+++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)  (อ่าน 46509 ครั้ง)

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2019 16:51:36 โดย bennietakky »

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
«ตอบ #1 เมื่อ06-02-2019 16:20:25 »


+++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก I Could Never Be Your Man +++
+++ โดย Ben Puppanont +++

บทนำ

รู้จัก ‘ความเหงา’ กันใช่ไหมครับ

ผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่มักจะปฏิเสธตัวเองว่าไม่เหงา ไม่เคยเหงา หรือถึงจะเหงา เราก็อยู่ได้ อะไรทำนองนั้น – ยังไงดีล่ะ คนเราไม่ค่อยอยากจะยอมรับกันหรอกครับว่าตัวเองเหงา เพราะนั่นอาจหมายถึงภาพสะท้อนของการเป็นคนขี้แพ้ เป็นคนไม่มีสังคม มีความบกพร่องในการหาเครือข่าย มิตรภาพ คู่ชีวิต หรือกระทั่งความอ่อนแอทางด้านจิตใจ (ที่ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว) รวมทั้งการตัดสินอีกมากมายที่อาจตามมา ดังนั้น ‘ความเหงา’ จึงเป็น ‘shame’ อย่างหนึ่งของสังคม และเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแออย่างซื่อตรง หากมีใครสักคนที่ออกมายอมรับว่าตัวเองเหงา สิ่งที่คนๆ นั้นจะได้รับ อาจไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นความสงสารเวทนา หรือการเหยียดหยันว่าเป็นคนบอบบางทางอารมณ์เสียส่วนใหญ่ เหตุเพราะวลีอมตะที่ว่า “ความเหงาไม่เคยฆ่าใคร” มันฟังดูแล้วใช่ น่าเชื่อ และถูกเข้าใจว่านั่นคือความจริงที่ ‘จริงเสมอ’

แต่รู้อะไรไหมครับ ความเหงา มัน ‘ฆ่า’ คนได้จริงๆ

ว่ากันว่าความเหงานั้น ให้โทษต่อสุขภาพเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 ต่อวันเลยทีเดียว

ผมไม่ได้พูดมาลอยๆ อ้างอิงจากงานวิจัยที่เป็นข่าวไปทั่วโลกของ Brigham Young University เมื่อเร็วๆ ซึ่งทีมนักวิจัยได้ทุ่มเทเวลามากถึง 34 ปี ตามเก็บข้อมูลพฤติกรรมของอาสาสมัครกว่า 3,400,000 คนทั่วโลก และพบว่าในกลุ่มคนที่มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคมอย่างสม่ำเสมอ จะมีตัวเลขการเสียชีวิตที่ต่ำกว่ากลุ่มคนที่มักจะแยกตัวและอยู่อย่างโดดเดี่ยวถึง 50% ส่วนกลุ่มคนที่เข้าสังคมน้อยกว่าหรืออยู่อย่างโดดเดี่ยว มีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เทียบเท่ากับคนที่ติดบุหรี่อย่างหนักหรือป่วยเป็นโรคอ้วนนั่นเลยทีเดียว

ทีนี้เราก็รู้แล้วว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยว ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนกว่า แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่อยากจะยอมรับว่าอยู่ดีว่า ‘เหงา’   อาจเป็นเพราะว่าเราไม่เคยรู้ว่าความเหงามันทำอะไรกับเราได้บ้าง
อย่างที่ผมไม่เคยรู้ว่า ความเหงาจากการที่ไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครเลย มันทำให้ผมดูจนตรอก ทั้งในสายตาคนอื่นและความคิดของตัวเองขนาดไหน

+++

สวัสดีครับ สำหรับคนที่จำ "หนุ่มโชคร้ายกับนายแชมป์ว่าว" ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ของผมนะครับ (Ben Puppanont)
สำหรับเรื่องนี้ ไม่ต้องกลัวครับว่าจะดอง เพราะเขียนจนจบแล้ว มีทั้งหมด 19 ตอนด้วยกัน สั้นบ้างยาวบ้าง จะทะยอยลงทีละตอนสองตอนนะครับ ชอบหรือไม่ชอบยังไง ฝากติดตาม คอมเมนท์ แล้วก็แชร์ให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ/ เบน

 :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2019 14:15:19 โดย bennietakky »

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
«ตอบ #2 เมื่อ06-02-2019 16:23:08 »

1

กรกฏาคม

ให้ตายเถอะ
มันจะยากอะไรนักหนากับอีแค่ถุงยางอนามัยกล่องเดียว!

ที่ต้องทำก็แค่เดินไปที่เคาน์เตอร์ หยิบมันขึ้นมาวาง รอให้พนักงานคิดเงิน ก็แค่เนี๊ยะ (นึกภาพพีช พชร ในฮอร์โมนส์ ซีซั่นแรก ในฉากซื้อถุงยางที่แสนสมูท)

อ้อ ต้องแน่ใจด้วยนะว่าถูกยี่ห้อ ขนาด และประเภทการใช้งาน (ว่าแต่แฟนเพื่อน มันใช้ขนาดนี้เลยเหรอวะ)
เหอะ จะเขินเพื่อ?

“รับสองกล่องเลยไหมคะ ตอนนี้มีโปรซื้อสองกล่อง แถมเจลขนาดทดลองฟรี แล้วก็ได้สแตมป์สามบาท เก้าดวงเลยนะคะ”

นั่นไง
โว้ย ไม่ประกาศออกลำโพงไปเลยล่ะ
ว่าแต่ สแตมป์เก้าดวงเลยนะ นั้นเท่ากับว่าประหยัดไปได้ถึงยี่สิบเจ็ดบาทเลยทีเดียว แล้วเราก็อยากได้หมอนผ้าห่มสนูปปี้ที่ต้องใช้แสตมป์นี่แลกอยู่ด้วย
เอ่อๆ ก็ได้   

ผมหยิบขึ้นมาอีกหนึ่งกล่อง พร้อมๆ กับลูกอมดับกลิ่นปากที่หยิบขึ้นมามั่วๆ ด้วยประหม่า 1 ชิ้น พนักงานสาวประจำเคาน์เตอร์ยิ้มแล้วสบตากันอย่างมีเลสนัย

โอเค ยอมรับก็ได้ว่าตอนนี้ใบหน้าเริ่มร้อน ตอนหูเหอคงแดงไปหมดแล้ว

“สินค้าทั้งหมดสามรายการ หนึ่งร้อยสามสิบบาท รับเงินมาสองร้อยบาท เงินทอนเจ็ดสิบบาท แสตมป์สามบาทสิบสองดวง และหนึ่งบาทอีกสองดวงนะคะ”
“ครับ”

ผมรีบรับสินค้าและเงินทอนจนลน ถอยหลังไปชนกับแผงอกของผู้ชายที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังดังปั๊ก!

เชี่ย หล่ออะ!

ผมสะดุ้งจนตัวโยนอีกครั้งเพราะเสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในมือดังเรียกสติ เป็นเพลงของ Ever Again ของ Robyn ผมรีบกดปิดเสียงโดยทันที

“ขอโทษครับ”

ผมพยายาม keep cool คนหล่อแค่พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ ซึ่ง cool, clam และ collected กว่าเยอะ จากนั้นขอก็ทางเพื่อขยับไปจ่ายเงิน ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วินาที แต่ความอับอายนี้น่าจะยังอยู่ไปอีกนาน ทุกครั้งที่นึกถึงแน่ๆ

โว้ย
ผมเดินผ่านประตูอัตโนมัติออกมาด้านนอก ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับผับชื่อดังของจังหวัด ที่ผมนัดกับ ‘ไอติม’ เพื่อนสนิท และแฟนใหม่ของมัน สองคนมาเอาโต๊ะล่วงหน้าตั้งแต่หัวค่ำ อาจจะเมาได้ที่ไปแล้ว ส่วนผมต้องรอให้ซีรีส์วายเรื่องโปรดจบก่อนเท่านั้น

มือถือในมือยังคงสั่นอยู่ แต่ก็ไม่สู้เสียงอึกทึกของถนนในตอนดึกที่ยังคงเต็มไปด้วยรถรา มุ่งหน้าสู่แยกที่รถติดมากที่สุดแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ผมมองซ้ายขวาเพื่อที่จะข้ามถนน ดนตรี hip-hop จากผับฝั่งตรงข้ามแผดเสียงสู้

ต่อไปนี้ ขอให้นึกถึงฉากเปิดของหนัง Something’s Gotta Give ของ Nancy Meyers ผมกำลังเดินข้ามถนนราวกับ Jack Nicholson ต่างกันแค่ผมไม่แก่และไม่เท่เท่าลุง อ้อและบรรดาสาวสวยนางแบบในฉากนั้น กลายเป็นหนุ่มหล่อสไตล์ไอดอล มากหน้าหลายตา ที่เดินสวนกันไปมาหน้าผับเท่านั้นเอง

หล่อโคตร
น่ารักว่ะ
หุ่นดีสัด
หือ ใจบาง

ผมเผลอเหลียวหลังมองทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง สถานการณ์ราวกับผมได้หลุดไปอยู่ในโชว์ของ Boys of Bangkok จนกระทั่งโทรศัพท์ที่สั่นและดับไปแล้ว สั่นขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สอง

“เออ มีอะไร”
ผมกรอกเสียงลงไป เพราะไอ้ตัวต้นเหตุนั่นแหละที่เป็นฝ่ายโทรเข้ามา
“นึกว่าตายห่าไปแล้ว ถึงไหนแล้ววะ”
“ถึงแล้วโว้ย แวะซื้อถุงให้มึงอยู่เนี่ย จะเอากันยังต้องเดือดร้อนกูอีก”
“ไม่พอใจ จะทรีซัมก็ได้นะเว้ย กูโอเค”
“มะเหงกนี่”
“เออๆ ขอบคุณครับท่าน ‘ตี้’ กูกลัวว่ามึงจะเบี้ยวไม่มาเฉยๆ เพราะถ้ามึงไม่มานะ คือพลาดมาก บอกเลย เพื่อน ‘เฟม’ ตัวจริงโคตรหล่อ”
“เออ รู้แล้ว กูมีตาดูเองได้ ไม่ต้องยัดเยียด มึงเดินออกมารับกูหน้าร้านเลย ขี้เกียจเดินหา”

ผมสั่งก่อนจะกดวาง ในร้านค่อนข้างจอแจ แต่เสียงจากโทรศัพท์ไม่ได้อึกทึกถึงขนาดไม่ได้ยินอะไรเลย เดาว่าสองคนน่าจะอยู่แถวโซนนั่งเล่น กินข้าว
ผมข้ามถนนไปอีกฝั่ง เจอกับไอติมที่ออกมานอกร้านพอดี

“งายจ๊ะ เพื่อนรักของน้องติม”
มันเรียก ผมปาถุงใส่ของจากร้านสะดวกซื้อใส่อก มันรับไว้ทัน
“ส้นตีนนี่ ร้อยสามสิบบาท กูซื้อลูกอมให้ด้วย เผื่อมึงนึกอยากจะจูบปากกันคาโต๊ะเลยไง ดีไหม”
“รอบคอบมากครับเพื่อน”
“นี่กูบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่ากูไม่ได้สนับสนุนให้มึงชิงสุกก่อนห่าม แต่มึงมันแรดของมึงเอง”
“เออ รู้แล้วน่า” มันเดินมากอดคอ “ป่ะ เฟมเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว กูไม่ไว้ใจชะนีในร้านว่ะ จ้องแฟนกูจนจะงาบหัวอยู่ละ”
“อ้าว ละเพื่อนแฟนมึงอะ”
“ออกไปสูบบุหรี่มั้ง ร้อยเอาบาทเดียว กูว่ามึงต้องชอบน้อง ‘วิน’ แน่ๆ สูง หล่อ ขาว ตี๋ หุ่นดี สเป๊คมึงเลย มึงต้องทำตัวดีๆ นะเว้ย อย่าทำตัวประหลาดเหมือนทุกวัน กูโม้เรื่องมึงเอาไว้เยอะ”

ปกติไอติมไม่ใช่คนพูดจาเกินจริง แต่ถ้าเป็นในช่วงเวลาที่มันทั้งมึนเพราะฤทธิ์เหล้าและเมาเพราะฤทธิ์รักแบบนี้ ขอไม่เชื่อเอาไว้ก่อนดีกว่า

ว่าแต่ ถ้ามึงคิดว่ากูประหลาด ก็ไม่ต้องชวนกูไหมสัด

“เชียร์เก่ง ถ้าหล่อขนาดนั้นเขาก็ไม่เอากูหรอกมั้ย ดูหน้าเพื่อนมึงบ้าง อย่าสักแต่เชียร์”
ผมวิเคราะห์ตามบริบท แต่ไอติมพยายามการันตีว่าหล่อจริง แบบจริงจังเกินความจำเป็น ถึงขั้นพยายามหาไอจีให้ดู
“พอๆ ไม่ต้องหรอก ดูตัวจริงเลยดีกว่า ว่าแต่มัน ‘เป็น’ เหรอวะ”
“ไม่รู้ว่ะ แต่ที่แน่ๆ ยังไม่มีแฟน กูถามเฟมแล้ว”
“เอ๊า”

เฟมคือว่าที่เมีย เอ้อ แฟนใหม่ของมัน ดีกรีคิวท์บอยคณะบัญชีจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาไถมือถืออยู่ที่โต๊ะ เห็นด้วยกับไอติมว่าถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อีกหน่อย สิงห์สาราสัตว์บริเวณนี้น่าจะพุ่งเข้ามาแทะโลมอย่างแน่นอน

“ตอนกูเอารูปมึงให้น้องเขาดู น้องเขายังบอกว่ามึงน่ารักอยู่เลย”
“พอ” ผมเอ็ด “กูอาย”

คำว่า ‘น่ารัก’ มันก็แค่คำชมทั่วไปปะวะ เหมือนๆ กับชมว่า ‘โอเค’ ‘ไม่เลวร้าย’ เป็นการชมตามมารยาทเพื่อหลีกเลี่ยงการชี้ชัดว่า คนคนนั้น หน้าตาดีหรือไม่ดี หล่อหรือไม่หล่อ

ผมมองสำรวจน้องเฟม จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า ทรัพยากรงานดีเกรดพรีเมียมขนาดนี้ มาเห็นอะไรดีในตัวเพื่อนผม ที่พูดนี่ ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกเพื่อนหรืออะไรหรอกนะ ไอติมเป็นคนหน้าตาดี (ดีกว่าผมแล้วกัน) นิสัยก็ดี ที่บ้านก็พอมีฐานะ แต่ว่าพวกเราเป็นเพียงเด็กมหาวิทยาลัยชั้นสองในจังหวัดภูธร นั่นคือความจริงที่ต้องยอมรับ โลกของพวกเรากับเด็กไฮโซเมืองหลวงอย่างเขา โอกาสที่จะคอรสโอเวอร์กันนั้น มันไม่ได้จะเกิดขึ้นง่าย ๆ นี่ผมยังไม่ได้ซักไซร้ไล่เรียงมันเลยนะ ว่าไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน เมื่อไหร่ แต่เดาเอาว่าไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือน แต่สำหรับคนที่กำลังตกหลุมรักหัวปักหัวปำ   แค่นี้ก็คงนานพอแล้วมั้ง ที่คนสองคนจะบินมาเจอกันตัวเป็นๆ

เฟมเงยหน้าขึ้นมาทัก รอยยิ้มน่ารักนั้นทำเอาผมต้องยอมรับตามตรงว่าอิจฉา ขณะเดียวกันก็เข้าใจไอติมแทบจะในทันที หล่อขนาดนี้ ต่อให้โดนฟันแล้วทิ้่งก็ยอมอะ พูดจริงๆ
ไอติมแนะนำเฟม แล้วขยับไปนั่งข้างๆ อย่างเขินๆ ตอแหล น่าหมั่นไส้มาก

“นี่วินยังไม่กลับมาเหรอ”
“โน่นแน่ะ”
ผมหันไปมองตามที่เฟมบอก

เห็นภาพผู้ชายร่างสูงเสื้อยืดสกรีนลายสีขาว ที่เดินเลี่ยงโต๊ะอื่นๆ ค่อยๆ ชัดขึ้น เรียกว่า ไม่ต้องพยายามมองหาก็ได้ว่าเป็นใคร ดูโดดออกมาจากฝูงชนในร้านซะขนาดนั้น

และยิ่งเมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ …

บิงโก
ใช่เลย ใช่คนที่ผมถอยหลังไปชนที่ร้านสะดวกซื้อเมื่อหลายนาทีก่อน
โอ่ยยยยยยย น่าอาย น่าอายว่ะ

“วิน นี่พี่ตี้นะ”
เฟมแนะนำ   เรียกสติให้ผมเก็บอาการลน ยิ้มอย่างมีมารยาท แล้วขยับให้เขานั่งด้วย
เขากล่าวขอบคุณ

แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ได้ยินเพียงเสียงเพลงจากลำโพงในร้านทีดังตีกับเสียงจอแจของนักเที่ยว
ไอติมมองผมแบบส่งสัญญาณ ยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนจะถามว่า ‘เป็นไงมึง โอเคไหม หล่ออย่างที่กูบอกไหม’ ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ที่อึดอัดอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกอับอายไปอีก เพราะคนที่นั่งข้าง ๆ ผมก็น่าจะเข้าใจไอ้ท่าทางที่เพื่อนผมพยายามจะสื่ออยู่นั่นเช่นกัน ผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะเด๋อๆ เจื่อนๆ แบบนี้แหละ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยังมา เพียงเพราะไอติมบอกว่าเพื่อนแฟนมัน ‘หล่อ’ งั้นเหรอ โคตรจนตรอกจังวะ

ก็ไม่คิดว่ามาแล้วมันจะเด๋อขนาดนี้ไง
ไม่มีการพูดถึงเรื่องที่ร้านสะดวกซื้อ ไม่มีการซักถามใดๆ ทั้งสิ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำเป็นดูนั่นนี่

“พี่ตี้ สั่งไรมากินไหมครับ”
เฟมถามผม เพื่อทำลายความเจื่อน
“ไม่เป็นไรครับ พี่กินมาแล้ว”
“งั้นดื่มอะไรไหมครับ”
“งั้น น้ำเปล่าก็ได้ครับ”
“ไม่กินเหล้าเหรอครับ”
“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ไว้ตอนย้ายเข้าไปข้างใน”
“มึงอะวิน เอาไรไหม”
“ไม่อะ”
“ถ้างั้น เราเช็คบิลแล้วย้ายโต๊ะไปโซนเต้นเลยไหมครับ”
“ครับ”

เยี่ยม!

น้องที่ชื่อ ‘วิน’ ก็หล่ออย่างที่ไอติมบอกจริงๆ ในส่วนของหน้าตาจัดว่าน่ารักแนวโอปป้า แต่ด้วยรูปร่างและส่วนสูงที่เกินมาตรฐานทั่วไป บวกเข้ากับท่าทางนิ่งๆ หากจะมองว่าหล่อมากกว่าน่ารัก ก็คงจะไม่ผิด ต่างกับเฟม ที่ดูแว่บแรกจะสะดุดตาที่ความหล่อ แต่มองนานๆ จะพบว่าน้องมีมุมน่ารักและสบายๆ มากกว่า

เอ้อ สองคนนี้เพิ่งจะอยู่ปีสอง ในขณะที่ผมกับไอติมเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว
ผมถือแก้วน้ำเปล่า เดินตามเพื่อนไปยังโซนเต้นรำแบบงงๆ

+++

“เป็นไงมึง หล่อจนพูดไม่ออกเลยใช่ไหม”
เฟมแอบกระซิบถามตอนที่เรากำลังย้ายมายืนหน้าเคาน์เตอร์ด้านในร้านอีกโซน

เออ พูดไม่ออก ใบ้แดกเลยเหอะ ผมคิดในใจ

“เอาจริง น้องเขาเงียบๆ อยู่แล้ว หรือเป็นเพราะมึงชงกู”
ผมถาม
“เฮ้ย คิดมาก น้องเขาก็เป็นคนเงียบๆ แบบนี้แหละ จริงๆ มึง นี่กูก็พยายามชวนคุยแล้วนะ”
“แล้วมึงก็ชงคนใบ้ให้มาเจอกับคนจางเนี่ยนะ”
“ก็กูอยากให้มึงโดนเปิดซิงซะทีนี่นา”
“ไอ้เชี่ยนี่”
“กูล้อเล่น เอาน่ามึง ถือว่ามาคลายเครียด มาเที่ยวกับคนหล่อๆ แบบกูกับอีกสองคนไม่ดีเหรอวะ”
ผมแอบเหล่มองไปทางสองหนุ่มเมืองกรุง ที่กำลังเอียงหน้าคุยแข่งเสียงดนตรีเหมือนกัน
“มึงแน่ใจนะ ว่าเขาไม่ใช่ผัวเมียกัน ดูตาม้าตาเรือด้วย”
“มึงก็คิดได้เนอะ ใครที่ไหนจะปล่อยให้แฟนมาคุยกับคนอื่นวะ”
“จะไปรู้เหรอ คนเราสมัยนี้แปลกๆ เยอะไป มึงเพิ่งชวนกูทรีซัมอยู่เลย”

ไอติมแกล้งผลักหัวผมออก แล้วหันไปชวนคุย ดึงความสนใจจากแฟน แว่บหนึ่งที่หันไปเบ้ปากใส่ทั้งคู่ สายตาผมก็สบเข้ากับน้องวินที่มองมาพอดี
ก็ได้ ลองสักตั้ง อาจจะไม่เลวร้าย น้องเขาอาจจะแค่เขินๆ กับคนไม่รู้จักแค่นั้นเอง

“วิน มาเชียงใหม่บ่อยปะ”
ผมตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลง
“อะไรนะครับ”
“มาเที่ยวเชียงใหม่บ่อยไหม”
“ไม่อะครับ”
“แล้วปกติอยู่ที่กรุงเทพไปเที่ยวแถวไหนอะ”
“ไม่ครับ ผมไม่ค่อยเที่ยว”
“อืม แล้วนี่มาถึง ได้ไปไหนบ้างหรือยังอะ”
“ยังเลยครับ”
“พรุ่งนี้ไปเชียงรายด้วยกันใช่ปะ”
“ครับ”
“เสื้อสวยดีนะ ซื้อที่ไหนเหรอ”
“จำไม่ได้ครับ ซื้อนานแล้ว”

อ้อ

เจื่อนของจริง ถามคำตอบคำแบบนี้ ถ้าเซนส์ไม่พังไปซะก่อน ก็น่าจะรู้ตัวว่าเขาไม่อยากคุยด้วย ผมเลยเลิกพยายาม แล้วเปลี่ยนมาชงเหล้าให้ตัวเองแทน เผื่อว่าจะลดความประหม่า ละลายพฤติกรรมเหนือไม่ไปใต้ไม่มานี้ได้

“เฮ้ย มิกซ์ ทางนี้”

ผมหันมองตามเสียงเรียกของไอติม เห็น ‘มิกซ์’ เด็กเอกภาษาญี่ปุ่น แฟนเพื่อนในกลุ่มเด็กเอกภาษาอังกฤษธุรกิจที่ผมกับไอติมเรียนอยู่ เดินถือแก้วเครื่องดื่ม เบียดผู้คนเข้ามาทักทายเรา

“ไอ้เตอร์อะ”
‘เตอร์’ คือแฟนมิกซ์ - คนที่ผมพูดถึง
“อยู่ท่าช้างกับเพื่อนมั้ง มิกซ์มาเลี้ยงวันเกิดพี่รหัสเฉยๆ กะว่าถ้าไม่ดึกอาจจะตามไป”
ไอติมแนะนำมิกซ์ให้กับสองหนุ่มจากเมืองหลวง ก่อนยกแก้วขึ้นชนรอบวง
“ไม่ยักรู้ ว่าตี้เที่ยวด้วย” มิกซ์หยอก “ได้อยู่นะ คราวหน้ามิกซ์ชวนต้องมานะ”
ผมยิ้มแห้งๆ ให้แทนคำตอบ
“คนไหนแฟนตี้อะ”
มิกซ์เข้ามากระซิบที่ข้างหูถาม
“ไม่มี ของไอติมมัน คนชื่อเฟมน่ะ ส่วนคนนี้ชื่อน้องวิน โสดมั้ง”
“อ้าว เหรอ”

มิกซ์ยิ้มพอใจ แล้วยื่นแก้วไปขอชนแก้วกับวิน และนั่นทำให้ผมต้องขยับตัวออกจากวง เพื่อให้ทั้งสองคนได้ตะโกนใส่หูคุยกันได้ถนัดขึ้น

ผมไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร แต่ท่าทางจะถูกคอ ไม่เห็นถามคำตอบคำแบบตอนที่ผมชวนคุย สังเกตจากการที่มิกซ์หัวเราะร่วน ส่วนอีกฝ่ายยิ้มตาม แล้วก็ยกแก้วขึ้นชนกัน ก็รู้เลยว่าคลิก

แต่เดี๋ยวนะมิกซ์ มึงมีแฟนแล้วนะ

ส่วนไอ้เด็กเวรนี่ ทีกับกู ไว้ตัวอย่างกับเจ้ากับเชื้อ แต่พอเป็นไอ้มิกซ์ คือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนแทบจะทันที เออ ก็เข้าใจแหละ คนหน้าบ้านๆ คุยไม่เก่งอย่างกู มันจะไปสู้หนุ่มลำปาง ขาวๆ ปากแดงๆ หน้าตาน่ารักๆ อย่างไอ้มิกซ์ ได้ยังไง เอาเป็นว่ากูเข้าใจมึง
ผมสบตากับไอติมแบบงงใจ ตอนนี้วงสนทนาลามไปยังน้องเฟมแล้ว
โอเค เยี่ยม

“กูไปห้องน้ำ นะ”
ผมตะโกนบอกไอติม
“เออ ๆ กูไปด้วย”

+++

ห้องน้ำด้านนอกอยู่ในบริเวณที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ พอทำธุระเสร็จผมก็เลยมานั่งที่โซฟาเพื่อฆ่าเวลา ไอติมเดินมาตบไหล่
“ปะ เข้าไปข้างในกัน”
“มึงเข้าไปก่อนเหอะ กูว่าจะนั่งดูซีรีส์ในไลน์ทีวีซักตอน”
“ไม่สนุกเหรอวะ” มันนั่งลงข้างๆ ผม “กูขอโทษนะเว้ย ที่ลากมึงมาอะ แต่จะมากันสามคน กูกลัวน้องเขาเหงา ไม่มีเพื่อนคุย ก็เลย…”
“งั้นกู กลับเลยได้ปะ กูง่วง ข้างในก็มีไอ้มิกซ์แล้ว”
“เดี๋ยวมิกซ์มันก็กลับไปโต๊ะมัน นี่อย่าบอกนะ ว่ามึงหึงน้องวิน”
“มะเหงกนี่”
“อ้าว น้องเขาไม่สเป็คมึงเหรอวะ”
“ก็ดี” ผมตอบ “แต่หยิ่งเชี่ยๆ คุยกับกู เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง”
ไอติมหัวเราะ
“เอางี้เพื่อน กูมีของดี”
มันล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบแผงยาหน้าตาแปลก ๆ ขึ้นมา
“เชี่ย อะไรของมึง”
ผมตกใจ ปัดมือมัน แล้วหันมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
“ยาปลุกเซ็กซ์มึง ไม่ใช่ยาอี ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น”
“ก็ผิดกฎหมายอยู่ดี มึงเอามาทำแปะมึงเหรอ กูยังไม่อยากติดคุกนะเว้ย”
“ก็ทีแรกกูว่าจะเอามาใช้กับเฟมแหละ แต่คงไม่ต้องใช้แล้วว่ะ น้องแม่งคันอยากได้กูตั้งแต่เครื่องยังไม่แลนแล้ว ดังนั้น กูให้มึง”
“ไม่เอา” ผมบอกปัดทันที “แล้วนี่ มึงไปเอาของพรรค์นี้มาจากไหน”
“ในเน็ตดิวะ เยอะแยะ ไร้สีไร้กลิ่น เดี๋ยวกูเอาใส่ในแก้วเหล้าให้วินกินดีมะ”
“มึงหยุดเลยไอติม ถึงกูจะหาแฟนไม่ได้ตลอดชีวิตหรือไม่มีคนเอา กูก็ไม่ใช้วิธีทุเรศแบบนี้เว้ย มึงหักเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กูล้อเล่น นี่ก็ซีเรียสเกิ๊น เออ เอาไว้เผื่อทริปเชียงรายก็ได้ กูให้มึงนอนห้องเดียวกัน แต่กูจะไม่บอกมึงหรอกนะว่ากูจะวางยามันตอนไหน”
“พ่องมึงดิ อย่านะเว้ย”
“หรือมึงไม่อยากได้”
“เขาก็ต้องอยากได้กูด้วยไหม”
“น่า เดี๋ยวกูชงให้”
“มึงไม่กลัวเฟมรู้เหรอวะ ว่ามึงตั้งใจจะมอมเขาเนี่ย”
“ก็กูอยากได้เขาอะ กูกลัวว่าเขามาเจอตัวจริงกูแล้วจะไม่ชอบ กูเลยเตรียมแผนสองเอาไว้ แต่เห็นไหม กูก็ไม่ได้ใช้ไง น้องมันขอกูเองตั้งแต่บ่ายแล้ว เนี่ย มึงดู”
มันโชว์ข้อความแชทในมือถือให้ดู เต็มไปด้วยข้อความทะลึ่งตึงตัง ชวนสยิว ทำเอาผมหน้าแดง
“ถ้าไม่มีน้องวินมาด้วยนะ กูจัดกันตั้งแต่ตอนเช็คอินที่โรงแรมแล้ว กูก็อยากกลับเร็วๆ ไม่ต่างจากมึงหรอก”
“แล้วมึงก็มีหน้าเอายานี่ให้มาให้กูดูเนี่ยนะ ทิ้งไปได้แล้ว”
“ไม่เอา ซื้อมาแพง อีกอย่าง เผื่อมึงต้องใช้ไง”
“สัด”
“กูอยากให้มึงมีแฟนอ่ะ เห็นมึงชอบบ่นว่าไม่มีใครเอา แล้วถ้าเป็นน้องวิน มันก็เพอร์เฟ็คท์เลยปะวะ อีกอย่าง เฟมมันก็เห็นด้วยนะเว้ย มันอยากชงให้มึงสองคนได้กันไม่ต่างกับกูเลย เนี่ยยังการันตีอีกนะว่า เพื่อนมันนิสัยดีมาก เพิ่งอกหักจากผู้หญิงมาด้วย เผื่อว่า…”
“พอเลย หยุด มึงจะมีเมียก็มีไป กูดีใจด้วย แต่ไม่ต้องมาสมเพชกู”
“กูเปล่า ตี้ กูรู้นะ ว่าน้องเขาสเป๊คมึงเลย ไม่ใช่แค่ก็ดี”

ผมจะอ้าปากเถียง แต่ก็นึกคำพูดไม่ออก ความคิดเกี่ยวกับไอ้เด็กเมืองกรุงแว่บขึ้นมาในสมอง ผิวขาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปไข่ ตาชั้นเดียวแต่คม จมูกโด่งเป็นสัน ปากแดง และรูปร่างสูง กำยำ เดี๋ยวๆๆ ชมมันอย่างกับว่าเราชอบมันเลย ว่าแต่ คนเราสามารถชอบคนที่เพิ่งเจอไม่ถึงชั่วโมงจริงๆ เหรอ

ไม่ๆๆๆ

“เออ มันก็หน้าตาดีอยู่หรอก”
“นั่นไง มึงโอเคใช่ปะ มึงชอบใช่ไหม เดี๋ยวกูจัดให้เพื่อน”
“ไม่เว้ย หล่อให้ตายกูก็ไม่เอา” ผมตอบ “หยิ่งยังกะเทวดา แม่งคงไม่อยากมาเกลือกกลั้วกะกูหรอก มึงไม่เห็นเหรอ กูอุตส่าห์ชวนแม่งคุย แต่ดูมันดิ กับกูนี่ถามคำตอบคำ แล้วพอเห็นไอ้มิกซ์มาหน้าตาดีเข้าหน่อย นิสัยงี้จากหลังตีนเป็นหน้ามือ กูก็อุตส่าห์ถามถึงไอ้เตอร์เป็นนัยๆ ละนะ ให้มันรู้ว่าไอ้มิกซ์มีแฟนแล้ว แต่แม่งคงไม่ใส่ใจ”
“เดี๋ยวๆ มึง ใจเย็น เมาปะเนี่ย แล้วก็บอกไม่หึง”
“ไม่ได้หึง กูแค่ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำห่าอะไร แล้วกูก็รำคาญแม่งด้วย เก๊กชิบ แต่ก็อย่างว่าแหละ รู้ตัวว่าหน้าตาดีไง สูงส่ง”

ไอติมอ้าปาก ตั้งท่าจะเถียงแต่แล้วก็ค้างไว้ มันมองเลยผมไป

ผมหันไปด้านหลัง เทวดาที่ผมกำลังพูดถึง ยืนหน้านิ่งๆ มองเราสองคนดว้ยสายตาเย็นยะเยือก มันขบกรามเหมือนกำลังสะกดอารมณ์ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เวร

“มันได้ยินปะวะ”
ผมถาม
“กูว่ามันได้ยินว่ะ”

เวร! เวร! เวร!

+++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2019 16:32:44 โดย bennietakky »

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
«ตอบ #3 เมื่อ06-02-2019 16:44:30 »

2

เวร!

ผมไล่ไอติมให้ไปอยู่เป็นเพื่อนเฟมที่โต๊ะ เพราะถ้าหากไอ้น้องวินออกมาจากวงได้ นั่นก็แปลว่าไอ้มิกซ์กลับไปที่โต๊ะของมันแล้ว ส่วนผมขอทำหน้าที่รับผิดชอบด้วยการรอเด็กนั่นอยู่ที่หน้าห้องน้ำ เพื่อขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างจริงใจ

มันเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้านิ่งๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่าอย่างแรง

“เอ้อ คุยด้วยหน่อยสิ”
ผมรวบรวมความกล้าเข้าไปทักอีกฝ่าย ด้วยรู้ตัวว่าพูดจาคะนองปากเกินไป แต่เขาคงไม่ถือสาขาคนที่กำลังกรึ่มๆ อยู่หรอกมั้ง
“มีอะไรเหรอครับ”
“ก็ เรื่องตะกี้…”

มันกอดอก หันมายืนค้ำหัวผมด้วยความสูงที่ได้เปรียบกว่า สายตาพร้อมมีเรื่อง จนผมรู้สึกเครียดตาม

“ตะกี้ทำไมเหรอครับ”
“แล้วได้ยินอะไรบ้างอะ”
“แล้วพี่คุยกันเรื่องอะไรบ้างล่ะครับ”
ไอ้เด็กวินกวนตีนกลับ ซึ่งมันมีสิทธิ์ทุกประการละนะ
“คือที่พูดตะกี้อะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะ…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดีว่าคนอย่างพวกพี่ ก็พูดจาหรือมีวิถีชีวิตกันแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ผมไม่ถือ”
“เออ ก็นั่นแหละ พี่มึนๆ นิดหน่อย ก็เลยอาจจะพูดมากนิดนึง แต่ก็พูดถึงในทางที่ดีนะ กำลังชมกันว่าวิน…”
“ผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้ยิน… ส่วนพี่ ถ้ารู้ตัวว่าคออ่อนก็ไม่ควรจะดื่มนะครับ ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมผมจะต้องมาทนฟังคนแบบพวกพี่ พูดถึงผมกับเพื่อนแบบเสียๆ หายๆ ด้วยวะ เพื่ออะไร แล้วอ้างว่าเมาเนี่ยนะ แบบนี้ก็ได้เหรอวะ”
ผมอ้าปากจะเถียง แต่สมองยังประมวณผลสิ่งที่เข้าหูได้ไม่ดีนัก นี่ผมโง่หรือน้องเขาด่าผมลึกจนเกินสติปัญญาผมจริงๆ วะ
“คนแบบพวกกูมันยังไงวะ”
“ก็แบบนี้ไง ที่พี่ถามว่า ผมได้ยินอะไรบ้าง ก็ตั้งแต่เรื่องยาอะไรของพี่นั่นแหละ ก็ขอบคุณนะ ที่คิดว่าผมหน้าตาดี แต่ขอโทษด้วยนะครับ ต่อให้พี่คิดจะมอมผม หรือผมมีอารมณ์อยากเอากับใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่เอามาลงกับคนแบบพวกพี่แน่ๆ เพราะถึงผมจะไม่ใช่เทวดาอย่างที่พี่ว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นเกย์เว้ย อย่าเหมารวมหรือคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนนั้นเป็น คนนี้เป็น เพียงเพื่อสนองนิสัยคะนองปากไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง”

ไอ้เชี่ย หน้าชาไปเลย โดนด่าแบบแรงมาก

“หรือต่อให้ผมเป็นเกย์จริง ผมก็เลือกปะวะ”
“เออ… ก็ดีแล้วไง ดีๆ”

ผมเออออข้างๆ คูๆ เผื่อมันจะใจเย็นลง
เด็กนั่นปล่อยมือออกจากท่ากอดอก แล้วใช้ตัวดันผมจนถอยไปติดกับผนังห้องน้ำ  ใบหน้าโน้มเข้าหาจนปลายจมูกเกือบจะชน แต่ผมกลับแข็งทื่อ คิดอะไรไม่ออก จะเป็นลมเอาดื้อๆ

“ใจเย็นดิ มึงจะทำไรวะ”
“พี่อยากได้ผมเหรอ”
“เฮ้ย ก็บอกละไงว่าแค่ล้อเล่น”
“ใช่เหรอ คิดดีๆ เอางี้ ถ้าพี่อยากได้ผมมากๆ ก็ลองอ้อนวอนผมดูสิ ผมอาจจะใจดีสงเคราะห์พี่ก็ได้ เผื่อพี่กับเพื่อนพี่จะหายร่านได้บ้าง เอาไหมครับ”
“เกินไปแล้วนะเว้ย”

ผมเริ่มเข้าใจสถานการณ์และโกรธขึ้นมาจริงๆ บ้างแล้ว

“เอ้า ขอผมดิ เพราะดูสภาพแล้ว ทั้งชีวิตนี้ พี่คงหาคู่นอนดีๆ แบบพวกผมได้ยาก แต่อย่าให้ถึงกับต้องมอมกันเลยครับ ขอกันดีๆ อาจจะได้ก็ได้นะ อุตส่าห์ซื้อถุงยางเตรียมไว้แล้วนี่”
“มึงว่าไงนะ”

มันกดใบหน้าเข้ามาใกล้อีก จนผมต้องเบี่ยงหลบ รู้สึกถึงลมหายใจมันที่รดต้นคออยู่ สมองผมตื้อจนคิดอะไรไม่ทัน

“ว่าแต่ พวกเกย์นี่ เขาคันกันแบบนี้ทุกคนปะ นี่ขนาดยังไม่เจอตัวจริง ก็วางแผนกันซะขนาดนี้แล้ว คือจะเอากับใครก็ได้งั้นดิ เจ๋งว่ะ”
“เฮ้ย มึงจะเยอะไปแล้วเว้ย กูก็ขอโทษแล้วไง”
“คำขอโทษส่งๆ น่ะเหรอ”
“ละมึงจะเอาไง”

ผมผลักอกเด็กนั่นเต็มแรงด้วยความโกรธจัด ยกหมัดขึ้นกะจะฟาด แต่ก็ยั้งเอาไว้ทัน อีกฝ่ายก็ยังไม่หลบ คงคิดว่าผมไม่น่าจะต่อยมันได้
เอาจริงๆ ผมคงขี้ขลาดเกินกว่าจะมีเรื่องชกต่อย พอคิดได้ดังนั้น จึงรีบพุ่งตัวกลับเข้าไปในโซนเต้นรำอย่างหูหนวกตาบอด ไม่รู้ว่าเดินชนไหล่ใครไปแล้วบ้าง

“เป็นไงวะ วินอะ”
ไอติมตะโกนถามทันทีเมื่อถึงโต๊ะ
“ไม่รู้มัน กูจะกลับละ”
“เฮ้ย อะไร ทำไมวะ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่ต้อง มึงอยู่กับเฟมเหอะ” ผมบอก “กูมาบอกมึงเฉยๆ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไปนะเฟม เจอกัน”
น้องไหว้ผมอย่างงงๆ

ไม่ต้องงงหรอก เดี๋ยวเพื่อนมึงมาก็รู้เอง

ผมเดินแหวกฝูงคนที่เริ่มหนาแน่นเพราะวงดนตรีสดวงสุดท้ายกำลังเริ่มเล่น สวนกับไอ้เด็กห่านั่นด้วย แต่ผมไม่สนใจแล้ว
หล่อตายแหละมึง หน้าตาดีระดับประเทศ แต่ถ้าปากแบบนี้กูก็ไม่เอาเหมือนกันเว้ย ถึงว่า ไม่น่าจะโสดธรรมดา น่าจะโดนผู้หญิงทิ้ง เพราะทนปากหมาไม่ไหว หน้าตาดีแต่ชอบดูถูกคนแบบนี้ ไม่น่าจะมีใครทน

นี่เจ็บใจจนเลือดขึ้นหน้า ขอบตาร้อนผ่าว

แม่ง เกิดมายี่เอ็ดปี ถึงจะไม่เคยมีแฟน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกไร้ค่าขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครมาด่าซึ่งๆ หน้าว่าร่าน ไม่มีใครเอา เอาไม่ลง นี่ผมหน้าผีขนาดนั้นเลยเหรอวะ

ผมขยี้ตาแรงๆ แล้วเดินออกมาเรียกรถแดง ไม่มีอารมณ์จะต่อรองเมื่อคนขับเรียกราคาเว่อร์วัง ที่ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ ผมคงขอบายไปแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ในหัวตอนนี้คือ ทำยังไงก็ได้ให้กลับไปถึงหอพักให้เร็วที่สุด

+++

แต่ถึงจะนอนดึก ผมก็ยังตื่นเวลาเดิมทุกวัน คือเจ็ดโมงเช้า เนื่องจากในช่วงเปิดเทอม เอกเรามีเรียนเช้าเกือบทุกวัน นาฬิกาชีวภาพในร่างกายยังทำงานดีอยู่ แต่หน้าตาซูบโทรมและเบ้าตาลึกโหลคือปิดยังไงก็ไม่มิด

จัดของเพื่อกลับบ้านนอกเสร็จแล้ว แต่ยังไม่อยากรีบ อยากมีเวลาอ้อยอิ่งอยู่ในเมืองอีกสักนิด ผมเลยขี่มอเตอร์ไซค์ไปกินข้าวมื่้อแรกของวันที่ร้านโปรด ซึ่งเป็นร้านของที่บ้านไอ้เตอร์ แฟนไอ้มิกซ์คนเมื่อคืนนั่นเอง มีเมนูที่ผมชอบกินมากคือ ผัดเห็ดฟางใส่หมูสับกับปลาเค็มราดข้าวที่ทำออกมาได้อร่อยมาก พยายามลองทำดูที่บ้านแล้ว ก็ยังไม่อร่อยเท่า กับชาพีชปั่นกับโยเกิร์ตและปีโป้

นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วหัวเสีย ผมน่าจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเอง จะได้ไม่ต้องจ่ายค่ารถแดงถึงหกสิบบาทกลับหอ แต่เพราะกลัวจะเมา และย่ามใจว่าผับเลิกแล้ว ไอติมจะขับรถกลับมาส่งเหมือนทุกที ก็ใครจะไปคิดว่าคนอย่างผมจะไปมีเรื่องมีราวกับใครเขาได้ล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผับ ที่ปีนึงเที่ยวกับเขาไม่เกินสิบครั้ง

เจ็บใจชะมัด!
สูงส่งมาจากไหนวะ ถึงได้เที่ยวดูถูกคนเขาไปทั่ว

แต่ช่างแม่ง ยังก็ไม่เจอมันอีกแล้ว

ความจริงแล้ว วันนี้ ผมมีแพลนต้องไปเที่ยวที่เชียงรายกับไอติม น้องเฟม และไอ้เวรนั่น แต่ก็ดีแล้วแหละ ใช่ว่าผมอยากจะไปด้วยแต่แรก เมื่อคืนนี้พอกลับถึงห้อง อ่านไลน์ที่ไอติมทักมา ผมเลยบอกมันไปว่า จะไม่ไปเชียงรายด้วยแล้ว มันรีบโทรหาผมทันที

“ทำไมวะตี้ เกิดอะไรขึ้น มึงเล่ามาเลย”
“มึงถามมันเองเหอะ”
“ตี้ มึงใจเย็น เดี่ยวกูกับเฟมเคลียร์ให้”
“ช่างแม่ง กูไม่โอเค กูไม่ไปแล้ว”
“ไม่ได้ กูจองห้องไว้แล้วนะเว้ย ก็ไอ้รีสอร์ทที่มึงบอกอะ มึงอยากไปนี่ รีสอร์ทห้าดาวของมึงไงตี้”
“ล้านดาวกูก็ไม่ไป อย่าว่าแต่นอนห้องเดียวกับมันเลย กูไม่อยากหายใจเอาอากาศเดียวร่วมกับมันด้วยซ้ำ”
“ก็กูบอกแล้วไงเดี๋ยวกูคุยให้ มึงไม่ต้องนอนกะมันก็ได้ มึงนอนห้องเดียวกะกูก็ได้”
“มึงไม่ต้องคุย มีกูต้องไม่มีให้เด็กเหี้ยนั่น มึงเสียดายตังก็ชวนคนอื่นเหอะ ไอ้มิกซ์ไง กูไม่ไปแล้ว ตามนั้น”

ผมไม่รู้ว่าไอติมได้คุยกับไอ้เด็กเวรนั่นจริงไหม แต่ผมตั้งใจแล้วว่า ยังไงก็ไม่ไป จะกลับบ้าน ไอติมมันคงยังไม่รู้สินะ ว่าไอ้เด็กเวรนั่นพูดจาดูถูกมันไว้ยังไงบ้าง นี่ถ้ารู้นะมึง

จากหอพักแถวหลังมหาวิทยาลัย ขี่ออกไปทางแยกข่วงสิงห์ ตรงไปยังเส้นแม่ริมไปได้ประมาณสิบนาทีก็ถึงร้าน ผมจอดมอเตอร์ไซต์ไว้ตรงถนนในซอยร่มรื่น แล้วตรงไปทักทายไอ้เตอร์ที่กำลังเก็บจานอยู่ที่ตรงโต๊ะหน้าร้านพอดี

“อ้าว ตี้ มึงยังไม่กลับบ้านเหรอ”
“ยัง แต่กลับวันนี้แหละ แวะมากินข้าวร้านมึงก่อน อีกหลายวันกว่าจะได้มากินอีก”
“เอาเลยเพื่อน ละมึงจะกินอะไร เหมือนเดิมไหม”
“เหมือนเดิมอะไร มึงจำได้เหรอ กูกินอะไร”
“เออ จำไม่ได้ว่ะ”
“นั่นไง” ไอ้เตอร์หัวเราะเขิน “เออ กูเอาข้าวราดผัดเห็ดฟางหมูสับปลาเค็ม แล้วก็ชาพีชปั่นโยเกิร์ต เหมือนเดิม แค่นี้แหละ แม่มึงจำได้”
“เคได้ เดี๋ยวกูไปบอกในครัวให้ เอางี้ มึงไปนั่งกะเพื่อนละกัน เดี๋ยวกูเสร็จตรงนี้จะไปนั่งคุยกับพวกมึงด้วย”
“เพื่อนมึง ใครวะ”
“เพื่อนมาจากกรุงเทพ เดี๋ยวกูแนะนำ”

ผมพยักหน้า แล้วเดินลอดซุ้มต้นไม้หน้าร้านตามเข้าไป ใจจริงแล้วผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากจะรู้จักคนแปลกหน้าเลยสักนิด แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง

พอเดินไปที่โต๊ะ แว่บแรกผมตกใจหลุดคำหยาบออกมา เพราะคิดว่าเป็นไอ้เด็กวินนั่น ขอบคุณที่โลกไม่ได้กลมขนาดนั้น (เหรอวะ)
เพื่อนไอ้เตอร์หน้าตาดีไม่ใช่เล่น สวมแว่นสายตากรอบเงินบางดูทันสมัย กำลังนั่งจดอะไรสักอย่าง มีจานข้าวกับกาแฟร้อนถ้วยเบ้อเริ่มอยู่ตรงหน้า

“ตี้นี่ไอ้เซน เซนนี่ไอ้ตี้นะ” ไอ้เตอร์แนะนำง่ายๆ “พวกมึงนั่งคุยกันไปก่อน เดี๋ยวกูมา”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม

“เพื่อนเตอร์เหรอ”
พอถามออกไป แล้วคิดได้ว่าเป็นคำถามไม่น่าถามเลย ไอ้ง่าว
“ครับ แล้วตี้ เรียนที่เดียวกับเตอร์ปะ”
“อืม เอกเดียวกันเลย”
“โห งั้นก็สนิทกันเลยดิ”
“ก็สนิทกันทั้งห้องแหละ ทั้งเอกมีกันแค่ไม่ถึงสามสิบคน แล้วเซนอะ ยังเรียนอยู่ปะ คณะไร”
“เรียนดิ แต่ไม่ได้เรียนแถวนี้นะ”
“อ้าว แล้วเรียนที่ไหนอะ”

เซนบอกชื่อมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกันกับน้องเฟม นั่นไง อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนั้น นี่คณะนี้เขาพากันมาทัศนศึกษาเชียงใหม่เหรอ ถึงมากองกันอยู่แถวนี้หมด

“บังเอิญจัง เซนรู้จักคนที่เรียนบัญชีเหมือนกัน ตอนนี้ก็อยู่เชียงใหม่ น่าจะรุ่นน้องเซนสองปี ชื่อเฟม เซนรู้จักไหม”
“เฟมเหรอ ถ้าดัง ๆ ก็มีเฟมอยู่เฟมนึงนะ น่าจะคนเดียวกัน เพราะน้องเขาก็อยู่ปีสอง เดือนคณะเลยล่ะ”
“โห จริงดิ”

ผมหยิบมือถือขึ้นมาหาไถหาไอจีของน้องเฟม แล้วยื่นให้เซนดู

“ใช่คนนี้ไหม”
“อืม ใช่คนนี้แหละ” เซนยืนยัน “แหม รู้จักคนดังด้วยนะ หรือว่าเป็นแฟนเพจคิวท์บอย”
“เปล่าๆ” ผมปฏิเสธ “เพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะ แล้ว… เซนพอจะรู้ปะ ว่ามันนิสัยเป็นยังไง นิสัยดีไหม”
“อะ แอบชอบน้องเขาเหรอ”
“เฮ้ย ไม่ใช่ แค่ถามดูเฉยๆ”
“ก็…” เซนแกล้งถ่วงเวลา “น้องเขาก็นิสัยดีแหละ ก็คนดังนี่เนาะ เซนเคยสนิทกับน้องมันอยู่ช่วงนึง ตอนทำบ้านรับน้อง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้คุยกันแล้ว เพราะเซนไม่ค่อยได้เข้าคณะ จะเข้าเฉพาะวันที่มีเรียน ส่วนใหญ่ก็จะสิงห้องสมุดทำธีสิสน่ะ”
“อืม สรุปว่านิสัยดีงี้”
“รวยด้วย แต่…”
“แต่อะไร”
“อย่าไปยุงด้วยจะดีกว่า”
“ทำไมอะ”
“ยังไงดีละ ก็ตามนั้น”
เซนเหมือนไม่อยากตอบ แต่ ไหนๆ ก็ถามละ
“แล้วคนนี้อะ นิสัยเป็นยังไง เขาเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”
ผมกดเข้าไปดูในรูปถ่ายที่มีไอ้เด็กวินอยู่ด้วย แล้วให้เซนดู
“ก็เพื่อนกันแหละมั้ง ไม่รู้ด ส่วนนิสัย…” เซนถอนหายใจ “ไม่ขอคอมเมนต์ละกัน” 
“พูดเหอะ นิสัยไม่โอเคใช่ไหม”
“ก็… ประมาณนั้นแหละ”
“นั่นไง ว่าละ”
“แต่ เขาอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดเวลาก็ได้ ตี้เคยเจอเขาหรือยังล่ะ”
“เจอแล้ว”
“แล้วเป็นไง”
“ก็” ภาพเมื่อคืนเข้ามาในสมองแวบนึง “หยิ่งๆ ดี”
เซนหลุดหัวเราะ
“อันนี้จริง คอนเฟิร์ม” เซนพยักหน้า “หล่อ บ้านรวย ชาติตระกูลดี จะหยิ่งไปสักหน่อยก็คงจะไม่แปลก แต่…”
“แต่อะไรอ่อ”
“แน่ะ อยากรู้อะดิ ฮ่าๆๆ โอเค บอกก็ได้ แต่บอกแล้ว อย่ามาว่าเซนเป็นคนขี้เมาท์นะ”
“ไม่ๆ”
“เรื่องหยิ่ง ถือตัว ไม่ค่อยเข้าหาใครนั่นก็เรื่องหนึ่ง อันนี้ใครๆ เขาก็รู้กัน เลยไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ที่ทะแม่งๆ คือเขาดูจะหวงเพื่อนแปลกๆ เซนเองก็ยังเคยโดนเลย ตอนน้องเข้าปีหนึ่ง เซนชวนทั้งน้องสองคนมาช่วยทำกิจกรรมคณะ ไปยังไงมายังไงไม่รู้ น้องวินเขามาเขม่น เหมือนว่าเซนจะไปจีบเพื่อนเขาเฉย”

อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด

“แต่ อันนี้เซนอาจจะคิดไปเองคนเดียวอะนะ น้องเขาอาจจะไม่ได้เขม่นแค่เซนหรอก แต่น่าจะเป็นทุกคนที่เข้าใกล้น้องเฟมอะ เหมือนเด็กหวงเพื่อน อาจจะสนิทกันมาก คงไม่เกี่ยวเป็นเกย์หรอกมั้ง”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่ควรทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่นปะวะ ปากจัดเกินเบอร์ขนาดนี้ ไม่ใช่เกย์ให้มันรู้ไป น่าต่อยปากให้กินน้ำแกงไม่ได้สักเดือน”
“นี่ท่าทาง ตี้เจอมาหนักเลยละสิ ฮ่าๆๆ”
“ช่างแม่ง แต่น้องเฟมไม่น่ามาคบไอ้เด็กนี่ได้เลยอะ”
“เขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วมั้ง แต่นั่นแหละ อย่าไปอะไรด้วยจะดีที่สุด ว่าแต่ ถามแต่เรื่องคนอื่น ไม่ถามเรื่องเซนมั่งเลย”
เซนว่า
เออ นั่นสิ เสียมารยาทจังวะ

ผมหัวเราะแหะๆ แล้วเริ่มถามเรื่องแพลนเที่ยวของเซนแทน พร้อมๆ กับที่ไอ้เตอร์ยกอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ และนั่งลงร่วมวงสนทนาอีกคน กระทั่งผมลืมความหงุดหงิดเรื่องไอ้เด็กเวรนั่นไปแว่บนึง แต่ก็แค่แว่บเดียว

“เออ เตอร์ เมื่อคืนกูเจอมิกซ์ มันบอกมึงไปท่าช้างเหรอวะ”
ไอ้เตอร์ชะงัก
“เออ… กูอยู่ท่าช้าง ก็ไปกับไอ้เซนนี่แหละ แล้วมึงอะ ไปเจอมิกซ์ได้ไงวะ เมื่อคืนมันไปงานวันเกิดพี่รหัสมันนี่”
“เออ ก็เจอ ที่นั่นแหละ”
ผมตอบ
“ป๊าดโซะ เดี๋ยวนี้มึงเที่ยวด้วยเหรอวะ ไปกะใคร ไอ้ติมเหรอ”
“เออ ก็ปิดเทอมทั้งที”
“เสียดาย ถ้าตี้ไม่รีบกลับบ้าน จะขอให้เป็นไกด์พาเที่ยวที่มันโลคอลๆ หน่อย”
“ถามไอ้เตอร์ดีกว่า เราไม่ค่อยรู้จักหรอกที่เที่ยว ชีวิตก็อยู่แต่แถวๆ นี้แหละ แล้วก็ไปกลับหอกับบ้าน”
“เออ จริง เราก็ลืมคิดไป อย่างเรา ถ้าให้พาเที่ยวกรุงเทพก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ชีวิตก็วนเวียนแค่ สยาม สามย่าน ราชเทวี หมดแล้ว”
เซนยิ้มแหย แต่เป็นยิ้มที่ดูน่ารัก เพราะแม้แต่สายตาหลังกรอบแว่นนั้น ก็ยิ้มตามไปด้วยเช่นกัน

+++

เรานั่งคุยกันอีกเกือบชั่วโมง ผมจึงขอตัวกลับ หลังจากที่แลกไลน์และแอดเฟสบุ๊คเซนเรียบร้อยแล้ว

เนี่ย เอาจริง มันก็ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย การทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า นี่ขนาดเป็นคนจากคณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน หน้าตาก็ไม่ได้หนีกันมาก ยังไม่เห็นว่าเขาจะหยิ่งอะไรเลย กรณีนี้ มันคงเป็นที่สันดานคนจริง ๆ แล้วล่ะ

ผมกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้านตอนที่ไอติมโทรเข้ามา

“ว่าไง มีไรอีกวะ”
“ไอ้ตี้ มึงไปเหอะนะ อยู่หอปะ เดี๋ยวกูไปรับ”
“กูอยู่บนรถเมล์แล้ว มึงไปกันเหอะ เที่ยวให้สนุกนะเพื่อน แล้วเป็นไงมั่งวะเมื่อคืน ได้กันยัง ดีมะ”
“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวกูไปรับมึงถึงที่บ้านเลยเอา”
“ไม่ไปก็คือไม่ไปเว้ย กูว่าแทนที่มึงจะมาเสียเวลาอะไรกับกูเนี่ย เอาเวลาไปอยู่กะแฟนมึงดีกว่าไหม แล้วก็ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวถึงเชียงรายค่ำนะเว้ย”
“ตี้ กูถามวินมันแล้วนะเว้ย มันบอกว่าไม่มีอะไร มันไม่ได้ยินอะไร มันบอก เมื่อคืนก็คุยกับมึงดีๆ”
“โอ้โห” ผมเผลอสบถ “แมนมาก ตีสองหน้าเก่งไปอีก”
“เฮ้ยเพื่อน ใจเย็น เออๆ ไม่ไปก็ไม่ไป” ไอติมยอมแพ้ “เดี่ยวกูให้เฟมไปถามให้ว่ามัน…”

มีสายซ้อนเข้ามา เป็นเบอร์แปลก ผมรู้สึกลังเล

“ช่างแม่งเหอะติม มีสายซ้อน กูขอรับก่อนนะ มึงก็เที่ยวให้สนุกละกัน”
“เออ ได้ๆๆ เดี๋ยวกูซื้อขนมมาฝาก”

ผมตัดสินใจกดรับสาย

“หวัดดีครับ”
“หวัดดีครับ ใช่เบอร์พี่ตี้ปะครับ”

ผมดูเบอร์ของสายที่โทรเข้าอีกครั้ง ผมจำเสียงนี้ได้ น้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ

มันโทรมาทำวะ

“ฮัลโหลพี่”
ผมกระแอม แล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง
“ครับ มีอะไร”
“ไอ้เฟมมันให้ผมโทรหาพี่ บอกว่าเดี๋ยวจะอออกจะไปรับ”
เดาว่าไอติมไม่ได้อยู่ด้วยกับพวกมัน ถึงไม่รู้ว่าผมปฏิเสธทริปไปแล้ว
“ไอติมไม่ได้บอกคุณเหรอ ว่าผมไม่ไปแล้ว”
“ไม่ได้บอกครับ” ปลายสายเงียบไปประมาณสามวิ “ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน ผมลืมๆ ไปแล้ว”
“ก็ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน คุณก็น่าจะรู้นะ ว่าผมไม่ไปเพราะอะไร”
“เพราะผมเหรอ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอกครับ ถือว่าเจ๊ากันไป”

ว็อททท?
เดี๋ยวๆๆ ตลกแล้ว ทำไมผมจะต้องรู้สึกผิดด้วยวะ

“ผมไม่มีอะไรจะต้องรู้สึกผิดเว้ย เพราะเมื่อคืนผมได้ขอโทษคุณไปแล้ว จำได้ไหม และอันที่จริง ผมคิดว่าคุณจะโทรมาขอโทษผมในส่วนของคุณเหอะ แต่ถ้าไม่ใช่ ผมว่าเราคงไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วล่ะครับ”
“งั้นก็ตามใจพี่ครับ ผมโทรมาแค่นี้แหละ”

ผมกดวางสาย แต่อีกฝ่ายชิงวางก่อน แม่ง หวังว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่ผมต้องเสวนากับไอ้เด็กคิวท์บอยผู้สูงส่งที่ชื่อ ‘วิน’ อะไรนั่น

+++

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แซบมาก รอลุ้นความเป็นไป รีบมาต่อเร็วๆนะ  :mew2:

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
สิงหาคม

สัปดาห์แรกของเทอมใหม่ ปีสุดท้ายของชีวิตนักศึกษา คิดแล้วก็ใจหาย เทอมนี้ผมตั้งใจจะทำให้ดีเป็นพิเศษ มหาวิทยาลัยแห่งนี้อาจจะไม่ใช่เป้าหมายแรกๆ ที่ผมต้องการเข้าเรียนก็จริง แต่พออยู่ๆ ไป กลับรักและผูกพันธ์กับทั้งผู้คนและสถานที่จนตัวเองยังรู้สึกแปลกใจไม่ต่างจากคนอื่นๆ และด้วยความที่มหาวิทยาลัยของเราไม่เคยประสบความสำเร็จด้านการจัดอันดับใดๆ ไม่ว่าจะระดับประเทศหรือภูมิภาค นั่นยิ่งทำให้เราต้องขยันมากกว่าเดิม เพื่อพิสูจน์ตัวเองและลบอคติของคนทั่วไปที่มีต่อพวกเรา

น้อยคนที่จะรู้ว่า เราเรียนกันหนักมาก เทอมนี้เราเรียนกันเต็มๆ เช่นทุกเทอม ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงบ่ายสอง หรือสี่โมงเย็นในบางวัน จะมีแค่วันศุกร์วันเดียวเท่านั้น ที่มีเรียนถึงเที่ยง พอเลิกเรียนทุกคนเลยรู้สึกอยากเติมพลังที่พร่องไปกับการฟังเลคเชอร์ และหมูกะทะคือสิ่งนั้น ที่จะมาช่วยเยียวยา เช่นที่คำคมเชยๆ ในเฟสบุ๊คว่าเอาไว้ แน่นอนว่าร้านโปรดของพวกเราคงหนีไม้พ้น ชุมแพเนื้อกระทะ ไม่ก็หมูกะทะช้างเผือก ซึ่งเป็นสองร้านที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่สุด (ครั้งนี้พวกเราเลือกร้านหลัง) หกโมงเย็น ลูกทีมซึ่งประกอบด้วย ไอติม เตอร์ มิกซ์ (ทำไมต้องตัวติดกันตลอดวะ ถึงเพิ่งจะคบกันได้ไม่ถึงปีก็เหอะ เหม็นความรัก) และแกงค์สาวๆ ป๋อม ต้อม พอลล่า และ โอปอล์ จึงพร้อมเต็มที่สำหรับการยัดทะนาน

“เฮ้ยมึง จะไหม้แล้วเนี่ย มันใช่เวลามาแชทไหม”
พอลล่าพูดกับไอติม ชายผู้กำลังตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำ
“มึงกินเลย ชิ้นนั้นกูยกให้”
“รำคาญ”
“เออ รำคาญ” ผมสัมทับ “นี่ก็อีกคู่”
“อะไร อย่ามาพาลกู”
ไอ้เตอร์รีบออกตัว แต่ยังไม่เลิกบริการแฟน ทั้งปิ้ง ทั้งหยิบของ เติมน้ำ
“ตี้” ไอติมเอาศอกถองต้นแขนผม “กูอยากไปหาเฟมว่ะ ศุกร์นี้เขาไม่มีเรียน”
“พอเลย ไม่ต้องมาชวนกู ไม่ไป ไม่มีตัง อยากไปไปเอง”
“เฮ้ย กูออกให้มึงเอง ไปนะ”
“อย่าหลวมตัวนะตี้ เดี๋ยวพอมันเจอแฟน มันก็จะทิ้งให้แกแกร่วอยู่คนเดียว”
พอลล่าว่า
“เกินเรื่องไปมะ กูไม่ทิ้งเพื่อนหรอกเว้ย”
“วันศุกร์มีควิซนะแก” ป๋อมเตือน “ถ้าแฟนแกไม่มีเรียน ทำไมไม่ให้เขาเป็นฝ่ายมาหาอะ”
“เออ นั่นดิ”
“น้องเขาก็อยากมาแหละ แต่เขามาหากูรอบนึงละไง กูก็อยากไปหาเขามั่ง”
“งั้นก็ให้แฟนแกมาหา” โอปอล์ตัดสินใจให้เสร็จสรรพ “จะได้ไม่ต้องเป็นภาระไอ้ตี้ จบ แยกย้าย”
“เออ แล้วมาคราวนี้ก็ไม่ต้องให้กูไปไหนมาไหนด้วยละนะ ไปกันเอง”
ไอติมทำเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจ
“รำคาญ มีแฟนแล้วปัญญาอ่อน” พอลล่าซ้ำอีก “พวกแกที่เหลือ ถ้าจะมีแล้วหน้าง่าวแบบนี้ ชั้นขอร้องว่าอย่ามี”
“มึงๆ อย่าเหมารวม”
ไอ้เตอร์ร้อนตัว
“ไม่เอา” ผมว่า “แต่ชั้นสัญญาว่าจะไม่หน้าง่าวแบบไอติม”
ยัยต้อมว่า
“ชั้นด้วย”
โอปอล์ยกมือ
“เออ ชั้นด้วย ชั้นก็ยังไม่เคยมี”
ผมบอก
“หา ตี้ยังไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ”
มิกซ์ถาม ผมส่ายหัวแทนคำตอบ
“ไม่หาเองหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเอาเหอะมิกซ์ นี่ทำทุกทางแล้วนะ เหลือแค่ไปทำหน้าที่เกาหลีนี่แหละ ไม่ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งซะที”
“คนจะเจอ ไม่หาก็เจอ” ป๋อมว่า “แต่คนจะไม่เจอ หาให้ตายก็ไม่เจอ”
“ทำไมแกพูดบั่นทอนงี้อ่ะ” ยัยต้อมต่อว่าเพื่อน “แกควรต้องให้กำลังใจพวกชั้นสิ”
“อ้าว ชั้นพูดผิดเหรอ”
“มึงไม่เล่นแอพอ่อวะ พวกแอพนัดเย”
ไอ้เตอร์ซักไซร้
“มึงจะเอาแอพไหนอะ ทินเดอร์ ไกร์เดอร์ ฮอร์เน็ต บลูดี ไนน์มอนสเตอร์ ลองมาหมดทุกแอพแล้ว ขนาดจะนัดยิ้มยังเฟล นี่ถ้ารู้ว่าโตขึ้นมาต้องอาภัพขนาดนี้ กูยอมเสียตัวให้รุ่นพี่ตั้งแต่สมัยเข้าค่ายลูกเสือแล้วเหอะ ไม่น่าขัดขืนเลย”
พอลล่ากลอกตาเมื่อได้ยินคำตอบจากปากผม ก่อนส่งปลาหมึกกรอบชุบน้ำจิ้มเข้าปาก
“ไหน เอาโทรศัพท์มาสิ โหลดมาเล่นใหม่เลย”
“เคยโหลดมาแล้วจริงๆ แต่มันไม่เวิร์คอ่ะมิกซ์ ตี้คุยไม่เก่ง”
“ลองอีกที ไม่อยากเชื่ออ่ะ ว่าจะไม่มีใครทักมาเลย”
“มี ใครว่าไม่มี” ไอติมตอบแทน “แต่แม่งเลือก ต้องหล่อระดับเดือนคณะมันถึงจะคุยด้วย แม่งใฝ่สูง ไม่ดูหนังหน้าตัวเอง แล้วเป็นไง”
“ไอ้เชี่ยติม!”
ผมสบถ
“กูว่าละ”
ไอ้เตอร์ส่ายหัว
“อะ” มิกซ์ส่งโทรศัพท์คืนให้ผม “ลองเล่นใหม่ มิกซ์เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ให้ด้วยนะ มิกซ์ว่ารูปนี้ตี้หล่อดี ลองอีกที”
“ขอบใจนะ”
ผมรับโทรศัพท์มาดูอย่างเกรงใจ เดี๋ยวกลับไปถึงหอกะว่าจะลบทิ้งทันที
“มิกซ์ๆ โหลดให้เราด้วย”
ยัยต้อมกับยัยโอปอล์ยื่นมือถือให้แฟนไอ้เตอร์พร้อมกัน
“มันแอพเกย์ไหม พวกเด๋อ”
ป๋อมเอ็ด มิกซ์ยิ้มให้เจื่อนๆ สองสาวหดมือกลับที่เดิม
“เออ คันไม่รู้กาละเทศะ” พอลล่าได้ที “พ่อแม่พวกแกเขาส่งให้มาเรียนนะ ไม่ได้ให้มาหาผัว แล้วไอติม ชั้นให้เวลาแกอีกสองนาที ถ้าแกยังแชทอีก ฉันจะโทรไปฟ้องพ่อแก”
“อย่านะเว้ย ที่บ้านชั้นยังไม่รู้”
“ไม่รู้ว่าแกเป็นเกย์ หรือไม่รู้ว่าแกมีผัว เอาดีๆ”
ป๋อมถามกวนๆ
“บ้านแกสิ เมียเว้ย พวกกูแค่นอนจับมือกันใสๆ”
“สาบานให้ฟ้าผ่าไหม”
“ดีป๋อม แกด่ามันอีกเยอะๆ นี่หลงเมียจนไม่เป็นอันเรียนแล้ว ทางโน้นอะ ชั้นว่าไม่เท่าไหร่หรอก เป็นถึงคิวท์บอย เรียนมอท็อปของประเทศ แต่คนของเราเนี่ย เอาอะไรมาคิดว่าเขาจะจริงจัง มึงชอบเขาขนาดนี้ ถ้าวันนึงโดนเขาเทมา ก็ไม่พ้นพวกกูใช่ไหมที่ต้องตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว”
“เดี๋ยวๆ ตี้ มึงด่ากูแรงไปปะ”
นี่แรงแล้วเหรอ ผมอ้าปากจะด่ามันอีก แต่โทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงหน้าดันมีเสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาซะก่อน
“นั่นไง”
“เอาแล้วๆ”
“เห็นมะ มึงอะว่าแต่กู”
ไอติมได้ที
“ไหนๆ เอามาดูดิ๊”

ยัยต้อมแย่งโทรศัพท์ไปจากมือผม แล้วเสียงกรี้ดกร๊าดในความหล่อของหนุ่มนิรนามจากแอพนัดยิ้ม ก็ดังขึ้นผสมปนเปกับบรรยากาศร้านที่คึกคักและจอแจจนผมรู้สึกรำคาญ

+++

“ให้กูไปส่งหอคณะแพทย์ไหม”

ไอติมแกล้งแซว หลังจากที่เราแยกย้ายจากเพื่อนคนอื่นๆ แล้ว และผมนั่งรถมันเพื่อกลับมาเอามอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งที่มหาวิทยาลัย

“พ่อมึงดิ”
“พ่อกูไม่เล่นแอพนี้เว้ย อะแน่ะ เขิน ไม่อยากมีผัวเป็นคุณหมอ มช. อ่อวะ”
“มะเหงกนี่”
“เออ กูบอกเฟมละ เดี๋ยววันศุกร์เขาจะมาหากู ทำควิซเสร็จมึงไปรับเฟมที่สนามบินเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ”
“มีผู้ติดตามมาอีกปะวะ”
“น้องวินสุดหล่อของมึงอะนะ”
“เออ ไอ้สุดหล่อของกูนั่นแหละ”
ผมกัดฟันพูด
“ไม่มาเว้ย ไม่ต้องเสียใจนะน้องตี้ คราวหน้าๆ รับรองพี่เค้ามาด้วยแน่นอน”
“เหอะ มึงแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่ามันไม่ได้เป็นผัวเมียกัน”
“ทำไมวะ ผัวเมียกันก็ดีดิ กูจะได้ทรีซัม อู้ย ซี้ดดดด”
ไอติมทำเสียงทะเล้น
“เออ ถ้ามึงจะซั่ม ก็ถ่ายคลิปมาให้กูดูด้วย”
“กูล้อเล่น ไม่ใช่เว้ย เขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มอต้นแล้ว แล้วเฟมก็ไม่ได้คิดอะไรกับไอ้น้องวินเลยด้วย กูเชื่อแฟนกู มึงคิดเหรอว่ากูจะไม่เคยสงสัย ไม่เคยถาม มีแต่มึงนี่แหละ ที่คิดว่ากูโง่อยู่ตลอด ”
“แฟนมึงไม่คิด แต่เพื่อนมันอาจจะคิดก็ได้นะ”
“นี่มึงจะให้กำลังใจกูสักหน่อยไม่ได้เลยรึไงวะตี้ มึงดูกูกะมึงดิ โดนล้อว่าเป็นผัวเมียกันมากี่ปีแล้ว แล้วมันมีอะไรที่จริงบ้างปะ แค่คิดกูก็จะอ้วกละ”
ผมยกนิ้วกลางให้มัน
“เออๆ กูขี้เกียจจะเถียงมึงแล้ว โชคดีแล้วกัน”
ผมแอบปัดหน้าจอแอพที่มีข้อความส่งเข้ามารัวๆ โดยไม่ให้มันเห็น
“วันนึงนะเว้ยตี้ ถ้ามึงเจอคนที่มึงรู้สึกว่าใช่จริงๆ มึงก็จะพร้อมเสี่ยงไม่คิดหน้าคิดหลังแบบกูนี่แหละ อะไรจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน แต่กูขอคว้าโอกาสเอาไว้ก่อน ก็กูไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยนี่หว่า มึงเข้าใจกูใช่ไหม”

ไม่เข้า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากเข้าใจ หรือมันถึงเวลาที่ผมควรจะเปิดใจจริงๆ แล้ววะ

+++

เคยรู้สึกไม่ชอบตัวเองกันบ้างไหมครับ

ของผมนี่ เกือบจะตลอดเวลาเลย
ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้จนกระทั้งย่างเข่าสู่วัยรุ่น พูดแล้วจะหาว่าคุย ตอนเด็กๆ ผมหน้าตาน่ารักมากเหอะ ขนาดที่ว่าได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนทำกิจกรรมเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะถือพานไหว้ครู แสดงละคร หรือกิจกรรมหน้าเสาธง จะต้องมีอะไรให้ผมได้ทำหรือได้เป็นสักอย่างหนึ่งอยู่เสมอ

ไปไหนมาไหนใครก็ชมว่าน่ารัก เป็นเด็กผู้ชายที่เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน พ่อแม่งี้ยิ้มแก้มแตก แต่ก็เป็นแบบนั้นได้แค่สิบกว่าปีหน่อยๆ เท่านั้น

พอเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น ร่างกายผมก็ค่อยๆ ยืด และถึงมันจะโตได้ไม่เท่าเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ แต่มันก็โตพอที่จะทำลายความน่ารักและไร้เดียงสาทั้งหมดที่ผมมีให้สิ้นไป

ผมกลายเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างผอม แบบเด็กกำลังจะโต แต่ก็ไม่โตเสียที หน้าตาจากที่เคยน่ารักแบบเด็กๆ ตากลมโต จมูกเล็กได้รูป คิ้วหนาตรง ริมฝีปากบนหนากว่านิดหน่อย และโหนกแก้มสูง คือถ้าแยกออกออกมาพิจารณาเป็นส่วนๆ มันก็ยังดีอยู่หรอก แต่พอจับมารวมเข้ากันแล้ว มันดูประหลาดและชวนให้คนมองรู้สึกอึดอัด

แม้แต่เวลาที่ผมมองกระจกยังรู้สึกอึดอัดเลย

เรื่องรูปร่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมมักจะมีปัญหากับเสื้อผ้าเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงแรกๆ ของการโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะเสื้อผ้าที่มีอยู่ ถ้าไม่คับเกินไปก็จะหลวมไปเลย ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้เลือกเสื้อผ้าเองเวลาที่แม่พาตลาดนัด หรือเข้าเมืองไปซื้อของที่โลตัส แผนกเสื้อผ้าเด็กเท่านั้น ที่เป็นที่ของผมจริงๆ ผมจะเลือกเสื้อผ้าเด็กไซส์ใหญ่ที่สุด และนั่นทำให้เสื้อผ้าของผมไม่เหมือนกับเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ

ตอนนี้ผมไม่มีปัญหานั้นแล้ว ผมใส่เสื้อผ้าที่ผมอยากใส่ และถ้ามันไม่พอดี ก็แค่เอาไปแก้ที่ร้าน แต่ผมก็ยังไม่ชอบหน้าตาตัวเองอยู่ดี

ยังแก้ไม่ได้ซะด้วย เพราะยังไม่มีเงิน

ผมมองคนในวัยเดียวกันคนแล้วคนเล่าที่มีคนมาชอบ มาจีบ หรือไปจีบคนอื่นๆ ได้เห็นคนที่ผิดหวังมาก็เยอะ แต่ยังไงมันก็ยังไม่อิมแพคเท่า คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีแฟน คนที่มีคนมาชอบมากมาย

คนอย่างไอติม ไอ้เตอร์ หรือมิกซ์ ที่มีแฟนกันตลอดเวลา คนที่ไม่ต้องทำตัวให้ตลก ฉลาด หรือทำให้ตัวให้น่าสนใจ เพราะแค่เป็นตัวเองพวกเขาก็น่าสนใจกันมากอยู่แล้ว

ผมจะเป็นคนแบบนั้นบ้างได้ไหม – ผมเฝ้าถามตัวเองทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ
แล้วเสียงข้อความจากแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ไฟหน้าจอสว่างท่ามกลางความมืดภายในห้องที่ผมนอนจ้องผนังเปล่าอยู่เงียบๆ
ผมแตกต่างจากคนอื่นตรงไหนเหรอ
ไม่แน่ ผมอาจจะเป็นแบบคนแบบนั้นได้ก็ได้

ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อค แล้วอ่านข้อความซึ่งทำให้ผมรู้สึกมีค่าแบบแปลกๆ

ผมไม่ได้อยากพิเศษไปกว่าใคร ผมแค่อยากเป็นที่ต้องการเท่ากับคนอื่นๆ

+++

วันศุกร์ หลังจากแยกกับไอติมและเฟมที่ร้านนั่งดื่มย่านนิมมาน ผมก็ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในลานสำหรับจอดมอเตอร์ไซค์ของคอนโดซึ่งอยู่ในซอยถัดไป ตามที่ได้นัดกับ นศ. แพทย์ปีสุดท้ายคนนั้นเอาไว้

หลังจากเก็บกุญแจใส่ในกระเป๋ากางเกงขาสั้น เสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้น ผมเลื่อนอ่านด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เขาเดินออกมาจากตัวอาคาร แล้วโบกมือให้ผม หน้าตาดีตรงปกเหมือนในแอพ แม้จะมองจากตรงนี้ก็ตาม

ทักทายกันเล็กน้อย ผมก็ตามเขาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพัก

“นายตัวจริงน่ารักนะ”
“พี่ก็หล่อนะครับ”
“จะดื่มอะไรก่อนไหม”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมดื่มมาแล้ว”
“งั้นก็…”
“ครับ”

นั่นแหละ คุยกันพอเป็นพิธีก็เปิดเลย ผมถอดเสื้อกับกางเกงออกเหลือแต่กางเกงใน ส่วนอีกฝ่ายถอดล่อนจ้อนไปแล้ว ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ โคตรดีอะ

ครั้งแรก ถึงจะเป็นคนแปลกหน้า ก็ถือว่าไม่เลวนะ (หลังจากนั้น ถ้ามันโอเคก็ค่อยสานต่อก็ได้ปะวะ)

เราขยับเข้าหากัน ผมเอาหน้าซุกไซร้แผงอกเขาซึ่งตัวโตกว่า กลิ่นสบู่หลังอาบน้ำยังติดอยู่ที่ผิว ส่วนมือขวาถูกมือพี่เขาจับเลื่อนไปที่น้องชายของเขา ผมค่อยๆ ลากลิ้นไปที่หัวนม ไหล่ ซอกคอ พี่นายครางออกมาเบาๆ ผมจุ๊บแก้มเขาแล้วเตรียมขยับไปยังริมฝีปาก อาศัยศึกษาเอาจากหนัง AV และ GV ที่ดูมาทั้งชีวิต

อีกฝ่ายเบี่ยงตัวออก

“พี่ไม่จูบนะครับ”
“อะ… ครับ”

ผมงง

“คือพี่ไม่จูบกับคนที่นัดด้วยน่ะ เข้าใจใช่ไหม”

ยังไงวะ ไม่เข้าใจอ่ะ

“พี่ขอเอาเราเลยได้ไหม เราน่ารักอ่ะ” เขาดึงมือผมไปที่น้องชายที่แข็งชูชันอีกครั้ง “พี่จะไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ไหวมั้งครับ คือ… ของพี่ใหญ่ แล้วผมก็ไม่เคย”

ผมบอกไปตามตรง แล้วนั่งลง เริ่มเล้าโลมตรงโคนขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม พร้อมๆ กับมือที่คอยสาวอวัยวะที่อยู่ตรงหน้า

“นะ พี่จะทำเบาๆ ไม่เจ็บหรอก”
“ผมชักให้พี่แทนได้ไหม หรือ… อม ก็ได้”
“อมเป็นชั่วโมงก็ไม่แตกหรอก” พี่นายว่า “พี่ต้องเอาข้างหลังอย่างเดียว”

ผมมองน้องชายอีกฝ่ายที่โด่อยู่ตรงหน้า แต่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกไม่อยากทำขึ้นมาซะอย่างนั้น

จูบก็ไม่ได้ ใช้มือหรือปากก็ไม่โอเค จะเอาอย่างเดียว อะไรของแม่งวะ แล้วไอ้ที่ไม่จูบนี่คืออะไร ดู Pretty Women เยอะจนขึ้นสมองเหรอ ถึงจะไม่จูบ ก็ไม่ได้ทำให้ไอ้กิจกรรมที่กำลังทำอยู่นี่ดูดีขึ้นมาหรอก เยแต่ไม่จูบ บ้าเปล่า?

คือให้เอาก็ได้ ลองดูก็ได้ แต่…
นี่มันครั้งแรกของกูนะเว้ย กูไม่ควรต้องรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า

ผมยืนขึ้นแล้วยิ้มจางๆ ก้มหน้า

“พี่ครับ ผม… ทำไม่ได้แล้ว”
“ทำไมอะ” อีกฝ่ายถาม “ไม่เจ็บหรอก นะๆ”
“ผมเป็นรุกครับพี่” ผมโกหก “ถ้าของพี่ไม่ใหญ่ขนาดนี้ ก็อาจจะให้ได้อยู่”
ผมหยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้บนเตียงขึ้นมาสวมเร็วๆ
“ผมไม่มีอารมณ์แล้วอ่ะ”
“เดี๋ยวพี่ช่วยครับ พี่ไม่เห็นแก่ตัวเอามันส์อยู่คนเดียวหรอก”
“ผมมีแฟนแล้ว”

เป็นอีกเรื่องที่โกหก

“พี่ก็มีแล้ว แล้วไงอะ”
“ก็นั่นแหละครับ ผมอยากลองมีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนดู แล้วผมก็รู้แล้วว่าผมทำไม่ได้”

อีกฝ่ายนั่งลงที่ปลายเตียงเซ็ง   ๆ

“ขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้เสียเวลา ผมไปนะครับ”

ผมหยิบข้าวของแล้วออกไปจากห้องเร็วๆ โดยไม่ได้หันกลับไปมอง แม้จะใช้เวลาในการรอลิฟต์ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่มันก็รู้สึกเหมือนยาวนานกว่านั้นมาก

ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากคอนโดแห่งนั้น โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ

+++

มันคือการนัดยิ้มครั้งแรกของผม ไม่นึกมาก่อนเลยว่า ไอ้คลื่นของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนี่มันจะสามารถท่วมท้นไปทั่วหัวใจและสมองกลวงเปล่าของผมได้ถึงขนาดนี้

แต่ผมจะไม่แก้ตัวหรอกนะ จะชั่วจะดี มันก็คือตัวผม เป็นการตัดสินใจของผมเองทั้งสิ้น อย่างน้อยผมก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่า คนเราสามารถทำอะไรได้บ้าง ในเวลาที่เหงามากๆ

ที่จริงแล้ว ผมไม่ควรต้องรู้สึกผิดเลยไม่ใช่เหรอ

‘ว่าแต่ พวกเกย์นี่ เขาคันกันแบบนี้ทุกคนปะ นี่ขนาดยังไม่เจอตัวจริง ก็วางแผนกันซะขนาดนี้ เอากับใครก็ได้งั้นดิ’

หรือว่าเป็นประโยคนั้น ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่โอเค

“มันผิดมากเลยเหรอวะ”

ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดในใจออกมาขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อ พอรู้ตัวก็รีบส่ายเรียกสติ หยิบเบียร์หนึ่งกระป่องกับน้ำแร่หนึ่งขวด เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

จะจบปีสี่แล้ว ยังซิงอยู่เลย

แม่ง ไม่ยุติธรรม

+++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 14:32:11 โดย bennietakky »

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
4

เมื่อคืนฝันไม่โอเคเลย

ไม่อยากจะเชื่อว่าการนัดยิ้มครั้งเดียว จะกลายเป็นตราบาปสำหรับผมได้ขนาดนี้

ไม่ใช่ว่าใครๆ เขาก็ทำกันเหรอ หมายถึงพวกเกย์อ่านะ ทุกคนก็ยังดูใช้ชีวิตกันตามปกติ ยังหัวเราะ ยังมีเรื่องเครียด เรื่องชุ่มชื้นหัวใจ หรือผิดหวังกันตามปกติ แต่ทำไมพอเป็นผมทำแล้วมันถึงแตกต่างกันนักล่ะ

ผมฝันถึงหน้าร้อนเมื่อหลายปีก่อน ตอนยังเรียนอยู่ ม. ปลาย

มีรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งที่ผมแอบชอบ เด็กคนนี้ปั่นจักรยานมาเรียนทุกวัน และจะล็อคจักรยานไว้ตรงที่จอดหน้าโรงเรียน ที่มีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ออกดอกบานเต็มที่พร้อมรับหน้าร้อน

เขาเป็นคนเงียบๆ ดูไม่ค่อยร่าเริง หน้าตาเหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ อย่างที่เพื่อนผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ชอบคนที่มีคาแรกเตอร์หม่นหมอง แบบที่ผมรู้สึกอยากจะปกป้อง มันคงไปกระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นผู้ชายในตัวเองละมั้ง ลึกๆ แล้วผมคงชอบความรู้สึกแบบนี้

ตอนค่ำหลังเลิกเรียน ผมจะทำเป็นไปนั่งอยู่บริเวณนั้น คนเดียวบ้าง กับเพื่อนบ้าง เพื่อแอบมองเขาเดินง่อยๆ มาเอาจักรยานทุกวัน ตอนนั้นผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก รู้แค่ว่าผมใจเต้นทุกครั้งที่เห็นเขา ก็เลยตีความไปว่า นี่แหละมั้ง ที่เรียกว่าการตกหลุมรัก

อธิบายไม่ค่อยถูก มันทั้งสุขและเศร้าปนๆ กัน สุขที่ได้เห็นเขา เศร้าที่เราไม่มีตัวตนในสายตาเขาเลย

จนกระทั่งวันวาเลนไทน์มาถึง หัวใจของผมพองโต อกจะระเบิดเพราะความรู้สึกและภาพในหัวที่มากมายท่วมท้น ในตอนนั้น ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศหรือชู้สาวใดๆ เลย ผมไม่แคร์ แม้จะไม่ได้แตะต้องตัวเขา แต่ผมต้องบอกความในใจออกไปซะที เดี๋ยวนี้ และต้องเป็นวันนี้ด้วย คิดโง่ๆ ว่า เพราะมันเป็นวาเลนไทน์ไง

กุหลาบคงไม่เหมาะ ผมเก็บตังค่าข้าว ซื้อช็อคโกแล็ตที่แพงที่สุดในร้านสะดวกซื้อ เขียนการ์ดแล้วลงชื่ออักษรย่อ ใส่ถุงก็อปแก้ปห้อยไว้กับแฮนด์จักรยาน ส่วนสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่ซื้อไว้เมื่อเช้า ก็แกะดวงหนึ่ง ติดไว้ที่ตัวรถ หันซ้ายขวาไม่เจอใคร จึงเดินหลับมานั่งตรงที่นั่งประจำเพื่อนั่งรอ

หลังจากนั้นไม่นาน เด็กคนนั้นก็เดินมาที่รถ เห็นถุงนั้น หยิบโน๊ตขึ้นมาอ่าน มองไปรอบๆ แว่บนึงที่สายตาเราปะทะกัน ผมหลบสายตา เขาอ่านโน๊ตนั้นอีกรอบ แล้วขยำโน๊ต เช่นเดียวกับสติ๊กเกอร์ที่ดึงขึ้นมา ใส่รวมเข้าไปในถุงช็อกโกแล็ต แล้วปาทิ้งลงพื้น กระชากจักรยาน ขี่มันออกไป โดยไม่หันมามองอีก

นั้นคือสถานการณ์แบบที่เรียกกันว่า ‘เหนือไม่ไปใต้ไม่มา’ ที่ผมต้องประสบพบเจอเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ที่ทำเอาเราไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่มีทยอยเข้ามาอีกเรื่อยๆ เป็นซีรีส์หลังจากนั้น กระทั่งล่าสุด คือเรื่องนัดยิ้มที่ล่มไม่เป็นท่า

เอาจริงดิ  ทำไปให้เสร็จๆ โดยไม่มีการกอดหรือจูบกันเนี่ยนะ

ผมนอนนิ่งคิดถึงเรื่องต่างๆ อยู่อย่างนั้นราวสิบนาทีได้ ก่อนที่เสียงครืดคราดของโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ตรงข้างเตียงจะเรียกสติให้กลับมา

จะเรียกว่าเบอร์แปลกก็ไม่ถูกนัก แต่เป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้บันทึกเอาไว้ และเคยโทรเข้ามาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผมกลับจำได้
โทรมาทำไมวะ?

ผมคิดนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจรับสาย แกล้งทำเป็นไม่รู้

“สวัสดีครับ”
“พี่ตี้ หรือเปล่าครับ”
ปลายสายก็คงแกล้งทำเป็นไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ครับ ใครครับ”
“ผมวินนะ เพื่อนเฟม”
“อ้อ มีอะไรเหรอ”
“คือ ผมติดต่อไอ้เฟมไม่ได้ พี่อยู่กับมันหรือเปล่า”

จู่ๆ ก็รู้สึกเคือง ทำไมผมต้องอยู่กับเพื่อนมันด้วยวะ

“ไม่อะ”
“แล้วพี่รู้ไหม ว่าสองคนนั่นไปไหนกัน ทำไมปิดโทรศัพท์”
“ปิดโทรศัพท์เลยเหรอ งั้นเขาอาจจะไม่อยากให้ใครรบกวนก็ได้มั้ง”
จริงๆ ผมรู้แหละว่าสองคนนั้นไปไหน แต่แค่ไม่อยากตอบ
“ปกติมันไม่เคยปิดโทรศัพท์ ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดี พ่อแม่มันก็โทรติดต่อไม่ได้ ถ้าพี่รู้ว่ามันไปไหนก็บอกผมเถอะ แต่ถ้าไม่รู้ ผมฝากพี่โทรหาเพื่อนพี่ด้วย บอกว่าให้ไอ้เฟมโทรหาที่บ้านด่วน”
“ได้ เดี๋ยวผมลองโทรให้ แค่นี้นะ”

ผมวางสาย แล้วกดเบอร์โทรหาไอติม

“ว่าไงมึง”
“ตายห่ากันไปหรือยัง”
“พวกกูว่าจะค้างบนดอยอีกคืนว่ะ เฟมมันอยากไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่แปลงดอกไฮเดรนเยียตอนเช้า มึงสนใจไหม นั่งรถตามมาจอมทองเลย เดี๋ยวกูขับลงไปรับข้างล่าง”
“ไว้ก่อนเหอะ บอกเฟมโทรกลับที่บ้านกับโทรหาผัวน้อยมันด้วย เออ แล้วทำไมมันปิดเครื่องวะ”
“เครือข่ายเฟมมันไม่ค่อยมีสัญญาณอ่ะ ต้องหากันเป็นจุดๆ ไม่ก็รอตอนลงข้างล่างเลย มีเรื่องไรด่วนปะมึง”
“ไม่รู้ว่ะ แค่ติดต่อไม่ได้ละมั้ง มึงบอกมันตามที่กูบอกละกัน กูจะวางละ”
“น้องวินโทรหามึงเหรอะวะ”

ผมวางสาย ไม่ตอบ แล้วกดโทรออกถึงคนที่ไอติมถามถึง

“ครับ”
“บอกให้แล้วนะ เดี๋ยวคงโทรกลับ โทรศัพท์เฟมไม่มีสัญญาณ”
“เดี๋ยวพี่ ตกลงสองคนนั่นไปไหน”
“เดี๋ยวมันโทรกลับไปก็ถามเอาเองละกัน”

ผมตัดสายอย่างรำคาญ

นี่ก็อีกคน ทำไมโลกไม่ยุติธรรมเลยวะ สร้างคนที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และสมอง ขึ้นมาเพื่อให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นกว่าเดิมงี้เหรอ คนหน้าตาดีอย่างไอ้เด็กนั่น คงไม่เคยต้องลดตัวมาทำอะไรไร้ศักดิ์ศรีอย่างที่ผมทำแน่ๆ

ผมลุกจากเตียง สะบัดหัวไล่ความรู้สึกแย่ๆ หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ

+++

ผมมีนัดกับ ป๋อม ต้อม โอปอล์ ตอนเที่ยง ที่ร้านส้มตำหลังมหาวิทยาลัย ขาดแค่พอลล่าที่มีงานพิเศษทำ ผมไปถึงช้าสุด เลยกลายเป็นเป้าสำหรับลับฝีปากของพวกสาวๆ โดยปริยาย

“ไงแก โดนผัวทิ้งละสิ เลยออกมาได้”
ป๋อมเหน็บก่อน
“อ้าว ไม่ใช่แกเหรอที่บ่นอยากกินส้มตำ”
ผมเถียง
“เอ้อ แล้วไอติมไปไหนอะ”
ยัยต้อมถาม
“ก็อยู่กับแฟนมันสิ”
“นั่นไง ชั้นว่าละ ผัวทิ้งจริงๆ ด้วย”
“แฟนมันมาอีกแล้วเหรอ บ่อยจัง”
โอปอล์ถาม ผมอ้าปากจะตอบ แต่ป๋อมชิงตอบซะก่อน
“ช่วงโปรก็งี้แหละแก เออ ว่าแต่แกอะตี้”
“ชั้นทำไม”
“ก็แอพเกย์ของแกไง”
“เบาๆ ก็ได้มะ กลัวคนไม่รู้รึไงว่ามีเพื่อนเป็นตุ๊ด” ผมเอ็ด “ลบทิ้งไปหมดแล้ว”
“อ้าว ไม่ได้นะ” ยัยต้อมว่า “ไอติมมันก็ชิงมีแฟนไปแล้ว แบบนี้แกไม่เหงาแย่เหรอ”
“ไม่ดีหรือไง ก็อยู่เป็นเพื่อนชายโสดของพวกแกเนี่ย”
ผมโกหก นี่ถ้าพวกนางรู้ว่าผมเหงาถึงขั้นนัดยิ้มกับผู้ชายแล้วละก็ คงจะอึ้ง ทำตัวไม่ถูกกันน่าดู
“ฉันดูหมกมุ่นอยากมีแฟนขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
ผมถาม
“ใครบอกแกวะ”
“ก็พวกแกนี่ไง ก็พูดอยู่เนี่ย”
“แหม พวกชั้นก็แซวเล่นๆ ไหม”
โอปอล์แก้ตัว
“แต่ฉันอยากมีนะ“ ยัยต้อมตั้งท่าจะดราม่า “คนอื่นน่ะชั้นไม่รู้หรอก แต่สำหรับชั้น ตรงๆ เลย ชั้นเหงา ชั้นอยากรู้สึกว่าตัวเองมีค่า เป็นที่ต้องการ ถึงคนจะชอบพูดกันว่า อย่าเอาคุณค่าหรือความสุขไปผูกไว้กับคนอื่นก็เถอะ แต่มันก็ยังดีกว่าต้องพยายามให้กำลังใจตัวเอง รักตัวเอง วันแล้ววันเล่าหรือเปล่า มันเหนื่อยนะเว้ย อย่างที่พวกแกรู้ ชั้นไม่ค่อยสนิทกับที่บ้าน ชั้นไม่พูดเรื่องแบบนี้กับพ่อแม่ คือ… คนเราบางทีมันก็มีไม่โอเค มีวันที่รู้สึกไม่ชอบตัวเอง พวกแกก็เป็นใช่ไหมล่ะ มันคงจะดีมาก มีใครสักคนที่ชอบชั้น ในวันที่ชั้นรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก”
“ไปรับยาที่สวนปรุงด้วยค่ะ”
ป๋อมว่า
“งี้จะเป็นใครก็ได้ใช่ไหม คนที่จะมาเป็นแฟนแกอะ”
ผมแกล้งแซว
“ไม่ได้สิ ต้องเป็นคนที่เขาชอบเรา แล้วเราก็ชอบเขาด้วย”
“ยากละ”
“แกต้องไม่ลดตัว หรือลดมาตรฐานของตัวเองเด็ดขาด”
“ก็ไม่ลดไงถึงยังโสดอยู่แบบนี้ นี่ขนาดลดมาแล้วยังไม่ได้เลย สงสัยชั้นคงโดนสาปให้ไปชอบแต่คนที่เขาไม่เอาละมั้ง” ผมเถียง “ว่าแต่ทำไมเราต้องมาคุยกันเรื่องนี้กันตลอด เปลี่ยนเรื่องมะ คุยเรื่องเรียนบ้างมะ”
“ตอแหล” ป่อมด่า “แกนั่นแหละตัวดี เริ่มก่อน”
“ให้ผัวเก่าแกให้หาให้ดิ มันยังหาของมันได้เลย”
ต้อมว่า
“เออ เพื่อนแฟนมันไง หล่อไม่ใช่เหรอ”
โอปอล์ถาม ผมหัวเราะขื่นๆ เออ ก็หล่อ หล่อมาก แต่พอนึกถึงไอ้เด็กเวรนั่นก็รู้สึกเจ็บแปลกๆ นี่ก็เป็นอีกคนที่ไม่มีวันเอาผม แล้วก็ไม่รอช้าที่จะบอกผมให้รู้ตัวด้วย

+++

กลับถึงห้อง ผมล้มตัวลองนอน แล้วดูนั่นนี่ในมือถือไปเรื่อย จนเลยไปถึงข้อความสนทนาในแอพแมสเซนเจอร์ที่คุยกับเซนเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

Tee:    ถามจริง เซนไม่มีแฟนจริงดิ
Zen:    ไม่มี ทำไม จะจีบเหรอ
Tee:    (สติ๊กเกอร์สนูปปี้หัวเราะ)
Zen:   (สติ๊กเกอร์แมวร้องไห้) ไม่รู้ดิ งงเหมือนกัน 555 สงสัยเรียนหนักเกิน ไม่ค่อยได้เจอใครนอกคณะมั้ง
Tee:    ในคณะก็ต้องมีคนน่ารักๆ บ้างแหละ
Zen:    มีมั้ง แต่เขาอาจจะยังไม่ใช่สำหรับเรา และเราก็ยังไม่ใช่สำหรับเขาไง
อีกอย่าง ดูสภาพตัวเองตอนนี้แล้ว ไม่น่าจะดูแลใครได้ 555
Tee:   (สติ๊กเกอร์ OMG)
Zen:   แอบเก็บข้อมูลเหรอ
Tee:   เปล่า อยากรู้เฉยๆ
Zen:   ตี้อ่ะ ทำไมยังไม่มีแฟน
Tee:    ไม่มีใครเอาเหอะ
Zen:    (สติกเกอร์แลบลิ้น) ไม่เชื่อ
Tee:   (สติกเกอร์เด็กร้องไห้)
Zen:   งั้นเราจีบ
Tee:   555

นี่ก็อีกคน บอกจะจีบๆ แล้วหาย คือไรวะ ทักไปดีมะ

ไม่ได้ๆ บอกพวกนั้นไปแล้วนี่นาว่าจะไม่หมกมุ่น ตั้งใจเรียนดีกว่า ทุกวันนี้ก็โง่จะเป็นควายอยู่แล้ว

แต่อยากทักไปนะ
เซนทำอะไรอยูวะ

ผมวางโทรศัพท์ มือประสานวางบนหน้าอกแล้วจ้องเพดานเหมือนเมื่อเช้าเด๊ะ ก่อนที่เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์จะดังขึ้น อาจจะเป็นเซนทักมาก็ได้ เราอาจจะมีจิตใจเชื่อมต่อถึงกัน ผมรีบคว้าโทรศัพท์ที่ข้างตัวขึ้นมาดู

คุณมีหนึ่งคำขอเป็นเพื่อน
Win Laokanchanasithikul
มีเพื่อนร่วมกัน 1 คน

เชี่ย!

+++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 14:26:08 โดย bennietakky »

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
5

ธันวาคม

การสอบปลายภาคผ่านพ้นไปด้วยดี จากนี้ก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่สำหรับช่วงปิดเทอมไปจนถึงต้นปีหน้าโน่นเลย (จริงๆ แล้ว แค่ประมาณยี่สิบวันเท่านั้นเอง) ผมคิดถึงแผนการมากมายในหัวขณะที่กำลังอยู่บนความสูง 30,000 ฟุตเหนือพื้นดินจากเชียงใหม่ไปยังกรุงเทพฯ (ที่ไม่ได้จะมีโอกาสบ่อยๆ) โดยมีเพื่อนร่วมทางอย่างไอติม ที่คงตื่นเต้นที่สุดแล้วสำหรับทริปนี้

“ตี้ กูตัดสินใจละ มึงไม่ต้องไปพักกับเพื่อนที่รังสิตหรอก มึงนอนคอนโดเฟมกับกูนี่แหละ มันไกล เดินทางลำบาก”
“อ้าว กูนัดเพื่อนไว้แล้วไหม อุตส่าห์อ้อนวอนมันตั้งนาน”
“ให้มันเข้ามาในเมืองสักวันละกัน”
“ไม่เอาอะ กูรำคาญพวกมึงสองคน เดี๋ยวก็ไปเที่ยวที่มันไฮโซๆ อีกอะ กูอยากเที่ยวจนๆ ของกูคนเดียว”
“มึงมากะใคร“ ไอติมตบกระเป๋ากางเกง “นี่เสี่ยติมนะเว้ย”
“เหอะ” ผมเบ้ปาก “เดี๋ยวเพื่อนแฟนมึงก็มาหาว่ากูเกาะพวกมึงแดกอีก”
“มึงไม่ต้องเถียง กูตัดสินใจให้แล้ว มึงจะนอนห้องเฟมดีๆ หรือจะไปนอนห้องไอ้น้องวิน”
“อ้าว แล้วมันไม่ได้แชร์คอนโดเดียวกันเหรอ”
“ใช่ แต่อยู่กันคนละห้อง” ไอติมอธิบาย “เออ ก้ดีนะเว้ย กูนอนกะเฟม มึงนอนกะไอ้น้องวิน เอาไหม”
“มะเหงก”
“มะเหงกทั้งปี ไม่ต้องกลัวเว้ย กูคุยกับไอติมแล้ว เป็นห้องชุด มึงพักได้ จบ”

สรุปนี่คือ ผมต้องนอนกับพวกมันจริงๆ ใช่ไหม เออๆ ก็ได้วะ ก็ดีเหมือนกัน ที่ที่ผมอยากไป ก็อยู่แต่ในย่านนั้นเกือบจะทั้งหมด ตะกี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะเดินทางจากรังสิตไปยังไง เอาแบบที่ประหยัดเวลาและประหยัดเงินในกระเป๋ามากที่สุด ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะได้ไม่ปวดหัวเรื่องเดินทางมาก แต่ที่เล่นตัวไม่ยอมไปพักด้วยตั้งแต่แรก คือเพราะเกรงใจแฟนเพื่อน มันอาจจะอยากสวีทกันสองต่อสองมากกว่า

ส่วนไอ้เด็กวิน เหอะ ถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็คงใจเต้นอยู่หรอก แต่พอมาเป็นแบบนี้แล้ว ไม่ต้องเจอกันเลยตลอดทริปนั้นแหละดีที่สุด

+++

แต่ที่ไหน ผมต้องเจอกับเด็กนั้นตั้งแต่นาทีแรกๆ ที่พ้นออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาออกเลยทีเดียว

“มันมาทำไมวะ”
คือประโยคที่ผมกระซิบถามไอติม เพื่อนรัก
“มาเป็นเพื่อนเฟมแหละมั้ง ก็เขาอยู่คอนโดเดียวกัน”
“ก็มึงบอกกูว่าเฟมมาคนเดียว”
“เหอะน่า ไปๆ”

ผมทักทายเฟมที่กุลีกุจอมาช่วยยกกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถเก๋งป้ายแดงที่ไอ้เด็กนั่นเป็นคนขับตามที่ แล้วเข้าไปนั่งที่เบาะหลังโดยให้ไอติมเข้าไปก่อน ไอติมทักทายมัน แต่ผมทำเป็นยุ่งอยู่กับโทรศัพท์มือถือไม่สนใจ พอตอนที่เงยหน้าขึ้นแล้วเจอกับสายตามันที่แอบมองผ่านกระจกมองหลัง ผมเสมองออกไปข้างนอก

“หิวหรือยังครับพี่ตี้”
เฟมพยายามชวนคุย
“ยังไม่หิวเลยครับ ตะกี้รองท้องกันมาแล้วที่สนามบิน”
“ถ้างั้นเอาของไปเก็บคอนโดผมก่อนเนอะ แล้วเดี๋ยวค่อยออกไปหาอะไรกินกัน”
“ครับผม พี่ขอนอนแป๊บนะ ตื่นเช้าเกินอะ”

ผมแกล้งหาวแล้วหลับตาพิงเบาะ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับวงสนทนา จนหลับไปจริงๆ รู้ตัวอีกทีคือถึงคอนโดเฟมแล้ว มันคือส่วนไหนของกรุงเทพก็ไม่อาจคาดเดา

ผมเอากระเป๋าของตัวเองออกจากท้ายรถเป็นคนสุดท้าย แล้วรีบเดินไปประกบข้างไอติม ระยะทางจากลานของอาคารจอดรถกับลิฟต์ไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก

“พี่ตี้ครับ ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”

เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำเอาผมสะดุ้ง
เชี่ย มึงคุยกับกูเหรอ ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างงใจ ไอติมกับเฟมเหมือนจะรู้งาน รีบลากกระเป๋าไปยังลิฟต์ทันที

“กูขึ้นไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวดิ”
ผมร้องบอก แต่ไม่ทันแล้ว
“พี่”
“หืม เออ โอเค มีอะไร”
“คือ… พี่ยังไม่กดรับเฟรนด์รีเควสท์ของผมเลย”
“อะไรนะ”

ผมทำเป็นไม่เข้าใจ มันมองบนแล้วถอนหายใจ สงสัยคงไม่อยากพูดซ้ำ

“เฟรนด์รีเควสท์ในเฟสบุ๊ค ที่ผมแอดไป”
“เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
“ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาครับ”
“อ้อ… แล้ว… แอดมาทำไมเหรอ”
“ก็แอดเฟรนด์ไง ต้องมีเหตุผลอะไรอีกเหรอครับ”

คราวนี้เป็นมันที่แกล้งเฉไฉบ้าง โวะ ต้องมีสิโว้ย คนเกลียดกันที่ไหนที่เขาแอดเฟรนด์กัน หรือมีวะ

“คือ… ผม จะไม่รับก็ได้ ใช่ไหม”
“ครับ แต่ช่วยรับด้วย”
“แต่…”
“โอเค ผมแอดไปใหม่”

มันหยิบไอโฟนรุ่นล่าสุดขึ้นมาไถๆ กดๆ

“อะ กดรับสิครับ”

ผมล้วงเอามือถือเน่าๆ ราคาสามพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าที่ใช้มาสองปี ที่มีเสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาดู

“กดแล้ว ไปกันได้หรือยัง”

ไอ้เด็กนั่นยิ้มยกที่มุมปาก แล้วออกเดิน ผมเดินลากกระเป๋าตามมันเข้าลิฟต์แบบงงๆ
พอถึงห้อง ไอติมรีบแอบดึงตัวผมไปถามทันที

“มึงคุยไรกันวะ”
“มันให้กูแอดเฟสมัน แอดทำไมวะ มึงกับเฟมไมได้บังคับอะไรมันใช่ไหม”
“เปล่า ฮั่นแน่ เสน่ห์แรงเว้ยเฮ้ย”
“พ่อมึงดิ”
“สงสัยมันแอบชอบมึงละมั้ง”
“ขอให้จริงเหอะ”

ผมพูดตามที่คิด เพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้

“เอาน่า มึงก็ดีๆ กับน้องมันหน่อย กูว่านะ อีกไม่นานหรอก ความฝันที่จะมีผัวคิวท์บอยของมึงอยู่ไม่ไกลแล้วเว้ย”
“เหรอวะ”
“ครับ”

มึงก็พูดได้ดิ ก็มึงมีแล้วนี่

+++

พอพูดถึงคอนโดนักศึกษา นี่ก็คิดว่าน่าจะเป็นห้องขนาดกระทัดรัดขนาด 22 – 30 ตารางเมตร แต่ไม่ใช่เลยเด้อ เด็กพวกนี้อยู่กันแบบห้อง duplex 3 กะจากห้องนอน 3 ห้องน้ำ สายตาไม่น่าจะต่ำกว่า 150 ตารางวา (ไม่กล้าถาม) รวยโคตร รวยไม่เผื่อแผ่ รวยกระจุกตัว ฯลฯ ผมได้นอนห้องนอนแขกที่สภาพแม่งน่าอยู่กว่าหอพักหรือห้องนอนส่วนตัวที่บ้านอีก เลยโล่งใจว่าไม่ต้องนอนรวมกับคู่ผัวเมีย ค่อยรู้สึกเป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย ผมล้มตัวนอนบนเตียงนุ่มๆ ในห้องที่ปรับอากาศจนเย็นสบาย แล้วก็เผลองีบหลับไป จนกระทั่งไอติมเข้ามาปลุกให้ล้างหน้าล้างตา เพื่อออกไปหาข้าวกินที่ห้างแถวสยาม

ระหว่างทางก็เหมือนเดิม ผมตอบข้อความของเซนที่ทักมาทางไลน์ตั้งแต่ก่อนผมขึ้นเครื่อง เพื่อคอนเฟิร์มนัด ผมกับเซนมีนิสัยคล้ายๆ กันอยู่อย่าง นั่นคือ ไม่ชอบคุยแชทยาวๆ แต่จะส่งข้อความทิ้งไว้ แล้วเปิดอ่านหรือตอบเมื่อว่าง ไม่ตอบทันที แต่ตอบกันตลอด ทั้งวัน

ผมจะร่วมวงสนทนากับรอบข้าง ต่อเมื่อไอติมหรือน้องเฟมถามเท่านั้น พอถึงห้าง ก็ให้พวกนั้นตัดสินใจเลือกร้านเช่นกัน เพราะผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับร้านอาหารบนห้าง ปกติก็กินแต่ร้านห้องแถวหรือร้านข้างทางบริเวณรอบมหาวิทยาลัย

จะกังวลก็แต่งบนี่แหละ ถึงไอติมจะบอกว่าขาดเหลือมีให้ยืมใช้ไม่อั้นก็เหอะ ก็ต้องคืนอยู่ดีปะวะ

“เออ วิน เดี๋ยวกูไปห้องน้ำก่อนนะ พี่ตี้สั่งอาหารได้เลยนะครับ” เฟมหันมาบอก หลังจากได้ที่นั่งกันไม่ถึงนาที “พี่ติม ไปเป็นเพื่อนเฟมหน่อย”

ไอติมทำท่าทางแปลกๆ มีพิรุธ

“งั้นมึงกับน้องวินก็สั่งอาหารไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องสั่งเผื่อ เดี๋ยวพวกกูมาสั่งเอง” ว่าแล้วก็เอี้ยวตัวมากระซิบข้างหูผม “คุยกันดีๆ นะมึง”

สัด เหมือนว่าไอ้เด็กวินมันจะไม่ได้ยินอย่างนั้นล่ะ
“กูไปด้วย”
ผมบอก
“ไม่ มึงอยู่นี่ก่อน เดี๋ยวกูมาแล้วค่อยไป” ไอติมดูลนๆ “ไปละ เดี๋ยวมา”
แล้วทั้งสองคนก็เดินเร็วๆ ออกจากร้านไป พอดีกับที่พนักงานเดินมารับออเดอร์

“สั่งเลยไหมครับ”

ไอ้เด็กวินถาม ผมพยักหน้า แต่เลือกที่จะไม่สบตา แล้วก็มาอึ้งกับราคาอาหารในเมนูแทน
ไหนๆ ก็แพงไปทุกเมนูซะขนาดนี้แล้ว ผมเลยเลือกซีฟู้ดที่ผมชอบ เพราะดูราคาสมเหตุสมผลสุด แล้วก็กลับมานั่งไล่อ่านเฟสบุ๊ควนไปมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจในหน้าฟีดเลย

 “ไอติมส่งแมสเสจมา บอกให้เรากินกันได้เลย มันอยู่ในโรงหนัง” อีกฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่ได้อาหารของใครของมันเรียบร้อยแล้ว “งั้น เรากินกันเลยไหมครับ”

นั่นไง กูว่าละ ไปนานโคตร

“อืม” ผมตอบรับ ทั้งที่ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว แต่หิวและเสียดายอาหาร “ถ้างั้น กินเสร็จก็แยกกันเลยละกันนะ”
“ผมว่าสองคนนั้น น่าจะอยากให้เราเคลียร์กัน”

อะไรอีกล่ะ ผมมองหน้าคู่กรณีแว่บนึง

“ไม่ต้องหรอก คุณก็คงไม่อยากเคลียร์ ถูกมะ”
“ผมอยากเคลียร์นะ”
“อ้อ… โอเค”

มาไม้ไหนของมันอีกละเนี่ย

“งั้นผมพูดก่อนละกัน ที่ผ่านมา ผมขอโทษแล้วกันนะครับ ถ้าผมเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับตัวพี่หรือเพื่อนพี่บางเรื่อง หวังว่าพี่จะเข้าใจว่าที่ผมพูดหรือทำอะไรไป เพียงเพราะความโกรธ แล้วก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อน”

ผมฟังแล้วพยายามคิดตาม แต่ออกจะงงๆ สักหน่อย

“เฟมมันเป็นคนดีครับ แต่ออกจะหัวอ่อน แล้วก็ไม่ค่อยทันคน ผมก็เลยค่อนข้างจะซีเรียสเป็นพิเศษ”
“แต่… เฟมก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
“ครับ”
“ผมว่า ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เพื่อนคุณ แต่อยู่ที่ทัศนคติของคุณมากกว่า”
“ครับ ผมยอมรับว่าผมไม่ค่อยไว้ใจเพื่อนพี่เท่าไหร่ ถึงตอนนี้ก็เหอะ แต่… ผมถามพี่หน่อย พี่สามารถพูดได้ไหมว่า เพื่อนพี่เป็นคนที่ดีและเหมาะสมกับเพื่อนผม เป็นคนที่สามารถสนับสนุนหรือทำให้ชีวิตเพื่อนผมดีขึ้น หรืออย่างน้อย ก็ไม่ทำให้แย่ไปกว่าเดิม”

โอ้โห ไปไม่ถูกเลย

“คุณกำลังจะบอกว่าเพื่อนผมไม่คู่ควรกับเพื่อนคุณงั้นเหรอ”
“เปล่าครับ ผมถามว่า พี่คิดว่าเพื่อนพี่ดีพอไหม”
“แต่ในความคิดคุณ คือไอติมมันไม่ดีพอ ถูกไหม”
“ก็ ถ้าว่ากันตามจริงก็ใช่ครับ แล้วพี่ละครับ คิดว่ายังไง คิดว่าสองคนนี้เหมาะสมกันไหม”

ก็… จริงของมัน คือถ้าจะให้ตอบว่าไอติมคู่ควรหรือเปล่า แน่นอนผมต้องบอกว่าคู่ควรอยู่แล้วสิ แต่สองคนนี้เหมาะสมกันไหม อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถามแบบนี้…

“ผมว่า… มันไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะไปตัดสินใจแทนใคร”
“แต่เราให้คำแนะนำได้นี่ครับ เราสามารถชี้ให้เห็นได้ว่า เขา…” เจ้าตัวหยุด เหมือนกำลังคิดว่าจะพูดดีไหม “ไม่มีความเหมาะสมที่จะคบกัน เราอาจจะโน้มน้าวให้สองคนนั้นเชื่อได้ว่า พวกเขาแต่งต่างกันมาก และเรื่องของความเหมาะสมมันสำคัญยังไง”

คำก็เหมาะสม สองคำก็เหมาะสม ไม่พูดออกมาเลยละวะ ว่ามันคนละระดับสังคมกัน ผมมองหน้าหล่อๆ นิ่งๆ นั้น ด้วยความรู้สึกสับสนว่าควรเกลียดหรือกลัว คนๆ นี้ดี หรือจะทั้งสองอย่าง

“งั้นก็ไปบอกพวกเขาเองเถอะ” ผมตอบ “เพราะในฐานะเพื่อน ไม่ว่ามันจะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค หน้าที่ของผมคือต้องสนับสนุนการตัดสินใจของพวกเขา ไม่ใช่ชี้ถูกผิด”
“ที่พี่พูดมาก็จริงนะครับ แต่คงใช้ไม่ได้กับทุกกรณี”
“เขาอาจจะแค่คบกันเล่นๆ ก็ได้” ผมเถียงต่อ “ไม่เห็นต้องซีเรียสอะไรเลย ถ้าเขาไม่ใช่คู่กันจริงๆ หมดช่วงโปรหรือเจอคนใหม่ก็แยกย้าย ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง”
“ก็นั่นแหละที่ผมกลัว ถึงแม้ว่าอีกใจหนึ่งจะอยากให้มันเกิดขึ้นก็เถอะ”

ผมพยายามคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยิน เท่าที่สมองโง่ๆ ของตัวเองจะสามารถ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ประกอบกับความรู้สึกอึดอัดฉับพลัน จึงวางส้อมและเลื่อนจานอาหารที่กินค้างอยู่ออกจากตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงเขาก็มองพวกเราต่ำอยู่แล้ว จะมีมารยาทไปทำไมอีก ผมโบกมือเรียกพนักงานเพื่อเก็บเงิน

“เราต้องเอาบิลไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เองครับ”  ไอ้เด็กวิน ทำผมรู้สึกเสียฟอร์มนิดๆ “เดี๋ยวผมจ่ายเอง พี่ทานให้อิ่มก่อนเถอะครับ”
“ผมอิ่มแล้ว” ผมหยิบแบงค์ห้าร้อยจากกระเป๋าแล้ววางบนโต๊ะ คิดว่าน่าจะพอสำหรับค่าอาหารของตัวเอง “ฝากจ่ายด้วยนะ”
“ผมขอโทษถ้าพูดอะไรแรงไป”
“ไม่หรอก คุณพูดในสิ่งที่คุณคิดจริงๆ ซึ่งมันก็ถูกแล้ว ดีซะอีก”
“ถ้างั้น ทำไมพี่ไม่อยู่ทานข้าวให้เสร็จก่อนล่ะครับ”

โดนตอกแบบนี้ คือหน้าชาไปเลย

“มันไม่อร่อย ผมไปหาอะไรในเซเว่นกินดีกว่า เสร็จก็จะเดินเล่นแถวๆ นี้แหละ ถ้าสองคนนั้นออกจากโรงหนังแล้ว บอกไอติมให้โทรหาผมด้วยละกัน”

ผมเก็บโต๊ะให้เข้าที่ด้วยความเคยชิน (เคยทำงานพาร์ทไทม์ร้าสเต๊กมาก่อน) แล้วเดินออกมาจากร้านโดยไม่เหลียวกลับไปมอง
ว่าแล้วเชียว ร้านนี้โคตรแพง และโคตรไม่เหมาะกับเด็กบ้านนอกอย่างผมเลยสักนิด ตัวเบาเลยทีเดียว

+++

ผมเดินเต็ดเตร่ในสยามคนเดียวมาชั่วโมงกว่าแล้ว เดินเข้าซอกนั้น ออกร้านนี้ ทั้งในห้างและนอกห้าง พลางตอบแชทของเซนไปด้วย จะเรียกว่าเพลินก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะอากาศค่อนข้างร้อน ต้องหลบเข้าห้างเสียส่วนใหญ่ ตื่นตากับร้านค้า ช้อปเสื้อผ้า ร้านเครื่องสำอางค์ จิปาถะ ร้านขนมนมเนย ที่ล้วนมีดิสเพลย์โก้เก๋ ไฮโซ และสุดจะครีเอทีฟมากมายเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง แต่ไม่วายรู้สึกเศร้านิดๆ เพราะไม่มีปัญญาจะซื้อของเหล่านั้นเลย แม้แต่ชิ้นเดียว

ขนมชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียวเกือบสองร้อยบาท ชาไข่มุกแก้วละสองร้อย ขืนซื้อกินคงโดนแม่ด่าไปสามวัน แต่คงอร่อยจริง ไม่งั้นคนคงไม่ต่อแถวกันขนาดนี้ แม่จะเป็นช่วงบ่ายนิดๆ ของวันธรรมดาก็เถอะ

พอเดินข้ามจากมาบุญครอง มาอยู่ในสยามดิสคัฟเวอรี่ ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าอยากเห็นสะพานลอยหน้าสยามเซนเตอร์ ที่มาริโอเคยไปยืนดูนายเอกในหนัง Y เรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ ร้องเพลงในตอนท้ายๆ ของเรื่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว เลยเดินคลำทางจนเจอทางออกทะลุห้างไปยังสยามเซนเตอร์ และสะพานลอยในที่สุด ผมยืนมองลานกิจกรรมที่เพิ่งเดินผ่านตะกี้ จากจุดที่เห็นในหนังแล้วจินตนาการตาม ด้วยเป็นช่วงใกล้คริสต์มาส์เหมือนกัน ต่างกันแค่ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน และลานตรงนั้นมีกิจกรรมส่งเสริมการขายจัดอยู่ ส่วนเวทีดนตรีตั้งอยู่หันหลังให้ถนน ไม่ได้หันหน้าเข้าหาสะพานลอยแบบที่เห็นในหนัง

แต่แค่นี้ก็ฟูลฟิลแล้ว

ได้เดินไปรอบๆ สยามโดยมีเพลง ‘กันและกัน’ อยู่ในหัว อย่างที่เคยคิดเอาไว้ ถึงหน้าตาร้ารวงและตึกรามจะเปลี่ยนไปจากปี 2007 หมดแล้วก็เถอะ

เอ้อ แล้วป้ายร้านเป็ดย่างสกาล่าล่ะ ยังอยู่ไหม

ผมหันหลังกลับไปดู เออยังอยู่แฮะ ก่อนจะเริ่มเดินตรงไปยังอีกฝั่งของสะพานลอย หวังใจจะเซลฟี่กับป้าย เหมือนที่ถ่ายกับลานกิจกรรมเมื่อกี้นี้ แล้วก็ต้องชะงักฝีเท้า

ไอ้เด็กวินนั่งยองๆ หันหลังให้ อยู่ตรงบันไดทางเดิน

มือข้างหนึ่งถือถุงอาหารแมวถุงเล็กที่น่าคาดว่าน่าจะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ กำลังให้อาหารน้องแมวสี่ห้าตัวที่เข้ามารุมล้อม บางตัวก็เข้ามาเกาะขาขอเล่นด้วยอย่างคุ้นเคย

มันเทแบ่งอาหารทั้งถุงใส่ในถ้วยและจานพลาสติกที่วางอยู่บนแผ่นกระดานไม้อัดที่พาดอยู่ตรงโครงป้าย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของน้องแมวจรเหล่านั้นจนหมด

บ้าบอว่ะ ผมไม่คิดว่ามันจะมีอะไรด้านนี้กับเขาด้วย

แม่ง หล่อแล้วยังใจดี รักสัตว์ไปอีก สร้างภาพปะวะ

แต่ถึงจะคิดว่าสร้างภาพ แต่ผมก็อดยกมือถือขึ้นมาแอบถ่ายไม่ได้อยู่ดี ทั้งที่ก็หาเหตุผลตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
รู้แค่ว่ามันเป็นภาพที่น่ารัก

น่ารักจนใจเต้นแปลกๆ

+++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 14:31:32 โดย bennietakky »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
«ตอบ #9 เมื่อ08-02-2019 01:53:14 »

ติดตามอ่านค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
« ตอบ #9 เมื่อ: 08-02-2019 01:53:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
«ตอบ #10 เมื่อ08-02-2019 04:21:02 »

 :katai2-1: รอลุ้นความเป็นไปของสองคนนี้ เมื่อไหร่จะเจอจุดบรรจบ

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0

สวัสดีครับ คนเขียนเองนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาช่วยคอมเมนท์นะครับ
ไม่ได้เขียนนาน ไม่มีคนตาม กลัวว่าจะไม่มีคนอ่าน แต่โพสต์แล้วมีคนอ่านบ้างก็ใจชื้นครับ
เรื่องนี้มีทั้งหมด 19 ตอนนะครับ เขียนจบแล้ว จะค่อยๆ ทยอยลงนะครับ (คืออยากอ่านคอมเมนท์นั้นแหละ)
ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ ใครที่ยังไม่เคยอ่านนิยายเก่าที่เขียนจบแล้ว ถ้าสนใจก็ฝากด้วยนะครับ
+++ หนุ่มโชคร้ายกับนายแชมป์ว่าว +++
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5161.0
ขอบคุณครับ/ เบน

+++

6

น่ารักนะ เด็กผู้ชายกับแมว ถึงจะเป็นไอ้เด็กวินก็เถอะ

มันอุ้มน้องแมวตัวหนึ่งขึ้นมาเล่นอยู่เกือบครึ่งนาที ก่อนวางคืนตรงขั้นบันได ลุกขึ้นยืน ขยำถุงอาหารแมวเปล่าใส่ประเป๋า แล้วปัดมือที่เปื้อนกับกางเกงยีนส์

ผมนึกขึ้นได้ เลยหันหลังกลับหมายจะหลบ แต่ไม่ทันซะแล้ว

“พี่ตี้”
ไอ้เด็กวิน เรียกจากด้านหลัง ผมเลยต้องหันไป ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้าว ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
ผมแกล้งถาม ไอ้เด็กวินเดินเข้ามาหา เหงื่อออกยิ่งโคตรหล่อ
“ผมกำลังจะไปรอสองคนนั้นที่พารากอน” ที่ถามไม่ตอบ แต่ไพล่ไปพูดเรื่องอื่น “อีกไม่เกินชั่วโมง หนังคงจบ”
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นประโยคบอกเล่าเฉยๆ หรือเป็นประโยคเชื้อเชิญ
“แล้ว…”
“อากาศร้อน ไปนั่งร้านกาแฟรอดีกว่า อีกอย่าง เดี๋ยวสองคนนั้นออกมาไม่เจอพี่ ผมก็โดนด่าอีก”

ผมพยักหน้า แล้วมันก็เดินนำย้อนทางที่เดินมา ตอนที่มันเดินผ่านได้กลิ่นน้ำหอมบางๆ ผสมกลิ่นเหงื่อด้วย
ไม่ได้ๆ อย่าไปหลงรูปกายมัน จำคราวที่แล้วไม่ได้เหรอ

ผมเดินตามมันห่างๆ จนมันต้องหยุดรอ และหันมามองเป็นระยะ จนมาถึงร้านกาแฟดังที่ชั้นโรงหนัง

“นั่งตรงนั้นละกัน”
มันชี้ตรงที่นั้งด้านนอกร้าน ตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม และเดินกลับมาเมื่อผมไม่ได้ตามเข้าไป
“พี่จะเอาอะไรครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่กินกาแฟ”
ผมบอก คือผมไม่กินกาแฟจริงๆ และที่สำคัญคือสั่งไม่เป็น
“งั้นชาเขียวปั่นไหมครับ ผมเลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไร คุณสั่งเถอะ”
“ให้ผมเลี้ยงเถอะ เราต้องนั่งตรงนี้อีกนาน ตามนั้นนะ”
แล้วมันก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้บอกว่า ผมไม่ชอบกินชาเขียวขมๆ เหมือนกัน

แล้วแต่มึงเหอะ

แต่ผิดคาด ชาเขียวปั่นท็อปด้วยถั่วแดงบดหวานกับวิปครีมอร่อยใช้ได้ ถึงจะไม่ได้ชอบมากมาย แต่ก็กินได้เพลินๆ เข้าใจ ของแพงมันอร่อยแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะ

เรานั่งกันเงียบๆ ต่างคนต่างสนใจกับมือถือในมือตัวเอง (ของผมเครื่องละสามพันเก้า ของมันไอโฟนรุ่นเกือบล่าสุด) ถึงผมจะไม่ค่อยมีสมาธิกับการที่ต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้แอบมองหน้ามันก็เหอะ ผมกินชาเขียวที่มันเลี้ยงอย่างพอเป็นพิธี เกือบหมดแก้ว ระหว่างที่คุยแชทกับเซน ที่เพิ่งทักเข้ามา

“ที่จริง พี่ไอติม เขาก็ดูนิสัยดีนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือ พอมีสตินึกขึ้นได้ว่ามันกำลังพูดกับผม ผมก็ยิ้มเยาะในใจ อ้อ แน่ล่ะ มึงเพิ่งรู้เหรอ
“แต่ก็ไม่ดีพออยู่ดี”
ผมว่า
“เอางี้ พี่ลองขายผมหน่อยสิ ว่าเพื่อนพี่มีอะไรดีอีกบ้าง อะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมเปลี่ยนใจ”
“เพื่ออะไรเหรอ ไม่จำเป็นปะ” ผมพูดอย่างเหลืออด “ประเด็นมันอยู่ที่เขาชอบกันจริงหรือเปล่า ไม่ได้อยู่ที่คุณชอบหรือไม่ชอบ ต่อให้คุณไม่เห็นด้วย แล้วไง เขาก็ชอบกันอยู่ดี โน่น เขาไปกุมมือ ล้วงควักกันอยู่ในโรงหนังโน่น ผมถามคุณจริง ๆ นะ คุณเป็นห่วงเพื่อน หวังดีกับเพื่อน หรือหวังดีกับตัวเองกันแน่”

พอพูดออกไปแล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด แต่คนฟังเพียงจ้องผมนิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดๆ

“พี่คิดว่าผมชอบเพื่อนตัวเอง ก็เลยอิจฉา”
น้ำเสียงเรียบๆ ไม่แก้ต่าง แต่ดันถามกลับ อะไรของมัน
“ไม่รู้สิครับ ผมคงตอบเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คุณ”

แล้วเราก็กลับไปนั่งเงียบอยู่ในโลกโซเชียลของใครของมันตามเดิม ซึ่งกินเวลาราวกับชั่วนิรันดร์

“ตอนที่เราเจอกัน มันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ผมขอโทษด้วยละกันครับ”

เดี๋ยวนะ นี่ผมฝันไปรึเปล่า มันขอโทษผมเหรอ ผมจำได้ว่า ครั้งก่อนที่มันโทรหา มันยังไม่ยอมรับเลยว่ามันได้พูดจาดูถูกอะไรผมไว้บ้าง ครั้งนี้มันพูดคำว่าขอโทษ ถึงจะไม่ได้บอกว่าขอโทษเรื่องอะไรก็เถอะ แต่ โวะ ไม่น่าเชื่อ

ผมเงยหน้าขึ้นสบตา แล้วก็ต้องหลบตา ไม่รู้จะพูดอะไร จังหวะนั้น ไอติมกับเฟม ก็เดินอมยิ้มเข้ามาในร้านพอดี ผมถลึงตาใส่ไอ้เฟมที่ไปแอบอยู่หลังแฟน

มึงโดนแน่ ไอ้สัด

“ไงมึง” เฟมทักเพื่อนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ “นี่มึงคุยกะพี่เค้าปะเนี่ย”

เงียบ

“อะไรวะ เออๆ ไม่คุยก็ไม่คุย ยังมีอักหลายวัน พี่ตี้ครับ” น้องหันมาทางผม “พี่ติมบอกผมว่า พี่ตี้อยากไปซาฟารีเวิร์ลดฺใช่ไหมครับ เราไปกันพรุ่งนี้เลยดีไหม ผมก็อยากไปเหมือนกัน”
“เออ พอดี พรุ่งนี้พี่นัดเพื่อนเอาไว้แล้วครับ” ผมตอบน้องอย่างเกรงใจ “เอาเป็นวันอื่นแล้วกันเนอะ”
“เพื่อน? ใครวะ ยัยนุ่นเหรอ”
ไอติมหมายถึงเพื่อนที่เรียนแถวรังสิต ที่ผมกะไปค้างด้วยตอนแรก
“มึงไม่รู้จักหรอก”
“อ๋อ ไอ้คนที่ชื่อเซนอะไรนั่นอะนะ ที่ไอ้เตอร์บอกใช่ไหม มันจีบมึงหรือวะ หรือมึงไปจีบเค้า”
“เสือก”
“มึงไปจีบเค้าชัวร์ เอ้อ เฟมกับวินรู้จักไอ้เซนอะไรนี่ปะ”
ไอติมถาม ผมแอบเหลือบมองเฟมกับไอ้เด็กวิน ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วไหม เคยสนิทกันนี่นา พอไปติมทักไปแบบนั้น สองคนก็ทำท่าแปลกๆ เหมือนจะถามกลับว่า ‘ต้องรู้จักด้วยเหรอ’
“เซนไหนเหรอครับ”
“เซนน่าจะเป็นรุ่นพี่เฟม เรียนบริหาร ถ้าจำไม่ผิดน่าจะภาคไฟแนนซ์”
ผมตอบแทนไอติม แล้วรอดูปฏิกิริยา ไอ้เด็กวินทำหน้าตาตื่น อย่างที่เซนเคยบอกไว้ไม่มีผิด สงสัยคงไปทำเขาไว้เยอะ
“อ๋อ… พี่เซน” เฟมตอบเสียงอ่อยๆ “ก็.. ครับ เขาเป็นพี่ที่คณะ แล้วพี่ตี้รู้จักพี่เขาได้ยังไงเหรอครับ”

ผมยิ้มให้น้องแบบแนนโน๊ะแทนคำตอบ

+++

ใช้ชีวิตอยู่ที่สยามจนพลบค่ำ พอกลับถึงคอนโด ผมรีบเข้าห้องตัวเองเพื่อชาร์ตแบทและไลน์ไปรายงานให้เซนฟังแทบจะทันที
ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เล่าให้ฟังว่าตัวเองรู้จักกับน้องเฟมและไอ้เด็กวินได้ยังไง หรือกระทั่งเรื่องที่ว่ามาพักอยู่ที่คอนโดสองคนนี้ เพราะไม่เห็นความจำเป็น ทั้งเซนเองก็ไม่เคยพูดหรือถามถึง แต่ผมอยากได้ข้อมูลนี่นา ผมอยากรู้จริงๆ ว่า มันเรื่องอะไรที่ไอ้เด็กนั่นถึงหวงเพื่อนได้เบอร์ใหญ่ขนาดนี้

Tee:    เพิ่งไปเจอน้องเฟมกับน้องวินมาล่ะ 555
Zen:   อ่า ละเป็นไงมั่ง
Tee:   ถามถึงเซนด้วยนะ
Zen:   งื้อ ถามถึงเราทำไมอ่า (สติ๊กเกอร์ร้องไห้)
Tee:   ถามว่ารู้จักไหมเฉยๆ ครับ แต่เขาก็บอกว่ารู้จักนะ
Zen:    (สติ๊กเกอร์แลบลิ้น) กลัวแล้ว
Tee:   กลัวไร
Zen:   เปล่า 555
   ไม่มีอะไร แค่ไม่อยากยุ่งด้วย ตี้ก็ระวังตัวด้วยละกัน
Tee:    อ่าว …

ผมกำลังจะพิมพ์ถามต่อ แต่มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาก่อน ปกติถ้าเป็นไอติม มันไม่เคาะประตูแน่ๆ ผมชั่งใจ แต่ก็ต้องเดินไปเปิดอยู่ดี เพราะนี่ไม่ใช่ห้องของเรา

ไอ้เด็กวินยืนอยู่ตรงหน้าประตู ในชุดที่เหมือนกับไปฟิตเนสเสร็จมาหมาดๆ เสื้อชุ่มจนเห็นหน้าอกชัด แล้วยังกางเกงขาสั้นและต้นขาใหญ่ๆ …

“ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”

ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ‘เซ็กซี่’ คือคำที่ผมนึกถึงออกในตอนนั้น มันเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู

“เรื่อง?”
 “พี่ไปรู้จักกับคนที่ชื่อเซนได้ไง”
“ทำไมเหรอ”
“รู้จักกันนานหรือยัง”
“อ้าว แล้วมันทำไมอะ อ๋อ หรือคุณจะบอกว่าผมไม่ดีพอที่จะเป็นเพื่อนกับเด็กมหาลัยคุณงี้”

ผมกวนตีนกลับ มันถอนหายใจ ทำท่าเหมือนกำลังสะกดอารมณ์
โอ้ย หล่อเชี่ยๆ

“เปล่าครับ คือถ้าเพิ่งรู้จักกัน ผมจะได้เตือนพี่เอาไว้ก่อน แต่ถ้ารู้จักกันนานแล้ว เห็นทีผมคงต้องเตือนเพื่อนผมแทน”
“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะใจแคบเหมือนคุณทุกคน”
“พี่เองก็อย่าเอาแต่มองโลกในแง่ดีให้มันเกินไป ถ้าพี่ยังรู้จักเพื่อนพี่คนนี้ไม่ดีพอ”
“เพื่อนผมเขาไปทำอะไรให้คุณเหรอ”
“เยอะก็แล้วกัน ผมจะมาเตือนแค่นี้แหละ”

งง จะบอกอะไรก็ไม่บอก แล้วที่ได้ยินมามันคนละเรื่องกันเลยนะเว้ย ผมอยากจะเถียง แต่คิดดูอีกที มันลงทุนเดินเข้ามาบอกผมถึงขนาดนี้แล้วมันจะได้อะไรเหรอ แล้วเรื่องอะไรมันต้องมาแคร์ด้วยว่าผมจะอะไรกับใคร

“แล้วทำไมผมต้องเชื่อคุณด้วย”
“ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่สนิทกับมันแค่ไหนยังไง แต่ถ้าผมเป็นพี่ พรุ่งนี้ผมจะไม่ไปไหนต่อไหนกับมันตามลำพัง ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันหรือแค่ไปเดินเล่นที่สยามก็เถอะ”
อีกฝ่ายพูดโดยไม่หลบสายตา จนผมชักจะคล้อยตามในสิ่งที่มันบอกจริงๆ
“เขาทำอะไรคุณ คุณก็บอกผมมาสิ”
“พี่รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะครับ ผมจองโต๊ะไว้สองทุ่ม”

แทนคำตอบกลับสั่งให้ผมอาบน้ำเฉย แล้วก็เปิดประตูออกจากห้องไป

ความรู้สึกของผมคือ เหมือนหาเรื่องมาคุยด้วยยังไงก็ไม่รู้ แต่พูดไปแล้วจะหาว่าหลงตัวเอง เทวดาอย่างมันจะมาอยากคุยอะไรกันกับคนที่ต่ำชั้นกว่า พอคิดได้ดังนั้นผมหยิบโทรศัพท์เปิดแอพไลน์ แล้วพิมพ์บอกเซน

Tee:   แต่ก็น่ากลัวจริงๆ แหละ 555 (สติ๊กเกอร์สยอง)

+++

ผมใช้เวลาคิดหลายนาที ก่อนตัดสินใจเดินไปบอกไอติมกับแฟนมัน ว่าขออยู่ที่คอนโด ไม่ออกไปเที่ยวข้างนอกด้วย แน่นอนไอติมโวยวายใหญ่ และน้องเฟมก็ไม่ยอม

“ผมให้ไอ้วินมันจองโต๊ไว้แล้วนะครับ”
“นั่นสิ มึงไม่ต้องห่วงเลยเว้ย กูเลี้ยงเอง”

ก็นั่นแหละที่ผมห่วง อีกอย่าง ถึงจะอยากเห็นไอ้สกายบาร์อะไรนี่แค่ไหน แต่ก็คิดไว้แล้วว่าคงไม่ใช่ที่สำหรับผม ขืนไปก็คงรู้สึกผิดที่ผิดทาง ไม่จอย

“กูเพลียจริงๆ มึง เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน วันนี้ก็ตื่นโคตรเช้า แล้วยังออกไปสยามทั้งวันอีก กูแทบไม่ได้งีบเลย ไม่ไหวจริงๆ ว่ะ มึงไปกันเถอะ”
“แต่มึงยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ”
“ใต้คอนโดเป็นมินิมอลมึง มีแม็กซ์แวลู ร้านอาหาร ร้านนั่งอะไรมีหมด กูลงไปซื้อขึ้นมากินเองได้” ผมเถียง “มึงไปกันเหอะนะ พรุ่งนี้กูนัดเซนแต่เช้าด้วย กลัวตื่นสาย กูไปแบบง่อยๆ จะทำพวกมึงกร่อยซะเปล่า”
“นี่พี่ตี้ยังจะไปเที่ยวกับ… เอ่อ พี่เซนอีกเหรอครับ”

นี่ก็อีกคน ทำไมวะ กลัวเซนจะทำมิดีมิร้ายผมเหรอ น่ารักขนาดนั้น ควรกลัวผมมากกว่ามะ แล้วถ้าเขาเกิดชวนผมทำอะไรกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่แน่นะ

“ครับ”
“แต่…”
“ถ้าพี่เขาไม่อยากไปจริงๆ ก็ให้เขาพักเถอะ”

เสียงบุรุษที่สี่แทรกเข้ามาในวง เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ค หล่อ หรู แฟชั่นแนวคนลูกคนรวย เตรียมพร้อมจะตะลุยราตรีเต็มที่ ไม่ต่างจากอีกสองหนุ่มเท่าไหร่นัก (แค่หล่อกว่า)

“ขอโทษนะเฟม ไว้พรุ่งนี้นะ พี่ไม่ไหวจริงๆ”
ผมบอกน้อง
“เห้ย ตี้ มึงไปกับพวกกูเถอะ ไม่ดึก กูสัญญา”
ไอติมยังไม่ยอมแพ้
“อย่าห่วงเลยครับพี่ติม” ไอ้เด็กวินบอก “เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนพี่เค้าเอง ผมก็เพลียๆ เหมือนกัน พี่กับไอ้เฟมจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองด้วย”

หืมมมมม อะไรนะ?
ไม่ใช่แค่ผมที่อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไอติมกับน้องเฟมก็เหมือนกัน

“มึงก็จะไม่ไปเหรอ”
น้องเฟมถาม
“เบื่อจะเป็น third wheel ให้มึงแล้ว แล้วไอ้สกายบาร์อะไรนี่ก็ไม่ใช่ทางกู ไม่อยากไปแต่แรกแล้วว่ะ โทษที”

ใช่ ผมจำได้ว่ามันเคยบอกผมว่ามันไม่เที่ยว ตอนที่เจอกันครั้งแรก
ไอติมหันมาสบตาผมแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

“งั้น พี่ฝากเพื่อนพี่ไว้กับวินด้วยนะ ช่วยดูให้มันกินข้าวกินปลาด้วย ผอมจะแย่แล้วเนี่ย”
“น้อยๆ หน่อย กูไม่ได้เป็นง่อย” ผมด่า “สรุปว่าตามนี้นะ เที่ยวให้สนุกนะเฟม ขอโทษนะครับ ช่วยดูไอ้ติมมันด้วย อย่าให้มันเมามาก”
“ได้ครับ งั้น พี่ตี้พักผ่อนเยอะๆ นะครับ ไม่ต้องห่วง เดี่ยวเฟมเที่ยวเผื่อ”

ผมยิ้มรับ เอาจริง ไอติมกับน้องเฟมคงดีใจเหอะ ที่ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองซะที ไม่ต้องคอยระมัดระวังคำพูด หรือเกรงใจเพื่อนของอีกฝ่าย ที่ต่างคนก็ต่างไปกันไม่ได้อย่างผมกับไอ้เด็กวิน

เมื่อตกลงได้ตามนั้น ผมเลยเดินกลับไปในห้องพัก ล็อคประตู แล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ในหัวนึกทบทวนบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้น และยังงงกับท่าทีของไอ้เด็กวินไม่หาย คืออะไร แต่งหล่อซะขนาดนั้น จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจไม่ไป เพียงเพราะผมไม่ไปด้วยแค่นี้เหรอ หรือมันจะเพลียจริงๆ แถมนี่ยังเปิดโอกาสให้สองคนนั้นได้ไปสวีทกันสองต่อสองอีก นี่มันเปลี่ยนใจแล้วหรือไงวะ ไม่ขัดขวางแล้วเหรอ หรือแกล้งทำเป็นดีให้ตายใจ หรือมีแผนชั่ว

แล้วทำไมผมต้องรู้สึกดีใจด้วยเนี่ย

โว้ย

+++

ประมาณสองทุ่มครึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมลังเลที่จะเปิด แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่คอนโดเขา เราอยู่ฟรี

“หิวรึยังครับ ไปหาอะไรกินกันไหม แถวนี้ก็ได้”

เป็นคำชวนสุภาพ เรียบง่าย จากปากเด็กผู้ชายหน้าตาดีที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์ม เรียบร้อยแล้ว แถมยังสวมแว่นสายตากรอบเงินทรงกลม ทำเอาผมใจสั่น เพราะแพ้คนใส่แว่นเป็นทุนเดิม

เอาวะ ผมตัดสินใจจะสงบศึกชั่วคราว จนกว่าอีกฝ่ายจะทำตัวน่ารังเกียจอีก เลยพยักหน้าตอบรับ

“งั้นเดี๋ยวผมออกไปรอข้างนอกนะครับ”

พอเจ้าตัวเดินกลับไป ผมก็รีบทึ้งกระเป๋าเดินทางของตัวเองทันที

จะใส่อะไรดีวะเนี่ย เสื้อผ้าที่เอามา ดูไม่โอเคไปหมดเมื่อเทียบกับไอ้เด็กวินที่แค่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงวอร์มก็หล่อทะลุเพดานคอนโดไปแล้ว

ว่าแต่ กินแถวนี้ใช่ไหมวะ เพื่อป้องกันการเข้าร้านแพงๆ ผมเลยเลือกใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นออกไป

ไอ้เด็กวินนั่งรออยู่ที่โซฟาหน้าทีวี
“ไปชุดนี้ได้ไหม”
ผมถาม
“ครับ”
ได้ผล ผมค่อยโล่งใจ
“พี่อยากกินอะไร”
มันถาม เมื่อลิฟต์พาลงมาถึงล็อบบี้คอนโดพอดี
“อะไรก็ได้”
“ถ้าเดินย้อนไปอีกหน่อย จะเป็นย่านหอพักนิสิต มีอาหารขายเยอะ เดินไหวไหมครับ”
แหม ถามตัวเองก่อนเถอะ ตั้งแต่มาอยู่นี่ เคยเดินบ้างหรือยัง
“เอาสิ”

ผมเดินตามมันไปเรื่อยๆ พยายามกะจังหวะเดินให้สม่ำเสมอ ไม่ให้ห่างจนน่าเกลียด พอถึงย่านของกิน มันก็หันมาพูดด้วย
“หมูจุ่มไหมพี่ หรือจะกินง่ายๆ พวกบะหมี่ อาหารตามสั่ง”
“อะไรก็ได้ แล้วแต่คุณเลย”
“พี่กินที่อยากกินเถอะ ไม่ต้องเกรงใจผม”
“คุณอยากกินหมูจุ่มใช่ไหม งั้นกินหมูจุ่มก็ได้”
“นั่งนานนะ พี่แน่ใจนะ”
ผมถอนหายใจ
“งั้นกินอาหารตามสั่งก็ได้”
“หมูจุ่มละกัน ถ้าพี่โอเค”

เอ๊า

มันเดินนำไปยังโต๊ะที่ว่าง แล้วหยิบรายการอาหารส่งให้ ผมรับมาแล้วหยิบปากกากำลังจะติ๊กสั่ง
“เออพี่ ผมไม่กินเครื่องในนะ”
 “แล้ว?”
“พี่จะได้ไม่สั่งไง”
โอเค ผมเลื่อนไปดูรายการอาหารอย่างอื่น ปลาหมึกกับกุ้ง คือไม่พลาด
“เอ่อ ผมแพ้อาหารทะเล”
ปากกาที่กำลังจะจรด หยุดกึกอยู่แค่นั้น ผมวางกระดาษลงแล้วจ้องหน้า
“แต่ถ้าพี่จะสั่งก็สั่งได้นะ ถ้าแค่อยู่ในหม้อเดียวกัน คงไม่เป็นไรมั้ง”
“คุณจะสั่งอะไรก็สั่งมาเหอะ” ผมบอกอย่างรำคาญ “ผมกินได้หมดแหละ”

สรุปก็ได้พวกหมู เนื้อ ลูกชิ้น ปลาหมึก และผัก ไอ้เด็กวินให้เหตุผลว่า ปลาหมึกถ้าไม่กิน คงไม่แพ้ ไม่เหมือนกุ้งที่แค่อยู่ในน้ำซุปก็ทำให้ผื่นขึ้น หายใจไม่ออกได้แล้ว

ระหว่างที่รอให้หม้อเดือด ไม่รู้จะทำอะไร ก็มองไปรอบๆ ร้านเพื่อฆ่าเวลามันอึดอัดแปลกๆ เหมือนกันนะ กับการมากินข้าวกับคนแปลกหน้าเนี่ย และยิ่งเป็นเมนูที่ต้องแชร์กันอย่างหมูจุ่มนี่ด้วย

“มากินร้านนี้บ่อยไหม”
ผมลองชวนคุยดู
“ไม่ครับ นี่ครั้งแรก”
อ่อ คงงั้นแหละ ร้านข้างทางนี่เนอะ
“ตักก่อนเลย”
ผมบอกเมื่อหม้อเดือดได้ที่แล้ว มันบอกขอบคุณทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด
“ชอบกินหมูจุ่มเหรอ”
“ไม่ได้ชอบขนาดนั้นครับ แต่ก็กินได้”

ผมงงกับตอบ แต่ช่างแม่งเถอะ ผมตักทานบ้างเพราะเริ่มหิว รสชาติน้ำซุปโอเคเลย แต่น้ำจิ้มยังอ่อนไปนิด

“ทำไมอยู่ๆ ถึงใจดี ปล่อยให้เขาไปกันสองต่อสอง”
มันเงยหน้าขึ้นมาจากชาม
“ผมก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรนี่ครับ แค่ไม่เห็นด้วย”
เหรอออออ
“แต่ทุกทีไม่เห็นพลาด…”
“ผมว่าผมให้เหตุผลไปแล้วนะครับ ว่าทำไม” มันสวนกลับทันทีโดยไม่รอให้ผมพูดจนจบประโยค “เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากเถียงกับพี่ตอนนี้”

จ้า ไม่เสือกก็ได้จ้า (เสียงแมท ภีรนีย์)

ก็ดี ผมก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จะตั้งใจกินเงียบๆ อย่างเดียวก็แล้วกัน เพราะเอาจริงๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ได้มั้ง ที่ได้นั่งกินข้าวสองต่อสองกับคนหน้าตาดี ขาว ตี๋ ถูกสเป๊คขนาดนี้ เสียแต่นิสัยใจคอที่คงไปกันไม่ได้ และมันไม่ได้สนใจผมก็แค่นั้นเอง

แต่ยังไงก็ขอมโนแป้บ

“แล้วพี่อะ ทำไมถึงไม่ไป”
อะ ไหนบอกจะไม่คุยเรื่องนี้
“ไม่อะ ไม่ใช่แนว” ผมบอก “เหนื่อยด้วย นี่ว่าก็พูดไปแล้วนะ”
ไอ้เด็กวินยิ้มที่มุมปาก
“โอเคไหมพี่”
“โอเคอะไร”
“หมูจุ่มนี่ไง”
“ก็ดี แต่ร้านที่เชียงใหม่น้ำจิ้มอร่อยกว่า” พูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสียมารยาท “แต่… ร้านนี้ก็อร่อยดี ของสดดี”
ผมพยายามแก้ตัว
“อร่อยกว่านี้อีกเหรอ”
“ก็นิดนึง”
“โอเค ไว้ไปคราวหน้าจะไปชิม พี่พาไปด้วยละกัน”

ประโยคสุดท้าย ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยหมูจุ่มเพื่อเมคชัวร์ แต่คนพูดกลับยุ่งอยู่กับหม้อหมูจุ่มและถ้วยน้ำจิ้มของตัวเอง ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ

มันคงพูดไปงั้นเอง อารมณ์หมาหยอกไก่ แต่ผมนี่คิดไปไกลแล้ว และมันก็คงรู้ตัวด้วยว่าได้ผล

“ว่าแต่ พี่เปลี่ยนใจหรือยังเรื่องนัดเจอไอ้พี่เซน”

อ้อ อย่างนี้นี่เอง

+++

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รู้อะไรมาก็บอกมาสิ ห้ามแบบนี้คนที่ไหนตะยอมทำตาม

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
7

“โห นึกว่าจะตี้จะไม่มาแล้ว”

นั่นคือคำทักทายแรกของเซน ที่มารอผมอยู่ในร้านกาแฟใต้ตึกสยามกิตติ์ (ซึ่งผมต้องใช้เวลาถอดข้อมูลจากกูเกิลพอสมควร ถึงได้รู้ว่าไอ้ตึกสยามกิตติ์นี่มันอยู่ตรงไหน)

“ทำไมคิดงั้นอะ”
“ก็เห็นบอกว่าจะออกมาตั้งแต่ตอนสิบโมง”
ผมมองนาฬิกา ตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว
“โทษทีครับ ก็บ้านนอกอะ ไม่ใช่เด็กสยามแบบเซนนี่ จะได้รู้ทุกซอกทุกมุม รู้ว่าตึกไหนเป็นตึกไหน”
“เห้ย เซนแค่แซวเล่นเฉยๆ แล้วนี่ตี้อ้วนขึ้นปะเนี่ย”
เพิ่งเจอก็ทักกันงี้เลย ผมชักสีหน้าใส่
“เปล่า จะบอกว่าหล่อขึ้นต่างหาก อย่าผอมไปกว่านี้นะ”
“นี่ตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ เป็นคนงี้เหรอเนี่ย”

แต่คนโดนด่ากลับหัวเราะร่า โชว์ฟันขาวกับยิ้มน่ารัก

รอยยิ้มที่ไปหมดทั้งหน้าทั้งตา ทำให้ผมนึกไม่ออกว่าคนแบบเซนจะมีอะไรตรงไหนให้ต้องคอยระวังตัว โอเค ผมอาจจะรู้จักกับเซนแค่ไม่กี่เดือนก็จริง แต่มันก็ระยะเวลาพอๆ กับไอ้คนที่เตือนผมเลยปะวะ แล้วอีกอย่างผมก็คุยกับเซนตลอดทางไลน์ อีกฝ่ายเสียอีก ที่ไม่เคยมีอะไรต้องข้องแวะกันเลย จนกระทั่งเมื่อวานนี้

ที่ผมพูดไม่ได้หมายความว่าใครน่าเชื่อถือกว่าใคร หรือคิดตัดสินไปแล้วว่าไอ้เด็กวินโกหก เปล่าเลย แต่ผมเข้าใจว่าสองคนนี้คงน่าจะมีอิชชู่ และไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ อาจจะเพราะท่าทางไว้ตัว หัวสูง ของอีกฝ่าย อย่างที่ผมเองก็เคยเจอมาแล้ว หรือการที่เซนซึ่งเป็นรุ่นพี่คณะไปล้ำเส้นอะไรสักอย่างเข้า แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร วันนี้ผมจะต้องหาจังหวะถามให้ได้อย่างแน่นอน
เราออกจากร้านกาแฟ มุ่งตรงไปยังโรงหนังสกาล่าทันที เนื่องจากเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง แผนของวันนี้คือการมาดูหนังเก่าเรื่อง Labyrinth หนังเก่าปี 1986 เล่นโดย เดวิด โบวี และ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี (ชื่อภาษาไทย มหัศจรรย์เขาวงกต) ที่นำมาฉายในกิจกรรมทึ่งหนังโลก เซนซึ่งเป็นแฟนตัวยงของอีเวนท์นี้ ได้จองตั๋วล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ผมแพลนจะลงกรุงเทพฯ เมื่อเดือนก่อน

ผมไม่เคยดูมาก่อน หนังสนุกและโรแมนติกดี ทำเอาดิ่งไปกับบรรยากาศยุค 80 โน่นเลย หลังจากดูหนังเสร็จ เซนพาไปกินข้าวที่ร้านข้าวแกงลิโด้ ที่ยังเปิดขายอยู่ เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังต้องบริหารงบ แล้วต่อด้วยร้านกล้วยๆ ซึ่งเซนบอกว่าย้ายมาจากโรงหนังลิโด้เก่าเช่นกัน ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่เมนูขนมอร่อยดี และเซนดูจะเอนจอยมาก

เราทานกันเสร็จตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า สยามสแควร์ในวัยเสาร์คนจะเบียดเสียดถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะภายในห้างและทางเชื่อมรถไฟฟ้า เซนจึงชวนหนีความวุ่นวาย เดินลัดเลาะในจุฬา พาชมสถานที่ต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย จนไปสุดที่สวนสาธารณะ จุฬาฯ 100 ปี ซึ่งผมแบบ โอ้โห มาก

มหาวิทยาลัยรวยแบบ รวยโคตร สถานที่กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน ตึกเรียน อาคารต่างๆ ดูหรูหรา น่าเรียน น่าอยู่ไปหมด แถมยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ห้างสรรพสินค้า และคอนโดสูง ซึ่งเป็นของมหาวิทยาลัยเอง เอาแค่มีสวนสาธารณะไฮโซเว่อร์วังเป็นของตัวเองได้นี่ คงไม่ต้องเอามาเปรียบกับมหาวิทยาลัยเล็กๆ พื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย แถมวิทยาเขตใหม่ยังไปสร้างไกลถึงในป่าในเขา (เคยไปแค่ครั้งเดียว) อย่างมหาวิทยาลัยผมให้เสียเวลา

ตื่นตาตื่นใจไปกับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศเสียนาน จนลืมไปเลยว่า ตั้งใจจะถามอะไรเซน หลังจากถ่ายรูปกับวิวสวยๆ อัพไอจีเสร็จ ผมจึงชวนให้เซนมานั่งพักแล้วเข้าเรื่องทันที

“เออ เซน ถามไรหน่อยดิ”
“เรื่องไรอะ” เซนทำหน้าสงสัย “จะจีบเซนเหรอ”
“อ่านะ” ผมกลอกตาแก้เขิน “คือจะถามเรื่องเซนกับ… น้องที่ชื่อวินอะ เคยมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”
“ทำไมอะ เคยถามไปแล้วนี่นา อยากรู้อะไรอีก”
“ก็คราวก่อนยังถามไม่ละเอียดเลย”
“อะ ตี้อยากรู้ไปทำไมเหรอ บอกมาก่อน”
“ตรงๆ เลยนะ คือเพื่อนเรามันจีบน้องเฟมอยู่ เราเลยอยากรู้ว่าน้องเขานิสัยเป็นยังไง”
“เพื่อนแน่เหรอ” เซนทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ไม่ใช่ตี้หรอกเหรอ”
“เหอะ เขาคงมองเราหรอกนะ”
“แล้วตี้ ไม่เคยถามน้องเขาตรงๆ เหรอว่าทำไม”
“ไม่อะ ไม่ได้สนิทขนาดนั้น แต่เห็นเซนเคยพูดทำนองว่าน้องเขาไม่โอเค ใช่ไหม”
“จริงๆ เซนก็ไม่อยากจะพูดถึงใครในแง่ร้ายหรอกนะ แต่ถ้าตี้อยากรู้ เซนก็จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ละกัน”
“คือ… เซนก็เคยจีบน้องเฟมเหมือนกัน เมื่อปีที่แล้ว ตอนช่วงรับน้อง น้องเฟมเป็นน้องบ้านที่เซนทำอยู่ เคยบอกไปแล้วใช่ไหม”

เซนเล่าเรื่องต่างๆ ที่ไม่ได้ไกลไปจากที่ผมคาดเดาเอาไว้นัก ตั้งแต่ที่เริ่มสนิทกับน้องเฟม แล้วโดนกันซีนจากไอ้เด็กวิน แต่ที่ช็อคกว่า คือผมไม่คิดว่าจะถึงขั้นที่เซนกับน้องเฟมมีอะไรกันแล้ว และกำลังจะเริ่มคบกัน แต่ในที่สุดก็ไม่ได้คบ เพราะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นซะก่อน ซึ่งเจ้าตัวขอไม่พูดถึง แต่ให้คำจำกัดความว่า ‘Happy Ending’ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เสียใจ เสียเวลา หรือเสียอนาคตไปมากกว่านี้

“เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ ตอนหลังเซนถึงมารู้ระแคะระคายว่า สองคนนี้เขาไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา แต่เขาคบกันอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคบยังไงนะ open relationship มั้ง เลยยอมให้อีกคนไปมีอะไรกับคนอื่นได้ เซนไม่ได้โกรธตรงนั้นเลยเว้ย เซนถือว่าเซนทำตัวเอง เพราะเซนเดินเข้าไปหาน้องเค้าก่อน”

สิ่งที่เซนพูด ทำให้ผมรู้สึกเห็นใจ และเหมือนกำลังมองเห็นอนาคตไอติมเพื่อนรักอยู่รำไร

“แต่ที่ไม่โอเคคือที่น้องวินเขามาดูถูกเซน คิดว่าเซนจะไปเกาะแฟนเขานี่แหละ จริง ๆ มันมีอะไรเยอะกว่านี้อีก แต่คนดี ๆ อย่างตี้ อย่าไปรับรู้มันเลยจะดีกว่า เอาเป็นว่าเซนตัดสินใจถูกแล้ว ที่เลิกข้องเกี่ยวกับสองคนนั้น ต่อไปนี้ ถ้าเซนจะมีแฟน เซนขอมีความสัมพันธ์แบบธรรมดาๆ กับคนที่มีแบ็คกราวน์ มีความคิดมีไอเดียเกี่ยวกับการคบหาที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ป่วยๆ แบบนั้น”

ผมมองตาเซน และรู้ว่าเขาพูดจริงทุกคำ

“ขอบคุณนะ ที่ไว้ใจ เล่าให้ฟัง”
“ว่าแต่ตี้เหอะ เรื่องเพื่อนจริงๆ ใช่ไหม”
เรื่องเพิ่งผ่านไปแค่ปีเดียว ยังมีอารมณ์มาแซวผมได้ ถือว่าเป็นคนที่ทัศนคติดีใช้ได้
“จริง สาบาน”
“ค่อยโล่งอก ดีแล้ว” เซนทำท่ายืดตัว ชูมือขึ้นฟ้า “แล้วนี่เหนื่อยยัง”
“ก็นิดนึง”
“วันนี้อากาศร้อนไปหน่อย งั้น ขึ้นไปตากแอร์เย็นๆ ให้หายเหนื่อยก่อนไหม ห้องเราอยู่ตรงโน้นแน่ะ”
เขาชี้ไปยังคอนโดใกล้ๆ
“อ้าว อยู่ตรงนี้เองเหรอ หลอกให้เดินมาส่งนี่นา”
“อึ้ม” อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ “เอามะ ไปนอนก่อนสักงีบ เดี๋ยวค่ำๆ ค่อยลงมาอีกที บรรยากาศดีกว่าตอนนี้อีก รับรองได้รูปเด็ดเพียบ ไอ้พวกตึกพวกนั้นอ่ะ ต้องรอให้เปิดไฟตอนค่ำ ถึงสวย”

ผมคิดตาม ก็คงสวยจริงๆ แต่ถ้าขึ้นไป จะเกิดไรขึ้นบ้างนะ
เอาวะ

“เอางั้นก็ได้”

เซนลุกขึ้นร้องเย้ แล้วยื่นมือมาให้จับ ผมมองใบหน้าหล่อๆ และรอยยิ้มสดใส แล้วก็ใจเต้น
พอลุกขึ้นแล้วผมก็ปล่อยมือจากเซน เพราะความเขินบวกกับไม่ชิน ระหว่างทางออกมาจากสวน ผมก็คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ที่อาจจะเกิด เมื่อผมขึ้นไปถึงห้องของเซนแล้ว เราอาจจะแค่คุยกันนั่นนี่ แล้วงีบจริงๆ หรืออาจจะ…

ผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเพื่อเรื่องแบบนั้น แต่อีกใจหนึ่ง นี่คือเซนนะเว้ย น่ารักขนาดนี้ ผมต้องคว้าโอกาสปะวะ แต่ว่า อาจจะแค่ภายนอก ใช่ ต้องแค่ภายนอกไปก่อนแหละ เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวมาเลยไง อีกอย่าง ไม่รู้อีกว่าเซนเป็นแบบไหน ถึงเจ้าตัวจะดูแมนๆ ก็เถอะ แต่ถ้าจะให้ผมรุก

โอย แค่คิดก็ขาสั่นแล้ว

ผมหันไปมองเซน อีกฝ่ายยิ้มๆ แต่ออกจะชิลๆ กว่า นี่คงวางแผนมาทั้งเดือนแล้วสินะ
เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดไกล เกิดมันไม่มมีอะไรเลย เดี่ยวจะหน้าแตก

“พี่ตี้!”

เสียงคุ้นๆ ลอยเข้ามากระแทกหูดังๆ
ผมมองออกไปที่ถนนด้านหน้าสวน เบนซ์ป้ายแดงคันคุ้นตาจอดติดเครื่องอยู่ กระจกลดลงครึ่งหนึ่ง คนขับผลักประตูเปิดออกแล้วออกคำสั่ง

“ขึ้นรถ!”

ผมยังคงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไอ้เด็กวินมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วทำไมมันต้องตะโกนสั่งผมด้วย

“ผมบอกให้ขึ้นรถไง”
ผมหันไปหาคนข้างๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เซนกำลังหน้าซีดเผือด
“ไปเถอะตี้ ไว้เจอกันนะ”
แล้วก็เดินออกไป
“เซน”
ผมเรียกตาม ส่วนไอ้เด็กวินเดินอาดๆ มาคว้าแขนผม
“ไปขึ้นรถ”
“เห้ย เป็นไรมากป่ะ”
“พี่นั่นแหละ เป็นไรมากปะ หรือว่าชอบแบบนี้”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย”
“ไปที่รถ ให้ผมจะอธิบายให้ฟัง” เหมือนจะรู้ว่าตะคอกแล้วไม่ได้ผล น้ำจึงเสียงอ่อนลง “หรืออยากจะตามมันไปก็ได้นะ ตามใจพี่เลย”

ผมหันไปทางที่เซนเดินจากไป แต่ไม่เห็นตัวแล้ว
สีหน้าท่าทางไอ้เด็กวินดูจริงจังสุดๆ ผมรู้สึกถึงมือใหญ่ๆ ร้อนๆ ที่จับอยู่ที่แขน

“ปล่อย”
“ขอโทษครับ” มันทำท่าประหม่า “ไปที่รถเถอะครับ ผมมีอะไรจะให้พี่ดู”

ผมไม่มีทางเลือกอื่น เลยต้องเดินตามมันไปขึ้นรถที่จอดอยู่
“แล้วนี่คุณมาได้ไง”
ผมถาม ขณะที่มันกำลังยุ่งอยู่กับไอแพดในมือ
“ในเฟสบุ๊คไง ปักโลเคชั่นหราขนาดนั้น”
“แล้วมาทำไม”
ไอ้เด็กวินยื่นไอแพดให้ แล้วออกรถ
“อะ ดูซะ”

ผมรับมาดู หน้าจอเป็นเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นแอคเคาท์ด้านมืดของเกย์

“นี่ของใคร เซนเหรอ”
“แล้วคิดว่าของใครล่ะ”
“ไม่เชื่ออะ แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเขา หน้าก็ไม่เห็น”
“งั้นก็ลองตามมันขึ้นไปไหม อ้อ เผ่นแน่บไปแล้วนี่ แต่ไม่เป็นไร ผมจำห้องมันได้ ถ้ามันไม่ได้ย้ายไปซะก่อนนะ จะให้วนกลับไหม”

ถึงจะปฏิเสธว่าคนในรูปและคลิปต่างๆ ไม่ใช่เซน แต่ผมก็เชื่อไปเกินครึ่งแล้วว่าไอ้เด็กวินพูดจริง

อึ้งอะ เอาจริง

“แล้วถ้าไม่ใช่เขาล่ะ คุณจะรับผิดชอบยังไงที่ไปกล่าวหาเขา”
“ถ้าอยากแน่ใจก็ลองสมัครกลุ่มคลิปกับไลฟ์สดของมันดูเองละกัน”

ผมส่งไอแพดคืนเจ้าตัว พยายามทำความเข้าใจ การมีทวิตด้านมืดมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเกินรับ แต่ดูจากไทม์ไลน์ในทวิตแล้ว เจ้าของทวิตมีคู่นอนไม่ต่ำกว่ายี่สิบ ทั้งหญิงและชาย แถมยังเบลอหน้าคู่นอนแค่บางๆ ด้วย บางอันก็ไม่เบลอ

“อ้อ หรือจริงๆ คือพี่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นพวกนัดยิ้มทำคลิปขาย ผมเข้าใจละ ที่พี่รู้จักกับมันก็เพราะแบบนี้ใช่ไหม แล้วนี่คือผมมาขัดจังหวะถูกไหม”

โอ้โห ดูถูกกันเบอร์แรงมาก ถึงผมจะดูจนตรอกเรื่องเซ็กส์ยังไง ก็ไม่ถึงเบอร์นั้นปะ เอ๊ะ หรือถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ผมก็อาจจะ …

“ถ้าคุณคิดกับผมแบบนั้น แล้วคุณมาช่วยผมไว้ทำไม”
“เพราะผมไม่อยากให้พี่ตกเป็นเหยื่อมันไง ถ้าไม่ใช่ก็ดีไป แต่ถ้าพี่มีรสนิยมแบบนี้ ผมก็ขอโทษด้วยละกันที่จุ้นจ้าน”

ผมไม่ควรโกรธ เพราะรู้ว่ามันหวังดี และตัวเองเป็นอย่างที่มันด่าจริงๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกโกรธและน้อยใจอยู่ดี ไม่รู้ทำไม
ในสายตาคนสูงส่งอย่างมัน คงมองเห็นผมกับเพื่อนๆ เป็นพวกเด็กบ้านนอกตลาดล่าง เป็นประชากรคุณภาพต่ำของประเทศกระมัง ผมจึงนั่งเงียบไปตลอดทาง ไม่ขอบคุณ ไม่อะไรทั้งสิ้น ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามันจะขับพาไปไหน

+++

ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็คข้อความในไลน์ที่ส่งไปหาเซนตั้งแต่แยกกันเมื่อชั่วโมงก่อน แต่จนตอนนี้ เซนก็ยังไม่อ่านและตอบกลับ ยิ่งทำให้สิ่งที่ไอ้เด็กวินบอกดูจริงยิ่งขึ้น

รู้สึกเหมือนอกหักยังไงก็ไม่รู้ว่ะ

ไอ้เด็กวินก็เหมือนเดิม นึกอะไรไม่ออก ขับรถพามากินข้าวในร้านหรู คราวนี้เป็นร้านศรแดง ร้านที่อยู่คู่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยมากว่า 80 ปี (มันบอก)

“สั่งได้เลยนะ ผมเลี้ยงเอง ร้านนี้อร่อยทุกอย่าง”
แหงล่ะ
“ไม่เป็นไร กินมาแล้ว”
“ผิดหวังเหรอครับ มันไม่ตอบไลน์ละสิ ถึงกับกินอะไรไม่ลงเลยทีเดียว”
“ก็บอกว่ากินมาแล้ว” ผมเถียง “แล้วถึงเซนเขาจะมีด้านมืดจริง มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเลวไปหมดทุกอย่าง”

พูดเองยังรู้สึกไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเลย

“ไม่มีคนดีที่ไหนที่หลอกคนมานอนด้วย แล้วเอาคลิปแอบถ่ายไปขายในเน็ตหรอกครับ ผมพูดถูกไหม”

คราวนี้ถึงกับเถียงไม่ออกเลยทีเดียว ไอ้เด็กวินสั่งอาหารจากเมนูในจำนวนที่น่าจะมากเกินกว่ารับประทานกันสองคน ผมก้มลงดูโทรศัพท์อีกครั้ง

“ผมรู้ ว่าผมพูดอะไรไปพี่ก็คงจะไม่เชื่อ”
ก็แน่ล่ะ มึงดูเกลียดเขามาก ผมคิดในใจ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็หาคำตอบเอาเองละกัน แต่ผมของเตือนไว้อย่าง ถ้าไม่อยากเป็นดาราคลิปหลุดก็อย่าอยู่กับมันสองต่อสอง”
“เคยหลุดมาแล้วงั้นสิ”

พอพูดเสร็จก็นึกโกรธตัวเองที่ปากไว มันทำหน้านิ่ง ไม่ตอบ ผมเลยทำเป็นไถเฟสบุ๊คเล่นต่อ

“แล้วสองคนนั่นไปไหน”
ผมถาม
“ไปเดินไอคอนสยาม ป่านนี้คงกลับถึงคอนโดแล้ว”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่สวนจุฬาฯ 100 ปี ผมเช็คเฟลบุ๊คดูแล้ว วันนี้ผมเช็คอินแค่ที่สกาล่ากับจุฬาฯ”

ไอ้เด็กวินเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือของตัวเองบ้าง ทำหน้าเหมือนคนพยายามนึกคำตอบแต่เก๊ก พยายามคีพลุค

“มันก็ไม่ได้ยากปะ ถ้าอยู่แถวนั้น ก็มีโอกาสที่มันจะชวนพี่ขึ้นคอนโด ดักรอแถวคอนโดก็ง่ายสุดแล้วปะ ยังไงก็ขอโทษอีกทีนะครับ ที่ไปขัดจังหวะ”

ผมเลิกคิ้วใส่มัน ได้ทีละใส่เอาใส่เอา

“อ้อ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นห่วงหรือพิศวาสอะไรพี่ด้วย สบายใจได้ พี่ไอติมกับไอ้เฟมแค่ขอให้ผมช่วยตามมาดูพี่เฉยๆ สองคนนั้นต่างหาก ที่กลัวว่าพี่จะเสียท่าไอ้เซน ถ้าจะขอบคุณก็ไปขอบคุณสองคนนั้น ถ้าพี่นึกอยากจะขอบคุณอะนะ”

ไม่น่าเลย ไม่น่าคิดว่ามันอาจจะรู้สึกดีผมบ้าง ถึงจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองแค่แว่บเดียวก็เหอะ

เออ กูมันไม่ใช่คิวท์บอยนี่นะ ช่างแม่ง ไหนๆ ก็ถูกมองต่ำละ อาหารมาพอดี กูจะฟาดให้เรียบ เอาให้กระเป๋ามันแห้งเลยคอยดู

“จะเลี้ยงใช่ไหม”

ผมถาม มันมองสำรวจก่อนตอบว่า ‘อือ’
ผมตักอาหารใส่จานตัวเอง แล้วยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารเพิ่ม

+++

ไอติมกับเฟม รออยู่แล้วที่คอนโดพอผมกลับไปถึง ก็ทักทายทั้งสองคนลวกๆ แล้วเดินเอาของไปเก็บของในห้องนอน ไอติมเดินตามเข้ามายิงคำถาม

“ตี้ มึงโอเคปะวะ”
“เออ”
“เฟมบอกกูหมดแล้วนะ เรื่องไอ้เซนอะไรนั่น มึงไปรู้จักมันได้ยังไงวะ”
“ช่างแม่งเหอะ”
“เออ มึงไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ต้องเสียใจนะเพื่อน เดี๋ยวกูหาใหม่ให้มึงเอง”
“พอเหอะมึง ออกไปเลยไป กูจะงีบแป้บ”
“ได้ๆ ตื่นแล้วรีบอาบน้ำเลยนะมึง คืนนี้ไปเมากัน ห้ามเบี้ยว กูสัญญาว่าว่าจะทำให้มึงอารมณ์ดีให้ได้”
“เออ ขอบใจเว้ย ไปได้ละ ปิดประตูให้ด้วย”

ไอติมรับคำสั่ง แล้วเดินออกไป
ก่อนประตูจะปิดลง ผมเห็นไอ้เด็กวินมองเข้ามาจากด้านนอก

+++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2019 17:02:29 โดย bennietakky »

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
วินนี่พระเอกจริงดิ ดูทัศนะคติแย่ๆอะ อย่าไปชอบเลยตี้ เล่นตัวเยอะๆๆๆๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ประชดประชัน​กัน​ตลอด​

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
จิกกัดกันตลอด อีกคนพยายามจะมโนแต่สุดท้ายก็ยังไม่คืบหน้า

ออฟไลน์ lonesomeness

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
นังเซน มันร้ายนัก!

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
วินคุงพระเอกเว่ออสุด  :hao6:
แต่คือชอบตี้เพราะนิสัยตรงกันมากประชดเก่ง ปากไวมากก  :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
8

จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้งีบเลย

ผมนอนคิดตลอดสองสามชั่วโมงนั้น จนกระทั่งไอติมเดินมาเคาะประตูเรียก

เซนไม่ตอบข้อความ นั่นยิ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าไอ้เด็กวินพูดถูก
และไอ้เด็กวิน ถ้ามันไม่เข้ามาขวางตอนนั้น ผมเองก็คงปล่อยให้ตัณหาหน้ามืด และความต้องการของตัวเองทำลายคุณค่าที่มีเพียงน้อยนิดทั้งหมดของตัวเองลงไปแล้วแน่ๆ

ผมไม่ใช่คนที่เข้มแข็งเลยสักนิด ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเด็กผู้ชาย ผมนี่โคตรอ่อน อ่อนเป็นขี้ผึ้งโดนไฟนั่นเลย
พอนึกขึ้นได้แบบนี้ก็รู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดจนน้ำตาไหล

หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ชอบชีวิตตัวเองเลย มันไม่ถึงกับแย่ แต่มันก็ไม่ใช่ชีวิตที่ดี สมมติถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับไปบอกอะไรกับตัวเองในวัยสิบขวบได้ ผมจะบอกเด็กคนนั้นว่า อย่าโตไปกว่านี้เลย ขอร้อง

ผมลุกขึ้นจากเตียง เตรียมเสื้อผ้า เตรียมตัวอาบน้ำ ตั้งใจว่าคืนนี้จะเมาให้มันลืมไปเลย และสิ่งที่ผมไม่ชอบมากๆ จนอยากจะลืม ก็คือสายตาแสดงความห่วงใยปนสงสารของทั้งไอติม น้องเฟม และไอ้เด็กวิน นั่นเอง

ผมจะบอกคนพวกนี้ยังไงดี ว่าผมกับเซนไม่ได้อะไรกันขนาดนั้น เราไม่ได้จีบกัน ผมไม่ได้เสียใจที่เซนกลับกลายเป็นคนแบบนี้ (ถ้าเขาเป็นจริงๆ) แต่เสียใจที่ตัวเองประพฤติตัวน่าดูถูกต่างหาก

ผมถือวิสาสะ แอบเดินไปหยิบเบียร์กระป๋องใหญ่จากตู้เย็นในครัวขณะตัดสินใจลงแช่ในอ่าง (ไม่ค่อยได้เจอห้องที่มีอ่างอาบน้ำบ่อยๆ เลยขอนิดนึง) ตั้งใจจะซ่อนความละอายแก่ใจด้วยแอลกอฮอล์ตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะถ้ารอให้ถึงตอนมืด อาจจะไม่ทันการณ์

+++

“มา ชน หมดแก้ว”

ไอติมตะโกน ผมยกแก้วขึ้นชนอย่างว่าง่ายตามคำสั่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้ว แต่ยิ่งดื่มยิ่งสนุก ทั้งดนตรี ทั้งบรรยากาศ แม้แต่ไอ้เด็กวินยังดูหล่อ น่ารัก และเป็นมิตรมากเลยในสายตาผมตอนนี้ แปลกใจจัง ทำไมหลายๆ คนชอบพูดว่า ‘ไม่ต้องดื่ม ก็สนุกได้’ เห็นได้ชัดเลยว่า การดื่มมันสนุกกว่าไม่ดื่มเยอะเลย หรือคนพูดมันไม่เคยฟีลกรึ่มๆ วะ

“พักก่อนไหมครับพี่”
ไอ้เด็กวินกระซิบที่ข้างหูผม
“นิดเดียวเอง ถ้าไม่ไหวจะบอก”
ผมตอบ จังหวะนั้นสองผัวเมียกระซิบอะไรกันสักอย่างแล้วยิ้ม มองมาทางเราสองคน
“ยิ้มอะไรมึง”
ผมถามไอติม
“อ้าว กูมีความสุข ยิ้มไม่ได้เหรอ”
“กลับไปยิ้มกันที่ห้องโน่นไป”
“อันนั้นมันของแน่อยู่แล้วเว้ย”
ว่าแล้วก็หันไปชนแก้วกับเมีย ผมเบ้ปาก เป็นจังหวะที่ไอ้เด็กวินยื่นแก้วมาขอชน
ผมผงะไปหนึ่งิว แต่ก็ตัดสินใจชนตามมารยาท
“หมดแก้วนะเว้ย”
ผมบอก
“ได้ครับ”
“อะแน่ะๆๆ ดีกันแล้วเหรอวะ”
ไอติมแกล้งแซว
“จะไม่ดีก็เพราะมึงเนี่ยแหละ”
“อะไรวะ” มันบ่น “ช่างแม่ง ชนๆๆๆ สำหรับคู่จิ้นคู่ใหม่ น้องวินกับพี่ตี้”
ผมยกนิ้วกลางให้มัน แต่ก็ชนแก้วต่อ

“วิน!”

เสียงเล็กๆ ดังแข่งกับเสียงดนตรีด้านหลัง ผมหันไปเห็นน้องผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆ คนหนึ่งกำลังยิ้มให้ไอ้เด็กวิน

“มิว” น้องเฟมทัก “มาได้ไงเนี่ย”
ผมมองหน้าน้องอีกครั้ง เออ ใช่จริงๆ ด้วย ถึงว่าหน้าคุ้นๆ นี่มันสมาชิกวงไอดอลที่เพิ่งประกาดแกรดไปเมื่อกลางปีนี่นา
“ดีคะเฟม สบายดีนะคะ มิวมากับเพื่อนที่คณะอะ”
นางตอบคำถาม แล้วหันไปทางไอ้เด็กวินที่กำลังยืนถือแก้วนิ่งๆ อ่านสีหน้าไม่ออกอยู่
“นี่ พี่ไอติม พี่ตี้ พี่เราเอง นี้น้องมิว รู้จักเนอะ”
เฟมบอก น้องมิวสวัสดีรอบวง คือแบบตื่นเต้นอะ ได้เจอดาราใกล้ๆ
“วิน สบายดีนะ”
นางคุยกับไอ้บื้อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“อ๋อ ก็สบายดี มิวอะ”
“อื้อ สบายดี วินหายไปเลยนะ อ่านไลน์แล้วก็ไม่ตอบ”

ไม่ตอบจริงๆ มันยืนนิ่ง ปล่อยให้น้องเขินหน้าแตกไปเอง อะไรของมึงวะ นี่ไอดอลเดินมาทักมึงเชียวนะเว้ย

“โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”
น้องฝืนยิ้ม แต่ดูก็รู้ว่าแสดง ก่อนจะขอตัวกับพวกเราที่เหลือ

“มึง ชนๆ”
น้องเฟมยื่นแก้วไปชนกับเพื่อนเหมือนอยากจะปลอบใจ ไอ้เด็กวินยิ้มแล้วยกแก้วขึ้ชนอย่างเสียไม่ได้ ผมก็ต้องชนไปกับเขาด้วย บรรยากาศเหนือไม่ไปใต้ไม่มา แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร นอกจากชวนกันชนแก้ว แล้วแหกปากร้องเพลงไปพร้อมๆ กับวงดนตรีต่อ

เข้าใจละ สงสัยจะไม่ใช่เพื่อนธรรมดาๆ เป็นไปได้ว่าน้องมิวคือแฟนเก่าไอ้เด็กวิน และน่าจะเป็นคนที่เพิ่งเลิกไป ถ้าจะยืนซื่อบื้อเหมือนซอมบี้สมองตายได้ขนาดนี้

ก็นะ เฮ้อ อยากน่ารักได้แบบนี้มั่งจัง
โอเค ลืมๆ ไปซะ แล้วแหกปากร้องเพลงต่อ

ผมผละจากโต๊ะไปเข้าห้องน้ำเป็นรอบที่ห้าของคืน พร้อม ๆ กับเช็คข้อความไลน์จากเซน (ไม่มี เยี่ยมมาก แบบนี้ค่อนข้างชัวร์ละ) จึงเปลี่ยนไปตอบไลน์ที่แม่พิมพ์ถามทิ้งไว้ตั้งแต่ชั่วโมงก่อนเรื่องนุ่น เพื่อนที่อยู่มหาวิทยาลัยแถวรังสิต ตอนนั้นเองที่ผมได้พบกับน้องมิว อดีตสมาชิกวงไอดอลอีกครั้ง น้องเดินออกมาจากห้องน้ำหญิง พอเราสบตากัน น้องก็ยิ้มให้อย่างมีมารยาท

ความบ้าดาราบวกกับจำได้ว่าไอ้เตอร์ชอบวงนี้มาก (ถึงจะไม่ได้โอชิน้องมิวก็เหอะ) เลยทำให้ผมปรี่เข้าไปหาน้อง ก่อนจะมีสติรู้ตัวว่าไม่ควรซะอีก

“ขอโทษนะครับน้องมิว ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมอะ”
น้องทำท่าอึ้งๆ
“เอ่อ…”
“อ๋อ ขอโทษครับ พอดีพี่ลืมไปว่าเขามีกฎไม่ให้…”
“อ๋อ ได้ค่ะ ถ่ายได้ มิวแกรดแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายคู่ใช่ไหมคะ”
“ได้เหรอครับ”
“ได้ค่ะ”
“โอเคงั้น รบกวนด้วยนะครับ”
ผมเปิดกล้องหน้าแล้วไปยืนใกล้ๆ น้อง ก่อนนับหนึ่ง สอง สาม
“พี่ขอรูปเดี่ยวน้องมิวด้วยได้ไหม จะส่งให้เพื่อนครับ มันโอชิน้องมิวอยู่”
ผมโกหก
“เพื่อนที่ว่านี่คือวินหรือเปล่าคะ”
“อ๋อ ไม่ใช่ครับ เพื่อนครับ เพื่อน ฮ่าๆ”
น้องแกล้งแซว แต่สมองผมทำงานช้าเล็กน้อยถึงปานกลางในสภาวะกรึ่มๆ แต่น้องก็โพสท่าให้ถ่ายถึงสามช็อตเลยทีเดียว
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ใจดีจัง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ พี่เป็นรุ่นพี่วินเหรอคะ”
“อ๋อ ครับ พี่ชื้อตี้นะ ตี้ ปาร์ตี้อะครับ”
“อ๋อ ค่ะ ยินดีที่รู้จักนะคะ เออ พี่ตี้คะ” น้องทำท่าลังเล “แล้ว… เขาคบกันหรือยังคะ”
“ครับ?”
ผมงงที่น้องถาม หมายถึงใคร เฟมกับไอติมเหรอ
“หมายถึง วินกับเฟมอะค่ะ เขาคบกันหรือยัง”

น้องคงเห็นผมทำหน้าง่าวและ blank สุด

“อ๊ะ ขอโทษคะ มิวไม่รู้มาก่อนว่า…”
“อ้อ ครับ ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบบอกน้อง “คือ… ยังไม่คบกันมั้งครับ อืม… พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน เหอๆ”
“โอเคค่ะ” น้องยิ้มแหยๆ “ยังไงฝากพี่ตี้ช่วยดูวินให้ด้วยนะคะ ปกติมิวไม่เคยเห็นเที่ยวเลย นี่ยังแปลกใจเลยว่ามาได้ยังไง งั้นมิวขอตัวก่อนนะคะพี่ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ขอบคุณด้วยนะครับสำหรับรูป”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
“เจอกันครับ”

ผมมองตามจนน้องเดินหายเข้าไปในฝูงคน พร้อมเซลล์สมองที่กำลังประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ยินได้ฟังมาเมื่อสักครู่นี้
สองคนนั่นเป็นแฟนกันอย่างที่เซนบอกจริงๆ ด้วยสินะ

อ้าว แย่ละสิ! งี้ก็หมายความว่า…

ซวยแล้ว

+++

เรากลับมาถึงคอนโดเวลาตีสองนิดๆ ผมที่เมาและง่วงสุด สลบเหมือดทันทีที่พาตัวเองมาจนถึงเตียงได้สำเร็จ ปกติก็ไม่ค่อยได้เที่ยวอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยชิน ส่วนที่ดีที่สุดของผมคือ ถึงแม้จะเมาแค่ไหน แต่ก็มีสติ ไม่เละเทะ เคล็ดลับคือการเอาแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายบ่อยๆ ด้วยการเข้าห้องน้ำ แค่นี้ก็กรึ่มๆ ได้ตลอดทั้งคืน

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีคือเวลาตีสามเกือบตีสี่เพราะเสียงรบกวน ขณะที่กำลังงงใจว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ราวชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น หลังจากที่ผมหมดสติ (คิดว่านานกว่านั้นเสียอีก เพราะฝันเยอะมาก) ก็ระลึกขึ้นได้ว่าเสียงที่ปลุกผมนั้น คือเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ ไอติมกับน้องเฟมกำลังจัดกันหนัก

ไอติมกับน้องเฟม น้องเฟมกับไอติม อืม ก็ถูกแล้วนี่

สงสัยคงสร่างกันแล้ว และเข้าใจว่าผมคงเมาสลบไสลไม่ได้สติ จึงได้ลงมือกันแบบไม่เกรงใจเพื่อนผู้อาภัพกันอีกต่อไป

ผมนั่งฟังอยู่อย่างนั้นราวสามนาที ชั่งใจว่าจะไปเคาะประตูบอกให้เบาเสียงดีหรือไม่ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็อาจจะทำให้เพื่อนกับน้องเขินกันไป แถมยังเป็นการไปขัดขวางความสุขของคนสองคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน เลยตัดสินใจหยิบคีย์การ์ดสำรอง และโทรศัพท์มือถือ ลงลิฟต์ไปนั่งชิลที่ล็อบบี้คอนโดสักชั่วโมง

พอประตูลิฟต์เปิด ผมมองตรงไปยังกลุ่มโซฟาที่อยู่ไกลจากเคาน์เตอร์รีเซฟชั่นสุด แล้วก็ต้องแปลกใจที่มีคนนอนไม่หลับเหมือนกันนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ไอ้เด็กวินในชุดเสื้อยืดสำหรับใส่นอนและกางเกงขาสั้น สวมแว่นสายตาทรงกลมอันเดิม กำลังสวมหูฟังที่ต่อเข้ากับมือถือ นั่งกอดอกหันด้านข้าง มองเหม่อออกไปด้านนอกตึกเหมือนกำลังทำเอ็มวี มีน้ำเปล่าแช่เย็นหนึ่งขวดตั้งอยู่ตรงหน้า แสงสีฟ้าจากจอมือถือจับอยู่ที่เลนส์แว่นและกรอบใบหน้า คือแสงเลวร้ายได้ขนาดนั้น มันก็ยังหล่ออยู่ดี งงมาก

ผมลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไป กะจะขอนั่งด้วย ถ้าไม่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างซะก่อน

มันกำลังร้องไห้

‘ตายห่า’
ผมหยุดกึกแล้วรีบหันหลังกลับไปกดเรียกลิฟต์อย่างว่อง
สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ทำให้ผมเพิ่งจำได้ว่า ไอ้เด็กวินกับน้องเฟมเป็นแฟนกัน

‘ฉิบหายละ’

ผมเข้าไปในลิฟต์ กดหมายเลขชั้นที่จะขึ้น มองออกไปด้านนอกอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่เห็นผม แต่ไอ้เด็กวินดันหันมามองในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดพอดี

เอิ่ม

พอถึงห้องผมรีบแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง จ๊ะเอ๋กับไอติมที่นุ่งบอกเซอร์เดินออกมาจากห้องนอนน้องเฟมพอดี

“อ้าว มึงไปไหนมาอะ” มันถามงงๆ “มึงไม่ได้นอนไปแล้วเหรอ”
“นอนแล้ว แต่ตื่นเพราะพวกมึงปลุกไง” ผมกระแทกเสียง “เสร็จแล้วเหรอ”
ไอติมเกาหัวทำท่าเขิน
“โทษทีว่ะ กูนึกว่าพวกมึงเมาหลับไปแล้ว เห็นแดกซะขนาดนั้น”
“เหอะ เออติม พรุ่งนี้กูว่าจะไปค้างกับนุ่นที่รังสิต ยังไงมะรืนก็เจอกันที่ดอนเมืองเลยละกันนะ”
“อ้าว อะไรวะ มึงก็ให้เพื่อนมึงเข้ามาในเมืองดิ กูก็อยากเจอเพื่อนแถวบ้านมึงเหมือนกันนะ”
“ไม่ได้ว่ะ ช่วงนี้นุ่นมันทำละครคณะ อยู่ดึกทุกคืน กูก็จะไปดูละครมันด้วยแหละ แล้วนี่ต้องเอาของที่ที่บ้านมันฝากมาไปให้ด้วย”
“ไปค่ำๆ ละกัน กูให้เฟมไปส่ง อยู่เที่ยวด้วยกันก่อน”
“ไม่เป็นไร กูนั่งรถไฟฟ้าไปต่อรถเมล์เอง เออ ไอติม” ผมเดินเข้าไปหามัน แล้วลดเสียงลง “น้องเฟมเขา…”
ประตูด้านหลังเปิดออก ผมสองคนหันไปตามเสียง ไอ้เด็กวินเดินเข้ามาในห้อง เราสามคนต่างคนต่างตกใจ
“อ้าว วิน” ไอติมทัก แล้วหันมามองผมสลับกับคนที่เพิ่งเข้ามา “นี่พวกมึง…”
“กูไปนอนละ กูง่วง”

ผมตัดบทแล้วเดินกลับเข้าห้อง เสียงไอติมคุยงึมงำกับไอ้เด็กวินไล่หลัง

ผมนั่งนิ่งอยู่นเตียงราวสองนาที นึกถึงภาพไอ้เด็กวินที่ล็อบบี้เมื่อกี้นี้ ก็ไม่รู้หมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงไม่กล้าสู้หน้ามันขึ้นมาซะเฉยๆ ในเวลาที่มีสติ เพราะผมรู้ความลับของมันหรอ หรือเพราะผมอายเรื่องเซน

แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบให้กับตัวเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้ง แล้วเดินไปเปิดประตู

“พี่ตี้ครับ”

ไอ้เด็กวินยืนปิดช่องประตูที่ผมแง้มออกเพียงเล็กน้อย

“ครับ”
“ตะกี้ที่ล็อบบี้อะครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองมันแว่บหนึ่ง ใต้ตายังบวมอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเกิดจากการร้องไห้หรืออดนอนกันแน่

“อย่าบอกพี่ไอติมหรือไอ้เฟมนะ ผมขอ”

+++

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...จากข้อมูลรอบด้าน

นาสงสารวินนะ  คงจะเป็นประเภท 

เพื่อนสนิทที่เปลี่ยนสถานะไม่ได้แม้ใจจะต้องการแค่ไหน

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
สงสารวินอ่ะคือไม่ได้อยากเป็นเพื่อนแต่ต้อง Still friend zone  o22 o22
อิตี้นี่นานๆไปก็คงใจอ่อนคบน้องมันเองแหละ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ bennietakky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-0
9


พอใกล้จะปีใหม่ทีไร ไม่รู้ว่าทำไมต้องมีเรื่องให้เครียดตลอด ทั้งที่บรรยากาศช่วงนี้ของปีเป็นอะไรที่รื่นเริงดีแท้ๆ ทั้งอากาศเย็นๆ ในตอนเช้าและตอนค่ำ แสงสีส้มเข้มๆ ของแสงแดดในตอนบ่าย แถมยังเป็นช่วงปิดเทอม ไม่เรื่องการเรียน เรื่องงานและเรื่องสอบคอยกวนใจ แต่ผมกลับไม่มีเวลาได้ซึมซับเอาช่วงเวลาสุขสงบสั้นๆ เหล่านี้อย่างจริงจังเลย

ปีที่แล้วก็เครียดเรื่องเงินกับเรื่องเรียนไปทีหนึ่งแล้ว พอมาปีนี้ก็ต้องมานั่งเครียดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก โว้ย

เซนตอบไลน์กลับ ในวันที่ผมย้ายไปนอนที่รังสิตพอดี เหมือนรู้ แต่ก็ช้าเกินไปที่จะเรียกความรู้สึกดีๆ กลับมา เขาอธิบายและให้เหตุผลในสิ่งที่ผมคาดเดาได้ เพราะถ้าให้เลือกเชื่อ ผมเชื่อไอ้เด็กวินมากกว่าจริงๆ

ยังไงก็ตาม ผมไม่มีอำนาจไปตัดสินผิดถูกใคร และอย่างที่บอกไป ถ้าวันนั้น ไอ้เด็กวินไม่เข้ามาขวาง ผมเองก็คงเต็มใจให้เรื่องอะไรๆ มันเกิดขึ้น ถ้าจะมีใครผิด คนนั้นน่าจะป็นตัวผมเองนี่แหละ

นึกถึงแล้วก็หดหู่

ผมกับไอติมกลับจากกรุงเทพมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว เป็นทริปสั้นๆ สามคืนสี่วันที่หลากหลายอารมณ์มาก และเหนื่อยมากอีกด้วย แล้วพอถึงเชียงใหม่ ผมก็ต้องรีบเก็บข้าวของที่หอเพื่อกลับมานอนบ้านนอก เนื่องจากไปเถลไถลอยู่ที่เมืองหลวงเสียหลายวัน กลัวที่บ้านจะด่าเอา แต่การอยู่กับตัวเองคนเดียว แล้วคิดเรื่องเดิมซ้ำๆ มันแย่และเหนื่อยยิ่งกว่าไปอีก

ผมไม่ค่อยสนิทกับน้องเฟมมากนักตอนอยู่ที่กรุงเทพฯ โอกาสที่จะเราได้อยู่ด้วยกัน คุยกันสองต่อสองแทบจะไม่มีเลย และหากจะมี มันก็เป็นการคุยถามเรื่องจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดินฟ้าอากาศเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น พอสบโอกาสในระหว่างไอติมเข้าห้องน้ำ ระหว่างรอเช็คอินที่ดอนเมือง ผมจึงถามในสิ่งที่อยากรู้อ้อมๆ จากน้อง

“เฟมจะไปสวิสกับที่บ้านวันไหนนะ”
“พุธหน้าครับ กลับมาอีกทีก็เปิดเทอมเลย พี่ตี้ละครับ ช่วงปีใหม่มีไปไหนกับที่บ้านหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ คงไม่ได้ไปไหนอะครับ น่าจะ อยู่บ้านรอสังสรรค์กับญาติ”
ผมโกหก ที่บ้านไม่มีญาติมาหา หรือการสังสรรค์ใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่จำความได้ กระทั่งตอนนี้
“ดีจัง เนี่ยจริงๆ ผมไม่ได้อยากไปเลยนะ อยากไปฉลองที่เชียงใหม่กับพี่ตี้กับพี่ไอติมมากกว่า”
“อ่านะ อยากฉลองกับไอติมคนเดียวมากกว่ามั้ง” ผมแซว “แต่ไอติมก็ไปญี่ปุ่นกับที่บ้านนะ ปีนี้”
“ใช่ครับ ผมก็เลยหายนอยด์ไปได้นิดนึง ฮ่าๆๆ”
“นี่ เฟมชอบไอติมจริงๆ เหรอ” ผมตัดสินใจถามในสิ่งที่ตัวเองข้องใจออกไป “ขอโทษนะ ถ้าพี่ถามอะไรเสียมารยาท”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ตี้ ผมเข้าใจ ผมชอบพี่ไอติมจริงๆ ครับ ไม่ได้คิดจะคบแค่เล่นๆ พี่สบายใจได้เลย”
“อืม ได้ยินแบบนี้พี่ก็ดีใจครับ แล้ว…” ผมไม่แน่ใจว่าควรถามดีไหม “วินอะ”
“วินมีแฟนหรือยังใช่ไหมครับ”

ผมกำลังจะปฏิเสธ แต่น้องกลับจ้อต่อ

“ยังไม่มีหรอกครับ โสด แฟนเก่ามันก็คนที่เป็นไอดอลที่ชื่อมิวไงครับ คนที่เราเจอคืนก่อนนั่นแหละครับ เพิ่งเลิกกันไม่นาน แต่คงไม่รีเทิร์นแน่ๆ”

ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้สักหน่อย แต่ก็ดีที่ได้รู้ว่าสันนิษฐานของผมเป็นจริง (ว่าแต่ทำไมไม่รีเทิร์นวะ)

“อ๋อ ครับ แล้วเฟมไม่ชอบวินเหรอ พี่ว่าวินหล่อกว่าไอติมอีกนะ”
“โอ้ยพี่ มันเพื่อนสนิทผมนะ เพื่อนเขาไม่กินกันหรอก เอ๊ะ หรือว่าพี่กับพี่ไอติม…”
“เหย บ้า ขนลุก”

ผมรีบปฏิเสธ

“ก็นั่นไง คิดว่าพี่ตี้ชอบพี่ไอติมซะอีก ฮ่าๆๆ ล้อเล่นนะครับ แต่เอ ตะกี้พี่ตี้บอกว่าไอ้วินหล่อกว่าใช่ไหมครับ หรือว่าพี่ตี้ชอบมัน”

เจอแบบนี้ผมไปไม่เป็นเลย จะให้ปฏิเสธเสียงแข็ง เดี่ยวจะดูเป็นเล่นใหญ่เล่นโตไป แต่ถ้าไม่แก้ตัว น้องคงจะเข้าใจไปจริงๆ ว่าผมชอบไอ้เด็กวิน

“โหย พี่ไม่กล้าหรอครับ”
“ทำไมอะ ถ้าพี่ตี้ชอบมันจริงๆ ผมช่วยพี่ได้นะ”

ผมยิ้มแหยให้น้องแล้วส่ายหัว ซึ่งระหว่างนั่งเครื่องกลับเชียงไหม่ ผมก็ได้ใช้วิธีการเริ่มต้นการสนทนาแบบเดียวกันนี้ หลอกถามข้อมูลจากไอติมด้วยเช่นกัน

“มึงจะไปญี่ปุ่นวันไหนนะ”
“25”
“คริสต์มาสอะนะ”
“เออ เปลี่ยนใจไปด้วยกันมะ”
“แหม พูดเหมือนเงินบาทสองบาท”
“เออๆ เดี่ยวกูซื้อของฝากมาให้ เอาไรดี ไขสั่น หรือดิลโด้”

ผมเบิ้ดกระโหลกมันไปทีนึง

“ติม กูถามมึงจริงๆ นะ มึงชอบน้องเฟมจริงๆเหรอ”
“อ้าว ก็จริงดิ ทำไมมึงถามงี้อะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ก็อยากรู้ มึงชอบน้องเขาจริงๆ หรือมีเหตุผลอื่น”
“มึงเห็นกูคบอยู่กับคนอื่นไหม มึงไปรู้อะไรมามึงบอกมาเลย”
“รู้อะไรล่ะ ไม่มี” ผมโกหกอีก ผมไม่มีทางบอกความจริงมันหรอกเรื่องนั้น “กูแค่ถามเฉยๆ เพราะถ้ามึงไม่จริงจัง กูจะสงสารน้องเขามาก เขาดูชอบมึงจริงๆ นะ”

ไอติมยิ้มพอใจ
“กูว่ากูก็ชอบเฟมจริงๆ ว่ะ ตอนนี้อะนะ แต่เอาจริงๆ กูก็แยกไม่ออกหรอกว่ารักหรือหลง”
ผมพยักหน้ารับรู้
“ก็ดี อย่างน้อยมึงก็แน่ใจว่าชอบน้องเขามาก”
“แล้วมึงอยากรู้ไปทำไมเนี่ย”

ผมยิ้มอ่อน ไม่ตอบ เพราะผมเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรผมถึงอยากรู้ ผมรู้แค่ว่า ไอติมชอบน้องเฟมแบบชอบจริงๆ น้องเฟมก็ดูเหมือนจะชอบมันจริงๆ ด้วยเหมือนกัน ส่วนไอ้เด็กวินน่าจะแอบชอบเพื่อนสนิทตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีใจด้วยไหม และในวงจรความรักของคนเหล่านี้  ไม่มีผมอยู่ในนั้น

“มึงชอบไอ้วินใช่ไหม”

อีกคนนึงละ ผมกลอกตา

“ถ้ามึงพูดว่ากูชอบมันอีก กูจะถีบมึงจริงๆ”
“กูก็จะเรียกแอร์ให้มาลากมึงไปมัดติดกับเก้าอี้ลูกเรือ เอามะ” มันท้าทาย “ทำไมวะ แค่ยอมรับว่ามึงชอบมัน มันยากตรงไหน”
“มันก็ยากตรงที่กูไม่ได้ชอบมันไง” ผมบอก “อีกอย่าง คนอย่างมันไม่มีทางมาชอบกูหรอก กูรู้ตัว”

ไอติมส่ายหัวทำท่ารำคาญ
“เนี่ย มึงก็ชอบดูถูกตัวเองแบบเนี๊ย มึงรู้ไหม ว่าวันที่มึงไปกับไอ้เซนอะไรนั่นอะ น้องมันอาสาเองเลยนะเว้ยว่าจะออกไปตามดูมึง มึงคิดดู มันต้องวนรถอยู่แถวสยามกี่รอบต่อกี่รอบ กว่าจะเจอพวกมึง ถ้ามันไม่ได้ชอบมึง มันจะทำขนาดนั้นไปทำไม”
“มันแค่เป็นห่วงกูว่าจะโดนเซนหลอกเหอะ”
“ก็ใช่ไง แต่ถ้าไม่ชอบแล้วจะห่วงทำไม อย่างมากมึงก็แค่โดนไอ้นั่นหลอกไปยิ้ม เผลอๆ มึงนั่นแหละจะเริ่มก่อน”
“ก็มันเป็นคนดีไง”
“นี่ไง มึงก็ยอมรับว่าน้องมันเป็นคนดี ถูกไหม หล่อด้วย แล้วมันก็ขับรถตามหามึงทั้งวัน ทั้งที่กูบอกไปแล้วว่าคนอย่างมึงฉลาด เอาตัวรอดได้ แล้วพวกมึงก็แค่ไปเดินสยามกันเท่านั้นเอง แต่มันก็ยังยืนยันว่าไม่น่าไว้ใจ”

ผมคิดตาม แต่ก็ยังไม่เห็นความเป็นไปได้

“มึงจะพูดให้กูมีความหวังทำไมวะติม กูไม่ใช่มึง ที่ทั้งหน้าตาดี ทั้งรวย ไม่น้อยหน้าแฟน” พูดเองก็รู้สึกแปลบๆ เอง “แล้วกูไม่ได้โง่หรือทำซึนอย่างที่มึงคิดด้วย มึงไม่รู้หรอกว่ามันเคยพูดอะไรกับกูไว้บ้าง แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ได้ชอบกู” ผมพูดย้ำ “มันมีคนที่มันชอบอยู่แล้ว”
“ใครวะ”
“มึงอย่ารู้เลย” ผมตัดบท “อีกอย่าง คนเราจะชอบกันมันต้องมีโมเมนท์เว้ย กูเพิ่งจะเจอมันแค่สองครั้งเอง แต่มึงกับเฟมก็บิ้วซะจนกูงงไปหมดแล้วเนี่ย ถ้ากูเกิดชอบมันขึ้นมาจริงๆ คือความผิดมึงเลย”

ไอติมกอดอก แล้วหัวเราะแสดงท่าทางพอใจ

“มึงลืมไปรึเปล่า กูกับเฟมก็เพิ่งเจอกันเอง แต่กูเป็นแฟนน้องตั้งแต่ยังไม่เคยตัวจริงแล้ว อะไรมันก็เป็นไปได้เว้ย มันอยู่ที่มึง จะให้โอกาสมันเกิดขึ้นหรือเปล่า”

ผมนึกถึงบทสนทนาเหล่านั้น พร้อมกับพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าไอ้ความรู้สึก เหงาๆ โหวงๆ เทียบได้กับอาการของโรคเครียดหลังจากกลับมาจากกรุงเทพฯ ที่ผมกำลังเป็นอยู่นี้ เป็นเพราะผมชอบไอ้เด็กวิน จริงๆอย่างที่น้องเฟมและไอติมว่าไว้ไหม
ไม่หรอก มันจะเป็นไปได้ยังไง เราคุยกันแบบน้อยมาก แบบมากๆๆๆ แถมไม่เคยคุยเข้าขากันเลยด้วย

แต่ที่ผ่านมา ผมเองก็เคยแอบชอบคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วยสักครั้งมาแล้วไม่ใช่เหรอ
มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมเริ่มรู้สึกดีกับไอ้เด็กวินขึ้นมาจริงๆ
แต่... ทั้งๆ ที่มันชอบเพื่อนสนิทของมันอยู่เนี่ยนะ

โอ้ย เครียดโว้ย
ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด

ผมทึ้งหัวตัวเอง แล้วล้มตัวลงนอนบนแคร่ใต้ต้นชมพู่หน้าบ้าน หยิบมือถือขึ้นมาไถหาหน้าเฟสบุ๊คของเด็กวิน
ปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ ไอ้เด็กนั่น มันจะไปฉลองที่ไหนนะ

อยากรู้เว้ย

+++

จากคนเขียน
 :mew1: หลังจากนี้จะเป็นตอนสั้นๆ นะครับ ไม่ยาวมาก ทั้งหมดมีแค่ 19 ตอน
จะทะยอยลงนะครับ ขอบคุณมากครับสำหรับคอมเมนท์ ดีใจ/ เบน


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ก็โอเค

ป.ล. ต่อมเผือกทำงานตามพี่ตี้ไปติด ๆ

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ตี้ซึนมากอะน้องเขาเริ่มชอบแกแล้ววอย่าเบลมตัวเองเลย  :hao7:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด