
...เขิล มีคนบอกว่าเรื่องกำลังจะตกไปอยู่หน้าสองแล้วแอบดีจายย(ทำไมหว่า)...นึกว่าไม่มีคนอ่านเสียแล้ว
**************************************************
หลังจากเมธาพาเนมินกลับมาถึงบ้านก็ปล่อยให้ชายหนุ่มนอนพักอย่างที่ต้องการ เขานั่งทำงานอยู่ในห้องนั่งรับแขกชั้นล่างด้วยแววตาครุ่นคิด อะไรที่ทำให้คนที่สดใสร่าเริงดูซึมเศร้าได้ถึงขนาดนี้ วันแรกที่ได้พบหน้ายังดูยิ้มแย้มอยู่เลย อีกทั้ง ’ชื่อนั้น’ ความสำคัญแค่ไหน คงจะสำคัญมาก…ถึงได้เพ้อหา
เนมินหลับไปเพราะความอ่อนเพลียทางร่างกายและจิตใจ ส่วนภูริหลับเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เช้าวันรุ่งขึ้นเนมินไม่ได้มาที่ร้าน เพราะเขาจำเป็นต้องอยู่บ้านเพื่อทำขนมไปเพิ่ม เมื่อวานเขาก็กลับมาหลับทันที ไม่ได้เตรียมส่วนที่จะขายสำหรับวันนี้ไว้เลย เมธาอยากให้เนมินพักแต่เจ้าตัวก็ดื้อไม่ยอมท่าเดียว
“พี่เพิ่งทำคัสตาร์ดเสร็จ เค้กเหลือราดช็อคโกแล็ตก็เสร็จแล้ว จอยจะมาเอาเองหรือให้เด็กที่ร้านมา”เนมินโทรหาจอยเมื่อทำขนมที่ขายดีของร้านเสร็จเรียบร้อย
“เดี๋ยวให้เด็กไปเอาแล้วกันค่ะ จอยไม่อยากทิ้งร้านไว้”จอยพูดเร็วเพราะเธอกำลังคิดราคาเครื่องดื่มให้ลูกค้าอยู่
หลังจากวางสายไปสักพัก คนที่จอยส่งมาก็มาถึง เนมินช่วยลำเลียงของใส่ในตะแกรงที่มัดติดท้ายรถมอเตอร์ไซต์ เขากำชับพนักงานหน้าใหม่ของร้านให้ขี่รถช้าๆ เพื่อไม่ให้ขนมเสียหาย หลังจากขนมส่วนหนึ่งเสร็จไปเขาก็ต้องเตรียมทำส่วนที่เหลือต่อ เขาคิดในใจว่าบางทีคงต้องหาผู้ช่วยที่จะมาทำหน้าที่ส่วนนี้โดยเฉพาะ เพราะเขาทำคนเดียวเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เขาอยากปรึกษาเกี่ยวกับความคิดนี้กับภูริ…แต่ก็ไม่กล้าจะโทรหา...ไม่รู้ว่าถ้าโทรไปจะรบกวนเวลาส่วนตัวของฝ่ายนั้นหรือเปล่า
ภูริถูกอรจิราลากมานั่งร้านกาแฟเป็นเพื่อนอย่างเต็มใจ ถึงแม้ภายนอกจะทำเฉยๆ และบ่ายเบี่ยงเล็กน้อย แต่ภายในใจเขาก็ลุ้นให้เพื่อนสนิทบังคับเขามาที่ร้านอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้คนที่อยากเจอ
“วันนี้น้องมินไม่สบายล่ะภู”อรจิราเดินกลับจากห้องน้ำยังไม่ทันนั่งลงเต็มตัวก็รีบบอกเล่าเรื่องที่แอบถามพนักงานในร้านให้ฟัง
“ห๊ะ! ไม่สบาย!”
“ใช่สิ เห็นบอกว่าเกือบเป็นลมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นี่ก็อยู่บ้านคนเดียว คอยทำขนมทยอยมาส่งที่ร้านอยู่”เริ่มแรกเธอก็แค่ถามหาเพราะอยากทักทายด้วยความอัธยาศัยดี แต่ข้อมูลที่ได้รู้กลับทำให้รู้สึกห่วงใยแม้จะรู้จักกันไม่นาน
“งั้นอรนั่งกินคนเดียวก่อนนะ ภูจะไปเยี่ยมมินที่บ้าน”ภูริทำท่าจะรีบลุกถ้าไม่ติดมือบางที่ฉวยข้อมือเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิภู อีกครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาสอนแล้วนะ”
“บ้านมินใกล้ๆ นี่เอง ขอเข้าสายหน่อยแล้วกัน”เขาพูดจบก็วิ่งออกไปนอกร้าน อรจิรามองตามพลางอ้าปากค้างในความใจร้อนของเพื่อน เห็นภูริทุ่มเทขนาดนี้ก็ได้แต่อวยพรขอให้สมหวังเร็วๆ อย่างน้อยก็เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องคอยรับหน้าเวลาชายหนุ่มขอเข้าสอนสายแบบนี้อีก
ภูริขับรถด้วยความกังวลใจ เนมินไม่สบายอีกแล้วงั้นเหรอ ก่อนหน้านี้ก็ยังดูปกติอยู่เลย แล้วคนนั้นของเนมินล่ะไปอยู่เสียที่ไหน ทำไมปล่อยให้อยู่คนเดียวในบ้าน เกิดเป็นลมหรือโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีกจะทำยังไง
เขาจอดรถเทียบฟุตบาทใกล้รั้วบ้านแล้วรีบวิ่งไปกดกริ่งเรียกย้ำหลายครั้ง เนมินวิ่งออกมาจากห้องครัวตามเสียงกริ่งที่กดเร่งจนเขาตกใจ ชายหนุ่มสองคนยืนอยู่คนละฝั่งของรั้วบ้าน ภูริมองสำรวจทั่วตัวอย่างรวดเร็ว หน้าตาดูไม่สดชื่น เนื้อตัวมอมแมมจากการทำขนม เนมินมองภูริด้วยความมึนงง หน้าตาดูตื่นตระหนกจนเขาพลอยตกใจไปด้วย
“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ/มีอะไรครับ”คำถามจากสองหนุ่มเอ่ยออกมาพร้อมกัน แล้วต่างฝ่ายก็ต่างเงียบไปอีกครั้ง
“คือพี่ได้ข่าวว่ามินไม่สบาย เป็นอะไรมากรึเปล่า เกี่ยวกับโรคหัวใจมั้ย”ภูริขยายความคำถามของเขาให้อีกฝ่ายเขาใจ
“เอ่อ…แค่เพลียๆ นอนพักสักวันก็หายครับ แค่นอนไม่พอเท่านั้นเอง”เนมินต้องทวนคำถามในใจอีกรอบก่อนจะตอบ
“เฮ้อ…พี่ก็นึกว่ามินเป็นอะไรหนัก แล้วนี่ทำไมไม่นอนพักเฉยๆ ล่ะครับ ลุกมาทำงานทำไม”ภูริไม่วายบ่นต่อด้วยความห่วงใย
“พอดีของที่ร้านใกล้หมดน่ะครับ เอ่อ พี่ภูเข้ามาก่อนสิครับ มินมือเปื้อน พี่ภูเปิดเข้ามาเลยครับ”เนมินชูมือที่เปื้อนแป้งจนขาวโพลนให้ดู ภูริเปิดประตูเข้ามาตามคำเชิญแล้วมาหยุดจ้องหน้าเนมินใกล้ๆ รอยใต้ตาไม่ได้บ่งบอกว่าอดนอน แต่มันช้ำจากการร้องไห้ต่างหาก ใครทำให้เนมินของเขาร้องไห้จนไม่สบายแบบนี้…หรือจะเป็นมัน
“แล้ววันนี้พี่ภูไม่มีสอนเหรอครับ”เนมินถามสิ่งที่สงสัยอยู่ แต่สิ่งที่เขาถามกลับทำให้คนฟังน้อยใจ
“ทำไมครับ พี่มาไม่ได้แล้วเหรอ”
