พิมพ์หน้านี้ - +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: bennietakky ที่ 06-02-2019 16:14:19

หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 06-02-2019 16:14:19
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*************************************
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 06-02-2019 16:20:25

+++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก I Could Never Be Your Man +++
+++ โดย Ben Puppanont +++

บทนำ

รู้จัก ‘ความเหงา’ กันใช่ไหมครับ

ผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่มักจะปฏิเสธตัวเองว่าไม่เหงา ไม่เคยเหงา หรือถึงจะเหงา เราก็อยู่ได้ อะไรทำนองนั้น – ยังไงดีล่ะ คนเราไม่ค่อยอยากจะยอมรับกันหรอกครับว่าตัวเองเหงา เพราะนั่นอาจหมายถึงภาพสะท้อนของการเป็นคนขี้แพ้ เป็นคนไม่มีสังคม มีความบกพร่องในการหาเครือข่าย มิตรภาพ คู่ชีวิต หรือกระทั่งความอ่อนแอทางด้านจิตใจ (ที่ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว) รวมทั้งการตัดสินอีกมากมายที่อาจตามมา ดังนั้น ‘ความเหงา’ จึงเป็น ‘shame’ อย่างหนึ่งของสังคม และเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแออย่างซื่อตรง หากมีใครสักคนที่ออกมายอมรับว่าตัวเองเหงา สิ่งที่คนๆ นั้นจะได้รับ อาจไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นความสงสารเวทนา หรือการเหยียดหยันว่าเป็นคนบอบบางทางอารมณ์เสียส่วนใหญ่ เหตุเพราะวลีอมตะที่ว่า “ความเหงาไม่เคยฆ่าใคร” มันฟังดูแล้วใช่ น่าเชื่อ และถูกเข้าใจว่านั่นคือความจริงที่ ‘จริงเสมอ’

แต่รู้อะไรไหมครับ ความเหงา มัน ‘ฆ่า’ คนได้จริงๆ

ว่ากันว่าความเหงานั้น ให้โทษต่อสุขภาพเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 ต่อวันเลยทีเดียว

ผมไม่ได้พูดมาลอยๆ อ้างอิงจากงานวิจัยที่เป็นข่าวไปทั่วโลกของ Brigham Young University เมื่อเร็วๆ ซึ่งทีมนักวิจัยได้ทุ่มเทเวลามากถึง 34 ปี ตามเก็บข้อมูลพฤติกรรมของอาสาสมัครกว่า 3,400,000 คนทั่วโลก และพบว่าในกลุ่มคนที่มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคมอย่างสม่ำเสมอ จะมีตัวเลขการเสียชีวิตที่ต่ำกว่ากลุ่มคนที่มักจะแยกตัวและอยู่อย่างโดดเดี่ยวถึง 50% ส่วนกลุ่มคนที่เข้าสังคมน้อยกว่าหรืออยู่อย่างโดดเดี่ยว มีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เทียบเท่ากับคนที่ติดบุหรี่อย่างหนักหรือป่วยเป็นโรคอ้วนนั่นเลยทีเดียว

ทีนี้เราก็รู้แล้วว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยว ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนกว่า แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่อยากจะยอมรับว่าอยู่ดีว่า ‘เหงา’   อาจเป็นเพราะว่าเราไม่เคยรู้ว่าความเหงามันทำอะไรกับเราได้บ้าง
อย่างที่ผมไม่เคยรู้ว่า ความเหงาจากการที่ไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครเลย มันทำให้ผมดูจนตรอก ทั้งในสายตาคนอื่นและความคิดของตัวเองขนาดไหน

+++

สวัสดีครับ สำหรับคนที่จำ "หนุ่มโชคร้ายกับนายแชมป์ว่าว" ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ของผมนะครับ (Ben Puppanont)
สำหรับเรื่องนี้ ไม่ต้องกลัวครับว่าจะดอง เพราะเขียนจนจบแล้ว มีทั้งหมด 19 ตอนด้วยกัน สั้นบ้างยาวบ้าง จะทะยอยลงทีละตอนสองตอนนะครับ ชอบหรือไม่ชอบยังไง ฝากติดตาม คอมเมนท์ แล้วก็แชร์ให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ/ เบน

 :mew2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 06-02-2019 16:23:08
1

กรกฏาคม

ให้ตายเถอะ
มันจะยากอะไรนักหนากับอีแค่ถุงยางอนามัยกล่องเดียว!

ที่ต้องทำก็แค่เดินไปที่เคาน์เตอร์ หยิบมันขึ้นมาวาง รอให้พนักงานคิดเงิน ก็แค่เนี๊ยะ (นึกภาพพีช พชร ในฮอร์โมนส์ ซีซั่นแรก ในฉากซื้อถุงยางที่แสนสมูท)

อ้อ ต้องแน่ใจด้วยนะว่าถูกยี่ห้อ ขนาด และประเภทการใช้งาน (ว่าแต่แฟนเพื่อน มันใช้ขนาดนี้เลยเหรอวะ)
เหอะ จะเขินเพื่อ?

“รับสองกล่องเลยไหมคะ ตอนนี้มีโปรซื้อสองกล่อง แถมเจลขนาดทดลองฟรี แล้วก็ได้สแตมป์สามบาท เก้าดวงเลยนะคะ”

นั่นไง
โว้ย ไม่ประกาศออกลำโพงไปเลยล่ะ
ว่าแต่ สแตมป์เก้าดวงเลยนะ นั้นเท่ากับว่าประหยัดไปได้ถึงยี่สิบเจ็ดบาทเลยทีเดียว แล้วเราก็อยากได้หมอนผ้าห่มสนูปปี้ที่ต้องใช้แสตมป์นี่แลกอยู่ด้วย
เอ่อๆ ก็ได้   

ผมหยิบขึ้นมาอีกหนึ่งกล่อง พร้อมๆ กับลูกอมดับกลิ่นปากที่หยิบขึ้นมามั่วๆ ด้วยประหม่า 1 ชิ้น พนักงานสาวประจำเคาน์เตอร์ยิ้มแล้วสบตากันอย่างมีเลสนัย

โอเค ยอมรับก็ได้ว่าตอนนี้ใบหน้าเริ่มร้อน ตอนหูเหอคงแดงไปหมดแล้ว

“สินค้าทั้งหมดสามรายการ หนึ่งร้อยสามสิบบาท รับเงินมาสองร้อยบาท เงินทอนเจ็ดสิบบาท แสตมป์สามบาทสิบสองดวง และหนึ่งบาทอีกสองดวงนะคะ”
“ครับ”

ผมรีบรับสินค้าและเงินทอนจนลน ถอยหลังไปชนกับแผงอกของผู้ชายที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังดังปั๊ก!

เชี่ย หล่ออะ!

ผมสะดุ้งจนตัวโยนอีกครั้งเพราะเสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในมือดังเรียกสติ เป็นเพลงของ Ever Again ของ Robyn ผมรีบกดปิดเสียงโดยทันที

“ขอโทษครับ”

ผมพยายาม keep cool คนหล่อแค่พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ ซึ่ง cool, clam และ collected กว่าเยอะ จากนั้นขอก็ทางเพื่อขยับไปจ่ายเงิน ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วินาที แต่ความอับอายนี้น่าจะยังอยู่ไปอีกนาน ทุกครั้งที่นึกถึงแน่ๆ

โว้ย
ผมเดินผ่านประตูอัตโนมัติออกมาด้านนอก ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับผับชื่อดังของจังหวัด ที่ผมนัดกับ ‘ไอติม’ เพื่อนสนิท และแฟนใหม่ของมัน สองคนมาเอาโต๊ะล่วงหน้าตั้งแต่หัวค่ำ อาจจะเมาได้ที่ไปแล้ว ส่วนผมต้องรอให้ซีรีส์วายเรื่องโปรดจบก่อนเท่านั้น

มือถือในมือยังคงสั่นอยู่ แต่ก็ไม่สู้เสียงอึกทึกของถนนในตอนดึกที่ยังคงเต็มไปด้วยรถรา มุ่งหน้าสู่แยกที่รถติดมากที่สุดแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ผมมองซ้ายขวาเพื่อที่จะข้ามถนน ดนตรี hip-hop จากผับฝั่งตรงข้ามแผดเสียงสู้

ต่อไปนี้ ขอให้นึกถึงฉากเปิดของหนัง Something’s Gotta Give ของ Nancy Meyers ผมกำลังเดินข้ามถนนราวกับ Jack Nicholson ต่างกันแค่ผมไม่แก่และไม่เท่เท่าลุง อ้อและบรรดาสาวสวยนางแบบในฉากนั้น กลายเป็นหนุ่มหล่อสไตล์ไอดอล มากหน้าหลายตา ที่เดินสวนกันไปมาหน้าผับเท่านั้นเอง

หล่อโคตร
น่ารักว่ะ
หุ่นดีสัด
หือ ใจบาง

ผมเผลอเหลียวหลังมองทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง สถานการณ์ราวกับผมได้หลุดไปอยู่ในโชว์ของ Boys of Bangkok จนกระทั่งโทรศัพท์ที่สั่นและดับไปแล้ว สั่นขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สอง

“เออ มีอะไร”
ผมกรอกเสียงลงไป เพราะไอ้ตัวต้นเหตุนั่นแหละที่เป็นฝ่ายโทรเข้ามา
“นึกว่าตายห่าไปแล้ว ถึงไหนแล้ววะ”
“ถึงแล้วโว้ย แวะซื้อถุงให้มึงอยู่เนี่ย จะเอากันยังต้องเดือดร้อนกูอีก”
“ไม่พอใจ จะทรีซัมก็ได้นะเว้ย กูโอเค”
“มะเหงกนี่”
“เออๆ ขอบคุณครับท่าน ‘ตี้’ กูกลัวว่ามึงจะเบี้ยวไม่มาเฉยๆ เพราะถ้ามึงไม่มานะ คือพลาดมาก บอกเลย เพื่อน ‘เฟม’ ตัวจริงโคตรหล่อ”
“เออ รู้แล้ว กูมีตาดูเองได้ ไม่ต้องยัดเยียด มึงเดินออกมารับกูหน้าร้านเลย ขี้เกียจเดินหา”

ผมสั่งก่อนจะกดวาง ในร้านค่อนข้างจอแจ แต่เสียงจากโทรศัพท์ไม่ได้อึกทึกถึงขนาดไม่ได้ยินอะไรเลย เดาว่าสองคนน่าจะอยู่แถวโซนนั่งเล่น กินข้าว
ผมข้ามถนนไปอีกฝั่ง เจอกับไอติมที่ออกมานอกร้านพอดี

“งายจ๊ะ เพื่อนรักของน้องติม”
มันเรียก ผมปาถุงใส่ของจากร้านสะดวกซื้อใส่อก มันรับไว้ทัน
“ส้นตีนนี่ ร้อยสามสิบบาท กูซื้อลูกอมให้ด้วย เผื่อมึงนึกอยากจะจูบปากกันคาโต๊ะเลยไง ดีไหม”
“รอบคอบมากครับเพื่อน”
“นี่กูบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่ากูไม่ได้สนับสนุนให้มึงชิงสุกก่อนห่าม แต่มึงมันแรดของมึงเอง”
“เออ รู้แล้วน่า” มันเดินมากอดคอ “ป่ะ เฟมเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว กูไม่ไว้ใจชะนีในร้านว่ะ จ้องแฟนกูจนจะงาบหัวอยู่ละ”
“อ้าว ละเพื่อนแฟนมึงอะ”
“ออกไปสูบบุหรี่มั้ง ร้อยเอาบาทเดียว กูว่ามึงต้องชอบน้อง ‘วิน’ แน่ๆ สูง หล่อ ขาว ตี๋ หุ่นดี สเป๊คมึงเลย มึงต้องทำตัวดีๆ นะเว้ย อย่าทำตัวประหลาดเหมือนทุกวัน กูโม้เรื่องมึงเอาไว้เยอะ”

ปกติไอติมไม่ใช่คนพูดจาเกินจริง แต่ถ้าเป็นในช่วงเวลาที่มันทั้งมึนเพราะฤทธิ์เหล้าและเมาเพราะฤทธิ์รักแบบนี้ ขอไม่เชื่อเอาไว้ก่อนดีกว่า

ว่าแต่ ถ้ามึงคิดว่ากูประหลาด ก็ไม่ต้องชวนกูไหมสัด

“เชียร์เก่ง ถ้าหล่อขนาดนั้นเขาก็ไม่เอากูหรอกมั้ย ดูหน้าเพื่อนมึงบ้าง อย่าสักแต่เชียร์”
ผมวิเคราะห์ตามบริบท แต่ไอติมพยายามการันตีว่าหล่อจริง แบบจริงจังเกินความจำเป็น ถึงขั้นพยายามหาไอจีให้ดู
“พอๆ ไม่ต้องหรอก ดูตัวจริงเลยดีกว่า ว่าแต่มัน ‘เป็น’ เหรอวะ”
“ไม่รู้ว่ะ แต่ที่แน่ๆ ยังไม่มีแฟน กูถามเฟมแล้ว”
“เอ๊า”

เฟมคือว่าที่เมีย เอ้อ แฟนใหม่ของมัน ดีกรีคิวท์บอยคณะบัญชีจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาไถมือถืออยู่ที่โต๊ะ เห็นด้วยกับไอติมว่าถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อีกหน่อย สิงห์สาราสัตว์บริเวณนี้น่าจะพุ่งเข้ามาแทะโลมอย่างแน่นอน

“ตอนกูเอารูปมึงให้น้องเขาดู น้องเขายังบอกว่ามึงน่ารักอยู่เลย”
“พอ” ผมเอ็ด “กูอาย”

คำว่า ‘น่ารัก’ มันก็แค่คำชมทั่วไปปะวะ เหมือนๆ กับชมว่า ‘โอเค’ ‘ไม่เลวร้าย’ เป็นการชมตามมารยาทเพื่อหลีกเลี่ยงการชี้ชัดว่า คนคนนั้น หน้าตาดีหรือไม่ดี หล่อหรือไม่หล่อ

ผมมองสำรวจน้องเฟม จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า ทรัพยากรงานดีเกรดพรีเมียมขนาดนี้ มาเห็นอะไรดีในตัวเพื่อนผม ที่พูดนี่ ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกเพื่อนหรืออะไรหรอกนะ ไอติมเป็นคนหน้าตาดี (ดีกว่าผมแล้วกัน) นิสัยก็ดี ที่บ้านก็พอมีฐานะ แต่ว่าพวกเราเป็นเพียงเด็กมหาวิทยาลัยชั้นสองในจังหวัดภูธร นั่นคือความจริงที่ต้องยอมรับ โลกของพวกเรากับเด็กไฮโซเมืองหลวงอย่างเขา โอกาสที่จะคอรสโอเวอร์กันนั้น มันไม่ได้จะเกิดขึ้นง่าย ๆ นี่ผมยังไม่ได้ซักไซร้ไล่เรียงมันเลยนะ ว่าไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน เมื่อไหร่ แต่เดาเอาว่าไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือน แต่สำหรับคนที่กำลังตกหลุมรักหัวปักหัวปำ   แค่นี้ก็คงนานพอแล้วมั้ง ที่คนสองคนจะบินมาเจอกันตัวเป็นๆ

เฟมเงยหน้าขึ้นมาทัก รอยยิ้มน่ารักนั้นทำเอาผมต้องยอมรับตามตรงว่าอิจฉา ขณะเดียวกันก็เข้าใจไอติมแทบจะในทันที หล่อขนาดนี้ ต่อให้โดนฟันแล้วทิ้่งก็ยอมอะ พูดจริงๆ
ไอติมแนะนำเฟม แล้วขยับไปนั่งข้างๆ อย่างเขินๆ ตอแหล น่าหมั่นไส้มาก

“นี่วินยังไม่กลับมาเหรอ”
“โน่นแน่ะ”
ผมหันไปมองตามที่เฟมบอก

เห็นภาพผู้ชายร่างสูงเสื้อยืดสกรีนลายสีขาว ที่เดินเลี่ยงโต๊ะอื่นๆ ค่อยๆ ชัดขึ้น เรียกว่า ไม่ต้องพยายามมองหาก็ได้ว่าเป็นใคร ดูโดดออกมาจากฝูงชนในร้านซะขนาดนั้น

และยิ่งเมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ …

บิงโก
ใช่เลย ใช่คนที่ผมถอยหลังไปชนที่ร้านสะดวกซื้อเมื่อหลายนาทีก่อน
โอ่ยยยยยยย น่าอาย น่าอายว่ะ

“วิน นี่พี่ตี้นะ”
เฟมแนะนำ   เรียกสติให้ผมเก็บอาการลน ยิ้มอย่างมีมารยาท แล้วขยับให้เขานั่งด้วย
เขากล่าวขอบคุณ

แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ได้ยินเพียงเสียงเพลงจากลำโพงในร้านทีดังตีกับเสียงจอแจของนักเที่ยว
ไอติมมองผมแบบส่งสัญญาณ ยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนจะถามว่า ‘เป็นไงมึง โอเคไหม หล่ออย่างที่กูบอกไหม’ ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ที่อึดอัดอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกอับอายไปอีก เพราะคนที่นั่งข้าง ๆ ผมก็น่าจะเข้าใจไอ้ท่าทางที่เพื่อนผมพยายามจะสื่ออยู่นั่นเช่นกัน ผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะเด๋อๆ เจื่อนๆ แบบนี้แหละ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยังมา เพียงเพราะไอติมบอกว่าเพื่อนแฟนมัน ‘หล่อ’ งั้นเหรอ โคตรจนตรอกจังวะ

ก็ไม่คิดว่ามาแล้วมันจะเด๋อขนาดนี้ไง
ไม่มีการพูดถึงเรื่องที่ร้านสะดวกซื้อ ไม่มีการซักถามใดๆ ทั้งสิ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำเป็นดูนั่นนี่

“พี่ตี้ สั่งไรมากินไหมครับ”
เฟมถามผม เพื่อทำลายความเจื่อน
“ไม่เป็นไรครับ พี่กินมาแล้ว”
“งั้นดื่มอะไรไหมครับ”
“งั้น น้ำเปล่าก็ได้ครับ”
“ไม่กินเหล้าเหรอครับ”
“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ไว้ตอนย้ายเข้าไปข้างใน”
“มึงอะวิน เอาไรไหม”
“ไม่อะ”
“ถ้างั้น เราเช็คบิลแล้วย้ายโต๊ะไปโซนเต้นเลยไหมครับ”
“ครับ”

เยี่ยม!

น้องที่ชื่อ ‘วิน’ ก็หล่ออย่างที่ไอติมบอกจริงๆ ในส่วนของหน้าตาจัดว่าน่ารักแนวโอปป้า แต่ด้วยรูปร่างและส่วนสูงที่เกินมาตรฐานทั่วไป บวกเข้ากับท่าทางนิ่งๆ หากจะมองว่าหล่อมากกว่าน่ารัก ก็คงจะไม่ผิด ต่างกับเฟม ที่ดูแว่บแรกจะสะดุดตาที่ความหล่อ แต่มองนานๆ จะพบว่าน้องมีมุมน่ารักและสบายๆ มากกว่า

เอ้อ สองคนนี้เพิ่งจะอยู่ปีสอง ในขณะที่ผมกับไอติมเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว
ผมถือแก้วน้ำเปล่า เดินตามเพื่อนไปยังโซนเต้นรำแบบงงๆ

+++

“เป็นไงมึง หล่อจนพูดไม่ออกเลยใช่ไหม”
เฟมแอบกระซิบถามตอนที่เรากำลังย้ายมายืนหน้าเคาน์เตอร์ด้านในร้านอีกโซน

เออ พูดไม่ออก ใบ้แดกเลยเหอะ ผมคิดในใจ

“เอาจริง น้องเขาเงียบๆ อยู่แล้ว หรือเป็นเพราะมึงชงกู”
ผมถาม
“เฮ้ย คิดมาก น้องเขาก็เป็นคนเงียบๆ แบบนี้แหละ จริงๆ มึง นี่กูก็พยายามชวนคุยแล้วนะ”
“แล้วมึงก็ชงคนใบ้ให้มาเจอกับคนจางเนี่ยนะ”
“ก็กูอยากให้มึงโดนเปิดซิงซะทีนี่นา”
“ไอ้เชี่ยนี่”
“กูล้อเล่น เอาน่ามึง ถือว่ามาคลายเครียด มาเที่ยวกับคนหล่อๆ แบบกูกับอีกสองคนไม่ดีเหรอวะ”
ผมแอบเหล่มองไปทางสองหนุ่มเมืองกรุง ที่กำลังเอียงหน้าคุยแข่งเสียงดนตรีเหมือนกัน
“มึงแน่ใจนะ ว่าเขาไม่ใช่ผัวเมียกัน ดูตาม้าตาเรือด้วย”
“มึงก็คิดได้เนอะ ใครที่ไหนจะปล่อยให้แฟนมาคุยกับคนอื่นวะ”
“จะไปรู้เหรอ คนเราสมัยนี้แปลกๆ เยอะไป มึงเพิ่งชวนกูทรีซัมอยู่เลย”

ไอติมแกล้งผลักหัวผมออก แล้วหันไปชวนคุย ดึงความสนใจจากแฟน แว่บหนึ่งที่หันไปเบ้ปากใส่ทั้งคู่ สายตาผมก็สบเข้ากับน้องวินที่มองมาพอดี
ก็ได้ ลองสักตั้ง อาจจะไม่เลวร้าย น้องเขาอาจจะแค่เขินๆ กับคนไม่รู้จักแค่นั้นเอง

“วิน มาเชียงใหม่บ่อยปะ”
ผมตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลง
“อะไรนะครับ”
“มาเที่ยวเชียงใหม่บ่อยไหม”
“ไม่อะครับ”
“แล้วปกติอยู่ที่กรุงเทพไปเที่ยวแถวไหนอะ”
“ไม่ครับ ผมไม่ค่อยเที่ยว”
“อืม แล้วนี่มาถึง ได้ไปไหนบ้างหรือยังอะ”
“ยังเลยครับ”
“พรุ่งนี้ไปเชียงรายด้วยกันใช่ปะ”
“ครับ”
“เสื้อสวยดีนะ ซื้อที่ไหนเหรอ”
“จำไม่ได้ครับ ซื้อนานแล้ว”

อ้อ

เจื่อนของจริง ถามคำตอบคำแบบนี้ ถ้าเซนส์ไม่พังไปซะก่อน ก็น่าจะรู้ตัวว่าเขาไม่อยากคุยด้วย ผมเลยเลิกพยายาม แล้วเปลี่ยนมาชงเหล้าให้ตัวเองแทน เผื่อว่าจะลดความประหม่า ละลายพฤติกรรมเหนือไม่ไปใต้ไม่มานี้ได้

“เฮ้ย มิกซ์ ทางนี้”

ผมหันมองตามเสียงเรียกของไอติม เห็น ‘มิกซ์’ เด็กเอกภาษาญี่ปุ่น แฟนเพื่อนในกลุ่มเด็กเอกภาษาอังกฤษธุรกิจที่ผมกับไอติมเรียนอยู่ เดินถือแก้วเครื่องดื่ม เบียดผู้คนเข้ามาทักทายเรา

“ไอ้เตอร์อะ”
‘เตอร์’ คือแฟนมิกซ์ - คนที่ผมพูดถึง
“อยู่ท่าช้างกับเพื่อนมั้ง มิกซ์มาเลี้ยงวันเกิดพี่รหัสเฉยๆ กะว่าถ้าไม่ดึกอาจจะตามไป”
ไอติมแนะนำมิกซ์ให้กับสองหนุ่มจากเมืองหลวง ก่อนยกแก้วขึ้นชนรอบวง
“ไม่ยักรู้ ว่าตี้เที่ยวด้วย” มิกซ์หยอก “ได้อยู่นะ คราวหน้ามิกซ์ชวนต้องมานะ”
ผมยิ้มแห้งๆ ให้แทนคำตอบ
“คนไหนแฟนตี้อะ”
มิกซ์เข้ามากระซิบที่ข้างหูถาม
“ไม่มี ของไอติมมัน คนชื่อเฟมน่ะ ส่วนคนนี้ชื่อน้องวิน โสดมั้ง”
“อ้าว เหรอ”

มิกซ์ยิ้มพอใจ แล้วยื่นแก้วไปขอชนแก้วกับวิน และนั่นทำให้ผมต้องขยับตัวออกจากวง เพื่อให้ทั้งสองคนได้ตะโกนใส่หูคุยกันได้ถนัดขึ้น

ผมไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร แต่ท่าทางจะถูกคอ ไม่เห็นถามคำตอบคำแบบตอนที่ผมชวนคุย สังเกตจากการที่มิกซ์หัวเราะร่วน ส่วนอีกฝ่ายยิ้มตาม แล้วก็ยกแก้วขึ้นชนกัน ก็รู้เลยว่าคลิก

แต่เดี๋ยวนะมิกซ์ มึงมีแฟนแล้วนะ

ส่วนไอ้เด็กเวรนี่ ทีกับกู ไว้ตัวอย่างกับเจ้ากับเชื้อ แต่พอเป็นไอ้มิกซ์ คือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนแทบจะทันที เออ ก็เข้าใจแหละ คนหน้าบ้านๆ คุยไม่เก่งอย่างกู มันจะไปสู้หนุ่มลำปาง ขาวๆ ปากแดงๆ หน้าตาน่ารักๆ อย่างไอ้มิกซ์ ได้ยังไง เอาเป็นว่ากูเข้าใจมึง
ผมสบตากับไอติมแบบงงใจ ตอนนี้วงสนทนาลามไปยังน้องเฟมแล้ว
โอเค เยี่ยม

“กูไปห้องน้ำ นะ”
ผมตะโกนบอกไอติม
“เออ ๆ กูไปด้วย”

+++

ห้องน้ำด้านนอกอยู่ในบริเวณที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ พอทำธุระเสร็จผมก็เลยมานั่งที่โซฟาเพื่อฆ่าเวลา ไอติมเดินมาตบไหล่
“ปะ เข้าไปข้างในกัน”
“มึงเข้าไปก่อนเหอะ กูว่าจะนั่งดูซีรีส์ในไลน์ทีวีซักตอน”
“ไม่สนุกเหรอวะ” มันนั่งลงข้างๆ ผม “กูขอโทษนะเว้ย ที่ลากมึงมาอะ แต่จะมากันสามคน กูกลัวน้องเขาเหงา ไม่มีเพื่อนคุย ก็เลย…”
“งั้นกู กลับเลยได้ปะ กูง่วง ข้างในก็มีไอ้มิกซ์แล้ว”
“เดี๋ยวมิกซ์มันก็กลับไปโต๊ะมัน นี่อย่าบอกนะ ว่ามึงหึงน้องวิน”
“มะเหงกนี่”
“อ้าว น้องเขาไม่สเป็คมึงเหรอวะ”
“ก็ดี” ผมตอบ “แต่หยิ่งเชี่ยๆ คุยกับกู เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง”
ไอติมหัวเราะ
“เอางี้เพื่อน กูมีของดี”
มันล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบแผงยาหน้าตาแปลก ๆ ขึ้นมา
“เชี่ย อะไรของมึง”
ผมตกใจ ปัดมือมัน แล้วหันมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
“ยาปลุกเซ็กซ์มึง ไม่ใช่ยาอี ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น”
“ก็ผิดกฎหมายอยู่ดี มึงเอามาทำแปะมึงเหรอ กูยังไม่อยากติดคุกนะเว้ย”
“ก็ทีแรกกูว่าจะเอามาใช้กับเฟมแหละ แต่คงไม่ต้องใช้แล้วว่ะ น้องแม่งคันอยากได้กูตั้งแต่เครื่องยังไม่แลนแล้ว ดังนั้น กูให้มึง”
“ไม่เอา” ผมบอกปัดทันที “แล้วนี่ มึงไปเอาของพรรค์นี้มาจากไหน”
“ในเน็ตดิวะ เยอะแยะ ไร้สีไร้กลิ่น เดี๋ยวกูเอาใส่ในแก้วเหล้าให้วินกินดีมะ”
“มึงหยุดเลยไอติม ถึงกูจะหาแฟนไม่ได้ตลอดชีวิตหรือไม่มีคนเอา กูก็ไม่ใช้วิธีทุเรศแบบนี้เว้ย มึงหักเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กูล้อเล่น นี่ก็ซีเรียสเกิ๊น เออ เอาไว้เผื่อทริปเชียงรายก็ได้ กูให้มึงนอนห้องเดียวกัน แต่กูจะไม่บอกมึงหรอกนะว่ากูจะวางยามันตอนไหน”
“พ่องมึงดิ อย่านะเว้ย”
“หรือมึงไม่อยากได้”
“เขาก็ต้องอยากได้กูด้วยไหม”
“น่า เดี๋ยวกูชงให้”
“มึงไม่กลัวเฟมรู้เหรอวะ ว่ามึงตั้งใจจะมอมเขาเนี่ย”
“ก็กูอยากได้เขาอะ กูกลัวว่าเขามาเจอตัวจริงกูแล้วจะไม่ชอบ กูเลยเตรียมแผนสองเอาไว้ แต่เห็นไหม กูก็ไม่ได้ใช้ไง น้องมันขอกูเองตั้งแต่บ่ายแล้ว เนี่ย มึงดู”
มันโชว์ข้อความแชทในมือถือให้ดู เต็มไปด้วยข้อความทะลึ่งตึงตัง ชวนสยิว ทำเอาผมหน้าแดง
“ถ้าไม่มีน้องวินมาด้วยนะ กูจัดกันตั้งแต่ตอนเช็คอินที่โรงแรมแล้ว กูก็อยากกลับเร็วๆ ไม่ต่างจากมึงหรอก”
“แล้วมึงก็มีหน้าเอายานี่ให้มาให้กูดูเนี่ยนะ ทิ้งไปได้แล้ว”
“ไม่เอา ซื้อมาแพง อีกอย่าง เผื่อมึงต้องใช้ไง”
“สัด”
“กูอยากให้มึงมีแฟนอ่ะ เห็นมึงชอบบ่นว่าไม่มีใครเอา แล้วถ้าเป็นน้องวิน มันก็เพอร์เฟ็คท์เลยปะวะ อีกอย่าง เฟมมันก็เห็นด้วยนะเว้ย มันอยากชงให้มึงสองคนได้กันไม่ต่างกับกูเลย เนี่ยยังการันตีอีกนะว่า เพื่อนมันนิสัยดีมาก เพิ่งอกหักจากผู้หญิงมาด้วย เผื่อว่า…”
“พอเลย หยุด มึงจะมีเมียก็มีไป กูดีใจด้วย แต่ไม่ต้องมาสมเพชกู”
“กูเปล่า ตี้ กูรู้นะ ว่าน้องเขาสเป๊คมึงเลย ไม่ใช่แค่ก็ดี”

ผมจะอ้าปากเถียง แต่ก็นึกคำพูดไม่ออก ความคิดเกี่ยวกับไอ้เด็กเมืองกรุงแว่บขึ้นมาในสมอง ผิวขาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปไข่ ตาชั้นเดียวแต่คม จมูกโด่งเป็นสัน ปากแดง และรูปร่างสูง กำยำ เดี๋ยวๆๆ ชมมันอย่างกับว่าเราชอบมันเลย ว่าแต่ คนเราสามารถชอบคนที่เพิ่งเจอไม่ถึงชั่วโมงจริงๆ เหรอ

ไม่ๆๆๆ

“เออ มันก็หน้าตาดีอยู่หรอก”
“นั่นไง มึงโอเคใช่ปะ มึงชอบใช่ไหม เดี๋ยวกูจัดให้เพื่อน”
“ไม่เว้ย หล่อให้ตายกูก็ไม่เอา” ผมตอบ “หยิ่งยังกะเทวดา แม่งคงไม่อยากมาเกลือกกลั้วกะกูหรอก มึงไม่เห็นเหรอ กูอุตส่าห์ชวนแม่งคุย แต่ดูมันดิ กับกูนี่ถามคำตอบคำ แล้วพอเห็นไอ้มิกซ์มาหน้าตาดีเข้าหน่อย นิสัยงี้จากหลังตีนเป็นหน้ามือ กูก็อุตส่าห์ถามถึงไอ้เตอร์เป็นนัยๆ ละนะ ให้มันรู้ว่าไอ้มิกซ์มีแฟนแล้ว แต่แม่งคงไม่ใส่ใจ”
“เดี๋ยวๆ มึง ใจเย็น เมาปะเนี่ย แล้วก็บอกไม่หึง”
“ไม่ได้หึง กูแค่ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำห่าอะไร แล้วกูก็รำคาญแม่งด้วย เก๊กชิบ แต่ก็อย่างว่าแหละ รู้ตัวว่าหน้าตาดีไง สูงส่ง”

ไอติมอ้าปาก ตั้งท่าจะเถียงแต่แล้วก็ค้างไว้ มันมองเลยผมไป

ผมหันไปด้านหลัง เทวดาที่ผมกำลังพูดถึง ยืนหน้านิ่งๆ มองเราสองคนดว้ยสายตาเย็นยะเยือก มันขบกรามเหมือนกำลังสะกดอารมณ์ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เวร

“มันได้ยินปะวะ”
ผมถาม
“กูว่ามันได้ยินว่ะ”

เวร! เวร! เวร!

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 06-02-2019 16:44:30
2

เวร!

ผมไล่ไอติมให้ไปอยู่เป็นเพื่อนเฟมที่โต๊ะ เพราะถ้าหากไอ้น้องวินออกมาจากวงได้ นั่นก็แปลว่าไอ้มิกซ์กลับไปที่โต๊ะของมันแล้ว ส่วนผมขอทำหน้าที่รับผิดชอบด้วยการรอเด็กนั่นอยู่ที่หน้าห้องน้ำ เพื่อขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างจริงใจ

มันเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้านิ่งๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่าอย่างแรง

“เอ้อ คุยด้วยหน่อยสิ”
ผมรวบรวมความกล้าเข้าไปทักอีกฝ่าย ด้วยรู้ตัวว่าพูดจาคะนองปากเกินไป แต่เขาคงไม่ถือสาขาคนที่กำลังกรึ่มๆ อยู่หรอกมั้ง
“มีอะไรเหรอครับ”
“ก็ เรื่องตะกี้…”

มันกอดอก หันมายืนค้ำหัวผมด้วยความสูงที่ได้เปรียบกว่า สายตาพร้อมมีเรื่อง จนผมรู้สึกเครียดตาม

“ตะกี้ทำไมเหรอครับ”
“แล้วได้ยินอะไรบ้างอะ”
“แล้วพี่คุยกันเรื่องอะไรบ้างล่ะครับ”
ไอ้เด็กวินกวนตีนกลับ ซึ่งมันมีสิทธิ์ทุกประการละนะ
“คือที่พูดตะกี้อะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะ…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดีว่าคนอย่างพวกพี่ ก็พูดจาหรือมีวิถีชีวิตกันแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ผมไม่ถือ”
“เออ ก็นั่นแหละ พี่มึนๆ นิดหน่อย ก็เลยอาจจะพูดมากนิดนึง แต่ก็พูดถึงในทางที่ดีนะ กำลังชมกันว่าวิน…”
“ผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้ยิน… ส่วนพี่ ถ้ารู้ตัวว่าคออ่อนก็ไม่ควรจะดื่มนะครับ ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมผมจะต้องมาทนฟังคนแบบพวกพี่ พูดถึงผมกับเพื่อนแบบเสียๆ หายๆ ด้วยวะ เพื่ออะไร แล้วอ้างว่าเมาเนี่ยนะ แบบนี้ก็ได้เหรอวะ”
ผมอ้าปากจะเถียง แต่สมองยังประมวณผลสิ่งที่เข้าหูได้ไม่ดีนัก นี่ผมโง่หรือน้องเขาด่าผมลึกจนเกินสติปัญญาผมจริงๆ วะ
“คนแบบพวกกูมันยังไงวะ”
“ก็แบบนี้ไง ที่พี่ถามว่า ผมได้ยินอะไรบ้าง ก็ตั้งแต่เรื่องยาอะไรของพี่นั่นแหละ ก็ขอบคุณนะ ที่คิดว่าผมหน้าตาดี แต่ขอโทษด้วยนะครับ ต่อให้พี่คิดจะมอมผม หรือผมมีอารมณ์อยากเอากับใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่เอามาลงกับคนแบบพวกพี่แน่ๆ เพราะถึงผมจะไม่ใช่เทวดาอย่างที่พี่ว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นเกย์เว้ย อย่าเหมารวมหรือคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนนั้นเป็น คนนี้เป็น เพียงเพื่อสนองนิสัยคะนองปากไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง”

ไอ้เชี่ย หน้าชาไปเลย โดนด่าแบบแรงมาก

“หรือต่อให้ผมเป็นเกย์จริง ผมก็เลือกปะวะ”
“เออ… ก็ดีแล้วไง ดีๆ”

ผมเออออข้างๆ คูๆ เผื่อมันจะใจเย็นลง
เด็กนั่นปล่อยมือออกจากท่ากอดอก แล้วใช้ตัวดันผมจนถอยไปติดกับผนังห้องน้ำ  ใบหน้าโน้มเข้าหาจนปลายจมูกเกือบจะชน แต่ผมกลับแข็งทื่อ คิดอะไรไม่ออก จะเป็นลมเอาดื้อๆ

“ใจเย็นดิ มึงจะทำไรวะ”
“พี่อยากได้ผมเหรอ”
“เฮ้ย ก็บอกละไงว่าแค่ล้อเล่น”
“ใช่เหรอ คิดดีๆ เอางี้ ถ้าพี่อยากได้ผมมากๆ ก็ลองอ้อนวอนผมดูสิ ผมอาจจะใจดีสงเคราะห์พี่ก็ได้ เผื่อพี่กับเพื่อนพี่จะหายร่านได้บ้าง เอาไหมครับ”
“เกินไปแล้วนะเว้ย”

ผมเริ่มเข้าใจสถานการณ์และโกรธขึ้นมาจริงๆ บ้างแล้ว

“เอ้า ขอผมดิ เพราะดูสภาพแล้ว ทั้งชีวิตนี้ พี่คงหาคู่นอนดีๆ แบบพวกผมได้ยาก แต่อย่าให้ถึงกับต้องมอมกันเลยครับ ขอกันดีๆ อาจจะได้ก็ได้นะ อุตส่าห์ซื้อถุงยางเตรียมไว้แล้วนี่”
“มึงว่าไงนะ”

มันกดใบหน้าเข้ามาใกล้อีก จนผมต้องเบี่ยงหลบ รู้สึกถึงลมหายใจมันที่รดต้นคออยู่ สมองผมตื้อจนคิดอะไรไม่ทัน

“ว่าแต่ พวกเกย์นี่ เขาคันกันแบบนี้ทุกคนปะ นี่ขนาดยังไม่เจอตัวจริง ก็วางแผนกันซะขนาดนี้แล้ว คือจะเอากับใครก็ได้งั้นดิ เจ๋งว่ะ”
“เฮ้ย มึงจะเยอะไปแล้วเว้ย กูก็ขอโทษแล้วไง”
“คำขอโทษส่งๆ น่ะเหรอ”
“ละมึงจะเอาไง”

ผมผลักอกเด็กนั่นเต็มแรงด้วยความโกรธจัด ยกหมัดขึ้นกะจะฟาด แต่ก็ยั้งเอาไว้ทัน อีกฝ่ายก็ยังไม่หลบ คงคิดว่าผมไม่น่าจะต่อยมันได้
เอาจริงๆ ผมคงขี้ขลาดเกินกว่าจะมีเรื่องชกต่อย พอคิดได้ดังนั้น จึงรีบพุ่งตัวกลับเข้าไปในโซนเต้นรำอย่างหูหนวกตาบอด ไม่รู้ว่าเดินชนไหล่ใครไปแล้วบ้าง

“เป็นไงวะ วินอะ”
ไอติมตะโกนถามทันทีเมื่อถึงโต๊ะ
“ไม่รู้มัน กูจะกลับละ”
“เฮ้ย อะไร ทำไมวะ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่ต้อง มึงอยู่กับเฟมเหอะ” ผมบอก “กูมาบอกมึงเฉยๆ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไปนะเฟม เจอกัน”
น้องไหว้ผมอย่างงงๆ

ไม่ต้องงงหรอก เดี๋ยวเพื่อนมึงมาก็รู้เอง

ผมเดินแหวกฝูงคนที่เริ่มหนาแน่นเพราะวงดนตรีสดวงสุดท้ายกำลังเริ่มเล่น สวนกับไอ้เด็กห่านั่นด้วย แต่ผมไม่สนใจแล้ว
หล่อตายแหละมึง หน้าตาดีระดับประเทศ แต่ถ้าปากแบบนี้กูก็ไม่เอาเหมือนกันเว้ย ถึงว่า ไม่น่าจะโสดธรรมดา น่าจะโดนผู้หญิงทิ้ง เพราะทนปากหมาไม่ไหว หน้าตาดีแต่ชอบดูถูกคนแบบนี้ ไม่น่าจะมีใครทน

นี่เจ็บใจจนเลือดขึ้นหน้า ขอบตาร้อนผ่าว

แม่ง เกิดมายี่เอ็ดปี ถึงจะไม่เคยมีแฟน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกไร้ค่าขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครมาด่าซึ่งๆ หน้าว่าร่าน ไม่มีใครเอา เอาไม่ลง นี่ผมหน้าผีขนาดนั้นเลยเหรอวะ

ผมขยี้ตาแรงๆ แล้วเดินออกมาเรียกรถแดง ไม่มีอารมณ์จะต่อรองเมื่อคนขับเรียกราคาเว่อร์วัง ที่ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ ผมคงขอบายไปแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ในหัวตอนนี้คือ ทำยังไงก็ได้ให้กลับไปถึงหอพักให้เร็วที่สุด

+++

แต่ถึงจะนอนดึก ผมก็ยังตื่นเวลาเดิมทุกวัน คือเจ็ดโมงเช้า เนื่องจากในช่วงเปิดเทอม เอกเรามีเรียนเช้าเกือบทุกวัน นาฬิกาชีวภาพในร่างกายยังทำงานดีอยู่ แต่หน้าตาซูบโทรมและเบ้าตาลึกโหลคือปิดยังไงก็ไม่มิด

จัดของเพื่อกลับบ้านนอกเสร็จแล้ว แต่ยังไม่อยากรีบ อยากมีเวลาอ้อยอิ่งอยู่ในเมืองอีกสักนิด ผมเลยขี่มอเตอร์ไซค์ไปกินข้าวมื่้อแรกของวันที่ร้านโปรด ซึ่งเป็นร้านของที่บ้านไอ้เตอร์ แฟนไอ้มิกซ์คนเมื่อคืนนั่นเอง มีเมนูที่ผมชอบกินมากคือ ผัดเห็ดฟางใส่หมูสับกับปลาเค็มราดข้าวที่ทำออกมาได้อร่อยมาก พยายามลองทำดูที่บ้านแล้ว ก็ยังไม่อร่อยเท่า กับชาพีชปั่นกับโยเกิร์ตและปีโป้

นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วหัวเสีย ผมน่าจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเอง จะได้ไม่ต้องจ่ายค่ารถแดงถึงหกสิบบาทกลับหอ แต่เพราะกลัวจะเมา และย่ามใจว่าผับเลิกแล้ว ไอติมจะขับรถกลับมาส่งเหมือนทุกที ก็ใครจะไปคิดว่าคนอย่างผมจะไปมีเรื่องมีราวกับใครเขาได้ล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผับ ที่ปีนึงเที่ยวกับเขาไม่เกินสิบครั้ง

เจ็บใจชะมัด!
สูงส่งมาจากไหนวะ ถึงได้เที่ยวดูถูกคนเขาไปทั่ว

แต่ช่างแม่ง ยังก็ไม่เจอมันอีกแล้ว

ความจริงแล้ว วันนี้ ผมมีแพลนต้องไปเที่ยวที่เชียงรายกับไอติม น้องเฟม และไอ้เวรนั่น แต่ก็ดีแล้วแหละ ใช่ว่าผมอยากจะไปด้วยแต่แรก เมื่อคืนนี้พอกลับถึงห้อง อ่านไลน์ที่ไอติมทักมา ผมเลยบอกมันไปว่า จะไม่ไปเชียงรายด้วยแล้ว มันรีบโทรหาผมทันที

“ทำไมวะตี้ เกิดอะไรขึ้น มึงเล่ามาเลย”
“มึงถามมันเองเหอะ”
“ตี้ มึงใจเย็น เดี่ยวกูกับเฟมเคลียร์ให้”
“ช่างแม่ง กูไม่โอเค กูไม่ไปแล้ว”
“ไม่ได้ กูจองห้องไว้แล้วนะเว้ย ก็ไอ้รีสอร์ทที่มึงบอกอะ มึงอยากไปนี่ รีสอร์ทห้าดาวของมึงไงตี้”
“ล้านดาวกูก็ไม่ไป อย่าว่าแต่นอนห้องเดียวกับมันเลย กูไม่อยากหายใจเอาอากาศเดียวร่วมกับมันด้วยซ้ำ”
“ก็กูบอกแล้วไงเดี๋ยวกูคุยให้ มึงไม่ต้องนอนกะมันก็ได้ มึงนอนห้องเดียวกะกูก็ได้”
“มึงไม่ต้องคุย มีกูต้องไม่มีให้เด็กเหี้ยนั่น มึงเสียดายตังก็ชวนคนอื่นเหอะ ไอ้มิกซ์ไง กูไม่ไปแล้ว ตามนั้น”

ผมไม่รู้ว่าไอติมได้คุยกับไอ้เด็กเวรนั่นจริงไหม แต่ผมตั้งใจแล้วว่า ยังไงก็ไม่ไป จะกลับบ้าน ไอติมมันคงยังไม่รู้สินะ ว่าไอ้เด็กเวรนั่นพูดจาดูถูกมันไว้ยังไงบ้าง นี่ถ้ารู้นะมึง

จากหอพักแถวหลังมหาวิทยาลัย ขี่ออกไปทางแยกข่วงสิงห์ ตรงไปยังเส้นแม่ริมไปได้ประมาณสิบนาทีก็ถึงร้าน ผมจอดมอเตอร์ไซต์ไว้ตรงถนนในซอยร่มรื่น แล้วตรงไปทักทายไอ้เตอร์ที่กำลังเก็บจานอยู่ที่ตรงโต๊ะหน้าร้านพอดี

“อ้าว ตี้ มึงยังไม่กลับบ้านเหรอ”
“ยัง แต่กลับวันนี้แหละ แวะมากินข้าวร้านมึงก่อน อีกหลายวันกว่าจะได้มากินอีก”
“เอาเลยเพื่อน ละมึงจะกินอะไร เหมือนเดิมไหม”
“เหมือนเดิมอะไร มึงจำได้เหรอ กูกินอะไร”
“เออ จำไม่ได้ว่ะ”
“นั่นไง” ไอ้เตอร์หัวเราะเขิน “เออ กูเอาข้าวราดผัดเห็ดฟางหมูสับปลาเค็ม แล้วก็ชาพีชปั่นโยเกิร์ต เหมือนเดิม แค่นี้แหละ แม่มึงจำได้”
“เคได้ เดี๋ยวกูไปบอกในครัวให้ เอางี้ มึงไปนั่งกะเพื่อนละกัน เดี๋ยวกูเสร็จตรงนี้จะไปนั่งคุยกับพวกมึงด้วย”
“เพื่อนมึง ใครวะ”
“เพื่อนมาจากกรุงเทพ เดี๋ยวกูแนะนำ”

ผมพยักหน้า แล้วเดินลอดซุ้มต้นไม้หน้าร้านตามเข้าไป ใจจริงแล้วผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากจะรู้จักคนแปลกหน้าเลยสักนิด แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง

พอเดินไปที่โต๊ะ แว่บแรกผมตกใจหลุดคำหยาบออกมา เพราะคิดว่าเป็นไอ้เด็กวินนั่น ขอบคุณที่โลกไม่ได้กลมขนาดนั้น (เหรอวะ)
เพื่อนไอ้เตอร์หน้าตาดีไม่ใช่เล่น สวมแว่นสายตากรอบเงินบางดูทันสมัย กำลังนั่งจดอะไรสักอย่าง มีจานข้าวกับกาแฟร้อนถ้วยเบ้อเริ่มอยู่ตรงหน้า

“ตี้นี่ไอ้เซน เซนนี่ไอ้ตี้นะ” ไอ้เตอร์แนะนำง่ายๆ “พวกมึงนั่งคุยกันไปก่อน เดี๋ยวกูมา”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม

“เพื่อนเตอร์เหรอ”
พอถามออกไป แล้วคิดได้ว่าเป็นคำถามไม่น่าถามเลย ไอ้ง่าว
“ครับ แล้วตี้ เรียนที่เดียวกับเตอร์ปะ”
“อืม เอกเดียวกันเลย”
“โห งั้นก็สนิทกันเลยดิ”
“ก็สนิทกันทั้งห้องแหละ ทั้งเอกมีกันแค่ไม่ถึงสามสิบคน แล้วเซนอะ ยังเรียนอยู่ปะ คณะไร”
“เรียนดิ แต่ไม่ได้เรียนแถวนี้นะ”
“อ้าว แล้วเรียนที่ไหนอะ”

เซนบอกชื่อมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกันกับน้องเฟม นั่นไง อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนั้น นี่คณะนี้เขาพากันมาทัศนศึกษาเชียงใหม่เหรอ ถึงมากองกันอยู่แถวนี้หมด

“บังเอิญจัง เซนรู้จักคนที่เรียนบัญชีเหมือนกัน ตอนนี้ก็อยู่เชียงใหม่ น่าจะรุ่นน้องเซนสองปี ชื่อเฟม เซนรู้จักไหม”
“เฟมเหรอ ถ้าดัง ๆ ก็มีเฟมอยู่เฟมนึงนะ น่าจะคนเดียวกัน เพราะน้องเขาก็อยู่ปีสอง เดือนคณะเลยล่ะ”
“โห จริงดิ”

ผมหยิบมือถือขึ้นมาหาไถหาไอจีของน้องเฟม แล้วยื่นให้เซนดู

“ใช่คนนี้ไหม”
“อืม ใช่คนนี้แหละ” เซนยืนยัน “แหม รู้จักคนดังด้วยนะ หรือว่าเป็นแฟนเพจคิวท์บอย”
“เปล่าๆ” ผมปฏิเสธ “เพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะ แล้ว… เซนพอจะรู้ปะ ว่ามันนิสัยเป็นยังไง นิสัยดีไหม”
“อะ แอบชอบน้องเขาเหรอ”
“เฮ้ย ไม่ใช่ แค่ถามดูเฉยๆ”
“ก็…” เซนแกล้งถ่วงเวลา “น้องเขาก็นิสัยดีแหละ ก็คนดังนี่เนาะ เซนเคยสนิทกับน้องมันอยู่ช่วงนึง ตอนทำบ้านรับน้อง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้คุยกันแล้ว เพราะเซนไม่ค่อยได้เข้าคณะ จะเข้าเฉพาะวันที่มีเรียน ส่วนใหญ่ก็จะสิงห้องสมุดทำธีสิสน่ะ”
“อืม สรุปว่านิสัยดีงี้”
“รวยด้วย แต่…”
“แต่อะไร”
“อย่าไปยุงด้วยจะดีกว่า”
“ทำไมอะ”
“ยังไงดีละ ก็ตามนั้น”
เซนเหมือนไม่อยากตอบ แต่ ไหนๆ ก็ถามละ
“แล้วคนนี้อะ นิสัยเป็นยังไง เขาเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”
ผมกดเข้าไปดูในรูปถ่ายที่มีไอ้เด็กวินอยู่ด้วย แล้วให้เซนดู
“ก็เพื่อนกันแหละมั้ง ไม่รู้ด ส่วนนิสัย…” เซนถอนหายใจ “ไม่ขอคอมเมนต์ละกัน” 
“พูดเหอะ นิสัยไม่โอเคใช่ไหม”
“ก็… ประมาณนั้นแหละ”
“นั่นไง ว่าละ”
“แต่ เขาอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดเวลาก็ได้ ตี้เคยเจอเขาหรือยังล่ะ”
“เจอแล้ว”
“แล้วเป็นไง”
“ก็” ภาพเมื่อคืนเข้ามาในสมองแวบนึง “หยิ่งๆ ดี”
เซนหลุดหัวเราะ
“อันนี้จริง คอนเฟิร์ม” เซนพยักหน้า “หล่อ บ้านรวย ชาติตระกูลดี จะหยิ่งไปสักหน่อยก็คงจะไม่แปลก แต่…”
“แต่อะไรอ่อ”
“แน่ะ อยากรู้อะดิ ฮ่าๆๆ โอเค บอกก็ได้ แต่บอกแล้ว อย่ามาว่าเซนเป็นคนขี้เมาท์นะ”
“ไม่ๆ”
“เรื่องหยิ่ง ถือตัว ไม่ค่อยเข้าหาใครนั่นก็เรื่องหนึ่ง อันนี้ใครๆ เขาก็รู้กัน เลยไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ที่ทะแม่งๆ คือเขาดูจะหวงเพื่อนแปลกๆ เซนเองก็ยังเคยโดนเลย ตอนน้องเข้าปีหนึ่ง เซนชวนทั้งน้องสองคนมาช่วยทำกิจกรรมคณะ ไปยังไงมายังไงไม่รู้ น้องวินเขามาเขม่น เหมือนว่าเซนจะไปจีบเพื่อนเขาเฉย”

อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด

“แต่ อันนี้เซนอาจจะคิดไปเองคนเดียวอะนะ น้องเขาอาจจะไม่ได้เขม่นแค่เซนหรอก แต่น่าจะเป็นทุกคนที่เข้าใกล้น้องเฟมอะ เหมือนเด็กหวงเพื่อน อาจจะสนิทกันมาก คงไม่เกี่ยวเป็นเกย์หรอกมั้ง”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่ควรทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่นปะวะ ปากจัดเกินเบอร์ขนาดนี้ ไม่ใช่เกย์ให้มันรู้ไป น่าต่อยปากให้กินน้ำแกงไม่ได้สักเดือน”
“นี่ท่าทาง ตี้เจอมาหนักเลยละสิ ฮ่าๆๆ”
“ช่างแม่ง แต่น้องเฟมไม่น่ามาคบไอ้เด็กนี่ได้เลยอะ”
“เขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วมั้ง แต่นั่นแหละ อย่าไปอะไรด้วยจะดีที่สุด ว่าแต่ ถามแต่เรื่องคนอื่น ไม่ถามเรื่องเซนมั่งเลย”
เซนว่า
เออ นั่นสิ เสียมารยาทจังวะ

ผมหัวเราะแหะๆ แล้วเริ่มถามเรื่องแพลนเที่ยวของเซนแทน พร้อมๆ กับที่ไอ้เตอร์ยกอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ และนั่งลงร่วมวงสนทนาอีกคน กระทั่งผมลืมความหงุดหงิดเรื่องไอ้เด็กเวรนั่นไปแว่บนึง แต่ก็แค่แว่บเดียว

“เออ เตอร์ เมื่อคืนกูเจอมิกซ์ มันบอกมึงไปท่าช้างเหรอวะ”
ไอ้เตอร์ชะงัก
“เออ… กูอยู่ท่าช้าง ก็ไปกับไอ้เซนนี่แหละ แล้วมึงอะ ไปเจอมิกซ์ได้ไงวะ เมื่อคืนมันไปงานวันเกิดพี่รหัสมันนี่”
“เออ ก็เจอ ที่นั่นแหละ”
ผมตอบ
“ป๊าดโซะ เดี๋ยวนี้มึงเที่ยวด้วยเหรอวะ ไปกะใคร ไอ้ติมเหรอ”
“เออ ก็ปิดเทอมทั้งที”
“เสียดาย ถ้าตี้ไม่รีบกลับบ้าน จะขอให้เป็นไกด์พาเที่ยวที่มันโลคอลๆ หน่อย”
“ถามไอ้เตอร์ดีกว่า เราไม่ค่อยรู้จักหรอกที่เที่ยว ชีวิตก็อยู่แต่แถวๆ นี้แหละ แล้วก็ไปกลับหอกับบ้าน”
“เออ จริง เราก็ลืมคิดไป อย่างเรา ถ้าให้พาเที่ยวกรุงเทพก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ชีวิตก็วนเวียนแค่ สยาม สามย่าน ราชเทวี หมดแล้ว”
เซนยิ้มแหย แต่เป็นยิ้มที่ดูน่ารัก เพราะแม้แต่สายตาหลังกรอบแว่นนั้น ก็ยิ้มตามไปด้วยเช่นกัน

+++

เรานั่งคุยกันอีกเกือบชั่วโมง ผมจึงขอตัวกลับ หลังจากที่แลกไลน์และแอดเฟสบุ๊คเซนเรียบร้อยแล้ว

เนี่ย เอาจริง มันก็ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย การทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า นี่ขนาดเป็นคนจากคณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน หน้าตาก็ไม่ได้หนีกันมาก ยังไม่เห็นว่าเขาจะหยิ่งอะไรเลย กรณีนี้ มันคงเป็นที่สันดานคนจริง ๆ แล้วล่ะ

ผมกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้านตอนที่ไอติมโทรเข้ามา

“ว่าไง มีไรอีกวะ”
“ไอ้ตี้ มึงไปเหอะนะ อยู่หอปะ เดี๋ยวกูไปรับ”
“กูอยู่บนรถเมล์แล้ว มึงไปกันเหอะ เที่ยวให้สนุกนะเพื่อน แล้วเป็นไงมั่งวะเมื่อคืน ได้กันยัง ดีมะ”
“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวกูไปรับมึงถึงที่บ้านเลยเอา”
“ไม่ไปก็คือไม่ไปเว้ย กูว่าแทนที่มึงจะมาเสียเวลาอะไรกับกูเนี่ย เอาเวลาไปอยู่กะแฟนมึงดีกว่าไหม แล้วก็ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวถึงเชียงรายค่ำนะเว้ย”
“ตี้ กูถามวินมันแล้วนะเว้ย มันบอกว่าไม่มีอะไร มันไม่ได้ยินอะไร มันบอก เมื่อคืนก็คุยกับมึงดีๆ”
“โอ้โห” ผมเผลอสบถ “แมนมาก ตีสองหน้าเก่งไปอีก”
“เฮ้ยเพื่อน ใจเย็น เออๆ ไม่ไปก็ไม่ไป” ไอติมยอมแพ้ “เดี่ยวกูให้เฟมไปถามให้ว่ามัน…”

มีสายซ้อนเข้ามา เป็นเบอร์แปลก ผมรู้สึกลังเล

“ช่างแม่งเหอะติม มีสายซ้อน กูขอรับก่อนนะ มึงก็เที่ยวให้สนุกละกัน”
“เออ ได้ๆๆ เดี๋ยวกูซื้อขนมมาฝาก”

ผมตัดสินใจกดรับสาย

“หวัดดีครับ”
“หวัดดีครับ ใช่เบอร์พี่ตี้ปะครับ”

ผมดูเบอร์ของสายที่โทรเข้าอีกครั้ง ผมจำเสียงนี้ได้ น้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ

มันโทรมาทำวะ

“ฮัลโหลพี่”
ผมกระแอม แล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง
“ครับ มีอะไร”
“ไอ้เฟมมันให้ผมโทรหาพี่ บอกว่าเดี๋ยวจะอออกจะไปรับ”
เดาว่าไอติมไม่ได้อยู่ด้วยกับพวกมัน ถึงไม่รู้ว่าผมปฏิเสธทริปไปแล้ว
“ไอติมไม่ได้บอกคุณเหรอ ว่าผมไม่ไปแล้ว”
“ไม่ได้บอกครับ” ปลายสายเงียบไปประมาณสามวิ “ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน ผมลืมๆ ไปแล้ว”
“ก็ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน คุณก็น่าจะรู้นะ ว่าผมไม่ไปเพราะอะไร”
“เพราะผมเหรอ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอกครับ ถือว่าเจ๊ากันไป”

ว็อททท?
เดี๋ยวๆๆ ตลกแล้ว ทำไมผมจะต้องรู้สึกผิดด้วยวะ

“ผมไม่มีอะไรจะต้องรู้สึกผิดเว้ย เพราะเมื่อคืนผมได้ขอโทษคุณไปแล้ว จำได้ไหม และอันที่จริง ผมคิดว่าคุณจะโทรมาขอโทษผมในส่วนของคุณเหอะ แต่ถ้าไม่ใช่ ผมว่าเราคงไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วล่ะครับ”
“งั้นก็ตามใจพี่ครับ ผมโทรมาแค่นี้แหละ”

ผมกดวางสาย แต่อีกฝ่ายชิงวางก่อน แม่ง หวังว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่ผมต้องเสวนากับไอ้เด็กคิวท์บอยผู้สูงส่งที่ชื่อ ‘วิน’ อะไรนั่น

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ สองตอนแรก 6-2-2019
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2019 22:38:33
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ สองตอนแรก 6-2-2019
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 07-02-2019 09:07:05
แซบมาก รอลุ้นความเป็นไป รีบมาต่อเร็วๆนะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 3-5 (07-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 07-02-2019 14:05:44
สิงหาคม

สัปดาห์แรกของเทอมใหม่ ปีสุดท้ายของชีวิตนักศึกษา คิดแล้วก็ใจหาย เทอมนี้ผมตั้งใจจะทำให้ดีเป็นพิเศษ มหาวิทยาลัยแห่งนี้อาจจะไม่ใช่เป้าหมายแรกๆ ที่ผมต้องการเข้าเรียนก็จริง แต่พออยู่ๆ ไป กลับรักและผูกพันธ์กับทั้งผู้คนและสถานที่จนตัวเองยังรู้สึกแปลกใจไม่ต่างจากคนอื่นๆ และด้วยความที่มหาวิทยาลัยของเราไม่เคยประสบความสำเร็จด้านการจัดอันดับใดๆ ไม่ว่าจะระดับประเทศหรือภูมิภาค นั่นยิ่งทำให้เราต้องขยันมากกว่าเดิม เพื่อพิสูจน์ตัวเองและลบอคติของคนทั่วไปที่มีต่อพวกเรา

น้อยคนที่จะรู้ว่า เราเรียนกันหนักมาก เทอมนี้เราเรียนกันเต็มๆ เช่นทุกเทอม ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงบ่ายสอง หรือสี่โมงเย็นในบางวัน จะมีแค่วันศุกร์วันเดียวเท่านั้น ที่มีเรียนถึงเที่ยง พอเลิกเรียนทุกคนเลยรู้สึกอยากเติมพลังที่พร่องไปกับการฟังเลคเชอร์ และหมูกะทะคือสิ่งนั้น ที่จะมาช่วยเยียวยา เช่นที่คำคมเชยๆ ในเฟสบุ๊คว่าเอาไว้ แน่นอนว่าร้านโปรดของพวกเราคงหนีไม้พ้น ชุมแพเนื้อกระทะ ไม่ก็หมูกะทะช้างเผือก ซึ่งเป็นสองร้านที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่สุด (ครั้งนี้พวกเราเลือกร้านหลัง) หกโมงเย็น ลูกทีมซึ่งประกอบด้วย ไอติม เตอร์ มิกซ์ (ทำไมต้องตัวติดกันตลอดวะ ถึงเพิ่งจะคบกันได้ไม่ถึงปีก็เหอะ เหม็นความรัก) และแกงค์สาวๆ ป๋อม ต้อม พอลล่า และ โอปอล์ จึงพร้อมเต็มที่สำหรับการยัดทะนาน

“เฮ้ยมึง จะไหม้แล้วเนี่ย มันใช่เวลามาแชทไหม”
พอลล่าพูดกับไอติม ชายผู้กำลังตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำ
“มึงกินเลย ชิ้นนั้นกูยกให้”
“รำคาญ”
“เออ รำคาญ” ผมสัมทับ “นี่ก็อีกคู่”
“อะไร อย่ามาพาลกู”
ไอ้เตอร์รีบออกตัว แต่ยังไม่เลิกบริการแฟน ทั้งปิ้ง ทั้งหยิบของ เติมน้ำ
“ตี้” ไอติมเอาศอกถองต้นแขนผม “กูอยากไปหาเฟมว่ะ ศุกร์นี้เขาไม่มีเรียน”
“พอเลย ไม่ต้องมาชวนกู ไม่ไป ไม่มีตัง อยากไปไปเอง”
“เฮ้ย กูออกให้มึงเอง ไปนะ”
“อย่าหลวมตัวนะตี้ เดี๋ยวพอมันเจอแฟน มันก็จะทิ้งให้แกแกร่วอยู่คนเดียว”
พอลล่าว่า
“เกินเรื่องไปมะ กูไม่ทิ้งเพื่อนหรอกเว้ย”
“วันศุกร์มีควิซนะแก” ป๋อมเตือน “ถ้าแฟนแกไม่มีเรียน ทำไมไม่ให้เขาเป็นฝ่ายมาหาอะ”
“เออ นั่นดิ”
“น้องเขาก็อยากมาแหละ แต่เขามาหากูรอบนึงละไง กูก็อยากไปหาเขามั่ง”
“งั้นก็ให้แฟนแกมาหา” โอปอล์ตัดสินใจให้เสร็จสรรพ “จะได้ไม่ต้องเป็นภาระไอ้ตี้ จบ แยกย้าย”
“เออ แล้วมาคราวนี้ก็ไม่ต้องให้กูไปไหนมาไหนด้วยละนะ ไปกันเอง”
ไอติมทำเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจ
“รำคาญ มีแฟนแล้วปัญญาอ่อน” พอลล่าซ้ำอีก “พวกแกที่เหลือ ถ้าจะมีแล้วหน้าง่าวแบบนี้ ชั้นขอร้องว่าอย่ามี”
“มึงๆ อย่าเหมารวม”
ไอ้เตอร์ร้อนตัว
“ไม่เอา” ผมว่า “แต่ชั้นสัญญาว่าจะไม่หน้าง่าวแบบไอติม”
ยัยต้อมว่า
“ชั้นด้วย”
โอปอล์ยกมือ
“เออ ชั้นด้วย ชั้นก็ยังไม่เคยมี”
ผมบอก
“หา ตี้ยังไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ”
มิกซ์ถาม ผมส่ายหัวแทนคำตอบ
“ไม่หาเองหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเอาเหอะมิกซ์ นี่ทำทุกทางแล้วนะ เหลือแค่ไปทำหน้าที่เกาหลีนี่แหละ ไม่ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งซะที”
“คนจะเจอ ไม่หาก็เจอ” ป๋อมว่า “แต่คนจะไม่เจอ หาให้ตายก็ไม่เจอ”
“ทำไมแกพูดบั่นทอนงี้อ่ะ” ยัยต้อมต่อว่าเพื่อน “แกควรต้องให้กำลังใจพวกชั้นสิ”
“อ้าว ชั้นพูดผิดเหรอ”
“มึงไม่เล่นแอพอ่อวะ พวกแอพนัดเย”
ไอ้เตอร์ซักไซร้
“มึงจะเอาแอพไหนอะ ทินเดอร์ ไกร์เดอร์ ฮอร์เน็ต บลูดี ไนน์มอนสเตอร์ ลองมาหมดทุกแอพแล้ว ขนาดจะนัดยิ้มยังเฟล นี่ถ้ารู้ว่าโตขึ้นมาต้องอาภัพขนาดนี้ กูยอมเสียตัวให้รุ่นพี่ตั้งแต่สมัยเข้าค่ายลูกเสือแล้วเหอะ ไม่น่าขัดขืนเลย”
พอลล่ากลอกตาเมื่อได้ยินคำตอบจากปากผม ก่อนส่งปลาหมึกกรอบชุบน้ำจิ้มเข้าปาก
“ไหน เอาโทรศัพท์มาสิ โหลดมาเล่นใหม่เลย”
“เคยโหลดมาแล้วจริงๆ แต่มันไม่เวิร์คอ่ะมิกซ์ ตี้คุยไม่เก่ง”
“ลองอีกที ไม่อยากเชื่ออ่ะ ว่าจะไม่มีใครทักมาเลย”
“มี ใครว่าไม่มี” ไอติมตอบแทน “แต่แม่งเลือก ต้องหล่อระดับเดือนคณะมันถึงจะคุยด้วย แม่งใฝ่สูง ไม่ดูหนังหน้าตัวเอง แล้วเป็นไง”
“ไอ้เชี่ยติม!”
ผมสบถ
“กูว่าละ”
ไอ้เตอร์ส่ายหัว
“อะ” มิกซ์ส่งโทรศัพท์คืนให้ผม “ลองเล่นใหม่ มิกซ์เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ให้ด้วยนะ มิกซ์ว่ารูปนี้ตี้หล่อดี ลองอีกที”
“ขอบใจนะ”
ผมรับโทรศัพท์มาดูอย่างเกรงใจ เดี๋ยวกลับไปถึงหอกะว่าจะลบทิ้งทันที
“มิกซ์ๆ โหลดให้เราด้วย”
ยัยต้อมกับยัยโอปอล์ยื่นมือถือให้แฟนไอ้เตอร์พร้อมกัน
“มันแอพเกย์ไหม พวกเด๋อ”
ป๋อมเอ็ด มิกซ์ยิ้มให้เจื่อนๆ สองสาวหดมือกลับที่เดิม
“เออ คันไม่รู้กาละเทศะ” พอลล่าได้ที “พ่อแม่พวกแกเขาส่งให้มาเรียนนะ ไม่ได้ให้มาหาผัว แล้วไอติม ชั้นให้เวลาแกอีกสองนาที ถ้าแกยังแชทอีก ฉันจะโทรไปฟ้องพ่อแก”
“อย่านะเว้ย ที่บ้านชั้นยังไม่รู้”
“ไม่รู้ว่าแกเป็นเกย์ หรือไม่รู้ว่าแกมีผัว เอาดีๆ”
ป๋อมถามกวนๆ
“บ้านแกสิ เมียเว้ย พวกกูแค่นอนจับมือกันใสๆ”
“สาบานให้ฟ้าผ่าไหม”
“ดีป๋อม แกด่ามันอีกเยอะๆ นี่หลงเมียจนไม่เป็นอันเรียนแล้ว ทางโน้นอะ ชั้นว่าไม่เท่าไหร่หรอก เป็นถึงคิวท์บอย เรียนมอท็อปของประเทศ แต่คนของเราเนี่ย เอาอะไรมาคิดว่าเขาจะจริงจัง มึงชอบเขาขนาดนี้ ถ้าวันนึงโดนเขาเทมา ก็ไม่พ้นพวกกูใช่ไหมที่ต้องตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว”
“เดี๋ยวๆ ตี้ มึงด่ากูแรงไปปะ”
นี่แรงแล้วเหรอ ผมอ้าปากจะด่ามันอีก แต่โทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงหน้าดันมีเสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาซะก่อน
“นั่นไง”
“เอาแล้วๆ”
“เห็นมะ มึงอะว่าแต่กู”
ไอติมได้ที
“ไหนๆ เอามาดูดิ๊”

ยัยต้อมแย่งโทรศัพท์ไปจากมือผม แล้วเสียงกรี้ดกร๊าดในความหล่อของหนุ่มนิรนามจากแอพนัดยิ้ม ก็ดังขึ้นผสมปนเปกับบรรยากาศร้านที่คึกคักและจอแจจนผมรู้สึกรำคาญ

+++

“ให้กูไปส่งหอคณะแพทย์ไหม”

ไอติมแกล้งแซว หลังจากที่เราแยกย้ายจากเพื่อนคนอื่นๆ แล้ว และผมนั่งรถมันเพื่อกลับมาเอามอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งที่มหาวิทยาลัย

“พ่อมึงดิ”
“พ่อกูไม่เล่นแอพนี้เว้ย อะแน่ะ เขิน ไม่อยากมีผัวเป็นคุณหมอ มช. อ่อวะ”
“มะเหงกนี่”
“เออ กูบอกเฟมละ เดี๋ยววันศุกร์เขาจะมาหากู ทำควิซเสร็จมึงไปรับเฟมที่สนามบินเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ”
“มีผู้ติดตามมาอีกปะวะ”
“น้องวินสุดหล่อของมึงอะนะ”
“เออ ไอ้สุดหล่อของกูนั่นแหละ”
ผมกัดฟันพูด
“ไม่มาเว้ย ไม่ต้องเสียใจนะน้องตี้ คราวหน้าๆ รับรองพี่เค้ามาด้วยแน่นอน”
“เหอะ มึงแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่ามันไม่ได้เป็นผัวเมียกัน”
“ทำไมวะ ผัวเมียกันก็ดีดิ กูจะได้ทรีซัม อู้ย ซี้ดดดด”
ไอติมทำเสียงทะเล้น
“เออ ถ้ามึงจะซั่ม ก็ถ่ายคลิปมาให้กูดูด้วย”
“กูล้อเล่น ไม่ใช่เว้ย เขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มอต้นแล้ว แล้วเฟมก็ไม่ได้คิดอะไรกับไอ้น้องวินเลยด้วย กูเชื่อแฟนกู มึงคิดเหรอว่ากูจะไม่เคยสงสัย ไม่เคยถาม มีแต่มึงนี่แหละ ที่คิดว่ากูโง่อยู่ตลอด ”
“แฟนมึงไม่คิด แต่เพื่อนมันอาจจะคิดก็ได้นะ”
“นี่มึงจะให้กำลังใจกูสักหน่อยไม่ได้เลยรึไงวะตี้ มึงดูกูกะมึงดิ โดนล้อว่าเป็นผัวเมียกันมากี่ปีแล้ว แล้วมันมีอะไรที่จริงบ้างปะ แค่คิดกูก็จะอ้วกละ”
ผมยกนิ้วกลางให้มัน
“เออๆ กูขี้เกียจจะเถียงมึงแล้ว โชคดีแล้วกัน”
ผมแอบปัดหน้าจอแอพที่มีข้อความส่งเข้ามารัวๆ โดยไม่ให้มันเห็น
“วันนึงนะเว้ยตี้ ถ้ามึงเจอคนที่มึงรู้สึกว่าใช่จริงๆ มึงก็จะพร้อมเสี่ยงไม่คิดหน้าคิดหลังแบบกูนี่แหละ อะไรจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน แต่กูขอคว้าโอกาสเอาไว้ก่อน ก็กูไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยนี่หว่า มึงเข้าใจกูใช่ไหม”

ไม่เข้า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากเข้าใจ หรือมันถึงเวลาที่ผมควรจะเปิดใจจริงๆ แล้ววะ

+++

เคยรู้สึกไม่ชอบตัวเองกันบ้างไหมครับ

ของผมนี่ เกือบจะตลอดเวลาเลย
ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้จนกระทั้งย่างเข่าสู่วัยรุ่น พูดแล้วจะหาว่าคุย ตอนเด็กๆ ผมหน้าตาน่ารักมากเหอะ ขนาดที่ว่าได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนทำกิจกรรมเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะถือพานไหว้ครู แสดงละคร หรือกิจกรรมหน้าเสาธง จะต้องมีอะไรให้ผมได้ทำหรือได้เป็นสักอย่างหนึ่งอยู่เสมอ

ไปไหนมาไหนใครก็ชมว่าน่ารัก เป็นเด็กผู้ชายที่เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน พ่อแม่งี้ยิ้มแก้มแตก แต่ก็เป็นแบบนั้นได้แค่สิบกว่าปีหน่อยๆ เท่านั้น

พอเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น ร่างกายผมก็ค่อยๆ ยืด และถึงมันจะโตได้ไม่เท่าเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ แต่มันก็โตพอที่จะทำลายความน่ารักและไร้เดียงสาทั้งหมดที่ผมมีให้สิ้นไป

ผมกลายเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างผอม แบบเด็กกำลังจะโต แต่ก็ไม่โตเสียที หน้าตาจากที่เคยน่ารักแบบเด็กๆ ตากลมโต จมูกเล็กได้รูป คิ้วหนาตรง ริมฝีปากบนหนากว่านิดหน่อย และโหนกแก้มสูง คือถ้าแยกออกออกมาพิจารณาเป็นส่วนๆ มันก็ยังดีอยู่หรอก แต่พอจับมารวมเข้ากันแล้ว มันดูประหลาดและชวนให้คนมองรู้สึกอึดอัด

แม้แต่เวลาที่ผมมองกระจกยังรู้สึกอึดอัดเลย

เรื่องรูปร่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมมักจะมีปัญหากับเสื้อผ้าเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงแรกๆ ของการโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะเสื้อผ้าที่มีอยู่ ถ้าไม่คับเกินไปก็จะหลวมไปเลย ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้เลือกเสื้อผ้าเองเวลาที่แม่พาตลาดนัด หรือเข้าเมืองไปซื้อของที่โลตัส แผนกเสื้อผ้าเด็กเท่านั้น ที่เป็นที่ของผมจริงๆ ผมจะเลือกเสื้อผ้าเด็กไซส์ใหญ่ที่สุด และนั่นทำให้เสื้อผ้าของผมไม่เหมือนกับเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ

ตอนนี้ผมไม่มีปัญหานั้นแล้ว ผมใส่เสื้อผ้าที่ผมอยากใส่ และถ้ามันไม่พอดี ก็แค่เอาไปแก้ที่ร้าน แต่ผมก็ยังไม่ชอบหน้าตาตัวเองอยู่ดี

ยังแก้ไม่ได้ซะด้วย เพราะยังไม่มีเงิน

ผมมองคนในวัยเดียวกันคนแล้วคนเล่าที่มีคนมาชอบ มาจีบ หรือไปจีบคนอื่นๆ ได้เห็นคนที่ผิดหวังมาก็เยอะ แต่ยังไงมันก็ยังไม่อิมแพคเท่า คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีแฟน คนที่มีคนมาชอบมากมาย

คนอย่างไอติม ไอ้เตอร์ หรือมิกซ์ ที่มีแฟนกันตลอดเวลา คนที่ไม่ต้องทำตัวให้ตลก ฉลาด หรือทำให้ตัวให้น่าสนใจ เพราะแค่เป็นตัวเองพวกเขาก็น่าสนใจกันมากอยู่แล้ว

ผมจะเป็นคนแบบนั้นบ้างได้ไหม – ผมเฝ้าถามตัวเองทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ
แล้วเสียงข้อความจากแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ไฟหน้าจอสว่างท่ามกลางความมืดภายในห้องที่ผมนอนจ้องผนังเปล่าอยู่เงียบๆ
ผมแตกต่างจากคนอื่นตรงไหนเหรอ
ไม่แน่ ผมอาจจะเป็นแบบคนแบบนั้นได้ก็ได้

ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อค แล้วอ่านข้อความซึ่งทำให้ผมรู้สึกมีค่าแบบแปลกๆ

ผมไม่ได้อยากพิเศษไปกว่าใคร ผมแค่อยากเป็นที่ต้องการเท่ากับคนอื่นๆ

+++

วันศุกร์ หลังจากแยกกับไอติมและเฟมที่ร้านนั่งดื่มย่านนิมมาน ผมก็ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในลานสำหรับจอดมอเตอร์ไซค์ของคอนโดซึ่งอยู่ในซอยถัดไป ตามที่ได้นัดกับ นศ. แพทย์ปีสุดท้ายคนนั้นเอาไว้

หลังจากเก็บกุญแจใส่ในกระเป๋ากางเกงขาสั้น เสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้น ผมเลื่อนอ่านด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เขาเดินออกมาจากตัวอาคาร แล้วโบกมือให้ผม หน้าตาดีตรงปกเหมือนในแอพ แม้จะมองจากตรงนี้ก็ตาม

ทักทายกันเล็กน้อย ผมก็ตามเขาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพัก

“นายตัวจริงน่ารักนะ”
“พี่ก็หล่อนะครับ”
“จะดื่มอะไรก่อนไหม”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมดื่มมาแล้ว”
“งั้นก็…”
“ครับ”

นั่นแหละ คุยกันพอเป็นพิธีก็เปิดเลย ผมถอดเสื้อกับกางเกงออกเหลือแต่กางเกงใน ส่วนอีกฝ่ายถอดล่อนจ้อนไปแล้ว ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ โคตรดีอะ

ครั้งแรก ถึงจะเป็นคนแปลกหน้า ก็ถือว่าไม่เลวนะ (หลังจากนั้น ถ้ามันโอเคก็ค่อยสานต่อก็ได้ปะวะ)

เราขยับเข้าหากัน ผมเอาหน้าซุกไซร้แผงอกเขาซึ่งตัวโตกว่า กลิ่นสบู่หลังอาบน้ำยังติดอยู่ที่ผิว ส่วนมือขวาถูกมือพี่เขาจับเลื่อนไปที่น้องชายของเขา ผมค่อยๆ ลากลิ้นไปที่หัวนม ไหล่ ซอกคอ พี่นายครางออกมาเบาๆ ผมจุ๊บแก้มเขาแล้วเตรียมขยับไปยังริมฝีปาก อาศัยศึกษาเอาจากหนัง AV และ GV ที่ดูมาทั้งชีวิต

อีกฝ่ายเบี่ยงตัวออก

“พี่ไม่จูบนะครับ”
“อะ… ครับ”

ผมงง

“คือพี่ไม่จูบกับคนที่นัดด้วยน่ะ เข้าใจใช่ไหม”

ยังไงวะ ไม่เข้าใจอ่ะ

“พี่ขอเอาเราเลยได้ไหม เราน่ารักอ่ะ” เขาดึงมือผมไปที่น้องชายที่แข็งชูชันอีกครั้ง “พี่จะไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ไหวมั้งครับ คือ… ของพี่ใหญ่ แล้วผมก็ไม่เคย”

ผมบอกไปตามตรง แล้วนั่งลง เริ่มเล้าโลมตรงโคนขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม พร้อมๆ กับมือที่คอยสาวอวัยวะที่อยู่ตรงหน้า

“นะ พี่จะทำเบาๆ ไม่เจ็บหรอก”
“ผมชักให้พี่แทนได้ไหม หรือ… อม ก็ได้”
“อมเป็นชั่วโมงก็ไม่แตกหรอก” พี่นายว่า “พี่ต้องเอาข้างหลังอย่างเดียว”

ผมมองน้องชายอีกฝ่ายที่โด่อยู่ตรงหน้า แต่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกไม่อยากทำขึ้นมาซะอย่างนั้น

จูบก็ไม่ได้ ใช้มือหรือปากก็ไม่โอเค จะเอาอย่างเดียว อะไรของแม่งวะ แล้วไอ้ที่ไม่จูบนี่คืออะไร ดู Pretty Women เยอะจนขึ้นสมองเหรอ ถึงจะไม่จูบ ก็ไม่ได้ทำให้ไอ้กิจกรรมที่กำลังทำอยู่นี่ดูดีขึ้นมาหรอก เยแต่ไม่จูบ บ้าเปล่า?

คือให้เอาก็ได้ ลองดูก็ได้ แต่…
นี่มันครั้งแรกของกูนะเว้ย กูไม่ควรต้องรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า

ผมยืนขึ้นแล้วยิ้มจางๆ ก้มหน้า

“พี่ครับ ผม… ทำไม่ได้แล้ว”
“ทำไมอะ” อีกฝ่ายถาม “ไม่เจ็บหรอก นะๆ”
“ผมเป็นรุกครับพี่” ผมโกหก “ถ้าของพี่ไม่ใหญ่ขนาดนี้ ก็อาจจะให้ได้อยู่”
ผมหยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้บนเตียงขึ้นมาสวมเร็วๆ
“ผมไม่มีอารมณ์แล้วอ่ะ”
“เดี๋ยวพี่ช่วยครับ พี่ไม่เห็นแก่ตัวเอามันส์อยู่คนเดียวหรอก”
“ผมมีแฟนแล้ว”

เป็นอีกเรื่องที่โกหก

“พี่ก็มีแล้ว แล้วไงอะ”
“ก็นั่นแหละครับ ผมอยากลองมีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนดู แล้วผมก็รู้แล้วว่าผมทำไม่ได้”

อีกฝ่ายนั่งลงที่ปลายเตียงเซ็ง   ๆ

“ขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้เสียเวลา ผมไปนะครับ”

ผมหยิบข้าวของแล้วออกไปจากห้องเร็วๆ โดยไม่ได้หันกลับไปมอง แม้จะใช้เวลาในการรอลิฟต์ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่มันก็รู้สึกเหมือนยาวนานกว่านั้นมาก

ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากคอนโดแห่งนั้น โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ

+++

มันคือการนัดยิ้มครั้งแรกของผม ไม่นึกมาก่อนเลยว่า ไอ้คลื่นของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนี่มันจะสามารถท่วมท้นไปทั่วหัวใจและสมองกลวงเปล่าของผมได้ถึงขนาดนี้

แต่ผมจะไม่แก้ตัวหรอกนะ จะชั่วจะดี มันก็คือตัวผม เป็นการตัดสินใจของผมเองทั้งสิ้น อย่างน้อยผมก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่า คนเราสามารถทำอะไรได้บ้าง ในเวลาที่เหงามากๆ

ที่จริงแล้ว ผมไม่ควรต้องรู้สึกผิดเลยไม่ใช่เหรอ

‘ว่าแต่ พวกเกย์นี่ เขาคันกันแบบนี้ทุกคนปะ นี่ขนาดยังไม่เจอตัวจริง ก็วางแผนกันซะขนาดนี้ เอากับใครก็ได้งั้นดิ’

หรือว่าเป็นประโยคนั้น ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่โอเค

“มันผิดมากเลยเหรอวะ”

ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดในใจออกมาขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อ พอรู้ตัวก็รีบส่ายเรียกสติ หยิบเบียร์หนึ่งกระป่องกับน้ำแร่หนึ่งขวด เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

จะจบปีสี่แล้ว ยังซิงอยู่เลย

แม่ง ไม่ยุติธรรม

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 3-5 (07-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 07-02-2019 14:12:00
4

เมื่อคืนฝันไม่โอเคเลย

ไม่อยากจะเชื่อว่าการนัดยิ้มครั้งเดียว จะกลายเป็นตราบาปสำหรับผมได้ขนาดนี้

ไม่ใช่ว่าใครๆ เขาก็ทำกันเหรอ หมายถึงพวกเกย์อ่านะ ทุกคนก็ยังดูใช้ชีวิตกันตามปกติ ยังหัวเราะ ยังมีเรื่องเครียด เรื่องชุ่มชื้นหัวใจ หรือผิดหวังกันตามปกติ แต่ทำไมพอเป็นผมทำแล้วมันถึงแตกต่างกันนักล่ะ

ผมฝันถึงหน้าร้อนเมื่อหลายปีก่อน ตอนยังเรียนอยู่ ม. ปลาย

มีรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งที่ผมแอบชอบ เด็กคนนี้ปั่นจักรยานมาเรียนทุกวัน และจะล็อคจักรยานไว้ตรงที่จอดหน้าโรงเรียน ที่มีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ออกดอกบานเต็มที่พร้อมรับหน้าร้อน

เขาเป็นคนเงียบๆ ดูไม่ค่อยร่าเริง หน้าตาเหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ อย่างที่เพื่อนผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ชอบคนที่มีคาแรกเตอร์หม่นหมอง แบบที่ผมรู้สึกอยากจะปกป้อง มันคงไปกระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นผู้ชายในตัวเองละมั้ง ลึกๆ แล้วผมคงชอบความรู้สึกแบบนี้

ตอนค่ำหลังเลิกเรียน ผมจะทำเป็นไปนั่งอยู่บริเวณนั้น คนเดียวบ้าง กับเพื่อนบ้าง เพื่อแอบมองเขาเดินง่อยๆ มาเอาจักรยานทุกวัน ตอนนั้นผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก รู้แค่ว่าผมใจเต้นทุกครั้งที่เห็นเขา ก็เลยตีความไปว่า นี่แหละมั้ง ที่เรียกว่าการตกหลุมรัก

อธิบายไม่ค่อยถูก มันทั้งสุขและเศร้าปนๆ กัน สุขที่ได้เห็นเขา เศร้าที่เราไม่มีตัวตนในสายตาเขาเลย

จนกระทั่งวันวาเลนไทน์มาถึง หัวใจของผมพองโต อกจะระเบิดเพราะความรู้สึกและภาพในหัวที่มากมายท่วมท้น ในตอนนั้น ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศหรือชู้สาวใดๆ เลย ผมไม่แคร์ แม้จะไม่ได้แตะต้องตัวเขา แต่ผมต้องบอกความในใจออกไปซะที เดี๋ยวนี้ และต้องเป็นวันนี้ด้วย คิดโง่ๆ ว่า เพราะมันเป็นวาเลนไทน์ไง

กุหลาบคงไม่เหมาะ ผมเก็บตังค่าข้าว ซื้อช็อคโกแล็ตที่แพงที่สุดในร้านสะดวกซื้อ เขียนการ์ดแล้วลงชื่ออักษรย่อ ใส่ถุงก็อปแก้ปห้อยไว้กับแฮนด์จักรยาน ส่วนสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่ซื้อไว้เมื่อเช้า ก็แกะดวงหนึ่ง ติดไว้ที่ตัวรถ หันซ้ายขวาไม่เจอใคร จึงเดินหลับมานั่งตรงที่นั่งประจำเพื่อนั่งรอ

หลังจากนั้นไม่นาน เด็กคนนั้นก็เดินมาที่รถ เห็นถุงนั้น หยิบโน๊ตขึ้นมาอ่าน มองไปรอบๆ แว่บนึงที่สายตาเราปะทะกัน ผมหลบสายตา เขาอ่านโน๊ตนั้นอีกรอบ แล้วขยำโน๊ต เช่นเดียวกับสติ๊กเกอร์ที่ดึงขึ้นมา ใส่รวมเข้าไปในถุงช็อกโกแล็ต แล้วปาทิ้งลงพื้น กระชากจักรยาน ขี่มันออกไป โดยไม่หันมามองอีก

นั้นคือสถานการณ์แบบที่เรียกกันว่า ‘เหนือไม่ไปใต้ไม่มา’ ที่ผมต้องประสบพบเจอเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ที่ทำเอาเราไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่มีทยอยเข้ามาอีกเรื่อยๆ เป็นซีรีส์หลังจากนั้น กระทั่งล่าสุด คือเรื่องนัดยิ้มที่ล่มไม่เป็นท่า

เอาจริงดิ  ทำไปให้เสร็จๆ โดยไม่มีการกอดหรือจูบกันเนี่ยนะ

ผมนอนนิ่งคิดถึงเรื่องต่างๆ อยู่อย่างนั้นราวสิบนาทีได้ ก่อนที่เสียงครืดคราดของโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ตรงข้างเตียงจะเรียกสติให้กลับมา

จะเรียกว่าเบอร์แปลกก็ไม่ถูกนัก แต่เป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้บันทึกเอาไว้ และเคยโทรเข้ามาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผมกลับจำได้
โทรมาทำไมวะ?

ผมคิดนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจรับสาย แกล้งทำเป็นไม่รู้

“สวัสดีครับ”
“พี่ตี้ หรือเปล่าครับ”
ปลายสายก็คงแกล้งทำเป็นไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ครับ ใครครับ”
“ผมวินนะ เพื่อนเฟม”
“อ้อ มีอะไรเหรอ”
“คือ ผมติดต่อไอ้เฟมไม่ได้ พี่อยู่กับมันหรือเปล่า”

จู่ๆ ก็รู้สึกเคือง ทำไมผมต้องอยู่กับเพื่อนมันด้วยวะ

“ไม่อะ”
“แล้วพี่รู้ไหม ว่าสองคนนั่นไปไหนกัน ทำไมปิดโทรศัพท์”
“ปิดโทรศัพท์เลยเหรอ งั้นเขาอาจจะไม่อยากให้ใครรบกวนก็ได้มั้ง”
จริงๆ ผมรู้แหละว่าสองคนนั้นไปไหน แต่แค่ไม่อยากตอบ
“ปกติมันไม่เคยปิดโทรศัพท์ ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดี พ่อแม่มันก็โทรติดต่อไม่ได้ ถ้าพี่รู้ว่ามันไปไหนก็บอกผมเถอะ แต่ถ้าไม่รู้ ผมฝากพี่โทรหาเพื่อนพี่ด้วย บอกว่าให้ไอ้เฟมโทรหาที่บ้านด่วน”
“ได้ เดี๋ยวผมลองโทรให้ แค่นี้นะ”

ผมวางสาย แล้วกดเบอร์โทรหาไอติม

“ว่าไงมึง”
“ตายห่ากันไปหรือยัง”
“พวกกูว่าจะค้างบนดอยอีกคืนว่ะ เฟมมันอยากไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่แปลงดอกไฮเดรนเยียตอนเช้า มึงสนใจไหม นั่งรถตามมาจอมทองเลย เดี๋ยวกูขับลงไปรับข้างล่าง”
“ไว้ก่อนเหอะ บอกเฟมโทรกลับที่บ้านกับโทรหาผัวน้อยมันด้วย เออ แล้วทำไมมันปิดเครื่องวะ”
“เครือข่ายเฟมมันไม่ค่อยมีสัญญาณอ่ะ ต้องหากันเป็นจุดๆ ไม่ก็รอตอนลงข้างล่างเลย มีเรื่องไรด่วนปะมึง”
“ไม่รู้ว่ะ แค่ติดต่อไม่ได้ละมั้ง มึงบอกมันตามที่กูบอกละกัน กูจะวางละ”
“น้องวินโทรหามึงเหรอะวะ”

ผมวางสาย ไม่ตอบ แล้วกดโทรออกถึงคนที่ไอติมถามถึง

“ครับ”
“บอกให้แล้วนะ เดี๋ยวคงโทรกลับ โทรศัพท์เฟมไม่มีสัญญาณ”
“เดี๋ยวพี่ ตกลงสองคนนั่นไปไหน”
“เดี๋ยวมันโทรกลับไปก็ถามเอาเองละกัน”

ผมตัดสายอย่างรำคาญ

นี่ก็อีกคน ทำไมโลกไม่ยุติธรรมเลยวะ สร้างคนที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และสมอง ขึ้นมาเพื่อให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นกว่าเดิมงี้เหรอ คนหน้าตาดีอย่างไอ้เด็กนั่น คงไม่เคยต้องลดตัวมาทำอะไรไร้ศักดิ์ศรีอย่างที่ผมทำแน่ๆ

ผมลุกจากเตียง สะบัดหัวไล่ความรู้สึกแย่ๆ หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ

+++

ผมมีนัดกับ ป๋อม ต้อม โอปอล์ ตอนเที่ยง ที่ร้านส้มตำหลังมหาวิทยาลัย ขาดแค่พอลล่าที่มีงานพิเศษทำ ผมไปถึงช้าสุด เลยกลายเป็นเป้าสำหรับลับฝีปากของพวกสาวๆ โดยปริยาย

“ไงแก โดนผัวทิ้งละสิ เลยออกมาได้”
ป๋อมเหน็บก่อน
“อ้าว ไม่ใช่แกเหรอที่บ่นอยากกินส้มตำ”
ผมเถียง
“เอ้อ แล้วไอติมไปไหนอะ”
ยัยต้อมถาม
“ก็อยู่กับแฟนมันสิ”
“นั่นไง ชั้นว่าละ ผัวทิ้งจริงๆ ด้วย”
“แฟนมันมาอีกแล้วเหรอ บ่อยจัง”
โอปอล์ถาม ผมอ้าปากจะตอบ แต่ป๋อมชิงตอบซะก่อน
“ช่วงโปรก็งี้แหละแก เออ ว่าแต่แกอะตี้”
“ชั้นทำไม”
“ก็แอพเกย์ของแกไง”
“เบาๆ ก็ได้มะ กลัวคนไม่รู้รึไงว่ามีเพื่อนเป็นตุ๊ด” ผมเอ็ด “ลบทิ้งไปหมดแล้ว”
“อ้าว ไม่ได้นะ” ยัยต้อมว่า “ไอติมมันก็ชิงมีแฟนไปแล้ว แบบนี้แกไม่เหงาแย่เหรอ”
“ไม่ดีหรือไง ก็อยู่เป็นเพื่อนชายโสดของพวกแกเนี่ย”
ผมโกหก นี่ถ้าพวกนางรู้ว่าผมเหงาถึงขั้นนัดยิ้มกับผู้ชายแล้วละก็ คงจะอึ้ง ทำตัวไม่ถูกกันน่าดู
“ฉันดูหมกมุ่นอยากมีแฟนขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
ผมถาม
“ใครบอกแกวะ”
“ก็พวกแกนี่ไง ก็พูดอยู่เนี่ย”
“แหม พวกชั้นก็แซวเล่นๆ ไหม”
โอปอล์แก้ตัว
“แต่ฉันอยากมีนะ“ ยัยต้อมตั้งท่าจะดราม่า “คนอื่นน่ะชั้นไม่รู้หรอก แต่สำหรับชั้น ตรงๆ เลย ชั้นเหงา ชั้นอยากรู้สึกว่าตัวเองมีค่า เป็นที่ต้องการ ถึงคนจะชอบพูดกันว่า อย่าเอาคุณค่าหรือความสุขไปผูกไว้กับคนอื่นก็เถอะ แต่มันก็ยังดีกว่าต้องพยายามให้กำลังใจตัวเอง รักตัวเอง วันแล้ววันเล่าหรือเปล่า มันเหนื่อยนะเว้ย อย่างที่พวกแกรู้ ชั้นไม่ค่อยสนิทกับที่บ้าน ชั้นไม่พูดเรื่องแบบนี้กับพ่อแม่ คือ… คนเราบางทีมันก็มีไม่โอเค มีวันที่รู้สึกไม่ชอบตัวเอง พวกแกก็เป็นใช่ไหมล่ะ มันคงจะดีมาก มีใครสักคนที่ชอบชั้น ในวันที่ชั้นรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก”
“ไปรับยาที่สวนปรุงด้วยค่ะ”
ป๋อมว่า
“งี้จะเป็นใครก็ได้ใช่ไหม คนที่จะมาเป็นแฟนแกอะ”
ผมแกล้งแซว
“ไม่ได้สิ ต้องเป็นคนที่เขาชอบเรา แล้วเราก็ชอบเขาด้วย”
“ยากละ”
“แกต้องไม่ลดตัว หรือลดมาตรฐานของตัวเองเด็ดขาด”
“ก็ไม่ลดไงถึงยังโสดอยู่แบบนี้ นี่ขนาดลดมาแล้วยังไม่ได้เลย สงสัยชั้นคงโดนสาปให้ไปชอบแต่คนที่เขาไม่เอาละมั้ง” ผมเถียง “ว่าแต่ทำไมเราต้องมาคุยกันเรื่องนี้กันตลอด เปลี่ยนเรื่องมะ คุยเรื่องเรียนบ้างมะ”
“ตอแหล” ป่อมด่า “แกนั่นแหละตัวดี เริ่มก่อน”
“ให้ผัวเก่าแกให้หาให้ดิ มันยังหาของมันได้เลย”
ต้อมว่า
“เออ เพื่อนแฟนมันไง หล่อไม่ใช่เหรอ”
โอปอล์ถาม ผมหัวเราะขื่นๆ เออ ก็หล่อ หล่อมาก แต่พอนึกถึงไอ้เด็กเวรนั่นก็รู้สึกเจ็บแปลกๆ นี่ก็เป็นอีกคนที่ไม่มีวันเอาผม แล้วก็ไม่รอช้าที่จะบอกผมให้รู้ตัวด้วย

+++

กลับถึงห้อง ผมล้มตัวลองนอน แล้วดูนั่นนี่ในมือถือไปเรื่อย จนเลยไปถึงข้อความสนทนาในแอพแมสเซนเจอร์ที่คุยกับเซนเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

Tee:    ถามจริง เซนไม่มีแฟนจริงดิ
Zen:    ไม่มี ทำไม จะจีบเหรอ
Tee:    (สติ๊กเกอร์สนูปปี้หัวเราะ)
Zen:   (สติ๊กเกอร์แมวร้องไห้) ไม่รู้ดิ งงเหมือนกัน 555 สงสัยเรียนหนักเกิน ไม่ค่อยได้เจอใครนอกคณะมั้ง
Tee:    ในคณะก็ต้องมีคนน่ารักๆ บ้างแหละ
Zen:    มีมั้ง แต่เขาอาจจะยังไม่ใช่สำหรับเรา และเราก็ยังไม่ใช่สำหรับเขาไง
อีกอย่าง ดูสภาพตัวเองตอนนี้แล้ว ไม่น่าจะดูแลใครได้ 555
Tee:   (สติ๊กเกอร์ OMG)
Zen:   แอบเก็บข้อมูลเหรอ
Tee:   เปล่า อยากรู้เฉยๆ
Zen:   ตี้อ่ะ ทำไมยังไม่มีแฟน
Tee:    ไม่มีใครเอาเหอะ
Zen:    (สติกเกอร์แลบลิ้น) ไม่เชื่อ
Tee:   (สติกเกอร์เด็กร้องไห้)
Zen:   งั้นเราจีบ
Tee:   555

นี่ก็อีกคน บอกจะจีบๆ แล้วหาย คือไรวะ ทักไปดีมะ

ไม่ได้ๆ บอกพวกนั้นไปแล้วนี่นาว่าจะไม่หมกมุ่น ตั้งใจเรียนดีกว่า ทุกวันนี้ก็โง่จะเป็นควายอยู่แล้ว

แต่อยากทักไปนะ
เซนทำอะไรอยูวะ

ผมวางโทรศัพท์ มือประสานวางบนหน้าอกแล้วจ้องเพดานเหมือนเมื่อเช้าเด๊ะ ก่อนที่เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์จะดังขึ้น อาจจะเป็นเซนทักมาก็ได้ เราอาจจะมีจิตใจเชื่อมต่อถึงกัน ผมรีบคว้าโทรศัพท์ที่ข้างตัวขึ้นมาดู

คุณมีหนึ่งคำขอเป็นเพื่อน
Win Laokanchanasithikul
มีเพื่อนร่วมกัน 1 คน

เชี่ย!

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 3-5 (07-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 07-02-2019 14:23:59
5

ธันวาคม

การสอบปลายภาคผ่านพ้นไปด้วยดี จากนี้ก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่สำหรับช่วงปิดเทอมไปจนถึงต้นปีหน้าโน่นเลย (จริงๆ แล้ว แค่ประมาณยี่สิบวันเท่านั้นเอง) ผมคิดถึงแผนการมากมายในหัวขณะที่กำลังอยู่บนความสูง 30,000 ฟุตเหนือพื้นดินจากเชียงใหม่ไปยังกรุงเทพฯ (ที่ไม่ได้จะมีโอกาสบ่อยๆ) โดยมีเพื่อนร่วมทางอย่างไอติม ที่คงตื่นเต้นที่สุดแล้วสำหรับทริปนี้

“ตี้ กูตัดสินใจละ มึงไม่ต้องไปพักกับเพื่อนที่รังสิตหรอก มึงนอนคอนโดเฟมกับกูนี่แหละ มันไกล เดินทางลำบาก”
“อ้าว กูนัดเพื่อนไว้แล้วไหม อุตส่าห์อ้อนวอนมันตั้งนาน”
“ให้มันเข้ามาในเมืองสักวันละกัน”
“ไม่เอาอะ กูรำคาญพวกมึงสองคน เดี๋ยวก็ไปเที่ยวที่มันไฮโซๆ อีกอะ กูอยากเที่ยวจนๆ ของกูคนเดียว”
“มึงมากะใคร“ ไอติมตบกระเป๋ากางเกง “นี่เสี่ยติมนะเว้ย”
“เหอะ” ผมเบ้ปาก “เดี๋ยวเพื่อนแฟนมึงก็มาหาว่ากูเกาะพวกมึงแดกอีก”
“มึงไม่ต้องเถียง กูตัดสินใจให้แล้ว มึงจะนอนห้องเฟมดีๆ หรือจะไปนอนห้องไอ้น้องวิน”
“อ้าว แล้วมันไม่ได้แชร์คอนโดเดียวกันเหรอ”
“ใช่ แต่อยู่กันคนละห้อง” ไอติมอธิบาย “เออ ก้ดีนะเว้ย กูนอนกะเฟม มึงนอนกะไอ้น้องวิน เอาไหม”
“มะเหงก”
“มะเหงกทั้งปี ไม่ต้องกลัวเว้ย กูคุยกับไอติมแล้ว เป็นห้องชุด มึงพักได้ จบ”

สรุปนี่คือ ผมต้องนอนกับพวกมันจริงๆ ใช่ไหม เออๆ ก็ได้วะ ก็ดีเหมือนกัน ที่ที่ผมอยากไป ก็อยู่แต่ในย่านนั้นเกือบจะทั้งหมด ตะกี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะเดินทางจากรังสิตไปยังไง เอาแบบที่ประหยัดเวลาและประหยัดเงินในกระเป๋ามากที่สุด ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะได้ไม่ปวดหัวเรื่องเดินทางมาก แต่ที่เล่นตัวไม่ยอมไปพักด้วยตั้งแต่แรก คือเพราะเกรงใจแฟนเพื่อน มันอาจจะอยากสวีทกันสองต่อสองมากกว่า

ส่วนไอ้เด็กวิน เหอะ ถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็คงใจเต้นอยู่หรอก แต่พอมาเป็นแบบนี้แล้ว ไม่ต้องเจอกันเลยตลอดทริปนั้นแหละดีที่สุด

+++

แต่ที่ไหน ผมต้องเจอกับเด็กนั้นตั้งแต่นาทีแรกๆ ที่พ้นออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาออกเลยทีเดียว

“มันมาทำไมวะ”
คือประโยคที่ผมกระซิบถามไอติม เพื่อนรัก
“มาเป็นเพื่อนเฟมแหละมั้ง ก็เขาอยู่คอนโดเดียวกัน”
“ก็มึงบอกกูว่าเฟมมาคนเดียว”
“เหอะน่า ไปๆ”

ผมทักทายเฟมที่กุลีกุจอมาช่วยยกกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถเก๋งป้ายแดงที่ไอ้เด็กนั่นเป็นคนขับตามที่ แล้วเข้าไปนั่งที่เบาะหลังโดยให้ไอติมเข้าไปก่อน ไอติมทักทายมัน แต่ผมทำเป็นยุ่งอยู่กับโทรศัพท์มือถือไม่สนใจ พอตอนที่เงยหน้าขึ้นแล้วเจอกับสายตามันที่แอบมองผ่านกระจกมองหลัง ผมเสมองออกไปข้างนอก

“หิวหรือยังครับพี่ตี้”
เฟมพยายามชวนคุย
“ยังไม่หิวเลยครับ ตะกี้รองท้องกันมาแล้วที่สนามบิน”
“ถ้างั้นเอาของไปเก็บคอนโดผมก่อนเนอะ แล้วเดี๋ยวค่อยออกไปหาอะไรกินกัน”
“ครับผม พี่ขอนอนแป๊บนะ ตื่นเช้าเกินอะ”

ผมแกล้งหาวแล้วหลับตาพิงเบาะ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับวงสนทนา จนหลับไปจริงๆ รู้ตัวอีกทีคือถึงคอนโดเฟมแล้ว มันคือส่วนไหนของกรุงเทพก็ไม่อาจคาดเดา

ผมเอากระเป๋าของตัวเองออกจากท้ายรถเป็นคนสุดท้าย แล้วรีบเดินไปประกบข้างไอติม ระยะทางจากลานของอาคารจอดรถกับลิฟต์ไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก

“พี่ตี้ครับ ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”

เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำเอาผมสะดุ้ง
เชี่ย มึงคุยกับกูเหรอ ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างงใจ ไอติมกับเฟมเหมือนจะรู้งาน รีบลากกระเป๋าไปยังลิฟต์ทันที

“กูขึ้นไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวดิ”
ผมร้องบอก แต่ไม่ทันแล้ว
“พี่”
“หืม เออ โอเค มีอะไร”
“คือ… พี่ยังไม่กดรับเฟรนด์รีเควสท์ของผมเลย”
“อะไรนะ”

ผมทำเป็นไม่เข้าใจ มันมองบนแล้วถอนหายใจ สงสัยคงไม่อยากพูดซ้ำ

“เฟรนด์รีเควสท์ในเฟสบุ๊ค ที่ผมแอดไป”
“เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
“ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาครับ”
“อ้อ… แล้ว… แอดมาทำไมเหรอ”
“ก็แอดเฟรนด์ไง ต้องมีเหตุผลอะไรอีกเหรอครับ”

คราวนี้เป็นมันที่แกล้งเฉไฉบ้าง โวะ ต้องมีสิโว้ย คนเกลียดกันที่ไหนที่เขาแอดเฟรนด์กัน หรือมีวะ

“คือ… ผม จะไม่รับก็ได้ ใช่ไหม”
“ครับ แต่ช่วยรับด้วย”
“แต่…”
“โอเค ผมแอดไปใหม่”

มันหยิบไอโฟนรุ่นล่าสุดขึ้นมาไถๆ กดๆ

“อะ กดรับสิครับ”

ผมล้วงเอามือถือเน่าๆ ราคาสามพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าที่ใช้มาสองปี ที่มีเสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาดู

“กดแล้ว ไปกันได้หรือยัง”

ไอ้เด็กนั่นยิ้มยกที่มุมปาก แล้วออกเดิน ผมเดินลากกระเป๋าตามมันเข้าลิฟต์แบบงงๆ
พอถึงห้อง ไอติมรีบแอบดึงตัวผมไปถามทันที

“มึงคุยไรกันวะ”
“มันให้กูแอดเฟสมัน แอดทำไมวะ มึงกับเฟมไมได้บังคับอะไรมันใช่ไหม”
“เปล่า ฮั่นแน่ เสน่ห์แรงเว้ยเฮ้ย”
“พ่อมึงดิ”
“สงสัยมันแอบชอบมึงละมั้ง”
“ขอให้จริงเหอะ”

ผมพูดตามที่คิด เพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้

“เอาน่า มึงก็ดีๆ กับน้องมันหน่อย กูว่านะ อีกไม่นานหรอก ความฝันที่จะมีผัวคิวท์บอยของมึงอยู่ไม่ไกลแล้วเว้ย”
“เหรอวะ”
“ครับ”

มึงก็พูดได้ดิ ก็มึงมีแล้วนี่

+++

พอพูดถึงคอนโดนักศึกษา นี่ก็คิดว่าน่าจะเป็นห้องขนาดกระทัดรัดขนาด 22 – 30 ตารางเมตร แต่ไม่ใช่เลยเด้อ เด็กพวกนี้อยู่กันแบบห้อง duplex 3 กะจากห้องนอน 3 ห้องน้ำ สายตาไม่น่าจะต่ำกว่า 150 ตารางวา (ไม่กล้าถาม) รวยโคตร รวยไม่เผื่อแผ่ รวยกระจุกตัว ฯลฯ ผมได้นอนห้องนอนแขกที่สภาพแม่งน่าอยู่กว่าหอพักหรือห้องนอนส่วนตัวที่บ้านอีก เลยโล่งใจว่าไม่ต้องนอนรวมกับคู่ผัวเมีย ค่อยรู้สึกเป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย ผมล้มตัวนอนบนเตียงนุ่มๆ ในห้องที่ปรับอากาศจนเย็นสบาย แล้วก็เผลองีบหลับไป จนกระทั่งไอติมเข้ามาปลุกให้ล้างหน้าล้างตา เพื่อออกไปหาข้าวกินที่ห้างแถวสยาม

ระหว่างทางก็เหมือนเดิม ผมตอบข้อความของเซนที่ทักมาทางไลน์ตั้งแต่ก่อนผมขึ้นเครื่อง เพื่อคอนเฟิร์มนัด ผมกับเซนมีนิสัยคล้ายๆ กันอยู่อย่าง นั่นคือ ไม่ชอบคุยแชทยาวๆ แต่จะส่งข้อความทิ้งไว้ แล้วเปิดอ่านหรือตอบเมื่อว่าง ไม่ตอบทันที แต่ตอบกันตลอด ทั้งวัน

ผมจะร่วมวงสนทนากับรอบข้าง ต่อเมื่อไอติมหรือน้องเฟมถามเท่านั้น พอถึงห้าง ก็ให้พวกนั้นตัดสินใจเลือกร้านเช่นกัน เพราะผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับร้านอาหารบนห้าง ปกติก็กินแต่ร้านห้องแถวหรือร้านข้างทางบริเวณรอบมหาวิทยาลัย

จะกังวลก็แต่งบนี่แหละ ถึงไอติมจะบอกว่าขาดเหลือมีให้ยืมใช้ไม่อั้นก็เหอะ ก็ต้องคืนอยู่ดีปะวะ

“เออ วิน เดี๋ยวกูไปห้องน้ำก่อนนะ พี่ตี้สั่งอาหารได้เลยนะครับ” เฟมหันมาบอก หลังจากได้ที่นั่งกันไม่ถึงนาที “พี่ติม ไปเป็นเพื่อนเฟมหน่อย”

ไอติมทำท่าทางแปลกๆ มีพิรุธ

“งั้นมึงกับน้องวินก็สั่งอาหารไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องสั่งเผื่อ เดี๋ยวพวกกูมาสั่งเอง” ว่าแล้วก็เอี้ยวตัวมากระซิบข้างหูผม “คุยกันดีๆ นะมึง”

สัด เหมือนว่าไอ้เด็กวินมันจะไม่ได้ยินอย่างนั้นล่ะ
“กูไปด้วย”
ผมบอก
“ไม่ มึงอยู่นี่ก่อน เดี๋ยวกูมาแล้วค่อยไป” ไอติมดูลนๆ “ไปละ เดี๋ยวมา”
แล้วทั้งสองคนก็เดินเร็วๆ ออกจากร้านไป พอดีกับที่พนักงานเดินมารับออเดอร์

“สั่งเลยไหมครับ”

ไอ้เด็กวินถาม ผมพยักหน้า แต่เลือกที่จะไม่สบตา แล้วก็มาอึ้งกับราคาอาหารในเมนูแทน
ไหนๆ ก็แพงไปทุกเมนูซะขนาดนี้แล้ว ผมเลยเลือกซีฟู้ดที่ผมชอบ เพราะดูราคาสมเหตุสมผลสุด แล้วก็กลับมานั่งไล่อ่านเฟสบุ๊ควนไปมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจในหน้าฟีดเลย

 “ไอติมส่งแมสเสจมา บอกให้เรากินกันได้เลย มันอยู่ในโรงหนัง” อีกฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่ได้อาหารของใครของมันเรียบร้อยแล้ว “งั้น เรากินกันเลยไหมครับ”

นั่นไง กูว่าละ ไปนานโคตร

“อืม” ผมตอบรับ ทั้งที่ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว แต่หิวและเสียดายอาหาร “ถ้างั้น กินเสร็จก็แยกกันเลยละกันนะ”
“ผมว่าสองคนนั้น น่าจะอยากให้เราเคลียร์กัน”

อะไรอีกล่ะ ผมมองหน้าคู่กรณีแว่บนึง

“ไม่ต้องหรอก คุณก็คงไม่อยากเคลียร์ ถูกมะ”
“ผมอยากเคลียร์นะ”
“อ้อ… โอเค”

มาไม้ไหนของมันอีกละเนี่ย

“งั้นผมพูดก่อนละกัน ที่ผ่านมา ผมขอโทษแล้วกันนะครับ ถ้าผมเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับตัวพี่หรือเพื่อนพี่บางเรื่อง หวังว่าพี่จะเข้าใจว่าที่ผมพูดหรือทำอะไรไป เพียงเพราะความโกรธ แล้วก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อน”

ผมฟังแล้วพยายามคิดตาม แต่ออกจะงงๆ สักหน่อย

“เฟมมันเป็นคนดีครับ แต่ออกจะหัวอ่อน แล้วก็ไม่ค่อยทันคน ผมก็เลยค่อนข้างจะซีเรียสเป็นพิเศษ”
“แต่… เฟมก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
“ครับ”
“ผมว่า ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เพื่อนคุณ แต่อยู่ที่ทัศนคติของคุณมากกว่า”
“ครับ ผมยอมรับว่าผมไม่ค่อยไว้ใจเพื่อนพี่เท่าไหร่ ถึงตอนนี้ก็เหอะ แต่… ผมถามพี่หน่อย พี่สามารถพูดได้ไหมว่า เพื่อนพี่เป็นคนที่ดีและเหมาะสมกับเพื่อนผม เป็นคนที่สามารถสนับสนุนหรือทำให้ชีวิตเพื่อนผมดีขึ้น หรืออย่างน้อย ก็ไม่ทำให้แย่ไปกว่าเดิม”

โอ้โห ไปไม่ถูกเลย

“คุณกำลังจะบอกว่าเพื่อนผมไม่คู่ควรกับเพื่อนคุณงั้นเหรอ”
“เปล่าครับ ผมถามว่า พี่คิดว่าเพื่อนพี่ดีพอไหม”
“แต่ในความคิดคุณ คือไอติมมันไม่ดีพอ ถูกไหม”
“ก็ ถ้าว่ากันตามจริงก็ใช่ครับ แล้วพี่ละครับ คิดว่ายังไง คิดว่าสองคนนี้เหมาะสมกันไหม”

ก็… จริงของมัน คือถ้าจะให้ตอบว่าไอติมคู่ควรหรือเปล่า แน่นอนผมต้องบอกว่าคู่ควรอยู่แล้วสิ แต่สองคนนี้เหมาะสมกันไหม อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถามแบบนี้…

“ผมว่า… มันไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะไปตัดสินใจแทนใคร”
“แต่เราให้คำแนะนำได้นี่ครับ เราสามารถชี้ให้เห็นได้ว่า เขา…” เจ้าตัวหยุด เหมือนกำลังคิดว่าจะพูดดีไหม “ไม่มีความเหมาะสมที่จะคบกัน เราอาจจะโน้มน้าวให้สองคนนั้นเชื่อได้ว่า พวกเขาแต่งต่างกันมาก และเรื่องของความเหมาะสมมันสำคัญยังไง”

คำก็เหมาะสม สองคำก็เหมาะสม ไม่พูดออกมาเลยละวะ ว่ามันคนละระดับสังคมกัน ผมมองหน้าหล่อๆ นิ่งๆ นั้น ด้วยความรู้สึกสับสนว่าควรเกลียดหรือกลัว คนๆ นี้ดี หรือจะทั้งสองอย่าง

“งั้นก็ไปบอกพวกเขาเองเถอะ” ผมตอบ “เพราะในฐานะเพื่อน ไม่ว่ามันจะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค หน้าที่ของผมคือต้องสนับสนุนการตัดสินใจของพวกเขา ไม่ใช่ชี้ถูกผิด”
“ที่พี่พูดมาก็จริงนะครับ แต่คงใช้ไม่ได้กับทุกกรณี”
“เขาอาจจะแค่คบกันเล่นๆ ก็ได้” ผมเถียงต่อ “ไม่เห็นต้องซีเรียสอะไรเลย ถ้าเขาไม่ใช่คู่กันจริงๆ หมดช่วงโปรหรือเจอคนใหม่ก็แยกย้าย ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง”
“ก็นั่นแหละที่ผมกลัว ถึงแม้ว่าอีกใจหนึ่งจะอยากให้มันเกิดขึ้นก็เถอะ”

ผมพยายามคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยิน เท่าที่สมองโง่ๆ ของตัวเองจะสามารถ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ประกอบกับความรู้สึกอึดอัดฉับพลัน จึงวางส้อมและเลื่อนจานอาหารที่กินค้างอยู่ออกจากตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงเขาก็มองพวกเราต่ำอยู่แล้ว จะมีมารยาทไปทำไมอีก ผมโบกมือเรียกพนักงานเพื่อเก็บเงิน

“เราต้องเอาบิลไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เองครับ”  ไอ้เด็กวิน ทำผมรู้สึกเสียฟอร์มนิดๆ “เดี๋ยวผมจ่ายเอง พี่ทานให้อิ่มก่อนเถอะครับ”
“ผมอิ่มแล้ว” ผมหยิบแบงค์ห้าร้อยจากกระเป๋าแล้ววางบนโต๊ะ คิดว่าน่าจะพอสำหรับค่าอาหารของตัวเอง “ฝากจ่ายด้วยนะ”
“ผมขอโทษถ้าพูดอะไรแรงไป”
“ไม่หรอก คุณพูดในสิ่งที่คุณคิดจริงๆ ซึ่งมันก็ถูกแล้ว ดีซะอีก”
“ถ้างั้น ทำไมพี่ไม่อยู่ทานข้าวให้เสร็จก่อนล่ะครับ”

โดนตอกแบบนี้ คือหน้าชาไปเลย

“มันไม่อร่อย ผมไปหาอะไรในเซเว่นกินดีกว่า เสร็จก็จะเดินเล่นแถวๆ นี้แหละ ถ้าสองคนนั้นออกจากโรงหนังแล้ว บอกไอติมให้โทรหาผมด้วยละกัน”

ผมเก็บโต๊ะให้เข้าที่ด้วยความเคยชิน (เคยทำงานพาร์ทไทม์ร้าสเต๊กมาก่อน) แล้วเดินออกมาจากร้านโดยไม่เหลียวกลับไปมอง
ว่าแล้วเชียว ร้านนี้โคตรแพง และโคตรไม่เหมาะกับเด็กบ้านนอกอย่างผมเลยสักนิด ตัวเบาเลยทีเดียว

+++

ผมเดินเต็ดเตร่ในสยามคนเดียวมาชั่วโมงกว่าแล้ว เดินเข้าซอกนั้น ออกร้านนี้ ทั้งในห้างและนอกห้าง พลางตอบแชทของเซนไปด้วย จะเรียกว่าเพลินก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะอากาศค่อนข้างร้อน ต้องหลบเข้าห้างเสียส่วนใหญ่ ตื่นตากับร้านค้า ช้อปเสื้อผ้า ร้านเครื่องสำอางค์ จิปาถะ ร้านขนมนมเนย ที่ล้วนมีดิสเพลย์โก้เก๋ ไฮโซ และสุดจะครีเอทีฟมากมายเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง แต่ไม่วายรู้สึกเศร้านิดๆ เพราะไม่มีปัญญาจะซื้อของเหล่านั้นเลย แม้แต่ชิ้นเดียว

ขนมชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียวเกือบสองร้อยบาท ชาไข่มุกแก้วละสองร้อย ขืนซื้อกินคงโดนแม่ด่าไปสามวัน แต่คงอร่อยจริง ไม่งั้นคนคงไม่ต่อแถวกันขนาดนี้ แม่จะเป็นช่วงบ่ายนิดๆ ของวันธรรมดาก็เถอะ

พอเดินข้ามจากมาบุญครอง มาอยู่ในสยามดิสคัฟเวอรี่ ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าอยากเห็นสะพานลอยหน้าสยามเซนเตอร์ ที่มาริโอเคยไปยืนดูนายเอกในหนัง Y เรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ ร้องเพลงในตอนท้ายๆ ของเรื่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว เลยเดินคลำทางจนเจอทางออกทะลุห้างไปยังสยามเซนเตอร์ และสะพานลอยในที่สุด ผมยืนมองลานกิจกรรมที่เพิ่งเดินผ่านตะกี้ จากจุดที่เห็นในหนังแล้วจินตนาการตาม ด้วยเป็นช่วงใกล้คริสต์มาส์เหมือนกัน ต่างกันแค่ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน และลานตรงนั้นมีกิจกรรมส่งเสริมการขายจัดอยู่ ส่วนเวทีดนตรีตั้งอยู่หันหลังให้ถนน ไม่ได้หันหน้าเข้าหาสะพานลอยแบบที่เห็นในหนัง

แต่แค่นี้ก็ฟูลฟิลแล้ว

ได้เดินไปรอบๆ สยามโดยมีเพลง ‘กันและกัน’ อยู่ในหัว อย่างที่เคยคิดเอาไว้ ถึงหน้าตาร้ารวงและตึกรามจะเปลี่ยนไปจากปี 2007 หมดแล้วก็เถอะ

เอ้อ แล้วป้ายร้านเป็ดย่างสกาล่าล่ะ ยังอยู่ไหม

ผมหันหลังกลับไปดู เออยังอยู่แฮะ ก่อนจะเริ่มเดินตรงไปยังอีกฝั่งของสะพานลอย หวังใจจะเซลฟี่กับป้าย เหมือนที่ถ่ายกับลานกิจกรรมเมื่อกี้นี้ แล้วก็ต้องชะงักฝีเท้า

ไอ้เด็กวินนั่งยองๆ หันหลังให้ อยู่ตรงบันไดทางเดิน

มือข้างหนึ่งถือถุงอาหารแมวถุงเล็กที่น่าคาดว่าน่าจะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ กำลังให้อาหารน้องแมวสี่ห้าตัวที่เข้ามารุมล้อม บางตัวก็เข้ามาเกาะขาขอเล่นด้วยอย่างคุ้นเคย

มันเทแบ่งอาหารทั้งถุงใส่ในถ้วยและจานพลาสติกที่วางอยู่บนแผ่นกระดานไม้อัดที่พาดอยู่ตรงโครงป้าย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของน้องแมวจรเหล่านั้นจนหมด

บ้าบอว่ะ ผมไม่คิดว่ามันจะมีอะไรด้านนี้กับเขาด้วย

แม่ง หล่อแล้วยังใจดี รักสัตว์ไปอีก สร้างภาพปะวะ

แต่ถึงจะคิดว่าสร้างภาพ แต่ผมก็อดยกมือถือขึ้นมาแอบถ่ายไม่ได้อยู่ดี ทั้งที่ก็หาเหตุผลตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
รู้แค่ว่ามันเป็นภาพที่น่ารัก

น่ารักจนใจเต้นแปลกๆ

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-02-2019 01:53:14
ติดตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 08-02-2019 04:21:02
 :katai2-1: รอลุ้นความเป็นไปของสองคนนี้ เมื่อไหร่จะเจอจุดบรรจบ
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 6 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 08-02-2019 12:05:30

สวัสดีครับ คนเขียนเองนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาช่วยคอมเมนท์นะครับ
ไม่ได้เขียนนาน ไม่มีคนตาม กลัวว่าจะไม่มีคนอ่าน แต่โพสต์แล้วมีคนอ่านบ้างก็ใจชื้นครับ
เรื่องนี้มีทั้งหมด 19 ตอนนะครับ เขียนจบแล้ว จะค่อยๆ ทยอยลงนะครับ (คืออยากอ่านคอมเมนท์นั้นแหละ)
ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ ใครที่ยังไม่เคยอ่านนิยายเก่าที่เขียนจบแล้ว ถ้าสนใจก็ฝากด้วยนะครับ
+++ หนุ่มโชคร้ายกับนายแชมป์ว่าว +++ : 
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5161.0 (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5161.0)
ขอบคุณครับ/ เบน

+++

6

น่ารักนะ เด็กผู้ชายกับแมว ถึงจะเป็นไอ้เด็กวินก็เถอะ

มันอุ้มน้องแมวตัวหนึ่งขึ้นมาเล่นอยู่เกือบครึ่งนาที ก่อนวางคืนตรงขั้นบันได ลุกขึ้นยืน ขยำถุงอาหารแมวเปล่าใส่ประเป๋า แล้วปัดมือที่เปื้อนกับกางเกงยีนส์

ผมนึกขึ้นได้ เลยหันหลังกลับหมายจะหลบ แต่ไม่ทันซะแล้ว

“พี่ตี้”
ไอ้เด็กวิน เรียกจากด้านหลัง ผมเลยต้องหันไป ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้าว ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
ผมแกล้งถาม ไอ้เด็กวินเดินเข้ามาหา เหงื่อออกยิ่งโคตรหล่อ
“ผมกำลังจะไปรอสองคนนั้นที่พารากอน” ที่ถามไม่ตอบ แต่ไพล่ไปพูดเรื่องอื่น “อีกไม่เกินชั่วโมง หนังคงจบ”
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นประโยคบอกเล่าเฉยๆ หรือเป็นประโยคเชื้อเชิญ
“แล้ว…”
“อากาศร้อน ไปนั่งร้านกาแฟรอดีกว่า อีกอย่าง เดี๋ยวสองคนนั้นออกมาไม่เจอพี่ ผมก็โดนด่าอีก”

ผมพยักหน้า แล้วมันก็เดินนำย้อนทางที่เดินมา ตอนที่มันเดินผ่านได้กลิ่นน้ำหอมบางๆ ผสมกลิ่นเหงื่อด้วย
ไม่ได้ๆ อย่าไปหลงรูปกายมัน จำคราวที่แล้วไม่ได้เหรอ

ผมเดินตามมันห่างๆ จนมันต้องหยุดรอ และหันมามองเป็นระยะ จนมาถึงร้านกาแฟดังที่ชั้นโรงหนัง

“นั่งตรงนั้นละกัน”
มันชี้ตรงที่นั้งด้านนอกร้าน ตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม และเดินกลับมาเมื่อผมไม่ได้ตามเข้าไป
“พี่จะเอาอะไรครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่กินกาแฟ”
ผมบอก คือผมไม่กินกาแฟจริงๆ และที่สำคัญคือสั่งไม่เป็น
“งั้นชาเขียวปั่นไหมครับ ผมเลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไร คุณสั่งเถอะ”
“ให้ผมเลี้ยงเถอะ เราต้องนั่งตรงนี้อีกนาน ตามนั้นนะ”
แล้วมันก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้บอกว่า ผมไม่ชอบกินชาเขียวขมๆ เหมือนกัน

แล้วแต่มึงเหอะ

แต่ผิดคาด ชาเขียวปั่นท็อปด้วยถั่วแดงบดหวานกับวิปครีมอร่อยใช้ได้ ถึงจะไม่ได้ชอบมากมาย แต่ก็กินได้เพลินๆ เข้าใจ ของแพงมันอร่อยแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะ

เรานั่งกันเงียบๆ ต่างคนต่างสนใจกับมือถือในมือตัวเอง (ของผมเครื่องละสามพันเก้า ของมันไอโฟนรุ่นเกือบล่าสุด) ถึงผมจะไม่ค่อยมีสมาธิกับการที่ต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้แอบมองหน้ามันก็เหอะ ผมกินชาเขียวที่มันเลี้ยงอย่างพอเป็นพิธี เกือบหมดแก้ว ระหว่างที่คุยแชทกับเซน ที่เพิ่งทักเข้ามา

“ที่จริง พี่ไอติม เขาก็ดูนิสัยดีนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือ พอมีสตินึกขึ้นได้ว่ามันกำลังพูดกับผม ผมก็ยิ้มเยาะในใจ อ้อ แน่ล่ะ มึงเพิ่งรู้เหรอ
“แต่ก็ไม่ดีพออยู่ดี”
ผมว่า
“เอางี้ พี่ลองขายผมหน่อยสิ ว่าเพื่อนพี่มีอะไรดีอีกบ้าง อะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมเปลี่ยนใจ”
“เพื่ออะไรเหรอ ไม่จำเป็นปะ” ผมพูดอย่างเหลืออด “ประเด็นมันอยู่ที่เขาชอบกันจริงหรือเปล่า ไม่ได้อยู่ที่คุณชอบหรือไม่ชอบ ต่อให้คุณไม่เห็นด้วย แล้วไง เขาก็ชอบกันอยู่ดี โน่น เขาไปกุมมือ ล้วงควักกันอยู่ในโรงหนังโน่น ผมถามคุณจริง ๆ นะ คุณเป็นห่วงเพื่อน หวังดีกับเพื่อน หรือหวังดีกับตัวเองกันแน่”

พอพูดออกไปแล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด แต่คนฟังเพียงจ้องผมนิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดๆ

“พี่คิดว่าผมชอบเพื่อนตัวเอง ก็เลยอิจฉา”
น้ำเสียงเรียบๆ ไม่แก้ต่าง แต่ดันถามกลับ อะไรของมัน
“ไม่รู้สิครับ ผมคงตอบเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คุณ”

แล้วเราก็กลับไปนั่งเงียบอยู่ในโลกโซเชียลของใครของมันตามเดิม ซึ่งกินเวลาราวกับชั่วนิรันดร์

“ตอนที่เราเจอกัน มันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ผมขอโทษด้วยละกันครับ”

เดี๋ยวนะ นี่ผมฝันไปรึเปล่า มันขอโทษผมเหรอ ผมจำได้ว่า ครั้งก่อนที่มันโทรหา มันยังไม่ยอมรับเลยว่ามันได้พูดจาดูถูกอะไรผมไว้บ้าง ครั้งนี้มันพูดคำว่าขอโทษ ถึงจะไม่ได้บอกว่าขอโทษเรื่องอะไรก็เถอะ แต่ โวะ ไม่น่าเชื่อ

ผมเงยหน้าขึ้นสบตา แล้วก็ต้องหลบตา ไม่รู้จะพูดอะไร จังหวะนั้น ไอติมกับเฟม ก็เดินอมยิ้มเข้ามาในร้านพอดี ผมถลึงตาใส่ไอ้เฟมที่ไปแอบอยู่หลังแฟน

มึงโดนแน่ ไอ้สัด

“ไงมึง” เฟมทักเพื่อนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ “นี่มึงคุยกะพี่เค้าปะเนี่ย”

เงียบ

“อะไรวะ เออๆ ไม่คุยก็ไม่คุย ยังมีอักหลายวัน พี่ตี้ครับ” น้องหันมาทางผม “พี่ติมบอกผมว่า พี่ตี้อยากไปซาฟารีเวิร์ลดฺใช่ไหมครับ เราไปกันพรุ่งนี้เลยดีไหม ผมก็อยากไปเหมือนกัน”
“เออ พอดี พรุ่งนี้พี่นัดเพื่อนเอาไว้แล้วครับ” ผมตอบน้องอย่างเกรงใจ “เอาเป็นวันอื่นแล้วกันเนอะ”
“เพื่อน? ใครวะ ยัยนุ่นเหรอ”
ไอติมหมายถึงเพื่อนที่เรียนแถวรังสิต ที่ผมกะไปค้างด้วยตอนแรก
“มึงไม่รู้จักหรอก”
“อ๋อ ไอ้คนที่ชื่อเซนอะไรนั่นอะนะ ที่ไอ้เตอร์บอกใช่ไหม มันจีบมึงหรือวะ หรือมึงไปจีบเค้า”
“เสือก”
“มึงไปจีบเค้าชัวร์ เอ้อ เฟมกับวินรู้จักไอ้เซนอะไรนี่ปะ”
ไอติมถาม ผมแอบเหลือบมองเฟมกับไอ้เด็กวิน ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วไหม เคยสนิทกันนี่นา พอไปติมทักไปแบบนั้น สองคนก็ทำท่าแปลกๆ เหมือนจะถามกลับว่า ‘ต้องรู้จักด้วยเหรอ’
“เซนไหนเหรอครับ”
“เซนน่าจะเป็นรุ่นพี่เฟม เรียนบริหาร ถ้าจำไม่ผิดน่าจะภาคไฟแนนซ์”
ผมตอบแทนไอติม แล้วรอดูปฏิกิริยา ไอ้เด็กวินทำหน้าตาตื่น อย่างที่เซนเคยบอกไว้ไม่มีผิด สงสัยคงไปทำเขาไว้เยอะ
“อ๋อ… พี่เซน” เฟมตอบเสียงอ่อยๆ “ก็.. ครับ เขาเป็นพี่ที่คณะ แล้วพี่ตี้รู้จักพี่เขาได้ยังไงเหรอครับ”

ผมยิ้มให้น้องแบบแนนโน๊ะแทนคำตอบ

+++

ใช้ชีวิตอยู่ที่สยามจนพลบค่ำ พอกลับถึงคอนโด ผมรีบเข้าห้องตัวเองเพื่อชาร์ตแบทและไลน์ไปรายงานให้เซนฟังแทบจะทันที
ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เล่าให้ฟังว่าตัวเองรู้จักกับน้องเฟมและไอ้เด็กวินได้ยังไง หรือกระทั่งเรื่องที่ว่ามาพักอยู่ที่คอนโดสองคนนี้ เพราะไม่เห็นความจำเป็น ทั้งเซนเองก็ไม่เคยพูดหรือถามถึง แต่ผมอยากได้ข้อมูลนี่นา ผมอยากรู้จริงๆ ว่า มันเรื่องอะไรที่ไอ้เด็กนั่นถึงหวงเพื่อนได้เบอร์ใหญ่ขนาดนี้

Tee:    เพิ่งไปเจอน้องเฟมกับน้องวินมาล่ะ 555
Zen:   อ่า ละเป็นไงมั่ง
Tee:   ถามถึงเซนด้วยนะ
Zen:   งื้อ ถามถึงเราทำไมอ่า (สติ๊กเกอร์ร้องไห้)
Tee:   ถามว่ารู้จักไหมเฉยๆ ครับ แต่เขาก็บอกว่ารู้จักนะ
Zen:    (สติ๊กเกอร์แลบลิ้น) กลัวแล้ว
Tee:   กลัวไร
Zen:   เปล่า 555
   ไม่มีอะไร แค่ไม่อยากยุ่งด้วย ตี้ก็ระวังตัวด้วยละกัน
Tee:    อ่าว …

ผมกำลังจะพิมพ์ถามต่อ แต่มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาก่อน ปกติถ้าเป็นไอติม มันไม่เคาะประตูแน่ๆ ผมชั่งใจ แต่ก็ต้องเดินไปเปิดอยู่ดี เพราะนี่ไม่ใช่ห้องของเรา

ไอ้เด็กวินยืนอยู่ตรงหน้าประตู ในชุดที่เหมือนกับไปฟิตเนสเสร็จมาหมาดๆ เสื้อชุ่มจนเห็นหน้าอกชัด แล้วยังกางเกงขาสั้นและต้นขาใหญ่ๆ …

“ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”

ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ‘เซ็กซี่’ คือคำที่ผมนึกถึงออกในตอนนั้น มันเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู

“เรื่อง?”
 “พี่ไปรู้จักกับคนที่ชื่อเซนได้ไง”
“ทำไมเหรอ”
“รู้จักกันนานหรือยัง”
“อ้าว แล้วมันทำไมอะ อ๋อ หรือคุณจะบอกว่าผมไม่ดีพอที่จะเป็นเพื่อนกับเด็กมหาลัยคุณงี้”

ผมกวนตีนกลับ มันถอนหายใจ ทำท่าเหมือนกำลังสะกดอารมณ์
โอ้ย หล่อเชี่ยๆ

“เปล่าครับ คือถ้าเพิ่งรู้จักกัน ผมจะได้เตือนพี่เอาไว้ก่อน แต่ถ้ารู้จักกันนานแล้ว เห็นทีผมคงต้องเตือนเพื่อนผมแทน”
“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะใจแคบเหมือนคุณทุกคน”
“พี่เองก็อย่าเอาแต่มองโลกในแง่ดีให้มันเกินไป ถ้าพี่ยังรู้จักเพื่อนพี่คนนี้ไม่ดีพอ”
“เพื่อนผมเขาไปทำอะไรให้คุณเหรอ”
“เยอะก็แล้วกัน ผมจะมาเตือนแค่นี้แหละ”

งง จะบอกอะไรก็ไม่บอก แล้วที่ได้ยินมามันคนละเรื่องกันเลยนะเว้ย ผมอยากจะเถียง แต่คิดดูอีกที มันลงทุนเดินเข้ามาบอกผมถึงขนาดนี้แล้วมันจะได้อะไรเหรอ แล้วเรื่องอะไรมันต้องมาแคร์ด้วยว่าผมจะอะไรกับใคร

“แล้วทำไมผมต้องเชื่อคุณด้วย”
“ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่สนิทกับมันแค่ไหนยังไง แต่ถ้าผมเป็นพี่ พรุ่งนี้ผมจะไม่ไปไหนต่อไหนกับมันตามลำพัง ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันหรือแค่ไปเดินเล่นที่สยามก็เถอะ”
อีกฝ่ายพูดโดยไม่หลบสายตา จนผมชักจะคล้อยตามในสิ่งที่มันบอกจริงๆ
“เขาทำอะไรคุณ คุณก็บอกผมมาสิ”
“พี่รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะครับ ผมจองโต๊ะไว้สองทุ่ม”

แทนคำตอบกลับสั่งให้ผมอาบน้ำเฉย แล้วก็เปิดประตูออกจากห้องไป

ความรู้สึกของผมคือ เหมือนหาเรื่องมาคุยด้วยยังไงก็ไม่รู้ แต่พูดไปแล้วจะหาว่าหลงตัวเอง เทวดาอย่างมันจะมาอยากคุยอะไรกันกับคนที่ต่ำชั้นกว่า พอคิดได้ดังนั้นผมหยิบโทรศัพท์เปิดแอพไลน์ แล้วพิมพ์บอกเซน

Tee:   แต่ก็น่ากลัวจริงๆ แหละ 555 (สติ๊กเกอร์สยอง)

+++

ผมใช้เวลาคิดหลายนาที ก่อนตัดสินใจเดินไปบอกไอติมกับแฟนมัน ว่าขออยู่ที่คอนโด ไม่ออกไปเที่ยวข้างนอกด้วย แน่นอนไอติมโวยวายใหญ่ และน้องเฟมก็ไม่ยอม

“ผมให้ไอ้วินมันจองโต๊ไว้แล้วนะครับ”
“นั่นสิ มึงไม่ต้องห่วงเลยเว้ย กูเลี้ยงเอง”

ก็นั่นแหละที่ผมห่วง อีกอย่าง ถึงจะอยากเห็นไอ้สกายบาร์อะไรนี่แค่ไหน แต่ก็คิดไว้แล้วว่าคงไม่ใช่ที่สำหรับผม ขืนไปก็คงรู้สึกผิดที่ผิดทาง ไม่จอย

“กูเพลียจริงๆ มึง เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน วันนี้ก็ตื่นโคตรเช้า แล้วยังออกไปสยามทั้งวันอีก กูแทบไม่ได้งีบเลย ไม่ไหวจริงๆ ว่ะ มึงไปกันเถอะ”
“แต่มึงยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ”
“ใต้คอนโดเป็นมินิมอลมึง มีแม็กซ์แวลู ร้านอาหาร ร้านนั่งอะไรมีหมด กูลงไปซื้อขึ้นมากินเองได้” ผมเถียง “มึงไปกันเหอะนะ พรุ่งนี้กูนัดเซนแต่เช้าด้วย กลัวตื่นสาย กูไปแบบง่อยๆ จะทำพวกมึงกร่อยซะเปล่า”
“นี่พี่ตี้ยังจะไปเที่ยวกับ… เอ่อ พี่เซนอีกเหรอครับ”

นี่ก็อีกคน ทำไมวะ กลัวเซนจะทำมิดีมิร้ายผมเหรอ น่ารักขนาดนั้น ควรกลัวผมมากกว่ามะ แล้วถ้าเขาเกิดชวนผมทำอะไรกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่แน่นะ

“ครับ”
“แต่…”
“ถ้าพี่เขาไม่อยากไปจริงๆ ก็ให้เขาพักเถอะ”

เสียงบุรุษที่สี่แทรกเข้ามาในวง เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ค หล่อ หรู แฟชั่นแนวคนลูกคนรวย เตรียมพร้อมจะตะลุยราตรีเต็มที่ ไม่ต่างจากอีกสองหนุ่มเท่าไหร่นัก (แค่หล่อกว่า)

“ขอโทษนะเฟม ไว้พรุ่งนี้นะ พี่ไม่ไหวจริงๆ”
ผมบอกน้อง
“เห้ย ตี้ มึงไปกับพวกกูเถอะ ไม่ดึก กูสัญญา”
ไอติมยังไม่ยอมแพ้
“อย่าห่วงเลยครับพี่ติม” ไอ้เด็กวินบอก “เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนพี่เค้าเอง ผมก็เพลียๆ เหมือนกัน พี่กับไอ้เฟมจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองด้วย”

หืมมมมม อะไรนะ?
ไม่ใช่แค่ผมที่อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไอติมกับน้องเฟมก็เหมือนกัน

“มึงก็จะไม่ไปเหรอ”
น้องเฟมถาม
“เบื่อจะเป็น third wheel ให้มึงแล้ว แล้วไอ้สกายบาร์อะไรนี่ก็ไม่ใช่ทางกู ไม่อยากไปแต่แรกแล้วว่ะ โทษที”

ใช่ ผมจำได้ว่ามันเคยบอกผมว่ามันไม่เที่ยว ตอนที่เจอกันครั้งแรก
ไอติมหันมาสบตาผมแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

“งั้น พี่ฝากเพื่อนพี่ไว้กับวินด้วยนะ ช่วยดูให้มันกินข้าวกินปลาด้วย ผอมจะแย่แล้วเนี่ย”
“น้อยๆ หน่อย กูไม่ได้เป็นง่อย” ผมด่า “สรุปว่าตามนี้นะ เที่ยวให้สนุกนะเฟม ขอโทษนะครับ ช่วยดูไอ้ติมมันด้วย อย่าให้มันเมามาก”
“ได้ครับ งั้น พี่ตี้พักผ่อนเยอะๆ นะครับ ไม่ต้องห่วง เดี่ยวเฟมเที่ยวเผื่อ”

ผมยิ้มรับ เอาจริง ไอติมกับน้องเฟมคงดีใจเหอะ ที่ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองซะที ไม่ต้องคอยระมัดระวังคำพูด หรือเกรงใจเพื่อนของอีกฝ่าย ที่ต่างคนก็ต่างไปกันไม่ได้อย่างผมกับไอ้เด็กวิน

เมื่อตกลงได้ตามนั้น ผมเลยเดินกลับไปในห้องพัก ล็อคประตู แล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ในหัวนึกทบทวนบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้น และยังงงกับท่าทีของไอ้เด็กวินไม่หาย คืออะไร แต่งหล่อซะขนาดนั้น จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจไม่ไป เพียงเพราะผมไม่ไปด้วยแค่นี้เหรอ หรือมันจะเพลียจริงๆ แถมนี่ยังเปิดโอกาสให้สองคนนั้นได้ไปสวีทกันสองต่อสองอีก นี่มันเปลี่ยนใจแล้วหรือไงวะ ไม่ขัดขวางแล้วเหรอ หรือแกล้งทำเป็นดีให้ตายใจ หรือมีแผนชั่ว

แล้วทำไมผมต้องรู้สึกดีใจด้วยเนี่ย

โว้ย

+++

ประมาณสองทุ่มครึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมลังเลที่จะเปิด แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่คอนโดเขา เราอยู่ฟรี

“หิวรึยังครับ ไปหาอะไรกินกันไหม แถวนี้ก็ได้”

เป็นคำชวนสุภาพ เรียบง่าย จากปากเด็กผู้ชายหน้าตาดีที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์ม เรียบร้อยแล้ว แถมยังสวมแว่นสายตากรอบเงินทรงกลม ทำเอาผมใจสั่น เพราะแพ้คนใส่แว่นเป็นทุนเดิม

เอาวะ ผมตัดสินใจจะสงบศึกชั่วคราว จนกว่าอีกฝ่ายจะทำตัวน่ารังเกียจอีก เลยพยักหน้าตอบรับ

“งั้นเดี๋ยวผมออกไปรอข้างนอกนะครับ”

พอเจ้าตัวเดินกลับไป ผมก็รีบทึ้งกระเป๋าเดินทางของตัวเองทันที

จะใส่อะไรดีวะเนี่ย เสื้อผ้าที่เอามา ดูไม่โอเคไปหมดเมื่อเทียบกับไอ้เด็กวินที่แค่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงวอร์มก็หล่อทะลุเพดานคอนโดไปแล้ว

ว่าแต่ กินแถวนี้ใช่ไหมวะ เพื่อป้องกันการเข้าร้านแพงๆ ผมเลยเลือกใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นออกไป

ไอ้เด็กวินนั่งรออยู่ที่โซฟาหน้าทีวี
“ไปชุดนี้ได้ไหม”
ผมถาม
“ครับ”
ได้ผล ผมค่อยโล่งใจ
“พี่อยากกินอะไร”
มันถาม เมื่อลิฟต์พาลงมาถึงล็อบบี้คอนโดพอดี
“อะไรก็ได้”
“ถ้าเดินย้อนไปอีกหน่อย จะเป็นย่านหอพักนิสิต มีอาหารขายเยอะ เดินไหวไหมครับ”
แหม ถามตัวเองก่อนเถอะ ตั้งแต่มาอยู่นี่ เคยเดินบ้างหรือยัง
“เอาสิ”

ผมเดินตามมันไปเรื่อยๆ พยายามกะจังหวะเดินให้สม่ำเสมอ ไม่ให้ห่างจนน่าเกลียด พอถึงย่านของกิน มันก็หันมาพูดด้วย
“หมูจุ่มไหมพี่ หรือจะกินง่ายๆ พวกบะหมี่ อาหารตามสั่ง”
“อะไรก็ได้ แล้วแต่คุณเลย”
“พี่กินที่อยากกินเถอะ ไม่ต้องเกรงใจผม”
“คุณอยากกินหมูจุ่มใช่ไหม งั้นกินหมูจุ่มก็ได้”
“นั่งนานนะ พี่แน่ใจนะ”
ผมถอนหายใจ
“งั้นกินอาหารตามสั่งก็ได้”
“หมูจุ่มละกัน ถ้าพี่โอเค”

เอ๊า

มันเดินนำไปยังโต๊ะที่ว่าง แล้วหยิบรายการอาหารส่งให้ ผมรับมาแล้วหยิบปากกากำลังจะติ๊กสั่ง
“เออพี่ ผมไม่กินเครื่องในนะ”
 “แล้ว?”
“พี่จะได้ไม่สั่งไง”
โอเค ผมเลื่อนไปดูรายการอาหารอย่างอื่น ปลาหมึกกับกุ้ง คือไม่พลาด
“เอ่อ ผมแพ้อาหารทะเล”
ปากกาที่กำลังจะจรด หยุดกึกอยู่แค่นั้น ผมวางกระดาษลงแล้วจ้องหน้า
“แต่ถ้าพี่จะสั่งก็สั่งได้นะ ถ้าแค่อยู่ในหม้อเดียวกัน คงไม่เป็นไรมั้ง”
“คุณจะสั่งอะไรก็สั่งมาเหอะ” ผมบอกอย่างรำคาญ “ผมกินได้หมดแหละ”

สรุปก็ได้พวกหมู เนื้อ ลูกชิ้น ปลาหมึก และผัก ไอ้เด็กวินให้เหตุผลว่า ปลาหมึกถ้าไม่กิน คงไม่แพ้ ไม่เหมือนกุ้งที่แค่อยู่ในน้ำซุปก็ทำให้ผื่นขึ้น หายใจไม่ออกได้แล้ว

ระหว่างที่รอให้หม้อเดือด ไม่รู้จะทำอะไร ก็มองไปรอบๆ ร้านเพื่อฆ่าเวลามันอึดอัดแปลกๆ เหมือนกันนะ กับการมากินข้าวกับคนแปลกหน้าเนี่ย และยิ่งเป็นเมนูที่ต้องแชร์กันอย่างหมูจุ่มนี่ด้วย

“มากินร้านนี้บ่อยไหม”
ผมลองชวนคุยดู
“ไม่ครับ นี่ครั้งแรก”
อ่อ คงงั้นแหละ ร้านข้างทางนี่เนอะ
“ตักก่อนเลย”
ผมบอกเมื่อหม้อเดือดได้ที่แล้ว มันบอกขอบคุณทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด
“ชอบกินหมูจุ่มเหรอ”
“ไม่ได้ชอบขนาดนั้นครับ แต่ก็กินได้”

ผมงงกับตอบ แต่ช่างแม่งเถอะ ผมตักทานบ้างเพราะเริ่มหิว รสชาติน้ำซุปโอเคเลย แต่น้ำจิ้มยังอ่อนไปนิด

“ทำไมอยู่ๆ ถึงใจดี ปล่อยให้เขาไปกันสองต่อสอง”
มันเงยหน้าขึ้นมาจากชาม
“ผมก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรนี่ครับ แค่ไม่เห็นด้วย”
เหรอออออ
“แต่ทุกทีไม่เห็นพลาด…”
“ผมว่าผมให้เหตุผลไปแล้วนะครับ ว่าทำไม” มันสวนกลับทันทีโดยไม่รอให้ผมพูดจนจบประโยค “เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากเถียงกับพี่ตอนนี้”

จ้า ไม่เสือกก็ได้จ้า (เสียงแมท ภีรนีย์)

ก็ดี ผมก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จะตั้งใจกินเงียบๆ อย่างเดียวก็แล้วกัน เพราะเอาจริงๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ได้มั้ง ที่ได้นั่งกินข้าวสองต่อสองกับคนหน้าตาดี ขาว ตี๋ ถูกสเป๊คขนาดนี้ เสียแต่นิสัยใจคอที่คงไปกันไม่ได้ และมันไม่ได้สนใจผมก็แค่นั้นเอง

แต่ยังไงก็ขอมโนแป้บ

“แล้วพี่อะ ทำไมถึงไม่ไป”
อะ ไหนบอกจะไม่คุยเรื่องนี้
“ไม่อะ ไม่ใช่แนว” ผมบอก “เหนื่อยด้วย นี่ว่าก็พูดไปแล้วนะ”
ไอ้เด็กวินยิ้มที่มุมปาก
“โอเคไหมพี่”
“โอเคอะไร”
“หมูจุ่มนี่ไง”
“ก็ดี แต่ร้านที่เชียงใหม่น้ำจิ้มอร่อยกว่า” พูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสียมารยาท “แต่… ร้านนี้ก็อร่อยดี ของสดดี”
ผมพยายามแก้ตัว
“อร่อยกว่านี้อีกเหรอ”
“ก็นิดนึง”
“โอเค ไว้ไปคราวหน้าจะไปชิม พี่พาไปด้วยละกัน”

ประโยคสุดท้าย ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยหมูจุ่มเพื่อเมคชัวร์ แต่คนพูดกลับยุ่งอยู่กับหม้อหมูจุ่มและถ้วยน้ำจิ้มของตัวเอง ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ

มันคงพูดไปงั้นเอง อารมณ์หมาหยอกไก่ แต่ผมนี่คิดไปไกลแล้ว และมันก็คงรู้ตัวด้วยว่าได้ผล

“ว่าแต่ พี่เปลี่ยนใจหรือยังเรื่องนัดเจอไอ้พี่เซน”

อ้อ อย่างนี้นี่เอง

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ โดย Ben Puppanont : Update ตอนที่ 6 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-02-2019 13:13:06
รู้อะไรมาก็บอกมาสิ ห้ามแบบนี้คนที่ไหนตะยอมทำตาม
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 7 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 08-02-2019 16:45:02
7

“โห นึกว่าจะตี้จะไม่มาแล้ว”

นั่นคือคำทักทายแรกของเซน ที่มารอผมอยู่ในร้านกาแฟใต้ตึกสยามกิตติ์ (ซึ่งผมต้องใช้เวลาถอดข้อมูลจากกูเกิลพอสมควร ถึงได้รู้ว่าไอ้ตึกสยามกิตติ์นี่มันอยู่ตรงไหน)

“ทำไมคิดงั้นอะ”
“ก็เห็นบอกว่าจะออกมาตั้งแต่ตอนสิบโมง”
ผมมองนาฬิกา ตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว
“โทษทีครับ ก็บ้านนอกอะ ไม่ใช่เด็กสยามแบบเซนนี่ จะได้รู้ทุกซอกทุกมุม รู้ว่าตึกไหนเป็นตึกไหน”
“เห้ย เซนแค่แซวเล่นเฉยๆ แล้วนี่ตี้อ้วนขึ้นปะเนี่ย”
เพิ่งเจอก็ทักกันงี้เลย ผมชักสีหน้าใส่
“เปล่า จะบอกว่าหล่อขึ้นต่างหาก อย่าผอมไปกว่านี้นะ”
“นี่ตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ เป็นคนงี้เหรอเนี่ย”

แต่คนโดนด่ากลับหัวเราะร่า โชว์ฟันขาวกับยิ้มน่ารัก

รอยยิ้มที่ไปหมดทั้งหน้าทั้งตา ทำให้ผมนึกไม่ออกว่าคนแบบเซนจะมีอะไรตรงไหนให้ต้องคอยระวังตัว โอเค ผมอาจจะรู้จักกับเซนแค่ไม่กี่เดือนก็จริง แต่มันก็ระยะเวลาพอๆ กับไอ้คนที่เตือนผมเลยปะวะ แล้วอีกอย่างผมก็คุยกับเซนตลอดทางไลน์ อีกฝ่ายเสียอีก ที่ไม่เคยมีอะไรต้องข้องแวะกันเลย จนกระทั่งเมื่อวานนี้

ที่ผมพูดไม่ได้หมายความว่าใครน่าเชื่อถือกว่าใคร หรือคิดตัดสินไปแล้วว่าไอ้เด็กวินโกหก เปล่าเลย แต่ผมเข้าใจว่าสองคนนี้คงน่าจะมีอิชชู่ และไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ อาจจะเพราะท่าทางไว้ตัว หัวสูง ของอีกฝ่าย อย่างที่ผมเองก็เคยเจอมาแล้ว หรือการที่เซนซึ่งเป็นรุ่นพี่คณะไปล้ำเส้นอะไรสักอย่างเข้า แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร วันนี้ผมจะต้องหาจังหวะถามให้ได้อย่างแน่นอน
เราออกจากร้านกาแฟ มุ่งตรงไปยังโรงหนังสกาล่าทันที เนื่องจากเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง แผนของวันนี้คือการมาดูหนังเก่าเรื่อง Labyrinth หนังเก่าปี 1986 เล่นโดย เดวิด โบวี และ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี (ชื่อภาษาไทย มหัศจรรย์เขาวงกต) ที่นำมาฉายในกิจกรรมทึ่งหนังโลก เซนซึ่งเป็นแฟนตัวยงของอีเวนท์นี้ ได้จองตั๋วล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ผมแพลนจะลงกรุงเทพฯ เมื่อเดือนก่อน

ผมไม่เคยดูมาก่อน หนังสนุกและโรแมนติกดี ทำเอาดิ่งไปกับบรรยากาศยุค 80 โน่นเลย หลังจากดูหนังเสร็จ เซนพาไปกินข้าวที่ร้านข้าวแกงลิโด้ ที่ยังเปิดขายอยู่ เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังต้องบริหารงบ แล้วต่อด้วยร้านกล้วยๆ ซึ่งเซนบอกว่าย้ายมาจากโรงหนังลิโด้เก่าเช่นกัน ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่เมนูขนมอร่อยดี และเซนดูจะเอนจอยมาก

เราทานกันเสร็จตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า สยามสแควร์ในวัยเสาร์คนจะเบียดเสียดถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะภายในห้างและทางเชื่อมรถไฟฟ้า เซนจึงชวนหนีความวุ่นวาย เดินลัดเลาะในจุฬา พาชมสถานที่ต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย จนไปสุดที่สวนสาธารณะ จุฬาฯ 100 ปี ซึ่งผมแบบ โอ้โห มาก

มหาวิทยาลัยรวยแบบ รวยโคตร สถานที่กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน ตึกเรียน อาคารต่างๆ ดูหรูหรา น่าเรียน น่าอยู่ไปหมด แถมยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ห้างสรรพสินค้า และคอนโดสูง ซึ่งเป็นของมหาวิทยาลัยเอง เอาแค่มีสวนสาธารณะไฮโซเว่อร์วังเป็นของตัวเองได้นี่ คงไม่ต้องเอามาเปรียบกับมหาวิทยาลัยเล็กๆ พื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย แถมวิทยาเขตใหม่ยังไปสร้างไกลถึงในป่าในเขา (เคยไปแค่ครั้งเดียว) อย่างมหาวิทยาลัยผมให้เสียเวลา

ตื่นตาตื่นใจไปกับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศเสียนาน จนลืมไปเลยว่า ตั้งใจจะถามอะไรเซน หลังจากถ่ายรูปกับวิวสวยๆ อัพไอจีเสร็จ ผมจึงชวนให้เซนมานั่งพักแล้วเข้าเรื่องทันที

“เออ เซน ถามไรหน่อยดิ”
“เรื่องไรอะ” เซนทำหน้าสงสัย “จะจีบเซนเหรอ”
“อ่านะ” ผมกลอกตาแก้เขิน “คือจะถามเรื่องเซนกับ… น้องที่ชื่อวินอะ เคยมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”
“ทำไมอะ เคยถามไปแล้วนี่นา อยากรู้อะไรอีก”
“ก็คราวก่อนยังถามไม่ละเอียดเลย”
“อะ ตี้อยากรู้ไปทำไมเหรอ บอกมาก่อน”
“ตรงๆ เลยนะ คือเพื่อนเรามันจีบน้องเฟมอยู่ เราเลยอยากรู้ว่าน้องเขานิสัยเป็นยังไง”
“เพื่อนแน่เหรอ” เซนทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ไม่ใช่ตี้หรอกเหรอ”
“เหอะ เขาคงมองเราหรอกนะ”
“แล้วตี้ ไม่เคยถามน้องเขาตรงๆ เหรอว่าทำไม”
“ไม่อะ ไม่ได้สนิทขนาดนั้น แต่เห็นเซนเคยพูดทำนองว่าน้องเขาไม่โอเค ใช่ไหม”
“จริงๆ เซนก็ไม่อยากจะพูดถึงใครในแง่ร้ายหรอกนะ แต่ถ้าตี้อยากรู้ เซนก็จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ละกัน”
“คือ… เซนก็เคยจีบน้องเฟมเหมือนกัน เมื่อปีที่แล้ว ตอนช่วงรับน้อง น้องเฟมเป็นน้องบ้านที่เซนทำอยู่ เคยบอกไปแล้วใช่ไหม”

เซนเล่าเรื่องต่างๆ ที่ไม่ได้ไกลไปจากที่ผมคาดเดาเอาไว้นัก ตั้งแต่ที่เริ่มสนิทกับน้องเฟม แล้วโดนกันซีนจากไอ้เด็กวิน แต่ที่ช็อคกว่า คือผมไม่คิดว่าจะถึงขั้นที่เซนกับน้องเฟมมีอะไรกันแล้ว และกำลังจะเริ่มคบกัน แต่ในที่สุดก็ไม่ได้คบ เพราะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นซะก่อน ซึ่งเจ้าตัวขอไม่พูดถึง แต่ให้คำจำกัดความว่า ‘Happy Ending’ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เสียใจ เสียเวลา หรือเสียอนาคตไปมากกว่านี้

“เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ ตอนหลังเซนถึงมารู้ระแคะระคายว่า สองคนนี้เขาไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา แต่เขาคบกันอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคบยังไงนะ open relationship มั้ง เลยยอมให้อีกคนไปมีอะไรกับคนอื่นได้ เซนไม่ได้โกรธตรงนั้นเลยเว้ย เซนถือว่าเซนทำตัวเอง เพราะเซนเดินเข้าไปหาน้องเค้าก่อน”

สิ่งที่เซนพูด ทำให้ผมรู้สึกเห็นใจ และเหมือนกำลังมองเห็นอนาคตไอติมเพื่อนรักอยู่รำไร

“แต่ที่ไม่โอเคคือที่น้องวินเขามาดูถูกเซน คิดว่าเซนจะไปเกาะแฟนเขานี่แหละ จริง ๆ มันมีอะไรเยอะกว่านี้อีก แต่คนดี ๆ อย่างตี้ อย่าไปรับรู้มันเลยจะดีกว่า เอาเป็นว่าเซนตัดสินใจถูกแล้ว ที่เลิกข้องเกี่ยวกับสองคนนั้น ต่อไปนี้ ถ้าเซนจะมีแฟน เซนขอมีความสัมพันธ์แบบธรรมดาๆ กับคนที่มีแบ็คกราวน์ มีความคิดมีไอเดียเกี่ยวกับการคบหาที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ป่วยๆ แบบนั้น”

ผมมองตาเซน และรู้ว่าเขาพูดจริงทุกคำ

“ขอบคุณนะ ที่ไว้ใจ เล่าให้ฟัง”
“ว่าแต่ตี้เหอะ เรื่องเพื่อนจริงๆ ใช่ไหม”
เรื่องเพิ่งผ่านไปแค่ปีเดียว ยังมีอารมณ์มาแซวผมได้ ถือว่าเป็นคนที่ทัศนคติดีใช้ได้
“จริง สาบาน”
“ค่อยโล่งอก ดีแล้ว” เซนทำท่ายืดตัว ชูมือขึ้นฟ้า “แล้วนี่เหนื่อยยัง”
“ก็นิดนึง”
“วันนี้อากาศร้อนไปหน่อย งั้น ขึ้นไปตากแอร์เย็นๆ ให้หายเหนื่อยก่อนไหม ห้องเราอยู่ตรงโน้นแน่ะ”
เขาชี้ไปยังคอนโดใกล้ๆ
“อ้าว อยู่ตรงนี้เองเหรอ หลอกให้เดินมาส่งนี่นา”
“อึ้ม” อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ “เอามะ ไปนอนก่อนสักงีบ เดี๋ยวค่ำๆ ค่อยลงมาอีกที บรรยากาศดีกว่าตอนนี้อีก รับรองได้รูปเด็ดเพียบ ไอ้พวกตึกพวกนั้นอ่ะ ต้องรอให้เปิดไฟตอนค่ำ ถึงสวย”

ผมคิดตาม ก็คงสวยจริงๆ แต่ถ้าขึ้นไป จะเกิดไรขึ้นบ้างนะ
เอาวะ

“เอางั้นก็ได้”

เซนลุกขึ้นร้องเย้ แล้วยื่นมือมาให้จับ ผมมองใบหน้าหล่อๆ และรอยยิ้มสดใส แล้วก็ใจเต้น
พอลุกขึ้นแล้วผมก็ปล่อยมือจากเซน เพราะความเขินบวกกับไม่ชิน ระหว่างทางออกมาจากสวน ผมก็คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ที่อาจจะเกิด เมื่อผมขึ้นไปถึงห้องของเซนแล้ว เราอาจจะแค่คุยกันนั่นนี่ แล้วงีบจริงๆ หรืออาจจะ…

ผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเพื่อเรื่องแบบนั้น แต่อีกใจหนึ่ง นี่คือเซนนะเว้ย น่ารักขนาดนี้ ผมต้องคว้าโอกาสปะวะ แต่ว่า อาจจะแค่ภายนอก ใช่ ต้องแค่ภายนอกไปก่อนแหละ เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวมาเลยไง อีกอย่าง ไม่รู้อีกว่าเซนเป็นแบบไหน ถึงเจ้าตัวจะดูแมนๆ ก็เถอะ แต่ถ้าจะให้ผมรุก

โอย แค่คิดก็ขาสั่นแล้ว

ผมหันไปมองเซน อีกฝ่ายยิ้มๆ แต่ออกจะชิลๆ กว่า นี่คงวางแผนมาทั้งเดือนแล้วสินะ
เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดไกล เกิดมันไม่มมีอะไรเลย เดี่ยวจะหน้าแตก

“พี่ตี้!”

เสียงคุ้นๆ ลอยเข้ามากระแทกหูดังๆ
ผมมองออกไปที่ถนนด้านหน้าสวน เบนซ์ป้ายแดงคันคุ้นตาจอดติดเครื่องอยู่ กระจกลดลงครึ่งหนึ่ง คนขับผลักประตูเปิดออกแล้วออกคำสั่ง

“ขึ้นรถ!”

ผมยังคงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไอ้เด็กวินมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วทำไมมันต้องตะโกนสั่งผมด้วย

“ผมบอกให้ขึ้นรถไง”
ผมหันไปหาคนข้างๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เซนกำลังหน้าซีดเผือด
“ไปเถอะตี้ ไว้เจอกันนะ”
แล้วก็เดินออกไป
“เซน”
ผมเรียกตาม ส่วนไอ้เด็กวินเดินอาดๆ มาคว้าแขนผม
“ไปขึ้นรถ”
“เห้ย เป็นไรมากป่ะ”
“พี่นั่นแหละ เป็นไรมากปะ หรือว่าชอบแบบนี้”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย”
“ไปที่รถ ให้ผมจะอธิบายให้ฟัง” เหมือนจะรู้ว่าตะคอกแล้วไม่ได้ผล น้ำจึงเสียงอ่อนลง “หรืออยากจะตามมันไปก็ได้นะ ตามใจพี่เลย”

ผมหันไปทางที่เซนเดินจากไป แต่ไม่เห็นตัวแล้ว
สีหน้าท่าทางไอ้เด็กวินดูจริงจังสุดๆ ผมรู้สึกถึงมือใหญ่ๆ ร้อนๆ ที่จับอยู่ที่แขน

“ปล่อย”
“ขอโทษครับ” มันทำท่าประหม่า “ไปที่รถเถอะครับ ผมมีอะไรจะให้พี่ดู”

ผมไม่มีทางเลือกอื่น เลยต้องเดินตามมันไปขึ้นรถที่จอดอยู่
“แล้วนี่คุณมาได้ไง”
ผมถาม ขณะที่มันกำลังยุ่งอยู่กับไอแพดในมือ
“ในเฟสบุ๊คไง ปักโลเคชั่นหราขนาดนั้น”
“แล้วมาทำไม”
ไอ้เด็กวินยื่นไอแพดให้ แล้วออกรถ
“อะ ดูซะ”

ผมรับมาดู หน้าจอเป็นเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นแอคเคาท์ด้านมืดของเกย์

“นี่ของใคร เซนเหรอ”
“แล้วคิดว่าของใครล่ะ”
“ไม่เชื่ออะ แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเขา หน้าก็ไม่เห็น”
“งั้นก็ลองตามมันขึ้นไปไหม อ้อ เผ่นแน่บไปแล้วนี่ แต่ไม่เป็นไร ผมจำห้องมันได้ ถ้ามันไม่ได้ย้ายไปซะก่อนนะ จะให้วนกลับไหม”

ถึงจะปฏิเสธว่าคนในรูปและคลิปต่างๆ ไม่ใช่เซน แต่ผมก็เชื่อไปเกินครึ่งแล้วว่าไอ้เด็กวินพูดจริง

อึ้งอะ เอาจริง

“แล้วถ้าไม่ใช่เขาล่ะ คุณจะรับผิดชอบยังไงที่ไปกล่าวหาเขา”
“ถ้าอยากแน่ใจก็ลองสมัครกลุ่มคลิปกับไลฟ์สดของมันดูเองละกัน”

ผมส่งไอแพดคืนเจ้าตัว พยายามทำความเข้าใจ การมีทวิตด้านมืดมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเกินรับ แต่ดูจากไทม์ไลน์ในทวิตแล้ว เจ้าของทวิตมีคู่นอนไม่ต่ำกว่ายี่สิบ ทั้งหญิงและชาย แถมยังเบลอหน้าคู่นอนแค่บางๆ ด้วย บางอันก็ไม่เบลอ

“อ้อ หรือจริงๆ คือพี่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นพวกนัดยิ้มทำคลิปขาย ผมเข้าใจละ ที่พี่รู้จักกับมันก็เพราะแบบนี้ใช่ไหม แล้วนี่คือผมมาขัดจังหวะถูกไหม”

โอ้โห ดูถูกกันเบอร์แรงมาก ถึงผมจะดูจนตรอกเรื่องเซ็กส์ยังไง ก็ไม่ถึงเบอร์นั้นปะ เอ๊ะ หรือถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ผมก็อาจจะ …

“ถ้าคุณคิดกับผมแบบนั้น แล้วคุณมาช่วยผมไว้ทำไม”
“เพราะผมไม่อยากให้พี่ตกเป็นเหยื่อมันไง ถ้าไม่ใช่ก็ดีไป แต่ถ้าพี่มีรสนิยมแบบนี้ ผมก็ขอโทษด้วยละกันที่จุ้นจ้าน”

ผมไม่ควรโกรธ เพราะรู้ว่ามันหวังดี และตัวเองเป็นอย่างที่มันด่าจริงๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกโกรธและน้อยใจอยู่ดี ไม่รู้ทำไม
ในสายตาคนสูงส่งอย่างมัน คงมองเห็นผมกับเพื่อนๆ เป็นพวกเด็กบ้านนอกตลาดล่าง เป็นประชากรคุณภาพต่ำของประเทศกระมัง ผมจึงนั่งเงียบไปตลอดทาง ไม่ขอบคุณ ไม่อะไรทั้งสิ้น ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามันจะขับพาไปไหน

+++

ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็คข้อความในไลน์ที่ส่งไปหาเซนตั้งแต่แยกกันเมื่อชั่วโมงก่อน แต่จนตอนนี้ เซนก็ยังไม่อ่านและตอบกลับ ยิ่งทำให้สิ่งที่ไอ้เด็กวินบอกดูจริงยิ่งขึ้น

รู้สึกเหมือนอกหักยังไงก็ไม่รู้ว่ะ

ไอ้เด็กวินก็เหมือนเดิม นึกอะไรไม่ออก ขับรถพามากินข้าวในร้านหรู คราวนี้เป็นร้านศรแดง ร้านที่อยู่คู่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยมากว่า 80 ปี (มันบอก)

“สั่งได้เลยนะ ผมเลี้ยงเอง ร้านนี้อร่อยทุกอย่าง”
แหงล่ะ
“ไม่เป็นไร กินมาแล้ว”
“ผิดหวังเหรอครับ มันไม่ตอบไลน์ละสิ ถึงกับกินอะไรไม่ลงเลยทีเดียว”
“ก็บอกว่ากินมาแล้ว” ผมเถียง “แล้วถึงเซนเขาจะมีด้านมืดจริง มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเลวไปหมดทุกอย่าง”

พูดเองยังรู้สึกไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเลย

“ไม่มีคนดีที่ไหนที่หลอกคนมานอนด้วย แล้วเอาคลิปแอบถ่ายไปขายในเน็ตหรอกครับ ผมพูดถูกไหม”

คราวนี้ถึงกับเถียงไม่ออกเลยทีเดียว ไอ้เด็กวินสั่งอาหารจากเมนูในจำนวนที่น่าจะมากเกินกว่ารับประทานกันสองคน ผมก้มลงดูโทรศัพท์อีกครั้ง

“ผมรู้ ว่าผมพูดอะไรไปพี่ก็คงจะไม่เชื่อ”
ก็แน่ล่ะ มึงดูเกลียดเขามาก ผมคิดในใจ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็หาคำตอบเอาเองละกัน แต่ผมของเตือนไว้อย่าง ถ้าไม่อยากเป็นดาราคลิปหลุดก็อย่าอยู่กับมันสองต่อสอง”
“เคยหลุดมาแล้วงั้นสิ”

พอพูดเสร็จก็นึกโกรธตัวเองที่ปากไว มันทำหน้านิ่ง ไม่ตอบ ผมเลยทำเป็นไถเฟสบุ๊คเล่นต่อ

“แล้วสองคนนั่นไปไหน”
ผมถาม
“ไปเดินไอคอนสยาม ป่านนี้คงกลับถึงคอนโดแล้ว”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่สวนจุฬาฯ 100 ปี ผมเช็คเฟลบุ๊คดูแล้ว วันนี้ผมเช็คอินแค่ที่สกาล่ากับจุฬาฯ”

ไอ้เด็กวินเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือของตัวเองบ้าง ทำหน้าเหมือนคนพยายามนึกคำตอบแต่เก๊ก พยายามคีพลุค

“มันก็ไม่ได้ยากปะ ถ้าอยู่แถวนั้น ก็มีโอกาสที่มันจะชวนพี่ขึ้นคอนโด ดักรอแถวคอนโดก็ง่ายสุดแล้วปะ ยังไงก็ขอโทษอีกทีนะครับ ที่ไปขัดจังหวะ”

ผมเลิกคิ้วใส่มัน ได้ทีละใส่เอาใส่เอา

“อ้อ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นห่วงหรือพิศวาสอะไรพี่ด้วย สบายใจได้ พี่ไอติมกับไอ้เฟมแค่ขอให้ผมช่วยตามมาดูพี่เฉยๆ สองคนนั้นต่างหาก ที่กลัวว่าพี่จะเสียท่าไอ้เซน ถ้าจะขอบคุณก็ไปขอบคุณสองคนนั้น ถ้าพี่นึกอยากจะขอบคุณอะนะ”

ไม่น่าเลย ไม่น่าคิดว่ามันอาจจะรู้สึกดีผมบ้าง ถึงจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองแค่แว่บเดียวก็เหอะ

เออ กูมันไม่ใช่คิวท์บอยนี่นะ ช่างแม่ง ไหนๆ ก็ถูกมองต่ำละ อาหารมาพอดี กูจะฟาดให้เรียบ เอาให้กระเป๋ามันแห้งเลยคอยดู

“จะเลี้ยงใช่ไหม”

ผมถาม มันมองสำรวจก่อนตอบว่า ‘อือ’
ผมตักอาหารใส่จานตัวเอง แล้วยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารเพิ่ม

+++

ไอติมกับเฟม รออยู่แล้วที่คอนโดพอผมกลับไปถึง ก็ทักทายทั้งสองคนลวกๆ แล้วเดินเอาของไปเก็บของในห้องนอน ไอติมเดินตามเข้ามายิงคำถาม

“ตี้ มึงโอเคปะวะ”
“เออ”
“เฟมบอกกูหมดแล้วนะ เรื่องไอ้เซนอะไรนั่น มึงไปรู้จักมันได้ยังไงวะ”
“ช่างแม่งเหอะ”
“เออ มึงไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ต้องเสียใจนะเพื่อน เดี๋ยวกูหาใหม่ให้มึงเอง”
“พอเหอะมึง ออกไปเลยไป กูจะงีบแป้บ”
“ได้ๆ ตื่นแล้วรีบอาบน้ำเลยนะมึง คืนนี้ไปเมากัน ห้ามเบี้ยว กูสัญญาว่าว่าจะทำให้มึงอารมณ์ดีให้ได้”
“เออ ขอบใจเว้ย ไปได้ละ ปิดประตูให้ด้วย”

ไอติมรับคำสั่ง แล้วเดินออกไป
ก่อนประตูจะปิดลง ผมเห็นไอ้เด็กวินมองเข้ามาจากด้านนอก

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 7 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 08-02-2019 17:16:16
วินนี่พระเอกจริงดิ ดูทัศนะคติแย่ๆอะ อย่าไปชอบเลยตี้ เล่นตัวเยอะๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 7 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-02-2019 20:42:45
ประชดประชัน​กัน​ตลอด​
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 7 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-02-2019 21:52:58
 :3123: :pig4: :3123:

 o13
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 7 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 08-02-2019 23:21:56
จิกกัดกันตลอด อีกคนพยายามจะมโนแต่สุดท้ายก็ยังไม่คืบหน้า
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 7 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lonesomeness ที่ 08-02-2019 23:52:49
นังเซน มันร้ายนัก!
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 7 (08-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 09-02-2019 02:26:35
วินคุงพระเอกเว่ออสุด  :hao6:
แต่คือชอบตี้เพราะนิสัยตรงกันมากประชดเก่ง ปากไวมากก  :z3:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 8 (10-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 10-02-2019 05:41:39
8

จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้งีบเลย

ผมนอนคิดตลอดสองสามชั่วโมงนั้น จนกระทั่งไอติมเดินมาเคาะประตูเรียก

เซนไม่ตอบข้อความ นั่นยิ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าไอ้เด็กวินพูดถูก
และไอ้เด็กวิน ถ้ามันไม่เข้ามาขวางตอนนั้น ผมเองก็คงปล่อยให้ตัณหาหน้ามืด และความต้องการของตัวเองทำลายคุณค่าที่มีเพียงน้อยนิดทั้งหมดของตัวเองลงไปแล้วแน่ๆ

ผมไม่ใช่คนที่เข้มแข็งเลยสักนิด ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเด็กผู้ชาย ผมนี่โคตรอ่อน อ่อนเป็นขี้ผึ้งโดนไฟนั่นเลย
พอนึกขึ้นได้แบบนี้ก็รู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดจนน้ำตาไหล

หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ชอบชีวิตตัวเองเลย มันไม่ถึงกับแย่ แต่มันก็ไม่ใช่ชีวิตที่ดี สมมติถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับไปบอกอะไรกับตัวเองในวัยสิบขวบได้ ผมจะบอกเด็กคนนั้นว่า อย่าโตไปกว่านี้เลย ขอร้อง

ผมลุกขึ้นจากเตียง เตรียมเสื้อผ้า เตรียมตัวอาบน้ำ ตั้งใจว่าคืนนี้จะเมาให้มันลืมไปเลย และสิ่งที่ผมไม่ชอบมากๆ จนอยากจะลืม ก็คือสายตาแสดงความห่วงใยปนสงสารของทั้งไอติม น้องเฟม และไอ้เด็กวิน นั่นเอง

ผมจะบอกคนพวกนี้ยังไงดี ว่าผมกับเซนไม่ได้อะไรกันขนาดนั้น เราไม่ได้จีบกัน ผมไม่ได้เสียใจที่เซนกลับกลายเป็นคนแบบนี้ (ถ้าเขาเป็นจริงๆ) แต่เสียใจที่ตัวเองประพฤติตัวน่าดูถูกต่างหาก

ผมถือวิสาสะ แอบเดินไปหยิบเบียร์กระป๋องใหญ่จากตู้เย็นในครัวขณะตัดสินใจลงแช่ในอ่าง (ไม่ค่อยได้เจอห้องที่มีอ่างอาบน้ำบ่อยๆ เลยขอนิดนึง) ตั้งใจจะซ่อนความละอายแก่ใจด้วยแอลกอฮอล์ตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะถ้ารอให้ถึงตอนมืด อาจจะไม่ทันการณ์

+++

“มา ชน หมดแก้ว”

ไอติมตะโกน ผมยกแก้วขึ้นชนอย่างว่าง่ายตามคำสั่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้ว แต่ยิ่งดื่มยิ่งสนุก ทั้งดนตรี ทั้งบรรยากาศ แม้แต่ไอ้เด็กวินยังดูหล่อ น่ารัก และเป็นมิตรมากเลยในสายตาผมตอนนี้ แปลกใจจัง ทำไมหลายๆ คนชอบพูดว่า ‘ไม่ต้องดื่ม ก็สนุกได้’ เห็นได้ชัดเลยว่า การดื่มมันสนุกกว่าไม่ดื่มเยอะเลย หรือคนพูดมันไม่เคยฟีลกรึ่มๆ วะ

“พักก่อนไหมครับพี่”
ไอ้เด็กวินกระซิบที่ข้างหูผม
“นิดเดียวเอง ถ้าไม่ไหวจะบอก”
ผมตอบ จังหวะนั้นสองผัวเมียกระซิบอะไรกันสักอย่างแล้วยิ้ม มองมาทางเราสองคน
“ยิ้มอะไรมึง”
ผมถามไอติม
“อ้าว กูมีความสุข ยิ้มไม่ได้เหรอ”
“กลับไปยิ้มกันที่ห้องโน่นไป”
“อันนั้นมันของแน่อยู่แล้วเว้ย”
ว่าแล้วก็หันไปชนแก้วกับเมีย ผมเบ้ปาก เป็นจังหวะที่ไอ้เด็กวินยื่นแก้วมาขอชน
ผมผงะไปหนึ่งิว แต่ก็ตัดสินใจชนตามมารยาท
“หมดแก้วนะเว้ย”
ผมบอก
“ได้ครับ”
“อะแน่ะๆๆ ดีกันแล้วเหรอวะ”
ไอติมแกล้งแซว
“จะไม่ดีก็เพราะมึงเนี่ยแหละ”
“อะไรวะ” มันบ่น “ช่างแม่ง ชนๆๆๆ สำหรับคู่จิ้นคู่ใหม่ น้องวินกับพี่ตี้”
ผมยกนิ้วกลางให้มัน แต่ก็ชนแก้วต่อ

“วิน!”

เสียงเล็กๆ ดังแข่งกับเสียงดนตรีด้านหลัง ผมหันไปเห็นน้องผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆ คนหนึ่งกำลังยิ้มให้ไอ้เด็กวิน

“มิว” น้องเฟมทัก “มาได้ไงเนี่ย”
ผมมองหน้าน้องอีกครั้ง เออ ใช่จริงๆ ด้วย ถึงว่าหน้าคุ้นๆ นี่มันสมาชิกวงไอดอลที่เพิ่งประกาดแกรดไปเมื่อกลางปีนี่นา
“ดีคะเฟม สบายดีนะคะ มิวมากับเพื่อนที่คณะอะ”
นางตอบคำถาม แล้วหันไปทางไอ้เด็กวินที่กำลังยืนถือแก้วนิ่งๆ อ่านสีหน้าไม่ออกอยู่
“นี่ พี่ไอติม พี่ตี้ พี่เราเอง นี้น้องมิว รู้จักเนอะ”
เฟมบอก น้องมิวสวัสดีรอบวง คือแบบตื่นเต้นอะ ได้เจอดาราใกล้ๆ
“วิน สบายดีนะ”
นางคุยกับไอ้บื้อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“อ๋อ ก็สบายดี มิวอะ”
“อื้อ สบายดี วินหายไปเลยนะ อ่านไลน์แล้วก็ไม่ตอบ”

ไม่ตอบจริงๆ มันยืนนิ่ง ปล่อยให้น้องเขินหน้าแตกไปเอง อะไรของมึงวะ นี่ไอดอลเดินมาทักมึงเชียวนะเว้ย

“โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”
น้องฝืนยิ้ม แต่ดูก็รู้ว่าแสดง ก่อนจะขอตัวกับพวกเราที่เหลือ

“มึง ชนๆ”
น้องเฟมยื่นแก้วไปชนกับเพื่อนเหมือนอยากจะปลอบใจ ไอ้เด็กวินยิ้มแล้วยกแก้วขึ้ชนอย่างเสียไม่ได้ ผมก็ต้องชนไปกับเขาด้วย บรรยากาศเหนือไม่ไปใต้ไม่มา แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร นอกจากชวนกันชนแก้ว แล้วแหกปากร้องเพลงไปพร้อมๆ กับวงดนตรีต่อ

เข้าใจละ สงสัยจะไม่ใช่เพื่อนธรรมดาๆ เป็นไปได้ว่าน้องมิวคือแฟนเก่าไอ้เด็กวิน และน่าจะเป็นคนที่เพิ่งเลิกไป ถ้าจะยืนซื่อบื้อเหมือนซอมบี้สมองตายได้ขนาดนี้

ก็นะ เฮ้อ อยากน่ารักได้แบบนี้มั่งจัง
โอเค ลืมๆ ไปซะ แล้วแหกปากร้องเพลงต่อ

ผมผละจากโต๊ะไปเข้าห้องน้ำเป็นรอบที่ห้าของคืน พร้อม ๆ กับเช็คข้อความไลน์จากเซน (ไม่มี เยี่ยมมาก แบบนี้ค่อนข้างชัวร์ละ) จึงเปลี่ยนไปตอบไลน์ที่แม่พิมพ์ถามทิ้งไว้ตั้งแต่ชั่วโมงก่อนเรื่องนุ่น เพื่อนที่อยู่มหาวิทยาลัยแถวรังสิต ตอนนั้นเองที่ผมได้พบกับน้องมิว อดีตสมาชิกวงไอดอลอีกครั้ง น้องเดินออกมาจากห้องน้ำหญิง พอเราสบตากัน น้องก็ยิ้มให้อย่างมีมารยาท

ความบ้าดาราบวกกับจำได้ว่าไอ้เตอร์ชอบวงนี้มาก (ถึงจะไม่ได้โอชิน้องมิวก็เหอะ) เลยทำให้ผมปรี่เข้าไปหาน้อง ก่อนจะมีสติรู้ตัวว่าไม่ควรซะอีก

“ขอโทษนะครับน้องมิว ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมอะ”
น้องทำท่าอึ้งๆ
“เอ่อ…”
“อ๋อ ขอโทษครับ พอดีพี่ลืมไปว่าเขามีกฎไม่ให้…”
“อ๋อ ได้ค่ะ ถ่ายได้ มิวแกรดแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายคู่ใช่ไหมคะ”
“ได้เหรอครับ”
“ได้ค่ะ”
“โอเคงั้น รบกวนด้วยนะครับ”
ผมเปิดกล้องหน้าแล้วไปยืนใกล้ๆ น้อง ก่อนนับหนึ่ง สอง สาม
“พี่ขอรูปเดี่ยวน้องมิวด้วยได้ไหม จะส่งให้เพื่อนครับ มันโอชิน้องมิวอยู่”
ผมโกหก
“เพื่อนที่ว่านี่คือวินหรือเปล่าคะ”
“อ๋อ ไม่ใช่ครับ เพื่อนครับ เพื่อน ฮ่าๆ”
น้องแกล้งแซว แต่สมองผมทำงานช้าเล็กน้อยถึงปานกลางในสภาวะกรึ่มๆ แต่น้องก็โพสท่าให้ถ่ายถึงสามช็อตเลยทีเดียว
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ใจดีจัง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ พี่เป็นรุ่นพี่วินเหรอคะ”
“อ๋อ ครับ พี่ชื้อตี้นะ ตี้ ปาร์ตี้อะครับ”
“อ๋อ ค่ะ ยินดีที่รู้จักนะคะ เออ พี่ตี้คะ” น้องทำท่าลังเล “แล้ว… เขาคบกันหรือยังคะ”
“ครับ?”
ผมงงที่น้องถาม หมายถึงใคร เฟมกับไอติมเหรอ
“หมายถึง วินกับเฟมอะค่ะ เขาคบกันหรือยัง”

น้องคงเห็นผมทำหน้าง่าวและ blank สุด

“อ๊ะ ขอโทษคะ มิวไม่รู้มาก่อนว่า…”
“อ้อ ครับ ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบบอกน้อง “คือ… ยังไม่คบกันมั้งครับ อืม… พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน เหอๆ”
“โอเคค่ะ” น้องยิ้มแหยๆ “ยังไงฝากพี่ตี้ช่วยดูวินให้ด้วยนะคะ ปกติมิวไม่เคยเห็นเที่ยวเลย นี่ยังแปลกใจเลยว่ามาได้ยังไง งั้นมิวขอตัวก่อนนะคะพี่ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ขอบคุณด้วยนะครับสำหรับรูป”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
“เจอกันครับ”

ผมมองตามจนน้องเดินหายเข้าไปในฝูงคน พร้อมเซลล์สมองที่กำลังประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ยินได้ฟังมาเมื่อสักครู่นี้
สองคนนั่นเป็นแฟนกันอย่างที่เซนบอกจริงๆ ด้วยสินะ

อ้าว แย่ละสิ! งี้ก็หมายความว่า…

ซวยแล้ว

+++

เรากลับมาถึงคอนโดเวลาตีสองนิดๆ ผมที่เมาและง่วงสุด สลบเหมือดทันทีที่พาตัวเองมาจนถึงเตียงได้สำเร็จ ปกติก็ไม่ค่อยได้เที่ยวอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยชิน ส่วนที่ดีที่สุดของผมคือ ถึงแม้จะเมาแค่ไหน แต่ก็มีสติ ไม่เละเทะ เคล็ดลับคือการเอาแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายบ่อยๆ ด้วยการเข้าห้องน้ำ แค่นี้ก็กรึ่มๆ ได้ตลอดทั้งคืน

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีคือเวลาตีสามเกือบตีสี่เพราะเสียงรบกวน ขณะที่กำลังงงใจว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ราวชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น หลังจากที่ผมหมดสติ (คิดว่านานกว่านั้นเสียอีก เพราะฝันเยอะมาก) ก็ระลึกขึ้นได้ว่าเสียงที่ปลุกผมนั้น คือเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ ไอติมกับน้องเฟมกำลังจัดกันหนัก

ไอติมกับน้องเฟม น้องเฟมกับไอติม อืม ก็ถูกแล้วนี่

สงสัยคงสร่างกันแล้ว และเข้าใจว่าผมคงเมาสลบไสลไม่ได้สติ จึงได้ลงมือกันแบบไม่เกรงใจเพื่อนผู้อาภัพกันอีกต่อไป

ผมนั่งฟังอยู่อย่างนั้นราวสามนาที ชั่งใจว่าจะไปเคาะประตูบอกให้เบาเสียงดีหรือไม่ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็อาจจะทำให้เพื่อนกับน้องเขินกันไป แถมยังเป็นการไปขัดขวางความสุขของคนสองคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน เลยตัดสินใจหยิบคีย์การ์ดสำรอง และโทรศัพท์มือถือ ลงลิฟต์ไปนั่งชิลที่ล็อบบี้คอนโดสักชั่วโมง

พอประตูลิฟต์เปิด ผมมองตรงไปยังกลุ่มโซฟาที่อยู่ไกลจากเคาน์เตอร์รีเซฟชั่นสุด แล้วก็ต้องแปลกใจที่มีคนนอนไม่หลับเหมือนกันนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ไอ้เด็กวินในชุดเสื้อยืดสำหรับใส่นอนและกางเกงขาสั้น สวมแว่นสายตาทรงกลมอันเดิม กำลังสวมหูฟังที่ต่อเข้ากับมือถือ นั่งกอดอกหันด้านข้าง มองเหม่อออกไปด้านนอกตึกเหมือนกำลังทำเอ็มวี มีน้ำเปล่าแช่เย็นหนึ่งขวดตั้งอยู่ตรงหน้า แสงสีฟ้าจากจอมือถือจับอยู่ที่เลนส์แว่นและกรอบใบหน้า คือแสงเลวร้ายได้ขนาดนั้น มันก็ยังหล่ออยู่ดี งงมาก

ผมลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไป กะจะขอนั่งด้วย ถ้าไม่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างซะก่อน

มันกำลังร้องไห้

‘ตายห่า’
ผมหยุดกึกแล้วรีบหันหลังกลับไปกดเรียกลิฟต์อย่างว่อง
สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ทำให้ผมเพิ่งจำได้ว่า ไอ้เด็กวินกับน้องเฟมเป็นแฟนกัน

‘ฉิบหายละ’

ผมเข้าไปในลิฟต์ กดหมายเลขชั้นที่จะขึ้น มองออกไปด้านนอกอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่เห็นผม แต่ไอ้เด็กวินดันหันมามองในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดพอดี

เอิ่ม

พอถึงห้องผมรีบแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง จ๊ะเอ๋กับไอติมที่นุ่งบอกเซอร์เดินออกมาจากห้องนอนน้องเฟมพอดี

“อ้าว มึงไปไหนมาอะ” มันถามงงๆ “มึงไม่ได้นอนไปแล้วเหรอ”
“นอนแล้ว แต่ตื่นเพราะพวกมึงปลุกไง” ผมกระแทกเสียง “เสร็จแล้วเหรอ”
ไอติมเกาหัวทำท่าเขิน
“โทษทีว่ะ กูนึกว่าพวกมึงเมาหลับไปแล้ว เห็นแดกซะขนาดนั้น”
“เหอะ เออติม พรุ่งนี้กูว่าจะไปค้างกับนุ่นที่รังสิต ยังไงมะรืนก็เจอกันที่ดอนเมืองเลยละกันนะ”
“อ้าว อะไรวะ มึงก็ให้เพื่อนมึงเข้ามาในเมืองดิ กูก็อยากเจอเพื่อนแถวบ้านมึงเหมือนกันนะ”
“ไม่ได้ว่ะ ช่วงนี้นุ่นมันทำละครคณะ อยู่ดึกทุกคืน กูก็จะไปดูละครมันด้วยแหละ แล้วนี่ต้องเอาของที่ที่บ้านมันฝากมาไปให้ด้วย”
“ไปค่ำๆ ละกัน กูให้เฟมไปส่ง อยู่เที่ยวด้วยกันก่อน”
“ไม่เป็นไร กูนั่งรถไฟฟ้าไปต่อรถเมล์เอง เออ ไอติม” ผมเดินเข้าไปหามัน แล้วลดเสียงลง “น้องเฟมเขา…”
ประตูด้านหลังเปิดออก ผมสองคนหันไปตามเสียง ไอ้เด็กวินเดินเข้ามาในห้อง เราสามคนต่างคนต่างตกใจ
“อ้าว วิน” ไอติมทัก แล้วหันมามองผมสลับกับคนที่เพิ่งเข้ามา “นี่พวกมึง…”
“กูไปนอนละ กูง่วง”

ผมตัดบทแล้วเดินกลับเข้าห้อง เสียงไอติมคุยงึมงำกับไอ้เด็กวินไล่หลัง

ผมนั่งนิ่งอยู่นเตียงราวสองนาที นึกถึงภาพไอ้เด็กวินที่ล็อบบี้เมื่อกี้นี้ ก็ไม่รู้หมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงไม่กล้าสู้หน้ามันขึ้นมาซะเฉยๆ ในเวลาที่มีสติ เพราะผมรู้ความลับของมันหรอ หรือเพราะผมอายเรื่องเซน

แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบให้กับตัวเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้ง แล้วเดินไปเปิดประตู

“พี่ตี้ครับ”

ไอ้เด็กวินยืนปิดช่องประตูที่ผมแง้มออกเพียงเล็กน้อย

“ครับ”
“ตะกี้ที่ล็อบบี้อะครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองมันแว่บหนึ่ง ใต้ตายังบวมอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเกิดจากการร้องไห้หรืออดนอนกันแน่

“อย่าบอกพี่ไอติมหรือไอ้เฟมนะ ผมขอ”

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 8 (10-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-02-2019 09:13:43
 :a5:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 8 (10-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-02-2019 12:41:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...จากข้อมูลรอบด้าน

นาสงสารวินนะ  คงจะเป็นประเภท 

เพื่อนสนิทที่เปลี่ยนสถานะไม่ได้แม้ใจจะต้องการแค่ไหน
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 8 (10-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 10-02-2019 12:46:42
สงสารวินอ่ะคือไม่ได้อยากเป็นเพื่อนแต่ต้อง Still friend zone  o22 o22
อิตี้นี่นานๆไปก็คงใจอ่อนคบน้องมันเองแหละ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 8 (10-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-02-2019 13:15:49
 :pig4:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 9 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 11-02-2019 11:34:10
9


พอใกล้จะปีใหม่ทีไร ไม่รู้ว่าทำไมต้องมีเรื่องให้เครียดตลอด ทั้งที่บรรยากาศช่วงนี้ของปีเป็นอะไรที่รื่นเริงดีแท้ๆ ทั้งอากาศเย็นๆ ในตอนเช้าและตอนค่ำ แสงสีส้มเข้มๆ ของแสงแดดในตอนบ่าย แถมยังเป็นช่วงปิดเทอม ไม่เรื่องการเรียน เรื่องงานและเรื่องสอบคอยกวนใจ แต่ผมกลับไม่มีเวลาได้ซึมซับเอาช่วงเวลาสุขสงบสั้นๆ เหล่านี้อย่างจริงจังเลย

ปีที่แล้วก็เครียดเรื่องเงินกับเรื่องเรียนไปทีหนึ่งแล้ว พอมาปีนี้ก็ต้องมานั่งเครียดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก โว้ย

เซนตอบไลน์กลับ ในวันที่ผมย้ายไปนอนที่รังสิตพอดี เหมือนรู้ แต่ก็ช้าเกินไปที่จะเรียกความรู้สึกดีๆ กลับมา เขาอธิบายและให้เหตุผลในสิ่งที่ผมคาดเดาได้ เพราะถ้าให้เลือกเชื่อ ผมเชื่อไอ้เด็กวินมากกว่าจริงๆ

ยังไงก็ตาม ผมไม่มีอำนาจไปตัดสินผิดถูกใคร และอย่างที่บอกไป ถ้าวันนั้น ไอ้เด็กวินไม่เข้ามาขวาง ผมเองก็คงเต็มใจให้เรื่องอะไรๆ มันเกิดขึ้น ถ้าจะมีใครผิด คนนั้นน่าจะป็นตัวผมเองนี่แหละ

นึกถึงแล้วก็หดหู่

ผมกับไอติมกลับจากกรุงเทพมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว เป็นทริปสั้นๆ สามคืนสี่วันที่หลากหลายอารมณ์มาก และเหนื่อยมากอีกด้วย แล้วพอถึงเชียงใหม่ ผมก็ต้องรีบเก็บข้าวของที่หอเพื่อกลับมานอนบ้านนอก เนื่องจากไปเถลไถลอยู่ที่เมืองหลวงเสียหลายวัน กลัวที่บ้านจะด่าเอา แต่การอยู่กับตัวเองคนเดียว แล้วคิดเรื่องเดิมซ้ำๆ มันแย่และเหนื่อยยิ่งกว่าไปอีก

ผมไม่ค่อยสนิทกับน้องเฟมมากนักตอนอยู่ที่กรุงเทพฯ โอกาสที่จะเราได้อยู่ด้วยกัน คุยกันสองต่อสองแทบจะไม่มีเลย และหากจะมี มันก็เป็นการคุยถามเรื่องจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดินฟ้าอากาศเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น พอสบโอกาสในระหว่างไอติมเข้าห้องน้ำ ระหว่างรอเช็คอินที่ดอนเมือง ผมจึงถามในสิ่งที่อยากรู้อ้อมๆ จากน้อง

“เฟมจะไปสวิสกับที่บ้านวันไหนนะ”
“พุธหน้าครับ กลับมาอีกทีก็เปิดเทอมเลย พี่ตี้ละครับ ช่วงปีใหม่มีไปไหนกับที่บ้านหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ คงไม่ได้ไปไหนอะครับ น่าจะ อยู่บ้านรอสังสรรค์กับญาติ”
ผมโกหก ที่บ้านไม่มีญาติมาหา หรือการสังสรรค์ใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่จำความได้ กระทั่งตอนนี้
“ดีจัง เนี่ยจริงๆ ผมไม่ได้อยากไปเลยนะ อยากไปฉลองที่เชียงใหม่กับพี่ตี้กับพี่ไอติมมากกว่า”
“อ่านะ อยากฉลองกับไอติมคนเดียวมากกว่ามั้ง” ผมแซว “แต่ไอติมก็ไปญี่ปุ่นกับที่บ้านนะ ปีนี้”
“ใช่ครับ ผมก็เลยหายนอยด์ไปได้นิดนึง ฮ่าๆๆ”
“นี่ เฟมชอบไอติมจริงๆ เหรอ” ผมตัดสินใจถามในสิ่งที่ตัวเองข้องใจออกไป “ขอโทษนะ ถ้าพี่ถามอะไรเสียมารยาท”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ตี้ ผมเข้าใจ ผมชอบพี่ไอติมจริงๆ ครับ ไม่ได้คิดจะคบแค่เล่นๆ พี่สบายใจได้เลย”
“อืม ได้ยินแบบนี้พี่ก็ดีใจครับ แล้ว…” ผมไม่แน่ใจว่าควรถามดีไหม “วินอะ”
“วินมีแฟนหรือยังใช่ไหมครับ”

ผมกำลังจะปฏิเสธ แต่น้องกลับจ้อต่อ

“ยังไม่มีหรอกครับ โสด แฟนเก่ามันก็คนที่เป็นไอดอลที่ชื่อมิวไงครับ คนที่เราเจอคืนก่อนนั่นแหละครับ เพิ่งเลิกกันไม่นาน แต่คงไม่รีเทิร์นแน่ๆ”

ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้สักหน่อย แต่ก็ดีที่ได้รู้ว่าสันนิษฐานของผมเป็นจริง (ว่าแต่ทำไมไม่รีเทิร์นวะ)

“อ๋อ ครับ แล้วเฟมไม่ชอบวินเหรอ พี่ว่าวินหล่อกว่าไอติมอีกนะ”
“โอ้ยพี่ มันเพื่อนสนิทผมนะ เพื่อนเขาไม่กินกันหรอก เอ๊ะ หรือว่าพี่กับพี่ไอติม…”
“เหย บ้า ขนลุก”

ผมรีบปฏิเสธ

“ก็นั่นไง คิดว่าพี่ตี้ชอบพี่ไอติมซะอีก ฮ่าๆๆ ล้อเล่นนะครับ แต่เอ ตะกี้พี่ตี้บอกว่าไอ้วินหล่อกว่าใช่ไหมครับ หรือว่าพี่ตี้ชอบมัน”

เจอแบบนี้ผมไปไม่เป็นเลย จะให้ปฏิเสธเสียงแข็ง เดี่ยวจะดูเป็นเล่นใหญ่เล่นโตไป แต่ถ้าไม่แก้ตัว น้องคงจะเข้าใจไปจริงๆ ว่าผมชอบไอ้เด็กวิน

“โหย พี่ไม่กล้าหรอครับ”
“ทำไมอะ ถ้าพี่ตี้ชอบมันจริงๆ ผมช่วยพี่ได้นะ”

ผมยิ้มแหยให้น้องแล้วส่ายหัว ซึ่งระหว่างนั่งเครื่องกลับเชียงไหม่ ผมก็ได้ใช้วิธีการเริ่มต้นการสนทนาแบบเดียวกันนี้ หลอกถามข้อมูลจากไอติมด้วยเช่นกัน

“มึงจะไปญี่ปุ่นวันไหนนะ”
“25”
“คริสต์มาสอะนะ”
“เออ เปลี่ยนใจไปด้วยกันมะ”
“แหม พูดเหมือนเงินบาทสองบาท”
“เออๆ เดี่ยวกูซื้อของฝากมาให้ เอาไรดี ไขสั่น หรือดิลโด้”

ผมเบิ้ดกระโหลกมันไปทีนึง

“ติม กูถามมึงจริงๆ นะ มึงชอบน้องเฟมจริงๆเหรอ”
“อ้าว ก็จริงดิ ทำไมมึงถามงี้อะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ก็อยากรู้ มึงชอบน้องเขาจริงๆ หรือมีเหตุผลอื่น”
“มึงเห็นกูคบอยู่กับคนอื่นไหม มึงไปรู้อะไรมามึงบอกมาเลย”
“รู้อะไรล่ะ ไม่มี” ผมโกหกอีก ผมไม่มีทางบอกความจริงมันหรอกเรื่องนั้น “กูแค่ถามเฉยๆ เพราะถ้ามึงไม่จริงจัง กูจะสงสารน้องเขามาก เขาดูชอบมึงจริงๆ นะ”

ไอติมยิ้มพอใจ
“กูว่ากูก็ชอบเฟมจริงๆ ว่ะ ตอนนี้อะนะ แต่เอาจริงๆ กูก็แยกไม่ออกหรอกว่ารักหรือหลง”
ผมพยักหน้ารับรู้
“ก็ดี อย่างน้อยมึงก็แน่ใจว่าชอบน้องเขามาก”
“แล้วมึงอยากรู้ไปทำไมเนี่ย”

ผมยิ้มอ่อน ไม่ตอบ เพราะผมเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรผมถึงอยากรู้ ผมรู้แค่ว่า ไอติมชอบน้องเฟมแบบชอบจริงๆ น้องเฟมก็ดูเหมือนจะชอบมันจริงๆ ด้วยเหมือนกัน ส่วนไอ้เด็กวินน่าจะแอบชอบเพื่อนสนิทตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีใจด้วยไหม และในวงจรความรักของคนเหล่านี้  ไม่มีผมอยู่ในนั้น

“มึงชอบไอ้วินใช่ไหม”

อีกคนนึงละ ผมกลอกตา

“ถ้ามึงพูดว่ากูชอบมันอีก กูจะถีบมึงจริงๆ”
“กูก็จะเรียกแอร์ให้มาลากมึงไปมัดติดกับเก้าอี้ลูกเรือ เอามะ” มันท้าทาย “ทำไมวะ แค่ยอมรับว่ามึงชอบมัน มันยากตรงไหน”
“มันก็ยากตรงที่กูไม่ได้ชอบมันไง” ผมบอก “อีกอย่าง คนอย่างมันไม่มีทางมาชอบกูหรอก กูรู้ตัว”

ไอติมส่ายหัวทำท่ารำคาญ
“เนี่ย มึงก็ชอบดูถูกตัวเองแบบเนี๊ย มึงรู้ไหม ว่าวันที่มึงไปกับไอ้เซนอะไรนั่นอะ น้องมันอาสาเองเลยนะเว้ยว่าจะออกไปตามดูมึง มึงคิดดู มันต้องวนรถอยู่แถวสยามกี่รอบต่อกี่รอบ กว่าจะเจอพวกมึง ถ้ามันไม่ได้ชอบมึง มันจะทำขนาดนั้นไปทำไม”
“มันแค่เป็นห่วงกูว่าจะโดนเซนหลอกเหอะ”
“ก็ใช่ไง แต่ถ้าไม่ชอบแล้วจะห่วงทำไม อย่างมากมึงก็แค่โดนไอ้นั่นหลอกไปยิ้ม เผลอๆ มึงนั่นแหละจะเริ่มก่อน”
“ก็มันเป็นคนดีไง”
“นี่ไง มึงก็ยอมรับว่าน้องมันเป็นคนดี ถูกไหม หล่อด้วย แล้วมันก็ขับรถตามหามึงทั้งวัน ทั้งที่กูบอกไปแล้วว่าคนอย่างมึงฉลาด เอาตัวรอดได้ แล้วพวกมึงก็แค่ไปเดินสยามกันเท่านั้นเอง แต่มันก็ยังยืนยันว่าไม่น่าไว้ใจ”

ผมคิดตาม แต่ก็ยังไม่เห็นความเป็นไปได้

“มึงจะพูดให้กูมีความหวังทำไมวะติม กูไม่ใช่มึง ที่ทั้งหน้าตาดี ทั้งรวย ไม่น้อยหน้าแฟน” พูดเองก็รู้สึกแปลบๆ เอง “แล้วกูไม่ได้โง่หรือทำซึนอย่างที่มึงคิดด้วย มึงไม่รู้หรอกว่ามันเคยพูดอะไรกับกูไว้บ้าง แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ได้ชอบกู” ผมพูดย้ำ “มันมีคนที่มันชอบอยู่แล้ว”
“ใครวะ”
“มึงอย่ารู้เลย” ผมตัดบท “อีกอย่าง คนเราจะชอบกันมันต้องมีโมเมนท์เว้ย กูเพิ่งจะเจอมันแค่สองครั้งเอง แต่มึงกับเฟมก็บิ้วซะจนกูงงไปหมดแล้วเนี่ย ถ้ากูเกิดชอบมันขึ้นมาจริงๆ คือความผิดมึงเลย”

ไอติมกอดอก แล้วหัวเราะแสดงท่าทางพอใจ

“มึงลืมไปรึเปล่า กูกับเฟมก็เพิ่งเจอกันเอง แต่กูเป็นแฟนน้องตั้งแต่ยังไม่เคยตัวจริงแล้ว อะไรมันก็เป็นไปได้เว้ย มันอยู่ที่มึง จะให้โอกาสมันเกิดขึ้นหรือเปล่า”

ผมนึกถึงบทสนทนาเหล่านั้น พร้อมกับพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าไอ้ความรู้สึก เหงาๆ โหวงๆ เทียบได้กับอาการของโรคเครียดหลังจากกลับมาจากกรุงเทพฯ ที่ผมกำลังเป็นอยู่นี้ เป็นเพราะผมชอบไอ้เด็กวิน จริงๆอย่างที่น้องเฟมและไอติมว่าไว้ไหม
ไม่หรอก มันจะเป็นไปได้ยังไง เราคุยกันแบบน้อยมาก แบบมากๆๆๆ แถมไม่เคยคุยเข้าขากันเลยด้วย

แต่ที่ผ่านมา ผมเองก็เคยแอบชอบคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วยสักครั้งมาแล้วไม่ใช่เหรอ
มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมเริ่มรู้สึกดีกับไอ้เด็กวินขึ้นมาจริงๆ
แต่... ทั้งๆ ที่มันชอบเพื่อนสนิทของมันอยู่เนี่ยนะ

โอ้ย เครียดโว้ย
ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด

ผมทึ้งหัวตัวเอง แล้วล้มตัวลงนอนบนแคร่ใต้ต้นชมพู่หน้าบ้าน หยิบมือถือขึ้นมาไถหาหน้าเฟสบุ๊คของเด็กวิน
ปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ ไอ้เด็กนั่น มันจะไปฉลองที่ไหนนะ

อยากรู้เว้ย

+++

จากคนเขียน
 :mew1: หลังจากนี้จะเป็นตอนสั้นๆ นะครับ ไม่ยาวมาก ทั้งหมดมีแค่ 19 ตอน
จะทะยอยลงนะครับ ขอบคุณมากครับสำหรับคอมเมนท์ ดีใจ/ เบน

หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 9 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-02-2019 12:09:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 9 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-02-2019 12:15:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ก็โอเค

ป.ล. ต่อมเผือกทำงานตามพี่ตี้ไปติด ๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 9 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 11-02-2019 13:36:54
ตี้ซึนมากอะน้องเขาเริ่มชอบแกแล้ววอย่าเบลมตัวเองเลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 9 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-02-2019 16:42:36
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 10 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 11-02-2019 17:11:59
ตอนที่แล้วมันสั้นไป มาต่อให้อีกตอนนะครับ
ตอนนี้ก็เกินครึ่งเรื่องมาละ ขอกำลังใจด้วยนะครับ
ช่วยคอมเมนท์ แนะนำ หรือบอกต่อทีนะ
 :L2:

+++

‘ไอติม’
มกราคม



“เออ ติม น้องเฟมจะมาหามึงอีกเมื่อไหร่วะ”

นั่นไง ผมนึกไว้แล้วว่าภายในวันสองวันนี้ ไอ้ตี้ มันจะต้องถามผมเรื่องนี้แน่ๆ มันทำเป็นคีพคูลได้ไม่กี่วันหรอก เชื่อดิ อาการออกซะขนาดนี้ ถึงกับชวนพวกยัยป๋อมไปวิ่งออกกำลังกาย ตัดเผ้าตัดผมเตรียมต้อนรับผู้ชาย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ แล้วยังมาทำเป็นปากแข็ง แบบนี้ต้องกวนตีนซะให้เข็ด

“ถามทำไม เกี่ยวอะไรกับมึง”
ได้ผล มันหันมามองแบบ สายตาพร้อมบวก
 “กูไม่ถามก็ได้ ไอ้สัด”
“อะแน่ะ งอน มึงอยากรู้ละสิว่าน้องวินจะมาดัวยไหม เอางี้ เดี๋ยวกูให้เฟมชวน บอกว่ามึงคิดถึงละกัน”
“นี่มึงกวนตีนเหรอ”
“แล้วมึงอะ ซึนเหรอ”
ผมยักคิ้วให้ ส่วนมันกลอกตาใส่อย่างเหลืออด
“ใจเย็นเพื่อน วันศุกร์ก็ได้เจอแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะได้เจอไอ้วินของมึงหรือเปล่านะ”

คราวนี้ถอนหายใจแล้วมองแรง ผมชอบแกล้งไอ้ตี้ก็เพราะงี้ จริงๆ แล้วมันน่ารักมากเลยนะ ยิ่งเวลาทำหน้าทำตาตอนโดนแกล้งนี่ ไม่รู้ว่ามันโง่จริงหรือแกล้งไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้แย่อย่างที่มันชอบบ่นเลยเหอะ

แต่ยังไงก็น่ารักสู้แฟนผมไม่ได้อยู่ดี เรียกว่าเทียบกันไม่ได้ดีกว่า

งื้อ คิดถึงๆ

คิดถึงแก้มนิ่มๆ กับตัวบางๆ หอมๆ แต่เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว นี่ก็เดือนนึงพอดีหลังจากทริป กทม. อยากรีบเรียนรีบจบโว้ย จะได้ย้ายไปหางานทำที่โน่น จะได้อยู่ด้วยกันตลอดๆ ไม่ต้องคิดถึงมากๆๆๆๆๆๆๆ แบบนี้

จริงๆ อยากจะคอลไลน์ไปหาตอนนี้เลย แต่รู้ว่าเฟมตั้งใจเรียน และเรียนหนักมาก ผมเลยไม่อยากกวน นี่ก็อีกอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนถูกหวยเลยอะ ที่อยู่ๆ ก็ได้คิวท์บอยตัวท็อปขนาดนี้มาเป็นแฟน ทั้งที่อยู่กันคนละฝั่งของประเทศ สติปัญญาก็คนละระดับแท้ๆ แล้วเฟมก็เป็นคนเริ่มจีบผมก่อนด้วยนะ แค่นึกถึงยังโคตรรู้สึกดีเลย

มันเป็นบ่ายวันหนึ่งของหน้าร้อน เดือนเมษายนปีที่แล้ว จำได้ว่าผมกำลังปั่นการบ้านวิชาการแปลอย่างสุดพลัง จู่ๆ ก็มีแจ้งเตือนไอจีดังรัวๆ

ที่จริงจะบอกว่าผิดปกติก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าผมโพสต์รูปใหม่ๆ ลงไปเมื่อไหร่มันก็เด้งรัวๆ เพลินๆ แบบนี้แหละ แต่ตอนนั้นผมดันจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่โพสต์รุปในไอจีคือสองวันก่อน แล้วจู่ๆ ตอนนี้มันจะมาเด้งมารัวๆ ได้ยังไง ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยความหงุดหงิด ก็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเข้ามากดติดตามแล้วไลค์รูปรัวๆ เป็นสิบๆ รูป เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่หนนี้ผมถึงกับทิ้งการบ้านเอาไว้ทำทีหลัง เพราะเจ้าของไอจีที่เข้ามากดรัวกวนใจกวนการบ้าน คือคิวท์บอยมหาลัยดังที่ผมแอบตามส่องอยู่นั่นเอง

“เชี่ย เขาไลค์รูปกู”
“ชอบกูเหรอวะ”
“เขาชอบกูถูกมะ”

ผมตะโกนเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนในเดียวในหอพัก ก่อนจะรีบ dm ไปหา กลัวว่าเขาไปทำอย่างอื่นก่อน แล้วจะไม่ได้คุย

‘เอ่อ ใจเย็นนะ ที่กดหัวใจรัวๆ มานี่ ชอบรูปหรืออะไรครับ’
‘อ่า ขอโทษด้วยครับ มันเยอะไปเหรอ’
‘เยอะดิ ทำแบบนี้ เดี๋ยวผมไปกดหัวใจรัวๆ คืนมั่ง โดนแฟนตีไม่รู้ด้วยนะ’
‘ตามสบายเลยครับ เราไม่มีแฟน 555’
‘สาธุ ถ้าโกหกขอให้เลิกแฟนจริงๆ เด้อ’
‘จริงๆ สาบาน ฮือๆ เราขอโทษด้วยครับ ลืมคิดไปเลยว่าแฟนไอติมอาจจะว่าเอาได้’
‘ยังๆ ยังไม่มีเหมือนกันครับ แล้วนี่ รู้จักชื่อผมด้วยเหรอ’
‘ชื่อในไอจีไง ชื่อไอติมถูกปะครับ’
‘โห ดีใจจังที่น้องเฟมคิวท์บอยรู้จักชื่อผมด้วย’
‘ไม่เอา ห้ามเรียกคิวท์บอย เราเขิน ละอายแก่ใจ ไม่ได้หล่อขนาดนั้น 555’
‘หืม นี่ยังไม่เรียกหล่ออีกอ่อ งั้นให้เรียกอะไรดีอะ’
‘เรียกที่รักได้ไหมอะ ล้อเล่นนะ 555’
‘เหย ผมเรียกไปแล้วเหอะ เรียกในใจตั้งหลายทีแน่ะ’
‘อ่า ไอติม ชอบผู้ชายเหรอ’
‘ถามงี้เลยอ่อ 555’
‘อืม ถ้าใช่เราจะได้จีบ จีบได้ใช่ปะ’
‘ให้ผมจีบเฟมดีกว่าครับ’

ผมงี้ หน้าแดง สติหลุด ฟินไปนอกโลกโน่นแล้ว อยู่ดีๆ ก็ถูกตัวท็อประดับประเทศ dm มาขอจีบ แถมตอนนั้นไม่ได้คิดเอะใจอะไรด้วยว่า เจ้าของไอจีจะเป็นเฟมจริงๆ หรือเป็นแอคเคาท์ปลอม คือสมองมันเชื่อไปหมดแล้วไง โชคดีที่แอคเคาท์นี้เป็นของเฟมจริงๆ ไม่โดนปล้นโดนหลอก ไม่อย่างนั้น ตอนนี้นี่อาจจะเป็นหนังคนละม้วนกันไปแล้วก็ได้

แม่ง โคตรโชคดีอะ

จากนั้นก็อย่างที่ทุกคนพอจะนึกออกนั่นแหละครับ เราก็คุยกันมาเรื่อยๆ ยิ่งช่วงแรกๆ นี่ แทบจะตลอดเวลาที่ว่างเลย คือหัวปักหัวปำมาก ถึงขนาดที่ว่าต่อให้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เฟมปลอมแอคเคาท์มาหลอก ถ้าหน้าไม่แย่มากจนเกินรับ ผมก็ยังจะชอบอยู่ดี ไปขั้นนั้นเลย มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ นะ ไอ้การตกหลุมรักเนี่ย ยิ่งเป็นหลุมที่มีคนสองคนตกลงไปพร้อมๆ กันด้วยแล้ว

กลายเป็นว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเป็นเฟมจริงๆ ไหม เฟมชอบผมจริงๆ หรือแค่เจ้าชู้ หรือเป็นคนเหลวไหลจีบใครๆ ไปทั่วหรือเปล่า แต่ดันมาในรูปแบบของ เพื่อนสนิทที่สุดของเฟมที่ชื่อ วิน

ผมไม่ใจว่าไอ้เด็กนี่มันเป็นชายแท้ เกย์ หรือว่าไบแบบผม แต่เฟมเล่าว่ามันเองก็เพิ่งจะอกหักจากสาว เลยเบาใจไปเปราะหนึ่งว่ามันคงจะไม่ได้มีอะไรหรือคิดอะไรกับคนที่ผมชอบ แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองก็ยังรู้สึกอึดอัดและไม่ชอบใจอยู่ดี ที่เฟมมีเพื่อนผู้ชายที่สนิทกว่า คุยกันเยอะกว่า แถมยังแชร์คอนโดอยู่ด้วยกันอีก แน่นอนครับว่าแว่บนึงในสมอง ผมคิดสงสัยไปแล้วว่า สองคนนี้อาจจะไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างที่พูด

แต่ผมอยากจะเป็นคนที่มีเหตุผลมากกว่า เพราะถึงยังไง ตอนนี้ผมกับเฟมก็ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกัน ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือคนคุย แม้ว่าอะไรๆ มันจะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ

ผมไม่ได้มีแผนจะจับคู่ไอ้วินกับไอ้ตี้ เพื่อแยกแฟนผมออกจากเพื่อน อย่างที่ไอ้ตี้มันเข้าใจ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าถ้าทำได้จริง มันก็จะเยี่ยมมาก แฮปปี้กันทุกคนทุกฝ่าย ถูกมะ

หลังจากคุยเปิดกล้องกันได้ประมาณสองเกือบสามเดือน ผมกับเฟมก็ตกลงที่จะมาเจอตัวกันจริงๆ โดยเฟมอาสาเป็นฝ่ายมาหาผมถึงที่เชียงใหม่ การเจอกันในครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมแน่ใจยิ่งขึ้นว่าเฟมชอบผมจริงๆ เผลอๆ จะมากกว่าที่ผมเป็นฝ่ายชอบเขาซะอีก เช่น ตอนที่เขาขอกอดผมแทบจะทันที ที่ได้เราได้อยู่กันตามลำพัง

ใช่ครับ ตามลำพัง มันจะเป็นการอยู่ด้วยกันครั้งแรกที่ยอดเยี่ยมมากเลย ถ้าไม่มีเพื่อนสนิทของเฟมติดสอยห้อยตามมาด้วย จริงๆ ผมก็ไม่ได้รังเกียจเพื่อนแฟนหรอกครับ น้องมันก็ดี ไม่ได้มีท่าทีดูถูกดูแคลนอย่างที่ไอ้ตี้ว่า แต่มันก็ดีกว่าปะ ถ้าผมกับเฟมจะได้ใช้เวลาด้วยกันแบบเต็มๆ

ทีแรกจะให้ไอ้ตี้มาช่วยเอนเตอร์เทนน้อง ซึ่งผมรู้ว่ามันเต็มใจแหละ เพราะไอ้เด็กห่านี่ก็หล่อมาก หน้าเกาหลี หุ่นนายแบบ สเป็คเพื่อนผมเลย แต่กลายมาเป็นมีเรื่องกันไปซะนี่ ผมเลยจำเป็นที่จะต้องคุยกับเฟมตรงๆ

“วินมันหล่อมากเลยนะ อยู่ด้วยกัน เฟมไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ”

ผมแกล้งถามหลังจากที่กลับมาค้างด้วยกันที่ห้องผม

“ทำไม พี่ติมหึงผมเหรอ”
เฟมหรี่ตา ยิ้มเจ้าเล่ห์
“เปล่าครับ ก็แค่ถามดู ถ้าไม่มีอะไรพี่ก็โล่งใจ เพราะถ้าให้แข่งกันยังไงพี่ก็แพ้ปะ”
“โห ดูพูดเข้า ไม่เอา ไม่น้อยใจดิ”

ว่าแล้วก็เข้ามาขอกอด เอาหน้ามาซุกไซร้ ทำเสียงอ้อน จนความเป็นชายของผมถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

“วินมันไม่ชอบผมหรอก มันชอบผู้หญิง แล้วอีกอย่าง” น้องเอามือมาประคองใบหน้าผมแล้วระดมจูบ “แฟนผมน่ารักกว่า น่ากินกว่า แล้วก็แซ่บกว่าเยอะ”

นั่นแหละครับ ของจริง ไม่พูดเยอะ เจ็บ ค.

อีกอย่าง ผมเชื่อใจเฟมมากเลย ว่าเขาจะไม่มีมีทางโกหกผม เราสองคนคุยกันตั้งแต่ตอนเริ่มจีบกันแล้วว่า ถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่ หรืออะไรๆ มันไม่เหมือนเดิม เราจะต้องบอกกันอย่างตรงไปตรงมา

ถึงแม้ว่าช่วงนี้เราจะไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยเหมือนแต่ก่อนก็เถอะนะ

แปลกตรงไหนละ มันผ่านช่วงโปรมาสักพักแล้ว แล้วน้องก็ยุ่งมาก กลับมาจากทริปปีใหม่ก็เปิดเทอมเลยทันที มีบางวิชาที่เรียนไม่ทันเพื่อนไปตั้งหลายวัน แค่คิดยังเหนื่อยแทนเลย จะให้ว่างมาคุยไร้สาระกันตลอดมันก็ไม่ใช่ปะ

เนี่ย รากฐานของความรักคือความเข้าอกเข้าใจเว้ย ยังไงซะวันศุกร์นี้ก็จะได้เจอกันแล้ว

คุยกันน้อยลงหน่อย มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหรอก\

หวังว่านะ

+++

ผมขับรถไปรับเฟมกับวินที่สนามบินเหมือนครั้งก่อนๆ กับไอ้เด็กวิน เราคุ้นเคยกันมากขึ้น ส่วนกับเฟม ผมรู้สึกว่าเขาคือคนรัก คือครอบครัวจริงๆ ของผมไปแล้วตอนนี้

ผมยื่นแขนบีบไปแก้มเฟมด้วยความคิดถึง เฟมเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ ดูท่าทางเหนื่อยๆ เทอมนี้เฟมมีเรียนวันศุกร์เกือบทั้งวัน ไหนจะกิจกรรมคณะอีก แล้วยังต้องรีบมาขึ้นเครื่องให้ทัน

“ถ้าเฟมเหนื่อย ก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ พี่ไม่งอนหรอก เอาจริงๆ”
“ไม่ได้ดิ ซื้อตั๋วไว้แล้ว แพลนกันไว้แล้ว อีกอย่าง ถ้าไม่มาคราวนี้ จะได้มาอีกทีตอนไหนไม่รู้”

ผมหันไปมองเฟม เพราะไม่เข้าใจ

“คือ เฟมมีซ้อมหลีดอะ ทุกเสาร์ อาทิตย์ ตารางออกมาแล้ว”
“ก็เดี๋ยวพี่ไปหาเฟมเองไง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

ผมขยี้หัวเด็กน่ารักที่นั่งข้างๆ อย่างหมั่นเขี้ยว แล้วหันมองกระจก เพื่อทักทายกับไอ้เด็กวินที่นั่งอยู่เบาะหลัง

“วินอะ ไปเที่ยวสวิสกันมาเป็นไงมั่ง สนุกไหม”
“ก็ดีครับ อากาศหนาวดี ผมแค่แวะไปเจอเฟมแค่สองวันเองครับ เพราะไปกับที่บ้านเหมือนกัน”
“หนาวเท่าเชียงใหม่ตอนนี้เปล่า” ผมแกล้งแซว “มีคนเค้าถามหาอยู่นะ”
“ไม่มีหรอกครับ”

โอเค ไม่มีก็ไม่มี เรื่องของมึง

เราแวะทานมื้อค่ำกันในร้านอาหารฟิวชั่นงงๆ แถวนิมมาน (โทรชวนไอ้ตี้แล้ว แต่มันไม่ไป) นั่งกินดื่มคุยได้สักพักก็จวนเวลาที่ต้องไปเช็คอินก่อนเคาน์เตอร์โรงแรมจะปิด เฟมจองห้องในโรงแรมสี่ดาวเปิดใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของผมมากกว่าเดิมให้กับเพื่อน ส่วนตัวเองก็แน่นอนว่าต้องมาค้างกับผมอยู่แล้ว เพราะถึงห้องผมจะไม่ใหญ่ แต่อย่างอื่นผมใหญ่

ผมจู่โจมเฟมทันทีที่เรามาถึงที่ห้อง ซึ่งน้องก็ยอมให้ผมทำมิดิมิร้ายแต่โดยดี ไม่มีขัดขืน นัวเนียกันอยู่พักใหญ่จนผมทนไม่ไหว อยากจะเอาเข้าข้างในแล้ว ปกติมาถึงขั้นนี้เฟมจะไม่ค่อยยอมให้ทำเท่าไหร่นัก เพราะขนาดของผมทำให้น้องเจ็บมากกว่าเสียว แต่คราวนี้กลับตกลงอย่างว่าง่าย ถึงจะค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ขยับๆ และน้องน้ำตาไหลพรากๆ แต่ก็ไม่ยอมให้ผมเอาออก

“เฟมไหวแน่นะ”
“ไหวครับ เฟมอยากทำ”
“งั้นพี่จะพยายามเบาๆ ละกัน แต่ถ้าเฟมเจ็บต้องบอกพี่นะ”
“ครับพี่ติม” น้องน้ำตาไหลอีก “เฟมรักพี่ติมนะ”
“พี่ติมก็รักเฟมครับ”

เฟมทั้งแน่นและรัดเหมือนทุกครั้ง จนในที่สุดเราก็ถึงจุดหมาย ผมปล่อยข้างใน ในขณะที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่ยังคงประกบกันอยู่  ส่วนเฟม ผมก็รู้สึกถึงน้องที่ปล่อยกระฉูดมาโดนหน้าท้องผมไปพร้อมๆ กัน ผมกอดเขาไว้แน่น เช่นเดียวกับที่น้องก็กอดผมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“ขอบคุณนะเฟม ที่ยอมลองทำไปด้วยกัน แต่ถ้าเฟมยังเจ็บ คราวหน้า เราไม่ต้องทำก็ได้นะ”

เฟมทำหน้ายู่ แล้วกอดผมแน่นกว่าเดิม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“แน่ใจนะ ว่ารับไหว” ผมขยี้หัวเขา แล้วยิ้มให้กับความไม่เดียงสา “ก็บอกแล้วว่าของพี่ติมอะ ใหญ่”
“พี่ติมครับ”
“หืม”

เฟมก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม นานหลายนาทีก่อนที่น้องจะค่อยๆ พูดออกมาด้วยเสียงเบา เหมือนกล้าๆ กลัวๆ

“พี่ติมลืมเฟมไปเถอะนะครับ”

!?!

ผมที่กำลังยิ้มมีความสุขจากความสัมพันธ์ทางกายอันลึกซึ้งที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่ดีๆ พอได้ยินประโยคนั้น มีอันต้องช็อคตัวแข็ง!
สมัยเด็กผมเคยปีนเล่นต้นฝรั่งขี้นกหน้าบ้าน แล้วเหยียบกิ่งอ่อนหักตกลงหัวกระแทกพื้น ยังดีที่บริเวณนั้นเป็นดินอ่อนนุ่มปูหญ้าแพรกสิงโปร์ แรงกระแทกเลยไม่ค่อยรุนแรง แต่ถึงกระนั้น ก็ทำเอาภาพตัด หัวโน และได้ยินเสียงวิ้งๆ อยู่ในหูเป็นอาทิตย์

อาการดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นกับผมอีกครั้งในตอนนี้

ผมพยายามผลักเฟมออกจากตัว เพราะอยากมองหน้าเขาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิด แต่เขากำลังขัดขืน และกอดผมไว้แน่นกว่าเดิม ตัวเริ่มสั่นและร้องไห้

เดี๋ยว กูไหม ที่ต้องเป็นฝ่ายเสียใจฟูมฟาย

“อะไรของเฟมเนี่ย ล้อเล่นกันใช่ไหม”
“เฟมขอโทษครับพี่ติม”
“เดี๋ยวก่อนเฟม พี่ไม่เข้าใจ คืออะไรเนี่ย เฟมเป็นอะไร”
“เฟมขอโทษ”

ผมยอมรับว่าไม่ได้เตรียมใจว่ามันจะจบเร็วขนาดนี้ แต่ครับ มันคือเรื่องจริง

+++

“เฟมชอบพี่ติมจริงๆ นะครับ แต่เฟมเหนื่อย”


“เหนื่อย” ผมทวนคำพูดของน้อง “เหนื่อยอะไรเฟม เรายังไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียว พี่ไม่เคยนอกใจเฟม เฟมก็ไม่เคยนอกใจ….”
“เฟมเองพี่” เฟมพูดสวนขึ้นมา “เฟมนอกใจพี่ติม เฟมไม่อยากโกหกพี่ติม ไม่อยากทำร้ายพี่ติมอีกแล้วครับ”

ผมนิ่งไปประมาณสิบวิได้

“แล้วถ้าพี่บอกว่าพี่รับได้อะ”
“เราก็ต้องเลิกกันอยู่ดีครับ เราไปกันไม่รอดหรอก เอาจริงๆ เฟมไม่อยากทำให้พี่ติมเสียใจไปกว่านี้ เฟมขอโทษจริงๆ”

ผมมองหน้าหล่อๆ ที่กำลังหันไปทางอื่นไม่ยอมสบตา

“คลิเช่ว่ะเฟม ถ้าจะบอกว่าพี่ดีไม่พอจะเป็นแฟนเฟม เฟมก็พูดออกมาเลย แค่นั้น”

เฟมส่ายหน้าแล้วร้องไห้

“แล้วจะร้องไห้ทำไม เออ เลิกก็เลิก เฟมอยากเลิกพี่ก็จะเลิกให้ พี่เข้าใจว่าที่ผ่านมาเราก็แค่สนุกๆ แก้เหงา”
“พี่ติม มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”
“พอเหอะเฟม พี่เข้าใจแล้วว่าเฟมอยากเลิก มันไม่ต้องมีเหตุผลอะไรหรอก ถึงพี่จะไม่ฉลาดเท่าเฟมหรือเพื่อนเฟม แต่พี่รู้ว่าไม่รู้สึกก็คือไม่รู้สึก ไปล้างตัวใส่เสื้อผ้าซะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

ผมบอกแล้วหยิบเสื้อกับกางเกงขึ้นมาสวมแบบลวกๆ

แม่งโคตรเกลียดเลย คนที่ใช้น้ำตาเพื่อให้ตัวเองดูน่าสงสารเนี่ย จริงๆ แล้ว ถ้าจะมาเพื่อจะบอกเลิกกันแค่นี้ แค่ส่งข้อความมาก็ได้ สมัยนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน นี่ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมา ยอมเหนื่อย ยอมเจ็บ ยอมโกหกว่ารัก เอาตัวเข้าแลกเพราะหวังว่าผมจะรู้สึกโอเคมากขึ้น แต่ไม่เลย ผมรู้สึกว่านี่มันคือการดูถูก เขาคิดแค่ว่าผมอยากได้ตัวเขา แล้วพอผมได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็จะยอมปล่อยไปง่ายๆ

ถ้าคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นละก็ เราก็ไม่เหมาะสมกันจริงๆ นั่นแหละครับ


เฟมพยายามจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง ระหว่างทางจากคอนโดของผมถึงโรงแรม แต่ผมแสดงทีท่าไม่อยากรับฟังอย่างชัดเจน จนเขาไม่กล้าที่พูดต่อและเอาแต่ร้องไห้

‘เออ มึงร้องเลย มึงสมควรต้องร้องแล้ว’ ผมคิดในใจ

ยิ่งเฟมร้องออกมาเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้น พอมาถึงถนนหน้าโรงแรม เฟมทำท่าเหมือนไม่อยากจะลงจากรถ จนผมรำคาญต้องเอื้อมมือไปปลดเบลท์และประตูให้ จะได้จบๆ ซีนดาราม่าห่าเหวนี่ซะที

“เฟมขอกอดพี่ติมเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมครับ”

น้องพูดด้วยเสียงเบาปนสะอื้นจนผมรู้สึกเจ็บจุก น้ำตารื้น

“ถึงแล้ว”
“พี่ติม”
“เพื่ออะไร เพื่อความสะมใจเหรอ จะเอาให้เห็นน้ำตาพี่ให้ได้ใช่ไหม ทำไมเฟมใจร้ายอย่างงี้วะ พี่เคยไปทำอะไรให้เฟมเกลียดเหรอ”
“ไม่ครับ เฟมผิดเองครับพี่ติม เฟมมันเลวเอง เฟมขอโทษ”
“ลงไปได้แล้วไป ถ้าคิดจะใจร้าย ก็ไม่ต้องเหลือความสงสารให้พี่ แล้วก็อย่าขอโทษพร่ำเพรื่อ เพราะมันจะทำให้ทุกคำที่ออกมาจากปากเรา ฟังดูไม่มีค่า”

ด่าขนาดนี้ ไม่เจ็บให้มันรู้ไป

ผมเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วเดินอ้อมไปอีกฝั่ง ดึงตัวเฟมที่กำลังร้องไห้ออกจากรถ ปิดประตู กลับเข้าไปอยู่หลังพวงมาลัย แล้วติดขับเครื่องออกไป โยบังคับตัวเองไม่ให้มองกระจกมองข้าง

แต่ถึงจะมองก็คงมองอะไรไม่เห็นหรอก เพราะน้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้ มันไหลท่วมบดบังทัศนียภาพและการมองเห็นของผมไปหมดแล้ว

เชี่ยเอ้ย

แม่ง

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 10 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 11-02-2019 17:35:43
เพิ่มปมเข้าไปอีก คืบหน้าแบบเนิบๆเนอะคู่ตี้กับวิน
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 10 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-02-2019 18:09:15
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอาหล่ะสิ

สรุปแล้วเนี่ย  ฉันจะเชื่อคำพูดใครได้เนี่ย 

พอเจอเหตุการณ์นี้  เหมือนว่าคำพูดของเซนจะมีน้ำหนักขึ้นมาทันใด
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 10 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-02-2019 19:50:09
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 10 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 11-02-2019 20:55:15
เอ้า อะไรเนี่ย โอ๊ย อยู่ก็เข้าโหมดหน่วง งืมมมม  :mew5:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 10 (11-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 11-02-2019 21:06:45
ไอ้ตี้ก็ซึนโคตร ไอ้วินก็ชอบเพื่อนตัวเอง ไอ้ติมก็ดราม่าเรื่องเฟม อมก.วอทเดอะ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 8 (10-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 12-02-2019 06:35:51
หน่วงๆแต่ก็ชอบ ชอบคนแบบตี้ วินยังไม่รู้ยังไงแน่ ตอนแรกไม่ชอบมาก ตอนนี้เริ่มเฉยๆ ส่วนเซนนั้นเสียดายมาก ชอบบุคลิกด้านสว่างของเซน

ส่วนอีกคู่นี่มาม่ากะทันหันมาก แต่เราชอบวิธีไอติมนะ หักดิบไปเลย ถ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดมา ถ้าไม่พูดก็ไม่ต้องฟูมฟาย ไม่ใช่ไม่สงสารเฟมแต่ชอบความหักดิบนี้มากกว่า 555
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 11 (12-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 12-02-2019 10:14:16

ขอดึงเข้าดราม่าหน่อยนะครับ
แต่รับรองว่ามีทางออกให้กับทุกตัวละครแน่นอน เพราะเขียนจบแล้ว
มาถึงตอนที่ 11 แล้ว (19 ตอนจบ) สั้นบ้างยาวบ้างสลับกันไปนะครับ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะครับ มันสำคัญมากเลย
ฝากนิยายเก่าด้วยนะครับ "หนุ่มโชคร้ายกับนายแชมป์ว่าว" ครับ
ตามไปอ่านที่ https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5161.0
ขอบคุณครับ  :กอด1:
+++


11


‘เฟม’
ธันวาคม


มาเที่ยวกับป๊า ม๊า แล้วก็ พี่ฟิว ได้แปดวันแล้ว ไม่ค่อยอินกับช่วงเทศกาลหรือการเดินเที่ยวตลาดคริสต์มาสอย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้เท่าไหร่ เอาจริงๆ ถ้าเลือกได้ปีนี้อยากอยู่เมืองไทยมากกว่า ได้ยินว่าที่เชียงใหม่ก็หนาวเหมือนกัน มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ ที่พ่อกับแม่เริ่มประเพณีหนีคนเยอะช่วงเทศกาลในเมืองไทย แล้วมาอัดเป็นปลากระป๋องอยู่บนรถไฟ เรือเฟอรี่ หรือกระเช้าลอยฟ้าขึ้นเขาร่วมกับนักเที่ยวชาติอื่นๆ ในยุโรปแบบนี้

แต่จะว่าไป ครอบครัวเราก็ไม่ใช่ครอบครัวแรก เพื่อนๆ ในคณะหลายคนก็หนีร้อนช่วงปิดเทอมมาอยู่ต่างประเทศกันทั้งนั้น ผมเองก็เคยตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าใครๆ

ถ้าได้อยู่กับพี่ไอติมในช่วงนี้ของปีก็คงจะดี

ความคิดแบบนี้ ขืนพูดหรือบอกใครไป คงโดนประณามว่าหลงผู้ชาย ไม่เห็นความสำคัญของบิดามารดาและครอบครัว แต่มันรู้สึกแบบนี้จริงๆ นี่นา ทำไงได้วะ แถมทริปนี้ก็นานเกินไปมะ เข้าใจว่าเพราะพี่ฟิวมาเรียนที่อังกฤษปีนี้พอดี พ่อกับแม่เลยอยากอยู่ด้วยนานๆ แต่กว่าจะได้กลับไทยอีกทีก็วันที่ 10 ปีหน้าโน่นเลย

พี่ไอติมจะทำอะไรอยู่นะ เมื่อวานเห็นบอกว่าพักอยู่สกีรีสอร์ทในฮอกไกโดใช่ไหม ตอนนี้จะบินต่อไปที่โตเกียวหรือยัง อยากจะวิดิโอคอลมากเลย แต่ต้องรอให้กลับถึงโรงแรมซะก่อนถึงมีไวไฟให้ใช้ได้ ที่ที่ผมอยู่ตอนนี้มีแต่ภูเขา หิมะ และทะเลสาบ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

เออใช่ ลองถามไอ้วินดูดีกว่า เผื่อโทรศัพท์มันจะมีสัญญาณเน็ต

“ไม่มีอะ ไว้รอถึงโรงแรมก่อนสิ”
“อืม”
“กูมีเรื่องจะคุยกับมึงด้วย”
“เรื่องไรวะ”
“ไว้ถึงโรงแรมก่อนละกัน”

อ้าว จะพูดก็ไม่พูดเลย สงสัยจะสำคัญหรือเป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อธารกำนัลได้ ขนาดนั้นเลยมั้ง
จะว่าไป วันนี้ทั้งวันมันดูเครียดมากเลย เหมือนมีอะไรในใจ ไม่ดิ ต้องบอกว่าทั้งทริปนี่เลยต่างหาก

สงสัยจะมีเรื่องจริงๆ

+++

จนแล้วจนรอด ไอ้วินก็ไม่ปริปากซะที เอาแต่ทำหน้าเครียดจนผมรำคาญ หลังจากแยกย้ายกับพ่อแม่และพี่ฟิวหลังทานมื้อค่ำเสร็จ ผมเลยดึงตัวมันมาถามอย่างเหลืออด

“ไหนมึงบอกมีเรื่องจะคุยกับกูไง ไม่คุยกูจะนอนละนะเว้ย ง่วง พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปเจนีวาอีก”

มันดูไม่เป็นตัวของตัวเองตลอดมื้อค่ำ สงสัยว่าเรื่องที่มันจะพูดคงสำคัญจริงๆ ถึงได้ดูลังเลผิดปกติขนาดนี้

“พรุ่งนี้กูก็ต้องไปเจอพ่อแม่กูที่ซูริคแล้วเหมือนกัน”

อ่าใช่ พรุ่งนี้มันต้องไปแล้วนี่นา ลืมไปเลย

“งั้นกูพูดเลยละกันนะ”
“เอาดิ เรื่องไรวะ สำคัญมากเลยเหรอวะ”
“สำหรับกูน่ะใช่” มันหลบตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “แต่สำหรับมึงกูไม่รู้”
“ทุกเรื่องของมึงสำคัญสำหรับกูเสมอแหละวิน”
“ขอบใจ แต่ถ้ากูพูดไปแล้ว กูไม่แน่ใจว่ามึงจะเกลียดกู หรือมองกูต่างออกไปไหม แต่กูต้องบอกมึงแล้วว่ะ เฟม”
“ซีเรียสขนาดนั้นเลย’’
“กูชอบมึง”


นี่ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม

“วิน มึง…”
“กูชอบมึง”

มันย้ำ โอเค ผมไม่ได้หูแว่วไป

“มึง… แน่ใจเหรอ...”
“กูแน่ใจ กูคิดมาหลายเดือนแล้วตั้งแต่เลิกกับมิว แล้วยิ่งอาทิตย์ก่อนที่ เอ่อ พี่ไอติมมาหามึง กูยิ่งมั่นใจ ว่ากูชอบมึง”
คืออึ้งอะ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง หรือรู้สึกอะไรแล้วในตอนนี้ แค่รู้สึกอยู่ในหัวว่าไม่ใช่ ๆๆๆ
“วิน แต่กู…”
“กูรู้นะเฟม ว่ามึงก็ชอบกูเหมือนกัน หรืออย่างน้อยก็เคยชอบ กูรู้ว่ากูปล่อยให้มึงรอมานานมาก เพราะกูเอง ที่ไม่เคยเข้าใจตัวเอง ทำให้มึงต้องคอยมองหาจากคนอื่น ไม่ว่าจะไอ้บอส ไอ้พี่เซน หรือพี่ไอติม”

ผมคิดตามที่มันพูด ใช่ ผมชอบมัน ชอบมันมาตลอด จนกระทั่ง…

“แต่ตอนนี้กูรู้ตัวแล้วว่ากูชอบมึง แล้วกูก็นึกไม่ออกเลยว่าใครจะเหมาะสมกับกูเท่ามึง กูปล่อยให้มึงรอคำตอบอยู่ข้างเดียวมานานมาก” ไอ้วินยังคงพูดไม่หยุด เหมือนคนกลัวการถูกปฏิเสธ “แต่ตอนนี้มึงไม่ต้องรอกูแล้วนะ กูรู้แล้ว ตั้งนานแล้ว กูรู้ว่ามึงเคยแอบบอกชอบกูตอนที่กูเมาอยู่บ่อยๆ แล้วตอนนี้มึงยังรู้สึกแบบเดิมอยู่ไหมวะ…”
“กูนึกว่ามึงชอบพี่ตี้ซะอีก”

ไอ้วินชะงักเมื่อผมพูดชื่อนี้

“ไม่ใช่เว้ย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น กูไม่ได้เป็นเกย์ กูชอบแค่มึง นี่มึงคิดจริงๆ เหรอว่ากูมีมึง คนที่กูชอบอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ แล้วกูจะไปชอบคนแบบนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมึงยัดเยียดเขาให้กู”
“วิน มึงไม่ได้ชอบกูหรอก มึงแค่หึงกูกับพี่ไอติม แบบเพื่อนหวงเพื่อน”
“มึงไม่เชื่อกูสินะ”
“ไม่ใช่เว้ยวิน แต่… กูรักพี่ไอติม”

ผมบอกเหตุผลที่น่าจะเข้าท่าที่สุดแล้วไปกับมัน ถึงแม้ลึกๆ แล้วจะยังรู้สึกดีกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็เถอะ

“กูยอมรับว่าพี่ไอติมเขาดีกับมึง แต่มึงเชื่อกูนะ วันนึงเขาจะทำให้มึงเสียใจ เขาไม่มีอะไรเหมาะสมกับมึงเลยเว้ยเฟม เขาไม่มีอะไรเหมือนเรา มึงอาจจะคิดว่ามึงจะไปกันรอด มึงอาจจะคิดว่าแค่มึงรักกันก็พอแล้ว แต่มันไม่พอหรอก แค่รักกันอย่างเดียวมันไม่พอหรอก วันนึงมึงจะเริ่มเรียกร้องในสิ่งที่เขาให้มึงไม่ได้ แล้วเขาก็จะทำให้มึงเสียใจ”

ใช่ ผมกับพี่ไอติมเรายังไม่รู้จักกันดีนัก แต่ว่า…

แต่กับกู กูให้มึงได้ทุกอย่าง และกูจะไม่มีวันทำให้มึงเสียใจอีก”

“ทำไมมึงต้องมาบอกกูตอนนี้ด้วยวะ”

ผมรู้สึกลังเลใจ

“กูขอโทษ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูก็หวังนะว่ามันจะไม่สายเกินไป”
“มันสายไปว่ะวิน ถึงกูจะยังชอบมึงอยู่ แต่กูก็ชอบพี่ไอติมไปแล้วเหมือนกัน กูทิ้งเขาไม่ได้”

ถูกแล้ว ถึงผมจะดีใจที่ในที่สุด เพื่อนสนิทที่ผมแอบชอบก็หันกลับมามองผมจริงๆ สักที แต่พี่ไอติมเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ผมทำแบบนั้นกับเขาไม่ได้

“มึงไม่ทิ้งเขาวันนี้ วันนึงมึงก็ต้องทิ้งเขาอยู่ดี หรืออาจจะเป็นเขานั่นแหละที่ทิ้งมึง คิดดีๆ นะเฟม ความรักของมึงครั้งนี้มันจะพามึงไปได้ไกลไหนได้วะ กูพนันได้เลยว่าไม่เกินครึ่งปี แล้วมึงก็ต้องมาเจ็บอีก เหมือนทุกครั้ง ความรักหวือหวามันมีช่วงเวลาของไม่นานหรอก มึงก็รู้ แล้วใครจะยอมรับ ป๊ามึงจะยอมรับเหรอ เฟม กูสัญญาว่าถ้ามึงเลือกกู กูจะดูแลมึงตลอดไปในฐานะเพื่อนของมึง คนรักของมึง และครอบครัวของมึง จนกว่ามึงจะไม่ต้องการกูนั่นแหละ กูพูดจริงๆ นะ นี่มันถูกต้องที่สุดแล้วสำหรับคนอย่างพวกเรา พี่ไอติมไม่เหมาะกับมึงหรอก อย่าว่าแต่ความรู้สึกมั่นคงหรือปลอดภัยในชีวิตเลย เขาพามึงมาเที่ยวยุโรปแค่ปีละทริปยังไม่ได้เลยมั้ง”
“กูไม่ได้อยากเที่ยว แล้ว…”
“เฟม กูไม่ได้จะขอคำตอบวันนี้ กูแค่อยากบอกมึง เอางี้ มึงเที่ยวให้สนุก รอกลับถึงไทย แล้วค่อยบอกกู”
“ทำไมมึงต้องมาทำให้กูสับสนด้วยวะวิน ทำไมวะ”

ผมตัดพ้อออกไป ตัวมันเองก็ดูสับสนวุ่นวายใจไม่ต่างกัน

“กูรู้ว่ามึงยังชอบกูอยู่ และถ้าเป็นมึงกับกูมันจะเวิร์คแน่ๆ มึงก็รู้ว่ากูจะไม่หายไปไหน”
มันพูดแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอด

“มึงไม่ได้ชอบพี่ไอติมจริงๆ หรอกเฟม มึงแค่เห็นความเป็นกูในตัวเขา อีกไม่นานพี่เขาก็จะรู้ว่ามึงชอบเขาแค่เพราะเขาเป็นตัวแทนของกูคนที่มึงชอบจริงๆ แล้วเขาก็จะเบื่อมึง เลิกชอบมึง ทำให้มึงเจ็บ เหมือนทุกคนที่เคยทำกับมึง”

วินพูดถูก ไม่ว่าจะบอส พี่เซน หรือคนอื่นๆ ที่ผ่านมา ผมคบคนเหล่านั้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงเพราะต้องการหาใครสักคนที่เป็นตัวแทนของมัน  ใครสักคนที่จะให้ความสุขแบบที่ผมไม่เคยได้รับ ความสุขที่ในตอนนั้น ผมได้แต่เฝ้าอิจฉา จนต้องไขว่ขว้าหาจากที่อื่น ก่อนจะพบว่าพวกเขาไม่ใช่ แถมยังทำร้ายความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย

แล้วทำไมผมยังลังเลอยู่อีก สิ่งที่ผมเฝ้าแต่หวังมาตลอดมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วนี่นา

พอได้อยู่ในวงแขนของมันแบบนี้แล้ว ร่างกายของผมก็เสียการควบคุม แขนของผมกางออกและกอดมันไว้โดยไม่รู้ตัว
มันไม่เหมือนทุกครั้งที่เรากอดทักทายหรือแสดงความยินดี กอดเหล่านั้นที่ทำให้ผมเก็บเอามาคิดจินตนาการถึงเรื่องราวคล้ายๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้

มันคือกอดที่เกิดขึ้นจากคนสองคนที่มีหัวใจตรงกัน ใช่ไหม

แต่ทำไมผมถึงไม่รู้สึกมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น หรือเป็นอย่างที่จินตนาการเอาไว้ มันจะสุขก็สุขได้ไม่เต็มที่ เพราะผมรู้ว่าหลังจากนี้ ผมต้องเลือก

ใช่ ผมยังไม่ต้องรีบตัดสินใจอะไรทั้งนั้นก็ได้นี่

ดีใจกับความฝันที่เกิดขึ้นจริงๆ สิวะเฟม มึงฝันถึงวันนี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ

อย่าเพิ่งไปรู้สึกผิดอะไรเลย

ขอเวลานอก ขออยู่กับแค่ตรงนี้ก่อนได้ไหม ขอร้องล่ะ

“มึงยังชอบกูอยู่ใช่ไหมวะเฟม มึงยังชอบกูอยู่”

ไอ้วินถามซ้ำๆ เหมือนต้องการจะให้แน่ใจ
ผมกอดมันให้แน่นกว่าเดิม เพื่อยืนยันคำตอบ

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 11 (12-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-02-2019 11:25:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไง  ว่าแล้วเชียว  มนุษย์ปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจ  แอบชอบกันแต่ไม่กล้าบอกกันเพราะกลัวเสียความเป็นเพื่อน  แล้วก็ไปทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดกันไม่รู้กี่คน  เฮ้อ...
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 11 (12-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 12-02-2019 16:18:28
ไม่ไหวกับนิสัยอย่างวิน ทำไมถึงคิดว่าตัวเองดีที่สุดเอ่อ แค่ฐานะดีไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก้ประเสริฐ หลงตัวเอง
ดูแค่ความเหมาะสม ชอบดูถูกคนอื่น ถึงจะฐานะไม่เทียบเท่าใช่ว่าจะนิสัยไม่ดีหรือดูแลใครไม่ได้นะ
สงสารไอติมกับตี้เลย ที่เจอกับคนตรรกะป่วยๆ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 11 (12-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-02-2019 17:24:22
 :เฮ้อ:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 11 (12-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 12-02-2019 17:36:00
อ่านมาตอนนี้แล้วรู้สึกไม่ชอบสองคนนี้เลย ดีแล้วละที่ไอติมหักดิบทิ้งไป และตี้ำม่หลวมตัวชอบไปมาก ให้นิยายมันหักมุมไปเถอะ อย่าบรรจบมาเจอกันอีกเลย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 11 (12-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 12-02-2019 23:15:58
สนุกจังเลย :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 11 (12-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Abella ที่ 13-02-2019 00:00:12
วินคือไปสุด หลงตัวเองที่สุดในโลกมั่นหน้าคือให้เต็มล้านไปเลย
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 12 (13-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 13-02-2019 01:28:06

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์นะครับ
อย่าเพิ่งเกลียด "วิน" จนเลิกอ่านเลยนะครับ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว
จบแบบทุกคนน่าจะแฮปปี้แน่นอนครับ  :heaven
ชื่อเรื่อง "หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก" ถ้าทำให้ทุกคนรู้สึกแบบนี้ได้
ผมถือว่าประสบความสำเร็จนะ แต่อย่างที่บอก อย่าเพิ่งเกลียดวินเลยครับ
ผมตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้พระเอกกับนายเอก ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันไป
แต่ขนาดค่อยๆ รู้ใจตัวเอง ผมก็ยังว่าเร็วไปอยู่เลย
เพราะเรื่องที่แล้ว พระเอกนายเอก ได้กันตั้งแต่ตอนที่สามเลยครับ เร็วมาก 555
มาลองฟังความข้างวินในตอนสั้นๆ ตอนนี้ เผื่อจะเข้าใจวินมากขึ้น
ไม่อยากให้ลืมว่า ตัวละครอายุเพิ่ง 19 - 20 อาจจะไม่ได้เห็นโลกหรือรู้จักคนกว้างพอ
ก็เลยมีความรู้สึกนึกคิดและตัดสินใจไปแบบนั้นครับ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ  :L2:

+++

12

‘วิน’
มกราคม


ไม่ใช่ทุกครั้งเสมอไป ที่เราส่องเฟสบุ๊คหรือไอจีใครสักคนด้วยความรู้สึก ‘ชอบ’

อย่างน้อยผมก็ไม่ชอบตัวเองที่ทำแบบนี้เลย ผมยอมรับว่าตัวเองผิดหวังหน่อยๆ ตอนที่พี่ไอติมวนรถมารับเราที่สนามบินเชียงใหม่ แต่ไม่มีพี่คนนั้นติดรถมาด้วยเหมือนครั้งก่อน แต่ยังไงซะ ผมก็ได้ทำความเข้าใจกับสถานการณ์แบบนี้มาระยะหนึ่งแล้ว จนแน่ใจแล้วว่า กับพี่คนนั้น มันเป็นเพียงความรู้สึก ‘อยากเอาชนะ’ และ ‘ความสนใจแบบโง่ๆ’ เท่านั้นเอง

เฟมแม่งคิดอะไรตลกมาก คิดไปได้ไงว่า ผมจะชอบคนที่มีลักษณะอะไรแบบนี้ หน้าตา นิสัย ฐานะ สติปัญญาและการศึกษา ไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้ผมรู้สึกประทับใจ นึกออกไหมครับ

คืออย่างนี้นะ ผมน่ะชอบแต่เพศตรงข้ามมาโดยตลอด (แต่ผมก็ใจกว้าพอกับทุกเพศและทุกคน นี่มันยุคสมัยของความเลื่อนไหลทางเพศแล้ว ถูกไหม) และสมองของผมก็ตัดสินใจแล้วว่า ถ้าผมจะชอบเพศเดียวกันขึ้นมาจริงๆ คนๆ นั้นต้องมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกันกับตัวเอง และผมก็มองไม่เห็นใครที่มีคุณสมบัติอย่างที่ว่า นอกจากไอ้เฟม เพื่อนสนิทที่ผมรู้จักมันทุกซอกทุกมุม คนที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาในช่วงสองปีมานี้ และคนที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับผมตลอดระยะเวลาหลายปีที่รู้จักกัน

จะว่าผมเป็นหนี้ความรู้สึกของมันก็ไม่ผิดหรอก แต่ตอนที่บอกว่าผมชอบมัน ผมก็ชอบมันจริงๆ ผมชอบที่มีมันอยู่ข้างๆ ผมชอบตัวเองเวลาที่มีมันอยู่ ผมรู้สึกไม่ดีเวลาที่มันอยู่กับคนอื่น ให้ความสนใจกับคนอื่นมากกว่า

ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ทำให้ผมแน่ใจยิ่งขึ้นว่า จริงๆ แล้วผมเองก็ชอบมัน เราคิดเหมือนกันตั้งแต่แรก

ถ้าเทียบกับความรู้สึกเวลาที่ผมอยู่กับพี่คนนั้น ที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง จนถึงขั้นเกลียดตัวเองในบางครั้ง ความรู้สึกแบบนั้นไม่มีทางที่จะเป็นความรักได้เลย

ก็… ความรักควรทำให้เรารู้สึกสบาย สงบ และเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่เหรอครับ

คนเรามักให้คุณค่ากับเรื่องของจิตใจ และความรู้สึกมากกว่าสมอง เพราะนั่นมันทำให้เขาดูเป็นคนดี เป็นคนเซนสิทีฟ อ่อนโยนและน่าสนใจในสายตาคนอื่น แต่เรามักลืมไปว่าสมองและการคิดเหตุผลต่างหาก ที่ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนตามความเป็นจริง

หะแรก คิดว่าหลังจากที่ได้สารภาพไปกับมันแล้ว ผมจะต้องรู้สึกดีทันที หรือระหว่างเราจะค่อยๆ รู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ผมลืมไปว่าการให้ตัวเลือกกับมันในครั้งนี้ ย่อมทำให้ไอ้เฟมเกิดความสับสน เพราะต้องลงมือทำร้ายคนที่ไม่ใช่อย่างพี่ไอติมออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จะให้เรารู้สึกดีต่อกันแบบดีดนิ้วสั่ง มันคงจะเป็นไปไม่ได้

แต่หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป มันจะค่อยๆ ดีขึ้น มั่นคงและแข็งแรงขึ้น เป็นความสัมพันธ์ในแบบที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ความรักวัยรุ่นหวือหวาแบบที่เคยๆ มี

ผมยอมรับว่า ผมเองก็ไม่ได้สบายใจหรือมีความสุขมากนัก เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพี่ไอติม หรืออื่นๆ ที่จะตามมา แต่ว่า นี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว จะช้าหรือเร็วมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ

ส่วนพี่ตี้… ‘ผมเปล่ารู้สึกอะไรกับพี่นะ หรือถ้าจะมี ก็คงเป็นเพราะพี่เป็นคนที่ดูแล้วน่าสงสารเท่านั้นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของพี่เลย’

อีกไม่นานหรอก ผมคงไม่ต้องมานั่งเลื่อนจอมือถือ แอบส่องดูความเคลื่อนไหวของใครแบบนี้ ไม่ต้องมาเห็นโพสต์คำคมกับเพลงเวิ่นเว้อแล้วรู้สึกไม่ชอบใจ หรือเห็นรูปที่เขาไปไหนต่อไหนกับใครแล้วรู้สึกขุ่นมัว เพราะผมจะไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้และไม่สนใจที่จะรู้

“ผมชอบไอ้เฟมต่างหาก ไม่ได้ชอบพี่ พี่ตี้”

ผมตัดสินใจออกจากแอพ ดูเวลาบนหน้าจอ แล้วเก็บมือถือใส่ในกระเป๋ากางเกง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่ง นั่นแปลว่าผมนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมเป็นเวลาห้าสิบนาทีแล้ว

ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าอยากให้มันจบง่ายๆ ก็ต้องทำให้มันจบเร็วๆ

เฟมมันตกลงใจจะบอกเลิกกับพี่ไอติม และจะบอกให้เร็วที่สุดทันทีที่ถึงเชียงใหม่ โดยมีข้อแม้คือ ขออยู่กันตามลำพังเท่านั้น ซึ่งแม้ผมไม่เห็นด้วย แต่ก็ขัดไม่ได้ เพราะมันยื่นคำขาดเอาไว้ มันกลัวว่าผมจะได้รับอันตรายหากพี่ไอติมขาดสติขึ้นมา แต่ดันไม่ห่วงตัวเอง (มันยืนยันหนักแน่นว่าพี่ไอติมไม่มีวันใช้กำลังเอากับมัน แต่กับคนอื่นอย่างผมละไม่แน่) และจะโทรขอความช่วยเหลือทันทีหากควบคุมสถานการณ์เองไม่ได้ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ผมสบายใจเลย

ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ยอมเสียเวลาหรือเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ผมคงเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับคนอื่นผ่านทางข้อความหรือไม่ก็โทรศัพท์ แต่เฟมเป็นคนใจอ่อนเกินไป

มันควรจะบอกพี่เขาตั้งแต่ที่ร้านอาหารแล้ว เพราะนั่นคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่กลับประวิงเวลาเพราะสงสาร และยังยอมตามเขาไปถึงคอนโด คือต่อให้มันจะไลน์มาเป็นระยะๆ ว่ายังโอเคก็เถอะ แต่ผมไม่เห็นว่าจะต้องใช้เวลาอะไรมากมาย ต่างคนต่างรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ทั้งสองคนไม่เหมาะที่จะคบหากัน คนอย่างพี่ไอติมน่าจะเข้าใจดี

จากล้อบบี้ตรงนี้ ผมมองออกไปยังถนนหน้าโรงแรม วิสัยทัศน์ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะตัวโรงแรมห่างออกมาจากถนนพอสมควร จนกระทั่งมีรถยนต์คันหนึ่งเข้ามาเทียบจอดด้านหน้า ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือรถพี่ไอติมคันที่ผมนั่งมา ผมลุกยืนขึ้นเดินไปยังประตูหน้า จังหวะเดียวกับที่รถคันนั้นแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

เฮ้อ กลับมาซะที สำเร็จปะนะ

ไอ้เฟมยังยืนอยู่ตรงนั้น ในมือมีถุงของฝากหลายใบที่ซื้อมาจากยุโรปที่คนรับคงไม่ต้องการมันแล้ว

ผมยืนรออยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจ จึงเดินเข้าไปหามัน แตะไหล่เล็กๆ ที่กำลังสั่นเทิ้มนั้นเบาๆ

ร้องไห้อยู่สินะ

“ไม่เป็นไรนะ”

ผมดึงตัวมันเข้ามากอดแน่นๆ

เฟมร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักครู่ แล้วก็ถอนตัวออก เช็ดน้ำตา

“เข้าไปข้างในกันเถอะ”

ผมบอก มันเดินตามเข้ามาอย่างว่าง่าย

มาถึงห้องพัก เฟมนั่งลงที่ปลายเตียง ทิ้งของลงกับพื้น แล้วเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

สารภาพว่าผมค่อนข้างตกใจที่มันเป็นแบบนี้

“ทำไมกูถึงรู้สึกเศร้าขนาดนี้วะวิน ทำไมอะ ทั้งที่กูกับเขาไม่น่าจะมีอนาคตร่วมกันได้ มึงบอกกูหน่อยสิ”

ออกจะฟูมฟายเกินไปหน่อย ผมนั่งลงข้างๆ มัน พยายามนึกหาคำพูดปลอบโยน

“มันก็แค่ความผูกพัน เดี๋ยวมึงก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง มึงมองหน้ากูนี่ กูต่างหากคือคนที่มึงรัก มึงแอบชอบกูมาเป็นสิบปีแล้ว จำได้ไหม”

เฟมพยักหน้าทั้งน้ำตา

“แต่กูยังเจ็บในใจอยู่เลยว่ะวิน กูขอโทษนะ”
“กูต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ มึงไม่ต้องห่วงนะเฟม มึงเศร้าให้เต็มที่ แต่จากนี้ไปกูจะดูแลมึงเอง ถ้ากูรู้ตัวและบอกมึงเร็วกว่านี้ก็คงจะดี มึงจะได้ไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้ เป็นความผิดกูเอง กูขอโทษนะ”

ผมกอดมันแน่น ลูบหลังเพื่อปลอบ พร้อมๆ กับอธิบายอารมณ์ที่มันกำลังเผชิญอย่างเป็นเหตุเป็นผลเพื่อให้มันรู้สึกดี ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เรากอดกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเฟมดังขึ้น

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร มันผละออกแล้วรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง
ผมส่งสายตาว่าอย่ารับ เฟมดูลังเล แต่ก็กดรับในที่สุด

“ฮะ ฮัลโหล ฮัลโหลครับ”

มีเสียงอู้อี้รัวๆ จากปลายสาย ดังจนเล็ดรอดออกมา เฟมดึงโทรศัพท์ออกจากตัวอย่างงงงวย ดูเบอร์ที่โทรเข้ามา แล้วกดสปีกเกอร์ให้ผมได้ยินด้วย

“ตกลงใช่แฟนของเจ้าของเครื่องไหมคะ”

ไม่ใช่พี่ไอติม แต่เป็นเสียงผู้หญิง !?!

“เอ่อ ครับ ใช่ครับ”
 “พอดีชั้นหาเบอร์ผู้ปกครองคนเจ็บไม่เจอน่ะคะ เขาไม่ได้เมมไว้ เห็นแต่เบอร์โทรออกเบอร์สุดท้ายที่เมมชื่อว่า ที่รักของติม ก็เลย…”
“คนเจ็บ? เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ พี่ไอติมเป็นอะไร”

เฟมตะโกนถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“อุบัติเหตุค่ะ เหมือนจะขับไปชนเกาะกลางถนน แต่ชั้นเรียกกู้ภัยกับรถพยาบาลแล้วนะคะ ใกล้ถึงแล้วค่ะ…”
เฟมหันมามองผมด้วยสีหน้าช็อคสุดขีด หน้าซีดเผือด ซึ่งผมเองก็ตกใจในสิ่งที่ได้ยินไม่ต่างกัน

พี่ไอติมประสบอุบัติเหตุรถชน

+++
 
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 12 (13-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 13-02-2019 01:34:58
ตอนนี้เราไม่โอเคกับการตัดสินใจ กับนิสัยส่วนตัวทั้งของเฟมและวินมาก ๆ แย่อ่ะ รออ่านนะคะ :katai3:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 12 (13-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-02-2019 02:16:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไงหล่ะ  ผลพวงของการกระทำที่ไม่ไตร่ตรองให้ดี

ทำคนเสียใจไปกี่คนแล้ว   เฮ้อ

นี่เสียใจจนถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุ  อาจถึงชีวิต

มันน่า.....
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 12 (13-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-02-2019 02:25:12
 :katai1:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 13-02-2019 16:28:17
ลงอีกตอนสำหรับวันนี้นะครับ
เพราะพรุ่งนี้อาจไม่มีเวลามาลง (ทำงาน)
เหลืออีกแค่ 6 ตอนเท่านั้น ฝากติดตามด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
 :bye2:

+++

13


มกราคม

รู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงก็ไม่รู้

หน้าเฟสบุ๊คของไอ้เด็กวินไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย นี่มันก็สองอาทิตย์แล้วนะที่กลับจากสวิส ไปตั้งหลายวัน แต่ลงรูปแค่ 5 รูป แถมเป็นรูปครอบครัวไปอีก (กราบสวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่) นี่มันยุโรปเลยนะเว้ย บ้าบอ

สงสัยไปบ่อยจนไม่รู้สึกตื่นเต้นแล้วมั้ง

เห้อ อยากมีบุญได้ไปกับเขามั่งจัง

ไม่เข้าใจพวกที่ไม่คนค่อยอัพรูปหรืออัพสเตตัสเลยจริงๆ พวกเขาไม่มีอะไรให้บ่น หรือไม่สนใจโซเชียลมีเดียจริงๆ เหรอวะ มันแบบ… โอเค รู้แหละ ว่ามหาวิทยาลัยที่มันอยู่ เขาเรียนกันเอาเป็นเอาตายมาก แต่นี่ก็เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่ถึงเดือนดี มันจะไม่มีเวลาอัพเดตอะไรเลยจริงอะ แบบนี้จะบังคับให้ผมแอดเฟรนด์เพื่อ?

เฟสบุ๊คของน้องเฟมก็มีแต่รูปหล่อๆ ของน้อง กับแชร์เพลงซึ้งๆ (ไม่บอกก็รู้ว่าซ่อนใครอยู่ในเพลง) แต่ไม่ยักกะมีรูปไอติม หรือกระทั่งเพื่อนสนิท นี่ถ้าเป็นไอ้เด็กวินก็น้อยใจเหมือนกันนะ

ส่วนผมที่พยายามแชร์โพสต์คำคม แชร์เพลง สร้างคาแรกเตอร์ฉลาดๆ (มีเพื่อนสิบกว่าคนที่มาคอยกดไลค์ให้เพราะความสงสาร) ด้วยหวังให้คนๆ นั้นเห็นและเข้าใจสารที่ผมพยายามจะสื่อ ก็ไม่คือด้วยประการทั้งปวง ไม่มีแม้แต่สักไลค์มาจากไอ้ …

เห้อ ช่างเถอะ ไม่มีประโยชน์

รู้งี้ ตามไอติมไปรับสองคนนั่นที่แอร์พอร์ตด้วยก็ดี ไม่น่าเล่นตัวเลยมึง ไอ้ตี้!

เที่ยงคืนกว่าแล้ว ป่านนี้คงเมาแอ่กันอยู่แถวนิมมานกันเหมือนเดิม เอาเถอะ ผมไม่ได้ชอบที่แบบนั้นอยู่แล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ขี้เกียจจะส่องแล้ว ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วปิดไฟนอน

ตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั่นเอง จู่ๆ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังลั่น จนผมใจหายวาบ

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืด พลางนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือมีใครเป็นอะไรหรือเปล่า ถึงได้โทรมาหาตอนนี้

หน้าจอโชว์เบอร์และผู้ติดต่อเป็นน้องเฟม ผมรีบกดรับสาย
เมาจนไปมีเรื่องหรือยังไงกันวะ

เรื่องที่ได้ยินจากน้อง ทำเอาผมช็อค ใจไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีในหนึ่งวินาที

+++

ผมไปถึงที่โรงพยาบาลโดยที่น้องเฟมกับไอ้เด็กวินรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินก่อนแล้ว ผมเข้าไปตบไหล่ปลอบใจน้องที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก แล้วถามอาการของไอติมจากได้เด็กวิน ซึ่งมันก็ยังไม่ทราบเช่นกัน

“แต่คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งครับ แค่หมดสติไป คนที่เข้าไปช่วยกับกู้ภัยบอกว่า ตอนเคลื่อนย้ายมาที่นี่พี่ไอติมยังมีสติอยู่ เนื้อตัวไม่มีบาดแผลใหญ่อะไร แล้วทางโรงพยาบาลก็ติดต่อญาติพี่เขาได้แล้วครับ”

ได้ฟังแบบนั้นก็เบาใจ ผมเลยไม่ได้ซักถามอะไรอีก

“พี่ตี้สบายดีนะครับ”
ไอ้เด็กวินถาม จู่ๆ ผมก็รู้สึกใจเต้น นี่มันใช่เวลาไหม
“อ่อ ครับ สบายดี คุณเพิ่งกลับกันมาจากสวิสปะ”
“เยอรมันครับ”
“อ้อ”
“ผมมีของฝากมาให้พี่ด้วย แต่อยู่ที่โรงแรม”
อ่ะ ทำไมมันดีจังวะ แต่ก็ตามมารยาทละนะ อุตส่าห์ไปเที่ยวเมืองนอกมา
“ขอบคุณครับ แต่ไม่เห็นต้องซื้อมาฝากเลย เกรงใจ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ซื้อมาฝากทุกคน”
เหอะ

เรานั่งอยู่เงียบๆ แบบนั้นอยู่สักพัก อากาศตอนดึกเริ่มหนาวกว่าเดิม จนนึกเสียใจว่าน่าจะใส่สเว็ตเตอร์ตัวที่หนากว่านี้สักหน่อยก่อนออกมา  สักพัก ไอ้เตอร์กับมิกซ์ ก็มาถึงพอดี น้องเฟมกับไอ้เด็กวินไหว้ทักทาย

“เป็นไงมั่งวะ มันเป็นไรมากไหม”
ไอ้เตอร์ถามผมทันทีที่มาถึง
“ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน หมอยังไม่ออกมาบอกอะไรเลย”
“แล้วมันไปชนอีท่าไหนวะเนี่ย มันเมาเหรอ”
“เปล่า ไม่เมา มันไปส่งเฟมที่โรงแรมแล้วขากลับ เห็นเขาบอกว่ามันขับคร่อมเลนส์ แล้วพุ่งไปชนเกาะกลางถนน”
“แล้วนี่มึงโทรบอกพวกไอ้ป๋อม ไอ้ต้อม หรือยัง”
“ยัง มันดึกแล้ว กูว่าไว้บอกพรุ่งนี้ดีกว่า เดี๋ยวตกใจแล้วแห่กันมา เห็นว่าอาการไม่หนักนะ”
“เออว่ะ กูลืมคิดไป”

สักพักประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก พยาบาลเดินออกมาหาพวกเรา

“ญาติคนไข้มาหรือยังคะ”
“ยังเลยครับ ยังอยู่ระหว่างทาง แล้วมันเป็นยังไงบ้างครับ”
“ปลอดภัยแล้วนะคะ น้องได้สติแล้ว มีก็แต่แผลเล็กน้อยไม่รุนแรง ตอนนี้คุณหมอให้ยาแก้ปวดไปจะได้หลับ เดี๋ยวจะย้ายขึ้นวอร์ดแล้ว รอดูอาการค่ะ”

พี่พยาบาลตอบ ทุกคนหายใจโล่งอก ผมกอดกับน้องเฟมแสดงความดีใจ

“งั้นเดี๋ยวผมโทรบอกพ่อแม่มันเองครับ”
“เป็นความผิดเฟมเอง”

เฟมถอนตัวออกมาจากผม แล้วพูดเสียงสั่น

“เฟม!”
ไอ้เด็กวินเอ็ด พวกเราที่เหลือมองหน้ามันแล้วมองหน้ากันสลับไปมางงๆ

“ที่พี่ติมต้องมาเจ็บแบบนี้ เพราะเฟมเองครับ”
“หมายความว่ายังไง”
ผมถาม ก็มันขับไปชนเกาะกลางเองคนเดียวไม่ใช่เหรอ

“ไม่มีอะไรครับ เดี๋ยวผมเล่าให้พี่ฟังเอง” ไอ้เด็กวินบอก “พี่โทรหาพ่อกับแม่พี่ไอติมก่อนเถอะครับ ท่านจะได้สบายใจ”

ผมพยักหน้าแล้วเดินกดเบอร์หาพ่อไอติม
แต่เวลาที่คนพูดว่าไม่มีอะไรนี่ มันต้องมีอะไรสักอย่างสิน่า

+++

พ่อ แม่ และญาติๆ ไอติมเดินทางจากลำปางมาถึงในอีกหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น บรรยากาศเริ่มคลี่คลาย ต่อจากนี้ก็ถึงขั้นตอนการเฝ้าระวัง เช่นการะประเมินและผล MRI รวมถึงรักษาอาการบาดเจ็บ จากนั้นพวกเราเด็กๆ ทั้งหมด ก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนตามคำแนะนำของพี่พยาบาล

หลังจกแยกกับเตอร์มิกซ์ ผม น้องเฟม และไอ้เด็กวิน เดินมาหาที่คุยตรงที่เงียบๆ เพราะไอ้เด็กวินบอกว่าจะเล่ารายละเอียดให้ฟังนั่นเอง

“ตกลงมันยังไงเหรอ มันไม่ได้เมาจริงๆ ใช่ไหม”

ผมถามน้องเฟมที่ยังคงร้องไห้ตาบวมไม่หยุด ดีนะที่พ่อกับแม่ไอติมร้อนใจจนไม่รู้สึกผิดสังเกต

“ไม่หรอกครับ เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง”
“เฟม อย่างี่เง่า มันคืออุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวกับมึงเลย”

น้องเฟมตอบคำถามด้วยประโยคเดิมๆ จนผมรู้สึกสงสัย ส่วนไอ้เด็กวินก็คอยแต่ปลอบว่าไม่ใช่ หรือถึงขันเอ็ดในบางที

“ยังไงอะ ไม่เข้าใจ ใครก็ได้ เล่าให้ผมฟังหน่อย”
“คือ… ผมผิดเองพี่ ผมบอกเลิกพี่ไอติมครับ พี่ไอติมเขาก็เลย…”
“เฟม!”


มีอะไรให้ช็อคได้อีกไหมเนี่ย คืนนี้

“ทำไมอะเฟม ทำไมเฟมถึงจะบอกเลิกมัน มันเกิดไรขึ้นอะ”
ไม่มีคำตอบ ผมมองหน้าทั้งสองคนที่ไม่ยอมสบตาผม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจเองในที่สุด
“ผมขอโทษครับพี่ตี้ ผมทำให้พี่ไอติมต้องมาเจ็บ”

พลันใบหน้าผมก็ร้อนผ่าวด้วยโทสะ ผมครองสติ หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยความโกรธ เกลียดและผิดหวังที่พยายามอย่างยิ่งไม่ให้มันระเบิดออกมา

“พี่ตี้ครับ!”

ผมชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไป ไม่ได้หยุดเพราะเสียงเรียกของน้องเฟม แต่หยุดเพราะยังไม่ได้บอกในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทั้งคู่ควรจะได้รู้เอาไว้

“พวกคุณกลับไปเหอะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก อย่าให้ผมเจอพวกคุณที่นี่อีก”

เสียงผมอาจจะสั่นและเบาไปสักหน่อย แต่ผมเชื่อว่าสองคนนั้นน่าจะได้ยินเต็มสองหู


+++

หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-02-2019 17:07:50
เอาอีกๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 13-02-2019 17:23:31
ดีๆไล่หนีไปเถอะพวกโลเล
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: Manygun123 ที่ 13-02-2019 19:08:42
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวจะชอบนิยายแนวนี้เป็นพิเศษ คือมีความค่อนข้างสมจริงตัวละคร เหตุการณ์ คำพูดรวมไปถึงเนื้อเรื่องไม่แฟนตาซีหรือเหินจริงแบบนิย๊าย นิยาย มีปัญหาวามสมจริงอยู่มากพอสมควร ยังไม่นับรวมกาควางเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าไม่ได้แปลกใหม่ที่สุดแต่ก็แต่งอแกมาได้ดี และลื่นไหลมากทีเดียวค่ะ  เราชอบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของตัวละครในเรื่องนี้โดยเฉพาะนายเอกที่ถึงแม้บทบาทอาจไม่ได้โดดเด่นกว่าตัวอื่นๆมากนักแต่กลับมีสีสัน ความ#ฉันแชอบเค้า #อยากได้แต่ไม่อยากเสี่ยง ที่เราชอบมากทีเดียวค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น 18 ตอน ที่บางตอนก็สั้นมากจนแทบจะไปรวมตอนกันแล้วนับเป็นตอนเดียวได้ มันน้อยมากจริงๆค่ะ เาคิดว่านิยายเรื่องนี้มันสามารถไปได้ไกลมากกว่านี้ คือขยายเนื้อเรื่องให้ยาวมากกว่านี้สักสองเท่ายังได้ กับอีก 5 ตอนที่เหลือนั้นเรายังคิดไม่ออกเลยต่ะว่านิยายเรื่องนี้จะจบลงได้อย่างไรให้สมบูรณ์ (ในด้านของเนื้อหาและความสนุก) เชื่อว่าถ้ายังไปต่อก็จะต้องมีคนมาติดตามเพิ่มอีกแน่ค่ะ แต่ยังไงนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของดิฉันเท่านั้น ปล.บางตอนสั้นมากๆก็รวบเถอะค่ะ คือมันเลื่อนสองทีก็หมดแล้ว หมดตอนกับหมดอารมณ์ค่ะ5555 :mew1:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 13-02-2019 20:42:47
เราต้องปล่อยให้เขาไปรักกันสองคน อย่ามาเหยียบประเทศเชียงใหม่อีกนะ น้องตี้วางแผนกัดแล้ว

เลวเกิ้นนน ความคิดเด็กเมือง ใครหรืออะไรจะมาช่วยสอนและซักผ้าผืนนั้นให้ขาวล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 13-02-2019 20:55:02
เหนื่อยใจจริงๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-02-2019 21:53:53
 :a5:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-02-2019 22:03:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

ดีที่ไม่เป็นอะไรมากนะ  ถ้าเป็นอะไรมากถึงขั้น.....เฮ้อ ไม่อยากจะคิด  บาปแท้ ๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 14-02-2019 01:06:31
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวจะชอบนิยายแนวนี้เป็นพิเศษ คือมีความค่อนข้างสมจริงตัวละคร เหตุการณ์ คำพูดรวมไปถึงเนื้อเรื่องไม่แฟนตาซีหรือเหินจริงแบบนิย๊าย นิยาย มีปัญหาวามสมจริงอยู่มากพอสมควร ยังไม่นับรวมกาควางเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าไม่ได้แปลกใหม่ที่สุดแต่ก็แต่งอแกมาได้ดี และลื่นไหลมากทีเดียวค่ะ  เราชอบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของตัวละครในเรื่องนี้โดยเฉพาะนายเอกที่ถึงแม้บทบาทอาจไม่ได้โดดเด่นกว่าตัวอื่นๆมากนักแต่กลับมีสีสัน ความ#ฉันแชอบเค้า #อยากได้แต่ไม่อยากเสี่ยง ที่เราชอบมากทีเดียวค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น 18 ตอน ที่บางตอนก็สั้นมากจนแทบจะไปรวมตอนกันแล้วนับเป็นตอนเดียวได้ มันน้อยมากจริงๆค่ะ เาคิดว่านิยายเรื่องนี้มันสามารถไปได้ไกลมากกว่านี้ คือขยายเนื้อเรื่องให้ยาวมากกว่านี้สักสองเท่ายังได้ กับอีก 5 ตอนที่เหลือนั้นเรายังคิดไม่ออกเลยต่ะว่านิยายเรื่องนี้จะจบลงได้อย่างไรให้สมบูรณ์ (ในด้านของเนื้อหาและความสนุก) เชื่อว่าถ้ายังไปต่อก็จะต้องมีคนมาติดตามเพิ่มอีกแน่ค่ะ แต่ยังไงนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของดิฉันเท่านั้น ปล.บางตอนสั้นมากๆก็รวบเถอะค่ะ คือมันเลื่อนสองทีก็หมดแล้ว หมดตอนกับหมดอารมณ์ค่ะ5555 :mew1:
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 13 (13-02-19) New
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 14-02-2019 13:30:04
เหนื่อยใจกับเด็กๆ ปล่อยให้เวลาสอนเขาเอง ถ้าคิดไม่ได้ก้จบ

ให้กำลังใจนักเขียนนะ  :3123:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 14 (15-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 15-02-2019 12:20:44
ขอบคุณมากๆ เลยครับ สำหรับคอมเมนท์ และกำลังใจ
มาต่อให้แล้วนะครับ หน่วงๆ ไปก่อนนะครับ ช่วงนี้
ยังยืนยันว่ามี 19 ตอนจบนะครับ อันนี้ก็ตอนที่ 14 แล้ว
แต่ช่วงนี้จะช้าหน่อย เพราะมีกลับไปรีไรท์ เข้าไปเพิ่มนั่นนี่นิดหน่อย นิดเดียว
ยังไงก็ได้อ่านจนจบ เดือนนี้แน่ๆ ครับ ฝากด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ  :L2:

+++

14

แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น ก็ใช่ว่าผมจะกล้าทำอะไรพวกเขา


สายวันถัดมาซึ่งเป็นวันเสาร์ ผมเดินทางมาถึงโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมคนเจ็บ และผลัดเปลี่ยนให้พ่อกับแม่และญาติๆ ของไอติมได้พักผ่อนและออกไปทานอาหาร ไอติมตื่นแล้ว แต่ยังมีอาการเคล็ดขัดยอกและเจ็บแผลอยู่ มันไม่ยอมปริปากพูดอะไร เอาแต่เซื่องซึม จนผมต้องบอกไปว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดแล้วนั่นแหละ

“ไม่เกี่ยวกับเฟมหรอก มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ กูประมาทเอง ตอนนั้นกูกำลังโกรธแล้วก็ร้องไห้”
“มึงจะบอกว่ามึงมองไม่เห็นทางเพราะร้องไห้อยู่งี้”
มันพยักหน้า
“แล้วแบบนี้มันจะไม่เกี่ยวกับเฟมได้ไงวะ”
“กูประมาทเอง”

อืม เวลาแบบนี้ยังจะมาทำตัวเป็นคนดี ผมสูดหายใจแล้วนั่งลงตรงโซฟา

“แล้วเขาให้เหตุผลอะไรไหม ว่าทำไมถึงเลิกกับมึง”
ไอติมส่ายหัว
“กูคิดว่ากูรู้ ไอ้เด็กวินมันชอบเฟม สองคนนั้นชอบกันอยู่ เซนบอกกูแล้วแต่กูไม่เชื่อ มันชอบเพื่อนตัวเอง มันอิจฉามึงแล้วคงรวบหัวรวบหาง…”
“ตี้ มึงใจเย็น ทำไมมึงต้องโกรธขนาดนั้นด้วยวะ คนที่โดนบอกเลิกคือกู ไม่ใช่มึง โอเคมั๊ย”
ไม่โอเค สงสัยหัวมันคงจะกระแทก ตื่นขึ้นมาแล้วก็ทำใจได้เลยงี้
“ก็เพราะมึงเป็นซะแบบนี้ไง”
“อืม กูมันเป็นซะแบบนี้อะ กูขอโทษที่ทำให้พวกมึงต้องเป็นห่วง”
รำคาญ
“เออ อยากทำอะไรก็เรื่องของมึงเลย”

มันเงียบไปพักใหญ่

“แล้ว…”
“จะถามว่าเขามาหามึงรึเปล่า ใช่ไหม” ผมถามกลับ “มา แต่กูให้กลับไปแล้วเมื่อคืน”
“มึงอย่าเพิ่งพาลดิตี้” ไอติมทำเสียงอ่อย “กูมีเรื่องอยากจะขอให้มึงช่วย กูไม่รู้ว่าเขาจะกลับกรุงเทพฯ วันนี้เลยหรือเปล่า”
“แล้วไง ก็ให้กลับไปสิ ก็ดีแล้ว”
“กูมีของที่ซื้อมาจากญี่ปุ่น แต่กูยังไม่ได้ให้เขา”
“ยังจะให้อีกเหรอวะ”
“เออ ก็กูตั้งใจซื้อมาให้เขา มึงช่วยเอาไปให้ที่โรงแรมหน่อยนะ มึงไปเอากุญแจห้องกับคีย์การ์ดที่แม่กู เดี๋ยวกูโทรบอกแม่ให้ แล้วไปเอาของในห้องไปให้เฟมที่โรงแรมที”
“มึงมันบ้าไปแล้วไอติม”
“มันสำคัญสำหรับกู ขอร้องล่ะ ถึงเขาจะไม่อะไรกับกูแล้ว แต่กูตั้งใจซื้อมาให้เขา”
ก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอกนะ แต่เห็นใจที่มันเฉียดตายมาหมาดๆ
“มึงคิดดีแล้ว?”
“กูคิดมาแล้ว ตะกี้นี้”
“อืม” ผมรับปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “ถือว่ากูทำเพื่อมึงละกัน” ผมว่า “แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่ากูไม่ได้สนับสนุนมึงให้เป็นควาย มึงควายของมึงเอง”

นี่กะจะด่าอีกยาว แต่เสียงเคาะประตูห้องพักดังขึ้นซะก่อน เฟมเดินเข้ามาในห้องถือกระเช้าผลไม้ ท่าทางอิดโรยและดูเกร็งๆ

“พี่ติม เอ่อ หวัดดีครับพี่ตี้ พี่ติม… เป็นยังไงบ้างครับ”
เราสองคนไม่มีใครตอบ ทักทาย พูดหรือขยับ
“เพราะเฟมคนเดียวเลย พี่ติมถึงต้องเป็นแบบนี้ พี่ติมเจ็บมากไหมครับ”
น้องเดินเข้ามาที่เตียงแล้วร้องไห้ ส่วนไอติมมองตรงไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า
คือแบบ…
“เฟมขอโทษนะ”

“พี่ติมจะไม่พูดอะไรกับเฟมจริงๆ เหรอครับ”

ผมรู้สึกอึดอัดแทน กำลังจะอ้าปากบอกเฟมให้ค่อยมาใหม่ แต่ไอติมชิงพูดขึ้นซะก่อน

“ตี้ มึงออกไปก่อน แขวนป้ายห้ามรบกวนให้กูด้วย”
อ้าว ไอ้… เป็นกูซะงั้นที่ต้องออกไป เออ ใช่ซี้
“แล้ว… เรื่องนั้น กูฝากมึงด้วยนะ”

ผมกลอกตาแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมปิดประตู

+++

เพิ่งจะโดนบอกเลิกไปเมื่อคืน มันไม่ง่าย ผมรู้ดี ในใจลึกๆ ก็หวังว่าสองคนนั้นจะกลับมาคบกันเหมือนเดิม เพราไอติมดูมีความสุขมากกว่าเวลาที่อยู่กับเฟม แต่ถ้าน้องแค่สงสาร หรือแค่ต้องการจะหลอกมันไปเรื่อยๆ อันนี้ไม่โอเคแล้ว

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไอ้เด็กวินต้องมีส่วนในเรื่องนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะเป็นคนยุแยง รวบหัวรวบหาง หรือบางทีทั้งสองคนอาจจะคบกันตั้งแต่แรกแล้ว แล้ว Open ความสัมพันธ์ไว้อย่างที่เซนเคยบอก ที่จริงจะโทษแต่พวกนี้ก็ไม่ถูก ไอติมก็โง่ โง่ทั้งหน้าทั้งสมอง บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นแล้วก็ได้ แบบว่าเป็น Lesson Learned ของมัน

ผมลงไปรับกุญแจจากแม่ไอติมที่กำลังกินข้าวอยู่แคนทีนคณะแพทย์ แล้วบอกพ่อกับแม่ว่ามีเพื่อนอีกคนที่เพิ่งมา อยู่คุยกับไอติม ดังนั้น ให้พ่อกับแม่พักผ่อนกันก่อนยาวๆ ไปเลย จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปยังคอนโดของไอติม หยิบของตามที่มันสั่งมาทางไลน์

Tee:    ยังไงเนี่ย กูเอาไปให้ที่โรงบาลเลยไม่ได้เหรอวะ เฟมยังอยู่กับมึงใช่ไหม เดี๋ยวกูกลับไปอีกรอบก็ได้
ผมไลน์ไปถาม
Itim:   ฝากเคาน์เตอร์โรงแรมไว้ดีแล้วมึง กูไม่อยากให้เฟมคิดว่ากูเอาของมารั้งเขาไว้
Tee:   เออๆ

ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลนักตามคำสั่ง ฝากของทั้งหมดไว้กับพนักงานต้อนรับที่ล็อบบี้ จังหวะนั้นเอง ที่ไอ้เด็กวิน เดินออกจากลิฟต์ พุ่งตรงเข้ามาหา

ตกใจจนเกือบจะวิ่งหนีแล้วนะ

“พี่ตี้… มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”
มันพูดกับผม ผมแกล้งทำมองไปทางอื่น
“พี่ตี้ ผม…”
“มาทำธุระ ไอติมให้เอาของฝากมาให้ คุณก็ไปรับที่เคาน์เตอร์เอาเองละกัน”
“ผมก็มีของฝากให้พี่เหมือนกัน อยู่ที่ห้อง เดี่ยวผม…”
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” ผมรีบปฏิเสธ “เอาไปให้คนอื่นเหอะ”
“พี่ตี้จะไปเยี่ยมพี่ไอติมไหมครับ ผมก็กำลังจะไปที่โรงพยาบาลพอดี”
“ไม่อะ ไปมาแล้ว” ผมตอบอย่างอารมณ์ไม่ดี ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ผมควรจะคีพคลามกว่านี้มะ “แต่ผมบอกคุณแล้วนี่ ว่าไม่ต้องไป”
“ผมเข้าใจครับ แต่…”
ขี้เกียจฟังคำตอบ คนเราถ้ามีจิตสำนึกพอน่าจะคิดได้เอง
“พี่ตี้ครับ เดี๋ยวก่อนครับ ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
“เรื่อง?”
“ไปหาที่นั่งคุยกันก่อนไหมครับ”
“คุยตรงนี้ก็ได้ มีอะไรก็ว่ามาเลย”
“โอเค ก็ได้ครับ”

ไอ้เด็กวินทำท่าตะขิดตะขวง รู้สึกผิดสินะ เหอะ

“คือ ผมเห็นว่าเมื่อเช้านี้ พี่อันเฟรนด์ผมในเฟสบุ๊ค”
หืม เอาจริงดิ เรื่องนี้เนี่ยนะ
“ใช่ แล้วไง”
“ผมอยากรู้ว่าทำไม”
ผมยักไหล่แบบว่า อะไรของมึงอีก
“อันเฟรนด์คือ ไม่อยากเป็นเพื่อน ไม่อยากรู้จัก ก็ตามนั้น ไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ”
ผมตอบไปตามตรง
“พี่ไม่ชอบผม ตั้งแต่เรื่องตอนนั้นนะเหรอครับ”
“พอได้แล้วไหม คุณจะมาเล่นแบ๊วอะไรอีก จะเอาอะไร เพื่อนผมก็เจ็บอยู่ไม่เห็นหรือไง ต้องใจร้ายขนาดไหนวะ งั้นคุณบอกเหตุผลผมมาสักข้อซิ ว่าทำไมเราถึงควรจะเป็นเพื่อนกันอีก”

ตอบไม่ได้ละสิ เพราะมันไม่มียังไงล่ะ!

“เข้าใจละ คนอย่างคุณคงไม่ชินกับการถูกปฏิเสธสินะ เรียกคุยแค่เรื่องเฟสบุ๊คเนี่ยนะ ถามจริง เป็นไรมากปะ”
“เปล่าครับ”
“หรือว่าคุณชอบผม”
ปากไวกว่าความคิด ถามเองยังตกใจเอง
“… เปล่าครับ”

... เออ รู้อยู่แล้วแหละ

“งั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว ผมไปละ”
“พี่ตี้ครับ”
ผมหันกลับมามอง รอว่ามันจะพูออะไรอีก
“แล้วพี่ละครับ พี่ชอบผมหรือเปล่า”

ผมนี่ ใจหายวาบเลย แต่ก็ดึงสติขึ้นมาได้ แล้วแอคติ้งหัวเราะขื่นๆ

“คุณจะมาแคร์ทำไมว่าผมรู้สึกยังไง คนหล่อๆ อย่างคุณ ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละ แต่ความหล่อมันไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ”
“พี่แค่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่”
ใช่
“ไม่” ผมมองหน้าหล่อๆ นั้นตรงๆ “อย่าว่าแต่ชอบเลย ผมกำลังคิดหาวิธีอยู่ว่า ทำยังไงถึงจะไม่เกลียดคุณมากไปกว่านี้ ผมไม่ได้ชอบคุณ โชคดีแล้วที่ไม่ได้ชอบ เพราะแค่นี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับคนอย่างพวกคุณแล้ว”

ผมมองหัวจรดเท้า แล้วหันหลังให้

แต่เอาจริงปะ ถ้าใกล้กันกว่านี้อีกนิดเดียว ถ้าเขาดีกับผมกว่านี้อีกหน่อย …
ช่างเถอะ ก็ดีแล้วที่มันเป็นแบบนี้  เพราะคนอย่างเขาคงไม่มีวันชอบผมอย่างที่เขาบอกนั่นแหละ
ความรู้สึกในตอนนี้คือ ทั้งโล่งใจและน้อยใจในเวลาเดียวกัน

+++

ผมกลับไปที่โรงพยาบาลอีกทีในตอนค่ำ น้องเฟมไม่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรไอติม เราแค่พยักหน้าทักทายกัน ไม่ได้พูดอะไร (สีหน้ามันดีขึ้นจากเดิม) เพราะมีคนมาเยี่ยมมันตลอดเวลาเยี่ยม

กลับเป็นผมซะทีอีกที่รู้สึกสะเทือนใจแปลกๆ

สิ่งที่ผมสงสัยมันคือเรื่องจริง คนที่เจ็บอย่างเห็นได้ชัดคือไอติม แต่สำหรับตัวเอง ผมไม่แน่ใจเลยว่าตัวผมมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกอะไรไปมากกว่านี้ได้ไหม นอกจากความรู้สึกโกรธหรือเกลียดแทนเพื่อน ที่ถูกหักหลัง

มันไม่ยากหรอกที่จะยอมรับว่าตัวเองอกหัก
แต่คนอย่างผมมีสิทธิ์อกหักด้วยเหรอ มันไม่ตลกเหรอแบบ มโนไปเอง แล้วมาอกหักเอง

แต่ที่ผมรู้สึกเจ็บใจอยู่นี่ มันก็เจ็บจริงๆ นะ

กล้าไปชอบได้ยังไงวะ กล้าคิดได้ยังไงวะว่าเขาจะชอบมึงกลับ
เอาน่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องรู้สึกแบบนี้ แล้วมันก็จะผ่านไป เหมือนทุกๆ ครั้ง
บางทีในอนาคตผมอาจจะโชคดี หรือฉลาดขึ้นกว่านี้ก็ได้
ผมอาจจะค้นพบวิธีเดินออกจากวังวนของการเป็นคนนอก ในเรื่องราวของคนอื่นเขา ซะที

หวังว่านะ

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 14 (15-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-02-2019 13:02:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 14 (15-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 15-02-2019 14:38:24
ขอกรรไกรมาตัดเลยได้ป่ะ เงื่อนเยอะจริงๆ 555
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 14 (15-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-02-2019 15:41:52
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 14 (15-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 15-02-2019 21:32:06
ชอบคาแร็กเตอร์ตี้ ชอบที่ไม่เหมือนนายเอกนิยายเรื่องอื่นๆ
ให้ความรู้สึกแบบคนธรรมดาไม่ได้เลิศอะไรมาก
 :pig4:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 15-02-2019 23:51:47
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์นะครับ
อยากอ่านอีกเยอะๆ เลย  :กอด1:
ขอบคุณมากครับ/ เบน

+++


15

เมษายน

แม้อากาศข้างนอกจะร้อนจนปิ้งไก่สุกพร้อมขาย แต่ยามบ่ายในจตุรคารที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศแล้วนั้น แสนจะเย็นสบาย จนนักศึกษาหลายคนพากันง่วงหงาวหาวนอนกันเป็นแถบๆ ผมเองก็กำลังใจลอยไปถึงน้อง มช. คนที่เจอกันวันก่อนตอนไปดูหนังที่เมญ่า แล้วเขาให้เพื่อนเดินเข้ามาขอไลน์

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดี เออ ก็เป็นไปได้นะ เพราะนี่คืออุตส่าห์ดูแลตัวเองแบบดีมาก ตั้งแต่ย่างเข้าหน้าร้อน เพราะกลัวตัวจะดำไปกว่านี้ ตัดผมตัดเผ้า ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ไปทำเลเซอร์ (ผ่อนเอา) ตามคำแนะนำของยัยปอ ก็เลยดูดีขึ้นมานิดหนึ่ง

แล้วนี่ก็คุยไลน์กันมาได้ อืม สองวันแล้ว เร็วไปไหมถ้าจะไปเจอเลยตามที่น้องเขาชวน
แล้วถ้าเกิดเขาชวนไปที่ห้องอะ

เนี่ย สุดท้ายมันก็หนีเรื่องอะไรแบบนี้ไม่พ้น คุยนาน ก็หาว่าเล่นตัว เผลอๆ หมาคาบไปแดก ไม่ก็หายหัวไปเลย แต่เร็วเกินไปก็หาว่าใจง่าย โชคร้ายก็อาจจะโดนฟันแล้วทิ้ง ถึงว่า หลายคนๆ คนจึงหาเอาจากเพื่อนหรือคนใกล้ๆ ตัว เพราะรู้จักนิสัยใจคอกันดีอยู่แล้ว และรู้สึกเป็นตัวของตัวเองกว่า

ผมมองไปรอบๆ ตัว ไอติมเหรอ เอ่อ มันก็หล่อนะ แต่ ยี้ เอาไม่ลง ขืนคิดอะไรกับมันคงมองหน้ากันไม่ติด โน ไอ้เตอร์เหรอ ไม่ใช่แนวเลยอะ

แล้วนี่อย่างน้องเฟมกับไอ้เด็กวิน ถ้าเป็นเรื่องจริง มันเอากันลงได้ไงวะ หรือเพราะว่าต่างคนต่างแอบชอบกันมาตั้งแต่แรกเจอ ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนกันจริงๆ

ถ้าให้พูดกันอย่างยุติธรรม เขาก็สองคนก็เหมาะสมกันดี
ทั้งหน้าตา ฐานะ การศึกษา …

“มึงเป็นไรวะ ฝันกลางวันถึงผัวเด็ก มช. มึงเหรอ”

ไอติมแซวพร้อมๆ กับเอาศอกมาถอง ผมมองไปรอบๆ ห้อง ไม่ยักกะรู้ว่าอาจารย์พักเบรคแล้ว

“พ่อมึงดิ”
“ได้กันแล้วเหรอวะ เป็นไงมั่ง เหลาๆ”
ไอ้เตอร์เข้ามาผสมโรง
“ยังโว้ย” ผมตะโกน “ตัวจริงยังไม่เคยไปเจอเลย อย่ามาพูดให้กูเสียหาย กูไม่ใช่มึง”
“อ้าว ถามแค่นี้ ด่ากูเป็นชุด ดูร้อนตัวนะมึงอะ”
“เดี๋ยวมึงจะโดน”
“เออ ลีลาเยอะ ถ้าไม่เอากูเอานะเว้ย”
“มึงกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้ามิกซ์ปะล่ะ”
“กล้าดิ ทำไมอะ กูจะเลิกกับแม่งแล้วเว้ย”
“อ้าว เป็นไรวะ งอนกันเหรอ”
ไอติมถาม
“ไม่ได้งอน แต่ช่างแม่ง ว่าแต่มึงเหอะ” ไอ้เตอร์พยักหน้าไปทางไอติม “ตกลงยังไงวะ มึงกลับไปคบน้องคิวท์บอยมึงเหรอ”

ไอ้เตอร์คงหมายถึงน้องเฟม ไอติมถลึงตาใส่มัน แล้วหันมายิ้มอ่อนกับผม

“กูขอแก้ข่าวนิดนึงเพื่อน กูก็ยังไม่ได้กลับไปคบ แค่คุยกันเฉยๆ”
“อ้าว”
ไอ้เตอร์อุทาน เหมือนที่ผมกำลังอุทานอยู่ในหัวตอนนี้เลย
“เออ ก็กูกลัวมึงด่า หาว่ากูโง่อะ กูเลยไม่ไดบอกมึง” มันรีบหันมาอธิบายกับผม “ที่จริง กูก็คุยกับเฟมมาเรื่อยๆ นั่นแหละ ตั้งแต่เกิดเรื่อง ก็เขามาง้อกู บอกจะไม่เลิกแล้ว เขารู้ตัวแล้วว่าเขารักกู”
“อ้าว ถ้างั้น แล้วเขามาบอกเลิกมึงแต่แรกทำไม”
“ก็ไอ้วิน…” ไอติมมองหน้าผมอย่างเกรงใจ “มาขอคบกับมันตอนไปเที่ยว เฟมมันก็เลยสับสน”
“อ้าว เหรอ มีคนมาบอกชอบ ก็เลยเลิกกับมึงจะไปคบกับคนนั้น แล้วพอมึงเจ็บ ก็ไม่เอาแล้ว มาขอคืนดี คืออะไรวะ ตกลงมันชอบมึงจริงๆ หรือกั๊กกันแน่วะ”
“ก็บอกว่าน้องมันสับสนไง มันเคยแอบชอบเพื่อนมันมาก่อน ก่อนที่จะมาเจอกู พอโดนขอเป็นแฟน มันก็เลยทำอะไรไม่ถูก ถ้ามึงจะโกรธก็ไปโกรธเพื่อนน้องมันโน่น อย่ามาโกรธแฟนกู” น้องมัน แหวะ แถมยังหลุดคำว่าแฟนออกมาเต็มๆ “เอ่อ กูหมายถึง อย่าโกรธน้องเฟม”

ผมฟัง คิดตาม และเข้าใจสถานการณ์ของน้องเฟม แต่คนที่ผมไม่เข้าใจคือ ไอ้เด็กวิน มันชอบเฟมจริงๆ หรือแค่อยากเอาชนะ เพียงเพราะคิดว่าเด็กภูธรอย่างไอติมหรือผม ไม่เหมาะสมกับเพื่อนไฮโซของมันเท่านั้น

“แต่กูก็ไม่ได้เชื่อซะทีเดียวเลยนะ ถึงกูจะยังชอบเขามากๆ อยู่ ก็ขอเล่นตัวนิดนึง ดูพฤติกรรมกันไปก่อน ให้แน่ใจว่า เฟมมันไม่ได้มีอะไรกับ… เพื่อนมันจริงๆ”

ไอติมไม่อยากจะเอ่ยชื่อไอ้เด็กวินตรงๆ คงเพราะอยากจะถนอมน้ำใจผม ซึ่งไม่จำเป็นเลยสักนิด

“อ้าว ละมึงอะ เงียบไปเลย เป็นไรวะ”
ไอ้เตอร์ถามผม
“อ้าว ละให้กูพูดอะไรล่ะ ไม่ใช่เรื่องของกู”
“รีบๆ เข้านะเว้ย จะปีใหม่เมืองอาทิตย์หน้าแล้วนะเว้ย เดี๋ยวไม่มีคู่เข้าขนทรายวัด ก่อเจดีย์ เล่นน้ำ”
“กูก็โสดมาตลอดชีวิตมะ มันเรื่องอะไรต้องมารีบมีแฟนเพราะจะปีใหม่เมือง กูไปเล่นกะมิกซ์ก็ได้ปะ”
“เออ เอาไปเลย กูยกให้”
ไอ้เตอร์ทำน้ำเสียงประชดแปลกๆ
“มึงท้าเหรอ กูเอาจริงนะ”
“ตามสบาย”
อ่ะ อะไรของมัน
“ทะเลาะกันอีกแน่ๆ กูว่าละ”
“เออ แล้วมึงก็ไม่ต้องถามกูต่อนะ ขี้เกียจพูดถึง”
“มึงไปทำเชี่ยอะไรใส่เขาอีกล่ะ”

ไอ้เตอร์กับมิกซ์ คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถ้านับเวลา ก็คงประมาณสามปีนิดๆ แล้ว ปกติก็มีทะเลาะกันบ้าง เพราะต่างคนต่างหน้าตาดี มีคนเข้าหาเยอะเพราะติดเที่ยว แต่ก็เห็นกลับมาปกติกันดีทุกครั้ง แต่คราวนี้ไอ้เตอร์พูดเหมือนไม่ใส่ใจยังไงไม่รู้ ถ้าให้เดาต้องเรื่องมือที่สามแน่ๆ

แต่ช่างมันก่อน เรื่องไอติมกับน้องเฟมยังไม่จบ ผมแอบรู้สึกแย่นิดๆ ที่มันไม่เล่าให้ผมฟังหรือบอกตรงๆ ถึงจะบอกว่ากลัวผมจะด่าก็เหอะ มันไม่คิดเหรอว่าถ้าผมมารู้ทีหลังแล้วจะโกรธมันกว่านี้ ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผลถึงขนาดนั้นก็เถอะ แต่นี่มันยังคุยกับน้องเฟม โดยปล่อยให้ผมเข้าใจว่าน้องเป็นคนหักอกมัน เลิกกับมันไปคบกับไอ้เด็กวินอย่างใจดำ แบบนี้ก็ได้เหรอ

แล้วไอ้เด็กวินอะ มันยอมเหรอ มันจะยังไงต่อ

ดังนั้น พอมันพูดถึงเรื่องแพลนเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่เมืองหรือสงกรานต์ ผมก็เลยปฏิเสธไป

“ไม่อะ กูอยู่ในเมืองแค่สิบสองกับสิบสาม สิบสี่ถึงสิบเจ็ดกูอยู่บ้าน ที่บ้านกูมีงาน ขี้เกียจเข้ามาด้วย รถเยอะ คนเยอะ”
“มึงมาเหอะ สิบสี่หรือสิบห้าก็ได้ กลับมานอนในเมืองซักคืน บ้านมึงก็อยู่แค่นี้เอง กูไปรับก็ได้ สิบสองสิบสามกูต้องกลับลำปาง เฟมจะนั่งเครื่องไปลงที่บ้านกูเลย ต้องพามันเที่ยวก่อน มึงไม่ต้องกลัว คราวนี้ ไอ้วินไม่ได้มาด้วย กูไม่ให้มา”

ไม่ได้กลับมาคบกัน แต่ไปค้างบ้านกันเลย เนี่ยนะที่บอกค่อยๆ ดู ไอ้…

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ มึงจะไปไหนก็เรื่องของมึงสิ กูนัดพวกยัยป๋อมไว้แล้ว จะไปห้วยตึงเฒ่ากันวันที่สิบสอง ส่วนมึง มึงก็เที่ยวกับแฟนมึงสองคนไปก็ได้มะ ทำไมต้องเอากูไปเป็น กขค มึงด้วย เที่ยวกันเองสองคนจะตายรึไง”
“ตี้” ไอติมมองหน้า “มึงโกรธกูเหรอ”
“ไม่ได้โกรธเว้ย แค่รำคาญ กูเบื่อจะเล่นบทเพื่อนพระเอกคอยตามเชียร์มึงกับแฟนมึงแล้ว จะชวนกูไปโน่นมานี่ เคยถามแฟนมึงรึยังว่าเขาโอเครึเปล่า ส่วนกูอะ ไม่โอเค”
“กูบอกแล้วไงว่ายังไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“มึงไปตอแหลแม่มึงโน่นไป”

โชคดีที่หมดเวลาพักเบรคพอดี อาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาในห้องเพื่อสอนต่อ ผมกับมันเลยไม่ต้องเถียงกันอีก ไอติมมองหน้าผมแล้วเงียบๆ ไป

จะโกรธก็ช่างแม่งเถอะ ผมก็โกรธเป็นเหมือนกันนะ
แต่แทนที่จะเป็นไอติม ทำไมผมรู้สึกโกรธน้องเฟมมากกว่า
แล้วความรู้สึกของเพื่อนมันล่ะ

+++

ช่วงนี้พวกเราต้องเรียนกันหนักเป็นพิเศษ เพราะการสอบปลายภาคใกล้จะมาถึงแล้ว และยังเป็นการสอบครั้งสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาปริญญาตรีอีกด้วย

พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็รู้สึกใจหาย ยังแอบรู้สึกว่าวันแรกอันแสนวิตกกังวลและแปลกที่แปลกถิ่น เหมือนมันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

นักศึกษาปีที่สี่ที่มหาวิทยาลัยไหนๆ ก็คงรู้สึกอย่างเดียวกันนี่แหละ
ที่โน่นก็คงเหมือนกัน


หลังเลิกเรียนวันสุดท้าย ก่อนหยุดสงกรานต์ ผมรับปากแกงค์สาวๆ ว่าจะไปเดินเล่นที่ประตูท่าแพ ซึ่งจัดงานถนนคนเดินเป็นกรณีพิเศษตั้งแต่วันที่วันที่สิบจนถึงวันที่สิบห้า ผมไม่ได้ชวนไอติมเพราะรู้ว่ามันต้องรีบขับรถกลับบ้านก่อนที่ถนนจะคลาคร่ำไปด้วยรถที่มุ่งหน้าเข้าและออกเชียงใหม่ในช่วงเทศกาล อีกอย่าง ช่วงนี้ผมกับมันก็ตึงๆ กันอยู่นิดหน่อยเรื่องที่มันกลับไปคุยกับน้องเฟม

เมื่อครบแกงค์แล้ว เราก็เริ่มต้นเดินหาของกินและของฝากกลับบ้านตั้งแต่แยกกลางเวียงหรือหน้าอนุเสาวรีย์สามกษัตริย์กันเลยทีเดียว โดยทีแรกตั้งใจว่าจะตรงไปจนถึงประตูท่าแพเลย แต่ยัยโอปอล์ออกไอเดีย อยากให้เพื่อนๆ ได้ไปไหว้สาพระประธานและสะดือเมืองที่วัดเจดีย์หลวงเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนกลับบ้านต่างจังหวัด ซึ่งทุกคนก็โอเค ไม่ขัดศรัทธา

“แก เราขอเนื้อคู่จากสะดือเมืองได้ไหมอะ”
ยัยต้อมสะกิดถามผม
“ไม่รู้เหมือนกัน ถามโอปอล์ดิ มันเป็นเด็กในเมือง แต่คงไม่ได้หรอกมั้ง ไม่เคยได้ยิน คงไม่มีใครเขาทำกันหรอก”
“โว้ย หมกมุ่น” พอลล่าเอ็ด “ในวัดในวาก็ให้มันน้อยๆ หน่อยก็ได้ ความคันเนี่ย”
“เออ รู้ ในวัด ส่วนแกก็พูดจาระวังปากหน่อย”
ยัยต้อมเถียง
“มึง เสียงดัง กูอายนักท่องเที่ยวจีน”
โอปอล์เตือนเพื่อน
“เออ แล้ว ไอติม ไอ้เตอร์ มันไปไหนกันอะตี้ ทำไมไม่ชวนมาด้วย”
ยัยป๋อมถามผม
“ไอติมมันรีบกลับบ้าน ส่วนไอ้เตอร์ไม่รู้มัน”
“แล้วมันจะไปห้วยตึงเฒ่ากับพวกเราไหมอะ”
“คงไม่หรอกมั้ง มันกลับลำปางไปแล้ว แต่บอกว่าจะกลับมาเล่นน้ำที่นี่วันที่สิบสี่ ส่วนไอ้เตอร์เห็นบอกว่าจะไปกรุงเทพฯ แต่ไม่รู้วันไหนนะ สงสัยพามิกซ์ไปเที่ยวมั้ง พรุ่งนี้ค่อยลองโทรชวนมันละกัน ถ้ามันยังไม่ไปอะนะ”
“เออ แล้วแกอ่ะ ไม่ไปเล่นน้ำกับแฟนเหรอจ๊ะ” โอปอล์แกล้งแซว “ได้ยินข่าวว่ากำลังกิ๊กกับเด็ก มช. ไม่ใช่เหรอ”
“จริงดิ ใครเหรอแก หล่อไหม” ยัยต้อมดึงแขนผมจะเอาคำตอบ “อยากรู้”
“ยัง แค่คุยๆ ไม่ได้กิ๊กเว้ย”

พวกนั้นแซวจนทำเอาผมเขินหน่อยๆ ถึงจะยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องเขาก็เถอะ แต่ก็แอบคิดไว้แหละว่า คงต้องใช้โอกาสช่วงสงกรานต์นี่แหละ ลองศึกษาดู ถ้าน้องเขาไม่ได้หวังแค่เรื่องนัดยิ้มอะนะ

“วุ๊ย หมั่นไส้” ยัยป๋อมว่า “แล้วเพื่อนแฟนไอติมอะ ไม่เอาแล้วเหรอ ชื่ออะไรนะ”
“น้องวิน ใช่ไหม”
ยัยต้อมตอบ
“เออ น้องวิน เห็นไอติมบอกว่า ตอนไปกรุงเทพฯ ตัวแทบจะติดกันเลยนี่”
“กะผีสิ มันกับแฟนมันรึเปล่าที่ตัวติดกัน แล้วพวกแกก็เชื่อมันเนาะ”
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ”
“โดนมันหลอกแล้ว”

ยัยป๋อมทำท่างง ตัวติดกันกับไอ้เด็กวิน เมาท์อะไรกันไม่มีใกล้เคียงเลย แค่อยู่กันตามลำพังสองสามครั้งตลอดทริป แล้วมันก็คงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

สารภาพก็ได้ว่า เวลาที่นั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็มีหลายครั้งที่ผมนึกสงสัยว่า มันจะเป็นยังไงนะ ถ้าสมมุติว่าวันนั้น ที่มันถามผมว่าผมชอบมันหรือเปล่า แล้วผมตอบออกไปว่า ‘ใช่’ เรื่องราวต่างๆ มันจะเปลี่ยนไปไหม หรืออย่างตอนนี้ที่ผมนึกสงสัยว่า มันจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร แล้วก็เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องเฟมถึงกลับมาคบกับไอติม แล้วตัวมันเป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไงบ้าง
เอาจริงๆ ตอนที่ไอติมบอกว่าน้องเฟมจะมาหามัน มาเล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่ แวบนึงผมแอบคิดดีใจ แต่พอได้ยินว่าไอ้เด็กวินไม่ได้มาด้วย ผมแอบรู้สึกเฟลนิดหน่อย แต่ก็คิดได้ว่า สมควรแล้ว ไม่งั้นคงอิหลักอิเหลื่อชอบกล ตอนนี้ผมก็ยังงงๆ กับสถานการณ์รักสามสี่เส้านี่อยู่เลย

แต่ก็นั่นแหละ ในขณะที่ผมกำลังมโนถึงมันที่กำลังเหงา เศร้า ไม่มีใคร หรือต้องไปเที่ยวสงกรานต์แบบง่อยๆ กับครอบครัวอยู่นี้ มันอาจจะกำลังมีความสุขสุดขีด กำลังออกไปใช้เงิน ช้อปปิ้งกับเพื่อน กินอาหารอร่อยๆ อยู่กับครอบครัวประสาวัยรุ่นบ้านรวย สวีทอยู่กับแฟนใหม่ หรือกลับไปคบกับแฟนเก่าอดีตไอดอลอย่างน้องมิวอยู่ก็ได้

เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู
น้อง มช. ส่งสติ๊กเกอร์ไลน์เข้ามา พร้อมกับถามว่า

“ทำอะไรอยู่เหรอครับ”

+++

ทุ่มครึ่ง ผมรีบกลับมาอาบน้ำแต่งตัว เพียงเพราะข้อความในไลน์ที่น้องส่งมา

‘มาเจอกันเถอะครับ คิดถึงพี่ตี้ พรุ่งนี้ผมต้องกลับกำแพงเพชรแล้วนะ’

ผมปฏิเสธมาแล้วหลายครั้ง โดยอ้างโน่นนี่ ทั้งที่เราก็อยู่กันใกล้ๆ นี่เอง คราวนี้ผมจึงไม่อาจจะปฏิเสธได้อีก ขืนปฏิเสธไปบ่อยๆ กลัวจะโดนเทไม่รู้ตัว มีคนชอบดีกว่าไม่มี ถูกไหม

ผมเลือกชวนน้องไปดูหนังรอบดึก เพราะไม่อยากไปลงเอยที่ร้านเหล้า แต่ถึงอย่างไรก็มีความเป็นไปได้อยู่มากที่คืนนี้จะ เอ่อ… ได้กินกล้วยไข่เมืองกำแพงของจริง

ตื่นเต้นอะ เป็นอารมณ์ที่แบบ ทั้งอยากและไม่อยากในเวลาเดียวกัน คือผมยังไม่แน่ใจเลยว่า ผมจะชอบน้องเขาได้จริงๆ ไหม
ผมกำลังเซ็ตผมทรงใหม่ที่เพิ่งจะทำเป็นไม่กี่วันมานี้ (เกิดมายี่สิบปี เพิ่งเคยเซ็ตผมเป็นเรื่องเป็นราว) ตอนที่มีคนมาเคาะประตูห้อง

ผมรู้สึกแปลกใจจึงยังไม่เดินไปเปิด ปกติเพื่อนคนไหนจะมาหาจะต้องโทรมาก่อน เพราะต้องใช้คีย์การ์ดที่ชั้นล่าง แต่เมื่อมีเสียงเคาะอีกชุด ผมจึงลุกขึ้นไปส่องดูที่ตาแมว

อ่อ มิกซ์ นั่นเอง แฟนไอ้เตอร์

มิกซ์อยู่หอเดียวกับผมแต่อยู่กันคนละชั้น
อ้าว แล้วมิกซ์มันไม่ได้ไปกรุงเทพฯ กับไอ้เตอร์เหรอวะ

ผมต้องเปิดประตูให้เขาเข้ามา จึงจะสังเกตเห็นได้ว่ามิกซ์กำลังร้องไห้ ตาแดงก่ำ

“มิกซ์ เป็นไรป่าว ร้องไห้ทำไม แล้วนี่ไอ้เตอร์ไปไหน”
“ตี้ ช่วยอะไรมิกซ์หน่อยสิ ตี้รู้จักไอ้เซนใช่ไหม มิกซ์ขอเบอร์มันหน่อย”
มิกซ์ถามเสียงสั่น
“ใจเย็นก่อน มิกซ์ มีอะไรรึเปล่า เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกับไอ้เตอร์เหรอ”
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองถามอะไรเยอะแยะ
“ตี้รู้จักมันใช่ไหม เตอร์มันเคยบอกมิกซ์ว่ามันจีบตี้อยู่”
“เอ่อ ก็รู้จักนะ แต่เราไม่ได้คุยแล้วอะ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน นั่งก่อนๆ”

ผมดึงให้มิกซ์นั่งลงบนเตียง จะได้ใจเย็นลง

“เตอร์มันขอเลิกกะมิกซ์ แต่มิกซ์ไม่ยอมเลิก มันหาว่ามิกซ์นอกใจมันไปเอากับคนอื่น มิกซ์ไม่ได้มีอะไรกับใครจริงๆ นะเว้ย มิกซ์แค่ไปค้างบ้านเพื่อนทำงานกลุ่ม มันนั่นแหละ หาเรื่องจะเลิก รู้ปะ มิกซ์เจอคลิปมันกับไอ้เซนในทวิต พอมิกซ์ไปถามมัน เตอร์มันก็โวยวาย แล้วก็หนีมิกว์ไปหาไอ้เซนที่กรุงเทพฯ เลย โคตรเลวอะ”
“โอเค เราเข้าใจๆ มิกซ์ใจเย็นๆ มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้”
“ขอเบอร์ไอ้เซนให้มิกซ์หน่อย นะตี้ มิกซ์พยายามหาเองแล้ว แต่ไม่เจอ ทักข้อความในเฟสไปมันก็ไม่ตอบ”
“โอเค ได้ดิ แต่เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวเราโทรถามเซนให้ว่าไอ้เตอร์อยู่กับมันหรือเปล่า”
“มันต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แต่มันไม่รับโทรศัพท์มิกซ์ ตี้รู้ที่อยู่มันใช่ไหม บอกหน่อย มิกซ์จะตามไปเคลียร์ที่กรุงเทพคืนนี้เลย”
“เดี๋ยวๆๆๆ ใจเย็นก่อนมิกซ์ มิกซ์จะตามมันไปทำไม”
“มิกซ์ไม่รู้จะทำยังไงอะตี้ แต่มิกซ์ไม่อยากให้มันอยู่ด้วยกัน ตี้เข้าใจไหม”
“ตั้งสติก่อนนะมิกซ์ เดี๋ยวเราจัดการให้ แล้วมิกซ์โทรหาไอ้เตอร์แล้วเหรอ”
“โทรแล้ว แต่มันปิดเครื่อง มิกซ์ตามไปถึงสนามบินแล้ว แต่ไฟลท์มันออกไปแล้ว เลยกลับมาเก็บของ แล้วก็มาหาเบอร์กับที่อยู่ไอ้เซน ตี้ให้มิกซ์เหอะนะ”
“มิกซ์ ช่วงนี้มันเทศกาลนะ ถ้าไม่จองไว้ก่อน…”
“ไม่เป็นไร มิกซ์ไปรถทัวร์ก็ได้”
“ใจเย็น เดี๋ยวเราโทรให้ไง นะ เดี๋ยวรู้เรื่อง”

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ไอ้เตอร์ แล้วโทรออก แต่มันปิดเครื่องอย่างที่มิกซ์ว่าไว้จริงๆ เลยเปลี่ยนไปค้นหาเบอร์เซน พอเซนรับสาย ผมก็เปิดสปีกเกอร์ แล้วบอกให้มิกซ์อยู่เงียบๆ

“ว่าไงตี้ มีอะไรเหรอ ดีใจจังที่ตี้โทรมา ไม่ได้คุยกันนานแลยนะ ตี้สบายดีไหม”
“อ๋อ เราสบายดี เอ่อ เราจะโทรมาถามว่าเตอร์อยู่กับเซนไหม”
ปลายสายเงียบไปประมาณสี่วิ
“อ้าว ถามถึงเตอร์หรอกเหรอ อยู่ นี่เราเพิ่งไปรับเตอร์มาจากดอนเมือง กำลังจะไปหาอะไรกินกันน่ะ”
“เอ่อ…” มีเสียงเหมือนคุยกันเบาๆ “คือ มันนอนอยู่น่ะ บอกว่ายังไม่อยากคุย”
ได้ยินคำตอบดังนั้น มิกซ์ก็เลยอาละวาดใส่โทรศัพท์
“ไอ้เตอร์ มึงมาคุยกับกูเดี๋ยวนี้เลย มึงจะเอายังไง มึงปิดโทรศัพท์ทำไม!”

ผมรีบกดวางสาย

“มิกซ์ ตี้บอกให้ใจเย็นๆ ไง”
“เอาเบอร์ไอ้เชี่ยนั่นมา เดี๋ยวมิกซ์โทรเอง”
“มิกซ์ สติ!” ผมเอ็ด “ไอ้เตอร์มันยังไม่อยากคุย รีบคุยกันตอนนี้แล้วได้อะไรขึ้นมา ต่างคนต่างโกรธอยู่แบบนี้ เดี๋ยวเราคุยกับเซนเอง โอเคไหม มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้”
“มันจะไม่มีอะไรกันได้ไงตี้ มันไปเอากันนั่นแหละ มิกซ์เห็นคลิปที่มันถ่ายแล้ว ไม่ใช่คลิปเดียวด้วย”

ผมเชื่อ เคยมีคนบอกผมไว้แล้ว ผมยื่นมือถือผมให้มิกซ์เพื่อเมมเบอร์ที่ผมเพิ่งโทรออกไป

“อะ อยากได้ก็เอาไป แต่เชื่อเหอะ ไอ้เตอร์มันไม่ยอมคุยด้วยกับมิกซ์แน่ๆ ถ้ามิกซ์ยังเป็นแบบเนี้ย มิกซ์ก็รู้นิสัยมันดี แล้วนี่นะ ต่อให้มิกซ์ลงไปหามันถึงกรุงเทพ ถ้าโชคดีหาเจออะนะ นอกจากจะเป็นการหาเรื่องทะเลาะกันให้มันใหญ่โตขึ้นไปอีกแล้ว มันจะได้อะไรขึ้นมา”
“แล้วมิกซ์ต้องยังทำไงอะตี้”

มิกซ์หงายหลังลงบนเตียง เอามือปิดใบหน้า

“รอไงมิกซ์ เราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ รอให้ตัวเองใจเย็นๆ รอให้มันกลับมา ยังไงมันก็ต้องกลับมา ไปไม่กี่วันหรอก หยุดสงกรานต์แค่ไม่กี่วัน แล้วเดี๋ยวเจอกันแล้วค่อยคุยกันให้เคลียร์ ว่าจะเอายังไง จะคบกันต่อยังไง”

เห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกสะเทือนใจ คนน่ารักขนาดนี้ยังโดนเพื่อนเห้ของผมเท ไม่อยากจะนึกถึงตัวเองเลย

“เชื่อตี้นะ สงกรานต์มิกซ์กลับบ้านไปอยู่บ้านก่อน ไปเที่ยว อยู่กับเพื่อนให้สบายใจ ละเดี๋ยวค่อยว่ากัน ถ้ามีอะไรเดี๋ยวตี้รีบบอกเลย ไอ้เตอร์มันก็คงคิดแบบนี้เหมือนกันแหละ มันถึงได้หนีไปพักก่อน บางทีมันอาจจะแค่อยากไปทำสมองให้โล่งๆ แล้วค่อยมาคุยกับมิกซ์ไง ถ้าไม่เชื่อก็ลองโทรไปละกัน แต่ตี้ว่ามิกซ์ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไอ้เตอร์ ถ้ามันพร้อมจะคุยวันไหน มันก็จะติดต่อมาเองแหละ แต่ถ้าไม่ใช่ โทรให้ต่ายมันก็ไม่รับ”

เวลาปกติแล้ว มิกซ์ไม่ใช่คนไร้เหตุผลซะทีเดียว ตอนนี้อาจจะกำลังชั่งน้ำหนักที่ในสิ่งที่ผมพูดอยู่ว่า มันเชื่อได้แค่ไหน

“เดี๋ยวตี้จะช่วยตามไอ้เตอร์อีกที แล้วจะช่วยคุยกับมันให้ โอเคมั๊ย แล้วเดี๋ยวตี้จะถามไปทางแฟนไอติมให้ช่วยดูให้อีกทีด้วย”

มิกซ์เช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้าอย่างคนไม่มีทางเลือก

“มิกซ์อยู่คนเดียวไม่ได้อะตี้ ออกไปกินเหล้าเป็นเพื่อนมิกซ์หน่อยดิ”
“เอ่อ…”
“อ้อ” มิกซ์คงเพิ่งสังเกตเสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่ “โทษที ตี้กำลังจะออกไปข้างนอกเหรอ”
“ใช่… เอางี้ พอดีตี้นัดน้องไปดูหนังกัน มิกซ์ไปดูหนังกะตี้ก่อน เดี๋ยวค่อยไปหาร้านนั่งคุยกันต่อ โอเคป่าว”
"ไม่เป็นไรหรอก ตี้ไปเหอะ ขอโทษจริงๆ นะที่มารบกวน"
"เฮ้ย ไม่เป็นไร ไปด้วยกันเหอะ อย่าอยู่คนเดียวเลย"
มิกซ์ทำท่าลังเล
“แต่…”
“เอาตามนี้แหละ”

อืม แบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-02-2019 00:55:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสัยตั้งแต่แรก ๆ แล้ว  เรื่องเตอร์กับเซนเนี่ย

ป.ล. ไม่ใช่ว่าน้องกำแพงเพชร  จะเปลี่ยนมาสนใจมิกซ์นะ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2019 01:39:03
 :pig4: แม้จะงงๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 16-02-2019 02:26:25
จะจบจะไดนิ เหลือแหมบ่กี่ตอนเหีย แงงงงงง :ling3:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 16-02-2019 11:57:49
เรื่องมันยุ่งดีจัง
แล้ววินยังเป็นพระเอกอยู่ไหมเนี่ยะ
รออ่านต่อค่าาา
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 16-02-2019 13:20:31
น้องกำแพงเพชรต้องหันมาสนใจมิกแน่เลยอะ ฮือ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 16-02-2019 13:59:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 17-02-2019 06:41:37
ขอโทษที่จะต้องบอกว่าคนอย่างวิน ห้ามไม่ให้เกลียดยังไงก็จะเกลียด 555 อินมาก
ตลกที่พยายามจะใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึก
เรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคนไม่มีทางที่จะคาดเดาอะไรได้เลย จะคบกันได้ไม่ได้มีหลายปัจจัยมาก
ความเหมือนความต่างเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่ง
ต้องให้คบกันไปเรื่อยๆนั่นแหละถึงจะรู้ว่ารอดไม่รอด
แต่ที่อภัยให้ไม่ได้อย่างหนักคือบอกให้เฟมเลิกกับไอติมเพื่อมาคบตัวเอง
อันนี้คือเห็นแก่ตัวแบบไม่อ้อมค้อมเลย
รู้สึกดีที่ตี้เป็นผู้ใหญ่พอ
ชอบความคิด การตัดสินใจ การใช้คำพูดของคนนี้มาก

ส่วนเฟมกับไอติมจะกลับมาคบกันนี่จะดีมาก
ให้รู้กันไปเลยว่าคนมันจะคู่กันเอาอะไรมาแยกก็ไม่ได้
แต่น้องเฟมอย่ามาโลเลอีกนะ ความผิดนี้ให้อภัยได้ครั้งเดียว 555

ชอบเรื่องนี้ที่ setting มันดูธรรมดาดี
ธรรมดาจนทำให้มันสมจริง
ตัวละคร เหตุการณ์ดูจับต้องได้ ดูเป็นไปได้
ซึ่งกลายเป็นความพิเศษที่หาได้ยากในเรื่องแต่ง
ส่วนความสั้นของตอนเราไม่มีปัญหาเพราะอัพถี่มาก 555
จบที่ 19 ตอนอาจจะสั้นไปก็จริง
แต่ส่วนตัวเรื่องที่สั้นแล้วทำให้เรารู้สึกอยากอ่านอีก(แต่ไม่มีให้อ่านต่อแล้ว)
ดีกว่าเรื่องยาวที่ถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะจบสักที
การที่สั้น กระชับ แบบนี้ก็มีเสน่ห์ครับ

ปล. เด็กๆเรื่องนี้เที่ยวกันบ่อยมาก อ่านแล้วอยากไปเชียงใหม่ขึ้นมาเลย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 17-02-2019 07:04:37
ใครคบกับเซ็นก็เปลืองตัวเหมือนกับที่วินเคยบอกไว้ ส่วนตี้พยายามจะลองคบกับใครก็มีเหตุให้เลิกตลอด
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 17-02-2019 09:24:33
ความสัมพันธ์ของแต่ละคนคือวุ่นวายมาก ฮืออ
ก็คือจะจบแล้วยังไม่รู้เลยว่าวินเป็นพระเอกจริงไหม555
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 15 (16-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-02-2019 10:20:08
 :เฮ้อ:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 16 (17-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 18-02-2019 14:46:33
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคอมเมนท์นะครับ
ดีใจที่หลายคนชอบนิยายที่เล่าเรื่องเรียบๆ เรื่อยๆ เรื่องนี้
อ่านคอมเมนท์แล้วรู้สึกดีมากจริงๆ
ฝากด้วยนะครับ

 :mew1:


+++

16

วิน

ตั้งแต่เด็กๆ ผู้ใหญ่รอบตัวมักจะพูดถึงผมว่าเป็นเด็กมีนิสัยที่ช่างเลือก ไม่รู้ว่านั่นเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำแรงๆ อย่าง ”เรื่องมาก” หรือ “จุกจิก” เพื่อถนอมน้ำใจหรือเปล่า แต่รสนิยมไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างกันได้ภายในวันสองวัน ถ้าจะบอกว่าผมเรื่องมาก ผมคงต้องยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า การเป็นคนช่างเลือกของผม จะถูกมองว่าเป็นนิสัยที่ไม่พึงปารถนาในที่สุด แต่ในเมื่ออยู่ในจุดที่สามารถเลือกได้ ทำไมเราถึงจะไม่เลือกล่ะ

อย่างในชีวิตประจำวัน ผมชอบให้ข้าวของทุกชิ้น อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ และต้องถูกออกแบบมาให้เข้ากับข้าวของชิ้นอื่นๆ ที่มี ราคาหรือมูลค่า ยังไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์และความเข้ากันได้โดยรวม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่ได้มีปัญหากับข้าวของราคาถูก ผมให้ความสำคัญกับการใช้งานและความเหมาะสมมากกว่าอย่างอื่น มากกว่าของที่ถูกใจ

แต่สิ่งที่ผมลืมนึกถึงไปก็คือ เราไม่สามารถทำแบบนั้นกับสิ่งที่มีความนึกคิดเป็นของตัวเองได้ เราเลือกไม่ได้ว่าจะให้คนแบบไหนก้าวเข้ามาในชีวิต หรือเลือกให้คนเหล่านั้นรู้สึกแบบไหนกับเรา

เฟม คือคนแรกที่ถูกผมพิสูจน์ด้วยแนวคิดนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“มึงมีคำตอบให้กูแล้วใช่ไหม”

ผมถามมันในบ่ายวันหนึ่งที่เราอยู่กันตามลำพังในร้านข้าวร้านประจำใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เราแทบไม่ได้คุยกันเลยหลังจากที่มันกลับมาจากเชียงใหม่

“อืม กูว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่ถูกต้องสำหรับมึงกับกูว่ะวิน หรือมันอาจจะไม่มี ไม่เคยมีเลย”

ผมสูดหายใจลึก ไม่รู้ว่าเพราะผิดหวังหรือโล่งใจ แม้จะเดาคำตอบคร่าวๆ ได้แล้วก็ตาม

“กูเข้าใจ” ผมยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข “แต่มันสำคัญมากนะเฟม มึงควรรู้ตัวก่อนว่าที่มึงเลือกพี่เขา เพราะมึงชอบเขาจริงๆ หรือมึงแค่รู้สึกผิด”
“ก็ทั้งสองอย่าง” มันตอบอย่างไม่ลังเล “ทำไมจะไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือกูชอบเขาและเขาก็ชอบกู ส่วนระหว่างมึงกับกู ถ้ามันจะมันจะ Meant to be มันคงเกิดขึ้นนานแล้วป่ะ อย่าโกรธกูนะ ถ้ากูจะบอกว่า ที่กูเคยชอบมึง นั่นคือเรื่องจริงแค่เรื่องเดียวจริงๆ ส่วนที่มึงบอกว่าชอบกู มึงไม่ได้ชอบกูจริงๆ หรอก”


ผมนึกอยากจะเถียง แต่ก็นึกอะไรไม่ออกจริงๆ
“มึงไม่เคยชอบกู จนกระทั่งมึงรู้สึกว่าจะเสียกูไปจริงๆ เพราะครั้งนี้คนที่กูคบด้วย ไม่ใช่คนเหี้ยๆ อย่างคนก่อนๆ ที่มึงจะได้เข้ามาช่วยจัดการนั่นนี่ให้กูได้”
“เฟม กูไม่ได้…”
“ตลกดี ที่กูเผลอคิดไปว่ามึงอาจจะชอบกูจริงๆ จนกูได้เห็นกับตากูนั่นแหละ ว่ามีคนที่มึงแคร์มากกว่ากู มึงคงไม่เห็นหน้าตาท่าทางตัวเองเวลาที่อยู่ต่อหน้าเขาสินะ มึงกลัวถูกเขาเกลียดจนไม่เป็นตัวเอง”
“มึงหมายถึงใครวะ”
“พี่ตี้ไง มึงชอบพี่ตี้ กูพูดถูกไหม”

ผมกำลังจะหัวเราะเยาะความคิดนั้นของเฟม แต่ก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง

“แค่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง มันไม่ทำให้มึงดูแย่อะไรเลยเว้ย กูรู้ว่ามึงก็เจ็บ ที่ไปทำให้เขาเกลียด มึงอาจจะคิดว่าการยอมรับและปล่อยให้เขาเกลียดมึงต่อไปนั่นคือการชดใช้ที่มึงสมควรได้รับ แต่ไม่ใช่หรอกวิน ไม่มีใครได้อะไรจากเรื่องนี้เลยเว้ย เพราะพี่เขาก็ชอบมึงเหมือนกัน มึงดูไม่ออกเลยเหรอวะ”
“อ่ะ สมมติว่ากูชอบเขาจริงๆ …”
“มึงชอบเขาจริงๆ ไม่ได้สมมติ”
 “ไม่ เขาไม่ได้ชอบกู”
“มึงรู้ได้ยังไง”
“ก็กูนี่แหละ ที่ถามเขากับปาก ได้ยินอยู่กับหู” ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลบๆ กับคำตอบของตัวเอง “เออ กูถามเขาเอง เขาบอกเขาไม่ได้ชอบกู นอกจากไม่ชอบแล้วยังเกลียดกูด้วย”

รู้สึกจุกจนอธิบายไม่ถูก

“ถ้าให้เดา มึงเองก็คงบอกพี่เขาไปว่ามึงไมได้ชอบเขาใช่ไหม” ไอ้เฟมยิ้มแล้วส่ายหัว “กูว่ามึงได้คำตอบแล้วล่ะ มึงนี่นะ”

ตั้งแต่นั้นมา ผมได้ลองนึกทบทวนความรู้สึกของตัวเองอย่างที่ไอ้เฟมแนะนำ น่าแปลกใจที่ผมต้องยอมรับในที่สุดว่า พี่ตี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจได้จริงๆ และไม่ใช่คุณสมบัติที่ผมเคยมองหามาตลอดด้วย ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกต่ออีกฝ่ายรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ผมคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่าตัวเองอาจกำลังอยู่ในช่วงของการขุดหลุมพรางเพื่อดักให้ตัวเองตกลงไปเจ็บเอง ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาจริงๆ อาจไม่ได้ไปถึงขั้นนั้น ผมตกหลุมรักคนที่ผมสร้างขึ้นในหัว จากจินตนาการ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา การคิดแบบนี้ช่วยทำให้ผมรู้สึกเจ็บในใจน้อยลง และบรรเทาความอึดอัดที่ไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกเหล่านี้ออกไปได้ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกใจเต้นแรงอยู่ดี เมื่อได้ยินชื่อนี้จากไอ้เฟม ที่โทรหาผมจากลำปาง

และนั่นทำให้ผมเปลี่ยนใจจากทริปญี่ปุ่นที่กำลังเลอยู่พอดีทันที

+++

ตี้


วันที่ 13 วันสงกรานต์หรือวันสังขารล่องของที่นี่ ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปวัดกับแม่ จากนั้น พอกลับมาถึงบ้านตอนใกล้เจ็ดโมง ก็จะเป็นมหกรรมการอาบน้ำ สระผม ซักผ้า และเก็บกวาดบ้าน ตามประเพณีในการเริ่มต้นปีใหม่

เมื่อวานหลังจากไปจอยปาร์ตี้ที่ห้วยตึงเฒ่าและเดินเล่นรอบคูเมืองไปจนถึงถนนห้วยแก้วกับแกงค์สาวๆ แล้ว ผมก็ตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านตอนดึกเลย เพราะถนนจะโล่งกว่าและไม่ร้อนเหมือนตอนกลางวัน แม้ว่าจะต้องเจอด่านมากมายที่ผุดขึ้นมาในช่วงเทศกาลเรียกให้จอดนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม เพียงเพราะอยากมานอนฟังเสียงประทัดแถวบ้านที่เพื่อนบ้านจุดไล่สังขารกันในตอนเที่ยงคืนแบบสมัยเด็กๆ

ส่วนเดทเมื่อคืนวันที่ 11 กับน้อง มช. ก็อย่างที่คิดนั่นแหละครับ พอมีมิกซ์ไปด้วย ก็เลยไม่ได้คุยกันมากนัก น้องดูงอนนิดหน่อย โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ ที่ผมหิ้วมิกซ์ที่หน้าตาน่ารักกว่าไปด้วย

ซึ่งก็ดีเหมือนกัน นั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะคุยกับใครจริงๆ จังๆ

หลังเก็บกวาดห้องตัวเองให้เรียบร้อยจนเหนื่อยแล้ว ผมก็คลานขึ้นเตียงที่ปูใหม่ๆ ผ้าปูเย็นๆ แล้วเปิดพัดลมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง (ทดแทนจากเมื่อคืนที่นอนไม่พอ) โดยมีเสียงเพลงปีใหม่เมืองจากเครื่องเสียงของเพื่อนบ้าน คอยขับกล่อม เดี๋ยวตอนบ่ายๆ ค่ำๆ ก็ต้องไปขนทรายเข้าวัดตามประเพณีอีก รับปากเพื่อนแถวบ้านเอาไว้แล้ว

นี่แหละ บรรยากาศปีใหม่เมืองที่แท้ทรู

ผมมีความสุขกับการนอนกลางวัน ได้ฝันถึงเรื่องนั้นโน้นนี้ หนีไปจากโลกของความเป็นจริง จนกระทั่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์ในเวลาเที่ยงกว่าๆ

ไอ้เตอร์โทรเข้ามา ผมรีบกดรับทันที

“ไง มึงพร้อมจะคุยแล้วเหรอ”
ผมถามกวนตีนไป แต่เสียงปลายสายฟังดูแย่ๆ
“อย่าเพิ่งด่าตี้ กูมีเรื่องรบกวนหน่อยว่ะ”
“เรื่องไรอะ ตังหมดเหรอ”
“เปล่า มึงช่วยโทรหาไอ้เซนให้กูที บอกมันให้เอาของของกูกับประป๋าเสื้อผ้าลงมาให้กูด้วย”
“อ้าว มีอะไรวะ”
ผมถึงกับต้องลุกขึ้นจากเตียง
“มันไม่ให้กูเข้าห้อง กูไม่มีคีย์การ์ด ขึ้นไปคอนโดมันไม่ได้ กูแค่จะเอาของของกู จะได้ไปนอนที่อื่น”
“อะไรของมึงวะเนี่ย มึงทะเลาะกับเซนเหรอ”
“เออ แม่งเชี่ยว่ะ มันจับได้ว่ากูแอบลบ…”
ไอ้เตอร์ชะงักไป คงคิดว่าผมยังไม่รู้ ผมเลยต่อให้จบประโยค
“คลิปมึงกับมัน มิกซ์เล่าให้กูฟังหมดละ”
“เออ นั่นแหละ กูเลยต้องรีบมาหาแม่ง มาแอบคลิปมันในเครื่องกับทวิตมั่นนี่ไง กูกำลังจะขโมยเอ็กซ์เทอนอลแม่งได้แล้วเชียว มึงรู้ไหม มันเอาคลิปที่มันนอนกับกู ไปปล่อยขายในกลุ่มทวิตเตอร์”
ผมไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่รู้สึกแย่ที่สิ่งที่ได้ยินคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเรื่องราวที่เคยได้ยินมา เป็นเรื่องจริง
“นี่มึงมัอะไรกับเซนมาตลอดงี้เหรอ”   
“เออ แต่ไม่ใช่เวลาจะมาด่าไหมสัด กูจะทำยังไงดีวะ มันไล่กูออกจากมาจากคอนโด กูไม่มีไรติดตัวเลยเว้ยนอกจากมือถือ กระเป๋าสตางค์กับกุญแจอะไรก็อยู่ที่ห้องมันหมด”
“แล้วนี่มึงอยู่ไหน มีเงินใช้รึเปล่า”
“มี ดีที่กูกดเงินไม่ใช้บัตรได้ กูอยู่สยามเนี่ย ตอนนี้” แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงมันก็ยังดูร้อนใจอยู่ดี “นะตี้ มึงช่วยพูดกับมันให้หน่อย กูแค่ต้องการของของกูคืน แล้วให้มันลบไฟล์กูในฮาร์ดไดรฟ์ด้วย”
“ได้ เดี๋ยวกูคุยให้ มึงใจเย็นๆ นะ เดินเล่นไปก่อน ยังไงมันก็เอาของมึงไว้กับตัวเองไม่ได้ ผิดกฏหมาย”
“ตี้ กูไม่แจ้งความนะเว้ย กูอาย เดี๋ยวพ่อกูรู้”
“เออรู้แล้วน่า มึงใจเย็น ไปนั่งรอร้านกาแฟก่อนไป”
“อ้อ อีกอย่าง อย่าบอกมิกซ์นะ กูขอ”
“เรื่องไหนอะ มันรู้หมดแล้วมะ”
“ก็เรื่องที่กูมีเรื่องกับไอ้เซนเนี่ย กูไม่อยากให้มันเป็นห่วง”
“รู้ด้วยเหรอว่ามีคนเป็นห่วง เออ กูไม่บอกหรอก”

ผมวางสายจากมัน แล้วลองโทรไปหาเซน โทรติด แต่ไม่มีคนรับ คงตั้งใจจะไม่รับอยู่แล้ว ผมเลยส่งข้อความทางไลน์ไปว่า ช่วยเอาข้าวของของไอ้เตอร์ลงมาไว้ที่ล็อบบี้ให้ด้วย อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่

เซนอ่านแต่ไม่ตอบ

จนหลายนาทีผ่านไป ผมไม่อยากให้ไอ้เตอร์ร้อนใจ จึงทำในสิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนแรก

“ติม มึงอยู่ไหน อยู่กับน้องเฟมปะ”
“อะ เอ่อ มะ… มีไรวะ”
ไอติมเหมือนกลัวว่าผมจะโทรไปด่า
“กูขอคุยกับเฟมหน่อย มึงมีปัญหาเหรอ”
“เออ ได้ ได้ดิ ได้ๆ แป๊บนะ”

+++

ประมาณสี่โมงเย็น ระหว่างที่ผมอยู่ที่วัด ทั้งไอ้เตอร์และน้องเฟมโทรมารายงานว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ไอ้เตอร์เช็คอินที่โรงแรมแถวราชเทวี เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับพรุ่งนี้ พร้อมกับอุปกรณ์เก็บข้อมูลทุกอย่างและฮาร์ดไดรฟ์เจ้าปัญหาที่เจ้าตัวต้องการให้ทำลาย เว้นก็แต่คลิปถูกเผยแพร่ไปแล้ว ซึ่งทำอะไรไม่ได้ แต่กรุ๊ปลับของเซนก็ถูกปิดเรียบร้อย พร้อมกับคำขู่ที่ว่า ‘ถ้ามีคราวหน้า มึงหมดอนาคตแน่’

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นโดยความช่วยเหลือของ ‘ไอ้เด็กวิน’

จริงๆ มันก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ตัวก็โต แต่มันติดปากไปแล้ว

“น้องวิน เพื่อนแฟนไอ้ติมแม่ง โคตรเท่เลยว่ะ กูนี่ รู้สึกกระจอกฉิบหายเวลาเวลาอยู่ใกล้มัน”

อยากจะบอกว่า กูก็รู้สึกไม่ต่างจากมึงหรอกไอ้เตอร์

เรื่องจากปากคำของไอ้เตอร์ จะมีความจริงอยู่มากน้อยเท่าไหร่ผมไม่อาจทราบได้ แต่อย่างน้อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ลุล่วงด้วยดี (มั้ง) เริ่มจากที่มันแอบสงสัยว่ามิกซ์มีคนอื่น (ทั้งที่ตัวมันก็ไม่ธรรมดา) หึงกันไปหึงกันมา มิกซ์ดันไปเจอคลิปส่วนหนึ่งที่มันถ่ายเล่นๆ กับเซนโดยบังเอิญในทวิตเตอร์ แล้วเกิดจำได้ เลยทะเลาะกันใหญ่โต นิสัยมันเป็นคนไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองผิดอยู่แล้ว แทนที่จะขอโทษขอโพยกลับทำเหมือนกับว่ามิกซ์เป็นคนผิดซะเอง

ตัวมันเองก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าเซนเป็นแบบนี้ อันที่จริงสองคนนี้ก็รู้จักกันผ่านทวิตด้านมืดนี่แหละ เพียงแต่มันไม่รู้ว่าเซนยังมีอีกแอคเคาท์หนึ่ง สำหรับลงคลิปและขายคลิปในกรุ๊ปลับโดยเฉพาะ และนั่นคือเหตุผลที่มันไปหาเซน คือเพื่อขอให้ลบคลิป เซนรับปาก แต่มันก็ยังไม่ไว้ใจ จึงแอบลบคลิปจากในคอมพิวเตอร์และทวิตของเซนเอง รวมทั้งขโมยเอ็กซ์เทอนอล ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บคลิปลามก แต่ดันถูกจับได้ซะก่อน เลยมีเรื่องชุลมุนและโดนเซนไล่ออกจากคอนโด

หลังจากที่โทรมันหาผม ไม่ถึงชั่วโมง ไอ้เด็กวินก็โทรหามันโดยการประสานงานของน้องเฟม นัดแนะให้ไปเจอที่คอนโดเซน โดยมีพี่ตำรวจนอกเครื่องแบบกับลูกน้องอีกสองคนตามไปด้วย (ไอ้เตอร์เล่าว่า บรรดาพี่ตำรวจพากันเรียก ‘คุณวินๆ’ โดยพร้อมเพรียง)

เหตุการณ์มีช่วงชุลมุนนิดหน่อย แต่ก็ได้หลักฐานต่างๆ ครบ และทำลายมันต่อหน้าต่อตา เตอร์เล่าว่า ตอนแรกไอ้เด็กวินซึ่งมีท่าทางโกรธจัดคิดจะเอาเรื่องถึงที่สุด เพราะเซนเคยทำแบบนี้กับเพื่อนเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเซนก็รับปากว่าจะหยุด แต่ก็ยังทำอีก คราวนี้ เจ้าตัวถึงกับยกมือไหว้ขอร้องรุ่นน้อง อย่างไอ้เด็กวินอย่างหมดศักดิ์ศรี เพราะเหลืออีกแค่สองเดือน ตัวเองก็จะเรียนจบปีสี่แล้ว คงไม่อยากหมดอนาคต ไอ้เด็กวินให้เตอร์ช่วยบันทึกวิดิโอไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเจ้าตัวประพฤติผิดไปจากที่รับปากไว้อีก รวมทั้งยึดข้าวของที่เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลทั้งหมดของเซนมาทำลายทิ้ง (ผมได้มาเห็นมันในตอนหลัง แอบรู้สึกสงสารเซนอยู่เบาๆ แต่ก็สมควรแล้วเหมือนกัน เขาเลือกของเขาเองนี่นา)

ไม่เท่านั้น จบเรื่องแล้ว ไอ้เด็กวินยังเสนอที่พักให้ไอ้เตอร์อีกต่างหาก แต่มันเกรงใจ เขาจึงขับรถพาไปเช็คอินที่โรงแรมใกล้ๆ โดยระหว่างที่ฟังมันโทรมาเล่า ผมได้ยินแต่คำว่า ‘ดี’ ‘เท่’ ‘มีน้ำใจ’ นับครั้งไม่ถ้วน แหม ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอก ถ้าคนๆ นี้ ไม่ใช่คนเดียวกับคนที่เคยพยายามเข้าไปแทรกกลางระหว่างไอติมกับน้องเฟมอะนะ

หรืออาจจะยังแทรกอยู่ก็ได้

เรื่องราวก็ประมาณนี้แหละ

“กูขอบคุณมึงมาเลยนะที่ช่วยกู คิดไม่ผิดจริงๆ ที่โทรหามึง”
ไอ้เตอร์ย้ำ
“ไม่เกี่ยวกับกูเลย แฟนไอติมกับเพื่อนมันต่างหากที่ช่วยมึง”
ผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรมันเลยจริงๆ นอกจากรับฟัง
“แต่น้องเขาบอกว่าที่มาช่วยกูเพราะกูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย น้องมันพูดว่าไงนะ อ๋อ มันบอกว่า มันอยากทำอะไรให้มึงบ้าง ดังนั้น การช่วยกู ก็เท่ากับได้ทำอะไรในนามของมึง แม่ง ซึ้งว่ะ กูว่าน้องมันต้องชอบมึงแน่ๆ”

ฟังแล้วก็รู้สึกแปลกๆ

“เขาพูดงั้นเหรอ”
“เออ เนี่ย กูเลยชวนมันกลับมาเชียงใหม่ด้วยกัน เพราะมันบอกว่าเพื่อนมันก็อยู่กับไอ้เตอร์ตอนนี้อะ จริงปะวะ”
เดี๋ยว มึงทำอะไรนะ
“มึงชวนมันกลับมาด้วย?”
“อืม ก็เขาอุตส่าห์ช่วยกู”
“แล้วมันว่าไง”
“ก็ต้องโอเคอยู่แล้วดิ” ไอเตอร์บอกโดยไร้ซึ่งสงสัย “มึงรอต้อนรับได้เลยนะ มึงมีผัวก็คราวนี้แหละ ผัวโคตรดีด้วย กูละอิจฉาจริงๆ ถ้าน้องเขาสนใจกูนะ…”

ผมจำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นไอ้เตอร์พูดอะไร เพราะไม่มีสติที่จะฟัง
รู้แค่ไอ้เด็กวินจะกลับมาพร้อมไอ้เตอร์พรุ่งนี้

โอเค ช่างมันปะไร
ยังไงผมก็ตั้งใจว่าจะไม่กลับเข้าเมืองในช่วง 14 -17 อยู่แล้วนี่นา

ผมวางสายจากไอ้เตอร์ แล้วยืนจ้องกองเจดีย์ทรายปักตุงสีต่างๆ ที่ผมกับเพื่อนเพิ่งขนมาสมทบอย่างสับสน

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 16 (17-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-02-2019 15:52:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่  ไอ่นุ้งวินเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพรี้เตอร์อ่ะ

คงต้องการลบล้างความผิดที่ผ่านมาที่ได้ทำไว้กับพรี้ปาร์ตี้สินะ    หุหุ

ป.ล. เตอร์นี่มั่วจุงเบย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 16 (17-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-02-2019 16:06:41
เริ่ม​เข้าที่​เข้า​ทาง​
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 16 (17-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 18-02-2019 16:30:51
วินเริ่มยอมรับแล้วว่าชอบตี้
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 16 (17-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 18-02-2019 21:45:28
ยอมรับแล้วใช่มั้ยยยว่าชอบพี่เค้า
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 16 (17-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 19-02-2019 00:53:35
ตี้เป็นตัวละครที่เหมือนคนในชีวิตจริงมาก555555สู้ๆตี้เล่นตัวแบบสวยๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 16 (17-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 19-02-2019 02:01:57
จะจบแล้วจริงหรอคะ ไม่อยากให้จบเลยย :ling1:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 20-02-2019 16:43:22
มาถึงตอนที่ 17 แล้ว อีกสองตอนก็จะจบแล้ว
ที่อัพช้า ไม่ได้จะเล่นตัวนะครับสามตอนสุดท้ายมันสั้นมาก เลยต้องเพิ่มนั่นนิดนี่หน่อย
เลยใช้เวลาอีดิทเพิ่ม
ยังไงฝากบอกต่อด้วยนะครับ ถ้าชอบเรื่องแนวๆ นี้
สารภาพ ว่าอยากได้คอมเมนท์เยอะๆ 555
แต่แค่เข้ามาอ่านก็ดีใจแล้วครับ ขอบคุณครับ

+++


17


ผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับเข้าเมืองเชียงใหม่ หรือที่คนแถวบ้านเรียกว่า ‘เวียง’ ในตอนสายของวันที่ 14 เพราะคำขู่ของไอติมที่บอกว่า ถ้าไม่กลับเข้าไป จะตามมาถึงที่บ้าน

ผมเซนส์ได้ว่าคราวนี้มันพูดจริง ผมไม่อยากให้ใครมาที่บ้าน ขี้เกียจดูแล ขี้เกียจต้อนรับ เลยตัดสินใจขับกลับไปรอที่หอ ขณะที่ไอติม กับน้องเฟมไปรอรับไอ้เตอร์ กับไอ้ เอ่อ.. กับไอ้เด็กวิน ที่แอร์พอร์ต

รออยู่ที่ห้องนี่แหละ ไว้มันเรียกให้ออกไปเที่ยวไปแดกฟรีค่อยออกไป ฟังพอดคาสท์ชิลๆ เซ็ตผมไปพลาง

เออ ทำผมแบบนี้แล้วเหมือนยูชอนโฮ เหมือนกันแฮะ
เดี๋ยว ทำไมต้องเซ็ตผมวะ ชุดนี่อีก เดี๋ยวออกไปก็ต้องเปียกอยู่แล้วปะ
โอ้ย ถ้าหัวเปียกน้ำต้องน่าเกลียดแหงๆ เลย โว้ย

ก๊อกๆๆๆ
เสียงเคาะประตู ผมเหลียวไปมองแบบงงๆ เร็วขนาดนี้เลยเหรอ ผมมองลอดตาแมวด้วยความสงสัย อ่อ มิกซ์นั่นเอง นึกว่ากลับบ้านไปแล้วซะอีก
ผมเปิดประตู มิกซ์ยื่นกล่องโดนัทเจ้าดังให้

“เอามาขอบคุณ ขอบคุณนะที่ช่วยเตอร์”
“เฮ้ย เราไม่ได้ช่วยอะไรเลย แฟนไอติมนู่น”
“แล้วก็.. ขอโทษที่เป็นภาระ ต้องให้ลากไปดูหนังด้วย เป็น กขค.เฉยเลย”
ผมโบกมือปฏิเสธ
“แล้วนี่ มิกซ์คุยกับไอ้เตอร์แล้วใช่ไหม”
“อื้ม”
สีหน้ามิกซ์ยังดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่
“แล้วไม่ไปรับเหรอ”
มิกซ์ส่ายหน้า
“ไม่อะ ถ้าเตอร์มันอยากเจอมิกซ์ ยังเห็นว่ามิกว์สำคัญกับมัน เดี๋ยวมันก็มาหาเอง อย่างที่ตี้บอกไง”
“คุยกันดีๆ นะ ลองชั่งน้ำหนัก…”
“รู้แล้วน่า มิกซ์จำได้หมดแหละที่ตี้สอนวันก่อน”
เอ่อ เอาจริง นี่ผมกล้าไปสอนคนที่เขามีแฟนมาตลอดได้ไง ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยมีแฟนเลยสักคนเดียว
“โอเค งั้นขอบคุณนะ แล้วนี่ยังไม่กลับบ้านเหรอ”
“กลับพรุ่งนี้ นี่มิกซ์ก็คิดว่าตี้กลับแล้วเหมือนกันนะ แต่พอดีเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างล่าง”
“ก็ไอติมแหละ บังคับให้กลับเข้ามา เออ ไปเล่นน้ำด้วยกันสิ”
“อืม ค่อยว่ากันนะ มิกซ์ไม่กวนละ จะเอาเสื้อผ้าลงไปซักด้วย ไว้เจอกัน”
“อื้ม เจอกัน”

ผมรอจนมิกซ์เดินกลับลงบันไดลับตาไปเลยจึงปิดประตู แล้วกลับไปเปลี่ยนชุดให้เป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดา แล้วกลับมานั่งเซ็ตผมต่อ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
น้ำหนักและจังหวะของการเคาะหนนี้ ทำให้ผมรู้ได้โดยทันทีว่าเป็นใคร
ไอ้ควาย ทำไมไม่โทรมาก่อนวะ ยังเซ็ตผมไม่เสร็จเลยด้วย

ผมเดินไปเปิดประตูด้วยความเคยชิน แต่พอเห็นไอ้เด็กวินขยับออกมาจากมุมอับสายตา ผมก็ผลักประตูปิดอย่างอัตโนมัติเช่นเดียวกัน

“เป็นเชี่ยไรของมึงวะ”
ไอติมตะโกนด่า
“กูยังไม่ได้เก็บห้อง มึงลงไปรอข้างล่างเลย อีกสองนาทีกูตามไป”
“เขินเหรอวะ”
“เขินพ่อมึงดิ”
“เออๆ ก็ได้ เร็วๆ นะเว้ย”

มีเสียงซุบซิบเหมือนนินทาผมอยู่หน้าห้อง ผมรอจนเสียงเท้าหายไปจึงกลับมาหาหาซองกันน้ำสำหรับใส่โทรศัพท์และบัตรต่างๆ
และอีกครั้งที่มีเสียงเคาะประตู

นี่มันวันอะไรวะเนี่ย วันเคาะประตูโลกเหรอ

“ใครอะ”
ผมตะโกน
“พี่ตี้ ผมเฟมนะครับ”
อะ
“เอ่อ แป้บนึง เดี๋ยวพี่ลงไป”
“เปล่าครับ ผมมาคุยด้วย พี่ตี้พอจะว่างไหมครับ”
หืม
ผมเดินไปส่องที่ประตู ก่อนจะแง้มประตูเปิด
“ผมมาคนเดียวครับ”
น้องบอกเหมือนจะรู้ทัน
“อือ เข้ามาดิ”
“ขอบคุณครับ”
“ไม่มีใครจะมาเคาะห้องขอคุยด้วยแล้วเนาะ”
“ครับ?”
“เปล่าๆ” ผมแก้ตัว “นั่งดิ เฟมมีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่เหรอ”
“ก็เรื่อง พี่ไอติมนี่แหละครับ… พี่ตี้ยังโกรธผมกับไอ้วินอยู่หรือเปล่าครับ”

อ่ะ ต้องตอบจริงๆ เหรอ จะว่าไม่โกรธเลยมันก็… ผมยิ้มอ่อนแทนคำตอบ

“ผมเข้าใจครับ เป็นใครก็คงรู้สึกไม่ดี ผมอยากจะขอโทษพี่ตี้จากใจจริงเลยครับ”
“ไม่ต้องหรอก ที่จริงมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพี่เลย ถ้าไอติมมันโอเคพี่ก็โอเค แล้วนี่ กลับมาคบกันแล้วเหรอ”
“ครับ”
“แล้วเฟมแน่ใจแล้วเหรอ”
“ครับ”
“งั้นก็ไม่ต้องคิดมากนะ พี่ก็แค่เป็นห่วงไอติมมัน เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เวลาที่เพื่อนอกหักนั่นแหละ แต่ถ้าเฟมคือความสุขของมัน เพื่อนทุกคนก็พร้อมจะสนับสนุนมันเหมือนเดิม ไม่ต้องคิดมาก”
“ขอบคุณครับ ผมจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก”
“อื้ม”
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก
“ผมเดาว่าพี่ตี้คงอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ ระหว่างผมกับไอ้วิน”
ผมโบกมือ
“ไม่ต้องเล่าหรอก ก็พอจะรู้มาบ้างแล้วล่ะ จากไอติมน่ะ”
“ครับ แต่ผมอยากให้พี่รู้ว่า ผมกับไอ้วินยังไม่ได้คบกันนะครับ ผมกับมันไม่เคยมีอะไรกัน”
“อ่อ อืม ไอติมคงแฮปปี้อะ”
“ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่”
“เอ้อ พี่ยังไม่ได้ขอบคุณเฟมเลย เรื่องไอ้เตอร์”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ช่วยอะไรมาก ไอ้วินต่างหาก”
“อ้อ”

ผมยิ้มแห้งเป็นครั้งที่ล้านของเช้าวันนี้

+++

“ไอ้เตอร์เป็นไงมั่งวะ”

ผมถามไอติม ระหว่างปีนขึ้นเบาะหลัง กลบเกลื่อนความเขินที่ต้องนั่งข้างคนที่ไม่สนิทด้วย
ไอ้เด็กวินสวัสดี ผมรับไหว้

“ขึ้นไปคุยกับไอ้มิกซ์บนห้อง มึงคิดว่าพวกกูขึ้นไปข้างบนได้ไงอะ ป่านนี้เคลียร์กันเสร็จละมั้ง ไม่ก็แทงกันตายอยู่ในห้องนันแหละ”
“พี่ติม ปากเสีย”
เฟมเอ็ด
“เค้าขอโทษ เค้าหมายถึง แทงอย่างงั้นอ่ะ ที่เราแทงกันเมื่อคืนไง”
“เดี๋ยวเหอะ ลกมก”

ผมแอบกลอกตารำคาญ ก่อนหันไปมเจอไอ้เด็กวิน ถ้าจะไม่ทักทายมันเลยก็คงจะดูไร้มารยาทเกินไป
ผมยิ้มให้ มันผงกหัวรับรู้
“ขอบคุณนะเรื่องไอ้เตอร์อะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
มันตอบอย่างสุภาพตามสไตล์
“ดีๆ กันซะทีเหอะ พวกมึงน่ะ”
ไอติมโพล่งขึ้นมา ผมเอื้อมมือไปตบหัวมันด้วยรำคาญ
“เสือก”
“เอาเลยครับพี่ตี้ ตีเผื่อผมด้วย”
“อ้าวเฟม ทำไมเป็นงี้อ่ะ”
ผมสังเกตเห็นกระเป๋าเป้แบรนด์เนมที่มันนั่งกอดอยู่ ทีแรกกะจะไม่ถาม แต่ห้ามตัวเองไว้ไม่ทัน
“ยังไม่มีที่พักเหรอ”
“ยังไม่ได้จองเลยครับ”
“อ้อ”
“จองทำไม มึงก็ให้วินค้างห้องมึงด้วยดิ”
ผมเอื้อมมือจะไปตบหัวมันอีก แต่คราวนี้มันจับมือผมไว้ทันโดยไม่ต้องหันมามอง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ รบกวนเปล่าๆ”
ไอติมมันล้อเล่นไหม ทำไมคิดจริง
“ก็ถ้าไม่มีที่พักจริงๆ…” ผมเว้นจังหวะ ให้ไอติมหูผึ่ง “ไปค้างบ้านไอ้เตอร์ก็ได้นะ”
“โถ่ววววววววววววววววววว ไอ้…”
คนรอฟังสบถออกมาในที่สุด

+++

ไอติมขับพาพวกเราไปกินข้าวซอยที่ร้านข้าวซอยเจ้าดังย่านสันติธรรม ไม่ไกลจากถนนห้วยแก้วที่เริ่มคึกคัก ข้าวซอยเนื้อกับข้าวซอยไก่ที่นี่อร่อย กลมกล่อม จนต้องเบิ้ลกันคนละสองชาม หลังจากนั้นก็หาที่จอดรถในซอยใกล้ๆ เพราะตั้งใจว่าจะเดินไปเล่นน้ำที่ย่านนิมมานกันจากตรงนี้ แล้วค่อยวนกลับมาทางคูเมือง และกาดสวนแก้ว แต่สุดท้ายไอติมกับเฟมก็ปล่อยพวกเราทิ้งไว้ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งในนิมมานแล้วแยกไปเดินเล่นกันสองคน ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลย

“สองคนนั้นคงไม่กลับมาแล้วล่ะครับ”
“อีกแล้วเหรอ”
“ไปหาที่เดินเล่นไหมครับ ผมไม่ค่อยชอบร้านกาแฟคนเยอะๆ”

ไอ้เด็กวินชวน ผมมองไปรอบๆ ร้านกาแฟฮิปสเตอร์ชื่อดัง แน่นขนัดไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับทุกร้านในย่านนิมมานตอนนี้

“ไปไหนอะ เดินห้างเหรอ คุณมีที่ที่อยากไปไหมล่ะ”
“เรานั่งรถแดงเข้าไปใน มช. ไหมครับ ผมยังไม่เคยเข้าไปเลย สงกรานต์แบบนี้ คนไม่น่าจะเยอะ”
“จะไปนั่งเล่นอ่างแก้วเหรอ เอาสิ ผมก็ไม่ได้เข้าไปนานแล้วเหมือนกัน”

เราออกมาเรียกรถแดงบนถนน จำได้ว่า ถ้าไปทางเส้นนิมมานเข้าประตู ปตท. เก่า จะถึงเร็วที่สุดและเจอรถน้อยที่สุด ถึงจะไม่ได้เรียนที่นั่น แต่ช่วงก่อนก็เข้ามาหาเพื่อนบ่อยอยู่

“ขอบคุณคุณอีกทีนะเรื่องไอ้เตอร์ ทั้งๆ ที่คุณไม่ต้องเข้ามายุ่งก็ได้ ผมซึ้งใจมากเลย แล้วก็รู้สึกผิดกับคุณด้วย ผมน่าจะเชื่อที่คุณเคยบอก เรื่องเซนน่ะ”
“พี่ขอบคุณผมไปแล้วนะครับ”
“ก็ ยังไม่ได้ขอบคุณจริงๆ จังๆ เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อ”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ พี่จะใช้คำว่า ผมกับคุณ กับผมตลอดเลยเหรอครับ”
อ้าว ก็ยังไม่สนิท
“แล้วจะให้เรียกยังไงอะ มันคุ้นปากไปแล้ว เรียกน้องวินงี้เหรอ”
“งั้นแบบเดิมก็ได้ครับ ผม คุณ ไม่เหมือนใครดี”
“อ้าว”

รถโดยสารพาเรามาลงที่ อมช. อย่างที่คาด มช. วันนี้แทบจะไม่มีคนเลย แต่รถกอล์ฟโดยสารยังเดินรถตามปกติ แต่ผมแกล้งใช้วิธีเดินลัดเลาะไป แบบนี้ดีกว่าเยอะ จะได้เห็นคนเหนื่อยด้วย

“พี่ตี้ครับ ถ้าพี่มีอะไรที่ยังติดใจเกี่ยวกับผมอยู่ ถามได้นะครับ ผมอยากให้เราคุยกันได้มากกว่านี้”
“ก็… มีแหละ” ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าถามได้ถึงขนาดไหน “แต่ถามได้จริงเหรอ”
“ครับ”
“ทุกเรื่องเลยเหรอ”
“ก็คงไม่ทุกเรื่อง แต่ก็ถามได้เกือบทุกเรื่อง”
“งั้น… ไม่มี”
“อ้าว”
“ทำไมอะ ทำไมถึงอยากให้ถาม”
“ก็ ผมไม่อยากให้พี่รู้สึกอึดอัด ยังไงพี่ไอติมกับเฟมก็เป็นแฟนกันแล้ว แล้วเราก็ต้องเจอกัน ค่อนข้างบ่อยด้วย”
“เรื่องมันก็เกิดจากที่คุณไม่ชอบผมก่อนไม่ใช่เหรอ”
ผมพูดไปตรงๆ
“ครับ ผมยอมรับครับว่าผมอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับพี่กับพี่ไอติม แต่ตอนนี้ผมคิดว่าพี่ก็โอเคดี”
แค่โอเคเองเหรอ
“ก็ยังดี”
“แต่พี่ก็ไม่ชอบผมเหมือนกันนี่”
“แปลกใจทำไม ก็คุณมันขี้เก๊ก แล้วคุณก็ทำท่ารังเกียจผมด้วย ลืมไปแล้วเหรอ คุณพยายามแยกไม่ให้สองคนนั่นคบกัน แล้วยังคิดว่าผมจะชอบขี้หน้าคุณเนี่ยนะ”
“เรื่องนั้น ให้ผมอธิบายไหมครับ”
“อืม ก็ลองอธิบ่ายมาสิ”
“ผมยอมรับครับว่าผมเคยคิดแบบนั้นจริงๆ แล้วผมเองนี่แหละครับ ที่เป็นต้นเหตุให้เฟมมันต้องบอกเลิกพี่ไอติมคราวก่อน”
“เรื่องนั้นอะรู้แล้วไหม”
“ผมกลัวว่าจะเสียเพื่อนสนิทคนเดียวที่ตัวเองมี ก็เลยทำไปแบบนั้น โดยไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา คือผมเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ถึงจะอยู่ในคณะที่มีคนเยอะๆ แบบนั้นก็เหอะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน เป็นคนมนุษยสัมพันธ์แย่มั้ง ผมไม่ค่อยไว้ใจใคร เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนที่จริงใจกับผมจริงๆ สักเท่าไหร่”
“คิดไปเองป่าว”
“ก็เป็นไปได้ครับ”
“แล้ว… คุณไม่ได้ชอบเฟมจริงๆ เหรอ”
ไอ้เด็กวินส่ายหัว
“เอาจริงๆ ดิ รู้กันแค่คุณกับผม ไม่บอกใครหรอก”
“จริงๆ ครับ ที่ผ่านมา ผมคงแค่กลัวจะเสียมันไป เลยคิดว่าตัวเองหวงเพราะชอบมัน เฟมมันเคยชอบผมมาตั้งนานแล้ว แล้วผมก็รู้ด้วย ถ้าผมชอบมันจริงๆ ผมคงคบกับมันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว อีกอย่าง… ผมมีคนที่ผมชอบอยู่แล้ว แต่แค่ไม่อยากยอมรับ”

กู กูแน่ๆ จุดนี้ต้องเป็นกูแล้วล่ะ – ผมขำกับเสียงที่ผุดขึ้นมาในหัว

“ใครอะ น้องมิวเหรอ”
ผมลองทำเป็นแกล้งโง่
“ไม่ใช่ครับ ผมว่าพี่ก็รู้จักนะ”
“เหรอ ถ้าเป็นคนในระดับที่ผมรู้จัก งั้นก็แปลว่าเขาดีไม่พอที่คุณจะชอบถูกไหม คุณสมบัติก็ไม่ได้เลยสักอย่างเลยอะดิ”
“ก็ประมาณนั้นครับ”
อ้าว
“งั้นก็ สู้ๆ นะ ที่จริงที่มหาลัยคุณ มีคนที่อยู่ในระดับเดียวกับคุณ ที่คุณน่าจะชอบได้อยู่เยอะเลย รีบมีเหอะ ต่อไป คุณก็จะไม่ต้องไปคอยขัดขวางความรักคนอื่นอีก”
“แล้วพี่จะไม่เสียใจเหรอครับ”
“หา” ผมหันไปมองมันที่กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ “เสียใจทำไมอะ”
“ไม่อยากรู้แล้วเหรอครับ ว่าผมชอบใคร”
จะขยี้ทำไมเนี่ย
“ไม่อะ”
“ผมชอบ…”
ก็ได้ๆๆๆๆ
“จะบอกว่าคุณชอบผมงี้”
“ยังไม่ได้พูดเลยครับ”
“ไม่ต้องพูดหรอก ใครๆ ก้ชอบผมทั้งนั้นแหละถ้าได้ลองมาอยู่ใกล้ๆ แต่ผมดีไม่พอสำหรับคุณไง ไม่เป็นไรหรอกผมเข้าใจ เอาเป็นว่าเราสองคนเข้าใจตรงกันแล้วเนอะ”
“ครับ”
“แต่ก็ขอบคุณนะ ที่อุตส่าห์ลำบากใจมาชอบ”
“แล้วพี่ละครับ เคยชอบผมบ้างไหม”
“มันสำคัญด้วยเหรอวะ”
“สำคัญสิครับ”
“แล้วคุณคิดว่ายังไงอะ”
“ไม่รู้ครับ ผมไม่รู้จริงๆ แต่ตะกี้พี่เพิ่งจะบอกว่า พี่ไม่ชอบผม เพราผมขี้เก๊ก”
เฮ้อ เหมือนว่ายังทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่พอ ยังได้อีกซะอย่างนั้น
“ก็ทำนองนั้นแหละ” ผมตอบ “ไม่เศร้านะ”

ไอ้เด็กวินหัวเราะ เป็นยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา

เราเดินมาจนถึงอ่างแก้ว แทบไม่มีคนเลย แดดตอนบ่ายสะท้อนน้ำเกิดเงาระยิบระยับ เรายืนมองวิวภูเขาไกลๆ อยู่เงียบๆ กลางแดดจ้า โดยไม่มีใครพูดอะไร

+++
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-02-2019 17:17:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 20-02-2019 19:24:25
โอ๊ยเล่นตัวกันอยู่ได้. ยอมรับกันสักทีเถอะ วุ้ยย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 20-02-2019 21:26:14
เล่นตัวมากตี้55555
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-02-2019 21:42:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ.....ถูกตอบกลับมาว่าไม่ชอบ  แต่ดันหัวเราะยิ้มสดใส?????

เพี้ยนหรือว่าดี?

อ่อ...ถ้าวินเข้าใจตี้จริง ๆ ก็แสดงว่าต้องรู้นิสัยเด่นของตี้คือ "ปากไม่ตรงกับใจ" แน่เลย  ใช่ป่ะ?  อิอิ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 20-02-2019 21:46:27
เมื่อไหร่จะบอกกันตรงๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 20-02-2019 22:49:29
.......

พี่ตี้เอ้ยยยย. กินน้ำบ่อไหน จะกินบ่อนี้หรือกินน้ำบ่อหน้า

ผลัดไปข้างหน้า ก้อไม่ได้กินสักกะทีนะ

เนี่ย น้องวินคนดีมาให้กินถึงที่ละ. รับเถอะนะ รับเถอะ

ไว้ท่านิดหน่อยพอละ ที่เหลือก้อหยวนๆกันไป

น้องวินมาหาถึงถิ่น ก้อตั้งใจง้อพี่ตี้ให้ถึงที่สุด

อย่านกกกกกกก.  ยิ้มเข้าไว้.  ^_^


 :hao6:  :hao7: :hao6:  :hao7:  :hao6:  :hao7:  :hao6: :hao7:


...........

หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 17 (20-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 20-02-2019 23:22:29
น่าจะมีฉากแบบหึงหวงตบจูบบ้าง
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 18 (21-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 21-02-2019 17:03:16
สองตอนสุดท้ายนี้จะสั้นๆ นะครับ
ตอนหน้าก็จบแล้ว แต่อาจจะอัพช้านิดนึง ขอกลับไปรีไรต์นิดหน่อยครับ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และกำลังใจด้วย
แนวที่ผมเขียนก็ประมาณนี้แหละครับ เรียบๆ ไม่หวือหวา NC นี่เขียนไม่เป็นเลย
ถ้าชอบก็ฝากบอกต่อด้วยนะครับ ใครที่ยังไม่เคยอ่าน "หนุ่มโชคร้าย x นายแชมป์ว่าว" ก็ฝากด้วยนะครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ ไว้เจอกันตอนสุดท้าย ตอนที่ 19 นะครับ/ เบน

 :L2: :L2: :L2: :L2:

18

หลังจากมาออกจาก มช. เราก็ไปสมทบกับไอติมและน้องเฟมที่หน้าห้างสรรพสินค้าบนถนนห้วยแก้ว แต่ด้วยเพราะไม่ใช่แนวของผมและไอ้เด็กวิน ทั้งการเล่นน้ำและดนตรีแนวอีดีเอ็ม เราจึงตัดสินใจหลบอากาศร้อนไปฆ่าเวลาโดยการเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตแทน
เป็นการเดินห้างที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

“คนเยอะนะครับ”
“อืม รู้งี้อยู่ใน มช. นานๆ ก็ดี คุณอยากซื้ออะไรไหมอะ”
“นอกจากพวกของใช้ส่วนตัวก็ไม่มีอะไรแล้วครับ เอ่อ พี่ตี้ครับ ตะกี้ไอ้เฟมมันไลน์มามาบอกว่าจองโรงแรมให้ผมได้แล้ว แล้วก็จองโต๊ะที่สกายบาร์ของโรงแรมไว้ด้วย”
“แล้ว…”   
“พี่มีนัดแล้วหรือยังครับ”
“ก็… จริงๆ ก็ไม่นะ”
“งั้นก็ดีเลยครับ ไปกินข้าวที่สกายบาร์ก่อน แล้วค่อยออกไปหาที่เที่นวที่อื่น ถ้าพี่ยังไหว”
ไอ้เด็กวินสรุป ผมเลยต้องเออออไปตามนั้น

เราเดินวนหาของจนได้ครบตามที่ต้องการ เปลี่ยนไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ คุยกันจนไม่มีเรื่องจะคุยแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ผมจึงไลน์ไปบอกไอติมว่าให้ไปเจอที่รถ

“ไปเช็คอินเลยไหม”
“ก็ดีครับ”

ส่งวินถึงโรงแรมเสร็จ ไอติมก็วนรถมาส่งผมที่หอ เพื่อพักผ่อน อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ดูเป็นผู้เป็นคน เพื่อกลับไปกินมื้อค่ำที่สกายบาร์ชั้น rooftop โรงแรมแห่งนั้นตามที่ได้นัดหมายไว้ ตอนที่มาถึงหอพัก ผมบังเอิญสวนกับมิกซ์และไอ้เตอร์ที่ชานบันได ท่าทางจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ไอ้เตอร์บอกว่าต้องรีบไปเอาโต๊ะที่จองไว้ที่กู้ดวิว พร้อมทั้งกำชับให้ผมกับพวกไอติมตามไปในตอนดึก มันจะได้เลี้ยงเหล้าเป็นการตอบแทน ผมรับปากและแกล้งแซวพวกมันสองคนพอเป็นกระษัย

“มิกซ์แม่งใจดีเกินไปปะวะ ถ้าเป็นกูนะแม่งจะเอาให้ตายคาตีนเลย เขาดีกับมึงขนาดนี้ อย่ากลับไปเหี้ยอีกล่ะ”
“เออ กูรู้แล้วน่า” ไอ้เตอร์บ่น “ด่ากูยิ่งกว่าเมียกูอีกนะ หรืออยากเป็น”
“กูพูดยังไม่ทันจะขาดคำ เดี๊ยะ”
“กูล้อเล่น อย่าลืมตามไปล่ะ”
“เออ”

คนอื่นเขาลงตัวกันหมดเลยเนอะ ทั้งไอ้เตอร์ – มิกซ์ ทั้งไอติม – เฟม

ผมขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อไปเจอไอ้เด็กวิน ซึ่งแต่งตัวหล่อจัดเกินเบอร์รออยู่ล็อบบี้ 

ไอติมกับเฟมยังมาไม่ถึง ไอ้เด็กวินซึ่งหิวแล้วจึงชวนให้ขึ้นไปรอก่อนเลย บรรยากาศยามพลบค่ำที่สกายบาร์ของโรงแรมคือเหนือคำว่า ‘โคตรดี’ ไปอีก ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปในสถานที่ที่หรูๆ เลยออกจะตื่นตาตื่นใจ ผมมองวิวเมืองเชียงใหม่แบบ 360 องศาที่ไกลสุดลูกหูลูกตาแล้วจู่ๆ ก็เกิดอยากร้องไห้ขึ้นมา แบบ อยากให้พ่อกับแม่ น้า ตากับยายมาอยู่ที่นี่ด้วยจัง

“วิวสวยเว่อร์อะ”
ไอ้เด็กวินยิ้มพอใจ
“ดีใจที่พี่ชอบ”
“อืม นี่ถ้าไม่ได้คุณชวนมานะ ชาตินี้ผมก็คงไม่มีโอกาสขึ้นมาเห็นหรอก เอาจริง จะมีคนเชียงใหม่จริงๆ สักกี่คนที่ได้เห็นว่ามันสวยอลังการขนาดนี้ จะมีก็แต่นักท่องเที่ยวหรือคนต่างชาติเท่านั้นแหละ”
“พี่นี่เก่งนะครับ ทำให้ผมรู้สึกผิดโดยที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรก็ได้ด้วย”
คนพูดเหน็บยิ้มอ่อนๆ เซ็งๆ
“อ๊ะ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะว่า”
“ผมรู้ครับ”

ต่างคนต่างสั่งเครื่องดื่มมาจิบคนละแก้ว กับของทานเล่นเรียกน้ำย่อย ระหว่างที่รอ

“แล้วนี่… คุณจะกลับกรุงเทพวันไหนอะ”
“พรุ่งนี้ครับ ไฟลท์สองทุ่ม ไปส่งไหมครับ”
“เหอะ ไงก็เที่ยวให้สนุกละกันนะ พรุ่งนี้ผมต้องกลับบ้านแต่เช้า งานรวมญาติน่ะ”
“พี่อยู่อำเภอไหนนะครับ”
ผมบอกชื่ออำเภอที่อยู่ไป
“อ๋อ” อุทานเหมือนรู้ “ที่อยู่บนดอยใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่ บ้านอยู่ข้างล่าง ใกล้ตัวอำเภอ แบบเป็นที่ราบ ราบกว่าอีอำเภอเมืองนี่อีก ในเมืองนี่ดอยกว่าอีกนะ”
ผมอธิบายถึงตัวอำเภอที่ผมอยู่เป็นครั้งที่ล้านในชีวิต
“อ่อ น่าไปเที่ยวนะครับ”
“ก็มาดิครับ”

คราวนี้มันหัวเราะแบบ น่ารักมาก ถ้าได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ทุกๆ วัน ก็คงจะดี

“พี่ตี้ครับ ถ้าเมื่อตอนบ่ายผมพูดอะไรไม่ค่อยเคลียร์ ผมขอใช้โอกาสนี้อธิบายเลยนะครับ”
พอเห็นมันทำหน้าจริงจังแบบนี้ จู่ๆ ผมก็รู้สึกใจเต้นแรง

อย่าพูดดีแล้วมาหักคอกูตอนท้ายอีกนะเว้ย

“ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วว่าผมชอบพี่ แต่พี่คงจะงงๆ ว่า ผมไปชอบพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน”
ไอ้เด็กวินหลุบตาลงต่ำ ทำท่าเหมือนเขิน แต่ก็ยังดูเก๊กๆ อยู่ดี
“น้ำเน่านิดนึงนะครับ จริงๆ ผมคิดว่าพี่น่ารักพี่ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วครับ ผมแค่ทำตัวไม่ถูก ไม่เคย”
ผมทำปากเบะอัตโนมัติเพราะเขิน
“ผมว่าพี่เข้าใจผิดที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ หรืออาจเป็นผมเองที่ตาถั่ว จริงๆ แล้ว ผมต่างหากที่ไม่ดีพอสำหรับพี่ ผมเป็นคนนิสัยแย่ ไม่รู้จักวิธีเข้าหาคน ผมชอบพี่ ผมแค่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้พี่ชอบผม”
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร คุณก็รู้ตัวเองอยู่แล้วมั้งว่าคุณก็มีดีอยู่เยอะ”
“แต่ผมก็ทำนิสัยไม่ดีกับพี่ ขอโทษนะครับ”


“โอเค ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยเหมือนกัน ยอมรับว่าผมเองก็อคติกับคุณ แต่ว่า ผมไม่ได้เกลียดคุณเลยนะ หมายถึงตอนนี้อะ” ผมชูนิ้วก้อยขึ้น ไอ้เด็กวินเอานิ้วก้อยตัวเองมาแตะแบบเขินๆ “ถือว่าหายกัน”
“หมายความว่า พี่เริ่มชอบผมใช่ไหมครับ”

เป็นคำถามที่แบบ นี่อยากจะตะโกนตอบไปเลยดังๆ ว่า ใช่โว้ย แต่ในสถานการณ์จริงคือทำได้เพียงพยักหน้าแล้วตอบว่า

“เออ ประมาณนั้นแหละ”
“ขอบคุณนะครับ” ไอ้เด็กวินยิ้มหล่อ แล้วยักคิ้วน่าหมั่นไส้ “ถ้าอย่างงั้น ต่อไปนี้ เรามาลองสนิทกันดูไหมครับ ผมเองก็โดนแย่งเพื่อนสนิทไปแล้ว เลยอยากลองสนิทกับพี่ดูอะครับ”



นี่มัน จริง จริงๆ ใช่ไหม
เรื่องทั้งหมดนี่ วิวอลังการ เครื่องดื่มอร่อยๆ แล้วก็คนที่อยู่ตรงหน้านี่ เรื่องจริงเหรอ
จู่ๆ น้ำตาก็จะไหลขึ้นมาซะงั้น กระทั่งไอ้เด็กวินยังตกใจ

“พี่ตี้ เอ่อ ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า”

ผมส่ายหัว เช็ดน้ำตาแล้วหัวเราะด้วยความเขิน

“เปล่า แสบตาอ่ะ สงสัยฝุน pm 2.5 ไม่เป็นไรละ”
“ให้ผมเช็ดให้ไหม”
“ไม่ต้อง”
“เขินเหรอครับ”
“ถามเยอะแยะ เดี๋ยวกอดเลยนะ”
“ก็ไม่ได้ห้ามนะครับ”

โว้ย ขอเขินหน่อยเหอะ ก็คนมันไม่เคยประสบความสำเร็จเรื่องความรักนี่หว่า วาเลนไทน์ที่ผ่านมาก็ตีอกชกหัวตัวเองแทบตาย หลายต่อหลายครั้งที่เกือบแพ้ความเหงาหงี่ของตัวเองไปนัดยิ้ม ยังดีที่ดึงตัวเองกลับมาได้

ผมเคยนึกน้อยใจตัวเองที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เกิดมาชอบผู้ชายด้วยกัน เกิดมาอยู่ในสภาพแวดล้อมบ้านๆ ไม่รวย ไม่ไฮโซ และไม่สามารถถีบตัวเองให้ขึ้นมามีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้

ก็ใครจะไปคิดว่า เด็กผู้ชายงานดีพรีเมี่ยมขนาดนี้ จะมาชอบคนแบบผมเข้าจริงๆ แม้ว่าจะเริ่มต้นจากการเป็นแค่คนสนิท เป็นพี่เป็นน้องกันก็เถอะ

แค่นี้ก็ดีจนไม่รู้จะหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว

+++

หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 18 (21-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-02-2019 19:02:31
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 18 (21-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-02-2019 19:16:15
 o13
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 18 (21-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-02-2019 22:51:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชักจะหมั่นอิพี่ตี้เต็มทน  อิปากไม่ตรงกับใจ  ทำเป็นพูดหลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยง

พูดเป็นไหมอ่ะ  พูดแบบตรงจุดตรงประเด็นอ่ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 18 (21-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 21-02-2019 22:51:19
แงงงง จะจบแล้ว :hao5:
หัวข้อ: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 22-02-2019 16:50:38
18

พฤษภาคม

“วิน… แน่ใจแล้วนะ ว่าจะทำแบบนี้จริงๆ”
“พี่ตี้ครับ”
อีกฝ่ายทำเสียงดุ

โอเค ทำก็ทำ นี่ก็อยากทำเหมือนกัน

อุปกรณ์พร้อม อุณหภูมิห้องกำลังดี เทียนอโรม่าก็จุดแล้ว เพลง ต้องเปิดเพลงหรือทีวีกลบเสียงสินะ เคยเห็นตามพวกคลิป
โอ้ย ตื่นเต้นว่ะ

“แล้วนี่ ทำไมต้องทำอะไรให้มันใหญ่โตขนาดนี้ด้วยเนี่ย”
ไอ้เด็กตัวสูงล่ำหน้าหล่อที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง มองไปรอบๆ ห้องแล้วหัวเราะ
“ก็มันครั้งแรกของพี่ เอ่อ ของเรานี่ มันก็ต้องแบบนี้แหละ นี่ บอกแล้วไงว่าห้ามขำ”
“มันก็ครั้งแรกของผมเหมือนกันนะ”
“แน่ใจเหรอที่พูดอะ”

ผมว่า แทนคำตอบมันดึงตัวผมที่ยืนอยู่ให้นั่งลงบนตัก พร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่

“แน่ใจ ใครพูดจริง ใครโกหก จะได้รู้กันคืนนี้แหละ”
วินทำหน้าเจ้าเล่ห์
“มันน่าอายมากกว่าน่าภูมิใจไหมอะ จะโกหกเพื่อ จะจบปีสี่แล้วยังไม่เคยเลย”
“พิสูจน์สิ”

ผมยังไม่ทันจะนึกออกว่าต้องพิสูจน์ยังไง ก็โดนมันขโมยจูบไปซะอย่างนั้น

จูบ มันจูบผมอะ มันคือจูบจริงๆ จูบแบบปากประกบปาก มีการใช้ลิ้น นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

อ่า ดีจังเลย

“จูบแค่นี้ ถึงกับระทวยเลยเหรอครับ”

เวลาแบบนี้ยังจะมาแซว ผมตัดบทโดยการประกบปากมันอีกครั้ง ฮือ ชอบจัง ปากมันทั้งแดง หวาน นุ่ม อยากทำมานานแล้วเหอะ โอ้ย ฟิน

“ผมว่าพี่พร้อมแล้วล่ะ”
“อือ”

ตอบได้แค่นี้จริงๆ ในเวลาที่มือไม้ และสติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ มันผลักผมลงนอนบนเตียงแล้วเลิกเสื้อที่ผมใส่ขึ้น ริมฝีปากลากไล่ตั้งแต่สะดือจนถึงเนินอก และไล้วนอยู่อย่างนั้น

อีกสองนาทีต่อมา เสื้อผ้าทุกชิ้นของเราก็ถูกถอดโยนลงกับพื้นจนหมดไม่เหลือ พอได้เห็นสัดส่วนใต้ร่มผ้าของมันแล้วแบบนี้ คือเอาอะไรมาหยุดก็ไม่ได้แล้วจริงๆ ผมแทบจะกระโจนเข้าใส่ กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้แล้วมันจะอันตรธารหายไป เหมือนภาพลวงตาหรือความฝัน

แต่ไอ้เด็กวินอยู่ที่นี่จริงๆ แหละ ผมกำลังจะเป็นของมัน และมันกำลังจะเป็นของผม

ไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง

“พี่ตี้ครับ” มันเปล่งเสียงเรียกผมจากลำคอ “อาจจะเจ็บนิดนึงนะ”

สมองผมรับรู้ถึงปลายนิ้วที่ค่อยๆ ลากเขี่ย และแทรกเข้าสู่เบื้องล่าง ผมขยับตามจังหวะเข้าออกนั้นอย่างเต็มใจ

“ผมจะค่อยๆ นะครับ”

ผมหลับตาแน่น รู้สึกสะท้านไปทั้งตัวด้วยความปรารถนา เมื่อไอ้เด็กวินของผมค่อยๆ เบียดสะโพกและต้นขาใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเข้ามาแทนที่ปลายนิ้วที่ชุ่มโชก

+++

ปลายเดือนพฤษภาคม วันสุดท้ายของการชีวิตนักศึกษาปริญญาตรี ผมทำข้อสอบข้อสุดท้ายของวิชาสุดท้ายเสร็จ คว่ำกระดาษคำตอบลงบนโต๊ะ แล้วเดินจากห้องเรียนของจตุรคารเก่าแก่อย่างร่าเริง

“ทำได้ปะวะตี้”

ไอ้เตอร์กับคนอื่นๆ ที่ทำเสร็จก่อนนานแล้วแลรออยู่ด้านล่างทักทาย

“ได้ทำมากกว่า” ผมตอบ “เห็นไอติมไหม”
“ไปกับเมียมันแล้ว ส่วนมึงก็รีบไปหาผัวสินะ”
ผมยกนิ้วกลางให้
ทายถูกนะคร้าบบบบ

วินกับเฟมสอบเสร็จก่อนพวกเราหนึ่งอาทิตย์ เลยรีบมาหาเพราะอยากเห็นแฟนในชุดนักศึกษาเป็นครั้งสุดท้าย ผมเองก็อยากเจอเขาใจจะขาด นี่ถ้าสอบเสร็จก่อน ผมกับไอติมก็คงเป็นฝ่ายบินไปหาเองที่ กทม.

วินรอผมอยู่ที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยตามที่นัดหมายไว้ ไม่แน่ ป่านนี้อาจจะอิ่มไปแล้วก็ได้ แต่ผมกำลังหิวได้ที่เลย

“ตี้ อย่าลืมนะ คืนนี้หมูกระทะฉลองสอบเสร็จ” ป๋อมตะโกนบอก “พาแฟนไปเปิดตัวด้วย ห้ามเบี้ยว”
“ได้จ้า ไม่เบี้ยวๆ”

ผมบอก แล้วรีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายด้วยความรวดเร็ว

วินกำลังนั่งฟังเพลงจากเอียร์โฟนที่ต่อเข้ากับมือถือพลางเหม่อดูบรรยากาศด้านนอกโรงอาหารอยู่ ในตอนที่ผมไปถึง ตรงหน้ามีแก้วพลาสติกใส่กาแฟเย็นโรงอาหารแก้วละ 20 บาทวางอยู่ มีน้ำกาแฟอยู่ครึ่งแก้ว ใบหน้าหล่อๆ ของเขา ดูครุ่นคิด แต่ก็เป็นใบหน้าของคนที่กำลังมีความสุขอยู่ในเวลาเดียวกัน

เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ จะใช่เรื่องที่ผมจะย้ายไปขออาศัยและหางานทำในกรุงเทพเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หรืออาจจะกำลังคิดว่ามันเป็นไอเดียที่แย่อยู่หรือเปล่า หรือกำลังคิดว่าเย็นนี้จะไปกินรอะไรดี คงไม่รู้สินะว่าจะต้องไปกินหมูกะทะหัวละ 189 บาท พร้อมกับเหล่าเพื่อนสก๊อยของผม

จะเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ ผมอยากยืนมองภาพนั้น โดยไม่ให้เขารู้ตัวสักครู่ เพื่อซึมซับเก็บเอาความงดงามของสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
เพราะผมไม่รู้ว่ามันจะยืนยาวไปอีกถึงเมื่อไหร่ 

ผมอาจจะต้องเสียใจเพราะเขา ละเราต้องเลิกรากันไปในที่สุด แต่อย่างน้อยในวันนี้ ผมก็มีเขาอยู่จริงๆ

วินรู้ตัว และหันมาโบกมือยิ้มให้

ผมโบกมือและยิ้มตอบให้กับเขา

+++ The End +++


 :L2: :L1: :L2:
จบแล้วนะครับ สั้นๆ เลย
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ
ถ้าชอบก็ฝากคอมเมนท์เป็นกำลังใจ
แชร์หรือบอกต่อให้ด้วยนะครับ
ไว้เจอกันใหม่ครับ/ เบน
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-02-2019 17:07:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-02-2019 18:32:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 22-02-2019 20:13:22
……


 :กอด1:  :L2:  :pig4:  :กอด1:  :L2:  :pig4:  :กอด1:  :L2:  :pig4:



……


หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 22-02-2019 21:04:20
ในที่สุด :-[  :impress2:
จะมีตอนพิเศษไหมคะ~ อยากอ่านมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 22-02-2019 21:26:53
Finally ไอ้เด็กขี้เก๊กวินกับไอ้ตี้จอมซึนคบกันจนได้
Happy ending ซะที  :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 23-02-2019 12:40:29
งื้อออออ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 24-02-2019 06:58:32
จบแล้ว

ถึงแม้จะชอบตี้แต่บอกตรงๆว่าตอนท้ายๆหมั่นไส้มันมาก
เล่นตัวไปไหน

เอาจริงๆพอมันสั้นเลยรู้สึกว่ามันพัฒนาความสัมพันธ์ไม่ลื่นเท่าไหร่
แบบอยู่ๆก็ชอบกันซะงั้น
แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับ
จบแฮปปี้อ่านแล้วสบายใจดี ชอบครับ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 27-02-2019 23:15:03
ตี้น่าจะเล่นตัวอีกหน่อยนะ แอบหมั่นไส้วิน ขอบคุณนักเขียนมากๆน๊า ที่แต่งนิยายสนุกมาให้อ่านน๊า สนุกมากๆเลย อ่านรวดเดียวจบเลย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-02-2019 21:17:06
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: joborcusier ที่ 04-03-2019 01:41:26
ชอบเนื้อเรื่องและมิติของตัวละครแต่ละคนมาก ไม่หวือหวาเรียบๆแต่อิ่ม จะมีตอนพิเศษไหมคะ อยากเห็นเขารักกันมากกว่านี้ :pig4: :mew1: :mew2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-03-2019 09:18:01
สนุกดี เราชอบ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 13-03-2019 00:19:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 14-03-2019 21:30:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 04-04-2019 00:04:20
เรื่องสั้นๆแต่ได้ใจความมากค่ะ

อ่านเพลินๆรวดเดียว  :bye2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 05-04-2019 16:52:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 06-06-2019 18:05:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: wipor ที่ 08-06-2019 23:53:09
อ่านเพลินๆ รวดเดียวจบ สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: sakurako38 ที่ 16-06-2019 17:18:11
ขอชื่นชมว่าเขียนนิยายที่ไม่เหมือนอ่านนิยายเลยจริง ๆ เหมือนกำลังอ่านไดอารี่ของนายเอก เหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ๆ กับชีวิตของนายเอก สนุกมาก ใช้ภาษาเขียนที่กระชับ อ่านง่าย ได้ใจความ ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเลย เก่งมากครับ ขอชื่นชมอีกครั้ง
สิ่งที่อยากให้แก้ไขคือ มักมีคำผิดอยู่บ่อยครั้ง เขียนชื่อตัวละครที่กล่าวถึงในบทสนทนาผิดบ่อยครั้ง ทำให้การอ่านต้องสะดุดในบางครั้ง สุดท้ายนี้ก็คงขอติดตามนิยายของคุณนักเขียน และหวังว่าจะมีนิยายดี ๆ ออกมาให้อ่านอีกนะครับ ขอบคุณมากสำหรับนิยายที่ดีและสนุก นะครับ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-06-2019 16:48:11
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 19-06-2019 20:15:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 20-06-2019 13:00:15
 :L1:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 20-06-2019 18:45:52
ไม่ชอบนิสัยวินเลย แต่ตี้เขารักของเขา พอยอมรับใจกันวินก็ดูจะดีขึ้นนะ555 ขอบคุณคุณเบนสำหรับนิยายสนุกๆเรื่องนี้ด้วย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 10-10-2019 00:27:37
อ่านมาแค่ 5 ตอน ชอบมากเลย ธรรมดาจะไม่อ่านอะไรที่มันหม่นๆ มัวๆ เดาทางไม่ได้แบบนี้
แต่คุณเขียนดีจนต้องตามไปเรื่อยๆ เอาว้า จบไงช่างมัน

อีกอย่างนี่เหมือนเคาะจากชีวิต -เหงา- ของเรา

เป็นกำลังใจให้นะคะ ทั้งเรื่องงานเขียนและชีวิตส่วนตัว
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 10-10-2019 02:38:43
อ่านจบละ อย่างความเห็นอื่นๆ เรื่องนี้ยังขยาย ขยี้ได้มากกว่านี้ อินมาก

คนเขียนสรุปได้ขัดใจมากนะ ใจเรามองเห็นภาพตี้มีคนอื่นที่อาจไม่หล่อ ไม่หรูรวยเท่าวินแต่รักกันจริงๆ

แบบตอนจบ ..ตี้หัวเราะกับตัวเอง ปรายหางตามองวิน ..ใครอะ ไม่น่าเลยเรา


จะติดตามงานเขียนคุณไปเรื่อยๆๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-10-2019 11:28:27
 :pig4: :pig4: :pig4: เนื้อเรื่องสนุกค่ะ นายเอกน่ารัก แต่พระเอกน่าหมั่นไส้มาก
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 10-10-2019 14:19:15
สรุป ยังคาใจเรื่อง หน้าตาตี้ สรุป ตี้น่ารัก หรือหน้าตาธรรมดา 555
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 12-10-2019 00:25:24
Thank for a good story.
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: anchi ที่ 12-10-2019 09:43:00
เรียบๆแต่ประทับใจ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 13-10-2019 09:38:38
ดีใจที่ได้อ่านนะคะ เจ๋งมากที่จบได้ใน19 ตอน
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: tutatoomtam ที่ 14-10-2019 01:52:47
หื้มมมมมม......................
โอ้ยยยยน อะไรเนี่ยยยยย
แต่ก็ขอบคุณ คุณคนเขียนนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 14-10-2019 03:22:18
อ่านพอเพลิน ๆ เพราะไม่ยาวมาก
เนื้อหารวบรัดนิดหน่อย แบบ 2-3 ตอนสุดท้าย
บอกรักกันไวดีแท้

แต่ชอบนะคะ
ขอบคุณที่เขียนและลงให้อ่านจนจบค่ะ

รอเรื่องต่อไปนะคะ ... :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 14-10-2019 15:43:12
 :pig2:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snartza ที่ 15-10-2019 10:27:02
ขอโทษกับคนแต่งด้วย ที่เราอ่านได้แค่ตอนที่ 12-13 ก็ไม่ไหวแล้ว
ตอนต่อจากนั้น 14-16 อ่านแบบลวกๆ.. และสุดท้ายก็หยุดอ่าน

คือมันเรียลมากๆอ่ะ มันคือชีวิตจริงของเกย์เลยล่ะ เราเองก็ผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาเยอะ
เข้าใจเลยล่ะ อยู่ในจุดที่เซนอยู่ ก็เคยมาแล้ว

แต่เพราะรู้ว่าชีวิตจริงมันเป็นสีเทาๆดำๆแบบนี้ จึงอยากมาอ่านนิยายเพื่อผ่อนคลาย

ดันมาเจอความเรียล แบบโคตรเรียลเลยแบบนี้ มันไม่ใช่ดราม่าในแบบฉบับนิยายอ่ะ
แต่มันเป็นเรื่องจริงของเกย์ ความโลเล ความมักมาก ความเห็นแก่ตัว ควมหลง และ...ความรัก(แค่ชั่วคราว)

เลยทำให้รู้สึกว่ากำลังย้อนเอาความทรงจำของตัวเราเองมานั่งอ่านเป็นตัวอักษร

เสียก็แต่เรื่องของความไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายจุด มันเลยทำให้ความเรียลดูลดลงไปกลายเป็นนิยาย

ตัวละครที่โอเคที่สุดสำหรับเรา คือ ตี้ ให้ความรู้เหมือนเกย์ออกสาวนิดๆ หยิ่งหน่อยๆ แต่เข้าใจโลกดี
มีความคิดดี สมเหตุสมผลและสมจริงมากๆ ตัวละครนี้คือเกย์เรียลสุดๆ

ส่วนตัวละครยอดแย่ที่ทำให้ความเรียลกลายเป็นนิยายได้สำหรับเรา คือ วิน...
ตรรกกะป่วยแบบมากมาย... ความมั่นใจเกินร้อย แต่จู่ๆบางตอนกลับมีความมั่นใจติดลบ
อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ดูถูกคนโดยไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้ตัวว่าทำผิด แต่เห็นสปอยและอ่านคอมเม้นท์จากตอนจบแล้วบอกว่าแฮปปี้
แสดงว่าจู่ๆมากลับตัวกลับใจเป็นพระเอกได้ ในช่วง 5-6 ตอนที่เหลือ...ที่เราไม่ได้อ่านต่อ...

อายุ 19-20 ถ้าชีวิตจริงเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะความเป็นเด็กหรอก แต่น่าจะมีความผิดปกติทางความคิดแล้วล่ะ
และเชื่อว่าถ้ามีตอนเพิ่มไปอีกซัก 5-6 ตอน บางทีตอนจบจากแฮปปี้ กลายเป็นแบดเอนดิ้งก็ได้

สุดท้ายนี้ อยากขอโทษคนแต่ง ถ้าคอมเม้นท์เราทำให้เสียความรู้สึก
แต่ก็อยากขอบคุณอีกเช่นกัน พลอตเรื่องช่วงแรกๆ เป็นอะไรที่น่าอ่านมากๆ ตอนที่ 1-10 เราสนุกมากบอกเลย
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-10-2019 22:29:31
อ่านไปลุ้นไป..เยี่ยวแทบแตก
พอมาถึงตอนสุดท้าย

เฮ้ออออ..ไอ่วิน
เป็นไปได้ขนาดนี้
ป่วงตั้งแต่ต้นยันจบ

ตี้น่ารัก..ขอจุ๊บนะ
จ๊วบบบบบบ
อิอิ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ืnudeend ที่ 25-10-2019 14:17:48
ชอบตี้มากจริงๆ
เป็นนายเอกแบบที่เราชอบอะ
ถึงจะแอบรู้สึกว่าใจอ่อนมากไปนิดนึงเหอะ
แต่ขัดใจคนรอบข้างมากโดยเฉพาะ วิน ติม เฟม
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 26-10-2019 07:54:25
ขอบคุณครับ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: MinorMa ที่ 26-10-2019 16:56:29
จบดีมากเลยค่ะ ชอบเรื่องนี้ ดูเรียล ตัวละครเหมือนเป็นคนจริงๆที่ไม่ใช่นิยายแต่งออกมา
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 26-10-2019 19:31:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 28-10-2019 23:10:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-10-2019 18:39:26
ไดอารี่ของตี้สินะ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: sexysunn ที่ 29-10-2019 19:43:36
การเล่าเรื่องมันดูเรียลมากจนคิดว่าเป็นเหมือนไดอารีเลยนะ  เราชอบอ่านแบบนี้ ไม่เวอร์เกิน  ตี้นี่นึกว่าเป็นตัวเองเลย 555
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 03-11-2019 20:17:58
สนุกดีค่ะ ขอบคุณที่แต่งแล้วเอามาลงให้อ่านในเล้าค่ะ
เรางงเรื่องเซนนิดหน่อย คือ เราเข้าใจว่าเซนกับเตอร์รุกอ่ะค่ะ
แล้วตอนมีคลิปเซนกับเตอร์ เราเลยเอ้ะ เซนรับเหรอ
เพราะเราเข้าใจว่าตี้รับใช่มั้ยคะ หรือเซนได้ทุกโพ หรือยังไง ???
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 03-11-2019 21:22:34
ชอบการเล่าเรื่องที่เรียลๆแบบนี้ การเล่าด้วยความคิดที่เป็นจริงได้ ถ้าขยายตอนสัก2ตอนช่วงความรู้สึกของทั้งวินและตี้อีกนิดจะฟิน แต่พออ่านจบแล้วก็ฟีลกู๊ดดีค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 09-12-2019 15:42:15
มีความสมจริงและลื่นไหล
สมเหตุสมผล​
สนุกมาก​ อ่านรวดเดียวจบ
ไม่รู้​สึกเบื่อหรืออ่านข้ามเลยสักตอน
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 16-12-2019 17:57:53
ขอบคุณมากคับ สนุกมาก อ่านได้แบบไม่สดุดเลย :pig2: :3123: :L1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 22-12-2019 21:43:23
ชอบเรื่องนี้นะ ไม่เหมือนนิยายทั่วไปดูสมจริง
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 27-12-2019 03:34:56
เรียล เหมือนมีชีวิตตี้อยู่จริงๆ รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละตอน ตัวละครสื่อได้ถึงความหลากหลายของคนจริงๆได้ยอกย้อน ย้อนแย้ง แยบยล สนุกจนอ่านจบในคราวเดียวค่ะ ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่มีมาให้อ่านนะคะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Malibu ที่ 27-12-2019 16:28:25
อยากอ่านเรื่องตอนคบกันต่อเลยค่ะ อยากรู้ว่าคนที่ชอบดูถูกคนอื่นกับคนที่ self-esteem ต่ำจะคบกันยังไง แล้วไอ้ความต่างที่วินเคยพูดถึงจะมีผลยังไงกับทั้งคู่
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:23:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 16-04-2020 02:58:10
สนุกมากๆเลยครับ อ่านรวดเดียวจบ
เป็นนิยายที่ไม่เหมือนใครจริงๆ มีความสมจริงมากๆ
อ่านเเล้วเข้าใจถึงความคิด ความรู้สึก ของตัวละครในเรื่อง
ทำให้อ่านถึงจุดพีค น้ำตาก็ไหลออกมาเอง แบบไม่รู้ตัว
พออ่านมาถึงช่วงอะไรเหมือนจะดี ก็หายใจไม่คล่อง อึดอัดตามความรู้สึก
เหออออออ เหมือนมีความรู้สึกว่า ตัวเองกำลังจะเป็นไบโพล่าเลยนิ
เหออออออ ในที่สุด.... ก็ต้องขอบคุณนักเขียนท่านนี้มากๆนะครับ
ที่ได้นำเสนอเรื่องนี้มาให้อ่าน ดีมากจริงๆ ^.^
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 3-5 (07-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 10-11-2020 16:36:52

ตี้ดูอึนๆบื้อๆไม่ฉลาดเนาะ คราวแรกที่มีเรื่องกับวินก็ไม่ยอมพูดว่าเรื่องยาเป็นไอติมทำเอง คราวนี้ก็อีกควรจะบอกไอติมได้แล้วว่าทั้งหมดที่ผ่านมาคุยอะไรกับวินแล้ววินมันพูดอะไรไว้บ้างก็ไม่ทำ มึนๆสึ่งๆตึงๆให้เขาลากไปลากมาซะงั้น รำคาญมาก
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 24-11-2020 00:04:11
ชอบมากเลยครับวิธีการเล่าเรื่อง การวางคาแรคเตอร์ตัวละครไม่ซ้ำกับที่เคยอ่านมาสนุกมากครับ ชื่นชมคนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 08-12-2020 21:08:06
 o13
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: habanice ที่ 16-05-2021 22:15:48
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
ชอบแนวจะอี้ขนาด แบบชีวิตจริงบ่ได้เว่อรวย ชอบเป็นแค่คนธรรมดา
คนเขียนเขียนดีขนาด เป็นนิยายอีกเรื่องเนื้อหาดีกระชับ อยากหื้อคนเข้ามาอ่านนักๆ
หัวข้อ: Re: +++ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก +++ Update ตอนที่ 19 ตอนจบ (22-02-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Eakkadoor ที่ 17-05-2021 15:16:15
ฟาดจบในวันนี้วันเดียว ไม่ได้แตะงานเลยครับวันนี้ 55555
ตอนแรกหมั่นไส้พระเอกมากเลยนะ เกือบจะเกลียดละ
ดีนะ สรุปจบให้ก่อน ไม่งั้น หึหึ  :hao6: :hao7: :L2: :กอด1:

สนุกมากเลยครับ
ชอบอะ ชอบความเข้าใจ กระทัดรัด ชอบมากครับ