say-hi ในทวิตเตอร์ ฝากติด #เมื่อหินผาจรดสายน้ำ ด้วยนะคะ
ไม่ขออะไรมาก คอมเมนต์ให้กำลังใจกันหน่อยก็ดีจ้า
อย่าเป็นนักอ่านเงาเลย คนแต่งหมดกำลังใจเนอะ ครั้งที่ | “1”❖ ❖ ❖ ต่อค่ะ 70% ❖ ❖ ❖
เพื่อน ๆ คนอื่นทยอยเดินออกจากอาคารไปแล้วแต่สายน้ำ แบงก์ แล้วก็ตั้มยังคงนั่งเล่นอยู่เพื่อรอให้ทุกคนออกกันไปก่อนจะได้ไม่ไปออกันแน่นตรงด้านหน้า
“ไง ยังไม่กลับกันเหรอ” เสียงทักเรียกให้พวกเขาทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรีบยกมือไหว้เมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“พี่เดียร์...”
เดียร์ทิ้งตัวลงนั่งด้วยไล่มองหน้าทั้งสามคนก่อนจะยิ้มออกมา “ขอโทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหรอกจริง ๆ นะ ไม่โกรธกันนะ”
สายน้ำยิ้มให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า “ไม่โกรธหรอกครับ ผมเข้าใจในสิ่งที่พวกพี่ต้องการจะสื่อครับ”
แบงก์กับตั้มเองก็พยักหน้ายืนยันกับคำพูดของเพื่อนใหม่ “ใช่แล้วล่ะครับ พวกผมไม่ได้โกรธอะไรพี่เลย”
เดียร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ค่อยยังชั่วหน่อย เอาจริงก็กังวลตลอดแหละเพราะไม่อยากจะโกหกเท่าไหร่ พี่เองก็เลี่ยงเป็นพี่เนียนมาตลอด แต่ปีนี้โดนขอร้องกึ่งบังคับก็เลยต้องมา”
“แต่ผมก็แอบตกใจนะตอนพี่แนะนำตัว ตอนพี่แนะนำตัวว่าอยู่ปีสี่ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลย พี่หน้าอย่างเด็กเลยอ่ะ” ตั้มว่า สีหน้าดูตกใจจริง ๆ ที่คนคนนี้แนะนำตัวว่าอยู่ปีสี่แล้ว หน้ายังเด็กกว่าปีหนึ่งเสียอีก จึงไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะไม่คิดว่าอีกฝ่ายคือพี่เนียน
“ขอบใจนะ อ่ะ... พี่ต้องไปแล้วล่ะ ยังไงก็กลับกันดี ๆ นะ เอาไว้เปิดเทอมเจอกันใหม่” เดียร์พูดขอบคุณก่อนจะทำตาโตรีบลุกขึ้นโบกมือลาน้องทั้งสามคน “ยินดีต้อนรับนะ แล้วเจอกัน เบอร์ เฟซ ไลน์พี่มีอยู่แล้วเนอะ มีอะไรทักได้ตลอดเลยนะ”
พูดจบเจ้าตัวก็รีบเดินไปทันทีให้พวกเขาทั้งสามคนมองตาม ก่อนจะเห็นว่ารุ่นพี่คนนั้นเดินไปสะกิดใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอาคาร พูดอะไรกันไม่รู้ก่อนจะพากันเดินออกไป สายน้ำมองตามไปจนแทบจะลับสายตา เขารู้สึกคุ้น ๆ คนที่ยืนอยู่ข้างรุ่นพี่หน้าเด็กคนนั้น แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้เสียงของแบงก์กับตั้มก็เรียกความสนใจของเขากลับมาก่อน
“เออ กูก็ลืมถามมึงทุกทีว่ะ ที่มึงบอกว่ามึงเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แล้วนี่พักที่ไหนวะ ย้ายกลับกันมาหมดบ้านเลยหรือเปล่า” แบงก์ถาม พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