“ไม่ใช่นะครับ! คือ…มินแค่ถาม ก็มินจำได้ว่าวันนี้พี่ภูมีสอนนี่นา”เนมินละล่ำละลักบอกไป คำอภิบายของเขาช่วยให้ภูริยิ้มได้ขึ้นมาหน่อย ว่าอย่างน้อยอีกร่างบางก็จดจำเรื่องของเขาได้
“พี่เป็นห่วง เดี๋ยวพี่ก็ต้องรีบกลับไปสอนแล้ว”
“…เหรอครับ”เนมินรับคำด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จะว่าดีใจที่ภูริบอกว่าเป็นห่วงก็ใช่ แต่ก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ที่ชายหนุ่มกำลังจะกลับ
บรรยากาศรอบๆ ตัวเงียบลงอย่างน่าอึดอัด ภูริไม่แน่ใจว่าอาการของเนมินตอนนี้หมายถึงอะไร การที่เขามาเยี่ยมโดยไม่บอกก่อนทำให้อึดอัดเหรอ ส่วนเนมินก็ได้แต่คิดว่าตัวเองคงไม่สำคัญเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วถึงได้รีบมารีบกลับ คำพูดและความคิดถูกเก็บไว้ภายในใจของแต่ละคน
“งั้น…พี่กลับก่อนแล้วกันนะครับ หายเร็วๆ นะครับ”ภูริลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวคำลา เนมินนั่งก้มหน้าเมื่อรู้สึกใจหายกับคำบอกลา เวลาที่จะเผื่อแผ่มาถึงเขาได้สั้นเหลือเกิน ถ้าร้องขอให้อยู่นานกว่านี้จะเอาแต่ใจไปมั้ย จะเอาสิทธิ์อะไรไปอ้างขอได้กัน
“เป็นอะไรหรือเปล่ามิน”ชายหนุ่มเห็นท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายจึงรั้งรอไม่ก้าวเดินออกนอกประตูบ้าน
“เปล่าครับ”ถึงจะตอบว่าเปล่า แต่ท่าทางเซื่องซึมก็ยังคงเด่นชัดให้เห็น ภูริที่เพิ่งเคยเห็นอาการแบบนี้ถึงกับทำอะไรไม่ถูก หรือว่าบางทีเนมินอาจจะมีปัญหากับอีกคนถึงทำให้ดูเศร้าแบบนี้…น่าโมโหนัก
“แล้ว…คนที่มานอนค้างกับมินเขาไปไหนเสียล่ะ ทำไมไม่อยู่ดูแล”ภูริพูดเชิงกล่าวว่า แต่คนกำลังน้อยใจยิ่งเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายถึงขนาดผลักไสเขาให้คนอื่น
“….ทำงานครับ”
“มินไม่สบายทำไมเขาไม่ลางานมาดูแลล่ะ ทำอย่างนี้ได้ยังไง”
“มินดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาลำบากเพราะมินเหรอ พี่ภูจะกลับก็รีบกลับเถอะ เดี๋ยวจะเสียเวลา”
“ทำไมมินพูดอย่างนี้ล่ะ อยากไล่พี่อีกแล้วใช่มั้ย ถ้ามินไม่อยากให้พี่มาบอกกับพี่ตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องไล่กันบ่อยๆ หรอก”ชายหนุ่มโพล่งขึ้นมาด้วยความน้อยใจ คราวก่อนก็บอกไม่ให้ไปหาที่ร้าน เขาอุตส่าห์บากหน้ามาหาที่บ้านด้วยความเป็นห่วงกลับถูกไล่ซ้ำซึ่งๆ หน้า ใจคอเนมินจะไม่พบหน้าเขาอีกแล้วใช่มั้ย
“เปล่านะครับ มินไม่ได้ไล่พี่ภูสักหน่อย แต่พี่ภูมีงาน พี่บอกเองว่าต้องรีบกลับไปสอน มินไม่อยากรบกวนพี่มากไปกว่านี้แล้วครับ พี่จะกลับก็กลับเถอะ”ถึงจะแก้ตัวให้ตัวเอง แต่ก็อดประชดออกไปไม่ได้
“…หมายความว่าไง…พี่…มาที่นี่ได้อีกใช่มั้ย”ภูริฟังคำพูดกับน้ำเสียงน้อยใจของเนมินออก ถึงคำพูดจะออกแนวประชด แต่ท่าทางแบบนี้มันอ้อนเขาอยู่ชัดๆ
“ถ้าพี่ภูไม่อยากมามินก็ไม่บังคับพี่หรอก”เนมินยังคงนั่งก้มหน้ากำมือตัวเองแน่น ไม่ได้สังเกตเลยว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จนประชิดตัวเขาแล้ว ภูรินั่งลงข้างๆ แล้วจับมือที่ประสานกันแน่นให้คลายออกช้าๆ ถ้อยคำสุดท้ายของคนอ้อนไม่นิ่งเหมือนเคย มันสั่นเครือจนเขาใจหาย
“ร้องทำไมครับคนเก่ง อย่าร้องสิครับ พี่ทำตัวไม่ถูก”ภูริไล้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มใส ปากอิ่มเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงตัวเอง เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองร้องไห้ออกมาง่ายดายแบบนี้ ไม่มีเหตุผลเลย ทำตัวเหมือนเด็กขี้แยอ้อนคนอื่นให้เอาใจ
“…ไปทำงานสิครับ…เดี๋ยว..ก็ไปสาย มินอยู่คนเดียวได้ ดูแล…ตัวเองได้…ไม่ต้องผลักไสมิน….ไม่ต้องให้ใครมาดูแลหรอก…”ถึงคำพูดจะผลักไสอีกฝ่าย แต่กลับปล่อยให้ภูริกุมมือตัวเองไว้ นิ้วมือที่เกลี่ยบนผิวแก้มก็ยังไม่ละออกไป
“ใครผลักไสมินกัน มินนั่นล่ะที่ไล่พี่ก่อน”ภูริอมยิ้มกับคำของคนที่เขาเพิ่งรู้ว่าช่างอ้อน แล้วก็อ้อนได้น่ารักเสียเหลือเกิน
“…..มินไม่เคยไล่นะ”เมนินหันหน้ามองข้าวของมือเต็มตา ทำไมชายหนุ่มถึงกล่าวหาเขาแบบนี้
“ก็มินไม่ให้พี่ไปที่ร้าน ไม่ให้มาที่บ้าน อย่างนี้ไม่เรียกว่าไล่แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“ก็…มินไม่อยากรบกวนเวลาที่พี่จะได้อยู่กับพี่อรนี่นา”พูดจบแล้วก็ต้องก้มหน้าเม้มปากกลั้นความน้อยใจเอาไว้อีกรอบ
“ห๊ะ! ของพี่กับอร…เวลาอะไร….หรือว่า…มินเข้าใจว่าพี่กับอรเป็นแฟนกัน”ภูริทบทวนคำพูดก่อนจะเริ่มเข้าใจความหมาย…นอกจากขี้อ้อนยังขี้งอนเสียด้วย
“ก็ดูเหมาะสมกันดี”
“ฮึๆ…คิดไปได้นะเรา เด็กหนอเด็ก พี่กับอรเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นล่ะครับ มินอย่าคิดมากนะ”
“……”
“คนที่มานอนค้างกับมินที่นี่ต่างหาก มันเป็นอะไรกับมิน”
“เมธน่ะเหรอ…เมธเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เมธมาทำงานแค่อาทิตย์เดียวก็จะกลับแล้ว”ร่างบางตอบแบบซื่อๆ น้ำตาหยุดไหลโดยไม่รู้ตัว ภูริยิ้มรับกับคำอภิบาย ถ้าเนมินพูดว่าเป็นเพื่อน อีกฝ่ายก็คงแค่หลงรักข้างเดียวอยู่แน่ๆ คงเหมือนเขาตอนนี้….แต่ก็ไม่แน่…เขาอาจไม่ได้รักข้างเดียวอยู่ก็ได้
*******************************************
ที่หายไปนานไม่ใช่อะไรหรอก แค่เจอมรสุมทางอารมณ์ตัวเองนิหน่อย เลยลืมบรรยากาศในเรื่องนี้ จะฝืนแต่งก็คงไม่ดีเลยพัก(นานไปหน่อย) ยังไงก็ขอโทษที่ทำให้คนที่รออยู่ รอนานนนนนน
