(Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END  (อ่าน 20517 ครั้ง)

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
11

สน xสา

“คือสา…สา…”  ท่าทางที่ดูลนลานนั้นอาจจะทำให้เขารำคาญ และอาจจะทำให้เจ้าตัวคิดว่าตัวเองไม่ควรมาแต่แรก ทว่าความต้องการต่อสิ่งที่อยากให้รับรู้ก็ยังคงแรงกล้ากว่าความกลัว


“มาทำไม”  เขาย้ำถาม และแม้คนที่มาหาจวนเจียนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่แววความกดดันก็ยังไม่มีลดลงเลย


“คือสามีเรื่องอยากจะบอก”


“บอกอะไร”


“เผอิญสาไปได้ยินว่ามีคนตั้งใจจะเล่นงานพี่สนที่ร้านประจำเลยอยากมาบอกไว้”  ในความเป็นจริง อายุของสนธยาก็ยังเข้าสถานที่แบบนั้นไม่ได้ แต่ว่าด้วยอิทธิพลหรืออะไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก และแน่นอนว่าหากเขาไม่ต้องการให้ใครได้แตะต้องแม้แต่ปลายเล็บมันก็จะเป็นไปตามนั้น สนธยาไม่มีวันที่จะสนใจเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายต่างสายเลือดจะต้องสนใจ


“อืม รู้แล้ว” 


“พี่สนดูแลตัวเองดีๆนะ”  สาก็รู้ว่าเขานั้นไม่โง่งม


“อืม ไม่เป็นไรหรอก”  ก็ไม่รู้ว่านี่คือความช่วยเหลือแบบที่เขาต้องการหรือเปล่า แต่สาก็คิดว่าการได้ถ่ายทอดออกไปย่อมดีกว่าเก็บมันไว้แต่เพียงผู้เดียว หากรับรู้แต่ไม่พูดไป ต้องรอให้มันเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหรือไงถึงจะพูดออกมา


“สาจะไม่บอกใคร”  และสาก็ให้คำมั่นว่าเรื่องที่เราคุยกันนี่จะไม่มีใครในครอบครัวต้องรู้เพื่อห่วง แต่อันที่จริงเขาเชื่อว่าคนในครอบครัวจะเชื่อใจเพราะสนธยาพาตัวรอดได้ เขาเพียงพยักหน้า “งั้นสาไปก่อนนะ”  และคนที่มาเพื่อจากไปก็บอกความต้องการออกไป เขาเพียงพยักหน้าอีกครั้งและปล่อยคนเป็นน้องชายให้เดินออกไป เก็บความไม่พอใจในเบื้องลึกเอาไว้ไม่ได้บอกใครออกมา


“อ้าว คุยกันเสร็จแล้วเหรอวะ”  น่าแปลก แม้แต่เพื่อนของเขายังไม่เชื่อว่าการคุยกันจะเป็นแค่การคุย ไม่มีการวอแวววุ่นวายแต่อย่างใด มาเพื่อจากไปในเวลาอันสั้นไม่เห็นเหมือนคนอื่นๆที่เคยเจอ  “น้องดูโอเคเลยนี่หว่า”


“น้อง?”  เขาคิดว่าเขาไม่เคยบอกใครว่ามีน้อง


“กูหมายถึงน้องที่มาหามึงไง ดูไม่งี่เง่าดี น่ารักด้วย เมื่อกี้อ้อนกูซะใจยวบ”


“อ้อน?”


“เอออะดิ ช้อนตามองเป็นลูกแมวเลย เฮ้ย! ไอ้สนจะไปไหน มันจะเข้าเรียนแล้วนะ”  มันก็ไม่ใช่ความจำเป็นอะไรที่จะตอบทุกคำถาม หรือจริงๆเขาไม่ได้ยินคำถามนั้นชัดเท่าไหร่เพราะเดินออกมาอย่างไว และอาจจะเพราะขายาวกว่าใครบางคนที่เดินอย่างอ่อนแรงจิตตกมากนัก


มือนั้นจึงคว้าแขนเล็กๆของคนที่กำลังทุกข์ใจเอาไว้ได้


“พี่สน?”


“…”  เขาเงียบไปเพราะค้นพบว่าการจะเปล่งเสียงออกมาช่างยากเย็น และเมื่อรวบรวมคำพูดได้ “จะไปส่ง” 


โรงเรียนก็โรงเรียนเดียวกัน ตึกเรียนก็ไม่ไกลนัก


“พี่ไปส่ง”  เหมือนมันจะนานแล้วที่สารินไม่ได้ยินคำเรียกนี้


สารินไม่ได้เถียงอะไรและยินยอมให้เขามาส่งแต่โดยดี และเพราะความโดดเด่นของสนธยาคนนี้ทำให้คนจ้องมองคนที่เดินมาข้างๆ แต่คาดว่าพวกเขาคงจะลืมกันได้ในอีกไม่นาน เพราะใช่ว่าพี่ชายคนนี้จะไม่เคยเดินกับใคร


“วันหลังอย่าไปตึกมัธยมปลายคนเดียวอีก”  เขาพูดแต่มันเหมือนคำสั่ง


“ครับ”


“ส่วนเรื่องที่มาบอกก็ไม่ต้องห่วง วันหลังถ้าเห็นอะไรแบบนี้ก็ไม่ต้องไปแอบฟัง มันอันตราย”  ทว่าหัวใจที่เหมือนจะหล่นตุ้บลงไปครั้ง มันก็เหมือนจะเด้งตัวขึ้นมาใหม่หลังจากได้ยินคำนี้ ในน้ำเสียงที่ดูจะเหินห่าง แฝงไว้ซึ่งความห่วงใยจริงๆใช่ไหม


สาไม่ได้ยิ้มกว้างเกินไปใช่หรือเปล่า?


และหลังจากนั้นจะเรียกว่าเราใกล้ชิดกันมากขึ้นเหรอ ก็เปล่าหรอก มันก็ธรรมดานะ ยิ่งเมื่อสนธยาเรียนจบและเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากมื้ออาหารเย็นบางมื้อ เราก็แทบไม่ได้เจอกันเลย


ในตอนนั้นที่มีคนเห็นเราสองคนเดินด้วยกันก็มีเข้ามาสอบถาม แต่เพราะสารินตอบทุกคนว่าไม่มีอะไร ไม่นานพวกเขาก็เลิกราไป จากนั้นพี่สนก็ไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวอะไรเป็นพิเศษ ทุกคนจึงเชื่อสนิทใจว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ   


ทว่าด้วยความเป็นคนดัง ข่าวฉาวที่มาพร้อมกับความชื่นชมก็ยังไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน แต่ตนก็ไม่สามารถเข้าไปวิจารณ์หรือแก้ต่างอะไรให้กับเขาได้ เพราะในความเป็นจริงสานั้นพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองทำให้ครอบครัวของเขาต้องแปดเปื้อน สารินใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พยายามไม่ให้ตัวเองโดดเด่นจนเกินไป แม้ช่วงหลังๆมานี้จะเริ่มมีคนเข้ามาสนใจกันบ้างก็ตาม


ทว่าตนก็มักจะตอบปฏิเสธอย่างสุภาพและถอยห่างออกมาถ้าทำได้ ไม่ใช่เพราะว่ามีคนในใจแต่เพราะไม่อยากให้ใครมาขุดคุ้ยว่าตนเป็นใครมากกว่า มีบ้างที่ปฏิเสธไม่ได้เลยต้องจำยอมไป ทว่าก็โชคดีทุกครั้งไปที่มันไม่เกิดปัญหาอะไรตามมา และดูเหมือนว่าคุณแม่จะชื่นชอบการที่น้องสาได้ออกไปเที่ยวกับคนอื่นบ้างตามประสาเด็กวัยรุ่นมากกว่า


และบางทีเรื่องที่วันนี้น้องจะออกไปไหนก็ถูกนำมาพูดตอนมื้อเช้า


“วันนี้น้องสาจะให้ที่บ้านไปรับไหมคะ ไปดูหนังกับพี่เขาจนถึงกี่โมงเอ่ย”


“อ่า…เดี๋ยวสากลับเองดีกว่า”


“จะเอาอย่างนั้นเหรอคะ”


“ครับ สาไม่รู้อ่ะว่าจะได้กลับบ้านตอนไหน”  ในตอนนั้นเหมือนจะได้ยินเสียงช้อนตก คุณแม่จึงลุกไปหยิบช้อนใหม่ให้เพราะเวลาทานข้าวคนในครอบครัวจะไม่อยากให้พวกแม่บ้านมายืนอยู่รอบๆเพื่อรอรับใช้ ซึ่งการเบี่ยงเบนความสนใจนี้ก็ดีไป สารินโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมรู้สึกกระดากอายที่จะต้องมาตอบเรื่องแบบนี้ให้หนึ่งคนที่ถาม แต่มีอีกสองคนที่ฟัง


ทว่าเมื่อมาตามนัดที่มันควรจะเป็นการมาเที่ยวกันเป็นกลุ่มในตอนแรกที่ถูกชวน แต่มารับรู้ว่านี่คือการเที่ยวกันแบบสองต่อสองก็ตอนที่สมาชิกที่มาได้มาครบแล้ว และสมาชิกนั้นก็มีแค่คนเดียว สารินพยายามแล้วที่จะติดต่อคนอื่นๆที่ชวนมา ทว่าไม่มีใครรับโทรศัพท์กันเลย จะให้ทิ้งพี่คนที่มานี่ไปก็ไม่ได้ เลยจำใจไปดูหนังเรื่องหนึ่งและกินข้าวด้วย หัวเราะแห้งๆไปก็หลายรอบจนในที่สุดต้องบอกพี่คนนั้นว่าต้องกลับแล้ว


ทว่าเขาก็ดูจะวุ่นวายกับสารินไม่น้อย อย่างไรก็จะไปส่งกลับบ้านให้ได้ซึ่งสาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนอาศัยอยู่ที่ไหน ในตอนนั้นที่กำลังปฏิเสธเสียงอ่อนอยู่นั้น อีกฝ่ายก็จับมือกันไว้หมายจะดึงให้ลุกขึ้นเดินไปด้วย


“สา!”  เสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้สารินต้องหันไปมอง แน่นอนว่าเจ้าของเสียงโดดเด่นมากจนทุกคนหันไปสนใจ แต่สากลับไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร หรือไม่…เขาก็คงไม่ได้เรียกกัน


“คนรู้จักเหรอสา”  แต่สาไม่ได้พูดอะไร เพราะเหมือนว่าคนๆนั้นจะเดินมาหา


“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะสา”  ทว่าเป็นสาจริงๆที่เจ้าตัวเรียกหา เราเคยรู้จักกันเหรอ ทำไมสาถึงจำไม่ได้


“อา…สวัสดี” 


“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สาไปกินข้าวกับเราแล้วค่อยกลับบ้านกันเนอะ สาติดอะไรไหมอ่ะ”  จริงๆสาก็ไม่ได้รู้จักคนๆนี้มาก่อน แต่ว่าเดี๋ยวค่อยสลัดที่หลังก็ได้ อย่างน้อยก็ตัวเล็กกว่า


“ไม่อ่ะ เราก็กำลังจะลาพี่เขาพอดี”


“น้องสองคนรู้จักกันเหรอครับ”


“ครับ แต่ไม่ค่อยได้เจอเลยวันนี้เลยถือโอกาสอยากชวนคุยด้วยหน่อย”  คนแปลกหน้าตอบแทนให้


“ถ้าไม่รังเกียจให้พี่ไปกินด้วยได้ไหม”


“อ่อ”  คนแปลกหน้ายิ้ม “รังเกียจครับ” ก่อนที่จะยิ้มกว้างขึ้นไปอีกและจับข้อมือของสารินให้เดินตาม คำต่อว่าที่รุนแรงนั้นส่งผลให้สารินต้องรีบหันไปขอโทษขอโพย


“เอ่อ คุณครับ”  เมื่อเห็นว่าห่างมาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงเรียกคนที่เอาแต่ลากกันออกมา


“เราชื่อฉันนะ”


“ฉัน?”


“ฉันอ่ะ มาจากคำว่าฉันชนก”


“อา…ฉัน เราขอบคุณมากนะที่ช่วย แต่ว่าปล่อยมือก่อนนะ”  สารินพยายามจะพูดดีๆก่อนและเจ้าตัวก็ยอมแต่โดยดี


“วันหลังไม่อยากอยู่หรือไม่อยากไป แล้วทำไมไม่พูด ไม่ใช่ว่าจะมีคนมาช่วยเสมอไปหรอกนะ”  แล้วฉันมาช่วยทำไมกันล่ะ


“อื้ม ขอบคุณฉันมากนะที่เข้ามาช่วยทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน”


“อืม สาไม่รู้จักเราหรอก”  และคนแปลกหน้าก็ยืนยันความสัมพันธ์ของเราให้สารินได้มั่นใจว่ามันเป็นเช่นนั้น  “แต่เราเพิ่งได้รู้จักสาก่อนเดินเข้าไปหาแป๊ปเดียวนี่เอง”  ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจ


จนกระทั่งใครอีกคนเดินเข้ามาหาทางเรา…


“พี่สน?”  เขามาที่นี่ได้อย่างไร และเขา…เกี่ยวข้องอะไรกับฉันชนกคนนี้


“พี่สน ฉันพาออกมาแล้ว”


“อืม” เขาแค่เพียงตอบสั้นๆ ในเวลานั้นมีเพียงแววตาเรียบเฉยที่มองมา แต่สามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด!


“ถ้างั้นผมไปก่อนนะ ไม่รบกวนพี่สนดีกว่า”  สารินเดาได้ว่าทั้งสองคนอาจจะมาเดทกันอยู่


“เฮ้ย สาไปกินข้าวกับพวกเราก่อนไหม กินกันเยอะๆน่าสนุกออก”


“เอ่อ ไม่ดีกว่านะ”


“มากินด้วยกันสิ”  ทว่าแม้จะปฏิเสธเสียงแข็งเท่าไหร่ คนที่ตนคิดว่าไม่อยากให้เข้ามายุ่งที่สุดกลับเป็นคนเอ่ยชวนเสียเอง สารินจึงจำต้องไปกินข้าวกับทั้งสองคนต่อ แม้จะไม่รู้สึกสบายใจที่อยู่ในฐานะ ‘กอขอคองอ’ เอาเสียเลย


หลังจากบอกลาฉันที่ร่าเริง สารินก็เหมือนถูกลากมาอยู่ในรถของพี่สนอย่างจำยอม นั่นก็เพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน แม้ว่าสาจะขอตัวบอกว่าจะซื้อของอีกเล็กน้อยให้กลับไปก่อน แต่สนธยากลับมองว่าทางเดียวกันและเขารอได้จึงทำให้สารินไร้ข้อปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามานั่งในรถของเขา…


“…”  สารินทราบว่ารถคันนี้เพิ่งได้รับมาตอนที่สอบเข้ามหาลัยได้ ก่อนนี้เขาก็ขับรถบ้างแม้อายุยังไม่ถึงเกณฑ์แต่รถที่นำไปใช้คือของครอบครัว ดังนั้นนี่จึงได้ชื่อว่ารถส่วนตัวของเขาจริงๆ


บรรยากาศในรถนั้นออกจะเย็นไปนิด และมันก็เงียบงันจนยิ่งทำให้ประหม่าไปหมด สารินกอดตัวเองเบาๆเพราะรู้สึกหนาว ทว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาคนข้างๆ มือใหญ่ถูกยกขึ้นมาปรับแอร์ของรถให้ โดยไม่รู้ว่านี่คือความรำคาญใจ หรือความใส่ใจกันแน่


“ขอบคุณครับ”  สารินบอกออกไป


“วันหลังหนาวก็บอก” 


“ขอโทษครับ”  ที่ทำให้ลำบากและวุ่นวาย ทว่าคำขอโทษนี้กลับทำให้อีกคนขมวดคิ้วอีกครั้ง สารินรับมือเขาไม่ถูกจึงเลือกที่จะเงียบงันต่อไป จนกระทั่งมาถึงบ้าน สารินที่ตั้งใจจะแยกไปที่ห้องของตนเองถูกคุณแม่ที่มาเห็นพอดีเรียกตัวไว้


“น้องสากลับมาแล้วเหรอลูก อ้าว..กลับมากับพี่สนด้วย”


“เอ่อ เผอิญเจอกันนะครับ”


“อ้าว…วันนี้สนไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยเหรอลูก”


“เผอิญน้องที่รู้จักกันชวนไปกินข้าวนะครับเลยบังเอิญไปเจอที่ห้าง” ฉันคนนั้นเป็นคนชวนพี่สนไปนั่นเอง


เมื่อแยกตัวออกมาได้ สาที่อาบน้ำอาบท่า จัดเตรียมข้าวของสำหรับพรุ่งนี้ก็มานั่งคิด ฉันชนกที่ได้เจอเป็นคนน่ารักดี ตัวเท่าๆกันแต่พลังแห่งความสดใสนั้นมีล้นเหลือ ไม่แปลกถ้าพี่สนจะชอบคนแบบนี้ เพราะแม้แต่สาเองก็ยังรู้สึกหลงใหล ตลอดมื้ออาหารเป็นฉันที่พูดคุยตลอด และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อมาชวนสาคุยด้วย


พี่สนอาจจะพูดคุยไม่มากเท่าไหร่ แต่เขาก็ดูเป็นผู้ฟังที่ดีที่นั่งฟังเราสองคนคุยกัน ใช้เวลาไม่นานสารินก็โต้ตอบกับฉันชนกได้อย่างคุ้นเคยราวกับว่าเราสนิทสนมกันมานานแล้ว น่าเสียดายที่เรียนคนละโรงเรียน ไม่เช่นนั้นคงไปมาหาสู่กันได้บ่อยขึ้น


สารินนั้นไม่รู้หรอกว่าในบรรดาคนที่เขาคุยด้วยนั้น คนไหนนิสัยเป็นอย่างไร จะมีก็แค่ฉันชนกเท่านั้นที่ตนรู้จักและพูดคุยด้วยได้ ดังนั้นหากทั้งสองจะคบกันก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ คนที่ดูดีแบบฉันชนกนั้นไม่น่าจะหาได้ง่ายดาย สารินคิดเช่นนั้นไป แต่ในใจก็รู้สึกโหวงๆอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน


ทว่าที่คิดว่าคงไม่ได้เจอฉันอีกแล้ว ฟ้าก็เหมือนจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะการเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย ทำให้ต้องทุ่มเทกับการเรียนมากหน่อย คุณแม่ที่ใส่ใจกับเรื่องนี้จึงได้จัดหาสถานที่เรียนพิเศษให้ มีทั้งเรียนที่บ้านและไปตามโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งสาก็มาตามที่คุณแม่เตรียมไว้ให้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ตนได้สังเกตเจอบางสิ่ง


ไม่สิ…บางคน


“ฉัน?”


“สาก็เรียนที่นี่เหรอ!”  ฉันชนกเองก็ยังงงๆ แต่เมื่อรวบรวมสติได้ก็ยิ้มกว้าง และเราก็กลายเป็นเพื่อนที่มานั่งข้างๆกันจนจบคอร์ส


ความสนิทสนมของสารินกับฉันชนกดูจะเป็นไปในทางที่มากกว่าฉันชนกสนิทสนมกับสนธยา สาก็ดูออกว่าฉันนั้นคลั่งไคล้พี่สนมากๆ หากเขาไม่ใช่พี่ชาย สารินเองก็ไม่แน่ใจว่าตนนั้นจะทำอย่างไรไม่ให้ชอบเขาอย่างไรไหว


“…”  ต้องไหวสิ ไม่ใช่…เราเป็นน้องชายเขาต่างหากจึงคิดเช่นนี้ไม่ได้


ในมุมมองของสา การก้าวเข้าหาของฉันชนกนั้นมีทั้งความพึงใจต่อกันส่วนหนึ่ง ต้องการใช้เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์กับพี่สนก็ส่วนหนึ่ง พี่ชายของสานั้นมีคนชื่นชอบเยอะ ตัวเลือกเขามีมากมาย การที่เขามากินข้าวกับฉันชนกเพียงครั้งมันอาจจะไม่ได้รับประกันความพึงใจในตัวกันเท่าไหร่เลย


แต่ฉันคงไม่รู้อะไร สารินกับสนธยาเป็นพี่น้องที่ยิ่งกว่าคนไม่รู้จัก เดิมทีเราก็ไม่เคยไปไหนมาไหนกันอยู่แล้ว จะมาคาดหวังให้ตนเป็นสะพานอะไรนั่นก็คงไม่ได้ ทว่าโชคคงเข้าข้างฉันชนกอยู่ไม่น้อย เพราะทุกครั้งที่เจ้าตัวบอกพี่สนว่าอยากไปเดินเที่ยวสามคนให้พาสาไปด้วย เขามักจะตกลงไปทุกครั้ง


เพราะนี่ไม่ปกติมากๆ สารินจึงอนุมานได้ว่าพี่สนเองก็ชอบฉันเช่นกัน


เหมือนถูกแย่งของ ทั้งๆที่ของสิ่งนั้นไม่เคยแม้แต่จะได้ครอบครอง แต่กระนั้นสารินก็เดาไปว่านี่คืออาการหวงพี่ชาย จะหายได้ก็คงต้องยกพี่ใส่พานถวายไป และนั่นทำให้เขาพูดเปรยๆกับพี่สนไปว่าอยากให้คบกัน…


“…”


“สา…คงไม่ควรมายุ่งสินะ”


“ไม่หรอก ฉันก็น่ารักดี”  เขาพูดแค่นี้ แต่ใจของสารินนั้นไม่ดีตั้งแต่เริ่มพูดออกไปแล้ว กลัวเขาโกรธ กลัวเขาเกลียด กลัวเขาหาว่าวุ่นวาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด…มันมีบางสิ่งที่ละไว้ แต่สาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน


ก่อนจบคอร์ส สาเดินเข้ามากอดกันทั้งน้ำตา สารินตกใจทำอะไรไม่ถูก กำลังจะเอ่ยปลอบ ทว่าฉันกลับบอกสิ่งที่ทำให้ตัวเองเป็นเช่นนี้ให้กระจ่างใจ


ฉันคบกับพี่สนแล้ว…


“….”


“เราดีใจมากๆเลยสา”  ดูจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข สารินก็คิดว่าตนไม่ควรปล่อยให้สีหน้าของตนเป็นแบบนี้ คนตัวเล็กคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา


“เราดีใจด้วยนะ”  สาดีใจกับฉันจริงๆ  และดีใจกับพี่สนด้วย


คนทั้งสองเหมาะสมกันมากๆ


หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย สากับฉันก็ได้มาเรียนที่เดียวกัน ด้วยเพราะพี่สนจะต้องมาเจอฉันบ้างเป็นบางครั้งและเราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาจึงอาสามาส่งที่มหาวิทยาลัย ในตอนนี้ก็มีหลายคนที่รับรู้ว่าสานั้นอยู่บ้านเดียวกันกับพี่สน แต่ไม่มีใครทราบว่าในฐานะน้องชาย พอมีคนถามตนก็จะบอกว่าผู้อาศัย แต่พอถูกฉันแย้งไป สาก็ได้แต่ห้าม


“ทำไมล่ะสา!”  เพราะฉันรับรู้มาตลอดว่าสารินเป็นน้องชายของสนธยา แต่ว่าฉันไม่เคยรู้ว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเลย


พี่สนอยู่ในเผ่าพันธุ์หมาป่าที่มีความเป็นอัลฟ่า
แต่สาเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา…มีลักษณะพันธุกรรมคล้ายคลึงกับโอเมก้าเท่านั้น…


“เราไม่อยากให้ใครใช้เราเข้าหาพี่สนน่ะ”  ได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ไม่กล้าสบตากลับ เพราะตนเคยเป็นคนหนึ่งที่ทำแบบนั้นและสารินก็รู้ดี  “แต่เราชอบฉันมาก ถึงขนาดคอยเชียร์ให้เช้ากลางวันเย็นเลยนะ”  เลยไม่ปล่อยให้เพื่อนต้องรู้สึกแย่นานๆ สาชอบฉันจริงๆ และแคร์มากๆด้วย


“สาเป็นคนดีมากๆเลย” ฉันพูดออกมา ในตอนแรกเขายอมรับว่าเข้าหาเพราะว่าอยากใช้ประโยชน์  และตอนนี้ก็กล้ายอมรับตรงๆพร้อมตักเตือน  “แต่ดีแบบนี้ใครๆก็อยากใช้ประโยชน์นะ”  คำพูดของฉันนั้นทำให้สายิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร เพราะในใจได้ตอบแทนไปหมดแล้ว


ก็เพราะสาเกิดมามีประโยชน์ให้คนใช้อย่างไรเล่า


อยู่กับฉันนั้นสบายใจอยู่อย่าง เราเป็นคนที่เอ๋อๆอยู่เหมือนกัน เพื่อนในกลุ่มที่มหาลัยนอกจากฉันก็มี แต่สาก็สบายใจที่จะอยู่กับฉันที่สุด เราสองคนอยู่ด้วยกันจนแทบถูกเรียกว่าแฝด ด้วยขนาดตัวที่เล็ก และลักษณะการพูดที่คล้าย จริงๆสารินเป็นเช่นนี้อยู่แล้วแต่ก็ต้องยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากตัวฉันมาเยอะ ทำไปทำมาจึงกลายเป็นคนที่คล้ายกันโดยปริยาย


จะว่าสาเลียนแบบฉันก็ได้ มันไม่ผิดนัก แต่สานั้นรู้สึกสบายใจมากกว่าที่ได้พูดมากๆออกมาในเมื่อมีคนรับฟัง แต่ก่อนที่ตนอยู่เงียบๆเพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ทันคนอื่น ไม่เข้าใจและคล้อยตามได้ง่ายจึงพยายามทำให้ตัวเองไม่โดดเด่นเพราะไม่ต้องการแปลกแยก แต่ดูเหมือนว่าฉันจะรับได้กับการที่เพื่อนเป็นคนช้าไปเสียทุกอย่างรวมถึงเอ๋อเกินความจำเป็นเช่นนี้


เพราะจริงๆฉันก็เอ๋อ แต่สาเหมือนจะเอ๋อมากกว่าในบางครั้ง


“อยู่กับสาแล้วสบายใจว่าอย่างน้อยก็มีคนเอ๋อเหมือนเราหรือว่าเอ๋อกว่าเรา”  สาใช้เวลาประมาณหนึ่งนาทีในการประมวลผลก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกาย ฉันอมยิ้มไว้กลั้นขำจนตัวเกร็ง


“ฮ่าๆๆๆๆๆ”  สาเลยช่วยปลดปล่อยมันออกมาด้วยการหัวเราะก่อนและเราก็หัวเราะไปด้วยกัน มาถึงตรงนี้ตนก็รู้สึกเหมือนในเรื่องร้ายๆ ฟ้าได้ประทานพรมาให้ แม้จะเหมือนเสียอะไรบางอย่างที่ระบุชื่อไม่ได้ แต่การมีเพื่อนที่เข้าใจและคอยปกป้องคุ้มภัย สาก็คิดว่ามันอาจจะคุ้มค่าหากต้องสูญเสียบางอย่างนั้นๆ


จนกระทั่งความจริงบางอย่างถูกพูดถึง…


“สน…น้องฉันเป็นคนน่ารักนะ แม่เพิ่งทราบว่าสนคบกับน้องฉัน” ในตอนดึกที่ทุกคนคิดว่าสานั้นหลับไปแล้ว ใครบางคนกำลังพูดคุยกันที่ห้องครัว ทว่าที่พวกเขาไม่รู้คือสายังไม่หลับ และแอบมาหาของกินกลางดึก


“ครับ ก็…คบกันมาได้สักพักแล้ว”


“น้องฉันนี่ เป็นเพื่อนสนิทของน้องสาด้วยใช่ไหม”


“ครับ พวกเขาสนิทกัน”


“สน…” คุณแม่ดูเหมือนจะลำบากใจไม่น้อยที่จะพูดออกมา  “จริงจังกับน้องหรือเปล่าลูก”  คำถามนั้นทำให้คนที่แอบฟังใจเต้นแรง เผื่อๆอาจจะแรงกว่าคนที่ถูกถามด้วยซ้ำ


“ผม…” เขาดูสงบนิ่งไม่ได้วุ่นวายใจแต่อย่างใด “ก็ไม่ได้ขนาดนั้นครับ” หัวใจของสาเหมือนจะเต้นแรง ทั้งปวดร้าวแต่ก็ลิงโลด เจ้าตัวก็บอกไม่ถูกกว่าคนเราสามารถเป็นเช่นนี้ได้เพราะคำพูดเดียว


“สนแม่ขอร้องอย่าทำแบบนี้ ถ้าเลิกกันไปแล้วน้องสากับน้องฉันจะมองหน้ากันติดไหม”  และนี่ทำให้หัวใจคนฟังเต้นแรง


“แต่ฉันเป็นแวมไพร์”


“…”


“มันอันตรายกับฉันเกินไปที่จะเกี่ยวข้องกับผม”  ฉันเป็นแวมไพร์…


และนั่นคือสิ่งที่สารินไม่เคยทราบมาก่อนเลย


เผ่าพันธุ์แวมไพร์นั้นวิวัฒน์จนเรียกได้ว่าเกือบจะกลมกลืนไปกับมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์หมาป่าที่ทางสารินคุ้นเคยก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่แบบฉันนี่มันจะเนียนเกินไปแล้ว อยู่ใกล้ชิดถึงเพียงนี้แต่ว่าไม่เคยรับรู้อะไร ว่าแต่พี่สนไปรู้ได้ไงหรือว่าฉันเป็นคนบอกกัน ทว่าเมื่อสาสังเกตเองดีๆก็จะคล้อยตามข้อสันนิษฐานของสนธยาไม่ยาก ฉันชนกไม่ใช่คนเลือกกินมาก แต่เป็นคนที่อร่อยก็ไม่บอกอร่อย หรือห่วยแตกก็สามารถกินได้เป็นปกติมากๆ!


เท่าที่สารินรู้ แวมไพร์จะมีต่อมรับรสที่แย่มาก พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยกับอาหารแต่มีปฏิกิริยาเหมือนมนุษย์ทุกอย่างหากรับประทานอะไรที่เป็นพิษกับร่างกาย ฉะนั้นมันจึงอันตรายมากๆ แต่ไม่วายสารินที่นึกสงสัยก็เลยทดลองอะไรบางอย่างไปเพื่อให้รู้ว่าจริงหรือไม่


ด้วยการคั้นน้ำมะนาวแบบไม่ผสมอะไรไปให้ฉันกิน…
หรือการเอาน้ำเกลือให้ฉันกินเพราะเจ้าตัวเป็นแผลร้อนในในปาก


“…”  ฉันดื่มมันได้หน้าตาเฉยมาก ของพวกนี้มนุษย์ล้วนกินแล้วโวยวายจะเป็นจะตายทั้งนั้น สาถึงกับจะร้องไห้ออกมาแทน นี่เพื่อนสนิทของตนเป็นแวมไพร์จริงๆเหรอนี่


“วันก่อนที่ให้กินน้ำเกลืออ่ะ เราแสบแผลมากๆเลย”  ฉันพูด  “แต่วันต่อมาคือหายเลยนะ เวิร์คมากสา แนะนำให้แจกสูตร”  จริงๆแล้วน้ำเกลือมีไว้ให้บ้วน แต่สาคนเลวเอามาให้กิน ถ้าฉันรู้ต้องด่ากันว่าเอ๋อจนไม่เกรงใจไตวายๆของเพื่อนสักนิด แต่ณ.จุดๆนั้นสารินก็ย้อนเวลากลับไม่ได้แล้วไง ในเมื่อเขามีเพื่อนเป็นแวมไพร์


และแวมไพร์กับหมาป่าซึ่งเป็นพี่ชายของสา…
ก็ไม่ควรจะถูกกัน?!


Talk:
น้องสาก็ร้ายตาใสนะ ทำกับน้องฉันด้ายยยยยย
ช่วงนี้จะให้เห็นเรื่องพัฒนาการความเป็นเพื่อนของสองคนนี้ค่ะ พี่สนจะค่าตัวแพงหน่อย
จนน่าคิดว่าฉันสาก็น่าสนเหมือนกัน ว่าแต่มีคนเข้าใจเรื่องโอเมก้าของเราไม่เอ่ย
โลกในจักรวาลนี้คือเป็นช่วงที่เกิดการกลายพันธุ์ของโอเมก้าและอัลฟ่าค่ะ สภาพสังคมมันก็เลยไม่เหมือนเดิมแต่หลายคนก็ยังนำแนวความคิดเดิมๆมาใช้อยู่ทำนองนี้ จริงๆหลายเผ่าพันธุ์เองก็ผ่านคนละวิกฤต อย่างที่พี่ไพร์มของเราพยายามต่อยอดธุรกิจไงคะ555
ฝากติดตามน้องสานะคะ น้องเป็นคนคิดมาก แต่น้องไม่ได้เข้าใจยากหรอกค่ะ
@reallyuri #คู่กินคู่กัด




















ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องสาก็แสบบบบ เอาน้ำเกลือให้เพื่อนกิน5555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 ขำการทดลองของสาจ๋า เอาน้ำเกลือไปให้ฉันที่กำลังเป็นแผลร้อนในอยู่กินซะงั้น 5555555555555

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
12

สน xสา


ฉันและสาคบกันด้วยความจริงใจ
แต่ใช่ว่าจะพูดความจริงต่อกันทุกเรื่องไป


อย่างน้อยวันนี้สารินก็ได้รับรู้แล้วว่าคนรักของพี่สนเป็นแวมไพร์ และในฐานะเพื่อนที่ควรจะเปิดเผยทุกสิ่ง วันนี้ได้มารับรู้แล้วว่าจริงๆฉันก็ไม่ได้เปิดเผยทุกอย่าง แต่ว่าจะให้มาเคืองโกรธก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะสาเองก็ไม่ได้อยากบอกใครว่าเกี่ยวข้องกับพี่สนอย่างไร ฉันเป็นเพื่อนที่ดี แต่มันจะดีไปเรื่อยๆถ้าตอนนี้เรายังไม่รู้เรื่องของกันให้มากนัก


ทว่าสาก็เหมือนจะลืมไปเลยเรื่องที่พี่สนมีแผนจะถอยห่างจากฉัน คงเพราะว่าตนมัวแต่ตื่นตะลึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าฉันเป็นอมนุษย์จึงไม่ได้ใส่ใจในหัวข้อนั้น เมื่อมาคิดดูใหม่เรื่องนั้นมันสำคัญมาก เพราะอาจจะส่งผลให้ฉันเสียใจ…


“พี่สนไม่ลงไปหาฉันเหรอครับวันนี้”  สาที่นั่งรถมากับสนธยานั้นเอ่ยถาม ปกติแล้วตอนที่ยังไม่ถึงเวลาเรียนก็มักจะไปกินข้าวกับฉันตอนเช้าด้วย


“ไม่ล่ะ”  เขาตอบกันสั้นๆ และสาก็ไม่ดันทุรังรั้งไว้อีก


หลังจากลงจากรถเขาก็เคลื่อนตัวออกไป สารินนั้นตั้งใจจะไปหาฉันที่รออยู่ที่ใต้ตึกคณะ ทว่าขณะที่กำลังจะเข้าไปทักทุกคนสองขาก็ชะงัก เพราะสายตาที่กังขาและดูไม่เป็นมิตรแบบที่สาไม่ค่อยแน่ใจนั้นจ้องมองมา มันเกิดอะไรขึ้นกันเหรอ? สาอยากถาม แต่ไม่ได้เอ่ยปากออกไป จนกระทั่งฉันที่ก้มหน้าอยู่หันมามอง


ดวงตาแดงก่ำนั้นฉายบางอย่าง ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นและเดินหนีไป


“สะใจแล้วล่ะสิ”  ใครสักคนเหมือนตะโกนใส่สาประมาณนั้น ทว่าสติของตนเหมือนจะหลุดลอยตามฉันไปถึงไหนต่อไหน จริงๆทุกคนตรงนี้ก็เป็นเพื่อน แต่ฉันสำคัญที่สุดสาจึงไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับใครและเดินตามไป


“ฉัน”  ทว่าเจ้าของชื่อไม่ได้มีแนวโน้มจะหยุดเดินแม้แต่นิดเดียว  “เราทำอะไรผิด”  แต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ฉันก็หยุดนิ่ง หรือว่าสารินจะทำอะไรผิดจริงๆ ผิด…เสียจนฉันชนกไม่อยากจะอภัย


“ช่างเถอะสา” เหมือนเสียงที่เปล่งออกมาจะสั่นเครือเต็มที แต่ก่อนที่จะได้สอบถามหรือปลอบโยนอะไร  “พี่สนขอเลิกกับเราแล้ว”  และนั่นเองก็เหมือนจะเป็นคำที่ทำให้โลกทั้งใบ…พังครืนลงมาชั่วพริบตา


สองขาของสานั้นหยุดชะงัก ไม่กล้าที่จะเดินตามไปไขว่คว้าร่างของเจ้าของแผ่นหลังที่คุ้นตา ฉันอาจจะไม่ใช่เพื่อนคนแรก แต่เป็นคนที่รู้สึกแคร์ที่สุด เรื่องพี่สนเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังและน่าเสียใจ แต่กระนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้าแวมไพร์น้อยจะรู้ไหมว่าตัวสานั้นก็ควบคุมอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับพี่สน และพี่สนคงคิดมาดีแล้วเพราะมันน่าจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเผ่าพันธุ์


แต่สานั้นก็ไม่สามารถจะเอ่ยออกไป…


วิชาเรียนเช้านั้นสาเลือกที่จะไม่เข้าและพาตัวเองไปหลบในมุมหนึ่งของห้องสมุด เวลาผ่านไปช้าเนิ่นนาน ข้าวปลาอาหารตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้กิน สารินบอกไม่ได้ว่าตนเจ็บปวดขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่การที่ต้องมารับรู้ถึงความผิดหวังของเพื่อนแต่มันมีเรื่องที่เหนือกว่านั้นที่ตนระบุไม่ได้ อาจจะเพราะเชื่อมั่นในตัวพี่สนกว่าใคร


และเขาก็ทำให้เห็นว่ากับบางอย่างที่สามั่นใจเขาก็ทำลายมันได้ในพริบตา


เมื่อเช้านี้ตอนที่ถามว่าจะลงไปเจอฉันไหมและเขาตอบว่าไม่ มานึกทวนดูมันช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน แต่มันก็เหมาะสมแล้วในเมื่อเลิกกันก็ไม่ควรจะมาเจอะเจอ ทว่านึกขึ้นมากี่ครั้งก็ยังขนลุกไปทั่วทั้งกาย กับฉันที่คิดว่าสำคัญกับเขามากยังทำได้ขนาดนั้น และใครไหนอื่นกันที่ไม่สำคัญเท่า จะโดนขนาดไหน


และเราควรรู้สึกอย่างไรที่ไม่มีค่าแม้แต่หางตามอง


ช่วงบ่ายที่มีคาบในชั้นเรียนรวม สาที่นั่งกินข้าวคนเดียวใต้ตึกคณะอื่นเกิดอาการไม่อยากอาหารขึ้นมา ฝืนกินไปได้ไม่มากก็วางช้อนส้อม ทว่าตอนที่กำลังจะลุกไปเก็บของ ใครสักคนที่คุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้ก็เดินเข้ามาทักทาย


“สาริน…สารินใช่ไหม”


“อา…หวัดดี” สารินจำได้ว่าเราอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่คนละห้องและอยู่คนละคณะ ดูจากเครื่องแต่งกายแล้ว นี่เราคงกินข้าวอยู่ใต้คณะเขาพอดีจึงบังเอิญได้เจอ


“กินเสร็จแล้วเหรอ นี่เราก็กะว่าจะไปเรียนที่คณะสาพอดี” 


“ลงวิชาเบสิคของคณะเราไว้เหรอ”


“อืม สาก็เรียนวิชานั้นป่ะ เราว่าเคยเห็นนะแต่ไม่กล้าทัก”


“อืม เราก็มีเรียนบ่ายเหมือนกัน”


“ถ้างั้นไปด้วยกันไหม เดี๋ยวเราว่าจะขับรถจักรยานไปพอดี”  และสาก็คิดว่ามันคงไม่อะไรหรอกที่จะซ้อนจักรยานคนอื่นไป อย่างน้อยก็เพื่อนโรงเรียนเดียวกัน


ทว่าเมื่อมาถึงที่ห้องเรียนรวม ความกล้าที่พยายามรวบรวมมาตลอดช่วงเช้าก็อันตรธานหายไป จากตรงนี้สาเห็นเพียงแค่แผ่นหลังเล็กๆของฉันที่ถูกนั่งประกบโดยเพื่อนคนอื่นในกลุ่ม ดูแล้วไม่มีที่ว่างตรงไหนให้ตนได้แทรกไปหา และมันเหมือนจะกลายเป็นว่าที่นั่งของสาได้หายไปโดยปริยาย เพราะปกติสาจะนั่งอยู่ริมสุด ที่ซึ่งมีฉันเท่านั้นที่นั่งข้างๆ


“นั่งด้วยกันไหมสา”  เพื่อนเก่าที่กลายมาเป็นเพื่อนใหม่นั้นเอ่ยชวน เขาคงไม่รู้เรื่องอะไรแต่เห็นสารินยืนนิ่งนานแล้วจึงเอ่ยชวน สาเลยเลือกที่จะนั่งกับกลุ่มนี้


ทว่าบทเรียนอะไรก็ไม่ได้เข้าหัวเลย สารินเดินออกมาหมายจะสูดอากาศข้างนอก แต่ก็จบลงด้วยการขังตัวเองไว้ในห้องน้ำ และเลือกห้องน้ำได้ผิดมากเพราะมันติดกับห้องน้ำหญิงและมักจะได้ยินอะไรแบบที่ตัวเองไม่ค่อยสะดวกใจสักเท่าไหร่


“เห็นอีสาไหมวันนี้ มันไปนั่งกับผู้ชายวิศวะด้วยนะ ว่าแต่หล่อเหมือนกันนะ”


“แรดจริงๆ ฉันมันไม่บอก แต่ก็รู้แหละว่ามันไปเป่าหูพี่สนให้เลิกกับฉัน ทำกับเพื่อนได้ลงคอนะ”


“มันจะทำไปทำไมล่ะ”


“ว่าป่ะว่ามันอยากได้พี่สนเองแต่เขาไม่สนใจไง เลยมาตีซี้กับฉันมันจะได้คอยกันท่า”


“แต่มันอยู่บ้านเดียวกับพี่สนนะ”


“บ้านเดียวกันแล้วไง เขาไม่เอามัน มันเลยกะไม่ให้เขาได้กับใคร”


“เออว่ะ แต่เป็นกูก็ไม่ให้หรอกนะเนี่ย ใครๆก็อยากได้พี่สนทั้งนั้น กูยังอยากเลย”


“เออ! จริงๆก็สมน้ำหน้าฉันมัน อวดนักหนาว่าได้เป็นแฟนกับหนุ่มหล่อของมหาลัย  พี่สนไม่เหมาะกับใครค่ะ เขาเหมาะกับกู”  สาที่รับฟัง…บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรหรือทำเช่นไรต่อไปดี สากลายเป็นคนผิด ฉันกลายเป็นเหยื่อ


ปวดท้องมากๆ สารู้สึกเหมือนจะไม่สบายเข้าจริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยโดดเรียนมาก่อน แต่ครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าตนจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เมื่อรวบรวมความกล้าเท่าที่มีก็เดินกลับไปที่ห้องเรียนและขอกระเป๋ามา บอกกับเพื่อนใหม่ว่าไม่ค่อยสบาย และเพราะใบหน้าที่ดูซีดเซียวแบบนั้น เพื่อนคนนั้นจึงอาสามาส่งที่บ้าน โดยปกติแล้วสาไม่อยากเปิดเผยว่าตนอาศัยที่ไหน แต่สภาพแบบนี้ก็ไม่อาจจะฝืนทนได้เช่นกัน


“ตายแล้วน้องสาเป็นอะไรคะนี่”  ทันทีที่มาถึงบ้าน เพื่อนที่ชื่อ ‘ธนน’ ก็ช่วยพยุงเข้ามาข้างใน คุณแพรวรรณมาเห็นพอดีจึงเดินเข้ามาหา สีหน้าของเธอดูร้อนใจ


“สาไม่ค่อยสบาย ปวดท้อง”  น้ำเสียงที่เปล่งออกมายากเย็นนั้นขัดแย้งกับเหงื่อที่ผุดพราย


“ผมจะพาไปโรงพยาบาลแล้วครับ แต่สาไม่ยอม”


“ดื้อจริงๆลูกคนนี้”  คุณแพรวรรณหันไปขอบคุณธนน เธอกำลังจะเรียกแม่บ้านให้ไปตามคนรถ ทว่าเพื่อนของสาก็ยังพยายามจะขอไปส่ง และไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่…


ที่สนธยามาพบเข้าพอดี…


“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”


“สนลูก น้องสาเป็นอะไรไม่รู้”  เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย สารินนั้นหลับตาลงไม่อยากรับรู้สิ่งใด ล้าเกินกว่าจะคิดแล้ว จะลากไปไหนก็ขอให้ลากไปเลย


“ผมพาไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ”  ธนนยังคงยืนกราน ทว่าสนธยากลับขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ อยู่ๆเข้ามาบ้านคนอื่นและจะพาคนในบ้านไปโรงพยาบาล มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?


“เดี๋ยวพวกเราพาไปเองได้”  ในห้วงสติของสารินได้ยินเสียงเรียบนิ่งของเขากล่าวเช่นนั้น


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวเราพาน้องสาไปเองได้ ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลมาถึงที่นี่”  เมื่อผู้อาวุโสซึ่งมีสิทธิ์ขาดในตัวสาเอ่ยออกมา ธนนก็ต้องยอมรับเช่นนั้นเพราะอย่างไรทางนี้ก็คือครอบครัว และเขาคือคนนอกที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านสถานะคนรู้จักเลยด้วยซ้ำ


ไม่รู้ว่าคนอื่นๆตกลงกันอย่างไร ร่างของสารินก็เอนตัวลงกับโซฟา ทราบว่าคุณแม่ไปหยิบกระเป๋าและเปลี่ยนเสื้อผ้า ในขณะที่ธนนนั้นกลับไปแล้ว สารินหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน อาการปวดบีบที่ท้องทำให้ตนไม่อยากขยับสิ่งใดแม้แต่เปลือกตา ทว่าผมม้าที่ปรกใบหน้าก็น่ารำคาญ ยิ่งเหงื่อออกมาก มันก็ยิ่งขัดใจ


ทว่าในขณะที่กำลังวุ่นวายไม่สบายตัว ความอบอุ่นที่แผ่วเบาหนึ่งก็มาช่วยเกลี่ยผมม้าน่ารำคาญนั้นให้ ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสของผ้าที่ซับลงบนหน้าผากและใบหน้าอย่างอ่อนโยน ความเย็นสดชื่นของน้ำจากผ้าบิดหมาดทำให้รู้สึกดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง สารินลืมตาขึ้นมามองก่อนจะปิดตาลงเมื่อได้รับรู้ว่าเป็นฝีมือใคร จนถึงตอนนี้เจ้าตัวก็คิดว่าต่อให้ต้องตาย


ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายชีวิตแล้วล่ะ


“ตายแล้วตาสน อุ้มน้องดีๆ”  ร่างทั้งร่างลอยหวือไปอยู่ในอ้อมอกใครสักคน และเมื่อคุณแม่ร้องเรียกชื่อนั้นก็ทำให้สาคิดว่าไม่ต้องตื่นขึ้นมาเลยดีกว่า หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักย้อนแย้งกับอาการปวดที่ท้อง รู้สึกผิดกับตัวเองและกับฉันชนกขึ้นมาอย่างทวีคูณที่ในตอนนี้ตนควรจะโศกเศร้าหรืออาลัยไปกับฉัน ทว่าใจเจ้ากรรมดันมาเต้นแรงเพราะถูกเช็ดหน้าและจับอุ้ม!


“ผมไม่ทำน้องตกหรอกครับ”  แล้วเมื่อไหร่สารินถึงจะหลุดพ้นจากบ่วงนี้ สวรรค์กะให้เขามองหน้าฉันชนกไม่ติดเลยใช่ไหม…


เครียดลงกระเพาะ โรคใหม่ในสารบบความทรงจำของเจ้าตัว…หลังจากมาพบแพทย์ สอบถามอาการ ไปจนถึงวินิจฉัย สารินรับทราบได้ถึงกระแสกดดันทางสายตาของผู้มาด้วยอย่างบอกไม่ถูก มันรุนแรงจนกระทั่งคุณหมอที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณแม่กล่าวหยอกอย่างไม่รู้เวลาว่ายังไม่ถึงตาย แต่กระนั้นแววกดดันก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย จนทำให้คนป่วยยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้วุ่นวาย


“อย่าทำหน้าแบบนี้นะตาสน น้องเป็นเครียดลงกระเพาะนะไม่ใช่มะเร็ง และถ้าสนยังทำอย่างนี้ แม่ก็กลัวว่าสาจะไม่หายนะ น้องกลัวแล้ว ถ้าน้องเครียดไม่หายจะทำยังไง”  คุณแม่พูดถูก เรื่องที่เครียดนั้นมันเพราะสนธยาเต็มๆและถ้าหากเขายังทำหน้าเครียดแบบนี้ นอกจากเครียดเรื่องเขาแล้ว จะไม่ปล่อยให้สาคิดเรื่องคนอื่นเลยหรือไง


เสียงถอนหายใจดังขึ้น สาที่เลื้อยไปกับเบาะหลังรถนั้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม้ว่าตนจะเกรงใจเขามาก ทว่าวันนี้ก็ไม่พอใจเรื่องฉันมากเหมือนกัน แต่เพราะเราไม่ค่อยได้พูดคุย เลยไม่แม้แต่จะเคยโต้เถียง ดังนั้นการจะประท้วงให้กับสิ่งที่ตนไม่พอใจคงมีแค่เงียบและถอยห่างออกมาเท่านั้น แม้ตอนนี้ในทุกๆวันตนก็ทั้งเงียบและไม่เคยอยู่ใกล้เขาอยู่แล้วก็ตาม


ในวันต่อๆมาสารินก็ยังขอลาหยุดและเพราะลูกยังป่วยจริงๆคุณแพรวรรณก็ไม่ซักถามอะไร แต่จากวันนั้นจะมีใครสักคนไหมที่สังเกตเห็นท่าทางที่แปลกไป นอกจากสารินจะไม่ค่อยพูดคุยกับใครแล้ว ก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าหรือทำเหมือนว่าสนธยามีตัวตนบนโต๊ะเดียวกันอีกเลย


แต่คงไม่มีใครสนใจตรงนี้ เพราะแต่เดิมทีสารินก็ไม่เคยคุยกับสนอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่มื้อนั้นแต่ยังมีมื้ออื่นๆอีก และอย่างที่คิด ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ความไม่พอใจของสารินเป็นสิ่งที่เงียบงันและคงไม่มีใครรับรู้ แต่จริงๆแล้วสาคิดผิด มีคนหนึ่งแน่ๆที่รู้ และเขาคือคู่กรณี


“ทำไมไม่ไปมหาลัย”  เขาเดินเข้ามาหาที่ห้อง นี่คือครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาในห้องนี้ และเป็นครั้งแรกที่สารินชักสีหน้าใส่อย่างไม่เก็บแต่อย่างใด


“สาไม่สบาย”


“ไม่ใช่ว่าหลบหน้าใครงั้นเหรอ”  สิ่งที่เขาพูดมันทิ่มแทงใจเกินไป แต่สาก็ไม่ได้ยอมรับออกมา  “ไปมหาวิทยาลัย พี่ไปส่ง”  เขามาพูดแค่นี้ แต่สาก็รู้ดี นี่ไม่ใช่แค่การมาบอก แต่คือการบังคับ!


และผู้อาศัยอย่างตนจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อเจ้าของบ้านสั่งมาแบบนี้ย่อมต้องทำตาม และเราก็ไม่พูดอะไร บางทีเขาอาจจะอยากเตะส่งกันออกไปเมื่อเทียบรถจอดที่คณะ ดังนั้นจึงไม่รอให้เขาไล่ สารินจึงลงไปและเดินหนีโดยที่ไม่หวนหันกลับมามองอีกครั้งแม้แต่น้อย


ทว่าเมื่อได้มาเหยียบพื้นที่ลานใต้ตึกคณะจริงๆและเห็นกลุ่มเพื่อนที่นั่งด้วยกันทั้งหมด ยังไม่ทันได้รู้ว่าฉันอยู่ไหม ความกลัวที่เพิ่งเข้าโจมตีก็ทำให้ต้องถอยหลังหนี ทว่าจะมีกี่ที่ในมหาลัยที่ต้อนรับให้ตนไปกัน และหนึ่งในนั้นที่สาเคยใช้ ก็มีเพียงแค่ห้องสมุด


วันก่อนสาพยายามติดต่อฉันแล้ว แต่อีกฝ่ายตัดสายทิ้ง แค่นี้ก็เพียงพอให้ตนหยุดและทำใจว่าบางทีอาจจะเสียเพื่อนดีๆไปจริงๆ ฉันเป็นคนน่ารักมากๆ แต่ว่าถ้าเราไปกันไม่ได้ก็คงต้องยอมปล่อยไป สารินควรสำนึกอยู่ในใจว่ากับเพื่อนคนอื่นในกลุ่ม ฉันสนิทกับคนอื่นมากกว่าตน และเพราะได้ยินคำพูดของพวกผู้หญิงวันนั้น มันยิ่งทำให้ไม่อยากกลับไปอยู่ในกลุ่มนั้นอีก ความคิดของพวกเธอน่าขยะแขยงเกินไป แม้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามาเป็นเพื่อนกันได้มันก็น่าขยะแขยงก็ตาม


ฉันใช้สาเข้าหาพี่สน
และเพราะพี่สนก็ทำให้สาพยายามยึดฉันไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว


แต่กระนั้นก็ยังอดเป็นห่วงฉันไม่ได้ แม้ว่าจริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้น แต่คนที่คิดกับเพื่อนแบบนั้นลับหลังทว่าต่อหน้าแสดงว่ารักมากมาย สาว่าอย่างนี้อาจจะเป็นอันตรายมากกว่า น่าเสียดายแต่ว่า…สาคงไม่มีโอกาสได้อธิบายหรือช่วยฉันกับอะไรเหล่านั้นได้เลย


“สา…”  เสียงเรียกของธนนดังขึ้น เขาเองก็มาที่ห้องสมุดเหมือนกันและนี่คือความบังเอิญที่ทำให้เราได้มาเจอ  “หายดีแล้วเหรอ”


“อืม ดีขึ้นแล้ว”  สาตอบ รอยยิ้มยังดูเหนื่อยๆ ไม่ใช่เพราะอาการป่วยกายแต่ป่วยใจ ซึ่งแน่นอนว่าเครียดลงกระเพาะมีสาเหตุมาจากตรงนั้น


“กินข้าวตรงเวลาหรือเปล่า นี่จะเที่ยงแล้ว ไปกินกันไหม”  และมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ให้ปฏิเสธ ในเวลานี้แม้ไม่ได้อยากระบายเรื่องทุกข์ใจให้ใครฟังแต่ก็ยังต้องการใครสักคนอยู่ดี


ทว่าเพราะวิชาเรียนที่มีต่อจากนี้ทำให้เราสองคนต้องมากินข้าวใต้ตึกของสา ในระหว่างที่เดินมาหยิบช้อนก็ได้บังเอิญเจอคนที่ไม่คิดว่าพร้อมจะพูดคุยหรือไม่ ทว่าเราเพียงจ้องหน้ากันไปไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉันหลบตาและหันหลังให้ อาจจะเพราะธนนนั้นเดินมาหาสาในตอนนี้เช่นกัน


“รีบกินเถอะ”  ถึงแม้จะรู้สึกจุกและวูบโหวงแค่ไหนแต่สาก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดนั้น ภายนอกสาอาจจะเชื่องช้าไม่ทันใจใคร พูดจาก็เลอะเทอะจนเรียกเสียงหัวเราะเพราะความเด๋อด๋าไม่เป็นงานอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆสารินก็อยากจะเชื่อว่าตนเข้มแข็งกว่าที่เห็นภายนอกนัก ด้วยประวัติศาสตร์ทางชาติพันธุ์ แม้ว่าโอเมก้ากลายพันธุ์จะไม่มีฮีทหรือกลิ่นจำเพาะอะไรเช่นนั้น แต่ว่ากันด้วยตามเชื้อสายแล้ว พวกเราถือว่าแข็งแกร่งมากๆ


ภายใต้ความอ่อนแอทางกาย แต่พวกเรามีความเข้มแข็งทางใจเพราะถูกกดขี่มานานนม สารินที่ในวัยเด็กต้องเผชิญความรุนแรงทั้งกายและวาจา อีกทั้งการเห็นภาพสังคมแบบที่เด็กคนหนึ่งไม่ควรได้รับรู้นั้นทำให้ตนปลุกใจขึ้นมาได้ใหม่ จะอย่างไรก็ไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น เพราะที่ว่าลำบากมากนักก็ผ่านพ้นมันมาได้หมดแล้ว!


ที่ใครต่อใครบอกว่าสารินนั้นช่างไร้เดียงสามองโลกในแง่ดี ทว่าในความเป็นจริงตนแค่พยายามจะเป็นคนเช่นนั้น แม้จะเด๋อๆด๋าๆเป็นที่น่ารำคาญแต่ว่าไร้เดียงสาอะไรนั่นไม่ใช่เลย เพราะสาที่กร้านโลกแบบนั้นไม่เป็นที่รักของคุณแพรวรรณแน่ๆ


ความรักที่พวกเขามีให้ปลูกปั้นกันให้เป็นแบบนี้ มันก็มีหลายครั้งที่ตนเลือกจะเมินเฉยต่อบางสิ่ง ยอมทิ้งผลประโยชน์บางอย่างเพียงเพื่อที่ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะยังคงไว้ จนถึงตอนนี้ชีวิตที่สงบสุขก็อยู่ตัวแล้ว ก็แค่คงมันไว้ต่อไป ในวันหนึ่งตนก็จะถูกใช้ตามหน้าที่ที่ฟ้าระบุให้เกิดขึ้นมา แม้ว่าโลกนี้จะไม่เหลือโอเมก้าอีกต่อไปแล้ว แต่เผ่าพันธุ์ที่สืบทอดตราบาปเหล่านั้นยังมีหลงเหลืออยู่ และเผ่าพันธุ์นั้น


คือแม่พันธุ์ชิ้นดีที่จะให้กำเนิดมนุษย์หมาป่า


เมื่อถึงตอนนั้นที่ตนถูกส่งไปตั้งครรภ์ให้กับเจ้าบ้านผู้เป็นใหญ่สักหลังจนกระทั่งคลอดเด็กเพื่อคงเผ่าพันธุ์ให้พวกเขา หน้าที่ของเราก็อาจจะสิ้นกันกับบ้านที่อาศัยอยู่ หลังจากเสร็จสิ้นหน้าที่ ถ้าพวกเขาไม่ใจร้ายจนเกินไปก็ว่าจะขอไปดำเนินชีวิตเป็นคนธรรมดา แม้ต้องอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยการศึกษาก็ทำให้ตนมีหนทางไปไม่จบชีวิตเหมือนแม่ที่ต้องขายเรือนร่างและตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนไหน หรืออาจจะตายไปอย่างเดียวดายแล้วก็เป็นได้


ในส่วนของลูก หากให้กำเนิดลูกมนุษย์หมาป่าที่พวกเขาพอใจได้แล้ว เป็นไทออกมาก็ไม่คิดจะมีความสัมพันธ์กับใครและตั้งท้องเพื่อมีลูกที่ไหนอีกเลย คำบอกกล่าวของแม่หรือบรรดาน้าๆในซ่องยังคงก้องหู ครั้งหนึ่งผู้เป็นยายถูกขาย ต่อมายายก็จะขายแม่  แม่นั้นก็เกิดมาเพื่อขายลูก เพื่อให้ลูกนำหลานไปขายอีกที


วงจรอุบาทว์นี่ควรจะสิ้นสุดลงได้แล้ว…


“สากินอีกหน่อยสิ”  ธนนนั้นดูจะห่วงกันไม่น้อยและนั่นทำให้สายิ้มออก เขาก็ดูจะเป็นเพื่อนที่ดีให้ได้ แต่เพราะแผลใหม่ยังคงสดเกินไป ตนจึงไม่อาจจะพูดได้ว่าสามารถเปิดใจในตอนนี้


แต่กระนั้นก็ยังต้องการใครสักคนจริงๆ
ใครสักคนที่ไม่ต้องมารับรู้ก็ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหัวใจที่บอบช้ำ


หลังจากคาบเรียนช่วงบ่ายจบลง สารินก็หายออกจากห้องเรียนไปแทบจะในทันที ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนั้นไปไหน แต่ที่รู้ๆคือมีกลุ่มคนที่ใส่ใจทุกการขยับกายของคนตัวเล็กนั่น ทว่าฉันชนกที่ได้ชื่อว่าสนิทที่สุดก็ยังคงเงียบงัน ไม่ให้ความเห็นหรือร่วมบทสนทนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนคนนั้น เพราะโดยส่วนตัวก็คิดว่าตนก็มีส่วนผิดมากเกินพอ


และกำลังพยายามหาทางแก้ไข


ร่างสูงของนักเรียนรุ่นพี่ต่างคณะเดินเข้ามาที่ใต้ตึก เขาคุ้นเคยกับทางเดินในคณะนี้ดีเพราะครั้งหนึ่งมีเหตุให้ต้องมาเยือนบ่อยๆ ทว่าครั้งนี้เขาไม่มีธุระอะไรกับคนๆนั้นอีกแต่ทำไมยังปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันเล่า และแม้ว่าจะไม่มีธุระดังว่า แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตามหานั้นไม่อยู่ เขาก็เบนเข็มมาหาธุระเก่าๆนั้น


“สาอยู่ไหน”  เขาถามฉัน ทำเป็นไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมาและมั่นใจว่าไม่มีใครกล้ามองเขาอย่างไม่พอใจเท่ากับคนที่หายไปจากที่นั่งประจำนี่ อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด


“สาไม่อยู่”


“เราเห็น สามันไปกับเด็กวิดวะนั่น”  ใครสั่งคนที่อยากมีบทบาทต่อหน้าเขาพูด แต่แววตาที่ตวัดมองมาจากสนธยาทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าตนคิดผิดที่พูดออกไป แม้ว่าจะเข้าถึงยาก แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าเขาเย็นชาหรือน่ากลัวถึงเพียงนี้


“พี่สน…” ฉันเรียก แต่เหมือนจะเป็นเสียงห้ามมากกว่า


“งั้นพี่ไปล่ะ”


“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”  แต่ฉันเหมือนจะไม่ยินยอม ตอนนั้นทั้งโต๊ะดูจะตระหนกมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ ระหว่างหลายวันมานี้แม้พวกเขาจะเพียรพูดอะไร ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นพ้อง ถึงตอนแรกที่เพิ่งจบความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนี้ เจ้าตัวจะร้องไห้และบอกว่าเพิ่งเลิกกัน พอมีคนใจกล้าเอ่ยถามว่าเพราะอะไร ตอนนั้นที่ยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ฉันจึงได้เอ่ยชื่อนั้นไป


ชื่อของเพื่อนรักที่ไว้ใจ…
แต่ก็เป็นเพื่อนคนนั้นแหละที่เป็นหนามยอกใจที่เจ้าตัวรู้ตัวหรือไม่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน




TALK
อย่าโกรธน้องฉันกันเลยน้า น้องก็แค่มีปัญหาของน้อง
เราเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะเคยมีปัญหากับเพื่อน และก็มีที่เลิกคบกันไปเลยหรือกลับมาคบกันได้ใหม่
บางคนกลับมาคบก็สนิทกว่าเดิมหรือรักษาระยะห่างเผื่อไว้ ฉันกับสาก็ต้องมีปัญหากันมาบ้าง
และในเรื่องนี้เราอยากถ่ายทอดอะไรแบบนั้น ก่อนที่จะพูดเรื่องสนสาอย่างเต็มตัวกว่านี้
เป็นตอนที่แต่งแล้วรัวมือมาก ราวกับออกมาจากจิตใจ555
@reallyuri #คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สารันทดจริงๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
13

สน xสา

สายโทรเข้าจากเบอร์ที่ยังไม่ได้ถูกบล็อกเพราะส่วนหนึ่งเจ้าของเครื่องก็หมายใจจะได้พูดคุยเช่นกัน
ทว่าเมื่อเจ้าตัวโทรมาจริงๆนั้น สาก็ลังเลที่จะรับมันในทันที


“ฮัลโหล”  หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน คนที่ตระหนักดีว่าไม่มีอะไรที่จะต้องเสียให้อีกแล้วเพราะได้เตรียมใจมาพร้อมก็ตอบรับ ทว่าความเงียบที่ตอบกลับก็ทำให้หวั่นระแวงว่านี่จะเป็นเพียงการโทรผิด ฉันไม่อยากจะคุยกับสาอีกแล้ว ที่โทรมานี่ล้วนเป็นความผิดพลาด


“สา…”  หรือว่าจริงๆตั้งใจจะโทรมาดุด่า เอาเป็นว่าสาก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น


“อื้ม มีอะไรหรือเปล่า”


“เราได้ยินว่าสาไม่สบาย เข้าโรงพยาบาล”


“อ๋อไม่มีอะไรหรอก ปวดท้องนิดหน่อยไม่ได้นอนโรงพยาบาลด้วย”


“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”


“อื้ม ไม่เป็นไร”


“งั้นก็ดีแล้ว”


“…”


“…”


“สาเราขอโทษ” 


“เราก็ขอโทษ”  สาเองก็พูดออกไป จะอย่างไรคำขอโทษจากคนแบบสาก็ไม่มีราคาค่างวดใดๆ พูดไปก็ไม่เสียหาย แม้ว่าตนจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดตรงไหน เอาจริงๆที่เราอึดอัดกันอยู่นี่ เราทราบกันแค่ว่าเป็นเพราะพี่สน แต่เหตุผลจริงๆที่แน่ชัดคืออะไร ก็ไม่มีใครเข้าใจเหมือนกัน


ฉันเป็นคนขอตัดสาย และสาก็ยินดีให้บทสนทนามันจบลงเสียยิ่งกว่าแม้ที่ผ่านมาจะเฝ้ารอที่จะได้พูดคุย ทว่ามันคงผ่านมานานเกินไป และหัวใจคงบอบช้ำเกินไป ถึงทำให้สาเองก็ไม่คาดหวังที่จะได้รับโอกาสในการพูดคุยปรับความเข้าใจอีกแล้ว ลึกๆแล้วแม้ไม่เชื่อว่ามันยุติธรรมกับทุกฝ่าย แต่ว่าแรกเริ่มเดิมทีก็มีแค่ผลประโยชน์ หากมันจะจบลงก็เพราะไร้ผลประโยชน์นั่นแหละ


“อื้อ นน”  เมื่อวางสายของฉันก็มีอีกสายโทรเข้า สาอาจจะยังไม่เก่งพอขนาดจะมีเพื่อนสนิทคนใหม่


แต่ทว่าคนดามใจก็ไม่แน่…


หลังจากวันนั้นที่ได้คุยกันสาก็คิดว่ามันลงตัวที่สุดแล้วในตอนนี้ โดยส่วนตัวนั้นตนเองไม่ได้ติดค้างอะไร ทว่าถามว่ายังรู้สึกอยู่ไหมมันก็มีอยู่ ความสัมพันธ์กับธนนก็ถือว่าเดินหน้า จริงๆก็รู้ว่าการเข้าหาของเขามันเพราะอะไร แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปิดกั้น


เพราะส่วนหนึ่งตนก็รับรู้ว่าชีวิตเยี่ยงสารินคนธรรมดาใกล้จะหมดแล้ว


“ไง…”  ด้วยความบังเอิญ สารินที่แวะมาซื้อน้ำที่ร้านประจำก็ได้เจอกับฉัน ความกระอักกระอ่วนยังมีให้เห็นได้ชัด แต่ว่า…มันก็เลี่ยงที่จะไม่ทักทายไม่ได้ จะอย่างไรสารินก็เกลียดฉันชนกไม่ลงหรอกนะ ครั้งหนึ่งก็เคยได้ชื่อว่าเพื่อนที่แคร์ที่สุดแคร์มากๆ แม้วันนี้จะยังกังขาที่ว่าตนยังแคร์อยู่ไหม แต่ว่าแค่ทักทายก็นับเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง


“เอาโอรีโอปั่นครับ”  สาสั่งเครื่องดื่มไป แต่นี่ก็ช่วงบ่ายแล้วก็ไม่แน่ใจว่าขายหมดไปแล้วไหมเหมือนกัน


“น้องครับ โอรีโอปั่นหมดแล้ว” นั่นไง


“ง่า…งั้นเอา…”  ทว่ายังไม่ทันที่สาจะเลือกได้


“งั้นสาเอาแก้วของเราไปก็ได้”  ฉันบอก


“ได้ไง!”  สาหันไปว่า


“ได้สิ เราจะกินปีโป้ปั่นกับนมเปรี้ยวแทนแล้ว”


“อันนั้นสาก็อยากกิน”  ถ้าเป็นปกติเราต้องสั่งมาคนละอย่างและก็แบ่งกันกิน ฉันยิ้มให้ และสาก็ยิ้มกลับ วันนี้เราจะไม่แบ่งกัน แต่สาก็รู้ว่าฉันนั้นจะกินอะไรก็ไม่ต่าง


ฉันเป็นแวมไพร์ และแค่นั้นเด็กคนนี้ก็คงทุกข์ใจมากพอแล้ว


“ถ้างั้นพี่ครับผมขอซื้อแก้วเปล่าเพิ่มสองแก้วนะ”  สาหันไปบอกกับพี่เจ้าของร้าน ซึ่งพี่เขาก็งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆ  อืม…ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนไม่ต้องเข้าใจก็ได้ และสาก็ไม่หวังให้ฉันเข้าใจเหมือนกัน ทั้งนี้สิ่งที่ตนทำมันตีความได้หลากหลาย คือหนึ่งไม่อยากติดค้าง และสอง….ไม่อยากให้บรรยากาศที่แบ่งปันกันต้องหายไป


แม้จะไม่มีโอกาสได้นั่งข้างๆและแย่งแก้วของกันและกันมาดื่มชิมแล้วก็ตาม


“เหวอ!” 


“ระวังหน่อยสิ”  ฉันดุ ปล่อยให้สาทำอะไรแบบนี้มันต้องได้เลอะสักทีสิ ว่าแต่เราเป็นธรรมชาติเกินไปไหม นี่กำลังตึงใส่กันอยู่ไม่ใช่เหรอ


“ของฉันน้อยไปไหม เลือกได้นะว่าจะเอาแก้วไหน”  ที่ขอซื้อแก้วเปล่ามาเพราะต้องการจะแบ่งน้ำทั้งสองอย่างออกเป็นสี่แก้ว เพื่อที่ว่าเราจะได้แบ่งกันเอากลับไปคนละสอง ได้กินทั้งสองแบบที่ตั้งใจ


“เราเอาแก้วไหนก็ได้”  มาถึงตรงนี้ความกระหายต่างๆก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว คงจะมีเพียงร้อยพันคำที่ไม่สามารถหลุดถ่ายทอดออกไปได้มากกว่า


“ถ้างั้นเราไปก่อนนะ”  สารินกล่าวลาเพราะเห็นร่างของคนที่คุ้นตากำลังเดินมา


“นั่นเพื่อนสาเหรอ”


“อืม”


“หรือว่ากำลังเดทกับคนนั้นอยู่”  ฉันนี่ถามมากจัง แต่ทำไมไม่รู้สาถึงยินดีจะตอบ


“ก็คุยๆกันอยู่”  สายอมรับ  “ธนนเป็นคนโอเคเลย”


“ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีนะ”  คำนั้นคือคำอวยพรที่แท้จริง ไม่แฝงแววประชดประชัน สารินยิ้มรับคำตามนั้นก่อนจะถือน้ำสองแก้วและเดินจากไป ทิ้งฉันชนกให้มองตามหลังไว้กับถ้อยคำกว่าร้อยพันที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ย


ธนนถูกใจสารินมานานแล้ว จริงๆหลายคนในโรงเรียนก็ชอบเด็กที่มักจะนั่งเงียบๆทำตัวไม่โดดเด่น แต่สารินที่ดูเอ๋อๆไม่ทันคนบางทีก็ตามทันได้ไวอย่างน่าทึ่ง มันยากมากที่จะเข้าหาพร้อมจุดประสงค์ที่แปะที่หน้า แต่คาดว่าแต้มบุญของธนนที่ไม่คาดหวังอะไรในวันนั้น โชคได้หล่นทับในวันนี้


เขามองเพื่อนต่างคณะที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน สารินเพิ่งจะตอบรับคำขอคบกันในวันนี้เอง เขาแค่คิดว่าสาน่ารักดี และช่วงนี้ที่ไม่มีใครก็คิดว่าถ้าได้คุยๆกันไปและถูกใจจะขอคบ ซึ่งสาก็คงคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทำให้เราเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพื่อนในกลุ่มของเขาแซวเล่นแบบไม่เว้นวันกันเลยทีเดียว


ในส่วนสาก็คิดว่าความรักแบบปัปปี้เลิฟแบบนี้คือประสบการณ์ที่ดี อย่างน้อยธนนก็ให้เกียรติกันมากจนบางทีสาก็เกรงใจที่จะพูดว่าให้รักมากกว่านี้จะได้ไหมก็ไม่รู้ แต่อยู่ๆกันไปความรักอาจจะก่อตัวได้มากขึ้น ถึงตอนนี้มันจะไม่มีเลยก็ตาม


ความเหงานี่นะ…ทำให้คนที่มีสติดีพร้อมทุกอย่างไร้หนทางที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ


“ขอบคุณที่มาส่งนะ”  ธนนมาส่งถึงบ้านเกือบจะทุกวัน และวันนี้ก็ด้วย จริงๆเขาอยากอยู่ด้วยกันมากกว่านี้อีก แต่สายืนยันว่าอยากกลับบ้านมาอ่านหนังสือ เพราะนี่จะสอบปลายภาคแล้ว


“อ่านหนังสือเยอะๆนะครับ”  เขาพูดก่อนจะก้าวเข้ามาชิด ในวินาทีนั้นสารินลังเลว่าควรจะทำเช่นไร แม้จะสมองช้าแต่ว่าสัญชาตญาณก็บอกกันว่าอะไรกำลังจะเกิด ทว่าสมองและจิตใจกลับออกคำสั่งที่ย้อนแย้งกันทำให้จนร่างกายเลือกปฏิบัติไม่ถูก


จุ๊บ…


“แล้วก็ฝันดีครับ”  เป็นจูบที่แผ่วเบาและอ่อนหวาน ทว่าสารินกลับชะงักค้าง หลุบตาลงต่ำแต่กระพริบตาถี่ขึ้นราวกับประมวลบางสิ่งบางอย่าง ธนนหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเปิดประตูบ้านและจูงมืออีกคนให้เดินเข้าไปข้างใน เขามาส่งได้แค่นี้


แต่ที่ได้กลับคืนไปก็คุ้มจะบ้าตายอยู่แล้ว


สากำลังเดินอย่างไร้จิตวิญญาณผ่านสวนของบ้านและกำลังจะเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อครู่นี้แฟนคนแรกของสาจูบกัน…ที่หน้าผาก ใช่…ที่หน้าผากเท่านั้น ธนนเป็นคนดี แม้ว่าเขาจะมีสิทธิ์ในฐานะคนรักที่สามารถเข้ามาจูบปากกันได้ แต่เขาก็ไม่ทำ เขาเป็นคนดีที่ให้เกียรติกันแต่กระนั้นแม้แต่ตรงหน้าผาก…สาก็ไม่ได้อยากให้เขาทำเช่นนั้น


ขยะแขยงเหรอ ก็ไม่ แต่หวาดกลัวไหม ก็ไม่อีกเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก รู้แค่ว่าตนไม่ชอบทั้งๆที่ไม่ควร สมองได้ตัดสินใจแล้วว่าจะคบกับคนๆนี้เป็นแฟน ทว่าการกระทำที่ไม่มากมายของเขามันเกินขีดจำกัดหรือบรรทัดฐานที่ใจสั่งไว้แล้ว สาอึดอัด แต่สาก็จำเป็นต้องมีเขา


“เหม่ออะไรได้ขนาดนั้น”  เสียงเรียกที่ไร้ชื่อและคำทักทายนั้นดังจนเรียกสติของคนที่เดินเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัว สนธยานั่งอยู่บนโซฟา เขามีตัวตนอยู่ตรงนี้นานแล้วแต่ก็มีคนเพิกเฉย


และเขาก็ไม่ชอบถูกกระทำเช่นนั้นเพราะมันไร้มารยาท


“ขอโทษครับ”  และยิ่งขมวดคิ้วยิ่งกว่าเมื่อสิ่งที่ต้องการคือคำทักทาย ไม่ใช่คำขอโทษแต่อย่างใด อารมณ์คุกรุ่นในใจอันยากจะดับนั้นส่งผลให้คนที่เมินเฉยต่อกันถึงกับเดินมาหา สาคิดว่าตนเองไม่ควรเผชิญหน้ากับเขาในตอนนี้ แต่พี่สนไม่เคยทำอะไรกันและเพราะตนนั้นไม่เคยมีความสำคัญ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงเพียงแค่ดุด่า แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า


สายตาที่จ้องมองนั้นมันไม่ใช่…


“ใครมาส่ง”  เขาถาม ยิ่งสืบเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนต้องเดินถอยหลัง แต่เมื่อรู้ตัวว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำจึงหยุดและมองหน้าก่อนจะสะกดความหวาดหวั่นเอาไว้ การคุกคามของมนุษย์หมาป่าที่มีลักษณะของอัลฟ่าน่าหวาดหวั่นเสมอ ทว่าใจไม่รักดีของสารินกลับไม่คิดแค่นั้น


“เอ่อ…”  อนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าตนควรตอบเช่นไร  “แฟนครับ”  แต่การพูดความจริงไปก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันก็ไม่ควรปิดบังใช่ไหม


“แฟน?”  เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่จริงๆแล้วเขาที่ไม่สนใจจะมารู้ได้ไง  “มิน่าละถึงยืนจูบกันหน้าบ้าน”  และนั่นทำให้สารินเก็บสีหน้าของตนไว้ไม่ได้ เขาเห็นงั้นเหรอ?


“เอ่อผมขอโทษที่ประเจิดประเจ้อครับ”หนึ่งแต้ม คราวนี้ตนได้สูญเสียไปหนึ่งแต้ม สารินเดินถอยหลังอย่างจนใจ และเขาก็เดินเข้าหามาอีกก้าว


“ทำแบบนั้นหน้าบ้านมันไม่ดีรู้ไหม”


“วันหลังจะไม่ทำแล้วครับ”


“ไม่ทำตรงนี้แล้วไปทำที่อื่นใช่ไหม”


“ก็แฟนนี่ครับ”  สารินเงยหน้าขึ้นมามองหน้า พูดตรรกะความเป็นแฟนตอกกลับไป “มันห้ามได้ที่ไหน” และตอนนี้แม้ว่าเท้าของตนจะไม่ได้ขยับ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าแต้มที่เสียไปได้ถูกนำกลับมาแล้ว


“อืม…ใช่” เขาตอบรับหน้านิ่ง


“สาก็โตแล้วด้วย” มองจากตรงนี้ก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนเด็กเลย เลิกปฏิบัติต่อกันราวกับว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่เหมาะสมเสียทีเถอะ!


“อย่าเดินหนีแบบนี้นะ!”  สาที่คิดว่าไม่ควรจะสนทนาอะไรกับเขาอีกแล้วเลือกที่จะหันหลังให้และเดินขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตนเสียที ทว่าแรงฉุดของคนๆนี้ก็ทำให้ตนนั้นเหมือนเด้งกลับไปตรงจุดเดิม มากกว่านั้นมันกลับถลำเข้าไปลึกกว่านั้นอีกนิดหน่อย


“พี่สน!”อารามตกใจ สารินนั้นร้องออกมา นี่เป็นครั้งแรกอีกล่ะมั้งที่เรียกชื่อนี้เสียงดังขนาดนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถทำให้ใจเต้นช้าได้อีกเลย เอาอีกแล้ว… ในหนึ่งวันนี่สารินไม่ควรถูกจุ๊บเหม่งสองครั้งติดกันจริงๆนะ!


“…”  สาผละออกมา ควรจะกลับขึ้นห้องไปจริงๆแล้วตอนนี้ ทว่าเงยหน้าขึ้นมามองดีๆก็จะพบว่าตนไม่ได้โดนจุ๊บเหม่ง แต่เหม่งของตนต่างหากที่ไปจุ๊บกับปากเขา


และมันก็ส่งผลให้เกิดรอยเลือดเบาๆที่มุมปากร้ายๆนั่น


“พี่สน…”  เมื่อครู่ที่ตะโกนเรียกเสียงดัง ยามนี้มันช่างแห้งผากสิ้นดี เราไม่แม้แต่จะเคยทะเลาะกัน วันนี้ก็เป็นวันแรก และแน่นอน เราไม่เคยทำร้ายกัน


และวันนี้ก็เป็นวันที่สาทำให้มันแย่ แย่ แย่!


สนธยาเงียบไป ก่อนที่เขาจะหันหลังให้และเป็นฝ่ายขึ้นไปที่ห้องนอนของตนเองก่อน อะไรกันนี่สาต้องเป็นคนงอนนะ ทำไมมันถึงได้กลับกันแบบนี้ แล้วที่ดึงกันไปจนตัวเองได้แผลล่ะ มันความผิดเขาไม่ใช่เหรอ แล้วใครมันจะบ้าเอาหัวไปโขกกับบันไดบ่อยๆให้รู้ถึงความหัวแข็งกันเรา นี่ก็ครั้งแรกเหมือนกันที่ไปชนปากใคร


แล้วเป็นไงล่ะปากแตกเลย!


เอาล่ะสาต้องใจเย็นๆนะ ลนลานขนาดนี้ไม่ได้เกิดอะไรดีๆขึ้นมาแน่ สอดส่องมองไปทั่ว แม่บ้านไปไหนหมด คุณพ่อล่ะ คุณแม่ด้วย ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ แต่เมื่อนึกดีๆก็ค้นพบว่าทำไม เพราะวันนี้มีงานเลี้ยง คงดึกนั่นแหละที่จะกลับมากัน และพวกแม่บ้านก็ไปช่วยงานบ้านญาติด้วย วันนี้มีแค่สารินกับสนธยาแล้ว


เอาไงล่ะคนเรา แค่แผลที่ปากคงไม่ถึงตายหรอกมั้ง
แต่คำพูดที่ฝากให้คนฟังน่ะ ทำให้เจ็บไปทั้งใจเจียนตายเลยทีเดียว!


เขาปิดประตูห้องเสียงดังลั่น สะท้านไปทั้งใจคนฟังที่ยืนอยู่ข้างล่าง สารินน้ำตาคลอเบ้า กลายเป็นคนอ่อนไหวง่ายขึ้นมา ทั้งๆที่วิกฤตในช่วงที่ผ่านมาคือโอกาสในการพัฒนาจิตใจ ก็ได้แต่คิดว่าตนควรจะทำอย่างไรดี แม้จะพูดว่าตนไม่ผิดอะไร แต่คิดว่าที่เราขึ้นเสียงกันไปจนเกิดอารมณ์ตีใส่ มันก็เพราะความอยากเอาชนะไม่เป็นเรื่องของตนเหมือนกัน


พี่สนคือพี่ชายนะ จะทำเมินเฉยไม่ได้!


เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น สนธยาคิดว่าจะไม่สนใจทว่าเขาบังเอิญเป็นคนที่ขี้รำคาญมากถึงมาก เปิดออกมามองด้วยหางตาสักหน่อยเขาคงปิดใส่หน้า ทว่าเมื่อได้เห็นน้องชายน้ำตานองหน้าก็ทำอย่างนั้นไม่ลง ในอ้อมแขนเล็กมีกล่องยามาด้วย เขาไม่เคยเห็นสารินเป็นแบบนี้มาก่อนเลย


“ฮึก…พี่สน”  และแพ้ทาง…อย่างราบคาบ


“เข้ามาสิ”  นี่คือโอกาสให้แก้ตัว แต่สารินคงไม่ทันคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เข้าห้องของพี่ชายโดยไร้ซึ่งผู้อื่นอยู่ในบ้าน แต่จะอย่างไรล่ะก็แค่พี่ชาย มันไม่มีอะไรเสียหน่อย!


“สาขอโทษ”  เขานั่งลงบนเตียง แหงนหน้ามองคนที่ยืนกอดกล่องยาแล้วถอนหายใจ


“มานั่งตรงนี้”  เขาตบพื้นที่ข้างๆดังปุๆ สารินดูลังเลใจ  “จะทำแผลใช่ไหม”  กอดกล่องยาอย่างกับจงอางหวงไข่เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เอามากกไข่ก็ต้องเอามาทำแผลให้กันแล้วแหละ เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนตัวเล็กก็มานั่งข้างๆ เปิดกล่องยาที่วางบนตักและคุ้ยหาสิ่งที่ต้องการ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การมองดูของเขา


จริงๆปากของเขาไม่ได้เป็นแผลขนาดนั้น แต่สารินที่ถือตนว่าเป็นแค่คนอาศัยนั้นเกรงใจจนถึงขั้นเกรงกลัว และอีกอย่าง…เราก็แทบไม่ได้คุยกันเลยทั้งๆที่แม่ยัดเยียดความเป็นพี่น้องมาให้ ในความเป็นจริงเราสองคงสะกิดใจว่าตนนั้นไม่ใช่ และไม่มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน


สัมผัสแผ่วเบาสร้างความรู้สึกจี๊ดที่แล่นขึ้นมา ดวงตาที่ล้อมด้วยแพคนตาสวยนั้นฉายความมุ่งมั่นตั้งใจ เมื่อครู่นี้สานั้นร้องไห้มันจึงช่างแวววาวคลอไปด้วยหยดน้ำใสที่น่าสนใจว่าหากได้ชิมไปจะออกรสอย่างไร มันคงเป็นรสของน้ำตาไม่ผิดแน่ แต่แค่คิดว่าถ้าได้แตะชิมที่หางตานั้นด้วยริมฝีปากตนเอง รสฝ่านก็อาจจะหวานได้


“…”


“เสร็จแล้วครับ”  มันเงียบเกินไป ขัดแย้งกับหัวใจที่เต้นระรัวดังกึกก้อง ถ้าหากมันไม่ถูกซ่อนอยู่ในอก คาดว่าเสียงมันคงดังไปทั่วห้องแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ บางทีคนที่อยู่ใกล้ๆก็อาจจะได้ยินก็เป็นได้  “ผมไปก่อนนะ”


“กินข้าวยัง”


“ยังครับ”


“ออกไปกินข้าวกัน”


“เห” เพราะที่บ้านไม่มีใครทำกับข้าวไว้ มันก็มีทางเลือกแค่สองแบบเท่านั้น ไม่กินกับเขา ก็กินคนเดียว


จะว่าเพราะพี่สนนั้นอยากจะพยายามเป็นพี่ชายที่ดีขึ้นมาก็เป็นไปได้ เดิมทีเราไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันจนกระทั่งเรื่องของฉัน ในตอนนี้เขาอาจจะอยากไถ่โทษให้กันที่เป็นสาเหตุที่ทำให้กับฉันต้องผิดใจ แต่อย่างนี้มันก็มากไปเพราะพี่จะเล่นมาส่งทุกวันอย่างนี้ไม่ได้!


“ขอบคุณมากครับ”  สาหันไปยกมือไหว้ ก่อนจะเก็บของเพื่อลงออกจากรถ


“วันนี้จะให้แวะรับไหม”


“เอ่อไม่ต้องครับ เดี๋ยวนนมารับ”  จริงๆแล้วนนก็อยากมาหาทั้งเช้าทั้งเย็น แต่สาขอไว้เพราะไม่อยากให้เขาต้องเหนื่อยด้วย แต่ต่อรองได้เท่านี้แหละ สนธยาพยักหน้าให้ เมื่อสาปิดประตูรถแล้ว รถจึงเคลื่อนตัวออกไป


วันนี้ไม่มีวิชาเรียนรวม แต่มีวิชาของสาขาที่สาเรียนอยู่ห้องเดียวกับฉัน ทว่าตั้งแต่วันนั้นที่แทบจะไม่ได้คุยกัน เราก็ไม่ได้นั่งใกล้กันอีกเลย แล้วสานั่งตรงไหนนะเหรอ ที่ไหนก็ได้ที่ว่าง


“…”  แต่เมื่อมาถึง พื้นที่ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกเอาของวางไว้ไม่ให้นั่ง จึงเป็นสาเหตุที่สาจะมาถึงให้เร็วกว่าคนอื่นหน่อยเพื่อที่ว่าจะได้จับจองพื้นที่มุมห้อง คนที่ไม่เกี่ยวข้องและมาสายก็มักจะมาขอนั่งใกล้ แต่โดยส่วนใหญ่มันจะไม่มีใครมานั่งด้วยอยู่แล้ว


“มาเช้าจัง”  ฉันที่วันนี้ก็มาเช้าเหมือนกันนั้นยิ้มให้ เมื่อเจอหน้ากันก็แอบคิดถึงเรื่องราววันนั้นที่ถือน้ำคนละสองแก้ว แก้วละครึ่งเดียว


“วันนี้รถไม่ติด”  สารินบอกอย่างนั้น แต่ว่าฉันชนกที่ผู้ปกครองมาส่งแต่เช้าเห็น ว่ารถที่มาส่งสารินเป็นรถคุ้นตา หากแต่ว่ามันไม่คุ้นใจอีกแล้ว


ฉันชนกนั้นเดินไปนั่งที่แถวหลังสุดเหมือนกัน ทว่าในขณะที่สารินนั้นเลือกนั่งฝั่งขวาสุดที่มุมห้อง แต่ตนกลับเลือกตรงกลาง มีแถวเล็กๆให้เดินผ่านกั้นกลาง แต่มันเหมือนทางผ่านที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ เราอาจจะคุยกันได้มากขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ปกติหรอก ยิ่งอยู่ด้วยกันสองคนในห้องแบบนี้ มันยิ่งอึดอัด สาแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือต่อไป


มันดูน่าหงุดหงิดนะที่เราทำเหมือนมึนตึงกันต่อหน้าคนอื่น แต่พออยู่ด้วยกันเพียงสองคนฉันก็ยังทำเป็นดีด้วย ทว่าสาก็คิดว่าแบบนี้มันดีกว่า แม้ว่าฉันยังไว้ไม่ได้ แต่จะให้ฉันออกมาจากกลุ่มที่มีเพื่อนมากมายมาหากันแค่คนเดียว ก็ดูจะเรียกร้องให้เพื่อนเสียสละต่อกันเกินไป อยู่คนเดียวแบบนี้ก็ไม่แย่หรอก วุ่นวายหน่อยก็ตอนหากลุ่มทำงานเท่านั้น


“สา”  เสียงเรียกของฉันทำให้หัวใจเจ้าของชื่อสะดุด สาเงยหน้าขึ้นมา เห็นว่าฉันมายืนอยู่ไม่ไกลจากที่ตัวเองนั่งแล้ว “ขอนั่งด้วยได้ไหม”


“ดะ…ได้สิ”


“ขอดูเลคเชอร์สาหน่อยสิ วันก่อนเราเผลอหลับไปอ่ะ”  ถึงแม้ว่าจะเข้ามาด้วยผลประโยชน์อย่างที่กล่าวไว้ แต่ทำไมสาไม่คิดว่ามันจริงใจแบบนั้น ถ้าคนแบบฉันชนกอยากจะขอลอกเลคเชอร์ น่ากลัวว่าใครๆก็อยากจะยื่นให้ แล้วทำไมมาขอคนที่ไม่ได้เรียนได้โดดเด่นแบบสากัน


เช่นนั้นมันทำให้คิดไม่ได้เลยว่านี่คือผลประโยชน์อย่างที่เจ้าตัวต้องการจริงๆ


“เราจดไว้ตรงนี้กับตรงนี้”  สารินอธิบาย นึกหวั่นใจหากคนอื่นเข้ามาเห็นเข้าแล้วจะเกิดเรื่อง ทว่าเมื่อฉันจดจนครบก็ยังไม่ลุกไปไหน จะว่าไปกระเป๋าที่เจ้าตัวถือมาก็ถูกนำมาวางไว้ที่เก้าอี้ข้างตัว แถวหลังฝั่งขวาของเราที่มีโต๊ะเลคเชอร์สามตัวได้ถูกจับจองครบแล้ว โดยสา ฉัน และกระเป๋าของฉันอีกหนึ่งใบ


“เอากระเป๋ามาวางตรงนี้ไหมสา”  สารินกำลังมึนๆเอ๋อๆแต่ก็ยอมหยิบกระเป๋าบนพื้นส่งมาให้ และฉันก็เอาไปวางไว้ที่นั่งข้างๆ อย่างนี้ใครจะมานั่งกับเราได้ ในเมื่อที่นั่งตรงนั้นโดนกระเป๋าจับจองเสียหมดแล้ว


กลุ่มเพื่อนของฉันนั้นกำลังจะเข้ามา เสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาแต่ไกล สารินแอบกลืนน้ำลายและทำใจหากมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ทว่าจนแล้วจนรอดฉันก็ไม่ลุกออกไป แม้กระทั่งพวกเขาที่เดินเข้ามาเห็นก็ชะงักค้างจ้องมองเราสองคนที่นั่งอยู่มุมห้องอย่างไม่วางตา ฉันก็ทำเป็นว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ตรงไหน


“ฉัน…”  จนสาอดไม่ได้ต้องแสดงความสนใจด้วยรูปแบบของการสอบถาม


“วันนี้เรากินอะไรกันดี”  ฉันไม่รอให้คำถามนั้นหลุดออกมาจากปากแต่ชิงถามกันเอง ทว่าดันนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ “หรือว่านัดกับแฟนไว้”


“เปล่า วันนี้นนมีเรียนตอนเที่ยง”


“วันนี้ไปกินข้าวกันไหม”


“ก็…ได้”


“งั้นไปกินที่โรงอาหารคณะกัน ตอนบ่ายไม่มีเรียนเนอะ งั้นเราไปเดินห้างกันไหม”


“เอ่อเรานัดกับนนไว้ช่วงบ่ายๆเย็นๆ”


“งั้นหาอะไรทำแถวนี้ก็ได้”


“ไม่เป็นไรหรอก ให้นนไปหาที่ห้างก็ได้”  ก็ไม่รู้ทำไมถึงยอมฉันขนาดนี้ แต่คิดแล้วคิดอีก…ก็พบว่านี่คือเหตุผลทางใจ


สุดท้ายแล้วสาก็ไปไหนไม่รอด ยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าตอนนี้ไม่อาจจะพูดได้ว่าเราต่อกันติดแบบเดิม ทว่าแต่แรกเริ่มมันก็เหมือนเราจะไม่ได้ประสานกันแบบลงตัวขนาดนั้น ความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์มันก็คงไว้ซึ่งรูปแบบเดิม ที่เพิ่มเติมคงเป็นจุดประสงค์ของฉันที่ว่าต้องการอะไร


ตรงนี้สาไม่เข้าใจจริงๆ


TALK:
เหมือนลูกแมวงอนกัน…
วอนอย่าอิหยังวะใส่น้องฉัน และอย่าเพิ่งเกลียดพ่อพระเอกเกรี้ยวกราดบทน้อยของเรา55
#คู่กินคู่กัด @reallyuri











CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
กระอักกระอ่วนแปลกๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
14

สน xสา


ฉันต้องการอะไรไม่มีใครรู้ แต่สายังต้องการฉันไหม ก็ตอบไม่ได้แต่ก็ยินยอมให้เข้ามาใกล้กันได้อีกครั้ง


พวกเพื่อนๆของฉันก็ทำแค่เพียงมองเราสองคนและไม่พูดอะไร แต่มั่นใจได้ว่าลับหลังจากนี้ต้องเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ทว่าเหนือจากพวกนั้นที่พยายามควบคุมสีหน้าไว้ ฉันชนกนี่ยิ่งกว่าเพราะทำเหมือนใครๆไม่มีตัวตน!


บางทีฉันก็ร้ายแบบน่าเหลือเชื่อ แต่ว่านั่นแหละคือคุณสมบัติที่สารินคิดว่าเหมาะสมที่จะคบกับพี่สนที่สุด จริงๆมนุษย์ทุกคนคงมีด้านนั้นอยู่ในตัว น่าเสียดายที่สองคนนั้นจบกันเร็วเกินไป


วิชาเรียนของเราผ่านไปอย่างน่าเบื่อและอย่างที่นัดหมายกันไว้ สากับฉันมาทานข้าวด้วยกันและเดินห้างต่อ ธนนที่นัดไว้ตามมาหา และมีการแนะนำตัวเกิดขึ้นตามมารยาท หลังจากนั้นฉันก็แยกออกมา คาดว่าคงตรงกลับบ้านเลย เหมือนกัน สาไปเฝ้าธนนทานข้าวและรอให้เขาพามาส่งที่บ้าน


“เรียนเป็นไงบ้าง”


“น่าเบื่อเหมือนเดิม”  สำหรับนักศึกษา เราก็จะคิดอะไรเหมือนกันประมาณนี้


หลังจากมาส่งสารินในวันนี้ เราก็คุยกันอยู่หน้าบ้านเล็กน้อย เพราะยังหลอนเรื่องที่พี่ชายมาเห็นเข้าจึงพยายามไม่ให้บทสนทนาเรานำพาไปถึงจุดที่ชวนหวั่นไหวเช่นนั้น แต่จริงๆความรู้สึกของสารินนั้นลึกๆแล้วตนก็ไม่ได้ชื่นชอบมันเท่าไหร่ แม้จะได้ชื่อว่าแฟนก็เถอะ แต่สา…ก็ยังไม่ได้รักเขาถึงขั้นนั้นไหม?


พอเข้ามาในบ้าน สารินก็ทำใจเผื่อไว้ว่าอาจจะได้เจอกับใคร และพอเข้ามาก็พบว่าใช่ สนธยาอยู่ที่ห้องรับแขก แต่สวรรค์คงเข้าข้างเพราะเมื่อได้เจอก็พบว่าเขาหลับอยู่


“อ้าว พี่สนยังนอนอยู่อีกเหรอเนี่ย” คุณแพรวรรณที่เดินออกมาเห็นทั้งคู่อยู่ในห้องรับแขกจึงขอความช่วยเหลือ “งั้นน้องสาปลุกพี่เขาหน่อยนะ อาหารจะตั้งโต๊ะแล้ว” ปฏิเสธอะไรได้ที่ไหน จริงๆแล้วสาก็ไม่ได้อยากเข้าใกล้เขาเลยนะ


ร่างเล็กก้าวเข้าไปหา ยืนเก้ๆกังๆไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี ร่างสูงของเขาทอดตัวยาวไปกับโซฟา ไม่เมื่อยแย่เหรอ ขานี่เกินไปถึงไหนต่อไหน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องปลุกเขาก่อน สารินย่อตัวลงนั่งกับพื้น ก่อนจะค่อยๆสะกิดเบาๆที่ต้นแขน


!!


“อา..”   ร่างเล็กนั้นผงะเล็กน้อย จริงๆตนคิดว่าจะต้องออกแรงอีกนิดหน่อยทว่าเพียงสะกิดนิดเดียวดวงตาคมก็เบิกโพลง กลิ่นอายอันน่ากลัวค่อยๆแผ่กำจายจนกระทั่งเมื่อเขาพบว่าใครดวงตาก็ค่อยๆกลับมาเฉยชาแบบเช่นเคย


“มีอะไร”  เขาหลับตรงนี้ไปนานแค่ไหนแล้ว


“คุณแม่ให้ปลุกครับ จะได้เวลามื้อเย็นแล้ว”  คาดว่าคงราวๆชั่วโมงได้เพราะนี่ก็ใกล้เวลาทานข้าวแล้ว ว่าแต่ทำไมเขาถึงไม่ไปนอนบนห้องดีๆ มานอนตรงนี้ทำไม  “พี่สนยังเจ็บปากอยู่ไหม” สารินถาม น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความห่วงใย


“ไม่เป็นอะไรแล้ว”


“สาจะบอกคุณแม่นะ”


“บอกทำไม”


“สาทำพี่สนเจ็บ” 


“แล้วจะบอกแม่ว่าไง”


“ว่าหัวของสาชนกับปากพี่สน…”


“ให้เวลาคิดดีๆ”  เขาเสนอแนะไปแค่นี้ เดิมทีเขาพอจะรู้ว่าสานั้นเป็นคนช้าๆและดูเหมือนว่าจะช้าจริงๆ แต่ก็ซื่อสัตย์มาก พอบอกให้ไปคิดก็คิด ในส่วนรูปแบบและผลของความคิด ทั้งหมดได้สะท้อนผ่านแก้มแดงๆนั่นแล้ว


“อ่า…”


“พี่บอกแม่ไปแล้วว่าไปชนอย่างอื่นมา ไม่ต้องไปพูดกับใครก็ได้ว่าโดนเหม่งเรา”  เขาขยับตัวลุกขึ้น ในขณะที่คนแก้มร้อนยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าผาก เขาได้ยินเสียงพึมพำพูดว่าไม่เหม่งเสียหน่อย ทว่าปล่อยให้คิดเยอะๆกว่านี้ก็ได้ ว่าถ้าหากเที่ยวพูดไปว่าหน้าผากของเจ้าตัวชนกับอะไร


คำถามต่อไปก็จะถูกถามว่าแล้วเราไปทำอะไร มันถึงเป็นเช่นนั้น?


เรื่องนั้นพูดให้ใครฟังไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด! ขนาดผ่านมาหลายวันแล้วสารินยังคงคิด แล้วสนธยาล่ะผีเข้าหรือไง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะพูดคุยกัน อยู่ๆก็ชวนให้นึกถึงเรื่องนั้นทำไม อ๋อหรือเพราะเราเริ่มก่อนใช่ไหม แต่สานั้นบริสุทธิ์ใจ หรือจริงๆเขาก็แค่พูดเฉยๆไม่ได้คิดอะไร แล้วทำไมต้องมีแต่เราที่คิดเรื่องแบบนี้ด้วย!


ทว่าอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจมากกว่าคือฉันชนกที่กลับมาหากันในตอนนี้ ฉันอาจจะดูมั่นใจเวลาเดินด้วยกัน แต่สายตาของกลุ่มเพื่อนที่มองมา มันเหมือนจะจ้องกันจนทะลุแล้วไม่ใช่เหรอไง ทำอะไรของเขาอยู่กันนะ นี่สาก็เริ่มระแวงเหมือนกันแล้วนี่


“ฉัน เดี๋ยวนี้ไม่อยู่กับพวกเอิงแล้วเหรอ”  เอิงคือชื่อของผู้หญิงในกลุ่มนั้น คนที่สาได้ยินที่เธอนินทาในห้องน้ำ


“ไม่อ่ะ เราอยากอยู่กับสามากกว่า”


“เราถามจริงๆ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใช่ไหม”


“ไม่ เราไม่ทำเรื่องปัญญาอ่อนแบบนั้นหรอก”  ฉันก็เหมือนสา ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่ทะเลาะ แต่เลือกได้ก็ไม่ทน หรือว่าครั้งนี้จะเป็นแบบนั้น


“ฉันไปรู้อะไรมาหรือเปล่า”


“ก็รู้มาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าใช่เรื่องเดียวกับที่สารู้ไหม หรือไม่สาก็ไม่รู้อะไรเลย” 


“ยิ่งคุยยิ่งงงเหะ”


“จะว่าไปเราก็งงเหมือนกัน”


“…”


“…” 


“ฮะๆ”  นี่เราคุยอะไรกันวะเนี่ย!


“จริงๆเราเห็นสาสนิทกับธนนที่เรียนวิดวะเลยเข้ามาสังเกตดู”  ในที่สุดฉันชนกก็ยอมคายความจริงส่วนหนึ่ง


“ธนนทำไมเหรอ”


“ก็เป็นคนดีนี่ ดีกว่าที่เราคิดตอนแรก”  เพราะสาแนะนำให้รู้จัก บางครั้งก็พาไปกินข้าวด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นหากฉันจะมาคิดทำให้คนรักกันแตกร้าว สานั้นก็ไม่ได้แคร์ธนนไปมากกว่าฉันเท่าไหร่ หากคนสองคนจะทรยศกันไป ตนก็จะถือว่านี่คือเรื่องดีๆที่ได้กำจัดออกไปในคราเดียวกันถึงมันจะน่าเจ็บปวดก็ตาม


“หมายความว่าไงเหรอ”


“เราเป็นห่วงสา บางทีก็เอ๋อมากๆ กลัวไอ้หนุ่มวิดวะนั่นมาหลอก”  สาก็คิดตามว่าเขาจะหลอกลวงกันได้ไหม หรือถ้าเขาทำได้ สาก็อาจจะให้อภัย


เพราะตอนนี้ที่คบอยู่ก็หลอกลวงว่าชื่นชอบกันอยู่เหมือนกัน


ความจริงนั้นตั้งแต่คบมา สายังไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับเขาแบบที่ควรเป็นเลย ในขณะเดียวกันที่ใครอีกคนกลับทำให้ใจเต้นไม่เว้นแต่ละวัน แค่เราตักกับข้าวอย่างเดียวกันก็ทำตัวไม่ถูกมือไม้อ่อนไปหมดแล้ว กลับมาที่เรื่องฉันจ้องจับผิดแฟนของกันจริงไหม เรื่องนี้ก็น่าจะใช่


เพราะทุกครั้งที่ฉันยิงคำถามไป ก็มักจะเป็นเรื่องที่คนรักกันอยากรู้ ธนนตอบอย่างจริงใจ แต่ทำไมสารินถึงเฉยๆที่จะได้ฟัง ทั้งนี้ทั้งนั้นธนนก็ยังอยู่แค่ในระดับที่ปลื้มกัน มากกว่านั้นก็คิดว่าเราคงต้องปรับตัวกันอีกไกล หรือจูบเหม่งแล้วไม่ทันใจ ต้องให้จูบปากเลยไหม จะได้รู้ว่าตอนนี้สาชอบเขาบ้างหรือยัง


“สาชอบเรามากขึ้นหรือยังอ่ะ”


“ก็มากขึ้นนะ”  สาตอบตรงๆ ยิ่งสนิทกันก็ยิ่งชอบ แต่ไม่ได้ชอบแบบนั้น ธนนเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่บางทีก็คนแบบนี้แหละที่เหมาะสม


“มาก…ถึงแบบนั้นไหม”


“…”


“ว่าแล้วเชียว”  เขาถอนหายใจออกมา จริงๆเขาปลื้มและชอบสาแบบนั้นแหละ ไม่เคยคิดว่าอยากจะเป็นเพื่อนด้วยเลยด้วยซ้ำ แต่ขนาดได้มาเป็นแฟนกัน ก็เหมือนถูกจัดอยู่ในเฟรนด์โซนเสียอย่างนั้น


“เราขอโทษ ทำให้นนรู้สึกไม่ดีเลยใช่ไหม”


“ไม่หรอก”  เขาโกหก จริงๆก็เสียเซลฟ์นิดหน่อย


“เราดูเห็นแก่ตัวไปไหมที่ทำแบบนี้ จริงๆนนน่าจะมีคนมาชอบเยอะมากๆ”


“ก็นะ แต่ว่าเราชอบสามากที่สุด”


“…”


“แค่เปิดโอกาสให้ลองคบเราก็ดีใจแล้ว รู้ไหมว่าการจะเข้าถึงตัวสาน่ะยากแค่ไหน”


“ไม่ยากหรอก คนอ่ะชอบคิดว่าเราขรึมแต่จริงๆเราช้าจะตาย” เช่นนั้นมันก็ส่วนหนึ่ง


แต่อีกส่วนที่ทำให้คนหลายคนไม่กล้าเข้าหาเชิงนั้น เพราะมันมีปัจจัยอื่นมากกว่า


“สารู้ไหมว่าคนที่โรงเรียนเก่าเราเขาคิดยังไง สาอ่ะน่ารักมากนะ ยิ้มทีคนก็จะละลายแล้ว”


“พวกเขาร้อนจนละลายเลยเหรอ บ้า! ไม่ถึงขนาดนั้น”  สาก็รู้ว่าตนไม่ใช่คนขี้ริ้ว แต่เป็นคนเก็บตัว


“ถึงสิ แต่น่าเสียดายที่พวกนั้นเข้าใจผิดเรื่องสากันไปหมด” 


“เข้าใจผิด?”  เรื่องไม่ดีเหรอ?


“ทุกคนเข้าใจว่าสาเป็นเด็กของพี่สน มีคนเห็นสาเดินกับพี่เขา และวันนั้นเขาก็มาส่ง พวกเด็กม.ปลายก็บอกกันว่าตอนสาไปหา ไม่เพียงแค่ว่าพี่เขาจะคุยดีๆด้วย ยังเดินตามมาส่ง”


“แค่ครั้งเดียวเอง”


“ครั้งเดียว แต่ข่าวมันก็ไปตามนั้น” และข่าวก็โหมสะพัดเป็นเวลาติดๆกันหลายปี นอกจากนี้พอจะเข้าใกล้ ก็จะมีเรื่องอะไรๆทำให้ต้องเลิกร้างไป


“พี่เขาเป็นพี่เรานะ”


“ก็ใช่ไง แต่ใครจะรู้ไหม ทั้งพี่สนและสาไม่เคยบอกใครนี่”  พวกเขายังเข้าใจผิดมาจนถึงวันนี้ จนกระทั่งธนนได้มีโอกาสไปส่งสารินที่บ้านวันนั้น จึงได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ทว่าความเป็นจริงที่ไม่มีใครบอก คือมันซับซ้อนยิ่งกว่านั้น


“อย่างนี้คนก็ไม่ค่อยชอบเราอ่ะสิ”


“อันนั้นเราไม่รู้ แต่เหมือนว่าใครๆก็ไม่กล้าแกล้งสาเพราะกลัวพี่สนนะ”  แต่พี่สนน่ากลัวจริงๆนั่นแหละ น่าเสียดายที่สารินไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ทว่าก็ต้องขอบคุณเขาเช่นกันที่เผื่อแผ่บารมีมาให้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้หรือเข้าใจอะไรเลยก็ตาม


ช่วงบ่ายของวันนั้นที่สาแวะไปกินข้าวกับธนนที่คณะ พอกินเสร็จเขาก็ขึ้นไปเรียนส่วนตนก็เดินกลับมาที่คณะของตัวเอง มาถึงก็ตั้งใจจะไปหาฉันที่เพิ่งมามหาวิทยาลัย เรามีเรียนคาบบ่ายแต่ยังพอมีเวลา ระหว่างนี้ก็คิดว่าจะไปเฝ้าฉันพุ้ยข้าวที่โรงอาหาร ทว่าเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้ไม่ได้ไป


“ฉัน มึงทำอย่างนี้ได้ยังไง!”


“ทำอะไรเอิง เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”  สารีบเดินเข้าไปเมื่อเห็นว่าคนทั้งสองกำลังจะทะเลาะกัน แต่กระนั้นก็กังวลว่าตนจะเป็นต้นเหตุของทุกอย่างและยิ่งทำให้มันแย่ลง


“ก็มึงอยู่ๆก็ทรยศพวกกูไปอยู่กับอีตัวนั่น มึงโง่หรือมึงโง่วะที่ให้แฟนตัวเองไปยุ่งกับมัน และพอเขาขอเลิกไปอยู่กับมันมึงก็มานั่งร้องไห้ฟูมฟาย ทีนี้พอมันหนีไปหาผู้ชายใหม่ที่เพื่อนมึงชอบ มึงก็กลับไปเกาะมัน”  สางง และงง และคิดว่างงมากๆ


“ใครบอกมึงว่ากูให้พี่สนไป”  พอถูกพูดขนาดนี้ ฉันของสาก็ไม่อาจจะทนสุภาพต่อไปได้ไหว ตรงนี้แหละความต่าง ฉันสามารถพ่นคำหยาบออกมาพร้อมหน้าตาหาเรื่องได้ แต่ถ้าสาพูดออกไป…น้ำตาต้องนองหน้าแล้วแน่ๆโกรธจนน้ำตาไหล โชคดีที่จนถึงวันนี้ยังไม่มีเหตุให้เป็นไป ไม่เช่นนั้นก็คิดไม่ออกว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร


“เดี๋ยวนะ หยุดก่อนได้ไหม”  สาคิดว่าสาต้องเข้าไปแสดงตัว


“มาแล้วเพื่อนเหี้ยของมึง ผู้ชายของเพื่อนนี่ชอบคั่วจังนะอีตัวดี”


“เอิง เราไม่เข้าใจว่าเอิงพูดถึงอะไร”  สาขมวดคิ้ว มันมีหลายประเด็นและหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องเกินไป นอกจากนั้นตอนนี้คนอื่นๆที่ยิ่งไม่เกี่ยวข้องไปใหญ่ก็ให้ความสนใจกับบทสนทนาที่ดังไม่เบาของเราด้วย


“มึงไม่ต้องมาแกล้งโง่ไอ้โรคจิตชอบแย่งของชาวบ้าน มึงแย่งพี่สนจากไอ้สาไปแล้ว และยังมีหน้ามาแย่งนนของอีแนนไปอีก”


“นน?”  เรื่องพี่สนนี่เขาคิดว่าเขาแย้งได้ แม้จะไม่กล้าไปลากเจ้าตัวมาแก้ไขเรื่องนี้ให้ แต่ก็มีธนนคนหนึ่งแหละที่สามารถเป็นพยานเสียงหนักแน่น แต่ชื่อของธนนที่ออกจากปากเอิงนี่สิ ที่สารินไม่เข้าใจ


“สาอย่าไปฟังมัน แนนมันมโนไปเอง”  นั่นแปลว่าฉันก็รู้เรื่องนี้


“อย่าบอกนะว่าฉันรู้”


“อืม…เราเลยเข้ามาคุยกับสาไง” มาถึงตรงนี้ฉันก็เพียงกระซิบบอก แต่ว่าถ้าจำไม่ผิด สาบอกว่านนเป็นคนดีกว่าที่คิดไม่ใช่เหรอ  “แนนมันมโนไปเองอ่ะ นี่ก็ตกมันกันทั้งกลุ่มเลย”  ถ้าเป็นยามปกติสารินคงหลุดหัวเราะพรืดกับมุกห้าบาทนี้แต่นี่ปกติที่ไหน


ก็ช้างทั้งกลุ่มตกมันอยู่ตรงหน้าพวกเราอยู่ไง!


“เราว่าน่าจะเข้าใจผิดมากกว่า แต่เราเชื่อว่าเราไม่ได้ไปแย่งของของใครมานะ” สารินเอ่ยแก้ตัว  “ส่วนเรื่องพี่สนกับฉันเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย”


“แล้วที่มึงนั่งลอยหน้าลอยตาในรถพี่สนทั้งๆที่เขาเลิกกับฉันมันแล้วล่ะ ทำได้ไงหะ!”


“แล้วมันผิดอะไรที่สามันจะนั่งรถคนจากบ้านเดียวกันมามหาลัยเดียวกันไม่ได้!”ฉันเถียงแทน


“มึงโกหก” บางทีนี่อาจจะเป็นความผิดพลาดมาตลอดที่สาไม่เคยเปิดเผยให้ใครฟังเรื่องความสัมพันธ์ในบ้านหลังนั้น แต่เปิดไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะอยู่ไม่สงบแบบนี้


แต่พอเถอะ…สากำลังจะลากฉันออกไป ไม่ต้องเข้าเรียนมันแล้วไปกินย้อมใจ อยู่ตรงนี้ไปก็พลันแต่ทะเลาะเบาะแว้ง สาที่เคยมีประสบการณ์อ้างว้างย่อมไม่สนไม่แคร์สิ่งใด ทว่าการจะลากฉันที่พร้อมจะตีรันฟังแทงไปก็เป็นเรื่องที่ยากสิ้นดี


“มึงจะไปไหนอีสา บอกกูมาว่ามึงทำได้ยังไง แย่งนนไปจากแนนได้ยังไง!”  ทว่าไม่ใช่แค่ลากฉันออกไปไม่ได้ สารินถูกเอิงเข้ามาฉุดไว้ เล็บยาวๆของเธอจิกเข้ากับผิวเนื้อ และสาจำต้องสะบัดทั้งตัวเธอและฉันทิ้ง


“เราไม่ได้แย่ง!”


“มึงมันเลวมาก มาขออยู่กลุ่มพวกกูมึงต้องรู้อยู่แล้ว!”


“ถ้ารู้อยู่แล้วเราจะไปยุ่งทำไม ใครกันแน่ที่โรคจิต ทะเลาะกันหน้าตึกคณะอย่างนี้ไม่อายชาวบ้านบ้างหรือไง!”สาเริ่มขึ้นเสียง แต่ยังไม่ถึงขั้นหลุดคำหยาบ และไม่มีน้ำตาให้ไหล


“ก็พวกกูจะกระชากหน้ากากมึงออกต่อหน้าคนทั้งคณะไง หน้าด้าน!” สารินก็ชักไม่ไหวแล้ว แม้ว่าจะดูเหมือนสัตว์กินพืชที่ยอมคนอื่นไปทั่ว แต่จริงๆแล้วก็แค่ไม่ร้ายกาจกับใครที่ไหนก่อน ทว่าหากย้อนคิดกันสักนิด


ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่าสารินเป็นคนที่ผดุงความดีและเต็มไปด้วยคุณธรรม


“งั้นวันหลังจะทำอะไรก็ให้รู้ว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องด้วย จะหาว่าเราไม่เตือน” สาพูดสั้นๆ ไม่ดังนัก


ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาส่งบางสิ่งเข้าไลน์กลุ่มของชั้นปี และลากฉันที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากตรงนั้นทันทีโดยไม่สนใจคำตะโกนเรียกของใคร สารินไม่เคยเฉียบขนาดนี้เพราะตนรักสงบ และใช้ชีวิตหลีกเลี่ยงการมีปัญหามาตลอด


ไม่ใช่ว่าไม่กลัวแต่เพราะความกลัวนั้นทำให้ตนถูกรังแก ฉันที่ถูกจับมืออยู่รับรู้ถึงแรงสั่นสะท้านของคนที่เดินนำหน้า และตนก็ยังไม่รู้ว่าสาทำอะไรลงไปก่อนนี้


“สา…”


“เราไม่อยากให้ฉันเปิดสิ่งที่เราส่งไปในไลน์กลุ่มนะ”


“สาก็รู้ว่าเราขี้เสือก”


“ก็เหมือนเราอะแหละ”  จริงๆก็รู้ว่ามันคงยาก แต่ว่าพอคิดว่าเราคงต้องทำใจในเรื่องของกันและกันมากกว่านี้


สารินและฉันชนกก็หัวเราะอย่างเอือมระอาในเรื่องของกันและกัน…


สารินจับให้ฉันนั่งก่อนจะไปสั่งข้าว ในระหว่างนั้นฉันที่ดันทุรังก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูแชทในไลน์กลุ่มที่ตอนนี้กริบ ทว่าคาดหวังได้ว่าคงมีคนเปิดไฟล์เสียงนั้นฟังกันไปเยอะแล้ว ฉันเองก็ไม่ควรรอช้า หยิบมาฟังบ้างให้เจริญหูเจริญตาบ้าง


“…”  และเมื่อฟังจบ ก็ทำหน้าเหมือนสาที่โดนเพื่อนรุมใส่ฉอดๆแบบเมื่อครู่


นี่มันอิหยังวะเนี่ย!!!


“ห้ามไม่ฟังนะคนเรา” สากลับมาพอดี


“ข้าวมันไก่ทอดของเรา!”  สาที่รู้ใจนั้นสั่งมาให้เพราะรู้ว่าฉันหน้ามืดหิวจนจะเป็นลมตายอยู่แล้วจึงเป็นคนอาสา พอเดินกลับมาก็พบว่าเพื่อนตัวดีฟังทุกอย่างในคลิปนี้ไปหมดแล้ว โชคดีที่ความหิวทำให้ไม่โมโหโกรธเคืองใครอย่างที่เป็น


เอ…หรือว่าฉันรู้อยู่แล้ว


“เอาจริงๆเรารู้อยู่แล้วแหละว่าสาไม่เกี่ยว”


“เราก็คิดว่าฉันต้องมีเหตุผล เรากับพี่สนเป็นพี่น้องกันนะ”  และข้อเท็จจริงนี่ ฉันก็รู้มาตั้งแต่แรก


“….อันนั้นเรารู้”


“ฉันไม่ได้ตึงกับเราเพราะเรื่องพี่สนใช่ไหม”


“จริงๆก็มีส่วน” อะไรนะ…  “แต่นี่ไม่คิดเลยว่าเอิงคิดจะงาบพี่สนด้วยนะเนี่ย”  แต่ฉันก็ไม่พูดอะไรต่อ


“มีส่วนอะไร”


“สาจ๋าอัดตอนไหนอ่ะ ทำไมไม่ให้เราฟัง!”


“ก็วันที่ฉันไม่ยอมคุยกับเราอะแหละจะเอาไปให้ฟังได้ยังไง”  คลิปที่สาเอาลงไปนั้นคือคลิปที่ว่าด้วยเรื่องที่ถูกนินทาตรงห้องน้ำหญิง โชคดีที่ตนกำลังเปิดโปรแกรมอัดเสียงพอดีเพราะอยากจะเช็คว่าได้อัดเสียงอาจารย์ไว้ไหม แต่น่าเสียใจ…


ที่เผลออัดทับไฟล์เสียงอาจารย์เลย ╥ ╥


แถมวันนี้ก็ยังเอาไปใช้ในเชิงอันธพาล ถ้าคุณแพรวรรณรู้น้องสาไม่แคล้วจะโดนต่อว่า แต่ถ้าอธิบายเหตุผลอาจจะได้กำลังใจ คุณแม่เป็นสายอวยอยู่แล้วบีบน้ำตานิดหน่อยอาจจะวิ่งมาถึงมหาวิทยาลัย แต่อย่าให้รู้เลย เรื่องนี้มันเกี่ยวกับพี่สนด้วย


สุดท้ายแล้วฉันก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจในคำถามบางข้อ เรากลับไปเรียนอีกวิชาหนึ่งและก็พบว่าคู่กรณีไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ในขณะเดียวกันบางคนในกลุ่มยังเรียนอยู่ พวกเขามองหน้า แต่ไม่ได้แสดงทีท่าจะร้ายใส่


“เราขอโทษนะ”  วาฬที่นั่งอยู่ที่นี่พูดออกมา มันเป็นเรื่องปกติของกลุ่มใหญ่ที่จะมีหัวข้อที่ความเห็นไม่ตรงกัน ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ คนที่ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สนใจก็จะวางตัวเงียบๆไป สาเข้าใจ อย่างน้อยคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มองกันด้วยแววตาร้ายๆตลอดเวลา แต่คิดว่าจะให้กลับไปสนิทใจ ก็คงทำไม่ได้แล้ว


“สรุปเราเชื่อใจฉันได้ใช่ไหม”


“ไม่เชื่อก็ดีนะ แต่เราไม่ได้คิดร้ายอะไรกับสาเลย”


“แล้วกลับมาหาเราทำไม”


“เราแค่มาสำนึกว่าสาไม่ผิด”  ฉันอธิบาย  “และเราก็รู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นทำแบบนั้นกับสา”  ฉันคือต้นเหตุ


“ช่างเหอะ”  เอาจริงๆ สาก็ไม่ได้ชอบเพื่อนคนอื่นของฉันที่มาคบกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยนี่ และพอใจที่ได้ฉันกลับมา พร้อมกับสลัดคนอื่นที่ไม่มีค่าออกไปให้พ้นทางก็นับว่าคุ้มนะ


ในส่วนทักษะการเลือกคบคน ฉันที่ดูจะเด๋อด๋าน้อยกว่า เอาจริงๆแล้วไม่ได้เฉียบขาดเท่าสาเลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพื่อนไม่รู้หรอกว่าคนที่ดูไม่มีอะไรจะมีอีกด้านซ่อนอยู่เหมือนกัน ส่วนจะไว้ใจฉันต่อไปได้หรือไม่ เอาเป็นว่ากับฉันนั้นอยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่สุดท้ายคนที่ตนยึดมั่น


ก็ยังมีแค่ตัวเองเป็นที่ตั้งอยู่ดี…


สาได้คุยกับธนนเรื่องนี้ เขารู้สึกผิดที่ทำให้แฟนของตนต้องลำบาก จริงๆเขาเคยคุยกับแนนแต่มันก็นานมาแล้ว และตอนนี้ก็ไม่ได้คุยกันเลยจึงไม่ได้บอกออกไป สาเชื่อเพราะระหว่างที่อยู่ในกลุ่มนั้นชื่อของธนนแทบไม่เคยถูกเอ่ย คาดว่าเพราะฝั่งธนนไม่สนใจ แนนจึงไม่กล่าวถึงให้อายใครจนกระทั่งตอนนี้


ทว่าพอมันเกิดเรื่องฉันกับสา เรื่องราวสนุกปากมากมายถูกขุดขึ้นมา กระทั่งเรื่องของธนนที่เป็นอดีตเมื่อหลายเดือนก่อนก็ยังถูกนำมาพูดและตีความใส่ไฟกันรุนแรงจนทำให้สายมโนนำพากันมาถึงจุดแตกหักในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก แต่เขาก็อ่อนไหวกว่าตนมาก ธนนยังขอโอกาส แต่สำหรับสาที่ไม่ได้มองว่าเขาผิดพลาดอะไรก็ทำเป็นมอบให้อย่างไม่สบายใจ ก็ยังคิดหวังในตัวผู้ชายคนนี้ แม้รู้ว่าดันทุรังไปก็คงรักต่อไม่ไหวเช่นกัน


เขาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่าปรับความเข้าใจกับสาแล้ว พร้อมเคลียร์ปัญหา โพสต์แชทที่ร้างลาระหว่างแนนให้ทุกคนที่สนใจได้เห็น สารินไม่ได้ขอ ทุกอย่างมันรันไปตามระบบระเบียบเวรกรรมที่แต่ละคนทำ ทั้งนี้ทั้งนั้นตนก็รู้ว่าความมันอาจจะยาวและคนบางคนก็สาวเก่ง แต่ก็เชื่อมั่นว่าจะผ่านมันไปได้ อย่างตอนนี้ได้ฉันคืนมาคนเดียวก็ดีใจ


ทว่าเรื่องน่าสลดใจต่อจากนี้ก็ไม่ใคร่อยากรับฟัง


“คุณแม่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนกล้าทำร้ายน้องสาแบบนี้”  สารินไม่ได้ฟ้อง และตอนนี้เราก็อยู่ในห้องทานข้าวของที่บ้าน ไม่มีใครกินลง และทุกคนก็รอให้คุณแม่ซักกันให้สะอาด  “ทะเลาะกับน้องฉันด้วยเหรอคะ”


“เอ่อ…ดีกันแล้วครับ”  ว่าแต่แพรวรรณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง“เป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย”


“แม่อยากคุยกับน้องฉันค่ะ”


“แต่ว่า…”


“คุณแม่ก็เอ็นดูน้องฉันนะคะ ถ้าน้องฉันไม่คิดร้ายกับลูกคุณแม่จริง น้องสาก็ไม่ต้องกลัวอะไร”  อันนี้ถึงจะมั่นใจว่าควบคุมระดับความสัมพันธ์กับฉันได้ แต่สาไม่รู้ว่าหากมีคนแทรกแซงแล้วเรื่องจะเบนไปทางไหน และความเสี่ยงลำดับต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนคาดหมายได้


ทว่าคุณแม่ก็โทรหาฉันชนกที่มึนๆงงๆเป็นทุนเดิมอยู่ดี ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรให้คุยกันนักหนาแต่ไม่นานก็กลับมา ดูเหมือนว่าคุณแม่จะนัดฉันมากินน้ำชา สารินกำลังจะเอ่ยว่าขออยู่ด้วย แต่แพรวรรณก็รู้ทัน


“ไม่ได้ค่ะ”


“คุณแม่…”


“แล้วต่อจากนี้คุณแม่ไม่ให้เราทำตามอำเภอใจแล้วนะ” สารินที่เลี่ยงการถูกทำโทษมาได้ตลอดเป็นสิบปี ทำไมต้องมาเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนี้ด้วย  “พี่สนคะ ต่อไปต้องทำหน้าที่ปกป้องน้องด้วยนะ”


“…”


“ถือเป็นการทำโทษเราสองคนนะคะ”  แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสนธยา “อยากแกล้งทำเป็นไม่รู้จักจนคนอื่นเขาพากันเข้าใจผิดนัก ต่อไปก็ช่วยแสดงความรักกันให้เยอะๆกว่านี้ด้วยนะคะ สองพี่น้อง”  สารินตาโต มองหน้าสนธยาเลิ่กลั่ก ทว่าผู้ประสบเคราะห์กรรมกับทำแค่หุบปาก การลงโทษนี้มันหนักหนาเกินไปแล้ว


ใครก็ได้หยิบไม่เรียวให้คุณแม่มาตีน้องสาเถอะ!


Talk:
พระเอกเราไม่ใช่ตัวประกอบนะทุกคน เดี๋ยวพี่เขาต้องมา แค่ตอนนี้คิวแน่น555
@reallyuri #คู่กินคู่กัด







ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
15

สน xสา


“มากับพี่สนเหรอวันนี้”  ฉันที่มาถึงแทบจะพร้อมกันนั้นเอ่ยทัก ส่วนสารินนั้นถอนหายใจออกมา เพราะประกาศิตที่ว่านั่นแท้ๆเลย แผนการเชื่อมสัมพันธ์พี่น้องในวัยนี้เรียกได้ว่าทรมานใจกันเหลือเกิน ตั้งแต่นั่งรถมาด้วยกัน นี่เพิ่งจะเป็นนาทีแรกละมั้งที่ได้หายใจออกกับชาวบ้านเขา


หลังจากแพรวรรณโทรไปหาฉันชนก เธอก็กำหนดเด็ดขาดว่าสองพี่น้องต้องอยู่ด้วยกันและพูดคุยให้มากกว่านี้ แต่ไม่คิดบ้างหรือว่านี่มันออกจะสายไป สำหรับเด็กโข่งสองคนที่ไลฟ์สไตล์เรียกว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับสารินนั้นที่เพิ่มมาคือการเอาเขาเข้ามาในชีวิต แต่อีกฝ่ายนั้นคงจะรู้สึกเหมือนถูกกักบริเวณ


“สรุปคือพี่สนต้องงดเที่ยวและต้องมาคอยนั่งเฝ้าสาด้วยเหรอ”หรือจะเป็นความผิดของฉันที่หลุดปากไปให้แม่ของสาฟังว่าคนที่คณะเข้าใจว่าสาไปแย่งพี่สนมา ทั้งๆที่ความจริงทั้งสองเป็นพี่น้องกัน คนเป็นแม่ที่ฟังคงรับรู้ถึงปัญหาตรงนี้และพยายามจะให้พี่น้องได้ใกล้ชิดมากขึ้น


เดี๋ยวนะ ว่าแต่นี่มันไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอ?!


“อืม”


“แล้วธนนล่ะ”


“เราอธิบายให้นนฟังแล้ว เขาก็เข้าใจ”


“เข้าใจ? ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันชนกนั้นขมวดคิ้ว


“เอาจริงๆเรากับนนก็ไม่ได้ชอบกันขนาดนั้นหรอก คุยกันแล้วว่าถ้าไม่รอดก็ต้องถอย”  นั่นมันความรู้สึกสารินฝ่ายเดียวหรือเปล่า


“แล้วงี้จะได้เจอนนบ้างไหมเนี่ย”


“ถ้าแค่รับส่งต้องอยู่กับพี่สน กินข้าวอะไรอย่างนี้ก็ยังไปกับนนได้” จริงๆสารินก็คิดว่าถ้าหากจะไปเดินเที่ยวกัน พี่สนก็คงยินดีไปที่ไหนสักแห่งเพื่อรอกลับพร้อมกัน แต่อะไรอย่างนั้นสาก็ยังไม่ค่อยกล้าขอเท่าไหร่ คิดว่าถ้านัดนนออกมานั่งคุยแค่ในมหาวิทยาลัยได้ ก็คงไม่ต้องกวนพี่สนไปรับส่งเสมอไป


ทว่าช่วงนี้ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว ถ้าไม่ได้กลับบ้านด้วยกัน ก็คิดว่าโอกาสที่จะเจอมันน้อยนัก แถมวิศวะนี่เรียนน้อยที่ไหน น่าเสียดายเหมือนกันเพิ่งจะคบแท้ๆ แต่เราคงมาได้ถึงแค่นี้


“สาดูไม่เสียดายจริงๆนั่นแหละ”ฉันนั้นก่อนที่จะมาถามว่าคบกันอยู่จริงๆไหมก็นึกสงสัย สารินไม่ใช่คนประเภทที่ชื่นชอบใครง่ายๆ แต่คาดว่ายอมอ่อนจนคบไปนั่นก็เพราะมันเป็นช่วงที่สะเทือนใจแค่นั้น ซึ่งตอนนี้ปัญหาชีวิตวัยรุ่นอะไรนั่นก็ได้รับการแก้ปัญหาไปแล้ว หากรู้สึกต่อกันมากพอก็ย่อมคบต่อ แต่นี่เหมือนจะคบก็ได้ไม่คบก็ได้สงสารธนนเหมือนกัน


“เราก็…พยายามอยู่”


“พยายาม? หมายถึงที่คบกันอยู่”


“อืม…ธนนเป็นคนดี”


“มันไม่พอหรอกนะสา”ฉันนั้นพูดออกมา “ถ้าสาแค่สงสาร เราว่าธนนยิ่งน่าสงสารมากกว่าเดิมอีก”  ที่ฉันพูดมันก็ถูก ถูกมากจนสะอึกไป


อย่างว่า ถ้านนแย่กว่านี้ สาก็จะบอกเลิกอย่างง่ายดาย จะว่าสานั้นเสียดายความเป็นคนดีของแฟนหนุ่มก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็เพราะรับไม่ได้กับนิสัยไม่ดีของตัวเอง แต่ตอนนี้ที่กล้ำกลืนฝืนทน ก็คือสิ่งที่หลอกตัวเองอยู่ว่าที่เป็นมันดีอยู่แล้ว และสักวัน…ก็คงจะรักได้เอง


“อื้อ เราจะกลับบ้านแล้วล่ะ” นนที่กำลังจะไปเล่นบาสกับเพื่อนนั้นติดต่อมา สานั้นนั่งอยู่ในรถของพี่สน เรากำลังเผชิญรถติดในวันศุกร์กับแอร์ที่เย็นจัด


สานั่งตัวเกร็งจนแทบไม่ได้หายใจ กลัวเขาหงุดหงิดและวีนใส่ แม้จริงๆสนธยาไม่ใช่ใครที่จะเอะอะพาลก็ตาม ทว่าเห็นเขาถอนหายใจทุกสามนาทีแบบนี้ ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ


“รีบกลับไหม”


“กะ.. ก็”  ก็ต้องไปอ่านหนังสือสอบ


“แวะทานอะไรก่อนได้ไหม”  มาถึงจุดๆนี้ถ้าไม่ได้ก็จะตายไหมล่ะ!


ในที่สุดเราก็มานั่งทานอาหารกันที่คาเฟ่เล็กๆ จะว่าไปการนั่งรออยู่ในรถจนกว่าจะถึงบ้านมันก็เปล่าประโยชน์เหมือนกัน หากบอกว่าสารินต้องสอบสนธยาก็ต้องสอบเหมือนกัน จะให้เขามาขับรถและนั่งอ่านหนังสือคนเดียวก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นทำแบบนี้แหละดีกว่า


หลังจากสั่งอาหารมาทาน เราก็ใช้เวลาเงียบๆนั่งอ่านหนังสือของตัวเองไป ก็สักพักกว่าจะอินกับบทเรียนได้ เงยหน้าขึ้นมาดูเวลาก็พบว่าสมควรแก่การกลับได้แล้ว


“พี่สนสอบวันไหนเหรอ”  ของสารินสอบอาทิตย์หน้าวิชาแรก


“สอบอยู่”


“เห”


“อืม”  งั้นก็หมายความว่านี่เราใช้คนที่กำลังสอบมาขับรถเทียวไปเทียวมา เสี่ยงต่อการถูกกินหัวมากๆ


“ขอโทษที่ทำให้พี่สนต้องมารอนะครับ”  เพราะวันนี้เขาเหมือนจะเลิกเร็วกว่า พอลงมาก็เห็นว่าเขานั่งรออยู่ที่ใต้ตึกแล้ว ซึ่งใต้ตึกคณะของสารินมันวุ่นวาย ต่อให้เทพขนาดไหนก็คงจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง


“เราไม่ต้องขอโทษทุกเรื่องก็ได้”  เพราะมันน่ารำคาญ  “เพราะมันน่ารำคาญ”


อึก…


“มันน่ารำคาญที่ต้องมาฟังคำขอโทษทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนักหนา”


“…”


“คำพูดอื่นๆที่ดีกว่ามันมีตั้งเยอะ”เขาเว้นวรรคราวกับว่ากำลังสรรหาคำ  “นอกจากเจอกันก็ขอโทษ ก็จะไม่มีคำอื่นให้คุยเลย”  และจนถึงตอนนี้ที่เราคุยกันมันก็เป็นเช่นนั้น สารินเรียนรู้ที่จะเกรงใจคนในบ้านที่ไม่ค่อยสนิทกันทั้งคุณพ่อและพี่สน เพราะฉะนั้นถ้าหากพูดถึงการกลับบ้านของตน คนที่รออยู่ก็เหมือนจะมีเพียงแม่ และนั่นก็ไม่แฟร์กับคนอื่นเท่าไหร่


แต่ให้สารินเป็นน้องได้จริงๆใช่ไหม เขาไม่ได้รังเกียจหรือคิดว่าการพูดแบบที่สาถนัดคือการปีนเกลียวไร้มารยาท แต่จะให้สารินชวนคุยอะไรดีล่ะ ในเมื่อเราไม่เคยคุยกัน เหตุที่ให้สนทนาส่วนใหญ่มันก็มักจะมีสถานการณ์อยู่แล้ว ทำไมสารินที่เป็นคนพูดมากกับฉันชนกกลับเงียบขรึมได้เมื่ออยู่ต่อหน้าสนธยา


“พี่สน…”  แต่ว่าคนเราต้องมีจุดเริ่มต้น  “สอบยากไหม”


“ยากครับ”  เขาตอบในทันที


“ทำไม่ได้เหรอ”


“ทำได้สิ”


“เรียนหนักไหม”


“ก็หนักครับ”


“…”


“…”


“สาไม่ขอโทษแล้วนะ”


“ก็ไม่ได้ว่าเลย”  เขาตอบกลับ  “แต่อย่างนี้น่ารักกว่านะครับ พี่ว่า”  และดูเหมือนว่าคำแทนตัวแบบนี้ มันจ๊กจี้หัวใจดีชะมัด!


แต่ท่องไว้สิ พี่ชาย พี่ชาย พี่ชาย!


“จะว่าไปสากับพี่สนนี่หน้าไม่เหมือนกันเลยนะ”


พรวด!!!


“เลอะเทอะไปหมดแล้ว”  ฉันชนกตะคอกออกมา แหงสิ ก็สาสำลักน้ำมาโดนชีทที่เจ้าตัวถนอมเสียยิ่งกว่าอะไร สอบเสร็จแล้วเห็นบอกว่าจะเอาไปใส่กรอบไว้ พ่อแม่ต้องดีใจที่ลูกตั้งใจเรียน แต่จริงๆสาว่ามันต้องรอให้ได้ใบปริญญาไปใส่กรอบมากกว่า


“ก็ฉันพูดอะไรบ้าๆ”


“บ้าๆที่ไหน ถ้าไม่ออกมาบอกว่าเป็นพี่น้องกันเราก็ไม่เชื่อเท่าไหร่นะ”


“…จะให้เราพาคุณแม่มาคุยไหม”


“เราคุยแล้วไง คุณแม่ก็บอกว่าครอบครัวเดียวกัน”


“…”


“แต่ฉันว่าสาระวังๆไว้หน่อยก็ดีนะ”  ฉันชนกขมวดคิ้ว  “ก็รู้แหละว่าพี่น้องกัน”


“นั่นสิ มีอะไรให้ระวัง”  ก็ไม่รู้สินะ…


ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


ความสัมพันธ์ระหว่างสากับฉันนั้นดีขึ้นตามลำดับ แต่จริงๆแล้วเราแทบไม่ต้องปรับอะไรเลยเพราะเดิมทีก็สนิทสนมกันอยู่แล้ว แถมพื้นนิสัยเดิมก็ไม่ใช่พวกที่ชอบหวังพึ่งใครเป็นพิเศษ และเพราะไม่ค่อยคิดอะไรจึงไม่หวังปรึกษาทุกเรื่องที่สำคัญ จะอย่างไรคนอย่างสานั้นก็ยังชอบเก็บงำความในใจไว้กับตนเองมากกว่า


กับธนนเองก็ไม่เชิงระหองระแหงหรอก แต่เพราะจะไปไหนพี่สนก็มักจะมาคอยเฝ้าตามคำสั่งของแม่ ทำไปทำมาเวลาอยู่ด้วยกันก็มักจะเกรงใจจนต้องขอกลับก่อนเสมอ ซึ่งแบบนี้มันไม่แฟร์กับธนนเลย


สาเลยคิดว่าเราคงไปต่อกันไม่ได้แล้ว


“สาคิด…มาดีแล้วใช่ไหม”  ธนนถาม


“เราขอโทษด้วยนะ”


“…”  ธนนเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมา  “นึกไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”  แต่ใช่ว่าเขาจะโกรธ


อันที่จริงธนนนั้นก่อนขอคบก็ทำใจว่าอาจจะไม่ได้เป็นคนรัก ที่เขาได้ใกล้ชิดขนาดนี้ก็เรียกว่าแต้มบุญสูงจนอาจจะใช้หมดไปแล้ว อุปสรรคมันก็เยอะนัก ไม่แปลกเลยที่จะไปต่อไม่ได้ ทั้งนี้สาก็ยังใจดีพยายามจะรั้งมันไว้ ไม่เช่นนั้นปรบมือข้างเดียวมันก็ไม่มีทางดังหรอก แต่แค่คนหนึ่งไม่มีแรงจะปรบต่อไปอีกแล้ว


อันที่จริงเขาก็เหนื่อยพอดี


“เราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่หรือเปล่า”


“อันที่จริงเราก็อยากเป็นเพื่อนกับนนนะ แต่ว่านนจะยังโอเคกับเราไหม”


“เราจะไม่โอเคกับสาได้ยังไง”  เขายิ้ม อาจจะเพราะว่าที่ผ่านมา กำแพงสูงและหนาที่มองไม่เห็นนั้นมันทำให้เขารับรู้ตัวเองและเยียวยาใจมาตลอด ดังนั้นวันนี้ที่คาดหวังไว้ว่าจะมาถึงจึงรับมือได้สบายๆ อันที่จริงอย่างนี้อาจจะสบายใจมากกว่าทั้งสองฝ่าย


เพียงแต่มันน่าเสียดายที่มันจบลงแล้ว…


หลังจากคุยกันจนเคลียร์แล้ว สารินก็ไม่รั้งอยู่ต่อไป ไม่ใช่ว่าอยากจบบทสนทนาหรือว่ากลัวธนนกลับคำพูด แต่ว่าตอนนี้ต้องให้เวลาอีกฝ่ายเสียหน่อย เขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะจูนต่อความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับสารินในตอนนี้ ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากว่าสาจะกลับบ้านไปก่อน อย่างน้อยเราก็ต้องให้เวลากับหัวใจ และไม่ควรให้คนที่มารอต้องรอต่อไปแบบนี้


“เป็นอะไรไปล่ะ”  ทั้งๆที่ปิดเทอมแล้ว แต่ว่าการไปไหนมาไหนก็ยังไม่เป็นอิสระ สารินยังต้องมีสนธยามารับมาส่งทุกครั้งและวันนี้ก็เช่นกัน เพราะนัดธนนไว้เลยมาหา แต่ว่าบทสนทนามันจบแล้ว เฉกเช่นกับความสัมพันธ์รูปแบบนั้นที่ตนตัดสินใจลองมี


สุดท้ายแล้วความสำคัญ สารินก็ยังยกให้ธนนน้อยกว่าสนธยาอยู่ดี


“ฮึก”  น้ำตาของน้องนองหน้า เขาที่พอมาส่งก็ไปเดินเที่ยว ได้รับโทรศัพท์หลังจากแยกกันไม่นานก็เดินมาหา ทว่าสิ่งแรกที่เห็นคือภาพน้องที่เช็ดน้ำตาอยู่ตรงหน้าแบบนี้


“เกิดอะไรขึ้น”  เขาขมวดคิ้วตีหน้าขรึม หากเป็นปกติสารินคงหนีไปหลบหลังเสาแล้ว แต่ตอนนี้ตนเจ็บจริงๆ ไม่ได้เจ็บเผื่อธนน แต่เจ็บที่ตัวเองไม่เป็นดั่งใจ


“สา…สา…”


“อย่าร้องสิ”  และเหมือนคำปลอบนี้จะเป็นดั่งวงแขนที่อ้ากว้าง สารินที่ตาพร่าไปหมดนั้นเดินเข้ามาก่อนจะสวมกอดเขา รับรู้ได้ถึงร่างกายที่เกร็งแข็งของคนเป็นพี่ ก่อนที่จะรับรู้ถึงอ้อมแขนจริงๆที่ไม่ใช่ภาพลวงตาอีกต่อไป


และก็ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไหร่ที่อยู่ในอ้อมกอดที่รู้สึกปลอดภัยภายใต้แสงไฟทึมๆของบันไดหนีไฟโซนตึกจอดรถ…


สารินนั้นยังคงสะอึกสะอื้นนั่งรอ ไม่กล้ามองหน้าคนที่เราไปขอให้เขากอดกันไว้ จนตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมา ทราบว่าอยากจะเข้าไปซื้ออะไรหน่อย


เมื่อครู่ตนก็อ่อนแอเกินไป ไม่รู้ว่าเขาที่ไม่อ่อนโยนจะคิดตำหนิกันถึงไหน แต่ว่าความอ่อนแอมันไม่เข้าใครออกใคร หากเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็เกรงว่าอ้อมกอดนี้คงไม่ใช่คนที่ชื่อสนธยาเหมือนกัน สารินก็แค่โหยหาสัมผัสปลอบโยนที่จะบอกว่าการตัดสินใจนี้มันดีที่สุดแล้ว ในเมื่อฝืนต่อไปไม่ไหว ก็อย่าฉุดรั้งใครไว้แบบนี้เลย


รับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวของใต้ตา เช่นนี้ก็รู้ว่าสภาพของมันไม่ได้ดูดีนัก อยากกลับบ้านจัง แต่ว่าตอนนี้ยังต้องรอบางคนกลับมาก่อน สนธยาให้สารอที่รถ ส่วนเขาไปไหนสักที่ไม่ได้บอกกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นความกล้าที่จะโทรถามก็ไม่มี เกรงว่าจะเป็นการเร่งเร้าให้เขาโกรธเคืองเสียมากกว่า


แต่ว่าประตูรถข้างคนขับก็ได้เปิดออก


“อ่ะนี่น้ำ”  เขาไปซื้อน้ำแต่หาตู้กดแถวนี้ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องลงไปหาที่ซุปเปอร์ คนที่รับมานั้นมองหน้าเขาอย่างงงงัน ทว่าใบหน้านิ่งๆนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา


“ขอบคุณครับ”


“ดีกว่าพูดว่าขอโทษ”  หากเป็นสมัยก่อน ในสถานการณ์แบบนี้สารินต้องเอ่ยขอโทษออกมา ทว่าตนปรับตัวได้แล้ว คนทำดีด้วยไม่ควรขอโทษที่ทำให้ลำบากเพราะมันคือความเต็มใจ สิ่งที่ควรพูดออกไปคือคำว่าขอบคุณเพราะซึ้งน้ำใจจริงๆ


“สาอยากกลับบ้านแล้ว”


“ถ้าแม่เห็นเราเป็นงี้จะอธิบายยังไง”  อันที่จริงคนที่เป็นเจ้าของอ้อมกอดเมื่อครู่ยังไม่รู้เลยว่าสาเป็นบ้าอะไร นั่นสิเราควรจะอธิบายอย่างไรดีในเมื่อเรื่องแบบนี้มันส่วนตัวเกินไป แต่คนที่ประคบประหงมกันนั้นก็คงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ และสานั้นลำบากใจที่จะพูด


“ผมไม่รู้”


“ไปต่างจังหวัดกันไหม”


“ครับ?”


“พี่อยากไปวิ่ง”


“วิ่งเหรอ”


“ไม่ได้วิ่งนานแล้ว”  สารินคิดว่าเขาออกกำลังกายบ่อยอยู่เลยไม่เข้าใจความหมายเท่าไหร่ ทว่าหากนี่คือข้อเสนอแนะที่จะทำให้เราได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธออกไป


เมื่อนั่งรถไปได้สักพัก ดวงตากลมโตก็ปิดลงก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา วันนี้สารินตัวน้อยเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่เมื่อหลับเต็มอิ่ม อากาศที่กำลังสบายอย่างบอกไม่ถูกนั้นก็ปลุกให้ตนตื่นขึ้นมา และพบว่ารถที่นั่งมานั้นจอดนิ่ง กระจกทุกด้านก็ถูกเปิดให้ลมถ่ายเท ที่สำคัญ…คนที่ควรจะอยู่ข้างกาย ก็ไม่ปรากฏกายอยู่ในที่ตรงนี้


“พี่สน…”  สารินพึมพำร้องหา นี่เขาพาเรามาอยู่ที่ไหนกัน?


ทว่าความกลัวที่ควรจะมีอยู่กลับไม่เคยเกิดขึ้น คนตัวเล็กเลือกที่จะลงจากรถและเดินเอื่อยเฉื่อย สารินค้นพบว่าที่นี่คือสวนที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าสีฟ้าก็สว่างสดใส ที่เขาบอกว่าต่างจังหวัด มันคือสถานที่ที่สวยและทำให้ชุ่มชื่นหัวใจจริงๆ


กรรรรรรร...


“ฮื้อ!”  เสียงอุทานหลุดออกมาเมื่อได้ยินเสียงเหมือนสัตว์ป่าดังเข้ามาใกล้ และไม่ทันไรก็เห็นตัวตนของเจ้าของเสียงนั่น หมาป่าสีขาวเทาตัวใหญ่นั้นสืบเท้าเข้ามา และในระยะหลบเลี่ยงหนี สารินรู้ตัวดีว่าไม่มีทางพ้น


ทว่าความกลัวนั้นพลันมลายหายไป เจ้าของสี่เท้านั้นเดินมาหาอย่างแช่มช้า แม้แววตาคมกล้านั้นอาจจะไว้ใจไม่ได้ แต่สารินก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนีไปไหนไกล ดวงตาของเราที่จ้องมองกันนั้น มันก่อให้เกิดบางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งขึ้นมา


ร่างเล็กนั้นค่อยๆนั่งลง ประจวบกับหมาป่าเจ้าปัญหานั้นเดินเข้ามา มือไม่รักดีของสานั้นค่อยๆลูบขนของมัน ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มสวยเมื่อพบว่าเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้ เจ้าหมาป่าตัวใหญ่นั้นถูไถใบหน้าของมันกับต้นแขนและหัวไหล่ ก่อนที่สารินจะรวบมันเข้าไปกอดด้วยเข้าใจว่ามันจะปลอบโยน


“ขอบใจนะ ช่วยได้เยอะเลย”  ดวงตาที่หลับพริ้มกับใบหน้าที่ผ่อนคลายสามารถชี้วัดได้ถึงปริมาณความสุขที่มี ก่อนจะผละออกมาเพื่อให้เจ้าหมาป่าได้เป็นอิสระจากอ้อมแขนอันอ่อนแอนี่


มันถอยหลังและออกวิ่งไปยังสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ เสียงร้องที่คลอกับเสียงของใบหญ้ากระทบสายลมนั้นส่งผลให้เรื่องเลวร้ายเหมือนจะถูกฝังกลบให้จมหาย แม้จะเพียงชั่วคราว แต่มันก็ดีกับหัวใจในระยะหนึ่ง ในใจพาลนึกถึงคนที่พามา และใช่ว่าตัวสาจะไม่รู้


คนอยากวิ่ง…เขาได้วิ่งออกไปแล้ว….


ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้นก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอย เรื่องราวความบาดหมางในช่วงปีแรกนั้นค่อยๆจางหายจากความทรงจำของผู้คน กลุ่มเพื่อนเก่าก็แตกออกไปและไปรวมกับกลุ่มใหม่ ส่วนสาและฉันก็มีเพื่อนใหม่ที่คบหาได้สนิทใจมากขึ้น แต่ละวันผ่านไปอย่างที่ควรเป็น ตื่นมา รอใครบางคนขับรถไปส่ง และไปเรียนด้วยกัน เมื่อถึงตอนกลับ ใครเสร็จก่อนก็มารอ เป็นเช่นนี้มาหลายปี แม้กระทั่งตอนที่สนธยานั้นพ้นผ่านวัยนักศึกษา สารินก็ยังต้องมานั่งรอที่บริษัท


แต่แบบนี้มันใช่เหรอ…


“สาก็สนิทกับพี่สนแล้วนะ”  คุณแพรวรรณก็รับรู้ ว่าตอนนี้สองพี่น้องพูดคุยหยอกล้อกันได้สนิทใจมากขึ้น ทว่าทำไมยังบังคับให้ตัวติดกันด้วย


“น้องสาเบื่อพี่สนแล้วเหรอคะ”


“สาจะไปเบื่อพี่สนได้ไง”  แค่ไม่เข้าใจว่าโตขนาดนี้ยังต้องไปไหนมาไหนกับพี่ชาย


“แม่แค่เป็นห่วงเลยอยากให้อยู่ใกล้สายตา”


“แต่ว่าสาโตแล้ว”  สารินพึมพำเสียงเบา  “แถมยังหางานทำได้แล้วด้วย”


“น้องสาว่าไงนะคะ!!” 


“สาบอกว่า สาได้งานทำแล้ว เป็นบริษัทในเครือเดียวกับที่ฉันจะไปทำ”


“แม่คิดว่าน้องสาจะกลับมาทำงานที่บริษัทในเครือของเราเสียอีก”  คุณแพรวรรณดูเสียใจไม่น้อย


“ให้สาไปลองหาประสบการณ์เถอะนะ” 


“…”


“นะครับคุณแม่ ตรงนั้นมีงานที่อยากจะทำจริงๆ”


“เฮ้อ”  เธอถอนหายใจออกมา อันที่จริงเธอก็บีบบังคับเด็กคนนี้เกินไป แต่จะไปทำงานที่อื่นเลยเหรอ ช่างเถอะ เดี๋ยวสักพักหนึ่งค่อยบีบให้กลับมาทำงานด้วยกันก็คงได้ แพรวรรณนึกวางแผนการอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้าของใบหน้าใส เธอก็ยอมแพ้เสียราบคาบ


ในอีกมุมหนึ่งไม่ไกลจากห้องๆนั้น ใครบางคนที่ได้ยินทุกอย่างนั้นประมวลบางอย่างในหัว เขาไม่เอ่ยอะไรออกมา และคิดว่าคงยังทำอะไรไม่ได้ สารินหลังๆมานี้พอสนิทกันก็เริ่มที่จะดื้อขึ้น เป็นธรรมชาติของเด็กน้อยที่พอคุ้นเคย แล้วเลยกล้าที่จะพูดตามความต้องการ น้องมาบอกกับเขาแล้วเรื่องที่ได้งานทำที่บริษัทอื่น ตอนแรกเขาว่าจะค้าน แต่ต้านทานไปก็คงไม่ได้อะไร


นอกจากความน้อยใจของคนน้องที่คิดอะไรก็ไม่มีใครรู้


ช่วงแรกๆสารินก็ไปกลับที่ทำงานทุกวัน แต่เพราะการเดินทางและจำนวนงานในแต่ละวันไม่เอื้ออำนวยเสียเลย หนักเข้าเจ้าตัวก็เลยมีสภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ แม้ว่าริมฝีปากจะติดรอยยิ้ม แต่ก็ฝืนเต็มทน จนคนแม่จะให้ออกให้ได้


“ทำไมน้องสาต้องทำตัวเองให้ลำบากขนาดนี้ด้วยละคะลูก คุณแม่เลี้ยงหนูได้นะ”


“แต่สาชอบงานนี้”


“มันไม่โอเคแล้วนะคะสา หนูกลับบ้านดึก ออกจากบ้านแต่เช้ามืด ล่าสุดเป็นไข้ก็ยังต้องออกไปทำงาน”


“แต่สาก็ไม่ได้ไปนี่”


“ก็แหงล่ะสิ ในเมื่อคุณพ่อเป็นคนอุ้มพาไปโรงพยาบาล”  แพรวรรณนั้นเถียงกลับ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่สามีของเธอต้องพาเจ้าตัวเล็กไปโรงพยาบาลในตอนเช้าเพราะทนเห็นไม่ไหว แม้ว่าเขาจะเย็นชาแค่ไหน แต่เห็นมาตั้งแต่เล็กมันก็อดไม่ได้ที่จะทั้งเอ็นดู และห่วงใยเช่นกัน


“สา…ขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงและขอบคุณที่เป็นห่วงกันครับ”  แต่สารินเรียนรู้ที่จะพูดคำที่เหมาะสมทั้งสองคำออกมาแล้ว พี่ชายคนโตของบ้านนั้นยังเงียบงัน เขาคิดอะไรในใจก็ไม่มีใครรู้ เหมือนที่สารินคิดอย่างไรถึงหาความลำบากใส่ตนเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเข้าใจเช่นกัน


“แล้วจะเอายังไง ไม่ลาออกอยู่ดีใช่ไหม” 


“สา…อยากจะขอไปเช่าหอพักอยู่”


“น้องสา!”


“ฮึก…คุณแม่”


“แม่เราเขาเป็นห่วงแค่ไหนไม่รู้เลยเรอะ!”  ประมุขของบ้านที่เงียบงันมาโดยตลอดนั้นแทบคำรามออกมา นอกจากกดดันให้ลาออกไม่ได้แล้วยังจะพยายามถีบหัวตัวเองออกไปอีกเหรอ


“สา…สาจะกลับมาทุกคนทุกอาทิตย์เลยครับ แล้วก็…แล้ว…”


“แม่ไม่โอเคค่ะ”  แพรวรรณพูดแค่นี้  “แม่เลี้ยงมาแต่เด็ก แม่เป็นห่วงมาก น้องสาทำแค่นี้ให้ไม่ได้เหรอคะ” 


“แต่สา…”


“เราไม่คุยกันเรื่องนี้แล้วนะคะ”  เจ้าของบ้านหญิงยื่นคำขาด ส่งผลให้บรรยากาศมื้ออาหารวันนี้รสชาติฝาดจนไม่มีใครกินหมดสักจาน


สารินก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจ เพราะสิ่งที่คาดหวังไว้บอกใครไปก็คงรับไม่ได้กันทั้งนั้น ในอนาคตที่ตนสำเร็จภารกิจให้กับคนในบ้านหลังนี้ หากจะดีก็อยากจะเป็นอิสระต่อกัน เดิมทีพวกเขาก็รับมาด้วยผลประโยชน์ที่หวัง หากจะจากกัน สารินก็ยังต้องการที่จะพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด เช่นนี้จึงพยายามมาตลอดทั้งเรื่องการเรียนและการทำงาน


ในส่วนของความรักและความผูกพันที่พวกเขาให้กัน สาก็มั่นใจว่ามันดีกว่าบ้านไหนๆที่รับผู้ชายที่ท้องได้เข้าไปเลี้ยงดู คุณแพรวรรณปฏิบัติต่อกันเหมือนลูก ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้สารินใช้ชีวิตดีๆไม่ต่างจากที่พี่สนมีเลยทีเดียว


แต่บุญคุณย่อมต้องทดแทน มันเป็นแผนที่วางไว้มานานแล้ว ทุกวันนี้ที่เขาให้สนธยาตามติดนั้นจุดประสงค์ก็คงเพราะไม่อยากให้คลาดสายตาไปไหน ทำไมสารินถึงจะรู้สึกไม่ได้ แล้วมันไม่เจ็บหรือไงที่ต้องคอยมานั่งถอดถอนใจไม่ให้ผูกพันต่อกันไปมากกว่านี้ สาจะไม่ทรยศต่อความไว้ใจของพวกเขาหรอก หากเวลานั้นมาถึงก็จะกลับมาหา


ในส่วนของความรัก ก็ได้รับมันมาหมดแล้ว
แต่ความเสียใจ…คนที่จะรับไปมันก็เหมือนจะมีแค่สาคนเดียวเท่านั้น


Talk: อยากลงอังคารของที่รักเหมือนกันแต่ติดว่าไม่มีที่แต่งเก็บไว้เลย
มีคนสงสัยว่าสาถูกวางตัวให้มาท้องกับพี่สนแล้วทำไมเป็นพี่น้องกันได้ จริงๆสาไม่ได้ถูกวางตัวให้มาท้องกับพี่สนนะคะ คิดว่าในตอนเปิดคู่น่าจะเคยเปรยๆไว้แต่มันนิดเดียวมากๆ อีกสักพักจะพูดถึงประเด็นนี้มากขึ้น
ตอนนี้ยังไม่ได้กลับไปอีกคู่เลยเพราะคู่นี้มีเนื้อเรื่องช่วงต้นยาวเชียว แต่ไม่นานทามไลน์จะประสานกันค่ะ (ซึ่งเราก็ยังแต่งไม่ถึงตรงนั้นเหมือนกันอ่ะ แงงงง)
ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เราได้มากเลยค่ะ
สัญญาว่าจะรีบมาต่อเร็วๆนะคะ
@reallyuri #คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
16

สน xสา


การที่จะออกมาพึ่งพาตัวเองคนเดียวได้ ในเมื่อพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครยอม
งั้นเราต้องพร้อมไปต่อรองกับจอมมารแล้ว…


ดวงตาของสารินและสนธยานั้นจ้องมองกันและกัน ในตอนนี้แม้คนอ่อนแอก็ไม่มีวันยอมแพ้ หากจะมีคนเดียวที่ช่วยได้ก็คงจะเป็นคนที่น่าจะไม่ยอมที่สุดนั่นแหละ แต่เดี๋ยว เรายังไม่เคยถามความเห็นเขาเลยนี่ บางทีก็อาจจะยิ่งกว่ายินดีที่ได้สลัดเราไปก็เป็นได้ บ้าจริงแค่คิด…น้ำตาก็จะไหล



“สรุปคือสาอยากให้พี่ไปช่วยพูดกับคุณแม่”  สนธยาทวนความเข้าใจ เรียกว่าคนน้องได้เรียกความกล้าหาญทั้งชีวิตมาใช้กับงานนี้


“ใช่แล้วครับ”  สาตั้งใจจะไม่อ่อนลงกับเรื่องนี้ แต่พอเห็นเขาปราดมองมาก็นึกอยากยกมือไหว้และพูดคำที่ทำให้สบายใจออกไป


ฮืออออ ขอโทษค้าบบบบบบ


“คิดว่าพี่จะช่วยเราเหรอ แม่ไม่ยอมอยู่แล้ว”  เขาหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบ รู้ไหมว่าวันนี้สารินวางแผนมาดีแค่ไหน


เริ่มต้นวันด้วยการออดอ้อนบอกว่านัดฉันไว้ ก่อนจะสั่งให้เลี้ยวรถพามาร้านกาแฟเพื่อพูดเรื่องนี้อย่างจริงใจเข้าไป สนธยาเกือบรับมือไม่ไหว แต่เชื่อสิว่าสกิลการไม่คล้อยตามของเขาสูงกว่าใคร


“เถอะนะครับพี่สน เห็นแก่สานะ”


“เพราะอะไรเราถึงอยากออกไปนัก”


“…”


“อยากเป็นอิสระขนาดนั้นเลย”  หรือว่าเขาจะรู้ทันชีวิตของกัน เมื่อนึกถึงแค่นั้น คนตัวเล็กก็กัดริมฝีปากที่กำลังจะหลุดคำพูดบางอย่างออกมา คนตรงหน้าคือสนธยานะ เราพูดตามใจคิดได้ที่ไหน


“สาก็ไม่หรอกครับ”  จริงๆแล้วสาไม่ได้อยากเป็นอิสระเลย เพราะอิสระ อาจจะโหดร้ายก็เป็นได้


“แล้วทำไม”


“สาก็แค่กลัวว่าวันหนึ่งถ้าต้องอยู่คนเดียวแล้วจะพึ่งพาตัวเองไม่ได้”  เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ก็เป็นตัวเองที่ร้องหาใครสักคน เป็นที่ยอมรับบ้าง ไม่ได้รับการยอมรับบ้าง คละๆกันไป จนสุดท้ายในอ้อมกอดของมารดาของสนธยาที่ได้ชื่อว่าเป็นคนอื่น สารินเพิ่งรู้ว่าตนกำลังจะเคยตัวเกินไป


“แล้วใครเขาจะปล่อยเราไปอยู่คนเดียว”


“ก็ใครจะไปรู้ละครับ”  น้ำตาหยดหนึ่งได้รินไหล  “ก่อนจะมาอยู่ที่บ้านนี้ สายังไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะได้กินข้าวอิ่ม นับประสาอะไรกับอนาคตที่มาไม่ถึงล่ะ”


“…”


“สารู้สึกขอบคุณทุกคนมากนะ แต่ว่าสาก็แค่กลัวก็เท่านั้นเอง”


“แล้วคิดว่าพวกเราจะปล่อยสาไปง่ายๆขนาดนั้นเหรอ” 


“ถ้าหมายเรื่องที่ต้องตอบแทนบุญคุณละก็ สาไม่เคยลืมเลยนะ”  ก่อนจะพึมพำออกไป “แต่ว่าแล้วหลังจากนั้นล่ะ”


คำพูดที่เคยได้ยินตอนเด็กเหมือนเทปที่ถูกกรอซ้ำ หลังจากทำประโยชน์ให้กับผู้ซื้อ ร่างกายของคนแบบสารินก็จะไม่เป็นที่จำเป็นอีกต่อไป นอกซะจากเขาอยากจะให้ตั้งครรภ์ที่สองให้แค่นั้น ทว่าส่วนใหญ่มักจบชีวิตลงอย่างเดียวดาย วนลูปไปเหมือนทุกยุคและสมัยจนอยากคิดจบมันไว้แค่นี้ สนธยาจ้องมองคนที่มาขอร้องเขาทั้งน้ำตาด้วยความคิดมากมาย


สิ่งเดียวนี้เขาให้ได้แต่ไม่รู้ว่าจะให้ไปทำไมในเมื่อมันไม่ได้เป็นความต้องการของใครสักคน ดูก็รู้ว่าสารินวางแผนนี้มานานแล้ว ทั้งเรื่องการเรียน การไปทำงานที่อื่น และย้ายออกไปอยู่คนเดียว เด็กคนหนึ่งที่จิตใจบอบบางและอ่อนแอนั้นกำลังพยายามอย่างมากที่จะสยายปีกอันกล้าแข็งสู่โลกกว้าง อันที่จริงมันก็ไม่ได้ผิดนัก แค่ไม่มีใครต้องการให้


ทว่าก็น่าสงสารหากจะเก็บไว้ให้คิดต่อไปว่าโลกที่เรามีให้คือการกักขัง

“พี่จะช่วยพูดดู”  เพราะสิ่งที่สารินต้องทำตามพันธสัญญาแต่แรกเริ่มนั้นคือสิ่งที่ไม่มีใครตอบได้ “แต่มีข้อแม้แน่นอน”  หากแพรวรรณคือคนที่อาจจะทำให้เด็กคนนี้หัวใจสลายจนขอหลบหลีกออกมาก่อน งั้นเอาเป็นว่าเขาจะยื่นให้ ทว่าการจะปล่อยไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำไปโดยไม่หวังผล เงื่อนไขใหม่ต่อไปนี้จะมีไว้ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด


“สาจะต้องอยู่ในสายตา ถ้าพี่สั่งให้มาหาคือมาหา”


“พี่สน…”


“แค่นี้คงพอให้ได้ใช่ไหม”  เขาถามย้ำ ซึ่งเท่านี้ก็มากพอแล้ว มันคงไม่ต่างจากการคอยบอกว่าอยู่ไหนทำอะไรแบบที่เคยเป็นเท่าไหร่ หากที่ผ่านมาทำได้ จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ย่อมไหวอยู่แล้ว


“ได้ครับ”  ขอแค่ให้ได้ออกมาพึ่งพาหรือหาทางเติบโตในระยะยาวให้ได้ก่อน กว่าจะถึงตอนนั้น…


หัวใจของเราคงไม่รับความหวังดีของใครอีกแล้ว


สมพรปากสนธยา เขาทำให้สารินออกมาอยู่คนเดียวได้จริงๆ! ทว่าเงื่อนไขโดยตรงของคุณแม่ คือจะไม่ซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งนั่นก็สมควรแล้ว ในเมื่อตั้งใจอยากพึ่งพาตัวเองนี่


ก่อนวันย้ายออกคุณแพรวรรณแทบไม่คุยด้วยเลย แต่พอวันย้ายของออก เธอก็เดินมากอดหอม คนที่ใจแข็งอยากจะปีกกล้าใจอ่อนยวบ ไม่อยากจะคิดภาพหน้าเศร้าๆที่จะเกิดขึ้นกับเราในอนาคตนั้นเลย หรือบางทีหลังจากที่สารินคลอดลูกให้กับตระกูลเพย์ตันแล้ว พวกเธอจะรับกลับมาอยู่ด้วยดังเดิม แต่อย่าหวังสูงไปจะดีกว่า


“น้องสาต้องกลับมาหาแม่บ้างนะ”


“ครับ”  บางทีสาอาจจะกลับมาบ่อยกว่าที่คิดไว้


“แล้วดูแลตัวเองดีๆนะลูก กลับมาแม่จะจับช่างน้ำหนัก ถ้าน้อยลงเตรียมขนข้าวของกลับมาเลย”


“ฮึก”


“ถ้าไม่ไหวกลับบ้านเรานะลูก”  เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่ เพราะเวลาที่เหลือนั้นมีน้อยลงแล้ว สารินจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!


สารินอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ในรถมาตลอด จนกระทั่งจัดข้าวของเธอก็เป็นคนช่วย แพรวรรณบ่นตลอดเวลาเรื่องของห้องที่สารินหามาเพื่ออยู่อาศัย แต่ดีกว่านี้ก็แพงเกินไป ในเมื่อจะให้พึ่งพาตัวเองให้ได้ ก็ต้องยอมรับที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้


หลังจากการย้ายออก ข้อตกลงทุกอย่างล้วนถูกทำตามเหมือนที่ตกลงไว้ สารินมักจะรายงานเสมอว่าตนจะไปไหนทำอะไร แม้ว่าหลังๆหลายครั้งจะไม่ละเอียดเสมอไป แต่ว่าก็อยากให้เขาเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่มีใครหนีไปอย่างที่สัญญา


เป็นเวลากว่าปีที่ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ แต่ตลอดปีที่ว่าสนธยาก็เข้ามามีบทบาทชีวิตมากขึ้น ถ้าชีวิตของสามีเพียงที่ทำงานกับหอพัก ชีวิตที่นอกเหนือจากนั้นก็เป็นของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะกลับหรือไม่กลับบ้าน ถ้ามีเวลาสนธยาเป็นต้องมาหา ซึ่งสารินคิดว่ามันคือการช่วยเหลือกันในรูปแบบหนึ่ง


เพราะรายได้ของเด็กที่เพิ่งทำงานได้ไม่นานและอยู่ในระหว่างสร้างตัว เจอกันทีไรไม่มีหรอกที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น อดมื้อกินมื้อเพราะขี้เกียจบ้างงกบ้างเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว และพี่ชายที่ได้เห็นน้องชายสภาพนี้บ่อยๆก็ไม่ค่อยพอใจ เลยกลายเป็นว่าเขามักจะพาออกไปหาอะไรกิน


เพราะฉะนั้นผลลัพธ์หลังชั่งน้ำหนักจึงออกมาดีเสมอ


ชีวิตของสารินก็ดำเนินมาเรื่อยๆ โดนพี่ชายเผด็จการใส่บ้าง โดนเพื่อนที่ชื่อฉันชนกทิ้งๆขว้างๆบ้าง แต่ล่าสุดคือ


เอี๊ยดดดดดดดดดด!!!


“พี่สน!!”  สารินตวาด ก่อนจะรีบปิดปากตัวเอง ถึงจะถึงเนื้อถือตัวชวนคุยเล่นได้แล้ว แต่เสียงดังเรียกชื่อเขา ถ้าไม่กลัวบาปก็ต้องกลัวตายนะว่าไหม


“…”


“ทำไมอยู่ๆก็เบรคงี้ล่ะ” 


“พี่ตกใจนิดหน่อย”  สารินว่าก็ไม่ได้เห็นหมาตัดหน้ารถที่ไหนเลยนะ  ว่าแต่เมื่อกี้เราคุยกันเรื่องอะไร


อ่อ…ผู้ชายข้างห้องมาจีบ


“อืม ตอนเช้าเขาชอบเอาถุงโจ๊กมาวางไว้ให้ อร่อยดี”


“แล้วกล้ากินไปได้ไง”


“ตอนแรกก็ไม่กล้า แต่สิ้นเดือนพอดีเลยลองชิมดู” จริงๆคือชักหน้าไม่ค่อยจะถึงหลัง เงินเก็บสาก็มีเยอะนะ แต่ว่าจะเก็บไว้ดมอีกสักพัก


“สา..ถ้ามันลำบากขนาดนั้น”


“สาไม่ลำบากอะไร” ยังคงเถียงหน้าตาย  “สาดีใจนะที่พี่สนห่วง แต่ว่า…อีกฝ่ายเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”  ยิ่งช่วงนี้คุณฉันก็เหมือนจะกุ๊กกิ๊กกับใครสักคนด้วย ถึงจะพูดว่าไม่เหงา แต่เชื่อเถอะว่าคนเราเห็นช้างขี้ย่อมอยากขี้ตามช้าง แต่ถ้าฉันมารู้ว่าคิดอะไรอยู่ ต้องดุแน่ว่าฉันไม่ใช่ช้าง และฉันไม่ได้ขี้!


“ตามใจเถอะ”  เขาถอนหายใจ บรรยากาศดูย่ำแย่ขึ้นมา แต่โชคดีว่าไฟแดงข้างหน้า ฉันก็จะลงแล้ว


แต่ไฟแดงที่ว่าทำไมมันนานนักล่ะ


“พี่สน…”  เพราะบรรยากาศมันอึดอัดเกินไปหรือเปล่า สารินเลยเรียกหา คนที่นั่งใกล้ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สาจะถือว่าเขารับรู้  “พี่สนไม่ได้เดทกับใครอยู่เหรอ”


“พี่จะเอาเวลาที่ไหน” 


“เหี่ยวเฉาเกินไปแล้ว เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก”  ทั้งๆที่สมัยก่อนเขามีคู่ควงมากมาย คนนิยมชมชอบก็เหมือนจะหาได้ทุกที่ ทำไมตอนนี้ชีวิตเขามันเหงาอย่างนี้ล่ะ โตมาก็หล่อดีนี่ แล้วตรงไหนที่มันไม่ตรงใจชาวบ้านเขากัน


“ช่างพี่เถอะ”


“ช่างไม่ได้ เดี๋ยวพี่สนไม่มีเมีย”


“หึ…”


“สาแนะนำคนดีๆให้เอาไหม”


“ไม่เอาอ่ะ สาดูไม่น่าเชื่อถือ”


“เชื่อถือได้”  สารินตบอกตัวเอง  “หรือแอบชอบใครอยู่ไหมเดี๋ยวสาไปช่วยทอดสะพาน”


“อืม”


“มีจริงๆเหรอ”


“ก็ประมาณนั้นมั้ง”


“ใครอ่ะ!”


“ไม่บอก”


“สารู้จักไหม”


“นั่นสิ”


“รู้จักหรือเปล่า!”  ทำไมนะ ทั้งๆที่เสียงนั้นดูอยากรู้อยากเห็น แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะควบคุมมันด้วย


“อืม”  เขาคร้านจะตอบอะไรอีก  “อาจจะรู้จัก”  แต่คำตอบที่ยังไม่ชี้ชัด ก็ช่วยดับอาการเต้นตึกตักที่เคยมี ใจฝ่อเป็นเช่นไรก็เพิ่งเรียนรู้จักในวันนี้


“งั้นสาน่าจะรู้จักแล้วล่ะ”  คงเป็นใครไปไม่ได้ คนๆเดียวที่พี่สนน่าจะสนใจ


คือฉันชนกใช่ไหมที่เขาปิดบัง…


หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ต่อมา ก็ไม่ได้เจอหน้าพี่คนนั้นอีกเลย จะมีได้คุยกับคุณแม่และมีคุณพ่อรับสายไปบ่นนั่นนี่บ้าง แต่ว่าสนธยาแทบจะหายไปจากสารบบ ชีวิตของสาก็ดี แม้ช่วงนี้จะไม่ค่อยมีคนเลี้ยงข้าว แต่ก็ไม่คิดว่าอยากจะเจอหน้าเขาในตอนที่ความสับสนของเรามันเพิ่มขึ้นทวีคูณเช่นกัน


ทว่าในตอนเย็นวันหนึ่ง เจ้าของหอพักที่เช่าอยู่ได้เรียกมาคุย เรื่องที่ได้ยินนั้นแทบไม่เข้าหู


“น้องสาเข้าใจป้านะลูก ป้าจำเป็นจริงๆ”


“คือ…” เอาจริงๆฟังมาสามรอบก็ไม่เข้าใจ


รู้แค่ว่าจะทุบหรือจะอะไรสักอย่างหนึ่งนั่นแหละ


“น้องสา ป้าเป็นหนี้เยอะมาก เขาจะมาเอาตึกนี้แล้ว”  แต่สาไม่เคยค้างหนี้ค่าเช่าเลยนะ  “ป้าจะคืนเงินมัดจำให้ ต้องขอโทษน้องสาและคนอื่นๆด้วย”  สานั้นที่ชื่นชอบคำขอโทษก่อนขอบคุณยังไม่เห็นชอบใจในประโยคนี้ เริ่มเข้าใจพี่สนที่เคยต่อว่าเรื่องการใช้คำขึ้นมาบ้างแล้ว


เพราะตึกที่พักมีปัญหา และตอนนี้ที่กะทันหันมากๆ สาไม่อาจจะไปหาที่พักอาศัยได้ทัน จึงเป็นเหตุให้บ้านของพี่สนเปิดประตูต้อนรับกันอีกครั้ง ในที่สุดก็มาตายรังจนได้


“ในที่สุดก็กลับมาหาแม่แล้ว”  จริงๆก็ได้ข่าวว่ากลับมาทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์นอนด้วยหลายวันเลย ข้าวของเครื่องใช้ต่อให้ไม่ขนมาที่นี่ก็มีพร้อม เผื่อๆมีเยอะกว่าที่หออีก


“วันหลังถ้าหาที่อยู่ดีๆไม่ได้ ก็ไม่ต้องออกไป วุ่นวาย”  คุณพ่อผู้เป็นเจ้าของบ้านพูดเช่นนั้น สารินเหล่มองนิดหน่อยก่อนจะเบะปาก ซุกไหล่คุณแม่ทำเป็นไม่สนใจ แซะเก่งนัก วันหลังไม่ไปแข่งแซะน้ำแข็งชิงแชมป์โลกเลยเล่า!


“คุณพ่อครับ น้องนินทาในใจ”


“พี่สน!”  นี่ก็รู้ใจไปหมด แถมขี้ฟ้องอีกต่างหาก


“กลับมาก็ดีแล้ว แม่เราบ่นทุกวันมาเป็นปี เป็นภาระทางนี้มาก”


“สามาอยู่ด้วยนี่เป็นภาระมากกว่า”


“งั้นก็รีบมาเป็นภาระได้แล้ว เข้าบ้าน!”  ประมุขของบ้านเอ่ยอย่างตัดรำคาญ แต่หมายความตามนั้นทั้งหมด สารินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรในขณะที่ใจเต้นแรง และเพราะยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสนธยาเลยคว้ามือพาเดินเข้าไป…


และเรื่องราวของสารินมันเป็นอย่างไรต่อล่ะ   
หลังจากที่หัวใจเต้นตึกตักไม่สามารถนับครั้งได้กับใครบางคนแถวนี้


กระนั้นก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ทว่าตนอาจจะมีความพยายามไม่เพียงพอที่จะหาที่อยู่ใหม่ พอไปสอบถามที่ไหน ก็มีอันจะต้องบอกปัดไปว่าคนเต็มบ้าง จองไว้แล้วบ้าง สุดท้ายด้วยความเหนื่อยใจจึงเกาะบ้านแม่ไปอย่างนั้น แต่มันไม่ลำบากเท่าเดิมแล้วเพราะงานก็น้อยลง แถมตอนเช้าก็ยังมีคนไปรับส่งที่รถไฟฟ้า สภาพกายและใจหลังจากย้ายกลับมาจึงดีมาก


มากจนอาจจะเคยตัวและทำใจให้ไม่ชินได้อีกครั้ง


การกลับมาที่บ้านนี้ไม่ได้แย่เลย อีกนิดก็จะมีคนป้อนข้าวให้แล้ว แต่การที่ชีวิตมีดีแบบสม่ำเสมอก็น่ากลัว สารินหวั่นระแวงในคลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะแปรร่างเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น


และการที่เราโตขึ้นก็ทำให้ต้องมารับรู้เรื่องมากขึ้นเป็นธรรมดา สาเคยเฝ้ารอให้วันเวลาแสนเศร้านั้นมาถึงเพราะการรับรู้มาตลอดนั้นมันทรมาน หากเราฝืนทนทำให้มันจบลงไป หลังจากนั้นมันก็คงเป็นเพียงฝันร้ายที่จางหายไปตลอดกาล ทว่าเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง ใจที่เต้นอย่างสงบก็พลันวูบโหวง


“ทางเพย์ตันติดต่อมาแล้ว”  เพย์ตัน…ชื่อของตระกูลผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า สารินรับรู้ว่าเขาคือเจ้าเหนือหัวที่แท้จริง ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ไม่มีใครเอ่ยชื่อพวกเขาให้ได้ยินแบบซึ่งๆหน้า เช่นเคย พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสา แต่ว่ามักจะคุยกันสองคนหรือสามคนในยามวิกาลที่ทุกๆคนเข้านอนไปแล้ว


“เขาเข้าใจว่าเราจะส่งมอบสาให้สินะ”  คุณแพรวรรณพูด น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง


“สนธยา พรุ่งนี้เข้าไปหาทางนั้น ฟังเงื่อนไขของเขาให้ดี” คุณพ่อสั่งไปเช่นนั้น แต่ใจความว่าได้ว่าเวลาของลูกชายคนเล็กที่ถูกเก็บมากำลังจะหมดลงแล้ว มันก็เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่นี่สำหรับความรักความเอาใจใส่ แม้ว่าบทสนทนาจะชวนให้คิดไปว่าช่างเย็นชา ทว่าบทสรุปอันน่าเศร้าใจมันเป็นเช่นนี้ หากทำเสียงแสดงความยินดี นั่นสิที่จะให้สารินน้ำตาตกได้


ในวันต่อมา มื้ออาหารที่แสนอร่อยนั้นดูกร่อยลงไปเห็นๆ กระนั้นตนก็พยายามยิ้มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และยังพูดคุยกับทุกคนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นในระหว่างนี้


โดยเฉพาะความกลัวที่ก่อร่างสร้างตัวในหัวใจ


“วันนี้น้องสาอยากกินอะไรหรือเปล่าลูก”


“ไม่ต้องอะฮะ ผมว่าจะแวะกินข้าวกับเพื่อน”


“เพื่อน…เพื่อนคนไหนเหรอลูก?”


“กับฉันนะครับ”


“โอเคค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวให้พี่สนแวะไปรับนะคะ”  สารินยิ้มละไมรับคำสั่ง ในใจกู่ร้องดังลั่น ต่อให้ไม่มาเฝ้า คนแบบเรามันจะหนีไปไหนได้…


นับวันจิตก็ยิ่งตก เลยนัดคนที่ดูเหมือนจะจิตตกพอกันมาทานข้าว ฉันชนกที่ดูเหงาๆตกปากรับคำ และเราก็มานั่งเงียบๆกินข้าวด้วยกัน แบบที่เสแสร้งทำเป็นมีสุขใจในชีวิตไม่ได้ทั้งคู่ แม้แต่คนแบบฉันเองก็มีเรื่องมีปัญหากับเขาเหมือนกัน ทว่าพอเป็นปัญหาของคนอื่น ฉันชนกก็เหมือนจะลืมใส่ใจปัญหาของตัวเองไปเลย


“นี่เอาจริงๆ มากับฉันนี่พี่สนจะไม่ว่าเหรอ”  เราพูดคุยกันหลายเรื่อง แต่ทำไมต้องวนกลับมาถามเรื่องพี่สนกันนะ


“พอเป็นเรื่องของฉัน พี่สนก็ไม่ว่าอะไรเลย บอกว่านั่งรถไฟฟ้าไปเองได้เลย”  ก็แหงสิ…ฉันนั้นยิ่งกว่าคนที่พี่สนไว้ใจ ทุกวันนี้เขายังเหมือนจะมีใจให้อยู่เลย ทั้งๆที่รู้ว่าฉันเป็นแวมไพร์


“แต่ว่าเขาก็จะอยู่รอรับใช่ไหม”


“ใช่ บอกว่าจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้า”  และก็บอกว่าต้องรับสายเขาตลอดเวลาที่ฉันลงจากรถไฟฟ้าไปก่อนแล้ว มันจะอะไรนักหนา หวงมากหวงมายราวกับว่าเป็นคนสำคัญ ใช่ก็สำคัญแหละ


แต่ความสำคัญแบบนั้น สาไม่ได้ต้องการ!


“ก็ลองเปิดใจดูไหม บางทีอะไรๆก็อาจจะไม่แย่หรอก”


“…”  เปิดใจอะไร ทุกวันนี้ก็เปิดจนต้องปิดแล้ว เสียใจ!


“แบบใครจะไปรู้อะเนอะ โลกนี้อาจจะมีแวมไพร์ หมาป่า แถมตอนนี้คนรักเพศเดียวกันก็มีมากมาย” อืม ไอติมนี่ผสมอะไร ทำไมวันนี้ฉันพูดไม่รู้เรื่อง


“เราไม่ได้เป็นสองอย่างแรกแบบที่ฉันพูดมาหรอกนะทั้งหมาป่าและแวมไพร์ แต่เราว่าเป็นแวมไพร์อาจจะดีกว่า พวกนั้นไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสืบทอดเผ่าพันธุ์” สานั้นตอบกลับแบบไม่ใส่ใจ ทว่าดวงตาของแวมไพร์กลับวาววับก่อนที่คนซึ่งเก็บงำคำถามมากมายจะเอ่ยบังคับ


“กลับบ้านกับเราเลยนะ!” 


ได้เลยจ้าฉันจ๋า! สาก็ไม่อยากกลับบ้านตัวเองเหมือนกัน!


“ที่บอกว่าไม่ใช่หมาป่านั่นมันอะไรนะ”  ทันทีที่มาถึงที่พัก ฉันจ๋าก็ไม่รีรอ เด็กนี่เป็นแวมไพร์ประเภทไหนหนอ ถึงดูไม่ออกว่าคนรักเก่าเป็นอะไร แต่จะว่าไปถ้าดูออกคงมีกัดคอกันไปข้าง แวมไพร์กับหมาป่าถูกกันที่ไหน ถ้าฉันไม่โง่ก็คงไม่ได้มาคบกันแบบนั้นหรอกแต่สาก็ฉลาดกว่าไม่เท่าไหร่เอง ว่าไม่ได้


“พี่สนน่ะหมาป่า แต่เราไม่ใช่หรอกนะ”


“ฮะๆ จะว่าไปพี่สนก็หน้าหมามาก”  นี่ฉันเพ้อหรือเพ้ออะไร


“เราพูดจริงๆ พี่สนเป็นหมาป่า”


“…”


“หมาป่าแบบที่กัดหัวฉันที่เดียวขาดเลย” ถ้าอยากลองสักครั้ง จะโทรเรียกมาให้ แต่ไม่ดีกว่า สายังไม่อยากกลับบ้าน


“สาไม่ได้เป็นหมาป่า?”  ฉันชนกทวนความเข้าใจ


“อื้อ”


“แม้ว่าสาจะเหมือนหมามากอ่ะนะ”  ว่าแล้วฉันก็หัวเราะกลบเกลื่อน แต่เอาจริงๆคือสาไม่ค่อยตลกนะ บ้าบอ เอาความจริงมาล้อเล่นมันได้ที่ไหนกัน


“เราไม่ใช่หมาป่า ไม่ใช่หมา และไม่ใช่แวมไพร์เหมือนฉันด้วย”


“ใครเป็นแวมไพร์!”


“…”  นี่ก็แวมไพร์ซึนเดเระ สาเงียบแต่ยื่นช้อนไปตรงหน้ากะให้ใช้แทนคันฉ่อง กระจกวิเศษจงบอกฉันเถิด ใครบ้าบอที่สุดในปฐพี!


“อ๋อ เหรอ”  ฉันชนกหัวเราะได้ฝืดเคือง ไม่ใช่ว่าเก็ตมุกคันฉ่อง แต่เพราะสามองกันได้เย็นชาแบบที่แทบจะไม่เคยเป็น วันนี้นอกจากจะจิตตกแล้ว ยังอารมณ์ไม่ค่อยดีจริงๆสินะ


“ว่าแต่หมาป่ากับแวมไพร์นี่…” 


“ไม่ถูกกัน พี่สนเคยพูดว่าฉันนั้นเป็นแวมไพร์ที่ถ้าไม่โง่มากก็บ้ามากที่มาจีบเขา” อันนี้หมายถึงพี่สน พอได้ลองถามจริงๆว่าทำไมยอมคบก็ได้คำตอบง่ายๆว่ายอมความบ้า


“แล้วไอ้ชั่วนั่นก็อ่อยกลับนี่นะ มันจะมากไปแล้ว!”  แต่ฉันที่ถ่านไฟเก่าจะไม่มีวันคุนั้นกลับฉุนเฉียว ที่ว่าแวมไพร์ไม่ถูกกับหมาป่านี่น่าจะจริง หลักจากถูกหักอกก็ไม่เผาผีเลย


“แต่พี่สนเขาชอบฉันจริงๆนะ อย่างน้อยก็หลังจากนั้นอ่ะ”  ก็เห็นถามบ่อยๆว่าไปไหน ไปกับฉันไหมทำนองนั้น แถมที่เคยถามไปแล้วเขาบอกว่าสาก็รู้จัก นั่นมันก็ฉันคนเดียวแล้วไหมที่ยังยอมคบกันเป็นเพื่อนน่ะ!


“แล้วถ้าพี่สนเป็นหมาป่า แล้วทำไมสาถึงบอกว่าตัวเองไม่หมา!”  แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่อยากตอบเรื่องนี้ เด็กนิสัยไม่ดีเฉไฉและชิงถามกลับ แต่เอาเถอะ อยากรู้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร


“เราจะหมาได้ไง เราไม่ใช่น้องชายแท้ๆของเขา”


“หะ!?”


“เราถูกซื้อตัวมาอีกทีน่ะ”  หน้าของฉันมีแต่คำว่า หะ หะ หะ เต็มไปหมด แต่ก็สมควรล่ะ เรื่องนี้สาเก็บมันมาไว้ทั้งชีวิต ถ้าถามว่าทำไมยอมเปิดใจกับฉัน ก็คงเพราะอีกคนยอมเปิดเรื่องที่ตนเป็นคนประหลาดเหมือนกันให้ฟัง อันนี้จึงพร้อมที่จะไว้ใจ แม้ว่าสาจะรู้มานานแล้วว่าฉันเป็นอะไร


“ซื้อ…เดี๋ยว! จากแวมไพร์ไปหมา ตอนนี้มาขบวนการค้ามนุษย์แล้วเหรอ?!”  แต่ฉันก็ถามกันไม่ค่อยจะทันเท่าไหร่


“แม่เราขายเรามาอ่ะ จะเรียกว่าขบวนการค้ามนุษย์ก็ได้”  สาตอบได้เหมือนกับว่านี่คือเรื่องปกติ เหมือนถ้าถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร สาก็จะตอบกลับไปว่าขอกินกะเพราไข่ดาว ทว่าเพื่อนที่อ่อนไหวกว่าตนก็เริ่มแสดงความรู้สึกทางสีหน้า


“สา…เราขอโทษนะที่ไม่เคยเข้าใจเลย” คนช้าๆทั้งสองกำลังช่วยกันลำดับความเรียงในหัว หากฉันจะโกรธสาเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิดจนต้องเลิกรากับพี่สนขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของความรู้สึกไม่ใช่เหรอ ที่ปกปิดมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะไม่อยากให้เรื่องราวของตนมันดูซับซ้อนมากเกินไป


“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก บ้านของพี่สนเขาดูแลเราดีกว่าแม่แท้ๆเราแหละ แต่ว่ามันก็มีอะไรต้องแลกเปลี่ยนกันบ้างนิดหน่อย”


“แลกเปลี่ยน?”


“ก็นะ….บนโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีแค่หมาป่ากับแวมไพร์นี่เนอะ”    สารินยิ้ม เป็นยิ้มที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจ “แม้แต่ผู้ชายที่ท้องได้ก็มีบัตรผ่านได้อาศัยอยู่บนโลกในซอกหลืบเหมือนกันนะ”  โดยไม่รู้ตัวคำพูดที่แฝงความน้อยใจต่อโลกทั้งใบไว้ก็หลุดออกมา สารินไม่ได้สังเกตสายตาของเพื่อนในตอนนี้ อาจจะเพราะไม่อยากรับรู้ความเวทนา


“…”


“เราไม่เป็นไร”  คำนี้ที่พูดไปไม่ได้เพื่อปลอบใจฉันชนกเลย


เพื่อบอกตัวเองว่าจะไม่เป็นไรต่างหาก



Talk: ขอโทษที่หายไปนานเลยคับ หนีไปทำงานหนักมาก ขนาดมีสตอคเก็บไว้ก็ไม่มีเวลาตรวจ ตอนนี้เรามาเที่ยวคับ อันนี้ก็อ่านตอนอยู่บนเครื่อง ถ้ามีความผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
#คู่กินคู่กัด @reallyuri














ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
17

สน xสา


“สาครับ!”  เสียงของใครสักคนที่จะว่าคุ้นก็คุ้น ไม่คุ้นก็ไม่คุ้นนั้นทำให้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นทำงาน สารินหันไปมองต้นเสียงและก็พบว่าแม้แต่ใบหน้าก็คุ้นนัก


“นน?”  ใช่แล้ว..แฟนเก่าผู้น่าสงสารของสาเอง


“ไม่เจอกันนานเลยเนอะ”  ก็ต้องมากกว่าปีหนึ่งแน่นอน เพราะว่าเรียนจบเราก็แยกย้าย สายังจำได้ว่าตนคุยโทรศัพท์กับเขาก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นเครื่องบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ตอนนี้เขากลับมาแล้ว


“นั่นสิ ว่าแต่กลับมานานยังเนี่ย”


“อาทิตย์ที่แล้วเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกัน”


“บังเอิญมากๆเลยเนอะ”


“อืม” เมื่อได้เจอธนน สาก็อดคิดไม่ได้ถึงอดีตที่ผ่านมา ทั้งสาเหตุที่ทำให้เราคบหา และเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเลิกรานั้นเป็นเช่นไร แต่อย่างไรในตอนนี้เราก็ได้ชื่อว่าเพื่อน และเพื่อนที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลย ก็สมควรจะได้นั่งทานอาหารคุยกัน


Sarin: พี่สน วันนี้สากินข้าวกับเพื่อนกลับดึกหน่อยนะ
Sontaya: จะกลับกี่โมง
Sarin: ไม่น่าเกินสองทุ่ม แต่จะออกแล้วสาจะบอกน้า
Sontaya: ถ้าสองทุ่มพี่ไปรับได้ครับ โทรมาหานะ
Sarin:  m(._.)m ขอบคุณฮับ


ร้านอาหารที่เราเลือกมากินด้วยกันเป็นร้านอาหารไทยบรรยากาศดีแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ธนนเล่าเรื่องชีวิตที่ผ่านมาให้ฟัง และประสบการณ์ของเขาก็ทำให้สานั้นตื่นเต้นไปด้วย ทั้งนี้ถ้าถามว่าตนอยากจะมีอิสระโบยบินไปไกลถึงขั้นนั้นไหมก็อาจจะไม่ แต่ฟังไว้ก็สนุกดี แม้ว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ตาม


ธนนได้งานทำแล้ว แต่ไม่ใช่แถวนี้ เขาเพียงแวะมาทำธุระทว่าดันมาซวยที่เจอสารินแฟนเก่าที่เคยบอกเลิก แต่ว่ามันจบลงด้วยดีแบบที่ไม่มีใครแค้นเคือง จึงคงความเป็นเพื่อนมาได้ถึงตอนนี้ แต่จะว่าไปเขาล่ะฉงนใจจริงๆ


สารินไม่มีแฟนจริงๆเหรอ


“อ้าว นี่สาไม่มีแฟนเลยเหรอตั้งแต่เลิกกับเรา”


“อืม”


“ทำไมอ่ะ ไม่มีคนมาจีบเหรอ”


“ด้วย แล้วเราก็ไม่ได้อยากมีแฟนด้วยอ่ะ”


“เพราะเราทำให้สารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า”  ธนนเริ่มจะหวั่นๆเพราะหลังจากเราเลิกกันสาก็ไม่สานสัมพันธ์กับใคร เขาพยายามคิดว่าตนเป็นเหตุที่สร้างปมในใจให้กันหรือไม่ แต่คิดเท่าไหร่มันก็คิดไม่ออก


“เปล่าเลย นนดีนะ แต่เราแค่ไม่อยากมีอ่ะ” 


“…”  กลับกัน ธนนนั้นดี แต่ว่าต่อให้ดีแค่ไหน คนไม่อยากมีก็คือไม่ และนั่นคือเหตุง่ายๆที่ทำให้สาตัดสินใจที่จะไม่สานสัมพันธ์กับใครต่อแต่ก็ไม่ได้ปิดใจขนาดนั้นหรอก แค่ไม่เดือนร้อนหากจะไม่มีก็เท่านั้นเอง


อย่างที่บอกว่าธนนเป็นคนดี แต่ดีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ สาเหมือนรออะไรสักอย่าง หรือไม่จริงๆแล้วก็คือรอใครที่เหมาะกับใจมากกว่า ธนนคิดว่าที่สารินเลิกและไม่มีความสัมพันธ์กับใครนั้นเป็นเพราะข้อนี้ แม้จะยินดีเป็นแค่ทางผ่าน แต่เมื่อคิดว่าเขานั้นทำดีเท่าไหร่ก็สู้อะไรหรือใครไม่ได้ ก็เลยอยากจะถามออกมา


“สาไม่ได้มีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม”


“ตอนนี้ไม่มีอ่ะ”


“ไม่ๆ”  ธนนลองปรับคำใหม่ “เราหมายถึงที่ชอบมานานแล้วอ่ะ”


“…”


“แบบที่ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ หรือไม่ก็ก่อนจะมาเจอเรา”  สาขมวดคิ้วฉับ


“ไม่มีหรอก”  แต่หากปากและสีหน้าสอดคล้องกันมันคงจะดี ทว่าในความเป็นจริงในชั่ววินาที


ใบหน้าของคนๆนี้ก็ผุดขึ้นมา


ธนนอาสาไปส่งที่บ้าน และสารินก็ตอบรับในน้ำใจนั้นโดยไม่มีความคิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าลืมบางคนที่ได้คุยกันก่อนจะมากินข้าวไว้ ทว่าความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจทำให้เลือกที่จะต่อต้าน


สารินได้ติดต่อไปบอกคุณแม่แล้วว่าตนจะให้ธนนมาส่ง ตอนแรกคุณแพรวรรณก็ถามว่าทำไมถึงไม่ให้สนธยามาหา แต่ว่าข้ออ้างต่างๆที่ตนเอ่ยออกมา ก็ทำให้เจ้าบ้านที่รอกันอยู่ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ยิ่งโต ไม่ใช่แค่เถียงเก่ง ชักแม่น้ำทั้งห้าก็เก่งมากด้วย!


หลังจากที่รถมาจอดเทียบประตู ธนนที่ปฏิเสธจะเข้าไปดื่มน้ำตามคำเชิญของสารินนั้นกลับชวนคุยอยู่ในรถ เราแลกเบอร์ติดต่อและพูดคุยกันอยู่สักพักกว่าสารินจะขอบอกลาเพราะเกรงว่าคุณแม่อาจจะรออยู่ ทว่าเมื่อเข้าไปในบ้าน คนที่รอกลับไม่ใช่คนที่คิดถึง



อา…คุณแม่นอนแล้วแหละ ป่านนี้


“ไหนบอกว่าจะโทรมา”


“สาไม่ได้บอกซะหน่อย”  คนตัวเล็กเถียงกับตัวเองเบาๆ แต่คงเบาไม่พอเพราะมันเหมือนไปกรอกที่ข้างใบหูเขา


“สา เราคุยกันแล้วว่าจะคอยติดต่อบอกกล่าว”


“แต่นี่สากลับมาอยู่บ้านแล้วไง”  สาเริ่มไม่พอใจ  “มันไม่ใช่ว่าโมฆะไปแล้วเหรอ ก็นี่สากลับมาอยู่ในสายตาทุกคนแล้ว”  ทางนี้ก็ไม่ยอมเหมือนกัน และในตอนนั้นดวงตาของสนธยาที่จับจ้องก็วาววับ สัญชาตญาณทำให้ขนในกายลุกชัน ก่อนที่สานั้นจะบอกตัวเองว่าคงไม่เป็นไร


“ที่เราตกลงกันแบบนั้นก็เพราะห่วงนะ”


“ห่วงหรือหวงกันแน่”


“สาริน…”


“สาก็กลับมาบ้านแล้วไงน่า อย่าดุเลยนะ”


“เดี๋ยวนี้ไม่ฟังพี่แล้วใช่ไหม”


“…”


“โตแล้วเลยคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นสินะ”  เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดเย้ยหยัน และนั่นก็ทำให้สาเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้


“สาเปล่า!”


“ปากก็ทำเป็นพูดดี แต่พอไม่มีใครคุมใกล้ๆก็อยากจะไปที่ไหนก็ไปอย่างนั้นใช่ไหม ไหนบอกว่าไปกับเพื่อนแล้วไอ้ธนนที่มาส่งนั่นมันอะไร!”


“ก็เพื่อนไง!”


“….”


“พี่สนจะว่าสาอะไรก็ได้ แต่ว่านั่นเพื่อนสา เขาไม่เกี่ยว เขาแค่หวังดีมาส่ง และสาก็ไม่ได้อยากกวนพี่สนด้วย”


“พี่เคยพูดเหรอว่าลำบาก ถ้าลำบากพี่ขังเราไว้ในบ้านไม่ง่ายกว่าเหรอ”  เขาอยากจะสื่อความเต็มใจ แต่ประโยคนี้มันร้ายกาจเกินไปจนคนฟังน้ำตานองหน้า ที่เขาจับตาตลอดเวลานั้นมันยังไม่เหมือนกักขังไว้อีกเหรอ


ขัง…ในกรงที่ใหญ่เท่าฟ้า


“สาไม่ทรยศบ้านนี้หรอก”คนตัวเล็กกลืนก้อนสะอื้นลงไปอย่างยากเย็น  “สารู้หน้าที่ของโอเมก้าดี”


“สา…”


“พี่สนไม่ต้องกลัวสาหนีหรอก สาไม่ทำงั้นแน่”


“พี่จะไปกลัวเราหนีทำไม”


“เอาเป็นว่าอยากให้ไปบ้านเพย์ตันเมื่อไหร่ก็บอกได้นะ” 


“…”


“สาก็อยากจะจบมันแล้วเหมือนกันนั่นแหละ”  จริงๆแล้วคำพูดเหล่านี้ได้ถูกบันทึกซ้ำในหัวใจหลายต่อหลายครั้ง ทว่ามันกลับดูอ่อนไหวมากขึ้นเมื่อพูดออกมาเต็มๆคำ ยิ่งโดยเฉพาะต่อหน้าเขา


พี่ชายที่เราอาจจะไม่เคยสนิทสนมด้วยเลย


ทว่าการผิดใจในครั้งนั้น นำมาซึ่งความรู้สึกที่ดิ่งลงเหว สารินทำตัวไม่ดีเลยกับเรื่องนี้ ทั้งๆที่เขาอาจจะแค่เป็นห่วงหรืออะไร แต่ทำไมต้องพาดพิงไปถึงเรื่องที่เราพยายามจะเลี่ยงคุยกันแบบนั้น แต่แค่อยากให้เข้าใจ ว่าไม่ต้องจับตามากก็ได้ สานั้นรู้ซึ้งและเข้าใจถึงความจำเป็น


แต่เรื่องนี้มันจะให้รู้สึกเฉยๆไปเลยมันก็ไม่ได้ ตลอดหลายปีที่ทำเหมือนสนิทสนม เมื่อคิดถึงเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนไกลตลอดเมื่อนั้น แม้ว่าภารกิจจะจบสิ้น แต่ความรู้สึกที่เคยมีมันอาจจะไม่สามารถประสานได้ ดังนั้นจึงต้องป้องกันทั้งทางกายและทางใจ สาจะไม่ให้ตัวเองอ่อนแอแม้จะไม่มีใครเหลือในชีวิตสักคน


วันนี้จะขอโทษ สารินคิดเช่นนั้น ก่อนจะเดินไปหา ทว่าเป็นเขาที่เปิดประตูออกมาก่อน เราสองคนจ้องตากันเงียบๆ มีร้อยพันถ้อยคำที่อยากจะเผยออกไป ทว่าเพียงแค่มองริมฝีปากของอีกฝ่าย คนตัวเล็กกว่าก็ได้แต่เม้มปากตัวเองเอาไว้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา


“จะไปไหนหรือเปล่า”  บุคลิกของเขาไม่ใช่ผู้ชายอ่อนโยน แต่หากสารินสังเกตดีๆจะรู้ว่าหลายต่อหลายครั้ง เขายอมให้กันมากกว่าใคร มันเป็นสิทธิ์ของคนที่เป็นน้องชายล่ะมั้งที่ได้รับความอบอุ่นดีๆนี้ ทว่าหากไม่หลอกตัวเองจนเกินไปอย่างที่ฉันบอกสักนิด บางทีสารินก็คงรับรู้และยอมรับมันได้บ้างแล้ว


ไม่…ไม่รู้อะไรเลย ใครมันจะไปรู้ใจคนอื่นได้อย่างนั้น


“เผอิญหนังที่อยากดูมันจะออกจากโรงแล้ว พี่สนไปส่งสาได้ไหม”


“ไปดูกับใคร”


“…”


“ช่างเถอะ ลงไปรอพี่ก่อน พี่ว่างจะไปส่งให้”  จริงๆแล้วหากทบทวนก็จะรู้ ว่าสารินที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนคนเดียวก็มักจะมีสนธยาคอยรับส่งถ้าเขาว่าง ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลยในเมื่อเราสามารถเรียกใช้คนขับรถที่บ้านมาทำให้ได้ แล้วเพราะอะไรเขาถึงได้ทุ่มเทใจให้กันขนาดนี้


หรือว่าก็แค่ระแวงไม่กล้าปล่อยให้ใครเข้ามาดูแลของสำคัญของตระกูล


“สาดูคนเดียว”


“…”


“พี่สนไม่ต้องรีบก็ได้ สาไม่ได้นัดใคร”  เพราะอะไรมันถึงทำให้สาพูดไล่หลังเขาไปเช่นนี้ บางทีตนเองก็คงไม่ได้คาดหวังอะไรใช่ไหม ว่าแต่ต้องเป็นความหวังแบบไหน…


ที่ทำให้พูดเชิญชวนใครบางคนให้ไปดูด้วยกัน


ไม่รู้ว่าสารนั้นเขาตีความถูกหรือไม่ได้คิดอะไรเลย ทว่าความต้องการที่จะมาอยู่แล้วทำให้เราได้มายืนซื้อตั๋วหนังด้วยกันแบบนี้ สารินเสนอซื้อตั๋วหนังด้วยเงินตัวเองทั้งๆที่ปกติเขาจะเป็นคนจ่ายให้ทุกอย่าง ราวกับเป็นสวัสดิการที่มอบให้กับคนทำงานที่บ้านอย่างหนึ่ง ครั้งนี้ที่เลือกจ่ายเองคงไม่ใช่เพราะถือคติเปย์ลบล้างความผิดใช่ไหม


ทว่าเขาก็ซื้อของกินเล่นให้อยู่ดี เราเข้าไปอยู่ในโรงหนังมืดๆจมอยู่กับตัวเองโดยไม่คิดจะรบกวนใคร ในระหว่างหนังฉาย สารินที่ล้วงป๊อปคอร์นกินเพลินๆก็นึกขึ้นได้ว่านี่มันตังค์เขา ทว่ายื่นไปให้สนธยาก็ปฏิเสธที่จะหยิบกินซะงั้น มันน่าเสียดายนะที่เราจะเหลือมันไว้ แต่กินทั้งหมดไป ก็ไม่รู้ค่าไตจะสูงขึ้นเท่าไหร่เหมือนกัน


“กินหน่อยสิ”  สารินเขยิบเข้าไปใกล้ กระซิบบอกเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้ยินจนต้องเขยิบตามมาหา คนทั้งสองคงลืมคิดไปเลยว่าเราใกล้ชิดกันมากแค่ไหน


“พี่ไม่ชอบ”


“แล้วพี่สนซื้อมาทำไมอ่ะ”


“เอาให้เราเคี้ยวเพลินๆ” 


“เห็นสาเป็นหมาคันฟันหรือไง” ทว่าบ่นเท่าไหร่เขาก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ และผละไปดูหนังต่อก็แค่นั้น ดูสิเหลืออีกตั้งเยอะ คิดว่านี่มันถูกๆหรือไง  “กินหน่อยนะ”  สาที่คิดอะไรไม่ออกจึงหยิบขึ้นมาและเอาไปจ่อที่ปากอีกคน บังคับกันหน้าด้านๆ โดยลืมไปเลยว่าทำอย่างนี้จะเสียอาการ ทว่าก็ยั้งมือไว้ไม่ทันแล้ว


“…”


“…สะ…สาขอโทษ”


“อา…”  เขาเลยอ้าปากให้กว้างขึ้น พอให้อีกคนป้อนป๊อปคอร์นใส่ปากให้ เป็นการช่วยแก้เก้อให้คนเด๋อๆที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรให้หาทางลงไปได้ น่าอาย ช่างน่าอายจริงๆ หลังจากนั้นตลอดการดูหนังจนจบสารินก็ไม่วอแวเขาอีกเลย


ป๊อปคอร์นที่มีผลต่อค่าไตทำไมมามีผลต่อหัวใจแล้วละเนี่ย!


สุดท้ายแล้วเราก็เหลือมันทิ้งไว้ทั้งอย่างนั้น ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับภาวะที่เขินกันและเดินออกมา ตอนนี้ก็บ่ายจะเย็นแล้ว ในห้างล้วนเต็มไปด้วยผู้คน จะจัดหาจับจองที่นั่งเพื่อทานอาหารก็เป็นเรื่องยาก แต่สารินคิดว่าจะมีโอกาสไหนที่ดีกว่านี้ที่จะขอโทษเขาที่พูดไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะเชิญชวนทานข้าว


“งั้นสาจะให้พี่ขับไปไหน”


“อืม เอาเป็นร้านที่พี่สนชอบก็ได้”


“ร้านที่พี่ชอบ…”


“อืม สากินอันนั้นแหละ”  และเพราะตามใจเขา


เราเลยจะได้มานั่งในร้านที่อยู่อีกด้านของมุมเมือง…


“หิวไหม”  รถก็ติด และฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้กินอะไร อยู่ๆก็เกิดเสียดายป๊อปคอร์นที่เหลือทิ้งไว้ในโรงหนังขึ้นมา “หรือหาร้านอะไรแถวนี้ไหม ไม่ต้องไปร้านโปรดพี่หรอก”


“สาอยากไปร้านที่พี่สนเลือก”  แต่ปณิธานที่ตั้งมั่นไว้ ยังไงก็จะเอาอย่างนั้นให้ได้


ปกติสาไม่เรื่องมาก พูดว่ายังไงก็ได้ตลอด แต่นี่ย้ำมาตลอดทางว่าต้องเป็นเขาเลือก แค่นี้ก็ประหลาดใจแล้ว และเพราะตีความได้ดังนั้น เขาจึงเลือกเลี้ยวเข้าร้านอาหารเล็กๆไม่ไกลจากนั้นแทน ขืนปล่อยไปต้องมีบางคนโดนน้ำย่อยกัดกระเพาะจนปวดท้องแน่ และเขาเองก็เริ่มจะหิวขึ้นมาเหมือนกัน


สารินจะบอกว่าดีใจหรือไม่ดีล่ะที่ในที่สุดเราก็จะได้กินสักที รู้ทั้งรู้ว่าเขาเลือกที่นี่ไม่ใช่เพราะชื่นชอบอะไร แต่เราไม่มีตัวเลือกในวันฝนตกมากนัก นี่ก็เลยเวลามื้อเย็นมาแล้ว จะเรื่องมากอะไรอีกได้ สารินเลือกสั่งอาหารมาไม่กี่อย่างที่ตัวเองชอบและไม่ลืมสั่งเผื่อของเขา


“พี่สนเอาอะไรเพิ่มไหมครับ”


“ไม่ล่ะ”  เพราะสาสั่งแทนหมดแล้ว เขาเผลอยิ้มออกมา เมื่อคิดได้ว่าสานั้นจดจำเรื่องของเขาไว้มากมาย การกระทำเล็กๆน้อยของน้องบ่งบอกให้รู้ถึงความใส่ใจ


เรานั่งกินอาหารเงียบๆหลังจากที่พวกมันถูกนำมาทยอยเสิร์ฟ ภายนอกที่ฝนโหมกระหน่ำใหญ่ มีใครสองคนที่กำลังปล่อยใจให้กับเสียงเพลงที่คลออยู่นี้ ตอนนี้ที่เราเหมือนครอบครองร้านนี้ไว้ ดินเนอร์ใต้แสงไฟในร้านบรรยากาศแบบครอบครัวคือสิ่งที่ไม่มีใครนึกฝันจะมีได้ แต่เราก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว


“อาหารอร่อยนะครับ”  สาพูด ถือเป็นความบังเอิญที่ดีกับใจ


“พี่ว่าอร่อยกว่าที่คิดเลย ตอนแรกว่าจะพาไปกินอาหารอิตาเลี่ยน แต่อาหารไทยแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”


“แต่อิตาเลี่ยนก็อยากกินเหมือนกันอ่ะ เสียดายเนอะ”


“เอาไว้คราวหน้าพี่พาไปกินใหม่”


“…”  ก็ไม่รู้ว่าทำไมแค่พี่ชายจะพาน้องไปเลี้ยงข้าวต้องทำให้คนเราหัวใจเต้นแรง


ทว่าต่อให้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี อากาศภายนอกทำให้ภายในหนาวเย็น แต่จะให้ลดแอร์ ก็กลัวว่าคนพี่ที่มีเชื้อพันธุ์เป็นหมาป่าจะร้อน สารินที่ตั้งใจจะไม่ทำให้เขาขุ่นเคืองอะไรอีกจึงได้แต่นั่งนิ่งทนหนาวไป ทว่าเพราะอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา จึงถูกจับอาการได้ไม่ยาก


“ที่เบาะหลังมีกระเป๋าใส่ผ้าห่มอยู่ เราเอาออกมาสิ”  ทำไมเบาะหลังรถถึงมีของแบบนั้นได้


“ขอบคุณครับ”  แต่อย่าไปใส่ใจคิดถึงมันมากเลย สารินเอี้ยวตัวไปหยิบก่อนจะรูดซิบดึงผ้าห่มที่ว่าขึ้นมา หอมชื่นใจ…


ว่าแต่ทำไมสีมันพาสเทลไม่ใช่สไตล์เจ้าของรถแบบนี้?


น่าแปลกที่คนแบบสนธยานั้นนิยมสีเทา น้ำเงิน และสีดำเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าผ้าห่มที่สารินกำลังกอดอยู่นั้นเป็นสีเหลืองอ่อนซึ่งเป็นสีที่คุณแม่ชอบซื้อมาให้ใช้ หรืออาจจะเป็นคุณแม่ซื้อมาให้ก็เป็นได้ และบางทีก็อาจจะเป็นคุณแม่ที่ใส่ใจ เห็นว่ามนุษย์ขี้หนาวนั่งรถพี่สนบ่อยแค่ไหน เลยจัดหาเอามาไว้เผื่อได้ใช้งาน


เมื่อมาถึงบ้าน สารินก็พบว่าตนรู้สึกปวดเหมื่อยไปหมด ระยะเวลาเดินทางนานขนาดนี้ สามารถมั่นใจได้ว่าในวันปกติเราไปต่างจังหวัดกันได้เลย และนี่พวกเราก็เหนื่อยมากแล้ว ควรจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย


ว่าแต่ได้ลืมอะไรไปหรือเปล่าน่ะ?


“อา…”  ยังไม่ได้ขอโทษพี่สนเลย


“พี่ขึ้นบ้านก่อนนะ” เดี๋ยวสิ สายังไม่ได้พูดอะไรเลย!


แล้วทำไมได้แต่คิดในใจ ไม่พูดออกไปเลยเล่า…


หรือว่าคำขอโทษของเราจำต้องผัดวันประกันพรุ่งไปอีก เช่นนี้แล้วก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจเลยสักนิด ทว่าเขาปิดการรับรู้ทุกช่องทางไปแล้ว จะให้โทรไปขอโทษ มันก็ฟังดูแปลกไม่น้อยเพราะห้องของเราก็ไม่ได้ไกลกันนัก แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตไปเลยดีไหม


ไม่…


สาได้ให้สัญญากับตัวเองไว้แล้ว คนตัวเล็กยืนมองภาพสะท้อนตัวตนที่กำลังสับสน ปากของตนถูกขบกัดด้วยความไม่พึงใจ ทำไมวันนี้มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่ไม่คิดจะทำอะไรให้มันมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง ต้องโง่เง่าขนาดไหนที่ปล่อยโอกาสไปให้หลุดลอยได้ขนาดนี้ ก่นด่าตัวเองใจหลายที จึงตบแก้มและเคลื่อนไหวเพื่อไปทำอะไรให้มีประโยชน์


ไปอาบน้ำดีกว่า อย่างน้อยวันนี้สนธยา ก็ไม่ได้แสดงออกว่าติดใจอะไรกับบทสนทนาเมื่อคืน…


ทางด้านเจ้าตัวที่ถูกคิดถึงอยู่ทั้งวันนั้น พอแยกจากก็มาอาบน้ำอาบท่า เขาก็เหมื่อยล้าไม่ต่าง แต่วันนี้ทั้งๆที่เหนื่อยขนาดนั้น ก็ยังหาเรื่องพาน้องไปไกลๆเสียจนได้ ทั้งนี้เขามีความตั้งใจ อยากให้สารินได้ไปชิมอาหารที่นั่นจริงๆ และอาจจะพ่วงด้วยผลประโยชน์อื่นๆนิดหน่อย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้พาไปในวันนี้แล้ว


น่าแปลกใจที่วันนี้สารินมาชวนเขาไปดูหนัง ทั้งๆที่เมื่อวานเรามีเรื่องบาดหมางกันถึงเพียงนั้น สนธยาก็ยอมรับว่าเขาปากไม่ดี แต่ก็ตกใจไม่น้อยที่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งจะเก็บความอัดอั้นบางอย่างไว้ในใจขนาดนี้และไม่เคยบอกใครออกมา ถึงน้องจะไม่ได้พูดมาก แต่เมื่อพูดแล้ว เราก็รู้ดีว่าเรื่องที่พูดไปมันต้องห้ามแค่ไหน


“หืม”  เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เขาหันเหความสนใจ ป่านนี้แล้วยังไม่นอนกันอีกเหรอ แต่ถามตัวเองไปก็คงไม่รู้คำตอบ สนธยาที่เดินเช็ดผมค่อยๆมาเปิดประตูให้แขกผู้มาเยือน “สา”  เป็นคนในความคะนึงหาของเขาจริงๆเหรอนี่?


“พี่สน…”


“เอ่อ เข้ามาก่อนสิ”  เขาเชื้อเชิญ สารินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาในห้องนี้ ที่ๆซึ่งตนไม่เคยเข้ามาด้วยธุระส่วนตัวของตนเองเลย


และยิ่งมองไปรอบๆก็ยิ่งเสียอาการ


“มีอะไรหรือเปล่า”  ห้องนอนของชายหนุ่มในยามวิกาลนั้นทำให้ใจสั่นไหว บางทีก็ควรจะปล่อยให้คำขอโทษเป็นเรื่องของอนาคตไป แต่ตอนนี้ถึงยังไงก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปตีพุงนอนในห้องตัวเองได้อีกแล้ว มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น


“คือว่าสาอยากจะขอโทษ”


“ครับ?”


“ที่เมื่อวานพูดไม่ดี ทำให้พี่สนไม่ชอบ”  มีด้วยเหรอที่เขาจะไม่ชอบน่ะ ตั้งแต่เจอะเจอกันมา เคยมีสักครั้งไหมที่เขารู้สึกเช่นที่สารินกล่าวอ้าง


“ไม่เป็นไรหรอก”


“…”


“รู้สึกผิดเหรอครับ”  เพราะอย่างนี้สินะที่พยายามจะชวนเขาไปข้างนอก สนธยาคลี่ยิ้ม นึกเอ็นดูขึ้นมา ทว่ารอยยิ้มน้อยๆนั้นมันช่างเจิดจ้า จนคนมองต้องก้มหน้าหลบตาไปซะอย่างนั้น เป็นการเขินอายที่น่าเสียดายเพราะมันช่างน่ามองเสียจริง


“สา…ไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่สนรู้สึกไม่ดีนะ” จริงๆก็มีหลายครั้งที่การกระทำของเจ้าตัวทำให้เขารู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่ แต่นั่นมันก็สิทธิ์ของเจ้าตัวที่ไปควบคุมไม่ได้ แค่นี้ก็ใช้อำนาจในมือเกินไปจนบางคนทนไม่ไหวต้องปลดปล่อยความในใจออกมา จนทำให้เราตึงๆใส่กัน


“พี่ไม่เป็นไรแล้วครับ”  เขาพูด น้ำเสียงนั้นดูนุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นพี่ชายที่ถามคำตอบคำ จริงๆเขามีโทนเสียงนี้ แต่มันมักถูกนำไปใช้พูดกับคนอื่น โดยเฉพาะกับหลายๆคนที่เขาเคยควงคู่ สาเคยได้ยินเขาพูดกับฉันแบบนี้ แต่ว่าตอนนั้นรู้สึกเช่นไร น่าจะลบไปจากหน่วยความจำแล้ว


“งั้นสา…/เปรี้ยงงงงงงงงง!”  ทว่ายังไม่ทันจะพูดต่อไป เสียงของฟ้าร้องที่ดังก็ทำให้คำพูดนั้นถูกกลืนหาย อันที่จริงสิ่งที่เขาไม่ได้ยินคือคำว่า ‘สาขอกลับห้องก่อนนะ’ ทว่าฟ้าร้องไฟดับเช่นนี้ คาดว่าสิ่งที่ทำได้คือหยุดนิ่งเท่านั้น


นิ่ง…แต่ใจกลับเต้นแรง


“กลัวฟ้าร้องหรือเปล่าครับ”  เอาจริงสาไม่ได้กลัวเสียงพวกนี้เลย ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเด๋อด๋าจนถูกพูดถึงว่าน่าปกป้องอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆสารินมีสิ่งที่กลัวไม่เยอะเท่าไหร่ และหนึ่งในนั้นไม่ใช่ฟ้าร้องแน่ๆ


แต่ว่า…


“อื้อ…ไม่เอา”


“สา”


“สากลัว”  นี่มันอะไรกัน ฟ้าฝนดลใจให้สารินทำเช่นนี้ลงไปเหรอนี่ ทั้งๆที่ตนเพียงตกใจเล็กน้อยที่ฟ้าร้องไฟดับเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ว่าถ้ามันจะเกิดขึ้นซ้ำๆก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก แล้วทำไมร่างกายของตนถึงได้ไม่รักดีก้าวเข้าไปเบียดชิดคนตรงหน้า เพียงอาศัยว่าในความมืดคนเราจะทำอะไรก็ได้ดั่งใจใช่ไหม


ทั้งๆที่การเข้าใกล้และโกหกใครต่อใคร ไม่ใช่เรื่องที่สมควรถูกยอมรับเลย


“กลัวจริงๆด้วยสินะ”  เราสองคนนั้นอาจจะมีเชื้อสายของอัลฟ่าและโอเมก้าก็จริงอยู่ และมันอันตรายหากจะถูกดึงดูดเช่นนี้ แต่พวกเขาไม่มีสัญชาตญาณหรือกายภาพแบบนั้นเสียทีเดียว ดังนั้นเรื่องฮีท หรือการรับรู้ทางกลิ่นของคู่แท้ยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาจะมีมันไปได้ไงเพียงแต่...


เมนทอล…คือกลิ่นของพี่สน
และกลิ่นส้ม…คือกลิ่นของสา..


ทั้งหมดนี้ไม่ใช่กลิ่นแท้ของกาย มันคือกลิ่นของครีมอาบน้ำและยาสระผมที่พวกเราต่างคนต่างใช้ ทว่ามันก็เป็นกลิ่นที่แสดงถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ดี จนกระทั่งตอนนี้คนทั้งคู่เพิ่งเคยรู้สึกลึกซึ้งไปกับมัน


หรือนี่จะเป็นเหตุให้อัลฟ่าลุ่มหลงในคู่โอเมก้าของตนกันนะ สนธยานึกฉงนใจ และความชิดใกล้ที่ต้องห้ามก็ช่างหอมหวานจนคนบางคนคิดไกลไปอย่างขาดสติ ท่ามกลางเสียงฝนที่ดังภายนอก ไฟฟ้าก็ยังไม่กลับมาทว่าอากาศไม่ได้อบอ้าว และเหมือนกัน…สารินยังคงเป็นคนขี้หนาวแม้ว่าเราจะไม่ได้รับลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศอีกต่อไป ความวาบหวามในใจนี้ช่างทำให้สิ่งที่จะเกิดต่อไปมันง่ายดาย


เขาเชยคางใครบางคนในที่มืดขึ้นมา อ้างว่าเพราะไม่เห็นหน้าจึงไม่ผิดต่อใคร ทว่ากลับได้รับความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ด้วยอารมณ์เผลอไผล เราเผลอใจมาถึงปากเหวอันแสนอันตรายตรงนี้ ทว่าดูเหมือนต่างคนต่างก็ยินดี


ที่จะให้จูบแรกของเรานี้เนิ่นนานตามต้องการ

Talk:
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด ฟาดน้องสาเด็กใจง่าย คู่นี้เริ่มมาแล้วใช่ไหมยังไง ฝากติดตามต่อไปด้วยนะฮะ
#คู่กินคู่กัด @reallyuri


















ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

น้องสาเอ้ยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่น้องเขาจูบกันแล้วจะเป็นยังไงต่อไปหนอ

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
รอคู่พี่สน น้องสาจ้า

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
18

สน xสา

ทว่าความเนิ่นนานนั้นไม่มีจริง


“…”  มีแต่ความเงียบงันหลังผละออกจากกัน ไฟทั่วห้องสว่างไสวราวกับความมืดมิดเมื่อครู่ไม่ได้มีอยู่จริง ใบหน้าของผู้เป็นพี่เรียบนิ่ง ทว่าคนน้องกลับตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับว่ารับมันไม่ได้


เมื่อสักครู่เราทำอะไรลงไป


สาไม่ได้เอ่ยคำลากับเขา เมื่อรู้สึกตัวก็ออกจากห้องนั้นและมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องตนเอง มีเรื่องราวมากมายกระจัดกระจายอยู่เต็มหัว ทว่าไม่สามารถประมวลเรื่องราวที่สมควรได้ เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น สารู้ว่าเราจูบกัน ทว่าอะไรชักนำให้เราทำเช่นนั้นลงไป มันไม่ถูกต้องใช่ไหม แต่ทำไม…ถึงยับยั้งชั่งใจไม่ได้เลย


เป็นเพราะฝน เป็นเพราะกลิ่นหอม เป็นเพราะความเหงา หรือความหวั่นไหว อะไรกันที่ทำให้เราสองกระทำแบบนั้นลงไป สารินขยี้หัวอย่างหงุดหงิด คำถามนั้นสำหรับสองคนตอบ แต่เป็นไปได้ที่ไหนที่จะไปถามอีกคนในตอนนี้ และความหวั่นไหวที่มี ทำไมมันยังไม่จางหายไป


ใบหน้ายุ่งนั้นชัดเจนว่าไม่พอใจ ทว่ามือไม่รักดีกลับเผลอไผลสัมผัสลงไปบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของตน สัมผัสเมื่อครู่นั้นมันอาจจะพูดได้ว่าเป็นครั้งแรก สารินจำไม่ได้ว่าคุ้นเคยกับตอนที่ริมฝีปากของตนได้สัมผัสความนิ่มยุ่นที่คล้ายกันอื่นใดอีก นอกจากนั้นทางด้านของความรู้สึก สารินก็ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นต้องเป็นครั้งแรกที่ตนรู้สึกค่อยๆสงบในตอนที่หัวใจเต้นสั่นไหว ในความสับสน เหมือนมีอะไรช่วยกล่อมเกลาจิตใจ


ทว่าเมื่อรู้สึกตัวทุกอย่างก็กลับมารวดเร็วกว่าเดิม หัวใจของตนเหมือนถูกกระชากเหวี่ยงไปมา ใบหน้าก็รู้สึกร้อนฉ่า ร่างกายต้องเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงภายในมากมาย อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และเลือดที่สูบฉีดมากกว่าปกตินี้ก็ยากจะรับไหว ร่างบางค่อยๆทรุดกายลงนั่ง เลื่อนมือจากริมฝีปากมาที่หัวใจ ก็แค่จูบธรรมดา ทำไมใจถึงพองฟูได้อย่างนี้


และความรู้สึกเช่นนี้ มันควรจะเกิดขึ้นกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายหรือไง…


พลันเรื่องราวต่างๆในอดีตกว่านั้นก็กลับเข้ามาในความทรงจำ หรือว่าเราจะแสดงออกในเชิงนั้นทำให้ฉันที่คบกับพี่สนอยู่สงสัยและนำพามาซึ่งการเลิกรา ทว่าในตอนนั้นสาคิดว่าตนเองไม่ได้สนิทสนมกับเขาถึงเพียงนั้น การแสดงออกย่อมเป็นเพียงพี่น้องที่ไม่สนิทกัน แล้วทำไมฉันถึงได้คิดเช่นนั้นไปได้


จะว่าไปก็ไม่เคยถามความจริงอย่างละเอียดว่าอะไรทำให้ฉันโกรธเคืองกันถึงขนาดไม่คุยกันอยู่พักใหญ่ เพราะเห็นว่าเราคืนดีกันแล้วจึงไม่ขุดคุ้ยอะไร จนวันนี้มันเกิดเรื่องใหญ่เลยคิดจะไถ่ถามเพื่อไม่ให้เกิดความค้างคา แต่ว่าก่อนที่จะไปคิดถึงเรื่องนั้น


คิดก่อนว่าคนอยู่บ้านเดียวกันจะมองหน้ากันยังไงดีกว่า!


และปัญหาที่ถูกหลงลืมไปในตอนแรกก็เป็นปัญหาใหญ่ที่พบเห็นได้ชัดเจนกว่าปัญหาไหน เริ่มจากตื่นมากินข้าวในวันอาทิตย์และพบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านสักคนยกเว้นคนๆเดียวที่ไม่พร้อมเจอในวันนี้ สารินหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาเมื่อเห็นร่างสูงในห้องครัว พลันเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นก็ไหลเข้าหัวด้วยภาพเสมือนจริงอย่างน่าตกตะลึง


“ตื่นเช้า”  เขาทัก ก่อนจะหันไปสนใจขนมปังที่ถูกดีดจากเครื่องปิ้งขนมปัง


“พี่สนก็…ตื่นเช้าเหมือนกัน”


“พี่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”


ตึกตัก ตึกตัก


“กินอะไรไหม”


ตึกตัก ตึกตัก


“สา?”


“อา…ครับ”


“ขนมปังสักสองแผ่นละกันนะ”  เอาเป็นว่าเขาคงไม่รอคำตอบแล้วเพราะถามซ้ำไปหลายรอบ สนธยาจัดการหย่อนขนมปังลงไปในเครื่องปิ้ง แต่ดูแล้วเราคงจะได้กินแค่ขนมปังปิ้งกันแน่ๆ


“พี่สนกินสลัดไหม”


“ถ้ามีก็ดีนะ”


“งั้นเดี๋ยวสาทำไข่ดาวและปิ้งไส้กรอกให้ด้วย”  จริงๆคือสนธยาทำอาหารแทบไม่ได้ และสารินก็รู้ข้อนี้ดี จะว่าไปตนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากกว่าที่คิด แต่ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจข้อเท็จจริงของตัวเองตรงนี้กระมัง


ไข่ดาวของสนธยาสองฟองถูกตอกลงไปบนกระทะโดยที่ไม่ต้องมีคนบอก ไส้กรอกชิ้นไม่ใหญ่มากอีกสี่ชิ้น ต่อให้พี่คนนี้กินเยอะแค่ไหน แต่การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอก็ทำให้เขามีรูปร่างที่ดีอยู่เสมอ ภาพของเขาที่หันหลังให้ตอนปิ้งขนมปัง ผู้ชายไหล่กว้างในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงนอน ความไม่สมบูรณ์แบบที่เจือความดิบอย่างเป็นธรรมชาตินั้นเป็นภาพที่ชวนหลงใหล


“ของพี่เอาไข่แดงไม่สุกนะ”  เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยตื่นขึ้นมาจากภวังค์ สารินตกใจสะดุ้งจนตัวโยน “ระวังหน่อยสิ”  และก็ค้นพบว่าตนนั้นอยู่ในสายตาของเขามาตลอด เราอาจจะไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนเมื่อคืนวาน แต่ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองกันอยู่ทำให้รู้สึกว่าถูกรับรู้ถึงความคิดที่มี


ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะจัดการกับความประหม่าของสายตาคนๆนี้ที่ทำลายล้างกันเก่งสิ้นดี สารินนั้นค่อยๆประคองไข่ดาวสองฟองที่ถูกทอดตามแบบที่เขาคาดหวังลงสู่จานอย่างสวยงาม ก่อนจะหันมาใส่ใจกับของตัวเอง ทว่าทั้งๆที่ของๆตัวเองถูกทำให้จนเสร็จแล้ว ทำไมเจ้าของจานยังไม่ไปนั่งที่อีกนะ


“พี่สนกินก่อนก็ได้นะ”


“พี่รอโปะสลัดให้จานเราอยู่”


“เดี๋ยวสาทำเอง”


“เราทอดไข่ดาวกับย่างไส้กรอกแล้ว”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ”


“ไข่จะไหม้แล้วรีบๆเลย”  และเขาก็เบี่ยงความสนใจของสารินได้สำเร็จ ทำไปทำมาเราก็เริ่มเชื่อแล้วว่าหมาป่าก็เป็นสัตว์ที่เจ้าเล่ห์ เพราะขนาดไล่ให้ไปขนาดนี้ ยังมายืนทำตาใสมองคนทอดไข่อยู่ข้างๆ


ถ้ายัดทุกอย่างเข้าปากได้ในสามคำสารินคงทำไปแล้ว ทว่าพอทำท่าจะรีบกิน คนร่วมโต๊ะก็รีบห้ามและบอกว่ามันไม่งามบ้าง จะติดคอบ้าง ทำไมไม่คิดบ้างว่าความอึดอัดจะทำให้ติดคอตายอยู่แล้ว แค่ช่วงเช้าก็โดนดาเมจไปขนาดนี้ หากต้องอยู่ทั้งวัน ไม่ลงไปชักดิ้นชักงอตายก่อนใช่ไหม


ว่าแต่แล้วเราจะมานั่งตัวติดกับเขาทั้งวันไปทำไม


“ไปซื้อของกับพี่หน่อย”


“ครับ!”  ในตอนที่สารินกำลังกินไส้กรอกชิ้นสุดท้ายอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นมา


“อยากหาคนไปช่วยเลือกซื้อของหน่อย”  และปกติคนๆนั้นคือสาหรือไงกัน


“เอ่อ…สา”


“สามีธุระเหรอ”  เจ้าของชื่อส่ายหน้าจนผมปลิว ไม่มีธุระย่อมไม่มีข้ออ้างอะไร  “ถ้าไงไปช่วยพี่เลือกนะ” เมื่อไม่มีข้ออ้างก็ย่อมปฏิเสธอะไรไม่ได้ ความพยายามที่จะไม่ตัวติดกับเขาจนเกินไป จึงเป็นอันไม่สำเร็จไปด้วยเหตุผลเช่นนี้


เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย แต่ทว่าเตรียมใจนานเท่าไหร่ก็ไม่พอ สนธยามาเคาะประตูเรียกถึงหน้าห้อง ต่อให้ไม่พร้อมก็ต้องออกไป และตอนนี้ตนก็มานั่งอยู่ในรถคันเดิมที่ซึ่งไม่ได้ต่างจากทุกวัน แต่บรรยากาศที่เคยเงียบขรึมนั้นหายไป เพราะมันถูกคลอไปด้วยเสียงหัวใจที่เต้นดังของตัวเอง


เขาบอกว่ามาซื้อเสื้อผ้าเลยต้องการคนช่วยเลือก แต่เอาเข้าจริงๆเจ้าตัวก็มีสไตล์ที่โดดเด่นไม่ได้มีปัญหากับการเลือกว่าตัวไหนดีกว่ากันเพราะมักจะซื้อทั้งหมด อย่าเรียกว่ามาช่วยเขาเลือก เรียกว่ามาให้เขาเลือกให้ดีกว่า


“พี่ว่าตัวนี้เหมาะกับสา”


“แต่สาไม่ได้มาซื้อของ”


“เจออะไรดีๆก็ซื้อไป เสื้อผ้าเราเก่าหมดแล้ว แม่บ้านหมดกำลังใจหมด”  ก็คนมันกำลังสร้างตัวเลยไม่มีปัญญาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ที่ใส่ก็ใส่มาเป็นปีจนแม่บ้านที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าให้ท้อใจ ซักอย่างไรมันก็ไม่ดูใหม่ขึ้นกว่านี้แล้ว


แต่แล้วไงใครแคร์!


ทว่ามีคนหนึ่งที่แคร์อย่างชัดเจน นั่นคือสนธยาคนที่กำลังเอาเสื้อตัวนั้นตัวนี้มาวางทาบบนร่างเล็กๆของสาริน ทำไปทำมาเขาก็เหมือนจะกวาดหมดรราวมาให้กันจนสาต้องเดินหน้าตึงเอากลับไปเก็บ เยอะไป สงสารคนซักคนรีด


“พี่เต็มใจซื้อ”


“สาไม่เต็มใจใส่”


“แล้วเราจะใส่อะไร”


“มันเยอะไป!”


“นึกว่าจะไม่ใส่เสื้อผ้าเสียอีก”  สางงได้ไหม ทำไมต้องชิงหน้าร้อนก่อนเล่า


สุดท้ายก็ดึงดันมาได้เท่านี้ แต่ก็หลายถุงอยู่ดีที่ถือมา สานั่งหน้าบูดในร้านไอติม เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะพูดสิ่งใด แม้กระทั่งไอติมมาเสิร์ฟแล้ว ก็ยังไม่มีแรงคิดจะเอามือขึ้นมาหยิบช้อน


“อ่ะนี่” จนกระทั่งเขาตักไอติมมาป้อนก็ยังใจง่ายอ้าปากให้เขาตามใจ แต่เดี๋ยว! ไม่ใช่ไหม!


สาทำแบบนี้ไม่ได้นี่นา!


“สากินเองได้”


“ก็ไม่เห็นกินสักที”


“สาไม่อยากกินซะหน่อย”


“กินของหวานๆเย็นๆจะได้ช่วยให้มีแรง”


“เมื่อไหร่เราจะกลับบ้านกัน”


“พี่ยังซื้อของไม่เสร็จ”


“ก็ไม่เห็นว่าพี่สนจะซื้ออะไร”  เขาชี้ให้ดูถุงข้างกายใบเล็กๆสองใบ  “มาดูของสาสิ”  ประมาณห้าใบที่วางบนเก้าอี้ไม่ได้เลยต้องวางที่พื้น


“ก็ดีแล้ว เราจะได้แต่งตัวดีๆกับเขาบ้าง”


“ที่ผ่านมามันดูน่าเกลียดมากเลยเหรอ”


“มันทำให้ดูน่ารักน้อยกว่าความเป็นจริงไปนิด”


“เหะ?”


“เอาเป็นว่าพี่อยากซื้อให้ รวบยอดของขวัญหลายๆปี”  จะว่าไปมองในแง่นี้มันก็ได้ ถึงแม้ว่าวันเกิดของสาในปีนี้จะยังไม่ได้มาถึง แต่ทว่าหลายๆปีก็ไม่เคยได้รับของขวัญจากเขาเป็นการส่วนตัว เพราะทุกคนจะให้เป็นของใหญ่ๆชิ้นเดียว และแน่นอนว่าสาเก็บมันไว้อย่างดีและมีบ้างที่กลายมาเป็นตัวเลขในบัญชี แต่ว่าสารินไม่เคยนำออกมาใช้งาน


ถ้าเขาว่าเปลี่ยนดีกว่าก็เปลี่ยน…


ว่าแต่ทำไมหลายตัวเป็นสีเหลือง จะว่าไปแล้วของใช้ในห้องที่มีคนซื้อมาให้ก็มักเป็นสีสดใส ทว่ามักจะเป็นฟ้าอ่อน มันอดสงสัยไม่ได้ว่าสีเหลืองเป็นอะไรกับพี่สนนัก คุ้นๆว่ามีอีกอย่างที่สีเหลืองเหมือนกัน…ผ้าห่ม


บังเอิญมั้ง


“หลับก่อนไหม”  หลังจากที่รถเคลื่อนตัวมาสักพัก เราต่างก็เงียบงันจนเขาทักกันเช่นนี้


“สายังไหว”


“แล้วทำไมตาจะปิด”


“เราแค่ตาตี่”  แต่ปกติตาก็สองชั้นอยู่นะ


“ง่วงก็นอน”


“เดี๋ยวสานอนไม่หลับ”  ตอนนี้มันใช่เวลานอนไหม


“ถ้าทนไหวก็ทนไปนะ”  เขาพูด “แต่พี่จะทนไม่ไหวแล้ว”  แต่อันนี้ไม่แน่ใจว่าพูดถึงอะไร


“พี่สนง่วงเหรอ”


“…”


“อีกนิดหนึ่งก็ถึงบ้านแล้ว พี่สนเอาหมากฝรั่งหน่อย”


“สามีเหรอ”


“อื้มๆ เดี๋ยวสาเอาให้”  ช่างว่าง่าย


“ป้อนพี่ด้วย”


“…”


“พี่ขับรถอยู่” มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป้อนอะไรสักอย่างนี้นา ป๊อปคอร์นเมื่อวันก่อนก็ป้อนมาแล้ว ทำไมครั้งนี้มันจะไม่ได้ล่ะ


สารินสะกดความตื่นเต้นและค่อยๆแกะเอาหมากฝรั่งออกจากห่อ รวบรวมความกล้าที่จะยื่นไปจ่อปากของเขา ทว่าสนธยาเหมือนแกล้ง เขาอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นจนจะชักมือกลับ แต่ความเร็วที่ว่าไม่เร็วเท่าหมาป่าหนุ่มตัวนั้นเลย ว่าแต่นี่หมาป่าหรืองูกันแน่ ทำไมฉกเก่งฉกเร็วอย่างนี้


“ขอบคุณ”


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของสาเต้นแรง รัวเร็วและตอนนี้ต่อให้ง่วงแค่ไหน ตาก็สว่างกว่าคนที่กินหมากฝรั่งเข้าไปแล้ว


“เฮ้อ”  ถึงบ้านสักที สารินฝังหน้าของตนลงไปบนหมอนนุ่ม อยากจะร้องอัดหมอนระบายความอึดอัด ทว่าสิ่งที่ทำมีเพียงแค่ถอนหายใจออกมา เงียบ และไร้ค่าเช่นเคย


ทำไมความคิดถึงถึงได้วนเวียนกับริมฝีปากของเขา วันนี้แม้เราจะได้สัมผัสมันอีกครั้งด้วยปลายนิ้ว ทว่ามันก็ตอกย้ำความทรงจำเรื่องเมื่อวาน สารินไม่คิดว่าตนจะจำได้ว่าสัมผัสนิ่มยุ่นมันเป็นเช่นไร ทว่าเมื่อได้ข้องเกี่ยวอีกครั้งไป ก็รับรู้ได้ว่าจริงๆมันไม่เคยจางหายไปไหนเลย


ราวกับว่าเขาสามารถทำให้จูบของผู้ชายทุกคนที่สารินยังไม่เจอดูไร้ค่า เพราะคงไม่มีใครตรึงตรากันได้ขนาดนี้


โดยไม่รู้ตัว สารินดึงเจ้าตุ๊กตาหมาที่แม่ให้มาเป็นของขวัญวันไหนสักวันมากอดไว้และกดจูบลงไป ราวกับว่าอยากจะให้สัมผัสนั้นหายไป ทั้งๆที่ปัญหามันอยู่ที่ความทรงจำ และความรู้สึกที่ลึกซึ้งนั้นไม่มีใครช่วยแก้ไขให้ได้ บางทีก็อาจจะมีแค่เจ้าตัวเท่านั้นแหละที่สามารถเยียวยาให้ แต่แล้วอย่างไร…เราก็ไม่ควรพูดเรื่องนี้ดังไป ให้ใครได้ยิน


สามีเจ้าของแล้วและคนๆนั้นไม่ใช่พี่สน
แถมสามีพี่ชายแล้วคนๆนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพี่สน


ทว่าช่วงนี้สถานการณ์ภายในบ้านดูตึงเครียดขึ้นมาก แต่ว่าสาไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เรื่องราวอะไร แม้จะเป็นคนในครอบครัว แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรของเผ่าพันธุ์ไหนๆ สารินที่รับรู้ถึงบรรยากาศนั้นก็ทำได้แค่ทำใจ ก่อนที่จะพาตัวเองถอยห่างจากทุกคนออกมา


ตอนนี้แม้แต่การเดินทางสาธารณะก็ถูกสั่งห้าม ต้องจับตามองกันเพราะกลัวหนีขนาดนั้นเลยเหรอ ทว่าคนที่ปกติมักจะมารับมาส่งแม้ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถมาได้ มันเกิดอะไรขึ้นนะ สารินสนใจ แต่ไม่อาจจะเข้าใจได้จริงๆ


เป็นอีกวันที่งานที่เริ่มจะน่าเบื่อทำให้สารินนึกเซ็งจนอยากรีบกลับบ้าน เมื่อมองดูนาฬิกาก็พบว่าอีกหลายชั่วโมงเลยกว่าจะได้เลิกงาน แต่เจ้านายก็ไม่อยู่ ทางมันก็จะสะดวกอยู่นิดหนึ่ง


จะวันเกิดคุณแม่แล้วด้วย แต่ปีนี้ยังไม่ได้ซื้ออะไรให้เลย ทั้งนี้เพราะโอกาสจะได้ไปข้างนอกมันช่างน้อยนิด จะซื้อออนไลน์ก็เลือกไม่ถูก ของแบบนี้ถ้าไม่ได้ไปเลือกซื้อเลือกดู มันจะไปได้ของที่ดีที่สุดอย่างไร และอีกอย่าง สาคิดว่าปีนี้จะซื้อน้ำหอมให้ แต่ถ้าไม่ไปลองดมว่าเข้ากันไหม เกิดไม่ชอบก็ไม่มีความหมายอะไรเช่นกัน


“พี่ครับ เดี๋ยวผมออกไปยื่นเอกสารที่กระทรวงนะ ไปก่อนนะครับ”  จริงๆเอกสารอะไรนั่นสารินฝากคนอื่นไปยื่นให้แล้ว ทำงานมาหลายปี ไอ้นิสัยไม่ดีพวกนี้มันก็จะต้องมีเป็นธรรมดา แต่เอาน่า เราไม่ค่อยได้ใช้สักกะหน่อย


ซื้อเสร็จแล้วก็กลับเลยจะได้ไม่มีใครเป็นห่วง ตอนนี้ให้โทรเรียกคนขับรถของที่บ้านให้วนจากบริษัทพี่สนมารับที่นี่ก็ไม่ทันใจ นั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปไม่ไกลก็ถึงแล้ว เมื่อตัดสินใจได้ สารินก็เลือกที่จะไปห้างคนเดียว ซึ่งแน่นอนบอกใครไม่ได้เพราะจะไม่ได้รับอนุญาต ทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะหนี แต่ทำไมทุกคนต้องดูระแวงขนาดนี้กันด้วย


“ขอบคุณครับ”  หลังจากที่ทำการชำระเงินและรับของมา สารินก็ถือข้าวของเตรียมเดินออกจากห้าง แม้ว่าขนมนี่นั่นจะยั่วยวนตา ทว่าความรู้สึกผิดแม้จะยังไม่มีใครทราบเรื่องก็ทำให้ตนเร่งฝีเท้ามุ่งหน้ากลับบ้านในทันที แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าแถวห้างมีร้านขนมเจ้าอร่อยที่คุณแม่ชอบก็เปลี่ยนแผนเล็กน้อย

ถ้ากลับไปต้องโดนงอนเป็นแน่ มีขนมอร่อยๆไปง้ออาจจะได้ลดโทษลง และเพราะรีบร้อนจึงใช้เส้นทางลัดของลานจอดรถในห้างที่จะไปโผล่ในซอยข้างๆซึ่งถึงเร็วกว่า แต่ทว่าเจ้าตัวช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย


ว่ามีใครกำลังรู้เห็นซึ่งทิศทางที่ตนกำลังเดิน


“อื้ออออ!!!”  โดยกะทันหัน สารินที่เดินเอื่อยๆรับรู้ได้ถึงการจู่โจมอันรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งปากและจมูกของตนถูกปิดสนิทจนไม่อาจจะส่งเสียงโวยวาย อารามตกใจจึงควบคุมลมหายใจตนเองได้ยาก ในที่สุดสติสัมปชัญญะก็เหมือนจะหยุดทำงาน ร่างๆทั้งร่างเหมือนลอยเคว้งไปในอากาศทั้งๆที่จริงๆแล้วมันกำลังจะล้มพับลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก


นี่มันเกิด…อะไรกันขึ้น…


กลิ่นเหม็นอับที่บอกไม่ถูกนั้นคือสิ่งแรกที่สารินรู้สึกในยามที่ดวงตายังคงหนักอึ้ง ภาพเหตุการณ์ต่างที่เกิดยังคงต่อไม่ติดในความทรงจำ ทว่าความรู้สึกไม่คุ้นเคยช่วยกระตุ้นผลักดันแรงเฉื่อยให้ประสานความทรงจำของตนกลับมา จึงพบได้ว่าตอนนี้น่าจะอันตราย


“ตื่นแล้วเหรอ”  เสียงทุ้มที่ดังไม่ไกลนั้นทำให้ตนต้องลืมตาตื่นขึ้น เขานั้นรู้แล้ว สารินก็ไม่โง่แกล้งนอนให้ตัวเองถูกทำร้าย


“…”


“หลับสบายไหม”


“….”


“อยากให้ฉันบอกไหมว่าที่นี่ที่ไหน”


“คุณจับผมมาทำไม”  ในสถานการณ์ที่น่าหวั่นเกรง เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายช่างมีสติตอบรับดีเยี่ยม ผู้ถามเป็นชายร่างสูงใหญ่ เขาอาจจะสูงพอๆกับสนธยาเลยก็เป็นได้ และลักษณะเด่นบางอย่างก็ทำให้สารินที่คลุกคลีกับพวกมนุษย์หมาป่าอัลฟ่ารับรู้ได้ทันที


เขาก็เป็นอีกคนในนั้น


ร่างบางค่อยๆลุกขึ้นนั่งจึงค้นพบว่าขาของตนนั้นมีโซ่ตรวนอยู่ อย่างนี้สิที่เรียกว่าการกักขังกันอย่างแท้จริง ที่ผ่านมานั้นคนที่บ้านให้อิสระกันพอสมควรเลย ทว่าดวงตาของสารินนั้นไม่ได้อ่อนแสงลง แม้ไม่เปล่งประกายเจิดจ้า ทว่าก็ไม่พยายามทำให้ตัวเองดูด้อยกว่าในสถานการณ์ที่เป็นรองแบบนี้


“อะไรคือการที่ทุกคนพยายามผลักดันนายให้เป็นแม่พันธุ์ของฉันกัน”  อีกฝ่ายยิ้ม แต่ไม่อาจจะบอกได้ว่านี่ยิ้มของคนประสงค์ดี สารินขมวดคิ้วฉับ ภาระและความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครพูดถึง วันนี้มีคนพูดมันต่อหน้าสารินแล้ว


เพย์ตัน…


“คุณจับผมมาทำไม”  อีกไม่นานก็น่าจะถึงคราวส่งตัวอยู่แล้วนี่ มีเหตุผลให้จับมาก่อนด้วยเหรอ?


“มันเป็นเรื่องของการเมืองและความรู้สึกน่ะ”  สารินไม่เข้าใจ  “ว่าแต่เธอน่ะ…อยากเป็นของฉันไหม”  เขาถาม แววตาเป็นประกายดูมีเสน่ห์ ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่ปรากฏบนแววตา ซึ่งแน่นอนการแสดงออกของสาก็เป็นไปอย่างชัดเจน แม้ว่าตนจะเตรียมใจมาตลอดว่ามันต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงจริงๆ


มันก็มีแต่ความไม่พร้อม


“พักผ่อนเยอะๆ เธอน่าจะยังเพลียอยู่”


“ผมไม่ง่วงแล้ว”


“ก็นอนเล่นไป”  เขาชี้แนะ  “เพราะเธอยังไปไหนไม่ได้”


“แล้วคุณรออะไร”  ไม่ใช่ว่าเขาจับกันมาเพื่อจัดการธุระจำเป็นหรอกหรือ


“รอเวลานิดๆหน่อยๆ”  เขาไม่ได้อธิบายมากนัก  “จัดการตามใครบางคนเจอเมื่อไหร่จะกลับมาจัดการธุระกับเธอแน่”  และมันไม่กระจ่างใจเอาเสียเลย


เป็นคนของเพย์ตันหรือเปล่า แต่สารินไม่อาจจะนึกคิดเป็นอื่นได้อีกแล้ว คือมันก็มีความเป็นไปได้หลายๆอย่างว่าชายคนนั้นจะมาจากตระกูลอื่นซึ่งมีความเกี่ยวข้องไม่ว่าจะไหนทางไหนก็ตามกับเพย์ตัน เมื่อมานึกดูดีๆ บางทีที่ช่วงนี้ที่บ้านเข้มงวด นั่นอาจจะเพราะมันมีแนวโน้มที่ ‘สินค้า’ จะถูกลักลอบขโมยก่อนจัดส่งก็เป็นได้ สารินก็ไม่อยากเปรียบเทียบอะไรที่ดูไร้หัวใจ ทว่าภาระที่ตนแบกไหว มันใช้หัวใจเข้ามาทำไม่ได้จริงๆ


อย่างนี้คนที่บ้านคงวุ่นวายตามหากัน ตัดแง่ความผูกพัน สารินมั่นใจว่าตนมีความสำคัญแน่นอน ทั้งพ่อและแม่เป็นคนของตระกูลที่ข้องเกี่ยวและมีผลประโยชน์ทางธุรกิจกับเพย์ตันที่เหมือนราชวงศ์มนุษย์หมาป่าอัลฟ่ามาตั้งแต่สมัยอดีต จนตอนนี้พวกเขาก็ยังคงมีคบค้าดองกันกับบุคคลเหล่านี้ และบางทีก็จะจัดหาเด็กที่เป็นแม่พันธุ์ดีๆ เอามาเลี้ยงให้มีคุณภาพ เมื่อถึงเวลาก็จะยกให้ เพื่อผลตอบรับทั้งความไว้ใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ใหม่ๆให้ยั่งยืน


ถามว่าทำไมต้องหาแม่พันธุ์ นั่นก็เพราะว่าการสืบพันธุ์ของหมาป่าในยุคปัจจุบันที่มีวิวัฒนาการเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ถึงการสืบพันธุ์ด้วยกันกับมนุษย์หมาป่าที่สืบเชื้อสายอัลฟ่าด้วยกันเองใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่มันมีโอกาสน้อยกว่า และโอกาสที่เด็กที่ออกมาจะไม่มีลักษณะคล้ายอัลฟ่านั้นต่ำมากจนต้องแสวงหาตัวเลือกอื่น


และตัวเลือกนั้นๆก็คือมนุษย์ที่มีคุณสมบัติเหมือนโอเมก้าในอดีต


สารินไม่ค่อยมั่นใจประวัติศาสตร์วิวัฒนาการทางเผ่าพันธุ์นัก เดิมทีอัลฟ่านั้นมีวิวัฒนาการมาจากเผ่าพันธุ์หมาป่า และในภายหลังได้กลายเป็นมนุษย์หมาป่า และเพราะลักษณะของความเป็นผู้นำในด้านต่างๆ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถก้าวขึ้นเป็นชนชั้นปกครองปะปนไปกับมนุษย์ทั่วไป และมีการสร้างสมาคมลับที่จำกัดสมาชิกให้เป็นเพียงอัลฟ่าไว้ เพื่อการปกครองและคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่มีความเสี่ยงที่จะสูญสิ้นไป


โดยหนึ่งในตระกูลผู้นำดั้งเดิมนั้น มีเพย์ตันอยู่ด้วย


ในส่วนของโอเมก้านั้นมีเพศสภาพและกายภาพที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เพราะการเกิดมามีร่างกายอ่อนแอ และไม่สามารถควบคุมสภาวะต่างๆที่เกิดจากร่างกายตัวเองได้ จึงถูกมองรวมๆไปว่าเป็นพวกไม่เอาไหนและดีแต่ก่อปัญหา ทว่าจุดเด่นที่เป็นที่สนใจแก่เหล่ามนุษย์หมาป่าอัลฟ่าไม่ว่าจะในตระกูลไหนๆ ก็คือการมีไว้เป็นตัวช่วยสืบพันธุ์


ด้วยลักษณะที่เข้าคู่กันได้ด้วยดีระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้า ทำให้สามารถให้กำเนิดบุตรที่เป็นอัลฟ่าได้เป็นส่วนใหญ่ มิหนำซ้ำโอเมก้ายังสามารถตอบสนองต่อความต้องการทางเพศของอัลฟ่าได้ดี และไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนที่คนยังแบ่งชนชั้นวรรณะกัน โอเมก้าที่อยู่ต่ำกว่าจึงกลายเป็นทั้งแม่พันธุ์และวัตถุทางเพศของมนุษย์หมาป่าเหล่านั้น


ทว่าปัญหาที่ตามมาจากการถูกเพิกเฉยและกดขี่นั้นคืออัตราการเกิดของโอเมก้านั้นต่ำลงเรื่อยๆ จึงนำไปสู่ปัญหาประชากรของอัลฟ่าลดน้อยลงตาม เมื่อเวลาผ่านไป และโลกได้ข้ามผ่านแต่ละยุคแต่ละสมัย หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ การนำสารเคมีมาใช้ในชีวิตประจำวันอาจจะทำให้ชีวิตของผู้คนที่อาศัยบนโลกสะดวกสบายขึ้น แต่สารบางประเภท…


ก็มีผลกับพันธุกรรมของเผ่าพันธุ์บางเผ่าพันธุ์เช่นกัน



Talk: เนี่ยเรามาแบ้ว มาเร็วแบบกลัวคนอ่านรอนาน
เห็นคอมเมนท์ที่ว่าชื่นชอบกัน เรามีกำลังใจในการแต่งขึ้นเยอะเลย ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ
และถ้ามีตรงไหนอยากแนะนำก็บอกได้เลย #คู่กินคู่กัด @reallyuri

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
กำ น้องสาลูกกกกกกกก
ใครจับมาทำอะไรละเนี่ย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ใครจับน้องสามาเนี่ย :katai1:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
19

สน xสา


ในปัจจุบัน มันหาได้น้อยมากที่โอเมก้าจะฮีท จากรายงานหรือว่าข้อมูลปากต่อปากจากชุมชน ยังไม่พบการฮีทที่กระตุ้นความต้องการสืบพันธุ์ของอัลฟ่า ทว่าร่างกายของโอเมก้าเหล่านั้นก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้อยู่ โดยการตั้งครรภ์เป็นไปได้ง่ายขึ้นจนบางครั้งการควบคุมกำเนิดแบบเก่าก็ไม่สามารถควบคุมได้ จึงต้องมีการพัฒนาตัวยาที่ดีขึ้นออกมา


ทั้งนี้โอกาสการกำเนิดบุตรของโอเมก้านั้นก็ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ที่มีสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน โดยโอเมก้าจะกำเนิดจากครรภ์ของโอเมก้าเท่านั้น ในฝ่ายพ่อพันธุ์อาจจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือเผ่าพันธุ์อื่นๆคละกันไป แต่น่าเสียดาย โอเมก้าส่วนใหญ่มักสุขภาพไม่แข็งแรง หลายคนเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือยังเด็ก


แม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่ฮีท และข้อบ่งชี้หลายๆอย่างของเผ่าพันธุ์นั้นได้หายไปแล้วจนโอเมก้าวิวัฒน์บางคนเลิกเรียกตัวเองว่าโอเมก้า ทว่าตัวตนของบรรพบุรุษและสภาพสังคมที่กดขี่ก็ยังมีให้เห็นทั่วไป ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นอะไรทว่าในสายตาเผ่าพันธุ์อื่นๆก็ยังมองกันเป็นโอเมก้า และการซื้อขายโอเมก้าเพื่อประโยชน์กับการใช้งานก็ยังคงมี และธุรกิจเหล่านี้ก็มักจะทำผ่านคนประเภทเดียวกันเอง


จากยายสู่แม่ จากแม่สู่ลูก และจากลูกสู่หลาน


สารินเชื่อว่ามันต้องมีคนใหม่ๆที่ไม่อยากเป็นเหยื่อวงโคจรนี้อีกต่อไปและลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆเช่นตนเองหลังจากที่หมดหน้าที่แล้ว ตนก็ไม่คิดจะสืบพันธุ์ต่อเพื่อตัดวงโคจรนี้ อันที่จริงโอเมก้าไม่ควรจะมีอยู่ต่อไปด้วยซ้ำ เพราะนอกจากเราจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้น่าอยู่ขึ้นไม่ได้ เรายังจะเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ต่อไปแบบไม่จบไม่สิ้น


ชะตากรรมเช่นนี้มันเศร้าเกินไป แม้ว่าการสิ้นเผ่าพันธุ์นี้อาจจะทำให้อัลฟ่าลดจำนวนหรือสูญพันธุ์ตาม แต่เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเผ่าพันธุ์ไหนๆ จะอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบต่อพวกเราเลย


และพวกเขาคงไม่สูญพันธุ์ง่ายๆ เงินทุนจะสามารถดลบันดาลทุกสิ่ง ในอนาคตโอเมก้าอาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อพวกเขา ทว่าอนาคตนั้นมันแค่ยังไม่มาถึงเท่านั้นเอง ตอนนี้เรา…จึงยังเป็นเหยื่อการเมืองของพวกเขาเหล่านี้


เรื่องราวของอัลฟ่าและโอเมก้าที่เต็มไปด้วยความรักน่ะ มันไม่มีอยู่จริงหรอก


ฤทธิ์ยาที่ยังคงมีอยู่ทำให้สารินคิดอะไรไม่ได้มาก เน้นแต่จะหลับอย่างเดียว อันที่จริงรอบตัวนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ทว่าตนก็ยังนึกหวังในความสำคัญ สารินคิดว่าจะอย่างไรทางบ้านก็ต้องส่งคนมา และตอนนี้ฤทธิ์ยาก็ทำให้หัวตื้อเกินกว่าจะคิดอะไร ดังนั้นภายนอกนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นจึงไม่รับรู้เลย


จนกระทั่งได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างพังทลายลง


“อืม”แต่ก็ยังแยกภาพจริงกับภาพฝันไม่ออก บางทีนี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้


เพราะภาพหมาป่าที่กระโดดขึ้นมาบนเตียงและก้าวเข้ามาใกล้ๆโดยไม่มีแววคุกคามนั้นมันไม่มีทางมีอยู่จริง


“มารับน้องแล้วใช่ไหม”  สารินละเมอเพ้อออกไป รับรู้ได้ถึงลมหายใจและสัมผัสแนบชิดจากใบหน้าอีกฝ่ายที่มาคลอเคลียใกล้ๆ เมื่อรับรู้ถึงความปลอดภัยจึงเลือกที่จะจมสติตัวเองกลับไปอีกครั้ง ตัดการรับรู้กับสิ่งต่างๆอย่างสิ้นเชิง โดยไม่คิดจะฝืนพยายามรับรู้สิ่งใดอีก


อาจจะเพราะ….สัมผัสที่โอบอุ้มกันไว้ทำให้รู้สึกดีเกินไป ดีจนไม่อยากจะตื่นจากการหลับใหลอีกต่อไปแล้ว


ทว่าฝันดีมักอยู่กับเราไม่นาน เมื่อได้นอนเต็มอิ่มและฤทธิ์ยาไม่อาจจะทำอะไรได้ต่อไป สารินก็ค่อยๆขยับเปลือกตาขึ้นเพื่อรับสภาพความเป็นจริง ทว่าเมื่อขยับข้อเท้าก็พบว่าไม่มีอะไรตรวนตรึงกันไว้อีกแล้ว


เจ้าของดวงตากลมโตขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ พลันนึกเรื่องที่ฝันไปและค่อยๆปะติดปะต่อ มันจะเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ แม้จะหวังอยากได้ความช่วยเหลือ แต่ไม่คิดว่าตนจะได้รับมันเร็วเช่นนี้ เพียงฝันตื่นเดียวเอง ทำไมสถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปแล้วล่ะ หรือว่าจริงๆแล้วมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย


ร่างเล็กค่อยๆพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองไปรอบๆห้อง น่าเสียดายที่ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง ตนไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับห้องๆนั้นเลย จำได้แค่ว่าที่ขามีโซ่ตรวนแต่ตรวนไว้กับอะไรก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ โชคดีแล้วที่มีโอกาสได้กลับมาเดิน สองขาจึงค่อยๆก้าวลุก และจุดหมายเป็นที่ประตู


และเมื่อเปิดออกก็พบกับลานกว้างที่คุ้นเคย


“พี่สน”  นี่คือชื่อเดียวที่สารินนึกออก สถานที่แห่งนี้เราเคยมาแล้ว และคนที่พามา…ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น


หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะเรียบนิ่งพลันเหมือนกระตุกขึ้นมา ความอิ่มใจที่ถาโถมทำให้คนตัวเล็กที่นอนไปนานแสนนานออกถลาวิ่งลงจากตัวบ้านไปยังลานกว้าง คิดถึง…คือสิ่งที่เก็บรั้งไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ทว่าเพื่ออะไร ตนเองก็ยังชี้แจงความจริงตรงนี้ต่อสมองทุกส่วนที่ตนมีไม่ได้


ทว่ามองไปรอบๆแค่ไหนก็เหมือนจะหาตัวตนของเขาไม่เจอในบริเวณนี้


สารินยังคงเดินหาต่อไป แม้ว่าจะเป็นในสวนที่อยู่ใกล้ๆหรือเป็นบริเวณชิงช้าทำมือที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น แต่ตนไม่อาจจะเห็นเงาของใครนอกจากตัวเองตรงนี้ หรือว่าเรายังคงไม่ตื่นจากฝัน แต่ฝันที่โดดเดี่ยวเกินไป มันไม่ใช่ฝันดีหรอก อย่างน้อยคนที่คิดจะตัดขาดความสัมพันธ์ฉันอัลฟ่าและโอเมก้าหลังภารกิจเสร็จสิ้น ก็มีส่วนเสี้ยวของความทุกข์ใจซ่อนอยู่ตรงมุมนี้


“ลุกมาทำไม”  น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของร่างเล็กจอมป่วนที่ลุกจากเตียงมาเดินไปเดินมาก่อนจะจบด้วยการนั่งก้มหน้าบนชิงช้านั้นเหมือนมีคนมากระตุ้นหัวใจให้เต้นเป็นจังหวะที่ถูกต้องอีกครั้ง สาเกือบจะยิ้มออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอีกคนกำลังพร้อมจะขย้ำหัวกัน


“สาไม่เห็นใครเลยออกมาตามหา”  ทว่าคำแรกที่อยากจะพูดออกมา คือคำว่า ‘พี่สน’


“แล้วทำไมไม่ใส่รองเท้า”  อันที่จริงคือตนไม่ได้แม้แต่จะมองเลยว่ามีรองเท้าวางอยู่หรือไม่ สารินถูกย้ายจากที่หนึ่งมาอีกที่ด้วยสภาพที่หลับใหลย่อมไม่รู้สิ่งใด อาการหวาดกลัว ตื่นเต้น ดีใจจึงทำให้มองข้ามเรื่องสำคัญมากๆเช่นเรื่องการใส่รองเท้านี้ ทว่าตนไม่เห็นว่ามันสำคัญอะไรเท่าไหร่


เพราะในที่สุดก็ได้เจอคนที่ใจนึกถึงแล้ว


“พี่สน”  สนธยาตกใจไม่น้อยที่คนซึ่งลุกหายไปจากเตียงเตลิดมาถึงนี่ เขาตามหาเพื่อพบว่าน้องเดินมาไกลเพื่อตามหาอะไรสักอย่างโดยไม่ได้ใส่รองเท้า ทว่าตกใจยิ่งกว่าที่พูดไปไม่กี่คำ อีกคนก็ลุกและโผเข้ามากอดเขาทั้งตัว ช่างไม่ใช่เด็กน้อยขี้เกรงใจคนที่เขารู้จักเลย


“ไม่ต้องกลัว”  เขาลูบหัวทุยๆนั่นและเอ่ยปลอบแบบแข็งๆ ยังคงแสดงออกถึงความรู้สึกไม่เก่งเมื่อเป็นเรื่องของเด็กคนนี้ ทว่าสิ่งที่ไม่รู้เลยคือความกลัวที่ว่ามันไม่มีอยู่จริง สารินเพียงต้องการที่พึ่งพาเล็กน้อย แต่สิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้คือความอบอุ่นปลอดภัย ซึ่งมันช่างดีต่อใจเหลือเกิน


เขาอุ้มร่างบางขึ้นมาด้วยไม่อยากให้เดินกลับทั้งสภาพแบบนี้ สารินเองก็ไม่ได้โวยวายแต่อย่างใด พร้อมทั้งยินยอมให้เขากอดเอาไว้จนกระทั่งมาถึงตัวบ้านหลังเล็กที่เพิ่งจากมา


พี่สนใจดี…นี่คือสิ่งที่สารินสัมผัสได้ และความใจดีที่เหมือนจะมีมาพร้อมความห่วงใยของเขา ก็อาจจะเหมาะสมแล้วกับการเป็นพี่ชายของน้องชายคนหนึ่ง ทว่าที่ไม่ดีนัก นั่นคือน้องชายคนนี้รู้สึกไม่ปกติกับสิ่งที่ควรจะเป็นไปสักเท่าไหร่ เจ้าของร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นพยายามผลักไสความอบอุ่นที่แฝงมานั้น เพียงเพื่อจะสร้างเกราะป้องกันอันเปล่าประโยชน์ขึ้นมา


และมันก็ล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนแม้กระทั่งตอนนี้


เขายื่นผ้าขนหนูมาให้ด้วยคิดว่าสารินอาจจะอยากอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น แต่หลังจากนั้นก็พบว่าอีกฝ่ายฝังตัวเองอยู่ในห้องน้ำนานเกินไป“สา เป็นอะไรหรือเปล่า”  สนธยาเคาะถาม


“เดี๋ยวสาออกไป” จะให้เขารู้ได้อย่างไรว่าอะไรทำให้เราไม่ยอมออกไปไหน


หลังจากที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปมากมาย สารินรู้สึกตัวและมั่นใจในความอ่อนไหวไม่ธรรมดาของตนแล้ว จริงๆสาก็ไม่ได้โง่เง่าขนาดที่จะไม่รู้ใจ และก็ค้นพบด้วยว่าในความหวั่นไหว มันไม่ได้เกิดกับเราแค่ฝ่ายเดียว บางทีหากเราสนิทสนมกันมากกว่านี้ คงเป็นพี่เป็นน้องได้ธรรมชาติยิ่งกว่า ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความพยายามมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาหัวใจให้กันได้


หากสาเป็นโอเมก้า เขาก็ไม่ใช่อัลฟ่าของเราอยู่ดี


แต่จะพูดว่าอัลฟ่าหรือโอเมก้าเป็นของกันและกันก็ไม่ถูกนัก เราอาจจะเข้ากันได้ดีทางเพศสัมพันธ์ และมีแค่บางคู่ที่ก้าวผ่านทิฐิของตัวเองและสังคมมาครองคู่กันได้ แต่มันไม่ได้มีเยอะเลยในโลกใบนี้ และเรื่องนี้ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นกับเรา เพราะสาถูกรับเลี้ยงมาด้วยจุดมุ่งหมายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เพื่อการเป็นของเขา


ตระกูลอัลฟ่าจะไม่เลี้ยงโอเมก้าเพียงเพื่อให้มาสร้างความผูกพันและใช้กันเป็นเครื่องจักรภายใน
แต่จะนำไปมอบให้ตระกูลอื่นเป็นของขวัญเชื่อมสัมพันธ์อย่างไร้หัวใจต่างหาก


สารินมายืนอยู่ที่หน้ากระจก จ้องมองตัวเองที่ใส่เสื้อและกางเกงผ้าตัวใหญ่ของเขา มันไม่ได้ทำให้ตนดูแปลกเพราะการใส่เสื้อตัวใหญ่หรอก ปกติสาก็ชอบใส่อะไรโอเวอร์ไซส์อยู่แล้ว ทว่าที่มันดูต่างจากปกติคือบรรยากาศมากกว่า การอยู่ในห้องของเขา ใช้เครื่องอาบน้ำของเขา และใส่เสื้อผ้าของเขา มันทำให้ร่างทั้งร่างของตนเหมือนถูกห้อมล้อมไว้ด้วยทุกอย่างที่เป็นตัวเขา


และความไม่กลมกลืนกันนี้ ทำให้คนช่างเพ้อฝันหน้าแดงเขินอายอยู่กับตัวเอง เพราะมันก็เหมือนกับว่าเราเป็นของเขาไปเสียแล้ว ช่างบ้าบอเสียจริงๆ


“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ”  สารินเดินออกมาจากห้องน้ำได้สักที และก็พบว่าเขานั่งรอกันอยู่ที่เตียง จ้องมองมาทั้งตัวจนคนที่ถูกคาดโทษต้องกลั้นหายใจ บรรยากาศมันวาบหวามเกินความจำเป็นไปมากจริงๆ


เขาไปหาซื้อกับข้าวมาให้เพราะคิดว่าคนที่นอนไปเป็นวันๆเช่นสาต้องหิวโซมากแน่ๆ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งกลิ่นหอมของกับข้าวที่ถูกอุ่นร้อนลอยเข้าจมูก น้ำย่อยของตนก็กระโดดไปมาอย่างเริงร่า นี่มันหิวไม่ธรรมดาแล้ว


“ทานเยอะๆก็ได้ แต่อย่ารีบไป จะสำลัก”  เขาเอ่ยเตือนหลังจากมองดวงตาเป็นประกาย


หลังจากสารินถูกจับตัวไป บ้านทั้งหลังก็วุ่นวายกับการตามหา โชคยังดีที่คุณแม่ให้นาฬิกาข้อมือกับอีกคนไว้และมันทำให้พวกเราตามหากันได้โดยไม่ต้องเสียเวลามาก และเขาแทบเป็นบ้าเมื่อบ้านที่สารินถูกจับตัวไว้ถูกห้อมล้อมเต็มไปด้วยพวกหมาป่าเหมือนกัน และคนพวกนั้นชื่นชอบที่จะได้ผสมพันธุ์กับโอเมก้า


อาจจะเป็นโชคดีของโชคชะตาที่โอเมก้าสมัยนี้ไม่ได้มีฮีทหรือส่งกลิ่นได้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว และอัลฟ่าสมัยนี้ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานของโอเมก้าได้อีก เขาจึงหวังไปกับตัวเองว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ได้ถูกข่มเหงแต่อย่างใด ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าตัวก็ใช่จะดึงดูดน้อยเสียเมื่อไหร่


อย่างน้อยก็ทำให้เขาหัวปั่นตามเล่นงานคนที่หลงเสน่ห์จนไม่เป็นอันทำอะไรไปหลายคน


โชคดีที่จำนวนคนที่เฝ้าอยู่ไม่ได้มีมากเกินรับมือ เขาที่มาพร้อมกับบอดี้การ์ดจำนวนหยิบมือสามารถจัดการได้ แต่ก็ถือว่าเสี่ยงมากมายเนื่องจากยังระบุไม่ได้ว่าผู้ประสงค์ร้ายคือใคร สถานการณ์ในตอนนี้ต้องอัพเดทกันแบบรายชั่วโมงเลยทีเดียว หากเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์มันก็ง่ายกว่าที่จะจัดการ แต่พอเป็นเผ่าเดียวกันแล้ว จะทำอะไรก็ต้องรักษาท่าที


แต่เด็กนี่ไม่ได้รับรู้ถึงความรุนแรงภายนอกเลย สารินนอนหลับบนเตียง แวบแรกที่เห็นเขาแทบลืมหายใจ ทว่าเมื่อค่อยๆสาวเท้าเข้าไปอีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าฝันหรืออะไรดลใจ ประโยคที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงมันทั้งเจ็บปวดมันทั้งตื้นตัน  ‘มารับน้องแล้วใช่ไหม’ มันตีความได้หลายอย่างมาก แต่อย่างที่เขาเข้าใจคือการรอคอยที่เจ้าตัวระบุเจาะจงว่าเป็นเขาเท่านั้น


ด้วยฤทธิ์ยาอาจจะทำให้เจ้าตัวเล็กเผลอละเมอคำพูดไร้สาระออกมา แต่ณ.วินาทีนั้นที่เขาได้รับรู้ถึงไออุ่นของอีกคนที่ซุกอยู่กับแผ่นอกนั้น ก็หมายมั่นว่าต่อไปจะซื่อตรงกับการแสดงออกมากกว่านี้ สารินเป็นคนใกล้ตัวและใกล้ใจ ทว่ามันใกล้เกินไปจึงต้องพยายามผลักไสแต่จากนี้ไปมันจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นขอเวลาให้กันอีกนิดได้ไหม


มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการแต่ว่ามันจะไม่นานเกินไปเท่าที่เขารอคอยมาเนิ่นนาน


“เราจะกลับเมื่อไหร่”


“ตอนนี้ยังกลับไม่ได้ พวกผู้ใหญ่กำลังวุ่นวาย”  เขาพูด และน้องก็ก้มหน้าลง เขาไม่อาจจะคาดเดาว่าคิดอะไรได้ทั้งหมดแต่พอเดาได้  “มันเป็นเรื่องของการเมืองที่ไม่ได้มีสาหรือพวกเราเป็นต้นเหตุ ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกไม่ดี”


“สาแค่กังวลว่าเพราะสาที่ทำให้ทุกคนลำบากหรือเปล่า ถ้ามีอะไรที่สาช่วยได้”


“สาแค่เชื่อฟังพี่ว่าช่วงนี้อย่าไปไหนคนเดียว”  เขาพูดออกมา  “ลาออกจากงานไปก่อนจะดีกว่า เพราะช่วงนี้คงปล่อยให้ไปข้างนอกไม่ได้เลย”


“แต่ว่า…”


“เพื่อความปลอดภัยของสาและความสบายใจของทุกคน ทำได้ไหม”


“งั้นพี่สนบอกสาได้ไหมว่าทำไมพวกเขาต้องจับตัวสาไป”


“…”


“สาควรจะรู้ใช่ไหมเพราะมันก็เกี่ยวข้องกับตัวของสาเอง”  สารินต่อรอง เด็กคนนี้ฉลาดที่จะพูดไม่น้อย


“พี่เองก็ยังไม่รู้ว่าใคร แต่จับเราไปก็ไม่สามารถมองว่าหวังดีได้หรอก เราคิดอย่างนี้”


“แล้วพี่สนคิดว่าใคร”


“ตอนนี้ทางข้างบนก็แตกเสียงกันเป็นหลายฝ่าย”  สนธยากล่าวเช่นนั้น  “มันมีทั้งกลุ่มคนที่สนับสนุนทาริค เพย์ตันขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์คนถัดไป และก็มีที่สนับสนุนคนอื่นๆ” สารินจึงเข้าใจว่าตอนนี้สถานการณ์มันคลุมเครือจึงไม่อาจจะระบุได้ว่าเป็นใครและต้องการอะไรอย่างแท้จริง


คร่าวๆมันก็ประมาณนี้ แต่มันเกี่ยวข้องกับสารินตรงที่เจ้าตัวคือหนึ่งในโอเมก้าที่ถูกจัดหาเพื่อทำการสืบพันธุ์ให้กับผู้นำลำดับถัดไป ซึ่งทางครอบครัวเขาที่สนับสนุนเพย์ตันตั้งใจที่จะมอบเด็กคนนี้ให้เพื่อสานต่อผลประโยชน์ที่พูดคุยไว้ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ ทาริคมีพฤติกรรมบางอย่างซึ่งทำให้ผู้สนับสนุนบางรายไม่พอใจ


เพย์ตันคือตระกูลที่สืบทอดอำนาจกันมาอย่างช้านานจากรุ่นสู่รุ่น บัลลังก์ของพวกเขาแข็งแกร่งและยืนยงจนไม่มีใครคิดอยากล้ม ทว่าเมื่อโลกเปลี่ยน แนวคิดการปกครองก็ย่อมเปลี่ยน เสียงที่เคยสนับสนุนก็กระจายไปในหลายแนวทาง จนเริ่มมีเสียงคัดค้านการสืบทอดตำแหน่งผู้นำทางสายเลือด


ทำไมเหล่าหมาป่ากลายพันธุ์อย่างพวกเขาต้องเกาะกลุ่มขนาดนั้น ก่อนอื่นต้องเล่าย้อนให้ฟังว่าพวกเขาก็เหมือนชนกลุ่มน้อยที่อาศัยบนโลก แม้จะแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้มีจำนวนมากพอ จึงแทรกซึมอยู่ในทุกสังคมเหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ ทำตัวกลมกลืนแต่ก็หวาดระแวงต่อการถูกพบเจอ การรวมกลุ่มสามัคคีย่อมก็เพื่อประโยชน์ส่วนร่วม และแนวคิดนี้ก็คงอยู่มาได้เป็นร้อยเป็นพันปี


ทว่าทุกคนรู้ดีว่าความไม่พอใจภายในล้วนมี แต่ถูกฝังไว้เป็นปมลึกในจิตใจ หากคนส่วนใหญ่บนโลกยอมรับได้ถึงการมีอยู่ของบุคคลที่แตกต่าง ไม่ใช่เอะอะก็คิดว่านี่คือผีนี่คือปีศาจ บางทีกลุ่มคนเล็กๆเช่นหมาป่า แวมไพร์  หรือใครๆก็คงอยู่ร่วมกันได้แบบเปิดเผยค่อยๆปรับตัว แต่ความคิดสวยหรูแบบนั้น มันไม่มีทางเป็นจริงได้


ยิ่งเฉพาะปัญหาระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าตั้งแต่อดีต ปัจจุบันนี้ยังหาทางลงไม่ได้เลย


หลังจากที่ทาริคประกาศตัวต่อต้านการสนับสนุนจากกลุ่มคนหัวเก่าทั้งๆที่ตัวเองคือสัญลักษณ์ของความหัวเก่านั้น ก็ทำให้คนที่สนับสนุนอำนาจใหม่ยิ่งลุกฮือเชิดชูผู้นำของตนเอง กลุ่มคนที่ยังพัวพันฝั่งอำนาจของเพย์ตันก็พยายามจะทำให้ทาริคกลับมาในจุดเดิม แต่ก็มีบางส่วนที่หันมาสนับสนุนทาริคเพิ่มเพราะชื่นชอบในกลุ่มอำนาจเก่าแต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงใหม่ และช่วงนี้ก็มีข้อมูลใหม่ ที่ทำให้พวกเขาคาดเดาเหตุการณ์ไปเองต่อไปได้ยาก


เมื่อมีคนพบว่าทาริคคบหาฉันคนรักกับคนต่างเผ่าพันธุ์


ปกติแล้วมนุษย์หมาป่าเช่นพวกเขาจะแต่งงานอยู่กินกับคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันเพราะความเชื่อและทิฐิที่สืบทอดกันมา มีบ้างที่ออกไปคบหาอยู่กินกับเผ่าพันธุ์อื่น แต่มันมักจะไม่เกิดขึ้นกับเหล่าผู้นำหรือตระกูลชั้นสูง


และถึงแม้การขยายเผ่าพันธุ์ในหมู่มนุษย์หมาป่าด้วยกันทำได้ยาก แถมยังมีความต้องการให้ผู้สืบทอดมีลักษณะที่แข็งแกร่งเฉกเช่นอัลฟ่าในอดีต ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ พวกเราจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้ประชากรที่ควบคุมได้ง่ายกว่าอย่างโอเมก้ามาเป็นเครื่องมือ


เป็นวิธีการที่โหดร้ายเย็นชา ทว่ามันก็ฝังรากลึกจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตไปแล้ว


แล้วหมากตัวเล็กๆอย่างสารินเกี่ยวข้องอะไรกับสนามความขัดแย้งต่างเผ่าพันธุ์นี้ อาจจะเพราะทุกคนรู้ดีว่าตระกูลของเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยส่งมอบโอเมก้าให้กับเพย์ตันมาหลายยุคหลายสมัย ในช่วงที่อะไรๆยังวุ่นวาย การเก็บหมากตัวนี้ไว้ไม่ให้มาเพ่นพ่านย่อมดีกว่า


ทว่าเป็นฝ่ายไหนกันล่ะที่ลงมือลงไป ในขณะที่ฝั่งธัมรงค์รัชต์ยังนิ่งๆไม่ทำอะไร ใครกันที่ชิงตัดหน้าพาสารินไปแบบนั้นหวังว่าพวกเขาจะจับพวกคนที่เฝ้าสาไว้มาสืบสวนได้ทัน


มื้ออาหารเรียบง่ายของเราจบลง สารินอาสาล้างจานเพราะได้ทราบว่าตอนที่ตนหลับอยู่เขารีบไปหาซื้อมาให้ไว้ และนั่นคือเหตุผลที่ตนตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร โชคดีที่ไม่หวาดกลัวเตลิดมากไปกว่านี้


เมื่อมานึกดู บ้านทั้งหลังมีแค่เราสองคนเท่านั้น บ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก และเป็นบ้านลับๆที่เขาเป็นเจ้าของอยู่เพียงผู้เดียว ไม่ค่อยมีคนรู้ว่านี่คือทรัพย์สินของสนธยา ทว่าก็มีโอกาสได้พาใครสักคนหนึ่งมา สารินเป็นคนที่รู้จักเขาน้อยมาก อาจจะเพราะเจ้าตัวไม่กล้าเข้าใกล้หรืออะไรก็ตาม ทว่าในบางมุมที่คนอื่นไม่เคยรู้ ก็มีเด็กคนนี้ที่ได้รู้ดีกว่าใคร


ไม่รู้อะไรดลใจให้พาเด็กคนนี้มาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง


แล้วครั้งแรกเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้พามา รู้แค่ว่าการได้มาวิ่งเล่นในร่างหมาป่าในที่แห่งนี้คือความสบายใจหนึ่งเดียว วันนั้นที่สารินเหมือนจะหลงอยู่ในวังวนของจิตใจ ก็เป็นเขาที่คิดไปเองว่าการพามาที่นี่จะช่วยเยียวยาความรู้สึกกันได้ ทั้งนี้มันคือการคิดไปเองทั้งนั้นและไม่มีใครคิดเลยว่าหลังจากนั้น


เราจะเผลอเปิดแง้มหัวใจที่ปิดห้ามไม่ให้อีกฝ่ายที่ดูสุ่มเสี่ยงกว่าใครได้เข้ามา


บทสนทนาเกี่ยวกับการส่งมอบโอเมก้าที่ได้พูดคุยกับเขาในวันนี้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเคลียร์ชัดในความรู้สึกนัก แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดเลย และธัมรงค์รัชต์ก็เลี่ยงที่จะพูดคุยเรื่องนี้กันตลอดเพราะอยากรักษาบรรยากาศดีๆเอาไว้ ทว่าเมื่อได้คุยก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาไม่ได้ปล่อยวางเรื่องนี้หรือคิดจะปล่อยกันไปให้เป็นอิสระจริงๆ


ที่ไม่พูดไม่ใช่ไม่คิด แต่ไม่อยากให้เหยื่อตื่นเสียมากกว่า


แต่ก็ไม่รู้ว่าการพูดตรงๆ ย้ำๆ บ่อยๆจะทำให้หดหู่ขนาดไหน เพราะถึงแม้ว่านี่จะเป็นการเอากายเข้าแลก แต่ก็เป็นกายของสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจ แม้มันจะไม่ใช่อะไรที่ยาวนานแต่กว่าจะผ่านมันไปได้จะต้องรู้สึกเช่นไรบ้าง สารินได้แต่จินตนาการเพื่อสร้างเกราะกำบังให้หัวใจ ทว่าเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ


และยิ่งคนพูดคือสนธยาด้วยแล้ว ความรู้สึกปวดหน่วงในหัวใจยิ่งทวีคูณ


“เข้านอนเถอะ นอนด้วยกันบนเตียงได้ไหม อึดอัดหรือเปล่า”  เขาถาม ซึ่งจริงๆมันก็น่าอึดอัดที่เราต้องนอนกับคนที่รู้สึกหวั่นไหวด้วยมาตลอดอย่างนี้ แต่สารินคิดว่าตนเองอ่อนล้าเกินกว่าจะหาเหตุผลดีๆ จึงทำแค่พยักหน้าตอบกลับไปและล้มตัวลงนอน


ทว่าดวงตาที่ปิดสนิทนั้น ไม่ได้หมายความว่าความคิดของตนจะลอยเข้าสู่ห้วงฝัน การเป็นหมากความขัดแย้งก็ไม่รู้ว่าตนจะต้องเผชิญกับสิ่งไหน ทว่าเรื่องนี้กลับไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้นึกน้อยอกน้อยใจอะไร ที่น้ำตามันไหลนี่…


คงเพราะเหตุผลอื่นละมั้ง…


คนแบบสนธยาช่างแสนเย็นชา แต่สารินก็รู้ว่าเขารักบูชาเผ่าพันธุ์และตระกูลของตนเองแค่ไหน แถมนี่เราไม่อาจจะพูดได้ว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายมันเป็นเช่นไร ในความสับสนและความอ่อนไหวที่มีให้ มันอาจจะเทียบไม่ได้กับที่อีกฝ่ายคิดไว้ หรือจริงๆแล้วเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย


“เป็นอะไรไปครับ”  โทนเสียงที่ฟังนุ่มหูนั้นยิ่งตอกย้ำถึงการเอื้อมไม่ถึงนี่ ยิ่งเขาดูแสนดี สารินก็รู้สึกถึงการจับต้องไม่ได้ในแง่ต่างๆ นอกจากเขาจะเป็นมนุษย์หมาป่า เขายังมีครอบครัวและเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญ และนอกเหนือจากนั้น


เขายังเป็นพี่ชาย…


“ฮึก…”  แถมยังเป็นพี่ชายในครอบครัวที่ครั้งหนึ่งคือความหวังของชีวิต สารินไม่อาจจะทรยศพวกเขาได้ จริงๆแล้วสาทำอะไรไม่ได้เลย เรียกร้องอะไรไม่ได้ด้วย และยิ่งเจ็บปวดที่ความแสนดีตรงนี้มีความต้องการทางผลประโยชน์เป็นเดิมพัน สารินนอนตะแคงหันหลัง ปล่อยให้น้ำตารินไหลอย่างที่ไม่แคร์ผู้ใด


ทว่าความหนาวเย็นนั้นเหมือนจะจางหายไป
เมื่อใครสักคนกอดกกกันไว้เมื่อเห็นเช่นนั้น


“ไม่ร้องนะครับ”  เขาไม่อาจจะรู้ได้ว่าอะไรที่ทำให้น้องชายคนนี้อ่อนไหวขึ้นมาทว่าก็พอจะเดาได้ สารินนั้นเข้มแข็งมากๆ กับเรื่องหนักหนามากมายก็มีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลแบบไร้แรงสะอื้น จริงๆแล้วในฐานะพี่ชายต่างสายเลือดเขาไม่ควรกอดปลอบน้องบนเตียงแบบนี้ แล้วยิ่งกว่านั้น…


เขาไม่ควรจูบซับน้ำตาเพราะเพียงแค่คิดว่า…
ตนคือคนเดียวที่ทำมันได้


TALK:
รู้สึกผิดมากมายที่มาช้า แต่ต่อจากนี้จะรู้สึกผิดมากกว่านี้อีก5555
คือเรามีความตั้งใจว่าจะไปแต่งให้จบก่อนง่ะ เรื่องนี้มันค่อนข้างยาวเนาะ
ถึงเราจะมีสตอคอยู่แต่มันไม่ได้ตรวจคำผิดไว้เราก็ไม่เอาลง
แล้วทีนี้ขนาดสตอคไว้เรื่องมันก็ยังเป็นสากับสนอยู่ ยังไม่ได้ประสานเรื่องกับคู่ไพร์มฉันเลย
เราเลยคิดว่าอาจจะมาแบบช้ามากๆเพื่อที่ไปแต่งไว้ให้เยอะๆก่อนเลยอ่ะค่ะ
ซึ่งเราก็ค่อนข้างกังวลว่าคนอ่านจะหาย ทั้งๆที่มันก็น้อยอยู่แล้ว5555
แต่แบบนี้เราคิดว่าเราสบายใจมากกว่าไงไม่รู้ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่อาจจะทำให้รอนานไปอีก
ทีงี้พอเราแต่งไปจนอยู่ในระดับที่กอบกู้ความมั่นใจได้แล้ว แน่นอนค่ะว่าเราจะลงรัวๆเลย แฮ่
เพราะงั้นช่วยรอกันหน่อยนะคะ
รักนะแต่แสดงออกไม่เก่ง ฮี่ @reallyuri
#คู่กินคู่กัด


































ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารสา อยากกอดปลอบสาบ้าง แต่ก็คงไม่มีใครฮีลน้องได้ดีเท่าพี่สน

ยังไงก็จะรออ่านนะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
20

สน xสา


สาคงไม่ได้ร้องไห้มากไปใช่ไหม?


“กินยาก่อนครับ”  สนธยายื่นยาและแก้วน้ำให้หลังจากที่เขาบังคับให้อีกคนกินข้าวจนหมดแล้ว ให้ตายสิ ความโอเมก้าในสายเลือดนี่ทำให้อ่อนแอได้ขนาดนี้เลยหรือไง


โทษนั่นโทษนี่เรื่อยเปื่อย จริงๆแล้วก็ทำตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง


“สาเป็นแค่ไข้อ่อนๆเอง” 


“กินยาแล้วจะได้หายไวๆไง เรามีกันสองคน ถ้าพี่ป่วยไปด้วยจะมีคนมาดูแลพี่ไหม”


“สาก็ต้องดูอยู่แล้วแหละ”  ถึงมั่นใจว่าตนไม่ได้ป่วยอะไร และคงไม่ได้ทำให้มนุษย์หมาป่าเช่นเขาป่วยง่ายๆ แต่ก็ยอมกลืนยาลงไปแต่โดยดี


เมื่อวานนี้หลับทั้งๆที่น้ำตาไหล ทว่าเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นหัวใจคือการที่เขาเข้ามาสวมกอดกันไว้ ก่อนที่จะประทับจูบเบาๆที่ตรงหางตา มันไม่มีอะไรเกินไปกว่านั้น ทว่านี่มันก็มากเกินไปแล้ว สารินไม่คิดว่าตนจะมีภูมิต้านทานต่อสนธยาต่ำขนาดนี้เลย


หลังจากกิน เขาก็ให้นอน ชีวิตตอนนี้สบายมาก สบายจนคิดว่าขาดงานแบบไร้การติดต่ออย่างนี้ ตำแหน่งที่มีคงถูกส่งต่อให้คนอื่นไปแล้ว อีกอย่าง…ถ้าทางพี่สนพูดว่าไม่ให้ไปทำและสารินหาข้ออ้างอะไรไปยันไม่ได้ ทางธัมรงค์รัชต์คงเข้าไปจัดการเรื่องปัญหาให้แบบที่ว่ากลับไปคงไม่มีงานให้ทำแล้วจริงๆ


สาคิดว่าตนคงหลับไปไม่นาน ทว่าเอาจริงๆก็เป็นชั่วโมงอยู่ คนตัวเล็กที่นึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจึงเดินออกไป ไม่คาดหวังว่าเขาจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ได้เจอกับหมาป่าตัวใหญ่ กำลังเดินทอดน่องเล่นกับลมอย่างสบายใจในลานกว้าง


เขาชอบที่นี่มากๆเลยสินะ สารินคิดเช่นนั้น ก่อนที่จะก้าวเดินลงไปจากตัวบ้าน สัญชาตญาณของหมาป่าย่อมทำให้เขารู้ว่าใครบางคนกำลังเดินเข้ามา ทว่าจิตสังหารที่ไม่มีอยู่เลย ทำให้มันไม่ขยับไปไหน…จะเป็นใครไปอีกได้


“สาหายแล้ว โอเมก้าตัวน้อยเดินมาหากัน ไม่รู้ว่าลืมความประหม่าหรืออะไร มือเล็กสัมผัสไปบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยเส้นขนสีขาวแซมเทา ร่างบางค่อยๆนั่งลงก่อนที่จะกอดร่างของหมาป่าตัวใหญ่ที่แสร้งทำเป็นแค่หมาบ้านธรรมดาทั่วไป และปล่อยให้มันได้คลอเคลียกลับ ก็มีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เราจะใกล้ชิดกันได้โดยตัดสภาวะแห่งความเป็นจริงออกไป


โดยไม่รู้ตัว สารินก็ออกวิ่งเล่นไปกับเจ้าหมาป่าตัวนั้นราวกับเด็กน้อยที่ไม่มีภาระใดๆ แน่นอนว่าตนไม่มีทางวิ่งหนีหรือวิ่งนำมันไปได้ ทว่ามันก็ไม่ออกวิ่งเร็วเกินไปจนตามไม่ทัน เสียงหัวเราะและความทุ่มเทที่จะเอาชนะนั้นฉายชัดผ่านแววตา ต้องเรียกว่าเป็นสิบปีมาแล้วของพี่น้องที่ไม่เคยสนิทกันที่ได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ค่อยขัดแข้งขัดขากันน่าดู


ก่อนที่ร่างของสารินจะเซล้มทับร่างของมันและลงไปนอนแผ่กับพื้นดิน


“สนุกจัง”  สารินหลังจากเข้าไปอยู่ที่ธัมรงค์รัชต์นั้นเติบโตด้วยการเลี้ยงดูของคุณแม่ ทว่าตั้งแต่เด็กตนก็แทบจะไม่ได้เล่นเหมือนเด็กทั่วไป สถานะสินค้าและหวาดกลัวต่อสังคมทำให้เด็กน้อยเลือกที่จะไม่ออกไปไหน จนกระทั่งวันนี้ตนรู้สึกได้ว่าเราเหมือนย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีอีกครั้ง เป็นหลายสิบปีก่อนในความฝันที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง


เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเบาๆจากการที่ถูกเจ้าหมาป่าตัวร้ายคลอเคลียเลียไปทั่วหน้านั้นเหมือนทำให้โลกทั้งใบสดใส สารินกอดร่างของมันเอาไว้ด้วยหมายจะไม่ให้มันวุ่นวายไปมากกว่านี้ แต่สนธยาในร่างหมาป่าอยากจะพิสูจน์ดูสักที


ว่าถ้าเป็นตัวตนของเขาอีกแบบนี้จะได้รับการยอมรับเหมือนกันอยู่ไหม?


“…”  ร่างของเจ้าหมาป่าที่ถูกกอดนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นร่างของมนุษย์เพศชายวัยฉกรรจ์ มัดกล้ามเนื้อและร่างสูงใหญ่แค่ได้สัมผัสก็รับรู้ได้ถึงความน่าหลงใหล ทว่าสารินที่รับรู้ว่าเขากำลังจะเปลี่ยนร่างไปนั้นจำต้องผละออกมา


“…”  เขาคิดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้จึงรั้งอีกฝ่ายให้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดในร่างเสมือนมนุษย์ เมื่อได้กอดอีกครั้ง เขาก็ได้รับรู้ถึงความตัวเล็กนุ่มนิ่มของอีกคน มันช่างพอดีกับอ้อมแขนเหลือเกิน


ทว่ายังไม่ได้รับการยอมรับว่าพอดีกับใจ


“…”  ร่างบางค่อยๆเอนตัวลงนอนกับพื้นหญ้า เขาไม่ได้ฉุดกระชากหรือทำรุนแรงให้เจ็บ ทว่าหัวใจที่ถูกตั้งค่าให้ถอยห่างต่างหากที่กำลังบีบคั้นหัวใจกันอย่างรุนแรง


“อย่า…ไป”  ก็เป็นทางเขาไม่ใช่เหรอที่จะส่งสาที่รับเข้ามาออกไป เรื่องนี้แม้จะทำใจยอมรับและตระหนักเสมอว่าบุญคุณต้องทดแทนเพียงใด ทว่าในส่วนลึกของจิตใจก็คัดค้านและกล่าวหาว่ามันไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย แต่จะไปเรียกร้องกับใครได้ ในเมื่อมีแค่ชะตากรรมของตนเอง…ที่มันไม่เป็นธรรมตั้งแต่กำเนิด


ใบหน้าของคนตัวเล็กเสมองไปทางอื่น แม้ว่าจะถูกให้อยู่ใต้ร่าง ทว่าก็ไม่ได้มีแววหวาดหวั่นแต่อย่างใด ที่มีก็แค่แววของความไม่แน่ใจและดวงตาที่สั่นไหวซึ่งมาจากหัวใจที่พยายามจะทำให้เย็นชา ทว่าสนธยากลับไม่สนใจท่าทีต่อจากนี้ เขาค่อยๆเชยคางให้หันกลับมามองกัน และเพียงแค่สบตาที่มีแค่การตัดพ้อนั้น


เขาก็ตัดสินใจที่จะมอบสัมผัสวาบหวามจากริมฝีปากนี้ไป


มันเป็นสัมผัสที่แผ่วเบาทว่ามีผลเขย่าหัวใจให้สั่นไหวอย่างรุนแรง สารินที่ไม่เข้าใจนั้นไม่รับรู้สิ่งใด ทว่าส่วนลึกของจิตใจบอกกันว่าให้ตอบรับโอกาสนี้ และเพราะความต้องการมันตีพัน จึงเลือกที่จะนิ่งเฉยปล่อยให้เขาได้เสพย์สมมันเท่าที่ต้องการ


แต่อย่างนี้ไม่ได้ มันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น! สาที่คิดว่าเพียงอีกนิดเราคงไปในจุดที่กู่ไม่กลับอีกแล้วจึงผลักเขาออก แม้ไม่แรงมาก แต่สำหรับคนที่ถูกกระทำนั้น แรงนี้เหมือนถูกฉุดกระชากโดยเครื่องจักรขนาดใหญ่ ทั้งๆที่สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความตั้งใจที่ผ่านการไตร่ตรองและรวบรวมความกล้าเอาไว้ แต่มันก็ถูกผลักไสไปทั้งกายและใจเขาล้วนชาหนึบเพราะมัน


“…”


“เข้าบ้านเถอะ แดดมันร้อน”  เขาที่คร่อมทับกันอยู่เป็นฝ่ายลุกขึ้น ปล่อยให้สารินที่นอนอยู่นั้นเหม่อมองไปยังท้องฟ้า โดยที่ไม่รู้ว่าสายตาหมองเศร้านั้นเอาแต่มองอยู่ จริงๆแล้วมันควรจะเป็นเขาที่ควบคุมมันได้ไม่ใช่เหรอ จริงๆแล้วมันต้องเป็นเขาใช่ไหมที่ไม่ควรเข้าใกล้ ในเมื่อเขาคือคนที่จะส่งกันไปถึงมือใครเพื่อสิ่งที่ตนและครอบครัวฝันใฝ่ ไม่ใช่หรือไง?


แต่ที่เจ็บกว่าคือตนเป็นคนที่ทำให้เขามีสีหน้าเช่นนั้น สารินสับสนทั้งการกระทำ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหัวใจเช่นนี้ มันไม่เคยอยู่ในสมมติฐานใดๆที่ตนเคยเตรียมไว้เลยจริงๆ เขาคือตัวแปรหนึ่ง ที่อาจจะพลิกผันทุกความตั้งใจที่แน่วแน่ได้ และดูเหมือนเราจะยอมพากันถลำลึกเข้าไป ลึกจนตอนนี้มองไม่เห็นแสงสว่างใดๆที่ปลายทาง


แดดเริ่มจะร้อนแล้วจริงๆ เมื่อสารินกลับมา เขาก็ไม่รู้อยู่ตรงไหนของบ้าน คาดว่าตอนนี้เราคงต้องการระยะห่าง เพราะไม่มีอะไรสนิทใจอีกต่อไปแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้น สารินคิดว่าสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ คือความรู้สึกผิดที่ทับถมกันอยู่ เมื่อแสดงออกว่าต่อต้าน คนที่เจ็บปวดใจไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น คนที่ผลักไสออกไปเจ็บยิ่งกว่าเท่าไหร่ ทำไมไม่รับรู้เลย


เราทำเช่นนั้นไม่ได้ เราเป็นพี่น้องกัน นี่คือสิ่งที่สานั้นตอกย้ำในใจเหมือนหลอกตัวเองเสมอมา ทว่าตัวเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่ และความหวั่นไหวที่พยายามทำเป็นมองข้ามเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย รู้ทั้งรู้ว่าเราเป็นแค่สารินที่ครอบครัวของเขารับเลี้ยง จะไปหวังให้ลูกชายคนโตของบ้านมาชายตามองกัน มันเป็นไปไม่ได้


มันผิด…ทั้งในแง่ศีลธรรมและธรรมเนียมที่คนตนเคารพรักยึดมั่น


ทว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นแล้ว สาก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรเช่นกัน แม้ความอ่อนโยนนั้นจะเป็นแค่ความลวง หรือความวาบไหวนั้นจะเป็นเรื่องผ่านมาเพื่อผ่านไป แต่สารินสามารถรับไว้ได้ใช่ไหม แม้ว่ามันจะแค่ชั่วครั้งคราว


จนเย็นและค่ำมืดกว่าเขาจะกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง สารินทำอะไรง่ายๆที่มีติดไว้ในตู้เย็นรอไว้ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมาก็ยังไม่พบ ทว่าอาหารที่วางไว้ให้ก็พร่องไปไม่น้อยแล้ว โดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มสดใสก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ไม่เย็นชาต่อกันจนเกินไป เพราะมันคงจะปวดใจเหลือเกิน


ที่บ้านหลังนี้ไม่มีทีวี และมือถือของสาเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ดังนั้นตนจึงไม่รับรู้ความเป็นไปใดๆที่ภายนอกเลย แต่กระนั้นก็รู้สึกสงบสุข นอกจากปัญหาที่ต้องครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีกับการต้องอยู่ที่นี่เลย อย่างน้อยก็มีพี่สนอยู่ แม้ว่าคนๆนั้นจะอยู่ตรงไหน พื้นที่ของเขาที่โอบล้อมกันไว้นี้ได้สร้างความสบายใจให้กันแล้ว


ทว่าดึกดื่นแค่ไหนเขาก็ยังไม่กลับมา


ห้องทั้งห้องนั้นมืดสนิท สารินดับไฟเข้านอนหลังจากรอเท่าไหร่เขาก็ยังไม่กลับมา ทว่าหลังจากไฟดับได้ไม่นาน ประตูห้องที่ถูกปิดสนิทก็ถูกเปิดออก เสียงรอยเท้าเบาๆดังขึ้น ทว่าคนบนเตียงก็ยังไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด พื้นที่เตียงข้างๆไม่ได้มีทีท่าว่าจะยวบลงไป ทำให้คนที่เฝ้ารออยู่ขมวดคิ้วสงสัยว่าใครกันที่เข้ามา


แอด…เสียงเปิดประตูตู้เสื้อผ้าดังขึ้น ความไม่มั่นใจประกอบกับความหวาดกลัวที่ฝังลึกตลอดบ่ายทำให้คนที่แกล้งหลับต้องลุกขึ้นมา ท่ามกลางมืดมิดไม่เห็นสิ่งใด สารินมั่นใจว่าตรงนั้นต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน


“…”


“พี่สน”


“พี่แวะมาเอาของ”  เขาแจ้งความต้องการ “พี่ทำให้ตื่นเหรอครับ”  คำพูดที่สะท้อนซึ่งความห่วงใยแต่หัวใจเหมือนจะไม่ถูกส่งให้กันทำให้สารินเริ่มเครียด ริมฝีปากสีฉ่ำนั้นถูกขบกัด เช่นนี้ยิ่งอึดอัดกว่าทุกครั้งที่เผชิญ


และเขากำลังจะเดินออกไป สาที่ทำอะไรก็ช้าไปหมดอยากจะร้องเรียกไว้แต่ว่าก็เหมือนจะไม่ทันเช่นกัน แล้วเราไปมีเหตุผลอะไรมารั้งไว้ในเมื่อสิ่งที่เหมาะสมคืออะไรสารินก็รับรู้อยู่ในใจไม่ใช่หรือไง นอกจากเขาจะเป็นคนในครอบครัวที่มีพระคุณต่อกัน ตัวสานั้น…ก็ไม่อาจจะเป็นของใครได้เลย


นี่คือชะตากรรมของโอเมก้าส่วนใหญ่ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่และตายไป
ไม่มีตรงไหนที่บอกกันว่าเราสามารถมีความสุขได้เพราะฟ้าไม่ได้สร้างเรามาแบบนั้น


“พี่สน”  ทว่าเหมือนสมองกับหัวใจจะไม่ทำงานสอดคล้องกันอีกแล้ว เสียงเรียกของตนทำให้เขาชะงัก ทว่ามันไม่พอสำหรับการฉุดรั้งร่างของหมาป่าตัวใหญ่เอาไว้ได้ สนธยากำลังจะจากไป และคราวนี้สาต้องเลือกแล้ว


ว่าจะปล่อยให้เขาไปหรือรั้งไว้ทั้งๆที่ไม่สมควร


“สาขอโทษ”  และสาก็ได้เลือกแล้วที่จะเดินไปสวมกอดแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเดินออกไปจากห้อง ทั้งๆที่ตนไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้ และสุ่มเสี่ยงที่จะโดนรังเกียจจริงจัง “สาไม่ได้ตั้งใจ” แววตาหรือท่าทางของเขาที่ต่อต้านกันนั้นก็ไม่ประสงค์ที่จะเห็น จึงฝังใบหน้าของตนไว้กับแผ่นหลังกว้าง สูดดมกลิ่นกายที่เป็นตัวตนของเขาไปพร้อมๆกับกล้ำกลืนน้ำตาและคำพูดมากมายที่ไร้สาระของตนกลับไป


“…”


“พี่สนอย่าโกรธ…กันเลยนะ”  น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนั้นเจือแววออดอ้อน เขาเคยเห็นน้องชายคนเล็กคนนี้ออดอ้อนคุณแม่และบางทีก็เผื่อไปถึงคุณพ่อ แต่ครั้งนี้มันรุนแรงเกินไป เขาไม่คิดว่าจะมีใครเคยโดนจัดการถึงเพียงนั้น


“พี่ไม่โกรธอยู่แล้ว อย่าคิดมาก”  เขาพยายามพูดให้อีกคนสบายใจ เพราะความรู้สึกที่มีให้มันห่างไกลจากจุดที่จะโกรธเคืองและเกลียดชัง


“ไม่ๆ พี่สนโกรธสา พี่สนไม่คุยกับสา”  อีกคนส่ายหัวจนผมยุ่ง งอแงขนาดนี้ได้อย่างไร ใครๆก็รู้ว่าสารินกลั้นน้ำตาเก่งแค่ไหน แต่แค่มึนตึงใส่กันก็ทำให้น้องร้องไห้แบบนี้ เขาควรสำคัญตัวผิดดีหรือสมควรสำนึกผิดต่อกันมากกว่า? “วันนี้พี่สนไม่นอนห้องนี้ด้วย”


“จะไปนอนด้วยกันได้ยังไงละฮึ?” เขาไม่เข้าใจสมองที่คิดนั่นนี่มากมายแต่ลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป สนธยายืดแขนไปกดสวิตช์ไฟ ทั้งๆที่ตั้งใจให้สาหลับไปก่อนแล้วจะย่องมาเอาผ้าห่มและหมอน กลายเป็นว่าเขาตกหลุมที่วางไว้ของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง เจ้าเล่ห์กว่าหมาป่า ก็คือลูกกวางโอเมก้าที่ถูกเลี้ยงในครอบครัวหมาป่ากระมัง


“ฮื้ออออ”  เขาหันหลังกลับมาพูดคุยด้วย ท่ามกลางแสงสว่างของดวงไฟ คนที่เดินมากอดเขาจากข้างหลังไม่กล้าเงยหน้า ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าอะไรสักอย่าง ราวกับว่าความพยายาม…ได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว


“นอนด้วยกันได้ไง พี่เล่นจูบเราไป แถมเราก็ผลักพี่ออกแบบนั้น สาอยากให้พี่ทำอะไรกันแน่”  ทำไมเขาพูดตรงแบบนี้ล่ะ สาก็…ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน  “ให้พี่กล่อมเราก่อนไหม แล้วพี่ค่อยออกไปข้างนอก”  หรือจริงๆเขาต้องทำแบบนี้กัน แต่สานั้นก็ส่ายหัวอยู่ดี อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง


“สาขอโทษ”


“สาขอโทษพี่ด้วยเรื่องอะไรครับ เรื่องที่ผลัก หรือเรื่องที่ไม่ยอมรับ”


“…”


“ไปนอนนะ เดี๋ยวเราก็ป่วยอีกหรอก” เขาพยายามจะพาสารินกลับไปนอนที่เตียง ทว่าเจ้าตัวแสบกลับโถมตัวเขากอดและซุกใบหน้ากับต้นแขน ต้องการอะไรกันนี่ ถ้าเขามีให้ได้ก็ย่อมให้ไปหมดแล้ว


“ไม่ใช่สาไม่ยอมรับพี่สนนะ แต่สาไม่ยอมรับตัวเองต่างหาก”


“…”


“เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยนะ พี่สนเป็นใครและสาเป็นใคร”


“…”


“สาขอโทษที่ทำให้พี่สนรู้สึกไม่ดี สาโกรธตัวเองจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”  ในขณะที่พล่ามไปอยู่นี่ ก็ไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้เช่นกัน  “ยกโทษให้สานะ”


“ยกโทษให้ครับ”  เขาพูด  “แต่สารู้ไหมว่าพี่ไม่ใช่พี่ชายของสานะ”


“…”


“ไม่เคยเป็นและไม่มีวันเป็นด้วย เพราะฉะนั้นเอาแขนออกได้แล้วครับ พี่ไม่ใช่พี่ชายเรานะ อย่าทำแบบนี้”  แม้น้ำเสียงที่พูดจะไม่มีแววเย็นชาแต่ว่ามันก็สะท้านหัวใจ นั่นคือประกาศิตจากเขาว่าถ้าไม่ยอมรับในความจริงข้อนี้


เราก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันจริงๆ


“สาไม่ให้ไป”  และสาเองก็รู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อยที่อะไรๆก็ดึงเรามาอยู่ตรงจุดนี้ จะเรียกว่าดื้อก็ได้ แต่แรงอารมณ์ผลักดันให้สารินต้องทำตามใจ สนธยามีผลต่อความรู้สึกในแง่ต่างๆ ทั้งเวลาเศร้า เสียใจ ตื่นเต้น อ่อนไหว แค่เพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ในอกซ้ายของสารินก็สั่นสะท้าน


“แล้วจะให้พี่อยู่ในฐานะไหนดีครับ”  คนตัวเล็กเม้มปาก รั้งไว้ในฐานะน้องชายย่อมไม่ได้ มันก็เหมือนจะมีอยู่แค่สถานะเดียวที่สามารถ


การที่เขาจะสะบัดกันหลุดมันเป็นเรื่องไม่ยากเลย และก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นซึ่งใจของตนรับไม่ไหวแน่ๆ สารินต้องชิงฉวยโอกาสก่อน ปลายเท้าของตนเขย่งขึ้นก่อนมือทั้งสองข้างจะประคองใบหน้าของเขาเพื่อมอบจูบของตนให้ วันนี้เราจูบกันเป็นรอบที่สอง ทว่าถ้านับจริงๆก็รอบที่สาม สารินไม่คิดว่าตนจะมาไกลได้ถึงขั้นนี้เลย แต่เอาเข้าจริงๆก็กลับไม่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว


ก่อนที่เราจะเป็นของใคร เป็นของเขาก่อนได้ไหม
นี่คือคำปรารถนาที่ดังก้องในใจ แม้ไม่มีใครตอบรับ


เราจูบกัน เนิ่นนานกว่าทุกครั้งและจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ข้ามผ่านความเป็นพี่เป็นน้องที่คนบางคนเคลมว่าไม่เคยเป็นไป ก่อนจะดึงร่างกายของอีกฝ่ายให้มาแนบแน่นกัน แล้วเราเป็นอะไรกันเหรอ คำถามนี้อาจจะเข้ามาในความคิด ทว่ามันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่ความช่ำชองของอีกคนจะดึงดูดกันให้กลับเข้าไปในวังวนเสน่หา


“อื้ม พี่สน…” เขาปล่อยให้สาได้เป็นอิสระด้วยการผละจูบออกมา ทว่ามันก็เท่านั้นเพราะเขาไม่ให้ได้ว่างเว้นเพื่อปฏิเสธกันอีกแล้ว ในเมื่อไม่สามารถต้านทานความต้องการขอสารินได้ ก็มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้อีกคนจะไม่พูดปฏิเสธออกมา


นั่นคืออย่าให้โอกาสให้ปากได้ว่างลั่นวาจาใดๆ


“พะ…พอก่อน” แต่ไม่ไหว สารินที่ด้อยประสบการณ์ย่อมรับจูบที่หนักหน่วงเนิ่นนานเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เจ้าของดวงตาใสมองกันอย่างเว้าวอน แต่ยังไม่มีคำใดที่จะเอ่ยห้ามไม่ให้เขาทำต่อ  “สา…หายใจไม่ทัน”  มีเพียงเท่านั้นที่เอื้อนเอ่ย


เจ้าของดวงตาดุนั้นทอดมองอย่างอ่อนโยน เขาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าใสให้ ก่อนที่จะกดจูบลงไปบนแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อ ทั้งกลิ่น ความอบอุ่นจากผิวกาย และริมฝีปากแดงฉ่ำนั้น ยั่วยวนไปหมดจนไม่อาจจะทนไหวแล้ว แม้ว่าสถานะของเราจะไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกมันเหมือนจะล้นใจ


ร่างของเราค่อยๆถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ลงบนฟูก และริมฝีปากของเขาก็ยังคลอเคลียอยู่เช่นนี้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พึงมีนั้นได้จางหาย ยิ่งกว่าอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน สารินคิดดีแล้วใช่ไหมที่ทำลงไป ทว่ามารร้ายในหัวก็ชี้แนะให้คิดว่าแบบนี้และดีที่สุดแล้ว


ได้ลองมีแฟนคนแรกที่เป็นคนนิสัยดี และได้มีอะไรครั้งแรกกับคนที่หลงใหล
ให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อนที่โลกทั้งใบจะเหวี่ยงตัวลงสู่นรกทั้งเป็น


“พี่ไม่ยอมให้เราหยุดพี่อีกแล้วนะ”  เขาย้ำคำชัด และสารินก็ยอมรับ นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตที่ตนจะไม่กลับมานึกย้อนเสียใจที่ก้าวถลำถึงเพียงนี้จริงหรือไม่ หากสารินมอบกายให้เพย์ตันไป แล้วหลังจากนั้นมันไม่มีทางหรอกที่สนธยาจะยอมรับกันได้สนิทใจแบบนี้ ดังนั้นโอกาสจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดลอย


“อื้ม”  สารินตอบรับ “ให้สาเป็นของพี่สนเถอะนะ” หลังจากที่เอ่ยคำนี้ไป ดวงตาของคนที่อยู่เหนือร่างก็วาววับ นี่คงเป็นจุดเด่นของเผ่าพันธุ์นักล่า ในยามปกติเขาสามารถที่จะควบคุมมันไม่ให้หลุดออกมา แต่นักล่าคือนักล่า และนักล่ายามที่เห็นเหยื่ออันโอชะใต้ร่างของตน ย่อมไม่มีใครทนไหว


เขากดจูบฝังลงไปที่ลำคอระหง ส่วนมือก็ตะปบลงบนต้นขาเนียนที่ซ่อนตัวอยู่ในกางเกงผ้าลื่นที่มีเขาเป็นเจ้าของ สารินใช้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างกับเรือนกายเหมือนเขา ทว่ามันกลับสร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงยามที่จะได้ครอบครอง เขาค่อยๆช่วยน้องถอดเสื้อออกมา ก่อนที่จะถอดของตนออกเช่นกัน


สนธยากำลังจะก้มลงไปจูบคนตัวเล็กของเขาอีกครั้ง ทว่าเป็นสารินที่ดึงรั้งเขาให้รีบกลับไปหาเอง เมื่อผิวเนื้อกระทบผิวเนื้อ ไฟที่จุดติดมาสักพักก็เหมือนจะเผาไหม้ยิ่งกว่าเดิม เรียวลิ้นของเขาชำแรกเข้าไปในโพรงปากสีแดงของอีกฝ่าย วนหาหยอกล้อกับความหวานภายในก่อนจะผละออกไปเพื่อสำรวจแต่ละส่วนของร่างกาย


งดงามเหลือเกิน ในอดีตก็มีคนเอ่ยว่า มันยากที่อัลฟ่าจะไม่หลงใหลในร่างกายของโอเมก้า แต่คนพวกนั้นคงไม่รู้ว่าหากเราไม่ได้ใช้สมองนำไปซะทุกเรื่องและหันมาใช้หัวใจ การที่ได้สัมผัสกายอีกฝ่ายจะยิ่งนำพาความหวานล้ำมากมายเกินกว่าที่ใครเคยพร่ำพรรณา


ดังนั้นมันจึงไม่ได้น่าเสียดายที่ตัวเขาไม่ได้มีพันธุกรรมเหมือนอัลฟ่าแท้อีกต่อไป จะได้หันมาใช้ใจตามหาความหมายของชีวิตบนเตียงหลังนี้


การที่ฟ้าจัดให้มีอัลฟ่ากับโอเมก้ามาเกิดร่วมกัน ไม่มีใครรู้ซึ่งจุดประสงค์เหล่านั้น เพราะหลักการคู่แท้ไม่ใช่คู่ที่ยืนยงด้วยความรักเสมอไป จนกระทั่งตอนนี้ที่พันธะของอัลฟ่าและโอเมก้าขาดไปเกินครึ่งตามยุคสมัย ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ


แต่ช่างปะไร เขาจะครอบครองสารินไว้โดยไม่สนใจใครแบบนี้เหมือนกัน


เมื่อเสื้อผ้าที่ประดับกายถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น การเล้าโลมของเขาเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และสารินก็ไม่คิดว่าตนจะย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาได้สร้างรอยรักประดับทั่วกาย ในความสุขสมมีความอึดอัดเจือปน และมันกำลังจะได้รับการปลดปล่อยอย่างร้อนแรงแต่อ่อนโยน


เสียงครางแห่งความรัญจวนดังก้อง สารินได้ปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างออกมาก่อนจะหอบเอาอากาศเข้าจนแผ่นอกสะท้าน แต่กระนั้นเขาก็ไม่หยุดเล้าโลมด้วยหมายสร้างระลอกคลื่นครั้งใหม่ที่อาจจะใหญ่กว่าครั้งแรก “พี่..อึก..พี่สน”  เสียงเรียกชื่ออันสั่นเครือนั้นไม่อาจจะหักห้ามการกระทำใดๆได้ เขายังดูดขบที่ต้นขาแต่ก็ยอมช้อนตาขึ้นมามองด้วยสายตาที่ไม่อาจจะทนจดจ้องได้อีกต่อไป


“อื้อ…”  พลันความคิดของตนก็ได้จางหายไป เมื่อเขาได้กดนิ้วชำแรกเขาไปในจุดต้องห้ามที่ไม่เคยอนุญาตให้ใครได้กล้ำกราย ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยประสบทำให้สติและตัวตนพังทลาย สองขาของตนอ้าออกกว้างราวกับจะเชิญชวนให้ยิ่งเข้ามาค้นหา ของเหลวเปียกแฉะที่ซึมออกมาพิสูจน์ได้ว่าร่างกายนั้นเพียบพร้อม


ในขณะนั้นสารินไม่มั่นใจเลยจริงๆแต่ก็คิดว่าเราคงตกลงกันไว้แล้ว เพราะการคุมกำเนิดของโอเมก้ากลายพันธุ์ในปัจจุบันนั้นยังไม่มีวิธีที่ให้ผลชะงัก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงนิยมขอให้ผู้ร่วมมีสัมพันธ์ใช้ถุงยางอนามัย สาคิดว่าตนเคยพูดแล้ว และเขาที่มีภาระกับทางบ้านคงรู้ดีและอยากป้องกันกว่าใคร


ดังนั้นตอนที่ตัวตนของเขาค่อยๆเข้ามาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพราะความอ่อนโยนของเขาและความอ่อนไหวของเรานั้นมันท่วมท้นมากมายเกินไป…เกินไปมากมาย…


จนไม่มีอะไรมาหยุดไว้ได้…อีกต่อไป




TALK
ไม่ได้มาเรื่องนี้นานมากและยังมีหน้าไปเปิดเรื่องใหม่อีกแงงงง
จริงๆที่ไม่ได้มาไม่ใช่เพราะไม่แต่งนะคะ แต่งค่ะ แต่งจบแล้วด้วยแต่เรายอมรับเลยว่าเรื่องนี้อาจจะต้องรีไรท์ไปลงไป
คือไม่ใช่เพราะมีสองคู่แต่มีเรื่องของปมนั้นนี้ที่เราอยากใส่ให้มันพอดี และไม่อยากทำให้มันยาวไปเลยคิดว่าต้องใช้เวลากับมันหน่อย และหลังจากความพยายามสักพักตอนนี้คือแต่งจบแล้ว และคิดว่าจะลงให้อ่านยาวๆแบบมาทุกวันหรือวันเว้นวันต่อจากนี้เย้!!!!!!!!
ขอบคุณนักอ่านที่ยอมรอนะคะ ช่วงนี้คิดว่ามาทุกวันได้ ฝากติดตามต่อด้วยค่ะ
@reallyuri #คู่กินคู่กัด

























































ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
21

สน xสา


เขาคือคนที่สาเลือกให้เป็นคนแรก


แต่ไม่ใช่คนที่เป็นตลอดไป..


ร่างกายของสาเหมือนไม่ใช่ของตัวเองเมื่อข้ามผ่านเมื่อคืนวาน สารินมองใบหน้าของคนที่หลับใหลอยู่ข้างๆ ทั้งยินดี หวาดระแวงในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เหนื่อยกับสิ่งที่ไม่เข้าใจ และปลื้มปริ่มกับสิ่งที่ได้รับ


สำหรับครั้งแรก สารินคิดว่าต่อให้เขาพยายามจะอ่อนโยนแค่ไหนทว่าก็ไม่อาจจะกลบความต้องการเอาแต่ใจใดๆไว้ได้ หลังจากตื่นนอน สารินก็ไม่ได้พร้อมที่จะรอให้เขาตื่นขึ้นมาเห็นว่าเราเอาแต่จ้องหน้าแบบนั้น แม้เมื่อคืนจะแสนหวาน ทว่าวันนี้มันอาจจะดูน่ารำคาญก็เป็นได้


ได้ยินว่าพี่สนค่อนข้างจะเย็นชาหลังเสร็จกิจมาบ้าง


ไปฟังอะไรแบบนี้มาทำไมกันนะ แต่ยอมรับว่าตอนฟังแม้จะหน่วงในอกแค่ไหน ทว่าตอนนี้ก็รู้สึกสบายใจที่มีข้อมูลมาบ้างจะได้ไม่ไปทำปั้นจิ้มปั้นเจ๋อตอนเขาตื่น ไม่แน่ตอนนั้นความหวานเมื่อวาน อาจจะขมยิ่งกว่าถูกฉันจ๋าสั่งให้กินน้ำบอระเพ็ดก็เป็นได้


ร่างกายของสารินเจ็บพอประมาณ แต่อาจจะเพราะมีความเป็นโอเมก้าซึ่งร่างกายถูกสร้างมาให้รองรับการมีเพศสัมพันธ์ทางนั้นอยู่แล้ว ผนวกกับความอ่อนโยนของเขาจึงทำให้สามารถเดินเหิน ใส่เสื้อผ้า และลุกมาทำอาหารเช้าง่ายๆให้ตัวเองทานได้ บอกตรงๆว่าสาหิวแล้ว


สารินกระดกนมลงคอเหมือนไปตายอดตายอยากที่ไหนมา ดวงตาก็เฝ้ามองไข่ดาวกับไส้กรอกที่ตนกำลังทอดอยู่บนกระทะ เสียงติ้งของเครื่องปิ้งขนมปังทำให้รู้ว่าตอนนี้มันกรอบได้ที่ แม้จะร้อนมือหน่อย แต่สาก็รีบหยิบขึ้นมากิน ไม่ได้มีความคิดจะทำเผื่อใคร และแน่นอนว่าไม่ได้คิดจะรอใครมากินด้วย


ก็รอให้เขาตื่นมาบอกว่าอยากกินแล้วค่อยทำให้กินดีกว่า


จะบอกว่าเพราะอยู่ในโลกของความเป็นจริงเพียงพอก็คงใช่ แต่สาไม่อยากให้เขามาทำหน้ามุ่ยเหมือนถูกบังคับให้กินอะไรที่ไม่อยาก จากประสบการณ์ที่อยู่ร่วมกันมาบทจะกินง่ายก็ง่าย แต่ถ้ายากก็ยากมากๆไปเลย ซึ่ง…สารินไม่เสี่ยงทำรอไว้ เพื่อมานั่งเสียดายวัตถุดิบหรอกนะ


“ทำอะไร”  และสนธยาก็ตื่นขึ้นมา เขาควานหาคนที่ควรจะอยู่ข้างตัว ทว่าพบเพียงความว่างเปล่า


ก็ไม่รู้ว่าคนน้องคิดอะไรอยู่จึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาคิดว่าจะไปตามหา แต่แค่เดินออกมาก็ได้เห็นคู่กรณี…ที่กำลังยัดไส้กรอกใส่ปาก มันน่าตีนัก นอกจากจะกินไม่รอกัน แถมยังไม่จัดใส่จานมานั่งกินดีๆอีกต่างหาก


“พี่สนกินอะไรไหมครับ”


“เราทำอะไรพี่ก็กินอันนั้น”


“ง่า…สาไม่ได้ทำเผื่อ”


“…”


“งั้นเอาเหมือนสาเนอะ”  เหลือเชื่อจริงๆ ไม่เคยตื่นขึ้นมาแล้วเจอกับอะไรแบบนี้เลย


แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดหรอกนะ แค่รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง


“สากินกับพี่ไหม”


“สากินเสร็จแล้ว”  สากำลังๆเหยาะพริกไทยลงบนไข่ดาวที่ตั้งใจทอดให้เขา


“ทำไมกินก่อน”  แล้วทำไมเขาต้องทำไม่พอใจเหมือนสาวน้อยที่ถูกหลอกฟันแบบนั้น


นี่มันไม่ใช่สารินที่คาดหวัง และไม่ใช่สนธยาที่ควรจะเป็นแม้แต่น้อย?!


“สารีบ กะว่าพี่สนตื่นแล้วจะเข้าไปเก็บห้องนอน”  มันใช่เวลาเหรอ


“เก็บทำไม”


“ก็ผ้าปูมัน…” เลอะเทอะยับยู่ยี่ไปหมด ที่คนเราต้องถามจี้เอาคำตอบที่ตัวเองก็น่าจะรู้ขนาดนั้นเลยเหรอ สารินปัดคำถามในหัวออกไปพร้อมกับรินน้ำให้ รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำแม้ว่าจะตามอารมณ์เขาไม่ค่อยถูกก็ตาม


หลังจากมั่นใจว่าไม่น่าจะอยู่ร่วมโต๊ะได้ สารินจึงออกมาเพื่อตรงไปเก็บข้าวของในห้องที่ตนบอก ที่นี่ไม่มีแม่บ้านประจำ และสาก็ไม่คิดว่าตนจะสบายใจที่ให้ใครก็ไม่รู้มาเห็นสภาพแบบนี้ ถึงพี่สนอาจจะเคยพาคู่นอนมานอนบ้าง แม่บ้านคงไม่ติดใจอะไร แต่ตนไม่ใช่คนที่ควรจะทำเรื่องแบบนั้นกับเขาเลย มีคนรู้น้อยถึงไม่มีเลยย่อมดีกว่า


“อ๊ะ”  หลังจากที่เข้ามาในห้องและกำลังจะเริ่มเก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้น แขนแกร่งที่สวมกอดกันจากด้านหลังก็ทำให้สะดุ้ง สาเกร็งไปทั่วเมื่อรับรู้ได้ว่าแผ่นหลังของตนอยู่ใกล้ชิดกับร่างกายที่เต็มไปด้วยหมัดกล้ามเนื้อของเขาเพียงใด


“…”  ในตอนนี้เรามีเพียงเสียงลมหายใจ ทว่ามีอีกเสียงหนึ่งที่ดังก้องอยู่ภายใน มันคือเสียงหัวใจที่เต้นระรัว


“สา…”


“เมื่อวานนี้พี่อ่อนโยนกับเราเกินไปใช่ไหมถึงได้มีแรงลุกจากเตียงก่อน”


“พะ…พี่สน”


“รู้ไหมว่าพี่ไม่ชอบที่เราลุกหนีในคืนแรกของเราแบบนี้ มันทำให้พี่รู้สึกเหมือนเป็นแค่เครื่องมือระบายความใคร่ของเรายังไงไม่รู้”


“ใครจะไปคิดอย่างนั้นได้”  แล้วนั่นมันก็ครั้งแรกของสานะ


“แล้วลุกไปทำไม หิวเหรอ ทำไมไม่ปลุก”


“สาแค่เคยได้ยินจากคนอื่นว่าพี่สนไม่ชอบให้วุ่นวาย”


“ชอบฟังเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”  เขาไม่เห็นอยากให้สารินมารับรู้เรื่องในอดีตพวกนั้น และบางเรื่อง…มันก็ไม่ได้จริงเสมอไป


“มันลอยมาเข้าหูสาเอง”


“เรื่องดีๆไม่เห็นจะชอบฟังเลยนะ”  มือไม้ของเขาเริ่มล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ ผิวเนื้อของสาริน เหมือนจะสั่นระริกไปตามสัมผัสที่ไล่ขึ้นมาแต่ละจุด


“สาฟังนะ สาฟัง”


“เถียงอีก”


“ก็พี่สนทำแต่เรื่องไม่ดีนี่”


“…”


“สาจะเก็บของแล้ว”


“วุ่นวาย”  เขาตัดบทสั้นๆแค่นั้น ก่อนที่จะปิดริมฝีปากที่พูดแต่ความจริงร้ายๆ ขัดใจไปหมดทุกอย่างแต่นั่นก็เป็นเขาที่คาดหวังเองด้วย


คาดหวังว่าจะได้เห็นสาตื่นมาเขินอาย คาดหวังว่าจะเห็นสาบนตักขณะที่เรานั่งกินอาหารด้วยกัน คาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับ และคาดหวังว่าสาจะเปิดใจ…


ให้กับอะไรที่เขาผิดพลาด และที่เรา…ผิดพลาด


“พี่สน!”  คราวนี้สาไม่ได้อนุญาตเสียหน่อย มือหนาของเขาขยำก้อนเนื้ออวบอิ่มในขณะที่กำลังซุกซอกคอ เมื่อวานเขาแต่งแต้มรอยรักไว้เต็มกาย และวันนี้ก็ยังหมายจะได้เชยชมมันอีก แต่น่าเสียดาย สารินที่ไม่มีความโรแมนติคแม้แต่น้อยนั้นใส่เสื้อผ้าปิดมิดชิด ช่างต่างจากคนที่เขาเคยได้เชยชม


ทุกคนคิดจะรั้งกันไว้ แต่มีแค่คนเดียวที่นอกจากไม่รั้ง แถมยังเปิดประตูพร้อมผายมือให้เดินออกไป


“พี่สน นี่มันยังเช้าอยู่เลย”


“ทีตอนกลางคืนยังทำได้ ทำไมตอนกลางวันทำไม่ได้ล่ะ”  สางง และสางงมากๆ


“ก็เพราะมันเป็นตอนกลางวันนี่ครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า!”


“ใครจะมา พี่สั่งห้ามไว้หมดแล้ว”


“อื้อ”  พูดมากจังตัวแค่นี้ เอาจริงๆเลยนะที่วันนี้พูดมาทั้งหมด อาจจะเยอะมากกว่าที่เคยรู้จักกันมาแล้ว แต่เขาไม่ได้อยากจะฟังเสียงบ่น


“พี่หิว”


“สาก็ทำข้าวให้กินแล้วไง”


“พี่จะกินสา”


“…”


“กินให้เรียบเลย”  เอาเป็นว่าจะกินให้ลุกขึ้นมาทำตัวกระฉับกระเฉงไม่สนไม่แคร์ใครไม่ได้


โดยเฉพาะเขาอีกเลย!


- - - - - -


สมกับความต้องการของเขา สารินนั้นรับต่อไปไม่ไหวจริงๆ


“อือ…” เมื่อเช้านี้เพิ่งบอกว่ารู้สึกเหมือนร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง และพอเขาตอกย้ำกันแบบนี้ สารินพูดได้ทันทีว่าขาของตนที่ขยับไม่ได้ มันเหมือนไม่ใช่ของตัวเองแล้วจริงๆ!


แต่กระนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของผลงานที่เดินไปหยิบจานอาหารซึ่งเย็นและชืดแล้วเข้ามากิน เขานั่งลงที่ข้างๆ จิ้มไส้กรอกขึ้นมาใส่ปากและเคี้ยว มันน่าหมั่นไส้นัก ทว่าแม้จะมองจิกกัดด้วยสายตา คนหน้าด้านก็แค่ยักคิ้วส่งมาให้


สาไปทำอะไรให้นักหนา! ไม่อ่อนโยนเลย!!


“สาอยากกลับบ้านแล้ว”


“จำได้หรือเปล่าว่าเรามาที่นี่ทำไม”


“แล้วเมื่อไหร่จะได้กลับอ่ะ”


“สักพัก”


“ถ้าพี่สนหมกมุ่นก็อย่ามาลงกับสาอีกนะ”


“เดี๋ยวเถอะ”


“ฮื้อ!”  น้องโกรธ…


และตอนนี้ก็นอนตะแคงหันหลังให้เขาแล้ว


สนธยารีบกินจนหมด ก่อนจะเอาออกไปเก็บ ล้างมือ และกลับไปเอนตัวลงนอนข้างๆ เขาพาตัวเองเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกันพร้อมกับสวมกอดร่างบางเอาไว้ ทว่าอีกคนก็ยังทำเฉยชา เขาที่มันเขี้ยวจึงกัดลงบนไหล่เบาๆให้รู้ว่าไม่ชอบถูกเมิน


“อื้อ”


“ไม่ต้องมาแกล้งหลับ”


“…”


“แล้วก็ต้องไม่งอนด้วย”


“สาไม่ได้งอนเสียหน่อย”  ใครมันจะไปงอนเขาได้


“แล้วที่ทำปากยื่นแบบนี้ไม่ได้งอนพี่อยู่เหรอ”


“…”


“พี่จะไปเอาใจเราไหวได้ยังไง”


“พี่สนไม่เห็นต้องเอาใจสาเลย”


“ต้องสิ…” เพื่ออะไรกันล่ะ?


เขาทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรกัน?


เรากอดกกกันอยู่นานเงียบๆเหมือนลืมวันเวลา ทว่าหลังจากได้ผละออกมาสารินก็มาชำระร่างกาย เพราะการที่ต้องตัดขาดจากคนอื่นมาอยู่อย่างนี้ ทำให้ตนไม่แน่ใจนักว่านี่ผ่านไปกี่วัน แต่แบบนี้ก็เพลินๆเหมือนกัน จนคิดว่าถ้าได้บอกคนอื่นก่อนว่าจะมาปลีกวิเวกคงมาได้สบายใจกว่านี้


แต่เจ้าของที่คนนั้นจะยินยอมให้มาใช้พื้นที่ของเขาได้นานแค่ไหนกัน สาไม่รู้และไม่กล้าลองถาม


ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อวานถือเป็นจุดเปลี่ยนบางอย่าง สารินดูใจง่ายมากๆที่ทำเช่นนั้น และตอนนี้ผลของการกระทำที่คิดว่าไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็เริ่มทำให้รู้สึกไม่มั่นคงเท่าไหร่ ทั้งๆที่ก็คิดมาดีแล้วแท้ๆแต่พอต้องมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตามมามันก็ยากที่จะรับมือไหว


หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็เดินออกมาจัดการกับข้าวของที่กระจัดกระจายรอบห้อง เพียงแค่คิดว่าอะไรที่ทำให้ห้องเละแบบนี้ ใบหน้าก็เริ่มจะขึ้นสี แต่โชคดีที่ควบคุมความฟุ้งซ่านดังกล่าวได้ ถ้าจะเก็บก็ต้องตอนนี้แหละ ตอนที่สนธยาออกไปหาซื้ออาหารเข้ามาให้กิน


สารินนั้นจัดเก็บไปเรื่อยๆก็ค้นพบว่าในถังขยะมีบางสิ่งบางอย่างวางไว้อยู่แล้ว ซองถุงยางและถุงยางที่ถูกใช้ทำให้เขินขึ้นมาอีกรอบ ก่อนความรู้สึกโล่งใจจะเข้ามา ถึงตนจะง่ายดายที่เดินเข้ามายอมให้กินได้หมดทั้งตัว ก็ใช่ว่าคาดหวังจะตั้งท้องให้เขาเสียหน่อย จะอย่างไรแม้จะไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องดังเดิม แต่หน้าที่ที่มีต่อบ้านเพย์ตันก็ยังค้ำคออยู่ดี


แต่จะรู้สึกดีจริงๆใช่ไหมที่ได้มอบครั้งแรกให้กับคนที่เป็นพี่ชาย ไม่ใช่คนของเพย์ตัน?


สารินที่โง่เง่าจำต้องยอมรับความรู้สึกสิเน่หาที่มีต่อสนธยาผู้เป็นพี่ชาย จะอย่างไรเราก็ไม่ได้ทำผิดศีลธรรมจนเกินไป แม้เรื่องนี้จะไม่อาจจะเอ่ยปากให้คนในครอบครัวคนอื่นรู้ได้ ทว่ามันคงยากที่จะทำให้เลือนหายไปจากใจ เพียงแค่ว่าก่อนทำ ได้คิดไปก่อนไหมว่าหลังจากนั้นเราจะทำตัวอย่างไรต่อกัน


แน่นอนว่าไม่ได้คิดเรื่องจะมานอนเคียงกันยาวยันบ่ายเย็นแบบนี้ด้วย!?


หรืออันที่จริงเขาก็มีใจให้ แบบที่สาเองก็เหมือนจะติดบ่วงตรงนั้นอยู่เหมือนกัน เช่นนี้แล้วหากเพย์ตันเรียกกันให้เข้าไป เขาจะรับได้เหรอที่ครั้งหนึ่งคนที่เคยใช้เวลาบนเตียงด้วยกันจะไปตั้งท้องให้ใคร หรือจริงๆแล้วการร่วมเตียงเพียงครั้งไม่อาจพิสูจน์ความรู้สึกอะไร ในเมื่อให้ก็เอา พอจบแล้วก็ไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรไว้อีกเลย


แล้วทำไมต้องกอดกันต่อไปทั้งๆที่จะเมินเฉยต่อก็ทำได้


สายน้ำที่ไหลอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้คนที่เพิ่งกลับเข้ามารู้สึกประหลาดใจ สารินในเสื้อผ้าของเขานั้นยืนอยู่หน้าอ่างล้างจาน ทว่ากลับยืนนิ่งไม่ทำอะไร แม้ว่าน้ำจะรินไหลอย่างเสียเปล่าแบบนั้น เพียงแค่มองจากข้างหลังก็เห็นแล้วว่าใครบางคนกำลังยืนเหม่อลอยไปไกลจนแม้แต่เสียงน้ำตกกระทบกับอ่างก็ไม่อาจจะนำพากลับมาได้


สนธยามองหลังคอของคนที่ยืนนิ่งเงียบๆก่อนจะครุ่นคิดถึงบางอย่าง แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนผ่าน แต่ความกระหายที่มาพร้อมกับสัญชาตญาณยังคงหลงเหลืออยู่ ฉับพลันเขาก็รู้สึกเหมือนอยากกัดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องเดาไปไกลเลยว่ามันคืออะไร ความรู้สึกที่ล้นปรี่อยู่นั่นคือความรู้สึกลึกๆของคนผู้ซึ่งสืบทอดเผ่าพันธุ์อัลฟ่ารู้สึก


เห็นหลังคอแล้วมันรู้สึกกลืนน้ำลายได้ยากเย็น


“น้ำไหลหมดบ้านแล้ว”  แต่เขาก็สงบจิตสงบใจและพูดออกมา อีกฝ่ายสะดุ้ง อย่างที่คิด แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้ามาโดยตั้งใจให้เงียบเฉียบ แต่สารินก็ไม่ได้รับรู้อะไรเลย


 “พี่สนกลับมาแล้ว”


“อืม มายืนมองเราได้สักพักแล้ว”  และในตอนนี้ที่ไม่รู้จะเอามือไม้ไว้ที่ไหน คนตัวเล็กก็แสร้งทำเป็นล้างจานไป


ก็หลายวันอยู่กับการพาน้องมาไว้ที่นี่ เขาได้แจ้งครอบครัวว่าได้พาอีกฝ่ายมากบดาน ซึ่งอันที่จริงไม่ได้รับความเห็นชอบจากพ่อและแม่เท่าไหร่นัก แต่เขากลับมองว่าในเมืองอาจจะวุ่นวายกว่า อีกไม่นานก็ต้องพาสาย้ายกรงไปอีกที่หนึ่ง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะรั้งไว้ให้นานที่สุด หากพ่อของเขาจัดเตรียมสถานที่เรียบร้อย เกรงว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแบบนี้คงหมดไป


น่าเสียดาย แต่ว่าเรายังอยู่ในภาวะที่เปราะบาง


“เดี๋ยวอีกไม่นานเราอาจจะต้องย้าย”


“ครับ?”


“ตอนนี้คุณพ่อกำลังหาสถานที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ให้อยู่ จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเรียบร้อย เราอาจจะต้องย้ายที่อยู่”


“พี่สนจะไปด้วยไหม”


“ต้องไปอยู่แล้ว”


“…”


“พี่ต้องไปส่งให้ถึงที่ ให้มั่นใจว่าเราปลอดภัย”  สำหรับเขาสิ่งที่พูดไปมีความหมายตามนั้นและไม่ได้แฝงอะไรมากมาย ทว่าคนฟังกลับคิดไปแล้วว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาต้องไปส่ง ไม่ใช่ความต้องการของหัวใจ


“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”


“เราสิที่ลำบาก” เขาเดินมา ลูบหัวคนคิดมากด้วยหมายจะกำจัดความคิดไม่เป็นเรื่องออกไป ทว่าเขาคงไม่รู้ว่าความคิดมากของสารินนั้นซับซ้อนได้มากกว่า


และคนคิดมากก็เรียนรู้ที่จะเก็บงำความในใจเอาไว้ และใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเช่นทุกวัน ความใส่ใจที่เจ้าตัวคิดว่าเขาทำเพราะหน้าที่ก็ทำให้ปลาบปลื้มไปพร้อมๆกับทุกข์ใจ ความสัมพันธ์ทางกายของเราดำเนินไปบ้าง สารินคนเห็นแก่ตัวนั้นเก็บกักความทรงจำช่วงเวลาที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยความรู้สึกในใจออกไป


และวันที่ช่วงเวลาเหล่านั้นจะจางหายก็มาถึง


สารินที่คิดว่าคงไม่นานจะได้กลับไป ในวันนี้ตนก็ได้มาอยู่ในรถคันเล็กที่เขาสับเปลี่ยนมาให้มันดูไม่สะดุดตา เพราะไม่อยากอาลัยอำลาให้กับความสุขเพียงครู่จึงเลือกที่จะเดินมานั่งอยู่ภายในอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าการอ้อยอิ่งเกินไป จะยิ่งทำให้ตัดใจลำบาก


สนธยาตามมานั่งตรงที่นั่งคนขับ เขาไม่ได้เร่งความเร็วด้วยไม่อยากให้รถของเราเป็นที่จับตา ทว่าจริงๆแล้วจุดประสงค์แฝงคืออยากจะยืดเวลาให้มากกว่านี้ เหมือนกับว่ามันมีบางอย่างที่อยากพูดหรืออยากฟัง ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา น่าเสียดาย จนต้องถอนหายใจ


“หิวไหม”


“เราเพิ่งกินมานะครับ”


“เผื่อว่าอยากกินอะไรอีก”


“สาไม่…”


“อืม ถ้าอยากได้อะไรก็บอก อีกหลายชั่วโมงเลยล่ะ”  เส้นทางตรงที่แทบจะไม่มีรถวิ่งนั้น ดูก็รู้ว่ารถของบอดี้การ์ดติดตามนั้นแล่นอยู่รอบๆไม่ให้สะดุดตา  หากขับไม่เร็วเช่นนี้คงหลายชั่วโมงอยู่ เป็นแบบนี้จะหลับอีกสักตื่นก็ย่อมได้ แต่สารินกลับข่มตาหลับไม่ลง


“พี่สน…”


เอี๊ยด!!!!!


ปัง!!!!


สารินที่เอ่ยชื่อเขาออกมาด้วยเพราะเหตุผลอะไรบางอย่างได้หลงลืมมันไปในตอนที่เสียงดังสนั่นเข้าโจมตีพร้อมกับการหมุนคว้างจากเลนหนึ่งไปอีกเลน รถที่ขับติดตามเราก็เหมือนจะประสบภัยบางอย่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากๆจนไม่อาจจะคิดอะไรได้ทัน ทว่าเมื่อสติกลับมาตอนที่รถหยุดนิ่ง สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือสนธยา


เลือดแดงฉานที่เปรอะเปื้อนใบหน้าจุดความกลัวสุดขีดขึ้นมาในหัวใจ


“พี่สน!”  เขาหลับตา เกรงว่าแรงกระแทกจะหนักหนาพอสมควร สารินรีบปลดเข็มขัดและปลดล็อคที่นั่งฝั่งของเขาเพื่อเปิดประตูออก ก่อนจะลงจากรถ สถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้ตนคิดน้อยไปนิด ความเป็นห่วงที่มีสุดหัวใจทำให้รีบวิ่งไปที่ฝั่งตรงข้ามของจุดที่ตนนั่ง เพื่อไปดูว่าคนที่สลบไสลเป็นเช่นไรบ้าง


ต้องพาเขาออกมา คือความคิดที่ดังอยู่ในหัว ทว่าเมื่อปลดเข็มขัดออกให้เพื่อที่จะดึงคนตัวสูงกว่าให้ออกมา แขนของตนก็ถูกคว้าไปโดยใครบางคน


“เอาตัวมันมา!”  เสียงตะโกนกู่ร้องจากทิศหนึ่งทำให้รู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นภัยกับตัวเอง ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคู่กรณี แต่ที่รู้คือตนเป็นเป้าหมาย


“พี่สน!”  แต่จะอย่างไรสิ่งที่คิดถึงก็มีเพียงแค่คนที่ยังไม่ได้สติ แต่เสียงของสารินก็ยิ่งไปไม่ถึง เพราะถูกดึงออกมาไกลมากขึ้น


“ถ้าไม่อยากให้มันตายก็มาดีๆ”  ใครสักคนพูดขึ้นไม่ดังมาก สารินมองไปรอบด้าน เราเป็นต่อเขาจริงๆ


“ปล่อย!”  แต่สารินยังไม่ยอม


“หรือมึงจะให้ไปจัดการกับครอบครัวมันด้วย”


“…”


“พามันขึ้นรถ!”  ฝืนต่อไปก็รังแต่จะออกแรงให้พ่ายแพ้ไปง่ายๆเสียเปล่า และคำขู่พวกนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำได้จริงๆหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้ความมุทะลุของตัวเองเป็นเหตุให้คนที่แคร์มากมายต้องเป็นอะไรไปจริงๆ และภาพสุดท้ายก่อนที่สายตาของตนจะถูกอะไรบางอย่างบดบังไป…


คือภาพรถคันนั้นที่จอดอยู่นิ่งๆไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ


เหมือนกับคนๆนั้นที่ไม่ขยับร่างกาย พาลให้คิดว่าเขาเป็นอะไรหนักไปเช่นกัน


“ตรงไปพบนายใหญ่ได้เลย ระวังพวกติดตามให้ดีด้วย”  นี่คือสิ่งที่สารินได้ยิน ทว่าตนนั้นถูกมัดมืดและเอาผ้ามาปิดตาไว้เสียแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การจับกุมที่ทรมานกายเลยสักนิด ไม่ว่าจะพวกไหนก็ตามเขาทะนุถนอมกันมากกว่าที่คิด


แต่นายใหญ่ที่ว่าจะเป็นใคร เขาจะนำความลำบากมาให้ครอบครัวที่ตนหวงแหนไหม อันนี้สารินไม่อาจจะคาดเดา และเป็นเวลานานเหลือเกินที่ความคิดของตนจมจ่อมอยู่อย่างนั้น ในที่สุดรถที่เคลื่อนตัวมานานก็ได้หยุดลง ช่วงเวลาวัดความเป็นความตายกำลังจะมาถึง


“พาลงไป”  แขนของตนนั้นถูกดึงให้ไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ ในใจยังคงคิดถึงสนธยาที่อาจจะเจ็บหนักอยู่ สารินถูกบังคับให้นั่งลง และมือของตนที่ถูกมัดไว้ก็ถูกแก้ ก่อนที่ดวงตาต้องเปิดรับแสงจ้าที่คิดไปเองว่าช่างไม่คุ้นเคย


“…”  เป็นเวลาชั่วครู่กว่าที่จะปรับตัวรับแสงนั้น จริงๆแล้วมันไม่ได้จ้าจนเกินไป ทว่าเพราะอยู่กับความมืดที่ค่อนข้างจะนานจึงทำให้ไม่ชินเสียนิดหน่อย สารินจ้องมองไปยังใบหน้าของชายที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาช่างดูคุ้นตาและเมื่อนึกขึ้นได้ ก็เข้าใจว่าตนนั้นถูกจับมาโดยใคร


“เจอกันอีกแล้ว”  เพย์ตัน…เป็นเพย์ตันละมั้งถ้าเข้าใจไม่ผิด


เพราะครั้งหนึ่งที่ถูกจับก็เป็นคนๆนี้ และพี่สนก็บอกว่าเขาคือคนของเพย์ตัน ทว่าท่าทางที่ดูจะมีอะไรมากกว่านั้นทำให้ไม่อาจจะวางใจ บางทีเขาอาจจะเป็นคนของเพย์ตันที่แปรพักตร์ก็เป็นได้ และถ้าให้เดามันก็ไม่เป็นผลดีกับคนที่บ้านของเราเท่าไหร่ สารินนึกกังวลใจที่ตนไม่อาจจะเป็นลูกที่ดีแถมยังสร้างความลำบากให้บุพการีที่รับเลี้ยงมา


“กว่าเราจะตามเจอได้เสียเวลาไปเยอะทีเดียว สนธยาฉลาดเก็บร่องรอย”  แต่เพราะพวกเขาทุ่มทรัพยากรต่างๆในการค้นหา และพอกำลังจะตามไปก็พบว่าอีกฝ่ายได้เคลื่อนย้ายออกมาและนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเข้าถึงตัว


“คุณต้องการอะไร”


“นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”


“…”


“ทาริค เพย์ตันคือชื่อของฉัน และความเกี่ยวข้องระหว่างเรา คาดว่าคงจะพอรับรู้มาแล้ว”  จริงๆคนที่บ้านไม่เคยบอกว่าใครคือคนที่สารินต้องมอบกายให้ แต่เมื่อเจ้าตัวพูดมาซะขนาดนี้ก็ไม่อาจจะคิดตีความเป็นอื่น


เขาคือคนที่สารินต้องอุ้มท้องให้


“คุณอยากให้ผมตั้งท้องให้งั้นเหรอ”  แล้วทำไมไม่บอกกันดีๆ สารินไม่เคยคิดหนีไปไหน


“ทั้งใช่และไม่ใช่ เอาเป็นว่าเราจะยังไม่คุยเรื่องนี้กัน”


“พี่สน…พวกคุณทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ!”


“สายของเรารายงานมาว่าหมอนั่นถึงมือหมอแล้ว ขอโทษนะที่รุนแรงแต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะชิงนายกลับมา”


“พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ทำไมต้องทำแบบนี้”


“เรื่องนั้นคงไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม พาเด็กนี่ไปพักผ่อนก่อน หาคนเฝ้าให้ดีและเพิ่มกำลังเฝ้ารอบๆด้วย”  และเป็นอีกครั้งที่ไม่ได้รับรู้อะไรเพิ่มเติม สารินถูกพาไปนั่นมานี่แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกชินชาแต่อย่างใด ใจก็ยังนึกพะวงถึงคนที่เจ็บตัวก่อนจากมา เราไม่รู้เลยว่าเขาบาดเจ็บหนักแค่ไหน แต่เลือดที่ไหลมันมากมายจนไม่อาจจะคิดดีได้จริงๆ


ทำไมเราถึงทำอะไรไม่ได้เลยในสถานการณ์แบบนี้ สานึกโกรธตัวเอง ทำไมถึงปล่อยพี่สนไปได้ง่ายๆ สานึกไม่พอใจ แต่ปริศนามันมากมายเกินไป สารินก็ไม่คิดว่ามันจะซับซ้อนขนาดนี้ ต้องโทษคนในครอบครัวหรือเปล่าที่กีดกัน และถ้าพวกเขารับรู้ว่าการที่ต้องมาปกป้องใครคนหนึ่งทำให้ลูกชายที่แท้จริงเพียงคนเดียวต้องบาดเจ็บ พวกเขาจะยังรับกันได้ไหม


สารินทั้งเป็นห่วงและกังวลใจในจุดที่ตนกำลังถูกจับให้ยืน….




Talk
คงจะอิหยังวะ โดนจับไปอีกแล้วววว แต่เรื่องนี้ไม่ดราม่ามากคับ(เหรอ)เดี๋ยวน้องก็มีชีวิตดี
ว่าแต่ยังจำยัยฉันได้ไหม ตอนนี้ไม่ได้ออกเลย ต้องรอให้น้องสาเอาตัวรอดก่อนยัยฉันถึงจะมีบท
อย่างไรก็ตามฝากติดตามต่อนะคับ ถ้าวันนี้ตรวจทันจะมาอีกรอบนะ แต่ถ้าไม้ทันเจอกันพะนี้นะคับ
#คู่กินคู่กัด






















ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
22

สน xสา

สารินมาอยู่ที่นี่ด้วยความเป็นอยู่ที่สบายดี


แต่น่าอึดอัดเสียยิ่งกว่าตอนอยู่กับครอบครัวธัมรงค์รัชต์


ย่อมเป็นเช่นนั้นเพราะที่นี่ไม่ใช่บ้าน และบ้านเพียงหนึ่งเดียวที่ในขณะที่พยายามจะถอยห่างก็ยังยึดติด สารินอยากกลับไปออดอ้อนคุณแพรวรรณ จ้องตากับคุณวรวุฒิ และแอบมองสนธยา


ในวันนี้ที่ได้มาอยู่ในรั้วบ้านเพย์ตัน สารินมีอิสระที่จะไปได้ทุกหนทุกแห่งที่อยู่ในอาณาเขตบ้าน แม้ว่าจะกว้างใหญ่เพียงไหน มันก็ไม่พอหรอก ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้บีบคั้นกันเกินไป อาการของสนธยาที่ถูกส่งถึงมือหมอนั้นได้ถูกถ่ายทอดให้ฟัง คาดว่าคงให้มือดีจับตามองอยู่


ไหนว่าธัมรงค์รัชต์กับเพย์ตันเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน…


หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวกับสาริน แม้จะไม่อาจคิดเข้าข้างตัวเองทว่ามันก็อดไม่ได้ ที่พวกเขาไม่ยอมส่งตัวให้นั่นก็เพราะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของกันใช่ไหม ไม่ใช่ว่านึกน้อยใจว่าตนไม่มีค่า แต่ทว่าทุกคนกำลังปกป้องกันอยู่จนประสบกับเหตุการณ์ร้ายๆแบบนั้นกันใช่ไหม


อย่างนั้นสารินก็ยิ่งกว่าเนรคุณแล้ว


และนี่คือเหตุที่ไม่คิดที่จะโต้แย้งหรือเรียกร้องอะไรมากมาย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ยิ่งกว่ายากจะเข้าใจ สนธยาเองจะเป็นเช่นไรบ้าง ใช่ตามที่พวกเขาบอกกล่าวกันไหม ตรงนี้ไม่รู้เลย แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่าเวลาไม่หยุดเดิน และนี่ก็ร่วมเดือนแล้วที่ต้องจากครอบครัวมา วันนี้ ‘ทาริค เพย์ตัน’ ได้มาหา และสารินก็ค้นพบว่าเขาคือคนที่ตนจะต้องมีทายาทให้


“หน้าตาดูไม่ค่อยสดใสดีนัก”  ใครสักคนที่อยู่ข้างกายชายผู้นั้นได้พูดขึ้น เขาดูจดจ้องและวิเคราะห์กันอย่างไม่คิดถึงมารยาท แต่จะไปท้วงอะไรได้ ในเมื่อนี่มันถิ่นเขา


“เขาคงไม่ค่อยมีความสุขน่ะเอล”


“ก็รีบๆท้องแล้วคลอดออกมาซะสิ บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ได้กลับบ้าน”


“…”


“และนายก็ได้ผู้สืบทอดอำนาจ เพื่อความมั่นคงของตระกูลและที่ประกันตำแหน่ง”


“ฉันคิดว่าเราคุยกันเรื่องนั้นแล้ว”


“ฉันไม่คิดจะยอมรับได้หรอกนะ”


“…”


“ตอนนี้ฝ่ายเรากดดันกันมาก และทุกคนกำลังตามหาโอเมก้าคนนั้น”


“แล้วเจอไหมล่ะ”


“ไม่นานหรอก”  เจ้าของชื่อเอลนั้นครุ่นคิด “เราควรสร้างข่าวบางอย่าง”


และพวกเขาก็พูดคุยกันต่อราวกับว่าอาหารข้างหน้าไม่มีผลต่อความต้องการ หรือไม่แม้แต่จะสนใจว่ามีคนนอกนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่เท่าที่ฟังสารินสรุปความได้ว่าตนนั้นเป็นหมากของคนพวกนี้ ทว่าเป็นหมากที่จะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวธัมรงค์รัชต์หรือไม่ ตรงนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


“เด็กคนนี้มาจากธัมรงค์รัชต์สินะ”


“ใช่”


“เป็นลูกบุญธรรมเสียด้วย ไม่ใช่ว่าพวกนั้นพยายามจะอยากยกระดับให้เด็กคนนี้มาเคียงคู่นายจริงๆ”  แววตาที่ดูเหยียดหยามนั้นทำให้สารินรู้สึกลำบากใจ


“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าโง่เง่า พวกเขาย่อมรู้ว่าเพย์ตันจะไม่เล่นด้วย”


“แต่ตอนนี้นายก็ลงไปเล่นแล้วนี่”


“ก็ไม่ใช่คนนี้อยู่ดี”


“…”


“เอาเป็นว่าฉันจะทำตามที่นายเสนอ เราจะเชิญหมอที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกฝ่ายมาให้ตรวจร่างกายเขา ทำเหมือนกับว่าเรากำลังจะมีทายาท”


“ขอบคุณที่นายฟังฉันบ้างนะทาริค”


“งั้นนายต้องฟังฉันบ้าง”


“ต้องการอะไรก็ว่ามาเลย”


“อย่ากดดันธัมรงค์รัชต์มากเกินไป”  และประโยคนี้ของทาริค เพย์ตัน…


ก็ทำให้สารินวางใจ…


คนที่ชื่อเอลกลับไปแล้ว มันทำให้วางใจหน่อยว่าอย่างน้อยก็ไม่มีผู้ชายตัวใหญ่หน้าดุปากไม่ดีในห้องนี้อีกต่อไป แต่จะว่าสบายใจก็พูดได้ไม่เต็มปาก ทาริค เพย์ตันยังคงอยู่ที่นี่ และคงมีเรื่องที่จะบอกกล่าวกันก่อนเป็นแน่ แต่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีล่ะ สารินคงต้องทำใจและรับฟัง


“ทางเราจะให้หมอมาตรวจร่างกายเพื่อปล่อยข่าวว่าเรากำลังวางแผนให้นายมีลูกให้”


“ครับ”  แม้ว่านี่จะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง  “แต่คุณจะไม่ทำอะไรธัมรงค์รัชต์ใช่ไหม”


“ตอนนี้พวกเขาอยู่เงียบๆก็ดีอยู่ คงไม่มีเหตุผลให้สร้างศัตรูโดยไร้เหตุผล”


“แต่คุณก็ทำร้ายพี่สน”


“เพราะพี่สนของนายทำร้ายคนของฉันก่อน”


“…”


“ดูแลสุขภาพให้ดี อย่างน้อยเวลาที่พ่อนายเลียบเคียงถามอาการฉันจะได้ไม่ต้องลำบากใจโกหกออกไป”


“พ่อเหรอครับ”


“ใช่”  ไม่ว่านี่จะเป็นการโกหกหรืออะไรก็ตาม สารินยอมรับว่าดีใจที่อีกฝ่ายถามหากัน ไม่ว่าจะถามเพื่อหยั่งเชิงสถานการณ์หรือเป็นห่วงจริงจัง การรับทราบว่าตัวเองนั้นยังมีตัวตนอยู่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี


และหวังว่าอีกไม่นานเรื่องราวเล่านี้จะจบสักที…


สาเพิ่งได้รู้ว่าสถานที่ที่เขาจัดหาไว้สำหรับตรวจร่างกายในบ้านนั้นมีอุปกรณ์ครบครัน ก็ทราบว่าเพย์ตันนั้นร่ำรวยมาก แต่ว่าถึงขนาดมีเครื่องทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากมายขนาดนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ไม่เกินไปหรอก เขาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลด้วยซ้ำ แถมต้องให้มั่นใจว่าจะให้กำเนิดทายาทที่แข็งแรงได้ ไม่ว่าอะไรก็ทุ่มได้


แม้แต่ผลประโยชน์ที่จะมอบให้กับผู้จัดหาอย่างธัมรงค์รัชต์เช่นกัน


ทราบว่าทีมแพทย์ที่ทางนั้นพามาเป็นอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการทำคลอดให้กับผู้ชายที่ท้องได้ สารินถูกจับหมุนไปทางนู้น นั่งตรงนี้ ยืนตรงนั้นจนไม่อาจจะบอกได้ว่าตนถูกทำอะไรไปบ้าง ทาริค เพย์ตันยืนกอดอกสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล ใบหน้าดูเคร่งเครียด แต่คิดว่าคงเพราะปัญหาที่เผชิญอยู่มากกว่าจึงทำให้อารมณ์ขุ่นมัวเช่นนี้


“ผลตรวจจะต้องรอนานไหม”


“ทางเรากำลังเร่งตรวจสอบแต่คิดว่าต้องใช้เวลา”


“ก็…เอาที่เห็นตามสมควรเถอะ”  แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นแต่คนที่นั่นก็คงรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดอยู่ ทว่าสารินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตรงนี้ และก็รับรู้ได้ดีว่าเขาไม่ได้หงุดหงิดจนพาลไปหมด


หลังจากนั้นไม่นาน หนึ่งในทีมงานก็ได้นำเอาซองเอกสารที่ใส่ข้อมูลการตรวจสุขภาพมาให้กับคุณหมอ คาดว่าทางเพย์ตันอยากให้กลุ่มอื่นได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้นิ่งเฉยและมีการเคลื่อนไหวกับเรื่องสืบทอดตำแหน่งอยู่ และสาคือหมากตัวนั้น การตรวจสุขภาพนี้จะทำให้คนอื่นได้เห็นถึงจุดยืนที่เพย์ตันพยายามทำ


“แปลก”


“มีอะไรเหรอ”  ทาริคเอ่ยถาม คุณหมอที่เป็นผู้มาอ่านผลนั้นไม่ตอบอะไรเพียงแค่อ่านข้อมูลซ้ำไปซ้ำมา และหันไปเรียกหนึ่งในทีมงานที่เป็นผู้จัดทำผลตรวจ


“ทางเราได้ตรวจสอบผลเลือดหลายครั้งแล้วครับ”  แต่โดยไม่ต้องถามออกมา คำตอบก็ลอยมาถึงมือ ในตอนนั้นสารินเองก็เริ่มระแวงตามไปแล้วเช่นกัน


“มีอะไรกัน”  ทาริคเริ่มอยู่เฉยไม่ได้ เขาไม่ได้กังวลเรื่องปัญหาสุขภาพของสารินผู้ต่ำต้อย เพียงแค่กังวลเรื่องแผนการที่วางไว้ ครั้งนี้เขาได้เชิญทีมแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับด้วยหวังให้ข่าวการพาผู้ตั้งครรภ์มาไว้น่าเชื่อถือ


“คุณทาริคผมเกรงว่าเราคงไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพเพื่อเตรียมสำหรับการตั้งครรภ์อะไรอีกแล้ว”  คุณหมอคนนั้นเริ่มอธิบาย  “เพราะเด็กคนนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ครับ”  แม้ว่าคำพูดนี้จะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแต่อย่างใด ทว่ามันก็ทำให้ทั้งห้องต้องเงียบงัน


รวมทั้งสารินที่ได้ยินมันกับหูตนเองด้วยเช่นกัน


“ท้องเหรอ”  ทาริคเป็นคนเปิดปากออกมาก่อน


“ครับ ผลตรวจเป็นเช่นนั้นจริงๆ”


และหลังจากนั้นพวกเขาก็พูดอะไรกันมากมาย ทว่าเวลาของคนที่ถูกเจาะเลือดไปตรวจร่างกายนั้นเหมือนถูกหยุดไว้ตรงที่วินาทีที่คุณหมอเปิดปากพูดเรื่องการตั้งครรภ์ สารินไม่รู้ว่าตนควรจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ ในเมื่อไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์ที่มีการป้องกันทุกครั้งของตนนั้น มันจะนำผลลัพธ์เช่นนี้มาให้


นี่สากำลังตั้งท้องลูกของพี่สนหรือเนี่ย?!


“ผมไม่คิดว่าเขาจะท้อง เรามีคุยกันไว้ว่าถ้าร่างกายของเขาพร้อมเราจะเริ่มกันอย่างจริงจังเลย”  ทาริคเอ่ยออกมา  “แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้”


“เราอาจจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม”


“รบกวนทางคุณหมอด้วยครับ”  ทาริคหันมามองหน้าของสารินที่ซีดเผือด  “ลูกในท้องของเด็กคนนั้นคือคนสำคัญของเพย์ตัน”  และสารินก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะดำเนินเกมอย่างไร


สารินระมัดระวังทุกคำพูดเพราะยังไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป  เด็กคนนี้เป็นลูกของสนธยาแน่แท้ ทว่าทาริค เพย์ตันก็เหมือนจะทำให้คนอื่นเข้าใจว่านี่คือลูกของเขา ในขณะที่อยากจะพูดกันตรงๆแต่ก็อดจะหวั่นระแวงไม่ได้ เพราะการตั้งครรภ์นี้อาจจะทำให้ทิศทางของสถานการณ์ต่างๆที่ธัมรงค์รัชต์กำลังเผชิญนั้นต่างออกไป


เรามีแต่ความเงียบงันให้กันหลังจากที่ทีมแพทย์ออกไปแล้ว


“นายท้อง”  คือคำแรกที่ออกมา


“…”


“ใครเป็นพ่อเด็ก”


“…”


“คงไม่ยอมตอบง่ายๆสินะ”


“ครับ ผมคงไม่มีข้อต่อรองอะไร แต่ตอบไม่ได้จริงๆว่าใคร”


“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้สนใจว่านายเคยมีอะไรกับใครที่ไหน ต่อให้หนึ่งในกลุ่มต่อต้านเป็นพ่อเด็กก็ไม่สนใจ”  ทาริค เพย์ตันพูดเช่นนั้น  “แต่การที่นายมีลูกอยู่ทำให้ทางเพย์ตันเสียหาย เข้าใจใช่ไหมว่าต่อไปนี้ไม่ใช่แค่นายที่จะเป็นหมาก แต่ลูกของนายด้วย”


“…”


“นอกเสียจากจะเอาเด็กคนนี้ออก และรอคลอดคนใหม่ที่เป็นลูกฉัน”


“ผมไม่!”


“ฉันก็ไม่ได้อยากได้ลูกคนอื่นมาเป็นลูกของตัวเองหรอกนะ”


“…”


“ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่ได้อยากให้นายมามีลูกให้ด้วย”  นี่มัน…


หมายความว่าไงกัน?


“มาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องเล่าให้ฟังแล้วสินะ”  ทาริคถอนหายใจออกมา ก่อนจะเริ่มพูด  “ฉันต้องการให้โอเมก้าคนอื่นตั้งท้องให้ แต่ว่าตอนนี้ยังตกลงกันไม่ได้”


“เห…”


“คือแบบ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับการเมืองเลยมันคือเรื่องของความรู้สึก แต่ธรรมเนียมปฏิบัติตรงนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ”


“คุณรักโอเมก้าคนนั้น”


เขาเงียบไป ก่อนจะเปล่งคำตอบออกมาอย่างยากเย็น  “ใช่…”


“แล้วจับผมมาทำไม”


“ก็บอกว่าคนไม่ยอมรับ เลยต้องเก็บนายไว้เป็นหุ่นเชิด เดิมทีทางธัมรงค์รัชต์เคยสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนรับเลี้ยงนายว่าจะส่งให้ แต่ช่วงหลังพวกเขาเล่นแง่กับเราบ่อยเกินไป จนทำให้ต้องไปพามาเอง”


“…”


“และนายก็ท้องแล้วด้วย ตอนนี้คงมีคนกระจายข่าวว่านายกำลังจะมีทายาทให้กับเพย์ตัน”


“แต่คุณไม่ใช่”


“ฉันไม่ใช่”  เขาก็ยืนยันเช่นนั้น  “แต่ตอนนี้ต่อหน้าใครๆมันก็ต้องใช่ ฉันถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว”


“…”


“จนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง ฉันไม่ให้นายต้องมาเกี่ยวข้องหลังคลอดแน่ เด็กนั่นยังไงก็ไม่ใช่คนของเพย์ตัน ฉันก็ไม่ยอมรับ แต่ในตอนนี้คงต้องให้คนอื่นเชื่อเช่นนั้นไปก่อน”  ทาริคไม่ได้ยื่นข้อเสนอ เขาบังคับ  “เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แม้แต่กับครอบครัวก็อย่าพูดความจริงกับพวกเขา” 


สารินไม่ได้ชอบโกหก แต่ในตอนนี้ความจริงบ้าบอนี่จะเอาไปพูดให้ใครในบ้านได้ยินได้อย่างไร นอกจากจะท้องโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว คู่กรณีก็เป็นคนที่ไม่มีใครยอมรับได้ และจะเอาที่ไหนไปบอกความจริงให้ใครฟังกัน!


“แล้วคุณจะบอกใครไหมว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ”


“…”


“ถ้าผมจะขอแค่ให้วันหนึ่ง…ผมขอหายไปเงียบๆ ไม่มีใครตามเจอได้หรือเปล่า”


“เพื่ออะไร”


“ผม…ไม่อยากกลับไป” ทาริคมองใบหน้าของคนที่กำลังเคร่งเครียดทั้งๆที่การมีลูกสำหรับบางคนถือเป็นข่าวดี บางทีเงื่อนไขของครอบครัวนั้นมันอาจจะเกินขอบเขตความเข้าใจที่เขาหยั่งรู้ และถ้ายอมที่จะให้ความร่วมมือ ทำไมเขาจึงต้องปฏิเสธคำขอที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี้ด้วย


“ตามนั้น ฉันจะมอบเงินให้ด้วยถ้าเธอทำตัวดี”  จริงๆแล้วสาก็ไม่อยากเลือกทางนี้


แต่ก็ดูเหมือนว่าตนจะไม่มีทางเลือกเท่าไหร่


- - - - - -


“ฉันไม่ยอมรับ”  คนที่ชื่อเอลตะโกนลั่น เมื่อเขาทราบเรื่องก็รับทราบได้ถึงความไม่ชอบมาพากล  “ทาริค นายทำบ้าอะไรลงไป!”


“บ้าแต่ก็ทำไปแล้ว”


“นายจะมาแอบอ้างลูกคนอื่นเป็นลูกตัวเอง รู้แล้วเหรอว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง”


“ก็พอจะรู้บ้าง” 


“รู้…แล้วยังทำนะเหรอ”


“อีกฝ่ายไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก มีแค่สองอย่างหากไม่ออกมาเรียกร้องความเป็นพ่อ ซึ่งคงพอจะเจรจาได้ ก็ไม่รู้อะไรแล้วปล่อยละเลย”


“นี่นายพูดถึงใคร”


“ฉันก็ไม่ได้แน่ใจนัก”


“ทาริค เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับความเป็นไปของบ้านเรานะ”


“ฉันรู้เอล ฉันรู้”


“ตอนนี้นายทำทุกอย่างให้มันเละไปหมด ทั้งคิดจะยกโอเมก้ามาเคียงข้าง นายคิดว่านี่มันเหมาะสมเหรอ”


“แล้วฉันเคยพูดว่าตัวเองเหมาะสมแต่แรกไหม”


“…”


“เอล…นายรู้ว่าฉันต้องการอะไรมากที่สุด”  ใช่…เอลรู้ ว่าทาริคต้องการยกคนที่ตนรักขึ้นมาเคียงข้างเพียงหนึ่งไม่มีสอง และต้องการให้คนๆนั้นให้กำเนิดลูกของตนด้วยความรัก มิหนำซ้ำยังรู้ว่าทาริคไม่ต้องการสิ่งใด ทว่าสิ่งที่เขาไม่ต้องการ มันมีความเกี่ยวเนื่องกับเอลเองโดยตรง


นั่นคือทาริคมองว่าเอลสมควรเป็นผู้รับตำแหน่งนี้มากกว่า


“ทาริค เราคุยกันแล้ว”


“ฉันไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะกับกฎคร่ำครึพวกนั้นเท่านายแล้วนะเอล”


“…”


“อันที่จริงนายเองก็ไม่ได้ยอมรับมันทุกอย่างหรอก”


“ไม่…”


“หรือบางทีเราอาจจะต้องปล่อยมันไปทั้งคู่”


“เราปล่อยมันไปไม่ได้”  บนหลังเสือหากจะลง มันย่อมไม่ปลอดภัย  “ถ้านายจะลง มันก็ต้องจัดการอะไรให้เรียบร้อย”


“และฉันจำเป็นต้องซื้อเวลา และหลอกสับขาคนอื่นอีกมากมาย”


“นายเลยตั้งใจให้ข่าวลือที่ว่ากำลังจะมีลูกแพร่สะพัดออกไป”


“ใช่แล้ว”  ทาริคได้ตัดสินใจ ดวงตาคมกล้ามองหน้าญาติผู้น้องที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจะเป็นเจ้าตระกูล  “และฉันตัดสินใจแล้วว่าปลายทางของอำนาจตรงนี้ฉันจะมอบมันให้กับนาย”


“ฉันไม่เหมาะสม”


“เหมาะสมกว่าคนที่อยากแต่งเมียโอเมก้าจนตัวสั่นอย่างฉันละมั้ง”  เขาพูดติดตลก แต่ไม่มีอะไรง่ายดายเลย ทั้งเรื่องการเมืองของเผ่าพันธุ์ และเรื่องโอเมก้าคนนั้น


ที่เย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมใคร…


- - - - - -


ข่าวที่ทางเพย์ตันจงใจให้เผยแพร่ออกไปนั้นดังเข้าหูคนในบ้านธัมรงค์รัชต์เข้าจนได้


“นี่มันอะไรกัน ทำไมเพย์ตันทำแบบนี้”  คุณแพรวรรณเป็นเดือดเป็นร้อน เธอมองว่านี่เป็นการไม่ให้เกียรติกันเลยแม้แต่น้อย ทางเราไม่เคยส่งมอบสารินให้กับทางนั้นอย่างเต็มใจ แม้ว่าจะโกรธที่สนธยามุทะลุไปพาตัวของสารินออกมาจนทำร้ายคนไปมากมาย แต่มันก็ไม่สมควรที่อีกฝ่ายจะมาลักพาตัวไปเช่นนี้


ถึงทางธัมรงค์รัชต์จะเคยทำเหมือนจะยกให้และกลับคำพูดให้ตัวเองดูน่าสงสัยก็ตาม


“พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปที่เพย์ตัน จะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ไว้หน้าเราเลย”  การที่สารินท้องก่อนเช่นนั้น พวกเราไม่มีใครรับประกันเลยว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมจะเจออะไรบ้าง


เพราะช่วงนี้กลุ่มอำนาจใหม่ตั้งท่าว่าจะกีดกันการส่งมอบตัวโอเมก้าให้กับทางเพย์ตัน ทำให้พวกเขาจำต้องระวังท่าที และไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้เป็นผลดีหรือไม่ที่การส่งมอบเด็กที่อุปการะให้จำต้องยืดออกไป ทว่าพวกเขาก็พอใจที่จะปกป้องสารินไม่ให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของใครแบบนั้น


แต่ก็ดูเหมือนว่าความพยายามทั้งหมดได้สูญเปล่า


“ฉันจะไปด้วยค่ะ”


“แพร… ผมว่าคุณอย่าเลย”


“งั้นผมไปได้ใช่ไหมครับ”


“สนก็ไม่ได้เหมือนกัน…”  วรวุฒิห้ามไว้  “คงไม่ลืมไปใช่ไหมว่าเรามีเรื่องบาดหมางอะไรกันอยู่”  กับวรวุฒินั้นก็พอจะเข้าหน้าได้บ้าง แต่กับสนธยาที่ปะทะกันรุนแรง เขาก็ไม่อาจจะวางใจให้เข้าไป อย่างน้อยพรุ่งนี้เราก็อยากจะเจอกับสารินเพื่อพูดคุยโดยตรง ทั้งนี่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ใดๆเลย


พวกเขาในฐานะครอบครัวก็แค่เป็นห่วงเฉยๆมากกว่า


การเข้ามาขอพบนั้นทำได้ไม่ยาก ราวกับว่าทางเพย์ตันคิดว่าเขาจะต้องมาอยู่แล้ว วรวุฒินั้นไม่เคยคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องออกตัวให้กับโอเมก้าคนหนึ่งขนาดนี้ แต่ส่วนหนึ่งที่เลี้ยงดูสารินอย่างดิบดีก็เพราะเคยติดค้างบางสิ่งกับโอเมก้าอีกคนเอาไว้ และโอเมก้าคนนั้น…


ก็คือผู้ให้กำเนิดสนธยา


เป็นที่รู้ว่าเล่าอัลฟ่าด้วยกันนั้นมีลูกยาก ต่อให้มีได้ เด็กคนนั้นก็มักจะมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหรือหมาป่าอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางออกของปัญหาของเหล่าอัลฟ่าในวันที่ดีเอ็นเอมีการกลายพันธุ์นั้นคือโอเมก้า…ที่ก็กลายพันธุ์เช่นกัน


และธัมรงค์รัชต์ก็เคยอ้าแขนต้อนรับโอเมก้าคนหนึ่งเข้ามา ก่อนที่เข้าจะแต่งงานกับแพรวรรณ แม้ว่าจะไม่ยอมรับชนชั้นที่อ่อนแอกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัลฟ่าหลายคนนั้นชื่นชอบโอเมก้าในอาณัติของตนเอง ทว่าด้วยรูปแบบทางสังคมนั้นบีบคั้นให้เราวางสถานะและแยกจากกันหลังจากหมดสิ้นหน้าที่


แต่กับวรวุฒิ วาริน และแพรวรรณแตกต่าง


เขารักวาริน แต่จำต้องแต่งงานกับแพรวรรณ นั่นคือบริบทที่ไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ ทว่าแพรวรรณที่ก็ไม่เคยรักกันฉันนั้นก็ยอมรับในตัววารินและยินดีที่จะเป็นเมียตรงหน้าฉากให้เขาครองรักกับวารินต่อไป ทว่าเป็นวรวุฒิเองที่ยอมรับข้อนี้ไม่ได้ ทั้งๆที่นี่คือผลประโยชน์ของตัวเอง กับแค่ยอมรับว่ามีใจให้โอเมก้าคนหนึ่ง มันยากเกินไปหรือไร


ใช่…มันยาก และวารินก็ไม่อยู่รอให้เขายอมรับตัวเอง


หลังจากคลอดสนธยา โอเมก้าคนนั้นก็ไม่สามารถทนต่ออาการเจ็บป่วยได้ สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ล่ำลากัน แพรวรรณฝังใจกับเรื่องนี้มาก เพราะสำหรับเธอนั้นวารินคือเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง มิหนำซ้ำผู้หญิงประหลาดคนนั้นกลับมองว่าวารินเสียสละมากมายเพียงเพื่อให้เธอมีความสุขกับการได้กอดสนธยา


เราจึงตกลงกันได้ว่าต่อไปนี้หากเราต้องรับโอเมก้ามาอุ้มชูเพื่อส่งต่อให้ตระกูลอื่น เราจะดูแลเขาให้ดีเพราะคนพวกนี้มีพระคุณกับเผ่าพันธุ์


และนั่นคือสาเหตุที่แทนที่เราจะรับสารินมาเป็นเด็กในบ้านคนหนึ่ง เรากลับรับมาเป็นลูกอีกคน มันเป็นการกระทำที่งี่เง่า แต่เขาในฐานะสามีก็ตามใจภรรยา อันที่จริงเขาไม่คิดอยากจะผูกพันกับโอเมก้าคนไหนแล้วด้วยซ้ำ แต่เราก็มาถึงจุดที่ไม่สามารถหยุดนิ่งได้ มีแต่ต้องเดินต่อไปเท่านั้น


“เชิญรอสักครู่นะคะ”  เขาโทรมานัดแล้ว ทราบว่าให้เข้าพบได้แต่คงต้องรอเสียหน่อย ตอนนี้ทางเพย์ตันเองก็มีอะไรให้จัดการมากมาย แต่การจัดการเรื่องที่ว่านั้นทำให้คนของเขาท้องนี่มันยังไงอยู่


การแสดงออกของวรวุฒิต่อสารินนั้นชัดเจนว่าไม่ยอมรับทั้งใจ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป การได้มีเด็กเล็กๆอีกคนที่นิสัยต่างกันกับสนธยาอย่างสิ้นเชิงก็เหมือนจะค่อยๆหลอมละลายใจ ในแวบแรก เขารู้ว่าเด็กน้อยที่ชื่อสารินมีความหวาดกลัวต่อโลกโดยเฉพาะกับอัลฟ่า อาจจะเพราะการถูกเลี้ยงดูมาทำให้ซึบซับอะไรบางอย่าง แต่ความอ่อนโยนของแพรวรรณช่วยละลายพฤติกรรม กระนั้นทางความคิดเราไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวคิดเช่นไร


แต่มั่นใจว่าเขาผูกพันกับเรามากจนไม่น่าจะทรยศเราไปก็เท่านั้น


ทว่าเพราะความผูกพันนั้นก็ทำให้สารินคาดเดาได้ยาก แต่เดิมเราตกลงกันไว้ว่าจะกีดกันไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้อะไร และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าความคิดนั้นจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเท่ากับว่าเราไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าสารินคิดจะทำอะไรเหมือนกัน


และหลังจากที่รับรู้ แม้จะมั่นใจว่าเด็กคนนั้นคงไม่ทำร้ายกัน แต่กลับกัน ก็เป็นไปได้ที่อาจจะยอมฝืนทำอะไรลงไปเพื่อพวกเราเช่นกัน


และนั่นคือการที่ยอมตั้งท้องให้กับเพย์ตันโดยไม่ถามความเห็นคนในบ้านหรือเปล่า?


วรวุฒิรู้ตัวว่าตนนั้นไม่ใช่คนที่อีกฝ่ายอยากจะเจอ เขาเข้าถึงยากเสมอ แต่หวังว่าเวลาที่เราอยู่ร่วมกันจะทำให้เด็กคนนั้นรู้ว่าเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ห่วงใย จนถึงตอนนี้เขาไม่อาจจะปฏิเสธใครได้ว่าไม่คิดอะไรเลย แพรวรรณเลี้ยงเด็กคนนั้นมาในสายตาของเขา มันอดไม่ได้หรอกที่จะเอ็นดู


สารินคือคนที่เข้ามาเติมเต็มให้ธัมรงค์รัชต์ แม้นี่จะเกินความคาดหมาย แต่เราก็มีความสุขดีจนไม่แน่ใจว่าจะขาดไปได้


“คุณพ่อ”  เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหนึ่งทำให้วรวุฒิหลุดจากภวังค์  เขาเห็นภาพซ้อนทับของเด็กหนุ่มคนนี้กับเด็กน้อยมอมแมมในวันนั้น แม้แววตาที่เราเห็นจะต่างกัน แต่เขาก็ปลื้มปริ่มใจ เหมือนกับว่าเราไม่ได้เจอหน้าลูกชายคนเล็กมานานเหลือเกิน


“สา”  แต่วรวุฒิไม่ได้เตรียมใจมาเจอลูกชายร้องไห้ ไม่มีใครเตรียมรับมือกับอารมณ์ของคนที่เราไม่ได้ชิดใกล้แต่ปกป้องมาตลอดได้หรอก ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายร้องไห้และวิ่งมากอดเช่นนี้


ทว่าวรวุฒิก็โต้ตอบปฏิกิริยาเหล่านี้ได้ดี


“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร”  เขาเอ่ยก่อนที่จะสวมกอดลูกชายคนเล็กของตัวเองไว้  “พ่ออยู่นี่แล้ว”  ก่อนจะยืนยันความเป็นครอบครัว


ครอบครัวที่สำคัญของสารินมาตลอด



tbc



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด