อู่ซ่อมรัก. 2
“เหล้ากินได้ไม่เคยห้าม แต่ไม่ใช่กินจนไม่เป็นอันทำงานทำการขนาดนี้”
เย็นวันนั้นมิ่งโดนเรียกเข้าไปตักเตือนเรื่องกินเหล้าจนเสียการเสียงาน ทุกอย่างที่เฮียพูดไม่ใช่การพูดด้วยอารมณ์โกรธแต่เต็มไปด้วยเหตุผลที่มิ่งยอมรับได้ทั้งหมด
“มึงมีภาระ มีลูกที่ต้องเลี้ยง มีพ่อแม่ที่ต้องดูแล ลองคิดดูว่าเหล้าที่มึงกินหนึ่งขวด ซื้อนมให้ลูกมึงกินได้กี่กระป๋อง ซื้อข้าวสารให้พ่อแม่ได้กี่กระสอบ กูไม่ห้ามหรอกที่จะกิน สังสรรค์กันบ้างเรื่องปกติ แต่นี่ไม่ใช่ มึงกินแล้วมึงเสียงาน ทำให้คนอื่นเขาต้องมาทำงานแทน ที่กูเตือนกูสอนก็เพราะเห็นว่ามึงเป็นคนดีนะมิ่ง”
มิ่งเข้าใจที่เฮียตักเตือน ไม่ได้โต้เถียงและนึกขอบคุณที่เฮียยังให้โอกาส
“ปรับปรุงตัวได้ก็ปรับปรุงนะ”
“ครับเฮีย ผมจะปรับปรุงตัวครับ”
รับปากและพร้อมจะปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นและบารมีก็พยักหน้ารับ
“นึกถึงหน้าลูก นึกถึงหน้าพ่อแม่ไว้เยอะ ๆ ทุกข์ใจเรื่องที่บ้านกูก็เข้าใจ มีอะไรที่หนักใจพอช่วยกันได้ก็บอก อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว กูเคยบอกไว้แล้วว่าที่นี่อยู่กันอย่างพี่น้อง”
ที่นี่อยู่กันแบบพี่น้องจริง ๆ แม้กระทั่งที่ซุกหัวนอนเฮียก็ต่อห้องพักไว้ให้ที่หลังอู่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเสียค่าเช่า และมันช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือพอจะส่งเสียให้คนที่บ้าน
“แค่นี้แหละไม่มีอะไรหรอก กูก็อยากบอกอยากเตือนสติไม่ให้มึงเตลิดไปมากกว่านี้”
“ผมรู้ครับว่าเฮียหวังดีกับผม ผมจะไม่ทำให้เฮียหนักใจครับ”
รับปากแล้วและเจ้าของอู่ก็พยักหน้ารับ
“เย็นแล้วมึงก็ไปหาข้าวกินแล้วก็อาบน้ำนอนซะ มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน”
“ครับเฮีย”
มิ่งยกมือไหว้และลุกขึ้นเดินออกจากออฟฟิศไปแล้วและพิพัฒน์ที่นั่งอยู่ก็มองหน้าบารมีแบบยิ้ม ๆ
“เจ้าของอู่ใจดีขนาดนี้ ลูกน้องรักตายเลย”
มองหน้าของคนที่วางมือจากการทำบัญชีให้อู่แล้วบารมีก็ส่งยิ้มให้คนที่แกล้งพูดจาหยอกล้อใส่
“แค่ลูกน้องรักอย่างเดียวเหรอ”
บารมีแกล้งถามและพิพัฒน์ก็หัวเราะออกมาแต่ไม่ได้ตอบสิ่งที่ถูกถาม
“ไม่ใช่ว่าเจ้าของจะอู่ใจดีอย่างเดียวนะ แต่เมียเจ้าของอู่ก็เด็ดมาก”
“ใครเหรอ”
พิพัฒน์แกล้งทำหน้าไม่เข้าใจและบารมีที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก็พยักหน้าเรียกให้พิพัฒน์ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาใกล้ ๆ
“จะมีใครล่ะ ก็คนที่ขึ้นมาขย่มกูทั้งคืนจนสว่างคาตา จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนนี่ไง”
+++
“ชื่อช่างมิ่ง ขยันทำงาน เป็นรุ่นน้องช่างนัยที่เคยไปติดทหารด้วยกัน เห็นว่าไปไม่ถึงปีเมียก็หนี ชีวิตน่าสงสาร วัน ๆ ไม่ค่อยพูดหรอก มันทำแต่งาน พูดไม่เป็น”
เรื่องที่เจ้าของอู่เล่าเกี่ยวกับช่างคนใหม่ของอู่เป็นเรื่องเล่าแสนธรรมดาแต่คนฟังตั้งใจฟังมากและมีบางครั้งที่เหลือบสายตามองคนที่กำลังทำงานอย่างขยันและตั้งใจ
“เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ เพราะผมเตือนแล้ว ตอนมาใหม่ ๆ เย็น ๆ นี่เริ่มแล้ว กินเหล้าจนเมาเละเทะ งานการทำไม่ได้ ผมก็ขู่ไปว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ มันก็ปรับปรุงตัวเชื่อฟังดี พอรู้ว่ามันมีปัญหาที่บ้าน แต่ผมก็สอนไปว่ากินเหล้าไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ต้องตั้งสติ ขยัน และตั้งใจทำงาน ถึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็ให้คิดถึงหน้าลูก ให้คิดซะว่าทำเพื่อลูก ตอนหลังมันก็ตั้งสติได้ ทำงานเก็บเงินได้เท่าไหร่ส่งกลับบ้านหมด”
คุณทัศนัย ลูกค้าคนสำคัญของอู่ซ่อมรถ มีรถกี่คันส่งเข้ามาให้เป็นประจำ
“ยังดูเด็กอยู่เลยนะ”
มองคนที่กำลังตั้งใจทำงานแล้วก็คิดตาม ทุกครั้งที่มาธุระที่อู่คุณทัศนัยก็มองตรงไปที่มิ่งเสมอ
“ก่อนหน้านั้นก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่มาพักหลัง ๆ ไม่รู้โกรธอะไรผมหรือเปล่า ดูเหมือนเขาไม่ค่อยอยากเจอผมเท่าไหร่ มากี่ครั้งก็หลบหน้าตลอด”
บารมีเข้าใจดีว่าทำไมมิ่งถึงเอาแต่คอยหลบหน้าทุกครั้งที่เห็นว่าคุณทัศนัยแวะมาที่อู่
“มันก็เป็นแบบนั้นแหละครับ อย่าไปถือสามันเลย”
คุณทัศนัยพยักหน้าตามและมองคนที่ทั้งตัวทั้งหน้ามอมแมมไปหมดแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
“เดี๋ยวสัปดาห์หน้าผมจะส่งรถเข้ามาสองคันนะครับ ยังไงก็ฝากด้วย”
หลังจากที่คุยเรื่องงานและเรื่องทั่วไปจบแล้ว คุณทัศนัยก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากออฟฟิศและก็ทันได้เห็นว่าช่างมิ่งที่กำลังซ่อมรถอยู่มองมาเหมือนกันและแค่เพียงสบตามิ่งก็หลบตาและเดินหนีทันที
คุณทัศนัยได้แต่ยิ้มคนเดียวเงียบ ๆ เดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่และขับออกจากอู่
“หลบอะไรขนาดนั้นวะ เห็นว่าเขามาชอบเข้าหน่อยทำเป็นหยิ่งเลยนะมึง เขาไม่แดกหัวมึงหรอก กูไม่เคยเห็นเขามายุ่งวุ่นวายกับมึงเลย จะมองมึงแต่ละทีก็ยังต้องแอบมอง มึงนี่เล่นตัวชิบหาย”
โดนเต๋อพูดแบบนี้ใส่อีกแล้ว มิ่งไม่ตอบแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไปเงียบ ๆ เรื่องที่ได้ยินมาจะจริงหรือไม่จริงก็ช่างเถอะเพราะไม่เคยคิดอะไรมากกว่านั้น คนรวย ๆ มีฐานะอย่างคุณทัศนัย คงไม่คิดอะไรแบบที่เต๋อพูดจริง ๆ หรอก
มิ่งเลิกคิดเรื่องรักใคร่กับใครมานานมากแล้ว เพราะคนที่เคยรักกันและจะใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอดก็ยังหักหลังกันได้ เลยไม่คิดจะเปิดใจให้ใครอีกแล้ว
“คุณทัศนี่ท่าทางเขาจะชอบมึงมากจริง ๆ นะมิ่ง”
“กูจะโกรธจริง ๆ แล้วนะไอ้เต๋อ ถ้ามึงยังล้อกูอีก”
มองหลานเจ้าของอู่และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แทนที่คนอย่างไอ้เต๋อจะสำนึกมันกลับหัวเราะและเห็นเป็นเรื่องตลกสนุกสนาน
“ฮิ้ววว โกรธ ทำเป็นโกรธ”
เต๋อหัวเราะอย่างมีความสุขเพราะสนุกมากที่ได้แกล้งช่างในอู่ที่อายุห่างกันไม่กี่ปีได้
“ฮิ้ว ทำเหี้ยอะไร พ่อมึงมาตามแล้วนั่น”
นั่นไม่ใช่พ่อ นั่นมัน...
เต๋อหันไปมองช่างวินัยที่เดินหน้ายุ่งเข้ามาและเมื่อช่างวินัยเจอหน้าเต๋อก็บ่นไม่หยุด
“ทำไมหนีกลับก่อน ถ้าไม่ถามเพื่อนเอ็ง ข้าก็ไม่รู้ว่าเอ็งหนีขึ้นรถสองแถวกลับมาแล้ว ก็เป็นซะแบบนี้ มีอะไรก็ไม่บอก ทำไมทำตัวน่าปวดหัวจริงวะ”
จากที่หัวเราะด้วยความสนุกสนานตอนนี้เต๋อนิ่งเงียบลงทันทีและกำลังจะลุกขึ้นเดินหนีช่างนัยที่มาตาม
“เรื่องของตัวเองยังเอาไม่รอด ขยันเสือกเรื่องของคนอื่นดีจริง ๆ”
มิ่งแกล้งพูดให้ได้ยินและเต๋อก็หันมามองและยกนิ้วกลางใส่
“ระวังตัวมึงไว้ให้ดี ๆ เถอะ ระวังคุณทัศเขาจะเข้าหามึงสักวัน”
“เต๋อ...”
ช่างวินัยปรามคนที่พูดจาแปลก ๆ ไม่หยุดด้วยน้ำเสียงดุ ๆ และมิ่งก็ช่วยสนับสนุนด้วยอีกแรง
“ไอ้เต๋อ มึงมันปากเสีย ถ้าคุณทัศได้ยินขึ้นมามันจะซวยไปถึงเฮียด้วย”
โดนต่อว่าทั้งจากช่างวินัยและช่างมิ่ง และเต๋อก็มองหน้าช่างวินัยและแสดงสีหน้าให้รู้ว่าไม่พอใจ
“อะไรก็บ่นอะไรก็ด่า กูเคยมีอะไรดีกับใครเขาบ้างมั้ยวะ แม่งเอ้ย”
“ข้าไปว่าอะไรเอ็งตอนไหนอีกวะ ไอ้เต๋อ”
ช่างวินัยยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความกลุ้มใจและเต๋อก็ยังต่อว่าช่างวินัยไม่หยุด
“ว่าอยู่นั่นแหละ อะไรก็ว่า ๆ ๆ ผมเกลียดช่างนัยโว้ย”
เดาได้ไม่ยากที่เป็นแบบนี้เพราะถูกขัดใจ เต๋อลุกขึ้นเดินหนีไปแล้วและช่างวินัยก็ได้แต่ส่ายหน้าและลุกขึ้นเดินตาม มิ่งไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะไปง้อกันยังไงเพราะไม่ได้สนใจอีก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาคนที่บ้าน
“แม่เหรอ ผมโอนเงินค่านมเข้าไปแล้วนะ ส่วนค่าเทอมขอผลัดเขาไปก่อน เดี๋ยวสิ้นเดือนผมจะหาเพิ่มให้”
พูดคุยและถามทุกข์สุขของคนที่บ้านเหมือนทุกวันและหลังจากวางสายมิ่งก็เปิดรูปลูกสาวในโทรศัพท์ขึ้นมานั่งดู
ปีนี้ลูกขึ้นป.1 แล้ว คงต้องขยันทำงานหาเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ชีวิตคนทำงานหาเช้ากินค่ำก็แบบนี้ หวังให้ลูกมีอนาคตดี ๆ มีโอกาสมากกว่าตัวเอง มิ่งกำลังคิดถึงเรื่องในอนาคตและนึกถึงเรื่อราวเก่า ๆ ในชีวิตที่ผ่านไปนานแล้ว นานเท่ากับอายุลูก และเป็นช่วงเวลายาวนานที่ต้องทำใจยอมรับความเป็นจริง ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนที่บอกว่ารักกันมากมายแต่สุดท้ายก็ทำร้ายจิตใจกันได้ลงคอ
“ช่างมิ่ง”
ได้ยินเสียงเรียกและมิ่งก็หันไปมองคนที่เรียก และเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที
“ฝากซองให้เฮียบัสหน่อย ตอนออกไปก็ลืมให้ เข้ามาอีกทีเห็นออฟฟิศปิดคงออกไปข้างนอก พอดีสวนกัน ยังไงรบกวนหน่อยนะ”
แค่ส่งซองเอกสารให้ใช่มั้ย ถ้าแค่นี้ไม่มีปัญหา
“ได้ครับ”
ตอบรับสิ่งที่คุณทัศนัยบอกและทั้งมิ่งและคุณทัศนัยก็ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัดด้วยกัน
“ผมฝากด้วยนะ ห้ามลืมล่ะ”
คงเป็นเพราะความไม่สนิทถึงทำให้อึดอัดใจจนพูดอะไรไม่ออก คุณทัศนัยเดินจากไปแล้วและมิ่งก็มองตามและถอนใจยาว นึกถึงสิ่งที่เต๋อเคยพูดเอาไว้แล้วก็ทำให้ไม่สบายใจ
“มึงไปอ่อยอะไรคุณทัศเขาไว้ล่ะ เขาถึงมาชอบมึงได้”
“ไอ้ห่าเต๋อ ปากเสีย”
ที่เข้าหน้าอีกฝ่ายไม่ติดเพราะคำพูดบ้า ๆ ของไอ้เต๋อแท้ ๆ ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะเต๋อพูดจาแปลก ๆ ใส่อยู่ตลอด พักหลังไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่เจอหน้าคุณทัศนัยถึงต้องหลบหน้า ไม่กล้ามองหน้าไม่กล้าพูดคุยด้วยอีกเลย
“สิ้นเดือน ต้องจ่ายค่าเทอม สิ้นเดือนนี้ต้องจ่ายค่าเทอม ห้ามลืม สิ้นเดือนต้องจ่ายค่าเทอม”
บอกตัวเองให้คิดถึงเรื่องที่ควรคิด และเลิกสนใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว จะมีเรื่องอะไรที่คนหาเช้ากินค่ำสมควรคิดมากไปกว่าเรื่องที่ต้องพยายามทำงานให้ได้เงินเยอะ ๆ เพื่อให้คนที่บ้านไม่ต้องอดอยากและมีกินมีใช้
TBC.