“อยู่คอนโดน่ะ พอดีแม่มีคนรู้จักอยู่ที่นี่เลยวานให้เขาช่วยหาคอนโดให้ อยู่ใกล้ ๆ มหา’ลัยนี่แหละ ถัดไปแค่สองสามป้ายรถเมล์เอง” สายน้ำตอบคำถามเพื่อน
“คอนโดไหนวะ ใกล้มากไหม แล้วมีปล่อยให้เช่าป่ะวะ กูกับไอ้ตั้มก็กำลังหาหอพักอยู่ ไม่อยากไปกลับบ้านทุกวัน” แบงก์ถามด้วยความสนใจทันที บ้านเขากับตั้มอยู่ใกล้กันแค่คนละซอยเท่านั้น ถึงแม้จะไม่ได้ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก แต่เดินทางในเมืองหลวงแบบนี้ก็ไม่ต่ำกว่าชั่วโมงเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่วันหยุด ตอนรถไม่ติดใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
เขากับตั้มเลยคิดอยากจะหาหอพักอยู่ด้วยกัน พอได้ยินว่าสายน้ำอยู่คอนโดไม่ไกลก็ชักจะสนใจถ้ามีให้เช่าก็น่าจะโอเค จะได้อยู่ใกล้ ๆ กันด้วยเลยทั้งกลุ่ม
“เดี๋ยวกูถามให้นะ ไม่แน่ใจว่าปล่อยเช่าหรือเปล่าแต่ห้องก็ยังไม่เต็มหรอกเพราะเป็นคอนโดเพิ่งเปิดใหม่”
“เค ๆ กูฝากด้วยนะ แล้วนี่มึงกลับไง ให้พวกกูไปส่งไหม กูเอารถมา” ตั้มถาม
“ไม่เป็นไร ตั้งใจจะแวะที่อื่นหน่อยพวกมึงกลับกันเลย ส่วนเรื่องห้องเดี๋ยวถามให้แล้วจะไลน์บอกนะ”
“เออ ๆ เจอกันโว้ย ถ้าว่าง ๆ ก่อนเปิดเทอมอยากนัดก็ได้ตลอดนะ พวกกูสองคนก็ไม่ได้ไปไหนหรอก”
“เออ เจอกัน”
ล่ำลากันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกัน แบงก์กับตั้มเดินแยกไปอีกทางเพื่อไปยังลานจอดรถ ส่วนสายน้ำเดินไปยังจุดที่ให้บริการยืมรถจักรยานของมหาวิทยาลัย แลกบัตรเรียบร้อยก็คว้าจักรยานมาคันหนึ่งก่อนจะเริ่มลงมือปั่น
สายน้ำเพิ่งกลับมาอยู่ประเทศไทยได้แค่ไม่กี่เดือน พอมาถึงก็ทำเรื่องเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แล้วก็ต้องปรับตัวอีกหลายอย่างแม้ว่าเขาจะเคยอยู่ประเทศไทยมาก่อนแต่ก็หลายปีมากแล้ว และตอนนั้นเขาก็อยู่เชียงใหม่ด้วย ไม่ใช่ในเมืองหลวงแบบนี้ หลาย ๆ อย่างเลยดูแปลกใหม่ไปหมด เขาอยากสำรวจทุก ๆ อย่าง สถานที่แถวคอนโดเขาก็สำรวจจนมั่นใจว่าเขาไม่มีทางหลงแน่นอน และไหน ๆ วันนี้รุ่นพี่ก็ปล่อยเร็วพอมีเวลาเหลือเขาก็อยากจะสำรวจมหาวิทยาลัยที่เขาจะต้องเรียนไปอีกห้าปีสักหน่อย
สองขาออกแรงปั่นจักรยานไปตามเส้นทาง ที่มหาวิทยาลัยของเขามีเส้นทางจักรยานด้วย เพราะนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ใช้จักรยานในการสัญจร สายน้ำเลยค่อนข้างวางใจว่าเขาจะไม่โดนรถมอเตอร์ไซค์หรือว่ารถยนต์สอยร่วงไปก่อนจะได้เริ่มเรียน
เพราะต้นไม้เยอะเต็มสองข้างทาง ยิ่งบวกเข้ากับช่วงเวลาในตอนนี้ทำให้การปั่นจักรยานของสายน้ำดูรื่นร่มมากทีเดียว ลมเย็น ๆ พัดผ่านมาให้รู้สึกสบาย สายน้ำแวะจอดตามข้างทาง ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปอาคารตรงหน้าแล้วก็อมยิ้มอย่างชอบใจ
สายน้ำปั่นจักรยานวนกลับมาที่อาคารของคณะอีกรอบ จอดจักรยานอยู่ฝั่งตรงข้ามใต้ต้นไม้ในจุดทีมองเห็นได้ชัด แล้วเขาก็นั่งมองอาคารนั้นอยู่แบบนั้น มีหลายครั้งที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูป ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อได้รูปภาพที่สวยถูกใจแล้ว นั่งมองอาคารอยู่แบบนั้นจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีส้มเป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าแล้ว เห็นแบบนั้นเขาจึงละสายตาจากป้ายชื่อคณะกลับมาที่จักรยานของตัวเอง เพื่อนำจักรยานไปคืน
แวะซื้อของกินที่ตลาดหน้ามหาวิทยาลัยก่อนจะขึ้นรถเมล์เพื่อกลับไปยังคอนโด เขาไม่มีใบขับขี่ในประเทศไทย ตอนแรกตั้งใจจะซื้อจักรยานมาปั่นแต่ถนนใหญ่ก็น่ากลัวเกินไป เลยต้องอาศัยรถโดยสารสาธารณะไปก่อน เอาไว้ชินกับถนนหนทางและการขับรถของคนแถวนี้ก่อนค่อยว่ากันอีกที อีกอย่างการขึ้นรถโดยสารก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก เพราะคอนโดอยู่ไม่ไกลรถติดมาก ๆ ก็แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ใช้เวลาไม่นานรถโดยสารก็จอดสนิทอยู่ที่ป้ายรถเมล์ สายน้ำลงจากรถก่อนจะเดินกลับไปที่คอนโดซึ่งอยู่ใกล้กับป้ายรถเมล์มาก ส่งยิ้มทักทายพนักงานต้อนรับของคอนโดแล้วตรงไปขึ้นลิฟต์เพื่อขึ้นมาที่ห้อง ห้องพักขนาดสามสิบห้าตารางเมตรใหญ่พอสำหรับการอยู่คนเดียว หนึ่งห้องนอนใหญ่ หนึ่งห้องนอนเล็กที่ตอนนี้เขาปรับเป็นห้องทำงาน ห้องอ่านหนังสือไปแล้ว หนึ่งนั่งเล่น หนึ่งห้องน้ำ และครัว ทุกอย่างถูกจัดเป็นสัดส่วนเอาไว้อย่างลงตัว
สายน้ำเดินเอาของกินที่ซื้อมาไปเทใส่จานก่อนจะยกมานั่งกินที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ เปิดช่องที่ฉายภาพยนตร์ดูไปกินมื้อเย็นไปจนอิ่มแปล้ ก็หยิบโทรศัพท์มากดเล่น มีข้อความจากพ่อกับแม่ที่อยู่ที่ต่างประเทศส่งมา เขาเข้าไปกอดตอบข้อความกลับไป ไล่ตอบข้อความที่ค้างเอาไว้จนหมด ก่อนจะเปลี่ยนไปเข้าเฟซบุ๊ก ดูการเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนที่ต่างประเทศเกือบทั้งหมด แต่เพื่อน ๆ ในคณะก็มีอยู่หลายคนเหมือนกัน แลกเฟซบุ๊กกันเอาไว้ตอนที่รวมกลุ่มทำงานกัน
♪~~
เสียงแจ้งเตือนเรียกสายตาของสายน้ำที่กำลังจดจ่ออยู่บนจอโทรทัศน์ให้หันกลับมามอง เป็นการแจ้งเตือนว่ามีคนกดไลค์แล้วก็คอมเมนต์ในรูปภาพที่เขาเพิ่งโพสต์ลงไป สายน้ำยิ้มขำกับข้อความของเพื่อน ๆ ที่มาคอมเมนต์ เลือกกดถูกใจแต่ไม่ได้โต้ตอบอะไร ก่อนจะวางโทรศัพท์เอาไว้ที่โต๊ะตามเดิม
ก่อนที่หน้าจอจะดับลงอัตโนมัติตามที่ตั้งเอาไว้ หน้าจอก็สว่างขึ้นอีกรอบเพราะมีการแจ้งเตือนให้เห็นถึงรูปที่เจ้าของเครื่องเป็นคนโพตส์ ซึ่งเป็นภาพของอาคารเรียนของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าที่ส้มทอง ที่เขากดถ่ายเอาไว้ก่อนจะกลับ รวมไปถึงแคปชั่นที่ใส่เป็นภาษาอังกฤษสั้น ๆ ด้วยว่า
Never let go of your dream.“รอนานไหมวะ ไอ้ตั้มแม่งช้า” เสียงทักพร้อมกับมือที่วางบนไหล่เรียกให้คนที่กำลังเล่นโทรศัพท์ให้เงยหน้าขึ้นมอง แบงก์กับตั้มยืนส่งยิ้ม ยักคิ้วให้
“ไม่นานหรอก ไปกันเถอะ” สายน้ำพูดยิ้ม ๆ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินตามเพื่อนอีกสองคนไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นลานจอดรถ
มหาวิทยาลัยเปิดเทอมมาได้สองสัปดาห์แล้ว พวกเขาเริ่มคุ้นชินกับการเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกับสมัยตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษา อีกทั้งพวกเขายังรู้สึกสนิทกันมากขึ้น เนื่องจากว่าแบงก์กับตั้มเองก็ย้ายมาอยู่คอนโดเดียวกันกับสายน้ำ มีเจ้าของห้องปล่อยเช่าพอดีแถมราคาก็ไม่ได้แพงมากอยู่ด้วยกันก็หารกันออก
เวลาไปเรียนพวกเขาก็มักจะไปพร้อมกัน ไปรถของแบงก์บ้าง ตั้มบ้าง สลับกันไปแล้วแต่วัน โชคดีที่พวกเขามีเรียนเหมือนกันทุกวิชาเลยทำให้สะดวกเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้
ใช้เวลาไม่นานรถของตั้มก็เลี้ยวเข้าสู่รั้วของมหาวิทยาลัย วนหาที่จอดรถตรงลานจอดใกล้ ๆ กับอาคารของคณะ เมื่อดูเวลาแล้วว่ายังเหลือพอสำหรับมื้อเช้าพวกเขาทั้งสามคนจึงเดินไปยังโรงอาหาร ยังพอมีโต๊ะว่างให้นั่ง แบงก์นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ส่วนสายน้ำกับตั้มก็ไปซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้
“ทำไมมึงถึงย้ายกลับมาเรียนที่นี่ว่ะ” ตั้มถามขึ้นมาเมื่อพวกเขากลับมานั่งรวมกันที่โต๊ะแล้ว
สายน้ำเงยหน้ามอง ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหมือนเป็นเชิงถามกลับว่าหมายถึงเขาเหรอ
“ก็มึงน่ะสิ!” ตั้มว่าพลางมองค้อนกับอาการกวนประสาทของเพื่อนใหม่ที่มันไม่ได้ตั้งใจจะกวนแต่ดูแล้วมันโคตรจะกวนเลย
สายน้ำหัวเราะขำเมื่อเห็นเพื่อนค้อนตาคว่ำใส่ แต่ก็ยอมเอ่ยปากบอกถึงเหตุผลของคำถามนั้น “ส่วนหนึ่งก็คิดถึงประเทศไทยนะ ตอนเด็ก ๆ ก็เกิดแล้วก็โตที่เชียงใหม่ตลอด พอย้ายไปอยู่ที่นู้นก็เลยรู้สึกอยากกลับมาที่นี่อีก”
“แล้วทำไมไม่เข้ามหา’ลัยที่เชียงใหม่ล่ะวะ เคยอยู่ไม่ใช่เหรอ” แบงก์ถามบ้าง เพราะคิดว่ามันคงจะนึกถึงจังหวัดบ้านเกิดตัวเองมากกว่าเมืองหลวงที่มันไม่เคยมาแม้แต่จะเที่ยวแบบนี้เลย
“ก็... อยากลองเปลี่ยนบ้าง”
แต่สองคนทำหน้าไม่เชื่อเต็มที่กับคำตอบของสายน้ำ
“กูเดาว่ามึงตามใครมามากกว่าอยากลองเปลี่ยนว่ะ”“กูเห็นด้วยกับไอ้ตั้ม ถ้าสมมติเป็นกูนะ กูคงอยากกลับไปที่เชียงใหม่มากกว่า”
สายน้ำส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนพลางหยิบจานข้าวที่กินเสร็จแล้วขึ้น พร้อมคว้ากระเป๋ามาสะพาย “มั่วแต่พูด ไปขึ้นเรียนได้แล้วเดี๋ยวก็สายหรอก”
พูดจบก็เดินออกมาเลย ทำเอาอีกสองคนต้องรีบคว้ากระเป๋า คว้าจานข้าวเดินตามทันที บทสนทนาที่คุยกันค้างเอาไว้ก็ถูกลืมเพราะมีเรื่องอื่นให้หยิบยกขึ้นมาพูด ยิ่งเมื่อมาถึงห้องเรียนแล้วก็ยิ่งมีเรื่องให้คุยกันใหม่เนื่องจากรุ่นพี่ปีสองฝากเพื่อนในชั้นปีมากระจายข่าวว่าวันนี้ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันในตอนเย็นเพราะว่าพี่ ๆ จะหาตัวแทนประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย
คราวนี้บทสนทนาของสาว ๆ ที่นั่งอยู่ด้านหน้าเลยกลายเป็นเรื่องของรุ่นพี่เดือนคณะในแต่ละปี แถมยังหันมาชวนหนุ่ม ๆ พูดคุยในเรื่องนี้กันอย่างออกรส
“ดาวคณะเราปีที่แล้วก็พี่บาร์บี้ไง ที่ตัวเล็ก ๆ สวย ๆ ที่ชอบอยู่กับพี่แซนดี้ พี่แวนดี้น่ะ” เพื่อนในชั้นคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำถามที่ว่าปีที่แล้วใครได้เป็นดาวคณะ
สายน้ำแม้จะไม่ได้ร่วมแสดงความคิดความเห็นแต่ก็นั่งฟังอยู่ตลอด แล้วก็นึกไปถึงพี่ผู้หญิงที่เจอในวันแรกของการมาปฐมนิเทศ แล้วก็ได้แต่พยักหน้ากับความคิดเห็นของเพื่อนคนอื่น ๆ ที่บอกว่าพี่บาร์บี้คนนี้สวยน่ารัก
“แล้วรู้ไหมว่าคณะเราน่ะมีเหนือเดือนด้วยนะ”
“จริงเหรอ คืออะไรน่ะเหนือเดือน”
“ก็คนที่สมควรได้เป็นเดือนมากกว่าเดือนไง”
“ก็แล้วอย่างนั้นทำไมไม่เป็นเดือนไปเลยล่ะ”
“ก็เพราะพี่เขาไม่ยอมเป็นไง เลยเป็นเหนือเดือนแทนไง”
สายน้ำนั่งฟังแล้วก็นึกขำปนทึ่งในการหาข้อมูลของเพื่อนผู้หญิง ไม่รู้ว่าไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน แล้วเรื่องที่เอามาพูดนั้นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะสนใจกับหัวข้อนี้จึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งอาจารย์เดินเข้ามาในห้องนั่นแหละ วงสนทนาถึงได้แตกฮือไปคนละทิศคนละทาง
วิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม เนื้อหาอัดแน่นตั้งแต่ต้นคาบตลอดจบชั่วโมงการเรียนเกือบสามชั่วโมง โชคดีที่เรียนวิชานี้ในตอนเช้า ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเรียนวิชานี้ในตอนบ่ายหลังจากที่กินข้าวอิ่ม ๆ จะน่าหลับขนาดไหน
นี่ขนาดเป็นตอนเช้า แบงก์กับตั้มยังเผลอสัปหงกไปหลายรอบเลย สายน้ำเองก็หาวไปหลายครั้ง กว่าจะหมดชั่วโมงก็ทำเอาล้าไปไม่น้อยเลย ได้ชีทปึกหนาและการบ้านให้ทำรายงานอีกคนละหนึ่งเล่ม ยังดีที่ว่ากำหนดส่งนั้นคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ไม่ใช่อาทิตย์หน้า ทำให้ไม่ต้องรีบเร่งมากนัก
“เหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงก่อนที่พี่เขาจะนัด พวกเราจะเอายังไงดี หาไรกินแถวนี้แล้วกลับห้อง หรือไปห้างกันดี” ตั้มถามระหว่างที่เดินออกจากห้องเรียน
“ไปห้างก็ได้นะ กูว่ากลับห้องแล้วจะขี้เกียจออกมา แต่จะให้นั่งอยู่นี่ก็น่าเบื่อ ไปเดินเล่นดีกว่า กูอยากดูรองเท้าอยู่พอดีด้วย” แบงก์เสนอความคิด ซึ่งทั้งสายน้ำแล้วก็ตั้มไม่ได้เอ่ยขัดอะไร สรุปตามนั้น
ห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก มีรถไฟฟ้ามาถึงพวกเขาทั้งสามคนเลยเลือกที่จะมาด้วยรถไฟฟ้าแทน ส่วนรถของตั้มก็จอดเอาไว้ที่มหาวิทยาลัยก่อน เมื่อมาถึงพวกเขาก็เลือกร้านสำหรับมื้อกลางวันในทันที ยืนให้แบงก์กับตั้มเถียงกันสักพักก็จบลงที่ร้านปิ้งย่างที่มีมังกรสีเขียวยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้า
"แบงก์ ตั้ม สายน้ำ!” ก่อนจะได้เดินเข้าไปในร้าน เสียงเรียกชื่อพวกเขาทั้งสามคนก็ดังขึ้นให้พวกเขาชะงักหันไปมอง
พากันยกมือไหว้เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียกพวกเขา “พี่เดียร์ สวัสดีครับ”
“ไง พวกเรา มากินข้าวกันเหรอ หนีเรียนมาป่ะเนี่ย” เดียร์เดินยิ้มเข้ามาหาทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ไม่ได้หนีครับ วันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวันพวกผมเลยมาหาอะไรกินกัน แล้วพี่ล่ะครับ มาคนเดียวเหรอ” แบงก์ตอบคำถามของรุ่นพี่ที่เมื่อวันปฐมนิเทศเนียนมาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ก่อนจะถามกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินมาคนเดียว
“มากับเพื่อนน่ะ นั่นไงมาพอดี” เดียร์ตอบพลางหันกลับไปมองหาเพื่อนตัวเองก่อนจะกวักมือเรียก “มึง นี่ไง... น้อง ๆ ปีหนึ่งที่กูเล่าให้ฟังอ่ะ นี่เพื่อนพี่เอง ทัช กับ หินผา”
“สวัสดีครับ” ทั้งสามคนยกมือไหว้ก่อนจะพากันแนะนำตัวทีละคน
“หวัดดีทุกคน ตอนปฐมนิเทศเจ้านี่ไปป่วนไว้เยอะเลยสิ” รุ่นพี่ที่ชื่อทัชว่ายกมือชี้ไปทางอดีตพี่เนียน ให้คนโดนกล่าวหามองค้อนยกมือชกไหล่เพื่อนไปที “อะไรมึง มาชกกูทำไม กูพูดเรื่องจริงนะโว้ย”
“ดูมันดิ!” เมื่อเถียงเพื่อนทัชไม่ได้ก็หันมาหาอีกคนแล้วฟ้อง หินผาไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยกมือยีผมเพื่อนตัวเล็กเล่น
“เลิกเล่นแล้วไปคุยกับน้องให้จบก่อน น้องมันจะได้ไปกันต่อนี่คงไม่กล้าเดินไปไหนแล้วเนี่ย”
ได้แต่ยิ้มแหยกับคำพูดของรุ่นพี่เพราะก็เป็นเรื่องจริง จะเดินเข้าร้านตรงหน้าก็ไม่กล้าเพราะกำลังยืนคุยอยู่กับรุ่นพี่ปีโตกว่าตั้งหลายปี
“เอ่อ... โทษที ๆ จะกินข้าวกันสินะ ไปเถอะ ๆ เอาไว้เจอกันใหม่นะ”
“ครับพี่ สวัสดีครับ” ทั้งแบงก์กับตั้มยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสามคนก่อนจะหันเพื่อเดินเข้าไปในร้านอาหาร แต่เพื่อนอีกคนกลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับจนแบงก์ต้องหันมาเรียก
“น้ำ ไอ้น้ำ! ไอ้สายน้ำ!”
สายน้ำสะดุ้งหันไปมองเพื่อนหน้าตาเหลอหลา ก่อนจะรีบหันมายกมือไหว้รุ่นพี่ตรงหน้า “เอ่อ... สวัสดีครับ”
เจ้าตัวชะงักไปเมื่อไล่สายตามองรุ่นพี่ทีละคนมาจนถึงคนสุดท้าย ก่อนจะหลุบตาลงแล้วเดินตามเพื่อนเข้าไปในร้าน แอบยกมือขึ้นลูบหน้าอกตัวเองสองสามที พ่นลมหายใจออกมาเพื่อบังคับให้ตัวเองกลับมาเป็นปกติ ไม่ใช่หัวใจเต้นแรงแบบเมื่อกี้อีก
“เป็นอะไรเปล่าวะ” ตั้มอดที่จะถามไม่ได้เมื่อเห็นว่าเพื่อนใหม่ของเขาดูแล้วจะมีอาการแปลก ๆ เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ป เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่นึกอะไรไปเรื่อย ๆ เฉย ๆ น่ะ” สายน้ำส่ายหน้าปฏิเสธ
“มึงเคยมีเรื่องกับเพื่อนพี่เดียร์หรือเปล่าวะ มึงดูแปลก ๆ ตั้งแต่แยกกับพวกพี่เขาแล้ว”
“ไปกันใหญ่แล้ว! ไม่ได้มีเรื่องอะไร กูจะมีได้ยังไงล่ะอย่างลืมสิว่ากูเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ รู้จักพวกมึงเป็นคนแรกเลยเนี่ย” สายน้ำว่าขำ ๆ กับความคิดของเพื่อน
“เออว่ะ กูก็ลืมไปว่ามึงเพิ่งมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีอะไรก็ดี กินเถอะเดี๋ยวจะได้ไปเดินที่อื่นกันต่อ มึงเคยมาห้างนี้หรือยังวะ”
“ยัง เคยไปอีกห้างที่มันเลยคอนโดไปน่ะ แต่ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะไปพอดีนั่งรถเลยป้ายคอนโด รู้อีกทีไปโผล่ที่ป้ายหน้าห้างแล้ว” เล่าไปก็หัวเราะไป แม้ตอนเกิดเหตุการณ์นั้นใจจะแอบหวิวไปบ้างก็เถอะเพราะเผลอหลับไปตอนขึ้นรถ ตื่นมาอีกทีก็พบว่าเลยป้ายคอนโดมาแล้วจึงรีบกดกริ่งเพื่อลงในป้ายต่อไป เหมือนกับหายตัวได้ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในที่ ที่ไม่เคยมาแล้ว
หลังจากจัดการกับอาหารเซ็ตใหญ่ไปสองเซ็ต ปิดท้ายด้วยขนมหวานแล้วก็พากันเดินลูบท้องออกจากร้าน เพราะอีกสองคนไม่มีของอะไรที่อยากดูเป็นพิเศษ เลยปล่อยให้แบงก์เดินนำไปยังร้านขายรองเท้าที่เจ้าตัวอยากจะดู
ระหว่างที่แบงก์กำลังลองรองเท้าอยู่สายน้ำก็เดินดูไปรอบ ๆ อย่างสนใจ จนกระทั่งเจอเสื้อยืดลายกราฟิกสวยสะดุดจึงไปเดินเข้าไปดู หวังจะหยิบมาดูก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีอีกคนหยิบตัวที่แขวนอยู่ข้างกัน สายน้ำไล่สายตาขึ้นมองก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“พี่หินผา”
“อ้าว... น้อง... สายน้ำใช่ไหม” อีกฝ่ายทำหน้านึกก่อนจะพูดชื่อเขาออกมาเหมือนกับไม่แน่ใจว่าตัวเองจำถูกหรือเปล่า
“ครับ ใช่ครับ พี่เรียกผมว่าน้ำก็ได้ครับ”
“อือ ชอบเสื้อแบรนด์นี้เหมือนกันเหรอ” หินผาชวนคุยมองไปยังมือของรุ่นน้องที่ถือเสื้อยืดแบรนด์เดียวกันกับในมือของเขา
“อ่อ... ก็ครับ ลายสวยดีครับ” ใจจริงก็อยากจะบอกว่าไม่รู้จักหรอกแบรนด์นี้ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเออออตามไปก็คงไม่เป็นไร อีกอย่างลายเสื้อของแบรนด์นี้ก็สวยจริง ๆ อย่างที่เขาพูด
“พี่ก็ชอบนะ แบรนด์คนไทยแถมบางรุ่นถ้าเราซื้อแล้วก็เหมือนได้ทำบุญด้วยเพราะเขาเอารายได้ไปบริจาคให้กับโครงการต่าง ๆ น่ะ พี่เลยชอบซื้อ”
“เหรอครับ แล้ว... มีรุ่นไหนบ้างเหรอครับที่พี่ว่า”
“คงต้องถามพี่พนักงานแล้วล่ะ” พูดจบหินผาก็เดินไปหาพนักงานประจำเคาน์เตอร์ก่อนจะเอ่ยถาม ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับพนักงาน
“ตอนนี้จะมีสองตัวนี้ครับที่เข้าร่วมโครงการอยู่ มีสองสี สีขาวกับสีดำ” พนักงานหยิบเสื้อตัวที่ว่าส่งให้หินผาดูทั้งสองตัว อีกคนก็รับมาแล้วหันมาส่งให้กับสายน้ำ
ลายรูปหน้าเสือแต่เป็นแบบกราฟิก ดูสวยแล้วก็เท่ไม่น้อย สายน้ำเหลือบมองคนพี่ที่ดูเสื้อในมือก่อนจะหันไปส่งให้พนักงานพร้อมบอกไซซ์ของตัวเองไป
“อ่า... ของผมไซซ์เอ็มครับ” พอพนักงานหันมามอง สายน้ำเลยเผลอบอกไซซ์เสื้อของตัวเองไป เลยกลายเป็นว่าจากที่ตั้งใจจะเดินดูไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ได้เสื้อมาหนึ่งตัว
“แล้วนี่เพื่อนไปไหนกันหมดแล้วล่ะ” หินผาถามระหว่างรอพนักงานคิดเงิน
“ดูรองเท้ากันอยู่ครับ ผมมาเดินดูเสื้อแล้วเดี๋ยวค่อยเดินกลับไปหาเพื่อนอีกทีน่ะครับ” สายน้ำตอบคำถาม นึกอยากจะถามกลับเหมือนกันว่าเพื่อนของอีกฝ่ายอยู่ไหนหมด ทำไมถึงได้มาเดินอยู่คนเดียว แต่พนักงานก็เดินเอาถุงใส่เสื้อมาส่งให้เสียก่อน
สายน้ำรับมา เอ่ยขอบคุณพนักงานไป แล้วจึงหันมาลารุ่นพี่ปีสี่ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับแล้วเดินแยกไปอีกทาง
“ไง... ได้รองเท้าไหม”
“ได้ กำลังรอคิดเงินอยู่ ว่าแต่มึงหายไปไหนมาเนี่ย” แบงก์เงยหน้าขึ้นมาตอบคำถาม
“ไปเดินดูเสื้อตรงนั้นมา” ชูถุงในมือให้เพื่อนดู
เดินดูของกันต่อหลังจากที่แบงก์ได้รองเท้ามาแล้ว จนกระทั่งใกล้ถึงเวลานัดของรุ่นพี่ พวกเขาถึงได้พากันไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับไปที่มหาวิทยาลัย แวะเอาของไปเก็บที่รถก่อน แล้วจึงตรงไปที่อาคารของคณะ สถานที่ที่รุ่นพี่นัดหมายในเย็นนี้
❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖
ฟางมีตังค์จ่ายค่าตัวพระเอกของเราแล้วนะ
พี่หินผาออกมาแล้วจ้า แม้จะยังน้อยนิดก็ตามที ฮา...
พระเอกฟางแต่ละเรื่องที่ค่าตัวแพงเนอะ กว่าจะออกมาได้จนแทบลืมว่าอ้าว... นี่พระเอกเหรอ ฮี่ ๆ
วันนี้ไม่ได้พาพี่หินผามาคนเดียว เกี่ยวคอพาทัชกับพี่น้องเดียร์มาด้วยนะ คงได้เจอสองคนนี้เรื่อย ๆ แหละค่ะ ไม่ต้องห่วงน้า
#เมื่อหินผาจรดสายน้ำ