Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 6
“เอื้อมมือมาจับที่ด้ามมีดสิ” เสียงห้าวๆพูดอยู่ข้างๆ อคิราห์เม้มปากเอื้อมมือไปแตะที่ด้ามมีดตัดเค้กนั้นนิดนึงพอเป็นพิธี “ขยับเข้ามาหน่อย เธอยืนตรงนั้นห่างไปถ่ายรูปไม่สวย” พิชช์ฌานกระซิบต่อมาอีก ซ่อนยิ้มในใจที่เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงตอนที่ขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างจำใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องแต่งตัวเมื่อสองชั่วโมงก่อนยังแจ่มชัดในความรู้สึก สัมผัสนุ่มหวานลึกล้ำนั้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น ท่าทางเงอะงะแบบคนไม่เคยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าคนอื่นๆที่เคยผ่านมาเสียอีก ทั้งที่เขาทำลงไปเป็นเพียงแค่จูบเท่านั้นเอง ไม่ได้ล่วงเกินอะไรมากมายไปกว่านั้น
ผิวแก้มเนียนละเอียดสีน้ำผึ้งกระจ่างอยู่ห่างจากปลายจมูกของเขาเพียงนิดเดียว พิชช์ฌานสูดกลิ่นหอมนวลเหมือนขนมหวานนั้นเข้าปอด ...ถ้าอคิราห์เป็นคุกกี้ เขาก็พอจะรู้แล้วว่ารสชาติหวานหอมชวนติดใจแค่ไหน
ติดใจ...เดี๋ยวก่อนนะนายฌาน ....ทำไมจู่ๆถึงได้มีคำๆนี้โผล่ขึ้นมาในสมองอัลฟ่าอย่างนายขึ้นมาได้ นักการเมืองหนุ่มขยับตัว เผลอขมวดคิ้วให้กับความฟุ้งซ่านของตัวเอง
อคิราห์สังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปฉับพลันนั้น เมื่อกี้นายพิษฌานยังทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มอยู่เลย จู่ๆก็เปลี่ยนไปกลายเป็นขมึงทึงแทนซะงั้น มือใหญ่กุมทับมือของเขาแล้วยกขึ้นตัดเค้กสูงหลายชั้นที่ตกแต่งเอาไว้สวยงามด้วยดอกไม้สีสดใสสวยงามรวดเดียวถึงเค้กชั้นล่างจากนั้นก็ปล่อยมือของเขาออกคล้ายจับของร้อน อคิราห์ตวัดสายตาผ่านหน้าคมเข้มนั้นอย่างหงุดหงิด คนที่ควรสะบัดมือออกควรจะเป็นเขามากกว่า
หรือไม่ก็สะบัดใส่หน้านายพิษฌานไปเลยสักฉาด จะได้สาสมกับที่บังอาจมาจูบเขา….ฮึ ยิ่งคิดก็ยิ่งเคือง ฝ่ายนั้นจงใจแกล้งเขาชัดๆ ปลายลิ้นร้ายกาจนั่น …ให้ตายเหอะ
อัยย์มัวแต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นเลยไม่ทันฟังว่าพิธีกรเชิญให้ออกไปพูด ชายหนุ่มฉีกยิ้มเฝื่อนๆ พูดขอบคุณแขกได้สองสามคำก็นิ่งเงียบ ร้อนถึงเจ้าบ่าวต้องแก้สถานการณ์ พิชช์ฌานแซวยิ้มๆว่าคงตื่นเต้นมากไป จากนั้นก็อาศัยอารมณ์ขันพาลื่นไหลไปจนได้ อคิราห์เพียงแต่ยิ้มรับเท่านั้น เขาแทบไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย จนกระทั่งบิดาของเขาที่เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของงานนี้ขึ้นมากล่าวอวยพรเป็นคนแรก
“อัยย์ลูกพ่อ...ยี่สิบสามปีที่พ่อเลี้ยงดูลูกมาอย่างดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง วันที่ลูกจะได้มีใครสักคนคอยปกป้องคุ้มครอง ดูแลลูกต่อไปในอนาคตข้างหน้า....” ท่านไตรคุณหยุดนิดหนึ่ง หยดน้ำตาคลอในดวงตาที่ยังคมแม้จะมากด้วยวัย “...คุณพิชช์ฌาน...สัญญาต่อหน้าผมและทุกคนในงานนี้เป็นพยานได้ไหมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะไม่ทอดทิ้งลูกชายของผม จะไม่ทำให้เขาเสียใจ คุณจะดูแล..พิทักข์เขา เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นสามี เป็นครอบครัวของอัยย์ คุณสัญญากับผมได้ไหม เอ็นดูเขา รักเขาเหมือนที่ผมรัก”
อคิราห์เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจตรงข้ามกับคนข้างตัวที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนราวกับเดาไว้อยู่แล้ว พิษฌานยกแขนขึ้นโอบไหล่ของเขาเอาไว้
“ผม...นายพิชช์ฌาน อัศวลักษณ์ ขอให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าทุกคนว่าจะรักและดูแลอคิราห์เหมือนเป็นชีวิตของผมเอง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ท่านไตรคุณยิ้มมุมปาก ลดเสียงลงให้ได้ยินเพียงสองคน
“คุณรู้ใช่ไหมว่าคำสัญญาระหว่างอัลฟ่ากับโอเมก้าศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน”
ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ
“ผมรู้ครับ”
หลังจากนั้นก็เป็นคิวของบิดาและมารดาของพิชช์ฌานบ้าง พ่อของพิษฌานเป็นผู้ชายตัวใหญ่ ส่วนแม่ของเขาเดาว่าน่าจะเป็นภรรยาใหม่ของพ่อเพราะไม่ใช่คนเดียวกับที่อีกฝ่ายพาไปเจอเมื่อวันนั้น
พ่อของพิชช์ฌานอวยพรเรียบๆเหมือนขอไปที ส่วนแม่เลี้ยงของเขาไม่ได้พูดอะไรเลย คงจริงอย่างที่ข่าวลือบอกว่าครอบครัวของชายหนุ่มรับไม่ได้กับสะใภ้โอเมก้าอย่างเขา
แต่อัยย์ก็ไม่ได้สนใจ
อคิราห์ขยับตัวออกห่างจากร่างสูงใหญ่เมื่อได้โอกาส เขาเห็นพิษฌานกำลังยืนอยู่กลางวงล้อมของบรรดานักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในประเทศ โอเมก้าหนุ่มแอบเดินสำรวจรอบๆงานที่จัดเอาไว้อย่างสวยงามด้วยดอกไม้สีขาวสะอาดและสีฟ้าอ่อน มันก็สวยอยู่หรอก หยุดดูภาพพรีเวดดิ้งของตัวเองที่ดูตลกผิดที่ผิดทางนั้นก่อนจะแวะไปสำรวจที่ซุ้มอาหารที่จัดเอาไว้แบบค็อกเทลปาร์ตี้ ก้มๆเงยๆหยิบอาหารที่จัดแต่งเป็นชิ้นพอดีคำใส่ปากชิม ไม่นานก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นจนหยิบกินต่ออย่างเพลิดเพลิน
“คุณอัยย์หลบมาอยู่ตรงนี้เอง...” เสียงแปลกหูดังขึ้นใกล้ตัว อคิราห์หันไปมองคนทักอย่างงงๆ
“ครับ?”
“ผมชื่อจักรกฤตครับ เป็นเพื่อนสนิทของนายฌาน” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นพูดยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีทีเดียว เสียแต่ว่าบุคลิกล่อกแล่กไปหน่อยในความคิดของอัยย์ “เครื่องดื่มหน่อยมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” อัยย์ตอบเนิบๆ
“คุณอัยย์รู้จักกับนายฌานตอนไหนหรอครับ มันปิดเรื่องคุณเงียบเชียว พวกผมตกใจแทบตายตอนที่รู้เรื่องคุณ แหม...มีคนรักน่ารักขนาดนี้ทำไมไม่บอกเพื่อนฝูงกันบ้าง จะได้ทำความรู้จักกันยังไงล่ะครับ” จักรกฤตว่า ส่งแก้วเครื่องดื่มสีสวยมาให้เขา อัยย์รับไว้อย่างเสียไม่ได้ “ไม่ผสมแอลกอฮอล์หรอกครับ เด็กดีอย่างคุณดื่มได้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มเสริม
“ผมชอบดื่มน้ำเปล่า ขอบคุณมากครับ” อัยย์พูด วางแก้วลงบนถาดของบริกรที่เดินผ่านมา คนตรงข้ามเลิกคิ้วแล้วหัวเราะเบาๆ
“คุณเป็นคนตรงๆดีนะครับ หรือว่านี่จะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้หนุ่มเนื้อหอมอย่างพิชช์ฌานหลงเสน่ห์ได้ถึงขั้นยอมแต่งงานด้วย คุณรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นพวกหวงความโสดจะตายไป เล่นการเมืองมาขนาดนี้ใครๆก็รู้ว่าควรจะแต่งงานมีลูกมีเต้าได้แล้ว แต่ว่ามันก็ยังครองความโสดได้ถึงจะไม่สดก็เถอะนะฮะ หึๆ อ้อ...คุณรู้ไหมว่ามันยังไม่เคยควงโอเมก้าเลยสักครั้งเดียว”
“ครับ” อัยย์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
คนพูดซ่อนยิ้ม ถึงจะพยายามเก็บอาการเอาไว้แค่ไหนแต่ว่าอีกฝ่ายยังเด็กนัก แววอยากรู้อยากเห็นในดวงตากลมสวยคู่นั้นบอกเขาว่าเจ้าตัวอยากรู้เรื่องต่อ
“ฌานเขามีพาร์ทเนอร์ลับๆหลายคนครับ ...พวกผมรู้กันดี ส่วนใหญ่ควงกันไม่นานก็เลิก มีอยู่คนเดียวที่คบกันนานหลายปีจนกระทั่งเธอไปต่างประเทศ” จักรกฤตว่า “เป็นลูกสาวสปอนเซอร์ใหญ่ของพรรคเราครับ ไม่แน่ว่าที่ฌานคั่วอยู่นานอาจเป็นเพราะหวังเงินของพ่อเธอก็ได้”
“ฉันจะหวังอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับนายหรอก จริงไหม” เสียงห้าวๆดังขึ้นข้างหลังพร้อมกับท่อนแขนหนักๆที่พาดลงมาที่ไหล่ของอคิราห์ “อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องในอดีต ไม่ควรเอามาปนกับปัจจุบัน”
“มันก็ไม่แน่หรอกมั้งฌาน ได้ข่าวว่ารินรดาจะกลับมาไม่ใช่หรือ” จักรกฤตพูดยิ้มๆ “ฉันก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าคุณนายของแกจะตกใจเลยมาเตือนเอาไว้ก่อน ฉันหวังดีนะ”
“เก็บความหวังดีของนายกลับไปเถอะ ไม่อยากนั้นฉันจะแสดงความหวังดีต่อกิจการของนายบ้าง ดีไหม” พิชช์ฌานพูดเสียงเย็น อีกฝ่ายเลิกคิ้วแล้วหัวเราะเบาๆ
“โอ๊ะโอ ดูเหมือนว่าจะแตะไม่ได้เลยแฮะ คนของนายคนนี้” ชายหนุ่มผิวปากยาวแล้วก้มศีรษะให้อคิราห์เล็กน้อย “ไว้คุยกันอีกนะครับ คุณอัยย์”
คนในพรรคเดินจากไปแล้ว พิชช์ฌานหันขวับมาถามคนข้างๆเสียงเข้ม
“ไปคุยกับมันทำไม ไอ้หมอนี่มันเลวจะตาย”
“ผมจะไปรู้หรือไงว่าใครคุยได้หรือไม่ได้ ขนาดคุณผมยังคุยเลย” คนเด็กกว่าย้อน
“นี่...ถึงฉันจะเลว แต่ก็ไม่เท่ากับนายจักรหรอก นั่นน่ะมันเกือบจะเข้าขั้นโจรแล้ว”
“แต่คุณก็เลี้ยงเอาไว้ในพรรคไม่ใช่หรือ”
พิชช์ฌานนิ่งไป
“มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์” ชายหนุ่มพูด
“คุณเคยคบใครโดยที่ไม่หวังผลอะไรบ้างมั้ย” จู่ๆคนตัวเล็กกว่าก็ถามขึ้นมาขณะที่เอื้อมมือไปหยิบขนมเค้กชิ้นเล็กๆขึ้นมาจิ้มใส่ปาก “หรือว่าไม่เคยเลย”
สีหน้าของคนฟังทำให้อัยย์ประหลาดใจ
“ไม่เคยเลยจริงๆหรอ คุณไม่มีเพื่อน...แบบเพื่อนธรรมดาบ้างหรือ”
พิชช์ฌานเลิกคิ้ว
“เพื่อนธรรมดาคือยังไง”
“ก็แบบ...เพื่อนที่เค้า...คบกันด้วยใจล้วนๆ ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน หวังดีต่อกันจริงๆน่ะ คุณมีบ้างไหม” อคิราห์อึกอักเล็กน้อยจนคนฟังสังเกตเห็น พิชช์ฌานดักคอยิ้มๆ
“เธอเองก็ไม่มีเหมือนกันใช่ไหม เพื่อนที่ว่า”
โอเมก้าหนุ่มนิ่งไปครู่แล้วก็พยักหน้า
“ใช่ ผมก็ไม่มีหรอกเพื่อนในฝันแบบนั้น ....ผมมีแค่เมี่ยงคำที่บ้าน แค่นั้นแหละ”
“เมี่ยงคำคืออะไร เธอมีเพื่อนเป็นอาหารหรออัยย์” พิชช์ฌานประหลาดใจกว่าเดิม อีกฝ่ายยักไหล่ไม่ได้อธิบายต่อ
แขกในงานทยอยกันเข้ามาทักทายและอวยพรพวกเขาต่อหลังจากนั้น พิชช์ฌานแอบกระซิบแนะนำแขกบางคนให้อัยย์ฟังบ้าง บางทีก็เล่าเบื้องลึกเบื้องหลังสั้นๆให้ฟังและลงท้ายด้วยโค้ดสีที่เข้าใจกันเอง
“คนนี้ชื่อพร้อมเทพ เป็นลูกเสี่ยเจ้าของตึก.... ทำธุรกิจสีเทาเข้ม” สีเทาเข้มที่หมายถึงธุรกิจที่เข้มกว่าสีเทาแต่ยังไม่ถึงขั้นดำมืดสินะ อัยย์พยักหน้ารับ “ทางขวาที่มาคู่กันชื่อเทวา เป็นเชื้อเจ้านี่แหละแต่ที่พ่อแม่ติดพนันเลยตกสวรรค์ ตอนนี้สีเทาจางๆ ติดหนี้ฉันอยู่ยี่สิบล้าน”
คนฟังเกือบหัวเราะออกมาแต่กลั้นเอาไว้ทันกับน้ำเสียงแค้นเคืองนั้น
“ทำไมคุณไม่ทวงเขาล่ะ”
“มันจะยกลูกสาวให้ฉันแลกหนี้ ฉันเลยไม่อยากทวงอีกเลย” พิชช์ฌานกระซิบ
“ทำไมล่ะ ดีออกไม่ใช่เหรอ” อัยย์เลิกคิ้ว
“จะดีกว่านี้ถ้าลูกสาวคนนั้นไม่ได้มีผัวมาแล้วสองลูกติดอีกสี่”
อัยย์หลุดหัวเราะคิกออกมา ขำเสียงขุ่นๆของคนพูดจนเก็บอาการไม่ทัน พอเขายิ้มเสียงชัตเตอร์ก็รัวราวกับรอจังหวะอยู่ พิชช์ฌานหัวเราะออกมาบ้าง เอื้อมมือมาโอบไหล่บางเข้าหาตัว
“คิดค่าโอบไหล่ได้ไหม” อคิราห์พูด สบตาคมเข้มแวบหนึ่ง “มันหนักนะคุณ แขนคุณยังกะงูเหลือม”
“รู้หรือเปล่าว่างูเหลือมรัดแรงแค่ไหน” พิษฌานอมยิ้ม “อยากลองหรือเปล่า..หืม?”
“ไม่ๆ” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ ไม่บ่นเรื่องถูกใช้เป็นที่วางแขนอีกต่อไป
อัยย์ยืนฟังคนข้างตัวพูดขอบคุณแขกเหรื่อในงานต่อเงียบๆ น้ำเสียงของนายพิษฌานรื่นหูน่าฟังไม่เหมือนเวลาที่คุยกับเขาเอาเสียเลย กลิ่นหอมๆที่ระเหยออกมาจากเนื้อตัวหนาๆอุ่นๆก็หอมอวลทำให้จิตใจของเขาสงบลงอย่างประหลาดจนถึงขั้นหนังตาเริ่มหนัก
“อ้าว...คุณหนูอัยย์ตาจะปิดแล้ว สงสัยจะฟังพวกเราจนง่วง” เสียงนักการเมืองคนหนึ่งพูดขึ้นยิ้มๆ พิชช์ฌานก้มลงมองผู้ชายตัวเล็กที่ยืนพิงเขาเอาไว้เต็มที่นั้น ศีรษะทุยสวยเอียงซบกับไหล่ของเขาเอาไว้ ตากลมโตหรี่ปรือจนน่าขัน
“คุณ...ยังไม่สี่ทุ่มเลย จะหลับแล้ว...สงสัยวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันน่ะครับ” ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับแขกยิ้มๆ แอบเอานิ้วจิ้มที่เอวบางนั้นไปสองทีจนคนหลับในสะดุ้งเฮือก ตาเบิกโตหันขวับมาหาเขาอย่างตกใจ พิชช์ฌานหัวเราะเบาๆ “ใครให้แอบงีบ ฮึ...ปล่อยเราพูดอยู่คนเดียว”
“ใครงีบ ไม่มี๊” อคิราห์ย่นจมูกใส่แล้วขอตัวจากแขกเดินออกมาอีกทาง ปล่อยให้นายพิษฌานร่ำลาแขกต่อก็แล้วกัน
“อัยย์ ไปไหนน่ะ” ฝาแฝดของเขาดักรออยู่ก่อนแล้วรีบคว้าแขนของอัยย์เอาไว้ โอเมก้าหนุ่มเบิกตากว้าง
“มาอยู่นี่เองคิน นายใช่ไหมที่ปล่อยให้นายพิษฌานเข้าไปในห้องแต่งตัวฉันน่ะ” คนฟังยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้ปล่อยให้เขาเข้าไปนะ เขาเข้าไปเองต่างหาก” พี่ชายหัวเราะเบาๆ ยื่นหน้าลงมาใกล้เขา “แล้วเป็นยังไงบ้าง คุยอะไรกัน”
“ก็...ไม่ได้คุยอะไร” คนพูดหลบตาทันที เสมองไปอีกทางหนึ่ง “คนแบบนั้นคุยรู้เรื่องที่ไหน”
อคินทร์สังเกตเห็นสองแก้มของคนพูดแดงซ่านก็ชักสงสัย
“แล้วเข้าไปทำอะไรตั้งนานสองนาน”
“เปล่า...ก็ทะเลาะกัน เรื่องไร้สาระน่ะ” อัยย์เปลี่ยนเรื่อง “แล้วนายยังไม่กลับเหรอ ไหนว่ามีคิวถ่ายละครต่อไงล่ะ”
“ฉันรอบอกลานายน่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะอัยย์” พี่ชายฝาแฝดพูดสั้นๆแค่นั้นแล้วก็ดึงตัวเขาเข้าไปกอด อัยย์กอดตอบแน่น ความรู้สึกห่วงกังวลส่งผ่านสัมผัสได้โดยไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด คนเป็นน้องตบที่ไหล่ของพี่ชายเบาๆแทนคำปลอบใจ
“ฉันดูแลตัวเองได้น่า ไว้เจอกันนะคิน คอนเสิร์ตหน้าของนายฉันสัญญาว่าจะไปดูแถวหน้าเลยล่ะ”
อคินทร์มองหน้าเขาแล้วยิ้ม
“นายเป็นคนเข้มแข็งเสมออัยย์” แฝดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะกลับออกไปจากงาน อคิราห์มองตามหลังพลางถอนหายใจ เขากับอคินทร์ถึงจะไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาแต่เมื่อใดที่อีกฝ่ายกลับบ้านก็จะได้พบเจอพูดคุยกันอยู่เสมอ หลังจากนี้เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกพักใหญ่
ชายหนุ่มเดินย้อนไปอีกทาง
“อัยย์...” เสียงนุ่มๆของมารดาดังขึ้น คุณหญิงอารยาจับมือของเขาเอาไว้ “แม่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“คุณแม่มีอะไรหรือครับ” อัยย์ถามเรียบๆ แม่ของเขาเป็นอัลฟ่าที่สวยสง่าสมตำแหน่งนางงามก่อนที่จะพบรักกับบิดาของเขา เธอมาจากตระกูลดี การศึกษาดี นิสัยก็ดีพร้อม ครอบครัวของพ่อเขายินดีต้อนรับเธอเข้ามาเป็นสะใภ้จนกระทั่งเธอคลอดโอเมก้าอย่างเขาออกมา ทุกคนคิดว่าเธออาจจะมีส่วนที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น เธอเลยถูกปฏิบัติอย่างเมินเฉยจากครอบครัวของฝ่ายชาย แต่ก็ยังดีที่ไตรคุณรักเธอมากเลยไม่ทอดทิ้งเธอไปไหน
อัยย์รู้ดีว่าแม่เสียใจและเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นหน้าลูกชายอย่างเขา แต่ว่าแม่ก็แสนดีพอจะไม่แสดงออกให้ลูกเสียใจ เธอทำเป็นไม่ยินดียินร้ายและหลีกเลี่ยงที่พูดกับเขาแทน
“เหนื่อยไหมลูก” เธอพูดเสียงเบาหลังจากมองหน้าเขาอยู่นาน อัยย์ส่ายหน้า ตอบโดยไม่สบตาอีกฝ่าย
“ไม่ครับ”
“...ดูแลตัวเองด้วยนะ” คุณหญิงอารยาพูดแล้วนิ่งไปเล็กน้อย “ถ้ามีเรื่องอะไร...ก็กลับบ้าน แม่จะรออยู่” เธอพูดแค่นั้นแล้วก็หมุนตัวเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง อคิราห์มองตามร่างสูงระหงนั้นไปด้วยความรู้สึกแน่นในอกอย่างประหลาด
เมื่อกี้นี้มัน...