[END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)  (อ่าน 13599 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยาที่กิน  ยาระงับประสาท หรือยาแก้เครียด แหงเลยอ่ะ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 11

 

วันเวลามันผ่านไปเร็วกว่าที่ทุกคนคิด จากงานกีฬาสี เข้าสู่การสอบกลางภาค และในที่สุดพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่วันปัจฉิมนิเทศแล้ว

ปกติปัจฉิมของรุ่นพี่ม.6 จะเป็นช่วงกลางเดือนมีนาคม หรือก็คือหลังจากสอบปลายภาคไม่กี่วันเท่านั้น การเตรียมการอะไรก็ต้องเตรียมแต่เนิ่นๆ พี่เดือนไม่ค่อยมาโรงเรียนเหมือนที่เคยเพราะต้องอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน—ความจริงก็คือครูไม่ได้เข้าสอนแล้วด้วย นักเรียนแทบทุกคนเลยที่จะเลือกอยู่บ้านอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยที่หวังเอาไว้ พี่เดือนบอกว่าเขาไม่ได้รอบพอร์ตของบริหารธุรกิจ แต่ยังดีที่บ้านไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะคิดว่าสอบเข้าโอกาสได้มันเยอะกว่า ด้วยมันสมองระดับพี่เดือนแล้วอ่านไม่นานก็จำได้หมด

ช่วงนี้เองพี่เดือนก็ไม่ค่อยได้คุยกับผมเท่าไหร่นัก ถึงจะได้คุยกันก็ทางโทรศัพท์ที่ผมหลับไปก่อน จะตื่นก็ตอนที่เขาเรียกทางสายนั่นแหละว่าให้ไปนอนบนเตียงดีๆ

ผมเองก็ไล่พี่เดือนเหมือนกันว่าให้ไปนอน แต่เขาก็ทำเป็นหัวเราะแล้วก็ได้ยินเสียงขีดปากกาลงกระดาษต่อ

มันน่าโมโหมั้ยนั่น ไม่เคยฟังจริงๆ

แต่ระหว่างที่พี่เดือนเตรียมสอบ ผมเองก็เตรียมทำของขวัญสำหรับปัจฉิมให้พี่เดือนไปด้วย แถมยังหาข้อมูลเกี่ยวกับภาษาของดอกไม้ที่ผมจะให้พี่เดือน มันต้องเป็นความหมายเรียบๆแต่กลับมีแฝงไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง ผมจึงเลือกที่จะใช้ดอกลิลลี่สีขาว เพราะจากการที่ผมไปค้นหาความหมายของมันมาแล้ว มันน่าจะมีความหมายที่ดีและฟังดูเข้าท่าที่สุด

นทีบ่นให้ฟังว่าช่วงนี้เหนื่อยง่าย ซึ่งนั่นน่าจะมาจากการที่มันต้องซ้อมดนตรีหนักขึ้น ส่วนเพื่อนอีกสองคนนั้นไม่มีภาระอะไรต้องให้ทำมาก และพอบริหารเวลาได้ ตัดกลับมาที่ผมที่ได้รับหน้าที่หัวหน้าชมรมบรรณารักษ์เต็มตัว ยิ่งต้องทำงานและกลับช้ากว่าเดิม คอร์สเรียนพิเศษที่สมัครเอาไว้ก็เลื่อนเวลาไปเรียนอีกนิดหน่อยเพื่อให้ตารางชีวิตสมดุล

เช้าวันปัจฉิมผมรีบตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะเตรียมของใส่ถุงเอาไปรุ่นพี่หลายๆคนที่ผมรู้จัก ฝากแม่ให้พาไปร้านขายดอกไม้ใกล้ๆบ้านเพื่อเลือกดอกไม้สด ไหนจะทั้งทำรูปโพลาลอยด์แยกให้รายคนอีก ทำให้เมื่อคืนผมเกือบไม่ได้นอน ยังดีหน่อยที่กว่าจะปัจฉิมเสร็จก็ปาไปเที่ยงแล้ว นั่นทำให้มีเวลาแอบงีบอีกสักนิดเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

รูป...ดอกไม้ และของขวัญพิเศษสำหรับพี่เดือนที่มันจะออกมาจากใจผม...น่าจะเพียงพออยู่

 

“ห้องพี่เดือนออกมาเป็นห้องสุดท้ายเลย” นทีบอกกับผม “แต่คิดว่าคนน่าจะรุมพี่เดือนเยอะที่สุดด้วย”

“ก็ปกติ คนรู้จักพี่เดือนกันแทบทุกคน คนไหนบ้างล่ะที่ไม่อยากให้ของขวัญพี่เดือนยกเว้นพวกที่หมั่นไส้เขา”

“ก็...พวกคนที่ไม่มีของจะให้แล้ว?” อันนี้ดินตอบกวนอุ้มที่ยืนพูดอยู่ท้ายแถวข้างๆกัน “เฮ้ย! ไม่เอา!”

อุ้มกำลังจะโยนหนอนดอกไม้ตัวเล็กๆที่หลงมาไปทางดิน ดินห้ามเอาไว้ก่อนที่จะได้ยินเสียงตามสายของโรงเรียนประกาศว่ารุ่นพี่ที่เรียนจบปีนี้กำลังจะลงมาจากหอประชุมแล้ว

พวกเรายืนดูรุ่นพี่คนแล้วคนเล่าได้รับของขวัญจากรุ่นน้อง ผมเองก็มียื่นให้รุ่นพี่บางคนที่อยู่ในชมรม พี่รหัส รวมถึงพี่ที่เป็นหนึ่งในสตาฟสี ทุกคนดีใจที่ได้รับของขวัญจากผม ผ่านไปนานเกือบสามสิบนาทีเหมือนกันที่กว่าจะถึงคิวห้องของพี่เดือนที่มาเป็นห้องสุดท้าย นักเรียนโครงการพิเศษทุกคนไม่ค่อยมีใครรู้จักกันมากนักเพราะเก็บตัวเรียนกันมากเสียกว่า แต่ทว่าเด็กที่เป็นรุ่นน้องในโครงการเดียวกันก็จะเล่นใหญ่ให้อะไรที่มันเว่อวัง

ผมว่าพี่เดือนคงจะอยู่คนสุดท้ายเลยนั่นแหละ เพราะคนดูท่าทางใจจ่ดใจจ่อขนาดนี้ อาจจะมองหาคนดังของโรเรียน

“นั่นไงพี่เดือน” นทีสะกิดแขนผม พี่เดือนกำลังรับของจากคนอื่นด้วยความลำบาก ในมือของเขามีทั้งขนม ตุ๊กตา ดอกกุหลาบกับมงกุฎดอกไม้ที่ซื้อได้ตามหน้าโรงเรียน เขาไม่ได้ยิ้มอะไรมาก มันคงเป็นตามมารยาทที่เขาจะไม่ค่อยชอบให้คนที่ไม่รู้จักเข้าหาทันทีนัก

“ดูฝืนๆยังไงไม่รู้เลยนะ”

“พี่เดือนเอาจริงๆก็ไม่อยากอยู่กับคนเยอะๆเท่าไหร่หรอก ที่อยู่ก็จะอยู่เพราะหน้าที่เท่านั้น” ผมบอกเพื่อนตัวเอง “เดี๋ยวรอให้เขามาถึงก่อนดีกว่า ไม่อยากแย่งเข้าไป”

“คิดเหมือนกัน แย่งเข้าไปตอนนี้พี่เดือนไม่รู้แน่ๆว่าของที่ได้นั่นน่ะมาจากคนพิเศษ” ดินแซวผม ทำให้ผมต้องเอามือข้างที่ยังว่างอยู่ตีเข้าไปที่ต้นแขนดังเพลี๊ยะ ก่อนที่จะยืนรอให้พี่เดือนเดินตรงมาทางนี้ดีๆ

พี่เดือนเดินมาเรื่อยๆ ของในมือของเขาล้นออกมาจนเกือบจะหล่นลงไปหลายรอบถ้าไม่ได้เพื่อนช่วยประคอง เขาขอบคุณไปหลายครั้ง ก่อนที่จะสบตากับผมเข้า

“เดือน ไปเลยดิ น้องรออยู่”

ผมได้ยินเพื่อนร่วมห้องของเขาพูดพร้อมกับพยายามดันให้ตัวเขาเข้าหาผม ส่วนเพื่อนของผมเองก็พยายามดันร่างผมให้ไปยืนอยู่ตรงกลางแถวที่เดินลงมาจากหอประชุม กลายเป็นว่าทั้งผมและพี่เดือนโดนผลักออกมาให้ยืนเผชิญหน้ากัน

“...”

“...”

“...คือพี่เดือนครับ...”

“ครับ?” พี่เดือนยิ้มอ่อนให้ สายตาของเขาดูละมุนมากกว่าที่เคยเป็น

“ยินดีด้วยนะครับ...ที่เรียนจบแล้ว” ผมยื่นช่อดอกลิลลี่สีขาวให้เขา พร้อมกับอัลบั้มรูปที่ผมแอบแต่งมาตลอด “นี่ของขวัญจากผม--”

ฟุ่บ

“พี่เดือน!”

“ขอบคุณมากนะ”

พี่เดือนกอดผมกลางแถว ทิ้งของทุกอย่างที่ได้มาจากนักเรียนคนอื่นๆไปกับพื้นท่ามกลางสายตาของคนอื่นนับร้อยที่มองมาทางเดียว เขาไม่สนใจสายตาใครอีกต่อไป มีเพียงความอบอุ่นที่พี่เดือนเขาส่งมาให้ผมเท่านั้น

“...”

“พี่ไม่รู้สึกดีใจที่ได้ของขวัญจากคนอื่นเท่าได้จากกุมภ์เลย” พี่เดือนกอดผมแน่นกว่าเดิม “ความจริงกุมภ์ไม่ต้องให้อะไรพี่ พี่ก็รู้สึกดีใจมากแล้วล่ะ เพราะกุมภ์คือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตนี้แล้ว” เขากระซิบเบาๆพอให้พวกเราสองคนได้ยิน ผละตัวออกจากผม ถือช่อดอกลิลลี่ไว้ตรงอก ไม่สนใจของที่กองอยู่บนพื้น

“ผมดีใจนะที่พี่ชอบ...ถึงมูลค่ามันจะไม่เยอะเท่าของคนอื่นที่พี่ได้ก็เถอะ”

“นี่แหละคือของที่พี่อยากได้” พี่เดือนใช้นิ้วชี้จิ้มจมูกผมเบาๆ “น่ารักที่สุด”

“พี่เดือน...บางทีพี่ก็อย่าลืมนะว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางฝูงคน” ผมบอกเขา หลายคนเริ่มหันไปคุยกันตอนที่พี่เดือนพูดกับผมว่า ‘น่ารักที่สุด’ “รึว่าพี่ไม่แคร์แล้ว?”

“วันสุดท้ายพี่ไม่สนใจแล้วล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ถ้าไม่มีใครเอาไปพูดอะไรเสียๆหายๆนะ” พี่เดือนยักไหล่ “ไปกันเถอะ พี่อยากไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดเป็นวันสุดท้าย”

เขาจับข้อมือของผม ลากวิ่งตรงไปทางห้องสมุดโดยไม่สนว่าจะมีใครเรียกให้ทำอะไร ไม่ต่างจากผมที่วิ่งตามด้วยความงุนงงและสับสนเมื่อผู้คนมากมายกำลังพยายามรั้งผมเอาไว้เพื่อขอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา โชคดีที่เพื่อนผมพยายามช่วยกันกันคนไม่ให้วิ่งตามมามากกว่านี้

เมื่อวิ่งมาถึงที่ห้องสมุด พี่เดือนปิดประตูลงกลอนดังปัง พร้อมกับหอบด้วยรอยยิ้มนิดๆ ช่อดอกลิลลี่สีขาวในมือนั้นไม่ได้มีส่วนเสียหายแต่อย่างใดเพราะเขาปกป้องมันยิ่งกว่าชีวิตอีก “วิ่งหนีคนก็สนุกดีเหมือนกัน”

“พี่เดือนนั่งก่อนนะ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้” พี่เดือนพยักหน้า ก่อนที่ผมจะเดินไปเปิดตู้เย็นของบรรณารักษ์เพื่อเอาน้ำดื่มขวดมาให้พี่เดือนที่นั่งหอบกับโซฟา เขาใช้เวลาสักพักจนลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ “ทำไมพี่เดือนถึงไม่สนสายตาใครแล้วกัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น...”

“เพราะพี่กำลังจะได้หลุดจากกรงนี่แล้วยังไงล่ะ”

“ครับ?”

“กรงขังของโรงเรียนที่ต้องให้พี่รักษาภาพลักษณ์มาตลอด หลังจากนี้พี่ก็จะเป็นอิสระจากส่วนหนึ่งแล้ว” พี่เดือนหัวเราะเบาๆ พลางลูบหัวผมไปด้วยเมื่อผมนั่งข้างๆเขา “พี่จะตามใจตัวเองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การเริ่มต้นใหม่ของพี่จะต้องเริ่มตอนนี้เลย”

“โดยไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไรพี่?”

“ไม่สนใจว่าจะว่าอะไรพี่หรือกุมภ์ในทางเสียหาย ถ้าเมื่อไหร่ที่กุมภ์รู้สึกแย่ พี่จะไม่รักษาหน้าของคนคนนั้นเอาไว้อีก” พี่เดือนหมุนดอกลิลลี่ที่อยู่ในช่อดอกไม้ออกมา “กุมภ์เองก็เข้าใจเลือกดอกไม้ดีนะ”

“พี่รู้ความหมายของมันใช่มั้ย?” ผมถามพี่เดือน เขาแค่ยิ้มให้แล้วก็ยื่นดอกลิลลี่สีขาวนั่นมาให้ผม “พี่เดือน?”

“กุมภ์ให้ดอกลิลลี่สีขาวพี่มาแบบนี้...กุมภ์ก็ต้องรู้ความหมายเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ? ฉะนั้นแล้วกุมภ์ก็รับมันไปด้วยสิ ดอกลิลลี่สีขาวที่มีความหมายออกมาจากใจอย่างนี้” เขาดึงดอกลิลลี่นั่นกลับไปเหมือนคิดอะไรได้

พี่เดือนค่อยๆประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบดอกไม้สีขาว หลับตาพริ้มเพื่อมอบความนุ่มนวลที่สุดราวกับว่าถ้ารุนแรงเพียงนิดเดียวมันจะบอบช้ำ จากนั้นเขาก็ยื่นกลับมาให้กับผม

“ความหมาย...ที่มีเพียงสองเราที่รู้กัน”

 ผมหุบยิ้มไม่อยู่ พี่เดือนเป็นคนที่โรแมนติกกว่าที่ทุกคนจะสามารถคิดได้ เพียงแค่ดอกไม้ดอกเดียวยังทำให้เขินได้ขนาดนี้...ถ้าเกิดว่าเขาทำอะไรที่มันยิ่งกว่า ผมกลัวว่าหัวใจของผมจะเต้นแรงจนรับเอาไว้ไม่อยู่ “ใช่ครับ ความหมายที่มีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้นที่รู้”

แล้วก็เป็นฝ่ายผมบ้างที่รับดอกลิลลี่ดอกเดียวกันมา ประทับรอยจูบลงซ้ำที่เดิมกับที่พี่เดือนได้มอบความเบาบาง ให้มันเป็นเหมือนสัญญาระหว่างเราสองคนว่าจากนี้พวกเราจะอยู่ข้างๆกัน คอยช่วยเหลือกัน และคอยเป็นแหล่งพึ่งพิงยามที่อีกคนกำลังอ่อนแอ ความหมายของดอกลิลลี่สีขาวคือความรักบริสุทธิ์ มันเป็นความรักที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันเป็นความรักที่ไม่ได้หวือหวาหรือยิ่งใหญ่ แต่มันเป็นความรักของคนธรรมดาๆสองคนที่มีให้กัน เป็นรักที่เกิดจากความเป็นตัวของตัวเองที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็น ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เคยเอ่ยบอกกันว่ารักในตัวตนของอีกคน ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เคยพูดขอความสัมพันธ์ที่มากกว่าพี่น้อง

แต่พวกเราก็สามารถรับรู้ในสิ่งที่อีกคนกำลังสื่อถึงได้

“กุมภ์กำลังจะเลื่อนชั้นในเทอมหน้า งานจะหนักขึ้น ทุกอย่างจะลำบากขึ้น ถ้าวันไหนที่ไม่ไหวแล้ว กุมภ์ก็ระบายกับพี่ให้ฟังได้นะ” พี่เดือนดันหัวของผมให้ซุกกับไหล่ของเขา “กุมภ์ก็มีสิทธิที่จะงอแงได้...พี่เองก็จะพยายามเติบโตขึ้นเพื่อให้กุมภ์พึ่งพาได้”

“เท่านี้พี่เดือนก็เติบโตขึ้นมากแล้วนะ” ผมค่อยๆไถตัวไปกับไหล่ของเขา “จากคนที่ไม่เคยพูดถึงความเหนื่อยของตัวเอง...กลายเป็นคนที่รู้ลิมิตตัวเองและพูดว่าตัวเองกำลังต้องการอะไรในตอนนี้ พี่เดือนโตขึ้นมาจริงๆ”

“ชมพี่อย่างนี้เดี๋ยวพี่ก็ตัวลอยหรอก”

“ผมจะรั้งเอาไว้เอง”

“ตัวเล็กๆอย่างนี้เนี่ยนะจะรั้งพี่อยู่? กุมภ์น่าจะลอยไปกับพี่มากกว่า” พี่เดือนหัวเราะพร้อมกับดึงแก้มผมเบาๆไปมาด้วยความเอ็นดู “แต่ถ้าเราลอยไปด้วยกันก็น่าจะดี อยู่ด้วยกันสองคนบนท้องฟ้าตลอดไป”

“พี่เดือนเพ้อเก่งขึ้นด้วย” ผมลุกขึ้นมาจากไหล่ของเขาแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นนอนตักเพื่อให้เห็นโครงหน้าของเขาแทน “แต่น่ารักดี ผมชอบนะ”

“ชมพี่อีกแล้ว ปะ ลอยกันเลยดีกว่า” พี่เดือนจี้เอวผมจนผมหัวเราะแทบจะตกจากตักเขา ดีที่พี่เดือนหยุดมือก่อน ไม่งั้นผมคงขาดใจจากการหัวเราะตาย

ผมพักหายใจ แต่พี่เดือนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆจนผมลุ้นว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ใจหนึ่งผมก็คิดว่าเขาอาจจะจูบกับผม แต่อีกใจก็คิดว่าเขาอาจจะจ้องตาผมเฉยๆ เพราะในตอนนี้พี่เดือนกำลังผมกำลังมองตากันไม่วาง

จุ๊บ

“ตอนนี้เอาเท่านี้ไปก่อนนะ เจ้าเด็กลามก”

“พี่เดือน!” ผมร้องโวยวายเมื่อพี่เดือนจูบลงหน้าผากของผม เขาล้อเลียนผมว่าผมคิดไปในทางลามกทั้งๆที่ความจริงแล้วผมคิดไปแค่ปากประกบปากธรรมดาๆเท่านั้น (ความจริงมันก็เกือบจะสิบแปดบวกแล้วล่ะ) แต่ผมยอมรับเหมือนกันว่าพี่เดือนเวลาจูบนั้นมันนุ่มนวลมากจริงๆ เหมือนเขากำลังรักษาของมีค่าที่สุดให้อยู่กับเขาไปนานๆ ซึ่งผมก็ดีใจมากที่เขาได้มอบความรู้สึกนี้กับผม

พวกเราหยอกเล่นด้วยกันไปอีกสักพักก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆจากข้างนอก ผมกับพี่เดือนต่างคนต่างสะดุ้งเมื่อมีคนมาขัดจังหวะมีความสุข  เขาหัวเสียก่อนที่จะค่อยๆเปิดประตูให้

“สวีทกันจนลืมเพื่อนลืมน้องเลยนะคะ” พี่สายิ้มให้ เธอยืนถือข้าวของที่พี่เดือนทิ้งเอาไว้ตั้งแต่แถวส่งรุ่นพี่เรียนจบอยู่ “ของพี่เดือนเยอะมากๆ สาตามเก็บเกือบไม่หมดเนี่ย ดีนะที่ได้รุ่นน้องในชมรมช่วยกัน ไหนๆก็อยู่ด้วยกันวันสุดท้ายแล้ว พวกเราเลี้ยงฉลองสักหน่อยในนี้สักหน่อยดีมั้ย?”

“แต่มันจะเลอะนะ...”

“อยู่ในห้องนี้ไม่เป็นไรหรอกน่า ครูคุมชมรมพวกเราเองก็อยากเลี้ยงฉลองให้พี่เดือนที่เรียนจบด้วยนะ” พี่สาเร้าพี่เดือนให้คล้อยตาม “กุมภ์เองก็ด้วยใช่มั้ย? อยากเลี้ยงฉลองให้พี่สุดที่รักเหมือนกันเนอะ”

“นั่นสินะครับ ซื้อขนมกับน้ำมากินเลี้ยงในนี้นิดๆหน่อยๆไม่เสียหายหรอกนะ” พี่เดินมาสมทบกับพี่สา “พี่เดือนรออยู่ที่นี่ ผมจะเดินออกไปซื้อขนมมาให้เอง คนเรียนจบแล้วอยู่เฉยๆเถอะ”

“พี่อยากไปด้วย...” พี่เดือนงอแง “พี่เองก็อยากมีส่วนร่วมกับทุกคนจนถึงวันสุดท้ายเหมือนกันนะ...”

ผมกับพี่สาสบตากันก่อนที่จะเป็นฝ่ายพี่สาพยักหน้าให้ “ก็ได้ครับคุณอดีตหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์” ผมจูงมือพี่เดือนให้เดินไปพร้อมๆกัน “หน้าโรงเรียนมีเซเว่น ซื้อของกินนิดๆหน่อยมาจัดปาร์ตี้เล็กๆด้วยกัน”

พี่สาโทรเรียกคนในชมรมให้มาช่วยกันถือขนมคนละนิดๆหน่อยๆ เมื่อเลือกเสร็จแล้วก็ขนกลับมาที่ห้องชมรมบรรณารักษ์ของพวกเรา จัดจานกระดาษ แก้วพลาสติกคนละใบ น้ำแข็งในกระติกที่ยืมมา ซึ่งพี่ผู้ชายในชมรมเล่นใหญ่ซื้อลูกโป่งมาติดกำแพงกับเพดานเพื่อให้มันดูเป็นเหมือนปาร์ตี้มากขึ้นอีกด้วย

“ทุกคน...พี่ขอบคุณมากจริงๆนะที่อยู่มาด้วยกันจนถึงวันนี้ จากนี้ต่อไปพี่อยากให้ทุกคนอยู่ร่วมกันโดยมีความสุข ช่วยเหลือกันและกัน ถ้าวันไหนที่ผมว่างๆผมจะมาแอบๆดูที่ชมรมนะว่ารักกันมากแค่ไหน”

ทุกคนหัวเราะ

“พี่เดือนเองก็อย่าขยันเรียนมากเกินไปจนไม่ไหวล่ะ พวกเราทุกคนเองก็รักพี่เดือน โดยเฉพาะเด็กคนนี้ หัวหน้าชมรมคนใหม่ของเรา” พี่สายกแก้วน้ำขึ้น “พวกเราจะเป็นสมาชิกชมรมบรรณารักษ์ตลอดไป”

“ตลอดไป”

ทุกคนพูดพร้อมกันหลังจากที่พี่สาร้องออกมาเสร็จ หัวเราะไปด้วยกัน แล้วก็หันกลับไปสนใจกับขนมบนโต๊ะต่อ พี่เดือนเดินมาข้างๆผมพร้อมกับแก้วน้ำโค้กที่นานๆเขาถึงได้ดื่มที มืออีกข้างเป็นจานไส้กรอกมินิค็อกเทลราดซอสมะเขือเทศ

“ป้อนพี่หน่อย”

“อ้อนเป็นเด็กอีกแล้ว เอ้า” ผมจิ้มไส้กรอกเข้าปากพี่เดือน เขาเคี้ยวอย่างมีความสุข คนที่หันมาเห็นพอดีพอกันร้องโอดครวญและหมั่นไส้พี่เดือนที่ยักคิ้วให้ ถ้าพี่เดือนไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์อะไรแต่แรก พี่เดือนก็คงกลายเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่มีรุ่นน้องคอยตามไล่กวนประสาท ไม่ก็กลายเป็นฝ่ายกวนประสาทเสียเองแน่ๆ

“พี่อยากอ้อนบ้างนี่นา เดี๋ยวพี่ก็ไม่อยู่อุบลฯแล้วนะ” พี่เดือนว่า “ที่บ้านจะให้พี่ไปเรียนกรุงเทพ จนถึงขั้นซื้อคอนโดเตรียมของเอาไว้ให้พร้อมแล้วด้วย”

“ทั้งที่ยังไม่รู้ผลเนี่ยนะครับว่าพี่เดือนจะได้รึเปล่า?”

“เพราะพวกท่านตั้งมั่นว่าพี่ต้องเข้าไปอยู่ในรั้วมหาลัยนั้นให้ได้ไง ถึงจัดการทุกอย่างเองแบบนั้น ล่าสุดเห็นว่าซื้อตู้หนังสือเตรียมเข้าไปตกแต่งเพิ่มให้...ตู้หนังสือมันก็ดีอยู่หรอก”

 ผมหัวเราะ ความจริงมหาลัยนั้นอาจจะเป็นสถานที่ที่พี่เดือนตั้งใจอยากเข้าแต่แรกแล้วด้วย และด้วยที่ครอบครัวของพี่เดือนเองก็หวังให้ลูกไปเข้าเรียนต่อที่นั่น จึงกดดันทางอ้อมด้วยการซื้อห้องคอนโดใกล้ๆมหาลัยดังให้ ตกแต่งครบทุกอย่างเพื่อย้ำพี่เดือนว่าถ้าไม่เข้าไปอยู่ทุกอย่างจะเสียมูลค่าไปใช่เหตุ

“พี่เดือนอยากไปก็ทำให้ได้สิครับ”

“แต่ว่า...”

“ความฝันของพี่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าพี่ไม่ทำวันนี้แล้วพี่จะทำวันไหนกัน?” ผมยิ้ม พี่เดือนนิ่งไปนิดๆก่อนที่จะเดินหนีไปทางอื่นพร้อมกับบ่นอุบอิบๆ สงสัยเพราะผมตีโดนจุดตายของเขาเลยทำให้เถียงไม่ได้ “พี่เดือนไม่ต้องบ่นเลยครับ ผมรู้นะว่าพี่อยากไปเรียนที่นั่นตั้งนาน ตอนนี้มันก็โอกาสที่ดีแล้วไม่ใช่เหรอ การที่บ้านพี่ซื้อห้องคอนโดเอาไว้ให้พี่ก็อย่าไปคิดว่าเป็นการกดดันแต่เป็นของขวัญล่วงหน้าที่สอบติดให้ดีกว่าเนอะ”

“ของขวัญ?” พี่เดือนหันกลับมา “ที่บ้านพี่ไม่เคยให้ของขวัญอะไรเลย...”

“ผมถึงบอกให้พี่คิดไงว่านี่คือรางวัลความพยายามตัวเอง พ่อแม่พี่ไม่พูดก็ใช่ว่าไม่ทำสักหน่อย?”

หลังจากวันกีฬาสี ผมเองก็พยายามทำความเข้าใจกับครอบครัวพี่เดือนโดยการฟังเรื่องราวที่เขาแบ่งปันมา ผมเยพอจะรู้ๆมาว่าบางทีครอบครัวของเขาไม่ถนัดการพูดออกมาตรงๆ หรือถ้าพูดออกมาตรงๆก็จะทำร้ายจิตใจกันเสียส่วนใหญ่เพราะไม่รู้ว่าจะใช้คำอย่างไร พี่เดือนเองก็เป็นคนคิดมาก ชอบคิดไปก่อนที่จะฟังอะไรให้หมด แถมยังไม่กล้าร้องขออะไรจนกลายเป็นปัญหาบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้

ถ้าพี่เดือนได้คุยกับครอบครัวดีๆ ก็อาจจะเคลียร์กันไม่ยาก

“รางวัล...สินะ” พี่เดือนพึมพำ “ถ้ากุมภ์บอกว่ามันคือรางวัลล่วงหน้าของพี่ พี่ก็จะคิด”

ท่าทีของพี่เดือนดูอารมณ์ดีขึ้นมาอีกหน่อย ผมรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็เปลี่ยนมุมมองเล็กๆของเขาได้

“กลับบ้านไปวันนี้พี่เดือนก็นอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลย ให้สมกับเป็นรางวัลความพยายามตลอดสามปีที่อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ”

“ไม่เอา พี่อยากคุยกับเด็กคนหนึ่งก่อนนอน”

“ผมยังมีงานต้องจัดการนะครับพี่เดือน...”

“สักนิดก็ยังดีน่า...” พี่เดือนอ้อน “พี่อยากนอนหลับฝันดี”

“...”

“นะครับ”

“ก็ได้ครับ” ผมถอนหายใจ “พี่โทรมาตอนสามทุ่มแล้วกัน ให้ผมจัดการอะไรเสร็จให้หมดก่อน”

แล้วอีกวันหนึ่งของพวกเราก็ผ่านไป...


[ต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
กาลเวลาหมุนเวียนกลับมาที่เดือนพฤษภาคมอีกครั้ง ตอนนี้ผมกลายเป็นนักเรียนชั้นม.5 เต็มตัว พี่เดือนกำลังเตรียมตัวย้ายไปพักอยู่ที่กรุงเทพหลังจากที่ได้รับข่าวดีที่สุดนั่นก็คือการที่เขาสอบติดแพทย์ท็อปเท็น ทุกคนร่วมกันแสดงความยินดีกับเขาที่สามารถเดินไปถึงจุดสูงสุดของใครหลายๆคนได้ แต่ผมเองก็รู้ดีว่านี่คือสนามรบแรกของเขา การเรียนแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่าย คนเก่งๆหลายคนเคยยอมแพ้มาแล้ว ผมเองก็กลัวว่าพี่เดือนจะยอมแพ้เหมือนกัน

การทำหน้าที่หัวหน้าชมรมของผมโดยไม่มีพี่เดือนมาช่วยดูนั้นไหลลื่นดีในสัปดาห์แรก และผมเองก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นทีเองก็ยังคงเป็นสมาชิกวงโฟล์คซองค์ สนุกกับการเล่นดนตรีที่ชื่นชอบ พวกเราทุกคนยังไม่ต่างจากตอนปีที่แล้วมากนัก มันผ่านมาเรื่อยๆจนได้ประมาณครึ่งเทอมที่ในคืนวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม พี่เดือนก็โทรมาหาผมตามปกติ แต่ทว่า...

‘พี่เหนื่อย...’

 พี่เดือนโทรมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนเดิม มันไร้ชีวิต เหมือนเขาต้องการอะไรสักอย่างที่สามารถทำให้จิตใจของเขาดีขึ้นได้

แต่นั่นยังเป็นขั้นแรก ต่อๆมา นับวันพี่เดือนก็ยิ่งงอแงมากขึ้นเรื่อยๆ

‘พี่ไม่อยากเรียนแข่งกับคนอื่นๆ’

‘พี่ว่าพี่ทำไม่ได้ดี’

‘คะแนนรอบนี้พี่รู้สึกว่าแย่กว่ารอบที่แล้วอีก’


นั่นคือคำที่พี่เดือนพูดออกมาบ่อยที่สุด มีครั้งหนึ่งที่พี่เดือนน่าจะทนไม่ไหว เขาถึงระบายออกมาด้วยเสียงสั่นๆว่า

‘พี่ไม่อยากเรียนแล้ว...’

พี่เดือนต้องทนความกดดันมากกว่าตอนเรียนมัธยมเยอะ ไม่น่าจะแปลกใจที่เขาจะระเบิดออกมาเป็นน้ำตา สำหรับคณะที่ต้องเรียนหนักอย่างแพทย์นั้นมันเป็นเรื่องที่ปกติถ้าจะท้อบ้าง แต่สำหรับแล้วพี่เดือนไม่ได้เพียงแค่ท้อ เขากำลังจะไม่ไหวจริงๆ

ผมนึกโทษตัวเองที่อายุน้อยกว่า ผมอยากจะอายุเท่าเขา ไปปลอบเขาว่ามันต้องไม่เป็นอะไร อยากให้กำลังใจ อยากเป็นที่พึ่งพิง

พี่เดือนช่วยอดทนอีกนิดนะ...

 

เทอมสองก้าวเข้ามาถึง ผมเหนื่อยกับงานกีฬาสีมาก แต่นั่นก็คงเทียบไม่ได้ถึงครึ่งของพี่เดือนที่สติกำลังจะแตก เขาแทบไม่ได้นอนเลยจากการอ่านหนังสือให้มากกว่าเก่าเท่าที่จะทำได้ หนำซ้ำยังต้องแข่งกับคนนู้นนี่คนนี้เพิ่มขึ้นอีกขั้น เขาบอกว่าหลายคนหักดิบซิ่วรอไปเรียนคณะอื่นเป็นที่เรียบร้อย

เข้าสู่ช่วงกีฬาสี ผมที่กำลังคุมน้องๆสีเดียวกันอยู่ก็ได้ยินข่าวจากคนอื่นมาอีกทีว่าพี่เดือนกำลังมีปัญหาอะไรสักอย่างจากที่ฟังจากพี่ตัวเองมา ผมหวังว่ามันคงไม่ได้ร้ายแรงมากนัก

เย็นนั้นผมกลับไปถาม พี่เดือนก็แค่ตอบปฏิเสธว่าไม่มีอะไรมาเฉยๆ

และในวันสอบกลางภาค ผมได้ยินจากกลุ่มผู้ปกครองที่มารับลูกหลานตัวเองว่านายพีรดลที่เคยอยู่โรงเรียนนี้กำลังจะเตรียมซิ่ว ผมค่อนข้างเชื่อว่าพี่เดือนไม่ซิ่วแพทย์แน่....ถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ที่ผ่านมาผมคุยกับพี่เดือน ท่าทางเขาเหนื่อยขึ้นทุกวันจนเริ่มไม่ใช่ตัวของตัวเองแล้ว

จนกระทั่ง...

“มึง พี่เดือนแกซิ่วหมอเหรอวะ?”

เพื่อนคนหนึ่งในห้องผมถามขึ้นมาเพราะเห็นว่าผมสนิทกับพี่เดือนที่สุด ผมเองก็เพิ่งได้ข่าวมาเมื่อเช้าเหมือนกันว่าพี่เดือนจู่ๆก็ยื่นใบลาออกจากมหาลัยนั้นแล้วก็ไปทำงานพิเศษระหว่างรอสมัครเรียนใหม่แทน นั่นทำให้ทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เดือนกันแน่

“ก็เป็นไปได้ เรียนหมอมันยากจะตาย”

“เฮ้ย แต่นั่นเป็นคณะที่พี่เดือนแกหวังไว้นานแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ความกดดันไง เรียนหมอต้องกดดันเป็นปกติ แต่กูเสียดายแทนพ่อแม่พี่เดือนนิดๆนะ”

เสียดายแทนพ่อแม่...แล้วพ่อแม่พี่เดือนเห็นชอบรึเปล่าที่เขาลาออกจากมหาลัยอย่างนั้น แน่นอนว่าไม่ ถ้าพี่เดือนอธิบายเหตุผลดีๆก็อาจจะพอฟังกันบ้าง แต่นี่ผมไม่รู้รายละเอียดลึกกว่านี้เลยว่าพี่เดือนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน มีเพียงแค่ประวัติการโทรฯและแชทที่คุยกันยืนยันว่าพี่เดือนยังคงใช้ชีวิตอยู่ มีช่วงหนึ่งที่เขาหายไปจนผมเริ่มกระวนกระวายใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขารึเปล่า

ผมตัดสินใจโทรฯหาพี่เดือนทันทีในช่วงกิจกรรมชมรม พี่เดือนรับสายช้ากว่าปกติ

‘กุมภ์’

“พี่เดือนครับ เรื่องที่พี่ลาออกจากคณะแพทย์นั่น...”

‘อืม’

“...”

‘พี่ตัดสินใจดีแล้วล่ะ’ พี่เดือนหัวเราะตามหลัง แต่เสียงดูเหนื่อยเหลือเกิน ‘กุมภ์อย่าพลาดเหมือนพี่แล้วกันนะ’

“แล้วพ่อแม่พี่...”

‘แน่นอนล่ะว่าต้องบินมากรุงเทพกะทันหันเพื่อมาต่อว่า แต่นี่คือสิ่งที่พี่ตัดสินใจแล้วจริงๆ’

“...” ผมรอฟังพี่เดือนพูด

‘พี่เพิ่งเจอสิ่งที่พี่ต้องการจริงๆแล้ว’

“พี่เดือน...”

‘พี่รู้จักคนคนหนึ่งตอนพี่กำลังจะกลับคอนโด เขามาแวะดูส่วนพี่กำลังเดินอยู่แถวนั้น บังเอิญว่าพี่ใจลอยไปหน่อยเลยเดินชนเข้าให้ แต่เขากลับไม่ว่าอะไรแถมยังชวนพี่ไปนั่งเล่นตรงสวนข้างๆหอประชุม เขาบอกว่าจริงๆแล้วเขาก็ไม่ชอบสถานที่คนเยอะๆ ตั้งใจจะมาถ่ายแหล่งน้ำในมหาลัยช่วงกลางคืนมากกว่า’ พี่เดือนว่า เสียงหัวเราะเบาๆของเขาดังขึ้นเป็นระยะ ‘เขาถือกล้องแล้วถ่ายนู่นนี่ไปทั่ว...ทำให้พี่นึกถึงกุมภ์ ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงหรอกที่ยื่นกล้องมาให้พี่ อ้างว่าเห็นพี่กำลังเหม่อมองมาอาจจะอยากลอง’

“แล้วพี่ก็ลอง”

‘อืม รู้รึเปล่าว่าความรู้สึกแรกที่พี่จับกล้องนั่นมันทำให้พี่นึกไปถึงกุมภ์ กุมภ์ก็คงรู้สึกแบบเดียวกันแน่ๆ’

ผมกลืนน้ำลายลงคอ

‘ความรู้สึกที่เรียกว่าตื่นเต้นน่ะ’

ถึงผมจะไม่เห็นหน้าพี่เดือน แต่ผมเดาได้ว่าเขากำลังยิ้มแน่ๆ

‘พี่รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ถ่ายรูป รู้สึกตื่นเต้นที่พี่ได้จับสิ่งที่กุมภ์ชอบ ตอนที่พี่จับกล้องของกุมภ์มันยังไม่รู้สึกเท่านั้นมาก่อน’ เขาพูดต่อ ‘ไม่รู้สิ...มันเหมือนกันว่าหัวใจของพี่มันพองโตขึ้นมายังไงไม่รู้ พี่คิดเล่นๆว่าถ้าเกิดพี่มีกล้องสักตัว เดินทางไปถ่ายรูปทำงานกับกุมภ์ทั่วโลกจะเป็นยังไง? มันคงจะน่าสนุกน่าดู พอคิดอย่างนั้นแล้วพี่ก็ได้คำตอบว่าสิ่งที่พี่ต้องการมาตลอดมันคือสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะใช่สิ่งที่ต้องการ’

“พี่เดือน...ผมดีใจด้วยนะครับที่พี่เจอแล้ว...” น้ำตาของผมซึม ไม่คิดว่าเป็นเพราะผมที่ทำให้เขาเจอสิ่งที่อยากได้มาตลอด

มันเป็นเพียงแค่ความฝันของผม...ที่อยากเดินทางไปทั่วโลกเพื่อถ่ายรูปสถานที่สวยๆเก็บเอาไว้ในความทรงจำ พี่เดือนอยากจะช่วยผมสานความฝันนั้น จนมันกลายเป็นความฝันของเขาไปด้วย

‘พี่อยากเจอโลกกว้างจริงๆ พี่ไม่ได้อยากอยู่แต่ในโรงพยาบาลหรือโรงแรม พี่อยากออกไปเจอโลก...โดยที่มีกุมภ์อยู่ด้วย ถ้าพวกเราสองคนอยู่ด้วยกันล่ะก็...’

“ก็จะช่วยกันสานฝันได้”

พวกเราพูดพร้อมกัน หัวเราะพร้อมๆกัน ก่อนที่พี่เดือนจะขอตัววางสายเพื่อไปทำงานพิเศษต่อ

ผมไม่รู้ว่าพี่เดือนทำงานพิเศษอะไร แต่ถ้าพี่เดือนว่างแล้วไม่อยากกลับบ้านก็คงเหมาะกับเขาดี

เพราะว่าตอนนี้เขาก็คงโดนที่บ้านกดดันไม่น้อยที่ทำเรื่องแบบนี้ออกไปโดยไม่ปรึกษาใครก่อน

 

เมื่อผมขึ้นชั้นม.6 ผมได้ข่าวว่าพี่เดือนเข้ามหาลัยใหม่ในฐานะเด็กนิเทศเอกถ่ายภาพ ทุกคนที่รู้จักพี่เดือนพากันตื่นเต้นที่พี่เดือนเปลี่ยนตัวเองจากว่าที่นายแพทย์มาเป็นว่าที่ช่างภาพแทน ไม่มีคนคิดเลยว่าพี่เดือนจะเบนเข็มมาคนละเส้นทางแบบนี้ หลายคนเองก็ถามพี่เดือนผ่านแชทว่าเพราะอะไรที่ทำให้พี่เดือนเลือกเรียนสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวเองมาตลอด พี่เดือนก็ตอบเพียงแค่ว่าเจอสิ่งที่รักจริงๆแล้ว

ระหว่างที่พี่เดือนกำลังปรับพื้นฐานตัวเอง เขาก็ชอบโทรมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงมีความสุข เผลอๆมันดีกว่าช่วงที่เขาอยู่กับผมที่นี่ด้วยซ้ำ เขาเล่าให้ฟังว่าเจอเพื่อนดีๆ เจอคนดีๆคอยแนะนำเขามากมาย แต่พี่เดือนก็เล่าถึงเรื่องน่าเศร้าให้ฟังด้วยเช่นกัน

‘พี่น่ะ...ตอนนี้ต้องส่งตัวเองเรียนแล้ว’

ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นกับพี่เดือน พ่อแม่ของพี่เดือนพูดประกาศมาว่าจะไม่ส่งพี่เดือนเรียนอีกต่อไปหลังจากที่ทำให้พวกท่านผิดหวัง ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ตัดขาดเรื่องคอนโดที่เขาอยู่ในตอนนี้ ไม่งั้นพี่เดือนต้องเหนื่อยกับการทำงานพิเศษหาเงินเลี้ยงตัวเองมากขึ้นแน่

‘พี่รับงานถ่ายภาพที่พอจะทำได้พร้อมกับทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟ ระหว่างนี้พี่คงต้องกู้เงินยืมเรียนด้วยนั่นแหละนะ’ เขาว่าขำๆ ‘แต่ยอมรับว่าพี่มีความสุขดี เหนื่อยแต่คุ้มค่า’

พี่เดือนเจียดเงินที่เก็บเอาไว้ในบัญชีทั้งชีวิตออกมาซื้อกล้องรุ่นเดียวกันกับที่ผมมีอยู่เพื่อรับงานถ่ายภาพและใช้ในการเรียน มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ทางการเงินเขากำลังต้องเผชิญในตอนนี้ แต่ผมเชื่อว่าพี่เดือนบริหารตัวเองเก่งพอที่จะเอาตัวรอดได้

‘พี่พอจะมีเงินเก็บบ้างแล้ว พี่จะลงทุนซื้อของมาขายออนไลน์นิดๆหน่อยๆ’

พี่เดือนเองก็มีหัวธุรกิจเหมือนกัน ไม่นานนักหลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็เปิดขายสมุดเล่มเล็กๆที่เขาวาดหน้าปกเอง ลายเส้นพี่เดือนถูกใจผู้หญิงมาก เลยได้กำไรกลับมาค่อนข้างเยอะ แถมบางครั้งพี่เดือนก็ลงรูปที่ตัวเองถ่ายเอาไว้เผื่อมีคนติดต่อจ้างวานงานถ่าย เขาน่ากลัวมากเมื่อถึงเวลาที่ต้องเก็บเงินเพื่ออะไร ผมเองยังกลัวเลยว่าอนาคตไปถ้าเขาไปเป็นพ่อค้าคงจะเก็บทุกเม็ด

ส่วนผมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเหมือนเดิม การคุมเด็กๆในชมรมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะพวกที่หัวดื้อ เข้ามาชมรมนี้เพื่อเช็คชื่อแล้วหนีกลับ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลาแวะเข้ามาดูเนื่องจากมีคนดึงผมให้เข้าไปเป็นรองประธานนักเรียน เลยต้องเข้าห้องสภาบ่อยๆ มาดูที่ชมรมอีกทีรุ่นน้องที่ผมให้เป็นเลขาก็บอกว่าสมาชิกหนีกลับไปหมดแล้ว

สมัยพี่เดือนสามารถคุมคนได้ แต่ทำไมผมถึงคุมไม่ได้กัน

ผมเริ่มเข้าใจพี่เดือนในสมัยก่อนแล้วว่าความกดดันที่ได้รับนั้นมันทำให้จิตใจผมแย่ลงเพียงใด บางครั้งพวกเราก็โดนผู้อำนวยการต่อว่าที่ทำหน้าที่ไม่ดีพอ บางครั้งก็มีคนปล่อยข่าวลือเสียๆหายๆว่าสภานักเรียนปีนี้ไม่เคยทำอะไรเลยทั้งๆที่พวกเราพยายามแทบตาย ไหนจะทั้งมีคนฝากความหวังเอาไว้มากมายอีก ยังไม่นับเรื่องการที่ต้องอ่านหนังสือหนักๆเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาลัยดีๆ

 

“พี่กุมภ์...ถ้าพี่ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย พักบ้างเถอะ” มีนา น้องชายของผมพูดขึ้นมากลางโต๊ะม้านั่งช่วงพักเที่ยง น้องผมสอบเข้าที่นี่ และสนิทกับนทีมากจนแทบจะรู้ใจกัน “พี่นทีเองก็เห็นนะครับว่าพี่เหนื่อยมากแค่ไหน”

“อย่างที่น้องว่า มึงกำลังจะไม่ไหวแล้วนะ” นทีค่อยๆประคองตัวผมให้สามารถทรงอยู่ได้

ผมรู้ดีว่าร่างกายของผมถูกใช้งานหนักกว่าที่เคยเป็นจนมันแทบจะรับไม่ไหวแล้ว แต่เพราะมันเป็นหน้าที่ที่ทำให้ผมต้องอดทนกัดฟันทำต่อไปโดยไม่มีสิทธิบ่นมากนัก อย่างที่กำลังโอนเอนอยู่ตอนนี้ก็เป็นแค่เฉพาะต่อหน้าเพื่อนสนิทหรือน้องเท่านั้น

“ไม่เป็นไร กูยังไหว...”

“ไหวบ้าอะไร! ไปๆ ไปงีบหลับก่อนแล้วค่อยเรียน เกิดหน้ามืดเป็นลมอะไรขึ้นมาพี่เดือนรู้เข้าจะผิดหวังในตัวมึงเอานะ”

นั่นสิ...ผมเคยเป็นฝ่ายบอกให้พี่เดือนพักแท้ๆ แต่ตัวเองกลับมาเหนื่อยเหมือนเขาอย่างนี้ พี่เดือนต้องไม่ชอบใจแน่

“...ก็ได้”

และเป็นเพราะพี่เดือน...ที่ยังทำให้ผมรู้สึกมีแรงในการทำงานไปในแต่ละวัน

 

และผมก็เรียนจบมาด้วยสภาพร่างกายทรุดโทรม

ล่าสุดที่ไปตรวจมา หมอบอกผมว่าผมเป็นโรคเครียดและโรคกระเพาะอาหาร ทั้งหมดนั้นเกิดจากการทำร้ายตัวเองล้วนๆ แต่เรื่องที่น่าดีใจอย่างหนึ่งก็คือผมสามารถเข้าไปเรียนคณะนิเทศเอกเดียวกันกับพี่เดือนได้ด้วยผลงานพอร์ท พี่เดือนเมื่อรู้ว่าผมจะกลายมาเป็นรุ่นน้องในคณะเขาก็ดีใจใหญ่พร้อมกับบอกให้ผมมาอยู่ที่คอนโดเดียวกันกับเขาได้ ผมยังลังเลอยู่ว่าจะดีรึเปล่าเพราะนั่นเท่ากับว่าพื้นที่ส่วนตัวของพวกเราทั้งสองคนนั้นจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันทันที แต่จากการตัดสินใจที่ใช้เวลาสักพักผมก็ยอมทำตามพี่เดือนแนะนำ ผมจะไปอยู่คอนโดเดียวกันกับเขาเพื่อลดค่าใช่จ่ายเรื่องหอ แบ่งเบาภาระครอบครัว พ่อแม่พี่เดือนไม่เข้ามายุ่งกับเขาได้สักพักแล้ว เขาจึงไม่กังวลเรื่องที่พวกท่านจะบุกเข้ามาเห็นผมกับพี่เดือนอยู่ด้วยกันแน่นอน

ในขณะเดียวกัน นทีก็ได้มหาลัยเดียวกันกับผม ถึงจะคนละคณะแต่ก็เป็นคณะที่ตึกเรียนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ผมรู้สึกดีที่เพื่อนสนิทคนนี้ก็ยังคงจะได้อยู่ช่วงพึ่งพากันไปอีก อุ้มกับดินสอบติดอีกที่ พวกเราจึงต่างมีเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน มันเป็นช่วงเวลาสามปีที่สั้นก็สั้น ยาวก็ยาวสำหรับมิตรภาพเหล่านี้

ผมเตรียมเก็บข้าวของในห้องชมรมที่เป็นของผมทั้งหมดออก บางชิ้นมันก็มีความทรงจำดีๆฝังเอาไว้ อย่างโซฟาตรงนั้น...ผมกับพี่เดือนเคยนอนตักกันและกัน โต๊ะตัวนั้น...ที่พี่เดือนเคยนั่งพิมพ์งานอยู่ และที่ผมเคยนั่งทำเอกสารอยู่ ชั้นหนังสือเล็กๆที่ผมมักจะเอาของสะสมมาตกแต่งเสมอ กองเอกสารสมาชิกทั้งเก่าและใหม่ที่มีชื่อของพี่เดือนและผมปนกัน ยืนมองไปได้สักพักน้ำตาผมมันก็รื้นขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

ความทรงจำเกี่ยวกับชมรมนี้ตลอดสามปีที่ผ่านมา...มันถือว่าล้ำค่ามากจริงๆ

ผมขนกล่องลังที่เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะเอาไปจริงๆไปไว้ที่หน้าห้องสมุด เหลือเอาไว้เพียงแค่รูปภาพหนึ่งที่ไม่เคยส่งไปถึงพี่เดือน มันเป็นภาพที่เขากำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมุด แสงแดดยามเย็นกำลังส่องลงมากระทบกับตัวเขาพอดี บรรยากาศในรูปดูอบอุ่น มันเป็นหนึ่งในภาพที่ผมแอบถ่ายเอาไว้และไม่คิดจะเอาให้อดีตหัวหน้าชมรมดูเลย

ตัวตนของพี่เดือน...จะอยู่ที่นี่ตลอดไปในฐานะความทรงจำ...เช่นเดียวกับผมที่กลายเป็นอดีตหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์เหมือนกัน

ความรู้สึกของพี่เดือนเวลาเดินออกจากโรงเรียนนี้ในฐานะนักเรียนวัยสุดท้ายมันคงจะเหมือนผม ใจหาย แต่มันคืออีกก้าวที่เราต้องเดินเพื่ออนาคต

 

‘กุมภ์อยู่ที่ไหน?’

“อ่า...ตรงเซเว่นข้างๆลานจอดรถครับ” ผมพูดโต้ตอบกับพี่เดือน เวลาตีห้าครึ่งนี้คนยังไม่เยอะมากนักเพราะผมอยู่ที่สถานีขนส่งของบริษัทรถทัวร์ชื่อดังพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบโต “เห็นผมรึยัง?”

‘ใส่เสื้อคลุมสีขาวรึเปล่า?’

“ใช่ครับ”

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงว่ามีใครกำลังแตะไหล่ผม พอหันกลับไปคนที่เพิ่งคุยเมื่อครู่ก็กำลังส่งยิ้มกว้างให้อยู่

พี่เดือนดูสดใสขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับสองปีก่อน เขามีน้ำมีนวลขึ้น แถมยังน่าจะสูงขึ้นอีกด้วย ไหนจะรูปร่างที่ดูกำยำกว่าเดิม ทำให้ยิ่งเป็นคนดูดีเข้าไปใหญ่ แต่ที่สำคัญในตอนนี้ก็คือผมคิดถึงตัวจริงของเขาเหลือเกินจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา

จากที่เหนื่อยมาตลอด...พอได้อยู่กับคนที่เรารักมันทำให้ผมสามารถเผยด้านอ่อนแอออกมาได้โดยไม่ต้องสนใจอะไร

“อย่าเพิ่งร้องไห้เลย ไปที่รถกันเถอะนะ” พี่เดือนปลอบผม เขาจูงมือให้ผมเดินตามเขาไปที่รถวีออสคันเดิม การที่พี่เดือนยังสามารถไปไหนมาไหนไกลๆได้ก็เป็นเพราะรถของเขาที่ใช้อยู่ แต่ถ้าใกล้ๆเขาก็จะโดยสารรถไปเพื่อความประหยัด

“สองปีนี้พี่เปลี่ยนไปเยอะมากเลยนะ”

“สองปีนี้กุมภ์เองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน”

“...”

“นทีแชทฟ้องพี่ตลอดว่ากุมภ์ฝืนตัวเอง กุมภ์ไม่ค่อยได้กินข้าว ทำงานหนัก แถมยังนอนไม่พอจนเกือบหลับในชั่วโมงเรียนตั้งหลายรอบ มันน่าตีมั้ยนะเด็กคนนี้” พี่เดือนพูดแทงใจดำผมทั้งหมด น้ำเสียงเขาดูโกธรๆ “พี่ไม่ได้โกธรเรื่องที่กุมภ์ฝืนตัวเอง แต่พี่ไม่ชอบที่กุมภ์ไม่บ่นอะไรให้พี่ฟัง พี่เองก็อยากให้กุมภ์ระบายทุกสิ่งออกมาบ้าง”

“ผมขอโทษครับ...”

“...เอาเถอะ แต่ตอนนี้พี่ว่าตัวพี่เองก็เข้มแข็งมากพอแล้ว” พี่เดือนเหยียบคันเร่งออกจากที่จอดรถเมื่อจัดการอะไรเรียบร้อย “มันถึงคราวของพี่แล้วล่ะที่พี่จะต้องเป็นฝ่ายดูแลกุมภ์บ้าง เด็กไม่ดีต้องควบคุม”

“...” ผมหน้าบูดใส่เขานิดหน่อยก่อนที่จะหันออกไปมองถนน “พี่เรียนนิเทศแล้ว...พี่มีความสุขขนาดไหนครับ?”

“ก็มากจนถึงขั้นที่พี่สามารถยิ้มได้แม้ว่าวันนั้นมันจะยากลำบากเท่าไหน”

“...”

“พอมันมีเรื่องความฝันมาเกี่ยวด้วย พี่ก็รู้สึกว่าพี่สามารถทำได้ทุกอย่าง”

“...”

“กุมภ์รู้ตัวเองมั้ยว่าตอนนี้กุมภ์กำลังเป็นแบบพี่อยู่ เป็นกุมภ์ที่เหนื่อยกับทุกสิ่งจนลืมสิ่งสำคัญของตัวเองไป”

น้ำตาของผมเริ่มไหลลงมา นั่นสิ...ผมลืมไปได้ยังไงกันว่าผมเคยเป็นคนที่มีความสุขมากกว่านี้

“กุมภ์ลืมรอยยิ้มของตัวเองนะ” พี่เดือนค่อยๆคลี่ยิ้มออกอีกครั้ง “แต่กุม์ไม่ต้องห่วง”

ผมยังคงสะอื้น พี่เดือนอาศัยจังหวะที่สัญญาณไฟจราจรขึ้นสีแดงยื่นมือเข้ามาลูบหัวผมพร้อมกับกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“เพราะหลังจากนี้...พี่จะทำให้กุมภ์ยิ้มเยอะๆเหมือนอย่างที่กุมภ์เคยทำยังไงล่ะ”


==========


บทหน้าเราจะมาดูมุมมองของพี่เดือนในช่วงเวลาเดียวกันกับกุมภ์ในบทนี้บ้างกันดีกว่า ระหว่างสองปีนี้พี่เดือนเขาอีโวตัวเองนะเออ ในขณะที่กุมภ์เริ่มกดดันตัวเองจากภาระมากขึ้น ทำให้ลืมสิ่งสำคัญอะไรหลายๆอย่างไปอย่างรอยยิ้มที่เขามักจะมีให้คนอื่น แถมบางครั้งถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาห่วงก็จะปากแข็งไม่บ่นด้วย นิสัยนี้ได้มาจากพี่เดือนชัดๆ...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 12

 

= เดือน =

 

ชีวิตใหม่ในรั้วมหาลัยของผมนั้นมันไม่ง่ายเหมือนที่ทุกคนคิดเลย

การเป็นนักศึกษาแพทย์ หมายถึงว่าทุกคนจะมองเห็นพวกคุณเป็นว่าที่คนที่จะมารักษาพวกคุณในอนาคต ความกดดันต่างๆมันก็เริ่มถาโถมเข้ามาอย่างเรื่อยๆ แถมยังต้องขยันมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่าถ้าไม่อยากให้แพ้ใคร มันเป็นเหมือนสนามรบที่นักศึกษาทุกคนต้องแข่งกับตัวเองไม่พอและยังต้องมาแข่งกับคนอื่นอีกด้วย

โชคดีที่คนในคณะของผมคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย เขาชื่อว่าโอม เป็นผู้ชายหน้าตาดีที่มาจากอุบลฯเหมือนกัน รายนั้นบอกว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้หวังอยากให้ตัวเองเป็นอะไร แต่นี่คือความตั้งใจส่วนตัว ในขณะที่ผมนั้นฝ่ายแม่อยากให้ผมเรียนตามที่ท่านต้องการเพื่อมารับช่วงต่อให้เป็นธุรกิจภายในครอบครัว

เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ออกไปตามคำแนะนำของกุมภ์ โอมก็บอกว่ามันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี หรือว่าถ้าไม่ไหวจริงๆก็อย่าฝืนตัวเอง เรียนในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆดีกว่า

ความจริงแล้ว...ผมยังมีความลับที่ยังไม่เคยบอกใครเลยสักคนแม้กระทั่งคนที่ผมไว้ใจที่สุดอย่างกุมภ์นั่นคือก็คือนักเขียนเจ้านามปากกา HiddenShadow คนนั้นคือตัวผมเอง

ผลงานหนังสือเล่มแรกที่ผมได้ออกวางตามร้านนั้นมันมาจากชีวิตของผมเองล้วนๆ จบลงที่การฆ่าตัวตายแม้ว่าตัวผมจริงๆในตอนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่งั้นผมอาจจะไม่ได้เจอกับกุมภ์ ซึ่งหลังจากผมเขียนหนังสือเล่มนั้นจบไป ผมก็ตั้งใจจะเขียนหนังสืออีกเล่มขึ้นมาเพื่อเป็นการระบายความเครียดของตัวเองผ่านตัวอักษร แต่ไม่คิดว่าเมื่อได้มองโลกในอีกแง่หนึ่งผ่านรุ่นน้องที่ผมห่วงที่สุดคนนั้น ก็ทำให้แนวทางการเขียนของผมมันแตกต่างจากเรื่องที่แล้วอย่างสิ้นเชิง

ใครจะไปคิดว่า HiddenShadow จะเขียนงานที่มีโทนสดใสตรงกันข้ามได้ขนาดนี้

ขอบคุณกุมภ์ที่เดินเข้ามาในชีวิต...ที่มอบแสงสว่างให้ และคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆเสมอ

 

“ไหวรึเปล่านั่น”

โอมยื่นขวดน้ำมาให้ผม พวกเราสองคนตัวติดกันตลอดเพราะผมเพิ่งรู้ว่าโอมเองก็อยู่คอนโดห้องข้างๆ ผมส่ายหน้าปฏิเสธไปทั้งที่รู้ตัวดีว่าวันนี้มันค่อนข้างจะกินพลังงานของผม “ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบใจนะ”

“จะว่าไปแล้ววันนี้มันก็เรียนหนักจริงๆนั้นแหละ เรายังเหนื่อยเลย” โอมยิ้มแห้ง “แล้วน้องที่คุยด้วยกันอยู่เป็นยังไงบ้างล่ะ? เคยเล่าให้ฟังไม่ใช่นี่ว่าเป็นหัวหน้าชมรมต่อจากเดือน?”

“อืม ก็เรื่อยๆนะ ขอบคุณที่เขาทำใจเรามีกำลังใจในการเรียน” เมื่อนึกถึงกุมภ์แล้วใจมันก็ชื่อขึ้นมา โอมเข้าใจความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกของผมกับกุมภ์ดี เพียงแต่ผมไม่เคยเล่าให้กุมภ์ฟังว่ามีคนที่รู้เรื่องนี้เพิ่มอีกคน

“เราเองก็อยากจะมีคนที่ทำให้เราหายเหนื่อยอย่างนี้บ้างจัง แค่พ่อแม่มันไม่พอหรอก...แต่เรียนหมอนี่ก็ไม่มีเวลาจะขยับไปไหนแล้วนี่สิ”

นี่ขนาดแค่ปีหนึ่งยังโทรมกันขนาดนี้ บางคนก็ทนไม่ไหวตั้งแต่สัปดาห์แรกด้วยซ้ำ ถ้ายิ่งชั้นปีสูงๆนี่ยิ่งไม่อยากพูดถึงสภาพเลยว่าจะเหลือเค้าความเป็นมนุษย์กี่คน ซึ่งคนที่ตั้งใจจะเรียนสายนี้คงต้องทำใจมาสักพักแล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ไม่ใช่เรียนเอาเพื่อเท่อย่างเดียว อาชีพแพทย์นั้นมันต้องแบกรับภาระ ต้องเป็นที่พึ่งได้ไม่ว่าจะเวลาไหน มาคิดๆดูแล้วผมเองก็อดนับถือแม่ตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่ต้องสละตัวเองเพื่ออาชีพนี้ พอได้มองข้ามสิ่งที่เคยเกิดขึ้น บางในฐานะผู้ใหญ่ที่ทำงานคนหนึ่ง แม่ของผมเองก็เป็นคนที่ทำเพื่อส่วนรวมจริงๆ ท่านไม่ได้บ่นว่ารำคาญคนป่วยหรืออะไรให้ผมได้ยิน

ตัวผมเองพอยิ่งได้เข้าสังคมอะไรมากขึ้น เริ่มทำความรู้จักอะไรมากขึ้น ผมก็เห็นสิ่งต่างๆมากขึ้น มันเป็นเพียงเพราะความน้อยใจและไม่เข้าใจของผมเองที่ปิดกั้นอะไรหลายๆอย่างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ

โอมชวนผมไปนั่งกินข้าวที่ตึกคณะนิเทศที่เขาว่ากันว่าอาหารอร่อยที่สุด ผมเลือกสั่งเมนูธรรมดายอดนิยมอย่างผัดกระเพราหมูมานั่งที่โต๊ะในมุมหนึ่ง โอมเองก็มีท่าทางว่าจะชอบกับข้าวที่ตึกคณะนี้มากด้วย หรือเป็นเพราะพวกเราคุ้นชินกับอาหารของคณะตัวเองก็ไม่รู้ คณะของพวกผมเน้นอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อสร้างสุขลักษณะที่ดี แต่มันก็แลกกับว่าอาหารเกือบทุกชนิดนั้นจะรสค่อนข้างจืด

ผมนั่งตักข้าวไปได้สักพักก็เห็นกลุ่มคนเดินผ่านมา พวกเขาถือกล้องหลายแบบหลายเลนส์ ผมนึกถึงกุมภ์ที่ชอบถือกล้อง ตั้งแต่ครั้งที่กุมภ์พาผมไปใช้กล้องวันนั้น...ก็นานมามากแล้ว ผมเองก็อยากลองจับมันอีกครั้งเหมือนกัน...

“เหม่ออะไรขนาดนั้นเชียว เห็นเด็กนิเทศถือกล้องมาแล้วอยากลองเล่นบ้างเหรอ?”

โอมสะกิดผมเข้าที่มือที่ว่างอยู่ มองผมด้วยสายตาสงสัยสลับกับกลุ่มคนที่เพิ่งเดินผ่านไป

“อ่า...กล้องก็ดูน่าสนุกนะ นิเทศเองก็มีเรียนอะไรหลายๆอย่าง ถ้าสมมุติว่าเราชอบอะไรพวกนี้คงสนุกน่าดู”

สนุก...อย่างนั้นเหรอ?

นั่นสิ ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมสนุกกับชีวิตตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เจอกุมภ์ตัวเป็นๆล่าสุด? ได้เที่ยวด้วยกันกับกุมภ์ก่อนที่จะมาที่นี่? แต่ที่สำคัญก็คือผมจำไม่ได้ว่าความสนุกนั้นมันเป็นอย่างไร

“จริงสิ วันนี้ไปที่ห้องเรามั้ย? เรามีกีตาร์อยู่ เอามาเล่นคลายเครียดรอรับเรื่องของวันพรุ่งนี้ดีกว่า” โอมเสนอมา ดนตรีเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ แต่ถ้าได้ลองมันก็... “เดือนเล่นดนตรีเป็นมั้ย?”

ผมส่ายหน้า

“โห...นี่ไม่เคยทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือเลยเหรอ? ทำไมทำร้ายตัวเองตั้งแต่เด็กกัน” เขาบ่นอุบ “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ยังไม่เจอคำตอบแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอคำตอบเลย”

“คำตอบ?”

“คำตอบที่จะมาไขคำถามของเดือนไงว่าท้ายที่สุดแล้วน่ะ...” โอมชี้นิ้วมาที่หน้าอกข้างซ้ายของผม “หัวใจกำลังเรียกร้องอะไร”

“...”

“เราชอบดนตรี ชอบวาดรูป แต่มาถามหัวใจแล้ว จู่ๆมันก็รู้สึกว่าเต้นตึกตักทันทีเมื่อพูดถึงหมอ นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ” โอมอธิบายให้ผมฟังเมื่อผมเผลอหลุดทำหน้าไม่เข้าใจไป “สิ่งที่เราชอบกับสิ่งที่เราเป็น...บางทีมันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกันเสมอไป เราชอบอะไรแต่ถ้าเราทำตามความชอบนั้น บางทีมันจะทำให้เราเกลียดมันไปตลอดชีวิตจากการที่รับภาระหนักหรือทำได้ไม่ดีเท่าเก่า ต่างจากสิ่งที่เราเป็น เราจะเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เราจะพัฒนาตลอดเวลา และเมื่อถึงวันนั้นเราจะรู้ตัวว่าเรากำลังสนุกกับสิ่งๆนี้อยู่แม้ว่ามันจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม”

ผมคิดตามโอม ผมไม่มีความชอบ ผมทำตามความต้องการของพ่อแม่

“ถ้าคิดตามไม่ทัน เอาอย่างนี้ก็ได้ สมมุติว่าเดือนชอบทำอาหาร เลยเรียนอาหาร จบไปก็ทำอาหาร มันก็วนลูปอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ สักวันเดือนก็จะถามตัวเองแน่ๆว่าเรายังมีความสุขกับมันอยู่รึเปล่า มันเหมือนกับการที่เราฟังเพลงที่เราชอบ เปิดวนอยู่อย่างนั้นจนร้องได้ทุกท่อน แต่สักวันเราจะต้องเบื่อมัน ดังนั้นแล้วเราเลยเลือกที่จะเรียนในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราชอบเพื่อให้เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา ใช่ว่าเราจะละทิ้งดนตรีไปเลย เรายังเล่น แต่เราเล่นเพราะชอบไม่ใช่เล่นเพราะจะเอาไปเป็นอาชีพ

“เดือนอาจจะยังคิดว่าเรียนหมอเพื่อสร้างความสบายใจให้ตัวเอง หลอกตัวเองว่าชอบเพื่อไม่ให้ใครผิดหวังจนลืมถามตัวเองจริงๆว่าเราอยากได้อะไร บางครั้งการที่เราอยากทำบางอย่างที่มันตรงข้ามกับตัวเองนั้นก็เพื่อใครบางคนนะ”

เพื่อใคร...บางคน?

นั่นสิ ผมเรียนหมอเพื่อพ่อแม่ แต่พอย้อนกลับมาดูจริงแล้วผมเองก็สงสัยว่าจริงๆแล้วพวกท่านเคยอยากให้ผมทำเพื่อพวกเขารึเปล่า มันฟังดูคล้ายๆกันแต่มันมีความแตกต่างกันอยู่ บางทีอาจจะเพื่อสานต่อโรงพยาบาลนี้ให้เป็นของตระกูลผมไปตลอด บางทีอาจจะเพราะต้องการให้ชื่อเสียงของมันโด่งดังจนเป็นที่รู้จัก

...พวกเขาก็แค่ให้ผมเรียนไปแล้วย้อนกลับมาสานต่อโรงพยาบาลเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น ไม่ได้เพื่อตัวพวกท่านหรือตัวผมเลยสักนิด

มันเป็นสิ่งที่ทั้งขาวและดำในตัว พวกท่านไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงส่วนตัว แต่พวกท่านทำเพื่อให้โรงพยาบาลมีชื่อและได้รับการยอมรับว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำซึ่งส่งผลให้มีคนไว้วางใจเข้ารับการรักษามากกว่าเก่าและนั่นคือสิ่งที่จะทำให้ครอบครัวของเรามั่งคั่งไปอีกนาน

หรือง่ายๆก็คือพวกท่านเห็นเม็ดเงินเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต

มันก็ใช่ว่าไม่จริง แต่มันให้ความรู้สึกว่าถ้าไม่มีเงิน อะไรๆก็จะลำบากมากขึ้นไปอีก ผมเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่มีเงินจำกัด แต่ผมเองก็ไม่เคยใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือยเพราะมันไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่

 

เย็นวันนั้นหลังจากเลิกเรียน ผมก็ตรงไปที่ร้านกาแฟในมหาลัยเพื่อซื้อเครื่องดื่ม เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงตัวเล็กชื่อว่าพี่ใบบัว บางครั้งก็จะใจดีแบ่งคุกกี้สูตรเฉพาะของร้านมาให้ผมพร้อมกับกาแฟด้วยเลย

“เห็นว่าเหนื่อยๆ คุกกี้สมุนไพรจะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นได้นะ”

ผมว่าสังคมมหาลัยของผมค่อนข้างจะดีกว่าสมัยมัธยม ผมได้รู้จัก ได้พูดคุยกับผู้คนมากขึ้น ได้ทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ และที่สำคัญก็คือทุกคนแล้วล้วนแต่บอกให้ผมไม่แบกรับภาระตัวเองจนเกินไป

แม้แต่พนักงานในร้านยังสังเกตเห็นผมเลยว่าผมเหนื่อยแค่ไหน

“อยากลองเล่นกล้องดูเหรอ?”

พนักงานผู้ชายชื่อว่าศึกถามผม เขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างใหญ่ เรียนอยู่วิศวกรรมปีเดียวกันกับผม ตอนแรกยังตกใจที่เขาขึ้นกูๆมึงๆใส่ตั้งแต่เจอแรกพบ แต่เอาไปเอามาผมก็เริ่มชินและได้ใช้กับเพื่อนคนนี้บ้าง

“ก็ไม่เชิง มันทำให้นึกถึงน้องที่อุบลฯมากกว่า”

“แสดงว่าพิเศษล่ะสิถึงได้นึกถึง ไม่ลองซื้อมาเล่นดูบ้างวะ บ้านมึงก็มีเงินอยู่” ศึกเท้าสะเอว “ซื้อมาแล้ววัดดวงไปเลยว่าอยากเล่นกล้องเพราะอะไรหรือเพราะใคร ถ้าซื้อมาแล้วแป๊บๆเบื่อค่อยขายมือสองไปก็ไม่เสียหายนี่นา”

“ซื้อน่ะมันซื้อได้ แต่กูไม่มีเวลาจะมาเดินถ่ายรูปหรอก” ผมถอนหายใจ ศึกเองก็ยังคงยืนค้ำหัวผมไม่ยอมไปรับออเดอร์ลูกค้า “มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าเรียนหมอมันแทบไม่มีเวลาเดินไปไหน”

“แต่ถ้ามึงเจียดเวลามาแบ่งให้กับความสุขตัวเองบ้างมันก็ไม่เสียหายนี่หว่า ไม่ต้องอ่านมันตลอดทั้งวันทั้งคืน ให้สมองมันได้พักบ้าง”

“...”

“ทุกคนเขาเป็นห่วงมึง มึงชอบทำร้ายตัวเองจนชาวบ้านไม่อยากเห็นมึงทรมานนะเว้ย”

เมื่อกลับมาถึงห้องพักในคอนโด ผมก็กระโดดขึ้นเตียงทันทีโดยไม่ได้อาบน้ำหรืออะไร นอนคิดอยู่อย่างนั้นว่าจริงๆแล้วผมกำลังหลอกตัวเองอยู่ใช่รึเปล่าว่าไหว? หรือมันเป็นแค่คำพูดที่ให้ความหวังลมๆแล้งๆกับคนอื่น? จังหวะที่ใจกำลังจะเหม่อลอย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน

‘พี่เดือนครับ กินข้าวรึยัง?’

กุมภ์...เด็กคนนี้คอยโทรฯมาถามผมเสมอว่าได้กินข้าวหรือกินอะไรรองท้องบ้างรึเปล่า เขาเอาใจใส่ผมมากกว่าพ่อแม่แท้ๆเสียอีก นี่คือหนึ่งในคนที่ทำให้ผมต้องมานั่งคิดคำตอบของหัวใจของผมอยู่ทุกวัน

ผมทำเพื่อเขามั้ย? ผมมีความสุขเพื่อเขามั้ย?

บางครั้ง...ผมก็งอแงให้เขาฟัง เขาก็ปลอบใจผม แต่มันไม่เท่ากับการได้เห็นตัวจริง การได้สัมผัสกับตัวจริง การพูดเฉยๆมันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ผมอยากเจอเขา ผมอยากอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง กุมภ์เป็นคนที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อมากที่สุด

“ยังไม่ได้กิน...”

‘ไม่ได้นะครับ พี่ต้องกินอะไรบ้าง ไม่งั้นร่างกายพี่ไม่ไหวแน่’

“รู้แล้วครับๆ เดี๋ยวพี่จะไปหาอะไรมากินแล้ว” ผมโกหกเขา ผมเหนื่อยเกินกว่าที่จะไปข้างนอกเพื่อซื้ออะไรกิน “ดูแลตัวเองด้วยนะ เห็นว่างานหนักไม่ใช่เหรอ?”

‘อ่า...ก็นิดหน่อยครับ ผมพอทนไหวอยู่ อาจจะเพราะยังปรับตัวตามไม่ทัน’

กุมภ์เป็นคนเก่ง ผมเชื่อว่าเขาสามารถทำได้

“พยายามเข้านะ”

‘ครับ พี่เดือนเองก็เหมือนกันนะ’

นี่คือสิ่งที่พวกเราพูดให้กันในแต่ละวัน คงเป็นคำว่าพยายามเข้าของกุมภ์ที่ทำให้รู้สึกว่ามีแรงขึ้นมากอีกนิดหน่อย ผมจะทำให้น้องผิดหวังในตัวผมไม่ได้เด็ดขาด

 

แต่แล้วในวันหนึ่งของเทอมที่สองมันก็ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป

 

ผมกำลังเหนื่อยกับการเรียน เหนื่อยจนผมร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวทั้งวัน มันหนักหนาเกินกว่าที่ผมจะทนเอาไว้ได้แล้ว ผมพยายามหลอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถหลอกได้อีกต่อไป

ผมเดินเล่นในมหาลัยช่วงเลิกเรียนซึ่งวันนี้เลิกค่ำแถวๆข้างตึก ไม่รู้ว่าผมเหม่อหรืออะไรที่ทำให้เดินชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวสูงพอๆกันกับผม เขาสวมหมวกสีดำกับเสื้อคลุมสีขาว ถือกล้องถ่ายรูปมาด้วย ถ้าเกิดว่าเมื่อกี๊ชนแรงกว่านี้มีหวังเลนส์แตกแน่ๆ

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ผมเองก็ขอโทษเหมือนกันนะครับ เหม่อไปนิด” ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา “คุณเป็นนักศึกษาที่นี่นี่นา ผมขอถามทางได้รึเปล่าครับ?”

“ได้ครับ”

“คือว่าผมจะไปสระน้ำของมหาลัย แต่ผมหาไม่เจอสักที...”

“อ๋อ ถ้าเป็นสระน้ำเดินตรงไปอีกสักหน่อยเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ” ผมพยายามยิ้มตอบเขาทั้งที่ตัวเองยกยิ้มไม่ไหวแล้วก็ตาม “ผมพาไปก็ได้นะครับ”

“ขอบคุณมากนะครับ”

ระหว่างที่ผมพาเขาไปที่สระน้ำ ผมก็ถามเขาอีกรอบ “ทำไมถึงไปที่สระน้ำครับ?”

“พอดีว่าผมอยากถ่ายบรรยากาศริมน้ำของมหาลัยแห่งนี้น่ะครับ ต้องเป็นช่วงกลางคืนด้วย ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะเจอหิ่งห้อยบินมา”

“หิ่งห้อย?”

“อ๋อ ผมได้ยินจากนักศึกษามาว่าบางทีตอนกลางคืนสระน้ำตรงนั้นจะมีหิ่งห้อยออกมาบินด้วย น่าแปลกใจนะครับที่มีพวกมันอยู่ในตัวเมืองอย่างนี้” เขาหัวเราะ “ผมรักการถ่ายภาพธรรมชาติ มันทำให้ผมรู้สึกว่านี่แหละคือตัวของผม ยิ่งได้เห็นสัตว์ดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่แบบนี้ยิ่งรู้สึกรักเข้าไปอีก”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อมาถึงสระน้ำแล้วเขาก็ยืนถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ส่วนผมเองก็นั่งดูเขาถ่ายอยู่กับเก้าอี้ พื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างจะเปลี่ยว ผมกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาแล้วจะมีคนช่วยเขาไม่ทันเอา

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรชายคนนั้นถึงเดินตรงเข้ามาทางผม

“เห็นจ้องผมนานแล้ว หรือว่าสนใจกล้องเหรอครับ?”

“ไม่ครับคือ--”

“จ้องตาเป็นประกายขนาดนั้น”

“...” สายตาของผมเนี่ยนะ...เป็นประกาย?

“ผมไม่หวงกล้องผมครับ ลองดูก็ไม่เสียหาย เกิดว่าสนใจขึ้นมาจริงๆแล้วก็มาเรียนเอกเดียวกันกับที่ผมจบมาได้นะ ผมเองก็อยากมีคนรู้จักเล่นกล้องเหมือนกัน” เขาหัวเราะ ยื่นกล้องมาให้ผม “เคยจับกล้องมารึเปล่าครับ?”

“เคยครับ ปีที่แล้วกับน้องคนหนึ่ง”

“แสดงว่าน้องคนนั้นอาจจะทำให้จุดความสนใจของเราเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้”

“...”

“มาลองดูสิ”

ผมรับกล้องมาจากเขา เขาบอกว่าให้ผมลองซูมดูนั่นนี่ไปก่อนแล้วเขาก็มานั่งแทนผม ปล่อยให้ตัวผมนั้นยืนเคว้งกับกล้องที่ไม่ใช่ของตัวเองอยู่

จู่ๆก็มีหิ่งห้อยบินเข้ามาเกาะที่ใบหน้าใกล้ๆ ผมไม่คิดว่าจะเจอหิ่งห้อยที่เขาว่ามาจริงๆเลยเดินตามมันไปถึงจุดๆหนึ่งที่เห็นหิ่งห้อยอีกหลายตัวกำลังช่วยกันเปล่งแสงออกมา ในวินาทีนั้นมันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มือที่ถือกล้องอยู่นั้นเริ่มสั่นระริกราวกับว่าถ้าผมไม่รีบถ่ายมันเอาไว้ ผมจะพลาดมันไปตลอดชีวิตอย่างนั้น

หรือว่าจริงๆแล้ว...

ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อในที่สุดผมนั้นก็รู้สักทีว่าผมต้องการอะไร

โลก...ที่ผมอยากเห็นผ่านเลนส์กล้อง

ผมไม่รู้ว่าใช้เวลากับกล้องตัวนี้ไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งหิงห้อยพวกนั้นบินหายไปหมดผมถึงได้เดินกลับมาที่เดิมพร้อมกับรูปที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลองของผม ผู้ชายคนเดิมยังคงนั่งอยู่กับม้านั่ง เขามองผม ผมมองเขา แล้วเขาก็ปรบมือให้

“ยินดีด้วยนะ...ที่เจอกับสิ่งที่เป็นตัวเองเสียที”

 

“จะลาออกเหรอ?” โอมถามผมขึ้นมาเมื่อวันนี้ผมมานั่งอยู่ในห้องกับเขา “คิดดีแล้วใช่มั้ย? แน่ใจนะว่ามันจะไม่มีอะไรมากระทบความตั้งใจนั่น?”

“อืม คิดดีแล้ว อยู่ต่อไปก็ไม่มีความสุข แถมยังฝืนตัวเองเปล่าๆ เราเลยจะลาออกแล้วเตรียมตัวเข้านิเทศแทน”

“โอ้ อยากเป็นเด็กนิเทศจริงๆด้วยสินะ ดีแล้วๆ หน้าตาดีๆแบบนี้มาเรียนหมอให้มันโทรมเสียดายออก” เขาเดินไปที่ตู้เย็น หยิบกระป๋องน้ำผลไม้ออกมาแล้วเปิดกระป๋องยื่นให้ผม “เพื่ออนาคตเด็กถ่ายภาพ”

“ฮึฮึ เพื่ออนาคต” ผมตอบรับ น้ำกระป๋องมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกว่านี่คืองานฉลองสักเท่าไหร่

“แล้วเรื่องที่บ้าน...”

“เราจะบอกหลังจากลาออกแล้ว ไม่งั้นคงมีค้านแน่” ผมตัดสินใจด้วยตัวเองทุกอย่าง มันถึงเวลาที่ผมต้องบินออกจากกรงนี่เสียที ผมไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่ากรอบอีกต่อไป

มีเพียงท้องฟ้ากว้างเท่านั้น...ที่ผมต้องการ

“มันจะดีเหรอ...”

“ถ้าตัดสินใจแล้ว...ก็พุ่งชนมันเข้าไปเลยดีกว่า”

“...”

“ไม่ได้อยากเป็นเดือนคนที่ลังเลหรือไม่กล้าทำอะไรนอกกรอบแล้วล่ะ”

 

หลังจากที่ผมลาออกจากมหาลัยมาได้หนึ่งอาทิตย์ พ่อกับแม่ผมที่รู้ข่าวก็รีบบินตรงมาที่นี่แล้วก็ตบเข้าที่หน้าของผมจนหันไปข้างหนึ่ง

“แกทำอะไรโง่ๆลงไปกัน!”

“...มันคือชีวิตของผมครับแม่” ผมหันกลับมา แม่ของผมมีใบหน้าขึ้นสีแดงจากอารมณ์โกธรจัด ส่วนพ่อกำลังยืนกอดอกไม่แสดงออกอะไร “ผมไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ ผมไม่ได้อยากจะเป็นหมดตามแม่ ไม่ได้อยากดูแลโรงแรมเหมือนพ่อ แต่ผมอยากเดินทางไปทั่วโลก ไปทั่วโลกเพื่อเก็บความทรงจำต่างๆในกล้อง”

“นี่แกไปสนใจเรื่องไร้สาระแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน! กล้องอะไรนั่นมันไร้ประโยชน์สำหรับแก!”

“มันไม่ไร้ประโยชน์ครับแม่”

“...”

“ที่ผ่านมาผมไม่เคยมีความสุขเลยกับการที่ต้องทำอะไรตามใจพ่อกับแม่ ผมเองก็อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง ไม่ได้อยากจะอยู่กับความทุกข์แบบนี้ไปตลอดชีวิต พ่อกับแม่อาจจะไม่เข้าใจผมว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนี้ลงไป แต่ผมอยากให้พ่อกับแม่ปล่อยผมได้เสียที ผมทนไม่ไหวแล้ว”

“แต่ฉันเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดให้แกนะ เป็นหมอมันดีจะตาย มีทั้งเงินทั้งชื่อเสียงของตัวแก”

“แม่คิดเพื่อผมหรือว่าแท้จริงแล้วทำเพื่อตัวเองกันแน่ครับ?” ผมสูดลมหายใจ มือของผมมันสั่นไปหมด เกิดมาไม่เคยเถียงหรือทะเลาะกับคนที่บ้านจริงจังอย่างนี้มาก่อนเลย “ถ้าทำเพื่อผมจริง...แม่คงต้องรู้แล้วว่าผมเหนื่อยมากแค่ไหน คำว่าเหนื่อยมั้ยยังไม่ถามผมเลยสักคำ ให้ผมอ่านหนังสือตั้งใจเรียนอย่างเดียว บอกให้ผมสอบเข้าบริหารไม่ก็แพทย์ บอกให้ผมเป็นนู่นเป็นนี่ ผมเป็นผม เป็นคนคุมเกมชีวิตนี้เอง แม่ไม่ได้มีสิทธิมาคุมตัวผมให้เดินตามอย่างนี้”

“ฉันอยากให้โรงพยาบาลเป็นชื่อของตระกูลพวกเราตลอดไป และแกก็ต้องสืบทอด น้องชายแกจะรับงานโรงแรม ถ้าแกไม่ทำแกไม่สงสารน้องรึยังไงที่ต้องมาแบกรับเอาไว้สองอย่างด้วยคนเดียว หรือว่าแกมันไม่มีหัวใจ?”

“แล้วแม่ไม่สงสารผมเหรอครับ?”

“...”

“ผมเหนื่อย ผมอยากจะบอกหลายรอบแล้ว ผมทนไม่ไหวที่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ แต่เมื่อผมได้จับกล้อง ความรู้สึกที่เคยขาดหายไปมันก็ถูกเติมเต็มลงจนครบ ผมไม่อยากจะเป็นนกในกรงขังของพ่อแม่อีกต่อไป ผมไม่ได้อยากจะเป็นชีวิตอีกชีวิตที่พ่อแม่เลือกให้เดิน แม่ไม่สงสารผมเหรอที่ผมต้องมาเหนื่อยกับการใช้ชีวิตที่วนลูปอยู่อย่างนี้ แม่ไม่สงสัยบ้างเหรอเลยว่าผมคิดยังไงกับการใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์”

“...แกนี่มัน...”

“ใจเย็นก่อนแม่” พ่อของผมเดินเข้ามาปรามแม่ก่อนที่จะลงไม้ลงมือกับผมอีกรอบ “แกแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าจะทำแบบนี้”

“ผมแน่ใจแล้วครับ”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามครับ” ผมตอบเสียงแน่น “ผมมีเป้าหมายที่ตัวเองต้องการแล้ว ผมจะไม่หลบซ่อนในมุมอีกต่อไป”

“ถ้าเกิดว่าฉันไม่จ่ายค่าเทอมให้แกเรียนต่อแล้วแกจะทำยังไง”

คำถามนี้ของพ่อไม่เหมือนคำถาม มันเป็นเหมือนคำสั่งที่เขาบอกมาว่าจะไม่ส่งผมเรียนอีกต่อไปตลอดสี่ปีที่ผมจะเริ่มต้นใหม่

“ฉันจะทดสอบแกว่าจะบริหารเงินที่มีอยู่ยังไง จะยังมีชีวิตต่อได้รึเปล่าหลังจากที่พวกฉันผลักแกลงมาจากที่สูง จากที่เคยมีจะไม่มี ฉันยังจะให้แกมีรถมีที่พัก แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆแกต้องหามาเอง” พ่อสูดลมหายใจ “แกทำได้รึเปล่า?”

ผมยืนคิด...มีที่พักกับรถให้ไปมาไหนได้นี่ถือว่าหยวนให้มากพอแล้ว แล้วผมค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าผมสามารถจัดการทุกอย่างในมือตัวเองได้ ผมจึงตอบกลับไปโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิดว่า

“ผมทำได้แน่นอนครับ พ่อกับแม่รอดูเอาไว้ได้เลย”

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
เมื่อพ่อแม่ตัดเงินผม ผมก็ต้องดิ้นรนหาเงินเรียนเอง

ใช่ครับ ผมมาสมัครทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟในมหาลัย พี่ใบบัวเองดูแปลกใจไม่ใช่น้อยที่เห็นผม แต่เธอก็อ้าแขนเปิดรับให้คนที่ไม่เคยทำงานอย่างผมมาฝึกประสบการณ์ พอรู้เรื่องว่ามันเป็นมาอย่างไรทุกคนเองก็ดูจะเห็นใจผมเหลือเกิน

“พ่อแม่มึงทำยังงี้ได้ไงวะ? นี่มันเท่ากับว่าตัดหางปล่อยวัดแล้ว” ศึกบ่นในขณะที่เขากำลังล้างแก้วช่วยผม ผมตอบกลับไปด้วยยิ้มบางๆ

“พวกท่านคงทดสอบกูนั่นแหละว่าจะทำได้รึเปล่า อาจจะอยากเห็นกูกลับบ้านไปขอร้องก็ได้มั้ง?”

“แล้วมึงคิดว่ามึงทำได้เหรอ? ค่าใช้จ่ายที่กูบริหารตอนนี้ยังแทบจะไม่เหลือเก็บเลยนะ” ศึกว่าด้วยความเป็นห่วงผม ผมส่ายหน้า ความจริงมีแผนอะไรหลายๆอย่างที่อยากทำมานานแล้วเหมือนกันแต่ยังไม่ได้ลอง

“โดนตัดเงินก็ใช่ว่าจะโดนตัดสมองหรือคลังทรัพย์ในบัญชีสักหน่อยนี่”

“...”

“กูจะลงทุนซื้อกล้อง...มารับงานพิเศษระหว่างที่รอสมัครเรียนใหม่” ผมตอบเขา เงินที่มีอยู่ในบัญชีตอนนี้ก็มีมากพอที่จะจ่ายค่าเทอมสองสามเทอมรวมค่ากินค่าอยู่ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผมเขียนหนังสือแล้วได้ค่าต้นฉบับมาด้วย “เจียดมาซื้อ เก็บเงินต่อ ทำงานพิเศษไปเรื่อยๆเท่าที่ตัวเองจะทำได้โดยไม่ฝืนอีก”

“ถ้าเป็นกู กูคงสติแตกก่อนที่จะได้ทำอะไรแน่”

ผมหัวเราะ ก่อนที่จะวางแก้วลงแล้วเดินไปรับออเดอร์ลูกค้าต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะหน้าตาผมรึเปล่าที่ทำให้บางครั้งก็ได้ทิปมาด้วย แต่ผมก็เก็บเข้ากองกลางของร้านหมดเพื่อเอามาแบ่งกันทีหลัง

นอกจากผมจะทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟแล้ว ผมยังไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ เป็นพนักงานฝ่ายจัดสินค้าเข้าชั้น บางครั้งก็จะได้ขนมที่ห่อไม่สวยหรือน้ำขวดที่ฉลากหรือบรรจุภัณฑ์เสียหายนิดๆหน่อยกลับมากินด้วย ทำให้ประหยัดเข้าไปอีก ไม่นานนักผมก็ตัดใจซื้อกล้องรุ่นเดียวกันกับกุมภ์มา ผมจำได้ดีว่านี่คือกล้องตัวแรกที่ผมจับ ทำให้คุ้นพอสมควร ตอนกลับมาที่คอนโดแล้วจ้องกล้องนั่นมันทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนมีเด็กคนนี้อยู่ข้างๆตลอดเวลา

ผมลงทุนอีกนิดหน่อยในการซื้อสมุดมาขายออนไลน์ วาดรูปด้วยมือลงไปขายได้กำไรกลับมาพอตัวเพราะคนชอบเยอะ บางครั้งก็จะลงรูปที่ตัวเองไปถ่ายงานมาด้วยเผื่อมีคนสนใจ และก็มีคนสนใจจริงๆจนได้เงินมาอีกจำนวนหนึ่ง

ช่วงแรกๆลำบากพอตัว แต่เมื่อเริ่มเข้าที่แล้วตารางชีวิตของผมมันวุ่นวายน้อยกว่าเรียนแพทย์ด้วยซ้ำ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข แม้ว่าจะเหนื่อย แต่มันเหนื่อยคนละแบบ แถมยังได้รู้จักการทำงาน รู้จักการเข้าสังคมมากกว่าเก่า มีคนคอยช่วยเหลือเยอะแยะ มันไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ฟังคนอื่นมาเลยสักนิด

แต่ในขณะเดียวกัน...นทีก็โทรฯมาฟ้องผมตลอด

นทีบอกว่ากุมภ์เริ่มฝืนตัวเอง เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง พยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีใครต้องมากล่าวหาว่าทำงานไม่สมศักดิ์ศรี

เขากำลังจะกลายเป็นผมในอดีต ส่วนผมก็กลายเป็นตัวของเขาในอดีต

ผมโทรไปถามไถ่กุมภ์ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เขายังตอบแบบเดิม น้ำเสียงดูเหมือนพร้อมกับสลบได้ตลอดเวลา ผมไม่อยากให้เขาฝืนเหมือนที่ผมเคยฝืน หรือว่านี่คือกรรมที่ตัวเองเคยทำให้กุมภ์เป็นห่วงผมขนาดนี้กัน พอมาเจอกับตัวเองแล้วทั้งตัวและใจก็สงบลงไม่ได้เลย

‘วันนี้กุมภ์มันเกือบจะล้มลงที่ห้องสมุดครับ เห็นมีคนบอกว่าน่าจะวูบ’

ผมอยากจะกลับอุบลฯเพื่อไปดูอาการน้องเสียตรงนี้ ติดที่ว่าผมเองก็ต้องเก็บเงินเอาไว้จ่ายค่าเทอม ผมจึงต้องอดทนเอาไว้และฝากให้เพื่อนสนิทน้องดูแลแทน ผมมั่นใจว่านทีสามารถทำตามสิ่งที่ผมสั่งได้เพราะเขาเองก็ห่วงกุมภ์ไม่ต่างจากผม

 

ผมเข้ามาเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ เอกถ่ายภาพ และกำลังจะเป็นที่จับตามองจากหลายๆคนเพราะด้วยการที่มีคนบอกว่าผมเคยเรียนแพทย์มาก่อน เลยทำให้สงสัยกันว่าเพราะอะไรถึงเบนตัวเองมาที่คณะนี้ได้

มะยม...เป็นผู้ชายคนแรกที่เดินเข้ามาบอกผมว่าเขาทิ้งคณะวิศวกรรมที่พ่อแม่หวังจะให้เข้าเพื่อมาเรียนในสิ่งที่เขารัก นั่นทำให้พวกเราสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว คนที่อายุน้อยกว่าก็เกรงใจผมเหมือนกันแต่ผมเป็นฝ่ายบอกไปเองว่าไม่ต้องเรียกพี่เพราะอายุห่างกันแค่ปีเดียว และผมเองก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นพี่ใหญ่ใครมากนักเนื่องจากด้านประสบการณ์การใช้กล้องใช้อะไรมันน้อยกว่าคนที่เจอตัวเองตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ

ผมมีความสุขมากจริงๆ ในขณะที่นทีก็คอยโทรฯมาฟ้องตลอดว่ากุมภ์ไม่ไหวแล้ว

กุมภ์ไม่ยิ้ม กุมภ์ทำแต่งาน นั่นทำให้ผมห่วงเขามากกว่าเก่า นานๆทีโอมจะแวะมาหาผมที่คณะ เขาบอกว่าถ้าไม่สบายใจอะไรก็โทรฯไปถามตรงๆเลยว่าเหนื่อยมั้ย หรือว่าอย่างไร ผมเองก็ทำ แต่ว่ากุมภ์เลี่ยงที่จะตอบอยู่เสมอ เขาไม่อยากให้ผมเป็นห่วง เขาอยากให้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ผมจึงแอบบอกนทีว่าให้กุมภ์ได้พักงานบ้างอะไรบ้าง กุมภ์ก็ทำตามอยู่ช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาวนอยู่ลูปเดิมตลอด

วันๆหนึ่งของผมไม่มีอะไรมาก เรียน ทำงาน พักผ่อน เก็บเงินไปเรื่อยๆ เรื่องที่ผมกำลังเขียนลงเว็บก็มีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามาจะขอเอาไปตีพิมพ์บ้างแล้ว แต่ผมยังไม่ให้เพราะตั้งใจจะเขียนให้จบก่อน ผมจึงปฏิเสธไปหลายที่ รวมถึงพี่นักเขียนคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมคือ HiddenShadow เขาก็ทักผมมาด้วยว่าทำไมถึงไม่เอาไปขายสักที

“ผมอยากเขียนเล่าไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีอะไรให้เล่าแล้ว”

ผมตอบแบบนั้น มันคือหนังสือที่จะเกิดขึ้นจากชีวิตของผม ผมไม่อยากกำหนดชีวิตตัวเองเอาไว้ก่อน

งานพิเศษที่ทำก็กำลังไปได้ดี พี่ใบบัวบอกว่าเพิ่มเงินให้ผมเพราะผมทำงานเกินค่าแรง ศึกเองก็เป็นคนขอให้พี่ใบบัวเพิ่มให้ วันไหนที่เหนื่อยๆพี่ใบบัวก็จะให้ผมหยุดพักโดยไม่หักเงิน ผมไม่อยากเอาเปรียบคนอื่นเลยขอให้พี่ใบบัวทำกับผมแบบพนักงานทั่วๆไป

“วันนี้มีตลาดนัดนักศึกษา มึงจองที่เอาไว้ขายของรึยังวะ?” ศึกถามผม โต๊ะที่ร้านกาแฟมุมหนึ่งมีโอม ศึก และผมนั่งด้วยกัน ผมจองพื้นที่เอาไว้สำหรับไปขายสมุดปกวาดมือโดยเพื่อนทั้งสองคนของผมจะเป็นลูกมือช่วยขอแลกกับเอาของเล็กๆน้อยๆไปตั้งเอาไว้ด้วยกัน ผมพยักหน้าตอบเพื่อนไป “แล้วมึงเอาอะไรมาขายวะโอม?”

“เราเอาปากกาหมึกเจลลบได้มาขาย พอดีที่บ้านบอกว่าสั่งมาเหลือเยอะเกินกลัวขายไม่ทัน ของศึกนี่อย่างที่เคยพูดรึเปล่าว่าเป็นสติ๊กเกอร์?”

“ช่ายยย เอาไว้ล่อผู้หญิงให้มาซื้อเยอะๆ ร้านเรามีแต่คนหน้าตาดีนะเว้ยรับรองขายได้” ศึกยกนิ้วโป้งขึ้นมา แสดงสีหน้ามั่นใจ “ถ้าขายไม่ได้ให้กระทืบเลย”

“กำลังอยากได้ที่ระบายอารมณ์พอดี”

“กูพูดเล่นมั้ยเพื่อน!” ผมหัวเราะกับบทสนทนาระหว่างพวกเราสามคน โอมเองก็เครียดกับการเรียนหมอเหมือนเคย ส่วนศึกก็กำลังวุ่นๆกับการทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเหมือนผม บางครั้งการมานั่งแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันและกันก็สนุก มันเป็นการระบายสิ่งที่กำลังทุกข์หรือคิดออกมาโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น

เพราะตอนสมัยเรียนมัธยม ผมไม่เคยได้มานั่งจับเข่าคุยกับใครแบบนี้ ผมเลยเก็บความเครียดเอาไว้คนเดียวจนเรื้อรัง

“ว่าแต่มึงเป็นคนวาดเองหมดจริงๆเหรอนั่น น่ารักว่ะ”

“อืม พอดีว่าตอนเรียนมัธยมเคยแอบปลอมตัวในกระดาษเป็นผู้หญิง ลายมือกับเส้นวาดอะไรพวกนี้ก็ต้องฝึกเอาไว้ให้เนียนๆสองแบบ” ผมบอกศึกที่กำลังจ้องรูปปลาดาวตัวเล็กๆบนหน้าปก “พอเอามาใช้ในชีวิตจริงก็ทำกำไรให้เยอะแยะเลย”

“มีหัวการค้าแบบนี้น่าอิจฉาจัง กูเองก็อยากฉลาดแบบมึง พ่อแม่จะได้ไม่ต้องมาด่าอยู่ทุกวันว่าส่งควายเรียนรึเปล่า” แล้วเขาก็ชะงักไป “เฮ้ย...กูขอโทษ กูลืม”

“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้กระทบจิตใจกู” ผมส่ายหน้ากลับ “ความจริงก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยตั้งแต่ลาออกจากคณะแพทย์นั่นแหละ”

“กูลองมึงไม่ลองกลับไปคุยดูอีกครั้งเหรอ? เผื่อเขาจะอารมณ์เย็นลงแล้วคุยด้วยเหตุผลก็ได้”

“จริงด้วย เดือนลองไปคุยกับพ่อแม่ตัวเองอีกครั้งนะ” คราวนี้โอมเองก็เสริมศึก ผมเลยตอบกลับไปว่า

“เราอยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราโตมากพอที่จะดูแลตัวเองได้จริงๆโดยไม่หันกลับไปหาพวกเขาไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เพราะเราเชื่อว่าเขาเองก็กำลังมองเราอยู่จากที่ห่างๆ”

พ่อแม่ไม่ตัดขาดกับผมแน่ๆ เพราะผมคิดว่าถ้าถึงวันที่ผมไม่สามารถเดินต่อไปได้ พวกท่านจะยื่นมือเอาข้อเสนอมาให้แลกเหมือนเดิม นั่นหมายถึงว่าพวกท่านก็มองดูตัวผมเติบโตอยู่ เมื่อผมไม่ไหวก็เดินเข้ามามอบความช่วยเหลือที่ต้องแลกกับการถูกล่ามโซ่อีกครั้ง

 

“กุมภ์อยู่ที่ไหน?”

ผมถามผ่านโทรศัพท์ ทั้งๆที่ตัวของผมนั้นเห็นเขาแล้ว แค่มองจากข้างหลังยังรู้เลยว่าเด็กคนนี้เปลี่ยนไปมากแค่ไหน

ท่าทางอิดโรย...สูงขึ้นอีกนิดหน่อยแต่เหมือนจะล้มได้ตลอดเวลาอย่างนั้นน่ะ ผมเห็นแล้วก็อดที่จะน้ำตาซึมไม่ได้ น้องเปลี่ยนไปในทางที่ค่อนข้างจะโทรม แต่ผมก็พยายามกัดปากตัวเองไม่ให้เผลอส่งเสียงสะอื้นออกไป ปาดน้ำตาตรงหางออกแล้วก็ถามเขาไปอีกครั้งเมื่อได้รับคำตอบที่ผมรู้อยู่แล้วกลับมา

“ใส่เสื้อคลุมสีขาวรึเปล่า?”

เขาตอบว่าใช่

ผมเดินไปแตะไหล่เขา กุมภ์หันมาด้วยท่าที่หวาดๆ แต่แล้วเขาก็น้ำตาไหลออกมาโดยที่ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่แต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น

เด็กคนนี้...เหนื่อยมามากและกำลังแสดงด้านที่อ่อนแอให้ผมเห็น

“อย่าเพิ่งร้องไห้เลย ไปที่รถกันเถอะ” ผมบอกกุมภ์ จูงมือให้เดินตามมาถึงรถ เขายังร้องไห้ไม่หยุด แม้ว่าจะไม่ได้เสียงดังมากนักแต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ใจของผมอดแกว่งไปไม่ได้

“สองปีนี้พี่เปลี่ยนไปเยอะมากเลยนะ”

“สองปีนี้กุมภ์เองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน” ผมหันไปดุกุมภ์ที่ยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้ผมขนกระเป๋าขึ้นรถ “นทีแชทฟ้องพี่ตลอดว่ากุมภ์ฝืนตัวเอง กุมภ์ไม่ค่อยได้กินข้าว ทำงานหนัก แถมยังนอนไม่พอจนเกือบหลับในชั่วโมงเรียนตั้งหลายรอบ มันน่าตีมั้ยนะเด็กคนนี้ พี่ไม่ได้โกธรเรื่องที่กุมภ์ฝืนตัวเอง แต่พี่ไม่ชอบที่กุมภ์ไม่บ่นอะไรให้พี่ฟัง พี่เองก็อยากให้กุมภ์ระบายทุกสิ่งออกมาบ้าง”

กุมภ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงอยๆ “ผมขอโทษครับ...”

“...เอาเถอะ แต่ตอนนี้พี่ว่าตัวพี่เองก็เข้มแข็งมากพอแล้ว” ผมบอกเขา เพราะตอนนี้ผมเข้มแข็งมากพอที่จะปกป้องกุมภ์ได้แล้วจริงๆ “มันถึงคราวของพี่แล้วล่ะที่พี่จะต้องเป็นฝ่ายดูแลกุมภ์บ้าง เด็กไม่ดีต้องควบคุม”

แล้วน้องก็ทำหน้าบูดตามกลับผมมา อย่างน้อยก็ยังดีกว่าสีหน้าอมทุกข์แบบเมื่อกี๊ “พี่เรียนนิเทศแล้ว...พี่มีความสุขขนาดไหนครับ?”

“ก็มากจนถึงขั้นที่พี่สามารถยิ้มได้แม้ว่าวันนั้นมันจะยากลำบากเท่าไหน” ผมยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้หันไปมองเขาก็ตาม “พอมันมีเรื่องความฝันมาเกี่ยวด้วย พี่ก็รู้สึกว่าพี่สามารถทำได้ทุกอย่าง” แล้วผมก็เอ่ยคำที่ต้องการจะพูดกับเขาตั้งนานแล้วออกไป “กุมภ์รู้ตัวเองมั้ยว่าตอนนี้กุมภ์กำลังเป็นแบบพี่อยู่ เป็นกุมภ์ที่เหนื่อยกับทุกสิ่งจนลืมสิ่งสำคัญของตัวเองไป”

กุมภ์ร้องไห้ ผมยิ้มออกมาเพื่อปลอบใจเขา มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย

“กุมภ์ลืมรอยยิ้มของตัวเองนะ”

ผมยื่นมือเข้าไปลูบสัมผัสจากศีรษะที่ไม่ได้จับมาสองปี

“แต่กุมภ์ไม่ต้องห่วง”

“...”

“เพราะหลังจากนี้...พี่จะทำให้กุมภ์ยิ้มเยอะๆเหมือนอย่างที่กุมภ์เคยทำยังไงล่ะ”

อยากให้น้องยิ้ม...เหมือนที่สองปีก่อนยิ้มให้

อยากให้น้องหัวเราะ...เหมือนที่สองปีก่อนหัวเราะให้

อยากให้น้องอยู่กับผม...เหมือนที่สองปีก่อนอยู่ด้วยกันจนเลิกเรียน


ผมว่ามันถึงเวลาของผมแล้วที่จะเอ่ยคำนี้ออกไป

เป็นคำที่ผมเตรียมพูดมาตลอดปีกว่าๆที่ตัดสินใจทิ้งสิ่งที่พ่อแม่อยากให้ผมเป็นทุกอย่างไปกับตัวผมที่อ่อนแอคนนั้น

“พี่จะดูแลกุมภ์ จะเป็นคนที่คอยรับฟังกุมภ์ จะเป็นคนที่มอบความอบอุ่นให้กุมภ์ จะมอบให้ทุกอย่าง จะเอาใจใส่ยิ่งกว่าที่ทำกับคนอื่น เพราะกุมภ์เป็นคนที่ทำให้พี่เป็นพี่ในทุกวันนี้ ถ้าให้พูตามตรง พี่อยากผูกมัดกุมภ์เอาไว้กับพี่แค่คนเดียว เป็นคนเดียวที่พี่รัก เป็นคนเดียวที่มีสิทธิเห็นกุมภ์อ่อนแอหรืองอแง”

รถยังคงไม่เคลื่อนจากไฟแดง บรรยากาศมันไม่น่าอภิรมย์เลยในการที่จะบอกเรื่องสำคัญให้กับคนพิเศษฟัง กุมภ์มองผมด้วยสายตาที่คาดหวังว่าผมจะพูดอะไรต่อ ส่วนผมเองก็ละเอาไว้จังหวะหนึ่งเพื่อกลืนน้ำลายตัวเองและค่อยๆเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“กุมภ์...คบกันพี่นะ”

ทุกอย่างในรถมันเงียบงัน

กุมภ์กัดริมฝีปากตัวเอง สัญญาณไฟเขียวบ่งบอกให้ผมเหยียบคันเร่งอีกครั้ง ระหว่างที่ขับไปที่ห้องคอนโดของผม พวกเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย ราวกับว่าอาศัยจังหวะนี้ฟังเสียงหัวใจของกันและกัน

ถ้าหัวใจของพวกเรา...มันสื่อถึงกัน ผมก็หวังว่ากุมภ์จะตอบตกลง

แต่ผมเองก็ไม่ได้หวังอะไรขนาดนั้น สองปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของพวกเรายังอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหน จะขึ้นจะลงก็ไม่มี ซึ่งพอมาตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เริ่มเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น แล้วผมก็จะขอใช้เวลาและโอกาสที่มีอยู่นี้เดินเข้าไปในโลกของอีกคนอย่างสมบูรณ์

ผมขับรถมาจนถึงคอนโดที่พัก ปลดเข็มขัดแล้วก็ดับเครื่อง ผมกำลังจะบอกว่าให้กุมภ์ไปยืนรอก่อนแต่ฝ่ายคนที่เด็กกว่าก็พูดขึ้นมา

“ครับ...”

ใบหน้าของกุมภ์แดง เขากำลังอายที่ตอบอะไรอย่างนี้ออกมา แต่นั่นคือสิ่งที่ผมอยากได้ยินมาตลอดทางจนผมอดยิ้มไม่ได้

“พี่เดือนจะหน้าบานอะไรขนาดนั้นกัน นี่แค่คบนะ”

“อืม ถ้าแต่งงานคงจะปิดถนนเลี้ยง”

“พี่เดือน!”

กุมภ์ตีเข้าที่ไหล่ข้างซ้ายของผม จากนั้นก็เปลี่ยนมาซุกเอาไว้แทน ผมหัวเราะร่าแล้วกดจมูกลงไปกับกลุ่มเส้นผมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของผลไม้ “พี่ดีใจนะที่ในที่สุดเราก็ยืนอยู่ในโลกเดียวกันจริงๆ”

“ผมก็เหมือนกันครับ ผมสัญญาว่าจะไม่แบกอะไรเอาไว้คนเดียว มีอะไรจะบอกพี่เดือนหมดทุกอย่างเลย”

“เข้าห้องกันเถอะนะ ยังต้องจัดของไม่ใช่เหรอ?” กุมภ์พยักหน้า “ขืนช้าเดี๋ยวพี่ก็ไม่พาไปเที่ยวหรอก”

“ผมไม่ค่อยอยากไป อยากอยู่กับพี่มากกว่า พี่ต้องเก็บเงินเรียนเองด้วย อย่าเอาไปสลายกับเรื่องนี้เลย” กุมภ์ส่ายหน้า “เก็บของเสร็จแล้วขอนอนเอาแรง”

“ได้ครับๆ ช่วยกันเก็บเนอะ” ผมผละตัวเองออกจากกุมภ์ พวกเราจ้องตากัน ถึงกุมภ์จะดูเหนื่อยมากแค่ไหนก็ตามแต่ผมก็เชื่อว่าเมื่อทุกอย่างเข้าตัว เขาจะกลับมาเป็นคนเดิม ส่วนผมเองก็จะต้องพยายามรักษา ‘แฟน’ คนแรกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

คนเรามักจะบอกว่าแฟนคนแรกไม่ใช่คู่ชีวิตของเรา แต่ผมจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่านี่คือคนที่ผมอยากอยู่ไปด้วยกันตลอดชีวิต อยากแก่ไปด้วยกัน อยากจะเดินทางไปทั่วโลกด้วยกัน

บางที...พระเจ้าเบื้องบนคงคิดจะส่งของขวัญที่ดีที่สุดนี้ของผมลงมาเกิดหลังจากผมสองปีและผูกให้พวกเราเจอกันในวันที่ผมกำลังจะหมดกำลังใจเพื่อให้เจอกับคำตอบของชีวิต

และกุมภ์คือคำตอบชีวิตของผม

ขอแค่มีกุมภ์...ผมก็สามารถทำได้ทุกอย่าง


“รักนะครับตัวเล็กของพี่”


==========

พี่เดือนโตแล้ว คบกันแล้ว เข้าสู่โค้งสุดท้ายของเรื่องแล้ว

แต่เป็นโค้งสุดท้ายที่ค่อนข้างจะไม่โค้งหน่อยนะคะ ยังอีกยาวนาน แง

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 13

 

นี่คือความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่า ‘เป็นคนรักกัน’ สินะ?

พี่เดือนกำลังนอนกอดผม ผมเองก็นอนกอดพี่เดือน หลังจากที่พวกเราคบกันไม่ถึงสองชั่วโมงก็พากันมานอนบนเตียงเดียวกันเสียแล้ว

อะ...อย่าคิดว่าเป็นเรื่องทำนองนั้นนะ ผมหมายถึงนอนจริงๆน่ะ พวกเราช่วยกันจัดสัมภาระที่ผมหอบมาจากอุบลฯเข้าตู้ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง พอเสร็จแล้วก็หอบเหนื่อยทั้งคู่ เป็นพี่เดือนที่ชวนผมเข้ามานอนเอาแรงในห้องก่อนที่จะไปหาอะไรกินช่วงเย็น พี่เดือนเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ มีแค่เรื่องทำอาหารนี่แหละที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมากเลย

ห่วยเท่าผมยังไงก็ห่วยเท่าผมอย่างนั้น

ในตู้เย็นไม่มีอาหารสด ผักปลาอะไรก็ไม่มี มีแต่พวกน้ำเปล่ากับนมนิดๆหน่อยๆ ที่เหลือก็เป็นพวกขนมที่กินเหลือเอาไว้แล้วโยนๆเข้ามา พอพี่เดือนเป็นอิสระแล้วก็ปล่อยตัวเต็มที่เลยจริงๆ ผมแอบเห็นว่าบนโต๊ะทำงานนั่นมีกระป๋องมาม่ากินแล้วยังไม่ทิ้งกองเอาไว้ด้วย ผมก็ดุเขาไปเรื่องนี้อยู่ พี่เดือนบอกว่าก่อนเขาจะไปรับผมก็ทำงานอยู่กับหน้าโน้ตบุ๊กเพลินจนเกือบลืมกินข้าว แต่พอได้กินแล้วก็ลืมที่จะเอาไปทิ้งด้วย

“อืม...พี่เดือนปล่อย...”

ผมดิ้นขยับตัวเพื่อให้ตัวเองหลุดออกมาจากมือปลาหมึกของเขาได้ พี่เดือนทำท่าไม่พอใจนิดๆก่อนที่จะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ “พี่ยังง่วงอยู่เลย...”

“จะเที่ยงแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะครับ” ผมลุกขึ้นมาจากเตียง ผ้าปูสีเขียวกับผ้าห่มสีขาวตัดกันกำลังสบายตา ผ้าม่านสีขาวกำลังสะบัดไปตามแรงลมร้อนจากหน้าต่างที่พัดผ่าน ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกเย็นหัวใจอยู่เช่นกัน บิดขี้เกียจอยู่สักพักผมก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อตัวเองมาเป็นเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ สวมเสื้อฮู้ดสีเหลืองทับอีกที กลับมาก็ยังเห็นพี่เดือนนอนซุกกับหมอนอยู่จุดเดิม “พี่เดือนครับ...”

“อย่าดุพี่สิกุมภ์...พี่อยากนอนต่ออีกหน่อย...”

ขี้เซาเพิ่มด้วย

ปกติแล้วพี่เดือนจะเป็นคนที่ตื่นเช้ามาก แต่สงสัยเพราะด้วยความที่เขาไม่จำเป็นต้องรีบเข้าเรียนเหมือนตอนมัธยม ตารางชีวิตของเขาทุกอย่างก็เลยปรับตัวตาม จากที่เคยตื่นแต่เช้ามืดเลยกลายมาเป็นตื่นตอนแปดโมงเช้า จากที่เคยนอนตอนเที่ยงคืนตีหนึ่งบางครั้งก็มานอนตอนห้าทุ่ม จากที่ไม่เคยเหนื่อยจากการทำงานก็มาเหนื่อยจากการทำงาน แต่พี่เดือนก็ไม่เคยบ่นเลยว่ามันยาก เพราะเขาเป็นคนที่ปรับตัวง่าย อยู่ง่ายกว่าผมเสยอีกละมั้ง?

“อยากนอนก็ไปนอนตอนกลางคืนเอาครับ ตอนนี้พี่ต้องไปหาอะไรกินก่อน ไม่งั้นตอนเย็นจะหิวหนักกว่านี้อีก” ผมดึงแขนข้างหนึ่งของพี่เดือนให้พ้นจากผ้าห่ม เขาดื้อดึงกับผมแล้วกลายเป็นฝ่ายยอมแพ้ งัวเงียบ่นอะไรงุบงิบแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับธุระของตัวเอง

เขาเดินออกมาอีกทีสิบนาทีให้หลัง พี่เดือนใส่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมคอหนึ่งเม็ดกับกางเกงขายาวธรรมดาๆ มีแต่ผมที่คิดไปเองรึเปล่าว่ายิ่งพี่เดือนอายุมากขึ้นก็ยิ่ง...ดูดีขึ้น

หมายถึงหล่อนั่นแหละ

ทรงผมของเขาเองก็ยาวขึ้นจากสองปีที่แล้ว เจ้าตัวตัดอยู่สม่ำเสมอแต่ไม่ได้ถึงขั้นเกรียน แค่ยาวมีผมหน้าม้าให้ใส่เจลปัดไปข้างๆ เห็นพี่เดือนเคยบ่นอยากจะย้อมให้เป็นสีน้ำตาลแต่สุดท้ายก็ไม่ทำเพราะเปลืองเงิน

“ไปกันเถอะ”

“ไหน เมื่อกี๊ใครงอแงไม่ยอมไปหาอะไรกินกันครับ?”

“แหม พี่เองก็ตื่นเต็มตัวแล้ว พี่พาไปกินร้านข้าวแถวมหาลัย เจ้าของร้านเป็นลุง ทำอร่อยแถมได้เยอะด้วย” พี่เดือนจูงมือผม คว้ากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์รุ่นเดิมกับสองปีที่แล้วมายัดลงกระเป๋าสะพายข้าง “นั่งรถไปนะ มันใกล้ๆจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำมัน”

“ผมเข้าใจสถานการณ์เงินพี่เดือนดีครับ ผมไม่เรื่องมากด้วย” ผมยิ้มรับ “ไม่ว่าพี่เดือนจะเป็นแบบไหผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ”

“เด็กดี” พี่เดือนลูบหัวผม “ถึงเวลาไปจริงๆแล้ว เดี๋ยวจะได้กินช้ากว่านี้นะ”

ผมกับพี่เดือนเดินพ้นธรณีประตู ในจังหวะที่ห้องข้างๆก็เปิดประตูมาปะทะกัน พี่เดือนเลิกคิ้วก่อนที่จะทักทายเพื่อนบ้านที่ท่าทางจะรุ่นเดียวกันกับพี่เดือน

“อ้าว ว่ายังไงโอม จะอกไปหาอะไรกินเหรอ?”

“อื้ม เดือนก็เหมือนกันใช่มั้ย? แล้วนั่น...”

“อ๋อ นี่แฟนเราเอง” พี่เดือนเน้นเสียงคำว่าแฟนเป็นพิเศษ ก่อนที่จะแนะนำชื่อผมตาม ส่วนตัวผมเองก็ไม่คิดว่าพี่เดือนจะประกาศต่อหน้าใครเร็วขนาดนี้เลยตั้งตนรับไม่ทันต้องหลบอยู่ข้างหลังพี่เดือนเพื่อบังหน้าแดงๆ

“แล้วไปคบกันตนไหนนี่ ไม่เห็นบอกเราเลย หรือว่าเราอ่านแต่หนังสือจนลืมข่าวสารโลกไปแล้ว?” คนที่พี่เดือนบอกว่าชื่อโอมมองมาที่ผม “ตัวจริงน่ารักดีนี่นา สมแล้วที่เดือนจะชอบ”

“เพิ่งคบกันเมื่อเช้านี่เอง” เดือนยิ้มภูมิใจ “พอมีแฟนมาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่ามีกำลงใจในการทำงานขึ้นเยอะเลยล่ะ”

“ขิงใหญ่เลยน้าเพื่อนเราเนี่ย”

“พี่เดือนครับ...” ผมค่อยๆโผล่ตัวออกไป ดึงแขนเสื้อของเขาที่กำลังยืนคุยกับเพื่อนอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อนคนนี้คือเพื่อนในคณะแพทย์ของเขาหรือว่าเพื่อนในคณะวิศวกรรมของเขาเพราะเขาเล่าให้ฟังแค่ว่ามีเพื่อนสนิทสองคนจากสองคณะนี้เท่านั้น “ไปกินข้าว...”

“ไม่แกล้งแล้วๆ” พี่เดือนหันไปคุยอีกรอบ “เดี๋ยวพาน้องไปกินข้าวก่อนนะ ยังอายอยู่น่ะที่เพิ่งเปลี่ยนความสัมพันธ์กัน”

“...”

“อืมๆ เราเองก็จะไปเหมือนกัน คืนนี้เรียกศึกมาเลี้ยงฉลองต้อนรับสมาชิกใหม่ดีมั้ย?”

“อย่าเลยดีกว่า เปลืองเงิน” พี่เดือนส่ายหน้า “โอมอย่าบอกว่าจะเป็นคนออกเงินทุกอย่างเด็ดขาด เอาไว้เป็นงานสำคัญกว่านี้ค่อยฉลอง”

“น้องเสียใจแย่”

“ผมไม่เสียใจหรอกครับ มันไม่จำเป็นจะต้องเลี้ยงผมด้วยซ้ำไป เอาไว้งานสำคัญกว่านี้ค่อยเลี้ยงฉลองกันยังไม่สายนี่นา” ผมตอบกลับไป “อย่างวันปีใหม่ก็ได้ครับ ยังไงผมก็คงไม่เทียวไปเทียวมาอุบลฯกรุงเทพเพราะวันหยุดสองสามวันนี้หรอก”

“จริงเหรอ? งั้นขอบคุณมากนะ พี่ชื่อโอม เป็นเพื่อนคณะแพทย์ของเดือน ตอนนี้อยู่ปีสามแล้ว แอบเสียดายนิดๆที่เดือนออกมาแต่ก็ยินดีด้วยที่ในที่สุดเขาก็เจอสิ่งที่ต้องการจริงๆ ถ้ามีอะไรหรือติดต่อเดือนไม่ได้ก็โทรฯมาเบอร์พี่แล้วกัน” พี่โอม—ยื่นโทรศัพท์ที่พิมพ์เบอร์ตัวเองเอาไว้ ผมก็บันทึกเก็บเอาไว้ในเครื่อง ส่วนพี่เดือนเองก็ไม่ว่าอะไรที่ผมจะเก็บเบอร์ผู้ชายคนอื่นเอาไว้

พี่เดือนก็แยกเป็นนี่นาว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะหึง

พี่เดือนพาผมลงมาชั้นล่างของคอนโด จากที่คิดจะนั่งรถ แต่เมื่อเขาดูจำนวนคนที่จะขึ้นแล้วก็ยอมแพ้แล้วเดินมาที่ใต้คอนโดเหมือนเดิม เขาขอโทษผมบอกว่าจะพาไปกินวันหลังเพราะไม่อยากให้ผมรอนาน วันนี้ซื้อเป็นข้าวกล่องไปก่อน ผมไม่ได้ว่าอะไรเขา ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่เขาไม่ต้องออกค่ารถเพิ่มเพียงเพราะจะหาเรื่องพาผมไปกินข้าวนอกสถานที่

ผมไม่ต้องการอะไรที่มันหวือหวา ไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่พี่เดือนมีความสุขผมเองก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งถ้าผมได้ช่วยเขาทำอะไรได้ก็ยิ่งดี

“กุมภ์อยากกินอะไรก็หยิบเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก”

“ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าพี่ไม่ต้องตามใจผมขนาดนี้ ผมเอาแค่ข้าวกล่องเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างคือผมจ่ายเองได้ พี่เดือนไม่มีความจำเป็นต้องเลี้ยงผมตลอดเวลา เก็บเงินไว้เป็นค่าเรียน พอเรียนจบมีงานทำแล้วค่อยเลี้ยงผมก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าจะคบกับพี่ไปนานๆเลย?” พี่เดือนยิ้ม เขาหยิกแก้มผมเหมือนที่เคยทำ “ห้ามคืนคำนะ พี่ไม่มีวันเลิกกับกุมภ์เด็ดขาด”

“งั้นมาพิสูจน์กันมั้ยครับว่าใครจะรักใครมากกว่ากัน?” ผมมองหน้าพี่เดือน จ้องตาแข่งกันแล้วพี่เดือนก็เป็นฝ่ายที่ตบบ่าพร้อมกับส่งยิ้มท้าทายมาให้ “พี่เดือนอาจจะเบื่อผมก่อนก็ได้ใครจะไปรู้”

“พี่ว่าพี่ชนะขาดลอยนะ?”

“ไม่มีทางเลือกอย่างเสมอกันเลยเหรอครับ?” คราวนี้เป็นผมที่จับมือเขา “ผมเป็นคนมีเหตุผล เวลามีอะไรจะไม่ชวนทะเลาะก่อนที่จะได้อธิบาย”

“พี่เองก็ใจเย็นพอที่จะฟังคนอื่นพูดก่อน”

“เสมอกัน”

“เสมอกัน” พี่เดือนพยักหน้า “เราซื้อข้าวไปกินกันเถอะ ยืนนานเดี๋ยวเขาจะหาว่าเรามาขโมยของ”

พี่เดือนพาผมเดินไปเลือกข้าวกล่องแช่แข็ง ลังเลว่าจะกินอะไรอยู่สักพักก็เลือกเอาข้าวผัดปูติดมือกลับห้อง ดูโดยรวมแล้วห้องพี่เดือนก็เหมาะสำหรับอยู่สองคน มีห้องนอนอยู่สองห้องแต่เขาเปลี่ยนเป็นห้องเก็บของ ว่าง่ายๆในห้องนั้นก็เต็มไปด้วยลังหนังสือเก่าๆของเขาที่ผมขอเข้าไปดู มีทั้งหนังสือเรียนตอนมัธยม เอกสารเรียนสมัยพี่เดือนยังเรียนอยู่แพทย์ศาสตร์ ไหนจะทั้งกองนิตยสารเกี่ยวกับการถ่ายภาพรายเดือนที่พี่เดือนคงจะสมัครเป็นสมาชิกรายปีทิ้งเอาไว้อีก แถมไม่ได้มีแค่ของเจ้าเดียว ยังมีเป็นเกือบสิบๆที่ทั้งฟรีและไม่ฟรี เงินพี่เดือนส่วนหนึ่งคงจะเจียดมาให้กับพวกนี้ด้วย

ห้องถัดไปคือห้องนอน เตียงขนาดควีนไซส์ของพี่เดือนนั้นพอดีกับการนอนสองคน มีตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะหนังสือและชั้นวางของ บนพื้นมีกล่องกระดาษลังที่มีสมุดเล็กๆอยู่ข้างในวางเต็มไปหมด ห้องน้ำจะอยู่ด้านนอก ซึ่งบริเวณกลางคอนโดนี้มีเคาน์เตอร์ครัวขนาดเล็ก โต๊ะกินข้าวสองคนนั่ง โทรทัศน์ตัวเล็กอีกตัววางเอาไว้ มันไม่ได้มีอะไรมากมายเพราะพี่เดือนคงไม่ชอบใจถ้าจะมีเฟอร์นิเจอร์เยอะเกินเหตุเมื่ออยู่คนเดียว

ทั้งผมและพี่เดือนนั่งกินข้าวด้วยกันแล้วก็พูดถึงเรื่องที่ผ่านมา มันน่าแปลกใจไม่น้อยที่ความสัมพันธ์ของพวกเรามันไม่ได้ตัดขาดเหมือนหลายคนที่แยกกันอยู่ แต่มันให้ความรู้สึกว่าแน่นกว่าเดิมเสียอีก พี่เดือนก็เปลี่ยนไปทั้งในเรื่องรูปร่างและนิสัย เขาหนักแน่นขึ้น กล้าตัดสินใจมากขึ้น และยังเข้มแข็งมากขึ้น ในที่สุดพี่เดือนก็ได้กางปีกบินไปยังท้องฟ้าที่เขารอมานาน ในขณะที่ผมเริ่มเอาตัวเองเข้ากรง ถ้าไม่ได้พวกเพื่อนๆช่วยคอยประคอง ผมคงไม่มีความสุขหรือยังเป็นผู้เป็นคนแบบนี้หรอก

“กุมภ์ พี่มีเรื่องจะบอกนะ”

“ครับ?”

“กุมภ์ไม่ต้องเครียดอะไร กุมภ์มาอยู่มหาลัยที่นี่เท่ากับว่าทิ้งหน้าที่ที่โรงเรียนเก่าไปแล้ว ที่นี่คือจุดเริ่มต้นใหม่” พี่เดือนว่าพลางเดินไปเอาน้ำมารินใส่แก้วให้ผม “ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเอง...เข้าใจนะ”

“เข้าใจครับ...ผมเองก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่มันก็อดใจหายไม่ได้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่รองประธานนักเรียนหรือหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์แล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ชวนโหยหามากกว่าจะไม่อยากนึกถึง มันเหนื่อยแต่ในความเหนื่อยอย่างน้อยก็ช่วยให้ผมเข้าใจพี่เดือนก่อนที่จะเจอผมมากขึ้นนี่นา” ผมตอบพี่เดือน เขาเลิกคิ้วก่อนที่จะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผมแทน “พี่เดือนเหนื่อย...แต่ไม่สามารถบ่นกับใครได้ว่าเหนื่อยต่างจากผมที่ไม่ว่าจะยังไงก็ยังมีคนคอยให้ระบาย พี่เดือนผ่านเรื่องแบบนี้มาได้พี่เดือนเองก็มีความเข้มแข็งในตัวมากพอแล้ว”

“แต่พี่เองก็เกือบจะยอมแพ้แล้วถ้าไม่ได้กุมภ์เข้ามาช่วย เด็กที่ไหนกันที่เห็นพี่ไม่เหมือนชาวบ้าน พี่ยังจำวันที่กุมภ์เห็นพี่ซุ่มซ่ามในวันนั้นได้เลย”

“พี่หมายถึงวันที่พี่หล่นลงมาจากเก้าอี้...?” ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นบันไดหรือเก้าอี้ในห้องสมุด แต่นั่นคือจุดที่ทำให้พี่เดือนเริ่มคุยกับผม “ถ้าเป็นวันนั้น นั่นคือวันแรกที่พี่เดือนคุยกับผมนอกเหนือจากเรื่องงานภายในชมรม ผมแปลกใจนะว่าทำไมพี่เดือนถึงแทนตัวเองว่าพี่ตั้งแต่ตอนนั้นเลย?”

“อาจจะเพราะพี่คิดว่าเจ้าตัวเล็กตรงหน้าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องแทนตัวว่าผมกับคุณมั้ง?” พี่เดือนโอบไหล่ผม “มันมีบางอย่างในตัวพี่บอกว่าคนตรงหน้าถ้าเกิดใช้คำพูดที่ห่างเหินไปด้วย...อาจจะไม่ได้คุยต่อตลอดชีวิต พี่กลัวว่าพี่จะไม่ได้ทำความรู้จักกับใครเลยทั้งที่พี่อยากจะคุยกับคนนั้นคนนี้แทบตาย”

“ถ้าคนในชมรมเมื่อสองปีก่อนมาเห็นพี่บ่นแบบนี้คงดีใจจนน้ำตาไหล” ผมหัวเราะ เอาหัวไปซุกไหล่ของเขา พี่เดือนเกลี่ยเส้นผมของผมเล่นไปมา “พี่เดือนพ่นออกมาไฟแล่บอย่างนี้ถ้าไม่มีบุญจริงก็คงไม่ได้เห็น”

“งั้นกุมภ์ทำบุญมาเยอะสินะถึงได้เห็นพี่บ่นแบบนี้”

“แน่นอนสิครับ อาจจะสะสมมาจากชาติก่อนด้วยก็ได้”

พวกเราหัวเราะเสียงดัง

“พี่ชอบที่กุมภ์หัวเราะแบบนี้นะ ยิ้มเอาไว้เยอะๆ” พี่เดือนหยิกแก้มผมเป็นครั้งที่สองของวัน นี่เขาเห็นแก้มผมเป็นซาลาเปารึยังไง! “อ้าว หน้าบูดซะแล้ว”

“ก็พี่เล่นหยิกแก้มผมจนเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย! ปล่อยนะ!” ผมตีต้นแขนพี่เดือน “พี่เดือนขี้หยอกขึ้น ขี้แกล้งขึ้นตั้งแต่ตอนไหน เอาพี่เดือนคนนิ่งๆคืนมา”

“พี่เป็นแบบนี้แล้วไม่ชอบเหรอ? พี่ยิ้มง่ายขึ้น พี่ร่าเริงขึ้น ไม่ใช่คนทำหน้าอมทุกข์แบบมัธยมนั่นแล้วนะ” พี่เดือนเสียงหงอลง “ถ้าว่ามาอย่างนั้น...”

“แบบไหนผมก็ชอบนั่นแหละครับ แต่พี่อย่าแกล้งผมบ่อยสิ ไม่งั้นผมฟ้องพ่อกับแม่นะ พวกท่านอุตส่าห์ยอมให้ผมอยู่กับพี่แล้วแท้ๆ” กว่าผมจะขอพวกท่านมาได้นี่ยากแค่ไหน พ่อแทบจะหยิบลูกซองออกมายิงพี่เดือนที่นี่ด้วยซ้ำ (ทั้งที่ตัวเองไม่มีปืนหรืออะไรเลย) ส่วนแม่เองก็บอกว่ายังไงก็คงดื้อไปอยู่กับพี่เดือนอยู่ดีเลยปล่อยให้มา มีข้อแม้อย่างเดียวว่าอย่าสร้างความเดือดร้อนหรือไม่ทำการทำงานอะไรเลยเมื่ออาศัยเขาอยู่ ผมสบายกับพวกนี้มากเลยไม่ต้องมาปรับตัวให้ลุกมาทำงานบ้านอะไรมาก เว้นไว้แค่เรื่องอาหารก็พอ

“ที่กุมภ์บอกว่าถ้าพี่ทำกุมภ์ช้ำ พ่อกุมภ์จะมาฆ่าพี่น่ะเหรอ?” เขาว่าขำๆ “กุมภ์ไม่ช้ำหรอกถ้าอยู่กับพี่”

“พี่จะช้ำแทนน่ะสิ พ่อผมเวลาเอาจริงก็น่ากลัวนะ...” ผมขู่พี่เดือน เขาไม่สนใจเหมือนเดิม “...ผมจะบอกเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพ่อแม่ดีมั้ย?”

“พ่อแม่กุมภ์ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วนี่ บอกไปก็ไม่เสียหายอะไร พี่จะได้ฝากตัวในฐานะลูกเขยด้วย”

“...”

“แต่กับพ่อแม่พี่...แค่เรื่องเรียนยังตัดขาดกันถึงขนาดนี้ ถ้าพี่บอกไปอีกว่าพี่มีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ว่าพี่จะโดนยึดทุกอย่างเลยรึยังไงกัน? รึว่าพี่จะทำบัญชีธนาคารแยกเอาไว้เผื่อพ่อแม่จะเอาไปทุกอย่างดีนะ?”

พี่เดือนทำหน้าจริงจังกับเรื่องนี้ ผมหัวเราะ บอกพี่เดือนว่าไม่ต้องรีบร้อนไปพูดอะไรก็ได้ถ้ายังไม่พร้อม ตอนนี้ผมเองก็เข้าใจสถานการณ์ภายในบ้านของพี่เดือนว่ามันไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ถ้าเกิดว่ามีประเด็นอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นทั้งที่เรื่องเก่ามันยังไม่จบลงไป มีหวังพี่เดือนได้เสียศูนย์ครั้งใหญ่อีกรอบแน่

ในคืนนั้นพวกเราเข้านอนด้วยกัน ไม่มีอะไรในกอไผ่กันทั้งนั้นครับไม่ต้องหวัง และพี่เดือนเองก็เป็นคนดีมากพอที่จะทำแค่กอดเอาไว้เหมือนช่วงเช้า

พอได้อยู่ในอ้อมกอดคนที่เรารัก...มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ?

 

“สรุปว่าคบกับพี่เดือนแล้ว? ยินดีด้วยแล้วกัน” นทีเดินถือนมกล่องอยู่ข้างๆผม วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศของมหาลัยพวกเรา พี่เดือนเองก็มีส่วนช่วยเหลือในงานนี้อย่างการเดินถ่ายภาพเก็บบรรยากาศ โชคดีหน่อยที่ช่วงเช้าพวกเขาให้นั่งรวมๆกันไม่ต้องแยกกับใคร ทำให้พวกเราสองหน่อตัวติดกันได้ “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“รวมๆแล้วไม่มีปัญหาอะไร พี่เดือนก็เทคแคร์ดี ความจริงเหมือนเดิมทุกอย่างเลยด้วยซ้ำ” ผมอธิบาย “ตอนบ่ายต้องแยกตามคณะแล้ว หวังว่ามึงจะได้เพื่อนใหม่เยอะนะ”

“ก็คงดี”

ผมไม่ค่อยจะเข้าใจนทีเท่าไหร่ที่ลงเอกการประพันธ์ทั้งที่เขาสามารถลงเอกวอยซ์ได้สบายๆเพราะเสียงที่ดีของเขา แต่นทีก็คงมีเหตุผลส่วนตัวของตัวเองเหมือนกันที่เลือกหนทางนี้ อาจจะเป็นเหมือนพี่เดือนที่เพิ่งมารู้ว่าชอบอะไรจริงๆ “เอาน่า มึงรู้ตัวเองดีใช่มั้ยว่าต้องการอะไร? ถ้าต้องการเพื่อนก็เข้าหา พยายามใช้คำที่รักษาน้ำใจแต่แรกพบหน่อยก็สนิทกันแล้ว”

“อืม...” นทีเองตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมาก็แปลกไป เขาดูเงียบๆขึ้น ไม่ค่อยงอแง แถมยังเก็บตัวมากกว่าเดิม กาลเวลาอาจจะทำให้นิสัยคนเปลี่ยนไปได้จริงๆ “เอาเป็นว่าจะพยายามแล้วกันนะ...”

“กูขอถามหน่อยได้มั้ยว่ามึงเป็นอะไรถึงไม่ค่อยร่าเริงเลย กลัว? รึว่าวันนี้ไม่ค่อยสบายแต่ฝืนมา?” ผมเอามือตัวเองอังหน้าผากคนตัวสูงกว่ามาก “ก็ไม่ได้ตัวร้อนนี่นา”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่กังวลเฉยๆว่าจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้” นทีตอบปฏิเสธผม “มึงก็หาเพื่อนให้ได้เยอะๆนะ จะได้มีคนดูแลเผื่อมึงทำงานหนักอีก”

“มึงก็อย่าฝืนตัวเองแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็สะกิดเรียกด้วย”

ผมบอกเท่านั้น ก่อนที่พวกเราจะเข้าหอประชุมเพื่อไปนั่งฟังแนะนำมหาลัยรวมถึงบอกสถานที่สำคัญต่างๆ ในช่วงเที่ยงผมกับนทีต้องแยกกันไปตามคณะของตัวเอง นทีโบกมือลาผมด้วยรอยยิ้มเศร้านิดๆ มันไม่ใช่การแยกจากกันสักหน่อย เพียงพวกเราแค่แยกกันเรียนคนละทางในมหาลัยเดียวกันเท่านั้น

เอาจริงๆแล้วผมก็อดห่วงเพื่อนขี้เหงาคนนั้นไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีผมคอยซับพอร์ทอยู่ข้างๆแล้วจะไหวรึเปล่ากัน

“น้องๆ”

“ครับ?” ผมหันไปทางพี่คนหนึ่ง เขาถือถุงพลาสติกสีขาวมาให้ผมพร้อมกับชี้นิ้วไปที่พี่เดือนที่กำลังเดินไปถ่ายภาพที่อื่นอยู่ แต่เพียงเพราะเสียงเรียกก็ทำให้หลายคนมองมาแล้ว

“มีคนฝากมาให้ บอกว่าเดี๋ยวหิวตอนเดินไปสถานที่สำคัญของมหาลัย” แล้วพี่เขาก็ยิ้มกรุ่มกริ่มให้ “พี่เป็นเพื่อนคนที่ฝากของมาชื่อมะยม อดีตเดือนนิเทศเอกถ่ายภาพ มีอะไรก็บอกพี่ได้เหมือนกันนะ ไม่ใช่บอกแต่เขา”

“อ่า...ครับ” พี่มะยมเดินจากไป ส่วนสายตาคนอื่นที่มองผมอยู่ก็ยังคงให้ความสนใจ จนกระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาถามผม

“นายๆ ที่พี่มะยมเขาชี้ไป...นั่นใช่พี่เดือนที่เขาว่าซิ่วมาจากหมอรึเปล่า?”

“รู้ได้ยังไงว่าพี่เดือนซิ่วมา?”

“ก็พี่เราที่เรียนจบไปแล้วบอกมาว่ามีนักศึกษาแพทย์หน้าตาดีคนหนึ่งลาออกเพราะทนเรียนไม่ไหว มาลงเรียนนิเทศแทน พี่เราเสียดายมากเลยนะที่ไม่ทันรับพี่เดือนเป็นน้องในคณะ” เธอหัวเราะ “เราชื่อแนน มาจากเชียงใหม่”

“เราชื่อกุมภ์ มาจากอุบลฯ ที่เดียวกับพี่เดือนนั่นแหละ เขาเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมเราเอง” ...และเป็นแฟนผมด้วย ผมไม่ได้บอกเธอไป เดี๋ยวจะตกใจตื่นเอากลางที่คนเยอะๆ อีกอย่างคือผมยังไม่อยากบอกเรื่องนี้กับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

“จริงดิ? โห ดีอะ ให้ขนมมาแบบนี้แสดงว่าต้องรู้จักกันน่ะสิ”

“อืม พี่เดือนเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ตอนเราอยู่ม.4 จากนั้นเขาก็ให้เราทำแทน พี่เดือนเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าคุยกับคนอื่นเท่าไหร่ แต่ถ้าแนนอยากคุยก็เข้าไปคุยได้นะ พี่เดือนไม่ได้เข้าถึงยากเหมือนที่เห็นหรอก”

“ได้เลย พอดีเราอยากรู้ด้วยว่าหมอเขาเยนอะไรยังไงพอคร่าวๆ เราจะเอาไปแต่งนิยาย” แนนยิ้มให้ผม “เราก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับใครเหมือนกันเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้เรื่อง แต่เพราะพี่มะยมแท้ๆเลยนะที่ทำให้มีเรื่องที่จะคุยด้วยได้ ฝากตัวด้วยนะ”

“เหมือนกัน” ผมตอบกลับ ก่อนที่จะหยิบขนมในถุงแบ่งเพื่อนใหม่ไปเพราะยังไงก็คงกินไม่หมด แนนขอบคุณผมใหญ่ พอสังเกตไปมาก็รู้สึกว่าแนนมีส่วนที่เหมือนกับอุ้มอยู่เหมือนกัน ทั้งความร่าเริง ความกระตือรือร้น ที่ไม่เหมือนก็คงรู้จักการวางตัวมากกว่า อยู่นิ่งเป็นมากกว่า

หลังจากที่พวกเราเดินดูสถานที่ต่างๆจนขาลากและได้เวลากลับบ้าน พี่เดือนที่ยืนรอผมอยู่ตรงหน้าอาคารเรียนก็โบกมือให้ผม ตอนนี้คงไม่มีใครสังเกตหรอกมั้งว่าน้องใหม่กับรุ่นพี่ปีสองมายืนทำอะไรด้วยกัน ถ้าสงสัยก็คงมองเป็นรุ่นรุ่นน้องจากโรงเรียนเดียวกันมาคุยมากกว่า “ได้เพื่อนแล้วสินะ”

“ครับ ชื่อแนน ทำให้ผมนึกถึงอุ้มแต่เป็นเวอร์ชั่นปวดหัวน้อยกว่าเยอะ” ผมหัวเราะในลำคอ “เย็นนี้พี่จะไปถ่ายงานใช่มั้ยครับ?”

“อืม งานแต่งงานน่ะ สนใจไปด้วยกันมั้ยถ้าอยู่ห้องแล้วเบื่อๆ” พี่เดือนยื่นข้อเสนอให้ผม “พี่ก็ไม่เคยไปถ่ายงานแต่งเลยสักครั้ง กลัวเคว้งคว้าง”

“พี่ถ่ายงานนับสิบแล้วยังกลัวเหงาอีกเหรอ? ทำใจเถอะครับพี่เดือน เดี๋ยววันนี้ผมจะแสดงฝีมือนักถ่ายภาพรุ่นเยาวชนที่ได้รางวัลระดับประเทศมาแล้วให้ดูเลย”

“น่ากลัวจัง” เขาหัวเราะ “ไปกันเถอะ--”

“กุมภ์!” เสียงนี้มัน... “อ้าว กำลังคุยกับพี่เดือนเหรอ? สวัสดีค่ะพี่เดือน หนูชื่อแนน เพื่อนของกุมภ์เอง”

“สวัสดีครับ” พี่เดือนพยักหน้า “ผมเพิ่งคุยธุระเสร็จพอดี มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“อ๋อ พอดีว่าจะมาถามเรื่องหอที่พักน่ะค่ะ เผื่อกุมภ์อยากได้คนหารค่าหอ เพื่อนหนูคนหนึ่งที่อยู่คณะอื่นเขาอยากแบ่งเงินไปทำอย่างอื่นด้วย” พี่เดือนเลิกคิ้ว เขาหันมาทางผมทันที

“กุมภ์ไม่ได้บอกเพื่อนเหรอว่าพักอยู่กับพี่น่ะ?”

“ก็เห็นว่ามันไม่ได้จำเป็นต้องบอกเท่าไหร่นี่นา” ผมมุ่ยหน้าไป สร้างความสงสัยให้กับแนน “คือเราอยู่คอนโดกับพี่เดือนน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก”

“ไม่เป็นไรๆ แค่ถามไว้เฉยๆ แต่นี่สนิทกันมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? นึกว่าจะแบบรุ่นพี่รุ่นน้องในชมรมเฉยๆซะอีก”

“แล้วกุมภ์ก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้เหรอ?” พี่เดือนถามผมอีกครั้ง ก่อนที่จะใช้นิ้วตัวเองจิ้มมาที่หน้าผากผมกดลงเบาๆ “มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดอะไรเลยนะ มีเพื่อนก็บอกไปว่าพี่เป็นแฟนกุมภ์น่ะ”

“แฟน?” แนนร้องออกมา แต่ไม่ได้ดังจนคนอื่นได้ยิน “เฮ้ย ทำไมกุมภ์ไม่บอกเรา!” แล้วเธอก็เดินเข้ามาตีที่แขนผม พี่เดือนก็หยิกแก้มผมจนเจ็บไปหมด “ต้องลงโทษแล้ว นี่จะปิดเราเหรอ?”

“ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะบอก อีกอย่างก็กลัวจะรับไม่ได้ที่เราชอบผู้ชายนี่นา”

“ชอบผู้ชายก็คนนะคะคุณเพื่อน พี่เดือนคะ พี่เดือนคงไม่หึงหนูหรอกนะ?” เพื่อนใหม่ถามเพื่อความแน่ใจ พี่เดือนยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าไปมาบอกว่าไม่ได้หึงอะไรเพราะรู้ว่าหยอกกัน จากนั้นก็คุยกันอีกนิดหน่อย พี่เดือนฝากให้แนนช่วยๆดูผมด้วยเพราะกลัวผมจะทำแต่งานจนไม่ห่วงสุขภาพตัวเอง ตัวเขาก็คงจะมาดูแลตลอดไม่ได้ แนนเองก็บ่นไปมาเหลือเกินว่าผมไม่ยอมบอก ปล่อยให้คิดไปอยู่ว่าพี่เดือนใจดีกับผมมาก

พี่เดือนก็ไม่ได้มองว่าแนนเป็นคนไม่ดีเข้าหาเพราะเหตุผลอะไรถึงได้ฝากผมกับเธอไว้อย่างนั้น

 

[ต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
“พี่เดือนไม่บอกผมว่านี่เป็นงานแต่งของอาจารย์ในคณะ ผมจะได้ใส่เสื้อเรียบร้อยกว่านี้มาร่วมงาน” ผมมองดูเสื้อตัวเองที่เป็นเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับคาดิแกนสีฟ้าในขณะที่พี่เดือนสวมเสื้อสูทสีดำสุภาพมา “คือมันก็โอเคอยู่นะครับที่แต่งแบบนี้ แต่ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้ให้เกียรติอาจารย์พอ”

“อาจารย์แกไม่ว่าอะไรหรอก กุมภ์สบายใจได้” พี่เดือนว่าพลางกับยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ฉากเจ้าบ่าวเจ้าสาวตัดเค้ก “อีกอย่างคือกุมภ์ก็มาทำงานช่วยพี่ คนทำงานก็ต้องแต่งชุดทะมัดทะแมงพร้อมลุยเสมอนี่”

“แต่พี่เล่นใหญ่ใส่สูทมาผมก็อดสงสารตัวเองไม่ได้เหมือนกันนะครับที่ไม่มีเสื้อแบบนี้ใส่ จะว่าไปทำไมพี่เดือนถึงมีเสื้อแบบนี้ในตู้ด้วยล่ะครับ? มันแพงไม่ใช่เหรอ?”

“ของพี่ตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้ว โชคดีที่ยังใส่ได้ ถึงขากางเกงจะแอบสั้นขึ้นมาหน่อยก็เถอะ” ผมหมั่นไส้เขาที่สูงขึ้นอีกจริงๆ พอมาย้อนดูตัวเองที่สูงขึ้นเพราะรองเท้าแล้วเจ็บใจ ผมเลยยกมือข้างที่ไม่ได้ประคองกล้องของตัวเองมาตบไหล่คนตัวสูงกว่าจนเขาสะดุ้งแล้วบ่นโอดครวญ “ตีพี่ทำไมครับ? พี่เองก็เจ็บเป็นนะ”

“หมั่นไส้”

“หมั่นไส้พี่เรื่องอะไร? รึว่าเรื่องส่วนสูง? โอ๋นะครับเจ้าตัวเล็ก กุมภ์สูงเท่านี้กำลังน่ารักพอดีแล้—เจ็บ!”

ผมหยิกพี่เดือน บังคับให้เขาไปทำงานต่อ ส่วนผมก็เดินมาตรงบริเวณรอบนอกเพื่อเก็บภาพโดยรวม ไม่นานนักพี่เดือนก็เดินกลับมาพร้อมกับเจ้าบ่าวในพิธี

“นี่ไงครับ เด็กปีหนึ่งคนใหม่ที่ผมว่า กุมภ์ นี่อาจารย์ปริญญาเจ้าของงานแต่ง” พี่เดือนแนะนำอาจารย์ในคณะให้กับผม ผมยกมือไหว้ท่านก่อนที่จะกลับมายืนนิ่งเพื่อฟังสิ่งที่พวกเขากำลังจะพูดต่อ “เด็กคนนี้ชื่อกุมภ์ เป็นคนที่ทำให้ผมต้องมาเรียนนิเทศนี่แหละครับ”

“กุมภ์...กุมภ์...ใช่กุมภาที่ส่งพอร์ทที่มีผลงานระดับประเทศคนนั้นรึเปล่า?” อาจารย์ปริญญามองหน้าผม

“ครับ”

“ผมยินดีที่ได้คุณมาเป็นนักศึกษาในเอกถ่ายภาพนะครับ ฝีมือคุณนี่ดีจริงๆ การจัดแสง องค์ประกอบ จังหวะของภาพอะไรดีทุกอย่างเลย พีรดลเองก็ดีนะที่รู้จักกับคนที่มีความสามารถแบบนี้ แต่ผมเชื่อว่าสักวันคุณต้องไล่ตามเขาทันแน่ๆ”

“ไล่ตาม?” ผมเลิกคิ้ว “ขอโทษนะครับ หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

“ตอนพีรดลอยู่ปีหนึ่ง พีรดลยังจับอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลย ผมเองก็ค่อนข้างจะเป็นห่วงเหมือนกันเพราะผมกลัวว่าคนอื่นจะพัฒนาเร็วกว่าเขา ที่ไหนได้ พอจับได้ไม่ถึงสัปดาห์เขากลับทำได้ดีกว่าคนที่จับมาเป็นปีๆเสียอีก” อาจารย์ปริญญาหัวเราะ “สมองของพีรดลไวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แถมยังนำมาประยุกต์ได้ดีมาก ผมตกใจสุดๆที่จากเด็กไม่ประสีประสาอะไรกลายมาเป็นผู้ชายที่น่ากลัวคนหนึ่งได้ไวขนาดนี้”

จะว่าไปพี่เดือนก็น่ากลัวจริงๆ คนอะไรพัฒนาเร็วขนาดนี้ ผมแอบๆดูรูปของพี่เดือนอยู่ก็พัฒนาขึ้นจนผมตกใจเหมือนกัน “พี่เดือนก็แบบนี้แหละครับ ทำให้ผมตกใจได้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว กลัวเหมือนกันนะที่จะมีคู่แข่งแบบนี้”

“พี่ยังต้องเรียนอีกมากเลยนะกว่าจะถึงจุดที่กุมภ์อยู่ได้”

“แต่ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปนานมากแล้วเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าฝีมือผมตกไปแค่ไหน” ผมจ้องตาพี่เดือน “ความจริงผมสามารถเลี้ยวตัวเองกลับมาดีเท่าเดิม...ไม่สิ มากกว่าเดิมได้นะ ผมไม่ยอมให้พี่เดือนมาท็อปผมได้หรอก”

“งั้นเรามาพนันดีกว่า”

“พนัน?”

“ให้อาจารย์ปริญญาเป็นคนตัดสินว่ารูปจากกล้องใครในวันนี้ถ่ายได้ดีกว่ากัน” พี่เดือนยกยิ้ม “ยังไงเจ้าบ่าวก็ต้องเลือกรูปอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะครับ?”

“ผมไม่วางเงินพนันนะ ผิดกฎหมาย” ผมพูดติดตลก ทั้งพี่เดือนและอาจารย์ปริญญาหัวเราะ “พี่จะพนันด้วยอะไรล่ะ?”

พี่เดือนขยับเข้ามาใกล้ๆผม ก่อนที่จะก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า

“จูบแบบดูดดื่ม...เป็นไง?”

“ฮะ?”

“ถ้าพี่ชนะ กุมภ์ต้องทำตามที่พี่ขอ แต่ถ้าพี่แพ้ แล้วแต่กุมภ์เลยว่าจะให้พี่ทำอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเงินนะ” เขาดักผมเอาไว้ แต่สิ่งที่ผมได้ยินก็มีเพียงแค่ประโยคหน้าเท่านั้น

...จูบดูดดื่ม...

งั้นก็หมายถึง...

“พี่เดือน!”

“ครับ” พี่เดือนตอบเสียงหวาน เล่นเอาผมขนลุกชันไปทั่วร่าง จากนั้นก็เดินหนีเขาไปถ่ายรูปที่อื่นแทน

เดี๋ยวคืนนี้ได้มีตัดสินกันแน่ๆว่าใครหมู่ใครจ่า!!

 

“กุมภ์...”

“...” ผมนั่งหันหลังให้พี่เดือนบนเตียง หลังจากที่รู้ผลแล้วว่าใครแพ้ใครชนะ ก็เล่นเอาผมจุกที่คอหอยไปต่อไม่เป็น ไม่ใช่เพราะว่าผมรับไม่ได้ที่แพ้ ไม่ใช่เพราะว่าผมน้อยใจฝีมือของตัวเองที่ตกลง แต่เป็นเพราะ...

“จูบ--”

“หยุด-พูด-ถึง-เลยครับ!” ผมเน้นยำคำต่อคำให้พี่เดือนที่นั่งไหล่ตกอยู่ “มาขอเรื่องอะไรแบบนี้ให้เวลาผมทำใจก่อนได้มั้ย?”

“...ก็ได้ครับ...” พี่เดือนถอนหายใจ “จนกว่ากุมภ์จะพร้อมเนอะ พี่รอได้”

“ดีมากครับ” ความจริงจะให้ทำเลยมันก็ได้ แต่ว่า...มันอายนี่นาที่จะต้องมาจูบแบบนั้นกับคนที่รักเป็นครั้งแรก ถ้าเกิดว่ามันไม่สร้างความประทับใจให้เขาล่ะ? ถ้าเกิดว่ามันทำให้พี่เดือนหงุดหงิดแทนล่ะ? โอ๊ย! มาคิดมากกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน

ทั้งผมและพี่เดือนโน้มตัวลงเตียงเพื่อเตรียมตัวนอนเอาแรงไปใช้ชีวิตในวันถัดไป แต่ต่างคนก็ต่างนอนไม่หลับ พี่เดือนที่หันหลังเข้าหาหลังผมนนั้นก็พูดขึ้นมา

“งานแต่ง...พี่เองก็กำลังนึกถึงงานแต่งของพี่เองอยู่ว่ามันจะเป็นยังไง”

“คิดไปถึงวันนั้นแล้วรึยังไงครับ?” ผมหัวเราะเบาๆที่จู่ๆเขาก็หยิบเรื่องนี้มาเป็นประเด็น “พี่ลองเล่ามาให้ฟังสิว่าพี่อยากได้แบบไหน”

“พี่...ไม่อยากให้มีใครรู้มากมายว่าแต่งงานแล้ว ความจริงไม่ต้องมีก็ได้ พี่แค่อยากสวมแหวน จองคนที่รัก ให้คนที่รักจองพี่ แค่นั้นก็พอแล้ว” พี่เดือนขยับตัวเข้าหาผม “ถ้าพวกเราคบกันจนถึงวันนั้น...กุมภ์อยากได้งานแต่งมั้ย?”

“ทำไมผมคิดแบบเดียวกันกับพี่นะ” ผมเองก็ขยับตัวเข้าหาเขา “ไม่จำเป็นต้องมีคนมาเห็นพวกเราสวมแหวนกัน มันเป็นความรู้สึกระหว่างพวกเราสองคนที่ไม่ต้องมีคนอื่นมาร่วมเห็นด้วยก็ได้” จากนั้นผมก็หันตัวไปมองแผ่นหลังพี่เดือน “ผมไม่อยากมีงานแต่ง เปลืองก็เปลือง”

“งกนะเราน่ะ” พี่เดือนหันมา พวกเรากำลังจ้องกันท่ามกลางความมืด “แต่เปลืองจริง”

“ใช่มั้ยครับ? ฉะนั้นแล้วแค่สวมแหวนให้กัน จูงมือไปจดทะเบียนด้วยกันก็จบ ง่ายๆไม่กี่สเต็ป”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงแล้วนะ พวกเราจะไม่มีงานแต่ง”

“เดี๋ยวๆพี่เดือน นี่เอาจริง?”

“อืม พี่ไม่ได้คิดเล่นๆกับกุมภ์นะ พี่มั่นใจแล้วว่าพี่รักกุมภ์ รักจนพี่รู้สึกว่าพี่รักไม่ได้อีกแล้ว เป็นคนที่ทำให้พี่เจอกับสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ไม่เคยเห็น ทุกๆอย่าง และพี่เองก็สนุกทุกครั้งเวลาที่ได้เจออะไรใหม่ๆกับรุ่นน้องคนนี้” พี่เดือนใช้มือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของผม “พี่สัญญา...ว่าจะดูแลกุมภ์ให้ดีที่สุดเท่าที่พี่จะทำได้ ถ้าไม่มีกุมภ์ก็ไม่มีพี่ในวันนี้ ถ้าไม่มีกุมภ์พี่ก็คงไม่มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเขียนบทสรุปบั้นปลายตัวเอง”

“ผมเอง...ก็ได้เรียนรู้จากพี่เดือนว่าแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นมีความทุกข์มากมายเพียงใด และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถพูดออกมาได้ตรงๆเพราะยังมีความกลัวในจิตใจ ผมเองก็อยากช่วยพวกเขาทุกคนเหมือนอย่างที่ได้ช่วยพี่เดือน แต่ทว่าผมก็ไม่สามารถช่วยได้ทุกคนรวมถึงตัวเอง”

“ทุกคนยังคงรอวันที่จะมีคนดึงพวกเขาออกจากจุดนั้นอยู่ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่อดทนมาสิบแปดปีเพื่อเจอกับกุมภ์ก็ได้” พี่เดือนยิ้ม กระชับอ้อมกอดเข้ามา “เมื่ออดทนจนมาถึงวันนี้...พี่ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้และพยายามมาตลอด”

“ผมบอกแล้วว่าพี่เดือนเองก็มีความเข้มแข็งอยู่ในตัว เพียงแต่ว่าความกลัวของพี่มันทำให้ส่วนนี้ไม่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น” ผมค่อยๆซุกหน้าตัวเองกับอกอุ่นๆ กลิ่นครีมอายน้ำสูตรเย็นนั้นกระจายไปทั่วทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย หนังตาของผมค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ามีมนต์วิเศษเมื่ออยู่ใกล้เขา มนต์วิเศษที่ทำให้ผมสบายใจและทิ้งความคิดมากมายจากทั้งวันไปกับความฝัน “...ผมง่วงจริงๆแล้วสิ...”

“อย่างนั้นเหรอ? ฝันดีนะครับที่รัก”

“อื้อ...อย่าพูดแบบนั้นสิ เขินเป็นเหมือนกันนะ” ผมพูดอู้อี้ “ฝันดีเหมือนกันครับ...”

 

นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมพูดออกไปก่อนที่จะกลับสนิทตลอดทั้งคืน

มันเป็นความรักที่เรียบง่ายตามที่ผมหวัง และผมก็อยากให้มันสงบสุขเช่นนี้ตลอดไป

 

แต่ทว่า...

...ผมเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องที่ทำให้กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นกับผม...



==========


บทนี้สั้นจริงค่ะ แอ่ก

ขอตัวไปอ่านนิยายต่อแล้วนะคะ ฮืออออ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ฝันร้ายอะไร?  อย่าบอกนะว่าจะเสริฟมาม่าอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 14

 

ผ่านมานานแล้วเหมือนกันตั้งแต่เปิดเทอม ผมที่ได้เพื่อนใหม่คนเดียวในวันนั้นกลายมาเป็นผมที่มีเพื่อนล้อมตัวมากมายในวันนี้ ซึ่งพวกเราทุกคนนัดกันว่าจะมาดูแข่งประกวดดาวเดือนของมหาลัย

คณะของผมได้ตัวแทนเดือนมาจากเอกวารสาร ส่วนดาวมาจากเอกถ่ายภาพ แนนบอกว่าเอาใจเชียร์ดาวเต็มที่เพราะคิดว่ายังไงเดือนก็สู้ตัวแทนที่มาจากดุริยางค์ไม่ไหว

ให้เดาสิครับว่าใคร

“กุมภ์ กูไม่อยากขึ้นเวที...”

นทีกำลังนั่งทำหน้าซีดๆอยู่ข้างๆผม หลายคนกำลังหันมามองว่าเดือนดุริยางค์มานั่งอะไรตรงนี้ทั้งที่ใกล้ถึงเวลาต้องเข้าไปสแตนด์บายเต็มที ผมก็ทำอะไรกับมันมากไม่ได้นอกจากการตบบ่าให้กำลังใจ ส่วนเพื่อนคนอื่นของผมก็พากันไปให้กำลังใจตัวแทนจากคณะของตัวเองกัน

“มันมาถึงขนาดนี้แล้วนะเว้ยนที มึงกลั้นใจตัวเองอีกนิด เดี๋ยวมันก็จบแล้ว” ผมบอกเพื่อนไป นทียิ่งเบะปากทำท่าจะร้องไห้ “อย่าร้องไอ้นที มึงอายุสิบเก้า เป็นเดือนคณะดุริยางค์ ถ้าเขาเห็นมึงในสภาพที่งอแงเป็นเด็กตอนนี้มึงยิ่งยากว่าเก่าแน่”

“ก็กูไม่ได้อยากเป็นนี่นา ถ้าวันนั้นพี่ในคณะไม่แกล้งถอดแว่นกูนะ กูคงรอดพ้นกลับไปนอนตีพุงที่หอแล้ว”

นทีเล่ามาว่าในวันเลือกดาวเดือนคณะ มันกำลังนั่งดื่มนมกล่องอยู่หลังห้องประชุม บังเอิญว่ารุ่นพี่คนหนึ่งอยากจะแกล้งเด็กแว่นดำหนาๆเลยหาพุ่งไปที่นทีแล้วก็ถอดแว่นมันออก ปรากฏว่าหลังจากนั้นนทีโดนลากให้ไปเป็นเดือนคณะอย่างงงๆ ผมเองก็เห็นใจมันเหมือนกันที่จู่ๆก็โดนยัดเยียดหน้าที่มาให้ แต่พอขอตามมันไปดูถึงคณะ ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมรุ่นพี่ถึงเลือกนทีกัน ปีนี้มีแต่คนหน้าตาไม่โดดเด่น เอาไปก็คงไม่มีหวัง ทางเลือกเดียวก็คือการที่ส่งนทีไปเป็นหน่วยกล้าตายทั้งๆที่ไม่ได้ถามความสมัครใจก่อน ส่วนนทีเองก็ปฏิเสธชาวบ้านไม่เก่ง มันเลยกลายมาเป็นแบบนี้

“เอาเถอะ วันนี้มึงขึ้นเวทีไปมึงต้องฟาดทุกคนด้วยกีตาร์กับเสียงมึง เข้าใจนะ?”

“กูไม่ได้อยากชนะใคร กูอยากอยู่ของกูเฉยๆ” นทีร้องออกมา “หนีไปได้มั้ย?”

“ไม่ได้”

“แต่กูไม่อยากขึ้นเวทีจริงๆ...”

นทีเป็นคนไม่อยากขึ้นเวทีใหญ่...ผมรู้นิสัยนี้ดี แต่ผมไม่รู้ว่ามันมีเรื่องอะไรฝังใจมันรึเปล่าที่ทำให้มันไม่อยากจะขึ้นแบบนี้ อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าถามไปสักที

ผมกลัวว่าจะไปกระทบจิตใจเพื่อนเข้าถ้าเป็นเรื่องใหญ่

“ไปเถอะ เดี๋ยวจะหาที่นั่งดีๆคอยเชียร์มึงนะ มึงไม่ต้องลน ไม่ต้องมองใครนอกจากเพื่อนตัวเอง” ตบบ่าเพื่อนอีกรอบเพื่อให้กำลังใจ ผมลุกออกจากที่นั่งตัวเองเมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนเรียนเอกเดียวกันตรงมาทางนี้ “มึงทำให้ดีที่สุดก็พอ”

“อืม...”

ผมเดินจากนที เพื่อนของผมยิ้มทักทายพร้อมกับถามว่าเป็นอะไรกับเดือนคณะดุริยางค์ หลายคนแซวว่าผมกับเขาเป็นกิ๊กกันรึเปล่า ผมก็ส่ายหน้าตอบไป ส่วนแนนก็ตอบขยายความไปทันที

“กุมภ์เขามีแฟนแล้ว ไม่กิ๊กกับคนอื่นหรอก นั่นเพื่อนสนิทเขา”

“มีแฟนแล้ว? ทำไมไม่บอกล่ะ รู้ตัวรึเปล่าว่ามีคนจ้องมึงตาเป็นมันตั้งแต่เปิดเรียนเลยนะ” คนนี้ชื่อว่าเจมส์ ผู้ชายรูปร่างใหญ่แต่ขี้แกล้ง โดยเฉพาะแกล้งผมที่ตัวเล็กที่สุด “จ้องแบบจะจับมึงกินได้ทั้งตัว”

“ก็ไม่มีใครถามกุมภ์ กุมภ์ก็ไม่พูดหรอกน่า” ส่วนคนนี้ชื่อคิว เป็นคนตัวสูง ผิวแทน “เป็นกูก็ไม่พูด”

“แล้วแฟนมึงคคนไหนวะ? อยากเห็น น่ารักปะ?”

“แฟนกุมภ์เป็นคนใกล้ตัวเรานี่แหละ ในเอกเราเลย” แนนใบ้ให้เพื่อนอีกสองคนฟัง เจมส์กับคิวเลิกคิ้วก่อนที่จะหันซ้ายขวามองคนอื่นๆในบริเวณนั้น “เป็นรุ่นพี่”

“แนน...”

“แถมตอนนี้ยังนอนอยู่คอนโดเดียวกันด้วย”

“...”

“เป็นรุ่นพี่ปีสอง” แนนหยอกผมเล่น “อย่าโกธรไปเลยน้าเพื่อนกุมภ์ เราแค่อยากหยอกเฉยๆ ตัวเล็กน่ารักมายืนเทียบกันดีๆแล้วกุมภ์เตี้ยกว่าเราอีกนะ“

เจ็บปวดหัวใจ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง

“ถ้าอย่างนี้คงมีแฟนเป็นผู้ชายแล้วมั้ง” เจมส์ว่า “...นิ่งแบบนี้รึว่าใช่?!”

“สภาพอย่างนี้ไม่น่าจะมีแฟนเป็นผู้หญิงได้หรอ--”

“ทำอะไรกันอยู่เหรอเด็กๆ” เสียงคนมาใหม่ดังขึ้น พี่เดือนเดินถือกล้องเข้ามาหาพวกเราที่กำลังยืนเถียงเรื่องแฟนผมอยู่—ก็พี่เดือนนั่นแหละ และท่าทางเขาก็น่าจะได้ยินด้วยว่าพวกเราพูดเรื่องอะไรถึงยิ้มหน้าบานมาแบบนี้ “ท่าทางกำลังคุยสนุกเชียว”

“สวัสดีครับพี่เดือน พอดีพวกเรากำลังถามกุมภ์มันน่ะครับว่ามีแฟนเป็นผู้ชายรึผู้หญิง ผมนี่เฉามาตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ก็ยังไม่มีสาวน่ารักๆวิ่งเข้ามาหาเลย” เจมส์บ่น คิวถอนหายใจใส่เพื่อนตัวเอง

“พี่ก็รู้จักแฟนกุมภ์นะ”

อ้าวเฮ้ย! พี่เดือนจะไปเล่นกับพวกนั้นด้วยทำไม?!

“จริงเหรอครับ? แล้วแฟนกุมภ์เขาเป็นคนแบบไหน...ไม่สิ เป็นคนไหนดีกว่า แนนบอกว่าเป็นรุ่นพี่ในเอกเรานี่แหละ” คิวถามพี่เดือน พี่เดือนยิ้มให้ก่อนที่จะพูดออกมา

“เป็นผู้ชายตัวสูงๆ บางทีก็ใส่แว่นเพราะสายตาไม่ค่อยจะดี ชอบถือกล้องเดินไปมาทั่วมหาลัย ทุกวันนี้หาค่าเทอมเรียนเอง อาจจะไปกู้ยืมเรียนในอนาคตเร็วๆนี้”

“...คุ้นๆนะ”

“คุ้นใช่มั้ยล่ะ? อีกอย่างก็คือยืนอยู่ตรงหน้าพวกน้องด้วย” ทันทีที่พี่เดือนพูดจบ แนนก็ส่งเสียงหัวเราะก๊ากออกมาให้เพื่อนอีกสองคนของผมงง ก่อนที่จะร้องขึ้นมาพร้อมกันด้วยความแปลกใจ ส่วนผมน่ะเหรอ?

หลบหลังพี่เดือนแล้ว เขิน

“เดี๋ยวๆ นี่ไม่คิดว่าจะเป็นพี่เดือนที่เป็นแฟน...กุมภ์ ไปเจอกันอะไรยังไง แล้วแนนบอกว่ากุมภ์นอนคอนโดเดียวกันกับพี่เดือนนี่มันหมายความว่าอะไร? ใจแตกแล้วเหรอเพื่อนกู?!” เจมส์ร่ายยาวออกมาจนพี่เดือนยกมือห้ามขึ้นทั้งเสียงหัวเราะ

“คือพี่รู้จักกับกุมภ์มาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว และเพราะอะไรหลายๆอย่างเลยทำให้พวกเราคลิ๊กกันน่ะ แต่มาคบจริงๆจังๆก็เพิ่งช่วงใกล้มหาลัยเปิดนี่เอง” เขาว่า “มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าพี่กับกุมภ์กำลังคบกัน จำมะยมได้มั้ย? คนที่ชอบเข้ามาหยอกคนอื่นน่ะ นั่นก็รู้ ส่วนอีกคนที่รู้ก็แนน ถึงได้หัวเราะเสียงดังแบบนั้นไง”

“นี่ไม่ได้สังเกตเลยเหรอว่ากุมภ์กับพี่เดือนกลับพร้อมๆกันน่ะ” แนนยังคงกลั้นขำ “หลายๆอย่างมันก็ใบ้ไปในตัวแล้วนะว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน โอย...ทำไมคนรอบข้างไม่ค่อยสังเกตเลย”

“ก็มัวแต่เรียนจนไม่มีเวลามาดูชาวบ้านทั้งวันนี่นา” คิวท้วงไป “กูก็ไม่อะไรหรอกที่จะคบกับผู้ชาย รักกันนานๆแล้วกันนะ”

“อืม” ผมตอบกลับแค่นั้น ก่อนที่จะชวนพี่เดือนไปหาอะไรกินรองท้องก่อนเข้าไปในหอประชุมเพื่อรอดูประกวดดาวเดือน “ฝากจองที่ให้ด้วยนะ”

“เอาแถวหน้าๆใช่มั้ย? เดี๋ยวจะจองให้นะ ไปหาอะไรกินกับแฟนไปเลย” เจมส์ประชดผม “อิจฉาโว้ยย”

ทั้งผมและพี่เดือนเดินจากมาพร้อมกับหัวเราะกันสองคน จากนั้นก็มาถึงร้านเครปที่ตั้งอยู่ในโรงอาหารของคณะนิเทศ พี่เดือนชอบสั่งเป็นแป้งเปล่าๆราดนมข้นหวานนิดๆ และมันต้องกรอบด้วย เขาบอกว่ากินแบบนี้เพลินดีเหมือนกินมันฝรั่งถุง ผมเลยสั่งตามบ้างและมันก็อร่อยอย่างที่พี่เดือนว่ามาจริงๆ แวะซื้อน้ำมาอีกสามขวดเอาไปให้เพื่อนที่กำลังจองที่นั่งให้ งานประกวดจะเริ่มในอีกสิบนาทีนี้ ทำให้ผมต้องรีบนั่งติดเก้าอี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาแย่ง

คิดดูว่าขนาดมาก่อนตั้งนานคนยังเยอะขนาดนี้

“พี่อยากรู้นะว่าใครจะเป็นเดือนปีนี้” พี่เดือนว่าขำๆ “บางทีอาจจะไม่ใช่นทีก็ได้ พี่ก็ไม่เห็นหน้าเดือนคณะอื่นเลย”

“นั่นสินะครับ แต่เท่าที่ได้ยินมาก็มีแต่คนบอกว่านทีหน้าตาดีที่สุดแล้ว ส่วนความสามารถนั้นก็คงต้องลุ้นกัน ความจริงผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้เพราะท่าทางมันจะเป็นคนที่ตื่นเวทีใหญ่ๆพอตัว”

“พี่เองก็มีครั้งหนึ่งที่ต้องขึ้นเวทีแบบนี้เหมือนกันตอนมัธยมต้น”

“พี่ได้ทำอะไรครับ?”

“เขาให้พี่เล่นเปียโน” พี่เดือนส่ายหน้า “ตอนนี้พี่ก็ลืมไปหมดแล้วล่ะว่าเล่นยังไง เพราะตอนนั้นเขาบังคับให้พี่แสดงความสามารถทางดนตรีอะไรก็ได้หนึ่งอย่างเพื่อเป็นการเปิดงานให้กรรมการมาประเมิน คนที่เล่นเป็นก็ไม่เอาขึ้นเพราะไม่ใช่คนที่คนอื่นรู้จัก พี่ก็โดนคนมองไปหลายวันเหมือนกันว่าพี่เป็นคนเสนอตัวไป”

น้ำเสียงเขาดูเศร้าๆ “พ่อแม่พี่ก็ดูเหมือนว่าจะดีใจไม่น้อยที่พี่ได้หน้าจากงานนี้ โดยไม่สังเกตเลยว่าพี่กำลังโดนคนอื่นมองไม่ดี แต่พี่จะทำอะไรได้ในเมื่อครูเขาเป็นคนสั่งให้พี่ทำ พี่ก็ต้องทำ”

“ลำบากน่าดูเลยนะครับ...” พี่กุมมือเขาปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะพี่เดือน อดีตก็คืออดีต ตอนนี้พี่เดือนก็คือคนใหม่ที่บินออกมาจากกรงแล้ว พี่มีอิสระที่จะทำตามใจตัวเองแล้วนะ”

“นั่นสิ แต่เรื่องหาเงินนี่พี่ต้องพยายามหน่อยแล้วล่ะ รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่เลยหลังจากจ่ายค่าเทอมไป” เขาบ่นเบาๆ “พี่อยากทำเรื่องกู้ยืมเรียน แต่ติดปัญหาที่ว่าเอกสารต้องให้ผู้ปกครองเซ็น พ่อแม่พี่คงไม่ยอมแน่ๆ จะไปถามญาติคนอื่นก็จะสงสัยกันอีกว่าบ้านพี่มีเงินทำไมลูกถึงจะกู้ยืมเรียนอย่างนี้”

“พูดถึงเรื่องเรียน พี่เดือนเคยเล่าให้ฟังว่าพี่มีน้องชายนี่นา?”

“ใช่ น้องพี่ชื่อหนึ่ง ตอนนี้อยู่ม.4 แล้วล่ะ โรงเรียนเดียวกันกับที่พวกเราจบมา แต่พี่เองก็ไม่รู้หรอกว่าหนึ่งเขาจะเรียนอะไรระหว่างบริหารกับแพทย์ เพราะพี่ทิ้งส่วนของแพทย์ไปแล้ว แทนที่หนึ่งจะต้องเข้าบริหารเพื่อสานโรงแรม กลับกลายเป็นว่าต้องมาควบสองให้ได้”

ผมเห็นใจน้องชายของพี่เดือนเหมือนกัน...ถึงแม้ว่าจะพวกเขาทั้งคู่จะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ในเมื่อต่างคนต่างต้องแข่งขันกันเองแบบนี้ ถ้าเป็นผม ผมก็คงทนไม่ไหวที่ต้องมาแข่งกับมีนาหรอก

“จะว่าไปปีนี้มีนาก็เตรียมสอบ?”

“ครับ มีนาอยากเข้าอักษร พ่อแม่พวกเราไม่ได้ขัดเลยว่าจะเรียนอะไร ขอแค่เรียนจบมีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ก็พอ”

“ดีจังเลยนะ พี่เองก็อยากจบไวๆหาเงินมาเลี้ยงตัวเองให้ได้เยอะๆ พอมีเงินเยอะแล้วจะพากุมภ์ไปเที่ยวทุกประเทศเลย” พี่เดือนยกแก้วน้ำชาขึ้นมา “เริ่มจากที่ไหนก่อนดีล่ะ? แคนาดา? อเมริกา? รึว่าจะเป็นอิตาลีดี?”

“พี่เดือนคิดไปไกลเกินอีกแล้วนะ...อะ งานเริ่มแล้วครับ” ผมบอกพี่เดือนเมื่อไฟหน้าเวทีถูกลดแสงลง ตามด้วยเสียงของพิธีกรที่ดังขึ้น

หลังจากพิธีกรแจ้งอะไรต่างๆครบแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงของการเปิดตัวดาวเดือนแต่ละคณะโดยคณะของผมออกมาเป็นคณะแรกก็สามารถสร้างเสียงร้องให้หลายคนในหอประชุมได้ แต่เมื่อคณะสุดท้ายหรือคณะดุริยางค์ออกมา เสียงกรีดร้องก็ดังไปทั่วหอประชุมจนผมคิดว่ามันดังไปถึงหน้ามหาลัยด้วยซ้ำ

นทีท่าทางจะตกใจนิดๆเมื่อมีคนกรี๊ดให้ขนาดนั้น แต่มันก็ตั้งสติกลับมาได้แล้วปั้นหน้ายิ้มบางๆเดินไปยืนริมขวาสุดของเวที พิธีกรให้ทุกคนแนะนำตัวว่าชื่ออะไรมาจากคณะอะไรตามที่ควรจะเป็น

“สวัสดีครับ ผมนายนที ไมตรีจิตร ชื่อเล่นนที คณะดุริยางค์ เอกประพันธ์ครับ”

เขาไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับตัวเอง แต่แค่นั้นก็ทำให้หลายคนจ้องนทีเป็นหนุ่มที่ตัวเองชื่นชอบไปเสียแล้ว

“ทำไมวันรับน้องฉันถึงไม่เห็นเขาเลยล่ะทั้งที่เด่นขนาดนั้น”

“ไม่รู้สิ เห็นมีคนบอกว่าปกติแล้วจะใส่แว่นตากรอบดำหนาๆปิดหน้าหล่อๆนั่นเอาไว้ แถมยังไว้ทรงผมยุ่งๆพรางตัวเองอีก แต่พอกลายมาเป็นแบบนี้แล้วฉันก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงทำแบบนั้น เขาไม่อยากเป็นจุดเด่นจนสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิต” ผู้หญิงสองคนข้างหลังผมพูดขึ้นมา ผมพยักหน้าเบาๆเห็นด้วยเพราะนทีไม่ชอบเป็นจุดเด่น แค่ได้รับหน้าที่นี้ก็งอแงจนไม่รู้จะยังไงแล้ว

การประกวดดาวเดือนยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงคราวแสดงของนทีและดาวของคณะดุริยางค์ ฝ่ายนทีเป็นคนเล่นกีตาร์ให้ดาวที่มาจากเอกวอยส์เป็นคนร้อง และนานๆทีนทีถึงจะร้องออกมาตามเพื่อเป็นคอรัสให้ เมื่อเล่นจบการแสดงก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด

ผลประกาศไล่มาเรื่อยๆจนนทีกลายเป็นสามคนสุดท้าย ซึ่งมันแน่นอนแล้วว่าเขาคือหนึ่งในสาม นทีมองผมมาเป็นระยะๆแล้วทำปากบ่นประมาณว่า ‘ฉิบหายแล้ว’ อยู่อย่างนั้น ผมเองก็ช่วยไม่ได้ มันอยากหน้าตาดีเองเลยทำไปแต่หน้าตายิ้มขำจนนทีมองตาเหมือนพยายามจะกินเลือดกินเนื้อผมหลังจากจบการประกวด ในที่สุดผลก็ออกมาเป็นว่าเพื่อนของผมคือเดือนมหาลัยคนใหม่

ผมกับพี่เดือนอยู่รอนทีเพื่อที่จะช่วยถือของที่ได้รับจากคนอื่นถึงหอ พอออกมาได้นทีก็ทำหน้าเหมือนไม่ดีใจเลยสักนิดที่ได้รับตำแหน่งเดือนมหาลัยมา

“ทำไมต้องเป็นกูด้วยอะ...”

“ก็มึงหน้าตาดี แถมเสียงดีเล่นกีตาร์เพราะ ทำอะไรๆก็ดูดี” ผมบอกง่ายๆ นทีก็เอาตุ๊กตาหมีขาวที่ได้จากใครสักคนฟาดเข้าที่ตัวผมจนแทบเซ “ตัวใหญ่ๆอย่างนี้อย่าเอามาตีเล่นสิ หนักเหมือนกันนะ!”

“มาช่วยขนเลย ไม่ไหวแล้ว” นทียื่นถุงขนมนมเนยมาให้ “ขอบคุณนะครับพี่เดือนที่มาช่วย”

“ทีกูไม่ขอบคุณ”

“เงียบไปเลยน่า เดี๋ยวไม่แบ่งขนมไปให้กินหรอก”

 

ผมกับพี่เดือนเดินไปส่งนทีถึงหอ จากนั้นก็ช่วยมันจัดของเข้าที่อีกนิดหน่อยก่อนที่จะพากันเดินกลับมหาลัย วันนี้พี่เดือนเอารถมาเพราะตั้งใจจะไปรับงานถ่ายภาพที่อื่นต่อ เขาบอกว่าผมน่าจะเหนื่อยแล้วเลยให้อยู่คอนโดดีกว่า ผมก็ไม่งอแงเขา ผมรู้ว่านี่คืองาน ตามเขาไปตลอดเวลาไม่ได้

พี่เดือนขับรถออกไปจากสายตาผม ผมถอนหายใจแล้วก็เดินขึ้นคอนโดไป นั่งเพลินๆในห้องสักพักจู่ๆก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังขึ้น จากนั้นก็ตามด้วยฟ้าผ่าจนสะดุ้ง เมื่อครู่ยังฟ้าโล่งอยู่เลยแท้ๆเชียว

พอได้ยินเสียงฝนก็อดไม่ได้ที่จะห่วงพี่เดือนว่าขับรถถึงที่รึยัง หรือว่ากำลังทำอะไรอยู่เลยโทรฯไป

‘พี่อยู่งานแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ พี่รอฝนหยุดก่อนแล้วพี่จะค่อยๆขับกลับ’

พี่เดือนว่ามาอย่างนี้ผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อย

แต่ผมน่ะสิ ตอนนี้กำลังนั่งดูน้ำฝนที่เกาะหน้าต่างอยู่คนเดียวพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง

พอมานั่งคิดๆดูแล้ว...ผมเองก็อายุจะเข้าหลักสองภายในอีกปี รู้สึกราวกับว่าผมเพิ่งผ่านวัยเด็กมาได้ไม่นานเอง เดี๋ยวนี้เวลาเดินไวกว่าที่ควรจะเป็น ทุกลมหายใจเข้าออกมันบอกผมเสมอว่าคนเรามีสิทธิจะลงโลงได้ทุกเมื่อ มันก็ใจหายเหมือนกันที่ยังไม่ได้ทำอะไรตั้งหลายอย่างแต่กลับปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างนั้น ตอนเด็กๆก็หวังแค่ว่าเรียนจบสูงมาหางานทำเพื่อเลี้ยงพ่อแม่ ตอนนี้ก็ต้องมีอะไรมาให้คิดเล็กคิดน้อยนับไม่ถ้วน การเดินเข้าสู่โลกผู้ใหญ่นั้นมันยากกว่าที่ผมคิดเสียอีก

ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้เจอพี่เดือน...จะเป็นยังไงนะ?

ผมนั่งคิดเพลินจนมาถึงเรื่องของพี่เดือน นั่นสิ พี่เดือนบอกว่าถ้าเขาไม่ได้เจอผม เขาก็คงไม่ใช่เขาในวันนี้ แล้วกลับกันถ้าเป็นผมที่ไม่รู้จักพี่เดือนบ้างจะเป็นยังไง ผมจะอยู่ในจุดไหนอะไรยังไงกัน?

อย่างแรกเลยก็คงไม่ได้เป็นหัวหน้าชมรมห้องสมุด—ไม่ได้ออกกิจกรรมบ่อยเหมือนที่พี่เดือนทำ ไม่ได้ทำความเข้าใจกับคนอีกหลายๆประเภท ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการรับมือกับภาระหน้าที่เหมือนที่เขาเคยทำ

การที่ได้รู้จักพี่เดือนมันทำให้ผมลำบากก็จริง แต่นั่นก็สอนให้ผมรู้จักความเหน็ดเหนื่อยที่อย่างน้อยในชีวิตหนึ่งต้องเจอ

อย่างที่สองก็คือผมคงไม่ได้รู้จักคำว่ารักแบบนี้...

คิดเองก็เขินเอง อืม

ผมเดินหน้าแดงไปอาบน้ำแล้วก็กระโดดขึ้นเตียง พี่เดือนท่าทางน่าจะเลิกดึก กว่าจะกลับก็คงนู่นแหละ เที่ยงคืนตีหนึ่ง เขาถึงบอกว่าให้ผมนอนได้เลย ผมรู้ลิมิตตัวเองด้วยว่าคงทนไม่ไหวเลยทำตัวเป็นเด็กดีฟังคำสั่งของแฟน หลับไปทั้งที่ไฟข้างนอกยังเปิดเอาไว้อยู่



[ต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
Rrrrr

“อืม...” ผมงัวเงียตื่นมารับโทรศัพท์ “สวัสดีครับ...”

‘ญาติของนายพีรดล นารีรัตน์ใช่มั้ยครับ?’ เสียงปลายสายเป็นเสียงคนที่ผมไม่คุ้นเคย แต่พอยกหูออกมาก็ขึ้นชื่อว่าพี่เดือน หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน?

“..ใช่...ใช่ครับ”

‘คือ...นายพีรดลประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้กำลังอยู่ห้องไอซียูนะครับ’

เปรี้ยง

ทันทีที่เสียงปลายสายสิ้นสุดลง ฟ้าก็ผ่าลงมาพร้อมกับหัวใจของผมที่แทบจะแตกสลายไป ณ จุดนั้น แล้วผมก็รีบถามเขาไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือควบคุมตัวเองไม่อยู่ว่าพี่เดือนอยู่ที่โรงพยาบาลไหน จนกระทั่งได้สถานที่มา ผมก็รีบโทรไปหานทีที่เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของผม

พี่เดือน...พี่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ ผมจะรีบไปหา

“อืม...มีอะไรกุมภ์..”

“นที! พี่เดือนรถชนเข้าโรงพยาบาลกำลังอยู่ไอซียู! ฮึก...พากูไปหาพี่เดือนหน่อย...” ผมปล่อยโฮออกมา “กูยังบอกพี่เดือนอยู่เลยว่าระวังอุบัติเหตุ กู...กูไม่น่าพูดออกมาเลย!”

“มึงใจเย็นก่อนนะ! เดี๋ยวกูจะรีบไปหามึงที่คอนโดเดี๋ยวนี้แหละ” ปลายสายตอบกลับมา “ไม่ต้องวางสาย กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง”

ผมพยักหน้าทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าตัวไม่เห็น จากนั้นก็รีบเก็บเอกสารสำคัญเข้ากระเป๋าทั้งๆที่น้ำตายังไหลไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมร้องไห้ให้กับคนอื่น คนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวแต่กลับสำคัญเป็นอย่างมาก

นทีวิ่งขึ้นมาถึงหน้าห้องของผม ผมนึกได้ว่าพี่โอมที่เป็นเพื่อนแฟนตัวเองอยู่ห้องตรงกันข้าม จึงเคาะประตูดังๆ พี่โอมเปิดออกมาด้วยความงัวเงียและผมก็อธิบายไปโดยไม่สนว่าพี่เขาจะฟังทันหรือไม่ แต่จากการที่พี่โอมเบิกตากว้างนั้นก็คงเข้าใจ แต่ผมขอตัวรีบออกมาก่อนด้วยความเป็นห่วง

ตลอดทางผมก็ร้องไห้แล้วซุกกับหลังเพื่อนของผมที่ขี่รถพาคนตัวเล็กกว่าฝ่าฝนไปหาพี่เดือนที่โรงพยาบาล ในจังหวะนั้นสมองผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว มันทั้งโล่ง ทั้งเบลอ ทุกอย่างมันรวมกันเป็นสีขาวไปหมด กว่าจะรู้ตัวว่าเสียงของผมมันหายไปแล้วก็ตอนที่นทีสะกิดผมให้เดินเข้าไปในโรงพยาบาลพร้อมกับถามว่ายังไหวมั้ยนั่นแหละ

พยาบาลออกมาบอกอาการว่าพี่เดือนขับรถแล้วมีรถคันอื่นพุ่งเข้ามาชนจากด้านหลัง ทำให้รถของเขาไถลไปชนกับเสาไฟอีกที อาการเบื้องต้นบอกว่าศีรษะแตกไม่ได้สติ มีบาดแผลตามตัวแต่ไม่ลึกมาก ที่น่าเป็นห่วงคือเสียเลือด ถ้าเกิดพามาไม่ทันเขาอาจจะช็อกได้ ฝ่ายคู่กรณีเองก็พร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่างเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจและถนนลื่น เลยทำให้เขาประมาทพร้อมกับขอให้ผมให้อภัยเขา

ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะผมตอบไม่ได้ มัวแต่ร้องไห้ไม่มีเสียงอยู่อย่างนั้น

“กุมภ์...”

“...”

“มึงต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่พี่เดือนนะ” นทีเขย่าบ่าผม เขายังคงอยู่ในชุดนอนเช่นเดียวกัน ไม่นานนักพี่โอมกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จักก็วิ่งมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน พี่โอมเดินเข้ามาปลอบใจผมพร้อมกับกอดหลวมๆ ส่วนอีกคนเดินเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เดือน

“ใจเย็นนะกุมภ์ ใจเย็น เดือนต้องไม่เป็นอะไร” พี่โอมยอมให้ไหล่ของเขาเปื้อนน้ำตาของผม “ใจเย็นไว้เพื่อเดือนนะ”

ผมพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติตัวเอง มือที่สั่นเทาของผมยกโทรศัพท์ของพี่เดือนที่หน้าจอแตกขึ้นมาพร้อมกับปลดล็อคตามรหัสที่พี่เดือนบอกเอาไว้ นิ้วค่อยๆเลื่อนหารายชื่อติดต่อที่เขาไม่ได้โทรฯไปนานมากแล้ว ทันทีที่กดโทรออก ผมก็รู้ทันทีแล้วว่าหลังจากนี้เรื่องที่ผมคบกับพี่เดือนมันจะไม่ใช่ความลับกับครอบครัวนารีรัตน์อีกต่อไป

‘ลมอะไรทำให้แกโทรฯมาตอนนี้กันเดือน?’ เสียงผู้ชายอายุมากแล้วดังขึ้น ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพื่อไม่ให้มันไหลลงมาก่อนที่จะพูดไม่รู้เรื่อง ‘นั่นเสียงอะไร?’

“สะ...สวัสดีครับ...” ผมว่าเสียงเบา รวมเสียงและแรงทั้งหมดที่มีเพื่อเปล่งออกมา “คือ...ผมเป็น...”

ผมมองหน้านที พี่โอม และพี่อีกคนด้วยความลังเล นทีส่ายหน้า ทำปากขมุบขมิบว่าโกหกไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร

“ผมเป็นแฟนพี่เดือนครับ...ชื่อกุมภ์...”

“...”

“แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าครับ...ฮึก...พี่เดือนประสบอุบัติเหตุอยู่ที่โรงพยาบาลตอนนี้ ผม...ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว...”

“เดี๋ยวฉันจะรีบไป”
พ่อพี่เดือนรีบตัดสายจากผมทันที ผมใจเสียที่เขาตอบแค่นั้น แล้วสุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบราวกับว่าผมได้สารภาพเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตออกไป

 

“โดยรวมแล้วอาการนั้นถือว่าคงที่ อีกไม่นานก็จะฟื้นตามฤทธิ์ยาสลบที่หมดค่ะ ส่วนเรื่องบาดแผลอื่นๆไม่มีอะไรร้ายแรง แต่เรื่องบาดแผลที่บริเวณข้างหน้าผากฝั่งซ้ายนั้นถ้าดูแลไม่ดีอาจจะติดเชื้อหรือเป็นแผลเป็นระยะยาวได้ ขอให้ระวังเรื่องนี้กันด้วยนะคะ”

เสียงพยาบาลสาวดังขึ้นก่อนที่จะเดินออกไป พี่เดือนตอนนี้อยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพีที่พ่อพี่เดือนเป็นคนสั่งให้เปิด ถึงจะตัดขาดแต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะตัดขาดถึงขั้นไม่ช่วยเหลืออะไรลูกชายคนโตเลย

เขามาคนเดียว...เพราะแม่ของพี่เดือนและน้องชายของเขาไม่สามารถมาด้วยได้ แต่แค่นี้ผมก็เกร็งจะแย่แล้ว

“พวกเธอทั้งสามคนออกไปก่อน ฉันจะคุยกับเด็กคนนี้ตามลำพัง” คำสั่งของพ่อพี่เดือนหนักแน่นมากพอที่จะทำให้สามคนที่เหลือที่ยืนในห้องสะดุ้งและเดินออกไป พี่โอมหันมายิ้มบางๆให้กำลังใจผมก่อนที่จะปิดประตูสีขาวสะอาดนั่น

ผมเงียบ...ไม่กล้าเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน

“เธอบอกว่าเธอเป็นแฟนของเดือน”

“ครับ...” ผมว่าเสียงเบา พลางสูดน้ำมูกแต่ไม่ดังจนเสียงมารยาท “ชื่อกุมภ์ เป็นรุ่นน้องของเขาสองปีครับ”

“รู้จักกันนานรึยัง?”

“ครับ...ตั้งแต่พี่เดือนเรียนอยู่ม.6”

“อย่างนั้นเหรอ...” พ่อพี่เดือนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองไปที่ลูกชายคนโต และอ้าปากอีกครั้ง “เธอรู้ใช่มั้ยว่าเดือนเขาต้องทำตามเป้าหมายของครอบครัว ไม่หมอก็ผู้บริหารโรงแรมคนต่อไป แต่หลังจากที่เขาเจอกับเธอ เขาก็เปลี่ยนไป

“เขาดื้อขึ้น เริ่มไม่ทำตามสิ่งที่พวกฉันวางเอาไว้ให้ และร้ายแรงสุดก็คือการที่ลาออกจากคณะแพทย์แล้วมาเรียนนิเทศที่ไม่ใช่สายที่พวกฉันทั้งคู่หวังเลยสักนิด”

ผมก้มหน้า

“ฉันเองก็ท้าเขาไปว่าถ้าอยากจะเรียนสายนี้ก็ให้เรียนเอาเอง ไม่ส่งเงินค่าเรียนให้ แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่าเขาไม่คิดจะติดต่อกลับมาอีกเลยจนกระทั่งเป็นเธอที่โทรฯไป ตอนนั้นฉันคิดว่าเจ้าลูกชายคนโตตัวดีอาจจะลำบากเข้าให้แล้วเลยยอมลดฐิติตัวเองเพื่อมาขอร้อง” เขายังคงมองไปที่พี่เดือนที่กำลังหลับบนเตียง “แต่พอได้ยินว่าลูกตัวเองเข้าโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุ...ฉันก็รู้สึกใจแกว่งทันที มือของฉันมันก็สั้นเหมือนกับเธอในตอนนี้”

“ผม...ผมกลัวว่าพี่เดือนจะเป็นอะไรไป พี่เดือนเป็นผู้ชายที่น่าตีที่สุดในชีวิตของผม ทำทุกอย่างเพื่อให้พวกคุณภูมิใจโดยไม่นึกถึงตัวเองว่าจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ถ้าพี่เดือนเขา...” น้ำตามันไหลลงมาอีกแล้ว...ทั้งที่ก็รู้ดีว่าพี่เดือนปลอดภัย “...ขอโทษครับ...”

“...”

“ผมขอโทษ...ที่ปิดบังความสัมพันธ์ของผมกับพี่เดือน ที่พวกเราทำไปเพราะเพื่อความสบายใจเท่านั้น แต่ความจริงแล้วพวกเราแค่กลัวว่าพวกคุณจะเข้ามาดึงพี่เดือนกลับไป...ผมไม่อยากให้พี่เดือนต้องไปทนกับสิ่งที่เขาไม่ต้องการอีก มันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมเอง”

พ่อพี่เดือนหันมาทางผม ผมค่อยๆหดตัวลงเรื่อยๆตามจังหวะที่เขาก้าวเข้ามา ก่อนที่เขาจะตบหน้าผมเข้าไปข้างหนึ่งเต็มๆ

ผมพูดไม่ออก...รู้ดีวาต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ไม่แน่ว่าประโยคต่อไปเขาจะไล่ผมออกจากห้อง

“...เธอไม่ควรปิดบัง”


“...”

“ที่ผ่านมาเดือนไม่เคยบอกอะไรตรงๆ แม้กระทั่งเรื่องที่เขามาเรียนนิเทศเขายังไม่บอกตรงๆเลยว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขาเจอกับสิ่งที่ต้องการจริงๆ นั่นทำให้ฉันโกธรแล้วพูดว่าจะไม่ส่งเขาต่อ” เขากำมือแน่น “ฉันไม่ชอบคนที่ไม่ทำตามความรู้สึกตัวเอง และก็ไม่ชอบคนที่ลังเลหรือโลเลที่จะบอกอะไรให้หมด ที่เดือนเขาเลือกเรียนนิเทศก็เพราะเธอใช่มั้ย?”

“...” ผมค่อยๆยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบแก้มเบาๆ พยักหน้าด้วยอาการยอมรับผิด

“ถ้าเดือนบอกอย่างนั้นแต่แรก ฉันก็ไม่ขวางเขา ฉันไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไรขนาดถึงขั้นต้องฝืนใจให้ลูกเรียนต่อทั้งที่ทนไม่ไหว ฉันยอมรับว่าที่ผ่านมาฉันใส่ใจลูกชายน้อยเกินไป ใส่ใจความรู้สึกน้อยเกินไปจนกระทั่งเห็นเขากำลังสติแตกทะเลาะกับพวกฉัน พอกลับไปนอนคิดดูแล้วฉันเองก็ผิดที่ไม่รับฟังความต้องการจากใจจริงของเขาตั้งแต่เด็กด้วยเลยทำให้เขาไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ต้องการ”

“...พี่เดือนเองก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะครับที่ทำให้พวกคุณผิดหวัง...” ผมว่าออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมได้เงยหน้ามองใบหน้าของบิดาผู้ชายที่เป็นที่รักของผม หน้าตาของเขาเหมือนกับพี่เดือนเหลือเกิน...ถ้าเขาอายุมากไปก็คงจะเป็นแบบนี้เลย “พี่เดือนบอกว่าเขาก็ไม่ได้อยากแตกออกมาจากครอบครัวแบบนี้ แต่เขาก็หันหลังกลับไปไม่ได้ถ้าเขายังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง พี่เดือนเป็นคนที่พยายามทำอะไรด้วยตัวเองตลอด และพี่เดือนก็ทำสำเร็จ เขามีความสุข เขาสามารถปกป้องตัวเองและเดินก้าวไปในทางที่ต้องการได้ด้วยสองขาของเขา และเขายังทำให้ผมรู้สึกได้ว่าในวันที่ผมไม่มีใคร ผมก็ยังมีเขาอยู่ข้างๆ ฐิติพี่เดือนสูงก็จริงแต่เขาสูงไปเพื่อหวังว่าสักวันเขาจะนำความสำเร็จในชีวิตกลับมาทำให้พวกคุณภูมิใจ”

“...”

พวกเราเงียบ...ไม่มีอะไรจะพูดกันอีก เสียงแอร์ในห้องเป็นเสียงเดียวที่ทำให้รู้สึกว่าไม่อ้างว้าง

“ผมขอโทษ/ฉันขอโทษ”

สิ้นเสียงที่พูดออกมาพร้อมกัน ทั้งผมและพ่อพี่เดือนต่างก็จ้องหน้าโดยอัตโนมัติ ก่อนที่พ่อพี่เดือนจะเป็นฝ่ายขอพูดก่อน

“ฉันไม่อยากให้ลูกชายตัวเองต้องมาเสียใจอีกแล้ว”

“ผมเองก็ไม่อยากทำให้พี่เดือนต้องมาคิดมากกับเรื่องที่ต้องอธิบายให้พวกคุณเข้าใจอีกแล้ว...”

“เธอเป็นเด็กดีนะ” เขายิ้มบางๆ “ฉันดีใจแทนเดือนจริงๆที่เจอกับเธอ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ ฉันไม่อะไรเท่าไหร่กับการที่ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกัน แต่รตา...หมายถึงแม่เขาน่ะ เธอจะรับได้รึเปล่านี่สิ”

“ผมกังวลแค่เรื่องนั้นครับ พี่เดือนกลัวว่าพวกคุณจะไม่ยอมรับตัวตนของเขา แต่ถ้าคุณยอมรับได้...พี่เดือนก็คงสบายใจขึ้นเยอะ” ผมตอบเขา ลุกขึ้นไปลากเก้าอี้นั่งข้างๆพี่เดือนที่หลับอยู่ ผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะของเขานั้นเตือนให้ผมรู้ว่าเขาเพิ่งผ่านอุบัติเหตุมา “แต่ผมก็ยังกลัวอยู่ดี...ที่พี่เดือนเจออุบิตเหตุเข้า มันทำให้ผมใจเสียขึ้นมา ผมบอกเขาเอาไว้อยู่ว่าให้ระวังเวลาขับรถตอนฝนตก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนอื่นที่ขับเข้ามาชนเขาจนโดนผลไปด้วย”

“เขายังหลับอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน...ฉัน—พ่อเชื่อว่าเขาเข้มแข็งกว่าเมื่อก่อนมาก เขาต้องตื่นขึ้นมาเจอหน้าเธอแน่นอน” พ่อพี่เดือนเปลี่ยนคำแทนตัวเองจากฉันเป็นพ่อ...นั่นหมายความว่าเขายอมรับผมยอมนั้นเหรอ?

ถึงจะเร็วไปหน่อยจนผมสับสน แต่มันก็คงดีแล้วล่ะที่เขายอมรับเรื่องที่พี่เดือนมีแฟนเป็นผู้ชายได้

ผมขอตัวออกไปซื้อเครื่องดื่มให้ชายอายุรุ่นพ่อ พอเปิดประตูออกมาก็เห็นว่าสามคนที่อยู่เป็นเพื่อนผมกำลังยืนพิงผนัง นทีเดินเข้ามาก่อนด้วยความตกใจที่เห็นรอยแดงๆที่แก้มผม ผมอธิบายไปทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะกับการพูดถึงประเด็นที่ทั้งผมและพ่อพี่เดือนเปิดใจให้กัน

นที พี่โอม และพี่อีกคนที่แนะนำตัวว่าชื่อศึกถอนหายใจโล่งที่ในที่สุดก็สามารถเคลียร์ไปได้หนึ่งเรื่อง ชวนผมไปซื้ออะไรรองท้องก่อนที่จะต้องไปเรียนตามหน้าที่ ตอนแรกผมไม่ได้อยากไป แต่ในเมื่อพ่อของพี่เดือนบอกให้ผมไปเรียนก็คงขัดอะไรไม่ได้ ผมเองก็ไม่อยากเสียการเรียนด้วย

 

ข่าวที่พี่เดือนประสบอุบัติเหตุดังไปทั่วเอกถ่ายภาพจนทุกคนอดเป็นห่วงพี่เดือนไม่ได้ คอยถามผมตลอดว่าพี่เดือนเป็นอย่างไรบ้างเพราะผมเป็นคนเดียวที่เข้าถึงพี่เดือนมากที่สุด ไม่เว้นแต่พี่มะยมเองก็รีบถามผมว่าเพื่อนตัวเองอยู่ที่ไหน จนกระทั่งมีพี่อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา

“พี่ชื่อนกฮูก เป็นเพื่อนของเดือนนี่แหละ ได้ข่าวว่าเดือนรถชนเสาไฟฟ้าใช่มั้ย? เป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“พี่เดือนอาการคงที่ครับ อย่างน้อยก็ไม่ถึงชีวิต รอแค่ฟื้นกับทำกายภาพบำบัด อาจจะต้องลารักษาตัวสักระยะ” พี่นกฮูกพยักหน้า

“แล้วมีคนไปส่งมารับมั้ย?”

“ผมมากับเพื่อนครับ แต่ถ้าวันไหนที่เรียนไม่ตรงกันผมก็จะมาเอง” พี่นกฮูกพยักหน้าอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะถามไปเพื่ออะไร แต่สุดท้ายเขาก็ขอตัวลาไปกับพี่มะยมเพื่อเรียน แนนที่ไปซื้อน้ำเดินตรงมาหาผมเพื่อชวนกันไปเจอกลุ่มเพื่อนที่อยู่หน้าตึก

และผมเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าผมกลายเป็นเป้าหมายของใครคนหนึ่งเข้า

 

หลายวันผ่านไป พี่เดือนที่ฟื้นแล้วกำลังทำกายภาพบำบัดอยู่ พอได้คุยเปิดใจกับพ่อของเขาพี่เดือนก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก แถมยังหัวเราะกับเรื่องที่พ่อของเขาเล่าให้ฟังด้วย นั่นคือสัญญาณที่ดีว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเข้าใจและผูกพันในฐานะพ่อลูกเหมือนที่เคยเป็น

“เดือนบอกว่าเธอชอบกินนี่” พ่อพี่เดือนเลื่อนจานขนมมาให้ผม “กินสิ พ่อซื้อมาให้”

“ขอบคุณครับ” ผมรับจานขนมมา แต่ยังไม่ได้ลงมือกิน “แล้วแม่พี่เดือนไม่มาเลยเหรอครับ?”

“รายนั้นเขาต้องอยู่ดูเจ้าหนึ่งเขา จะสอบเข้าหมอ” ผมเข้าใจ แม่ของเขาคงหวังมาก “เดือน พ่อมีเรื่องจะขอ ได้รึเปล่า?”

“ครับ?” พี่เดือนเลิกคิ้ว

“พ่ออยากให้เดือนเรียนต่อปริญญาโทบริหาร”

“...”

“พ่ออยากให้โรงแรมที่พ่อสร้างขึ้นมากับมือ...เป็นของลูก พ่อไม่ได้บังคับว่าจะมารับงานต่อตอนอายุเท่าไหร่ แต่พ่อขอได้มั้ยว่าเมื่อไหร่ที่พ่อไม่ไหวแล้ว เดือนมารับช่วงต่อแทนพ่อด้วย” เขากำลังขอร้องพี่เดือน...เขาไม่อยากให้โรงแรมนี้ต้องบริหารด้วยคนอื่น “พ่อไม่ไว้ใจคนอื่นให้มาบริหาร พ่อเชื่อมั่นในฝีมือเดือนว่าเดือนทำได้”

“คือ...”

“พ่อไม่ได้บังคับเดือน ค่อยๆตัดสินใจไปดีกว่า” เขาว่าแค่นั้น ก่อนที่จะยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นมาดูดด้วยท่าทีใจเย็น พี่เดือนในชุดผู้ป่วยกำลังยกมือขึ้นมากุมขมับเหมือนคิดอะไรมาก ผมไม่อยากกวนจึงขอตัวกลับไปที่คอนโดก่อน

ผมเดินลงมาถึงหน้าโรงพยาบาล กำลังจะขึ้นรถแท็กซี่กลับเพื่อความสะดวก แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไรก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนมายืนจ้องมองผมอยู่จากทางด้านหลัง ผมจึงรีบหันกลับไปแล้วก็ไม่เจออะไรนอกจากผู้ป่วยและคนอื่นๆที่เดินเข้าออกจากโรงพยาบาลเป็นปกติ

เมื่อกี๊...มันอะไรกัน?

ผมเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ความคิดของผมเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยที่มีคนจ้องอยู่ตลอดเวลา ผมจึงเปลี่ยนเป็นโทรฯเรียกนทีให้มารับแทน

อยู่กับเพื่อนย่อมปลอดภัยกว่า ผมเชื่ออย่างนั้น

 

“กูรู้สึกว่าเหมือนมีคนตามกูมาสองสามวันแล้ว” ผมบอกกับแนน เจมส์ และคิวกลางโต๊ะอาหาร “มีคนจ้องกูตลอดเวลาเลย กูไม่สบายใจถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งกูกลับคนเดียวก็ยิ่งหลอน”

“มึงคิดมากรึเปล่ากุมภ์? มึงเป็นผู้ชายนะ ไม่มีใครคิดจะดักฉุดมึงหรอก” คิวว่า แต่เจมส์รีบท้วงขึ้นมาก่อน

“แต่สมัยนี้ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงก็โดนหมดนะ ถ้ามึงไม่สบายใจอะไรยังไงกูไปส่งมึงที่คอนโดให้ทุกวันจนกว่าพี่เดือนจะออกจากโรงพยาบาลก็ได้”

“ขอบคุณนะ ต้องรบกวนหน่อยแล้ว”

“ว่าไงกุมภ์”

เสียงมาใหม่เป็นของพี่นกฮูกที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เขาเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำแดงในมือ โอบคอผมด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากกว่า ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นทำแบบนี้ด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับพี่นกฮูก” ผมดึงแขนพี่นกฮูกออกด้วยความรู้สึกไม่พอใจนัก พี่นกฮูกไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าว่าตกใจหรืออะไร เหมือนเขาน่าจะรู้แล้วด้วยซ้ำว่าต้องเจอแบบนี้ “พี่มะยมล่ะครับ?”

“มะยมซื้อข้าวอยู่ แต่เดี๋ยวก็มาแล้ว เป็นไงบ้างล่ะเห็นว่าไปเยี่ยมเดือนทุกวันเลย มันดีขึ้นมากรึยัง?”

“ก็ใกล้ออกจากโรงพยาบาลเร็ววันนี้แหละครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงพี่เดือน”

ผมคุยกับพี่นกฮูกอีกสักพักก่อนที่เขาจะเป็นคนขอตัวไปก่อน ทันทีที่เขาหายไปจากสายตา แนนก็รีบเรียกให้พวกเราทุกคนสุมหัวกัน

“เราไม่ค่อยไว้ใจพี่นกฮูก”

“ทำไม?”

“ไม่รู้สิ...เซ้นท์มันบอกว่าพี่แกเข้าหากุมภ์มากเกินไป มากกว่าคนที่เป็นแฟนอย่างพี่เดือนจะเข้าหาด้วยซ้ำ มีใครที่ไหนเดินมาโอบคอเหมือนเป็นคนรักกับคนที่รู้จักไม่นานอย่างนั้นกัน” แนนอธิบาย “กุมภ์ระวังตัวหน่อยนะ ที่บ้านมีแต่คนบอกว่าเซ้นท์เรามันแรง พี่นกฮูกก็ท่าทางไม่น่าไว้ใจด้วย เมื่อก่อนไม่เคยเห็นมาพูดคุยกับพี่เดือนพี่มะยม”

นั่นสิ...พี่เดือนไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่ามีเพื่อนชื่อนกฮูก และพี่นกฮูกก็ทำท่าทางสนิทกับทั้งสองคนจนเกินไป ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆที่ทำให้เขาเข้าหาถึงขนาดนั้น

หรือว่า..

“เขาตั้งใจจะจีบ?” ผมสรุปแบบนี้ออกไป เจมส์ดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนที่จะพูดออกมา

“เออใช่! แบบนี้แม่งต้องอย่างนี้แน่ แต่กูว่าวิธีการมันน่ากลัวไปหน่อยว่ะ รุกแรงเกิน” ผมพยักหน้า “มึงก็ต้องบอกเขาไปเลยว่ามึงมีแฟนแล้ว”

“ถ้าเขาสนิทกับพี่เดือนก็ต้องรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าแฟนพี่เดือนคือกุมภ์?”

ทุกคนเงียบอีกครั้ง

“เอาเป็นว่า...กูจะระวังตัวจากพี่นกฮูกให้ดีแล้วกัน รวมถึงคนที่แอบตามกูด้วย เพราะกูไม่รู้ว่าเป็นใคร ด่วนสรุปไปก็ใช่เหตุ” ผมตัดบทแค่นั้น “พยายามทำตัวตามปกติเพื่อไม่ให้ใครสงสัยก็พอ กูอยากจับได้แบบคาหนังคาเขา”

“แต่มัน...”

“เราดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” ผมบอกกับผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม “อีกอย่างคือเจมส์มึงจะไปรับไปส่งกูใช่มั้ย? ผู้ชายตั้งสองคนกับคนคนเดียว ยังไงสี่เท้าก็กระทืบสองเท้าชนะเห็นๆ”

“...”

ผมไม่อยากให้เพื่อนเครียดแทนผมไปมากกว่านี้ จึงแสร้งทำเป็นให้ความสำคัญกับอาการพี่เดือนมากกว่า ถึงรู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกว่ามีคนมองผมก็ตาม

ถ้ามากกว่านี้อีกสักสัปดาห์...ผมว่าผมจะเริ่มหลอนแบบจริงๆจังๆขึ้นมาเสียแล้ว


==========


พี่เดือนรถชน แล้วน้องกุมภ์ก็มีสโตรกเกอร์ เอ...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาม่าถูกเสริฟ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 15

 

มีคนตามผมจริงๆ ผมไม่ได้คิดไปเองแล้ว เพราะวันก่อนผมเห็นเงาคนแว่บๆตอนที่ผมกำลังจะเข้าไปในคอนโดหลังจากที่ให้เจมส์ไปส่งผม

ผมระแวง...กลัวว่าเขาไม่ได้มาแบบมีจุดประสงค์ดี ถ้ามีจุดประสงค์ดีคงไม่มาด้อมๆมองๆอย่างนี้ตลอดสัปดาห์หรอก ที่สำคัญก็คือเหมือนเขาจะรู้ด้วยว่าผมอยู่กับพี่เดือนเลยอาศัยจังหวะที่พี่เดือนเข้าโรงพยาบาลมาตามผม บางทีพี่เดือนอาจจะมีคู่กรณีก็ได้

ประเด็นก็คือพี่เดือนไปมีคู่กรณีที่ไหนนี่สิ

เขาไม่ชอบทะเลาะกับคนอื่น ถึงจะทะเลาะก็จะออกแนวทำสงครามเย็นมากกว่า ต่อยตีไม่ใช่แนวทางของผู้ชายสายเรียนเลยสักนิด ความจริงผมก็แอบคิดเหมือนกันว่าพี่เดือนจะมีปัญหาเข้ากับใครไม่ได้มั้ย เพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่หนึ่งปีในคณะ เด็กบางคนอาจจะไม่ชอบหน้าที่อายุสูงกว่า หรือบางทีเขาก็อาจจะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว

...ก็นะ หน้าตาเขาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่ ถ้าได้แต่งหน้าดีๆก็มีคนคิดว่าเป็นดาราหน้าใหม่ด้วยซ้ำ

แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับว่าผมจะถูกตามจากใคร ในเมื่อมีคนไม่กี่คนที่รู้ว่าผมคบกับพี่เดือน แสดงว่าถ้าข่าวไม่รั่วออกไปก็เป็นกลุ่มคนที่สนิทกับพี่เดือนนั่นแหละเป็นคนตาม ส่วนเรื่องที่ตามผมเพราะอะไรนั้นผมก็ไม่สามารถรับรู้ความคิดได้

วันนี้ผมเลือกที่จะให้นทีมาอยู่กับผม ยอมออกมาเช้าหน่อยเพื่อความปลอดภัยกับตัวเอง ระหว่างทางไปมหาลัยผมก็พูดกับเพื่อนที่คบมานานถึงเรื่องที่มีคนตามผม นทีบอกว่าให้ไปแจ้งความเอาไว้ แต่ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ถ้าเกิดเป็นความเข้าใจผิดกัน

“จะเข้าใจผิดได้ยังไง เขาตามมึงมาตลอดอย่างนี้”

“กูไม่รู้ว่าตามเพราะอะไร ใจเผื่อเอาไว้ในส่วนที่กูคิดมากไปเอง”

ผมตอบอย่างนั้น นทีดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เหตุผลของผมเป็นแบบนี้ แต่อย่างนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อเพราะมันไม่อยากวุ่นวายคนอื่น เมื่อมาถึงมหาลัยผมก็ขอตามเขาเข้าไปในคณะเพื่อนั่งรอเรียน

ส่วนใหญ่คณะดุริยางค์เรียนรวมกันตอนปีแรก ทำให้มีคนในห้องซ้อมดนตรีอยู่เต็มไปหมด หลายคนทักนทีว่าพาใครมา เขาก็ตอบว่าเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่บางคนก็แซวว่าเขาพาแฟนมานั่งดูเขาเล่นดนตรี

“มันมีแฟนแล้ว”

“ไม่แปลก น่ารักอย่างนี้” ผู้หญิงที่เป็นดาวคณะพูดขึ้นมา “วันก่อนเราเห็นอยู่หน้าเวที กำลังจู๋จี๋กับรุ่นพี่คนหนึ่ง”

นี่เธอเห็นผมด้วยอย่างนั้นเหรอ? แต่ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกเพราะผมตั้งใจนั่งตรงนั้นเพื่อให้นทีมันเห็นผมแล้วรู้สึกสบายใจที่อย่างน้อยก็มีคนรู้จักอยู่แถวนั้น

“นั่งรอตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวไปซ้อมเปียโนก่อน”

“เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”

“ก็...ฝึกอยู่น่ะ ยากพอตัวเพราะชินกับกีตาร์ แต่เดี๋ยวก็คงจะคล่องเอง ให้รุ่นพี่ที่อยู่เอกเปียโนมาสอน” ผมพยักหน้า แล้วก็นั่งลงกับเก้าอี้เบาะนุ่มๆ ทุกคนไม่สนใจผม ต่างคนต่างวุ่นวายอยู่กับเครื่องดนตรีของตัวเองจนกระทั่งมีอาจารย์เข้ามาสอน เขาเห็นผมแล้วถามว่าผมเป็นใคร นทีช่วยตอบแทนด้วยว่าผมเป็นเพื่อนเขา มาขอนั่งดูซ้อมดนตรี อาจารย์คนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมนั่งไปเรื่อยๆ นทีโดยรุ่นพี่ดุหลายรอบเหมือนกันแต่เขาก็พยายามไม่งอแงออกมา สีหน้าตั้งใจนั่นผมนับถือมันจริงๆ เขาคงไม่อยากยอมแพ้ตั้งแต่ตัดสินใจลงเอกที่ตัวเองทำท่าทีไม่สนใจมาก่อน

บางที...ถ้าเกิดว่าพี่เดือนเล่นดนตรีเป็นแล้วมานั่งที่เปียโนหลังนี้แทน ผมก็คงจะหลงเขาได้ง่ายๆ

ครืน...


“อ้าว ฝนตก?” อาจารย์ร้องออกมา “ห้องนี้ไม่ค่อยกันเสียงด้วย เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เลิกคลาสได้เลย”

“ขอบคุณครับ” อาจารย์เดินออกจากห้องทันทีเมื่อฝนตก นทียักไหล่เหมือนบอกว่าเป็นอย่างนี้ประจำแล้วมานั่งกับผมที่เบาะแทน “ถ้าฝนตกมันจะไม่ค่อยได้ยินเสียงดนตรีเท่าไหร่ อาจารย์แกเลยเลิกคลาสเพราะคิดว่าฝืนเล่นต่อก็คงไม่ดี”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ใกล้ได้เวลามึงเรียนแล้วนี่? ไปได้แล้วมั้ง ฝนตกเดี๋ยวก็ไม่ทันเข้าคลาสหรอก”

ผมดูนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงมุมห้อง จริงอย่างที่นทีพูด ใกล้ถึงเวลาไปเรียนแล้ว ผมเลยขอตัวกับเพื่อนแล้วหยิบร่มในกระเป๋าออกมากางเดินไปที่ตึกคณะตัวเอง ระยะแม้จะไม่ห่างกันมากแต่ด้วยความที่ฝนตกหนักแบบนี้ก็ทำให้ชายเสื้อของผมเปียกได้อย่างง่ายดาย

ตุบ

“พี่ขอไปด้วยนะกุมภ์”

ผมหันไปข้างๆ พี่นกฮูกที่ตัวเปียกมะลอกมะแลกยิ้มแห้งๆมาให้ ท่าทางจะเดินอยู่แล้วฝนเทลงมาโดยไม่ทันให้เขาตั้งตัว ผมไม่ได้อะไรที่พี่เขาจะตามมาด้วย แต่ผมรู้สึกอึดอัดที่เขาเบียดตัวกับผมมากเกินกว่าความจำเป็นทั้งที่ร่มก็คันใหญ่พอสองคนเดินไปด้วยกัน

“กุมภ์ เดือนเขาแพ้อะไรรึเปล่า?”

“ครับ?”

“พอดีว่าพี่จะไปเยี่ยมน่ะ จะเอาของกินไปฝากด้วย พี่กลัวว่าจะเอาของที่เดือนแพ้ไปให้”

“พี่เดือนแพ้กุ้งครับ เขาบอกว่าแพ้รุนแรงด้วย” ผมตอบกลับไป “เย็นนี้ผมจะไปเยี่ยมเขาก่อนที่เขาจะออกจากโรงพยาบาลมะรืนนี้ พี่ไปพร้อมกับผมเลยก็ได้นะครับ”

“ขอบคุณมากนะ” พี่นกฮูกยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวผม แต่ผมขยับตัวหนีจนเขาสะดุดไปชั่วขณะ สายตาส่งความไม่พอใจออกมาไม่นานก็เปลี่ยนกลับมายิ้มตามปกติ “ไม่ชอบให้คนอื่นลูบหัวสินะ พี่ขอโทษ พี่เห็นว่ากุมภ์น่าเอ็นดูดี”

“ครับ” ผมตอบเสียงเย็น ไม่ชอบเลยกับสิ่งที่เขาทำกับผม “ถึงตึกคณะแล้ว ไปก่อนนะครับ ผมมีเรียนเดี๋ยวจะเข้าไม่ทัน”

ผมรีบวิ่งขึ้นตึกทันที พอผู้ชายคนนี้มาอยู่ข้างๆกันผมก็รับรู้ได้ถึงความอันตรายที่ส่งออกมา สายตาเมื่อครู่มันไม่ได้ยิ้มตามมุมปากสักนิด มันน่ากลัวที่จู่ๆคนที่ผมเพิ่งรู้จักจะเดินเข้ามากอดคอ ลูบหัว หรือแม้กระทั่งการที่พยายามสร้างความสนิทสนมเกินความจำเป็นขนาดนี้

ให้ตายสิ...ผมชักจะกลัวทั้งคนที่แอบตามผม ทั้งกลัวพี่นกฮูกเข้าแล้ว

 

ผมไปเยี่ยมพี่เดือน เลี่ยงที่จะไปพร้อมกันกับพี่นกฮูก และมันก็ไม่พ้นที่ผมจะเจอเขาที่โรงพยาบาล พี่เดือนก็มีท่าทีอึดอัดกับการเข้าหาของพี่นกฮูก พี่นกฮูกทิ้งข้าวกล่องเอาไว้ก่อนที่จะขอตัวกลับไปก่อน ทำให้ผมได้อาศัยจังหวะนี้พูดเรื่องพี่นกฮูกกับพี่เดือน

“พี่เดือน ผมว่าช่วงนี้พี่นกฮูกเข้าหาผมมากเกินไป...จนผมกลัว”

“แล้วเขาได้ทำอะไรกุมภ์รึเปล่า? อย่างพวกกอด โอบ อะไรที่ทำให้กุมภ์ไม่สบายใจน่ะ” พี่เดือนถามผม สีหน้าของเขาดูไม่พอใจที่พี่นกฮูกทำอะไรอย่างนี้กับแฟนตัวเอง ผมพยักหน้าพร้อมกับบอกว่าพี่เขาทำอะไรลงไปบ้าง พี่เดือนยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจเข้าไปใหญ่ “เพื่อนบอกผมว่าพี่นกฮูกพยายามจีบผม พี่ได้บอกมั้ยว่าพี่คบกับผม?”

“พี่บอก แต่ไม่คิดว่านกฮูกจะทำแบบนี้ ออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องบอกสักหน่อย พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอดทนกับคนที่ทำให้แฟนพี่ไม่สบายใจได้หรอกนะ”

“...”

“พี่ห่วงกุมภ์...พี่ไม่อยากให้ใครที่พี่ไม่ไว้ใจมาดูแลตอนที่พี่ไม่อยู่”

“พี่หมายถึง...พี่ไม่ไว้ใจพี่นกฮูก?” ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเขาจะไม่ไว้ใจพี่นกฮูกทั้งที่รู้จักกัน

“เขาเข้าหาพวกเรามากเกินไป พี่ไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่เข้ามาตีสนิทกันโดยสร้างความอึดอัดอย่างนี้ กุมภ์ก็น่าจะรู้ว่าพี่ไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาล้ำชีวิตส่วนตัว บางวันนกฮูกก็ถามพี่ว่าพี่ชอบกินอะไร ชอบไปที่ไหนชอบอย่างนู้นอย่างนี้มั้ยจนพี่รำคาญ พี่ไม่อยากตอบ พอพี่ตอบไปก็จะถามเรื่องอื่นเรื่อยๆไม่ยอมหยุด พี่ก็ไม่อยากระเบิดอารมณ์ตัวเองไปให้เขา” พี่เดือนส่ายหน้า “พี่ก็อยากบอกตรงๆ พี่ก็กลัวว่ามันจะไม่รักษาน้ำใจเขา พี่เลยพยายามบอกอ้อมๆมาตลอด แต่ถ้ามันถึงขั้นขนาดนี้แล้วพี่ก็ต้องบอกจริงๆนั่นแหละ”

“ก่อนหน้านี้พี่นกฮูกก็ถามผมด้วยว่าพี่เดือนแพ้อะไร ผมบอกว่าพี่แพ้กุ้ง...” ผมนึกได้ว่าเขาเอาข้าวกล่องมาฝาก ผมจึงเดินไปเปิดสำรวจดูแต่ก็ไม่เจอความผิดปกติอะไร “...ไม่น่าจะใช่ ผมคงคิดมากไปเองว่าเขาจะเอากุ้งมาใส่ในนี้”

“อย่าคิดมากไปเลย พี่ก็ดูเป็นว่าอะไรผสมในนั้นบ้าง” พี่เดือนหัวเราะเบาๆ “คืนนี้กลับไปนอนที่คอนโดเถอะ โทรฯเรียกเพื่อนมารับดีกว่า ไม่ก็เรียกโอมก็ได้”

“แต่พี่โอมเขา...”

“โอมเขาก็มีเวลาอยู่บ้าง ยังบอกอยู่เลยว่าถ้าพี่ติดขัดอะไรเดี๋ยวจะช่วยดูแลกุมภ์”

ในวันนั้นผมขอให้พี่โอมมารับผมที่โรงพยาบาล สีหน้าพี่โอมดูอิดโรยจากการเรียนหนัก แต่ก็ยังมีความสดใสอยู่เสมอ ระหว่างทางพี่โอมเขาบอกให้ผมแวะซื้อข้าวไปกินเพราะเขาดูออกว่าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย โชคดีที่พี่เดือนมีเพื่อนอย่างพี่โอม

และหลังจากนั้นชีวิตของผมก็วุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เริ่มจากมีจดหมายมาเสียบไว้ที่กล่องรับพัสดุใต้คอนโด จ่าหน้าถึงผม ข้อความภายในเขียนเอาไว้ว่าคอยดูผมอยู่ จากนั้นก็มีคนเอาห่อขนมมาใส่กระเป๋าของผมเอาไว้ตอนที่ผมมีควิซแล้วเอากระเป๋าทิ้งไว้หน้าห้อง เย็นวันเดียวกันก็รู้สึกว่ามีคนมองจ้องจากข้างหลังเมื่อผมขึ้นคอนโดไป

พี่เดือนออกจากโรงพยาบาลมาไม่กี่วันก่อน เขายิ่งกังวลว่าใครที่ตามผมจนพาผมไปแจ้งความ แต่ตำรวจไม่รับแจ้งเพราะหลักฐานน้อยเกินไป ทั้งผมและพี่เดือนต่างไม่สบายใจเมื่อชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง เพื่อนของผมก็ยิ่งเป็นห่วงตาม จนกระทั่งวันที่พวกเราต้องไปรับน้องนอกสถานที่มาถึง พวกเราต้องไปที่ทะเลแห่งหนึ่งอยู่ทางภาคใต้ พี่เดือนบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องไปก็ได้แต่ผมก็ไม่อยากอยู่คนเดียวที่คอนโดเพราะกลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว ดังนั้นเลยดื้อตามมางาน อย่างน้อยคนเยอะๆก็ทำให้ผมสบายใจได้มากกว่า

แต่ที่ไหนได้ ผมกลับรู้สึกว่ามันอันตรายมากกว่าเก่าเสียอีก

ห้องนอนที่จัดไว้ให้เหมือนจงใจ ผมนอนกับพี่เดือน พี่นกฮูก และพี่มะยม พี่มะยมบอกว่าพวกเราคงอึดอัดที่มีคนอื่นมานอนด้วยเลยขอตัวไปนอนที่อื่น ส่วนพี่นกฮูกก็ทำตีเมินเฉยจองเตียงนอนคั่นกลางระหว่างผมกับพี่เดือน

วันแรกของกิจกรรม ทุกอย่างยังคงปกติ แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางคืนก็ทำให้ผมอึดอัดจนขอตัวกลับมาที่ห้องพร้อมกับพี่เดือน ถึงจะต้องทนโดนแซวว่ามีอะไรกันมั้ยแต่ก็ยังดีกว่าการที่พี่นกฮูกจะมาโอบเอวลูบหลังอย่างนี้

“พี่จะไปคุยกับนกฮูกแล้ว” พี่เดือนว่าแค่นี้ ก่อนที่จะขอตัวกลับไปที่ริมชายหาด ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ข้างล่าง ผมเลยโผล่หน้าออกจากระเบียงโรงแรมแล้วเห็นว่าพี่เดือนกำลังกระชากคอเสื้อพี่นกฮูกอยู่ พี่มะยมเป็นคนห้ามพี่เดือนเอาไว้ ส่วนรุ่นน้องที่อยู่บริเวณนั้นก็ไมกล้าเข้ามายุ่งเพราะกลัวโดนลูกหลง

พี่เดือนถึงขั้นลงมืออย่างนั้น...มันต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ

พี่เดือนกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจสุดขีด เขาไม่พูดคุยอะไร เดินเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อมานอนทันที เวลาที่พี่เดือนโกธรจะน่ากลัวแบบกดดัน เขาจะสร้างออร่าไม่น่าเข้าใกล้ให้แม้กระทั่งผมยังไม่กล้าเข้าไปเลย แต่สุดท้ายพี่เดือนก็เรียกผม

“กุมภ์...มานอนกับพี่มา”

“มันจะไม่เบียดกันเหรอครับ แล้วพี่นกฮูก...”

“ไอ้เหี้ยนั่นเดี๋ยวมันก็ไปนอนห้องอื่นเอง” ผมตกใจที่พี่เดือนพูดกับพี่นกฮูกอย่างนั้น “ขอโทษนะที่หลุดหยาบไป แต่พี่ทนไม่ไหวแล้วล่ะ”

“เขาทำอะไรให้พี่” ผมเดินไปที่เตียงเขา หย่อยตัวลงนั่งข้างๆพี่เดือนที่นอนเงยหน้ามองเพดาน

“เขาบอกว่ากุมภ์น่ารัก ถ้าพี่ดูแลไม่ได้เขาจะเป็นฝ่ายดูแลให้แทน” พี่เดือนหัวเราะสะใจเบาๆ “ที่มีเสียงโวยวายกันก็เพราะพี่ต่อยเขาไป”

“พี่เดือนต่อย? ผมไม่คิดว่าพี่จะทำแบบนี้”

“พี่ยังไม่คิดเลยว่ามือตัวเองจะไปไวขนาดนั้น แต่อย่างน้อยพี่ก็รู้สึกดีที่ได้ซัดหมอนั่นไปสักหมัด เหมือนมันได้ระบายอารมณ์หงุดหงิดออกมา แล้วพี่ก็ขอโทษด้วยนะที่ทำหน้าอารมณ์เสียขนาดนั้นให้” พี่เดือนดึงผมลงไปนอนด้วยซุกหน้ากับไหล่ผมไปมา “คนที่เคยอยู่โรงเรียนมัธยมด้วยกันถ้ามาได้ยินว่าพี่ต่อยชาวบ้านคงช็อคกันไปเป็นแถบๆ”

“แค่พี่ซิ่วหมอมาคนอื่นก็ตกใจกันจะแย่แล้วครับ” ผมหัวเราะในลำคอ ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มพี่เดือน “แต่พี่เดือนก็ยังเป็นพี่เดือนไง เป็นพี่เดือนที่อ่อนโยนกับผมเสมอ แล้วก็เป็นพี่เดือนที่น่าแกล้งเสมอ วันก่อนผมแอบเห็นพี่เดือนสะดุดพรมเช็ดเท้านะ”

“ตลอดนั่นแหละ พี่ว่าจะเอาออกแล้ว ลื่นตลอด” เขาผละตัวเองออกจากผม ก่อนที่เปลี่ยนมาเป็นกอดหลวมๆแทน “ถ้าพี่ลื่นหัวแตกตายจะทำยังไง”

“พี่อย่าพูดเรื่องความเป็นความตายเล่นนะครับ พี่เพิ่งรอดมาจากรถชนไม่นานนี้เอง รถก็ส่งซ่อมอยู่ ถ้าเกิดว่าผมไม่โทรฯไปบอกพ่อพี่ล่ะก็นะ หนี้ท่วมหัวแน่” พี่เดือนหัวเราะเบาๆเชิงขอโทษ พวกเราหยอกล้อคิกคักกันได้สักพักพี่นกฮูกก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งๆ เขาไม่ได้มองพวกเราเลยแม้แต่น้อยราวกับจงใจเมิน พี่เดือนเองก็นิ่งไปเพราะไม่อยากแสดงอาการขุ่นมัวออกมา

บรรยากาศความอึดอัดฟุ้งไปทั่วห้องจนผมรู้สึกหายใจไม่ออก ก่อนที่พี่นกฮูกจะออกไปเขาเดินเข้ามายืนข้างๆเตียงที่ผมกับพี่เดือนกำลังนอนข้างกันอยู่

“กุมภ์ ตอนนี้กุมภ์ก็น่าจะรู้แล้วนะว่าเพราะอะไรที่ทำให้พี่เข้าหา”

“...”

“เพราะกุมภ์ต้องมาเป็นของพี่ พี่จะแย่งทุกอย่างมาจากเดือนคนเก่งของกุมภ์ยังไงล่ะ”

ผมขนลุกที่เขาพูดแบบนั้น พี่นกฮูกลากกระเป๋าออกไปจากห้อง ทุกอย่างกลับสู่สิ่งที่ควรจะเป็นอีกครั้ง พี่เดือนลุกขึ้นมาแล้วลงมือล็อคกลอนจากข้างในเพื่อไม่ให้เพื่อนเดินเข้ามาอีก ท่าทางของเขาดูยังนิ่ง น่ากลัว ผมว่าเขากำลังจะเริ่มสงครามจิตวิทยากับพี่นกฮูก สักพักเสียงการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ของพี่เดือนก็ดังขึ้นมา

พี่เดือนหยิบขึ้นมาดู ขมวดคิ้วเป็นปมก่อนที่จะทำอะไรสักอย่างกับการแจ้งเตือนที่เข้าไม่สิ้นสุดนั่นจนมันเงียบไป เขาเดินมานอนที่เดิมอีกครั้งแล้วดึงผมเข้ามากอดให้แน่นกว่าเก่าจนผมรู้สึกว่าหัวใจของพี่เดือนนั้นเต้นแรงกว่าที่เคย

ไม่ใช่เต้นแรงจากการที่ได้กอดกับคนรัก แต่มันเต้นแรงจากความโกธรที่กำลังจะปะทุ

“พี่เดือน...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ให้พี่ใจเย็นลงกว่านี้ก่อน” พี่เดือนพูดเสียงเย็น ผมสะดุ้ง และยอมอยู่เฉยๆจนเผลอหลับไปกับความรู้สึกที่ไม่สบายใจโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าพี่เดือนแอบย่องลงจากเตียง

 

วันรับน้องวันต่อมา ผมขอไม่ออกจากห้องเพราะไม่กล้าสู้หน้าพี่นกฮูก ความจริงก็คือกลัวด้วยซ้ำเลยอ้างไปว่าไม่สบายจากการตากลมเยอะไป ผมนอนกลิ้งไปมาบนเตียงด้วยความเบื่อ พี่เดือนซื้อขนมซื้อน้ำมาทิ้งเอาไว้ให้เนื่องจากมาอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้ในเมื่อเขาเป็นคนถือกล้องถ่ายบรรยากาศงาน มีบ้างที่ผมแอบๆมองลงไปตรงลานกิจกรรมหน้าโรงแรมที่พี่คนอื่นๆกำลังให้นักศึกษารุ่นเดียวกันร้องเพลงเชียร์ แต่ในตอนบ่ายผมโผล่หน้าออกไปดูคนอื่นเล่นน้ำตามความอยากรู้ ผมก็เห็นว่าพี่นกฮูกกำลังยืนอยู่ตรงลานกิจกรรมคนเดียว จ้องขึ้นมาทางห้องผมด้วยสายตาที่อ่านได้

ผมรับรู้ถึงความอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ทำให้ผมรีบปิดผ้าม่านทันทีแล้วมานั่งสั่นเพราะตกใจบนเตียง

ผม...ผมต้องบอกพี่เดือน

ตอนเย็นก่อนที่จะมีกิจกรรมบายศรีส่งท้าย พี่เดือนแวะขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อพร้อมกับถามผมว่าอยากลงไปหรือไม่ ทำให้ผมต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันไป พี่เดือนยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจ เขาบอกให้ผมอยู่แต่ในห้อง บายศรีไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยของผม นับชั่วโมงพี่นกฮูกยิ่งคุกคามพวกเรามากขึ้นด้วยสาเหตุที่ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่เขาสัญญาว่าจะจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมนั่งเหม่อแง้มม่านออกมาดูพิธีบายศรีรับน้อง ทุกคนมีความสุข มองไม่เห็นหรอกว่ามีใครอยู่ในกลุ่มบ้าง ผมจะแอบไปเข้าร่วมกับเขาดีมั้ยนะ? แต่มาคิดๆดูถ้าพี่เดือนรู้ว่าผมเข้าไปต้องโกธรมากแน่ๆที่ไม่ฟังเขา ดังนั้นพลาดไปก็คงไม่เสียหายอะไรมากหรอก

ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่เดือนก็แค่นั้น

ก๊อก ก๊อก

“หืม?” ผมเดินไปดูตรงตาแมวของประตูว่าใครมา ผมเห็นพี่นกฮูกกำลังยืนอยู่หน้าห้อง ผมเลยเดินถอยหลังไปตั้งหลักทำใจก่อนที่จะเงียบๆทำเหมือนหลับไปแล้ว

ก๊อก ก๊อก

ก๊อก ก๊อก

ก๊อก


เสียงเคาะประตูยังคงดัง และมันเพิ่มระดับความดังมากขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มที่จะทนไม่ไหว ผมพุ่งไปที่เตียงแล้วคลุมผ้าห่มให้ทั่วไป ไม่นานนักเสียงเคาะเหล่านั้นก็หายไปกลายเป็นเสียงดังเบาๆที่ประตูเหมือนเขากำลังห้อยอะไรไว้ที่ประตู

ผมยังไม่ไว้ใจที่จะเปิดประตู แต่พอก้มดูตรงพื้นก็เห็นว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดเข้ามา มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ระวังตัวให้ดี

ระวังตัว...ระวังตัวจากอะไร? แต่ที่แน่ๆคือผมต้องระวังตัวจากพี่นกฮูกให้มาก ผมเดาไม่ออกแล้วว่าพี่เขากำลังคิดอะไร จะทำอะไร ผมค่อยๆเปิดประตูออกมาแล้วดูของที่เขาห้อยเอาไว้ที่ลูกบิดประตู เป็นถุงที่เต็มไปด้วยของชอบของผม ผมไม่พิศวาสที่รับมันมา ผมจึงถือถุงนั้นเดินไปที่แม่บ้านที่กำลังทำความสะอาดตรงลิฟต์ เอาให้เธอบอกว่ามีคนเอามาให้ผิดห้อง ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ฝากไปไว้ที่เคาน์เตอร์ส่งคืนเจ้าของ จากนั้นก็เดินกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แอบดูเหตุการณ์ข้างล่าง ผมเห็นเงาพี่นกฮูกกำลังยืนอยู่แถวๆหน้าเตาย่างกุ้ง พี่เดือนกำลังถ่ายรูปเพื่อนๆของผม แนนนั่งกินกุ้งกับเจมส์และคิว ทุกอย่างเป็นปกติ

อืม...บางทีผมควรจะรีบเข้านอนก่อนเพื่อให้วันนี้มันจบเร็วๆด้วย

ก๊อก ก๊อก


ผมที่กำลังจะนอนลุกขึ้นมาส่องอีกครั้งว่าเป็นใครที่มาเคาะประตูอีก คราวนี้เป็นพี่มะยมเพื่อนสนิทของพี่เดือนจริงๆมา หน้าตาเขาดูตื่นๆจนผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นถึงรีบวิ่งขึ้นมาแบบนี้

“ครับพี่มะยม?”

“กุมภ์! ตอนนี้เดือนกำลังช็อคเพราะเผลอกินมันกุ้งเข้าไป! ตามไปโรงพยาบาลด่วนเลย!”

ผมตกใจลนลาน รีบเก็บข้าวของแล้วตามพี่มะยมไป พี่เดือนเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลแต่กลับต้องมาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งนี่มัน...

มันทำให้ผมใจเสียหนักกว่าเก่า



[ต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
หลังจากที่ฟังรายละเอียดคร่าวๆ ผมได้ยินมาว่าเตาที่ใช้ย่างกุ้งกับบาร์บีคิวนั้นเป็นเตาเดียวกัน มันกุ้งที่หยดออกมาติดตะแกรงย่างนั้นมันเคลือบกับผิวบาร์บีคิว พอพี่เดือนกินเข้าไปแม้ว่าปริมาณจะไม่ได้มากขนาดนั้น แต่เพราะด้วยพี่เดือนเป็นคนแพ้กุ้งรุนแรงเลยทำให้อาการหนักจนต้องรีบพาเข้าห้องไอซียูไปเช็คอาการ ประมาณชั่วโมงกว่าๆพี่เดือนถึงได้ออกมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจของพี่มะยมที่โล่งอกไปกับผมด้วย

ผมเดินเข้าไปบีบมือพี่เดือน สีหน้าของเขายังไม่ค่อยดีนัก ตามผิวยังมีผื่นแดงๆขึ้นบ้างแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนที่รถพยาบาลมารับ พี่เดือนยิ้มบางๆให้พร้อมกับลูบหัวปลอบว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว

“พี่ขอโทษที่ไม่ทันระวังตัว กินเข้าไปไม่ดูเองว่าเขาใช้เตาเดียวกัน”

“พี่เป็นห่วงพี่แทบตาย! ถ้าเกิดอาการหนักกว่านี้พี่จะทำยังไง! ผมจะทำยังไง!” ผมทุบหน้าอกพี่เดือนด้วยกำปั้นตัวเอง พี่เดือนดูอึ้งๆไปหน่อยที่ผมระเบิดอารมณ์พร้อมกับน้ำตา แล้วเขาก็ดึงผมเข้าไปกอดไว้เพื่อให้ผมสงบลง

“พี่ขอโทษจริงๆนะ...ขอโทษนะคนดี” เขาปรับริมฝีปากลงกับกลุ่มเส้นผม ปลอบโยนผมทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนปลอบโยนด้วยซ้ำ “ตกใจใช่มั้ย? ไม่เป็นไรแล้ว...พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว...”

“...สองครั้งแล้วนะที่พี่เฉียดเป็นเฉียดตาย ผมไม่ชอบ ผมกลัว...”

“ชู่ว...ไม่ร้องนะ...” พี่เดือนผละตัว โน้มลงมานิดหน่อยแล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลลงมาให้ “พี่จะไม่ประมาทแล้ว...หยุดร้องเถอะนะ”

ผมสะอื้น แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลลงแล้ว พี่เดือนปลอบผมอีกสักพักใหญ่เลยถึงค่อยเดินไปรับยา ผมเห็นพี่นกฮูกยืนอยู่ห่างๆจากเคาน์เตอร์ สายตามองมาด้วยความแค้น ผมจะเดินไปยืนข้างๆพี่เดือนแล้วกระตุกแขนเสื้อเขาแรงๆ

พี่เดือนหันมามองผม แล้วก็หันไปทางจุดที่พี่นกฮูกยืนอยู่ พอพวกเขาสบตากันพี่เดือนก็ส่งออร่าเย็นชาออกมาทันทีอย่างไม่เป็นมิตร เหมือนเขาน่าจะพอเดาอะไรบางอย่างออก

เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิด พี่นกฮูกเป็นคนคุมเตานี่นา...

“พี่เดือน พี่นกฮูกรู้ว่าพี่แพ้กุ้ง แล้วเขาก็ใช้เตานั่นย่างกุ้งกับบาร์บีคิว”

“ตอนพี่หยิบบาร์บีคิว พี่หยิบจากเด็กคนหนึ่ง เขาบอกว่ามีคนเอามาให้” พี่เดือนพูดเสียงเรียบ “คิดจะประกาศสงครามกับพี่ ให้กุมภ์รับอารมณ์กดดันอย่างนั้นเหรอ...มันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”

“พี่เดือน ถ้าเขาจะทำอะไรผมทำไมไม่เล็งมาที่ผมเลย ทำไมต้องเล็งพี่ก่อน?”

“พี่ก็ไม่รู้...” พี่เดือนส่ายหน้า “พี่ว่าจะกลับก่อน พี่มีตั๋วรถที่แอบจองเอาไว้สองที่ กุมภ์เองก็กลับพร้อมกันเลย”

“...”

“พี่ว่าไม่ไหวแล้วที่จะให้นกฮูกคุกคามแบบนี้”

“พี่เดือน ตอนที่มีบายศรี พี่นกฮูกก็มาเคาะประตูห้อง เอาขนมที่ผมชอบมาห้อยไว้ที่ลูกบิดประตูด้วย” ผมบอกพี่เดือน “แต่ผมไม่ได้เก็บเอาไว้ ผมเอาไปให้แม่บ้านของโรงแรม บอกว่ามีคนเอามาห้อยไว้ให้ผิดห้อง ถ้ามีใครมาถามถึงก็เอาให้เขาไป”

“ดีแล้วล่ะที่ทำแบบนั้น ถึงขนมจะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อหรือจากไหนพี่ก็ไม่ไว้ใจทั้งนั้น” พี่เดือนโอบเอวผม แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่พาเดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมกัน พี่มะยมเดินตามข้างหลังพร้อมกับช่วยดูว่ามีใครกำลังแอบมองอยู่รึเปล่า

เรื่องนี้ผมบอกกับพี่มะยมว่ามีคนกำลังตามสโตรกพวกเรา และผมก็เริ่มปักใจเชื่อไปแล้วว่าคนที่ตามผมมาตลอดนั่นก็คือพี่นกฮูก

พี่เดือนยืนยันว่าไม่เคยไปมีปัญหากันมาก่อนเลยจริงๆนอกจากตอนที่ไปต่อยเขา...แต่นั่นกำม่น่าจะใช่สาเหตุที่ทำให้พี่นกฮูกมาตามเพราะเขาตามผมก่อนหน้านั้นอีก

แต่ในคืนนี้ผมกับพี่เดือนต่างนั่งรถกลับเข้ากรุงเทพด้วยกันพร้อมกับความหวาดระแวงที่ก่อตัวในใจของผมมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากที่รับน้องผ่านมาเดือนกว่าๆ ผมกับพี่เดือนก็คิดว่าคงจะปลอดภัยขึ้นแล้วเพราะผมไม่รู้สึกว่ามีคนตามผมอีก แต่ผมก็จะไม่ใช้ชีวิตประมาทเพราะพี่นกฮูกยังคงวนเวียนๆอยู่ บางทีก็เข้ามาหากลุ่มเพื่อนผมเพื่อเอาขนมมาให้ บางทีก็มาดักรอที่ใต้คอนโด พี่เดือนไล่ไปทุกครั้ง พี่นกฮูกก็ยิ้มๆก่อนที่จะยอมไปราวกับว่าเขารออาศัยจังหวะที่ผมอยู่คนเดียวยังไงยังงั้น

วันนี้ผมกับพี่เดือนมามหาลัยตามปกติ ใกล้จะสอบแล้วก็ต้องขยันมาจดเล็กเชอร์กันสักนิดแม้ว่าเอกของพวกเราจะเน้นภาคปฏิบัติ นทีที่พ่วงสอยมาด้วยก็มานั่งอ่านภาคทฤษฏีด้วยกัน ผมเองก็สงสัยว่าเขาไม่มีเพื่อนเลยหรือยังไงถึงมาตัวติดกับผมเหมือนตามมัธยมอย่างนี้

“พี่เดือน ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย?”

“โธ่พี่ ผมไม่ได้อายุสามขวบนะ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ผมยิ้มให้พี่เดือน ก่อนที่จะลุกเดินไปห้องน้ำข้างๆโรงอาหารที่ผมว่าคนน่าจะเยอะ ที่ที่คนเยอะคงไม่มีอันตรายหรอก

ผมออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นว่าพี่นกฮูกกำลังยืนดักอยู่ตรงประตูทางเข้า เขาหันหลังให้ผม ผมไม่กล้าทัก แต่ถ้าผมไม่ทักก็จะไม่ได้ออกจากห้องน้ำนี่แน่ๆ

ใจดีสู้เสือวะ

“พี่ครับ ผมขอทางหน่อยครับ”

“ว่ายังไงน้องกุมภ์” พี่นกฮูกผลักตัวผมเข้าไปในห้องที่มีชักโครก ปิดประตูลงกลอนแล้วใช้นิ้วของเขาเสยคางผมให้เงยหน้ามองเขาชัดๆ ใต้ตาพี่นกฮูกคล้ำอย่างชัดเจนเหมือนเขาไม่ได้นอนมาหลายวัน “รอจังหวะนี้มานานมากแล้ว...ใช่...รอมานานมาก”

“พี่รออะไร?”

“รอจังหวะที่จะได้แก้แค้น...เมื่อห้าปีที่แล้ว”

“ห้าปี...ที่แล้ว?” ห้าปีก่อน...ก็คงเป็นตอนที่พี่เดือนอยู่ม.4ได้? “พี่เดือนบอกว่าไม่เคยรู้จักพี่มาก่อน ห้าปีก่อนพี่เดือนจะไปทำอะไรให้พี่ได้กันครับ? พี่อย่ามามั่วนะ แล้วก็ขอทางให้ผมด้วย”

ปัง!

“ไม่ ให้ ไป!” พี่นกฮูกตะคอกใส่หน้าผมเสียงดังชัดเจนจนผมสะดุ้ง จากนั้นเขาก็จับเข้าที่บ่าทั้งสองข้างของผม พูดด้วยน้ำเสียงสั่นปนระรัวจนเกือบจะฟังไม่ออก “เมื่อห้าปีก่อน...มันทำผลงานให้โรงเรียนเยอะมาก พี่ที่พยายามแทบตาย ทำผลงานให้ได้เท่าไม่เคยมีใครเคยเห็นหัวเลย! เพราะมันหน้าตาดีกว่า! มาจากตระกูลหมอ! อะไรที่มันต้องการมันก็ได้! ส่วนพี่ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองนั้นไม่เคยมีใครสนใจเลย! เพราะพี่มันเป็นเด็กเนิร์ดที่ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้เด่น ทำผลงานก็ไม่มีใครมาชื่นชมยินดีด้วย!

“กุมภ์เข้าใจพี่มั้ยว่าพี่กดดันมากแค่ไหนที่ทุกคนเห็นเดือนมันสำคัญกว่า พี่เองก็อยากให้มีคนสนใจ อยากให้พ่อแม่สนใจว่าลูกคนนี้ก็พยายามแทบตายเพื่อให้ได้รางวัลดีๆ แต่ไม่มีใครเลยที่มองพี่! ไปแสดงความยินดีกับมันหมด! ทั้งที่รางวัลของมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก!”


ผมค่อนข้างอึ้งที่พี่นกฮูกระเบิดอารมณ์ลงมาอย่างนี้ เขาเก็บเอาไว้ในใจมากจริงๆ แต่ผมก็ไม่คิดที่จะหลวมตัวเพียงเพราะแค่นั้นแน่นอน

“พี่ย้ายโรงเรียนเพราะทนกับสถานการณ์อย่างนี้ไม่ไหว แต่มันก็แย่กว่าเก่า! พี่อดคิดถึงมันไม่ได้เลย! พอขึ้นมหาลัยมาพี่ก็ไม่คิดว่าจะเจอมันในที่เดียวกัน เรียนหมอ...แล้วก็ย้ายมานิเทศที่พี่กำลังรุ่ง มันแย่งทุกอย่างไปจากพี่อีกครั้งหลังจากที่กลับมาตั้งหลักได้!”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยพี่นกฮูก! พี่เดือนเองก็เจอกับเรื่องแบบเดียวกันกับพี่มาเหมือนกัน! เขาต้องทรมานมากแค่ไหนถึงจะมาถึงจุดนี้ได้! เขากดดันมากกว่าพี่เสียอีก พี่แค่ไม่อดทน พี่แค่ไม่ยอมรับเท่านั้น!” ผมเป็นฝ่ายผลักเขาเข้ากับประตูห้องน้ำบ้าง พี่นกฮูกร้องโอ้ยออกมาก่อนที่จะจ้องตาผมอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“ท่าทางจะหัวดื้อน่าดู เชื่อพี่เถอะว่าคบกับมันไปจะไม่มีความสุข”

“จะไม่มีความสุขก็เพราะพี่คุกคามพวกเรานี่แหละ! ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะครับ!”

“บอกแล้วไม่เชื่อนะ”

“...”

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องพรากสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของมันไปแล้วสิ”

“!!”

.

..

ฉึ่ก

.

..

“มันคงเสียใจน่าดูถ้าคนที่มันรักที่สุดต้องมาตายอนาถเพราะเพื่อน” ในมือของพี่นกฮูกมีมีดสั้น ผมรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าท้อง ของเหลวสีแดงเริ่มไหลลงมาจากบาดแผลที่เขาทิ่มแทงเข้ามา แต่เขายังไม่หยุดแค่นั้น เขาแทงเข้ามาอีกแผลบริเวรใกล้ๆกันจนผมร้องไม่ออก

“ทีแรกจะตั้งใจให้มันตาย...แต่ถ้าทำอย่างนี้คงจะสนุกกว่าเพราะมันจะตายทั้งเป็น”

และอีกแผล...

“มันกุ้ง...ก็เป็นแผนที่ตั้งใจทำเพื่อให้มันช็อกจนต้องเข้าโรงพยาบาล เสียดายที่รักษาทันอาการไม่งั้นค่ายรับน้องของนิเทศปีนี้ต้องเกิดอาถรรพ์แน่”


ซ้ำอีกรอบ...

“พี่จะต้องทำให้มันเสียใจ...เสียใจจนคิดว่าทุกอย่างเป็นความผิดของมัน ถ้ามันไม่ทำตัวเด่น...”

ผมยืนไม่ไหว...ทรุดลงกับพื้นห้องน้ำ เลือดของผมไหลลงไปผสมกับน้ำที่เจ่อนองพื้นปูกระเบื้อง สมองคิดอะไรไม่ออกแล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

“และมันจะต้องฆ่าตัวตายตาม...ถ้าน้องกุมภ์ไม่อยู่บนโลกนี้”

พี่นกฮูกนั่งยองๆลงกับพื้น จับมือข้างซ้ายของผมขึ้นมาพิจารณามองด้วยสายตาที่น่ากลัวราวกับว่าจะตัดมันให้ขาดเสียตรงนั้น ผมพยายามจะพูดคำออกไปแต่ด้วยเพราะการที่โดนแทงทำให้ความเจ็บปวดนั้นแทรกแซงไปหมดจนไม่สามารถจะเปล่งอะไรออกไปได้เลย

“มือสวยดีนี่นา”

“...”

“พี่อยากได้นิ้วก้อย...ขอนะ”

ฉับ

“อะ..!”

เจ็บปวด...แต่ไม่สามารถร้องออกไปได้...

ทรมาน...แต่ก็ทำได้แค่หลั่งน้ำตา

พี่นกฮูก...ตัดนิ้วก้อยข้างซ้ายของผมด้วยกรรไกรคมขนาดใหญ่ สีแดงจากเลือดอาบไปทั่วมือของผม ความเจ็บปวดแล่นเข้ามายิ่งกว่าเมื่อถูกแทง เขาหัวเราะสะใจเสียงดังไม่กลัวว่าข้างนอกนั้นจะมีคนผ่านไปเยอะแค่ไหนก็ตามในขณะที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย

“ขอบคุณที่อยู่คุยด้วยนะ ไปก่อนดีกว่า” พี่นกฮูกเปิดประตูห้องน้ำออกไป เพราะการที่ไม่มีคนที่ทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าผมกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ในห้องชักโครก มือของผมพยายามเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์เพื่อกดโทรฯหาพี่เดือนให้ได้ก่อนที่สติของผมจะหมด

ผม...จะยอมแพ้ไม่ได้...

แต่มันก็เจ็บเหลือเกิน หนังตาของผมมันหนักขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มไม่ฟังคำสั่งของผม มือสั่นมากขึ้น นี่คืออาการช็อกจากการเสียเลือดมากไปหรือเปล่านะ? ผมไม่รู้ สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียวก็คือต้องอดทนอีกสักวินาทีก็ยังดี

ในที่สุดหลังจากการพยายามอย่างนาน ผมก็สามารถหยิบโทรศัพท์ตัวเองมากดเบอร์โทรฯของพี่เดือนได้ แต่ทว่ามือผมมันก็หมดแรงเสียแล้ว

‘กุมภ์? อะไรเหรอ?’

“พี่..เดือ...”

‘กุมภ์?’

“...” ปาก...มันไม่ขยับตามแล้ว...แต่เปลี่ยนมาเป็นอ้าพะงาบเกรงแทน ผมพยายามพูดออกมาอีกครั้งแต่เสียงที่ออกมามีแค่คำว่า ‘อะ’ เท่านั้น

ความรู้สึกที่สมองมันกำลังจะดับลงนี่มันอะไรกัน...

‘กุมภ์! เกิดอะไรขึ้น!’

‘กุมภ์! กุมภ์อยู่ไหน!’

“เฮ้ย! มีคนโดนแทงอยู่ในห้องน้ำ! เรียกรถพยาบาลเร็ว!”

“นั่นกุมภ์ไม่ใช่เหรอ?! กุมภ์! มึงทำใจดีๆเอาไว้!”


สติของผม...มันดับลงไปพร้อมๆกับเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน มันเป็นเสียงที่ผมต้องการได้ยินมากที่สุดในเวลานี้...ต่อให้มันจะเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของผม แต่ถ้ามันทำให้จิตใจของผมรู้สึกสงบอย่างนี้...ผมเองก็ดีใจมากแล้ว

 

“กุมภ์อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ!”

.

..

อ่า...

มีความสุขจัง...ที่อย่างน้อยเขาก็มาถึงก่อนที่ผมจะหลับไป...


 

 

 

 

“กุมภ์ วันนี้มีเรียนพิเศษรึเปล่า?”

เพื่อนสนิทของผมชื่อว่านทีถามขึ้นมาเมื่อพวกเราเรียนจบคาบสุดท้ายของวัน มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าผ้าใส่เสื้อพละส่วนอีกข้างกำลังสะพายกระเป๋ากีตาร์ตัวโปรด เขาเป็นสมาชิกชมรมดนตรี ตำแหน่งมือกีตาร์ของวงโฟล์คซองค์ ส่วนผมเป็นสมาชิกชมรมบรรณารักษ์ ด้วยความที่พวกเราสองคนนั่งข้างกันในวันปฐมนิเทศ ทำให้ได้ทำความรู้จักกันและมาสนิทกันในภายหลัง

กุมภ์ หรือกุมภา สิริกุล คือชื่อของผม ปีนี้เป็นนักเรียนชั้นม.4...แต่ทำไมผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เรียนม.4 จริงๆกัน?

ช่างมันเถอะ

ผมให้นทีมาส่งผมถึงที่เรียนพิเศษ เดินเข้าไปในที่เรียนพิเศษ หยิบการ์ดพลาสติกที่เป็นบัตรขึ้นมาดูว่าผมเรียนห้องไหนก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นสองที่เป็นห้องเรียนแบ่งโซน ที่นั่งจัดให้ผมไปนั่งอยู่แถวๆต้นไม้กระถางไม่สูงมากเท่าไหร่ ผมรู้สึกโชคดีเพราะว่าผมจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเวลาที่เห็นแต่ห้องเรียนสีขาวนี้

แต่ในใจของผมเองก็รู้สึกอึดอัดราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้น

ข้างๆผมมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังใส่เฮดโฟนเรียนอยู่ มือของเขาจับปากกาสีน้ำเงินแล้วเขียนใส่ลงสมุดข้างๆ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็กำลังยกแก้วน้ำขึ้นมาดูด

หืม? นี่มันผู้ชายที่ผมเจอเมื่อวานนี่นา

ถ้าสงสัยว่าเขาเป็นใคร เขาคือพี่เดือน พีรดล นารีรัตน์ นักเรียนชั้นม.6 เป็นรุ่นพี่คนเก่งของทุกคน ด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูงจนน่ากลัวกับผลงานทางวิชาการมากมายนั้นทำให้เขากลายอมนุษย์ในสถานศึกษาแห่งนี้ ไหนจะหน้าตาที่ดี ผมสีดำสนิทตัดถูกระเบียบ ดวงตาเมล็ดอัลมอนด์ โครงหน้าเรียวได้รูป จมูกที่โด่งพอดี รวมถึงริมฝีปากบางๆทำให้ยิ่งเป็นที่สนใจ แต่จุดที่น่าสนใจกว่าก็คือไม่ค่อยมีใครได้คุยกับเขามากนักทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนแบบไหน บ้างก็ว่าเขาหยิ่ง บ้างก็ว่าเขาไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า

แต่ก็น่าแปลกใจอีก...ที่ผมคุ้นเคยกับเขาคนนี้เสียเหลือเกิน

ราวกับว่าผมรู้จักเขาคนนี้มานานแสนนาน


“กุมภ์...”

“อะ...พี่รู้จักชื่อผม?” ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่เดือนรู้จักชื่อของผม แต่ก็มานึกได้ว่าพี่เดือนเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ที่ผมสมัครไป “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“อย่าทิ้งพี่ไป” น้ำเสียงของเขาสั่น แล้วโลกก็หมุนจนผมต้องหลับตาเพราะเวียนหัว เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างปกติดีแล้วผมก็ลืมตาขึ้นแล้วพบว่าผมกำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย...ไม่สิ มันรู้สึกคุ้นน่าประหลาด มันเป็นห้องสี่เหลี่ยม เป็นเหมือนคอนโดของใครสักคน แต่นี่คงเป็นความฝันของผมเอง ดังนั้นจึงไม่ค่อยตื่นตระหนกเท่าไหร่กับการที่โผล่มาที่พักของคนอื่นอย่างนี้

“กุมภ์...”

“...”

“พี่ไม่อยากให้กุมภ์ต้องหายไป กุมภ์ช่วยอดทนเพื่อพี่อีกสักนิดได้มั้ย? ถ้าพี่ไม่มีกุมภ์อยู่แล้ว...พี่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง” พี่เดือนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหาร “มันเจ็บมากมั้ย...ตรงท้องน่ะ?”

“ท้อง?” ผมก้มลงดูหน้าท้องของตัวเองที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่ผมไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง...หรือเคยรู้สึกแต่ว่ามันจางไปแล้วกัน “ผมว่ามันน่าจะเคยเจ็บ...แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บหรือไม่อะไรเลย”

“แล้วนิ้วก้อยข้างซ้ายของกุมภ์ล่ะ?” ผมดูที่มือข้างซ้ายของตัวเอง จำไม่ได้เลยว่าผมมีสี่นิ้วอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนไหน แต่ในความรู้สึกที่เคยสัมผัสมานั้น...ผมว่าผมเคยมีครบทั้งห้านิ้วมาก่อน “กุมภ์...กุมภ์ไม่ได้อยู่คนเดียว กุมภ์มีพี่ มีเพื่อน มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ กุมภ์อย่าแบกความรู้สึกเอาไว้คนเดียว อย่าทำให้มันชินจนกลายเป็นความเฉยชา กุมภ์จำได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่กุมภ์เลือกที่จะไม่จำ กุมภ์รู้ตัวเองดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่กุมภ์เลือกที่จะปิดกั้นและโกหกกับตัวเอง พี่ก็เคยเป็น แต่พี่ขอร้อง...กุมภ์อย่าปิดใจตัวเองเพื่อป้องกันความเจ็บปวดนี้เลย พี่อยากเข้าไปปลอบประโลม...พี่อยากเข้าใจกระซิบบอกข้างๆหูว่ามันจะต้องไม่เป็นอะไร พี่อยากจะเข้าไปกอดจากด้านหลัง มอบความอบอุ่นและปลอดภัยให้”

ผม...ไม่เข้าใจอะไรสักนิด ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำตาถึงไหลลงอาบข้างแก้ม ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆความเจ็บปวดก็แล่นเข้าสู่ร่างกายอย่างนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เดือนถึงต้องร้องไห้ตามผม ไม่เข้าใจเลย...ไม่เข้าใจสักนิด...

ผมรู้อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ ผมรักพี่เดือนมาก เท่านั้น...

“กุมภ์ตื่นมา...ตื่นมาพบกับความจริง ตื่นมาเจอพี่เถอะนะ...พี่ขอร้อง...พี่ขอโทษที่ปกป้องกุมภ์ไม่ได้...” พี่เดือนทรุดลงไปกับพื้น เขาร้องไห้...น้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นสายเลือด และห้องก็หมุนไปอีกครั้งกลายเป็นว่าผมกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดคนเดียว

เสียงร้องไห้ของพี่เดือน...ก็ยังคงดังอยู่ไปก้องทั่วบริเวณที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแห่งนี้

เปลือกตาของผมมันหนักเหลือเกิน...อยากเปิดมากเท่าใดก็ทำไม่ได้ อยากจะขยับปากเท่าใดก็ไม่มีแรง ผมต้องมีกำลังมากกว่านี้...พี่เดือนกำลังร้องไห้ ผู้ชายที่ผมรักกำลังร้องไห้ให้กับผมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“มันน่ากลัวนะ...ที่เรายังต้องหลับอยู่แบบนี้”

ผมหันหลังไป เห็นร่างของใครบางคนกำลังยืนหันหลังให้ แต่พอมองดีๆแล้วนั่นมัน...ตัวของผมเอง?

“ในขณะที่ร่างของเรายังคงหลับใหลบนเตียงอย่างสงบสุข ใครอีกคนต้องมาเสียใจอย่างหนักโดยที่เราไม่สามารถปลอบประโลมได้เลย...” ตัวผมอีกคนเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็กอดผมเอาไว้ “แต่มันจะต้องไม่เป็นอะไร...พี่เดือนเข้มแข็งมากพอที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยตัวเองเพื่อจัดการทุกอย่างให้เสร็จ พวกเรารอเขาอยู่ตรงนี้ก็พอแล้วเถอะนะ...หลังจากนี้มันจะเป็นคราวของเขาที่ต้องเป็นฝ่ายออกตัวบ้าง”

“แต่ว่า...”

“ไม่เชื่อใจพี่เดือนเหรอ?”

“...”

“เชื่อใจเขาเถอะนะ...เพราะยังไงหัวใจของพวกเราก็สื่อตรงไปถึงเขาได้นี่นา”

“หมายความว่ายังไง?”

“ทั้งตัวของเราและตัวของเขา...ต่างได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน มันจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้อีกฝ่ายทำเพื่ออีกคน ทำตามสิ่งที่ใครอีกคนต้องการแม้ว่าจะไม่สามารถพูดได้ก็ตาม”

“...”

“ก็รักอีกฝ่ายมากซะขนาดนั้น...หัวใจมันกลายเป็นดวงเดียวกันไปตั้งนานแล้วนี่?”

 

พี่เดือนช่วยอดทนรอผมอีกสักนิดก่อนนะ...

ผมเองก็พยายามที่จะลืมตาเพื่อคุยกับพี่อีกครั้งเหมือนกัน




==========

บทหน้าจะส่องสปอร์ตไลท์ไปที่พี่เดือนกันนะคะ มาดูกันว่าพี่เดือนจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น

น้องกุมภ์โดนตัดนิ้วก้อย  :o12:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...แรงแค้นของนกฮูกนี่  เข้าข่ายโรคจิตชัด ๆ

ส่วนนุ้งกุมภ์  ทำไมไม่ฟื้น?

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 16

 

= เดือน =

 

หมอบอกว่ากุมภ์เสียเลือดมากจนช็อก อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาในเร็วๆนี้ ผมจึงรู้สึกเครียดมากจนต้องหยิบยาระงับประสาทมากินทั้งที่ไม่ได้แตะมันมานานได้ร่วมปีกว่าๆ

ตอนที่ผมเห็นร่างของกุมภ์นอนอยู่บนพื้น...ผมคิดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนอยู่นิ่งกับที่ มะยมดันตัวผมให้ขึ้นรถพยาบาลตามเข้าไป ผมสังเกตว่านิ้วก้อยข้างขวาของกุมภ์หายไปด้วย ไม่ว่าก็ตามที่ทำ...เขาทรมานร่างกายกุมภ์ ทำให้เขาสูญเสีย ทำให้เขาต้องเฉียดตาย และนั่นทำให้ผมต้องโทษตัวเองซ้ำๆว่ามันคือความผิดของผมที่ปล่อยให้เขาเข้าห้องน้ำคนเดียว ถ้าเกิดว่าผมตามเขาไป...ถ้าเกิดว่าผมเดินตามไปหลังจากนั้นสักนาที เรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิดขึ้น

ทำไม...

ทำไมกัน

ทำไมกุมภ์ต้องมาสูญเสียแทนผม? ทำไมกุมภ์ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลด้วยอาการที่สาหัสกว่าผม เมื่อกุมภ์ถูกเข็นเข้าห้องไอซียู สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่นั่งลงข้างๆประตู ร้องไห้ราวกับว่าโลกนี้ไม่มีอนาคตอีกต่อไป ความจริงคือมันไม่น่าจะมีตั้งแต่แรกแล้วที่รู้ว่ากุมภ์โดนหมายเอาชีวิต ทรัพย์สินของเขาไม่ได้หายไปไหน มันกลายเป็นการทำร้ายร่างกายอย่างแน่นอน

“เดือน น้องปลอดภัยแล้ว แค่น้องยังไม่ตื่นเท่านั้นเอง”

โอมบีบมือของผมเอาไว้ น้ำตาของผมยังไหลเป็นสายทางอาบแก้ม มันเจ็บปวดที่เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไปเที่ยวที่ไหน หรือว่าอีกฝ่ายกำลังจะฝันอะไร มันทรมานที่ผมต้องมาเห็นเขานอนอยู่บนเตียงไม่ขยับแบบนี้

“ถ้า...ถ้าเกิดว่าเขาไม่ตื่นขึ้นมาล่ะ? ถ้าเกิดว่าเขา...เขา...”

“เดือน ใจเย็นก่อน น้องไม่เป็นอะไรแล้ว” ศึกตบบ่าผมเพื่อเตือนสติ แต่ผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว มือที่สั้นเทาเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์เพื่อพยายามติดต่อกับพ่อแม่ของกุมภ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าพวกเขารู้ว่าผมไม่สามารถปกป้องลูกชายคนโตได้ผมจะทำยังไง พวกเขาจะโทษผมแน่ๆ แล้วพวกเขาจะทำยังไงต่อ พวกเขาจะไล่ผมให้ออกไปจากชีวิตของเขารึเปล่า? หรือว่าเขาจะไล่ให้ผมไปตายเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิด?

ผมโทรบอกพวกเขา...พวกเขาตกใจแล้วรีบถามว่ากุมภ์อยู่โรงพยาบาลอะไร ผมตอบกลับไปทั้งที่น้ำเสียงนั้นมันเบา จากนั้นก็ติดต่อกับพ่อของผมเพื่อให้เขารู้ว่าตอนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น

ในวันต่อมา ทุกคนมารวมตัวกัน พ่อแม่ของกุมภ์กอดปลอบผมทั้งที่ผมเป็นฝ่ายผิด บอกว่าไม่เป็นอะไรไม่ใช่ความผิดของผม มีนาน้องชายของกุมภ์ก็บอกว่าผมไม่ต้องร้องไห้ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมทำอะไรผิดเลย ส่วนพ่อของผมก็ตามมาติดๆแล้วก็ได้พูดคุยกับครอบครัวกุมภ์ว่าจะช่วยจัดการค่าใช้จ่ายให้ในฐานะที่ผมกับกุมภ์เป็นแฟนกัน มีอะไรก็จะช่วยเหลือให้ตามความสามารถ

ทุกคนบอกให้ผมกลับไปนอนที่คอนโดก่อนเพราะเมื่อคืนผมไม่ได้นอนเลย

ผมทำตามที่พวกเขาบอกเนื่องจากไม่อยากจะเถียง พอหัวถึงหมอนผมก็หลับลงไปทันที

 

มันเป็นความผิดของนายเองนะเดือน

นั่นใคร...?

ฉันคือนาย...ตัวตนของนายที่แท้จริงที่ยังคงอยู่ภายในจิตใจ

ผมลืมตาขึ้น ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เห็นร่างของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือตรงหน้าของผม สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนักเหมือนฝืนทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ หนังสือวิชาคณิตศาสตร์ม.ต้นไม่เหมาะกับเด็กวัยประถมอย่างนี้ด้วยซ้ำ ทำไมเขาต้องมาอ่านอะไรแบบนี้ แต่พอผมจะทักเขา เขาก็หยิบหนังสือที่กองไว้ข้างๆกันเดินจากไปเสียก่อน พอมองจากข้างหลังแล้วผมก็คุ้นเขาเหลือเกินราวกับว่าผมรู้จักเขามาก่อน

ไม่สิ...

เด็กคนนั้นคือผม

“เดี๋ยวก่อน!”

‘นายกำลังโทษตัวเองว่ามันคือความผิดของนาย ใช่ มันคือความผิดของนาย...ความผิดของเรา’ ผมในร่างเด็กหันมา ยิ้มอ่อนๆให้กับผม มันเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าเหลือเกิน ‘ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่รู้จักกุมภ์ตั้งแต่แรก...ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่หลงรักกุมภ์ตั้งแต่แรก แล้วเดินมาในเส้นทางที่ควรจะเป็น มันก็จะไม่มีเรื่องแบบนี้’

“ไม่ใช่...มันไม่ใช่แบบนั้น...” ผมกำลังจะเถียงตัวเอง แต่...มันก็เป็นความจริง ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้เจอกับกุมภ์...บางทีการที่ปล่อยให้ตัวของผมเองไม่มีความสุขในชีวิตยังดีกว่าต้องมาให้กุมภ์เจ็บหนักขนาดนี้ “..มัน...”

‘มันคือความจริง...นายเถียงไม่ได้สินะ’

“แต่การที่ได้รู้จักกับกุมภ์มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต ถ้ากุมภ์ไม่เข้ามา ก็จะไม่ได้เปิดใจให้กับอะไรหลายๆอย่าง ถ้ากุมภ์ไม่เข้ามา ก็ไม่ได้เจอกับสิ่งที่ต้องการ” ผมพูดเบาๆ ตัวผมอีกคนเดินเข้ามาใกล้ๆก่อนที่จะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงให้ “ฉันอยากให้มันเป็นแบบนี้...แต่ก็ไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ด้วย”

ผมในร่างเด็กจับมือของผม แล้วพยายามพาลากไปที่ไหนสักที่ท่ามกลางความมืดมิดนั่น ผมเห็นเครื่องฉายภาพยนตร์อันเก่าตั้งอยู่กลางสถานที่สีดำนี้ เขาบอกให้ผมนั่งลง แล้วตัวผมอีกคนเองก็เดินไปที่เครื่องนั่น ใส่ฟิล์มหนังที่เก่าจนแทบจะขาดลงไป ปรากฏภาพสีขาวบนพื้นที่สีดำราวกับว่านี่คือจุดสิ้นสุดของห้องสีดำแห่งนี้

ในภาพนั่น...มันเป็นวิดีโอที่เล่นเป็นฉากๆ เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผมทั้งนั้น

 

“พ่อครับ แม่ครับ ผมได้รางวั--”

“อยู่ที่นี่คนเดียวได้ใช่มั้ย? แม่จะออกไปโรงพยาบาลก่อน”

“พ่อเองก็ต้องไปคุยงานกะทันหัน ดูบ้านให้ดีด้วย”


วันนั้นคือวันที่ผมได้รางวัลจากการแข่งขันครั้งแรกในชีวิต ผมตั้งใจจะอวดที่บ้านให้ดูว่าผมไม่ได้ทำให้พวกท่านผิดหวัง ผมเลือกถูกที่จะทำแบบนี้ แต่ทว่าพวกท่านไม่ได้สนใจผมเลย...ผมก็ทำได้แต่ยินดีกับตัวเองแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

‘ผมสอบเข้าที่นี่ได้ครับ’

‘ได้ที่หนึ่งรึเปล่า?’

‘...ครับ’


นี่เป็นตอนที่ผมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นได้ ผมอยากให้พวกท่านภูมิใจที่ผมสอบเข้าที่ดีตามที่พวกท่านหวัง ไม่ใช่ให้พวกท่านหวังว่าผมจะเป็นที่หนึ่งแบบนี้

‘ทำไมผลการเรียนถึงตก!’

‘...’

คราวนั้น...ที่เกรดเฉลี่ยผมตกลงมานิดหน่อยแล้วที่บ้านก็ดุด่าว่ากล่าวจนผมไม่อยากจะทนอยู่อีกต่อไป มือของผมในตอนนั้นถือมีดคัตเตอร์เตรียมกรีดข้อมือฆ่าตัวตายในห้องนอนตัวเอง ไหนใครว่าเรียนได้เกรดดีๆพ่อแม่จะภูมิใจและมีคนชม เป็นตัวอย่างที่ดีต่อคนอื่น? ถ้าเป็นตัวอย่างที่ดีต่อคนอื่นแต่ตัวเองไม่มีความสุขแบบนี้สู้ผมหายไปจากโลกเลยไม่ดีกว่าเหรอ?

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในตอนนั้น แต่ว่ามันมีเสียงหนึ่งในสมองบอกให้ผมรอ...รอใครสักคนที่จะสามารถดึงผมออกมาจากนรกได้ และมันก็เป็นจริงที่ผมเจอกับกุมภ์ คนที่ดึงผมออกจากความทรมาน ดึงผมออกจากความทุกข์ ช่วยผมเปิดกรงตัวเองออกมา

และเขาเป็นคนที่ทำให้ผมต้องตกนรกทั้งเป็นอีกครั้ง เพราะผมรักเขามากเกินไป...มากเกินกว่าที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายหายไปได้ เพราะผมไม่สามารถปกป้องเขาได้เลยทำให้ผมต้องมาทรมานแบบนี้ เพราะผมที่วางใจมากเกินไปเลยทำให้กุมภ์ต้องมานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เพราะผม...เพราะผมที่ทำให้กุมภ์ต้องเสียนิ้วก้อยข้างซ้ายตัวเองไป

 

‘รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะนายล้วนๆเลยนะ ถ้านายเดินตามทางที่พ่อแม่ปูเอาไว้ กุมภ์จะไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้...’

ตัวผมอีกคนพยายามสะกดจิตผม...เขาพยายามทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเก่าซึ่งมันได้ผล ถึงนี่จะเป็นเพียงแค่ความฝันแต่มันเป็นความฝันที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของผม...

กุมภ์...พี่...พี่ขอโทษ...

 

“เดือน...มึงไหวนะ?”

ศึกถามผม นี่ก็ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้วที่กุมภ์ยังไม่ฟื้นขึ้นมา อาการเพิ่มเติมตามที่หมอบอกก็คือต้องระวังเรื่องแผลติดเชื้อ ส่วนผมก็คอยอยู่ดูแลให้ตลอดเวลา

“ไหวสิ”

“แต่สายตามึงมันบอกว่ามึงไม่ไหวแล้ว กูเข้าใจนะว่ามึงอยากร้องไห้ แต่มึงจะมากลั้นเอาไว้ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้” ศึกเขย่าตัวผม “ถ้ามึงไม่ร้องต่อหน้าคนอื่น ไปร้องคนเดียวในห้อง เชื่อกู มันจะรู้สึกดีขึ้น”

รู้สึก...ดีขึ้นงั้นเหรอ?

ฮึ..

“ขอบคุณนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก กูแค่ล้าเฉยๆ” ผมผลักศึกออก เขามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ แล้วผมก็เดินไปที่ตึกคณะท่ามกลางหลายสายตาที่มองมาทางผมจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหลายคนถึงพากันจ้องผมขนาดนี้...แต่เอาเถอะ ผมชินแล้วล่ะที่มีคนจ้องมองมาตั้งแต่เด็กๆ มันคงไม่มีอะไรหรอกนอกจากการที่คนอื่นจะเห็นใต้ขอบตาผมมันคล้ำๆ

 

นั่นพี่เดือนที่เขาบอกว่าเป็นแฟนกุมภ์เหรอ? ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้

สงสัยห่วงแฟนจริงๆนั่นแหละ ก็แหงล่ะ โดนแทงอาการปางตายแถมนิ้วยังโดนตัดไปด้วย

น่าสงสารทั้งคู่เลย


 

เสียงกระซิบที่ไม่ใช่กระซิบดังเข้าหูผมตลอดทาง ผมไม่มีสมาธิเรียน ผมไม่มีจิตใจจะทำอะไรทั้งนั้นผมเลยลุกออกจากห้องกลางคลาสแล้วเดินออกมาโดยไม่บอกเหตุผลอาจารย์เลยว่าเพราะอะไร มะยมพยายามเรียกตามผมตั้งหลายรอบแต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะหนีมาที่ดาดฟ้าของอาคารแห่งนี้

สายลม...มันทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของผมมันถูกปัดเป่าไปได้บ้าง

ผมเปิดกระเป๋า หยิบซองยาออกมากลอกใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามจนหมดขวด แล้วก็เปลี่ยนมานั่งกับพื้นเหม่อมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ฝนกำลังจะตก...และมันคงไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะมานั่งตากฝนอย่างนี้ แต่เพราะผมไม่มีอารมณ์ที่จะมาหาที่หลบฝนอะไรแล้วนี่แหละที่ยังทำให้ตัวของผมไม่ขยับไปไหน

สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือการหาที่หลบภัยให้กับความคิดบ้าๆของตัวเอง จากตรงนี้คงจะสูงไม่น้อยที่จะกระโดดลงไป...ผมคิดแบบนั้นตลอดเวลาที่เดินขึ้นมาที่นี่แต่ทว่าผมก็ทำไม่ลง ถ้าเกิดว่ากุมภ์ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอผม เขาก็เสียใจจะแย่แล้ว ยิ่งถ้าเกิดเขารู้ว่าผมตายไป ไม่ใช่เขาจะฆ่าตัวตายตามผมเลยอย่างนั้นเหรอ?

ในที่สุดฝนก็ตกลงมา ผมนั่งชันเข่ากอดตัวเองแล้วร้องไห้เสียงดังท่ามกลางฝน เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาจากข้างหลังของผม ผมไม่มีเวลาสนใจจะไปดูว่าเป็นใคร ถ้าตามขึ้นมาบนนี้คงมีไม่กี่คนหรอก

“มานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้เองเหรอ?”

“นกฮูก...”


“เห็นว่ากุมภ์เข้าโรงพยาบาลเพราะโดนตัดนิ้วกับแทงเข้าที่ท้องจนช็อกเสียเลือดปางตาย แล้วทำไมถึงยังไม่ไปหาน้องอีกกัน” นกฮูกเดินเข้ามาใกล้ผม ท่ามกลางสายฝนอย่างนี้ทำให้ทุกอย่างดูเป็นใจแก่การหาเรื่องทะเลาะกัน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่ายามปกติไอ้หมอนี่มันคงไม่โผล่หน้ามาอย่างนี้หรอก “ที่ว่ารัก นี่เหรอคือสิ่งที่คนรักทำ?”

“มึงจะมายุ่งด้วยทำไม”

“กูแค่จะมาบอกว่ากูเสียดายนิ้วสวยๆกุมภ์ ตื่นขึ้นมาคงจะใจเสียน่าดูที่ต้องสูญเสียนิ้วก้อยข้างหนึ่งไป” นกฮูกยังคงต้องด้วยน้ำเสียงยียวน ผมไม่ชอบจึงลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา สายตาของนกฮูกดูสะใจมากราวกับว่าคำพูดเมื่อครู่มันทำให้ผมฟิวส์ขาดขึ้นมา “หวงน้องรึยังไง? กูก็แค่ห่วงน้อง...เหมือนที่มึงห่วง”

“ถ้ามึงจะมาหากูเพราะแค่นี้มึงช่วยออกไปเถอะ”

“แล้วมึงไม่อยากรู้เหรอว่าเพราะอะไรที่ทำให้กุมภ์ต้องกลายเป็นแบบนั้น?” นกฮูกเลิกคิ้ว เสียงฟ้าร้องดังตาม แต่ทว่าทั้งผมและนกฮูกไม่มีใครสนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างเท่าไหร่นัก

หรือว่า...

“มึงใช่มั้ยที่ทำกุมภ์! ไอ้เหี้ย!” ผมพุ่งตัวเข้าไปต่อยที่หน้าของนกฮูกและซัดเข้าที่หน้าท้องของเขา นกฮูกหันกลับมาแล้วปล่อยหมัดเข้าที่สีข้างของผม บาดแผลของผมยังสร้างความเจ็บปวดแต่มันไม่เท่ากับการที่คนตรงหน้านั้นได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไป “มึงทำไปเพราะอะไร?!”

“เพราะมึงแย่งทุกอย่างไปจากกูยังไงล่ะ!”

“...”

“กูอยากจะเป็นคนแบบมึงตอนมัธยมปลาย แต่มึงเด่นอยู่คนเดียว กูยอมไม่ได้ที่จะอยู่ในเงาของมึงแบบนี้!” นกฮูกหยิบกล่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดออก หยิบสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา

นิ้วข้างที่ถูกตัดไปของกุมภ์

“กูจะเอาทุกอย่างที่มึงรักไปให้หมด! มึงเอาทุกอย่างไปจากชีวิตกูแล้ว! มึงพังชีวิตกู! มึงทำให้กูต้องมาทนเจ็บปวดอยู่กับการเข้าออกโรงพยาบาลโรคจิตเพราะกูเครียด! เครียดจนจะเป็นบ้า! มึงไม่รู้หรอกว่าปีหนึ่งกูจะฆ่าตัวตายเพราะมึงกี่รอบ!”

ผมจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าผมคือใคร ถ้าเคยเจอกันจริงผมก็คงต้องคุ้นบ้างแล้ว “แต่กูไม่รู้จักมึง”

“ใช่สิเพราะมึงมัวแต่สนใจเรียน!”

“...”

“มึงไม่สนใจคนรอบข้าง! มึงเอาแต่แข่งกับตัวเอง!   พอชนะอะไรมาก็มีหน้ามีตาเด่นกว่ากู! กูอิจฉา! กูทำตาม! แต่มันก็ไม่เหมือนมึง!” นกฮูกตะคอกใส่ผม “แต่ถ้ามึงหายไปจากชีวิตของกู กูก็จะมีความสุข หรือหัวใจของมึงหายไปจากชีวิตมึง มึงก็จะไม่มีความสุขแบบกู!”

นกฮูกพุ่งเข้าชาร์จใส่ผมจนเสียหลักแล้วถลาไปยังขอบระเบียงตึก เขาทำท่าจะผลักผมให้ตกลงไปแต่ผมสามารถหลบได้ก่อนจนกลายเป็นว่านกฮูกเกือบจะตกลงไปเสียเอง เขาหันกลับมามองผม ดึงมีดพกออกมาจากกระเป๋าแล้วจัดการตะหวัดไปทั่วราวกับว่ามันต้องโดนผมสักจังหวะ ผมพยายามหลบให้ได้มากที่สุดแม้ว่าจะเฉียดๆโดนเนื้อไปนิดบ้าง

“แต่เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับกูเลยสักนิด มันเป็นเรื่องของมึงคนเดียว”

“แต่เพราะมันเป็นเรื่องของกู มันเลยเกี่ยวกับมึงด้วย!”
นกฮูกพุ่งเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงฟ้าผ่าตามหลังลงมาด้วย สายฟ้านั้นลงหม้อแปลงไฟที่อยู่ข้างอาคารแห่งนี้จนระเบิดเสียงดังไปทั่ว ทั้งผมและนกฮูกต่างตกใจแต่กลายเป็นว่านกฮูกเสียหลักล้มลงไปกับพื้น มีดของเขาหลุดมือตกอยู่ข้างๆเขา

เขารีบเอื้อมมืดหวังจะหยิบมันให้ได้แต่ผมเตะมีดออกไปแล้วเหยียบแผ่นหลังของเขาเอาไว้แทน นกฮูกเปลี่ยนมาจับขาผมแล้วดึงให้ร่างของผมกระแทกลงพื้นจนชาไปทั่วแผ่นหลัง เขาลุกขึ้นด้วยท่าทีทุลักทุเลเพราะฝนที่ตกลงมาทำให้พื้นลื่นมากกว่าเดิม แต่แล้วเขาก็สามารถหยิบมีดมาไว้ในมือเหมือนเดิมได้แล้วถลาตัวเข้ามาทางผมหวังจะแทงให้สำเร็จ

แต่ทว่าผมสามารถกลิ้งตัวหลบมีดนั่นได้ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วยืนดูสถานการณ์ ตอนนี้นกฮูกคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ผมเอก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกันในสมัยเด็กๆ อาการเครียดที่สะสม...ความกดดัน และปัจจัยหลายๆทำให้สิ่งที่กักเก็บเอาไว้มันระเบิดรุนแรงยิ่งกว่าภูเขาไฟ เพียงแค่ของนกฮูกนั้นมันไม่ใช่การทำร้ายตัวเอง แต่เป็นการทำร้ายคนอื่น

“พีรดล นารีรัตน์ ใครๆก็บอกว่าเขาคนนี้คือเด็กที่เก่งที่สุดในโรงเรียน ทั้งที่กูก็ไม่ได้ต่างจากมึงมากนักแต่ทำไมทุกคนถึงสนใจมึงหมด! แม้แต่พ่อแม่กูยังไม่สนใจกูเลย!”

นกฮูกวิ่งเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับควงมีดร้องเสียงดัง เท้าของผมมาลื่นเพราะน้ำอีกครั้ง แต่เพราะความลื่นที่ทำให้นกฮูกเปลี่ยนจังหวะการแทงไม่ทันแล้วตรงไปที่ระเบียงที่เปิดโล่งนั่นแทน

วินาทีนั้น...ผมคิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากจะยื่นมือเข้าไปจับเขาเอาไว้

“มึงจะช่วยกูทำไม! ปล่อยให้กูตกลงไปตายเลยยังจะดีกว่าที่ต้องมาจับมือคนแบบมึง!”

“กูไม่เข้าใจเหตุผลของมึงที่มึงทำแบบนี้! แต่กูก็ไม่อยากให้ใครมาตายทั้งที่ยังมีปัญหาคาใจแบบนี้อยู่นะ!” ผมตะโกนออกไปแล้วดึงร่างนกฮูกให้เข้ามา เขาหอบก่อนที่จะนั่งลงกับพื้น ทิ้งมีดลงไป “ชีวิตของมึงเองก็มีค่า! กูไม่อยากให้มึงตายตอนนี้เข้าใจมั้ย?!”

“...”

“มึงอธิบายเหตุผลกับกูดีๆ กูขอคำตอบดีๆสักครั้ง...เพื่อให้กูสบายใจได้มั้ยว่ามึงทำแบบนี้กับกุมภ์ทำไม” ผมก้มลงไปมองนกฮูกที่ตอนนี้ทำหน้าจะร้องไห้เหมือนผม ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้เขาตอนไหน แต่จากการที่ฟังมาเมื่อครู่ก็คงจะประติประต่อได้นิดหน่อย

เขาเคยเรียนที่เดียวกันกับผม และเขามองว่าผมเป็นคนที่ทำให้เขาไร้ตัวตน ไม่มีใครสนใจในสิ่งที่เขาทำ ไม่มีใครมองเห็นคุณค่าของเขา มันน่าเศร้าที่ตัวของผมเองก็คิดอย่างนั้นตลอดเวลา จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ไฟสปอร์ตไลท์อยู่กับตัวผมตลอดเวลาโดยไม่ได้มองเลยว่ามีใครคนหนึ่งพยายามไล่ตามผมเช่นกัน

“...ถ้าไม่ตอบอะไรก็ลงไปข้างล่างกันเถอะ สารภาพผิด แล้วเข้ารับการบำบัดซะ” ผมบอกกับนกฮูก เดินกลับเข้าไปในอาคารพร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนสองคน นกฮูกเดินตามมาอย่างเงียบๆ

ฟังดูเหมือน...ทุกอย่างจะปกติแล้ว แต่ว่า...

“เดือน”

“อะไร?”

“พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกัน ถ้าทุกอย่างมันพังไปหมดแล้ว” ผมหันไปทางนกฮูกในขณะที่เท้าของพวกเรายืนอยู่บนชั้นหนึ่ง ทุกคนมองพวกเราด้วยสายตาสงสัยว่าทำไมทั้งเปียกและเปื้อนเช่นนี้ “ทำให้มันจบลงไปดีกว่า”

ฉึ่ก

“อึ่ก!” นกฮูกแทงเข้ามาที่ต้นแขนของผมแล้วดึงมีดออกมา โชคดีที่ผมตั้งรับทันไม่งั้นมันต้องเป็นตำแหน่งหัวใจของผมแน่ ผมเงยหน้ามองนกฮูกเพื่อที่จะถามว่าเขาตั้งใจทำอะไร แต่ทว่า...

ฉึ่ก

“เฮ้ย! คนแทงตัวเอง! ถอยไปก่อนเร็ว! เรียกรถพยาบาลมาด้วย!”

“กรี๊ดดด!!”

“นั่นพี่เดือนกับพี่นกฮูกไม่ใช่เหรอ?!”


ผมรีบวิ่งไปหานกฮูกทั้งทีแขนตัวเองก็มีเลือดออก ความเจ็บมันก็มีมากเช่นกันแต่ผมไม่มีเวลาไปนึกถึงตรงนั้น ใครบ้าที่ไหนจะแทงตัวเองต่อหน้าผู้คนขนาดนี้

“มึงทำอะไรของมึงลงไปนกฮูก?!”


“ชดเชยไง...”

“...”

“กูทำชีวิตมึงพัง ฉะนั้นแล้วกูก็จะพังชีวติตัวเองบ้างจะได้แฟร์ๆกัน”


[ต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
ผมตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล นี่เป็นครั้งที่สามของเทอมนี้แล้วที่ผมมาโผล่ในสถานที่แบบนี้ พ่อเป็นห่วงผมมากที่ทำอะไรบ้าๆลงไป เขาทั้งดุ ทั้งด่า สารพัดคำต่อว่าจะออกมาจากปากเขาได้ แต่สุดท้ายก็บอกว่าบุญรักษาผม

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นพยานว่าเกิดอะไรขึ้นกลางมหาลัยชื่อดัง และผมเองก็เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาถามผมเกือบจะทุกชั่วโมงว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ผมตอบตามความจริงทุกอย่างไป มีตำรวจคนหนึ่งบอกว่าอาการของนกฮูกนั้นสาหัสมาก เขาแทงตัวเองลึกจนทะลุม้าม เลือดออกจนไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถทนได้รึเปล่า ส่วนเรื่องนิ้วก้อยของกุมภ์ที่โดนตัดออกไปนั้น ตำรวจก็ได้ทำการโยงคดีเข้าหากันและกลายเป็นว่านกฮูกต้องโดนคดีทำร้ายร่างกายและจงใจฆ่า

และจากการตรวจสอบประวัติก็พบว่านกฮูกเข้ารับการรักษาอาการทางจิตอยู่หลายปี ก่อนที่เขาจะเรียนที่เดียวกันกับผมเสียอีก แสดงว่าเขาไม่ปกติมานานมากแล้ว แต่พอจะมารักษาก็เรื้อรังยืดยาวมาจนไม่ทัน ด้วยความที่นกฮูกไม่ได้รับยาด้วยเลยทำให้อาการกำเริบทนไม่ไหว

ส่วนกุมภ์...ผมได้ยินมาว่าเขาเริ่มขยับตัวนิดหน่อยเหมือนตอบสนองแล้ว นั่นคือข่าวดี

ผมเดินไปที่ห้องของกุมภ์ทั้งๆที่ยังทำแผลไม่เสร็จเพราะความรีบร้อน เปิดประตูห้องด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดและเห็นว่าเพื่อนของเขากำลังรายล้อมรอบตัวเขาเอาไว้อยู่ ต่างคนต่างทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ผมจึงเดินเข้าไปถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

“กุมภ์...มันไม่โอเคเลยพี่ มันกลัวมาก ตัวสั่นยิ่งกว่าลูกนกตกน้ำอีก”

คิวอธิบายมาอย่างนี้ ทุกคนปล่อยให้ผมอยู่กับกุมภ์สองคน กุมภ์น่าจะหลับไปอีกรอบ ผมไม่รีบร้อนจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงเขา เอื้อมมือเข้าไปจับมือข้างที่มีนิ้วไม่ครบเบาๆ ลูบไปมา

พี่ขอโทษจริงๆนะ...แต่ว่าตอนนี้พี่จะไม่โทษตัวเองแล้วล่ะ


แล้วผมก็หลับไปจากความเหนื่อย...

 

‘ไม่โทษตัวเองแล้วเหรอ?’

ตัวผมอีกคนในความฝันถาม พวกเรากำลังอยู่ท่ามกลางความมืดที่ตรงหน้าเป็นจอสีขาวฉายสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในอดีตอยู่

“ไม่รู้สิ...พอมาเห็นกุมภ์กำลังนอนแบบนั้น บวกกับเคลียร์เรื่องของนกฮูกได้ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความผิดของตัวเองแค่คนเดียว มันเกิดขึ้นจากตัวของนกฮูกด้วย ตัวคนอื่นด้วย” ผมไม่ได้โทษคนอื่น แต่เพราะเรื่องราวพวกนี้มันมีหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกันไปด้วยหมด แต่คนที่รับผลกระทบกลับมีไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อมาคิดดีๆแล้วทุกการกระทำมันย่อมมีเหตุผลและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามต่อกัน ต่อให้ต้องอีกนานแค่ไหนแต่มันต้องเกิดขึ้นแน่ๆ “แปลกเหมือนกันที่ตัวเองเริ่มปล่อยวางกับมัน”

‘แต่นายไม่เสียใจเหรอว่าเพราะอย่างนี้ที่ทำให้กุมภ์ต้องมาเจ็บตั--’

“ฉันเคยพูดกับกุมภ์เอาไว้แล้วว่าจะปกป้องเขา ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตามก็จะปกป้องเขาให้ถึงที่สุด และเพราะเขายังมีชีวิตอยู่ ฉันจะต้องอยู่เคียงข้างเขา จะไม่กลับไปเป็นกุมภ์ที่เอาแต่โทษตัวเองอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ดันดึงตัวเองในอดีตออกมาอย่างนี้” ผมหันไปพูดกับเด็กผู้ชายที่ผมสั้นกว่า ตัวเล็กกว่า และเป็นคนที่มองโลกแง่ลบกว่า เดือนคนนี้ยังคงอยู่กับผมตลอดเวลา แต่ผมเลือกที่จะเก็บเขาเอาไว้ให้เป็นอดีตและเดินไปข้างหน้า ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือรอยยิ้มของเขาที่ค่อยๆเผยออก มันสดใสจนผมรู้สึกว่าทำไมผมถึงไม่ยิ้มแบบนี้ให้ตัวเองตั้งแต่ตอนเด็กๆกัน บางทีถ้าผมยิ้มแบบนี้ให้ครอบครัวบ้าง อะไรๆก็อาจจะดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น

‘ขอบคุณนะที่พูดแบบนั้น มันถึงเวลาที่ต้องกลับเข้าที่เดิมแล้วสิ ไปก่อนนะ’

เขาบอกแค่นั้น ก่อนที่จะหายไป ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันพลางสะบัดหน้าเบาๆเรียกสติตัวเอง กุมภ์ที่นอนบนเตียงก็ค่อยๆขยับตัวเหมือนรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ข้างๆแล้วเหมือนกัน

“กุมภ์...หิวน้ำมั้ย?”

“...พะ...” เขาไม่มีเสียง แต่ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไร ผมหยิบแก้วน้ำให้เขา ค่อยๆประคองร่างให้ลุกขึ้นมาดื่มได้สะดวกขึ้น พอวางแก้วให้เขาก็ขยับตัวเข้ามากอดผม

“มีอะไรเหรอครับคนดี หืม?”

“ผะ...ผมกลัว...”

“ไม่ต้องกลัวนะ...มันจบแล้ว นกฮูกเขาจะได้รับโทษแล้ว คนดีของพี่ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้วนะ” ผมยกมือลูบหัวเขา กุมภ์ซุกหน้ากับหน้าอกแล้วค่อยๆปล่อยน้ำตาออกมา “พี่จะปกป้องกุมภ์เอง เป็นยังไงบ้างล่ะ นอนสบายเป็นสัปดาห์เลย”

“นอนสบายอะไรเล่าพี่...มันมีแต่ความมืด ผมคิดว่า...ผมต้องอยู่คนเดียวแล้วเสียอีก” กุมภ์พูดเสียงอู้อี้ มันน่ากลัวจริงๆนั่นแหละกับการที่ต้องอยู่ในความมืด ผมไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะถ้าพูดมากไปเดี๋ยวกุมภ์จะรำคาญเอา “...ตอนผมโดนแทง...มันเจ็บ...มันปวดไปหมด นิ้วของผม...มันหายไป...พี่นกฮูกเป็นคนทำทุกอย่าง ตอนนั้นผมไม่ห่วงชีวิตตัวเองเท่ากับห่วงความปลอดภัยของพี่ ถ้าเกิดว่าพี่นกฮูกไปทำร้ายพี่ต่อ...”

“พี่ไม่เป็นอะไรจริงๆนะ...”

“แต่พี่มีแผลโดนแทง...ตรงนี้” กุมภ์ใช้ปลายนิ้วตัวเองจิ้มไปที่ผ้าพันแผลของผม “พี่นกฮูกเป็นคนทำใช่มั้ยครับ?”

“...”

“ผม...ก็แย่เองที่วางใจเกินไป จนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พี่เดือนไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะ” กุมภ์พยายามยิ้มให้ผม แต่สายตาของเขาไม่ได้ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความเศร้า ผมรู้ว่ากุมภ์ยังเสียใจเรื่องที่ตัวเองจะไม่มีอวัยวะครบเหมือนคนทั่วไปแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าเขาเข้มแข็งจริงๆที่เขาพยายามมองข้ามมันไปให้ได้ “ผมฝันแปลกๆด้วยนะ...ฝันว่าผม...เจอกับตัวเองอีกคน เขาบอกว่าถ้าทั้งผมและพี่เดือนไม่ออกไปไหนอีกก็จะไม่ต้องเจ็บปวดอีก...”

“หมายความยังไงกุมภ์? พี่ไม่เข้าใจ?”

“ผมไม่อยากออกจากห้องอีกแล้ว ผมอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปกับพี่เพราะพวกเราจะได้ปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่าง”

 

“กุมภ์...ดูเหมือนจะปกติแต่เมื่อกี๊พี่ลองให้หมอจิตเวทเข้าไปคุยด้วยแล้วล่ะ” ผมคุยกับนทีและคนอื่นๆหน้าห้องพัก หลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา อาการของเขาก็แปลกๆไป ราวกับว่าสติของเขาไม่ได้อยู่กับตัวตลอดเวลาอย่างนั้น “หมายความว่ายังไงกัน...ที่ว่าไม่อยากออกจากห้องอีก”

“อันนี้ผมพอจะเดาได้นะครับพี่เดือน” นทียกมือขึ้นให้สูงเท่าหน้าอกของเขา ผมพยักหน้าให้เพื่อนสนิทของแฟนผมพูดต่อ “พี่เดือนรถชนกับเสาไฟฟ้า ช็อกเพราะแพ้กุ้ง ไหนกุมภ์จะโดน...ทำร้ายร่างกาย หนำซ้ำพี่เดือนก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งกับพี่นกฮูกที่ดาดฟ้าอีก พี่ลองคิดดูดีๆนะครับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีอะไรเหมือนกัน?”

ทั้งกลุ่มเงียบ...แต่แล้วก็เป็นพ่อของผมที่พูดขึ้นต่อ

“ทุกที่...เป็นข้างนอกหมดใช่มั้ย?”

“ครับ ทุกเหตุการณ์มันเกิดขึ้นข้างนอกห้องทั้งหมด นั่นทำให้กุมภ์ฝังใจว่าถ้าออกไปข้างนอกจะไม่ปลอดภัย เซฟโซนก็คือภายในบ้าน” นทีสรุป “บางทีตอนที่กุมภ์หลับอยู่ มันมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นส่วนที่ทำให้เขาหวาดกลัวออกมาเลยกลายเป็นแบบนี้ สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือค่อยๆทำให้กุมภ์สามารถกลับมาคิดได้ว่าการออกจากห้องนั้นมันไม่ได้น่ากลัวหรืออันตรายอย่างที่เขาคิด”

“แต่กุมภ์ดูปกติมากเลยนะ? อาจจะเป็นเพราะมึนยาหรืออะไรรึเปล่า?” เจมส์ถามนที เขายืนอยู่ข้างกำแพงกำลังถือถุงน้ำผลไม้สดกับแนนและคิว สามคนนี้เป็นกลุ่มแรกที่เข้าไปเจอกุมภ์ในห้องน้ำเพราะบังเอิญเข้าพอดี

“เชื่อเถอะว่านั่นไม่ใช่เพราะมึนยา คนเราไม่เหมือนกันหรอกเวลาแสดงออกบางอย่าง ความกลัวของกุมภ์อาจจะถูกเก็บเอาไว้ใต้สีหน้าที่เป็นปกตินั่นก็ได้” นทีส่ายหน้า “พี่เดือนครับ ถ้าหมอออกมาแล้ว สิ่งแรกที่ผมอยากให้พี่ทำก็คือให้กุมภ์เชื่อใจพี่ให้มากกว่านี้”

“ทำไม?”

“เชื่อผมเถอะ...ผมผ่านมาแล้ว” นทีเดินมากระซิบข้างหูผม “ผมเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายๆนี้มาแล้ว ตอนนั้นผมอาจจะหนักกว่าเขาด้วยอีก...”

นทียิ้มบางๆให้ผม ส่ายหน้าบอกว่านี่คือความลับห้ามบอกใคร “นั่นไงครับ หมอออกมาพอดีเลย”

จิตแพทย์ที่เข้าไปตรวจดูอาการของกุมภ์เล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังในอีกห้องหนึ่ง มีผม พ่อของผม และครอบครัวของกุมภ์เท่านั้นที่เข้าไปฟัง และมันก็เป็นอย่างที่นทีพูดขึ้นมาจริงๆที่ว่ากุมภ์เก็บอาการความกลัวการออกจากห้องเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่ดูปกตินั่น ถ้ายังไม่ทำอะไรก็จะเป็นแบบนี้อยู่ แต่สมมุติว่าจะพาเขาออกจากห้องล่ะก็...

“มีโอกาสที่เขาจะอาละวาดครับ กว่าจะถึงช่วงที่กลับมาเป็นปกติได้คงต้องให้เขาได้พักการเรียนเพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้นเสียก่อน”

กุมภ์ต้องดร็อปเรียน...เพื่อรักษาอาการทางจิต ยังดีที่มันยังไม่รุนแรงมากนัก สามารถรักษาด้วยการบำบัดและยานิดๆหน่อยๆได้ แต่กุมภ์ก็ยังมีสภาวะเครียดจัดจากการที่ต้องแบกรับอะไรหลายๆอย่างโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็น ถ้าเกิดรีบร้อนรักษามากไป สภาวะความเครียดนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้น ยิ่งทำให้รักษายากกว่าเดิม

ผมออกมาจากห้องพร้อมกับความรู้สึกที่โหวงๆ ผมไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกยังดีระหว่างเสียใจและโล่งใจ ในขณะเดียวกันก็มีคนบอกว่านกฮูกนั้นพ้นขีดอันตราย กำลังนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ผมจึงตั้งใจว่าจะไปดูอาการของเขาสักหน่อย

ถึงอีกฝ่ายจะทำร้ายร่างกายผมก็เถอะ...แต่ผมก็อยากทำความเข้าใจกับเขาให้ได้มากี่สุดก่อนที่เขาจะต้องทำการรักษาอาการต่อไป

ในวันต่อมานกฮูกฟื้นตัว ผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าเขากำลังนอนเหม่อมองเพดานบนเตียงด้วยสายตาว่างเปล่า เขารู้ว่าผมมา แต่เขาก็ไม่ตอบหรือไม่ทักทายอะไรทั้งสิ้นราวกับว่าปิดกั้นตัวเองไปเรียบร้อย แม้แต่เข้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาทำการสืบสวนก็ยังไม่สามารถพูดคุยอะไรได้จนต้องเชิญจิตแพทย์มาดูให้ สักพักนกฮูกก็ร้องออกมาเสียงดังลั่นจนทุกคนในห้องอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆนกฮูกก็ยิ่งร้องเพราะกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

“ให้อภัยด้วย ให้อภัยด้วย...”

นี่คือสิ่งที่นกฮูกพูดออกมา ผมไม่รู้ว่านกฮูกกำลังคิดอะไรแต่ทุกคนเห็นด้วยว่าอาจจะเป็นเพราะผมเลยต้องขอให้ออกไปก่อนผมไม่ได้ขัดอะไรพวกเขาเพราะถ้าเกิดผมอยู่อีกต่อไป นกฮูกต้องอาละวาดมากกว่านี้แน่

พอมาที่ห้องของกุมภ์ กุมภ์กำลังนั่งอ่านหนังสือที่พ่อแม่ของเขาเอามาให้ เขายิ้มให้ผมด้วยความสดใส ทั้งที่ในใจผมเองก็รู้ดีว่ามันพังไปมากขนาดไหน ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นถึงความปกติที่เกิดขึ้นกับเขา เลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วจับมือ

กุมภ์ทำหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม เขาถามผมว่ามีอะไรอยู่สามรอบได้แต่เมื่อไม่ได้คำตอบจากผม กุมภ์ก็ถอนหายใจแล้วเปลี่ยนมาอ่านหนังสือเหมือนเดิม

“กุมภ์...อยากไปเดินเล่นมั้ย?”

“ผมไม่ค่อยอยากเดินเท่าไหร่ครับ แดดมันร้อน”

กุมภ์อ้างว่าแดดร้อน มันก็เป็นความจริงที่วันนี้มันร้อนมากกว่าหนาว แต่เหตุผลเบื้องหลังจริงๆก็คือเขาไม่กล้าก้าวออกจากห้องนี้ด้วยซ้ำ

“งั้นกุมภ์อยากกินอะไรมั้ย? เราเดินไปซื้อที่ร้านกาแฟข้างล่างด้วยกันรึเปล่า?”

“ถ้าพี่หิวพี่ก็ไปก่อนก็ได้ครับ ผมไปด้วยจะลำบากเอาเปล่าๆ”

ทุกคำถามที่ล่อลวงให้กุมภ์ลุกจากเตียง...มันไม่ได้ผล กุมภ์เป็นเด็กฉลาดอยู่แล้วเขาจึงรู้คำตอบที่จะบ่ายเบี่ยง ผมเลยเลิกที่จะถามเขาไปในที่สุด

ความจริง...ผมอยากจะเอารูปที่เขาถ่ายเก็บเอาไว้ในกล้องออกมาให้ดูว่าเขาเคยออกไปเที่ยวเล่นถ่ายรูปพวกนี้มาก่อน เผื่อจะอยากออกไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่สมควรนัก ถ้าเกิดว่าผมรีบเร่งเกินไป...มันจะแย่กว่าเก่า

“พี่เดือนเป็นอะไรรึเปล่าครับ? ดูเครียดๆนะ?”

“ไม่มีอะไรหรอกกุมภ์ ไม่มี...” ผมส่ายหน้า ความจริงมีหลายอย่างที่อยากจะถามเขาว่าเขาฝันถึงอะไร แต่แล้วกุมภ์จะนอนลงแล้วเหม่อมองเพดานราวกับว่ามีอะไรจะบอกผม "กุมภ์อยากบอกอะไรรึเปล่า?"

“คือผม...ไม่อยากถ่ายรูปแล้วล่ะ เพราะมันอันตรายเกินไปที่จะออกไปข้างนอก” กุมภ์ว่าเสียงเบา “มันเป็นความฝันของผมที่อยากจะเดินทางทั่วโลกก็จริง แต่ความฝันกับสิ่งที่ต้องเป็นนั้นมันเอามาปนกันไม่ได้ เที่ยวรอบโลกเอาไว้ทำตอนแก่ก็ยังไม่สายไปสักหน่อย ผมว่าจะเปลี่ยนไปเรียนอย่างอื่นแทน”

“แต่ว่า...”

“ขนาดพี่ยังเปลี่ยนเลย ทำไมผมถึงเปลี่ยนไม่ได้กัน?” กุมภ์ถามผม มันทำให้ผมรู้สึกจุกที่ลำคอ อยากพูดก็พูดออกมาไม่ได้ในเมื่อมันก็จริงอย่างที่เขาพูด ผมเปลี่ยนได้แล้วทำไมกุมภ์ถึงจะเปลี่ยนไม่ได้

แต่...ผมก็อยากให้กุมภ์ทำตามความฝันของตัวเอง ไม่ใช่มาเปลี่ยนเอาเพราะความกลัวที่จะเดินเส้นนี้ต่อ

“พี่ลงไปซื้อกาแฟก่อนนะ เดี๋ยวขึ้นมา กุมภ์อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย?”

“ครับ รีบมานะ ข้างนอกมันอันตราย”

กุมภ์ทิ้งท้ายอย่างนั้น ผมเดินออกมาด้วยความไม่สบายใจ กุมภ์เลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นตัวเอง ผมกลัวว่ามันจะหนักมากขึ้นจนเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นที่เคยเป็นได้ และนั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ

ระหว่างที่ผมเครียดๆ ผมก็เดินมาถึงหน้าร้านกาแฟโดยไม่รู้ตัว แต่ผมค่อนข้างแปลกใจที่มันไม่มีคนเลยนอกจากพนักงานตรงเคาน์เตอร์ที่ทำหน้าง่วงนอนอย่างนั้น แต่ผมก็ยังเลือกที่จะเดินเข้าไป อาจจะเพราะตอนนี้คนไม่ค่อยลงมาก็ได้...

ผมสั่งอเมริกาโน่เข้มๆมาหนึ่งแก้วแล้วนั่งติดกับริมหน้าต่างที่เห็นทิวทัศน์ถนน ซุกหน้าลงกับฝ่ามือแล้วเท้าโต๊ะอยู่อย่างนั้นด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ มันมืดแปดด้าน ผมไม่อยากให้กุมภ์ต้องมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากฝืนกุมภ์ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว มันทำให้ผมเริ่มกลับมาปวดหัวจากความเครียดสะสม

ผมนี่มัน...

“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?”


เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นผู้ชายตัวสูงพอๆกับผมสวมแว่นตาดำกันแสง ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มจากการย้อม สวมเสื้อผ้าเหมือนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ในมือของเขามีแก้วอเมริกาโน่ร้อนขนาดใหญ่ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไรเพราะเขาสวมแมกส์กันฝุ่นด้วย

“อ่า...ผมเครียดเฉยๆน่ะครับ ไม่มีอะไรมาก” ผมยิ้มบางๆตอบเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขามานั่งตรงข้ามกับผมทั้งๆที่ร้านนี้ไม่มีคนที่โต๊ะอื่นเลย

“ความเครียดมันไม่ใช่เรื่องที่ควรปล่อยผ่านนะ ผมเห็นว่าคุณกำลังนั่งกุมขมับเลยสงสัยว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรรึเปล่า เพราะผมเองก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน อาการเดียวกันเป๊ะเลย” เขาหัวเราะเบาๆ “แต่ก็ยอมรับนะครับว่ากว่าจะผ่านมาได้มันก็ลำบากพอตัว แต่พอผ่านมาแล้วทุกอย่างในโลกนี้มันดูง่ายไปหมดเพราะผมเข้าใจหลักการและเหตุผลที่ทำให้เรื่องที่เราเครียดมันเกิดขึ้น

“มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ทำให้เรื่องราวนั้นเกิดขึ้นมา...นี่คือคำตอบครับ”

“ไม่มีเหตุผล...รองรับ?” ผมถามเขา “แต่จากที่ผมรู้มา ทุกอย่างมันย่อมต้องมีเหตุผลของมันอยู่แล้วนี่นา...”

“ชีวิตของคนเรามันไม่ได้เหมือนในนิยายหรอกนะครับ”

“...”

“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับทุกอย่างเพื่อให้มันสมจริง...แต่มันเกิดขึ้นเพื่อให้ชีวิตสามารถเดินต่อไปเท่านั้นเอง” เขาจับแก้วอเมริกาโน่ มองลงไปในน้ำสีดำที่ไม่มีน้ำตาลนั่น “คนเรามักจะร้องเรียกหาเหตุผลเสมอเมื่อเกิดเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ถ้าเราปล่อยวาง...ให้บางเรื่องมันเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องไปคิดอะไรมาก มันจะดีขึ้นเอง เชื่อผมเถอะนะ”

“...แต่ผม...กลัวว่าถ้าทำอะไรที่มันไม่มีการคิดอะไรหรือวางแผนอะไรมาก่อน มันจะทำให้ทุกอย่างพังลงมา” นอกหน้าต่างตอนนี้เริ่มมีรถวิ่งผ่านบ้าง เสียงคนที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนผมรู้สึกว่ามันน่าปวดหัวกลับมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าเหมือนจะเลือนราง ความรู้สึกของผมเริ่มมึนงง แต่ผมพยายามที่จะคุมน้ำเสียงตัวเองให้คงที่เพื่อคุยกับเขา “ผมกลัว...กลัวว่าจะเป็นคนพังชีวิตของเขาด้วยมือของผมเอง...”

“ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะพังตัวเขา”

“...ทำไมครับ?”

“เพราะตัวกุมภ์ที่แท้จริงน่ะ...กำลังรอให้เธอดึงเขาออกมาจากความหวาดกลัวนั้นอยู่นะ”

แล้วผมก็รู้สึกเหมือนโลกมันหมุนแรงมากกว่าเก่า ท่ามกลางความสงสัยของตัวผมว่าทำไมเขา...

“คุณรู้จักชื่อของเขาได้ยังไง?! เดี๋ยวก่อน--”

 

เฮือก!


ผมสะดุ้งขึ้นมากลางดึก พอมองไปรอบๆแล้วเห็นนาฬิกาที่แขวนผนังอยู่...มันก็ตีหนึ่งแล้ว วันที่ในโทรศัพท์ก็บอกว่ามันคือวันเดียวกันกับที่ผม...ฝัน?

แสดงว่าผมตื่นซ้อนตื่นเหรอ...ท่าทางจะเหนื่อยเกินไปสินะ

กุมภ์ที่กำลังหลับอยู่บนเตียงนั้นดูสงบ...ผ่อนคลายทุกอย่าง มือของเขาผสานกับมือของผมราวกับว่ากลัวผมจะหายไปไหน ผมจึงเลื่อนมืออีกข้างไปลูบเส้นผมด้วยความอ่อนโยน ปลอบเขาให้เขารู้สึกว่าโลกนี้มันปลอดภัย และเขาจะปลอดภัยเมื่อผมอยู่ข้างๆ

ความฝันเมื่อครู่...มันก็อาจจะจริง

ผมไม่ต้องหาเหตุผลมารองรับ ไม่ต้องไปคิดมากอะไรเรื่องที่กุมภ์กลัวการจะออกไปข้างนอก เพราะผมจะต้องพาเขาก้าวเดินไปด้วยกัน ผมจะไม่เดินนำหน้าเขาก่อนเพื่อให้เขาเดินตาม นั่นจะสร้างบาดแผลให้เขา แทนที่จะเป็นปกป้องแต่เขาจะคิดว่านั่นคือการปล่อยให้เขาเดินด้วยตัวเอง

“พี่จะพากุมภ์เดินออกมาจากความมืดด้วยกัน...ไม่ต้องกลัวนะเพราะพี่จะจับมือเอาไว้เอง...”

ผมกระซิบบอกข้างหูเขา กุมภ์ขยับตัวนิดหน่อยก่อนที่จะนิ่งไปอีกครั้ง แล้วผมก็เปลี่ยนมาฟุ่บหน้าลงกับข้างเตียงเพื่อดูเขานอน...

กุกกัก

เสียงอะไร?

ผมมองไปที่ประตู เห็นเงาคนกำลังยืนด้อมๆมองๆอะไรอยู่ตรงนั้นจนผมรู้สึกอึดอัด ผมปล่อยมือของกุมภ์แล้วเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่าตรงทางเดินมีใคร แต่ก็เห็นว่ามีร่างของนกฮูกกำลังยืนอยู่ข้างๆกำแพงด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด

“...กูมาขอโทษ...แล้วก็มาดูว่ามึงสบายดีรึเปล่า?”

“กูไม่ได้อยากหาเรื่องกันตอนนี้ แต่ว่ามึงกลับไปเถอะ ความหวังดีของมึงมันทำให้กูขยะแขยงไม่กล้าเข้าหาด้วยอีกแล้ว” ผมตอบเสียงเย็น นกฮูกมีสีหน้าเศร้าลงไปชัดเจน สายตายังคงดูเลื่อนลอย “กูให้อภัยมึงไม่ได้ เพราะกูไม่ใช่พ่อพระที่จะมีความเมตตากับคนทั้งโลกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้าใจนะ? มึงกลับไปที่ห้องตัวเอง พักผ่อน แล้วเตรียมรับการรักษาเถอะ”

“...เข้าใจแล้ว...” นกฮูกเดินจากไป ผมถอนหายใจ คิดว่าเขาจะมาทำอะไรแล้วเสียอีก แต่เขาก็คงไม่เสี่ยงที่จะทำเรื่องอันตรายในโรงพยาบาลหรอก

แต่ทำไม...ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย

ผมกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง พร้อมกับความคิดที่ยังคงทำให้สมองผมหลับไม่เต็มที่

 

‘ข่าวด่วน เวลาตีสองสิบนาที ผู้ป่วยรายหนึ่งในโรงพยาบาลชื่อดังตัดสินใจที่จะกระโดดลงมาหลังจากที่มีความผิดข้อหาทำร้ายร่างกาย ประกอบกับมีอาการทางจิตทำให้ไม่สามารถรับความอดทนได้ไหว แพทย์ผู้ทำการรักษานั้นเปิดเผยว่าผู้ป่วยกำลังจะถูกส่งไปบำบัดอาการทางจิตในอีกสามวัน อีกทั้งเขายังพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่งที่ทำให้เป็นสาเหตุที่เขาเข้ารับการรักษาที่นี่--’

เสียงข่าวในโทรทัศน์ดังขึ้น ผมที่ถูกปลุกโดยเสียงโทรศัพท์จากมะยมก็รีบตื่นขึ้นมาดู มันเป็นไปตามที่ผมคิด เมื่อชั่วโมงที่แล้วนกฮูกเดินมาที่ห้องนี้...มาขอโทษกับเรื่องที่ทำไปแล้วตัดสินใจที่จะกระโดดตึกเพื่อจบชีวิตตัวเอง ผมไม่ได้รู้สึกผิดหรือเสียใจกับการตัดสินใจของเขา แต่ผมรู้สึกว่ามันน่าใจหายที่เขาทำแบบนี้เพื่อเป็นการหนีจากชีวิตที่แสนโหดร้าย ผมที่เคยคิดอย่างนั้นพอมาเจอกับคนใกล้ตัวเข้าก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าให้มีชีวิตอยู่ต่อไปแม้ว่ามันจะยากเท่าใดก็ตาม

ใครๆก็อยากให้เห็นฟ้าหลังฝนเสมอ

แต่สำหรับนกฮูกนั้น...เขาคิดว่ามันจะไม่มีวันนั้นอีก เขาจึงเลือกทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตตัวเอง เลือกทางที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดแม้ว่ามันจะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ตาม

ตอนเช้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบถามกับผมว่าเมื่อคืนผมได้เจอกับนกฮูกแล้วคุยเรื่องอะไรตามหลักฐานกล้องวงจรปิด ผมบอกไปเพียงว่าผมไม่อยากให้เขามาวุ่นวายแถวนี้เพราะกลัวว่าจะทำให้กุมภ์ตื่นตัว และพวกเขาก็ยื่นโทรศัพท์ของนกฮูกมาให้ผมดูข้อความที่เขาพิมพ์ลงไปในนั้น

ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ทำไป ผมรู้ตัวเองดีว่าผมผิด...แต่ผมก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว ขอให้การจากไปของผมในครั้งนี้เป็นการจบเรื่องราวทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมด

เหตุเกิดมันเริ่มมาจากความอิจฉา...จนกลายมาเป็นความกดดันและความเครียด ผมไม่เคยได้ระบายเลยแม้ว่าจะได้พบกับจิตแพทย์ก็ตาม ดังนั้นแล้วผมก็เป็นแค่คนบ้าคนหนึ่งที่ทำไปเพราะเหตุผลงี่เง่าของตัวเอง

ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอให้เดือนปกป้องน้องจนกว่าจะปล่อยมือกันไป ผมไม่อยากแย่งสิ่งที่คุณมีไปแล้วเพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ของผม

...ในที่สุดผมก็สามารถมีความสุขเป็นของตัวเองได้เสียที...


เขา...ปลดล็อกตัวเองไปแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นตอนไหน แต่บางเรื่องก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็นนั่นแหละถึงดีที่สุด

ผมเอง...ก็ขอให้เขามีความสุขจริงๆหลังจากนี้ แม้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนหรือเกิดใหม่เป็นอะไรก็ตามแต่

 

วันเวลาผ่านไป ผมค่อยๆชวนกุมภ์เดินเล่นตามทางเดินในโรงพยาบาล กุมภ์ดูเกร็งแต่เพราะว่ามีผมอยู่ด้วย เลยทำให้เขาคิดว่ามันน่าจะปลอดภัย เพื่อนๆต่างผลัดกันมาเยี่ยมเยียน กำลังใจของเขาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

“...ผมว่าผมพอจะออกไปข้างนอกได้บ้างแล้ว” คำพูดของกุมภ์ทำให้หลายคนรู้สึกโล่งอก เขาไม่ได้กลัวเท่าตอนแรกๆ “ถ้ามีพี่เดือน...หรือคนอื่นอยู่ด้วย ผมว่าผมสามารถไปเรียนได้ตามปกติ”

“อย่าฝืนตัวเองดีกว่านะ แม่ไม่อยากให้ลูกต้องกังวลกับอะไร” แม่ของกุมภ์ยืนอยู่ข้างๆผม กุมภ์มองท่านก่อนที่จะตัดสินใจพยักหน้าเป็นคำตอบว่าเขาจะฟังแม่ “แม่รู้ว่ากุมภ์อยากออกไปแค่ไหน แต่ให้มันเป็นเรื่องของเวลาดีกว่าเนอะ”

“นั่นสิ ถ้ากลัวเรียนไม่จบเดี๋ยวพ่อเข้าเรียนใหม่เป็นเพื่อนลูกก็ได้”

“พ่อก็ ผมไม่ได้กลัวเรื่องนั้นหรอกครับ ผมแค่อยากกลับไปเป็นปกติไวๆเท่านั้นเอง” กุมภ์ยิ้มแล้วจับมือของผม ผมกุมมือของเขาแน่นเพื่อยืนยันว่าผมจะอยู่ตรงนี้

“แล้วพ่อของเดือนว่ายังไงบ้างล่ะ เขายินดีที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง พ่อกับแม่เกรงใจเขาจะแย่แล้ว”

“ผมห้ามอะไรเขาไม่ได้หรอกครับ ไม่ต้องกังวล เพราะยังไงท่านก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือได้เสมอ” ผมพูดถึงพ่อตัวเองที่ตอนนี้น่าจะกำลังเดินทางมา เพราะเขาต้องมาดูงานที่นี่ด้วยจะแวะมาก็คงไม่เสียเวลามากนัก ตั้งแต่ที่เข้ารักษามาเขาโอ๋กุมภ์ยิ่งกว่าใครอีกมั้งนั่น

กุมภ์น่ารัก...พ่อผมว่าอย่างนั้น ตอนแรกทำท่าเหมือนจะรับไม่ได้จะตาย หรือว่าจริงๆแล้วท่านแค่ปากแข็งกัน?

“แล้วแม่ของเธอ...”

“ขอโทษนะคะที่รบกวน”

ผมหันไป เสียงประตูของห้องดังขึ้น กุมภ์สะดุ้งนิดๆเพราะเสียงที่มาใหม่นั้นเป็นน้ำเสียงดุดันจริงจัง และนั่นคือเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินอีกเสียงหนึ่งในชีวิตนี้

“...รตาอยากตามมาด้วยเพราะเห็นว่าช่วงนี้ลูกเข้าโรงพยาบาลบ่อย...แล้วก็...”

“คุณเงียบไปเลย” ท่านสั่งให้พ่อของผมเงียบ “ได้ข่าวว่าฉันไม่ได้สอนให้แกรักผู้ชายสักหน่อยนี่ ทำไมไม่บอกอะไรเลย”

“...”

“ตามแม่มา เรามีเรื่องต้องคุยกันให้มันจบ”

 

แม่ของผม...ที่ค้านและเกลียดเรื่องการคบหาของเพศเดียวกันเป็นที่สุด เป็นคนสุดท้ายบนโลกที่ผมอยากให้รู้ว่าผมกับกุมภ์เป็นแฟนกัน


==========


เหลือด่านแม่พี่เดือนและอาการของน้องกุมภ์แล้วนะคะ โค้งสุดท้ายจริงๆแล้ว ฮึบเข้าไว้!

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย...อิแม่   เป็นหมอซะเปล่า   แต่ความคิดไดโนเสาร์มากอ่ะ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 17

 

= เดือน =

 

“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ว่าคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เมื่อหลายเดือนก่อน...ตอนใกล้จะเปิดเทอม แต่ผมกับน้องคุยด้วยกันก่อนหน้านั้นแล้วสองปี” ผมตอบแม่ด้วยความใจเย็น ห้ามใจร้อนเด็ดขาดไม่งั้นจะจบลงที่การทะเลาะกันอีกแน่ “ผมกับกุมภ์เรารักกันจริงๆ”

“แต่พวกแกเป็นผู้ชายทั้งคู่ จะรักกันได้ยังไง?” ท่านยังไม่ยอม ทำท่าเหมือนจะเข้าไปหากุมภ์ในห้องแต่ผมก็ห้ามท่านเอาไว้ก่อน “ถอยเลยนะ แม่จะไปคุยกันให้รู้เรื่อง”

“แต่ตอนนี้น้องกำลังป่วย เขาต้องรับการรักษา ถ้าแม่เข้าไปตอนนี้แม่จะทำให้เขารู้สึกไม่ดีและเครียดมากกว่าเก่า”

“คิดว่าแม่จะสนใจเหรอ?”

“เขาถือว่าเป็นผู้ป่วย และแม่ก็เป็นหมอ แม่จะยอมให้คนมองว่าแม่กระทำการรุนแรงทางจิตใจกับผู้ป่วยเพราะเรื่องนี้เหรอครับ?”

ผมย้ำเรื่องนี้กับแม่ไป ท่านนิ่งไปก่อนที่จะยืนอยู่กับที่เหมือนเดิม หายใจเข้าออกเพื่อคุมสติเอาไว้ให้ได้ แล้วเปลี่ยนมาเป็นนั่งลงกับเก้าอี้หน้าห้องแทน “แกเบี่ยงเบนเพราะอะไร แม่จำได้ว่าแกไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยจนกระทั่ง...เดี๋ยวนะ หรือว่าเพราะคนนี้ที่ทำให้แกไม่เรียนแพทย์ตามที่แม่หวังต่อ?”

“คนนี้แหละครับที่ทำให้ผมเจอกับสิ่งที่ต้องการจริงๆ” ผมยืนยันกับท่าน “เขาเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตผม ให้ผมมองหาสิ่งที่ผมอยากได้ ผมอยากได้อิสระ และผมก็ได้มันแล้ว เขาเป็นฝ่ายปกป้องและดูแลผมเมื่อสองปีก่อน และตอนนี้ผมเองก็จะเป็นฝ่ายที่ปกป้องเขาบ้าง ผมจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหนเด็ดขาดจนกว่าผมจะตาย”

“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่านั่นคือความรักของพวกแก ทั้งที่มันเกิดขึ้นไม่นาน”

“แล้วที่แม่แต่งงานกับพ่อนั่นเพราะความรักหรือผลประโยชน์ล่ะครับ?”

“...”

“แม่เองก็หวังแต่ผลประโยชน์ ปากบอกว่ารักพ่อแต่สุดท้ายแล้วแม่ก็หวังแค่ชีวิตที่มั่นคงกว่าเดิม มีลูกสองคนเพื่อให้สืบทอดทุกอย่างต่อ หาเงินเข้าตัวเองให้ได้มากที่สุด แม่ไม่ได้มองผมเลยเหรอครับว่าผมไม่มีความสุขแค่ไหน? นานเท่าไหร่แล้วที่ผมยิ้มต่อหน้าแม่ ครอบครัวเป็นสิ่งที่พรากผมจากความสุขจนมาเจอกับกุมภ์ที่มอบรอยยิ้มให้ผมอีกครั้ง แม่...รักพวกเราจริงๆรึเปล่า? หรือมันเป็นเพราะหน้าที่ของคำว่าแม่เฉยๆ”

“แม่รัก แม่ถึงจะให้สิ่งที่ดีที่สุด เดือนฟังนะ การที่มีครอบครัวดี การงานดี มันจะทำให้ชีวิตยั่งยืน”

“แม่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตของผมนะครับ”

“...”

“ชีวิตของผม...แม่อย่าทำให้มันเป็นเกมชีวิตที่สองของแม่เลย ผมอยากเล่นด้วยตัวเอง พลาดก็พลาดด้วยตัวเอง เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาควบคุม และที่ผมชอบกุมภ์นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบผู้ชายคนอื่น ตอนมัธยมผมนิยามตัวเองว่าเป็นเกย์ แต่ตอนนี้ผมมาคิดดูเอาอีกที ผมแค่รักกุมภ์เท่านั้น ผมรักกุมภ์ที่เป็นกุมภ์ ไม่ได้รักผู้ชายคนอื่นเลย”

“แต่มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของแม่เสีย”

“เพราะแม่มัวแต่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองนี่แหละครับที่ทำให้ผมไม่อยากจะยุ่งอะไรกับแม่อีกแล้ว แม่กลัวแต่ตัวเองจะเสียหน้า กลัวข่าวว่าลูกชายคนโตของตระกูลโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในอุบลเป็นเกย์ กลัวคนจะนินทาจนเสียชื่อเสียงที่สร้างมา แม่ครับ ชื่อเสียงมันสำคัญกับแม่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ผมถามแม่ ท่านกำลังตัน ไม่รู้ว่าเลี่ยงไปทางไหนได้ “...แม่ให้คำตอบผมไม่ได้ก็แปลว่าแม่ห่วงแต่ตัวเองจริงๆ”

“แล้วแกจะเสียใจที่เลือกแบบนี้”

“มันไม่มีอะไรน่าเสียใจไปกว่าการที่แม่ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกจริงๆหรอกครับ แม่แค่เห็นผมเป็นหมากชีวิตอีกตัวเท่านั้น ผมขอตัวก่อนดีกว่า ต้องพากุมภ์ไปเดินเล่นที่สวนข้างล่าง”

ผมปล่อยให้แม่นั่งอยู่ตรงนั้น พ่อที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พวกเราคุยกันนักบอกว่าจะจัดการให้ ตอนนี้ท่านอาจจะไม่อยากยอมรับอะไรทั้งสิ้นเพราะฐิติที่สูงเกินไป ถ้าช่วยกล่อมได้ก็จะช่วย

“เดือนก็ทำให้แม่เห็นสิว่ากุมภ์เป็นเด็กน่ารักแค่ไหน”

“ถ้าแม่เขายอมมองนะครับ” ผมถอนหายใจ “พ่อก็รู้ว่าจริงๆแล้วแม่ดื้อมาก”

“ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกนะ เพียงแต่รตาเขาไม่กลายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ให้เวลาเขาต่ออีกหน่อยเถอะ”

“ผมให้แม่มานานมากแล้ว แม่ยังไม่เห็นอีกเหรอว่าผมกำลังมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่มัธยมแค่ไหน” ประโยคนี้ทำให้พ่อสะอึก เขาก็คงจะรู้สึกผิดที่เป็นส่วนหนึ่งด้วย ผมจึงเลื่อนมือตัวเองไปจับแขนท่านเอาไว้ “มันผ่านมาแล้ว พ่อไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมจะพากุมภ์ไปเดินเล่นจริงๆแล้วล่ะ”

“ระวังด้วยนะ”

ผมกลับมาที่ห้อง กุมภ์กำลังกินขนมที่พ่อผมเอามาฝากอยู่บนเตียง เพื่อนของเขากลับกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงพ่อแม่กุมภ์ที่ยังนั่งดูโทรทัศน์ในห้อง ผมขออนุญาตพวกเขาพาน้องออกไปข้างนอก พวกท่านก็พยักหน้าปล่อยให้ไป

“พี่เดือนครับ แม่พี่มาแล้วพี่มีปัญหาอะไรด้วยรึเปล่า?” กุมภ์ว่าพลางจับมือของผมค่อยๆเดินไปตามทางเดินริมตึกผู้ป่วย สวนที่อยู่ด้านซ้ายมือของพวกเรานั้นเป็นสวนขนาดเล็ก มีดอกไม้เล็กๆที่ผมไม่รู้จักชื่อปลูกอยู่เป็นพุ่มๆ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ประมาณสี่ห้าต้นได้ ตรงกลางมีน้ำพุเล็กๆ “ผมได้ยินเสียงพี่ทะเลาะกับแม่”

“เรียกว่าคุยด้วยเหตุผลแต่น้ำเสียงไม่ดีมากกว่าเถอะ” ผมพูดติดตลก กุมภ์ก็ยิ้มตาม “แต่พี่จะค่อยๆคุยกันไป พี่ไม่ยอมปล่อยมือจากกุมภ์แน่ รักซะขนาดนี้”

“พูดเหมือนอยู่ด้วยกันมาแล้วสิบปี”

“พี่อยากอยู่กับกุมภ์ไปอีกสักแปดสิบปี อยู่ด้วยกันไปจนตายเลย” คราวนี้กุมภ์ยิ่งหัวเราะเสียงดัง ผมรู้สึกดีใจที่น้องอารมณ์ดีในวันนี้ บางวันก็ซึมราวกับว่าคิดอะไรอยู่คนเดียวตลอดทั้งวัน “อยากกินอะไรมั้ยหลังออกจากโรงพยาบาล? เดี๋ยวพี่จะซื้อให้”

“ไม่ถังแตกแล้วเหรอครับ? จำได้ว่าเมื่อก่อนยังบ่นๆเรื่องจะซื้อนมบำรุงอยู่เลย” นมบำรุงที่ว่าคือนมบำรุงร่างกายคุณภาพดี เสียที่ราคาสูงเกินกับคุณภาพไปนิดเพราะเป็นราคานำเข้าจากต่างประเทศ ตอนแรกพ่อผมก็อยากสั่งมาให้กุมภ์ดื่มนั่นแหละแต่ผมขัดเอาไว้ก่อน ถ้ากุมภ์รู้ว่าราคามันสูงขนาดนั้นเขาไม่ยอมกินแน่

ผมจับมือกุมภ์เดินเข้ามาในสวน นั่งเล่นที่ม้านั่งไม้ด้วยกัน ผมร้องเพลงให้กุมภ์ฟังและเขาก็เผลอหลับไป ไม่รู้ว่าเพราะเสียงผมมันเอื่อยๆรึยังไงเลยทำให้หลับปุ๋ยอย่างนี้

กุมภ์...ผมยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าจะรักเขาได้มากขนาดนี้

เวลาที่ผ่านมาไม่นานมันสร้างความผูกพันให้ทั้งผมและกุมภ์ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งหลงใหลตัวตนของอีกคนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมยังไม่เห็นทุกด้านของกุมภ์ กุมภ์ก็ยังไม่เห็นทุกด้านของผม แต่สิ่งที่พวกเราเห็นแล้วนั่นก็คือความรักที่มีให้กัน ขอแค่ไม่ปล่อยมือ จับไว้ไปเรื่อยๆอย่างนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้พวกเราสบายใจแล้ว

“พี่รักกุมภ์...รักจนไม่รู้จะทำยังไงถ้าไม่มีกุมภ์อยู่ข้างๆ” ผมประทับจูบลงข้างแก้มนิ่มของเขา กุมภ์ขยับตัวเพื่อปรับองศาร่างกายนิดหน่อยก่อนที่จะหลับสนิทเหมือนเดิม ผมปล่อยให้น้องนอนหนุนตักผมท่ามกลางความร่มรื่นในสวนที่ไม่ค่อยมีคนเดินเข้ามา ถึงจะมีพวกเขาก็แค่ยิ้มๆให้ผมเท่านั้น คงเข้าใจดีว่าพวกเราเป็นอะไรกัน

ผมรู้ว่ามีหลายคนที่ยังไม่ยอมรับกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน...แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ การที่จะเปลี่ยนความคิดของคนนั้นมันยากยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ซึ่งผมก็หวังว่าแม่จะเปิดใจรับกับสิ่งที่พวกเราเป็นได้สักหน่อยก็ยังดี

การที่หลายคนออกมาพูดว่าพวกเราผิดธรรมชาตินั้นอาจจะมาจากเพราะความเชื่อสมัยก่อนที่มีมา ใครๆก็อยากได้ทาญาติเอาไว้สืบสกุล จำต้องมีลูกหลานและให้แต่งงานออกเรือนกันไป ความรักของบางคนก็ต้องจบลงเพียงเพราะเหตุผลนี้ แต่มันเอามาใช้กับปัจจุบันไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่ากันหมดแล้ว การบังคับนั้นเท่ากับการฝืนใจให้ทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ

“เดือน”

“ครับพ่อ?” ผมหันไปตามเสียงเรียกของพ่อ ท่านกำลังยืนอยู่ด้านข้างผมพร้อมกับแม่ “มีอะไรรึเปล่าครับ? เดี๋ยวผมจะปลุกน้องขึ้นไปแล้ว”

“อย่าเพิ่งปลุกเขาเลย หลับสนิทอย่างนั้น” พ่อเปลี่ยนมาทรุดตัวนั่งลงกับม้านั่งที่อยู่ถัดไปไม่ไกล แม่เดินไปนั่งตาม สีหน้าบึ้งตึงนั่นก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่าทะเลาะมา “แม่อยากเห็นกุมภ์ชัดๆ”

“...”

“ได้มั้ย?”

“ถ้าแม่ไม่ได้ทำอะไรน้องผมก็ไม่ว่าอยู่แล้วครับ” ผมมองไปที่แม่ ท่านไล่สายตามองกุมภ์ที่นอนหนุนตักของผม จากนั้นก็เอ่ยประโยคออกมา

“รูปร่างบางอย่างนี้ได้กินข้าวกินน้ำรึเปล่าหรอก แถมยังตัวเล็กไม่สมผู้ชายอีก”

“รตา!”

“แต่แม่ก็ยอมรับว่าเด็กคนนี้หน้าตาก็น่าเอ็นดูดี เพียงแค่แม่ไม่คิดว่าจะมาทำให้แกรักหัวปักหัวปำได้” แม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ พ่อส่ายหน้าถอดใจ

“รตาก็แค่ปากแข็ง เธอเองก็ชอบเขาไม่ใช่น้อยเหมือนกันนั่นแหละ”

“คุณคะ!”

“นี่รตา เพราะเขาเป็นผู้ชายเท่านั้นเหรอที่ทำให้เธอต้องกั้นพวกเขาออกจากกัน? เธอกลัวว่าเธอจะเสียหน้าเวลามีคนมาว่าลูกของเธอ แต่เชื่อฉันเถอะ ไม่มีใครมาสนใจใครหรอกว่าจะคบกับเพศไหนอะไรยังไง ถึงสนใจแต่ก็ลืมไปเอง” พ่อปรามแม่ที่กำลังจะขึ้นเสียงอีกครั้ง “เธอไม่ลองให้เดือนอธิบายเหรอว่าตอนเจอกับเด็กคนนี้เขารู้สึกยังไง?”

“...”

“เดือน อธิบายให้แม่เธอฟังสิว่าเพราะอะไรที่ทำให้เธอมาหยุดที่คนคนนี้ได้”

ผมเหลือบมองพวกท่าน ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของกุมภ์ที่หลับ สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาให้ฟัง

“กุมภ์เป็นรุ่นน้องในชมรมบรรณารักษ์สมัยเรียนมัธยมปลาย เขาเป็นคนแรกที่เห็นหน้าซุ่มซ่ามของผม ผมกำลังจัดหนังสือเข้าชั้นอยู่ในวันนั้นแต่ก็ตกบันไดเล็กๆลงมา ถึงจะไม่เจ็บมากแต่ผมก็เสียหน้าต่อหน้าเขาไม่น้อยเลย จากนั้นผมก็มีเหตุทำให้เจอกับเขามากขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าจะที่ร้านหนังสือ ที่เรียนพิเศษ มันเป็นความโลกกลมที่ยิ่งกว่าโลกกลมอีก

“ผมไม่รู้ว่าผมสนิทกับเขาตอนไหน มารู้ตัวก็ตอนที่ไปไหนก็ไปด้วยกัน เริ่มมีคนคบค้าสมาคมด้วยก็เพราะเขา เริ่มได้พูดเปิดใจในสิ่งที่ผมเก็บเอาไว้มาตลอดเพราะเขา กุมภ์เป็นคนที่น่ารักมากนะครับ เป็นคนที่ร่าเริงเป็นพลังบวกให้กับทุกคน เป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยผมตอนที่ผมไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ

“แต่มารู้ตัวว่าผม...เริ่มชอบเขาเข้าก็ตอนที่ไปเที่ยวไร่ลูกหม่อนด้วยกัน ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่แซวพวกเราว่าเป็นแฟนกัน ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริงแต่พอโดนพูดเข้าหน้าพวกผมกลับแดงเหมือนเขิน จากนั้นมันก็เหมือนกับว่าความรู้สึกที่อยู่ในอกมันประทุออกมา ผมบอกกับกุมภ์ว่าผมชอบเขา ในใจผมกลัวว่ากุมภ์จะรังเกียจ แต่ไม่เลย กุมภ์เองก็คิดเหมือนกัน ผมดีใจมากเลยนะที่หัวใจของผมมันดันไปตรงกับคนที่ผมชอบพอดี จากนั้นพวกเราก็ยิ่งตัวติดกันมากไปอีก ผมพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้เป็นช่องว่างของความรู้สึก ไม่เข้าหามากเกินไป แต่ก็ไม่ห่างกันจนเกินไป ยิ่งนับวันก็ยิ่งรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ คือสิ่งที่ผมโหยหวน การที่มีใครสักคนสามารถรับฟังปัญหาของผมได้ตลอดคือคนที่ผมตามหามาทั้งชีวิต

“กุมภ์มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวสูง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีมุมเด็กๆที่น่าเหลือเชื่อ เขาบอกกับผมว่าให้อดทนอีกนิดแล้วผมก็จะเป็นอิสระ ถ้าผมไม่ได้กุมภ์ ตัวผมที่เป็นตอนนี้ก็คงจะกำลังนั่งเครียดแล้วร้องไห้จากความกดดันอยู่ที่คอนโด ไม่ได้อยู่ข้างๆเขาแบบนี้

“เขากำลังคิดว่าชีวิตของผมถ้าไม่มีกุมภ์...ผมจะยังสามารถมีลมหายใจมาพูดกับพ่อแม่แบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่”

“หมายความว่ายังไงเดือน?” หลังจากที่ผมบ่นนาน แม่ก็พูดเมื่อได้ยินคำว่าลมหายใจของผม

“พ่อกับแม่ไม่รู้หรอกครับว่าผมเคยฆ่าตัวตายครั้งหนึ่ง แต่มันไม่สำเร็จ”

“...”

“ตอนนั้นผมเครียดมาก...ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรหรือทำไปเพื่ออะไรกันแน่ ตอนที่จะลงมือกรีดข้อมือตัวเองมันก็มีความคิดสองอย่างแทรกเข้ามา ผมกลัวกับผมต้องรอ...รอชีวิตที่ดีกว่านี้ และมันก็ไม่ทำให้ผมเสียความอดทนที่รอเพราะผมเจอกับคนที่ทำให้ผมปลดล็อกทุกอย่างให้” มือของผมยังลูบใบหน้าของกุมภ์ด้วยความห่วงใย “และในตอนนี้ผมก็สมควรจะได้เวลาที่ออกมาปกป้องเขาบ้างแล้ว เขาปกป้องผมมามากพอที่จะให้ลูกนกอย่างผมกล้ากางปีกบินออกจากกรง คราวนี้ผมอยากจะดูแลคนที่ทำให้ผมได้รับสิ่งที่ดีที่สุด อยากทำให้เขามีความสุข ไม่ต้องกังวลอะไรแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแค่ไหน ที่สำคัญก็คือผม...อยากจะเป็นคนที่ปกป้องเขาไปตลอดชีวิต

“ผมบอกเขาว่าถ้าเราไปด้วยกันไม่ได้ พวกเราก็จะยังยืนอยู่ข้างๆในฐานะพี่น้อง แต่ในตอนนี้ที่ผมแน่ใจในความรู้สึกของผมแล้ว ผมไม่ได้อยากกลับไปเป็นพี่น้องกันอีก ผมอยากเป็นคนรักของเขา และผมก็อยากให้ตัวผมเป็นคนที่เขารักตลอดไป“

“ความรักมันไม่ยั่งยืน โดยเฉพาะกับคนแรก” แม่เถียง “แม่เคยคบกับคนอื่นมาก่อน มันจบไม่สวย”

“เพราะแม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขารึเปล่าครับ?”

“...”

“แม่ห่วงตัวเองเป็นคนแรก...นั่นทำให้แม่ไม่ได้หันไปมองอะไรหลายๆอย่างรอบตัว แม่ขังตัวเองเอาไว้ในกรอบความคิดของตัวแม่เอง แม่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นเท่าความรู้สึกของตัวเอง ผมพยายามจะบอกแม่ว่าผมไม่อยากทำแบบนี้แต่แม่ก็ไม่เคยมอง ผมเลยทำเป็นชินชากับมันไปจนกลายมาเป็นว่าพวกเรากลับมาคุยหน้ากันตรงๆไม่ได้อีก

“มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าแม่จะคบกันมากี่คน แต่คนที่ใช่มันก็คือคนที่ใช่ เหมือนที่ผมรู้ตัวว่ากุมภ์นี่แหละคือคนที่ผมอยากจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต”

“รตา เธอฟังเดือนหน่อยนะ...ฉันรู้ว่าเธอรักลูก แต่เธอไม่แสดงออกมาเพราะฐิติเธอ เธอช่วยลดลงมาอีกนิดได้มั้ย? เพื่อลูกเองนะ”

“...ถ้าอย่างนั้นแกก็พิสูจน์ดูสิว่าจะรักกันได้นานเท่าไหน เด็กคนนี้จะทำให้ฉันประทับใจได้รึเปล่า? หรือเข้าหาเพียงเพราะผลประโยชน์เท่านั้น”

พูดเหมือนตัวเองไม่เข้าหาผลประโยชน์ ผมนึกในใจ ผมไม่ได้อยากว่าแม่ตัวเองแต่เพราะมันเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ แม่เองก็คงจะรักพ่อด้วย หวังผลด้วย แล้วความหน้ามืดกับสิ่งที่ตัวเองต้องการมันมากเกินไปหน่อยเลยทำให้ท่านไม่สนใจที่จะมองคนรอบข้างมากนัก แต่เอาจริงๆแล้งแม่ก็เป็นคนเก่ง สามารถพาโรงพยาบาลของเราก้าวกระโดดไปได้หลายขั้นจนเป็นที่ยอมรับของคนในจังหวัดมากขึ้น

“...ได้ครับ ผมมั่นใจด้วยซ้ำว่าอีกไม่นานแม่ก็จะใจอ่อน” ผมยิ้มให้แม่ “เขาเป็นคนน่ารัก เอาใจคนเก่งด้วย ถึงจะยังกังวลๆหน่อยแต่ผมว่าอีกไม่นานเขาจะเข้าไปวิ่งเล่นในใจแม่”

“ไว้ดูกัน”

“แม่ลูกเริ่มพนันกันแล้ว นี่หมายความทุกอย่างมันดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” พ่อหัวเราะ เขาตบบ่าผม “ตอนเย็นพ่อจะซื้ออาหารชุดใหญ่เข้ามาเลี้ยงน้องเอง เห็นเขาบ่นอยากกินอะไรมั้ย?”

“ฉันแนะนำว่าอย่าให้กินของที่มีแต่ไขมัน”

“ไม่ทันไรแม่ก็ห่วงแฟนผมแล้ว สงสัยปากแข็งจริงๆ”

“เดือน!”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
กุมภ์กลับมาอยู่ที่คอนโดได้สักพักแล้ว ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี เขาสามารถเดินอยู่แถวๆใต้คอนโดได้ด้วยตัวคนเดียว แต่การที่จะออกไปที่ไหนที่ไกลมากกว่านี้เขายังเกร็ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ออกจะเป็นเด็กแสบเสียมากกว่าที่พยายามจะซนออกไปด้วยตัวคนเดียวให้ได้

“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าไม่ไหวอย่าออกไปคนเดียว”

“ผมอยากหายไวๆ”

“หายไวจริงเหรอ? ตอนเดินอยู่คนเดียวก็เกร็งไปหมดจนคนชนล้มหัวเข่าถลอกเนี่ย” ผมทายาลงไปตรงหัวเข่าของกุมภ์ที่ถลอกเป็นแผลไม่ใหญ่มาก “กุมภ์กำลังเร่งตัวเอง เร่งตัวเองมากไปเดี๋ยวพี่ก็ไม่พาออกไปข้างนอกอีกเลยซะนี่”

“ไม่ได้นะ! ผมยังอยากถ่ายรูปอยู่ ตอนนั้นผมไม่น่าพูดเลยว่าไม่อยากทำตามฝันแล้ว...”

กุมภ์มีสีหน้าเศร้าลงไป ผมปลอบใจเขาด้วยการกอด ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นก็คงจะช็อคอยู่เลยไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง

นิ้วก้อยข้างซ้าย...กุมภ์ตัดสินใจว่าจะไม่สวมนิ้วเทียมหรือว่าต่อนิ้วใหม่เพราะเขาบอกกับผมว่าให้มันเป็นการตัดอดีตตัวเองออกไป อดีตที่เลวร้ายของเขาให้มันจากไปกับนิ้วส่วนนั้น หลายคนก็ท้วงกันว่าเขาจะไม่สามารถใช้มือได้สะดวกเท่าเดิม แต่กุมภ์ก็ย้ำว่ามันคือเจตนาของเขา อีกทั้งนิ้วที่หายไปก็ไม่ใช่นิ้วที่สำคัญมาก เสียใจก็ทำอะไรมากไม่ได้

พอกุมภ์ตอบคำถาม นทีเลยแซวว่าเพราะนิ้วก้อยข้างซ้ายนั้นไม่ใช่นิ้วที่ใช้สวมแหวนแต่งงาน

“แล้วพี่จะเรียนต่อบริหารจริงๆเหรอครับ?” กุมภ์แตะผ้าก๊อซที่ปิดแผลของเขา ลูบมันไปมาเพราะใช้ความคิด “พี่บอกว่าพี่ไม่ชอบนี่นา”

“ความฝันกับความจริงมันไม่เหมือนกัน แต่เราทำไปพร้อมกันได้นี่?” ผมบอกน้อง “พี่รู้ตัวดีว่าถ้าเกินอายุสามสิบไป สายตาพี่ก็คงจะไม่ดี ทุกวันนี้ถ้าพี่ไม่ใส่แว่นหรือคอนเทคเลนส์พี่ก็จะมองไม่เห็นอยู่แล้ว ดังนั้นพี่เลยจะเรียนต่อบริหารแล้วรับงานต่อจากพ่อ บริหารโรงแรมให้เป็นไปตามที่พี่ต้องการ พี่อยากให้โรงแรมมีแต่คนยิ้มแย้ม พนักงานทุกคนสดใส ตอนพี่เข้าไปนะ หน้าบึ้งกันราวกับว่าจะเตะพี่ออกมายังงั้น”

“เขาไม่เตะลูกชายผู้บริหารออกมาหรอกน่าพี่เดือน คิดมากไปได้”

“แต่พอเห็นอย่างนั้น...พี่เองก็อยากเป็นคนที่มอบรอยยิ้มให้แก่ทุกคนเหมือนกับที่กุมภ์ทำ ไม่ว่าจะวิธีไหนเราก็มีหนทางการสร้างความสุขให้ได้ไม่ใช่เพียงเพราะการทำในสิ่งที่เราชอบเท่านั้น” ผมค่อยๆขยับตัวไปหยิบกรอบรูปที่มีรูปครอบครัวของผมสมัยผมยังเป็นเด็กตัวนิดเดียว “บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พี่ตอนเด็กต้องการ...พี่อยากให้พ่อแม่ยิ้มภูมิใจกับพี่สักครั้งในชีวิต แต่เพราะยิ่งโตขึ้น ภาระยิ่งมีมากขึ้น พี่เลยลืมสิ่งนี้ไป”

“พูดถึงพ่อแม่พี่...แล้วแม่พี่เป็นยังไงบ้างครับ? ท่านไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่นี่นา?”

“จะบ้าเหรอ? แม่พี่น่ะชอบนิสัยกุมภ์นะ”

“ฮะ?”

“แม่พี่ชอบนิสัยกุมภ์ แต่ติดตรงที่ท่านไม่อยากให้กุมภ์เป็นผู้ชาย แม่พี่กลัวว่าจะมีคนนินทาที่พี่คบกับผู้ชายกันเองจนท่านเสียหน้า” ผมหัวเราะ “ฐิติสูง แต่เดี๋ยวปิดเทอมพี่จะพากุมภ์ไปบ้านพี่นะ”

“เฮ้ย! มันจะดีเหรอครับนั่น?!”

“พี่ยังไปบ้านกุมภ์ตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวกันใหม่ๆเลย คราวนี้กุมภ์เป็นฝ่ายต้องไปบ้างแล้วนะ” กุมภ์ถลาตัวไปนอนบนเตียง เอาผ้าห่มปิดตัวปิดหน้าเมื่อรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร “ไปแนะนำตัวกับพ่อปู่แม่ย่าไง”

“พี่เดือน!”

“พี่หยอกเล่นหรอกน่า พี่ก็แค่อยากให้กลับบ้านไปเจอครอบครัวบ้าง อยู่แต่ที่นี่มันก็ไม่ดีนัก มีแต่อากาศจากท่อเสียรถยนต์”

“แต่ว่า...”

“เอาไว้พี่ปิดเทอมแล้วพี่จะพาไป รถก็ซ่อมเสร็จแล้ว ระหว่างทางจะได้แวะเที่ยวด้วยเลย ดีมั้ย?” ผมยกกล้องขึ้นมา “ได้ถ่ายรูปเล่นด้วยกัน ผ่อนคลายสักหน่อย”

“...”

“พี่อยากเห็นกุมภ์ยิ้มกว้างอีกสักครั้ง...เหมือนที่กุมภ์เคยยิ้มให้ไง”

กุมภ์สะอื้น เขาปาดน้ำตาด้วยนิ้วตัวเองและพร่ำบอกแต่คำว่าขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่รู้ว่าจะปลอบใจเด็กขี้แงคนนี้ด้วยวิธีไหนนอกจากการดึงเขาเข้ามากอด จูบซับน้ำตาเพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย ก่อนที่จะเบี่ยงความสนใจเขาด้วยการประทับริมฝีปากกับอวัยวะเดียวกัน ความชุ่มฉ่ำของสิ่งที่อยู่ภายในมันอุ่นและให้ความรู้สึกแนบแน่น กุมภ์ไม่รู้วิธีจูบ ผมเองก็ไม่รู้วิธีจูบ ทุกอย่างมันจึงดูเก้ๆกังๆ แต่หยอกล้อกันด้วยลิ้นไปอีกสักพักผมก็ละออกมาแล้วใช้ปลายจมูกตัวเองเกลี่ยคนตรงหน้า

ผมยังไม่อยากล่วงเกิน...เพราะผมเชื่อว่ากุมภ์ยังไม่พร้อม และผมเองก็รอได้แม้ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม

“ลืมความเศร้าของวันนี้ไปเถอะนะ พรุ่งนี้กุมภ์ช่วยยิ้มให้พี่ด้วยล่ะ”

 

ผมกับกุมภ์ช่วยกันขนของฝากลงมาจากหลังรถ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเค้กที่ตั้งใจจะเอามาให้ครูที่โรงเรียนเก่าด้วย ให้คนระแวกบ้านด้วย แต่ก็มีตะกร้าผลไม้ชุดใหญ่เอากลับมาที่บ้านของกุมภ์เหมือนกัน

พ่อแม่ของกุมภ์ต้อนรับอย่างดี มีนาที่อ่านหนังสืออยู่บนห้องรีบวิ่งลงมากอดพี่ชายตัวเองใหญ่เพราะตัวเองไม่สามารถเดินทางไปเยี่ยมเขาได้ตั้งแต่แรก เขาร้องไห้ที่เห็นว่าพี่ชายนั้นต้องมาบาดเจ็บและมีแผลทางจิตใจ แต่กุมภ์ก็ปลอบน้องเหมือนที่ผมปลอบ เขาคงจะพยายามทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่นยกเว้นผม

มื้อเย็นวันนั้นพ่อแม่ของกุมภ์ทำของชอบให้ลูกตัวเอง มีหลายอย่างจนผมคิดว่าไม่มีทางกินหมดได้แน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นกุมภ์ก็กินหมดราวกับว่าไม่ได้กินอะไรมานาน พวกเรานั่งคุยเรื่องราวต่างๆด้วยกันจนกระทั่งกุมภ์เผลอหลับไป

“น้องคงเหนื่อย พาน้องไปนอนบนห้องเถอะนะ”

ผมพากุมภ์มานอนบนห้องของเขา ห้องนี้มีคนทำความสะอาดอย่างดีเลยทำให้ไม่มีกลิ่นอับหรือฝุ่น ลากฟูกนอนออกมาปูไว้สองอันเพราะผมคงต้องนอนเป็นเพื่อนเขา ตั้งแต่ที่กุมภ์โดนทำร้ายร่างกาย เขาก็ไม่สามารถนอนคนเดียวได้อีกเพราะความกลัว

ผมย่องไปเปิดอัลบั้มรูปของเขาที่ถ่ายส่งประกวด บางอันก็ได้รางวัล บางอันก็เป็นรูปที่ถ่ายเล่นเอาไว้ ทุกภาพล้วนแล้วแต่เป็นวิวทิวทัศน์ ไม่ค่อยมีรูปคนเท่าไหร่ ส่วนอัลบั้มที่สองเป็นรูปถ่ายจากงานต่างๆเหมือนเก็บเอาไว้ทำพอร์ท

ตุบ

“?”

มีสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งหล่นลงมาเมื่อผมกำลังจะหยิบอัลบั้มรูปอีกอัน ผมก้มลงไปเก็บ หน้าปกไม่มีอะไรเขียนเอาไว้ แต่มันน่าจะเป็นสมุดบันทึกทั่วไปผมเลยเปิดดู

“อุบ...น่ารักจัง”

เนื้อหาข้างในไม่ใช่บันทึกธรรมดา มันเป็นสมุดบันทึกที่เป็นไดอารี่ แถมยังเก็บโน้ตของผมในฐานะ ‘พี่มูน’ เมื่อสมัยผมยังเรียนอยู่มัธยมเอาไว้ด้วย

แถมยังเก็บตั้งแต่แผ่นแรกที่ผมเขียนอีกด้วย

“เพราะอย่างนี้แหละที่ทำให้พี่รักได้ขนาดนี้...นี่จะเก็บทุกอย่างเอาไว้เลยใช่มั้ยเจ้าตัวเล็ก?”

เสียงลมหายใจเข้าออกพร้อมกับหัวที่มุดเข้าไปในผ้าห่มนั้นเป็นคำตอบ

“ข้างในก็ยังเป็นคนเดิมจริงๆนั่นแหละ”

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านผมเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงกระทบกันของช้อนส้อมเท่านั้นที่ได้ยิน กุมภ์กำลังนั่งเกร็งตัวอยู่ข้างๆผม ส่วนพ่อก็ทำท่าเหมือนอยากชวนคุยแต่ก็ไม่กล้าขัดแม่ที่กำลังวิเคราะห์กุมภ์ด้วยสายตาคมๆนั่น

“แข็งแรงดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้นกว่าตอนนั้นเยอะนี่?”

“ครับ...”

ตัวลีบเป็นกระเทียมแล้วเจ้าหนูตะเภาเอ้ย

“แล้วคุณป้าล่ะครับ? สบายดีมั้ย?”

“ฉันก็ปกติ”

“...” นั่นไง ยิ่งทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่

“เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันไม่อยากให้เดือนคบกับผู้ชายกันเองเพราะมันจะทำให้คนในสังคมมองว่าพวกเธอเป็นตัวประหลาด?” แม่เริ่มเข้าประเด็น กุมภ์ก้มหน้าลงมองจานอาหารด้วยความหวาด ผมจับมือของเขากุมเอาไว้ข้างล่างเพื่อไม่ให้เขาสติแตกก่อน “ที่ผ่านมาในตระกูลไม่มีใครเคยคบกับผู้ชายสักคน เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้อับอายขายหน้า”

“แต่ว่า...ผมกับพี่เดือนรักกันจริงๆนะครับ พวกเราไม่ได้สนใจเลยว่าจะรักเพศไหน ชอบเพศอะไร พวกเราแค่รักกันเท่านั้น” กุมภ์พูดเสียงเบา

“พวกเธอนี่มัน...เฮ้อ”

“แม่ฟังเหตุผลของพวกเราเถอะนะครับ” ผมเป็นคนออกหน้าให้บ้าง “ที่ผมเป็นผมได้ก็เพราะกุมภ์ ผมไม่รู้ว่าผมจะเจอคนดีๆแบบนี้ได้อีกสักกี่คนในชีวิต ถ้ามีโอกาสผมเองก็อยากรักษาเขาเอาไว้ให้เป็นคนสำคัญที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาคอยช่วยเหลือผม ชี้ทางให้ผมเจอทางเดินต่อไป”

“แต่ก็เพราะเขาเป็นผู้ชาย ที่ทำให้ฉันไม่ชอบ”

“แม่ชอบนิสัยเขาผมรู้” แม่สะดุ้งเหมือนโดนจับได้ “เรื่องนี้พ่อโทรฯบอกผมประจำว่าแม่ชอบคนนิสัยแบบกุมภ์ เป็นคนน่ารักและรู้จักวางระยะห่าง รู้จักจังหวะและการเข้าหาผู้คน เป็นคนพูดเก่งแม้ว่ากุมภ์จะหวั่นช่วงแรกๆ”

“...”

“แม่อย่าใจแข็งเลยเถอะนะครับ สมัยนี้ผู้ชายคบผู้ชายมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว”

“...”

“และถ้าแม่อยากแยกพวกเราออกจากกัน ผมก็จะขอออกจากบ้านนี้ถาวรเพราะมันไม่เคยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจเลย”

“อย่านะเดือน! แม่ห่วงลูกมากแค่ไหนตอนที่บอกว่าให้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง! แม่กลัวว่าลูกจะลำบากเพราะว่าลูกไม่เคยอยู่ด้วย...!”

“...แม่โป๊ะแตกแล้วนะครับ” เสียงหัวเราะของพ่อดังลั่นโต๊ะอาหาร พ่อเองก็คงรอจังหวะให้แม่หลุดออกมาเหมือนกัน “ขอเถอะครับแม่ ไม่มีอะไรน่าอายเลยที่จะยอมรับว่าแม่ชอบกุมภ์”

“หมายความว่ายังไงครับพี่เดือน?” กุมภ์บีบมือผมแน่นจนเหงื่อออก เมื่อครู่คงทำให้เขากดดันน่าดู “แม่พี่...”

“แม่พี่ก็แค่ปากแข็งไปนิดเท่านั้นเอง”

“พอคบกับเด็กนี่แล้วเอาใหญ่เลยนะ!” แม่ร้องออกมา กุมภ์สะดุ้งแล้วก็จับมือผมแน่นอีกครั้ง แม่น่าจะเห็นว่ากุมภ์ตกใจเลยส่ายหน้าพร้อมกับลดน้ำเสียงลง “เพราะเธอเป็นแบบนี้ไงฉันถึงไม่ชอบ นอกจากจะเป็นผู้ชายแล้วยังขี้ตกใจง่ายอีก”

“แต่นั่นเพราะเธอไปตะคอกใส่พวกเขานะรตา น้องก็กลัวสิ”

“น้อง?”

“ตอนแรกฉันเองก็ไม่อยากเชื่อที่เดือนคบกับผู้ชาย แต่พอเห็นว่าเขามีความสุขมากกว่าที่อยู่กับพวกเราอีกมันก็ทำให้ฉันคิดได้ เราไม่ใช่เจ้าชีวิตของเขา เราไม่มีสิทธิอะไรในการบังคับเขาเพราะยังไงสักวันเจ้านกตัวนี้ก็ต้องบินออกจากกรงที่พวกเราขังเอาไว้อยู่ดี ถ้าช้ากว่านี้เดือนอาจจะต้องทรมานกับสิ่งที่พวกเราไม่เคยใส่ใจมาเลยก็ได้” พ่อยิ้มบางๆ “เพราะฉันรักเดือน...ฉันถึงยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระเสียที แล้วเธอรักเขารึเปล่าล่ะ?”

“ฉันก็รักสิ”

“ดังนั้นแล้ว...เธอปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้างนะ” ผมเบิกตาที่พ่อขอร้องแม่แบบนั้น เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มหน้าลง ปกติแล้วพ่อเป็นคนที่ไม่ก้มหน้าให้ใครเลยแม้กระทั่งคนที่สูงกว่า แต่การที่เขาทำแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นการขอที่อยากให้ทำจริงๆ

“...”

“ครั้งหนึ่งเธอก็เคยขออิสระจากคุณพ่อคุณแม่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

ขออิสระ?

“ก็ตอนนั้นฉันไม่ได้อยากทำงานของครอบครัว ฉันแค่อยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่มารู้ทีหลังว่ามันคือหน้าที่ที่ฉันต้องทำฉันถึงเป็นแบบนี้ไง แต่ฉันก็มีความสุขดี”

“เธอมีความสุขจริงๆหรือแค่เพราะหลอกตัวเองรตา?”

“...”

“เธอหลอกตัวเอง แต่เธอจะให้เดือนมาตกในชะตากรรมแบบเดียวกันไม่ได้ เธอรู้ว่าเขาต้องการอิสระแต่เขาไม่ใช่ชีวิตที่สองของเธอ ฉันขอร้องจริงๆ ปล่อยให้ทั้งเดือนและหนึ่งเป็นอิสระจากสิ่งที่เจอเถอะนะ”

ผมกับกุมภ์ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ทุกอย่างตอนนี้มันเหมือนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแม่ ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดอะไรหรือตั้งใจจะทำอะไร แต่ผมก็อยากให้แม่ได้ปล่อยผมไปเสียที

ผมอยากให้โซ่ที่ล่ามขาเส้นสุดท้ายนี้...ถูกปลดออกเสียที

“...ก็..ด..”

“?”

“ฉันบอกว่าก็ได้” แม่หันหน้าไปทางอื่น ไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้าที่กำลังกล้ำกลืนอะไรสักอย่าง “ถ้ามันทำให้เธอมีความสุข...ฉันยอมปล่อยไปก็ได้”

“แม่...”

“เพราะฉันไม่ยอมให้แกทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลาเหมือนที่ทำตอนเด็กๆนั่นหรอกนะ แล้วก็ฉันไม่อยากเห็นสีหน้าผิดหวังจากแกด้วย” ปากแข็งจริงๆแม่ของผม...แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รีบลุกออกจากเก้าอี้แล้วกอดท่านเข้าไปเต็มๆจนท่านตกใจ ลูกชายตัวสูงจู่ๆวิ่งเข้ามากอดแบบนี้เป็นใครก็ทำตัวไม่ถูกหรอก “ออกไปได้แล้ว...”

“ทำไมครับ? ลูกชายคนโตไม่ได้กอดแม่ตัวเองมานานหลายสิบปีได้มากอดแบบนี้ทำตัวไม่ถูกใช่มั้ย? กลับมาบ้านรอบหน้าผมจะกอดให้หนำใจไปเลย”

“เธอใช่มั้ยที่สอนให้ลูกฉันทำแบบนี้?”

“ผมไม่เกี่ยวนะครับ! แต่นั่นเป็นตัวของเขาจริงๆ พี่เดือนเขาขี้แกล้งผมมากเลยนะ” ได้ทีแล้วฟ้องใหญ่ แม่ถอนหายใจแต่ก็ยอมยกมือขึ้นมาลูบหัวผมไปมาเบาๆ มันเป็นสัมผัสที่อบอุ่นจากแม่ที่ไม่ได้รับมาตลอดสิบกว่าปีได้ แต่ในตอนนี้ผมได้รับมันแล้ว

ผม...เป็นอิสระจริงๆแล้ว

.

..

“แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้เรื่องที่เดือนมีแฟนเป็นผู้ชายนะ”

“แม่...”

“ให้เวลาฉันทำใจก่อนสักสิบปี ถ้าตอนนั้นยังไม่เลิกกันฉันก็อาจจะเรียกเธอว่าลูกก็ได้” กุมภ์หน้าแดงๆเมื่อได้ยินคำว่าลูกจากปากของท่าน ผมเดินกลับไปแล้วจูงมือเขาให้ออกมายืนอยู่ข้างๆแม่ ยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเปิดกล้องหน้า พ่อรู้ว่าผมคิดจะทำอะไรเลยรีบวิ่งเข้ามาเพื่อหวังจะได้ติดรูปสักนิด

“เจอครอบครัวทั้งคู่แล้ว เดี๋ยวผมจะนัดให้ทุกคนมาร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันสักครั้งนะครับ แต่ตอนนี้เอารูปครอบครัวลงก่อนดีกว่าเนอะ ไม่ได้ถ่ายด้วยกันกี่ปีแล้ว”

 

ตั้งแต่ผมโพสรูปครอบครัวลงไป หลายคนก็เข้าแสดงความคิดเห็นว่าผมคืนดีกับพวกท่านแล้ว ความจริงจะเรียกว่าคืนดีก็คงไม่ใช่ เรียกว่าปรับความเข้าใจน่าจะถูกกว่า เพราะแม่เองก็ยังไม่ค่อยอยากจะพูดกับผมเรื่องนี้นัก

กุมภ์ดร็อปเรียนหนึ่งปีเพื่อรักษาอาการตัวเองให้ดีที่สุด เขาเลือกที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัว ตอนแรกเขามีท่าทีจะไม่อยากให้ผมไม่สบายใจที่ไม่อยู่กับผม แต่ผมก็เป็นฝ่ายขอร้องให้เขากลับบ้านแทน รั้งไปตอนกุมภ์อยู่ห้องคนเดียวก็ทำให้เขาเหงาเปล่าๆ

ในขณะที่กุมภ์อยู่บ้าน ผมก็เป็นฝ่ายที่ขยันเรียนให้มากขึ้น ผมไม่อยากให้ที่บ้านต้องย้อนกลับมาคิดว่าผมเรียนเอกนี้ไปเพื่ออะไร และจะพิสูจน์ตัวเองว่าผมนั้นไม่ได้เล่นๆกับสิ่งนี้ มะยม โอม และศึกก็คอยสนับสนุนผมตลอด มีบางครั้งที่พวกเราจะนัดรวมตัวกันมานั่งอ่านหนังสือแม้ว่าจะคนละเอกก็ตาม แต่ด้วยเพราะที่ผมสมองดี...อันนี้ปมไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ผมว่าผมมีความจำดีที่สุด เวลาอ่านอะไรแป๊บๆก็เข้าใจ ผมจึงมีเวลาว่างมากกว่าคนอื่นมานั่งดูดกาแฟในแก้วเพลินๆ บางครั้งก็แอบถ่ายรูปเพื่อนที่กำลังปวดหัวส่งไปให้กุมภ์ดูด้วย

เขาเริ่มสดใสขึ้น คงเพราะได้อยู่กับครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า เพื่อนบางคนของเขาก็ถามที่อยู่ของกุมภ์เพื่อที่จะไปเยี่ยมตอนปิดเทอม และที่สำคัญคืออุ้มกับดินเองก็มาโวยวายให้ผมใหญ่ว่าทำไมไม่บอกเรื่องที่เพื่อนสมัยมัธยมตัวเองเข้าโรงพยาบาล ปิดเทอมไปเยี่ยมมาก็พากันตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นสองคนนี้ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นความผิดของผมแต่อย่างใด กลับบอกว่ามันคงเป็นกรรมของกุมภ์ตั้งแต่ชาติก่อนๆ

“ถือว่ามันเป็นการสะเดาะเคราะห์ไปแล้วกันนะพี่เดือน หลังจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆเข้ามา ทั้งตัวพี่และกุมภ์”

อุ้มบอกอย่างนี้ ผมเองก็อยากคิดให้มันเป็นไปในทางนั้น

หลังจากนี้จะไม่มีอะไรที่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงคนเดียวเจ็บปวดอีก

หลังจากนี้จะไม่มีอะไรที่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงคนเดียวต้องมาเสียน้ำตาอีก

หากพวกเราต้องเจ็บปวดก็จะต้องเจ็บปวดไปด้วยกัน

หากพวกเราต้องเสียน้ำตาก็ต้องเสียน้ำตาไปด้วยกัน


 

และนั่นคือความหมายของความรักของผมที่ใช้เวลาสองปีกว่าถึงจะเข้าใจความหมาย

มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น

ความรักอาจจะเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่สดใสเมื่อทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข

ความรักอาจจะเป็นเหมือนน้ำผึ้งที่หวานหอม หลอกล่อให้ลุ่มหลง

และความรัก...

มันก็คือการที่เราได้รู้จักใครสักคนและพร้อมที่จะเดินไปพร้อมๆกัน

ไม่ว่าจะต้องเหยียบเศษแก้วจนเลือดไหลไปมากเท่าใดก็ตาม

แต่ถ้าเราจับมือกัน...เศษแก้วพวกนั้นมันก็เป็นแค่อุปสรรค์ที่ทำให้ไม่กล้าที่ก้าวเดินต่อเท่านั้น




==========



บทหน้าส่งท้ายแล้วนะคะ :u;

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทส่งท้าย

 

แสงแดดที่ส่องกระทบลงมาข้างหน้าต่างร้านกาแฟแห่งนี้ทำให้ผมที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดดูรูปในกล้องต้องรีบย้ายตัวเองหนีออกจากโต๊ะริมกระจกสีใสมาเป็นโต๊ะสีครีมอ่อนในร้านแทน

ผมกำลังรอให้ใครคนนั้นออกมาจากหอประชุมเพื่อจะถ่ายรูปให้ในวันสำคัญของเขา มันเป็นวันที่ใครหลายคนรอมานาน ชีวิตของทุกคนจะต้องแยกทางกันโดยสมบูรณ์แบบ และเขาก็เลือกที่จะเรียนต่อเพื่อทำตามความประสงค์และความจริงของชีวิต

รูปในกล้องมีเยอะมากจนผมคิดว่าเปลี่ยนเมมดีกว่า ในนั้นมีแต่รูปที่ถ่ายส่งประกวดทั้งนั้น แต่จะลบก็เสียดายเพราะผมอยากเป็นไฟล์ภาพดิบเอาไว้เนื่องจากมันแก้ได้ง่าย

แก้วกาแฟบนโต๊ะค่อยๆละลายผสมกับน้ำแข็งจนมันจืดชืด นิ้วข้างหนึ่งที่หายไปมันไม่ได้ส่งผลกับชีวิตของผมมากนัก แต่มันก็ทำให้หัวใจของผมรู้สึกวูบไปบ้างเมื่ออวัยวะส่วนที่เคยมีครบมาร่วมสิบเก้าปีมันถูกตัดออกไปโดยฝีมือของผู้ป่วยอาการทางจิตคนหนึ่งที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไปแล้ว

ไม่นานนักผมก็เห็นกลุ่มนักศึกษาสวมเสื้อครุยเดินออกมาจากหอประชุม ผมนั่งรออยู่ในร้านเหมือนเดิมเพราะไม่อยากไปเบียดกับคนเยอะๆ อีกทั้งเขายังบอกว่าจะเข้ามาเองด้วย ผมไม่รู้หรอกว่าจะแทรกผ่านคนมาได้เร็วแค่ไหน แถมยังเป็นที่รู้จักไปทั่วอย่างนี้ อย่างน้อยสุดก็สิบนาทีได้ แต่แล้วผมก็เป็นฝ่ายที่คิดผิดเพราะผมเห็นร่างสูงของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“รอนานมั้ยครับคนดี?”

“นานมากจนกาแฟละลายหมดแล้วเนี่ย ฝ่าคนมาโดยที่สภาพยังดีแบบนี้ได้ไงครับ?”

“พี่ก็รีบวิ่งออกมาเลย พี่ไม่ค่อยอยากถ่ายกับคนที่พี่ไม่รู้จัก เพื่อนพี่ก็รวมกลุ่มกันที่อื่นก่อน รอให้คนตรงนี้สงบแล้วค่อยเดินมาถ่ายนอกรอบก็ได้” พี่เดือนขยี้เส้นผมของผม พอเขาขึ้นปีสามมาก็ตัดสินใจที่จะย้อมสีผมตัวเองให้เป็นสีน้ำตาลเข้มตามผม ผมก็ว่าเขาเหมือนกันว่าไม่กลัวสีมันกัดหนังหัวรึยังไงแต่เขาไม่สนใจ อ้างว่าอยากมีสีผมเดียวกันกับแฟนตัวเอง ผมเลยไม่เถียงอะไรต่อ

แน่สิ เขามันดื้อเก่งที่หนึ่ง

แต่ก็เป็นคนที่เก่งที่หนึ่งด้วย

“อ้อ ผมมีของขวัญรับปริญญาของพี่ด้วยนะครับ” ผมหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับหนังสือเล่มสีขาว ปกเขียนเอาไว้ว่า ‘365 วันของนักเรียนดีเด่น’ นั่นคือหนังสือของนักเขียนนามปากกา HiddenShadow หรือตัวพี่เดือนเอง เขาเลือกที่จะหยิบหนังสือนั่นมาพร้อมกับทำหน้าไม่เข้า แต่ผมก็บอกให้เขาเปิด

“...กุมภ์...”

“ตอนนี้เด็กผู้ชายจากหนังสือเล่มแรกของ HiddenShadow มีความสุขแล้วนะครับ” ตรงกระดาษรองปกผมเขียนข้อความถึงนักเขียนคนนี้พร้อมด้วยข้อความแสดงความยินดี ถึงพี่เดือนจะบอกว่าไม่คิดจะเขียนหนังสือต่อแล้ว แต่เขาก็ยังแอบไปเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดบ้าง แน่นอนว่ามีแต่คนชื่นชมที่พี่เขามีความสามารถในการเขียนสูง งานหนังสือปีที่แล้วก็ถูกเชิญให้ไปขึ้นเวทีพูดคุยกับนักเขียนคนอื่น เขายอมไปปรากฏตัวเป็นครั้งแรกและสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนหนังสือเพราะไม่คิดว่าจะเป็นงานของเด็กมัธยมที่เขียนแล้วขายดี นอกจากนี้ภายในงานเขาก็ประกาศว่าจะลาจากวงการน้ำหมึกเล่มจนกว่าจะมีเรื่องราวมาถ่ายทอดอีกครั้ง

ส่วนสมุดอีกเล่มที่ผมให้เขานั้น เป็นสมุดว่างเปล่าที่ผมหวังว่าจะให้เขาเขียนเรื่องราวชีวิตตัวเองลงไป เผื่อมันจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มอีกเรื่อง น่าตลกเหมือนกันที่ผมให้อะไรแบบนี้แทนดอกไม้หรือของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่านี้ แต่เชื่อผมเถอะว่าพี่เดือนต้องชอบของที่มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าอยู่แล้ว

“งั้นก็เหลือรอพี่เรียนจบโท แล้วกุมภ์ก็จบตรี คราวนี้จะได้ไปเที่ยวรอบโลกสมใจแล้ว”

“พี่ทำงานเก็บเงินก่อนเถอะครับ” ผมหัวเราะ “ริจะเที่ยวรอบโลกต้องมีเงินเก็บเยอะๆ แต่ความจริงบ้านพี่ก็รวยอยู่แล้วนี่นา”

“ก็พี่อยากใช้เงินตัวเองนี่ เงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของพี่เอง” พี่เดือนโคลงหัว เปิดโทรศัพท์เพื่อดูข้อความที่เข้า “เดี๋ยวครอบครัวพี่ก็จะมาแล้ว ครอบครัวกุมภ์มารึเปล่าวันนี้?”

“มาอยู่แล้วครับ แฟนผมเรียนจบทั้งทีนะ” ผมบีบแก้มพี่เดือน เขาตบมือผมเบาๆเพื่อเป็นการบอกว่าให้ผมปล่อยเขา “วันนี้เป็นวันสำคัญของพี่ ทำไมจะไม่มา”

“รู้มั้ยว่าตอนที่พี่ยังไม่เจอกุมภ์ พี่กำลังคิดถึงสภาพตัวเองรับปริญญาแล้วกลับบ้านเลย ไม่มีใครมารอถ่ายรูปด้วย”

“พอจะนึกออกครับ”

“แต่ตอนนี้พี่มีกุมภ์ พี่ไม่ต้องกลับคอนโดคนเดียวแล้ว” พี่เดือนขยับตัวมานั่งข้างๆผม “แล้วก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว”

“มาหวานอะไรตรงนี้ครับพี่ ไปถ่ายรูปข้างนอกเถอะ เพื่อนผมก็รอถ่ายรูปกับพี่เต็มเลย”

“เขินเหรอ? คบกันมาตั้งนานยังเขินอยู่อีกนะ”

“ไปเถอะครับ...”

ผมและพี่เดือนจับมือเดินออกไปจากร้านกาแฟท่ามกลางสายตาของหลายคนที่หันมามอง ตอนนี้พวกเราไม่สนแล้วว่าใครจะมองพวกเรายังไง เพราะโลกที่ผมกับพี่เดือนเดินอยู่นี่เป็นโลกส่วนตัวที่มีแค่เราสองคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปฟังคำกล่าวหาคนอื่น ไม่จำเป็นต้องคิดมากกับคำพูดของคนอื่น

และในโลกแห่งนี้มีเพียงแค่เสียงหัวใจกับด้ายแดงที่เชื่อมโยงพวกเราเข้าด้วยกันเท่านั้น

 

‘ตั้งแต่พบกันวันนั้น

ใจก็รู้ว่าเราจะมีกันวันนี้

เธอเติมเต็มสิ่งดีๆ ให้ทุกวันที่มี

กลายเป็นวันที่มีความหมาย

ไม่ใช่แค่วันพรุ่งนี้

แต่จากนี้แม้นานเท่านานสักเพียงไหน

จะมีเธอ เธอมีฉันมีกันตลอดไป

ยิ่งพบเจอยิ่งได้รู้จักยิ่งรักเธอหมดใจ’*

 

*ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ – ดา เอ็นโดรฟิน


 

 

= เรื่องราวของพวกเรามันยังไม่สิ้นสุดแค่ตรงนี้ แต่เพราะถึงเวลาที่ต้องจากจึงจำเป็นกล่าวบอกลา =

= จนกว่าจะพบกันใหม่ ขอให้คุณคิดถึงพวกเราเสมอ =

= The End =



==========



จบไปแล้วกับนิยายที่ไม่มีอะไรเลยนะคะ แง

ช่วงนี้มีเรื่องให้เครียดเยอะมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว ปัญหาจากการเรียน หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ชวนให้หงุดหงิดได้ในแต่ละวัน ทำให้ไม่มีสมาธิปั่นนิยายสักเท่าไหร่ หลังจากจบเรื่องนี้คือจะพักไปสักเดือนสองเดือนเพื่อเคลียร์สมองและเขียนเรื่องใหม่ให้จบไปด้วยเลย

เรารักตัวละครพี่เดือน มันทำให้เรานึกถึงตัวเองเลยแม้ว่าจะเป็นคนละด้านกัน พยายามเอาชนะตัวเองและคนอื่นเพื่อให้มีใครสักคนสนใจ แต่ไม่มีความสุขกับชีวิตเท่าไหร่นัก เราอยากเจอเพื่อนหรือใครสักคนที่สามารถรับฟังเราได้ทุกอย่างโดยไม่รำคาญเราเหมือนที่พี่เดือนเจอกุมภ์

ความจริงแล้วเราก็แค่อยากจะมีความสุขที่เรียกว่าความสุขจริงๆเท่านั้นเองค่ะ

แต่เพราะเราไม่สามารถพูดออกมาได้ ทำให้เราต้องถ่ายทอดออกมาเป็นตัวพี่เดือนส่วนหนึ่ง และตัวของกุมภ์ส่วนหนึ่งที่ยังไม่อยากยอมแพ้กับสิ่งต่างๆเหมือนช่วงท้ายๆที่กำลังจะหมดไฟในการหาคำตอบของชีวิต

สุดท้ายนี้การเดินทางของเราก็มาถึงจุดนี้ได้เพราะคนติดตามที่มีเพียงแค่หยิบมือ แต่มันคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เรายังสามารถเขียนต่อไปได้ หลังจากนี้เราจะไปเจอกันในเรื่องใหม่นะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
                                            :กอด1: :กอด1: :กอด1:
                                 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ inkku

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันให้อะไรเรามากเลย มุมมองหลายอย่างเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ ไว้จะติดตามผลงานต่อไปด้วยค่ะ จะรออย่างใจจดใจจ่อเลย 555

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ทำไมสายหวาน กลายเป็นสายดาร์ไปได้ล่ะ  :monkeysad:

สะเทือนหัวใจ...แต่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ในสมัยนี้...โลกที่โหดร้าย ถูกกดดันให้อยู่สูงตลอดเวลา  o13

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :m16: ขอบคุณค่ะ มันมีข้อคิดดีๆในเรื่องนี้  :katai2-1: การเดินเรื่องดีค่ะ ภาษาก็ดีด้วย

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด