∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋ ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก..ถึงมากที่สุด (2/2) END [26/5/2019] P.3  (อ่าน 15444 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 21 :: ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกต่อไป


‘มึงต้องเย็นชาและเกรี้ยวกราด คีพลุค อย่าได้ยอมเว้ย’


คีพลุคบ้านพ่อมึงเหรอ กูแค่อยากรู้ความจริง กูไม่ได้งอนหรือโกรธมันสักหน่อย

เรวะหายหัวไปสองวัน ผมไปปรึกษาเพื่อนในกลุ่มแล้วไอ้หงส์ก็ให้ไอเดียบ้าๆบอๆนี้มา ผมเลยทำอะไร...ไม่ยั้งคิดไป

“มึงไม่ต้องรีบลุกหรอก...คนที่ไม่ใช่เพื่อนมึงแค่เอายาแก้อักเสบมาให้”

ประชดเนี่ยไม่ใช่นิสัยของผมเลยว่ะ แต่พอเขวี้ยงถุงยาแก้อักเสบลงโต๊ะเสร็จแล้วเดินออกมาถึงได้รู้ตัวว่า ทำไมต้องทำอะไรขัดกับใจให้ยุ่งยากวะ ตอนนี้จะผิดก็ต้องโทษคอมโบการเจอหน้าไอ้เรวะที่มันมาแบบต่อเนื่อง ไม่คิดว่าไอ้คนตัวขาวเกลี้ยงจะวิ่งมาจับแขนเสื้อตัวเก่งผมไว้แล้วทำหน้าตาตื่น

“เดี๋ยว ไอ้เม่น!”

“อะไร” เสียงนิ่งเย็นชาผิดปกติ ไอ้เชี่ยคีพลุค!! ผมเผลอคีพลุคอีกแล้ว อยากตบหน้าตัวเองสามสิบที แต่ก่อนที่คนอย่างไอ้เม่นจะโดนกล่าวหาว่าเป็นบ้า สายตาผมเสือกไปสะดุดกับแผ่นอกขาวเนียนและหัวนมสีอมชมพูของมัน

ว้อท!! เดอะ!! ฟัค!!

อย่าบอกนะว่ามันนอนทั้งสภาพนี้ให้ไอ้เชี่ยบูมเห็น แม่งได้กำไรไปเน้นๆไม่ต้องสงสัย ผมรีบลากซิปเสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่ติดตัวมาอย่างไวทั้งที่มืออีกฝ่ายยังจับค้างไว้อยู่

“เม่นมึง..” เหมือนเรวะจะงงงวยกับพฤติกรรมสุดแปลก แต่ผมไม่ปล่อยให้มันได้คิดนาน พอกระชากเสื้อตัวเองกลับมาก็คว้าแขนผอมๆยัดเข้าไปเหมือนจับเด็กแต่งตัว ง่วนอยู่ตรงซิปที่ลากปรืดขึ้นมาปิดถึงคอหอยได้ปุ๊บก็สั่งมันปั๊บ

“ใส่ไว้” กูอยากให้ดีไซน์เนอร์ออกแบบแจ็คเกตให้มีร่องเสียบแม่กุญแจเหมือนกระเป๋าเดินทางก็วันนี้ ไอ้เด็กไม่รักดีกูเคยเตือนแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำตัวล่อตาล่อใจคนที่มันแอบชอบมึง... “กูไปล่ะ”

พาลพาหงุดหงิดแต่หัววัน แต่ไม่มีปัญญาบากหน้าแห้งๆของตัวเองที่มันบอกว่าไม่ใช่เพื่อนให้อยู่ต่อ เลยรีบเดินออกขี่ไอ้เบิ้มกลับบ้าน

พอถึงวันศุกร์ผมจะทำหน้าใส่มันยังไงวะ ทำเหมือนวันนี้ไม่มีอะไรอย่างนั้นเหรอ...ผมทำไมได้ว่ะ




[พาร์ตของเรวะ]

หลังจากที่ไอ้เม่นมันเดินหนีผมไปวันนั้น ผมก็ไม่ได้มานั่งดูแลตัวเอง ไม่ได้กินยา ไม่ได้เปลี่ยนผ้าพันแผล ไม่ได้เข้าไปเรียนตามวิชาที่ลง เหมือนกลับมาใช้ชีวิต ณ ยังจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ขาดแต่ผมยังคว้าความหวังอันน้อยนิดที่โดนหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการไปพบหน้าอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ คือการที่พวกเรายังมีสายใยพันผูกด้วยเซกวิชาบำเพ็ญประโยชน์ของอาจารย์แม่

นี่อาจจะเป็นคำกล่าวขอบคุณจากนักเรียนคนแรก แต่ผมขอขอบคุณจริงๆครับ

ห้องเรียนสโลปเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ เพราะมันดูกว้างและรวมคนแปลกหน้าหลากหลายเอาไว้ การโดนใครต่อใครจ้องมองยามเปิดประตูเข้าไปไม่ใช่เรื่องถนัด ยิ่งกับคนที่มีข่าวอื้อฉาวอย่างผมแล้วยิ่งเกลียดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้นเป็นกอง เลยพยายามเลี่ยงมาห้องเรียนก่อนเวลาตั้งแต่ยังไม่เริ่มคาบ นั่งหาอะไรต่อมิอะไรทำจนกระทั่งคนเริ่มทยอยเข้ามา แปลกที่ว่านักเรียนทุกคนมักรู้ที่ประจำของตนเองถึงแม้จะไม่มีป้ายชื่อบอก ก็จะพยายามนั่งที่เดิมซ้ำๆ แต่มาวันนี้กลับมีผู้หญิงแปลกหน้าคนนึงเข้ามา แถมยังนั่งข้างผมซึ่งแต่เดิมเป็นที่ประจำของเม่น...

“เออคือ”

“คะ”

ตะขิดตะขวงใจเกินจะเอ่ย แล้วยิ่งสายตากับสีหน้านิ่งๆของหญิงสาว ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมต้องการอะไร ผมเลยเลือกที่จะเงียบแทนการทวงสิทธิ์ของเจ้าที่ไม่มีแม้แต่ชื่อกำกับที่โต๊ะ

ก่อนเริ่มคาบห้านาทีเพื่อนของไอ้เม่นก็เดินเข้ามา สายตาพวกมันมองหาที่ประจำด้วยความแปลกใจกับคนไม่ประจำซึ่งนั่งอยู่ข้างผม ไอ้เม่นเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายมันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเพียงชั่วครู่ก่อนเบนออก ผมเห็นอาการสั่นไหวโบกไม้โบกมือจากผู้หญิงคนด้านข้าง พลางเรียกชื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่มีแรงดึงดูดสายตาคนทั้งห้องให้หันไปมอง

“พี่เม่น”

คนรู้จักของไอ้เม่น...

“น้องแพรวามาได้ไงเนี่ย” เสียงของหงส์ดังขึ้นมาทันทีที่เดินถึง เพื่อนไอ้เม่นก็รู้จัก

“อาจารย์ทำเรื่องย้ายให้น่ะพี่หงส์ เขาเห็นว่าช่วงนี้มีถ่ายละครเยอะยังไงก็วิ่งไปไม่ทันเซกเช้า” หืม ถ่ายละคร? ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของเธออีกครั้ง ถึงว่าล่ะ ทำไมหน้าตาคุ้นๆ ที่แท้ก็ดาราวัยรุ่นที่ช่วงนี้มีละครออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เธอเป็นนักศึกษามหา’ลัยเราเหรอ ไม่ยักรู้

“วิชานี้มันต้องทำเป็นคู่นะ แล้วเราเอาคู่เรามาด้วยรึเปล่า” ผมยาวสลวยสะบัดพลิ้วตามศีรษะที่ส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ

“ไม่อ่ะ อยู่ตรงนั้นแพรก็ไม่ได้มีคู่อะไรกับเขาอยู่แล้ว ขาดเรียนบ่อยจนทุกคนเอือม”...เหมือนผมเลย ขาดเรียนบ่อยจนไม่มีใครอยากจับคู่ด้วย แต่ดาราอย่างแพรวาผมว่าผู้ชายหลายคนคงพร้อมจะยกมือเสนอตัวต่อให้แลกมากับคะแนนวิชานี้ทั้งเทอม

ผมปล่อยให้บทสนทนาดำเนินแบบไม่ตั้งใจฟังนัก แล้วหันไปเพ่งสมาธิกับผู้มาใหม่ ร่างสูงกำลังเดินเข้ามาใกล้โดยมองตรงมาที่ผม

“คนที่แพรจะจับคู่ด้วยมาแล้ว” ประโยคนี้แทรกเข้ามาท่ามกลางความเพ้อภวังค์ มันเป็นคำพูดของคนที่นั่งข้างๆ หญิงสาวนั่งตบเบาะข้างเคียงซึ่งเคยเป็นของหงส์ จนผมต้องงงซ้ำสองกับการจัดลำดับที่นั่งซึ่งเพื่อนมันทั้งกลุ่มพร้อมใจเลื่อนออกไปทางขวา “พี่เม่นนั่งนี่สิ”

“เมื่อกี้พูดอะไรน่ะแพร” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นตัดบทสนทนาโดยเมินคำเชิญชวนของหญิงสาวโดยสิ้นเชิง ไอ้เม่นมันมองตรงมาที่ผมก่อนเหลือบไปทางซ้ายมือซึ่งมีเพียงเสาตึกเย็นชื้นและว่างเปล่า ลำโพงในห้องดังขึ้นจากเสียงอาจารย์แม่ที่รบเร้าให้นักศึกษานั่งเข้าประจำที่ ร่างสูงเลยต้องจำใจยอมทิ้งตัวลงตามที่อีกฝ่ายเชิญชวน

“ก็พูดว่าถ้าพี่เม่นยอมมาคู่กับแพร แพรจะยอมขอผู้จัดการเข้าเปลี่ยนตารางงานเข้าเรียนวิชานี้ตลอดเทอมเลย”

“ไร้สาระน่ะเรา แค่นี้ก็ทำพี่ผู้จัดการเขาหัวหมุนขนาดไหนแล้ว” เสียงทุ้มปรามอีกฝ่ายเหมือนเด็กๆ

“แต่แพรยอมนะ ถ้าเป็นพี่เม่นน่ะ” สำคัญขนาดนั้นเชียว...

ผมที่ใช้เงาหลังแอบฟังบทสนทนาซ่อนตัวมองไอ้เม่นอยู่เงียบๆก็ถึงคราวซวย เมื่อสายตาดันไปสบเข้าอย่างจังกับเพื่อนหงส์ซึ่งมองตรงมาตาเป็นประกาย มันยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนเอ่ยปากขัดคนทั้งคู่

“ถึงแพรยอม แต่คู่ไอ้เม่นมันคงไม่ยอมหรอกเนอะ จริงมั้ยวะไอ้เร”

“...!!”

อยากหายตัวไปจากตรงนี้ ทันทีที่รู้ว่าจะโดนพาดพิงถึงผมแทบทรุดตัวก้มหน้าลงไปกับโต๊ะ แต่ไม่ทันแล้ว เสียงสวยบันทึกชื่อผมเข้าไปอยู่ในหนึ่งบทสนทนาแล้ว

“ใครน่ะเร?” ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะสายตาที่เหลืออีกสี่คู่ผ่านตัวเธอยิงจุดตกมาตรงนี้ ใบหน้าที่เหมือนหลุดออกมาจากละครทีวีหมุนตัวหันมองตรงมา “คนเมื่อกี้?”

แย่...แย่ชะมัด เหมือนถูกคนบนโลกนี้มอง ประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ใครหลายคนอาจไม่เชื่อว่าผมไม่ถนัดกับการเป็นจุดสนใจ เส้นผมแอชเกรย์ที่ทำเหมือนให้ดูเด่น ความจริงก็เพื่อจะกลบความหม่นหมองหากจะต้องเอาผมหน้ามาบังตา แอบซ่อนความกลัว

“รุ่นพี่เหรอคะ หนูชื่อแพรวานะ อ๋อว่าแล้วว่าหน้าคุ้นๆ คนที่ชอบมีรูปคู่ลงกับพี่เม่นบ่อยๆนี่เอง”

“แพรเลิกคุยเถอะ แล้วเรียนได้แล้ว” ไอ้เม่นสะกิดไหล่ให้เธอหันไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลใบหน้าสวยยังคงมองมาตรงนี้

“พี่สนใจทำกิจกรรมเดี่ยวมั้ย ไม่ต้องไปยึดติดกับใครด้วย แพรพูดให้ได้นะ รับรองอาจารย์ปทุมต้องฟัง” อะไรทำให้เธอมั่นใจขนาดนั้น ว่าอาจารย์สุดเฮี้ยบประจำวิชาจะยอมลดราวาศอกให้ได้

“ไม่เอาน่าแพร” มือใหญ่จับต้องแขนอีกฝ่ายพยายามดึงรั้งไป ผมไม่เคยเห็นไอ้เม่นแสดงอาการสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนถึงขนาดแตะเนื้อต้องตัวมาก่อน

“แพรพูดให้ได้จริงๆนะพี่เม่น อาจารย์เขาต้องยอมอยู่แล้ว แล้วนี่ก็ไม่ได้ขอโดดเรียนนะ ยังดีซะอีกได้นักเรียนมาเรียนเพิ่มอีกคน จริงมั้ยคะพี่” ผมก้มหน้าไม่รู้จะเอาสายตาไปลงตรงไหน ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะเป็นห่วงมันหากผมหายไปโดยไม่บอกกล่าว แต่ถ้าแพรวามาแทนที่เงื่อนไขในการคงอยู่ของผม...

สายตาไอ้เม่นที่มองตรงมาดูหนักใจ ผมกำลังทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน ผมต้องพูด ต้องพูดบางอย่างออกไป

“ผมยังไงก็...”

“ไอ้เรวะมันไม่คู่กับใครหรอก”

“...”

“มันคู่ได้แค่กับพี่”


“ฉันต้องคู่กับเธอ มีเพียงแต่เธอ แค่เธอเท่านั้น ที่คอยเติมสิ่งที่ฉันขาด ช่วยประคองเมื่อฉันพลาด ให้เราได้เดินต่อด้วยกัน”


ไม่ใช่เสียงเพลงประกอบฉากดั่งในละคร แต่เป็นเสียงผู้ชายของคนชื่อต๊อบ สลับกันร้องกับเสียงแปร่งๆที่บีบจนน่าเกลียดของหงส์จอมเอนเตอร์เทนตลอดกาล จนแค่ท่อนฮุกถึงกับโดนอาจารย์แม่เรียกขึ้นไปบำเพ็ญประโยชน์กันหน้าชั้นยกคู่ ส่วนผม...คำว่า ‘ได้’ โดนกลืนหายไปจากพจนานุกรมผมอีกคำ






จบเซก อาจารย์แม่ปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อไปทำกิจกรรมต่อ ไอ้เม่นลุกหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนผมต้องเดินตามหาไปตลอดทาง โชคดีที่ว่าสวรรค์ยังปรานีที่ให้ไอ้เม่นเกิดมาดัง ภาพของสายสืบพี่ดิบจึงได้นำทางผมมายังห้องสมุด สถานที่ที่มีการจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ‘รักน้ำ รักปลา รักบรรณารักษ์’ ที่เกณฑ์เหล่าไพร่พลให้มาช่วยขนหนังสือเข้าชั้นหลังวันสอบมิดเทอม

ร่างสูงกำลังง่วนอยู่กับการเขียนชื่อลงทะเบียนเหลือบตาขึ้นมามองผมที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างพลางปล่อยผ่าน พอจัดการทุกอย่างเสร็จผมก็ตามตูดมันไปต้อยๆ สิทธิพิเศษของคู่กิจกรรมคือการได้จัดในหมวดหมู่เดียวกัน ช่องแคบๆระหว่างชั้นหนังสือทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในทางกายภาพ หากแต่ใจผมไม่รู้ว่าไอ้เม่นมันคิดอะไรอยู่ อีกฝ่ายไม่พูดไม่จา แถมยังหันหลังให้ตลอดจนผมไม่รู้จะเริ่มต้นประโยคยังไง เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไหล่ของผมไปชนเข้ากับมัน

“ขะ...ขอโท...” โอกาสถ้ามาถึงแล้วต้องคว้าไว้ เพราะไม่ใช่มันจะมาเมื่อไรก็ได้ แต่ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายกลับทำให้ผมงับปากลงทันควัน คำพูดที่กำลังจะเล็ดลอดออกมาติดค้างอยู่ในลำคอ

...ไอ้เม่นไม่แม้แต่จะหันมาสนใจ ราวกับไหล่ที่กระทบกันมันคืออากาศธาตุ...ความรู้สึกนี้...มันคืออะไรกันวะ...

“ไอ้เม่น”

“...”

“ไอ้เม่น”

“อะไร” ในที่สุดมันก็ตอบผม...แต่ด้วย...แผ่นหลังกว้างของมัน

“มึง...เป็นอะไร”

“กูเป็นอะไร?”

“กูถามว่ามึงเป็นอะไร”

“กูเป็นอะไรก็ได้”

“...”

“ที่ไม่ใช่เพื่อนมึง”

เคยโดนทำร้ายด้วยคำพูดที่ตัวเองเป็นคนกล่าวเองมั้ย ใช่...ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกแบบนั้น ไอ้เม่นมันกำลังแก้แค้นผม...

“มึงกำลังประชด...”

“กูรู้ว่ามึงกำลังจะตอบน้องแพรว่าอะไร”

“...”

“มึงต่อให้จบประโยคตอนนี้เลยก็ได้นะ”

“...”

“เพราะกูก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงแล้วเหมือนกัน”

ไอ้เม่นเดินออกไปจากตรงนี้ ปล่อยให้ผมยืนโง่อยู่ที่เดิม โง่กับคำพูดที่ตัวเองเคยใช้กับมัน โง่...ที่ทำลายความสัมพันธ์นี้ทิ้ง ด้วยมือของตนเอง...





ความรู้สึกลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ หาจุดยึดเหนี่ยวไม่เจอมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมย้ายตัวเองกลับมายังใต้ตึกเรียนรวม พยายามทำสติให้สนใจกับการบ้านตรงหน้าที่ต้องส่งสัปดาห์นี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเข้าสมองเพราะในหัวยังวนเวียนอยู่กับคำพูดสองประโยค ที่ผมเป็นคนสร้างขึ้นมาและก็โดนมันทำร้ายจากปากคนที่ผมอยากพึ่งพาที่สุดด้วยคำพูดประโยคเดียวกัน

“มึงรู้สึก...อย่างนี้ใช่มั้ย” ไม่แน่ใจ...แต่ที่แน่ๆ คือผมรู้สึก เหมือนมันสอนให้รู้ว่าก่อนพูดอะไรควรคิดให้มากว่า เพราะคนที่ฟังเขาอาจจะรู้สึกเจ็บ เหมือนกับที่ผมรู้สึก...

ตอนนี้หากผมจะขอคืนดีจะยังทันมั้ย...ระยะห่างที่ดูเหมือนใกล้ แต่ใจไอ้เม่นมันจะไม่...

ไม่ๆๆ

ผมส่ายหัวไล่ความคิดด้านลบออก คว้ามือถือขึ้นมากดไปที่หน้าเพจพี่ดิบ ภาพล่าสุดยังคงเป็นภาพเก่าที่ร่างสูงกำลังย่างเท้าเข้าสู่ห้องสมุดไม่มีภาพอัพเดตใหม่ แต่หัวใจกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมใช้นิ้วโป้งจิ้มลงไปกลางภาพสองทีพลางยิ้มให้กับตัวเอง ใช่...ผมจะขอมันคืนดี...ต่อให้มันไม่เหลือพื้นที่ให้เพื่อนคนนี้แล้วก็ตาม ผมจะพยายามให้เท่ากับความพยายามที่มันคอยปกป้องผม

“ทุเรศ”

เสียงทะลุกลางปล้องดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กระชากให้สติที่จมอยู่กับไอ้เม่นเงยขึ้นมองหาที่มาของเสียง แต่จนแล้วจนรอดรอบข้างกลับมีเพียงความว่างเปล่า ผมเลิกสนใจก้มหน้าลงไปอีกครั้งโดยตั้งใจหาเบอร์โทรที่ขาดการติดต่อไปเสียนาน ซึ่งไม่ยากอะไรเพราะในมือถือผมไม่ค่อยมีเบอร์ใครเท่าไร แต่พอตั้งใจจะกดโทรเสียงๆหนึ่งกลับมาพร้อมร่างใครคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากจนต้องรีบจิ้มปุ่มสีแดงวางสาย

“นี่นาย”

...ผมจำได้ ว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่เรียกผมไว้ตอนอยู่ใต้ถุนคณะไอ้เม่น เธอกำลังยิ้มแล้วมองมาทางนี้...

“ครับ”

“ขอนั่งได้มั้ย” สายตาเธอเหลือบไปมองยังที่นั่งว่างด้านข้างซึ่งเหลือสามที่ ส่วนผมก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ มีเพียงโต๊ะผมที่ยังเหลือรอดอยู่ นอกนั้นโดนพวกนักศึกษาจับกลุ่มพูดคุยทำกิจกรรมยึดไปหมดแล้ว

โต๊ะนั่งสาธารณะไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ จึงพยักหน้ารับรู้แล้วหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ในมือต่อ ผมต้องโทรหาไอ้เม่น แต่ทว่าวี่แววบางอย่างดูแปลกไป หญิงสาวที่เอ่ยถามเธอไม่นั่ง แต่กลับแทนที่ด้วยเสียงกระแทกกระทั้นเป็นเชิงออกคำสั่งพุ่งใส่หน้าผม

“ลุกสิ”

“ฮะ?”

“ก็บอกให้ลุกไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองแทบจะในทันที แปลกตรงที่จากคนที่เคยยืนอยู่เพียงหนึ่งกลับมีเพิ่มขึ้นถึงสาม และใบหน้าคนที่ตามเธอมา เป็นใบหน้าที่ผมไม่มีทางลืมได้เลย

...พวกที่มันหลอกพาให้ผมไปรอไอ้เม่นตรงสวนข้างหอชายในวันนั้น...

...ทำไมพวกมันถึงได้...

“จุ๊ๆๆ เฮ้ย...ไม่เอาดิ อย่าทำหน้าแบบนั้น” หนึ่งในนั้นที่ผมจะได้ว่าเป็นคนคอยสั่งเดาะลิ้น เดินอ้อมมาขนาบข้างยกมือขึ้นตบไหล่อย่างถือวิสาวะ เสียงของมันใกล้มากจนพอรู้ว่ามันโน้มหน้าเข้ามาข้างหู “วันนั้นเป็นไงมั่งวะ หลังจากนั้นมีใครมาช่วยมึงตามหาพวกกูมั้ย” ฉับพลันลมหายใจถอบถี่อย่างเก็บอาการไม่อยู่ ผมชักศีรษะหลบหันไปมองหน้าหนึ่งในนั้นที่มันเกริ่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเยาะ

“ดูจากหน้ามัน กูว่าไม่ว่ะ” คราวนี้เพื่อนอีกคนมันตอบรับ

“ไม่อะไรวะ”

“ไม่มีใครเชื่อมันอ่ะดิ!! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

ทำไม...ผู้หญิงคนที่ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าผมสักเท่าไรถึงอยู่กับไอ้สามตัวนี้ได้...

เมื่อรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย ผมขยับตัวลุกขึ้นเตรียมหนีให้พ้นจากสิ่งแวดล้อมอันไม่พึงประสงค์ หากแต่พวกมันสามคนกลับขวางทางไว้จนออกไปไหนไม่ได้ พลิกตัวหวังจะเดินไถขาออกอีกทาง แต่ทว่าแขนกลับโดนคว้าไว้ จนต้องสะบัดออกโดยแรง

“ฤทธิ์เยอะว่ะ ท่าทางแรงยังดี เรื่องชกต่อยกับคนอื่นที่ร้านข้ามคืนจนโดนแทงที่ท้อง นั่นข่าวมั่วเหรอวะ”

“จะมั่วหรือเรื่องจริง มันก็ต้องชิงพิสูจน์เว้ย” ความพยายามทำความเข้าใจกับประโยครับส่งของกลุ่มคนตรงหน้ามลายหายไปสิ้น ผมโดนผลักให้นั่งที่เก่า เสี้ยววินาทีร่างทั้งร่างโดนกดให้นอนราบไปกับแผ่นไม้ ความเจ็บปวดทุกอย่างไหลมากระจุกรวมตัวที่หน้าท้องข้างซ้ายอย่างฉับพลัน

“...!!”

เข่าที่หุ้มกระดูกแข็งๆเสียดสีเข้าแผ่นท้องไปมา ไอ้เวรตรงหน้า มันยกเข่าลงมาขยี้ที่แผลผม

“อึ่ก...อย่า” พยายามใช้มือจับยุดให้เข่าอีกฝ่ายเคลื่อนย้ายออกไปจากกายตน เจ็บ...เหมือนบางอย่างกำลังจะปริแตกออกมา

“ทำไม ทีต่อยกูไม่คิดนะ โดนซะบ้าง”

“ปล่อย...อึ่ก...ปล่อย!” ทรมาน ไม่ไหวแล้วพอซะที พยายามฝืนตัว ความเจ็บทำให้แรงหดหายไปมากกว่าครึ่ง หากไม่หลุดจากตรงนี้ มีแต่ต้องเจ็บหนัก จึงพยายามฝืนพลิกตัวอย่างสุดกำลังจนอีกฝ่ายเสียสมดุล ปล่อยให้ร่างผมกลิ้งตกจากเก้าอี้ สีข้างกระแทกเข้ากับพื้นจนชาร้าว

ในจังหวะนั้นสมองเอาแต่สั่งว่าต้องออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ความเจ็บที่มีอยู่จึงมลายหายไปสิ้น มือซ้ายคว้ากระเป๋าได้จึงรีบวิ่งออกตัว ก้าวแรกลื่นล้ม แต่ก้าวต่อไปผมสามารถวิ่งออกไปได้ในที่สุด

เหมือนจะขาดใจเพราะวิ่งไปสุดแรงโดยไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดจะอยู่ที่ไหน ผมยังคงวิ่งต่อไป...

...ทั้งๆที่เหนื่อยเหลือเกิน ท้อจนไม่อยากจะไปต่อแต่...ผมยังคงต้องวิ่ง...

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

ไกลออกมาแล้ว ไม่น่าจะมีใครตามมาแล้ว ผมหยุดพัก ทรุดตัวลงนั่งข้างต้นไม้โดยมือข้างซ้ายยังคงกุมท้องที่เจ็บเอาไว้ ต้องไม่เป็นไร ผมต้องไม่เป็นไร ได้แต่นั่งปลอบใจด้วยประโยคซ้ำๆเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาผมได้ มือสั่นๆล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมา กดเปิดเบอร์โทรล่าสุดที่เพิ่งต่อสายออกไป

“ไอ้เม่น...” อยากเจอมัน ผมอยากเจอมันเหลือเกิน... นิ้วสั่นเทาจิ้มลงบนปุ่มสีเขียว เพียงช่วงเสี้ยววินาทีกับเสียงรอสายที่ดังขึ้นทำไมมันนานจนเหมือนแทบขาดใจ แต่ในหัวกลับคิด หากมันรับโทรศัพท์ขึ้นมา ผมจะพูดอะไรออกไปเป็นประโยคแรก บางอย่างตีรวนในหัวจนสับสน หากแต่ทุกอย่างกลับจบลงที่การรอสายซึ่งไม่มีวันได้รับการตอบกลับ


มีต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ความหวังที่มีอันน้อยนิดถูกทำให้ดับมอดลงไปพริบตา ผมเดินจากมหา’ลัยกลับบ้านด้วยสติที่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไร มีเพียงความเจ็บทางกายภาพที่ส่งผลปวดร้าวและคอยดึงผมให้ก้าวมาถึงร้านคอฟฟี่ช็อปที่แสงไฟปิดมืด

แปลก...ทั้งที่เพิ่งหนึ่งทุ่มแต่ร้านกลับพลิกป้ายแสดงสถานะถึงการไม่เปิดรับบริการใดใด ใจผมเริ่มอยู่ไม่สุข กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่เลยรีบสาวเท้าก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไป

สภาพภายในร้านมีเพียงแสงไฟสลัวตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านในสุดคอยส่องนำทาง ไม่ปรากฏวี่แววของแม่ตรงนั้น ความร้อนรนทำให้เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ลามมาถึงแผ่นหลังเปียกชื้นซึมผ่านเนื้อผ้า ผมมุ่งตรงไปยังประตูห้องครัวซึ่งอยู่ด้านใน

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเห็นร่างๆหนึ่งนั่งหลบตัวอยู่ตรงมุมมืดของริมอ่างล้างจาน ท่าทางขยับตัวกระสับกระส่ายไปมา สายตาล่อกแล่กมันทำให้ผมจับสัญญาณไม่ชอบมาพากลบางอย่างได้

“แม่...” ร่างตรงหน้ากระตุกไหวทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงมานั่งตรงนี้ อะไรบางอย่างผิดปกติไปแต่บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร “แม่...”

“อย่าเข้ามานะ!”

เพล้ง!!

ผมสะดุ้ง ถ้วยชาลายสวยซึ่งแม่มักชมเสมอว่าน่ารักและล้างมันอย่างทะนุถนอมพึ่งลอยผ่านหน้าผมไป มันตกกระแทกพื้นแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะแม่”

“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามา!!” แย่ตรงที่ครั้งที่สองเป็นแก้วน้ำคริสตัลเนื้อหนา ผมหลบไม่ทันเลยกระแทกเข้าข้างขมับอย่างแรง รู้สึกชาค้างตรงส่วนที่โดนกระแทก จนต้องยกมือกดระงับไว้

“แม่เป็นอะไร” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ แม่พยายามหยิบจับของที่อยู่รอบตัวเขวี้ยงตรงมา โดนบ้างไม่โดนบ้าง จนผมเกือบจะถึงตัวแม่แล้วแท้ๆ แต่ชั่วพริบตามีบางอย่างขยับมาขวางหน้าไว้ ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินเข้ามากั้นกลางระหว่างเราแล้วกอดร่างของแม่ไว้แน่น

ใคร?

“ทำอะไรแม่ผมน่ะ!!” เอื้อมมือไปกระชากแขนอีกฝ่ายอย่างแรง จนเผยให้ใบหน้าอย่างชัดเจน ผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงโปร่ง พื้นฐานเป็นคนขาวแต่ผิวกระเดียดไปทางคล้ำแดดผินหน้ามาทางผม ใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนกับได้เห็นอยู่ทุกวันกำลังมองตรงมา

“เร”

ใคร? ทำไมรู้จักชื่อ...

“เรจิ!!” เสียงสะอื้นไห้ของแม่ดังเข้าโสตประสาท ร่างเล็กอันอ่อนแอพยายามดึงคนตรงหน้าเข้าไปกอดทั้งน้ำตา อะไรนะ ...แม่หมายถึงใคร...แม่กำลังเรียกใคร...

“เรจิ?”

...แน่แล้วที่ต้องคุ้นกับชื่อนี้ ในเมื่อเจ้าของมันเป็นคนที่ทิ้งพวกเราไปกว่ายี่สิบปี...

“พ่อ?” ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

“เร...” มือใหญ่หนาของอีกฝ่ายขยับมาใกล้ นี่มันไม่ใช่...มันต้องไม่ใช่...

เพียะ!!

กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ปัดมือนั้นทิ้งไปเสียแล้ว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“เร”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!”

แม่เปลี่ยนไปอีกแล้ว เปลี่ยนไปเหมือนตอนที่ผมเพิ่งจำความได้ ไม่เอานะแบบนี้ ไม่เอา

“เร...”

“ทิ้งตรงนี้ไปตั้งยี่สิบกว่าปี แล้วคุณจะกลับมาเพื่ออะไร!!”

อย่ามาแย่งที่ของผม ที่ที่ผมอุตส่าห์ใช้เวลาถึงยี่สิบปีทวงสิทธิ์มันคืนมา อย่าเอาของของผมไป...

“ใจเย็นก่อนเร” สำเนียงภาษาไทยแบบไร้ที่ติหลุดออกมาจากปากผู้ชายตรงหน้า ผมมองเขาอย่างแค้นเคืองกับความรู้สึกที่อัดอั้นมาตลอดยี่สิบปี

“ผมใจเย็น!! ใจเย็นมาก มากกว่าที่คุณคิด ที่ผมพูดทุกอย่างผมมีสติเพียงพอมากกว่าคนอย่างคุณที่ทิ้งพวกเราไปด้วยซ้ำ!!”

“หยุดนะเรวะ!!”

เพียะ!! แรงมือของแม่เล่นเอาชาไปทั้งหน้า ความรู้สึกมันเอ่อล้นออกมาจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แม่กำลังปกป้องพ่อ ปกป้องคนที่เคยไม่เหลียวแลทิ้งพวกเราไปอย่างไร้เยื่อใย ปกป้องคนเดิมซ้ำๆเหมือนเมื่อครั้งนั้นในอดีต

“อึก...ถึงยังไงผมก็ยังเป็นส่วนเกินใช่มั้ย”

พอเถอะ ทนไม่ไหวแล้ว ต่อให้อยู่ตรงนี้ ต่อให้ทำตัวดีขนาดไหน ผมก็ยังคงเป็นตัวเกะกะในสายตาแม่อยู่ดี

“ระ...เร” แววตาของแม่มีอาการสั่นไหว แต่มันไม่ใช่ ผมเชื่อว่ามันเป็นเพียงชั่ววูบ ยังไงแม่ก็ไม่มีทาง...

“ยังไงแม่ก็เลือกพ่อใช่มั้ย!!”

หมดแล้วกับทุกอย่าง แรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ต่อ ผมหมุนตัววิ่งอย่างไวออกมาจนถึงหน้าร้าน สมองปิดตายจากเสียงเรียกชื่อทุกอย่างที่ตามไล่หลัง จนถึงหน้าประตูเท้ากลับสะดุดเมื่อใครบางคนยืนขวางอยู่

“เรวะ..” เสียงทุ้มอุทานเรียกชื่อผม...

ใช่...แม้แต่คนๆนี้...ผมก็ทำให้กลายเป็นคนที่...ไม่ต้องการผมไปเสียแล้ว...

มือตัดสินใจผลักกายสูงออกให้พ้นทาง แล้ววิ่งออกมาแบบไม่คิดชีวิต ไม่อยากจะตอกย้ำกับความไร้ที่พึ่ง ไร้ตัวตนในสังคม ผมเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่เกิดมาจากความรักของพวกคุณเหรอ ทำไมต้องให้ผมเกิดมาด้วย ในเมื่อพวกคุณไม่ต้องการ ผมก็ไม่ใช่ว่าต้องการจะมาทำลายความสุขของพวกคุณทั้งคู่หรอกนะ แล้วคุณจะให้ผมเกิดมาเพื่ออะไร ถ้าผมหายไปจากตรงนี้มันจะดีกว่าใช่มั้ย ใครๆก็น่าจะดีใจ มีความสุขกับโลกที่ไร้ตัวตน...คนอย่างผม

สิ้นเสี้ยววินาทีที่กลั้นใจวิ่งเข้าไปขวางทางรถที่แล่นมาอย่างไว จังหวะนั้นแขนโดนกระชากอย่างแรง เสียงแตรรถดังลั่นในโสต เสียงเบรกล้อรถครูดเสียดสีไปกับพื้น ทุกอย่างผสมปนเปกันจนสติขาดหาย เหมือนตัวเองกำลังเอนไหวไปกลางอากาศแล้วทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง

 
“ข้ามถนนมองทางด้วยสิวะ!!” เสียงตะโกนจากที่ไกลๆเรียกให้สะดุ้งลืมตาขึ้น

“ขอโทษครับพี่” ส่วนเสียงนี้มันดังใกล้มากเหมือนอยู่เหนือหัว ในกรอบสายตามีเพียงผืนผ้าสีดำกับการหอบสั่นหายใจของแผ่นอกที่อยู่ตรงหน้า เสียงเครื่องยนต์ดังห่างออกไปเรื่อยๆ ผมขยับตัวไม่ได้ เหมือนขามันไร้เรี่ยวแรง ได้แต่กำผืนผ้าตรงหน้าไว้แน่นพลางซบแก้มลง จู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าว น้ำตาที่หาที่ไปไม่ได้เลยลงมาซับกับผืนผ้า

“ฮึก...” รู้สึกได้ถึงแรงรัดรึงจากแขนของใครบางคน แรงตบเบาๆซ้ำไปมาตรงแผ่นหลังทำให้ผมอุ่นใจขึ้น ผม...ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของคนๆนี้

 
 

 
“เข้ามาดิ”

“กู...”

“บอกให้เข้ามาไง” ข้อมือโดนกระชากจนเท้าก้าวเข้าอาณาเขตของอีกฝ่ายไปเต็มเหนี่ยว

ห้องไอ้เม่นยังคงเหมือนเดิม กลิ่นไอของการใช้ชีวิตดูจะมีมากกว่าเดิมด้วยซ้ำถ้าเทียบกับตอนที่มันปล่อยร้างแล้วย้ายไปอยู่ที่บ้าน
มันเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมา ของสดเก็บอยู่ในตู้เพียบ ราวกับประทังชีวิตได้เป็นเดือน ผมทรุดตัวลงที่พื้นปลายเตียง พยายามจะนั่งกอดเข่าเพื่อให้ห้องมันเปื้อนกลิ่นไอของผมน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเว้นส่วนท้องไว้เพราะเจ็บระบมเกินจะทนเลยเหยียดขาออกไปเพียงข้างซ้ายเท่านั้น

“มานั่งตรงนี้ทำไม ขึ้นไปนั่งที่เตียงไป” ร่างสูงยื่นส่งขวดน้ำที่เปิดฝาแล้วมาให้

“กูว่า...กูกลับดีกว่า” แม้แต่หายใจในอากาศเดียวกันผมยังกลัวทำให้มันแปดเปื้อนเลย ขยับตัวลุกขึ้นด้วยความทุลักทุเล จนไอ้เม่นเดินมาขวาง

“กลับไปไหน”

“บะ...บ้านไง”

“แต่ท่าทางมึงไม่ใช่”

“...”

“มึงบอกกูมา ว่ามึงจะไปไหน”

“ไปไหนก็ได้”

“หัดพึ่งพาคนอื่นบ้างดิวะ”

“กู...ไม่อยากให้ใคร...ต้องเดือดร้อน” แล้วยิ่งกับคนที่ไม่ได้เป็น ‘เพื่อน’ มันอย่างผมแล้ว

“กูเคยบอกรึเปล่าว่าเดือดร้อน”

“เปล่า...”

“แล้วทำไมมึงถึง”

“อย่าทำดีกับกูอีกเลยเม่น...กูขอ” ถ้ามึงยังขืนทำดีกับกู จะยิ่งทำให้กูอยากเรียกร้องสิทธิ์การเป็นเพื่อนมึงกลับคืนมา กับคนที่อยากตัดเยื่อใยความสัมพันธ์อย่างมึง มันคงไม่น่าปลื้มสักเท่าไร หากผมยังดื้อดึงที่จะยึดพื้นที่ข้างกายของอีกฝ่ายไว้ให้เป็นของผม

“งั้นมึงก็เลิกทำตัวให้กูสงสาร”


คำสารภาพจากปากมันทำให้ผมตกใจ ผม...กำลังทำตัวให้...มันสงสาร...? เหอะ...อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ก็...

“เข้าใจแล้ว” ผมตอบออกไป

น่าสมเพชชะมัด พึ่งได้รู้ว่าการเข้ามาของอีกฝ่ายเป็นเพียงเพราะคำว่าสงสารเห็นใจ ในเมื่อไม่อยากสงสาร ก็ไม่ต้องมองหน้า ช่วยออกห่างไปจากตรงนี้ แล้วผมจะไม่เรียกร้องอะไรอีก

“กะ...กูไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ” ผมดันอกร่างสูงให้พ้นทาง เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังประตูทางออก

“เรวะ”

“...”

“ไอ้เรวะ”

“เลิกเรียกชื่อกูอย่างนี้สักที!!”

“...”

“มึงรู้มั้ยว่ามันเป็นชื่อที่กูเกลียดมาก มันเป็นชื่อที่พ่อกูอุทานคำว่า นี่มันเรื่องเหี้ยอะไร ออกมาตอนที่รู้ว่าแม่กูท้อง!”

“...!”

“แต่มึงก็ทำให้กูรู้สึกดีกับการได้ยินคนเรียกกูว่าชื่อนี้เป็นครั้งแรก มึงทำให้กูรู้สึกว่ากูยังมีค่า มึงทำให้กูรู้สึกว่ากูพิเศษสำหรับมึง แต่ถ้ามึงแค่สงสารหรือเห็นใจ มึงก็เลิกเรียกกูไปเลย เลิกสนใจกูไปเลยก็ได้ กูไม่ได้ขอให้มึงมาสนใจกูเลย!ไม่ได้ขอเลย!”

ผมระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไอ้เม่นมันเงียบ ได้แต่ยืนมองผมนิ่งแบบไร้การตอบโต้ มันจบแล้วล่ะ ความสัมพันธ์นี้ แค่กลับไปจุดเริ่มต้นผมจะกลัวอะไร ผมจะกลัว...

ทำไมไม่หมดไปสักที ทั้งที่วันนี้ร้องจนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว แต่น้ำตาผมมันก็พยายามจะไหลออกมา ไม่อยากให้เห็นความอ่อนแอ ไม่อยากให้มันลำบากมาสงสารเลยรีบหมุนตัวไปทางประตู ขายังไม่ทันก้าวออกข้อมือก็ถูกจับลากแล้วเหวี่ยงไปที่เตียงโดยแรง การกระทำอย่างฉับพลันทำให้ผมลืมต่อต้าน ร่างสูงกระโดดขึ้นทับจำกัดการเคลื่อนไหวแต่น้ำหนักของอีกฝ่ายก็ให้ทำให้ความเจ็บที่ท้องเริ่มปะทุออกมาอีกครั้ง

“โอ๊ย!” ไอ้เม่นผละจากตัวผมทันที มันรีบลุกขึ้นดูอาการหอบสั่นแหวกเสื้อผมขึ้นจนเห็นผ้าพันแผล

“ทำไมเลือดออก”

“ฮึก...ปล่อยกู!” ผมปัดมือมันออก ยกแขนบังหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา

“ปล่อยแน่ ให้กูทำแผลให้ แล้วจากนี้ไปกูจะไม่ยุ่งกับมึงอีกเลย”

...ไม่ยุ่ง...อีกเลย...

ดีแล้วล่ะ...ดีแล้ว...

เสียงกุกกักดังห่างออกไป สักพักเตียงที่เหยียดกายอยู่ก็ยวบลง รู้สึกได้ถึงสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่เริ่มแกะเทปผ้าพันแผลรอบเอว มือใหญ่จับสะโพกผมขึ้นพลางสอดแขนแกร่งโอบผ่าน ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะผ่านแผ่นท้องจนสะดุ้ง

“อะ...” เผลอเหลือบมองลงไปดูพฤติกรรมของอีกฝ่าย สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงกลุ่มผมนุ่มที่ลอยเด่นอยู่แถวท้อง ไอ้เม่นค้างอยู่ท่านั้นนานเกินไปจนผิดสังเกต แถมใกล้ซะจนเกินเรียกว่าได้ว่าถอดผ้าพันแผล “ไอ้เม่น...”

สิ่งที่เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าไอร้อนแตะโดนผิว เผลอไหวตัวเล็กน้อยด้วยความตกใจ เดาได้เลยว่าเป็นจมูกของอีกฝ่ายที่แนบสัมผัสลงมา

“ไอ้เม่น...มึงหลับเหรอ...อ๊ะ...ยะ...”

ฟะ...ฟัน...ต้องใช่แน่ มันเอาทั้งฟันทั้งริมฝีปากขบกัดแผ่นท้องผมแบบไม่ทันตั้งตัว จังหวะนั้นพยายามขยับตัวที่เหมือนโดนพันธนาการด้วยแขนแข็งๆมันอย่างไร้ทางหนี รู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กๆปรากฏที่ผิวเนื้อก่อนจะหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายที่เงยขึ้นมาสบ

“มึงแม่งไม่รู้อะไรบ้างเลย” มันทิ้งคำพูดเอาไว้แล้วก้มลงไปอีกครั้ง คราวนี้เป็นความรู้สึกนุ่มหยุ่นที่กำลังไล้เลียไปรอบขอบกาวของผืนผ้าสีขาวจัตุรัส ความเปียกชื้นแนวฟันการจูบซับทุกอย่างโจมตีเข้ามาจนในสมองผมนั้นตื้อไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่แผ่นผ้าก๊อซซึมสีเลือดถูกลอกออกจากกายแล้ว

“แผลมึงเปิด...ได้ไง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม มันมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

"มะ...ไม่รู้"

ผมลืมไปเลย มาคิดๆดูแล้วคงอาจจะเป็นตอนนั้น ตอนที่ไอ้พวกกลุ่มนั้นจับกดลงกับม้าไม้ ไม่รู้ตัวเลยว่าอาการจะหนักขนาดนี้
ถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ไอ้เม่นถือหยิบติดมา เต็มไปด้วยผืนผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมจัตุรัสกับซองยาอีกหลากหลายประเภท มันหยิบผ้าก๊อซมาบรรจงซับเลือดที่เปื้อนค้างอยู่บนบาดแผลอย่างอ่อนโยน

“ไม่ยอมรักษาตัวดีๆ แผลแม่งเลยไม่ยอมหายไง”

“กูดูแลตัวเองดีแล้ว” ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ฝีมือผมสักหน่อย

“ยังจะเถียง เลือดออกจากแผลขนาดนี้ ถ้าทีหลังมึงยังดื้ออีกกูซื้อผ้าอนามัยมาแปะให้”

“บ้ารึเปล่าไอ้เม่น กูก็บอกแล้วไง ว่า...” ผมชะงัก...ถึงบอกไปยังไงมึงก็ไม่เชื่อคนอย่างกูสินะ ช่างเถอะ

“แต่ตอนนี้สงสัยต้องเอามาแปะหน้าเจ้าของแผลแม่งด้วย”

“ฮะ?”

“อยู่ดีๆก็ซึม” สายตาคมจ้องมาที่หน้าผม มือใหญ่เอื้อมมาขยี้ผมสีแอชเกรย์จนกระจุยกระจาย

“โอ๊ยๆๆ”

“แค่ขยี้หัวแค่นี้ร้องโวยวายโอเว่อร์ไปได้”

“กูเจ็บหัว”

“ฮะ?” บอกแค่นั้นมันขยับตัวเข้ามาไวยิ่งกว่าใช้สกิลวาปพลางแหวกผมข้างขมับออก “หัวมึงไปโดนอะไรมา เลือดออก”

“สงสัยคงเป็น...” ตอนที่แม่โยนแก้วมา ผมงับปากไว้ไม่อยากพูด “ช่างมันเถอะ”

“กูบอกแล้วไงว่าถ้ากูจะทำแผลให้แล้วจะเลิกยุ่งกับมึง”

“...”

“ถ้ามึงไม่บอกแผลทุกจุดบนตัวมึง กูทำแผลไม่หมด กูก็เลิกยุ่งกับมึงไม่ได้”

“มีที่หัว ที่ท้อง แค่นั้น” ตัดสัมพันธ์ด้วยการบอกจุดที่เป็นแผลอ่ะนะ เออคิดได้เว้ย

“ยังมีอีกตรงนี้”

“เชี่ย!จะทำอะไรน่ะ!” ล้างแผลแปะผ้าก๊อซผมเสร็จไอ้เม่นก็เล่นพลิกผมตะแคงข้าง มันแหวกเสื้อเชิ้ตที่ลงมาปรกให้พ้นทางพลางลากขอบกางเกงเสล็คของผมลงมาจนเกือบใต้สะโพก สภาพตอนนี้แม่งไม่เหลือแล้วอายฉิบหาย แทบจะกึ่งเปลือยต่อหน้ามันด้วยซ้ำ เพราะการที่เจ็บท้องผมเลยพยายามหากางเกงใส่สบายไม่รัดกายเท่ายีนส์มา แต่ไม่ใช่เพื่อให้มันมาถอดถลุงท่อนล่างผมอย่างนี้

“ด้านข้างมึงช้ำไปหมดเลย ไปโดนอะไรมา” มือเย็นๆแตะเข้าผิวบนกระดูกเชิงกราน เล่นเอาผมนิ่วหน้าจากสัมผัสกะทันหัน

“ผะ...ผู้ชายก็มีบ้างเปล่าวะ เล่นกีฬาโดนนั่นโดนนี่ ช้ำนิดช้ำหน่อยไม่เห็นแปลก” จบคำแย้ง จู่ๆมันก็ลุกขึ้นฉวยชายเสื้อยืดบนตัวมันถอดหลุดออกจากหัว ก่อนมองสำรวจไปรอบร่างตัวเอง

“กูไม่เห็นมีเลย” ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยย ใครบอกให้มึงถอดพิสูจน์!! “ดูดิ” แถมโน้มตัวเข้ามาใกล้ซะ

“หะ..เห็นแล้ว!!” ไม่ได้มอง!! แต่เห็นก็ได้ แล้วผมจะอายทำไมวะ ผู้ชายด้วยกัน

“สรุปไปโดนอะไรมา”

“ตะ...ตกเก้าอี้”

“ซุ่มซ่าม...นานรึยัง”

“มะ...ไม่นานพึ่งวันนี้” มันลุกออกไปจากตัวผม ยังแทบไม่ทันจะดึงกางเกงขึ้นเลยด้วยซ้ำมันก็กลับมา ดันให้ผมนอนตะแคงสภาพเก่าแล้วเอาบางอย่างมาแนบ

“เย็น! อะไรน่ะมึง กูเย็น”

“แผ่นเจลลดไข้ ช่วงนี้กูไม่ได้แดกเหล้า ในห้องไม่มีน้ำแข็ง ใช้นี่แทนไปก่อนละกัน” ไอ้เม่นขยับมือประคบไปตามด้านข้างที่ซ้ำ ส่วนนี้แทบจะยกอธิปไตยให้มันเพราะโดนสัมผัสไม่ยั้งไปทั่ว “ให้ความร่วมมือหน่อย ยกเสื้อขึ้นที”

สั่งอะไรก็ทำตามแล้วตอนนี้ ผมยกเสื้อนักศึกษาขึ้นเอาพอให้เหลือบังแผ่นอกช่วงบน ส่วนไอ้เม่นก็เอาแต่ดึงกางเกงในผมลงอยู่ได้ โว้ย ถ้าหลุดจากตรงนั้นมันก็ไม่ต้องบังอะไรแล้วมึงหยุดซะที ระหว่างนั้นถ้ารู้ว่ามันกำลังกวาดตาสำรวจไปทั่วตัวผม ผมคงไม่นอนนิ่งๆเป็นปลาให้มันขอดเกล็ดไปมาแบบนี้แน่ๆ

“เข่ามึง”

“หา?” คิดตามเสียงอุทานไม่ทัน ไอ้เม่นมันมาไวเหนือแสง ขยับตัวถอยหลังจับปลายขากางเกงได้ ก็สาวกระชากจนกางเกงสเลคหลุดปลิวตามมือมันไป ดีที่มือผมฉวยกางเกงในไว้ทันไม่งั้นกูได้ข้อหาทำอนาจารต่อหน้าไอ้หล่อนี่แน่ๆ “ไอ้เชี่ยเม่น!”

“จริงด้วย”

“อะไร”

“เข่ามึงไปโดนอะไรมา” อีกแล้วเหรอ ผมก้มลงไปดูเข่ารอยช้ำสีม่วงเป็นดวงๆปรากฏให้เห็น ตอนไหน? หรือจะเป็น...

“กูหกล้ม”

“ทำไมถึงหกล้ม มึงไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซุ่มซ่ามขนาดนั้นภายในวันเดียว” ขอบคุณที่ต่อจนจบให้ เล่นเอาผมไปไม่ถูกเลย ถ้าเป็นแค่บางจุดยังพออ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อยได้ แต่พอบาดแผลมันกระจายไปทั่วตัว ผมก็ไม่รู้ว่าจะยกเมฆที่ไหนมาให้มันเหมือนกัน

“ใครทำมึง”

“...”

“บอกกูมา”

“...” จนแล้วจนรอดผมก็ยังเงียบ ไม่รู้จะเอ่ยบอกเรื่องราวอย่างไร

“ทำไมมึงย้อนแย้งกับตัวเองแบบนี้วะ เรวะ จู่ๆก็เดินเข้ามาบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับกู อยู่ๆก็ถอยห่างบอกตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่มีมา แต่พอกูบอกว่าจะเลิก มึงก็ดันเสือกโทรเข้ามาตอนที่กูรับสายไม่ได้ มาทำให้ใจกูวุ่นวายอีก มึงจะป่วนสมองกูไปถึงไหนวะ”

“กูขอโทษ” ผมก้มหน้าเพื่อหลบสายตาอีกฝ่าย “มึงเลือกที่จะไม่ยุ่งกับกูก็ได้นะ แล้วกูก็จะ...”

“ใจกูไม่เคยคิดอยากจะเลิกยุ่งกับมึงเลยสักครั้ง”

“...”

“กูแค่กำลังทำในสิ่งที่มึงทำกับกู กูอยากรู้ว่ามึงรู้สึกยังไง”

“กูรู้สึก...” ทรมาน

“ให้กูอยู่อย่างนี้ต่อไปก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยฐานะอะไร แผลที่ใจมึง กูอยากเป็นคนรักษา กูไม่อยากมานั่งมองแล้วเป็นห่วง สงสารคนที่กูรักอีกต่อไปแล้ว”

...TBC...

++++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โง้ยยย ขอต่อ ไม่ไหวแล้ว ทำไมเขินเฉยเลยวะ55555. น่ารักอ่ะ ตามๆรักเรื่องนี้เลย

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 22 :: กลับมาเริ่มต้นใหม่


คนตรงหน้าผม...ขี้แยได้โล่...


จบประโยคที่ผมพูด ร่างโปร่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เหมือนความรู้สึกทุกอย่างที่เก็บกักไว้หลุดออกมาในคราวเดียว เจ้าตัวนอนห่อตัวหันหน้ายกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตา เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเลื่อนออกไปลูบศีรษะทุยๆอย่างแผ่วเบา

ความเข้มแข็ง กล้าพูดกล้าทำ การกระทำขี้เล่นแบบไร้ความรู้สึก แถมไอ้ที่เคยเล่นมุกหน้าตายของมึงมันหายไปไหนวะ แต่เรวะในแบบที่พึ่งพาผม ผมกลับรู้สึกยินดีและอบอุ่นหัวใจที่ได้เป็นฝ่ายประคับประคองให้มันลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง

“เรวะ” แขนเล็กและผอมกว่าขยับมาจับมือที่ลูบหัวดึงไปแนบแก้มเนียนละเอียดของมัน สิ้นเสียงเรียกชื่อ ดวงตาใสที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำเปิดขึ้นสบประสาน ผมใช้นิ้วโป้งเกลี่ยผิวแก้มที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาไปมาเบาๆ “กูขอโทษ”

“ขอโทษ...เรื่องอะไร”

มีบางอย่างที่ผมต้องบอกกับมัน สองสามวันที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรหลายอย่างมากมายเสียจน ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้หมด แต่เรื่องของวันนี้ เรื่องที่ผมไปยืนอยู่ที่หน้าร้านของแม่มัน ทุกอย่างมีที่มาที่ไป

ผมยังคงใช้นิ้วเกลี่ยขอบตาแดงช้ำ พลางทำใจกล้าพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา

“เรื่องเรจิซัง”

เป็นอย่างที่คิดไว้เลย แค่ชื่อคนๆนี้โผล่ขึ้นมา ปฏิกิริยาของเรวะก็เปลี่ยนไป มันเบิกตาโพลงพลางดันตัวถอยห่าง จนผมต้องคว้าสองมือมันไว้แน่น

“มึงอย่าพึ่งโวยวาย”

“มึง...” เสียงเรวะสั่น

“...กูเป็นคนพาเขามาเอง”

“ทำไม” สั่น...รวมถึงตัวมันด้วย

“เขาขอให้กูพามา” เรวะนิ่งไป ก่อนจะใช้มือที่ถูกจับไว้ผลักผมซ้ำๆ แต่แรงที่กระทำเบาบางเกินกว่าจะดันให้ผมออกห่างได้

“ขะ...ขอ...ขอกู...อยู่เงียบๆได้มั้ย”

“ไม่”

“ไอ้เม่น...มึง”

“สภาพมึงอย่างนี้จะให้กูทิ้งให้มึงอยู่เงียบๆคิดฟุ้งซ่านคนเดียวเหรอวะ มีอะไรมึงก็ถามกูมาเลยดีกว่า ถามมาให้หมด กูพร้อมตอบ”

มันอึ้งไปก็คำพูดของผม ใช่...ต่อให้มันโวยวายขนาดไหน ผมก็เชื่อว่ามันมีเหตุผลพอ...แม้กระทั่งตอนที่หนีหายออกมาจากโรงพยาบาลด้วย มันแค่พยายามแบกรับทุกอย่างเอาไว้คนเดียว โดยไม่พึ่งพาใคร คนตรงหน้านิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะขยับริมฝีปากเค้นเสียงออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“มึง...รู้จักกับ...พ่อกู...ได้ยังไง”

“กูไม่ได้รู้จัก เขาแค่เป็นเพื่อนกับพ่อแม่กู”

“เพื่อน...พ่อแม่มึง...” ตกใจสินะ ขนาดผมยังงงกับโลกกลมๆใบนี้เลย อย่างที่เคยบอกพ่อแม่ผมเป็นช่างภาพนิตยสารสารคดีของต่างประเทศ ทำงานเน้นท่องเที่ยวไปในที่ๆผู้คนเขาไม่ไป แล้วเพื่อนส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่างภาพต่างถิ่น แต่ใครจะไปคิดว่าหนึ่งในนั้นจะเป็น...พ่อของเรวะ

“มึงจำที่กูบอก ว่าเพื่อนพ่อกับแม่จะมาพักร้อนอยู่บ้านกูระยะยาวได้มั้ย” เรวะพยักหน้าน้อยๆก่อนตอบออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“วันที่มึง...บอกคุณน้าอลิษา...ว่าจะกลับมาอยู่หอ” เรื่องของผมมันยังคงจำได้ดีเสมอ

“วันนั้นคนที่มาคือพ่อมึง”

“...”

“แต่เขาไม่รู้หรอกว่ากูเป็นอะไรกับมึง จนกระทั่งวันที่มึงโดนแทงจนเข้าโรงพยาบาล”

“กะ...เกิดอะไรขึ้น”

“วันนั้นพอได้ข่าว แม่กูตกใจรีบร้อนมาหาทั้งๆที่กำลังเป็นไกด์พาพ่อมึงเที่ยว สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าพ่อมึงตาม มาด้วย”

“...”

“กูไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอะไรกับมึง แต่พอเห็นสีหน้าตื่นๆตอนที่ได้ยินชื่อ ‘เรวะ’ กูกลับสงสัย”

“เขามา...พ่อกู...มาเจอ...กูแล้ว”

“อืม”

“ละ...แล้ว...เขาพูดอะไรมั้ย”

มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่เรวะอยากฟัง ในเมื่อเรจิซังไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากนั้นอีกเลย เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่งข้างเตียงมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวของตนอยู่อย่างนั้น

“เม่น...มึงบอกกูมาดิ” เรวะมันลุกขึ้นมาจับแขนผมเขย่าไปมา  ไม่เคยเห็นท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจขนาดนี้ของเจ้าตัวมาก่อน

“เรวะ มึงใจเย็นก่อน” ผมปรามจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยมือจากผม ทิ้งไว้เพียงใบหน้าที่ก้มลงต่ำด้วยความสำนึกผิด

“...กู...ขอโทษ”

“เรจิซัง เขาไม่ได้พูดอะไรหรอก"

"..."

"เขาแค่นิ่งไป ดูไม่สดใสเหมือนเคย แล้วหลังจากนั้นก็พยายามถามกูทุกอย่างในเรื่องที่เกี่ยวกับมึง” คนตรงหน้ามีปฏิกิริยากับคำตอบนี้มาก มือสวยใช้นิ้วจิกลงไปที่ผืนผ้าของเตียงนอนราวกับเก็บอาการไม่อยู่

“เพื่ออะไรวะ...” ผมจับได้ถึงสัญญาณที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงของเรวะดูแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ มันผลักดันให้ผมต้องเอื้อมมือเข้าไปประคองไหล่ของอีกฝ่ายที่มีอาการหอบสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“เรวะ?”

“เขาจะถามไปเพื่ออะไรวะ” ร่างโปร่งชักสีหน้ามองตรงมาด้วยดวงตาแดงก่ำ เสียงที่พูดถูกตะเบ็งขึ้นเล็กน้อย

“เรวะ...มึงใจ...”

“เขาจะอยากรู้ไปทำไม ก็ในเมื่อ!”

“เขาบอกกูว่าเขาอยากรู้ว่าแฟนเม่นคุงเป็นคนยังไง”

“ฮะ?”

"ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างรึเปล่า แต่วันนั้น วันที่แม่กูรีบร้อนมาแอดมิทมึง แม่กูดันบอกพ่อมึงไปว่า 'แฟนลูกชายบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล' เรื่องมันเลยลามมาถึงขั้นนี้"

ถ้าเปรียบคงเหมือนมีใครมากดปุ่มหยุดยามหนังกำลังเข้าฉากแอคชั่นบู๊ล้างผลาญ ร่างโปร่งค้างไปแล้ว มันทำท่าเครื่องรวนอยู่สักพัก ก่อนจะส่งเสียงประหลาดออกมา

“อึ๊ก!”

หา?

“อึ๊ก!”

เฮ้ยๆๆ

“ฮะ อึ๊ก!”

ไอ้เหี้ยอย่าบอกนะว่า...มันสะอึกน่ะ!!...ทำไมประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยเดิมเหมือนตอนบอกเรื่องที่เป็นแฟนกันให้แม่กูฟังผ่านโทรศัพท์เลยวะ!

“เชี่ยเรวะมึง”

“อึ๊ก! ไอ้เม่นกู”

“ทำอะไร ทำยังไง ตอนนั้นกูทำยังไงนะ” ลนลาน หวนนึกไปถึงตอนที่หัวหมุนนั่งแก้อาการนี้ของมันแทบเป็นแทบตาย จนกระทั่งภาพบางอย่างผุดขึ้นมา ผมรีบผลักอีกฝ่ายจนเอนล้มไปกับเตียงแล้วตามลงคร่อมตัวมันทันที

“ฮึก! อึ๊ก! มึงเดี๋ยว!” มือบางมาขวางไว้ มันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดผม

“ทำไม ถ้าไม่ทำมึงก็ไม่หายนะ”

“กะ...กูไม่เป็นไร อึ๊ก!!” ชัดเลยว่าเป็นไร...

“จูบกูมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ฮะ? อึ๊ก!”

“มึงถึงไม่ยอม...” กำลังเครียด โดนต่อต้านขนาดนี้โคตรเสียเซลฟ์ แต่ที่ไหนได้ไอ้เรวะกลับเอื้อมมือมาดึงผมลงต่ำไปสัมผัสริมฝีปากมันอย่างกะทันหัน...

...เหมือนกำลังพยายามดึงความมั่นใจของผมให้กลับมา... ท่าทีอีกฝ่ายช่างดู...เงอะงะแปลกตาเป็นพิเศษ

จะว่าไป...ในหลายๆครั้งที่ได้สัมผัสกลีบปากสีสวยตอนก่อนหน้า ต่อให้เป็นคนเริ่มก่อนเป็นเรวะแต่ไม่นานสติผมกลับเตลิดเป็นฝ่ายรุกเข้าหาอีกฝ่ายทันที แต่มาครั้งนี้ด้วยความตกใจเลยทำให้เรวะต้องเป็นฝ่ายเติมเกมส์รุกผมอยู่นานท่าทางของมันที่ดูไม่คล่องทำเอาผม...อารมณ์เกือบขึ้น

“...อึ่..” ร่างบางยังคงสะอึกอยู่จนผมอดไม่ได้ที่จะขยับไปจับที่ท้ายทอยเปลี่ยนองศา ก่อนกัดริมฝีปากล่างของเจ้าตัวเบาๆ จนร่างในอ้อมกอดสะดุ้ง

“อ้าปาก”

“เดี๋ยวไอ้เม่น กูแค่จะ...อึ๊ก!อื้ออ” กูจะรักษาอาการสะอึกให้มึงเอง ผมไม่ไหวแล้วตอนนี้โคตรเหมือนคนเมา เมาไปกับรสจูบของร่างข้างใต้ กลีบปากนุ่มแห้งผากเกี่ยวติดยามถอนออก ผมบรรจงไล้เรียวลิ้นเปียกชื้นไปตามความนุ่มนิ่มนั้นจนมันเปลี่ยนเป็นสีแดงอิ่ม ก่อนเม้มเข้าหาคู่สีชาดอีกครั้ง เสียงอึกเบาๆดังในลำคอของอีกฝ่ายตามอาการที่เจ้าตัวพยายามสกัดกั้นไว้ ก่อนเปลี่ยนจังหวะเป็นการขยับใบหน้ายกขึ้นตามการดูดดึงของริมฝีปาก

เราทั้งคู่ต่างพยายามที่จะสัมผัสซึมซับรสชาติของกันและกัน กวาดชิมไปทั่วทุกตารางนิ้วที่สามารถจะทำได้ ไล้เลียเข้าเกาะเกี่ยวความหยุ่นนุ่มเปียกชื้น พันกระหวัดถอนกลับซ้ำไปมา จนกระทั่งเสียงเฉอะแฉะของความชุ่มชื้นในโพรงปากดังเข้าโสต เท่านั้นแหละ...ไอ้เรวะก็ผลักผมออกเบาๆ

“ไอ้เม่น เดี๋ยว” ใบหน้าร่างข้างใต้แดงอย่างกับอะไรดี พวกเราต่างหอบหายใจใส่กัน ริมฝีปากบวมช้ำแสดงถึงการผ่านมรสุมต่างๆมาเมื่อครู่...มันช่างดูเย้ายวน...

“อะไร” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“มึงแค่...จะแก้...ให้กูหายสะอึกใช่มั้ย”

“อือ...” ผมครางเบาๆในลำคอ

“สาบาน”

“สาบาน...” อีกแล้ว เหมือนเค้นเสียงออกมาไม่ได้ คำพูดมันเลยปนมากับอาการหอบเมื่อครู่

“ปากมึงสาบาน แต่ท่อนล่างมึงไม่อ่ะ”

ฮะ?

นึกสังหรณ์ใจเลยก้มลงต่ำไปตามปลายสายตา ชัดเลยไอ้เหี้ย กูมีอารมณ์!!

“เออ...ไม่ต้องสนใจก็ได้” พยายามควบคุมจังหวะหายใจให้คงที่

“ไปเอามันลงก่อน”

“คุยต่อเถอะ” เริ่มเป่าปากตัวเองช่วยพยุงสติ นิ่งสิวะไอ้ลูกชาย

“ในสภาพนี้เนี่ยนะ”

“กูคุยได้” กูเชื่อว่าถ้ามีความพยายามใครๆก็ทำได้

“มึงแน่ใจนะ”

“แน่ใจดิ แน่ใจมากๆด้วย”

“แต่กูว่า...”

“เรวะ”

“อะ..ฮะ?”

“อ่านปากของกูนะ ว่า...”

“รักเธอ” เสียงเปียโนสองตัวลอยขึ้นมาในหัวทันที โอ้โหไอ้เหี้ยนั่นมันพี่โต๋ แต่ตอนนี้ของกูโด่อยู่มึงเข้าใจมั้ยยยยย

“รักเหี้ยอะไรล่ะ มันใช่เวลามาต่อเพลงกันมั้ยเนี่ย กูกำลังจะบอกว่า ‘สัดมึงเลิกถามสักทีได้มั้ย’ กูจะได้สงบจิตสงบใจได้น่ะ” ได้ทีผมด่าใส่ไปไม่ยั้ง แต่มันยังมีหน้ามาทำตาโตก่อนและเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ

“หึ”

“หา?"

“หึหึ ไอ้เม่นมึงตลกว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เอากับมันดิ กูอุตส่าห์ทนขนาดนี้แล้วมันยังจะ...

ผมถอนหายใจ หลับตาอย่างปลงตก ขนาดบรรยากาศไม่ชวนให้คิดขนาดนี้ เม่นน้อยของผมมันยังคงทำงานหนัก เห็นทีจะต้องให้รางวัลด้วยมือสากๆของตัวเองแล้วมั้ง แต่ก็ยังดีที่สถานการณ์แบบนี้กลับทำให้บางคนยิ้มได้

“เอาเถอะ” กำลังจะลุกจากตัวมันแต่ทว่ามืออีกฝ่ายกลับคว้าแขนผมไว้ ไอ้เรวะยันตัวขึ้นมาเอ่ยประโยคบางอย่างที่ทำให้ใจผมบินไปโลกหน้า

“มากูช่วยเอง”

หา? เดี๋ยวๆๆๆ

จู่ๆมันก็ดันผมจนหงาย เรวะพยายามขยับกายที่ดูเหมือนจะยังเจ็บแผลลุกขึ้นคุกเข่าคร่อมผมทั้งตัว จนจุดที่ดูโดดเด่นและเห็นชัดสุดกลายมาเป็นบ๊อกเซอร์ตัวน้อยกับร่างกายท่อนล่างของมัน

“เฮ้ย!!ใครบอกให้มองวะ” รู้สึกถึงสายตาผมมันเลยยกมือขึ้นมากุมเป้าเฉย ก่อนกระโดดตัวผลุงลงจากเตียงด้วยใบหน้าแดงซ่าน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อไม่รู้เรวะมันเอาแรงมาจากไหนกระชากผมให้ลุกจากเตียง แล้วดันหลังเดินอย่างไวผลักเข้าไปที่ห้องๆหนึ่ง

ใครๆคงคิดว่ามันพาผมมาเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เปล่าเลยที่นี่มัน...

สึด...ห้องน้ำ...

ช่วยของมันนี่คือการพากูมาห้องน้ำใช่มั้ยเนี่ย!! เพลียจิต...

“เสร็จเมื่อไรบอกกูนะ แล้วมาคุยกันต่อ”

วันนี้เสร็จด้วยมือไปก่อน คราวหน้ากูสาบานว่าจะเสร็จด้วยมึงเลยคอยดู!!


มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
หลังจากชักเข้าชักออกโลกสวยด้วยมือเราแบบเหงาๆคาห้องน้ำ ผมจัดการล้างไม้ล้างมือดูสภาพตัวเองให้เข้าที่เข้าทางถึงแม้ส่วนบนเสื้อผมจะไม่อยู่กับตัวแล้วก็ตามที หวังว่าป่านนี้ไอ้เรวะมันคงไม่หลับรอไปก่อนหรอกนะ เดินออกสะดุดกับก้อนกลมๆริมประตู ถึงกับสะดุ้งหันไปมอง

“มานั่งทำอะไรตรงนี้วะ” กูตกใจ แถมยังกลับมาแต่งตัวเรียบร้อยจนแอบเสียดายอยู่นิดๆ หน้ามันออกแดงๆเหมือนคนเป็นไข้

“กูไม่น่าคิดแผลงๆมานั่งรอมึงหน้าห้องน้ำเลยว่ะ”

“นั่นดิ ที่นั่งดีดีมีให้นั่งไม่ชอบ มึงเนี่ยท่าจะเป็นคนติดดินมากเลยนะเอะอะก็นั่งพื้น เป็นแผลแล้วยังไม่รู้จักเจียม” ประชดแม่ง

“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น”

“งั้นเรื่องอะไร”

“เมื่อกี้เสียงมึงดังมากเลย แถมยังมีครางชื่อกูอีกแม่ง”

สัด!!เมื่อกี้กูว่าเบาแล้วนะ มันได้ยินได้ไงวะ!!

“กะ...กูไม่ได้คราง มึงหยุดกล่าวหากูเลย"

"เรวะ เรวะ เรวะ มีคำอุทานสองพยางค์ไหนที่เหมือนกับคำนี้อีกวะ เม่น"

"คุณพระคุณพระคุณพระ ไงเล่า" เข้าถึงรสพระธรรมกันเลยทีเดียวกู หน้าตาอีกฝ่ายเหมือนไม่เชื่อการสละชีพเอาสีข้างเข้าถูจนเลือดอาบของผม แต่สุดท้ายมันกลับลุกขึ้นมองหน้าจ้องตากันอยู่นาน

“กูเชี่อก็ได้”

คุณพระ...ช่วย

“ผู้ชายอย่างกูจะไปทำให้หนุ่มสุดฮอตอย่างคุณพลลภัตม์ เกิดกำหนัดทางอารมณ์ได้ไงล่ะเนอะ” เสร็จไปสามน้ำแถมครางชื่อมึงเป็นสิบสิบรอบ ไม่เกิดเลยเนอะ...ไม่เกิดเลย...

มันทิ้งท้ายไว้ให้ผมตะโกนก้องในใจว่าถ้าเอามันตอนนี้ได้ผมเอาไปแล้ว ก่อนเดินตัวปลิวกลับไปนั่งตรงโต๊ะอาหาร ในมือเริ่มหยิบจับห่อขนมในตระกร้ามาฉีกเกะกินเล่นเงียบๆ

“ไม่คิดจะถามอะไรกูต่อแล้วเหรอ”

“ไม่ว่ะ ยังคิดไม่ออกเลย ตอนนี้ในหัวมันตื้อไปหมด”

“งั้นกูเป็นฝ่ายถามมึงได้มั้ย”

“มะ…”

“ถ้ามึงตอบ ‘ไม่’ กูปรับฟาวล์” แหนะกูรู้ทันมึงเถอะ จะตอบว่าไม่แบบทันทีทันใดเหมือนคราวที่แล้วเหรอ ฝันไปเถอะ กูไม่ให้มึงตอบ “กูอยากรู้ทุกอย่าง...ทุกอย่างจริงๆที่เกี่ยวกับตัวมึง”

ปิ๊งป่อง...

พับความคิดที่จะซักไซร์ไล่เรียงไอ้เรวะลงกล่องแทบทันที ใครวะมาเยี่ยมกูถึงบ้านตอนนี้ อย่าบอกนะว่าพวกไอ้หงส์มันนึกครึ้มอยากจัดปาร์ตี้ดูหนังกูจะด่าให้

เอาเถอะถึงยังไงคำคืนนี้ก็ไม่ใช่ของผมอยู่แล้ว รีบๆเปิดรีบไล่พวกมันกลับไปก็จบ แต่ใครจะไปรู้ว่าคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของประตูจะเป็นคนที่กูคุ้นอย่าง

“แม่” คุณอลิษาในลุคสบายๆใกล้เข้านอนกำลังยืนมองมาตรงนี้ จับความรู้สึกผิดแปลกบางอย่างได้จากสายตาเบิกโตของแม่ซึ่งกวาดไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้าผม

“ไอ้ลูกชาย กลับเข้าไปใส่เสื้อเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวนี้!”

“เฮ้ย! แม่ เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย” มือแม่กระวีกระวาดดันผมเข้ามาแถมปิดประตูตามหลังแบบงงๆ ความสนใจเธอหันตรงไปทางไอ้ตัวขาวที่ยืนอยู่ด้านหลังผมแทน ก่อนยกมือกุมอกถอนหายใจออกมาอยู่ยาวหลายวินาที

“ดีนะที่เสื้อผ้ายังเรียบร้อยอยู่”

หา?

“ถ้ามาเจอแบบรุ่งริ่งนี่แม่ก็แทบไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เดี๋ยวๆๆ แม่หมายถึงใคร ถ้าเป็นไอ้เรวะบอกเลยเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มันรุ่งริ่งยิ่งกว่าผมอีก แล้วทำไมแม่จะต้องแตกตื่นอะไรขนาดนี้ด้วยวะ

คำตอบของคำถามในใจไม่ต้องออกจากปากมันก็แทบกระแทกหน้าผมทันที ในเมื่อร่างสูงๆของผู้ชายคนที่ผมเพิ่งเจอปรากฏขึ้นพร้อมกับการผลักประตูเปิดออกจากอีกฟาก สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ฉายชัดให้เห็นถึงแววไม่เป็นมิตรที่คุกคามอยู่กลายๆ

“เรจิซัง” มาได้ไงวะ แล้วที่สำคัญไม่ใช่อะไร

ทำไมต้องมาอัดกันหน้าประตูห้องกูสามสี่คนด้วยเนี่ย!! จำได้มั้ยว่าห้องกูแคบ!!

“เม่นคุง” สายตาที่มองเหมือนแม่กูเปี๊ยบ ขึ้นที่หัวจบลงถึงปลายตีนได้คนที่มีศักดิ์ว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพของแม่ก็ถอดรองเท้าอย่างไวว่องเบียดผ่านด่านคุณอลิษามาจึงถึงตัวผม กั้นลูกชายของตัวเองเอาไว้เบื้องหลังพลางเอามือป่ายปัดไม่ให้เรวะมันหลุดออกมาเข้ากรอบสายตาผม ดวงตาที่มองตรงมาโคตรไร้ความไว้วางใจ

“เรจิ! ไม่เอาน่าเรจิ ลูกชายฉันมันก็แค่ร้อนแล้วถอดเสื้อแต่งตัวสบายๆอยู่ห้องตามประสามันแหละ อย่าคิดมากได้มั้ย” แม่แทบวิ่งมาเกาะแขนผมกั้นท่าไว้เหมือนกับกลัวว่าพ่อไอ้เรวะจะทำอะไร

“แต่ลิซซังพวกเขาเป็นแฟนกันนะ มันอาจจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ก็ได้ ผมไม่ยอมหรอก ผมว่ามันเร็วไป”

เรื่องแบบนั้น? เรื่องอะไรวะ? เฮ้ย บอกผมก่อน ผมงง...

จ้องหน้าอยู่ไม่นานชายร่างสูงก็เปลี่ยนท่าทางเป็นจับตัวลูกชายตนเองหมุนไปมาเชิงบังคับ ก่อนก้มลงลุกขึ้นยึกยักโยกซ้ายขวาถลกปกเสื้อชายเชิ้ตร่างโปร่งไปมาเป็นระวิง

“เดี๋ยว ทะ...ทำอะไรน่ะ!” ไอ้เรวะมันตะโกนโวยวาย ก่อนสุดท้ายจะจบที่ถูกพ่อตัวเองถลกเสื้อชุดนักศึกษาขึ้นสูงจนแทบบังหน้า

“ไหนว่าไม่มีอะไรไง แล้วนี่มันอะไร”

ร่างสูงชี้ไปที่แผ่นท้องแบนราบของลูกชาย รอยปื้นเล็กๆสีแดงช้ำห้อเลือดใกล้สะดือแม่งโคตรเด่นสะดุดตาเพราะมันตัดกับผิวขาวเนียวละเอียดของคนตรงหน้า ฉิบหายแล้ว รอยตอนนั้นที่ผมยับยั้งช่างใจไม่ไหวไปกัดหน้าท้องของมันตอนทำแผล

ไม่นานมือคุณลิซที่เกาะแขนผมอยู่ก็ทำงาน จิกไปที่ผิวเนื้อแล้วบิดหยิกทันที

“โอ๊ย ทำอะไรน่ะแม่”

“ทางนี้ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม ทำอะไรไปฮะคุณลูกชาย แม่บอกแล้วไงว่าอย่าทำตัวรุ่มร่ามกับน้อง”

“ผมเปล่าทำนะ...ปาก เออ ปากมันไปเอง” โทษอวัยวะเลย ตัวกูไม่ใช่ของกู แล้วมันใช่น้องที่ไหนมันอายุเท่ากับผม ทำไมโอ๋เอ็นดูมันจังเลยวะสองคนนี้ ทำไมไม่คิดว่าผมอาจจะเป็นฝ่ายโดยมันปล้ำบ้างน่ะ แน่จริงจับผมถอดเสื้อผ้าแล้วเช็ค...เออลืมไปว่าท่อนบนไม่ได้ใส่อะไรอยู่

“ปากมันไปเองได้ไง ถ้าเราไม่ใช้อารมณ์ตัวเองเป็นหลักน่ะ” คุณอลิษาตีลงมาให้หยุด เหมือนกำลังสอนเด็กชายพลลภัตม์อายุสองขวบว่าอย่าอมข้าว ยอมรับว่าใช้อารมณ์แต่คนที่ทำให้ผมมีอารมณ์...ก็มีแค่มันเนี่ยแหละ

“ปล่อยได้แล้วครับ” ความสนใจไปกระจุกรวมตัวตรงร่างโปร่งที่โพล่งเสียงดังออกมา เรวะมันปัดมือผู้เป็นพ่อจนหลุด สีหน้าเปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่สองต่อสองกับผมโดยสิ้นเชิง มันพยายามเบียดตัวตัวเดินผ่านพวกเราสามคนออกไป

“เดี๋ยวเร...นั่นลูกจะไปไหน” มันชะงักตัวชั่วครู่ก่อนจะเปิดประตูพรวดพราดออกไปโดยไม่สนใจคำค้านใดใดของผู้เป็นพ่อ

“เฮ้ย...เรวะ” ผมกลัวมันสิ้นคิดแล้ววิ่งหนีออกไปเหมือนเมื่อครู่อีก ตั้งใจจะไปรั้งไว้แต่อะไรอะไรก็ไม่อำนวย ขาแขนเกี่ยวผู้เป็นแม่จนเซถลาไปข้างหน้าตอนนี้อะไรที่คว้าได้ผมคว้าแล้ว แต่ที่แน่ๆต้องไม่ใช่...

เสื้อ-ไอ้-เรวะ!!

แคว่ก!!

ฮ่วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

มึงจะหยุดเท้าทำไม หยุดทำไม!! ถ้าไม่หยุดป่านนี้ล้มก็ล้มวะ ขอแค่อย่างเดียวคือกูไม่อยากมานั่งสำนึกผิดแบบแปลกๆกับการฉีกเสื้อตัวเองที่มันยืมใส่แล้วไง!!

แปลก...ที่คราวนี้มันไม่หันมาด่าเหมือนอย่างเคย ร่างตรงหน้าเหมือนโดนคำสาปให้ยืนแช่งแข็งนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ระหว่างที่รอการทรงตัวกลับมาผมบังเอิญเหลือบตาไปเห็นผู้มาใหม่ ใครบางคนที่ยืนขวางประตูอยู่

แม่นิ...

“เร…” เคยเห็นเพียงแววตาที่กระจ่างใสยามมองลูกชายของตน กับน้ำเสียงอันไพเราะเมื่อมีโอกาสได้สนทนากับผมเรื่องของเรวะ แต่คราวนี้มันกลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ผมได้แต่หวังว่าคนตรงหน้าจะยอมฟังคำกล่าวของมารดาไม่ผลุนผลันเดินหนีไปอย่างเคย

ร่างโปร่งหันศีรษะหลบสายตาผู้เป็นแม่อย่างจงใจ ใบหน้าด้านข้างทำให้ผมเห็นอะไรหลายอย่าง ไอ้เรวะมันพยายามกัดริมฝีปากข่มดวงตารื้นแดงไม่ให้หลั่งรินหยดน้ำแห่งความคับแค้นใจออกมา

“เร…” แขนเล็กชักหลบคนตรงหน้า แทบทำตัวเล็กลีบไปกับบานประตู

“มาทำไมครับ กลับไปเถอะ”

“เร…” ใบหน้าหญิงสาวทวีความโศกเศร้ามากยิ่งขึ้น

“พวกเราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวกันอีกแล้ว”

“…!”

“ผมจะออกจากบ้านนั้น พวกคุณจะได้สบายใจ”

“เร ลูกพูดเรื่องอะไรเนี่ย” คนด้านหลังเริ่มทนไม่ไหวขยับตัวผ่านผมเดินเข้ามาใกล้สองแม่ลูก ยื่นมือไปจับไหล่ร่างโปร่งซึ่งถูกสะบัดออกแทบในทันที

“พูดในสิ่งที่คุณสองคนต้องการไง ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้ ผมอยู่มาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะยาย เพราะตัวผมเอง ผมพึ่งพาตัวเองได้ ไปเถอะครับ ผมขอร้อง” ในที่สุดความอ่อนแอก็ไหลออกมาจากสองตา ร่างโปร่งบางยืนกลืนก้อนสะอื้นเล็กๆไม่หยุด มันร้องไห้ ร้องไห้ราวกับจะไม่เหลือน้ำตาไว้ให้วันพรุ่งนี้ ร้องจนตัวสั่นไหวฮึกฮัก หายใจหอบแรง

พอเห็นอย่างนี้เริ่มทนไม่ได้ ต่อให้เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่นก็ตาม จะหาว่าเสือกก็ยอม ผมพรวดพราดดึงร่างบางเข้ามาสวมกอด แขนเล็กๆของมันโอบเอวผมแทบจะในทันทีราวกับในที่สุดก็ไขว่คว้าหาที่พึ่งพิงได้ แรงรัดเพิ่มมากขึ้นตามจังหวะการสะอื้นไห้ ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาฝังลงบนแผ่นอกผมแนบสนิท

“ฮืออออ ไอ้เม่น ไอ้เม่น” ตอนนี้ทั่วบริเวณมีแต่เสียงร้องไห้ของเรวะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาอยู่นาน จนกระทั่งทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลง เดาว่าร่างโปร่งคงหมดแรงร้องไห้แล้ว เพราะเรวะเริ่มนิ่งได้ยินเพียงเสียงฮึกฮักเล็กๆที่เก็บกักอยู่ในลำคอ และเหมือนเรจิซังจะรู้เลยเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“เรวะ”

“…” รู้สึกถึงแรงสัมผัสซึ่งเพิ่มระดับขึ้นตามคำเรียก เรวะกำลังกลัวว่าผมจะผลักไสมันออกไปหาอีกฝ่าย พอเห็นอย่างนั้นชายวัยกลางก็ถอนหายใจออกราวกับยอมรับในความเป็นจริง

“พ่อรู้ว่าเราอาจจะไม่อยากฟังสิ่งที่พ่อพูด”

“…”

“แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้นพ่อขอได้มั้ย พ่ออยากให้เรารู้ ว่าพ่อเสียใจจริงๆกับสิ่งที่ทำลงไปในอดีต พ่อรู้ว่าต่อให้พ่อกลับมาตอนนี้มันก็อาจเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภัยให้ได้ง่ายๆ ตอนนั้นพ่อยังไม่มีเงิน ไม่มีอาชีพฐานะการงานที่มั่นคง เป็นแค่ช่างภาพอิสระที่พยายามจะเดินตามความฝันของตัวเอง พ่อไม่อยากให้แม่เรามาลำบากไปพร้อมกับพ่อ ไม่อยากสร้างภาระให้ยายเรา”

“พ่อเลยหนีออกมาแล้วทิ้งแม่กับยายเอาไว้ ทั้งที่รู้ว่ามีผมอยู่ในท้องแม่เนี่ยนะ” เรวะเงยขึ้นมาสบตากับผู้เป็นพ่อในที่สุด

“…”

“พ่อรู้บ้างมั้ยว่ายายเขาลำบากขนาดไหนกับการหาเลี้ยงพวกเราสองคนแม่ลูก แม่เขาอารมณ์เปลี่ยนไปจนต้องไปหาหมอ ส่วนผมที่เป็นลูกได้แต่นั่งดูทุกอย่างผ่านไปโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ผมทรมานรู้มั้ย! มันเจ็บปวดนะกับการที่เหมือนเป็นภาระของทุกคน ผมไม่อยากยืนอยู่ตรงจุดนั้น ถึงต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาจนถึงจุดนี้ไง”

เหมือนใช้พลังกายไปทั้งหมด เรวะมันปล่อยมือจากผมแล้วก็จริง หากทั้งตัวยังเอนทับมาให้ผมได้ประคับประคองไหล่และร่างที่ปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงไม่ให้ไหวเอนล้มลง

“พ่อแค่อยากมาพูดคำว่าขอโทษ แล้วพ่อจะไป” เหมือนไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ผู้เป็นพ่ออยากได้ แต่เรจิซังกำลังถอดใจ

“พ่อไม่ต้องไป! พ่ออยู่ตรงนี้แหละ แม่เขาขาดพ่อไม่ได้ ส่วนคนที่ไปเป็นผมเอง”

“แม่ก็ขาดเราไม่ได้เหมือนกันนะเร!” แม่นิที่ยืนตัวสั่นกลั้นน้ำตาตะเบ็งเสียงออกมาแข่งกับลูกชาย เธอร้องไห้ยืนกุมอกของตนจนผู้เป็นพ่อต้องรีบรุดเข้าหา

“นิ”

“อย่าพูดเหมือนกับเราไม่มีค่า อย่าทำแบบนี้ แม่ขอโทษ แม่ขอโทษที่ทำร้ายเรา ยายเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังก่อนจากไป แม่เสียใจ แม่เสียใจจริงๆ แม่ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป แม่...ฮึก...ไม่รู้เลย อย่าทิ้งแม่ไปได้มั้ย แม่ขอร้อง”

เรวะหันไปมองสภาพที่พ่อตนเองกอดแม่ ผมรู้สึกได้ถึงแววน้อยใจที่ฉายชัดออกมา

“ผม...ไม่อยากเป็นตัวปัญหา”

“เราไม่ได้เป็นตัวปัญหา”

“ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อจากพวกเราไปอีก”

“ไม่ใช่เพราะลูกเลย ทั้งหมดไม่ได้เป็นเพราะใครเลย แต่เป็นเพราะพ่อทำตัวพ่อเอง” คราวนี้เรจิซังเป็นคนกล่าวโทษตนเอง

“ให้ผมอยู่ที่นี่ได้ใช่มั้ย”

“ได้สิ ที่นี่คือบ้านลูกนะ พวกเราจะอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน ขอแค่ลูกให้อภัย”

“ผมไม่เคยเกลียดพ่อเลย ผมแค่เกลียดตัวเองที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากให้ใครไม่มีความสุขเพราะผม ผมไม่อยากทำร้ายเขา”

“ถ้าเรอยู่ตรงนี้พวกเราจะมีความสุข”

“…”

“สุขมากยิ่งขึ้น อยู่ด้วยกันแบบครอบครัวที่พ่อฝันหามาตลอดยี่สิบปี ขอร้องเถอะนะ อยู่กันกับพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกเถอะนะ”

เรวะร้องไห้ออกมาแล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดพ่อแม่ บางครั้งการปล่อยวางเรื่องราวในอดีตแล้วหันมาเผชิญหน้ากับปัจจุบันอาจเป็นสิ่งที่ยากสำหรับใครหลายคน แต่หากทำได้มันจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนๆนั้น ไม่ได้บอกว่าอดีตเป็นสิ่งที่ควรลืม แต่มันเป็นสิ่งที่ควรจดจำ เพื่อใช้เป็นบทเรียนชิ้นสำคัญสำหรับก้าวไปยังขั้นถัดไป

ผมอยากให้เรวะมีความสุขกับวันนี้ให้มากๆทดแทนอดีตที่ผ่านมา และผมก็จะคอยอยู่เคียงข้างมันตลอดไป...


   


ประตูระเบียงเปิดรับลมอ่อนยามดึกให้โชยพัดเข้ามา บรรยากาศสงบอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเมฆหมอกเลวร้ายทุกอย่างค่อยๆถูกลมประจำทิศตะวันตกพัดพาออกไปแทนที่ด้วยความสดชื่นอันแสนเปล่าเปลี่ยวนี้ ท้องฟ้ากระจ่างไร้จันทร์กลับเต็มไปด้วยดวงดาวทอแสงประกายสุดปลายสายตา ทำให้ผมหวนนึกถึงค่ำคืนที่เคยใช้เวลานับดวงดาวจำลองอย่างขำขันก่อนจะผ่านคืนวันมาได้ถึงตรงนี้ วันแรกที่เรวะมาค้างที่นี่

“แหนะ นั่งเป็นหมาหงอยเชียวนะเรา” หันไปมองตามเสียงเรียกซึ่งดังขึ้นใกล้ตัว แม่ผมเดินเข้ามาพลางยื่นส่งขวดน้ำผลไม้ที่มีติดประจำตู้เย็นให้แล้วทรุดตัวลงข้างเคียงกัน

“หมาหงอยอะไรกันล่ะครับ ว่าแต่ลิซซังเถอะ ไม่กลับไปกับพวกเขาด้วยเหรอ”

“แหม ครอบครัวเขาก็อยู่ส่วนเขาสิ แม่ไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

“ก็เห็นมาด้วยกัน”

“นั่นก็แค่ตอนมา แต่ขากลับแม่มีเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำมากกว่านั้นน่ะสิ”

“หืม?” ส่งเสียงสงสัยอย่างไม่ปิดปัง เรื่องสำคัญแต่กลับมานั่งเสียเวลากับผมเนี่ยนะ

“ไม่เอาน่ะ” คุณอลิษาเอาไหล่มากระแทก ส่งสายตายิ้มเจ้าเล่ห์จนคนเห็นนึกกลัวสังหรณ์ใจบางสิ่งบางอย่าง

“ไม่เอาอะไรล่ะ ผมไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละแม่ ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนี้เลย”

“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ ว่าเรากับน้องน่ะ ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว” กูว่าแล้ว

“ไม่ไปถึงขั้นไหนทั้งนั้นแหละ” ขยับตัวหลบก็แล้ว คุณอลิษายังตื้อตามเข้ามาประชิด ขืนบอกว่าจูบกันไปหลายรอบแม่กูจะช็อกตายมั้ยวะ แต่ดูจากท่าแล้วคงไม่ ตอนนี้คงหวังกลายๆให้ลูกชายได้เสียกับไอ้เรวะแน่ๆ

“ไม่ถึงไหนได้ไง รอยที่ท้องน่ะ อะไรฮะ อย่าบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนทำ เมื่อก่อนถ้าบอก กับหนูพลอยแม่จะเชื่อ แต่กับคนนี้แม่ไม่ เอะอะไปไหนมาไหนก็หนูเรมอย่างงั้น หนูเรมอย่างนี้ติดกันเป็นตังเมซะ ถามจริงเถอะว่าที่เรจิพูดนะจริงใช่มั้ย ไอ้จ้ำแดงๆที่ขึ้นมาน่ะ”

“ชะ...ใช่ที่ไหนล่ะ” ขืนบอกออกไปว่าทำได้แค่รอย ส่วนน้องน้อยต้องไปเผชิญกับความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาในห้องน้ำมีหวังโดนแม่ประจานพอดี

“โกหก”

“ผมบอกว่าเปล่าไง”

“แม่ไม่เชื่อหรอก”

“ผมไม่ได้...”

“เรื่องจริงเหรอ” จู่ๆแม่ก็ตัดบทผมฉับ

“เรื่องจริงสิ”

“เปล่า แม่หมายถึงเรื่องที่หนูเรมเขากระซิบบอกแม่ก่อนกลับว่า เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ”

“…”

...TBC....

+++++++++++++++





บางครั้งการจะเข้าใจกันได้มันต้องอาศัยคำพูด
การหนีการไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา...แต่การก้าวต่อไปข้างหน้าเพื่อเผชิญกับความจริงคือสิ่งที่ถูกต้อง...
สู้ๆนะคะทุกคน



ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและคอมเมนต์ค่ะ
น่าจะใกล้จบแล้ว(มั้ง)
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ
แอบดูทุกคำขอบคุณทุกความเห็นที่เขียนกันมาโดยตลอด...รักเสมอ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อย่าพึ่งจบซี่กำลังสนุกอยู่เลยยย
เรรรร๊ ทำไมพูดงั้นเล่าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใจหายใจคว่ำไปทุกตอนเลย​  :ling1:

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 23 :: แค่คนคุย


“เอ้า มาอัพเดตสถานะกันหน่อยครับ”

“คนไหนโสดยกมือขึ้น”

“คนไหนมีแฟนแล้ว”

“แล้วคนไหนที่เป็นเพียงแค่คนคุย”


เสียงไอ้หงส์แว่วเข้าหู จบคำร้องทักคนในร้าน เสียงกีตาร์โปร่งก็เริ่มบรรเลงเพลงเป็นท่วงทำนอง แม้วันนี้เป็นวันศุกร์แต่พวกมันก็ขยันเลือกเพลงของชิลลิ่ง ซันเดย์ที่ชื่อว่า ‘Status’ มาร้อง

แล้วคนที่โดนของก็คือผม


“สถานการณ์ลำบาก
ตัดขาดจากคนหนึ่งคนไม่ไหว
ที่สองเราคุยกันอยู่
ก็ไม่รู้เธอคุยคนเดียวใช่ไหม”



ไม่ได้เรียกว่าตรงเสียทีเดียว เพราะทางนี้ไม่ได้จะตัดขาด


“ไม่มีสิทธิ์จะหวงไม่มีสิทธิ์ทวงความเป็นเจ้าของ
ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง สักเสี้ยวหัวใจ
มันแค่เกิดคำถามขึ้นมา จากความหวั่นไหว
รู้ฐานะของฉันแค่คนคุย”



ใช่เหรอ...มึงช่วยบอกกูได้มั้ย ผมจ้องสบตาคนตรงโต๊ะประจำ หากคราวนี้กลับมีแขกขาจรมาร่วมวงด้วย

ใช่...ไอ้บูม เดือนหมา...

...เดือนมหา’ลัยคนเดียวคนดังและคนเดิม ไม่รู้มันนึกครึ้มอะไรถึงตามเฮียมันมาด้วย เห็นจากสีหน้าของเรวะ ดูออกว่ามันไม่ได้เต็มใจกับการกระเซ้าเย้าแหย่ของน้องชายข้างบ้านผู้คิดไม่ซื่อ ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาความหนักข้อของลูกตื๊อจากไอ้หล่อนั้นมันยิ่งกว่าลูกคลื่นทสึนามิ พายุเฮอริเคน ผสมน้ำท่วมกรุงเทพฯปี2554เสียอีก

อาจเป็นเพราะคำประกาศแสดง ‘สถานะ’ของพวกเราตอนนั้น ที่หลุดออกจากปากไอ้เรวะมัน เลยทำให้กลายเป็นแบบนี้...อึดอัดว่ะ


“แต่คุยแค่ไหนถึงจะได้คบกัน
หรือเป็นแค่ฉันที่จริงจัง จนกลายเป็นรักเธอ
ความรักครึ่งๆกลางๆ ช่วยเลือกทางให้ฉันเถอะ
มันเจ็บในความค้างคา แต่ไร้ปัญญาจะตัดใจ”



ตรงและโดนใจจนเจ็บ ขนาดวันงานที่ไอ้บูมลงแข่งกีฬากับมหาวิทยาลัยเพื่อนบ้าน เรวะมันยังต้องไปตามเชียร์ เพื่ออะไรวะ


‘ไอ้บูมมันขอ แล้วกูก็ไปเชียร์มันทุกปีอยู่แล้ว’


ขอโทษที่กูมาช้าไป ไม่รู้ว่ามึงสนิทกับมันแค่ไหน...

“เธอคิดจริงจังหรือเปล่า
หรือฉันแค่เพียงตัวเลือกแก้เหงา
ความไม่ชัดเจนมันร้าว
มันเจ็บจนเหมือนจะตายรู้ไหม”



เพลงนี้ทำผมอินจนร้องลื่นไหลจบเพลงแบบไม่รู้ตัว สักพักไอ้คีย์ที่ยืนดีดคีย์บอร์ดก็พูดใส่ไมค์ขึ้นมาเรียกสติ


“วันนี้เป็นฟลายเดย์ไนท์หลังจบสอบมิดเทอม เรามาสนุกกันให้สุดเหวี่ยงกันเลยดีกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว วันนี้เรามีเซอร์ไพรสให้กับลูกค้าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ว่าไงครับคุณหงส์”

“ใช่แล้วครับ เป็นโปรเจคใหญ่ที่คิดขึ้นมาสดๆร้อนๆ โปรเจคที่มีชื่อว่า ‘ข้ามคืนมาร้อง คล้องคอลูกค้า ลุกขึ้นมาโชว์ลูกคอ’”

แอบได้ยินเสียงบ่นของไอ้ต๊อบเรื่องชื่อโปรเจค ไอ้หงส์มันพึ่งคิดเดี๋ยวนั้นแน่ๆ แถมกูไม่รู้อีก แล้วโปรเจคที่ว่ามันคือ...

“เราจะสุ่มเรียกลูกค้าขึ้นมาร้องเพลงร่วมไปกับเราครับ”

เสียงกรี๊ดกร๊าดเพราะกลัวโดนเลือกกับความรื่นเริงเริ่มกรึ่มๆของคนมีอารมณ์ร่วมดังปะปนกันมา ดูท่างานนี้ไม่มีปาขวดก็อาจจะไอแคนซียัววอยซ์เกิดนักร้องหน้าใหม่ขึ้นในวงการชัวร์

ไอ้หงส์เริ่มชะโงกมองหาเหยื่อ บางคนก็ก้มหน้าจนแทบมุดโต๊ะดูจากอาการรู้เลยว่าไม่เมา แต่ถ้าเหล้าเข้าปากเมื่อไรความกล้าบ้าบิ่นมันจะเพิ่มทวีขึ้นมาเป็นเท่าตัว เหมือนกับพวกผู้หญิงที่ยกมือโบกไหวๆไปมาด้านหลังนั่นไง ส่วนคนของผมก็...


...กำลังสนใจกับบทสนทนาของไอ้บูม...


“เริ่มจากใครก่อนดีน้า”

“ดาร์ลิ้ง”

“หา?”

“เอาดาร์ลิ้งกูขึ้นมา”

“ไอ้เชี่ยเม่น”

“สัด...มึงพูดออกไมค์ทำไม”

หา?...


เสียงฮือฮาดังขึ้นหลังจบประโยคเตือนสติของไอ้ต๊อบที่นั่งจับกีตาร์โปร่งอยู่ข้างๆ ผู้คนในร้านต่างพากันมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว

“เมื่อกี้กูพูดอะไร”

“มึงบอกว่าให้พาดาร์ลิ้งมึงขึ้นมา” ไอ้หงส์ป้องปากตอบ ทั้งที่ตรงหน้ามันก็มีไมค์ ไอ้เวร...แล้วมึงจะซ้ำเติมความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของกูเพื่อ!!

ต้องเปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจทุกคนไปทางอื่น แต่ทว่าทุกอย่างมันกับตาลปัตร ในเมื่อคนที่ถูกเรียกว่าดาร์ลิ้งของผม เดินตรงเข้ามาที่หน้าเวที...พร้อมเสียงประกอบฉากอันอื้ออึงแบบพอดิบพอดี

“กูมาแล้ว”


ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย มึงมาทำไม


“อะ...เออ”

“ให้กูนั่งตรงไหน หรือให้กูยืนร้อง”

“นั่ง...” ในใจกูเนี่ยแหละ อยากตอบต่อหน้าไอ้ห่าบูม กัดฟันห้ามใจไว้จนข้างในอึดอัด จึงต้องหาทางบรรเทาด้วยการเหลือบตาไปมองทางขวาหาที่นั่งให้คนสำคัญ

คิดว่าจะทุลักทุเล ที่ไหนได้ไอ้หงส์แม่งโคตรพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม เก้าอี้ตัวสูงกับไมค์ที่ถูกจัดปรับระดับให้พอดีกับความสูงของเรวะ โดนไอ้น้องเจ็ทแลคที่เพื่อนผมมันกวักมือเรียกแบกมาวางอย่างไวตั้งไว้ประจำที่ ร่างโปร่งขยับกายมานั่งเคียงข้างผม สีหน้ามันโคตรนิ่งไม่ตื่นเวทีสักนิด จนแอบพาลนึกคิดไปว่ามันเคยรับจ้างร้องเพลงที่ไหนมาก่อน

“มึงร้องได้แน่นะ” ผมกระซิบถาม

“ขึ้นอยู่กับเพลง”

“มีเพลงไหนอยากร้องมั้ย”

“ไม่”

“งั้นเอาเพลงที่ร้องได้”

“โดราเอม่อน”

“สัด ใครเขาร้องโดราเอม่อนในร้านเหล้ากันวะ”

"ก็มึงถาม"

“เอาเพลงอื่น”

“อิคคิวซัง”

“เกิดมามึงฟังแต่เพลงพวกอนิเมะรุ่นคลาสสิค อย่างมารุโกะ ชินจัง อาราเล่แค่นี้เหรอวะ”

“สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ อาอิชิเตะรุ...”

“บอกแล้วไงว่าให้เอาเพลงอื่น” ยังจะขุดมาร้องเบาๆใส่หน้ากูอีก เดี๋ยวก็แปลงร่างเป็นเณรน้อยจนปัญญาจะรับมือกับมึงให้รู้แล้วรู้รอดเลยนี่

“มึงรู้ความหมายเปล่า” ส่ายหัวหวือ ภาษาเพลงพอเข้าใจ แต่อะไรไม่ใช่ภาษาไทยไอด้อนอันเด้อสแตนด์

“ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ รักนะ”

“...”

โชคดีที่ผมไม่ถือไมค์ไว้กับมือ ไม่งั้นได้ทำมันตกใส่พื้นเสียงสะท้านไปทั่วร้านแน่ๆ เพราะมัวแต่จ้องหน้าคนเอ่ยประโยคชวนใจสั่นมาเป็นชุด

“เม่น กูแค่แปลความหมายของเพลง ไม่ต้องจ้องกูจนตาถลนขนาดนั้นก็ได้”

“เชี่ยเรวะ”

“อย่าพูดไม่สุภาพต่อหน้าลูกค้ามึงดิ”

“ใครใช้ให้มึงแปลเพลงนี้ต่อหน้ากูล่ะ”

“อะแฮ่ม! คุณเม่นครับคุณเม่น หน้าเวทีทำงานหลังเวทีค่อยทำคะแนนจีบกันยังไม่สายนะครับ ในเมื่อพวกมึงเลือกไม่ได้ เดี๋ยวกูเลือกให้เอง” เสียงไอ้หงส์ตะเบ็งใส่ไมค์ดังไปสามบ้านเจ็ดบ้าน มึงกลัวคนไม่รู้เลยนะว่ากูกับเรวะเป็นอะไรกัน ไอ้เมื่อกี้ที่กูหลุดดาร์ลิ้งก็ดอกนึงแล้ว ไอ้เพื่อนเวร

“เพลงอะไรว่ามาเลย” เสียงไอ้ต๊อบสนับสนุน เพราะเห็นแววพี่ตี๋จะเริ่มมีอารมณ์ แบบจ้างพวกมึงมาร้องเพลงไม่ได้ให้มันเล่นกัน ไอ้นักแทงบอลเลยปั้นหน้าจริงจังเตรียมนึกคอร์ดตามเต็มที่

"หนุ่มนาข้าวสาวนาทดลอง"

สัด...ทำเหล้าในปากลูกค้าแทบพุ่ง

“เพลงอะไรของมึงวะ” ขนาดไอ้คีย์ยังตะโกนด่ามาจากข้างหลัง

“เพลงนี้แหละคลาสสิคสุดแล้ว”

คลาสสิคไม่ปรึกษาชาวบ้านชาวช่อง แล้วทำไมคำว่าทดลองมันดูสะท้อนใจยังไงชอบกล แต่ขี้เกียจจะแย้งเลยหันไปถามความเห็นคนที่ตกเป็นจำเลยต้องมาร้อง

"มึงน่ะ คนร้อง จะเอายังไง"

"กูร้องท่อนผู้ชายนะ ขี้เกียจดัดเสียง"

เสียงฮาครืนดังมาจากลูกค้ารอบๆ กูแทบกุมขมับ มึงไม่ชอบดัดแล้วให้กูทำแทนเนี่ยนะ เวร

“เปลี่ยนๆ เปลี่ยนเพลง เอาเป็นเพลง...”

“ขอบคุณที่รักกัน”

“...”

“กูร้องได้”

“...”

“เพื่อมึง...”

“...”

“จากใจกูเลย”


ไอ้ต๊อบโคตรรู้งาน พอจบคำพูดจากร่างโปร่ง ปลายนิ้วก็จัดการกรีดลงบนเส้นสายกีตาร์เริ่มจังหวะดนตรีขับกล่อมได้อย่างแม่นเหมาะ เสียงทำนองคุ้นหูของเพลงฮิตตลอดการ แทนความหมายดีดีลื่นไหลเข้าโสต พร้อมกับการขยับกายไปจับไมค์โดยที่ใบหน้าหวานๆนั้นยังคงจ้องผมไม่วางตา


“ฉันเคยเกือบพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต
หากในวันที่ฉันล้มอยู่ ไม่มีหนึ่งใจของเธอ”



ถึงเป็นมือสมัครเล่น แต่เสียงของเรวะใสและกำลังก้องกังวานอยู่ในสมองผม มือขยับขึ้นไปจับไมค์ที่เสียบค้างอยู่ แล้วเริ่มตอบรับท่อนถัดไปให้มันอย่างตรงจังหวะ โดยที่อีกฝ่ายหยุดพักให้ผมได้ร้องสลับอย่างรู้งาน


...เอาจริงๆนะ ผมว่าเราสองคนแม่งโคตรเข้ากัน...


“ฝันคงจบ หลายสิ่งที่ดีคงหมดทางได้เจอ
หนึ่งกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ลืมได้เลย”



และท่วงทำนองเสียงประสานของพวกเราก็เริ่มขึ้น


“ขอบคุณที่รักกัน
ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน
ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่
จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร
ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด”



แปลกนะ ชีวิตผมรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มจากคนๆนึง ทั้งๆที่เรวะมันไม่ได้ทำอะไรมากมายให้ แต่ผมกลับสบายใจที่ได้อยู่ข้างมัน ได้คอยช่วยเหลือมัน ผมชอบรอยยิ้มยามสุขกับเสียงหัวเราะขบขันสุดตัวของอีกฝ่าย มันช่วยเติมเต็มผม มันช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจผม


พวกเราเป็นยิ่งกว่าคำว่ารัก...แต่มันคือความผูกพัน


จบเพลงนั้นทุกคนในร้านพาตบมือกันใหญ่ คำวิพากวิจารณ์ไปในเชิงบวกต่อเสียงใสกังวานที่ไม่อาจได้ยินยลมาก่อนในชีวิตของบุคคลลึกลับที่สุดในมหา’ลัย ดังเข้าหูไม่หยุดหย่อน ไอ้คีย์ถึงกับเอ่ยปากชวนเรวะให้มาเป็นแขกรับเชิญพิเศษขึ้นเวทีในบางวัน ส่วนไอ้หงส์ยังคงงอนตามประสามันที่ไม่มีใครร้องเพลงตามที่เสนอ หลังจากนั้นพวกเราก็ยังเล่นกิจกรรมกับลูกค้าในร้านต่อจนจบงาน

แม้แต่ตอนท้ายสุดพี่ตี๋เจ้าของร้านยังอดที่จะทาบทามไอ้เรวะให้มาร่วมงานไม่ได้

“พี่เห็นบรรยากาศนัวๆฟุ้งออกมาจากไอ้เม่น ลูกค้าในร้านแม่งก็อินฟินกันไป จนถามมาว่าจะมีกิจกรรมแบบนี้อีกเมื่อไร จะได้เจาะจงมาอีก”

“โหย อย่างนี้ไม่ได้นะพี่ตี๋จะมาขอซื้อตัวแฟนไอ้เม่นฟรีๆอย่างนี้ได้ไง แล้ววันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ผมที่เป็นคนคิดโปรเจคนี้ขึ้นมาด้วยนะ” ไอ้หงส์รีบเสนอหน้ามาขัด แถมยังดึงตัวเรวะไปคล้องแขน เออเฮ้ย...สองคนนี้มันสนิทกันถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ ผมไม่ยักรู้

“หนุ่มนาข้าวสาวนาทดลองของมึงเนี่ยนะ ถ้าเมื่อกี้ขืนร้องก็ว่าคงโดนไล่ออกจากเวทีก่อนแน่”

“เพลงนั้นออกจะเพราะ จริงมั้ยไอ้ต๊อบ ผมยังฝึกร้องเล่นๆกับมันต้องหลายรอบ”

“มึงบังคับกูเหอะ”

“อ้าวไหงพูดเงี้ย”

แทนที่จะเรียกคู่หู กูเรียกพวกมึงคู่หนวกหูดีกว่าว่ะ ดูเหมาะกว่า ผมส่ายหัวระอา เหลือบไปมองหน้าร่างโปร่งก็ให้ได้ชะงัก เพราะเรวะ...มันกำลังแอบอมยิ้มมองคู่ไอ้หงส์ตีกันอยู่

จนสักพักเหมือนมันจับได้ว่ามีคนจ้องหน้า เลยหันมาสบตาผมพร้อมกับทำหน้านิ่งอย่างเก่า...เชี่ยแม่งมีเขินที่ตัวเองหลุดยิ้มออกมาสินะ น่ารักว่ะ...

“อะอะ พวกมึงกูจ่ายค่าจ้างให้แล้ว ก็รีบกลับดิวะ อย่ามาเอะอะโวยวายแถวนี้ เกะกะคนทำงาน” พอโดนพี่ตี๋ไล่ไอ้หงส์ก็ทำท่ากระเง้ากระงอดเป็นการใหญ่ ส่วนผมที่นึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระต้องจัดการเลยเดินเข้าไปใกล้เจ้าของร้าน

“พี่ตี๋เรื่องนั้น...”

“อ้อ ว่าจะพูดอยู่พอดี อ่ะนี่” ของชิ้นเล็กในมือพี่มันถูกส่งยื่นมาให้ “กูก๊อปใส่ลงไปในนี้แล้ว ที่เหลือมึงก็เอาจัดการได้เลย”

“ขอบคุณครับ”

มีเรื่องบางอย่างที่ผมต้องไปจัดการ หากไอ้เดือนมหา’ลัยไม่เดินเข้ามาแล้วดึงสมาธิผมไปจากธุระตรงหน้าเสียหมด

“เฮีย...กลับกัน” ร่างสูงๆของไอ้บูมเดินเข้ามา ทั้งที่ยังมีสายตาของลูกค้าสาวๆที่นั่งในร้านมองมาอย่างละห้อยหา ไม่แปลกที่ความสูงซึ่งใกล้เคียงกับผมกอปรกับหน้าตาที่โดดเด่นขนาดนั้นจะทำให้คนสนใจ รวมถึงไอ้เรวะที่หันไปมองตามเสียงเรียกด้วย

“เออว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว เพื่อนแฟนพี่เม่นวันก่อนที่พามากับคนนี้หน้าโคตรคล้ายกันจนผมอดสงสัยไม่ได้” คนเดียวคนเดิม ไอ้น้องเจ็ทแลคที่ชอบโผล่มาแบบทะลุกลางปล้องได้เสมอโดยไม่ปรึกษาลูกพี่มันถามขึ้นแบบไม่ดูบรรยากาศ ไอ้บูมถึงกับหันมามองพลางขมวดคิ้ว

“เพื่อนคนไหน แล้วใครว่าเฮียเป็นแฟนมันวะ เฮียไม่ได้เป็นแฟนกับมันซะหน่อย” ไอ้บูมแย้ง อารมณ์มาเต็ม เล่นเอาคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นอึ้งกันทั้งบาง ผมอ้าปากจะเถียงแต่สะดุดใจจนต้องหันไปดูสีหน้าไอ้เรวะ...

...ลืมไปเลย ประเด็นเรื่องที่แม่ผมทิ้งไว้...

คำพูดจะขัดโดนกลืนกลับเข้าลำคอ ไปต่อไม่ถูก ความสัมพันธ์ที่เหมือนพวกเราพยายามจะสร้างมาด้วยกันแต่วันนี้ทำไมมันเหมือนผมคิดไปเองฝ่ายเดียว โชคดีที่เสียงตะโกนเรียกจากไอ้คีย์ดังมาแต่ไกล มันโบกมือไหวๆให้ไปหา ผมเลยคว้าโอกาสนั้นหลีกทางมาเพื่อทำให้หัวเย็นลง...โดยไม่ทันแม้กระทั่งได้บอกลาอีกฝ่ายที่เดินหายออกไปจากร้านพร้อมน้องชายสุดที่รักของมัน

“เรื่องอะไรวะ”

“มีคนอยากเจอมึง”

“ใคร” ไอ้คีย์ชี้ไปที่กลุ่มผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่ตรงโซนโต๊ะด้านหลังห่างจากเวทีออกมา สายตากลมโตของผู้หญิงคนนึงกำลังจ้องมาแบบตาไม่กระพริบ “เชี่ยคีย์ กูเคยบอกแล้วไงว่าไม่...” พวกเราในกลุ่มต่างรู้กันว่าจะไม่มีการเทคแฟนๆหรือลูกค้าเป็นการส่วนตัว แล้วยิ่งพักหลังที่พวกมันคิดว่าผมคบกับเรวะยิ่งสมัครใจที่จะกีดกันผู้หญิงไม่ว่าหน้าไหนที่เดินเข้ามา แต่ทำไมวันนี้ไอ้คีย์กลับ..

“เปล่า เขาไม่ได้มาหามึงเรื่องนั้น แต่ไอ้นี่ต่างหาก”

กระดาษปึกหนาซึ่งถูกเย็บเข้าเล่ม สภาพแอบยับเยินหน่อยๆเพราะทั้งหน้าปกเต็มไปด้วยรอยคราบน้ำสกปรกสีน้ำตาลแห้งกรัง แถมยังมีบางส่วนฉีกขาดถูกส่งยื่นมาให้

“อะไร” หน้าปกเขียนว่าการอ่านภาษาญี่ปุ่นขั้นสูง ไอ้คีย์มันเอาชีทนี้มาให้ผมทำไม “จะให้กูเรียนเพื่อไปจีบไอ้เรวะ?”

“บ้าเหรอมึง มึงดูชื่อด้านในปกซะก่อน” ทำตามที่มันบอก เปิดไปยังหน้าแรกของชีท ลายมือที่เขียนหวัดๆแต่มองเพียงแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใคร เพราะลายมือมันฝังอยู่ในหัวผม แล้วสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นถึงความเป็นเจ้าของก็คือชื่อที่เขียนมุมบนขวาของกระดาษแผ่นแรกว่า ‘มนายุ’

“ชีทของเรวะ”

“เออ”

“มึงเอามาได้ยังไง”

“กูไม่ได้เป็นคนเอามา คนเอามาอยู่นู่น” เพื่อนมันใช้คางชี้ไปทางโต๊ะตัวเดิม ซึ่งหญิงสาวคนเดิมยังจ้องผมอยู่ ชั่วแวบหนึ่งหน้าเธอดูนึกคุ้นอย่างประหลาด หากแต่ผมกลับขุดออกจากสมองไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ในที่สุดจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้

“กรี๊ด พี่เม่น” เดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนสองคนข้างๆที่ส่งเสียงดังขึ้นมา ส่วนคนที่จ้องผมอยู่นานกลับไม่แสดงท่าทีอะไรมากมาย ยกเว้นการผุดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้มองมาด้วยแววตาอึ้งๆ

“น้องใช่คนที่เอาชีทนี้...”

“คะ...ค่ะ!” เธอตะโกนตอบรับแบบตื่นๆจนผมแอบกลัวคนในร้านจะเพ่งเล็ง หากความมันสุดเหวี่ยงของพี่เต้ยนักร้องบนเวทีไม่ดึงความสนใจไว้ให้ผมคงไม่รอด

“น้องไปเอามา...”

“พี่จำหนูไม่ได้เหรอคะ”

หา?

“คนที่โดนวิ่งราวกระเป๋าในตลาดวันนั้นแล้วพี่ช่วยไว้ไง”

“เฮ้ยจริงด้วย อ๋อก็ว่าแล้วว่าทำไมคุ้นๆ” ที่แท้ก็น้องกระเป๋าชมพูในวันกล้วยแบนกับเสื้อนักศึกษาขาดของผมกับเรวะนั่นเอง

“วันนั้นขอบคุณนะคะ”

“เฮ้ย พี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย คนที่ช่วยน่ะเรวะมันต่างหาก” กลับกันทางนี้ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเสียอีก...ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอมัน “ว่าแต่วันนี้มาหาอะไรกินกับเพื่อนเหรอ” แค่เอ่ยถึงก็เรียกเสียงงุ้งงิ้งจากอีกสองคนที่นั่งอยู่ได้

“อ๋อ ใช่ค่ะ ความจริงก็แอบมีธุระกับพี่เม่นนิดหน่อย”

“ธุระกับพี่”

“เออ...” ดูท่าทีเธอแปลกไปเหมือนไม่สะดวกใจที่จะพูด “พี่เห็นชีทนั่น ของพี่เรแล้วใช่มั้ยคะ”

“อื้อ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมชีทมันไปอยู่กับเราได้” เฮ้ยๆๆอย่าบอกนะว่า ไอ้เรวะมีหญิงมาจีบ หรือความจริงมันมีเมียเก็บแล้วนางกำลังจะเอาชีทมาอวดผมก่อนบอกว่า ‘ช่วยส่งคืนเรวะให้หน่อย’ น่ะ

“มันถูกทิ้งอยู่ในถังขยะค่ะ”

“ถังขยะ?” คิดถึงตอนกระเป๋าตังค์ตัวเอง เออ ป่านนี้ผมยัง ผมงงกับสิ่งที่เธอพูด งงความสัมพันธ์ หมายความว่าไง ไอ้เรวะเอาชีทไปทิ้ง? “พี่เม่น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยใช่มั้ยคะ”

รู้? เรื่องอะไรผมยังจับใจความเรื่องทั้งหมดไม่ได้ด้วยซ้ำ

คงสังเกตเห็นว่าผมนิ่งไปความตื่นตกใจเลยเข้ามาแทนที่ เธอยกมือขึ้นป้องปาก “ยะ...อย่างนั้นป่านก็ไม่ควรจะเอามาเล่ารึเปล่านะ ในเมื่อพี่เรไม่เล่า ปะ...ป่านขอโทษค่ะ” เธอขอโทษพร้อมก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ก่อนทำท่าจะย้ายตัวกลับลงไปนั่งอย่างเก่า แต่ทว่าผมกลับรีบคว้าไหล่ของเธอไว้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เล่าให้พี่ฟังหน่อย ถือว่าพี่ขอร้อง”



มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
[พาร์ตของเรวะ]

“เลิกทำแบบนี้เหอะ”

“กูทำอะไร” ตีหน้าซื่อทำเนียนเป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษของอดีตเด็กข้างบ้านรุ่นน้องผม ในเมื่อไม่ฟังกูก็จะไม่พูดอะไรอีกต่อไป พอถึงทางแยกผมเดินเบี่ยงตัวมาอีกทางแบบไม่สนใจ จนไอ้บูมต้องตะโกนเรียก “อ้าว แล้วนั่นจะไปไหนอ่ะ”

“เดินเล่น”

“เดินเล่นเนี่ยนะ นี่มันกี่โมงแล้ว ประสาทเปล่าวะเฮีย”

“ประสาทน้อยกว่าอยู่กับมึงละกัน” ก้าวไปข้างหน้าได้สามก้าว ไอ้เด็กน้อยในอดีตที่ตอนนี้มันถีบตัวจนสูงกว่าผม ก็กระโดดผลุงมาขวาง

“กูน่ารำคาญมากหรือไงวะ” ไอ้บูมดูอารมณ์เสีย ทั้งที่เมื่อก่อนมันออกจะดีใจถ้าผมได้จิกกัดอะไรมันสักอย่าง

“มึงต่างหาก ไม่สบายเปล่าวะ อยู่ดีดีก็ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้”

“กูทำอะไร”

“ตามกูต้อยๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านนี้มึงต้องรีบแจ้นไปทำงานพิเศษแล้ว อยู่ๆก็เลิกซะงั้น เป็นบ้าอะไร”

“เฮียบอมบอกว่าให้ลดบ้างก็ได้ มันหาตังค์ได้แล้ว” พักนี้ไอ้บอมมันทำตัวดี ดีจนไอ้บูมเลิกกลัว สองพี่น้องเลยได้ใช้ชีวิตด้วยกันอีกครั้งนับจากวันที่ยายบัวจากพวกเราไป แต่ตามนิสัยไอ้บูมมันไม่น่าเป็นคนหักดิบที่เปลี่ยนมาพึ่งพาพี่ชายมันเต็มตัวได้ขนาดนี้

“มึงไม่ได้ลด มึงเลิก เทมันทุกงานเลย”

“กูรู้ตัวแล้วไงว่ากูมัวแต่นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว”

“พูดผิดเปล่าวะ ออกจากงานคือการนั่งอยู่เฉยๆต่างหาก”

“กูหมายถึงเรื่องมึง”

“...”

เวลาไหนที่ไอ้บูมขึ้นกูมึงแบบไม่เรียกแทนผมว่าเฮียคือมันกำลังจริงจังกับเรื่องที่พูด ตอนนี้สายตามันจ้องตรงมาราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงความคิดผม

“เมื่อก่อนที่ดูเหมือนกูไม่แสดงออก เพราะกูกลัวมึงจะหนีหน้า กูไม่อยากทำลายความสัมพันธ์พี่น้องที่สร้างกันมา แต่กู...ไม่อยากเสียมึงให้ใครจริงๆ”

“...”

“มึงเป็นคนเดียวที่คอยอยู่ข้างกูมาตั้งแต่เด็ก คอยปกป้องกู แม้กระทั่งตอนที่ยายจากกูไป... มึงมีค่ากับกูมากนะเรวะ”

“...”

“กูรู้ตัวว่าชอบมึง...ตั้งแต่ตอนมัธยม กูรู้ว่ามันแปลก เลยพยายามคิดว่ามึงเป็นแค่พี่ชายที่พยายามปกป้องน้อง แต่ใจกูกลับอยากดูแลมึงเรื่อยๆนับจากวันนั้น...” ไอ้บูมคว้าข้อมือผมฉุดเข้าหากะทันหันจนลืมฝืนตัวไว้ทัน ร่างทั้งร่างกระทบแผ่นอกตกอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เป็นอดีตน้องชายจอมขี้อ้อนและน่าเอ็นดูในสายตาผม แขนแข็งๆอ้อมมารัดตัวไว้ขณะที่คิดจะผละจาก

“ไอ้บูมทำเหี้ยไรเนี่ย ปล่อยดิวะ” แว่วเสียงมอเตอร์ไซค์ดังผ่านหลังไป นี่มันหมิ่นเหม่ลงจากทางเท้าจะไปข้างถนนแล้ว อันตรายนะเว้ย ผมนึกปรามในใจ แต่ไอ้บูมกลับตะโกนแทรกขึ้นมา

“ขอกูแค่นี้ได้มั้ย!”

“...”

“แล้วกูจะไม่ขออะไรอีก”

“...”

“กูรักมึงนะ”

“...” คำสารภาพของมัน น้ำเสียงสั่นไหวราวกับเจ็บปวด...ไอ้บูม...มันจริงจัง...

ผมยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ทำอะไรไม่ถูก ถ้าผลักออกมันจะทำน้ำเสียงทรมานมากกว่านี้มั้ย ไม่รู้เลย ผ่านไปเกือบนาที เสียงถอนหายใจเหมือนจะเอาวิญญาณออกจากร่างตามมาด้วยดังเข้ากลบบรรยากาศเงียบๆยามค่ำคืนจนหมด

“เฮ้อออออ ในที่สุดก็ได้บอกออกไปซะที อึดอัดชะมัดเลย” มันจับต้นแขนดึงผมออกจากอกโค้งตัวลงมามอง “เฮียแม่งตัวเล็กกว่ากูตั้งแต่เมื่อไรวะ หัดแดกเนื้อ กับนมเข้าไปเยอะบ้าง แต่ไข่กูห้าม กูไม่ยอมให้มึงไปแดกไข่ใครเด็ดขาด”

“หา?” แทบจะขมวดคิ้วตีลังกาสองตลบ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ รอยยิ้มหล่อๆที่ไม่คิดว่าไอ้เด็กกะโปโลเมื่อสมัยก่อนจะสร้างขึ้นมาได้ถูกเผยออกมา

“หึ ทำหน้าอะไรวะ คอสเพลย์เป็นควายทำไม”

“สัดบูม”

“หึหึ”

“ไอ้เหี้ย” ปล่อยให้กูคิดมาก ผมผลักอกมันอย่างแรง ถ้าเป็นตอนเด็กบอกเลยป่านนี้มันปลิวแล้ว แต่ตอนนี้มันแค่ตัวไหวน้อยๆแค่นั้น

บริเวณแวดล้อมปราศจากรถที่วิ่งผ่านไปมาบนถนน มีเพียงพวกเราสองคนที่ยืนอยู่ กับมอเตอร์ไซค์อีกคันที่จอดค้างไว้...และเงาตะคุ่มตะคุ่มของใครบางคน...

แสงสลัวจนไม่อาจยืนยันตัวตนบุคคลน่าสงสัยที่ปนเงาไม้ในยามค่ำคืนได้ แต่สุดท้ายร่างๆนั้นเดินเข้ามาให้ผมได้เห็นหน้าชัดๆ

“ใครใช้ให้มึงมากอดดาร์ลิ้งกูสุ่มสี่สุ่มห้าวะ”

เชี่ยเม่น!!



[พาร์ตของเม่น]

คิดไว้ไม่มีผิด ห่างจากสายตาไม่ได้เลย ไอ้เด็กมือไว อยากบอกว่าผมเห็นตั้งแต่ช็อตต้นๆ เบรกไอ้เบิ้มแทบไม่ทัน กว่ากลับลำเดินมาแยกมันสองคนได้ ไอ้บูมแม่งก็เอากำไรไปเหนาะๆแล้ว

รู้ว่ายังห่างเลยตะโกนห้ามไว้ก่อน แต่ไอ้สัดบูมไม่ปล่อยไม่พอ ยังเสือกก้มหน้ายื่นปากเข้าไปสัมผัสแก้มนิ่มๆของเรวะจนผมตะลึง

“ไหนๆกูก็แพ้แล้ว กูขอกำไรบ้างดิวะ”

“เชี่ยบูม อยากเอากำไลมึงก็ไปเอากับร้านเครื่องประดับดิวะ อย่ามาเอากับคนของกู!”

ไอ้เรวะถึงกับทำหน้าอึ้งมองตรงมา สักพักก็หลุดขำ ขำแบบไม่กะให้ใครแทรก ขำเป็นบ้าเป็นหลัง ขำยันไปถึงชาติหน้า เชี่ย มึงเป็นบ้าอะไร ขำอะไร

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เม่น มึง มึง...มึงฮาวะ”

สัดกูรู้แล้ว มันขำมุกกู

“โอ้ยไม่ไหวแล้วปวดท้อง ฮะ ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

อ่อนใจ...

แต่ แต่กูจะไม่ใจอ่อนให้กับการกระทำของไอ้บูม ผมเดินย่างสามขุมไปลากคนเมายาบ้าออกมาจากอ้อมแขนของไอ้เวรนั่น

“ฝากไว้ก่อนโว้ย” ต้องเคลียร์เรื่องผัวเมียก่อนแล้วค่อยจัดการกับคนนอก มันคือนโยบายพ่อบ้านของผม...





บังคับขืนใจลากไอ้เรวะซ้อนขี่ไอ้เบิ้มขับเพลินๆจนมาถึงหอ อยากให้มันง้อบ้างเลยทำท่าเย็นชาเดินขึ้นตึกมาแบบไม่สนใจ แต่ทว่าพอถึงหน้าห้องเหลือบมองไปด้านหลังแบบสงวนท่าทีก็มีอันต้องชะงัก

ชะ..เชี่ย...หาย!! ไอ้เรวะหาย มันไม่ได้เดินตามผมมาด้วย โอ้ยอะไรวะ...งานนี้มีงอนขึ้นอีกสามล้านเท่า...ผมกระสับกระส่ายเร่งรุดฝีเท้าไปกดปุ่มเรียกลิฟต์ ช้า ทำไมช้าอย่างนี้ ลิฟต์หรือเต่าวะ ป่านนี้มันไปไหนแล้วเนี่ย

“ทำอะไรน่ะ”

“ชะเชี่ย!แม่ร่วง!หัวใจกู!” สะดุ้งโหยง หมุนตัวไปมองด้านหลัง ไอ้คนที่ทำให้ร้อนรนยืนทำหน้าตาทะเล้นยิ้มแผล่อยู่แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว พลางยักคิ้วหลิ่วตาเหมือนสนุกกับการแหย่ผม

“ยะ...อยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็ตั้งแต่มึงทำตัวลนๆตอนมองไม่เห็นกู”

“แกล้งกูเหรอวะ”

“อื้อ แกล้ง” แทบทรุดลงไปนั่งกอดเข่ากับพื้น ยอมรับง่ายๆแบบนี้เลยเนี่ยนะ

“แกล้งกูสนุกนักหรือไง” ผมเหลือบมองคนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่

“สนุกดิ เพราะเป็นมึงกูเลยสนุก”

“มึงเห็นกูเป็นตัวตลกเหรอ”

“เปล่า กูแค่เห็นมึงเป็นมึง มึงทำให้กูหัวเราะ มึงทำให้กูมีความสุข” เรวะย่อตัวลงมาโอบแขนรอบผมที่นั่งคู้ตัวอยู่ รู้สึกได้ถึงการสูดลมเบาๆที่เขาเรียกว่า ‘หอม’ บริเวณขมับ ถ้าเป็นแค่มโน...มันก็เป็นการมโนที่ร้ายแรงมาก...

...เพราะใจผมสั่น...

“...”

จังหวะที่เงยขึ้นไป...หน้าเราอยู่ใกล้กันมาก...

ริ้วแดงๆของผิวแก้มนวล มันทำให้รู้ว่าเรวะมันเขินตอนสบตาผมโดยบังเอิญ

“เรวะ”

“ไร”

“อย่าทำให้กูหวั่นไหว”

“นั่นคำพูดกูเปล่าวะ”

“หึ” เสียงหัวเราะของพวกเราดังเบาๆอย่างเกรงใจคนบนชั้นนั้น จนกระทั่งลิฟต์เปิดขึ้นมาอีกรอบ จากที่เขินกันเองกูต้องมาเขินให้กับเพื่อนบ้าน เพราะคนที่ขึ้นจากลิฟต์มาฝูงนึงกำลังมองอึ้งๆตรงมาทางนี้

“ขะ...ขอโทษที่ขวางทางคร้าบ”

อาการตีแขนถี่ๆของผู้หญิงด้านหลัง ทำให้รู้...ว่ากูโดนแล้ว คนพวกนั้นเดินกรูออกจากลิฟต์ ขนาดเลยไปแล้วยังมีหันมามองเกาะแขนเพื่อนเขย่าเป็นระยะอีก...เออ เปิดตัวเลยมั้ย จะได้ไม่มีใครมายุ่งกับไอ้เรวะมันอีก





ผมยังไม่ลืมหรอกนะ สาเหตุที่ผมตามหาเรวะ คำบอกเล่าจากปากน้องป่านเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผม ทุกฉากในคลิปวิดีโอที่เธอให้ดู มันเหมือนเข็มเป็นพันๆเล่มวิ่งพุ่งตรงมาแทงเข้าที่อกจนเจ็บไปหมด เรวะ...มึงทนมาได้ไงวะ

พยายามหาโอกาสเหมาะเพื่อพูดคุยอย่างจริงจัง แต่พอผมทำธุระปะปัง อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ไอ้เรวะก็นอนหลับปุ๋ยกอดหมอนข้างเข้าห้วงนิทราไปนานแล้ว

“ไม่รอกูเลย” คงจะเหนื่อย ช่วงนี้ยังดีกว่าก่อนหน้าเพราะมันเพลางานแปลลงแล้วหันมาสนกับครอบครัวมากขึ้น มีแต่วันศุกร์ที่เจ้าตัวต้องมารอดูผมขึ้นเวทีจนถึงดึกดื่น ร่างจะล้าบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ผมดึงหมอนข้างในอ้อมกอดอีกฝ่ายออกอย่างแผ่วเบา แล้วแทรกตัวเข้าไปแทนที่ เรวะปรือตาขึ้นมาอย่างสติไม่เต็มร้อย ก่อนทำตาโตใส่ผม

“ทะ...ทำอะไรวะ”

“มึงกอดกูแทนก็ได้ กูรู้สึกมานานแล้ว ที่เตียงกูแคบเพราะหมอนข้างเน่ามึงมาขวางเนี่ยแหละ” ความจริงก็หมอนข้างผมแหละ แต่ทุกครั้งที่มาค้างมันจะเอามากอดขวางไว้ตรงกลางเสมอ

“แต่ตัวมึงไม่นิ่ม”

“เออ ไม่นิ่ม แถมยังมีแต่ส่วนที่แข็งด้วย” จบประโยค ผมงงเต็กกับไอ้อาการเบิกตาโตต่อเนื่องแถมยังอ้าปากค้างของเรวะ “มึงเป็นอะไรวะ...” สายตามันสลับไปมาอยู่แค่สองจุดบนล่าง คือใบหน้าผมกับ... “เชี่ย กูไม่ได้หมายถึงตรงนั้น”

“แล้วมึงหมายถึงตรงไหน”

“กล้ามกู...มึงก็เคยเห็นหนิ กล้ามกูอ่ะ” สัด...ทะลึ่ง

“กูยังไม่เค...”

เพียะ!

มือซนโคตร นิ้วตะเกียกตะกายมาถึงชายเสื้อกูได้ไงวะ

“เล่นเชี่ยอะไรเนี่ย” จากนอนๆกูอยู่นี่ลุกขึ้นนั่งเลยครัช

“ก็มึงไม่ยอมให้กูดู”

“ก็มึงเคยดูแล้ว”

“ดูแล้ว แล้วดูอีกครั้งไม่ได้หรือไง ดูดิ๊ กูตื่นเลยเนี่ย”

“ตะ...ตื่น อะไรตื่น!” เผลอหลุดเสียงดังใส่คนตรงหน้า ร่างโปร่งถึงกับลุกขึ้นนั่งค้าง แต่ไม่นานก็หลุดยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“เชี่ยเม่น คิดทะลึ่ง”

“กูเปล่า”

“แล้วลุกขึ้นมาทำไม”

“ของกูเปล่าลุก!” คำอะไรสองแง่สองง่ามกูจับโยงหมดแล้วตอนนี้

“ให้กูช่วยมั้ย” มันจะเอามือมาจับของของผมให้ได้ ผมนี่แทบพลิกตัวหลบเป็นระวิง

ไอ้เวรเรวะใจมึงทำด้วยอะรั๊ย! อย่ามายุ่งกับลูกชายกูที่นอนสงบอยู่ดิวะ

จนในที่สุดพอคว้าข้อมือบางสองข้างไว้ได้ผมก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักมันล้ม พร้อมตามลงไปคร่อม

“มึงช่วยตัวมึงเองก่อนเถอะ”

“ไอ้เม่น ไอ้โรคจิต จะให้กูชักให้ดูเนี่ยนะ”

“กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น กูหมายถึงชีทการอ่านภาษาญี่ปุ่นขั้นสูงต่างหาก”

“...!”

เดดแอร์ไปเลยสัด...เหมือนตัดเข้าโฆษณา ไอ้เรวะมันถลนตามองผม แต่ยังคงทิ้งแววสั่นไหวที่ยังไงก็ปิดไม่มิด

“มึงพูด...เรื่องอะไร” ผมผละออกจากตัวเดินไปยังเสาแขวนกระเป๋าเป้ ชีทจากน้องป่านถูกหยิบออกแล้วส่งยื่นให้คนตรงหน้า

“เรื่องอะไรมึงน่าจะรู้ดี”

“มึง...ไปเจอที่ไหน”

“มึงไม่รู้เหรอ”

เรวะมันส่ายหัวเบาๆอย่างเลื่อนลอย

“ไม่รู้ หรือไม่อยากบอกกูกันแน่”

...TBC...

+++++++++++++++++++


ขอบคุณที่รักกัน ขอบคุณทุกครั้งที่อ่านผลงานของเรา....

จะโดนลิขสิทธิ์เพลงมั้ยนะ T^T

เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ saiichinisan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แต่งสนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  o13

ออฟไลน์ kamereborn

  • kamereborn
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ภาษาลื่นไหลมากๆ อ่านได้เรื่อยๆ ให้กำลังใจนะ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้วววววว เรวะ นั่งอ่านรอเล่มเลย

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 24 :: สตาร์ทวิทมีฟรีความรัก


คิดว่าหายไปซะแล้ว...

 
วืบแรกที่เห็นชีทการอ่านภาษาญี่ปุ่นขั้นสูงยื่นส่งมาจากคนตรงหน้าผมคิดได้เพียงเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังส่งสายตาตัดพ้อมาอย่างเต็มที่ พอเงยขึ้นไปอีกทีถึงกับ

ชะอุ๊ย...

“มะ...เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ กูไม่ทันฟัง” ไม่ว่าสิ่งใดก็เกินคาดสำหรับคนชื่อเม่นเสมอ ขนาดวันนี้ที่มันตะโกนเรียกดาร์ลิ้งขึ้นกลางเวทีก็ว่าทีนึงแล้ว มาคราวนี้คิดว่าคงมีเหวี่ยงฟาดงวงฟาดงาแต่มันกลับเอื้อมมือมาตะปบคว้าเข้าที่ท้ายทอยแล้วกระชากผมเข้าหาเต็มแรง

“...!”

“หูหนวกเหรอ”

ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะเข้าใบหู

“กูถามว่า”

ริมฝีปากเลื่อนเข้ามาแนบติด เสียงทุ้มลึกแล่นเข้าสู่ประสาทโดยตรง

“สัดเรวะมึงไม่รู้หรือไม่อยากบอกกูกันแน่”

เชี่ยแก้วหูแทบร้าว ทำไมสลับมาตะโกนใส่หูกูได้วะ รีบหมุนหัวไปเผชิญหน้าเอาหูตนเองให้ห่างปากอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไอ้เม่นก็เล่นไม่เลิก มันคล้องคอล็อคผมไว้แถมยังเอนโยกโค้งไปมาเป็นเลขแปดตามการหลบตัวของผมอีก

“โว้ย ไอ้เม่น ปล่อยดิวะ อย่าเล่นแบบนี้ หูกู หูกู”

“ม่ายยยยยปล่อยเว้ยยยยยยยย”

มีทำเสียงแบบอังพัดลมใส่อีก หูชาแล้วโว้ย ไม่เคยมีใครสอนเหรอวะว่าห้ามเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้ ร่างสูงทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่จนต้านไม่ไหว เลยหงายหลังลงไปแผ่สองสลึงกับเตียง ตามมาด้วยแรงหนักๆที่ทับลงมาจนเกือบจุก

“ไอ้เม่น มึงเล่น...” สะดุดคำพูดตัวเองเมื่อลืมตาไปสบกับอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีท่าทีกวนส้นตีนอีกต่อไป หากสายตากลับฉายแววจริงจังชัดเจนจนน่าขนลุก แขนมันที่โอบผมไว้ทั้งตัวออกแรงรัดเบาๆ ร่างสูงกำลังจ้องมองลงมานิ่ง

“บอกกูบ้างได้มั้ย”

“หา?”

“อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมึง”

“มึงหมายถึง...”

“กูอยากสำคัญสำหรับมึง”

“...!”

ยะ...แย่แล้ว หัวใจผม...มันกำลังพองตัวขึ้นเรื่อยๆ...ใครก็ได้...ช่วยหยุดมันที

“มะ..มึง...สำคัญ...สำหรับกูอยู่แล้ว” ตอบอ้อมแอ้มก้มหน้า เสียงแทบจะหายไปกับลำคอ ทำไมผมต้องมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่ชิน ไม่ชินโว้ย

“สำคัญยังไงก็ยังไม่ใช่‘แฟน’”

หา?

ชักหน้าขึ้นไปมองแทบไม่ทัน สายตาคมกำลังจ้องมาทางผม มันพาลพาให้คิดถึงใบหน้าที่คุ้นเคยยามเอ่ยคำรักหวานซึ้งซึ่งปนมาตามอารมณ์เพลงและท่วงทำนองตอนอยู่ร้านข้ามคืน

“มึงหมายถึง...”

“กูอยากเป็นแฟนมึง”

ตี๊ด

ตี๊ดดด

ตี๊ดดดดด

ตี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไอ้เหี้ยขอเครื่องปั๊มหัวใจด่วน ผมกำลังจะตาย หายใจไม่ออก ไอ้เม่นมึงไม่สบายใช่มั้ย ผมรีบยกมือไปแปะหน้าผากมัน

“ทำอะไรวะ”

“วันนี้มึงกินเปียกปูนใบเตยที่แฟนคลับมึงเอามาให้รึเปล่า”

“ท้องเสียครั้งเดียวกูก็เข็ดแล้ว”

“หรือว่าพี่ตี๋เลี้ยงเหล้ามึง”

“บอกแล้วไงว่าพี่ตี๋เลี้ยงแต่นม”

“งั้นมึงคง...”

“เรวะ กูสบายดี”

“นมัสเต”

“ไม่ใช่สวัสดีภาษาลาวเว่ย!” รู้มุกผมอีก “นี่มึงกำลังกลัวอะไรวะ”

“เปล่ากูไม่ได้...”

“หรือมึงไม่อยากคบกับกู”

“หา?”

“นั่นสินะ ไม่งั้นมึงคงไม่ไปบอกแม่กูหรอกว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน”

“เดี๋ยวดิไอ้เม่น นั่นมัน...”

“ช่างเถอะ” มันดันตัวถอยห่างจากผมทันที แถมมีพลิกตัวหนีเปล่งออร่าโคตรของโคตรงอนออกมา

“ไอ้เม่นหันมาคุยกันก่อน”

“มึงอย่าพึ่งมองหน้ากูเลย กูจะร้องไห้ว่ะ”

“มึงจะร้องไห้ทำไมวะ”

“คนพึ่งอกหักนะเว้ย หรือมึงจะให้กูหัวเราะ พระเอกนะครับไม่ใช่คนบ้า” โหย หลงตัวเองสัดสัด มึงไปเล่นละครเรื่องอะไรวะถึงได้เป็นพระเอก

“มึงเคยดูละครแล้วรำคาญพระเอกโง่ๆมั้ย”

“กูเป็นพระรองก็ได้ ยังไงก็ไม่มีทางสมหวังอยู่แล้ว” ยังอีก

“หันมาคุยกันให้เคลียร์ก่อนดิวะ มึงกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ”

“เข้าใจผิดอะไรวะ บอกกูมาดิ”

“มึงหันมาก่อนดิ”

“มึงพูดกับแผ่นหลังกูก็ได้” พูดกับแผ่นหลัง...ให้กูคุยกับกำแพงเลยมั้ยนั่น ช่างเถอะ เอาก็เอาวะ สุดท้ายก็ตัดสินใจโผเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายจากแผ่นหลังตามที่มันบอก ไอ้เม่นกระตุกตัวอย่างตกใจ แต่ไม่ได้ขยับหนี ผมเลยซบหน้าลงไปที่แผ่นหลังกว้างของมัน

“ไอ้เม่น”

“...”

“มึงคงได้ยินจากแม่มึงมาใช่มั้ย ว่ากูพูดอะไรไป”

“กูอยากทำเป็นไม่ได้ยิน” เสียงอู้อี้ดังผ่านแผ่นหลังที่ผมแนบหูอยู่

“มึงไม่ต้องได้ยินก็ได้ แต่คราวนี้มึงต้องฟังกู”

“ถ้ามึงจะพูดคำเดียวกับที่บอกแม่กู มึงหุบปากไปเลยสัด”

“งั้นกูเปลี่ยนคำพูดก็ได้”

“มึงจะยกมาทั้งพจนานุกรมกูก็ไม่ฟัง” โว้ย มีคว้าหมอนมาปิดหูอีก ถ้าไม่ได้ยินคำพูดคราวนี้ คนที่แย่จะเป็นผม ใครมันจะยอมล่ะ หมอนก็หมอนดิวะ กูมุดหัวเข้าไปหายใจรดต้นคอแม่ง ไอ้ตัวสูงยังมีกระเถิบตัวหนีไปข้างหน้าแต่มันสุดขอบเตียงแล้วไง มึงหมดทางหนีกูแล้วล่ะ

“กูไม่อยากให้มึงเข้าใจผิด”

“ตอนนี้กูเข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่ะ มึงเลิกพูดเถอะ”

“กูหมายถึงเรื่องของพวกเราตอนแรกที่เป็นแฟนกัน มันเกิดจากความเข้าใจผิด กูอยากให้เป็นโมฆะ”

“แล้วมึงก็เลยไปบอกกับแม่กูเนี่ยนะ ทีหลังไม่ต้อง มึงมาบอกกับกูนี่ กูรับได้”

“เออก็ได้วะ กูชอบมึง”

“...!”

ถ้าจะบอกว่าโลกเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ตอนนี้เห็นทีจะได้ ร่างในอ้อมแขนค้างนิ่งไม่ไหวติงก่อนทุกอย่างจะกลับตาลปัตรร้อยแปดสิบองศา ไอ้เม่นมันพลิกตัวมาอย่างไวว่อง

“เชี่ยเรวะ มึงว่าไง...เหี้ย!”

พรึ่บ!!

จุดจบสุดท้ายของไอ้สุดหล่อประจำสินกำ แค่มันหันพลิกตัวมาเท่านั้นแหละ สารร่างที่เต็มไปด้วยมวลกระดูกและกล้ามตามที่เจ้าตัวเคยอวดก็ร่วงตกข้างเตียงไปต่อหน้าต่อตาผม

ตุบ!!

“เชี่ยเม่น!”

สัด ตายมั้ยวะ เสียงดังแทบลั่นไปทั้งห้อง ไม่นานเสียงโอดครวญก็ตามมา เจ้าตัวนอนตะแคงพลางลูบสีข้างป้อยๆ

“เจ็บสัด” มันบ่นกระปอดกระแปด เหมือนยังไม่มีแรงลุกขึ้นนั่ง ผมพรวดพราดยื่นมือเข้าไปหวังจะฉุดมันขึ้นมา แต่ฉุกใจชักมือกลับ คนเจ็บเลยได้แต่สับมือค้างเก้ออยู่กลางอากาศพลางมองหน้าผมแบบโคตรสงสัย รู้เลยมันกำลังด่าผมในใจว่า ‘ทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย’

“เรวะมึง...”

“กูไม่ช่วยนะ”

“ฮะ?”

“ไม่ช่วยแน่ๆอ่ะ” ผมนั่งยองลงไปให้เสมอระดับสายตา กอดเข่ามองมันกระพริบตาปริบๆใส่อย่างงุนงง ไอ้หล่อมันถอนหายใจปิดเปลือกตาลงอย่างปลงตกพร้อมสบถออกมา

“เป็นเหี้ยอะไรของ...”

“เป็นไง หลุมรักที่กูขุดไว้”

“หา?”

“ตกลงไปเจ็บมั้ย”

งานนี้ไม่มันตาย ผมก็หน้าแตก รู้ดีเลยว่ายิงมุกน้ำที่ไม่เข้ากับสุขภาพเอาเสียเลย มีสิทธิ์ทำไอ้เม่นแปะปากมองบนด่าวนไปถึงชาติหน้า แต่มาถึงจุดนี้แล้วไงไม่มีปัญญาแม้แต่จะกลบเกลื่อนคำสารภาพที่โพล่งออกมา ก็ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ทำกันไปดิครับ

“ทำไปได้นะมึง”

“ทะ...โทษทีว่ะ”

“กูหมายถึงหลุมรักมึงน่ะ ขุดลึกไปมะ เจ็บสัดสัด”

ถ้าเป็นมึงกูก็อยากเจาะทะลุให้ถึงแกนโลกเลยว่ะ ง่อลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล




 
 
อยากกลับบ้าน เพิ่งรู้สึกอยากกลับบ้านขนาดหนักก็ตอนเวลาเลยผ่านตีหนึ่งมาแล้ว ไอ้เม่นมันลุกจากพื้นไปหาหยูกยาทาสีข้างซึ่งโดนหลุมซาดาโกะดูดวิญญาณของผมทำร้ายเสร็จ มันก็เดินจงกรมกลับมาที่เก่าโดยเพ่งสายตามองมาทางนี้ตลอดเวลา ทะลุแล้วคร้าบ เลิกมองกูทีเถอะ กูขอ

“หายเจ็บยังวะ”

“ตกเตียง ไม่ใช่มดกัด จะได้หายกันได้ง่ายๆนะมึง” มันดึงชายเสื้อยึดคอกลมขึ้นมองรอยแดงที่เริ่มออกอาการช้ำ จงใจโชว์ร่องซิกแพคให้กูเห็นชัดๆเลย ในเมื่อให้มาก็ต้องตอบสนองด้วยการหยอกเล่นเล็กๆตามนิสัย ผมคลานเอื้อมมือไปจับสีข้างเปื้อนรอยแดง จนร่างสูงกระตุกตัวหลบด้วยอาการตกใจ “ทำอะไรวะ”

“สัมผัสซิกแพคของพี่เม่นคนดัง” มันปัดมือผมทิ้งก่อนดึงชายเสื้อลงอย่างไว

“หยอกกูเล่นบ่อยๆ ระวังตัวมึงให้ดีเถอะ”

“อย่างกูมีอะไรให้ระวัง ถ้ามีอย่างพี่เม่นคนดังก็ว่าไป...”

“ระวังคนอย่างกูนี่ไง”

“หา?”

และแล้วมันก็พิสูจน์ให้เห็นจริง จากคลานสี่ขานิ่งๆอยู่บนเตียง กลับโดนจับหงายหลังไม่ต่างกับแมลงสาบโดนทำร้ายตะเกียกตะกายขยับตีนอยู่กลางอากาศ เสื้อนอนซึ่งหยิบยืมมันมานับเป็นครั้งที่ร้อยถูกเลิกขึ้นจนเห็นสะดือจุ่นๆของตนเองพร้อมรอยแผลเป็นรวบมาแบบเซตคอมโบ มือหนาแปะลงตรงแผ่นท้องตะโบมลูบตามร่องรอยดั้งเดิมอย่างหนักหน่วง

“เชี่ย...เดี๋ยว ไอ้เม่น”

“เจ็บมั้ยวะ”

“กูหายเจ็บตั้งนานแล้ว” ผ่านมาเกือบอาทิตย์ ถ้ายังไม่หายป่านนี้กูคงตายไปแล้วล่ะ

“ทำไมคนถึงเกลียดมึงได้หนักหนาวะ มึงก็ออกจะ...”

“ทำไมเหรอ...น่ารักอ่ะดิ” ผมยิ้มทะเล้น คนอย่างมันไม่มีทางชมผมหรอก เลยต้องชิงชมตัวเองก่อน

“กวนส้นตีน” นั่นไง

“แต่เขาว่ากันว่าคนน่ารักมักโดนทำร้ายนะมึง”

“ยอมโดนทำร้ายเพื่อจะได้น่ารักเหรอวะ แฟนกูท่าจะประสาทว่ะ”

หืม? กระพริบตาปริบๆ

“อะไร”

“เออะ...” กรอกตาซ้ายขวา วนตามเข็มนาฬิกาหนึ่งรอบอย่างหาจุดตกไม่ได้

“เมื่อกี้มึงว่าไงนะ”

“ยอมโดนทำร้าย...”

“ไม่ใช่ๆ หลังจากนั้นไปอีก”

“ท่าจะประสาท...”

“หลังไป เอาก่อนหน้านั้นดิวะ”

“เพื่อจะได้น่า...”

“โว้ย!นั่นก็หน้าไป”

“ว่าไงครับ คุณแฟน”

“....!!!!”

โอ้โหไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยไม่ชมกูยังไม่ว่า แต่ดันเสือกมาเรียกกูว่าแฟน!!!

กะทันหันเกินไปจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ รีบตะแคงหน้าหลบเอามือปิดกลัวมันจะรู้ แต่ที่ไหนได้มันกลับคว้าเข้ามาที่ข้อมือแล้วจับแหก...ย้ำ ว่าจับแหก แค่เห็นหน้าผมเท่านั้นแหละยิ้มหล่อๆของมันก็ปรากฏที่มุมปาก

“มึงแม่ง ดีแต่ปากตลอด ชอบหยอกกูสุดท้ายคนที่เขินหนักกว่าก็มึงเนี่ยแหละ”

“ปกติกูไม่เป็นแบบนี้”

“ครับ กูเชื่อ เชื่อมาก”

“กูจะเป็นเฉพาะตอนที่อยู่กับมึงเนี่ยแหละ”

“...!”

“กูไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตอนที่เจอกับมึงใหม่ๆ ไม่เห็นจะเป็นแบบ...เออจะว่ายังไงดีล่ะ” อธิบายไม่ค่อยถูก เลยต้องก้มหน้าคิดอยู่สักพัก “มึงเคยแยกแยะความรู้สึกรักและหวนแหนเพื่อนกับความรู้สึกที่มันพิเศษกว่านั้นออกจากกันไม่ได้มั้ย”

“เคยดิ”

“ฮะ? กับใคร? กับไอ้หงส์เพื่อนมึงเหรอ”

“สัดกับมึงเนี่ยแหละ”

“...!”

“พากูออกนอกเรื่องตลอด วันนั้นที่มึงมาบอกชอบกูไง มึงรู้มั้ยว่ากูถึงกับต้องแบกหน้าไปหาไอ้คีย์ ทำลายศักดิ์ศรีประสบการณ์รักยี่สิบเอ็ดปีมีแฟนคนเดียวของกูซะเละ แล้วสุดท้ายเป็นไง ทีหลังมึงไม่ต้องฝากมาบอกผ่านแม่กูว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกันก็ได้ เขียนจดหมายใส่ขวดโหลแล้วโยนทะเลให้กูรู้ชาติหน้าเลยน่าจะดีกว่า” โหย มีประชด โหยๆ

“แทนที่มึงจะดีใจที่ไม่ต้องสับสนเรื่องกูแล้วอ่ะนะ”

“กูเลิกสับสนมานานแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ใจกูคิดว่าอยากจะซั่มมึง”

เชร้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด มันรวบเอวผมเข้ากะทันหัน บอกได้เลยว่าไอ้เม่นไม่ได้เป็นคนสักแต่พูด!! ดูด้านล่างมันดิโด่จนยื่นมาชนต้นขากูแล้ว!!

“เงียบทำไม ไม่ถามต่อแล้วเหรอ”

“ถะ...ถามว่า” แขนที่สอดข้างใต้กระชับหนักกว่าเก่า ส่งเสริมให้ร่างกายเราชิดกันมากยิ่งขึ้น

“อยากจะสานสัมพันธ์กับมึงตั้งแต่เมื่อไร”

“กูไม่อยากรู้”

“แต่กูอยากบอก”

“แต่ที่กูไม่ให้มึงบอกเพราะกูรู้คำตอบแล้วงายยย” ถ้าถามออกไปมึงต้องบอกว่าตอนนี้แน่นอน เชี่ย มึงถอยปายย เอาแต่ขยับตัวเสียดสีกับท้องน้อยกูอยู่นั่นแหละ

“กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงรู้”

คนนะครับไม่ใช่พระอิฐพระปูน ตอนนี้มันถูไปถูมาจนผมจะเริ่มรู้สึกตามไปแล้ว เหลือบไปเห็นช่องว่างระหว่างเราเลยขยับมือไปกั้นไม่ให้ของต้องชิดกันหนักกว่าเก่า...ชิดกันหนักกว่า

“อือ...”

“!!!” ชิท!!พึ่งรู้ว่ากูคิดผิด กลายเป็นว่าไปเผลอสะกิดโดนของไอ้เม่นเข้า ไอ้หล่อถึงกับครางกระเส่าในลำคอ

“ไอ้เม่นมึงอย่าหื่นดิวะ กูขอออออ”

“มึงทำให้กูหื่นเอง” โทษกูอี๊กก

“แล้วต้องทำยังไงมึงถึงหาย”

“มึงเคยได้ยินภาษิตโบราณมั้ย หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”

“แต่หนามมึงใหญ่ไป กูบ่งไม่ไหวหรอกนะ!”

“งั้นลูบ...”

“ฮะ?”

“ลูบหนามกูไปก่อน” โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย หนามมึงกูจับกระชับถนัดมือมากเลยโน๊ะ สัด!!

เอาวะ...ผมตัดสินใจ ผู้ชายเหมือนกันจะไปกลัวอะไร เขามีอะไรเราก็มีเหมือนเขา เอื้อมมืออย่างละล้าละลังไปเตะขอบกางเกงที่เหมือนกับกำแพงขนาดยักษ์ที่ผมจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ แล้วเริ่มบรรจงลากลงอย่างเบามือ ดูเหมือนไม่ทันใจมือใหญ่เลยขยับมาจับให้ผมสัมผัสตัวตนของมันซึ่งนูนโดดเด่นผ่านเนื้อผ้าเข้ารูป

ร้อนฉิบเป๋ง...หมายถึงหลังกูอ่ะ เหงื่อแตกพลั่กอย่างกับน้ำก๊อก นี่ขนาดเปิดแอร์แชร์ความเย็นจนกระจายไปทั่วห้องแล้วนะ

"อึ..." ตั้งใจขยับไล้อยู่ดีดี มือใหญ่ของไอ้เม่นกลับเลื้อยมายังส่วนคล้ายคลึงกันของผมกับมันเสียได้ ในสมองผมเลยเอ๋อไปชั่วขณะเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง "ไอ้เม่น...มึง...ไม่ต้อง" ผมคราง....เหี้ย ผมครางจนเกือบจะไม่ได้ศัพท์

"ไม่เป็นไรกูไม่ถือ" ไม่ถือเหี้ยอะไรอยู่ในมือมึงทั้งอัน!!

"ฮึก...สัดอย่าจับแรง"

“ประมาณนี้พอมั้ย” กว่าจะรู้ตัวอีกมือผมก็แทบเป็นอัมพาต มันหยุดทำงานแถมยังย้ายไปเกาะแขนเสื้ออีกฝ่าย กางเกงวอร์มขายาวตัวเก่งของคุณชายซึ่งตอนนี้ถูกจับขึ้นแท่นให้เป็นว่าที่ชุดนอนผมโดนดึงรั้งส่วนหน้าลง จนบ๊อกเซอร์ที่ซ้อนขวางอย่างหมิ่นเหม่เกือบหลุดออกเผยให้เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน

เกร๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ

“เม่น เชี่ยเม่น มึงหยุดก่อน” ผมจับข้อมือมันไว้

“ฮะ? เป็นอะไร ปวดขี้เหรอ” หน้าตอนนี้กูคงเหมือนอยากถ่ายหนักมากเลยสินะ

“เปล่า มึงไม่ง่วงเลยเหรอไง นี่มันจะตีสองแล้วนะ” โอเค เฉไฉให้ได้เรื่อง ไม่ได้เล่นตัว แต่ยังไม่พร้อมให้มึงเห็นของดี เข้าไจ๋

“กูไม่ง่วง แถมตื่นเต็มทีเลยล่ะ” ไม่ว่าเปล่าแถมยังยกตัวให้กูดูตรงนั้นอีกสัด

“กูไม่ได้หมายถึงตรงนั้น”

“เรวะ”

“!!!”

โหยยยยยยยยยยยยเสียงมึ้ง กระเส่าจนกูสะดุ้ง แถมเล่นท่าไม้ตายเรียกชื่อที่ไม่มีใครเรียกอีก

“หึ หน้ามึงแดงแป๊ดเลย เขินเหรอวะ”

“กูไม่ได้เขินนนน”

“แล้วทำไมต้องเอียงหน้าหนีด้วย”

“กู...กูคอเคล็ด เอียงมองหน้ามึงตอนร้องเพลงพี่ปั๊บนานไปหน่อย”

“หึขี้แถ แต่เอาเถอะ เพลงนั้นน่ะกูโคตรเซอร์ไพรส เสียงมึงแม่งโคตรใส”

“กูก็ใช่ว่าร้องได้ทุกเพลงหรอกนะ แต่บังเอิญช่วงนี้สุ่มเพลงฟัง แล้วพอเพลงนี้มันดังหน้ามึงก็ลอยขึ้นมา”

“กูเลยอยากร้องเพลงให้มึงบ้างเลย”

“ว่ามาดิ” ตอนนี้เพลงไหนก็ได้แล้วนั่น แต่มึงอย่าพึ่งลงไปกระทำกับของของกูเลยนะ

“สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ สึคิ อาอิชิเตะรุ”

“โหย ไอ้เม่นว่าแต่กู มึงก็ร้องเพลงอนิเมะคลาสสิคเหมือนกันนั่นแหละ”

“ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ โคตรชอบ กูชอบมึงนะ กูรักมึงมาก”

“!!!”

“...”

“...”

“มึงไม่ต้องมองกูจนตาถลนขนาดนี้ก็ได้ กูแค่แปลความหมายเพลง”

ฮะ?

ไอ้เหี้ยยยยยยย มันหยอกผม! รอยยิ้มนั่น มึงไม่มีทางรู้ญี่ปุ่นแน่ๆอ่ะ!!! ฮืออออออ ผมจะตายมั้ย โดนดาเมจรุนแรงเกินไปใจจะสลายแล้วโว้ยยยยยย






เอาจริงๆ หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้แล้ว หากใครคิดว่าใจตรงกัน ได้กัน เป็นอันจบ ผมกับไอ้เม่นเห็นอย่างนี้ก็ไม่ธรรมดานะครับ ทำไมน่ะเหรอ คือกูเพลียจนหลับไปไงล่ะ ไอ้สัดดดดดดด

ตื่นมาอีกที กายสูงก็หายไปจากเตียงแล้ว ปล่อยให้ผมเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวกวาดตามองอย่างเคว้งคว้างไปทั่วห้อง จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากระเบียบตรงปลายสายตาแทน

“อือ กูรู้แล้ว ขอบใจมึงมาก ฝากมึงตามเก็บให้ทีละกัน...”

เดินมาเงี่ยหูฟังตามนิสัยอยากรู้อยากเห็น เด็กวัยกำลังโตก็อย่างนี้แหละครับ อย่าถือสา ว่าแต่ตามเก็บ? ตามเก็บใคร นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้เม่นเป็นลูกคนไม่มีอิทธิพลผมคงไปกระชากเสื้อมันเปิดดูลายมังกรที่สลักอยู่แผ่นหลังแล้วนั่น

“เจอ...ยังไม่ได้คุยจริงๆจังๆ รายนี้น่ะปากแข็งชอบทำให้กูเป็นห่วงอยู่เรื่อย”

ใคร ใครปากแข็งกันวะ? แถมยังทำให้ไอ้เม่นเป็นห่วง ท่าความสัมพันธ์จะไม่ธรรมดา

“สัด มึงไม่ต้องมาจินตนาการปากแฟนกูเลย...”

ฮะ?

“ทำไมจะต้องอายวะ...ก็เป็นแฟนกันแล้วจริงๆนี่หว่า”

เป็นแฟนกันจริงๆแล้วนี่หว่า อ่าอ่าอ่าอ่า...

เสียงไอ้เม่นก้องอยู่ในหูผม สักพักมันก็หันหัวมาสบตากันพอดี

“แป๊บ แฟนกูตื่นแล้ว”

“...!”

“เออ แค่นี้นะ” มันกดวางสายแล้วเดินเข้ามาใกล้ พกรอยยิ้มมาใหญ่เต็มเบอร์ “หลับสบายป่ะ”

อึก...มือมัน...มือมันกำลังลูบหัวผม ผมที่ดูยุ่งเหยิงและเดาว่าลูกเป็ดคงตามมาเป็นคณะ เห็นอย่างนี้ทุกเช้าผมต้องตื่นมาสระแถมจัดทรงด้วยความยุ่งยาก เนื่องจากไอ้สีแอชเกรย์ที่ทำบ่อยจนห้ามขาดการบำรุง ไม่อย่างงั้นป่านนี้ไม่ได้ผมนุ่มๆอย่างนี้แน่นอน

“เมื่อคืนแฟนมึงมาค้างเหรอกูไม่ยักรู้” ผมกล่าวทักไปอย่างแก้เขิน ได้ยินเสียงจิ๊ปากดังเหนือหัวขึ้นไปหลังจบประโยค

“เออ นอนบนเตียงเดียวกับมึงด้วยน่ะ ไม่รู้ตัวเหรอ”

“มะ...ไม่..” สายตาคมก้มโค้งมาระดับเดียวกันผมแทบกลั้นหายใจ

“มันเขี้ยวว่ะ แม้แต่แค่จินตนาการกูยังหึงเลย”

ฮะ? และแล้วการกระทำถัดไปของมันก็ทำให้ผมตกใจจนยืนค้างนิ่งตัวแข็งเป็นเสาหินกับที่ ไอ้เม่นมันเอียงหน้าเข้ามาแนบริมฝีปากได้อย่างพอดิบพอดี แต่พอคิดว่ามันคงมาแบบเบบี๋สัมผัสเบาๆให้ใจเต้นแรงนิดๆแล้วปล่อย มันกลับโอบแขนเข้ารอบเอวดึงตัวเข้าไปใกล้

“ไอ้เม่น อื้อออ...กูยังไม่...”

เสียงจุ๊บๆดังมาจากริมฝีปากของพวกเราที่ประกบกันแล้วถอนออกวนซ้ำไปมา ไอ้เม่นมันหยอกผมอีกแล้ว นี่กะจะทำให้ครบโหลแล้วค่อยหยุดใช่มั้ย กูยังไม่ได้แปรงฟันเลยยยยยยยย

“ยังไม่อะไร”

“ไม่...อื้อ”

“ไม่พอ?”

“ไม่...อื้อ”

“งั้นกูทำให้ร้อยรอบเลยก็ได้”

“ไม่...อื้อออออออออออ” ไม่ใช่โว้ยยยยยยยยยย

สัด!!จะตอบก็ขัดด้วยปากอยู่ได้ ปากเปื่อยจะตายแล้ว

[ไอ้เชี่ย น18+++++]

“!!!”

สะ...เสียงใครวะ!!!!

ผมดันแขนไอ้เม่นออก หันไปมองรอบๆ ไม่มีนี่หว่า เสียงมาจากไหน

[ทำไมเงียบไปแล้ววะ กำลังค้างเลย]

[ยกสูงกว่านี้ดิไอ้เชี่ยเม่น ที่กูเห็นนี่มันอะไรวะ ตูดไอ้เรเหรอ]

[เชี่ยพวกมึงพูดไปไก่ก็ตื่นหมด ป่านนี้พวกมันรู้ตัวแล้ว]

ชัดเลย...ดังมาจากมือถือที่อยู่ในกำมือไอ้เม่น ที่ผมเห็นเป็นภาพสามคนเพื่อนมันกำลังเคลื่อนไหว เบียดกันไปมาหน้ากล้อง

“สัด...กูกดวางไปแล้วนี่หว่า กลายเป็นวิดีโอคอลได้ไง”

ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย






ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ได้ยินบ่อยตามหนังจีนกำลังภายในสมัยก่อน แต่ตอนนี้ที่ที่อันตรายที่สุดคงไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผมแล้วล่ะ ถึงแม้ไอ้เม่นมันจะบอกว่ามีถุงยางไอ้เชี่ยกูไม่ได้หมายความถึงปลอดภัยแบบนั้นเปล่าวะ...ฮืออออ

ตอนนี้ผมเลยบังคับให้พวกเราได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันที่สวนสาธารณะกลางเมือง อากาศแม่งก็โคตรร้อนแต่ยังพอกล้อมแกล้มนั่งแห้งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ได้

ความจริงเหมือนกึ่งมาปิกนิก ผมกับมันแวะซื้อข้าวมันไก่ใส่กล่องโฟมที่ร้านใกล้ตลาดพร้อมกับหิ้วขวดน้ำอันใหญ่มา โดยหวังว่าจะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ส่วนไอ้เม่นก็มีกีตาร์โปร่งคู่ใจมาเป็นของแถม มันบอกว่าว่างๆเผื่อสร้างบรรยากาศคลายอารมณ์(หื่นของมัน)ด้วยเสียงเพลงอันไพเราะของนักร้องยอดนิยมประจำร้านข้ามคืนอย่างมัน

เสียงติ๊วๆแด่วๆมาจากการนั่งปรับสายกีตาร์ ไอ้เม่นนั่งโค้งก้มลงมองของในมืออย่างตั้งใจ ถ้าถ่ายภาพนี้ไปรับรองว่าขายได้หลายตังค์ ขนาดมันแค่ปรับสายกีตาร์ยังเท่ลากเลือดขนาดนี้ หันมามองสภาพตัวเอง เสื้อโอเวอร์ไซส์ขนาดใหญ่กว่าตัวแบบไม่ได้ตั้งใจเพราะบังเอิญคนที่ให้ยืมใส่มันตัวหนากว่าผม กับท่อนล่างที่เป็นกางเกงยีนส์สีดำเข่าขาดตัวเก่ง ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา อยากโทษคนบนฟ้าที่ให้มาไม่เท่ากันจริงๆ

“อยากร้องเพลงอะไรมั้ย” ผมส่ายหัว

“กูร้องไม่เก่ง มึงร้องให้กูฟังเถอะ แต่ไม่เอาอิคคิวซังแล้วนะ”

“คนนะ โคะโตะอี้นะ...”

“โดราเอม่อนก็ไม่เอา!” กวน

“งั้นเอาเพลงที่ไม่ต้องร้องละกัน” มันเริ่มเกาสายกีตาร์รัวๆ ท่วงทำนองดนตรีที่ไร้คำร้องดังขึ้นมา พัดพาบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวให้จากไป ตามมาด้วยความรู้สึกสบายยามเมื่อได้ฟังดนตรีของสุดหล่อย่างมันเล่นคลอตาม ผมรู้จักเพลงนี้...

...START ของ depapepe…

แต่เป็นเวอร์ชั่นช้าๆเข้ากับบรรยากาศชิวๆของคนดีดที่ใส่แค่เสื้อกับกางเกงวอร์มสีดำตามคอนเซ็ปต์ บางทีผมก็แอบนึกอิจฉานะ ว่าทำไมถึงเกิดมาหน้าตาดี มีพรสรรค์ แถมยังบ้านรวย คนที่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้มีที่ไหน เคยเจอแค่ในนิยาย

สายกีตาร์โดนเกาเรื่อยๆไอ้เม่นมันหลับตาโยกไปตามอารมณ์เพลง บางช่วงมันก็โชว์ดวงตาคู่คมพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้ แทบละลาย...เพราะแดดแม่งส่องลงมาที่หน้ากูเต็มๆ สักพักผมสังเกตเห็นเงาบางอย่างพาดผ่านพื้นเบื้องหน้าทำให้ต้องเหลือบสายตาไปมอง

โอ้โห...รู้อย่างนี้กูหงายหมวกกางแล้ววางลงตั้งแต่ตอนแรกก็ดี

คนตั้งมากมายไม่รู้จากไหน มายืนล้อมพวกเราสองคนเป็นวงใหญ่ ส่วนไอ้คนดีดล่ะ ก็ไม่สนใจดีดมันต่อไปดิครับ มันกำลังอินกับอารมณ์เพลงพลางยิ้มมองมาทางผมอย่างสม่ำเสมอจนถึงท่อนสุดท้ายที่ปลายนิ้วจรดลงบนเส้นสายทองแดง

“เพลงนี้กูให้มึง”

“...”

“มา ‘สตาร์ท’ เรื่องราวชีวิตต่อจากนี้ไปพร้อมกับกูนะ”

อยากลงไปดิ้น...ไม่ใช่อะไร ไอ้เม่นแทบไม่สนใจเสียงปรบมือจากคนรอบข้างที่มองมันอยู่เลย มันเอาแต่มอง ‘ผม’ ผม...และผม แค่ผมคนเดียว คนอื่นได้ยินหมดแล้วโว้ยยยย ถึงคราวหวานน้ำตาลยังไม่อาจต้านทานคุณพลลภัตม์ได้ เฮ้ออออออ

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าปวดขี้อีกแล้ว”

“กูเปล่า” ทำไมชอบให้กูไปขี้จัง

“แล้วเป็นอะไร”

“กูแค่ไม่อยากสตาร์ทอย่างเดียว แต่กูอยากแฮปปี้เอนดิ้งไปพร้อมกับมึงด้วยว่ะ” ฮิ้ววววววววววววว โอเค จบการแซว

หลังจากนั้นพอมันเห็นคนก็แค่ตกใจเล็กๆ ก่อนจะแกล้งผมไม่ยั้งด้วยการบังคับให้นั่งร้องเพลงตามที่มันดีดโดยมีเสียงผู้ชมยืนที่รายล้อมโห่เชียร์เป็นกำลังใจให้ไม่ขาดสาย กับการช่วยเหลือจากแฟนๆใจดีที่เปิดเนื้อเพลงให้ผมมั่วคีย์ดำน้ำได้จนสุดทาง บันเทิงสัดๆ





“วันนี้โคตรสนุกเลยว่ะ” แต่กูคอแห้งสุดๆ น้ำที่แบกไปขวดใหญ่ก็หมดเพราะผม แถมยังตามมาด้วยการวิ่งเข้าห้องน้ำตั้งหลายรอบ จนไอ้เม่นมันตราหน้าว่าผมขี้แตกแบบไม่สนใจว่าจะปฏิเสธหรือไม่ไปแล้ว “เป็นไงอยู่ในที่ๆมีใครรายล้อม รู้สึกยังไงบ้าง”

“รู้สึกแปลกๆว่ะ”

“แปลกที่ว่ามันดีหรือไม่ดีล่ะ”

“แปลกคือจะทำอะไรก็ดูเก้ๆกังๆไปหมด แต่พอกูทำอะไรโง่ๆลงไปพวกเขาก็หัวเราะและยิ้มให้...มันเลยรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”

“ไม่ได้รู้สึกไม่ดีใช่มั้ย”

“อือ” ผมเกาคอพยักหน้า ใช่...มันเหมือนได้รับการยอมรับจากทุกคน ทั้งๆที่คนอย่างผมไม่เคยได้รับสิทธิ์ตรงนั้น

“กูเชื่อ ว่าถ้าพวกเขารู้จักมึง รู้จักตัวตนที่แท้จริงของมึง พวกเขาจะรักมึงเหมือนอย่างที่กูรัก”

คนตรงหน้าเอ่ยเปรยออกมาด้วยรอยยิ้ม มันเป็นยิ้มที่หล่อที่สุด ยิ้มที่ทำให้ผมหลง ยิ้มของคนที่เป็นทั้งเพื่อนคนแรก และคนรัก...คนแรกของผม

จู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ผมไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีและดีมาก ผมดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ ดีใจที่ได้เจอมัน

“กูขอบคุณมึงนะ”

“เรวะ...”

“ขอบคุณจริงๆ”

“ไม่เอาดิ มึงแม่ง...” เม่นมันดึงตัวผมเข้าไปกดหัวให้ซบไหล่มัน

นึกถึงเพลงนึงที่มันดีดให้ผมร้องในวันนี้ ไอ้เม่นบอกว่าทุกเพลงในวันนี้เป็นเพลงที่มันอยากร้องให้ผม แต่เพลงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอกมันมากที่สุด...

ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้



...ดีใจที่มีมึงนะ...ไอ้เม่น...


....TBC....

++++++++++++++++++++++++++++



ทำไมเหม็นความรัก

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เขิน อ้ากกกกกกก เม่นน่ารักกัยเรวะเชี่ยๆ ว้อยยยยเขิน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แหมๆๆๆ​ หวานเรี่ยราด​  :angry2: อิจจ้ะอิจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ saiichinisan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หยุดยิ้มไม่ได้เลย  บ้าจริง :-[

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ชอบมากๆๆๆๆๆๆ
อยากให้เรวะ มีความสุขตลอดไปจังลูกเอ้ย  :monkeysad:  :monkeysad:

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 25 :: แด่คนที่กูรัก(1/2)


“ได้กันยัง”

“ถ้าแค่ปากชนกันมึงไม่ต้องเล่า”

“รู้สึกดีมั้ยวะ แบบแน่นๆกระชับๆ อู้ฮ่า~”


ขณะที่นั่งทำอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ม้านั่งข้างตึกคณะ เพื่อนสามตัวมันก็ทักขึ้นมา

โอเค ในเมื่อความสำเร็จมันไม่ได้มาจากการลงมือของคนๆเดียว อย่างน้อยผมก็ต้องแชร์ผลลัพธ์ให้คนที่มีส่วนร่วมด้วยสินะ
แต่คำถามแต่ละคำแม่งลึกเกิน สัดถามมาได้  กูกับเรวะยังไม่ได้กันโว้ย ขืนบอกไปพวกนี้ได้ล้อว่าไอ้เม่นหล่อใสแต่ไร้น้ำยาแหง แค่ทุกวันนี้มือก็เกือบลั่นทุกวินาทีวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง อยากจับไอ้เรวะมาปู้ยี่ปู้ยำเอามันซุกจุ๊กกูแร้ แล้วหอมหัวสีแอชเกรย์ของมันให้หนังศีรษะหลุดไปข้าง ก็แฟนกูมันน่ารักขึ้นนี่หว่า หลังจากใจตรงกันมันก็แสดงพฤติกรรมแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนให้ดู จนใจกูเกือบจะทนไม่ได้

“อย่าเงียบดิไอ้เม่น มึงอย่าลืมนะเว้ย ว่าพวกกูช่วยมึงขนาดไหน มีอะไรก็ต้องแชร์ๆบอกกันบ้างดิวะ” ช่วยในตอนแรกที่บอกว่าจะเชียร์เพราะอยากเห็นกูสยบไอ้เรวะได้เนี่ยนะมึง ช่วยกูมากไอ้คีย์

“พวกกูดีใจกับความสัมพันธ์ของพวกมึงมากเลยนะเว้ย เพราะงั้นอย่าเม้ม มึงบอกมา” กูก็บอกผ่านวิดีโอคอลไปแล้วไง ว่าเป็นแฟนกัน มึงจะเอาอะไรอีกไอ้ต๊อบ

“อยากเห็นหน้าไอ้เรมันตอนนี้แล้วว่ะ ว่าหลังเป็นแฟนมึงมันหน้าตาน่ารักขึ้นมั้ย”

“อยากเห็นก็มองดิ”

“...”

“...”

กูกับเพื่อนมองหน้ากัน หืม?...ใครพูด ตีปากแตกเลย แฟนกู กูหวง ใครอนุญาตให้มองง่ายๆวะ ผมหันไปยังต้นทางของเสียงที่ห้าที่แทรกเข้ามา กะจะหาเรื่องกลับ แต่แค่เห็นหน้าเท่านั้นกูแม่งชะงักเลย

“อู้ยยยยยยย”

“สัดตัวจริงมา”

ชัดเลย ไอดอลเกาหลีผมสีแอชเกรย์กำลังยืนหน้านิ่งมือจับสายกระเป๋าพาดบ่าข้างเดียว แผ่ออร่าเกรี้ยวกราดแบบขรึมๆมาทางนี้ ก่อนจะเดินสาวเท้าจนเข้ามาประชิดข้างเคียงผม

“งะไง...ไอ้เร” เสียงนี้ ไอ้ต๊อบเจ้าของประโยค ‘ได้กันยัง’

“ไงมึง” ไอ้คีย์มาดนิ่งสุดในทีมแล้ว ส่วนไอ้หงส์ก็...

“สะ...สัดดีเร”

“สวัสดี ไอ้สัด”

“อู้ยแรว๊งงง”

“มึงโดนแล้วแหละไอ้หงส์”

“เชี่ยต๊อบมึงอย่าทิ้งกันดิวะ”

ดูแล้วอดขำพวกมันไม่ได้จริงๆว่ะ จังหวะซิทคอมที่สร้างขึ้นมาเองเพราะเริ่มสนิทกับคนตรงหน้า จนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ สักพักรู้สึกถึงสายตาใครบางคนเลยแอบเหลือบไปมอง

...ไอ้เรวะ มันกำลังจ้องตรงมา คาดว่าคงมองนานแล้ว พอตาปะทะกันเท่านั้นแหละแม่งสะดุ้งเฉไฉหลบไปทางอื่นทันที แต่ยังมีแฝงริ้วสีแดงไว้ข้างแก้ม

...ไอ้เหี้ย แม่งน่ารัก...

พอสบตาทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที แฟนผมแม่งขี้เขิน ตอนนี้โคตรอยากจับมากอดรัดฟัดเหวี่ยง ขยี้ขยำให้สมใจที่อดอาการอยากไว้มานาน แต่กูเกรงใจเพื่อนไง กลัวแฟนเสียภาพพจน์ที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาด้วย เลยห้ามตัวเองไว้

“เออ แฟนกูก็มาแล้ว มึงมองดิ เสือกก้มหน้าทำไม”

“หูย ไอ้เม่น พูดได้ไม่อายปาก แฟนแฟนแฟน”

“ทำไมวะ มีแฟนหน้าตาดีก็ต้องอวดเป็นธรรมดา” กูยืดอกเลย

“ใครแฟนมึง” เสียงขัดผมถึงกับหน้าหัน ไอ้เรวะมันตบมาโคตรหาเรื่อง

“อาวแล่ววว”

“ไงล่ะคร้าบคุณแฟนเม่น”

“โดนปฏิเสธแบบนี้ หมอรับเย็บมั้ยคร้าบบ” สัดแฟนกูเขินเถอะ เลยพูดอย่างนี้ อยากเจอดีใช่มั้ยคุณแฟน ได้ครับ เดี๋ยวกูจัดให้

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าปากกาเมจิกในกระเป๋าเดินพุ่งไปหาร่างโปร่งตรงหน้า เรวะทำท่าตื่นๆแต่กลบเกลื่อนยืนนิ่งสู้อยู่กับที่

“อะ...อะไร”

“กูเพิ่งไปช่วยเขาทำบอร์ดมา”

“แล้วมันเกี่ยวอะไร...”

“ไม่เกี่ยวอะไรหรอก ก็แค่...”

“เฮ้ยเชี่ย มึงทำอะไรวะ!”

กูล็อคเอวแม่ง ไอ้คนปฏิเสธความเป็นแฟน เอาดิให้มันรู้ไปถ้ากูยังไม่ได้บทแฟน อย่าหวังว่ากูจะปล่อย

“กูให้โอกาสมึงครั้งสุดท้าย”

“โอกาสครั้งสุดท้ายบ้าบออะไรวะ มึงปล่อยกูเด้”

“ระหว่างสำนึกว่าเป็นแฟนกู หรืออยากส่องกระจกดูบนเหม่งมึงทุกครั้งว่ามึงมันแฟนใคร” ไม่รอช้ากูกัดฝาปากกาพ่นลงพื้น ใช้แขนข้างเดียวปัดผมแอชเกรย์มันขึ้นอย่างลวกๆ ไอ้คุณแฟนถึงกับกรีดร้อง ตอนปลายปากกาใกล้เข้าไปจรดหน้าผากเนียนๆ

“ไอ้เม่น มึงแม่ง หยุด ทำเชี่ยอะไร ปล่อยดิวะ”

จุ๊บ...

แกร่ก...


เสียงแรก...กูจูบเหม่งมัน

เสียงสอง...ปากกาในมือกูหล่น

ส่วนเสียงสาม...


“กรี๊ดดดดดดดดดด”

“ตายแหล่วววววววว”

“ว๊าย บ้าบอ บัดสีบัดเถลิง”

โหยไอ้เวรสามตัว ทำกูเสียบรรยากาศหมด

“ทะ...ทำเชี่ยอะไรวะ” ไอ้เรวะมันยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ตรงรอยที่ผมทำไปหมาดๆ

“เสียดายหน้าผากสวยๆ กูทำสัญลักษณ์แทนดีกว่า”

“ทำไปก็ไม่เห็นหรอก มึงบ้าเปล่า”

“เหรอ ไม่เห็นเหรอ”

จุ๊บ!

“เชี่ย”

จุ๊บ!

“ไอ้เม่น”

จุ๊บ!

“โว้ยยยย เม่นแน่จริงมึงจูบปากเลยดิวะสัด!” เสียงเชียร์จากกลุ่มใกล้ๆพาผมอารมณ์ขึ้น หักคอลงไปแนบกลีบปากแดงนั้นทันที

“!!!”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”


ตายหมู่...


ดีที่รอบข้างไม่ได้คนพลุกพล่านขนาดนั้น ตอนที่ผมถอนปากหันไปสำรวจฟีดแบคจากเพื่อนสามตัวที่ชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง แสดงความนับถือพ่อบ้านตัวอย่างอย่างเม่นคนจริงสองพันสิบเก้า ตาก็เหลือบไปเห็นอีกสองสาวที่ยืนหลงอยู่ในเหตุการณ์ยกกล้องมือถือค้างขึ้นถ่ายภาพผม


เวรแล้ว...


ผมรีบปล่อยคนในอ้อมกอดเดินพุ่งไปตรงนั้น

“น้องครับ อย่าถ่ายได้มั้ย”

“แต่ว่า...” หนึ่งในสองลดมือถือลง ทำหน้าสลด

“รูปเมื่อกี้ลบทิ้งให้พี่ด้วยนะพี่ขอ”

“แต่พี่เม่น...”

“ไม่มีแต่ครับ พี่บอกให้ลบคือลบ”

“แต่...”

“พี่บอกแล้วไงว่า...”

“แต่ป่านอยากเก็บเอาไว้จิ้นนี่นา พี่เม่นอ่า~~~~”

ฮะ?

“น้องป่าน?”

“ใช่ ป่านเอง”

หูยนึกว่าใครที่แท้ก็น้องป่านคนเดียวกับที่ผมและเรวะเคยช่วยตอนโดนวิ่งราวกระเป๋า แล้วแถมยังเป็นคนเดียวกับที่ส่งวิดีโอคลิปนั้นของเรวะมาให้ผมด้วย

“มาได้ไง”

“ป่านมาหาพี่เม่นเนี่ยแหละ นี่เพื่อนป่านค่ะ” เธอผายมือไปทางเพื่อนผู้หญิงตัวสูงข้างๆที่ยกมือขึ้นไหว้ผม

“มาหาพี่เนี่ยนะ มีเรื่องอะไร”

“พี่เม่นได้ข่าว เรื่องที่...”

“เม่น”

ถึงกับสะดุ้ง ยังไม่ทันที่น้องป่านจะพูดในเรื่องเดียวกับที่ผมคิด เจ้าของประเด็นทั้งหมดก็เดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง เกือบตั้งลำไม่ทัน

“ระ...เรวะ”

“มีอะไรรึเปล่า” ไอ้เรวะยังคงไม่ยอมสบตาผม ได้แต่ถามแบบเลี่ยงๆจงใจมองทางน้องสองคน เจ้าตัวยกมือขึ้นรับไหว้คนมาใหม่แบบเก้ๆกังๆ

“สวัสดีค่ะพี่เร”

“สะ...สวัสดี” เอาตัวหลบเยื้องไปด้านหลังพลางยกมือบางจับแขนเสื้อผมกระตุกเบาๆ “ถ้ามึงมีธุระ กูกลับก่อนได้นะ”

“เฮ้ยไม่ต้อง...”

“จริงด้วยสิ พี่เรมาพอดีเลย พี่เรก็น่าจะได้ยินเรื่องที่คนพวกนั้น...”

“อะเอ้อน้องป่านสบายดีมั้ย”

ผมตะเบงเสียงแทรกขึ้นมา พิรุธสัดดดดดด แต่กูหาวิธีเอาตัวรอดไม่ได้แล้วไงเลยต้องเบนความสนใจไปเรื่องอื่น ดูเหมือนคนรอบ
ข้างจะงงเป็นไก่ตาแตกหันมามองหน้าผมกันทั้งหมด

“สะ...สบายดีค่ะ พี่เม่นล่ะคะ”

“สบายดี พี่สบายดีมาก มีแฟนแล้วด้วยสบายสุดๆ”

“ดูท่ามึงจะมีธุระ” เสียงคนที่เกาะแขนผมดังขึ้น มันมองมาด้วยสายตาไร้ความรู้สึกก่อนจะพูดประโยคถัดมา “งั้นกูไปรอที่ไอ้เบิ้มละ
กัน” มันปล่อยแขนผมก่อนเดินดุ่มๆออกไป

แปลก แต่ในหัวกำลังมีหลายเรื่องตีกันยุ่งจนทำอะไรไม่ถูก ผมหันไปมองน้องป่าน เธอก็มีสีหน้าแปลกประหลาดใจเหมือนกัน

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

“เปล่า ไม่มีอะไร แต่เรื่องที่น้องป่านกำลังจะพูด...” สายตาผมไปสะดุดกับร่างที่คิดว่าเดินไปไกลแล้ว แต่เจ้าตัวยังคงหยุดมองมาจากที่ห่างออกไป สีหน้าดูเศร้าสร้อยอย่างประหลาด มันดูเหมือนกับ...

“ป่าน”

“คะ”

“เดี๋ยวพี่มานะ”

“พี่เม่น!”

“เรวะ!”

ไอ้เหี้ยชัดเลย มันวิ่งหนีผม!

สมองสั่งการให้สองเท้าก้าวตามอย่างไว บอกเลยสายภาษาอย่างมันมีหรือจะมาสู้สายนักดนตรีที่เล่นกีฬาอย่างผม ดูอย่างวันที่ช่วยน้องป่านเอากระเป๋าคืนก็รู้แล้วว่าผมตามมันได้ใสๆ แต่ตามไปตามมากูชักจะหอบแล้วนะเว้ย

“เชี่ย เรวะ วิ่งเพื่อ” ไม่หยุดไม่พอยังมีเร่งสปีดต่ออีก อย่างเคยผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายจนห่างมันเพียงช่วงตัวแล้วเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อมัน

แคว่ก!!

ถนัดนักงานฉีกเสื้อผ้าเนี่ย ตัวที่เท่าไรแล้ววะ เอาเถอะเสื้อกูเอง กูยอม

“หนีทำไม หยุดดิ้นได้แล้ว” แปลกที่คราวนี้มันไม่หันมาด่าเพราะเสียดายเสื้อ แต่กลับตั้งท่าว่าถ้าหลุดได้จะแปลงร่างเป็นเดอะแฟลชหายไปในอากาศ

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

เฮ้ยมาตั้งแต่เมื่อไร ผมเห็นกองทัพเพื่อนผมกับน้องป่านนั่งซ้อนท้ายจักรยานกับมอเตอร์ไซส์ของกันและกันลงมาจอดยังตรงที่ผมยืนอยู่

ลงทุนฉิบหาย ตอนมาเรียนไม่ทันพวกมึงทำกันขนาดนี้มั้ยกูถาม ส่วนไอ้เรวะมันก็ยังคงพยายามแกะมือผมไม่เลิก

“เป็นอะไรวะไอ้เม่น ทำไมไอ้เร มันเป็นแบบนี้”

“กูก็ไม่รู้ จู่ๆแม่งก็...ม้าพยศ แมวดื้อ หรือไม่ก็แฟนกูผีเข้า”

“อย่างนี้มันต้องเอาน้ำมนต์สาด” โว้ๆๆ ไม่พูดเปล่าไอ้หงส์มันทำท่าจะเปิดฝาน้ำขวดที่หิ้วติดตัวมาราดใส่แฟนผมด้วย แม่งถึงกับยกมือห้ามกันแทบไม่ทัน

“สัดนั่นมัน ชาเขียวเปล่าวะไม่ใช่น้ำมนต์”

“เออจริง แล้วอย่างไอ้เรมันใช้น้ำมนต์สาดไม่ได้เว้ย” คราวนี้คู่หูไอ้หงส์มันเอ่ยขึ้นมาสนับสนุนคำพูดผม บวกกับเหมือนมีไอเดียอะไรบางอย่าง

“งั้นต้องทำไงวะ”

“เอาเจลหล่อลื่นสาด แล้วเอาสายสิญจน์มัดร่างไว้กับเตียง” สัดมึงเอาโอคาโมโตะศูนย์จุดศูนย์หนึ่งคล้องคอมันด้วยเลยมั้ยถ้าจะทำถึงขนาดนั้นแล้ว

งานนี้กูจะรู้เรื่องแน่เหรอวะ แนะนำแต่ละอย่างชวนกูไปเสียตัวกับไอ้เรวะสัดสัด ผมก้มลงไปมองหน้าคนรักที่ยังดื้อดิ้นพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

“ก่อนหน้าไปทำพีธี กูต้องถามผีตัวนี้ก่อนว่าทำไมถึงมาเข้าร่างแฟนกู”

“กูไม่ได้ผีเข้า” เรวะมันพูดออกมาในที่สุด

“แล้ววิ่งหนีกูทำไม”

“กู...”

“ห้ามบอกว่าเปล่าหนี เห็นโกยอ้าวตอนสบตากูชัดๆ”

“กูแค่...”

ชัดเลย อ้ำอึ้งแบบนี้

“อย่าบอกนะ ว่าคิดมากเรื่องน้องป่าน”

“...!!”

อยากให้เอาความในใจของเรวะมาออกข้อสอบรับรองผมแม่งทำถูกทุกข้อ สักพักคนถูกพาดพิงถึงอย่างน้องป่านถึงกับอยู่ไม่สุขลุกขึ้นถาม

“คิดมากเรื่องป่าน คิดมากเรื่องอะไรคะ...เอ๊ะ...อย่าบอกนะว่า...โอ๊ยป่านจะบ้าตายยย” เหมือนจะรู้น้องป่านที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างงงงวยอยู่นานโวยวายขึ้นมา “ที่ป่านมาหาพี่เม่น ป่านก็แค่...”

“น้องป่าน!!” เอาอีกแล้วเมื่อกี้กูก็ตะเบงเสียงห้ามนี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอวะ ว่ากูไม่อยากให้พูดน่ะน้องป่าน เหมือนจะหมดหนทางผมจึงเหลือบไปทางเพื่อนที่เหมือนจะรู้ใจว่าทำไมผมทำแบบนี้ “ไอ้หงส์ ส่งแขกที”

“ได้ครับคุณชายเม่น” ไอ้หงส์มันขมีขมันเดินมาพาน้องป่านกับเพื่อนที่ยังทำหน้าตาเหลอหลาออกไป ส่วนไอ้คีย์ที่ยังอยู่ตรงนี้ก็เอ่ยขึ้นมาตัดความเงียบ

“เอาไงต่อล่ะทีนี้”

“เรื่องในครอบครัวก็ต้องให้เคลียร์กันเองดิวะ ไป พวกเรากลับ” ไอ้ต๊อบตอบพลางลากเพื่อนที่เหลือเดินไปอีกทาง

ในที่สุดผมก็ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับเรวะสองคน

“พวกเราก็กลับกันเถอะ”

เรวะในสภาพที่หันหลังพิงอกจับแขนที่ล็อคคอมันไว้อยู่หมุนหัวมา ดวงตาคู่สวยบ่งบอกความไม่แน่ใจฉายชัดขึ้น

เอาเถอะ ผมอาจจะต้องบอก ถึงไอ้เรวะจะต้องมาระลึกเหตุการณ์นั้นซ้ำอีกรอบ แต่ก็ยังดีกว่าถูกเข้าใจผิดผ่านแววตาคู่นี้


มีต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
มาถึงหอแล้ว บอกได้คำเดียวว่าพวกเราสองคนเงียบกันมาตลอดทาง ระหว่างที่ซ้อนท้ายไอ้เบิ้มมันเกาะเอวผมแบบจีบสองนิ้วชี้กับโป้ง เหมือนดั่งคำขอร้องตอนปั่นจักรยานมาส่งมันที่โดนรถเฉี่ยวสัมฤทธิ์ผลในวันนี้ ในวันที่กูอยากให้มันกอดเอวเอาตัวแนบกูเสียด้วยซ้ำ

“อย่าเงียบได้มั้ยวะ” ห่วงอาการแฟนตอนนี้ฉิบหาย เหมือนโดนใครขโมยปากไป ผมจับมือไอ้เรวะลากขึ้นมาจนถึงชั้นห้อง เปิดประตูดันตัวมันเข้าไป แผ่นหลังเหงาๆเดินผ่านช่องแคบอย่างเชื่องช้า เล่นเอาใจผมหาย ไอ้เหี้ยไม่เอานะมึงไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่าเรวะ

“เชี่ยเม่น” เรวะอุทานตอนที่ผมดึงมันกลับมาสวมกอด

“เอาปากมาแล้วเหรอวะ”

“กู...”

“งอนกูระดับไหน กูจะกอดมึงให้เท่าระดับนั้นเลย”

“งั้นมึงอาจจะต้องกอดกูไปทั้งชีวิต”

ไอ้เชี่ยรุนแรงขนาดนั้นเลย แค่กูคุยกับน้องป่านแค่นั้นเนี่ยนะ ผมถอนตัวออกมามองหน้ามันที่เอ่ยคำต่อมา

“เพราะกูเพิ่งรู้สึกตัวว่ากูขี้หึงก็วันนี้”

“...!!” ใจแม่งสั่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา ตอนนี้ไอ้เรวะมันงอนผมอยู่ สุ่มเสี่ยงอาจจะโดนบอกเลิกทั้งที่ยังไม่ได้เดินไปด้วยกันให้สุดทางด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงโคตรรักท่าทางที่ปากได้รูปของมันเม้มเข้าหากัน กับสายตาที่มองเบี่ยงลงต่ำไปด้านข้างชะมัดเลยวะ

“วันนี้ที่กูบอกขอแวะห้องมึง เพราะมีของจะให้”

“ของ? อะไร?” วันนี้ไม่ใช่วันพิเศษอะไรนี่หว่า วันเกิดเรวะก็วันที่หนึ่งพฤษภา ส่วนวันเกิดผมก็ปาไปธันวาโน้น หรือเป็นวันครบรอบที่เจอกันครั้งแรกก็ไม่ใช่ แล้วมันวันอะไรวะถึงต้องมีของให้กัน ถ้าผมบอกว่าลืมจะโดนมันบอกเลิกของจริงมั้ยวะ

เรวะมันขยับดันตัวผมออกน้อยๆ ล้วงมือเข้าไปที่กระเป๋าสะพายข้าง หยิบซองสีน้ำตาลเล็กๆออกมายื่นใส่ผม

“รับไปดิ”

“อะไร” ผมรับของในมือมันไว้อย่างงงๆแกะเปิดซองออกเห็นของบางอย่างที่ดูเหมือนแผ่นกระดาษสีเทาเป็นปึกๆใส่อยู่

“กูเอามาคืน”

“...” ไม่จริงน่ะ อย่าบอกนะว่าเงินลงทะเบียนเรียนของผมที่มันเอาไป

“กูบอกแล้วไงว่าจะคืน กูก็ต้องคืน”

“ไอ้เร...” ทำไมเอามาคืนตอนนี้วะ มันเหมือนกับ...

“ส่วนเสื้อ...”

อยู่ๆใจมันก็โหวงๆ ผม...ไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อการนี้นะ ผมยังไม่ทันคบกับมันจนเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ แล้วทำไม...

“มึงไม่ได้กำลังจะบอกเลิกกูใช่มั้ย”

ต้องถามย้ำให้แน่ใจ ต่อให้ไม่อยากรับรู้ความจริงแค่ไหนก็ตาม ร่างบางมองหน้าผมตื่นๆ มือที่เหมือนจะขยับหยิบอีกอย่างออกจากกระเป๋าโดเรม่อนของมันหยุดชะงัก ก่อนมองสบผมด้วยแววตาใสชุ่มชื้นน้ำอย่างหวั่นไหว

“ไอ้เม่น”

“...”

“ฮึก...มึงจะบอกเลิกกูเหรอ” โอ้โหไอ้เหี้ยไหลออกมาเลยครับน้ำตาแฟน จากสองตาราวกับสั่งได้ พรากอย่างกับฤดูน้ำหลาก

“เฮ้ย กูเปล่า สัด ร้องไห้ทำไมวะเรวะ โว้ย” ผมยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตากับขี้มูกที่ไหลออกมาตามจมูก คนตรงหน้าเหมือนเก็บกักอารมณ์มานาน ทุกอย่างเลยล้นทะลักออกมา เละอีกแล้วเสื้อกู

“ฮึก...กูรู้...กูเข้าใจ กูคิดไว้เสมอคนเนื้อหอมอย่างมึงเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา...”

“เฮ้ยเดี๋ยว ไปกันใหญ่แล้ว”

“ในใจไม่เคยคิดแย้งด้วยซ้ำหากวันนึงมึงบอกเลิกกูก่อน กูแค่คิดว่าจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด แค่นั้นก็พอแล้ว แต่มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าความโลภของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งกูคบกับมึงกูก็ยิ่งชอบมึง กูไม่อยากเลิกกับมึงเลยจริงๆนะ กูฮึก...กูฮึก”

โอ๊ย ทำไมกูเห็นน้ำตากับท่าทางเศร้าๆแบบนี้เป็นน่ารักได้วะ...ผิดเวลาเปล่าเนี่ย ก่อนที่จะเลยเถิดไปไกลเพราะความเข้าใจผิด ผมรีบดึงร่างมันเข้ามาสวมกอดพลางกดหัวมันซบกับไหล่ให้น้ำตามันไหลซับลงไปแทน

“ใครจะบอกเลิกกับมึงวะ ประสาทเปล่า”

“ฮึก...มึงอาจจะเป็นโรคประสาทก็ได้”

“เชี่ย กูยังสติดีอยู่ คนที่กูคุยด้วยเมื่อกี้มันน้องป่าน มึงจำหน้าน้องเขาไม่ได้เหรอวะ”

“ป่าน? ป่านไหนวะ กูจำไม่ได้หรอก คนที่มึงเคยคุยก่อนจะคบกับกูเหรอ”

“โว้ยมีที่ไหนล่ะ จะชาตินี้ชาติไหนตอนนี้กูก็มีแค่มึงคนเดียวนี่แหละ”

“...!”

“กูถึงได้พยายามเตือนสติมึงไงว่าเป็นแฟนใคร”

“...”

“อย่าให้กูต้องย้อนกลับไปเอาปากกาเมจิกมาเขียนหน้าผากมึงอีกเลยนะกูขอ”

เงียบเลย ดูท่าคงกลัวโดนปากกาเพอร์มาเน้นท์เขียนสลักความเป็นคนของกูไว้บนกระหม่อมจริงๆ

“น้องป่านเป็นคนที่มึงเคยช่วยเอากระเป๋าเขามาจากโจรวิ่งราวไง”

“กูจำได้แค่ กูเหยียบกล้วยมึง” ไอ้ที่ควรจะจำมึงเสือกไม่จำให้มันได้อย่างนี้ดิ “เขามาหามึงทำไม”

“มาหากูก็เพราะว่า...” ผมควรจะบอกมันดีมั้ย “มาถามข่าวเรื่องคนที่ลาออกไป”

“มึงหมายถึง...” เจ้าตัวเหมือนจะรู้ ไม่แปลกหรอกเพราะข่าวนี้ดังในมหา’ลัยจะตาย

“ใช่ คนที่เคยทำร้ายมึงที่ข้างหอพักชาย”

“...!” ร่างในอ้อมกอดเกร็งตัว เหมือนรำลึกถึงเรื่องในอดีตที่ไม่น่าจดจำขึ้นได้ นึกสงสารทรมานแทนจนต้องเพิ่มแรงกอดปลอบเข้าไปอีก “ไอ้เม่น”

“มึงอย่าคิดอะไรเลยนะ กูไม่อยากให้มึงคิดเรื่องวันนั้นอีก”

“กู...ฮึก” มันตีหลังผมแปะๆ

“ร้องไห้ทำไมอีกวะ”

“ไม่ใช่...”

“แล้วเป็นอะไร”

“กูหายใจไม่ออก”

อ้าวเผลอกอดมันแน่นไป

“เออ เราย้ายไปนั่งคุยกันดีดีที่เตียงเถอะโนะ” เขินว่ะ เมื่อกี้กลัวจนแทบจะกอดมันหักคามือ







หลังจากนั้นผมเล่าทุกอย่างให้เรวะฟัง ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่ตอนที่ผมตัดสินใจว่าจะเอาเรื่องคนที่ทำร้ายเรวะมันถึงสองครั้งสองครา สาวเรื่องราวจนรู้ว่าวีรกรรมของพวกมันก็ไม่ใช่น้อย จนเริ่มออกตามหาคนที่เคยโดนกระทำ หรือแม้กระทั่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ ไปจนถึงเปิดวิดีโอคลิปที่น้องป่านให้มาขึ้นโชว์ต่อหน้ารองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา พยานบุคคลทางฝั่งนี้มีเป็นสิบ ส่วนฝ่ายอุทธรณ์มีแค่สองพวกมันเลยได้แต่ก้มหน้ารับกรรมไป ทุกอย่างมันเลยมาถึงตอนที่อีกฝ่ายถูกมหาวิทยาลัยสั่งให้ออก

ร่างบางได้แต่ก้มหน้าดื่มโกโก้อุ่นที่ผมชงให้ในมือเงียบๆ นั่งคุดคู้บนเตียงกลบเกลื่อนจมูกแดงๆ ด้วยการเอาใบหน้าอังกับไอร้อนที่ลอยขึ้นมา แต่ตาที่บวมแดงเกินขนาดก็ส่ออาการช้ำให้เห็นอยู่

“เพราะไม่อยากเห็นมึงนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจนเป็นแบบนี้เนี่ยแหละ กูถึงพยายามเลี่ยงไม่พูด แต่ที่ไหนได้...” ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมสีแอชเกรย์ของมัน ผมที่นุ่มนิ่มและให้ความรู้สึกดีเสมอยามที่จับ “แม่งอาการหนักกว่าเดิม”

“อาการกูไม่ได้หนัก” มันปัดมือผมทิ้ง

“แล้วที่เห็นอยู่ตรงนี้นี่มันเรียกอะไรวะ” หยาดน้ำยังเปรอะเปื้อนที่ขอบตามันอยู่เลย “อย่าบอกว่าฝุ่นเข้าตา อย่าเอาเพลงพี่อะตอมมาเล่น กูไม่รับมุก”

“กูแค่ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน”

“...”

“ตอนที่ถึงจะร้องไห้ไปก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสนใจ”

“...”

“มึงกำลังทำให้คนอย่างกูเคยตัว เอาแต่อ้อนมึงนะเชี่ยเม่น” เรวะยกมือข้างที่ไม่ได้จับแก้วขึ้นมากำคอเสื้อผมราวกับจะหาเรื่อง แต่ทำไมตอนนี้...

...กูอยากให้อ้อนวะ...

แย่แล้วว่ะ คนที่อาการหนักน่าจะเป็นผมมากกว่า... ตอนนี้ผมโคตรหลงมันเลย...

“มึงกำลังทำให้กูอ่อนแอ กูถึงได้พยายามไม่อยากติดหนี้มึงอีกไงจะได้เตือนใจกูว่ากูไม่ได้พึ่งพามึงมากเกินไปจนสักวันกูอาจจะขาดมึงไม่ได้”

“มึงเลยเอาเงินมาคืนกู” อีกฝ่ายผงกศีรษะ ก่อนขยับตัวลุกไปวางถ้วยโกโก้ที่โต๊ะแล้วหยิบถุงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าข้างพร้อมเดินถือมันกลับมาด้วย

“มึงเอาไปเลย”

“อะไรวะ”

“รับไปดิวะ”

คะยั้นคะยอให้กูรับอยู่นั่น ผมหยิบถุงพลาสติกที่โดนดันมาถึงอกอย่างเสียไม่ได้ ก่อนเปิดออกดู...

เสื้อนักศึกษาตัวใหม่ถูกพับอย่างดีอยู่ในนั้นเกือบสี่ห้าชุด กลิ่นผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมสะอาดฟุ้งขึ้นมาเตะจมูก มันเป็นกลิ่นประจำตัวของอีกฝ่ายที่ผมได้สัมผัสยามอยู่ใกล้ชิดเสมอมา

“ตัวที่กระดุมขาดกูเย็บให้หมดแล้ว”

“ด้ายสีน้ำเงิน”

“สีขาว”

“แล้วตัวที่เคยเย็บสีน้ำเงิน”

“กูแก้เป็นสีขาวแล้ว ส่วนตัวที่เปื้อนโคลนจนหมองกูไปซื้อน้ำยาซักผ้าขาวมาแช่ มึงใส่แล้วอาจจะรู้สึกบางขึ้น แต่รับรองว่ายังไม่ถึงขั้นเห็นหัวนม” สัด...กูฮา ผมคว้าในถุงออกมาดูสภาพ กระดุมแม่งเย็บเป็นระเบียบกว่าคราวแรกเยอะ แสดงให้เห็นถึงสกิลภรรยาที่อัพมากขึ้นตามจำนวนครั้งของการขาด

“มึงไม่เห็นต้องคืนเลย เสื้อบ้านกูเยอะแยะ แล้วอย่างนี้มึงจะใส่อะไร”

“กลับไปใส่ยืนพื้นตัวเดียวเหมือนตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง” สัด...ป่านนี้เสื้อตัวนั้นของมึงไม่ถึงขั้นเห็นหัวนมมากกว่าเสื้อกูแล้วเหรอวะ...เพลียฉิบ

“เสื้อกูมีกลิ่นมึงด้วย” ตัวที่ถืออยู่ผมเผลอหอมลงไปหนึ่งรอบ “กลิ่นสะอาดๆสดชื่น กูชอบกลิ่นนี้ว่ะ” เหมือนอีกคนหายไปจากบทสนทนาเลยเงยหน้ามามองที่ไหนได้ ไอ้เรวะมันกำลังหน้าแดงเรียกพ่อเรียกแม่ทำตาตื่นตกใจกับสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ มันอ้าปากพะงาบพะงาบเหมือนจะแย้งอะไรแต่กลับทำไม่ได้

“หึ เป็นอะไร ขาดอากาศหายใจหรือไง แล้วนั่นอะไรวะ เด็กป่ะ กินโกโก้จนปากเปื้อนได้ไง” เอื้อมมือจะไปช่วยเช็ดแต่เปลี่ยนใจหันมารั้งคออีกฝ่ายให้โน้มตัวเข้าหา ไอ้เรวะถึงกับเสียการทรงตัวต้องเอามือสองข้างคร่อมตัวผมที่นั่งอยู่ยันตัวไว้กับขอบเตียงนุ่ม ก่อนทำตาโตยามที่ผมใช้ริมฝีปากกดจูบตรงรอยโกโก้ แลบลิ้นเลียความหอมหวานของคราบสีน้ำตาลที่สร้างความคุกรุ่นให้กับอารมณ์ในจิตใจ

“หวานว่ะ”

“ยะ...อยากกินก็บอกดิวะ...ยังเหลือในถ้วยกูอยู่เต็ม”

“กูหมายถึงปากมึง”

“เชี่ยเม่น อย่าเล่นแบบนี้ได้มั้ยวะ!” เอาให้แดงถึงที่สุดแล้วไปหยุดที่เตียง

“เออพูดถึงโกโก้แล้วกูลืมบอกไป”

“บะ...บอกอะไร?”

“ว่าในโกโก้ก็มีคาเฟอีน”

“...!!”

“วันนี้มึงไม่ต้องนอนแล้วล่ะ”

“แต่กูง่วงแล้ว มึงอย่ามาอำกู!” หึ เดี๋ยวกูอำให้ขำไม่ออกเลยคอยดู

“ยังมีอีกเรื่องนึงที่กูไม่ได้บอก”

“เรื่องอะไรอีกว้า~~ เชี่ยเม่นทีหลังมึงบอกให้หมดดิ” สัด...เรวะลนลาน

“มึงยังคืนเสื้อกูไม่หมด”

“อะไร กูคืนให้หมดแล้วนะ”

“บนตัวมึงด้วย” นิ้วชี้จิ้มไปที่อกมัน ร่างบางถึงกับสะดุ้ง

“ตัวนี้ เดี๋ยวไว้กูไปซักให้แล้วค่อยส่งคื...”

“ไม่ต้อง”

“...”

“เดี๋ยวกูซักเอง”

“มะ...มึงไม่ต้องลำบากหรอก คนไหนใส่ก็ต้องรับผิดชอบดิวะ”

“กูไม่ลำบากหรอก เพราะกูต้องรับผิดชอบที่เป็นคนทำเสื้อเปื้อน”

ได้เวลาทำเสื้อเปื้อนแล้ว จูบเวอร์ชั่นจริงถูกทิ้งลงกลีบปากอิ่มของอีกฝ่ายไม่รอช้า โอคาโมโตะศูนย์จุดศูนย์หนึ่งกูสั่นอยู่ในลิ้นชักมาสองสามวันแล้ว คนอะไรวะนุ่มนิ่มน่าจับกินได้ขัดกับบุคลิกแข็งๆของเจ้าตัวชะมัด เลื่อนมือไปจับเอวพยายามดึงตัวอีกฝ่ายลงมา แต่เรวะมันกลับต้านไว้ด้วยมือสองข้างที่คร่อมขอบเตียงอยู่ไม่ยอมปล่อย คติพจน์ประจำใจของผมคืออุปสรรคมีไว้ข้ามหากคราวนี้ผมขอกลิ้งผ่านมันไปละกัน ด้วยลีลานักยิมนาสติกมือสมัครเล่นผมพลิกตัวจนเรวะมันกลับมาอยู่ใต้ร่าง

“เม่น...อย่าบอกนะว่ามึง...”

“กูอะไร...”

“มึง...”

“กูทำไม”

“มึงคิดจะทำอะไรกูใช่มั้ย”

“มาถึงขั้นนี้แล้วยังต้องถามอีกเหรอวะ” ขั้นที่กูกำลังจะขยับมือไปแกะกระดุมมันแล้วเนี่ยนะ ผมสานต่อสิ่งที่ตั้งใจไว้ด้วยการขยับไปจับกระดุม แต่ร่างข้างใต้เสือกยกมือมาขวาง

“เชี่ยเม่น กะ...กู ยังไม่อาบน้ำเลยนะ เมื่อกี้วิ่งมาตัวเหม็นจะแย่อยู่แล้ว”

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรได้ไง”

“ตอนนี้กูหื่น แม้แต่กลิ่นตดมึงกูว่ายังหอมเลย”

“มึงบ้าไปแล้วแน่ๆ” ครับยอมรับว่าบ้าคุณว่าที่เมีย บ้าอยากจะซั่มมึงจะตายห่าอยู่แล้ว

“พอเถอะ มึงเลิกพูด ถ้าห่วงตัวเหม็นมากนักก็ไปอาบด้วยกันทั้งคู่เนี่ยแหละ” ผมฉุดมันขึ้น ดูทุลักทุเลกว่าที่คิดเพราะไอ้เรวะมันออกแรงต้าน มามุกนี้กูไม่ห้าม แต่ยิงมาเท่าไร กูยิงกลับไปสิบเท่าด้วยการช้อนมันทั้งตัวเดินดุ่มๆไปยังห้องน้ำ

อยากบอกว่าทางเข้าห้องผมแคบแต่ห้องน้ำแม่งโคตรกว้าง เพราะมันเอาส่วนทางเดินมาทำห้องน้ำเนี่ยดิ ตอนย้ายเข้ามาบ่นกระปอดกระแปดแทบทุกวันพึ่งรู้ประโยชน์ของมันก็วันนี้ พอถึงห้องน้ำผมรีบวางไอ้เรวะลง แล้วจัดการถีบประตูล็อคกลอน ไม่ยอมปล่อยให้หนีได้ ก่อนวิ่งไปสาดสายน้ำฝักบัวใส่ตัวมัน

“โอ๊ยเม่น มึง เปียกหมดแล้ว สัดเสื้อผ้ากู”

“เสื้อผ้ากูต่างหาก” ทวงสิทธิ์ด้วยการจับต้นแขนอีกฝ่ายก่อนฉีดหนักๆลงตรงส่วนท่อนบน ตอนนี้แฟนผมเปียกมะล่อกมะแล่กแถมยัง...

“ไม่ต้องใช้น้ำยาซักผ้าขาวกูก็เห็นได้วะ”

“ไอ้เหี้ยดูอะไรวะ อ๊ะ..ยะ” เรวะโค้งตัวหลบมือซนๆของผมที่พยายามบิดหัวนมมันจนหลังไปชนเข้ากับกำแพง ส่วนเอวก็กระแทกเข้ากับแท่นวางสบู่ไปตามระเบียบ

บึ่ก!!

“โอ๊ย”

“เหี้ย เป็นไรป่าวมึง” มันจับเอวทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น ปลายแขนเสื้อก็เสือกเกี่ยวโดนก๊อกน้ำฝักบัวใหญ่บนหัวจนสาดน้ำกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทุกทาง งานนี้บอกได้คำเดียวว่าผมกับมัน...เละ

ผมรีบลุกไปปิดก๊อกน้ำฝักบัวทั้งอันเล็กอันใหญ่ รุดเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ ร่างโปร่งบิดตัวถกชายเสื้อมองสำรวจตรงเอว เห็นแค่เพียงผิวขาวเนียนละเอียดที่เปียกชื้นน้ำ ดูท่ารอยช้ำคงยังไม่ออกอาการ ผมขยับมือไปแตะคนตรงหน้าถึงกับสะดุ้ง มันทำหน้าหวาดๆใส่ผม

“อะ...ไอ้เม่น”

“ว่าไงครับ”

“กะ...กูยังไม่เคยนะ”

“กูก็ไม่เคย”

“จริงเหรอวะ”

“ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองรอนาน”

ผมจัดการคุกเข่าคร่อมอีกฝ่าย ดึงคอเจ้าตัวที่ยังขัดขืนเบี่ยงหลบขึ้นมาแนบกลีบปากกลบเสียงลง แล้วบรรจงบดเบียด เปลี่ยนมุมไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เท่าที่แรงต่อต้านจะยังไหว ท่าทีขัดขืนในตอนแรกพอโดนแทรกลิ้นเข้าเกี่ยวป้อล้อทุกอย่างก็ดูอ่อนลงอย่างเหลือเชื่อ มันเริ่มจูบตอบผม ใบหน้าขาวเหมือนคนกำลังเมารสจุมพิต สัมผัสซึ่งดูดรั้งดึงดันทำความรู้สึกให้ทะยานสูงขึ้นจนยากจะหยุด

เอาอีก อยากได้มากกว่านี้ ผมอยากสัมผัสมันทุกตารางนิ้ว เลยไล้มือไปยังกระดุมที่เหลืออยู่ ปลดมันออกจากรังจนเกลี้ยง ก่อนจะเนียนไปจัดการกับกระดุมกางเกงยีนส์ของอีกฝ่าย

สัด พลาดแล้ว ลืมไปว่าเรวะมันใส่เดฟ ทำไมกูไม่ถอดก่อนลากมันเข้ามาวะ คิดดูดิเดฟเปียกน้ำมึงเอ๊ย ยิ่งกว่าเปลี่ยนปลอกหมอนข้างอีกกู

แต่ผมเชื่อคนโบราณไง เขาว่าความพยายามอยู่ที่ไหนการสำเร็จความใคร่ก็อยู่ที่นั่น พอช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นได้ก็ออกแรงดึงพยายามให้ขอบกางเกงหลุดจากสะโพกบาง เอ๊า ฮึ่บบบบบบบ แฮ่ก หอบเป็นหมาเลยกู

“กางเกงหรือกาวตราช้าง ติดแน่นทนนานอะไรขนาดนี้วะ”

“เม่น” หมดกัน แผนกูพัง กะจะจูบเรวะแบบอันลิมิเตดแต่อินเตอร์เน็ตต้องมีอันสะดุด เพราะสมาธิผมมารวมจุดที่กางเกง เรวะมันเลยมีโอกาสเรียกชื่อผมขึ้นมา

“ขอเวลากูแป๊บ”

“ไม่ต้องหรอก”

“ได้ไงวะ กู..”

“เดี๋ยวกูถอดเอง”


นี่กู...กำลังฝันอยู่ ใช่มั้ยวะ

...TBC...

++++++++++++++++++


ขอโทษที่หายไปนานค่ะ

ตอนหน้าก็จะจบแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกคนที่ติดตาม และทุกกำลังใจที่มีให้กันเสมอมานะคะ

เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เม่นนี่ชักช้าต้องให้เรวะถอดเองซะงั้น 55555

จะจบละเหรอออออคะ  :katai1:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ

.. รักน้องเรวะ :)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะเอาฮาจนตอนสุดท้ายเลยไหมคะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รอตอนหน้าด้วยใจจดจ่อ :impress2: :impress2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kamereborn

  • kamereborn
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0

ออฟไลน์ noozzz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
 :katai1:สนุกมากกกกก ในความดราม่าเอย ความมุ้งมิ้งเอย แม้แต่ความ18+ก็ยังมีความเกรียนความตลกซ่อนอยู่

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รายการประเภทนี้ เป็นรายการเฉพาะผู้ใหญ่ อาจมีภาพ เสียง หรือเนื้อหา ที่ไม่เหมาะสมด้านพฤติกรรม ความรุนแรง เพศ และการใช้ภาษา ซึ่งไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน ดังนั้น เด็กและเยาวชนจึงไม่ควรรับชม

∈แด่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋

ความจริงที่ 26 :: แด่คนที่กูรักมาก...ถึงมากที่สุด (2/2) END


“ถอยออกไปก่อนได้มั้ย”

“คะ...ครับ ได้ครับ”


ผมขยับหลบ รอร่างโปร่งยันกายลุกตัวขึ้น ใครมันจะไปคิดว่าอนาคตเมียจะกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่าพอยืนได้ก็ดึงซิบลงแล้วลากทุกอย่างออกจากท่อนล่างไม่เว้นแม้แต่ชั้นใน จะขัดใจก็แต่ชายเสื้อที่เปียกน้ำจนตกลงมาระขาร่างบางไว้ปิดส่วนอ่อนไหวให้พ้นตาสายตาคมของผม

“จะเกลียดไซส์เสื้อของตัวเองก็วันนี้แหละ”

“ฮะ? พูดอะไรของมึง หุ่นอย่างมึงน่าอิจฉาจะตาย”

“ไม่ได้หมายความว่างั้น”

พ่นลมหายใจไว้อาลัยให้กับความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ก่อนโน้มตัวไปกระชากแขนร่างบางเข้าใกล้แบบไม่ให้ทันตั้งตัว ไอ้เรวะถึงกับสะดุ้งขยับมือมาปิดแกนกลางใต้ร่มผ้าก่อนที่มันจะมาสัมผัสอกผม ผมเลยจัดการโอบแขนรอบแก้มก้นส่งผลให้ตัวเราแนบสนิทกันมากขึ้น

“ทะ...ทำอะไรวะ”

“มึงน่ะ ทำอะไร”

“ฮะ?”

“จะไปเตะบอลเหรอไง”

“เตะบอลบ้านมึงดิ มึงดูสภาพกูด้วย”

“ไม่เตะบอล แล้วทำท่ากันประตูตอนเตะลูกโทษทำไม”

“ชะ...เชี่ยเม่นแล้วมึงจะให้กูเปิดไข่ให้มึงดูเหรอ!”

ไอ้เหี้ย ไข่เต็มหน้า ทั้งของจริงทั้งคำด่ามีผ่าลงมากลางกบาลผม

“พูดจาไม่น่ารักเลยว่ะ มึงถอดเสื้อกูคืนมาเลย กูไม่ให้ยืมเสื้อแล้ว” ผมคลายอ้อมกอดหันมากระชากเสื้อมัน เกิดการตะลุมบอลอีกครั้ง พอจับจะถอด ไอ้เรวะก็พยายามยื้อยุดฉุดกระชาก ยิ่งกว่าเล่นชักเย่อกันกลางห้องน้ำอีก

“เชี่ยเม่น กูบอกแล้วไงว่าตัวนี้เดี๋ยวซักส่งให้มึงลืมไปแล้วเหรอว้า~~”

“กูไม่ให้เด็กดื้อยืมเสื้อเว้ย เอาคืนมาเลยมึง”

“ไม่คืนนนน”

“คืน”

“ไม่คืน”

“คืนมาดิวะ”

“ไม่คืนโว้ยยยย”


พลั่ก!!


อย่าถามว่าจุดจบเป็นไง ก็ลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้นดิครับถามได้ ตามมาติดๆด้วยร่างบางที่เอนตัวลงมาทับผมเต็มๆ เจ็บตรงศอกแต่ชอกช้ำสุดๆยามที่มันเกือบล้มมาโดนทับจุดสำคัญของผม ใบหน้าบิดเกร็งทำคนดื้อดึงลุกพรวดพราดมาประคองแก้ม แววตาเป็นกังวลฉายชัดขึ้นดวงตากลมใส

“เม่น มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะ”

“ของกู...”

“ขะ...ของมึง เวรแล้ว” เรวะมันขยับพรวดพราดร่นตัวไปจับขอบกางเกงสแล็คสีดำของผมพลางปลดกระดุมลากซิบ ใครมันจะคิดล่ะครับว่าคุณแฟนจะซื่อมากถึงขั้นลากขอบกางเกงชั้นในกูลงมาดูด้วย

“สัด บะ...บวมเลยอ่ะ...ทะ...ทำไงดีวะ” มันลนลานมองซ้ายมาขวาหาทางไปไม่ถูก “ยะ...ยา...ใช่...ยา เดี๋ยวกูไปหายามาทา...”

“มึงหยุดเนียนเลย” ผมคว้าข้อมือมันไว้

“แต่ไอ้เม่นของมึงมันอาการ...”

“สัด มันแข็งเหอะ ไม่ได้บวม”

“...!!”

โอเค นิ่งเลย กับเรวะมันต้องตรงๆ ไม่งั้นเจ้าตัวก็พยายามหาโอกาสเบนความสนใจอีก ผมดักคอจนเด็กดื้อหมดหนทางหนี มันเม้มปากยอมหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างเก่า

“กะ...กูไม่ได้ตั้งใจจะหนีนะ”

“ถ้าไม่อยาก มึงก็บอกมาตรงๆดิวะกูจะได้...”

“ตะ...แต่ของมึงมันใหญ่ กูรับไม่ไหวแน่ๆ”

“...!!”

“มึงก็รู้ กูเข้าห้องน้ำที่มหา’ลัยกับมึงตั้งกี่ครั้ง จะบอกว่ายังไม่เคยเห็นเลยมันก็ไม่ใช่”

สัด มันแอบดูผม

“กูยังไม่ได้เตรียมใจเลยนะมึง”

“แล้วทำอย่างกับกูเตรียมใจมาอย่างนั้น” กูเตรียมมาแค่ของสำคัญ นอกนั้นกะอาศัยทฤษฎีเอา

“แต่ของมึงมันใหญ่นี่หว่า” ไอ้คนตัวเล็กกว่ายังคงโวยวาย “เชี่ยเม่น ตอนเด็กแม่มึงเลี้ยงมาด้วยอะไรวะ ทำไมถึงได้ใหญ่ขนาดนี้”

“ปลัดขิกมั้ง ถามได้ ก็เลี้ยงแบบเด็กธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ แล้วทำไมกูจะต้องมาเสวนาเรื่องการเจริญเติบโตของเม่นน้อยกับมึงด้วยเนี่ย”

“กะ...ก็มันใหญ่...”

“สัดคำก็ใหญ่ สองคำก็ใหญ่ไหนเอาของมึงมาดู” จังหวะที่เผลอ ผมผลักมันจนหงายหลังเอื้อมมือไปจับชายเสื้อที่เปียกชื้นถลกขึ้นอย่างไวจนร่างบางไม่มีโอกาสต่อต้าน

ไอ้เหี้ย ขาวเว่อร์

แม้แต่เรวะน้อยก็ยังขาว แล้วแถมขนอ่อนมีอยู่น้อยนิดจนนึกว่าผิวเด็กด้วยซ้ำ

“เชี่ย!!ทำอะไรวะ” มันปัดมือผมขยุ้มเสื้อลงมาปิดอย่างเก่า เท่าที่เห็นส่วนอ่อนไหวของเรวะดูมีอารมณ์เริ่มแข็งขืนเล็กน้อย จำได้ว่าทำไปแค่จูบยังเป็นถึงขนาดนี้...

...แล้วถ้าทำยิ่งกว่าจูบมันจะเป็นถึงขนาดไหน...

ดวงตาแววโรจน์เป็นประกายโชติช่วง ความอยากรู้ดันผมมาจนสุดความอดทน ไม่พูดพล่ำทำเพลงเอื้อมมือไปสัมผัสความแข็งขืนที่มีอยู่ครึ่งๆกลางๆของเจ้าตัว ร่างบางถึงกับสะดุ้งหุบขากระถดตัวหนีจนหลังไปชิดติดกับกำแพง ผมเลยจัดการคร่อมช้อนคางได้รูปมาป้อนจูบร้อนๆใส่

“อื้ออออออออ” คราวนี้รู้เลยว่าต่อต้าน เรวะมันกลัว ผมรู้

“กูไม่ทำให้เจ็บหรอก”

“แต่กู...”

“กูสัญญา”

“...”

“ถ้ามึงเจ็บ มึงบอก กูพร้อมจะหยุด”

“แต่มึงจะ...”

“เซ็กส์ที่ไม่ได้มาจากความต้องการของทั้งสองฝ่าย มันจะไปเรียกว่าเซ็กส์ได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย”

เรวะมันเบิกตาคู่สวยใส่ผม ก่อนหลุบลงราวกับสำนึกผิด

“เม่น”

“ฮึ ว่าไงครับ”

“มึงเป็นคนดีจริงๆว่ะ” แก้มแดงๆของมันทำผมอยากหอม แต่ก่อนที่มือจะไวไปกว่าความคิด เรวะกลับเอื้อมมือมาประคองใบหน้าผมก่อนประกบจูบลงมา

“ฮืออ” เสียงครางเครือในลำคอดังขึ้นจมูกอย่างคนไม่เชี่ยว ดึงอารมณ์ให้ผมขยับไปจับเอวคอดใต้ผืนผ้าสีขาวลูบไล้ผิวลื่นมือไปมาเบาๆ

ริมผีปากของพวกเราประกบกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนผมจะเลยเถิดเคลื่อนคล้อยมาจูบซับที่ปลายหางตา แก้มขาวๆที่มีผมสีแอชเกรย์ระใบหน้า ไหปลาร้า กกหูและซอกคอระหง โอบกอดเอวผอมบางให้กายเราได้แนบชิดกันมากขึ้น ร่างตรงหน้าตอบสนองไปตามอารมณ์ จนผมอดที่จะ...

“กูขอนะ”

ครอบปากลงเม็ดสีสวยซึ่งแนบกับผืนผ้า ขบกัดเบาๆสร้างความรู้สึกเสี่ยวซ่านให้ร่างตรงหน้าไม่ได้  ไอ้เรวะมันดิ้นขัดขืน แต่ก็เพียงช่วงเดียวเพราะอีกสักพักเสียงครางยวนใจก็ดังขึ้นมา

“อ๊ะ...เม่น อย่าดูด...อื้อ” ติ่งนุ่มหยุ่นเริ่มแข็งขืนเป็นไตต้านริมฝีปากผม

“ชอบมั้ย”

“มะ...ไม่รู้ อึ...อื้อ”

“งั้นกูจะทำจนกว่ามึงจะตอบได้” มือไปสานต่ออีกข้างที่ไร้การแตะต้อง ขยี้จนเสียงครางผะแผ่วเปลี่ยนเป็นเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง

“ยะ...เม่น กู” แรงมือของร่างตรงหน้าพยายามจับศีรษะผมออกห่าง ผมต่อต้านโดยการกระชับอ้อมกอดซึ่งเปรียบดั่งพันธนาการตรึงอีกฝ่ายไว้ ก่อนใช้มือใหญ่สอดผ่านผืนผ้าเข้าไปตะโบมลูบแผ่นหลังเนียนละเอียด ขยับมาจนถึงบั้นท้ายนุ่มหยุ่น ก่อนขยำมือลงไปอย่างไรความปรานี

ร่างกายเรวะกระตุกเกร็งอย่างตกใจ มันพยายามดันตัวออก แต่ได้แค่แวบเดียวก็ต้องหันมาทำหน้าตื่นใส่ ในเมื่อผมดึงกระชับร่างของเราเข้าหากันจนส่วนตื่นตัวของมันแนบสนิทติดกับซิกแพคของผม

“อะ...ไอ้เม่น”

“ตื่นเต็มที่แล้วหนิ”

“ฮืออ มึงอย่าพูดได้มั้ย ไม่ต้องมาบรรยายไทยเสียงในฟิล์มแถวนี้เลย” เรวะโวยวาย แม่งน่ารักฉิบหายเลย

“หนังเรื่องนี้ดูง่าย มีแค่เสียงอือๆอาๆ ไม่ต้องไปหาซับไทยให้เหนื่อยใจหรอก” ลิ้นผมหยอกเข้ายอดอกที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตของมันอีกรอบ ตอนนี้มันทั้งบวมเป่งและชูชัน

“ฮะ อื้อออออ พอแล้ว ฮั่ก กู...”

“คำตอบล่ะ”

“คำตอบ...อะไร...”

“ชอบมั้ย?” มันนิ่งอึ้งไป ทิ้งวิวยั่วยวนใจให้ผมมอง เม็ดเล็กสีแดงช้ำกับแก้มขาวๆสีอมชมพูนั่น

“ไม่ชอบมั้ยอ่ะ”

“ฮะ?”

“...แต่ชอบมึง”

“...!”

แม่ง ดาเมจเหี้ยๆ ผมโดนไอ้เรวะมันทำร้าย ไม่ใช่ด้วยร่างกายแต่ด้วยวาจา จากที่ขึ้นเบาๆท่อนล่างมาเต็มที่เลย

“อย่ายั่วกูได้มั้ย”

“กะ...กูไปยั่วอะไร เปล่ายั่วซะหน่อย”

“สัด ไม่รู้หรือแกล้งโง่วะเรวะ” ผมกดตัวคนอยู่เหนือกว่าลงต่ำ พร้อมกับยืดตัวขึ้นไปให้เราสองคนเสมอกัน แนบส่วนที่อึดอัดชวนปะทุอยู่ทุกเมื่อเข้าหาอีกฝ่าย

“อึ๊...ไอ้เม่น!” มันทำหน้าตื่นใส่ผมพลางดิ้นเล็กๆจนส่วนล่างของพวกเราเสียดสีกัน

“อย่าดิ้นดิ มันยิ่งกระตุ้นกูนะ”

“อะ โอ๊ยยยย” จับคอขาวๆมากัดจนจมเขี้ยว ก่อนดูดซับ สร้างรอยห้อเลือดจางๆตีตราจองคนตรงหน้า “เชี่ยเม่น กูเจ็บ เป็นเม่นหรือเป็นหมากันแน่วะ”

“หมาดิ...หมาที่กำลังจะจูบปากคน” จังหวะที่มันจะหันหัวมาด่า ผมรีบคว้าท้ายทอยบังคับริมฝีปากสวยให้รับจุมพิตจากหมาตัวนี้อีกครั้ง วันนี้กูยอมเป็นหมา...หมาป่าที่กำลังจะกินมึงไง

“อื้ออออ” คราวนี้ไวขึ้นกว่าเก่า แค่เสี้ยววิเจ้าตัวก็ตอบกลับจุมพิตผม แถมยังเปิดปากรับจูบอันลึกซึ้งเข้าไปอย่างเต็มใจ พวกเราถอนจูบออกมาแนบหน้าผากเข้าหากันทั้งๆที่ยังหอบสั่นตาพร่า ผมจึงปล่อยโอกาสนี้ให้ร่างบางได้หายใจ

“ไม่น่าเชื่อนะ ว่าพวกเราจะมีวันนี้ได้”

“...”

“วันแรกที่เจอกันยังทะเลาะกันแทบตาย คิดไปถึงวันนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ว่ะ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ

“วันนั้นมึงเลวร้ายมากเลยรู้ตัวบ้างมั้ยไอ้เม่น”

“ฮะ?”

“ก็มึงเล่นด่ากูว่าเป็นโจร แถมยังพามาให้ยืมเสื้อแต่กลับเสือกแกล้งกูให้เดินผ่านทางแคบๆ แถมยังหาว่ากูเป็นไบแล้วจะไม่ให้กู...”

“กูขอโทษ”

“...!”

“ขอโทษทุกอย่าง ขอโทษที่เชื่อข่าวลือบ้าๆ ขอโทษที่กล่าวหามึงแต่ทางที่ไม่ดี พอมารู้ตอนนี้กูโคตรเสียใจเลยว่ะ”

“...”

“มึงให้อภัยกูได้มั้ย”

“จะ...”

“หืม?”

“กูจะไม่ให้อภัยแฟนตัวเองได้ยังไงล่ะ” มันขยับมือมาปิดครึ่งซีกหน้าที่หันมองไปทางอื่น กลบเกลื่อนความเขินอายทั้งหมดที่มี

“พอมาลองนึกดู ตอนนี้กูโคตรกลัวคำขู่มึงเลยว่ะ”

“ระ...เรื่องนั้น...” เหมือนมันจะนึกออกว่าเคยตะโกนอะไรใส่ผม ร่างในอ้อมกอดหลบสายตาเหมือนพยายามหาคำพูดบางอย่างมาปลอบใจ “แต่กูก็ไม่ได้เป็นไบ...เพราะงั้น...”

“ถือว่าคำพูดนั้นโมฆะ”

“ฮะ...อะอือ” เจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆ มันจะรู้ตัวมั้ยว่าคำตอบรับที่ออกจากปากเป็นเหมือนการสั่งสตาร์ทให้ผมสานต่อ จัดการถอดเสื้อเชิ้ตของตนออกจากหัวแล้วปาทิ้งลงข้างทาง

“ได้เวลาอาบน้ำของจริงแล้วล่ะ”

เมื่อฝักบัวใหญ่ถูกปัดเปิดอีกครั้ง สายน้ำสาดซัดเริ่มทำให้ร่างของเราทั้งสองกลับมาเปียกชื้นอีกรอบ ครีมอาบน้ำถูกบีบชโลมลงแผ่นอกขาวลูบไล้จนเสื้อเชิ้ตหลุดออกลาดไหล่ ส่วนเรวะก็ขยับมาจับขอบกางเกงผมก่อนลากลงอย่างไม่ยอมแพ้ หากเจ้าตัวยังคงเหลือผ้าชิ้นน้อยไว้อาจเพราะใจมันไม่กล้าพอ

“อีกชิ้นล่ะ”

“ถะ...ถอดเองดิ”

“ได้” ผมขยับมือไปจับเสื้อมันดึงหลุดออก

“เชี่ยเม่น! ใช่ที่ไหนล่ะ...ของมึงดิวะ”

“อ้าว...นึกว่าของมึงซะอีก”

“มึงยิ้มอย่างนี้อีกแล้วนะ มึงแกล้งกูใช่มั้ย”

“ก็ใครล่ะวะ ทำตัวให้น่าแกล้ง”

“กูเปล่าซะหน่อย!”

“เอาเถอะ ขี้เกียจเถียงว่ะ กูอยากอาบน้ำให้มึงแล้ว”

ครีมอาบน้ำเต็มอัตราศึกถูกชโลมลงแผ่นหลังลูบไล้จนเกิดฟองฟอกเต็มตัวร่างโปร่ง เรวะมันยันมือกับอกผมประคองตัวไว้แบบเสียไม่ได้ ขณะที่ผมพยายามถ่ายน้ำหนักลงมือขยับขัดแผ่นหลังราบเรียบของมันจนสมใจ เลยลากไล้ลามปามลงไปแนวกระดูกเชิงกราน ก่อนตามด้วยสะโพกกลมกลึง

“ฮือออ” เสียงร้องอุทธรณ์ครางเครือในลำคอคนในอ้อมกอดอย่างห้ามไม่อยู่ เรวะมันอายจนแดงไปทั้งตัว สภาพที่หลบมาข้างหน้าก็เจอเม่นน้อย กระโด่งตูดคล้อยไปด้านหลังก็เจอนิ้วมหาประลัย น้ำตาเลยไหลออกมาคลอเบ้า “ไอ้เม่นอย่าแกล้งกูดิวะ”

“กูจะล้างตัวมึงให้”

“ละ...ล้างตัวก็ล้างตัวไปดิ ทำไมจะต้องมายุ่งกับ...”

“ตรงนี้เหรอ” ผมหยอกเอานิ้วไปสัมผัสเบาๆ เรวะถึงกับสะดุ้งดันตัวมาแนบติด...เอาแล้วไงกระแทกไปเต็มๆ

“อะ...ไอ้เม่น”

“เริ่มทนไม่ไหวแล้วว่ะ”

“มึงใจเย็นๆนะ”

“สักรอบในห้องน้ำก่อนได้มั้ย” สายหัวหวือเลยแฟนผม... “แค่ปล่อยอย่างเดียว ในนี้ไม่มีถุงยาง กูไม่ทำจนสุดทางหรอก” ผมพึ่งบอกไปใช่มั้ยว่าถ้าเจ็บผมจะหยุด แต่ถ้ามันไม่หลุดคำนั้นออกมาผมก็จะยืนยันว่ามันไม่ห้ามอะไร ฟองลื่นๆถูกน้ำชะล้างจนหมด มือเอื้อมไปกดปิดฝักบัว ประคองตัวลงนั่งก่อนฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้ลงมาซ้อนตัก

ผมมองส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวเต็มที่ของอีกฝ่าย ไอ้เรวะมันเอาแต่บ่ายเบี่ยงหน้าหนีหลับตาปี๋ไปทางอื่น เลยจัดการเกี่ยวขอบชั้นในของตัวเองลงมาให้เม่นน้อยได้ลืมตาดูโลก กระชับสะโพกร่างบางบรรจงให้ส่วนแกนกลางของเราได้สัมผัสกัน

“อึก...” ขนาดหลับตาปี๋ยังมีมาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยการเอียงตัวมาเกาะไหล่อีกแม่ม...แฟนหนอแฟน...

“ไม่เป็นไร...หลับตาไป มึงแค่รับรู้ความรู้สึกไว้ก็พอ” ผมกระซิบข้างหูมัน ก่อนเริ่มลงมือจัดการขยับมือรวบความเป็นตัวตนของเราสองเข้าหา ลากไล้ไปมาเบาๆ

“ฮึก...อ๊ะ...ไอ้เม่น...กู” หันไปหอมซอกคอกับแก้มนิ่ม ไอ้เรวะมันหลับตาปี๋กัดริมฝีปาก ก่อนลืมตาที่มีน้ำตาคลอหันมาสบ ผมเลยฉวยโอกาสประกบริมฝีปากสีแดงอิ่ม ซึ่งแปลกที่เรวะมันตอบสนองแถมยังขยับมือมาประคองท้ายทอยผมประกบจูบดูดดื่มลึกซึ้งด้วยปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดผลัดกันไปมา

...ผมกำลังจะคลั่ง...

“อ๊ะ...ฮึก อื้อ...เม่น...กู” จังหวะขยับมือถูกเร่งเร็วและแรงขึ้นกะทันหันจนอีกฝ่ายกลั้นเสียงไม่อยู่ ผมกำลังโดนกระตุ้น ทั้งด้วยเสียงและด้วยการกระทำแบบซื่อๆไม่คิดอะไรของคนตรงหน้า

“เรวะ...เรวะ”

“เม่น...ฮะ...กู...จะ...”

“จะอะไร...”

“จะ..ออก...อื้ออออ” ความอุ่นร้อนจากของเหลวขุ่นข้นออกมาแทนที่คราบน้ำที่เปรอะเปื้อนตัว ความรู้สึกปวดท้องน้อยแสนวาบหวามหายไปราวกับมีประกายไฟเปรี้ยงปร้างขึ้นตรงหน้า ผมกับมันเสร็จพร้อมกัน ร่างของเรวะหอบโยน มันซบหน้าผากกับไหล่ผมหันหน้ามามองด้วยสายตาปรือปรอย “มึง...”

“ฮะ?”

“...ด้วยมั้ย” เป็นห่วงกูได้อีก ผมยกมือที่เปื้อนคราบของเราทั้งคู่ขึ้นให้อีกฝ่ายเห็น

“แยกไม่ออกเลยว่าของใครเป็นของใคร” แค่นั้นแหละ แม่งผละตัวออกจากผมแทบไม่ทัน

“สัดเม่น...ทะลึ่ง”

“น้อยกว่าคนที่มาจับกูจูบเมื่อกี้ละกัน” โหยยย แดงครับ แดงเรียกพ่อเรียกแม่ ลากไอ้เรวะไปรวมกับกุ้งสุกตอนนี้ได้เลย

“กูจูบแฟนกู มันผิดด้วยเหรอ”

“...!” คราวนี้คงเป็นผมที่แดงแทนมัน...สัดยิงมาได้ เขินฉิบหาย ดีใจแทบตายเลยโว้ยยยยย “ออกไปที่เตียงกันมั้ย” กูทนไม่ไหวแล้วว่ะ

“มึงออกไปก่อนได้มั้ย”

“ทำไมวะ”

“กู...ยังต้องจัดการตัวเองอีก”

“มึงหมายถึง” เห็นหน้าแดงๆของมันผมรู้ได้ทันที “ให้กูช่วยมั้ย”

“มะ...ไม่ต้องกูทำเองได้”

“มึงรู้วิธี?”

“กูศึกษามาแล้ว” เสียงเงี้ยะอ่อยเชียว ผมกลัวแฟนผมมันเขินตายเลยลุกขึ้นกะเดินออกไปรอ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันมาจับแขนร่างบางตรึงไว้กับกำแพง

“กูทำให้ดีกว่า”

“...!”




กว่าจะหลุดออกมาจากห้องน้ำได้ตัวแทบเปื่อยตาย เนื้อเยื่อแทบยุ่ยติดมือออกมา แฟนผมจากที่ซีดอยู่แล้วแม่งก็ซีดหนักกว่าเก่า แอบกลัวว่าก่อนเด้าแฟนกูจะได้เด้ากับหมอนแทนเพราะแฟนเป็นปอดบวมตาย เลยจัดการพันผ้าขนหนูรอบเอวตนเองและห่อตัวอีกฝ่ายก่อนอุ้มย้ายมันออกมา

“นะ...หนาว หนาวว่ะ เม่น ปิดแอร์ที”

“ครับๆ” ตอนนี้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ กูทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณแฟน พอถึงเตียงไอ้เรวะมันก็กระถดตัวมุดเข้าผ้าห่มตัวสั่นอย่างกับลูกนกตกน้ำ “ไหวมั้ยวะ”

“ฮือ...หนาวว่ะมึง ทำไมมันหนาวแบบนี้วะ” ก็มึงเล่นอยู่ในห้องน้ำชั่วโมงกว่า แถมโดนแต่เครื่องทำน้ำอุ่น พอออกมาเจอลมเย็นที่เครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้ ก็ไข้ขึ้นกันดิครับงานนี้

“ไม่ได้เป็นไข้ใช่มั้ยวะ” ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก ยังดีที่ว่าไม่มีอาการของคนตัวร้อน แอร์ก็ปิดแล้วอีกไม่นานน่าจะบรรเทาอาการของคนตรงหน้าได้

“มึงไม่หนาวเหรอวะ”

“นิดๆ แต่ไม่มาก”

“ไอ้หมีขั้วโลก”

“อันนี้ไม่เกี่ยวกับหมีขั้วโลกรึเปล่าวะ มึงโดนน้ำมากกว่ากู แถมยังโดนฉีดเข้าไปถึงข้างในตั้งหลายรอบ ถ้าไม่หนาวกว่าก็บ้า...”

“ไอ้เม่น!มึงหยุดพูดเลยนะ”

“ทำไมวะ ก็พูดเรื่องจริง”

“ก็กูเขินนี่หว่า!” เหอะ ไม่เขินให้มันรู้ไปโดนผมล้างตู้เย็นซะยกใหญ่ ทั้งล้วงทั้งสะกิดตรงจุด จนเจ้าตัวทนไม่ไหวออกไปรอบสอง คนหน้าบางแบบแอบๆอย่างมันไม่ถึงขั้นเขิน กูว่าก็บ้าแล้ว

“อุ่นขึ้นรึยัง” ผมเอื้อมมือไปจับผ้าขนหนูเช็ดปอยผมของคนตรงหน้า ขยี้เบาๆให้หายชื้น

“ยะ..ยัง”

“แต่กูอุ่นแล้ว” มุดเข้าผ้าห่มอย่างถือวิสาสะก่อนดึงร่างที่สั่นเป็นลูกนกเข้ามากอด “แล้วกำลังจะร้อนอีกรอบด้วย” ร่างบางเกร็งตัวมองผม มันต้องรู้แล้วล่ะ เพราะสัมผัสถูกความแข็งขืนของผมได้

“ขะ...”

“หืม?”

“เข้ามาเลย...กู...พร้อมแล้ว”

สัด มันจะรู้มั้ยว่าปากมันน่ะตัวดีที่จะฆ่าผมให้ตาย พูดแต่ละคำมาได้ไม่สนใจสุขภาพกูเลย

“รอให้มึงอุ่น...”

พรึ่บ!!

ไอ้สาดดดดดดด ใครเอาความใจกล้าของแฟนกูให้กลับคืนมา ไอ้เรวะมันขยับตัวขึ้นทับท้องผม ผ้าขนหนูแหวกให้เห็นขาขาวๆอย่างหมิ่นเหม่ จากที่ตั้งเด่อยู่แล้วนี่ยืนตัวตรงเคารพธงชาติเลยครับ การเล้าโลมอะไรไม่ต้องมีอีกแล้ว มือขยับไปปลดปมผ้าขนหนูตนเองก่อนขยับเสียดสีถูไถกับความนุ่มลื่นของผิวกายอีกฝ่าย ความเย็นถ่ายทอดตรงมาจนต้องรวบร่างบางเข้าอ้อมกอด

“ตัวมึงหนาวจะแย่อยู่แล้วยังจะ...”

“แต่มึง...” มันขยับมือมาจับของผมก่อนพยายามจะทำอะไรที่เกินตัวอย่างการออนท็อป

“โว้ๆ ใจเย็นดิวะเรวะ”

“มึงไม่เป็นไรเหรอ” สายตาดูเป็นห่วง อาจเพราะรู้สึกผิดที่ออกไปถึงครั้งแต่ผมยังจบแค่หนึ่ง

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดิวะ มึงกำลังข้ามขั้นตอนอยู่นะ”

“ขั้นตอน? ขั้นตอนอะไรวะ...นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะไปขอพ่อแม่กูก่อนน่ะ”

“อย่างนี้ไม่รอกูยกขันหมากไปสู่ขอมึงเลยล่ะ...คิดได้นะแพนด้า”

“ละ...แล้วอะไร...”

“ถุงยางกับเจลหล่อลื่นอยู่ในลิ้นชัก” มันขยับลุกออกไปทิ้งผมให้มองพฤติกรรมของคนรักอย่างเอ็นดู...ไร้เดียงสา แต่ก็กล้าที่จะท้าทาย นี่แหละนิยามของไอ้เรวะ

“อะ...อันนี้เหรอ” มือโคตรดีจับได้รุ่นบางเฉียบ ผมแม่งแทบไปแดดิ้นกองอยู่กับพื้นตอนที่มันฉีกซองแล้วพยายามจะสวมให้...

“ดะ...เดี๋ยวกูใส่เอง” หัวใจแทบวาย ปล่อยให้เรวะมันขยับไปนั่งจุ้มปุกรออยู่ข้างๆ จัดการใส่จนเสร็จก่อนพรวดพราดจู่โจมไอ้คนตัวเล็กแบบไม่ให้ตั้งตัว

“ยะ...อื้ออออ” จูบกี่ครั้งก็ยังไม่พอ ตอนแรกผมคิดว่าความหวานมาจากน้ำตาลโกโก้ที่ผมชงให้ แต่พอแนบกลีบปากลงซ้ำๆจุมพิตดื่มดำจนนับครั้งถ้วน ผมบอกได้เพียงอยากเดียวว่าความหวานมันมาจากข้างใน จากการที่ได้สัมผัสกับคนที่ตัวเองรัก ความพยายามที่จะตอบสนองมันเหมือนอีกฝ่ายใส่ใจเป็นห่วงทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด แค่นี้ผมก็รักมันแทบตายแล้ว

“เรวะ...”

“ฮะ...”

“กูรักมึง”

“...!”

“หืม?”

“กะ...กูก็รักมึง” เราต่างยิ้มให้กัน ผมฝังใบหน้าลงแผ่นอก สร้างรอยจ้ำแดงแสดงความเป็นเจ้าของไว้ตามจุดต่างๆ ไล้นิ้วไปต้นขาเนียนจูบซับด้านในจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางในลำคอออกมา ก่อนครอบครองความอ่อนไหวของคนตรงหน้าเข้าไปในปาก “ฮะ....อื้ออออออ”



มีต่อด้านล่างค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด