเกรงใจ เดี๋ยวกูกินเป็นเพื่อน” ไม่ว่าเปล่าแกะซองมันฝรั่งทอดกรอบหยิบมาป้อนมันถึงปาก ไอ้เรวะถึงกับย่นคางมอง “กินดิ”

“อะไรอ่ะ”

“ตัวมึงไง”

“หา?”

“เลย์” มันทำหน้าเอือมกัดขนมจากมือผมไปทันทีที่ได้ยินมุกกากๆ พอหมดชิ้นหนึ่งต่อเนื่องด้วยชิ้นสองไม่ให้กระเพาะมันสะดุด

“มึงก็กินด้วยดิ” พูดทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยขนม ไอ้เรวะมันยันตัวลุกขึ้นมาคว้าเปียกปูนกะทิสดไปฉีกเปิดฝาแล้วหมุนรอบตัวหาบางอย่าง

“ช้อนเหรอ เอานี่” พอหยิบแล้วก็ยื่นให้มันได้เจ้าตัวก็จ้วงลงไปที่ไอ้สีเขียวๆที่มีชั้นบนเป็นสีขาวของกะทิ แต่สิ่งที่ผมคิดผิดคือช้อนที่ตักมันกลับยื่นใส่ปากผม

“กินดิ” อะไรคือการที่กูมองหน้าไอ้เรวะแล้วเผลออ้าปากรับอย่างเต็มปากเต็มคำวะ....โหยยยย

“ไม่ต้องป้อน กูกินเองได้” เลยคว้าถ้วยเปียกปูนมาจากมือมันแล้วจ้วงกินไม่ยั้ง เชี่ยนี่กูเป็นอะไรวะ เมื่อกี้กูป้อนมัน มันป้อนกูก็เจ๊ากันแล้วนี่หว่า “พรุ่งนี้อย่าลืมมาเรียนล่ะ กูไปหากิจกรรมมาได้แล้วอันนึง”

“กิจกรรมอะไร”

“นั่งสมาธิเจริญสติปัญญา”

“แค่ฟังก็เพลียแล้ว”

“ไปทำอะไรมาถึงได้เพลีย มึงแทบไม่ได้เข้าเรียนด้วยซ้ำ”

“รู้ได้ไง”

“ก็ไม่เห็นหน้ามึงไปโผล่แถวคณะเลย”

“คิดถึงเหรอ”

“คิดถึงบ้านมึงดิ มีแต่คนเขาถามหามึงต่างหาก”

“ถามหากู?” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “มึงอำกูเล่นแล้ว คนอย่างกูเนี่ยนะจะมีคนถามหา”

“ก็พวกมันหามึงไม่เจอเลยมาถามหาเอากับกูเนี่ยแหละ แล้วให้กูตอบไงวะ”

“ตอบอะไรไปก็ได้นี่ แบบว่าไม่รู้จัก ไม่ได้สนิทอะไรถึงขั้นนั้น เลยไม่รู้” หน้าเพลียๆแม่งเปลี่ยนอารมณ์ไวโคตร ตอนนี้กลายเป็นซึมไปแบบแปลก

“แต่กูรู้จักมึงแล้ว เพราะงั้นกูต้องรู้สเตตัสมึง”

“ไอ้เม่นมึงเอาอะไรมาคิด...” มันชะงักปากก่อนหันมาพูดอีกครั้ง “กูโสด”

“สัด เรื่องนี้ไม่ต้องรู้ก็ได้มั้ยวะ” ไอ้เรวะมันยิ้มนะ ยิ้มแบบผสมความเพลีย ตาปิดไปถึงโลกหน้าแล้วมั้ง สุดท้ายมันก็เอนตัวลงเตียงอีกครั้ง แล้วตอบผมในสภาพหลับตาคาที่นอนเนี่ยแหละ

“กูอยู่บ้านทำงานทั้งวัน ไม่ได้นอน เลยเพลีย” พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเหลือบไปมองที่โต๊ะญี่ปุ่นที่วางคอมอีกครั้ง

“ทำไมต้องทำทั้งวันทั้งคืนขนาดนั้นด้วยวะ ไอ้งานแปลเนี่ย สรุปไม่ใช่งานมหา’ลัยใช่มั้ย ใครขอร้องมา”

“กูรับมาเอง”

“แล้วทำไมต้องรับเยอะขนาดนี้ด้วย” รู้ว่าตราบใดผมไม่กลับตราบนั้นไอ้เรวะคงไม่ได้นอน แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นคนทำให้ผมเดือดร้อนต้องถ่อมาถึงที่นี่ ร่างบนเตียงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วจ้องมองตรงมา

“เม่น มึงจะรู้เรื่องกูเยอะเกินไปแล้ว”

“มึงสายพันธุ์เดียวกับกู กูควรรู้ไว้” อึ้งดิ ตบมาตบกลับไม่โกงเว้ย มุกกากๆแบบนี้อย่าคิดว่ามึงเล่นเป็นอยู่คนเดียวนะ

“อ้าว พึ่งรู้นะว่ามึงเป็นมนุษย์”

“เมื่อกี้มึงยังเรียกกูว่าโพล่าแบร์เลย อย่ามาเปลี่ยนสายพันธุ์กูตามใจชอบแบบนี้ คุยกับมึงแล้วเซ็งว่ะชอบเปลี่ยนเรื่องตลอด” ล้มตัวลงนอนข้างเตียงตรงหน้าโต๊ะญี่ปุ่นแม่งซะเลย เหนื่อยว่ะ คนสนใจก็ชอบพาบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องตลอด ไม่เอาไม่สนใจมันแล้ว

“ทำอะไรน่ะ”

“แกล้งตาย”

“กูไม่ใช่หมีนะ”

“วันนี้มึงเป็นหมีแพนด้าให้กูวันนึงละกัน ช่วยเดินผ่านกูไปไม่ต้องสนใจที”

“หมีปกติมันไม่เดินผ่านไปง่ายๆหรอก” ชักระแวงกับสิ่งที่มันโพล่งออกมา เลยแอบหรี่ตามองความเคลื่อนไหวที่อยู่เหนือขึ้นไป
จะเรียกว่าโชคร้ายก็ได้เพราะจุดที่ผมนอนแม่งชิดริมขอบเตียงโคตะระของมุมอับ เลยไม่ทันจะจับสัญญาณอะไร ไอ้เรวะมันก็ชะโงกหน้าออกมาจากเตียงกะทันหันเล่นเอาแทบสะดุ้งสุดกำลัง เชี่ย ทำไมกูเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในตาของมันวะ ตอนนี้กูต้องหลับตาดิ หลับๆๆๆ

“มันต้องดมกลิ่นมึงก่อนว่าตายยัง” ไม่รู้คิดพิลึกอะไรถึงกระโดดลงจากเตียงมาทับผม เล่นเอาจุกไปสามชั่วโคตร แต่ด้วยความอยากเป็นดาราเจ้าบทบาทกูเลยนอนแน่นิ่งเหมือนคนตายมันต่อไป

จนกระทั่งได้ยินอีกฝ่ายทำเสียงจมูกฟุดฟิด ใจกูแทบไปพิชิตเขาเอเวอเรสต์ เย็นไว้ไอ้เม่น เดี๋ยวมิชชั่นจะกลายเป็นอิมพอสซิเบิ้ล มิชชั่นโนคอมพลีท มึงควรแกล้งเนียนตายมันต่อไป บอกตามตรงโคตรหนักมึงคิดยังไงทับกูมาได้วะ แล้วไหนจะลมหายใจที่สูดไปมาตรงต้นแขนกูตอนนี้อีก เชี่ย ขนลุก

“เออ ท่าจะตายจริง กลิ่นนี่เน่าเชียว”

“สัดกูเพิ่งอาบน้ำมา มึงไม่เห็นเหรอกูใส่ชุดนอนโว้ย ชุดนอนน่ะ” รู้สึกได้ถึงแรงกดทับที่หายไปผมเลยตัดสินใจเปิดตาขึ้นมา ไอ้เรวะมันย้ายมานั่งท่าขัดสมาธิข้างๆผม พลางส่งสายตาไม่เชื่อถือลงมาเต็มๆ “มองอย่างนี้หมายความว่าไงวะ หาว่ากูโกหกเหรอ”

“เปล๊า”

“เสียงสูง มึงแม่งหาว่ากูไม่อาบน้ำนอนใช่มั้ยวะ”

“เปล่าซะหน่อย”

“แต่ตามึงไม่ใช่หนิโว้ย” ว่าจบ ผมก็คว้าท้ายทอยดึงคนตรงหน้าลงมาอย่างแรงแบบไม่มีการประนีประนอม เล่นเอาเรวะมันตกใจลนลานดันมือกับอกผมเป็นการใหญ่

“ทำไรวะ เชี่ยเม่น!”

“กูให้ดมพิสูจน์อีกรอบ”

“ไม่ดม”

“ดม”

“ไม่ดมเว้ย”

“กูบอกให้ดม”

“กูบอกว่าไม่ก็ไม่ไงวะ” สายไปแล้วมึง แรงคนอดนอนหรือจะสู้แรงคนนอนเต็มผืนหลับเต็มตื่นด้วยเสื่อจันทบูรได้ หน้าไอ้เรวะทิ่มลงบนอกผมเต็มๆ มันพยายามยื้อยุดจนในที่สุดก็ตวัดหัวขึ้นมามองทั้งที่ใบหน้ายังแทบซบอกผมอยู่ได้ ระยะเท่านี้บอกได้คำเดียวว่ากูอึ้ง ตะลึงกับรูปลักษณ์ของมันเป็นรอบที่ร้อย

ตึกตัก

...ใจ...กู...ทำไมอึดอัดอย่างนี้วะ...

“เม่น มึง...” เอ่ยแค่นั้นแล้วก็มุดหัวเอาหูแนบกับอกผมเฉย “นอกจากคอเรสเตอรอลแล้วมึงยังเป็นความดันเหรอวะ”

“กูไม่ได้เป็นความดัน แต่กูกำลังจะดันมึงขึ้นเนี่ยแหละ ฮึ่ย” บอกเลยกล้ามเนื้อท้องทำงานหนักมาก เหมือนซิตอัพโดยเอาน้ำหนักเรวะมันมารวมด้วย ในที่สุดผมก็ลุกขึ้นมา ไอ้เรวะมันนั่งมองผมทำตาปริบๆ

“งานเยอะก็ไปทำดิวะ มองหน้ากูแล้วมันจะเสร็จมั้ย” ดันไหล่มันให้หันกลับไปสนใจงานกองยักษ์ของตนเอง

“มึงไม่เป็นไรแน่นะ”

“ห่วงงานมึงก่อนเถอะ” คิดว่าแต้มบุญผมหมดไปตั้งแต่เจอมันแล้วแท้ๆ แต่กลับเข้าใจผิดเพราะมีกรรมการมายุติการเผชิญหน้าระหว่างเราสองคนพอดี


Rrrrrrrrrrrrrr


โทรศัพท์คุณอลิซ่าเข้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแม่ผมโทรมาเพราะได้ยินเสียงไอ้บิ๊กเบิ้มกลางดึก เรวะมันยังเหลือบมองมาอย่างรีๆรอๆ เห็นทีว่าถ้าผมยังไม่ละความสนใจจากมัน เจ้าตัวคงยังไม่เริ่มทำงาน ผมเลยกดรับเอาโทรศัพท์แนบหู พยักพเยิดขยับปากแบบไร้
เสียงว่า..ทำงานไปไอ้สัด...ให้มันเลิกยุ่งกับผม

“ครับแม่”

[หนีเที่ยวเหรอเรา] ประโยคแรกเล่นเอาเสียประวัติการเป็นเด็กดียันเบ้าหน้าของนายพลลภัตม์ จงรักกิจการกุลเลยว่ะ

“โหยแม่ เปล่าหนีเที่ยวซะหน่อย นี่มาบ้านเพื่อน”

[ไปบ้านเพื่อนแล้วทำไมต้องโกกลางค่ำกลางคืนด้วยล่ะจ๊ะ หรือแม่ตั้งนาฬิกาบ้านผิดเป็นเวลาอเมริกาหรือไงฮะ?]

“อย่าประชดสิครับแม่ บังเอิญผมแค่นึกขึ้นได้ว่ามีธุระ”

[แล้วดันเป็นธุระที่บังเอิญต้องทำวันนี้ด้วยเนอะคุณลูกชาย]

“ใช่ๆ แม่รู้ได้ไงเนี่ย แม่ใครน้า ฉลาดจัง”

[ฉลาดไม่พอนะ แถมยังสวยด้วย แล้วก็รู้ด้วยว่าลูกชายแม่ไปบ้านใคร]

“บ้านใครอ่ะ”

[บ้านหนูเรมไงจ๊า~]

เหยดดดดดดดดดดดด

“มะ...แม่รู้ได้ไงอ่ะ” กล้องวงจรปิด จีพีเอสติดตามตัว ไหนวะ ไหนวะ ไม่น่าจะมีนี่!!

[บอกแล้วไงว่าแม่ฉลาด] โหยถอดแบบกูมาเปี๊ยบ แม้กระทั่งเรื่องนี้

“แม่คือผม...”

[ค้างมั้ย]

“เอ๊ะ?”

[ค้างเถอะ]

“ฮะ?”

[ขี่ไอ้เบิ้มกลางดึก แม่ไม่วางใจ]

“ดะ เดี๋ยวก่อนดิแม่...”

[พ่อกับแม่เขาอยู่บ้านรึเปล่า] หืม? ทำไมมาเข้าเรื่องนี้ได้วะ

“ยะ...อยู่แต่แม่ครับ แล้วมันเกี่ยวอะไร...”

[ยังไงก็นอนแยกห้อง อย่าทำตัวรุ่มร่ามล่ะ อีกฝ่ายจะเสียหาย]

“เสียหาย? เรื่องอะไร?”

[แม่เข้าใจอารมณ์เด็กผู้ชายวัยกลัดมันอย่างเรา ถึงตอนนี้ไม่นึกอยากแต่ถ้าได้นอนติดกัน สีกันไปมา มันก็พาลพาให้อยากได้] เฮ้ย คิดไปถึงไหนแล้ววะแม่กู กลับม้า!! แล้วหัวกูนี่อะไร ทำไมเสือกจินตนาการภาพตาม เชี่ยโว้ยยยย

[เพราะฉะนั้นนอนแยกกันไว้ก่อนเป็นดี]

“ถ้าอย่างงั้นให้ผมกลับดีกว่ามั้ยเนี่ย”

[แต่ว่าแม่ล็อคบ้านซะแล้วสิ ว้าน่าเสียดาย ถ้ายังไงเจอกันวันพรุ่งนี้นะคุณลูกชาย บ๊ายบายจ้า]

“เฮ้ย แม่!!เดี๋ยว!!” เอาอีกแล้ว มามุกนี้อีกแล้ว จะวางโทรศัพท์แต่ละทีฟังลูกนี้คนนี้บ้างดิออมม่า!! โวยวายอยู่ดีดีมีอันต้องสะดุดเพราะผมเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของคนที่นั่งทำงานอยู่พอดี รู้สึกโล่งใจจนล้นปรี่เพราะเจ้าตัวยังไม่มีทีท่าว่ารู้ตัว แต่จู่ๆเรวะกลับเรียกชื่อผมกะทันหัน

“เม่น”

“คะ ครับ!!” สะเสียง เสียงกูสั่น!!

“คุยเสร็จแล้วเหรอ” มันยังคงเอาแผ่นหลังคุยกับผมอยู่ ตอนนี้ถ้าหันมาผมก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง

“อะ...เออ อื้ม” โอ๊ย ใบ้แดก

“บังเอิญห้องกูมันเงียบ”

“...”

“เสียงมันเลยลอดออกมาจากลำโพงหมด”

“...”

“เมื่อกี้กูได้ยินเต็มสองรูหูเลยล่ะ”

“...!!”

วะโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ยะ อย่าเข้าใจผิดนะมึง แม่กูก็พูดไปงั้นเพราะนึกว่ามึงเป็นผู้หญิง คิดว่ามึงเป็นแฟนกู”

“ตกลงค้างป่ะ”

“หา?”

“กูก็ไม่อยากให้มึงขับรถออกไปกลางค่ำกลางคืนเหมือนกัน ทางตรงนี้มันมืดอันตราย” อ๋อที่ได้ยิน หมายถึงเรื่องนี้ใช่มั้ยวะ ทำเอากูตกใจหมด

“กะ ก็คงต้องค้างแหละ เพราะกูไม่ได้พกกุญแจบ้านมา”

“งั้นนอนห้องกูละกัน เตียงยังเหลือที่ บ้านกูไม่มีห้องพักสำหรับแขกด้วย”

“เฮ้ย กูนอนพื้นก็ได้นะ เตียงมันแคบ เดียวมึงนอนไม่สบาย” เสียวใจเสียวกายเปล่าๆ

“เตียงห้องกูก็ไม่ต่างจากห้องมึง กูนอนได้ แต่มึงจะนอนสบายรึเปล่า”

“มะ ไม่ว่ะ!!” สีไปสีมา ใครให้แม่กูพูดคำนี้ออกมาวะ มันก้องอยู่ในหัวกูเนี่ย!! “กะ กูว่า กูคงนอนไม่สบาย”

“ถ้ามึงคิดมากเรื่อง...” ไอ้เรวะมันหยุดคำพูดไป เรื่อง เรื่องอะไรวะ อย่าให้กูลุ้น จนในที่สุดมันก็หันมามองหน้าผม “คิดมากเรื่องสีกันที่แม่มึงพูด อย่าลืมว่ากูเคยไปนอนห้องมึงตั้งหลายครั้ง ถ้าได้กันคงท้องไปถึงลูกสองลูกสามแล้วล่ะ”

ว้อท เดอะ ฟ้าคคคคคคคคคคคคคคคคคคค

...กูเปลี่ยนใจไม่ค้างแล้วได้มั้ยวะ...แล้วกุญแจกูล่ะ จะกลับบ้านยังไง...




ความคิดที่จะสีกัน...ฝันหวานไปเถอะครับ...

เพราะไอ้เรวะมันไม่หลับไม่นอน ผมที่ไปล้างหน้าแปรงฟันอีกรอบแล้วกลับมากลิ้งชิดขอบเตียง ได้แต่นั่งดูแผ่นหลังของเรวะด้วยความระแวดระวังยาวไปตลอดคืน สะดุ้งตื่นมาอีกทีก็ยังไม่มีใครอยู่เคียงข้าง มีแต่ซากอารยธรรมที่ดูรกรุงรังบนโต๊ะญี่ปุ่นและถุงขนมที่นอนตายอยู่ในถัง กับไอ้เรวะที่เหยียดกายลงพื้นไปทั้งแบบนั้นโดยไม่ได้มีการปีนตัวขึ้นมายังที่นอนแต่อย่างใด

ห้องไอ้เรวะไม่มีเครื่องปรับอากาศ เป็นห้องเล็กๆบนชั้นลอยที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ด้วยความที่เป็นพื้นไม้เลยไม่น่าจะซีเรียสว่าเจ้าตัวจะนอนหนาวยาวไปจนถึงเช้า แต่ที่น่ากังวลก็คืออาการปวดเมื่อยที่จะตามมาจากนี้ต่างหาก

ผมขยับเอาหมอนที่ตัวเองยึดไว้มาสอดใต้ศีรษะของอีกฝ่ายซึ่งนอนตะแคงข้างอยู่ให้หนุนนอน พลางหาผ้าห่มมาคลุมห่มปลายขา อย่าคิดว่าผมอ่อนโยนหวังดีนะ แค่ไม่อยากถูกตราหน้าว่ามายึดห้องเจ้าของแล้วสร้างความเดือดร้อนให้ต่างหาก

“มึงจะฝันอย่างวันนั้นอีกมั้ยวะ” ใบหน้าอ่อนเพลียจนคิดได้ยากว่าเจ้าตัวจะนอนละเมอออกมาเหมือนวันก่อน เหลือบไปมองโน้ตบุ๊คของอีกฝ่ายที่ยังคงเปิดค้างไว้หน้าอีเมล ทุกฉบับที่ส่งออกล้วนมีไฟล์แนบและข้อความระบุว่า ‘ส่งงานครับ รบกวนตรวจรับด้วย’ แทบทั้งนั้น หนึ่งสองสามนับไม่ถ้วน แถมล้วนแต่เป็นอีเมลในช่วงสัปดาห์นี้

“มีเหตุผลอะไรถึงต้องทำงานหนักขนาดนี้ด้วยวะ” มึงเป็นเด็กมีแม่คอยเลี้ยง ยังไม่ได้อยู่วัยทำงานที่ต้องหาเงินเพื่อปากท้องตัวเองเสียหน่อยแล้วทำไม...

แกร่ก!!

เสียงประตูดังขึ้นกะทันหันทำเอาผมสะดุ้งรีบเงยหน้าไปมอง ร่างสูงๆของใครบางคนปรากฏกายพร้อมกับอาการค่อยๆย่องเข้ามาราวกับกลัวคนจับได้

“ไอ้บูม?” เจ้าของชื่อสะดุ้งตัวอย่างมีพิรุธ ขยับสายตามาทางผมทันที

“มึง...ยังไม่กลับไปอีกเหรอ?” ไอ้อดีตเดือนวิศวะฯมันทัก ถ้ากลับแล้วมึงจะยังเห็นกูอยู่นี่มั้ย ถามอะไรไม่คิด เดาว่ามันคงไม่อยากให้ผมอยู่ข้างๆไอ้เรวะมัน เพราะความเกลียดขี้หน้าเกินยกกำลังสิบ นับตั้งแต่วันที่บังคับให้ไอ้เรวะดื่มคาปูชิโน่แล้วมั้ง “เฮียล่ะ” อีกฝ่ายลดเสียงเป็นกระซิบกวาดตามองไปทั่วห้อง

“อยู่นี่” ผมชี้ไปทางอีกร่างที่ตายสลบเหมือดอยู่คาพื้นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร

“มึงออกมาคุยกับกูนี่” ไอ้บูมมันกวักมือเรียกผม

“ฮะ?”

“กูบอกให้ออกมา”

“แล้วทำไมกูจะต้อง...”

“ออกมาเถอะน่า” ไม่ว่าเปล่า คราวนี้ไอ้บูมมันเดินเข้ามาถึงเตียงจับแขนผมให้ลุกขึ้นเดินตามมันออกมาในที่สุดพลางปิดประตูตาม

“มึงไปนอนห้องกู”

“เพื่ออะไรวะ” อยู่ดีๆมาจับย้าย กูเป็นเพื่อนเฮียมึงก็ต้องนอนห้องเฮียมึงดิวะ

“ห้องเฮียมันอึดอัด มึงไปนอนห้องกู” เชื่อมากเลย คนอย่างไอ้บูมเนี่ยนะเป็นห่วงกู ฝันเปล่าวะ

“แล้วมึงจะไปนอนไหน”

“...” เงียบแบบนี้แม่งโคตรมีพิรุธ มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าหุ่นก็พอพอกับผม บอกตามตรงบางทีผมอาจจะตัวใหญ่กว่าด้วยซ้ำ แล้วถ้าให้คิดว่าผู้ชายสองคนไซส์ขนาดผมกับมันยัดเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกันมีหวังเตียงแม่งแตก เผลอๆฟ้าอาจผ่าด้วย

“อย่าบอกนะ ว่ามึงจะไปนอนห้องเฮียมึงแทนกู”

“กะ กูเปล่า กูก็แค่เห็นแขกมา ไม่อยากให้ลำบาก” สัด กูเชื่อ เชื่อมากเลยโว้ยยยยย

“บังเอิญกูเชื้อเจ้าว่ะ ไม่มีแขกผสม กูนอนห้องไอ้เรวะมันได้” หมุนตัวกลับทำท่าจะเข้าห้องเก่า แต่แขนแม่งเสือกโดนไอ้อดีตเดือนมหา’ลัยมันจับไว้

“กูไม่ให้มึงนอนห้องเฮียแน่”

“ทำไมวะ”

“มึงไม่น่าไว้ใจ”

“ไว้ใจ? เรื่องอะไร?”

“มึงชอบเฮียกูใช่มั้ย” เหยดเข้ ไอ้บูมมึงเอาอะไรมาพูด ตบปากของมึงเลยนะ ถึงข่าวลือจะว่าไอ้เรวะมันเป็นไบแต่ก็ไม่จำเป็นต้องเหมาโหลว่าให้กูเป็นหนึ่งในคนที่เข้าใกล้เพราะชอบมันด้วยนี่หว่า มึงต่างหากล่ะที่ไม่น่าไว้ใจ คนอะไรวะแอบย่องเข้ามาในห้องเฮียตัวเองกลางดึก แล้วถ้ามานึกๆดูแล้ว...

“เมื่อกี้ห้องไอ้เรวะมันล็อคอยู่นี่หว่า มึงไขกุญแจเข้ามาได้ไง” ปราดสายตาคมกริบเข้าใส่ เล่นเอาไอ้บูมถึงกับแสดงท่าทีลุกลี้ลุกลน สายตาล่อกแล่กของมันชวนให้ผมคิดจินตนาการไปไกลโข

“ไม่ใช่เรื่องของมึง” แต่กูเห็นผืนผ้ากระเป๋าเสื้อชุดนอนของมึงที่นูนไปตามรูปร่างกุญแจแล้วว่ะ

“งั้นกูจะนอนห้องไหนก็ไม่ใช่เรื่องของมึงเหมือนกัน” หมุนตัวกลับตั้งใจตัดจบความเร้าหรือของอีกฝ่าย แต่ที่ไหนได้ไอ้บูมกลับพ่นคำๆหนึ่งออกมาที่ทำให้ขาผมแทบหยุดชะงัก

“กูชอบเรวะ”

หา?

หันตัวกลับมามองหน้าไอ้สุดหล่อประจำมหา’ลัย มันสืบเท้าเข้ามาใกล้ทำหน้าตาจริงจังแบบเรียกพ่อเรียกแม่ อย่างนี้คงไม่ใช่แค่อำผมเล่นแล้วล่ะ

“เพราะฉะนั้นกูจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมายุ่งกับเฮียกู”


...TBC...

++++++++++++++++++++++



 :m25:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่13:: บ้านเพื่อน [12/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 12-03-2019 05:39:39
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่13:: บ้านเพื่อน


ไอ้เหี้ย....อย่างนี้คนที่อันตรายที่สุดก็คือมึงไม่ใช่เหรออออออออ


อยากจะลากเสียงอ.ในใจให้ยาวไปถึงดาวอังคาร แล้วย้อนถามไอ้บูมว่า

“ไม่ให้กูเข้าไปนอนห้องมัน แล้วมึงจะเข้าไปปล้ำมันเนี่ยนะ”

“เชี่ย...มึงพูดอะไรวะ...กู...กูไม่ได้จะเข้าไปปล้ำมันซะหน่อย” พิรุธสัด...กูเชื่อเหอะ

“กูไม่ให้เข้า” ไอ้เม่นมึงพูดอารั้ยยยย มึงจะไปแส่ยุ่งเรื่องชาวบ้านทำเพื่อ ตบปากมึง ตบปากมึง

“มึงหมายความว่ายังไง” ไอ้บูมชักสีหน้ามองตรงมา

“กูไม่ให้มึงเข้าไปทำอะไรไอ้เรวะแน่” ระหว่างที่อีกฝ่ายเผลอ ผมคว้ากุญแจห้องจากกระเป๋าเสื้อมันมาอย่างไว ใส่เกียร์หมีวิ่งรี่เข้าเปิดประตูปั๊บ ปิดประตูฉึบ ลงกลอนดังกรึ๊บ แล้วยืนหลังพิงประตู ในใจก็ร้องอู้หูนี่กรู...

ทำอะไรลงไปวะเนี่ย!!!

ปัง!!

ปัง!!ปัง!!

“เชี่ยเม่น!! มึงเปิดประตูดิวะ!!” ไอ้บูมมันตามมาโวยวายแล้ว ให้ตายกูก็ไม่เปิดให้มึงหรอก...

“ทำอะไรน่ะ” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นกลางปล้อง ไม่ใช่เสียงอู้อี้อย่างที่คนอีกฟากของประตูพึงมี แต่เป็นเสียงของคนที่...กำลังอยู่ในห้อง

ไอ้เรวะ มันตื่นมานั่งขัดสมาธิ มองหน้าผมที่ยืนขวางประตูอยู่ เล่นเอาใจกรู...หายไปกับสายลม

“มะ...มึงตื่นตั้งแต่เมื่อไร”

“เสียงขนาดนี้ ไม่ให้กูตื่น กูก็คงตายแล้วล่ะ” สัด ถามดีดีไม่เคยตอบกูดีดีสักครั้ง แถมบางครั้งก็ยังเนียนเมินกันอีก กูแค่อยากรู้ว่ามึงตื่นมาทันได้ยินคำบอกรักของไอ้บูมมันมั้ย หรือว่าที่มึงไม่ยินดียินร้ายอะไรเป็นเพราะมึงรู้ความในใจของไอ้เดือนวิศวะมัน...หา? รู้ความในใจของไอ้...

“เรวะหรือว่ามึง...” ก็ชอบไอ้บูม...

“อะไร?”

“ที่มึงพยายามทำงานแทบเป็นแทบตายนี่ก็เพื่อ...” เอาเงินหมื่นมาชดใช้...แทนไอ้บูม...

“เพื่อ?” เหมือนมันรอผมให้พูดจนจบ โดยไม่คิดจะเฉลยใดใดให้

 
...สรุปกูใช่มั้ยที่เป็นหมา...


ตุบๆๆ!! ปัง!!

เสียงทุบประตูของไอ้บูมเรียกสติผมได้อยากชะงัด เรวะมันทำท่ากระฟัดกระเฟียดก่อนย่ำเท้าเข้ามาใกล้ในจุดที่ผมยืนอยู่แล้วเตะประตูด้วยความเกรี้ยวกราด

“เชี่ยบูม!! เลิกเคาะประตูห้องซะที กูหนวกหู!!”

ความเงียบสั่งได้ เอากับมันดิ ต่อให้โหดแค่ไหนมีหรือจะสู้ไอ้เรวะคนที่มึงต้องยอมศิโรราบให้ ร่างโปร่งทำท่าหงุดหงิดไม่พอใจอยู่สักพักก็หันมาสั่งผมในระยะประชิด

“มึงนอนเถอะ พรุ่งนี้มีเรียนหนิ” สายตาสีน้ำตาลอ่อนช้อนมองขึ้นมาสังเกตอาการ ก่อนหันหลังกลับไปนั่งที่เก่า ตั้งท่าจะพิมพ์งานต่อ

“แล้วทำอย่างกับมึงไม่มี ได้ข่าวว่าเรียนวิชาอาจารย์แม่ด้วยกัน สัด อย่าบอกนะว่ามึงจะโดด” พอเปลี่ยนเรื่องพูด ก็เหมือนได้คลี่คลายความบิดเบี้ยวในใจ ให้ผมไปโฟกัสกับสิ่งอื่นได้มากยิ่งขึ้น

“กูต้องทำงาน”

“งาน? งานบ้านมึงดิ นี่มันคะแนนเข้าห้องของกูกับมึงเลยนะเว้ย” งานที่มึงจะทำมาชดใช้กรรมแทนไอ้บูมมันใช่มั้ย มึงตอบกูมา แล้วทำไมกูต้องกลับมาโฟกัสกับเรื่องเก่าด้วยฟระเนี่ย!!

“เอาน่า ถ้ามึงเห็นก็แสดงว่ากู...”

“อย่ามาใช้ประโยคเดิม อย่าให้กูต้องสอนซ้ำ ขึ้นเตียงแล้วนอนซะ”

“หงุดหงิดอะไรของมึงวะเม่น”

“กูไม่ได้หงุดหงิด” แค่ฉุนเฉียวที่จู่ๆจากหมีกูก็เป็นหมา ไม่พูดพล่ำทำเพลงผมเดินเข้าไปคว้าแขนไอ้เรวะฉุดขึ้นจนอีกฝ่ายทำหน้าตาเหรอหราใส่ ก่อนใช้แรงดันมันกลิ้งลงเตียงอย่างแรง

“ทำเชี่ยอะไรวะ เม่น!!”

“เอาดิ ถ้ามึงคิดจะทำงานก็ทำไป” สภาพที่กูล็อคแขนขาใส่บนตัวมึงเนี่ยแหละ

“อย่างนี้กูทำงานได้ที่ไหนวะ!”

“ทำไม่ได้มึงก็นอน!”

“แต่กูต้องทำงาน”

“กูบอกให้นอน!!”

“มึงทำอย่างนี้แล้วคิดว่ากูจะนอนลงเหรอวะฮะ!!”

“ไม่รู้เว้ย กูบอกให้นอนก็นอน!!” ลงไม่ลงไม่รู้ แต่ตอนนี้กูโคตรขึ้น เอากับมันดิ ดิ้นยักแย่ยักยันคิดว่าพละกำลังคนอดนอนมีหรือจะสู้อะไรกูได้ ฝันไปเถอะ

“ที่แม่มึงเตือนน่ะ ลืมไปแล้วหรือไง!!”

“เรื่องไม่ให้นอนเตียงเดียวกันใช่มั้ย ใช่แม่กูเตือนให้สีได้ แต่อย่าทำมึงเสียหายเท่านั้นเอง!!”

“สัด!!”

“สายพันธุ์เดียวกับมึงนั่นแหละ!!”

“เชี่ย!!”

“หมีเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลานโว้ย!!”

“ไอ้เวรเอ้ย!!”

“จบมากูจะเป็นนักร้องไม่ได้เป็นหมอ กูไม่ต้องเข้าเวร!!”

แหนะ เงียบไป เหนื่อยแล้วดิ ผมก็เหนื่อยว่ะ เถียงกับมันแม่งเปลืองพลังงานฉิบเป๋ง

“กูนอนก็ได้” เซอร์ไพรสฉิบหาย ไอ้เรวะมันเชื่อฟังผม

“เออ ดีแล้ว พรุ่งนี้จะได้ไปเรียนกับ...”คงโกรธเอาเรื่องอยู่ เพราะเลิกต่อปากต่อคำ แถมนิ่งไปซะอย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอเป็นตัวบอกเตือนว่าผมคิดผิด

หลับหรือแกล้งไม่รู้ หมั่นไส้ไอ้บูม กูกอดมันยาวไปจนถึงเช้าละกัน

 

 
[พาร์ตของเรวะ]
 
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หลังจากที่อดตาหลับขับตานอนมาเป็นอาทิตย์ แต่เสือกปิดท้ายด้วยการได้นอนเต็มอิ่ม เพียงเพราะเพื่อนคนเดียวของผมมันโทรมา แล้วผมเสือกตอบกลับไปตามอารมณ์ตอนนั้นว่า...ไม่ไหวแล้ว

ไอ้เม่นยังคงนอนอยู่ ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระเพื่อมของแผ่นอกที่สัมผัสหลังในจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อวานไม่รู้เกิดอะไร ไอ้คนข้างหลังผมถึงได้ออกไปเสวนากับไอ้บูม ก่อนกลับมาด้วยเสียงเคาะประตูโวยวายของไอ้น้องชายตัวร้ายดังลั่นบ้าน โชคดีที่ห้องแม่อยู่ห่างออกไป แต่โชคร้ายที่จุดจบผมกลับมาลงในสภาพนี้

สภาพที่โดนไอ้เม่นกอดเกี่ยวเป็นลูกหมีโคอาล่า แนบตัวลงมาทับแผ่นหลัง...แต่เชี่ยทำไมมันไม่มีการพลิกตัวระหว่างนอนเลยเหรอวะ ถึงได้คงสภาพก่อนหลัง บีฟอร์กับอาฟเตอร์ยังไงก็อย่างนั้น

ขยับตัวเบาๆกะเอาให้หลุด ฉับพลันกับใจฉุกคิดขึ้นได้ ถึงตอนไปแดกมาม่าในห้องเม่น วันนั้นเล่นเอาจุกจนเกือบเป็นหมัน ก็มันเล่นมาจับไข่ผม แถมยังบอกไปหน้าด้านๆว่าเป็นธรรมเนียนพื้นบ้านประจำกลุ่ม หรือว่าจะหาทางแก้แค้นคืนเอาตอนนี้ดีวะ

เขาว่ากันว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่กูจะวอล์คอินเข้าไปก่อเวรกับมึงเลยล่ะ คิดได้ก็ขยับตัวเบาๆกะพลิกหันไปเผชิญหน้า แต่ทว่า...

“ชะ...เชี่...” ตกใจจนยกมือปิดปากแทบไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายขยับตัวกะทันหัน แถมยังรัดรึงแขนย้ำหนักกว่าเก่า ส่งผลร่างทั้งร่างถูกฝังเข้าไปในอ้อมกอดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง

ชะ...เชี่ย อย่าบอกนะว่ามันตื่น...!!

ตื่น?

สัด...ตื่นจริงๆด้วย!! แต่ไม่ใช่ตัวมันนะ ท่อนล่างแข็งๆของมันเนี่ยแหละตื่นมาโดนก้นผมเต็มๆ!!

“อะ...ไอ้เม่น” ไม่ต้องคิดจะแก้แค้นตอนทีเผลอ ตอนนี้หวังเพียงให้มันรู้ตัวและเปิดตา เลยพลิกกายกลับหันมาเผชิญหน้า แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะยังไม่รู้สึก หน้าหล่อๆยิ้มเคลิ้มดูเพลิดเพลิน ไอ้เวร มึงฝันถึงอะไร ทำไมสดใสแต่เช้า ในฝันมึงกำลังวิ่งบนทุ่งลาเวนเดอร์ใช่มั้ยมึงบอกกูมา

“ไอ้เม่น”

“อื้อ”

“ไม่อื้อแล้ว เย้ย” ไม่คิดว่ากระบี่กระบองที่เคยเรียนตอนเทอมหนึ่งม.สอง จะถูกควักออกมาใช้ในวันนี้ ม้วน จีบ ย่อ ยก ชิด จ้วง แทง แม่งไม่ปรึกษา ไม่จีบกูยังไม่ว่า แต่นี่จะมาจ้วงกันเลยเนี่ยนะ ไอ้เวรเม่น...

“เชี่ย...ฮึก...” เหมือนมันรู้ว่ากูแอบด่าเลยดันตัวเข้ามาอีกหนึ่งเสต็ป “เชี่ยเม่น...ยะ...อย่าฟันกูเลย” กูขอ...หมดปัญญาหาทางหนีเลยซุกลงไปที่อ้อมอกอีกฝ่ายฝืนใจฝืนกายหลับอีกรอบ



 
[พาร์ตของเม่น]
 
รู้สึกตัวตอนที่เหมือนมีอะไรมาขยับยุกยิกบนอก พอลืมตาขึ้นมากลับเห็นหัวสีแอชเกรย์ขวางอยู่ข้างหน้าจังจัง เมื่อวานนี้ จำได้ว่าต่อสู้ฟาดฟันกับไอ้เด็กขยันโดดเรียนจนเผลอหลับไป...

แล้วไหงมาจบท่านี้ได้วะ หัวตอนเช้าโคตรไม่แล่น รู้แต่กลิ่นหอมอ่อนจางๆมันลอยเข้ามาแตะจมูก จนต้องสูดหาที่มาและไปจบลงที่หัวทุยๆของอีกฝ่าย

ตุบ...

“เบอร์รี่” ดมแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดื่มมิกซ์ฟรุตยังไงอย่างงั้น

“เม่น มึงเห็นหัวกูเป็นโป๊ยเซียนหรือไง”

“ยะ...เย้ยยยยย”

โป๊ก!!ลงไปเต็มๆที่กำแพง เจ็บฉิบหาย แต่เจ็บหัวไม่เท่าไร กูเสือกเจ็บไข่ด้วยเนี่ยดิ ทำไมวะ!!

ก้มลงไปมองเลยได้เห็นของดีเป็นน้องน้อยของกูที่ร่าเริงมีชีวิตชีวาสุดๆ จนไปหยุดที่เข่าของไอ้เรวะ!!

“มึ้งงง ยกขาขึ้นมาทำเพื่อ!!”

“กะ...ก็ขาที่สามมึงทำร้ายกูอยู่นี่หว่า” หา? แปลกโคตร ปกติถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้จะมีแต่ตอกย้ำให้กูมานั่งเขินแทน แถมยังเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเติมเกมรุกให้กลัวไปอีก แต่คราวนี้ใบหน้าใสกลับซับรอยสีเลือดจางๆ พลางกระเถิบตัวหนี พอผมจับท่าทีได้เข้าหน่อยก็ทำเป็นกระโดดขึ้นจากเตียงพูดจากลบเกลื่อน “สะ...สีกันจนได้ลูกคนที่สี่แล้วมั้ง”

หรือว่าความจริงแล้วมันก็ทำปากเก่งไปงั้น แต่คราวจริงมันก็กลัว?

“...”

“อาบน้ำเว้ยอาบน้ำ ไหนมึงบอกให้กูเข้าคาบอาจารย์แม่ไง” กล่าวทิ้งท้ายไว้แล้วก็คว้าผ้าขนหนูหนีไปเฉย ปล่อยให้ผมค้างเติ่งและเพลิดเพลินกับเม่นน้อยกลอยใจที่อารมณ์ยังไม่สร่างลงซะที

“มาร่าเริงอะไรแต่เช้าแบบนี้วะไอ้เชี่ยเม่น” เกาหัวอย่างปลงตกไปตามระเบียบ


 

 
 
“ไอ้ต๊อบวันนี้กูขอเล่นเพลงเลือดสุพรรณในร้านพี่ตี๋ได้มั้ยวะ”

“เล่นอะไรมึงหัดเตี๊ยมกูไว้ก่อน กูแกะคอร์ดไม่ทัน”

“แต่กูว่าไอ้เม่นมันแกะได้ว่ะ”

“แกะอะไรวะ”

“นอนนับแกะร่วมกันจนหลับฝันไป”

“ฮิ้ววววววว เอา!! มาด้วยกันไปด้วยกันเลือดสุพรรณเอ๋ยยย”

สัด...ไอ้พวกนี้ มันเล่นร้องเพลงประสานเสียงล้อกูแต่เช้า ทันทีที่เห็นผมเดินเข้าใต้ถุนมาหลังจากแยกทางกับไอ้เรวะซึ่งผมให้มันนั่งซ้อนท้ายไอ้เบิ้มตามติดมาด้วย พวกมันก็ชวนป๋วยปี่แปกอเป็นเพื่อนอกตัญญูร้องเพลงจนกูไม่กล้าเดินเข้าตึก

เพราะเมื่อคืนนอนดึกแท้ๆ ไม่งั้นคงย้อนกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยไม่ต้องมาทั้งสภาพที่ยืมเสื้อนักศึกษาของตัวเองจากเรวะ แล้วรีบขับมาเรียนคาบเช้าเพราะตื่นสายหรอกแม่ง สงสารตัวเอง

พอย้ายตัวลงนั่ง รอยยิ้มกรุ้มกริ่มจากเพื่อนทั้งสามคนก็ส่งตรงมา

“มองหาพ่องหรือไง”

“อะไรวะ คืนเดียวก็ติดเลยเหรอ เชี่ยเม่นแม่งโคตรเจ๋ง”

“เชี่ยคีย์มึงจะมีหลานแล้ว”

“หลานบ้านมึงดิ”

“บ้านไอ้ต๊อบคนเดียวทีไหน บ้านกูด้วย เชี่ยกูกำลังจะมีหลาน” ไอ้หงส์แม่งโอเว่อร์แอคติ้งวิ่งไปรอบใต้ถุน “กู-กำ-ลัง-จะ-มี-หลาน!!”

“สัดหงส์มึงเลิกบ้าได้แล้ว” ดีที่ไอ้ต๊อบยังพอมีระดับความเป็นคนอยู่บ้างถึงลากเพื่อนตัวดีกลับมานั่งที่เก่า นึกแปลกใจว่ากูไม่ได้เล่าอะไรให้พวกมึงฟัง แล้วก็ไม่ได้นั่งอัพไอจีสตอรี่ที่ไหนแล้วทำไมมันถึงรู้ได้ว่ากูค้างบ้านเรวะวะ หรือว่าเมื่อวาน...

“พวกมึงแอบสะกดรอยตามกูเหรอ” ชี้หน้าคาดโทษไปหนึ่ง แต่พวกมันกลับชักสีหน้าอึ้งๆใส่ ยกมือขึ้นตบไหล่กูระวิง

“ไอ้เม่น มึงนึกว่า มึงอยู่ในหนังเจมส์บอนด์หรือไงวะเพื่อน” เชี่ยไม่ใช่เหรอวะ..ระ..หรือว่า...

ชักมือถือขึ้นมาจิ้มไปหน้าเพจประจำ แต่จนแล้วจนรอดไถไปจนถึงสามวันให้หลังก็ยังไม่เห็นภาพที่เข้าข่ายอะไร

“ไถให้นิ้วกุดเท่าไอ้จ้อนมึงก็หาไม่เจอหรอก ช่วงนี้พี่ดิบมันป่วย” อ้าวเฮ้ย ที่หายไปเพราะป่วยเหรอวะ

“แล้วทำไมพวกมึงถึง...”

“รู้ว่ามึงไปนอนบ้านไอ้เรใช่มั้ย" สัดพูดมาแบบนี้ขยี้กูให้จมดินเลยดีกว่า

“ทำไมพวกกูถึงรู้ หึหึ เป็นคำถามที่ดี” มือกลองประจำวงกอดอกหลับตาทำท่าเหมือนผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน ก่อนเสียงนิ่งๆของเพื่อนมันจะแทรกเข้ามา

“แม่มึงโทรหาพวกกูทั้งสามคนกลางดึก โวยวายถามว่าลูกชายแกอยู่ไหน มีไปหาพวกกูมั้ย”

“ไอ้ต๊อบ ไอ้เพื่อนเวรให้กูตอบดิวะ อย่าตัดหน้ากู”

โธ่ที่แท้...ตัวการทั้งหมดก็มาจากคุณอลิซ่า...ทำไมไม่เฉลียวใจตั้งแต่แรกวะ ว่าแม่กูทำไมถึงได้รู้ว่ามาบ้านไอ้เรวะมัน ปวดตับกันล่ะคราวนี้

“ไอ้เม่นมึงเป็นอะไร ปวดท้องเหรอ” ไอ้คีย์ทักเพราะคงเห็นท่าทางกุมท้องราวกับโรคกระเพาะกำเริบของผม หากคราวนี้มันกลับมวนแปลกๆเหมือนไส้กำลังบิด แถมเหมือนมีน้ำย่อยไหลคร่อกแคร่กโครกครากอยู่ในท้องไม่หยุด

“นิดหน่อย” รู้สึกเหมือนอากาศรอบกายร้อนขึ้นมาดื้อๆ จนเหงื่อผุดไหลซึมออกมา

“หน้าตามึงดูไม่เหมือนนิดหน่อยแล้วล่ะ ไปห้องพยาบาลมั้ย”

“ไม่เป็นไร กูขอไปห้องน้ำ” ลุกจากเก้าอี้ด้วยความรู้สึกทรมานไปหมด มันเหมือนมีใครมาบิดลำไส้ราวกับต้องการให้ผ้าที่ตากไว้แห้ง เสียงไอ้หงส์ก็ตะโกนไล่หลังว่ากูไม่มีสิทธิ์จะมาท้องเสียถ้ากูยังไม่ได้เป็นเมียใคร ไอ้ฟายเลิกล้อกูสักทีกูปวดขี้!!
 


 

“ไอ้เม่นล่ะ”

ทันทีที่ก้าวเข้ามาถึงสโลป ตรงจุดที่แก๊งเพื่อนสามคนแห่งวงซิงโครแก๊งดนตรีของไอ้เม่นมันนั่งอยู่ สิ่งแรกที่ผมทักได้คือการถามหาใครสักคนซึ่งไม่ได้ปรากฏตัว ณ ตรงนี้

ชื่อวงซิงโครเพิ่งได้ยินครั้งแรกตอนบังเอิญไปเจอไอ้เม่นที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ตอนพาไอ้บูมไปเคลียร์อะไรหลายๆอย่าง ส่วนความหมายก็ได้ฟังมาจากไอ้เด็กเสิร์ฟตัวดีที่ยกเบียร์ฟรีมาให้ ซิงโครที่แปลเป็นภาษาไทยว่าการประสานเวลา หรือการทำให้เข้าจังหวะกัน ไอ้เม่นเคยเล่าความหมายนั้นในวันแรกที่ขึ้นเวทีว่าถึงพวกมันจะต่างคนต่างที่มา แต่ก็พร้อมจะประสานเวลาและเสียงเพลงไปในจังหวะที่เข้ากัน เพื่อให้คนฟังมีความสุขร่วมไปกับพวกมันได้ คมไปอีก

และมันก็เคยทำให้ผมมีความสุขกับเพลงกล่อมนกกาเหว่าของมันโดยที่นอนไม่หลับทั้งคืน...

“ไอ้เม่นมันกลับไปแล้ว” คราวนี้คนที่จำได้ว่าเป็นแฟนกับเพื่อนร่วมเอกของผมมันตอบ

“กลับ?”

“มันไม่สบาย เห็นว่าท้องเสียจนอยู่ต่อไม่ไหว เลยขับไอ้เบิ้มกลับไปแล้วน่ะ” คนตัวสูงๆที่นั่งอยู่ริมสุดหน้าตาดูดีรองมาจากไอ้เม่นบอกต่อ

“มึงก็ไปเฝ้าไข้มันดิวะ” ส่วนเสียงเจื้อยแจ้วตรงนี้คงมีเพียงไอ้ตัวเล็กที่อยู่ตรงกลาง มันชะโงกหน้าออกมาพลางป้องปากกระซิบ “ไหนๆคาบนี้ก็เช็คคู่แล้ว มึงมีแผนที่มั้ยเดี๋ยวกูแชร์โลเคชั่นให้”

ในที่สุดไอดีแอพแชทแห่งปี จากที่มีเพื่อนหนึ่ง น้องหนึ่ง พี่ที่ติดต่อเรื่องงานสอง กลายเป็นมีเพื่อนไอ้เม่นเข้ามาตั้งวงกลุ่มเฟรนด์แบบไม่ทันตั้งตัว

 
Hong Kon Narak
อ่ะ ที่อยู่บ้านไอ้เม่น
ให้กูกดGrab Bike ให้เลยมะ


Leave me alone
ไม่เป็นไร

KEYYAM
สติ๊กเกอร์โคนี่ขยับแขนแกว่งแทมบูรีนไปมา


Tobbylife is music
สติ๊กเกอร์เจมส์เขย่าลูกแซกไปมาอย่างออกรส

 

แค่ไปบ้านไอ้เม่นเพื่อเฝ้าไข้มันต้องเชียร์กันขนาดนี้เลยเหรอวะ...งง



ผมเดินออกจากมหา’ลัยไปต่อรถเมล์ ถามพี่พนักงานเก็บสตางค์เท่าที่พอถามได้ว่าถ้าขึ้นสายนี้จะผ่านมั้ย ถึงป้ายเมื่อไรให้เรียก จนกระทั่งมาถึงซอยของบ้านที่ปรากฏในโลเคชั่น แล้วเดินมาหยุดยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง...

“เชี่ย...หลังนี้เหรอวะ” ใหญ่บ้านพ่อบ้านแม่ ถ้าไม่ติดว่าเป็นสไตล์โมเดิลขนานแท้จนทำให้ดูกลมกลืนไปกันรอบข้าง ผมคงเรียนไอ้บ้านสามชั้นนี้ว่าคฤหาสน์

พอสอดส่ายสายตาลอดผ่านรั้วบ้าน ก็เห็นความคุ้นเคยมาจากไอ้บิ๊กเบิ้มที่จอดนิ่งตรงทางเข้า ไม่ผิดแน่นี่บ้านไอ้เม่น มองซ้ายมองขวาหากริ่งเรียก ช่วงจังหวะจะเอื้อมมือไปกดกลับโดนใครบางคนทักไว้

“มาหาใครจ๊ะ” หมุนตัวปลิวไปตามเสียง ร่างเพรียวๆของหญิงสาวหน้าตาสะสวยปรากฏในม่านสายตา เชี่ยแม่งใครวะสวยขนาด แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงหน้าบ้าน...

“คะ...ครับ”

“หรือว่า จะเป็นคนรู้จักของคุณเม่น”

“เอ๊ะ?” คุณเม่น?

“เข้ามาก่อนสิ เข้ามา” เธอเดินไปตรงประตูเล็ก ในมือที่ถือถุงพลาสติกพะรุงพะรังพยายามจะล้วงกระเป๋าอะไรบางอย่างแบบทุลักทุเล

“หะ...ให้ผมช่วยถือมั้ยครับ” ยื่นมือเข้าไปคว้าถุงพลาสติกเหล่านั้นมาจากมือ ผมแอบเห็นหนึ่งในนั้นที่เธอถือมีถุงพลาสติกสีขาวที่ใส่ซองยารวมอยู่ด้วย

“ขอบใจนะจ๊ะ” รอยยิ้มสวยส่งมาให้โคตรเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจ ผมเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องอะไรกับบ้านนี้ แต่เมื่อกี้เธอเรียกไอ้เม่นว่าคุณเม่น หรือจะเป็นแม่นม? แม่บ้าน? หรือแม่ทูนหัวของไอ้เม่นมันกันวะ ได้แต่กระพริบตาปริบๆมองการกระทำของอีกฝ่าย จนหญิงสาวเปิดประตูได้ ก็กวักมือหยอยๆเชื้อเชิญให้เดินตามเข้าไป


 
สาบานนี่เรียกว่าบ้าน ไม่ใช่สนามฟุตบอล กว้างเสียยิ่งกว่าห้องผมเกินสิบเท่า ผมเดินตามหญิงสาวคนที่ทักให้ผมเข้ามาจนถึงห้องๆหนึ่งซึ่งเดาว่าเป็นห้องรับแขก มีโซฟาหลังใหญ่วางอยู่กลางห้อง พร้อมทีวีOLEDจอเท่าหนังกลางแปลงที่แถวบ้านผมสมัยเด็กๆชอบฉาย บันเทิงตาฉิบหายเลย

“มาจ้ะเอาของมานี่ เดี๋ยวเรานั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวเอาน้ำมาให้” พูดจบก็ตั้งท่าหมุนตัวไปอย่างไวจนต้องตะโกนรั้งไว้

“ดะ เดี๋ยวครับ ไม่ต้องลำบากก็ได้”

“หืม?” เธอหมุนตัวกลับมาทำท่าสงสัย

“ผมแค่จะมาเยี่ยมไอ้เม่นมันแล้วก็กลับ เห็นเพื่อนมันบอกว่าไอ้เม่นมันท้องเสีย”

“เพื่อน? นี่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับคุณเม่นเหรอ”

“เปล่าครับ แค่เพื่อนจับคู่ทำกิจกรรม”

“ก็ว่าแล้ว หน้าตาไม่คุ้น”

“...” แสดงว่าอีกสามคนน่าจะมาบ้านนี้บ่อยถึงได้รู้จักมักคุ้นกับคนของที่นี่ ระหว่างที่คิดอะไรกับตัวเองเพลินจู่ๆก็มีสายตาคมกริบปาดแทรกเข้ามาจนขนลุก ผมเงยหน้าขึ้นมองสบตาของอีกฝ่ายที่เดาได้แค่ว่าเป็นแม่บ้าน ก่อนจะตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว อะ...อะไรวะ...สายตาแบบนี้...

“เราชื่ออะไรน่ะ”

“ครับ?”

“ถามว่าเราชื่ออะไร”

“อะ...เออ” ควรจะตอบชื่อเล่นหรือชื่อจริงไปกันวะเนี่ย ในที่สุดพอคิดว่าไม่มีทางเลือกจึงเอ่ยบอกชื่อเดียวที่ไอ้เม่นมันเรียกจนติดปาก ถึงแม้ความจริงผมจะไม่ค่อยชื่นชมมันสักเท่าไร

“เรวะครับ”

“เรวะ?”

“คะ...ครับ เรวะ”

“เรวะ?”

“ครับ”

“หนูเรม”

“หา?”

“อ้าว ผู้ชายเหรอเนี่ย คิดว่าผู้หญิงซะอีก”

“เอ๊ะ?” กูชักจะงงใหญ่แล้ว

“ก็เห็นเม่นเล่าให้ฟังทุกวัน ตอนแรกก็ไม่คิดหรอก ว่าคนหน้าตาหล่อคมขนาดนี้จะเป็นเพื่อนเม่นสามคนที่เคยเจอ”

“...”

“แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นหนูเรมที่เม่นเล่าให้ฟัง”

“หา?” เธอปล่อยจากถุงพลาสติกทุกสิ่งอันแล้วยื่นมือมาจับไหล่ผมไว้มั่น

“นี่เราเป็นแฟนกันจริงๆใช่มั้ย”

หา!!!?????

“แม่ผมฝากไปซื้อยาแล้วมานั่งทำอะไร...” เสียงทุ้มดังแทรกจังหวะลุ้นระทึกทุกหมู่มวล คนสองคนหันหัวไปตามที่มา ปรากฏภาพกายสูงเบื้องหน้าที่ยืนพิงวงกบกุมท้องทำหน้าซีดอยู่ข้างประตู

“ไอ้เม่น” เมื่อกี้มันว่ายังไงนะ หันหัวกลับมามองหน้าสาวสวยที่พึ่งกล่าวหาว่าผมเป็นแฟนไอ้เม่นมันไปหยกๆ “แม่?” รอยยิ้มสวยหวานส่งตรงมาให้ผมอีกครั้ง

“จ้ะ อลิษา หรือว่าแม่เม่นเอง ขอโทษนะที่เผลอปลอมตัวเป็นแม่บ้านน่ะ”

หา!!!!!!!


...TBC...
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่13:: บ้านเพื่อน [12/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 12-03-2019 23:10:49
ชอบความปลอมตัวเป็นแม่บ้านของแม่เม่นน
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่13:: บ้านเพื่อน [12/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-03-2019 03:32:01
อย้างฮานะคุณ​แม่​บ้าน​
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่13:: บ้านเพื่อน [12/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 13-03-2019 14:06:58
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่14 :: สัญญาต้องเป็นสัญญา [14/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 14-03-2019 18:21:35
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่14 :: สัญญาต้องเป็นสัญญา


ลำไส้มันมีทางเชื่อมโยงต่อไปยังประสาทสมองจนเห็นเป็นภาพหลอนเลยเหรอวะ


สาบานได้ว่าเมื่อกี้ผมเห็นเรวะมันนั่งอยู่ที่โซฟากำลังเสวนากับคุณอลิษาในห้องรับแขกที่บ้าน หากแต่ยังไม่ทันได้ยืนยันตัวตน ก็ต้องลากสังขารคนป่วยอาหารเป็นพิษมาปวดบิดอยู่ในส้วม เพราะอาการมวนท้องมันกำเริบเสิบสาน ผลักดันให้ของเสียทั้งหมู่มวลไหลดั่งลำธารที่แยกสาขามาจากแม่น้ำฮวงโห ลงสู่โถอันเป็นจุดหมายปลายทาง

โครกกกกกกกก

รอบที่เท่าไรของวันแล้ววะ เรียกว่าท้องเสียคราวนี้อย่างกับดีท็อกซ์ลำไส้แอดวานซ์ไปถึงชาติหน้า วัตถุอันตรายที่เข้าข่ายต้องสงสัยให้นึกยังไงก็ไม่ออก ของที่กินเมื่อวานก็โคตรแสนธรรมดาตื่นมาจัดโจ๊กริมทาง กลางวันตามด้วยข้าวมันไก่ สุดท้ายก็มาลงที่ไข่เจียวหมูสับฝีมือคุณแม่ แล้วกูแพ้อะไร นั่งทางในเพ่งจิตพินิจอยู่สองสามทีก็ให้มีเสียงเคาะประตูขึ้นขัด

ก๊อกๆๆ

ใครมาขัดจังหวะตอนคนกำลังขี้วะ

“มีใครอยู่มั้ยครับ เข้านานแล้วนะ ให้คนอื่นเข้าบ้าง”

สัด เสียงไอ้เรวะ กวนตีนฉิบหาย ก่อนจะพูด ถามตัวเองก่อนมั้ยว่านี่ใช่ห้องน้ำสาธารณะเปล่าเนี่ย!!

“มะ...มึงจะไปไหนก็รีบไปเลยไป อย่ากวนตีน” ด่าในใจแรงได้ แต่พอเปล่งเสียงออกมากลับไร้พลัง ปากมองผ่านกระจกนี่ซีดอย่างกับไปหลงในทะเลทรายมาสามวันเจ็ดคืน

“เม่น” เสียงอีกฟากของประตูทักขึ้นมา

“อะไร”

“มึงตายยังวะ”

“จะดมกลิ่นกูอีกหรือไง” แน่จริงเข้ามาดิ คราวนี้ได้ตายเพราะกินขี้มากกว่ากลิ่นตัวกูแน่นอน

“ไม่ได้มาดม แต่จะมาดู”

“มาดู? มาดูอะไร อย่าบอกนะว่ามาดูกูขี้?”

“มาดูว่ามึงอาการเป็นไงบ้าง”

โครกกกกกกก

เสียงสั่งลาก๊อกสุดท้ายดังตัดจบ ลากสังขารกึ่งสัตว์ไร้กระดูกสันหลังลุกขึ้นมาล้างไม้ล้างมือ แล้วเดินไปเปิดประตูเผชิญหน้ากับคนด้านนอก

“ก็อย่างที่เห็น” มันมองหน้าผมสักพัก ก่อนทำตาโตยกสองมือขึ้นปิดปากทำท่าราวกับนางสาวไทยได้รับตำแหน่งพร้อมมงกุฎและสายสะพาย แล้วยกมือขึ้นแตะตัวผมเป็นระวิง “เชี่ย! ทำไรวะ”

“มึง...”

“อะไร”

“มึง”

“เป็นห่าอะไรของมึง”

“ยังมีชีวิตอยู่” สัด...เล่นใหญ่เว่อร์

“กูเป็นเทวดาอยู่บนโลกมนุษย์มาโปรดสัตว์อย่างมึงต่างหาก ไอ้หมีแพนด้า” ว่าแล้วก็เอามือที่พึ่งล้างตูดมาตบหัวลูบหน้าแม่งซะเลย แหนะมีขำ ยังไม่สำนึก ต้องให้กูเกรี้ยวกราดขนาดไหนมึงถึงจะเข้าใจอารมณ์โกรธกูวะ

“เห็นมึงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

“ไม่เป็นไรที่ไหนล่ะ ถ้านับรวมเวลาวันนี้กูแม่งแทบจะสิงสู่ในห้องน้ำได้เลยนะเว้ย นี่รอบที่ห้าแล้วนะ รอบที่ห้าน่ะ”

“สงสารตูดมึงว่ะ” คนที่มึงควรสงสารคือกูนี่!!

“ว่าแต่มึงเถอะ มาได้ไงวะ มึงรู้จักบ้านกูได้ไง”

“กูแอบติดจีพีเอสไว้กับตัวมึง”

“เชี่ย...” ไหนวะ กระเป๋ากางเกง...ไม่มี กระเป๋าเสื้อ...ไร้ร่องรอย ใต้รองเท้า...สัดกูใส่รองเท้าในบ้านเปล่าวะ “เชี่ยเรวะ มึงแม่งเล่นมั่วอีกแล้ว...”

“ขนมเปียกปูนกะทิสดที่มึงกินไปเมื่อวานต่างหาก...”

“...!!??” กะ...กูกลืนมันเข้าไปหรือวะ เหมือนเรวะมันอ่านความคิดปัญญาอ่อนของผมออก เลยมองตอบทำหน้าจริงจัง

“ไม่ใช่จีพีเอส กูหมายถึงเชื้อจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสที่มึงกินเข้าไปจนทำท้องเสียต่างหาก”

“หา? เปียกปูน? จุลินทรีย์?”

“ใช่”

“ที่มึงป้อนกูเมื่อวาน?”

“เออ ถึงจะคำเดียวแล้วนอกนั้นมึงแม่ง ก็ยัดปากกินเองคนเดียวหมดเถอะ” มีเหน็บกูอีก

“เป็นไปได้ไงวะ”

“บนฝามันเขียนวันหมดอายุมาเป็นอาทิตย์แล้ว กูเพิ่งสังเกตเห็นตอนเช้า แต่ดูมึงไม่เป็นไรเลยไม่พูด เพราะคิดว่าภูมิดี” ส่วนตอนนี้กูกำลังจะไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว ถ้าขืนกูยังแขกตี้อย่างนี้ต่อไปอ่ะนะ

“ตอนกินก็ไม่เปรี้ยวอะไรนี่หว่า”

“เป็นเพราะว่ามีคนป้อนรึเปล่า?” จบประโยคผมเงยหน้ากะจะขึ้นมาต่อว่าไอ้เรวะเต็มที่ ว่าแซวอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่มันกลับทำหน้าเหรอหราส่ายหัวดิก บอกว่าผมไม่ผิด ผมไม่ได้พูด...แล้วใครพูดวะ...

โยกหน้าออกไปให้พ้นรัศมีหัวทุย ไอ้สัดชัดเลยครับ ใครบางคนแม่งยืนคล้อยหลังไปอีกสามก้าว เท้าสะเอวมองตรงมาราวกับโพสต์ท่าในนิตยสารโว้ก ผมเนี่ยกลืนน้ำลายลงคอทันทีเพราะคงหนีไม่พ้น...

“มะ...แม่” ซีดให้ถึงที่สุดแล้วหยุดที่เป็นลม อะไรจะเจอเหตุการณ์เซอร์ไพรส์ได้คอมโบขนาดนี้วะเนี่ย “ยะ...ยืนทำไรอยู่ตรงนั้นอ่ะ”

“ยืนมองดูลูกชายตัวดีกำลังจู๋จี๋ดู๋ดี๋กับแฟนตัวเองอยู่”

“ฟะ แฟนเฟินที่ไหน ใครแฟนใครไม่มี๊” ดัชนีชี้มาตรงนี้เต็มๆเลยเว้ยเฮ้ย “เฮ้ยนี่เพื่อนโผ้มมม”

“หรา”

“ครับ สนิทมากกก” คว้าไหล่มากอดแม่ง แสดงความซี้ย่ำปึ้ก “เนอะเรวะ” พยักเพยิดส่งซิกขยิบตายิกๆให้ ช่วยกูดิวะ มึงต้องช่วยกู

“ช่วยอะไร” คนข้างกายถามพลางทำหน้าสงสัยไปถึงดาวอังคาร จนผมต้องขยับปากเข้าไปใกล้กระซิบเข้าใบหู

“ก็แค่ช่วยตอบว่า‘ครับ’ออกไปยังไงล่ะวะ”

“เราน่ะ” สะดุ้งทันทีที่คุณอลิษาเอ่ยแทรกขึ้นมาจนสองสายตาต้องหันไปหาพร้อมกัน

“คะ...ครับ” เรวะมันเอ่ยตอบ เออให้ได้อย่างนี้ดิ

“เป็นเพื่อนเม่น”

“ครับ” ดีดี เป็นงาน

“ชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน”

“ครับ” แจ๋วว่ะเพื่อนกู

“สนิทกันมาก”

“ครับ” เยี่ยมไปเลย

“สนิทจนหอมแก้มกันได้เลยเนอะ”

“ครับ!”

โอ้โห้ แค่นั้นแหละ... ไอ้เหี้ย ใครบอกให้มึงตอบรับประโยคนี้วะ!!

“ไหนลองหอมให้แม่ดูหน่อยสิ”

“เอาไงอ่ะมึง” มันเอาศอกกระทุ้งผม สายตาแวววาวพราวระยับจนแอบเสียวว่ามันจะจบด้วยคำว่า ‘ครับ’ ตอบรับแม่กูอีกรอบ

“ไม่ต้องเอางงเอาไงแล้ว มึงจะบ้าจี้ตามแม่กูไปทำไมวะ”

“หึ...” อย่าขำดิคุณอลิษานี่ไม่ใช่เวลาจะมา...หา? แม่กูขำ? “ชอบแฟนลูกชายจัง”

“เฮ้ยแม่ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แฟนไม่ใช่แฟน” แล้วถ้าชอบก็หย่าร้างจากคุณนพสินธุ์ไปอยู่กินกับมันเลยดิครับ

“เอาเถอะจะแฟนหรือไม่ แม่จะเป็นคนตัดสินจากพฤติกรรมพวกเราสองคนเอง เพราะฉะนั้นพวกเราเลิกคุยกันตรงนี้แล้วไปหาอะไรทานกันเถอะ ส่วนเราน่ะต้องไปทานยา เข้าใจมั้ยเม่น”

“ครับ” อ้าวแม่สั่งผมแต่ไอ้เรวะเสือกตอบ ผมถึงกับหันไปมองหน้ามัน

“ไม่ต้อง ‘ครับ’ แล้ว ล่มตั้งแต่ตอนมึงหอมแก้มกูแล้วนั่น”

“ครับ”

“ยังอีก”

“ครับ”

“ไอ้เรวะ”

“ครับ”

“โอ๊ยยยแม่งงง!!”

คราวนี้ถึงได้รู้ว่าอาการท้องเสียมันมากับประสาทเสียได้ฉันท์ใด ไอ้เรวะก็มากับความกวนตีนได้ฉันท์นั้น

 
 

 
ถึงแม้แม่ผมจะกล่าวคำชักชวน แต่สภาพอาการของคนป่วยท้องเสียก็ไม่เอื้ออำนวยเพียงพอกับการมานั่งฝืนทนตรงโต๊ะอาหารรับประทานข้าวสวยลงท้อง ผมเลยเลือกที่จะมานอนพักแล้วไล่เรวะกลับบ้าน หากหัวถึงหมอนไม่ครบสิบวิเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏกายของใครบางคนที่ถือชามมีควันร้อนๆเดินลอยชายเข้ามา

“ยังไม่กลับอีกเหรอวะ” ร่างโปร่งเหลือบสายตามอง พลางเดินเข้ามาใกล้

“อยากให้กลับเหรอ”

“เปล่ากูนึกว่ามึงกลับไปแล้วซะอีก”

“ภารกิจกูยังไม่เสร็จ”

“ภารกิจอะไร”

“ป้อนโจ๊กมึง” ของร้อนในมือถูกวางลงข้างหัวเตียง พอมองลงไปก็เห็นโจ๊กหมูที่แสนคุ้นตาเดาได้เลยว่าเป็นร้านประจำที่ผมกับมันเคยไปกินด้วยกัน

“นี่อย่าบอกนะว่ามึงจริงจัง” คำสัญญาที่เคยให้กันครั้งที่ผมโดนประนามว่าท้องเสียหลอกๆไอ้เรวะยังจำได้อยู่

“กูสัญญาแล้ว”

“ไม่เห็นจะต้องคิดมากเลย กูก็พูดไปงั้น”

“กับเรื่องมึงกูจริงจังเสมอ มึงสำคัญสำหรับกู...” ทั้งที่ควรจะชินกับคำหยอดพร่ำเพรื่อไม่ดูสถานการณ์ของมันได้แล้วแท้ๆ แต่มาครั้งนี้ประโยคเดียวเล่นเอาแทบกลั้นหายใจ ผมมองลึกเข้าไปในแววตาไร้การเสแสร้งนั้น

ก่อนพวกเราจะพบกัน ผมไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะมีโอกาสได้มาเข้าใกล้ตัวอันตรายที่สุดในมหา’ลัยอย่างเรวะ เพราะใครๆต่างก็รู้จักมันแต่ในแง่ร้าย คนที่ทำได้แม้แต่การลักเล็กขโมยน้อย หาเรื่องชกต่อยคู่อริจนปางตาย หรือแม้กระทั่งหลอกผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัวมันไปทำมิดีมิร้ายยังเคยมาแล้ว หากแต่พฤติกรรมเล็กๆน้อยๆที่ผมได้สัมผัสจากตัวมันกำลังลบล้างเรื่องราวในอดีตที่ได้ฟังจากปากคนอื่น คำจำกัดความคำเดียวที่ผมหาได้จากผู้ชายคนนี้คือความ...น่ารัก...

เฮือก!! ขนอ่อนลุกชันทั่วสรรพางค์ เมื่อครู่ผมว่าอะไรไปนะ เมื่อกี้ผมว่าไอ้เรวะมันน่ารักเนี่ยนะ!!ว้อท เดอะ ฟ้าคคคคค

ยีหัวจนหนังศีรษะหลุดติดมือมาเป็นของแถม สงสัยพฤติกรรมนี้มันไปสะกิดต่อมกังวลกลัวผมจะเป็นบ้า ไอ้เรวะเลยถามขึ้นมา

“เม่นมึงเป็นอะไร”

“กูกำลังจะเป็นบ้า”

“งั้นมึงกินยากับโจ๊กแล้วค่อยเป็น” เอากับมันดิ คนจะเป็นบ้ายังห้ามให้มากินยากับโจ๊กอีก ร่างโปร่งกระโดดขึ้นมาบนเตียงทั้งที่มือถือชามโจ๊ก หย่อนตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างผมแล้วเริ่มหยิบช้อนตักโจ๊กขึ้นเป่าแล้วยื่นให้ “ชามนี้เพื่อมึงเลย ไม่มีเครื่องใน ใส่หมูสับกับปาท่องโก๋”

“ทำไมต้องลงทุนขนาดนี้วะ”

“ก็บอกแล้วไงว่ามึงสำคัญสำหรับกู...”

“...”

“มึงเป็นเพื่อนกู”

“ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่มึงแม่งไม่เหมือนไอ้คีย์ ไอ้ต๊อบ แล้วก็ไอ้หงส์ว่ะ”

“ยังไง”

“กูก็บอกไม่ถูกว่าทำไม”

“เพราะกูเป็นเพื่อนสนิทมึงแล้วไง”

“ยัดเยียดกูจัง” ไม่ใช่แค่ยัดฐานะนี้ให้นะ แม่งเล่นยัดโจ๊กใส่ปากกูไม่ให้ตั้งตัวได้อีก

“มึงท้องเสีย มึงก็ต้องกินของอ่อนๆ กูเคยเป็นมาก่อน กูรู้”

“ดูมึงสตรองกับชีวิตจังนะ” เพราะเป็นโจ๊กเลยทำให้กลืนง่ายจนมีปัญญามาต่อปากต่อคำมันอีก

“เพราะกูไม่มีใครไง”

“...”

“เมื่อก่อนต้องกินของค้างคืนบ่อยเลยท้องเสียง่าย ยายกูก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก ไม่มีเวลามาอยู่ดูแลกู อย่างที่กูดูแลมึงตอนนี้หรอก” มันตักโจ๊กคำที่สองเข้าปากผม ขะมักเขม้นเสียจนไม่สนใจสายตาคนป่วยที่จ้องใบหน้ามันมานานแล้ว

“มึงไม่ได้อยู่กับแม่?” ในที่สุดสายตาก็ประสานกัน อีกฝ่ายแสดงท่าทีราวกับชั่งใจว่าควรจะไปต่อดีมั้ย “เล่ามาดิ กูอยากรู้” ผมแย่งช้อนจากมือมันมายูเทิร์นโจ๊กเข้าปากอีกฝ่าย เสียงอุทานแบบไม่ได้เตรียมใจกับพฤติการณ์ดังกล่าวเล็ดลอดมาจากลำคอขาว เจ้าตัวกลืนโจ๊กเข้าคอมองกลับมาตาโต

“เม่นมึง...”

“มึงก็ยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่เหรอ”

“รู้ได้ไง”

“กูเห็นไลน์ไอ้หงส์ มันบอกว่ามึงโดดคาบตั้งแต่อาจารย์แม่ยังไม่เริ่ม แล้วก็มาหากูเลย” คาบนั้นมันก่ำกึ่งตอนเที่ยง ถ้ามึงมาได้ไวขนาดนี้เห็นที่จะไม่ได้เรียกว่ากินแล้ว เรียกว่ายัดเลยดีกว่า

“แต่นี่กูซื้อมาให้มึง”

“กินด้วยกันก็ได้”

“แต่น้ำลายกูจะลงไป..”

“จูบทางตรงยังทำได้ แล้วนับประสาอะไรกับจูบทางอ้อมด้วยช้อนโจ๊กวะ”

“...!!”

นั่นไงล่ะ กูว่าแล้ว หน้าเรวะนี่ขึ้นสีแบบไม่มีปรึกษาเจ้าของ รู้สึกสังหรณ์ใจตั้งแต่ตอนไอ้เม่นน้อยมันโด่จนไปเบียดคนร่วมเตียงให้เอียงอายแสดงอาการขัดเขินจนต้องเดินหนีเข้าห้องน้ำไปแล้ว

“จีบกูได้ แต่อย่าอายเอง เข้าใจ๋?”

“กูไม่ได้อาย” เถียงดื้อๆเลยเว้ย

“งั้นเล่ามาว่าตอนเด็กๆมึงอยู่กับใคร”

“อยู่กับยาย”

“แล้วแม่นิ”

“แม่ก็อยู่ด้วย แต่กูต้องพยายามไม่เผชิญหน้ากับเขา”

“ทำไม?” ไม่เผชิญหน้ากับแม่แท้ๆเนี่ยนะ แม้กับคุณอลิซ่าผมยังต้องเผชิญหน้าแทบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไหนจะเรียกกินข้าว อาบน้ำ ทานขนม สารพัด

“ถ้าเขาเห็นกู เขาจะเป็นบ้า”

หา?

“ยายบอกว่าแม่กูเป็นโรคประสาทอ่อนๆ ตั้งแต่ตอนคลอดกู เคยไปหาหมอแล้ว แต่เขาบอกว่าน่าจะเกิดจากความเครียดสะสมของคนที่กำลังท้อง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร"

"..."

"แต่ใจลึกๆกูกลับคิดว่ามันไม่ใช่..."

"..."

"เอาเถอะ แค่ตอนนี้เขาหายดีก็ดีแล้วล่ะ มึงอย่าเก็บเอาเรื่องนี้มาคิดไม่ดีกับแม่กูเลยนะ กูขอ" เจ้าตัวฝืนยกยิ้มทั้งที่ในใจคงมีเรื่องราวหลายอย่างตีกันไปมา

ยิ่งค้นลึกลงไป ก็ยิ่งมีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่รู้ อยากจะถามแต่ก็กลัว กลัวว่าผมยังไม่สนิทเพียงพอที่จะเล่า กลัวความสัมพันธ์จากที่คิดว่าในที่สุดก็สามารถเข้าใกล้ได้...กลับกลายเป็นอีกฝ่ายถอยห่างออกไปแทน

“แล้วที่บอกว่าเป็นบ้า...” ผมเลยตัดสินใจยกสิ่งที่อยากถามต่อขึ้นมาไว้เป็นเพียงเกริ่นนำ หากเจ้าตัวไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร แต่เหมือนเจ้าตัวจะเข้าใจสิ่งที่ผมสงสัยเลยตอบกลับมาทันควัน

“ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้ากู เขาจะวิ่งมาทำร้าย”

“...!!”

ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนอีกฝ่ายทุกคืน ฝันร้ายที่ทำให้ตอนเด็กๆเจ้าตัวไม่อยากนอนหลับ จนถึงกับลุกขึ้นมาดื่มกาแฟจนร่างกายแพ้คาเฟอีน คงหมายความรวมถึงเรื่องนี้ด้วยสินะ

ผมขยับตัวตักช้อนโจ๊กแล้วยัดเข้าปากเรวะไปอีกรอบ จนเจ้าตัวตกใจต้องเปลี่ยนอารมณ์เป็นรอบที่สองของวัน ยังไงก็ดีกว่าการที่มันมาทำหน้าเศร้าให้กูเห็นเมื่อกี้ละกัน โคตรไม่ชอบเลย

“มึงกินบ้างเหอะเม่น”

“มึงนั่นแหละกินไป”

“แต่มึงท้องเสีย”

“ท้องเสียแล้วทำไมวะ”

“ท้องเสียก็ต้องกินทดแทนเข้าไปเยอะๆ นี่มึงขาดน้ำขาดอาหารจนปากซีดแล้วนะเว้ย”

“งั้นมึงก็ทำให้กูปากแดงดิวะ”

“ทำยังไง ต่อยมึงเหรอ”

"นั่นมันแดงเพราะเลือดสาดเปล่าวะ"

"งั้นให้ทำไง"

“จูบกูดิ”

“...!!” เอาดิ แก้มลิงเรียกพี่ แซวกูได้แซวกูดีทีตอนนี้กูยิงกลับรัวเป็นคอมโบแล้วดูดิมึงจะทำยังไง อย่างน้อยก็ทำให้มึงหน้าแดงเขินแทนที่จะรู้สึกเศร้าล่ะวะ ไอ้เรวะมันขยับปากพะงาบพะงาบเหมือนปลาใกล้ตาย จะขำก็ขำสงสารก็สงสารแต่ทำไงได้ ไม่อยากให้อารมณ์มันย้อนกลับไปเหมือนคนใบ้เข้าสิงแล้วว่ะ

“ไง จะจูบมั้ย”

“ครับ”

หืม? เกินคาดหน้านิ่งๆสวนกลับมาเหมือนย้อนเวลาให้นึกถึงตอนพูด‘ครับ’ตอบรับคุณอลิซ่า โดยไม่ทันปล่อยให้ผมตั้งตัว เรวะก็โน้มหัวเข้ามาใกล้

เชี่ยมันเอาจริง!! ระยะแค่นี้มีหรือจะพ้น ในที่สุดริมฝีปากบางประกบลงมาจังๆ

ฟอดดดดดดดด

“...!!”

หะ หะ หะ เหี้ยยยยยยยยยยยยยยย

 
แกร่ก

เสียงเปิดประตูดังขึ้นในจังหวะที่เราสองคนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ผมเบิกตาโตมองดูคุณอลิซ่าตัวเป็นๆที่เดินข้ามประตูเข้ามา สายตาสองแม่ลูกปะทะเข้าอย่างจัง

“อุ๊ย!!”

ไอ้เหี้ยย กูเพลียกับจังหวะละครหลังข่าวก็วันนี้

มีอย่างที่ไหนขอมาจัดไป ฉากหอมแก้มหวานแหววสดใสที่คุณอลิษาเรียกร้องให้ทำแม่งบังเกิดมันต่อหน้าธารกำนัลก็วันนี้ แล้วที่สำคัญกว่าทุกสิ่งคือคุณนพสินธุ์ที่ไม่มีบทบาทอะไร ใครเสือกมาจับบทใส่ให้ตามตูดแม่กูมาด้วยเนี่ย

"เออ..." เสียงพ่อผมเอง ในใจคงร้องเป็นเพลงกลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง...อยู่แน่ๆ

ผมตีไหล่ไอ้เรวะที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่แนบริมฝีปากนุ่มหยุ่นใส่แก้มผมยาวนาน แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านแถมย้ายมาหอมอีกฝั่งที่ยังคงร้างจากการถูกกระทำชำเรา จบด้วยการสร้างเสียงจุ๊บเบาๆให้แค่เราสองคนได้ยิน พอหยอดผมจนฟินมันถอนใบหน้านิ่งที่มียิ้มน้อยๆออกมามองตาผมในระยะใกล้

...นิสัยอย่างหนึ่งที่ผมรู้จากเรวะคือ...มันเกลียดการพ่ายแพ้...

"แดงยัง"

"มะ...มากเลยล่ะ" โหยยิ้มเหนือเหมือนผู้กำชัย แต่มึงจะไปต่อไม่ไหวถ้าหันไปมองข้างหลังมึงตอนนี้ "กูเขินพ่อแม่กู"

"...!!" ถ้าผมยาวกูจะให้มันไปโฆษณารีจอยส์ริช มันบิดหัวร้อยแปดสิบองศาหันไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

...พ่อกับแม่สองคนกูยืนยิ้มอยู่ไกลๆ...

“แม่เข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”

"คะ...คุณน้า"

“คือแม่แค่เอายามาให้น่ะ ส่วนพ่อเขาแค่อยากมาดูอาการเราว่าหนักมั้ย แต่เห็นทีคงไม่แล้วล่ะ พักผ่อนเถอะนะ แม่กับพ่อไม่กวนแล้ว” ผลักหลังดันไหล่บอกว่า ไปเถอะคุณ เป็นระวิงในที่สุดก็ทิ้งให้พวกเราได้อยู่กันตามลำพัง ไอ้เรวะมันถึงกับหลุดตะโกนออกมา

“เชี่ยเม่นนนนนนน” โอ๊ยฟอร์มหลุดเว้ยเฮ้ย

“ทำไม นี่แค่หอมเองนะเว้ย”

“มึง...”

“ทำไมไม่จูบวะ”

“สัด”

“อายทำไมล่ะ”

“เชี่ยมึง”

“น่ารักว่ะ”

“โว้ยยยยยยย"

"ฮ่าฮ่าฮ่า"

ยกนี้ผมชนะว่ะ

....TBC...

+++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่14 :: สัญญาต้องเป็นสัญญา [14/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-03-2019 18:42:06
จังหวะ​ดี​ทุกรอบเลย
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่14 :: สัญญาต้องเป็นสัญญา [14/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 14-03-2019 23:53:46
 :mew1: ทำไมไม่จูบ โอ๊ยยยย หอมหัวหนูเรมมมม เอ็นดู เนี่ย เขินแล้วนะ  :ling1: :hao7:   บอกเลยว่า มันต้องเจ้มจ้น จัดจ้านแล้ว สุดจัดปลัดบอก รอตอนต่อไป ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ คลายเครียดมาดๆค่ะ ❤️❤️❤️❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 15 :: อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น [14/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 17-03-2019 10:57:56
∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 15 :: อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น


“เอาสติจับที่สะดือ เวลาหายใจเข้าท้องพองกำหนดว่าพอง หนอ หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่ายุบ หนอ...”


ชาหนอ...หมดความรู้สึกหนอ...ค่อกแค่ก ใครบอกว่ากิจกรรมนี้ง่ายวะ แค่นั่งนิ่งๆหลับตาหนึ่งชั่วโมงก็ได้มาแล้วสามชั่วโมง บอกเลยว่ามันโกหก จากง่ามขาตอนนี้มาถึงหน้าแข้งแล้วกำลังจะลามไปยังง่ามตูดผมแล้ว แต่ด้วยความกลั้นใจมาตั้งเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม จากที่ตอนแรกมาแบบมุ่งมั่นทำสมาธิเน้นๆกลายเป็นกัดปากล่างข่มความทรมานแทบเป็นแทบตายเพื่อให้ผ่านพ้นนาทีชีวิตตอนนี้ไปได้

“เอาล่ะ ทุกคนค่อยๆลืมตา เป็นไงบ้างจิตใจรู้สึกสงบขึ้นทันตาเลยมั้ย”

สงบจนน้ำตาไหลเลยล่ะ มิน่าไอ้ต๊อบกับไอ้หงส์มันถึงบายไม่ยอมลงกิจกรรมนี้

“จบกิจกรรมแล้วอย่าลืมไปลงชื่ออีกรอบตรงโต๊ะที่มีพี่ๆสตาฟนั่งอยู่ตรงฝั่งนู้นนะ” เจ้าหน้าที่ในการจัดกิจกรรมยกมือชี้ไปประตูด้านหลังใกล้ทางออก “ลืมก็อดได้ชั่วโมงกิจกรรมแล้วอย่ามาหาว่าพี่ไม่เตือนนะ” น้องจะไม่ลืมเลยคร้าบบบบ ถ้าลืมนี่ขอไปผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยเถอะ อุตส่าห์เอาขามาบูชายัญขนาดนี้แล้ว

คนข้างๆเริ่มขยับตัวลุกขึ้นปัดแข้งปัดขาหันมาทางผม

“ไปกันมั้ย”

“อือ” ตอบอือไปแต่ยังนิ่ง เอาไงดีวะ กูจะต้องทำไง

“เม่น”

“อะไร”

“นี่มึงอินในรสพระธรรมขนาดนี้เลยเหรอวะ”

“เปล่า กูแค่...”

“แค่?”

“เหน็บกินขา” ไอ้เรวะถึงกับหลุดขำพรืด มันอมยิ้มน้อยๆ ก่อนนั่งยองลงข้างๆ

“ให้กูช่วยนวดมั้ย”

“เชี่ยมึง!” ปากว่ามือแม่งถึงเลยครับ บีบลงมาทีกูแทบร้องจ๊าก สัญชาตญาณเอาตัวรอดของผมตึงสติให้คว้าข้อมือมันไว้แน่น “สัด! นวดเพื่อ”

“ผ่อนคลายไง”

“ตึงหนักกว่าเก่าอ่ะดิ”

“อะไรตึง”

“อารมณ์กูเนี่ยแหละ!” ขำกับมันดิสาด

“มา กูช่วยพยุง”

“ไม่ต้องนวดกูแล้วนะ” สะบัดมือมันทิ้งก่อนที่เราทั้งคู่จะสลับบทกันด้วยการที่เรวะพลิกมาจับข้อมือผมแทน

ฮึ่บ!! เกินคาดกับความไร้เรี่ยวแรงของขา รู้สึกเหมือนถูกตัดท่อนล่างออกไปทั้งสองข้าง ผมพยายามทรงตัวจากอาการเซอยู่นานจนต้านไม่ไหวเอนไปทับคนช่วยเหลือเข้าอย่างจัง จนไอ้เรวะหงายหลังร่วงลงพื้น

ตุบ!!

ปรึกษากูก่อนมั้ยว่าควรล้มท่าอะไร พื้นหอประชุมก็ใช่ว่าฝืดพอมาเจอถุงเท้าลื่นๆไอ้เรวะก็หงายหลังแล้วจุดจบของไอ้เม่นนั้นก็คือคร่อมอยู่หว่างขามันดิครับท่านผู้โช้มมมม

โมเมนต์จ้องตากับไอ้แพนด้าเริ่มขึ้นมาอีกคราว...

“เล่นท่ายากอีกแล้วนะมึง ไอ้เม่น” ไม่ใช่เสียงเรวะที่ตามประสานิสัยมันจะแซวผมขึ้นมาเหมือนอย่างเคย แต่เป็นเสียงใครอีกคนที่ยืนเยื้องออกไปทางขวาซึ่งผมจำได้ว่าเป็นที่ของไอ้เชี่ยคีย์กับแฟน ถึงแม้ไม่มีไอ้ต๊อบกับไอ้หงส์มันก็ยังคงส่งตัวแทนแห่งดวงจันทร์มาแซวกันได้อีก

“กูลื่นเหอะสัด”

“ถ้ามึงลื่น ไอ้เรก็คงเป็นลมแดดมั้งนั่น”

หา?

หันไปดูอดีตคนช่วยชีวิต เชี่ย...แดงแป๊ดเลย หน้ามัน ร่างกายคนเบื้องล่างสั่นเทาขึ้นมาจนรู้สึก เรวะมันค่อยๆขยับปากเอ่ยเสียงพูดออกมา

“มึง...”

“ฮะ?”

“มึงจะกุมเป้ากูทำเพื่อ!!” โอ้โห ไอ้เหี้ย ไม่บอกกูไม่รู้เลย จับกระชับเต็มไม้เต็มมือยิ่งกว่าเมาส์คอมก็เป้าไอ้ตัวขาวข้างล่างเนี่ยแหละครับ ถึงกับชักมือกลับแทบไม่ทันก่อนมันจะผลักผมหงายหลัง แล้วลุกขึ้นจ้ำอ้าวออกไป

“เชี่ยเร...วะ....” ไปซะแล้ว แล้วใครจะช่วยกูพยุงขึ้นมาใหม่วะเนี่ย



ผมรีบกระเสือกกระสนยกร่างที่กระปลกกระเปลี้ยกึ่งเดินกึ่งคลานจนตามไอ้เรวะทัน ตะโกนเรียกมันแต่เสือกทำหูทวนลมเลยต้องเร่งสปีดวิตามินบีเข้าต้านความด้านชา เดินเข้าหาแบบประชิดตัวพร้อมคว้าหัวไหล่มันไว้

“เฮ้ย รอด้วยดิ” โอ้โห ใบหน้าแม่งราวกับเคียดแค้นเจ้ากรรมนายเวรมาสามชาติ หรือกูควรจะปล่อยมันไปดีวะ “เป็นไรของมึงวะกับแค่กู...”

“กุมไข่กู” ชัดเจนจ้า ความหน้าแดงเมื่อกี้ไปไหน...อ้าวยังอยู่นี่หว่า ไอ้เรวะมันกำลังฝืดตัวเองสุดฤทธิ์ให้เสียงไม่สั่นแต่ทางกายภาพนั้นปิดไม่อยู่

“เออนั่นแหละ มึงก็รู้กูตั้งใจที่ไหน ใครมันอยากจะขาชาจนล้มล่ะวะ” สายตาเหลือบมองลงมาบนท่อนขาผมก่อนเอ่ยถาม

“แล้วขามึงเป็นไงบ้าง วิ่งมาไม่ล้มหรือไง”

“คิดว่าต้องตามมึงมา เลยไม่ได้สนใจอะไรเลย” ก้มลงนวดน่องได้สักพัก ก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังระดมสมองขบคิดเรื่องบางอย่างแบบที่ทำให้หัวทุยๆของมันแทบแตก “ถามจริงเหอะความกล้าที่มึงหอมแก้มกูวันนั้นมันหายไปไหน แค่กูกุมไข่จะมาอายทำไมวะเนี่ย”

“เปล่าพักนี้กูแค่รู้สึก...”

“รู้สึก?” อันหยังวะเนี่ย

“หน้าบางลง”

“...”

“โดยเฉพาะเวลาอยู่กับมึง”

ถ้าไม่มีข่าวลือเรื่องมันเป็นไบมาตั้งแต่แรก ผมอาจจะชินกับการที่เรวะมันพูดอย่างนี้ก็ได้ ทำไมคนที่มึงไม่ได้นับว่าเป็นเพื่อน...อย่างไอ้บอม จะต้องปล่อยข่าวเรื่องมึงเป็นไบด้วยวะ ในความคิดของผมการจะกระจายข่าวลือเสียๆหายๆของใครสักคนเจ้าตัวต้องมีความคับแค้นใจอะไรบางอย่างกับอีกฝ่ายมากพอสมควร

“กูถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

“ไม่” สัด ตอบไวซะ แถมยังมีเสียงริงโทนของอีกฝ่ายมาขัดได้จังหวะโคตรเหมาะ ไอ้เรวะหยิบขึ้นมาขมวดคิ้วจ้องหน้าจอแบบมีภาวะลังเลอยู่สักพักจึงกดรับสาย

“ฮัลโหล” แค่คุยโทรศัพท์ทำไมต้องทำหน้าปวดตับขนาดนี้ด้วยวะ ผมตั้งใจฟังคำพูดต่อไป แต่ไอ้เรวะกลับนิ่งไม่ตอบโต้ปลายสายเหมือนนึกรู้ จนกระทั่งมันตอบกลับอีกฟากหนึ่งขึ้นมาผมถึงได้รู้ว่าเข้าใจผิด ความจริงแล้วมันแค่กำลังตั้งใจฟังใครบางคนอีกฝั่งนั้นมากกว่า

“ใคร? มีอะไร? กูไม่ได้ลืม? ตอนนี้มึงอยู่ไหน...เดี๋ยวกูไปหา” จากที่เครียดอยู่แล้วตอนนี้เพิ่มระดับขึ้นเป็นสิบเท่า ไอ้เรวะวางสายแล้วหันมาสบตา

“กูไปก่อนนะ” เหมือนเป็นประโยคบอกเล่ามากกว่าขออนุญาต ไอ้เรวะเทคตัวออกไปไวเท่าสายลม...หา? แต่เมื่อกี้มัน...
ยังไม่ลงทะเบียนกิจกรรมตอนจบเลยเว้ยยยยย!!!! ฟ้าคคคคคคคคค

ไอ้ที่ไวกว่าสายลมต้องมาเจอกูนี่ โฉบเฉียวยิ่งกว่ายุงตัวเมียหาเลือดแดก แหกทางโค้งยิ่งกว่าสายแปดแฮปปี้แลนด์ประตูน้ำ ว่องไวปานเสือชีตาร์ก็ต้องไอ้เม่นโพล่าแบร์คนนี้แหละครับ กูขอสาบานว่าจะไม่ยอมเสียขาให้กิจกรรมนี้ซ้ำสอง!!

จังหวะที่ใกล้ประชิดตัวผมก็คว้าคอเสื้อมันหมับ....? ไม่ ไม่ ไม่ มึงมีบทเรียนแล้วไม่ใช่เหรอไอ้เม่น มึงอย่า...

แคว่ก!!!

...กระชาก...

กระชากไปแล้วอ่ะ โว้ยยยยยยย

“สัดเม่น มึ้ง!!” ไอ้เรวะถึงกับหยุดตีนหันหลังมาตะโกนด่าแบบคิดคำผรุสวาทต่อไปไม่ถูก มันเอามือกุมหัวยืนปวดตับอยู่ตรงนั้น

“กู...กูขอโทษ”

“เรียกดีดีก็ได้หนิวะ”

“ก็อย่างกับมึงจะหยุดรอฟังกูน่ะ” ให้กูเป็นอิคคิวซังบอกมันว่า จะรีบไปไหนจะรีบไปไหนพักเดี๋ยวนึงสิครับ มันยังไม่ฟังเลยมั้ง

“ตะโกนเรียกกูก็หยุดแล้ว ทำไมชอบทำร้ายเสื้อผ้ากูอยู่เรื่อยเลยวะ” ผมขยับสายตาไปมองสภาพความเสียหาย

...ส่วนอกขาวๆของมึงก็กำลังทำร้ายสายตากูอยู่ว่ะ...

“มองเหี้ยอะไร”

“มองตัวเหี้ยอยู่”

“สัดเม่น”

“เออๆๆ อย่าบ่นน่ะ เอาเสื้อกูไปใส่ก่อน” ผมถอดเสื้อนักศึกษาที่ใส่อยู่ติดตัวผ่านทางหัวออกมายื่นให้มัน

“...!!”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” หา? เสียงอะไรวะ จังหวะที่คิดว่าโลกนี้มีเพียงเราสอง พอกวาดตามองไปรอบๆเท่านั้นแหละ โอ้โห้แม่งมากันเต็มอย่างกับดูหนังกลางแปลง ไหนจะไอ้แก๊งพี่ดิบที่พึ่งจากหายหวัดลุกขึ้นมาเป็นผีลืมหลุมมารัวรุมหาชายหนุ่มถ่ายรูปในวันกิจกรรม ไหนจะรุ่นพี่รุ่นน้องที่พึ่งทำสมาธิเสร็จหมาดๆเดินโต๋เต๋หารถกลับอยู่แถวนั้น แล้วไหนจะยังไอ้เพื่อนผมอีกสองตัวที่มันไม่ได้ลงกิจกรรมชัวร์ๆแต่เสือกมายืนรอใครอยู่แถวนี้

“ซิกแพคน้องเม่น โฮกกกกกก”

“กรี๊ดดดดด หุ่นพี่เม่น ตายอย่างสงบศพสีกับประตู”

...กูคิดบ้าอะไรที่ถอดเสื้อให้ไอ้เรวะใส่วะ มันก็ผู้ชายนี่หว่า!!...

“สะ...ใส่ไปก่อน” ความสามารถในการตัดสินใจกระซิบบอกในหัวว่าคะแนนกิจกรรมสำคัญกว่าหน้าตากู ผมเลยคว้าแขนไอ้เรวะแล้วลากมันกลับไปยังหอประชุม ตอนนี้ดีที่หอแม่งคนบางลงแล้วไม่งั้นมีหวังต้องฟังเสียงกรี๊ดกระหึ่มโจ๊ะพรึมๆไปตลอดทาง พอเขวี้ยงบัตรลงทะเบียนประทับตราได้เสร็จก็รีบเผ่นเข้าห้องน้ำ

แฮ่กๆ หอบเป็นหมาเลยกู...

“เอาเสื้อมึงมาเปลี่ยนกับกู” ไอ้เรวะทำตาสงสัยทุกอย่างในพฤติกรรมผมตั้งแต่ต้นจนจบ

“เพื่ออะไรวะ”

“เอาน่า”

“ไม่เอาเว้ย”

“สัด มึงจะไปหาไอ้บูมในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ!!”

ไอ้เรวะมองตาตื่น แล้วกูจะตะโกนเพื่อ!! เออใช่..กูก็แค่เป็นห่วงสวัสดิภาพมัน กลัวไอ้คนที่ชอบเฮียมันคิดไม่ซื่อพอเห็นของขาวแล้วอารมณ์ขึ้นเหมือนกูตอนนี้จะทำยังไง...

“ใครบอกมึงว่ากูจะไปหาไอ้บูม”

อ้าว...

“แล้วเมื่อกี้ที่มึงคุยด้วย”

“กูไม่ได้จะไปหาไอ้บูม”

“แล้วมึงจะไปหาใคร”

“ไม่ใช่ไอ้บูมละกัน”

“...”

“เม่น ทำไมมึงทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่วันที่ไปห้องกูแล้วนะ”

“จะให้กูไม่แปลกได้ไง”

“...” นี่ผมกำลังจะพูดอะไรออกไป...

“มึงรู้ตัวมั้ยว่าไอ้บูมมันชอบมึง”

เบิกตาโตขนาดนี้ ดูก็บอกได้เลยว่าเจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อน นี่ผมทำบ้าอะไรวะ ถ้าเป็นอย่างที่คิด ถ้าผมเป็นหมาจริงๆ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเร่งให้มันสองคนสมหวังกันไวขึ้นนี่หว่า...กูไม่ใช่กามเทพนะ

“มึงพูดบ้าอะไร”

“กูพูดเรื่องจริง มันบอกกับกูเองว่ามันชอบเฮียมัน มันชอบคนที่อยู่ตรงหน้ากู”

“ไอ้เด็กบ้านั่น มันมั่วแล้ว อย่างกูเนี่ยนะจะไปทำให้มันชอบได้ เป็นผู้ชายด้วยกันแถมยัง...”

“ทำได้ดิ”

“...” ขนาดกู...

เพียะ!! ผมยกมือขึ้นตบแก้มสองข้างของตัวเองไปมาอย่างกับคนบ้า ไอ้เม่นมึง สติ!! เอาสติมึงไปทิ้งกับสมาธิที่ห้องประชุมแล้วเหรอวะ นี่มึงกำลังจะพูดอะไร กำลังจะพูดอะไรวะเนี่ย

“ไอ้เม่นมึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอวะ” ไอ้เรวะพยายามจับมือผมใหญ่ ดีที่เราอยู่ในห้องส้วมที่ลึกเข้าไปอีกไม่งั้น มีหวังได้เป็นข่าวว่าไอ้เม่นผีเข้ายกมือขึ้นตบหน้าตัวเองแน่

“กูอาจจะบ้าจริงๆก็ได้”

“ห่วงกูเหรอ”

“...” ผมพยักหน้า ทำไมวะ ไม่เข้าใจตัวเอง

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก กูไม่ได้คิดอะไรกับไอ้บูมทั้งนั้นน่ะ เอาเสื้อมึงมา” มันถอดเสื้อต่อหน้าแล้วคว้าที่อยู่ในมือผมสลับกับของมันไปใส่

“บอกแล้วไงมันก็แค่น้อง”

“น้องที่คิดไม่ซื่อกับมึงเนี่ยนะ”

“เห็นอย่างนี้กูก็ชกต่อยเก่งไม่แพ้มันหรอกนะ กูระวังตัวเองได้น่ะ”

“ต่อยเก่งไม่รู้ แต่มึงเคยต่อยหน้ากูมาครั้งนึง ก็พอเจ็บอยู่” รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าของมัน เหมือนอารมณ์ดีขึ้นกะทันหัน แต่ใจกูทำไมยังขุ่นมัวอยู่เลยวะ

“นึกถึงวันที่เจอกันครั้งแรกเลยว่ะ”

“...”

“มึงก็กระชากเสื้อกูแบบนี้”

“แต่วันนี้มึงไม่ได้ต่อยกู”

“หรืออยากให้ต่อย” มันยกกำปั้นขึ้นชูจะจ้วงเข้าหน้าผม

“เฮ้ย เดี๋ยว!”

“ล้อเล่นน่ะ” อะไรทำให้เรวะยิ้มได้ไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องน้ำมันเอาแต่ยิ้มใส่จนระบบป้องกันตัวผมเริ่มรวน “ถึงบอกว่าไอ้บูมชอบกู แต่กูว่า...”

“...”

“กูชอบมึงมากกว่าว่ะ ไอ้เม่น”

“...!!” พูดไม่ออก ตอบโต้ไม่ได้ ราวกับโดนตะกั่วถ่วงปาก ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้งกับคำสารภาพ นึกคำตอบจากความคิดที่ตีรวนในหัวจนแทบเป็นบ้า

“ตะ...แต่กูไม่ได้ชอบมึงอย่างนั้น”

“...” ไอ้เรวะนิ่งไป ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิด ผิดอย่างใหญ่หลวง ผิดแบบไม่น่าให้อภัย หรือตอนนี้ผมบริสุทธิ์ใจที่รับมันเข้ามาเป็นเพื่อนที่แท้จริงแล้ว แต่กลับเหมือนกำลังโดนหักหลังด้วยคำสารภาพสั้นๆของมัน

“กู...”

“บะ...บ้าเหรอมึง ทำไมคราวนี้แซวเล่นเหมือนทุกที มึงกลับจริงจังได้วะ สมองมึงเชื่อมต่อกับประสาทขาแล้วตายไปพร้อมกับตอนทำสมาธิแล้วหรือไง”

“เรวะกู...”

“แต่กูชอบมึงจริงๆนะเม่น...”

“...” ใจผม...กำลังสั่น...

“กูไปล่ะ” มันยกมือขึ้นตบบ่าผมแล้วรีบวิ่งพรวดพราดออกไป เสียงริงโทนที่ดังจากมือถือมันระหว่างพวกเราสนทนากันประโยคสุดท้ายแว่วห่างออกไปเรื่อยๆ...โดยที่สติผมยังคงจมอยู่ที่เดิมกับคำสารภาพของมัน




ผมทิ้งเวลาให้ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ใช้เวลาค้นหาความรู้สึก แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้กลับมาเพียงว่า ผมกับมันคงเป็นได้แค่เพื่อนกันจริงๆ อะไรเป็นตัวบ่งบอกว่าเรารู้สึกชอบอีกฝ่ายในสายตาที่เกินกว่าเพื่อน กับแค่ความรู้สึกดีดีที่เกิดขึ้นมาผมไม่อาจตีตราว่าพิเศษได้ คนที่อยู่รอบกายก็เคยทำให้ผมหัวเราะและมีความสุขตั้งหลายคน แล้วผมจะตอบได้ยังไงว่าไอ้เรวะมันพิเศษกว่าใครที่ผมเคยรู้จักมา

“ไอ้คีย์ อะไรที่ทำให้มึงรู้สึกตัวว่ารักแยมวะ”

เสียงคีย์บอร์ดหยุดลงกะทันหัน ไอ้เพื่อนมือเทพประจำวงมันหันศีรษะมามองผมด้วยสายตาพิศวง

“ทำไม จะเอาชีวิตรักกูไปแต่งเพลงเหรอ”

“เปล่า” ยกมือขึ้นเกากีตาร์เบาๆปล่อยใจปล่อยกายไปตามความรู้สึก “กูแค่สงสัยว่าแบบไหนที่เรียกได้ว่ารักในแบบแฟนวะ”

“แล้วกับพลอยมึงล่ะ ทำไมถึงคบเป็นแฟน”

“เพราะเขาเดินหน้ามาประกาศตัวว่าจะจีบกูตั้งแต่แรกแล้ว กูถึงเรียกได้ไงวะ”

“ไอ้สัดเม่น!”

“ไอ้หน้าหม้อ!”

ได้ทีไอ้ต๊อบ ไอ้หงส์ที่เงี่ยหูฟัง นั่งเสือกทางในอยู่นานก็ตะโกนขึ้นมา ใครเชิญไอ้สองตัวที่เหลือมาเข้าร่วมวงสนทนาด้วยวะ นั่งเงียบๆแกะคีย์ที่จะร้องคืนนี้ไปเรื่อยๆก็ดีแล้ว เสือกจริ๊งงง

“แล้วมึงก็ยอมคบด้วยเนี่ยนะ” ไอ้ศิราณีจำเป็นมันถามต่อโดยไม่สนใจเสียงแร้งเสียงกา

“คนสวยขนาดนั้นมาจีบ แถมเพื่อนแม่งยังยุ ไม่ให้กูยอมคบได้ไงวะ”

“แล้วถ้ากูยุให้มึงคบกับไอ้เร มึงก็จะคบว่างั้น?” ไอ้หงส์มันพูดแทรก แถมยังตีจังหวะกลองเป็นตะลึงตึงโป๊ะเหมือนอยู่ในรายการตลกตบมุก

“สัดใครมันจะบ้าจี้ ไปทำวะ”

“งั้นเพราะอะไรล่ะ” คู่หูของมันถามขึ้นมา สามสายตาจ้องมาทางผมเป็นจุดเดียว “ทำไมเหตุผลไม่เหมือนกับตอนแฟนเก่ามึง”

“เพราะไอ้เรมันเป็นผู้ชาย?” ผมส่ายหัว เปล่าเลย ไม่เคยมีความคิดแบ่งแยกแบบนี้มาในหัวเลยสักครั้ง ทั้งที่ความจริงคนชอบผู้หญิงมาแต่เกิดอย่างผมพึงกระทำ

“เพราะมันไม่ได้เข้ามาจีบมึงเหมือนอย่างที่แฟนเก่ามึงเคยทำตอนแรก” แต่ตอนนี้มันบอกชอบผม แถมก่อนหน้านั้นยังเคยหยอดผมสารพัดรูปแบบแล้วทำไม...

“หรือเพราะมันเป็นคนสำคัญสำหรับมึงไปแล้ว” สำคัญ?...ผมก็แค่ห่วงใยมันตามประสา...เพื่อน...

“มึงเลยไม่อยากจะเสียมันไป” ใช่ ตอนนี้ผมไม่อยากจะเสียมันไป ทั้งที่ตอนแรกคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าไม่อยากก้าวก่ายเกี่ยวข้องกับชีวิตมันด้วยซ้ำ

“การจะข้ามผ่านเฟรนด์โซนไปได้ ถ้าพลาดก็อาจจะหมายถึงการเสียเพื่อนคนนั้นไปเลยนะเว้ย มึงเลยคิดหนัก ใช่เปล่าวะ” ไอ้หงส์มันถาม ผมรู้สึกถึงสายตาไอ้ต๊อบที่ปรายมาทางคู่หูมันเบาๆ

“กูไม่รู้ว่ะ ตอนนี้กูแค่แยกไม่ได้ว่าเพื่อนกับแฟนมันต่างกันตรงไหน”

“ถ้ามึงห่วงใยเขา จนเหมือนเป็นคนในครอบครัวได้ มีความสุขกับไม่ใช่แค่ความสวยหรือรูปร่างภายนอกเพียงผิวเผิน ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายมี อีกฝ่ายเป็นได้ ก็ถือว่ามึงชอบและรักเขาในฐานะแฟนคนนึงได้แล้วล่ะ กับแยมกูก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน” ในที่สุดไอ้คีย์มันเฉลยสิ่งที่ผมถามไปในตอนแรก เป็นโจทย์ต่อยอดให้ผมคิดทบทวนกับเรื่องราวที่ผ่านมา

ครั้งแรกที่เจอเรวะ ผมเป็นห่วงมันในฐานะพลเมืองดีคนนึงที่ไม่อยากให้เพื่อนคนนึงต้องทำเลว ถัดมาคือความรู้สึกผิดที่มองมันในแง่ร้าย เอาความคิดของคนรอบข้างมาตีตราว่ามันเป็นคนไม่ดี หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดความสงสัยสนใจในตัวมันจนเริ่มกลั่นตัวเป็นความห่วงใย...

“คืนนี้เอาเพลง ‘เพิ่งรู้ว่ารัก’ ด้วยมั้ยมึง” ไอ้หงส์มันแล่นมาตบบ่าผม แต่เสียงหล่นของอะไรบางอย่างกลับปิดหนทางแซวมันสิ้นเชิง

“คีย์!!” ที่แท้ก็แยมแฟนสุดรักของไอ้คีย์ที่เดินถือถุงขนมมาดูพวกเราซ้อม แล้วเสือกทำมันกองลงพื้นตั้งแต่ยังไม่ทันถึงตัวพวกผมด้วยซ้ำ

“แยม เป็นอะไรน่ะ” ไอ้คีย์รีบลุกพรวดพราดจากเก้าอี้เดินไปถึงตัว

“แยม..”

“เป็นอะไรบอกคีย์มาสิ”

“แยมกำลังตกหลุมรักคีย์อีกรอบ”

“ฮ่วย!!” ให้มันได้อย่างนี้ดิ พวกกูประสานเสียงกันโดยไม่ต้องนัดหมายได้เลยสัด คู่รักบ้าบอ เธอหยิบถุงขนมที่ตกพื้นขึ้นมาพลางชูเหนือศีรษะ

“วันนี้แยมมีหม้อแกงมาฝากทุกคนด้วยนะ ญาติแยมไปเที่ยวเพชรบุรีมา” ป่านนี้ไอ้ที่อยู่คามือเธอคงเละไม่เหลือซากแล้วมั้ง ก็เล่นใหญ่เว่อร์เขวี้ยงลงพื้นซะ

จู่ๆผมก็นึกถึงใครอีกคนนึงที่มีนิสัยเล่นใหญ่เว่อร์พอพอกัน เมื่อวานนี้มันไม่มาเข้าเซกอาจารย์แม่เกือบทำให้ผมโดนหักชั่วโมงไปอีกหนึ่ง แต่จะเรียกว่าโชคเข้าข้างมั้ย ในเมื่ออาจารย์แม่ยกคลาสในวันที่ไอ้เรวะไม่มาพอดี

“แยม”

“เม่น มากินหม้อแกงด้วยกันสิ” ไอ้หงส์กับไอ้ต๊อบแม่งแร้งลงไปสอง ส่วนไอ้คีย์ก็แอบเดินมาจับไหล่เมียมันเหมือนรู้ทันว่าผมจะถามอะไร ก่อนย้ายตัวไปแดกขนมปล่อยให้ผมได้คุยกับแยม

“เม่นมีเรื่องจะถาม”

“ถาม? เรื่องอะไรเหรอ”

“ไอ้เรวะมันมาเรียนบ้างมั้ย”

“เรวะ? เรหรอ อืม...ปกติก็ไม่ค่อยมาเรียนอยู่แล้วนะ ยกเว้นจะมาตอนใกล้ๆช่วงสอบ แต่ช่วงนี้ก็แปลกดีเห็นมาเข้าคลาสบ่อยๆ แถมยังดูตั้งใจเรียนไม่สนใจใครด้วย”

“...” แสดงว่ามันไม่ได้ไม่สบายอะไร แต่ตั้งใจจะหลบหน้าผม...ใช่มั้ยวะ!!

“เม่นมีอะไรรึเปล่า”

“อ๋อ เปล่าคือ แค่สงสัยเรื่องเมื่อตอนกลางวัน...”

“ที่ไม่มาเข้าเรียนอย่างนั้นเหรอ”

“...” จริงด้วยแยมก็เรียนวิชาเดียวกันนี่หว่า เธอย่อมรู้เห็นทุกอย่าง ระหว่างที่ผมยังจัดการความรู้สึกไม่ได้ ผมไม่กล้าแม้แต่ส่งข้อความไปบีบคอมันให้มาเรียนด้วยกันหรอก

“อืม...ถ้าเป็นที่เอกยังพอเข้าใจ ว่าคงไม่อยากจะเจอสายตาทิ่มแทงของใครต่อใคร แต่เรื่องเซกอาจารย์แม่แยมไม่รู้จริงๆ”

หืม?

“แต่พอเห็นคนที่มาหาหลังคาบเช้าแวบๆเลยทำให้นึกถึงตอนนั้นเลย ตอนที่มีเรื่อง”

“เรื่อง?” แยมหันมามองหน้าผมก่อนสะดุดคำพูด

“อะ...เม่น...ไม่เคยได้ยินข่าว...เออ...เกี่ยวกับตัวเรในเอกแยมตอนปีหนึ่งเลยใช่มั้ย” ผมส่ายหัว ใครจะไปได้ยินได้ล่ะ ถึงจะคณะใกล้แต่ผมไม่มีปัญญาไปใส่ใจทุกเรื่องหรอก โดยเฉพาะเรื่องเรวะที่ผมพึ่งจะหันมาอยากรู้ในช่วงปีสามเอาป่านนี้ “ข่าวไม่ค่อยดีน่ะ เม่นอย่ารู้จะดีกว่า”

“ข่าวอะไร” เล่ามาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าบอกว่าผมไม่อยากรู้ก็โกหกแล้ว ทั้งที่ควรจะปล่อยผ่านแต่ทว่าผมกลับรู้สึกเหมือนอยากรู้จักเรวะให้มากขึ้น แยมหันไปมองหน้าแฟนเหมือนต้องการความคิดเห็น ไอ้คีย์มันหลับตาพร้อมพยักหน้าให้กำลังใจแฟนมันเบาๆ

“เออ...ว่ายังไงดีล่ะ คือเรื่องที่เรพาเพื่อนนอกมหา’ลัยมาหลอกผู้หญิงในเอกไปทำไม่ดีน่ะ”

“...!!”

“ตอนนั้นทุกคนอยู่ปีหนึ่ง แยมสนิทกับเพื่อนผู้หญิงอีกกลุ่มนึงเลยไม่ค่อยรู้อะไร แล้วอีกฝ่าย ฝ่ายที่เสียหายน่ะเขาก็ชอบคบแต่เพื่อนผู้ชายด้วย พอมาอีกทีก็มีข่าวว่าอีกฝ่ายทะเลาะกับเรเสียงดังโวยวาย ฝ่ายหญิงบอกว่าเรเป็นคนหลอกให้ไปเจอผู้ชายคนนั้น”

“...” ไอ้เรวะเนี่ยนะ? จะหลอกอะไรร้ายแรงขนาดนั้น คนที่พูดปดเรื่องเอาตังค์ผมไปซื้อโอวัลตินภูเขาไฟได้แค่สองวิฯ จะมาทำผิดด้วยการเป็นนกต่อหลอกผู้หญิงให้เพื่อนไปฟันเนี่ยนะ

“แยมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอก แต่หลังจากนั้นไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็ลาออกไป ถ้าไม่จริงใครจะยอมเอาอนาคตตัวเองไปทิ้งอย่างนั้นล่ะจริงมั้ย”

“...”

“หลังจากนั้นเพื่อนๆก็ไม่กล้าเข้าใกล้น่ะ เพราะกลัวโดนหลอก โดนทำร้าย แล้วไหนยังมีข่าวที่ไปทำร้ายคนจนบาดเจ็บมาซ้ำเติมอีก ทุกคนเลยไม่สนใจเรอีกเลย แล้วเหมือนก็เป็นโชคดีด้วยที่หลังจากนั้นเรก็ไม่ค่อยได้มาเข้าเรียนอีกเลย”

“...” ทำไม...ทำไมเรื่องมันถึงได้เลวร้ายขนาดนี้วะ ที่มันบ่นอยู่เสมอว่าไม่เข้าเรียน ที่ใครต่างรังเกียจไม่ยอมจับคู่กับมันก็เพราะอย่างนี้เหรอวะ

“อ้าวทำไมไม่เข้าไปน่ะ” เสียงดังแทรกมาจากหน้าประตู พวกเราห้าคนถึงกับต้องหันไปดูผู้มาใหม่ คุ้นหน้าว่าเป็นรุ่นน้องเอกการแสดงมันแง้มประตูเข้ามา “พี่เม่น มีคนมาหาน่ะ”

“ใครน่ะ” ผมวางกีตาร์ขยับตัวลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้าตรงทางฝั่งที่น้องมันยืนอยู่ สังหรณ์ใจแปลกๆจนพาลกระวนกระวายหายใจติดขัด ขาแต่ละข้างเหมือนมีอะไรหนักๆมาถ่วงไว้ให้เดินได้ช้ากว่าปกติ...

“กูฝากให้มันหน่อย!!”

“อ้าวเฮ้ย”

เสียงนี้มัน!! ผลุนผลันวิ่งพรวดพราดไปทางประตูแบบไม่คิดชีวิต เสียงที่คิดว่าเป็นคนเดียวกับที่หายไปตลอดหนึ่งอาทิตย์กลับดังเข้าหูใกล้ตัวจนเกินจะเชื่อ พอตะปบวงกบประตูชะเง้อหน้าออกไปกลับไร้ร่องรอยของใครอีกคนที่ผมนึกถึง

“พี่เม่น” กระดาษแผ่นน้อยถูกส่งจากรุ่นน้องถึงมือ ทันทีที่เปิดดูข้อความในนั้น ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเคว้งคว้างเดียวดายที่ซ่อนมากับความหมายของประโยค...ได้มากขนาดนี้

แม้แต่คะแนนเข้าห้องมึงกูยังทำร้ายเลย ขอโทษนะ

...TBC...

++++++++++++
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 15 :: อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น [14/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-03-2019 13:41:06
 :3123:
  :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 16 :: ยกเว้นแค่มึง [19/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 19-03-2019 17:14:39
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 16 :: ยกเว้นแค่มึง


ตุบ!!

ช่วงเสี้ยววินาทีที่ผลุนผลันวิ่งออกมาแบบไม่คิดสนใจดูทาง กลับเดินชนคนที่สวนมาอย่างจังจนร่างทั้งร่างเซล้มลงไปบนพื้นฟุตบาท แขนที่พยายามพยุงตัวไว้ครูดลงไปกับพื้นคอนกรีตอย่างแรง ความรู้สึกแสบร้อนแล่นเข้าฝ่ามือทั้งสองข้างรวมไปถึงผิวเนื้อที่โผล่พ้นมาจากกางเกงยีนส์ขาดๆ

...เจ็บ... สงสัยเลือดคงออก แต่คนที่เจ็บกว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วโดนผมชนเข้าอย่างจัง...

พอสติกลับมาเลยรีบพยายามเก็บหนังสือที่ตกกระจัดกระจายซึ่งเป็นผลของการกระทำขึ้นมาจากพื้นก่อนแล้วยื่นให้อีกฝ่ายโดยตั้งใจจะกล่าวขอขมาลาโทษ

“ขอโทษ...ครับ” เสียงผมสะดุด เมื่อเงยขึ้นไปพบว่าคนที่คิดว่าเป็นผู้เสียหายกลับดูสบายกว่าที่คิด สายตาของเจ้าหล่อนมองลงมาอย่างไม่ปกปิดความไม่เป็นมิตรในดวงตา

“เร คณะมนุษย์ฯ?” อีกฝ่ายขมวดคิ้วถาม ดูเหมือนไม่ได้เป็นการยืนยันตัวตน หากเป็นเพียงความสงสัยผมแกล้งเมินคำถามนั้นไปก่อนส่งสิ่งที่อยู่ในมือให้

“นี่ หนังสือ..” เธอยื่นมือมา แต่ก่อนที่จะรับจากมือผมไป ข้อสงสัยบางอย่างก็หลุดออกจากปากของเธอ

“อย่าบอกนะว่ามาหาพี่เม่นน่ะ”

“หา?”

“คิดยังไงถึงมาที่นี่”

เธอเป็นใคร? คนรู้จักของเม่น?

“เลิกยุ่งกับพี่เม่นเถอะ อย่าทำให้พี่เม่นดูแย่ไปกว่านี้เลย”

“ดูแย่?”

“ใครๆเขาก็คิดว่าพี่เม่นเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ถึงมาคบคนไม่ดีอย่างนายน่ะ” พูดทิ้งท้ายไว้แล้วเดินจากไป นี่ไม่ใช่แค่ผมที่ถูกมองไม่ดี แม้แต่เพื่อนผมก็พลอยจะโดนมองไม่ดีตามไปด้วยอย่างนั้นเหรอ

‘หลังจากนั้นเพื่อนๆก็ไม่กล้าเข้าใกล้น่ะ เพราะกลัวโดนหลอก โดนทำร้าย’

ผมได้ยินเพื่อนร่วมเอกบอกเล่าต่อหน้าอีกฝ่ายแบบนั้น ในตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปหามันเพื่อขอโทษที่โดดวิชาเช็คชื่อคู่ เป็นเพราะไอ้บอมแท้ๆหนึ่งชั่วโมงกว่าถึงสูญไปกับการไกล่เกลี่ยอดีตเพื่อน จนเข้าคาบเรียนไม่ทัน แต่สุดท้ายผมกลับไม่กล้าเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับเม่น เพื่อนคนเดียวของผมเพียงเพราะกลัวความจริงในอดีตที่ไม่สามารถลบล้างได้

“อย่าเกลียดกูเลยนะ...” คนอื่นจะเกลียดผมยังไงก็ได้เพราะมันไม่สำคัญกับชีวิตผม แต่กับมึงเม่นผมไม่อยากคิด ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย ผมหันกลับไปมองด้านหลัง ไม่มีแม้แต่เงาของใครบางคนตามมา สิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเป็นจริง...การถูกทุกคนรังเกียจ แม้แต่คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนคนเดียวของผม...ไอ้เม่น...

“นี่นาย...” เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังระหว่างที่ผมเหม่อลอยยืนนิ่งคิดอะไรอยู่เงียบๆคนเดียว ความกระตือรือร้นรีบร้อนหันไปเพราะใจนึกว่าเป็นคนเดียวกับในสมองที่เอ่ยทักกลับแฟ่บลงทันตา เมื่อปรากฏเป็นผู้ชายตัวสูงไม่คุ้นหน้ากำลังยืนเรียกผมอยู่ ทักคนผิด? ผมหันหลังกลับตั้งใจจะไม่สนแต่กลับโดนอีกคนคว้าไหล่เอาไว้

“หูยหน้าตาดีกว่าในรูปอีก”

“หา?” เสียงอุทานออกจากปากเบาๆเล่นเอาผมงง ต้องการอะไรจากผมวะ

“อ๋อ เปล่าๆคือนี่” แผ่นกระดาษใบเล็กถูกหยิบออกมาแล้วส่งยื่นให้

“อะไร”

“มีคนฝากมาให้” ผมจ้องกระดาษในมือคนตรงหน้าอีกครั้ง “รับไปดิ” อีกฝ่ายคะยั้นคะยอจนต้องยื่นมือไปรับ...หรือว่าจะเป็น...

วันนี้ตอน 21:00น. จะรอที่ม้าหินในสวนข้างหอชาย มาให้ได้นะ

“ใคร จาก...” ยังไม่ทันจะถามคนส่งสารก็เดินจากไป จดหมายน้อยอันนี้หรือว่าจะเป็นการตอบกลับสิ่งที่ผมเขียนไปให้ การตอบกลับจากไอ้เม่น วันนี้ตอนสามทุ่มงั้นเหรอ ผมจำได้ว่าวันนี้เป็นวันที่วงซีเคว้นจะต้องไปเล่นที่ร้านข้ามคืนประจำสัปดาห์ หรือว่าเจ้าตัวจะปลีกเวลามาหาผม...แต่ไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไงถ้าเจ้าตัวบอกให้รอ ผมก็จะรอ...หากนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้อธิบายทุกอย่าง หากเป็นความหวังสุดท้ายที่ผมจะไม่ต้องเสียมันไป ต่อให้ต้องรอไปตลอดชีวิต...ผมก็จะยังรอ


ช่วงสามทุ่มในมหา’ลัย บางจุดก็ไม่น่าภิรมย์เท่าไร โดยเฉพาะจุดที่อีกฝ่ายนัดผมมา สวนสาธารณะใกล้หอชาย เป็นสถานที่ซึ่งเป็นเพียงแค่ทางคนเดินผ่าน ไม่ค่อยมีใครจะมานั่งทำธุระพักผ่อนหย่อนใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โคมไฟบางจุดประปรายส่องแสงสลัวๆ ทำให้บรรยากาศดูเหมือนหนังผีไม่มีผิด ผมมาถึงก่อนเวลาพยายามกวาดตามองหาเผื่อว่าอีกฝ่ายจะเผลอมาก่อน แต่กลับไม่พบร่องรอยใคร เลยเดินไปตรงม้าหินหย่อนตัวลงนั่ง

“เงียบชะมัด” ป่านนี้เด็กมหา’ลัยคงกลับบ้านกลับหอหรือไม่ก็ไปสังสรรค์กินดื่มกับเพื่อนกันอยู่ ต่างจากผมที่ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนั้นมาตลอดตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมา คนไร้เพื่อนกำลังเหม่อมองท้องฟ้าในคืนที่ไร้ดาว ช่างเข้ากันชะมัด แต่ภาพนี้มันก็ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลานึง

นึกถึงช่วงเวลาได้ไปค้างหออีกฝ่ายเป็นครั้งแรก...การนั่งนับดาวกางเกงลิงเป็นอะไรที่ขบขันอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ผมเผลอนึกยิ้มทุกครั้งที่คิดถึง

“กางเกงในสีเทาหนึ่งตัว กางเกงในสีเทาสองตัว...” เม่นเป็นคนที่ไม่ใส่ใจกับการแต่งกายมากนักแต่กลับใส่ใจคนรอบข้าง ตั้งแต่ตอนที่เจอมันครั้งแรกแล้ว การจะวิ่งไล่ตามคนที่คิดว่าเป็นหัวขโมยใจต้องกล้าขนาดไหนถึงจะตัดสินใจทำได้ อย่างผมน่ะไม่เท่าไรหรอกเรื่องเข้าแก๊งชกต่อยก็เจอมาตั้งแต่เด็กๆกับเรื่องแค่นี้มันดูจิ๊บจ๊อยไปเลย แต่กับลูกคุณหนูอย่างไอ้เม่น... แล้วไหนจะยังตอนที่ให้เสื้อผมยืม ช่วยผมตอนโดนรถเฉี่ยวอีก มันเป็นคนที่ไม่เหมือนใครจริงๆ

“หึ...” ผมเผลอหัวเราะอีกแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนแทบจะไม่เคยได้ยินตัวเองหลุดเสียงแบบนี้ออกมา ยิ่งคบกับมันก็ยิ่งเหมือนคนบ้า

“ยิ้มแล้วน่ารักจังเลยว่ะ”

หืม? เสียงดังขึ้นจากด้านข้างปลุกประสาทให้ตื่นตัวหันไปมอง

ใครบางคนกำลังยืนอยู่ตรงที่ห่างออกไปจากจุดที่แสงโคมไฟส่อง ผมขยับตัวลุกขึ้นพยายามเพ่งตามองไปยังจุดที่มืดมิด

“ใครน่ะ? เม่น?”

“อ้าว คิดว่าเป็นไอ้ศิลปินนั่นเหรอวะ ผิดหวังจับใจ” เจ้าของเสียงเดินก้าวขึ้นมาด้านหน้า ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่นี่กลับมาถึงสาม ท่าทางดูเหมือนเด็กในมหา’ลัยซึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับผม แต่ทั้งสามคนอยู่ในชุดไปรเวท ผมไม่รู้จักคนพวกนี้

“โทษทีกูทักคนผิด” ผมบอกก่อนหย่อนตัวลงนั่งที่เก่าตั้งใจจะรอต่อไป แต่กลับมีเงามาบังด้านหน้า ผู้ชายสามคนที่ว่ามันเดินมาถึงตัวผมพลางล้อมหน้าล้อมหลัง ปิดทางไม่ให้ไปไหน ผมเงยขึ้นมองไอ้คนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า ท่าทางไม่ค่อยสู้ดี “ต้องการอะไร”

“มึงได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงใช่ป่ะ”

“...” อีกแล้วเหรอวะ...

“กูอยากลอง”

“ก็ไปซื้อกินเองดิวะ”

“ซื้อกินมันเสียตังค์ว่ะ แต่กับมึงกูขอฟรีๆได้ป่ะ” ผมลุกขึ้นเดินเบี่ยงตัว จะหลบออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะหลบ

“ขอทางหน่อย”

“ไม่ให้ว่ะ มีอะไรรึเปล่า” กวนส้นตีนโคตรๆ ในเมื่อไม่หลบกูก็เดินชนมันเนี่ยแหละ

ผมกระแทกไหล่คนตรงกลางออกไป ตั้งใจจะเดินจ้ำอ้าวไม่สนสี่สนแปดแต่กลับถูกคนคุกคามคว้าต้นแขนไว้

ด้วยแรงแค่นี้สะบัดนิดเดียวก็หลุด แต่มันจะไม่จบก็ตรงไอ้สองคนที่เหลือมันเริ่มรวมหัวกับเพื่อนมันจับแขนทั้งสองข้างผมไว้แน่น ออกแรงบีบจนร้าวลงไปถึงกระดูก

“พวกกูมีมากกว่า มึงอย่าฝืนเลยว่ะ”

“เรื่องเคยๆทั้งนั้น มึงก็อย่าเล่นตัวให้ยากเลย หรือค่าตัวมึงสูงมาก เลยมาเล่นกับพวกกูไม่ได้เหรอวะ”

“ถึงพวกกูไม่ให้ตังค์แต่ก็ทำให้มึงพอใจได้นะเว้ย”

สัด ข่าวลืออะไรทำให้พวกมันคิดไปว่าเป็นอย่างนั้นได้วะ

“พวกมึงเข้าใจผิดแล้ว กูไม่ได้...” พยายามจะเถียงแบบใช้วิธีการสันติ แต่พวกแม่งก็ยังไม่ปล่อยมือออกไปจากตัวผม

“เห็นช่วงนี้มึงคั่วอยู่กับแต่ไอ้เม่น ไอ้นั่นมันมีดีตรงไหนวะ สาวๆถึงได้กรี๊ดมันนัก”

“กูเห็นแล้วก็หมั่นไส้ว่ะ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ อารมณ์ศิลปิน บ้านรวย หน้าตาดี แค่นี้สาวๆแม่งก็กรี๊ดแล้ว” ที่พวกมึงพูดมาก็มีแต่ข้อดีของมันไม่ใช่เหรอ แล้วคนจะไม่หลงรักมันง่ายๆได้ไง ผิดกับพวกมึงเถอะที่อยู่ๆก็คิดจะมาขอมีอะไรกับกู พวกมึงเอาอะไรคิด

“มึงก็เป็นหนึ่งในคนที่คลั่งไอ้เวรนั่นด้วยเหรอวะ” อยากจะพยักหน้า แต่ขืนทำไปมีหวังทำให้ไอ้ประจวดนี่ไม่พอใจหนักขึ้นเปล่าๆ ผมเลยได้แต่เงียบ ในสมองก็พยายามคิดหาทางหนีทีไล่ “คนที่กูชอบก็ชอบไอ้เวรนั่นเหมือนกัน สัดเอ๊ย!! ลากมันไปหลังต้นไม้ดิ๊!!”

“เชี่ย!! พวกมึงจะทำอะไรวะ” ไอ้คนตรงกลางมันตะโกนสั่งอีกสองคนที่ดูเหมือนพร้อมจะทำตามอยู่ทุกเมื่อ ตัวผมถูกลากถอยหลังไปอย่างไวแบบไม่ทันตั้งตัว สมองสั่งให้ฝืน แต่ด้วยท่าทางที่ขัดจากการเดินแบบธรรมชาติทำให้ขาผมออกแรงต้านทรงตัวได้ไม่มากนัก ร่างทั้งร่างถูกผลักลอยหวือจนหลังไปกระแทกกับต้นไม้ ดูจากตรงนี้แล้วผมถูกลากเข้ามาลึกพอสมควร ห่างจากถนนในมหา’ลัย และทางเดินในสวนกับม้าหินที่เคยเป็นจุดนัดพบระหว่างผมกับเม่น

“กูไม่สมหวังก็ขอเอากับเมียมันเนี่ยแหละ” เมีย!!?? เวร กูเพื่อนมันเว้ย จบคำมันใช้น้ำหนักทั้งตัวดันอย่างแรงจนหลังกระแทกกับพื้นหญ้า ดีที่เป็นพื้นหญ้าเนี่ยแหละ ผมถึงไม่เจ็บอะไร แต่ก็แลกมากับน้ำโคลนเฉอะแฉะที่นองกับพื้นสวนหลังฝน กับคนจัญไรอย่างมันที่คล่อมตัวผมอยู่ ไอ้อีกสองตัวมันพยายามตรึงแขนสองข้างผมไว้กับพื้น

“ทำไม ถอดใจแล้วเหรอวะ” มันจ้องหน้าผมที่นอนนิ่งมองตอบกลับไป

“เปล่า กูแค่กำลังสมเพชคนๆนึง นิสัยอย่างนี้คนเขาถึงไม่เอาไง”

“แล้วอย่างกับมึงมีคนเอานักนี่”

“...!”

‘เลิกยุ่งกับพี่เม่นเถอะ อย่าทำให้พี่เม่นดูแย่ไปกว่านี้เลย’

‘ใครๆเขาก็คิดว่าพี่เม่นเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ถึงมาคบคนไม่ดีอย่างนายน่ะ’


...ลืมไปเลย ว่าก่อนจะไปสมเพชเขา เอาตัวเราให้รอดเสียก่อน...

ผมเหม่อ...นึกไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีต...เรื่องราวที่หล่อหลอมผมมาจนถึงตอนนี้...เหม่อจนกระทั่งได้ยินเสียงฉีกรั้งเสื้อผ้าดังเข้าโสตประสาท

เชี่ย...เมื่อกี้กูเป็นบ้าอะไรวะ มันใช่เวลาที่สมควรจะมาเหม่ออย่างนี้มั้ย ผมได้ยินเสียงไอ้หน้าประจวดมันบ่นสะบัดหลังจากลงไปซุกซอกคอตอนผมเผลอสักระยะว่าเสื้อผ้าช่างเกะกะน่ารำคาญ แค่นั้นแหละเหมือนสวิตซ์จุดชนวนระเบิดของผมทำงาน

ไอ้สัดมึงจะทำอะไรกับของๆกูก็ได้...แต่มึงทำร้ายเสื้อไอ้เม่นของกูไม่ได้!!

โป๊ก!!!

“เชี่ย!! มึงทำอะไรวะ!!”

หนึ่งกะโหลกเต็มๆทำเอาอีกฝั่งแม่งถึงกับเห็นดาว ไอ้สองตัวที่ตกใจกับอาการหงายหลังเผลอปล่อยมือผมอย่างไม่ระวังทำให้ผมอาศัยจังหวะนั้นผลักตัวลูกพี่มันจนหงายชักขาดีดเข้าท้องน้อยของมันเต็มแรง

ผลั่ก!!

“อ่อก!!” เนี่ยแหละข้อดีที่ไอ้บอมมันนับถือผม การที่เป็นคนต่อสู้เก่งเลยถูกรับเข้าแก๊งจนอยู่แนวหน้าได้อย่างรวดเร็วไม่มีใครกล้าแหยม แต่มันก็นำพามาทั้งประสบการณ์ที่ดีและเลวร้ายในตัว...

ระหว่างที่คนกลางหงายหลังลงไปก้มท้องงอตัวเป็นกุ้งกับพื้น ผมก็ดีดตัวลุกขึ้นหันไปยืนมองอีกสองคนข้างหลังยกเท้าทั้งคอนเวิร์สเสยไปที่คางจนหนึ่งในนั้นหงายหลังล้มตึง ก่อนหมุนตัวไปยังอีกทิศอย่างว่องไวตั้งท่าจะยกเท้าไปจูบคางคนที่เหลือให้จบๆ

“กลัวแล้วจ้า กลัวแล้ว!!” คนสุดท้ายยกมือไหว้อย่างร้องขอชีวิตจนขาผมถึงกับชะงัก... ที่แท้ก็เป็นพวกไม่เคยต่อสู้ ไม่เคยรู้จักการดิ้นรนเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด พวกนี้น่ะแค่โดนเตะนิดๆหน่อยๆก็ร้องแล้ว ไม่ต้องถึงกับให้ปางตายหรอก

“เอาเพื่อนมึงกลับไปด้วย กูขี้เกียจเก็บศพ” ผมเหลือบไปมองไอ้คนที่โดนเสยคางตอนนี้ไร้สติไปแล้ว นี่ถือว่าเป็นสีสันชีวิตอย่างหนึ่งรึเปล่าวะที่มาเจอกับพวก...

ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆมือสองข้างก็โดนล็อคจากด้านหลัง เชี่ย...ไอ้ตัวที่โดนกระแทกท้องมันยังไม่ตาย!!

“ต่อยดิวะ!!” เสียงตะโกนเป็นสัญญาณบอกสั่งไอ้ขี้ขลาดข้างหน้า ก่อนมันจะลุกขึ้นมาอย่างไวแล้วตุ๊ยมาที่ท้องผม

“อึก!!”

พลาดแล้ว จุก...แต่ไม่ถึงกับล้มผมประคองตัวดิ้นสะบัดซ้ายขวาหวังว่าจะหลุด แต่ไม่รู้ไอ้เชี่ยแม่งมันเอาแรงแค้นมาจากไหนถึงได้ล็อคจนดิ้นออกไม่ได้ สุดท้ายอีกหนึ่งหมัดก็ลงมาซ้ำตรงที่เดิม...อุ่ก!!

เชี่ย...ไม่คิดว่ามันจะเล่นกันแรงขนาดนี้ คิดว่าแค่สั่งสอนแล้วให้จากไป แต่ตอนนี้ถ้าเอาผมตายได้มันคงทำ ไอ้เตี้ยด้านหน้ามันต่อยผมไม่ยั้งจากท้องแล้วไล่มาที่หน้า

พลั่ก!!

หมัดลุ่นๆทำหน้าหันรู้สึกชาไปครึ่งซีก กระดูกมาเจอเข้ากับกระพุ้งแก้มแล้วไปจบกระทบกับฟันในช่องปากทำเอาลิ้นรับรู้กลิ่นเหล็กที่เริ่มไหลซึมออกมา...ปากแตก...

“พอพอ เอาแค่นิ่งพอ” นิ่ง...กูนิ่งแล้ว แต่มันก็ยังต่อยซ้ำมาที่หน้าผม “เหี้ย กูบอกให้พอไง!!” มันตะโกนจนเพื่อนมันหยุด “เดี๋ยวหน้ามันเละกูก็หมดอารมณ์กันพอดี กูจะวางมันลง มึงดูด้วย” รู้สึกแรงโน้มถ่วงเป็นตัวดึงผมลงให้กองกับพื้นมากกว่าการปล่อยอย่างละมุนละม่อม ไอ้เพื่อนมันก็โคตรเชื่อฟังด้วยการจับข้อเท้าผมทั้งสองไว้มั่นกันการต่อต้าน ตัวการของทั้งหมดเดินอ้อมมาด้านหน้าผมก้าวขาพาดคร่อมมองอย่างดูแคลน “กูจะทำให้มึงอาย โทษฐานที่ถีบกู มึงไปจับแขนมันไว้” ประโยคสุดท้ายคือสั่งการไอ้ตัวจับขาให้วิ่งมาเหนือหัวผมก่อนรวบมือทั้งสองข้างตรึงไว้กับพื้น

“ทำอย่างนี้มึงไม่กลัวกูเอาไปประจานที่ไหนเหรอวะ” ผมก้มหน้าถาม เลือดในปากยังคงไหลซึม ความจุกเริ่มเลือนหายไปแล้ว

“ก็มาดูกัน ว่าระหว่างกูกับมึงเขาจะเชื่อใคร”

“...”

“คนที่ใครๆก็ไม่เคยคิดว่าเป็นคนดีอย่างมึง แถมคนไม่ชอบขี้หน้าขนาดนั้น มึงน่าจะรู้ตัวเองดีนะ”

“...” เจ็บยิ่งกว่าโดนต่อย ยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงก็คือการโดนคนหมาๆอย่างมันตราหน้าว่ายังไงคนทั้งโลกนี้ก็ไม่มีทางเข้าข้างคนอย่างผม มือที่อยู่เหนือหัวเผลอกำหมัดแน่นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเป็นแล้วคนดงคนดี ยังไงก็ไม่มีใครเข้าใจ...

...ถ้าเรื่องมันเกิดขึ้น ถ้าผมเล่าเรื่องนี้ให้คนที่ผมคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจผมมากที่สุดฟัง เขาจะยังเข้าข้างผมอยู่มั้ย...

...จู่ๆภาพความทรงจำระหว่างผมกับเม่นก็หลุดขึ้นมาเป็นฉากๆ...

...ใช่...เม่นกำลังรอผมอยู่...ผมจะต้องกลับไปตรงที่เรานัดพบกัน...

ไอ้เลวนั่นกำลังง่วนกับการใช้มือเพียงข้างเดียวแกะเข็มขัดปลดตะขอและรูดซิปกางเกงของผม ส่วนอีกมือมันกำลังยกมือถือขึ้นถ่ายวีดิโออย่างตั้งใจ เพราะผมนิ่งไปเลยทำให้เกิดความชะล่าใจขึ้นอีกครา แรงกำข้อมือของไอ้คนด้านบนก็ดูอ่อนลงคงเป็นเพราะมันกำลังจับจ้องกับการกระทำของหัวโจกมันอย่างตั้งใจ

“หึ...วิวดีว่ะ” เสียงผิวปากบวกกับการหัวเราะที่แสนน่ารังเกียจดังเข้าโสตประสาท เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมรู้ว่ากระดุมเสื้อเชิ้ตที่ยังไม่เสียหายจากการกระชากถูกเปิดออกจนหมด สาบเสื้อสองข้างโดนแหวกกว้างจนไร้การปกปิด

...กูให้มึงดูแค่นี้แหละ...

พลั่ก!!

ขาสองข้างใช้แรงทั้งหมดที่มีเตะเข้าเป้าไปที่กลางลำตัว เล่นเอาคนโดนถึงกับปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือร้องไม่เป็นภาษาพลางยกมือขึ้นกุมไข่ชักดิ้นชักงอไปมา

“เชี่ยมึง!!” ส่วนอีกคนที่พึ่งรู้ว่าลูกพี่เป็นอะไรก็โดนผมสะบัดมือจนหลุด มันตั้งท่าจะยกเท้าขึ้นมาเตะแต่กลับโดนเสียงๆหนึ่งสะกัดไว้ก่อน

“หยุดนะ!!” ทุกคนสะดุ้งจนหันไปมองเสียงห้าวสัดยิ่งกว่าปืนใหญ่หลุดมาจากในสงครามโลกครั้งที่สอง ร่างสูงใหญ่เกือบสองเมตรกำยำเกินกว่าจะเป็นสาวห้าวที่ไหนกำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาพลางตะโกนว่า...

“จะทำอะไรนุ้งเรน่ะฮะ ถ้าทำอะไรข้ามศพอีดิบคนนี้ไปก่อนโว้ยยย!!”

ชะ...ช้างตกมัน...

“กูถ่ายวีดิโอพวกมึงไว้หมดแล้วโว้ยยยยยยยย อัพโหลดลงไอ้คล้าวแล้วด้วย เอาดิถ้าอยากสู้กับกูมึงมาเล้ยยย”

“เว้ยยยย ยักษ์ๆๆๆๆ” ไอ้เตี้ยแม่งวิ่งหนีวิ่งกว่าเจอผี ส่วนไอ้คนที่สลบเหมือดไปตั้งแต่คราแรกแม่งตื่นมาเพราะเสียงพี่มันก่อนจะวิ่งป่าราบ ปล่อยให้ลูกพี่แม่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งกุมไข่หนีไปจนสุดปลายทาง

“...” ส่วนผมแม่งอึ้ง...จนนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น

“แน่จริงมึงอย่าหนีดิโว้ยยยยยย” ร่างสูงใหญ่วิ่งมาถึงตัวผม แต่ยังมีกระโดดกระแทกเท้าตึงตังแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างรุนแรง

“พะ...พี่ดิบ?”

“นุ้งเรรรร” ได้ยินผมเรียกชื่อพี่แกแทบทรุดลงมามองอาการตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เชี่ยยย มันทำอะไรหนูเนี่ยยย” ผมรีบจับเสื้อสองข้างมาคลุมปกปิดพลางย้ายมือไปรูดซิปเกี่ยวตาขอกางเกง

“พะ...พี่ไม่ได้เห็นอยู่แล้วเหรอ”

“หา?”

“ก็...เมื่อกี้บอกว่า...ถ่ายวีดิโอไว้”

“ก็แค่ขู่ไปงั้น ไอ้พวกนี้แม่งไม่มีหลักฐานไม่วิ่งป่าราบไปอย่างนี้หรอก อย่าให้จับได้นะจะส่งชื่อแจ้งมหา’ลัยให้ไล่ออกแม่งเลยคอยดู” ...แปลกใจ...

“พี่ไม่ได้คิดว่าผมแสดงละครอะไรอย่างนั้นเหรอ” ผมส่งสายตาถามคนตรงหน้า

“บ้ารึเปล่าฮะ ดูจากสภาพเราแล้ว คิดอย่างนั้นได้ก็ควายแล้วล่ะ โถ โถ ปากๆๆ ปากสวยๆแตกหมดเลย แก้มช้ำด้วยอ่ะ ไอ้พวกเชี่ยนี่แม่งเอ้ยยยยสมบัติของเพจชั้นทำพังหมด!!”

คนตรงหน้ากำลังโมโหเพื่อผมจริงๆ? ทำไมจู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ผมก้มหน้าลงเพราะกลัวความเข้มแข็งทุกอย่างที่พยายามมาจะสูญเปล่า มือสองข้างกำต้นหญ้าข้างกายสะกั้นอารมณ์ทุกอย่างไว้ แต่มีบางอย่างที่ผมต้องพูดออกไป

“ขอบคุณนะครับ”

“...”

“ขอบคุณ...จริงๆ”

“ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณเรา”

“...” เงยหน้าขึ้นมองคำขอบคุณที่ตอบกลับอย่างงงงวย

“ขอบคุณที่ยอมให้พี่ตามถ่ายมาตั้งสองปี ขอบคุณที่ทำให้พี่ได้เห็นช็อตน่ารักๆอย่างตอนช่วยคุณยายข้ามถนน หรือแม้แต่ตอนเตะชามกับข้าวบูดข้างต้นไม้ไม่ให้น้องแมวได้กินเพราะกลัวจะท้องเสียนะ”

“...” นั่นมัน...ทั้งๆที่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ผมเคยทำแล้วก็ลืมมันไปนานแล้ว

“อ้อแล้วก็...ขอบคุณที่ยิ้มแล้วชูสองนิ้วในร้านโจ๊กให้กล้องพี่นะ โคตรรักอ่ะ”

“หึ...” หัวเราะได้แค่นั้นเพราะความเจ็บจากรอยช้ำเริ่มกำเริบ ผมลุกขึ้นมาโดยมีพี่ดิบคอยประคองให้เดินไปจนถึงม้าหิน

“ไปห้องพยาบาลมั้ย หรือไปโรงบาลหมา’ลัยใกล้ๆนี้ดี”

“ในมหา’ลัยมีแต่โรงบาลสัตว์นะพี่”

“อุ๊ยตายจริง...นี่ก็ลืมไป อืมงั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่พาไปทำแผลก่อน แล้วค่อยไปส่งที่บ้าน...มองหาอะไรอยู่เหรอนุ้งเร”

“เออ...” ผมเผลอกวาดตามองไปรอบๆ สมาธิไม่อาจจดจ่อกับคำพูดของคนช่วยเหลือผมได้ “ผม...”

“เรานัดใครไว้เหรอ พี่ก็แปลกใจว่าทำไมเราถึงมาอยู่ในที่เปลี่ยวๆตรงนี้ได้”

“ผมรอ...”

“รอ?”

“รอไอ้เม่น” พูดไปในมือก็กำกระดาษน้อยที่อยู่ในกระเป๋าบนอกเสื้อแน่น

“แต่ว่าวันนี้เม่นเขา...”

“...อึก..ผม” ผมรู้...รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังหวัง...หวังว่ามันจะมาหา ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองตาพี่ดิบ เพราะผมรู้ว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่...

“เราจะไม่...กลับกับพี่จริงๆเหรอ” พี่ดิบย่อตัวลงคุยพลางกำชับมือผมแน่น ส่วนทางนี้ก็ได้แต่พยักหน้า...อย่างสิ้นหวัง...อย่างน้อยถ้าผ่านคืนนี้ไปได้...ผมก็จะได้ยอมรับความจริงสักทีว่าไม่ควรจะมีหวังเหมือนอย่างใครเขา ไม่ควรหวังชีวิตการมีเพื่อนที่แสนธรรมดาอย่างที่ทุกคนเป็น...

“ให้ผม...อยู่รอเถอะนะ”

“เร...” เสียงพี่ดิบเงียบไปหลังจากนั้น ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรำคาญกับความดื้อด้านของผมหรืออะไร แต่สุดท้ายร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้น เสียงทุ้มต่ำติดจะดูจริงจังดังขึ้นเหนือศีรษะผม “ก็ได้พี่จะให้เรารอ...พี่จะไม่กวนเราแล้ว แต่ถ้ามีอะไร...ดีเอ็มมาหาพี่ได้นะ” ยิ้มส่งท้ายคงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการตอบแทนผู้มีพระคุณที่ผมทำได้ในตอนนี้ ร่างสูงๆเดินห่างออกไปจนในที่สุดผมก็อยู่ตรงนี้อย่างเดียวดาย ท่ามกลางค่ำคืนที่ไร้ดาวอย่างเคย...



“เชี่ยเรวะ!!” เสียงดังใกล้ตัวมากจนผมสะดุ้งตื่น ท่ามกลางความมืดมิดทำให้จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน มองไปเบื้องหน้าก็เห็นกางเกงยีนส์ขาดๆตัวนึงที่ขวางอยู่...ขาใคร?

“เชี่ยเอ๊ยมึงจะนอนรอให้ยุงหามตายหรือไงวะ!!”

เฮือก!! เสียงนี้มัน ผมถีบตัวลุกขึ้นจากม้าหินที่ทั้งเย็นและแข็ง ส่งผลให้ร่างกายซึ่งบอบช้ำไปหยกๆปรับตัวไม่ทัน ประท้วงด้วยการส่งความเจ็บปลาบเข้าทุกส่วน

“อะ...โอ๊ย”

“เชี่ย!!เจ็บตรงไหนของมึง” ไหล่สองข้างเหมือนโดนที่ฝ่ายที่ย่อตัวลงมาประคองเอาไว้ แสงไฟตรงโคมรายทางริบหรี่ลง แต่แสงไฟฉายจากมือถือที่อีกฝ่ายเขวี้ยงลงข้างม้านั่งทำให้ผมเห็นหน้ามันได้อย่างชัดเจน...

“...”

“เรวะ”

“...”

“เรวะ...มึง”

“ไอ้เม่น...” เป็นมึงจริงๆด้วย คนที่จะเรียกผมด้วยชื่ออย่างนี้ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่กำลังอยู่ตรงหน้าผม

“เชี่ยหน้ามึง โคตรเละ” มันยกนิ้วโป้งขึ้นแตะที่มุมปาก แต่แรงมือที่มาแบบไม่ทันระวังทำเอาผมสะดุ้งด้วยความเจ็บ “เฮ้ย โทษๆ”

“ไอ้เม่น...”

“ใครทำมึงถึงขนาดนี้วะ”

“ไอ้เม่น...”

“อ้าวเชี่ยแล้ว กูพึ่งมาทำไมโดนกล่าวหาแล้ววะ”

หมับ!!

ร่างทั้งร่างเหมือนไม่มีความเป็นตัวเองที่เคยฝืนเข้มแข็งอีกต่อไป ในที่สุดผมก็ได้เจอมันแล้ว มันกำลังมีตัวตนอยู่ตรงหน้าผมตรงนี้

“เรวะ...”

“มึง...ฮึก...”

“...”

“อย่าเกลียดกูได้มั้ย กูโดนเกลียดมาทั้งชีวิตแล้ว ขอแค่มึง...แค่มึง...”


วันนั้นผมฝันว่าเจอเม่น...ผมระบายความในใจออกมาทั้งหมด...ได้แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว...ต่อให้ตื่นมาแล้วรู้ว่าเป็นความฝัน...ต่อให้รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นความจริง...แต่ผมก็ยังมีความสุขที่สุด...จากการที่ผมได้เห็นมันในฝัน...เพื่อนที่ดีที่สุดของผม...เม่น....


...TBC...

+++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 16 :: ยกเว้นแค่มึง [19/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: manneewan ที่ 20-03-2019 06:49:39
น้องเรลูกแม่ แม่เอาใจช่วยหนูนะคะ :o12:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 16 :: ยกเว้นแค่มึง [19/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 22-03-2019 06:13:10
งื้ออ เรน้อยๆเจออะไรมาเนี่ยย เม่นเข้าใจเรหน่อยน้า เรตะมุ เป็นกำลังใจให้ค้าบบบ  รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 17 :: พาสชั้นมาเป็นแฟน [23/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 23-03-2019 18:08:43
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 17 :: พาสชั้นมาเป็นแฟน


‘ไอ้ตัวซวย แกจะเกิดมาทำมั้ย!! ฮือ...เกิดมาทำไม’


เสียงคร่ำครวญของหญิงสาวที่ร่ำไห้ราวกับหมดอาลัยตายอยาก คุ้นชินตาสำหรับผมเสมอในยามเด็ก ภาพเบื้องหน้ามักจะถูกปกปิดด้วยผืนชายกระโปรงของผู้เป็นยายที่พยายามจะดันผมให้กลืนหายไปเบื้องหลัง แต่ผมก็ยังพยายามที่จะยื่นใบหน้าออกมามองภาพนั้นทั้งที่ยังแนบแก้มกับต้นขาของยายด้วยความหวาดกลัว...


‘แม่เขาร้องไห้ทำไมเหรอยาย’

‘แม่เขาแค่เสียใจน่ะ’

‘เสียใจ?’

‘เสียใจที่ไม่ได้เจอพ่อ’

‘พ่อไปไหน?’

‘ไปท่องเที่ยวต่างแดนน่ะ’

‘แล้วจะกลับมามั้ย?’ ยายยิ้มก่อนจะลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา

‘ที่ที่พ่อเราไปมันไกลมาก ไกลสุดขอบโลกเลย’

‘...’ เด็กน้อยเก็บอาการผิดหวังผ่านสีหน้าไม่อยู่ จนผู้เป็นยายต้องย่อตัวลงมาประคองแก้มใสทั้งสองข้างเอาไว้

‘แต่เรยังมียายอยู่นะ’

‘...’

‘แล้วเรก็จะต้องโตมาเป็นเด็กเข้มแข็งเพื่อปกป้องแม่เขาด้วย สัญญากับยายสิ’ เจ้าของดวงตาแววใสพยักหน้าจนแก้มนุ่มนิ่มขยับขึ้นลงไปมา

‘ครับ ผมสัญญา’ นิ้วมือยายที่ปกคลุมด้วยผิวหนังอันเหี่ยวย่นถูกส่งเข้ามาใกล้ มือยายใหญ่กว่าผมมาก พวกเราเกี่ยวก้อยสัญญากัน และวันนั้นเป็นวันแรกที่ผมตัดสินใจว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องแม่และยาย


ทั้งที่คิดไว้อย่างนั้น แต่ความตั้งใจก็ไม่เคยส่งไปถึงใครบางคนได้เลย


เคร้ง!!

หลังเสียงโครมครามจากของหลายอย่างซึ่งถูกเหวี่ยงกระจายลงพื้น เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นแทบจะในนาทีเดียวกัน ผมแทบจะกลั้นหายใจยิ่งนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับคนที่ตายแล้ว

‘แกเอามันไปใช่มั้ย ไอ้เด็กสารเลวนี่!!’

‘ผมเปล่า’

‘อย่ามาโกหก ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร มีแต่แกที่คอยแต่จะก่อเรื่องให้พ่อแกทิ้งฉันไปตลอด!!’

‘เกิดอะไรขึ้นน่ะ’ เสียงของยายดังขึ้นแทรกระหว่างเราสองคน ร่างสูงอายุเดินปราดเข้ามาขวางหน้าระหว่างคนที่คุกรุ่นด้วยอารมณ์ฉุนขาดกับคนที่กำลังสับสนว่าตนเองทำอะไรผิดไป

‘ก็ไอ้เรน่ะสิ มันเอาตังค์ของเรจิที่เคยให้นิไว้ไปซ่อน’

‘ผมเปล่านะแม่’

‘ยังจะมาเถียงอีก ไอ้เด็กไม่รักดี ไอ้ลูกเฮงซวย!!’ มือบางกำเศษแก้วที่แตกกระจัดกระจายตามพื้นขึ้นมาปาใส่ ส่งผลให้แขนที่โผล่พ้นออกมาจากหลังยายโดนเศษแก้วข่วนไปหลายจุด บางจุดก็โดนแรงจนกระทั่งเลือดออก

‘พอ!!พอได้แล้วทำบ้าอะไรน่ะยัยนิ!!’ ยายรีบดันตัวผมจนมิด สถานการณ์เบื้องหน้าดูยากเกินกว่าจะแก้ไข สายตาของผู้เป็นยายหันมองมาทางผมก่อนบอก ‘ออกไปก่อนเถอะอย่าพึ่งกลับมาบ้าน’

‘แต่ยาย...’

‘ไปเถอะ ขืนเราอยู่ตรงนี้มีแต่แม่เขาจะคลั่ง’ ผมตัดสินใจฟังตามคำสั่งของยาย วิ่งไปคว้ากระเป๋าใบน้อยประจำกายแล้วพุ่งตรงออกจากบ้าน...ออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า...จะได้กลับมาอีกเมื่อไร

สองเท้าพาร่างเหงาๆไร้จุดหมายเดินมาตามทางอย่างเรื่อยเปื่อย นอกจากบ้านแล้วเด็กชายมนายุไม่เคยรู้จักที่พักพิงที่ไหนอีก ชีวิตนี้เขามีแต่ยายเพียงคนเดียวที่ตนเองผูกพัน ยายที่คอยหาตังค์ส่งเสียงให้เขาเรียนหนังสือ คอยสอนให้รู้จักเข้มแข็งทำเรื่องต่างๆด้วยตนเอง ทุกเช้าต้องตื่นขึ้นมาช่วยยายเข็นรถไปตั้งร้านขนมพอตกเย็นก็ต้องวิ่งจากโรงเรียนมารับยาย ช่วยกันเก็บข้าวของหอบหิ้วตะกร้ากลับบ้าน ไม่เคยรู้จักการเล่นสนุกกับเพื่อนๆหลังเลิกเรียนอย่างใครเขา จนกระทั่งวันหนึ่ง...

‘ใช่พี่ที่อยู่โรงเรียนเดียวกันรึเปล่า’ เสียงทักดังขึ้นมาแต่ไกล รอยยิ้มใสๆถูกส่งตรงมาจากเด็กชายคนหนึ่ง ผมซึ่งกำลังนั่งคู้ลงพิงกำแพงข้างทางแบบไร้หนทางไปเงยหน้ามองเจ้าของเสียง เทียบกันแล้วตัวอีกฝ่ายเล็กกว่าผมไม่มากนัก และไม่คุ้นหน้าว่าเคยรู้จักกัน แต่คำทักทายนั้น...

‘ไอ้บูม ทำไรอยู่วะ ไม่รีบตามมากูไม่พาไปแล้วนะโว้ย’ จบลงตรงที่ใครบางคนมาตะโกนเรียกอีกฝ่าย ไม่นานก็ปรากฏร่างเด็กชายที่ดูสูงใหญ่กว่าแต่หน้าตาละม้ายคล้ายคนตรงหน้าไม่มีผิดเดินเข้ามาหา เจ้าตัวมองมาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ‘ใครวะ’

‘ไปเล่นด้วยกันมั้ย’

‘ไอ้บูมมึงอย่าชวนใครมั่วๆดิวะ’

ถึงพี่ชายจะห้ามแต่เด็กน้อยตรงหน้าก็ไม่สน มันยังคงรบเร้าจนผมต้องเดินตามไปในที่สุด

...ใครจะรู้ว่าวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง จุดที่ทำให้ผมถลำลึกกับคำว่า ‘ตัวซวย’ อย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน...


‘มึงว่าไงนะ’

‘ถ้ามึงไม่ทำกูจะให้ไอ้บูมมันทำ’ ไม่พูดเปล่ามันหันหน้าไปทางที่น้องชายตนเองกำลังนั่งอ่านหนังสือแล้วตะโกนเรียกชื่อ ‘...ไอ้บูม!!’

‘เชี่ยบอม!!’ ฉับพลันกับที่ผมกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าแบบไม่ต้องคิด ส่งผลให้มันหยุดสิ่งที่คิดว่าจะทำแล้วหันมามองหน้าผมอย่างบีบคั้น

‘ตกลงยังไง’

‘อย่าเรียกน้องมึง’

‘แล้วยังไง’

‘...’

‘กูถามว่าเอาไง ถ้ามึงไม่ตอบ...’

‘กูทำเอง’

‘...’

‘ถ้าจะเรียกน้องมึง กูทำเอง’

งานส่งของง่ายๆแต่ได้เงินดีจากคำบอกเล่าของไอ้แห้วเพื่อนร่วมก๊วนไอ้บอม ใครฟังก็รู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง การจะลากน้องชายเข้าไปช่วยหารายได้เสริมประเภทนั้นมึงใช้อะไรคิดวะ

ไม่มีทางเลือก...ชีวิตผมไม่เคยมีทางเลือกอะไรมากตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว และผมก็ไม่อยากให้ไอ้บูมเดินตามเส้นทางนี้ อย่างน้อยมันควรจะมีชีวิตที่ดีกว่า ผมตกปากรับคำทั้งๆที่รู้ว่าอันตราย ถ้าพลาดอาจจะหมายถึงอนาคตทั้งชีวิต แต่จะเรียกว่าโชคเข้าข้างก็ได้เพราะพวกเราผ่านมันมาได้ตลอด เรื่อยๆ บ่อยเข้า จนย่ามใจ จนลืมไปว่าสุดท้าย...โชคชะตาก็ไม่มีทางเข้าข้างคนผิด...

‘ตำรวจมากันเต็มเลย เห็นว่ามาจับพวกค้ายา’

กระเป๋านักเรียนแทบหลุดมือทันทีที่ได้ยินเสียงคนละแวกนั้นพูดคุยกัน ผมปล่อยบูมที่เดินกลับจากโรงเรียนมาพร้อมกันไว้เบื้องหลังแล้วรีบรุดไปตามคำบอกเล่าที่ได้ยิน

ภาพที่เห็นทำให้ขนลุกกลัวจนตัวสั่น คนรู้จักคุ้นเคยกันโดนคนในเครื่องแบบจับขึ้นรถไปทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่พี่ชายของคนที่วิ่งตามมายืนเคียงข้างผม

‘เฮียบอม’ เสียงไอ้บูมสั่นจนรู้สึกได้ มันยืนมองพี่ชายที่ถูกล็อคตัวค่อยๆเดินไปขึ้นรถตำรวจก่อนจะขับออกไป

หากย้อนเวลากลับไปได้...หากผมรู้ว่าเรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร ผมคงไม่มีทางทำอย่างนั้นอีกแน่ คงไม่วิ่งไปบอกยายของไอ้บอม จนอาการโรคหัวใจแกกำเริบล้มทรุด คงไม่ต้องทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆของไอ้บูมว่าพี่ชายมันโดนจับข้อหาอะไร และคงไม่เสียที่พักพิงสุดท้ายอย่างบ้านยายบัวที่ต้องเอาไปจำนองเพื่อหาเงินมาประกันตัวหลานชาย...และเสียยายบัวผู้เปรียบเสมือนญาติคนที่สองไปตลอดกาล...

ความผิดที่ไม่อาจไถ่โทษได้ถูกเอามาลงกับการเรียน การเคี่ยวเข็ญสอนให้ไอ้บูมดันตัวเองจนจบม.ปลาย เอาสิ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจเรียนด้วยตนเอง เพียงแค่หวังว่าสักวันนึงจะได้เอามาใช้ประโยชน์เมื่อเจอพ่อมาต่อยอดหาเงินเก็บเล็กผสมน้อยช่วยเหลือจุนเจือตนเองกับไอ้บูมที่ยังพอก้าวไปข้างหน้าได้จากมรดกก้นถุงที่ยายบัวเก็บไว้ แต่สี่เดือนกับไอ้บอมที่หายไปมันช่างเป็นอะไรที่สั้นนัก...

ผมลืมไปว่าความโชคดีไม่เคยเข้าข้างผม....


‘เชี่ยบอมมึงทำอะไรวะ’

ผมควรจะยินดีกับการที่พี่ชายไอ้บูมมันกลับมา แต่ทว่าการพบหน้ากันตลอดหนึ่งเดือนที่มหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายวางแผนไว้แล้วทุกอย่าง ไอ้บอมมันจงใจมาตามหาคู่อริของตน และการที่ติดต่อหาผมอีกครั้งก็เพื่อเพียงจะให้นำทางมาหาไอ้คนที่นอนงอตัวกุมท้องอยู่ตรงหน้าคนนี้...ไอ้แห้วอดีตเพื่อนร่วมก๊วนชวนทำผิดของมัน

‘ไอ้เรมึงถอยไป ไอ้สัดนี่มันปัดทุกอย่างมาให้กู’ ผมไม่รู้ว่าทำไมไอ้แห้วมันเข้ามหา’ลัยเดียวกับผมได้ แต่ตอนนี้มันก็มาอยู่ตรงหน้าผม มาโดนไอ้บอมซ้อมจนแทบปางตาย

‘มันปัดอะไรไปให้มึง’

‘ยาไง มันยัดยามาให้กู’

‘แต่ซ้อมมันขนาดนี้ก็แทบปางตายแล้วนะเว้ย’

‘แล้วมันคุ้มกับที่ยายกูต้องเป็นอย่างนั้นมั้ยวะ!!’ ไอ้บอมมันโดนจับได้ค่ายบำบัดก่อนที่จะรู้เรื่องราวของยายบัว ไอ้แห้วโดนมันหลอกมาในที่ลับตาคนโดยหารู้ไม่ว่าคนเรียกคืออดีตที่มันเคยจงใจทำร้าย แสงไฟรายทางสะท้อนกับสิ่งแวววาวในมือไอ้บอมที่มันชักขึ้นมาจนเข้าตาผม มีด...ไอ้บอมมันมีมีด

‘มึงจะทำอะไร’

‘กูจะให้มันเจ็บอย่างที่ยายกูเจ็บบ้าง!!’

ฉึก!!

ยังไม่ทันห้ามต้นขาไอ้แห้วที่นอนโอดโอยของความช่วยเหลือก็ถูกปักด้วยมีดพกในมือ เลือดสีแดงฉานเริ่มไหลซึมออกมาตามคมมีด

‘ไอ้บอมมึงทำเชี่ยอะไรวะ!!’ ผมวิ่งเข้าไปผลักอกมันให้ออกห่างพยายามขวางเพื่อเตือนสติ ‘อย่าทำอะไรไม่คิดดิ ถ้ามันตายแล้วยายมึงจะฟื้นมั้ย!!’

‘กูไม่รู้ แต่กูอยากให้มันตาย!!’

‘ถ้าจะให้มันตายงั้นกูซ้อมให้!!’

‘...!!’

‘มึงเก็บมีดมึงไป’

‘...’ ร่างสูงมองหน้าผมสายตาดูไม่ไว้ใจ แต่ก็ยังพับมีดกลับลงกระเป๋าตนเอง

‘งั้นมึงเตะ’

‘...’

‘กูบอกให้มึงเตะ!!’

ผลั่ก!!

ระหว่างมีดกับหมัด ความเสี่ยงที่น้อยที่สุดจากการโดนทำร้ายเป็นผมคงเลือกที่จะใช้ตีนตนเองเตะเข้าไปที่เชิงกรานของไอ้แห้ว แทนของมีคมที่ไม่รู้ว่าจะถูกปักลงร่างนี้ไปอีกกี่แผล หลังจากทำจนไอ้บอมพอใจแล้วจากไป ผมรีบกระเสือกกระสนพาคนนอนเจ็บไปทิ้งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ในใจก็ได้แต่หวังว่าอย่าให้มันเป็นอะไร อย่าให้เรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้เลย

โชคดีที่เรื่องไม่ได้ปูดขึ้นมาเพราะไอ้แห้วก็กลัวว่าเรื่องราวในอดีตจะทำให้มันโดนหางเลขไปด้วย แต่ไอ้บอมกลับโดนจับเพราะตอนนั้นมีพยานรู้เห็น ส่วนผมที่โดนเพียงกล้องวงจรปิดจับได้ลางๆก็ถูกสังคมประนามจนลุกลามไปถึงเอก แค่นิสัยขี้เอาของไอ้บอมซึ่งทิ้งไว้จนทำให้เด็กร่วมเอกของผมเดือดร้อนก็เพียงพอกับการโดนคว่ำบาตรจากเพื่อนๆแล้วแต่นี่มันกลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ...จนผมเคยเกือบคิดที่จะหายไปจากโลกนี้ เพื่อให้ ‘ตัวซวย’ คนนี้หายไปตลอดกาล

ในเมื่อทั้งตอนที่เกิดมาก็ไม่มีใครต้องการ...การที่เขาคนนั้นจะหายไปก็คงไม่มีใครรู้สึก...


เฮือก!!

สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ในฉากซ้ำๆที่ผมเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วตัดสินใจว่าจะลบตัวเองออกจากชีวิตของทุกคน...

“เรวะ!”

ภาพเบื้องหน้าเป็นเพดานที่ผมเห็นมาแล้วหลายครั้ง กับใบหน้าของอีกคนที่ชะโงกมามองจากด้านข้าง ความร้อนของหยาดน้ำที่ไหลร่วงออกมาจากปลายตามันทำให้รู้ว่าผมฝัน... ร่างทั้งร่างหอบหายใจแรงจนคุมอาการสั่นไม่อยู่

“มึงเป็นอะไร!” เสียงดังกระทบโสตทำให้ผมต้องเหลือบสายตาไปมองใบหน้าวิตกจริตของคนเคียงข้าง

“ไอ้เม่น”

“ว่าไง”

“กู...หิวน้ำ” ร่างสูงด้านข้างรีบตาลีตาเหลือกหยิบขวดน้ำพลาสติก เปิดฝาประคองตัวผมให้ลุกนั่งแล้วยื่นส่งให้ ด้วยความรีบร้อนจนลืมไปเสียทั้งหมดว่าก่อนหน้าตนเองได้เจอกับอะไร ทำให้ผมเผลอกระแทกขวดน้ำโดนรอยช้ำที่มุมปากเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย...”

“เชี่ยหลอด...” มันคว้าหลอดจากในถุงพลาสติกขึ้นมาก่อนฉวยขวดน้ำในมือผมไปเสียบหลอดแล้วยื่นกลับคืนมา ผมรู้สึกกระหาย ของเหลวใสไหลเข้าคอไปเยอะมากจนเกือบจะหมดขวด ก่อนร่างสูงจะมาคว้ามันไปอีกครั้งแล้ววางลงที่เก่า ความเงียบเข้าปกคลุมกะทันหันจนผิดสังเกต ทำให้ผมต้องเงยขึ้นไปมองคนที่นั่งนิ่งจ้องผมอยู่นาน

“มองอะไร”

“ใครทำมึงขนาดนี้วะ”

...ไอ้เม่นมันไม่รู้...มันมาทีหลังเหตุการณ์ทุกอย่าง...

“อย่าสนใจเลย กูแค่สะดุดล้ม” เสตามองไปทางอื่น แต่แล้วการจู่โจมเสื้อยืดคอกลมตัวใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามาใส่บนตัวผมตั้งแต่เมื่อไรก็เกิดขึ้น อีกฝ่ายถลกชายเสื้อผมกะทันหันโดยไม่ขออนุญาตผมสักคำ ก่อนชี้ลงไปที่แผ่นท้องซึ่งปรากฏรอยต่างสีบนผิวเนื้อเป็นวงกว้าง

“สะดุดล้มบ้านพ่อมึงดิ แล้วรอยช้ำตรงนี้มึงจะแก้ตัวว่าอะไร!!” เรื่องแก้ตัวผมไม่รู้ แต่ผมยอมแก้เสื้อที่มันยึดไว้แน่นออกจากหัวแล้วล้มลงไปนอนใหม่โดยไม่สนใจมัน “เชี่ยเรวะ มึงอย่าเมินคำถามกูได้มั้ย”

“...”

“พี่ดิบโทรมาหากู บอกว่ามึงโดนคนซ้อม”

“...”

“มีคนเอาชื่อกูไปใช้ หลอกให้มึงไปที่สวน”

หา?

ผมแทบพรวดพราดลุกขึ้น ตกใจกับสิ่งที่ไอ้เม่นบอก แต่แล้วความเจ็บก็แล่นปราดเข้ามาแบบไม่มีการบอกกล่าวจนต้องคู้ตัวงอด้วยความเจ็บปวด

“อูยยย”

“เชี่ยเว้ย รีบลุกทำเพื่อ” มือใหญ่พุ่งเข้ามาประคองผมไว้ ผมหันไปมองหน้ามันพลางกำแขนเสื้อไอ้เม่นไว้มั่นประคองตัว

“มึงหมายความว่ายังไง” เสียงกรอบแกรบดังขึ้นจากการกระทำของอีกฝ่าย ไอ้เม่นหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นกระดาษที่คุ้นตา...ผมจำได้ว่ามันเป็นโน้ตที่ผมได้มาจากคนแปลกหน้า ร่างสูงคลี่กระดาษออกยกขึ้นให้เห็นข้อความนัดหมายระหว่างเราในตอนสามทุ่ม “ข้อความนี้ กูไม่ได้เขียน”

“หา?”

“มันอยู่ในกระเป๋าเสื้อมึง...ใครก็ไม่รู้แม่งเขียนแล้วส่งให้มึง”

“...” ตกใจไม่น้อย...แทบจะไปต่อไม่ถูก ไอ้ความดีใจที่คิดว่าเจ้าตัวยังพอให้โอกาสผมบ้างมันหายลับไปกับตา แต่อีกใจกลับรู้สึกว่าดีแล้ว ที่ไม่ใช่มัน หากเป็นอย่างนั้นจริงผมคงไม่มีหน้าอดทนนั่งอยู่บนเตียงอีกฝ่ายต่อไปแล้วแน่ๆ ก็ในเมื่อนัดไว้แท้ๆว่าสามทุ่ม แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวกลับยังไม่มา มันอาจจะเป็นไปได้ว่าไอ้เม่นไม่อยากเจอหน้าผม...

“ไอ้ห่าเรวะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นขัดจังหวะระหว่างที่ผมตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง พอเงยหน้าขึ้นมองกระดาษแผ่นนั้นกลับถูกยืนมาให้ใกล้จนแทบกระแทกตา

“ทำไรวะเชี่ยเม่น” ผมปัดมือมันออกตามสัญชาตญาณ จนกระทั่งสิ่งกีดขวางหายไปแทนที่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาใกล้ จนกลืนน้ำลายแทบไม่ทัน

“นี่มึงดูลายมือกูไม่ออกเหรอวะ เรียนคาบอาจารย์แม่ด้วยกันมากี่หนแล้ว ขนาดลายมือมึงกูยังจำได้เลย” ร่างสูงดูหงุดหงิด มันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมพลางก้มหน้า “กระดาษที่มึงทิ้งไว้ให้กู กูอ่านเป็นร้อยรอบจนจำลายมือมึงได้แล้ว”

“กระดาษ?”

มันปาแผ่นกระดาษเล็กๆอีกใบมาบนตัก กระดาษใบเล็กๆที่ผมเขียนคำขอโทษจากใจส่งให้เด็กนำทาง ฝากมันไปหาไอ้เม่น

“จะวิ่งตามแม่งก็มีคนมาขวาง...ไม่เคยรู้สึกอยากจะลาออกจากวงการคนของประชาชนขนาดนี้มาก่อนเลย”

มัน...จะวิ่งตามผมมา...

“ไอ้เม่น...”

“วันนี้คาบอาจารย์แม่มึงหายหัวไปไหนมา”

“กู...”

“มึงหลบหน้ากูทำไม”

“หา?” กูเปล่าหลบหน้ามึงซะหน่อย

“เป็นเพราะกูปฏิเสธมึงใช่มั้ย”

“ปฏิเสธ? เรื่อง?”

“มึงอย่ามาเนียน ที่มึงหนีหน้ากูเพราะคราวก่อนกูปฏิเสธมึง มึงเลยหนีหน้ากูใช่มั้ย มาคราวนี้มึงเลยร้องไห้ เพราะกลัวจะโดนกูเกลียด มึงเลยบอกให้กูอย่าเกลียดมึง กูบอกตามตรงเลยนะว่ากูไม่เคยเกลียดมึงเลย แล้วทีหลังน่ะ อย่าอยู่ๆก็มาบอกชอบกูแล้วเสือกหายหัวไป กูไม่ชอบอะไรที่มันไม่ชัดเจนเว้ย”

สัดนี่มันแข่งเดอะแร็ปเปอร์เปล่าวะ อย่าบอกนะว่ามันเข้าใจผิดเรื่องที่ผมบอกชอบมันมากกว่าไอ้บูม ผมนิ่งอึ้งคิดกับตัวเองอยู่นานโดยหารู้ไม่ว่าจะทำให้ความเข้าใจผิดของไอ้เม่นลุกลามใหญ่โตเข้าไปอีก

“แทงใจดำเลยดิ ถึงได้ทำหน้าอึ้งน้ำท่วมปากขนาดนี้น่ะ เออมึงทำกูคิดมาก สับสนว่าควรจะทำยังไงกับคำสารภาพที่มึงให้กูมา คิดหาคำตอบจนหัวแทบระเบิด ยากยิ่งกว่าตีลังกาดีดกีตาร์กลับหัวอีกสัด ถ้ากูไม่ไปขอคำปรึกษากับไอ้คีย์ กูคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”

“เดี๋ยวเม่น...มึง”

“ตกลงกูจะคบกับมึง”

“...”

“ตั้งแต่วันนี้ไปกูจะเป็นแฟนมึง ค่อยๆศึกษาดูใจกันไป จะชอบหรือไม่ชอบยังไงค่อยว่ากัน”

แต่ก่อนหน้านั้น ช่วยบอกกูทีว่าที่นี่ที่ไหน...ใจผมจะกำลังไปดาวอังคาร....

“มึงอย่าดีใจไป กูบอกแค่ว่ากูจะลองศึกษาดูใจกับมึงก่อน”

“ไม่ใช่...”

“ไม่ใช่อะไรของมึง”

“ไม่ใช่กูแน่นะ ที่โดนต่อยจนสมองกระทบกระเทือนน่ะ” หรือผมจะประสาทหลอนไปแล้ว ยกมือขึ้นจับหัวเผื่อจะเจอแบล็คโฮลทะลุข้ามมิติไปยังโลกคู่ขนานที่มีไอ้เม่นคนปกติกำลังทำงานดีดกีตาร์อยู่ร้านข้ามคืน...แต่กลับคลำเท่าไรก็หาไม่เจอ

“เป็นบ้าอะไรของมึงแล้วจับหัวทำไม” มันยื่นมือมาจับมือผมไว้ จนผมสะดุ้งโหยง พวกเราสองคนจ้องตากันด้วยความรู้สึกประหลาดโคตรๆ

“เม่นกู...ไม่ได้หลบหน้ามึงนะ”

“ตอแหลแล้วสัด ทุกวันนี้มึงโผล่มาหากูไม่ซ้ำวัน หายไปวันนึงก็เท่ากับมึงหลบหน้ากูแล้ว”

“เม่น...”

“อะไร”

“นี่มึง”

“กูทำไม”

“คิดถึงกูขนาดนี้เลยเหรอวะ”

“...!!” ผมกะจะเนียนแหย่มันเพื่อบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นเหมือนเคย แต่ไอ้เม่นกลับหน้าแดงขึ้นมาแบบไม่ปรึกษาเภสัชกร มันไม่โวยวายปฏิเสธบอกปัดเหมือนทุกครั้งแต่มันนั่งนิ่งมองหน้าผม...

“กู...คิดถึงมึง”





[พาร์ตของเม่น]

“กู...คิดถึงมึง”

ผมทวนคำที่ไอ้เรวะมันถามแบบสติเลื่อนลอย...หา?...เดี๋ยวๆๆ เชี่ย!!ผมเนี่ยนะคิดถึงมัน สัดบ้าไปแล้ว

“มึง...คิดถึง...กู” ไอ้เรวะเหมือนอึ้งกับคำบอกเล่าของผมไปแล้วเช่นกัน มันนั่งทวนคำเบิกตาโพลงมองตรงมาไม่กระพริบ

“เชี่ย...กูไม่ได้คิดถึงมึงเว้ย!!” พูดจบก็ยกมือขึ้นไปตีหัวมันกลบเกลื่อนอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนมันร้องโอดครวญออกมา พลางลูบหัวป้อยๆทำเสียงกระเง้ากระงอดน่าหมั่นไส้ฉิบหาย

“งั้นมึงก็จำไว้เลยว่ากูก็ไม่ได้หนีหน้ามึงเพราะมึงปฏิเสธกู”

“หา?” ไอ้เรวะมันยู่คิ้วทำปากสระอิ เหมือนจะแก้แค้นผมเรื่องที่ผมบอกไม่คิดถึงมัน

“กูไม่ได้สารภาพรักกับมึง”

“นี่มึง...ไม่ได้ชอบกู”

“ชอบดิ”

“...!!” จะเอายังไงของมันวะ เดี๋ยวบอกว่าไม่ได้สารภาพ เดี๋ยวบอกว่าชอบผม มึงจะเอายังงั้ย!!

“แต่ไม่ได้หมายถึงในเชิงชู้สาว” มันพูดทั้งๆที่หันหน้าไปทางทีวี นี่มึงกำลังคุยกับผีซาดาโกะอยู่เหรอ มึงคุยกับใครก็หันมองหน้าคนนั้นดิวะ

“เรวะ”

“อะไร”

“หันมา” ไม่ได้มโน แต่ผมรู้สึกได้ว่าร่างตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อย มันค่อยๆผินหน้ามาช้าๆส่งอารมณ์นิ่งสงบสยบการเคลื่อนไหวมาเต็มที่ พลางเอ่ยตอบเสียงเย็นทันทีที่เผชิญหน้ากับผม

“ทำไม”

“จ้องตากูนะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “มึงรู้สึกแบบใจเต้นตึกตักอะไรมั้ยวะ” เอาวะ ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันไม่คิดอะไรเลย เซ้นส์ผมมันบอกอย่างนั้น

“เม่น...”

“ว่าไง”

“ถ้าใจไม่เต้นกูก็ตายแล้ว”

“สัด” ถามดีๆแม่งชอบให้มีโมโห

“ทำไมชอบด่ากู”

“แล้วอย่างกับมึงชอบทำตัวให้กูชมนักนี่...อุ๊บสส!!” การจู่โจมอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นในยามที่ผมกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง ริมฝีปากบางช้ำของอีกฝ่ายแนบลงมาทาบทับริมฝีปากผมกะทันหัน

“ทะ...ทำอะไร”

“พิสูจน์ไง”

“ว่า”

“ว่ากูไม่ได้รู้สึกอะไรเลย”

“...”


มึงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ไอ้เหี้ย ใจกู ใจกู เต้นด้วยอัตราเร็วร้อยล้านครั้งต่อชั่วโมงไปแล้ว...

...TBC...

++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 17 :: พาสชั้นมาเป็นแฟน [23/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-03-2019 19:21:56
ให้มีเรื่องเอาคืนพวกนั้นหน่อยเถอะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 17 :: พาสชั้นมาเป็นแฟน [23/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-03-2019 09:35:31
+1  o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 18 :: เดทแรกกับแฟน(ผู้ชาย)คนแรก [29/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 29-03-2019 00:10:38
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 18 :: เดทแรกกับแฟน(ผู้ชาย)คนแรก


“ไอ้เม่น หยุดมโน”

“...”

“กูไม่ได้คิดกับมึงแบบนั้นจริงๆ”

...แล้วสิ่งที่กูเตรียมใจมาตลอดสัปดาห์นี่มันคืออะไรวะ...

ร่างโปร่งถลกผ้านวมออกจากขาทำท่าจะลุกจากเตียงอย่างเร่งด่วน ผมถึงกับรีบคว้าข้อมือมันไว้ก่อนที่ร่างของใครอีกคนจะพ้นออกจากขอบเขตรัศมีเตียงไป

“จริงเหรอวะ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่ว่ามึงไม่คิดอะไรกับกูจริงๆ”

ปกติถ้ามีคำตอบในใจก็น่าจะพูดออกมาได้ทันทีดิ แต่นี่มันกลับนิ่งไปพักใหญ่กว่าจะตอบได้ผมแทบกลั้นใจรอ

“จริง”

“งั้นมึงจูบกูอีกรอบ”

“เม่นมึง...”

“ถ้าคราวนี้มึงจูบแล้วมึงบอกได้ว่าไม่คิด กูจะไม่เซ้าซี้อะไรกับมึงอีกแล้ว”

ข้อเสนอโคตรดี ราวกับผ่อนฟรีศูนย์เปอร์เซ็นต์สิบเดือน ผมคิดไอเดียนี้อีท่าไหนถึงได้จะให้มันมาจูบผมอีกรอบวะ แต่ใจที่เต้นระส่ำเมื่อครู่นี้บอกเลยว่าผมอยากมีรอบที่สอง..

“กู...”

“จะจูบไม่จูบ”

“เม่นมึงบ้าไปแล้วแน่ๆ”

เออบ้าก็บ้าวะ ยอมรับคำแต่โดยดีไม่มีโต้แย้ง คว้าท้ายทอยมันลงมาใกล้ก่อนแนบริมฝีปากลงไปยังกลีบปากนุ่มอีกครั้ง มันกำลังเจ็บเพราะปากแตกผมเลยพยายามอย่างมากไม่ให้กระทบกระเทือนแผล อีกฝ่ายที่อยู่เหนือขึ้นไปต้องฝืนโน้มตัวลงต่ำ เรวะมันส่งเสียงประท้วงเล็กๆที่พอเดาได้ว่ามาจากความเจ็บที่ช่องท้อง ผมเลยรวบเอวคอดของมันที่ไร้เสื้อปกคลุมดึงร่างตรงหน้าเข้าใกล้ให้แนบชิดกันมากขึ้น

พอเข่าอีกฝ่ายสัมผัสเตียง ผมดันตัวขึ้นไปใช้แขนรัดรึงร่างตรงหน้าไว้ทั้งตัว ร่างโปร่งประท้วงส่งเสียงออกมาทางปาก ผมเลยฉวยโอกาสสร้างสัมผัสที่ลึกซึ้งหนักกว่าด้วยการแทรกลิ้นเข้าไปชิมสัมผัสอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น...


“เม่น”

“...”

“เชี่ยเม่น”

แป๊ะ!!

“...!!”

“เหม่อทำซากอะไร”

ซาก...ซาก...ซากศพตัวกูเองเนี่ยแหละ!!...เมื่อกี้กูละเมอเหรอเนี่ย เฟี่ยยยยยยยยยยยย

ผมรีบขยับตัวถอยห่าง กลัวมือลั่นไปทำอย่างที่มโนเมื่อครู่ แต่ไอ้เรวะกลับเป็นฝ่ายเติมเกมส์รุกเข้าหาผมยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนกระทั่งผมต้องเอนศีรษะไปติดกับหัวเตียง

“ทะ...ทำอะไรของมึงวะ”

“เม่น มึงหน้าแดง”

“กะ...กูดื่มเหล้ามา!! ตอนอยู่ร้านพี่ตี๋!!” โกหก ร้องเพลงร้านพี่ตี๋มีแต่ได้ดื่มนม พี่แกมันมีนโยบายนักร้องในร้านห้ามเมา

รู้เลยว่ามันหลุบตามองริมฝีปากผมแทนที่จะตั้งใจฟังคำตอบ ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอพลางใช้สิ่งที่เรียนจากกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ครั้งล่าสุดมาทำให้จิตใจสงบอย่างสุดความสามารถ

“จะว่าไปก็รู้สึก” กระชากสติกลับมามองคนตรงหน้าแทบจะในทันที

“มึงว่าไงนะ”

“ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็โกหก”

“มึงหมายถึง”

“ลองจูบกันอีกรอบมั้ย”

!!!!

ไอ้เรวะมันยิ้ม ส่วนผมตาถลนระดับสิบ...จัดระเบียบความคิดตามไม่ทัน จนกระทั่งมันตีบ่าผมปุบๆ

“กูล้อเล่นน่ะ ดูหน้าตามึงตอนนี้ดิ” ยิ้มอีกแล้วโว้ย ยิ้มเรี่ยราด ยิ้มไม่ปรึกษาใจกูเลยสักนิด เรวะมันถอยตัวออกไปจนผมรู้สึกว่าอยู่ในระยะปลอดภัย มันหยิบซากเสื้อของมันที่ผมเป็นคนถอดไว้ขึ้นมาใส่อย่างเดิม ผมดันตัวขึ้นมาจัดเสื้อแสง ก่อนมองคนที่โดนซ้อมมาด้วยสายตาตำหนิ

“จะล้อเล่นอะไรมึงก็ดูสถานการณ์บ้างดิวะ”

“โอเค วันหลังกูจะพยายาม”

“ให้มันได้อย่างนี้ดิ”

“แต่เรื่องคบกัน กูขอรับข้อเสนอนั้นนะ”

“ตามใจแล้วแต่มึงเลย”

หืม?

“ฮะ??!!!!”

“ตั้งแต่ตอนนี้ไป เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ดาร์ลิ้ง”




แสงแดดลอดผ่านผืนม่านข้างหน้าต่างที่สะบัดพลิ้วไหวไปมาตามตามสายลมโชยอ่อน แถบสว่างเคลื่อนผ่านใบหน้ารบกวนจังหวะการนอนจนต้องปรือตาขึ้นมาในที่สุด

วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ บรรยากาศโคตรเหมาะแก่การนอน...

ไม่นงไม่นอนมันแล้ว!! ผมลุกพรวดพราดมองคนข้างกายที่นอนเคี้ยวน้ำลายไม่วางตา ใช่ เมื่อวานนี้มันจบไปตรงที่ไอ้เรวะบอกว่าจะเป็นแฟนผม แล้วมันก็เผลอหลับไปด้วยความเพลีย ปล่อยให้ผมต้องดันมันไปชิดริมขอบเตียงเพื่อจะยัดตัวเองลงนอนได้ ทำไมชีวิตกูกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ

ใบหน้าเปื้อนรอยช้ำเห็นชัดกว่าตอนดึกที่โดนเงาสลัวจากหลอดไฟในห้องบดบัง ยิ่งเจ้าตัวเป็นคนผิวขาวก็ยิ่งเห็นเด่นชัดกว่าจุดอื่นทั่วไป ร่างตรงหน้าหายใจด้วยจังหวะสม่ำเสมอในมือกำผืนผ้านวมแนบกับพวงแก้มนิ่ม พอผมจ้องอยู่สักพักอีกฝ่ายก็ขยับตัวปรือตาขึ้นมา

“เม่น”

“ตื่นซะทีนะมึง”

“เช้าแล้วเหรอ”

“อืม”

“ง่วงจัง”

“หลับต่อก็ได้หนิ”

“มึงจะไปกินข้าวรึยัง”

“ว่าจะอาบน้ำแล้วออกไปซื้ออะไรเข้ามา”

“กูไปด้วย”

“มึงนอนไปเถอะ เดี๋ยวกูซื้อเข้ามาให้”

“กูอยากออกไปกินกับมึง”

“งั้นมึงต้องไปอาบน้ำ”

“...”

“เมื่อวานตัวมึงเน่ามาก แค่เช็ดตัวแล้วยอมให้มึงมานอนบนเตียงก็บุญขนาดไหนแล้ว”

“เมื่อวานมึงเช็ดตัวให้กู”

“ไม่ต้องมาคิดลึก ที่เลอะเทอะสุดมีแค่เสื้อ กางเกงมึงเปียกแต่ยังไม่ซึมถึงกางเกงในกูเลยเปลี่ยนให้แต่เสื้อกับกางเกง”

“เสื้อยืดตัวนี้...” มันตลบผ้านวมที่ห่มบนตัวมันออกด้วยตีนก่อนยกขาขึ้นชูให้ผมดู “กับกางเกงบอลตัวนี้เนี่ยนะ...อะโอ๊ย”

“เชี่ย เล่นอะไรไม่ระวัง” แทบกระโดดพุ่งเข้าไปใกล้พลางจัดท่าทางที่งอตัวเป็นกุ้งลวกของมันให้อยู่ในท่าตรงเสมอกัน “ท้องโดนต่อยไปขนาดนั้นหัดระวังมั่งดิวะ เมื่อวานกูไม่ได้ทายาให้ด้วย” อย่าสร้างภาระเพิ่มให้กู ผมจ้องหน้าคนเจ็บอย่างคาดโทษ

“ขะ...ขอโทษ”

“แทนที่จะมาขอโทษกูทีหลังก็หัดคิดก่อนทำบ้าง มึงช้ำในตายไปแล้วกูจะบอกแม่นิยังไง”

“เปล่าไม่ใช่เรื่องนั้น”

“แล้วเรื่องอะไร”

“เรื่องเสื้อ”

“จะอะไรวะกับแค่เสื้อ”

“แต่นั่นมันเสื้อมึง...”

“เสื้อกูแล้วไง”

“กูทำมันพัง”

“แค่มึงไม่พังก็พอแล้ว”

“...”

“แค่มึงรอดมาได้ก็พอแล้ว”

“...” จู่ๆจมูกโด่งเป็นสันได้รูปสวยก็ปรากฎริ้วแดง ดวงตาแววใสปรากฏรื้นน้ำขึ้นคลอเบ้าตา

“แล้วก็เจ๊ากันกับที่กูดึงเสื้อมึงขาดวันนั้นด้วย”

“ตะ...แต่เสื้อวันนั้นก็เสื้อมึง” สัด...สรุปกูเหลือเสื้อนักศึกษาอยู่ในตู้กี่ตัววะ “กูจะใช้คืนจริงๆ ทุกอย่าง...ที่กูเอามาจากมึง...กูสัญญา”

“ไม่ต้องมาสัญญิงสัญญา เอาหน้าตามึงให้รอดก่อน” ยกผ้านวมขึ้นแปะหน้ามันไป พลอยทำให้ดวงตาชื้นน้ำคืนกลับมาแวววาว
สดใสเหมือนอย่างเคย “ไปอาบน้ำ แล้วออกไปหาอะไรกินกัน”





บทสรุปของอาหารเช้าคือการออกมาเดินตลาดข้างมอกับเรวะ ปกติตลาดนี้ตอนเช้าจะคึกคักอยู่แล้วแต่ยิ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้คนจะยิ่งมากเป็นพิเศษ เช้านี้อากาศยังดีพอเรียกได้ว่าไทยมีหน้าหนาวแค่เฉพาะตอนเช้าได้บ้าง ผมกับคนข้างๆเลยสูดอากาศสดชื่นได้เต็มปอด ก่อนสอดส่ายสายตาไปมาหาสิ่งต้องตามาเป็นอาหารเช้าของพวกเรา

“เม่น” คนเดินตามด้านหลังสะกิดผม “กูขอแวะร้านผลไม้ได้มั้ย”

“เอาดิ” ไม่น่าเชื่อว่าหน้าตาอย่างมันจะเป็นสัตว์กินพืช ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนมันจะวิ่งแจ้นไปหาป้าแม่ค้าร้านผลไม้  มันยืนมองกองกล้วยหอมหวีสวยที่ตั้งป้ายลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ไปมาก่อนคว้าหวีที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดยื่นให้แม่ค้า แล้ววิ่งกล้วยห้อยต่องแต่งกลับมา “ไม่น่าเชื่อว่ามึงชอบกินกล้วย”

“อ่ะ” ยื่นให้กูเฉย

“เออๆเห็นมึงเจ็บตัวหรอกนะ” ไม่งั้นกูไม่ช่วยถือหรอก คว้าของที่ยื่นให้มาไว้กับมือ เจ็บแล้วยังเสือกซื้อของหนักไม่เจียมสังขารตัวเองอีกนะมึง

“เปล่า หวีนี้กูให้มึง” ผมหันไปมองหน้ามันแทบจะในทันที

“ให้กู”

“ไถ่โทษที่กูเหยียบกล้วยมึงตอนวันแรกที่เจอกัน”

“...”

ภาพฉากวันแรก...ความจริงถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเรียกว่าวันที่สองที่เราทั้งคู่เจอกันระหว่างผมกับมันหลุดขึ้นมาเป็นฉากๆ วันนั้นเป็นวันที่ผมวิ่งไล่ล่าเพราะเข้าใจผิดว่ามันเป็นขโมย จนจบด้วยกล้วยผมแบนเพราะมันเหยียบ ส่วนเสื้อมันก็ขาดเพราะโดนผมกระชาก

“มึงชอบกินกล้วยเหรอ”

“เปล่า”

“อ้าว”

“กูกินเพราะช่วงนั้นไอ้หงส์มันชวนแดกหมูกระทะเยอะ หุ่นไม่ค่อยเฟิร์ม”

“แล้วตอนนี้”

“กลับมาเหมือนเดิมแล้ว” มันพุ่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมาที่ท้องผม หึ...กูรู้ว่ามึงอิจฉาหุ่นกู เห็นถามถี่ๆมาตั้งแต่ตอนยืมเสื้อแล้ว ผมจับชายเสื้อยืดสีดำที่ใส่ติดตัวแล้วชักขึ้นให้มันเห็นหน้าท้องแบบวับๆแวมๆหยอกคนตรงหน้าเล่น

“สัด...ขี้อวดฉิบเป๋ง” ปากแม่งบิดไปสามสิบชั่วโคตร ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมา เอ็นดูมันว่ะ

“จะดูอีกมั้ย”

“ไม่เอาแล้ว”

“อ้าวเหรอ กะจะให้ดูชัดๆอีกรอบนึงสักหน่อย”

“คราวนี้ขอจับ” สัด ขนกูลุกเกรียวพร้อมโดยไม่ได้นัดหมาย

“อยากจับก็จับของตัวเองดิวะ”

“ของกูไม่มีนี่หว่า”

“เดี๋ยวกูทำให้มีเอง” ช่วงที่คบกัน กูจะเคี่ยวเข็ญมึงทุกวันเลยคอยดู...

มันดูเหมือนจะเมินเฉยต่อเรื่องที่ผมประกาศกร้าวอยู่ในใจ ให้ตายเถอะ


พวกเราเดินมาเรื่อยๆโดยมีกล้วยเป็นภาระหนึ่งเดียวในมือผม เดินเข้าตลาดวนออกมาริมถนนใหญ่จนไอ้เรวะมันเอ่ยถามผมขึ้นมา

“มึงจะกินอะไร เอาโจ๊กอีกมั้ย”

“แดกโจ๊กจนเบื่อแล้วว่ะ ตอนท้องเสียมึงก็ซื้อมาให้ กูขอแดกอะไรแปลกใหม่มั้งเหอะ”

“แดกกูมั้ย แปลกใหม่แน่นอน”

“มึงจะให้กูท้องเสียเพิ่มหรือไง” อีกฝ่ายหัวเราะจนผมต้องเอื้อมมือไปตบหัวมันเบาๆสั่งสอน ยิ่งตบยิ่งเอิ๊กอ๊ากหนักเข้าใหญ่ นี่สรุปกูคิดผิดใช่มั้ยที่ตบหัวมึงเนี่ย เผอิญสายตาเหลือบไปเห็นอีกร้านหนึ่งที่ชื่อดังพอพอกันกับร้านโจ๊กใกล้มอ เลยรีบหันไปเรียกไอ้เรวะ

“กูอยากกินข้าวมันไก่”

“เอาดิ” จบคำอนุญาตรีบตบเท้าเข้าร้านด้วยความหิว ไอ้เรวะมันยืนอยู่ด้านข้างกวาดตามองไปรอบร้าน พอเห็นเมนูสายตาก็หยุดมองอย่างประเมิน

“ป้าครับเอาข้าวมันไก่สองจานไม่เอาหนัง ข้าวขอเป็นข้าวธรรมดานะครับ ไม่เอาข้าวมัน แล้วก็ขอไก่เอาแต่เนื้อเพิ่มอีกจาน”

“กินอะไรเยอะแยะขนาดนั้นวะ” ไอ้เรวะมันท้วงกับการสั่งไม่บันยะบันยังของผม

“ของกูคนเดียวที่ไหนล่ะ ของมึงด้วย”

“ฮะ?” ก่อนจะงงไปมากกว่านี้ ผมคว้าข้อมือของอีกคนลากเข้ามาหาที่นั่งในร้านเพราะกลัวจะขวางทางชาวบ้านที่มาต่อคิวซื้อ เรียกว่าโชคดีก็ได้ที่วันนี้พวกเราออกมาเร็วร้านเลยดูคนไม่เยอะอย่างที่เคยเห็น พวกเราเดินเข้ามาตรงโต๊ะในสุด น้ำแข็งเปล่ามาวางเสิร์ฟทันทีที่หย่อนตูดลงเก้าอี้ พร้อมกับคำท้วงติงของคนตรงหน้า  “สั่งอะไรทำไมไม่ปรึกษากู”

“มาร้านข้าวมันไก่ มึงจะสั่งอะไร กะเพราไก่ไข่ดาวเหรอ”

“ข้าวหมูกรอบไง”

“กินข้าวมันไก่ไปน่ะดีแล้ว”

“แต่มึงสั่งข้าวธรรมดา แล้วจะเรียกว่าข้าวมันได้ยังไง”

“กูบอกแล้วไงว่าจะสร้างให้มึงมีซิกแพค”

“ไม่ถามความเห็นกูสักคำ บางวันกูก็อยากกินของอร่อยบ้างเปล่าวะ” วันนี้ไอ้เรวะมันพูดมากเว้ย ปกติอะไรก็ได้แท้ๆแล้วทำไมมาวันนี้... จู่ๆผมก็เอะใจกับอะไรบางอย่าง...หรือว่า...

“เรวะ”

“ว่า?”

“เมื่อวานมึงไม่ได้กินข้าวเย็นใช่มั้ย”

“...”

“ที่ไปนั่งรอกูเนี่ย ไม่ได้กินข้าวเย็นก่อนไปใช่มั้ย”

“...” มันนิ่งไป แม่งชัวร์เลย เดาจากนิสัยของมันที่มาหาผมหลังคาบอาจารย์แม่ทั้งๆที่ไม่ได้กินข้าวเที่ยง แล้วไหนจะนอนแบ็บอยู่บนเตียงเพราะโหมงานหนักไม่ยอมแม้แต่จะพักรับประทานอาหาร คนที่เวลาตั้งใจทำอะไรแล้วจะไม่สนใจร่างกายอย่างมัน คราวนี้มีหวังไม่พ้นอดอาหารแล้วรีบตะลีตะลานมาหาผมแน่ๆ

“งั้นมึงต้องกินเยอะๆ” ข้าวมันไก่มาวางเสิร์ฟให้ในจังหวะโคตรเหมาะ พอจานลงจอดภาคพื้นดินผมก็คว้าช้อนส้อมแล้วจิ้มไก่ชิ้นใส่จานเจ้าคนขาดสารอาหารรัวๆ “แดกเข้าไปจะได้โตไวไว”

“เยอะไปแล้วมึง” เรวะมีท่าทีอิดออดมันจับจานตั้งใจขยับหนีแต่ผมรู้ทีเลยหนีบขอบจานไว้

“แดกเข้าไป มื้อนี้กูเลี้ยงเอง”

“แต่กูกินไม่หมด”

“ไม่หมดค่อยว่ากัน ที่เหลือกูเก็บเอง” สะกิดใจเหลือบไปเห็นแตงกวา ผมเลยหนีบติดส้อมกลับมาวางใส่จานตัวเองด้วย พร้อมกับเรวะที่เริ่มขยับช้อนส้อมมาคว้าก้อนเลือดออกไปจากจานผม

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่กินแตงกวา/เลือด”

แปลกใจ ต่างฝ่ายต่างงงว่าปฏิกิริยาที่ทำไปโดยอัตโนมัติของอีกฝ่ายดันกลายเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างต้องการ

“ก็เห็นมึงไม่กินกะหล่ำ ก็ไม่น่าจะชอบกินผัก กูเลยนึกว่ามึงไม่น่าจะชอบแตงกวาด้วย”

“มึงไม่ชอบเครื่องใน ยังไงๆมึงก็ไม่น่าจะชอบแดกเลือด”

“...”

“...”

จากที่เคยคิดว่ามันกับผมต่างกันสุดขั้ว ถ้ามาเจอกันเมื่อไรคงได้เป็นแค่จิ๊กซอว์ที่ต่อเข้ากันอย่างฝืนๆ...แต่พวกเรากลับเข้ากันได้มากกว่าที่คิด

“ขอน้ำจิ้มหน่อย” ผมดันถ้วยน้ำจิ้มจิ๋วไปให้ ส่วนไอ้เรวะก็ก้มหน้าคลุกไก่กับข้าวในจาน มันหลบตาผม รู้สึกได้เลย ไม่ได้คิดไปเอง ส่วนผม...ทำไมถึงเผลออมยิ้มจนหุบไม่ลงวะ...


รู้นะว่าไอ้เรวะมันพยายามจะกินเข้าไปให้มากที่สุด แบบไม่ให้เสียทีที่ผมพยายามบอกให้มันโตไวไว พอกินอิ่มเสร็จพวกเราสองคนก็มาเดินย่อยต่อกันที่ตลาด เผื่อหาของซื้อเข้าหอไปทานเป็นข้าวเที่ยง จนกระทั่งเสียงบางอย่างดังขึ้นมาเตือนสติผม

Rrrrrrrrr

หยิบมือถือที่สั่นครืดคราดจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ไอ้เรวะเหมือนจะรู้ตัวเลยเอื้อมมือมาคว้าถุงกล้วยไปช่วยถืออัตโนมัติ ผมจ้องหน้าจอปรากฏเบอร์โทรศัพท์คุณแม่สุดที่รักบังเกิดเกล้าโชว์หรา กูถึงกับบางอ้อว่า...

...เชี่ยโว้ยยยยย เมื่อวานกูไม่ได้กลับบ้าน แถมไม่ได้บอกแม่ด้วยว่ามาค้างหอ...

รีบสัมผัสหน้าจอรับสาย ปล่อยเสียงสั่นไหวเข้าไปแบบเกรงกลัวแม่มากมาย

“คะ..ครับ”

[เม่น เมื่อวานนี้ทำไมไม่กลับบ้าน]

“...!!” ลืม!! ลืมเตรียมคำตอบเว้ยยย ทำไงดีวะ

[ไปค้างที่ไหนมาฮะ แม่เป็นห่วงรู้มั้ย]

“คะ..ค้างหอน่ะแม่”

[ค้างกับใคร?]

“ฮะ?” มันใช่ประเด็นเหรอวะ?

[หนูเรมใช่มั้ย]

เหี้ยยยยยยยย แม่กูรู้ได้ไง

“คะ...ใครบอกแม่” ไอ้หงส์ ไอ้ต๊อบ หรือไอ้คีย์ ใครบอกแม่กูวะ!!

[เปล่า แม่มโนเอาเอง]

หา!!!

[เดาถูกซะด้วยสิ...แย่เลย ทำไมเซ้นส์ดีอย่างนี้นะ รู้งี้ไปสอบเป็นเอฟบีไอตอนอยู่ดี.ซี.ก็ดีหรอก]

“ปะ...เป็นช่างภาพอย่างนี้ต่อไปเถอะครับ” อย่าเป็นมากกว่านี้เลยกูขอ

[นั่นสินะ จะได้เป็นปาปารัซซี่แอบถ่ายภาพลูกชายแม่กับหนูเรมต่อไป] โอ้โห...โคตรกู๊ดไอเดียเลยครับ!!

“โธ่แม่...ผมบอกแล้วไงว่าผมกับมันไม่ได้...”

[...]

ผมลืมไป...

[ไม่ได้อะไร เงียบไปทำไมล่ะ...มีพิรุธนะเรา]

“ผมกับมัน...”

[...]

“เป็นแฟนกันแล้วนะครับแม่”

ตุบ!!

เสียงผิดปกติดังมาจากด้านข้าง ผมหันหัวไปตามที่มา จนกระทั่งรู้ว่าไอ้เรวะมันทำถุงกล้วยตกพื้น ท่าทางมันผิดปกติเบิกตาโพลงยืนมองผมนิ่งเหมือนช็อกกับบางอย่าง

[จะ...จริงเหรอเนี่ย] เสียงแม่เรียกสติให้กลับมาจดจ่อกับคนปลายสาย

“ครับ เมื่อวานไอ้เรวะมันโดนนักเลงแถวนี้ทำร้าย ผมเลยต้องมาดูแลมัน”

[ตายจริง แล้วเป็นไงบ้าง ได้พาไปโรงพยาบาลรึเปล่า]

“ยังไม่ได้พาไปครับ ดูอาการยังไม่หนัก...แต่ว่าตอนนี้...” ชำเลืองไปทางอีกฝ่าย “สงสัยคงต้องพาไปแล้วล่ะครับ”

อาการหนักเอาเรื่อง แม่งนิ่งไปเหมือนหุ่นยนต์ถ่านหมด แถมยังคู้ลงไปหยิบถุงกล้วยแบบไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาได้อีก

[งั้นก็รีบพาไปเถอะ อย่าปล่อยให้อาการหนักไปมากกว่านี้ ดูแลน้องด้วยนะ เขาอุตส่าห์มาดูแลเราตอนป่วย]

“ครับ” ผมรีบวางสาย ก่อนขยับกายลงไปนั่งยองๆตามอีกฝ่ายที่ไม่ลุกขึ้นมาเสียที ใบหน้าขาวแหงนเงย สักพักเสียงฮึกๆก็ดังขึ้นมาเป็นจังหวะถี่ๆ

“เฮ้ยมึงสะอึกเหรอ”

“อึ๊ก! กูเปล่า อึ๊ก!” ทำไม...ทั้งที่ดูน่าสงสาร...แต่กูกลับ...

“อุบ...ฮึก...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“ขำ...อึ๊ก! เหี้ยอะไรของมึงวะ อึ๊ก! ไอ้เม่น!” มันยกมือมากระแทกไหล่ผมดังปั้ก สะทกสะท้านนิดหน่อย แต่เอ็นดูโคตรมากกกก ยกมือขึ้นลูบหัวมันไปหนึ่งที แหนะ มียกขึ้นมาปัดมือกูทิ้งอีก

“เออๆ ไม่ขำแล้ว กลับหอกัน หึ” หยิบถุงกล้วยพลางพยุงไอ้คนตัวเล็กกว่าผมขึ้น กอดคอมันเดินทั้งๆที่สะอึกไปตลอดทาง





“อึ๊ก!”

“...”

“อึ๊ก!”

“ทำไงให้หายวะ นี่ดื่มน้ำปาไปขวดที่ห้าแล้วนะเว้ย” ขวดที่ห้าแถมมากับการวิ่งเข้าห้องน้ำถี่ๆของไอ้ตัวขาวตัวดีตรงหน้าผม ตอนนี้มันนั่งบิดไปบิดมาสามรอบก่อนหันมองมาทางนี้

“กูขอเข้าห้องน้ำ” วิ่งแจ้นหายวับไปกับตา ผมถึงกับเครียดหยิบมือถือขึ้นมาหาวิธีการรักษาอาการสะอึก พอเจ้าตัวดีเดินออกมาถึงกับกวักมือเรียกให้ลงนั่งยังเก้าอี้ตัวข้างๆ

“หายยัง” มันส่ายหัวพลางพยายามกลืนก้อนสะอึกที่มาระลอกสองลงคอเป็นการใหญ่ ผมยกมือสองข้างขึ้นไปจับศีรษะตรงระดับขมับมัน ร่างที่โดนกระทำถึงกับหลุกหลิกไปไม่เป็น

“ทะ...ทำอะไรน่ะ”

“หาวิธีแก้ให้มึง” นิ้วหัวแม่มือขยับไปแตะหัวคิ้วพลางกดเบาๆสลับหนักผสมกัน “ในเน็ตบอกว่ากดแบบนี้แล้วจะหาย” กดไปกดมาสักพักมันเคลิ้มเริ่มหลับตา ร่างโปร่งพยักหน้าเบาๆไปมาเหมือนจะได้ผล “เป็นไง รู้สึกไงบ้าง”

“รู้สึก...สบาย อึ๊ก!!”

“...”

“...”

สัด...สบายแต่ไม่หายเนี่ยนะ เอาไงดีวะ หยิบมือถือไถดูบรรทัดที่สอง สูตรต่อไปเขาให้กลั้นหายใจแล้วดื่มน้ำ อันนี้ก็ทำจนดีท็อกซ์ของเสียในตัวมันไปหมดแล้วมั้ง ข้อต่อไป ข้อต่อไป...

“แลบลิ้นดิ๊”

“ฮะ?”

“แลบลิ้นออกมา”

“ทำไมจะต้องแลบ...อึ๊ก!!”

“เอาน่า” ไม่รู้เหตุผล แต่จำใจต้องทำเพราะมันไม่หาย ไอ้เรวะกำลังทำท่าเหมือนไอน์สไตน์ที่กำลังโดนนักข่าวขอถ่ายภาพ มันแลบลิ้นออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ หากไม่วายสะอึกไปตามจังหวะการแลบลิ้นด้วย พอเห็นออกมาได้พอสมควรผมก็จับไปที่ส่วนอ่อนนุ่มนั้นทันที

“ไอ้เอ่น!”

“...”

“อำอะไอ อึ๊ก!” เรวะตกใจจนขอบตาชื้น

“เขาบอกว่าให้แลบลิ้นออกมายาว” แต่ทำไมยังได้ยินเสียงสะอึกอยู่เลยวะ

“อื้ออออ เอ็ม อู เอ็มมมม” เอ็มอะไรของมันวะ ไม่รู้แหละ ไม่สน มึงต้องหายด้วยท่านี้

“หายยัง”

“อึ๊ก!!” ไอ้เหี้ยยยยไม่หาย ถ้าอย่างนี้ยังไม่ได้ ไม้ตายมันก็เหลืออย่างเดียวล่ะวะ

ผมคลายมือจากลิ้นนุ่มพลางกระเถิบตัวโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ทันทีที่ลิ้นอ่อนเป็นอิสระไอ้เรวะรีบหุบปาก แต่มันพลาดที่ไม่ทันมองหน้าผม พอตวัดกลับมาเลยสบสายตาเข้าอย่างจัง ไอ้เรวะตกใจจนหงายหลัง ผมรีบคว้าเอวมันไว้ ขยับหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน

“ไม่หายอีก เดี๋ยวกูก็จูบซะเลย!” เขาบอกว่าต้องทำให้ตกใจ ไงล่ะมึงตกใจรึ...

“เชี่ย!!”

โครม!!

ไม่ใช่แค่ตกใจแล้วล่ะ กูแม่งตกเก้าอี้ไปพร้อมกับเรวะเพราะแรงประคองไม่พอ แล้วที่กะเอาไว้ว่าแค่เฉี่ยวให้เสียวจมูกเล่น คราวนี้กลับพลาดทิ่มมันลงไปทั้งหน้าเลยครับ

“อื้ออออออ” เสียงประท้วงดังอย่างเจ็บปวดออกมาจากลำคออีกฝ่าย...

ริมฝีปากเราสัมผัสกัน แต่ไม่มีเวลามาให้โรแมนติก ผมชักหน้าขึ้นมามองคนข้างใต้ที่สีหน้ายังไม่คลายความเจ็บปวด

“เรวะ!!” ตายยังวะเนี่ย มันปรือตาขึ้นมามองผม แก้วตาแววใสชื้นไปด้วยน้ำตาที่มาจากความเจ็บปวด

“ไอ้เม่นกู...อึ๊ก!!”

“...”

“...”

ชะงักคู่...



และผม...ก็ก้มลงไปจูบมัน...


...ตามที่ขู่กันไว้...

...TCB...

+++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 18 :: เดทแรกกับแฟน(ผู้ชาย)คนแรก [29/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-03-2019 01:48:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 18 :: เดทแรกกับแฟน(ผู้ชาย)คนแรก [29/3/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 30-03-2019 10:40:02
 :haun4: :pighaun: เป็นแฟนกันแล้ว จะจูบให้หายสะอึกก็ทำได้ เหตุเกิดจากสะอึก งื้อออออ เอ็นดู.  :oo1:    อยากได้หนังสือล้ะ นึกว่าไรท์จะไม่มาต่อแล้ว o13 คิดถึงโมเม้นท์คู่นี้.   รออ่านตอนต่อไปนะคะ ชอบมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 19 :: เมารี...เมารัก [2/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 02-04-2019 20:10:14
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 19 :: เมารี...เมารัก


“อื้ออออ” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลง กอปรกับแขนที่ย้ายมาจับตรงไหล่ผมกำเข้าไปที่เนื้อผ้าสีดำแน่นพลางดึงเข้าออกเหมือนพยายามเตือนสติผมว่ากำลังทำอะไร

แต่ผมแน่ใจ...วันนี้ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเลยสักนิด ยกเว้นแต่ข้าวมันไก่เมื่อเช้าที่ยังมีรสสัมผัสของน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยวของพริกกระเทียมอยู่เล็กๆ

ผมถอนใบหน้าออกมามองร่างที่กึ่งตกอยู่ในอ้อมกอดผม ผิวขาวเนียนละเอียดขัดเพียงรอยช้ำที่มุมปากปรากฏสีเลือดฝาดขึ้นใบหน้า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกำลังตกตะลึง

“แลบลิ้นออกมาหน่อย”

“ไม่!...มะเมื่อกี้มือมึงเค็มมากเลยรู้มั้ย” อ๋อ ไอ้ที่เอ็มๆนี่หมายถึงเค็มเหรอวะ ปล่อยให้แก้ความสงสัยแบบไร้ตัวช่วยอยู่นาน

“คราวนี้ไม่จับแล้ว กูสัญญา”

“แล้วมึงจะทำอะไร”

“...”

“อย่าเงียบดิเม่น”

“เออกู...” ผมเสหลบตา แค่นั้นแหละ ไอ้เรวะมันป้าบเข้ามาที่หน้าผมสองข้างเต็มๆ ถ้าสูงอีกนิดแม่มก็บ้องหูกูแล้ว ไม่หันไปด่าเดี๋ยวหาว่ากูไม่สตรอง แต่พอมองไปที่ใบหน้าตื่นตกใจของมันแค่นั้นแหละ

“ไอ้เม่น”

“หะ...หา?” เป็นบ้าอะไรของมึง

“กูหายสะอึกแล้ว!”

“เฮ้ย จริงเปล่าวะ”

“จริงดิ นี่ไง”

พวกเรากลั้นหายใจอยู่หลายวิ เสียงขัดความเงียบไม่มีมา ผมแทบปลื้มปริ่มทั้งน้ำตา...กูทำได้แล้วโว้ยยยยยย ไอ้เรวะมันไม่สะอึกแล้ววววววว

กอดมันแน่นราวกับสอบติดมหาวิทยาลัยฮอกวอตส์ โดนหมวกคัดสรรค์จัดเข้าบ้านกริฟฟินดอร์ เตรียมไปขี่ฮิปโปกริฟฟ์บินไปไกลลิบๆคว้าลูกสนิชมาโชว์

“เชี่ยเว้ยยยยกูบอกแล้วว่าวิธีการกูได้ผล”

“วิธีจูบกูเนี่ยนะ”

“...” แข็ง...ค้างเลยกรู...เมื่อกี้ควรจะแก้ตัวไงวะ “อะ...เออก็แค่ขู่”

“แต่เมื่อกี้มึงจูบกูจริงๆ แม่งทิ่มมาตรงหน้าเลยเนี่ย” สัด อย่าเน้นดิวะ “แล้วที่ให้แลบลิ้นต่อเนี่ยอะไร ถ้ากูแลบลิ้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”

“ก็เกิดแบบนี้ไง แฮร่!!”

“...” ไอ้เหี้ย ขำหน่อยดิวะ นี่กูอุตส่าห์เสียสละเบ้าหน้ามาทำท่าพิลึกขนาดนี้เลยนะ ไอ้เรวะมันทำตาเอือมแบบทำคนเห็นเสียเซลฟ์ไปสามชั่วโคตร

“ทะ...ทักทายแบบชนเผ่าเมารีไง” แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

“ชนเผ่าเมารีไม่ได้แลบลิ้นทักทายเว้ย แต่เขาเอาหน้าผากกับจมูกชนกัน...” ใบหน้าหวานๆยื่นเข้ามาใกล้ ผมสัมผัสได้ถึงหน้าผากและสันจมูกได้รูปแนบเข้ามาก่อนถอนออก “อย่างนี้สองครั้ง กูเคยดูสารคดีมาก่อน”

“กะ...กูรู้หรอกน่ะ แบบนี้ใช่มั้ย” เอาหน้าผากกระแทกเข้าไปที่หัวทุยๆอีกครั้งแก้อาการขัดเขิน เสียงประท้วงโอ๊ยเบาๆดังอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่มันจะพื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ผมก็เล่นคลึงลงไปที่สันจมูกสวยไม่ยั้ง แล้วยกหัวมาเย้ยหยันมันที่อวดฉลาดกว่าผม “เห็นอย่างนี้ พ่อแม่กูก็เป็นช่างภาพสารคดีต่างชาตินะเว้ย คลึงจมูกอย่างนี้สองครั้งเขาเรียกทักทายกัน ส่วนสามครั้งเขาหมายความว่า ‘แต่งงานกันมั้ย’”

“...”

“...” เออ...แล้วเมื่อกี้...

...กูคลึงไปกี่ครั้งวะเนี่ย!!

“Yes I will”

“ตอบเพื่อ”

“อ้าว ก็มึงขอกูแต่งงาน”

“ใช่ที่ไหนเล่า แค่สาธิตให้ดู”

“อ้าว...นึกว่าเอาจริง” ไม่รู้ร่างข้างใต้นึกสนุกอะไรถึงพาดแขนเข้ากับคอผม ก่อนใบหน้าเปื้อนยิ้มของเรวะจะยื่นมายกสันแนบเข้าที่ปลายจมูกผมอีกครั้ง คราวนี้มันหลับตาปี๋จนหัวคิ้วยู่พลางส่ายศีรษะเบาๆไปมา....หนึ่ง...สอง...สาม...

“หึ...สนุกดีว่ะ ถ้าโตขึ้น ทำงานมีตังค์ กูจะไปนิวซี...”

“Yes I will”

“...”

อย่าคิดว่าจะแกล้งกูได้อย่างเดียว ทันทีที่จบคำไอ้เรวะอ้าปากค้าง สักพักสีเลือดก็ขึ้นซับใบหน้า ทำเอาคนมองอย่างผมไปต่อไม่ถูก เจ้าตัวลนลานรีบยกฝ่ามือขึ้นมาปะเต็มหน้าผม

“ทำอะไรวะ” รีบคว้ามือมันออกอย่างไว ทันเห็นร่างข้างใต้สะบัดหน้าหนีไปด้านข้างอย่างลุกลี้ลุกลน

“สะ...สวมแหวนเลยมะ” เสียงสั่นๆของมัน...ทำไมผมรู้สึกได้ถึงแต่ความหวั่นไหว มันพลิกนิ้วไปมาตั้งใจว่าจะแหย่ผมกลับ แต่อย่าหวัง...ผมล็อคมือที่ขยับยุกยิกไปมา ก่อนก้มหน้าลงงับนิ้วนางข้างซ้ายของมันเบาๆ

“ยังไม่มีแหวน เอาแบบนี้แทนไปก่อนล่ะกัน”

“อึ๊ก!!”

ฮะ?

“อึ๊ก!!”

เดี๋ยวๆๆ

“เรวะมึง...ไหนบอกว่าหายแล้วไง”

“กูหายแล้วจริงๆ อึ๊ก!!”

“แล้วนี่มันเสียงอะไรวะ”

“ก็มึงอ่ะไอ้เม่น มึงทำให้กู อึ๊ก!!”

“อึ๊กอะไร!!”

“มึงทำให้กูตกใจ อึ๊ก!!”

“แล้วทำไงให้หาย...!!”

ผมต่างหากทีควรจะถามตัวเองว่าต้องทำยังไง ในเมื่อจู่ๆคนตรงหน้าก็แนบริมฝีปากเข้าหาแบบไม่ทันตั้งตัว ความอ่อนนุ่มที่สัมผัสมาหลายต่อหลายครั้งหากทุกครั้งยังคงความแปลกใหม่ไว้เสมอ จนผมจะเริ่มเป็นฝ่ายคล้อยตามบดเบียดริมฝีปากดูดดึงเคล้าคลึง

แรงสะอึกรบกวนคนเบื้องหน้าให้เผลอไผลแย้มกลีบปาก จนผมสามารถดื่มดำรสจูบหวานล้ำได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ลิ้นของเราสัมผัสเกี่ยวพันกันเพียงช่วงสั้นๆก่อนที่ฝ่ายจะดันผมถอยห่างแล้วละจาก

“หะ...กูหายแล้ว” เจ้าตัวใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากเบาๆ ไม่มองหน้าผมเลยสักนิด

“ใช้กูเป็นเครื่องมือฉิบหายเลย แล้วเป็นไรอยู่ๆก็สะอึกอีก”

“ก็มึงอยู่ดีดีก็ทำเหี้ยอะไรไม่รู้”

“งับนิ้วนางข้างซ้ายมึงเนี่ยนะ”

“...!!”

“ทำไม หยอดกูมาตลอด พอมาโดนกูหยอดกลับเลยเอ๋อเหรอ ดี จะได้เข้าใจความรู้สึกกูมั่ง”

“ความรู้สึกมึง...”

“อะไร”

“ความรู้สึกมึง...คือใจเต้นแรงทุกครั้งที่กูหยอดเหรอ”

ฮะ?

“ตอนนี้...กูกำลังเป็นแบบนั้น”

อะ...อุปทานหมู่เหรอวะ...

ทำไมใจผม...มันกำลังเต้นตามหลังจากที่ได้ยินประโยคนี้...

ความสับสนทำให้เผลอคิดกังวล แม้แต่ตัวเองยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้แล้วจะหวังอะไรกับการให้คำตอบคนตรงหน้า หลังจากเบนสายตาครุ่นคิดอยู่สักพัก ผมก็ขยับกลับไปสบแก้วตาใสสีน้ำตาลอ่อนอย่างเก่าซึ่งเจ้าตัวมีท่าทีกังวลในแบบเดียวกัน

...อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง...เข้าใจแล้ว...

ผมขยับหน้าผากไปแนบเหม่งเรวะที่แอบสะดุ้งตัวเล็กน้อย ใช้ปลายจมูกสัมผัสอีกฝ่าย พลางหลับตานึกทบทวนเรื่องราวหลายอย่างที่ผ่านมา ผมยอมรับว่ารู้สึกผูกพัน ยอมรับในความรู้สึกทุกอย่างที่มีมาจนถึงตอนนี้

...ใจผมกำลังบอก...ว่าชอบมัน...

ลมเบาๆพัดผ่านผิวแก้มตนในจังหวะถี่ซ้ำ ร่างข้างใต้กำลังหอบหายใจแรงราวกับตื่นเต้น

“เม่น”

“อย่าเรียกชื่อกู” เพราะเหมือนเป็นการกระตุ้นกูหนักกว่าเก่า

“งั้น...คุณอลิษา” โหยยยยกำลังอินๆ หน้าแม่กูนี่โผล่มาเลยครับ รีบลืมตาจ้องหน้าคาดโทษมัน

“ไอ้เรวะ”

“อ้าว ก็มึงบอกไม่ให้เรียกชื่อ”

“กวนตีนแล้ว” ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด เรวะมันก็ยิ้มตามจนตาหยิบหยี แม่งทำไมน่ารักได้ขนาดนี้วะ “อยากจูบมึงอีกวะ”

“มึงว่าไงนะ”

“...!!”

ฮะ? มะ...เมื่อกี้ผมเผลอหลุดเป็นคำพูดออกไปเหรอวะ!!

“เออ คือ กู”

ดีที่เรวะไม่ทำให้ผมเสียเวลาคิดคำแก้ตัว ริมฝีปากบางที่เคยสัมผัสกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งก็เป็นเหมือนเพียงอุบัติเหตุนั้นยื่นมาสัมผัส...ในตอนที่ทั้งคู่...เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่มีต่อกัน

ใจผมเต้นโครมครามจนกลัวว่าแผ่นอกที่ทาบทับจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว เลยต้องเบี่ยงเบนความสนใจเป็นการช้อนท้ายทอยร่างบางให้แหงนเงยรับสัมผัสอันแนบชิดมากยิ่งขึ้น ผมถอนใบหน้าออกมองคนซึ่งหลับตาปี๋ราวกับรอบางสิ่ง ก่อนลากลิ้นไล้ตามกลีบปากบาง จนร่างข้างใต้สะดุ้งลืมตาขึ้น

“ไอ้เม่น”

“นี่ไงเหตุผลที่บอกให้แลบลิ้นออกมา”

“มึงจะเลียนแบบชนเผาเมารีอีกหรือไง”

“ใช่ที่ไหนล่ะ”

“แฮร่!!” จู่ๆมันก็แลบลิ้นทำหน้าตาประหลาดออกมา ทั้งๆที่ริมฝีปากยังเปื้อนน้ำลายผมด้วยซ้ำ

“สัด...หมดอารมณ์กันพอดี”

“ฮ่าฮ่า เมื่อกี้มึงก็ทำท่าแบบนี้เถอะ”

“เมื่อกี้กูทำแล้วอุบาทว์ แต่พอมึงทำแล้วแม่งโคตร...”

“ทำไมน่ารักเหรอ”

“เปล่า อุบาทว์พอพอกับกูเนี่ยแหละ!!” หมดกันอารมณ์กูที่สั่งสมมา

...สุดท้ายเลยจบด้วยจูบแบบอนุบาลหมีน้อย ของหมีสองตัวแพนด้ากับโพล่าแบร์...

 
 


คำนิยามของคำว่าคบกันมันเริ่มต้นง่ายๆนับจากวันนั้น ผมได้เรียนรู้คนที่ชื่อเรวะมากขึ้น

รู้ว่ามันชื่อจริงว่ามนายุซึ่งแปลว่าเป็นที่ปรารถนาเพราะยายมันเป็นคนตั้งให้

รู้ว่าความจริงเรวะไม่ใช่ชื่อเล่นแต่เป็นชื่อจริงที่เคยใช้มาตั้งแต่เกิด จนโดนเพื่อนๆสมัยเด็กล้อว่าชื่อประหลาด

รู้ว่ามันเป็นลูกครึ่งสัญชาติญี่ปุ่นไทย จากการที่มันเล่าความเป็นมาของชื่อ ‘เรวะ’ ซึ่งมีที่มาจากความเข้าใจผิดของแม่นิที่คิดว่าคนเป็นพ่อต้องการให้ลูกชื่อนี้ ทั้งๆที่มันเป็นเพียงคำอุทานที่หลุดออกมาจากปากพ่อแท้ๆ ซึ่งแม้แต่แม่นิยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาจากอะไร หากเรวะกลับบอกว่ามันไม่เคยมีความหมายใดใดเลย

...แต่เจ้าตัวจะรู้มั้ยว่าตอนนี้ มันได้กลายเป็นชื่อที่มีความหมายสำหรับผมไปแล้ว...

ผมขอแม่ย้ายกลับมาอยู่หอ สายตากรุ้มกริ่มของคนเป็นแม่แค่มองก็ดูออกว่ากำลังเดาคำขอร้องของลูกไปทางไหน หากสุดท้ายผมกลับโดนไล่เสียเอง เพราะประจวบเหมาะกับที่เพื่อนช่างภาพชาวต่างชาติซึ่งดูจะมีความสนิทสนมกับพ่อแม่ผมมาเที่ยวเมืองไทยแล้วขออาศัยพึ่งพิงในระยะยาว

ไอ้เรวะมาค้างห้องผมบ่อยขึ้น เราใช้ชีวิตด้วยกันมากขึ้น กิน นอน เที่ยวเล่น จะห่างกันก็แค่ตอนช่วงเรียน จนพักนี้เพจพี่ดิบลงรูปพวกเราถี่ยิ่งกว่าเด็กเออาร์สถาปัตย์ที่บอกว่าเป็นเหมือนลูกรักของแกเสียอีก นับจากนั้นกระแสสังคมก็ตามมาเหมือนเป็นเงาตามตัว จากคอมเมนต์ของเหล่าแฟนคลับที่โคตรรักเรือหลวงและเหล่าผู้คนที่แอนตี้เรวะ

 
“ถ้ามึงแนะนำตัวเองดีดีตอนรับน้องป่านนี้แทนที่จะโดนเกลียด ขี้คร้านกูว่าจะมีแต่คนตามมากรี๊ดมึงมากกว่า”

ระหว่างรอไอ้เรวะนั่งทำการบ้านอยู่ใต้ถุนคณะ ประเด็นที่ผมหยิบยกมาคุยกับมันวันนี้ มาจากการที่แฟนคลับทวงคืนเม่นจากเรวะในไอจีเพจประจำที่ผมนั่งฆ่าเวลาใช้นิ้วไถครืดดูไปพลางนั้นเริ่มแผงฤทธิ์ จนแอบนึกตำหนิความไร้มนุษยสัมพันธ์ในอดีตของคนตรงหน้าไม่ได้

“กูบอกแล้ว ว่ากูไม่ชอบแนะนำตัวหน้าชั้น”

“แค่ชื่อไม่เหมือนใครเนี่ยนะ เดี๋ยวนี้พ่อแม่ตั้งชื่อให้ลูกแบบประหลาดๆก็มีเยอะแยะ”

“อย่างชื่อ‘เม่น’น่ะเหรอ”

“ถ้าชื่อกูประหลาด ชื่อมึงก็หลุดไปนอกจักรวาลแล้วล่ะ หัดคิดตัวอย่างที่มันเข้าเค้ามากกว่านี้ได้มั้ยวะ” คนที่นั่งเขียนการบ้านอยู่หัวเราะน้อยๆ

“ทำไมถึงชื่อเม่น”

“พ่อแม่อยากให้กูเกิดมาฉลาดหลักแหลมเหมือนขนเม่น” จบประโยคเรวะมันขำออกมายกใหญ่ให้ผมได้เขกหัวลงโทษมันไปหนึ่งที

“ฮ่าฮ่า เออๆชื่อมึงไม่ประหลาดหรอก แต่คนเนี่ยสิประหลาด”

“ยังไง”

“ประหลาดที่ยอมมาคบกับกู”

“กล้าพูดเนอะ แล้วตอนที่มึงรบเร้าขอกูเป็นเพื่อนเนี่ยไม่คิด” ใบหน้าขาวยิ้มก้มเขียนหนังสือส่ายหัวแบบเหลือทนจนเรือนผมสีแอชเกรย์ขยับไปมา พอไล่สายตาลงล่างผมก็แอบไปเห็นอะไรบางอย่างที่สะดุดตา “เสื้อมึงเอาไปเย็บกระดุมมาแล้วเหรอ”

“อ๋อ เนี่ยเหรอ โทษทีว่ะกูหาด้ายสีขาวไม่เจอ เลยเอาสีที่พอถูไถได้มา” สีน้ำเงินบ้านมึงเนี่ยนะที่พอถูกไถได้

“ช่างเถอะ แปลกดีไม่มีใครเหมือน”

“มึงจะได้เก็บไปเป็นที่ระลึกด้วยไงตอนกูส่งคืน”

“กูสาบานเลยว่าจะขอให้คุณอลิษาเลาะกระดุมเปลี่ยนให้” มันหัวเราะทิ้งท้าย ก่อนปิดหนังสือส่งสัญญาณว่าพร้อมกลับหอให้ผม จังหวะที่ร่างโปร่งขยับตัวลุกจู่ๆทุกอย่างก็หยุดชะงัก ผมมองไปยังปลายสายตาของคนที่ยืนค้างนิ่ง เห็นเพียงแต่ผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่แอบรู้สึกคุ้นหน้าเดินผ่านไป “เรวะ เป็นอะไรของมึง”

“ปะ...เปล่า” มันกำปกคอเสื้อก่อนหย่อนตัวลงนั่งที่เก่าด้วยใบหน้าตระหนก

“ไม่เปล่าแล้วแหละ เป็นอะไรของมึงวะอยู่ๆก็...” ฉับพลันกับภาพๆหนึ่งผุดขึ้นในสมอง “เชี่ยเอ้ย!” รีบร้อนลุกขึ้นจะวิ่งตามกลุ่มคนที่พึ่งเดินออกจากตึก หากแต่คนใกล้ตัวกลับพรวดพราดมาฉุดผมไว้

“เม่น มึงจะไปไหนวะ”

“ก็ตามไปดูหน้าไอ้พวกนั้นไง”

“ตามไปทำไม”

“ก็ไอ้พวกนั้นไม่ใช่เหรอที่วันก่อนมึง...”

“มึงรู้ได้ไง วันก่อนมึงไม่ได้อยู่...”

“อย่างน้อยกูก็ไปตามจากพี่ดิบมาได้บ้างเปล่าวะ” กูไม่โง่นะ อ้าวจู่ๆก็นิ่งซะงั้น...สักพักไอ้เรวะก็หัวเราะออกมา ผมถึงจับต้องจับให้มันให้เงยหัวขึ้นมามองหน้าผม “สมองมึงโดนกระแทกจนเป็นบ้าแล้วหรือไง สถานการณ์แบบนี้ยังจะ...”

“เปล่า กูแค่รู้สึกเหมือนได้รับความรักมาเต็มเปี่ยมเลยว่ะ”

อีกสักพักมึงจะได้กำปั้นกูไปเต็มรัก

“ขอบใจมึงมากเลยนะเม่น”

“...”

“แต่กูไม่อยากมีเรื่องกับใครไปมากกว่านี้แล้วว่ะ”

“...”

“แล้วยิ่งไปกว่านั้น กูก็ไม่อยากให้มึงมีเรื่องกับใครเพราะกู” มันกระชับมือผมแน่น “กลับกันเถอะ”

 
มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 19 :: เมารี...เมารัก [2/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 02-04-2019 20:13:35
[พาร์ตของเรวะ]

...ไม่เคยรู้สึกกังวลใจอะไรได้มากมายเท่านี้เลย...

ตั้งแต่เกิดมาการที่โดนตำหนิหรือถากถางกับชาติกำเนิดและชื่อจริงอันไร้ที่มาที่ไป มันทำให้ผมคุ้นชินกับการโดนสายตาคนรอบข้างที่มองมาแล้วคอยเอาแต่ตั้งคำถามในตัวผม ว่าพ่อผมเป็นใคร

มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม จนผมเลิกที่จะใส่ใจกับสายตาชาวบ้าน หากแต่คราวนี้มันดันกลับมาเกิดกับเพื่อนคนที่สำคัญที่สุดของผม...ไอ้เม่น...

คำวิพากวิจารณ์ต่างๆมาจากหน้าเพจของรุ่นพี่ที่ผมรู้จักแบบห่างๆ เพราะเคยแอบตามถ่ายผมประจำตั้งแต่ปีหนึ่ง จนกระทั่งผมเลิกที่จะมามหา’ลัยเลยทำให้การปรากฏตัวของผมร้างลาจากหน้าเพจนั้นไปนาน พอมาคราวนี้ประเด็นกลับไปตกที่คนข้างๆผม เพื่อนคนดังประจำเพจคิ้วต์บอยที่มักจะไม่ทำตัวโดดเด่นอะไร แต่ด้วยความที่เป็นคนนิสัยใจใจเลยทำให้มันเป็นที่นิยมของคนเกือบทั้งมอ

...ทั้งที่ตั้งใจว่าจะมองข้ามทุกสิ่งแล้วจริงจังกับเพื่อนคนนี้ แต่พอทุกอย่างมันเข้ามากระทบมากหน่อย ผมก็อดไม่ได้ที่จะ...คิด...

“เหม่ออะไรของมึงวะ” เจ้าของเสียงคนที่อยู่ในห้วงคำนึงดังขึ้นเรียกสติ ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ระหว่างวิชาบำเพ็ญประโยชน์ นานวันเข้าอาจารย์ปทุมก็เริ่มจะยกคลาสให้ไปหางานรอบๆมหา’ลัยในแบบที่เข้าข่ายการทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมาทำคั่นเวลาแทน

และวันนี้เป็นวันถัดจากกิจกรรมวันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำเลยนองเต็มตลิ่ง กระทงสีสดใสฟรุ้งฟริ้งเลยนอนอืดอยู่เต็มสระกว้างกลางลานกิจกรรมประจำมหาวิทยาลัย ผมกับไอ้เม่นซึ่งลงเอาชั่วโมงบำเพ็ญประโยชน์เก็บซากกระทงกู้โลกกำลังเดินสาละวนไปทั่วสระในฐานะของผู้ชายที่ต้องลงทุนลงแรงงานส่วนที่ผู้หญิงไม่ทำ เลยต้องมานั่งถกขากางเกงย่ำไปบนสระตื้นๆที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ

“เปล่า กูแค่คิด ถ้าบ่อมันตื้นขนาดนี้ เขาน่าจะแจกรองเท้าบูทพร้อมกระทง รณรงค์ให้คนลอยต้องเก็บกระทงกลับบ้านแล้วเอามาใช้งานต่อปีหน้าก็น่าจะดี”

“มึงกำลังจะทำให้คนทำกระทงขายไม่มีรายได้”

“แต่กูกำลังช่วยลดโลกร้อน”

“แต่ก่อนที่มึงจะมาหัวร้อนกับกูเพราะกระทง...” เจ้าตัวอุ้มซากใบตองนับสิบส่งต่อมาให้ผม “อ่ะ..มึงช่วยเอานี่ไปใส่ถุงขยะให้ที” ไอ้เม่นมันยิ้มให้ผมก่อนหันไปขะมักเขม้นก้มลงเก็บขยะกระทงต่อ

“ดูมึงมีความสุขจังเนอะ”

“ทำไมหน้ากูบอกแบบนั้นเหรอ” เจ้าตัวยกเท้าย่ำหลบกระทงเบื้องหน้า แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ใกล้ตกดินทำให้ดูแสบตา แต่เมื่อมาทาบทับคนร่างสูงก็ทำให้เกิดเงาสะท้อนตามผิวน้ำและการย้อนแสงที่ลงตัวจนกลายเป็นภาพที่น่ามอง

“กูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางนพมาศทุกคนถึงรุมมึง”

“หา? พูดบ้าอะไรวะ แล้วเมื่อวานนี้บอกให้รอทำไมกลับไปก่อน” กลับไปก่อนอะไรเมื่อวานกูอยู่ตั้งแต่มึงยังไม่ขึ้นเวทียันเพลงสุดท้าย พอให้ได้เห็นสภาพของนางนพมาศแปลงร่างเป็นผู้สาวขาเลาะ อีโวลูเอชั่นจากคนถ้ำมาสู่มนุษย์ยุคปัจจุบัน คนที่ไม่ทันสังเกตเห็นผมคงมีแต่มันเนี่ยแหละที่โดนทั้งพวกแก๊งเจ๊ในเครือเพจคิ้วท์บอยสื่อสำนักพิมพ์ต่างๆ รวมถึงนิตยสารเสพสมบ่มีสมลากไปทางโน้นทีทางนี้ทีจนหัวกระไดไม่แห้ง

“เห็นมึงยุ่งๆเลยกลับไปก่อน” โกหก...ผมอยู่ดูมันจนเลิกงานแหละ และทันเห็นมันปฏิเสธสาวๆที่เข้ามาขอเบอร์ด้วย

“เย็นนี้มึงจะมารับกูมั้ย” เดี๋ยวนี้อะไรอะไรก็ใช้คำว่า‘รับ’ทั้งที่ผมไม่มีทั้งรถยนต์และไอ้บิ๊กเบิ้มอย่างมันด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไปนั่งรอมันประจำที่ร้านข้ามคืน “ปั่นไอ้โซ่หลุดมาก็ได้”

“อ้าวแล้วขากลับล่ะ” ปกติคือเดิน ขากลับคือซ้อนท้ายไอ้บิ๊ก แต่ถ้ากูขี่ไอ้โซ่หลุดไปแล้วใครจะนำส่งกลับวะ

“ก็สลับกัน มึงขับไอ้บิ๊กส่วนกูปั่นไอ้หลุด”

“สัด กูขี่มอเตอร์ไซส์เป็นที่ไหน” ไอ้เม่นมันขำ ยีหัวผมจนต้องยกมือขึ้นมาจัดทรง

“กูล้อเล่น ก็กลับพร้อมกันเนี่ยแหละ เดี๋ยวกูฝากไอ้หลุดไว้กับพี่ตี๋เอง”

“เดี๋ยวกูฝากไอ้หลุดไว้กับพี่ตี๋เอ้งงงงงง”

“เย็นนี้มึงจะมารับกูมั้ยอ่ะ”

“รับสิครับ ไม่ให้รับแฟนตัวเองแล้วจะให้รับใครล่ะหา”

“โง้ยยยยยยยยยย”

เหอะ...ลืมไปเลยว่าวิชานี้ไอ้เพื่อนตัวดีสามคนของเม่นมันก็ลงเรียนด้วย เจอกันคราวแรกเห็นอยู่หรอกว่าชอบแซวแบบแอบๆ แต่พักหลังมานี้พวกมันดูจะคัมมิ่งเอาท์เปิดตัวรุนแรง แถมยังแซะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งว่ากูเริ่มสนิทกับพวกมันตั้งแต่ตอนไหน กูไม่เข้าใจ

ผมยืนนิ่งกวาดสายตาไร้อารมณ์ไปทั่วจนกระทั่งหนึ่งในนั้นที่ดูจะฉลาดที่สุดกระตุกแขนเสื้อเพื่อนคนข้างๆให้หันมามอง

“ชะอุ๊ย” รู้สึกคนนี้จะชื่อหงส์ มันสะดุ้งวิ่งไปหลบหลังคู่หูตัวสูงมันทันที

“โทษทีว่ะ ไอ้หงส์มันก็ชอบแซวไม่เลือกอย่างนี้แหละอย่างไปถือสา” ส่วนคนนี้ชื่อต๊อบ ได้ข่าวว่าเสียงโง้ยเมื่อกี้มึงก็มีส่วนร่วมไม่ใช่เหรอ

“เชี่ยต๊อบ ไอ้เพื่อนทรยศ เมื่อกี้มึงเป็นคนสะกิดกูให้หันมามองพวกมันไม่ใช่เหรอ” คราวนี้เป็นไอ้ตัวเล็กที่หลบข้างหลังมันโวยวาย

“แล้วใครสั่งให้มึงไปเลียนเสียงไอ้เม่นเล่นสลับบทกับไอ้คีย์วะ”

“กูเปล่านะ ไอ้หงส์มันบอกให้กูพูดตาม” คนโดนพาดพิดอย่างไอ้คีย์ถึงกับลุกขึ้นมาแก้ต่างขอความยุติธรรมให้กับตัวเอง

“ไอ้เชี่ยต๊อบเชี่ยคีย์เพื่อนทรยศศศศศศศ”

“เชี่ยหงส์ มึงจะปาใบตองใส่หน้ากูทำไมวะ!!”

“ก็มึงทำกูก่อนหนิโว้ย!”

จุดจบสุดท้ายคือการวิ่งตีกันเองรอบสระ ส่วนคนที่ไม่ยักจะเดือดร้อนอะไรกลับเป็นฝ่ายที่พึ่งโดนแซวไปหมาดๆ

“หึ ไอ้พวกบ้า” ไอ้เม่นยืนมองเพื่อนในกลุ่มวิ่งไล่จับกันราวกับเด็กๆพลางส่ายหัวไปมา

จะว่าไปก็น่าแปลก พักนี้ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรจากคนรอบข้างมากขึ้น แม้กระทั่งกับแยมเพื่อนร่วมเอกของผม ไม่รู้คนตรงหน้าไปวางยาอะไร ถึงทำให้คนที่ประวัติการพูดคุยกับเพื่อนร่วมรุ่นติดลบอย่างผมคนนี้เปลี่ยนมาเป็นคนที่อีกฝ่ายยอมเปิดใจทักได้

“มองอะไร” เชี่ยผมเผลอมองมันนานไปหน่อย

“มอง...”

“เดี๋ยว...กูให้มึงตอบได้คำตอบเดียวนะ”

“อะไร”

“มองคนหล่อ”

คำพูดหลงตัวเองจนต้องแบะปากแหวะใส่ ทำเอาคนตัวสูงยิ้มหัวเราะขึ้นจมูกไม่หยุด แต่มันหล่อจริง ไม่ใช่แค่หน้าตา...แต่จิตใจมันหล่อมากสำหรับผม...






...ต้องจอดไว้ตรงนี้จริงเหรอวะ...

หยิบพวงกุญแจน้องต่ายตามคำเรียกขานของไอ้เม่นขึ้นมาล็อคล้อไอ้โซ่หลุดด้วยความลังเล ตั้งแต่เห็นคนตัวสูงมันใช้งานมายังไม่เคยมีวันไหนที่จอดกลางแจ้ง ตากแดดตากฝนทารุณกรรมให้เห็นเลยสักครั้ง และถึงแม้ตอนนี้เจ้าของมันจะอนุญาต ผมก็ยังลังเลจนต้องลากไอ้หลุดจัดตำแหน่งไปมาแบบไม่รู้ว่าจะจอดที่ไหนดี

“เอาวะ” ไว้ใกล้ตรงกำแพงดีที่สุด อย่างน้อยถ้าจะล้มก็มีอะไรให้พิงไม่ต้องกลิ้งเป็นโดมิโน่ไปชนอย่างอื่นให้พลอยซวยไปด้วย

“อย่าล้มนะลูก” จูบที่แฮนด์จับภาวนาก้มลงกราบสามจบ จังหวะที่ลุกขึ้นเสียงหวีดหวิวเบาๆของมือถือก็ดังขึ้นขัด ไม่ทันกดปุ่มรับแค่ดูหน้าจอผมก็พอจะรู้ว่าเรื่องอะไร

“มีอะไร”

[มึงอยู่ไหน]

“มีอะไรรึเปล่า”

[เมื่อกี้กูเห็นมึงแถวร้านที่มึงเคยพากูมาตอนแรก]

!!!

ไอ้บอมมันมาแถวนี้?

ผมลุกลี้ลุกลนกวาดสายตามองไปทั่วลานจอด แต่ทว่ากลับเห็นเพียงลูกค้าของร้านที่เตรียมขับรถออกและบางคนก็เพิ่งเข้ามาจอดใหม่

ผมรู้สึกถึงสายตาใครบางคนที่จับจ้องมาตรงนี้ แต่พอมองหาดูอีกทีกลับไม่พบ หรือว่าจะแค่กังวลไปเอง บางทีอาจจะแค่บังเอิญเห็นเลยโทรถาม ผมคงวิตกจริตมากไปกับที่บุคคลซึ่งเคยบังคับให้ผมไปขอ ‘ตังค์’ ไอ้เม่นจะมายืนโดดเด่นอยู่กลางลานจอดรถร้านที่เจ้าตัวทำงานพิเศษอยู่

ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยงแทบตาย แต่มันจะมาพังทลายกับแค่การเห็นผมอยู่ตรงแถวร้านพี่ตี๋เนี่ยนะ

“สัด...มาหลบอยู่แถวนี้นี่เอง”

“...!!”

ความพยายามที่ไร้ผลได้สิ้นสุดลงนับจากเสียงนั้น ร่างสูงใหญ่ยืนคล้อยหลังห่างไปไม่ถึงเมตร

“อะ...ไอ้บอม” มันเดินเข้ามาประชิดผมอย่างไว ก่อนพาดแขนแข็งๆเข้ากับลำคอลากเข้าหา เจ้าตัวมองหน้าผมนิ่งในระยะใกล้ก่อนยิ้มแผล่ออกมาให้แปลกใจและเกิดความสงสัยระแวง

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้นดิ นี่กูมาดีนะเว้ย กว่าจะเค้นคอไอ้บูมมาได้ว่ามึงอยู่ที่ไหนก็เล่นเอาแทบตาย”

“...” ไอ้บูมบอกมัน ทั้งๆที่ผมกลัวพี่ชายมันจะทำอะไรน้องชายให้ต้องลำบากใจแท้ๆ เลยบอกที่อยู่ซึ่งน่าจะตามตัวง่ายเผื่อไว้ แต่มันกลับคายทุกอย่างกับคนที่มันเลี่ยงอย่างหมดเปลือกเนี่ยนะ

“ป่ะ ไปแดกเหล้ากัน คราวนี้กูเลี้ยงเอง”

“ดะ...เดี๋ยว ไปร้านอื่นได้มั้ย ร้านนี้กูไม่ค่อยชอบบรรยากาศ” ผมพยายามเลี่ยง

“โกหกล่ะ กูเห็นมึงพึ่งจอดจักรยาน” มันเห็นผมตั้งแต่แรก “แล้วร้านนี้มึง...ก็สนิทกับไอ้นักร้องนำนั่นด้วยหนิ”

“แต่กู...”

“ไป”

“...”

“อย่าขัดใจกู”

“...”

ตั้งแต่ตอนไอ้บูมแล้ว ไหนจะเป็นตอนที่ต้องใช้ตีนแทนตัวมันซ้อมไอ้แห้วจนปางตาย...แล้วคราวนี้กูจะต่อต้านอะไรมึงได้อีก







สภาพที่โดนบังคับเข้าร้านอย่างจำยอม ทำให้คนคุ้นเคยที่มองเห็นผมมานั่งรอไอ้เม่นที่ร้านประจำอย่างพี่ตี๋กล่าวทักต้อนรับด้วยแววตาประหลาดใจ ส่วนไอ้น้องเจ็ทแลคที่เม่นมันเล่าให้ฟังว่าเป็นตัวตั้งตัวตีในการเสิร์ฟเบียร์เลี้ยงผมวันนั้นก็เดินนำผมมายังโต๊ะประจำด้วยสีหน้างุนงง

“วันนี้พาเพื่อนมาด้วยเหรอพี่”

“อะ...อืม” ผมพยักหน้าตอบแบบไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะกลัวสายตาที่หรี่มองตรงมาของคนข้างกายจะจับบางสิ่งบางอย่างได้

เสียงดนตรีขับกล่อมดึงสติผมให้เงยหน้าไปมอง ไอ้เม่นมันกำลังร้องเพลงช้าที่สะกดคนดูทั้งร้านให้เคลื่อนคล้อยจังหวะไหวตัวตามซึมซับบรรยากาศอย่างดื่มด่ำ เสียงทุ้มต่ำของมันมีเสน่ห์มัดใจคนฟังได้เสมอแม้กระทั่งผม เจ้าตัวกำลังหลับตาเปล่งพลังเสียงอินไปกับอารมณ์เพลงอย่างเต็มที่ โชคดีเหลือเกินที่มันยังไม่เห็น ผมเลยเริ่มชิงลงมือด้วยการขอนั่งตรงที่ไม่ประจำซึ่งห่างไกลจากเวทีและอยู่ในที่ที่เป็นมุมอับพอสมควร

ก่อนที่ไอ้น้องเจ็ทแลคจะเซ้าซี้ถามถึงความผิดปกติจากการเปลี่ยนแปลงที่นั่ง ผมก็ตัดบทด้วยการให้ไอ้บอมสั่งเครื่องดื่มมาชุดใหญ่

“อย่าสั่งเยอะ กูไม่มีเลี้ยง” ผมปรามทันทีที่เห็นว่ามันจะเลยเถิดไปไกล ราคาเหล้าใช้ว่าถูก ดื่มหนึ่งครั้งมันเทียบกับข้าวสามมื้อของผมได้เลย แล้วมาที่นี่ทีไรผมต้องเป็นคนเลี้ยง ยังไม่อยากเสี่ยงเอาค่าขนมของผมทั้งเดือนมาลงทุนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้

“ไม่เป็นไรน่า กูบอกแล้วไงมื้อนี้กูเลี้ยง” อดแปลกใจไม่ได้ที่เจ้าตัวกล่าวแบบนั้นออกมาซ้ำสอง ผมมองมันพลางย่นหัวคิ้ว

“ไปเอาตังค์มาจากไหน อย่าบอกนะว่ามึง...”

“กูเลิกแล้วน่า คราวก่อนที่เข้าคุกไปก็เกินพอแล้ว มึงเนี่ยนะดุอย่างกับเมียไปได้”

“ก็คราวก่อนมึงยังพึ่ง...” อีกแล้ว...ผมชะงักกึก...ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว ความรู้สึกเหมือนกับที่ถูกใครจับจ้องอยู่

“คราวก่อนก็คราวก่อนดิวะ วันนี้กูมีอะไรจะให้ดู” ไอ้บอมมันล้วงซองจดหมายสีชมพูแจ๋นออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางพยักเพยิดให้ผมเปิด ความรู้สึกหนาๆเหมือนมีแผ่นกระดาษบางอย่างซ้อนกันอยู่ภายใน ทันทีที่ผมเปิดซองออกก็ทำให้รู้ว่าเป็นแบงค์พันจำนวนหลายใบแต่ไม่ถึงสิบฉบับนอนรออยู่ในนั้น

“นี่มัน...”

“เงินเดือนเดือนแรกของกู”

“เงินเดือน?”

“ที่ขอยืมเงินมึงไปตั้งตัวก็เพราะเรื่องนี้ กูเอาเงินไปลงเรียนต่อแล้วก็หางานทำไปด้วย”

“เชี่ย...” คนตรงหน้ามันยิ้มแบบภาคภูมิใจ ไม่เคยคิดว่ามันจะเปลี่ยนมาได้ถึงขนาดนี้ “งานอะไรของมึงวะ”

“ผู้ช่วยช่างซ่อมตามอู่”

“ไอ้บูมก็รู้?”

“มันไม่รู้เรื่องนี้หรอก กูบอกมึงเป็นคนแรก”

“...”

“ในฐานะที่มึงเป็นเจ้าของเงินลงทุนรายใหญ่”

ผมแอบตำหนิตัวเองที่ยังระแวงกับภาพลักษณ์ของไอ้บอมในแง่ร้าย ใช้สายตามองคนจากภายนอกมาตัดสินอีกฝ่ายแบบไม่ทันคิด ผมแม่งก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ฟังข้อมูลผิดๆของตัวเองแล้วเอาไปสานต่อในทางลบ จนทำให้คนที่ถูกมองในแง่ร้ายเป็นฝ่ายเดือดร้อนเลยเสียเอง ไม่ต่างกันเลยจริงๆ

“อย่าทำหน้าเศร้า แดกเหล้าเข้าไป” พอดีกับที่ไอ้น้องเจ็ทแลคเดินมาเสิร์ฟเหล้า เจ้าตัวคีบน้ำแข็งใส่แก้วพลางเทของมึนเมาส่งให้ “ชีวิตนี้มันไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้นหรอกว่ะ แค่ต้องรู้จักผ่านพ้นมันไปให้ได้”

หลังจากนั้นน้ำสีอำพันอึกแล้วอึกเล่าก็ไหลเข้าคอของเจ้าตัวไป ผมนั่งมองคนที่เหมือนก้าวผ่านความสำเร็จจุดแรกของชีวิตมาได้พลางจิบของเหลวฝาดคอนั้นตามเบาๆเป็นเชิงแสดงความยินดี

ทำไมตอนนี้อะไรก็ดูดีไปหมดทุกอย่างราวกับภาพที่ผ่านมาตลอดช่วงชีวิตยี่สิบปีของผมเป็นเพียงความฝัน หากแต่ไม่ใช่ฝันร้าย เป็นฝันที่จะเรียนรู้การต่อสู้กับชีวิตและก้าวไปข้างหน้า จนทำให้ผมกล้าแกร่งขึ้น

“อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน เติมความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด”

“เหอะ เพื่อนมึงเจ๋งว่ะ” ไอ้บอมถึงกับชมไม่ขาดปาก

พึ่งเคยเจอร้านอาหารกึ่งบาร์ร้องดนตรีสดเป็นเพลงเพื่อชีวิตขนาดนี้ ผมถึงกับหัวเราะออกมา จังหวะมันเหมาะราวกับว่าไอ้เม่นแม่งแอบติดเครื่องดักฟังอยู่ใต้โต๊ะ

พวกเรานั่งดื่มกันได้ไม่นานไอ้บอมก็เป็นฝ่ายขอตัวไปก่อนเพราะต้องไปปาร์ตี้รับน้องกับคนที่ทำงาน ผมที่นั่งรอเม่นก็เผลอจิบไปจนเริ่มกรึ่มๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่วงของพวกมันเก็บข้าวเก็บของลงจากเวทีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เชี่ยเม่นแฟนมึงอยู่นั่น”

เสียงพี่ตี๋ดังมาแต่ไกล ใครไปบอกพี่มันวะว่าเป็นแฟน ไม่นานร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงวอร์มขาจั๊มสีเดียวกันมีลายขาวดำพาดขากับรองเท้าแตะคู่ใจ ที่ใครๆต่างโหวตว่าพี่เม่นใส่แล้วดูดีที่สุดในสามโลกก็เดินตรงมาหา

“ทำไมย้ายที่วะ”

“เปลี่ยนบรรยากาศ” บอกตามตรงไปก็ไม่ผิด แต่พอมาคิดๆดูแล้ว เรื่องไอ้บอมปล่อยให้ไอ้เม่นไม่รับรู้ต่อไปน่าจะสบายใจกว่า

“มิน่ากูมองหาไม่เจอ”

“เห็นหลับตาร้องเพลงมีปัญญามองหาด้วยเหรอ”

“ไอ้เม่นมันใช้ใจมองอ่ะครับ ง่อววววววว” ไอ้หงส์มันสอดปากพูดขึ้นมา

“ถุย ไปไกลๆเลยพวกมึง พอลงมาจากเวทีก็เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลกันเลยนะ สำหรับพวกมึงกูคงมีค่าแค่นักร้องนำใช่มั้ยวะ” แหม มีตัดพ้อ เหิ้มมม

“แต่สำหรับกูมึงมีค่ามากกว่านักร้องนำนะ” โอเค หมดโควตาการหยอดสำหรับหนึ่งวันของผมแล้ว ในร้านมันมืด ผมไม่เห็นสีหน้าของคนโดนหยอดหรอก แต่ก็คิดว่ามันคงกระอักกระอ่วนปั่นป่วนเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ “ป่ะ กลับกันเถอะ”

ส่งสัญญาณแล้วหมุนตัวหันหลังเดินออกมา โดยมีร่างสูงเดินตามมาพาดแขนกับบ่าจากด้านหลัง

“สำหรับกูมึงก็มีค่ามากกว่าเพื่อนทำกิจกรรมเหมือนกัน”

...นี่ผมเขินเพราะเสียงนกเสียงกาที่มันกิ๊วๆก๊าวๆโหยหาตาประสาคนชอบแซวด้านหลัง หรือผมเขินกับสิ่งที่ไอ้เม่นมันกระซิบข้างหูกันแน่วะ

ระหว่างทางไปหาไอ้เบิ้มผมพาเม่นไปดูสภาพไอ้หลุดก่อนว่าจอดท่าไหนเพื่อให้มันโทรบอกพี่ตี๋ฝากฝังลูกชายผู้แสนดีไว้ในอ้อมอก แต่ทว่ากลับเจอคนแปลกหน้าท่าทางแปลกๆยืนรวมกลุ่มสุมหัวกันอยู่บริเวณนั้น

“ไอ้เม่น”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูเข้าไปถามเอง” คนตัวสูงเดินเข้าหาผู้ชายสามสี่คนที่ยืนหันหลังให้ ทันทีที่ฝ่ายผมทักออกไปหนึ่งในสี่ก็หันมาตรงนี้จนทำให้ผมมองเห็นหน้ามันชัดเจน

“ไอ้แห้ว”


...TBC...

+++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ญี่ปุ่นประกาศชื่อศักราชใหม่...
มีเพื่อนมาบอกว่า...ชื่อนายเอกเราดังแล้วนะ555


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ขอบคุณคนที่คอมเมนต์ คนที่อินตามด้วย...รัก
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 19 :: เมารี...เมารัก [2/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-04-2019 21:04:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 19 :: เมารี...เมารัก [2/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 03-04-2019 02:16:15
ชีวิตน้องเรกำลังดีขึ้นแล้วอย่าพึ่งมีเรื่องยุ่งๆเข้ามาอีกเลยยย
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 19 :: เมารี...เมารัก [2/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-04-2019 09:43:50
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 19 :: เมารี...เมารัก [2/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 06-04-2019 08:22:21
 o13. เหมือนได้ยินเสียงน้าเน็กในรายการ Take me out thailand/take guy out thailand “ ไปเป็นแฟนกานนนน” 555555.    :L1:   ชอบความฉุนเฉียวของเม่น ตอนไอ้แก๊งหมายังอายรุมไปได้ เดินผ่าน อย่าให้เม่นต้องขึ้นนน    :fire:    พาร์ทตอนบอม คือชอบที่เรวะคิดในใจเรื่องการตัดสินคนมากค่ะ. รอนะ. จะมาแบบไหน สวีทดราม่า หรือหักมุมเราก็จะติดตามมมมมม  :L2:   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 20 :: กลับไปที่ศูนย์เพื่อไม่ให้เสีย [6/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 06-04-2019 21:25:53
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 20 :: กลับไปที่ศูนย์เพื่อไม่ให้เสีย


คงแปลกใจที่จู่ๆผมก็มีคนรู้จักเพิ่ม ไม่งั้นไอ้เม่นคงไม่มีสีหน้าประหลาดใจอย่างนี้หรอก

“รู้จักเหรอ” พยักหน้าเท่ากับว่ารู้จัก แต่ผมกับไอ้แห้วไม่ได้เกี่ยวดองในเชิงด้านนั้น ผมจึงหยุดยืนนิ่งก่อนจะจับแขนคนตัวสูงไว้มั่นแล้วดึงดันให้หันหลังเดินไปทางที่ไอ้บิ๊กเบิ้มของมันจอดรออยู่

“กลับกันเถอะ”

“จะรีบไปไหนวะไอ้เร” เสียงเรียกชื่อบ่งบอกได้ว่าไม่ใช่บังเอิญเจอ ไอ้แห้วมันจงใจมาหาผม มือสองข้างจากที่ดันเบาๆเปลี่ยนเป็นแรงผลักที่เพิ่มมากขึ้น

“ไอ้เม่น มึงกลับไปก่อน”

“ทำไมต้องให้กูกลับก่อน”

“กูจะคุยกับเพื่อนหน่อย คิดว่านาน มึงกลับไปก่อนเถอะ”

“ไม่เป็นไรกูรอได้”

“งั้นมึงไปรอที่ไอ้เบิ้ม”

“...” สายตาคมเหลียวหลังมาสบแบบไม่คลายความสงสัย มันมองผมสลับกับคนที่ไกลออกไป เลยต้องยกมือตบไหล่มันเบาๆ

“ไปเถอะ มายืนฟังกูคุยกับเพื่อนจะสนุกอะไร”

“ถ้ามึงยืนกรานว่าอย่างนั้น ก็ได้ เดี๋ยวกูไปรอที่ไอ้เบิ้ม แต่ถ้ามีอะไร...” โดยไม่ทันตั้งตัวร่างสูงกลับหมุนตัวเอื้อมมือใหญ่ก็จับหัวผมโยกไปมาเบาๆ สายตาเราจ้องมองในระดับเดียวกัน “มึงโทรมานะ”

“อะ...อือ” ทุกครั้งที่มันทำแบบนี้ ผมมักจะทำอะไรไม่ถูกกลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆที่เชื่อฟังคำสั่งมันไปเลย

 
แผ่นหลังกว้างเดินจากผมไปแล้ว เหลือไว้เพียง ผม ไอ้แห้ว และคนแปลกหน้าอีกสามคนยืนเงียบราวกับหยั่งเชิงกันอยู่

“เมื่อกี้ใครน่ะ”

“มึงไม่จำเป็นต้องรู้”

“กูก็ถามไปงั้น กูรู้อยู่แล้วล่ะ พวกมึงดังจะตาย”

แล้วถามทำซากอะไรวะ

“หึ ไม่น่าเชื่อนะ คั่วกับไอ้บอมอยู่ดีดี แต่พอผัวไปติดคุกทีก็ร่านจนต้องหาคนใหม่มาแก้ขัดเลยเหรอวะ”

“ไอ้สัดแห้ว!!” ไม่ได้โกรธที่โดนถากถางแต่มันลามปามไปถึงไอ้เม่น คนที่ไม่เคยทำอะไรให้ผมเสียหายเลยสักครั้ง ด้วยบันดาลโทสะผมวิ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อมันพลางง้างมือจะต่อย ไอ้แห้วมันตัวเล็กกว่าผม ถ้าจะข่มขู่ก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ยาก มันหลับตาปี๋หักหัวหลบทันที หากจู่ๆกลับมีมือดีมาคว้าแขนผมไว้...ไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างๆมัน ซึ่งผมนึกคุ้นหน้า

“จะทำอะไรลูกน้องกู” ลูกน้อง?

 
‘แน่จริงเรียกหัวหน้ามึงออกมาเลยดิ มัวไปมุดหัวอยู่ไหนวะ’

‘เหนือไอ้แห้วมันมีหัวโจกอยู่คนนึง เป็นตัวคอยสั่งมัน ไม่งั้นมันไม่กล้าบ้าบิ่นขนาดเอายามายัดให้กูหรอก’

 
สองปีก่อน ภาพไอ้บอมซ้อมคนตรงหน้าหลุดผุดขึ้นในสมอง ตอนนั้นมันเอาตะโกนพลางท้าทายด้วยคำพูดแบบนั้น เตะอีกฝ่ายจนสะบักสะบอมไม่เหลือสภาพ มาตอนนี้คนที่มันท้ากลับมาปรากฏตรงหน้าผม จะบอกว่าแปลกหน้าไปเลยมั้ยก็ไม่เชิง ผมเคยเห็นหน้ามันบางครั้งสมัยตอนที่อยู่สลัมกับแก๊งพวกมัน

ตบหน้าลูกน้องสะท้อนไปถึงหัวหน้า ความเชื่อพวกนี้ยังไม่เปลี่ยนไปสินะ

“ผัวมึงไปไหน” มันเอ่ยปากถามขึ้น

“...”

“กูถามว่าไอ้เหี้ยบอมมันไปไหน” คราวนี้สิ่งที่ผมกระทำกับไอ้แห้วย้อนมาลงที่ตัวผม ไอ้คนที่ขึ้นชื่อว่าหัวหน้ากระชากเข้าคอเสื้ออย่างแรงเข้าหามัน

“มันไม่ได้มากับกู”

“มันโกหก!เมื่อกี้ยังเห็นไอ้เหี้ยนั่นมันเดินเข้าร้านไปกับมันอยู่เลย” ไอ้แห้วพูดแทรกขึ้นมา มิน่าล่ะ ผมถึงรู้สึกได้ถึงสายตาใครบางคนที่จ้องมาทางนี้หลายครั้งแล้ว ที่แท้ก็เป็นมัน

“มันอยู่ไหน!!”

“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ได้มากับกู”

“อย่ามาตอแหล!!” แค่นั้นแหละ หมัดหนักๆกระแทกเข้ามาที่หน้าท้องอย่างจังแบบไม่ทันตั้งตัว คงเพราะเกร็งไม่ทันความรู้สึกจุกเลยแล่นไปทั่วทั้งท้องจนต้องงอร่างอย่างฝืนไม่ได้ ก่อนตัดสินใจกัดฟันเงยหน้าตั้งใจว่าจะสวนหมัดให้อีกฝ่ายหงายหลัง แต่ทว่า...

พลั่ก!!

เสียงดังขึ้นก่อนทุกอย่างจะเริ่มต้น ภาพที่เห็นเป็นอีกฝ่ายซึ่งเคยต่อยผมหงายหลังลงไปกองกับพื้น...ทั้งที่ผมยังแทบไม่ได้สัมผัสโดนตัวมันเลยด้วยซ้ำ

“เชี่ย!!มึงทำอะไรวะ” ไอ้แห้วตะโกน วิ่งพรวดพราดเข้าไปประคองลูกพี่ ส่วนผมที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระกะทันหัน เลยเซถอยหลังจนไปพิงกับอะไรบางอย่าง ใครบางคนใช้มือสองข้างจับเอวผมไว้

“กูว่าแล้วมันแปลก มึงไม่เคยบอกกูว่ามีเพื่อน” เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัว แปลกใจจนถึงกับต้องแหงนหน้าขึ้นไปมอง “แล้วมึงจะมายืนคุยกับเพื่อนหน้าเหี้ยที่ทำร้ายมึงอยู่สี่ตัวนี้อยู่ได้ยังไง”

“ไอ้เม่น” มันกล่าวพาดพิงไปถึงคนที่ลุกขึ้นมา พึ่งเห็นว่าหมัดไอ้เม่นโคตรร้ายทำเอาไอ้หัวหน้านั่นถึงกับเลือดกลบปากได้ วันนั้นที่มันต่อยผมถือว่าออมแรงให้ใช่มั้ยวะ

“อยากเจอผัวเก่าดันไม่เจอ กลับมาเจอผัวใหม่แทนเหรอวะ ไอ้เรแม่งร้ายไม่เบา”

“สัด!!” จะพุ่งตัวไปซ้ำคนข้างหน้าก็ทำไม่ได้ดั่งใจคิด เพราะโดนแขนแข็งๆเกี่ยวเอวไว้ไม่ให้ไปไหน “ไอ้เม่นปล่อยกูดิวะ”

“มึงใจเย็น” มันกระซิบ

“แต่มึงไม่ได้ยินที่มันพูดเหรอไง”

“ได้ยิน แต่ถ้ามึงเดือดกูเดือดแล้วใครจะเตือนใครได้วะ”

ไอ้เม่นมันพูดถูก ถ้าขืนผมวิ่งไปต่อยมันก็มีแต่จะทำให้ตะลุมบอลกันเข้าไปใหญ่ ดูอย่างไอ้สองคนที่เหลือที่มันตั้งท่าจะพุ่งหาผมอยู่รอมร่อ

“มึงน่ะ” แปลกที่คราวนี้หัวโจกมันหันไปมองหน้าเม่น “หน้าตาก็ดี น่าจะมีปัญญาหาผู้หญิงสวยๆดูดีกว่านี้มาควงได้ แล้วทำไมมาตกหลุมไอ้เรวะ ไอ้นี่มันลีลาเด็ดจนถึงกับต้องยอมกันเลยเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“สัด!!หุบปากเน่าๆของมึงไปเลย ไอ้เม่นกับกูไม่ได้...”

“ยอมโดนมันหลอกตังค์ไปเท่าไรแล้วล่ะ”

“...!!”

“ได้มันทีก็ต้องให้ตังค์ มันเดือดร้อนเงินอยู่ กูรู้เพราะกูเคยลองมาแล้ว”

“ไอ้เหี้ย ลองบ้านมึงดิ กูกับมึงยังไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำแล้วเรื่องตังค์...”

...ผมยังไม่ได้ใช้ตังค์คืนไอ้เม่นเลยสักแดงเดียว...

ผมแหงนมองคนข้างหลัง สีหน้าของไอ้เม่นมันไร้อารมณ์และหน้ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

“ไอ้เม่นกูไม่ได้ตั้งใจว่าจะไม่คืนเงินมึงนะ แต่กูต้องเอาก้อนที่กูทำงานไปให้ไอ้บูมใช้ก่อน...”

“มึงไม่ต้องพูดแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาถูกส่งตรงมาจนผมสะท้านไปทั่วร่าง สายตาคมไม่ยอมสบตาผม มันเอาแต่มองนิ่งไปข้างหน้าพลางกัดฟันกรอด

 
‘ก็มาดูกัน ว่าระหว่างกูกับมึงเขาจะเชื่อใคร’

‘คนที่ใครๆก็ไม่เคยคิดว่าเป็นคนดีอย่างมึง แถมคนไม่ชอบขี้หน้าขนาดนั้น มึงน่าจะรู้ตัวเองดีนะ’


 
แค่มึง...เท่านั้น...ก็ยังไม่ได้เหรอวะ

พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่รื้นขึ้นมากลับเข้าไป ความอ่อนแอกับคำพูดเก่าๆที่ฝังอยู่ในสมองมันย้อนกลับเข้ามา มันเป็นเหมือนอาการชอกช้ำทางจิตใจที่ต่อให้เวลาผ่านไปอย่างไรก็รักษาไม่หาย และอาจจะเป็นอย่างนี้ไปจนวันตาย

ทั้งที่พยายามจริงใจกับมัน ทั้งที่สักวันคิดว่าเขาจะเห็นคุณค่า แต่เปล่าเลย...ความรู้สึกนี้ไม่เคยส่งไปถึงได้เลย

“ฮึก...” ตอนนี้แค่คนตัวสูงให้ที่พึ่งพาสุดท้ายคือชายเสื้อ ให้ยืนเกาะเกี่ยวโดยไม่ล้มลงไปก็ดีแค่ไหนแล้ว พอแล้วล่ะกับการพึ่งพาใคร ผมต้องอยู่ให้ได้ ต่อให้เดียวดายไปตลอดชีวิตก็ตาม

มือข้างที่ยังสัมผัสอีกฝ่ายขยับดันกายให้ยืน ความเจ็บจุกในช่องท้องคลี่คลายลงแล้ว เดินไหว ยังไงก็ไหว แต่ก่อนไปผมขอตั๊นหน้าไอ้พวกบ้านี้ให้สมใจผมก่อนเถอะ!

ตุบ!!

“เชี่ยเร!!” จุดที่เลือดกลบโดนซ้ำไปอย่างแรง ไอ้ปากหมาถึงกับหน้าเบ้ แต่ก็ยังสวนหมัดต่อยเข้าหน้าผมได้ ความรู้สึกเจ็บไม่มีอีกแล้ว แค่ว่าอยากระบายให้มันหายจากอารมณ์นี้จึงสวนหมัดและแรงที่มีกลับไป

“ไอ้อ่อนเอ๊ย!!” ดีแต่ปาก มิน่าเมื่อก่อนมันถึงไม่กล้าโผล่หัวมาหาไอ้บอม

ผมต่อยมันจนล้มแล้วตามด้วยเตะซ้ำไม่ยั้ง จนสิ้นเสียงวินาทีที่ไอ้แห้วมันตะโกนให้อีกสองตัวช่วยลูกพี่ ณ จุดนั้นจึงเกิดความชุลมุนขึ้น ฝ่าเท้ายกเข้าอกยันลูกน้องคนที่ย่างสามขุมเข้าหาจนหงายท้องตึงลงไปอย่างจัง จังหวะนั้นคอผมโดนล็อคจากคนที่เหลือ กะว่าจะย่อตัวแล้วทุ่มหากเสียงกระดูกแลกกับผิวเนื้อดังขึ้นใกล้หูเสียก่อน ผมเห็นอีกฝ่ายล้มไปกองกับพื้น เยื้องไปเบื้องหลังกลับปรากฏบุคคลที่คิดว่าหมดความเชื่อมั่นในตัวผมไปแล้ว

“ไอ้เม่น”

“ระวัง!!” ร่างสูงกระชากแขนผมเข้าหาก่อนหมุนตัวบังมันเลยโดนหมัดไอ้หัวหน้านั่นเข้าแผ่นหลังไปเต็มๆ ไม่แค่กำปั้นมันทั้งลงเท้ามาถีบ แต่เจ้าตัวก็ยังฝืนยืนกันไว้อยู่ได้

“เชี่ยเม่น!!แม่งโว้ย!!” คิดยังไงมาต่อยคนของผมวะ พวกมึงคิดยังไง!!พลังความบ้ามีมากกว่าที่คิด เมื่อเห็นบุคคลอันเป็นที่รักทั้งคนโดนทำร้าย ผมผลักมันออกพร้อมจะพุ่งเตะอีกฝ่าย แต่สุดท้ายที่ทำไปมันอาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง หรือว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจถูกแล้ว

“ไอ้เม่น!!”

แสงจากวัตถุสีเงินวาวในอุ้งมือคู่กรณีที่ยกขึ้นสะท้อนเข้าตากะทันหัน วินาทีนั้นผมรู้เพียงแต่ว่า...คนตรงหน้าต้องไม่เป็นอะไรเลยโผตัวออกไปแบบไม่คิดชีวิต เพียงชั่วพริบตาที่รู้สึกเหมือนมีอะไรฝังลงมาตรงหน้าท้องก่อนแรงผลักจะทำให้ผมต้องเอนไปล้มทับไอ้เม่น จนเราสองคนร่วงลงไปกองที่พื้นพร้อมกัน

“เชี่ยเก่ง มึงทำอะไรลงไปวะ! แม่งเอ๊ย เรื่องนี้กูไม่เกี่ยวนะเว้ย!”

“ไอ้เชี่ยแห้ว!”

ไม่เห็นภาพเบื้องหน้าแล้ว ได้ยินเพียงเสียงโวยวายเหมือนไอ้แห้วกับหัวหน้ามันทะเลาะกัน กับเสียงสะท้อนของรองเท้าหลายคู่ที่กระแทกพื้นดังห่างออกไป เกิดอะไรขึ้น...

“เชี่ยเม่นมึง...”

“ไอ้เรวะ!!”

ผมกำลังจะถามว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรมั้ยแต่ทำไมเสียงมันยังดูร้อนรนอยู่ ด้วยความเป็นกังวลจึงรีบพลิกตัวไปดูแต่จู่ๆความรู้สึกอุ่นชาก็แล่นปราดเข้าแผ่นท้อง พอก้มลงไปมองถึงกับผงะ เสื้อนักศึกษาของไอ้เม่นที่ผมยังใส่อยู่จู่ๆก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานมันกระจายเป็นวงกว้างอย่างน่ากลัว

เลือดของใคร?

มือสั่นเทาย้ายไปสัมผัสหน้าท้องของตน ความรู้สึกเหมือนของเหลวบางอย่างไหลซึมออกมาไม่หยุด พอยกฝ่ามือขึ้นมาดูอีกรอบมันกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงเข้มเต็มไปหมด กลิ่นคาวคละคลุ้งแล่นเข้าจมูกจนอยากอาเจียนออกมา

“มึงไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” เงยหน้าถามทั้งที่ไม่รู้จะวางฝ่ามือที่เปรอะเปื้อนไว้ตรงไหน ร่างสูงขยับตัวอย่างไวแหวกสาบเสื้อตรงท้องผมกระชากออกจนกระดุมหลุด

สิ่งที่เห็นคือรูลึกตรงบริเวณฝ่าท้องพร้อมการไหลนองของสีแดงฉาน แทบไม่อยากเชื่อว่าภาพตรงหน้าคือร่างกายตนเอง

“เชี่ยเว้ย!!” ไอ้เม่นสบถ มันพยายามยกมือของมันขึ้นมากดบาดแผลที่จู่ๆก็มีเลือดไหลทะลักออกมาเพิ่มมากขึ้นกว่าคราวแรก ทำไมผม...ถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ นี่ใช่...ร่างกายของผมแน่นะ คนที่ถูกแทงไม่ใช่มัน...

“ไอ้เม่น มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ”

“คนที่เป็นอะไรคือมึงต่างหากเล่า ไอ้บ้า!!” มันตะโกนใส่ตอนที่ปลายมือผมเริ่มชา ความรู้หนาวยะเยือกนี้มาจากไหน จนสุดท้ายผมต้องกำแขนเสื้อคนตรงหน้าไว้ โดยได้แต่นึกขอโทษในใจที่ทำให้เสื้อมันเปื้อน

“กูขอโทษ”

“มึงอย่าพูด”

มึงไม่ควรจะมายืนตรงจุดนี้เลย

“กูขอโทษจริงๆ”

“กูบอกแล้วไงว่าให้นิ่ง ทำไมมึงไม่ฟังกันบ้างวะ!” มันหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกโดยไม่สนใจว่าจะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
คนที่ดีขนาดนี้...ถ้ามันไม่รู้จักผมก็คงจะดี...

“ฮึก...” เสียงสะอื้นถูกเปล่งออกจากลำคออย่างห้ามไม่อยู่ ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเพราะโดนม่านน้ำบดบังสายตา สติผมเหมือนจะเริ่มเลือนราง รู้เพียงแต่ว่าใครบางคนมาจับกุมมือผมไว้แน่น

อุ่น...แค่ตอนนี้เท่านั้น...ผมขอแค่เท่านี้...

 
 
มีต่อด้านล่างนะคะ

หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 20 :: กลับไปที่ศูนย์เพื่อไม่ให้เสีย [6/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 06-04-2019 21:26:40
 
ผมลืมตาขึ้นมาท่ามกลางสายระโยงรยางค์รอบตัว พยายามใช้สตินึกย้อนถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่นี่คือโรงพยาบาล ทั้งที่ตลอดชีวิตหาทางหนีสถานที่แห่งนี้แทบเป็นแทบตายแต่สุดท้ายกลับมาจบตรงนี้

ไม่มีวี่แววของมนุษย์สักคนในห้อง ผมขยับตัวลุกเพื่อให้สะดวกในการกวาดสายตา แต่ทว่าความเจ็บไม่รู้จากไหนแล่นริ้วขึ้นมาจนต้องนอนเบ้หน้าล้มลงประจำที่เก่า

“โอ๊ย” เจ็บจนกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่ นอนงอตัวอยู่นานพอครองสติได้จึงเอื้อมมาขยับชายเสื้อชุดคนไข้ให้ได้เห็นผ้าก๊อซที่ถูกพันไปรอบลำตัว “แผลใหญ่เว่อร์อะไรขนาดนี้วะ” ระหว่างที่เห็นความมากของสภาพแผล เสียงกุกกักจากหน้าประตูที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ผมตกใจจนต้องแกล้งหลับตาลง

“ครับ...หมอบอกไม่เป็นไรมากแล้ว”

“ดีแล้วล่ะ แม่ค่อยโล่งใจ นี่เรายังไม่ได้กินอะไรเลยใช่มั้ย...ดูตาสิโหลเชียว นี่แทบไม่ได้นอนเลยสินะ”

เสียงใกล้เข้ามาจนเหมือนจะอยู่อีกฟากแล้ว เป็นเสียงไอ้เม่นกับคนที่แทนตัวเองว่าแม่...คุณน้าอลิษา

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ คนที่เป็นน่ะ คือมัน”

“ต่อให้อย่างนั้นก็เถอะ เราต้องดูแลตัวเองด้วยนะ แม่ว่าน้องฟื้นมาคงไม่ปลื้มเท่าไร ถ้าหากเห็นเราล้มไปอีกคน” แทบจะพยักหน้ากับความคิดเห็นนั้นปกติผมมันเป็นคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง จะกินข้าวอะไรก็ไม่ตรงเวลา บางครั้งยังแทบอดมื้อกินมื้อเพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับงานตรงหน้าด้วยซ้ำ แต่กับคนรักสุขภาพอย่างมัน ผมไม่อยากให้ร่างกายมันอ่อนแอทรุดโทรมไปเพราะผม “อ่ะนี่แม่ซื้อโจ๊กร้านที่เราชอบมาให้ กินข้าวเช้าก่อนเถอะ”

“แต่ผมกินไม่ค่อยลง”

“อ่ะ ไม่กินก็ไม่กิน” อะไรของมึง กินสิวะ! อยากจะตะโกนใส่หน้าไปตอนนั้น แต่กลับต้องล้มเลิกความคิดไปในตอนที่แม่ของไอ้เม่นยิงประโยคคำถามบางอย่างขึ้นมา “ว่าแต่เรื่องมันเกิดขึ้นมาได้ไง ทำไมน้องกับเราถึงไปทะเลาะกับนักเลงพวกนั้นได้” ผมกลั้นใจรอฟังคำตอบของไอ้เม่น จนรู้สึกถึงช่วงห่างที่ผิดปกติสำหรับการโต้ตอบบทสนทนา หากรู้ที่มาที่ไปของทั้งหมดคงเดาไม่ยากว่าไอ้เม่นมันพยายามหาข้ออ้างให้กับเรื่องนี้

“ก็แค่พวกคนขี้เมาน่ะแม่”

“แม่ถึงเคยบอกไง ว่าไม่อยากให้เราไปทำงานร้องเพลงร้านเหล้าดึกๆดื่นๆ”

“มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย”

“เกี่ยวสิ ถ้าเราไม่ไปอยู่ตรงนั้น ก็ไม่ต้องมาเจอพวกคนเมา แล้วก็ไม่ต้องมาเสี่ยงอะไรแบบนี้ คิดดูคราวนี้อาจจะไม่ใช่ลูก แต่ถ้าคราวหน้าเป็นเราขึ้นล่ะ แม่จะทนเห็นเราเป็นแบบน้องอย่างนี้ได้เหรอ” น้อง? หมายถึงผมสินะ ถ้าคราวหน้าคราวนี้หรือคราวไหนๆคนที่โดนเป็นเม่น ผมก็ทนไม่ได้เหมือนกัน

“แล้วช่วงนี้เกิดเรื่องบ่อยจนแม่ไม่สบายใจเลย ไหนจะคราวที่แล้วที่เราบอกว่าน้องโดนนักเลงซ้อมอีก ไปมีเรื่องอะไรกับใครมา หรือเป็นปกติอยู่แล้ว แต่แม่แค่อยู่อเมริกาเลยไม่รู้ไม่เห็น เท่านั้นเหรอ”

“...”

“ตอบแม่มาสิ”

“...”

เสียงเงียบไปแล้ว...ไอ้เม่นไม่ตอบ ผมกำลังทำให้มันต้องเดือดร้อน แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะลืมตาขึ้นไปบอกเล่าความเป็นมาทั้งหมด ประวัติชีวิตผมมันไม่สวยหรูน่าภูมิใจจนยืดอกเล่าได้หรอก นิ้วมือได้แต่จิกลงบนเตียงด้วยความทรมานที่เป็นตัวต้นเหตุให้คุณน้ากับมันทะเลาะกัน

“พรุ่งนี้ไปลาออกจากร้านซะ”

หา?

“แม่!”

“แล้วมาอยู่กับแม่ที่บ้าน ห้ามไปค้างที่ไหน” เสียงรองเท้าส้นสูงกระแทกพื้นดังห่างออกแบบไม่สนใจฟังอุทธรณ์ ผมหรี่ตามองสถานการณ์ในห้อง ไอ้เม่นมีสีหน้าเศร้าสร้อยกว่าที่คิด มันทิ้งตัวลงบนโซฟาถอนหายใจพลางยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างหมดหนทาง ตั้งแต่คบกับมันมาไม่เคยเห็นมันทำหน้าเครียดจริงจังได้เท่านี้มาก่อนเลย ไม่เคยเลย...

ผมปิดตาฉับเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายขยับลุกแล้วเดินเข้ามาใกล้ รู้สึกถึงสัมผัสจากมือใหญ่ไล้ปาดเหงื่อซึ่งผุดพรายตามหน้าผาก อาจจะเป็นผลจากการขยับตัวเมื่อครู่ แผลที่ตึงปวดสร้างความทรมานนิดๆให้กับร่างกาย

“รีบๆตื่นขึ้นมาสิวะ กูร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว” สัมผัสนุ่มหยุ่นข้างกระหม่อมทำให้รู้ว่าร่างสูงกำลังแนบริมฝีปากเข้ากับขมับของผม
ทรมาน...ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าต้องเป็นแบบนี้เลย บอกไม่ได้เลยว่าหากคบกับผมต่อไป เหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างวันนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร หากคิดจะเมินกับกระแสสังคมแล้วคบกับคนๆนี้ต่อไป มันจะไม่จบแค่คำวิพากวิจารณ์ แต่กำลังจะลามไปถึงความปลอดภัยของอีกฝ่าย

...ไม่อยากนึกเลยถ้าผมไม่พรวดพราดผลักมันออกไปตอนนั้นจะเกิดอะไร ถ้าหากมันยังกอดผมไว้อย่างนั้น คนที่มานอนอยู่ตรงนี้...คงหนีไม่พ้นมัน...

 
 
 
“เรวะ!!”

เสียงตะโกนเรื่องชื่อตัวเองดังอยู่ใกล้ๆ ผมเผลอหลับไป กว่าจะเปิดตาขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นตอนที่ความมืดเริ่มโรยตัว ดูจากท่าทีแล้วไอ้เม่นคงยังไม่ได้แม้แต่กลับบ้าน สภาพอิดโรยราวกับคนอดนอนมันบ่งบอกให้ผมรู้

“หึ” เผลอหัวเราะขึ้นจมูกให้ ในยามที่นึกอะไรที่มีความสุขได้อย่างเคย ผมยื่นมือไปจับใบหน้าหล่อเหลาที่มีท่าทีเงอะงะทำตัวไม่ถูกกับพฤติกรรมของผม

“หัวเราะบ้าอะไร”

“หมี”

“หา?”

“หมีแพนด้าอีกตัว”

“ไอ้บ้า ฟื้นมาก็ให้กูเป็นหมีเลยเหรอ” ร่างสูงเม้มปากทำท่าตัดพ้อผมสุดกำลัง พึ่งรู้ว่ามันก็มีอารมณ์แบบนี้ด้วย

“หึ...มึงไม่ได้เป็นหมีหรอก ถ้าเป็นหมีกูคงแกล้งตายไปนานแล้ว” แววตาคนตรงหน้าจู่ๆก็มีแววสั่นไหว จนทำให้ผมนึกกลัวอยู่ในใจ “ปะ...เป็นอะไรน่ะ”

“ดีแล้วล่ะที่กูไม่ได้เป็นหมี”

“...”

“มึงจะได้เลิกแกล้งตาย...แล้วฟื้นขึ้นมาหากูสักที” ร่างสูงจับมือผมไว้แน่น สภาพผมที่ไร้การเซทร่วงลงมาปกปิดใบหน้าจนไม่เห็นแววตาของอีกฝ่าย แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นซึมผ่านผิวมือเข้ามา

“ไอ้เม่นมึง...”

“กูกลัวว่ามึงจะตาย มึงไม่รู้สึกตัวเลยตั้งแต่ตอนนั้น” ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นสบ ดวงตาคมที่เคยเข้มแข็งเต็มเปี่ยมไปด้วยหยาดน้ำ

ไอ้เม่นร้องไห้

“มะ...มึง ระ...ร้องไห้เพื่อ” ฝืนยกปลายมือที่สั่นเทาเข้าซับความรู้สึกอันเอ่อล้นลงมาไม่ขาดสาย “ไม่...มึงอย่าร้องนะ...ฮึก” ไม่ชอบเลย ไม่ชอบเห็นน้ำตามันเลย มึงอย่าทำกับกูแบบนี้ได้มั้ย อย่าทำให้กูรู้สึกเจ็บเพราะการมีตัวตนอยู่ข้างมึงจะได้มั้ย

หากความเห็นแก่ตัวของคนหนึ่งคนจะทำให้ใครอีกคนต้องโดนทำร้าย หากความอยากจะได้เพื่อนของผมทำให้คนหนึ่งคนต้องเจ็บ...ผมก็พร้อมที่จะกลับไปเริ่มใหม่ เริ่มจากต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน เริ่มต้นที่คำว่าศูนย์...เพื่อให้ไม่เสียมันไปอีก...






หลังจากวันนั้นผมตั้งใจเต็มที่ เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแม้กระทั่งการขอร้องให้อีกฝ่ายเตรียมเสื้อผ้าเพื่อใส่ตอนออกจากโรงพยาบาลให้ แต่วันที่นัดหมายเป็นอีกสองวันหลังจากนั้น น่าแปลกที่พยาบาลกับหมอไม่มาวอแวผมมากนัก หรืออาจจะเป็นเพราะไอ้เม่นมันบอกไว้ให้ผมได้พักผ่อนตามที่ใจปรารถนา ความเป็นคนรวยที่มีเงินบริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาลในทุกปีเนี่ยมันดีจริงๆ
ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นการเสียมารยาทกับชื่อคนที่ฝากผมแอดมิทเข้าโรงพยาบาลอย่างคุณน้าอลิษา แต่หากยังนอนต่อไปอีกสองวัน เงินในบัญชีคงไม่มีเพียงพอให้ใช้คืนได้แน่ ไม่อยากให้เรื่องนี้เดือดร้อนไปถึงผู้เป็นแม่ ที่รู้เพียงแค่ว่าผมมาค้างหอไอ้เม่นระยะยาว ตามที่ผมได้กำชับกับให้เจ้าตัวบอกบุพการีไว้เพียงแค่นั้น

แผลที่ท้องยังตึงๆหน่วงๆ ยาที่โรงพยาบาลให้เป็นเพียงส่วนจ่ายรายวัน ไม่มีการเผื่อ ทำให้ผมต้องจำใจออกไปในสภาพที่ไร้ยารักษา แค่มีดแทงคราวนี้คงไม่ยากไปมากกว่าตอนชกต่อยกับคู่อริในวัยเด็กหรอกมั้ง ได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนั้น




ผลพลอยได้ของการที่ขยันเก็บตัวอยู่ในห้องคือคนรอบข้างไม่ต้องมาสงสัย ต่อให้ผมเจ็บปวดร้องโอดโอยจะเป็นจะตายอยู่ในห้องยังไงก็ยังเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ได้ ยกเว้นแต่...

แกร๊ก!!

“เชี่ยเฮีย!” สะดุ้งโหยงสุดตัวตอนโดนขัดขณะที่พยายามจะโก่งโค้งตัวถอดเสื้อออกจากหัวเพื่อเปลี่ยนชุด ความซวนเซนั้นทำให้เผลอยกเท้าไปเตะขอบเตียง จนความปวดร้าวแล่นปราดเข้าตีนกะทันหัน ทรงตัวต่อไปไม่ไหว ร่วงลงบนเตียงไปในที่สุด ไอ้สัด!!ทำไมเตะเตียงมันเจ็บกว่าแผลมีดแทงอีกวะ

“โอ๊ยยยยย” ครางเป็นหมาโดนเหยียบหางเลย

“เฮ้ย เฮีย” มันพุ่งตัวเข้ามาหารีบประคองผมทันที

“ไอ้เวรบูม มึง!” อยากด่าแต่ความเจ็บแม่งดูดพจนานุกรรมคำหยาบของผมให้หายไปหมด จากที่ตั้งใจจะสั่งสอนเลยเลิกสนหันมากุมนิ้วก้อยตีนตัวเองแทน

“ที่ท้องไปโดนอะไรมาวะ” มันพยายามเอื้อมมาแตะ ผมสะดุ้งปัดมือออกอย่างไว

“ไม่ใช่เรื่องของมึง”

“เรื่องของเฮียก็เหมือนเรื่องของกูนั่นแหละ เป็นแผลที่ท้องเหรอ ไปทำอะไรมา เฮียมึงบอกกูดิวะ”

“เครียด ทำงานหนัก หาเงินมาใช้หนี้ จนกระเพาะทะลุ เท่านี้พอใจยัง”

“เชื่อก็บ้าแล้ว ไปทำไมอะไรมาบอกกูมาดิ๊” ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไม่คิด แต่พอไอ้เม่นมันบอกว่าไอ้บูมมันมองผมมากกว่าพี่ชาย ตั้งแต่นั้นผมก็พยายามระวังตัวมากขึ้นจนอีกฝ่ายอาจจะสังเกตเห็นเข้าสักวัน

“ทำไมพักนี้เฮียดูแปลกไป” นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำ “กูรู้สึกว่าเหมือนพยายามเลี่ยงๆกูยังไงก็ไม่รู้”

“มึงก็เห็นว่าวันๆกูทำอะไรมั่ง แล้วจะไปมีปัญญาเลี่ยงมึงได้ยังไง” เบี่ยงหลบสายตา หันมาถอดเสื้อที่คาอยู่ตรงคอออกเพื่อหวังจะเปลี่ยนให้เสร็จ

“วันๆกูก็เห็นเฮียอยู่แต่กับไอ้เม่น” คราวนี้ไม่มองไม่ได้แล้ว มึงโคตรแทงใจดำตอนนี้กูอย่างจัง...

ใช่ ชีวิตผมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้มีแต่ไอ้เม่น เรียกได้ว่าแทบจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในฉากละครชีวิตของผมเลยด้วยซ้ำ แล้วอยู่ๆการจะตัดมันออกไป...ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้เลย

รู้ว่าเป็นอย่างนั้นเลยพยายามตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถควบคุมได้ ตัดการสื่อสารทุกชนิด รวมแม้แต่ซื้อขนมปังกองใหญ่มาตุนเอาไว้ทำไร้ชีวิตขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง ให้แม่เข้าใจผิดว่าไม่มีตัวตนอยู่ในบ้าน จนไอ้เม่นที่มาหายอมตัดใจกลับไปในที่สุด

ก่อนจากมาผมพยายามหาจังหวะเหมาะเพื่อเจอคุณอลิษา ใช้เบอร์ที่ได้มาตอนแอบแลกกันในครั้งที่เม่นท้องเสียนัดเธอเพื่อมาพบ การหนีออกจากโรงพยาบาลอาจทำให้ภาพพจน์ผมดูไม่ดีในสายตาของคุณน้าคนนี้ไปแล้ว ครั้งนี้ผมเลยพยายามจะบอกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไปจะใช้คืนให้ครบทุกบาททุกสตางค์ ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น...ขอให้ไอ้เม่นมันได้กลับไปเล่นดนตรีตามสิ่งที่มันฝันในร้านข้ามคืนอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังเล่าทุกอย่างที่มีต้นเหตุมาจากตัวผม การขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย รอยยิ้มของคุณน้ากับคำตอบรับว่า ‘เข้าใจ’ ทำให้รู้ว่าคุณน้าไม่ได้รังเกียจกับสิ่งที่ผมเคยมีเคยเป็น ไม่ได้กีดกันเรื่องที่จะคบหากับไอ้เม่นต่อ...แต่เป็นผมเองต่างหากที่คิด ว่ามันคงดีหากพวกเราได้เริ่มก้าวเดินในเส้นทางใหม่...ที่ไม่มีวันบรรจบกัน

“อย่าเงียบดิ”

“ฮะ?”

“เฮียแม่งคิดถึงมันอยู่ใช่มั้ยวะ”

“หา? กูเปล่า พูดบ้าๆอะไรของมึง ออกไปได้แล้ว”

“แม่งชัวร์เลย มันต้องบอกอะไรเฮียชัวร์เลย”

“บูมอย่าให้กูต้องพูดซ้ำ”

“หรือว่ามัน...” ไอ้บูมเครื่องค้าง ตอนนี้สีหน้าของมันสลับไปมาจากซีดเป็นแดง แดงเป็นซีดเปลี่ยนไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่านี่คืออดีตเดือนมหา’ลัยโคตรไม่แตกต่างอะไรกับเด็กปัญญาอ่อน ยังไงผมก็เห็นมันเป็นน้องอยู่วันยังค่ำล่ะวะ

“หรือว่าอะไร พูดมาดิ”

“หรือว่ามันบอกเฮียเรื่องที่กูคิดยังไงกับเฮีย” นิ้วชี้ของมันแทบจะทิ่มหน้าผม ไอ้ด๋อยบูมมันสลับชี้นิ้วไปมาด้วยความสับสนตามอารมณ์ของมัน

“ถ้ากูรู้แล้วทำไมวะ มึงน่ะเลิกคิดเรื่องกูไปเลย”

“เชี่ย มันบอกเฮียจริงๆเหรอวะ โอ๊ยยยย”

“โวยวายหอยหลอดอะไรของมึงวะกูปวดหู” แล้วก็ชักจะเจ็บแผลตุ่ยๆแล้ว ผมหลับตาล้มตัวลงนอนอย่างปลงตกบวกกับเพื่อบรรเทาอาการตึง แต่ทว่าไม่นานกลับมีเงาตะคุ่มลางๆมาขวางจนต้องลืมตาดู

“ทำอะไรของมึงวะ” เผลอปล่อยตัวคิดเพลินถึงเรื่องเม่นจนเสื้อที่ถอดยังไงก็ยังคาอยู่อย่างนั้น ไอ้บูมที่ไม่รู้คิดอะไรของมันขยับตัวมาคร่อมผมจนมิด

“ทำไมกูต้องเลิกคิดเรื่องเฮียด้วยวะ ในเมื่อเฮียก็เลิกยุ่งกับไอ้เม่นแล้ว”

“มึงรู้ได้ไง”

“ช่วงสองสามวันมานี้ไม่มีข่าวเฮียกับมันที่หน้าเพจพี่ดิบเลย”

“ก็กูไม่ได้ออกจากบ้านนี่หว่า แล้วเขาจะเอาปัญญาที่ไหนมาลง”

“แล้วพอไอ้เม่นมันมาหาถึงบ้านก็แกล้งทำไร้ตัวตนไม่อยู่ กูรู้เหอะว่าเฮียอยู่ แต่แม่นิแค่โดนเฮียหลอกเท่านั้นเอง”

“จบทฤษฎีบทของมึงรึยัง” เดี๋ยวกูยันตีนเข้าให้

“เฮียกับมันเลิกกันแล้วจริงๆใช่มั้ย” ผมชะงักไป...ต้องใช่แล้วล่ะ ที่ทำมาทั้งหมดก็เพราะผมต้องการยุติความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมพอจะเค้นออกจากปากมันกับทรมานอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่าผมไม่อาจลบล้างความทรงจำที่มีไอ้เม่นอยู่ได้

“มะ...มึงพูดบ้าอะไร กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันมาตั้งแต่แรกแล้ว”

“แล้วทำไมต้องไปหามันบ่อยๆด้วย”

“คนจับคู่ทำงานกลุ่มด้วยกันไม่ให้ไปเจอกันได้ไง”

“ไม่ได้เป็นแฟนกันแน่นะ”

“กะ...ก็บอกไม่เป็นก็ไม่เป็นดิวะ กูกับมันไม่เคยเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ”

แกร๊ก!!

หากบอกว่าชะตาชีวิตผมมักโดนเล่นตลก...ดูท่าจะจริง...

...แม้แต่การบอกเลิกความสัมพันธ์...ผมยังทำให้ยังทำได้เหี้ยมาก...

“ไอ้เม่น”

ร่างสูงในอีกฟากหนึ่งของประตูที่ยื่นห่างออกไปมองพวกเราด้วยสายตานิ่งๆ กว่าสติจะกลับมาผมก็รีบผลักไอ้บูมลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บตรงช่องท้องประท้วงหนักกับการกระทำแบบกะทันหันของตัวเอง

“อะ...โอ๊ย”

“มึงไม่ต้องรีบลุกหรอก”

“...”

“...คนที่ไม่ใช่เพื่อนมึงแค่เอายาแก้อักเสบมาให้”

...TBC...

+++++++++++++++++++++++


ทำอะไรไปเนี่ยหนูเรรรรรร(ร่างพี่ดิบเข้าสิง)

อ่านคอมเมนต์

น้องโดนอีกแล้วค่ะ(คนเขียนขอโทษ)

หน้าน้าเน็ก...คิดตามเลย5555

ดราม่าอีกแล้ว ฮือออ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 20 :: กลับไปที่ศูนย์เพื่อไม่ให้เสีย [6/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-04-2019 22:59:56
 o13
 :3123:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 20 :: กลับไปที่ศูนย์เพื่อไม่ให้เสีย [6/4/2019] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-04-2019 00:08:37
ชีวิต​วุ่นวายดีเนอะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 21 :: ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกต่อไป [10/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 10-04-2019 20:55:57
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 21 :: ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกต่อไป


‘มึงต้องเย็นชาและเกรี้ยวกราด คีพลุค อย่าได้ยอมเว้ย’


คีพลุคบ้านพ่อมึงเหรอ กูแค่อยากรู้ความจริง กูไม่ได้งอนหรือโกรธมันสักหน่อย

เรวะหายหัวไปสองวัน ผมไปปรึกษาเพื่อนในกลุ่มแล้วไอ้หงส์ก็ให้ไอเดียบ้าๆบอๆนี้มา ผมเลยทำอะไร...ไม่ยั้งคิดไป

“มึงไม่ต้องรีบลุกหรอก...คนที่ไม่ใช่เพื่อนมึงแค่เอายาแก้อักเสบมาให้”

ประชดเนี่ยไม่ใช่นิสัยของผมเลยว่ะ แต่พอเขวี้ยงถุงยาแก้อักเสบลงโต๊ะเสร็จแล้วเดินออกมาถึงได้รู้ตัวว่า ทำไมต้องทำอะไรขัดกับใจให้ยุ่งยากวะ ตอนนี้จะผิดก็ต้องโทษคอมโบการเจอหน้าไอ้เรวะที่มันมาแบบต่อเนื่อง ไม่คิดว่าไอ้คนตัวขาวเกลี้ยงจะวิ่งมาจับแขนเสื้อตัวเก่งผมไว้แล้วทำหน้าตาตื่น

“เดี๋ยว ไอ้เม่น!”

“อะไร” เสียงนิ่งเย็นชาผิดปกติ ไอ้เชี่ยคีพลุค!! ผมเผลอคีพลุคอีกแล้ว อยากตบหน้าตัวเองสามสิบที แต่ก่อนที่คนอย่างไอ้เม่นจะโดนกล่าวหาว่าเป็นบ้า สายตาผมเสือกไปสะดุดกับแผ่นอกขาวเนียนและหัวนมสีอมชมพูของมัน

ว้อท!! เดอะ!! ฟัค!!

อย่าบอกนะว่ามันนอนทั้งสภาพนี้ให้ไอ้เชี่ยบูมเห็น แม่งได้กำไรไปเน้นๆไม่ต้องสงสัย ผมรีบลากซิปเสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่ติดตัวมาอย่างไวทั้งที่มืออีกฝ่ายยังจับค้างไว้อยู่

“เม่นมึง..” เหมือนเรวะจะงงงวยกับพฤติกรรมสุดแปลก แต่ผมไม่ปล่อยให้มันได้คิดนาน พอกระชากเสื้อตัวเองกลับมาก็คว้าแขนผอมๆยัดเข้าไปเหมือนจับเด็กแต่งตัว ง่วนอยู่ตรงซิปที่ลากปรืดขึ้นมาปิดถึงคอหอยได้ปุ๊บก็สั่งมันปั๊บ

“ใส่ไว้” กูอยากให้ดีไซน์เนอร์ออกแบบแจ็คเกตให้มีร่องเสียบแม่กุญแจเหมือนกระเป๋าเดินทางก็วันนี้ ไอ้เด็กไม่รักดีกูเคยเตือนแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำตัวล่อตาล่อใจคนที่มันแอบชอบมึง... “กูไปล่ะ”

พาลพาหงุดหงิดแต่หัววัน แต่ไม่มีปัญญาบากหน้าแห้งๆของตัวเองที่มันบอกว่าไม่ใช่เพื่อนให้อยู่ต่อ เลยรีบเดินออกขี่ไอ้เบิ้มกลับบ้าน

พอถึงวันศุกร์ผมจะทำหน้าใส่มันยังไงวะ ทำเหมือนวันนี้ไม่มีอะไรอย่างนั้นเหรอ...ผมทำไมได้ว่ะ




[พาร์ตของเรวะ]

หลังจากที่ไอ้เม่นมันเดินหนีผมไปวันนั้น ผมก็ไม่ได้มานั่งดูแลตัวเอง ไม่ได้กินยา ไม่ได้เปลี่ยนผ้าพันแผล ไม่ได้เข้าไปเรียนตามวิชาที่ลง เหมือนกลับมาใช้ชีวิต ณ ยังจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ขาดแต่ผมยังคว้าความหวังอันน้อยนิดที่โดนหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการไปพบหน้าอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ คือการที่พวกเรายังมีสายใยพันผูกด้วยเซกวิชาบำเพ็ญประโยชน์ของอาจารย์แม่

นี่อาจจะเป็นคำกล่าวขอบคุณจากนักเรียนคนแรก แต่ผมขอขอบคุณจริงๆครับ

ห้องเรียนสโลปเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ เพราะมันดูกว้างและรวมคนแปลกหน้าหลากหลายเอาไว้ การโดนใครต่อใครจ้องมองยามเปิดประตูเข้าไปไม่ใช่เรื่องถนัด ยิ่งกับคนที่มีข่าวอื้อฉาวอย่างผมแล้วยิ่งเกลียดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้นเป็นกอง เลยพยายามเลี่ยงมาห้องเรียนก่อนเวลาตั้งแต่ยังไม่เริ่มคาบ นั่งหาอะไรต่อมิอะไรทำจนกระทั่งคนเริ่มทยอยเข้ามา แปลกที่ว่านักเรียนทุกคนมักรู้ที่ประจำของตนเองถึงแม้จะไม่มีป้ายชื่อบอก ก็จะพยายามนั่งที่เดิมซ้ำๆ แต่มาวันนี้กลับมีผู้หญิงแปลกหน้าคนนึงเข้ามา แถมยังนั่งข้างผมซึ่งแต่เดิมเป็นที่ประจำของเม่น...

“เออคือ”

“คะ”

ตะขิดตะขวงใจเกินจะเอ่ย แล้วยิ่งสายตากับสีหน้านิ่งๆของหญิงสาว ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมต้องการอะไร ผมเลยเลือกที่จะเงียบแทนการทวงสิทธิ์ของเจ้าที่ไม่มีแม้แต่ชื่อกำกับที่โต๊ะ

ก่อนเริ่มคาบห้านาทีเพื่อนของไอ้เม่นก็เดินเข้ามา สายตาพวกมันมองหาที่ประจำด้วยความแปลกใจกับคนไม่ประจำซึ่งนั่งอยู่ข้างผม ไอ้เม่นเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายมันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเพียงชั่วครู่ก่อนเบนออก ผมเห็นอาการสั่นไหวโบกไม้โบกมือจากผู้หญิงคนด้านข้าง พลางเรียกชื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่มีแรงดึงดูดสายตาคนทั้งห้องให้หันไปมอง

“พี่เม่น”

คนรู้จักของไอ้เม่น...

“น้องแพรวามาได้ไงเนี่ย” เสียงของหงส์ดังขึ้นมาทันทีที่เดินถึง เพื่อนไอ้เม่นก็รู้จัก

“อาจารย์ทำเรื่องย้ายให้น่ะพี่หงส์ เขาเห็นว่าช่วงนี้มีถ่ายละครเยอะยังไงก็วิ่งไปไม่ทันเซกเช้า” หืม ถ่ายละคร? ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของเธออีกครั้ง ถึงว่าล่ะ ทำไมหน้าตาคุ้นๆ ที่แท้ก็ดาราวัยรุ่นที่ช่วงนี้มีละครออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เธอเป็นนักศึกษามหา’ลัยเราเหรอ ไม่ยักรู้

“วิชานี้มันต้องทำเป็นคู่นะ แล้วเราเอาคู่เรามาด้วยรึเปล่า” ผมยาวสลวยสะบัดพลิ้วตามศีรษะที่ส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ

“ไม่อ่ะ อยู่ตรงนั้นแพรก็ไม่ได้มีคู่อะไรกับเขาอยู่แล้ว ขาดเรียนบ่อยจนทุกคนเอือม”...เหมือนผมเลย ขาดเรียนบ่อยจนไม่มีใครอยากจับคู่ด้วย แต่ดาราอย่างแพรวาผมว่าผู้ชายหลายคนคงพร้อมจะยกมือเสนอตัวต่อให้แลกมากับคะแนนวิชานี้ทั้งเทอม

ผมปล่อยให้บทสนทนาดำเนินแบบไม่ตั้งใจฟังนัก แล้วหันไปเพ่งสมาธิกับผู้มาใหม่ ร่างสูงกำลังเดินเข้ามาใกล้โดยมองตรงมาที่ผม

“คนที่แพรจะจับคู่ด้วยมาแล้ว” ประโยคนี้แทรกเข้ามาท่ามกลางความเพ้อภวังค์ มันเป็นคำพูดของคนที่นั่งข้างๆ หญิงสาวนั่งตบเบาะข้างเคียงซึ่งเคยเป็นของหงส์ จนผมต้องงงซ้ำสองกับการจัดลำดับที่นั่งซึ่งเพื่อนมันทั้งกลุ่มพร้อมใจเลื่อนออกไปทางขวา “พี่เม่นนั่งนี่สิ”

“เมื่อกี้พูดอะไรน่ะแพร” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นตัดบทสนทนาโดยเมินคำเชิญชวนของหญิงสาวโดยสิ้นเชิง ไอ้เม่นมันมองตรงมาที่ผมก่อนเหลือบไปทางซ้ายมือซึ่งมีเพียงเสาตึกเย็นชื้นและว่างเปล่า ลำโพงในห้องดังขึ้นจากเสียงอาจารย์แม่ที่รบเร้าให้นักศึกษานั่งเข้าประจำที่ ร่างสูงเลยต้องจำใจยอมทิ้งตัวลงตามที่อีกฝ่ายเชิญชวน

“ก็พูดว่าถ้าพี่เม่นยอมมาคู่กับแพร แพรจะยอมขอผู้จัดการเข้าเปลี่ยนตารางงานเข้าเรียนวิชานี้ตลอดเทอมเลย”

“ไร้สาระน่ะเรา แค่นี้ก็ทำพี่ผู้จัดการเขาหัวหมุนขนาดไหนแล้ว” เสียงทุ้มปรามอีกฝ่ายเหมือนเด็กๆ

“แต่แพรยอมนะ ถ้าเป็นพี่เม่นน่ะ” สำคัญขนาดนั้นเชียว...

ผมที่ใช้เงาหลังแอบฟังบทสนทนาซ่อนตัวมองไอ้เม่นอยู่เงียบๆก็ถึงคราวซวย เมื่อสายตาดันไปสบเข้าอย่างจังกับเพื่อนหงส์ซึ่งมองตรงมาตาเป็นประกาย มันยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนเอ่ยปากขัดคนทั้งคู่

“ถึงแพรยอม แต่คู่ไอ้เม่นมันคงไม่ยอมหรอกเนอะ จริงมั้ยวะไอ้เร”

“...!!”

อยากหายตัวไปจากตรงนี้ ทันทีที่รู้ว่าจะโดนพาดพิงถึงผมแทบทรุดตัวก้มหน้าลงไปกับโต๊ะ แต่ไม่ทันแล้ว เสียงสวยบันทึกชื่อผมเข้าไปอยู่ในหนึ่งบทสนทนาแล้ว

“ใครน่ะเร?” ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะสายตาที่เหลืออีกสี่คู่ผ่านตัวเธอยิงจุดตกมาตรงนี้ ใบหน้าที่เหมือนหลุดออกมาจากละครทีวีหมุนตัวหันมองตรงมา “คนเมื่อกี้?”

แย่...แย่ชะมัด เหมือนถูกคนบนโลกนี้มอง ประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ใครหลายคนอาจไม่เชื่อว่าผมไม่ถนัดกับการเป็นจุดสนใจ เส้นผมแอชเกรย์ที่ทำเหมือนให้ดูเด่น ความจริงก็เพื่อจะกลบความหม่นหมองหากจะต้องเอาผมหน้ามาบังตา แอบซ่อนความกลัว

“รุ่นพี่เหรอคะ หนูชื่อแพรวานะ อ๋อว่าแล้วว่าหน้าคุ้นๆ คนที่ชอบมีรูปคู่ลงกับพี่เม่นบ่อยๆนี่เอง”

“แพรเลิกคุยเถอะ แล้วเรียนได้แล้ว” ไอ้เม่นสะกิดไหล่ให้เธอหันไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลใบหน้าสวยยังคงมองมาตรงนี้

“พี่สนใจทำกิจกรรมเดี่ยวมั้ย ไม่ต้องไปยึดติดกับใครด้วย แพรพูดให้ได้นะ รับรองอาจารย์ปทุมต้องฟัง” อะไรทำให้เธอมั่นใจขนาดนั้น ว่าอาจารย์สุดเฮี้ยบประจำวิชาจะยอมลดราวาศอกให้ได้

“ไม่เอาน่าแพร” มือใหญ่จับต้องแขนอีกฝ่ายพยายามดึงรั้งไป ผมไม่เคยเห็นไอ้เม่นแสดงอาการสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนถึงขนาดแตะเนื้อต้องตัวมาก่อน

“แพรพูดให้ได้จริงๆนะพี่เม่น อาจารย์เขาต้องยอมอยู่แล้ว แล้วนี่ก็ไม่ได้ขอโดดเรียนนะ ยังดีซะอีกได้นักเรียนมาเรียนเพิ่มอีกคน จริงมั้ยคะพี่” ผมก้มหน้าไม่รู้จะเอาสายตาไปลงตรงไหน ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะเป็นห่วงมันหากผมหายไปโดยไม่บอกกล่าว แต่ถ้าแพรวามาแทนที่เงื่อนไขในการคงอยู่ของผม...

สายตาไอ้เม่นที่มองตรงมาดูหนักใจ ผมกำลังทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน ผมต้องพูด ต้องพูดบางอย่างออกไป

“ผมยังไงก็...”

“ไอ้เรวะมันไม่คู่กับใครหรอก”

“...”

“มันคู่ได้แค่กับพี่”


“ฉันต้องคู่กับเธอ มีเพียงแต่เธอ แค่เธอเท่านั้น ที่คอยเติมสิ่งที่ฉันขาด ช่วยประคองเมื่อฉันพลาด ให้เราได้เดินต่อด้วยกัน”


ไม่ใช่เสียงเพลงประกอบฉากดั่งในละคร แต่เป็นเสียงผู้ชายของคนชื่อต๊อบ สลับกันร้องกับเสียงแปร่งๆที่บีบจนน่าเกลียดของหงส์จอมเอนเตอร์เทนตลอดกาล จนแค่ท่อนฮุกถึงกับโดนอาจารย์แม่เรียกขึ้นไปบำเพ็ญประโยชน์กันหน้าชั้นยกคู่ ส่วนผม...คำว่า ‘ได้’ โดนกลืนหายไปจากพจนานุกรมผมอีกคำ






จบเซก อาจารย์แม่ปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อไปทำกิจกรรมต่อ ไอ้เม่นลุกหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนผมต้องเดินตามหาไปตลอดทาง โชคดีที่ว่าสวรรค์ยังปรานีที่ให้ไอ้เม่นเกิดมาดัง ภาพของสายสืบพี่ดิบจึงได้นำทางผมมายังห้องสมุด สถานที่ที่มีการจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ‘รักน้ำ รักปลา รักบรรณารักษ์’ ที่เกณฑ์เหล่าไพร่พลให้มาช่วยขนหนังสือเข้าชั้นหลังวันสอบมิดเทอม

ร่างสูงกำลังง่วนอยู่กับการเขียนชื่อลงทะเบียนเหลือบตาขึ้นมามองผมที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างพลางปล่อยผ่าน พอจัดการทุกอย่างเสร็จผมก็ตามตูดมันไปต้อยๆ สิทธิพิเศษของคู่กิจกรรมคือการได้จัดในหมวดหมู่เดียวกัน ช่องแคบๆระหว่างชั้นหนังสือทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในทางกายภาพ หากแต่ใจผมไม่รู้ว่าไอ้เม่นมันคิดอะไรอยู่ อีกฝ่ายไม่พูดไม่จา แถมยังหันหลังให้ตลอดจนผมไม่รู้จะเริ่มต้นประโยคยังไง เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไหล่ของผมไปชนเข้ากับมัน

“ขะ...ขอโท...” โอกาสถ้ามาถึงแล้วต้องคว้าไว้ เพราะไม่ใช่มันจะมาเมื่อไรก็ได้ แต่ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายกลับทำให้ผมงับปากลงทันควัน คำพูดที่กำลังจะเล็ดลอดออกมาติดค้างอยู่ในลำคอ

...ไอ้เม่นไม่แม้แต่จะหันมาสนใจ ราวกับไหล่ที่กระทบกันมันคืออากาศธาตุ...ความรู้สึกนี้...มันคืออะไรกันวะ...

“ไอ้เม่น”

“...”

“ไอ้เม่น”

“อะไร” ในที่สุดมันก็ตอบผม...แต่ด้วย...แผ่นหลังกว้างของมัน

“มึง...เป็นอะไร”

“กูเป็นอะไร?”

“กูถามว่ามึงเป็นอะไร”

“กูเป็นอะไรก็ได้”

“...”

“ที่ไม่ใช่เพื่อนมึง”

เคยโดนทำร้ายด้วยคำพูดที่ตัวเองเป็นคนกล่าวเองมั้ย ใช่...ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกแบบนั้น ไอ้เม่นมันกำลังแก้แค้นผม...

“มึงกำลังประชด...”

“กูรู้ว่ามึงกำลังจะตอบน้องแพรว่าอะไร”

“...”

“มึงต่อให้จบประโยคตอนนี้เลยก็ได้นะ”

“...”

“เพราะกูก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงแล้วเหมือนกัน”

ไอ้เม่นเดินออกไปจากตรงนี้ ปล่อยให้ผมยืนโง่อยู่ที่เดิม โง่กับคำพูดที่ตัวเองเคยใช้กับมัน โง่...ที่ทำลายความสัมพันธ์นี้ทิ้ง ด้วยมือของตนเอง...





ความรู้สึกลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ หาจุดยึดเหนี่ยวไม่เจอมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมย้ายตัวเองกลับมายังใต้ตึกเรียนรวม พยายามทำสติให้สนใจกับการบ้านตรงหน้าที่ต้องส่งสัปดาห์นี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเข้าสมองเพราะในหัวยังวนเวียนอยู่กับคำพูดสองประโยค ที่ผมเป็นคนสร้างขึ้นมาและก็โดนมันทำร้ายจากปากคนที่ผมอยากพึ่งพาที่สุดด้วยคำพูดประโยคเดียวกัน

“มึงรู้สึก...อย่างนี้ใช่มั้ย” ไม่แน่ใจ...แต่ที่แน่ๆ คือผมรู้สึก เหมือนมันสอนให้รู้ว่าก่อนพูดอะไรควรคิดให้มากว่า เพราะคนที่ฟังเขาอาจจะรู้สึกเจ็บ เหมือนกับที่ผมรู้สึก...

ตอนนี้หากผมจะขอคืนดีจะยังทันมั้ย...ระยะห่างที่ดูเหมือนใกล้ แต่ใจไอ้เม่นมันจะไม่...

ไม่ๆๆ

ผมส่ายหัวไล่ความคิดด้านลบออก คว้ามือถือขึ้นมากดไปที่หน้าเพจพี่ดิบ ภาพล่าสุดยังคงเป็นภาพเก่าที่ร่างสูงกำลังย่างเท้าเข้าสู่ห้องสมุดไม่มีภาพอัพเดตใหม่ แต่หัวใจกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมใช้นิ้วโป้งจิ้มลงไปกลางภาพสองทีพลางยิ้มให้กับตัวเอง ใช่...ผมจะขอมันคืนดี...ต่อให้มันไม่เหลือพื้นที่ให้เพื่อนคนนี้แล้วก็ตาม ผมจะพยายามให้เท่ากับความพยายามที่มันคอยปกป้องผม

“ทุเรศ”

เสียงทะลุกลางปล้องดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กระชากให้สติที่จมอยู่กับไอ้เม่นเงยขึ้นมองหาที่มาของเสียง แต่จนแล้วจนรอดรอบข้างกลับมีเพียงความว่างเปล่า ผมเลิกสนใจก้มหน้าลงไปอีกครั้งโดยตั้งใจหาเบอร์โทรที่ขาดการติดต่อไปเสียนาน ซึ่งไม่ยากอะไรเพราะในมือถือผมไม่ค่อยมีเบอร์ใครเท่าไร แต่พอตั้งใจจะกดโทรเสียงๆหนึ่งกลับมาพร้อมร่างใครคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากจนต้องรีบจิ้มปุ่มสีแดงวางสาย

“นี่นาย”

...ผมจำได้ ว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่เรียกผมไว้ตอนอยู่ใต้ถุนคณะไอ้เม่น เธอกำลังยิ้มแล้วมองมาทางนี้...

“ครับ”

“ขอนั่งได้มั้ย” สายตาเธอเหลือบไปมองยังที่นั่งว่างด้านข้างซึ่งเหลือสามที่ ส่วนผมก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ มีเพียงโต๊ะผมที่ยังเหลือรอดอยู่ นอกนั้นโดนพวกนักศึกษาจับกลุ่มพูดคุยทำกิจกรรมยึดไปหมดแล้ว

โต๊ะนั่งสาธารณะไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ จึงพยักหน้ารับรู้แล้วหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ในมือต่อ ผมต้องโทรหาไอ้เม่น แต่ทว่าวี่แววบางอย่างดูแปลกไป หญิงสาวที่เอ่ยถามเธอไม่นั่ง แต่กลับแทนที่ด้วยเสียงกระแทกกระทั้นเป็นเชิงออกคำสั่งพุ่งใส่หน้าผม

“ลุกสิ”

“ฮะ?”

“ก็บอกให้ลุกไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองแทบจะในทันที แปลกตรงที่จากคนที่เคยยืนอยู่เพียงหนึ่งกลับมีเพิ่มขึ้นถึงสาม และใบหน้าคนที่ตามเธอมา เป็นใบหน้าที่ผมไม่มีทางลืมได้เลย

...พวกที่มันหลอกพาให้ผมไปรอไอ้เม่นตรงสวนข้างหอชายในวันนั้น...

...ทำไมพวกมันถึงได้...

“จุ๊ๆๆ เฮ้ย...ไม่เอาดิ อย่าทำหน้าแบบนั้น” หนึ่งในนั้นที่ผมจะได้ว่าเป็นคนคอยสั่งเดาะลิ้น เดินอ้อมมาขนาบข้างยกมือขึ้นตบไหล่อย่างถือวิสาวะ เสียงของมันใกล้มากจนพอรู้ว่ามันโน้มหน้าเข้ามาข้างหู “วันนั้นเป็นไงมั่งวะ หลังจากนั้นมีใครมาช่วยมึงตามหาพวกกูมั้ย” ฉับพลันลมหายใจถอบถี่อย่างเก็บอาการไม่อยู่ ผมชักศีรษะหลบหันไปมองหน้าหนึ่งในนั้นที่มันเกริ่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเยาะ

“ดูจากหน้ามัน กูว่าไม่ว่ะ” คราวนี้เพื่อนอีกคนมันตอบรับ

“ไม่อะไรวะ”

“ไม่มีใครเชื่อมันอ่ะดิ!! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

ทำไม...ผู้หญิงคนที่ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าผมสักเท่าไรถึงอยู่กับไอ้สามตัวนี้ได้...

เมื่อรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย ผมขยับตัวลุกขึ้นเตรียมหนีให้พ้นจากสิ่งแวดล้อมอันไม่พึงประสงค์ หากแต่พวกมันสามคนกลับขวางทางไว้จนออกไปไหนไม่ได้ พลิกตัวหวังจะเดินไถขาออกอีกทาง แต่ทว่าแขนกลับโดนคว้าไว้ จนต้องสะบัดออกโดยแรง

“ฤทธิ์เยอะว่ะ ท่าทางแรงยังดี เรื่องชกต่อยกับคนอื่นที่ร้านข้ามคืนจนโดนแทงที่ท้อง นั่นข่าวมั่วเหรอวะ”

“จะมั่วหรือเรื่องจริง มันก็ต้องชิงพิสูจน์เว้ย” ความพยายามทำความเข้าใจกับประโยครับส่งของกลุ่มคนตรงหน้ามลายหายไปสิ้น ผมโดนผลักให้นั่งที่เก่า เสี้ยววินาทีร่างทั้งร่างโดนกดให้นอนราบไปกับแผ่นไม้ ความเจ็บปวดทุกอย่างไหลมากระจุกรวมตัวที่หน้าท้องข้างซ้ายอย่างฉับพลัน

“...!!”

เข่าที่หุ้มกระดูกแข็งๆเสียดสีเข้าแผ่นท้องไปมา ไอ้เวรตรงหน้า มันยกเข่าลงมาขยี้ที่แผลผม

“อึ่ก...อย่า” พยายามใช้มือจับยุดให้เข่าอีกฝ่ายเคลื่อนย้ายออกไปจากกายตน เจ็บ...เหมือนบางอย่างกำลังจะปริแตกออกมา

“ทำไม ทีต่อยกูไม่คิดนะ โดนซะบ้าง”

“ปล่อย...อึ่ก...ปล่อย!” ทรมาน ไม่ไหวแล้วพอซะที พยายามฝืนตัว ความเจ็บทำให้แรงหดหายไปมากกว่าครึ่ง หากไม่หลุดจากตรงนี้ มีแต่ต้องเจ็บหนัก จึงพยายามฝืนพลิกตัวอย่างสุดกำลังจนอีกฝ่ายเสียสมดุล ปล่อยให้ร่างผมกลิ้งตกจากเก้าอี้ สีข้างกระแทกเข้ากับพื้นจนชาร้าว

ในจังหวะนั้นสมองเอาแต่สั่งว่าต้องออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ความเจ็บที่มีอยู่จึงมลายหายไปสิ้น มือซ้ายคว้ากระเป๋าได้จึงรีบวิ่งออกตัว ก้าวแรกลื่นล้ม แต่ก้าวต่อไปผมสามารถวิ่งออกไปได้ในที่สุด

เหมือนจะขาดใจเพราะวิ่งไปสุดแรงโดยไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดจะอยู่ที่ไหน ผมยังคงวิ่งต่อไป...

...ทั้งๆที่เหนื่อยเหลือเกิน ท้อจนไม่อยากจะไปต่อแต่...ผมยังคงต้องวิ่ง...

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

ไกลออกมาแล้ว ไม่น่าจะมีใครตามมาแล้ว ผมหยุดพัก ทรุดตัวลงนั่งข้างต้นไม้โดยมือข้างซ้ายยังคงกุมท้องที่เจ็บเอาไว้ ต้องไม่เป็นไร ผมต้องไม่เป็นไร ได้แต่นั่งปลอบใจด้วยประโยคซ้ำๆเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาผมได้ มือสั่นๆล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมา กดเปิดเบอร์โทรล่าสุดที่เพิ่งต่อสายออกไป

“ไอ้เม่น...” อยากเจอมัน ผมอยากเจอมันเหลือเกิน... นิ้วสั่นเทาจิ้มลงบนปุ่มสีเขียว เพียงช่วงเสี้ยววินาทีกับเสียงรอสายที่ดังขึ้นทำไมมันนานจนเหมือนแทบขาดใจ แต่ในหัวกลับคิด หากมันรับโทรศัพท์ขึ้นมา ผมจะพูดอะไรออกไปเป็นประโยคแรก บางอย่างตีรวนในหัวจนสับสน หากแต่ทุกอย่างกลับจบลงที่การรอสายซึ่งไม่มีวันได้รับการตอบกลับ


มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 21 :: ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกต่อไป [10/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 10-04-2019 20:56:49
ความหวังที่มีอันน้อยนิดถูกทำให้ดับมอดลงไปพริบตา ผมเดินจากมหา’ลัยกลับบ้านด้วยสติที่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไร มีเพียงความเจ็บทางกายภาพที่ส่งผลปวดร้าวและคอยดึงผมให้ก้าวมาถึงร้านคอฟฟี่ช็อปที่แสงไฟปิดมืด

แปลก...ทั้งที่เพิ่งหนึ่งทุ่มแต่ร้านกลับพลิกป้ายแสดงสถานะถึงการไม่เปิดรับบริการใดใด ใจผมเริ่มอยู่ไม่สุข กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่เลยรีบสาวเท้าก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไป

สภาพภายในร้านมีเพียงแสงไฟสลัวตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านในสุดคอยส่องนำทาง ไม่ปรากฏวี่แววของแม่ตรงนั้น ความร้อนรนทำให้เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ลามมาถึงแผ่นหลังเปียกชื้นซึมผ่านเนื้อผ้า ผมมุ่งตรงไปยังประตูห้องครัวซึ่งอยู่ด้านใน

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเห็นร่างๆหนึ่งนั่งหลบตัวอยู่ตรงมุมมืดของริมอ่างล้างจาน ท่าทางขยับตัวกระสับกระส่ายไปมา สายตาล่อกแล่กมันทำให้ผมจับสัญญาณไม่ชอบมาพากลบางอย่างได้

“แม่...” ร่างตรงหน้ากระตุกไหวทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงมานั่งตรงนี้ อะไรบางอย่างผิดปกติไปแต่บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร “แม่...”

“อย่าเข้ามานะ!”

เพล้ง!!

ผมสะดุ้ง ถ้วยชาลายสวยซึ่งแม่มักชมเสมอว่าน่ารักและล้างมันอย่างทะนุถนอมพึ่งลอยผ่านหน้าผมไป มันตกกระแทกพื้นแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะแม่”

“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามา!!” แย่ตรงที่ครั้งที่สองเป็นแก้วน้ำคริสตัลเนื้อหนา ผมหลบไม่ทันเลยกระแทกเข้าข้างขมับอย่างแรง รู้สึกชาค้างตรงส่วนที่โดนกระแทก จนต้องยกมือกดระงับไว้

“แม่เป็นอะไร” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ แม่พยายามหยิบจับของที่อยู่รอบตัวเขวี้ยงตรงมา โดนบ้างไม่โดนบ้าง จนผมเกือบจะถึงตัวแม่แล้วแท้ๆ แต่ชั่วพริบตามีบางอย่างขยับมาขวางหน้าไว้ ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินเข้ามากั้นกลางระหว่างเราแล้วกอดร่างของแม่ไว้แน่น

ใคร?

“ทำอะไรแม่ผมน่ะ!!” เอื้อมมือไปกระชากแขนอีกฝ่ายอย่างแรง จนเผยให้ใบหน้าอย่างชัดเจน ผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงโปร่ง พื้นฐานเป็นคนขาวแต่ผิวกระเดียดไปทางคล้ำแดดผินหน้ามาทางผม ใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนกับได้เห็นอยู่ทุกวันกำลังมองตรงมา

“เร”

ใคร? ทำไมรู้จักชื่อ...

“เรจิ!!” เสียงสะอื้นไห้ของแม่ดังเข้าโสตประสาท ร่างเล็กอันอ่อนแอพยายามดึงคนตรงหน้าเข้าไปกอดทั้งน้ำตา อะไรนะ ...แม่หมายถึงใคร...แม่กำลังเรียกใคร...

“เรจิ?”

...แน่แล้วที่ต้องคุ้นกับชื่อนี้ ในเมื่อเจ้าของมันเป็นคนที่ทิ้งพวกเราไปกว่ายี่สิบปี...

“พ่อ?” ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

“เร...” มือใหญ่หนาของอีกฝ่ายขยับมาใกล้ นี่มันไม่ใช่...มันต้องไม่ใช่...

เพียะ!!

กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ปัดมือนั้นทิ้งไปเสียแล้ว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“เร”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!”

แม่เปลี่ยนไปอีกแล้ว เปลี่ยนไปเหมือนตอนที่ผมเพิ่งจำความได้ ไม่เอานะแบบนี้ ไม่เอา

“เร...”

“ทิ้งตรงนี้ไปตั้งยี่สิบกว่าปี แล้วคุณจะกลับมาเพื่ออะไร!!”

อย่ามาแย่งที่ของผม ที่ที่ผมอุตส่าห์ใช้เวลาถึงยี่สิบปีทวงสิทธิ์มันคืนมา อย่าเอาของของผมไป...

“ใจเย็นก่อนเร” สำเนียงภาษาไทยแบบไร้ที่ติหลุดออกมาจากปากผู้ชายตรงหน้า ผมมองเขาอย่างแค้นเคืองกับความรู้สึกที่อัดอั้นมาตลอดยี่สิบปี

“ผมใจเย็น!! ใจเย็นมาก มากกว่าที่คุณคิด ที่ผมพูดทุกอย่างผมมีสติเพียงพอมากกว่าคนอย่างคุณที่ทิ้งพวกเราไปด้วยซ้ำ!!”

“หยุดนะเรวะ!!”

เพียะ!! แรงมือของแม่เล่นเอาชาไปทั้งหน้า ความรู้สึกมันเอ่อล้นออกมาจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แม่กำลังปกป้องพ่อ ปกป้องคนที่เคยไม่เหลียวแลทิ้งพวกเราไปอย่างไร้เยื่อใย ปกป้องคนเดิมซ้ำๆเหมือนเมื่อครั้งนั้นในอดีต

“อึก...ถึงยังไงผมก็ยังเป็นส่วนเกินใช่มั้ย”

พอเถอะ ทนไม่ไหวแล้ว ต่อให้อยู่ตรงนี้ ต่อให้ทำตัวดีขนาดไหน ผมก็ยังคงเป็นตัวเกะกะในสายตาแม่อยู่ดี

“ระ...เร” แววตาของแม่มีอาการสั่นไหว แต่มันไม่ใช่ ผมเชื่อว่ามันเป็นเพียงชั่ววูบ ยังไงแม่ก็ไม่มีทาง...

“ยังไงแม่ก็เลือกพ่อใช่มั้ย!!”

หมดแล้วกับทุกอย่าง แรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ต่อ ผมหมุนตัววิ่งอย่างไวออกมาจนถึงหน้าร้าน สมองปิดตายจากเสียงเรียกชื่อทุกอย่างที่ตามไล่หลัง จนถึงหน้าประตูเท้ากลับสะดุดเมื่อใครบางคนยืนขวางอยู่

“เรวะ..” เสียงทุ้มอุทานเรียกชื่อผม...

ใช่...แม้แต่คนๆนี้...ผมก็ทำให้กลายเป็นคนที่...ไม่ต้องการผมไปเสียแล้ว...

มือตัดสินใจผลักกายสูงออกให้พ้นทาง แล้ววิ่งออกมาแบบไม่คิดชีวิต ไม่อยากจะตอกย้ำกับความไร้ที่พึ่ง ไร้ตัวตนในสังคม ผมเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่เกิดมาจากความรักของพวกคุณเหรอ ทำไมต้องให้ผมเกิดมาด้วย ในเมื่อพวกคุณไม่ต้องการ ผมก็ไม่ใช่ว่าต้องการจะมาทำลายความสุขของพวกคุณทั้งคู่หรอกนะ แล้วคุณจะให้ผมเกิดมาเพื่ออะไร ถ้าผมหายไปจากตรงนี้มันจะดีกว่าใช่มั้ย ใครๆก็น่าจะดีใจ มีความสุขกับโลกที่ไร้ตัวตน...คนอย่างผม

สิ้นเสี้ยววินาทีที่กลั้นใจวิ่งเข้าไปขวางทางรถที่แล่นมาอย่างไว จังหวะนั้นแขนโดนกระชากอย่างแรง เสียงแตรรถดังลั่นในโสต เสียงเบรกล้อรถครูดเสียดสีไปกับพื้น ทุกอย่างผสมปนเปกันจนสติขาดหาย เหมือนตัวเองกำลังเอนไหวไปกลางอากาศแล้วทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง

 
“ข้ามถนนมองทางด้วยสิวะ!!” เสียงตะโกนจากที่ไกลๆเรียกให้สะดุ้งลืมตาขึ้น

“ขอโทษครับพี่” ส่วนเสียงนี้มันดังใกล้มากเหมือนอยู่เหนือหัว ในกรอบสายตามีเพียงผืนผ้าสีดำกับการหอบสั่นหายใจของแผ่นอกที่อยู่ตรงหน้า เสียงเครื่องยนต์ดังห่างออกไปเรื่อยๆ ผมขยับตัวไม่ได้ เหมือนขามันไร้เรี่ยวแรง ได้แต่กำผืนผ้าตรงหน้าไว้แน่นพลางซบแก้มลง จู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าว น้ำตาที่หาที่ไปไม่ได้เลยลงมาซับกับผืนผ้า

“ฮึก...” รู้สึกได้ถึงแรงรัดรึงจากแขนของใครบางคน แรงตบเบาๆซ้ำไปมาตรงแผ่นหลังทำให้ผมอุ่นใจขึ้น ผม...ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของคนๆนี้

 
 

 
“เข้ามาดิ”

“กู...”

“บอกให้เข้ามาไง” ข้อมือโดนกระชากจนเท้าก้าวเข้าอาณาเขตของอีกฝ่ายไปเต็มเหนี่ยว

ห้องไอ้เม่นยังคงเหมือนเดิม กลิ่นไอของการใช้ชีวิตดูจะมีมากกว่าเดิมด้วยซ้ำถ้าเทียบกับตอนที่มันปล่อยร้างแล้วย้ายไปอยู่ที่บ้าน
มันเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมา ของสดเก็บอยู่ในตู้เพียบ ราวกับประทังชีวิตได้เป็นเดือน ผมทรุดตัวลงที่พื้นปลายเตียง พยายามจะนั่งกอดเข่าเพื่อให้ห้องมันเปื้อนกลิ่นไอของผมน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเว้นส่วนท้องไว้เพราะเจ็บระบมเกินจะทนเลยเหยียดขาออกไปเพียงข้างซ้ายเท่านั้น

“มานั่งตรงนี้ทำไม ขึ้นไปนั่งที่เตียงไป” ร่างสูงยื่นส่งขวดน้ำที่เปิดฝาแล้วมาให้

“กูว่า...กูกลับดีกว่า” แม้แต่หายใจในอากาศเดียวกันผมยังกลัวทำให้มันแปดเปื้อนเลย ขยับตัวลุกขึ้นด้วยความทุลักทุเล จนไอ้เม่นเดินมาขวาง

“กลับไปไหน”

“บะ...บ้านไง”

“แต่ท่าทางมึงไม่ใช่”

“...”

“มึงบอกกูมา ว่ามึงจะไปไหน”

“ไปไหนก็ได้”

“หัดพึ่งพาคนอื่นบ้างดิวะ”

“กู...ไม่อยากให้ใคร...ต้องเดือดร้อน” แล้วยิ่งกับคนที่ไม่ได้เป็น ‘เพื่อน’ มันอย่างผมแล้ว

“กูเคยบอกรึเปล่าว่าเดือดร้อน”

“เปล่า...”

“แล้วทำไมมึงถึง”

“อย่าทำดีกับกูอีกเลยเม่น...กูขอ” ถ้ามึงยังขืนทำดีกับกู จะยิ่งทำให้กูอยากเรียกร้องสิทธิ์การเป็นเพื่อนมึงกลับคืนมา กับคนที่อยากตัดเยื่อใยความสัมพันธ์อย่างมึง มันคงไม่น่าปลื้มสักเท่าไร หากผมยังดื้อดึงที่จะยึดพื้นที่ข้างกายของอีกฝ่ายไว้ให้เป็นของผม

“งั้นมึงก็เลิกทำตัวให้กูสงสาร”


คำสารภาพจากปากมันทำให้ผมตกใจ ผม...กำลังทำตัวให้...มันสงสาร...? เหอะ...อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ก็...

“เข้าใจแล้ว” ผมตอบออกไป

น่าสมเพชชะมัด พึ่งได้รู้ว่าการเข้ามาของอีกฝ่ายเป็นเพียงเพราะคำว่าสงสารเห็นใจ ในเมื่อไม่อยากสงสาร ก็ไม่ต้องมองหน้า ช่วยออกห่างไปจากตรงนี้ แล้วผมจะไม่เรียกร้องอะไรอีก

“กะ...กูไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ” ผมดันอกร่างสูงให้พ้นทาง เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังประตูทางออก

“เรวะ”

“...”

“ไอ้เรวะ”

“เลิกเรียกชื่อกูอย่างนี้สักที!!”

“...”

“มึงรู้มั้ยว่ามันเป็นชื่อที่กูเกลียดมาก มันเป็นชื่อที่พ่อกูอุทานคำว่า นี่มันเรื่องเหี้ยอะไร ออกมาตอนที่รู้ว่าแม่กูท้อง!”

“...!”

“แต่มึงก็ทำให้กูรู้สึกดีกับการได้ยินคนเรียกกูว่าชื่อนี้เป็นครั้งแรก มึงทำให้กูรู้สึกว่ากูยังมีค่า มึงทำให้กูรู้สึกว่ากูพิเศษสำหรับมึง แต่ถ้ามึงแค่สงสารหรือเห็นใจ มึงก็เลิกเรียกกูไปเลย เลิกสนใจกูไปเลยก็ได้ กูไม่ได้ขอให้มึงมาสนใจกูเลย!ไม่ได้ขอเลย!”

ผมระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไอ้เม่นมันเงียบ ได้แต่ยืนมองผมนิ่งแบบไร้การตอบโต้ มันจบแล้วล่ะ ความสัมพันธ์นี้ แค่กลับไปจุดเริ่มต้นผมจะกลัวอะไร ผมจะกลัว...

ทำไมไม่หมดไปสักที ทั้งที่วันนี้ร้องจนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว แต่น้ำตาผมมันก็พยายามจะไหลออกมา ไม่อยากให้เห็นความอ่อนแอ ไม่อยากให้มันลำบากมาสงสารเลยรีบหมุนตัวไปทางประตู ขายังไม่ทันก้าวออกข้อมือก็ถูกจับลากแล้วเหวี่ยงไปที่เตียงโดยแรง การกระทำอย่างฉับพลันทำให้ผมลืมต่อต้าน ร่างสูงกระโดดขึ้นทับจำกัดการเคลื่อนไหวแต่น้ำหนักของอีกฝ่ายก็ให้ทำให้ความเจ็บที่ท้องเริ่มปะทุออกมาอีกครั้ง

“โอ๊ย!” ไอ้เม่นผละจากตัวผมทันที มันรีบลุกขึ้นดูอาการหอบสั่นแหวกเสื้อผมขึ้นจนเห็นผ้าพันแผล

“ทำไมเลือดออก”

“ฮึก...ปล่อยกู!” ผมปัดมือมันออก ยกแขนบังหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา

“ปล่อยแน่ ให้กูทำแผลให้ แล้วจากนี้ไปกูจะไม่ยุ่งกับมึงอีกเลย”

...ไม่ยุ่ง...อีกเลย...

ดีแล้วล่ะ...ดีแล้ว...

เสียงกุกกักดังห่างออกไป สักพักเตียงที่เหยียดกายอยู่ก็ยวบลง รู้สึกได้ถึงสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่เริ่มแกะเทปผ้าพันแผลรอบเอว มือใหญ่จับสะโพกผมขึ้นพลางสอดแขนแกร่งโอบผ่าน ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะผ่านแผ่นท้องจนสะดุ้ง

“อะ...” เผลอเหลือบมองลงไปดูพฤติกรรมของอีกฝ่าย สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงกลุ่มผมนุ่มที่ลอยเด่นอยู่แถวท้อง ไอ้เม่นค้างอยู่ท่านั้นนานเกินไปจนผิดสังเกต แถมใกล้ซะจนเกินเรียกว่าได้ว่าถอดผ้าพันแผล “ไอ้เม่น...”

สิ่งที่เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าไอร้อนแตะโดนผิว เผลอไหวตัวเล็กน้อยด้วยความตกใจ เดาได้เลยว่าเป็นจมูกของอีกฝ่ายที่แนบสัมผัสลงมา

“ไอ้เม่น...มึงหลับเหรอ...อ๊ะ...ยะ...”

ฟะ...ฟัน...ต้องใช่แน่ มันเอาทั้งฟันทั้งริมฝีปากขบกัดแผ่นท้องผมแบบไม่ทันตั้งตัว จังหวะนั้นพยายามขยับตัวที่เหมือนโดนพันธนาการด้วยแขนแข็งๆมันอย่างไร้ทางหนี รู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กๆปรากฏที่ผิวเนื้อก่อนจะหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายที่เงยขึ้นมาสบ

“มึงแม่งไม่รู้อะไรบ้างเลย” มันทิ้งคำพูดเอาไว้แล้วก้มลงไปอีกครั้ง คราวนี้เป็นความรู้สึกนุ่มหยุ่นที่กำลังไล้เลียไปรอบขอบกาวของผืนผ้าสีขาวจัตุรัส ความเปียกชื้นแนวฟันการจูบซับทุกอย่างโจมตีเข้ามาจนในสมองผมนั้นตื้อไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่แผ่นผ้าก๊อซซึมสีเลือดถูกลอกออกจากกายแล้ว

“แผลมึงเปิด...ได้ไง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม มันมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

"มะ...ไม่รู้"

ผมลืมไปเลย มาคิดๆดูแล้วคงอาจจะเป็นตอนนั้น ตอนที่ไอ้พวกกลุ่มนั้นจับกดลงกับม้าไม้ ไม่รู้ตัวเลยว่าอาการจะหนักขนาดนี้
ถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ไอ้เม่นถือหยิบติดมา เต็มไปด้วยผืนผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมจัตุรัสกับซองยาอีกหลากหลายประเภท มันหยิบผ้าก๊อซมาบรรจงซับเลือดที่เปื้อนค้างอยู่บนบาดแผลอย่างอ่อนโยน

“ไม่ยอมรักษาตัวดีๆ แผลแม่งเลยไม่ยอมหายไง”

“กูดูแลตัวเองดีแล้ว” ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ฝีมือผมสักหน่อย

“ยังจะเถียง เลือดออกจากแผลขนาดนี้ ถ้าทีหลังมึงยังดื้ออีกกูซื้อผ้าอนามัยมาแปะให้”

“บ้ารึเปล่าไอ้เม่น กูก็บอกแล้วไง ว่า...” ผมชะงัก...ถึงบอกไปยังไงมึงก็ไม่เชื่อคนอย่างกูสินะ ช่างเถอะ

“แต่ตอนนี้สงสัยต้องเอามาแปะหน้าเจ้าของแผลแม่งด้วย”

“ฮะ?”

“อยู่ดีๆก็ซึม” สายตาคมจ้องมาที่หน้าผม มือใหญ่เอื้อมมาขยี้ผมสีแอชเกรย์จนกระจุยกระจาย

“โอ๊ยๆๆ”

“แค่ขยี้หัวแค่นี้ร้องโวยวายโอเว่อร์ไปได้”

“กูเจ็บหัว”

“ฮะ?” บอกแค่นั้นมันขยับตัวเข้ามาไวยิ่งกว่าใช้สกิลวาปพลางแหวกผมข้างขมับออก “หัวมึงไปโดนอะไรมา เลือดออก”

“สงสัยคงเป็น...” ตอนที่แม่โยนแก้วมา ผมงับปากไว้ไม่อยากพูด “ช่างมันเถอะ”

“กูบอกแล้วไงว่าถ้ากูจะทำแผลให้แล้วจะเลิกยุ่งกับมึง”

“...”

“ถ้ามึงไม่บอกแผลทุกจุดบนตัวมึง กูทำแผลไม่หมด กูก็เลิกยุ่งกับมึงไม่ได้”

“มีที่หัว ที่ท้อง แค่นั้น” ตัดสัมพันธ์ด้วยการบอกจุดที่เป็นแผลอ่ะนะ เออคิดได้เว้ย

“ยังมีอีกตรงนี้”

“เชี่ย!จะทำอะไรน่ะ!” ล้างแผลแปะผ้าก๊อซผมเสร็จไอ้เม่นก็เล่นพลิกผมตะแคงข้าง มันแหวกเสื้อเชิ้ตที่ลงมาปรกให้พ้นทางพลางลากขอบกางเกงเสล็คของผมลงมาจนเกือบใต้สะโพก สภาพตอนนี้แม่งไม่เหลือแล้วอายฉิบหาย แทบจะกึ่งเปลือยต่อหน้ามันด้วยซ้ำ เพราะการที่เจ็บท้องผมเลยพยายามหากางเกงใส่สบายไม่รัดกายเท่ายีนส์มา แต่ไม่ใช่เพื่อให้มันมาถอดถลุงท่อนล่างผมอย่างนี้

“ด้านข้างมึงช้ำไปหมดเลย ไปโดนอะไรมา” มือเย็นๆแตะเข้าผิวบนกระดูกเชิงกราน เล่นเอาผมนิ่วหน้าจากสัมผัสกะทันหัน

“ผะ...ผู้ชายก็มีบ้างเปล่าวะ เล่นกีฬาโดนนั่นโดนนี่ ช้ำนิดช้ำหน่อยไม่เห็นแปลก” จบคำแย้ง จู่ๆมันก็ลุกขึ้นฉวยชายเสื้อยืดบนตัวมันถอดหลุดออกจากหัว ก่อนมองสำรวจไปรอบร่างตัวเอง

“กูไม่เห็นมีเลย” ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยย ใครบอกให้มึงถอดพิสูจน์!! “ดูดิ” แถมโน้มตัวเข้ามาใกล้ซะ

“หะ..เห็นแล้ว!!” ไม่ได้มอง!! แต่เห็นก็ได้ แล้วผมจะอายทำไมวะ ผู้ชายด้วยกัน

“สรุปไปโดนอะไรมา”

“ตะ...ตกเก้าอี้”

“ซุ่มซ่าม...นานรึยัง”

“มะ...ไม่นานพึ่งวันนี้” มันลุกออกไปจากตัวผม ยังแทบไม่ทันจะดึงกางเกงขึ้นเลยด้วยซ้ำมันก็กลับมา ดันให้ผมนอนตะแคงสภาพเก่าแล้วเอาบางอย่างมาแนบ

“เย็น! อะไรน่ะมึง กูเย็น”

“แผ่นเจลลดไข้ ช่วงนี้กูไม่ได้แดกเหล้า ในห้องไม่มีน้ำแข็ง ใช้นี่แทนไปก่อนละกัน” ไอ้เม่นขยับมือประคบไปตามด้านข้างที่ซ้ำ ส่วนนี้แทบจะยกอธิปไตยให้มันเพราะโดนสัมผัสไม่ยั้งไปทั่ว “ให้ความร่วมมือหน่อย ยกเสื้อขึ้นที”

สั่งอะไรก็ทำตามแล้วตอนนี้ ผมยกเสื้อนักศึกษาขึ้นเอาพอให้เหลือบังแผ่นอกช่วงบน ส่วนไอ้เม่นก็เอาแต่ดึงกางเกงในผมลงอยู่ได้ โว้ย ถ้าหลุดจากตรงนั้นมันก็ไม่ต้องบังอะไรแล้วมึงหยุดซะที ระหว่างนั้นถ้ารู้ว่ามันกำลังกวาดตาสำรวจไปทั่วตัวผม ผมคงไม่นอนนิ่งๆเป็นปลาให้มันขอดเกล็ดไปมาแบบนี้แน่ๆ

“เข่ามึง”

“หา?” คิดตามเสียงอุทานไม่ทัน ไอ้เม่นมันมาไวเหนือแสง ขยับตัวถอยหลังจับปลายขากางเกงได้ ก็สาวกระชากจนกางเกงสเลคหลุดปลิวตามมือมันไป ดีที่มือผมฉวยกางเกงในไว้ทันไม่งั้นกูได้ข้อหาทำอนาจารต่อหน้าไอ้หล่อนี่แน่ๆ “ไอ้เชี่ยเม่น!”

“จริงด้วย”

“อะไร”

“เข่ามึงไปโดนอะไรมา” อีกแล้วเหรอ ผมก้มลงไปดูเข่ารอยช้ำสีม่วงเป็นดวงๆปรากฏให้เห็น ตอนไหน? หรือจะเป็น...

“กูหกล้ม”

“ทำไมถึงหกล้ม มึงไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซุ่มซ่ามขนาดนั้นภายในวันเดียว” ขอบคุณที่ต่อจนจบให้ เล่นเอาผมไปไม่ถูกเลย ถ้าเป็นแค่บางจุดยังพออ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อยได้ แต่พอบาดแผลมันกระจายไปทั่วตัว ผมก็ไม่รู้ว่าจะยกเมฆที่ไหนมาให้มันเหมือนกัน

“ใครทำมึง”

“...”

“บอกกูมา”

“...” จนแล้วจนรอดผมก็ยังเงียบ ไม่รู้จะเอ่ยบอกเรื่องราวอย่างไร

“ทำไมมึงย้อนแย้งกับตัวเองแบบนี้วะ เรวะ จู่ๆก็เดินเข้ามาบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับกู อยู่ๆก็ถอยห่างบอกตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่มีมา แต่พอกูบอกว่าจะเลิก มึงก็ดันเสือกโทรเข้ามาตอนที่กูรับสายไม่ได้ มาทำให้ใจกูวุ่นวายอีก มึงจะป่วนสมองกูไปถึงไหนวะ”

“กูขอโทษ” ผมก้มหน้าเพื่อหลบสายตาอีกฝ่าย “มึงเลือกที่จะไม่ยุ่งกับกูก็ได้นะ แล้วกูก็จะ...”

“ใจกูไม่เคยคิดอยากจะเลิกยุ่งกับมึงเลยสักครั้ง”

“...”

“กูแค่กำลังทำในสิ่งที่มึงทำกับกู กูอยากรู้ว่ามึงรู้สึกยังไง”

“กูรู้สึก...” ทรมาน

“ให้กูอยู่อย่างนี้ต่อไปก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยฐานะอะไร แผลที่ใจมึง กูอยากเป็นคนรักษา กูไม่อยากมานั่งมองแล้วเป็นห่วง สงสารคนที่กูรักอีกต่อไปแล้ว”

...TBC...

++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 21 :: ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกต่อไป [10/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-04-2019 22:37:56
 :hao5: เมื่อไรจะถึ​ง​คราว​เอา​คืน​
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 21 :: ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกต่อไป [10/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-04-2019 22:48:21
 :mew2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 21 :: ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกต่อไป [10/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 12-04-2019 17:44:11
โง้ยยย ขอต่อ ไม่ไหวแล้ว ทำไมเขินเฉยเลยวะ55555. น่ารักอ่ะ ตามๆรักเรื่องนี้เลย
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 22 :: กลับมาเริ่มต้นใหม่ [14/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 14-04-2019 08:13:40
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 22 :: กลับมาเริ่มต้นใหม่


คนตรงหน้าผม...ขี้แยได้โล่...


จบประโยคที่ผมพูด ร่างโปร่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เหมือนความรู้สึกทุกอย่างที่เก็บกักไว้หลุดออกมาในคราวเดียว เจ้าตัวนอนห่อตัวหันหน้ายกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตา เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเลื่อนออกไปลูบศีรษะทุยๆอย่างแผ่วเบา

ความเข้มแข็ง กล้าพูดกล้าทำ การกระทำขี้เล่นแบบไร้ความรู้สึก แถมไอ้ที่เคยเล่นมุกหน้าตายของมึงมันหายไปไหนวะ แต่เรวะในแบบที่พึ่งพาผม ผมกลับรู้สึกยินดีและอบอุ่นหัวใจที่ได้เป็นฝ่ายประคับประคองให้มันลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง

“เรวะ” แขนเล็กและผอมกว่าขยับมาจับมือที่ลูบหัวดึงไปแนบแก้มเนียนละเอียดของมัน สิ้นเสียงเรียกชื่อ ดวงตาใสที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำเปิดขึ้นสบประสาน ผมใช้นิ้วโป้งเกลี่ยผิวแก้มที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาไปมาเบาๆ “กูขอโทษ”

“ขอโทษ...เรื่องอะไร”

มีบางอย่างที่ผมต้องบอกกับมัน สองสามวันที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรหลายอย่างมากมายเสียจน ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้หมด แต่เรื่องของวันนี้ เรื่องที่ผมไปยืนอยู่ที่หน้าร้านของแม่มัน ทุกอย่างมีที่มาที่ไป

ผมยังคงใช้นิ้วเกลี่ยขอบตาแดงช้ำ พลางทำใจกล้าพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา

“เรื่องเรจิซัง”

เป็นอย่างที่คิดไว้เลย แค่ชื่อคนๆนี้โผล่ขึ้นมา ปฏิกิริยาของเรวะก็เปลี่ยนไป มันเบิกตาโพลงพลางดันตัวถอยห่าง จนผมต้องคว้าสองมือมันไว้แน่น

“มึงอย่าพึ่งโวยวาย”

“มึง...” เสียงเรวะสั่น

“...กูเป็นคนพาเขามาเอง”

“ทำไม” สั่น...รวมถึงตัวมันด้วย

“เขาขอให้กูพามา” เรวะนิ่งไป ก่อนจะใช้มือที่ถูกจับไว้ผลักผมซ้ำๆ แต่แรงที่กระทำเบาบางเกินกว่าจะดันให้ผมออกห่างได้

“ขะ...ขอ...ขอกู...อยู่เงียบๆได้มั้ย”

“ไม่”

“ไอ้เม่น...มึง”

“สภาพมึงอย่างนี้จะให้กูทิ้งให้มึงอยู่เงียบๆคิดฟุ้งซ่านคนเดียวเหรอวะ มีอะไรมึงก็ถามกูมาเลยดีกว่า ถามมาให้หมด กูพร้อมตอบ”

มันอึ้งไปก็คำพูดของผม ใช่...ต่อให้มันโวยวายขนาดไหน ผมก็เชื่อว่ามันมีเหตุผลพอ...แม้กระทั่งตอนที่หนีหายออกมาจากโรงพยาบาลด้วย มันแค่พยายามแบกรับทุกอย่างเอาไว้คนเดียว โดยไม่พึ่งพาใคร คนตรงหน้านิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะขยับริมฝีปากเค้นเสียงออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“มึง...รู้จักกับ...พ่อกู...ได้ยังไง”

“กูไม่ได้รู้จัก เขาแค่เป็นเพื่อนกับพ่อแม่กู”

“เพื่อน...พ่อแม่มึง...” ตกใจสินะ ขนาดผมยังงงกับโลกกลมๆใบนี้เลย อย่างที่เคยบอกพ่อแม่ผมเป็นช่างภาพนิตยสารสารคดีของต่างประเทศ ทำงานเน้นท่องเที่ยวไปในที่ๆผู้คนเขาไม่ไป แล้วเพื่อนส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่างภาพต่างถิ่น แต่ใครจะไปคิดว่าหนึ่งในนั้นจะเป็น...พ่อของเรวะ

“มึงจำที่กูบอก ว่าเพื่อนพ่อกับแม่จะมาพักร้อนอยู่บ้านกูระยะยาวได้มั้ย” เรวะพยักหน้าน้อยๆก่อนตอบออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“วันที่มึง...บอกคุณน้าอลิษา...ว่าจะกลับมาอยู่หอ” เรื่องของผมมันยังคงจำได้ดีเสมอ

“วันนั้นคนที่มาคือพ่อมึง”

“...”

“แต่เขาไม่รู้หรอกว่ากูเป็นอะไรกับมึง จนกระทั่งวันที่มึงโดนแทงจนเข้าโรงพยาบาล”

“กะ...เกิดอะไรขึ้น”

“วันนั้นพอได้ข่าว แม่กูตกใจรีบร้อนมาหาทั้งๆที่กำลังเป็นไกด์พาพ่อมึงเที่ยว สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าพ่อมึงตาม มาด้วย”

“...”

“กูไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอะไรกับมึง แต่พอเห็นสีหน้าตื่นๆตอนที่ได้ยินชื่อ ‘เรวะ’ กูกลับสงสัย”

“เขามา...พ่อกู...มาเจอ...กูแล้ว”

“อืม”

“ละ...แล้ว...เขาพูดอะไรมั้ย”

มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่เรวะอยากฟัง ในเมื่อเรจิซังไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากนั้นอีกเลย เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่งข้างเตียงมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวของตนอยู่อย่างนั้น

“เม่น...มึงบอกกูมาดิ” เรวะมันลุกขึ้นมาจับแขนผมเขย่าไปมา  ไม่เคยเห็นท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจขนาดนี้ของเจ้าตัวมาก่อน

“เรวะ มึงใจเย็นก่อน” ผมปรามจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยมือจากผม ทิ้งไว้เพียงใบหน้าที่ก้มลงต่ำด้วยความสำนึกผิด

“...กู...ขอโทษ”

“เรจิซัง เขาไม่ได้พูดอะไรหรอก"

"..."

"เขาแค่นิ่งไป ดูไม่สดใสเหมือนเคย แล้วหลังจากนั้นก็พยายามถามกูทุกอย่างในเรื่องที่เกี่ยวกับมึง” คนตรงหน้ามีปฏิกิริยากับคำตอบนี้มาก มือสวยใช้นิ้วจิกลงไปที่ผืนผ้าของเตียงนอนราวกับเก็บอาการไม่อยู่

“เพื่ออะไรวะ...” ผมจับได้ถึงสัญญาณที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงของเรวะดูแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ มันผลักดันให้ผมต้องเอื้อมมือเข้าไปประคองไหล่ของอีกฝ่ายที่มีอาการหอบสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“เรวะ?”

“เขาจะถามไปเพื่ออะไรวะ” ร่างโปร่งชักสีหน้ามองตรงมาด้วยดวงตาแดงก่ำ เสียงที่พูดถูกตะเบ็งขึ้นเล็กน้อย

“เรวะ...มึงใจ...”

“เขาจะอยากรู้ไปทำไม ก็ในเมื่อ!”

“เขาบอกกูว่าเขาอยากรู้ว่าแฟนเม่นคุงเป็นคนยังไง”

“ฮะ?”

"ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างรึเปล่า แต่วันนั้น วันที่แม่กูรีบร้อนมาแอดมิทมึง แม่กูดันบอกพ่อมึงไปว่า 'แฟนลูกชายบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล' เรื่องมันเลยลามมาถึงขั้นนี้"

ถ้าเปรียบคงเหมือนมีใครมากดปุ่มหยุดยามหนังกำลังเข้าฉากแอคชั่นบู๊ล้างผลาญ ร่างโปร่งค้างไปแล้ว มันทำท่าเครื่องรวนอยู่สักพัก ก่อนจะส่งเสียงประหลาดออกมา

“อึ๊ก!”

หา?

“อึ๊ก!”

เฮ้ยๆๆ

“ฮะ อึ๊ก!”

ไอ้เหี้ยอย่าบอกนะว่า...มันสะอึกน่ะ!!...ทำไมประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยเดิมเหมือนตอนบอกเรื่องที่เป็นแฟนกันให้แม่กูฟังผ่านโทรศัพท์เลยวะ!

“เชี่ยเรวะมึง”

“อึ๊ก! ไอ้เม่นกู”

“ทำอะไร ทำยังไง ตอนนั้นกูทำยังไงนะ” ลนลาน หวนนึกไปถึงตอนที่หัวหมุนนั่งแก้อาการนี้ของมันแทบเป็นแทบตาย จนกระทั่งภาพบางอย่างผุดขึ้นมา ผมรีบผลักอีกฝ่ายจนเอนล้มไปกับเตียงแล้วตามลงคร่อมตัวมันทันที

“ฮึก! อึ๊ก! มึงเดี๋ยว!” มือบางมาขวางไว้ มันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดผม

“ทำไม ถ้าไม่ทำมึงก็ไม่หายนะ”

“กะ...กูไม่เป็นไร อึ๊ก!!” ชัดเลยว่าเป็นไร...

“จูบกูมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ฮะ? อึ๊ก!”

“มึงถึงไม่ยอม...” กำลังเครียด โดนต่อต้านขนาดนี้โคตรเสียเซลฟ์ แต่ที่ไหนได้ไอ้เรวะกลับเอื้อมมือมาดึงผมลงต่ำไปสัมผัสริมฝีปากมันอย่างกะทันหัน...

...เหมือนกำลังพยายามดึงความมั่นใจของผมให้กลับมา... ท่าทีอีกฝ่ายช่างดู...เงอะงะแปลกตาเป็นพิเศษ

จะว่าไป...ในหลายๆครั้งที่ได้สัมผัสกลีบปากสีสวยตอนก่อนหน้า ต่อให้เป็นคนเริ่มก่อนเป็นเรวะแต่ไม่นานสติผมกลับเตลิดเป็นฝ่ายรุกเข้าหาอีกฝ่ายทันที แต่มาครั้งนี้ด้วยความตกใจเลยทำให้เรวะต้องเป็นฝ่ายเติมเกมส์รุกผมอยู่นานท่าทางของมันที่ดูไม่คล่องทำเอาผม...อารมณ์เกือบขึ้น

“...อึ่..” ร่างบางยังคงสะอึกอยู่จนผมอดไม่ได้ที่จะขยับไปจับที่ท้ายทอยเปลี่ยนองศา ก่อนกัดริมฝีปากล่างของเจ้าตัวเบาๆ จนร่างในอ้อมกอดสะดุ้ง

“อ้าปาก”

“เดี๋ยวไอ้เม่น กูแค่จะ...อึ๊ก!อื้ออ” กูจะรักษาอาการสะอึกให้มึงเอง ผมไม่ไหวแล้วตอนนี้โคตรเหมือนคนเมา เมาไปกับรสจูบของร่างข้างใต้ กลีบปากนุ่มแห้งผากเกี่ยวติดยามถอนออก ผมบรรจงไล้เรียวลิ้นเปียกชื้นไปตามความนุ่มนิ่มนั้นจนมันเปลี่ยนเป็นสีแดงอิ่ม ก่อนเม้มเข้าหาคู่สีชาดอีกครั้ง เสียงอึกเบาๆดังในลำคอของอีกฝ่ายตามอาการที่เจ้าตัวพยายามสกัดกั้นไว้ ก่อนเปลี่ยนจังหวะเป็นการขยับใบหน้ายกขึ้นตามการดูดดึงของริมฝีปาก

เราทั้งคู่ต่างพยายามที่จะสัมผัสซึมซับรสชาติของกันและกัน กวาดชิมไปทั่วทุกตารางนิ้วที่สามารถจะทำได้ ไล้เลียเข้าเกาะเกี่ยวความหยุ่นนุ่มเปียกชื้น พันกระหวัดถอนกลับซ้ำไปมา จนกระทั่งเสียงเฉอะแฉะของความชุ่มชื้นในโพรงปากดังเข้าโสต เท่านั้นแหละ...ไอ้เรวะก็ผลักผมออกเบาๆ

“ไอ้เม่น เดี๋ยว” ใบหน้าร่างข้างใต้แดงอย่างกับอะไรดี พวกเราต่างหอบหายใจใส่กัน ริมฝีปากบวมช้ำแสดงถึงการผ่านมรสุมต่างๆมาเมื่อครู่...มันช่างดูเย้ายวน...

“อะไร” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“มึงแค่...จะแก้...ให้กูหายสะอึกใช่มั้ย”

“อือ...” ผมครางเบาๆในลำคอ

“สาบาน”

“สาบาน...” อีกแล้ว เหมือนเค้นเสียงออกมาไม่ได้ คำพูดมันเลยปนมากับอาการหอบเมื่อครู่

“ปากมึงสาบาน แต่ท่อนล่างมึงไม่อ่ะ”

ฮะ?

นึกสังหรณ์ใจเลยก้มลงต่ำไปตามปลายสายตา ชัดเลยไอ้เหี้ย กูมีอารมณ์!!

“เออ...ไม่ต้องสนใจก็ได้” พยายามควบคุมจังหวะหายใจให้คงที่

“ไปเอามันลงก่อน”

“คุยต่อเถอะ” เริ่มเป่าปากตัวเองช่วยพยุงสติ นิ่งสิวะไอ้ลูกชาย

“ในสภาพนี้เนี่ยนะ”

“กูคุยได้” กูเชื่อว่าถ้ามีความพยายามใครๆก็ทำได้

“มึงแน่ใจนะ”

“แน่ใจดิ แน่ใจมากๆด้วย”

“แต่กูว่า...”

“เรวะ”

“อะ..ฮะ?”

“อ่านปากของกูนะ ว่า...”

“รักเธอ” เสียงเปียโนสองตัวลอยขึ้นมาในหัวทันที โอ้โหไอ้เหี้ยนั่นมันพี่โต๋ แต่ตอนนี้ของกูโด่อยู่มึงเข้าใจมั้ยยยยย

“รักเหี้ยอะไรล่ะ มันใช่เวลามาต่อเพลงกันมั้ยเนี่ย กูกำลังจะบอกว่า ‘สัดมึงเลิกถามสักทีได้มั้ย’ กูจะได้สงบจิตสงบใจได้น่ะ” ได้ทีผมด่าใส่ไปไม่ยั้ง แต่มันยังมีหน้ามาทำตาโตก่อนและเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ

“หึ”

“หา?"

“หึหึ ไอ้เม่นมึงตลกว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เอากับมันดิ กูอุตส่าห์ทนขนาดนี้แล้วมันยังจะ...

ผมถอนหายใจ หลับตาอย่างปลงตก ขนาดบรรยากาศไม่ชวนให้คิดขนาดนี้ เม่นน้อยของผมมันยังคงทำงานหนัก เห็นทีจะต้องให้รางวัลด้วยมือสากๆของตัวเองแล้วมั้ง แต่ก็ยังดีที่สถานการณ์แบบนี้กลับทำให้บางคนยิ้มได้

“เอาเถอะ” กำลังจะลุกจากตัวมันแต่ทว่ามืออีกฝ่ายกลับคว้าแขนผมไว้ ไอ้เรวะยันตัวขึ้นมาเอ่ยประโยคบางอย่างที่ทำให้ใจผมบินไปโลกหน้า

“มากูช่วยเอง”

หา? เดี๋ยวๆๆๆ

จู่ๆมันก็ดันผมจนหงาย เรวะพยายามขยับกายที่ดูเหมือนจะยังเจ็บแผลลุกขึ้นคุกเข่าคร่อมผมทั้งตัว จนจุดที่ดูโดดเด่นและเห็นชัดสุดกลายมาเป็นบ๊อกเซอร์ตัวน้อยกับร่างกายท่อนล่างของมัน

“เฮ้ย!!ใครบอกให้มองวะ” รู้สึกถึงสายตาผมมันเลยยกมือขึ้นมากุมเป้าเฉย ก่อนกระโดดตัวผลุงลงจากเตียงด้วยใบหน้าแดงซ่าน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อไม่รู้เรวะมันเอาแรงมาจากไหนกระชากผมให้ลุกจากเตียง แล้วดันหลังเดินอย่างไวผลักเข้าไปที่ห้องๆหนึ่ง

ใครๆคงคิดว่ามันพาผมมาเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เปล่าเลยที่นี่มัน...

สึด...ห้องน้ำ...

ช่วยของมันนี่คือการพากูมาห้องน้ำใช่มั้ยเนี่ย!! เพลียจิต...

“เสร็จเมื่อไรบอกกูนะ แล้วมาคุยกันต่อ”

วันนี้เสร็จด้วยมือไปก่อน คราวหน้ากูสาบานว่าจะเสร็จด้วยมึงเลยคอยดู!!


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 22 :: กลับมาเริ่มต้นใหม่ [14/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 14-04-2019 08:19:32
หลังจากชักเข้าชักออกโลกสวยด้วยมือเราแบบเหงาๆคาห้องน้ำ ผมจัดการล้างไม้ล้างมือดูสภาพตัวเองให้เข้าที่เข้าทางถึงแม้ส่วนบนเสื้อผมจะไม่อยู่กับตัวแล้วก็ตามที หวังว่าป่านนี้ไอ้เรวะมันคงไม่หลับรอไปก่อนหรอกนะ เดินออกสะดุดกับก้อนกลมๆริมประตู ถึงกับสะดุ้งหันไปมอง

“มานั่งทำอะไรตรงนี้วะ” กูตกใจ แถมยังกลับมาแต่งตัวเรียบร้อยจนแอบเสียดายอยู่นิดๆ หน้ามันออกแดงๆเหมือนคนเป็นไข้

“กูไม่น่าคิดแผลงๆมานั่งรอมึงหน้าห้องน้ำเลยว่ะ”

“นั่นดิ ที่นั่งดีดีมีให้นั่งไม่ชอบ มึงเนี่ยท่าจะเป็นคนติดดินมากเลยนะเอะอะก็นั่งพื้น เป็นแผลแล้วยังไม่รู้จักเจียม” ประชดแม่ง

“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น”

“งั้นเรื่องอะไร”

“เมื่อกี้เสียงมึงดังมากเลย แถมยังมีครางชื่อกูอีกแม่ง”

สัด!!เมื่อกี้กูว่าเบาแล้วนะ มันได้ยินได้ไงวะ!!

“กะ...กูไม่ได้คราง มึงหยุดกล่าวหากูเลย"

"เรวะ เรวะ เรวะ มีคำอุทานสองพยางค์ไหนที่เหมือนกับคำนี้อีกวะ เม่น"

"คุณพระคุณพระคุณพระ ไงเล่า" เข้าถึงรสพระธรรมกันเลยทีเดียวกู หน้าตาอีกฝ่ายเหมือนไม่เชื่อการสละชีพเอาสีข้างเข้าถูจนเลือดอาบของผม แต่สุดท้ายมันกลับลุกขึ้นมองหน้าจ้องตากันอยู่นาน

“กูเชี่อก็ได้”

คุณพระ...ช่วย

“ผู้ชายอย่างกูจะไปทำให้หนุ่มสุดฮอตอย่างคุณพลลภัตม์ เกิดกำหนัดทางอารมณ์ได้ไงล่ะเนอะ” เสร็จไปสามน้ำแถมครางชื่อมึงเป็นสิบสิบรอบ ไม่เกิดเลยเนอะ...ไม่เกิดเลย...

มันทิ้งท้ายไว้ให้ผมตะโกนก้องในใจว่าถ้าเอามันตอนนี้ได้ผมเอาไปแล้ว ก่อนเดินตัวปลิวกลับไปนั่งตรงโต๊ะอาหาร ในมือเริ่มหยิบจับห่อขนมในตระกร้ามาฉีกเกะกินเล่นเงียบๆ

“ไม่คิดจะถามอะไรกูต่อแล้วเหรอ”

“ไม่ว่ะ ยังคิดไม่ออกเลย ตอนนี้ในหัวมันตื้อไปหมด”

“งั้นกูเป็นฝ่ายถามมึงได้มั้ย”

“มะ…”

“ถ้ามึงตอบ ‘ไม่’ กูปรับฟาวล์” แหนะกูรู้ทันมึงเถอะ จะตอบว่าไม่แบบทันทีทันใดเหมือนคราวที่แล้วเหรอ ฝันไปเถอะ กูไม่ให้มึงตอบ “กูอยากรู้ทุกอย่าง...ทุกอย่างจริงๆที่เกี่ยวกับตัวมึง”

ปิ๊งป่อง...

พับความคิดที่จะซักไซร์ไล่เรียงไอ้เรวะลงกล่องแทบทันที ใครวะมาเยี่ยมกูถึงบ้านตอนนี้ อย่าบอกนะว่าพวกไอ้หงส์มันนึกครึ้มอยากจัดปาร์ตี้ดูหนังกูจะด่าให้

เอาเถอะถึงยังไงคำคืนนี้ก็ไม่ใช่ของผมอยู่แล้ว รีบๆเปิดรีบไล่พวกมันกลับไปก็จบ แต่ใครจะไปรู้ว่าคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของประตูจะเป็นคนที่กูคุ้นอย่าง

“แม่” คุณอลิษาในลุคสบายๆใกล้เข้านอนกำลังยืนมองมาตรงนี้ จับความรู้สึกผิดแปลกบางอย่างได้จากสายตาเบิกโตของแม่ซึ่งกวาดไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้าผม

“ไอ้ลูกชาย กลับเข้าไปใส่เสื้อเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวนี้!”

“เฮ้ย! แม่ เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย” มือแม่กระวีกระวาดดันผมเข้ามาแถมปิดประตูตามหลังแบบงงๆ ความสนใจเธอหันตรงไปทางไอ้ตัวขาวที่ยืนอยู่ด้านหลังผมแทน ก่อนยกมือกุมอกถอนหายใจออกมาอยู่ยาวหลายวินาที

“ดีนะที่เสื้อผ้ายังเรียบร้อยอยู่”

หา?

“ถ้ามาเจอแบบรุ่งริ่งนี่แม่ก็แทบไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เดี๋ยวๆๆ แม่หมายถึงใคร ถ้าเป็นไอ้เรวะบอกเลยเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มันรุ่งริ่งยิ่งกว่าผมอีก แล้วทำไมแม่จะต้องแตกตื่นอะไรขนาดนี้ด้วยวะ

คำตอบของคำถามในใจไม่ต้องออกจากปากมันก็แทบกระแทกหน้าผมทันที ในเมื่อร่างสูงๆของผู้ชายคนที่ผมเพิ่งเจอปรากฏขึ้นพร้อมกับการผลักประตูเปิดออกจากอีกฟาก สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ฉายชัดให้เห็นถึงแววไม่เป็นมิตรที่คุกคามอยู่กลายๆ

“เรจิซัง” มาได้ไงวะ แล้วที่สำคัญไม่ใช่อะไร

ทำไมต้องมาอัดกันหน้าประตูห้องกูสามสี่คนด้วยเนี่ย!! จำได้มั้ยว่าห้องกูแคบ!!

“เม่นคุง” สายตาที่มองเหมือนแม่กูเปี๊ยบ ขึ้นที่หัวจบลงถึงปลายตีนได้คนที่มีศักดิ์ว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพของแม่ก็ถอดรองเท้าอย่างไวว่องเบียดผ่านด่านคุณอลิษามาจึงถึงตัวผม กั้นลูกชายของตัวเองเอาไว้เบื้องหลังพลางเอามือป่ายปัดไม่ให้เรวะมันหลุดออกมาเข้ากรอบสายตาผม ดวงตาที่มองตรงมาโคตรไร้ความไว้วางใจ

“เรจิ! ไม่เอาน่าเรจิ ลูกชายฉันมันก็แค่ร้อนแล้วถอดเสื้อแต่งตัวสบายๆอยู่ห้องตามประสามันแหละ อย่าคิดมากได้มั้ย” แม่แทบวิ่งมาเกาะแขนผมกั้นท่าไว้เหมือนกับกลัวว่าพ่อไอ้เรวะจะทำอะไร

“แต่ลิซซังพวกเขาเป็นแฟนกันนะ มันอาจจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ก็ได้ ผมไม่ยอมหรอก ผมว่ามันเร็วไป”

เรื่องแบบนั้น? เรื่องอะไรวะ? เฮ้ย บอกผมก่อน ผมงง...

จ้องหน้าอยู่ไม่นานชายร่างสูงก็เปลี่ยนท่าทางเป็นจับตัวลูกชายตนเองหมุนไปมาเชิงบังคับ ก่อนก้มลงลุกขึ้นยึกยักโยกซ้ายขวาถลกปกเสื้อชายเชิ้ตร่างโปร่งไปมาเป็นระวิง

“เดี๋ยว ทะ...ทำอะไรน่ะ!” ไอ้เรวะมันตะโกนโวยวาย ก่อนสุดท้ายจะจบที่ถูกพ่อตัวเองถลกเสื้อชุดนักศึกษาขึ้นสูงจนแทบบังหน้า

“ไหนว่าไม่มีอะไรไง แล้วนี่มันอะไร”

ร่างสูงชี้ไปที่แผ่นท้องแบนราบของลูกชาย รอยปื้นเล็กๆสีแดงช้ำห้อเลือดใกล้สะดือแม่งโคตรเด่นสะดุดตาเพราะมันตัดกับผิวขาวเนียวละเอียดของคนตรงหน้า ฉิบหายแล้ว รอยตอนนั้นที่ผมยับยั้งช่างใจไม่ไหวไปกัดหน้าท้องของมันตอนทำแผล

ไม่นานมือคุณลิซที่เกาะแขนผมอยู่ก็ทำงาน จิกไปที่ผิวเนื้อแล้วบิดหยิกทันที

“โอ๊ย ทำอะไรน่ะแม่”

“ทางนี้ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม ทำอะไรไปฮะคุณลูกชาย แม่บอกแล้วไงว่าอย่าทำตัวรุ่มร่ามกับน้อง”

“ผมเปล่าทำนะ...ปาก เออ ปากมันไปเอง” โทษอวัยวะเลย ตัวกูไม่ใช่ของกู แล้วมันใช่น้องที่ไหนมันอายุเท่ากับผม ทำไมโอ๋เอ็นดูมันจังเลยวะสองคนนี้ ทำไมไม่คิดว่าผมอาจจะเป็นฝ่ายโดยมันปล้ำบ้างน่ะ แน่จริงจับผมถอดเสื้อผ้าแล้วเช็ค...เออลืมไปว่าท่อนบนไม่ได้ใส่อะไรอยู่

“ปากมันไปเองได้ไง ถ้าเราไม่ใช้อารมณ์ตัวเองเป็นหลักน่ะ” คุณอลิษาตีลงมาให้หยุด เหมือนกำลังสอนเด็กชายพลลภัตม์อายุสองขวบว่าอย่าอมข้าว ยอมรับว่าใช้อารมณ์แต่คนที่ทำให้ผมมีอารมณ์...ก็มีแค่มันเนี่ยแหละ

“ปล่อยได้แล้วครับ” ความสนใจไปกระจุกรวมตัวตรงร่างโปร่งที่โพล่งเสียงดังออกมา เรวะมันปัดมือผู้เป็นพ่อจนหลุด สีหน้าเปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่สองต่อสองกับผมโดยสิ้นเชิง มันพยายามเบียดตัวตัวเดินผ่านพวกเราสามคนออกไป

“เดี๋ยวเร...นั่นลูกจะไปไหน” มันชะงักตัวชั่วครู่ก่อนจะเปิดประตูพรวดพราดออกไปโดยไม่สนใจคำค้านใดใดของผู้เป็นพ่อ

“เฮ้ย...เรวะ” ผมกลัวมันสิ้นคิดแล้ววิ่งหนีออกไปเหมือนเมื่อครู่อีก ตั้งใจจะไปรั้งไว้แต่อะไรอะไรก็ไม่อำนวย ขาแขนเกี่ยวผู้เป็นแม่จนเซถลาไปข้างหน้าตอนนี้อะไรที่คว้าได้ผมคว้าแล้ว แต่ที่แน่ๆต้องไม่ใช่...

เสื้อ-ไอ้-เรวะ!!

แคว่ก!!

ฮ่วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

มึงจะหยุดเท้าทำไม หยุดทำไม!! ถ้าไม่หยุดป่านนี้ล้มก็ล้มวะ ขอแค่อย่างเดียวคือกูไม่อยากมานั่งสำนึกผิดแบบแปลกๆกับการฉีกเสื้อตัวเองที่มันยืมใส่แล้วไง!!

แปลก...ที่คราวนี้มันไม่หันมาด่าเหมือนอย่างเคย ร่างตรงหน้าเหมือนโดนคำสาปให้ยืนแช่งแข็งนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ระหว่างที่รอการทรงตัวกลับมาผมบังเอิญเหลือบตาไปเห็นผู้มาใหม่ ใครบางคนที่ยืนขวางประตูอยู่

แม่นิ...

“เร…” เคยเห็นเพียงแววตาที่กระจ่างใสยามมองลูกชายของตน กับน้ำเสียงอันไพเราะเมื่อมีโอกาสได้สนทนากับผมเรื่องของเรวะ แต่คราวนี้มันกลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ผมได้แต่หวังว่าคนตรงหน้าจะยอมฟังคำกล่าวของมารดาไม่ผลุนผลันเดินหนีไปอย่างเคย

ร่างโปร่งหันศีรษะหลบสายตาผู้เป็นแม่อย่างจงใจ ใบหน้าด้านข้างทำให้ผมเห็นอะไรหลายอย่าง ไอ้เรวะมันพยายามกัดริมฝีปากข่มดวงตารื้นแดงไม่ให้หลั่งรินหยดน้ำแห่งความคับแค้นใจออกมา

“เร…” แขนเล็กชักหลบคนตรงหน้า แทบทำตัวเล็กลีบไปกับบานประตู

“มาทำไมครับ กลับไปเถอะ”

“เร…” ใบหน้าหญิงสาวทวีความโศกเศร้ามากยิ่งขึ้น

“พวกเราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวกันอีกแล้ว”

“…!”

“ผมจะออกจากบ้านนั้น พวกคุณจะได้สบายใจ”

“เร ลูกพูดเรื่องอะไรเนี่ย” คนด้านหลังเริ่มทนไม่ไหวขยับตัวผ่านผมเดินเข้ามาใกล้สองแม่ลูก ยื่นมือไปจับไหล่ร่างโปร่งซึ่งถูกสะบัดออกแทบในทันที

“พูดในสิ่งที่คุณสองคนต้องการไง ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้ ผมอยู่มาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะยาย เพราะตัวผมเอง ผมพึ่งพาตัวเองได้ ไปเถอะครับ ผมขอร้อง” ในที่สุดความอ่อนแอก็ไหลออกมาจากสองตา ร่างโปร่งบางยืนกลืนก้อนสะอื้นเล็กๆไม่หยุด มันร้องไห้ ร้องไห้ราวกับจะไม่เหลือน้ำตาไว้ให้วันพรุ่งนี้ ร้องจนตัวสั่นไหวฮึกฮัก หายใจหอบแรง

พอเห็นอย่างนี้เริ่มทนไม่ได้ ต่อให้เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่นก็ตาม จะหาว่าเสือกก็ยอม ผมพรวดพราดดึงร่างบางเข้ามาสวมกอด แขนเล็กๆของมันโอบเอวผมแทบจะในทันทีราวกับในที่สุดก็ไขว่คว้าหาที่พึ่งพิงได้ แรงรัดเพิ่มมากขึ้นตามจังหวะการสะอื้นไห้ ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาฝังลงบนแผ่นอกผมแนบสนิท

“ฮืออออ ไอ้เม่น ไอ้เม่น” ตอนนี้ทั่วบริเวณมีแต่เสียงร้องไห้ของเรวะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาอยู่นาน จนกระทั่งทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลง เดาว่าร่างโปร่งคงหมดแรงร้องไห้แล้ว เพราะเรวะเริ่มนิ่งได้ยินเพียงเสียงฮึกฮักเล็กๆที่เก็บกักอยู่ในลำคอ และเหมือนเรจิซังจะรู้เลยเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“เรวะ”

“…” รู้สึกถึงแรงสัมผัสซึ่งเพิ่มระดับขึ้นตามคำเรียก เรวะกำลังกลัวว่าผมจะผลักไสมันออกไปหาอีกฝ่าย พอเห็นอย่างนั้นชายวัยกลางก็ถอนหายใจออกราวกับยอมรับในความเป็นจริง

“พ่อรู้ว่าเราอาจจะไม่อยากฟังสิ่งที่พ่อพูด”

“…”

“แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้นพ่อขอได้มั้ย พ่ออยากให้เรารู้ ว่าพ่อเสียใจจริงๆกับสิ่งที่ทำลงไปในอดีต พ่อรู้ว่าต่อให้พ่อกลับมาตอนนี้มันก็อาจเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภัยให้ได้ง่ายๆ ตอนนั้นพ่อยังไม่มีเงิน ไม่มีอาชีพฐานะการงานที่มั่นคง เป็นแค่ช่างภาพอิสระที่พยายามจะเดินตามความฝันของตัวเอง พ่อไม่อยากให้แม่เรามาลำบากไปพร้อมกับพ่อ ไม่อยากสร้างภาระให้ยายเรา”

“พ่อเลยหนีออกมาแล้วทิ้งแม่กับยายเอาไว้ ทั้งที่รู้ว่ามีผมอยู่ในท้องแม่เนี่ยนะ” เรวะเงยขึ้นมาสบตากับผู้เป็นพ่อในที่สุด

“…”

“พ่อรู้บ้างมั้ยว่ายายเขาลำบากขนาดไหนกับการหาเลี้ยงพวกเราสองคนแม่ลูก แม่เขาอารมณ์เปลี่ยนไปจนต้องไปหาหมอ ส่วนผมที่เป็นลูกได้แต่นั่งดูทุกอย่างผ่านไปโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ผมทรมานรู้มั้ย! มันเจ็บปวดนะกับการที่เหมือนเป็นภาระของทุกคน ผมไม่อยากยืนอยู่ตรงจุดนั้น ถึงต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาจนถึงจุดนี้ไง”

เหมือนใช้พลังกายไปทั้งหมด เรวะมันปล่อยมือจากผมแล้วก็จริง หากทั้งตัวยังเอนทับมาให้ผมได้ประคับประคองไหล่และร่างที่ปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงไม่ให้ไหวเอนล้มลง

“พ่อแค่อยากมาพูดคำว่าขอโทษ แล้วพ่อจะไป” เหมือนไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ผู้เป็นพ่ออยากได้ แต่เรจิซังกำลังถอดใจ

“พ่อไม่ต้องไป! พ่ออยู่ตรงนี้แหละ แม่เขาขาดพ่อไม่ได้ ส่วนคนที่ไปเป็นผมเอง”

“แม่ก็ขาดเราไม่ได้เหมือนกันนะเร!” แม่นิที่ยืนตัวสั่นกลั้นน้ำตาตะเบ็งเสียงออกมาแข่งกับลูกชาย เธอร้องไห้ยืนกุมอกของตนจนผู้เป็นพ่อต้องรีบรุดเข้าหา

“นิ”

“อย่าพูดเหมือนกับเราไม่มีค่า อย่าทำแบบนี้ แม่ขอโทษ แม่ขอโทษที่ทำร้ายเรา ยายเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังก่อนจากไป แม่เสียใจ แม่เสียใจจริงๆ แม่ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป แม่...ฮึก...ไม่รู้เลย อย่าทิ้งแม่ไปได้มั้ย แม่ขอร้อง”

เรวะหันไปมองสภาพที่พ่อตนเองกอดแม่ ผมรู้สึกได้ถึงแววน้อยใจที่ฉายชัดออกมา

“ผม...ไม่อยากเป็นตัวปัญหา”

“เราไม่ได้เป็นตัวปัญหา”

“ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อจากพวกเราไปอีก”

“ไม่ใช่เพราะลูกเลย ทั้งหมดไม่ได้เป็นเพราะใครเลย แต่เป็นเพราะพ่อทำตัวพ่อเอง” คราวนี้เรจิซังเป็นคนกล่าวโทษตนเอง

“ให้ผมอยู่ที่นี่ได้ใช่มั้ย”

“ได้สิ ที่นี่คือบ้านลูกนะ พวกเราจะอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน ขอแค่ลูกให้อภัย”

“ผมไม่เคยเกลียดพ่อเลย ผมแค่เกลียดตัวเองที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากให้ใครไม่มีความสุขเพราะผม ผมไม่อยากทำร้ายเขา”

“ถ้าเรอยู่ตรงนี้พวกเราจะมีความสุข”

“…”

“สุขมากยิ่งขึ้น อยู่ด้วยกันแบบครอบครัวที่พ่อฝันหามาตลอดยี่สิบปี ขอร้องเถอะนะ อยู่กันกับพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกเถอะนะ”

เรวะร้องไห้ออกมาแล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดพ่อแม่ บางครั้งการปล่อยวางเรื่องราวในอดีตแล้วหันมาเผชิญหน้ากับปัจจุบันอาจเป็นสิ่งที่ยากสำหรับใครหลายคน แต่หากทำได้มันจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนๆนั้น ไม่ได้บอกว่าอดีตเป็นสิ่งที่ควรลืม แต่มันเป็นสิ่งที่ควรจดจำ เพื่อใช้เป็นบทเรียนชิ้นสำคัญสำหรับก้าวไปยังขั้นถัดไป

ผมอยากให้เรวะมีความสุขกับวันนี้ให้มากๆทดแทนอดีตที่ผ่านมา และผมก็จะคอยอยู่เคียงข้างมันตลอดไป...


   


ประตูระเบียงเปิดรับลมอ่อนยามดึกให้โชยพัดเข้ามา บรรยากาศสงบอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเมฆหมอกเลวร้ายทุกอย่างค่อยๆถูกลมประจำทิศตะวันตกพัดพาออกไปแทนที่ด้วยความสดชื่นอันแสนเปล่าเปลี่ยวนี้ ท้องฟ้ากระจ่างไร้จันทร์กลับเต็มไปด้วยดวงดาวทอแสงประกายสุดปลายสายตา ทำให้ผมหวนนึกถึงค่ำคืนที่เคยใช้เวลานับดวงดาวจำลองอย่างขำขันก่อนจะผ่านคืนวันมาได้ถึงตรงนี้ วันแรกที่เรวะมาค้างที่นี่

“แหนะ นั่งเป็นหมาหงอยเชียวนะเรา” หันไปมองตามเสียงเรียกซึ่งดังขึ้นใกล้ตัว แม่ผมเดินเข้ามาพลางยื่นส่งขวดน้ำผลไม้ที่มีติดประจำตู้เย็นให้แล้วทรุดตัวลงข้างเคียงกัน

“หมาหงอยอะไรกันล่ะครับ ว่าแต่ลิซซังเถอะ ไม่กลับไปกับพวกเขาด้วยเหรอ”

“แหม ครอบครัวเขาก็อยู่ส่วนเขาสิ แม่ไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

“ก็เห็นมาด้วยกัน”

“นั่นก็แค่ตอนมา แต่ขากลับแม่มีเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำมากกว่านั้นน่ะสิ”

“หืม?” ส่งเสียงสงสัยอย่างไม่ปิดปัง เรื่องสำคัญแต่กลับมานั่งเสียเวลากับผมเนี่ยนะ

“ไม่เอาน่ะ” คุณอลิษาเอาไหล่มากระแทก ส่งสายตายิ้มเจ้าเล่ห์จนคนเห็นนึกกลัวสังหรณ์ใจบางสิ่งบางอย่าง

“ไม่เอาอะไรล่ะ ผมไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละแม่ ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนี้เลย”

“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ ว่าเรากับน้องน่ะ ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว” กูว่าแล้ว

“ไม่ไปถึงขั้นไหนทั้งนั้นแหละ” ขยับตัวหลบก็แล้ว คุณอลิษายังตื้อตามเข้ามาประชิด ขืนบอกว่าจูบกันไปหลายรอบแม่กูจะช็อกตายมั้ยวะ แต่ดูจากท่าแล้วคงไม่ ตอนนี้คงหวังกลายๆให้ลูกชายได้เสียกับไอ้เรวะแน่ๆ

“ไม่ถึงไหนได้ไง รอยที่ท้องน่ะ อะไรฮะ อย่าบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนทำ เมื่อก่อนถ้าบอก กับหนูพลอยแม่จะเชื่อ แต่กับคนนี้แม่ไม่ เอะอะไปไหนมาไหนก็หนูเรมอย่างงั้น หนูเรมอย่างนี้ติดกันเป็นตังเมซะ ถามจริงเถอะว่าที่เรจิพูดนะจริงใช่มั้ย ไอ้จ้ำแดงๆที่ขึ้นมาน่ะ”

“ชะ...ใช่ที่ไหนล่ะ” ขืนบอกออกไปว่าทำได้แค่รอย ส่วนน้องน้อยต้องไปเผชิญกับความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาในห้องน้ำมีหวังโดนแม่ประจานพอดี

“โกหก”

“ผมบอกว่าเปล่าไง”

“แม่ไม่เชื่อหรอก”

“ผมไม่ได้...”

“เรื่องจริงเหรอ” จู่ๆแม่ก็ตัดบทผมฉับ

“เรื่องจริงสิ”

“เปล่า แม่หมายถึงเรื่องที่หนูเรมเขากระซิบบอกแม่ก่อนกลับว่า เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ”

“…”

...TBC....

+++++++++++++++





บางครั้งการจะเข้าใจกันได้มันต้องอาศัยคำพูด
การหนีการไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา...แต่การก้าวต่อไปข้างหน้าเพื่อเผชิญกับความจริงคือสิ่งที่ถูกต้อง...
สู้ๆนะคะทุกคน



ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและคอมเมนต์ค่ะ
น่าจะใกล้จบแล้ว(มั้ง)
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ
แอบดูทุกคำขอบคุณทุกความเห็นที่เขียนกันมาโดยตลอด...รักเสมอ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 22 :: กลับมาเริ่มต้นใหม่ [14/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 14-04-2019 11:04:54
อย่าพึ่งจบซี่กำลังสนุกอยู่เลยยย
เรรรร๊ ทำไมพูดงั้นเล่าาาา
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 22 :: กลับมาเริ่มต้นใหม่ [14/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-04-2019 01:39:02
ใจหายใจคว่ำไปทุกตอนเลย​  :ling1:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 23 : แค่คนคุย [18/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 18-04-2019 20:43:44
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 23 :: แค่คนคุย


“เอ้า มาอัพเดตสถานะกันหน่อยครับ”

“คนไหนโสดยกมือขึ้น”

“คนไหนมีแฟนแล้ว”

“แล้วคนไหนที่เป็นเพียงแค่คนคุย”


เสียงไอ้หงส์แว่วเข้าหู จบคำร้องทักคนในร้าน เสียงกีตาร์โปร่งก็เริ่มบรรเลงเพลงเป็นท่วงทำนอง แม้วันนี้เป็นวันศุกร์แต่พวกมันก็ขยันเลือกเพลงของชิลลิ่ง ซันเดย์ที่ชื่อว่า ‘Status’ มาร้อง

แล้วคนที่โดนของก็คือผม


“สถานการณ์ลำบาก
ตัดขาดจากคนหนึ่งคนไม่ไหว
ที่สองเราคุยกันอยู่
ก็ไม่รู้เธอคุยคนเดียวใช่ไหม”



ไม่ได้เรียกว่าตรงเสียทีเดียว เพราะทางนี้ไม่ได้จะตัดขาด


“ไม่มีสิทธิ์จะหวงไม่มีสิทธิ์ทวงความเป็นเจ้าของ
ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง สักเสี้ยวหัวใจ
มันแค่เกิดคำถามขึ้นมา จากความหวั่นไหว
รู้ฐานะของฉันแค่คนคุย”



ใช่เหรอ...มึงช่วยบอกกูได้มั้ย ผมจ้องสบตาคนตรงโต๊ะประจำ หากคราวนี้กลับมีแขกขาจรมาร่วมวงด้วย

ใช่...ไอ้บูม เดือนหมา...

...เดือนมหา’ลัยคนเดียวคนดังและคนเดิม ไม่รู้มันนึกครึ้มอะไรถึงตามเฮียมันมาด้วย เห็นจากสีหน้าของเรวะ ดูออกว่ามันไม่ได้เต็มใจกับการกระเซ้าเย้าแหย่ของน้องชายข้างบ้านผู้คิดไม่ซื่อ ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาความหนักข้อของลูกตื๊อจากไอ้หล่อนั้นมันยิ่งกว่าลูกคลื่นทสึนามิ พายุเฮอริเคน ผสมน้ำท่วมกรุงเทพฯปี2554เสียอีก

อาจเป็นเพราะคำประกาศแสดง ‘สถานะ’ของพวกเราตอนนั้น ที่หลุดออกจากปากไอ้เรวะมัน เลยทำให้กลายเป็นแบบนี้...อึดอัดว่ะ


“แต่คุยแค่ไหนถึงจะได้คบกัน
หรือเป็นแค่ฉันที่จริงจัง จนกลายเป็นรักเธอ
ความรักครึ่งๆกลางๆ ช่วยเลือกทางให้ฉันเถอะ
มันเจ็บในความค้างคา แต่ไร้ปัญญาจะตัดใจ”



ตรงและโดนใจจนเจ็บ ขนาดวันงานที่ไอ้บูมลงแข่งกีฬากับมหาวิทยาลัยเพื่อนบ้าน เรวะมันยังต้องไปตามเชียร์ เพื่ออะไรวะ


‘ไอ้บูมมันขอ แล้วกูก็ไปเชียร์มันทุกปีอยู่แล้ว’


ขอโทษที่กูมาช้าไป ไม่รู้ว่ามึงสนิทกับมันแค่ไหน...

“เธอคิดจริงจังหรือเปล่า
หรือฉันแค่เพียงตัวเลือกแก้เหงา
ความไม่ชัดเจนมันร้าว
มันเจ็บจนเหมือนจะตายรู้ไหม”



เพลงนี้ทำผมอินจนร้องลื่นไหลจบเพลงแบบไม่รู้ตัว สักพักไอ้คีย์ที่ยืนดีดคีย์บอร์ดก็พูดใส่ไมค์ขึ้นมาเรียกสติ


“วันนี้เป็นฟลายเดย์ไนท์หลังจบสอบมิดเทอม เรามาสนุกกันให้สุดเหวี่ยงกันเลยดีกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว วันนี้เรามีเซอร์ไพรสให้กับลูกค้าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ว่าไงครับคุณหงส์”

“ใช่แล้วครับ เป็นโปรเจคใหญ่ที่คิดขึ้นมาสดๆร้อนๆ โปรเจคที่มีชื่อว่า ‘ข้ามคืนมาร้อง คล้องคอลูกค้า ลุกขึ้นมาโชว์ลูกคอ’”

แอบได้ยินเสียงบ่นของไอ้ต๊อบเรื่องชื่อโปรเจค ไอ้หงส์มันพึ่งคิดเดี๋ยวนั้นแน่ๆ แถมกูไม่รู้อีก แล้วโปรเจคที่ว่ามันคือ...

“เราจะสุ่มเรียกลูกค้าขึ้นมาร้องเพลงร่วมไปกับเราครับ”

เสียงกรี๊ดกร๊าดเพราะกลัวโดนเลือกกับความรื่นเริงเริ่มกรึ่มๆของคนมีอารมณ์ร่วมดังปะปนกันมา ดูท่างานนี้ไม่มีปาขวดก็อาจจะไอแคนซียัววอยซ์เกิดนักร้องหน้าใหม่ขึ้นในวงการชัวร์

ไอ้หงส์เริ่มชะโงกมองหาเหยื่อ บางคนก็ก้มหน้าจนแทบมุดโต๊ะดูจากอาการรู้เลยว่าไม่เมา แต่ถ้าเหล้าเข้าปากเมื่อไรความกล้าบ้าบิ่นมันจะเพิ่มทวีขึ้นมาเป็นเท่าตัว เหมือนกับพวกผู้หญิงที่ยกมือโบกไหวๆไปมาด้านหลังนั่นไง ส่วนคนของผมก็...


...กำลังสนใจกับบทสนทนาของไอ้บูม...


“เริ่มจากใครก่อนดีน้า”

“ดาร์ลิ้ง”

“หา?”

“เอาดาร์ลิ้งกูขึ้นมา”

“ไอ้เชี่ยเม่น”

“สัด...มึงพูดออกไมค์ทำไม”

หา?...


เสียงฮือฮาดังขึ้นหลังจบประโยคเตือนสติของไอ้ต๊อบที่นั่งจับกีตาร์โปร่งอยู่ข้างๆ ผู้คนในร้านต่างพากันมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว

“เมื่อกี้กูพูดอะไร”

“มึงบอกว่าให้พาดาร์ลิ้งมึงขึ้นมา” ไอ้หงส์ป้องปากตอบ ทั้งที่ตรงหน้ามันก็มีไมค์ ไอ้เวร...แล้วมึงจะซ้ำเติมความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของกูเพื่อ!!

ต้องเปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจทุกคนไปทางอื่น แต่ทว่าทุกอย่างมันกับตาลปัตร ในเมื่อคนที่ถูกเรียกว่าดาร์ลิ้งของผม เดินตรงเข้ามาที่หน้าเวที...พร้อมเสียงประกอบฉากอันอื้ออึงแบบพอดิบพอดี

“กูมาแล้ว”


ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย มึงมาทำไม


“อะ...เออ”

“ให้กูนั่งตรงไหน หรือให้กูยืนร้อง”

“นั่ง...” ในใจกูเนี่ยแหละ อยากตอบต่อหน้าไอ้ห่าบูม กัดฟันห้ามใจไว้จนข้างในอึดอัด จึงต้องหาทางบรรเทาด้วยการเหลือบตาไปมองทางขวาหาที่นั่งให้คนสำคัญ

คิดว่าจะทุลักทุเล ที่ไหนได้ไอ้หงส์แม่งโคตรพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม เก้าอี้ตัวสูงกับไมค์ที่ถูกจัดปรับระดับให้พอดีกับความสูงของเรวะ โดนไอ้น้องเจ็ทแลคที่เพื่อนผมมันกวักมือเรียกแบกมาวางอย่างไวตั้งไว้ประจำที่ ร่างโปร่งขยับกายมานั่งเคียงข้างผม สีหน้ามันโคตรนิ่งไม่ตื่นเวทีสักนิด จนแอบพาลนึกคิดไปว่ามันเคยรับจ้างร้องเพลงที่ไหนมาก่อน

“มึงร้องได้แน่นะ” ผมกระซิบถาม

“ขึ้นอยู่กับเพลง”

“มีเพลงไหนอยากร้องมั้ย”

“ไม่”

“งั้นเอาเพลงที่ร้องได้”

“โดราเอม่อน”

“สัด ใครเขาร้องโดราเอม่อนในร้านเหล้ากันวะ”

"ก็มึงถาม"

“เอาเพลงอื่น”

“อิคคิวซัง”

“เกิดมามึงฟังแต่เพลงพวกอนิเมะรุ่นคลาสสิค อย่างมารุโกะ ชินจัง อาราเล่แค่นี้เหรอวะ”

“สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ อาอิชิเตะรุ...”

“บอกแล้วไงว่าให้เอาเพลงอื่น” ยังจะขุดมาร้องเบาๆใส่หน้ากูอีก เดี๋ยวก็แปลงร่างเป็นเณรน้อยจนปัญญาจะรับมือกับมึงให้รู้แล้วรู้รอดเลยนี่

“มึงรู้ความหมายเปล่า” ส่ายหัวหวือ ภาษาเพลงพอเข้าใจ แต่อะไรไม่ใช่ภาษาไทยไอด้อนอันเด้อสแตนด์

“ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ รักนะ”

“...”

โชคดีที่ผมไม่ถือไมค์ไว้กับมือ ไม่งั้นได้ทำมันตกใส่พื้นเสียงสะท้านไปทั่วร้านแน่ๆ เพราะมัวแต่จ้องหน้าคนเอ่ยประโยคชวนใจสั่นมาเป็นชุด

“เม่น กูแค่แปลความหมายของเพลง ไม่ต้องจ้องกูจนตาถลนขนาดนั้นก็ได้”

“เชี่ยเรวะ”

“อย่าพูดไม่สุภาพต่อหน้าลูกค้ามึงดิ”

“ใครใช้ให้มึงแปลเพลงนี้ต่อหน้ากูล่ะ”

“อะแฮ่ม! คุณเม่นครับคุณเม่น หน้าเวทีทำงานหลังเวทีค่อยทำคะแนนจีบกันยังไม่สายนะครับ ในเมื่อพวกมึงเลือกไม่ได้ เดี๋ยวกูเลือกให้เอง” เสียงไอ้หงส์ตะเบ็งใส่ไมค์ดังไปสามบ้านเจ็ดบ้าน มึงกลัวคนไม่รู้เลยนะว่ากูกับเรวะเป็นอะไรกัน ไอ้เมื่อกี้ที่กูหลุดดาร์ลิ้งก็ดอกนึงแล้ว ไอ้เพื่อนเวร

“เพลงอะไรว่ามาเลย” เสียงไอ้ต๊อบสนับสนุน เพราะเห็นแววพี่ตี๋จะเริ่มมีอารมณ์ แบบจ้างพวกมึงมาร้องเพลงไม่ได้ให้มันเล่นกัน ไอ้นักแทงบอลเลยปั้นหน้าจริงจังเตรียมนึกคอร์ดตามเต็มที่

"หนุ่มนาข้าวสาวนาทดลอง"

สัด...ทำเหล้าในปากลูกค้าแทบพุ่ง

“เพลงอะไรของมึงวะ” ขนาดไอ้คีย์ยังตะโกนด่ามาจากข้างหลัง

“เพลงนี้แหละคลาสสิคสุดแล้ว”

คลาสสิคไม่ปรึกษาชาวบ้านชาวช่อง แล้วทำไมคำว่าทดลองมันดูสะท้อนใจยังไงชอบกล แต่ขี้เกียจจะแย้งเลยหันไปถามความเห็นคนที่ตกเป็นจำเลยต้องมาร้อง

"มึงน่ะ คนร้อง จะเอายังไง"

"กูร้องท่อนผู้ชายนะ ขี้เกียจดัดเสียง"

เสียงฮาครืนดังมาจากลูกค้ารอบๆ กูแทบกุมขมับ มึงไม่ชอบดัดแล้วให้กูทำแทนเนี่ยนะ เวร

“เปลี่ยนๆ เปลี่ยนเพลง เอาเป็นเพลง...”

“ขอบคุณที่รักกัน”

“...”

“กูร้องได้”

“...”

“เพื่อมึง...”

“...”

“จากใจกูเลย”


ไอ้ต๊อบโคตรรู้งาน พอจบคำพูดจากร่างโปร่ง ปลายนิ้วก็จัดการกรีดลงบนเส้นสายกีตาร์เริ่มจังหวะดนตรีขับกล่อมได้อย่างแม่นเหมาะ เสียงทำนองคุ้นหูของเพลงฮิตตลอดการ แทนความหมายดีดีลื่นไหลเข้าโสต พร้อมกับการขยับกายไปจับไมค์โดยที่ใบหน้าหวานๆนั้นยังคงจ้องผมไม่วางตา


“ฉันเคยเกือบพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต
หากในวันที่ฉันล้มอยู่ ไม่มีหนึ่งใจของเธอ”



ถึงเป็นมือสมัครเล่น แต่เสียงของเรวะใสและกำลังก้องกังวานอยู่ในสมองผม มือขยับขึ้นไปจับไมค์ที่เสียบค้างอยู่ แล้วเริ่มตอบรับท่อนถัดไปให้มันอย่างตรงจังหวะ โดยที่อีกฝ่ายหยุดพักให้ผมได้ร้องสลับอย่างรู้งาน


...เอาจริงๆนะ ผมว่าเราสองคนแม่งโคตรเข้ากัน...


“ฝันคงจบ หลายสิ่งที่ดีคงหมดทางได้เจอ
หนึ่งกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ลืมได้เลย”



และท่วงทำนองเสียงประสานของพวกเราก็เริ่มขึ้น


“ขอบคุณที่รักกัน
ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน
ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่
จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร
ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด”



แปลกนะ ชีวิตผมรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มจากคนๆนึง ทั้งๆที่เรวะมันไม่ได้ทำอะไรมากมายให้ แต่ผมกลับสบายใจที่ได้อยู่ข้างมัน ได้คอยช่วยเหลือมัน ผมชอบรอยยิ้มยามสุขกับเสียงหัวเราะขบขันสุดตัวของอีกฝ่าย มันช่วยเติมเต็มผม มันช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจผม


พวกเราเป็นยิ่งกว่าคำว่ารัก...แต่มันคือความผูกพัน


จบเพลงนั้นทุกคนในร้านพาตบมือกันใหญ่ คำวิพากวิจารณ์ไปในเชิงบวกต่อเสียงใสกังวานที่ไม่อาจได้ยินยลมาก่อนในชีวิตของบุคคลลึกลับที่สุดในมหา’ลัย ดังเข้าหูไม่หยุดหย่อน ไอ้คีย์ถึงกับเอ่ยปากชวนเรวะให้มาเป็นแขกรับเชิญพิเศษขึ้นเวทีในบางวัน ส่วนไอ้หงส์ยังคงงอนตามประสามันที่ไม่มีใครร้องเพลงตามที่เสนอ หลังจากนั้นพวกเราก็ยังเล่นกิจกรรมกับลูกค้าในร้านต่อจนจบงาน

แม้แต่ตอนท้ายสุดพี่ตี๋เจ้าของร้านยังอดที่จะทาบทามไอ้เรวะให้มาร่วมงานไม่ได้

“พี่เห็นบรรยากาศนัวๆฟุ้งออกมาจากไอ้เม่น ลูกค้าในร้านแม่งก็อินฟินกันไป จนถามมาว่าจะมีกิจกรรมแบบนี้อีกเมื่อไร จะได้เจาะจงมาอีก”

“โหย อย่างนี้ไม่ได้นะพี่ตี๋จะมาขอซื้อตัวแฟนไอ้เม่นฟรีๆอย่างนี้ได้ไง แล้ววันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ผมที่เป็นคนคิดโปรเจคนี้ขึ้นมาด้วยนะ” ไอ้หงส์รีบเสนอหน้ามาขัด แถมยังดึงตัวเรวะไปคล้องแขน เออเฮ้ย...สองคนนี้มันสนิทกันถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ ผมไม่ยักรู้

“หนุ่มนาข้าวสาวนาทดลองของมึงเนี่ยนะ ถ้าเมื่อกี้ขืนร้องก็ว่าคงโดนไล่ออกจากเวทีก่อนแน่”

“เพลงนั้นออกจะเพราะ จริงมั้ยไอ้ต๊อบ ผมยังฝึกร้องเล่นๆกับมันต้องหลายรอบ”

“มึงบังคับกูเหอะ”

“อ้าวไหงพูดเงี้ย”

แทนที่จะเรียกคู่หู กูเรียกพวกมึงคู่หนวกหูดีกว่าว่ะ ดูเหมาะกว่า ผมส่ายหัวระอา เหลือบไปมองหน้าร่างโปร่งก็ให้ได้ชะงัก เพราะเรวะ...มันกำลังแอบอมยิ้มมองคู่ไอ้หงส์ตีกันอยู่

จนสักพักเหมือนมันจับได้ว่ามีคนจ้องหน้า เลยหันมาสบตาผมพร้อมกับทำหน้านิ่งอย่างเก่า...เชี่ยแม่งมีเขินที่ตัวเองหลุดยิ้มออกมาสินะ น่ารักว่ะ...

“อะอะ พวกมึงกูจ่ายค่าจ้างให้แล้ว ก็รีบกลับดิวะ อย่ามาเอะอะโวยวายแถวนี้ เกะกะคนทำงาน” พอโดนพี่ตี๋ไล่ไอ้หงส์ก็ทำท่ากระเง้ากระงอดเป็นการใหญ่ ส่วนผมที่นึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระต้องจัดการเลยเดินเข้าไปใกล้เจ้าของร้าน

“พี่ตี๋เรื่องนั้น...”

“อ้อ ว่าจะพูดอยู่พอดี อ่ะนี่” ของชิ้นเล็กในมือพี่มันถูกส่งยื่นมาให้ “กูก๊อปใส่ลงไปในนี้แล้ว ที่เหลือมึงก็เอาจัดการได้เลย”

“ขอบคุณครับ”

มีเรื่องบางอย่างที่ผมต้องไปจัดการ หากไอ้เดือนมหา’ลัยไม่เดินเข้ามาแล้วดึงสมาธิผมไปจากธุระตรงหน้าเสียหมด

“เฮีย...กลับกัน” ร่างสูงๆของไอ้บูมเดินเข้ามา ทั้งที่ยังมีสายตาของลูกค้าสาวๆที่นั่งในร้านมองมาอย่างละห้อยหา ไม่แปลกที่ความสูงซึ่งใกล้เคียงกับผมกอปรกับหน้าตาที่โดดเด่นขนาดนั้นจะทำให้คนสนใจ รวมถึงไอ้เรวะที่หันไปมองตามเสียงเรียกด้วย

“เออว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว เพื่อนแฟนพี่เม่นวันก่อนที่พามากับคนนี้หน้าโคตรคล้ายกันจนผมอดสงสัยไม่ได้” คนเดียวคนเดิม ไอ้น้องเจ็ทแลคที่ชอบโผล่มาแบบทะลุกลางปล้องได้เสมอโดยไม่ปรึกษาลูกพี่มันถามขึ้นแบบไม่ดูบรรยากาศ ไอ้บูมถึงกับหันมามองพลางขมวดคิ้ว

“เพื่อนคนไหน แล้วใครว่าเฮียเป็นแฟนมันวะ เฮียไม่ได้เป็นแฟนกับมันซะหน่อย” ไอ้บูมแย้ง อารมณ์มาเต็ม เล่นเอาคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นอึ้งกันทั้งบาง ผมอ้าปากจะเถียงแต่สะดุดใจจนต้องหันไปดูสีหน้าไอ้เรวะ...

...ลืมไปเลย ประเด็นเรื่องที่แม่ผมทิ้งไว้...

คำพูดจะขัดโดนกลืนกลับเข้าลำคอ ไปต่อไม่ถูก ความสัมพันธ์ที่เหมือนพวกเราพยายามจะสร้างมาด้วยกันแต่วันนี้ทำไมมันเหมือนผมคิดไปเองฝ่ายเดียว โชคดีที่เสียงตะโกนเรียกจากไอ้คีย์ดังมาแต่ไกล มันโบกมือไหวๆให้ไปหา ผมเลยคว้าโอกาสนั้นหลีกทางมาเพื่อทำให้หัวเย็นลง...โดยไม่ทันแม้กระทั่งได้บอกลาอีกฝ่ายที่เดินหายออกไปจากร้านพร้อมน้องชายสุดที่รักของมัน

“เรื่องอะไรวะ”

“มีคนอยากเจอมึง”

“ใคร” ไอ้คีย์ชี้ไปที่กลุ่มผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่ตรงโซนโต๊ะด้านหลังห่างจากเวทีออกมา สายตากลมโตของผู้หญิงคนนึงกำลังจ้องมาแบบตาไม่กระพริบ “เชี่ยคีย์ กูเคยบอกแล้วไงว่าไม่...” พวกเราในกลุ่มต่างรู้กันว่าจะไม่มีการเทคแฟนๆหรือลูกค้าเป็นการส่วนตัว แล้วยิ่งพักหลังที่พวกมันคิดว่าผมคบกับเรวะยิ่งสมัครใจที่จะกีดกันผู้หญิงไม่ว่าหน้าไหนที่เดินเข้ามา แต่ทำไมวันนี้ไอ้คีย์กลับ..

“เปล่า เขาไม่ได้มาหามึงเรื่องนั้น แต่ไอ้นี่ต่างหาก”

กระดาษปึกหนาซึ่งถูกเย็บเข้าเล่ม สภาพแอบยับเยินหน่อยๆเพราะทั้งหน้าปกเต็มไปด้วยรอยคราบน้ำสกปรกสีน้ำตาลแห้งกรัง แถมยังมีบางส่วนฉีกขาดถูกส่งยื่นมาให้

“อะไร” หน้าปกเขียนว่าการอ่านภาษาญี่ปุ่นขั้นสูง ไอ้คีย์มันเอาชีทนี้มาให้ผมทำไม “จะให้กูเรียนเพื่อไปจีบไอ้เรวะ?”

“บ้าเหรอมึง มึงดูชื่อด้านในปกซะก่อน” ทำตามที่มันบอก เปิดไปยังหน้าแรกของชีท ลายมือที่เขียนหวัดๆแต่มองเพียงแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใคร เพราะลายมือมันฝังอยู่ในหัวผม แล้วสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นถึงความเป็นเจ้าของก็คือชื่อที่เขียนมุมบนขวาของกระดาษแผ่นแรกว่า ‘มนายุ’

“ชีทของเรวะ”

“เออ”

“มึงเอามาได้ยังไง”

“กูไม่ได้เป็นคนเอามา คนเอามาอยู่นู่น” เพื่อนมันใช้คางชี้ไปทางโต๊ะตัวเดิม ซึ่งหญิงสาวคนเดิมยังจ้องผมอยู่ ชั่วแวบหนึ่งหน้าเธอดูนึกคุ้นอย่างประหลาด หากแต่ผมกลับขุดออกจากสมองไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ในที่สุดจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้

“กรี๊ด พี่เม่น” เดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนสองคนข้างๆที่ส่งเสียงดังขึ้นมา ส่วนคนที่จ้องผมอยู่นานกลับไม่แสดงท่าทีอะไรมากมาย ยกเว้นการผุดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้มองมาด้วยแววตาอึ้งๆ

“น้องใช่คนที่เอาชีทนี้...”

“คะ...ค่ะ!” เธอตะโกนตอบรับแบบตื่นๆจนผมแอบกลัวคนในร้านจะเพ่งเล็ง หากความมันสุดเหวี่ยงของพี่เต้ยนักร้องบนเวทีไม่ดึงความสนใจไว้ให้ผมคงไม่รอด

“น้องไปเอามา...”

“พี่จำหนูไม่ได้เหรอคะ”

หา?

“คนที่โดนวิ่งราวกระเป๋าในตลาดวันนั้นแล้วพี่ช่วยไว้ไง”

“เฮ้ยจริงด้วย อ๋อก็ว่าแล้วว่าทำไมคุ้นๆ” ที่แท้ก็น้องกระเป๋าชมพูในวันกล้วยแบนกับเสื้อนักศึกษาขาดของผมกับเรวะนั่นเอง

“วันนั้นขอบคุณนะคะ”

“เฮ้ย พี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย คนที่ช่วยน่ะเรวะมันต่างหาก” กลับกันทางนี้ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเสียอีก...ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอมัน “ว่าแต่วันนี้มาหาอะไรกินกับเพื่อนเหรอ” แค่เอ่ยถึงก็เรียกเสียงงุ้งงิ้งจากอีกสองคนที่นั่งอยู่ได้

“อ๋อ ใช่ค่ะ ความจริงก็แอบมีธุระกับพี่เม่นนิดหน่อย”

“ธุระกับพี่”

“เออ...” ดูท่าทีเธอแปลกไปเหมือนไม่สะดวกใจที่จะพูด “พี่เห็นชีทนั่น ของพี่เรแล้วใช่มั้ยคะ”

“อื้อ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมชีทมันไปอยู่กับเราได้” เฮ้ยๆๆอย่าบอกนะว่า ไอ้เรวะมีหญิงมาจีบ หรือความจริงมันมีเมียเก็บแล้วนางกำลังจะเอาชีทมาอวดผมก่อนบอกว่า ‘ช่วยส่งคืนเรวะให้หน่อย’ น่ะ

“มันถูกทิ้งอยู่ในถังขยะค่ะ”

“ถังขยะ?” คิดถึงตอนกระเป๋าตังค์ตัวเอง เออ ป่านนี้ผมยัง ผมงงกับสิ่งที่เธอพูด งงความสัมพันธ์ หมายความว่าไง ไอ้เรวะเอาชีทไปทิ้ง? “พี่เม่น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยใช่มั้ยคะ”

รู้? เรื่องอะไรผมยังจับใจความเรื่องทั้งหมดไม่ได้ด้วยซ้ำ

คงสังเกตเห็นว่าผมนิ่งไปความตื่นตกใจเลยเข้ามาแทนที่ เธอยกมือขึ้นป้องปาก “ยะ...อย่างนั้นป่านก็ไม่ควรจะเอามาเล่ารึเปล่านะ ในเมื่อพี่เรไม่เล่า ปะ...ป่านขอโทษค่ะ” เธอขอโทษพร้อมก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ก่อนทำท่าจะย้ายตัวกลับลงไปนั่งอย่างเก่า แต่ทว่าผมกลับรีบคว้าไหล่ของเธอไว้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เล่าให้พี่ฟังหน่อย ถือว่าพี่ขอร้อง”



มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 23 : แค่คนคุย [18/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 18-04-2019 20:44:52
[พาร์ตของเรวะ]

“เลิกทำแบบนี้เหอะ”

“กูทำอะไร” ตีหน้าซื่อทำเนียนเป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษของอดีตเด็กข้างบ้านรุ่นน้องผม ในเมื่อไม่ฟังกูก็จะไม่พูดอะไรอีกต่อไป พอถึงทางแยกผมเดินเบี่ยงตัวมาอีกทางแบบไม่สนใจ จนไอ้บูมต้องตะโกนเรียก “อ้าว แล้วนั่นจะไปไหนอ่ะ”

“เดินเล่น”

“เดินเล่นเนี่ยนะ นี่มันกี่โมงแล้ว ประสาทเปล่าวะเฮีย”

“ประสาทน้อยกว่าอยู่กับมึงละกัน” ก้าวไปข้างหน้าได้สามก้าว ไอ้เด็กน้อยในอดีตที่ตอนนี้มันถีบตัวจนสูงกว่าผม ก็กระโดดผลุงมาขวาง

“กูน่ารำคาญมากหรือไงวะ” ไอ้บูมดูอารมณ์เสีย ทั้งที่เมื่อก่อนมันออกจะดีใจถ้าผมได้จิกกัดอะไรมันสักอย่าง

“มึงต่างหาก ไม่สบายเปล่าวะ อยู่ดีดีก็ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้”

“กูทำอะไร”

“ตามกูต้อยๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้มึงต้องรีบแจ้นไปทำงานพิเศษแล้ว อยู่ๆก็เลิกซะงั้น เป็นบ้าอะไร”

“เฮียบอมบอกว่าให้ลดบ้างก็ได้ มันหาตังค์ได้แล้ว” พักนี้ไอ้บอมมันทำตัวดี ดีจนไอ้บูมเลิกกลัว สองพี่น้องเลยได้ใช้ชีวิตด้วยกันอีกครั้งนับจากวันที่ยายบัวจากพวกเราไป แต่ตามนิสัยไอ้บูมมันไม่น่าเป็นคนหักดิบที่เปลี่ยนมาพึ่งพาพี่ชายมันเต็มตัวได้ขนาดนี้

“มึงไม่ได้ลด มึงเลิก เทมันทุกงานเลย”

“กูรู้ตัวแล้วไงว่ากูมัวแต่นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว”

“พูดผิดเปล่าวะ ออกจากงานคือการนั่งอยู่เฉยๆต่างหาก”

“กูหมายถึงเรื่องมึง”

“...”

เวลาไหนที่ไอ้บูมขึ้นกูมึงแบบไม่เรียกแทนผมว่าเฮียคือมันกำลังจริงจังกับเรื่องที่พูด ตอนนี้สายตามันจ้องตรงมาราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงความคิดผม

“เมื่อก่อนที่ดูเหมือนกูไม่แสดงออก เพราะกูกลัวมึงจะหนีหน้า กูไม่อยากทำลายความสัมพันธ์พี่น้องที่สร้างกันมา แต่กู...ไม่อยากเสียมึงให้ใครจริงๆ”

“...”

“มึงเป็นคนเดียวที่คอยอยู่ข้างกูมาตั้งแต่เด็ก คอยปกป้องกู แม้กระทั่งตอนที่ยายจากกูไป... มึงมีค่ากับกูมากนะเรวะ”

“...”

“กูรู้ตัวว่าชอบมึง...ตั้งแต่ตอนมัธยม กูรู้ว่ามันแปลก เลยพยายามคิดว่ามึงเป็นแค่พี่ชายที่พยายามปกป้องน้อง แต่ใจกูกลับอยากดูแลมึงเรื่อยๆนับจากวันนั้น...” ไอ้บูมคว้าข้อมือผมฉุดเข้าหากะทันหันจนลืมฝืนตัวไว้ทัน ร่างทั้งร่างกระทบแผ่นอกตกอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เป็นอดีตน้องชายจอมขี้อ้อนและน่าเอ็นดูในสายตาผม แขนแข็งๆอ้อมมารัดตัวไว้ขณะที่คิดจะผละจาก

“ไอ้บูมทำเหี้ยไรเนี่ย ปล่อยดิวะ” แว่วเสียงมอเตอร์ไซค์ดังผ่านหลังไป นี่มันหมิ่นเหม่ลงจากทางเท้าจะไปข้างถนนแล้ว อันตรายนะเว้ย ผมนึกปรามในใจ แต่ไอ้บูมกลับตะโกนแทรกขึ้นมา

“ขอกูแค่นี้ได้มั้ย!”

“...”

“แล้วกูจะไม่ขออะไรอีก”

“...”

“กูรักมึงนะ”

“...” คำสารภาพของมัน น้ำเสียงสั่นไหวราวกับเจ็บปวด...ไอ้บูม...มันจริงจัง...

ผมยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ทำอะไรไม่ถูก ถ้าผลักออกมันจะทำน้ำเสียงทรมานมากกว่านี้มั้ย ไม่รู้เลย ผ่านไปเกือบนาที เสียงถอนหายใจเหมือนจะเอาวิญญาณออกจากร่างตามมาด้วยดังเข้ากลบบรรยากาศเงียบๆยามค่ำคืนจนหมด

“เฮ้อออออ ในที่สุดก็ได้บอกออกไปซะที อึดอัดชะมัดเลย” มันจับต้นแขนดึงผมออกจากอกโค้งตัวลงมามอง “เฮียแม่งตัวเล็กกว่ากูตั้งแต่เมื่อไรวะ หัดแดกเนื้อ กับนมเข้าไปเยอะบ้าง แต่ไข่กูห้าม กูไม่ยอมให้มึงไปแดกไข่ใครเด็ดขาด”

“หา?” แทบจะขมวดคิ้วตีลังกาสองตลบ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ รอยยิ้มหล่อๆที่ไม่คิดว่าไอ้เด็กกะโปโลเมื่อสมัยก่อนจะสร้างขึ้นมาได้ถูกเผยออกมา

“หึ ทำหน้าอะไรวะ คอสเพลย์เป็นควายทำไม”

“สัดบูม”

“หึหึ”

“ไอ้เหี้ย” ปล่อยให้กูคิดมาก ผมผลักอกมันอย่างแรง ถ้าเป็นตอนเด็กบอกเลยป่านนี้มันปลิวแล้ว แต่ตอนนี้มันแค่ตัวไหวน้อยๆแค่นั้น

บริเวณแวดล้อมปราศจากรถที่วิ่งผ่านไปมาบนถนน มีเพียงพวกเราสองคนที่ยืนอยู่ กับมอเตอร์ไซค์อีกคันที่จอดค้างไว้...และเงาตะคุ่มตะคุ่มของใครบางคน...

แสงสลัวจนไม่อาจยืนยันตัวตนบุคคลน่าสงสัยที่ปนเงาไม้ในยามค่ำคืนได้ แต่สุดท้ายร่างๆนั้นเดินเข้ามาให้ผมได้เห็นหน้าชัดๆ

“ใครใช้ให้มึงมากอดดาร์ลิ้งกูสุ่มสี่สุ่มห้าวะ”

เชี่ยเม่น!!



[พาร์ตของเม่น]

คิดไว้ไม่มีผิด ห่างจากสายตาไม่ได้เลย ไอ้เด็กมือไว อยากบอกว่าผมเห็นตั้งแต่ช็อตต้นๆ เบรกไอ้เบิ้มแทบไม่ทัน กว่ากลับลำเดินมาแยกมันสองคนได้ ไอ้บูมแม่งก็เอากำไรไปเหนาะๆแล้ว

รู้ว่ายังห่างเลยตะโกนห้ามไว้ก่อน แต่ไอ้สัดบูมไม่ปล่อยไม่พอ ยังเสือกก้มหน้ายื่นปากเข้าไปสัมผัสแก้มนิ่มๆของเรวะจนผมตะลึง

“ไหนๆกูก็แพ้แล้ว กูขอกำไรบ้างดิวะ”

“เชี่ยบูม อยากเอากำไลมึงก็ไปเอากับร้านเครื่องประดับดิวะ อย่ามาเอากับคนของกู!”

ไอ้เรวะถึงกับทำหน้าอึ้งมองตรงมา สักพักก็หลุดขำ ขำแบบไม่กะให้ใครแทรก ขำเป็นบ้าเป็นหลัง ขำยันไปถึงชาติหน้า เชี่ย มึงเป็นบ้าอะไร ขำอะไร

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เม่น มึง มึง...มึงฮาวะ”

สัดกูรู้แล้ว มันขำมุกกู

“โอ้ยไม่ไหวแล้วปวดท้อง ฮะ ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

อ่อนใจ...

แต่ แต่กูจะไม่ใจอ่อนให้กับการกระทำของไอ้บูม ผมเดินย่างสามขุมไปลากคนเมายาบ้าออกมาจากอ้อมแขนของไอ้เวรนั่น

“ฝากไว้ก่อนโว้ย” ต้องเคลียร์เรื่องผัวเมียก่อนแล้วค่อยจัดการกับคนนอก มันคือนโยบายพ่อบ้านของผม...





บังคับขืนใจลากไอ้เรวะซ้อนขี่ไอ้เบิ้มขับเพลินๆจนมาถึงหอ อยากให้มันง้อบ้างเลยทำท่าเย็นชาเดินขึ้นตึกมาแบบไม่สนใจ แต่ทว่าพอถึงหน้าห้องเหลือบมองไปด้านหลังแบบสงวนท่าทีก็มีอันต้องชะงัก

ชะ..เชี่ย...หาย!! ไอ้เรวะหาย มันไม่ได้เดินตามผมมาด้วย โอ้ยอะไรวะ...งานนี้มีงอนขึ้นอีกสามล้านเท่า...ผมกระสับกระส่ายเร่งรุดฝีเท้าไปกดปุ่มเรียกลิฟต์ ช้า ทำไมช้าอย่างนี้ ลิฟต์หรือเต่าวะ ป่านนี้มันไปไหนแล้วเนี่ย

“ทำอะไรน่ะ”

“ชะเชี่ย!แม่ร่วง!หัวใจกู!” สะดุ้งโหยง หมุนตัวไปมองด้านหลัง ไอ้คนที่ทำให้ร้อนรนยืนทำหน้าตาทะเล้นยิ้มแผล่อยู่แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว พลางยักคิ้วหลิ่วตาเหมือนสนุกกับการแหย่ผม

“ยะ...อยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็ตั้งแต่มึงทำตัวลนๆตอนมองไม่เห็นกู”

“แกล้งกูเหรอวะ”

“อื้อ แกล้ง” แทบทรุดลงไปนั่งกอดเข่ากับพื้น ยอมรับง่ายๆแบบนี้เลยเนี่ยนะ

“แกล้งกูสนุกนักหรือไง” ผมเหลือบมองคนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่

“สนุกดิ เพราะเป็นมึงกูเลยสนุก”

“มึงเห็นกูเป็นตัวตลกเหรอ”

“เปล่า กูแค่เห็นมึงเป็นมึง มึงทำให้กูหัวเราะ มึงทำให้กูมีความสุข” เรวะย่อตัวลงมาโอบแขนรอบผมที่นั่งคู้ตัวอยู่ รู้สึกได้ถึงการสูดลมเบาๆที่เขาเรียกว่า ‘หอม’ บริเวณขมับ ถ้าเป็นแค่มโน...มันก็เป็นการมโนที่ร้ายแรงมาก...

...เพราะใจผมสั่น...

“...”

จังหวะที่เงยขึ้นไป...หน้าเราอยู่ใกล้กันมาก...

ริ้วแดงๆของผิวแก้มนวล มันทำให้รู้ว่าเรวะมันเขินตอนสบตาผมโดยบังเอิญ

“เรวะ”

“ไร”

“อย่าทำให้กูหวั่นไหว”

“นั่นคำพูดกูเปล่าวะ”

“หึ” เสียงหัวเราะของพวกเราดังเบาๆอย่างเกรงใจคนบนชั้นนั้น จนกระทั่งลิฟต์เปิดขึ้นมาอีกรอบ จากที่เขินกันเองกูต้องมาเขินให้กับเพื่อนบ้าน เพราะคนที่ขึ้นจากลิฟต์มาฝูงนึงกำลังมองอึ้งๆตรงมาทางนี้

“ขะ...ขอโทษที่ขวางทางคร้าบ”

อาการตีแขนถี่ๆของผู้หญิงด้านหลัง ทำให้รู้...ว่ากูโดนแล้ว คนพวกนั้นเดินกรูออกจากลิฟต์ ขนาดเลยไปแล้วยังมีหันมามองเกาะแขนเพื่อนเขย่าเป็นระยะอีก...เออ เปิดตัวเลยมั้ย จะได้ไม่มีใครมายุ่งกับไอ้เรวะมันอีก





ผมยังไม่ลืมหรอกนะ สาเหตุที่ผมตามหาเรวะ คำบอกเล่าจากปากน้องป่านเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผม ทุกฉากในคลิปวิดีโอที่เธอให้ดู มันเหมือนเข็มเป็นพันๆเล่มวิ่งพุ่งตรงมาแทงเข้าที่อกจนเจ็บไปหมด เรวะ...มึงทนมาได้ไงวะ

พยายามหาโอกาสเหมาะเพื่อพูดคุยอย่างจริงจัง แต่พอผมทำธุระปะปัง อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ไอ้เรวะก็นอนหลับปุ๋ยกอดหมอนข้างเข้าห้วงนิทราไปนานแล้ว

“ไม่รอกูเลย” คงจะเหนื่อย ช่วงนี้ยังดีกว่าก่อนหน้าเพราะมันเพลางานแปลลงแล้วหันมาสนกับครอบครัวมากขึ้น มีแต่วันศุกร์ที่เจ้าตัวต้องมารอดูผมขึ้นเวทีจนถึงดึกดื่น ร่างจะล้าบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ผมดึงหมอนข้างในอ้อมกอดอีกฝ่ายออกอย่างแผ่วเบา แล้วแทรกตัวเข้าไปแทนที่ เรวะปรือตาขึ้นมาอย่างสติไม่เต็มร้อย ก่อนทำตาโตใส่ผม

“ทะ...ทำอะไรวะ”

“มึงกอดกูแทนก็ได้ กูรู้สึกมานานแล้ว ที่เตียงกูแคบเพราะหมอนข้างเน่ามึงมาขวางเนี่ยแหละ” ความจริงก็หมอนข้างผมแหละ แต่ทุกครั้งที่มาค้างมันจะเอามากอดขวางไว้ตรงกลางเสมอ

“แต่ตัวมึงไม่นิ่ม”

“เออ ไม่นิ่ม แถมยังมีแต่ส่วนที่แข็งด้วย” จบประโยค ผมงงเต็กกับไอ้อาการเบิกตาโตต่อเนื่องแถมยังอ้าปากค้างของเรวะ “มึงเป็นอะไรวะ...” สายตามันสลับไปมาอยู่แค่สองจุดบนล่าง คือใบหน้าผมกับ... “เชี่ย กูไม่ได้หมายถึงตรงนั้น”

“แล้วมึงหมายถึงตรงไหน”

“กล้ามกู...มึงก็เคยเห็นหนิ กล้ามกูอ่ะ” สัด...ทะลึ่ง

“กูยังไม่เค...”

เพียะ!

มือซนโคตร นิ้วตะเกียกตะกายมาถึงชายเสื้อกูได้ไงวะ

“เล่นเชี่ยอะไรเนี่ย” จากนอนๆกูอยู่นี่ลุกขึ้นนั่งเลยครัช

“ก็มึงไม่ยอมให้กูดู”

“ก็มึงเคยดูแล้ว”

“ดูแล้ว แล้วดูอีกครั้งไม่ได้หรือไง ดูดิ๊ กูตื่นเลยเนี่ย”

“ตะ...ตื่น อะไรตื่น!” เผลอหลุดเสียงดังใส่คนตรงหน้า ร่างโปร่งถึงกับลุกขึ้นนั่งค้าง แต่ไม่นานก็หลุดยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“เชี่ยเม่น คิดทะลึ่ง”

“กูเปล่า”

“แล้วลุกขึ้นมาทำไม”

“ของกูเปล่าลุก!” คำอะไรสองแง่สองง่ามกูจับโยงหมดแล้วตอนนี้

“ให้กูช่วยมั้ย” มันจะเอามือมาจับของของผมให้ได้ ผมนี่แทบพลิกตัวหลบเป็นระวิง

ไอ้เวรเรวะใจมึงทำด้วยอะรั๊ย! อย่ามายุ่งกับลูกชายกูที่นอนสงบอยู่ดิวะ

จนในที่สุดพอคว้าข้อมือบางสองข้างไว้ได้ผมก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักมันล้ม พร้อมตามลงไปคร่อม

“มึงช่วยตัวมึงเองก่อนเถอะ”

“ไอ้เม่น ไอ้โรคจิต จะให้กูชักให้ดูเนี่ยนะ”

“กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น กูหมายถึงชีทการอ่านภาษาญี่ปุ่นขั้นสูงต่างหาก”

“...!”

เดดแอร์ไปเลยสัด...เหมือนตัดเข้าโฆษณา ไอ้เรวะมันถลนตามองผม แต่ยังคงทิ้งแววสั่นไหวที่ยังไงก็ปิดไม่มิด

“มึงพูด...เรื่องอะไร” ผมผละออกจากตัวเดินไปยังเสาแขวนกระเป๋าเป้ ชีทจากน้องป่านถูกหยิบออกแล้วส่งยื่นให้คนตรงหน้า

“เรื่องอะไรมึงน่าจะรู้ดี”

“มึง...ไปเจอที่ไหน”

“มึงไม่รู้เหรอ”

เรวะมันส่ายหัวเบาๆอย่างเลื่อนลอย

“ไม่รู้ หรือไม่อยากบอกกูกันแน่”

...TBC...

+++++++++++++++++++


ขอบคุณที่รักกัน ขอบคุณทุกครั้งที่อ่านผลงานของเรา....

จะโดนลิขสิทธิ์เพลงมั้ยนะ T^T

เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 23 : แค่คนคุย [18/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-04-2019 22:07:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 23 : แค่คนคุย [18/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: saiichinisan ที่ 18-04-2019 23:14:50
แต่งสนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  o13
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 23 : แค่คนคุย [18/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kamereborn ที่ 19-04-2019 20:55:09
ภาษาลื่นไหลมากๆ อ่านได้เรื่อยๆ ให้กำลังใจนะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 23 : แค่คนคุย [18/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 22-04-2019 16:52:50
โอ้วววววว เรวะ นั่งอ่านรอเล่มเลย
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก [27/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 27-04-2019 21:54:30
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก


คิดว่าหายไปซะแล้ว...

 
วืบแรกที่เห็นชีทการอ่านภาษาญี่ปุ่นขั้นสูงยื่นส่งมาจากคนตรงหน้าผมคิดได้เพียงเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังส่งสายตาตัดพ้อมาอย่างเต็มที่ พอเงยขึ้นไปอีกทีถึงกับ

ชะอุ๊ย...

“มะ...เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ กูไม่ทันฟัง” ไม่ว่าสิ่งใดก็เกินคาดสำหรับคนชื่อเม่นเสมอ ขนาดวันนี้ที่มันตะโกนเรียกดาร์ลิ้งขึ้นกลางเวทีก็ว่าทีนึงแล้ว มาคราวนี้คิดว่าคงมีเหวี่ยงฟาดงวงฟาดงาแต่มันกลับเอื้อมมือมาตะปบคว้าเข้าที่ท้ายทอยแล้วกระชากผมเข้าหาเต็มแรง

“...!”

“หูหนวกเหรอ”

ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะเข้าใบหู

“กูถามว่า”

ริมฝีปากเลื่อนเข้ามาแนบติด เสียงทุ้มลึกแล่นเข้าสู่ประสาทโดยตรง

“สัดเรวะมึงไม่รู้หรือไม่อยากบอกกูกันแน่”

เชี่ยแก้วหูแทบร้าว ทำไมสลับมาตะโกนใส่หูกูได้วะ รีบหมุนหัวไปเผชิญหน้าเอาหูตนเองให้ห่างปากอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไอ้เม่นก็เล่นไม่เลิก มันคล้องคอล็อคผมไว้แถมยังเอนโยกโค้งไปมาเป็นเลขแปดตามการหลบตัวของผมอีก

“โว้ย ไอ้เม่น ปล่อยดิวะ อย่าเล่นแบบนี้ หูกู หูกู”

“ม่ายยยยยปล่อยเว้ยยยยยยยย”

มีทำเสียงแบบอังพัดลมใส่อีก หูชาแล้วโว้ย ไม่เคยมีใครสอนเหรอวะว่าห้ามเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้ ร่างสูงทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่จนต้านไม่ไหว เลยหงายหลังลงไปแผ่สองสลึงกับเตียง ตามมาด้วยแรงหนักๆที่ทับลงมาจนเกือบจุก

“ไอ้เม่น มึงเล่น...” สะดุดคำพูดตัวเองเมื่อลืมตาไปสบกับอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีท่าทีกวนส้นตีนอีกต่อไป หากสายตากลับฉายแววจริงจังชัดเจนจนน่าขนลุก แขนมันที่โอบผมไว้ทั้งตัวออกแรงรัดเบาๆ ร่างสูงกำลังจ้องมองลงมานิ่ง

“บอกกูบ้างได้มั้ย”

“หา?”

“อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมึง”

“มึงหมายถึง...”

“กูอยากสำคัญสำหรับมึง”

“...!”

ยะ...แย่แล้ว หัวใจผม...มันกำลังพองตัวขึ้นเรื่อยๆ...ใครก็ได้...ช่วยหยุดมันที

“มะ..มึง...สำคัญ...สำหรับกูอยู่แล้ว” ตอบอ้อมแอ้มก้มหน้า เสียงแทบจะหายไปกับลำคอ ทำไมผมต้องมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่ชิน ไม่ชินโว้ย

“สำคัญยังไงก็ยังไม่ใช่‘แฟน’”

หา?

ชักหน้าขึ้นไปมองแทบไม่ทัน สายตาคมกำลังจ้องมาทางผม มันพาลพาให้คิดถึงใบหน้าที่คุ้นเคยยามเอ่ยคำรักหวานซึ้งซึ่งปนมาตามอารมณ์เพลงและท่วงทำนองตอนอยู่ร้านข้ามคืน

“มึงหมายถึง...”

“กูอยากเป็นแฟนมึง”

ตี๊ด

ตี๊ดดด

ตี๊ดดดดด

ตี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไอ้เหี้ยขอเครื่องปั๊มหัวใจด่วน ผมกำลังจะตาย หายใจไม่ออก ไอ้เม่นมึงไม่สบายใช่มั้ย ผมรีบยกมือไปแปะหน้าผากมัน

“ทำอะไรวะ”

“วันนี้มึงกินเปียกปูนใบเตยที่แฟนคลับมึงเอามาให้รึเปล่า”

“ท้องเสียครั้งเดียวกูก็เข็ดแล้ว”

“หรือว่าพี่ตี๋เลี้ยงเหล้ามึง”

“บอกแล้วไงว่าพี่ตี๋เลี้ยงแต่นม”

“งั้นมึงคง...”

“เรวะ กูสบายดี”

“นมัสเต”

“ไม่ใช่สวัสดีภาษาลาวเว่ย!” รู้มุกผมอีก “นี่มึงกำลังกลัวอะไรวะ”

“เปล่ากูไม่ได้...”

“หรือมึงไม่อยากคบกับกู”

“หา?”

“นั่นสินะ ไม่งั้นมึงคงไม่ไปบอกแม่กูหรอกว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน”

“เดี๋ยวดิไอ้เม่น นั่นมัน...”

“ช่างเถอะ” มันดันตัวถอยห่างจากผมทันที แถมมีพลิกตัวหนีเปล่งออร่าโคตรของโคตรงอนออกมา

“ไอ้เม่นหันมาคุยกันก่อน”

“มึงอย่าพึ่งมองหน้ากูเลย กูจะร้องไห้ว่ะ”

“มึงจะร้องไห้ทำไมวะ”

“คนพึ่งอกหักนะเว้ย หรือมึงจะให้กูหัวเราะ พระเอกนะครับไม่ใช่คนบ้า” โหย หลงตัวเองสัดสัด มึงไปเล่นละครเรื่องอะไรวะถึงได้เป็นพระเอก

“มึงเคยดูละครแล้วรำคาญพระเอกโง่ๆมั้ย”

“กูเป็นพระรองก็ได้ ยังไงก็ไม่มีทางสมหวังอยู่แล้ว” ยังอีก

“หันมาคุยกันให้เคลียร์ก่อนดิวะ มึงกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ”

“เข้าใจผิดอะไรวะ บอกกูมาดิ”

“มึงหันมาก่อนดิ”

“มึงพูดกับแผ่นหลังกูก็ได้” พูดกับแผ่นหลัง...ให้กูคุยกับกำแพงเลยมั้ยนั่น ช่างเถอะ เอาก็เอาวะ สุดท้ายก็ตัดสินใจโผเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายจากแผ่นหลังตามที่มันบอก ไอ้เม่นกระตุกตัวอย่างตกใจ แต่ไม่ได้ขยับหนี ผมเลยซบหน้าลงไปที่แผ่นหลังกว้างของมัน

“ไอ้เม่น”

“...”

“มึงคงได้ยินจากแม่มึงมาใช่มั้ย ว่ากูพูดอะไรไป”

“กูอยากทำเป็นไม่ได้ยิน” เสียงอู้อี้ดังผ่านแผ่นหลังที่ผมแนบหูอยู่

“มึงไม่ต้องได้ยินก็ได้ แต่คราวนี้มึงต้องฟังกู”

“ถ้ามึงจะพูดคำเดียวกับที่บอกแม่กู มึงหุบปากไปเลยสัด”

“งั้นกูเปลี่ยนคำพูดก็ได้”

“มึงจะยกมาทั้งพจนานุกรมกูก็ไม่ฟัง” โว้ย มีคว้าหมอนมาปิดหูอีก ถ้าไม่ได้ยินคำพูดคราวนี้ คนที่แย่จะเป็นผม ใครมันจะยอมล่ะ หมอนก็หมอนดิวะ กูมุดหัวเข้าไปหายใจรดต้นคอแม่ง ไอ้ตัวสูงยังมีกระเถิบตัวหนีไปข้างหน้าแต่มันสุดขอบเตียงแล้วไง มึงหมดทางหนีกูแล้วล่ะ

“กูไม่อยากให้มึงเข้าใจผิด”

“ตอนนี้กูเข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่ะ มึงเลิกพูดเถอะ”

“กูหมายถึงเรื่องของพวกเราตอนแรกที่เป็นแฟนกัน มันเกิดจากความเข้าใจผิด กูอยากให้เป็นโมฆะ”

“แล้วมึงก็เลยไปบอกกับแม่กูเนี่ยนะ ทีหลังไม่ต้อง มึงมาบอกกับกูนี่ กูรับได้”

“เออก็ได้วะ กูชอบมึง”

“...!”

ถ้าจะบอกว่าโลกเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ตอนนี้เห็นทีจะได้ ร่างในอ้อมแขนค้างนิ่งไม่ไหวติงก่อนทุกอย่างจะกลับตาลปัตรร้อยแปดสิบองศา ไอ้เม่นมันพลิกตัวมาอย่างไวว่อง

“เชี่ยเรวะ มึงว่าไง...เหี้ย!”

พรึ่บ!!

จุดจบสุดท้ายของไอ้สุดหล่อประจำสินกำ แค่มันหันพลิกตัวมาเท่านั้นแหละ สารร่างที่เต็มไปด้วยมวลกระดูกและกล้ามตามที่เจ้าตัวเคยอวดก็ร่วงตกข้างเตียงไปต่อหน้าต่อตาผม

ตุบ!!

“เชี่ยเม่น!”

สัด ตายมั้ยวะ เสียงดังแทบลั่นไปทั้งห้อง ไม่นานเสียงโอดครวญก็ตามมา เจ้าตัวนอนตะแคงพลางลูบสีข้างป้อยๆ

“เจ็บสัด” มันบ่นกระปอดกระแปด เหมือนยังไม่มีแรงลุกขึ้นนั่ง ผมพรวดพราดยื่นมือเข้าไปหวังจะฉุดมันขึ้นมา แต่ฉุกใจชักมือกลับ คนเจ็บเลยได้แต่สับมือค้างเก้ออยู่กลางอากาศพลางมองหน้าผมแบบโคตรสงสัย รู้เลยมันกำลังด่าผมในใจว่า ‘ทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย’

“เรวะมึง...”

“กูไม่ช่วยนะ”

“ฮะ?”

“ไม่ช่วยแน่ๆอ่ะ” ผมนั่งยองลงไปให้เสมอระดับสายตา กอดเข่ามองมันกระพริบตาปริบๆใส่อย่างงุนงง ไอ้หล่อมันถอนหายใจปิดเปลือกตาลงอย่างปลงตกพร้อมสบถออกมา

“เป็นเหี้ยอะไรของ...”

“เป็นไง หลุมรักที่กูขุดไว้”

“หา?”

“ตกลงไปเจ็บมั้ย”

งานนี้ไม่มันตาย ผมก็หน้าแตก รู้ดีเลยว่ายิงมุกน้ำที่ไม่เข้ากับสุขภาพเอาเสียเลย มีสิทธิ์ทำไอ้เม่นแปะปากมองบนด่าวนไปถึงชาติหน้า แต่มาถึงจุดนี้แล้วไงไม่มีปัญญาแม้แต่จะกลบเกลื่อนคำสารภาพที่โพล่งออกมา ก็ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ทำกันไปดิครับ

“ทำไปได้นะมึง”

“ทะ...โทษทีว่ะ”

“กูหมายถึงหลุมรักมึงน่ะ ขุดลึกไปมะ เจ็บสัดสัด”

ถ้าเป็นมึงกูก็อยากเจาะทะลุให้ถึงแกนโลกเลยว่ะ ง่อลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล




 
 
อยากกลับบ้าน เพิ่งรู้สึกอยากกลับบ้านขนาดหนักก็ตอนเวลาเลยผ่านตีหนึ่งมาแล้ว ไอ้เม่นมันลุกจากพื้นไปหาหยูกยาทาสีข้างซึ่งโดนหลุมซาดาโกะดูดวิญญาณของผมทำร้ายเสร็จ มันก็เดินจงกรมกลับมาที่เก่าโดยเพ่งสายตามองมาทางนี้ตลอดเวลา ทะลุแล้วคร้าบ เลิกมองกูทีเถอะ กูขอ

“หายเจ็บยังวะ”

“ตกเตียง ไม่ใช่มดกัด จะได้หายกันได้ง่ายๆนะมึง” มันดึงชายเสื้อยึดคอกลมขึ้นมองรอยแดงที่เริ่มออกอาการช้ำ จงใจโชว์ร่องซิกแพคให้กูเห็นชัดๆเลย ในเมื่อให้มาก็ต้องตอบสนองด้วยการหยอกเล่นเล็กๆตามนิสัย ผมคลานเอื้อมมือไปจับสีข้างเปื้อนรอยแดง จนร่างสูงกระตุกตัวหลบด้วยอาการตกใจ “ทำอะไรวะ”

“สัมผัสซิกแพคของพี่เม่นคนดัง” มันปัดมือผมทิ้งก่อนดึงชายเสื้อลงอย่างไว

“หยอกกูเล่นบ่อยๆ ระวังตัวมึงให้ดีเถอะ”

“อย่างกูมีอะไรให้ระวัง ถ้ามีอย่างพี่เม่นคนดังก็ว่าไป...”

“ระวังคนอย่างกูนี่ไง”

“หา?”

และแล้วมันก็พิสูจน์ให้เห็นจริง จากคลานสี่ขานิ่งๆอยู่บนเตียง กลับโดนจับหงายหลังไม่ต่างกับแมลงสาบโดนทำร้ายตะเกียกตะกายขยับตีนอยู่กลางอากาศ เสื้อนอนซึ่งหยิบยืมมันมานับเป็นครั้งที่ร้อยถูกเลิกขึ้นจนเห็นสะดือจุ่นๆของตนเองพร้อมรอยแผลเป็นรวบมาแบบเซตคอมโบ มือหนาแปะลงตรงแผ่นท้องตะโบมลูบตามร่องรอยดั้งเดิมอย่างหนักหน่วง

“เชี่ย...เดี๋ยว ไอ้เม่น”

“เจ็บมั้ยวะ”

“กูหายเจ็บตั้งนานแล้ว” ผ่านมาเกือบอาทิตย์ ถ้ายังไม่หายป่านนี้กูคงตายไปแล้วล่ะ

“ทำไมคนถึงเกลียดมึงได้หนักหนาวะ มึงก็ออกจะ...”

“ทำไมเหรอ...น่ารักอ่ะดิ” ผมยิ้มทะเล้น คนอย่างมันไม่มีทางชมผมหรอก เลยต้องชิงชมตัวเองก่อน

“กวนส้นตีน” นั่นไง

“แต่เขาว่ากันว่าคนน่ารักมักโดนทำร้ายนะมึง”

“ยอมโดนทำร้ายเพื่อจะได้น่ารักเหรอวะ แฟนกูท่าจะประสาทว่ะ”

หืม? กระพริบตาปริบๆ

“อะไร”

“เออะ...” กรอกตาซ้ายขวา วนตามเข็มนาฬิกาหนึ่งรอบอย่างหาจุดตกไม่ได้

“เมื่อกี้มึงว่าไงนะ”

“ยอมโดนทำร้าย...”

“ไม่ใช่ๆ หลังจากนั้นไปอีก”

“ท่าจะประสาท...”

“หลังไป เอาก่อนหน้านั้นดิวะ”

“เพื่อจะได้น่า...”

“โว้ย!นั่นก็หน้าไป”

“ว่าไงครับ คุณแฟน”

“....!!!!”

โอ้โหไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยไม่ชมกูยังไม่ว่า แต่ดันเสือกมาเรียกกูว่าแฟน!!!

กะทันหันเกินไปจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ รีบตะแคงหน้าหลบเอามือปิดกลัวมันจะรู้ แต่ที่ไหนได้มันกลับคว้าเข้ามาที่ข้อมือแล้วจับแหก...ย้ำ ว่าจับแหก แค่เห็นหน้าผมเท่านั้นแหละยิ้มหล่อๆของมันก็ปรากฏที่มุมปาก

“มึงแม่ง ดีแต่ปากตลอด ชอบหยอกกูสุดท้ายคนที่เขินหนักกว่าก็มึงเนี่ยแหละ”

“ปกติกูไม่เป็นแบบนี้”

“ครับ กูเชื่อ เชื่อมาก”

“กูจะเป็นเฉพาะตอนที่อยู่กับมึงเนี่ยแหละ”

“...!”

“กูไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตอนที่เจอกับมึงใหม่ๆ ไม่เห็นจะเป็นแบบ...เออจะว่ายังไงดีล่ะ” อธิบายไม่ค่อยถูก เลยต้องก้มหน้าคิดอยู่สักพัก “มึงเคยแยกแยะความรู้สึกรักและหวนแหนเพื่อนกับความรู้สึกที่มันพิเศษกว่านั้นออกจากกันไม่ได้มั้ย”

“เคยดิ”

“ฮะ? กับใคร? กับไอ้หงส์เพื่อนมึงเหรอ”

“สัดกับมึงเนี่ยแหละ”

“...!”

“พากูออกนอกเรื่องตลอด วันนั้นที่มึงมาบอกชอบกูไง มึงรู้มั้ยว่ากูถึงกับต้องแบกหน้าไปหาไอ้คีย์ ทำลายศักดิ์ศรีประสบการณ์รักยี่สิบเอ็ดปีมีแฟนคนเดียวของกูซะเละ แล้วสุดท้ายเป็นไง ทีหลังมึงไม่ต้องฝากมาบอกผ่านแม่กูว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกันก็ได้ เขียนจดหมายใส่ขวดโหลแล้วโยนทะเลให้กูรู้ชาติหน้าเลยน่าจะดีกว่า” โหย มีประชด โหยๆ

“แทนที่มึงจะดีใจที่ไม่ต้องสับสนเรื่องกูแล้วอ่ะนะ”

“กูเลิกสับสนมานานแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ใจกูคิดว่าอยากจะซั่มมึง”

เชร้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด มันรวบเอวผมเข้ากะทันหัน บอกได้เลยว่าไอ้เม่นไม่ได้เป็นคนสักแต่พูด!! ดูด้านล่างมันดิโด่จนยื่นมาชนต้นขากูแล้ว!!

“เงียบทำไม ไม่ถามต่อแล้วเหรอ”

“ถะ...ถามว่า” แขนที่สอดข้างใต้กระชับหนักกว่าเก่า ส่งเสริมให้ร่างกายเราชิดกันมากยิ่งขึ้น

“อยากจะสานสัมพันธ์กับมึงตั้งแต่เมื่อไร”

“กูไม่อยากรู้”

“แต่กูอยากบอก”

“แต่ที่กูไม่ให้มึงบอกเพราะกูรู้คำตอบแล้วงายยย” ถ้าถามออกไปมึงต้องบอกว่าตอนนี้แน่นอน เชี่ย มึงถอยปายย เอาแต่ขยับตัวเสียดสีกับท้องน้อยกูอยู่นั่นแหละ

“กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงรู้”

คนนะครับไม่ใช่พระอิฐพระปูน ตอนนี้มันถูไปถูมาจนผมจะเริ่มรู้สึกตามไปแล้ว เหลือบไปเห็นช่องว่างระหว่างเราเลยขยับมือไปกั้นไม่ให้ของต้องชิดกันหนักกว่าเก่า...ชิดกันหนักกว่า

“อือ...”

“!!!” ชิท!!พึ่งรู้ว่ากูคิดผิด กลายเป็นว่าไปเผลอสะกิดโดนของไอ้เม่นเข้า ไอ้หล่อถึงกับครางกระเส่าในลำคอ

“ไอ้เม่นมึงอย่าหื่นดิวะ กูขอออออ”

“มึงทำให้กูหื่นเอง” โทษกูอี๊กก

“แล้วต้องทำยังไงมึงถึงหาย”

“มึงเคยได้ยินภาษิตโบราณมั้ย หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”

“แต่หนามมึงใหญ่ไป กูบ่งไม่ไหวหรอกนะ!”

“งั้นลูบ...”

“ฮะ?”

“ลูบหนามกูไปก่อน” โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย หนามมึงกูจับกระชับถนัดมือมากเลยโน๊ะ สัด!!

เอาวะ...ผมตัดสินใจ ผู้ชายเหมือนกันจะไปกลัวอะไร เขามีอะไรเราก็มีเหมือนเขา เอื้อมมืออย่างละล้าละลังไปเตะขอบกางเกงที่เหมือนกับกำแพงขนาดยักษ์ที่ผมจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ แล้วเริ่มบรรจงลากลงอย่างเบามือ ดูเหมือนไม่ทันใจมือใหญ่เลยขยับมาจับให้ผมสัมผัสตัวตนของมันซึ่งนูนโดดเด่นผ่านเนื้อผ้าเข้ารูป

ร้อนฉิบเป๋ง...หมายถึงหลังกูอ่ะ เหงื่อแตกพลั่กอย่างกับน้ำก๊อก นี่ขนาดเปิดแอร์แชร์ความเย็นจนกระจายไปทั่วห้องแล้วนะ

"อึ..." ตั้งใจขยับไล้อยู่ดีดี มือใหญ่ของไอ้เม่นกลับเลื้อยมายังส่วนคล้ายคลึงกันของผมกับมันเสียได้ ในสมองผมเลยเอ๋อไปชั่วขณะเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง "ไอ้เม่น...มึง...ไม่ต้อง" ผมคราง....เหี้ย ผมครางจนเกือบจะไม่ได้ศัพท์

"ไม่เป็นไรกูไม่ถือ" ไม่ถือเหี้ยอะไรอยู่ในมือมึงทั้งอัน!!

"ฮึก...สัดอย่าจับแรง"

“ประมาณนี้พอมั้ย” กว่าจะรู้ตัวอีกมือผมก็แทบเป็นอัมพาต มันหยุดทำงานแถมยังย้ายไปเกาะแขนเสื้ออีกฝ่าย กางเกงวอร์มขายาวตัวเก่งของคุณชายซึ่งตอนนี้ถูกจับขึ้นแท่นให้เป็นว่าที่ชุดนอนผมโดนดึงรั้งส่วนหน้าลง จนบ๊อกเซอร์ที่ซ้อนขวางอย่างหมิ่นเหม่เกือบหลุดออกเผยให้เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน

เกร๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ

“เม่น เชี่ยเม่น มึงหยุดก่อน” ผมจับข้อมือมันไว้

“ฮะ? เป็นอะไร ปวดขี้เหรอ” หน้าตอนนี้กูคงเหมือนอยากถ่ายหนักมากเลยสินะ

“เปล่า มึงไม่ง่วงเลยเหรอไง นี่มันจะตีสองแล้วนะ” โอเค เฉไฉให้ได้เรื่อง ไม่ได้เล่นตัว แต่ยังไม่พร้อมให้มึงเห็นของดี เข้าไจ๋

“กูไม่ง่วง แถมตื่นเต็มทีเลยล่ะ” ไม่ว่าเปล่าแถมยังยกตัวให้กูดูตรงนั้นอีกสัด

“กูไม่ได้หมายถึงตรงนั้น”

“เรวะ”

“!!!”

โหยยยยยยยยยยยยเสียงมึ้ง กระเส่าจนกูสะดุ้ง แถมเล่นท่าไม้ตายเรียกชื่อที่ไม่มีใครเรียกอีก

“หึ หน้ามึงแดงแป๊ดเลย เขินเหรอวะ”

“กูไม่ได้เขินนนน”

“แล้วทำไมต้องเอียงหน้าหนีด้วย”

“กู...กูคอเคล็ด เอียงมองหน้ามึงตอนร้องเพลงพี่ปั๊บนานไปหน่อย”

“หึขี้แถ แต่เอาเถอะ เพลงนั้นน่ะกูโคตรเซอร์ไพรส เสียงมึงแม่งโคตรใส”

“กูก็ใช่ว่าร้องได้ทุกเพลงหรอกนะ แต่บังเอิญช่วงนี้สุ่มเพลงฟัง แล้วพอเพลงนี้มันดังหน้ามึงก็ลอยขึ้นมา”

“กูเลยอยากร้องเพลงให้มึงบ้างเลย”

“ว่ามาดิ” ตอนนี้เพลงไหนก็ได้แล้วนั่น แต่มึงอย่าพึ่งลงไปกระทำกับของของกูเลยนะ

“สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ อาอิชิเตะรุ”

“โหย ไอ้เม่นว่าแต่กู มึงก็ร้องเพลงอนิเมะคลาสสิคเหมือนกันนั่นแหละ”

“ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ โคตรชอบ กูชอบมึงนะ กูรักมึงมาก”

“!!!”

“...”

“...”

“มึงไม่ต้องมองกูจนตาถลนขนาดนี้ก็ได้ กูแค่แปลความหมายเพลง”

ฮะ?

ไอ้เหี้ยยยยยยย มันหยอกผม! รอยยิ้มนั่น มึงไม่มีทางรู้ญี่ปุ่นแน่ๆอ่ะ!!! ฮืออออออ ผมจะตายมั้ย โดนดาเมจรุนแรงเกินไปใจจะสลายแล้วโว้ยยยยยย






เอาจริงๆ หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้แล้ว หากใครคิดว่าใจตรงกัน ได้กัน เป็นอันจบ ผมกับไอ้เม่นเห็นอย่างนี้ก็ไม่ธรรมดานะครับ ทำไมน่ะเหรอ คือกูเพลียจนหลับไปไงล่ะ ไอ้สัดดดดดดด

ตื่นมาอีกที กายสูงก็หายไปจากเตียงแล้ว ปล่อยให้ผมเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวกวาดตามองอย่างเคว้งคว้างไปทั่วห้อง จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากระเบียบตรงปลายสายตาแทน

“อือ กูรู้แล้ว ขอบใจมึงมาก ฝากมึงตามเก็บให้ทีละกัน...”

เดินมาเงี่ยหูฟังตามนิสัยอยากรู้อยากเห็น เด็กวัยกำลังโตก็อย่างนี้แหละครับ อย่าถือสา ว่าแต่ตามเก็บ? ตามเก็บใคร นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้เม่นเป็นลูกคนไม่มีอิทธิพลผมคงไปกระชากเสื้อมันเปิดดูลายมังกรที่สลักอยู่แผ่นหลังแล้วนั่น

“เจอ...ยังไม่ได้คุยจริงๆจังๆ รายนี้น่ะปากแข็งชอบทำให้กูเป็นห่วงอยู่เรื่อย”

ใคร ใครปากแข็งกันวะ? แถมยังทำให้ไอ้เม่นเป็นห่วง ท่าความสัมพันธ์จะไม่ธรรมดา

“สัด มึงไม่ต้องมาจินตนาการปากแฟนกูเลย...”

ฮะ?

“ทำไมจะต้องอายวะ...ก็เป็นแฟนกันแล้วจริงๆนี่หว่า”

เป็นแฟนกันจริงๆแล้วนี่หว่า อ่าอ่าอ่าอ่า...

เสียงไอ้เม่นก้องอยู่ในหูผม สักพักมันก็หันหัวมาสบตากันพอดี

“แป๊บ แฟนกูตื่นแล้ว”

“...!”

“เออ แค่นี้นะ” มันกดวางสายแล้วเดินเข้ามาใกล้ พกรอยยิ้มมาใหญ่เต็มเบอร์ “หลับสบายป่ะ”

อึก...มือมัน...มือมันกำลังลูบหัวผม ผมที่ดูยุ่งเหยิงและเดาว่าลูกเป็ดคงตามมาเป็นคณะ เห็นอย่างนี้ทุกเช้าผมต้องตื่นมาสระแถมจัดทรงด้วยความยุ่งยาก เนื่องจากไอ้สีแอชเกรย์ที่ทำบ่อยจนห้ามขาดการบำรุง ไม่อย่างงั้นป่านนี้ไม่ได้ผมนุ่มๆอย่างนี้แน่นอน

“เมื่อคืนแฟนมึงมาค้างเหรอกูไม่ยักรู้” ผมกล่าวทักไปอย่างแก้เขิน ได้ยินเสียงจิ๊ปากดังเหนือหัวขึ้นไปหลังจบประโยค

“เออ นอนบนเตียงเดียวกับมึงด้วยน่ะ ไม่รู้ตัวเหรอ”

“มะ...ไม่..” สายตาคมก้มโค้งมาระดับเดียวกันผมแทบกลั้นหายใจ

“มันเขี้ยวว่ะ แม้แต่แค่จินตนาการกูยังหึงเลย”

ฮะ? และแล้วการกระทำถัดไปของมันก็ทำให้ผมตกใจจนยืนค้างนิ่งตัวแข็งเป็นเสาหินกับที่ ไอ้เม่นมันเอียงหน้าเข้ามาแนบริมฝีปากได้อย่างพอดิบพอดี แต่พอคิดว่ามันคงมาแบบเบบี๋สัมผัสเบาๆให้ใจเต้นแรงนิดๆแล้วปล่อย มันกลับโอบแขนเข้ารอบเอวดึงตัวเข้าไปใกล้

“ไอ้เม่น อื้อออ...กูยังไม่...”

เสียงจุ๊บๆดังมาจากริมฝีปากของพวกเราที่ประกบกันแล้วถอนออกวนซ้ำไปมา ไอ้เม่นมันหยอกผมอีกแล้ว นี่กะจะทำให้ครบโหลแล้วค่อยหยุดใช่มั้ย กูยังไม่ได้แปรงฟันเลยยยยยยยย

“ยังไม่อะไร”

“ไม่...อื้อ”

“ไม่พอ?”

“ไม่...อื้อ”

“งั้นกูทำให้ร้อยรอบเลยก็ได้”

“ไม่...อื้อออออออออออ” ไม่ใช่โว้ยยยยยยยยยย

สัด!!จะตอบก็ขัดด้วยปากอยู่ได้ ปากเปื่อยจะตายแล้ว

[ไอ้เชี่ย น18+++++]

“!!!”

สะ...เสียงใครวะ!!!!

ผมดันแขนไอ้เม่นออก หันไปมองรอบๆ ไม่มีนี่หว่า เสียงมาจากไหน

[ทำไมเงียบไปแล้ววะ กำลังค้างเลย]

[ยกสูงกว่านี้ดิไอ้เชี่ยเม่น ที่กูเห็นนี่มันอะไรวะ ตูดไอ้เรเหรอ]

[เชี่ยพวกมึงพูดไปไก่ก็ตื่นหมด ป่านนี้พวกมันรู้ตัวแล้ว]

ชัดเลย...ดังมาจากมือถือที่อยู่ในกำมือไอ้เม่น ที่ผมเห็นเป็นภาพสามคนเพื่อนมันกำลังเคลื่อนไหว เบียดกันไปมาหน้ากล้อง

“สัด...กูกดวางไปแล้วนี่หว่า กลายเป็นวิดีโอคอลได้ไง”

ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย






ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ได้ยินบ่อยตามหนังจีนกำลังภายในสมัยก่อน แต่ตอนนี้ที่ที่อันตรายที่สุดคงไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผมแล้วล่ะ ถึงแม้ไอ้เม่นมันจะบอกว่ามีถุงยางไอ้เชี่ยกูไม่ได้หมายความถึงปลอดภัยแบบนั้นเปล่าวะ...ฮืออออ

ตอนนี้ผมเลยบังคับให้พวกเราได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันที่สวนสาธารณะกลางเมือง อากาศแม่งก็โคตรร้อนแต่ยังพอกล้อมแกล้มนั่งแห้งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ได้

ความจริงเหมือนกึ่งมาปิกนิก ผมกับมันแวะซื้อข้าวมันไก่ใส่กล่องโฟมที่ร้านใกล้ตลาดพร้อมกับหิ้วขวดน้ำอันใหญ่มา โดยหวังว่าจะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ส่วนไอ้เม่นก็มีกีตาร์โปร่งคู่ใจมาเป็นของแถม มันบอกว่าว่างๆเผื่อสร้างบรรยากาศคลายอารมณ์(หื่นของมัน)ด้วยเสียงเพลงอันไพเราะของนักร้องยอดนิยมประจำร้านข้ามคืนอย่างมัน

เสียงติ๊วๆแด่วๆมาจากการนั่งปรับสายกีตาร์ ไอ้เม่นนั่งโค้งก้มลงมองของในมืออย่างตั้งใจ ถ้าถ่ายภาพนี้ไปรับรองว่าขายได้หลายตังค์ ขนาดมันแค่ปรับสายกีตาร์ยังเท่ลากเลือดขนาดนี้ หันมามองสภาพตัวเอง เสื้อโอเวอร์ไซส์ขนาดใหญ่กว่าตัวแบบไม่ได้ตั้งใจเพราะบังเอิญคนที่ให้ยืมใส่มันตัวหนากว่าผม กับท่อนล่างที่เป็นกางเกงยีนส์สีดำเข่าขาดตัวเก่ง ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา อยากโทษคนบนฟ้าที่ให้มาไม่เท่ากันจริงๆ

“อยากร้องเพลงอะไรมั้ย” ผมส่ายหัว

“กูร้องไม่เก่ง มึงร้องให้กูฟังเถอะ แต่ไม่เอาอิคคิวซังแล้วนะ”

“คนนะ โคะโตะอี้นะ...”

“โดราเอม่อนก็ไม่เอา!” กวน

“งั้นเอาเพลงที่ไม่ต้องร้องละกัน” มันเริ่มเกาสายกีตาร์รัวๆ ท่วงทำนองดนตรีที่ไร้คำร้องดังขึ้นมา พัดพาบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวให้จากไป ตามมาด้วยความรู้สึกสบายยามเมื่อได้ฟังดนตรีของสุดหล่อย่างมันเล่นคลอตาม ผมรู้จักเพลงนี้...

...START ของ depapepe…

แต่เป็นเวอร์ชั่นช้าๆเข้ากับบรรยากาศชิวๆของคนดีดที่ใส่แค่เสื้อกับกางเกงวอร์มสีดำตามคอนเซ็ปต์ บางทีผมก็แอบนึกอิจฉานะ ว่าทำไมถึงเกิดมาหน้าตาดี มีพรสรรค์ แถมยังบ้านรวย คนที่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้มีที่ไหน เคยเจอแค่ในนิยาย

สายกีตาร์โดนเกาเรื่อยๆไอ้เม่นมันหลับตาโยกไปตามอารมณ์เพลง บางช่วงมันก็โชว์ดวงตาคู่คมพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้ แทบละลาย...เพราะแดดแม่งส่องลงมาที่หน้ากูเต็มๆ สักพักผมสังเกตเห็นเงาบางอย่างพาดผ่านพื้นเบื้องหน้าทำให้ต้องเหลือบสายตาไปมอง

โอ้โห...รู้อย่างนี้กูหงายหมวกกางแล้ววางลงตั้งแต่ตอนแรกก็ดี

คนตั้งมากมายไม่รู้จากไหน มายืนล้อมพวกเราสองคนเป็นวงใหญ่ ส่วนไอ้คนดีดล่ะ ก็ไม่สนใจดีดมันต่อไปดิครับ มันกำลังอินกับอารมณ์เพลงพลางยิ้มมองมาทางผมอย่างสม่ำเสมอจนถึงท่อนสุดท้ายที่ปลายนิ้วจรดลงบนเส้นสายทองแดง

“เพลงนี้กูให้มึง”

“...”

“มา ‘สตาร์ท’ เรื่องราวชีวิตต่อจากนี้ไปพร้อมกับกูนะ”

อยากลงไปดิ้น...ไม่ใช่อะไร ไอ้เม่นแทบไม่สนใจเสียงปรบมือจากคนรอบข้างที่มองมันอยู่เลย มันเอาแต่มอง ‘ผม’ ผม...และผม แค่ผมคนเดียว คนอื่นได้ยินหมดแล้วโว้ยยยย ถึงคราวหวานน้ำตาลยังไม่อาจต้านทานคุณพลลภัตม์ได้ เฮ้ออออออ

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าปวดขี้อีกแล้ว”

“กูเปล่า” ทำไมชอบให้กูไปขี้จัง

“แล้วเป็นอะไร”

“กูแค่ไม่อยากสตาร์ทอย่างเดียว แต่กูอยากแฮปปี้เอนดิ้งไปพร้อมกับมึงด้วยว่ะ” ฮิ้ววววววววววววว โอเค จบการแซว

หลังจากนั้นพอมันเห็นคนก็แค่ตกใจเล็กๆ ก่อนจะแกล้งผมไม่ยั้งด้วยการบังคับให้นั่งร้องเพลงตามที่มันดีดโดยมีเสียงผู้ชมยืนที่รายล้อมโห่เชียร์เป็นกำลังใจให้ไม่ขาดสาย กับการช่วยเหลือจากแฟนๆใจดีที่เปิดเนื้อเพลงให้ผมมั่วคีย์ดำน้ำได้จนสุดทาง บันเทิงสัดๆ





“วันนี้โคตรสนุกเลยว่ะ” แต่กูคอแห้งสุดๆ น้ำที่แบกไปขวดใหญ่ก็หมดเพราะผม แถมยังตามมาด้วยการวิ่งเข้าห้องน้ำตั้งหลายรอบ จนไอ้เม่นมันตราหน้าว่าผมขี้แตกแบบไม่สนใจว่าจะปฏิเสธหรือไม่ไปแล้ว “เป็นไงอยู่ในที่ๆมีใครรายล้อม รู้สึกยังไงบ้าง”

“รู้สึกแปลกๆว่ะ”

“แปลกที่ว่ามันดีหรือไม่ดีล่ะ”

“แปลกคือจะทำอะไรก็ดูเก้ๆกังๆไปหมด แต่พอกูทำอะไรโง่ๆลงไปพวกเขาก็หัวเราะและยิ้มให้...มันเลยรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”

“ไม่ได้รู้สึกไม่ดีใช่มั้ย”

“อือ” ผมเกาคอพยักหน้า ใช่...มันเหมือนได้รับการยอมรับจากทุกคน ทั้งๆที่คนอย่างผมไม่เคยได้รับสิทธิ์ตรงนั้น

“กูเชื่อ ว่าถ้าพวกเขารู้จักมึง รู้จักตัวตนที่แท้จริงของมึง พวกเขาจะรักมึงเหมือนอย่างที่กูรัก”

คนตรงหน้าเอ่ยเปรยออกมาด้วยรอยยิ้ม มันเป็นยิ้มที่หล่อที่สุด ยิ้มที่ทำให้ผมหลง ยิ้มของคนที่เป็นทั้งเพื่อนคนแรก และคนรัก...คนแรกของผม

จู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ผมไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีและดีมาก ผมดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ ดีใจที่ได้เจอมัน

“กูขอบคุณมึงนะ”

“เรวะ...”

“ขอบคุณจริงๆ”

“ไม่เอาดิ มึงแม่ง...” เม่นมันดึงตัวผมเข้าไปกดหัวให้ซบไหล่มัน

นึกถึงเพลงนึงที่มันดีดให้ผมร้องในวันนี้ ไอ้เม่นบอกว่าทุกเพลงในวันนี้เป็นเพลงที่มันอยากร้องให้ผม แต่เพลงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอกมันมากที่สุด...

ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้



...ดีใจที่มีมึงนะ...ไอ้เม่น...


....TBC....

++++++++++++++++++++++++++++



ทำไมเหม็นความรัก
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก [27/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 27-04-2019 23:01:44
เขิน อ้ากกกกกกก เม่นน่ารักกัยเรวะเชี่ยๆ ว้อยยยยเขิน
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก [27/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-04-2019 23:13:44
แหมๆๆๆ​ หวานเรี่ยราด​  :angry2: อิจจ้ะอิจ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก [27/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: saiichinisan ที่ 28-04-2019 01:21:59
หยุดยิ้มไม่ได้เลย  บ้าจริง :-[
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก [27/4/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 29-04-2019 21:56:22
ชอบมากๆๆๆๆๆๆ
อยากให้เรวะ มีความสุขตลอดไปจังลูกเอ้ย  :monkeysad:  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2) [23/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 23-05-2019 23:23:52
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2)


“ได้กันยัง”

“ถ้าแค่ปากชนกันมึงไม่ต้องเล่า”

“รู้สึกดีมั้ยวะ แบบแน่นๆกระชับๆ อู้ฮ่า~”


ขณะที่นั่งทำอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ม้านั่งข้างตึกคณะ เพื่อนสามตัวมันก็ทักขึ้นมา

โอเค ในเมื่อความสำเร็จมันไม่ได้มาจากการลงมือของคนๆเดียว อย่างน้อยผมก็ต้องแชร์ผลลัพธ์ให้คนที่มีส่วนร่วมด้วยสินะ
แต่คำถามแต่ละคำแม่งลึกเกิน สัดถามมาได้  กูกับเรวะยังไม่ได้กันโว้ย ขืนบอกไปพวกนี้ได้ล้อว่าไอ้เม่นหล่อใสแต่ไร้น้ำยาแหง แค่ทุกวันนี้มือก็เกือบลั่นทุกวินาทีวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง อยากจับไอ้เรวะมาปู้ยี่ปู้ยำเอามันซุกจุ๊กกูแร้ แล้วหอมหัวสีแอชเกรย์ของมันให้หนังศีรษะหลุดไปข้าง ก็แฟนกูมันน่ารักขึ้นนี่หว่า หลังจากใจตรงกันมันก็แสดงพฤติกรรมแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนให้ดู จนใจกูเกือบจะทนไม่ได้

“อย่าเงียบดิไอ้เม่น มึงอย่าลืมนะเว้ย ว่าพวกกูช่วยมึงขนาดไหน มีอะไรก็ต้องแชร์ๆบอกกันบ้างดิวะ” ช่วยในตอนแรกที่บอกว่าจะเชียร์เพราะอยากเห็นกูสยบไอ้เรวะได้เนี่ยนะมึง ช่วยกูมากไอ้คีย์

“พวกกูดีใจกับความสัมพันธ์ของพวกมึงมากเลยนะเว้ย เพราะงั้นอย่าเม้ม มึงบอกมา” กูก็บอกผ่านวิดีโอคอลไปแล้วไง ว่าเป็นแฟนกัน มึงจะเอาอะไรอีกไอ้ต๊อบ

“อยากเห็นหน้าไอ้เรมันตอนนี้แล้วว่ะ ว่าหลังเป็นแฟนมึงมันหน้าตาน่ารักขึ้นมั้ย”

“อยากเห็นก็มองดิ”

“...”

“...”

กูกับเพื่อนมองหน้ากัน หืม?...ใครพูด ตีปากแตกเลย แฟนกู กูหวง ใครอนุญาตให้มองง่ายๆวะ ผมหันไปยังต้นทางของเสียงที่ห้าที่แทรกเข้ามา กะจะหาเรื่องกลับ แต่แค่เห็นหน้าเท่านั้นกูแม่งชะงักเลย

“อู้ยยยยยยย”

“สัดตัวจริงมา”

ชัดเลย ไอดอลเกาหลีผมสีแอชเกรย์กำลังยืนหน้านิ่งมือจับสายกระเป๋าพาดบ่าข้างเดียว แผ่ออร่าเกรี้ยวกราดแบบขรึมๆมาทางนี้ ก่อนจะเดินสาวเท้าจนเข้ามาประชิดข้างเคียงผม

“งะไง...ไอ้เร” เสียงนี้ ไอ้ต๊อบเจ้าของประโยค ‘ได้กันยัง’

“ไงมึง” ไอ้คีย์มาดนิ่งสุดในทีมแล้ว ส่วนไอ้หงส์ก็...

“สะ...สัดดีเร”

“สวัสดี ไอ้สัด”

“อู้ยแรว๊งงง”

“มึงโดนแล้วแหละไอ้หงส์”

“เชี่ยต๊อบมึงอย่าทิ้งกันดิวะ”

ดูแล้วอดขำพวกมันไม่ได้จริงๆว่ะ จังหวะซิทคอมที่สร้างขึ้นมาเองเพราะเริ่มสนิทกับคนตรงหน้า จนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ สักพักรู้สึกถึงสายตาใครบางคนเลยแอบเหลือบไปมอง

...ไอ้เรวะ มันกำลังจ้องตรงมา คาดว่าคงมองนานแล้ว พอตาปะทะกันเท่านั้นแหละแม่งสะดุ้งเฉไฉหลบไปทางอื่นทันที แต่ยังมีแฝงริ้วสีแดงไว้ข้างแก้ม

...ไอ้เหี้ย แม่งน่ารัก...

พอสบตาทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที แฟนผมแม่งขี้เขิน ตอนนี้โคตรอยากจับมากอดรัดฟัดเหวี่ยง ขยี้ขยำให้สมใจที่อดอาการอยากไว้มานาน แต่กูเกรงใจเพื่อนไง กลัวแฟนเสียภาพพจน์ที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาด้วย เลยห้ามตัวเองไว้

“เออ แฟนกูก็มาแล้ว มึงมองดิ เสือกก้มหน้าทำไม”

“หูย ไอ้เม่น พูดได้ไม่อายปาก แฟนแฟนแฟน”

“ทำไมวะ มีแฟนหน้าตาดีก็ต้องอวดเป็นธรรมดา” กูยืดอกเลย

“ใครแฟนมึง” เสียงขัดผมถึงกับหน้าหัน ไอ้เรวะมันตบมาโคตรหาเรื่อง

“อาวแล่ววว”

“ไงล่ะคร้าบคุณแฟนเม่น”

“โดนปฏิเสธแบบนี้ หมอรับเย็บมั้ยคร้าบบ” สัดแฟนกูเขินเถอะ เลยพูดอย่างนี้ อยากเจอดีใช่มั้ยคุณแฟน ได้ครับ เดี๋ยวกูจัดให้

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าปากกาเมจิกในกระเป๋าเดินพุ่งไปหาร่างโปร่งตรงหน้า เรวะทำท่าตื่นๆแต่กลบเกลื่อนยืนนิ่งสู้อยู่กับที่

“อะ...อะไร”

“กูเพิ่งไปช่วยเขาทำบอร์ดมา”

“แล้วมันเกี่ยวอะไร...”

“ไม่เกี่ยวอะไรหรอก ก็แค่...”

“เฮ้ยเชี่ย มึงทำอะไรวะ!”

กูล็อคเอวแม่ง ไอ้คนปฏิเสธความเป็นแฟน เอาดิให้มันรู้ไปถ้ากูยังไม่ได้บทแฟน อย่าหวังว่ากูจะปล่อย

“กูให้โอกาสมึงครั้งสุดท้าย”

“โอกาสครั้งสุดท้ายบ้าบออะไรวะ มึงปล่อยกูเด้”

“ระหว่างสำนึกว่าเป็นแฟนกู หรืออยากส่องกระจกดูบนเหม่งมึงทุกครั้งว่ามึงมันแฟนใคร” ไม่รอช้ากูกัดฝาปากกาพ่นลงพื้น ใช้แขนข้างเดียวปัดผมแอชเกรย์มันขึ้นอย่างลวกๆ ไอ้คุณแฟนถึงกับกรีดร้อง ตอนปลายปากกาใกล้เข้าไปจรดหน้าผากเนียนๆ

“ไอ้เม่น มึงแม่ง หยุด ทำเชี่ยอะไร ปล่อยดิวะ”

จุ๊บ...

แกร่ก...


เสียงแรก...กูจูบเหม่งมัน

เสียงสอง...ปากกาในมือกูหล่น

ส่วนเสียงสาม...


“กรี๊ดดดดดดดดดด”

“ตายแหล่วววววววว”

“ว๊าย บ้าบอ บัดสีบัดเถลิง”

โหยไอ้เวรสามตัว ทำกูเสียบรรยากาศหมด

“ทะ...ทำเชี่ยอะไรวะ” ไอ้เรวะมันยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ตรงรอยที่ผมทำไปหมาดๆ

“เสียดายหน้าผากสวยๆ กูทำสัญลักษณ์แทนดีกว่า”

“ทำไปก็ไม่เห็นหรอก มึงบ้าเปล่า”

“เหรอ ไม่เห็นเหรอ”

จุ๊บ!

“เชี่ย”

จุ๊บ!

“ไอ้เม่น”

จุ๊บ!

“โว้ยยยย เม่นแน่จริงมึงจูบปากเลยดิวะสัด!” เสียงเชียร์จากกลุ่มใกล้ๆพาผมอารมณ์ขึ้น หักคอลงไปแนบกลีบปากแดงนั้นทันที

“!!!”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”


ตายหมู่...


ดีที่รอบข้างไม่ได้คนพลุกพล่านขนาดนั้น ตอนที่ผมถอนปากหันไปสำรวจฟีดแบคจากเพื่อนสามตัวที่ชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง แสดงความนับถือพ่อบ้านตัวอย่างอย่างเม่นคนจริงสองพันสิบเก้า ตาก็เหลือบไปเห็นอีกสองสาวที่ยืนหลงอยู่ในเหตุการณ์ยกกล้องมือถือค้างขึ้นถ่ายภาพผม


เวรแล้ว...


ผมรีบปล่อยคนในอ้อมกอดเดินพุ่งไปตรงนั้น

“น้องครับ อย่าถ่ายได้มั้ย”

“แต่ว่า...” หนึ่งในสองลดมือถือลง ทำหน้าสลด

“รูปเมื่อกี้ลบทิ้งให้พี่ด้วยนะพี่ขอ”

“แต่พี่เม่น...”

“ไม่มีแต่ครับ พี่บอกให้ลบคือลบ”

“แต่...”

“พี่บอกแล้วไงว่า...”

“แต่ป่านอยากเก็บเอาไว้จิ้นนี่นา พี่เม่นอ่า~~~~”

ฮะ?

“น้องป่าน?”

“ใช่ ป่านเอง”

หูยนึกว่าใครที่แท้ก็น้องป่านคนเดียวกับที่ผมและเรวะเคยช่วยตอนโดนวิ่งราวกระเป๋า แล้วแถมยังเป็นคนเดียวกับที่ส่งวิดีโอคลิปนั้นของเรวะมาให้ผมด้วย

“มาได้ไง”

“ป่านมาหาพี่เม่นเนี่ยแหละ นี่เพื่อนป่านค่ะ” เธอผายมือไปทางเพื่อนผู้หญิงตัวสูงข้างๆที่ยกมือขึ้นไหว้ผม

“มาหาพี่เนี่ยนะ มีเรื่องอะไร”

“พี่เม่นได้ข่าว เรื่องที่...”

“เม่น”

ถึงกับสะดุ้ง ยังไม่ทันที่น้องป่านจะพูดในเรื่องเดียวกับที่ผมคิด เจ้าของประเด็นทั้งหมดก็เดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง เกือบตั้งลำไม่ทัน

“ระ...เรวะ”

“มีอะไรรึเปล่า” ไอ้เรวะยังคงไม่ยอมสบตาผม ได้แต่ถามแบบเลี่ยงๆจงใจมองทางน้องสองคน เจ้าตัวยกมือขึ้นรับไหว้คนมาใหม่แบบเก้ๆกังๆ

“สวัสดีค่ะพี่เร”

“สะ...สวัสดี” เอาตัวหลบเยื้องไปด้านหลังพลางยกมือบางจับแขนเสื้อผมกระตุกเบาๆ “ถ้ามึงมีธุระ กูกลับก่อนได้นะ”

“เฮ้ยไม่ต้อง...”

“จริงด้วยสิ พี่เรมาพอดีเลย พี่เรก็น่าจะได้ยินเรื่องที่คนพวกนั้น...”

“อะเอ้อน้องป่านสบายดีมั้ย”

ผมตะเบงเสียงแทรกขึ้นมา พิรุธสัดดดดดด แต่กูหาวิธีเอาตัวรอดไม่ได้แล้วไงเลยต้องเบนความสนใจไปเรื่องอื่น ดูเหมือนคนรอบ
ข้างจะงงเป็นไก่ตาแตกหันมามองหน้าผมกันทั้งหมด

“สะ...สบายดีค่ะ พี่เม่นล่ะคะ”

“สบายดี พี่สบายดีมาก มีแฟนแล้วด้วยสบายสุดๆ”

“ดูท่ามึงจะมีธุระ” เสียงคนที่เกาะแขนผมดังขึ้น มันมองมาด้วยสายตาไร้ความรู้สึกก่อนจะพูดประโยคถัดมา “งั้นกูไปรอที่ไอ้เบิ้มละ
กัน” มันปล่อยแขนผมก่อนเดินดุ่มๆออกไป

แปลก แต่ในหัวกำลังมีหลายเรื่องตีกันยุ่งจนทำอะไรไม่ถูก ผมหันไปมองน้องป่าน เธอก็มีสีหน้าแปลกประหลาดใจเหมือนกัน

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

“เปล่า ไม่มีอะไร แต่เรื่องที่น้องป่านกำลังจะพูด...” สายตาผมไปสะดุดกับร่างที่คิดว่าเดินไปไกลแล้ว แต่เจ้าตัวยังคงหยุดมองมาจากที่ห่างออกไป สีหน้าดูเศร้าสร้อยอย่างประหลาด มันดูเหมือนกับ...

“ป่าน”

“คะ”

“เดี๋ยวพี่มานะ”

“พี่เม่น!”

“เรวะ!”

ไอ้เหี้ยชัดเลย มันวิ่งหนีผม!

สมองสั่งการให้สองเท้าก้าวตามอย่างไว บอกเลยสายภาษาอย่างมันมีหรือจะมาสู้สายนักดนตรีที่เล่นกีฬาอย่างผม ดูอย่างวันที่ช่วยน้องป่านเอากระเป๋าคืนก็รู้แล้วว่าผมตามมันได้ใสๆ แต่ตามไปตามมากูชักจะหอบแล้วนะเว้ย

“เชี่ย เรวะ วิ่งเพื่อ” ไม่หยุดไม่พอยังมีเร่งสปีดต่ออีก อย่างเคยผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายจนห่างมันเพียงช่วงตัวแล้วเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อมัน

แคว่ก!!

ถนัดนักงานฉีกเสื้อผ้าเนี่ย ตัวที่เท่าไรแล้ววะ เอาเถอะเสื้อกูเอง กูยอม

“หนีทำไม หยุดดิ้นได้แล้ว” แปลกที่คราวนี้มันไม่หันมาด่าเพราะเสียดายเสื้อ แต่กลับตั้งท่าว่าถ้าหลุดได้จะแปลงร่างเป็นเดอะแฟลชหายไปในอากาศ

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

เฮ้ยมาตั้งแต่เมื่อไร ผมเห็นกองทัพเพื่อนผมกับน้องป่านนั่งซ้อนท้ายจักรยานกับมอเตอร์ไซส์ของกันและกันลงมาจอดยังตรงที่ผมยืนอยู่

ลงทุนฉิบหาย ตอนมาเรียนไม่ทันพวกมึงทำกันขนาดนี้มั้ยกูถาม ส่วนไอ้เรวะมันก็ยังคงพยายามแกะมือผมไม่เลิก

“เป็นอะไรวะไอ้เม่น ทำไมไอ้เร มันเป็นแบบนี้”

“กูก็ไม่รู้ จู่ๆแม่งก็...ม้าพยศ แมวดื้อ หรือไม่ก็แฟนกูผีเข้า”

“อย่างนี้มันต้องเอาน้ำมนต์สาด” โว้ๆๆ ไม่พูดเปล่าไอ้หงส์มันทำท่าจะเปิดฝาน้ำขวดที่หิ้วติดตัวมาราดใส่แฟนผมด้วย แม่งถึงกับยกมือห้ามกันแทบไม่ทัน

“สัดนั่นมัน ชาเขียวเปล่าวะไม่ใช่น้ำมนต์”

“เออจริง แล้วอย่างไอ้เรมันใช้น้ำมนต์สาดไม่ได้เว้ย” คราวนี้คู่หูไอ้หงส์มันเอ่ยขึ้นมาสนับสนุนคำพูดผม บวกกับเหมือนมีไอเดียอะไรบางอย่าง

“งั้นต้องทำไงวะ”

“เอาเจลหล่อลื่นสาด แล้วเอาสายสิญจน์มัดร่างไว้กับเตียง” สัดมึงเอาโอคาโมโตะศูนย์จุดศูนย์หนึ่งคล้องคอมันด้วยเลยมั้ยถ้าจะทำถึงขนาดนั้นแล้ว

งานนี้กูจะรู้เรื่องแน่เหรอวะ แนะนำแต่ละอย่างชวนกูไปเสียตัวกับไอ้เรวะสัดสัด ผมก้มลงไปมองหน้าคนรักที่ยังดื้อดิ้นพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

“ก่อนหน้าไปทำพีธี กูต้องถามผีตัวนี้ก่อนว่าทำไมถึงมาเข้าร่างแฟนกู”

“กูไม่ได้ผีเข้า” เรวะมันพูดออกมาในที่สุด

“แล้ววิ่งหนีกูทำไม”

“กู...”

“ห้ามบอกว่าเปล่าหนี เห็นโกยอ้าวตอนสบตากูชัดๆ”

“กูแค่...”

ชัดเลย อ้ำอึ้งแบบนี้

“อย่าบอกนะ ว่าคิดมากเรื่องน้องป่าน”

“...!!”

อยากให้เอาความในใจของเรวะมาออกข้อสอบรับรองผมแม่งทำถูกทุกข้อ สักพักคนถูกพาดพิงถึงอย่างน้องป่านถึงกับอยู่ไม่สุขลุกขึ้นถาม

“คิดมากเรื่องป่าน คิดมากเรื่องอะไรคะ...เอ๊ะ...อย่าบอกนะว่า...โอ๊ยป่านจะบ้าตายยย” เหมือนจะรู้น้องป่านที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างงงงวยอยู่นานโวยวายขึ้นมา “ที่ป่านมาหาพี่เม่น ป่านก็แค่...”

“น้องป่าน!!” เอาอีกแล้วเมื่อกี้กูก็ตะเบงเสียงห้ามนี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอวะ ว่ากูไม่อยากให้พูดน่ะน้องป่าน เหมือนจะหมดหนทางผมจึงเหลือบไปทางเพื่อนที่เหมือนจะรู้ใจว่าทำไมผมทำแบบนี้ “ไอ้หงส์ ส่งแขกที”

“ได้ครับคุณชายเม่น” ไอ้หงส์มันขมีขมันเดินมาพาน้องป่านกับเพื่อนที่ยังทำหน้าตาเหลอหลาออกไป ส่วนไอ้คีย์ที่ยังอยู่ตรงนี้ก็เอ่ยขึ้นมาตัดความเงียบ

“เอาไงต่อล่ะทีนี้”

“เรื่องในครอบครัวก็ต้องให้เคลียร์กันเองดิวะ ไป พวกเรากลับ” ไอ้ต๊อบตอบพลางลากเพื่อนที่เหลือเดินไปอีกทาง

ในที่สุดผมก็ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับเรวะสองคน

“พวกเราก็กลับกันเถอะ”

เรวะในสภาพที่หันหลังพิงอกจับแขนที่ล็อคคอมันไว้อยู่หมุนหัวมา ดวงตาคู่สวยบ่งบอกความไม่แน่ใจฉายชัดขึ้น

เอาเถอะ ผมอาจจะต้องบอก ถึงไอ้เรวะจะต้องมาระลึกเหตุการณ์นั้นซ้ำอีกรอบ แต่ก็ยังดีกว่าถูกเข้าใจผิดผ่านแววตาคู่นี้


มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2) [23/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 23-05-2019 23:24:40
มาถึงหอแล้ว บอกได้คำเดียวว่าพวกเราสองคนเงียบกันมาตลอดทาง ระหว่างที่ซ้อนท้ายไอ้เบิ้มมันเกาะเอวผมแบบจีบสองนิ้วชี้กับโป้ง เหมือนดั่งคำขอร้องตอนปั่นจักรยานมาส่งมันที่โดนรถเฉี่ยวสัมฤทธิ์ผลในวันนี้ ในวันที่กูอยากให้มันกอดเอวเอาตัวแนบกูเสียด้วยซ้ำ

“อย่าเงียบได้มั้ยวะ” ห่วงอาการแฟนตอนนี้ฉิบหาย เหมือนโดนใครขโมยปากไป ผมจับมือไอ้เรวะลากขึ้นมาจนถึงชั้นห้อง เปิดประตูดันตัวมันเข้าไป แผ่นหลังเหงาๆเดินผ่านช่องแคบอย่างเชื่องช้า เล่นเอาใจผมหาย ไอ้เหี้ยไม่เอานะมึงไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่าเรวะ

“เชี่ยเม่น” เรวะอุทานตอนที่ผมดึงมันกลับมาสวมกอด

“เอาปากมาแล้วเหรอวะ”

“กู...”

“งอนกูระดับไหน กูจะกอดมึงให้เท่าระดับนั้นเลย”

“งั้นมึงอาจจะต้องกอดกูไปทั้งชีวิต”

ไอ้เชี่ยรุนแรงขนาดนั้นเลย แค่กูคุยกับน้องป่านแค่นั้นเนี่ยนะ ผมถอนตัวออกมามองหน้ามันที่เอ่ยคำต่อมา

“เพราะกูเพิ่งรู้สึกตัวว่ากูขี้หึงก็วันนี้”

“...!!” ใจแม่งสั่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา ตอนนี้ไอ้เรวะมันงอนผมอยู่ สุ่มเสี่ยงอาจจะโดนบอกเลิกทั้งที่ยังไม่ได้เดินไปด้วยกันให้สุดทางด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงโคตรรักท่าทางที่ปากได้รูปของมันเม้มเข้าหากัน กับสายตาที่มองเบี่ยงลงต่ำไปด้านข้างชะมัดเลยวะ

“วันนี้ที่กูบอกขอแวะห้องมึง เพราะมีของจะให้”

“ของ? อะไร?” วันนี้ไม่ใช่วันพิเศษอะไรนี่หว่า วันเกิดเรวะก็วันที่หนึ่งพฤษภา ส่วนวันเกิดผมก็ปาไปธันวาโน้น หรือเป็นวันครบรอบที่เจอกันครั้งแรกก็ไม่ใช่ แล้วมันวันอะไรวะถึงต้องมีของให้กัน ถ้าผมบอกว่าลืมจะโดนมันบอกเลิกของจริงมั้ยวะ

เรวะมันขยับดันตัวผมออกน้อยๆ ล้วงมือเข้าไปที่กระเป๋าสะพายข้าง หยิบซองสีน้ำตาลเล็กๆออกมายื่นใส่ผม

“รับไปดิ”

“อะไร” ผมรับของในมือมันไว้อย่างงงๆแกะเปิดซองออกเห็นของบางอย่างที่ดูเหมือนแผ่นกระดาษสีเทาเป็นปึกๆใส่อยู่

“กูเอามาคืน”

“...” ไม่จริงน่ะ อย่าบอกนะว่าเงินลงทะเบียนเรียนของผมที่มันเอาไป

“กูบอกแล้วไงว่าจะคืน กูก็ต้องคืน”

“ไอ้เร...” ทำไมเอามาคืนตอนนี้วะ มันเหมือนกับ...

“ส่วนเสื้อ...”

อยู่ๆใจมันก็โหวงๆ ผม...ไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อการนี้นะ ผมยังไม่ทันคบกับมันจนเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ แล้วทำไม...

“มึงไม่ได้กำลังจะบอกเลิกกูใช่มั้ย”

ต้องถามย้ำให้แน่ใจ ต่อให้ไม่อยากรับรู้ความจริงแค่ไหนก็ตาม ร่างบางมองหน้าผมตื่นๆ มือที่เหมือนจะขยับหยิบอีกอย่างออกจากกระเป๋าโดเรม่อนของมันหยุดชะงัก ก่อนมองสบผมด้วยแววตาใสชุ่มชื้นน้ำอย่างหวั่นไหว

“ไอ้เม่น”

“...”

“ฮึก...มึงจะบอกเลิกกูเหรอ” โอ้โหไอ้เหี้ยไหลออกมาเลยครับน้ำตาแฟน จากสองตาราวกับสั่งได้ พรากอย่างกับฤดูน้ำหลาก

“เฮ้ย กูเปล่า สัด ร้องไห้ทำไมวะเรวะ โว้ย” ผมยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตากับขี้มูกที่ไหลออกมาตามจมูก คนตรงหน้าเหมือนเก็บกักอารมณ์มานาน ทุกอย่างเลยล้นทะลักออกมา เละอีกแล้วเสื้อกู

“ฮึก...กูรู้...กูเข้าใจ กูคิดไว้เสมอคนเนื้อหอมอย่างมึงเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา...”

“เฮ้ยเดี๋ยว ไปกันใหญ่แล้ว”

“ในใจไม่เคยคิดแย้งด้วยซ้ำหากวันนึงมึงบอกเลิกกูก่อน กูแค่คิดว่าจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด แค่นั้นก็พอแล้ว แต่มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าความโลภของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งกูคบกับมึงกูก็ยิ่งชอบมึง กูไม่อยากเลิกกับมึงเลยจริงๆนะ กูฮึก...กูฮึก”

โอ๊ย ทำไมกูเห็นน้ำตากับท่าทางเศร้าๆแบบนี้เป็นน่ารักได้วะ...ผิดเวลาเปล่าเนี่ย ก่อนที่จะเลยเถิดไปไกลเพราะความเข้าใจผิด ผมรีบดึงร่างมันเข้ามาสวมกอดพลางกดหัวมันซบกับไหล่ให้น้ำตามันไหลซับลงไปแทน

“ใครจะบอกเลิกกับมึงวะ ประสาทเปล่า”

“ฮึก...มึงอาจจะเป็นโรคประสาทก็ได้”

“เชี่ย กูยังสติดีอยู่ คนที่กูคุยด้วยเมื่อกี้มันน้องป่าน มึงจำหน้าน้องเขาไม่ได้เหรอวะ”

“ป่าน? ป่านไหนวะ กูจำไม่ได้หรอก คนที่มึงเคยคุยก่อนจะคบกับกูเหรอ”

“โว้ยมีที่ไหนล่ะ จะชาตินี้ชาติไหนตอนนี้กูก็มีแค่มึงคนเดียวนี่แหละ”

“...!”

“กูถึงได้พยายามเตือนสติมึงไงว่าเป็นแฟนใคร”

“...”

“อย่าให้กูต้องย้อนกลับไปเอาปากกาเมจิกมาเขียนหน้าผากมึงอีกเลยนะกูขอ”

เงียบเลย ดูท่าคงกลัวโดนปากกาเพอร์มาเน้นท์เขียนสลักความเป็นคนของกูไว้บนกระหม่อมจริงๆ

“น้องป่านเป็นคนที่มึงเคยช่วยเอากระเป๋าเขามาจากโจรวิ่งราวไง”

“กูจำได้แค่ กูเหยียบกล้วยมึง” ไอ้ที่ควรจะจำมึงเสือกไม่จำให้มันได้อย่างนี้ดิ “เขามาหามึงทำไม”

“มาหากูก็เพราะว่า...” ผมควรจะบอกมันดีมั้ย “มาถามข่าวเรื่องคนที่ลาออกไป”

“มึงหมายถึง...” เจ้าตัวเหมือนจะรู้ ไม่แปลกหรอกเพราะข่าวนี้ดังในมหา’ลัยจะตาย

“ใช่ คนที่เคยทำร้ายมึงที่ข้างหอพักชาย”

“...!” ร่างในอ้อมกอดเกร็งตัว เหมือนรำลึกถึงเรื่องในอดีตที่ไม่น่าจดจำขึ้นได้ นึกสงสารทรมานแทนจนต้องเพิ่มแรงกอดปลอบเข้าไปอีก “ไอ้เม่น”

“มึงอย่าคิดอะไรเลยนะ กูไม่อยากให้มึงคิดเรื่องวันนั้นอีก”

“กู...ฮึก” มันตีหลังผมแปะๆ

“ร้องไห้ทำไมอีกวะ”

“ไม่ใช่...”

“แล้วเป็นอะไร”

“กูหายใจไม่ออก”

อ้าวเผลอกอดมันแน่นไป

“เออ เราย้ายไปนั่งคุยกันดีดีที่เตียงเถอะโนะ” เขินว่ะ เมื่อกี้กลัวจนแทบจะกอดมันหักคามือ







หลังจากนั้นผมเล่าทุกอย่างให้เรวะฟัง ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่ตอนที่ผมตัดสินใจว่าจะเอาเรื่องคนที่ทำร้ายเรวะมันถึงสองครั้งสองครา สาวเรื่องราวจนรู้ว่าวีรกรรมของพวกมันก็ไม่ใช่น้อย จนเริ่มออกตามหาคนที่เคยโดนกระทำ หรือแม้กระทั่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ ไปจนถึงเปิดวิดีโอคลิปที่น้องป่านให้มาขึ้นโชว์ต่อหน้ารองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา พยานบุคคลทางฝั่งนี้มีเป็นสิบ ส่วนฝ่ายอุทธรณ์มีแค่สองพวกมันเลยได้แต่ก้มหน้ารับกรรมไป ทุกอย่างมันเลยมาถึงตอนที่อีกฝ่ายถูกมหาวิทยาลัยสั่งให้ออก

ร่างบางได้แต่ก้มหน้าดื่มโกโก้อุ่นที่ผมชงให้ในมือเงียบๆ นั่งคุดคู้บนเตียงกลบเกลื่อนจมูกแดงๆ ด้วยการเอาใบหน้าอังกับไอร้อนที่ลอยขึ้นมา แต่ตาที่บวมแดงเกินขนาดก็ส่ออาการช้ำให้เห็นอยู่

“เพราะไม่อยากเห็นมึงนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจนเป็นแบบนี้เนี่ยแหละ กูถึงพยายามเลี่ยงไม่พูด แต่ที่ไหนได้...” ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมสีแอชเกรย์ของมัน ผมที่นุ่มนิ่มและให้ความรู้สึกดีเสมอยามที่จับ “แม่งอาการหนักกว่าเดิม”

“อาการกูไม่ได้หนัก” มันปัดมือผมทิ้ง

“แล้วที่เห็นอยู่ตรงนี้นี่มันเรียกอะไรวะ” หยาดน้ำยังเปรอะเปื้อนที่ขอบตามันอยู่เลย “อย่าบอกว่าฝุ่นเข้าตา อย่าเอาเพลงพี่อะตอมมาเล่น กูไม่รับมุก”

“กูแค่ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน”

“...”

“ตอนที่ถึงจะร้องไห้ไปก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสนใจ”

“...”

“มึงกำลังทำให้คนอย่างกูเคยตัว เอาแต่อ้อนมึงนะเชี่ยเม่น” เรวะยกมือข้างที่ไม่ได้จับแก้วขึ้นมากำคอเสื้อผมราวกับจะหาเรื่อง แต่ทำไมตอนนี้...

...กูอยากให้อ้อนวะ...

แย่แล้วว่ะ คนที่อาการหนักน่าจะเป็นผมมากกว่า... ตอนนี้ผมโคตรหลงมันเลย...

“มึงกำลังทำให้กูอ่อนแอ กูถึงได้พยายามไม่อยากติดหนี้มึงอีกไงจะได้เตือนใจกูว่ากูไม่ได้พึ่งพามึงมากเกินไปจนสักวันกูอาจจะขาดมึงไม่ได้”

“มึงเลยเอาเงินมาคืนกู” อีกฝ่ายผงกศีรษะ ก่อนขยับตัวลุกไปวางถ้วยโกโก้ที่โต๊ะแล้วหยิบถุงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าข้างพร้อมเดินถือมันกลับมาด้วย

“มึงเอาไปเลย”

“อะไรวะ”

“รับไปดิวะ”

คะยั้นคะยอให้กูรับอยู่นั่น ผมหยิบถุงพลาสติกที่โดนดันมาถึงอกอย่างเสียไม่ได้ ก่อนเปิดออกดู...

เสื้อนักศึกษาตัวใหม่ถูกพับอย่างดีอยู่ในนั้นเกือบสี่ห้าชุด กลิ่นผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมสะอาดฟุ้งขึ้นมาเตะจมูก มันเป็นกลิ่นประจำตัวของอีกฝ่ายที่ผมได้สัมผัสยามอยู่ใกล้ชิดเสมอมา

“ตัวที่กระดุมขาดกูเย็บให้หมดแล้ว”

“ด้ายสีน้ำเงิน”

“สีขาว”

“แล้วตัวที่เคยเย็บสีน้ำเงิน”

“กูแก้เป็นสีขาวแล้ว ส่วนตัวที่เปื้อนโคลนจนหมองกูไปซื้อน้ำยาซักผ้าขาวมาแช่ มึงใส่แล้วอาจจะรู้สึกบางขึ้น แต่รับรองว่ายังไม่ถึงขั้นเห็นหัวนม” สัด...กูฮา ผมคว้าในถุงออกมาดูสภาพ กระดุมแม่งเย็บเป็นระเบียบกว่าคราวแรกเยอะ แสดงให้เห็นถึงสกิลภรรยาที่อัพมากขึ้นตามจำนวนครั้งของการขาด

“มึงไม่เห็นต้องคืนเลย เสื้อบ้านกูเยอะแยะ แล้วอย่างนี้มึงจะใส่อะไร”

“กลับไปใส่ยืนพื้นตัวเดียวเหมือนตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง” สัด...ป่านนี้เสื้อตัวนั้นของมึงไม่ถึงขั้นเห็นหัวนมมากกว่าเสื้อกูแล้วเหรอวะ...เพลียฉิบ

“เสื้อกูมีกลิ่นมึงด้วย” ตัวที่ถืออยู่ผมเผลอหอมลงไปหนึ่งรอบ “กลิ่นสะอาดๆสดชื่น กูชอบกลิ่นนี้ว่ะ” เหมือนอีกคนหายไปจากบทสนทนาเลยเงยหน้ามามองที่ไหนได้ ไอ้เรวะมันกำลังหน้าแดงเรียกพ่อเรียกแม่ทำตาตื่นตกใจกับสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ มันอ้าปากพะงาบพะงาบเหมือนจะแย้งอะไรแต่กลับทำไม่ได้

“หึ เป็นอะไร ขาดอากาศหายใจหรือไง แล้วนั่นอะไรวะ เด็กป่ะ กินโกโก้จนปากเปื้อนได้ไง” เอื้อมมือจะไปช่วยเช็ดแต่เปลี่ยนใจหันมารั้งคออีกฝ่ายให้โน้มตัวเข้าหา ไอ้เรวะถึงกับเสียการทรงตัวต้องเอามือสองข้างคร่อมตัวผมที่นั่งอยู่ยันตัวไว้กับขอบเตียงนุ่ม ก่อนทำตาโตยามที่ผมใช้ริมฝีปากกดจูบตรงรอยโกโก้ แลบลิ้นเลียความหอมหวานของคราบสีน้ำตาลที่สร้างความคุกรุ่นให้กับอารมณ์ในจิตใจ

“หวานว่ะ”

“ยะ...อยากกินก็บอกดิวะ...ยังเหลือในถ้วยกูอยู่เต็ม”

“กูหมายถึงปากมึง”

“เชี่ยเม่น อย่าเล่นแบบนี้ได้มั้ยวะ!” เอาให้แดงถึงที่สุดแล้วไปหยุดที่เตียง

“เออพูดถึงโกโก้แล้วกูลืมบอกไป”

“บะ...บอกอะไร?”

“ว่าในโกโก้ก็มีคาเฟอีน”

“...!!”

“วันนี้มึงไม่ต้องนอนแล้วล่ะ”

“แต่กูง่วงแล้ว มึงอย่ามาอำกู!” หึ เดี๋ยวกูอำให้ขำไม่ออกเลยคอยดู

“ยังมีอีกเรื่องนึงที่กูไม่ได้บอก”

“เรื่องอะไรอีกว้า~~ เชี่ยเม่นทีหลังมึงบอกให้หมดดิ” สัด...เรวะลนลาน

“มึงยังคืนเสื้อกูไม่หมด”

“อะไร กูคืนให้หมดแล้วนะ”

“บนตัวมึงด้วย” นิ้วชี้จิ้มไปที่อกมัน ร่างบางถึงกับสะดุ้ง

“ตัวนี้ เดี๋ยวไว้กูไปซักให้แล้วค่อยส่งคื...”

“ไม่ต้อง”

“...”

“เดี๋ยวกูซักเอง”

“มะ...มึงไม่ต้องลำบากหรอก คนไหนใส่ก็ต้องรับผิดชอบดิวะ”

“กูไม่ลำบากหรอก เพราะกูต้องรับผิดชอบที่เป็นคนทำเสื้อเปื้อน”

ได้เวลาทำเสื้อเปื้อนแล้ว จูบเวอร์ชั่นจริงถูกทิ้งลงกลีบปากอิ่มของอีกฝ่ายไม่รอช้า โอคาโมโตะศูนย์จุดศูนย์หนึ่งกูสั่นอยู่ในลิ้นชักมาสองสามวันแล้ว คนอะไรวะนุ่มนิ่มน่าจับกินได้ขัดกับบุคลิกแข็งๆของเจ้าตัวชะมัด เลื่อนมือไปจับเอวพยายามดึงตัวอีกฝ่ายลงมา แต่เรวะมันกลับต้านไว้ด้วยมือสองข้างที่คร่อมขอบเตียงอยู่ไม่ยอมปล่อย คติพจน์ประจำใจของผมคืออุปสรรคมีไว้ข้ามหากคราวนี้ผมขอกลิ้งผ่านมันไปละกัน ด้วยลีลานักยิมนาสติกมือสมัครเล่นผมพลิกตัวจนเรวะมันกลับมาอยู่ใต้ร่าง

“เม่น...อย่าบอกนะว่ามึง...”

“กูอะไร...”

“มึง...”

“กูทำไม”

“มึงคิดจะทำอะไรกูใช่มั้ย”

“มาถึงขั้นนี้แล้วยังต้องถามอีกเหรอวะ” ขั้นที่กูกำลังจะขยับมือไปแกะกระดุมมันแล้วเนี่ยนะ ผมสานต่อสิ่งที่ตั้งใจไว้ด้วยการขยับไปจับกระดุม แต่ร่างข้างใต้เสือกยกมือมาขวาง

“เชี่ยเม่น กะ...กู ยังไม่อาบน้ำเลยนะ เมื่อกี้วิ่งมาตัวเหม็นจะแย่อยู่แล้ว”

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรได้ไง”

“ตอนนี้กูหื่น แม้แต่กลิ่นตดมึงกูว่ายังหอมเลย”

“มึงบ้าไปแล้วแน่ๆ” ครับยอมรับว่าบ้าคุณว่าที่เมีย บ้าอยากจะซั่มมึงจะตายห่าอยู่แล้ว

“พอเถอะ มึงเลิกพูด ถ้าห่วงตัวเหม็นมากนักก็ไปอาบด้วยกันทั้งคู่เนี่ยแหละ” ผมฉุดมันขึ้น ดูทุลักทุเลกว่าที่คิดเพราะไอ้เรวะมันออกแรงต้าน มามุกนี้กูไม่ห้าม แต่ยิงมาเท่าไร กูยิงกลับไปสิบเท่าด้วยการช้อนมันทั้งตัวเดินดุ่มๆไปยังห้องน้ำ

อยากบอกว่าทางเข้าห้องผมแคบแต่ห้องน้ำแม่งโคตรกว้าง เพราะมันเอาส่วนทางเดินมาทำห้องน้ำเนี่ยดิ ตอนย้ายเข้ามาบ่นกระปอดกระแปดแทบทุกวันพึ่งรู้ประโยชน์ของมันก็วันนี้ พอถึงห้องน้ำผมรีบวางไอ้เรวะลง แล้วจัดการถีบประตูล็อคกลอน ไม่ยอมปล่อยให้หนีได้ ก่อนวิ่งไปสาดสายน้ำฝักบัวใส่ตัวมัน

“โอ๊ยเม่น มึง เปียกหมดแล้ว สัดเสื้อผ้ากู”

“เสื้อผ้ากูต่างหาก” ทวงสิทธิ์ด้วยการจับต้นแขนอีกฝ่ายก่อนฉีดหนักๆลงตรงส่วนท่อนบน ตอนนี้แฟนผมเปียกมะล่อกมะแล่กแถมยัง...

“ไม่ต้องใช้น้ำยาซักผ้าขาวกูก็เห็นได้วะ”

“ไอ้เหี้ยดูอะไรวะ อ๊ะ..ยะ” เรวะโค้งตัวหลบมือซนๆของผมที่พยายามบิดหัวนมมันจนหลังไปชนเข้ากับกำแพง ส่วนเอวก็กระแทกเข้ากับแท่นวางสบู่ไปตามระเบียบ

บึ่ก!!

“โอ๊ย”

“เหี้ย เป็นไรป่าวมึง” มันจับเอวทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น ปลายแขนเสื้อก็เสือกเกี่ยวโดนก๊อกน้ำฝักบัวใหญ่บนหัวจนสาดน้ำกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทุกทาง งานนี้บอกได้คำเดียวว่าผมกับมัน...เละ

ผมรีบลุกไปปิดก๊อกน้ำฝักบัวทั้งอันเล็กอันใหญ่ รุดเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ ร่างโปร่งบิดตัวถกชายเสื้อมองสำรวจตรงเอว เห็นแค่เพียงผิวขาวเนียนละเอียดที่เปียกชื้นน้ำ ดูท่ารอยช้ำคงยังไม่ออกอาการ ผมขยับมือไปแตะคนตรงหน้าถึงกับสะดุ้ง มันทำหน้าหวาดๆใส่ผม

“อะ...ไอ้เม่น”

“ว่าไงครับ”

“กะ...กูยังไม่เคยนะ”

“กูก็ไม่เคย”

“จริงเหรอวะ”

“ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองรอนาน”

ผมจัดการคุกเข่าคร่อมอีกฝ่าย ดึงคอเจ้าตัวที่ยังขัดขืนเบี่ยงหลบขึ้นมาแนบกลีบปากกลบเสียงลง แล้วบรรจงบดเบียด เปลี่ยนมุมไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เท่าที่แรงต่อต้านจะยังไหว ท่าทีขัดขืนในตอนแรกพอโดนแทรกลิ้นเข้าเกี่ยวป้อล้อทุกอย่างก็ดูอ่อนลงอย่างเหลือเชื่อ มันเริ่มจูบตอบผม ใบหน้าขาวเหมือนคนกำลังเมารสจุมพิต สัมผัสซึ่งดูดรั้งดึงดันทำความรู้สึกให้ทะยานสูงขึ้นจนยากจะหยุด

เอาอีก อยากได้มากกว่านี้ ผมอยากสัมผัสมันทุกตารางนิ้ว เลยไล้มือไปยังกระดุมที่เหลืออยู่ ปลดมันออกจากรังจนเกลี้ยง ก่อนจะเนียนไปจัดการกับกระดุมกางเกงยีนส์ของอีกฝ่าย

สัด พลาดแล้ว ลืมไปว่าเรวะมันใส่เดฟ ทำไมกูไม่ถอดก่อนลากมันเข้ามาวะ คิดดูดิเดฟเปียกน้ำมึงเอ๊ย ยิ่งกว่าเปลี่ยนปลอกหมอนข้างอีกกู

แต่ผมเชื่อคนโบราณไง เขาว่าความพยายามอยู่ที่ไหนการสำเร็จความใคร่ก็อยู่ที่นั่น พอช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นได้ก็ออกแรงดึงพยายามให้ขอบกางเกงหลุดจากสะโพกบาง เอ๊า ฮึ่บบบบบบบ แฮ่ก หอบเป็นหมาเลยกู

“กางเกงหรือกาวตราช้าง ติดแน่นทนนานอะไรขนาดนี้วะ”

“เม่น” หมดกัน แผนกูพัง กะจะจูบเรวะแบบอันลิมิเตดแต่อินเตอร์เน็ตต้องมีอันสะดุด เพราะสมาธิผมมารวมจุดที่กางเกง เรวะมันเลยมีโอกาสเรียกชื่อผมขึ้นมา

“ขอเวลากูแป๊บ”

“ไม่ต้องหรอก”

“ได้ไงวะ กู..”

“เดี๋ยวกูถอดเอง”


นี่กู...กำลังฝันอยู่ ใช่มั้ยวะ

...TBC...

++++++++++++++++++


ขอโทษที่หายไปนานค่ะ

ตอนหน้าก็จะจบแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกคนที่ติดตาม และทุกกำลังใจที่มีให้กันเสมอมานะคะ

เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2) [23/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 24-05-2019 00:58:02
เม่นนี่ชักช้าต้องให้เรวะถอดเองซะงั้น 55555

จะจบละเหรอออออคะ  :katai1:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ

.. รักน้องเรวะ :)
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2) [23/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-05-2019 02:19:11
จะเอาฮาจนตอนสุดท้ายเลยไหมคะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2) [23/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-05-2019 14:25:57
รอตอนหน้าด้วยใจจดจ่อ :impress2: :impress2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2) [23/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kamereborn ที่ 24-05-2019 17:33:08
โง้ยยย ตั้ลล้ากกก
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2) [23/5/2019] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 25-05-2019 22:20:29
 :katai1:สนุกมากกกกก ในความดราม่าเอย ความมุ้งมิ้งเอย แม้แต่ความ18+ก็ยังมีความเกรียนความตลกซ่อนอยู่
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 27-05-2019 05:14:55
รายการประเภทนี้ เป็นรายการเฉพาะผู้ใหญ่ อาจมีภาพ เสียง หรือเนื้อหา ที่ไม่เหมาะสมด้านพฤติกรรม ความรุนแรง เพศ และการใช้ภาษา ซึ่งไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน ดังนั้น เด็กและเยาวชนจึงไม่ควรรับชม

∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก...ถึงมากที่สุด (2/2) END


“ถอยออกไปก่อนได้มั้ย”

“คะ...ครับ ได้ครับ”


ผมขยับหลบ รอร่างโปร่งยันกายลุกตัวขึ้น ใครมันจะไปคิดว่าอนาคตเมียจะกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่าพอยืนได้ก็ดึงซิบลงแล้วลากทุกอย่างออกจากท่อนล่างไม่เว้นแม้แต่ชั้นใน จะขัดใจก็แต่ชายเสื้อที่เปียกน้ำจนตกลงมาระขาร่างบางไว้ปิดส่วนอ่อนไหวให้พ้นตาสายตาคมของผม

“จะเกลียดไซส์เสื้อของตัวเองก็วันนี้แหละ”

“ฮะ? พูดอะไรของมึง หุ่นอย่างมึงน่าอิจฉาจะตาย”

“ไม่ได้หมายความว่างั้น”

พ่นลมหายใจไว้อาลัยให้กับความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ก่อนโน้มตัวไปกระชากแขนร่างบางเข้าใกล้แบบไม่ให้ทันตั้งตัว ไอ้เรวะถึงกับสะดุ้งขยับมือมาปิดแกนกลางใต้ร่มผ้าก่อนที่มันจะมาสัมผัสอกผม ผมเลยจัดการโอบแขนรอบแก้มก้นส่งผลให้ตัวเราแนบสนิทกันมากขึ้น

“ทะ...ทำอะไรวะ”

“มึงน่ะ ทำอะไร”

“ฮะ?”

“จะไปเตะบอลเหรอไง”

“เตะบอลบ้านมึงดิ มึงดูสภาพกูด้วย”

“ไม่เตะบอล แล้วทำท่ากันประตูตอนเตะลูกโทษทำไม”

“ชะ...เชี่ยเม่นแล้วมึงจะให้กูเปิดไข่ให้มึงดูเหรอ!”

ไอ้เหี้ย ไข่เต็มหน้า ทั้งของจริงทั้งคำด่ามีผ่าลงมากลางกบาลผม

“พูดจาไม่น่ารักเลยว่ะ มึงถอดเสื้อกูคืนมาเลย กูไม่ให้ยืมเสื้อแล้ว” ผมคลายอ้อมกอดหันมากระชากเสื้อมัน เกิดการตะลุมบอลอีกครั้ง พอจับจะถอด ไอ้เรวะก็พยายามยื้อยุดฉุดกระชาก ยิ่งกว่าเล่นชักเย่อกันกลางห้องน้ำอีก

“เชี่ยเม่น กูบอกแล้วไงว่าตัวนี้เดี๋ยวซักส่งให้มึงลืมไปแล้วเหรอว้า~~”

“กูไม่ให้เด็กดื้อยืมเสื้อเว้ย เอาคืนมาเลยมึง”

“ไม่คืนนนน”

“คืน”

“ไม่คืน”

“คืนมาดิวะ”

“ไม่คืนโว้ยยยย”


พลั่ก!!


อย่าถามว่าจุดจบเป็นไง ก็ลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้นดิครับถามได้ ตามมาติดๆด้วยร่างบางที่เอนตัวลงมาทับผมเต็มๆ เจ็บตรงศอกแต่ชอกช้ำสุดๆยามที่มันเกือบล้มมาโดนทับจุดสำคัญของผม ใบหน้าบิดเกร็งทำคนดื้อดึงลุกพรวดพราดมาประคองแก้ม แววตาเป็นกังวลฉายชัดขึ้นดวงตากลมใส

“เม่น มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะ”

“ของกู...”

“ขะ...ของมึง เวรแล้ว” เรวะมันขยับพรวดพราดร่นตัวไปจับขอบกางเกงสแล็คสีดำของผมพลางปลดกระดุมลากซิบ ใครมันจะคิดล่ะครับว่าคุณแฟนจะซื่อมากถึงขั้นลากขอบกางเกงชั้นในกูลงมาดูด้วย

“สัด บะ...บวมเลยอ่ะ...ทะ...ทำไงดีวะ” มันลนลานมองซ้ายมาขวาหาทางไปไม่ถูก “ยะ...ยา...ใช่...ยา เดี๋ยวกูไปหายามาทา...”

“มึงหยุดเนียนเลย” ผมคว้าข้อมือมันไว้

“แต่ไอ้เม่นของมึงมันอาการ...”

“สัด มันแข็งเหอะ ไม่ได้บวม”

“...!!”

โอเค นิ่งเลย กับเรวะมันต้องตรงๆ ไม่งั้นเจ้าตัวก็พยายามหาโอกาสเบนความสนใจอีก ผมดักคอจนเด็กดื้อหมดหนทางหนี มันเม้มปากยอมหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างเก่า

“กะ...กูไม่ได้ตั้งใจจะหนีนะ”

“ถ้าไม่อยาก มึงก็บอกมาตรงๆดิวะกูจะได้...”

“ตะ...แต่ของมึงมันใหญ่ กูรับไม่ไหวแน่ๆ”

“...!!”

“มึงก็รู้ กูเข้าห้องน้ำที่มหา’ลัยกับมึงตั้งกี่ครั้ง จะบอกว่ายังไม่เคยเห็นเลยมันก็ไม่ใช่”

สัด มันแอบดูผม

“กูยังไม่ได้เตรียมใจเลยนะมึง”

“แล้วทำอย่างกับกูเตรียมใจมาอย่างนั้น” กูเตรียมมาแค่ของสำคัญ นอกนั้นกะอาศัยทฤษฎีเอา

“แต่ของมึงมันใหญ่นี่หว่า” ไอ้คนตัวเล็กกว่ายังคงโวยวาย “เชี่ยเม่น ตอนเด็กแม่มึงเลี้ยงมาด้วยอะไรวะ ทำไมถึงได้ใหญ่ขนาดนี้”

“ปลัดขิกมั้ง ถามได้ ก็เลี้ยงแบบเด็กธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ แล้วทำไมกูจะต้องมาเสวนาเรื่องการเจริญเติบโตของเม่นน้อยกับมึงด้วยเนี่ย”

“กะ...ก็มันใหญ่...”

“สัดคำก็ใหญ่ สองคำก็ใหญ่ไหนเอาของมึงมาดู” จังหวะที่เผลอ ผมผลักมันจนหงายหลังเอื้อมมือไปจับชายเสื้อที่เปียกชื้นถลกขึ้นอย่างไวจนร่างบางไม่มีโอกาสต่อต้าน

ไอ้เหี้ย ขาวเว่อร์

แม้แต่เรวะน้อยก็ยังขาว แล้วแถมขนอ่อนมีอยู่น้อยนิดจนนึกว่าผิวเด็กด้วยซ้ำ

“เชี่ย!!ทำอะไรวะ” มันปัดมือผมขยุ้มเสื้อลงมาปิดอย่างเก่า เท่าที่เห็นส่วนอ่อนไหวของเรวะดูมีอารมณ์เริ่มแข็งขืนเล็กน้อย จำได้ว่าทำไปแค่จูบยังเป็นถึงขนาดนี้...

...แล้วถ้าทำยิ่งกว่าจูบมันจะเป็นถึงขนาดไหน...

ดวงตาแววโรจน์เป็นประกายโชติช่วง ความอยากรู้ดันผมมาจนสุดความอดทน ไม่พูดพล่ำทำเพลงเอื้อมมือไปสัมผัสความแข็งขืนที่มีอยู่ครึ่งๆกลางๆของเจ้าตัว ร่างบางถึงกับสะดุ้งหุบขากระถดตัวหนีจนหลังไปชิดติดกับกำแพง ผมเลยจัดการคร่อมช้อนคางได้รูปมาป้อนจูบร้อนๆใส่

“อื้ออออออออ” คราวนี้รู้เลยว่าต่อต้าน เรวะมันกลัว ผมรู้

“กูไม่ทำให้เจ็บหรอก”

“แต่กู...”

“กูสัญญา”

“...”

“ถ้ามึงเจ็บ มึงบอก กูพร้อมจะหยุด”

“แต่มึงจะ...”

“เซ็กส์ที่ไม่ได้มาจากความต้องการของทั้งสองฝ่าย มันจะไปเรียกว่าเซ็กส์ได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย”

เรวะมันเบิกตาคู่สวยใส่ผม ก่อนหลุบลงราวกับสำนึกผิด

“เม่น”

“ฮึ ว่าไงครับ”

“มึงเป็นคนดีจริงๆว่ะ” แก้มแดงๆของมันทำผมอยากหอม แต่ก่อนที่มือจะไวไปกว่าความคิด เรวะกลับเอื้อมมือมาประคองใบหน้าผมก่อนประกบจูบลงมา

“ฮืออ” เสียงครางเครือในลำคอดังขึ้นจมูกอย่างคนไม่เชี่ยว ดึงอารมณ์ให้ผมขยับไปจับเอวคอดใต้ผืนผ้าสีขาวลูบไล้ผิวลื่นมือไปมาเบาๆ

ริมผีปากของพวกเราประกบกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนผมจะเลยเถิดเคลื่อนคล้อยมาจูบซับที่ปลายหางตา แก้มขาวๆที่มีผมสีแอชเกรย์ระใบหน้า ไหปลาร้า กกหูและซอกคอระหง โอบกอดเอวผอมบางให้กายเราได้แนบชิดกันมากขึ้น ร่างตรงหน้าตอบสนองไปตามอารมณ์ จนผมอดที่จะ...

“กูขอนะ”

ครอบปากลงเม็ดสีสวยซึ่งแนบกับผืนผ้า ขบกัดเบาๆสร้างความรู้สึกเสี่ยวซ่านให้ร่างตรงหน้าไม่ได้  ไอ้เรวะมันดิ้นขัดขืน แต่ก็เพียงช่วงเดียวเพราะอีกสักพักเสียงครางยวนใจก็ดังขึ้นมา

“อ๊ะ...เม่น อย่าดูด...อื้อ” ติ่งนุ่มหยุ่นเริ่มแข็งขืนเป็นไตต้านริมฝีปากผม

“ชอบมั้ย”

“มะ...ไม่รู้ อึ...อื้อ”

“งั้นกูจะทำจนกว่ามึงจะตอบได้” มือไปสานต่ออีกข้างที่ไร้การแตะต้อง ขยี้จนเสียงครางผะแผ่วเปลี่ยนเป็นเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง

“ยะ...เม่น กู” แรงมือของร่างตรงหน้าพยายามจับศีรษะผมออกห่าง ผมต่อต้านโดยการกระชับอ้อมกอดซึ่งเปรียบดั่งพันธนาการตรึงอีกฝ่ายไว้ ก่อนใช้มือใหญ่สอดผ่านผืนผ้าเข้าไปตะโบมลูบแผ่นหลังเนียนละเอียด ขยับมาจนถึงบั้นท้ายนุ่มหยุ่น ก่อนขยำมือลงไปอย่างไรความปรานี

ร่างกายเรวะกระตุกเกร็งอย่างตกใจ มันพยายามดันตัวออก แต่ได้แค่แวบเดียวก็ต้องหันมาทำหน้าตื่นใส่ ในเมื่อผมดึงกระชับร่างของเราเข้าหากันจนส่วนตื่นตัวของมันแนบสนิทติดกับซิกแพคของผม

“อะ...ไอ้เม่น”

“ตื่นเต็มที่แล้วหนิ”

“ฮืออ มึงอย่าพูดได้มั้ย ไม่ต้องมาบรรยายไทยเสียงในฟิล์มแถวนี้เลย” เรวะโวยวาย แม่งน่ารักฉิบหายเลย

“หนังเรื่องนี้ดูง่าย มีแค่เสียงอือๆอาๆ ไม่ต้องไปหาซับไทยให้เหนื่อยใจหรอก” ลิ้นผมหยอกเข้ายอดอกที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตของมันอีกรอบ ตอนนี้มันทั้งบวมเป่งและชูชัน

“ฮะ อื้อออออ พอแล้ว ฮั่ก กู...”

“คำตอบล่ะ”

“คำตอบ...อะไร...”

“ชอบมั้ย?” มันนิ่งอึ้งไป ทิ้งวิวยั่วยวนใจให้ผมมอง เม็ดเล็กสีแดงช้ำกับแก้มขาวๆสีอมชมพูนั่น

“ไม่ชอบมั้ยอ่ะ”

“ฮะ?”

“...แต่ชอบมึง”

“...!”

แม่ง ดาเมจเหี้ยๆ ผมโดนไอ้เรวะมันทำร้าย ไม่ใช่ด้วยร่างกายแต่ด้วยวาจา จากที่ขึ้นเบาๆท่อนล่างมาเต็มที่เลย

“อย่ายั่วกูได้มั้ย”

“กะ...กูไปยั่วอะไร เปล่ายั่วซะหน่อย”

“สัด ไม่รู้หรือแกล้งโง่วะเรวะ” ผมกดตัวคนอยู่เหนือกว่าลงต่ำ พร้อมกับยืดตัวขึ้นไปให้เราสองคนเสมอกัน แนบส่วนที่อึดอัดชวนปะทุอยู่ทุกเมื่อเข้าหาอีกฝ่าย

“อึ๊...ไอ้เม่น!” มันทำหน้าตื่นใส่ผมพลางดิ้นเล็กๆจนส่วนล่างของพวกเราเสียดสีกัน

“อย่าดิ้นดิ มันยิ่งกระตุ้นกูนะ”

“อะ โอ๊ยยยย” จับคอขาวๆมากัดจนจมเขี้ยว ก่อนดูดซับ สร้างรอยห้อเลือดจางๆตีตราจองคนตรงหน้า “เชี่ยเม่น กูเจ็บ เป็นเม่นหรือเป็นหมากันแน่วะ”

“หมาดิ...หมาที่กำลังจะจูบปากคน” จังหวะที่มันจะหันหัวมาด่า ผมรีบคว้าท้ายทอยบังคับริมฝีปากสวยให้รับจุมพิตจากหมาตัวนี้อีกครั้ง วันนี้กูยอมเป็นหมา...หมาป่าที่กำลังจะกินมึงไง

“อื้ออออ” คราวนี้ไวขึ้นกว่าเก่า แค่เสี้ยววิเจ้าตัวก็ตอบกลับจุมพิตผม แถมยังเปิดปากรับจูบอันลึกซึ้งเข้าไปอย่างเต็มใจ พวกเราถอนจูบออกมาแนบหน้าผากเข้าหากันทั้งๆที่ยังหอบสั่นตาพร่า ผมจึงปล่อยโอกาสนี้ให้ร่างบางได้หายใจ

“ไม่น่าเชื่อนะ ว่าพวกเราจะมีวันนี้ได้”

“...”

“วันแรกที่เจอกันยังทะเลาะกันแทบตาย คิดไปถึงวันนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ว่ะ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ

“วันนั้นมึงเลวร้ายมากเลยรู้ตัวบ้างมั้ยไอ้เม่น”

“ฮะ?”

“ก็มึงเล่นด่ากูว่าเป็นโจร แถมยังพามาให้ยืมเสื้อแต่กลับเสือกแกล้งกูให้เดินผ่านทางแคบๆ แถมยังหาว่ากูเป็นไบแล้วจะไม่ให้กู...”

“กูขอโทษ”

“...!”

“ขอโทษทุกอย่าง ขอโทษที่เชื่อข่าวลือบ้าๆ ขอโทษที่กล่าวหามึงแต่ทางที่ไม่ดี พอมารู้ตอนนี้กูโคตรเสียใจเลยว่ะ”

“...”

“มึงให้อภัยกูได้มั้ย”

“จะ...”

“หืม?”

“กูจะไม่ให้อภัยแฟนตัวเองได้ยังไงล่ะ” มันขยับมือมาปิดครึ่งซีกหน้าที่หันมองไปทางอื่น กลบเกลื่อนความเขินอายทั้งหมดที่มี

“พอมาลองนึกดู ตอนนี้กูโคตรกลัวคำขู่มึงเลยว่ะ”

“ระ...เรื่องนั้น...” เหมือนมันจะนึกออกว่าเคยตะโกนอะไรใส่ผม ร่างในอ้อมกอดหลบสายตาเหมือนพยายามหาคำพูดบางอย่างมาปลอบใจ “แต่กูก็ไม่ได้เป็นไบ...เพราะงั้น...”

“ถือว่าคำพูดนั้นโมฆะ”

“ฮะ...อะอือ” เจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆ มันจะรู้ตัวมั้ยว่าคำตอบรับที่ออกจากปากเป็นเหมือนการสั่งสตาร์ทให้ผมสานต่อ จัดการถอดเสื้อเชิ้ตของตนออกจากหัวแล้วปาทิ้งลงข้างทาง

“ได้เวลาอาบน้ำของจริงแล้วล่ะ”

เมื่อฝักบัวใหญ่ถูกปัดเปิดอีกครั้ง สายน้ำสาดซัดเริ่มทำให้ร่างของเราทั้งสองกลับมาเปียกชื้นอีกรอบ ครีมอาบน้ำถูกบีบชโลมลงแผ่นอกขาวลูบไล้จนเสื้อเชิ้ตหลุดออกลาดไหล่ ส่วนเรวะก็ขยับมาจับขอบกางเกงผมก่อนลากลงอย่างไม่ยอมแพ้ หากเจ้าตัวยังคงเหลือผ้าชิ้นน้อยไว้อาจเพราะใจมันไม่กล้าพอ

“อีกชิ้นล่ะ”

“ถะ...ถอดเองดิ”

“ได้” ผมขยับมือไปจับเสื้อมันดึงหลุดออก

“เชี่ยเม่น! ใช่ที่ไหนล่ะ...ของมึงดิวะ”

“อ้าว...นึกว่าของมึงซะอีก”

“มึงยิ้มอย่างนี้อีกแล้วนะ มึงแกล้งกูใช่มั้ย”

“ก็ใครล่ะวะ ทำตัวให้น่าแกล้ง”

“กูเปล่าซะหน่อย!”

“เอาเถอะ ขี้เกียจเถียงว่ะ กูอยากอาบน้ำให้มึงแล้ว”

ครีมอาบน้ำเต็มอัตราศึกถูกชโลมลงแผ่นหลังลูบไล้จนเกิดฟองฟอกเต็มตัวร่างโปร่ง เรวะมันยันมือกับอกผมประคองตัวไว้แบบเสียไม่ได้ ขณะที่ผมพยายามถ่ายน้ำหนักลงมือขยับขัดแผ่นหลังราบเรียบของมันจนสมใจ เลยลากไล้ลามปามลงไปแนวกระดูกเชิงกราน ก่อนตามด้วยสะโพกกลมกลึง

“ฮือออ” เสียงร้องอุทธรณ์ครางเครือในลำคอคนในอ้อมกอดอย่างห้ามไม่อยู่ เรวะมันอายจนแดงไปทั้งตัว สภาพที่หลบมาข้างหน้าก็เจอเม่นน้อย กระโด่งตูดคล้อยไปด้านหลังก็เจอนิ้วมหาประลัย น้ำตาเลยไหลออกมาคลอเบ้า “ไอ้เม่นอย่าแกล้งกูดิวะ”

“กูจะล้างตัวมึงให้”

“ละ...ล้างตัวก็ล้างตัวไปดิ ทำไมจะต้องมายุ่งกับ...”

“ตรงนี้เหรอ” ผมหยอกเอานิ้วไปสัมผัสเบาๆ เรวะถึงกับสะดุ้งดันตัวมาแนบติด...เอาแล้วไงกระแทกไปเต็มๆ

“อะ...ไอ้เม่น”

“เริ่มทนไม่ไหวแล้วว่ะ”

“มึงใจเย็นๆนะ”

“สักรอบในห้องน้ำก่อนได้มั้ย” สายหัวหวือเลยแฟนผม... “แค่ปล่อยอย่างเดียว ในนี้ไม่มีถุงยาง กูไม่ทำจนสุดทางหรอก” ผมพึ่งบอกไปใช่มั้ยว่าถ้าเจ็บผมจะหยุด แต่ถ้ามันไม่หลุดคำนั้นออกมาผมก็จะยืนยันว่ามันไม่ห้ามอะไร ฟองลื่นๆถูกน้ำชะล้างจนหมด มือเอื้อมไปกดปิดฝักบัว ประคองตัวลงนั่งก่อนฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้ลงมาซ้อนตัก

ผมมองส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวเต็มที่ของอีกฝ่าย ไอ้เรวะมันเอาแต่บ่ายเบี่ยงหน้าหนีหลับตาปี๋ไปทางอื่น เลยจัดการเกี่ยวขอบชั้นในของตัวเองลงมาให้เม่นน้อยได้ลืมตาดูโลก กระชับสะโพกร่างบางบรรจงให้ส่วนแกนกลางของเราได้สัมผัสกัน

“อึก...” ขนาดหลับตาปี๋ยังมีมาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยการเอียงตัวมาเกาะไหล่อีกแม่ม...แฟนหนอแฟน...

“ไม่เป็นไร...หลับตาไป มึงแค่รับรู้ความรู้สึกไว้ก็พอ” ผมกระซิบข้างหูมัน ก่อนเริ่มลงมือจัดการขยับมือรวบความเป็นตัวตนของเราสองเข้าหา ลากไล้ไปมาเบาๆ

“ฮึก...อ๊ะ...ไอ้เม่น...กู” หันไปหอมซอกคอกับแก้มนิ่ม ไอ้เรวะมันหลับตาปี๋กัดริมฝีปาก ก่อนลืมตาที่มีน้ำตาคลอหันมาสบ ผมเลยฉวยโอกาสประกบริมฝีปากสีแดงอิ่ม ซึ่งแปลกที่เรวะมันตอบสนองแถมยังขยับมือมาประคองท้ายทอยผมประกบจูบดูดดื่มลึกซึ้งด้วยปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดผลัดกันไปมา

...ผมกำลังจะคลั่ง...

“อ๊ะ...ฮึก อื้อ...เม่น...กู” จังหวะขยับมือถูกเร่งเร็วและแรงขึ้นกะทันหันจนอีกฝ่ายกลั้นเสียงไม่อยู่ ผมกำลังโดนกระตุ้น ทั้งด้วยเสียงและด้วยการกระทำแบบซื่อๆไม่คิดอะไรของคนตรงหน้า

“เรวะ...เรวะ”

“เม่น...ฮะ...กู...จะ...”

“จะอะไร...”

“จะ..ออก...อื้ออออ” ความอุ่นร้อนจากของเหลวขุ่นข้นออกมาแทนที่คราบน้ำที่เปรอะเปื้อนตัว ความรู้สึกปวดท้องน้อยแสนวาบหวามหายไปราวกับมีประกายไฟเปรี้ยงปร้างขึ้นตรงหน้า ผมกับมันเสร็จพร้อมกัน ร่างของเรวะหอบโยน มันซบหน้าผากกับไหล่ผมหันหน้ามามองด้วยสายตาปรือปรอย “มึง...”

“ฮะ?”

“...ด้วยมั้ย” เป็นห่วงกูได้อีก ผมยกมือที่เปื้อนคราบของเราทั้งคู่ขึ้นให้อีกฝ่ายเห็น

“แยกไม่ออกเลยว่าของใครเป็นของใคร” แค่นั้นแหละ แม่งผละตัวออกจากผมแทบไม่ทัน

“สัดเม่น...ทะลึ่ง”

“น้อยกว่าคนที่มาจับกูจูบเมื่อกี้ละกัน” โหยยย แดงครับ แดงเรียกพ่อเรียกแม่ ลากไอ้เรวะไปรวมกับกุ้งสุกตอนนี้ได้เลย

“กูจูบแฟนกู มันผิดด้วยเหรอ”

“...!” คราวนี้คงเป็นผมที่แดงแทนมัน...สัดยิงมาได้ เขินฉิบหาย ดีใจแทบตายเลยโว้ยยยยย “ออกไปที่เตียงกันมั้ย” กูทนไม่ไหวแล้วว่ะ

“มึงออกไปก่อนได้มั้ย”

“ทำไมวะ”

“กู...ยังต้องจัดการตัวเองอีก”

“มึงหมายถึง” เห็นหน้าแดงๆของมันผมรู้ได้ทันที “ให้กูช่วยมั้ย”

“มะ...ไม่ต้องกูทำเองได้”

“มึงรู้วิธี?”

“กูศึกษามาแล้ว” เสียงเงี้ยะอ่อยเชียว ผมกลัวแฟนผมมันเขินตายเลยลุกขึ้นกะเดินออกไปรอ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันมาจับแขนร่างบางตรึงไว้กับกำแพง

“กูทำให้ดีกว่า”

“...!”




กว่าจะหลุดออกมาจากห้องน้ำได้ตัวแทบเปื่อยตาย เนื้อเยื่อแทบยุ่ยติดมือออกมา แฟนผมจากที่ซีดอยู่แล้วแม่งก็ซีดหนักกว่าเก่า แอบกลัวว่าก่อนเด้าแฟนกูจะได้เด้ากับหมอนแทนเพราะแฟนเป็นปอดบวมตาย เลยจัดการพันผ้าขนหนูรอบเอวตนเองและห่อตัวอีกฝ่ายก่อนอุ้มย้ายมันออกมา

“นะ...หนาว หนาวว่ะ เม่น ปิดแอร์ที”

“ครับๆ” ตอนนี้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ กูทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณแฟน พอถึงเตียงไอ้เรวะมันก็กระถดตัวมุดเข้าผ้าห่มตัวสั่นอย่างกับลูกนกตกน้ำ “ไหวมั้ยวะ”

“ฮือ...หนาวว่ะมึง ทำไมมันหนาวแบบนี้วะ” ก็มึงเล่นอยู่ในห้องน้ำชั่วโมงกว่า แถมโดนแต่เครื่องทำน้ำอุ่น พอออกมาเจอลมเย็นที่เครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้ ก็ไข้ขึ้นกันดิครับงานนี้

“ไม่ได้เป็นไข้ใช่มั้ยวะ” ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก ยังดีที่ว่าไม่มีอาการของคนตัวร้อน แอร์ก็ปิดแล้วอีกไม่นานน่าจะบรรเทาอาการของคนตรงหน้าได้

“มึงไม่หนาวเหรอวะ”

“นิดๆ แต่ไม่มาก”

“ไอ้หมีขั้วโลก”

“อันนี้ไม่เกี่ยวกับหมีขั้วโลกรึเปล่าวะ มึงโดนน้ำมากกว่ากู แถมยังโดนฉีดเข้าไปถึงข้างในตั้งหลายรอบ ถ้าไม่หนาวกว่าก็บ้า...”

“ไอ้เม่น!มึงหยุดพูดเลยนะ”

“ทำไมวะ ก็พูดเรื่องจริง”

“ก็กูเขินนี่หว่า!” เหอะ ไม่เขินให้มันรู้ไปโดนผมล้างตู้เย็นซะยกใหญ่ ทั้งล้วงทั้งสะกิดตรงจุด จนเจ้าตัวทนไม่ไหวออกไปรอบสอง คนหน้าบางแบบแอบๆอย่างมันไม่ถึงขั้นเขิน กูว่าก็บ้าแล้ว

“อุ่นขึ้นรึยัง” ผมเอื้อมมือไปจับผ้าขนหนูเช็ดปอยผมของคนตรงหน้า ขยี้เบาๆให้หายชื้น

“ยะ..ยัง”

“แต่กูอุ่นแล้ว” มุดเข้าผ้าห่มอย่างถือวิสาสะก่อนดึงร่างที่สั่นเป็นลูกนกเข้ามากอด “แล้วกำลังจะร้อนอีกรอบด้วย” ร่างบางเกร็งตัวมองผม มันต้องรู้แล้วล่ะ เพราะสัมผัสถูกความแข็งขืนของผมได้

“ขะ...”

“หืม?”

“เข้ามาเลย...กู...พร้อมแล้ว”

สัด มันจะรู้มั้ยว่าปากมันน่ะตัวดีที่จะฆ่าผมให้ตาย พูดแต่ละคำมาได้ไม่สนใจสุขภาพกูเลย

“รอให้มึงอุ่น...”

พรึ่บ!!

ไอ้สาดดดดดดด ใครเอาความใจกล้าของแฟนกูให้กลับคืนมา ไอ้เรวะมันขยับตัวขึ้นทับท้องผม ผ้าขนหนูแหวกให้เห็นขาขาวๆอย่างหมิ่นเหม่ จากที่ตั้งเด่อยู่แล้วนี่ยืนตัวตรงเคารพธงชาติเลยครับ การเล้าโลมอะไรไม่ต้องมีอีกแล้ว มือขยับไปปลดปมผ้าขนหนูตนเองก่อนขยับเสียดสีถูไถกับความนุ่มลื่นของผิวกายอีกฝ่าย ความเย็นถ่ายทอดตรงมาจนต้องรวบร่างบางเข้าอ้อมกอด

“ตัวมึงหนาวจะแย่อยู่แล้วยังจะ...”

“แต่มึง...” มันขยับมือมาจับของผมก่อนพยายามจะทำอะไรที่เกินตัวอย่างการออนท็อป

“โว้ๆ ใจเย็นดิวะเรวะ”

“มึงไม่เป็นไรเหรอ” สายตาดูเป็นห่วง อาจเพราะรู้สึกผิดที่ออกไปถึงครั้งแต่ผมยังจบแค่หนึ่ง

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดิวะ มึงกำลังข้ามขั้นตอนอยู่นะ”

“ขั้นตอน? ขั้นตอนอะไรวะ...นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะไปขอพ่อแม่กูก่อนน่ะ”

“อย่างนี้ไม่รอกูยกขันหมากไปสู่ขอมึงเลยล่ะ...คิดได้นะแพนด้า”

“ละ...แล้วอะไร...”

“ถุงยางกับเจลหล่อลื่นอยู่ในลิ้นชัก” มันขยับลุกออกไปทิ้งผมให้มองพฤติกรรมของคนรักอย่างเอ็นดู...ไร้เดียงสา แต่ก็กล้าที่จะท้าทาย นี่แหละนิยามของไอ้เรวะ

“อะ...อันนี้เหรอ” มือโคตรดีจับได้รุ่นบางเฉียบ ผมแม่งแทบไปแดดิ้นกองอยู่กับพื้นตอนที่มันฉีกซองแล้วพยายามจะสวมให้...

“ดะ...เดี๋ยวกูใส่เอง” หัวใจแทบวาย ปล่อยให้เรวะมันขยับไปนั่งจุ้มปุกรออยู่ข้างๆ จัดการใส่จนเสร็จก่อนพรวดพราดจู่โจมไอ้คนตัวเล็กแบบไม่ให้ตั้งตัว

“ยะ...อื้ออออ” จูบกี่ครั้งก็ยังไม่พอ ตอนแรกผมคิดว่าความหวานมาจากน้ำตาลโกโก้ที่ผมชงให้ แต่พอแนบกลีบปากลงซ้ำๆจุมพิตดื่มดำจนนับครั้งถ้วน ผมบอกได้เพียงอยากเดียวว่าความหวานมันมาจากข้างใน จากการที่ได้สัมผัสกับคนที่ตัวเองรัก ความพยายามที่จะตอบสนองมันเหมือนอีกฝ่ายใส่ใจเป็นห่วงทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด แค่นี้ผมก็รักมันแทบตายแล้ว

“เรวะ...”

“ฮะ...”

“กูรักมึง”

“...!”

“หืม?”

“กะ...กูก็รักมึง” เราต่างยิ้มให้กัน ผมฝังใบหน้าลงแผ่นอก สร้างรอยจ้ำแดงแสดงความเป็นเจ้าของไว้ตามจุดต่างๆ ไล้นิ้วไปต้นขาเนียนจูบซับด้านในจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางในลำคอออกมา ก่อนครอบครองความอ่อนไหวของคนตรงหน้าเข้าไปในปาก “ฮะ....อื้ออออออ”



มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 27-05-2019 06:26:08
 บอกแล้วความสัมพันธ์มันต้องมีความสุขกันทั้งสองฝ่าย ผมไม่ยอมปล่อยให้คนตรงหน้ารู้สึกเจ็บตัวแต่ฝ่ายเดียว เลยเริ่มการเล้าโลมจนส่วนแกนกลางเริ่มแข็งขืนอีกครั้ง

“ไอ้เม่น...อย่าดูด...พอ กู...ฮือออ” พอเห็นว่าเริ่มทนไม่ไหวผมจึงปล่อยค้างไว้ตรงนั้น หันมาตั้งใจจัดการแยกขาขาวๆสองข้างขึ้นพาดบ่า จนเกือบคว้ามือคนรักที่ขยับมาจับของตัวเองอย่างห้ามแทบไม่ทัน

“ทำอะไรน่ะ”

“ไอ้เม่น...อย่าแกล้งกู ฮึก...กูอึดอัด”

“อดทนอีกนิด...กูไม่อยากให้มึงรู้สึกเจ็บอย่างเดียว”

“แต่กูทนไม่ไหว” รีบขยับมือกำส่วนปลายก่อนอุดช่องทางไว้จนคุณแฟนน้ำตาเล็ด เห็นแล้วทรมานแทน แต่ไม่ได้ไงคราวนี้ผมอยากเข้าไปในตัวมันด้วย ไม่รอช้าผมรีบขยับส่วนใกล้ปะทุของตนเองชโลมความชุ่มชื้นก่อนเข้าชิดปากทางที่ผ่านการเตรียมการมาเรียบร้อย รู้สึกถึงความหดเกร็งอย่างเห็นได้ชัด มือที่จับผมไว้จิกเล็บลงมาอย่างไม่รู้ตัว

“เรวะ ผ่อนคลาย”

“ทะ...ทำยังไง”

“มองหน้ากู” ร่างที่หายใจหอบถี่หลับตาปี๋ด้วยความกลัว เปิดมามองสบผมอีกครั้ง

“ฟะ...แฟนใครหล่อจัง” สัด...เวลาแบบนี้ยังมีปัญญาเล่นมุก แต่ทำไมกูมีความสุขกับมุกกากๆแบบนี้วะ

“นี่แฟนมึงไง จำไม่ได้เหรอ” เล่นมุกมาเล่นมุกกลับไม่โกง จังหวะที่ร่างบางเผลอขำ ผมประกบจูบก่อนดันตัวเข้าช่องทางอันอึดอัด

“ฮือออ อะ...ไอ้เม่น ฮั่ก...” แรงดึงดันทำให้ร่างข้างใต้ขยับหนีในทีแรก แต่สุดท้ายก็ตัดใจเปลี่ยนมาจับต้นแขนจิกแรงลงมาไม่ยั้ง มันปล่อยให้ผมดันตัวเข้าต่อโดยไม่ร้องขอประท้วงอะไร แต่แนวฟันขาวกลับกัดลงริมฝีปากบางสวยจนไร้สีเลือด

“เรวะ อย่ากัด”

“แต่กู...ฮะ...อ๊ะ” ห่วงว่าปากจะแตกจนได้เลือดก่อนผมจะเข้าถึงด้านในตัวมันจนสุด เลยเสือกกายเข้าด้วยจังหวะช้าๆแต่ไม่หยุดกลางทาง

“อดทนอีกหน่อย กูกำลังจะ...”

“ฮือออ....อึก อื้อออ”

สะ...สุดแล้ว เหงื่อหยดเป็นน้ำเลย แต่ร่างข้างใต้ก็ไม่แพ้กันมันทั้งน้ำตาไหล แถมยังเหงื่อโทรมกายไปทุกอณู ทิ้งเสียงครางเครือร้องประท้วงอยู่ในคอ “ฮึก...ไอ้เม่น...กูอึดอัด”

“หายใจเข้าออกลึกๆ”

“ฮืออออออ” ยอมทำตามแต่ก็ยังส่งเสียงอืออางอแงในลำคอ

“ไหวมั้ย”

“พะ...ฮึก...พอได้...ฮืออออ” ได้ตรงไหนล่ะวะ น้ำตานี่พรากๆเลย ผมถึงกับขั้นต้องเอาผ้าขนหนูขึ้นซับหน้าซับเหงื่อกัดฟันไม่ขยับกายให้กระทบกระเทือนอีกฝ่ายตรงด้านล่างเต็มที่ แต่ไปๆมาๆไอ้เรวะกลับเป็นฝ่ายขยับตัวหนี พยายามจะดึงตัวออกจากส่วนนั้นของผม จนต้องจับร่างของอีกฝ่ายตรึงไว้ ประคองใบหน้าให้หันมาสบตา

“เรวะ มองตากูดิวะ”

“ฮือออ เม่นกูไม่ไหวแล้ว กู...กลัว”

“มองตากู...”

“อึก...มะ...มองแล้ว”

“เดี๋ยวอีกสักพักมึงจะรู้สึกดี”

“...”

“เชื่อกูนะ” ร่างบางพยักหน้าจนผมสีแอชเกรย์ตกลงมาปรกหน้าผากที่เปื้อนเหงื่อ ผมขยับมือออกไปเกี่ยวออก ลูบหัวร่างตรงหน้าเบาๆ ก่อนจูบซับหน้าผากเน้นๆ “กู...ขยับนะ”

“อะ...อือ” จังหวะที่ถอนออกช้าๆ เรวะเบ้หน้าจนน่าสงสาร แต่ผมก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันเลยดันกลับเข้าไปอีกระลอก จากที่เนิบนาบอย่างใจเย็นเปลี่ยนเป็นเร่งความเร็วขึ้นจนจังหวะกระชั้น เสียงเหนอะหนะจากของเหลวสร้างความชุ่มชื้นไหลออกมาดังก้องไปทั่วห้อง

“ฮะ...อ๊ะ...ไอ้เม่น...อื้อออ”

“ตรงนี้เหรอ” รู้สึกเหมือนไปสะกิดกับบางอย่างเสียงร้องครางทำผมต้องจงใจขยับไปเสียดสีกับจุดนั้นซ้ำๆจนร่างบางร้องเสียงหลง

“ยะ....อื้อ....ไม่เอาตรงนั้น กู...”

“มึงทำไม”

“กู.... ฮะ...อ๊ะ”

“รู้สึกเหรอ”

“ยะ...อย่าแกล้งกู อื้อ” มึงนั่นแหละที่แกล้งกู รัดมาจนจะขาดใจอยู่แล้ว ผมขยับเข้าออกไม่หยุดเหมือนบางอย่างกำลังจะปะทุออกจากตัว

“กู...จะออก”

“ฮะ...อ๊ะ...ยะ...อื้ออออ”

ในที่สุดผมก็ปลดปล่อยในตัวมัน ส่วนเรวะผมยังไม่ทันไปจัดการอะไรให้ ส่วนปลายที่แข็งขืนก็ปลดปล่อยตามออกมา ร่างทั้งร่างหอบสะท้านไม่หยุด

ผมถอนออกก่อนจัดการกับถุงยางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำรักมัดทิ้งลงถัง ก่อนรีบเข้าไปลูบหัวดูอาการของคนรัก

“ไหวมั้ยวะ”

“ฮือ อึก...ไอ้เม่น” มันจับแขนผมไว้ น้ำตาคลอเบ้า “มึง...เสร็จมั้ย”

“เชี่ย...ห่วงกูเพื่อ...ดูมึงก่อนเถอะร้องไห้จนตาแดงไปหมดแล้ว” ผ้าขนหนูเปียกจนหมดหนทางจะซับผมเลยยกนิ้วไปเกลี่ยน้ำตาและลูบข้างแก้มของอีกฝ่ายไปมาเบาๆ

“กะ...กูไม่เป็นไร” เอ็นดูโคตรๆ ยิ่งเห็นผมยิ่งรักมัน เลยขยับไปจูบซับที่เปลือกตา

“กูโคตรมีความสุขเลยว่ะ แล้วมึงล่ะเป็นไง”

“จุกอ่ะ” แหงอยู่แล้วก็กระแทกไม่ยั้งตอนช่วงท้าย แถมดันลึกจนไปสัมผัสจุดเร้าอารมณ์ของอีกฝ่ายซ้ำๆนี่หน่า ไม่จุกก็บ้าแล้ว

“เหมือนยังมีอะไรค้างอยู่เลย” มือซุกซนเผลอไปจับช่องทางของตนเองจนเบ้หน้า ผมถึงกับต้องรีบปัดมือมันออก

“อย่าจับ เดี๋ยวกูทำความสะอาดแล้วทายาให้”

“ยะ...ยังต้องทำความสะอาดอีกเหรอ”

“อือ”

“ไม่ทำได้มั้ยอ่ะเม่น...กู”

“มึงรู้สึกแย่มั้ย”

“ฮะ”

“ที่ทำกับกู”

“มะ...ไม่”

“จริงเหรอ” สำนึกผิดนิดๆหากผมจะรู้สึกดีเพียงฝ่ายเดียว แต่เรวะมันกลับขยับมือมาจับแก้มผมพลางยิ้มให้

“มันดี...ที่ได้ทำกับมึง” แค่นี้ผมก็แทบน้ำตาไหลแล้ว มันเป็นความสัมพันธ์กับแฟนครั้งแรกที่ทั้งหอมหวานและมีความรู้สึกรักจากคนทั้งคู่...

 

 

 

 

 

 

“เชี่ยโว้ย นี่พวกมึงเลิกกันแล้วเหรอวะ”

“ไอ้เม่น มึงเอ๊ยมีคนที่ชอบจริงๆคนแรกทั้งทีกลับพลาด ได้ไง เสียดายความหล่อของมึงว่ะ”

“ก็เมื่อวานมึงเสือกเล่นไปคุยมีลับลมคมในกับน้องป่าน เรื่องมันไม่ถึงคราวร้าวฉานก็ให้มันรู้ไปดิ”

 

เออร้าว หัวพวกมึงน่ะดิจะร้าว ปากเพื่อนผมมันกวนตีนกันทุกคน แค่เห็นไม่ได้มากับไอ้เรวะมันก็จัดชุดใหญ่ด้วยการแช่งให้ผมกับแฟนเลิกกันไวๆอย่างตอนนี้

 

“พวกมึงแม่งเงียบบ้างก็ไม่มีใครเขาหาว่าเป็นใบ้ หุบปากไปเลยสัด”

“หูยยย ไอ้เม่นเกรี้ยวกราด”

 

เมื่อวานแค่จัดหนักจนลืมไปว่าวันเสาร์พวกเรามีลงกิจกรรมไปร่วมกองสันทนาการที่โรงเรียนไกลปืนเที่ยง พึ่งมาสำนึกได้ก็เป็นตอนเช้าที่นาฬิกาปลุกตั้งเตือนสติ ผมนี่แทบพลิกเตียงบึ่งออกมาไม่ทัน ความจริงจะโดดร่มก็ได้แต่งานนี้เจ้าภาพเป็นสโมสรนิสิตขืนแรงงานหายไปสองต้องโดนไอ้สัดแฮ็คมันฆ่าตาย แถมแบนห้ามลงทะเบียนมันทุกกิจกรรมที่ฝ่ายนั้นเป็นเจ้าภาพไปตลอดอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเลยต้องจำใจทิ้งไอ้เรวะไว้ที่หอแล้วมายืนหงอไม่มีคู่อยู่ตรงนี้ไง

“เอ้าทุกคน จะเริ่มเช็คชื่อแล้วนะคร้าบบ ยืนให้เป็นระเบียบแถวตอนสองที” เสียงโทรโข่งดังมาแต่ไกล งานนี้ไอ้แฮ็คเจ้าพ่อกิจกรรมมันเดินมาคุมเอง ไม่ใช่เล่นๆ

“อ้าวไอ้เม่น เมียมึงไปไหนวะ” พอเดินเข้ามาใกล้เห็นผมเข้าหน่อยแม่งก็ใส่เลย ไม่พูดเปล่าเอาปากกรอกโทรโข่งอีกไอ้เพื่อนเวร

“มันไม่สบาย มึงตัดชื่อพวกกูออกก็ได้ พวกกูไม่เอาชั่วโมงแต่เดี๋ยวช่วยทำกิจกรรมเอง”

“โคตรป๋าอ่ะ โอเค กูจะใช้งานมึงให้หนัก โทษฐานที่ขโมยโควตาชาวบ้านเขามาปล่อยฟรี” ไอ้โหดแฮ็คไม่เห็นแก่เพื่อนที่เข้าร่วมรุ่นร่วมกินขนมปี๊บกับมึงสักหน่อยเลยเหรอวะ สักพักมันก็ยกโทรโข่งขึ้นมาแนบปากอีกรอบ “เก้าๆ ตัดชื่อไอ้เม่นกับเมียมันออกให้ที แล้วเดินประกาศหาแถวนี้ก็ได้ว่าใครอยากได้ชั่วโมงกิจกรรมง่ายๆให้มาเลย”

สัด ยังจะหาคนมาเพิ่มอีก ละเหี่ยใจ ได้แต่ก้มหน้าจ้องปลายตีนใต้รองเท้าแตะเล่น หรือว่ากูต้องโหนรถทัวร์ไปจนสุดทางแทนที่จะได้นั่งเพราะโดนตัดชื่อออกแล้ววะ รู้งี้นอนอยู่กับหอดูแลไอ้เรวะไปเงียบๆยังจะดีกว่า

“ไม่ต้องตัดชื่อออกนะ กูมาแล้ว”

หา?

เงยหน้าไปมองเจ้าของเสียงคุ้นหู ไอ้เรวะตัวเป็นๆยืนเน้นๆอยู่ตรงหน้าสัดแฮ็ค ประกาศกร้าวว่าอย่าตัดชื่อพวกกูออกจากกิจกรรม กำลังเดินมาทางนี้

“ไอ้เชี่ย สยบข่าวลือแทบทุกสิ่ง”

“เรตัวจริงเสียงจริงมาแล้วโว้ย”

“ยินดีด้วยเพื่อน มึงไม่เดียวดายแล้วว่ะ” เพื่อนมันตบไหล่ผม ส่วนคนที่งงก็ได้แต่มองหน้ามันพลางขมวดคิ้วใส่

“ใครบอกให้มึงมา” เป็นประโยคแรกที่ผมกล่าวทักหน้าซีดๆเจ้าของกางเกงยีนส์ขาเดฟกับเสื้อตัวใหญ่ซึ่งเดาได้เลยว่ามันคว้าจากตู้เสื้อผ้าผมมาใส่แบบมั่วๆ

“มีกิจกรรม กูก็ต้องมาดิวะ”

“เรวะ แต่มึงควรนอน”

“กูไม่ได้ไม่สบาย”

“อ้าวไหนไอ้เม่นบอกว่ามึงไม่สบาย” จอมเสือกอย่างไอ้หงส์แม่งมาเลย ผมแทบจะถีบไล่มันออกไป แต่ไอ้เรวะมันไม่สน หันมาพูดกับผมต่อ

“อย่ามาว่ากูเม่น มึงไม่ใช่ผู้ปกครองกู”

“ไม่ใช่ผู้ปกครอง แต่กูเป็นผั...” มือบางมาปิดปากผมดังป้าบ กรามกูแม่งสั่นเลยครับ

“สัดพูดอะไรวะ”

“ก็มึงไม่เชื่อกู”

“ถ้ากูเชื่อมึงเทอมนี้ก็เอฟดีดีนะเว้ย”

“เอฟก็ช่างปะไร กูทนเห็นมึงป่วยไปไม่ได้หรอกนะ”

“ฮั่นแน่ คุยจุ๋งจิ๋งหงุงหงิงอะไรกันครับคุณเพื่อนเม่น” เสียงไอ้แฮ๊คโผล่มาทันที ไอ้หัวหน้าสโมรายนี้ก็ไม่รู้เป็นอะไรสนใจกูจัง ทีตอนอยากได้เวลาส่วนตัวหน่อยแม่งก็ถอยโทรโข่งใส่ไม่ยั้ง จนกูจะตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษานับร้อยชีวิตตรงนี้แล้วนะโว้ย

“ลากเมียมึงไปต่อแถวดีดีได้แล้ว” ผมรีบฉุดไอ้เรวะให้มายืนข้างๆ ขี้เกียจต่อกรกับเจ้าภาพของงาน “คราวนี้มึงทำกิจกรรมไม่ต้องใส่ถุงแล้วนะ กูเอากีตาร์มาด้วย งานหลักวันนี้เป็นนักร้องอย่าเอาแต่มองเมียล่ะ”

“สัด! รู้แล้วเว้ย” มีเมียทั้งทีไม่ให้กูมอง กูจะไปฟ้องสมาคมคุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภค!!

 

 

 

 

 

ทุลักทุเลกว่าจะนั่งตุเลงตุเลงรถทัวร์หวานเย็นมาจนถึงโรงเรียนเป้าหมาย บั้นท้ายแฟนผมก็ชอกช้ำถึงกับขั้นต้องหาผ้าขนหนูมารองเบาะนั่งให้หรูขึ้นอีกระดับ พยากรณ์อากาศเขาบอกว่าวันนี้แดดจะจัดถึงจัดมากเล่นเอาน้ำตาลในเลือดกูขึ้น โดนเพื่อนมันกล่าวหาว่าผมประคบประหงมแฟนแปลกๆเหมือนอย่างกับไม่ใช่กลัวมันเป็นลมแดด แต่กลัวลูกท้องแฝดจะแท้งเอา

“ได้กันมาแล้วก็บอกเหอะ อย่าให้พวกกูต้องจินตนาการ”

“ไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้”

“แต่ความอยากรู้อยากเห็นของพวกกูมันอยู่เหนือจินตนาการว่ะ”

“แล้วพวกมึงจะรู้ไปเพื่ออะไรวะ ไปเสริมสร้างจินตนาการส่วนกามๆของพวกมึงหรือไง” ชักทนไม่ไหวเลยตวาดออกไปจนพวกมันสะดุ้ง

“เฮ้ยไม่เอาน่าไอ้เม่น อย่าใช้อารมณ์ดิวะ”

“ถ้ามึงว่างนักก็หัดดูแลแฟนมึงให้ดีเถอะเชี่ยคีย์ ยืนหน้ายู่เป็นตูดหมึกแบกหม้อกับกระทะอยู่ตรงนู้นแล้วนั่น”

“เฮ้ย เชี่ยละ ยะ...แยม แยมจ๋า คีย์มาแล้ว” กำจัดไปได้หนึ่ง

“ส่วนพวกมึงก็...” ผมเหลือบมามองไอ้คนตัวสูงซึ่งขึ้นชื่อว่าหล่อมาเป็นอันดับสองรองจากผมในกลุ่ม “จะเรียนเพื่อนเอาไปทำกับไอ้หงส์หรือไงวะ ไอ้เชี่ยต๊อบ”

“...!” มันสะดุ้ง อย่าคิดว่ากูไม่รู้ กูดูสายตาที่มองคู่หูตัวเล็กของมึงออกว่าคิดไม่ซื่อขนาดไหน ไอ้หงส์ถึงกับหน้ามึนมองผมสลับกับคู่หูของมันแบบไม่เข้าใจ

“พวกมึงสองคนพูดเรื่องอะไรกันวะ”

“ช่างมันเหอะเชี่ยหงส์ ไปช่วยไอ้แฮ็คมันยกกลองกัน” แล้วไอ้ต๊อบก็ลากคู่หูของมันออกไป ให้มันได้อย่างนี้ดิ กว่าจะสลัดการตามติดของเพื่อนได้ แฟนผมก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ หมุนตัวมองหาสายตาไปสะดุดกับคนตัวขาวที่กำลังเดินแบกเก้าอี้พลาสติกเดินกระย่องกระแย่ง มาวางเรียงอย่างตั้งใจ โคตรน่าเอ็นดู

“มากูช่วย”

“คุยกับเพื่อนมึงเสร็จแล้วเหรอ”

“มีแต่เรื่องไร้สาระ ว่าแต่มึงเถอะมีแรงแล้วเหรอถึงมาเดินแบกของหนักตะลอนไปตะลอนมาอยู่ได้”

“มาช่วยกิจกรรมก็ต้องทำอะไรบ้างดิวะ แล้วยิ่งเพื่อนสโมมึงก็จ้องกูซะขนาดนั้น จะให้อู้เหรอ กูทำไม่ลง” ไอ้สัดแฮ็คมึง! ผมชูนิ้วกลางให้มัน

“ให้เมียมึงเถอะ ไอ้ฟวยเม่น!” คิดว่ามีไมค์แล้วแม่งอยู่เหนือสิ่งอื่นใดเหรอวะ

“แฟนกูจะอยู่ฝ่ายขับร้องกับกูเว้ย” แขนเล็กมากระตุกเสื้อผมทันที

“เชี่ยเม่นมึง กูร้องไม่ได้”

“ได้ดิ ก็เหมือนตอนนั้นที่สวนสาธารณะไง”

“กูร้องมั่วเหอะ แล้วตอนนั้นคนที่สวนก็เอาเนื้อให้กูดูด้วย”

“คราวนี้มึงได้ร้องแต่เพลงที่มึงร้องได้แน่นอน”

 

 

 

 

 

ผมพูดไว้ไม่มีผิด ให้เด็กจะมีอะไรได้นอกจากเพลงการ์ตูน พอทำนองคุ้นหูของฮีโร่ในดวงใจดังขึ้น ต่อให้ไม่รู้ภาษาเจ้าหนูทั้งหลายก็ตะโกนร้องออกมาสุดใจดำน้ำด้วยกันไปจนจบเพลง ดีที่เรวะมันมีคลังเพลงอนิเมะคลาสสิคในสมองเยอะพอพูดชื่อขึ้นมาแก๊งผมก็หาคอร์ดกับโน้ตแล้วเล่นสดโซโล่กันแบบมั่วบ้างไม่ได้บ้าง แต่สภาวะแบบนี้นี่แหละที่เรียกว่าสนุกสนานของแท้

จนกระทั่งโดนสลับมือไล่ให้ลงไปเล่นเก้าอี้ดนตรีกับพวกน้องๆ ในใจผมก็นึกฟ้องเป็นห่วงคนตัวขาวที่เหมือนฝืนกำลังตัวเองอยู่

“เอาแต่จ้องมันนั่งแหละ ไอ้เรมันจะทะลุอยู่แล้ว เดินได้แล้วไอ้เชี่ยเม่น”

“จำไว้นะครับกติกาคือใครแพ้โดนทำโทษให้ออกมาทำตามคำสั่ง พระราชา ว่ะฮะฮะ” บ้านเมืองไหนมีพระราชาอย่างมึงกูว่าล่มจมว่ะไอ้สัดแฮ็ค เห็นเรื่องขี้บังคับไม่ได้มันถึงกับต้องออกโรงกลั่นแกล้งชาวบ้านให้น้องๆที่แพ้ไปปั่นจิ้งหรีดบ้างล่ะ วิ่งรอบสนามบ้างล่ะด้วยข้ออ้างบริโภคแต่น้อยออกกำลังกายเพื่อสุขภาพตามข้างซองขนมที่มันพึ่งแจกน้องๆไป มาคราวนี้มันจะทำอะไรผมไม่รู้ ผมได้แต่ดูไอ้เรวะหวังเพียงแต่ไม่ให้มันต้องแพ้จนโดนทำโทษไปกระโดดตบร้อยทีไม่งั้นผมคงเป็นบ้า

ระหว่างที่กำลังเดินวนเพลงก็หยุดลง เสียงกรีดร้องของน้องๆดังลั่นทุ่ง แฟนผมไวเว่อร์มันแย่งที่ได้แต่ไม่วายพอหย่อนก้นลงไปสีหน้าเจ็บสะท้านบาดสะโพกก็เข้าตาผม

เชี่ยแล้ว...เจ็บตรงนั้นและยังต้องมาเล่นเก้าอี้ดนตรีอีกเนี่ยนะ ทำไมกูไม่ทันคิดวะ!!

“พี่เม่น พี่เม่น” รู้สึกถึงแรงกระตุกแขนเสื้อเบาๆเลยหันไปมอง เป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยกำลังเงยมองผมอยู่

“นั่งสิคะ” เธอเชื้อเชิญให้ไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆตอนนี้สมองผมไปตกอยู่แต่คนตรงนู้นเลยเผลอนั่งตามไปแบบไม่คิดอะไร

“เชี่ยเม่นโว้ย แม้แต่เด็กมึงก็เอาเหรอวะ” สรุปน้องผู้หญิงคนนั้นโดนทำโทษแทนเพราะสละเก้าอี้ให้ผม เฮ้ยจริงป่ะเนี่ย

“พรากผู้เยาว์ ข้อหาหนักนะเว้ย”

“ใช่ที่ไหนเล่าน้องเขาให้กูนั่งต่างหาก”

“อย่าว่าพี่เม่นเลยนะคะ น้องแววเป็นคนให้เก้าอี้พี่เม่นเอง”

“หูยยยยยยยยยยยยยยยยย” แม้แต่แฟนของผมยังฮา มันยิ้มน้อยๆทำท่าล้อเลียนเอานิ้วปาดคอใส่ ว่ามึงไม่รอดคุก แอบได้ยินเสียงรอบข้างซึ่งในระยะที่เห็นท่าทางมัน

“พี่เรยิ้มอ่ะ แก”

“เฮ้ย น่ารักว่ะ”

น่ารักอยู่แล้ว แฟนผมทั้งคน

พวกเราสาละวนกับการเดินเข้าที่นั่งและหยุดตามเสียงเพลงอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรอบสุดท้ายเหลือเพียงเก้าอี้ตัวเดียว และโชคร้ายคือมีแค่ผมกับมันเป็นผู้รอดชีวิตจากการพิชิตเก้าอี้

“ไหวมั้ยวะ” ใบหน้าไอ้เรวะเริ่มซีดไปตามจังหวะการหยุดทุกครั้งของเสียงเพลง ผมเดาว่าตอนนี้สะโพกมันคงจะระบมเกินเยียวยาแล้ว ไม่อยากให้มันต้องเล่นอีก

“ไอ้แฮ็คกู...” จะยกมือออกตัวว่ายอมแพ้แต่เสือกโดนไอ้ตัวเอ้มันดักคอไว้

“เล่นต่อไปให้จบเกม ไม่งั้นมึงโดนทำโทษทั้งคู่” ไอ้เหี้ย มึงเคยปรานีกูบ้างมั้ย อย่างน้อยกับกูไม่ แต่กับแฟนกูทำไมมึงใจร้ายอย่างนี้วะ ท่วงทำนองจังหวะดราก้อนบอลดังขึ้นอีกครั้ง ฉ่าลาเฮ็ด ฉ่าลา แต่กูควรเฮ็ดอิหยังดีวะเนี่ย ต้องฝืนใจเดินวนไปตามคำสั่งมันทั้งที่หัวสมองยังตื้อ เอาไงดีถ้าล้มบอลยอมแพ้แฟนผมก็จะไม่ถูกทำโทษ แต่ถ้าให้เรวะมันโดดลงเก้าอี้มีหวังคราวนี้

กึก!!

 

ไอ้เหี้ยเพลงหยุด!!ขณะที่กูกำลังคิดอะไรเพลินๆเนี่ยนะ จุดจบสุดท้ายผมเลยทำตามสิ่งที่หัวฉุกคิดขึ้นได้ไป

 

ตุบ!!

 

“ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงนกหวีดแผดลั่น จนฝูงกาแม่งโผบินห่าแตกจากรัง

“ไอ้เม่นฟาวล์!!”

 

ไม่ฟาวล์ให้มันรู้ไป ผมดึงตัวเรวะให้มันนั่งลงมาทับตักก่อนทิ้งตัวลงพื้นไม่รอช้า สรุปกูไม่ได้นั่งก่อนถือว่าไม่ชนะ ส่วนแฟนกูได้นั่งตักมันไม่เจ็บตัว ยิงปืนนัดเดียวได้อีกาเป็นสิบตัว ฉลาดเหี้ยๆเลย

 

 

 

 

สุดท้ายผมได้ไปปั่นจิ้งหรีดเป็นเพื่อนน้องแวว เด็กสาวยิ้มแก้มปริมีความสุขกับความทรงจำอันสีทหวานด้วยการได้ปั่นจิ้งหวีดสื่อรักกับพี่เม่น พอจบสันทนาการเหลือพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์คือการแจกข้าวกลางวันแก่น้องๆที่เป็นกิจกรรมหลักของวันนี้ เพื่อนๆพี่ๆร่วมค่ายช่วยกันลำเลียงเด็กน้อยพากันเดินมารับข้าวไม่ให้แตกแถว ส่วนผมกับเดอะแก๊งหลบมาด้านหลังเตรียมเครื่องดนตรีจัดคอนเสิร์ตย่อยๆให้น้องๆได้ฟังเพลงคลอกันไประหว่างมื้ออาหาร

พวกเราคิดเพลงขึ้นมาชุดใหญ่ สลับเบาบ้างช้าบ้างกันไม่ให้น้องลุกขึ้นมาเต้นตามจนข้าวจุกคอ ความดื่มด่ำมีความสุขไปกับมื้ออาหารและเพลงที่คลอตามกัน ไม่ทำให้ผมตื้นตันได้เท่าการเห็นรอยยิ้มของคนรักที่เปี่ยมสุขท่ามกลางผู้คน จนผมอดยิ้มตามไม่ได้...ผมรักรอยยิ้มนี้ของมันที่สุด...

“จบวันนี้ พวกพี่อยากเก็บรอยยิ้มของทุกคนเอาไว้ในความทรงจำเสมอ เพราะ ‘เวลาเธอยิ้ม’ มันทำให้โลกโคตรสดใส”

ท่วงทำนองเพลงของ POLYCAT ดังขึ้น ผมเป็นคนขอที่จะร้องเพลงนี้เอง ผมอยากร้องให้มัน รวมถึงน้องๆในโรงเรียนนี้ทุกคน

 

ไม่รู้ว่าต้องโตท่ามกลางหมู่ดอกไม้มากมายขนาดไหน

เธอจึงได้ครอบครอง รอยยิ้มที่สวยงามขนาดนี้

ทำให้รักใครไม่ได้อีกเลย วินาทีที่เธอ เจอกับฉันมันทำทำ ให้

........

....

ได้โปรดให้ฉันเป็นคนสุดท้าย ได้ไหม

เธอจะเป็นคนที่ฉันยกใจ เก็บไว้ เก็บไว้ให้เธอผู้เดียว


 

 

 

 

 

[พาร์ตของเจ๊ดิบ]

“น้องเม่นล่ะจ้ะ กลับมาด้วยรึเปล่าเนี่ย”

 

อย่าถามว่าชั้นเป็นใคร ที่สาละวนมาตามหาเพราะฐานะเจ้าของเพจชื่อดังมันคำคอ นี่ถ้าไม่ติดสัมภาษณ์น้องพิทนิเทศน์เอกฟิล์ม เด็กใหม่ที่หล่อลากเลือดชวนให้เสียตัว...เอร๊ยเสียกายพร้อมใจให้แล้วล่ะก็ อย่าหวังว่าชั้นจะพลาดกิจกรรมสำคัญรวมเหล่าคนดังอย่าง‘กิจกรรมเลี้ยงอาหารกลางวันน้องน้อย’ได้หรอก

 

“อ้าวเจ๊ดิบ มาทำไมอ่ะ ตลาดเขาวายไปนานแล้วนะ” เสียงติดจะกวนส้นตีนกระแทกเข้าหน้า หันไปมองให้ได้เจอกับหัวหน้าสโมสรนิสิตที่ยืนบิดขี้เกียจอยู่หน้าประตูรถทัวร์

“สัดแฮ็ค!”เชี่ยกูลืมดัดเสียง “เพราะมึงแท้ๆเลย เปลี่ยนวันทำกิจกรรมเพื่อ!”

“อ้าวก็ผมสะดวกวันนี้นี่หน่า”

“ใครเขาให้เปลี่ยนเวลากิจกรรมตามความสะดวกของหัวหน้าสโมฯบ้างวะ ไอ้เด็กเวร!!” แม่จะขยำคอเสื้อมันแล้วยกขึ้นกดจูบเลียให้ตั้งเลยคอยดู

“เฮ้ยใจเย็นดิ หลักๆเจ๊มาหาแค่สองคนไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ ทำไมมึงรู้”

“พวกมันยังอยู่บนรถทั้งคู่เลย”

“แล้วทำไมยังอยู่บนนั้น”

“เจ๊ก็ไปดูพวกมันเองดิ” เด็กแฮ็คมันชี้นิ้วโป้งขึ้นไป ชักชวนให้กูเสือกเสียเหลือเกิน ถ้ารถทัวร์ขย่มระหว่างกูปีนมีหวังได้เสียผีกันพอดีงานนี้ ว่าแล้วด้วยเกียรติภูมิเจ้าของเพจที่ไม่พลาดทุกช็อตสำคัญมากว่าสี่สมัยเลยรีบปีนขึ้นไปไม่รอช้า ค่อยๆย่องกลัวว่าเด็กพวกนั้นกำลังทำกิจกรรมในร่มกันอยู่จนกูแอบถ่ายคลิปไม่ได้ แต่พอสืบกายไปใกล้ใจกูถึงกับร้องว้า

“สัดแฮ็ค ไอ้เด็กเวร มึงหลอกกู!”

ไม่ได้ทำกิจกรรมในร่มผ้า แต่ทั้งสองกำลังนอนอ้าปากน้ำลายยืดซบกันอยู่เนี่ย!!

“อืม...แต่ดูๆก็น่ารักดีโนะ ขอป้าซักแชะละกันนะจ๊ะ”

 

แชะ!!

 

ภาพของเม่นกับเรวะนั่งหลับด้วยความเพลียตับอยู่หลังรถต่างคนต่างซบไหล่กันและกัน

Sexy Dippy Cutie boy in the university เอ็นดู๊ววววววว #คิดจะพักคิดถึงเม่นเร​#คิดจะเยดีเอ็มมาหาเจ๊สิคะ

 

เม่น ศิลปกรรมศาสตร์ ปีสาม IG : PoPo_Pine เร มนุษยศาสตร์ ปีสาม IG :N/A

Fahsai รักรอยยิ้มนี้ของพี่เรจัง

MenRei Official ชอบคู่นี้ที่สุด ลงเรือหางยาวติดมอเตอร์เลยค่ะไม่ต้องพายให้เหนื่อย

PoPo_Pine ช่วยลบภาพนี้ออกด้วยครับ...ผมอยากเก็บเอาไว้ดูเล่น กับมันแค่สองคน

 

......END….

+++++++++++


จบแล้ว ด้วยความใจหาย
ท้ายที่สุดต้องขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้นุ้งเม่นกับนุ้งเรได้เดินมาจนสุดทางได้
ขอบคุณจริงๆค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารักมากกก
และจะลืมไม่ได้เลยกับคุณเพื่อนสนิทที่ช่วยคิดชื่อเล่นพระเอกจนออกมาเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้ได้

เจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ(ถ้าคนเขียนยังมีแรง55)

ป.ล.ผิดพลาดตรงไหนเดี๋ยวมาแก้ไขเย็นๆค่ะ ลงจากมือถือทุลักทุเลพอสมควร

หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-05-2019 13:58:26
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 27-05-2019 21:19:12
ทั้งฮาทั้งดราม่าปะปนกันไปหมดดดดด เม่นคือถ้าไม่จัดว่าสติแตกง่ายก็คือผู้ชายที่ดีมากๆคนหนึ่งเลย หลงหนูเรของป้าแล้วสินะจ๊ะเธออออ เรวะหนูน่าเอ็นดูมากกกกกรู้ตัวไหมมมมมมต่อไปจะมีแน่ความสุขแล้วนะ แต่พ่อแม่เรวะนี่จนจบเรื่องสำหรับเราก็คือไปพักก่อนนนนนพ่อคือแย่สุดไรสุดทิ้งลูกเมียแบบเทมากกกแล้วผ่านไปยี่สิบกวาปีเพิ่งมาคิดได้คือไรไม่ตามหาห่าเหวไรทั้งนั้นเลย ถ้าไม่บังเอิญเจอก็คือไม่ทำไรทั้งนั้น แม่อีกทำร้ายลูกเห็นผู้ชายดีว่าลูก เอาไปเก็บบบบนี่ไงทำไมถึงบอกต้องมีลูกเมื่อพร้อมพ่อแม่แบบนี้เอาไปเก็บบบบรับไม่ได้ เรื่องนี้แม่เม่นก็คือน่ารักสุดไรสุดแล้วเข้าใจลูกดีมากกกก หวังว่าต่อไปเรวะกับเม้นจะเจอแต่เรื่องดีๆนะจ๊ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 27-05-2019 21:47:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 28-05-2019 20:39:12
อยากบอกคนเขียนว่าสนุกมากกก
เนื้อเรื่องน่าติดตาม การใช้ภาษาก็ไหลลื่นไม่มีสะดุดเลย
เราอ่านแทบไม่อยากวาง
ขอบคุณคนเขียนมากๆนะคะที่เขียนเรื่องดีๆออกมาให้ได้อ่าน
อยากให้รู้ว่ามีคนชอบงานเขียนคุณมากๆนะคะ
(เราเข้ามาอ่านยังแปลกใจว่าทำไมงานเขียนที่สนุกขนาดนี้คนอ่านกลับน้อยจัง)
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะสำหรับนิยายดีๆที่มาแบ่งปัน :mew1:
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 28-05-2019 22:31:31
แงงงงงงงงง จบแล่ว !!
น้องเรวะของแม่ได้คนดีอย่างเม่นมาดูแล
เป็นสิ่งเติมเต็มสิ่งที่ขาดๆ ของน้องได้
แม่ดีใจด้วยนะลูก งือๆๆๆ
..เราชอบมากๆ เลยค่ะ ทั้งสนุก ทั้งเศร้า
และทั้งฮา.. เอออออ NC นี่คือควรหื่นแต่กลับอ่านแล้วขำก๊ากตลอดจนสำเร็จ 555555 น้องเรวะผู้ใสซื่อในบท NC แต่ก็มีความพยายาม น่าเอ็นดูจังเลยลูก5555

ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ สำหรับนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ ถ้ามีนิยายเรื่องใหม่มาอีก จะตามอ่านแน่นอนค่ะ ขอบคุณน๊าาาาาาา
หัวข้อ: Re: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:16:11
 :pig4: