(Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END  (อ่าน 20609 ครั้ง)

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
โผล่มาซะที

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
รีบปรับความเข้าใจกันแล้วพาน้องกลับไปดูแลได้แล้วนะพี่สน

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
34

- - - - - -

คุณไพร์มหายไปเลย…

(._.)

- - - - - -


 

เขาพูดบ้าอะไรออกมา

ถามจริงๆว่าพูดบ้าอะไรออกไป!

 

 

สารินมองเขาตาแดงก่ำ มีทั้งความโกรธเคือง ความสับสนอยู่ในนั้น และใช่ สนธยาได้สารภาพเรื่องราวที่เขาเก็บงำเอาไว้และได้แต่สงสัยจนกระทั่งมั่นใจจึงได้พูดออกมา

 

 

“ก่อนที่เราจะ…มีอะไรกัน ถุงยางมันดูจะมีปัญหา”

 

 

“…”

 

 

“ตอนนั้นพี่ก็เลยคิดว่าถ้าสาท้องลูกของพี่ก็คงจะดี”  เขาพูดด้วยความสงบแต่ใจของผู้ฟังนั้นเต็มไปด้วยความสับสน “เราจะได้ไม่เป็นของใคร”

 

 

“พี่สน…”

 

 

“ก็พูดไม่ได้หรอกว่ามันคือความตั้งใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าพี่ก็ขอใช้โอกาสนั้นและถ้าเขาจะมาอยู่กับเรา…”  สนธยาจ้องมองดวงหน้าของคนที่อุ้มท้องลูกของเขาเอาไว้  “พี่ก็จะดีใจมากที่สามีลูกให้พี่”

 

 

“แต่อัลฟ่าจะไม่…กับโอเมก้าที่รับเลี้ยง”

 

 

“ช่างหัวมันสิ”

 

 

“…”

 

 

“เรื่องนี้ใช่ไหมที่ทำให้เรากังวล”  ในที่สุดเขาก็เข้าใจทั้งหมด ถึงสาเหตุที่สารินทำทุกอย่างให้ได้ออกมาจากธัมรงค์รัชต์

 

 

“…”

 

 

“สา…”

 

 

“เราไม่ได้รักกันด้วย”  เหตุผลมันย่อมมากกว่าหนึ่งแน่ๆ  “สายอมไม่ได้ถ้าพี่สนจะมาบอกให้สาไปเอาลูกออก หรือคลอดลูกให้พี่แต่ตัวเองไม่ได้เลี้ยง”

 

 

“แล้วทำไมเราถึงจะไม่ได้เลี้ยง เพราะแค่เราไม่ได้รักกันนะเหรอ”

 

 

“แล้วเราจะบอกลูกว่ายังไง ดูยังไงมันก็ความผิดพลาดอยู่ดี ยังไงก็ขอบคุณที่ห่วงสาแต่สาคิดว่ามันดีกว่าที่ให้สาไปมีลูกให้อัลฟ่าคนอื่น”

 

 

“พูดอะไรออกมาน่ะสาริน”

 

 

“ถ้าสาไม่ท้องลูกพี่สนป่านนี้ก็ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนขนาดนี้ไหม” น้ำตาที่ไหลมันออกมาเพราะความน้อยใจ  “สาเคยจินตนาการมาตลอดว่าวันหนึ่งต้องออกจากบ้านธัมรงค์รัชต์ถ้าตัวเองไปทำหน้าที่โอเมก้าที่ดีเสร็จแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่แม้แต่คำลาก็ไม่ได้พูดสักคำ”

 

 

“…”

 

 

“พี่สนทำอย่างนั้นกับสาทำไม…”  โอเมก้าตัวเล็กตัดพ้อด้วยเสียงสั่นเครือ

 

 

“แล้วคิดว่าพี่ยินดีให้เราไปมีลูกกับอัลฟ่าคนไหนก็ได้นะเหรอ ไม่มีทางหรอกนะ”

 

 

“…”

 

 

“หลายปี พี่ต้องวิ่งเต้นมากมายเพื่อไม่ให้เพย์ตันพาเราไป ทั้งๆที่เราพาสามาเลี้ยงไว้เพื่อวันหนึ่งจะส่งต่อให้เพย์ตัน มันวุ่นวายมาก แต่จะวุ่นวายกว่าถ้าพี่ยอมส่งสาไปดีๆ”  เขาไม่หวังให้สารินเข้าใจ  “พี่ไม่ได้รังเกียจถ้าสาจะเคยท้องให้ใครมาก่อน ขอแค่กลับมาอยู่ด้วยกันก็แค่นั้นเอง”

 

 

“พี่สน”

 

 

“แล้วที่บอกว่าเพราะเราไม่ได้รักกันแล้วจะบอกลูกยังไง”  เขาจะบอกวิธีให้  “สาคิดไปเอง เพราะถ้าไม่รักพี่ไม่ไปเสี่ยงมีลูกกับคนที่ตัวเองไม่ได้มีใจให้หรอก”  และเหมือนกับจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่สาคิดว่ามันไม่เคยมีอยู่จริงมาปรากฏอยู่ในมือ แต่มันกะทันหันเกินไป สาคิดว่าตัวเองรับมันไม่ไหว

 

 

“พี่สน…ระ…เราไม่ควร เราเป็นพี่น้องกันนะ”

 

 

“ใครเป็น คิดไปเอง”  สาถูกพามาเป็นน้อง แต่เขาไม่เคยบอกว่าจะยอมเป็นพี่ชายแบบนั้นเสียหน่อย และอีกอย่างเราเป็นพี่น้องจริงๆที่ไหน  “พี่น้องบ้าอะไรทั้งกอดทั้งจูบจนมีเจ้าตัวเล็กด้วยกันแบบนี้”

 

 

“นี่..”

 

 

“แล้วเราทำแบบนั้นกับพี่ชายตัวเองได้จริงๆเหรอไง”  น่ากังขา สนธยาจับมือเล็กขึ้นมาประทับจุมพิตถามด้วยสายตาที่สารินคิดว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต

 

 

“…”

 

 

“พี่ก็กอดน้องชายตัวเองไม่ได้หรอกนะ”  เขาสารภาพออกมาตรง  “โชคดีที่เกิดมาเป็นลูกคนเดียว” และต่อจากนี้ เขาจะไม่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว

 

 

“แต่…ที่บ้าน”  สารินอ่อนลงให้กันเยอะมาก คิดว่าเป็นเพราะมีใจให้เหมือนกันและนั่นทำให้เขาพอใจที่สุด เด็กคนนี้เอาแต่ตีตัวออกห่าง และเขาก็ไม่ใช่คนช่างเข้าหา จึงได้แต่แอบมองจากด้านหลังมาตลอด วันนี้เขาก้าวเข้ามาใกล้มากกว่าทุกวัน

 

 

“สา…พี่ขอร้อง ถ้าเราจะกลับไปบ้านหลังนั้นไม่ได้”  หรือจริงๆแค่ไม่ยอมลองกลับไป  “ก็อย่าไล่ให้พี่กลับไปคนเดียวเลย”  สารินพาตัวเองออกมาจากโลกของเขานานเกินไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะเกาะโลกของน้องเอาไว้

 

 

แล้วอย่าได้คิดจะผลักไสให้เขากลับไปในโลกที่ตัวเองเคยอยู่อีกต่อไปเลย

 

 

เรื่องที่ได้ฟังมันบ้ามาก สารินไม่แน่ใจว่าตัวเองรับไหวในทันที พอเขาพูดทุกอย่างที่อยากพูดออกมา สิ่งที่ตนทำมีเพียงแค่นั่งเงียบก่อนจะพลิกตัวลงนอนและเอาผ้ามาห่มคลุมปิดหัวตัดการรับรู้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าตนจะเย็นชาไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ แต่เพราะความเขินอายที่เข้าจู่โจมกันเมื่อครู่ ทำให้คุณแม่ที่ใจเต้นแรงต้องรีบหาพื้นที่ว่างให้ตัวเองได้หายใจ

 

 

และก็จบด้วยการนอนสูดกลิ่นเสื้อ กลิ่นหมอน กลิ่นผ้าปูที่นอนแบบนี้

 

 

“มันเป็นอย่างนี้เอง”  สนธยาพูดกับตัวเอง เขาเพิ่งเคยเห็นรังโอเมก้า และเพิ่งเคยเห็นโอเมก้าที่รักกำลังทำรัง

 

 

เขารู้ว่าทุกอย่างมันกะทันหัน และเรื่องที่พูดไปก็ไม่เคยมีใครได้รู้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะให้เวลากับน้องให้ได้ใคร่ครวญทุกอย่าง ในส่วนของเขาที่ได้รับโอกาสขนาดนี้ ก็เลือกที่จะเดินออกจากห้องไป โดยไม่มีแม้แต่คำอธิบาย

 

 

ปัง…

 

 

เสียงประตูที่ปิดลงทำให้สารินบอกไม่ถูกว่าสบายใจที่ได้ความเป็นส่วนตัวกลับคืนหรือไม่สบายใจกับท่าทีที่ดูเข้าใจผิดของเขากันแน่ อันที่จริงสาไม่ได้รังเกียจเขาเลย ตรงกันข้าม ที่ปล่อยตัวปล่อยใจก็เพราะแอบชอบพี่ชายคนนี้มานานจนอยู่ในจุดที่ไม่อาจจะอดใจไหวต่อการล่อลวงของกามเทพในวันนั้น

 

 

นี่เขาก็รักเราเหมือนกันเหรอ…ไม่อยากจะเชื่อเลย

 

 

สารินฟุ้งซ่านไปไกล ตอนนี้ผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กในท้องอยู่ในภาวะสับสนจนคิดว่าต้องการใครสักคนมาคอยให้คำแนะนำ เดิมทีคนๆนี้ไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือหรอก แต่เป็นคนๆเดียวที่คิดถึงในยามยากเสมอมา

 

 

“โทรมาทำมายยยยยย”  และเป็นคนที่จะรับสายตลอด หากไม่ติดว่าป่วยเหมือนก่อนหน้านี้

 

 

“เรา…เจอพี่สนแล้ว”

 

 

“….”

 

 

“และเขารู้แล้วว่าเราท้องกับ…เขา”

 

 

“แล้วไอ้บ้านั่นพูดอะไรไม่ดีกับสาหรือเปล่า”

 

 

“ไม่…กะ ก็พูดบ้าง แต่โดยรวมก็”  สาสับสนเกินไป  “เขาบอกรักเรา”

 

 

“เอาจริงดิ สักทีสินะ”

 

 

“หืม?!”

 

 

“นี่ก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยนะสา”  เอาจริงฉันชนกที่สามองว่าไร้เดียงสาบ้าๆบอๆ บางทีก็รู้เรื่องมากมายกว่าที่คิด

 

 

อย่าดูถูกแวมไพร์ที่ไม่เคยรู้ตัวเลยใช้ชีวิตด้วยสัญชาตญาณตัวเองมาตลอดชีวิตอย่างฉันชนกเชียว

 

 

หลังจากนั้นข้อมูลสมมติฐานที่ฉันชนกอ้างว่าได้รับการยืนยันชัดแจ้งแล้วก็ถูกเปิดเผย สารินอ้าปากข้าง ไม่ใช่ว่าตกใจในความใสซื่อของตัวเองที่ถูกเปิดโปงโดยคนอย่างฉันชนก แต่จริงๆคือเรื่องมันไม่ซับซ้อนเลย ทว่าพอมาเกิดกับตัวเองก็โง่ได้เองอย่างนั้น

 

 

“พี่สนนะอ่อยโคตรยากเลยรู้ป่ะ แต่วันหนึ่งเขาก็โทรมาชวนไปกินข้าวที่ห้าง เราก็อ่อยอยู่เลยไปด้วย กินข้าวกันไป เขาก็มองอะไรไม่รู้เราเลยมองตาม เลยเห็นสากำลังถูกผู้ชายฉุด รู้ป่ะตอนนั้นพี่ชายสาแทบจะไปกระทืบมัน”

 

 

แน่นอนว่าไม่รู้

 

 

“เราเลยถือโอกาสสร้างผลงานออกไปจัดการให้ กลับมาเราเลยตีสนิทสา อย่าด่าว่าแรดแต่ตอนนั้นชอบพี่สนจริงๆ ตอนนี้แค่คิดก็ขนลุก”

 

 

“คือฉันจะบอกว่าพี่สนมาแอบดูเรา”

 

 

“คิดเป็นอื่นไม่ได้แล้วจริงๆอ่ะ แล้วก็งี้นะ พอเรารู้ว่าสาเป็นน้องพี่สนก็เลยตีซี้ไง ตอนนั้นก็ดีใจว่าจะได้เข้าใกล้พี่สน ที่ไหนได้ตอนหลังมารู้ว่าสากับพี่สนไม่สนิทกัน อีพี่นั่นมันก็หลอกใช้เราตีซี้กับสา จะได้เนียนเข้าใกล้โดยเอาเราเป็นฉากบังหน้า ลึกซึ้งปะล่ะ”

 

 

“เอ่อ…”

 

 

“แล้วอยู่ดีๆก็เดินหน้าเป็นตูดมาขอคบ อย่าบอกเรานะว่าสาเคยไปพูดกับพี่สนให้มาคบกับเราอ่ะ”

 

 

ใช่…เคยพูด

 

 

“แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนซื้อกันเป็นแพคเกจ ซื้อพี่สนแถมสา ซื้อสาแถมพี่สน ซื้อเราแถมสา เชื่อไหมว่าถ้าไม่มีเราป่านนี้หมอนั่นก็ยังเข้าใกล้สาไม่ได้หรอก”

 

 

อันนี้เริ่มจะเชื่อล่ะ…

 

 

“เนี่ยแหละคือตอนนั้นเราก็สงสัยว่าพี่น้องอะไรทำไมมันดูเว้าวอนแปลกๆแต่ก็พยายามไม่คิดมาก จนพี่สนมาขอเลิกนั่นแหละ พาลไปทั่ว ขอโทษนะสา แต่จะด่าก็ให้ไปด่าไอ้บ้านั่นที่สร้างความร้าวฉาน”  ที่ฉันโกรธจนเกิดเรื่องไม่ยุ่งกันนั้นมีที่มาจริงๆ ตอนแรกสาก็ยังว่าฉันคิดมากเกินไป แต่เอาจริงๆแล้วฉันไม่คิดอะไรไปมากเลย

 

 

สามันคิดน้อยไปเอง…

 

 

“ว่าแต่เจอกันแล้วตกลงกันเรียบร้อยไหม หมอนั่นมาดักเจอเราด้วย แต่เราพยายามแล้วนะ”  ช่างเป็นความพยายามที่สูญเปล่าสิ้นดี

 

 

“ขอบคุณฉันมาก แค่นี้ก่อนนะ”

 

 

“เฮ้ย!เดี๋ยว อย่าเพิ….” และขณะนี้ปลายสาย ได้ตัดสัญญาณไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

 

 

สา…ประมวลผลไม่ทัน….

 

 

“เฮ้อ”  มันไม่ยากเกินไป แต่เกินคาดเกินไป สาถึงได้สับสนแบบนี้

 

 

มือเล็กลูบท้องของตัวเองแผ่วเบา หลังจากฟังสิ่งที่ฉันพูด สารู้สึกได้ว่ามันเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง และตอนนี้หัวใจของตนก็เต้นแรง ทั้งเรื่องคำสารภาพของเขา และความเข้าใจของฉันชนก มีผลกับความรู้สึกของสารินมากมาย ซึ่งมันเปลี่ยนไปมาก จากเมื่อเช้านี้

 

 

ทั้งๆที่คิดมาตลอดว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่แค่กับลูกสองคน ไปๆมาๆก็มีคนเดินมาบอกว่าสาคิดผิด มีอะไรอีกมากมายที่ตนไม่รู้ มันเหมือนแผนการทุกอย่างที่วางไว้กำลังจะพังทลายลงไปเพราะความหวังใหม่ๆที่ใครบางคนหยิบยื่นมาให้ แต่กระนั้นอีกส่วนหนึ่งของจิตใจก็ย้ำเตือนไม่ให้ทิ้งตัวไปทางนั้นเพราะอาจจะพลาดพลั้งไปได้

 

 

“หลับแล้วเหรอ”  เขาเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่รู้เลย?

 

 

สารินหลับตา แสร้งทำเป็นหลับไปตามนั้น เขาค่อยดึงผ้าห่มที่คลุมตัวออกและนั่นทำให้สาไม่พอใจมาก ทว่าตนนั้นแกล้งหลับอยู่ จะให้โวยวายออกไปย่อมทำไม่ได้ สิ่งที่แสดงออกจึงเป็นเพียงคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ทว่าดวงตาทั้งคู่ก็ยังซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาสีอ่อน

 

 

“หวงจริงนะ ขนาดนอนยังทำหน้ายุ่งใส่พี่ขนาดนี้” เขาขำออกมาเบาๆก่อนจะคลี่ผ้าห่มผืนใหม่มาห่มกายให้ เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย ความไม่พอใจทั้งหลายก็ได้อันตรธานหายไป คิ้วที่ขมวดกันแน่นก็คลายออกแทบจะทันที

 

 

ชอบ…จัง

 

 

“อันนี้ห่มมานานแล้วครับ เอาไปซักก่อนนะ”  เขาไปหาผ้าแบบนี้มาจากไหน รู้ไหมว่าสารินหาแทบทั้งบ้าน และพบว่านอกจากที่ตนครอบครองไว้อยู่ก็ไม่มีอันอื่นอีกเลย และนั่นคือเหตุผลที่คนท้องต้องยอมนอนจมในผ้าเน่า

 

 

และในที่สุดคนที่แกล้งหลับ…ก็ได้หลับใหลไปในที่สุด

 

 

ในส่วนของคนที่ถูกโทรมากวนก็ตั้งใจจะคุยให้มากกว่านี้หน่อย กลายเป็นว่าเจ้าตัวดีชิงตัดสายไม่สนใจ โทรไปไม่รับสายอีกให้เคืองเล่น ฉันชนกที่รู้ตื่นเบิกบานนั้นกำลังเซ็งกับสิ่งที่ต้องเผชิญ ถามว่ามันคือปัญหาใหญ่ไหม ไม่หรอก ไม่มีอะไรน่าตกใจเท่าการที่อยู่ๆก็มีคนมาบอกว่าเป็นแวมไพร์

 

 

แต่ว่าคนที่มาบอกกันนั้นได้หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้

 

 

“ไปไหนของเขา”  เอาของกินมาล่อ แล้วอยู่ๆก็หายไปงี้ฉันรับไม่ได้หรอก รับไม่ได้จริงๆ

 

 

“เป็นอะไรของเรานะเจ้าฉัน แล้วนี่จะสายแล้วไม่ไปทำงานหรือไง”  การันต์นั้นเดินออกมาเห็นว่าอีกคนยังคงวุ่นวายกับมือถือ วันนี้กลับไปทำงานวันแรกหลังจากลามานาน คิดว่าจะกระตือรือร้นกว่านี้เสียอีก

 

 

ฉันไม่ได้บอกใคร ว่าตนเองกำลังคิดถึงใครอยู่ ทั้งนี้ครอบครัวของตน ก็ดูไม่ค่อยชื่นชอบในตัวภูวนัยสักเท่าไหร่ เชื่อเถอะว่าคนแบบคุณไพร์มนี่ถ้าไม่ได้ฉันรับเป็นเพื่อนไว้ให้ ใครเขาจะกล้ามาคบคนแบบนั้นกัน!

 

 

และเพราะความที่คุณไพร์มไม่มีเพื่อนหรือเพราะฉันไม่รู้จักเพื่อนของคุณไพร์มนั่นแหละทำให้ตามไม่เจอ ใครไปทำอะไรเขากันหนอ หรือว่าตอนนี้ไม่สบาย ฉันชนกคิดไปมากมาย และวันนี้ก็ว่าจะกลับไปที่ห้องที่คอนโด เผื่อว่าจะตามตัวเจอ

 

 

“เขาไม่ไล่แกออกก็ดีแล้วไอ้ฉัน กลับมาทำงานเหอะ ด้วยความหวังว่าบอสจะให้อภัย”  เพื่อนคนเดิมเพิ่มเติมคือปากหมาไม่เปลี่ยนไปเอ่ยทักทาย ฉันชนกมาทำงานแบบคาบเส้นยาแดงผ่าแปด ฉันลางานไปนานหลายสัปดาห์ และคิดว่าคงถูกเรียกคุยเป็นแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ป๊ะบอกลาออกได้ป๊ะอภัยให้

 

 

จริงๆฉันไม่มีอารมณ์มาวุ่นวายกับใครหรอก การหายไปของคุณไพร์มทำให้ฉันสูญเสียเวลาทั้งวันในอ่านเมล์อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ และในขณะที่บ่ายแก่ๆแบบที่กำลังน่านอนมาก ฉันชนกก็เลือกที่จะพาร่างออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อให้ตัวเองไม่ไหลลงไปนอนใต้โต๊ะ

 

 

และที่นั่นเองตนก็ได้พบกับใครบางคน

 

 

“คุณพลู”  เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่นี่ ไม่แปลกที่จะมาเจอที่ทำงาน แต่มันแปลกเพราะเราไม่ได้เจอกันแค่ที่นี่ที่เดียว

 

 

อย่างน้อยถ้าฉันไม่ฝันไปก็คิดว่าตัวเองคงได้เจอคุณพลูในอีกที่เช่นกัน

 

 

“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”  เอาเป็นว่าถึงเขาจะหน้าหยิ่ง แต่คงเป็นห่วงจริงมั้ง ฉันคิดว่างั้น

 

 

“ว่าแต่คุณพลู…สบายดีใช่ไหม”

 

 

“อืม หนีมาทัน”  จริงๆฉันก็ไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรอก ทว่าตนเองก็มโนฉากบู๊มากมายไปแล้ว ก็เชื่อเหอะคนจับมาเล่นใหญ่ขนาดนั้น คนไปช่วยเล่นน้อยกว่ากัน…มันได้เหรอ?!

 

 

“คุณพลูคงไม่…ทำอะไรแบบนั้นอีกใช่ไหม”  อนึ่งฉันคือเตรียมวิ่งแล้ว คราวนี้พ่อสอนให้ปิดจมูกด้วย

 

 

“ฉันไม่ทำอะไรนายแล้ว อันที่จริงฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันจะ…เป็นอย่างนั้นด้วยซ้ำ”

 

 

“…”

 

 

“เอาเป็นว่าคนที่จ้างฉันให้จับตาดูนายตอนนี้ก็เจ็บหนักแล้ว ฉันคงไม่หาเรื่องทำตัวเองให้เจ็บเหมือนกัน”

 

 

“จับตาดูผม?”

 

 

“ช่างเหอะ เอาเป็นว่าฉันจะไม่ทำงานที่นี่แล้ว นายก็ดูแลตัวเองดีๆละกัน”  และพลูก็ทิ้งฉันชนกให้งงงวยอยู่อย่างนั้น โดยไม่คิดจะอธิบายอะไร อีหยังวะ ตกลงคือจะไม่ให้ฉันรู้อะไรกันเลยหรือไง

 

 

คิดเองก็ได้! มีสมอง คิดเองเป็น!?!

 

 

ฉันชนกกลับมาที่นั่ง จ้องมองคอมพิวเตอร์และเร่งทำงานเพื่อให้ทันเวลาเลิกงาน และเพราะความตั้งใจอันเลิศล้ำจึงทำให้ตนสามารถดีดตัวเองออกจากที่นั่งได้ตอนที่เลิกงานพอดิบพอดี จุดมุ่งหมายต่อไปคือห้องพักที่คอนโด วันก่อนป๊ะส่งคนมาช่วยทำความสะอาดให้แล้ว ฉันมั่นใจว่าไปวันนี้ต้องไม่นอนจมกองฝุ่นตาย

 

 

และเมื่อปิดประตูขังตัวเองในนั้น สมุดวาดรูปคู่ใจก็ถูกหยิบออกมาวาดๆเขียนๆ ใช้เวลาพักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเอง ว่า…คุณพลูคือคนที่ถูกพวกตัวร้ายจ้างมาทำร้ายกัน

 

 

เหมือนเด็กดีใจยามที่ได้ทำความดีเช่นทำการบ้านถูกทุกข้อ ฉันชนกนั้นรีบพาตัวเองออกจากห้องเพื่อไปเคาะเรียกภูวนัยที่ห้อง ทว่าเมื่อประตูได้เปิดออก

 

 

คุณไพร์มกลับไม่ใช่คนที่เปิดออกมา

 

 

“คะ?”

 

 

“คือ…คุณไพร์ม”

 

 

“หมายถึงผู้เช่าคนเก่าหรือเปล่าคะ”

 

 

“…”

 

 

“เผอิญเราเพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวานนี้เองอะค่ะ”  นั่นแปลว่าคนที่เคยอยู่ไม่ได้อยู่อีกต่อไปแล้ว

 

 

คุณไพร์มมันนี่แม่ง! นิสัยแย่จริงๆ!!!!!

 

 

- - - - - -

 

 

ภูวนัยขับรถมาตามทาง ค่ำไหนก็เปิดโรงแรมนอนแถวนั้น

 

 

เป็นชีวิตที่ไม่มีความจริงจัง หลักลอย และไม่ใช่ตัวเขามากที่สุด

 

 

แต่มันคือรูปแบบชีวิตที่เคยคิดว่าสักวันอาจจะต้องลอง หลังจากที่เคลียร์ปัญหากับคนที่ตนเคยทำงานให้ ก็ไปจัดการแจ้งความต้องการให้กับลูกน้องที่ติดตามกันมา แน่นอนเขาไม่คาดหวังเลยว่าจะได้รับบทละครเศร้าซึ้งตอบกลับ แต่กลายเป็นว่าหลายคนรับไม่ได้ที่ต่อไปเจ้านายของตนจะไม่ใช่เขาอีก

 

 

นี่ก็เพิ่งรู้ว่าเป็นคนดีในสายตาคนอื่นอยู่บ้างเหมือนกัน

 

 

เอาเป็นว่าตอนนี้ชีวิตของเขาก็ไม่แย่ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะดี ทุกอย่างที่ต้องทำก็ทำไปหมดแล้ว ทว่ากลับรู้สึกเหมือนไม่พอใจเพราะขาดอะไรไปสักอย่าง และใช่ว่าจะไม่รู้ รู้…แต่ยอมรับไม่ได้เพราะไม่เคยคิดว่ามันจะสำคัญขนาดนี้

 

 

ความคิดถึงมันเกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่จากมา

 

 

หลังจากที่ไปส่งฉันกลับบ้าน เคลียร์ปัญหากับลูกน้อง เขาก็ได้ทราบความจริงเพิ่มขึ้น อันที่จริงแล้วเหตุการณ์การถูกมนุษย์หมาป่าหมายหัวในตอนนั้นที่โรงจอดรถ ไม่ใช่ฉันที่เป็นเป้าหมาย แต่เป็นเขาต่างหาก ทว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันชนกก็มีตัวตนในสายตาศัตรูของเขาขึ้นมาด้วย

 

 

เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งรู้ว่านอกจากจะมีหนอนในกลุ่มเจ้าหน้าที่โครงการของเขา ที่ทำงานของฉันชนกก็ยังมีคนคอยขายข้อมูลส่วนตัวของอีกฝ่ายให้กับพีรวัส คนนั้นๆเป็นมนุษย์ธรรมดาที่คงไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเกี่ยวพันกับพวกมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ อย่างไรก็ตาม…คนๆนั้นคงไม่คิดที่จะมาวุ่นวายกับฉันอีกแล้ว เพราะเขาสั่งคนให้ไปจัดการ และคิดว่ามันเป็นงานสุดท้ายที่ได้สั่งไปในฐานะเจ้านาย

 

 

โดยเต็มไปด้วยความหวังว่าต่อไปเด็กคนนั้นจะปลอดภัย และบางที… เราก็ไม่น่าจะมาพบเจอกันเลยจริงๆ

หมายถึงฉันน่ะ…ไม่น่ามาเจอคนอย่างเขาเลย

 

 

Talk:

ตอนแรกว่าจะมาวันเสาร์แต่เพราะเรามีเรื่องยุ่งๆเลยทำให้มาไม่ได้อะนะคะ จริงๆเมื่อวันศุกร์ก็เพิ่งมีประกาศไปว่าจะไม่ได้ตีพิมพ์กับสนพ.พีชชี่พายแล้ว และทางเราก็มีการพูดคุยกับทางนั้นเรียบร้อย ตอนแรกก็คิดว่าคงปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้และก็จะลงให้จบเหมือนเดิม แต่กลายเป็นว่ามีอีกสนพ.มาติดต่อเรื่องตีพิมพ์นิยายเรื่องนี้แทน อิแม่น้ำตาจะไหล น้องฉันกับน้องสาได้ไปต่อแล้ว  แงงงงงงง

ถ้ายังไงฝากติดตามต่อด้วยนะคะ เราจะตั้งใจ ฮือออออออออ

#คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
35
- - - - - -
อย่าให้เจอนะ จะ…ให้ดู!!!!
(+_+)
- - - - - -


อย่าให้เจอเชียวนะ…


ถ้าเจอล่ะก็…ก็อะไรดีล่ะ?!
คิดไม่ออกอ่ะ เอาเป็นว่าถ้าโทรไปอีกสองรอบแล้วไม่รับ สายตัดล่ะก็ ฉันจะเลิกโทรแล้ว


 แต่เอาเข้าจริงๆพอว่างจะเข้าห้องน้ำกินข้าวหรืออะไรก็ตาม แค่พอนึกขึ้นได้ฉันก็โทรหา จนไม่อยากจะคิดว่าตนได้โทรไปกี่ครั้งแล้ว แต่จะกี่ครั้งก็ช่างเหอะ มีสักครั้งไหมที่พ่อคนนั้นเขาจะรับอ่ะ!!


“ไปอยู่ไหนของเขา”  ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจริงๆหรอกนะ ก็วันนั้นมันดูอันตรายมากๆ แต่ทั้งๆที่ฉันปลอดภัย แล้วคุณไพร์มเป็นอะไรทำไมหายหัวไปเลย


“ไอ้ฉัน เหม่อนานแล้วนะ”  เพื่อนร่วมงานที่เห็นเอาแต่จ้องโทรศัพท์ทั้งวันก็ทัก แต่ฉันนั้นก็ทำแค่ถอนหายใจและวางมือถือตัวเองลง


“ถ้าแกติดต่อใครคนหนึ่งไม่ได้เป็นเวลานาน แกจะทำไง”


“แจ้งความคนหาย”


“เอาจริงดิ”


“ก็ถ้าหาไม่เจอ ติดต่อไม่ได้ เราก็ต้องแจ้งความปะวะ”  ถึงเห็นฉันโง่ๆ แต่ฉันก็ไม่โง่นะเว้ย ต่อให้ห่วงคุณไพร์มแค่ไหน แต่ที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่ทั้งพ่อและแม่เขา แล้วเราจะเอาสิทธิ์อะไรไปแจ้งความให้ตำรวจด่าและไล่กลับบ้านกัน หรือจริงๆแล้วฉันควรไปตามหาพ่อแม่เขาก่อน และพาพวกท่านไปแจ้งความตามหาคนหายจริงๆ


แต่เชื่อเหอะ ไอเดียนี้ใช่ว่าจะดี ก็เผ่าคุณไพร์มนี่นอกจากคุณไพร์ม ฉันก็ไม่รู้ว่าคนอื่นน่าคบหรือเปล่าด้วยซ้ำ อยู่ๆมีแวมไพร์ทะเล่อทะล่าไปถามหาลูกชายบ้านเขาหน้าโง่ๆ ถ้าไม่จับขังก็ต้องถีบออกมาแน่นอน


แล้วฉันต้องทำไงเหรอถึงจะได้เจอ…

- - - - - -

ส่วนสาคือทำตัวไม่ถูกมากๆเมื่อถูกเฝ้าแบบนี้


ความใจดีและความอ่อนโยนเหนือระดับที่ตนไม่เคยได้รับนั้นบุกจู่โจมจนวางตัวไม่ถูก สนธยาทำแม้แต่ช่วยตัดเล็บเท้าให้เพราะกังวลว่าเจ้าตัวจะทำอะไรไม่ถนัด อันที่จริงเจ้าตัวเล็กของเราก็ไม่ได้ตัวใหญ่ทำให้คุณแม่ท้องโย้ขนาดนั้น แต่ก็จริงที่ว่ามีคนทำให้ มันก็ดีกว่า


ว่าแต่ได้แล้วหรือ ที่ยอมรับว่านี่คือลูกของเรา


“เรื่องบริษัทน่ะพี่ให้คนไปจัดการเรื่องลาออกมาสักพักแล้ว เราคงไม่เคืองอะไรใช่ไหม”  เขาถาม ชวนคุยเรื่องนั้นนี้ แน่นอนว่าสาไม่โกรธหรอก ยังไงสารินก็คงกลับไปไม่ได้อยู่แล้ว เราจะเอาตัวเองที่ท้องโตๆไปทำงานได้ยังไง โอเมก้าที่ไหนเขาทำกัน





พอเริ่มเป็นที่สังเกต โอเมก้าส่วนใหญ่ก็เก็บตัวอยู่ในห้องหับกันทั้งนั้น ต่อให้อดอยากปากแห้งแค่ไหน แต่ก็รู้สึกสบายใจกว่าการเป็นตัวประหลาดของสังคม เพราะฉะนั้นหากต้องออกไปเป็นเวลาบ่อยๆนานๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่ทำกันหรอก และต่อให้คลอดแล้ว สารินที่ตอนนั้นคิดจะหนีก็ไม่คิดว่าจะเป็นการดีหากกลับไปทำงานที่เดิมให้คนอื่นตามเจอ


ว่าแต่นี่ไม่คิดจะหนีแล้วใช่ไหม


“คายมา” และเม็ดมังคุดก็ถูกคายออกมาจากปากของสา


เดี๋ยวสิ นี่มันไม่ถูกต้อง!


“พี่สน!” มันจะมากไปแล้วนะสนธยา อยู่ก็เอามือมารองเม็ดมังคุดจากปากคนอื่นได้ไง!


“อะไรเหรอ”


“มัน…สกปรกนะ”  ไม่ต้องเอาใจกันขนาดนั้นก็ได้ สารินทำหน้ายุ่ง แต่ดูเหมือนเขาไม่เห็นด้วย เจ้าตัวพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้คิดเช่นนั้นจริงๆด้วยการโยนเม็ดมังคุดที่สาคายออกมาไปใส่ในปากของตัวเอง


“แล้วไง”


“พี่สน!”  เขาเกินไปมากจริงๆ โดยเฉพาะการดูแลแบบไม่มีขอบเขตนี่!


สนธยาคายเม็ดมังคุดของเหลือจากปากสารินออกมาและทิ้งลงถังขยะ เขายิ้มไม่รู้ว่าเพราะได้เห็นใบหน้าแสนงอนนั่นหรือเปล่า แต่เอาจริงๆตอนเอามือไปรับมาก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดว่าอมเม็ดไว้นานแล้วนะไม่คายมาเสียที จะป้อนลูกใหม่ให้ก็เท่านั้นเอง ก็เห็นว่าชอบนักเลยอยากให้กินให้หนำใจก่อนมันจะหมดฤดู ความหวังดีของเขากลายเป็นม่ายเสียแล้ว


แต่…ก็ไม่ยอมเป็นหม้ายเมียทิ้งลูกหนีหรอกนะ


“กินอีกไหม”


“ไม่แล้วครับ”  เลยไม่ยอมกินอีกเลย ให้ตายเถอะ…


ตอนนี้เราสองคนนั่งรับลมเย็นๆอยู่ที่ห้องรับแขก มันก็เพิ่งเมื่อสองวันก่อนที่สารินได้รู้ว่าเขาก็อยู่ที่นี่ และก็เป็นสองวันที่สนธยาพยายามจะพาตัวเองรุกเข้าไปในความรู้สึก ซึ่งเขาไม่รู้เลยแต่ได้แค่หวังว่าอีกฝ่ายจะมีใจ มันอาจจะเคยมี แต่ตอนนี้เจ้าตัวอาจจะตัดใจจากเขาไปแล้ว


“สาไม่ได้อึดอัดใช่ไหม”


“…”  เขาไม่น่าถาม ย่อมต้องอึดอัดอยู่แล้ว จากพี่น้องที่ไม่สนิท ข้ามผ่านมาเป็นคนที่กำลังเกี้ยวพา มันใช่เรื่องที่จะชินชากันได้ง่ายๆเหรอ เอาอะไรคิดกัน?!


“คงจะชินสักวัน”


“พี่สนคิดเองทั้งนั้น”


“แล้วใจคอเราจะไม่ชินหน่อยเหรอ”


“…”


“โอเค พี่ผิดเอง”  สาขมวดคิ้ว เขาผิดอะไร  “ที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้”  เขาทำอะไร ทำไมถึงผิด ทำไมถึงอ้างว่ามันทำให้เป็นแบบนี้


“พี่สนทำสางง”


“พี่ผิดเองที่เราอยู่ด้วยกันมานานแต่ไม่ได้ทำให้สารู้สึกสบายใจหรือเข้าใจอะไรขึ้นมาเลย”


“จะบอกว่าสาช้า…”


“เปล่า พี่แค่…เคยพยายามปกปิด”


“…”


“ต่อให้พี่อยากจะเปิดเผยแค่ไหน แต่อนาคตมันพูดยากมาก”


“แล้วตอนที่พี่สนเอาแต่ปิดบัง เคยคิดเรื่องอนาคตของตัวเองกับผมบ้างหรือเปล่า”  สารินโพล่งถามอย่างประชดประชันแกมอยากรู้อยากเห็น แต่ถ้าตัวเองรู้อนาคตแม้เพียงเสี้ยววินาที จะรู้ว่าคำถามนี้ไม่ควรเอาออกมาถามเลย


“คิดสิ… และทำไปบ้างแล้วด้วย”


“…”


“สงสัยคงเนียนไปจนเราไม่รู้เรื่อง”


“เห็นฉันบอกว่าพี่สนคบกับฉันเพราะอยาก… เข้าใกล้สา”  สารินอ้อมแอ้มถาม  “อันนี้ฉันไม่ได้มโนเก่งไปเองใช่ไหม”  ขอโทษนะฉัน แต่จริงๆนายเป็นอย่างนั้นบ่อยมาก


“ฉันถูก พี่ทำแบบนั้นจริงๆ”


“…”


“แต่ส่วนหนึ่งเพราะเราเอาแต่เชียร์ให้คบด้วย พี่ก็เลยคิดว่าจะหึงบ้างไหมนะ สรุปว่าไม่เลย แต่ก็ดีเพราะใช้เป็นข้ออ้างพาสาไปเจอฉันได้” ตลกเนอะ ต้องคบกับอีกคนเพื่อนพาอีกคนที่เป็นแค่น้องชายไปไหนมาไหนด้วย ครอบครัวประหลาดแบบนั้นคงไม่เหมาะกับเราจริงๆ


“สาเคย…อยากให้พี่สนเป็นพี่ชายนะ”


“น่าเสียดายที่พี่ไม่เคยอยากได้น้องชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”  แล้วที่ทนเงียบคอยมองคนที่ที่บ้านพามาประเคนให้เป็นน้องชายคนนี้ล่ะ  “แต่เพราะสาคือข้อยกเว้นที่อยากให้มาอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่ในฐานะน้องชาย”  และนี่คือสิ่งที่อยากรู้แต่ไม่อยากถาม


คือสาคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่สนจะบอกว่า…เขาชอบกันตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ


เราจมตัวเองเข้าสู่ความเงียบงัน สานั้นค่อยๆดึงผ้าห่มมากอดและดม กลิ่นพวกนี้ยังคงสร้างความสบายใจ แต่เจ้าตัวจะทำเป็นไม่รู้ตลอดไปเลยใช่ไหม ว่าผ้าพวกนี้คือของใช้ส่วนตัวของใคร


“ชอบผ้านั้นมากนักเหรอ”


“อืม”


“ชอบมากกว่าพี่อีกหรือไง”


“มันไม่เกี่ยวกันนะ”


“พี่จะได้รู้ไงว่าแพ้ผ้าห่มของตัวเอง”


“…”


“แต่จริงๆสาก็แค่ชอบกลิ่นพี่และสัมผัสนุ่มลื่นของมัน หนังสือที่เกี่ยวกับโอเมก้าเขียนอย่างนั้นและพี่ก็พยายามจะเข้าใจมันอยู่”  เขาชูหนังสือที่เขาสั่งให้คนไปเอามาให้ที่บ้าน ทราบว่าเป็นมรดกตกทอดของพ่อ เพราะของพวกนี้หาซื้อทั่วไปได้ที่ไหน


“พี่สนอ่านอะไรน่ะ”


“อ่าน…เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมเมียตัวเอง”


“นี่…”


“เพราะว่าสาติดรังตัวเองมาก พี่ต้องมั่นใจว่ามันจะมีผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาวไหมเลยต้องหาข้อมูลไว้”


“รังเหรอ?”


“อืม…ก็การที่เราเอาเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ของอัลฟ่ามาหนุนนอน”


“…สาไม่เห็นรู้จักเลย”  ในฐานะที่เป็นโอเมก้ามาทั้งชีวิต สารินไม่เคยพบเจอหรือได้ยินอาการแบบนั้นเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าตนนั้นเข้าข่าย


“จะรู้จักได้ไง โอเมก้าเดี๋ยวนี้นอกจากไม่ฮีทแล้วยังไม่ทำรังกันด้วย”  โดยเฉพาะโอเมก้าที่สาเคยพบเจอมา บางคนนั้นเหม็นหน้าอัลฟ่าพ่อพันธุ์ที่ตนเคยมีสัมพันธ์ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอาของใช้เขามาดมแบบที่สาทำทุกวันนี้


และนั่นหมายความว่าสารินจะทำรังกับสิ่งของของคนที่ตนรักงั้นเหรอ?!


“…”


“เขาว่ากลิ่นของอัลฟ่าที่โอเมก้าเลือกมาใช้ทำรังน่ะ ต้องเป็นอัลฟ่าที่ก่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ”


“งั้นเหรอครับ”


“หรือเกิดจิตปฏิพัทธ์รักใคร่”  สนธยาแค่เพียงอ่านข้อความในหนังสือไป ทว่าเขาลอบยิ้มมุมปากเมื่อแอบเห็นว่าคนฟังใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ  “อย่างนี้เราจะแค่ไว้ใจหรือแอบรักพี่เหมือนกันถึงได้เอาข้าวของพี่มาดมตั้งแต่วันที่เรายังไม่ได้เจอกัน”


“สาจะไปรู้เหรอ หนังสือมันอาจจะมั่วก็ได้ ทำรังอะไรกัน ไม่มีหรอก”


“แล้วที่ตื่นมาบนกองผ้า พอคนจะเอาไปซักก็นั่งร้องไห้นี่คืออะไรเหรอ”


“…”


“จะไม่ยอมรับกับพี่ก็ได้นะ”  เขาไม่บีบคั้นต่อ  “แต่ช่วยยอมรับกับตัวเองบ้างสักนิดได้ไหม”  แต่ก็เว้าวอนขอความเห็นใจ แม้เป็นส่วนเล็กๆน้อยๆก็ตาม


เพราะวันหนึ่งมันอาจจะค่อยๆขยายและแบ่งผลประโยชน์ตรงนั้นมาให้คนที่รอ


ในขณะที่รู้สึกลำบากใจ แต่ก็รู้สึกดีใจและอุ่นใจยามที่มีใครสักคนอยู่ไม่ไกล ทว่าที่ติดขัดคงจะเป็นลำดับขั้นของการสานสัมพันธ์ระหว่างตนกับอีกคนเท่านั้น จากคนไม่รู้จัก กลายมาเป็นพี่น้องที่ไม่สนิท พอเริ่มจะพูดคุยกันมากขึ้น ก็กลายมาเป็นคนที่มีอะไรกันจนมีลูกออกมา วันหนึ่งเขามาบอกว่าคิดแบบนั้นต่อกันนานแล้ว สารินก็เลยจะไม่ชินอยู่หน่อย


และเมื่อขจัดความรู้สึกต่อต้านออกไป ก็ยอมรับว่ารู้สึกดีกับการได้อยู่ใกล้ไม่น้อย


ตนมีใจให้สนธยาตั้งเท่าไหร่ ทำไมจะไม่รู้ตัว ที่ผ่านมานั้นที่ไม่ยอมเข้าใกล้เพราะกลัวหัวใจจะต้องเจ็บช้ำเพราะเรารักกันไม่ได้ วันนี้ที่ความรักสมหวังก็ใช่ว่าจะมีความสุขนัก เพราะหลายๆอย่างรอบกายอาจจะยังไม่ยอมรับกันอยู่ ถ้าเราเป็นแค่คนรักกันทั่วไปก็คงจะดี จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเรื่องความเหมาะสมบ้าๆนั่น


“พี่จะกลับไปกรุงเทพแล้วจะรีบมา สามีอะไรที่อยากให้ซื้อมาให้ไหม”


“พี่สนไปทำอะไรเหรอครับ”


“ธุระนิดหน่อยน่ะ”  เขายิ้มให้ แต่การที่เขาไม่ระบุว่ามันคือธุระอะไร สารินก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขานั้นปิดบัง


แต่จะไปกดดันให้เขาพูดมาทั้งหมดมันก็ไม่แฟร์ สนธยาเปิดเผยตัวตนที่ปิดมานานให้กันตั้งเท่าไหร่ แต่สารินคนนี้กลับยังไม่เคยเปิดเผยความนัยอะไรกลับไปทั้งๆที่รู้ดีว่าถ้าเขาไม่มั่นใจในความรู้สึกกันละก็ สนธยาคงไม่ดื้อแพ่งถึงเพียงนี้ ใช่…เขาอาจจะรู้แต่ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าสารู้สึกต่อเขาเช่นไร และสาเองก็ไม่ได้มีกำหนดจะบอกไปถึงความรู้สึกที่มี


เขากลับมาหากันในคืนนั้น เรานอนอยู่ห้องเดียวกันแต่เขาไม่ได้ขึ้นมานอนบนรังของตนเพราะคิดว่าสาจะหวง บนฟูกนอนที่จัดได้ว่านิ่มเหมือนกันจะมีร่างสูงของเขานอนหลับใหลอยู่อย่างนั้น สารินจ้องมองกันด้วยความรู้สึกมากมาย


หลังจากคืนนั้น เขาก็ไปๆมาๆอย่างนี้ในวันเดียวกันจนสารู้สึกไม่สบายใจ


เขาดูเหนื่อย สภาพดูโทรมอย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็ยังโทษตัวเองที่ไม่สามารถทำเวลามาดูแลกันได้มากกว่านี้ ทั้งๆที่สารินซึ่งอยู่เฉยๆไม่ได้ลำบากอะไร เพราะสถานการณ์มันดูลำบากกับทุกฝ่าย สาก็ดันเผลอคิดถึงวิธีแก้ปัญหานี้ขึ้นมา


ซึ่งมันอาจจะขัดแย้งกับความต้องการแรกเริ่ม


“พี่จะรีบกลับมา”  หรือว่าจะง่ายกว่าหากสายอมไปกับพี่สน แต่จะไปในฐานะอะไรในเมื่อตนพยายามหนีเขามาขนาดนี้ ตอนนี้เพราะรู้ว่าหนีไม่ได้เลยไม่ไปไหน แต่ทำไปทำมากลับรู้สึกยึดติดกับตัวเขานัก


ทั้งกลิ่นกาย ไออุ่น รอยยิ้ม วันไหนที่ไม่ได้อยู่เคียงใกล้ ก็ถึงกลับรู้สึกกระวนกระวายแบบไม่เคยเป็น


“พี่ก็ไม่รู้ค่ะ แต่คิดว่าเป็นเพราะน้องสารู้สึกดีกับคุณเขามั้งคะ”  พี่แจงตอบกันเช่นนั้นเมื่อถาม ช่วงนี้พี่สนไม่ค่อยอยู่ที่นี่เลยทำให้สาต้องมาใช้เวลาอยู่กับผู้ดูแลเสียเป็นส่วนมาก


“รู้สึกดีเหรอครับ”


“ใช่ค่ะ เหมือนเวลาที่เรารู้สึกดีกับใครก็จะคิดถึงคนนั้น อยากอยู่ด้วย…”


“มันไม่เหมือนกับการทำรังใช่ไหม”


“บางคนก็บอกค่ะว่าโอเมก้าจะติดอัลฟ่าที่เป็นพ่อของลูก แต่น้องสาก็รู้ว่าโอเมก้าเราไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะ…ได้สานสัมพันธ์แบบนั้นใช่ไหมคะ”


“…”


“แต่พี่ว่าไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ถ้าเรารู้สึกดีกับใครสักคน เราอาจจะมีความต้องการบางอย่างที่อยู่เหนือเหตุผลทั้งหมด แต่พี่ว่านั่นแหละค่ะคือสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”  สารินก็ต้องกลับมาคิดดีๆว่ามันใช่หรือไม่


แต่ทำไมหัวใจถึงบอกว่าใช่…ไปเสียแล้วล่ะ


ในขณะที่นอนหลับ สนธยาก็ยังขมวดคิ้ว เขาหลับลึกเสียจนไม่รับรู้สิ่งใด แม้การที่ถูกจ้องมองลงมาจากบนเตียงนั้นจะทำอย่างจงใจ แต่คนที่หลับใหลก็ไม่รู้สิ่งใดแล้วทั้งๆที่ปกติเขามีสัญชาตญาณที่ดี


เหนื่อยมากไหม…สาอยากจะถามออกไปอย่างนี้ ทว่ากลับได้แต่เก็บงำทั้งคำพูดและความรู้สึกเอาไว้


“ทำไมต้องทำให้กันขนาดนี้ด้วยนะ”  เพื่อทดแทนสิ่งที่เขาไม่ได้ทำลงไป เพื่อทำให้ไม่ต้องรู้สึกผิดอีก เพื่อทำให้เขาสบายใจ ไม่ว่าจะเพื่ออะไร สนธยามักจะตอกย้ำเสมอว่าทั้งหมดมันมาจากความรัก


ความรักที่อยู่เกินเอื้อมถึงเสมอ วันนี้มันไม่ไกลเลยหากจะเอื้อมแขนออกไป สารินค้นพบว่าระยะจากบนเตียงจนถึงฟูกนั้นไม่ไกลเกินที่จะเอื้อมมือไปหา เราไม่เคยใกล้ชิดทั้งกายและใจได้ถึงขนาดนี้เลย มันคงจะไม่ใช่ฝันไปจริงๆใช่ไหม เพราะถ้าวันหนึ่งตื่นจากฝันและรับรู้ว่าความจริงคืออะไร สาคงไม่สามารถกลับไปอยู่ในจุดที่จากมาเพื่อที่จะไม่มีโอกาสได้พบเจอตลอดไปได้


ด้วยความต้องการเบื้องลึกหรือเพราะชะล่าใจคิดว่าเขาคงหลับลึกแน่นอน คนตัวเล็กจึงค่อยๆคลานลงไปหาและซุกตัวนอนตะแคงหันไปข้างๆ แสงไฟจากโคมไฟนั้นมากพอที่จะทำให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา ขอแค่อยู่ตรงนี้พักเดียวเท่านั้น พักเดียวจริงๆ ในอ้อมแขนตรงนี้เหมือนดั่งความฝัน และสารินก็ตระหนักเสมอว่านี่…


อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ตรงนี้


ทว่าคำว่าพักเดียวแต่ขอต่อเวลาไปเรื่อยๆ ในที่สุดสติของตนก็วูบหายไป สนธยารับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ เขารู้แต่แสร้งหลับลึกเพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเองและอีกฝ่ายได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ในขณะที่สารินกังวลว่าเขาจะเหนื่อยกับการทำนั่นนี่ให้มากมาย เจ้าตัวรู้หรือไม่ว่าเขาเองก็กังวลในเรื่องของอีกฝ่ายเหมือนกัน


จะคิดอะไรเยอะแยะนะเจ้าตัวเล็ก แค่ยอมรับว่ารู้สึกดีๆเหมือนกันมาเลยไม่ได้เหรอ แต่เขาเข้าใจว่าเรื่องความรู้สึกกับการแสดงออกมันซับซ้อน เพราะกับตัวเองที่รู้สึกแปลกๆตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน ก็ใช้เวลานานเกือบสิบปีที่จะยอมรับว่านอกจากจะไม่ได้อยากให้สาเป็นน้องแล้ว ยังต้องการให้อีกคนได้ตำแหน่งสำคัญกว่านั้นไปครอบครองด้วย


แต่นี่เราอยู่ในสถานการณ์ที่แข่งกับเวลาไม่น้อย เจ้าตัวเล็กจะออกมาดูโลกข้างนอกแล้ว ทว่าคุณแม่ยังไม่ยอมรับในตัวคุณพ่อเลย ไม่ใช่พอคลอดออกมาสารินจะผลักไสเขาออกไปจากชีวิตอีกครั้งหรอกนะ สนธยาตั้งคำถามนั้นขึ้นมาโดยไม่ได้ถามออกไป และจนกระทั่งเข้าสู่นิทราหลับใหล…


ก็ไม่ได้คำตอบออกมาแต่อย่างใดเช่นกัน


เปลือกตาสีอ่อนของสารินกะพริบช้าๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองวูบหลับไปตอนไหนทว่ามันคงผ่านไปสักระยะแล้วเพราะแสงจากภายนอกสอดส่องเข้ามาในตอนนี้ เช้าแล้ว…สารินตระหนักได้ในความไร้แบบแผนของตน ทั้งๆที่ตั้งใจจะอยู่ไม่นานแต่กลายเป็นว่าดันเผลอหลับซุกอกเขาไปเสียดาย จะลุกตอนนี้มันจะทันไหมนะ


“ตื่นแล้วเหรอ”  ไม่ทันแล้ว เพราะเจ้าของอกแกร่งนี้ได้ทักทายกันแทบจะทันทีที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวข้างกาย


“กี่โมงแล้ว พี่สนต้องกลับกรุงเทพหรือเปล่า”  สาถาม หลีกเลี่ยงที่จะแก้ตัวหรือแถลงไขว่าทำไมตนถึงมานอนอยู่ตรงนี้ คนตัวเล็กขยับตัวจะลุกขึ้น ทว่าแขนแกร่งของเขาก็เคลื่อนมาพาดทับตัวเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน จริงๆตอนนี้ต้องเตรียมตัวเดินทางแล้วล่ะแต่ว่า…โอกาสแบบนี้ใช้เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอซื้อหรอก อยากได้ต้องไขว่คว้า!


“ไม่อยากไปไหนเลย”  เขาเริ่มงอแง


“ไม่ใช่ว่ามีนัดเหรอครับ”  สาดิ้นเล็กน้อยให้เขาพอรู้ว่าไม่ยินยอมอยู่ในอ้อมกอด แต่สนธยาใช้สิทธิ์เช้าเกินไปหัวเลยช้า เขาเพิกเฉยต่อการประท้วงนั้น


“มี แต่อยากอยู่แบบนี้สักพัก”


“พี่สน…” และเขาก็ทำตามที่พูดด้วยการจะอยู่ไปอีกสักพัก  “พี่สนยุ่งขนาดนี้กลับมาทำไมครับ”


“เพราะสาอยู่ที่นี่ไง”


“สาไม่หนีไปไหนแล้ว พี่สนไปอยู่กรุงเทพทำธุระให้เรียบร้อยเถอะนะ อย่างนี้มัน…เหนื่อยๆเปล่า” เอาจริงตอนนี้สารินที่ถูกดูแลอย่างดีมาหลายเดือนได้กลายเป็นโอเมก้าขี้เกียจไปแล้ว ยิ่งมีอัลฟ่าที่ตนปลาบปลื้มมากๆมาบอกความในใจเช่นนั้น สาไม่คิดจริงๆว่าตนจะมีแรงขัดขืนหนีไปไหนในเร็วนี้ๆ


“ประเด็นคือมันไม่ได้อยู่ที่เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย หรือสาจะหนีหรือไม่หรอกนะ”  เขาค่อยๆอธิบาย  “มันอยู่ที่พี่อยากเจอทุกวัน”


“…”


“เพราะงั้นไม่ต้องคิดอะไรมากและรอ…พี่จะดีใจถ้าสารอให้กลับมาหา”


“หรือว่าให้สาไปอยู่กรุงเทพด้วยไหม”


“หืม”


“คือสาอาจจะหาที่อยู่ในกรุงเทพได้ ไปพักกับ…ฉันก็ได้”


“แล้วพี่จะไปหาเราที่บ้านฉัน แล้วตัดเล็บ ปอกมังคุด หรือกอดแบบนี้ได้ไหม”  แน่นอนว่าไม่ได้ เดี๋ยวฉันแซว!


“ฮื้ออออ แต่นั่นมันดีที่สุดแล้ว”  เขายิ้ม ทั้งๆที่สาอยากจะขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเขาจะแย่ แต่ก็เป็นสนธยานี่แหละที่ยื่นหน้าเขาไปกดจูบที่ขมับ


“พี่ทำได้ดีกว่านั้นอีก”  เขาบอก “ถ้าสาไม่อยากกลับไปที่ธัมรงค์รัชต์ พี่หาบ้านหรือคอนโดให้อยู่ดีไหม”  อันที่จริงเขาคิดมาสักพักว่านี่มันอาจจะดีกว่า


เขาเองก็อยากให้สากลับไปเจอพ่อกับแม่ที่บ้าน แต่เพราะน้องไม่สบายใจและเราไม่ควรทำให้คนท้องเครียดจนเกินไป  แต่เรามารบกวนสถานที่ของไพร์มนานแล้ว แม้หมอนั่นจะหายหัวติดต่อไม่ได้ แต่เขาก็เกรงใจเลยอยากจะพาย้ายไปที่อื่น ประจวบกับการแพทย์ที่นี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมนี่เป็นเคสของโอเมก้า จึงอยากให้ถึงมือของคนที่ไว้ใจได้มากกว่า


กรุงเทพดูเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่เขาแค่ยังไม่รู้วิธีการว่าควรจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายตายใจและยอมไปด้วยกัน เมื่อพอเราคุยกันมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มสบายใจขึ้น แต่สายังคงเงียบงันคิดหนักอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นไปได้เหรอที่เราจะอยู่ด้วยกันไม่ไกลจากธัมรงค์รัชต์โดยปราศจากความกังวลใจ


“พี่อยากชวนสาไปอยู่ที่นั่นมาสักพักแล้ว อันที่จริงพี่ซื้อเตรียมไว้มาสามปีแล้วล่ะ คิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับครอบครัว”  ไม่ใช่ว่าเมื่อสามปีก่อนไปซื้อไว้เพื่อการนี้เลยหรือ ใบหน้าคนฟังที่เผลอคิดไปไกลนั้นแดงระเรื่อ “ไปอยู่ด้วยกันนะครับ”


แล้วถามมาแบบนี้ จะไปตอบอะไรได้…


“อื้อ”  แค่ไม่นานนะ…


จะอยู่ด้วยแค่ไม่นานจริงๆ


- - - - - -


“เขาตามหาคุณไพร์มอยู่”  เขารับโทรศัพท์รายงาน ยังมีลูกน้องบางคนที่ไม่ว่าจะพูดว่าไม่จำเป็นต้องติดตาม ทว่าก็ยังยินดีที่จะคอยบอกกล่าวเรื่องที่ได้ยินมา


“บอกไปว่าไม่สะดวกพบใครก็พอ”  ใช่ เพราะในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่สะดวกพบใครนัก ไพร์มนั้นยังคงไปที่ต่างๆด้วยเคยวางแผนไว้นานแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆเขากลับไปโดยไร้ซึ่งความตื่นเต้นใดๆ การอยู่คนเดียวไม่เคยเป็นปัญหา ทั้งๆที่เคยมีความเหงาเป็นเพื่อนจนชาชิน ทว่ากลับไม่รู้สึกพอใจที่ต้องอยู่คนเดียวยามมาท่องเที่ยวแบบนี้


หรืออันที่จริงเขาแค่ไม่เคยรู้ว่าการท่องเที่ยวเป็นยังไงเลยทำอะไรไม่ถูก


อีกสักพักเขาคงต้องไปตั้งหลักปักฐานสักที่ และในตอนนี้ก็เริ่มมีเล็งๆไว้แล้วว่าจะทำที่ไหน จริงๆมันเป็นที่ไหนก็ได้ แต่สมองสั่งการให้ไปให้ไกลจากกรุงเทพ เพราะต่อให้ที่นั่นจะเป็นเมืองใหญ่แค่ไหน เขาก็กลัวความบังเอิญจะนำพาไปพบกับฉันชนกอยู่ดี ทว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้ามันจะเจอก็ต้องเจอ ไพร์มไม่ได้หนีหายไปเสียทีเดียว เขาแค่ไปทำในสิ่งที่ต้องทำ


แล้วทำไมต้องหนีจากเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง? อ๋อ…เพราะคนๆนั้นคือชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้ไพร์มรู้สึกล้มเหลวในตัวเองอย่างรุนแรงขนาดนี้ นี่กำลังโทษฉันว่าเป็นต้นเหตุอยู่เหรอ? ก็ไม่ใช่หรอก…ฉันไม่ใช่ต้นเหตุของความบ้าบอพวกนี้สักนิด


มันผิดที่เขาห้ามใจไม่ให้ตกหลุมรักไม่ได้ต่างหาก


Talk:
ช่วงที่ผ่านมาเราไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดเลยทำให้ไม่ได้แตะคอมเข้ามาลงนิยายหรือแต่งนิยายอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วจะพยายามมาบ่อยๆนะคะ #คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
36
- - - - - -
ก็รู้แหละว่าเขานิสัยไม่ดี
แต่ก็ใช่ว่าพี่สนจะนิสัยดีมากสักกะหน่อย!
(+_+)
- - - - - -


นี่คือบ้านที่เขาพูดถึงใช่ไหม
นี่ตั้งใจจะสร้างครอบครัวใหญ่แค่ไหนกัน!?


“หรือว่าเราอยากไปอยู่คอนโดมากกว่า”


“สาแค่คิดว่ามันทำความสะอาดลำบาก”


“แล้วใครจะให้เราทำกัน”


“พี่สน…บ้านนี้มีตั้งสี่ห้องนอน”


“พี่คิดเผื่อไว้ว่าอาจจะมีลูกสองคน”  สองคนในที่นี้คือไม่ใช่สาใช่ไหมที่ท้อง  “ถ้าไม่ใช่เรามีให้พี่แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ”  เขาได้พูดดักคอไว้หมดแล้ว หมดสิทธิ์คิดเป็นอื่นไปเลย


“ใครจะไปมีลูกให้”


“ก็มีแล้วหนึ่งไม่ใช่เหรอ หรือว่าเจ้าตัวเล็กของพ่อนี่ท้องแฝด”


“พี่สน!” บ้าบอกันไปหมด นี่สายังไม่เคยยอมรับเรื่องลูกหรือยอมรับในตัวเขาสักนิดเดียว


“มาอยู่ที่นี่อาจจะเหงาหน่อย พี่จะให้คนมาดูแลแต่ถ้าสาเหงาอยากให้ฉันมาอยู่คุยด้วยก็ได้”


“ขอบคุณครับ”


“แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาขนาดนั้นเพราะพี่จะกลับมาหาเราทุกวันเหมือนเดิม”  มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถาม


แต่ไม่ได้พูดออกไป…


ที่เขาวุ่นๆคงเพราะเรื่องงานและเรื่องที่บ้าน การที่สารินมาอยู่ที่นี่ด้วยเพราะรู้สึกอุ่นใจมากกว่า แต่ตนคิดผิด หากไม่ถาม คนแบบสนธยาคงไม่ตอบอะไรเพราะเขาไม่ใช่พวกที่จะมาพูดอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ สารู้ว่าคุณแพรวรรณจะไม่เป็นไรเพราะถ้าหากอาการหนักเขาคงบอกกันมาแล้ว แต่จะอย่างไร…ก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดี


“ฮัลโหล ฉัน”  แต่ในขณะที่ฟุ้งซ่านอยู่นี้ เจ้าตัวดีก็โทรมาหา  “เราอยู่กรุงเทพแล้วนะ”  ก็เลยบอกไป ซึ่งแน่นอน…


ว่าเจ้าตัวต้องแจ้นมาหาในเย็นวันนั้นเลย


“นี่เหรอคือเรือนหอ”


“ฉันชนกตบปากห้าที”


“โหดอ่ะ เอาสารินคนมุ้งมิ้งของเรากลับมาเดี๋ยวนะ”  คนๆนั้นได้ตายไปจากโลกแล้ว ในขณะเดียวกันที่ฉันก็ยังไร้สาระอยู่เหมือนเดิม


วันนี้สนธยาโทรมาบอกแล้วว่าเขาจะกลับมาดึกหน่อย แต่เพราะมีฉันอยู่จึงไม่มีอะไรให้กังวล มิหนำซ้ำเขายังบอกว่าถ้าฉันจะกลับให้เรียกคนขับรถของเขาไปส่งได้อีก บริการดีขนาดนี้ หวังว่าจะไม่ใช่แค่ช่วงทำคะแนน


“สรุปคือยังไม่ตกลงปลงใจอีกเหรอ”


“อืม”  และเราก็กลับมาที่บทสนทนาแบบนี้จนได้สาก็ไม่ได้อยากจะคุยด้วยนักแต่ฉันที่ติดตามติดขอบเวทีนี่ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่เปิดปากวันนี้คาดว่าต้องมีบางคนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแน่


“ทำไมอ่ะ พี่สนไม่ดีตรงไหน”


“เชียร์จังเลยนะ แต่ก่อนเกลียดเขาจะเป็นจะตายไม่ใช่เหรอ”


“คนเราต้องมูฟออน สำหรับเราตอนนี้เขาคือโคตรคนอื่น แต่ยินดีให้เป็นสามีเพื่อนนะ ใจๆเลย”


“ฉันนี่ไม่ใจเลยอ่ะ”  คนหรืออะไร ทำไมเปลี่ยนสีเก่ง


“ก็เราเหมือนจะรู้สึกว่าเขาไปช่วยเราไว้อ่ะ”


“ช่วยอะไร”


“อ๋อ เปล่าไม่มีอะไร ว่าแต่หิวน้ำจัง ไม่มีน้ำให้แขกใช่ไหม”  ได้เลยฉัน ถ้าคิดจะปิดบัง ทางนี้จะได้สะสางบัญชีที่ไปทำลับหลังกันทั้งคู่เลย!


จริงๆสาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จะว่าปลงแล้วก็ใช่ ถ้าหนีอีกคิดว่าคราวนี้ต้องตามหาเจอแน่ๆ และหากมองในระยะยาว การอยู่ที่นี่มีคนเลี้ยงดูประกอบกับหางานทำไปพร้อมๆกับเลี้ยงลูกก็ถือว่าดี มิหนำซ้ำเด็กก็จะได้มีพ่อ แม้ว่าจะงงๆที่ไม่ได้ไปไหว้ครอบครัวฝั่งพ่อแต่สารินก็คิดว่าพอรับมือไหว ถ้าเขายังอยากให้อยู่ก็อยู่ต่อไปได้ ในระหว่างนั้นก็ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท 


ตอนนี้ก็ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว จะให้กระเตงเจ้าตัวเล็กหนีพ่อเขาก็ลำบากอยู่นะ


ฉันชนกก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามเรื่องรักไม่รักอีกเพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะมีชนักบางอย่างอยู่ ขณะที่เราทานอาหารกัน คนที่คิดว่าจะกลับดึกกว่านี้ก็ดันกลับมาก่อนเวลา


“ถ้าดูแลสารินไม่ดี คราวนี้จะไม่ให้แล้วนะ”  โดยไม่ได้ทักทาย เจ้าตัวดีชี้หน้าว่าที่สามีชาวบ้านเขาและพูดเช่นนั้น


“วันหลังก็หัดถามกันก่อนสิ จะได้รู้ว่าดีหรือไม่ดี”  เขาก็เถียงกลับ เอาจริงๆรูปแบบที่เป็นอยู่นี้ดีกว่าสมัยที่เคยคบกันอีก


“นั่นสิ แล้วก็ไม่ควรจะมีเรื่องปิดบังกันด้วย” ทว่าในระหว่างที่สองคนกำลังต่อปากต่อคำอยู่นั้น สารินก็ได้โผล่งออกมา “มีใครปิดบังอะไรเรากันอยู่หรือเปล่า พี่สนได้ไปทำอะไรฉัน!?”


“ทำ? พี่ทำอะไร” เขายังคงตามไม่ทัน มองหน้าคนถามก็งง พอมองหน้าคู่กรณีในบทสนทนาก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก


“แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไร ได้ไปทำร้ายหรือแกล้งอะไรเพื่อนสาหรือเปล่า”


“แกล้งเหรอ พี่แค่เคยไปหาเพื่อถามว่าสาอยู่ที่ไหนครั้งเดียวเอง”  แต่นอกจากฉันจะไม่ยอมบอก ก็ยังเรียกพวกมาปกป้องอีก เขาหันไปมองเพื่อนของว่าที่เมีย และได้เห็นว่าอีกฝ่ายตัวแข็งไปแล้ว  “อ๋อ…”


“อ๋ออะไรครับ”  สายิ่งกดดัน


“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก”  เขาหันไปยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ “เผอิญมีใครบางคนถูกจับตัวไปทดลองยา พี่ดันตามไปเจอเลยรอดตายอย่างปาฏิหาริย์น่ะ”


“ฉันชนก!”


“อย่าดุเพื่อน!”  ยังมีหน้ามาสั่งอีก มันใช่เหรอ!!!


“นี่มันอะไรกัน หรือว่าที่ฉันหาที่พักให้เราได้เพราะเอาตัวเองไปเสี่ยงอะไรแบบนี้งั้นเหรอ”  สนธยานั้นขยับเข้าไปลูบหัวลูบหลัง เจ้าโอเมก้าของเขาโกรธมากๆ


“จริงๆคือเราแค่ได้ยินว่ามันไม่มีอะไร ไม่คิดว่าจะถูกพวกคนไม่ดีจับตัวไป แต่ก็ปลอดภัยแล้วเห็นไหม เนอะพี่สนเนอะ”


“อืม เผอิญพี่คิดว่าฉันอาจจะแอบไปหาสาสักวันเลยให้คนตามดู โป๊ะเชะถูกคนมาหิ้วปีกไป”


“แล้วนี่ถึงกับจะตายเลยเหรอ ตายไม่ได้นะ”


“เฮ้ยๆ ไม่ตายๆ นี่เราเอง จับได้ ยังมีชีวิตอยู่ โอ้ยยยยย!!!” ไม่ใช่แค่สาจะจับเท่านั้น แต่จับหยิกด้วย  “เจ็บบบบบบบบ!”


“ก็หยิกให้เจ็บไง พี่สนเล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ”  มาถึงจุดๆนี้ถ้าไม่พูดต้องมีคนตายจริงๆ


สนธยาเปิดปากอธิบายให้รู้ในสิ่งที่เขาเข้าใจ และเพราะข้อเสนอของไพร์มทำให้เขาได้ที่อยู่ของสารินมาไว้ เท่านี้คนฟังก็กระจ่างใจถึงกลับขมวดคิ้ว นี่มันไม่โอเคเลย


“คุณไพร์มนั่นเป็นใครที่ไหนยังไง ทำไมถึงเชื่อใจเขาง่ายๆล่ะ”  สาต่อว่า ซึ่งก็จริงฉันแม่งโง่


“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”  เอาจริงๆฉันเองยังงง แต่สนธยาไม่แปลกใจ


“เรามันซื่อบื้อ แล้วไพร์มก็เก่งเกินไป หมอนั่นโน้มน้าวคนเก่ง ก็ไม่แปลกหรอก”


“…”


“พี่ไม่ได้สนิทกับไพร์มขนาดนั้น แต่พอจะรู้มาบ้างว่าบ้านของหมอนั่นค่อนข้างจะโหดพอดูเลย…การแข่งขันมันสูงน่ะ”


“แล้วทำไมพี่สนไม่เตือนหน่อยล่ะ”


“ใครจะไปรู้ว่าทั้งสองคนจะสนิทกันขนาดนี้”  จริงๆเขาเคยสนใจและโทรไปตักเตือนอยู่พักหนึ่งแต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก “ไพร์มเองก็ไม่ได้ทำอะไรเปิดเผยมากมาย หมอนั้นความลับเยอะแม้แต่คนที่ทำงานด้วย ต่อให้ถูกคัดมาแล้วก็ยังไม่ไว้ใจ”


“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนรู้ไหม”


“…”  ไม่มีใครคิดว่าฉันจะถามกลับมาแบบนี้


“ผมอยากเจอ”


“เจอทำไมอีก ฉันก็ได้ยินพี่สนพูดแล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี”


“พี่สนไม่ได้พูดว่าเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีนี่”  ฉันหันกลับไปเถียงทันควัน


“กำลังจะพูดนี่แหละ” 


“คุณไพร์มไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ ใครๆก็เป็นคนไม่ดี คนที่หลอกใช้คนอื่นเข้าหาน้องชายบุญธรรมนี่คนดีตรงไหน!?”


“ฉันชนก!” น่าแปลกที่นี่ไม่ใช่สนธยาที่โผล่งออกไป แต่เป็นสารินที่ทนฟังไม่ได้


“คุณไพร์มเขาแค่…ทะเยอทะยานในทางที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ เราเองก็ไม่ใช่คนดีสักหน่อย สาด้วย ไม่งั้นเราคงคบกันไม่ได้”


“จริงๆหมอนั่นทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะมาก แต่พี่จะไม่ช่วยส่งเสริมประสบการณ์ตรงนั้นให้ละกันนะ” ทั้งสารินและสนธยาต่างเข้าใจว่าฉันอาจจะเพ้อๆเห็นผิดเป็นถูกนิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้


บางทีถ้าคนมันใช่ พูดว่าผิดแค่ไหน ก็ไม่ผิดอยู่ดี!


ฉันชนกยอมรับว่าคุณไพร์มนิสัยไม่ดีถึงขั้นเลวร้าย แต่ตราบใดที่ไม่รู้และหน้ามืดไม่สนไม่แคร์อะไรเขาก็ไม่ได้เลวร้าย กับเรื่องของฉันที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายก็ดูมีความตั้งใจตามหาดี ถึงแม้ว่าสนธยาจะตามเจอก่อนเพราะติดตามกันอยู่แล้ว แต่เขาก็ดูจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่


ทั้งนี้สนธยาที่เคลมว่าภูวนัยไม่ใช่คนดีนักก็พูดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้น ถึงอีกฝ่ายจะมาช้า แต่เขาก็ดั้นด้นมาและยินยอมที่จะเจรจาแต่โดยดี ทั้งนี้ที่สารินอคติก็คงเพราะผู้ชายสองคนนี้ไปต่อรองกันโดยเอาทั้งตัวเองและฉันชนกมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน นี่มันคนดีที่ไหน น่าเฉดหัวไปทั้งคู่เลย


“แค่ไพร์มดีต่อฉันก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว ถึงจะทำเพราะหวังผลไปบ้าง แต่พี่ว่างานนี้เขาขาดทุนอยู่นะ”


“ขาดทุนมากไหมอ่ะ ฉันเสียดายแทน”  สารินมองค้อน เพื่อนเรานี่มันบ้าบอ


“ก็…คิดว่าตัวอย่างที่เก็บไปจากเราก็ใช้ไม่ได้ในระหว่างตะล่อมเราก็คงมีค่าใช้จ่าย ค่าเสียเวลา สรุปที่ทำมาคือเสียเปล่านี่ก็ขาดทุนเยอะอยู่นะ”  สนธยาว่าไปตามจริงซึ่งฉันรู้ดีว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการขุนฉันให้อ้วนพีนั้นมันสูงแค่ไหน  “และได้ยินว่าครั้งนี้ทำให้เขาลาออกจากบริษัทไปเลย”


“หา?!”


“จริงๆไม่ใช่แค่ลาออกจากบริษัทหรอก เรียกว่าลาออกจากตระกูลด้วยนะ เสียแรง เคยได้ยินว่าไพร์มอาจจะได้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งประธานบริหารแทนพ่อของตัวเอง”


“…”


“มันมีพ่อที่คิดแบบนั้นกับลูกจริงๆเหรอ”  ถึงสาจะเกิดจากท้องของโอเมก้าที่ไม่สนใจใยดีกัน แต่เพราะเติบโตมาเห็นวรวุฒิพ่อของสนธยาเป็นแบบอย่าง ตนจึงนึกเหลือเชื่อในรูปแบบความรักของบ้านสุธาสกุลไม่น้อย


“ก็นะ…” ไม่สนใจว่าจะเป็นลูกคนไหน ถ้าไม่ใช่เมียแต่งก็ให้ไต่เต้าจากการเป็นคนใช้ให้หมด ปากกัดตีนถีบไร้ความเมตตาปราณีต้องดิ้นรนให้มีชีวิตรอด และถ้ามีความทะเยอทะยานไม่พอ…


ก็จะได้ไปอยู่ที่ตำแหน่งล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร


ฉันชนกอึนไปหมดกับสิ่งที่ได้ฟัง คุณไพร์มนั้นไม่ค่อยยิ้มไปถึงตา จนหลายครั้งฉันก็อยากจะแซวออกไปบ้าง ทว่าไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะมีอดีตที่ดูดำมืดแบบนั้น ถึงจะถูกเก็บมาและเลี้ยงดูโดยผู้ชายทั้งสองคน แต่ฉันชนกนั้นมีความสุขและพลังงานเหลือล้น จนตนคิดไม่ออกว่าถ้าต้องมาเผชิญกับสิ่งเดียวกัน จะรับมือไหวไหม


อาจจะไหวแต่ก็จะกลายเป็นแบบที่คุณไพร์มเป็นไปอย่างนั้นหรือเปล่า?


“แล้วนี่ไปไหนกันนะ อยากตีนักเชียว”  ฉันชนกพูดออกมาง่ายๆราวกับว่าจะตีได้ แต่ทุกคำพูดนั้นซ่อนความห่วงใยไว้ได้อย่างไม่มิดชิด หากไพร์มมาได้ยินก็คงขำอยู่ดี


ต่อไปนี้ต่อให้เขายิ้มไม่ถึงตา หรือขำแบบปั้นแต่งก็แล้ว ฉันชนกไม่มีสิทธิ์ไปแขยงสิ่งที่เขาเป็น ในเมื่อเลือกที่จะยอมรับเขาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตนเองก็ไม่เคยคาดหวังให้ได้เป็นแบบอย่างหรือช่วยให้เขาปรับเปลี่ยนกลายเป็นใครอีกคนอย่างที่สังคมคาดหวังหรอก เอาจริงๆแค่เขาเป็นคุณไพร์มแบบที่ฉันรู้จัก ก็พอใจแล้ว


หลอกตัวเองเก่งฉันรู้ แต่การแสวงหาความจริงก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขสักเท่าไหร่ เพราะแค่คิดว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนก็ปวดประสาทแล้ว แต่อย่างไรตนก็เชื่อมั่นมากๆว่าที่ยอมเขาขนาดนี้ คุณไพร์มต้องมีข้อดีที่หักล้างพอให้ยอมปิดตาข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใครยังไง…


ต้องหาเขาให้เจอให้ได้ก่อน!


ทว่าอีกด้านในบ้านที่ฉันชนกเพิ่งจากมา สามีและแม่ของลูกของเขาก็กำลังจะเข้านอน ตั้งแต่วันที่เจอกันอีกครั้ง ก็ไม่มีเลยที่จะปล่อยให้สานอนคนเดียว ทั้งๆที่บ้านหลังนี้มีตั้งสี่ห้องนอน แต่เจ้าของบ้านกลับลำบากให้คนจัดเตรียมฟูกนอนไว้ให้เหมือนเดิม จนสาก็ขี้เกียจจะเถียง


เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันทำให้ตนกลับมานั่งตระหนักคิดถึงอะไรมากมาย บรรยากาศรอบตัวที่ดูขุ่นมัวทำให้อัลฟ่าหนุ่มเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคนท้อง และนโยบายไม่ส่งเสริมความเครียดก็ทำให้เขาเริ่มกังวลตาม


“สานอนไม่หลับเหรอ”


“จริงๆแล้วสาก็แอบคิดว่าเป็นเพราะสาหรือเปล่าที่ทำให้ฉันตกลงทดลองยาอะไรนั่น และก็เป็นสาที่ทำให้ฉันถูกจับตัวไป”


“บางทีพวกที่จับตัวสาไปอาจจะรู้อยู่แล้วว่าฉันกับไพร์มจะทำอะไร ต่อให้ไพร์มไม่พาฉันไปทดลองก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัย”


“แล้วตอนนี้ฉันปลอดภัยไหม”


“น่าจะนะ ได้ยินว่าไพร์มไปจัดการคนทำจนเดินไม่ได้ คงเป็นการเชือดไก่ให้คนคิดจะเป็นลิงดูกลายๆ”


“…”


“พี่อาจจะพูดให้สากลัวไพร์ม ซึ่งจริงๆก็จะไม่บอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรอก สิ่งที่หมอนั้นทำคือทำลายอนาคตคนเลยถ้าเราไม่มองว่าคนๆนั้นทำอะไรมาก่อน”  เขาพยายามจะเป็นกลาง “แต่ถ้ามีใครทำกับสาของพี่ แน่นอนว่าพี่ไม่ให้มันแค่เดินไม่ได้แน่” คำพูดที่ดูหนักแน่นนั้นทำให้คนฟังหน้าแดงขึ้นมา พอเป็นเขาพูดมันก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่ถูกต้อง


“แต่ฉันกับคุณไพร์มไม่ได้เป็นแบบ…พี่สนกับสาเสียหน่อย”  ท้ายประโยคนั้นเสียงเบาไปหน่อยแต่เขาได้ยินชัดทุกคำ


“พี่เลยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมว่าไพร์มก็…รักฉันเหมือนที่พี่สนรักสา”


“…”


“ถึงคนแบบหมอนั่นไม่น่ารักใครจริงจังได้ก็ตาม แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้”  สนธยาคิดว่าเขาจะจบบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องคนอื่น  แต่ถ้าไตร่ตรองดีๆก็จะพบว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็มีความรักที่ไม่ง่ายเลย เขาอาจจะรู้สึกถึงความต้องการในตัวน้องแต่แรกพบ ทว่าหลังจากนั้นอีกหลายปีก็ไม่เคยนึกชอบใคร มารู้ตัวว่าตนมั่นคงแค่ไหนก็ตอนระลึกได้ว่าแอบรักเขามาเกือบสิบปี


“พี่สน…สามีอีกเรื่องอยากถาม”


“ครับ”


“คุณแม่ป่วยเหรอ”


“…”


“ที่พี่สนมากรุงเทพบ่อยๆเพราะเรื่องงานและเรื่องคุณแม่ใช่ไหม”


“ใช่ แต่สาไม่ต้องเป็นห่วง”


“ไม่ห่วงได้ไง”  สาแย้งขึ้นมา  “ถึงสาจะเลวที่หนีมาแต่สาก็ไม่ลืมว่าคุณแม่ดีต่อกันแค่ไหนหรอกนะ”


“สาไม่ได้เลวหรอก สาแค่กลัว และคนที่เป็นต้นเหตุให้สาเป็นอย่างนี้คือพี่เองครับ” 


“พี่สน…”


“คุณแม่ป่วยจริงๆแต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”  เขายิ้มให้บางๆ  “ตอนที่สาไม่อยู่ คุณแม่ตรวจเจอก้อนเนื้อน่ะ ก็เลยแค่เอาออกแค่นั้น”


“แค่นั้นจริงๆเหรอ”


“ครับแค่นั้นจริงๆ”  เขายิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม สารินที่จ้องมองแววตาของเขาก็ค้นหาอะไรไม่เจอ สักพักก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นนอกจากความหวานล้ำที่ส่งมา


คนตัวเล็กกว่าที่คิดว่ามันคงเป็นสัญชาตญาณไขว่คว้าหาความปลอดภัยจากอัลฟ่าจึงค่อยๆทิ้งตัวเบาๆลงมาบนฟูกเขาและเข้าซุกตัวหาไออุ่นจากร่างกายอีกคน


“ฝันดีครับ”  และสนธยาก็ไม่ได้แซวอะไรให้น้องต้องอายจนเตลิดหนี อย่างนี้เขาถือเป็นกำไรจึงคว้าไว้ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดไม่ให้อีกคนหนีไปไหนไกลอีกครั้ง


- - - - - -


มันคงไม่เสี่ยงไปใช่ไหมที่มาหาแบบนี้


สารินที่ได้ฟังสิ่งที่อดีตพี่ชายของตนพูดมาไม่ได้เกิดความเชื่อเต็มอัตราขนาดนั้น เขาคือคนที่พยายามเลี่ยงทุกอย่างเพื่อตัวสาและลูก ดังนั้นไม่แปลกที่เขาจะไม่พูดความจริง ดังนั้นสาที่ยังไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรจึงเลือกที่จะมาที่โรงพยาบาลเพื่อดูลาดเลา


หลังจากชำระเงินค่าดอกไม้ที่ตนคัดมาแล้วว่ามีแต่ที่คนป่วยชอบ เจ้าของอ้อมแขนเล็กก็กอดมันไปยังห้องพักพิเศษที่ผู้ป่วยวีไอพีเท่านั้นถึงจะได้ใช้บริการ แน่นอนว่าสารู้ดีเพราะตนอยู่กับครอบครัวนี้มานาน


เท่าที่คิดได้ บางทีอาจจะมีบอดี้การ์ดยืนอยู่หน้าห้องหรือมีใครสักคนเฝ้าไข้อยู่ สารินอาจจะสามารถไปเขย่งเท้าดูเพื่อจะเห็นว่าข้างในเป็นอย่างไร และฝากของเยี่ยมไว้ให้กับพยาบาลเอาเข้าไป ก่อนจะกลับบ้าน


สารินเป็นลูกที่ไม่ดี จนป่านนี้ก็ไม่กล้าไปพบผู้มีพระคุณทั้งสองของตน หากว่าเด็กในท้องตอนนี้ไม่ใช่ลูกของสนธยาที่เป็นลูกชายของพวกเขาทั้งคู่ บางทีอะไรๆก็อาจจะง่ายดายกว่า แต่มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว สนธยาเองก็พยายามอย่างที่สุด สารินไม่ควรโทษเขาหรือโทษใคร หรือแม้แต่ตัวเองที่สุดท้ายเราต้องมารับผิดชอบเด็กคนหนึ่งร่วมกันแบบนี้


อาจจะน่าเสียดายที่ไม่สามารถเดินร่วมทางกับธัมรงค์รัชต์ได้อีก แต่แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่างน้อยพี่สนที่ตนไม่ได้อยากให้เข้ามาข้องเกี่ยวก็ไม่ได้กดดันกันจนเกินไป บางทีในไม่ช้าสารินอาจจะตกลงปลงใจอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นของเขา และใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนต่อไปกับลูกชายที่กำลังจะเกิดในไม่นานนี้


จริงสิ…เรายังไม่เคยบอกใครเลยนี่น่าว่าเจ้าลูกหมาป่านี่เป็นผู้ชายนะ


“สาริน…”


“…”


“สาใช่ไหม”  เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลังนั้นทำให้คนตัวบางแข็งค้าง หากเสียงนี้ไม่คุ้นหูตนคงจะมีสติและประคองตัวเดินหนีไปได้เร็วกว่านี้ ทว่ามันใช้เวลาอยู่หลายชั่ววินาทีเลยที่จะพิจารณาว่าใครกันหนอที่เรียกกัน


“คุณ..พ่อ…”


“มาจนได้สินะ”  เหมือนวรวุฒิจะคำนวณไว้อยู่แล้วว่าถ้าสารินได้รู้ คงไม่วายมาเยี่ยม


เขามองลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้ท้องใหญ่กว่าแต่ก่อนพอควร สารินไม่ได้จัดว่าท้องใหญ่เท่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในตอนนี้หากเจ้าตัวเดินไปฝากครรภ์ก็คงจะกลมกลืนอยู่หรอก หลายเดือนแล้วผมก็ไม่ได้ตัด มันทำให้ทุกอย่างแม้แต่บรรยากาศดูหวานและอบอุ่นขึ้น จากที่ไม่เคยมีความดุดันแม้แต่น้อย ตอนนี้เรียกว่ามันดูสมบูรณ์สมกับที่จะเป็นแม่คน


“สา…”


“เข้าไปเยี่ยมหน่อยสิ แพรคิดถึงเธอมากนะ”  รอยยิ้มที่ดูเหนื่อยๆของวรวุฒิทำให้สารินน้ำตาแทบตก แม้ว่าไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่จินตนาการไว้ แต่สารินไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะหนีหายไปได้เฉยๆต่อหน้าคนๆนี้


หัวใจของโอเมก้าตัวน้อยเต้นแรงเมื่อตนกำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่ไม่คิดว่าจะได้เปิดเข้ามาด้วยซ้ำ นอกจากแพรวรรณจะไม่มีคนเฝ้าหน้าห้องแล้ว ในห้องก็ไม่มีใครมาดูแล ดูจากหน้าผู้เป็นสามีก็พอจะเดาได้ว่าคงมาเฝ้าเอง ทั้งสองคนแม้จะไม่ได้รักกันฉันคนรัก แต่ก็วางเป้าหมายที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนหมดลมหายใจ


“อีกไม่กี่เดือนคงจะคลอดแล้วสินะ” 


“….”


“ตั้งชื่อหรือยังล่ะ”


“ว่าจะให้ชื่อน้องแสนดีครับ”


“คงจะเป็นเด็กดีกับคุณแม่มากสินะ”  วรวุฒิยิ้มให้ อย่างไรเขาก็ไม่ได้ถามคำถามที่จะทำให้สารินลำบากใจ จึงทำให้บทสนทนาไหลลื่น  การผ่าตัดของคุณแพรวรรณนั้นเพิ่งเสร็จสิ้นได้เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้คนป่วยกำลังหลับอยู่ แต่ว่าเธออาการดีขึ้นมากแล้วจากคำบอกเล่าของคนเฝ้า


และมันตรงตามกับที่สนธยาบอกกันไว้


“ถ้าเธอไม่รีบจนเกินไป ช่วยรอแพรตื่นก่อนได้ไหม”


“เอ่อ…”


“เราเข้าใจว่าการที่เธอไม่กลับมาเพราะมีเหตุผลส่วนตัว ไม่ต้องห่วงนะ พ่อและแม่จะไม่เซ้าซี้ถาม”  วรวุฒิออกตัวให้เข้าใจ  “แค่ได้เห็นว่าเธอปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดี ในฐานะพ่อก็พอใจแล้ว แต่อยากให้แพรได้ยืนยันในฐานะแม่สักหน่อย คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”  แล้วสาจะไปว่าอะไรได้


นอกจากน้ำตาไหลออกมา


“ร้องทำไมอีกเนี่ย  เดี๋ยวลูกในท้องก็งอแงตามหรอก”  วรวุฒินั้นคว้าเจ้าตัวเล็กที่ในตอนแรกเขาไม่เคยเห็นด้วยที่จะรับเลี้ยงมาไว้ในอ้อมอก เขาเชื่อว่าสารินมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ และมันก็ผ่านมาสักพักที่พวกเขาจะทำความเข้าใจและไม่หมายจะรับรู้อะไรที่ลูกไม่อยากให้รู้


ทั้งนี้ทั้งนั้นน้ำตาของสาไหลออกมาเพราะคำว่า ‘แค่ให้ลูกมีสุขภาพที่ดี’ เพราะเราเห็นกันอยู่ว่าวรวุฒิดูซูบโทรมไปถนัดตา ส่วนคุณแพรวรรณก็ล้มป่วยเข้าผ่าตัด ทั้งนี้สานั้นตีโพยตีพายไปเองว่าตนลำบากแต่ไม่เคยมองหาว่าคนที่ตนจากมาจะเป็นเช่นไร เมื่อนับกันแล้ว สารินมีชีวิตและสุขภาพจิตที่ดี ทุกคนที่ได้อยู่ใกล้ๆต้องพยายามอย่างมากที่จะประคองกันไว้เหมือนเป็นแก้วใส ฟังเช่นนี้แล้ว…


จะให้รู้สึกดีได้เช่นไร มันจะเกินไปแล้ว…


“อืม”  แพรวรรณกำลังจะตื่นนอน และเมื่อเธอตื่นเต็มตาก็ได้พบกับ  “น้องสา?”  ลูกชายที่เธอเฝ้ารอให้กลับมาตั้งแต่วันที่ได้หายตัวไป


“คุณแม่…ฮึก”


“เป็นอะไรน้องสา นี่คุณแกล้งลูกอีกแล้วเหรอ”  เธอไม่ได้ถามหาเหตุผลหรือแม้แต่จะทักทายว่าสบายดีไหมเพราะเห็นกันอยู่ เธอเลือกที่จะทำทุกอย่างเหมือนที่เคยผ่านมา ทำให้มันเหมือนเป็นปกติของบ้านเราทั้งๆที่มันไม่ใช่ เราต่างก็มีรอยแผลจากการหายไปในตอนนั้น


“สา…ขอโทษ”


“แม่ดีใจที่น้องสามา”  เธอยิ้มให้ มันดูซีดเซียวแต่เต็มไปด้วยความสุขสบายใจ


แพรวรรณค่อยๆพิจารณาลูกชายคนเล็กเสียใหม่ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานสาก็คงจะคลอดแล้ว ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็ลำบากแต่ก็ยังมาหา ลูกคงรู้ว่าเธอป่วยจากฉันชนกที่อ้างเสมอว่าไม่เคยรู้ว่าสาอยู่ไหน แต่ช่างมันเถอะ วันนี้เธอได้เจอแล้ว ก็สบายใจได้สักที และต่อไปนี้เธอจะไม่บังคับหากไม่อยากกลับไป แต่พอจะเป็นไปได้ไหม


ที่โอเมก้าตัวน้อยคนนี้จะเปิดโอกาสให้เราได้เจอกันบ้าง?


“คุณพ่อครับ”  ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมเสียงเรียกหาวรวุฒิที่คุ้นเคย สารินหันหลังไปหาผู้มาใหม่ และเราก็ได้จ้องตากัน อย่างนี้ไม่เหมือนที่คุยไว้เลย


“พี่สน…”


“อา… ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”  ไม่ใช่สิ เราไม่เคยคุยกันไว้นี่นา…


ว่าต่อหน้าพ่อกับแม่แบบนี้…
ควรจะทำตัวยังไง?



TALK:
จะจบแล้ว นี่แหละที่สุดของความดราม่าของน้องฉัน ผิดก็ไม่ว่าตามผิดค่ะ ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นนกสุด

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
37
- - - - - -
รอเฉยๆแบบนี้ ทั้งชาติคงไม่ได้เจอเนอะว่าไหมมม
(+_+)
- - - - - -


“เอ่อ..”การเจอกันกับครอบครัวธัมรงค์รัชต์ไม่เคยอึดอัดเท่านี้มาก่อน โทษได้ไหมว่าเป็นเพราะใคร


“…”


“สนมาพอดีเลยลูก เห็นไหมว่าน้องสามาเยี่ยมแม่แล้ว”


“ครับ ก็..ก็ดีนะครับ”  เดาได้ว่าเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าสารินจะมาเร็วปานนี้ ก็พอเดาได้ว่าสักวันน้องจะต้องมา แต่ไม่น่าจะใช่วันถัดมาหลังจากที่ไถ่ถามอาการป่วย


ทั้งวรวุฒิและแพรวรรณคงไม่ได้คิดอะไรกับความอึดอัดที่เกิดขึ้น เดิมทีทั้งสนธยาและสารินก็ทำตัวอึดอัดต่อกันอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งไหน สาไม่ได้บอกเขาก่อนว่าจะมา ทั้งๆที่เรานั้นคือผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน สนธยาปรับสีหน้าให้นิ่งเรียบ เขาพยายามจะตามน้ำทั้งๆที่ในใจอยากเอ่ยถามว่าทำไมไม่บอกก่อน และสาก็รู้ว่ามันค่อนข้างจะยาก


แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจไปนี้ มันถูกต้องหรือไม่


“พี่สน”


“ครับ”


“เรามาพูดความจริงกันเถอะ”  เชื่อมั่นได้ว่าหัวใจของเราคงเต้นแรงเหมือนกันทั้งคู่ คนพี่มองหน้ากันอย่างจะถามว่าจะดีเหรอ ซึ่งคนน้องก็ทำให้แค่ยิ้มออกมา


ในตอนนั้นเราไม่ได้คิดหรอกว่าหากพูดไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น


“…”


“มีอะไร…กันหรือเปล่าเด็กๆ”  คุณแพรวรรณถาม ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยบทสนทนาแปลกประหลาด ก่อนจะนิ่งเงียบจ้องตา ไม่บอกว่าอะไรคือ ‘ความจริง’  สักที


“คือว่า…คุณแม่ครับ”  สนธยาคิดว่าเขาควรจะรับผิดชอบด้วยการอธิบาย แต่ทว่ากลับมีบางคนเร็วกว่า


“สาท้องอันนี้ทุกคนคงรู้แล้ว”  สาพยายามจะแย่งพูด


“จ้ะ”


“เจ้าตัวเล็กนี่เป็นลูกของเราสองคนครับ” แต่สนธยากลับไม่ยอมให้เป็นตามนั้น อย่างไรก็ตาม


ความจริงก็ได้ถูกเปิดเผยแล้ว


“…”  แน่นอนว่าหลังจากพูดไป ทุกคนก็กลับมาเงียบงันเช่นเคย และคนที่เก็บงำความผิดนี้เอาไว้นานที่สุดก็รู้สึกไม่สบายใจและกระวนกระวาย


“สาขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”


“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ”  ร่างสูงของสนธยานั้นก้าวเข้าไปยืนข้างอดีตน้องชายที่ไหล่นั้นไหวสั่น เขาไม่อยากให้สารินต้องเครียด แต่ก็ยอมรับว่าการได้เปิดเผยความจริงอาจจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง ที่เหลือก็คือปฏิกิริยาของผู้ฟังแล้วว่าจะเป็นไปทางใด


“สารู้ว่าสาถูกพามาเลี้ยงเพื่ออัลฟ่าบ้านอื่น มันเป็นความผิดของสาเอง”


“ผมเองก็ผิด อย่าโทษน้องเลยครับ”


“สาเข้าใจว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่รับไม่ได้ สาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอีก ลูกก็ด้วย เขาจะไม่มาวุ่นวายกับธัมรงค์รัชต์เลย”


“…”


“สาเคยคุยกับคุณพ่อของฉันแล้ว สาจะรีบทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลนะครับ”  จริงๆสนธยาไม่เคยคิดว่าน้องจะไปได้ลึกซึ้งขนาดนั้น เขาตกใจไม่น้อย บางทีที่เห็นว่าสารินอาจจะยินยอมมาอยู่กับเขา เจ้าตัวอาจจะกลับคำ เปลี่ยนใจอีก


ใช่…ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคำตอบของบุพการีทั้งสอง ถ้าพวกเขารับไม่ได้ที่เราสองคนมีลูกด้วยกัน สารินที่รู้สึกผิดย่อมไถ่บาปให้ตัวเองด้วยทุกวิถีทาง แม้แต่ผลักไสกันออกไปก็คงยอมทำ ในตอนนั้นเขาจับมือน้องไว้แน่น ไม่ต้องการให้ไปไหน แต่เขาก็ลังเลที่จะปลดภาระทุกอย่างและออกไปด้วย ทำไมเราสองคนแค่รักกันจะไม่ได้เลยเหรอ


สารินจะมั่นใจในตัวเขากว่านี้และไม่ผลักไสกันไปอีก ไม่ได้เชียวเหรอ?


“น้องสา แม่ไม่ได้โกรธเลยนะคะกับเรื่องนี้”  เหมือนแสงสว่างส่องเข้ามา แพรวรรณเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่สงบ


“แต่ว่าสา…”


“จุดประสงค์ที่เราพาสามามันเป็นแบบนั้นก็จริง อันนี้แม่กับพ่อเองก็ไม่ได้รู้สึกดี แต่ก็พยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงด้วยการเลี้ยงน้องสาให้ดี เผื่อว่าวันหนึ่งน้องสาจะไม่บอบช้ำหรือรู้สึกเดียวดายจนเกินไป เราก็รักน้องสามาก มากจนรู้สึกผิดและไม่อยากส่งน้องสาให้ใครอีกแล้ว”  ถ้าไม่เกิดเรื่องวุ่นวายนั้นขึ้น คงไม่มีใครในบ้านนี้ยอมส่งให้เพย์ตันง่ายๆอยู่ดี


“คิดมาก”  วรวุฒินั้นพูดแค่นั้น


“แน่นอนว่าเราเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าน้องสากับสนจะ…มีลูกด้วยกัน”


“สาขอโทษ”


“น่าแปลกที่คุณแม่ไม่ได้ตกใจเลย”  แพรวรรณยิ้มออกมา เมื่อพิจารณาความรู้สึกตัวเองตั้งแต่ได้ฟังจนถึงตอนนี้  “วันนี้คุณแม่รู้สึกโล่งใจ สบายใจ เรื่องหลานของแม่ที่ได้ฟังก็ตกใจบ้าง ที่กังวลคือเรื่องความวุ่นวายจากคนอื่นต่อจากนี้ แต่มาคิดดูอีกที แม่แคร์ลูกๆและหลานตัวเองมากกว่า”


“ที่โทรมาถามเรื่องทำรังคือคนนี้ใช่ไหม”  วรวุฒิไม่ได้สนใจตอบข้อสงสัยทางความรู้สึกเท่าไหร่เพราะตัวเขาเหมือนจะรู้ๆอยู่แล้ว เขาหันไปถามลูกชายคนโต ทว่าคนที่เขินอายกลับเป็นลูกชายคนเล็ก  “เขินอะไร”


“…”


“พ่อยินดีที่หาน้องเจอและยินดีเรื่องที่จะได้เป็นพ่อแม่คนด้วย”


“แล้วน้องสาจะกลับมาอยู่ที่บ้านเราไหม”


“…”


“ตาสน เราไม่ได้ขังน้องไว้ใช่ไหม”


“ถ้าผมขังคงไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรอกครับ”


“งั้นก็พาน้องกลับบ้าน พ่อแม่ไมได้โกรธอะไร จะช่วยเลี้ยงลูกให้ คิดว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมันง่ายเหรอ”


“แม่ต้องคิดถึงสภาพจิตใจของสาด้วยนะครับ เขาคิดมากเรื่องพวกเราขนาดไหน จะให้เขากลับไปก็ต้องถามความเห็นเขาก่อน”


“น้องสา…”


“ผม…ถ้าให้ไปอยู่บ้าง และช่วงที่ใกล้คลอดมากๆล่ะก็”  อย่างไรที่นั่นก็ได้ชื่อว่าบ้านที่ตนอยู่มานานหลายปี ในตอนนี้แม้ไม่อาจจะพูดว่าสบายใจ แต่ปฏิกิริยาของทุกคนที่เคยกังวลก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปได้มากมาย จากที่คิดว่าอยู่คนเดียวก็คงทำได้ แต่ตอนนี้มีคนยื่นมือมาให้ สารินอาจจะปรับตัวไม่ถูกทว่าก็ดีใจเกินกว่าจะเข้าใจในเวลาสั้นๆ


“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะจ้ะ”  คุณแพรวรรณยิ้ม ลูกของเธอแม้ว่าจะสับสนและไม่เข้าใจเพราะเราไม่เคยเปิดอกคุยกันตรงๆ แต่เขาก็ยังคงน่ารักเหมือนที่เคยเป็น เราเป็นครอบครัวเดียวกันมานานแล้ว และต่อให้ห่างไปก็เพราะความรักที่ทำให้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง


และต่อจากนี้ไปเราก็จะมีสมาชิกคนใหม่


ที่จะเข้ามาสร้างสีสันสดใสให้กับบ้านเราอีกคน


“สาคงไม่อึดอัดใช่ไหม”  ในความปลื้มใจที่ทุกอย่างมันเหมือนจะเรียบร้อยไปด้วยดี เขานั้นหวั่นใจว่าสาอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นแต่เพราะมันเลี่ยงไม่ได้จึงจำยอม ทว่าน้องกลับส่ายหน้าและค่อยๆเขยิบเข้ามาควงแขนเขาไว้ เรากลับมาที่บ้านที่เขาซื้อไว้และกำลังนั่งคุยกันถึงสิ่งที่จะทำถัดๆไป


“มันคงไม่เป็นอะไรมั้ง”  นั่นหมายความว่าเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ


“พี่ไม่ได้บังคับนะ”


“สาแค่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง” ใบหน้าน่ารักนั้นเอียงซบกับต้นแขน “แค่ได้ยินว่าสายังได้รับความรัก และทุกคนก็ยอมรับในตัวเจ้าแสนดี แค่นี้สาก็อยากกลับไปแล้ว”


“เจ้าแสนดี?”


“ชื่อเจ้าลูกหมาป่าไง”


“เจ้าแสนดี…นี่เป็นเด็กผู้ชายเหรอ”


“อื้ม…หมอของทางเพย์ตันที่มาตรวจสุขภาพบอกไว้น่ะ” สนธยายิ้มออกมา เขาค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสท้องที่นูนออกมาของเจ้าโอเมก้าก่อนนี้เขาไม่กล้าทำเช่นนั้นเพราะอีกฝ่ายยังคงระแวงกัน แต่ตอนนี้สนธยาคิดไปเองว่าเขาทำได้แล้ว


“พี่คงต้องเรียกหมอของเรามาบ้างแล้ว เจ้าแสนดีใกล้จะออกมาดูโลกเต็มที”


“ยังอีกหลายเดือน”  สาหัวเราะเบาๆ  “แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่”


“นั่นสินะ”


“พี่สนรู้ไหมว่าตลอดชีวิต สาไม่เคยคิดเรื่องมีครอบครัวเป็นของตัวเองเลย ไม่เคยคิดเรื่องมีลูกหรืออะไรด้วยซ้ำ”


“…”


“สาคิดว่าการมีอะไรแบบนั้นชาตินี้คงเอื้อมไม่ถึงหรอก แค่คุณพ่อกับคุณแม่เลี้ยงมาอย่างดี หลังจากคลอดลูกให้เพย์ตันสาก็จะไปใช้ชีวิตเลี้ยงตัวเองคนเดียวเงียบๆ ไม่มีคนรัก ไม่มีลูก ใช้ชีวิตเรื่อยๆไม่ทุกข์ไม่ร้อนและตายไปคนเดียวแบบนั้น”


“ความฝันของสาคงไม่เป็นจริงแล้ว”


“เพราะพี่สนคนเดียว”  ที่ทำให้ชีวิตสากลายมาเป็นแบบนี้ แม้ว่าใครจะบอกว่าการมีครอบครัวมันดีกว่า ทว่าคนที่ไม่เคยคิดฝันจะได้รับชีวิตที่มีความสุขแบบนั้น ย่อมหวั่นเกรงว่ามันจะเป็นแค่ฝันดีชั่วคราว  “แต่พี่สนจะไม่ทิ้งสากับลูกไปใช่ไหม   


“พี่ไม่เคยมีความคิดอย่างนั้นเลย”  เขาส่ายหน้า เดิมทีเขาก็ไม่คิดว่าตนจะได้มีลูกกับสาเหมือนกัน จริงๆแล้วก็เลี่ยงที่จะคิดอะไรยาวๆแบบนั้น ที่คิดไว้มีเพียงแค่จะให้น้องอยู่รอบตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆจนตาย ทว่าเป็นแบบนี้ไม่เลวเลย


ไม่สิ…มันดีมากๆแบบที่ไม่เคยฝัน แต่ดีกว่าที่มันกลายเป็นจริง


“สาเชื่อพี่สนนะ”  และนี่มันยิ่งกว่าคำบอกรักที่ไหน เราต่างรู้จักกันพร้อมกับที่เคลือบแคลงใจมาตลอด คำว่าเชื่อมั่นจึงเป็นคำวิเศษที่เขาอยากได้ยินที่สุด


สนธยากระชับกอดของเขาให้แน่นขึ้น ต่อจากนี้ไปเรามีอะไรให้ต้องจัดการสะสางมากมาย เจ้าลูกหมาป่าใกล้จะเอามาวิ่งไล่กับเขาแล้วเพราะฉะนั้นเราอาจจะวุ่นวายกันเสียหน่อย แต่ต่อให้วุ่นวายแค่ไหน เราก็พ้นผ่านอุปสรรคมากมายมาอยู่ด้วยกันได้แบบนี้


“พี่รักสาและลูกของเรามากนะ”  เขากระซิบบอกก่อนจะกดจูบลงบนขมับ สารินหลับตาพริ้ม ลอบยิ้มอย่างมีความสุขโดยที่เขาไม่มีวันรู้ ในวันนี้สารินได้บอกความในใจและต่อไปก็จะเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากกว่านี้


แน่นอนว่าสนธยาได้มีโอกาสที่จะดูแลกันต่อไปเพื่อเพิ่มพูนความมั่นใจให้หัวใจดวงน้อยของคนที่เตลิดหนี ต่อแต่นี้ไม่มีอีกแล้วที่จะมาเก่งกล้าบ้าบอบอกว่าจะอยู่คนเดียว


เพราะการอยู่ในอ้อมกอดของคนๆนี้มันดีกว่าเป็นไหนๆ


- - - - - -


ทางด้านคนที่กินไม่ได้เพราะอะไรก็ไม่อร่อยแต่ยังพอนอนได้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ


แต่เพราะมันทำอะไรไม่ได้ เลยไม่รู้จะทำยังไง


“เราดีใจกับสาด้วย”  ฉันที่โทรไปฟุ้งซ่านใส่คนท้องก็แสดงความยินดีกับเรื่องที่ได้ยิน สนธยาก็ไม่ได้เลวร้าย สำหรับสาคือเขาดีมาก แต่คนที่พอดีสำหรับคนๆหนึ่ง อาจจะไม่เพียงพอกับอีกคน


“ว่าแต่นี่เมื่อไหร่จะหายซึม”


“ไม่อ่ะ”  ฉันก็ยังซึมอยู่ กับคนๆหนึ่งเราสามารถยึดติดได้ขนาดนั้นเลยหรือไง  “เราว่าจะออกไปตามหาเองแล้ว”  เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเขาไปไหนเลยได้แต่รอคอยไปเรื่อยๆ แต่ใช่ว่าตอนนี้ฉันจะมีจุดหมายให้ไป


“เราเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง อยากให้…เอ่อคุยกับพี่สนให้ไหม”


“ไม่อ่ะ เราว่าเรายังไหว”  เอาอะไรมาไหว  “เราอยากลองไปถามคนที่บ้านที่ฉันเคยไปอยู่”


“อา…เอาเบอร์ไปไหม”


“ไม่อ่ะ เราจะไปหาเลย นัดให้หน่อยได้ไหม แบบบอกเขาไปว่าเราแวะเอาของมาฝากไรงี้”


“เอางั้นเหรอ”  ก็ต้องอย่างนั้นแหละ ต้องอย่างนั้นเลย!


มันค่อนข้างจะมัดมือชกไปหน่อยที่ว่าจะไปหา แต่ว่าฉันไม่อยากให้ใครแบไต๋ไปว่าฉันชนกจะไปหาใครก่อนจนกว่าจะได้เจอหน้าและสบตาเวลาถาม อย่างไรซะโอเมก้าที่ชื่อพี่แจงคนนั้นก็เป็นคนของคุณไพร์ม เธออาจจะทำตามคำสั่งของนาย และทำให้การค้นหายิ่งกว่าลำบาก


ก็รู้กันอยู่ว่าคุณไพร์มจงใจปิดกัน


ฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด การที่เขาหายไปแบบนี้ย่อมเป็นตัวเขานั่นแหละที่ผิดและหนีหน้า ยิ่งเวลาผ่านไป นอกจากฉันจะไม่ลดราความต้องการเจอไปได้แล้ว แรงสุมในไฟยังยิ่งลุกโชนจนผลักดันกันให้ถึงจุดๆนี้ คอยดูนะ…ถ้าเจอแล้วจะกัดให้จมเขี้ยว! คิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นสารินโอเมก้าขี้น้อยใจหรือไงถึงจะได้หอบลูกหนี!


ระยะเวลาเดินทางจากบ้านมายังจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของบ้านหลังนั้นน่าจะราวๆสองชั่วโมงกว่า แต่กว่าจะฝ่ารถติดจากกรุงเทพไปก็ราวๆเกือบสามชั่วโมง ชักยอมใจสนธยาที่เทียวไปเทียวมาแล้ว แต่ช่างเหอะถือว่าเป็นกรรมของหมอนั่นที่เคยทำต่อกันเอาไว้


ฉันชนกไม่ค่อยได้ขับรถไปไหนเพราะทักษะการจอดคือห่วยแตก แต่เพราะภูวนัยคนเดียวที่เป็นแรงผลักดัน ทำให้ฉันต้องดั้นด้นขับรถทางไกล และตัวเองเพิ่งจะนึกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ขับมาถึงต่างจังหวัด เจอกันแล้วจะกัดแค่ให้จมเขี้ยวไม่ได้ ต้องทะลุเท่านั้นถึงจะสะใจ!


มาถึงโดยสวัสดิภาพ โดยการพึ่งแผนที่ในมือถือและแผนที่เขียนมือโดยคนของสนธยาที่สารินแอบไปซื้อใจมา ฉันชนกลงมาจากรถอย่างรู้สึกกังวลอยู่นิดๆ สาโทรมานัดไว้ให้แล้วมันก็คงจะไม่เป็นไร แต่ยิ่งมีความหวังว่าจะได้พบกับความจริงเท่าไหร่ก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้


“สวัสดีค่ะคุณ…เอ่อเพื่อนคุณสาใช่ไหมคะ” สาไม่ได้บอกชื่อฉันเอาไว้ นั่นคือสิ่งที่ฉันกำชับเด็ดขาด


“พี่แจงใช่ไหมครับ เผอิญสาเขาฝากผมให้เอาของมาให้ แต่ว่าผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ”


“อา…เชิญเลยค่ะ” เธอเชื้อเชิญฉันชนกให้เข้าบ้านไป ฉันส่งของที่จะให้กับเธอ ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างที่ขอไว้ เอาจริงๆนะ ฉี่ไม่ออกว่ะ


ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักพร้อมกับลดอาการใจเต้นแรงของตน ฉันชนกเรียกสติออกมาคิดวิเคราะห์ อีตาคุณไพร์มคือต้องมีบ้านใหญ่เป็นวิมานแบบนี้ด้วยเหรอ สมแล้วกับที่เป็นตัวร้ายรวยๆไม่มีคนคบ หลังจากที่จัดการกับสภาพจิตใจตัวเองได้แล้วฉันก็ออกมา พี่แจงยังคงยืนรอกันอยู่ ดูระแวดระวังบางอย่างอย่างน่าสงสัย


“คุณเจ้าของบ้านอยู่หรือเปล่าครับวันนี้”  ฉันชนกเนียนถาม


“เอ่อ ท่านไม่อยู่ที่นี่หรอกค่ะ”


“น่าเสียดายจัง อยากจะขอบคุณเรื่องสาเสียหน่อย”  ฉันยิ้มให้ แต่ในใจคือขุ่นมัวมาก


ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยอยากต้อนรับหรือดูกังวลอะไรสักอย่างตลอดเวลา แค่เห็นก็รู้สึกสงสารในความพยายามเหล่านี้ ฉันชนกที่เหมือนจะเกรงใจเลยขอลากลับโดยไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ แหงสิ…พิรุธเยอะขนาดนี้ใครจะมาตอบคำถาม!


แต่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกลก็ต้องทำอะไรสักอย่าง เจ้าแวมไพร์ตัวเล็กที่ประกาศไม่ยอมแพ้เพราะเสียดายค่าน้ำมันนั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ลับหลัง ทำเป็นเดินกลับไปที่รถก่อนจะหันกลับไปมองว่าตอนนี้ไม่มีใครมองอยู่ ก่อนที่จะทำการกระชากดึงประตูรถที่ปิดอยู่ของตนอย่างแรง


ทั้งๆที่ประตูยังล็อกนั่นแหละ…


เสียงสัญญาณกันขโมยของรถคันหนึ่งที่ดังขึ้นมาทำให้เขาไม่สามารถนอนต่อได้ เจ้าของบ้านที่เพิ่งได้มาที่นี่นั้นขมวดคิ้วหงุดหงิดกับเสียงแสบแก้วหูนี่แต่ไม่มีแรงจะทำอะไร เขาป่วยหนัก รู้ว่าเป็นอะไร แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้น


“แค่กๆ”  ในขณะที่คิดว่าจะช่างมันเพราะสักพักมันคงจะหายไป แต่ความหงุดหงิดก็ชนะทุกสิ่งและทำให้เขาพาร่างพังๆของตนออกเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านหน้าต่างของห้อง


และก็ได้พบที่มาของเสียงจากรถคันหนึ่งไม่คุ้นตา


“แจง ช่วยไปดูรถคันนั้นให้ผมหน่อยครับ”  เขาไร้เรี่ยวแรงจะลงไปดูเองหรือตะโกนบอก เลยโทรไปบอกผู้ดูแลที่หลังจากให้ดูแลสารินที่นี่ก็จ้างต่อให้ดูแลบ้านเพราะเขาเหนื่อยเกินกว่าจะวางแผนอะไรยุ่งยากในช่วงนี้ ทว่าเจ้าตัวไม่รู้เลยว่าตัวต้นเหตุนั้นจงใจแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง


โอเมก้าสาวนั้นเธอมาดูแถวรถแล้วแต่ไม่เห็นเจ้าของรถ เธอจึงเดินหาเพื่อนของคุณสาเสียทั่วบ้านด้วยร้อนรนใจ ยิ่งเจ้านายโทรมาสั่งพร้อมกับเสียงสัญญาณกันขโมยที่ดังขึ้นเร่งจังหวะการเต้นของหัวใจ แจงก็ยิ่งลนลาน แต่อยู่ๆเสียงของมันก็ดับลง เธอถอนหายใจโล่งอก โดยไม่รู้เลยว่า


ใครบางคนได้ลักลอบเดินเข้าบ้านคนอื่นอย่างไม่เกรงกลัวความผิดใดๆไปเสียแล้ว


ขอบคุณสวรรค์ที่ในที่สุดรถคันนั้นก็หยุดแหกปากได้ ไพร์มเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจว่านั่นมันรถใครเพราะบางทีอาจจะเป็นคนรู้จักของผู้ดูแล เขาทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่มนี่อีกครั้ง ตั้งใจจะหลับใหลเพื่อให้ความฝันพรากความเจ็บปวดทางกายที่กำลังเผชิญออกไป แม้มันจะแค่ฝันตื่นหนึ่ง แต่ก็ส่งผลที่ช่วยเยียวยาได้ระยะสั้นๆ


และเขาคงเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจว่ามีใครสักคนแอบเปิดดูทุกห้องของบ้านหลังนี้และในที่สุดคนๆนั้นก็มาถึงห้องนี้จนได้ ฉันชนกที่ถ้าตั้งใจอะไรก็สำเร็จนั้นเปิดประตูเสียงเบา ทำให้เขาที่ใกล้จะหลับเต็มทนไม่ได้รับรู้อะไรมากมาย ราวกับว่าอะไรจะเกิดก็ช่างมันไป แต่ถ้าได้ลืมตามาสักครั้งเขาอาจจะตะโกนบอกว่าช่างแม่งกับผีสิ!


“หลับสบายเชียวนะ”  ฉันชนกที่ตั้งใจจะกัดคอคนให้ทะลุนั้นรู้สึกคันฟันขึ้นมา ใบหน้าของไพร์มซูบเซียว รู้ได้ทันทีว่าเขาเพิกเฉยการดูแลตัวเองขนาดไหน ไม่ใช่ว่าต้องถ่ายเลือดออกเรื่อยๆหรอกเหรอ ที่เป็นอยู่คงไม่ใช่ว่าทรมานมากมายหรอกนะ


เตียงของเขายวบเพราะใครบางคนเสียมารยาทมานั่ง ทว่าอยู่นานไพร์มก็ไม่ลืมตาขึ้นมา ฉันต้องเขยิบไปหาเพื่อให้มั่นใจว่าเขายังหายใจอยู่จริงๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้ว่าเมื่อครู่ฉันที่แอบมองอยู่จะเห็นเขาเดินมาเปิดหน้าต่างทำหน้ามุ่ยก็ตาม


“อืม..”


“คุณไพร์ม”


“…คุณฉัน”  เขาเรียกชื่อออกมาทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา มันหนักอึ้งไปหมด  “ผมฝันอยู่เหรอ”


“ฝันเฝินที่ไหน ฉันยังไม่ตายจะเอาที่ไหนไปเข้าฝันบอกหวยคุณฮะ!”  ฉันไม่อ่อนโยน จะป่วยหรือไม่ยังไงก็ไม่อ่อนโยน มือบางนั้นตีลงบนต้นแขนคนป่วยให้ตื่นเต็มตา และตอนนี้มันก็กระจ่างใจแล้ว


ถ้าเป็นคนอื่นเขาต้องเรียกคนมาโยนออกไปแน่ๆ


“ทำไม…”


“แล้วทำไมคุณไพร์มถึงหายไป ไหนเราคุยกันว่ายังไง ทำไมทำแบบนี้”


“…”


“ก็รู้หรอกว่าคุณไพร์มโคตรนิสัยไม่ดี แต่ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดไม่รักษาสัญญา ไหนบอกถ้าฉันตื่นมาฉันจะได้กินข้าว”  สรุปคือโกรธเรื่องนี้เหรอ


“คุณฉัน…”


“ฉันไม่ได้มาฟัง มาบ่น! วันหลังถ้าทำไม่ได้ก็บอกตรงๆ นี่โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ห้องหับก็เอาไปให้คนอื่นอยู่ แล้วนี่หนีมาอยู่ที่นี่กับสภาพซีดๆ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกกำลังตรอมใจหรือไง ไม่ใช่นะคุณไพร์มมันตัวร้ายต่างหาก”  และคนที่มาตามตัวที่ว่านี่นางเอกเหรอ ฉันไม่ถูกพิจารณาให้เป็นเช่นนั้นแน่


“คุณฉันต้องการอะไร”


“ต้องการอะไร ถามมาได้!? ฉันยังไม่ตายแล้วอยู่ๆคุณไพร์มก็หายไป ถ้าฉันฉลาดคงคิดได้ว่าคุณไพร์มเห็นว่าฉันหมดประโยชน์แล้วเลยปล่อยลอยแพ แต่นี่โง่ไงเลยนั่งรอทุกวัน จากที่ฉันขับรถไม่ค่อยจะเป็นก็ได้ขับมาถึงนี่!”


“นี่ขับรถมาเองเหรอครับ”


“ถ้าไม่ขับมาเองก็ไม่มีใครเขาอยากให้มาหาคุณไพร์มหรอกนะ ก่อเรื่องอะไรไว้บ้างล่ะ”


“…”


“แล้วจะทำอีกไหม ที่หลอกใช้คนอื่นเขาอย่างนั้น ผลักดันตัวเองโดยการเหยียบชาวบ้านใช้เขาเป็นฐานให้ตัวเองได้ไต่เต้าน่ะ”


“ถึงอยากทำก็ไม่มีแรงทำแล้วล่ะครับ”


“ตอนคุณไพร์มอยู่กับฉันก็ไม่เห็นจะเป็นคนไม่ดีเลย ทำไมไปทำเรื่องแบบนั้นได้ล่ะ”


“เพราะผมไม่ได้ทำทุกอย่างให้ดูไงครับ”  เขาจะไม่บอกหรอกว่าเขานั้นโกหกหลอกลวงอีกฝ่าย เขายอมรับว่าถ้าจะทำก็ทำมันได้ แต่กับฉัน…อะไรบางอย่างบอกกันว่านั่นคือธรรมชาติของเขาที่แสดงออกมา “คุณฉันก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน”


“อืมฉันก็ไม่ทำ และถ้าอะไรที่ฉันทำไม่ดีและรู้สึกว่าไม่ควรทำอีก ฉันก็จะไม่ทำ”  นี่ฉันดั้นด้นมาถึงนี่ทำไม  “แล้วคุณไพร์มล่ะ หยุดทำได้ไหม”


“ตอนนี้ผมไม่รู้เลย”


“คุณไพร์ม”


“ถ้าเป็นแต่ก่อนผมต้องตอบว่าไม่ได้แน่ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มิหนำซ้ำ…ยังกลัวที่จะเปลี่ยนไป” เพราะเขายึดติดกับสิ่งที่เคยเป็นเคยหวังเคยอยากได้ และพอวันหนึ่งมีคนมาชี้ทางให้เห็นว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำหรือควรได้รับ ไพร์มย่อมเกิดความสับสนในใจ และมันมากพอที่จะทำให้เขาไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน


“คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ”  ดวงตาของฉันเป็นประกายแวววาว มันดูสวยงามเรียกร้องให้เขาพูดความจริง และเมื่อเรามองตากันเช่นนี้ มันยิ่งง่ายที่จะถ่ายทอดบางสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำได้ และดวงตาของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทอง  “คุณไพร์มต้องมีฉันนะรู้ไหม”  นี่ก็โมเมเก่ง


“ทำไม” ว่าแต่ทำไมเขาคนนี้จำเป็นต้องไปมีแวมไพร์หัดดูดเลือดอย่างคุณฉันข้างๆด้วย หวังว่าอีกคนจะอธิบายเก่งเช่นกัน


“เพราะคุณไพร์มมีปัญหาด้านสุขภาพและฉันช่วยได้”


“ก่อนเจอคุณฉันผมก็มีวิธีจัดการกับปัญหาทางสุขภาพครับ”


“มันไม่เหมือนกัน” ฉันยังคงเถียงตาใส  “เพราะฉันก็ขาดคุณไพร์มไม่ได้”


“…”


“คุณไพร์มทำให้ฉันเสียนิสัย อยากได้อยากกินไปหมด แถมการมีคุณไพร์มในชีวิตทำให้มีภูมิต้านทานต่อสังคม”


“ผมเคยทำอะไรลงไปกับคุณฉัน จำไม่ได้เหรอครับ”


“ไม่ค่อยอยากจำ แต่พอจะจำได้ ทำให้ฉันเกือบตายจากการถูกเจาะเก็บตัวอย่างที่กระดูกใช่ไหม แต่ฉันเก่ง ไม่ตาย” คาดว่าเพราะเป็นสายพันธุ์แวมไพร์ตาสีม่วงที่มีน้อย แม้จะเป็นลูกครึ่ง แต่ฉันก็ได้รับการถ่ายโอนพันธุกรรมของสายพันธุ์มาดี


“แล้วที่เกือบตายเพราะถูกจับไปล่ะครับ ทำไมไม่จำ”


“ก็คุณไพร์มมาช่วยนี่ และก็ไม่ตายอยู่ดี”


“คนไปช่วยชื่อสนธยาครับ เผื่อคุณฉันไม่รู้”


“พี่สนเล่าให้ฟังหมดแล้ว เขาไปช่วยเพราะเขาจะใช้ฉันเป็นตัวประกันต่างหาก”


“…”


“เห็นไหมว่าพี่สนบางทีก็แย่ๆ ฉันบางทีก็แย่ๆ คุณไพร์มอาจจะแย่หน่อยแต่ไม่ได้ตัวคนเดียวนะ” 


“คุณฉัน” 


ต่อข้างล่าง

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
“เราทุกคนเคยทำเรื่องแย่ๆ แต่ถ้าวันไหนคุณไพร์มคิดว่าจะไปต่อแบบที่ดีขึ้น ฉันก็จะไปด้วย”  ฉันค่อยๆโน้มตัวไปหา  “คุณไพร์มมีสิทธิ์เริ่มต้นใหม่เหมือนทุกคนและถ้าต่อไปจะเจออะไรมันก็เป็นผลของการกระทำในอดีต เราก็แค่ต้องชดใช้มันไป แต่มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำร้ายตัวเองนะ”


“…”


“ให้ฉันช่วยนะ”  เขาเหมือนคนหลงทางและไม่เชื่อใจว่าแสงสว่างข้างหน้าคือสิ่งที่ดีจริงๆหรือเปล่า ภูวนัยอยู่ในโลกที่มืดมนมานานและไม่เคยแยแสแสงสว่างภายนอก เขาดีกว่านี้ได้แต่เขาไม่เคยทำ และการรับความช่วยเหลือจากคนอื่นโดยเฉพาะคนที่เขาเคยหลอกใช้ประโยชน์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในหัวเลย


ฉันชนกจำไม่ได้เลยเหรอว่าเขาเป็นคนสั่งให้เอาเข็มที่ทำจากโลหะที่ใช้ฆ่าแวมไพร์มาแทงบนตัว และจำไม่ได้จริงๆเหรอว่าเป็นเพราะความขัดแย้งของเขา ทำให้เจ้าตัวถูกจับไป


“ถ้าคุณฉันยินดี…” และเขาจำไม่ได้เลยเหรอว่าตนเองพยายามแค่ไหนที่จะออกห่างจากความอ่อนหวานทางความรู้สึกแบบนี้ แต่เพียงคำพูดเดียวของเขา ก็ทำให้ผู้บุกรุกยิ้มหวานและโผเข้ามากอดเอาไว้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้กอดใครอย่างไม่ต้องฝืนใจ นานแค่ไหนที่การสัมผัสกายทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ


ไม่นานเลย เพราะเขาเพิ่งเจอฉันชนกเมื่อเร็วๆนี้เอง


เขี้ยวน้อยของแวมไพร์ค่อยๆงอกออกมา เขาปล่อยให้ฉันชนกจัดท่าทางคร่อมกายและพ่นลมหายใจอุ่นที่ข้างแก้ม ดวงตาของไพร์มหลับพริ้ม เขาค่อยๆซึมซับทุกสิ่งที่อีกฝ่ายจะปรนเปรอหรือเอาไปทั้งหมด “อย่ากินเยอะไปนะครับ”  อย่างไรก็ตามฉันเองก็ไม่ได้ดื่มเลือดมาสักพัก พอๆกับเขาที่ไม่ได้ถ่ายเลือดเลย หากไม่เตือนฉันคงฝืนรับไปจนป่วยไข้ แต่ไม่เป็นไรหรอก เขามีเวลา…มากพอจะดูแล


ความรู้สึกเจ็บที่คุ้นเคยนั้นแทรกซึมส่งผ่านทางต่อมการรับรู้ เขาเผลอเกร็งกายก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายเพื่อให้เจ้าแวมไพร์ที่กกกอดกันทำอะไรๆได้ง่ายขึ้น รับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ข้นคลั่กของตัวเองกำลังหมุนเวียน ฉันชนกไม่ได้หิวโซแต่เพราะขาดมันมาสักพัก อีกฝ่ายจึงไม่พลาดสักหยดที่เขามี


“ช้าๆครับ”  เขาลูบแผ่นหลังบอบบางนั้นช้าๆ ส่งมอบจังหวะผ่านฝ่ามือให้ฉันทำตาม ร่างกายของคนที่อยู่เหนือร่างก็ช่างน่าหลงใหล เขาได้สัมผัสความเนียนลื่นของผิวเนื้อที่ต้นแขนเรื่อยลงมา ก่อนจะสอดมือเข้าไปในร่มผ้าเพื่อสัมผัสแผ่นหลังน่าทะนุถนอม


“อืม” แวมไพร์ตัวน้อยหลุดเสียงครางทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงฝังกับต้นคอของอีกฝ่าย การที่ภูวนัยสัมผัสกันไปทั่วในขณะที่ฉันกำลังลิ้มรสตัวเขาอยู่ มันให้ความรู้สึกที่เกินบรรยายจริงๆ มันดีมากๆ เป็นอรรถรสที่บอกไม่ถูก แต่คิดว่าหลังจากนี้อาจจะเสพย์ติดเข้าแล้วจริงๆ


ใบหน้าน่ารักของเจ้าแวมไพร์ค่อยๆผละออกมา ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มนั้นเหมือนจะยิ่งน่าสัมผัสเมื่อมันถูกย้อมด้วยสีเลือดเป็นจุดๆ มือที่เคยกอดกันนั้นถูกเลื่อนมาวางบนอกเขา ฉันเอาเลือดเขาไปเยอะพอควรเลย ภูวนัยรับรู้ถึงความรู้สึกที่โล่งสบายกว่าเดิม การมาของฉันทำให้โลกที่หนักอึ้งใบนั้นค่อยๆผ่อนคลาย


“…”  ไพร์มเฝ้าถามตัวเอง เขาเหมาะสมจริงๆเหรอ เป็นเขาได้จริงๆเหรอ ไม่ใช่ว่านี่คือเรื่องที่ฟ้าส่งมาโกหกกันเล่นๆใช่ไหม ฉันชนกคือสิ่งล้ำค่าที่เขาที่อ่อนแอมากๆในตอนนี้ไม่คิดว่าตัวเองเหมาะสมหรือคู่ควร


“…”  ไม่มีใครพูดสิ่งใดต่อกัน ฉันชนกจ้องมองมือของเขาที่ยื่นมาหาช้าๆ ก่อนที่นิ้วโป้งของเขาจะบดขยี้ลงบนริมฝีปากที่ยังติดคราบเลือดของตนเบาๆ เราสองคนไม่ใช้เสียงใดในการพูดคุย ทว่าใช้ดวงตาจ้องมองไปยังอีกฝ่ายราวกับว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือสิ่งที่ได้เฝ้าคอยให้มาหากันเนิ่นนาน


ดวงตาของฉันชนกที่เพิ่งจะรับเลือดของเขาค่อยๆเปลี่ยนสี จากสีม่วงไปเป็นสีทอง มันสุกสกาวเหมือนทุกครั้งที่เขาส่องกระจกมองตัวเอง ดวงตาของเขาที่จ้องมองกลับก็เป็นสีเดียว ราวกับว่านี่คือสัญญาณของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นไพร์มที่ทำให้อีกฝ่ายแปดเปื้อนใช่ไหม แล้วทำไมถึงโง่เง่าไม่ยอมหนีไป ยังมีโอกาสอยู่นะหนีไปสิ


ทว่านี่คงเป็นการผลักไสที่ไม่จริงจังที่สุด เพราะแทนที่คนตัวเล็กจะออกห่าง เจ้าตัวกลับค่อยๆเคลื่อนเข้าหาราวกับว่าเรามีแม่เหล็กดึงดูดกันให้เข้ามาจนกระทั่งมันไม่เหลือที่ว่างใดๆแล้ว


เพราะริมฝีปากของเราได้ประกบแนบชิด


หากจะบอกว่าไพร์มเป็นมนุษย์ที่ชั่วร้ายราวกับซาตาน ฉันชนกก็ได้ทำสัญญาทาสกับเขาแล้ว และมันคงยากที่ต่อจากนี้จะปลีกตัวแยกออกไป เพราะเขาคงไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้น ภูวนัยไม่เคยเฝ้ารอหรือพบเจอคนแบบฉัน แต่ถ้าได้ครอบครองกันเขาก็คงไม่ปล่อยไปไหนอีก


ริมฝีปากของเรายังคงบดเบียดคลอเคลียกันอยู่ เขากดจูบลึกซึ้งย้ำๆก่อนจะที่จะมอบจูบที่เนิ่นนานอีกครั้งและพลิกตัวฉันที่คร่อมกันอยู่นั้นให้นอนราบลงไป มือไม้ของเราสัมผัสปัดป่ายกันไปทั่ว ฉันค่อยๆโอบรอบคอเขาไว้เพื่อไม่เปิดให้ผลักไสกันไปไหน ก่อนที่เราจะผละออกมาจ้องตากันอีกครั้งไม่ใช่เพื่อถามความแน่ใจ


“ต้องเป็นแฟนฉันแล้วแหละ”  ถ้าจะจูบจนลืมหายใจขนาดนี้…ภูวนัยยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ออกจากปากส่งไปถึงดวงตา และรอยยิ้มนี้ก็ส่งผลทำให้คนมองตาโต “คุณไพร์ม นั่น!” เขายิ้มจากปากไปถึงตา และดวงตาเขาก็เป็นสีทอง ทว่ายังไม่ได้หลุดพูดอะไรออกมา…


เขาก็จัดการปิดปากเด็กพูดมากด้วยริมฝีปากของเขา…


อีกครั้งและอีกครั้ง เนิ่นนาน…เกินกว่าที่ใครจะใส่ใจนับ





Talk: ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายแน้ววววววววว

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ง้อยากง้อเย็นรู้ตัวไหม
รีบทำข้าวให้ฉันเลยนะ!!
(+_+)
- - - - - -


ฉันชนกที่เพลียหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้นั้นค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา


มันก็เช่นนี้มาโดยตลอดเวลาที่ ‘ลูกครึ่งมนุษย์-แวมไพร์’ เช่นตนดื่มเลือดมากเกินไป แต่มันอร่อย หอมหวาน ใครมันจะไปอดใจได้ แต่เพราะอดไม่ได้นี่แหละถึงทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ไหวนอนซมไปเป็นวันเรื่อยไป กระนั้นเจ้าของเลือดผู้ใจดีก็ช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้


นี่อาจจะเป็นเดิมพันหนึ่งในชีวิต เขาคิดว่าถึงความเป็นไปได้ในอนาคตในหลายๆแบบ และรูปแบบหนึ่งที่ว่าฉันชนกมาติดตามหากันให้เขากลับไปอยู่ด้วยก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถ้าทนคิดถึงไม่ไหวจริงๆ บางทีเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายกลับไปหาเอง ง้องอนให้ฉันชนกกลับมาอยู่ใกล้ๆเช่นกัน


ช่วงที่ไพร์มหายไป เขาท่องเที่ยว เรียนรู้ความรู้สึกของตัวเองในสถานการณ์ที่ต่าง จัดการเรื่องที่เคยทำค้างคาและมองหาความเป็นไปได้ในอนาคตต่อไป มันใช้เวลาสักพักแต่เขาก็โหมทำอย่างบ้าคลั่งและเมื่อกำลังจะหลับตาลงพักเหนื่อย ก็เป็นแวมไพร์ตัวน้อยที่กลับมาวุ่นวายในชีวิตของกันและกันอีกครั้ง


ทั้งแปลกใจและไม่ตกใจว่าตัวเองกลับดีใจเสียอย่างนั้น


หลังจากติดตามจนเจอภารกิจง้อบ้าบอขอฉันก็เป็นไปได้ด้วยดี แม้ไม่อาจจะพูดได้ว่าภูวนัยกอบกู้ความมั่นใจของตัวเองมาได้ แต่เขาก็ยอมเดินต่อไปในเส้นทางที่แตกต่าง และในฐานะคนที่ฉุดเขาขึ้นมา ฉันชนกก็หวังว่าเขาจะเป็นตัวเองที่ดีขึ้นและมีความสุขในเวลาต่อมา


“หิวง่ะ”  ตื่นมาก็หิวเลยให้ตาย ไม่เจอกันพักใหญ่ฉันก็ผอมลงไป แต่พอเจอกันได้ไม่กี่วัน น้ำหนักก็ขึ้นตามมาจนน่ากลัวว่าจะลดไม่ทัน


“ตื่นแล้วเหรอครับ”  ไพร์มที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟานั้นยิ้มให้ ไม่ใช่ว่าเขาตื่นเช้าแต่นี่มันจะเที่ยงแล้ว


ฉันชนกในชุดเสื้อนอนตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นตัวเล็กนั้นเดินหัวยุ่งหน้ายุ่งมาหาเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมเอนตัวลงมาหนุนตัก


เจ้าตัวมีความจริงจังที่จะค้นหาเขาเกินคาด ภูวนัยผิดเองที่ประเมินจอมขี้เกียจอย่างอีกฝ่ายผิดไป ที่เขาไปพักที่บ้านนั้นไม่ใช่ว่าคิดไม่ถึงว่าฉันจะตามเจอ อันที่จริงเขารู้ว่าสารินเพื่อนของอีกฝ่ายต้องบอกแน่ถ้าถูกถาม เลยจงใจเลือกสถานที่ที่ไม่ยากเกินไปเพราะกลัวจอมขี้เกียจท้อเลิกมาต่อว่ากันเสียก่อน


เอาจริงๆต่อให้อยากหนีจากคนที่ทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองไปเท่าไหร่ สุดท้ายก็ยังอยากเจอคนๆนั้นเพื่อให้มาช่วยชี้นำว่าเมื่อสูญเสียตัวตนเก่าๆไปแล้ว เขาควรเดินต่อไปทางไหนอย่างไรกันแน่ ในระหว่างที่หายไป เขาก็คาดหวังอยู่ทุกลมหายใจให้ฉันมาหา มาช่วยเขา ถึงไม่ยอมดูแลตัวเองอย่างจริงๆจังๆสักที


อีกส่วนที่เลือกมาที่นั่นอยู่ดีเพราะความยุ่งยากในชีวิตช่วงนี้ ไพร์มอยากอยู่ในสถานที่ที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายและไม่ต้องการคิดเยอะมากมาย ส่วนเรื่องฉันเขาแค่คิดไว้ว่าอีกฝ่ายอาจจะหงุดหงิดใจ แต่เพราะตัวเองเกือบตายคงไม่ขยันออกมาตามหาคนอย่างเขา ในขณะที่อยากเจอแทบใจจะขาด ก็พยายามที่จะตัดใจด้วยส่วนหนึ่ง


กลายเป็นว่าอีกฝ่ายถึงขั้นขับรถมาเองเลย


“หิว”


“แล้วมานอนหนุนตักแบบนี้จะได้ไปกินไหมครับ”


“งืมมมม”  แต่ขี้เกียจด้วย


“จะกินผมหรือจะกินข้าวกันแน่ เอาดีๆสิ”


“กินคุณไพร์มไปเยอะแล้ว” ฉันคงพูดถึงเรื่องดื่มเลือด


“หมายถึงกินแบบก่อนจะกัดคอต่างหาก”  และมันคือกินแบบที่เราสองคนรู้กัน เพราะทันทีที่นึกออกนั้น ฉันชนกก็หน้าแดงออกมา คงเป็นการกินที่…วาบหวามน่าดู


ยื้อไม่นานก็สามารถพาจอมขี้เกียจลุกมาหาอะไรกินได้ ภูวนัยที่วันนี้ต้องเข้าไปดูร้านตอนบ่ายนั้นเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว เพียงแค่ต้องอุ่นนิดหน่อยก็พร้อมทาน


เขายังคงมีทรัพย์สินส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และอสังหาริมทรัพย์ แต่ถึงเขาจะมีที่มากมายให้ตัวเองได้ไปอยู่อาศัย ทว่ากลับเลือกมาจมอยู่ที่ห้องเล็กๆของคนรักเพราะยังมีอีกหลายอย่างต้องทำแถวนี้ก่อนที่เราจะย้ายไป ใช่…เรากำลังทำบางอย่างไปด้วยกัน


จริงๆในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านพักริมทะเล ภูวนัยก็คิดว่าถ้าเขาพักพอแล้ว บางทีถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็คงกลับมาทำธุรกิจที่นั่น เขามีที่พักสวยๆ และไม่ยากที่จะหาทีมงานดีๆมาต่อยอดธุรกิจบางอย่างที่นี่ ทว่ายังไม่ทันจะพักดี จอมยุ่งก็มาตามกันถึงที่ และในระหว่างที่โดนชวนคุยไปมาเขาก็เผลอเล่าให้ฟังถึงไอเดียนั้น


แวมไพร์ตัวน้อยทำตาวาว ดูท่าเจ้าตัวจะชอบที่นี่เสียเหลือเกิน เอาจริงๆเขาคิดว่าฉันก็คงเบื่อกรุงเทพในระดับหนึ่ง เจ้าตัวจึงยิ่งโน้มน้าวให้เขาทำธุรกิจตรงนี้


แววตาของฉันนั้นเป็นประกายอ่านง่ายเหมือนเด็กๆ แต่เขานั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า ช่างน่าเสียดายที่ไพร์มเป็นคนที่เห็นแก่ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอเห็นว่าฉันดูตื่นเต้นอย่างไร เขาก็เริ่มวางแผนไว้ในหัว


“สรุปคุณฉันพอจะมีคนแนะนำให้มาช่วยผมไหม”


“ไม่มีเลยอ่ะ”


“ทำไมคนดีๆถึงหายากจังนะ อย่างนี้ผมคงไม่ค่อยได้เข้ากรุงเทพแน่เลย”


“…”


“คุณฉันมาหาผมบ่อยๆได้ไหม จะเบื่อแถวนั้นหรือเปล่า มันไม่ค่อยมีอะไร”


“ไม่เลยฉันไม่เบื่อเลย” แต่ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันจริงๆเหรอ พอคิดถึงจุดนี้ก็เริ่มจะกินไม่ลงสักเท่าไหร่ “แต่ฉันถามคนหลายคนแล้ว ยังเจอคนที่ไม่ดีพอจะส่งมาลองสัมภาษณ์งานจริงๆ”


“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็รบกวนคุณฉันแย่แล้ว”  เขาเช็ดคราบเลอะที่มุมปากให้อย่างแผ่วเบา ค่อยๆตะล่อมให้เหยื่อเดินตกหลุมที่ขุดไว้


“ฉันช่วยได้ หรือมีอะไรที่ฉันช่วยได้อีก ให้ฉันช่วยก็ได้”


“…”


“หรือว่าจะลองให้ฉันลางานไปช่วยช่วงแรกๆไหม บริษัทที่ทำอยู่นี่ลาแบบไม่เอาเงินเดือนได้อยู่นะ”


“เกรงใจครับ”


“ไม่ต้องเลยคุณไพร์ม ฉันจะยื่นใบลาแล้ว”  เอาล่ะเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ต่อให้ฉันยังไม่ยอมลาออกจากงาน แต่การมาช่วยเขาชั่วคราวแบบนั้น เขายังสามารถหาทางทำให้ฉันลาออกจากงานนั้นเพื่อมาทำงานนี้ยาวๆได้แน่


ทำไมเขาไม่พูดตรงๆกับอีกฝ่ายไป มันก็เพราะเราเพิ่งจะเริ่มต้นกันอย่างจริงจังเมื่อเร็วๆนี้ ไพร์มคงไม่กล้าขอตรงๆให้ฉันยอมทิ้งปัจจุบันและอนาคตทางการทำงานของตัวเองแบบนั้นมาเพื่อเขา และเพราะมันยังเร็วไป ต่อให้อีกฝ่ายจะดูเด็กและไม่จริงจังแค่ไหน แต่บางมุมก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะคิดให้รอบคอบ


มันดีกว่าที่จะไม่สร้างความลำบากใจให้กันในขณะที่เรากำลังสร้างและประคับประคองความสัมพันธ์เพี้ยนๆนี้ให้เข้ารูปเข้ารอย ถึงฉันจะอยากไปแค่ไหน แต่เราควรจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปเสียก่อน เร่งรัดไป มันอาจจะส่งผลเสียมากกว่า


สำหรับฉันนั้นคาดหวังให้เขาเป็นคนสุดท้ายของชีวิตไหม ไพร์มไม่รู้หรอก แต่สำหรับเขาที่เรื่องเยอะเป็นพิเศษคงไม่อาจจะมองหาคนที่ดีกว่าให้กับตัวเองได้ง่ายๆ หากเสียอีกฝ่ายไป เขาคงได้อยู่คนเดียวอย่างที่เคยหวังไว้จริงๆ


เพราะงั้นสักนิดหนึ่งก็จะพลาดไปไม่ได้ ไพร์มที่เคยเป็นคนมั่นใจในตัวเองกว่านี้คิดไว้เช่นนั้น


“ไปละนะครับ”  หลังจากที่รับประทานอาหาร พูดคุยกันเรื่องโปรเจ็คใหม่กันเสร็จแล้ว ภูวนัยที่จำต้องออกไปประชุมกับทีมงานร้านอาหารในวันหยุดของฉันแบบนี้ก็เอ่ยลา เราสองคนยืนอยู่ที่ประตูห้อง อ้อยอิ่งจนคนมองอาจจะรำคาญ แต่ว่ามันค่อนข้างยากที่จะหยุดการคลอเคลียเอาไว้และเดินจากไป


“ตั้งใจทำงานหาเงินมาเลี้ยงฉันนะ” พูดเหมือนยอมให้เลี้ยงเต็มตัวขนาดนั้นแหละ ไพร์มนึกหมั่นไส้ เขาก้มลงไปกดจูบแรงๆที่ริมฝีปากช่างพูดนั่นเพียงครั้งก่อนจะหอมแก้มนุ่มฟอดใหญ่


“เป็นเด็กดีอยู่บ้านให้กลับมาเลี้ยงนะครับ” ไพร์มกระซิบเบาที่ข้างหู รับรู้ได้ว่าคนฟังกำลังยิ้มกว้างก่อนจะเข้ามากอดกันแน่นเพียงครั้งและผละออกมา


ทั้งนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันชนกที่ไปตามเขาเผื่อฉุดให้กลับมามันดีหรือเปล่า


และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าการที่ไพร์มที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างได้กลับมาสำหรับบางสิ่งนั้นดีหรือไม่


“ฉันรักคุณไพร์มนะ กลับมาเร็วๆ”  บางทีเจ้าแวมไพร์ตัวน้อยอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่พูดคำว่ารักออกมาตรงๆ ทว่าเขาที่จดจำทุกอย่างได้หมดนั้นกลับรู้สึกมากมาย


“ผมรู้ครับ รักฉันเหมือนกันนะ”  เขารู้ รู้ว่าอีกฝ่ายรักและห่วงใยกันแค่ไหน บางทีเขาอาจจะรู้จักอีกฝ่ายมากกว่าที่เคยรู้จักตัวเองทั้งหมดมาก็เป็นได้ คนเราก็มักจะเป็นเช่นนี้ รู้จักคนอื่นกว่าใครแต่ไม่สามารถรู้ใจตนเองจนมันอาจจะสายไปที่จะมาแก้ไขอะไร และทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เคยผิดหวังกับทางเดินใหม่ที่เลือกไว้ ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง


ถึงแม้จะประเมินความเสี่ยงออกมาเป็นภาพหรือตัวเลขไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ที่มันดีต่อใจ การมานั่งคิดหาความน่าจะเป็นใหม่ๆ ก็คงไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่เหมือนกัน


ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้มอบบททดสอบคือแอปเปิ้ลผลหนึ่ง
และในวันนี้ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยรวมถึงพวกเขา...
ที่กัดชิมแอปเปิ้ลต้องห้ามพวกนั้น
อย่างเอร็ดอร่อย…





END


Talk: เรื่องนี้จบแน้ววววววววว
แต่จริงๆมันมีตอนพิเศษอีกห้าเลยทีเดียวละค่ะ มีทั้งตอนของไพร์มฉัน สนสา ทาริคดารัญ และ วธินการันต์ แน่นอนว่าฉากนั้นๆก็จะยกยอดไปอยู่ในตอนพิเศษด้วย
เราเห็นในเม้นท์หลายคนคงคิดว่าสนสาเป็นคู่หลัก555 จริงๆเราไม่มายด์เรื่องคู่รองคู่หลักเลย เราแค่อยากเขียนให้สองคู่นี้มีความต่างกันอย่างชัดเจนในนิยายเรื่องเดียวอยู่แล้ว จำนวนตอนก็ไม่เคยนับและตัวเรื่องที่เข้มข้นกว่าทางฝั่งนั้นจึงอาจจะทำให้ดูเป็นเช่นนั้นซึ่งเราก็ไม่ติดอะไร ก็คงต้องน้อมรับคำติหรือคำชมไว้ณ.ที่นี้
เรื่องนี้อยู่กับเรามานานพอสมควร เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ให้ความรู้สึกว่ายากแต่เราก็รักมากๆนะคะ
เรื่องนี้ทางสนพ.เฮอร์มิทจะมาตีพิมพ์ให้และน่าจะวางขายในปีนี้ อยากเห็นหน้าปกจังเล้ยยยยยย แต่ได้ยินว่าเล่มหนามาก แงงงงงนุขอโทดดดดดดดด
สุดท้ายนี้ ขอบคุณคุณคนอ่านที่ติดตามมาจนถึงวันนี้ ทุกคอมเมนท์ของทุกคนคือกำลังใจที่ทำให้ได้ไปต่อจริงๆ เราหวังว่าในอนาคตทุกคนจะช่วยกันติดตามผลงานของเราต่อๆไปนะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจและข้อเสนอแนะมาณ.ที่นี้ด้วย
และขอฝากตัวไปกับผลงานในอนาคตด้วยนะคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ
@reallyuri


ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
มาเจอเรื่องนี้ช้าไปมากๆๆๆๆโอ๊ยยยดีงามพระรามแปดมากกกกกก ชอบความฉันที่แบบอะไรก็ดูจริงจังแต่ก็ไม่เครียด มันเป็นคาแรกเตอร์ที่แบบไม่ดูงี่เง่าจนเกินไปทำให้เนื้อเรื่องมีความน่ารักและดูผู้ใหญ่ขึ้นไปมาก ส่วนพ่อพระเอกใหญ่ตาทองของเราก็แหมมมนึกว่านายเอกมีความหายจากการติดต่อหลบซ่อน ดีนะฉันแมนพอจะตามถึงที่ 5555555 ส่วนคู่สนสาน่ารักตะมุนะมิดีมากกกกน่าเอ็นดูวววววว จริงๆแอบอยากเห็นน้องแสนดีด้วยนะอยากดูความหลงลูกของพี่สนความเห่อหลานของฉันต้องมาแน่ๆ โอ๊ยยยยดีไปหมดดดตอนพิเศษมาตอนไหนดิฉันก็พร้อมอ่านจ้าาาา  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้จนจบ
เรื่องสนุกมากค่ะ น่ารักมาก
ชอบความน่ารักของฉันกับสา
อยากอ่านตอนพิเศษของสนกับสามาก อยากเห็นเจ้าตัวเล็ก อิอิ

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ

ป.ล.มีบางจุดที่ชื่อฉัน กับ สา สลับกันนะคะ แต่เข้าใจความมึนเวลาเขียนค่ะ 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2019 10:03:41 โดย Rafael »

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
งื้อน่ารักไปหมดดทั้งน้องฉันและน้องสา นิยายสนุกมากค่ะ ชอบomegaverseมากๆเลย ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4: :bye2:

ออฟไลน์ tookta

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-0
ขอบคุณนะคะ สนุกมากอ่านแล้วเพลิน มีให้ลุ้นให้ติดตามว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด