พิมพ์หน้านี้ - (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: skylover☁ ที่ 05-01-2019 13:29:32

หัวข้อ: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 05-01-2019 13:29:32
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ Intro+1 5/1/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 05-01-2019 13:30:41
ผมสูญเสียความต้องการอาหารไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
รู้แค่ว่าตั้งแต่จำได้…ก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว


“ฉัน มึงไปต่อคิวร้านชานมร้านใหม่กับกูป่ะ”


“ร้านใหม่ที่แถวแม่งโคตรยาวอ่ะเหรอ ไม่ไปอ่ะ ชาไข่มุกที่ไหนก็เหมือนกันปะวะ”


“ไม่เหมือนดิวะ มึงนี่มันหยาบกร้านไม่ละเอียดอ่อนเหมือนหนังหน้าเอาเสียเลย”


“…”


“มึงต้องหัดละเมียดละไมลิ้มรสแบบผู้ดีบ้างสิเว้ย ไม่ใช่เอะอะอะไรพ่อก็จับยัดไปหมด ไอ้ฉันไอ้ช่างยัด!”


“ขอบคุณที่เดือดร้อนแทนกูนะ”


“มึงนี่มันไม่รู้ค่าของแพง”  คร้านจะเถียงกับแม่ง แล้วจะให้ไอ้ฉัน ‘ฉันชนก’ คนนี้รู้ค่าชานมไข่มุกแก้วเป็นร้อยของมันไปทำไม


ในเมื่อฉันนั้น…ดื่มกินอะไรก็ไม่เคยรู้รสเลย!?!!!


1
- - - - - -
รสชาติอร่อย…
มันเป็นอย่างไรกันเหรอ?
- - - - - -

ในที่สุดฉันก็ได้ไปยืนต่อแถวซื้อชานมไข่มุกราคาแพงนั่น ทว่าไม่ใช่กับเพื่อนคนเดียวกันที่เคยเรียกร้อง


แต่ก็ไม่ได้ซื้อติดมือมาด้วย นับได้ว่าคนอย่างฉันชนกนั้นสามารถยืนหนึ่งอยู่บนยอดภูผาแห่งกิเลสทางรสชาติมาได้ตลอดชีวิต และตำแหน่งนี้ไม่เคยสั่นคลอน ไม่ว่าจะเนื้อวากิวเกรดเอที่ทุกคนว่าดีจนไปถึงเนื้อแดดเดียวร้านข้างทางโคตรเหนียว ฉันชนกสามารถกินมันได้หมดโดยละแล้วซึ่งการแบ่งเกรดใดๆ โชคดีที่สวรรค์ยังไม่ตัดการรับกลิ่นของตนไป


“แล้วนี่จะกลับบ้านเลยปะ”  ‘สาริน’  ที่วันนี้มาเดินเที่ยวด้วยกันนั้นถามหลังจากที่ได้ชาไข่มุกที่อยากแสนอยากมาไว้ในมือ จะอะไรนักหนากับชาบ้าๆนี้นะ ทำไมใครๆก็อยากกิน เพื่อนเขาอีกคนที่หยาบคายหน่อยๆก็วอแวอยากจะกินเหมือนกัน


“กลับเลยดิ”


“เออก็ดี นี่ท้องเริ่มอืดแล้ว อยากกลับบ้าน” 


“เอาแล้วไง! ท้องไม่ย่อยนมแล้วยังจะดื้ออีก”


“เอ้ย! ก็นี่มันชาไข่มุกไหม ชาไงไม่ใช่นม” 


“ต้องเป็นคนแบบไหนที่จะเถียงตกคูได้แบบนี้ ชาไข่มุกที่สาจ๋าสั่งนี่ให้เดินกลับไปถามพนักงานไหมว่าเขาใส่นมวัวหรือนมควาย ทำไมกินแล้วโง่”  สารินที่มีอีกนามว่าสาจ๋าเบ้ปากใส่ แต่เถียงไม่ข้างไม่คูแล้ว ตกคูไปเลยดีกว่า คนเรานี่กินนมวัวแต่โง่เหมือนควายก็ได้เหรอ?!


“คุณฉันขา…ไม่ดุสิคะ”  พอสาจ๋าอยากจะเบี่ยงประเด็นก็ทำแบบนี้ทุกที สรรพนามที่เรียกฉันก็จะกลายเป็นคุณฉันและลงท้ายด้วยคะขาเสมอ


ไปจำมาจากไหนว่าคนฟังชื่นชอบนะฮึ!


“สา…”


“คุณฉันขา สาจ๋าผิดไปแล้ว ให้อภัยสาจ๋านะคะ แต่มันอร่อยอ่ะ สาอยากกินอีก”  แล้วยังมาทำหน้างีดๆใส่ คนที่ดุด่าไปจึงจำต้องถอนหายใจ ฉันชนกไม่เคยเปิดสงครามฝีปากกับสารินไปได้จนสุดเลยจริง เกรงว่าคนดื้อหน้ามึนแบบนี้ ต้องเป็นคนที่เทพกว่าจริงๆถึงจะเอาอยู่ แต่พูดเลยว่าคนแบบนั้นไม่มีอยู่ในโลกหรอก สาจ๋าปราบได้หมดจริงๆ ไม่เชื่อคอยดูสิ


“ถ้ายังงีดๆอยู่งี้ ไม่คุยแล้วนะเว้ย!”


“ไม่งีดๆใส่แล้วก็ได้ แล้วนี่กลับบ้านเลยปะ เหม็นขี้หน้าแล้ว ชิ่วๆ”  ฉันชนกมองเพื่อนของตนที่โบกมือไล่ด้วยหางตา วันนี้เขาสองคนมาใช้บัตรลดร้านอาหารที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้แล้วก็เลยเถิดเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ด้วยความริษยาในตัวสาจ๋าอย่างเต็มขั้น ยามได้เห็นเพื่อนทำหน้าฟินตอนละเลียดไอติมและมาชิมชานมไข่มุกที่ไม่เคยกินไข่มุกหมดแก้วก็ได้แต่ทำหน้ารำคาญใส่ไป ทว่าเจ้าตัวไม่ยักกะสนใจรัศมีความหมั่นไส้นี้จริงๆ


เอาเถอะก็ไอ้สามันไม่รู้ไหมว่าลากใครมากินด้วย
อยากจะเอาแก้วชาไข่มุกคว่ำบนหัวทุยๆนั่นชะมัด!


แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ทำและแยกจากกันมา ฉันนั้นพบว่าฟ้าเริ่มจะมืดแล้วแม้ที่พักของเขาจะอยู่ไม่ไกลจากระยะที่เดินได้จากสถานีรถไฟฟ้า แต่เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ซักผ้าที่กองอยู่เต็มตะกร้าเลย เพราะฉะนั้นตนจึงค่อนข้างจะรีบเร่งกลับไป ทว่าฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจนัก


ครืนนนนนนนนน!
เอาแล้วไง


“ว้อยยยยยย”  ฉันชนกไม่ได้จัดอยู่ในประเภทมนุษย์หยาบคายแม้จะมีเพื่อนที่หลากหลายมากมายอุปนิสัย แต่เอาเข้าจริงๆยามที่กำลังหงุดหงิดขั้นสุดก็ไม่สามารถคงตัวถือศีลต่อไปได้ คนตัวเล็กนั้นสบถออกมา จริงๆคอนโดก็ไม่ได้อยู่ไกลหรอก แต่เชื่อเหอะว่าขาสั้นๆแบบนี้…ยังไงก็ไม่ทัน


ซ่า…
นั่นไงรับรสไม่ได้ พยากรณ์อากาศก็แม่น กราบไอ้ฉันซะสิ!


ฉันชนกทึกทักไปเองว่าไม่มีใครในประเทศกรุงเทพมหานครนี้ที่ซวยเก่งเท่าตนอีกแล้ว และถ้าไม่ดื้อนั่งไถมือถือเล่นที่ชานชาลารถไฟฟ้าก่อน ก็จะไม่มีสภาพเป็นหมาหลบฝนหน้าเซเว่น เอ่อ…ไม่ใช่สิ ร้านกาแฟแบบนี้


ฉันนั้นมองไปรอบตัวและก็พบว่ามันไม่มีพื้นที่อื่นใดให้พึ่งพิงได้เลย ร้านกาแฟที่ตนมายืนหลบฝนหน้าร้านอยู่นี่ก็ติดป้าย ‘CLOSED’  ไว้เสียแล้ว ร้อยปีพันวันไม่เคยเห็นปิด มาปิดเอาตอนนี้เสียได้ ให้มันรู้ไปว่าจะมีใครซวยเก่งไปกว่าฉันชนกคนนี้ได้อีก


“หนาวอ่ะ”  พึมพำออกมาคนเดียวเพราะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีใคร เสียงฟ้าผ่านั้นทำให้สะดุ้งโหยง แต่เชื่อเถิดว่ายังมีชาวประเทศกรุงเทพนี้อีกคนที่ซวยไม่น้อยกว่า


นั่นคือสาริน เจ้าเด็กนั้นกลัวเสียฟ้าผ่า ป่านนี้คงเสียจริตอยู่แถวๆพระโขนงเป็นที่น่าสงสารแก่ผู้พบเห็น


ตู้ดดดดดดดดด…


“คุณฉันนนนนนนนน”  น้ำเสียงที่มาพร้อมกับเสียงสะอื้นนั้นทำให้คนฟังรับรู้ได้ถึงจริตที่เสียไปและไม่อาจจะกลับคืนมาในระยะเวลาอันใกล้ ฉันชนกที่โทรไปหาด้วยเป็นห่วงนั้นทั้งสงสารแต่หมั่นไส้ก็ไม่น้อย จะว่าไปสาจ๋าของคุณฉันก็โตแล้ว แต่ทำไมยังกลัวกับเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้


หรือไปแอบโกหกอะไรแล้วเผลอสาบานให้ฟ้าผ่าไว้นะ?
เลยกลัวเป็นพวกมีชนักติดหลังอย่างนั้น


“คุณฉันมาหาสาจ๋าได้ไหม”


“ไม่ได้หรอกสาจ๋า นี่เราอยู่อารีย์แล้ว”


“เราก็เพิ่งถึงอ่อนนุชอ่ะ แต่ไม่ได้เอาร่มมา”


“เดินไปหลบในโลตัสก่อนสิ”


“ไม่เอา เดี๋ยวเราโดนเดลี่ควีนซื้อ”  หรือใครที่กระเพาะไม่ย่อยนมวัวจะไปซื้อเดลี่ควีนกันแน่! ฉันชนกถลึงตาใส่พื้นดิน คงหวังให้คนปลายสายรับรู้ถึงความระอาขั้นสุดนี่ แต่น่าเสียดายที่วิทยาการโลกเรายังไม่ไปถึงขั้นนั้น


“ไหนบอกปวดท้องไง”


“แต่เราไม่ได้กินเดลี่ควีนนานแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”  แต่แกเพิ่งโหมกินไอติมและชานมมา ต้องบ้าแค่ไหนที่จะทนสบายปากลำบากท้องแบบนี้


“สาจ๋า แกอยากให้แม่อุ้มไปส่งโรงบาลตอนฟ้าผ่าเหรอ”


“ไม่เอาฟ้าผ่า” และไม่ให้แม่อุ้มด้วย สาจ๋าโตแล้วและเป็นผู้ชายนะเว้ย!


“งั้นเข้าไปหลบฝนในโลตัส เดินไปสิงแถวสลัดบาร์ สูดกลิ่นผักเยอะๆแล้วไม่ต้องกินอะไรเลย”  เป็นคำแนะนำที่จัดได้ว่าดี เบี่ยงความสนใจทางการกินด้วยการให้สารินไปดมกลิ่นเหม็นเขียวของผักที่เกลียดไว้ แค่นี้พอไม่อยากกินอะไรก็ไม่หาเรื่องตายให้ตัวเองซ้ำๆซากๆ


ปลอบคนจนตัวเองเสียจริตตามแล้ว คุณฉันของสาจ๋าก็กดวางโทรศัพท์และยัดมันเข้ากระเป๋าด้วยกลัวว่ามันจะโดนละอองฝนที่ตกหนักขึ้น อีกนิดเดียวก็จะถึงคอนโดอยู่แล้ว แต่กลับมาติดแหง่กอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งนี้เสียได้


ในปัจจุบันนี้ อารีย์ถือเป็นย่านฮอตฮิตของวัยรุ่นและคนทั่วไป โด่งดังไปด้วยร้านอาหารและร้านกาแฟมากมายที่เด่นเรื่องกิมมิคต่างๆกัน ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่า ‘ป๊ะและคุณพ่อ’ คิดอย่างไรถึงได้มาซื้อคอนโดไว้ที่นี่ แต่ในตอนนี้ทางเลือกที่คู่ชีวิตซึ่งเป็นผู้ปกครองของฉันชนกทั้งสองเลือก ก็ถือว่าดีเยี่ยมเป็นที่สุด เพราะตอนนี้ห้องที่เขาอาศัยอยู่ คาดว่าราคาคงขึ้นไปเกือบจะเท่าตัวแล้วมั้ง


“คุณครับ”  ทว่าในขณะที่คิดอะไรเพลิน ใครบางคนก็ปลุกกันออกจากภวังค์ความคิด ฉันชนกที่กอดตัวเองด้วยรู้สึกหนาวนั้นค่อยๆหันหน้าของตนไปหาต้นเสียง


ตรวจพบผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากประตูกระจกนั่น…


“เอ่อ โทษทีครับ”  ว่ากันว่าใบหน้าคือปราการด่านแรกที่เราใช้มองใครสักคนที่เพิ่งเคยพบเจอ ลำดับต่อมาฉันชนกก็มองหาเหตุผลที่ทำให้เขาเรียกกัน ชายหนุ่มคนนี้เปิดประตูของร้านกาแฟออกมาเรียกหา ยามนี้คิดได้อย่างเดียวว่าตนอาจจะทำความลำบากให้เขาอยู่


ก็เล่นมายึดหน้าร้านเขาแล้วไหม ไอ้ฉันนี่ดูยังไงก็เกะกะนัก


“ไม่เป็นไรครับ ฝนคงจะตกอีกสักพัก ยังไงเข้ามาในร้านก่อนไหม”  อ้าว…ไม่ได้ปิดอยู่หรอกเหรอ  ฉันชนกถามแค่ตัวเอง ด้วยเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ของที่หลบฝนจึงไม่ได้เอ่ยถามคนที่คู่ควรออกไป เมื่อพาตัวเองมาอยู่ในร้านอย่างเด๋อๆด๋าๆก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจไปรอบตัว


อา...ชอบสีเขียวมิ้นท์นี่จัง


“เอ่อ ยังพอจะมีเครื่องดื่มอะไรให้ผมอุดหนุนอยู่ไหมครับ”  แขกที่เพิ่งได้รับเชิญเอ่ยถามออกไป เจ้าของใบหน้าที่ใครบางคนแอบมอบรางวัลคนหล่อให้ในใจนั้นหันมามอง เมื่อได้มองกันในพื้นราบก็พบได้ว่าเขานั้นสูงกว่าฉันชนกอยู่มาก แต่นั่นก็แหงล่ะ หมากระเป๋าแบบเขาและสารินนั้นอย่าได้ลืมตาอ้าปากเอาตัวเองมาเปรียบกับใครเลย ต่ำกว่ามาตรฐานชายไทยขนาดนี้ สมควรจะสำนึกตนแหละดีแล้ว


ชายหนุ่มผู้อารีเหมือนกับชื่อสถานีรถไฟฟ้าใกล้เคียงนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาล เขาน่าจะกำลังเก็บล้างอุปกรณ์ของร้านอยู่ ฉันไม่ได้ถามเพราะเกรงใจเพียงอย่างเดียว แต่เพราะวันนี้เขาไปกินทงคัตสึกับเจ้าสา และอากาศที่เพิ่งประสบมาก็หนาวเย็น จึงนึกอยากดื่มอะไรที่มันอุ่นๆ


“เผอิญว่าน้ำแข็งหมดแล้ว เอ่อถ้าเป็นอะไรร้อนๆก็ได้ครับ”


“ผมอยากดื่มอะไรร้อนๆพอดีเลยครับ”  ให้กินแต่น้ำอุ่นเปล่าๆยังได้ จะน้ำอะไรก็ไม่ต่างไงเล่า เรื่องเศร้าต้องขยี้ให้สุด!


“งั้นเชิญมาดูเมนูทางนี้ดีกว่าครับ”  พนักงานหนุ่มนั้นเชื้อเชิญให้แขกตัวน้อยเดินมายังหน้าเคาน์เตอร์เพื่อดูรายการเครื่องดื่มของทางร้าน ด้วยเพราะชื่อเรียกบางอย่างมันค่อนข้างจะยากสำหรับคนที่ไม่พิศวาสการนั่งชิลในร้านกาแฟไหนๆ ทำให้กว่าจะเข้าใจก็เอาเรื่องอยู่ โดยไม่รู้ตัว ฉันชนกเองก็ถูกจ้องมองอยู่เหมือนกัน


เอาเถอะ มองเก่งนี่ มองมามองกลับไม่โกง!


“ง่า…จริงๆเอาอะไรก็ได้ร้อนๆมาก็ได้ครับ”  ฉันยอมแพ้แล้ว อันนี้กับอันนั้นมันต่างกันยังไง คนแยกรสไม่ได้อ่านไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดีแล้วจะเสียเวลาอ่านทำความเข้าใจไปทำไม..อาจารย์ไม่ได้จะควิซสักหน่อย ขอแค่ไม่ใช่น้ำกรดก็พอแล้วจริงไหม


“ถ้างั้นรับเป็นชาคาโมมายล์ล่ะกันครับ วันนี้จะได้หลับสบาย”


“อะ เอ่อ..อันนั้นแหละครับ”  เพราะรับรสไม่ได้เลยไม่เคยใส่ใจถึงสุนทรียภาพของการดื่มกินสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าอะไรมีผลข้างเคียงหรือฤทธิ์ยังไงก็ไม่เคยรู้ เอาเป็นว่าไอ้ชาคาโมมายล์นี่มันไม่ได้ทำจากกัญชาก็แล้วกัน แต่ถึงแอบใส่ลงไปสักนิด ก็คงจะเมาทั้งๆที่ไม่รู้รสทั้งนั้น สำหรับฉันแล้ว…ใบชาผสมกัญชาก็คงไม่ต่างจากกลิ่นใบหญ้าผสมในน้ำเปล่าร้อนๆละมั้ง


ฉันคิดเช่นนั้น…


“อา…หอม”    แต่เจ้าตัวคนที่ไม่เคยมีสุนทรีย์ใดๆคงลืมไปว่าตนนั้นยังมีจมูกที่เป็นเลิศที่สุดในปฐพีอยู่ คนดื่มชาทั่วไปไม่ได้ดื่มเอารสเพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว ฉันชนกไม่เคยรับทราบถึงข้อนี้เพราะนี่ก็คือครั้งแรกที่กินชาร้อนแบบ…ชาดีๆ กาเป็นร้อย และร้อยๆ ที่เคยกินก็มีแค่ชาในร้านอาหารข้าวมันไก่ข้างทางเท่านั้นแหละ


“ชาคาโมมายล์จะทำให้หลับสบาย ผมวางไว้ให้กับคุ้กกี้ชิ้นเล็กๆที่เป็นบริการจากทางร้านนะครับ”  พนักงานร้านผู้ใจดีนั้นเมื่อยกมาเสิร์ฟก็พบคุณลูกค้าผู้มากับฝนนั้นทำจมูกฟุดฟิด แทนที่เขาจะรู้สึกแปลกๆ กลับนึกเอ็นดูอย่างประหลาด แต่อย่างว่า…คนเราจะเอ็นดูคนประหลาดสักคนที่เพิ่งเคยเจอได้ คนๆนั้นก็ต้องมีใบหน้าที่น่าเอ็นดูเช่นกัน


“ขอบคุณมากครับ”  ฉันชนกนั้นหันไปขอบคุณและยกแก้วชาขึ้นมาดมให้ชื่นใจ อา…ต่อให้ไม่รับรู้รสอะไรแต่ก็ฟินได้บ้างแล้วชานี่น่ะดีกว่าชานมไข่มุกของสาจ๋าตั้งเยอะ!


แม้จะจิบไปแล้วไม่รับรู้รสอะไรอยู่ดี


“อืม..”  ใบหน้าที่แสร้งเหมือนพอใจนั้นก็ถูกฝึกมาอย่างดี แต่สำหรับฉันแล้วนี่มันน้ำเปล่าอุ่นๆชัดๆ อืม…ว่าคนอื่นกินไปได้ไงชานมไข่มุกแก้วล่ะร้อย ส่วนตัวเองมากินชาร้อนกาละร้อยกว่าบาทแต่รสชาติเหมือนน้ำเปล่าต้ม นอกจากร้อนและกลิ่นหอมแล้วก็ไม่มีอะไรเจือแฝง


ทีนี้ก็มากินคุ้กกี้ต่อ จริงๆตนก็ไม่ได้อยากกินขนมนัก แต่เขาอุตส่าห์เอามาให้แล้วจะให้ปฏิเสธก็กลัวจะเสียมารยาท แม้จริงๆมันก็เสียมารยาทอยู่แล้วที่มานั่งในร้านตอนปิด แต่เอาเถอะ ก็มานั่งแล้วนี่


กลิ่นคุ้กกี้หอมมันที่ฉันไม่มีวันรู้ว่ารสชาติของเป็นเช่นไรนั้นถูกนำเข้าไปเคี้ยวๆในปาก กินจนหมดตามศรัทธาและก็ตามด้วยชาร้อนเพื่อล้างคอ ดวงตาเรียวของแขกผู้มาเยือนนั้นจ้องมองไปที่ภายนอก ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ยิ่งเห็นยิ่งทำให้หดหู่ ซักผ้าไปก็ไม่มีทางจะได้ใส่พรุ่งนี้ งั้นซักแห้งไปเลยสิ จะได้ไม่เจอกับปัญหาอับชื้น!


“คุณลูกค้าครับ”  ทว่าในขณะที่กำลังคิดเรื่องกลิ่นของเสปรย์ที่จะเอามาฉีดพ่นผ้าที่ไม่ได้ซักของตนนั้น พนักงานหนุ่มผู้ใจดีก็ได้นำอาหารอีกจานมาวางให้


แน่นอนว่าฉันนั้นไม่ได้สั่ง…


“อันนี้เป็นเมนูที่กำลังลองทำอยู่ครับ”


“เอ่อ…”


“ถ้าไม่รบกวนพอจะวิจารณ์และให้ความเห็นหน่อยได้ไหมครับ” 


“จะดีเหรอครับ”  ไม่ดีแน่หากเป็นเช่นนี้ ความใจดีและความหล่อนั้นฉันชนกขอรับไว้แค่นั้นได้หรือไม่ แล้วคิดอย่างไรให้คนที่ไม่รู้จักเปรี้ยวเค็มเผ็ดหวานมาชิมอาหารให้กันละพ่อคุณ…


“ดีสิครับ หากเก็บข้อมูลครบถ้วนแล้วเราจะได้พิจารณาวางขาย หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปพอจะฝากไว้หน่อยได้ไหมครับ”  แววตาพราวระยับดูเป็นมิตรนั้นจะว่าใจดีก็ดีอยู่หรอก แต่มันก็กดดันกันไม่น้อย


เอาก็เอา! มโนเพิ่มเติมไปหน่อยและตอบเขาไปว่าอร่อยดีแล้ว ไม่ต้องไปให้ความเห็นเรื่องรสชาติอะไร คงไม่มีใครคาดหวังให้ชาวบ้านทุกคนมีสัญชาตญาณนักชิมตัวยง เอาเป็นว่าแค่ความเห็นของคนๆเดียวคงไม่ทำร้านเขาเจ๊งหรอก ฉันคิดเช่นนั้น ก่อนจะหยิบคลับแซนวิชหนึ่งในสี่ชิ้นเข้าปาก


อืม…


“อร่อยดีครับ”   ฉันตอบสั้นๆแม้จะไม่รับรู้รสอะไรเหมือนเคยก็ตาม


“งั้นเหรอครับ”


“อื้มผมว่าซอสมันเยอะไปหน่อยนะ”  อ่ะ! แถมความเห็นให้อีกอันก็ได้ แต่มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว เอาจริงๆไอ้ซอสหนืดๆนี่เป็นน้ำยาล้างห้องน้ำแบบไร้กลิ่นหรือเปล่า ฉันก็กินไปโง่ๆแบบง่ายๆจนหมดคำ


“ถ้างั้นลองชิมชิ้นนี้ดูสิครับ อันนั้นจะเป็นซอสอีกชนิด”  คนหล่อชักไม่หล่อเสียแล้วเมื่อเป็นคนหล่อที่วุ่นวาย ให้ตายเถอะ…สวรรค์จะคาดหวังให้คนที่ไม่มีความสุขในการกินต้องมากินอะไรนักหนา แต่เห็นแก่พระคุณที่ว่าให้หลบฝนหรอกนะ จะกินและมโนให้อีกชิ้นก็ได้ มือเล็กหยิบชิ้นที่เขาชี้ขึ้นมาใส่ปาก และคงเหมือนทุกครั้ง…


ก็แค่เคี้ยวและกลืน


“…”


แต่ครั้งนี้มัน….


“…….”  มันต่างออกไป


หวานนิดๆ เค็มหน่อยๆ
เปรี้ยว…อาเป็นความเปรี้ยวของทั้งซอสที่มันๆและความเปรี้ยวของมะเขือเทศ
เผ็ดฉุนๆที่คาดว่ามาจากพริกไทย ฉันจำกลิ่นของมันได้
ขมนิดๆ อันนี้น่าจะเป็นรสชาติของผัก
 
 
“.......”
 
 
“เป็นไงบ้างครับ”
 
 
“.......”
 
 
“คุณครับ?”  เขาถาม แต่ฉันนั้นแน่นิ่งไม่ตอบอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาคงกำลังรอคำชมเชยจากปากลูกค้านิสัยเสียคนนี้ แต่จะให้ฉันทำไงดีล่ะ ในเมื่อสิ่งที่อยู่ในปากนั้นมันมากล้นกว่าที่จะให้พูดได้ในทันที
 
 
เพราะนี่คือครั้งแรก
 
 
“อร่อยครับ”   
 
 
“ขอบคุณครับ”
 
 
“อร่อย…จริงๆครับ”  ใช่แล้ว มันอร่อย ความรู้สึกนี่มันคือความอร่อยใช่ไหม ความรู้สึกที่เปี่ยมล้นแบบที่ทำให้น้ำตาเอ่อล้นออกมาคือความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยใช่ไหม?
 
 
“คุณร้องไห้”  หลังจากที่นั่งเงียบไปอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ได้สังเกตเห็น ว่าคำชมที่มาพร้อมกับน้ำตานั้นเป็นยังไง ชายหนุ่มยิ้มละไม เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดีแม้ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ไม่ถามอะไรให้รู้สึกอึดอัด
 
 
“ขอบคุณครับ”  ฉันกล่าวออกไปพร้อมๆกับที่รับผ้าเช็ดหน้า ร่างสูงเพียงแค่ยิ้มรับทราบความซึ้งใจครั้งนี้ ก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้ฉันได้กินแซนวิชอีกสองชิ้นที่อาจจะมีรสหรือไม่มี การเข้ามาในร้านแห่งนี้เพื่อเจอเขานั้นเหลือทิ้งไว้เพียง
 

อาหาร….ที่ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในชีวิต
 และวันนี้ก็เหมือนจะจบลงไปพร้อมกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆและแปรปรวนยิ่งกว่าวันไหนในชีวิตเช่นกัน

- - - - - -
เหมือนเหยื่อจะติดกับ
ด้วยเพียงแซนวิชเพียงคำเดียวเท่านั้น
- - - - - -


เจ้าของใบหน้าที่ใครบางคนนึกในใจว่าหล่อเหลาอย่างนั้นอย่างนี้ลอบยิ้มอยู่อีกมุม เขาแอบมองคนที่นั่งหันหลังให้เคาน์เตอร์ที่กำลังละเลียดชิมอาหารคาวที่เขาสุดจะภูมิใจนำเสนอกับชาที่เขาเลือกให้อย่างใส่ใจเช่นกัน เด็กหนุ่มคนนั้นที่เข้ามาเป็นลูกค้าในยามที่ร้านปิดอยู่ช่างน่าสนใจระคนแปลกประหลาด แต่ใช่ว่าบนโลกนี้คนที่ดูแปลกๆจะไม่มีอยู่เลย


‘ไพร์ม ภูวนัย’ เองก็นิยามตัวเองอยู่บ้างถึงคำว่าประหลาดแบบนั้น


เจ้าของร้านหนุ่มยืนมองร่างบางที่จากไป เขาต้อนรับลูกค้าบางคนดีเสมอไม่ใช่แค่เพราะร้าน ‘เพิ่งเปิด’ แต่เพราะ ‘ร้านเปิดแล้ว’ ต่างหาก ทว่ากับลูกค้าบางคนก็เป็นที่น่าจดจำยิ่งกว่าอะไร ไม่ใช่เพราะน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะแซนวิชง่ายๆหรอก เพราะอะไรนะเหรอที่อยากทำให้การบริการนี้เป็นที่ประทับใจไม่มีวันลืม ไพร์มไม่ใช่คนที่มีตรรกะยากๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนอ่านกันออก ช่างน่าผิดหวังในตัวเองหรือเขาเหล่านั้นเสียหลือเกิน
 
 
ชายหนุ่มจ้องมองจานเปล่าที่วางไว้ในตอนที่ฝนหยุดตกและลูกค้าคนนั้นไม่อยู่อีกแล้ว ดูเหมือนของฟรีจะรสชาติดีกว่าชาราคาแพงที่เขาแนะนำไปให้ และคุ้กกี้ขายดีที่ทำเท่าไหร่ก็ขายหมดไม่เคยเหลือเสียอีก ควรจะน้อยใจดีไหมนะ?


แต่คนน้อยใจกลับส่ายหน้าและยิ้มไปพลาง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียใจ มนุษย์ทุกคนมีความชอบต่างกัน และนั่นคือเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล


บนโลกกลมๆที่จะว่ากว้างก็กว้างเพราะเราคงเดินไปทั่วๆไม่ได้ แต่จะว่าเล็กก็เล็ก เพราะเราสามารถข้ามไปที่อีกซีกโลกด้วยเวลาที่นับกันเป็นหน่วยวันและชั่วโมง ไม่รู้อะไรนำพาความสนใจให้แขกผู้มีชื่อเสียงเรียงนามที่เขาไม่รู้จักให้เข้ามา จริงๆไพร์มเองก็ไม่ได้คิดว่างานของตนจำเป็นต้องรู้จักชื่อลูกค้าทุกคน แม้แต่ลูกค้าที่แวะมาทุกวันในรอบอาทิตย์ เขายังไม่เคยนึกใส่ใจ รอยยิ้มที่มอบให้ก็เป็นธรรมเนียมค้าขายประจำตัว ทว่ากับบางคนที่เพิ่งเข้ามา ทำไมกันนะ....
 
 
ถึงไม่อยากให้ออกไปเสียอย่างนั้น



TALK
มาลงตอนแรกแบบเจิมไว้ก่อน
หวังว่าทุกคนจะชอบเรื่องนี้กันนะคับ
ปล เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากฟิคที่เคยแต่งเองอีกแล้ว
แต่ค่อนข้างต่างกันมากในหลายๆด้าน(คิดว่านะ)
อย่างน้อยอันนั้นก็เรื่องสั้นแต่อันนี้ก็ยาวกว่า5555
ปล คนแต่งมีซัมติงกับของกินมาก เรื่องกินเรื่องใหญ่ เราจึงเอามาเขียนนิยายจะได้ใหญ่พอกัน
วันนี้ลงสามเรื่องเลย ฝากทุกเรื่องเลยได้โม้ยยยยยยย
#คู่กินคู่กัด

 
 




หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ Intro+1 5/1/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-01-2019 15:37:14
 จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ Intro+1 5/1/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-01-2019 21:19:36
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ Intro+1 5/1/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-01-2019 21:18:37
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ Intro+1 5/1/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 12-01-2019 15:32:31
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ Intro+1 5/1/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-01-2019 09:30:23
 :mew1:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 2 10/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 10-02-2019 17:53:50
2
- - - - - -
มัน…ไม่เหมือนจะเป็นแบบที่คุณทำเลยอ่ะ
(-_-)
- - - - - -

นี่ฉันห่วย หรือฉันห่วยกันแน่?


“ฮือออออออออ ป๊ะ น้องฉันทำผิดอะไร”  ในระหว่างที่ฟูมฟายโทรคุยกับคุณป๋าของตนนั้น ฉันชนกก็เหลือบตามองกองขยะอารมณ์ที่เคยเป็นขนมปังและผักสดต่างๆมาก่อน


“เราอาจจะต้องใช้ซอสสำเร็จแล้วล่ะน้องฉัน ป๊ะว่าทำเองไม่น่ารอด”


“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะสิ”


“อ้าว…แล้วมันยังไง”


“ก็มันไม่มีรสชาติอ่ะ”


“…”


“ป๊ะ บอกผมหน่อยว่าผมลืมใส่อะไร”  บางทีฉันก็จะเรียกตัวเองว่าน้องฉันเพราะ  ‘ป๊ะและคุณพ่อ’ จะเรียกกันว่าน้องฉัน แต่บางครั้งก็แทนตัวว่าผมบ้าง ก็แหงสิ…ไม่ใช่น้องฉันห้าขวบซะหน่อย จะให้แอ๊บแบ๊วมากมายน่าหมั่นไส้ก็เกรงใจอายุอยู่เหมือนกัน


“ป๊ะว่าน้องฉันลืมว่าตัวเองไม่รับรสนะลูก”  เออ ฉันก็ลืมไป…


ใช่เสียที่ไหนเล่า!


‘วธิน’ หรือคนที่ฉันชนกเรียกว่าพ่อและ ‘การันต์’ ที่น้องฉันเรียกว่าป๊ะนั้น ดูจากชื่อแล้วก็รู้ว่าเราสองคนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่มีคนไหนเลยที่เป็นคนคลอดเด็กคนนี้ขึ้นมา ด้วยความเป็นกำพร้าที่ถูกเลี้ยงมาในสถานรับเลี้ยงเด็กหลังจากที่ถูกพ่อหรือแม่พามาปล่อยทิ้งไว้ ตัวฉันเองและใครๆก็ไม่ทราบได้ว่าบิดามารดาที่แท้จริงคือใคร


วธินกับการันต์เป็นคู่รักเพศชายพวกเขาไม่ได้อุปการะน้องฉันโดยตรงหรอก ทว่าพี่สาวของวธินนั้นเป็นคนทำเรื่อง และหลังจากรับน้องฉันมาเลี้ยงได้ไม่นานเธอก็เสียไป เด็กคนนี้ที่ไม่มีญาติที่ไหนจึงถูกรับต่อมาให้วธินที่เป็นญาติสนิทของคุณแม่บุญธรรมที่จากไปได้ดูแลต่อ


พวกเขานั้นพยายามกันหลายครั้งแล้วที่จะรักษาโรคไม่รู้รสของฉันชนก แต่พาไปหาหมอที่ไหนก็ไม่มีใครบอกได้ว่ามาจากอะไร บ้างก็ว่าเป็นกรรมพันธุ์ และบ้างก็ว่าเป็นเพราะความเครียด ซึ่งก็พอเข้าใจได้ น้องฉันไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะถูกเลี้ยงด้วยความรักมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความในส่วนลึกของเด็กคนนี้จะไม่ขาดอะไร และเรื่องของความรู้สึกที่เจ้าตัวบ่ายเบี่ยงเสมอนี่


ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปกครองปัจจุบันจะหยั่งรู้ได้จริงๆ


และเป็นอีกครั้งที่การันต์ปลอบโยนน้องฉันไม่ให้น้อยใจในโชคชะตา พวกเขาไม่อาจจะช่วยรักษาโรคนี้ได้แต่ก็พยายามทดแทนให้ด้วยสิ่งอื่นเสมอ เราวางสายแยกกันไป แต่สิ่งหนึ่งก็ยังคาใจคนที่โทรมาอยู่ดี


ทำไมเมื่อวานรับรสได้
แต่วันนี้…ไม่ได้แล้วล่ะ


“เฮ้อ”  เพราะแซนด์วิชที่ได้กินเมื่อวานเป็นเหตุ ทำให้คนได้ลิ้มรสอยากจะกลับมาลองทำกินเองสักครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าอาการป่วยของตนได้หายลงไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผลอะไร ยิ่งพยายามก็ยิ่งท้อใจจนพาลไปทำตัวน่ารำคาญใส่คนอื่นเสียได้


ก็ดูในคลิปสอนทำอาหารก็ไม่น่าจะยาก แต่ว่าผู้ชายคนนั้นเขาใส่อะไรลงไปหนอ มันไม่ใช่แค่อร่อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับการรับรู้ของคนทั่วไป ฉันชนกยังอ่อนประสบการณ์ทางการชิมนัก จึงไม่อาจจะบอกได้ว่าที่กินไปเรียกว่าอร่อยหรือยัง แต่ว่าในด้านความรู้สึก นั่นคืออาหารจากแรกเลย…ที่อร่อยจนรู้สึกตื้นตันประทับใจ


จะถามดีไหมน้า…ฉันก็ลังเล
แต่ไปติดๆกันเขาจะมองว่าเราแปลกไหม…ฉันนั้นถามในใจ


“โอ้ย เบื่อ!”  ตัดสินใจอะไรไม่ได้สักอย่างแล้วยังต้องมาชำระความกับซากขยะเหล่านี้อีก


แต่ก็ต้องทำไหม? ไม่ทำก็เน่าอยู่ตรงนี้แหละ ไม่มีใครมาทำให้ด้วย เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางทีฉันชนกก็นึกอยากจะกลับบ้านไปให้บุพการีที่รับอุปการะกันเลี้ยงอีกสักครั้ง การย้ายออกมาอยู่คนเดียวเพราะบ้านไกลจากที่ทำงานนั้นบีบบังคับให้ต้องเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่มันก็สมควรนั่นแหละ อายุก็ไม่ใช่จะน้อยๆแล้ว


จริงๆฉันนั้นมีความลับอยู่อย่างซึ่งไม่ได้บอกให้ใครรู้ เดิมทีชื่อของตนนั้นก็ไม่ใช่ ‘ฉันชนก’ หรอก เป็นแค่ ‘ไอ้จิ๋ว’แต่พอได้รับการอุปถัมภ์ต่อมาจนถึงมือของป๊ะและคุณพ่อ ไอ้จิ๋วที่ผอมกะหร่องในวันนั้นก็กลายเป็นน้องฉันของทุกคนในครอบครัว


ด้วยเพราะคู่รักแบบทั้งสองนั้นต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจากรอบด้านจนกระทั่งมีวันนี้ ไอ้จิ๋วที่ดูจะโชคร้ายไปซะหมดจึงถูกตั้งชื่อใหม่ให้ ด้วยความอยากให้แกร่งให้เหมือนพวกเขาทั้งสอง ฉันชนกที่แปลว่าเหมือนผู้เป็นพ่อจึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อของเด็กกำพร้าที่จะเข้ามาเป็นลูกชายครอบครัว


สรุปโดยรวมคือฉันชนกเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับความรักมากมายจากบิดาและบิดา
จนบางทีอาจจะเรียกได้ว่าได้รับมากเกินไป…


แต่ก็ใช่ว่าฉันจะนิสัยเสียเอาแต่ใจอยากได้อะไรก็ต้องได้ มีหลายเรื่องที่ขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างเรื่องกินแล้วรับรสไม่ได้ก็เช่นกัน วธินกับการันต์นั้นก็พยายามแล้ว ฉันในวัยเด็กที่เห็นคนซึ่งไม่ใช่พ่อแท้ๆของตนพยายามให้กันถึงเพียงนั้นก็ซาบซึ้งใจ จนตนเองต้องเป็นคนเอ่ยยอมแพ้เพราะแค่นั้นที่ได้รับมาก็มีค่ามากพอ ชีวิตจะขาดนิดขาดหน่อยไปบ้างก็ไม่อะไรหรอก


ได้ความรักความเอาใจใส่มาทดแทนก็เป็นสีสันชีวิตที่งดงาม


หลังจากกำจัดซากอาหารด้วยการกินบ้างและทิ้งบ้างให้เกษตรกรต้องร้องไห้ คนที่ผอมบางก็พาร่างอันอ่อนระโหยโรยแรงของตนออกมาจากคอนโด วันนี้เป็นวันหยุด ก็เป็นไปได้ที่ว่าร้านนั้นจะคนเยอะและพนักงานร้านที่รู้ใจกันยิ่งกว่าที่ตัวเองรู้มาตลอดชีวิตก็คงจะยุ่งจนไม่ได้สนใจว่าใครเป็นใคร


เดิมทีฉันนั้นตั้งใจว่าจะไม่ไปเพราะเขินแบบบอกไม่ถูก แต่ก็เปลี่ยนใจ พอกินอะไรไม่อร่อยก็ดึงสติขึ้นมาได้ว่าจะเขินทำไม  ไปซื้อของกินไม่ได้ไปจีบใครนี่หว่า!


นี่แหละหนา…บาปที่มาจากความตะกละ ก็เพิ่งมารู้จักก็ตอนอายุ 24 นี่แหละ


แต่ถึงจะทำใจกล้าท่องคำว่าไม่จีบๆซ้ำไปซ้ำมา แต่เอาเข้าจริงก็เดินวนจนจะทั่วซอยอารีย์แล้วก็ยังไม่มีความกล้าจะเข้าไป อยู่นานจนเริ่มจะตัดใจเดินเข้าไปพึ่งอาหารเซเว่นที่ไม่มีรสเหมือนเคย ฉันชนกถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินผ่านร้านนั้นที่เป็นจุดหมายราวกับว่าไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตามาก่อน


หมับ!


“…”


ตึกตัก ตึกตัก


“คุณฉันมาทำอะไรที่นี่อ่ะ”  ก็คือ…


“สาจ๋า?”  ที่เราใจเต้นตึกตักไปเมื่อครู่นั้นอ่ะ


ให้คิดซะว่าไม่เคยเกิดขึ้นเถอะนะ!!!


“อ๋อ คอนโดอยู่แถวนี้นี่เนอะ”


“ใช่ๆๆ แล้วทำไมสามาอยู่ที่นี่อ่ะ บ้านอยู่ประชาชื่น หอพักอยู่อ่อนนุชไม่ใช่เหรอ”  พอดูท่าว่าความลับของตนจะไม่ถูกเปิดเผย แหงอยู่แล้ว นี่สาจ๋านะ สาที่โง่ๆไง ถ้าฉลาดไปก็ไม่คบด้วยหรอก เพราะโง่นี่แหละถึงเป็นเพื่อนกัน


“เออ..ก็ไม่อะไรหรอก ไปเก็บของย้ายเสร็จแล้วพี่ชายเราพามาที่นี่อ่ะ”


“พี่สนอะเหรอ”


“อืม บอกว่าเพื่อนทำร้านคาเฟ่เปิดใหม่ที่นี่เลยมาแวะอุดหนุนหน่อยอ่ะ ช่วยเจิมร้านให้ประมาณนั้น”


“แล้วไหนพี่สนอ่ะ”


“อยากเจอเหรอ ถ่านไฟเก่ามอดไม่จริงสินะ”


“ถ่านไฟเก่ามอดแล้ว แต่ไฟแค้นที่มีให้สาจ๋ายังคุกรุ่นเลย เจอพี่สนแล้วจะชวนคุยเรื่องโมเดลรถที่พังซะหน่อย”  เพียงเท่านั้นคู่กรณีตัวดีก็เริ่มโวยวาย


“แอ้ยยยยย ทำไมเป็นคนขี้ฟ้องอย่างนี้ เราแค่อยากให้คืนดีกันหรอก”


“อะไรที่เป็นไปไม่ได้ก็คือเป็นไปไม่ได้นะโยม”  จริงๆกับสารินนั้นเราก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนต่อกันประมาณหนึ่ง


มันเริ่มจากการเป็นแฟนของพี่ชายเจ้าตัวแสบมาก่อนต่างหาก


“สา อ้าว…น้องฉัน”  ว่าแล้วคู่กรณีที่โมเดลรถพังก็เปิดประตูกระจกออกมาเรียกน้องชายที่เล่นตัวอยู่นานไม่ยอมเข้าไปเสียที และเขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้เจอกับแฟนเก่าที่ตอนนี้คือเพื่อนสนิทคนใหม่ของน้องชายเสียแล้ว


“หวัดดีครับพี่สน”


“ไม่เจอตั้งนาน สบายดีไหม”


“ก็สบายดีนะครับ”  อา…จะว่าไป


ก็สบายดีแต่มันก็อึดอัดนิดๆนะ


“เข้ามากินกาแฟหน่อยไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง”  ไม่น่าอึดอัดหรอก ก็แค่คนที่เคยรู้จักแต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากนะ เพราะถ้ารักกันจริง ก็คงจำได้ว่าแฟนเก่าของตนไม่ดื่มกาแฟ


“ถ้ายังงั้นฉันจะสั่งแพงๆเลย”  มันเป็นภาวะที่จะเรียกว่าขมก็ไม่ใช่ ฉันเพียงแค่คิดว่าเข้าไปดื่มกินด้วยก็ดี อย่างน้อยจะได้พิสูจน์ตัวเองจริงๆว่าหมดใจแล้ว แต่โดยคิดไม่ถี่ถ้วนจึงไม่เคยรู้เลยว่าเป้าหมายที่แฝงเร้นนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม


ในที่สุดตัวเองก็พาตัวเองเข้าไปในร้านที่ตัดใจไปแบบงงๆ…


“…”   


“สั่งเลยคุณฉัน เอาให้พี่สนกระอักอ้วกไปเล้ย”  สาจ๋าที่ไม่รู้อะไรก็เอาแต่เชียร์ ส่วนฉันนะเหรอ คาดว่าตัวอยู่ใกล้ แต่ใจหลุดไปโน้นแล้ว


“เอ่อ…”


“หรือจะรับเป็นชุดแซนด์วิชแบบวันนั้นดีครับ”  น้ำเสียงละมุนของผู้ชายที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้นทำให้ลมหายใจติดขัด ที่คิดว่าเขาจำไม่ได้นั้นไม่จริงเลย เขาจำได้และจำได้อย่างละเอียดด้วย


“อ้าว ฉันเป็นลูกค้าประจำเหรอ”  ในความเป็นจริงคือเคยมาแค่ครั้งเดียว แต่ในสายตาคนนอกที่ควรจะเคยรู้ใจอย่างสนกลับคิดเช่นนั้น


“คงเป็นเรื่องต่อจากนี้สินะครับ”  ไม่รู้คำถามนี้คือคำถามที่เอาไว้ตอบคนถาม หรือเอาไว้ถามกลับให้คนที่ถูกสมอ้างว่าเป็นลูกค้าประจำกันแน่ ฉันชนกรู้สึกเหมือนคอตัวเองมันเหนียวเกินทน นี่ตนมาซื้อกาแฟหรือมาถูกสอบสวนกันเนี่ย!


“เอาแซนด์วิชแบบวันก่อนและก็ชามะนาวก็ได้ครับ”  หลังจากหาปากและสมองของตัวเองเจอก็สั่งออกไป เจ้าของคำถามไม่ค่อยกำกวมเท่าไหร่นั้นยิ้มรับในคำสั่งซื้อก่อนจะกดคิดเงิน


ฉันชนกไม่คิดว่าแซนด์วิชที่อยากกินมาตลอดจะมาอยู่ตรงหน้าตัวเองง่ายๆแบบนี้เลย คนจ่ายเงินนั้นหายไปยืนคุยกับพนักงานร้านคนนั้น ได้ความจากสารินว่าเขาเป็นเพื่อนในชมรมเดียวกันอะไรสักอย่าง และไม่ใช่พนักงานแต่เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของร้านที่เข้ามาวางระบบและอื่นๆ


ฉันชนกพยายามท่องเนื้อเพลงในหัวเพื่อไม่ให้ตนเองรับฟังเรื่องไร้สาระพวกนั้นจนเกินไป พลางหยิบแซนด์วิชขึ้นมากิน แต่ค้นพบว่าเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับเจ้าของร้านที่ตนไม่อยากฟัง นั้นไหลเข้าระบบความทรงจำของตัวเองหมดแล้ว ทำไมสมองมีระบบเซฟอัตโนมัตดีกว่าคอมที่ทำงานแบบนี้ล่ะ


เขาชื่อว่า ไพร์ม....ใช่ไหม


“ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตอนพี่สนเรียนมหาลัยนั่นแหละ”  ซึ่งตอนนั้นเราสองคนเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ฉันยังไม่รู้จักสาเพราะยังอยู่ในระหว่างการตามจีบพี่สนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ยักกะรู้มาก่อนว่าคนที่ตนเคยชอบมากๆจะมีเพื่อนชื่อไพร์มด้วย


ไหนว่าฉันชอบพี่สนมากๆมาก่อนยังไงเล่า?


“แต่แบบไม่ใช่เพื่อนมหาลัยหรอก น่าจะรู้จักกันที่อื่นมากกว่า”


“อา…”  ซึ่งนั่นทำให้ฉันรับรู้อยู่อย่างเกี่ยวกับคนๆนี้ หากเป็นคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ก็แปลว่าเป็นคนที่อยู่ในด้านที่พี่สนไม่อยากให้รู้ เป็นด้านที่ไม่ดีต่อเด็ก สตรี และคนชราสักเท่าไหร่ และนั่นหมายความว่า


คุณไพร์มอะไรนี่อันตรายไม่ใช่น้อย…


“คุณฉันๆ” 


“อะ เอ่อ โทษที”


“คิดอะไรอยู่วะ ไหวป่ะเนี่ย”  ฉันนั้นเผลอคิดนู่นนี่จนแทบไม่ได้สนใจเจ้าหมากระเป๋าตัวนี้เลย แต่นั่นแหละใครมันจะฟังทัน การฟังที่มีคุณภาพคือฟังไปคิดไปนั่นแหละ รู้ไว้ซะ!


“คิดไปเรื่อยแหละสา”


“จริงเหรอๆ แซนด์วิชอร่อยไหม เราขอคำหนึ่งได้ป่ะ”


“ไม่ได้!”


“คุณฉัน…”


“ล้อเล่นน้า”  เมื่อนึกได้ว่าตนนั้นเกรี้ยวกราดเกินไป ฉันก็กลบเกลื่อนด้วยมุกประจำกาย เจ้าตัวดีที่เห็นเพื่อนอนุญาตก็หยิบขึ้นมากินหน้าตาระรื่นและนั่นสร้างความคุกกรุ่นในใจโดยแท้


เดิมทีฉันชนกที่ไม่เคยมีความเจริญอาหารสามารถแบ่งปันทุกอย่างที่เข้าปากเคี้ยวและกลืนได้ให้ทั้งเด็ก สตรี และคนชรา รวมทั้งหมาจรจัดอย่างเอื้ออารี ทว่าวันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว กิเลสดังกล่าวที่ไม่เคยมีมาตลอดชีวิตนั้นเหมือนพร้อมใจกันสะสมตัวมาเพื่อใช้วันนี้ ต่อมความริษยานั้นพากันทำให้วุ่นวายใจ ทว่าสีหน้ากลับยิ้มให้อย่างเป็นธรรมชาติ


ไม่เคยเคืองสาจ๋าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
เคืองยิ่งกว่าตอนที่สาจ๋าเดินมาบอกว่าพี่สนนอกใจ อย่าโง่คบต่อไปเลยเสียอีก!


“สา…ถ้าอยากกินก็สั่งมาใหม่สิ ไปแย่งฉันกินทำไม” ว่าแล้วพี่สนผู้ใจดีกับทุกคนแม้แต่แฟนเก่าก็เดินมาตักเตือน


“ก็สากินไม่หมด แย่งฉันกินดีกว่า”  ถ้าเป็นปกติจะจับป้อนเข้าปากเลย แต่นี่มันใช่ปกติที่ไหนกันเล่า


“ขอโทษฉันด้วยนะ น้องชายพี่วุ่นวายกับเราอีกแล้ว”  สนธยานั้นเอ่ยออกมา จริงๆเขาไม่ต้องเดินมาพูดนั่นนี่เลยก็ได้ กะแค่น้องชายคนเดียวที่เป็นเพื่อนสนิทของแฟนเก่า ฉันย่อมรู้และรับมือสารินได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว จะว่าเพราะเขามีน้ำใจก็ได้


ถ้าแววตาของเขาไม่ส่อความนัยบางอย่างออกมา


“ไม่เป็นไรหรอกครับ” แต่ฉันนั้นไม่อยากจะสานความนัยนั้นๆให้ยืดยาว กับสนธยานั้นเรามีประวัติต่อกันมามากเกินพอ…พอจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปิดโอกาสอีกครั้งจะดีกว่า


การแสดงออกทางสีหน้าและคำพูดอาจจะไม่ชัดเจน แต่สนธยาก็ไม่ได้ทุ่มเทให้กับการ ‘อ่อย’ เหยื่อเก่าของตนสักเท่าไหร่ ฉันชนกที่เติบโตขึ้นนั้นดูมีเสน่ห์ ในวันวานนั้นออร่าของเจ้าตัวไม่ได้แรงเท่าวันนี้ แต่อดีตส่งผลถึงปัจจุบัน ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีแนวโน้มอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนน้องชายในตอนนี้ สนธยาก็ไม่ทู่ซี้แต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาเขาก็พาสารินกลับไปด้วย คาดว่าคงมีธุระที่ต้องไปทำต่อ เมื่อคนแย่งของกินไม่อยู่แล้ว ฉันก็คิดว่าจะสั่งมากินอีก


แต่เจ้าของรอยยิ้มน่าลุ่มหลงนั้นกลับเดินมาหากันพร้อมกับจานอาหารในมือ


“กินแต่แซนด์วิชน่าเบื่อแย่เลย ลองทานคาโบนาร่าดูไหมครับ”  แม้แววตาของเจ้าของบริการจะไม่ได้ถ่ายทอดชัดเจนถึงเจตนาว่าคล้ายกับอดีตแฟนเก่าคนนั้นไหม แต่ฉันก็คิดว่าเขาช่างรู้ใจทีเดียว ฉันเป็นคนกินง่ายเพราะไม่เคยรับรสอะไรได้ วันนี้ก็ยังกินง่าย เพราะคาดหวังไปหมดว่าอะไรที่เขายกมา มันต้องอร่อยเป็นแน่!


“ขอบคุณมากครับ”


“เห็นลูกค้าชอบ พ่อค้าก็ชื่นใจครับ”  เขายิ้มให้ ประกายวิบวับในตาทำให้สัญชาตญาณนักล่าของฉันชนกทำปฏิกิริยา และคาดว่ามันออกจะชัดเจน กับพ่อค้าคนนี้นี่…อะไรๆก็ควบคุมยากไปหมด


เดิมทีฉันชนกที่เป็นลูกที่น่ารักของป๊ะกับคุณพ่อนั้นไม่ใช่เด็กไม่ดีอย่างนั้นเลย แม้จะมีคิดไม่ดีอยู่บ้าง ทว่าการกระทำล้วนไม่เคยแสดงออกเกินหน้าเกินตา ถ้าป๊ะรู้ว่าลูกรักมองผู้ชายด้วยสายตากระหายเช่นนั้น มีหวังน้องฉันโดนตีตายแน่ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่ออยู่ฉันชนกก็คิดว่าคุณคนนั้นน่ากินกว่าคาโบนาร่าที่เขาทำเสียอีก


“อืม…อร่อย” เปลี่ยนใจแล้ว คาโบนาร่าน่าจะอร่อยกว่า


ทว่าแทนที่จะกินอย่างมูมมามเพื่อบรรเทาความต้องการที่มากมายก่อนหน้านี้ ฉันชนกกลับเลือกที่จะละเลียดกินช้าๆ เฝ้ามองความเป็นไปของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา และลูกค้าที่เข้ามาในร้านเพื่อซื้อและกลับไป น่าแปลกที่ทั้งร้านมีเพียงตนที่นั่งอยู่


“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาคงรู้ว่าถูกมองอยู่จึงหันมาถาม ในตอนนี้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ได้แล้ว ฉันชนกจึงปั้นยิ้มที่คิดว่าน่ามองที่สุดออกไป


“รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยครับ ผมมานั่งนานแล้ว”


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”


“ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อกลับกันเหรอครับ”  หรือจริงๆแล้วฉันชนกก็ควรทำเช่นนั้น


“ครับ ปกติจะเป็นพนักงานออฟฟิศมาซื้อกลับไป วันหยุดอย่างนี้คนก็จะน้อยหน่อย”


“ร้านปิดวันไหนบ้างครับเนี่ย”


“ตอนนี้เปิดทุกวันครับ”


“เหนื่อยแย่เลย”


“ก็เฉพาะช่วงนี้ละครับ สักพักผมก็พักงานตรงนี้แล้ว”


อ้าว?!


“ต้องไปดูงานที่อื่นบ้างนะครับ ตรงนี้ผมแค่มาเริ่มให้ ช่วงสอนงานก็จะมาอยู่แบบนี้”


“ว้า…”  น่าเสียดาย


“ครับ?”


“อา…เปล่าหรอกครับ คือผมแค่เสียดาย นานๆที่จะได้กินอาหารถูกปาก”


“รู้สึกผิดนิดๆ แต่ว่าดีใจมากกว่าที่คุณลูกค้าชอบขนาดนี้”   ฉันเผลอหย่นจมูก และภาพปฏิกิริยาโต้ตอบของคุณลูกค้าก็ทำให้พ่อค้าหัวเราะออกมา เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็เขินหน้าแดง ปกติก็ไม่ใช่คนหน้าบาง แต่กลับคนหล่อก็ไม่แน่


เผลอยอมรับกับตัวเองอีกแล้วว่าคิดไม่ดี


สุดท้ายแล้วก็ให้เขาช่วยแนะนำอาหารมาให้อีกอย่างและซื้อกลับบ้านมาสองกล่อง ที่คอนโดของฉันชนกมีเครื่องไมโครเวฟอยู่และเป็นสิ่งที่ได้ใช้บ่อยๆเพราะแม้จะรับรสไม่ได้แต่ก็รับรู้ถึงกลิ่นเหม็นบูดและความเย็นของอาหารที่ถูกแช่เย็นไว้ จึงยังต้องมีเครื่องอุ่นทำความร้อนให้อาหารก่อนจะทานมันลงไป และอาหารสำหรับสองมื้อก็ถูกจัดใส่กล่องส่งมอบให้หลังจากชำระเงิน


“หวังว่าจะยังเทรนไม่เสร็จนะครับ ผมจะแวะมาบ่อยๆ”


“น่าเสียดายจังครับ คิดว่าอาทิตย์หน้าก็คงต้องไปแล้ว”  น่าเสียดายจริงๆ น่าเสียดายจริงๆ


จากนี้ไปฉันชนกคงต้องพยายามหักห้ามใจต่อสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกครั้ง


ร่างเล็กนั้นกลับมาที่ห้อง ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ไม่รู้ว่าอาหารจานหนึ่งมันดึงดูดให้คนเราอยู่ในร้านนั้นได้นานจนกระทั่งเย็นขนาดนี้ได้อย่างไร จริงๆแล้วฉันชนกกินเสร็จนานแล้ว แต่หนังสือ มือถือ และขนมหวานต่างหลอกล่อใจให้นั่งต่อก่อนจะจากลาอย่างน่าเสียดาย


“นี่เอาไว้กินมื้อเช้า ส่วนนี้มื้อกลางวัน”  ฉันหยิบกล่องอาหารจากถุงพลาสติก ตั้งใจจะแช่ตู้เย็นเอาไว้ไม่ให้เสีย ทว่าแผ่นกระดาษบางๆเล็กๆใบหนึ่งก็หลุดล่วงลงมา สะดุดตาให้หยุดกระทำสิ่งที่ตั้งใจและหยิบมันขึ้นมาดู


เป็นนามบัตรของร้าน
และเฟซบุคแอคเคาท์หนึ่งที่ถูกเขียนด้วยปากกาเพิ่มมา


“เผื่อคุณลูกค้าสนใจอยากติดตามผลงาน…งั้นเหรอ” มันถูกเขียนไว้เช่นนั้นด้วย


พ่อค้นคนนั้นได้บอกกันอยู่ว่าเขามีหุ้นอยู่ในธุรกิจหลายๆอย่าง และมักไม่อยู่กับที่ใดที่หนึ่งนานนัก  การติดตามเพจของร้านจึงไม่อาจจะช่วยให้เจอเขาโดยง่าย แต่การติดตามเฟซส่วนตัว สามารถระบุจุดที่อยู่ได้ไม่ยาก


“คิดว่าเราสนใจขนาดนั้นเชียวเหรอ”  ฉันชนกเค้นเสียงถามกับหน้าบัตรราวกับจะส่งไปให้ยังเจ้าของ แต่ใบหน้ากับเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อคิดถึงเจตนาที่ซ่อนเร้นของเจ้าตัว อยากกินก็อยากกินนะ แต่อายมากกว่า


ทว่าหลังจากค้นพบความสุขทางการกินครั้งหนึ่งก็พบว่าความเขินอายไม่ได้มีรสชาติที่อร่อยเท่าไหร่ หลังจากที่ไตร่ตรองดีแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงิน และเสิร์ชชื่อตามนามบัตรนั้น


‘Prime Phuwanai’


และอย่างที่พ่อค้าคนนั้นคาดไว้…
Chanchanok C. ได้ add friend


- - - - - -
อ่อยเก่งเหมือนที่ทำอาหารเก่งเลยอ่ะ
เอ๊ะ! ว่าแต่เขาอ่อยกันอยู่เหรอ?
- - - - - -


“บอสวันนี้อารมณ์ดีออกหน้าออกตานะครับ”  เด็กในร้านที่ดูจะใจกล้ากว่าคนอื่นๆนั้นกล้าทัก แต่เขาก็กล้ายอมรับเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริง เขาอารมณ์ดีที่หาลูกค้าประจำได้อีกราย


ที่มั่นใจว่าเหยื่อติดเบ็ดแล้วก็เพราะเห็นรีเควสเมื่อครู่นี้เลย


“ว่าแต่ลูกค้าที่บอสลงมือทำอาหารให้เองเมื่อครู่นี้…”


“ชู่ว…”  ไพร์มเลือกที่จะสั่งห้ามไม่ให้พูด เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ แต่จะอย่างไรรอบตัวของเขาก็ไม่ค่อยมีคนปกติอยู่แล้ว


อย่างที่เขาได้บอกอีกคนไป ไพร์มนั้นอาจจะทำงานที่ร้านนี้ แต่ก็มีงานอื่นๆที่เขาต้องทำเช่นกัน ด้วยธุรกิจของที่บ้านและความสนใจที่หลากหลาย จึงไม่แปลกที่จะนำเอางานอดิเรกต่างๆมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับยุคสมัยหรือสถานการณ์ เช่นการทำอาหารเป็นต้น


แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมลงครัวทำทุกจาน


แต่เพราะลูกค้าตัวน้อยแสดงใบหน้าอย่างนั้นมันเลยทำให้คนใจแข็งต้องอ่อนยวบ ในที่สุดครัวก็เรียกหาบอกกันว่าเลิกใจแข็งเสียที นายเอาไม่อยู่หรอก ยิ่งดวงตาวาววับที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงคู่นั้นมองมาอย่างอ้อนวอน มือไม้เขาก็สั่นไปหมด


“แม้แต่พี่เองก็ต้านทานไม่ไหวเหรอเนี่ย”  น้องคนหนึ่งนั้นนินทากันซึ่งๆหน้า แต่เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ความรู้สึก ไพร์มนั้นเจอะเจอคนมาหลายแบบ เขาถือเป็นตัวอย่างที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ ทว่าเจ้าของร่างเล็กซึ่งดูจะกลืนหายในฝูงคนกลับสะกดเขาได้


“ว่าแต่อาทิตย์หน้าพี่จะไปจริงๆแล้วเหรอครับ ผมยังอ่อนอยู่เลยพี่”  เด็กหนุ่มที่เขาจ้างให้มาดูแลร้านนั้นโอดครวญ แม้ว่าจะเจอลูกค้าที่ถูกใจแล้ว แต่การเดินทางของเขามันยังไม่จบสิ้น ภูวนัยยังต้องทำอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ธุรกิจของเขาไปได้ดี และเหมือนว่าจะได้ดีในกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางมากๆเสียด้วย


“ไม่เสียดายลูกค้าคนเมื่อกี้เหรอพี่”  ก็ยังคงโน้มน้าวแต่เขากลับส่ายหน้า ตารางเวลาของสัปดาห์หน้าถูกกำหนดไว้แล้วและคงเลื่อนไม่ได้


“ถ้ามีเวลาจะเข้ามาดูล่ะกัน อย่าทำร้านนี้เจ๊งล่ะ” และเขาต้องมีเวลาแน่ เพราะคิดว่าตัวเองจะมาพักที่นี่บ่อยๆ


จริงๆแล้วภูวนัยผู้ชื่นชอบการลงทุนหลายๆแบบและมักประสบความสำเร็จกับการทำนายตลาดต่างๆล่วงหน้า แม้แต่ตลาดอสังหา เขาก็ได้ยื่นขาเข้าไปลองดูด้วยนิดหน่อย จึงมีคอนโดอยู่สองสามห้องที่ยังไม่ได้ปล่อยขายในละแวกนี้เหมือนกัน ว่าจะขายแล้วเชียวเพราะมีคนติดต่อบอกว่าสนใจมา แต่ว่านะ…เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า เอาเป็นว่าตอนนี้…


เขาจะตอบรับคำขอเป็นเพื่อน ของคนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้
และสังเกตตลาดอารีย์ ว่า ‘น่าพอใจหรือไม่’ ไปก่อนแล้วกัน



TALK
มาเงียบๆแต่มานะจ๊ะเรื่องนี้ ._.



หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 2 10/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-02-2019 23:17:35
ไพรม์นี่ไม่ธรรมดา
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 2 10/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-02-2019 21:12:44
คุณไพรม์น่าจะร้ายไม่เบานะเนี่ย
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 2 10/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 14-02-2019 00:10:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 3 16/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 16-02-2019 13:44:17
3
- - - - - -
ไม่รู้ว่ายุ่งจนไม่ได้กิน
กับกินแล้วไม่รู้รส อะไรคือความทุกข์กว่ากัน
(π π)
- - - - - -


“น้องฉันเอาอะไรปะ พี่ลงไปซื้อกาแฟแป๊ป”  มนุษย์รุ่นพี่ที่ทำงานท่านหนึ่งกล่าวไว้ แต่ฉันชนกคอทองแดงที่ฟาดกาแฟไปแล้วสามแก้วไม่รับรู้อะไรเธอจึงเลิกราไปและเดินไปหากาแฟกระป๋องแก้วที่ห้าให้ตัวเองต่ออย่างที่ตั้งใจ สัปดาห์นี้ช่างวุ่นวายสมกับเป็นสิ้นเดือนที่มนุษย์เงินเดือนจะสิ้นใจ


เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ฉันชนกคิดว่าตัวเองไม่ได้มีเวลาส่วนตัวเลย ต้องขอบคุณความชินชาด้านการกินที่ทำให้ไม่เรื่องมาก แต่ทั้งนั้นความสามารถด้านการรับรสก็ไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาทางการทำงานดีขึ้น หลุดจากตรงนี้ไปได้ ฉันสัญญาว่าจะนอนโง่ๆทั้งวัน ต่อให้เน่าคาเตียงก็จะไม่ฉุดตัวเองขึ้นมา


“กลับล้าวววววว!!!”  เป็นไทแล้ว!หลังจากส่งเมล์ฉบับนี้เสร็จ ฉันก็จะไม่ไว้หน้าใครอีกแล้ววววว


“ไอ้ฉันนนนน!!!!!”


“บายครับพี่ๆ”  ให้น้องกลับบ้านเถอะ น้องมีตัวเองที่ต้องกลับไปดูแลเหมือนกันนะ!


ใครว่าคนโสดไม่มีใครให้ต้องกลับไปหา อย่างน้อยก็ตัวเองไงที่ต้องกลับไปดูแลตัวเอง ฉันชนกนั้นไม่เคยโสดสนิทได้ขนาดนี้ ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยตนจัดได้ว่าเป็นอีกคนที่มีคนคุยด้วยไม่ขาดสาย แต่เพราะรสนิยมที่อธิบายไม่ได้ทำให้เลือกรับใครเข้ามายากจนได้ชื่อว่าเป็น ‘คุณฉันจอมเรื่องมาก’ แต่นั่นก็เป็นอดีตเสียแล้ว


เพราะปัจจุบันนี้แม้แต่มดสักตัวก็ไม่มีมาไต่แขน
เฮ้! ฉันมั่นใจว่าอาบน้ำทุกวันนะ แต่บางวันก็อาบแค่…หนึ่งครั้ง (._.)


“เหนื่อยจังโว้ย”  หลังจากพาร่างตัวเองกลับมาถึงคอนโด ฉันก็แทบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นลิฟท์ วันก่อนที่เจอพี่สนกับสาจ๋าก็มีโอกาสจะสานต่อกันอยู่หรอก แต่เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ตนคิดได้ว่าอยู่คนเดียวดีกว่าอยู่กับใครบางคน พี่สนไม่ได้แย่ แต่ระบุไม่ได้ว่าเขาเจ้าชู้หรือไม่ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เราเลิกกันนะ


เพราะสาจ๋าใช่ไหม…


“เฮ้อ”  น่าแปลกที่ฉันชนกไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เพราะเอ็นดูเพื่อนจนไม่อาจจะโกรธเคืองได้ หรือจริงๆแล้วพี่สนก็แค่ไม่ใช่จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องแคร์หรือเปล่า เรื่องมันจบมานานแล้ว ฉันไม่ได้นึกเสียดายอะไรเลย แต่ตอนนี้แค่อ่อนไหวนิดหน่อย และมันจะเป็นแค่ตอนนี้


ตอนที่ไม่มีคนดูแลในตอนที่เหนื่อย


“มาม่าก่อนนอนก็ดี” อวัยวะเดียวที่เคลื่อนไหวได้ดีแม้ยามเหนื่อยยากคือน้ำย่อย ขยันกัดกระเพาะนักเหนื่อยจนไม่มีแรงทำอะไรแล้วก็ยังกัดอยู่นั้น จะประท้วงไม่กินก็ไม่ได้ กัดหนักกว่าเดิม นี่น้ำย่อยหรือหมา กัดเก่ง…


ถึงจะเหนื่อยและพร้อมจะลงเตียง ทว่าก็รู้ตัวดีว่าตนนั้นเหนื่อยเกินกว่าจะข่มตาหลับ ลิฟท์ถูกเปิดออกแล้ว และร่างที่เหมือนจะไร้วิญญาณก็พาตัวเองกลับห้อง ทว่ากลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากห้องๆหนึ่งที่ถึงก่อนห้องตนก็ทำให้ชะงัก ที่คิดว่าจะกินมาม่าที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว ยามนี้มีบางอย่างที่หอมกว่ามากลอยมา น้ำตาก็พาลจะไหลด้วยน้อยใจในชะตาชีวิต


กึก!


“หยา…”  ทว่าประตูห้องที่เปิดแง้มๆนั้นกลับเปิดกว้างออกมาโดยไม่ส่งสัญญาณบอก มนุษย์เงินเดือนที่ทำโอทีหนักมากจึงเหมือนถูกฉุดขึ้นลงราวกับนั่งรถไฟเหาะ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองกันไปมา


ค้นพบว่าเพียงเสี้ยววิก็ดึงดูดกันกว่าที่คิด


“คุณไพร์ม…”  ฉันหลุดออกมาก่อน ถือว่าแพ้เลยได้ไหม ปกติก็ไม่เคยเรียกเขาแบบนี้


“สวัสดีครับคุณฉัน”  เขาที่อยู่ในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขาสั้นยิ้มให้ ฉันชนกนึกอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายในใจ ทำไมต้องมาเจอที่นี่ ตอนนี้ ในสภาพที่ไม่ต้องกัดลิ้นให้ตายก็เหมือนขึ้นอืดตายไปหลายวันแล้วด้วย!


เขากำลังจะเอาขยะลงไปทิ้ง ไม่รู้คิดยังไงถึงอยากเอาลงไปตอนค่ำมืดดึกดื่นแบบนี้ ทว่าเมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอกับคนคุ้นหน้าที่มายืนเงียบๆดูไม่น่าไว้ใจแถวๆประตูห้อง พอเปิดออกมาดูและรู้ว่าใครก็พบว่า…ไม่ใช่คุณเขาหรอกที่ไม่น่าไว้ใจ เขาต่างหากที่ไม่น่าไว้ใจเสียยิ่งกว่า


“คุณไพร์ม…เอ่อ อยู่ที่นี่เหรอครับ”  ฉันไม่เคยเจอเขามาก่อน


“เพิ่งย้ายมาครับ” 


“บังเอิญจังนะครับ” มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆคือไพร์มนั้นมีเหตุผลให้ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่บ่อย และหนึ่งในวิธีเดินทางที่ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัวคือรถไฟฟ้า เช่นนี้อารีย์ก็ถือว่าเป็นย่านที่น่าสนใจไม่น้อย


“คุณฉันเพิ่งเลิกงานเหรอครับ”  เขาซึ่งอยู่ในชุดที่สามารถกระโดดขึ้นเตียงได้ทันทีกำลังจ้องมองคนที่หากไม่อาบน้ำคงจะหลับไม่ลง ฉันชนกอยู่ในชุดทำงานเต็มคราบ ทว่าความเยินสิ้นเดือนทำให้เสื้อยับไปหน่อย เนคไทยานไปนิด และชายเสื้อเก็บเข้าในกางเกงไม่หมด พอถูกมองเช่นนี้…ก็รู้สึกหวั่นไหวประหนึ่งถูกตรวจระเบียบชุดสมัยเรียน


“แฮะๆ  สิ้นเดือนนะครับ”  สำหรับพนักงานแผนกการขายที่ต้องส่งยอด เตรียมการขายต้นเดือนหน้าที่ลูกค้าจะเรียกของรัวๆ สรุปสต็อค และอื่นๆ สิ้นเดือนถือว่าเป็นช่วงพีคที่สุดเท่าที่จะนึกออก เงินเดือนที่ได้มาก็ยังไม่มีเวลาว่างไปใช้ ขนาดจะหาของกินดีๆให้สมกับความเหนื่อยยาก สุดท้ายมีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องกลับมาพึ่งมาม่าคัพที่จิ๊กจากโต๊ะเจ้านาย


“ชอบกินมาม่ารสนี้เหรอครับ”


“แฮ่ ผมแค่หยิบติดมือมา เอาจริงๆก็ยังไม่เคยชิมเลยครับ”


“คุณฉันกินข้าวยังครับเนี่ย?”


“อา…นี่แหละครับข้าวผม”


“กินมาม่าดึกๆอย่างนี้จะไม่สบายท้องนะครับ”


“แฮะๆ ผมกินเอาความสบายใจครับ”  ฉันก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่เห็นอย่างนี้ก็ไม่ค่อยมีทางเลือกนักหรอก ไหนๆก็รับรสไม่ได้จะไปเรื่องมากทำไม โซเดียมแรงแค่ไหนก็ไม่สะเทือนใจกันสักนิดเลย


“ถ้างั้นไม่รังเกียจมานั่งกินซุปข้าวโพดที่ห้องก่อนไหมครับ”


“ครับ?”


“อา…แต่นี่ก็ดึกแล้ว คุณฉันคงอยากพักผ่อน เดี๋ยวผมตักใส่ถ้วยให้นะครับ”  เขาไม่รอให้ฉันชนกที่สมองเยินจนคิดอะไรไม่ออกได้ตอบออกมา ภูวนัยได้ทิ้งถุงขยะที่เป็นภารกิจหนึ่งเดียวของเขาไว้หน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูออกกว้างและเดินกลับเข้าไป  “คุณฉันรอสักครู่นะครับ”  และฉันที่ทั้งเกรงใจแต่ก็ตระกละก็เลยได้แต่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าห้องคนแปลกหน้า นี่ถ้าป๊ะรู้เข้า น้องฉันต้องโดนด่าจะหูอื้อไปสามวันแน่นอน


กลิ่นหอมๆที่ลอยมาทำให้ริมฝีปากกระตุกยิ้ม แค่คิดว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไร หัวใจก็อิ่มฟูไปหมด ร่างสูงของคนที่วันนี้ดูสบายตาเป็นพิเศษนั้นเดินกลับมาหา ในมือของเขามีถ้วยซุปอุ่นๆที่ดูแล้วไม่น่าจะยกกลับไปเองได้หากอยู่ในสภาพหอบฟางเช่นนี้ ในที่สุดฉันชนกจึงไม่ได้เป็นคนถือมันกลับไป


แต่รบกวนให้ผู้มีพระคุณต่อชีวิตน้อยๆนี้ยกไปให้ที่ห้องอย่างนั้น


“เอ่อ…ขอบคุณมากนะครับ ว่าแต่…ผมเรียกคุณไพร์มได้ใช่ไหม”  ฉันที่วางของลงกับพื้นนั้นค้นหากุญแจห้อง เพื่อไม่ให้ตนโชว์เด๋อจนเก้อจึงชวนคุยโดยไม่แม้แต่จะสบตา


“ได้สิครับ ผมยังเรียกว่าคุณฉันเลย”  เรามาถึงจุดที่เรียกชื่อเล่นกันโดยไม่ได้ขอได้อย่างไร ก็คงเพราะว่าเรากระโดดมาแอดเฟรนด์กันในเฟซก่อนที่จะเป็นเพื่อนกันจริงๆ ปกติโซเชี่ยลมีเดียของฉันก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมาย คนที่ได้เห็นว่าตนกำลังทำอะไรอยู่จึงมักเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่ใกล้ชิด แล้วนี่ทำไมใจง่ายแอดผู้ชายที่ไม่รู้จักไปก่อนอย่างนี้


ไม่แรดก็เห็นแก่กินนั่นแหละ พูดเลย…


“ขอบคุณคุณไพร์มมากนะครับ”  ฉันนั้นเอ่ยออกมา หลังจากที่ประหม่าจนคิดว่าได้ใช้เวลาหากุญแจห้องนานกว่าเดิมถึงสองเท่าตัวไปแล้ว


“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมทำไปฝากเพื่อนร่วมงานพรุ่งนี้ ยังเหลืออีกเยอะเลย ยังไงคุณฉันมาเคาะห้องตอนเช้าผมจะตักให้อีกนะ” 


“อา…ครับ”


“ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ”  ไพร์มนั้นส่งถ้วยซุปให้กันก่อนจะยิ้มให้ ทว่าฉันชนกผู้คิดมากกว่ามนุษย์คนอื่นทั่วไปกลับรั้งไว้


“เอ่อคุณไพร์มครับ”


“ครับ?”


“ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมเลี้ยงชากลับหน่อยนะครับ”  พูดอะไรของแกนะไอ้ฉัน แกจะเลี้ยงชาให้คนที่เปิดร้านกาแฟและขายชาเลี้ยงชีพอย่างนี้ไม่ได้นะ!


“อา…ครับ”


“เอ่อ แต่ถ้าคุณไพร์มไม่สะดวก”


“พูดอะไรอย่างนั้นกันครับ ผมต้องสะดวกอยู่แล้ว”


“ฮื้อออ…”  แต่ตอนนี้เจ้าของห้องชักไม่สะดวกซะแล้ว


“ถ้างั้นรบกวนคุณฉันหน่อยละกันนะครับ”  อย่างไรก็ตามฉันชนกเอ่ยชวนก็จริง


แต่ไม่ได้หมายความว่าให้มาวันนี้เสียหน่อย!


ทว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นก็ต้องชำระ โชคดีที่ช่วงนี้งานยุ่งมาก ฉันชนกเลยไม่มีแม้แต่เวลาจะทำห้องรก หลังจากเชิญแขกที่ยังให้ความรู้สึกแปลกหน้าต่อกันเข้ามา ฉันชนกก็เพิ่งทราบได้ว่าที่ทำไปทั้งหมดนี้มันคือการอ่อย ป๊ะตีแน่ ไอ้น้องฉันเอ๋ย!


“คุณฉันมีชาหลายแบบนะครับ”  ส่วนใหญ่ก็เป็นชาซองยี่ห้อที่คุ้นเคยกันดี ที่ฉันชอบดื่มไม่ใช่เพราะอร่อย แต่เพราะมันหอมเลยคิดไปเองว่ามันคงอร่อย แต่จริงๆก็เคยได้ยินว่ามันไม่มีรสมีแค่กลิ่น ตอนหลังจึงยิ่งชอบเพราะการดื่มชาทำให้รู้สึกเท่าเทียมกับคนทั่วไป


เราคุยกันเกี่ยวกับพื้นที่แถวนี้ ภูวนัยนั้นย้ายมาอยู่ชั่วคราวเพราะบ้านเขาอยู่ไกลมาก ธุรกิจที่ขยายช่วงนี้อยู่ตามไลน์รถไฟฟ้า จะให้ฝ่ารถติดเข้ามาคาดว่างานคงไม่เดิน ฉันชนกเห็นด้วยกับการที่เขาย้ายมา ไม่ใช่เพราะว่าจะได้มีที่ฝากท้องแต่เพราะเห็นใจ


“ดีแล้วละครับที่ย้ายมา ถ้าร้านหนึ่งอยู่ที่แถวบางนา จะให้วิ่งมาสุขุมวิทและไปสาทร แล้วย้อนกลับมาที่อารีย์ ค่าทางด่วนคงแพงมาก”


“จริงๆขับรถนานๆผมเบื่อครับ”


“ดีแล้วครับ ต่อไปฉัน เอ้ย!ผมจะได้อุดหนุนสะดวก”  ฉันก็พูดไปงั้น แต่ลึกๆก็คาดหวังจนเนื้อเต้น


“จริงๆถ้าคุณฉันอยากกิน ผมก็ยินดีนะ คือผมทำอาหารกินเองอยู่แล้ว”


“ไม่ดีกว่า รบกวนคุณไพร์มแย่”


“ไม่เท่าไหร่เลยครับ ผมสิทำมาแล้วทิ้ง น่าเสียดาย แถมคุณฉันช่วยออกค่าวัตถุดิบอีก ผมว่าคุ้มนะ” ไพร์มนั้นดูออกว่าเหตุใดเหยื่อหารค่าข้าวของเขาจึงปฏิเสธ แล้วใครว่าจะให้ฟรีกันล่ะ ในเมื่อเราสามารถปัดเข้าไปสู่บทสนทนาที่ทำให้วินกันได้ทั้งสองฝ่าย


ขณะเดียวกันฉันชนกก็รู้สึกสบายใจที่จะขอกินฟรีง่ายขึ้น ในเมื่อหน้าที่การจัดการเรื่องวัตถุดิบเป็นของตน กินเยอะกินฟรีแค่ไหนก็สบายใจได้ แววตาที่เป็นประกายของเด็กหนุ่มทำให้เจ้าของข้อเสนอยิ้มกริ่ม เขารีบปิดดีลลงในทันที


“คุณฉันบอกได้หมดครับว่าอยากกินอะไร ทำไม่เป็นก็จะลองทำให้ ผมชอบทดลองอะไรใหม่ๆอยู่แล้ว”


“ถ้างั้นรบกวนคุณไพร์มด้วยนะครับ” ภูวนัยมีความสามารถในการโน้มน้าวที่เก่งจนหาตัวจับได้ยาก นับประสาอะไรกับลูกไก่ที่เห็นแก่กินตัวเดียว เราพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยคำขอลา ในส่วนของฉันนั้นก็พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ที่รับรู้มีเพียงซุปข้าวโพดอร่อย


หลังจากแทบจะเลียถ้วยซุปจนหมด เจ้าตัวก็ไปจัดการตัวเองอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะกระโดดลงเตียงราวกับว่าโหยหามันมาทั้งชีวิต เพราะอาหารอุ่นๆที่ไม่หนักจนเกินไปช่วยเยียวยาความหิวของท้องไส้จึงทำให้หลับสบาย ทว่าในอีกห้องที่อยู่ถัดๆไปนั้นเอง…


“ไพร์ม”  เสียงของคนที่โทรมาหาไม่ได้มีวี่แววว่าจะง่วงหงาวหาวนอนแต่อย่างใดแม้นี่จะดึกมากแล้ว นอกจากนั้นเขายังได้ยินเสียนดนตรีดังลอดออกมา บ่งบอกสถานที่ที่ปลายสายอยู่


“ว่าไงวะจักร”


“มีคนบอกว่ามึงย้ายไปอยู่ห้องเท่ารูหนูที่อารีย์”


“อา…ข่าวไวจังนะ”


“คิดจะทำอะไรของมึงน่ะ”  นั่นสิ อะไรคือเหตุผลให้คนอย่างภูวนัยลงทุนย้ายออกจากรังลับมาอยู่ในสถานที่ที่วุ่นวายอย่างที่นั่น ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่อย่างที่ดึงดูดกันได้ และนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจมากๆ  “ปกติแกไม่ได้สนใจจะลงมาทำด้วยตัวเอง แสดงว่าคราวนี้ต้องพิเศษมาก”


“พิเศษในรอบหลายสิบปีเชียวแหละ”


“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”  ปลายสายชักรู้สึกสนุกสนานตามไปด้วย “ว่าแต่เป็นไทป์ไหนวะ”  เขาอยากรู้จนเนื้อเต้น


“หมายถึงอะไรที่ทำให้กูมาอยู่ที่นี่นะเหรอ”


“อย่าลีลา”  ท่ามากเหลือเกิน จักรภพนั้นทำเสียงเหนื่อยหน่าย ภูวนัยเพียงแค่หัวเราะออกมาน้อยๆ


“ผู้ล่า”


“หะ…”  จักรภพไม่เชื่อหู  “แค่ผู้ล่าเนี่ยนะ”


“ส่วนกูก็เหยื่อที่ถูกล่าไง”


“อะไรของมึง”  มีเหยื่อที่ไหนที่พยายามเอาตัวไปใกล้ผู้ถูกล่า แม้ภูวนัยไม่อธิบายต่อ เขาก็มองออกว่าผู้ล่าที่ว่านี้คงมีความพิเศษไม่ใช่น้อย แต่ถ้าเพื่อนไม่บอก เขาก็ไม่คิดจะซักถามต่อ เพราะอะไรนะเหรอ เพราะเขาเบื่อไอ้ขี้เต๊ะจุ๊ยนี่ไงล่ะ!


“เอาเป็นว่าตอนนี้ยังเป็นแค่สมมติฐาน”  และไพร์มเป็นนักวิจัยที่หากยังไม่มั่นใจก็จะไม่ถ่ายทอดไอเดียออกไปเพราะวันหนึ่งมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ อย่างว่า…ภูวนัยไม่ใช่ชื่อของคนที่อดทนกับอะไรนานๆ เว้นเสียแต่ว่าผลตอบแทนน่าพอใจ


หลังจากวางสาย เจ้าของร่างสูงก็เดินเข้าไปในห้องนอน เขาเปิดลิ้นชัก หยิบเอาอุปกรณ์ขนาดพกพาที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตออกมา วันนี้เลือดของเขามันมีปฏิกิริยาเป็นพิเศษ อาจจะเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อมกับ ‘การเล่นไล่จับ’


ฉัน…ฉันชนก ที่แปลว่าเหมือนพ่อ…


“คุณนักล่าผู้น่าสงสาร”  เขายิ้มหยัน เลือดในกายเดือดผล่านทุกครั้งที่เห็น หากคนที่เขามองเป็นผู้ล่ารู้เข้า ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะคิดอย่างไร แต่สายไปแล้วเพราะดันมายอมคบค้าสมาคมกับ ‘มนุษย์ที่ไม่ปกติ’อย่างเขา


หากฉันชนกผู้นั้นจะมองกันเป็นของกินอันโอชะ ไพร์มที่ยืนนิ่งเป็นเป้าให้อีกคนเข้ามากัดกินนั้นก็คงยิ่งกว่ายินดี จะอธิบายอย่างไรดี แต่ว่าเขาไม่ใช่พวกมาโซคิสม์เช่นนั้นเลย


สปาเก็ตตี้มีทบอล อาหารหลอกเด็กมื้อเย็น…เขาคิดถึงเมนูสำหรับพรุ่งนี้ ทว่าดวงตากลับมองเลยไปยังผนังห้อง ไม่แม้แต่จะสนใจสายยางที่กำลังขนถ่ายเลือดออกไปใส่ในภาชนะบรรจุที่ถูกทำไว้เพื่อรักษาคุณภาพของของเหลวในร่างกาย ไพร์มไม่ต่างจากคนป่วย แต่เพราะการดูแลตัวเองอันดีเยี่ยม เขาจึงมีชีวิตยืนยาวกว่า ‘มนุษย์ปกติ’ ทั่วไปแต่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์แบบไหน สถานะของเราก็คือผู้ถูกล่าอยู่ดี


ทว่าผู้ถูกล่า มักจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวเก่งเพื่อความอยู่รอดเสมอ
และในบางกรณีก็สามารถผลักดันตัวเองขึ้นไปสู่จุดที่เหนือกว่าห่วงโซ่อาหารทั้งปวงได้เช่นกัน


- - - - - -
ทำไมภาระที่ชื่อว่านอนโง่ๆทั้งวันมันทำยากจัง
(○-_-○)
- - - - - -


ฉันที่คิดว่าตนคงจะหลับสนิทจนสกิปเช้าวันเสาร์ไปตื่นอีกทีวันอาทิตย์กลับตื่นขึ้นในยามสาย…
ของวันเสาร์…ไม่ใช่วันอาทิตย์ที่ตั้งใจ


“ฮื้อออออออ”  ฉันจะนอน ฉันจะนอน วันที่ฉันจะงอแงโวยวายงี่เง่าหนึ่งวันเหมือนเพื่อนฉันที่ชื่อสา แต่ว่าทำไปก็ไม่มีใครเห็นใจเพราะไม่มีใครมาเห็น


คนตัวเล็กที่ตบตีกับหมอนข้างบนเตียงเพราะพยายามกลับไปหลับเท่าไหร่ก็ไม่ไป ที่เหลือทิ้งไว้คืออาการเพลียจัดแต่หลับไม่ได้ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายกาย เล่นมือถือจนผ่านไปเป็นชั่วโมงจึงมั่นใจว่าตนตื่นดีแล้วเลยลุกขึ้นมาจากกองผ้าเน่า เปิดตู้เย็นหยิบน้ำเย็นๆขึ้นมาดื่ม และก็คิดว่าถ้านอนโง่ๆไม่ได้ งั้นนั่งโง่ๆทั้งวันก็ได้วะ


ทว่าเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ทำให้คนนั่งโง่ต้องกลับมาใช้ความคิด ใครกันที่มาเคาะประตูห้องแบบนี้ในเช้าวันเสาร์ แต่คิดไปก็ไม่มีไอเดียอะไรดีๆ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน


“ครับ”  เพราะคิดให้ตายก็คิดไม่ออกจึงเลือกเดินไปเผชิญหน้า และก็พบว่าคนๆนี้เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ในชีวิตตอนนี้


“เพิ่งตื่นเหรอครับ”  ภูวนัยที่ดูสดชื่นสดใสแม้ว่าจะนอนดึกสักเท่าไหร่ทำให้ฉันที่อยู่ในชุดนอนเน่าๆนึกอย่างกลั้นหายใจตาย ทว่ายังไม่ทันตายเขาก็ปลุกกันด้วยซุปค้างคืนที่ถูกอุ่นมาให้อย่างดี  “ตามสัญญาครับ”  ใครไปสัญญากับคุณน่ะคนบ้า!ไม่มีใครแถวนี้เห็นแก่กินสักหน่อย


“ขอบคุณคุณไพร์มนะครับ”  มีแต่แมวเห็นแก่กิน เมี้ยววววววว


“ทานให้อร่อยนะครับ เดี๋ยวเจอกันมื้อเย็น”


“คร้าบบบบ”  ฉันชนกยิ้มหน้าทะเล้น ลืมความมึน เบลอและเพลียของตนไปจนหมด


ภูวนัยจากไปแล้ว เขาย้ายมาที่นี่ด้วยเหตุผลทางการทำงานจริงๆ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องออกไปจากห้องพักแต่เช้าในวันเสาร์ ทว่าในขณะที่ ‘แมว’ กำลังละเลียดซุปข้าวโพดที่อร่อยที่สุดในชีวิต สลับกับกินขนมปังปิ้งที่นอกจากจะหอมเนยแล้วยังให้รสที่เค็มมันกำลังดีอยู่นั้น ใครบางคนกำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล


ฉันชนกที่คิดอยู่ไม่กี่เรื่องต่อวันไม่มีทางคาดถึงได้ในเส้นทางที่ตนถูกใครบางคนเบี่ยงให้เดินมา มนุษย์ธรรมดาที่เป็นมาตลอดชีวิตคงไม่มีวันคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่ไพร์มไม่ใช่คนที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตน้อยๆไปยังหนทางที่แสนน่าพิศวงแต่อย่างใด กลับกันเขาแค่…


พยายามดึงใครบางคนกลับไปยังเส้นทางนั้น
แบบที่มันควรจะเป็นต่างหาก



TALK
ในขณะที่น้องฉันสดใสดอกไม้บาน อีพี่ไพร์มก็ดูมีเลศนัยยังไงก็ไม่รู้นะคะ
สำหรับคนแต่งนิยายสายอวยอย่างเรา บอกตรงๆว่าก็ยังไม่รู้เลยค่ะว่าหนทางที่พี่ไพร์มว่าจะเป็นยังไง
แต่เท่าที่เข้าใจคือมันจะธรรมดาไม่ได้แล้ววววววววววววววว
และเรามีเรื่องจะประกาศ ตอนนี้น้องฉันกับพี่ไพร์มจะได้รับดูแลกับสนพ.peachypie นะคะ
หวังว่าในอีกไม่นานเกินรอตอนต่อๆไปจะมาและเราจะเห็นรูปเล่มดีๆกันนะคะ







หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 3 16/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-02-2019 21:04:02
ไพร์มย่อมาจากแวมไพร์มปะเนี่ย 5555
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 3 16/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-02-2019 21:28:49
คุณไพร์มไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เป็นแวมไพร์หรอ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 3 16/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 21:32:08
ไพร์มร้ายอะ เอาของกินมาล่อน้องฉันตลอดเลย
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 3 16/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 21-02-2019 04:04:15
สับสนนิดนึงค่ะ ไพรม์ไม่ใช่คนปกติ แล้วเป็นอะไร
แวมไพร์หรอคะ มีถ่ายเลือดด้วย
ที่บอกว่าจะพาฉันกลับคืน คือฉันก็เป็นหรอ

ฉันเอ้ยย เป็นทั้งน้องฉันและฉันแบบร้ายๆ
มีความสับสนในตัวเอง 55555
เกิดจากอะไรที่ไม่รู้รสเลย แล้วทำไมไพรม์ทำให้ฉันถึงรู้
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 4 23/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 23-02-2019 19:17:13
- - - - - -
ฉันไม่ได้เห็นแก่ผู้ชาย
ฉันแค่เห็นแก่กิน!
p(Ò ‸ Ó)q
- - - - - -

“เดี๋ยวนี้เสาร์อาทิตย์คุณฉันไม่ค่อยว่างเลยเนอะ”  สาจ๋าที่โทรไลน์มาหานั้นบ่นงั้นงี้ แหมมม…คนเราก็ต้องทำมาหากิน


“คุณฉันไม่ค่อยว่างอ่ะ”


“แล้วนี่อยู่ไหน เราได้ยินเสียงประกาศเหมือนอยู่ห้างเลยอ่ะ”


“ก็…อยู่ซุปเปอร์แถวบ้าน”


“ง่ะ คุณฉันเข้าซุปเปอร์ด้วยเหรอ?” 


“เฮ้ย! เข้าดิ ก็ต้องซื้อของใช้บ้าง”


“ฉันครับ หยิบเห็ดชิเมจิตรงนั้นให้หน่อย”  ทว่าเสียงที่พูดแทรกนี้ก็ทำให้สาที่โทรมาถึงกับหุบปากฉับ คนเรา…ไหนบอกมาซื้อของใช้


“เอ่อ สาจ๋างั้นแค่นี้ก่อนเนอะ”  มันมีพิรุธ เหมือนจะมีความผิด แม้ไม่เห็นหน้า แต่สาจ๋ากำลังหรี่ตาทำหน้าไม่ไว้วางใจอยู่ คุณฉันทำตัวแปลกๆนะเนี่ย!


ในส่วนของผู้ต้องสงสัยนั้นไม่อาจจะพูดออกมาชัดๆได้ว่าทำไมตนต้องทำตัวแปลกๆ อาจจะเพราะสาจ๋ามีรีแอคชั่นที่ใหญ่มากจนคิดว่าไม่สามารถรับมือไหวตอนนี้ที่มีใครบางคนเดินเข็นรถเข็นอยู่ข้างๆในซุปเปอร์แถวบ้าน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราออกมาด้วยกัน และไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกไม่ปกติต่อกัน แต่ก็ยังออกมาทั้งๆที่ไม่รู้อะไร


“คุณฉันอยากกินอะไรอีกไหมครับ”  คนบ้า…พูดเพราะทำไมนักหนา


“ฉันอยากใส่ข้าวโพดอ่อนด้วย”  แล้วนี่ทำไมต้องใจง่าย แล้วนี่ทำไม…


ถึงแทนตัวว่าฉันลงไป!!!


“งั้นหยิบเลยครับ ไพร์มใจดีอยู่แล้ว”  แค่นี้ไม่เห็นต้องแซวเลย!


อย่างที่บอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรก หลังจากที่เซ็นสัญญาผูกปิ่นโตกับเจ้าของห้องเกือบข้างๆ ชีวิตวันเสาร์ที่ปกติจะนั่งๆนอนๆโง่ๆทั้งวันก็เปลี่ยนไป…


มันเริ่มจากการที่เขาชวนไปกินที่ห้อง ฉันที่อิ่มฟรีก็เลยล้างจานให้ ทำไปทำมาก็ขยับมาเป็นผู้ช่วยทำครัว ไปๆมาๆเขาก็ยุ่งๆจนหวิดไม่ได้ทำข้าวกิน ฉันที่เห็นว่าตนยังไม่ได้หารเงินอะไรเลยอาสาไปซื้อวัตถุดิบมาให้ แต่พอช่วงมรสุมของคุณชายไพร์มผ่านไป เขาก็ติดสอยห้อยตามมาซื้อด้วย


ลำดับความใกล้ชิดก็ประมาณนี้แล…


วันนี้เราตกลงว่าจะกินชาบู แต่เพราะประสบการณ์กินชาบูที่ไหนก็ไร้รสของฉันชนก ภูวนัยจึงตัดสินใจทำมันด้วยตัวเองเราจึงมาเลือกซื้อวัตถุดิบ น่าแปลกที่หลายครั้งก็พยายามมองดูวิธีการหรือขั้นตอนต่างๆละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ดูพิเศษโดดเด่นอะไร น่าแปลกที่ทำไมอะไรๆก็อร่อยไปหมดเลยแค่ได้ชื่อว่าผ่านมือผู้ชายคนนี้


“ฉันล้างผักทีครับ”  นอกจากใจง่าย ใช้ทำอะไรก็ว่าง่ายไปอีก


กลายเป็นคนเห็นแก่กินแบบที่อะไรก็ฉุดไม่อยู่เสียแล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็มานั่งที่โต๊ะและคีบสิ่งที่น่าสนใจในหม้อมาไว้ในชามของตัวเอง แต่เดิมชุดจานชามของฉันก็เหมือนของเขา แต่ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เจ้าของห้องมักหยิบจานรูปแอปเปิ้ลที่ตั้งอยู่ท่ามกลางจานสีขาวใบอื่นมาให้ใช้


ก็เหมือนกับฉันที่ดูโดดเด่นท่ามกลางความแตกต่างอื่นๆห้องของภูวนัย


“คีบให้ครับ”


“ไม่กินได้ไหม”  หลังจากที่ได้ลิ้มรสที่แท้จริงของอาหารและวัตถุดิบแต่ละประเภท คนที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องรสชาติก็เริ่มจะเลือกกิน ผักก็อร่อยนะ แต่เนื้อสัตว์อร่อยกว่า ต่อจากนี้ว่าสาจ๋าไม่ได้แล้ว เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่าทำไมผักถึงไม่น่ากิน


“ไม่ได้ครับ คนทำเสียใจแย่”


“ก็ช่วยกันทำหรือเปล่าอ่ะ” 


“ได้ยินนะครับ”


“คุณไพร์ม…ใส่ผักมาให้เยอะแล้ว”


“ข้าวโพดอ่อนนี่ใครบอกอยากกินกันครับ”


“ก็มันไม่น่ากินแล้วอ่ะ”


“มีประโยชน์ต่อสุขภาพครับ กินนะ”  เมื่อพูดขนาดนี้ก็ต้องกินไหมล่ะ!


เคลียร์หม้อกันจนอิ่มหนำสำราญ ฉันชนกก็มาช่วยยืนล้างจานที่ซิงค์โดยมีเจ้าของห้องยืนช่วยล้างน้ำเปล่าอยู่ข้างๆ แม้จะบอกว่าตัวตนของตนดูแตกต่างในทีนี้ แต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกประหม่าที่ต้องมายืนในพื้นที่ที่มีแต่กลิ่นของเขาอบอวล ฉันนั้นจมูกดีมาก อาจจะเพราะตนใช้จมูกในการรับรสอาหารมาตลอด สกิลตรงนี้จึงดีเป็นพิเศษ


“ตั้งแต่คุณไพร์มมาอยู่ที่นี่ ผมก็น้ำหนักขึ้นมาสองโลแล้ว”


“ก็ดีครับ แต่ก่อนผมว่าผอมไป”  นี่เป็นแผนที่จะมาขุนกันให้อยากแล้วจากไปใช่ไหม!


“แต่ทำไมคุณไพร์มไม่เห็นจะอ้วนเลย ทั้งๆที่ฉันหลอกให้กินชาบูเป็นหม้อแล้วแท้ๆ”


“หลอกอะไร ผมกินเป็นแค่ 30% ส่วนคุณฉันเหมาไป 70% แล้วนะ” สรุปใครหลอกใครกันแน่


แต่ที่แน่ๆคือกินเสร็จแล้วคนใจง่ายก็ไม่ได้กลับห้องตัวเอง มีของคาวก็ต้องมีของหวาน และชีสเค้กน่ารับประทานก็ถูกเอามาหลอกล่ออยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่บรรยากาศในห้องที่ไม่ได้ต่างกันมากของห้องเราสองคนให้ความรู้สึกต่างกันสิ้นเชิง


สมกับเป็นผู้ชายที่ทำงานร้านกาแฟ ห้องของเขาดูสบายตาให้ความรู้สึกน่าจิบกาแฟอ่านหนังสือหรือทำงาน ฉันค่อยๆละเลียดกินชีสเค้กที่อร่อยไปพลางเล่นมือถือ ส่วนคนที่ขุนกันอยู่นั่นก็กำลังทำงานอยู่กับโน๊ตบุคของตัวเอง วันหยุดที่เหมือนไม่ได้หยุดของเขาแต่หยุดของเรานั้นดีจริงๆนะ


ว่าแต่ความสัมพันธ์ที่ว่ามันคืออะไรกันเนี่ย?


ฉันไม่เด็กขนาดจะไม่สังเกตท่าทีหรืออะไรก็ตามที่ผ่านมา คุณไพร์มอะไรนี่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องดีต่อกันแม้แต่น้อยเพราะเพื่อนก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่เชิง เป็นแค่คนที่เคยเป็นลูกค้า ลำดับถัดมาก็มาอยู่อาศัยข้างห้อง แล้วมันเป็นอะไรกันล่ะ ทำไมตัวเลือกในหัวถึงได้บีบคั้นกันไปในทางนั้น….


เขาจีบกันอยู่เหรอ…


ดวงตากลมช้อนมองคนที่นั่งทำงานอย่างนึกสงสัย หากมันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้วฉันรับได้ไหม คุณไพร์มอะไรนี่ก็หล่อน้อยที่ไหน ยิ่งเข้าใกล้ ฉันก็ยิ่งค้นพบเสน่ห์มากมาย ราวกับว่าเขามีเครื่องผลิตฟีโรโมนเป็นของตัวเองอย่างนั้น แต่เพราะข้อสงสัยที่ว่าเขาดูอันตรายก็ยังไม่หมดไป จากวันนั้นที่เจอพี่สนอยู่กับเขา และวันนี้ที่เราสนิทสนมกันมากขึ้น ความรู้สึกอันตรายไม่ได้หายไป เผลอๆมันอาจจะมากกว่าเดิม


แต่ขนาดฉันชนกมาทอดกายง่ายดายอยู่ในห้องของเขาตั้งนานสองนาน แทนที่จะรุกกันบ้าง ภูวนัยกลับทำตัวปกติ แต่มาคิดดูแล้วมีอะไรที่ปกติที่ไหน เห็นไหมว่าฉันเดินไปเดินมาห้องเขาได้โดยไม่มีแล้วซึ่งความเกรงใจ นี่แหละที่เรียกว่าความไม่ระมัดระวัง!


เดี๋ยวกลับห้องเลยดีกว่า…คิดเช่นนั้นก็ถือจานขนมที่กินหมดแล้วไปเก็บล้างในครัว โดยไม่ได้ขอหรือบอกกล่าวอะไร ฉันลุกขึ้นและเดินไปจัดการมันด้วยตนเอง เมื่อวางจานลงในซิงค์อ่างล้างจานแล้ว พลันสายตาก็หันไปเห็นขวดซอสถั่วเหลืองที่ปิดฝาไม่สนิท


อา…วันนี้เรากินชาบูกันก็เลยใช้หมักหมู จะว่าไปแล้วเครื่องปรุงพวกนี้มีขายในซุปเปอร์บางแห่งเท่านั้น ราคาของมันก็สูงกว่าปกติทั่วไป แต่ทว่ากลับขายดีจนสินค้าไม่พอต้องเติมสต็อคบ่อยๆ หรือว่านี่คือความลับความอร่อยของเขากันนะ นิ้วมือเล็กที่กดปิดมันไปแล้วกลับดีดให้ฝาเปิดอีกครั้ง ถึงช่วงนี้จะตะกละกว่าทั้งชีวิตที่เคยเป็นมา แต่การกินซอสถั่วเหลืองเปล่าๆก็ดูจะเกินไปหน่อย


“คุณฉันครับ”  เสียงเรียกที่ดังอยู่ไม่ไกลนั้นทำให้คนที่จะแอบกินซอสห้องคนอื่นต้องชะงัก ตัวซนหันไปยิ้มเผล่ก่อนจะรีบเก็บมันไว้ที่เดิม


“ผมเห็นเครื่องปรุงห้องคุณไพร์มน่าสนใจดี ว่าจะไปซื้อตาม”


“ผมรู้ว่าผมทำอาหารอร่อยนะ แต่คุณฉันไม่ต้องกินทุกอย่างแม้แต่ซอสเปล่าๆก็ได้”  เขายิ้มล้อเลียนและนั่นทำให้คนหน้าไม่อายต้องเขินจนแก้มแดง  “บอกมาแค่คำเดียวผมทำให้เลยครับ อยากกินอะไรล่ะเรา”


“ไม่กินแล้ว เห็นกระเพาะผมเป็นอะไรกัน”


“วันนี้ตอนเย็นว่าจะทำสปาเกตตี้คาโบนาร่าครับ”


“กิน กิน กิน!”  นั่นไง…


ภูวนัยคิดผิดที่ไหนกันเชียว…


ว่ากันว่าพวกของมีคมหรือว่าพวกเครื่องปรุงนี่ให้เก็บให้พ้นมือเด็ก ไพร์มที่ไม่เคยพาเด็กน้อยเข้าห้องก็ลืมไปว่ามีผู้ใหญ่อีกคนที่ซนเหมือนเด็กคนหนึ่งได้เข้ามาบ่อยๆ จริงๆแล้วเขาไม่ได้เคืองโกรธฉันชนกที่หยิบนั่นนี่หรือเดินไปไหนตามอำเภอใจ จริงๆแล้วเขาตั้งใจให้อีกฝ่ายสบายใจเช่นนี้ด้วยซ้ำ หากกลิ่นของเราไม่เข้ากัน ก็เป็นหน้าที่ของคนอยากเริ่มสัมพันธ์ในการทำให้มันกลมกลืนกันไม่ใช่เหรอ


แต่ความลับก็คือความลับ อะไรที่ได้ชื่อว่าความลับย่อมพูดไม่ได้อยู่แล้ว เสียงประตูห้องของภูวนัยถูกปิดไปสักพัก เขาหยิบเจ้าซอสเจ้าปัญหานั้นขึ้นมามอง อันนี้เป็นสูตร ‘เข้มข้น’ เสียด้วย


“วันหลังจะตีมือ”  ซนจริงๆผู้ใหญ่อะไรก็ไม่รู้ เขาคาดโทษในใจ ก่อนที่จะวางมันไว้ที่ตู้เก็บของเหนือหัว สงสัยต่อไปจะปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ช่วงนี้


ช่วงที่ยังเปิดเผยอะไรไม่ได้


- - - - - -
น้ำหนักขึ้นมา 4 โลแล้วตะหาก!
(꒪⌓꒪)
- - - - - -


ห่างกันสักพักเถอะนะคุณไพร์ม…
ไม่งั้นฉันชนกคนนี้ต้องกลิ้งไปทำงานแล้วล่ะ


แม้ว่าเดิมทีน้ำหนักตัวของฉันนั้นจะเข้าขั้นเฉียดต่ำกว่าเกณฑ์ ทว่าการที่มันขึ้นมาอย่างรวดเร็วแบบนี้ก็น่าเป็นห่วงตัวเองไม่น้อย เพราะไม่ได้เจอกับป๊ะและพ่อนานๆ พอกลับไปเจอทั้งคู่ก็ถูกถาม…ว่าไปทำอะไรมาหน้าถึงได้กลมขนาดนี้


เพราะไม่เคยคิดว่าตนจะอ้วนมาก่อน ฉันชนกเลยไม่เคยมีมาตรการรับมือกับมันอย่างเด็ดขาด แต่จะให้ไปพูดกับคนใจดีที่ทำอาหารให้กินว่าพอแล้วอ้วนแล้วก็เกรงว่าจะไม่ดีเท่าไหร่ ฉันจึงถือโอกาสที่ไม่ได้กลับบ้านนานชิ่งภูวนัยเสียตอนนี้


ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เดินกลับแต่ต้องกลิ้งกลับจริงๆ


“แต่นี่ฉันไม่กินน้อยไปเหรอลูก”  การันต์ร้องถาม แค่เพียงทักว่าอ้วนหน่อยเดียว เจ้าแก้มกลมของพวกเขาก็แทบไม่แตะอะไร


“มันไม่มีรสชาติอะครับ”


“มันก็ไม่เคยมีอยู่แล้วเปล่าลูก”  อันนี้ก็ลืมไปว่าบุพการีทั้งสองไม่ทราบมาก่อนว่าตอนนี้ฉันได้เจอวิธีการแก้ปัญหากินไม่รับรส แต่จะเรียกว่าแก้ปัญหาก็ไม่ถูก เรียกว่าหาที่กินที่มีรสได้แล้วจะดีกว่า


แล้วเขาทำในสิ่งที่ใครๆก็ทำไม่ได้อย่างนั้นได้อย่างไรกันนะ ฉันชนกที่นั่งกัดหลอดพลาสติกฉุกคิด จริงๆก็คิดมาหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบเสียที เคยแม้แต่ถามเจ้าตัว เขาก็ทำแค่ยิ้มให้และบอกว่าความลับทางการค้า ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ฉันชนกได้เห็นซอสปรุงรสยี่ห้อหนึ่งวางอยู่ ซึ่งไม่ใช่ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมตามท้องตลาดนักเพราะหาซื้อได้ยาก แต่จะเพราะซอสขวดนั้นหรือเปล่าที่ทำให้อาหารอร่อยถึงเพียงนี้?


“ถ้าน้องฉันไม่กินแล้วก็มาช่วยคุณพ่อเอาของลงจากรถก่อนมา”  พอกำลังจะคิดอะไรดีๆออกก็มักมีเรื่องมาขัดกันเสมอ วธินกับการันต์เพิ่งไปซื้อของกลับมา ส่วนเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั้นตื่นมาพวกเขาก็กลับมาถึงบ้านพอดี ข้าวของท้ายรถเลยยังไม่ได้เอาลงมาจนถึงตอนนี้


“เอาอันนี้ไปไว้ในครัวทีครับ”  วธินนั้นยื่นถุงใส่พวกเครื่องครัวมาให้ เจ้าลูกชายจอมขี้เกียจจึงรับมาและเดินเอื่อยๆกลับไปหาการันต์ที่กำลังล้างจานอยู่


“น้องฉันเอาพวกมาม่าไปเก็บในตู้เลยครับ”


“ป๊ะกินด้วยเหรอครับ”


“พ่อเราน่ะสิ ที่กิน”  น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายนั้นดังออกมาจากคู่ชีวิตของวธิน สองคนนี้จะว่าต่างกันก็ต่างกันมาก แต่เป็นความต่างที่เข้ากันได้ดี พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานกว่าอายุของฉันชนก และคงจะอยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆไม่แยกจากไปไหน เป็นความสัมพันธ์ที่ข้ามผ่านการเป็นคู่รักที่หวานชื่นไปแล้ว


ฉันชนกนั้นเอาของในถุงมาจัดเก็บให้ แม้จะถูกรบกวนให้จัดเก็บแค่พวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่เพราะไม่อยากให้การันต์ต้องเหนื่อยเกินไปจึงทำทุกอย่างให้ โชคดีที่การจัดวางข้าวของในบ้านยังเป็นแบบเดิม จึงไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ


“เอ๋? ป๊ะ…บ้านเรากินซอสยี่ห้อนี้ด้วยเหรอ”ฉันชนกที่เห็นขวดซอสไม่คุ้นตาในตู้ก็ให้ความสนใจ ปกติบ้านเราเป็นแฟนซอสฝาเขียวมาตั้งแต่จำความได้ แม้ไม่รับรู้รสอะไร แต่ฉันชนกก็ชอบเปิดฝาดมก่อนเหยาะใส่ไข่ดาวเพื่อเพิ่มความอยากอาหาร


“อ๋อ อันนั้นคุณป้าข้างบ้านให้มาลองชิมน่ะ แต่ป๊ะยังไม่ได้เปิดขวดเลยนะ”  ดูจากซีลที่ฝาขวดแล้วก็เหมือนจะยังไม่มีใครในบ้านที่ได้ลองชิมมาก่อน เจ้าของมือซนที่จำได้ว่าซอสยี่ห้อนี้คือยี่ห้อเดียวกันกับที่บ้านของบางคนจึงตัดสินใจแกะซีลพลาสติกและเปิดฝาออก กลิ่นของซอสถั่วเหลืองทั่วไปนั้นเตะจมูกเป็นอย่างแรก


“น้องฉันทำอะไรน่ะ”  วธินที่เพิ่งเข้ามาได้เห็นพอดี เขาประหลาดใจไม่น้อย


ที่ฉันชนกเหยาะซอสถั่วเหลืองใส่ปลายนิ้วก่อนจะเอาลิ้นแตะชิม


“น้องฉัน…” การันต์ที่ตกใจเสียงร้องถามของคู่ชีวิตก็หันมาเห็นพอดี เขาถึงกับพูดไม่ออกแม้ฉันชนกจะซนมากๆแต่เด็กคนนี้ไม่เคยแม้แต่จะสนใจพวกเครื่องปรุงอาหาร แววตาเป็นประกายอยากรู้อยากเห็นนั้นทำให้พวกเขาตกใจไม่ใช่น้อย บอกกันทีว่าน้องฉันยังคงกินไม่รู้รสอยู่!?


“…”


“เป็นอะไรไปครับลูก”


“แฮ่…ก็เหมือนกินน้ำเปล่าเลยครับ” เจ้าตัวดีที่ทำให้เหล่าคุณพ่อเป็นห่วงนั้นยิ้มเผล่ออกมา การันต์ถึงกับส่ายหน้า ส่วนวธินก็รีบปรี่เข้ามาดึงแก้มจอมแสบที่ริอาจจะแกล้งเหล่าคนแก่แบบพวกเขา


ใช้เวลากับครอบครัวกันจนได้เวลาพอสมควรแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องนอน ร่างเล็กของจอมแสบของบ้านนั้นทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่มที่ป๊ะกับพ่อดูแลให้อย่างดี ยังมีกลิ่นหอมที่ตัวเองชื่นชอบอบอวล ทุกครั้งที่กลับมาบ้านก็รู้สึกเหมือนกลับมาเป็นเด็ก แม้ว่าจะอยู่ที่ไหนคนรอบข้างก็อายุเยอะกว่า แต่ว่าแบบนี้…รู้สึกเป็นตัวเองที่สุดแล้ว


แต่ไม่มีที่ไหนที่เป็นตัวเองได้เท่าตอนอยู่คนเดียวจริงๆ ฉันที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มทั้งวันในยามนี้กลับมีใบหน้านิ่งเฉย เหมือนกับว่าปริศนาที่สงสัยมาตลอดจะได้รับการตอบกลับถึงคำตอบในช่วงวันที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช่คำตอบของปัญหาทั้งหมด แต่ก็เป็นคำตอบสำหรับปัญหาหนึ่งที่ครุ่นคิดถึงบ่อยๆในระหว่างนี้


ฉัน…รับรสชาติได้แม้ไม่ได้กินอาหารฝีมือของภูวนัย…


“เฮ้อ…”  ทั้งๆที่นี่คือข่าวดีในรอบหลายปีสำหรับชีวิตที่ไม่เคยเพียบพร้อม ตอนนั้นที่รับรู้ได้ถึงรสเค็มของซอส ทำไมฉันถึงไม่กู่ร้องดีใจออกมา แถมยังทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้บุพการีทั้งสองเห็น เพราะความกลัวบางอย่างที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจใช่ไหม


แล้วอะไรกันเล่าที่ตนนั้นหวาดระแวง


ในตอนเย็นของวันอาทิตย์ เป็นเวลาที่ฉันชนกขอตัวกลับไปที่คอนโด จริงๆจะกลับพรุ่งนี้ตอนเช้าก็ได้ แต่ถ้าออกจากที่นี่ตรงไปที่ทำงาน คาดว่าคงต้องตื่นเช้ามากแล้วตนก็ไม่ถนัดอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่ เจ้าของร่างเล็กของเจ้าลูกชายนั้นยืนโบกมือให้ผู้เป็นพ่อที่มาส่ง วธินนั้นสั่งเสียเสียยืดยาว แต่นั่นแหละ ก็ใช่ว่าเราจะเจอกันบ่อยเท่าเดิม


ค่ำของวันอาทิตย์นั้นผู้คนไม่พลุกผล่าน ฉันชนกนั้นกินข้าวมาแล้ว ที่ต้องทำก็คือเก็บกวาดห้องนิดหน่อยและนอนพักผ่อน วันหยุดนั้นแสนสั้นแต่วันทำงานนั้นแสนยาว แม้จะแปลงร่างเป็นมนุษย์เงินเดือนมาเป็นปีๆแล้วแต่ข้อเท็จจริงตรงนี้ก็ยังรับมือไม่ค่อยได้ ระหว่างคิดอะไรเพลินๆนั้นเองเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่ลึกๆแล้วยังไม่พร้อมเจอที่สุดนั้นเปิดประตูห้องออกมา


“…”


“อ้าว…คุณฉัน”


“…”


“กลับมาแล้วเหรอครับ”  ให้ตายเหอะ ทำไมต้องเจอกันในตอนนี้ด้วย ฉันคิดว่าไม่พร้อมสักเท่าไหร่


“คุณไพร์ม”  ทว่าเสียงแหบแห้งนั้นก็ถูกเปล่งออกไป ไพร์มนั้นจ้องมองใบหน้าของคนที่มักจะวิ่งมาหาเหมือนลูกหมาอย่างไม่วางใจเท่าไหร่นัก หากมองไม่ผิด เขาพบว่าดวงตาคู่สวยนั้นเหมือนมีหยาดน้ำคลอ และในดวงตาคู่สวยที่สะท้อนภาพเรื่องราวต่างๆที่ตนเห็น แต่ไม่เคยสะท้อนเรื่องราวความเป็นจริงทั้งหมดนั้น…


มันกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีอื่นที่ทำให้ขนทั้งกายลุกชัน
สัญชาตญาณของนักล่ากับผู้ถูกล่ายามใกล้ชิดกันนั้นยากจะต้านทานไว้


“ชะ…ช่วยด้วย” และนี่คือคำบอกกล่าวสุดท้ายก่อนที่ภาพทั้งหมดจะเลือนหายไป พร้อมกับร่างที่กำลังจะไหลลงไปนอนกองกับพื้น


“…”  อันตรายจริงๆ เมื่อครู่นี้อันตรายเกินไป


สถานการณ์เมื่อครู่ อาจจะทำให้มีคนตายเกิดขึ้นได้เลย…


“อย่าซนอีกแล้วกันนะ” กะไว้แล้วว่าระยะอันตรายนี้ไม่สามารถละสายตาไปได้เลย ไพร์มที่กำลังจะออกไปทำธุระข้างนอกนั้นเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนมาหลับคาอ้อมแขนเช่นนี้ก็เปลี่ยนใจ ดูเหมือนว่าที่เขาทำไปจะให้ผลสำเร็จเกินคาด แต่ผลที่ได้มาตอนนี้ยังเร็วไปกว่ากำหนดการ


ฉันชนกผู้น่าสงสารคงกำลังต่อสู้กับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ตรรกะอันดีที่ลูก ‘มนุษย์’ มีมาตลอดยี่สิบกว่าปีคงกำลังถูกท้าทายด้วยสัญชาตญาณที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ และถ้านับจากวันแรกที่เราเจอกันมันก็แสนสั้นเหลือเกิน ใช่…จากวันนั้นนั่นแหละ วันที่เขาได้หยิบยื่นแซนวิชหนึ่งจานพร้อมส่วนผสมพิเศษไปให้


“คงต้องขอเลื่อนนัดวันนี้” ภูวนัยที่พาเด็กน้อยเข้ามานอนในห้องของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้วได้จัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและแจ้งความต้องการออกไป แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่ยอมปล่อยกันไปง่ายดายนัก


“ไม่ได้มีปัญหากับเหยื่อที่แกล่อลวงมาหรอกใช่ไหมวะ”


“เมื่อครู่เขาจะโผเข้ามาหากู”


“ทั้งตาฟ้าๆเลยเหรอ”


“ไม่ใช่สีฟ้า”


“อะไรนะ”


“เอาเป็นว่าวันนี้เลื่อนนัดกันไปก่อน แค่นี้ก่อนนะ”


“ไพร์ม มันอันตรายน…นะ…ติ้ด”   เขาเลือกที่จะไม่ฟังต่อเพราะถ้อยคำที่จะออกมาจากปากคู่สายเป็นสิ่งที่เขารู้ดีอยู่แล้ว


เจ้าของห้องที่ได้พาบุคคลอันตรายต่อชีวิตเข้ามานอนนั้นย่อมรู้ดีว่าถ้าทุกอย่างเสียการควบคุมจะเป็นเช่นไร และเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะรับมือไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่เขาแค่นึกเสียดายหากจะจัดการขั้นเด็ดขาด เห็นอย่างนี้นอกจากไม่ใช่มาโซคิสม์ เขายังไม่อยากเป็นฆาตกรอีกด้วย


ไพร์มเป็นนักลงทุน และเขาก็ลงทุนกับหลายๆอย่าง
รวมถึงงานวิจัยผลิตภัณฑ์


ฉันชนกดูหลับสนิท เด็กคนนี้คงเหนื่อยมากกับความเปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก จิตใจ และร่างกาย ภูวนัยนั้นจ้องมองคนที่หลับอยู่อย่างสงบสุขด้วยสายตาคมกล้า ปลายนิ้วของเขาค่อยๆสัมผัสลงบนกลีบปากนุ่มนิ่มสีแดงช่ำ จริงๆเขาสังเกตมาสักพักแล้วว่าตอนที่ฉันกำลังกินอะไรที่ถูกใจมากๆ ดวงตาของเจ้าตัวจะวาววับเห็นเป็นประกายบางอย่างและนั่นคือสีดวงตาที่แท้จริง ทว่าเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นชัดๆนานๆแบบนั้น


สีม่วง…สีที่มีแค่ในตำรา


“พรุ่งนี้จะปวดเหงือกไหมนะ”  เขาเป็น ‘มนุษย์’ จึงไม่อาจจะเข้าใจกายภาพของเผ่าพันธุ์อื่นๆได้อย่างละเอียดแต่เมื่อเห็นฟันของเจ้าชายนิทราก็คิดขึ้นมาว่าคงจะเป็นเช่นนั้น


ทั้งๆที่การงอกของเขี้ยวไม่ได้เป็นหลักการเดียวกับฟันคุดเลยก็ตาม


“ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วสิ”  การที่ภูวนัยทำทุกอย่างเพื่อเข้าใกล้เด็กคนนี้ที่ไม่รู้ว่าตนมีความพิเศษตรงไหน ในตอนแรกเขาตั้งใจให้มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ทว่าเมื่อได้เห็นดวงตาเป็นประกายยามที่เขาพยายามหลอกล่อ หรือตอนที่สบตากันด้วยดวงตาสีม่วงก่ำ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเป็นมาโซคิสม์จริงๆหรือไม่ แต่แค่คิดว่าอีกฝ่ายอยากกระโจนหาเขาแค่ไหน เขากลับอยากรวบร่างกายนั้นไว้ให้เร่งเข้าหาเช่นกัน


“อืม…”  รีมฝีปากแดงช่ำนี้ช่างเย้ายวนจนเกินจะห้ามใจไว้ เขาเคยพบคนที่เหมือนกับฉันชนกมานับไม่ถ้วน ร่วมหลับนอนมาไม่อาจจะนับครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่น่าลักหลับขนาดนี้  “คุณไพร์ม”


และฉันก็ไม่สามารถพูดได้อีก ดวงตาที่ปรือมองเขานั้นค่อยๆปิดลงพร้อมๆกับตอนที่ถูกเขาปิดปากด้วยบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกัน เขาค่อยๆบดคลึงหนักเบาให้อีกฝ่ายได้ปรับตัวก่อนที่จะกดจูบลึกซึ้ง เรียวลิ้นที่หยอกล้อกันนั้นให้ความรู้สึกเสมือนจริง เท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หิวกระหายมากขึ้นจนต้องเรียกร้อง


“ไม่กัดปากครับ”  เขากระซิบบอกชิดริมฝีปากที่เจ้าตัวน้อยกำลังจะงับมันเมื่อเขาถอยห่าง ในฐานะผู้ล่า ฉันคนนี้นับว่าไม่ประสีประสาเอาเสียเลย และนั่นเปิดโอกาสให้คนเห็นแก่ได้เอาเปรียบ “แต่กัดตรงนี้แทนนะครับ”


สิ้นสุดคำบอกกล่าวเขาก็ดึงร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่งคร่อมตัก มอบจูบที่ร้อนเร่าให้ไปพร้อมกับเค้นคลึงสะโพกนิ่มอย่างมันเขี้ยวก่อนจะผละออกมา น่าสงสารผู้ล่าที่ยังคิดว่าตัวเองอาจจะฝันอยู่ เขาเลียหยดน้ำที่ช่ำวาวตรงมุมปากให้อย่างใจดีก่อนที่จะกัดริมฝีปากล่างที่บวมเจ่อนั้นเพื่อส่งสัญญาณ


“อืมมมม”  เสียงครางต่ำอย่างสุขสมดังขึ้นเมื่อลมหายใจร้อนๆของเด็กน้อยรดอยู่บริเวณผิวเนื้อที่ต้นคอ เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน ต้องการสิ่งที่มีเพียงฉันชนกเท่านั้นที่ทำได้ ทว่านิสัยที่ไม่ใช่คนรักความรุนแรงได้หยุดความต้องการที่จะกระทำมากขึ้นของตนไว้ ภูวนัยเฝ้ารออย่างใจเย็น ทุกอย่างที่งดงามต้องใช้เวลา และเขาก็พึงใจมาก…


ในตอนที่เขี้ยวเล็กของแวมไพร์ผู้งดงามค่อยๆฝังลงที่ต้นคอ




Talk:
แต่แน่ววววววววววววววววววว เฉลยคือพี่ไพร์มไม่ใช่แวมไพร์เด้อค่ะ
แต่เป็นน้องฉันไงจะใครล่ะ
เราต้องขอโทษที่ปล่อยให้รอกันนะคะ ถ้าแต่งไปได้เยอะๆแล้วเตรียมใจไว้กับความมาถี่ได้เลย
ฝากติดตามติดแท้กติดนั่นติดนี่ด้วยนะคับ
#คู่กินคู่กัด
@reallyuri






หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 5 24/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 24-02-2019 16:08:25
5
- - - - - -
ฉันไม่กินยา
(π π)
- - - - - -


เป็นเวลานานสำหรับเกมจ้องตา แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้านทานอะไรไม่ไหวก็ตาม


“ฉันไม่กิน”  ฉันยื่นคำขาด


“ฉันต้องกินครับ”  เขายังคงยื่นน้ำเปล่าและยาเม็ดสีขาวมาให้ จริงๆฉันไม่ควรจะดื้อกับเรื่องนี้ ก็แค่พาราเม็ดเล็กๆจะไปกลัวอะไร กินไปก็ไม่รู้รสไม่ใช่เหรอ


ก็ใช่…แต่ตั้งแต่เจอภูวนัย ชีวิตที่ไม่มีรสชาติก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เมื่อวานตนนั้นรับรู้แม้แต่รสเค็มของซอสถั่วเหลือง แม้จะจางๆก็เถอะ แล้วนี่เป็นยาที่ยื่นจากมือเขามาให้มีหรือว่ามันจะไม่ขม แม้ว่ายังไม่คุ้นชินกับรสขมมากนัก แต่กลิ่นแป้งๆที่เหม็นๆนั่น มันก็ทำให้จินตนาการได้ว่ารสที่ออกมาคงไม่ดีเท่าไหร่ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ดื้อแพ่งตั้งแต่ตื่นมา


“คุณฉันครับ ป่วยแบ็บอยู่อย่างนี้ กะจะไม่หายให้ผมเลี้ยงไปตลอดชีวิตเลยเหรอครับ” 


“ใครพูดอย่างนั้นเล่า!”  เมื่อเจ้าของห้องและเจ้าของยานั้นยังกดดัน ฉันชนกก็ได้แต่ทำปากยื่นใส่


ก็ใครใช้ให้ทั้งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนที่ตนป่วยเลยล่ะ แม้จะเหนื่อยล้าแต่ป่วยนั้นไม่มีหรอก แน่นอนว่าสิทธิ์วันลาก็ไม่เคยได้ใช้และวันนี้พอตื่นมาสิ่งที่ต้องทำอย่างแรกหลังจากลุกนั่งคือรับมือถือจากเขาและโทรไปลางาน!


“ลืมไปหรือเปล่าครับว่าเมื่อวานใครเป็นลม คุณฉันป่วยนะครับ”  อือ…ป่วยไม่รู้เรื่องเลย อยู่ๆก็มาหลับในห้องคนอื่นแบบนี้ ฉันชนกก็ไม่รู้สึกดีเท่าไหร่หรอก แม้ทุกอย่างที่อยู่ในห้องของชายหนุ่มคนนี้จะหอมน่านอนมากๆก็เถอะ


“ผมกลับไปนอนที่ห้องก็ได้”  จริงๆตื่นมาพอรู้ตัวว่านอนอยู่ห้องนี้ก็งอแงจะกลับห้องให้ได้ ก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่ไม่ยอมปล่อยไป ด้วยเพราะเป็นไข้จึงไม่ค่อยมีแรงเถียง และตอนนี้ก็เหมือนจะหน้ามืดอีกครั้งเพราะต้องมาเถียงเรื่องกินยา


“ได้กลับแน่ครับ แต่ขอให้ไข้ลดกว่านี้หน่อยนะ คุณฉันตัวร้อนมาก”  อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเหมือนกัน ถ้าป๊ะกับพ่อรู้เข้าต้องตกใจแน่ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆก็ป่วยได้นะ? “กินหน่อยนะครับ เดี๋ยวตอนบ่ายให้กินข้าวต้มฝีมือไพร์มนะ” กินก็ได้ เพราะรำคาญหรอก ไม่ได้เห็นแก่กิน…


คนตัวเล็กค่อยๆทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่มหลังจากที่ทำใจอยู่นานกว่าจะยัดยาลงคอ โชคดีที่มันไม่มีรสอะไรเลย ถ้ารู้งี้ไม่น่าดื้อให้บางคนล้อเอาล้อเอา แต่เพราะไม่รู้รสจึงนำไปสู่ข้อสงสัยถัดๆไป เพราะเขาไม่ได้ผลิตยาขึ้นเองเหรอถึงได้ไม่มีรสแบบนี้ แต่ทำไมขนาดน้ำหวานสำเร็จรูปในตู้เย็นห้องนี้ยังมีรสหวานชื่นใจเลย แปลกจริงๆ


“ฉันไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ”  มือใหญ่นั้นลูบหัวทุยๆของคนที่นอนขมวดคิ้ว สัมผัสละมุนและคำปลอบโยนที่ไม่แน่ใจในความหมายนั้นเหมือนบทเพลงกล่อม ในที่สุดคนที่เอาแต่ครุ่นคิดถึงปริศนาก็หลับลงไปราวถูกสะกด


และมีหรือที่คนเจ้าแผนการจะไม่รู้ว่าเหยื่อซึ่งเป็นผู้ล่าตัวน้อยคิดอะไรอยู่ แม้จะความรู้สึกช้าแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึก การเข้าหาที่ดูง่ายดายหากแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแบบนั้น จะอย่างไรมันก็ไม่ได้แนบเนียนขนาดที่จะไม่เผลอสงสัยได้หรอก ภูวนัยรู้อยู่ก่อนแล้ว และไม่ได้พยายามจะทำอะไรให้แนบเนียนกว่านี้ เพราะหวังผลอยู่


“ขอโทษนะครับ”  สำหรับ ‘ครั้งแรก’ ที่เขาทำเมื่อวานถือว่าฝืนไปไม่น้อย ไพร์มที่ดูจะสดใสมากกว่าทุกวันนั้นรู้สึกผิดแค่นิดเดียวกับสิ่งที่ทำไป แต่ถ้าให้เลือกระหว่างการใช้อุปกรณ์ในการถ่ายเลือดกับการถูกกัด ไม่มี ‘มนุษย์’ แบบเขาคนไหนชอบแบบแรกอยู่แล้ว


สำหรับ ‘แวมไพร์’ ที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งแต่ไม่อาจจะต้านทานความต้องการของสัญชาตญานนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนับได้ว่าฉันชนกถูกเอาเปรียบอย่างจัง ร่างกายจึงอ่อนแอลงไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่งเลย เจ้าตัวที่ไม่เคยรู้ตัวตนมาก่อนคงแปลกใจไม่น้อย แต่กินยาลงไปแล้วคงจะดีขึ้น เขาหวังว่าสายพันธุ์หายากที่มีดวงตาสีม่วงตนนี้จะรักษาไข้ได้ด้วยพาราเซตามอลเหมือนสายพันธุ์ทั่วไปที่กินยาแล้วหาย


หลังจากดื่มเลือดของมนุษย์


ในภาพฝันที่ได้เห็น…ฉันรู้สึกอึดอัดไปหมด อาจจะเพราะอาการป่วยที่ทำให้อ่อนเพลียถึงเพียงนี้ทำให้หลับลึก ทว่าในห้วงฝันนั้นตนเหมือนจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย บ้างฉุดกระชาก บ้างผลักไส บ้างดึงมากอดรัด หรือบ้าง…ฝังคมเขี้ยวของตนลงบนผิวเนื้อของคนอื่น


ทว่าความกดดันระลอกใหญ่ที่ถาโถมจากด้านหนึ่ง ฉันชนกที่เห็นไม่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่สัญชาตญาณได้สั่งให้วิ่งหนีแม้ไร้ทิศทางไป ฉันนั้นวิ่งไม่หยุด ผ่านผู้คน ผ่านตึกแถวที่เงียบสงัด แล้วภาพก็ตัดมาที่ห้องกระจกหนึ่งที่ไม่สามารถหาทางไปต่อได้ ใบหน้าหวาดกลัวของตนที่สะท้อนออกมายิ่งทำให้หดหู่มากขึ้น ทว่าก็ดึงดูดให้เข้าหา ไม่ผิดแน่ ใบหน้านี้คือใบหน้าของฉันแน่ๆ แต่อะไรบางอย่างบอกกันว่านี่ไม่ใช่ตัวตนที่รู้จักทั้งหมด


“ไม่..”  ความรู้สึกประหลาดที่ผุดขึ้นภายในช่องปากทำให้ต้องส่องกระจกดู ภาพที่เห็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกหวาดกลัว


ไม่ผิดแน่…ฟันของฉันกำลังงอก
งอกเหมือนผู้ชายคนนั้นที่กำลังกัดคนอื่นอยู่


“ไม่จริง”  ด้วยอารามตกใจทำให้หันหลังไปหมายจะหนี ทว่ายังไม่ทันได้ไปถึงไหน


หมับ!
ใครบางคนก็จับกันไว้เสียแล้ว


“คุณไพร์ม”  เป็นเขาไม่ผิดแน่ ทว่าภูวนัยที่มาปรากฏตัวตรงหน้ากลับไม่พูดอะไร แววตาของเขาไม่สื่อความหมาย มันเหมือนจะว่างเปล่า แต่ก็ดำมืดเกินกว่าจะพรรณา ทว่าแทนที่จะหวาดกลัวต่อการกระทำเหล่านั้น ฉันชนกที่จ้องตาไม่สื่อความนั้นกลับถูกดึงดูดลงไปในบ่อลึกที่มองไม่เห็น ลึกลงไป…ลึกลงไปอีก เมื่อได้สติอีกที…


ก็พบว่าตนได้กัดต้นคอของเขาแล้ว


“เฮือก!!!!!!!!!” 


“คุณฉัน!?”


“…”  นั่นมันคือฝันจริงๆ


และในที่สุดก็หาทางออกจากฝันนั้นได้แล้ว


“คุณไพร์ม”  นิ่งไปอยู่นานเพื่อเรียกสติ ฉันชนกที่เหงื่อชุ่มไปทั้งกายนั้นปรับสภาพสายตาและความคิด น่าแปลกที่ตื่นมาเจอเขา แต่คิดอีกทีก็ไม่แปลกหรอก เพราะก่อนนอนก็เป็นเขาที่กล่อม เมื่อลำดับความคิดได้ก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะ ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็เรียกร้องกันให้มองหาความเป็นจริง


ต้นคอที่ถูกกัดนั่น…


“….”  ฉันไม่ได้กัด เพราะตรงนั้นไม่ได้มีรอยอะไรอยู่


“กินข้าวไหมครับ ผมกินแทนข้าวไม่ได้นะ”  คนที่ถูกจ้องเอ่ยออกมา ส่วนคนมองก็สะดุ้งโหยง นี่ฉันไปทำหน้าหิวใส่เขาเหรอ!


ภูวนัยไม่ได้แซวต่อเพราะลึกๆเขาเข้าใจธรรมชาติคนแบบเดียวกับ ‘ฉันชนก’ ดีอยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องมารับมือกับคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร มันก็จะรับมือยากหน่อย กับคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร และรับรู้ว่าเราจะสามารถต่อรองผลประโยชน์ประเภทไหนได้ มันก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเลย ดังนั้นที่เขาทำอยู่นี่ เรียกว่าเบียดเบียนความเป็นส่วนตัวนัก


ดวงตากลมคู่นั้นก็เหมือนกัน แม้ว่าจะส่งสัญญาณเตือนว่าจ้องมองกันมากเกินไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่หยุดด้วยคิดว่าเขาคงไม่รู้ ทว่าภูวนัยที่มีสัญชาตญาณดีกว่า ‘มนุษย์’ ทั่วไปย่อมรับรู้ถึงแววสงสัยและกังวลใจที่ส่งต่อมา น่าแปลกที่ปกติเขาต้องรำคาญใจไปแล้ว นี่นอกจากจะไม่เบื่อหน่ายอะไร ยังยินดีให้มองกันจนสึกหรอ หรือถ้าอยากกินก็ให้กินได้เช่นกัน


หาข้าวหายาให้กิน ก็เดินไปส่งที่ห้องแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ไกลจากห้องของเขาเลย ฉันชนกอาการดีขึ้นแล้วแม้ว่าตอนเช้าจะไข้ขึ้นสูงจนน่ากลัว สมกับที่มีสายเลือดอันทรงพลัง หายได้ในไม่ถึงวันถือว่าสายเลือดของเผ่าพันธุ์นั้นแข็งแกร่งไม่น้อย ไม่แน่ยาพาราเซตามอลนั้นอาจจะทำงานได้ดีกับภูมิในตัว แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความตั้งใจ แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย


ยิ่งความรู้สึกตอนที่ถูกกัด…นั้นดีไม่ใช่น้อยเลย


- - - - - -
ป่วยต่อเลยได้ไหม…อย่าปล่อยให้ตัว ‘ฉัน’ ไป
(○-_-○)
- - - - - -


“ถึงฉันจะป่วยแต่งานก็ยังต้องส่งนะ”  และนี่คือสิ่งที่แผนกบัญชีได้กล่าวไว้ โดยไม่เกรงใจสภาพที่มีหน้ากากอนามัยปิดไปครึ่งหน้านี้เลย

“แค่กๆ”  ฉันชนกที่พยายามเรียกร้องความสนใจนั้นไอออกมา แต่เหมือนว่าจะปลอมไปเลยไม่มีใครเชื่อใจเลย


ใครจะไปคิดว่าเพียงครึ่งวันสุขภาพของฉันก็ดีราวกับไม่เคยป่วยมาก่อน มิหนำซ้ำหูตาก็ยังไวได้ยินอะไรชัดเจนไปหมด จนคนคิดว่าที่ลาไปนั้นไม่ใช่ป่วยแต่เพราะแฮงค์จากการดื่มมากกว่า ปัดโธ่…ฉันกินเป็นแต่ยาคูลท์ไหม! แต่การฟื้นตัวที่เร็วมากนั้นแม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจ นี่มันไม่ใช่ผลข้างเคียงของพาราเซตามอลใช่ไหม?

ทว่าเพราะนี่คือการป่วยครั้งแรกในชีวิต ก็จะอินกับการใส่มาส์กป้องกันเชื้อนิดหน่อย ทว่าก็ใส่ๆถอดๆ เพราะมันหายใจไม่ออกนี่! ในประเทศไทยที่ร้อนชิบหายวายวอดเช่นนี้ จะให้ทรมานตัวเองด้วยการใส่ทั้งวันแบบนั้น ก็เกรงว่าจะได้โดนหามไปเข้าห้องพยาบาลอีกครั้งจนได้นะสิ!


“คุณฉันไม่สบายเหรอ”  สารินที่ไม่ได้ทำงานที่เดียวกันแต่ขยันมาหาเพื่อนกินข้าวเย็นด้วยนั้นถาม คงจะเห็นว่าฉันนั้นใส่หน้ากากทั้งที่ในใจบ่นร้อน แต่กระเป๋าตังค์บอกยังใส่ไม่คุ้มจึงยังใส่ต่อ


“อื้อ”


“ไม่เคยเห็นป่วยเลยอ่า เป็นหนักไหม”  คนชวนมากินข้าวเริ่มรู้สึกผิด แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้า เพราะตอนนี้อาการที่ใกล้เคียงกว่าเป็นไข้คือไข้ใจเสียมากมากกว่า “วันหลังป่วยบอกเรานะ คุณฉันอยู่คอนโดคนเดียว”


“สาจ๋า…” เกือบจะซึ้งใจแล้วที่เพื่อนรักแสดงความห่วงใยถึงเพียงนี้ แต่อาการไข้ขึ้นไม่ธรรมดาแบบที่ประจักษ์ก็ทำให้รู้ว่าต่อให้ไม่มีใครก็ไม่ควรให้สามาดูแล ได้ป่วยหนักกว่าเดิมแน่ๆ เพราะขนาดสุขภาพดียังปวดหัวกับพฤติกรรมที่เอ๋อเกินบรรยายเหล่านั้น ขนาดว่าตัวเองเด๋อเท่าฟ้าแล้ว ยังมีอีกคนบนโลกที่เหนือฟ้าได้อีกตรงนี้!


คุณไพร์มก็คุณไพร์มเถอะเขาต้องรับมือสารินไม่ได้แน่ๆ!


“…”


“เป็นอะไรเหรอคุณฉัน”


“เปล่า”  ก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่สงสัย…


ว่าเอะอะๆอะไรทำไมก็คุณไพร์ม!!!!!


“ถ้าคุณฉันไม่สบายอีกต้องบอกนะ”  บอกให้มาขูดหาเลขเหรอ!


“สาจ๋าไม่ต้องห่วงเราหรอก ไม่ต้องมาดูแลเราด้วย”  ถ้ามีแรงโทรศัพท์ได้คงโทรไปหาป๊ะแทน


“เปล่าใครบอกเราจะดู”  หืม???  “เราจะให้พี่สนไปดูตะหาก”


“…”


“แหมมมมม ฉันก็รู้นี่ว่าเราดูแลคนไม่เก่ง”  อันนั้นก็รู้ดีเลยล่ะ


“แต่ก็ไม่ต้องให้พี่สนมาก็ได้มั้ง”


“คุณฉัน…”


“สาจ๋าก็รู้ว่าเราเลิกกันมาแบบนานโคตรแล้วอ่ะ จะชิปอะไรอีก”  ชิปให้ชิปหายไปเลยใช่ไหม!


“แต่เราอยากให้พี่สน…ได้คุยกับฉันอีกนะ”


“สา…ไม่ดีกว่านะ” ฉันชนกก็ปฏิเสธชัดเจนมาตลอด แต่ปฏิเสธรุนแรงนั้นไม่เคยเลยเพราะไม่อยากจะทำให้เพื่อนหวาดกลัว กับเรื่องของพี่สนนั้นตนก็ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะไม่หวนคืน


ทว่าก็ยังมีบางคนที่ไม่เข้าใจ


ความเบียดเสียดของรถไฟฟ้ายามค่ำคืนนั้นน่าหงุดหงิดพอๆกับความรู้สึกในตอนนี้ ฉันชนกที่ดีดไปดีดมาระหว่างความคิดที่ว่าควรจะสนิทสนมดีหรือถอยห่างดีนั้นยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร ยิ่งวันนั้นที่เป็นลมล้มตึ้งจนต้องนอนในห้องของเขา ตนก็ดันฝันแปลกๆอีกมากมาย อายุปูนนี้แล้วกับแค่จูบและสัมผัสก็ย่อมเคยผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่ควรจะเห็นภาพเหล่านั้นกับคุณไพร์มที่ยังไม่มั่นใจว่าเขาจีบเราอยู่หรือไม่เปล่าไม่ใช่เหรอ!?


ที่สำคัญคือในฝันก็เคลิ้มด้วยไง ใจไม่รักดีนี่!


วันก่อนไปงอแงอยู่ที่ห้องนั้นทั้งวัน ตอนนี้เลยไม่มีหน้าไปเจออีก คิดได้เช่นนั้นฉันชนกเลยแสดงความตั้งใจ กะว่าจะขึ้นลิฟท์และไปต่อบันไดหนีไฟอีกด้านจะได้ไม่ต้องผ่านห้องที่พอคิดถึงทีไรมักได้เจอทุกที ทว่า…


“เพิ่งกลับบ้านเหรอครับ”  ทั้งๆที่คำนวณไว้แล้วว่าดึกป่านนี้เขาคงอยู่ในห้อง แต่ในความเป็นจริงคือเรากลับมาถึงพร้อมกัน ภูวนัยในเสื้อเชิ้ตสีเทาพับศอกแบบนั้น…ว่าไหมว่ามันฮอตดีจังเลยนะ ว่าแต่นี่คงหมายถึงอากาศใช่ไหม ไม่ใช่ใครที่ทำให้ใจสั่น


เอาอีกแล้วไอ้ฉัน…แผนล้มไม่เป็นท่าเพราะว่าเราดันมากดลิฟท์ขึ้นห้องพร้อมกันเสียนี่! ดังนั้นตอนนี้ใจบางๆของคนที่คิดไม่ดีก็ร้อนเร่าจนรู้สึกไปเองว่าอากาศเมืองไทยมันแย่ยิ่งกว่าทุกวัน ระยะห่างที่ฉันนั้นพยายามรักษาไว้ ถูกใครบางคนมองออกในทันทีแค่เพียงเห็นใบหูแดงๆ


“คุณฉันยืนซะไกลเลย”  อากาศมันร้อนหรอก แล้วทำไมถึงเบียดเก่งนักล่ะ!


“เผอิญเหงื่อออกเยอะนะครับ”  ใส่ร้ายตัวเองเข้าไป เอาความตัวเหม็นเข้าฝังไว้ให้จมดินไปเลย


“ตัวก็ไม่เห็นเหม็นนี่ครับ”  ใบหน้าหล่อนั้นยื่นเข้ามาดมที่หัวไหล่ คนที่บอกว่าเหงื่อเยอะนั้นเอี้ยวตัวหลบแบบหักสุดตัว


“มันเหนอะหนะนี่ครับ”


“อากาศก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ หรือว่าคุณฉันจะไม่สบายอีกแล้ว”  จริงๆก็ว่าจะเล่นมุกนั้น แต่ว่าก็กลัวเขาจะเซ้าซี้ตามประสาคนใจดีที่ไม่ดีต่อใจ


“ผมไม่เป็นไรครับ สบายมากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”


“ฉันครับ”  ฮื้ออออออ  “บอกไพร์มได้นะครับ” แงงงงงงงงงงงงง


บทสนทนานี้มันยาวนานแค่ไหนแล้วทำไมเราถึงไปไม่ถึงชั้นนั้นเสียที ฉันชนกที่แทบจะระเบิดตัวเองตายในลิฟท์นั้นมองไปที่การเคลื่อนไหวของตัวเลข และก็เพิ่งได้รู้ว่า ไม่ได้กดเลขชั้นอะไรเลยจ้า!


“ฮึ”  คนขี้แกล้ง! มองจากดาวอังคารมายังรู้เลยว่าเขาแกล้ง ภูวนัยนั้นหยุดการกระทำเหล่านั้นและหันไปสนใจด้านหน้า ส่วนคนที่อยากจะหลบหน้าก็เอาแต่จดจ่อกับเลขชั้นที่เคลื่อนไปเรื่อยๆหลังจากตั้งสติผนึกลมปราณกดปุ่มได้สักที



ติ๊ง!


“คุณไพร์ม!!” 


“คุณฉันโกรธอะไรผมหรือเปล่าครับ?”  เขาก็แค่จิ้มที่เอวหน่อยเดียวเอง ทำไมถึงได้สะดุ้งใหญ่ขนาดนี้กันนะ


“…”  ก็ไม่ได้โกรธหรอก…แต่กระวนกระวายไม่รู้ว่าทำไม


“ถ้าผมทำอะไรให้คุณฉันไม่พอใจ…”


“เปล่าหรอกครับ”  ที่ไม่พอใจก็คือตัวเองมากกว่า


“ตกลงไม่โกรธผมเนอะ”


“อืม”


“ถ้างั้นกลับห้องกันเนอะ”  แล้วฉันก็ได้เรียนรู้อีกสิ่งคือลิฟท์เราค้างอยู่ที่ชั้นนี้สักพักแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครใช้ลิฟท์ตอนนี้ไม่งั้นคงได้ดีดขึ้นดีดลงกันอีกรอบ


ภูวนัยที่ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีกขอแยกตัวเข้าห้องของตัวเองไป หลังจากทิ้งตัวลงบนโซฟา เปิดดูข้อความของคนรู้จักคนหนึ่งที่ส่งมาและก็ปิดมันไว้ อ่านแต่ไม่ตอบอะไรเพราะไม่ใช่อะไรที่อยากจะสนทนาด้วยตอนนี้


ภาพของแมวน้อยที่ดูตระหนกยามเห็นหน้าทำให้รู้สึกสงสาร จะว่าไพร์มมาดีก็ไม่ใช่ เขาเองก็คาดหวังบางอย่างในตัวของเด็กคนนั้นจึงเข้าหา และก็ได้มันมาแล้วอย่างหนึ่ง จูบลึกซึ้งระหว่างเราที่อีกคนไม่ได้ทวงถามอะไรทำให้นึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นที่หวานหอมเกินบรรยาย


ทว่าเพราะรับเลือดที่เข้มข้นจากเขาไปมากเกินไป ทำให้ร่างกายที่ยังไม่ชินเกินจะต้านรับ หลังจากถอนริมฝีปากจากคอของเขาแล้ว ฉันชนกก็ฟุบลงกับไหล่และหมดสติไปในทันทีพร้อมกับไอร้อนที่ค่อยแผ่กำจาย


‘เป็นห่วง’ คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นและมันไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไพร์มให้แวมไพร์ดูดเลือด แต่ไม่มีแวมไพร์ที่ไหนไม่รู้ลิมิตของตัวเองและปล่อยให้สัญชาตญาณนำพาขนาดนี้ เขาก็ลืมคิดไปเสียสนิทว่าฉันอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ประวัติที่เขาหามาได้ เด็กคนนี้ไม่มีความข้องแวะกับตระกูลไหนๆเลย และนั่นอาจจะทำให้เรื่องง่ายๆก็ทำพลาดอย่างง่าย ฉันชนกไม่เคยถูกฝึกด้วยคนในเผ่าพันธุ์เดียวกัน


แน่นอนว่าคนของเขาหาข้อมูลของฉันชนกได้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า ทว่าข้อมูลของบิดามารดาที่แท้จริงกลับไม่มีอยู่ หลังจากได้รับการอุปถัมภ์ ครอบครัวที่ดูแลกันก็ไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์พิเศษ การันต์กับวธินเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา เพราะฉะนั้นการเลี้ยงดูแวมไพร์ตนนี้จึงไม่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป แล้วไหนจะท่าทางที่ได้กินอาหารที่ปรุงพิเศษนั่นอีก ทุกอย่างบ่งชี้ว่าฉันชนกไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาแบบที่ควรเป็น


และเมื่อได้รับเลือดด้วยวิธีการดั้งเดิมอย่างการกัดโดยตรงแบบนั้น จึงยากจะต้านทานสัญชาตญาณที่ไม่เคยถูกปลุกขึ้นมาไหวจนรับมันมากไป ร่างกายที่ยังไม่ชินจึงรับไม่ไหว แต่ต่อให้ชินแล้ว ปริมาณเดียวกันนั้นก็ยังถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ แม้แต่ไพร์มยังรู้สึกได้ถึง ‘ความเจือจาง’ ในร่างกาย แต่ก็บอกห้ามไม่ทันเสียแล้ว


เดิมทีเขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องถึงเนื้อถึงตัวถึงเลือดมันเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แม้เป้าหมายที่ลากฉันชนกเข้ามา ก็ด้วยจุดประสงค์ทางการค้าที่อยากพัฒนาบางสิ่งบางอย่าง แต่ธรรมชาติระหว่างเผ่าพันธุ์ก็ทำให้เขาคาดหวังกับการแลกเปลี่ยนแบบตัวต่อตัวเช่นนี้เหมือนกัน


ทว่าแม้จะยื่นข้อเสนอที่วินวินต่อกันแค่ไหน คนที่ไม่เคยรับรู้ถึงธรรมชาติตรงนี้ก็จะไม่เข้าใจในเจตนา ฉันชนกเป็นแวมไพร์ที่มีลักษณะทางความคิดเหมือนมนุษย์จนเกินไป เขาอาจจะรับไม่ได้กับการแลกเปลี่ยน ‘แบบแวมไพร์ต่อมนุษย์สายพันธุ์ดั้งเดิม’ เช่นเมื่อวานที่เราทำต่อกัน


และเพราะเด็กคนนั้นมีความเป็นแวมไพร์น้อยขนาดนั้นไง…
เขาถึงรู้สึกผิด…ที่ทำลงไป แต่ยังไม่สามารถลดความสนใจลงได้เลย


ยิ่งหากเจ้าตัวพอจะจำได้ว่าทำอะไรกันลงไป คงยิ่งรู้สึกไม่ดีใหญ่ มนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่นิยมสูบเลือดสูบเนื้อใครเสียด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นโวยวายอะไรที่เขาจับไปจูบอย่างนั้น ต่อด้วยนั่งตักอย่างนี้ แถมยังเผลอมันเขี้ยวขยำบั้นท้ายไปเต็มกำมือ


หากเป็นเด็กคนที่เขารู้จัก เด็กคนนั้นย่อมโวยวายออกมาแล้ว แต่นี่ตื่นมาก็เห็นงอแงตามประสาคนป่วย จ้องคอที่ไม่เหลือรอยกัดก่อนจะถอนหายใจและยิ้มออกมา โดยปกติแวมไพร์ตอนได้ดูดเลือดนั้นจะเหมือนถูกครอบงำจนแยกอะไรไม่ค่อยออก ฉันเองก็คงไม่ต่างนัก อย่างมากก็แค่สงสัยว่านั่นฝันไปหรือเปล่า


“ครับพี่สน”  เขาหยุดคิดเรื่องของเด็กข้างห้องคนนั้นและรับสายจากคนที่โทรมาหา ถึงจะได้อ่านข้อความไปบ้างแต่ว่าภูวนัยไม่ได้ตอบอะไรไป หากไม่ได้คิดมากจนเกินไป คุณสนธยาผู้นี้ที่ซึ่งเคยเป็นคนรักของแวมไพร์ตัวน้อยของเขาคงจะโทรมาคุยเรื่องของแฟนเก่าเป็นแน่


“ไพร์มสะดวกไหม”


“คุยได้ครับ”


“ขอเข้าเรื่องเลยล่ะกัน เกี่ยวกับเรื่องของฉัน”  คิดไว้ไม่ผิดเลย  “ตอนนี้ไพร์มคบกับฉันอยู่เหรอ”


“อา…เปล่าหรอกครับ”


“แต่ไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีกับฉันใช่ไหม”


“…”


“ไพร์ม…ฉันเป็นเด็กดีมากๆ พี่ไม่อยากให้พาเขาเสีย มนุษย์เป็นอะไรที่เปราะบาง และไพร์มคงรู้แล้วว่าเขาถูกเลี้ยงมายังไง”


“อันนี้พี่สนเป็นห่วงในฐานะพี่ชายของเพื่อนหรือว่าอะไรกันครับ”


“…”


“ถึงแม้ทางผมกับฝั่งแวมไพร์จะมีข้อพิพาทกันมานานแต่ว่าคุณฉันไม่ได้เป็นแวมไพร์อย่างนั้นนี่ครับ”


“เอาเป็นว่าในบรรดาคนประเภทคุณ ไพร์มยังถือว่าไว้ใจได้อยู่ในความรู้สึกพี่”


“ครับ”


“แต่หวังว่าไพร์มจะไม่ล้ำเส้นนะ” หากเจ้าตัวรู้ว่าเข้าล้ำไปเส้นหนึ่งแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกันหนอ เขาเหยียดยิ้มเมื่อคิดถึงตรงนี้


จริงๆก็ไม่ได้กลัวกับคำที่เหมือนจะข่มขู่กันของผู้ชายคนนี้สักนิด สนธยาคือคนที่เดินโฉบกันไปมาในสถานที่บางที่ มีความเกี่ยวข้องทางธุรกิจบางอย่างร่วม แต่ก็รู้จักกันแบบผิวเผินเต็มที ในประวัติของฉัน ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะตามตอแยผู้ชายคนนั้นมาก่อน แต่พอได้คบแล้วก็อยู่ด้วยกันได้ไม่นาน


“เหอะ”  ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ให้เดาว่าเป็นเพราะคนที่เพิ่งวางสายไปแน่ๆ สนธยาคาดหวังอะไรในตัวของฉันกัน ในวันนั้นที่ร้านของเขาก็เหมือนจะพยายามสนิทสนมกันอย่างออกนอกหน้า  แต่เพราะฉันนั้นพยายามตีตัวออกทางสายตา ภูวนัยก็เลยตัดสินใจจะเดินหน้าเพราะคิดว่าคนอย่างสนธยาคงไม่มีโอกาสได้กลับมาเข้าใกล้เหยื่อของเขาอีก


ภูวนัยไม่ใช่คนขี้ขลาดแต่เขาแค่ขี้เกียจวุ่นวายกับคนที่ไม่ดีไม่ร้ายแบบสนธยา ทว่าเมื่อถลำลึกมาถึงตรงนี้ จะให้ถอยกลับก็ไม่ใช่อะไรที่นักธุรกิจจะยอม ในเมื่อสิ่งที่เขาทำไม่ได้ผิดต่อใคร แค่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ แต่นั่นมันก็หลังจากที่เขาได้โอกาสโน้มน้าวจิตใจของฉันชนกก่อน


อย่างไรก็ตามจะให้ใครอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขามีเด็กคนนั้นในกำมือ ดวงตาซึ่งเป็นสีหายากนั้นก็ชวนให้ครุ่นคิดถึงปริศนาในหลายๆข้อ  เขาเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านประวัติชาติพันธุ์แวมไพร์เสียด้วย หากความพยายามพัฒนาสินค้าบางประเภทของเขามันจะไปไกลกว่านั้นแล้วล่ะก็


บางทีก็ควรจะต้องสืบหาว่ากำลังดีลกับอะไรอยู่อย่างจริงจังเสียที





TALK
ท่องไว้ พี่ไพร์มเป็นพระเอก พี่ไพร์มเป็นพระเอก พี่ไพร์มเป็นพระเอก นะคะ
ถึงน้องฉันจะเห็นแก่กินและดูใช้ชีวิตวิ้งๆไปวันๆแต่น้องก็คิดเยอะอยู่นะคะ 
อย่างน้อยน้องก็คิดว่ายาไม่อร่อย ซึ่งคิดถูก เก่ง555
ชมเราหน่อย เรามาเร็วมากนะรอบนี้ ><
#คู่กินคู่กัด
@reallyuri



















หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 5 24/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-02-2019 00:14:35
ที่แท้น้องฉันก็เป็นแวมไพร์นี่เอง แต่น้องน่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 6 26/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 26-02-2019 18:58:49
6
- - - - - -
ฉันมาง้อ
(-///-)
- - - - - -

คือเมื่อวานนี้ฉันทำตัวไม่ดี
วันนี้ก็เลยจะพยายามทำตัวเป็นคนใหม่!


เริ่มจากการตื่นเช้าอาบน้ำปะแป้งแต่งตัวเพราะเป็นวันทำงาน หยิบขวดน้ำผึ้งที่ป๊ะให้มาเมื่อวันหยุด ก่อนจะส่องกระจกทำหน้าขรึม หน้ายิ้ม และหน้านิ่งจนพอใจแล้วก็หยิบของเดินออกจากห้อง วันนี้ตื่นเช้ามากๆ คิดว่าคงไปถึงที่ทำงานเร็วมากด้วยเช่นกัน อย่างน้อยต้องมีสองชั่วโมงก่อนเข้างานล่ะ แต่ถึงจะเช้าแค่ไหน คุณไพร์มก็มักจะตื่นก่อนเสมอ


ฉันคิดเช่นนั้นจนกระทั่งประตูห้องที่ตัวเองเพิ่งโทรไปหาจะเปิดออกมา


“อะ…เอ่อ…คุณไพร์ม”


“ครับ…”  เขามาในสภาพที่ผมยุ่ง ชุดนอน ดูไม่พร้อมเหมือนทุกวัน แต่เชื่อเถอะว่าสภาพคุณไพร์มตอนนี้ยังดูดีกว่าฉันที่แต่งตัวพร้อมเหมือนจะไปงานเลี้ยงน้ำชา


“ผมขอโทษ นึกว่าคุณไพร์มจะตื่นแล้ว”  ก็ปกติเขาบอกว่าตื่นเวลานี้นี่


“อา…เมื่อวานผมทำงานดึกไปหน่อย”


“งั้นผมไม่รบกวนดีกว่า นี่ของฝากครับ”


“ของฝาก…เนื่องในวันอะไรครับ?”


“อา…ก็มากินฟรีตั้งหลายมื้อก็เลยถือของที่บ้านมาให้ อันนี้เป็นน้ำผึ้งป่านะครับ อร่อยมากๆเลย”  ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ตัวเองก็ไม่ได้มารู้รสอะไรไหม…


แต่จะพูดยังไงดีล่ะ หลังจากที่ป่วย ประสาทสัมผัสทางการรับรสก็เหมือนจะดีขึ้น แต่เรื่องนี้ฉันยังไม่ว่างไปปรึกษาแพทย์เลย มันออกจะแปลกสักหน่อย แต่หากว่าต่อไปจะต้องแลกด้วยการเป็นไข้และกินยาขม เรื่องที่กินข้าวอร่อยก็ไม่รู้จะคุ้มไหมเหมือนกัน ภูวนัยรับขวดน้ำผึ้งมาไว้ในมือ เขาดูจะโหลดช้านิดหน่อยระหว่างจ้องมอง ก่อนจะเปิดประตูห้องให้กว้างขึ้น


“อา…ผมไม่”


“เข้ามาสิครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว”  อะนะ…ไหนๆก็ไหนๆ


ยังไงก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันระวังภัยไว้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!


และคนใจง่ายของปีนี้ก็เข้ามาอยู่ในห้องคนที่ตนเองก็ยอมรับว่าหวั่นไหวอยู่ ภูวนัยเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนฉันที่รู้ว่าไม่ควรรบกวนก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ว่าแต่ต้องใจดีขนาดนี้เลยเหรอ รอไม่นานคนที่อยู่ในห้วงความคิดก็เดินมาหา


“แพนเค้กนะครับ ทำแป็ปเดียว กินกับน้ำผึ้งได้ด้วย”


“รบกวนคุณไพร์มแย่ ต้มมาม่าให้ก็พอนะครับ”


“มาถึงห้องเจ้าของร้านอาหารมาบอกว่าจะกินมาม่า เดี๋ยวตีตายเลย”  แค่นี้ก็เขินจะตายอยู่แล้วไม่ต้องตีให้เปลืองแรงหรอก


แค่ทำหน้าหล่อใส่ ก็จะลงไปชักดิ้นชักงออยู่แล้ว…


ทว่าเขาก็ไม่ได้ให้กินแค่แป้งกับน้ำผึ้งแบบที่เกริ่นไว้ ไส้กรอกแบบโฮมเมดที่แอบไปทำไว้ตอนไหนก็ไม่รู้ก็ถูกย่าง ไข่ดาวก็ถูกทอด รวมถึงสลัดเล็กๆน้อยๆซึ่งดูโดยรวมแล้วไม่ได้หนักจนเกินไป ฉันชนกมองมันตาไม่กระพริบ ถ้าเป็นฉันถูกปลุกขึ้นมา คงเอาแต่เมาขี้ตาจนครีเอทอะไรพวกนี้ในเวลาแค่ไม่กี่นาทีไม่ได้แน่


“ทานสิครับอร่อยนะ”  เพราะเห็นบางคนเอาแต่มองคนทำเลยเร่งเร้า ฉันชนกเลยยื่นส้อมไปจิ้มไส้กรอกน่ากินนั่นเป็นอย่างแรก ส่วนคนทำก็ยังเดินไปรินน้ำผลไม้ให้ ดูแลดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


“ถ้าคุณฉันมาทานมื้อเช้าด้วยทุกวันจะซื้อนมมาติดตู้เย็นให้”


“ฉันไม่กิน” แย้งออกมาทั้งๆที่ยังเคี้ยวอยู่ ก็มันหยุดไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมไง


“ต้องกินครับ เดี๋ยวไม่โต”


“มันไม่โตไปกว่านี้แล้ว”


“เพราะคิดงี้เมื่อสิบปีก่อนมันถึงไม่โตแล้วไงครับ ต้องกินนะ อย่างน้อยแคลเซียมก็ดีกับกระดูก”


“ไม่ต้องหรอกคุณไพร์ม แค่นี้ก็ใช้หนี้ไม่ทันแล้ว” ที่ผ่านมาหลายสัปดาห์นั้น ฉันมักจะกวนเขามื้อเย็นและวันหยุด ถ้ามาทานมื้อเช้าอีก ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหนเพราะความเป็นภาระนี่



“ขายตู้เย็นที่ห้องแล้วเอาเงินมาให้ผมสิครับ ไหนๆก็แทบไม่ได้แช่อะไรอยู่แล้ว”  อันนั้นก็จริง ว่าแต่ไม่ได้ประชดกันอยู่ใช่ไหม  “ผมไม่ได้ว่านะ อยากให้มาเคลียร์ตู้เย็นนี้ให้เลยยุให้ขายของห้องคุณฉันไปต่างหาก”  จุดประสงค์ก็ชั่วไม่ได้ต่าง คนแบบไหนกันนะที่ทำให้ฉันชนกแอบหวั่นไหว หรือเพราะวันนี้นอนน้อยไปเลยดูร้ายกว่าทุกวัน


“ผมเอาไว้แช่น้ำอะ ชอบกินเย็นๆ” สุดท้ายก็ไม่ขาย ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ฉันคิดแบบนี้


“ถ้างั้นก็อย่าซื้ออะไรมาเก็บไว้เยอะ มาช่วยผมเคลียร์ตู้หน่อยนะครับ”  แต่ตู้เย็นของเขาของเยอะจริงอันนี้ไม่เถียงเลย และมีแต่ของที่ฉันชอบกินทั้งนั้น จนอยากเสนอแลกเปลี่ยนตู้เย็นกันมากกว่า แต่มาคิดดีๆแล้ว มีครัวเขาทั้งครัวก็ทำได้แค่มาม่าอยู่ดี


ได้เวลาต้องเดินทางจริงๆ หากช้ากว่านี้คาดว่าจากที่จะได้ไปถึงคนแรกของออฟฟิศ คงได้เป็นคนสุดท้ายแบบที่เลยเวลางานไปแล้วของออฟฟิศจริงๆ เพราะไม่ได้ล้างจานให้ กล่าวขอโทษขอโพยจนเจ้าของห้องรำคาญและก็ออกมา สภาพของภูวนัยที่เห็นวันนี้ไม่ค่อยดีเหมือนทุกวันนัก แต่รู้สึกชนะอยู่ไม่น้อย


ในส่วนของคนที่เพิ่งตื่นแต่มีกิจกรรมให้ทำแต่เช้านั้น เมื่อบางคนได้จากไปก็กลับมาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ทำให้นอนดึก หนังสือเล่มนั้นยังวางอยู่บนหัวเตียงในห้องนอน อ่านเพลินเสียจนเลยเวลานอนมามากแต่โชคดีที่วันนี้ไม่ได้กะจะไปไหนอยู่แล้ว ก็คงอ่านให้จบเผื่อว่าจะมีข้อมูลอะไรมากขึ้น


เกี่ยวกับแวมไพร์ตาสีม่วง…


มันมีบันทึกเอาไว้อยู่ ดังนั้นฉันชนกไม่ได้ถือเป็นสายพันธุ์ใหม่อย่างที่ตั้งสมมติฐานไว้ แต่เท่าที่เขาพบเจอหรือติดตามข่าวสารในระยะหลัง ดวงตาสีม่วงแบบนั้นไม่ใช่ที่หาพบได้ทั่วไปแน่ๆ และแวมไพร์ก็เป็นสายพันธุ์รักสงบจนเข้าขั้นปิดกั้นตัวเองในระดับหนึ่ง จะหาข้อมูลอะไรก็คงจะยากหน่อย กับคู่ค้าแม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ก็ต้องระวังคลื่นใต้น้ำ


ทว่าเพราะความแปลกใหม่ของสายพันธุ์นี้กับต้นตระกูลที่สืบทอดกันมายิ่งทำให้ฉันชนกดูเปราะบางแต่ก็น่าสนใจ เช่นนี้แล้วจะให้ปล่อยไปง่ายๆก็คงไม่ได้ ไพร์มคิดเช่นนั้นโดยไม่ได้สนใจเสียงยุบยิบอื่นใด ที่กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจต่อเรื่องต่างๆภายหลัง


- - - - - -
ฉันไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นเสียหน่อย…
(._.)
- - - - - -


ฉันเริ่ม…กินไม่รู้รสอีกแล้ว หรือเพราะสุขภาพดีมากๆเลยกินอาหารอย่างอื่นที่ไม่ได้ปรุงโดยเขาไม่รู้รสอีก แต่รู้รสบ้างไม่รู้บ้างแบบนี้ก็ดีกว่าไม่รู้รสเลย


“คุณฉันหยิบคะน้าด้วยครับ”


“ไม่กินได้ไหม”


“ผมกินครับ หยิบมานะ”  วันนี้เรามาที่ซุปเปอร์เพื่อซื้อของไปทำอาหารกินที่บ้านอีกแล้ว ที่บอกว่ากินรู้รสบ้างไม่รู้บ้าง ส่วนมากที่รู้ก็ตอนกินกับเขานั่นแหละ มือเล็กเอื้อมไปหยิบคะน้ามาใส่รถเข็นไว้ แม้จะแอบหวั่นๆลึกๆว่าคะน้าเยอะแบบนี้เขาได้ตักมาให้กินแน่ๆ แต่ตนก็จะทำหน้ามึนต่อไป


“ราดหน้าต้องใส่อะไรอีกบ้างอ่ะ”


“ข้าวโพดอ่อนก็ได้ครับ ฉันชอบใช่ไหม”  หลังจากที่อยากกิน แหยงที่จะกิน จนกลายเป็นกินได้และชอบมาก ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ในสายตาของภูวนัยแล้วทั้งสิ้น เกี่ยวกับรสนิยมทางการกินที่เป็นความชอบของตนนี้ จะมีเขาเพียงคนเดียวที่รู้


และมันก็เหมือนจะทำให้รู้สึกว่าข้างในค่อยๆพองฟูขึ้นมา



“ซื้อครบแล้วเราไปจ่ายเงินกันครับ”  วันนี้ฉันชนกยืนยันขั้นเด็ดขาดว่าทุกอย่างที่อยู่ในรถเข็นตนต้องเป็นคนได้จ่าย แม้ว่าภูวนัยจะอ้างว่า น้ำส้มนี่ของเขา ทิชชู่นี่ของเขา น้ำยาล้างจานก็ของเขา แต่ปฏิเสธได้ไหมล่ะว่าฉันก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมใช้งาน และเพราะจ้องหน้าหาเรื่องอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเลยอนุญาตให้ฉันได้ควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ


“งั้นที่ซื้อกันรอบนี้ก็มาช่วยใช้ให้หมดด้วยนะครับ”  หากปกติมันก็ดูเหมือนคำประชดประชัน ทว่าใบหน้าที่ติดรอยยิ้ม และโทนเสียงที่ใช้ เราไม่อาจจะตีความได้ว่าเขาประชดกันได้หรอก แต่เขาพูดเพื่ออะไรนั้น ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน เอาเป็นว่าผลลัพท์คือเขิน เขินจนอยากจะเอาหัวโขกที่รูดบัตรเครดิตตายไปเลย


เราเดินเอาของมาเก็บที่รถ ราดหน้าที่ฉันอยากทานนักหนาคงเป็นมื้อเย็นในวันนี้ เพราะว่ากำลังจะหยุดยาว แต่ว่าป๊ะกับพ่อไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอยู่ทำให้ปิดปีใหม่รอบนี้ไม่มีที่ให้ไป ฉันไม่ได้ถามว่าคุณไพร์มเขาจะไปไหนไหม เพราะ ไม่ได้กะจะขอติดสอยห้อยตามไป แต่จะขอให้ช่วยทำอาหารหม้อใหญ่ๆ จะได้เก็บไว้กินนานๆ


“ฮึ่บ” หลังจากยกทุกอย่างใส่ท้ายรถ เราก็เตรียมจะเดินมานั่งด้านในเพื่อขับกลับบ้าน ทว่าความรู้สึกบางอย่างก็แล่นขึ้นมาจุกอก กดดันกันให้หันไปมองว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น


“คุณฉัน”  ภูวนัยที่เดินตามมานั้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังมองอะไรอยู่ก็มองตาม และเมื่อเห็นเขาก็รีบคว้ากันไว้ แม้ไม่อาจจะทราบได้ว่าสถานการณ์ที่พบเจออยู่นั้นอันตรายหรือไม่ แต่แวมไพร์กับสายพันธุ์ตรงหน้าก็ไม่ใช่ว่าญาติดีกันอยู่แล้ว


“คะ…คุณไพร์ม”  ฉันนั้นหันมามองหน้า ความเป็นไปได้ที่มีอยู่นี้ ทั้งสองก็ไม่แน่ใจว่าจะหลุดพ้นจากกรงเล็บหรือคมเขี้ยวของมันไหว กับไพร์มน่ะไม่มีทางแน่ๆ แต่กับฉันนั้นมันมีโอกาส แค่ว่าโอกาสตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าฉันจะรู้หรือใช้มันได้ไหม


กรรรรรรรรรรรร!!!


“ฮื้อ!!!!!!”  ร่างสูงของเขาก้าวเข้ามาบดบังกันไว้ข้างหน้า ฉันชนกหลับตาปี๋ด้วยหวาดกลัวกับภาพที่เห็น ในเมืองแบบนี้ไม่น่าจะมี ‘หมาป่า’ อยู่ ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไม่ระวังตัว


“ไปที่รถ!”  เขาสั่ง แต่ฉันได้แต่ส่ายหน้า ใจหนึ่งก็คิดว่าทิ้งเขาไว้ไม่ได้ อีกใจหนึ่งนั้นก็เพราะขาของตนยังขยับได้อยู่ไหม ทว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นตนก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ได้ยินเสียงคำรามและเสียงสบถวนไปจนรับรู้ได้ว่าภูวนัยนั้นเหวี่ยงหมาป่าตัวนั้นไปติดเสาต้นใหญ่อีกด้านหนึ่ง “ขึ้นรถ!”  เขาสั่งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงก้องกังวานพร้อมกับฉุดลากให้ไปนั่งในรถ


ตึกตัก ตึกตัก…ตั้งแต่เกิดมา หัวใจของฉันไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้ มันเหมือนจะฉีกขาดจากภายใน และสิ่งที่ตนไม่เคยรับรู้ว่ามีอยู่ก็ดิ้นรนที่จะปลดปล่อยตัวเองออกมา


“ฮึก…” 


“ไม่ใช่ตอนนี้นะฉัน ผมขับรถอยู่”  เขาเร่งความเร็วจนฉันนึกกลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือกลิ่นคาวเลือดที่แขนซึ่งตนไม่กล้าหันไปมองว่ามันมีสภาพเช่นไร เพราะแค่ได้กลิ่นหัวใจยังกระตุกขนาดนี้ แล้วถ้ามองไปล่ะฉันจะรู้สึกเช่นไร หากเป็นในความคิดก็คงต้องหวั่นใจและหวาดกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรแน่ๆ ทว่าตอนนี้สิ่งที่ตนสะกดไว้มันกำลังผลักดันตัวเองออกมา


พร้อมกับการบอกรับเสียงดังว่ามันต้องการทุกหยาดหยดนั้นเป็นของตัวเอง…


“คุณ…ไพร์ม”


“ทนก่อนนะคนดี”  เขาเอ่ยบอก รับรู้ได้ถึงกลิ่นที่รุนแรงซึ่งออกมาจากตัวคนข้างๆชัดเจน เลือดของเขามันทำปฏิกิริยาไปกับสัญชาตญาณดิบในตัวของฉัน หากเป็นไปได้เขาอยากหยุดรถไว้และให้เด็กคนนั้นได้ชิมมันทั้งหมดในตอนนี้เลยเพราะนี่ก็เป็นความต้องการของเขาเช่นกัน


“ฉัน…ไม่ไหว ฮึก”


“งั้นเจ็บหน่อยนะครับ”  เขาพูดเช่นนั้นและฉันชนกที่สั่นสะท้านทั้งตัวก็ไม่ได้คิดตามว่าเขาจะทำอะไร ทว่าก็ยังพอมีสติรับรู้ว่าเขาเอื้อมหยิบบางอย่างที่ช่องเก็บของตรงประตูรถฝั่งตัวเอง ใช้ปากกัดปอกและดึงมันออกมาก่อนจะปักมันลงบนต้นแขนของฉัน ก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นเข้าสู่ผิวกายจนกระทั่ง….ฉันไม่รู้สึกอะไรอีกเลย


ทั้งความเป็นอยู่และความเป็นไป


ไม่แน่ใจว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่คงเพียงพอกับการพักผ่อน ดวงตากลมโตที่มองอย่างเลื่อนลอยนั้นไม่ได้กระตือรือร้นที่จะค้นหาตัวตนหรือตัวใคร ผลข้างเคียงของยาที่ถูกฉีดเข้ามาผ่านผิวหนังนั้นยังทำให้ฉันเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองมาจนถึงตอนนี้ และเมื่อนึกได้ว่าตนเลื่อนลอยนานเกินไปแล้ว ฉันจึงค่อยๆพยายามคิดหาคำตอบ โดยเริ่มจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราว


ที่นี่ที่ไหน?  เมื่อคิดได้ว่ามันเกิดเรื่องราวน่าตื่นเต้นอย่างไรก่อนหมดสติไป ฉันชนกก็เริ่มหวาดกลัวต่อสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี่ แม้จะยังนอนนิ่งๆแต่สายตาก็เมียงมองไปรอบด้าน จนมั่นใจว่าตนไม่ได้ถูกพันธนาการแต่อย่างใด จึงค่อยๆลุกขึ้นและมองหาว่ามีอะไรอันตรายรออยู่หรือไม่


“คุณไพร์ม…” บุคคลสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันก่อนจะหลับลงไป เขาอยู่ไหน? เกิดอะไรกับเขาหรือไม่? ทุกอย่างที่เป็นคำถามที่ค้างคาใจล้วนเอ่อล้นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกผิดทั้งๆที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อ แค่ที่ปลอดภัยโดยไม่รู้ชะตากรรมของอีกฝ่าย ก็เพียงพอให้รู้สึกไม่ดีแล้ว


“ตื่นแล้วเหรอครับ”  เสียงที่คุ้นเคยนั้นดังขึ้นจากทางประตู ฉันชนกรีบหันไปหา ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเขานั้นปลอดภัย แต่ผ้าพันแผลที่พันไว้ที่ต้นแขน ก็ทำให้รอยยิ้มหายไปแทบจะในทันที


“แผล…”  เป็นไปได้ว่าตอนที่เขาเอาตัวเข้าบัง ภูวนัยอาจจะใช้แขนกันไม่ให้หมาป่าตัวนั้นพุ่งเข้ามากัดกันได้ และภาพที่เขาเหวี่ยงหมาป่าตนนั้นจนกระเด็นออกไปก็ยังคงสร้างความประหลาดใจ


“เป็นแผลนิดหน่อย ไม่ต้องห่วงนะครับ”  พันซะทั้งแขนแบบนั้นใครจะเชื่อกันว่านิดหน่อย แถมเขายังขับรถพามาที่นี่ โดยที่ตนหลับไปอีก อย่างนี้จะไม่ให้รู้สึกอะไรได้อย่างไร


“ผมนอนไปกี่ชั่วโมงแล้ว”


“ประมาณสี่ชั่วโมงครับ ตื่นเร็วกว่าที่ผมคิดไว้อีก”  ยาที่เขาให้ไปน่าจะสะกดให้หลับได้ราวๆวันหนึ่งด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเชื้อสายที่ต้านทานได้มากกว่า ก็ย่อมเป็นเพราะความกังวล


“งั้นคุณไพร์มก็ยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลใช่ไหม งั้นไปกับฉันนะ!”  เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเช่นนี้เขาอาจจะยังไม่ได้ไปหาหมอ ฉันชนกที่ทั้งรู้สึกผิดและเป็นห่วงเขากว่าใครก็ลุกขึ้น ทว่าไม่รู้เพราะอะไรถึงปวดหัวจึงล้มลงไปนอนอีกครั้ง


“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปหาหมอหรอก”


“ต้องไป เดี๋ยวติดเชื้อ”


“ไม่หรอกครับ พักผ่อนเถอะนะ”  เขากำลังจะหยิบผ้าห่มมาห่มให้


“ฉันไม่นอน จะพาคุณไพร์มไปโรงพยาบาล”


“….”


“ไปโรงพยาบาลกันเถอะนะ”  ทั้งแววตาที่มองมา ทั้งท่าทางที่แสดงออก มันทำให้ภูวนัยที่คิดว่าตนเองจะทิ้งเรื่องไว้นานกว่านี้ต้องมานั่งคิดใหม่ หรือบางทีเขาควรจะเริ่มอธิบายอะไรให้อีกคนรู้ แต่ถ้าอีกฝ่ายกังขากับผลประโยชน์ที่เขาแอบแฝงมาล่ะ ในช่วงที่เปราะบางแบบนี้ มันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ


“ฉันครับ ฟังผมนะ”  แต่ถ้าไม่พูด ฉันชนกก็น่าสงสารเกินไป สิ่งที่พบเจอวันนี้มันอันตรายมากๆ และเจ้าตัวควรได้รู้เพื่อระวังต่อไป โลกที่สงบสุขนั้นไม่มีอยู่จริง เบื้องหลังของมันคาวเลือดอยู่เสมอ  “ผมไม่ต้องไปหาหมอ หรือไปโรงพยาบาลที่ไหน เพราะไม่มีใครทำแผลให้ผมได้” 


“ทะ…ทำไม”


“ผมไม่ใช่คนทั่วไป หรือแม้แต่คนที่เป็นแบบฉันก็ไม่ใช่”  เขายกมือของฉันขึ้นมาและใช้นิ้วโป้งวนบนหลังมือให้เบาๆคล้ายจะทำให้ผ่อนคลาย


“หมายความว่ายังไงครับ”


“ถ้าผมอธิบายไปด้วยคำพูด ฉันคงไม่ยอมเชื่อแน่เลย”  และเขาก็ปล่อยให้ฉันได้สัมผัสกับแผลที่มีเลือดซึมออกมา และดวงตาคู่นั้นก็ปรากฏแววที่เขาต้องการ ไพร์มรู้จักร่างกายของฉันดีกว่าฉันอีก


“ฉัน…กลัว” แต่บอกไม่ได้ว่ากลัวอะไร ราวกับว่าอะไรบางอย่างภายในได้ถูกกระตุ้นจนมันอยากจะออกมาอีกครั้ง ร่างกายเริ่มจะหนาวสั่นจนอยากเรียกร้องให้ตัวเองหลับใหล


“อย่ากลัวมันครับ”  เขาปลอบก่อนจะจับมือที่สัมผัสกับแผลของเขา “ปล่อยมันออกมาและก็ควบคุมมันดีๆครับ”  เขาบอกเช่นนั้น ปล่อยให้ฉันชนกได้หายใจเข้าออกเพื่อปรับสภาพสิ่งแปลกปลอมเพื่อให้มันหลอมรวมกับตัวตนไปทั่วร่าง จนเมื่อดวงตากลมโตช้อนมองกันอีกครั้ง เขาก็ได้เห็นสีม่วงที่ดูสุกสกาวที่สุด “ผมอยากให้ฉันได้เป็นตัวเองที่สุด” สิ้นคำนั้นทุกๆอย่างก็เหมือนจะหยุดลง


ก่อนที่เขาจะค่อยๆรู้สึกถึงคมเขี้ยวที่ฝังกับลำคอ ค่อยๆกดลงไปเน้นๆย้ำๆแต่ให้ความรู้สึกนิ่มนวลไม่ได้ชวนอึดอัดแต่อย่างใด ฝ่ามือของเขาค่อยๆทาบลงกับเอวบาง ส่วนมืออีกข้างก็กดหลังคอให้ถลำลึกเข้ามาได้อีก สิ่งที่หมุนวนอยู่ในตัวของทั้งคู่กำลังพาให้ร่างกายผ่อนคลายและสุขสม โดยไม่รู้ตัว แผลที่แขนของเขาก็ค่อยๆแห้งจนกระทั่งผิวเนื้อกลับมาสมานอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้นตรงนี้เลย


“พอก่อนครับฉัน มากไปเดี๋ยวจะไม่ดีนะ”  เขาบอกพลางขยับตัวให้อีกฝ่ายถอยออกมา และเด็กดีก็ยอมถอยออกอย่างที่กล่าวเตือน ในยามนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการมีสติรับรู้ และมันทำให้กระดากจนทำตัวไม่ถูก ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้รู้สึกดีอย่างไม่อาจจะหาอะไรเปรียบเทียบได้  “รู้สึกไม่ดีบ้างไหมครับ”  เขาถาม แต่ฉันชนกเพียงส่ายหน้า ในใจยังติดค้างเรื่องราวหลายอย่าง นี่ฉันเพิ่งกินเลือดไปเหรอ กินแบบสดๆเลยนะ แถมกัดจากคอคนอื่นด้วย!


“คุณไพร์มเจ็บไหม”  เมื่อระลึกได้ว่าขั้นตอนที่ผ่านมาเป็นเช่นไร ความสับสนและความกระดากอายก็ถูกหยุดไว้และหันมาสนใจคนที่บาดเจ็บอยู่ น่าแปลกว่าพอเงยหน้าขึ้นมาจะมองแผลที่ต้นคอของเขา ทว่ามันกลับไม่มีอยู่แล้ว


แต่เมื่อกี้ฉันกัดจนจมเขี้ยวเลยนี่


“ตรงนี้ก็หายแล้วเหมือนกัน”  ที่แขนของเขา เมื่อสักครู่มันรู้สึกยุบยิบแปลกๆแต่ไม่ถึงกลับทนไม่ได้ เขาให้ความสนใจกับความรู้สึกของคนที่ดูดเลือดกันมากกว่าจึงไม่ได้สนใจสภาพของตนเองเท่าไหร่จนกระทั่งตอนนี้ น่าประหลาดใจไม่น้อย แม้ว่าภูวนัยจะคุ้นเคยกับการรักษาตัวเองได้ แต่ไม่เคยเร็วถึงขั้นนี้มาก่อนเลย


“เป็นไปได้ไง”


“ผมเองก็งงเหมือนกัน”  เขาพึมพำออกมา ก่อนจะหันไปมองคนที่งงยิ่งกว่า “คุณฉันไม่เป็นไรนะครับ”


“ฉัน…”


“คุณฉันกลัวผมไหม”  ฉันส่ายหน้า


“คุณไพร์ม ฉันกินเลือดคุณไพร์ม”


“ส่วนผมก็อยากให้คุณฉันกินด้วย”


“แต่คุณไพร์มเจ็บ…”


“ผมไม่เจ็บหรอกครับ”   เขาปฏิเสธเสียงนุ่ม “ร่างกายของผมถูกสร้างมาให้ถูกกินเลือดอยู่แล้ว”


เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดใจกับฉันชนกในสิ่งที่เขาเป็น ภูวนัยย้ำว่าตนเป็นมนุษย์หากแต่เป็นมนุษย์สายพันธุ์หนึ่งที่มีความใกล้เคียงกับอมนุษย์ในความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไป ทว่าพันธุกรรมบ่งชี้ว่าร่างกายของเขามีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าสายพันธุ์ไหนๆ เขาจึงจำกัดความพวกพ้องของตนไว้ว่าเป็นแค่มนุษย์ แต่เป็นมนุษย์สายพันธุ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ซึ่งไม่ได้มีวิวัฒนาการตามแบบมนุษย์ปัจจุบันสักเท่าไหร่


ในอดีตที่โลกมีความหลากหลายกว่านี้ เขาถือเป็นหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่อยู่รอดมาได้แต่ว่าก็ไม่ได้เหลือมากมาย เมื่อเทียบกับมนุษย์ทั่วไปที่วิวัฒน์ตนเองจนอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ พวกของไพร์มเหมือนพวกโง่งมงายที่ยังไม่หยุดการฆ่าแกง แต่เพราะความเป็นอยู่ของเผ่าพันธุ์ในอนาคต หากไม่ขัดแย้ง ก็หาทางลงที่เหมาะสมไม่ได้ กว่าจะจบลง ชีวิตมากมายก็ถูกสังเวย


มนุษย์เช่นพวกเขานั้นเกิดมาด้วยมันสมองที่ปราดเปรื่องและร่างกายที่แข็งแรง หากแต่ว่าไม่มีอะไรจีรัง การไหลเวียนของเลือด หรือลักษณะของเลือดในร่างกายของเขานั้นมันเข้มข้นกว่ามนุษย์ทั่วไป หากไม่ได้รับการถ่ายเทออกจะทำให้สุขภาพย่ำแย่ลงและตายอย่างง่ายดาย


ทว่าพระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายเกินไป ได้ให้กำเนิดสายพันธุ์หนึ่งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่แวมไพร์ในความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไปนั้นต่างจากความเป็นจริงเล็กน้อย แวมไพร์กล่าวว่าตนไม่ได้ทานเลือดเป็นอาหารหลัก แต่ทานเลือดเพื่อให้อรรถรสในการทานอาหารหลักได้ดีขึ้น


นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว แวมไพร์ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ก็มีจุดอ่อน เพราะโลกคือสถานที่ที่ซึ่งไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตจึงทำให้พวกเขาอ่อนแอลงอย่างน่าเหลือเชื่อทว่าเลือดของมนุษย์ก็ช่วยเสริมภูมิบางอย่างที่ทำให้เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอเมื่อยามต้องแสงแดดมีภูมิขึ้นมาเทียบทัน เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป


หากแวมไพร์ต้องการเลือดมนุษย์เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถอยู่บนโลกนี้ได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ต้องการให้แวมไพร์กัดกินเลือดของตนเพื่อหลีกหนีจากความตายอันแสนทรมานและช่วยเสริมสร้างภูมิในการรักษาภายใน เมื่อสองเผ่าพันธุ์มีผลประโยชน์ร่วมกันร่วมมือกันก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อธุรกิจตกลงไม่ตรงใจก็นำมาสู่ความขัดแย้ง


เพราะเรื่องมันซับซ้อน แม้จะพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ทว่าเพราะความที่มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่เกินไป ฉันจึงดูไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาเชื่อว่าอีกคนกำลังทำความเข้าใจกันอยู่ ในความเงียบอันแสนอึดอัดนั้น คนที่เพิ่งรับรู้ก็นึกอยากอาเจียนแต่เพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องจึงได้แต่นั่งทำหน้าว่างเปล่า


“ผมเป็นแวมไพร์” ก่อนจะเอ่ยประโยคนี้ซ้ำๆอย่างน่าสงสาร


“ครับ”


“ผมกินเลือดคนเป็นอาหาร”


“ตอนนี้ฉันกินข้าวเป็นอาหารครับ แต่กินเลือดเพื่อช่วยชูรสอาหาร”


“แต่ก็กินเลือดไหมเล่า!”  นี่มันเรื่องใหญ่มากๆนะ ช่วยให้เกียรติฉันที่ร้อยวันพันปีได้เครียดกับคนอื่นเขาบ้าง!


“กินครับ”  ไพร์มยิ้ม ถ้าโวยวายแบบนี้ ก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่แล้ว  “ฉันกินไพร์มไปแล้ว” เขาจึงปล่อยหมัดแห่งความจริงเข้าไปตอกย้ำ เอาล่ะตอนนี้น่าห่วงแล้วแหละ


ฉันว่าฉันจะเพนโลมมมมมมมม


Talk:
หลังจากที่แต่งเรื่องนี้ ค่อนข้างมั่นใจว่าถึงพี่ไพร์มจะดูร้าย แต่พี่เขาใจดีสมเป็นพระเอกฟีลกู้ดนะคะ
ช่วงนี้มาบ่อยหน่อยเน้อ
#คู่กินคู่กัด @reallyuri
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 6 26/2/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 27-02-2019 23:07:48
มาบ่อยๆ เลยค่ะ วันละสองรอบก็ได้ค่ะ 5555

เอ็นดูฉันไม่เลิกเลยค่ะ โตมาแบบนี้ จะให้เปลี่ยนเลย
ก็ทำใจยากนะ แถมยังมาอยู่ในกลุ่มที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
ที่ไม่รู้รสเพราะยังไม่ถูกกระตุ้นด้วยเลือดหรอ
พอได้ลิ้มรสแล้ว อะไรก็อร่อยเนาะ แล้วที่ไม่รู้รสเป็นบางที
หรือเพราะติดรสมือคนทำกันแน่นะฉัน

ไพรม์เป็นมนุษย์พิเศษ คือต้องพิเศษมาก
ถึงขั้นรู้ว่าฉันเป็นใคร จะได้ประโยชน์อะไร
แต่ดูไพรม์ก็มีอาการของคนที่จะรัก ห่วงใย บ้างนะ

ชอบความคิดเป็นตุเป็นตะของฉัน บ้าบอในความคิดตัวเอง
ไม่ได้สายมโนนะ แต่สายคิดเองเขินเอง ทั้งที่บางทียังไม่มีอะไร



หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 7 3/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 03-03-2019 19:41:30
7
- - - - - -
ฉันไม่กินแล้ว!!!
(+///+)
- - - - - -


ไม่ได้กินสักหน่อย เพ้อเจ้อ!!!


“คิดลึกเนอะคนเรา กินอะไรเนี่ย!”  จะกัดให้จมแขนเลยคนอะไรทะเล้นจริงๆ


ทว่าเรื่องเศร้าที่เพิ่งได้ฟังก็ยังตอกย้ำกันอยู่ ฉันเป็นแวมไพร์ เป็นแวมไพร์มาตลอดชีวิตแต่เพิ่งมารู้ตอนจะ 25 แล้ว มีใครให้เบญจเพสแรงกว่านี้อีกไหม


“คุณฉัน ออกมาจากผ้าห่มนะครับ”  หลังจากพยายามที่จะกัดแขนเขาและพบว่าตนเองงอกเขี้ยวได้จริง คนจิตตกก็เอาตัวเองไปซ่อนในผ้านวมผืนใหญ่


“ฮื้อออออ”


“มันไม่แย่หรอกครับ คุณฉันไมได้ไปฆ่าใครสักหน่อย”


“ทำไมฉันไม่ชอบกินเลือดหมูแต่ชอบกินเลือดคน”


“แวมไพร์ไม่กินต้มเลือดหมูเพราะชอบครับ แต่เขาชอบกินเลือดผมกัน คุณฉันออกมานะ”  เขาพยายามดึงผ้าห่ม แต่เหมือนจะเล่นด้วยมากกว่า


“ฉันจะกินต้มเลือดหมู”  เผื่อว่าจะชอบมากกว่าเลือดคน


“ไว้พรุ่งนี้เนอะ วันนี้กินราดหน้าก่อน ซื้อของมาแล้ว”


“ฮือออ ฉันไม่กินคะน้า” 


“หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว ไม่แข็งมากด้วย อร่อยนะต้องลอง”  นี่ก็ล่อลวงเก่ง   “ไปครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”


“แล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ!” แล้วความเห็นแก่กินก็ชนะทุกอย่างแม้แต่ความเป็นความตาย ไพร์มที่กลั้นขำนั้นยิ่งทำให้ฉันหน้าบึ้งเข้าไปอีก แต่คนที่มั่นคงต่อมื้อเย็นวันนี้ก็ทำไม่สนใจเดินเชิดหน้าออกจากห้องไป ทั้งๆที่มาอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้รู้


“ห้องครัวอยู่ชั้นล่างครับ” เขาดึงเสื้อของคนที่มุ่งจะเดินไปทางขวาให้ย้อนมาทางด้านซ้าย ก็เสียหน้านิดหน่อย แต่หิวมากกว่า 


เส้นที่ถูกผัดเตรียมไว้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองชามรอเวลาให้ราดน้ำจากในหม้อลงไป ฉันชนกที่เหมือนจะรู้หน้าที่นั้นหยิบพวงเครื่องปรุงอันเล็กที่วางอยู่ตรงข้างๆชามราดหน้าไปวางบนโต๊ะทานข้าว  พอดีกับที่ไพร์มยกชามราดหน้ามาเสิร์ฟให้


“ฉันอยากลองปรุงราดหน้ามานานแล้ว!!”  เจ้าตัวถูมือไปมา หากเป็นพ่อครัวคนอื่นคงมีเคืองแล้วที่ตั้งใจแทบตาย สุดท้ายคนกินก็ปรุงทับ แต่ไม่ใช่กับเขาที่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรมาตลอด หากว่าเรื่องวันนี้มันหนักไป ความสุขเล็กๆเช่นการได้ลองใส่นั่นจับนี่ก็คุ้มหากจะช่วยคลายปัญหาในใจได้บ้าง


“แล้วที่ฉันเป็นแวมไพร์…มันเกี่ยวข้องกับการที่กินอะไรก็ไม่รู้รสหรือเปล่า” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดออกมาให้คนอื่นฟัง แม้แต่สารินก็ไม่เคยรู้ เพราะเมื่อครู่ได้ยินว่าแวมไพร์กินเลือดเพื่ออรรถรสทางการกินอาหารหลัก ก็เลยไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม ทว่าลึกๆก็ยังมีความหวังว่าตนจะยังไม่ใช่แวมไพร์อยู่ เมื่อกี้ที่ดูดเลือดเขาไปเพราะตื่นมาหิวจนหน้ามืดเท่านั้นเอง…


“ครับ เพราะจริงๆอาหารหลักของแวมไพร์ก็คือเลือดนั่นแหละ แต่แค่ไม่ยอมรับเพราะการกินเลือดมันดูป่าเถื่อน”  เอ๊ะ! อย่างงี้ก็ได้เหรอ แวมไพร์นี่ดูจะแมวเข้าไปทุกทีแล้วนะ แยกเขี้ยวฟ่อๆแต่ว่านิสัยมุ้งมิ้งสิ้นดี


“เพราะเลือดเป็นอาหารหลักเลยกินอาหารอย่างอื่นไม่รู้รสเหรอ ไม่แฟร์เลย”  เอายี่สิบสี่ปีของฉันชนกคืนมา แต่ถ้ารู้ว่าต้องกินเลือดก่อนถึงจะกินอาหารแบบมนุษย์ได้ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าตนจะกระเดือกลงหรือไม่


“ผมเลยวางยาคุณฉันด้วยการแอบเจาะเลือดตัวเองใส่แซนวิช แค่เพียงไม่กี่หยดก็ช่วยให้รับรสได้ดีขึ้นแล้วล่ะครับ”  นี่มันจอมวางแผนล่อลวงปั่นป่วนกันจริงๆนี่นา เช่นนี้ก็แสดงว่าเขารู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าฉันเป็นอะไร คนเราจะมารู้จักกันดีกว่าตัวเองที่อยู่กับตัวเองมาทั้งชีวิตได้ไง ไม่แฟร์เลย!


“แล้วคุณไพร์มรู้ได้ไงครับ”


“สัญชาตญาณมั้งครับ ยิ่งเห็นคุณฉันกินคุ้กกี้ที่ผมภูมิใจนำเสนอมากๆด้วยหน้าตาเฉยเมย แซนวิชเศษผักกับเลือดหนึ่งหยดก็คุ้มที่จะพิสูจน์ครับ”  ฉันจำได้ว่าตนเองร้องไห้ให้กับแซนวิชเศษผักวันนั้นเลยนะ พูดมาได้ว่า ‘แค่’ เฮงซวย!


“แล้วที่วันนี้มีหมากัด ทำไมคุณไพร์มไม่ให้ผมยืนหน้าละครับ เป็นแวมไพร์ก็ต้องสู้ได้อยู่แล้ว”


“เก่งจังคนเรา เมื่อกี้ยังนอนคลุมโปงอยู่เลย สู้ได้ครับแต่ไม่ใช่ฉันในตอนนี้แน่ ถ้าส่งไปก็เหมือนให้ลูกแมวเพิ่งเกิดไปสู้กับหมาใหญ่นั่นแหละครับ รอเป็นแมวโตก่อนเนอะ ผมจะไม่ห้ามเลย”  ปากร้ายขึ้นทุกวันเลยผู้ชายคนนี้ ดูถูกกันเกินไปแล้ว เออ ดูได้ถูกต้องจริงๆ ถ้าเขาส่งไปคงได้โชว์ความสามารถวิ่งเปี้ยวไวๆให้เขาได้ชมเท่านั้นแหละ


“แต่แปลก หมาไม่เคยจะกัดผมมาก่อนเลยนะ แล้วทำไม..”


“นั่นไม่ใช่หมาครับ หมาป่า”


“นี่เราอยู่ในกรุงเทพนะ”


“หมาที่เกิดและโตในกรุงเทพก็เยอะนะครับ โดยเฉพาะหมาป่าที่แปลงร่างเป็นคนได้”


“หา?!”


“ทำเป็นไม่เคยเจอไปได้ เราน่ะเคยคบด้วยนะ”


“หะ หะ หะ!”


“ครับ วันก่อนแฟนเก่าคุณยังโทรมาขู่โฮ่งๆใส่ผมอยู่เลย แต่ไม่ต้องห่วงนะ หมาที่กัดเราวันนี้ไม่ใช่แฟนคุณหรอก เขาตัวใหญ่กว่านั้น”  เดี๋ยวนะ ค่อยๆพูดค่อยจาสิ นี่คือเราคิดไปเองว่าสาจ๋าเหมือนหมาน้อย แต่จริงๆมาจากครอบครัว…มนุษย์หมาป่าเหรอ


บอกทีว่านี่มีซ่อนกล้องอยู่!


“พอพูดถึงแฟนเก่าแล้วช็อคไปเลยเหรอครับ”  แถมยังลุกลี้ลุกลนมองเพดานห้องฝั่งนั้นทีฝั่งโน่นทีเหมือนหาอะไรอยู่


“อา…”  ทว่าที่คิดนี่เป็นเรื่องของสาทั้งนั้น แต่พอเขาทักที ฉันก็ลืมไปเลยว่าใครคนหนึ่งเคยเป็นแฟนเก่ามาก่อน ดีแท้ บรรพบุรุษต้องภูมิใจในฐานะที่มีลูกหลานใจกล้า อ่อยมนุษย์หมาป่าเป็นเกียรติแต่งวงศ์ตระกูล ว่าแต่แวมไพร์กับมนุษย์หมาป่า…คงจะไม่ชอบขี้หน้ากันจริงๆเหมือนในหนังใช่ไหม


เอ้า! นี่ก็เชื่อคนง่าย ที่พูดมานี่มันเป็นความจริงทั้งหมดเลยเหรอ โกหกบ้างก็ได้!?


“เราอยู่ที่ไหนกันอะครับ”  หลังจากที่ช็อคขนานใหญ่กับเรื่องมากมายที่ได้รับฟัง ฉันก็กลับไปกินราดหน้าเพราะไม่อยากให้เส้นอืดอีกต่อไปพลางตักคะน้าในชามตัวเองไปใส่ให้อีกคนที่วอแวบอกอยากกินตั้งแต่ก่อนถูกหมากัด จนมาล้างจานให้ก็ค้นพบว่าตนลืมถามเรื่องสำคัญ!


“บ้านผมครับ”


“บ้าน? ที่คุณไพร์มไม่สะดวกไปทำงานอะเหรอครับ” 


“จริงๆก็ส่วนหนึ่งครับ แต่เอาส่วนใหญ่เลยคือไกลไปไม่สะดวกไปล่อลวงคุณฉัน ผมเลยย้ายไปอยู่ห้องนั้น”


“คงไม่ได้ไปตามสืบแล้วซื้อตามใช่ไหม”


“เปล่าครับ ผมมีห้องอยู่ที่นั่นพอดี” เผอิญรวยอยู่แล้วสินะ


“แล้วทำไมต้องตามมาละครับ!?” เนี่ยไง คำถามสำคัญสุด แต่เอาไว้ถามหลังสุด


“หาเพื่อนครับ ไม่มีแวมไพร์คบ”


“แล้วทำไมต้องคบอ่ะ ไหนบอกว่าญาติดีกันไม่ค่อยจะได้ไม่ใช่เหรอ”


“เพราะคุณฉันไม่ได้ถูกปลูกฝังให้มีความเชื่อแบบแวมไพร์”  เลยน่าจะเข้าหาได้ง่ายดายกว่า แต่ฉันว่ามันมีอะไรอยู่นะ


อะไรที่เขายังไม่ได้พูดออกมา…


“ตอนนี้เพื่อความปลอดภัยอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งกลับบ้านเลย”


“ทำไมอ่ะ”


“หมาป่าแปลงร่างกลางเมืองแบบนั้น ไม่คุณก็ผมละครับที่เป็นเป้าหมาย อย่าว่าแต่คุณกลับไม่ได้ ผมก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกันนะ”  ฉันหุบปากฉับ ก็จริง…


“แล้วเราจะได้กลับเมื่อไหร่”


“ไม่นานหรอกครับ กำลังดูอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยังไงฉันอยู่ให้ผมเลี้ยงก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้จะทำต้มเลือดหมูให้กิน”  และเขาก็เดินจากไปไม่รอให้คนฟังต้องขว้างค้อนใส่ ไหนกันคุณไพร์มคนดี ที่เห็นยืนอยู่ข้างๆเมื่อกี้นี่มันปีศาจชัดๆ ฉันชนกกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปล้างจานต่อและครุ่นคิดถึงเมนูใหม่ที่น่าจะอร่อยกว่าต้มเลือดหมู 


“เป็นไงบ้าง”  หลังจากที่ตกลงกันดิบดีเรื่องการซ่อนตัวที่นี้ ฉันชนกที่ยังมึนๆก็ขอไปนอนหลับฝันอีกรอบเผื่อว่าตื่นมาจะพบว่าตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาไม่ใช่แวมไพร์ ส่วนภูวนัยก็หันมาคุยธุระว่าด้วยเรื่องที่ฝากฝังไว้ตั้งแต่ตอนที่ทำให้เด็กบางคนหลับไปในรถ


“ไอ้ไพร์ม! ใครใช้ให้ซัดหมามันจนสลบอย่างนั้น!”


“แล้วมันตื่นหรือยัง”


“ตื่นแล้ว มีคนจ้างมาทำร้ายคนที่อยู่กับมึงจริงๆด้วย”


“สืบได้ไหมว่าเป็นใคร”


“ยากว่ะ โทรคุยและบอกจุดนัดรับเงินสดเท่านั้น มันเองก็ไม่รู้ว่าใคร แต่รู้ว่าให้ไปที่ไหนและคอยตามยังไงแค่นั้น”


“ไม่ใช่ว่าเรื่องที่กูเก็บแวมไพร์ไว้กับตัวรู้ถึงหูแวมไพร์ด้วยกันเหรอ”


“ถ้างั้นเขาให้มันมาทำร้ายเด็กคนนั้นทำไม ทำมึงดีกว่าไหม ไอ้หน้าเงิน!”  เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไม่มีสาระอะไรให้รีดไถแล้ว ภูวนัยจึงตัดสายไปเพื่อที่ว่าเพื่อนคนนี้จะรู้ว่ามันควรจะเอาเวลาก่นด่าเขาไปหาข้อมูลให้มากขึ้น


ยังคงไม่รู้ว่าใครหวังร้าย อาจจะเป็นแวมไพร์ หมาป่าหรือใครก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ ชีวิตของแวมไพร์ตัวน้อยไม่เคยเสี่ยงถึงขั้นนี้ จนกระทั่งเอาตัวเองเข้าไปพัวพัน ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้สูงว่าสาเหตุมาจากเขา


ภูวนัยรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะตกลงผลประโยชน์ทางธุรกิจกับแวมไพร์ได้ และเป็นมิตรที่ดีของพวกหมาป่า แต่ทั้งนั้นก็ไม่ได้มีความจริงใจต่อกันฉันเพื่อน ที่ยังอยู่กันอย่างสงบนี้ก็เพราะมีสัญญาสงบศึกที่ถูกทำมาเนิ่นนาน


ในยุคสมัยที่ผู้คนแข่งขันกันทางธุรกิจมากกว่าพละกำลัง ต้นตระกูลของภูวนัยได้คิดค้นวิธีที่จะถ่ายเลือดออกมาด้วยตัวเอง และมีการร่วมมือกับแวมไพร์ในการวิจัยสารที่ถูกปล่อยออกมาระหว่างถูกกัดเพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดและภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้กับมนุษย์หลังจากนั้น การทดลองดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีความขัดแย้ง และการปรองดองนั้นก็เหมือนจะเกิดขึ้นในระยะสั้น ก่อนจะแยกตัวจากกันเพื่อคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ทางธุรกิจเท่านั้น


แน่นอนว่าเลือดที่ถูกถ่ายออกมา ก็จำเป็นต่อเหล่าประชากรแวมไพร์ที่ต้องใช้มันในการสร้างภูมิให้ร่างกายสามารถอยู่ได้บนโลกเหมือนมนุษย์ ต้นตระกูลของเขาคิดค้นธุรกิจ ‘แปรรูปเลือด’ ขึ้นมาเป็นสินค้าชนิดต่างๆและเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่แวมไพร์มายาวนาน แม้จะเป็นตลาดเล็กๆและอยู่ใต้ดินเสียส่วนใหญ่ ทว่ากลับมีรากฐานที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ใครจะโค่นลงได้


จนกระทั่งเทคโนโลยีมันก้าวไกลออกไป


บริษัทของภูวนัยก็สามารถที่จะคิดค้นสารตัวเดียวกันกับที่มีในเลือดของตัวเองขึ้นได้โดยบังเอิญจากการวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าบางประเภท เรื่องนี้เหมือนจะเข้าหูพวกแวมไพร์ที่ก็คงอยากจะเป็นอิสระต่อกัน ทางนั้นจึงเริ่มมีการคิดค้นวิจัยสิ่งที่จะมาทดแทนเลือดของมนุษย์สายพันธุ์นี้ได้ และถ้ามันสำเร็จขึ้นมา ส่วนแบ่งทางการตลาดใหญ่คงจะหายไป หรือไม่… ก็คือหายไปหมดเลย เพราะยังไงแวมไพร์ก็คงไปซื้อของของแวมไพร์ด้วยกัน


กระนั้นก็มีแวมไพร์ไม่รู้เรื่องกับเขาอยู่คนเหมือนกันที่จูงมือมาก็ซื้อบื่อเดินตาม ไพร์มไม่คิดว่าเขาจะปิดบังฉันชนกตลอดเพียงแค่วันนี้ที่เจ้าตัวได้รู้ไปก็ใหญ่เกินกว่าใจจะรับไหวแล้ว เพราะฉะนั้นฤกษ์งามยามดีเมื่อไหร่ เขาจะอธิบายให้ฟังชัดๆ โน้มน้าวให้เข้าร่วมอย่างจริงใจ แต่ก็ไม่พ้นหวังจะใช้ผลประโยชน์จากทุกอย่างที่ฉันมีอยู่ดี


ทั้งสิ่งที่ร่างกายจะให้ได้ และจิตใจที่เห็นแก่มนุษย์มากกว่าเผ่าพันธุ์


ทั้งนี้ทั้งนั้นวันนี้ที่พูดไปไม่ได้โกหกเลย เขาไม่มีเพื่อนเป็นแวมไพร์จริงๆ เพราะไม่มีแวมไพร์คนไหนยอมคบอย่างจริงใจเพื่อให้กอบโกยผลประโยชน์สักคน…


แต่ถ้าคู่นอน ก็พอจะเรียกมาคุยด้วยได้บ้าง…


- - - - - -
ฉันไม่กินเลือดหมูได้ไหม เลือดใครก็ไม่กินได้หรือเปล่า…
(._.)
- - - - - -


“บ้าบอ”  ฉันที่ตื่นมาสักพักก็ค้นพบว่าฉากไม่เปลี่ยนจริงๆ ยิ่งนอนนิ่งๆนานขึ้นก็ยิ่งตอกย้ำในความโง่เง่าของตนเอง


นี่เป็นวันที่สองของชีวิตแวมไพร์ ที่จริงๆแล้วเป็นมาตั้งแต่เกิดทว่าไม่เคยรู้ พ่อทั้งสองของฉันก็ไม่เคยบอก นั่นอาจจะเพราะพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน สิ่งเดียวที่พวกเขาทำให้คือการเลี้ยงดูที่ยอดเยี่ยม จนเติบโตมาเป็นฉันทุกวันนี้ ทั้งนี้หากพวกเขารู้ว่ากำลังเอาลูกอะไรมาเลี้ยง…พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร


“…”  พวกเขาจะหวาดกลัวฉันไหม?


ความจริงในข้อนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนอีกหลายคน ก็ไม่รู้หรอกว่าอมนุษย์แบบฉันนั้นมีมากมายแค่ไหน แต่เดาว่ามันไม่ใช่อะไรที่เปิดตัวได้ เพราะไม่งั้นก็คงไม่ตกใจเมื่อได้ยินเรื่องราวแต่แรก ถ้าไม่ได้รับรู้อะไรก็คงจะดี อย่างน้อยวันนี้ฉันก็คงได้นอนโง่ๆ ไม่ต้องมาคิดอะไรซับซ้อนเพราะกลัวการมาถึงของปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างนั้น


ฉันอยากกลับบ้าน…
แต่ถ้ากลับบ้านแล้วต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่น่ากลัวพวกนั้น ฉันก็ไม่อยากกลับไปเลย


“คุณฉันครับ”  เสียงเรียกที่ประตูทำให้คนที่อยากจะหนีจากความจริง ยิ่งไปไม่พ้นจากมัน ฉันนั้นฮึดฮัดอยู่คนเดียวเล็กน้อย ก่อนจะดีดตัวไปเปิดประตูให้ ไม่น่ารักเลย นี่มันบ้านเขาแท้ๆ


“ครับ..”


“ผมเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน อาบน้ำนอนนะครับ”  ภูวนัยที่รับรู้ถึงความไม่สบายใจของแขกที่พามานั้นไม่ได้เซ้าซี้อะไร แต่คิดว่าอีกคนคงอยากอาบน้ำให้สบายตัว ซึ่งมันคงดีกว่าการนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลย


“ขอบคุณครับ”


“พรุ่งนี้เผอิญหาเลือดหมูไม่ได้ คุณฉันทานอย่างอื่นไปก่อนนะ”


“อะไรก็ได้ครับ จริงๆคุณไพร์มไม่ต้องลำบากหาอะไรยุ่งยากมาให้ก็ได้”


“ไม่ได้ยุ่งยากเท่าไหร่ครับ สนุกดี”


“….”


“แค่หยุดปีใหม่นี่ คุณฉันน้ำหนักขึ้นให้ผมสักโลสองโลก็คุ้มแล้วกับที่ทำไป ราตรีสวัสดิ์นะครับ”  เขาเอ่ยลาพร้อมกับที่ยกมือขึ้นมาขยี้หัวทุยๆของคนคิดมาก ถ้าเป็นเขาก็คงจะกังวลใจไม่ต่างกัน เพราะเป็นตัวเองจึงกังวลไม่ใช่เหรอไง ฉันไม่ได้ผิดหรอก แต่ถ้าเปิดใจก็จะพบว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เราก็สามารถทำมันให้เป็นเหมือนเดิมได้เช่นกัน


แค่เพิ่มออพชั่นบางอย่างที่เหมาะสมกับร่างกายเข้าไปเท่านั้น


ในตอนเช้าฉันชนกก็ยังดูซึมๆ ดวงตาที่ดูอ่อนล้านั้นเห็นได้ชัดว่าคงไม่ค่อยได้นอน ทั้งแปลกที่ ทั้งเครียด แวมไพร์ตัวน้อยช่างน่าสงสาร แต่ภูวนัยก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรเอาตัวเข้าไปเอี่ยวด้วยมากแค่ไหน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปราะบาง หากทำมันด้วยความไม่ระมัดระวัง ก็เป็นไปได้ที่จะสูญเสียไป ใช่แล้ว…เขาไม่อาจจะเสียฉันชนกไปได้


“ไหวไหมครับ”  วันนี้แม้แต่ให้กินผักก็ยังว่าง่าย เมื่อวานที่เถียงกันได้ยาวๆก็คงเพราะยังคิดทุกอย่างไม่ทันสินะ ปล่อยไว้คืนเดียวฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้เลยเหรอนี่


“ผมอยากกลับบ้าน”


“ตอนนี้ยังไม่ได้ครับ”  เพราะยังไม่ได้รับการตอบกลับเรื่องผู้ไม่ประสงค์ดี  “โทรไปคุยกับคุณพ่อก่อนไหมครับ”


“ฉันกลัว….”  เพราะช่วงเวลาที่ตนยังไม่ได้รับการอุปการะ ความเหงาและเดียวดายที่ตนเคยรู้สึกนั้น มันก็นานมาแล้วที่ไม่ได้จมอยู่กับความรู้สึกอย่างนั้น กว่านานที่รู้สึกเหงา และใช้เวลาสักพักที่จะปรับตัวกับความรักและเคยชินกับมัน ในตอนนี้…ฉันต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ โดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่าสเต็ปต่อๆไปจะได้ความรักดีๆกลับมาหรือไม่อย่างนั้นเหรอ


ฉันก็เหนื่อยเป็นนะ…


“คุณฉันว่าคุณพ่อทั้งสองคนรักคุณฉันมากไหม”  ฉันพยักหน้า  “แล้วอะไรทำให้คุณฉันคิดว่าพวกเขาจะไม่รักแล้วล่ะ”


“ฉันเป็นแวมไพร์”


“แล้วฉันเคยกัดพวกเขาสองคนหรือทำให้คนอื่นหวาดกลัวไหม”


“ไม่เคย แต่แวมไพร์มัน…”


“แวมไพร์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ป่าเถื่อนน่ากลัวหรอกนะครับ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น…คุณฉันคงไม่น่ารักขนาดนี้”


“ฮื้อออ” อย่าเพิ่งเต๊าะกันสิ


“กลับกัน แวมไพร์คือเผ่าพันธุ์ที่มีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะอยู่ร่วมกันกับมนุษย์โดยสันติ พวกเขาอยู่รอบๆตัวมากกว่าที่คุณฉันจะคาดคิด และคุณพ่อของคุณฉันก็ไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น คุณฉันรู้ดีอยู่แล้ว”  อันนั้นฉันก็รู้…ว่าตนถูกเลี้ยงมาโดยคนแบบไหน


“ฉันแค่อึดอัดที่จะพูดออกไป”  เพราะฉันไม่เคยโกหกใคร


“งั้นคุณฉันก็แค่ยังไม่ต้องพูดดีกว่าไหม” 


“แต่ฉันไม่อยากโกหก”


“การที่เราไม่พูดไม่ได้แปลว่าเราโกหกนะครับ เราแค่ปิดบังมันเอาไว้”


“ฉันไม่เคยมีความลับอะไร”


“งั้นฉันจะเปิดเผยเลยไหม ผมว่าเรียบเรียงให้ดีก่อนแล้วค่อยอธิบายก็ได้ คุณฉันเก่งออก คุณพ่อก็รักคุณฉันมากๆด้วย”  เพราะที่ผ่านมาฉันมักจะเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง ประกอบกับที่เขาได้อ่านประวัติมา เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าครอบครัวของฉันชนกจะต้องรับได้ 


“ฉันรู้”


“หรือจะให้ผมไปหาคุณพ่อด้วยจะได้อธิบายให้ท่านสบายใจ”  ไพร์มคิดว่าปัญหาเดียวที่คนตัวเล็กจะเผชิญคือความห่วงใยของทางบ้านมากกว่า แต่อาการของฉันไม่ได้มีอะไรน่าห่วง และคงไม่มีวันเดินไปกัดคอใครสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะหิว ที่ฉันกัดคอเขา…นั่นก็เพราะเขาให้กัด


 และแวมไพร์…ก็ไม่กินเลือดของมนุษย์ปกติทั่วไป ส่วนมนุษย์สายพันธุ์แบบเขาส่วนใหญ่ก็มีวิธีรับมือได้ กับแวมไพร์ที่หิวกระหายอย่างไร้สติแบบนั้น


“ผมอยู่ข้างคุณฉันนะครับ”  รอยยิ้มที่ถูกส่งไปทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงมาก คาดว่าในชีวิตแวมไพร์สองวันมานี้มันเต้นแรงเป็นพิเศษ แรงจนต้องจิ้มแตงกวาขึ้นมากินแก้เขินก่อนจะเบ้หน้า เพราะแตงกวาไม่อร่อยอีกแล้ว


เป็นคนเศร้าที่เด๋อและเด๋อนี่มันลำบากเนอะ แต่ก็ยังหยุดเด๋อไม่ได้สักที


เขาทั้งโน้มน้าวให้เจ้าตัวดีขึ้นไปพักก่อนโดยให้ดื่มโกโก้ร้อนเพราะกินอาหารไปน้อยเกิน ดูจากสีหน้าก็คิดว่าน่าจะสบายใจขึ้นมาแล้ว แต่อีกสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยคือฉันชนกมีอิทธิพลทางความรู้สึกกับคนอย่างเขาได้มากขนาดนี้ ไพร์มมีหัวใจ แต่ไม่ใช่ว่าจะให้ใครไว้เกลื่อนกลาด และครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครไว้เลย


แต่เหมือนจะไม่รักดีหยิบยื่นตัวเองไปหาอีกคนเสียแล้ว


แต่แรกที่เข้าหาทำตัวชิดใกล้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเกินกว่าผลประโยชน์ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้ ที่ป้อนของกินที่ตั้งใจทำให้เท่าไหร่ก็รับทั้งหมด ความน่าเอ็นดูและสดใส รวมถึงความจริงใจที่ทำให้รู้สึกสบายใจเมื่อยามอยู่ใกล้โดยไม่รู้ตัว เขาถลำลึกมากๆ จนส่วนเสี้ยวหนึ่งรู้สึกไม่ชอบใจแฟนเก่าคนนั้นที่โทรมาแสดงตัวห่วงใยออกหน้า


ทำไมเขาเป็นไปได้ถึงเพียงนั้นกันหนอ อาจจะเพราะภูวนัยนั้นถูกรายล้อมด้วยเครือญาติที่สนิทสนมกันเพราะธุรกิจของตระกูล มีการแบ่งการทำงานในแต่ละด้านตามที่แต่ละคนถนัดจนเรียกได้ว่าเราคือองค์กรที่มีความพร้อมด้านทีมเวิร์คสูงอย่างหาใครเหมือน หากเอ่ยชื่อบริษัทขึ้นมาก็คิดว่าคงติดหูคนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย


งานที่เขาดูให้กับตระกูลส่วนใหญ่จะเป็นการนำเลือดมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร และเพราะความสนใจอันหลากหลายเขาจึงมีธุรกิจส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเครือญาติ ซึ่งก็ไม่ได้มีใครไม่พอใจอะไรตรงนั้น เพราะหลายๆคนก็มีธุรกิจที่ทั้งลับและไม่ลับ โดยพยายามไม่ก้าวก่ายกันให้เกิดความบาดหมางใจ


ทว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเหมือนจะเย็นชาเกินไป ภูวนัยไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร จนกระทั่งได้เจอกับฉันชนกคนนี้ ถึงจะบอกว่าเขาเข้าหาโดยเอาของกินเข้าล่อจนเจ้าตัวติดกับ แต่การทักทาย รอยยิ้ม ความห่วงใย ความเกรงใจ หรือแม้แต่ของฝากเล็กๆน้อยๆที่หามาให้ ก็ทำให้ได้สัมผัสถึงความจริงใจแบบที่มนุษย์ควรจะมี


ฉันชนกไม่เคยคิดอยากจะปีนเตียงเขา แม้ว่าเขาอาจจะยินดี
ฉันชนกไม่เคยปิดกั้นเขา และเพราะเขาอยากอยู่ใกล้
ฉันชนกไม่เคยไล่เขาไป แม้จะไม่มั่นใจในเจตนา


ที่สำคัญเขาชอบคนที่กินอาหารของเขาไปพร้อมๆกับใบหน้าที่มีความสุขแบบนั้น หยาดหยดน้ำตาของมื้อแรกที่ได้รับรสชาตินั้นยังคงตราตรึงในหัวใจ ฉันชนกได้ปลุกสัญชาตญาณนักล่าในผู้ถูกล่าไว้โดยที่ไม่มีใครรู้เนื้อรู้ตัว เราจะเห็นแววตาเป็นประกายทุกครั้งขณะที่แก้มกลมๆกำลังเคี้ยวๆอยู่ ฉันเป็นตัวอย่างที่เรียกได้ว่าน่าเอ็นดู จนอยากจับปั้นเป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องแทนข้าว


คนแบบนี้….เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็น และเป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิด และเป็นคนแรกที่คิดว่าอ้วนกว่านี้ก็ได้…น่ารักดี


แต่ธุรกิจก็ยังต้องทำ เขาจึงหวังว่าเด็กน้อยจะเข้าใจกันว่าการที่คนเราจะถูกชะตาและคบหากันโดยมีผลประโยชน์ร่วมนั้น มันเป็นไปได้ หลายความสัมพันธ์ที่จบลงไม่ดีเพราะการให้และรับไม่สมดุลรวมถึงความไม่เข้าใจนั้นน่ากลัวว่าจะทำให้หวาดระแวง และภูวนัยไม่อาจจะเดาได้ว่าลึกๆภายในฉันชนกยินดีจะให้ความร่วมมือต่อกันไหม เพราะยังไงอีกฝ่ายก็ได้ชื่อว่าเป็นแวมไพร์


แต่ถ้าเขาไม่ทำ…เผ่าพันธุ์ของเราก็อาจจะเผชิญกับความสูญสิ้นที่น่ากลัวอย่างนั้นก็เป็นได้




Talk:
จริงๆโทนเรื่องไพร์มฉันนั้นไม่ดราม่าแบบไม่ดราม่ามากๆค่ะ ง้อไม่ยาก น้องฉันค่อนข้างใจง่าย555
ตอนนี้เรามีเปิดอีกคู่ไว้ คิดว่าอ่านไพร์มฉันไปสักพักคงเปิดตัวในเรื่องนี้นั่นคือคู่พี่สนค่ะ
กับใครนั้นบางคนอาจจะรู้อยู่แล้ว555 โทนเรื่องของพี่สนอาจจะไม่ใสเท่าน้องฉันเพราะหลักๆมันมีปมให้ดราม่าเยอะอยู่
แต่ว่าก็ไม่แรงมากเท่าไหร่ค่ะ เรื่องนี้ยังไงก็เปนฟีลกู้กัดๆกินๆกันไป
หลายคนเคยคิดว่ามันจะเป็นเค้กเวิรส์ไหมซึ่งตอนนั้นไม่เฉลยแต่จริงๆมันมีพื้นฐานมาจากตรงนั้นแหละค่ะ
จริงๆคู่ไพร์มฉันเราเคยแต่งเป็นฟิคชั่นที่เป็นเรื่องสั้นและเอาเรื่องนั้นมาต่อยอดจนเป็นอันนี้
ส่วนคู่พี่สนนี่เพราะเป็นหมาป่าตามที่บอกไว้ในตอนนี้ ลองเดาดูสิคะว่าเป็นหมาป่าจะคล้ายกับเวิรส์ไหน ฮี่ๆ
ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ จะรีบมาค่ะ สัญญา #คู่กินคู่กัด
Twitter @reallyuri







หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 7 3/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-03-2019 02:18:13
 เอ็นดูน้องฉัน ค่อยๆเรียนรู้การเป็นแวมไพร์ไปนะลูก
แสดงว่าคู่ของพี่สนก็เป็นแนวโอเมกาเวิร์สใช่ไหมคะ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 8 9/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 09-03-2019 15:19:37
8
- - - - - -
ฉัน…
- - - - - -


สายตาของผู้หญิงคนนั้นที่มองมา
ฉันไม่ชอบมันเลย…


เป็นเวลาหลายวันผ่านมาแล้วที่เจ้าของบ้านให้ฉันได้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุข ทว่าการที่กึ่งๆถูกตัดขาดจากโลกภายนอกก็น่าอึดอัดไม่น้อย หลายครั้งที่ฉันนึกอยากขอกลับห้อง แต่พอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นก็ได้แต่หุบปากลงไป ไม่รู้ทำไมถึงพูดออกมาไม่ได้ทั้งๆที่เป็นความต้องการของตัวเอง


และในวันนี้เขาก็มีแขกมาหา ฉันนั้นไม่รู้ว่าทำไมดึกดื่นป่านนี้ยังมีคนต้องการจะคุยกัน เพราะตื่นมากลางดึก ฉันที่คอแห้งเลยตั้งใจจะลงมาหาน้ำดื่ม แต่พอเปิดประตูออกมา ก็เห็นว่าห้องส่วนตัวของบางคนก็เปิดออกเหมือนกัน ทว่าคนที่ออกจากห้องนั้น



ไม่ใช่เจ้าของห้องที่ฉันรู้จัก


“สวัสดีค่ะ”  แววตาของเธอที่มองมาทำให้ฉันขนลุกอย่างประหลาด แต่นอกเหนือจากนั้น ภาพของเขาที่อยู่ในชุดที่ดูเหมือนชุดนอนที่ใส่ประจำ ก็ทำให้ฉันยิ่งขมวดคิ้ว คราวนี้ไม่ได้รู้สึกยุบยิบในใจ


แต่ทำไมมันถึงได้ปวดหน่วงได้ขนาดนี้


“ฉัน?”  ไพร์มเรียกหา เขาขมวดคิ้ว ใบหน้าดูราวกับไม่ใช่คุณไพร์มจอมทะเล้นผู้ใจดีคนเดิม แววตาคู่นั้นเหมือนกำลังต่อว่ากันอยู่เลย แล้วฉันทำผิดอะไร?


“ฉันจะลงไปกินน้ำ”  ฉันไม่ได้ทำผิด เขานั่นแหละที่ทำอะไรอยู่!


“อุ้ย! งั้นขอลงไปคุยด้วยได้ไหมคะเนี่ย”  เธอคนนั้นแทรกมา


“พรีม…”  แต่ใครบางคนขัดขึ้นมาก่อน  “มันดึกแล้ว”  มันจะเช้าแล้วต่างหาก ฉันชนกเถียงในใจ


“อา...นั่นสิ งั้นพรีมกลับก่อน เอาไว้เจอกันนะคะคุณฉัน”  เธอมาอย่างว่องไว และจากไปทั้งอย่างนั้น ฉันชนกยืนนิ่ง ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้โบกมือลาแบบที่พึงกระทำ ใช่ว่าปกติจะเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ แต่กับเธอคนนั้น…ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม


“คุณฉันจะลงไปดื่มน้ำเหรอครับ”


“ไม่แล้ว”


“ลงไปดื่มเถอะครับ เดี๋ยวหลับไม่สบาย”  ว่าแล้วเขาก็เป็นฝ่ายจูงมือให้คนที่ดูจะไม่พอใจในอะไรบางอย่างให้เดินตามกันลงไป ฉันชนกจิ๊ปากอยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขืนตัวไว้ ว่าแต่เขาว่าทำเหมือนไม่พอใจ ไอ้เราก็ไม่พอใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?


แล้วใครใช้ให้ตื่นมากลางดึกวันนี้ ถ้าเป็นวันอื่นจะไม่ว่าเลย แต่ดันเป็นวันที่เขามีแขกที่ไม่คาดหมายมาหา ความคิดที่ดูงี่เง่าเหล่านี้ได้ถูกความพยายามอันยิ่งยวดลบให้หายไป แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี ภูวนัยไม่ได้ชอบตัวเองที่อ่อนไหวขนาดนี้ แต่ว่ากับฉันชนก อะไรมันก็แปลกใหม่สำหรับเขาไปเสียหมด


“ค่อยๆกินครับ”  คนใจร้าย มองกันอย่างนั้นใครจะอยากค่อยๆจิบกันเล่า! ฉันที่อยากจะหนีจากสถานการณ์กดดันนั้นรีบกรอกน้ำลงคอโดยไม่กลัวสำลัก ก่อนจะเดินเชิดหนีขึ้นไปบนห้อง  ด้วยความคิดที่ว่าฉันไม่ผิด


ฉันผิดตรงไหนทำไมไม่เห็น!
เอ๊ะ! หรือว่าผิดทุกตรง

“ไปนอนก่อนนะครับ”  พูดจบก็ปิดประตูห้องโดยไม่สนใจอะไรต่อ เขาเพิ่งเคยเห็นฉันงอนขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลกหรอก ในเมื่อไพร์มไม่ใคร่จะอธิบายอะไรให้ดีๆ  ดูนาฬิกาอีกที นี่มันอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กดื้อจะนอนหลับได้ไหม ทว่ามันคงจะไม่สายเกินไป


ที่จะบอกว่า ‘ฝันดี’ ฝากลมพัดไปให้คนแสนงอนคนนั้น…


ฉันต้องกลับบ้าน….นี่คือความรู้สึกที่ต้องการจริงๆ ไม่ใช่เพราะงี่เง่าเห็นใครที่ตนไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกเจอ แต่ว่าฉันต้องการพื้นที่ของตัวเองจริงๆ แม้ว่าภูวนัยจะให้มาหนึ่งห้องใหญ่ แต่มันไม่ใช่ที่ของฉัน


และมันก็เต็มไปด้วยกลิ่นของเขา!


“…”  และเมื่อสอบถามไป ทางนั้นก็ไม่ยอมตอบอะไร เขานั่งเงียบ กอดอกทำหน้าขรึม “ยังไม่ได้ครับ”


“ฉันต้องกลับบ้าน มันจะเปิดทำงานแล้ว” ฉันมาอยู่ที่นี่หลายวัน ห้องหับเป็นยังไงก็ไม่รู้เลย แล้วนี่เดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานแล้วด้วย


“ผมจะเร่งคนของผมให้ คุณฉันช่วยรออีกสักนิดเถอะครับ”


“แต่มันนานแล้วนะคุณไพร์ม”  ฉันอยากกลับบ้าน


“ครับ และคงต้องนานอีกสักนิดหนึ่งนะ”  และฉันรู้สึกยอมไม่ได้ ไม่มีครั้งไหนที่คนเรื่อยเฉื่อยคนนี้จะรู้สึกรับไม่ได้กับการถูกเอาใจที่เหมือนถูกเอาเปรียบแบบนี้ ทว่าไม่ว่าจะเพียรพูดหรือขอร้องแค่ไหนเขาก็เหมือนจะไม่ได้ฟังอะไรเลย สุดท้ายก็ยังคุยกันไม่เข้าใจ ฉันชนกที่ไปไหนไม่ได้จึงเลือกที่จะไปสงบสติในห้องนอนที่เป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่ตนสามารถเข้าถึง


ภูวนัยนั้นเหมือนจะปวดหัวขึ้นมาเมื่อเจอกับเด็กบ้าเวอร์ชั่นดื้อรั้น เพราะความปลอดภัยหรอกจึงห้ามไม่ให้ออกไป แล้วทำไมต้องเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นด้วย ไพร์มนั้นเข้าใจว่าฉันนั้นห่วงงานที่กำลังจะต้องไปทำ แต่ชีวิตเจ้าตัวก็สำคัญจึงไม่อยากให้มองข้าม ทว่ายังคุยไม่รู้เรื่องเด็กดื้อก็หนีขึ้นห้องไปก่อน แสนงอนอะไรได้ขนาดนั้น เขานับคดีไม่ถูกแล้ว


ว่าแต่เรื่องที่พรีมมาอยู่ที่นี่ตอนกลางคืนมันถือเป็นคดีตรงไหน


“….”  เขาดูออกว่าฉันนั้นไม่ค่อยยอมรับพรีมเท่าไหร่ ทั้งๆที่ไม่เคยเจอะเจอกันมาก่อนแต่ก็แสดงท่าทางต่อต้านชัดเจน ภูวนัยคิดว่ามันเป็นการแสดงออกตามสัญชาตญาณ แต่แววตาของฉันที่ได้มองตลอดทั้งวัน มันทำให้เขาติดใจกับอะไรที่มากกว่า จะถามก็ไม่ได้ เพราะเจ้าตัวก็ใช่ว่าจะยอมพูดดีๆด้วย แต่ไม่ถามก็ไม่มีวันเข้าใจ เขาทำตัวไม่ถูกแล้ว


ฉันที่ซื้อได้ด้วยของกิน ไม่เคยง้อยากถึงเพียงนี้มาก่อนเลย!


ในส่วนของฉันที่หนีขึ้นมาบนห้องก็ได้แต่หงุดหงิดใจ ถามจริงว่าตนอยากกลับมากไหม ก็ตอบได้ว่ามาก แต่ถ้าถามอีกครั้งว่าระหว่างความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สิน ตนจะเลือกอะไร ฉันก็จะตอบโดยไม่ลังเลใจว่าต้องเป็นความปลอดภัยของตัวเองอยู่แล้ว!


แต่อย่างไรตนก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจนักที่อยู่ที่นี่ แต่พูดด้วยเท่าไหร่ก็เหมือนจะทะเลาะกันให้ได้แบบนั้น แล้วใครมันจะไปอยากคุยกับเขาต่อ ฉันก็ไม่ได้อยากทำตัวไม่น่ารักหรอก แต่น่ารักแล้วกลับบ้านไม่ได้ จะน่ารักไปทำไมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไพร์มคนนั้น ช่างไม่เข้าใจความอึดอัดของฉันคนนี้เอาเสียเลย


“ป๊ะ”  และเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องของคนใจร้ายต่อไป คนใจไม่เย็นจึงกดคอลไลน์หาคนที่ควรจะเข้าใจ ทั้งๆที่จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่ติดต่อไปก่อนแท้ๆ แต่ว่าป๊ะกับพ่อเที่ยวกันสนุกไม่ติดต่อมาหาลูกบ้างเลย อย่างนี้จะไม่ให้งอนอย่างไรไหว!


งอนทุกคนแต่ไม่มีใครง้อ งอนจนเหนื่อยแล้วเนี่ย!


“อ้าวน้องฉัน เป็นไงบ้างลูก”  น้องฉันอยากกลับบ้าน


“น้องฉันสบายดี กินอิ่มนอนหลับสบาย”


“แล้วนี่ไปเที่ยวมาเป็นไง พักผ่อนเยอะๆนะลูก”


“ฉันพักผ่อนเยอะแล้วแหละ”  นอนจนกลัวจะเดินไม่ได้แล้วเนี่ย


“แล้วกลับจากเที่ยวยังล่ะ”


“เดี๋ยวก็กลับแล้วครับ”


“ดีเลย ฉันอยากได้อะไรไหม เดี๋ยวป๊ะให้พ่อจ่ายให้”  การันต์คือคนที่เรียกรอยยิ้มให้ฉันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วจริงๆ  เมื่อนึกถึงหน้าปุเลี่ยนๆของวธิน ฉันก็หลุดหัวเราะออกมา


เราคุยกันอีกไม่มาก คนขี้หวงที่ได้มาเที่ยวกับแฟนก็ตะโกนเสียงดังว่าจะพาป๊ะของฉันไปหาข้าวกินแล้ว แม้จะแกล้งงอนจนเรียกร้องเป็นชุดโมเดลกล่องใหม่ แต่สุดท้ายนอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วยังถูกตัดสายโดยคนที่คุณก็รู้ว่าใครไปด้วย ทว่าการคุยกับครอบครัวก็ทำให้สบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง จนคิดว่าตนก็คงจะเผชิญหน้ากับใครบางคนได้บ้างแล้ว


“คุณฉันครับ”  คิดถึงและดูเหมือนจะส่งถึงไปด้วย คนที่อยู่ในห้วงความคิดนั้นเรียกหาจากหน้าห้อง ฉันสะบัดหน้าไล่ความบ้าบอของตัวเองออกไป ใครคิดถึงกัน ไม่ได้คิดถึงสักนิดเดียว  “ลงมาทานข้าวเย็นได้แล้วนะ”  งั้นคิดถึงนิดหนึ่งก็ได้ ไหนๆก็หิวพอดี


จริงๆแล้วฉันไม่ควรไปทำตัวไม่น่ารักใส่เขาเลย ที่ไม่ได้กลับบ้าน นั่นก็เพราะคำอ้างเรื่องความปลอดภัยไม่ใช่เหรอ คงเพราะคุยกับการันต์มากไป ตอนนี้เลยติดนิสัยที่จะพยายามมองโลกในแง่ดีไปด้วย


เรากลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งหลังจากที่หายไปนั่งงอนเสียตั้งนาน ทว่าใบหน้าของฉันชนกก็ยังนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้นราวกับว่าที่อารมณ์ดีขึ้นเมื่อครู่ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาจริงๆ ภูวนัยไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นรอยยิ้มเป็นสิ่งแรกหลังจากได้เห็นหน้าอีกครั้ง ทว่าอย่างนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะส่วนหนึ่งที่เขารั้งไว้มันไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย


ผลประโยชน์ที่เป็นจุดประสงค์หลัก ก็ยังไม่เคยถูกนำมาพูดถึงเลยสักครั้งจนวันนี้


ไพร์มไม่เคยต้องรุกไล่ใครขนาดนี้ เขาเองก็ไม่ชินเช่นกัน แต่เพราะฉันนั้นพิเศษกว่าใครเขาจึงคิดหมายที่จะทะนุถนอมน้ำใจให้ได้มากที่สุด ดวงตาสีม่วงอันเต็มไปด้วยเสน่ห์นั้น นอกจากจะคิดว่ามันน่าดึงดูดแล้ว มันยังเป็นการบ่งชี้ถึงความเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายาก และเพราะความยากนี้….จึงทำให้ฉันชนกอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ของเขาไว้ได้


ด้วยความเป็นนักธุรกิจ ไพร์มนับว่าเห็นแก่ตัวนัก
แต่ด้วยความเป็นมนุษย์…เขาจึงเต็มไปด้วยความรู้สึก


ภูวนัยไม่ได้ชวนคุยหรือพยายามผูกมิตร เขานิ่งเงียบทว่าก็ยังเอื้อเฟื้อต่อกันดี จนฉันคนนี้ได้ใจเสียไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นโต๊ะอาหารของเราจึงเต็มไปด้วยความเงียบแบบเย็นชา แบบที่ทั้งชีวิตฉันชนกก็ไม่เคยชาชิน ในตอนที่รวบช้อนส้อม ไพร์มนั้นไม่ลืมที่จะมอบรอยยิ้ม แต่เพราะไม่ได้มอบคำพูดอะไรมาให้ ฉันจึงไม่สบายใจ


และไพร์มก็ผิดเองที่ไม่อธิบายทุกอย่างไปเพราะคิดว่าทั้งตัวเขาและฉันยังไม่พร้อม กักขังแวมไพร์ไว้ในบ้านแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์เช่นเขาควรทำ แต่ไพร์มก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าควรจะเริ่มอย่างไรให้ฉันเข้าใจและยอมให้ความร่วมมือ เขาอาจจะดูเผด็จการไปบ้าง แต่นี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญแบบที่สามารถพลิกชะตาธุรกิจที่บ้าน หรือพลิกชะตาการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ได้เลย


จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกไป เขามองฉันหายเข้าไปในห้องเงียบๆจนลับตา นานกว่านี้คงไม่ดีแน่ เขาควรจะพูดมันเสียพรุ่งนี้เลย และถ้าหากฉันจะไม่ยอมหรืออย่างไร ก็คงต้องปล่อยให้พระเจ้าประทานพรให้เผ่าพันธุ์ของเขาอีกครั้ง เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยส่งหนทางแก้ไขที่ชื่อว่า ‘แวมไพร์’ ให้กัน


ท้องฟ้าเริ่มจะมืดลง เป็นอีกวันในบ้านหลังใหญ่นี้ เหลืออีกเพียงสองวันก็จะหมดหยุดยาว และฉันก็ไม่มั่นใจว่าตนจะได้ไปทำงานตามกำหนดการที่ควรจะเป็นหรือไม่ บางทีคงต้องคุยกับคนๆนั้นอย่างจริงจังเสียแล้ว ว่าฉันไม่ควรหยุดงานวันแรกที่คนเขาเปิดกัน ถ้าห่วงกันนัก…ก็มานั่งเฝ้าเลยไหมจะได้สบายใจ


ทว่าขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับไป ที่มุมหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าตรงไหนก็มีเสียงดังขึ้น กระนั้นคนขี้เซาที่ยังไม่หลับก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ บางทีลมอาจจะแรงพัดไปโดนอะไรก็เป็นได้ คิดไปได้อย่างไรนะ เสียงดังขนาดนั้นมันไม่มีทางจะเป็นเรื่องบังเอิญสักหน่อย


มันต้องมีคนจงใจทำอยู่แล้ว


“อึก”  สัมผัสที่บีบรัดตรงคอนั้นทำให้คนที่นอนอยู่รับรู้ได้ถึงความเป็นภัยที่แท้จริง ฉันชนกนั้นลืมตามองเจ้าของมือปริศนานั่น และรับรู้ว่าเธอคนนั้นกำลังนั่งคร่อมกัน
 

“สวัสดีค่ะ”  เป็นผู้หญิงคนนั้นที่ฉันไม่ชอบเลย


“คุ…คุณทำอะไรน่ะ แค่กๆ”  แรงบีบรัดที่เน้นหนักไปเรื่อยๆยิ่งทำให้อึดอัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจของผู้หญิงคนนี้ที่จะทำให้ฉันทรมาน


“แค่เป็นเด็กดีและยอมทำตามง่ายๆก็ไม่ต้องทรมานแล้ว”  กลิ่นฉุนของดอกไม้บางประเภทที่ออกมาจากตัวเธอทำให้ฉันนึกอยากอาเจียน แต่ร่างกายย้อนแย้งก็ทั้งต่อต้านและต้องการในคราเดียวกัน ฉันรู้ได้หลังจากวันนั้นที่ได้ดื่มเลือดของคนๆหนึ่งลงไป ความต้องการเช่นนี้คือกระหายใช่ไหม แต่น่าแปลกที่ทำไม…ร่างกายถึงไม่ยอมถลาเข้าไปขบกัด?



“ปะ…ปล่อยผม”


“เป็นแวมไพร์แต่ไม่มีแรงเลยเหรอไง ทำไมอ่อนแอขนาดนี้”  โทนเสียงและแววตาที่ดูเย็นชาทำให้ฉันนั้นขนลุกซู่ทว่าร่างกายกลับไม่ตอบสนองความต้องการเท่าไหร่ อยากจะผลักไสไปแค่ไหน ก็เหมือนว่าที่ลงแรงไปจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย


ฉันไม่กินเลือดคนนี้
ไม่กิน กินไม่ได้…ไม่กิน…


“เอาล่ะ รีบทำหน้าที่ของแกซะ”  เธอยื่นใบหน้าเข้ามา กลิ่นที่ว่านั้นยิ่งฉุนรุนแรง มันต่างจากกลิ่นที่ได้รับจากชายคนนั้นเหลือเกิน


ชายคนที่บอกว่าโลกภายนอกไม่ปลอดภัย
แต่ว่ากำลังมีคนคุกคามกันจากภายในที่ที่ซึ่งเขาให้ความมั่นใจมาตลอด…


“พรีม!”  ทว่าเพียงคิดถึง เขาก็มา มันเกือบจะสายไปแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่ยอมดูดเลือดเธอ แต่ต้องมีสักทางที่จะทรมานกันให้ทำดั่งใจได้ เจ้าของชื่อที่เข้ามาทำร้ายนั้นหันไปมองหน้าผู้บุกรุก เธอควรจะรู้อยู่แล้วว่าไพร์มต้องรู้ถึงการมาของเธอ ทว่าไม่มีครั้งไหน…


ที่ผู้ชายคนนี้จะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาได้


“โวยวายอะไรกันไพร์ม นายไม่เคยงกนี่”  ถึงไม่เรียกว่าเราแชร์แวมไพร์มด้วยกันเสมอ แต่ไพร์มไม่เคยว่าหากเธออยากได้ อันที่จริงเขาแค่ไม่เห็นความสำคัญอะไรกับการหวงไว้ และเพราะมันเป็นเรื่องสนุกๆที่ผ่านมาและผ่านไป จึงไม่เคยให้ความสำคัญอะไรมากมายเกินกว่าที่ควร


“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”  ภาพของฉันที่อยู่ใต้ร่างลูกพี่ลูกน้องสาวทำให้เขายิ่งเดือดดาล ฉันชนกยังไม่ถึงขีดสุดของสัญชาตญาณ และนั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้


“อะไรกัน แค่นี้ก็ต้องหวงด้วย”  พรีมซึ่งไม่รู้อะไร ค่อยๆผละจากร่างของฉันที่นอนระนาบไปกับเตียง เธอขยับมานั่งข้างๆ ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มที่ไว้ใจไม่ได้


“ออกไปซะ”


“ทำไมฉันต้องออกไปด้วย!”  เพราะพื้นฐานนิสัยที่เอาแต่ใจและมีแต่คนชอบเอาใจทำให้พรีมอยากได้อะไรก็ต้องได้ ซึ่งปกติเธอก็ไม่ค่อยมาวอแวอะไรกับภูวนัยนักหรอก จะมีก็แค่ฉันชนกที่สะดุดตาและคิดว่าอยากจะได้ลิ้มลองความรู้สึกตอนถูกกัดจากแวมไพร์ตัวนี้สักครั้ง


เดิมทีที่เธอได้มาเหยียบที่นี่เพราะไพร์มใช้ให้ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งหาข่าวการลอบทำร้าย แต่ไม่รู้ว่าธุระสำคัญอะไรทำให้คนๆนั้นยกความรับผิดชอบนั้นไปให้กับนังแม่มด จึงทำให้มีเรื่องให้ต้องมาหากันกลางดึกค่อนคืนแบบนั้น และการพบเจอที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นก็นำพาให้พรีมกลับมาที่นี่


เพื่อจะได้ทำเรื่องไม่ดีกับฉันชนกที่เขาทะนุถนอมสุดหัวใจ


“ปล่อย!”  เดิมทีเขาไม่ใช่คนที่ชอบตามใจพรีมอยู่แล้ว หากแต่เธอคงเข้าใจว่าเขายอมให้ได้ทุกอย่างจึงกำเริบแอบเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต และถ้ายังดื้อแพ่งเขาก็คงจะเอาไว้ไม่ได้อีก ภูวนัยสั่งให้ลูกน้องที่เพิ่งมาถึงไปจับกุมเธอเอาไว้เพื่อไปชำระความกันต่อ


ในส่วนผู้เคราะห์ร้ายที่ยังนอนนิ่งเหมือนไร้ชีวิตชีวา เขาก็ไม่ได้เพิกเฉยแต่อย่างใด ภูวนัยกำลังจะก้าวเข้าไปดูอาการของเด็กน้อยที่คงขวัญผวา แต่เผอิญว่าพรีมกลับโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง


“นายไม่ได้หอบเด็กคนนี้มากินเลือดไม่แบ่งใครอย่างเดียวใช่ไหม ไพร์ม!” 


“พอได้แล้ว”


“หรือนายจงใจจับเด็กคนนี้ทดลองยาที่ว่ากัน หึ! มิน่าล่ะ ถึงเลี้ยงแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมขนาดนี้ ปล่อยฉันสิ!” ผู้ก่อเหตุนั้นสาธยายความมายาวเหยียด และแต่ละคำตอกย้ำความรู้สึกกันมากมาย ฉันชนกนั้นรู้สึกเหมือนโลกของตัวเองหมุนคว้างตอนที่ตีความหมายของประโยคเหล่านั้นได้ และไม่นานจากนั้น


โลกทั้งใบก็เหมือนถล่มลงตรงหน้า


“คุณฉัน”


นี่มันอะไรกัน


“ผมขออธิบายได้ไหม”  มาอธิบายอะไรตอนนี้


ไม่รอตอนที่ทำให้ฉันตายไปก่อนหรือไง!


“ฉันอยากกลับบ้าน”


“…”


“ให้ฉันกลับบ้านเถอะนะ”


“แต่ข้างนอก”


“เดี๋ยวฉันให้พี่สนมารับก็ได้”


“…”


“ไม่ได้เหรอ?” น้ำเสียงเว้าวอนนั้นเหมือนจะดับสิ้นซึ่งความหวังในการง้องอนหรือการอธิบายจากเขา ภูวนัยนิ่งไปครู่ใหญ่ ต่อให้เขาอยากให้ฉันชนกรั้งรออยู่ที่นี่แค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และเขาก็รู้สึกผิดนักที่เลินเล่อจนปล่อยให้พรีมเข้าถึงตัวฉันแบบนี้ เขามันไม่ชัดเจนเอง และวันนี้คงไม่ได้โอกาสในการทำให้มันชัดเจนอีกแล้ว


นอกเหนือจากความผิดต่อสิ่งที่ปิดบัง ยังมีความผิดเรื่องที่ไม่สามารถป้องกันได้ เขาเฝ้าบอกฉันเสมอว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย และทำไมถึงปล่อยให้ภายในเกิดเรื่องเช่นนี้ ภาพของแวมไพร์ตัวน้อยที่อยู่ใต้ร่างของพรีมที่กำลังคุกคามกันนั้นเล่นย้อนซ้ำๆ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าผู้ถูกกระทำจะขวัญหนีดีฝ่อถึงเพียงไหน ต่อให้เอาแต่ใจกว่านี้ ก็ไม่อาจจะมีแรงรั้งได้แล้ว ไพร์มนั้นเต็มไปด้วยความผิดพลาดมากมายเกินอภัยภายในวันเดียว


แต่เขาไม่ต้องการให้หมาป่าตนนั้นเป็นคนหยิบยื่นเกราะกำบังให้กับแวมไพร์ตัวน้อยผู้นี้เลย ภูวนัยนั้นหันไปสั่งบางอย่างกับลูกน้องเพื่ออำนวยความสะดวกให้ เขาแทบไม่หันกลับมามองหน้าของฉันชนก จริงๆแล้วหัวใจของเขามันเหมือนจะเต้นหน่วงตั้งแต่เข้ามา และเมื่อได้ยินชื่อของสนธยาเขาก็แทบจะอยากกระชากใครสักคนมาปิดปาก


“เดี๋ยวผมให้คนไปส่งนะ”  เขาพูดกับฉันไปเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้มแบบที่มี ไม่ได้เข้าใกล้เพราะกลัวควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้


“ขอบคุณครับ” ทว่าก็เต็มไปด้วยความสงสัยว่าฉันนั้นรู้สึกเช่นไรตอนที่รับทราบว่าใครบางคนกำลังหวังอะไรจากกัน


หากเด็กคนนี้จะโวยวายสักนิดว่าเขากำลังหลอกลวง บางทีไพร์มอาจจะใช้โอกาสนี้อธิบาย แต่ฉันนิ่ง ทำทุกอย่างที่ไม่ปกติให้ดูปกติ เช่นนี้แล้วเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าดึงดันพูดไป แล้วจะมีใครฟังกันหรือเปล่า หรือว่าเขาควรจะลองถามดู


“ผมขอคุยด้วยก่อนได้ไหม”


“….”


“นะครับคุณฉัน”


“ฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อมฟัง”


“คุณฉัน….”


“ตอนนี้ฉันโกรธคุณไพรม์มาก แต่ก็อีกใจหนึ่งก็ค้านว่าคุณไพร์มไม่ผิดๆ”  โถ…เด็กน้อย  “ให้ฉันกลับไปนอนบ้านนะ แล้วเดี๋ยวถ้าฉันพร้อมเมื่อไหร่”


“คุณฉันจะมาฟังผมใช่ไหมครับ”


“อืม…ฉันคิดว่า”


“ผมคง…ยังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม”  โอกาสอะไรกันที่เขาจะร้องขอ ในเมื่อวันนี้ถูกดิสเครดิตไปแบบนั้นยังคาดหวังอะไรได้อีก


“อย่าเพิ่งตามตอนนี้ได้ไหม”


“….”


“ฉันโกรธคุณไพร์มมากๆ มากจนอยากเดินไปกัดคอ แต่นึกขึ้นได้ว่าทำแบบนี้คุณไพร์มจะได้ใจ ฉันเลยจะ…ฮึ้ย ปล่อยฉันกลับบ้านก่อน!”  เขาจิตตก เขางุนงง และเขาเกือบจะขำขันให้กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ เดิมทีภูวนัยก็ไม่ใช่คนใจดี แต่ลองเป็นคนใจร้ายที่ไหนได้มาเจอความเปราะบางแบบฟองสบู่สีสวยนี้ของฉันชนกไป เขาว่าถ้าไม่ปวดหัวก็ต้องมีตกหลุมรักเข้าแน่ๆ


ตก…หลุมรัก…เหรอ


- - - - - -
ฉันผิดหวัง
(._.)
- - - - - -


ก็ไม่รู้เทพเจ้านั้นเข้าข้างฉันชนกจริงๆหรือเปล่าที่ปล่อยให้กลับบ้านไปทั้งๆที่ยังหัวร้อน ฉันอาจจะดูขี้โวยวาย แต่ว่าพอเวลาที่ต้องโวยวายมันก็มักจะอึนๆเสียก่อนแบบนี้ ทำไปทำมาเลยนั่งเงียบขอกลับบ้านจนจวนเจียนจะบีบน้ำตาใส่ แต่สุดท้ายก็ระเบิดออกแบบบ๊องๆไป จนไม่มีอะไรน่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว!


ว่าแต่ที่ว่าทดลองยานั่นมันอะไรกัน ภาพของตนที่ถูกฉีดยาก่อนจะวิ่งไปรอบๆเหมือนแฮมสเตอร์ในกรงทำให้กลืนน้ำลายเอื๊อก หรือว่าเขากำลังอยากจะได้แวมไพร์มาฉีดสารซอมบี้ใส่ ไม่ได้นะ ฉันจะเป็นทั้งแวมไพร์และซอมบี้ไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหดหู่ใจ จนรถออกตัวจากบ้านไปแล้วก็ยังสลัดตัวเองไม่ออกจากภวังค์นั้นๆ


ไม่ได้สิฉัน จริงๆแล้วเราต้องโกรธเพราะเขาหลอกเรามาขุนให้อ้วนและจับทดลองยาต่างหาก ฉันชนกมีดีอะไรเขาถึงจับกันมาแบบนี้ ถึงจะเกิดเรื่องร้ายๆจากผู้หญิงที่เข้ามาบีบคอกัน แต่ความหวาดกลัวตรงนั้นพลันหายวับเมื่อเรื่องราวบางอย่างถูกเปิดเผย ทว่าแทนที่จะซึมเศร้าแบบคนทั่วไป กลับกังวลใจถึงความหมายของคำว่าทดลองมากกว่า


น่าผิดหวังเสียจนตอนนี้ต้องสะกดจิตตัวเองว่าที่เกิดไปแล้วนั้นมันล้วนเลวร้ายไม่สมควรได้รับการอภัย จะได้โกรธภูวนัยได้แบบที่สมควร แต่ความพยายามนั้นล้มเหลว ช่างน่าท้อใจที่เกิดและโตมาได้ไร้สาระเกินอภัย จนไม่อาจจะโกรธใครแม้ตนดูมีแนวโน้มที่จะเป็นเหยื่อซึ่งถูกกระทำ


ฉันชนกย้อนหันไปมองด้านหลังที่ซึ่งบ้านหลังนั้นไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว คำอธิบายอะไรนั่น ฉันก็หวังอยากจะได้ยิน แต่ขณะเดียวกันส่วนลึกในใจก็ท้วงกันว่ามันอาจจะอันตรายมากกว่าที่คาดไว้ก็เป็นได้ แต่คนแบบไพร์มนั้นเชื่อใจได้ใช่ไหม ถึงยังไงจากที่เราได้รู้จักกันมาสักพัก มันต้องมีบ้างนั่นแหละ


ที่ฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา….


Talk:
สัญญาว่าพรุ่งนี้จะมาลงตอนต่อไป แน่นอน แต่บอกไว้ก่อนว่าน้องฉันอะไรนี่น้องไม่ค่อยดราม่าหรอก ชีวิตน้องคือไสยมาก บางทีพี่ไพร์มอาจจะคิดมากเกินไปเอง และพอจัดการกับปัญหานี้ของพี่ไพร์มได้ เราก็จะเปิดตัวคู่พี่สนแบบไม่สนใจใคร555
ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ เราจะพยายามมาช่วงกลางสัปดาห์ให้ได้บ่อยๆ
#คู่กินคู่กัด
@reallyuri

























หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 8 9/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 10-03-2019 12:54:36
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 9 10/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 10-03-2019 16:11:39
9
- - - - - -
ฉันไม่ได้งอน
(-*-)
- - - - - -


หลังจากวันที่ได้กลับห้องสมใจอยาก
ฉันก็ไม่ได้เจอคุณไพร์มอีกเลย


“หิว”  แม้ว่าจะไปซื้อซอสถั่วเหลืองยี่ห้อนั้นมาไว้ติดห้อง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยชูรสให้ฉันชนกตามต้องการนัก คาดว่าถ้าไม่เพราะฉันทำอาหารได้ห่วย ก็คงเพราะร่างกายมันขาดเลือดมนุษย์เกินไป จึงทำให้รับรสได้น้อยลงแบบนี้ ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยชินชากับสภาพแบบนั้น แต่ว่าทำไมพอได้ลิ้มรสชาติที่แปลกใหม่ ใจมันก็ไม่หวนย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมอีกเลย


และเหมือนเดิม ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยโกรธใคร กับไพร์มที่น่าโกรธมากที่สุด ก็ไม่อาจจะทำใจให้โกรธได้ อาจจะเพราะใบหน้าของเขาที่แสดงออกว่าต้องการอธิบาย และแม้ตอนนั้นตนอยากจะพาตัวเองออกมาตั้งสติแค่ไหน แต่ลึกๆในใจก็พร้อมอยากจะฟัง ฉันไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนใจดีขนาดนั้น ทว่าโอกาสที่อยากจะหยิบยื่นให้


มันดันมีให้กับเขาก็เท่านั้นเอง…


แต่ฉันไม่กล้า แม้ว่าใจอยากจะเข้าหาแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้น ตนก็ยังลังเลและหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย หากนี่เป็นอันตรายกับตัวเองขึ้นมาจริงๆ ความอยากรู้อยากเห็นนี้ก็มีค่าเท่ากับชีวิต หากฉันนั้นตัวคนเดียวจะไม่เป็นไรเลย แต่เพราะครอบครัวที่สำคัญมากรู้เข้า พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร


“ไอ้ฉัน เหม่ออีกแล้วงานการนี่จะไปทำไหม”  พฤกษ์ที่เดินมาด้วยกันนั้นสังเกตเห็นหลายรอบแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ทัก เกิดอะไรขึ้นช่วงหยุดยาว ไอ้เด็กเด๋อนี่ไม่เคยสลดเป็นผักได้นานขนาดนี้


“พฤกษ์…ฉันอยากกลับบ้าน”


“ก็ลาดิ วันลาพักร้อนนี่ทะลุ40วันหรือยัง ลาไหม มึงไม่อยู่สักคนบริษัทก็ไม่ล่มจมนะเว้ย!”


“ฮื้ออออ แต่อยู่คนเดียวมันฟุ้งซ่าน”


“อยู่กับกู มึงก็ฟุ้งซ่านนะเอาดีๆ”


“ก็หน้าพฤกษ์มันขี้เหร่”


“เดี๋ยวกูยันตกตึก ไหนมันเป็นอะไรวะทำไมถึงซึมเป็นควายได้ขนาดนี้”


“…”


“อ้าว…ทีนี้ก็ไม่พูดอีก”


“เราว่าจะไปขอลางานศุกร์นี้และจันทร์หน้า”


“หะ!”


“ฝากงานด้วยนะ บัย!”  ไหนๆพฤกษ์ก็ชี้ทางสว่างที่ว่าฉันแทบไม่ได้ใช้วันลาจนเกรงว่าจะถูกตัดออกในปีนี้ แม้จะมีไม่ถึง 40 วันก็จริง แต่สิทธิ์ของฉัน ฉันต้องใช้!


ถึงไม่รู้ว่าหยุดแล้วจะได้ความสบายใจอะไรขึ้นมาหรือเปล่า แต่ฉันมีบ้านอยู่ และตอนนี้ตาแก่สองคนที่บ้านก็กลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คงพอจะมีเวลาให้ลูกที่น่ารักไปนอนออดอ้อนด้วยสักสองสามคืน เพราะเพิ่งหยุดยาวไป จึงทำให้ร่างกายเหมือนยังไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่นัก


“อึก!”  ฉันที่เดินอย่างเหม่อลอยนั้นร้องออกมา เมื่อพบว่าใครบางคนได้เดินชนกันจนเกือบล้ม


“อะไรวะ”  พฤกษ์ที่เดินมาด้วยนั้นรับฉันเอาไว้ไม่งั้นคงได้ล้มจริงๆ ฉันไม่ค่อยได้กินข้าวช่วงนี้ น้ำหนักที่เคยมีเลยเหมือนจะค่อยๆหาย แต่จริงๆหากเอาตราชั่งมาวางไว้ เราก็จะได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นคือการคิดไปเอง


“คุณพลู”  พนักงานของอีกทีมหนึ่งที่เดินชนกันและไม่แม้แต่จะหันมามอง แน่นอนว่าคนๆนั้นไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนับวันเขาคนนั้นถึงแสดงออกว่าไม่ชอบขี้หน้ากันนัก แต่ก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ดลบันดาลให้เราไม่ต้องทำงานด้วยกัน ไม่เช่นนั้นคงอึดอัดแย่


“กูว่ามึงไปถามเขาไหมว่าทำไมนิสัยเลว”


“เขาคงถามกลับว่าทำไมเราถึงคบเพื่อนเลวๆเหมือนกัน เพราะงั้นปล่อยเขาไปเถอะ”  ฉันไม่ได้สนใจหรอก กับการที่คนๆนั้นจะหาเรื่องกันแบบนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้เลือดตกยางออก ฉันก็ขี้เกียจมานั่งสร้างเรื่องเพิ่มเติมให้ต้องมานั่งเรียนผูกเรียนแก้ เพราะที่ผูกไว้แล้ว…


ฉันยังหาทางแก้ไม่ได้เลย!


“อิจฉาคุณฉันจัง ลาหยุดได้ด้วย”  สาจ๋าที่วันนี้ลากกันมากินพาร์เฟต์ถึงพร้อมพงษ์นั้นบ่นไปพร้อมๆกับตักไอติมเข้าปาก มาคิดดูแล้วเพื่อนฝูงที่คบหาสนิทสนมในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่เลือดร้อนแบบพฤกษ์ ก็จะเอ๋อๆแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเคยพยายามแนะนำให้รู้จักกันแล้ว จบลงที่เปรี้ยง พฤกษ์แทบจะเอาหัวจุ่มใส่หม้อชาบู เพราะการมีฉันและสาในที่เดียวกัน บุคคลที่สามจะต้องปวดหัวมากๆ


“ตามกฎหมายป่ะสา บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะ”


“เราก็อยากลาบ้าง แต่วันลาปีนี้แทบไม่เหลือแล้ว”


“แล้วนี่มากินขนมไกลๆที่บ้านไม่ว่าเหรอ”


“เราโตแล้วนะ ให้อิสระกันบ้างเหอะ”  สารินก็มักจะบ่นเช่นนี้ และเป็นอย่างนั้นตามจริง ถ้าพวกเขาสิงเข้าไปในเงาของสาได้ เกรงว่าก็คงจะทำ และพวกเขาในที่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลย พอเลิกกับฉันก็ยิ่งออกตัวชัด


ว่าคนๆนั้นคิดอะไรกับน้องชายของตัวเอง….


“นี่เอาจริงๆ มากับฉันนี่พี่สนจะไม่ว่าเหรอ”


“พอเป็นเรื่องของฉัน พี่สนก็ไม่ว่าอะไรเลย บอกว่านั่งรถไฟฟ้าไปเองได้เลย”  พอไม่ใช่ฉัน เขามักจะไม่ให้ไปไหน อย่าว่าแต่เดินทางคนเดียวเลย ถ้าสิงได้คือสิงแล้ว


“แต่ว่าเขาก็จะอยู่รอรับใช่ไหม”


“ใช่ บอกว่าจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้า”  และก็บอกว่าต้องรับสายเขาตลอดเวลา มันจะอะไรนักหนา หวงมากหวงมายราวกับว่าเป็นคนสำคัญ ใช่ก็สำคัญแหละ


แต่ความสำคัญแบบนั้น สาเหมือนจะไม่ได้ต้องการ!


“ก็ลองเปิดใจดูไหม บางทีอะไรๆก็อาจจะไม่แย่หรอก”


“…”


“แบบใครจะไปรู้อะเนอะ โลกนี้อาจจะมีแวมไพร์ หมาป่า แถมตอนนี้คนรักเพศเดียวกันก็มีมากมาย” แต่คำว่าพี่น้องรักกัน ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ ถึงฉันเป็นลูกคนเดียว แต่แค่จินตนาการว่ากับพี่ชาย….ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะปิดกั้นเหมือนกันกับสารินหรือไม่


“เราไม่ได้เป็นสองอย่างแรกแบบที่ฉันพูดมาหรอกนะ” อ้าว… “เป็นสักอย่างหนึ่งก็ยังดีไม่น่าเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ” แล้วสาริน…


เป็นตัวอะไรกัน?!

- - - - - -
หรือนังคุณไพร์มมันโกหกฉัน
ヽ(#`Д´)ノ
- - - - - -


วันนี้…ทางเราจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว


หลังจากเป็นคนโทรไปหาสนธยาเองว่าไม่ต้องรอรับน้องกลับ ฉันชนกที่ประพฤติตัวไม่ต่างไปจากแม่ของสารินนั้นก็แทบจะอุ้มลูกกลับคอนโดตัวเอง มันใช้ได้ที่ไหนที่พูดให้อยากและจากไป แม้บางทีที่สาพูดออกไป จะไม่มีอะไรในกอไผ่เลยก็ตาม


คงเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อเนื่องมาจากไพร์มแน่ๆที่ทำให้ฉันอยากจะขุดทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ในทันทีแบบนี้


“สาไม่ได้เป็นหมาป่า”


“อื้อ”


“แม้ว่าสาจะเหมือนหมามากอ่ะนะ”  ว่าแล้วฉันก็หัวเราะกลบเกลื่อน นั่นสิ ใครจะเป็นหมาป่า บางทีที่ว่าฉันเป็นแวมไพร์ก็อาจจะเป็นเรื่องโกหกก็เป็นได้ แต่ถ้าอย่างนั้นภูวนัยคนนั้นก็หลอกลวงกันมากเกินไปแล้ว!


“เราไม่ใช่หมาป่า ไม่ใช่หมา และไม่ใช่แวมไพร์เหมือนฉันด้วย”


“ใครเป็นแวมไพร์!”


“…”  แววตาเย็นชาเพียงวูบหนึ่งของสานั้นเหมือนกับว่าที่ฉันโวยวายไปคือเรื่องงี่เง่า มันบ้าบอเกินไปแล้ว คนอย่างสาจ๋าจะมารู้ได้ไงว่าฉันเป็นแวมไพร์  ฉันยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ!  “พี่สนบอก ว่ามีแวมไพร์มาจีบ และสาก็ได้เจอฉัน”


“อ๋อ เหรอ”  ฉันชนกหัวเราะได้ฝืดเคือง ไม่ใช่ว่าสาที่รู้ แต่เป็นพี่สนที่บอก มันดูเมคเซนส์ขึ้นมาหน่อย แต่ว่าถ้าผู้ชายคนนั้นรู้ นั่นเท่ากับว่าเขา…อาจจะคิดไม่บริสุทธิ์ใจ


“ว่าแต่หมาป่ากับแวมไพร์นี่” 


“ไม่ถูกกัน พี่สนเคยพูดว่าฉันนั้นเป็นแวมไพร์ที่ถ้าไม่โง่มากก็บ้ามากที่มาจีบเขา”  โหหหห พูดงี้ก็ขึ้นดิครับ


“แล้วไอ้ชั่วนั่นก็อ่อยกลับนี่นะ มันจะมากไปแล้ว!”  งานนี้ต้องมีคนเลือดออกแล้วล่ะ นี่แวมไพร์นะ แวมไพร์ที่อันตรายๆไง


“แต่พี่สนเขาชอบฉันจริงๆนะ อย่างน้อยก็หลังจากนั้นอ่ะ”  ทางนี้ก็อวยไส้แตกแหกฉีก มาถึงจุดนี้หากทำให้ฉันเย็นลงได้ ก็มีแค่คุณไพร์มแล้วแหละ


นั้นไงเอะอะนะคนเรา!


“แล้วถ้าพี่สนเป็นหมาป่า แล้วทำไมสาถึงบอกว่าตัวเองไม่หมา!”


“เราจะหมาได้ไง เราไม่ใช่น้องชายแท้ๆของเขา”


“หะ!?”  งงในงง ที่เราคิดว่าเขามีความสัมพันธ์ผิดบาปมาตลอด คือจริงเขาไม่ได้คลานตามกันมาเหรอ ฉันงงได้ไหม เรียกคุณไพร์มมาอธิบายให้เข้าใจที


นี่ก็เลิกเอะอะได้แล้ว!


“เราถูกซื้อตัวมาอีกทีน่ะ”


“ซื้อ…เดี๋ยว! จากแวมไพร์ไปหมา ตอนนี้มาขบวนการค้ามนุษย์แล้วเหรอ?!”  บางทีฉันอาจจะต้องการคนที่อธิบายอะไรเก่งแบบคุณไพร์มจริงๆก็ได้ อันนี้ไม่ใช่เพราะคิดถึง แต่เพราะไม่เข้าใจ


“แม่เราขายเรามาอ่ะ จะเรียกว่าขบวนการค้ามนุษย์ก็ได้”  เป็นทั้งแม่คนและแม้ค้ามนุษย์ อย่างนี้มันแย่เกินไปแล้ว ว่าแต่คนที่เผชิญเรื่องราวเหล่านั้นและทำตัวเด๋อๆอารมณ์ดีได้แบบนี้ ฉันเริ่มไม่เข้าใจสาจริงๆแล้วสิ แต่ว่าเราเป็นเพื่อนกันนี่ อย่างน้อยฉันก็คิดเช่นนั้น และเพราะเป็นเพื่อนกัน…จึงมีหน้าที่เชื่อใจเท่านั้นใช่ไหม?


“สา…เราขอโทษนะที่ไม่เคยเข้าใจเลย”


“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก บ้านของพี่สนเขาดูแลเราดีกว่าแม่แท้ๆเราแหละ แต่ว่ามันก็มีอะไรต้องแลกเปลี่ยนกันบ้างนิดหน่อย”


“แลกเปลี่ยน?”


“ก็นะ….บนโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีแค่หมาป่ากับแวมไพร์นี่เนอะ”  สารินยิ้ม แต่มันดูเศร้าและเหมือนจะไม่ใช่ตัวตนที่ใครคุ้นเคย “แม้แต่ผู้ชายที่ท้องได้ก็มีบัตรผ่านได้อาศัยอยู่บนโลกในซอกหลืบเหมือนกันนะ”  คำพูดจากคนที่ฉันคิดว่าดูสดใสยิ่งกว่าตนเอง ในวันนี้…ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ผ่านมามันเป็นความจริงกี่ส่วน


ฉันชนกค่อยๆเงยหน้าขึ้น แม้ภาพตรงหน้าจะไม่ใช่ท้องฟ้าหากแต่เป็นหลอดไฟ ทว่าในเวิ้งความคิดอันกว้างไกลของตนนั้น มีเรื่องราวมากมายที่ได้ประสบพบพา จนถึงปัจจุบันที่ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ตนต้องเรียนรู้ แต่หลังจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นได้อีก เราจะรับมือมันไหวไหม


“เราไม่เป็นไร”  แต่เสียงที่ดูสดใสนั้นเรียกกันให้หันกลับไปมอง เพียงสารินที่ได้เปิดเผยความจริงในใจค้นพบได้ว่ามีใครบางคนที่ยอมรับและห่วงใยกัน เท่านี้ก็พอใจแล้ว และรอยยิ้มง่ายๆที่ไม่ได้มีค่าต้องจ่ายอะไรก็เรียกความสบายใจให้ฉัน เราจะมองโลกไปในแง่ดีด้วยกัน แม้คนทั้งโลกจะบอกว่านี่คือการหลอกตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ก็ตาม


ในตอนเช้าที่ฉันจะไปทำงาน ทางบ้านของสาก็ส่งราชรถมาเกย ทว่าฉันก็ไม่แน่ใจว่าราชรถที่ว่าคือถูกสั่งให้ส่งมา หรือจงใจส่งมากันแน่ แม้ว่าสารินจะเกริ่นๆออกมาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ระบุอะไรว่าผู้ชายที่ท้องได้นั้นคือเจ้าตัวเอง แต่พูดมาซะขนาดนี้แล้วจะมาบอกว่าไม่ใช่ ฉันก็จะตะโกนแสกหน้าและด่าว่าให้เอาน้ำตาที่เสียไปคืนมา


การที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้รับการยอมรับนั้นมันหน้าเศร้าใจ แม้ว่าแวมไพร์นั้นจะถูกยอมรับหรือไม่ตนก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เพื่อนพูดสั้นๆก็ทำให้คิดได้เองว่าพวกเขาต้องลำบากกันมากมาย ทว่าฉันในตอนนี้ช่วยใครไม่ได้ เพราะตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอดเท่าไหร่เลย


“อยากกินข้าวยำบิบิมบับ”  แต่การกินที่ไม่รู้รสก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการกินข้าวเปล่าเลย อาจจะเพราะเลือดที่ดื่มไปทั้งหมดช่วงหยุดยาวนั้นย่อยหมดแล้ว(?) ฉันชนกจึงทั้งเศร้าและอยากอาหารไปพร้อมๆกัน


หรือว่าจะกลับบ้านไปให้ป๊ะทำกับข้าวโดยใช้เครื่องปรุงยี่ห้อนั้นดี แม้มันจะไม่อร่อยเท่าที่คนๆนั้นทำให้ แต่ว่าก็ดีกว่าไม่ได้กินอะไรและเครียดกับเรื่องคนอื่นไปแบบนี้ ฉันชนกที่วนกลับมาใช้ชีวิตโหนรถไฟฟ้าไปทำงานและกลับมาโหนรถไฟฟ้ากลับบ้านนั้นนึกเบื่อหน่าย ไหนใครกันที่ขยันอยากจะออกมาทำงานตอนหยุดยาว


“อะ! ขอโทษครับ”  วันนี้รถไฟฟ้าคนแน่นกว่าทุกวัน และเพราะเอาแต่เหม่อเลยโดนคนที่ต้องลงสถานีนี้เบียดจนเดินเซไปเหยียบเท้าใครอีกคน ฉันเอ่ยขอโทษออกมาและคิดว่าตนควรเงยหน้าขึ้นไปจ้องตา เพื่อแสดงถึงความจริงใจ


“ไม่เป็นไรครับ”  และเขาก็ไม่ได้โกรธทั้งๆที่ฉันซุ่มซ่ามไปตั้งเท่าไหร่ จริงๆเรื่องที่เคยติดค้างกันไว้ไม่สามารถทำให้เขาแสดงความไม่พอใจกับอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆนี้ได้ อันที่จริงเขาควรจะดีใจที่ในที่สุดคนบางคนที่เอาแต่เหม่อลอยก็ได้รู้สักที


“คุณไพร์ม…” ว่าคนๆนี้เฝ้ามองและรอคอยอยู่ ไม่ใช่แค่สักพักหนึ่ง


แต่เป็นอาทิตย์มาแล้วหลังจากที่ปล่อยให้จากกันทั้งๆที่ไม่เข้าใจ


“ผมรอคุณฉันมาง้ออยู่นะ”  ง้ออะไร คนที่ควรจะงอนนี่มันยืนอยู่ตรงนี้ไหม ฉันชนกชักสีหน้าแต่เหมือนจะไม่สำเร็จเท่าไหร่จึงแก้เก้อด้วยการจัดรอยยิ้มให้ไป ก็หลายวันแล้วนะที่ไม่ได้เจอทั้งๆที่เอะอะนึกถึงอยู่บ่อยครั้ง


ในที่สุดก็ได้เจอเสียที


- - - - - -
คุณไพร์ม…ทำข้าวให้กินหน่อยสิ
(._.)
- - - - - -

“ต้องซื้อของสดเข้าไปครับ ในตู้เย็นมันเน่าหมดแล้ว”  ไพร์มพูด โดยที่อีกคนไม่ได้เอ่ยขออะไรแต่เขาก็เห็นถึงลิ้นไก่ตอนยิ้มกว้างให้กันแล้ว ช่างเป็นความไม่บังเอิญที่โชคดีเสียจริงๆ


จะว่าเพราะไพร์มนั้นเสียดายของในตู้เย็นจนอยากแก้มือเลยมาดักรอพบก็ไม่ใช่ แต่ก็ยอมรับว่าเขาก็ขยันเอาของไปใส่เตรียมไว้เพื่อว่าใครบางคนจะกลับมาหากันอย่างที่บอก แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มาจนเกือบคิดไปว่าที่พูดบอกให้สบายใจ คือคำลวงที่จะทำให้หลุดพ้นจากอุ้งมือมาร


เขานี่นะเป็นมาร แค่กักขังหน่วงเหนี่ยวนิดหน่อย ไม่ชั่วร้ายถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง


ภูวนัยรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของฉันชนกดีเพราะเขาให้คนติดตามตลอด ก็พอรับรู้ว่ามีเหม่อลอยบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเหม่อลอยขนาดที่โดนชนจนกระเด็นแบบนี้ น่าห่วงเกินไป เก่งนักเรื่องที่ทำให้ต้องคอยห่วง ดูแลตัวเองดีๆยังทำไม่ได้เลย แล้วยังมีหน้ามาปีกกล้าขาแข็งขอกลับบ้านไปทำงานอีกนะคนเรา


“ฉันยังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าจะไปกิน”


“ไม่กินก็ไม่กินครับ งั้นเราไม่ต้องทำอะไร”


“ได้ไงอ่ะ!”  นั่นไง ผิดจากที่คิดที่ไหน 


สุดท้ายแล้วคนขี้โวยวายก็เป็นฝ่ายต้องเดินตามเขามาในซุปเปอร์ ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ใช่ว่าเขาบังคับมาเสียที่ไหน ที่เดินตามหลังนั้นไม่ใช่อะไร เพราะมันสะดวกที่จะผลักให้เขาเดินไป และควบคุมกันไว้ ไม่ให้แอบวิ่งหนีกัน งานนี้ฉันต้องได้กินเท่านั้น เขาเห็นแววตามุ่งมั่นประมาณนี้


และเจ้าตัวก็เหมือนจะคิดมาแล้วว่าอยากกินอะไรด้วย เพราะพอเขาถามว่าจะให้ทำอะไร บิบิมบับก็ออกมาจากปากอย่างไวเหมือนไม่ได้คิดตอนนี้เลย ไพร์มรับคำเหล่านั้น หยิบจับวัตถุดิบใส่ตะกร้า เดินมาชำระเงินเสมือนจำยอม


เพราะเป็นอาหารที่ไม่ได้ทำเสร็จง่ายๆจึงใช้เวลาอยู่พอสมควร และสมกับเป็นคนที่รู้ว่าถือแต้มต่อ ทั้งที่ปกติต้องโวยวายเรื่องที่เขาจ่ายเงินแล้ว แต่คราวนี้แม้แต่จะช่วย ก็ยังไม่เห็นจะเดินเข้ามาใกล้ครัวสักนิด สมกับเป็นแวมไพร์…เรื่องต่อรองทางธุรกิจของให้ไว้ใจได้จริงๆ


“ให้ผมคลุกให้เลยไหมครับ”


“รบกวนด้วยครับ” น่าหยิกให้เนื้อที่แก้มเกือบกลมหลุดติดมือมาจริงๆ


 “งั้นเดี๋ยวป้อนให้เลยไหมครับ”


“เป็นแวมไพร์ครับไม่ได้เป็นง่อย ทำเองได้นะ”  เถียงเก่ง ไม่เจอกันไม่กี่วัน เป็นฉันชนกที่อัพเลเวลความปากจัดมาแล้วด้วย 


ใช่เวลาไม่นาน แวมไพร์ที่เหมือนไม่ได้กินอาหารจริงๆมานานก็จัดการบิบิมบับคลุกแล้วนั่นจนหมด โชคดีที่เขากินมาแล้ว ไม่งั้นคิดว่าคงกินไม่ทันกันเป็นแน่ เขาเลื่อนแก้วน้ำไปให้ เด็กดีก็รับมาดื่มกินอย่างกระหาย วันนี้ดูเจริญอาหารกว่าทุกวันจริงๆ


น่าคิดว่าต่อแต่นี้พอกินอะไรไม่รู้รสก็จะนึกถึงเขา ว่าแล้วภูวนัยก็นึกภูมิใจในตนเองตรงข้อนี้เหมือนกัน


“อา…รสชาติพอกินได้นะ” 


“เดี๋ยวเถอะ”  ดูพูดเข้า ที่กินไม่เหลือแม้แต่เม็ดข้าวนี่มันพอกินได้จริงๆเหรอคนเรา ในวินาทีนี้เขาคิดจะไปดึงแก้มจอมตะกละแล้วจริงๆ


รอยยิ้มแสบๆนั้นทำให้เขายิ้มตาม อย่างน้อยสำหรับเขาฉันชนกก็ทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ก่อนที่เจ้าตัวจะหุบยิ้มและทำหน้าเรียบร้อยให้กัน


“ผมรอคำอธิบายของคุณไพร์มอยู่ครับ พร้อมแล้ว”  และตอนนี้หัวใจที่เคยเต้นระรัวก็สงบลงอย่างแปลกประหลาด ไพร์มที่นึกคิดมานานว่าเขาควรจะอธิบายอย่างไรดีก็ได้พูดออกไปอย่างลื่นไหล


จากที่เคยอธิบายให้ฉันชนกได้รู้ไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ หากตัดเรื่องธุรกิจออกไป สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายกำลังวิจัยนั้นก็ถือว่าเป็นความพยายามในการตัดขาดความสัมพันธ์ ด้วยหมายจะพึ่งพาตนเองให้ได้มากขึ้น ฉันชนกฟังอย่างนิ่งสงบและพยายามคิดตาม


เพราะในอดีตที่ตกลงกันไม่ได้ระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ สภาพของพวกเราสองเผ่าพันธุ์นับว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนัก แม้ในปัจจุบันจะดีขึ้นแต่ความพยายามที่จะขาดออกจากกันก็มีอยู่เป็นระลอก ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเกลียดชังเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะความไม่แน่นอนของหลายๆเผ่าพันธุ์เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องคิดหาทางเพื่อความอยู่รอด


หากวันหนึ่งแวมไพร์สูญพันธุ์ไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆมันก็อันตรายเกินไปกับมนุษย์อีกเผ่าพันธุ์ เราจะกลายเป็นสองเผ่าพันธุ์บนโลกที่ดับสูญในเวลาใกล้เคียงกัน และก่อนที่เหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้น ต้องมีใครสักคนทำอะไรสักอย่าง


“คุณไพร์มกำลังจะบอกว่าตัวเองทำเพื่อเผ่าพันธุ์เหรอครับ”  ดวงตาของฉันชนกเป็นประกาย


“ทำเพื่อเงินด้วยส่วนหนึ่งครับ ถ้ามีมนุษย์คนอื่นมาดีลกับคุณฉันให้มาบอกผมนะ”  ก็ต้องยอมรับว่าโลกที่เราอยู่แม้ว่ามนุษย์แบบพวกเขาจะไม่ได้มีเต็มโลก แต่ก็ใช่ว่าจะน้อยขนาดที่ไม่มีคู่แข่งทางธุรกิจ และคนที่คิดว่าปัญหานี้อาจจะสร้างโอกาสได้ก็ต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว ในฐานะเจ้าของส่วนแบ่งทางการตลาดของเผ่าพันธุ์ที่เยอะที่สุด ก็ต้องพยายามตัดโอกาสคู่แข่งเป็นธรรมดา


“เกือบจะซึ้งแล้วเชียว”


“งั้นย้อนเทปกลับไปไหมครับ ใช่…ไพร์มทำเพื่อยับยั้งปัญหาการสูญพันธุ์”


“ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม”


“แต่การตัดสินใจของคุณฉันอาจจะช่วยให้มันทันได้นะครับ”


“….”


“ถ้าพวกผมเดินเข้าไปบอกแวมไพร์ที่รู้จักกัน แน่นอนว่าต้องได้ตีกันแน่ๆ”


“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน”


“เพราะฉันไม่รู้จักแวมไพร์พวกนั้น เลยฟ้องใครไม่ได้ว่าโดนผมเอาของกินมาหลอกอยู่”  ซึ่งนั่นคือความจริงที่…ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอม


“ถึงฉันจะฟ้องใครไม่ได้ แต่ฉันก็มีพ่อมีแม่นะ”  เรื่องนี้มันดูมีเลศนัยและเป็นเรื่องที่เหมือนจะใหญ่เกินตัวไป คงไม่มีใครเคยคิดว่าคนธรรมดาหนึ่งคนจะสามารถเป็นคนพิเศษคนหนึ่งที่สำคัญกับความเป็นอยู่ของเผ่าพันธุ์ แน่นอนว่าฉันที่เติบโตมาอย่างไร้สาระย่อมไม่เคยคิดอยู่แล้ว


ตอนนี้จึงยังตอบรับไม่ได้


“ถ้าคุณฉันอยากรู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หรือว่าถ้าไม่อยากทำอะไรตรงไหนก็บอกได้นะ ผมไม่บังคับ”  จริงๆจะบังคับก็ได้ แต่เขาไม่อยากทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี ไพร์มทะนุถนอมเด็กคนนี้มากกว่าที่ใครจะคิดไว้นัก เพราะแม้แต่เขาก็ยังแปลกใจในความรู้สึกของตัวเอง


ช่วงที่ไม่ได้เจอเขาก็กระวนกระวาย กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้โอกาสกันจริงๆเหมือนที่กล่าวไว้ ในตอนนั้นไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกคาดหวังในตัวกันมากกว่าใคร หากเป็นคนอื่นเขามั่นใจว่าคงจะปล่อยไปแล้วหาเหยื่อรายใหม่มาใช้แทน เพราะฉันพิเศษเหรอเขาถึงอยากได้ตัวขนาดนี้ ทว่าเฝ้าถามตัวเองเท่าไหร่ เหตุผลที่ได้….ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ


“ทำไมต้องเป็นฉัน”


“เพราะฉันมีคนเดียว”


“หมายความว่าฉันคนเดียวที่ช่วยคุณไพร์มได้นะเหรอ” 


“ครับ” ไม่ใช่…บนโลกนี้อาจจะมีคนอื่นคนใดที่ช่วยเขาค้นคว้าหาหนทางพัฒนาการแก้ปัญหานั้นได้ แต่คนๆนั้นไม่ใช่ฉัน และต้องเป็นฉันเท่านั้นที่เติมเต็มบางสิ่งที่เขาอธิบายไม่ออกบอกไม่ถูก


“มีแค่ฉันจริงๆเหรอ คุณไพร์มได้หาคนอื่นหรือยัง”


“มีแค่ฉันจริงๆครับ”  เขาตัดโอกาสตัวเองในการหาคนอื่น ไม่ใช่ว่าทรัพยากรหรือต้นทุนมีไม่พอ แต่เขาแค่ต้องการแค่ฉันคนนี้เท่านั้น


“….”


“ผมต้องการแค่ฉันคนเดียว”  แต่ฉันไม่แน่ใจเลย เส้นทางนี้มันลึกลับเกินไป ทว่าอีกส่วนหนึ่งของจิตใจก็บอกว่าในความมืดที่อาจจะมองไม่เห็นทาง ยังมีคนที่เชี่ยวชาญพร้อมจะจับมือเดินพาไป ฉันจะได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้ และฉันจะได้เข้าใจในสิ่งที่ตนสนใจ


แต่ฉันก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี


“ฉันหิว”  งั้นไม่คิดมันแล้ว!


“เพิ่งกินไปนะครับ?”


“ไม่ได้หิวอย่างนั้น”  แล้วมันหิวยังไง  “ฉัน…แค่อยาก”  เพราะมันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว


“….”  เขาที่ไม่เข้าใจในตอนแรกเริ่มสนใจความต้องการที่ว่า เมื่อดวงตากลมใสนั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วง หัวใจของเขาก็เต้นระรัว มันเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนกระคนยินดี


“ให้ฉัน…ดื่มเลือดคุณไพร์ม…ได้ไหม”  ในระหว่างที่ยังตัดสินใจไม่ได้เช่นนี้


ช่วยลองเปิดโอกาสให้ฉันได้อยู่ใกล้ได้ไหม
ไม่แน่ฉันอาจจะสนใจ…ก็ได้นะ





 Talk:
ตอนหน้าเปิดตัวสนสาแล้ว พี่ชายไม่สนิทแถมคิดไม่ซื่อต้องมา ตอนหน้าเราจะเริ่มพาย้อนอดีตไปดูว่าฉันกับสาเป็นเพื่อนกันได้ไง ตอนแต่งไปเราแอบไม่อยากยกสาให้พี่สนเหมือนกัน เพราะฉันสามันได้ว่ะ เออ555
#คู่กินคู่กัด
Twitter @reallyuri




























หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 9 10/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 10-03-2019 19:27:08
ฉันน่ารักเกินไปแล้ว โกรธจนอยากจะกัดคอแต่กลัวพี่ได้ใจ55555 พี่ไพร์มอธิบายน้องด้วยนะ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 9 10/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-03-2019 05:07:34
ตัวละครทุกตัวนี่แฟนตาซีมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 9 10/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-03-2019 22:56:12
สาจ๋าเป็นโอเมก้าหรอ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 10 13/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 13-03-2019 19:20:38
10
- - - - - -
ฉันไม่ได้ตะกละ
(-_-)
- - - - - -

เราสองคนจ้องตากันอยู่อย่างนั้น และฉันก็ตื่นเต้นมาก
หรือว่า…จะไม่ได้นะ


“คุณฉันอยากเหรอครับ”  เขาถาม เป็นครั้งแรกที่ฉันชนกร้องขอ และเพราะว่าเขานิ่งนานไป แววตานักล่าที่ควรระวังภัยเลยกลับกลายมาเป็นสีน้ำตาลอีกครั้ง


“อื้อ”  เด็กดี นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะพูด ทว่ามือที่ไวกว่าก็ได้ประคองใบหน้าเล็กให้แหงนมองกัน ด้วยความเผลอไผล นิ้วหัวแม่งโป้งของมือขวานั้นก็บดขยี้เรียวปากอิ่มสีแดงจนนึกอยากทำให้ช้ำ เขายังจำภาพที่ฉันผละออกมาจากลำคอของเขาได้ และก็หลงใหลริมฝีปากสีสดที่ยิ่งดูเอิบอิ่มเต่งตึงขึ้นมา


“ไหนขอดูฟันหน่อยสิครับ”  เขาค่อยขยับมุมปากของอีกฝ่ายด้วยปลายนิ้ว ซึ่งก็ได้ความร่วมมือกลับอย่างน่ารัก เขี้ยวงอกแล้ว เป็นเขี้ยวที่น่ารักจริงๆ  “ค่อยๆดูดอย่ารีบมากนะครับ เดี๋ยวจะเป็นลม”  เขาบอกห้าม แต่ในคำอนุญาตก็แทรกความห่วงใยเข้าไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพลันกลับเป็นสีม่วงอีกครั้ง และร่างบางก็คลี่ยิ้มดีใจ ทุกอย่างเกิดอย่างเชื่องช้าจนคนบางคนคิดว่าไม่ได้การเสียแล้ว


ในฐานะคนถูกกินต้องรีบร้อนหน่อย


“อ๊ะ!คุณไพร์ม”  เขาดึงฉันมากอดแนบชิดลำตัวไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาอยากแสดงออกถึงความสบายใจที่อยู่ในรูปแบบของอาการดีใจ


“ถ้าคุณฉันต้องการเมื่อไหร่ให้บอกผมได้เลย” เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้หัวใจของแวมไพร์เหมือนจะสั่นไหว ทว่าเมื่อเขาค่อยๆก้มหน้าลงมาให้


ฉันชนกก็รับรู้ว่าตนควรจะต้องทำอะไรต่อไป


คมเขี้ยวเล็กๆที่เขาบอกว่าน่ารักนั้นงอกยาวออกมา มันค่อยๆฝังตัวลงบนลำคอของร่างที่แนบชิด เขาคือชายหนุ่มร่างสูงสุขภาพดี กลิ่นกายที่ผสมกับกลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดนั้นช่างเป็นส่วนผสมที่พอดิบพอดี สร้างเสน่ห์ที่ยิ่งกว่าเย้ายวนทว่าติดตรึงใจให้หวนนึกถึง ไม่รู้เพราะการเป็นแวมไพร์ทำให้ฉันเซนซิทีฟกว่ามนุษย์ทั่วไปหรือไม่ ทว่าเมื่อได้โผเข้าใกล้เจ้าของกลิ่นนี้แล้ว


ร่างกายก็เหมือนได้จมอยู่ในกองหมอนที่บ้าน สร้างความสบายใจและสุขใจจนมิอาจจะบรรยาย

“อืม”  เสียงครางทุ้มจากคนที่ซึ่งกำลังถูกกระทำนั้นบ่งบอกว่าเขาก็พอใจเป็นอย่างมาก กลิ่นคาวเลือดที่ผสมกับกลิ่นของแวมไพร์ยามกระหายทำให้เขารู้สึกดี ไพร์มต้องการให้ฉันได้รับมันไปมากกว่านี้ แต่ก็ต้องดึงตัวเองกลับมาให้ไว เขาไม่อาจจะปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นไข้แบบนั้นได้อีกแล้ว


“ฉันยังได้อยู่” ทว่าคนตัวเล็กที่ถูกเรียกหากลับผละมาบอก หากเจ้าตัวคิดเช่นนี้เขาก็ว่าอะไรไม่ได้แล้ว


เราสองคนเหมือนจะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดให้ลงมานั่งบนโซฟาทั้งๆที่ร่างกายยังแนบชิด ฉันที่นั่งคร่อมเขาอยู่ฝังคมเขี้ยวลงบนลำคออีกครั้งและดูดเอาทุกหยาดหยดจากภายในที่ตนเพิ่งคุ้นเคยและค้นพบว่ารสชาติของมันชักลึกล้ำ ฉันหลงรักของเหลวที่เรียกว่าเลือดเสียแล้ว และดูเหมือนจะมีแค่เลือดของเขาคนนี้เท่านั้น


“ไม่ได้แล้วครับ มันนานแล้วนะ”  เขาเอ่ยทักก่อนจะผละตัวเองออกมาจากเจ้าเขี้ยวเล็กๆนั่น ก่อนจะยอมให้ร่างกายตัวเองเป็นที่พักพิงอีกครั้ง เพราะบางคนดื่มเลือดเยอะไปจนแทบไม่เหลือแรง


“ฮื้อออ”  เป็นเช่นนี้จริงๆ ดื่มมากไปจนร่างกายรับไม่ไหว ฉันชนกนั้นซุกใบหน้าบนไหล่ของเขาทั้งๆที่ร่างของเรายังคงตระกองกอดกันบนโซฟา สัมผัสที่วาบหวามเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ก่อนที่ฉันจะค่อยๆหลับตาลงด้วยต้องการพักฟื้นและปรับสภาพร่างกาย


“คนดี”  ตอนนี้ฉันชนกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กเล็กๆคนหนึ่ง คนที่โหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นแบบนี้ และหลับลงไปอย่างที่คิดว่าไม่ต้องมีฝันดีอะไรอีกต่อไปแล้ว


เพราะที่ได้รับอยู่นี้ยิ่งกว่าฝันดีใดๆที่เคยฝันมา


ฉันตื่นขึ้นมาในตอนเกือบเช้าของอีกวัน และในห้องที่รู้กันว่าเป็นของใคร แต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นไข้หวัดให้ต้องลำบากใคร พอจะลุกขึ้นมาได้ ก็หมายจะกลับห้องนอนทว่าใครบางคนก็พลิกตัวมาหา ที่ข้างๆ ไพร์มตื่นขึ้นมาพอดีและจับได้คาหนังคาเขาว่าใครกำลังจะหนีไป


“นอนต่อเถอะครับ”


“ฉันกลับห้องก่อนดีกว่า ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”


“ผมเช็ดตัวให้แล้ว”


“ดูแลดีจัง” จริงๆก็พูดแก้เขินไป เพราะภาพที่ถูกเขาดูแลอย่างดีนั้นกำลังทำร้ายกันข้างในจนหัวใจวุ่นวายเต้นแรง


“ได้ดีกว่านี้อีกนะเนี่ย”  เขาขยิบตาให้ มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ถ้าฉันยอมเป็นคู่ค้าทางธุรกิจให้ ไม่ต้องเดาเลยว่าเท้าก็คงยืนไม่ติดพื้นอีกต่อไป ว่าแต่เมื่อวานนี้ที่บ่ายเบี่ยงตั้งนานจะยอมดีไหม


แต่ก็เห็นว่าหนทางปฏิเสธอะไร…ตนก็ไม่มีอยู่แล้วเช่นกัน



สน xสา


“แกจะร้องทำไมนักหนา!!!!!”  หญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งตะคอกใส่ลูกน้อยที่กำลังร้องไห้โยเย เธอไม่เข้าใจเลยหรือไงว่าทำไมลูกจึงร้องไห้ เพราะเด็กคนนี้ไม่อยากจะถูกพรากไปอย่างไรเล่า


“แม่…แม่จ๋า”


“แกร้องไปมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาหรอกนะ ไอ้สา!ฉันรับเงินเขามาแล้ว”  ใช่แล้ว…นั่นคือเหตุการณ์ในวันที่สารินถูกขาย


และกำลังจะเดินทางไปบ้านธัมรงค์รัชต์


ตั้งแต่เกิดมา สารินตัวน้อยก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมแม่ถึงไม่รัก ทว่าเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยนเช่นตน แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ค้นพบว่านอกจากแม่ โลกทั้งใบย่อมน่ากลัวยิ่งกว่า และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้อยากจะอยู่ข้างๆตามสัญชาตญาณระวังภัย


แม่แค่ไม่ชอบกัน แต่ไม่ถึงกับจะฆ่าแกงกันเสียหน่อย


ทว่าวันนี้เด็กน้อยชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่แม่ไม่ฆ่าทั้งๆที่เราแทบจะไม่มีกิน นั่นก็เพราะเธอสามารถทำมาหากินจากการขายลูกชายคนนี้ได้ สารินที่เกิดมาเป็นเด็กชายต้องคำสาปไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่เดียวที่เหมือนจะยอมรับและก็ต้องการความสามารถที่หลายๆคนนึกรังเกียจเดียดฉันท์


ตอนนั้นเด็กน้อยไม่เข้าใจความเป็นไปของโลกที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย
และกลุ่มผู้ชายที่ท้องได้ก็ไม่ได้รับการยอมรับเรื่องเพศสภาพในสังคมทั่วไป


เราอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ที่ใช้กฎที่ควบคุมประชากรส่วนใหญ่ไม่ให้วุ่นวาย และบ้างก็ถูกกดขี่โดยที่ไม่มีสิทธิ์ออกมาเรียกร้องสิ่งใดเพื่อนป้องกันความวุ่นวายดังกล่าว ก็จะมีบ้างที่อยากออกมาเป็นปากเสียงให้กับเพื่อนพ้อง ทว่าเพราะไม่ได้รับความร่วมมือและไร้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงทำให้ความต้องการเหล่านั้นตกลงไป ทิ้งเหลือไว้เพียงความช้ำใจที่มนุษย์คนละพันธุ์เช่นพวกเขาต้องเผชิญ


“มาแล้วเหรอ”  เสียงของผู้เป็นใหญ่ในบ้านที่ก้องกังวานทำให้สารินที่เพิ่งเช็ดน้ำตาเม็ดสุดท้ายกลับมาน้ำตาคลออีกครั้ง เด็กน้อยตัวเล็กนิดเดียวที่เทียบไม่ได้กับเด็กวัยเดียวกันย่อมหวาดกลัวอยู่แล้ว


ยิ่งในตอนที่แม่ไม่อยู่ด้วยอีกต่อไป


“คุณกำลังทำให้เด็กกลัวนะคะ”  เสียงของ ‘แพรวรรณ ธัมรงค์รัชต์’ ที่สั่งห้ามก็ไม่ได้ทำให้สารินสบายใจ เด็กน้อยกลัวไปหมดว่าตนจะทำอะไรผิดจนไม่เป็นที่ยอมรับไปมากกว่านี้


“มันจะอะไรกันนักหนา”ชายคนนี้เอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ


“แพรบอกแล้วไงคะว่าเราจะเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เป็นน้องของตาสน”


“ผมก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี” ‘วรวุฒิ ธัมรงค์รัชต์’ ที่คัดค้านมาตั้งแต่ต้นนั้นทำใบหน้าไม่พอใจ แต่เพราะสิ่งที่เธอพูดนั้นทำให้ใจของเขาปวดร้าวไปหมด เพราะผู้ชายคนนั้นคลอดสนธยาออกมาและตายจากไป ตราบาปในใจที่พวกเขาไม่มีวันชดใช้ได้ยังคงฝังลึกในความทรงจำ


“สารินลูก มาทางนี้สิจ้ะ”  เธอทำเป็นไม่สนใจเขาอีกต่อไป เพราะจะอย่างไรเราก็คุยกันแล้วว่าเราจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดี แม้ว่าปลายทางของชะตากรรมคือการเป็นเครื่องจักรผลิตทายาทให้กับตระกูลใหญ่อย่าง ‘เพย์ตัน’ แต่ในระหว่างนั้นเขาจะถูกเลี้ยงดูอย่างดี เหมือนที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มที่ชื่อวารินที่เป็นผู้ให้กำเนิดลูกของพวกเราไม่เคยได้รับ


“หนู…หนู”  เด็กน้อยยังคงไม่เข้าใจ ทุกวันตนจะถูกกรอกหูใส่ว่าการถูกขายไปไม่ต่างจากการลงนรก บ้างกลายเป็นคนใช้ พอได้เติบใหญ่ก็กลายเป็นเมียบำเรอ พอให้กำเนิดทายาทของเผ่าพันธุ์ได้ก็จะหมดประโยชน์และพ้นสภาพกลายเป็นไท แล้วหลังจากนั้นไป ก็มักจะจบลงที่การเป็นโสเภณีใช้ร่างกายหาเงิน และถ้าท้อง คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็จะถูกขายให้กับตระกูลที่มีความต้องการทายาทที่แข็งแกร่ง


ทายาทมนุษย์หมาป่าที่แข็งแกร่งเหมือนอัลฟ่า


จริงๆสารินในวัย 8 ขวบไม่มีทางเข้าใจอะไรยากๆแบบนั้นหรอก ทว่าคนเล่าก็ทำให้มันดูสะเทือนใจจนเด็กน้อยคิดไปเองว่ามันต้องแย่แน่ๆ และก็เชื่อมั่นว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริง เพราะแม่ของตน…ก็ให้กำเนิดลูกชายมาเพื่อขาย และดำรงชีพด้วยการเป็นโสเภณีในซ่องเก่าๆเหมือนกัน


และมันก็จะวนลูปอย่างนั้นเหมือนเป็นคำสาปของเผ่าพันธุ์


“มาเป็นลูกอีกคนของแม่นะ”  ทว่าหัวใจที่เหี่ยวเฉาก็กลับพลันเต้นแรงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ คำพูดที่แสนเบาแต่ทุ้มหนักเมื่อดังเข้าสู่หัวใจ เด็กน้อยที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นหรือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความรักเงยหน้าขึ้นมามองเธอ ทั้งๆที่ถ้าทำเช่นนี้คนเป็นแม่ต้องตะคอกกันแล้วแต่แพรวรรณกลับยิ้มให้ วรวุฒิแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและเดินหนีออกไป


และน้ำตาที่ไม่คิดว่าจะยังของเด็กน้อยโอเมก้ากลายพันธุ์ก็ไหลออกมา


หลังจากที่เสียน้ำตาจนไข้ขึ้น สารินก็หลับไปในอ้อมแขนของคนเป็นแม่ที่ไม่รังเกียจเสื้อผ้าเก่าๆหัวยุ่งๆ รู้ตัวอีกทีก็ตื่นมาบนเตียงนอนนิ่มๆและชุดนอนใหม่ๆใต้ผ้าห่มหอมๆ แย่แล้ว!เผลอหลับไปตอนไหน เด็กหนุ่มคิดในใจและเริ่มจะกลัวว่าคุณแม่คนใหม่จะโกรธเคืองกัน ทว่ายังไม่ทันได้หาทางแก้ปัญหา ปัญหาที่ว่าก็เปิดประตูเข้ามา


“ตื่นแล้วเหรอน้องสา”  แพรวรรณนั้นกะไว้แล้วว่าเด็กคนนี้ต้องนอนนานๆแน่เพราะเขาดูเหนื่อยล้าอิดโรยขนาดนั้นเมื่อแรกเจอ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะไม่รบกวน และไปตาม ‘ลูกชาย’ ของเธอให้ได้มารู้จักกับน้อง


สนธยาในวัย 10 ปีนั้นจ้องมองเด็กตัวเล็กด้วยแววตาไม่ยินดียินร้าย


“สน…ต่อไปนี้น้องสาจะมาอยู่กับเรานะจ้ะ”


“สา?”  เขาหันมาสนใจเจ้าของชื่อ แม่บอกแล้วว่าจะพาน้องใหม่มาอยู่ด้วย แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเด็กที่ผอมกะหร่องจนตาโตๆนั่นดูจะโปนออกมา


“สาจ๊ะ นี่พี่สนนะ” ตอนนั้นสามัวแต่มองเขาจนไม่ได้ทักทายออกไป และเชื่อไหม…


ว่าเขาก็ไม่ได้ยิ้มให้กันตั้งแต่แรกเจอ


เดิมทีสาไม่ใช่เด็กร่าเริงแต่เป็นเด็กที่ขี้อายและขี้กลัว สนธยานั้นโตกว่าไม่มาก แต่เขามีบุคลิกของความเป็นผู้นำสมกับที่จะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านต่อจากคนเป็นพ่อ เราอาจจะไม่สามารถพูดได้ว่ามันคือความแตกต่างราวขาวกับดำ แต่สามารถเรียกได้ว่าเราคือสีดำ…ที่ไม่อาจจะผสมกลมเกลียวกันอย่างที่ควรเป็น


เด็กน้อยสนิทกับพี่เลี้ยงที่บ้านและคุณแม่ใหม่เพียงเท่านั้น แต่จะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครอบครัวที่เกิดมา ถึงแม้ว่าจะได้รับความรักความเอ็นดูในด้านต่างๆ แต่การปฏิบัติตนในครอบครัวใหญ่ก็ยังมีแบ่งข้าง หลายคนบ้างก็ไม่ได้ให้การยอมรับกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เพราะสุดท้ายแล้วสาก็จะจบลงเหมือนกับคนที่ถูกซื้อมาทั่วๆไปเช่นกัน


ก็อาจจะโชคดีกว่าที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาและความรัก


ถึงได้ชื่อว่าน้องชาย ทว่าก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันขนาดนั้น สาก็พยายามจะไม่เข้าใกล้เขาให้เกิดความรำคาญ ตนนั้นอยู่อย่างเจียมตัว แม้ไม่รู้ความคิดของเขาว่าคิดต่อกันเช่นไร แต่แค่มีข้าวให้กิน มีสังคมให้อยู่ ส่วนเรื่องอนาคตจะเป็นเช่นไร สาก็แค่เผื่อใจไว้ และมีความสุขกับปัจจุบันเท่านั้น


ยิ่งเติบโต…สนธยาก็ยิ่งรูปงาม คำชมเชยมากมายดังเข้าหู และสารินที่มีศักดิ์เป็นน้องชายก็ไม่ได้นึกอิจฉาแต่อย่างใด แม้จะอยู่ห่างๆทว่าความชื่นชมในหัวใจกลับเพิ่มพูน อาจจะเพราะเขาได้ใช้ชีวิตแบบที่สารินไม่เคยนึกว่าตนจะเป็นได้ เมื่อได้มามองใกล้ๆก็ถูกตาต้องใจแต่ไม่อาจจะครอบครองหรือเป็นไปได้ตามนั้น


“น้องสาว่าพี่เขาเก่งไหมลูก”  คุณแม่ถาม วันนี้สนธยากลับมาพร้อมกับเกียรติบัตรสักอย่างที่สารินเข้าใจว่าต้องฉลาดมากๆถึงจะได้มา เขาไม่ได้พูดอะไร เอามาให้เพราะไม่รู้จะเก็บไว้ไหน ในระหว่างนี้ที่คนในครอบครัวกำลังพูดคุยกันก็นั่งจิบชาเงียบๆคนเดียวไป พยายามทำตัวให้กลมกลืนแต่แปลกแยกอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ


“พี่สนเก่งจังเลย”  ตอนนั้นสารินน่าจะอายุประมาณ 12 ปีได้ เด็กน้อยนั้นจ้องมองคนที่โตกว่าตาใส ดวงตาไม่สามารถปิดแววชมเชยไว้ จึงพยายามอย่างมากที่จะควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวไปมากกว่านั้น


“แม่ภูมิใจในตัวสนมากๆนะลูก”  สารินเองก็ภูมิใจแทน  “แต่แม่ก็ภูมิใจในตัวสามากนะลูก” ทว่าเธอก็ไม่อยากให้เด็กที่รับมาเลี้ยงต้องน้อยใจ


“แต่สายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”


“ฮึๆ” 


“คุณก็…” คุณแม่นั้นหันมาดุว่าคุณพ่อที่หลุดหัวเราะ ทั้งนี้คุณวรวุฒิก็ไม่ได้เย็นชากับสาเหมือนที่เคยเป็นมาแล้ว อาจจะเพราะชินหูชินตาและพบว่าหลายปีที่ผ่านมาเด็กที่ชื่อสาไม่ได้ทำอะไรให้เขาขุ่นข้องหมองใจนัก บางทียังช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ได้จากธรรมชาติบางอย่างของเจ้าตัวด้วยซ้ำ


“ก็คุณตลกนี่ เด็กมันยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆก็ไปชมซะงั้น มันจะงงก็ไม่แปลก”  กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ดุกล่าวว่าสาอย่างนั้นเหรอ ประกายตาแห่งความหวังของสารินนั้นฉายชัด เด็กน้อยรู้สึกหัวใจเต้นแรง ดีใจอย่างแปลกๆทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าตนตีความอะไรออกมาได้บ้าง


“แต่สาทำให้แพรภูมิใจจริงๆค่ะ”  แม้ว่าลูกคนนี้จะไม่ได้เรียนเก่งหรือโดดเด่นตรงไหน กลับกัน…สารินพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่มีตัวตนเหนือใคร แต่ที่เธอภูมิใจคือจิตใจที่เอื้ออารีของเด็กคนนี้ คิดไม่ผิดจริงๆที่ว่าถ้าเลี้ยงดูด้วยความรัก เด็กก็จะมอบความรักกลับมาให้ตามที่สั่งสอน


“อ้าว พูดงี้ตาสนไม่น้อยใจแย่เหรอ พยายามแทบตาย”


“ไม่หรอกครับ”  สนธยาแย้งขึ้นมา  “น้องก็ทำได้ดีเหมือนกัน”  เขาแค่พูดตอบไปเท่านั้น แต่คนที่คิดว่าไม่เคยอยู่ในสายตาใครกลับรู้สึกมากกว่าไปถึงหัวใจ


และหลังจากนั้นก็เหมือนว่าสารินจะยิ่งเทิดทูนคนพี่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้ทำมันจนดูโจ่งแจ้ง ในโรงเรียนเดียวกันที่ตนไปเรียนด้วย ไม่มีสักครั้งที่จะบอกใครว่าเป็นน้องของเขา มิหนำซ้ำหากใครพูดจาชื่นชม ตนก็จะยิ้มดีใจราวกับว่าถูกชมเสียเอง สารินก็ยังคงไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ชายคนนี้มากนัก นั่นเพราะบุคลิกส่วนตัวซึ่งทำให้รู้สึกว่าเข้าถึงได้ยาก แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นมาก คือการที่สนธยาไม่ได้เป็นแบบที่ปฏิบัติกับเรา เหมือนกับที่เขาปฏิบัติกับใคร


ที่โรงเรียน รอยยิ้มของเขาหาได้ง่ายดายมาก มันดูเกลื่อนกลาดแต่ก็ยังทรงอานุภาพที่ทำให้ใครๆต่างก็หลงใหล ทว่ากับสารินที่ชื่นชมเขาอยู่ในใจ กลับไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าการที่จะภูมิใจกับความเป็นที่นิยมนั้นๆ


“น้องสา วันนี้พี่สนเป็นไงบ้างคะ”


“เหมือนเดิมเลยครับ มีคนมาสารภาพรักอีกแล้ว แต่พี่เขาเหมือนจะปฏิเสธดีนะครับ สาได้ยินเพื่อนพูดมาอย่างนั้น”  ลำพังให้ไปดักฟังเหมือนคนอื่นก็ดูจะน่าชังเกินไป ยิ่งเป็นคนร่วมบ้านด้วยแล้ว สารินก็ไม่ได้อยากทำให้เขาไม่สบายใจถึงขั้นนั้นหรอก


ทว่าเขาก็มาได้ยินอยู่ดี…


“สน…”  คนเป็นแม่ที่บังเอิญเห็นลูกชายเดินเข้ามาขณะที่กำลังพูดคุยเรื่องของเจ้าตัวกับลูกชายอีกคน เธอเผลอเรียกชื่อ และนั่นทำให้คนที่กำลังพูดคุยชาไปทั่วร่าง


“ผมมาเอาของครับ”  เขาพูดแค่นั้น และไม่แม้แต่จะปรายตามองกันสักนิด มันทำให้ฉุกคิดได้ว่านี่เราไม่มีตัวตนในตอนนี้


หรือไม่เคยมีแม้ในตอนไหน…


สารินกับสนธยาก็ค่อยๆห่างกันไปอีก ด้วยตระหนักว่าเขารู้สึกไม่ดีที่ถูกเอาเรื่องราวส่วนตัวไปเผยแพร่ สารินจึงไม่คิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวหรือฟังเรื่องราวของเขาอีก กลายเป็นว่าตนค่อยๆตัดขาดกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังชื่นชมอยู่แต่ก็แทบจะไม่ได้รับรู้อะไร ทว่าเรื่องบางเรื่องก็ลอยมาเข้าหูจนได้


“ไอ้เหี้ยนั่นแย่งผู้หญิงมึงไปอีกแล้วเหรอ”  นั่นเป็นตอนที่สารินอายุ 15


และเขาก็แค่มากกว่า 3 ปี


“เอออะดิ ไอ้เหี้ยสนมันก็มั่วกับคนของคนอื่นไปทั่วนั่นแหละ”  สารินอยากจะค้านว่ามันไม่จริง ทว่าตนก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของเขาหลังจากวันนั้นเท่าไหร่นัก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินอะไรประมาณนี้ หัวใจจากสี่ในห้าส่วนก็เหมือนจะปักใจเชื่อคู่กรณีคนนั้นไปแล้ว เพราะช่วงหลังพฤติกรรมวัยเลือดร้อนของเขามันก็ชี้ชวนไปในทางนั้น


“จัดแม่งสักหน่อยไหม”


“เออกูก็ว่าต้องสักหน่อยล่ะ” แต่แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ แม้ว่าสนธยาจะทำผิดจริงๆ  แต่ใจของสามันก็เอนเอียงอยู่ดี


เพราะเหตุนี้นักเรียนฝั่งมัธยมต้นจึงฮึดเดินมาถึงฝั่งมัธยมปลายที่ซึ่งใครบางคนคงอยู่ที่นั่น สารินเดินถามคนนั้นคนนี้ว่าห้องเรียนของพี่อยู่ไหน จนในที่สุดก็มาถึงจนได้ และโชคดีที่ยังอยู่ในเวลาพักอยู่


“น้องม.ต้นมาหาใครอ่ะครับ”  นักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เขายิ้มให้ตาวาว


“พี่สนอยู่ไหมครับ”


“ไอ้สน?”  ได้ยินเช่นนั้นสาจึงพยักหน้าให้  “ไอ้สน เด็กมึงมาหา!”  และน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ช่างต่างจากตอนแรกที่เอาไว้คุยกัน


สนธยาที่กำลังจะนอนกลางวันนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง เขาไม่เห็นผู้มาหา แต่ได้ยินว่าเป็นเด็กของเขาก็ไม่อยากจะขยับตัวเท่าไหร่ จึงจบลงด้วยการที่เขาไม่ขยับไปไหนอย่างนั้นนั่นแหละ


“ไอ้สนไม่อยากเจอว่ะน้อง งั้นมาเป็นเด็กพี่แทนไหม”


“เอ่อ…ผมไม่”


“ตื้อมันต่อไปมันก็ไม่เอาหรอก เชื่อพี่ พี่เห็นมาเยอะ”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นสารินก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก คนตัวเล็กก็ยังพยายามจะชะเง้อคอมองหา เผื่อว่าพี่เขาจะได้เห็นหน้ากัน ทั้งนี้ตนไม่อยากจะบอกใครว่าเป็นอะไรกับเขานัก เพราะมันจะทำให้คนขุดคุ้ยและอาจจะไม่ดีกับตัวของสนธยาเองก็เป็นได้ แต่กระนั้นคำว่า ‘เด็ก’ ที่คนนี้เรียกกัน ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ความหมาย


“ผมขอเจอพี่เขาเถอะนะ”  สารินพยายามออดอ้อน แต่ลืมไปแล้วเหรอว่านี่ไม่ใช่คุณแม่ที่จะใช้สายตาแบบนี้เกลื่อนกลาดได้ทั่วไป


“เอ่อ…” คงไม่สำเร็จสินะ เพราะเขาอึ้งไป ตนจึงหลุบตาลงอย่างผิดหวังหลังจากที่ใช้มันช้อนมอง


“ผมแค่มีเรื่องจะมาบอกก็เท่านั้นเอง”  เสียงพึมพำอย่างหงอยเหงาเสียงเบานั้นล้วนจริงใจ คนฟังถึงกลับกลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะเปิดทางให้เข้าไปหา สารินเองก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จแบบนี้ ตนจึงฉีกยิ้มกว้างก่อนที่จะกล่าวขอบคุณด้วยความซึ้งใจจริงๆ


เมื่อมีคนเปิดทางให้เข้าไป ก็เป็นหน้าที่ของสองเท้าที่ต้องก้าวเข้าหา เครื่องแบบที่แตกต่างทำให้ทั้งชั้นเรียนนั้นหันมามอง บางคนจับกลุ่มกระซิบนินทา สาก็คิดว่าตัวเองควรจะมุ่งหน้าเข้าไปหาและบอกเขาถึงสิ่งที่รู้มาให้มันจบๆไป แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่มาหาเขาที่ห้องเรียนแบบนี้


ก่อนนี้ก็เคยเดินไปเรียกบ้างหรืออะไรบ้าง แต่ไม่ใช่ที่นี่และก็เพราะคุณแม่บอกหรือคนอื่นใช้ สาเป็นคนอ่อนน้อมใครใช้อะไรก็ไป จึงต้องไปเคาะประตูเรียกเขาบ้าง ทว่าหลังจากวันนั้นที่เรานินทาเขากัน แพรวรรณก็เลี่ยงที่จะไม่ใช้ให้สารินไปมีปฏิสัมพันธ์กับลูกชายเธอคนนั้นอีกเลย


“พะ… พี่สน” สาเรียก แต่เขาเหมือนจะไม่ได้ยิน ทั้งนี้สนธยาเป็นคนหลับง่ายหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ดูเขาอาจจะหลับตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วเพราะเพื่อนของเขาเรียกให้เท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะลุกขึ้นมาหากันเลยสักนิด


ยืนเก้กังอยู่สักพักแต่นานในความรู้สึกนัก สารินจึงคิดทำบางอย่าง ยอมรับว่าประหม่าเพราะว่ารอบตัวมีแต่คนไม่รู้จัก แค่ต้องมาเผชิญหน้าก็กังวลจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ถ้าให้ตะโกนเรียกออกมา อาจจะได้ขวัญเสียเพราะทำเขาตกใจจนโกรธได้ สารินจึงค่อยๆย่อตัวนั่งลง


ก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างใบหูซ้าย


“พี่สนครับ”  ช่วยตื่นทีเถิด สารินอาย และสวรรค์คงเมตตากันแล้วสักครั้ง เพราะเจ้าของชื่อที่เพียรเรียกหาเงยหน้าที่ซบลงกับท่อนแขนมามอง ดวงตาของเขาเปิดกว้างขึ้นมาอีกนิด แต่เรียวคิ้วขมวดจนชวนให้ใจฝ่อ


“สา…”  ทว่าเสียงเรียกชื่อกลับทำให้ใจสั่นไหว  “มาที่นี่ทำไม”  ก่อนจะรู้สึกเหมือนมันได้ร่วงหล่นลงมา เพราะคำว่ามา ‘ทำไม’



มันถูกตีความหมายไว้อย่างเย็นชา…



Talk:
อนุญาตให้ฟาดพี่สน /เพี้ยะๆ
ในนี้เรื่องของแต่ละเผ่าพันธุ์อาจจะอิงข้อมูลจากฉบับอื่นๆแต่เอามาดัดแปลงในแบบของเรานะคะ ในเรื่องนี้จะพูดว่าอัลฟ่าหรือโอเมก้าเลยมันก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นอัลฟ่ากับโอเมก้าที่มีวิวัฒนาการทางกายภาพบางอย่าง กรณีพี่สนกับน้องสาจะไม่มีการฮีท ไม่มีเรื่องคู่แห่งโชคชะตา ซึ่งมันอาจจะเหมือน mpreg ในสายตาบางคน แต่เราจะพูดสภาพสังคมและค่านิยมหลังจากการหายไปของสิ่งเหล่านั้นตามจินตนาการ แต่ก็จะไม่เน้นมากไปให้นิยายรักกลายเป็นนิยายการเมืองนะคะ555 หลักๆคือมีเรื่องของสภาพสังคมและความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว หากขาดตกบกพร่องยังไงก็ชี้แนะกันได้
แต่อย่าแรงมากนะ เจ็บหัวใจ ฮืออออ555
จริงๆมีแพลนอยากแต่งอีกหลายคู่แต่เดี๋ยวดูก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงไหน แต่งนำไปหลายตอนแล้วก็ยังไม่ได้ครองคู่กันดีๆเลยค่ะ 5555
คอมเมนท์ติดแท้กให้กำลังใจกันได้นะคะ #คู่กินคู่กัด
Twitter : @reallyuri
































หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 11 16/3/2019 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 16-03-2019 18:53:19
11

สน xสา

“คือสา…สา…”  ท่าทางที่ดูลนลานนั้นอาจจะทำให้เขารำคาญ และอาจจะทำให้เจ้าตัวคิดว่าตัวเองไม่ควรมาแต่แรก ทว่าความต้องการต่อสิ่งที่อยากให้รับรู้ก็ยังคงแรงกล้ากว่าความกลัว


“มาทำไม”  เขาย้ำถาม และแม้คนที่มาหาจวนเจียนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่แววความกดดันก็ยังไม่มีลดลงเลย


“คือสามีเรื่องอยากจะบอก”


“บอกอะไร”


“เผอิญสาไปได้ยินว่ามีคนตั้งใจจะเล่นงานพี่สนที่ร้านประจำเลยอยากมาบอกไว้”  ในความเป็นจริง อายุของสนธยาก็ยังเข้าสถานที่แบบนั้นไม่ได้ แต่ว่าด้วยอิทธิพลหรืออะไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก และแน่นอนว่าหากเขาไม่ต้องการให้ใครได้แตะต้องแม้แต่ปลายเล็บมันก็จะเป็นไปตามนั้น สนธยาไม่มีวันที่จะสนใจเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายต่างสายเลือดจะต้องสนใจ


“อืม รู้แล้ว” 


“พี่สนดูแลตัวเองดีๆนะ”  สาก็รู้ว่าเขานั้นไม่โง่งม


“อืม ไม่เป็นไรหรอก”  ก็ไม่รู้ว่านี่คือความช่วยเหลือแบบที่เขาต้องการหรือเปล่า แต่สาก็คิดว่าการได้ถ่ายทอดออกไปย่อมดีกว่าเก็บมันไว้แต่เพียงผู้เดียว หากรับรู้แต่ไม่พูดไป ต้องรอให้มันเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหรือไงถึงจะพูดออกมา


“สาจะไม่บอกใคร”  และสาก็ให้คำมั่นว่าเรื่องที่เราคุยกันนี่จะไม่มีใครในครอบครัวต้องรู้เพื่อห่วง แต่อันที่จริงเขาเชื่อว่าคนในครอบครัวจะเชื่อใจเพราะสนธยาพาตัวรอดได้ เขาเพียงพยักหน้า “งั้นสาไปก่อนนะ”  และคนที่มาเพื่อจากไปก็บอกความต้องการออกไป เขาเพียงพยักหน้าอีกครั้งและปล่อยคนเป็นน้องชายให้เดินออกไป เก็บความไม่พอใจในเบื้องลึกเอาไว้ไม่ได้บอกใครออกมา


“อ้าว คุยกันเสร็จแล้วเหรอวะ”  น่าแปลก แม้แต่เพื่อนของเขายังไม่เชื่อว่าการคุยกันจะเป็นแค่การคุย ไม่มีการวอแวววุ่นวายแต่อย่างใด มาเพื่อจากไปในเวลาอันสั้นไม่เห็นเหมือนคนอื่นๆที่เคยเจอ  “น้องดูโอเคเลยนี่หว่า”


“น้อง?”  เขาคิดว่าเขาไม่เคยบอกใครว่ามีน้อง


“กูหมายถึงน้องที่มาหามึงไง ดูไม่งี่เง่าดี น่ารักด้วย เมื่อกี้อ้อนกูซะใจยวบ”


“อ้อน?”


“เอออะดิ ช้อนตามองเป็นลูกแมวเลย เฮ้ย! ไอ้สนจะไปไหน มันจะเข้าเรียนแล้วนะ”  มันก็ไม่ใช่ความจำเป็นอะไรที่จะตอบทุกคำถาม หรือจริงๆเขาไม่ได้ยินคำถามนั้นชัดเท่าไหร่เพราะเดินออกมาอย่างไว และอาจจะเพราะขายาวกว่าใครบางคนที่เดินอย่างอ่อนแรงจิตตกมากนัก


มือนั้นจึงคว้าแขนเล็กๆของคนที่กำลังทุกข์ใจเอาไว้ได้


“พี่สน?”


“…”  เขาเงียบไปเพราะค้นพบว่าการจะเปล่งเสียงออกมาช่างยากเย็น และเมื่อรวบรวมคำพูดได้ “จะไปส่ง” 


โรงเรียนก็โรงเรียนเดียวกัน ตึกเรียนก็ไม่ไกลนัก


“พี่ไปส่ง”  เหมือนมันจะนานแล้วที่สารินไม่ได้ยินคำเรียกนี้


สารินไม่ได้เถียงอะไรและยินยอมให้เขามาส่งแต่โดยดี และเพราะความโดดเด่นของสนธยาคนนี้ทำให้คนจ้องมองคนที่เดินมาข้างๆ แต่คาดว่าพวกเขาคงจะลืมกันได้ในอีกไม่นาน เพราะใช่ว่าพี่ชายคนนี้จะไม่เคยเดินกับใคร


“วันหลังอย่าไปตึกมัธยมปลายคนเดียวอีก”  เขาพูดแต่มันเหมือนคำสั่ง


“ครับ”


“ส่วนเรื่องที่มาบอกก็ไม่ต้องห่วง วันหลังถ้าเห็นอะไรแบบนี้ก็ไม่ต้องไปแอบฟัง มันอันตราย”  ทว่าหัวใจที่เหมือนจะหล่นตุ้บลงไปครั้ง มันก็เหมือนจะเด้งตัวขึ้นมาใหม่หลังจากได้ยินคำนี้ ในน้ำเสียงที่ดูจะเหินห่าง แฝงไว้ซึ่งความห่วงใยจริงๆใช่ไหม


สาไม่ได้ยิ้มกว้างเกินไปใช่หรือเปล่า?


และหลังจากนั้นจะเรียกว่าเราใกล้ชิดกันมากขึ้นเหรอ ก็เปล่าหรอก มันก็ธรรมดานะ ยิ่งเมื่อสนธยาเรียนจบและเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากมื้ออาหารเย็นบางมื้อ เราก็แทบไม่ได้เจอกันเลย


ในตอนนั้นที่มีคนเห็นเราสองคนเดินด้วยกันก็มีเข้ามาสอบถาม แต่เพราะสารินตอบทุกคนว่าไม่มีอะไร ไม่นานพวกเขาก็เลิกราไป จากนั้นพี่สนก็ไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวอะไรเป็นพิเศษ ทุกคนจึงเชื่อสนิทใจว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ   


ทว่าด้วยความเป็นคนดัง ข่าวฉาวที่มาพร้อมกับความชื่นชมก็ยังไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน แต่ตนก็ไม่สามารถเข้าไปวิจารณ์หรือแก้ต่างอะไรให้กับเขาได้ เพราะในความเป็นจริงสานั้นพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองทำให้ครอบครัวของเขาต้องแปดเปื้อน สารินใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พยายามไม่ให้ตัวเองโดดเด่นจนเกินไป แม้ช่วงหลังๆมานี้จะเริ่มมีคนเข้ามาสนใจกันบ้างก็ตาม


ทว่าตนก็มักจะตอบปฏิเสธอย่างสุภาพและถอยห่างออกมาถ้าทำได้ ไม่ใช่เพราะว่ามีคนในใจแต่เพราะไม่อยากให้ใครมาขุดคุ้ยว่าตนเป็นใครมากกว่า มีบ้างที่ปฏิเสธไม่ได้เลยต้องจำยอมไป ทว่าก็โชคดีทุกครั้งไปที่มันไม่เกิดปัญหาอะไรตามมา และดูเหมือนว่าคุณแม่จะชื่นชอบการที่น้องสาได้ออกไปเที่ยวกับคนอื่นบ้างตามประสาเด็กวัยรุ่นมากกว่า


และบางทีเรื่องที่วันนี้น้องจะออกไปไหนก็ถูกนำมาพูดตอนมื้อเช้า


“วันนี้น้องสาจะให้ที่บ้านไปรับไหมคะ ไปดูหนังกับพี่เขาจนถึงกี่โมงเอ่ย”


“อ่า…เดี๋ยวสากลับเองดีกว่า”


“จะเอาอย่างนั้นเหรอคะ”


“ครับ สาไม่รู้อ่ะว่าจะได้กลับบ้านตอนไหน”  ในตอนนั้นเหมือนจะได้ยินเสียงช้อนตก คุณแม่จึงลุกไปหยิบช้อนใหม่ให้เพราะเวลาทานข้าวคนในครอบครัวจะไม่อยากให้พวกแม่บ้านมายืนอยู่รอบๆเพื่อรอรับใช้ ซึ่งการเบี่ยงเบนความสนใจนี้ก็ดีไป สารินโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมรู้สึกกระดากอายที่จะต้องมาตอบเรื่องแบบนี้ให้หนึ่งคนที่ถาม แต่มีอีกสองคนที่ฟัง


ทว่าเมื่อมาตามนัดที่มันควรจะเป็นการมาเที่ยวกันเป็นกลุ่มในตอนแรกที่ถูกชวน แต่มารับรู้ว่านี่คือการเที่ยวกันแบบสองต่อสองก็ตอนที่สมาชิกที่มาได้มาครบแล้ว และสมาชิกนั้นก็มีแค่คนเดียว สารินพยายามแล้วที่จะติดต่อคนอื่นๆที่ชวนมา ทว่าไม่มีใครรับโทรศัพท์กันเลย จะให้ทิ้งพี่คนที่มานี่ไปก็ไม่ได้ เลยจำใจไปดูหนังเรื่องหนึ่งและกินข้าวด้วย หัวเราะแห้งๆไปก็หลายรอบจนในที่สุดต้องบอกพี่คนนั้นว่าต้องกลับแล้ว


ทว่าเขาก็ดูจะวุ่นวายกับสารินไม่น้อย อย่างไรก็จะไปส่งกลับบ้านให้ได้ซึ่งสาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนอาศัยอยู่ที่ไหน ในตอนนั้นที่กำลังปฏิเสธเสียงอ่อนอยู่นั้น อีกฝ่ายก็จับมือกันไว้หมายจะดึงให้ลุกขึ้นเดินไปด้วย


“สา!”  เสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้สารินต้องหันไปมอง แน่นอนว่าเจ้าของเสียงโดดเด่นมากจนทุกคนหันไปสนใจ แต่สากลับไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร หรือไม่…เขาก็คงไม่ได้เรียกกัน


“คนรู้จักเหรอสา”  แต่สาไม่ได้พูดอะไร เพราะเหมือนว่าคนๆนั้นจะเดินมาหา


“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะสา”  ทว่าเป็นสาจริงๆที่เจ้าตัวเรียกหา เราเคยรู้จักกันเหรอ ทำไมสาถึงจำไม่ได้


“อา…สวัสดี” 


“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สาไปกินข้าวกับเราแล้วค่อยกลับบ้านกันเนอะ สาติดอะไรไหมอ่ะ”  จริงๆสาก็ไม่ได้รู้จักคนๆนี้มาก่อน แต่ว่าเดี๋ยวค่อยสลัดที่หลังก็ได้ อย่างน้อยก็ตัวเล็กกว่า


“ไม่อ่ะ เราก็กำลังจะลาพี่เขาพอดี”


“น้องสองคนรู้จักกันเหรอครับ”


“ครับ แต่ไม่ค่อยได้เจอเลยวันนี้เลยถือโอกาสอยากชวนคุยด้วยหน่อย”  คนแปลกหน้าตอบแทนให้


“ถ้าไม่รังเกียจให้พี่ไปกินด้วยได้ไหม”


“อ่อ”  คนแปลกหน้ายิ้ม “รังเกียจครับ” ก่อนที่จะยิ้มกว้างขึ้นไปอีกและจับข้อมือของสารินให้เดินตาม คำต่อว่าที่รุนแรงนั้นส่งผลให้สารินต้องรีบหันไปขอโทษขอโพย


“เอ่อ คุณครับ”  เมื่อเห็นว่าห่างมาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงเรียกคนที่เอาแต่ลากกันออกมา


“เราชื่อฉันนะ”


“ฉัน?”


“ฉันอ่ะ มาจากคำว่าฉันชนก”


“อา…ฉัน เราขอบคุณมากนะที่ช่วย แต่ว่าปล่อยมือก่อนนะ”  สารินพยายามจะพูดดีๆก่อนและเจ้าตัวก็ยอมแต่โดยดี


“วันหลังไม่อยากอยู่หรือไม่อยากไป แล้วทำไมไม่พูด ไม่ใช่ว่าจะมีคนมาช่วยเสมอไปหรอกนะ”  แล้วฉันมาช่วยทำไมกันล่ะ


“อื้ม ขอบคุณฉันมากนะที่เข้ามาช่วยทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน”


“อืม สาไม่รู้จักเราหรอก”  และคนแปลกหน้าก็ยืนยันความสัมพันธ์ของเราให้สารินได้มั่นใจว่ามันเป็นเช่นนั้น  “แต่เราเพิ่งได้รู้จักสาก่อนเดินเข้าไปหาแป๊ปเดียวนี่เอง”  ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจ


จนกระทั่งใครอีกคนเดินเข้ามาหาทางเรา…


“พี่สน?”  เขามาที่นี่ได้อย่างไร และเขา…เกี่ยวข้องอะไรกับฉันชนกคนนี้


“พี่สน ฉันพาออกมาแล้ว”


“อืม” เขาแค่เพียงตอบสั้นๆ ในเวลานั้นมีเพียงแววตาเรียบเฉยที่มองมา แต่สามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด!


“ถ้างั้นผมไปก่อนนะ ไม่รบกวนพี่สนดีกว่า”  สารินเดาได้ว่าทั้งสองคนอาจจะมาเดทกันอยู่


“เฮ้ย สาไปกินข้าวกับพวกเราก่อนไหม กินกันเยอะๆน่าสนุกออก”


“เอ่อ ไม่ดีกว่านะ”


“มากินด้วยกันสิ”  ทว่าแม้จะปฏิเสธเสียงแข็งเท่าไหร่ คนที่ตนคิดว่าไม่อยากให้เข้ามายุ่งที่สุดกลับเป็นคนเอ่ยชวนเสียเอง สารินจึงจำต้องไปกินข้าวกับทั้งสองคนต่อ แม้จะไม่รู้สึกสบายใจที่อยู่ในฐานะ ‘กอขอคองอ’ เอาเสียเลย


หลังจากบอกลาฉันที่ร่าเริง สารินก็เหมือนถูกลากมาอยู่ในรถของพี่สนอย่างจำยอม นั่นก็เพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน แม้ว่าสาจะขอตัวบอกว่าจะซื้อของอีกเล็กน้อยให้กลับไปก่อน แต่สนธยากลับมองว่าทางเดียวกันและเขารอได้จึงทำให้สารินไร้ข้อปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามานั่งในรถของเขา…


“…”  สารินทราบว่ารถคันนี้เพิ่งได้รับมาตอนที่สอบเข้ามหาลัยได้ ก่อนนี้เขาก็ขับรถบ้างแม้อายุยังไม่ถึงเกณฑ์แต่รถที่นำไปใช้คือของครอบครัว ดังนั้นนี่จึงได้ชื่อว่ารถส่วนตัวของเขาจริงๆ


บรรยากาศในรถนั้นออกจะเย็นไปนิด และมันก็เงียบงันจนยิ่งทำให้ประหม่าไปหมด สารินกอดตัวเองเบาๆเพราะรู้สึกหนาว ทว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาคนข้างๆ มือใหญ่ถูกยกขึ้นมาปรับแอร์ของรถให้ โดยไม่รู้ว่านี่คือความรำคาญใจ หรือความใส่ใจกันแน่


“ขอบคุณครับ”  สารินบอกออกไป


“วันหลังหนาวก็บอก” 


“ขอโทษครับ”  ที่ทำให้ลำบากและวุ่นวาย ทว่าคำขอโทษนี้กลับทำให้อีกคนขมวดคิ้วอีกครั้ง สารินรับมือเขาไม่ถูกจึงเลือกที่จะเงียบงันต่อไป จนกระทั่งมาถึงบ้าน สารินที่ตั้งใจจะแยกไปที่ห้องของตนเองถูกคุณแม่ที่มาเห็นพอดีเรียกตัวไว้


“น้องสากลับมาแล้วเหรอลูก อ้าว..กลับมากับพี่สนด้วย”


“เอ่อ เผอิญเจอกันนะครับ”


“อ้าว…วันนี้สนไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยเหรอลูก”


“เผอิญน้องที่รู้จักกันชวนไปกินข้าวนะครับเลยบังเอิญไปเจอที่ห้าง” ฉันคนนั้นเป็นคนชวนพี่สนไปนั่นเอง


เมื่อแยกตัวออกมาได้ สาที่อาบน้ำอาบท่า จัดเตรียมข้าวของสำหรับพรุ่งนี้ก็มานั่งคิด ฉันชนกที่ได้เจอเป็นคนน่ารักดี ตัวเท่าๆกันแต่พลังแห่งความสดใสนั้นมีล้นเหลือ ไม่แปลกถ้าพี่สนจะชอบคนแบบนี้ เพราะแม้แต่สาเองก็ยังรู้สึกหลงใหล ตลอดมื้ออาหารเป็นฉันที่พูดคุยตลอด และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อมาชวนสาคุยด้วย


พี่สนอาจจะพูดคุยไม่มากเท่าไหร่ แต่เขาก็ดูเป็นผู้ฟังที่ดีที่นั่งฟังเราสองคนคุยกัน ใช้เวลาไม่นานสารินก็โต้ตอบกับฉันชนกได้อย่างคุ้นเคยราวกับว่าเราสนิทสนมกันมานานแล้ว น่าเสียดายที่เรียนคนละโรงเรียน ไม่เช่นนั้นคงไปมาหาสู่กันได้บ่อยขึ้น


สารินนั้นไม่รู้หรอกว่าในบรรดาคนที่เขาคุยด้วยนั้น คนไหนนิสัยเป็นอย่างไร จะมีก็แค่ฉันชนกเท่านั้นที่ตนรู้จักและพูดคุยด้วยได้ ดังนั้นหากทั้งสองจะคบกันก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ คนที่ดูดีแบบฉันชนกนั้นไม่น่าจะหาได้ง่ายดาย สารินคิดเช่นนั้นไป แต่ในใจก็รู้สึกโหวงๆอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน


ทว่าที่คิดว่าคงไม่ได้เจอฉันอีกแล้ว ฟ้าก็เหมือนจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะการเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย ทำให้ต้องทุ่มเทกับการเรียนมากหน่อย คุณแม่ที่ใส่ใจกับเรื่องนี้จึงได้จัดหาสถานที่เรียนพิเศษให้ มีทั้งเรียนที่บ้านและไปตามโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งสาก็มาตามที่คุณแม่เตรียมไว้ให้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ตนได้สังเกตเจอบางสิ่ง


ไม่สิ…บางคน


“ฉัน?”


“สาก็เรียนที่นี่เหรอ!”  ฉันชนกเองก็ยังงงๆ แต่เมื่อรวบรวมสติได้ก็ยิ้มกว้าง และเราก็กลายเป็นเพื่อนที่มานั่งข้างๆกันจนจบคอร์ส


ความสนิทสนมของสารินกับฉันชนกดูจะเป็นไปในทางที่มากกว่าฉันชนกสนิทสนมกับสนธยา สาก็ดูออกว่าฉันนั้นคลั่งไคล้พี่สนมากๆ หากเขาไม่ใช่พี่ชาย สารินเองก็ไม่แน่ใจว่าตนนั้นจะทำอย่างไรไม่ให้ชอบเขาอย่างไรไหว


“…”  ต้องไหวสิ ไม่ใช่…เราเป็นน้องชายเขาต่างหากจึงคิดเช่นนี้ไม่ได้


ในมุมมองของสา การก้าวเข้าหาของฉันชนกนั้นมีทั้งความพึงใจต่อกันส่วนหนึ่ง ต้องการใช้เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์กับพี่สนก็ส่วนหนึ่ง พี่ชายของสานั้นมีคนชื่นชอบเยอะ ตัวเลือกเขามีมากมาย การที่เขามากินข้าวกับฉันชนกเพียงครั้งมันอาจจะไม่ได้รับประกันความพึงใจในตัวกันเท่าไหร่เลย


แต่ฉันคงไม่รู้อะไร สารินกับสนธยาเป็นพี่น้องที่ยิ่งกว่าคนไม่รู้จัก เดิมทีเราก็ไม่เคยไปไหนมาไหนกันอยู่แล้ว จะมาคาดหวังให้ตนเป็นสะพานอะไรนั่นก็คงไม่ได้ ทว่าโชคคงเข้าข้างฉันชนกอยู่ไม่น้อย เพราะทุกครั้งที่เจ้าตัวบอกพี่สนว่าอยากไปเดินเที่ยวสามคนให้พาสาไปด้วย เขามักจะตกลงไปทุกครั้ง


เพราะนี่ไม่ปกติมากๆ สารินจึงอนุมานได้ว่าพี่สนเองก็ชอบฉันเช่นกัน


เหมือนถูกแย่งของ ทั้งๆที่ของสิ่งนั้นไม่เคยแม้แต่จะได้ครอบครอง แต่กระนั้นสารินก็เดาไปว่านี่คืออาการหวงพี่ชาย จะหายได้ก็คงต้องยกพี่ใส่พานถวายไป และนั่นทำให้เขาพูดเปรยๆกับพี่สนไปว่าอยากให้คบกัน…


“…”


“สา…คงไม่ควรมายุ่งสินะ”


“ไม่หรอก ฉันก็น่ารักดี”  เขาพูดแค่นี้ แต่ใจของสารินนั้นไม่ดีตั้งแต่เริ่มพูดออกไปแล้ว กลัวเขาโกรธ กลัวเขาเกลียด กลัวเขาหาว่าวุ่นวาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด…มันมีบางสิ่งที่ละไว้ แต่สาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน


ก่อนจบคอร์ส สาเดินเข้ามากอดกันทั้งน้ำตา สารินตกใจทำอะไรไม่ถูก กำลังจะเอ่ยปลอบ ทว่าฉันกลับบอกสิ่งที่ทำให้ตัวเองเป็นเช่นนี้ให้กระจ่างใจ


ฉันคบกับพี่สนแล้ว…


“….”


“เราดีใจมากๆเลยสา”  ดูจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข สารินก็คิดว่าตนไม่ควรปล่อยให้สีหน้าของตนเป็นแบบนี้ คนตัวเล็กคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา


“เราดีใจด้วยนะ”  สาดีใจกับฉันจริงๆ  และดีใจกับพี่สนด้วย


คนทั้งสองเหมาะสมกันมากๆ


หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย สากับฉันก็ได้มาเรียนที่เดียวกัน ด้วยเพราะพี่สนจะต้องมาเจอฉันบ้างเป็นบางครั้งและเราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาจึงอาสามาส่งที่มหาวิทยาลัย ในตอนนี้ก็มีหลายคนที่รับรู้ว่าสานั้นอยู่บ้านเดียวกันกับพี่สน แต่ไม่มีใครทราบว่าในฐานะน้องชาย พอมีคนถามตนก็จะบอกว่าผู้อาศัย แต่พอถูกฉันแย้งไป สาก็ได้แต่ห้าม


“ทำไมล่ะสา!”  เพราะฉันรับรู้มาตลอดว่าสารินเป็นน้องชายของสนธยา แต่ว่าฉันไม่เคยรู้ว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเลย


พี่สนอยู่ในเผ่าพันธุ์หมาป่าที่มีความเป็นอัลฟ่า
แต่สาเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา…มีลักษณะพันธุกรรมคล้ายคลึงกับโอเมก้าเท่านั้น…


“เราไม่อยากให้ใครใช้เราเข้าหาพี่สนน่ะ”  ได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ไม่กล้าสบตากลับ เพราะตนเคยเป็นคนหนึ่งที่ทำแบบนั้นและสารินก็รู้ดี  “แต่เราชอบฉันมาก ถึงขนาดคอยเชียร์ให้เช้ากลางวันเย็นเลยนะ”  เลยไม่ปล่อยให้เพื่อนต้องรู้สึกแย่นานๆ สาชอบฉันจริงๆ และแคร์มากๆด้วย


“สาเป็นคนดีมากๆเลย” ฉันพูดออกมา ในตอนแรกเขายอมรับว่าเข้าหาเพราะว่าอยากใช้ประโยชน์  และตอนนี้ก็กล้ายอมรับตรงๆพร้อมตักเตือน  “แต่ดีแบบนี้ใครๆก็อยากใช้ประโยชน์นะ”  คำพูดของฉันนั้นทำให้สายิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร เพราะในใจได้ตอบแทนไปหมดแล้ว


ก็เพราะสาเกิดมามีประโยชน์ให้คนใช้อย่างไรเล่า


อยู่กับฉันนั้นสบายใจอยู่อย่าง เราเป็นคนที่เอ๋อๆอยู่เหมือนกัน เพื่อนในกลุ่มที่มหาลัยนอกจากฉันก็มี แต่สาก็สบายใจที่จะอยู่กับฉันที่สุด เราสองคนอยู่ด้วยกันจนแทบถูกเรียกว่าแฝด ด้วยขนาดตัวที่เล็ก และลักษณะการพูดที่คล้าย จริงๆสารินเป็นเช่นนี้อยู่แล้วแต่ก็ต้องยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากตัวฉันมาเยอะ ทำไปทำมาจึงกลายเป็นคนที่คล้ายกันโดยปริยาย


จะว่าสาเลียนแบบฉันก็ได้ มันไม่ผิดนัก แต่สานั้นรู้สึกสบายใจมากกว่าที่ได้พูดมากๆออกมาในเมื่อมีคนรับฟัง แต่ก่อนที่ตนอยู่เงียบๆเพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ทันคนอื่น ไม่เข้าใจและคล้อยตามได้ง่ายจึงพยายามทำให้ตัวเองไม่โดดเด่นเพราะไม่ต้องการแปลกแยก แต่ดูเหมือนว่าฉันจะรับได้กับการที่เพื่อนเป็นคนช้าไปเสียทุกอย่างรวมถึงเอ๋อเกินความจำเป็นเช่นนี้


เพราะจริงๆฉันก็เอ๋อ แต่สาเหมือนจะเอ๋อมากกว่าในบางครั้ง


“อยู่กับสาแล้วสบายใจว่าอย่างน้อยก็มีคนเอ๋อเหมือนเราหรือว่าเอ๋อกว่าเรา”  สาใช้เวลาประมาณหนึ่งนาทีในการประมวลผลก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกาย ฉันอมยิ้มไว้กลั้นขำจนตัวเกร็ง


“ฮ่าๆๆๆๆๆ”  สาเลยช่วยปลดปล่อยมันออกมาด้วยการหัวเราะก่อนและเราก็หัวเราะไปด้วยกัน มาถึงตรงนี้ตนก็รู้สึกเหมือนในเรื่องร้ายๆ ฟ้าได้ประทานพรมาให้ แม้จะเหมือนเสียอะไรบางอย่างที่ระบุชื่อไม่ได้ แต่การมีเพื่อนที่เข้าใจและคอยปกป้องคุ้มภัย สาก็คิดว่ามันอาจจะคุ้มค่าหากต้องสูญเสียบางอย่างนั้นๆ


จนกระทั่งความจริงบางอย่างถูกพูดถึง…


“สน…น้องฉันเป็นคนน่ารักนะ แม่เพิ่งทราบว่าสนคบกับน้องฉัน” ในตอนดึกที่ทุกคนคิดว่าสานั้นหลับไปแล้ว ใครบางคนกำลังพูดคุยกันที่ห้องครัว ทว่าที่พวกเขาไม่รู้คือสายังไม่หลับ และแอบมาหาของกินกลางดึก


“ครับ ก็…คบกันมาได้สักพักแล้ว”


“น้องฉันนี่ เป็นเพื่อนสนิทของน้องสาด้วยใช่ไหม”


“ครับ พวกเขาสนิทกัน”


“สน…” คุณแม่ดูเหมือนจะลำบากใจไม่น้อยที่จะพูดออกมา  “จริงจังกับน้องหรือเปล่าลูก”  คำถามนั้นทำให้คนที่แอบฟังใจเต้นแรง เผื่อๆอาจจะแรงกว่าคนที่ถูกถามด้วยซ้ำ


“ผม…” เขาดูสงบนิ่งไม่ได้วุ่นวายใจแต่อย่างใด “ก็ไม่ได้ขนาดนั้นครับ” หัวใจของสาเหมือนจะเต้นแรง ทั้งปวดร้าวแต่ก็ลิงโลด เจ้าตัวก็บอกไม่ถูกกว่าคนเราสามารถเป็นเช่นนี้ได้เพราะคำพูดเดียว


“สนแม่ขอร้องอย่าทำแบบนี้ ถ้าเลิกกันไปแล้วน้องสากับน้องฉันจะมองหน้ากันติดไหม”  และนี่ทำให้หัวใจคนฟังเต้นแรง


“แต่ฉันเป็นแวมไพร์”


“…”


“มันอันตรายกับฉันเกินไปที่จะเกี่ยวข้องกับผม”  ฉันเป็นแวมไพร์…


และนั่นคือสิ่งที่สารินไม่เคยทราบมาก่อนเลย


เผ่าพันธุ์แวมไพร์นั้นวิวัฒน์จนเรียกได้ว่าเกือบจะกลมกลืนไปกับมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์หมาป่าที่ทางสารินคุ้นเคยก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่แบบฉันนี่มันจะเนียนเกินไปแล้ว อยู่ใกล้ชิดถึงเพียงนี้แต่ว่าไม่เคยรับรู้อะไร ว่าแต่พี่สนไปรู้ได้ไงหรือว่าฉันเป็นคนบอกกัน ทว่าเมื่อสาสังเกตเองดีๆก็จะคล้อยตามข้อสันนิษฐานของสนธยาไม่ยาก ฉันชนกไม่ใช่คนเลือกกินมาก แต่เป็นคนที่อร่อยก็ไม่บอกอร่อย หรือห่วยแตกก็สามารถกินได้เป็นปกติมากๆ!


เท่าที่สารินรู้ แวมไพร์จะมีต่อมรับรสที่แย่มาก พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยกับอาหารแต่มีปฏิกิริยาเหมือนมนุษย์ทุกอย่างหากรับประทานอะไรที่เป็นพิษกับร่างกาย ฉะนั้นมันจึงอันตรายมากๆ แต่ไม่วายสารินที่นึกสงสัยก็เลยทดลองอะไรบางอย่างไปเพื่อให้รู้ว่าจริงหรือไม่


ด้วยการคั้นน้ำมะนาวแบบไม่ผสมอะไรไปให้ฉันกิน…
หรือการเอาน้ำเกลือให้ฉันกินเพราะเจ้าตัวเป็นแผลร้อนในในปาก


“…”  ฉันดื่มมันได้หน้าตาเฉยมาก ของพวกนี้มนุษย์ล้วนกินแล้วโวยวายจะเป็นจะตายทั้งนั้น สาถึงกับจะร้องไห้ออกมาแทน นี่เพื่อนสนิทของตนเป็นแวมไพร์จริงๆเหรอนี่


“วันก่อนที่ให้กินน้ำเกลืออ่ะ เราแสบแผลมากๆเลย”  ฉันพูด  “แต่วันต่อมาคือหายเลยนะ เวิร์คมากสา แนะนำให้แจกสูตร”  จริงๆแล้วน้ำเกลือมีไว้ให้บ้วน แต่สาคนเลวเอามาให้กิน ถ้าฉันรู้ต้องด่ากันว่าเอ๋อจนไม่เกรงใจไตวายๆของเพื่อนสักนิด แต่ณ.จุดๆนั้นสารินก็ย้อนเวลากลับไม่ได้แล้วไง ในเมื่อเขามีเพื่อนเป็นแวมไพร์


และแวมไพร์กับหมาป่าซึ่งเป็นพี่ชายของสา…
ก็ไม่ควรจะถูกกัน?!


Talk:
น้องสาก็ร้ายตาใสนะ ทำกับน้องฉันด้ายยยยยย
ช่วงนี้จะให้เห็นเรื่องพัฒนาการความเป็นเพื่อนของสองคนนี้ค่ะ พี่สนจะค่าตัวแพงหน่อย
จนน่าคิดว่าฉันสาก็น่าสนเหมือนกัน ว่าแต่มีคนเข้าใจเรื่องโอเมก้าของเราไม่เอ่ย
โลกในจักรวาลนี้คือเป็นช่วงที่เกิดการกลายพันธุ์ของโอเมก้าและอัลฟ่าค่ะ สภาพสังคมมันก็เลยไม่เหมือนเดิมแต่หลายคนก็ยังนำแนวความคิดเดิมๆมาใช้อยู่ทำนองนี้ จริงๆหลายเผ่าพันธุ์เองก็ผ่านคนละวิกฤต อย่างที่พี่ไพร์มของเราพยายามต่อยอดธุรกิจไงคะ555
ฝากติดตามน้องสานะคะ น้องเป็นคนคิดมาก แต่น้องไม่ได้เข้าใจยากหรอกค่ะ
@reallyuri #คู่กินคู่กัด



















หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 11 16/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-03-2019 21:03:00
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 11 16/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-03-2019 22:28:34
น้องสาก็แสบบบบ เอาน้ำเกลือให้เพื่อนกิน5555
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 11 16/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-03-2019 00:14:53
 ขำการทดลองของสาจ๋า เอาน้ำเกลือไปให้ฉันที่กำลังเป็นแผลร้อนในอยู่กินซะงั้น 5555555555555
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 12 18/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 18-03-2019 18:34:50
12

สน xสา


ฉันและสาคบกันด้วยความจริงใจ
แต่ใช่ว่าจะพูดความจริงต่อกันทุกเรื่องไป


อย่างน้อยวันนี้สารินก็ได้รับรู้แล้วว่าคนรักของพี่สนเป็นแวมไพร์ และในฐานะเพื่อนที่ควรจะเปิดเผยทุกสิ่ง วันนี้ได้มารับรู้แล้วว่าจริงๆฉันก็ไม่ได้เปิดเผยทุกอย่าง แต่ว่าจะให้มาเคืองโกรธก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะสาเองก็ไม่ได้อยากบอกใครว่าเกี่ยวข้องกับพี่สนอย่างไร ฉันเป็นเพื่อนที่ดี แต่มันจะดีไปเรื่อยๆถ้าตอนนี้เรายังไม่รู้เรื่องของกันให้มากนัก


ทว่าสาก็เหมือนจะลืมไปเลยเรื่องที่พี่สนมีแผนจะถอยห่างจากฉัน คงเพราะว่าตนมัวแต่ตื่นตะลึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าฉันเป็นอมนุษย์จึงไม่ได้ใส่ใจในหัวข้อนั้น เมื่อมาคิดดูใหม่เรื่องนั้นมันสำคัญมาก เพราะอาจจะส่งผลให้ฉันเสียใจ…


“พี่สนไม่ลงไปหาฉันเหรอครับวันนี้”  สาที่นั่งรถมากับสนธยานั้นเอ่ยถาม ปกติแล้วตอนที่ยังไม่ถึงเวลาเรียนก็มักจะไปกินข้าวกับฉันตอนเช้าด้วย


“ไม่ล่ะ”  เขาตอบกันสั้นๆ และสาก็ไม่ดันทุรังรั้งไว้อีก


หลังจากลงจากรถเขาก็เคลื่อนตัวออกไป สารินนั้นตั้งใจจะไปหาฉันที่รออยู่ที่ใต้ตึกคณะ ทว่าขณะที่กำลังจะเข้าไปทักทุกคนสองขาก็ชะงัก เพราะสายตาที่กังขาและดูไม่เป็นมิตรแบบที่สาไม่ค่อยแน่ใจนั้นจ้องมองมา มันเกิดอะไรขึ้นกันเหรอ? สาอยากถาม แต่ไม่ได้เอ่ยปากออกไป จนกระทั่งฉันที่ก้มหน้าอยู่หันมามอง


ดวงตาแดงก่ำนั้นฉายบางอย่าง ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นและเดินหนีไป


“สะใจแล้วล่ะสิ”  ใครสักคนเหมือนตะโกนใส่สาประมาณนั้น ทว่าสติของตนเหมือนจะหลุดลอยตามฉันไปถึงไหนต่อไหน จริงๆทุกคนตรงนี้ก็เป็นเพื่อน แต่ฉันสำคัญที่สุดสาจึงไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับใครและเดินตามไป


“ฉัน”  ทว่าเจ้าของชื่อไม่ได้มีแนวโน้มจะหยุดเดินแม้แต่นิดเดียว  “เราทำอะไรผิด”  แต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ฉันก็หยุดนิ่ง หรือว่าสารินจะทำอะไรผิดจริงๆ ผิด…เสียจนฉันชนกไม่อยากจะอภัย


“ช่างเถอะสา” เหมือนเสียงที่เปล่งออกมาจะสั่นเครือเต็มที แต่ก่อนที่จะได้สอบถามหรือปลอบโยนอะไร  “พี่สนขอเลิกกับเราแล้ว”  และนั่นเองก็เหมือนจะเป็นคำที่ทำให้โลกทั้งใบ…พังครืนลงมาชั่วพริบตา


สองขาของสานั้นหยุดชะงัก ไม่กล้าที่จะเดินตามไปไขว่คว้าร่างของเจ้าของแผ่นหลังที่คุ้นตา ฉันอาจจะไม่ใช่เพื่อนคนแรก แต่เป็นคนที่รู้สึกแคร์ที่สุด เรื่องพี่สนเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังและน่าเสียใจ แต่กระนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้าแวมไพร์น้อยจะรู้ไหมว่าตัวสานั้นก็ควบคุมอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับพี่สน และพี่สนคงคิดมาดีแล้วเพราะมันน่าจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเผ่าพันธุ์


แต่สานั้นก็ไม่สามารถจะเอ่ยออกไป…


วิชาเรียนเช้านั้นสาเลือกที่จะไม่เข้าและพาตัวเองไปหลบในมุมหนึ่งของห้องสมุด เวลาผ่านไปช้าเนิ่นนาน ข้าวปลาอาหารตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้กิน สารินบอกไม่ได้ว่าตนเจ็บปวดขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่การที่ต้องมารับรู้ถึงความผิดหวังของเพื่อนแต่มันมีเรื่องที่เหนือกว่านั้นที่ตนระบุไม่ได้ อาจจะเพราะเชื่อมั่นในตัวพี่สนกว่าใคร


และเขาก็ทำให้เห็นว่ากับบางอย่างที่สามั่นใจเขาก็ทำลายมันได้ในพริบตา


เมื่อเช้านี้ตอนที่ถามว่าจะลงไปเจอฉันไหมและเขาตอบว่าไม่ มานึกทวนดูมันช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน แต่มันก็เหมาะสมแล้วในเมื่อเลิกกันก็ไม่ควรจะมาเจอะเจอ ทว่านึกขึ้นมากี่ครั้งก็ยังขนลุกไปทั่วทั้งกาย กับฉันที่คิดว่าสำคัญกับเขามากยังทำได้ขนาดนั้น และใครไหนอื่นกันที่ไม่สำคัญเท่า จะโดนขนาดไหน


และเราควรรู้สึกอย่างไรที่ไม่มีค่าแม้แต่หางตามอง


ช่วงบ่ายที่มีคาบในชั้นเรียนรวม สาที่นั่งกินข้าวคนเดียวใต้ตึกคณะอื่นเกิดอาการไม่อยากอาหารขึ้นมา ฝืนกินไปได้ไม่มากก็วางช้อนส้อม ทว่าตอนที่กำลังจะลุกไปเก็บของ ใครสักคนที่คุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้ก็เดินเข้ามาทักทาย


“สาริน…สารินใช่ไหม”


“อา…หวัดดี” สารินจำได้ว่าเราอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่คนละห้องและอยู่คนละคณะ ดูจากเครื่องแต่งกายแล้ว นี่เราคงกินข้าวอยู่ใต้คณะเขาพอดีจึงบังเอิญได้เจอ


“กินเสร็จแล้วเหรอ นี่เราก็กะว่าจะไปเรียนที่คณะสาพอดี” 


“ลงวิชาเบสิคของคณะเราไว้เหรอ”


“อืม สาก็เรียนวิชานั้นป่ะ เราว่าเคยเห็นนะแต่ไม่กล้าทัก”


“อืม เราก็มีเรียนบ่ายเหมือนกัน”


“ถ้างั้นไปด้วยกันไหม เดี๋ยวเราว่าจะขับรถจักรยานไปพอดี”  และสาก็คิดว่ามันคงไม่อะไรหรอกที่จะซ้อนจักรยานคนอื่นไป อย่างน้อยก็เพื่อนโรงเรียนเดียวกัน


ทว่าเมื่อมาถึงที่ห้องเรียนรวม ความกล้าที่พยายามรวบรวมมาตลอดช่วงเช้าก็อันตรธานหายไป จากตรงนี้สาเห็นเพียงแค่แผ่นหลังเล็กๆของฉันที่ถูกนั่งประกบโดยเพื่อนคนอื่นในกลุ่ม ดูแล้วไม่มีที่ว่างตรงไหนให้ตนได้แทรกไปหา และมันเหมือนจะกลายเป็นว่าที่นั่งของสาได้หายไปโดยปริยาย เพราะปกติสาจะนั่งอยู่ริมสุด ที่ซึ่งมีฉันเท่านั้นที่นั่งข้างๆ


“นั่งด้วยกันไหมสา”  เพื่อนเก่าที่กลายมาเป็นเพื่อนใหม่นั้นเอ่ยชวน เขาคงไม่รู้เรื่องอะไรแต่เห็นสารินยืนนิ่งนานแล้วจึงเอ่ยชวน สาเลยเลือกที่จะนั่งกับกลุ่มนี้


ทว่าบทเรียนอะไรก็ไม่ได้เข้าหัวเลย สารินเดินออกมาหมายจะสูดอากาศข้างนอก แต่ก็จบลงด้วยการขังตัวเองไว้ในห้องน้ำ และเลือกห้องน้ำได้ผิดมากเพราะมันติดกับห้องน้ำหญิงและมักจะได้ยินอะไรแบบที่ตัวเองไม่ค่อยสะดวกใจสักเท่าไหร่


“เห็นอีสาไหมวันนี้ มันไปนั่งกับผู้ชายวิศวะด้วยนะ ว่าแต่หล่อเหมือนกันนะ”


“แรดจริงๆ ฉันมันไม่บอก แต่ก็รู้แหละว่ามันไปเป่าหูพี่สนให้เลิกกับฉัน ทำกับเพื่อนได้ลงคอนะ”


“มันจะทำไปทำไมล่ะ”


“ว่าป่ะว่ามันอยากได้พี่สนเองแต่เขาไม่สนใจไง เลยมาตีซี้กับฉันมันจะได้คอยกันท่า”


“แต่มันอยู่บ้านเดียวกับพี่สนนะ”


“บ้านเดียวกันแล้วไง เขาไม่เอามัน มันเลยกะไม่ให้เขาได้กับใคร”


“เออว่ะ แต่เป็นกูก็ไม่ให้หรอกนะเนี่ย ใครๆก็อยากได้พี่สนทั้งนั้น กูยังอยากเลย”


“เออ! จริงๆก็สมน้ำหน้าฉันมัน อวดนักหนาว่าได้เป็นแฟนกับหนุ่มหล่อของมหาลัย  พี่สนไม่เหมาะกับใครค่ะ เขาเหมาะกับกู”  สาที่รับฟัง…บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรหรือทำเช่นไรต่อไปดี สากลายเป็นคนผิด ฉันกลายเป็นเหยื่อ


ปวดท้องมากๆ สารู้สึกเหมือนจะไม่สบายเข้าจริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยโดดเรียนมาก่อน แต่ครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าตนจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เมื่อรวบรวมความกล้าเท่าที่มีก็เดินกลับไปที่ห้องเรียนและขอกระเป๋ามา บอกกับเพื่อนใหม่ว่าไม่ค่อยสบาย และเพราะใบหน้าที่ดูซีดเซียวแบบนั้น เพื่อนคนนั้นจึงอาสามาส่งที่บ้าน โดยปกติแล้วสาไม่อยากเปิดเผยว่าตนอาศัยที่ไหน แต่สภาพแบบนี้ก็ไม่อาจจะฝืนทนได้เช่นกัน


“ตายแล้วน้องสาเป็นอะไรคะนี่”  ทันทีที่มาถึงบ้าน เพื่อนที่ชื่อ ‘ธนน’ ก็ช่วยพยุงเข้ามาข้างใน คุณแพรวรรณมาเห็นพอดีจึงเดินเข้ามาหา สีหน้าของเธอดูร้อนใจ


“สาไม่ค่อยสบาย ปวดท้อง”  น้ำเสียงที่เปล่งออกมายากเย็นนั้นขัดแย้งกับเหงื่อที่ผุดพราย


“ผมจะพาไปโรงพยาบาลแล้วครับ แต่สาไม่ยอม”


“ดื้อจริงๆลูกคนนี้”  คุณแพรวรรณหันไปขอบคุณธนน เธอกำลังจะเรียกแม่บ้านให้ไปตามคนรถ ทว่าเพื่อนของสาก็ยังพยายามจะขอไปส่ง และไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่…


ที่สนธยามาพบเข้าพอดี…


“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”


“สนลูก น้องสาเป็นอะไรไม่รู้”  เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย สารินนั้นหลับตาลงไม่อยากรับรู้สิ่งใด ล้าเกินกว่าจะคิดแล้ว จะลากไปไหนก็ขอให้ลากไปเลย


“ผมพาไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ”  ธนนยังคงยืนกราน ทว่าสนธยากลับขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ อยู่ๆเข้ามาบ้านคนอื่นและจะพาคนในบ้านไปโรงพยาบาล มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?


“เดี๋ยวพวกเราพาไปเองได้”  ในห้วงสติของสารินได้ยินเสียงเรียบนิ่งของเขากล่าวเช่นนั้น


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวเราพาน้องสาไปเองได้ ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลมาถึงที่นี่”  เมื่อผู้อาวุโสซึ่งมีสิทธิ์ขาดในตัวสาเอ่ยออกมา ธนนก็ต้องยอมรับเช่นนั้นเพราะอย่างไรทางนี้ก็คือครอบครัว และเขาคือคนนอกที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านสถานะคนรู้จักเลยด้วยซ้ำ


ไม่รู้ว่าคนอื่นๆตกลงกันอย่างไร ร่างของสารินก็เอนตัวลงกับโซฟา ทราบว่าคุณแม่ไปหยิบกระเป๋าและเปลี่ยนเสื้อผ้า ในขณะที่ธนนนั้นกลับไปแล้ว สารินหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน อาการปวดบีบที่ท้องทำให้ตนไม่อยากขยับสิ่งใดแม้แต่เปลือกตา ทว่าผมม้าที่ปรกใบหน้าก็น่ารำคาญ ยิ่งเหงื่อออกมาก มันก็ยิ่งขัดใจ


ทว่าในขณะที่กำลังวุ่นวายไม่สบายตัว ความอบอุ่นที่แผ่วเบาหนึ่งก็มาช่วยเกลี่ยผมม้าน่ารำคาญนั้นให้ ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสของผ้าที่ซับลงบนหน้าผากและใบหน้าอย่างอ่อนโยน ความเย็นสดชื่นของน้ำจากผ้าบิดหมาดทำให้รู้สึกดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง สารินลืมตาขึ้นมามองก่อนจะปิดตาลงเมื่อได้รับรู้ว่าเป็นฝีมือใคร จนถึงตอนนี้เจ้าตัวก็คิดว่าต่อให้ต้องตาย


ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายชีวิตแล้วล่ะ


“ตายแล้วตาสน อุ้มน้องดีๆ”  ร่างทั้งร่างลอยหวือไปอยู่ในอ้อมอกใครสักคน และเมื่อคุณแม่ร้องเรียกชื่อนั้นก็ทำให้สาคิดว่าไม่ต้องตื่นขึ้นมาเลยดีกว่า หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักย้อนแย้งกับอาการปวดที่ท้อง รู้สึกผิดกับตัวเองและกับฉันชนกขึ้นมาอย่างทวีคูณที่ในตอนนี้ตนควรจะโศกเศร้าหรืออาลัยไปกับฉัน ทว่าใจเจ้ากรรมดันมาเต้นแรงเพราะถูกเช็ดหน้าและจับอุ้ม!


“ผมไม่ทำน้องตกหรอกครับ”  แล้วเมื่อไหร่สารินถึงจะหลุดพ้นจากบ่วงนี้ สวรรค์กะให้เขามองหน้าฉันชนกไม่ติดเลยใช่ไหม…


เครียดลงกระเพาะ โรคใหม่ในสารบบความทรงจำของเจ้าตัว…หลังจากมาพบแพทย์ สอบถามอาการ ไปจนถึงวินิจฉัย สารินรับทราบได้ถึงกระแสกดดันทางสายตาของผู้มาด้วยอย่างบอกไม่ถูก มันรุนแรงจนกระทั่งคุณหมอที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณแม่กล่าวหยอกอย่างไม่รู้เวลาว่ายังไม่ถึงตาย แต่กระนั้นแววกดดันก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย จนทำให้คนป่วยยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้วุ่นวาย


“อย่าทำหน้าแบบนี้นะตาสน น้องเป็นเครียดลงกระเพาะนะไม่ใช่มะเร็ง และถ้าสนยังทำอย่างนี้ แม่ก็กลัวว่าสาจะไม่หายนะ น้องกลัวแล้ว ถ้าน้องเครียดไม่หายจะทำยังไง”  คุณแม่พูดถูก เรื่องที่เครียดนั้นมันเพราะสนธยาเต็มๆและถ้าหากเขายังทำหน้าเครียดแบบนี้ นอกจากเครียดเรื่องเขาแล้ว จะไม่ปล่อยให้สาคิดเรื่องคนอื่นเลยหรือไง


เสียงถอนหายใจดังขึ้น สาที่เลื้อยไปกับเบาะหลังรถนั้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม้ว่าตนจะเกรงใจเขามาก ทว่าวันนี้ก็ไม่พอใจเรื่องฉันมากเหมือนกัน แต่เพราะเราไม่ค่อยได้พูดคุย เลยไม่แม้แต่จะเคยโต้เถียง ดังนั้นการจะประท้วงให้กับสิ่งที่ตนไม่พอใจคงมีแค่เงียบและถอยห่างออกมาเท่านั้น แม้ตอนนี้ในทุกๆวันตนก็ทั้งเงียบและไม่เคยอยู่ใกล้เขาอยู่แล้วก็ตาม


ในวันต่อๆมาสารินก็ยังขอลาหยุดและเพราะลูกยังป่วยจริงๆคุณแพรวรรณก็ไม่ซักถามอะไร แต่จากวันนั้นจะมีใครสักคนไหมที่สังเกตเห็นท่าทางที่แปลกไป นอกจากสารินจะไม่ค่อยพูดคุยกับใครแล้ว ก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าหรือทำเหมือนว่าสนธยามีตัวตนบนโต๊ะเดียวกันอีกเลย


แต่คงไม่มีใครสนใจตรงนี้ เพราะแต่เดิมทีสารินก็ไม่เคยคุยกับสนอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่มื้อนั้นแต่ยังมีมื้ออื่นๆอีก และอย่างที่คิด ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ความไม่พอใจของสารินเป็นสิ่งที่เงียบงันและคงไม่มีใครรับรู้ แต่จริงๆแล้วสาคิดผิด มีคนหนึ่งแน่ๆที่รู้ และเขาคือคู่กรณี


“ทำไมไม่ไปมหาลัย”  เขาเดินเข้ามาหาที่ห้อง นี่คือครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาในห้องนี้ และเป็นครั้งแรกที่สารินชักสีหน้าใส่อย่างไม่เก็บแต่อย่างใด


“สาไม่สบาย”


“ไม่ใช่ว่าหลบหน้าใครงั้นเหรอ”  สิ่งที่เขาพูดมันทิ่มแทงใจเกินไป แต่สาก็ไม่ได้ยอมรับออกมา  “ไปมหาวิทยาลัย พี่ไปส่ง”  เขามาพูดแค่นี้ แต่สาก็รู้ดี นี่ไม่ใช่แค่การมาบอก แต่คือการบังคับ!


และผู้อาศัยอย่างตนจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อเจ้าของบ้านสั่งมาแบบนี้ย่อมต้องทำตาม และเราก็ไม่พูดอะไร บางทีเขาอาจจะอยากเตะส่งกันออกไปเมื่อเทียบรถจอดที่คณะ ดังนั้นจึงไม่รอให้เขาไล่ สารินจึงลงไปและเดินหนีโดยที่ไม่หวนหันกลับมามองอีกครั้งแม้แต่น้อย


ทว่าเมื่อได้มาเหยียบพื้นที่ลานใต้ตึกคณะจริงๆและเห็นกลุ่มเพื่อนที่นั่งด้วยกันทั้งหมด ยังไม่ทันได้รู้ว่าฉันอยู่ไหม ความกลัวที่เพิ่งเข้าโจมตีก็ทำให้ต้องถอยหลังหนี ทว่าจะมีกี่ที่ในมหาลัยที่ต้อนรับให้ตนไปกัน และหนึ่งในนั้นที่สาเคยใช้ ก็มีเพียงแค่ห้องสมุด


วันก่อนสาพยายามติดต่อฉันแล้ว แต่อีกฝ่ายตัดสายทิ้ง แค่นี้ก็เพียงพอให้ตนหยุดและทำใจว่าบางทีอาจจะเสียเพื่อนดีๆไปจริงๆ ฉันเป็นคนน่ารักมากๆ แต่ว่าถ้าเราไปกันไม่ได้ก็คงต้องยอมปล่อยไป สารินควรสำนึกอยู่ในใจว่ากับเพื่อนคนอื่นในกลุ่ม ฉันสนิทกับคนอื่นมากกว่าตน และเพราะได้ยินคำพูดของพวกผู้หญิงวันนั้น มันยิ่งทำให้ไม่อยากกลับไปอยู่ในกลุ่มนั้นอีก ความคิดของพวกเธอน่าขยะแขยงเกินไป แม้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามาเป็นเพื่อนกันได้มันก็น่าขยะแขยงก็ตาม


ฉันใช้สาเข้าหาพี่สน
และเพราะพี่สนก็ทำให้สาพยายามยึดฉันไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว


แต่กระนั้นก็ยังอดเป็นห่วงฉันไม่ได้ แม้ว่าจริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้น แต่คนที่คิดกับเพื่อนแบบนั้นลับหลังทว่าต่อหน้าแสดงว่ารักมากมาย สาว่าอย่างนี้อาจจะเป็นอันตรายมากกว่า น่าเสียดายแต่ว่า…สาคงไม่มีโอกาสได้อธิบายหรือช่วยฉันกับอะไรเหล่านั้นได้เลย


“สา…”  เสียงเรียกของธนนดังขึ้น เขาเองก็มาที่ห้องสมุดเหมือนกันและนี่คือความบังเอิญที่ทำให้เราได้มาเจอ  “หายดีแล้วเหรอ”


“อืม ดีขึ้นแล้ว”  สาตอบ รอยยิ้มยังดูเหนื่อยๆ ไม่ใช่เพราะอาการป่วยกายแต่ป่วยใจ ซึ่งแน่นอนว่าเครียดลงกระเพาะมีสาเหตุมาจากตรงนั้น


“กินข้าวตรงเวลาหรือเปล่า นี่จะเที่ยงแล้ว ไปกินกันไหม”  และมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ให้ปฏิเสธ ในเวลานี้แม้ไม่ได้อยากระบายเรื่องทุกข์ใจให้ใครฟังแต่ก็ยังต้องการใครสักคนอยู่ดี


ทว่าเพราะวิชาเรียนที่มีต่อจากนี้ทำให้เราสองคนต้องมากินข้าวใต้ตึกของสา ในระหว่างที่เดินมาหยิบช้อนก็ได้บังเอิญเจอคนที่ไม่คิดว่าพร้อมจะพูดคุยหรือไม่ ทว่าเราเพียงจ้องหน้ากันไปไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉันหลบตาและหันหลังให้ อาจจะเพราะธนนนั้นเดินมาหาสาในตอนนี้เช่นกัน


“รีบกินเถอะ”  ถึงแม้จะรู้สึกจุกและวูบโหวงแค่ไหนแต่สาก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดนั้น ภายนอกสาอาจจะเชื่องช้าไม่ทันใจใคร พูดจาก็เลอะเทอะจนเรียกเสียงหัวเราะเพราะความเด๋อด๋าไม่เป็นงานอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆสารินก็อยากจะเชื่อว่าตนเข้มแข็งกว่าที่เห็นภายนอกนัก ด้วยประวัติศาสตร์ทางชาติพันธุ์ แม้ว่าโอเมก้ากลายพันธุ์จะไม่มีฮีทหรือกลิ่นจำเพาะอะไรเช่นนั้น แต่ว่ากันด้วยตามเชื้อสายแล้ว พวกเราถือว่าแข็งแกร่งมากๆ


ภายใต้ความอ่อนแอทางกาย แต่พวกเรามีความเข้มแข็งทางใจเพราะถูกกดขี่มานานนม สารินที่ในวัยเด็กต้องเผชิญความรุนแรงทั้งกายและวาจา อีกทั้งการเห็นภาพสังคมแบบที่เด็กคนหนึ่งไม่ควรได้รับรู้นั้นทำให้ตนปลุกใจขึ้นมาได้ใหม่ จะอย่างไรก็ไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น เพราะที่ว่าลำบากมากนักก็ผ่านพ้นมันมาได้หมดแล้ว!


ที่ใครต่อใครบอกว่าสารินนั้นช่างไร้เดียงสามองโลกในแง่ดี ทว่าในความเป็นจริงตนแค่พยายามจะเป็นคนเช่นนั้น แม้จะเด๋อๆด๋าๆเป็นที่น่ารำคาญแต่ว่าไร้เดียงสาอะไรนั่นไม่ใช่เลย เพราะสาที่กร้านโลกแบบนั้นไม่เป็นที่รักของคุณแพรวรรณแน่ๆ


ความรักที่พวกเขามีให้ปลูกปั้นกันให้เป็นแบบนี้ มันก็มีหลายครั้งที่ตนเลือกจะเมินเฉยต่อบางสิ่ง ยอมทิ้งผลประโยชน์บางอย่างเพียงเพื่อที่ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะยังคงไว้ จนถึงตอนนี้ชีวิตที่สงบสุขก็อยู่ตัวแล้ว ก็แค่คงมันไว้ต่อไป ในวันหนึ่งตนก็จะถูกใช้ตามหน้าที่ที่ฟ้าระบุให้เกิดขึ้นมา แม้ว่าโลกนี้จะไม่เหลือโอเมก้าอีกต่อไปแล้ว แต่เผ่าพันธุ์ที่สืบทอดตราบาปเหล่านั้นยังมีหลงเหลืออยู่ และเผ่าพันธุ์นั้น


คือแม่พันธุ์ชิ้นดีที่จะให้กำเนิดมนุษย์หมาป่า


เมื่อถึงตอนนั้นที่ตนถูกส่งไปตั้งครรภ์ให้กับเจ้าบ้านผู้เป็นใหญ่สักหลังจนกระทั่งคลอดเด็กเพื่อคงเผ่าพันธุ์ให้พวกเขา หน้าที่ของเราก็อาจจะสิ้นกันกับบ้านที่อาศัยอยู่ หลังจากเสร็จสิ้นหน้าที่ ถ้าพวกเขาไม่ใจร้ายจนเกินไปก็ว่าจะขอไปดำเนินชีวิตเป็นคนธรรมดา แม้ต้องอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยการศึกษาก็ทำให้ตนมีหนทางไปไม่จบชีวิตเหมือนแม่ที่ต้องขายเรือนร่างและตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนไหน หรืออาจจะตายไปอย่างเดียวดายแล้วก็เป็นได้


ในส่วนของลูก หากให้กำเนิดลูกมนุษย์หมาป่าที่พวกเขาพอใจได้แล้ว เป็นไทออกมาก็ไม่คิดจะมีความสัมพันธ์กับใครและตั้งท้องเพื่อมีลูกที่ไหนอีกเลย คำบอกกล่าวของแม่หรือบรรดาน้าๆในซ่องยังคงก้องหู ครั้งหนึ่งผู้เป็นยายถูกขาย ต่อมายายก็จะขายแม่  แม่นั้นก็เกิดมาเพื่อขายลูก เพื่อให้ลูกนำหลานไปขายอีกที


วงจรอุบาทว์นี่ควรจะสิ้นสุดลงได้แล้ว…


“สากินอีกหน่อยสิ”  ธนนนั้นดูจะห่วงกันไม่น้อยและนั่นทำให้สายิ้มออก เขาก็ดูจะเป็นเพื่อนที่ดีให้ได้ แต่เพราะแผลใหม่ยังคงสดเกินไป ตนจึงไม่อาจจะพูดได้ว่าสามารถเปิดใจในตอนนี้


แต่กระนั้นก็ยังต้องการใครสักคนจริงๆ
ใครสักคนที่ไม่ต้องมารับรู้ก็ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหัวใจที่บอบช้ำ


หลังจากคาบเรียนช่วงบ่ายจบลง สารินก็หายออกจากห้องเรียนไปแทบจะในทันที ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนั้นไปไหน แต่ที่รู้ๆคือมีกลุ่มคนที่ใส่ใจทุกการขยับกายของคนตัวเล็กนั่น ทว่าฉันชนกที่ได้ชื่อว่าสนิทที่สุดก็ยังคงเงียบงัน ไม่ให้ความเห็นหรือร่วมบทสนทนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนคนนั้น เพราะโดยส่วนตัวก็คิดว่าตนก็มีส่วนผิดมากเกินพอ


และกำลังพยายามหาทางแก้ไข


ร่างสูงของนักเรียนรุ่นพี่ต่างคณะเดินเข้ามาที่ใต้ตึก เขาคุ้นเคยกับทางเดินในคณะนี้ดีเพราะครั้งหนึ่งมีเหตุให้ต้องมาเยือนบ่อยๆ ทว่าครั้งนี้เขาไม่มีธุระอะไรกับคนๆนั้นอีกแต่ทำไมยังปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันเล่า และแม้ว่าจะไม่มีธุระดังว่า แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตามหานั้นไม่อยู่ เขาก็เบนเข็มมาหาธุระเก่าๆนั้น


“สาอยู่ไหน”  เขาถามฉัน ทำเป็นไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมาและมั่นใจว่าไม่มีใครกล้ามองเขาอย่างไม่พอใจเท่ากับคนที่หายไปจากที่นั่งประจำนี่ อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด


“สาไม่อยู่”


“เราเห็น สามันไปกับเด็กวิดวะนั่น”  ใครสั่งคนที่อยากมีบทบาทต่อหน้าเขาพูด แต่แววตาที่ตวัดมองมาจากสนธยาทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าตนคิดผิดที่พูดออกไป แม้ว่าจะเข้าถึงยาก แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าเขาเย็นชาหรือน่ากลัวถึงเพียงนี้


“พี่สน…” ฉันเรียก แต่เหมือนจะเป็นเสียงห้ามมากกว่า


“งั้นพี่ไปล่ะ”


“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”  แต่ฉันเหมือนจะไม่ยินยอม ตอนนั้นทั้งโต๊ะดูจะตระหนกมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ ระหว่างหลายวันมานี้แม้พวกเขาจะเพียรพูดอะไร ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นพ้อง ถึงตอนแรกที่เพิ่งจบความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนี้ เจ้าตัวจะร้องไห้และบอกว่าเพิ่งเลิกกัน พอมีคนใจกล้าเอ่ยถามว่าเพราะอะไร ตอนนั้นที่ยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ฉันจึงได้เอ่ยชื่อนั้นไป


ชื่อของเพื่อนรักที่ไว้ใจ…
แต่ก็เป็นเพื่อนคนนั้นแหละที่เป็นหนามยอกใจที่เจ้าตัวรู้ตัวหรือไม่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน




TALK
อย่าโกรธน้องฉันกันเลยน้า น้องก็แค่มีปัญหาของน้อง
เราเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะเคยมีปัญหากับเพื่อน และก็มีที่เลิกคบกันไปเลยหรือกลับมาคบกันได้ใหม่
บางคนกลับมาคบก็สนิทกว่าเดิมหรือรักษาระยะห่างเผื่อไว้ ฉันกับสาก็ต้องมีปัญหากันมาบ้าง
และในเรื่องนี้เราอยากถ่ายทอดอะไรแบบนั้น ก่อนที่จะพูดเรื่องสนสาอย่างเต็มตัวกว่านี้
เป็นตอนที่แต่งแล้วรัวมือมาก ราวกับออกมาจากจิตใจ555
@reallyuri #คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 12 18/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-03-2019 19:08:16
สารันทดจริงๆ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 12 18/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-03-2019 22:32:05
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 12 18/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-03-2019 12:01:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 12 18/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 19-03-2019 23:02:45
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 13 23/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 23-03-2019 17:32:16
13

สน xสา

สายโทรเข้าจากเบอร์ที่ยังไม่ได้ถูกบล็อกเพราะส่วนหนึ่งเจ้าของเครื่องก็หมายใจจะได้พูดคุยเช่นกัน
ทว่าเมื่อเจ้าตัวโทรมาจริงๆนั้น สาก็ลังเลที่จะรับมันในทันที


“ฮัลโหล”  หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน คนที่ตระหนักดีว่าไม่มีอะไรที่จะต้องเสียให้อีกแล้วเพราะได้เตรียมใจมาพร้อมก็ตอบรับ ทว่าความเงียบที่ตอบกลับก็ทำให้หวั่นระแวงว่านี่จะเป็นเพียงการโทรผิด ฉันไม่อยากจะคุยกับสาอีกแล้ว ที่โทรมานี่ล้วนเป็นความผิดพลาด


“สา…”  หรือว่าจริงๆตั้งใจจะโทรมาดุด่า เอาเป็นว่าสาก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น


“อื้ม มีอะไรหรือเปล่า”


“เราได้ยินว่าสาไม่สบาย เข้าโรงพยาบาล”


“อ๋อไม่มีอะไรหรอก ปวดท้องนิดหน่อยไม่ได้นอนโรงพยาบาลด้วย”


“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”


“อื้ม ไม่เป็นไร”


“งั้นก็ดีแล้ว”


“…”


“…”


“สาเราขอโทษ” 


“เราก็ขอโทษ”  สาเองก็พูดออกไป จะอย่างไรคำขอโทษจากคนแบบสาก็ไม่มีราคาค่างวดใดๆ พูดไปก็ไม่เสียหาย แม้ว่าตนจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดตรงไหน เอาจริงๆที่เราอึดอัดกันอยู่นี่ เราทราบกันแค่ว่าเป็นเพราะพี่สน แต่เหตุผลจริงๆที่แน่ชัดคืออะไร ก็ไม่มีใครเข้าใจเหมือนกัน


ฉันเป็นคนขอตัดสาย และสาก็ยินดีให้บทสนทนามันจบลงเสียยิ่งกว่าแม้ที่ผ่านมาจะเฝ้ารอที่จะได้พูดคุย ทว่ามันคงผ่านมานานเกินไป และหัวใจคงบอบช้ำเกินไป ถึงทำให้สาเองก็ไม่คาดหวังที่จะได้รับโอกาสในการพูดคุยปรับความเข้าใจอีกแล้ว ลึกๆแล้วแม้ไม่เชื่อว่ามันยุติธรรมกับทุกฝ่าย แต่ว่าแรกเริ่มเดิมทีก็มีแค่ผลประโยชน์ หากมันจะจบลงก็เพราะไร้ผลประโยชน์นั่นแหละ


“อื้อ นน”  เมื่อวางสายของฉันก็มีอีกสายโทรเข้า สาอาจจะยังไม่เก่งพอขนาดจะมีเพื่อนสนิทคนใหม่


แต่ทว่าคนดามใจก็ไม่แน่…


หลังจากวันนั้นที่ได้คุยกันสาก็คิดว่ามันลงตัวที่สุดแล้วในตอนนี้ โดยส่วนตัวนั้นตนเองไม่ได้ติดค้างอะไร ทว่าถามว่ายังรู้สึกอยู่ไหมมันก็มีอยู่ ความสัมพันธ์กับธนนก็ถือว่าเดินหน้า จริงๆก็รู้ว่าการเข้าหาของเขามันเพราะอะไร แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปิดกั้น


เพราะส่วนหนึ่งตนก็รับรู้ว่าชีวิตเยี่ยงสารินคนธรรมดาใกล้จะหมดแล้ว


“ไง…”  ด้วยความบังเอิญ สารินที่แวะมาซื้อน้ำที่ร้านประจำก็ได้เจอกับฉัน ความกระอักกระอ่วนยังมีให้เห็นได้ชัด แต่ว่า…มันก็เลี่ยงที่จะไม่ทักทายไม่ได้ จะอย่างไรสารินก็เกลียดฉันชนกไม่ลงหรอกนะ ครั้งหนึ่งก็เคยได้ชื่อว่าเพื่อนที่แคร์ที่สุดแคร์มากๆ แม้วันนี้จะยังกังขาที่ว่าตนยังแคร์อยู่ไหม แต่ว่าแค่ทักทายก็นับเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง


“เอาโอรีโอปั่นครับ”  สาสั่งเครื่องดื่มไป แต่นี่ก็ช่วงบ่ายแล้วก็ไม่แน่ใจว่าขายหมดไปแล้วไหมเหมือนกัน


“น้องครับ โอรีโอปั่นหมดแล้ว” นั่นไง


“ง่า…งั้นเอา…”  ทว่ายังไม่ทันที่สาจะเลือกได้


“งั้นสาเอาแก้วของเราไปก็ได้”  ฉันบอก


“ได้ไง!”  สาหันไปว่า


“ได้สิ เราจะกินปีโป้ปั่นกับนมเปรี้ยวแทนแล้ว”


“อันนั้นสาก็อยากกิน”  ถ้าเป็นปกติเราต้องสั่งมาคนละอย่างและก็แบ่งกันกิน ฉันยิ้มให้ และสาก็ยิ้มกลับ วันนี้เราจะไม่แบ่งกัน แต่สาก็รู้ว่าฉันนั้นจะกินอะไรก็ไม่ต่าง


ฉันเป็นแวมไพร์ และแค่นั้นเด็กคนนี้ก็คงทุกข์ใจมากพอแล้ว


“ถ้างั้นพี่ครับผมขอซื้อแก้วเปล่าเพิ่มสองแก้วนะ”  สาหันไปบอกกับพี่เจ้าของร้าน ซึ่งพี่เขาก็งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆ  อืม…ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนไม่ต้องเข้าใจก็ได้ และสาก็ไม่หวังให้ฉันเข้าใจเหมือนกัน ทั้งนี้สิ่งที่ตนทำมันตีความได้หลากหลาย คือหนึ่งไม่อยากติดค้าง และสอง….ไม่อยากให้บรรยากาศที่แบ่งปันกันต้องหายไป


แม้จะไม่มีโอกาสได้นั่งข้างๆและแย่งแก้วของกันและกันมาดื่มชิมแล้วก็ตาม


“เหวอ!” 


“ระวังหน่อยสิ”  ฉันดุ ปล่อยให้สาทำอะไรแบบนี้มันต้องได้เลอะสักทีสิ ว่าแต่เราเป็นธรรมชาติเกินไปไหม นี่กำลังตึงใส่กันอยู่ไม่ใช่เหรอ


“ของฉันน้อยไปไหม เลือกได้นะว่าจะเอาแก้วไหน”  ที่ขอซื้อแก้วเปล่ามาเพราะต้องการจะแบ่งน้ำทั้งสองอย่างออกเป็นสี่แก้ว เพื่อที่ว่าเราจะได้แบ่งกันเอากลับไปคนละสอง ได้กินทั้งสองแบบที่ตั้งใจ


“เราเอาแก้วไหนก็ได้”  มาถึงตรงนี้ความกระหายต่างๆก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว คงจะมีเพียงร้อยพันคำที่ไม่สามารถหลุดถ่ายทอดออกไปได้มากกว่า


“ถ้างั้นเราไปก่อนนะ”  สารินกล่าวลาเพราะเห็นร่างของคนที่คุ้นตากำลังเดินมา


“นั่นเพื่อนสาเหรอ”


“อืม”


“หรือว่ากำลังเดทกับคนนั้นอยู่”  ฉันนี่ถามมากจัง แต่ทำไมไม่รู้สาถึงยินดีจะตอบ


“ก็คุยๆกันอยู่”  สายอมรับ  “ธนนเป็นคนโอเคเลย”


“ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีนะ”  คำนั้นคือคำอวยพรที่แท้จริง ไม่แฝงแววประชดประชัน สารินยิ้มรับคำตามนั้นก่อนจะถือน้ำสองแก้วและเดินจากไป ทิ้งฉันชนกให้มองตามหลังไว้กับถ้อยคำกว่าร้อยพันที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ย


ธนนถูกใจสารินมานานแล้ว จริงๆหลายคนในโรงเรียนก็ชอบเด็กที่มักจะนั่งเงียบๆทำตัวไม่โดดเด่น แต่สารินที่ดูเอ๋อๆไม่ทันคนบางทีก็ตามทันได้ไวอย่างน่าทึ่ง มันยากมากที่จะเข้าหาพร้อมจุดประสงค์ที่แปะที่หน้า แต่คาดว่าแต้มบุญของธนนที่ไม่คาดหวังอะไรในวันนั้น โชคได้หล่นทับในวันนี้


เขามองเพื่อนต่างคณะที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน สารินเพิ่งจะตอบรับคำขอคบกันในวันนี้เอง เขาแค่คิดว่าสาน่ารักดี และช่วงนี้ที่ไม่มีใครก็คิดว่าถ้าได้คุยๆกันไปและถูกใจจะขอคบ ซึ่งสาก็คงคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทำให้เราเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพื่อนในกลุ่มของเขาแซวเล่นแบบไม่เว้นวันกันเลยทีเดียว


ในส่วนสาก็คิดว่าความรักแบบปัปปี้เลิฟแบบนี้คือประสบการณ์ที่ดี อย่างน้อยธนนก็ให้เกียรติกันมากจนบางทีสาก็เกรงใจที่จะพูดว่าให้รักมากกว่านี้จะได้ไหมก็ไม่รู้ แต่อยู่ๆกันไปความรักอาจจะก่อตัวได้มากขึ้น ถึงตอนนี้มันจะไม่มีเลยก็ตาม


ความเหงานี่นะ…ทำให้คนที่มีสติดีพร้อมทุกอย่างไร้หนทางที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ


“ขอบคุณที่มาส่งนะ”  ธนนมาส่งถึงบ้านเกือบจะทุกวัน และวันนี้ก็ด้วย จริงๆเขาอยากอยู่ด้วยกันมากกว่านี้อีก แต่สายืนยันว่าอยากกลับบ้านมาอ่านหนังสือ เพราะนี่จะสอบปลายภาคแล้ว


“อ่านหนังสือเยอะๆนะครับ”  เขาพูดก่อนจะก้าวเข้ามาชิด ในวินาทีนั้นสารินลังเลว่าควรจะทำเช่นไร แม้จะสมองช้าแต่ว่าสัญชาตญาณก็บอกกันว่าอะไรกำลังจะเกิด ทว่าสมองและจิตใจกลับออกคำสั่งที่ย้อนแย้งกันทำให้จนร่างกายเลือกปฏิบัติไม่ถูก


จุ๊บ…


“แล้วก็ฝันดีครับ”  เป็นจูบที่แผ่วเบาและอ่อนหวาน ทว่าสารินกลับชะงักค้าง หลุบตาลงต่ำแต่กระพริบตาถี่ขึ้นราวกับประมวลบางสิ่งบางอย่าง ธนนหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเปิดประตูบ้านและจูงมืออีกคนให้เดินเข้าไปข้างใน เขามาส่งได้แค่นี้


แต่ที่ได้กลับคืนไปก็คุ้มจะบ้าตายอยู่แล้ว


สากำลังเดินอย่างไร้จิตวิญญาณผ่านสวนของบ้านและกำลังจะเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อครู่นี้แฟนคนแรกของสาจูบกัน…ที่หน้าผาก ใช่…ที่หน้าผากเท่านั้น ธนนเป็นคนดี แม้ว่าเขาจะมีสิทธิ์ในฐานะคนรักที่สามารถเข้ามาจูบปากกันได้ แต่เขาก็ไม่ทำ เขาเป็นคนดีที่ให้เกียรติกันแต่กระนั้นแม้แต่ตรงหน้าผาก…สาก็ไม่ได้อยากให้เขาทำเช่นนั้น


ขยะแขยงเหรอ ก็ไม่ แต่หวาดกลัวไหม ก็ไม่อีกเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก รู้แค่ว่าตนไม่ชอบทั้งๆที่ไม่ควร สมองได้ตัดสินใจแล้วว่าจะคบกับคนๆนี้เป็นแฟน ทว่าการกระทำที่ไม่มากมายของเขามันเกินขีดจำกัดหรือบรรทัดฐานที่ใจสั่งไว้แล้ว สาอึดอัด แต่สาก็จำเป็นต้องมีเขา


“เหม่ออะไรได้ขนาดนั้น”  เสียงเรียกที่ไร้ชื่อและคำทักทายนั้นดังจนเรียกสติของคนที่เดินเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัว สนธยานั่งอยู่บนโซฟา เขามีตัวตนอยู่ตรงนี้นานแล้วแต่ก็มีคนเพิกเฉย


และเขาก็ไม่ชอบถูกกระทำเช่นนั้นเพราะมันไร้มารยาท


“ขอโทษครับ”  และยิ่งขมวดคิ้วยิ่งกว่าเมื่อสิ่งที่ต้องการคือคำทักทาย ไม่ใช่คำขอโทษแต่อย่างใด อารมณ์คุกรุ่นในใจอันยากจะดับนั้นส่งผลให้คนที่เมินเฉยต่อกันถึงกับเดินมาหา สาคิดว่าตนเองไม่ควรเผชิญหน้ากับเขาในตอนนี้ แต่พี่สนไม่เคยทำอะไรกันและเพราะตนนั้นไม่เคยมีความสำคัญ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงเพียงแค่ดุด่า แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า


สายตาที่จ้องมองนั้นมันไม่ใช่…


“ใครมาส่ง”  เขาถาม ยิ่งสืบเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนต้องเดินถอยหลัง แต่เมื่อรู้ตัวว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำจึงหยุดและมองหน้าก่อนจะสะกดความหวาดหวั่นเอาไว้ การคุกคามของมนุษย์หมาป่าที่มีลักษณะของอัลฟ่าน่าหวาดหวั่นเสมอ ทว่าใจไม่รักดีของสารินกลับไม่คิดแค่นั้น


“เอ่อ…”  อนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าตนควรตอบเช่นไร  “แฟนครับ”  แต่การพูดความจริงไปก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันก็ไม่ควรปิดบังใช่ไหม


“แฟน?”  เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่จริงๆแล้วเขาที่ไม่สนใจจะมารู้ได้ไง  “มิน่าละถึงยืนจูบกันหน้าบ้าน”  และนั่นทำให้สารินเก็บสีหน้าของตนไว้ไม่ได้ เขาเห็นงั้นเหรอ?


“เอ่อผมขอโทษที่ประเจิดประเจ้อครับ”หนึ่งแต้ม คราวนี้ตนได้สูญเสียไปหนึ่งแต้ม สารินเดินถอยหลังอย่างจนใจ และเขาก็เดินเข้าหามาอีกก้าว


“ทำแบบนั้นหน้าบ้านมันไม่ดีรู้ไหม”


“วันหลังจะไม่ทำแล้วครับ”


“ไม่ทำตรงนี้แล้วไปทำที่อื่นใช่ไหม”


“ก็แฟนนี่ครับ”  สารินเงยหน้าขึ้นมามองหน้า พูดตรรกะความเป็นแฟนตอกกลับไป “มันห้ามได้ที่ไหน” และตอนนี้แม้ว่าเท้าของตนจะไม่ได้ขยับ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าแต้มที่เสียไปได้ถูกนำกลับมาแล้ว


“อืม…ใช่” เขาตอบรับหน้านิ่ง


“สาก็โตแล้วด้วย” มองจากตรงนี้ก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนเด็กเลย เลิกปฏิบัติต่อกันราวกับว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่เหมาะสมเสียทีเถอะ!


“อย่าเดินหนีแบบนี้นะ!”  สาที่คิดว่าไม่ควรจะสนทนาอะไรกับเขาอีกแล้วเลือกที่จะหันหลังให้และเดินขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตนเสียที ทว่าแรงฉุดของคนๆนี้ก็ทำให้ตนนั้นเหมือนเด้งกลับไปตรงจุดเดิม มากกว่านั้นมันกลับถลำเข้าไปลึกกว่านั้นอีกนิดหน่อย


“พี่สน!”อารามตกใจ สารินนั้นร้องออกมา นี่เป็นครั้งแรกอีกล่ะมั้งที่เรียกชื่อนี้เสียงดังขนาดนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถทำให้ใจเต้นช้าได้อีกเลย เอาอีกแล้ว… ในหนึ่งวันนี่สารินไม่ควรถูกจุ๊บเหม่งสองครั้งติดกันจริงๆนะ!


“…”  สาผละออกมา ควรจะกลับขึ้นห้องไปจริงๆแล้วตอนนี้ ทว่าเงยหน้าขึ้นมามองดีๆก็จะพบว่าตนไม่ได้โดนจุ๊บเหม่ง แต่เหม่งของตนต่างหากที่ไปจุ๊บกับปากเขา


และมันก็ส่งผลให้เกิดรอยเลือดเบาๆที่มุมปากร้ายๆนั่น


“พี่สน…”  เมื่อครู่ที่ตะโกนเรียกเสียงดัง ยามนี้มันช่างแห้งผากสิ้นดี เราไม่แม้แต่จะเคยทะเลาะกัน วันนี้ก็เป็นวันแรก และแน่นอน เราไม่เคยทำร้ายกัน


และวันนี้ก็เป็นวันที่สาทำให้มันแย่ แย่ แย่!


สนธยาเงียบไป ก่อนที่เขาจะหันหลังให้และเป็นฝ่ายขึ้นไปที่ห้องนอนของตนเองก่อน อะไรกันนี่สาต้องเป็นคนงอนนะ ทำไมมันถึงได้กลับกันแบบนี้ แล้วที่ดึงกันไปจนตัวเองได้แผลล่ะ มันความผิดเขาไม่ใช่เหรอ แล้วใครมันจะบ้าเอาหัวไปโขกกับบันไดบ่อยๆให้รู้ถึงความหัวแข็งกันเรา นี่ก็ครั้งแรกเหมือนกันที่ไปชนปากใคร


แล้วเป็นไงล่ะปากแตกเลย!


เอาล่ะสาต้องใจเย็นๆนะ ลนลานขนาดนี้ไม่ได้เกิดอะไรดีๆขึ้นมาแน่ สอดส่องมองไปทั่ว แม่บ้านไปไหนหมด คุณพ่อล่ะ คุณแม่ด้วย ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ แต่เมื่อนึกดีๆก็ค้นพบว่าทำไม เพราะวันนี้มีงานเลี้ยง คงดึกนั่นแหละที่จะกลับมากัน และพวกแม่บ้านก็ไปช่วยงานบ้านญาติด้วย วันนี้มีแค่สารินกับสนธยาแล้ว


เอาไงล่ะคนเรา แค่แผลที่ปากคงไม่ถึงตายหรอกมั้ง
แต่คำพูดที่ฝากให้คนฟังน่ะ ทำให้เจ็บไปทั้งใจเจียนตายเลยทีเดียว!


เขาปิดประตูห้องเสียงดังลั่น สะท้านไปทั้งใจคนฟังที่ยืนอยู่ข้างล่าง สารินน้ำตาคลอเบ้า กลายเป็นคนอ่อนไหวง่ายขึ้นมา ทั้งๆที่วิกฤตในช่วงที่ผ่านมาคือโอกาสในการพัฒนาจิตใจ ก็ได้แต่คิดว่าตนควรจะทำอย่างไรดี แม้จะพูดว่าตนไม่ผิดอะไร แต่คิดว่าที่เราขึ้นเสียงกันไปจนเกิดอารมณ์ตีใส่ มันก็เพราะความอยากเอาชนะไม่เป็นเรื่องของตนเหมือนกัน


พี่สนคือพี่ชายนะ จะทำเมินเฉยไม่ได้!


เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น สนธยาคิดว่าจะไม่สนใจทว่าเขาบังเอิญเป็นคนที่ขี้รำคาญมากถึงมาก เปิดออกมามองด้วยหางตาสักหน่อยเขาคงปิดใส่หน้า ทว่าเมื่อได้เห็นน้องชายน้ำตานองหน้าก็ทำอย่างนั้นไม่ลง ในอ้อมแขนเล็กมีกล่องยามาด้วย เขาไม่เคยเห็นสารินเป็นแบบนี้มาก่อนเลย


“ฮึก…พี่สน”  และแพ้ทาง…อย่างราบคาบ


“เข้ามาสิ”  นี่คือโอกาสให้แก้ตัว แต่สารินคงไม่ทันคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เข้าห้องของพี่ชายโดยไร้ซึ่งผู้อื่นอยู่ในบ้าน แต่จะอย่างไรล่ะก็แค่พี่ชาย มันไม่มีอะไรเสียหน่อย!


“สาขอโทษ”  เขานั่งลงบนเตียง แหงนหน้ามองคนที่ยืนกอดกล่องยาแล้วถอนหายใจ


“มานั่งตรงนี้”  เขาตบพื้นที่ข้างๆดังปุๆ สารินดูลังเลใจ  “จะทำแผลใช่ไหม”  กอดกล่องยาอย่างกับจงอางหวงไข่เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เอามากกไข่ก็ต้องเอามาทำแผลให้กันแล้วแหละ เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนตัวเล็กก็มานั่งข้างๆ เปิดกล่องยาที่วางบนตักและคุ้ยหาสิ่งที่ต้องการ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การมองดูของเขา


จริงๆปากของเขาไม่ได้เป็นแผลขนาดนั้น แต่สารินที่ถือตนว่าเป็นแค่คนอาศัยนั้นเกรงใจจนถึงขั้นเกรงกลัว และอีกอย่าง…เราก็แทบไม่ได้คุยกันเลยทั้งๆที่แม่ยัดเยียดความเป็นพี่น้องมาให้ ในความเป็นจริงเราสองคงสะกิดใจว่าตนนั้นไม่ใช่ และไม่มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน


สัมผัสแผ่วเบาสร้างความรู้สึกจี๊ดที่แล่นขึ้นมา ดวงตาที่ล้อมด้วยแพคนตาสวยนั้นฉายความมุ่งมั่นตั้งใจ เมื่อครู่นี้สานั้นร้องไห้มันจึงช่างแวววาวคลอไปด้วยหยดน้ำใสที่น่าสนใจว่าหากได้ชิมไปจะออกรสอย่างไร มันคงเป็นรสของน้ำตาไม่ผิดแน่ แต่แค่คิดว่าถ้าได้แตะชิมที่หางตานั้นด้วยริมฝีปากตนเอง รสฝ่านก็อาจจะหวานได้


“…”


“เสร็จแล้วครับ”  มันเงียบเกินไป ขัดแย้งกับหัวใจที่เต้นระรัวดังกึกก้อง ถ้าหากมันไม่ถูกซ่อนอยู่ในอก คาดว่าเสียงมันคงดังไปทั่วห้องแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ บางทีคนที่อยู่ใกล้ๆก็อาจจะได้ยินก็เป็นได้  “ผมไปก่อนนะ”


“กินข้าวยัง”


“ยังครับ”


“ออกไปกินข้าวกัน”


“เห” เพราะที่บ้านไม่มีใครทำกับข้าวไว้ มันก็มีทางเลือกแค่สองแบบเท่านั้น ไม่กินกับเขา ก็กินคนเดียว


จะว่าเพราะพี่สนนั้นอยากจะพยายามเป็นพี่ชายที่ดีขึ้นมาก็เป็นไปได้ เดิมทีเราไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันจนกระทั่งเรื่องของฉัน ในตอนนี้เขาอาจจะอยากไถ่โทษให้กันที่เป็นสาเหตุที่ทำให้กับฉันต้องผิดใจ แต่อย่างนี้มันก็มากไปเพราะพี่จะเล่นมาส่งทุกวันอย่างนี้ไม่ได้!


“ขอบคุณมากครับ”  สาหันไปยกมือไหว้ ก่อนจะเก็บของเพื่อลงออกจากรถ


“วันนี้จะให้แวะรับไหม”


“เอ่อไม่ต้องครับ เดี๋ยวนนมารับ”  จริงๆแล้วนนก็อยากมาหาทั้งเช้าทั้งเย็น แต่สาขอไว้เพราะไม่อยากให้เขาต้องเหนื่อยด้วย แต่ต่อรองได้เท่านี้แหละ สนธยาพยักหน้าให้ เมื่อสาปิดประตูรถแล้ว รถจึงเคลื่อนตัวออกไป


วันนี้ไม่มีวิชาเรียนรวม แต่มีวิชาของสาขาที่สาเรียนอยู่ห้องเดียวกับฉัน ทว่าตั้งแต่วันนั้นที่แทบจะไม่ได้คุยกัน เราก็ไม่ได้นั่งใกล้กันอีกเลย แล้วสานั่งตรงไหนนะเหรอ ที่ไหนก็ได้ที่ว่าง


“…”  แต่เมื่อมาถึง พื้นที่ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกเอาของวางไว้ไม่ให้นั่ง จึงเป็นสาเหตุที่สาจะมาถึงให้เร็วกว่าคนอื่นหน่อยเพื่อที่ว่าจะได้จับจองพื้นที่มุมห้อง คนที่ไม่เกี่ยวข้องและมาสายก็มักจะมาขอนั่งใกล้ แต่โดยส่วนใหญ่มันจะไม่มีใครมานั่งด้วยอยู่แล้ว


“มาเช้าจัง”  ฉันที่วันนี้ก็มาเช้าเหมือนกันนั้นยิ้มให้ เมื่อเจอหน้ากันก็แอบคิดถึงเรื่องราววันนั้นที่ถือน้ำคนละสองแก้ว แก้วละครึ่งเดียว


“วันนี้รถไม่ติด”  สารินบอกอย่างนั้น แต่ว่าฉันชนกที่ผู้ปกครองมาส่งแต่เช้าเห็น ว่ารถที่มาส่งสารินเป็นรถคุ้นตา หากแต่ว่ามันไม่คุ้นใจอีกแล้ว


ฉันชนกนั้นเดินไปนั่งที่แถวหลังสุดเหมือนกัน ทว่าในขณะที่สารินนั้นเลือกนั่งฝั่งขวาสุดที่มุมห้อง แต่ตนกลับเลือกตรงกลาง มีแถวเล็กๆให้เดินผ่านกั้นกลาง แต่มันเหมือนทางผ่านที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ เราอาจจะคุยกันได้มากขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ปกติหรอก ยิ่งอยู่ด้วยกันสองคนในห้องแบบนี้ มันยิ่งอึดอัด สาแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือต่อไป


มันดูน่าหงุดหงิดนะที่เราทำเหมือนมึนตึงกันต่อหน้าคนอื่น แต่พออยู่ด้วยกันเพียงสองคนฉันก็ยังทำเป็นดีด้วย ทว่าสาก็คิดว่าแบบนี้มันดีกว่า แม้ว่าฉันยังไว้ไม่ได้ แต่จะให้ฉันออกมาจากกลุ่มที่มีเพื่อนมากมายมาหากันแค่คนเดียว ก็ดูจะเรียกร้องให้เพื่อนเสียสละต่อกันเกินไป อยู่คนเดียวแบบนี้ก็ไม่แย่หรอก วุ่นวายหน่อยก็ตอนหากลุ่มทำงานเท่านั้น


“สา”  เสียงเรียกของฉันทำให้หัวใจเจ้าของชื่อสะดุด สาเงยหน้าขึ้นมา เห็นว่าฉันมายืนอยู่ไม่ไกลจากที่ตัวเองนั่งแล้ว “ขอนั่งด้วยได้ไหม”


“ดะ…ได้สิ”


“ขอดูเลคเชอร์สาหน่อยสิ วันก่อนเราเผลอหลับไปอ่ะ”  ถึงแม้ว่าจะเข้ามาด้วยผลประโยชน์อย่างที่กล่าวไว้ แต่ทำไมสาไม่คิดว่ามันจริงใจแบบนั้น ถ้าคนแบบฉันชนกอยากจะขอลอกเลคเชอร์ น่ากลัวว่าใครๆก็อยากจะยื่นให้ แล้วทำไมมาขอคนที่ไม่ได้เรียนได้โดดเด่นแบบสากัน


เช่นนั้นมันทำให้คิดไม่ได้เลยว่านี่คือผลประโยชน์อย่างที่เจ้าตัวต้องการจริงๆ


“เราจดไว้ตรงนี้กับตรงนี้”  สารินอธิบาย นึกหวั่นใจหากคนอื่นเข้ามาเห็นเข้าแล้วจะเกิดเรื่อง ทว่าเมื่อฉันจดจนครบก็ยังไม่ลุกไปไหน จะว่าไปกระเป๋าที่เจ้าตัวถือมาก็ถูกนำมาวางไว้ที่เก้าอี้ข้างตัว แถวหลังฝั่งขวาของเราที่มีโต๊ะเลคเชอร์สามตัวได้ถูกจับจองครบแล้ว โดยสา ฉัน และกระเป๋าของฉันอีกหนึ่งใบ


“เอากระเป๋ามาวางตรงนี้ไหมสา”  สารินกำลังมึนๆเอ๋อๆแต่ก็ยอมหยิบกระเป๋าบนพื้นส่งมาให้ และฉันก็เอาไปวางไว้ที่นั่งข้างๆ อย่างนี้ใครจะมานั่งกับเราได้ ในเมื่อที่นั่งตรงนั้นโดนกระเป๋าจับจองเสียหมดแล้ว


กลุ่มเพื่อนของฉันนั้นกำลังจะเข้ามา เสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาแต่ไกล สารินแอบกลืนน้ำลายและทำใจหากมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ทว่าจนแล้วจนรอดฉันก็ไม่ลุกออกไป แม้กระทั่งพวกเขาที่เดินเข้ามาเห็นก็ชะงักค้างจ้องมองเราสองคนที่นั่งอยู่มุมห้องอย่างไม่วางตา ฉันก็ทำเป็นว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ตรงไหน


“ฉัน…”  จนสาอดไม่ได้ต้องแสดงความสนใจด้วยรูปแบบของการสอบถาม


“วันนี้เรากินอะไรกันดี”  ฉันไม่รอให้คำถามนั้นหลุดออกมาจากปากแต่ชิงถามกันเอง ทว่าดันนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ “หรือว่านัดกับแฟนไว้”


“เปล่า วันนี้นนมีเรียนตอนเที่ยง”


“วันนี้ไปกินข้าวกันไหม”


“ก็…ได้”


“งั้นไปกินที่โรงอาหารคณะกัน ตอนบ่ายไม่มีเรียนเนอะ งั้นเราไปเดินห้างกันไหม”


“เอ่อเรานัดกับนนไว้ช่วงบ่ายๆเย็นๆ”


“งั้นหาอะไรทำแถวนี้ก็ได้”


“ไม่เป็นไรหรอก ให้นนไปหาที่ห้างก็ได้”  ก็ไม่รู้ทำไมถึงยอมฉันขนาดนี้ แต่คิดแล้วคิดอีก…ก็พบว่านี่คือเหตุผลทางใจ


สุดท้ายแล้วสาก็ไปไหนไม่รอด ยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าตอนนี้ไม่อาจจะพูดได้ว่าเราต่อกันติดแบบเดิม ทว่าแต่แรกเริ่มมันก็เหมือนเราจะไม่ได้ประสานกันแบบลงตัวขนาดนั้น ความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์มันก็คงไว้ซึ่งรูปแบบเดิม ที่เพิ่มเติมคงเป็นจุดประสงค์ของฉันที่ว่าต้องการอะไร


ตรงนี้สาไม่เข้าใจจริงๆ


TALK:
เหมือนลูกแมวงอนกัน…
วอนอย่าอิหยังวะใส่น้องฉัน และอย่าเพิ่งเกลียดพ่อพระเอกเกรี้ยวกราดบทน้อยของเรา55
#คู่กินคู่กัด @reallyuri










หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 13 23/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-03-2019 18:42:07
กระอักกระอ่วนแปลกๆ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 13 23/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-03-2019 15:26:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 14 24/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 24-03-2019 17:07:59
14

สน xสา


ฉันต้องการอะไรไม่มีใครรู้ แต่สายังต้องการฉันไหม ก็ตอบไม่ได้แต่ก็ยินยอมให้เข้ามาใกล้กันได้อีกครั้ง


พวกเพื่อนๆของฉันก็ทำแค่เพียงมองเราสองคนและไม่พูดอะไร แต่มั่นใจได้ว่าลับหลังจากนี้ต้องเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ทว่าเหนือจากพวกนั้นที่พยายามควบคุมสีหน้าไว้ ฉันชนกนี่ยิ่งกว่าเพราะทำเหมือนใครๆไม่มีตัวตน!


บางทีฉันก็ร้ายแบบน่าเหลือเชื่อ แต่ว่านั่นแหละคือคุณสมบัติที่สารินคิดว่าเหมาะสมที่จะคบกับพี่สนที่สุด จริงๆมนุษย์ทุกคนคงมีด้านนั้นอยู่ในตัว น่าเสียดายที่สองคนนั้นจบกันเร็วเกินไป


วิชาเรียนของเราผ่านไปอย่างน่าเบื่อและอย่างที่นัดหมายกันไว้ สากับฉันมาทานข้าวด้วยกันและเดินห้างต่อ ธนนที่นัดไว้ตามมาหา และมีการแนะนำตัวเกิดขึ้นตามมารยาท หลังจากนั้นฉันก็แยกออกมา คาดว่าคงตรงกลับบ้านเลย เหมือนกัน สาไปเฝ้าธนนทานข้าวและรอให้เขาพามาส่งที่บ้าน


“เรียนเป็นไงบ้าง”


“น่าเบื่อเหมือนเดิม”  สำหรับนักศึกษา เราก็จะคิดอะไรเหมือนกันประมาณนี้


หลังจากมาส่งสารินในวันนี้ เราก็คุยกันอยู่หน้าบ้านเล็กน้อย เพราะยังหลอนเรื่องที่พี่ชายมาเห็นเข้าจึงพยายามไม่ให้บทสนทนาเรานำพาไปถึงจุดที่ชวนหวั่นไหวเช่นนั้น แต่จริงๆความรู้สึกของสารินนั้นลึกๆแล้วตนก็ไม่ได้ชื่นชอบมันเท่าไหร่ แม้จะได้ชื่อว่าแฟนก็เถอะ แต่สา…ก็ยังไม่ได้รักเขาถึงขั้นนั้นไหม?


พอเข้ามาในบ้าน สารินก็ทำใจเผื่อไว้ว่าอาจจะได้เจอกับใคร และพอเข้ามาก็พบว่าใช่ สนธยาอยู่ที่ห้องรับแขก แต่สวรรค์คงเข้าข้างเพราะเมื่อได้เจอก็พบว่าเขาหลับอยู่


“อ้าว พี่สนยังนอนอยู่อีกเหรอเนี่ย” คุณแพรวรรณที่เดินออกมาเห็นทั้งคู่อยู่ในห้องรับแขกจึงขอความช่วยเหลือ “งั้นน้องสาปลุกพี่เขาหน่อยนะ อาหารจะตั้งโต๊ะแล้ว” ปฏิเสธอะไรได้ที่ไหน จริงๆแล้วสาก็ไม่ได้อยากเข้าใกล้เขาเลยนะ


ร่างเล็กก้าวเข้าไปหา ยืนเก้ๆกังๆไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี ร่างสูงของเขาทอดตัวยาวไปกับโซฟา ไม่เมื่อยแย่เหรอ ขานี่เกินไปถึงไหนต่อไหน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องปลุกเขาก่อน สารินย่อตัวลงนั่งกับพื้น ก่อนจะค่อยๆสะกิดเบาๆที่ต้นแขน


!!


“อา..”   ร่างเล็กนั้นผงะเล็กน้อย จริงๆตนคิดว่าจะต้องออกแรงอีกนิดหน่อยทว่าเพียงสะกิดนิดเดียวดวงตาคมก็เบิกโพลง กลิ่นอายอันน่ากลัวค่อยๆแผ่กำจายจนกระทั่งเมื่อเขาพบว่าใครดวงตาก็ค่อยๆกลับมาเฉยชาแบบเช่นเคย


“มีอะไร”  เขาหลับตรงนี้ไปนานแค่ไหนแล้ว


“คุณแม่ให้ปลุกครับ จะได้เวลามื้อเย็นแล้ว”  คาดว่าคงราวๆชั่วโมงได้เพราะนี่ก็ใกล้เวลาทานข้าวแล้ว ว่าแต่ทำไมเขาถึงไม่ไปนอนบนห้องดีๆ มานอนตรงนี้ทำไม  “พี่สนยังเจ็บปากอยู่ไหม” สารินถาม น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความห่วงใย


“ไม่เป็นอะไรแล้ว”


“สาจะบอกคุณแม่นะ”


“บอกทำไม”


“สาทำพี่สนเจ็บ” 


“แล้วจะบอกแม่ว่าไง”


“ว่าหัวของสาชนกับปากพี่สน…”


“ให้เวลาคิดดีๆ”  เขาเสนอแนะไปแค่นี้ เดิมทีเขาพอจะรู้ว่าสานั้นเป็นคนช้าๆและดูเหมือนว่าจะช้าจริงๆ แต่ก็ซื่อสัตย์มาก พอบอกให้ไปคิดก็คิด ในส่วนรูปแบบและผลของความคิด ทั้งหมดได้สะท้อนผ่านแก้มแดงๆนั่นแล้ว


“อ่า…”


“พี่บอกแม่ไปแล้วว่าไปชนอย่างอื่นมา ไม่ต้องไปพูดกับใครก็ได้ว่าโดนเหม่งเรา”  เขาขยับตัวลุกขึ้น ในขณะที่คนแก้มร้อนยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าผาก เขาได้ยินเสียงพึมพำพูดว่าไม่เหม่งเสียหน่อย ทว่าปล่อยให้คิดเยอะๆกว่านี้ก็ได้ ว่าถ้าหากเที่ยวพูดไปว่าหน้าผากของเจ้าตัวชนกับอะไร


คำถามต่อไปก็จะถูกถามว่าแล้วเราไปทำอะไร มันถึงเป็นเช่นนั้น?


เรื่องนั้นพูดให้ใครฟังไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด! ขนาดผ่านมาหลายวันแล้วสารินยังคงคิด แล้วสนธยาล่ะผีเข้าหรือไง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะพูดคุยกัน อยู่ๆก็ชวนให้นึกถึงเรื่องนั้นทำไม อ๋อหรือเพราะเราเริ่มก่อนใช่ไหม แต่สานั้นบริสุทธิ์ใจ หรือจริงๆเขาก็แค่พูดเฉยๆไม่ได้คิดอะไร แล้วทำไมต้องมีแต่เราที่คิดเรื่องแบบนี้ด้วย!


ทว่าอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจมากกว่าคือฉันชนกที่กลับมาหากันในตอนนี้ ฉันอาจจะดูมั่นใจเวลาเดินด้วยกัน แต่สายตาของกลุ่มเพื่อนที่มองมา มันเหมือนจะจ้องกันจนทะลุแล้วไม่ใช่เหรอไง ทำอะไรของเขาอยู่กันนะ นี่สาก็เริ่มระแวงเหมือนกันแล้วนี่


“ฉัน เดี๋ยวนี้ไม่อยู่กับพวกเอิงแล้วเหรอ”  เอิงคือชื่อของผู้หญิงในกลุ่มนั้น คนที่สาได้ยินที่เธอนินทาในห้องน้ำ


“ไม่อ่ะ เราอยากอยู่กับสามากกว่า”


“เราถามจริงๆ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใช่ไหม”


“ไม่ เราไม่ทำเรื่องปัญญาอ่อนแบบนั้นหรอก”  ฉันก็เหมือนสา ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่ทะเลาะ แต่เลือกได้ก็ไม่ทน หรือว่าครั้งนี้จะเป็นแบบนั้น


“ฉันไปรู้อะไรมาหรือเปล่า”


“ก็รู้มาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าใช่เรื่องเดียวกับที่สารู้ไหม หรือไม่สาก็ไม่รู้อะไรเลย” 


“ยิ่งคุยยิ่งงงเหะ”


“จะว่าไปเราก็งงเหมือนกัน”


“…”


“…” 


“ฮะๆ”  นี่เราคุยอะไรกันวะเนี่ย!


“จริงๆเราเห็นสาสนิทกับธนนที่เรียนวิดวะเลยเข้ามาสังเกตดู”  ในที่สุดฉันชนกก็ยอมคายความจริงส่วนหนึ่ง


“ธนนทำไมเหรอ”


“ก็เป็นคนดีนี่ ดีกว่าที่เราคิดตอนแรก”  เพราะสาแนะนำให้รู้จัก บางครั้งก็พาไปกินข้าวด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นหากฉันจะมาคิดทำให้คนรักกันแตกร้าว สานั้นก็ไม่ได้แคร์ธนนไปมากกว่าฉันเท่าไหร่ หากคนสองคนจะทรยศกันไป ตนก็จะถือว่านี่คือเรื่องดีๆที่ได้กำจัดออกไปในคราเดียวกันถึงมันจะน่าเจ็บปวดก็ตาม


“หมายความว่าไงเหรอ”


“เราเป็นห่วงสา บางทีก็เอ๋อมากๆ กลัวไอ้หนุ่มวิดวะนั่นมาหลอก”  สาก็คิดตามว่าเขาจะหลอกลวงกันได้ไหม หรือถ้าเขาทำได้ สาก็อาจจะให้อภัย


เพราะตอนนี้ที่คบอยู่ก็หลอกลวงว่าชื่นชอบกันอยู่เหมือนกัน


ความจริงนั้นตั้งแต่คบมา สายังไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับเขาแบบที่ควรเป็นเลย ในขณะเดียวกันที่ใครอีกคนกลับทำให้ใจเต้นไม่เว้นแต่ละวัน แค่เราตักกับข้าวอย่างเดียวกันก็ทำตัวไม่ถูกมือไม้อ่อนไปหมดแล้ว กลับมาที่เรื่องฉันจ้องจับผิดแฟนของกันจริงไหม เรื่องนี้ก็น่าจะใช่


เพราะทุกครั้งที่ฉันยิงคำถามไป ก็มักจะเป็นเรื่องที่คนรักกันอยากรู้ ธนนตอบอย่างจริงใจ แต่ทำไมสารินถึงเฉยๆที่จะได้ฟัง ทั้งนี้ทั้งนั้นธนนก็ยังอยู่แค่ในระดับที่ปลื้มกัน มากกว่านั้นก็คิดว่าเราคงต้องปรับตัวกันอีกไกล หรือจูบเหม่งแล้วไม่ทันใจ ต้องให้จูบปากเลยไหม จะได้รู้ว่าตอนนี้สาชอบเขาบ้างหรือยัง


“สาชอบเรามากขึ้นหรือยังอ่ะ”


“ก็มากขึ้นนะ”  สาตอบตรงๆ ยิ่งสนิทกันก็ยิ่งชอบ แต่ไม่ได้ชอบแบบนั้น ธนนเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่บางทีก็คนแบบนี้แหละที่เหมาะสม


“มาก…ถึงแบบนั้นไหม”


“…”


“ว่าแล้วเชียว”  เขาถอนหายใจออกมา จริงๆเขาปลื้มและชอบสาแบบนั้นแหละ ไม่เคยคิดว่าอยากจะเป็นเพื่อนด้วยเลยด้วยซ้ำ แต่ขนาดได้มาเป็นแฟนกัน ก็เหมือนถูกจัดอยู่ในเฟรนด์โซนเสียอย่างนั้น


“เราขอโทษ ทำให้นนรู้สึกไม่ดีเลยใช่ไหม”


“ไม่หรอก”  เขาโกหก จริงๆก็เสียเซลฟ์นิดหน่อย


“เราดูเห็นแก่ตัวไปไหมที่ทำแบบนี้ จริงๆนนน่าจะมีคนมาชอบเยอะมากๆ”


“ก็นะ แต่ว่าเราชอบสามากที่สุด”


“…”


“แค่เปิดโอกาสให้ลองคบเราก็ดีใจแล้ว รู้ไหมว่าการจะเข้าถึงตัวสาน่ะยากแค่ไหน”


“ไม่ยากหรอก คนอ่ะชอบคิดว่าเราขรึมแต่จริงๆเราช้าจะตาย” เช่นนั้นมันก็ส่วนหนึ่ง


แต่อีกส่วนที่ทำให้คนหลายคนไม่กล้าเข้าหาเชิงนั้น เพราะมันมีปัจจัยอื่นมากกว่า


“สารู้ไหมว่าคนที่โรงเรียนเก่าเราเขาคิดยังไง สาอ่ะน่ารักมากนะ ยิ้มทีคนก็จะละลายแล้ว”


“พวกเขาร้อนจนละลายเลยเหรอ บ้า! ไม่ถึงขนาดนั้น”  สาก็รู้ว่าตนไม่ใช่คนขี้ริ้ว แต่เป็นคนเก็บตัว


“ถึงสิ แต่น่าเสียดายที่พวกนั้นเข้าใจผิดเรื่องสากันไปหมด” 


“เข้าใจผิด?”  เรื่องไม่ดีเหรอ?


“ทุกคนเข้าใจว่าสาเป็นเด็กของพี่สน มีคนเห็นสาเดินกับพี่เขา และวันนั้นเขาก็มาส่ง พวกเด็กม.ปลายก็บอกกันว่าตอนสาไปหา ไม่เพียงแค่ว่าพี่เขาจะคุยดีๆด้วย ยังเดินตามมาส่ง”


“แค่ครั้งเดียวเอง”


“ครั้งเดียว แต่ข่าวมันก็ไปตามนั้น” และข่าวก็โหมสะพัดเป็นเวลาติดๆกันหลายปี นอกจากนี้พอจะเข้าใกล้ ก็จะมีเรื่องอะไรๆทำให้ต้องเลิกร้างไป


“พี่เขาเป็นพี่เรานะ”


“ก็ใช่ไง แต่ใครจะรู้ไหม ทั้งพี่สนและสาไม่เคยบอกใครนี่”  พวกเขายังเข้าใจผิดมาจนถึงวันนี้ จนกระทั่งธนนได้มีโอกาสไปส่งสารินที่บ้านวันนั้น จึงได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ทว่าความเป็นจริงที่ไม่มีใครบอก คือมันซับซ้อนยิ่งกว่านั้น


“อย่างนี้คนก็ไม่ค่อยชอบเราอ่ะสิ”


“อันนั้นเราไม่รู้ แต่เหมือนว่าใครๆก็ไม่กล้าแกล้งสาเพราะกลัวพี่สนนะ”  แต่พี่สนน่ากลัวจริงๆนั่นแหละ น่าเสียดายที่สารินไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ทว่าก็ต้องขอบคุณเขาเช่นกันที่เผื่อแผ่บารมีมาให้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้หรือเข้าใจอะไรเลยก็ตาม


ช่วงบ่ายของวันนั้นที่สาแวะไปกินข้าวกับธนนที่คณะ พอกินเสร็จเขาก็ขึ้นไปเรียนส่วนตนก็เดินกลับมาที่คณะของตัวเอง มาถึงก็ตั้งใจจะไปหาฉันที่เพิ่งมามหาวิทยาลัย เรามีเรียนคาบบ่ายแต่ยังพอมีเวลา ระหว่างนี้ก็คิดว่าจะไปเฝ้าฉันพุ้ยข้าวที่โรงอาหาร ทว่าเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้ไม่ได้ไป


“ฉัน มึงทำอย่างนี้ได้ยังไง!”


“ทำอะไรเอิง เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”  สารีบเดินเข้าไปเมื่อเห็นว่าคนทั้งสองกำลังจะทะเลาะกัน แต่กระนั้นก็กังวลว่าตนจะเป็นต้นเหตุของทุกอย่างและยิ่งทำให้มันแย่ลง


“ก็มึงอยู่ๆก็ทรยศพวกกูไปอยู่กับอีตัวนั่น มึงโง่หรือมึงโง่วะที่ให้แฟนตัวเองไปยุ่งกับมัน และพอเขาขอเลิกไปอยู่กับมันมึงก็มานั่งร้องไห้ฟูมฟาย ทีนี้พอมันหนีไปหาผู้ชายใหม่ที่เพื่อนมึงชอบ มึงก็กลับไปเกาะมัน”  สางง และงง และคิดว่างงมากๆ


“ใครบอกมึงว่ากูให้พี่สนไป”  พอถูกพูดขนาดนี้ ฉันของสาก็ไม่อาจจะทนสุภาพต่อไปได้ไหว ตรงนี้แหละความต่าง ฉันสามารถพ่นคำหยาบออกมาพร้อมหน้าตาหาเรื่องได้ แต่ถ้าสาพูดออกไป…น้ำตาต้องนองหน้าแล้วแน่ๆโกรธจนน้ำตาไหล โชคดีที่จนถึงวันนี้ยังไม่มีเหตุให้เป็นไป ไม่เช่นนั้นก็คิดไม่ออกว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร


“เดี๋ยวนะ หยุดก่อนได้ไหม”  สาคิดว่าสาต้องเข้าไปแสดงตัว


“มาแล้วเพื่อนเหี้ยของมึง ผู้ชายของเพื่อนนี่ชอบคั่วจังนะอีตัวดี”


“เอิง เราไม่เข้าใจว่าเอิงพูดถึงอะไร”  สาขมวดคิ้ว มันมีหลายประเด็นและหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องเกินไป นอกจากนั้นตอนนี้คนอื่นๆที่ยิ่งไม่เกี่ยวข้องไปใหญ่ก็ให้ความสนใจกับบทสนทนาที่ดังไม่เบาของเราด้วย


“มึงไม่ต้องมาแกล้งโง่ไอ้โรคจิตชอบแย่งของชาวบ้าน มึงแย่งพี่สนจากไอ้สาไปแล้ว และยังมีหน้ามาแย่งนนของอีแนนไปอีก”


“นน?”  เรื่องพี่สนนี่เขาคิดว่าเขาแย้งได้ แม้จะไม่กล้าไปลากเจ้าตัวมาแก้ไขเรื่องนี้ให้ แต่ก็มีธนนคนหนึ่งแหละที่สามารถเป็นพยานเสียงหนักแน่น แต่ชื่อของธนนที่ออกจากปากเอิงนี่สิ ที่สารินไม่เข้าใจ


“สาอย่าไปฟังมัน แนนมันมโนไปเอง”  นั่นแปลว่าฉันก็รู้เรื่องนี้


“อย่าบอกนะว่าฉันรู้”


“อืม…เราเลยเข้ามาคุยกับสาไง” มาถึงตรงนี้ฉันก็เพียงกระซิบบอก แต่ว่าถ้าจำไม่ผิด สาบอกว่านนเป็นคนดีกว่าที่คิดไม่ใช่เหรอ  “แนนมันมโนไปเองอ่ะ นี่ก็ตกมันกันทั้งกลุ่มเลย”  ถ้าเป็นยามปกติสารินคงหลุดหัวเราะพรืดกับมุกห้าบาทนี้แต่นี่ปกติที่ไหน


ก็ช้างทั้งกลุ่มตกมันอยู่ตรงหน้าพวกเราอยู่ไง!


“เราว่าน่าจะเข้าใจผิดมากกว่า แต่เราเชื่อว่าเราไม่ได้ไปแย่งของของใครมานะ” สารินเอ่ยแก้ตัว  “ส่วนเรื่องพี่สนกับฉันเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย”


“แล้วที่มึงนั่งลอยหน้าลอยตาในรถพี่สนทั้งๆที่เขาเลิกกับฉันมันแล้วล่ะ ทำได้ไงหะ!”


“แล้วมันผิดอะไรที่สามันจะนั่งรถคนจากบ้านเดียวกันมามหาลัยเดียวกันไม่ได้!”ฉันเถียงแทน


“มึงโกหก” บางทีนี่อาจจะเป็นความผิดพลาดมาตลอดที่สาไม่เคยเปิดเผยให้ใครฟังเรื่องความสัมพันธ์ในบ้านหลังนั้น แต่เปิดไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะอยู่ไม่สงบแบบนี้


แต่พอเถอะ…สากำลังจะลากฉันออกไป ไม่ต้องเข้าเรียนมันแล้วไปกินย้อมใจ อยู่ตรงนี้ไปก็พลันแต่ทะเลาะเบาะแว้ง สาที่เคยมีประสบการณ์อ้างว้างย่อมไม่สนไม่แคร์สิ่งใด ทว่าการจะลากฉันที่พร้อมจะตีรันฟังแทงไปก็เป็นเรื่องที่ยากสิ้นดี


“มึงจะไปไหนอีสา บอกกูมาว่ามึงทำได้ยังไง แย่งนนไปจากแนนได้ยังไง!”  ทว่าไม่ใช่แค่ลากฉันออกไปไม่ได้ สารินถูกเอิงเข้ามาฉุดไว้ เล็บยาวๆของเธอจิกเข้ากับผิวเนื้อ และสาจำต้องสะบัดทั้งตัวเธอและฉันทิ้ง


“เราไม่ได้แย่ง!”


“มึงมันเลวมาก มาขออยู่กลุ่มพวกกูมึงต้องรู้อยู่แล้ว!”


“ถ้ารู้อยู่แล้วเราจะไปยุ่งทำไม ใครกันแน่ที่โรคจิต ทะเลาะกันหน้าตึกคณะอย่างนี้ไม่อายชาวบ้านบ้างหรือไง!”สาเริ่มขึ้นเสียง แต่ยังไม่ถึงขั้นหลุดคำหยาบ และไม่มีน้ำตาให้ไหล


“ก็พวกกูจะกระชากหน้ากากมึงออกต่อหน้าคนทั้งคณะไง หน้าด้าน!” สารินก็ชักไม่ไหวแล้ว แม้ว่าจะดูเหมือนสัตว์กินพืชที่ยอมคนอื่นไปทั่ว แต่จริงๆแล้วก็แค่ไม่ร้ายกาจกับใครที่ไหนก่อน ทว่าหากย้อนคิดกันสักนิด


ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่าสารินเป็นคนที่ผดุงความดีและเต็มไปด้วยคุณธรรม


“งั้นวันหลังจะทำอะไรก็ให้รู้ว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องด้วย จะหาว่าเราไม่เตือน” สาพูดสั้นๆ ไม่ดังนัก


ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาส่งบางสิ่งเข้าไลน์กลุ่มของชั้นปี และลากฉันที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากตรงนั้นทันทีโดยไม่สนใจคำตะโกนเรียกของใคร สารินไม่เคยเฉียบขนาดนี้เพราะตนรักสงบ และใช้ชีวิตหลีกเลี่ยงการมีปัญหามาตลอด


ไม่ใช่ว่าไม่กลัวแต่เพราะความกลัวนั้นทำให้ตนถูกรังแก ฉันที่ถูกจับมืออยู่รับรู้ถึงแรงสั่นสะท้านของคนที่เดินนำหน้า และตนก็ยังไม่รู้ว่าสาทำอะไรลงไปก่อนนี้


“สา…”


“เราไม่อยากให้ฉันเปิดสิ่งที่เราส่งไปในไลน์กลุ่มนะ”


“สาก็รู้ว่าเราขี้เสือก”


“ก็เหมือนเราอะแหละ”  จริงๆก็รู้ว่ามันคงยาก แต่ว่าพอคิดว่าเราคงต้องทำใจในเรื่องของกันและกันมากกว่านี้


สารินและฉันชนกก็หัวเราะอย่างเอือมระอาในเรื่องของกันและกัน…


สารินจับให้ฉันนั่งก่อนจะไปสั่งข้าว ในระหว่างนั้นฉันที่ดันทุรังก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูแชทในไลน์กลุ่มที่ตอนนี้กริบ ทว่าคาดหวังได้ว่าคงมีคนเปิดไฟล์เสียงนั้นฟังกันไปเยอะแล้ว ฉันเองก็ไม่ควรรอช้า หยิบมาฟังบ้างให้เจริญหูเจริญตาบ้าง


“…”  และเมื่อฟังจบ ก็ทำหน้าเหมือนสาที่โดนเพื่อนรุมใส่ฉอดๆแบบเมื่อครู่


นี่มันอิหยังวะเนี่ย!!!


“ห้ามไม่ฟังนะคนเรา” สากลับมาพอดี


“ข้าวมันไก่ทอดของเรา!”  สาที่รู้ใจนั้นสั่งมาให้เพราะรู้ว่าฉันหน้ามืดหิวจนจะเป็นลมตายอยู่แล้วจึงเป็นคนอาสา พอเดินกลับมาก็พบว่าเพื่อนตัวดีฟังทุกอย่างในคลิปนี้ไปหมดแล้ว โชคดีที่ความหิวทำให้ไม่โมโหโกรธเคืองใครอย่างที่เป็น


เอ…หรือว่าฉันรู้อยู่แล้ว


“เอาจริงๆเรารู้อยู่แล้วแหละว่าสาไม่เกี่ยว”


“เราก็คิดว่าฉันต้องมีเหตุผล เรากับพี่สนเป็นพี่น้องกันนะ”  และข้อเท็จจริงนี่ ฉันก็รู้มาตั้งแต่แรก


“….อันนั้นเรารู้”


“ฉันไม่ได้ตึงกับเราเพราะเรื่องพี่สนใช่ไหม”


“จริงๆก็มีส่วน” อะไรนะ…  “แต่นี่ไม่คิดเลยว่าเอิงคิดจะงาบพี่สนด้วยนะเนี่ย”  แต่ฉันก็ไม่พูดอะไรต่อ


“มีส่วนอะไร”


“สาจ๋าอัดตอนไหนอ่ะ ทำไมไม่ให้เราฟัง!”


“ก็วันที่ฉันไม่ยอมคุยกับเราอะแหละจะเอาไปให้ฟังได้ยังไง”  คลิปที่สาเอาลงไปนั้นคือคลิปที่ว่าด้วยเรื่องที่ถูกนินทาตรงห้องน้ำหญิง โชคดีที่ตนกำลังเปิดโปรแกรมอัดเสียงพอดีเพราะอยากจะเช็คว่าได้อัดเสียงอาจารย์ไว้ไหม แต่น่าเสียใจ…


ที่เผลออัดทับไฟล์เสียงอาจารย์เลย ╥ ╥


แถมวันนี้ก็ยังเอาไปใช้ในเชิงอันธพาล ถ้าคุณแพรวรรณรู้น้องสาไม่แคล้วจะโดนต่อว่า แต่ถ้าอธิบายเหตุผลอาจจะได้กำลังใจ คุณแม่เป็นสายอวยอยู่แล้วบีบน้ำตานิดหน่อยอาจจะวิ่งมาถึงมหาวิทยาลัย แต่อย่าให้รู้เลย เรื่องนี้มันเกี่ยวกับพี่สนด้วย


สุดท้ายแล้วฉันก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจในคำถามบางข้อ เรากลับไปเรียนอีกวิชาหนึ่งและก็พบว่าคู่กรณีไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ในขณะเดียวกันบางคนในกลุ่มยังเรียนอยู่ พวกเขามองหน้า แต่ไม่ได้แสดงทีท่าจะร้ายใส่


“เราขอโทษนะ”  วาฬที่นั่งอยู่ที่นี่พูดออกมา มันเป็นเรื่องปกติของกลุ่มใหญ่ที่จะมีหัวข้อที่ความเห็นไม่ตรงกัน ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ คนที่ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สนใจก็จะวางตัวเงียบๆไป สาเข้าใจ อย่างน้อยคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มองกันด้วยแววตาร้ายๆตลอดเวลา แต่คิดว่าจะให้กลับไปสนิทใจ ก็คงทำไม่ได้แล้ว


“สรุปเราเชื่อใจฉันได้ใช่ไหม”


“ไม่เชื่อก็ดีนะ แต่เราไม่ได้คิดร้ายอะไรกับสาเลย”


“แล้วกลับมาหาเราทำไม”


“เราแค่มาสำนึกว่าสาไม่ผิด”  ฉันอธิบาย  “และเราก็รู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นทำแบบนั้นกับสา”  ฉันคือต้นเหตุ


“ช่างเหอะ”  เอาจริงๆ สาก็ไม่ได้ชอบเพื่อนคนอื่นของฉันที่มาคบกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยนี่ และพอใจที่ได้ฉันกลับมา พร้อมกับสลัดคนอื่นที่ไม่มีค่าออกไปให้พ้นทางก็นับว่าคุ้มนะ


ในส่วนทักษะการเลือกคบคน ฉันที่ดูจะเด๋อด๋าน้อยกว่า เอาจริงๆแล้วไม่ได้เฉียบขาดเท่าสาเลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพื่อนไม่รู้หรอกว่าคนที่ดูไม่มีอะไรจะมีอีกด้านซ่อนอยู่เหมือนกัน ส่วนจะไว้ใจฉันต่อไปได้หรือไม่ เอาเป็นว่ากับฉันนั้นอยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่สุดท้ายคนที่ตนยึดมั่น


ก็ยังมีแค่ตัวเองเป็นที่ตั้งอยู่ดี…


สาได้คุยกับธนนเรื่องนี้ เขารู้สึกผิดที่ทำให้แฟนของตนต้องลำบาก จริงๆเขาเคยคุยกับแนนแต่มันก็นานมาแล้ว และตอนนี้ก็ไม่ได้คุยกันเลยจึงไม่ได้บอกออกไป สาเชื่อเพราะระหว่างที่อยู่ในกลุ่มนั้นชื่อของธนนแทบไม่เคยถูกเอ่ย คาดว่าเพราะฝั่งธนนไม่สนใจ แนนจึงไม่กล่าวถึงให้อายใครจนกระทั่งตอนนี้


ทว่าพอมันเกิดเรื่องฉันกับสา เรื่องราวสนุกปากมากมายถูกขุดขึ้นมา กระทั่งเรื่องของธนนที่เป็นอดีตเมื่อหลายเดือนก่อนก็ยังถูกนำมาพูดและตีความใส่ไฟกันรุนแรงจนทำให้สายมโนนำพากันมาถึงจุดแตกหักในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก แต่เขาก็อ่อนไหวกว่าตนมาก ธนนยังขอโอกาส แต่สำหรับสาที่ไม่ได้มองว่าเขาผิดพลาดอะไรก็ทำเป็นมอบให้อย่างไม่สบายใจ ก็ยังคิดหวังในตัวผู้ชายคนนี้ แม้รู้ว่าดันทุรังไปก็คงรักต่อไม่ไหวเช่นกัน


เขาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่าปรับความเข้าใจกับสาแล้ว พร้อมเคลียร์ปัญหา โพสต์แชทที่ร้างลาระหว่างแนนให้ทุกคนที่สนใจได้เห็น สารินไม่ได้ขอ ทุกอย่างมันรันไปตามระบบระเบียบเวรกรรมที่แต่ละคนทำ ทั้งนี้ทั้งนั้นตนก็รู้ว่าความมันอาจจะยาวและคนบางคนก็สาวเก่ง แต่ก็เชื่อมั่นว่าจะผ่านมันไปได้ อย่างตอนนี้ได้ฉันคืนมาคนเดียวก็ดีใจ


ทว่าเรื่องน่าสลดใจต่อจากนี้ก็ไม่ใคร่อยากรับฟัง


“คุณแม่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนกล้าทำร้ายน้องสาแบบนี้”  สารินไม่ได้ฟ้อง และตอนนี้เราก็อยู่ในห้องทานข้าวของที่บ้าน ไม่มีใครกินลง และทุกคนก็รอให้คุณแม่ซักกันให้สะอาด  “ทะเลาะกับน้องฉันด้วยเหรอคะ”


“เอ่อ…ดีกันแล้วครับ”  ว่าแต่แพรวรรณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง“เป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย”


“แม่อยากคุยกับน้องฉันค่ะ”


“แต่ว่า…”


“คุณแม่ก็เอ็นดูน้องฉันนะคะ ถ้าน้องฉันไม่คิดร้ายกับลูกคุณแม่จริง น้องสาก็ไม่ต้องกลัวอะไร”  อันนี้ถึงจะมั่นใจว่าควบคุมระดับความสัมพันธ์กับฉันได้ แต่สาไม่รู้ว่าหากมีคนแทรกแซงแล้วเรื่องจะเบนไปทางไหน และความเสี่ยงลำดับต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนคาดหมายได้


ทว่าคุณแม่ก็โทรหาฉันชนกที่มึนๆงงๆเป็นทุนเดิมอยู่ดี ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรให้คุยกันนักหนาแต่ไม่นานก็กลับมา ดูเหมือนว่าคุณแม่จะนัดฉันมากินน้ำชา สารินกำลังจะเอ่ยว่าขออยู่ด้วย แต่แพรวรรณก็รู้ทัน


“ไม่ได้ค่ะ”


“คุณแม่…”


“แล้วต่อจากนี้คุณแม่ไม่ให้เราทำตามอำเภอใจแล้วนะ” สารินที่เลี่ยงการถูกทำโทษมาได้ตลอดเป็นสิบปี ทำไมต้องมาเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนี้ด้วย  “พี่สนคะ ต่อไปต้องทำหน้าที่ปกป้องน้องด้วยนะ”


“…”


“ถือเป็นการทำโทษเราสองคนนะคะ”  แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสนธยา “อยากแกล้งทำเป็นไม่รู้จักจนคนอื่นเขาพากันเข้าใจผิดนัก ต่อไปก็ช่วยแสดงความรักกันให้เยอะๆกว่านี้ด้วยนะคะ สองพี่น้อง”  สารินตาโต มองหน้าสนธยาเลิ่กลั่ก ทว่าผู้ประสบเคราะห์กรรมกับทำแค่หุบปาก การลงโทษนี้มันหนักหนาเกินไปแล้ว


ใครก็ได้หยิบไม่เรียวให้คุณแม่มาตีน้องสาเถอะ!


Talk:
พระเอกเราไม่ใช่ตัวประกอบนะทุกคน เดี๋ยวพี่เขาต้องมา แค่ตอนนี้คิวแน่น555
@reallyuri #คู่กินคู่กัด






หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 14 24/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-03-2019 09:27:28
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 15 27/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 27-03-2019 18:52:33
15

สน xสา


“มากับพี่สนเหรอวันนี้”  ฉันที่มาถึงแทบจะพร้อมกันนั้นเอ่ยทัก ส่วนสารินนั้นถอนหายใจออกมา เพราะประกาศิตที่ว่านั่นแท้ๆเลย แผนการเชื่อมสัมพันธ์พี่น้องในวัยนี้เรียกได้ว่าทรมานใจกันเหลือเกิน ตั้งแต่นั่งรถมาด้วยกัน นี่เพิ่งจะเป็นนาทีแรกละมั้งที่ได้หายใจออกกับชาวบ้านเขา


หลังจากแพรวรรณโทรไปหาฉันชนก เธอก็กำหนดเด็ดขาดว่าสองพี่น้องต้องอยู่ด้วยกันและพูดคุยให้มากกว่านี้ แต่ไม่คิดบ้างหรือว่านี่มันออกจะสายไป สำหรับเด็กโข่งสองคนที่ไลฟ์สไตล์เรียกว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับสารินนั้นที่เพิ่มมาคือการเอาเขาเข้ามาในชีวิต แต่อีกฝ่ายนั้นคงจะรู้สึกเหมือนถูกกักบริเวณ


“สรุปคือพี่สนต้องงดเที่ยวและต้องมาคอยนั่งเฝ้าสาด้วยเหรอ”หรือจะเป็นความผิดของฉันที่หลุดปากไปให้แม่ของสาฟังว่าคนที่คณะเข้าใจว่าสาไปแย่งพี่สนมา ทั้งๆที่ความจริงทั้งสองเป็นพี่น้องกัน คนเป็นแม่ที่ฟังคงรับรู้ถึงปัญหาตรงนี้และพยายามจะให้พี่น้องได้ใกล้ชิดมากขึ้น


เดี๋ยวนะ ว่าแต่นี่มันไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอ?!


“อืม”


“แล้วธนนล่ะ”


“เราอธิบายให้นนฟังแล้ว เขาก็เข้าใจ”


“เข้าใจ? ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันชนกนั้นขมวดคิ้ว


“เอาจริงๆเรากับนนก็ไม่ได้ชอบกันขนาดนั้นหรอก คุยกันแล้วว่าถ้าไม่รอดก็ต้องถอย”  นั่นมันความรู้สึกสารินฝ่ายเดียวหรือเปล่า


“แล้วงี้จะได้เจอนนบ้างไหมเนี่ย”


“ถ้าแค่รับส่งต้องอยู่กับพี่สน กินข้าวอะไรอย่างนี้ก็ยังไปกับนนได้” จริงๆสารินก็คิดว่าถ้าหากจะไปเดินเที่ยวกัน พี่สนก็คงยินดีไปที่ไหนสักแห่งเพื่อรอกลับพร้อมกัน แต่อะไรอย่างนั้นสาก็ยังไม่ค่อยกล้าขอเท่าไหร่ คิดว่าถ้านัดนนออกมานั่งคุยแค่ในมหาวิทยาลัยได้ ก็คงไม่ต้องกวนพี่สนไปรับส่งเสมอไป


ทว่าช่วงนี้ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว ถ้าไม่ได้กลับบ้านด้วยกัน ก็คิดว่าโอกาสที่จะเจอมันน้อยนัก แถมวิศวะนี่เรียนน้อยที่ไหน น่าเสียดายเหมือนกันเพิ่งจะคบแท้ๆ แต่เราคงมาได้ถึงแค่นี้


“สาดูไม่เสียดายจริงๆนั่นแหละ”ฉันนั้นก่อนที่จะมาถามว่าคบกันอยู่จริงๆไหมก็นึกสงสัย สารินไม่ใช่คนประเภทที่ชื่นชอบใครง่ายๆ แต่คาดว่ายอมอ่อนจนคบไปนั่นก็เพราะมันเป็นช่วงที่สะเทือนใจแค่นั้น ซึ่งตอนนี้ปัญหาชีวิตวัยรุ่นอะไรนั่นก็ได้รับการแก้ปัญหาไปแล้ว หากรู้สึกต่อกันมากพอก็ย่อมคบต่อ แต่นี่เหมือนจะคบก็ได้ไม่คบก็ได้สงสารธนนเหมือนกัน


“เราก็…พยายามอยู่”


“พยายาม? หมายถึงที่คบกันอยู่”


“อืม…ธนนเป็นคนดี”


“มันไม่พอหรอกนะสา”ฉันนั้นพูดออกมา “ถ้าสาแค่สงสาร เราว่าธนนยิ่งน่าสงสารมากกว่าเดิมอีก”  ที่ฉันพูดมันก็ถูก ถูกมากจนสะอึกไป


อย่างว่า ถ้านนแย่กว่านี้ สาก็จะบอกเลิกอย่างง่ายดาย จะว่าสานั้นเสียดายความเป็นคนดีของแฟนหนุ่มก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็เพราะรับไม่ได้กับนิสัยไม่ดีของตัวเอง แต่ตอนนี้ที่กล้ำกลืนฝืนทน ก็คือสิ่งที่หลอกตัวเองอยู่ว่าที่เป็นมันดีอยู่แล้ว และสักวัน…ก็คงจะรักได้เอง


“อื้อ เราจะกลับบ้านแล้วล่ะ” นนที่กำลังจะไปเล่นบาสกับเพื่อนนั้นติดต่อมา สานั้นนั่งอยู่ในรถของพี่สน เรากำลังเผชิญรถติดในวันศุกร์กับแอร์ที่เย็นจัด


สานั่งตัวเกร็งจนแทบไม่ได้หายใจ กลัวเขาหงุดหงิดและวีนใส่ แม้จริงๆสนธยาไม่ใช่ใครที่จะเอะอะพาลก็ตาม ทว่าเห็นเขาถอนหายใจทุกสามนาทีแบบนี้ ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ


“รีบกลับไหม”


“กะ.. ก็”  ก็ต้องไปอ่านหนังสือสอบ


“แวะทานอะไรก่อนได้ไหม”  มาถึงจุดๆนี้ถ้าไม่ได้ก็จะตายไหมล่ะ!


ในที่สุดเราก็มานั่งทานอาหารกันที่คาเฟ่เล็กๆ จะว่าไปการนั่งรออยู่ในรถจนกว่าจะถึงบ้านมันก็เปล่าประโยชน์เหมือนกัน หากบอกว่าสารินต้องสอบสนธยาก็ต้องสอบเหมือนกัน จะให้เขามาขับรถและนั่งอ่านหนังสือคนเดียวก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นทำแบบนี้แหละดีกว่า


หลังจากสั่งอาหารมาทาน เราก็ใช้เวลาเงียบๆนั่งอ่านหนังสือของตัวเองไป ก็สักพักกว่าจะอินกับบทเรียนได้ เงยหน้าขึ้นมาดูเวลาก็พบว่าสมควรแก่การกลับได้แล้ว


“พี่สนสอบวันไหนเหรอ”  ของสารินสอบอาทิตย์หน้าวิชาแรก


“สอบอยู่”


“เห”


“อืม”  งั้นก็หมายความว่านี่เราใช้คนที่กำลังสอบมาขับรถเทียวไปเทียวมา เสี่ยงต่อการถูกกินหัวมากๆ


“ขอโทษที่ทำให้พี่สนต้องมารอนะครับ”  เพราะวันนี้เขาเหมือนจะเลิกเร็วกว่า พอลงมาก็เห็นว่าเขานั่งรออยู่ที่ใต้ตึกแล้ว ซึ่งใต้ตึกคณะของสารินมันวุ่นวาย ต่อให้เทพขนาดไหนก็คงจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง


“เราไม่ต้องขอโทษทุกเรื่องก็ได้”  เพราะมันน่ารำคาญ  “เพราะมันน่ารำคาญ”


อึก…


“มันน่ารำคาญที่ต้องมาฟังคำขอโทษทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนักหนา”


“…”


“คำพูดอื่นๆที่ดีกว่ามันมีตั้งเยอะ”เขาเว้นวรรคราวกับว่ากำลังสรรหาคำ  “นอกจากเจอกันก็ขอโทษ ก็จะไม่มีคำอื่นให้คุยเลย”  และจนถึงตอนนี้ที่เราคุยกันมันก็เป็นเช่นนั้น สารินเรียนรู้ที่จะเกรงใจคนในบ้านที่ไม่ค่อยสนิทกันทั้งคุณพ่อและพี่สน เพราะฉะนั้นถ้าหากพูดถึงการกลับบ้านของตน คนที่รออยู่ก็เหมือนจะมีเพียงแม่ และนั่นก็ไม่แฟร์กับคนอื่นเท่าไหร่


แต่ให้สารินเป็นน้องได้จริงๆใช่ไหม เขาไม่ได้รังเกียจหรือคิดว่าการพูดแบบที่สาถนัดคือการปีนเกลียวไร้มารยาท แต่จะให้สารินชวนคุยอะไรดีล่ะ ในเมื่อเราไม่เคยคุยกัน เหตุที่ให้สนทนาส่วนใหญ่มันก็มักจะมีสถานการณ์อยู่แล้ว ทำไมสารินที่เป็นคนพูดมากกับฉันชนกกลับเงียบขรึมได้เมื่ออยู่ต่อหน้าสนธยา


“พี่สน…”  แต่ว่าคนเราต้องมีจุดเริ่มต้น  “สอบยากไหม”


“ยากครับ”  เขาตอบในทันที


“ทำไม่ได้เหรอ”


“ทำได้สิ”


“เรียนหนักไหม”


“ก็หนักครับ”


“…”


“…”


“สาไม่ขอโทษแล้วนะ”


“ก็ไม่ได้ว่าเลย”  เขาตอบกลับ  “แต่อย่างนี้น่ารักกว่านะครับ พี่ว่า”  และดูเหมือนว่าคำแทนตัวแบบนี้ มันจ๊กจี้หัวใจดีชะมัด!


แต่ท่องไว้สิ พี่ชาย พี่ชาย พี่ชาย!


“จะว่าไปสากับพี่สนนี่หน้าไม่เหมือนกันเลยนะ”


พรวด!!!


“เลอะเทอะไปหมดแล้ว”  ฉันชนกตะคอกออกมา แหงสิ ก็สาสำลักน้ำมาโดนชีทที่เจ้าตัวถนอมเสียยิ่งกว่าอะไร สอบเสร็จแล้วเห็นบอกว่าจะเอาไปใส่กรอบไว้ พ่อแม่ต้องดีใจที่ลูกตั้งใจเรียน แต่จริงๆสาว่ามันต้องรอให้ได้ใบปริญญาไปใส่กรอบมากกว่า


“ก็ฉันพูดอะไรบ้าๆ”


“บ้าๆที่ไหน ถ้าไม่ออกมาบอกว่าเป็นพี่น้องกันเราก็ไม่เชื่อเท่าไหร่นะ”


“…จะให้เราพาคุณแม่มาคุยไหม”


“เราคุยแล้วไง คุณแม่ก็บอกว่าครอบครัวเดียวกัน”


“…”


“แต่ฉันว่าสาระวังๆไว้หน่อยก็ดีนะ”  ฉันชนกขมวดคิ้ว  “ก็รู้แหละว่าพี่น้องกัน”


“นั่นสิ มีอะไรให้ระวัง”  ก็ไม่รู้สินะ…


ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


ความสัมพันธ์ระหว่างสากับฉันนั้นดีขึ้นตามลำดับ แต่จริงๆแล้วเราแทบไม่ต้องปรับอะไรเลยเพราะเดิมทีก็สนิทสนมกันอยู่แล้ว แถมพื้นนิสัยเดิมก็ไม่ใช่พวกที่ชอบหวังพึ่งใครเป็นพิเศษ และเพราะไม่ค่อยคิดอะไรจึงไม่หวังปรึกษาทุกเรื่องที่สำคัญ จะอย่างไรคนอย่างสานั้นก็ยังชอบเก็บงำความในใจไว้กับตนเองมากกว่า


กับธนนเองก็ไม่เชิงระหองระแหงหรอก แต่เพราะจะไปไหนพี่สนก็มักจะมาคอยเฝ้าตามคำสั่งของแม่ ทำไปทำมาเวลาอยู่ด้วยกันก็มักจะเกรงใจจนต้องขอกลับก่อนเสมอ ซึ่งแบบนี้มันไม่แฟร์กับธนนเลย


สาเลยคิดว่าเราคงไปต่อกันไม่ได้แล้ว


“สาคิด…มาดีแล้วใช่ไหม”  ธนนถาม


“เราขอโทษด้วยนะ”


“…”  ธนนเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมา  “นึกไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”  แต่ใช่ว่าเขาจะโกรธ


อันที่จริงธนนนั้นก่อนขอคบก็ทำใจว่าอาจจะไม่ได้เป็นคนรัก ที่เขาได้ใกล้ชิดขนาดนี้ก็เรียกว่าแต้มบุญสูงจนอาจจะใช้หมดไปแล้ว อุปสรรคมันก็เยอะนัก ไม่แปลกเลยที่จะไปต่อไม่ได้ ทั้งนี้สาก็ยังใจดีพยายามจะรั้งมันไว้ ไม่เช่นนั้นปรบมือข้างเดียวมันก็ไม่มีทางดังหรอก แต่แค่คนหนึ่งไม่มีแรงจะปรบต่อไปอีกแล้ว


อันที่จริงเขาก็เหนื่อยพอดี


“เราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่หรือเปล่า”


“อันที่จริงเราก็อยากเป็นเพื่อนกับนนนะ แต่ว่านนจะยังโอเคกับเราไหม”


“เราจะไม่โอเคกับสาได้ยังไง”  เขายิ้ม อาจจะเพราะว่าที่ผ่านมา กำแพงสูงและหนาที่มองไม่เห็นนั้นมันทำให้เขารับรู้ตัวเองและเยียวยาใจมาตลอด ดังนั้นวันนี้ที่คาดหวังไว้ว่าจะมาถึงจึงรับมือได้สบายๆ อันที่จริงอย่างนี้อาจจะสบายใจมากกว่าทั้งสองฝ่าย


เพียงแต่มันน่าเสียดายที่มันจบลงแล้ว…


หลังจากคุยกันจนเคลียร์แล้ว สารินก็ไม่รั้งอยู่ต่อไป ไม่ใช่ว่าอยากจบบทสนทนาหรือว่ากลัวธนนกลับคำพูด แต่ว่าตอนนี้ต้องให้เวลาอีกฝ่ายเสียหน่อย เขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะจูนต่อความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับสารินในตอนนี้ ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากว่าสาจะกลับบ้านไปก่อน อย่างน้อยเราก็ต้องให้เวลากับหัวใจ และไม่ควรให้คนที่มารอต้องรอต่อไปแบบนี้


“เป็นอะไรไปล่ะ”  ทั้งๆที่ปิดเทอมแล้ว แต่ว่าการไปไหนมาไหนก็ยังไม่เป็นอิสระ สารินยังต้องมีสนธยามารับมาส่งทุกครั้งและวันนี้ก็เช่นกัน เพราะนัดธนนไว้เลยมาหา แต่ว่าบทสนทนามันจบแล้ว เฉกเช่นกับความสัมพันธ์รูปแบบนั้นที่ตนตัดสินใจลองมี


สุดท้ายแล้วความสำคัญ สารินก็ยังยกให้ธนนน้อยกว่าสนธยาอยู่ดี


“ฮึก”  น้ำตาของน้องนองหน้า เขาที่พอมาส่งก็ไปเดินเที่ยว ได้รับโทรศัพท์หลังจากแยกกันไม่นานก็เดินมาหา ทว่าสิ่งแรกที่เห็นคือภาพน้องที่เช็ดน้ำตาอยู่ตรงหน้าแบบนี้


“เกิดอะไรขึ้น”  เขาขมวดคิ้วตีหน้าขรึม หากเป็นปกติสารินคงหนีไปหลบหลังเสาแล้ว แต่ตอนนี้ตนเจ็บจริงๆ ไม่ได้เจ็บเผื่อธนน แต่เจ็บที่ตัวเองไม่เป็นดั่งใจ


“สา…สา…”


“อย่าร้องสิ”  และเหมือนคำปลอบนี้จะเป็นดั่งวงแขนที่อ้ากว้าง สารินที่ตาพร่าไปหมดนั้นเดินเข้ามาก่อนจะสวมกอดเขา รับรู้ได้ถึงร่างกายที่เกร็งแข็งของคนเป็นพี่ ก่อนที่จะรับรู้ถึงอ้อมแขนจริงๆที่ไม่ใช่ภาพลวงตาอีกต่อไป


และก็ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไหร่ที่อยู่ในอ้อมกอดที่รู้สึกปลอดภัยภายใต้แสงไฟทึมๆของบันไดหนีไฟโซนตึกจอดรถ…


สารินนั้นยังคงสะอึกสะอื้นนั่งรอ ไม่กล้ามองหน้าคนที่เราไปขอให้เขากอดกันไว้ จนตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมา ทราบว่าอยากจะเข้าไปซื้ออะไรหน่อย


เมื่อครู่ตนก็อ่อนแอเกินไป ไม่รู้ว่าเขาที่ไม่อ่อนโยนจะคิดตำหนิกันถึงไหน แต่ว่าความอ่อนแอมันไม่เข้าใครออกใคร หากเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็เกรงว่าอ้อมกอดนี้คงไม่ใช่คนที่ชื่อสนธยาเหมือนกัน สารินก็แค่โหยหาสัมผัสปลอบโยนที่จะบอกว่าการตัดสินใจนี้มันดีที่สุดแล้ว ในเมื่อฝืนต่อไปไม่ไหว ก็อย่าฉุดรั้งใครไว้แบบนี้เลย


รับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวของใต้ตา เช่นนี้ก็รู้ว่าสภาพของมันไม่ได้ดูดีนัก อยากกลับบ้านจัง แต่ว่าตอนนี้ยังต้องรอบางคนกลับมาก่อน สนธยาให้สารอที่รถ ส่วนเขาไปไหนสักที่ไม่ได้บอกกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นความกล้าที่จะโทรถามก็ไม่มี เกรงว่าจะเป็นการเร่งเร้าให้เขาโกรธเคืองเสียมากกว่า


แต่ว่าประตูรถข้างคนขับก็ได้เปิดออก


“อ่ะนี่น้ำ”  เขาไปซื้อน้ำแต่หาตู้กดแถวนี้ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องลงไปหาที่ซุปเปอร์ คนที่รับมานั้นมองหน้าเขาอย่างงงงัน ทว่าใบหน้านิ่งๆนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา


“ขอบคุณครับ”


“ดีกว่าพูดว่าขอโทษ”  หากเป็นสมัยก่อน ในสถานการณ์แบบนี้สารินต้องเอ่ยขอโทษออกมา ทว่าตนปรับตัวได้แล้ว คนทำดีด้วยไม่ควรขอโทษที่ทำให้ลำบากเพราะมันคือความเต็มใจ สิ่งที่ควรพูดออกไปคือคำว่าขอบคุณเพราะซึ้งน้ำใจจริงๆ


“สาอยากกลับบ้านแล้ว”


“ถ้าแม่เห็นเราเป็นงี้จะอธิบายยังไง”  อันที่จริงคนที่เป็นเจ้าของอ้อมกอดเมื่อครู่ยังไม่รู้เลยว่าสาเป็นบ้าอะไร นั่นสิเราควรจะอธิบายอย่างไรดีในเมื่อเรื่องแบบนี้มันส่วนตัวเกินไป แต่คนที่ประคบประหงมกันนั้นก็คงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ และสานั้นลำบากใจที่จะพูด


“ผมไม่รู้”


“ไปต่างจังหวัดกันไหม”


“ครับ?”


“พี่อยากไปวิ่ง”


“วิ่งเหรอ”


“ไม่ได้วิ่งนานแล้ว”  สารินคิดว่าเขาออกกำลังกายบ่อยอยู่เลยไม่เข้าใจความหมายเท่าไหร่ ทว่าหากนี่คือข้อเสนอแนะที่จะทำให้เราได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธออกไป


เมื่อนั่งรถไปได้สักพัก ดวงตากลมโตก็ปิดลงก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา วันนี้สารินตัวน้อยเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่เมื่อหลับเต็มอิ่ม อากาศที่กำลังสบายอย่างบอกไม่ถูกนั้นก็ปลุกให้ตนตื่นขึ้นมา และพบว่ารถที่นั่งมานั้นจอดนิ่ง กระจกทุกด้านก็ถูกเปิดให้ลมถ่ายเท ที่สำคัญ…คนที่ควรจะอยู่ข้างกาย ก็ไม่ปรากฏกายอยู่ในที่ตรงนี้


“พี่สน…”  สารินพึมพำร้องหา นี่เขาพาเรามาอยู่ที่ไหนกัน?


ทว่าความกลัวที่ควรจะมีอยู่กลับไม่เคยเกิดขึ้น คนตัวเล็กเลือกที่จะลงจากรถและเดินเอื่อยเฉื่อย สารินค้นพบว่าที่นี่คือสวนที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าสีฟ้าก็สว่างสดใส ที่เขาบอกว่าต่างจังหวัด มันคือสถานที่ที่สวยและทำให้ชุ่มชื่นหัวใจจริงๆ


กรรรรรรร...


“ฮื้อ!”  เสียงอุทานหลุดออกมาเมื่อได้ยินเสียงเหมือนสัตว์ป่าดังเข้ามาใกล้ และไม่ทันไรก็เห็นตัวตนของเจ้าของเสียงนั่น หมาป่าสีขาวเทาตัวใหญ่นั้นสืบเท้าเข้ามา และในระยะหลบเลี่ยงหนี สารินรู้ตัวดีว่าไม่มีทางพ้น


ทว่าความกลัวนั้นพลันมลายหายไป เจ้าของสี่เท้านั้นเดินมาหาอย่างแช่มช้า แม้แววตาคมกล้านั้นอาจจะไว้ใจไม่ได้ แต่สารินก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนีไปไหนไกล ดวงตาของเราที่จ้องมองกันนั้น มันก่อให้เกิดบางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งขึ้นมา


ร่างเล็กนั้นค่อยๆนั่งลง ประจวบกับหมาป่าเจ้าปัญหานั้นเดินเข้ามา มือไม่รักดีของสานั้นค่อยๆลูบขนของมัน ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มสวยเมื่อพบว่าเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้ เจ้าหมาป่าตัวใหญ่นั้นถูไถใบหน้าของมันกับต้นแขนและหัวไหล่ ก่อนที่สารินจะรวบมันเข้าไปกอดด้วยเข้าใจว่ามันจะปลอบโยน


“ขอบใจนะ ช่วยได้เยอะเลย”  ดวงตาที่หลับพริ้มกับใบหน้าที่ผ่อนคลายสามารถชี้วัดได้ถึงปริมาณความสุขที่มี ก่อนจะผละออกมาเพื่อให้เจ้าหมาป่าได้เป็นอิสระจากอ้อมแขนอันอ่อนแอนี่


มันถอยหลังและออกวิ่งไปยังสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ เสียงร้องที่คลอกับเสียงของใบหญ้ากระทบสายลมนั้นส่งผลให้เรื่องเลวร้ายเหมือนจะถูกฝังกลบให้จมหาย แม้จะเพียงชั่วคราว แต่มันก็ดีกับหัวใจในระยะหนึ่ง ในใจพาลนึกถึงคนที่พามา และใช่ว่าตัวสาจะไม่รู้


คนอยากวิ่ง…เขาได้วิ่งออกไปแล้ว….


ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้นก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอย เรื่องราวความบาดหมางในช่วงปีแรกนั้นค่อยๆจางหายจากความทรงจำของผู้คน กลุ่มเพื่อนเก่าก็แตกออกไปและไปรวมกับกลุ่มใหม่ ส่วนสาและฉันก็มีเพื่อนใหม่ที่คบหาได้สนิทใจมากขึ้น แต่ละวันผ่านไปอย่างที่ควรเป็น ตื่นมา รอใครบางคนขับรถไปส่ง และไปเรียนด้วยกัน เมื่อถึงตอนกลับ ใครเสร็จก่อนก็มารอ เป็นเช่นนี้มาหลายปี แม้กระทั่งตอนที่สนธยานั้นพ้นผ่านวัยนักศึกษา สารินก็ยังต้องมานั่งรอที่บริษัท


แต่แบบนี้มันใช่เหรอ…


“สาก็สนิทกับพี่สนแล้วนะ”  คุณแพรวรรณก็รับรู้ ว่าตอนนี้สองพี่น้องพูดคุยหยอกล้อกันได้สนิทใจมากขึ้น ทว่าทำไมยังบังคับให้ตัวติดกันด้วย


“น้องสาเบื่อพี่สนแล้วเหรอคะ”


“สาจะไปเบื่อพี่สนได้ไง”  แค่ไม่เข้าใจว่าโตขนาดนี้ยังต้องไปไหนมาไหนกับพี่ชาย


“แม่แค่เป็นห่วงเลยอยากให้อยู่ใกล้สายตา”


“แต่ว่าสาโตแล้ว”  สารินพึมพำเสียงเบา  “แถมยังหางานทำได้แล้วด้วย”


“น้องสาว่าไงนะคะ!!” 


“สาบอกว่า สาได้งานทำแล้ว เป็นบริษัทในเครือเดียวกับที่ฉันจะไปทำ”


“แม่คิดว่าน้องสาจะกลับมาทำงานที่บริษัทในเครือของเราเสียอีก”  คุณแพรวรรณดูเสียใจไม่น้อย


“ให้สาไปลองหาประสบการณ์เถอะนะ” 


“…”


“นะครับคุณแม่ ตรงนั้นมีงานที่อยากจะทำจริงๆ”


“เฮ้อ”  เธอถอนหายใจออกมา อันที่จริงเธอก็บีบบังคับเด็กคนนี้เกินไป แต่จะไปทำงานที่อื่นเลยเหรอ ช่างเถอะ เดี๋ยวสักพักหนึ่งค่อยบีบให้กลับมาทำงานด้วยกันก็คงได้ แพรวรรณนึกวางแผนการอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้าของใบหน้าใส เธอก็ยอมแพ้เสียราบคาบ


ในอีกมุมหนึ่งไม่ไกลจากห้องๆนั้น ใครบางคนที่ได้ยินทุกอย่างนั้นประมวลบางอย่างในหัว เขาไม่เอ่ยอะไรออกมา และคิดว่าคงยังทำอะไรไม่ได้ สารินหลังๆมานี้พอสนิทกันก็เริ่มที่จะดื้อขึ้น เป็นธรรมชาติของเด็กน้อยที่พอคุ้นเคย แล้วเลยกล้าที่จะพูดตามความต้องการ น้องมาบอกกับเขาแล้วเรื่องที่ได้งานทำที่บริษัทอื่น ตอนแรกเขาว่าจะค้าน แต่ต้านทานไปก็คงไม่ได้อะไร


นอกจากความน้อยใจของคนน้องที่คิดอะไรก็ไม่มีใครรู้


ช่วงแรกๆสารินก็ไปกลับที่ทำงานทุกวัน แต่เพราะการเดินทางและจำนวนงานในแต่ละวันไม่เอื้ออำนวยเสียเลย หนักเข้าเจ้าตัวก็เลยมีสภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ แม้ว่าริมฝีปากจะติดรอยยิ้ม แต่ก็ฝืนเต็มทน จนคนแม่จะให้ออกให้ได้


“ทำไมน้องสาต้องทำตัวเองให้ลำบากขนาดนี้ด้วยละคะลูก คุณแม่เลี้ยงหนูได้นะ”


“แต่สาชอบงานนี้”


“มันไม่โอเคแล้วนะคะสา หนูกลับบ้านดึก ออกจากบ้านแต่เช้ามืด ล่าสุดเป็นไข้ก็ยังต้องออกไปทำงาน”


“แต่สาก็ไม่ได้ไปนี่”


“ก็แหงล่ะสิ ในเมื่อคุณพ่อเป็นคนอุ้มพาไปโรงพยาบาล”  แพรวรรณนั้นเถียงกลับ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่สามีของเธอต้องพาเจ้าตัวเล็กไปโรงพยาบาลในตอนเช้าเพราะทนเห็นไม่ไหว แม้ว่าเขาจะเย็นชาแค่ไหน แต่เห็นมาตั้งแต่เล็กมันก็อดไม่ได้ที่จะทั้งเอ็นดู และห่วงใยเช่นกัน


“สา…ขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงและขอบคุณที่เป็นห่วงกันครับ”  แต่สารินเรียนรู้ที่จะพูดคำที่เหมาะสมทั้งสองคำออกมาแล้ว พี่ชายคนโตของบ้านนั้นยังเงียบงัน เขาคิดอะไรในใจก็ไม่มีใครรู้ เหมือนที่สารินคิดอย่างไรถึงหาความลำบากใส่ตนเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเข้าใจเช่นกัน


“แล้วจะเอายังไง ไม่ลาออกอยู่ดีใช่ไหม” 


“สา…อยากจะขอไปเช่าหอพักอยู่”


“น้องสา!”


“ฮึก…คุณแม่”


“แม่เราเขาเป็นห่วงแค่ไหนไม่รู้เลยเรอะ!”  ประมุขของบ้านที่เงียบงันมาโดยตลอดนั้นแทบคำรามออกมา นอกจากกดดันให้ลาออกไม่ได้แล้วยังจะพยายามถีบหัวตัวเองออกไปอีกเหรอ


“สา…สาจะกลับมาทุกคนทุกอาทิตย์เลยครับ แล้วก็…แล้ว…”


“แม่ไม่โอเคค่ะ”  แพรวรรณพูดแค่นี้  “แม่เลี้ยงมาแต่เด็ก แม่เป็นห่วงมาก น้องสาทำแค่นี้ให้ไม่ได้เหรอคะ” 


“แต่สา…”


“เราไม่คุยกันเรื่องนี้แล้วนะคะ”  เจ้าของบ้านหญิงยื่นคำขาด ส่งผลให้บรรยากาศมื้ออาหารวันนี้รสชาติฝาดจนไม่มีใครกินหมดสักจาน


สารินก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจ เพราะสิ่งที่คาดหวังไว้บอกใครไปก็คงรับไม่ได้กันทั้งนั้น ในอนาคตที่ตนสำเร็จภารกิจให้กับคนในบ้านหลังนี้ หากจะดีก็อยากจะเป็นอิสระต่อกัน เดิมทีพวกเขาก็รับมาด้วยผลประโยชน์ที่หวัง หากจะจากกัน สารินก็ยังต้องการที่จะพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด เช่นนี้จึงพยายามมาตลอดทั้งเรื่องการเรียนและการทำงาน


ในส่วนของความรักและความผูกพันที่พวกเขาให้กัน สาก็มั่นใจว่ามันดีกว่าบ้านไหนๆที่รับผู้ชายที่ท้องได้เข้าไปเลี้ยงดู คุณแพรวรรณปฏิบัติต่อกันเหมือนลูก ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้สารินใช้ชีวิตดีๆไม่ต่างจากที่พี่สนมีเลยทีเดียว


แต่บุญคุณย่อมต้องทดแทน มันเป็นแผนที่วางไว้มานานแล้ว ทุกวันนี้ที่เขาให้สนธยาตามติดนั้นจุดประสงค์ก็คงเพราะไม่อยากให้คลาดสายตาไปไหน ทำไมสารินถึงจะรู้สึกไม่ได้ แล้วมันไม่เจ็บหรือไงที่ต้องคอยมานั่งถอดถอนใจไม่ให้ผูกพันต่อกันไปมากกว่านี้ สาจะไม่ทรยศต่อความไว้ใจของพวกเขาหรอก หากเวลานั้นมาถึงก็จะกลับมาหา


ในส่วนของความรัก ก็ได้รับมันมาหมดแล้ว
แต่ความเสียใจ…คนที่จะรับไปมันก็เหมือนจะมีแค่สาคนเดียวเท่านั้น


Talk: อยากลงอังคารของที่รักเหมือนกันแต่ติดว่าไม่มีที่แต่งเก็บไว้เลย
มีคนสงสัยว่าสาถูกวางตัวให้มาท้องกับพี่สนแล้วทำไมเป็นพี่น้องกันได้ จริงๆสาไม่ได้ถูกวางตัวให้มาท้องกับพี่สนนะคะ คิดว่าในตอนเปิดคู่น่าจะเคยเปรยๆไว้แต่มันนิดเดียวมากๆ อีกสักพักจะพูดถึงประเด็นนี้มากขึ้น
ตอนนี้ยังไม่ได้กลับไปอีกคู่เลยเพราะคู่นี้มีเนื้อเรื่องช่วงต้นยาวเชียว แต่ไม่นานทามไลน์จะประสานกันค่ะ (ซึ่งเราก็ยังแต่งไม่ถึงตรงนั้นเหมือนกันอ่ะ แงงงง)
ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เราได้มากเลยค่ะ
สัญญาว่าจะรีบมาต่อเร็วๆนะคะ
@reallyuri #คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 15 27/3/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-03-2019 09:19:47
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 16 5/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 05-04-2019 15:38:46
16

สน xสา


การที่จะออกมาพึ่งพาตัวเองคนเดียวได้ ในเมื่อพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครยอม
งั้นเราต้องพร้อมไปต่อรองกับจอมมารแล้ว…


ดวงตาของสารินและสนธยานั้นจ้องมองกันและกัน ในตอนนี้แม้คนอ่อนแอก็ไม่มีวันยอมแพ้ หากจะมีคนเดียวที่ช่วยได้ก็คงจะเป็นคนที่น่าจะไม่ยอมที่สุดนั่นแหละ แต่เดี๋ยว เรายังไม่เคยถามความเห็นเขาเลยนี่ บางทีก็อาจจะยิ่งกว่ายินดีที่ได้สลัดเราไปก็เป็นได้ บ้าจริงแค่คิด…น้ำตาก็จะไหล



“สรุปคือสาอยากให้พี่ไปช่วยพูดกับคุณแม่”  สนธยาทวนความเข้าใจ เรียกว่าคนน้องได้เรียกความกล้าหาญทั้งชีวิตมาใช้กับงานนี้


“ใช่แล้วครับ”  สาตั้งใจจะไม่อ่อนลงกับเรื่องนี้ แต่พอเห็นเขาปราดมองมาก็นึกอยากยกมือไหว้และพูดคำที่ทำให้สบายใจออกไป


ฮืออออ ขอโทษค้าบบบบบบ


“คิดว่าพี่จะช่วยเราเหรอ แม่ไม่ยอมอยู่แล้ว”  เขาหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบ รู้ไหมว่าวันนี้สารินวางแผนมาดีแค่ไหน


เริ่มต้นวันด้วยการออดอ้อนบอกว่านัดฉันไว้ ก่อนจะสั่งให้เลี้ยวรถพามาร้านกาแฟเพื่อพูดเรื่องนี้อย่างจริงใจเข้าไป สนธยาเกือบรับมือไม่ไหว แต่เชื่อสิว่าสกิลการไม่คล้อยตามของเขาสูงกว่าใคร


“เถอะนะครับพี่สน เห็นแก่สานะ”


“เพราะอะไรเราถึงอยากออกไปนัก”


“…”


“อยากเป็นอิสระขนาดนั้นเลย”  หรือว่าเขาจะรู้ทันชีวิตของกัน เมื่อนึกถึงแค่นั้น คนตัวเล็กก็กัดริมฝีปากที่กำลังจะหลุดคำพูดบางอย่างออกมา คนตรงหน้าคือสนธยานะ เราพูดตามใจคิดได้ที่ไหน


“สาก็ไม่หรอกครับ”  จริงๆแล้วสาไม่ได้อยากเป็นอิสระเลย เพราะอิสระ อาจจะโหดร้ายก็เป็นได้


“แล้วทำไม”


“สาก็แค่กลัวว่าวันหนึ่งถ้าต้องอยู่คนเดียวแล้วจะพึ่งพาตัวเองไม่ได้”  เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ก็เป็นตัวเองที่ร้องหาใครสักคน เป็นที่ยอมรับบ้าง ไม่ได้รับการยอมรับบ้าง คละๆกันไป จนสุดท้ายในอ้อมกอดของมารดาของสนธยาที่ได้ชื่อว่าเป็นคนอื่น สารินเพิ่งรู้ว่าตนกำลังจะเคยตัวเกินไป


“แล้วใครเขาจะปล่อยเราไปอยู่คนเดียว”


“ก็ใครจะไปรู้ละครับ”  น้ำตาหยดหนึ่งได้รินไหล  “ก่อนจะมาอยู่ที่บ้านนี้ สายังไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะได้กินข้าวอิ่ม นับประสาอะไรกับอนาคตที่มาไม่ถึงล่ะ”


“…”


“สารู้สึกขอบคุณทุกคนมากนะ แต่ว่าสาก็แค่กลัวก็เท่านั้นเอง”


“แล้วคิดว่าพวกเราจะปล่อยสาไปง่ายๆขนาดนั้นเหรอ” 


“ถ้าหมายเรื่องที่ต้องตอบแทนบุญคุณละก็ สาไม่เคยลืมเลยนะ”  ก่อนจะพึมพำออกไป “แต่ว่าแล้วหลังจากนั้นล่ะ”


คำพูดที่เคยได้ยินตอนเด็กเหมือนเทปที่ถูกกรอซ้ำ หลังจากทำประโยชน์ให้กับผู้ซื้อ ร่างกายของคนแบบสารินก็จะไม่เป็นที่จำเป็นอีกต่อไป นอกซะจากเขาอยากจะให้ตั้งครรภ์ที่สองให้แค่นั้น ทว่าส่วนใหญ่มักจบชีวิตลงอย่างเดียวดาย วนลูปไปเหมือนทุกยุคและสมัยจนอยากคิดจบมันไว้แค่นี้ สนธยาจ้องมองคนที่มาขอร้องเขาทั้งน้ำตาด้วยความคิดมากมาย


สิ่งเดียวนี้เขาให้ได้แต่ไม่รู้ว่าจะให้ไปทำไมในเมื่อมันไม่ได้เป็นความต้องการของใครสักคน ดูก็รู้ว่าสารินวางแผนนี้มานานแล้ว ทั้งเรื่องการเรียน การไปทำงานที่อื่น และย้ายออกไปอยู่คนเดียว เด็กคนหนึ่งที่จิตใจบอบบางและอ่อนแอนั้นกำลังพยายามอย่างมากที่จะสยายปีกอันกล้าแข็งสู่โลกกว้าง อันที่จริงมันก็ไม่ได้ผิดนัก แค่ไม่มีใครต้องการให้


ทว่าก็น่าสงสารหากจะเก็บไว้ให้คิดต่อไปว่าโลกที่เรามีให้คือการกักขัง

“พี่จะช่วยพูดดู”  เพราะสิ่งที่สารินต้องทำตามพันธสัญญาแต่แรกเริ่มนั้นคือสิ่งที่ไม่มีใครตอบได้ “แต่มีข้อแม้แน่นอน”  หากแพรวรรณคือคนที่อาจจะทำให้เด็กคนนี้หัวใจสลายจนขอหลบหลีกออกมาก่อน งั้นเอาเป็นว่าเขาจะยื่นให้ ทว่าการจะปล่อยไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำไปโดยไม่หวังผล เงื่อนไขใหม่ต่อไปนี้จะมีไว้ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด


“สาจะต้องอยู่ในสายตา ถ้าพี่สั่งให้มาหาคือมาหา”


“พี่สน…”


“แค่นี้คงพอให้ได้ใช่ไหม”  เขาถามย้ำ ซึ่งเท่านี้ก็มากพอแล้ว มันคงไม่ต่างจากการคอยบอกว่าอยู่ไหนทำอะไรแบบที่เคยเป็นเท่าไหร่ หากที่ผ่านมาทำได้ จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ย่อมไหวอยู่แล้ว


“ได้ครับ”  ขอแค่ให้ได้ออกมาพึ่งพาหรือหาทางเติบโตในระยะยาวให้ได้ก่อน กว่าจะถึงตอนนั้น…


หัวใจของเราคงไม่รับความหวังดีของใครอีกแล้ว


สมพรปากสนธยา เขาทำให้สารินออกมาอยู่คนเดียวได้จริงๆ! ทว่าเงื่อนไขโดยตรงของคุณแม่ คือจะไม่ซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งนั่นก็สมควรแล้ว ในเมื่อตั้งใจอยากพึ่งพาตัวเองนี่


ก่อนวันย้ายออกคุณแพรวรรณแทบไม่คุยด้วยเลย แต่พอวันย้ายของออก เธอก็เดินมากอดหอม คนที่ใจแข็งอยากจะปีกกล้าใจอ่อนยวบ ไม่อยากจะคิดภาพหน้าเศร้าๆที่จะเกิดขึ้นกับเราในอนาคตนั้นเลย หรือบางทีหลังจากที่สารินคลอดลูกให้กับตระกูลเพย์ตันแล้ว พวกเธอจะรับกลับมาอยู่ด้วยดังเดิม แต่อย่าหวังสูงไปจะดีกว่า


“น้องสาต้องกลับมาหาแม่บ้างนะ”


“ครับ”  บางทีสาอาจจะกลับมาบ่อยกว่าที่คิดไว้


“แล้วดูแลตัวเองดีๆนะลูก กลับมาแม่จะจับช่างน้ำหนัก ถ้าน้อยลงเตรียมขนข้าวของกลับมาเลย”


“ฮึก”


“ถ้าไม่ไหวกลับบ้านเรานะลูก”  เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่ เพราะเวลาที่เหลือนั้นมีน้อยลงแล้ว สารินจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!


สารินอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ในรถมาตลอด จนกระทั่งจัดข้าวของเธอก็เป็นคนช่วย แพรวรรณบ่นตลอดเวลาเรื่องของห้องที่สารินหามาเพื่ออยู่อาศัย แต่ดีกว่านี้ก็แพงเกินไป ในเมื่อจะให้พึ่งพาตัวเองให้ได้ ก็ต้องยอมรับที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้


หลังจากการย้ายออก ข้อตกลงทุกอย่างล้วนถูกทำตามเหมือนที่ตกลงไว้ สารินมักจะรายงานเสมอว่าตนจะไปไหนทำอะไร แม้ว่าหลังๆหลายครั้งจะไม่ละเอียดเสมอไป แต่ว่าก็อยากให้เขาเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่มีใครหนีไปอย่างที่สัญญา


เป็นเวลากว่าปีที่ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ แต่ตลอดปีที่ว่าสนธยาก็เข้ามามีบทบาทชีวิตมากขึ้น ถ้าชีวิตของสามีเพียงที่ทำงานกับหอพัก ชีวิตที่นอกเหนือจากนั้นก็เป็นของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะกลับหรือไม่กลับบ้าน ถ้ามีเวลาสนธยาเป็นต้องมาหา ซึ่งสารินคิดว่ามันคือการช่วยเหลือกันในรูปแบบหนึ่ง


เพราะรายได้ของเด็กที่เพิ่งทำงานได้ไม่นานและอยู่ในระหว่างสร้างตัว เจอกันทีไรไม่มีหรอกที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น อดมื้อกินมื้อเพราะขี้เกียจบ้างงกบ้างเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว และพี่ชายที่ได้เห็นน้องชายสภาพนี้บ่อยๆก็ไม่ค่อยพอใจ เลยกลายเป็นว่าเขามักจะพาออกไปหาอะไรกิน


เพราะฉะนั้นผลลัพธ์หลังชั่งน้ำหนักจึงออกมาดีเสมอ


ชีวิตของสารินก็ดำเนินมาเรื่อยๆ โดนพี่ชายเผด็จการใส่บ้าง โดนเพื่อนที่ชื่อฉันชนกทิ้งๆขว้างๆบ้าง แต่ล่าสุดคือ


เอี๊ยดดดดดดดดดด!!!


“พี่สน!!”  สารินตวาด ก่อนจะรีบปิดปากตัวเอง ถึงจะถึงเนื้อถือตัวชวนคุยเล่นได้แล้ว แต่เสียงดังเรียกชื่อเขา ถ้าไม่กลัวบาปก็ต้องกลัวตายนะว่าไหม


“…”


“ทำไมอยู่ๆก็เบรคงี้ล่ะ” 


“พี่ตกใจนิดหน่อย”  สารินว่าก็ไม่ได้เห็นหมาตัดหน้ารถที่ไหนเลยนะ  ว่าแต่เมื่อกี้เราคุยกันเรื่องอะไร


อ่อ…ผู้ชายข้างห้องมาจีบ


“อืม ตอนเช้าเขาชอบเอาถุงโจ๊กมาวางไว้ให้ อร่อยดี”


“แล้วกล้ากินไปได้ไง”


“ตอนแรกก็ไม่กล้า แต่สิ้นเดือนพอดีเลยลองชิมดู” จริงๆคือชักหน้าไม่ค่อยจะถึงหลัง เงินเก็บสาก็มีเยอะนะ แต่ว่าจะเก็บไว้ดมอีกสักพัก


“สา..ถ้ามันลำบากขนาดนั้น”


“สาไม่ลำบากอะไร” ยังคงเถียงหน้าตาย  “สาดีใจนะที่พี่สนห่วง แต่ว่า…อีกฝ่ายเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”  ยิ่งช่วงนี้คุณฉันก็เหมือนจะกุ๊กกิ๊กกับใครสักคนด้วย ถึงจะพูดว่าไม่เหงา แต่เชื่อเถอะว่าคนเราเห็นช้างขี้ย่อมอยากขี้ตามช้าง แต่ถ้าฉันมารู้ว่าคิดอะไรอยู่ ต้องดุแน่ว่าฉันไม่ใช่ช้าง และฉันไม่ได้ขี้!


“ตามใจเถอะ”  เขาถอนหายใจ บรรยากาศดูย่ำแย่ขึ้นมา แต่โชคดีว่าไฟแดงข้างหน้า ฉันก็จะลงแล้ว


แต่ไฟแดงที่ว่าทำไมมันนานนักล่ะ


“พี่สน…”  เพราะบรรยากาศมันอึดอัดเกินไปหรือเปล่า สารินเลยเรียกหา คนที่นั่งใกล้ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สาจะถือว่าเขารับรู้  “พี่สนไม่ได้เดทกับใครอยู่เหรอ”


“พี่จะเอาเวลาที่ไหน” 


“เหี่ยวเฉาเกินไปแล้ว เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก”  ทั้งๆที่สมัยก่อนเขามีคู่ควงมากมาย คนนิยมชมชอบก็เหมือนจะหาได้ทุกที่ ทำไมตอนนี้ชีวิตเขามันเหงาอย่างนี้ล่ะ โตมาก็หล่อดีนี่ แล้วตรงไหนที่มันไม่ตรงใจชาวบ้านเขากัน


“ช่างพี่เถอะ”


“ช่างไม่ได้ เดี๋ยวพี่สนไม่มีเมีย”


“หึ…”


“สาแนะนำคนดีๆให้เอาไหม”


“ไม่เอาอ่ะ สาดูไม่น่าเชื่อถือ”


“เชื่อถือได้”  สารินตบอกตัวเอง  “หรือแอบชอบใครอยู่ไหมเดี๋ยวสาไปช่วยทอดสะพาน”


“อืม”


“มีจริงๆเหรอ”


“ก็ประมาณนั้นมั้ง”


“ใครอ่ะ!”


“ไม่บอก”


“สารู้จักไหม”


“นั่นสิ”


“รู้จักหรือเปล่า!”  ทำไมนะ ทั้งๆที่เสียงนั้นดูอยากรู้อยากเห็น แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะควบคุมมันด้วย


“อืม”  เขาคร้านจะตอบอะไรอีก  “อาจจะรู้จัก”  แต่คำตอบที่ยังไม่ชี้ชัด ก็ช่วยดับอาการเต้นตึกตักที่เคยมี ใจฝ่อเป็นเช่นไรก็เพิ่งเรียนรู้จักในวันนี้


“งั้นสาน่าจะรู้จักแล้วล่ะ”  คงเป็นใครไปไม่ได้ คนๆเดียวที่พี่สนน่าจะสนใจ


คือฉันชนกใช่ไหมที่เขาปิดบัง…


หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ต่อมา ก็ไม่ได้เจอหน้าพี่คนนั้นอีกเลย จะมีได้คุยกับคุณแม่และมีคุณพ่อรับสายไปบ่นนั่นนี่บ้าง แต่ว่าสนธยาแทบจะหายไปจากสารบบ ชีวิตของสาก็ดี แม้ช่วงนี้จะไม่ค่อยมีคนเลี้ยงข้าว แต่ก็ไม่คิดว่าอยากจะเจอหน้าเขาในตอนที่ความสับสนของเรามันเพิ่มขึ้นทวีคูณเช่นกัน


ทว่าในตอนเย็นวันหนึ่ง เจ้าของหอพักที่เช่าอยู่ได้เรียกมาคุย เรื่องที่ได้ยินนั้นแทบไม่เข้าหู


“น้องสาเข้าใจป้านะลูก ป้าจำเป็นจริงๆ”


“คือ…” เอาจริงๆฟังมาสามรอบก็ไม่เข้าใจ


รู้แค่ว่าจะทุบหรือจะอะไรสักอย่างหนึ่งนั่นแหละ


“น้องสา ป้าเป็นหนี้เยอะมาก เขาจะมาเอาตึกนี้แล้ว”  แต่สาไม่เคยค้างหนี้ค่าเช่าเลยนะ  “ป้าจะคืนเงินมัดจำให้ ต้องขอโทษน้องสาและคนอื่นๆด้วย”  สานั้นที่ชื่นชอบคำขอโทษก่อนขอบคุณยังไม่เห็นชอบใจในประโยคนี้ เริ่มเข้าใจพี่สนที่เคยต่อว่าเรื่องการใช้คำขึ้นมาบ้างแล้ว


เพราะตึกที่พักมีปัญหา และตอนนี้ที่กะทันหันมากๆ สาไม่อาจจะไปหาที่พักอาศัยได้ทัน จึงเป็นเหตุให้บ้านของพี่สนเปิดประตูต้อนรับกันอีกครั้ง ในที่สุดก็มาตายรังจนได้


“ในที่สุดก็กลับมาหาแม่แล้ว”  จริงๆก็ได้ข่าวว่ากลับมาทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์นอนด้วยหลายวันเลย ข้าวของเครื่องใช้ต่อให้ไม่ขนมาที่นี่ก็มีพร้อม เผื่อๆมีเยอะกว่าที่หออีก


“วันหลังถ้าหาที่อยู่ดีๆไม่ได้ ก็ไม่ต้องออกไป วุ่นวาย”  คุณพ่อผู้เป็นเจ้าของบ้านพูดเช่นนั้น สารินเหล่มองนิดหน่อยก่อนจะเบะปาก ซุกไหล่คุณแม่ทำเป็นไม่สนใจ แซะเก่งนัก วันหลังไม่ไปแข่งแซะน้ำแข็งชิงแชมป์โลกเลยเล่า!


“คุณพ่อครับ น้องนินทาในใจ”


“พี่สน!”  นี่ก็รู้ใจไปหมด แถมขี้ฟ้องอีกต่างหาก


“กลับมาก็ดีแล้ว แม่เราบ่นทุกวันมาเป็นปี เป็นภาระทางนี้มาก”


“สามาอยู่ด้วยนี่เป็นภาระมากกว่า”


“งั้นก็รีบมาเป็นภาระได้แล้ว เข้าบ้าน!”  ประมุขของบ้านเอ่ยอย่างตัดรำคาญ แต่หมายความตามนั้นทั้งหมด สารินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรในขณะที่ใจเต้นแรง และเพราะยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสนธยาเลยคว้ามือพาเดินเข้าไป…


และเรื่องราวของสารินมันเป็นอย่างไรต่อล่ะ   
หลังจากที่หัวใจเต้นตึกตักไม่สามารถนับครั้งได้กับใครบางคนแถวนี้


กระนั้นก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ทว่าตนอาจจะมีความพยายามไม่เพียงพอที่จะหาที่อยู่ใหม่ พอไปสอบถามที่ไหน ก็มีอันจะต้องบอกปัดไปว่าคนเต็มบ้าง จองไว้แล้วบ้าง สุดท้ายด้วยความเหนื่อยใจจึงเกาะบ้านแม่ไปอย่างนั้น แต่มันไม่ลำบากเท่าเดิมแล้วเพราะงานก็น้อยลง แถมตอนเช้าก็ยังมีคนไปรับส่งที่รถไฟฟ้า สภาพกายและใจหลังจากย้ายกลับมาจึงดีมาก


มากจนอาจจะเคยตัวและทำใจให้ไม่ชินได้อีกครั้ง


การกลับมาที่บ้านนี้ไม่ได้แย่เลย อีกนิดก็จะมีคนป้อนข้าวให้แล้ว แต่การที่ชีวิตมีดีแบบสม่ำเสมอก็น่ากลัว สารินหวั่นระแวงในคลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะแปรร่างเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น


และการที่เราโตขึ้นก็ทำให้ต้องมารับรู้เรื่องมากขึ้นเป็นธรรมดา สาเคยเฝ้ารอให้วันเวลาแสนเศร้านั้นมาถึงเพราะการรับรู้มาตลอดนั้นมันทรมาน หากเราฝืนทนทำให้มันจบลงไป หลังจากนั้นมันก็คงเป็นเพียงฝันร้ายที่จางหายไปตลอดกาล ทว่าเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง ใจที่เต้นอย่างสงบก็พลันวูบโหวง


“ทางเพย์ตันติดต่อมาแล้ว”  เพย์ตัน…ชื่อของตระกูลผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า สารินรับรู้ว่าเขาคือเจ้าเหนือหัวที่แท้จริง ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ไม่มีใครเอ่ยชื่อพวกเขาให้ได้ยินแบบซึ่งๆหน้า เช่นเคย พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสา แต่ว่ามักจะคุยกันสองคนหรือสามคนในยามวิกาลที่ทุกๆคนเข้านอนไปแล้ว


“เขาเข้าใจว่าเราจะส่งมอบสาให้สินะ”  คุณแพรวรรณพูด น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง


“สนธยา พรุ่งนี้เข้าไปหาทางนั้น ฟังเงื่อนไขของเขาให้ดี” คุณพ่อสั่งไปเช่นนั้น แต่ใจความว่าได้ว่าเวลาของลูกชายคนเล็กที่ถูกเก็บมากำลังจะหมดลงแล้ว มันก็เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่นี่สำหรับความรักความเอาใจใส่ แม้ว่าบทสนทนาจะชวนให้คิดไปว่าช่างเย็นชา ทว่าบทสรุปอันน่าเศร้าใจมันเป็นเช่นนี้ หากทำเสียงแสดงความยินดี นั่นสิที่จะให้สารินน้ำตาตกได้


ในวันต่อมา มื้ออาหารที่แสนอร่อยนั้นดูกร่อยลงไปเห็นๆ กระนั้นตนก็พยายามยิ้มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และยังพูดคุยกับทุกคนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นในระหว่างนี้


โดยเฉพาะความกลัวที่ก่อร่างสร้างตัวในหัวใจ


“วันนี้น้องสาอยากกินอะไรหรือเปล่าลูก”


“ไม่ต้องอะฮะ ผมว่าจะแวะกินข้าวกับเพื่อน”


“เพื่อน…เพื่อนคนไหนเหรอลูก?”


“กับฉันนะครับ”


“โอเคค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวให้พี่สนแวะไปรับนะคะ”  สารินยิ้มละไมรับคำสั่ง ในใจกู่ร้องดังลั่น ต่อให้ไม่มาเฝ้า คนแบบเรามันจะหนีไปไหนได้…


นับวันจิตก็ยิ่งตก เลยนัดคนที่ดูเหมือนจะจิตตกพอกันมาทานข้าว ฉันชนกที่ดูเหงาๆตกปากรับคำ และเราก็มานั่งเงียบๆกินข้าวด้วยกัน แบบที่เสแสร้งทำเป็นมีสุขใจในชีวิตไม่ได้ทั้งคู่ แม้แต่คนแบบฉันเองก็มีเรื่องมีปัญหากับเขาเหมือนกัน ทว่าพอเป็นปัญหาของคนอื่น ฉันชนกก็เหมือนจะลืมใส่ใจปัญหาของตัวเองไปเลย


“นี่เอาจริงๆ มากับฉันนี่พี่สนจะไม่ว่าเหรอ”  เราพูดคุยกันหลายเรื่อง แต่ทำไมต้องวนกลับมาถามเรื่องพี่สนกันนะ


“พอเป็นเรื่องของฉัน พี่สนก็ไม่ว่าอะไรเลย บอกว่านั่งรถไฟฟ้าไปเองได้เลย”  ก็แหงสิ…ฉันนั้นยิ่งกว่าคนที่พี่สนไว้ใจ ทุกวันนี้เขายังเหมือนจะมีใจให้อยู่เลย ทั้งๆที่รู้ว่าฉันเป็นแวมไพร์


“แต่ว่าเขาก็จะอยู่รอรับใช่ไหม”


“ใช่ บอกว่าจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้า”  และก็บอกว่าต้องรับสายเขาตลอดเวลาที่ฉันลงจากรถไฟฟ้าไปก่อนแล้ว มันจะอะไรนักหนา หวงมากหวงมายราวกับว่าเป็นคนสำคัญ ใช่ก็สำคัญแหละ


แต่ความสำคัญแบบนั้น สาไม่ได้ต้องการ!


“ก็ลองเปิดใจดูไหม บางทีอะไรๆก็อาจจะไม่แย่หรอก”


“…”  เปิดใจอะไร ทุกวันนี้ก็เปิดจนต้องปิดแล้ว เสียใจ!


“แบบใครจะไปรู้อะเนอะ โลกนี้อาจจะมีแวมไพร์ หมาป่า แถมตอนนี้คนรักเพศเดียวกันก็มีมากมาย” อืม ไอติมนี่ผสมอะไร ทำไมวันนี้ฉันพูดไม่รู้เรื่อง


“เราไม่ได้เป็นสองอย่างแรกแบบที่ฉันพูดมาหรอกนะทั้งหมาป่าและแวมไพร์ แต่เราว่าเป็นแวมไพร์อาจจะดีกว่า พวกนั้นไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสืบทอดเผ่าพันธุ์” สานั้นตอบกลับแบบไม่ใส่ใจ ทว่าดวงตาของแวมไพร์กลับวาววับก่อนที่คนซึ่งเก็บงำคำถามมากมายจะเอ่ยบังคับ


“กลับบ้านกับเราเลยนะ!” 


ได้เลยจ้าฉันจ๋า! สาก็ไม่อยากกลับบ้านตัวเองเหมือนกัน!


“ที่บอกว่าไม่ใช่หมาป่านั่นมันอะไรนะ”  ทันทีที่มาถึงที่พัก ฉันจ๋าก็ไม่รีรอ เด็กนี่เป็นแวมไพร์ประเภทไหนหนอ ถึงดูไม่ออกว่าคนรักเก่าเป็นอะไร แต่จะว่าไปถ้าดูออกคงมีกัดคอกันไปข้าง แวมไพร์กับหมาป่าถูกกันที่ไหน ถ้าฉันไม่โง่ก็คงไม่ได้มาคบกันแบบนั้นหรอกแต่สาก็ฉลาดกว่าไม่เท่าไหร่เอง ว่าไม่ได้


“พี่สนน่ะหมาป่า แต่เราไม่ใช่หรอกนะ”


“ฮะๆ จะว่าไปพี่สนก็หน้าหมามาก”  นี่ฉันเพ้อหรือเพ้ออะไร


“เราพูดจริงๆ พี่สนเป็นหมาป่า”


“…”


“หมาป่าแบบที่กัดหัวฉันที่เดียวขาดเลย” ถ้าอยากลองสักครั้ง จะโทรเรียกมาให้ แต่ไม่ดีกว่า สายังไม่อยากกลับบ้าน


“สาไม่ได้เป็นหมาป่า?”  ฉันชนกทวนความเข้าใจ


“อื้อ”


“แม้ว่าสาจะเหมือนหมามากอ่ะนะ”  ว่าแล้วฉันก็หัวเราะกลบเกลื่อน แต่เอาจริงๆคือสาไม่ค่อยตลกนะ บ้าบอ เอาความจริงมาล้อเล่นมันได้ที่ไหนกัน


“เราไม่ใช่หมาป่า ไม่ใช่หมา และไม่ใช่แวมไพร์เหมือนฉันด้วย”


“ใครเป็นแวมไพร์!”


“…”  นี่ก็แวมไพร์ซึนเดเระ สาเงียบแต่ยื่นช้อนไปตรงหน้ากะให้ใช้แทนคันฉ่อง กระจกวิเศษจงบอกฉันเถิด ใครบ้าบอที่สุดในปฐพี!


“อ๋อ เหรอ”  ฉันชนกหัวเราะได้ฝืดเคือง ไม่ใช่ว่าเก็ตมุกคันฉ่อง แต่เพราะสามองกันได้เย็นชาแบบที่แทบจะไม่เคยเป็น วันนี้นอกจากจะจิตตกแล้ว ยังอารมณ์ไม่ค่อยดีจริงๆสินะ


“ว่าแต่หมาป่ากับแวมไพร์นี่…” 


“ไม่ถูกกัน พี่สนเคยพูดว่าฉันนั้นเป็นแวมไพร์ที่ถ้าไม่โง่มากก็บ้ามากที่มาจีบเขา” อันนี้หมายถึงพี่สน พอได้ลองถามจริงๆว่าทำไมยอมคบก็ได้คำตอบง่ายๆว่ายอมความบ้า


“แล้วไอ้ชั่วนั่นก็อ่อยกลับนี่นะ มันจะมากไปแล้ว!”  แต่ฉันที่ถ่านไฟเก่าจะไม่มีวันคุนั้นกลับฉุนเฉียว ที่ว่าแวมไพร์ไม่ถูกกับหมาป่านี่น่าจะจริง หลักจากถูกหักอกก็ไม่เผาผีเลย


“แต่พี่สนเขาชอบฉันจริงๆนะ อย่างน้อยก็หลังจากนั้นอ่ะ”  ก็เห็นถามบ่อยๆว่าไปไหน ไปกับฉันไหมทำนองนั้น แถมที่เคยถามไปแล้วเขาบอกว่าสาก็รู้จัก นั่นมันก็ฉันคนเดียวแล้วไหมที่ยังยอมคบกันเป็นเพื่อนน่ะ!


“แล้วถ้าพี่สนเป็นหมาป่า แล้วทำไมสาถึงบอกว่าตัวเองไม่หมา!”  แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่อยากตอบเรื่องนี้ เด็กนิสัยไม่ดีเฉไฉและชิงถามกลับ แต่เอาเถอะ อยากรู้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร


“เราจะหมาได้ไง เราไม่ใช่น้องชายแท้ๆของเขา”


“หะ!?”


“เราถูกซื้อตัวมาอีกทีน่ะ”  หน้าของฉันมีแต่คำว่า หะ หะ หะ เต็มไปหมด แต่ก็สมควรล่ะ เรื่องนี้สาเก็บมันมาไว้ทั้งชีวิต ถ้าถามว่าทำไมยอมเปิดใจกับฉัน ก็คงเพราะอีกคนยอมเปิดเรื่องที่ตนเป็นคนประหลาดเหมือนกันให้ฟัง อันนี้จึงพร้อมที่จะไว้ใจ แม้ว่าสาจะรู้มานานแล้วว่าฉันเป็นอะไร


“ซื้อ…เดี๋ยว! จากแวมไพร์ไปหมา ตอนนี้มาขบวนการค้ามนุษย์แล้วเหรอ?!”  แต่ฉันก็ถามกันไม่ค่อยจะทันเท่าไหร่


“แม่เราขายเรามาอ่ะ จะเรียกว่าขบวนการค้ามนุษย์ก็ได้”  สาตอบได้เหมือนกับว่านี่คือเรื่องปกติ เหมือนถ้าถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร สาก็จะตอบกลับไปว่าขอกินกะเพราไข่ดาว ทว่าเพื่อนที่อ่อนไหวกว่าตนก็เริ่มแสดงความรู้สึกทางสีหน้า


“สา…เราขอโทษนะที่ไม่เคยเข้าใจเลย” คนช้าๆทั้งสองกำลังช่วยกันลำดับความเรียงในหัว หากฉันจะโกรธสาเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิดจนต้องเลิกรากับพี่สนขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของความรู้สึกไม่ใช่เหรอ ที่ปกปิดมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะไม่อยากให้เรื่องราวของตนมันดูซับซ้อนมากเกินไป


“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก บ้านของพี่สนเขาดูแลเราดีกว่าแม่แท้ๆเราแหละ แต่ว่ามันก็มีอะไรต้องแลกเปลี่ยนกันบ้างนิดหน่อย”


“แลกเปลี่ยน?”


“ก็นะ….บนโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีแค่หมาป่ากับแวมไพร์นี่เนอะ”    สารินยิ้ม เป็นยิ้มที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจ “แม้แต่ผู้ชายที่ท้องได้ก็มีบัตรผ่านได้อาศัยอยู่บนโลกในซอกหลืบเหมือนกันนะ”  โดยไม่รู้ตัวคำพูดที่แฝงความน้อยใจต่อโลกทั้งใบไว้ก็หลุดออกมา สารินไม่ได้สังเกตสายตาของเพื่อนในตอนนี้ อาจจะเพราะไม่อยากรับรู้ความเวทนา


“…”


“เราไม่เป็นไร”  คำนี้ที่พูดไปไม่ได้เพื่อปลอบใจฉันชนกเลย


เพื่อบอกตัวเองว่าจะไม่เป็นไรต่างหาก



Talk: ขอโทษที่หายไปนานเลยคับ หนีไปทำงานหนักมาก ขนาดมีสตอคเก็บไว้ก็ไม่มีเวลาตรวจ ตอนนี้เรามาเที่ยวคับ อันนี้ก็อ่านตอนอยู่บนเครื่อง ถ้ามีความผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
#คู่กินคู่กัด @reallyuri













หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 16 5/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-04-2019 21:21:54
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 17 7/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 07-04-2019 18:56:33
17

สน xสา


“สาครับ!”  เสียงของใครสักคนที่จะว่าคุ้นก็คุ้น ไม่คุ้นก็ไม่คุ้นนั้นทำให้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นทำงาน สารินหันไปมองต้นเสียงและก็พบว่าแม้แต่ใบหน้าก็คุ้นนัก


“นน?”  ใช่แล้ว..แฟนเก่าผู้น่าสงสารของสาเอง


“ไม่เจอกันนานเลยเนอะ”  ก็ต้องมากกว่าปีหนึ่งแน่นอน เพราะว่าเรียนจบเราก็แยกย้าย สายังจำได้ว่าตนคุยโทรศัพท์กับเขาก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นเครื่องบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ตอนนี้เขากลับมาแล้ว


“นั่นสิ ว่าแต่กลับมานานยังเนี่ย”


“อาทิตย์ที่แล้วเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกัน”


“บังเอิญมากๆเลยเนอะ”


“อืม” เมื่อได้เจอธนน สาก็อดคิดไม่ได้ถึงอดีตที่ผ่านมา ทั้งสาเหตุที่ทำให้เราคบหา และเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเลิกรานั้นเป็นเช่นไร แต่อย่างไรในตอนนี้เราก็ได้ชื่อว่าเพื่อน และเพื่อนที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลย ก็สมควรจะได้นั่งทานอาหารคุยกัน


Sarin: พี่สน วันนี้สากินข้าวกับเพื่อนกลับดึกหน่อยนะ
Sontaya: จะกลับกี่โมง
Sarin: ไม่น่าเกินสองทุ่ม แต่จะออกแล้วสาจะบอกน้า
Sontaya: ถ้าสองทุ่มพี่ไปรับได้ครับ โทรมาหานะ
Sarin:  m(._.)m ขอบคุณฮับ


ร้านอาหารที่เราเลือกมากินด้วยกันเป็นร้านอาหารไทยบรรยากาศดีแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ธนนเล่าเรื่องชีวิตที่ผ่านมาให้ฟัง และประสบการณ์ของเขาก็ทำให้สานั้นตื่นเต้นไปด้วย ทั้งนี้ถ้าถามว่าตนอยากจะมีอิสระโบยบินไปไกลถึงขั้นนั้นไหมก็อาจจะไม่ แต่ฟังไว้ก็สนุกดี แม้ว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ตาม


ธนนได้งานทำแล้ว แต่ไม่ใช่แถวนี้ เขาเพียงแวะมาทำธุระทว่าดันมาซวยที่เจอสารินแฟนเก่าที่เคยบอกเลิก แต่ว่ามันจบลงด้วยดีแบบที่ไม่มีใครแค้นเคือง จึงคงความเป็นเพื่อนมาได้ถึงตอนนี้ แต่จะว่าไปเขาล่ะฉงนใจจริงๆ


สารินไม่มีแฟนจริงๆเหรอ


“อ้าว นี่สาไม่มีแฟนเลยเหรอตั้งแต่เลิกกับเรา”


“อืม”


“ทำไมอ่ะ ไม่มีคนมาจีบเหรอ”


“ด้วย แล้วเราก็ไม่ได้อยากมีแฟนด้วยอ่ะ”


“เพราะเราทำให้สารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า”  ธนนเริ่มจะหวั่นๆเพราะหลังจากเราเลิกกันสาก็ไม่สานสัมพันธ์กับใคร เขาพยายามคิดว่าตนเป็นเหตุที่สร้างปมในใจให้กันหรือไม่ แต่คิดเท่าไหร่มันก็คิดไม่ออก


“เปล่าเลย นนดีนะ แต่เราแค่ไม่อยากมีอ่ะ” 


“…”  กลับกัน ธนนนั้นดี แต่ว่าต่อให้ดีแค่ไหน คนไม่อยากมีก็คือไม่ และนั่นคือเหตุง่ายๆที่ทำให้สาตัดสินใจที่จะไม่สานสัมพันธ์กับใครต่อแต่ก็ไม่ได้ปิดใจขนาดนั้นหรอก แค่ไม่เดือนร้อนหากจะไม่มีก็เท่านั้นเอง


อย่างที่บอกว่าธนนเป็นคนดี แต่ดีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ สาเหมือนรออะไรสักอย่าง หรือไม่จริงๆแล้วก็คือรอใครที่เหมาะกับใจมากกว่า ธนนคิดว่าที่สารินเลิกและไม่มีความสัมพันธ์กับใครนั้นเป็นเพราะข้อนี้ แม้จะยินดีเป็นแค่ทางผ่าน แต่เมื่อคิดว่าเขานั้นทำดีเท่าไหร่ก็สู้อะไรหรือใครไม่ได้ ก็เลยอยากจะถามออกมา


“สาไม่ได้มีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม”


“ตอนนี้ไม่มีอ่ะ”


“ไม่ๆ”  ธนนลองปรับคำใหม่ “เราหมายถึงที่ชอบมานานแล้วอ่ะ”


“…”


“แบบที่ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ หรือไม่ก็ก่อนจะมาเจอเรา”  สาขมวดคิ้วฉับ


“ไม่มีหรอก”  แต่หากปากและสีหน้าสอดคล้องกันมันคงจะดี ทว่าในความเป็นจริงในชั่ววินาที


ใบหน้าของคนๆนี้ก็ผุดขึ้นมา


ธนนอาสาไปส่งที่บ้าน และสารินก็ตอบรับในน้ำใจนั้นโดยไม่มีความคิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าลืมบางคนที่ได้คุยกันก่อนจะมากินข้าวไว้ ทว่าความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจทำให้เลือกที่จะต่อต้าน


สารินได้ติดต่อไปบอกคุณแม่แล้วว่าตนจะให้ธนนมาส่ง ตอนแรกคุณแพรวรรณก็ถามว่าทำไมถึงไม่ให้สนธยามาหา แต่ว่าข้ออ้างต่างๆที่ตนเอ่ยออกมา ก็ทำให้เจ้าบ้านที่รอกันอยู่ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ยิ่งโต ไม่ใช่แค่เถียงเก่ง ชักแม่น้ำทั้งห้าก็เก่งมากด้วย!


หลังจากที่รถมาจอดเทียบประตู ธนนที่ปฏิเสธจะเข้าไปดื่มน้ำตามคำเชิญของสารินนั้นกลับชวนคุยอยู่ในรถ เราแลกเบอร์ติดต่อและพูดคุยกันอยู่สักพักกว่าสารินจะขอบอกลาเพราะเกรงว่าคุณแม่อาจจะรออยู่ ทว่าเมื่อเข้าไปในบ้าน คนที่รอกลับไม่ใช่คนที่คิดถึง



อา…คุณแม่นอนแล้วแหละ ป่านนี้


“ไหนบอกว่าจะโทรมา”


“สาไม่ได้บอกซะหน่อย”  คนตัวเล็กเถียงกับตัวเองเบาๆ แต่คงเบาไม่พอเพราะมันเหมือนไปกรอกที่ข้างใบหูเขา


“สา เราคุยกันแล้วว่าจะคอยติดต่อบอกกล่าว”


“แต่นี่สากลับมาอยู่บ้านแล้วไง”  สาเริ่มไม่พอใจ  “มันไม่ใช่ว่าโมฆะไปแล้วเหรอ ก็นี่สากลับมาอยู่ในสายตาทุกคนแล้ว”  ทางนี้ก็ไม่ยอมเหมือนกัน และในตอนนั้นดวงตาของสนธยาที่จับจ้องก็วาววับ สัญชาตญาณทำให้ขนในกายลุกชัน ก่อนที่สานั้นจะบอกตัวเองว่าคงไม่เป็นไร


“ที่เราตกลงกันแบบนั้นก็เพราะห่วงนะ”


“ห่วงหรือหวงกันแน่”


“สาริน…”


“สาก็กลับมาบ้านแล้วไงน่า อย่าดุเลยนะ”


“เดี๋ยวนี้ไม่ฟังพี่แล้วใช่ไหม”


“…”


“โตแล้วเลยคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นสินะ”  เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดเย้ยหยัน และนั่นก็ทำให้สาเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้


“สาเปล่า!”


“ปากก็ทำเป็นพูดดี แต่พอไม่มีใครคุมใกล้ๆก็อยากจะไปที่ไหนก็ไปอย่างนั้นใช่ไหม ไหนบอกว่าไปกับเพื่อนแล้วไอ้ธนนที่มาส่งนั่นมันอะไร!”


“ก็เพื่อนไง!”


“….”


“พี่สนจะว่าสาอะไรก็ได้ แต่ว่านั่นเพื่อนสา เขาไม่เกี่ยว เขาแค่หวังดีมาส่ง และสาก็ไม่ได้อยากกวนพี่สนด้วย”


“พี่เคยพูดเหรอว่าลำบาก ถ้าลำบากพี่ขังเราไว้ในบ้านไม่ง่ายกว่าเหรอ”  เขาอยากจะสื่อความเต็มใจ แต่ประโยคนี้มันร้ายกาจเกินไปจนคนฟังน้ำตานองหน้า ที่เขาจับตาตลอดเวลานั้นมันยังไม่เหมือนกักขังไว้อีกเหรอ


ขัง…ในกรงที่ใหญ่เท่าฟ้า


“สาไม่ทรยศบ้านนี้หรอก”คนตัวเล็กกลืนก้อนสะอื้นลงไปอย่างยากเย็น  “สารู้หน้าที่ของโอเมก้าดี”


“สา…”


“พี่สนไม่ต้องกลัวสาหนีหรอก สาไม่ทำงั้นแน่”


“พี่จะไปกลัวเราหนีทำไม”


“เอาเป็นว่าอยากให้ไปบ้านเพย์ตันเมื่อไหร่ก็บอกได้นะ” 


“…”


“สาก็อยากจะจบมันแล้วเหมือนกันนั่นแหละ”  จริงๆแล้วคำพูดเหล่านี้ได้ถูกบันทึกซ้ำในหัวใจหลายต่อหลายครั้ง ทว่ามันกลับดูอ่อนไหวมากขึ้นเมื่อพูดออกมาเต็มๆคำ ยิ่งโดยเฉพาะต่อหน้าเขา


พี่ชายที่เราอาจจะไม่เคยสนิทสนมด้วยเลย


ทว่าการผิดใจในครั้งนั้น นำมาซึ่งความรู้สึกที่ดิ่งลงเหว สารินทำตัวไม่ดีเลยกับเรื่องนี้ ทั้งๆที่เขาอาจจะแค่เป็นห่วงหรืออะไร แต่ทำไมต้องพาดพิงไปถึงเรื่องที่เราพยายามจะเลี่ยงคุยกันแบบนั้น แต่แค่อยากให้เข้าใจ ว่าไม่ต้องจับตามากก็ได้ สานั้นรู้ซึ้งและเข้าใจถึงความจำเป็น


แต่เรื่องนี้มันจะให้รู้สึกเฉยๆไปเลยมันก็ไม่ได้ ตลอดหลายปีที่ทำเหมือนสนิทสนม เมื่อคิดถึงเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนไกลตลอดเมื่อนั้น แม้ว่าภารกิจจะจบสิ้น แต่ความรู้สึกที่เคยมีมันอาจจะไม่สามารถประสานได้ ดังนั้นจึงต้องป้องกันทั้งทางกายและทางใจ สาจะไม่ให้ตัวเองอ่อนแอแม้จะไม่มีใครเหลือในชีวิตสักคน


วันนี้จะขอโทษ สารินคิดเช่นนั้น ก่อนจะเดินไปหา ทว่าเป็นเขาที่เปิดประตูออกมาก่อน เราสองคนจ้องตากันเงียบๆ มีร้อยพันถ้อยคำที่อยากจะเผยออกไป ทว่าเพียงแค่มองริมฝีปากของอีกฝ่าย คนตัวเล็กกว่าก็ได้แต่เม้มปากตัวเองเอาไว้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา


“จะไปไหนหรือเปล่า”  บุคลิกของเขาไม่ใช่ผู้ชายอ่อนโยน แต่หากสารินสังเกตดีๆจะรู้ว่าหลายต่อหลายครั้ง เขายอมให้กันมากกว่าใคร มันเป็นสิทธิ์ของคนที่เป็นน้องชายล่ะมั้งที่ได้รับความอบอุ่นดีๆนี้ ทว่าหากไม่หลอกตัวเองจนเกินไปอย่างที่ฉันบอกสักนิด บางทีสารินก็คงรับรู้และยอมรับมันได้บ้างแล้ว


ไม่…ไม่รู้อะไรเลย ใครมันจะไปรู้ใจคนอื่นได้อย่างนั้น


“เผอิญหนังที่อยากดูมันจะออกจากโรงแล้ว พี่สนไปส่งสาได้ไหม”


“ไปดูกับใคร”


“…”


“ช่างเถอะ ลงไปรอพี่ก่อน พี่ว่างจะไปส่งให้”  จริงๆแล้วหากทบทวนก็จะรู้ ว่าสารินที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนคนเดียวก็มักจะมีสนธยาคอยรับส่งถ้าเขาว่าง ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลยในเมื่อเราสามารถเรียกใช้คนขับรถที่บ้านมาทำให้ได้ แล้วเพราะอะไรเขาถึงได้ทุ่มเทใจให้กันขนาดนี้


หรือว่าก็แค่ระแวงไม่กล้าปล่อยให้ใครเข้ามาดูแลของสำคัญของตระกูล


“สาดูคนเดียว”


“…”


“พี่สนไม่ต้องรีบก็ได้ สาไม่ได้นัดใคร”  เพราะอะไรมันถึงทำให้สาพูดไล่หลังเขาไปเช่นนี้ บางทีตนเองก็คงไม่ได้คาดหวังอะไรใช่ไหม ว่าแต่ต้องเป็นความหวังแบบไหน…


ที่ทำให้พูดเชิญชวนใครบางคนให้ไปดูด้วยกัน


ไม่รู้ว่าสารนั้นเขาตีความถูกหรือไม่ได้คิดอะไรเลย ทว่าความต้องการที่จะมาอยู่แล้วทำให้เราได้มายืนซื้อตั๋วหนังด้วยกันแบบนี้ สารินเสนอซื้อตั๋วหนังด้วยเงินตัวเองทั้งๆที่ปกติเขาจะเป็นคนจ่ายให้ทุกอย่าง ราวกับเป็นสวัสดิการที่มอบให้กับคนทำงานที่บ้านอย่างหนึ่ง ครั้งนี้ที่เลือกจ่ายเองคงไม่ใช่เพราะถือคติเปย์ลบล้างความผิดใช่ไหม


ทว่าเขาก็ซื้อของกินเล่นให้อยู่ดี เราเข้าไปอยู่ในโรงหนังมืดๆจมอยู่กับตัวเองโดยไม่คิดจะรบกวนใคร ในระหว่างหนังฉาย สารินที่ล้วงป๊อปคอร์นกินเพลินๆก็นึกขึ้นได้ว่านี่มันตังค์เขา ทว่ายื่นไปให้สนธยาก็ปฏิเสธที่จะหยิบกินซะงั้น มันน่าเสียดายนะที่เราจะเหลือมันไว้ แต่กินทั้งหมดไป ก็ไม่รู้ค่าไตจะสูงขึ้นเท่าไหร่เหมือนกัน


“กินหน่อยสิ”  สารินเขยิบเข้าไปใกล้ กระซิบบอกเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้ยินจนต้องเขยิบตามมาหา คนทั้งสองคงลืมคิดไปเลยว่าเราใกล้ชิดกันมากแค่ไหน


“พี่ไม่ชอบ”


“แล้วพี่สนซื้อมาทำไมอ่ะ”


“เอาให้เราเคี้ยวเพลินๆ” 


“เห็นสาเป็นหมาคันฟันหรือไง” ทว่าบ่นเท่าไหร่เขาก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ และผละไปดูหนังต่อก็แค่นั้น ดูสิเหลืออีกตั้งเยอะ คิดว่านี่มันถูกๆหรือไง  “กินหน่อยนะ”  สาที่คิดอะไรไม่ออกจึงหยิบขึ้นมาและเอาไปจ่อที่ปากอีกคน บังคับกันหน้าด้านๆ โดยลืมไปเลยว่าทำอย่างนี้จะเสียอาการ ทว่าก็ยั้งมือไว้ไม่ทันแล้ว


“…”


“…สะ…สาขอโทษ”


“อา…”  เขาเลยอ้าปากให้กว้างขึ้น พอให้อีกคนป้อนป๊อปคอร์นใส่ปากให้ เป็นการช่วยแก้เก้อให้คนเด๋อๆที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรให้หาทางลงไปได้ น่าอาย ช่างน่าอายจริงๆ หลังจากนั้นตลอดการดูหนังจนจบสารินก็ไม่วอแวเขาอีกเลย


ป๊อปคอร์นที่มีผลต่อค่าไตทำไมมามีผลต่อหัวใจแล้วละเนี่ย!


สุดท้ายแล้วเราก็เหลือมันทิ้งไว้ทั้งอย่างนั้น ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับภาวะที่เขินกันและเดินออกมา ตอนนี้ก็บ่ายจะเย็นแล้ว ในห้างล้วนเต็มไปด้วยผู้คน จะจัดหาจับจองที่นั่งเพื่อทานอาหารก็เป็นเรื่องยาก แต่สารินคิดว่าจะมีโอกาสไหนที่ดีกว่านี้ที่จะขอโทษเขาที่พูดไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะเชิญชวนทานข้าว


“งั้นสาจะให้พี่ขับไปไหน”


“อืม เอาเป็นร้านที่พี่สนชอบก็ได้”


“ร้านที่พี่ชอบ…”


“อืม สากินอันนั้นแหละ”  และเพราะตามใจเขา


เราเลยจะได้มานั่งในร้านที่อยู่อีกด้านของมุมเมือง…


“หิวไหม”  รถก็ติด และฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้กินอะไร อยู่ๆก็เกิดเสียดายป๊อปคอร์นที่เหลือทิ้งไว้ในโรงหนังขึ้นมา “หรือหาร้านอะไรแถวนี้ไหม ไม่ต้องไปร้านโปรดพี่หรอก”


“สาอยากไปร้านที่พี่สนเลือก”  แต่ปณิธานที่ตั้งมั่นไว้ ยังไงก็จะเอาอย่างนั้นให้ได้


ปกติสาไม่เรื่องมาก พูดว่ายังไงก็ได้ตลอด แต่นี่ย้ำมาตลอดทางว่าต้องเป็นเขาเลือก แค่นี้ก็ประหลาดใจแล้ว และเพราะตีความได้ดังนั้น เขาจึงเลือกเลี้ยวเข้าร้านอาหารเล็กๆไม่ไกลจากนั้นแทน ขืนปล่อยไปต้องมีบางคนโดนน้ำย่อยกัดกระเพาะจนปวดท้องแน่ และเขาเองก็เริ่มจะหิวขึ้นมาเหมือนกัน


สารินจะบอกว่าดีใจหรือไม่ดีล่ะที่ในที่สุดเราก็จะได้กินสักที รู้ทั้งรู้ว่าเขาเลือกที่นี่ไม่ใช่เพราะชื่นชอบอะไร แต่เราไม่มีตัวเลือกในวันฝนตกมากนัก นี่ก็เลยเวลามื้อเย็นมาแล้ว จะเรื่องมากอะไรอีกได้ สารินเลือกสั่งอาหารมาไม่กี่อย่างที่ตัวเองชอบและไม่ลืมสั่งเผื่อของเขา


“พี่สนเอาอะไรเพิ่มไหมครับ”


“ไม่ล่ะ”  เพราะสาสั่งแทนหมดแล้ว เขาเผลอยิ้มออกมา เมื่อคิดได้ว่าสานั้นจดจำเรื่องของเขาไว้มากมาย การกระทำเล็กๆน้อยของน้องบ่งบอกให้รู้ถึงความใส่ใจ


เรานั่งกินอาหารเงียบๆหลังจากที่พวกมันถูกนำมาทยอยเสิร์ฟ ภายนอกที่ฝนโหมกระหน่ำใหญ่ มีใครสองคนที่กำลังปล่อยใจให้กับเสียงเพลงที่คลออยู่นี้ ตอนนี้ที่เราเหมือนครอบครองร้านนี้ไว้ ดินเนอร์ใต้แสงไฟในร้านบรรยากาศแบบครอบครัวคือสิ่งที่ไม่มีใครนึกฝันจะมีได้ แต่เราก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว


“อาหารอร่อยนะครับ”  สาพูด ถือเป็นความบังเอิญที่ดีกับใจ


“พี่ว่าอร่อยกว่าที่คิดเลย ตอนแรกว่าจะพาไปกินอาหารอิตาเลี่ยน แต่อาหารไทยแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”


“แต่อิตาเลี่ยนก็อยากกินเหมือนกันอ่ะ เสียดายเนอะ”


“เอาไว้คราวหน้าพี่พาไปกินใหม่”


“…”  ก็ไม่รู้ว่าทำไมแค่พี่ชายจะพาน้องไปเลี้ยงข้าวต้องทำให้คนเราหัวใจเต้นแรง


ทว่าต่อให้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี อากาศภายนอกทำให้ภายในหนาวเย็น แต่จะให้ลดแอร์ ก็กลัวว่าคนพี่ที่มีเชื้อพันธุ์เป็นหมาป่าจะร้อน สารินที่ตั้งใจจะไม่ทำให้เขาขุ่นเคืองอะไรอีกจึงได้แต่นั่งนิ่งทนหนาวไป ทว่าเพราะอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา จึงถูกจับอาการได้ไม่ยาก


“ที่เบาะหลังมีกระเป๋าใส่ผ้าห่มอยู่ เราเอาออกมาสิ”  ทำไมเบาะหลังรถถึงมีของแบบนั้นได้


“ขอบคุณครับ”  แต่อย่าไปใส่ใจคิดถึงมันมากเลย สารินเอี้ยวตัวไปหยิบก่อนจะรูดซิบดึงผ้าห่มที่ว่าขึ้นมา หอมชื่นใจ…


ว่าแต่ทำไมสีมันพาสเทลไม่ใช่สไตล์เจ้าของรถแบบนี้?


น่าแปลกที่คนแบบสนธยานั้นนิยมสีเทา น้ำเงิน และสีดำเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าผ้าห่มที่สารินกำลังกอดอยู่นั้นเป็นสีเหลืองอ่อนซึ่งเป็นสีที่คุณแม่ชอบซื้อมาให้ใช้ หรืออาจจะเป็นคุณแม่ซื้อมาให้ก็เป็นได้ และบางทีก็อาจจะเป็นคุณแม่ที่ใส่ใจ เห็นว่ามนุษย์ขี้หนาวนั่งรถพี่สนบ่อยแค่ไหน เลยจัดหาเอามาไว้เผื่อได้ใช้งาน


เมื่อมาถึงบ้าน สารินก็พบว่าตนรู้สึกปวดเหมื่อยไปหมด ระยะเวลาเดินทางนานขนาดนี้ สามารถมั่นใจได้ว่าในวันปกติเราไปต่างจังหวัดกันได้เลย และนี่พวกเราก็เหนื่อยมากแล้ว ควรจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย


ว่าแต่ได้ลืมอะไรไปหรือเปล่าน่ะ?


“อา…”  ยังไม่ได้ขอโทษพี่สนเลย


“พี่ขึ้นบ้านก่อนนะ” เดี๋ยวสิ สายังไม่ได้พูดอะไรเลย!


แล้วทำไมได้แต่คิดในใจ ไม่พูดออกไปเลยเล่า…


หรือว่าคำขอโทษของเราจำต้องผัดวันประกันพรุ่งไปอีก เช่นนี้แล้วก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจเลยสักนิด ทว่าเขาปิดการรับรู้ทุกช่องทางไปแล้ว จะให้โทรไปขอโทษ มันก็ฟังดูแปลกไม่น้อยเพราะห้องของเราก็ไม่ได้ไกลกันนัก แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตไปเลยดีไหม


ไม่…


สาได้ให้สัญญากับตัวเองไว้แล้ว คนตัวเล็กยืนมองภาพสะท้อนตัวตนที่กำลังสับสน ปากของตนถูกขบกัดด้วยความไม่พึงใจ ทำไมวันนี้มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่ไม่คิดจะทำอะไรให้มันมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง ต้องโง่เง่าขนาดไหนที่ปล่อยโอกาสไปให้หลุดลอยได้ขนาดนี้ ก่นด่าตัวเองใจหลายที จึงตบแก้มและเคลื่อนไหวเพื่อไปทำอะไรให้มีประโยชน์


ไปอาบน้ำดีกว่า อย่างน้อยวันนี้สนธยา ก็ไม่ได้แสดงออกว่าติดใจอะไรกับบทสนทนาเมื่อคืน…


ทางด้านเจ้าตัวที่ถูกคิดถึงอยู่ทั้งวันนั้น พอแยกจากก็มาอาบน้ำอาบท่า เขาก็เหมื่อยล้าไม่ต่าง แต่วันนี้ทั้งๆที่เหนื่อยขนาดนั้น ก็ยังหาเรื่องพาน้องไปไกลๆเสียจนได้ ทั้งนี้เขามีความตั้งใจ อยากให้สารินได้ไปชิมอาหารที่นั่นจริงๆ และอาจจะพ่วงด้วยผลประโยชน์อื่นๆนิดหน่อย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้พาไปในวันนี้แล้ว


น่าแปลกใจที่วันนี้สารินมาชวนเขาไปดูหนัง ทั้งๆที่เมื่อวานเรามีเรื่องบาดหมางกันถึงเพียงนั้น สนธยาก็ยอมรับว่าเขาปากไม่ดี แต่ก็ตกใจไม่น้อยที่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งจะเก็บความอัดอั้นบางอย่างไว้ในใจขนาดนี้และไม่เคยบอกใครออกมา ถึงน้องจะไม่ได้พูดมาก แต่เมื่อพูดแล้ว เราก็รู้ดีว่าเรื่องที่พูดไปมันต้องห้ามแค่ไหน


“หืม”  เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เขาหันเหความสนใจ ป่านนี้แล้วยังไม่นอนกันอีกเหรอ แต่ถามตัวเองไปก็คงไม่รู้คำตอบ สนธยาที่เดินเช็ดผมค่อยๆมาเปิดประตูให้แขกผู้มาเยือน “สา”  เป็นคนในความคะนึงหาของเขาจริงๆเหรอนี่?


“พี่สน…”


“เอ่อ เข้ามาก่อนสิ”  เขาเชื้อเชิญ สารินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาในห้องนี้ ที่ๆซึ่งตนไม่เคยเข้ามาด้วยธุระส่วนตัวของตนเองเลย


และยิ่งมองไปรอบๆก็ยิ่งเสียอาการ


“มีอะไรหรือเปล่า”  ห้องนอนของชายหนุ่มในยามวิกาลนั้นทำให้ใจสั่นไหว บางทีก็ควรจะปล่อยให้คำขอโทษเป็นเรื่องของอนาคตไป แต่ตอนนี้ถึงยังไงก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปตีพุงนอนในห้องตัวเองได้อีกแล้ว มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น


“คือว่าสาอยากจะขอโทษ”


“ครับ?”


“ที่เมื่อวานพูดไม่ดี ทำให้พี่สนไม่ชอบ”  มีด้วยเหรอที่เขาจะไม่ชอบน่ะ ตั้งแต่เจอะเจอกันมา เคยมีสักครั้งไหมที่เขารู้สึกเช่นที่สารินกล่าวอ้าง


“ไม่เป็นไรหรอก”


“…”


“รู้สึกผิดเหรอครับ”  เพราะอย่างนี้สินะที่พยายามจะชวนเขาไปข้างนอก สนธยาคลี่ยิ้ม นึกเอ็นดูขึ้นมา ทว่ารอยยิ้มน้อยๆนั้นมันช่างเจิดจ้า จนคนมองต้องก้มหน้าหลบตาไปซะอย่างนั้น เป็นการเขินอายที่น่าเสียดายเพราะมันช่างน่ามองเสียจริง


“สา…ไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่สนรู้สึกไม่ดีนะ” จริงๆก็มีหลายครั้งที่การกระทำของเจ้าตัวทำให้เขารู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่ แต่นั่นมันก็สิทธิ์ของเจ้าตัวที่ไปควบคุมไม่ได้ แค่นี้ก็ใช้อำนาจในมือเกินไปจนบางคนทนไม่ไหวต้องปลดปล่อยความในใจออกมา จนทำให้เราตึงๆใส่กัน


“พี่ไม่เป็นไรแล้วครับ”  เขาพูด น้ำเสียงนั้นดูนุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นพี่ชายที่ถามคำตอบคำ จริงๆเขามีโทนเสียงนี้ แต่มันมักถูกนำไปใช้พูดกับคนอื่น โดยเฉพาะกับหลายๆคนที่เขาเคยควงคู่ สาเคยได้ยินเขาพูดกับฉันแบบนี้ แต่ว่าตอนนั้นรู้สึกเช่นไร น่าจะลบไปจากหน่วยความจำแล้ว


“งั้นสา…/เปรี้ยงงงงงงงงง!”  ทว่ายังไม่ทันจะพูดต่อไป เสียงของฟ้าร้องที่ดังก็ทำให้คำพูดนั้นถูกกลืนหาย อันที่จริงสิ่งที่เขาไม่ได้ยินคือคำว่า ‘สาขอกลับห้องก่อนนะ’ ทว่าฟ้าร้องไฟดับเช่นนี้ คาดว่าสิ่งที่ทำได้คือหยุดนิ่งเท่านั้น


นิ่ง…แต่ใจกลับเต้นแรง


“กลัวฟ้าร้องหรือเปล่าครับ”  เอาจริงสาไม่ได้กลัวเสียงพวกนี้เลย ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเด๋อด๋าจนถูกพูดถึงว่าน่าปกป้องอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆสารินมีสิ่งที่กลัวไม่เยอะเท่าไหร่ และหนึ่งในนั้นไม่ใช่ฟ้าร้องแน่ๆ


แต่ว่า…


“อื้อ…ไม่เอา”


“สา”


“สากลัว”  นี่มันอะไรกัน ฟ้าฝนดลใจให้สารินทำเช่นนี้ลงไปเหรอนี่ ทั้งๆที่ตนเพียงตกใจเล็กน้อยที่ฟ้าร้องไฟดับเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ว่าถ้ามันจะเกิดขึ้นซ้ำๆก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก แล้วทำไมร่างกายของตนถึงได้ไม่รักดีก้าวเข้าไปเบียดชิดคนตรงหน้า เพียงอาศัยว่าในความมืดคนเราจะทำอะไรก็ได้ดั่งใจใช่ไหม


ทั้งๆที่การเข้าใกล้และโกหกใครต่อใคร ไม่ใช่เรื่องที่สมควรถูกยอมรับเลย


“กลัวจริงๆด้วยสินะ”  เราสองคนนั้นอาจจะมีเชื้อสายของอัลฟ่าและโอเมก้าก็จริงอยู่ และมันอันตรายหากจะถูกดึงดูดเช่นนี้ แต่พวกเขาไม่มีสัญชาตญาณหรือกายภาพแบบนั้นเสียทีเดียว ดังนั้นเรื่องฮีท หรือการรับรู้ทางกลิ่นของคู่แท้ยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาจะมีมันไปได้ไงเพียงแต่...


เมนทอล…คือกลิ่นของพี่สน
และกลิ่นส้ม…คือกลิ่นของสา..


ทั้งหมดนี้ไม่ใช่กลิ่นแท้ของกาย มันคือกลิ่นของครีมอาบน้ำและยาสระผมที่พวกเราต่างคนต่างใช้ ทว่ามันก็เป็นกลิ่นที่แสดงถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ดี จนกระทั่งตอนนี้คนทั้งคู่เพิ่งเคยรู้สึกลึกซึ้งไปกับมัน


หรือนี่จะเป็นเหตุให้อัลฟ่าลุ่มหลงในคู่โอเมก้าของตนกันนะ สนธยานึกฉงนใจ และความชิดใกล้ที่ต้องห้ามก็ช่างหอมหวานจนคนบางคนคิดไกลไปอย่างขาดสติ ท่ามกลางเสียงฝนที่ดังภายนอก ไฟฟ้าก็ยังไม่กลับมาทว่าอากาศไม่ได้อบอ้าว และเหมือนกัน…สารินยังคงเป็นคนขี้หนาวแม้ว่าเราจะไม่ได้รับลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศอีกต่อไป ความวาบหวามในใจนี้ช่างทำให้สิ่งที่จะเกิดต่อไปมันง่ายดาย


เขาเชยคางใครบางคนในที่มืดขึ้นมา อ้างว่าเพราะไม่เห็นหน้าจึงไม่ผิดต่อใคร ทว่ากลับได้รับความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ด้วยอารมณ์เผลอไผล เราเผลอใจมาถึงปากเหวอันแสนอันตรายตรงนี้ ทว่าดูเหมือนต่างคนต่างก็ยินดี


ที่จะให้จูบแรกของเรานี้เนิ่นนานตามต้องการ

Talk:
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด ฟาดน้องสาเด็กใจง่าย คู่นี้เริ่มมาแล้วใช่ไหมยังไง ฝากติดตามต่อไปด้วยนะฮะ
#คู่กินคู่กัด @reallyuri

















หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 17 7/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-04-2019 22:46:35
 :L2: :pig4:

น้องสาเอ้ยยย
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 17 7/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-04-2019 23:10:15
พี่น้องเขาจูบกันแล้วจะเป็นยังไงต่อไปหนอ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 17 7/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 08-04-2019 00:08:02
รอคู่พี่สน น้องสาจ้า
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 18 8/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 08-04-2019 17:54:38
18

สน xสา

ทว่าความเนิ่นนานนั้นไม่มีจริง


“…”  มีแต่ความเงียบงันหลังผละออกจากกัน ไฟทั่วห้องสว่างไสวราวกับความมืดมิดเมื่อครู่ไม่ได้มีอยู่จริง ใบหน้าของผู้เป็นพี่เรียบนิ่ง ทว่าคนน้องกลับตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับว่ารับมันไม่ได้


เมื่อสักครู่เราทำอะไรลงไป


สาไม่ได้เอ่ยคำลากับเขา เมื่อรู้สึกตัวก็ออกจากห้องนั้นและมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องตนเอง มีเรื่องราวมากมายกระจัดกระจายอยู่เต็มหัว ทว่าไม่สามารถประมวลเรื่องราวที่สมควรได้ เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น สารู้ว่าเราจูบกัน ทว่าอะไรชักนำให้เราทำเช่นนั้นลงไป มันไม่ถูกต้องใช่ไหม แต่ทำไม…ถึงยับยั้งชั่งใจไม่ได้เลย


เป็นเพราะฝน เป็นเพราะกลิ่นหอม เป็นเพราะความเหงา หรือความหวั่นไหว อะไรกันที่ทำให้เราสองกระทำแบบนั้นลงไป สารินขยี้หัวอย่างหงุดหงิด คำถามนั้นสำหรับสองคนตอบ แต่เป็นไปได้ที่ไหนที่จะไปถามอีกคนในตอนนี้ และความหวั่นไหวที่มี ทำไมมันยังไม่จางหายไป


ใบหน้ายุ่งนั้นชัดเจนว่าไม่พอใจ ทว่ามือไม่รักดีกลับเผลอไผลสัมผัสลงไปบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของตน สัมผัสเมื่อครู่นั้นมันอาจจะพูดได้ว่าเป็นครั้งแรก สารินจำไม่ได้ว่าคุ้นเคยกับตอนที่ริมฝีปากของตนได้สัมผัสความนิ่มยุ่นที่คล้ายกันอื่นใดอีก นอกจากนั้นทางด้านของความรู้สึก สารินก็ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นต้องเป็นครั้งแรกที่ตนรู้สึกค่อยๆสงบในตอนที่หัวใจเต้นสั่นไหว ในความสับสน เหมือนมีอะไรช่วยกล่อมเกลาจิตใจ


ทว่าเมื่อรู้สึกตัวทุกอย่างก็กลับมารวดเร็วกว่าเดิม หัวใจของตนเหมือนถูกกระชากเหวี่ยงไปมา ใบหน้าก็รู้สึกร้อนฉ่า ร่างกายต้องเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงภายในมากมาย อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และเลือดที่สูบฉีดมากกว่าปกตินี้ก็ยากจะรับไหว ร่างบางค่อยๆทรุดกายลงนั่ง เลื่อนมือจากริมฝีปากมาที่หัวใจ ก็แค่จูบธรรมดา ทำไมใจถึงพองฟูได้อย่างนี้


และความรู้สึกเช่นนี้ มันควรจะเกิดขึ้นกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายหรือไง…


พลันเรื่องราวต่างๆในอดีตกว่านั้นก็กลับเข้ามาในความทรงจำ หรือว่าเราจะแสดงออกในเชิงนั้นทำให้ฉันที่คบกับพี่สนอยู่สงสัยและนำพามาซึ่งการเลิกรา ทว่าในตอนนั้นสาคิดว่าตนเองไม่ได้สนิทสนมกับเขาถึงเพียงนั้น การแสดงออกย่อมเป็นเพียงพี่น้องที่ไม่สนิทกัน แล้วทำไมฉันถึงได้คิดเช่นนั้นไปได้


จะว่าไปก็ไม่เคยถามความจริงอย่างละเอียดว่าอะไรทำให้ฉันโกรธเคืองกันถึงขนาดไม่คุยกันอยู่พักใหญ่ เพราะเห็นว่าเราคืนดีกันแล้วจึงไม่ขุดคุ้ยอะไร จนวันนี้มันเกิดเรื่องใหญ่เลยคิดจะไถ่ถามเพื่อไม่ให้เกิดความค้างคา แต่ว่าก่อนที่จะไปคิดถึงเรื่องนั้น


คิดก่อนว่าคนอยู่บ้านเดียวกันจะมองหน้ากันยังไงดีกว่า!


และปัญหาที่ถูกหลงลืมไปในตอนแรกก็เป็นปัญหาใหญ่ที่พบเห็นได้ชัดเจนกว่าปัญหาไหน เริ่มจากตื่นมากินข้าวในวันอาทิตย์และพบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านสักคนยกเว้นคนๆเดียวที่ไม่พร้อมเจอในวันนี้ สารินหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาเมื่อเห็นร่างสูงในห้องครัว พลันเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นก็ไหลเข้าหัวด้วยภาพเสมือนจริงอย่างน่าตกตะลึง


“ตื่นเช้า”  เขาทัก ก่อนจะหันไปสนใจขนมปังที่ถูกดีดจากเครื่องปิ้งขนมปัง


“พี่สนก็…ตื่นเช้าเหมือนกัน”


“พี่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”


ตึกตัก ตึกตัก


“กินอะไรไหม”


ตึกตัก ตึกตัก


“สา?”


“อา…ครับ”


“ขนมปังสักสองแผ่นละกันนะ”  เอาเป็นว่าเขาคงไม่รอคำตอบแล้วเพราะถามซ้ำไปหลายรอบ สนธยาจัดการหย่อนขนมปังลงไปในเครื่องปิ้ง แต่ดูแล้วเราคงจะได้กินแค่ขนมปังปิ้งกันแน่ๆ


“พี่สนกินสลัดไหม”


“ถ้ามีก็ดีนะ”


“งั้นเดี๋ยวสาทำไข่ดาวและปิ้งไส้กรอกให้ด้วย”  จริงๆคือสนธยาทำอาหารแทบไม่ได้ และสารินก็รู้ข้อนี้ดี จะว่าไปตนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากกว่าที่คิด แต่ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจข้อเท็จจริงของตัวเองตรงนี้กระมัง


ไข่ดาวของสนธยาสองฟองถูกตอกลงไปบนกระทะโดยที่ไม่ต้องมีคนบอก ไส้กรอกชิ้นไม่ใหญ่มากอีกสี่ชิ้น ต่อให้พี่คนนี้กินเยอะแค่ไหน แต่การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอก็ทำให้เขามีรูปร่างที่ดีอยู่เสมอ ภาพของเขาที่หันหลังให้ตอนปิ้งขนมปัง ผู้ชายไหล่กว้างในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงนอน ความไม่สมบูรณ์แบบที่เจือความดิบอย่างเป็นธรรมชาตินั้นเป็นภาพที่ชวนหลงใหล


“ของพี่เอาไข่แดงไม่สุกนะ”  เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยตื่นขึ้นมาจากภวังค์ สารินตกใจสะดุ้งจนตัวโยน “ระวังหน่อยสิ”  และก็ค้นพบว่าตนนั้นอยู่ในสายตาของเขามาตลอด เราอาจจะไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนเมื่อคืนวาน แต่ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองกันอยู่ทำให้รู้สึกว่าถูกรับรู้ถึงความคิดที่มี


ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะจัดการกับความประหม่าของสายตาคนๆนี้ที่ทำลายล้างกันเก่งสิ้นดี สารินนั้นค่อยๆประคองไข่ดาวสองฟองที่ถูกทอดตามแบบที่เขาคาดหวังลงสู่จานอย่างสวยงาม ก่อนจะหันมาใส่ใจกับของตัวเอง ทว่าทั้งๆที่ของๆตัวเองถูกทำให้จนเสร็จแล้ว ทำไมเจ้าของจานยังไม่ไปนั่งที่อีกนะ


“พี่สนกินก่อนก็ได้นะ”


“พี่รอโปะสลัดให้จานเราอยู่”


“เดี๋ยวสาทำเอง”


“เราทอดไข่ดาวกับย่างไส้กรอกแล้ว”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ”


“ไข่จะไหม้แล้วรีบๆเลย”  และเขาก็เบี่ยงความสนใจของสารินได้สำเร็จ ทำไปทำมาเราก็เริ่มเชื่อแล้วว่าหมาป่าก็เป็นสัตว์ที่เจ้าเล่ห์ เพราะขนาดไล่ให้ไปขนาดนี้ ยังมายืนทำตาใสมองคนทอดไข่อยู่ข้างๆ


ถ้ายัดทุกอย่างเข้าปากได้ในสามคำสารินคงทำไปแล้ว ทว่าพอทำท่าจะรีบกิน คนร่วมโต๊ะก็รีบห้ามและบอกว่ามันไม่งามบ้าง จะติดคอบ้าง ทำไมไม่คิดบ้างว่าความอึดอัดจะทำให้ติดคอตายอยู่แล้ว แค่ช่วงเช้าก็โดนดาเมจไปขนาดนี้ หากต้องอยู่ทั้งวัน ไม่ลงไปชักดิ้นชักงอตายก่อนใช่ไหม


ว่าแต่แล้วเราจะมานั่งตัวติดกับเขาทั้งวันไปทำไม


“ไปซื้อของกับพี่หน่อย”


“ครับ!”  ในตอนที่สารินกำลังกินไส้กรอกชิ้นสุดท้ายอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นมา


“อยากหาคนไปช่วยเลือกซื้อของหน่อย”  และปกติคนๆนั้นคือสาหรือไงกัน


“เอ่อ…สา”


“สามีธุระเหรอ”  เจ้าของชื่อส่ายหน้าจนผมปลิว ไม่มีธุระย่อมไม่มีข้ออ้างอะไร  “ถ้าไงไปช่วยพี่เลือกนะ” เมื่อไม่มีข้ออ้างก็ย่อมปฏิเสธอะไรไม่ได้ ความพยายามที่จะไม่ตัวติดกับเขาจนเกินไป จึงเป็นอันไม่สำเร็จไปด้วยเหตุผลเช่นนี้


เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย แต่ทว่าเตรียมใจนานเท่าไหร่ก็ไม่พอ สนธยามาเคาะประตูเรียกถึงหน้าห้อง ต่อให้ไม่พร้อมก็ต้องออกไป และตอนนี้ตนก็มานั่งอยู่ในรถคันเดิมที่ซึ่งไม่ได้ต่างจากทุกวัน แต่บรรยากาศที่เคยเงียบขรึมนั้นหายไป เพราะมันถูกคลอไปด้วยเสียงหัวใจที่เต้นดังของตัวเอง


เขาบอกว่ามาซื้อเสื้อผ้าเลยต้องการคนช่วยเลือก แต่เอาเข้าจริงๆเจ้าตัวก็มีสไตล์ที่โดดเด่นไม่ได้มีปัญหากับการเลือกว่าตัวไหนดีกว่ากันเพราะมักจะซื้อทั้งหมด อย่าเรียกว่ามาช่วยเขาเลือก เรียกว่ามาให้เขาเลือกให้ดีกว่า


“พี่ว่าตัวนี้เหมาะกับสา”


“แต่สาไม่ได้มาซื้อของ”


“เจออะไรดีๆก็ซื้อไป เสื้อผ้าเราเก่าหมดแล้ว แม่บ้านหมดกำลังใจหมด”  ก็คนมันกำลังสร้างตัวเลยไม่มีปัญญาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ที่ใส่ก็ใส่มาเป็นปีจนแม่บ้านที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าให้ท้อใจ ซักอย่างไรมันก็ไม่ดูใหม่ขึ้นกว่านี้แล้ว


แต่แล้วไงใครแคร์!


ทว่ามีคนหนึ่งที่แคร์อย่างชัดเจน นั่นคือสนธยาคนที่กำลังเอาเสื้อตัวนั้นตัวนี้มาวางทาบบนร่างเล็กๆของสาริน ทำไปทำมาเขาก็เหมือนจะกวาดหมดรราวมาให้กันจนสาต้องเดินหน้าตึงเอากลับไปเก็บ เยอะไป สงสารคนซักคนรีด


“พี่เต็มใจซื้อ”


“สาไม่เต็มใจใส่”


“แล้วเราจะใส่อะไร”


“มันเยอะไป!”


“นึกว่าจะไม่ใส่เสื้อผ้าเสียอีก”  สางงได้ไหม ทำไมต้องชิงหน้าร้อนก่อนเล่า


สุดท้ายก็ดึงดันมาได้เท่านี้ แต่ก็หลายถุงอยู่ดีที่ถือมา สานั่งหน้าบูดในร้านไอติม เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะพูดสิ่งใด แม้กระทั่งไอติมมาเสิร์ฟแล้ว ก็ยังไม่มีแรงคิดจะเอามือขึ้นมาหยิบช้อน


“อ่ะนี่” จนกระทั่งเขาตักไอติมมาป้อนก็ยังใจง่ายอ้าปากให้เขาตามใจ แต่เดี๋ยว! ไม่ใช่ไหม!


สาทำแบบนี้ไม่ได้นี่นา!


“สากินเองได้”


“ก็ไม่เห็นกินสักที”


“สาไม่อยากกินซะหน่อย”


“กินของหวานๆเย็นๆจะได้ช่วยให้มีแรง”


“เมื่อไหร่เราจะกลับบ้านกัน”


“พี่ยังซื้อของไม่เสร็จ”


“ก็ไม่เห็นว่าพี่สนจะซื้ออะไร”  เขาชี้ให้ดูถุงข้างกายใบเล็กๆสองใบ  “มาดูของสาสิ”  ประมาณห้าใบที่วางบนเก้าอี้ไม่ได้เลยต้องวางที่พื้น


“ก็ดีแล้ว เราจะได้แต่งตัวดีๆกับเขาบ้าง”


“ที่ผ่านมามันดูน่าเกลียดมากเลยเหรอ”


“มันทำให้ดูน่ารักน้อยกว่าความเป็นจริงไปนิด”


“เหะ?”


“เอาเป็นว่าพี่อยากซื้อให้ รวบยอดของขวัญหลายๆปี”  จะว่าไปมองในแง่นี้มันก็ได้ ถึงแม้ว่าวันเกิดของสาในปีนี้จะยังไม่ได้มาถึง แต่ทว่าหลายๆปีก็ไม่เคยได้รับของขวัญจากเขาเป็นการส่วนตัว เพราะทุกคนจะให้เป็นของใหญ่ๆชิ้นเดียว และแน่นอนว่าสาเก็บมันไว้อย่างดีและมีบ้างที่กลายมาเป็นตัวเลขในบัญชี แต่ว่าสารินไม่เคยนำออกมาใช้งาน


ถ้าเขาว่าเปลี่ยนดีกว่าก็เปลี่ยน…


ว่าแต่ทำไมหลายตัวเป็นสีเหลือง จะว่าไปแล้วของใช้ในห้องที่มีคนซื้อมาให้ก็มักเป็นสีสดใส ทว่ามักจะเป็นฟ้าอ่อน มันอดสงสัยไม่ได้ว่าสีเหลืองเป็นอะไรกับพี่สนนัก คุ้นๆว่ามีอีกอย่างที่สีเหลืองเหมือนกัน…ผ้าห่ม


บังเอิญมั้ง


“หลับก่อนไหม”  หลังจากที่รถเคลื่อนตัวมาสักพัก เราต่างก็เงียบงันจนเขาทักกันเช่นนี้


“สายังไหว”


“แล้วทำไมตาจะปิด”


“เราแค่ตาตี่”  แต่ปกติตาก็สองชั้นอยู่นะ


“ง่วงก็นอน”


“เดี๋ยวสานอนไม่หลับ”  ตอนนี้มันใช่เวลานอนไหม


“ถ้าทนไหวก็ทนไปนะ”  เขาพูด “แต่พี่จะทนไม่ไหวแล้ว”  แต่อันนี้ไม่แน่ใจว่าพูดถึงอะไร


“พี่สนง่วงเหรอ”


“…”


“อีกนิดหนึ่งก็ถึงบ้านแล้ว พี่สนเอาหมากฝรั่งหน่อย”


“สามีเหรอ”


“อื้มๆ เดี๋ยวสาเอาให้”  ช่างว่าง่าย


“ป้อนพี่ด้วย”


“…”


“พี่ขับรถอยู่” มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป้อนอะไรสักอย่างนี้นา ป๊อปคอร์นเมื่อวันก่อนก็ป้อนมาแล้ว ทำไมครั้งนี้มันจะไม่ได้ล่ะ


สารินสะกดความตื่นเต้นและค่อยๆแกะเอาหมากฝรั่งออกจากห่อ รวบรวมความกล้าที่จะยื่นไปจ่อปากของเขา ทว่าสนธยาเหมือนแกล้ง เขาอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นจนจะชักมือกลับ แต่ความเร็วที่ว่าไม่เร็วเท่าหมาป่าหนุ่มตัวนั้นเลย ว่าแต่นี่หมาป่าหรืองูกันแน่ ทำไมฉกเก่งฉกเร็วอย่างนี้


“ขอบคุณ”


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของสาเต้นแรง รัวเร็วและตอนนี้ต่อให้ง่วงแค่ไหน ตาก็สว่างกว่าคนที่กินหมากฝรั่งเข้าไปแล้ว


“เฮ้อ”  ถึงบ้านสักที สารินฝังหน้าของตนลงไปบนหมอนนุ่ม อยากจะร้องอัดหมอนระบายความอึดอัด ทว่าสิ่งที่ทำมีเพียงแค่ถอนหายใจออกมา เงียบ และไร้ค่าเช่นเคย


ทำไมความคิดถึงถึงได้วนเวียนกับริมฝีปากของเขา วันนี้แม้เราจะได้สัมผัสมันอีกครั้งด้วยปลายนิ้ว ทว่ามันก็ตอกย้ำความทรงจำเรื่องเมื่อวาน สารินไม่คิดว่าตนจะจำได้ว่าสัมผัสนิ่มยุ่นมันเป็นเช่นไร ทว่าเมื่อได้ข้องเกี่ยวอีกครั้งไป ก็รับรู้ได้ว่าจริงๆมันไม่เคยจางหายไปไหนเลย


ราวกับว่าเขาสามารถทำให้จูบของผู้ชายทุกคนที่สารินยังไม่เจอดูไร้ค่า เพราะคงไม่มีใครตรึงตรากันได้ขนาดนี้


โดยไม่รู้ตัว สารินดึงเจ้าตุ๊กตาหมาที่แม่ให้มาเป็นของขวัญวันไหนสักวันมากอดไว้และกดจูบลงไป ราวกับว่าอยากจะให้สัมผัสนั้นหายไป ทั้งๆที่ปัญหามันอยู่ที่ความทรงจำ และความรู้สึกที่ลึกซึ้งนั้นไม่มีใครช่วยแก้ไขให้ได้ บางทีก็อาจจะมีแค่เจ้าตัวเท่านั้นแหละที่สามารถเยียวยาให้ แต่แล้วอย่างไร…เราก็ไม่ควรพูดเรื่องนี้ดังไป ให้ใครได้ยิน


สามีเจ้าของแล้วและคนๆนั้นไม่ใช่พี่สน
แถมสามีพี่ชายแล้วคนๆนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพี่สน


ทว่าช่วงนี้สถานการณ์ภายในบ้านดูตึงเครียดขึ้นมาก แต่ว่าสาไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เรื่องราวอะไร แม้จะเป็นคนในครอบครัว แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรของเผ่าพันธุ์ไหนๆ สารินที่รับรู้ถึงบรรยากาศนั้นก็ทำได้แค่ทำใจ ก่อนที่จะพาตัวเองถอยห่างจากทุกคนออกมา


ตอนนี้แม้แต่การเดินทางสาธารณะก็ถูกสั่งห้าม ต้องจับตามองกันเพราะกลัวหนีขนาดนั้นเลยเหรอ ทว่าคนที่ปกติมักจะมารับมาส่งแม้ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถมาได้ มันเกิดอะไรขึ้นนะ สารินสนใจ แต่ไม่อาจจะเข้าใจได้จริงๆ


เป็นอีกวันที่งานที่เริ่มจะน่าเบื่อทำให้สารินนึกเซ็งจนอยากรีบกลับบ้าน เมื่อมองดูนาฬิกาก็พบว่าอีกหลายชั่วโมงเลยกว่าจะได้เลิกงาน แต่เจ้านายก็ไม่อยู่ ทางมันก็จะสะดวกอยู่นิดหนึ่ง


จะวันเกิดคุณแม่แล้วด้วย แต่ปีนี้ยังไม่ได้ซื้ออะไรให้เลย ทั้งนี้เพราะโอกาสจะได้ไปข้างนอกมันช่างน้อยนิด จะซื้อออนไลน์ก็เลือกไม่ถูก ของแบบนี้ถ้าไม่ได้ไปเลือกซื้อเลือกดู มันจะไปได้ของที่ดีที่สุดอย่างไร และอีกอย่าง สาคิดว่าปีนี้จะซื้อน้ำหอมให้ แต่ถ้าไม่ไปลองดมว่าเข้ากันไหม เกิดไม่ชอบก็ไม่มีความหมายอะไรเช่นกัน


“พี่ครับ เดี๋ยวผมออกไปยื่นเอกสารที่กระทรวงนะ ไปก่อนนะครับ”  จริงๆเอกสารอะไรนั่นสารินฝากคนอื่นไปยื่นให้แล้ว ทำงานมาหลายปี ไอ้นิสัยไม่ดีพวกนี้มันก็จะต้องมีเป็นธรรมดา แต่เอาน่า เราไม่ค่อยได้ใช้สักกะหน่อย


ซื้อเสร็จแล้วก็กลับเลยจะได้ไม่มีใครเป็นห่วง ตอนนี้ให้โทรเรียกคนขับรถของที่บ้านให้วนจากบริษัทพี่สนมารับที่นี่ก็ไม่ทันใจ นั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปไม่ไกลก็ถึงแล้ว เมื่อตัดสินใจได้ สารินก็เลือกที่จะไปห้างคนเดียว ซึ่งแน่นอนบอกใครไม่ได้เพราะจะไม่ได้รับอนุญาต ทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะหนี แต่ทำไมทุกคนต้องดูระแวงขนาดนี้กันด้วย


“ขอบคุณครับ”  หลังจากที่ทำการชำระเงินและรับของมา สารินก็ถือข้าวของเตรียมเดินออกจากห้าง แม้ว่าขนมนี่นั่นจะยั่วยวนตา ทว่าความรู้สึกผิดแม้จะยังไม่มีใครทราบเรื่องก็ทำให้ตนเร่งฝีเท้ามุ่งหน้ากลับบ้านในทันที แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าแถวห้างมีร้านขนมเจ้าอร่อยที่คุณแม่ชอบก็เปลี่ยนแผนเล็กน้อย

ถ้ากลับไปต้องโดนงอนเป็นแน่ มีขนมอร่อยๆไปง้ออาจจะได้ลดโทษลง และเพราะรีบร้อนจึงใช้เส้นทางลัดของลานจอดรถในห้างที่จะไปโผล่ในซอยข้างๆซึ่งถึงเร็วกว่า แต่ทว่าเจ้าตัวช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย


ว่ามีใครกำลังรู้เห็นซึ่งทิศทางที่ตนกำลังเดิน


“อื้ออออ!!!”  โดยกะทันหัน สารินที่เดินเอื่อยๆรับรู้ได้ถึงการจู่โจมอันรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งปากและจมูกของตนถูกปิดสนิทจนไม่อาจจะส่งเสียงโวยวาย อารามตกใจจึงควบคุมลมหายใจตนเองได้ยาก ในที่สุดสติสัมปชัญญะก็เหมือนจะหยุดทำงาน ร่างๆทั้งร่างเหมือนลอยเคว้งไปในอากาศทั้งๆที่จริงๆแล้วมันกำลังจะล้มพับลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก


นี่มันเกิด…อะไรกันขึ้น…


กลิ่นเหม็นอับที่บอกไม่ถูกนั้นคือสิ่งแรกที่สารินรู้สึกในยามที่ดวงตายังคงหนักอึ้ง ภาพเหตุการณ์ต่างที่เกิดยังคงต่อไม่ติดในความทรงจำ ทว่าความรู้สึกไม่คุ้นเคยช่วยกระตุ้นผลักดันแรงเฉื่อยให้ประสานความทรงจำของตนกลับมา จึงพบได้ว่าตอนนี้น่าจะอันตราย


“ตื่นแล้วเหรอ”  เสียงทุ้มที่ดังไม่ไกลนั้นทำให้ตนต้องลืมตาตื่นขึ้น เขานั้นรู้แล้ว สารินก็ไม่โง่แกล้งนอนให้ตัวเองถูกทำร้าย


“…”


“หลับสบายไหม”


“….”


“อยากให้ฉันบอกไหมว่าที่นี่ที่ไหน”


“คุณจับผมมาทำไม”  ในสถานการณ์ที่น่าหวั่นเกรง เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายช่างมีสติตอบรับดีเยี่ยม ผู้ถามเป็นชายร่างสูงใหญ่ เขาอาจจะสูงพอๆกับสนธยาเลยก็เป็นได้ และลักษณะเด่นบางอย่างก็ทำให้สารินที่คลุกคลีกับพวกมนุษย์หมาป่าอัลฟ่ารับรู้ได้ทันที


เขาก็เป็นอีกคนในนั้น


ร่างบางค่อยๆลุกขึ้นนั่งจึงค้นพบว่าขาของตนนั้นมีโซ่ตรวนอยู่ อย่างนี้สิที่เรียกว่าการกักขังกันอย่างแท้จริง ที่ผ่านมานั้นคนที่บ้านให้อิสระกันพอสมควรเลย ทว่าดวงตาของสารินนั้นไม่ได้อ่อนแสงลง แม้ไม่เปล่งประกายเจิดจ้า ทว่าก็ไม่พยายามทำให้ตัวเองดูด้อยกว่าในสถานการณ์ที่เป็นรองแบบนี้


“อะไรคือการที่ทุกคนพยายามผลักดันนายให้เป็นแม่พันธุ์ของฉันกัน”  อีกฝ่ายยิ้ม แต่ไม่อาจจะบอกได้ว่านี่ยิ้มของคนประสงค์ดี สารินขมวดคิ้วฉับ ภาระและความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครพูดถึง วันนี้มีคนพูดมันต่อหน้าสารินแล้ว


เพย์ตัน…


“คุณจับผมมาทำไม”  อีกไม่นานก็น่าจะถึงคราวส่งตัวอยู่แล้วนี่ มีเหตุผลให้จับมาก่อนด้วยเหรอ?


“มันเป็นเรื่องของการเมืองและความรู้สึกน่ะ”  สารินไม่เข้าใจ  “ว่าแต่เธอน่ะ…อยากเป็นของฉันไหม”  เขาถาม แววตาเป็นประกายดูมีเสน่ห์ ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่ปรากฏบนแววตา ซึ่งแน่นอนการแสดงออกของสาก็เป็นไปอย่างชัดเจน แม้ว่าตนจะเตรียมใจมาตลอดว่ามันต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงจริงๆ


มันก็มีแต่ความไม่พร้อม


“พักผ่อนเยอะๆ เธอน่าจะยังเพลียอยู่”


“ผมไม่ง่วงแล้ว”


“ก็นอนเล่นไป”  เขาชี้แนะ  “เพราะเธอยังไปไหนไม่ได้”


“แล้วคุณรออะไร”  ไม่ใช่ว่าเขาจับกันมาเพื่อจัดการธุระจำเป็นหรอกหรือ


“รอเวลานิดๆหน่อยๆ”  เขาไม่ได้อธิบายมากนัก  “จัดการตามใครบางคนเจอเมื่อไหร่จะกลับมาจัดการธุระกับเธอแน่”  และมันไม่กระจ่างใจเอาเสียเลย


เป็นคนของเพย์ตันหรือเปล่า แต่สารินไม่อาจจะนึกคิดเป็นอื่นได้อีกแล้ว คือมันก็มีความเป็นไปได้หลายๆอย่างว่าชายคนนั้นจะมาจากตระกูลอื่นซึ่งมีความเกี่ยวข้องไม่ว่าจะไหนทางไหนก็ตามกับเพย์ตัน เมื่อมานึกดูดีๆ บางทีที่ช่วงนี้ที่บ้านเข้มงวด นั่นอาจจะเพราะมันมีแนวโน้มที่ ‘สินค้า’ จะถูกลักลอบขโมยก่อนจัดส่งก็เป็นได้ สารินก็ไม่อยากเปรียบเทียบอะไรที่ดูไร้หัวใจ ทว่าภาระที่ตนแบกไหว มันใช้หัวใจเข้ามาทำไม่ได้จริงๆ


อย่างนี้คนที่บ้านคงวุ่นวายตามหากัน ตัดแง่ความผูกพัน สารินมั่นใจว่าตนมีความสำคัญแน่นอน ทั้งพ่อและแม่เป็นคนของตระกูลที่ข้องเกี่ยวและมีผลประโยชน์ทางธุรกิจกับเพย์ตันที่เหมือนราชวงศ์มนุษย์หมาป่าอัลฟ่ามาตั้งแต่สมัยอดีต จนตอนนี้พวกเขาก็ยังคงมีคบค้าดองกันกับบุคคลเหล่านี้ และบางทีก็จะจัดหาเด็กที่เป็นแม่พันธุ์ดีๆ เอามาเลี้ยงให้มีคุณภาพ เมื่อถึงเวลาก็จะยกให้ เพื่อผลตอบรับทั้งความไว้ใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ใหม่ๆให้ยั่งยืน


ถามว่าทำไมต้องหาแม่พันธุ์ นั่นก็เพราะว่าการสืบพันธุ์ของหมาป่าในยุคปัจจุบันที่มีวิวัฒนาการเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ถึงการสืบพันธุ์ด้วยกันกับมนุษย์หมาป่าที่สืบเชื้อสายอัลฟ่าด้วยกันเองใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่มันมีโอกาสน้อยกว่า และโอกาสที่เด็กที่ออกมาจะไม่มีลักษณะคล้ายอัลฟ่านั้นต่ำมากจนต้องแสวงหาตัวเลือกอื่น


และตัวเลือกนั้นๆก็คือมนุษย์ที่มีคุณสมบัติเหมือนโอเมก้าในอดีต


สารินไม่ค่อยมั่นใจประวัติศาสตร์วิวัฒนาการทางเผ่าพันธุ์นัก เดิมทีอัลฟ่านั้นมีวิวัฒนาการมาจากเผ่าพันธุ์หมาป่า และในภายหลังได้กลายเป็นมนุษย์หมาป่า และเพราะลักษณะของความเป็นผู้นำในด้านต่างๆ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถก้าวขึ้นเป็นชนชั้นปกครองปะปนไปกับมนุษย์ทั่วไป และมีการสร้างสมาคมลับที่จำกัดสมาชิกให้เป็นเพียงอัลฟ่าไว้ เพื่อการปกครองและคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่มีความเสี่ยงที่จะสูญสิ้นไป


โดยหนึ่งในตระกูลผู้นำดั้งเดิมนั้น มีเพย์ตันอยู่ด้วย


ในส่วนของโอเมก้านั้นมีเพศสภาพและกายภาพที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เพราะการเกิดมามีร่างกายอ่อนแอ และไม่สามารถควบคุมสภาวะต่างๆที่เกิดจากร่างกายตัวเองได้ จึงถูกมองรวมๆไปว่าเป็นพวกไม่เอาไหนและดีแต่ก่อปัญหา ทว่าจุดเด่นที่เป็นที่สนใจแก่เหล่ามนุษย์หมาป่าอัลฟ่าไม่ว่าจะในตระกูลไหนๆ ก็คือการมีไว้เป็นตัวช่วยสืบพันธุ์


ด้วยลักษณะที่เข้าคู่กันได้ด้วยดีระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้า ทำให้สามารถให้กำเนิดบุตรที่เป็นอัลฟ่าได้เป็นส่วนใหญ่ มิหนำซ้ำโอเมก้ายังสามารถตอบสนองต่อความต้องการทางเพศของอัลฟ่าได้ดี และไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนที่คนยังแบ่งชนชั้นวรรณะกัน โอเมก้าที่อยู่ต่ำกว่าจึงกลายเป็นทั้งแม่พันธุ์และวัตถุทางเพศของมนุษย์หมาป่าเหล่านั้น


ทว่าปัญหาที่ตามมาจากการถูกเพิกเฉยและกดขี่นั้นคืออัตราการเกิดของโอเมก้านั้นต่ำลงเรื่อยๆ จึงนำไปสู่ปัญหาประชากรของอัลฟ่าลดน้อยลงตาม เมื่อเวลาผ่านไป และโลกได้ข้ามผ่านแต่ละยุคแต่ละสมัย หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ การนำสารเคมีมาใช้ในชีวิตประจำวันอาจจะทำให้ชีวิตของผู้คนที่อาศัยบนโลกสะดวกสบายขึ้น แต่สารบางประเภท…


ก็มีผลกับพันธุกรรมของเผ่าพันธุ์บางเผ่าพันธุ์เช่นกัน



Talk: เนี่ยเรามาแบ้ว มาเร็วแบบกลัวคนอ่านรอนาน
เห็นคอมเมนท์ที่ว่าชื่นชอบกัน เรามีกำลังใจในการแต่งขึ้นเยอะเลย ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ
และถ้ามีตรงไหนอยากแนะนำก็บอกได้เลย #คู่กินคู่กัด @reallyuri
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 18 8/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-04-2019 22:55:33
กำ น้องสาลูกกกกกกกก
ใครจับมาทำอะไรละเนี่ย
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 18 8/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-04-2019 10:01:10
ใครจับน้องสามาเนี่ย :katai1:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 19 23/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 23-04-2019 20:11:56
19

สน xสา


ในปัจจุบัน มันหาได้น้อยมากที่โอเมก้าจะฮีท จากรายงานหรือว่าข้อมูลปากต่อปากจากชุมชน ยังไม่พบการฮีทที่กระตุ้นความต้องการสืบพันธุ์ของอัลฟ่า ทว่าร่างกายของโอเมก้าเหล่านั้นก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้อยู่ โดยการตั้งครรภ์เป็นไปได้ง่ายขึ้นจนบางครั้งการควบคุมกำเนิดแบบเก่าก็ไม่สามารถควบคุมได้ จึงต้องมีการพัฒนาตัวยาที่ดีขึ้นออกมา


ทั้งนี้โอกาสการกำเนิดบุตรของโอเมก้านั้นก็ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ที่มีสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน โดยโอเมก้าจะกำเนิดจากครรภ์ของโอเมก้าเท่านั้น ในฝ่ายพ่อพันธุ์อาจจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือเผ่าพันธุ์อื่นๆคละกันไป แต่น่าเสียดาย โอเมก้าส่วนใหญ่มักสุขภาพไม่แข็งแรง หลายคนเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือยังเด็ก


แม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่ฮีท และข้อบ่งชี้หลายๆอย่างของเผ่าพันธุ์นั้นได้หายไปแล้วจนโอเมก้าวิวัฒน์บางคนเลิกเรียกตัวเองว่าโอเมก้า ทว่าตัวตนของบรรพบุรุษและสภาพสังคมที่กดขี่ก็ยังมีให้เห็นทั่วไป ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นอะไรทว่าในสายตาเผ่าพันธุ์อื่นๆก็ยังมองกันเป็นโอเมก้า และการซื้อขายโอเมก้าเพื่อประโยชน์กับการใช้งานก็ยังคงมี และธุรกิจเหล่านี้ก็มักจะทำผ่านคนประเภทเดียวกันเอง


จากยายสู่แม่ จากแม่สู่ลูก และจากลูกสู่หลาน


สารินเชื่อว่ามันต้องมีคนใหม่ๆที่ไม่อยากเป็นเหยื่อวงโคจรนี้อีกต่อไปและลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆเช่นตนเองหลังจากที่หมดหน้าที่แล้ว ตนก็ไม่คิดจะสืบพันธุ์ต่อเพื่อตัดวงโคจรนี้ อันที่จริงโอเมก้าไม่ควรจะมีอยู่ต่อไปด้วยซ้ำ เพราะนอกจากเราจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้น่าอยู่ขึ้นไม่ได้ เรายังจะเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ต่อไปแบบไม่จบไม่สิ้น


ชะตากรรมเช่นนี้มันเศร้าเกินไป แม้ว่าการสิ้นเผ่าพันธุ์นี้อาจจะทำให้อัลฟ่าลดจำนวนหรือสูญพันธุ์ตาม แต่เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเผ่าพันธุ์ไหนๆ จะอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบต่อพวกเราเลย


และพวกเขาคงไม่สูญพันธุ์ง่ายๆ เงินทุนจะสามารถดลบันดาลทุกสิ่ง ในอนาคตโอเมก้าอาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อพวกเขา ทว่าอนาคตนั้นมันแค่ยังไม่มาถึงเท่านั้นเอง ตอนนี้เรา…จึงยังเป็นเหยื่อการเมืองของพวกเขาเหล่านี้


เรื่องราวของอัลฟ่าและโอเมก้าที่เต็มไปด้วยความรักน่ะ มันไม่มีอยู่จริงหรอก


ฤทธิ์ยาที่ยังคงมีอยู่ทำให้สารินคิดอะไรไม่ได้มาก เน้นแต่จะหลับอย่างเดียว อันที่จริงรอบตัวนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ทว่าตนก็ยังนึกหวังในความสำคัญ สารินคิดว่าจะอย่างไรทางบ้านก็ต้องส่งคนมา และตอนนี้ฤทธิ์ยาก็ทำให้หัวตื้อเกินกว่าจะคิดอะไร ดังนั้นภายนอกนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นจึงไม่รับรู้เลย


จนกระทั่งได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างพังทลายลง


“อืม”แต่ก็ยังแยกภาพจริงกับภาพฝันไม่ออก บางทีนี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้


เพราะภาพหมาป่าที่กระโดดขึ้นมาบนเตียงและก้าวเข้ามาใกล้ๆโดยไม่มีแววคุกคามนั้นมันไม่มีทางมีอยู่จริง


“มารับน้องแล้วใช่ไหม”  สารินละเมอเพ้อออกไป รับรู้ได้ถึงลมหายใจและสัมผัสแนบชิดจากใบหน้าอีกฝ่ายที่มาคลอเคลียใกล้ๆ เมื่อรับรู้ถึงความปลอดภัยจึงเลือกที่จะจมสติตัวเองกลับไปอีกครั้ง ตัดการรับรู้กับสิ่งต่างๆอย่างสิ้นเชิง โดยไม่คิดจะฝืนพยายามรับรู้สิ่งใดอีก


อาจจะเพราะ….สัมผัสที่โอบอุ้มกันไว้ทำให้รู้สึกดีเกินไป ดีจนไม่อยากจะตื่นจากการหลับใหลอีกต่อไปแล้ว


ทว่าฝันดีมักอยู่กับเราไม่นาน เมื่อได้นอนเต็มอิ่มและฤทธิ์ยาไม่อาจจะทำอะไรได้ต่อไป สารินก็ค่อยๆขยับเปลือกตาขึ้นเพื่อรับสภาพความเป็นจริง ทว่าเมื่อขยับข้อเท้าก็พบว่าไม่มีอะไรตรวนตรึงกันไว้อีกแล้ว


เจ้าของดวงตากลมโตขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ พลันนึกเรื่องที่ฝันไปและค่อยๆปะติดปะต่อ มันจะเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ แม้จะหวังอยากได้ความช่วยเหลือ แต่ไม่คิดว่าตนจะได้รับมันเร็วเช่นนี้ เพียงฝันตื่นเดียวเอง ทำไมสถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปแล้วล่ะ หรือว่าจริงๆแล้วมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย


ร่างเล็กค่อยๆพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองไปรอบๆห้อง น่าเสียดายที่ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง ตนไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับห้องๆนั้นเลย จำได้แค่ว่าที่ขามีโซ่ตรวนแต่ตรวนไว้กับอะไรก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ โชคดีแล้วที่มีโอกาสได้กลับมาเดิน สองขาจึงค่อยๆก้าวลุก และจุดหมายเป็นที่ประตู


และเมื่อเปิดออกก็พบกับลานกว้างที่คุ้นเคย


“พี่สน”  นี่คือชื่อเดียวที่สารินนึกออก สถานที่แห่งนี้เราเคยมาแล้ว และคนที่พามา…ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น


หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะเรียบนิ่งพลันเหมือนกระตุกขึ้นมา ความอิ่มใจที่ถาโถมทำให้คนตัวเล็กที่นอนไปนานแสนนานออกถลาวิ่งลงจากตัวบ้านไปยังลานกว้าง คิดถึง…คือสิ่งที่เก็บรั้งไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ทว่าเพื่ออะไร ตนเองก็ยังชี้แจงความจริงตรงนี้ต่อสมองทุกส่วนที่ตนมีไม่ได้


ทว่ามองไปรอบๆแค่ไหนก็เหมือนจะหาตัวตนของเขาไม่เจอในบริเวณนี้


สารินยังคงเดินหาต่อไป แม้ว่าจะเป็นในสวนที่อยู่ใกล้ๆหรือเป็นบริเวณชิงช้าทำมือที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น แต่ตนไม่อาจจะเห็นเงาของใครนอกจากตัวเองตรงนี้ หรือว่าเรายังคงไม่ตื่นจากฝัน แต่ฝันที่โดดเดี่ยวเกินไป มันไม่ใช่ฝันดีหรอก อย่างน้อยคนที่คิดจะตัดขาดความสัมพันธ์ฉันอัลฟ่าและโอเมก้าหลังภารกิจเสร็จสิ้น ก็มีส่วนเสี้ยวของความทุกข์ใจซ่อนอยู่ตรงมุมนี้


“ลุกมาทำไม”  น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของร่างเล็กจอมป่วนที่ลุกจากเตียงมาเดินไปเดินมาก่อนจะจบด้วยการนั่งก้มหน้าบนชิงช้านั้นเหมือนมีคนมากระตุ้นหัวใจให้เต้นเป็นจังหวะที่ถูกต้องอีกครั้ง สาเกือบจะยิ้มออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอีกคนกำลังพร้อมจะขย้ำหัวกัน


“สาไม่เห็นใครเลยออกมาตามหา”  ทว่าคำแรกที่อยากจะพูดออกมา คือคำว่า ‘พี่สน’


“แล้วทำไมไม่ใส่รองเท้า”  อันที่จริงคือตนไม่ได้แม้แต่จะมองเลยว่ามีรองเท้าวางอยู่หรือไม่ สารินถูกย้ายจากที่หนึ่งมาอีกที่ด้วยสภาพที่หลับใหลย่อมไม่รู้สิ่งใด อาการหวาดกลัว ตื่นเต้น ดีใจจึงทำให้มองข้ามเรื่องสำคัญมากๆเช่นเรื่องการใส่รองเท้านี้ ทว่าตนไม่เห็นว่ามันสำคัญอะไรเท่าไหร่


เพราะในที่สุดก็ได้เจอคนที่ใจนึกถึงแล้ว


“พี่สน”  สนธยาตกใจไม่น้อยที่คนซึ่งลุกหายไปจากเตียงเตลิดมาถึงนี่ เขาตามหาเพื่อพบว่าน้องเดินมาไกลเพื่อตามหาอะไรสักอย่างโดยไม่ได้ใส่รองเท้า ทว่าตกใจยิ่งกว่าที่พูดไปไม่กี่คำ อีกคนก็ลุกและโผเข้ามากอดเขาทั้งตัว ช่างไม่ใช่เด็กน้อยขี้เกรงใจคนที่เขารู้จักเลย


“ไม่ต้องกลัว”  เขาลูบหัวทุยๆนั่นและเอ่ยปลอบแบบแข็งๆ ยังคงแสดงออกถึงความรู้สึกไม่เก่งเมื่อเป็นเรื่องของเด็กคนนี้ ทว่าสิ่งที่ไม่รู้เลยคือความกลัวที่ว่ามันไม่มีอยู่จริง สารินเพียงต้องการที่พึ่งพาเล็กน้อย แต่สิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้คือความอบอุ่นปลอดภัย ซึ่งมันช่างดีต่อใจเหลือเกิน


เขาอุ้มร่างบางขึ้นมาด้วยไม่อยากให้เดินกลับทั้งสภาพแบบนี้ สารินเองก็ไม่ได้โวยวายแต่อย่างใด พร้อมทั้งยินยอมให้เขากอดเอาไว้จนกระทั่งมาถึงตัวบ้านหลังเล็กที่เพิ่งจากมา


พี่สนใจดี…นี่คือสิ่งที่สารินสัมผัสได้ และความใจดีที่เหมือนจะมีมาพร้อมความห่วงใยของเขา ก็อาจจะเหมาะสมแล้วกับการเป็นพี่ชายของน้องชายคนหนึ่ง ทว่าที่ไม่ดีนัก นั่นคือน้องชายคนนี้รู้สึกไม่ปกติกับสิ่งที่ควรจะเป็นไปสักเท่าไหร่ เจ้าของร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นพยายามผลักไสความอบอุ่นที่แฝงมานั้น เพียงเพื่อจะสร้างเกราะป้องกันอันเปล่าประโยชน์ขึ้นมา


และมันก็ล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนแม้กระทั่งตอนนี้


เขายื่นผ้าขนหนูมาให้ด้วยคิดว่าสารินอาจจะอยากอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น แต่หลังจากนั้นก็พบว่าอีกฝ่ายฝังตัวเองอยู่ในห้องน้ำนานเกินไป“สา เป็นอะไรหรือเปล่า”  สนธยาเคาะถาม


“เดี๋ยวสาออกไป” จะให้เขารู้ได้อย่างไรว่าอะไรทำให้เราไม่ยอมออกไปไหน


หลังจากที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปมากมาย สารินรู้สึกตัวและมั่นใจในความอ่อนไหวไม่ธรรมดาของตนแล้ว จริงๆสาก็ไม่ได้โง่เง่าขนาดที่จะไม่รู้ใจ และก็ค้นพบด้วยว่าในความหวั่นไหว มันไม่ได้เกิดกับเราแค่ฝ่ายเดียว บางทีหากเราสนิทสนมกันมากกว่านี้ คงเป็นพี่เป็นน้องได้ธรรมชาติยิ่งกว่า ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความพยายามมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาหัวใจให้กันได้


หากสาเป็นโอเมก้า เขาก็ไม่ใช่อัลฟ่าของเราอยู่ดี


แต่จะพูดว่าอัลฟ่าหรือโอเมก้าเป็นของกันและกันก็ไม่ถูกนัก เราอาจจะเข้ากันได้ดีทางเพศสัมพันธ์ และมีแค่บางคู่ที่ก้าวผ่านทิฐิของตัวเองและสังคมมาครองคู่กันได้ แต่มันไม่ได้มีเยอะเลยในโลกใบนี้ และเรื่องนี้ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นกับเรา เพราะสาถูกรับเลี้ยงมาด้วยจุดมุ่งหมายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เพื่อการเป็นของเขา


ตระกูลอัลฟ่าจะไม่เลี้ยงโอเมก้าเพียงเพื่อให้มาสร้างความผูกพันและใช้กันเป็นเครื่องจักรภายใน
แต่จะนำไปมอบให้ตระกูลอื่นเป็นของขวัญเชื่อมสัมพันธ์อย่างไร้หัวใจต่างหาก


สารินมายืนอยู่ที่หน้ากระจก จ้องมองตัวเองที่ใส่เสื้อและกางเกงผ้าตัวใหญ่ของเขา มันไม่ได้ทำให้ตนดูแปลกเพราะการใส่เสื้อตัวใหญ่หรอก ปกติสาก็ชอบใส่อะไรโอเวอร์ไซส์อยู่แล้ว ทว่าที่มันดูต่างจากปกติคือบรรยากาศมากกว่า การอยู่ในห้องของเขา ใช้เครื่องอาบน้ำของเขา และใส่เสื้อผ้าของเขา มันทำให้ร่างทั้งร่างของตนเหมือนถูกห้อมล้อมไว้ด้วยทุกอย่างที่เป็นตัวเขา


และความไม่กลมกลืนกันนี้ ทำให้คนช่างเพ้อฝันหน้าแดงเขินอายอยู่กับตัวเอง เพราะมันก็เหมือนกับว่าเราเป็นของเขาไปเสียแล้ว ช่างบ้าบอเสียจริงๆ


“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ”  สารินเดินออกมาจากห้องน้ำได้สักที และก็พบว่าเขานั่งรอกันอยู่ที่เตียง จ้องมองมาทั้งตัวจนคนที่ถูกคาดโทษต้องกลั้นหายใจ บรรยากาศมันวาบหวามเกินความจำเป็นไปมากจริงๆ


เขาไปหาซื้อกับข้าวมาให้เพราะคิดว่าคนที่นอนไปเป็นวันๆเช่นสาต้องหิวโซมากแน่ๆ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งกลิ่นหอมของกับข้าวที่ถูกอุ่นร้อนลอยเข้าจมูก น้ำย่อยของตนก็กระโดดไปมาอย่างเริงร่า นี่มันหิวไม่ธรรมดาแล้ว


“ทานเยอะๆก็ได้ แต่อย่ารีบไป จะสำลัก”  เขาเอ่ยเตือนหลังจากมองดวงตาเป็นประกาย


หลังจากสารินถูกจับตัวไป บ้านทั้งหลังก็วุ่นวายกับการตามหา โชคยังดีที่คุณแม่ให้นาฬิกาข้อมือกับอีกคนไว้และมันทำให้พวกเราตามหากันได้โดยไม่ต้องเสียเวลามาก และเขาแทบเป็นบ้าเมื่อบ้านที่สารินถูกจับตัวไว้ถูกห้อมล้อมเต็มไปด้วยพวกหมาป่าเหมือนกัน และคนพวกนั้นชื่นชอบที่จะได้ผสมพันธุ์กับโอเมก้า


อาจจะเป็นโชคดีของโชคชะตาที่โอเมก้าสมัยนี้ไม่ได้มีฮีทหรือส่งกลิ่นได้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว และอัลฟ่าสมัยนี้ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานของโอเมก้าได้อีก เขาจึงหวังไปกับตัวเองว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ได้ถูกข่มเหงแต่อย่างใด ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าตัวก็ใช่จะดึงดูดน้อยเสียเมื่อไหร่


อย่างน้อยก็ทำให้เขาหัวปั่นตามเล่นงานคนที่หลงเสน่ห์จนไม่เป็นอันทำอะไรไปหลายคน


โชคดีที่จำนวนคนที่เฝ้าอยู่ไม่ได้มีมากเกินรับมือ เขาที่มาพร้อมกับบอดี้การ์ดจำนวนหยิบมือสามารถจัดการได้ แต่ก็ถือว่าเสี่ยงมากมายเนื่องจากยังระบุไม่ได้ว่าผู้ประสงค์ร้ายคือใคร สถานการณ์ในตอนนี้ต้องอัพเดทกันแบบรายชั่วโมงเลยทีเดียว หากเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์มันก็ง่ายกว่าที่จะจัดการ แต่พอเป็นเผ่าเดียวกันแล้ว จะทำอะไรก็ต้องรักษาท่าที


แต่เด็กนี่ไม่ได้รับรู้ถึงความรุนแรงภายนอกเลย สารินนอนหลับบนเตียง แวบแรกที่เห็นเขาแทบลืมหายใจ ทว่าเมื่อค่อยๆสาวเท้าเข้าไปอีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าฝันหรืออะไรดลใจ ประโยคที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงมันทั้งเจ็บปวดมันทั้งตื้นตัน  ‘มารับน้องแล้วใช่ไหม’ มันตีความได้หลายอย่างมาก แต่อย่างที่เขาเข้าใจคือการรอคอยที่เจ้าตัวระบุเจาะจงว่าเป็นเขาเท่านั้น


ด้วยฤทธิ์ยาอาจจะทำให้เจ้าตัวเล็กเผลอละเมอคำพูดไร้สาระออกมา แต่ณ.วินาทีนั้นที่เขาได้รับรู้ถึงไออุ่นของอีกคนที่ซุกอยู่กับแผ่นอกนั้น ก็หมายมั่นว่าต่อไปจะซื่อตรงกับการแสดงออกมากกว่านี้ สารินเป็นคนใกล้ตัวและใกล้ใจ ทว่ามันใกล้เกินไปจึงต้องพยายามผลักไสแต่จากนี้ไปมันจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นขอเวลาให้กันอีกนิดได้ไหม


มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการแต่ว่ามันจะไม่นานเกินไปเท่าที่เขารอคอยมาเนิ่นนาน


“เราจะกลับเมื่อไหร่”


“ตอนนี้ยังกลับไม่ได้ พวกผู้ใหญ่กำลังวุ่นวาย”  เขาพูด และน้องก็ก้มหน้าลง เขาไม่อาจจะคาดเดาว่าคิดอะไรได้ทั้งหมดแต่พอเดาได้  “มันเป็นเรื่องของการเมืองที่ไม่ได้มีสาหรือพวกเราเป็นต้นเหตุ ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกไม่ดี”


“สาแค่กังวลว่าเพราะสาที่ทำให้ทุกคนลำบากหรือเปล่า ถ้ามีอะไรที่สาช่วยได้”


“สาแค่เชื่อฟังพี่ว่าช่วงนี้อย่าไปไหนคนเดียว”  เขาพูดออกมา  “ลาออกจากงานไปก่อนจะดีกว่า เพราะช่วงนี้คงปล่อยให้ไปข้างนอกไม่ได้เลย”


“แต่ว่า…”


“เพื่อความปลอดภัยของสาและความสบายใจของทุกคน ทำได้ไหม”


“งั้นพี่สนบอกสาได้ไหมว่าทำไมพวกเขาต้องจับตัวสาไป”


“…”


“สาควรจะรู้ใช่ไหมเพราะมันก็เกี่ยวข้องกับตัวของสาเอง”  สารินต่อรอง เด็กคนนี้ฉลาดที่จะพูดไม่น้อย


“พี่เองก็ยังไม่รู้ว่าใคร แต่จับเราไปก็ไม่สามารถมองว่าหวังดีได้หรอก เราคิดอย่างนี้”


“แล้วพี่สนคิดว่าใคร”


“ตอนนี้ทางข้างบนก็แตกเสียงกันเป็นหลายฝ่าย”  สนธยากล่าวเช่นนั้น  “มันมีทั้งกลุ่มคนที่สนับสนุนทาริค เพย์ตันขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์คนถัดไป และก็มีที่สนับสนุนคนอื่นๆ” สารินจึงเข้าใจว่าตอนนี้สถานการณ์มันคลุมเครือจึงไม่อาจจะระบุได้ว่าเป็นใครและต้องการอะไรอย่างแท้จริง


คร่าวๆมันก็ประมาณนี้ แต่มันเกี่ยวข้องกับสารินตรงที่เจ้าตัวคือหนึ่งในโอเมก้าที่ถูกจัดหาเพื่อทำการสืบพันธุ์ให้กับผู้นำลำดับถัดไป ซึ่งทางครอบครัวเขาที่สนับสนุนเพย์ตันตั้งใจที่จะมอบเด็กคนนี้ให้เพื่อสานต่อผลประโยชน์ที่พูดคุยไว้ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ ทาริคมีพฤติกรรมบางอย่างซึ่งทำให้ผู้สนับสนุนบางรายไม่พอใจ


เพย์ตันคือตระกูลที่สืบทอดอำนาจกันมาอย่างช้านานจากรุ่นสู่รุ่น บัลลังก์ของพวกเขาแข็งแกร่งและยืนยงจนไม่มีใครคิดอยากล้ม ทว่าเมื่อโลกเปลี่ยน แนวคิดการปกครองก็ย่อมเปลี่ยน เสียงที่เคยสนับสนุนก็กระจายไปในหลายแนวทาง จนเริ่มมีเสียงคัดค้านการสืบทอดตำแหน่งผู้นำทางสายเลือด


ทำไมเหล่าหมาป่ากลายพันธุ์อย่างพวกเขาต้องเกาะกลุ่มขนาดนั้น ก่อนอื่นต้องเล่าย้อนให้ฟังว่าพวกเขาก็เหมือนชนกลุ่มน้อยที่อาศัยบนโลก แม้จะแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้มีจำนวนมากพอ จึงแทรกซึมอยู่ในทุกสังคมเหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ ทำตัวกลมกลืนแต่ก็หวาดระแวงต่อการถูกพบเจอ การรวมกลุ่มสามัคคีย่อมก็เพื่อประโยชน์ส่วนร่วม และแนวคิดนี้ก็คงอยู่มาได้เป็นร้อยเป็นพันปี


ทว่าทุกคนรู้ดีว่าความไม่พอใจภายในล้วนมี แต่ถูกฝังไว้เป็นปมลึกในจิตใจ หากคนส่วนใหญ่บนโลกยอมรับได้ถึงการมีอยู่ของบุคคลที่แตกต่าง ไม่ใช่เอะอะก็คิดว่านี่คือผีนี่คือปีศาจ บางทีกลุ่มคนเล็กๆเช่นหมาป่า แวมไพร์  หรือใครๆก็คงอยู่ร่วมกันได้แบบเปิดเผยค่อยๆปรับตัว แต่ความคิดสวยหรูแบบนั้น มันไม่มีทางเป็นจริงได้


ยิ่งเฉพาะปัญหาระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าตั้งแต่อดีต ปัจจุบันนี้ยังหาทางลงไม่ได้เลย


หลังจากที่ทาริคประกาศตัวต่อต้านการสนับสนุนจากกลุ่มคนหัวเก่าทั้งๆที่ตัวเองคือสัญลักษณ์ของความหัวเก่านั้น ก็ทำให้คนที่สนับสนุนอำนาจใหม่ยิ่งลุกฮือเชิดชูผู้นำของตนเอง กลุ่มคนที่ยังพัวพันฝั่งอำนาจของเพย์ตันก็พยายามจะทำให้ทาริคกลับมาในจุดเดิม แต่ก็มีบางส่วนที่หันมาสนับสนุนทาริคเพิ่มเพราะชื่นชอบในกลุ่มอำนาจเก่าแต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงใหม่ และช่วงนี้ก็มีข้อมูลใหม่ ที่ทำให้พวกเขาคาดเดาเหตุการณ์ไปเองต่อไปได้ยาก


เมื่อมีคนพบว่าทาริคคบหาฉันคนรักกับคนต่างเผ่าพันธุ์


ปกติแล้วมนุษย์หมาป่าเช่นพวกเขาจะแต่งงานอยู่กินกับคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันเพราะความเชื่อและทิฐิที่สืบทอดกันมา มีบ้างที่ออกไปคบหาอยู่กินกับเผ่าพันธุ์อื่น แต่มันมักจะไม่เกิดขึ้นกับเหล่าผู้นำหรือตระกูลชั้นสูง


และถึงแม้การขยายเผ่าพันธุ์ในหมู่มนุษย์หมาป่าด้วยกันทำได้ยาก แถมยังมีความต้องการให้ผู้สืบทอดมีลักษณะที่แข็งแกร่งเฉกเช่นอัลฟ่าในอดีต ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ พวกเราจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้ประชากรที่ควบคุมได้ง่ายกว่าอย่างโอเมก้ามาเป็นเครื่องมือ


เป็นวิธีการที่โหดร้ายเย็นชา ทว่ามันก็ฝังรากลึกจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตไปแล้ว


แล้วหมากตัวเล็กๆอย่างสารินเกี่ยวข้องอะไรกับสนามความขัดแย้งต่างเผ่าพันธุ์นี้ อาจจะเพราะทุกคนรู้ดีว่าตระกูลของเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยส่งมอบโอเมก้าให้กับเพย์ตันมาหลายยุคหลายสมัย ในช่วงที่อะไรๆยังวุ่นวาย การเก็บหมากตัวนี้ไว้ไม่ให้มาเพ่นพ่านย่อมดีกว่า


ทว่าเป็นฝ่ายไหนกันล่ะที่ลงมือลงไป ในขณะที่ฝั่งธัมรงค์รัชต์ยังนิ่งๆไม่ทำอะไร ใครกันที่ชิงตัดหน้าพาสารินไปแบบนั้นหวังว่าพวกเขาจะจับพวกคนที่เฝ้าสาไว้มาสืบสวนได้ทัน


มื้ออาหารเรียบง่ายของเราจบลง สารินอาสาล้างจานเพราะได้ทราบว่าตอนที่ตนหลับอยู่เขารีบไปหาซื้อมาให้ไว้ และนั่นคือเหตุผลที่ตนตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร โชคดีที่ไม่หวาดกลัวเตลิดมากไปกว่านี้


เมื่อมานึกดู บ้านทั้งหลังมีแค่เราสองคนเท่านั้น บ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก และเป็นบ้านลับๆที่เขาเป็นเจ้าของอยู่เพียงผู้เดียว ไม่ค่อยมีคนรู้ว่านี่คือทรัพย์สินของสนธยา ทว่าก็มีโอกาสได้พาใครสักคนหนึ่งมา สารินเป็นคนที่รู้จักเขาน้อยมาก อาจจะเพราะเจ้าตัวไม่กล้าเข้าใกล้หรืออะไรก็ตาม ทว่าในบางมุมที่คนอื่นไม่เคยรู้ ก็มีเด็กคนนี้ที่ได้รู้ดีกว่าใคร


ไม่รู้อะไรดลใจให้พาเด็กคนนี้มาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง


แล้วครั้งแรกเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้พามา รู้แค่ว่าการได้มาวิ่งเล่นในร่างหมาป่าในที่แห่งนี้คือความสบายใจหนึ่งเดียว วันนั้นที่สารินเหมือนจะหลงอยู่ในวังวนของจิตใจ ก็เป็นเขาที่คิดไปเองว่าการพามาที่นี่จะช่วยเยียวยาความรู้สึกกันได้ ทั้งนี้มันคือการคิดไปเองทั้งนั้นและไม่มีใครคิดเลยว่าหลังจากนั้น


เราจะเผลอเปิดแง้มหัวใจที่ปิดห้ามไม่ให้อีกฝ่ายที่ดูสุ่มเสี่ยงกว่าใครได้เข้ามา


บทสนทนาเกี่ยวกับการส่งมอบโอเมก้าที่ได้พูดคุยกับเขาในวันนี้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเคลียร์ชัดในความรู้สึกนัก แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดเลย และธัมรงค์รัชต์ก็เลี่ยงที่จะพูดคุยเรื่องนี้กันตลอดเพราะอยากรักษาบรรยากาศดีๆเอาไว้ ทว่าเมื่อได้คุยก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาไม่ได้ปล่อยวางเรื่องนี้หรือคิดจะปล่อยกันไปให้เป็นอิสระจริงๆ


ที่ไม่พูดไม่ใช่ไม่คิด แต่ไม่อยากให้เหยื่อตื่นเสียมากกว่า


แต่ก็ไม่รู้ว่าการพูดตรงๆ ย้ำๆ บ่อยๆจะทำให้หดหู่ขนาดไหน เพราะถึงแม้ว่านี่จะเป็นการเอากายเข้าแลก แต่ก็เป็นกายของสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจ แม้มันจะไม่ใช่อะไรที่ยาวนานแต่กว่าจะผ่านมันไปได้จะต้องรู้สึกเช่นไรบ้าง สารินได้แต่จินตนาการเพื่อสร้างเกราะกำบังให้หัวใจ ทว่าเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ


และยิ่งคนพูดคือสนธยาด้วยแล้ว ความรู้สึกปวดหน่วงในหัวใจยิ่งทวีคูณ


“เข้านอนเถอะ นอนด้วยกันบนเตียงได้ไหม อึดอัดหรือเปล่า”  เขาถาม ซึ่งจริงๆมันก็น่าอึดอัดที่เราต้องนอนกับคนที่รู้สึกหวั่นไหวด้วยมาตลอดอย่างนี้ แต่สารินคิดว่าตนเองอ่อนล้าเกินกว่าจะหาเหตุผลดีๆ จึงทำแค่พยักหน้าตอบกลับไปและล้มตัวลงนอน


ทว่าดวงตาที่ปิดสนิทนั้น ไม่ได้หมายความว่าความคิดของตนจะลอยเข้าสู่ห้วงฝัน การเป็นหมากความขัดแย้งก็ไม่รู้ว่าตนจะต้องเผชิญกับสิ่งไหน ทว่าเรื่องนี้กลับไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้นึกน้อยอกน้อยใจอะไร ที่น้ำตามันไหลนี่…


คงเพราะเหตุผลอื่นละมั้ง…


คนแบบสนธยาช่างแสนเย็นชา แต่สารินก็รู้ว่าเขารักบูชาเผ่าพันธุ์และตระกูลของตนเองแค่ไหน แถมนี่เราไม่อาจจะพูดได้ว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายมันเป็นเช่นไร ในความสับสนและความอ่อนไหวที่มีให้ มันอาจจะเทียบไม่ได้กับที่อีกฝ่ายคิดไว้ หรือจริงๆแล้วเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย


“เป็นอะไรไปครับ”  โทนเสียงที่ฟังนุ่มหูนั้นยิ่งตอกย้ำถึงการเอื้อมไม่ถึงนี่ ยิ่งเขาดูแสนดี สารินก็รู้สึกถึงการจับต้องไม่ได้ในแง่ต่างๆ นอกจากเขาจะเป็นมนุษย์หมาป่า เขายังมีครอบครัวและเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญ และนอกเหนือจากนั้น


เขายังเป็นพี่ชาย…


“ฮึก…”  แถมยังเป็นพี่ชายในครอบครัวที่ครั้งหนึ่งคือความหวังของชีวิต สารินไม่อาจจะทรยศพวกเขาได้ จริงๆแล้วสาทำอะไรไม่ได้เลย เรียกร้องอะไรไม่ได้ด้วย และยิ่งเจ็บปวดที่ความแสนดีตรงนี้มีความต้องการทางผลประโยชน์เป็นเดิมพัน สารินนอนตะแคงหันหลัง ปล่อยให้น้ำตารินไหลอย่างที่ไม่แคร์ผู้ใด


ทว่าความหนาวเย็นนั้นเหมือนจะจางหายไป
เมื่อใครสักคนกอดกกกันไว้เมื่อเห็นเช่นนั้น


“ไม่ร้องนะครับ”  เขาไม่อาจจะรู้ได้ว่าอะไรที่ทำให้น้องชายคนนี้อ่อนไหวขึ้นมาทว่าก็พอจะเดาได้ สารินนั้นเข้มแข็งมากๆ กับเรื่องหนักหนามากมายก็มีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลแบบไร้แรงสะอื้น จริงๆแล้วในฐานะพี่ชายต่างสายเลือดเขาไม่ควรกอดปลอบน้องบนเตียงแบบนี้ แล้วยิ่งกว่านั้น…


เขาไม่ควรจูบซับน้ำตาเพราะเพียงแค่คิดว่า…
ตนคือคนเดียวที่ทำมันได้


TALK:
รู้สึกผิดมากมายที่มาช้า แต่ต่อจากนี้จะรู้สึกผิดมากกว่านี้อีก5555
คือเรามีความตั้งใจว่าจะไปแต่งให้จบก่อนง่ะ เรื่องนี้มันค่อนข้างยาวเนาะ
ถึงเราจะมีสตอคอยู่แต่มันไม่ได้ตรวจคำผิดไว้เราก็ไม่เอาลง
แล้วทีนี้ขนาดสตอคไว้เรื่องมันก็ยังเป็นสากับสนอยู่ ยังไม่ได้ประสานเรื่องกับคู่ไพร์มฉันเลย
เราเลยคิดว่าอาจจะมาแบบช้ามากๆเพื่อที่ไปแต่งไว้ให้เยอะๆก่อนเลยอ่ะค่ะ
ซึ่งเราก็ค่อนข้างกังวลว่าคนอ่านจะหาย ทั้งๆที่มันก็น้อยอยู่แล้ว5555
แต่แบบนี้เราคิดว่าเราสบายใจมากกว่าไงไม่รู้ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่อาจจะทำให้รอนานไปอีก
ทีงี้พอเราแต่งไปจนอยู่ในระดับที่กอบกู้ความมั่นใจได้แล้ว แน่นอนค่ะว่าเราจะลงรัวๆเลย แฮ่
เพราะงั้นช่วยรอกันหน่อยนะคะ
รักนะแต่แสดงออกไม่เก่ง ฮี่ @reallyuri
#คู่กินคู่กัด

































หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 19 23/4/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-04-2019 00:45:15
สงสารสา อยากกอดปลอบสาบ้าง แต่ก็คงไม่มีใครฮีลน้องได้ดีเท่าพี่สน

ยังไงก็จะรออ่านนะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 20 18/5/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 18-05-2019 17:04:47
20

สน xสา


สาคงไม่ได้ร้องไห้มากไปใช่ไหม?


“กินยาก่อนครับ”  สนธยายื่นยาและแก้วน้ำให้หลังจากที่เขาบังคับให้อีกคนกินข้าวจนหมดแล้ว ให้ตายสิ ความโอเมก้าในสายเลือดนี่ทำให้อ่อนแอได้ขนาดนี้เลยหรือไง


โทษนั่นโทษนี่เรื่อยเปื่อย จริงๆแล้วก็ทำตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง


“สาเป็นแค่ไข้อ่อนๆเอง” 


“กินยาแล้วจะได้หายไวๆไง เรามีกันสองคน ถ้าพี่ป่วยไปด้วยจะมีคนมาดูแลพี่ไหม”


“สาก็ต้องดูอยู่แล้วแหละ”  ถึงมั่นใจว่าตนไม่ได้ป่วยอะไร และคงไม่ได้ทำให้มนุษย์หมาป่าเช่นเขาป่วยง่ายๆ แต่ก็ยอมกลืนยาลงไปแต่โดยดี


เมื่อวานนี้หลับทั้งๆที่น้ำตาไหล ทว่าเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นหัวใจคือการที่เขาเข้ามาสวมกอดกันไว้ ก่อนที่จะประทับจูบเบาๆที่ตรงหางตา มันไม่มีอะไรเกินไปกว่านั้น ทว่านี่มันก็มากเกินไปแล้ว สารินไม่คิดว่าตนจะมีภูมิต้านทานต่อสนธยาต่ำขนาดนี้เลย


หลังจากกิน เขาก็ให้นอน ชีวิตตอนนี้สบายมาก สบายจนคิดว่าขาดงานแบบไร้การติดต่ออย่างนี้ ตำแหน่งที่มีคงถูกส่งต่อให้คนอื่นไปแล้ว อีกอย่าง…ถ้าทางพี่สนพูดว่าไม่ให้ไปทำและสารินหาข้ออ้างอะไรไปยันไม่ได้ ทางธัมรงค์รัชต์คงเข้าไปจัดการเรื่องปัญหาให้แบบที่ว่ากลับไปคงไม่มีงานให้ทำแล้วจริงๆ


สาคิดว่าตนคงหลับไปไม่นาน ทว่าเอาจริงๆก็เป็นชั่วโมงอยู่ คนตัวเล็กที่นึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจึงเดินออกไป ไม่คาดหวังว่าเขาจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ได้เจอกับหมาป่าตัวใหญ่ กำลังเดินทอดน่องเล่นกับลมอย่างสบายใจในลานกว้าง


เขาชอบที่นี่มากๆเลยสินะ สารินคิดเช่นนั้น ก่อนที่จะก้าวเดินลงไปจากตัวบ้าน สัญชาตญาณของหมาป่าย่อมทำให้เขารู้ว่าใครบางคนกำลังเดินเข้ามา ทว่าจิตสังหารที่ไม่มีอยู่เลย ทำให้มันไม่ขยับไปไหน…จะเป็นใครไปอีกได้


“สาหายแล้ว โอเมก้าตัวน้อยเดินมาหากัน ไม่รู้ว่าลืมความประหม่าหรืออะไร มือเล็กสัมผัสไปบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยเส้นขนสีขาวแซมเทา ร่างบางค่อยๆนั่งลงก่อนที่จะกอดร่างของหมาป่าตัวใหญ่ที่แสร้งทำเป็นแค่หมาบ้านธรรมดาทั่วไป และปล่อยให้มันได้คลอเคลียกลับ ก็มีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เราจะใกล้ชิดกันได้โดยตัดสภาวะแห่งความเป็นจริงออกไป


โดยไม่รู้ตัว สารินก็ออกวิ่งเล่นไปกับเจ้าหมาป่าตัวนั้นราวกับเด็กน้อยที่ไม่มีภาระใดๆ แน่นอนว่าตนไม่มีทางวิ่งหนีหรือวิ่งนำมันไปได้ ทว่ามันก็ไม่ออกวิ่งเร็วเกินไปจนตามไม่ทัน เสียงหัวเราะและความทุ่มเทที่จะเอาชนะนั้นฉายชัดผ่านแววตา ต้องเรียกว่าเป็นสิบปีมาแล้วของพี่น้องที่ไม่เคยสนิทกันที่ได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ค่อยขัดแข้งขัดขากันน่าดู


ก่อนที่ร่างของสารินจะเซล้มทับร่างของมันและลงไปนอนแผ่กับพื้นดิน


“สนุกจัง”  สารินหลังจากเข้าไปอยู่ที่ธัมรงค์รัชต์นั้นเติบโตด้วยการเลี้ยงดูของคุณแม่ ทว่าตั้งแต่เด็กตนก็แทบจะไม่ได้เล่นเหมือนเด็กทั่วไป สถานะสินค้าและหวาดกลัวต่อสังคมทำให้เด็กน้อยเลือกที่จะไม่ออกไปไหน จนกระทั่งวันนี้ตนรู้สึกได้ว่าเราเหมือนย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีอีกครั้ง เป็นหลายสิบปีก่อนในความฝันที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง


เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเบาๆจากการที่ถูกเจ้าหมาป่าตัวร้ายคลอเคลียเลียไปทั่วหน้านั้นเหมือนทำให้โลกทั้งใบสดใส สารินกอดร่างของมันเอาไว้ด้วยหมายจะไม่ให้มันวุ่นวายไปมากกว่านี้ แต่สนธยาในร่างหมาป่าอยากจะพิสูจน์ดูสักที


ว่าถ้าเป็นตัวตนของเขาอีกแบบนี้จะได้รับการยอมรับเหมือนกันอยู่ไหม?


“…”  ร่างของเจ้าหมาป่าที่ถูกกอดนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นร่างของมนุษย์เพศชายวัยฉกรรจ์ มัดกล้ามเนื้อและร่างสูงใหญ่แค่ได้สัมผัสก็รับรู้ได้ถึงความน่าหลงใหล ทว่าสารินที่รับรู้ว่าเขากำลังจะเปลี่ยนร่างไปนั้นจำต้องผละออกมา


“…”  เขาคิดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้จึงรั้งอีกฝ่ายให้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดในร่างเสมือนมนุษย์ เมื่อได้กอดอีกครั้ง เขาก็ได้รับรู้ถึงความตัวเล็กนุ่มนิ่มของอีกคน มันช่างพอดีกับอ้อมแขนเหลือเกิน


ทว่ายังไม่ได้รับการยอมรับว่าพอดีกับใจ


“…”  ร่างบางค่อยๆเอนตัวลงนอนกับพื้นหญ้า เขาไม่ได้ฉุดกระชากหรือทำรุนแรงให้เจ็บ ทว่าหัวใจที่ถูกตั้งค่าให้ถอยห่างต่างหากที่กำลังบีบคั้นหัวใจกันอย่างรุนแรง


“อย่า…ไป”  ก็เป็นทางเขาไม่ใช่เหรอที่จะส่งสาที่รับเข้ามาออกไป เรื่องนี้แม้จะทำใจยอมรับและตระหนักเสมอว่าบุญคุณต้องทดแทนเพียงใด ทว่าในส่วนลึกของจิตใจก็คัดค้านและกล่าวหาว่ามันไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย แต่จะไปเรียกร้องกับใครได้ ในเมื่อมีแค่ชะตากรรมของตนเอง…ที่มันไม่เป็นธรรมตั้งแต่กำเนิด


ใบหน้าของคนตัวเล็กเสมองไปทางอื่น แม้ว่าจะถูกให้อยู่ใต้ร่าง ทว่าก็ไม่ได้มีแววหวาดหวั่นแต่อย่างใด ที่มีก็แค่แววของความไม่แน่ใจและดวงตาที่สั่นไหวซึ่งมาจากหัวใจที่พยายามจะทำให้เย็นชา ทว่าสนธยากลับไม่สนใจท่าทีต่อจากนี้ เขาค่อยๆเชยคางให้หันกลับมามองกัน และเพียงแค่สบตาที่มีแค่การตัดพ้อนั้น


เขาก็ตัดสินใจที่จะมอบสัมผัสวาบหวามจากริมฝีปากนี้ไป


มันเป็นสัมผัสที่แผ่วเบาทว่ามีผลเขย่าหัวใจให้สั่นไหวอย่างรุนแรง สารินที่ไม่เข้าใจนั้นไม่รับรู้สิ่งใด ทว่าส่วนลึกของจิตใจบอกกันว่าให้ตอบรับโอกาสนี้ และเพราะความต้องการมันตีพัน จึงเลือกที่จะนิ่งเฉยปล่อยให้เขาได้เสพย์สมมันเท่าที่ต้องการ


แต่อย่างนี้ไม่ได้ มันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น! สาที่คิดว่าเพียงอีกนิดเราคงไปในจุดที่กู่ไม่กลับอีกแล้วจึงผลักเขาออก แม้ไม่แรงมาก แต่สำหรับคนที่ถูกกระทำนั้น แรงนี้เหมือนถูกฉุดกระชากโดยเครื่องจักรขนาดใหญ่ ทั้งๆที่สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความตั้งใจที่ผ่านการไตร่ตรองและรวบรวมความกล้าเอาไว้ แต่มันก็ถูกผลักไสไปทั้งกายและใจเขาล้วนชาหนึบเพราะมัน


“…”


“เข้าบ้านเถอะ แดดมันร้อน”  เขาที่คร่อมทับกันอยู่เป็นฝ่ายลุกขึ้น ปล่อยให้สารินที่นอนอยู่นั้นเหม่อมองไปยังท้องฟ้า โดยที่ไม่รู้ว่าสายตาหมองเศร้านั้นเอาแต่มองอยู่ จริงๆแล้วมันควรจะเป็นเขาที่ควบคุมมันได้ไม่ใช่เหรอ จริงๆแล้วมันต้องเป็นเขาใช่ไหมที่ไม่ควรเข้าใกล้ ในเมื่อเขาคือคนที่จะส่งกันไปถึงมือใครเพื่อสิ่งที่ตนและครอบครัวฝันใฝ่ ไม่ใช่หรือไง?


แต่ที่เจ็บกว่าคือตนเป็นคนที่ทำให้เขามีสีหน้าเช่นนั้น สารินสับสนทั้งการกระทำ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหัวใจเช่นนี้ มันไม่เคยอยู่ในสมมติฐานใดๆที่ตนเคยเตรียมไว้เลยจริงๆ เขาคือตัวแปรหนึ่ง ที่อาจจะพลิกผันทุกความตั้งใจที่แน่วแน่ได้ และดูเหมือนเราจะยอมพากันถลำลึกเข้าไป ลึกจนตอนนี้มองไม่เห็นแสงสว่างใดๆที่ปลายทาง


แดดเริ่มจะร้อนแล้วจริงๆ เมื่อสารินกลับมา เขาก็ไม่รู้อยู่ตรงไหนของบ้าน คาดว่าตอนนี้เราคงต้องการระยะห่าง เพราะไม่มีอะไรสนิทใจอีกต่อไปแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้น สารินคิดว่าสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ คือความรู้สึกผิดที่ทับถมกันอยู่ เมื่อแสดงออกว่าต่อต้าน คนที่เจ็บปวดใจไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น คนที่ผลักไสออกไปเจ็บยิ่งกว่าเท่าไหร่ ทำไมไม่รับรู้เลย


เราทำเช่นนั้นไม่ได้ เราเป็นพี่น้องกัน นี่คือสิ่งที่สานั้นตอกย้ำในใจเหมือนหลอกตัวเองเสมอมา ทว่าตัวเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่ และความหวั่นไหวที่พยายามทำเป็นมองข้ามเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย รู้ทั้งรู้ว่าเราเป็นแค่สารินที่ครอบครัวของเขารับเลี้ยง จะไปหวังให้ลูกชายคนโตของบ้านมาชายตามองกัน มันเป็นไปไม่ได้


มันผิด…ทั้งในแง่ศีลธรรมและธรรมเนียมที่คนตนเคารพรักยึดมั่น


ทว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นแล้ว สาก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรเช่นกัน แม้ความอ่อนโยนนั้นจะเป็นแค่ความลวง หรือความวาบไหวนั้นจะเป็นเรื่องผ่านมาเพื่อผ่านไป แต่สารินสามารถรับไว้ได้ใช่ไหม แม้ว่ามันจะแค่ชั่วครั้งคราว


จนเย็นและค่ำมืดกว่าเขาจะกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง สารินทำอะไรง่ายๆที่มีติดไว้ในตู้เย็นรอไว้ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมาก็ยังไม่พบ ทว่าอาหารที่วางไว้ให้ก็พร่องไปไม่น้อยแล้ว โดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มสดใสก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ไม่เย็นชาต่อกันจนเกินไป เพราะมันคงจะปวดใจเหลือเกิน


ที่บ้านหลังนี้ไม่มีทีวี และมือถือของสาเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ดังนั้นตนจึงไม่รับรู้ความเป็นไปใดๆที่ภายนอกเลย แต่กระนั้นก็รู้สึกสงบสุข นอกจากปัญหาที่ต้องครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีกับการต้องอยู่ที่นี่เลย อย่างน้อยก็มีพี่สนอยู่ แม้ว่าคนๆนั้นจะอยู่ตรงไหน พื้นที่ของเขาที่โอบล้อมกันไว้นี้ได้สร้างความสบายใจให้กันแล้ว


ทว่าดึกดื่นแค่ไหนเขาก็ยังไม่กลับมา


ห้องทั้งห้องนั้นมืดสนิท สารินดับไฟเข้านอนหลังจากรอเท่าไหร่เขาก็ยังไม่กลับมา ทว่าหลังจากไฟดับได้ไม่นาน ประตูห้องที่ถูกปิดสนิทก็ถูกเปิดออก เสียงรอยเท้าเบาๆดังขึ้น ทว่าคนบนเตียงก็ยังไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด พื้นที่เตียงข้างๆไม่ได้มีทีท่าว่าจะยวบลงไป ทำให้คนที่เฝ้ารออยู่ขมวดคิ้วสงสัยว่าใครกันที่เข้ามา


แอด…เสียงเปิดประตูตู้เสื้อผ้าดังขึ้น ความไม่มั่นใจประกอบกับความหวาดกลัวที่ฝังลึกตลอดบ่ายทำให้คนที่แกล้งหลับต้องลุกขึ้นมา ท่ามกลางมืดมิดไม่เห็นสิ่งใด สารินมั่นใจว่าตรงนั้นต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน


“…”


“พี่สน”


“พี่แวะมาเอาของ”  เขาแจ้งความต้องการ “พี่ทำให้ตื่นเหรอครับ”  คำพูดที่สะท้อนซึ่งความห่วงใยแต่หัวใจเหมือนจะไม่ถูกส่งให้กันทำให้สารินเริ่มเครียด ริมฝีปากสีฉ่ำนั้นถูกขบกัด เช่นนี้ยิ่งอึดอัดกว่าทุกครั้งที่เผชิญ


และเขากำลังจะเดินออกไป สาที่ทำอะไรก็ช้าไปหมดอยากจะร้องเรียกไว้แต่ว่าก็เหมือนจะไม่ทันเช่นกัน แล้วเราไปมีเหตุผลอะไรมารั้งไว้ในเมื่อสิ่งที่เหมาะสมคืออะไรสารินก็รับรู้อยู่ในใจไม่ใช่หรือไง นอกจากเขาจะเป็นคนในครอบครัวที่มีพระคุณต่อกัน ตัวสานั้น…ก็ไม่อาจจะเป็นของใครได้เลย


นี่คือชะตากรรมของโอเมก้าส่วนใหญ่ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่และตายไป
ไม่มีตรงไหนที่บอกกันว่าเราสามารถมีความสุขได้เพราะฟ้าไม่ได้สร้างเรามาแบบนั้น


“พี่สน”  ทว่าเหมือนสมองกับหัวใจจะไม่ทำงานสอดคล้องกันอีกแล้ว เสียงเรียกของตนทำให้เขาชะงัก ทว่ามันไม่พอสำหรับการฉุดรั้งร่างของหมาป่าตัวใหญ่เอาไว้ได้ สนธยากำลังจะจากไป และคราวนี้สาต้องเลือกแล้ว


ว่าจะปล่อยให้เขาไปหรือรั้งไว้ทั้งๆที่ไม่สมควร


“สาขอโทษ”  และสาก็ได้เลือกแล้วที่จะเดินไปสวมกอดแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเดินออกไปจากห้อง ทั้งๆที่ตนไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้ และสุ่มเสี่ยงที่จะโดนรังเกียจจริงจัง “สาไม่ได้ตั้งใจ” แววตาหรือท่าทางของเขาที่ต่อต้านกันนั้นก็ไม่ประสงค์ที่จะเห็น จึงฝังใบหน้าของตนไว้กับแผ่นหลังกว้าง สูดดมกลิ่นกายที่เป็นตัวตนของเขาไปพร้อมๆกับกล้ำกลืนน้ำตาและคำพูดมากมายที่ไร้สาระของตนกลับไป


“…”


“พี่สนอย่าโกรธ…กันเลยนะ”  น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนั้นเจือแววออดอ้อน เขาเคยเห็นน้องชายคนเล็กคนนี้ออดอ้อนคุณแม่และบางทีก็เผื่อไปถึงคุณพ่อ แต่ครั้งนี้มันรุนแรงเกินไป เขาไม่คิดว่าจะมีใครเคยโดนจัดการถึงเพียงนั้น


“พี่ไม่โกรธอยู่แล้ว อย่าคิดมาก”  เขาพยายามพูดให้อีกคนสบายใจ เพราะความรู้สึกที่มีให้มันห่างไกลจากจุดที่จะโกรธเคืองและเกลียดชัง


“ไม่ๆ พี่สนโกรธสา พี่สนไม่คุยกับสา”  อีกคนส่ายหัวจนผมยุ่ง งอแงขนาดนี้ได้อย่างไร ใครๆก็รู้ว่าสารินกลั้นน้ำตาเก่งแค่ไหน แต่แค่มึนตึงใส่กันก็ทำให้น้องร้องไห้แบบนี้ เขาควรสำคัญตัวผิดดีหรือสมควรสำนึกผิดต่อกันมากกว่า? “วันนี้พี่สนไม่นอนห้องนี้ด้วย”


“จะไปนอนด้วยกันได้ยังไงละฮึ?” เขาไม่เข้าใจสมองที่คิดนั่นนี่มากมายแต่ลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป สนธยายืดแขนไปกดสวิตช์ไฟ ทั้งๆที่ตั้งใจให้สาหลับไปก่อนแล้วจะย่องมาเอาผ้าห่มและหมอน กลายเป็นว่าเขาตกหลุมที่วางไว้ของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง เจ้าเล่ห์กว่าหมาป่า ก็คือลูกกวางโอเมก้าที่ถูกเลี้ยงในครอบครัวหมาป่ากระมัง


“ฮื้ออออ”  เขาหันหลังกลับมาพูดคุยด้วย ท่ามกลางแสงสว่างของดวงไฟ คนที่เดินมากอดเขาจากข้างหลังไม่กล้าเงยหน้า ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าอะไรสักอย่าง ราวกับว่าความพยายาม…ได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว


“นอนด้วยกันได้ไง พี่เล่นจูบเราไป แถมเราก็ผลักพี่ออกแบบนั้น สาอยากให้พี่ทำอะไรกันแน่”  ทำไมเขาพูดตรงแบบนี้ล่ะ สาก็…ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน  “ให้พี่กล่อมเราก่อนไหม แล้วพี่ค่อยออกไปข้างนอก”  หรือจริงๆเขาต้องทำแบบนี้กัน แต่สานั้นก็ส่ายหัวอยู่ดี อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง


“สาขอโทษ”


“สาขอโทษพี่ด้วยเรื่องอะไรครับ เรื่องที่ผลัก หรือเรื่องที่ไม่ยอมรับ”


“…”


“ไปนอนนะ เดี๋ยวเราก็ป่วยอีกหรอก” เขาพยายามจะพาสารินกลับไปนอนที่เตียง ทว่าเจ้าตัวแสบกลับโถมตัวเขากอดและซุกใบหน้ากับต้นแขน ต้องการอะไรกันนี่ ถ้าเขามีให้ได้ก็ย่อมให้ไปหมดแล้ว


“ไม่ใช่สาไม่ยอมรับพี่สนนะ แต่สาไม่ยอมรับตัวเองต่างหาก”


“…”


“เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยนะ พี่สนเป็นใครและสาเป็นใคร”


“…”


“สาขอโทษที่ทำให้พี่สนรู้สึกไม่ดี สาโกรธตัวเองจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”  ในขณะที่พล่ามไปอยู่นี่ ก็ไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้เช่นกัน  “ยกโทษให้สานะ”


“ยกโทษให้ครับ”  เขาพูด  “แต่สารู้ไหมว่าพี่ไม่ใช่พี่ชายของสานะ”


“…”


“ไม่เคยเป็นและไม่มีวันเป็นด้วย เพราะฉะนั้นเอาแขนออกได้แล้วครับ พี่ไม่ใช่พี่ชายเรานะ อย่าทำแบบนี้”  แม้น้ำเสียงที่พูดจะไม่มีแววเย็นชาแต่ว่ามันก็สะท้านหัวใจ นั่นคือประกาศิตจากเขาว่าถ้าไม่ยอมรับในความจริงข้อนี้


เราก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันจริงๆ


“สาไม่ให้ไป”  และสาเองก็รู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อยที่อะไรๆก็ดึงเรามาอยู่ตรงจุดนี้ จะเรียกว่าดื้อก็ได้ แต่แรงอารมณ์ผลักดันให้สารินต้องทำตามใจ สนธยามีผลต่อความรู้สึกในแง่ต่างๆ ทั้งเวลาเศร้า เสียใจ ตื่นเต้น อ่อนไหว แค่เพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ในอกซ้ายของสารินก็สั่นสะท้าน


“แล้วจะให้พี่อยู่ในฐานะไหนดีครับ”  คนตัวเล็กเม้มปาก รั้งไว้ในฐานะน้องชายย่อมไม่ได้ มันก็เหมือนจะมีอยู่แค่สถานะเดียวที่สามารถ


การที่เขาจะสะบัดกันหลุดมันเป็นเรื่องไม่ยากเลย และก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นซึ่งใจของตนรับไม่ไหวแน่ๆ สารินต้องชิงฉวยโอกาสก่อน ปลายเท้าของตนเขย่งขึ้นก่อนมือทั้งสองข้างจะประคองใบหน้าของเขาเพื่อมอบจูบของตนให้ วันนี้เราจูบกันเป็นรอบที่สอง ทว่าถ้านับจริงๆก็รอบที่สาม สารินไม่คิดว่าตนจะมาไกลได้ถึงขั้นนี้เลย แต่เอาเข้าจริงๆก็กลับไม่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว


ก่อนที่เราจะเป็นของใคร เป็นของเขาก่อนได้ไหม
นี่คือคำปรารถนาที่ดังก้องในใจ แม้ไม่มีใครตอบรับ


เราจูบกัน เนิ่นนานกว่าทุกครั้งและจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ข้ามผ่านความเป็นพี่เป็นน้องที่คนบางคนเคลมว่าไม่เคยเป็นไป ก่อนจะดึงร่างกายของอีกฝ่ายให้มาแนบแน่นกัน แล้วเราเป็นอะไรกันเหรอ คำถามนี้อาจจะเข้ามาในความคิด ทว่ามันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่ความช่ำชองของอีกคนจะดึงดูดกันให้กลับเข้าไปในวังวนเสน่หา


“อื้ม พี่สน…” เขาปล่อยให้สาได้เป็นอิสระด้วยการผละจูบออกมา ทว่ามันก็เท่านั้นเพราะเขาไม่ให้ได้ว่างเว้นเพื่อปฏิเสธกันอีกแล้ว ในเมื่อไม่สามารถต้านทานความต้องการขอสารินได้ ก็มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้อีกคนจะไม่พูดปฏิเสธออกมา


นั่นคืออย่าให้โอกาสให้ปากได้ว่างลั่นวาจาใดๆ


“พะ…พอก่อน” แต่ไม่ไหว สารินที่ด้อยประสบการณ์ย่อมรับจูบที่หนักหน่วงเนิ่นนานเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เจ้าของดวงตาใสมองกันอย่างเว้าวอน แต่ยังไม่มีคำใดที่จะเอ่ยห้ามไม่ให้เขาทำต่อ  “สา…หายใจไม่ทัน”  มีเพียงเท่านั้นที่เอื้อนเอ่ย


เจ้าของดวงตาดุนั้นทอดมองอย่างอ่อนโยน เขาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าใสให้ ก่อนที่จะกดจูบลงไปบนแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อ ทั้งกลิ่น ความอบอุ่นจากผิวกาย และริมฝีปากแดงฉ่ำนั้น ยั่วยวนไปหมดจนไม่อาจจะทนไหวแล้ว แม้ว่าสถานะของเราจะไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกมันเหมือนจะล้นใจ


ร่างของเราค่อยๆถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ลงบนฟูก และริมฝีปากของเขาก็ยังคลอเคลียอยู่เช่นนี้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พึงมีนั้นได้จางหาย ยิ่งกว่าอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน สารินคิดดีแล้วใช่ไหมที่ทำลงไป ทว่ามารร้ายในหัวก็ชี้แนะให้คิดว่าแบบนี้และดีที่สุดแล้ว


ได้ลองมีแฟนคนแรกที่เป็นคนนิสัยดี และได้มีอะไรครั้งแรกกับคนที่หลงใหล
ให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อนที่โลกทั้งใบจะเหวี่ยงตัวลงสู่นรกทั้งเป็น


“พี่ไม่ยอมให้เราหยุดพี่อีกแล้วนะ”  เขาย้ำคำชัด และสารินก็ยอมรับ นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตที่ตนจะไม่กลับมานึกย้อนเสียใจที่ก้าวถลำถึงเพียงนี้จริงหรือไม่ หากสารินมอบกายให้เพย์ตันไป แล้วหลังจากนั้นมันไม่มีทางหรอกที่สนธยาจะยอมรับกันได้สนิทใจแบบนี้ ดังนั้นโอกาสจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดลอย


“อื้ม”  สารินตอบรับ “ให้สาเป็นของพี่สนเถอะนะ” หลังจากที่เอ่ยคำนี้ไป ดวงตาของคนที่อยู่เหนือร่างก็วาววับ นี่คงเป็นจุดเด่นของเผ่าพันธุ์นักล่า ในยามปกติเขาสามารถที่จะควบคุมมันไม่ให้หลุดออกมา แต่นักล่าคือนักล่า และนักล่ายามที่เห็นเหยื่ออันโอชะใต้ร่างของตน ย่อมไม่มีใครทนไหว


เขากดจูบฝังลงไปที่ลำคอระหง ส่วนมือก็ตะปบลงบนต้นขาเนียนที่ซ่อนตัวอยู่ในกางเกงผ้าลื่นที่มีเขาเป็นเจ้าของ สารินใช้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างกับเรือนกายเหมือนเขา ทว่ามันกลับสร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงยามที่จะได้ครอบครอง เขาค่อยๆช่วยน้องถอดเสื้อออกมา ก่อนที่จะถอดของตนออกเช่นกัน


สนธยากำลังจะก้มลงไปจูบคนตัวเล็กของเขาอีกครั้ง ทว่าเป็นสารินที่ดึงรั้งเขาให้รีบกลับไปหาเอง เมื่อผิวเนื้อกระทบผิวเนื้อ ไฟที่จุดติดมาสักพักก็เหมือนจะเผาไหม้ยิ่งกว่าเดิม เรียวลิ้นของเขาชำแรกเข้าไปในโพรงปากสีแดงของอีกฝ่าย วนหาหยอกล้อกับความหวานภายในก่อนจะผละออกไปเพื่อสำรวจแต่ละส่วนของร่างกาย


งดงามเหลือเกิน ในอดีตก็มีคนเอ่ยว่า มันยากที่อัลฟ่าจะไม่หลงใหลในร่างกายของโอเมก้า แต่คนพวกนั้นคงไม่รู้ว่าหากเราไม่ได้ใช้สมองนำไปซะทุกเรื่องและหันมาใช้หัวใจ การที่ได้สัมผัสกายอีกฝ่ายจะยิ่งนำพาความหวานล้ำมากมายเกินกว่าที่ใครเคยพร่ำพรรณา


ดังนั้นมันจึงไม่ได้น่าเสียดายที่ตัวเขาไม่ได้มีพันธุกรรมเหมือนอัลฟ่าแท้อีกต่อไป จะได้หันมาใช้ใจตามหาความหมายของชีวิตบนเตียงหลังนี้


การที่ฟ้าจัดให้มีอัลฟ่ากับโอเมก้ามาเกิดร่วมกัน ไม่มีใครรู้ซึ่งจุดประสงค์เหล่านั้น เพราะหลักการคู่แท้ไม่ใช่คู่ที่ยืนยงด้วยความรักเสมอไป จนกระทั่งตอนนี้ที่พันธะของอัลฟ่าและโอเมก้าขาดไปเกินครึ่งตามยุคสมัย ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ


แต่ช่างปะไร เขาจะครอบครองสารินไว้โดยไม่สนใจใครแบบนี้เหมือนกัน


เมื่อเสื้อผ้าที่ประดับกายถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น การเล้าโลมของเขาเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และสารินก็ไม่คิดว่าตนจะย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาได้สร้างรอยรักประดับทั่วกาย ในความสุขสมมีความอึดอัดเจือปน และมันกำลังจะได้รับการปลดปล่อยอย่างร้อนแรงแต่อ่อนโยน


เสียงครางแห่งความรัญจวนดังก้อง สารินได้ปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างออกมาก่อนจะหอบเอาอากาศเข้าจนแผ่นอกสะท้าน แต่กระนั้นเขาก็ไม่หยุดเล้าโลมด้วยหมายสร้างระลอกคลื่นครั้งใหม่ที่อาจจะใหญ่กว่าครั้งแรก “พี่..อึก..พี่สน”  เสียงเรียกชื่ออันสั่นเครือนั้นไม่อาจจะหักห้ามการกระทำใดๆได้ เขายังดูดขบที่ต้นขาแต่ก็ยอมช้อนตาขึ้นมามองด้วยสายตาที่ไม่อาจจะทนจดจ้องได้อีกต่อไป


“อื้อ…”  พลันความคิดของตนก็ได้จางหายไป เมื่อเขาได้กดนิ้วชำแรกเขาไปในจุดต้องห้ามที่ไม่เคยอนุญาตให้ใครได้กล้ำกราย ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยประสบทำให้สติและตัวตนพังทลาย สองขาของตนอ้าออกกว้างราวกับจะเชิญชวนให้ยิ่งเข้ามาค้นหา ของเหลวเปียกแฉะที่ซึมออกมาพิสูจน์ได้ว่าร่างกายนั้นเพียบพร้อม


ในขณะนั้นสารินไม่มั่นใจเลยจริงๆแต่ก็คิดว่าเราคงตกลงกันไว้แล้ว เพราะการคุมกำเนิดของโอเมก้ากลายพันธุ์ในปัจจุบันนั้นยังไม่มีวิธีที่ให้ผลชะงัก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงนิยมขอให้ผู้ร่วมมีสัมพันธ์ใช้ถุงยางอนามัย สาคิดว่าตนเคยพูดแล้ว และเขาที่มีภาระกับทางบ้านคงรู้ดีและอยากป้องกันกว่าใคร


ดังนั้นตอนที่ตัวตนของเขาค่อยๆเข้ามาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพราะความอ่อนโยนของเขาและความอ่อนไหวของเรานั้นมันท่วมท้นมากมายเกินไป…เกินไปมากมาย…


จนไม่มีอะไรมาหยุดไว้ได้…อีกต่อไป




TALK
ไม่ได้มาเรื่องนี้นานมากและยังมีหน้าไปเปิดเรื่องใหม่อีกแงงงง
จริงๆที่ไม่ได้มาไม่ใช่เพราะไม่แต่งนะคะ แต่งค่ะ แต่งจบแล้วด้วยแต่เรายอมรับเลยว่าเรื่องนี้อาจจะต้องรีไรท์ไปลงไป
คือไม่ใช่เพราะมีสองคู่แต่มีเรื่องของปมนั้นนี้ที่เราอยากใส่ให้มันพอดี และไม่อยากทำให้มันยาวไปเลยคิดว่าต้องใช้เวลากับมันหน่อย และหลังจากความพยายามสักพักตอนนี้คือแต่งจบแล้ว และคิดว่าจะลงให้อ่านยาวๆแบบมาทุกวันหรือวันเว้นวันต่อจากนี้เย้!!!!!!!!
ขอบคุณนักอ่านที่ยอมรอนะคะ ช่วงนี้คิดว่ามาทุกวันได้ ฝากติดตามต่อด้วยค่ะ
@reallyuri #คู่กินคู่กัด
























































หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 21 19/5/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 19-05-2019 12:35:12
21

สน xสา


เขาคือคนที่สาเลือกให้เป็นคนแรก


แต่ไม่ใช่คนที่เป็นตลอดไป..


ร่างกายของสาเหมือนไม่ใช่ของตัวเองเมื่อข้ามผ่านเมื่อคืนวาน สารินมองใบหน้าของคนที่หลับใหลอยู่ข้างๆ ทั้งยินดี หวาดระแวงในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เหนื่อยกับสิ่งที่ไม่เข้าใจ และปลื้มปริ่มกับสิ่งที่ได้รับ


สำหรับครั้งแรก สารินคิดว่าต่อให้เขาพยายามจะอ่อนโยนแค่ไหนทว่าก็ไม่อาจจะกลบความต้องการเอาแต่ใจใดๆไว้ได้ หลังจากตื่นนอน สารินก็ไม่ได้พร้อมที่จะรอให้เขาตื่นขึ้นมาเห็นว่าเราเอาแต่จ้องหน้าแบบนั้น แม้เมื่อคืนจะแสนหวาน ทว่าวันนี้มันอาจจะดูน่ารำคาญก็เป็นได้


ได้ยินว่าพี่สนค่อนข้างจะเย็นชาหลังเสร็จกิจมาบ้าง


ไปฟังอะไรแบบนี้มาทำไมกันนะ แต่ยอมรับว่าตอนฟังแม้จะหน่วงในอกแค่ไหน ทว่าตอนนี้ก็รู้สึกสบายใจที่มีข้อมูลมาบ้างจะได้ไม่ไปทำปั้นจิ้มปั้นเจ๋อตอนเขาตื่น ไม่แน่ตอนนั้นความหวานเมื่อวาน อาจจะขมยิ่งกว่าถูกฉันจ๋าสั่งให้กินน้ำบอระเพ็ดก็เป็นได้


ร่างกายของสารินเจ็บพอประมาณ แต่อาจจะเพราะมีความเป็นโอเมก้าซึ่งร่างกายถูกสร้างมาให้รองรับการมีเพศสัมพันธ์ทางนั้นอยู่แล้ว ผนวกกับความอ่อนโยนของเขาจึงทำให้สามารถเดินเหิน ใส่เสื้อผ้า และลุกมาทำอาหารเช้าง่ายๆให้ตัวเองทานได้ บอกตรงๆว่าสาหิวแล้ว


สารินกระดกนมลงคอเหมือนไปตายอดตายอยากที่ไหนมา ดวงตาก็เฝ้ามองไข่ดาวกับไส้กรอกที่ตนกำลังทอดอยู่บนกระทะ เสียงติ้งของเครื่องปิ้งขนมปังทำให้รู้ว่าตอนนี้มันกรอบได้ที่ แม้จะร้อนมือหน่อย แต่สาก็รีบหยิบขึ้นมากิน ไม่ได้มีความคิดจะทำเผื่อใคร และแน่นอนว่าไม่ได้คิดจะรอใครมากินด้วย


ก็รอให้เขาตื่นมาบอกว่าอยากกินแล้วค่อยทำให้กินดีกว่า


จะบอกว่าเพราะอยู่ในโลกของความเป็นจริงเพียงพอก็คงใช่ แต่สาไม่อยากให้เขามาทำหน้ามุ่ยเหมือนถูกบังคับให้กินอะไรที่ไม่อยาก จากประสบการณ์ที่อยู่ร่วมกันมาบทจะกินง่ายก็ง่าย แต่ถ้ายากก็ยากมากๆไปเลย ซึ่ง…สารินไม่เสี่ยงทำรอไว้ เพื่อมานั่งเสียดายวัตถุดิบหรอกนะ


“ทำอะไร”  และสนธยาก็ตื่นขึ้นมา เขาควานหาคนที่ควรจะอยู่ข้างตัว ทว่าพบเพียงความว่างเปล่า


ก็ไม่รู้ว่าคนน้องคิดอะไรอยู่จึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาคิดว่าจะไปตามหา แต่แค่เดินออกมาก็ได้เห็นคู่กรณี…ที่กำลังยัดไส้กรอกใส่ปาก มันน่าตีนัก นอกจากจะกินไม่รอกัน แถมยังไม่จัดใส่จานมานั่งกินดีๆอีกต่างหาก


“พี่สนกินอะไรไหมครับ”


“เราทำอะไรพี่ก็กินอันนั้น”


“ง่า…สาไม่ได้ทำเผื่อ”


“…”


“งั้นเอาเหมือนสาเนอะ”  เหลือเชื่อจริงๆ ไม่เคยตื่นขึ้นมาแล้วเจอกับอะไรแบบนี้เลย


แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดหรอกนะ แค่รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง


“สากินกับพี่ไหม”


“สากินเสร็จแล้ว”  สากำลังๆเหยาะพริกไทยลงบนไข่ดาวที่ตั้งใจทอดให้เขา


“ทำไมกินก่อน”  แล้วทำไมเขาต้องทำไม่พอใจเหมือนสาวน้อยที่ถูกหลอกฟันแบบนั้น


นี่มันไม่ใช่สารินที่คาดหวัง และไม่ใช่สนธยาที่ควรจะเป็นแม้แต่น้อย?!


“สารีบ กะว่าพี่สนตื่นแล้วจะเข้าไปเก็บห้องนอน”  มันใช่เวลาเหรอ


“เก็บทำไม”


“ก็ผ้าปูมัน…” เลอะเทอะยับยู่ยี่ไปหมด ที่คนเราต้องถามจี้เอาคำตอบที่ตัวเองก็น่าจะรู้ขนาดนั้นเลยเหรอ สารินปัดคำถามในหัวออกไปพร้อมกับรินน้ำให้ รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำแม้ว่าจะตามอารมณ์เขาไม่ค่อยถูกก็ตาม


หลังจากมั่นใจว่าไม่น่าจะอยู่ร่วมโต๊ะได้ สารินจึงออกมาเพื่อตรงไปเก็บข้าวของในห้องที่ตนบอก ที่นี่ไม่มีแม่บ้านประจำ และสาก็ไม่คิดว่าตนจะสบายใจที่ให้ใครก็ไม่รู้มาเห็นสภาพแบบนี้ ถึงพี่สนอาจจะเคยพาคู่นอนมานอนบ้าง แม่บ้านคงไม่ติดใจอะไร แต่ตนไม่ใช่คนที่ควรจะทำเรื่องแบบนั้นกับเขาเลย มีคนรู้น้อยถึงไม่มีเลยย่อมดีกว่า


“อ๊ะ”  หลังจากที่เข้ามาในห้องและกำลังจะเริ่มเก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้น แขนแกร่งที่สวมกอดกันจากด้านหลังก็ทำให้สะดุ้ง สาเกร็งไปทั่วเมื่อรับรู้ได้ว่าแผ่นหลังของตนอยู่ใกล้ชิดกับร่างกายที่เต็มไปด้วยหมัดกล้ามเนื้อของเขาเพียงใด


“…”  ในตอนนี้เรามีเพียงเสียงลมหายใจ ทว่ามีอีกเสียงหนึ่งที่ดังก้องอยู่ภายใน มันคือเสียงหัวใจที่เต้นระรัว


“สา…”


“เมื่อวานนี้พี่อ่อนโยนกับเราเกินไปใช่ไหมถึงได้มีแรงลุกจากเตียงก่อน”


“พะ…พี่สน”


“รู้ไหมว่าพี่ไม่ชอบที่เราลุกหนีในคืนแรกของเราแบบนี้ มันทำให้พี่รู้สึกเหมือนเป็นแค่เครื่องมือระบายความใคร่ของเรายังไงไม่รู้”


“ใครจะไปคิดอย่างนั้นได้”  แล้วนั่นมันก็ครั้งแรกของสานะ


“แล้วลุกไปทำไม หิวเหรอ ทำไมไม่ปลุก”


“สาแค่เคยได้ยินจากคนอื่นว่าพี่สนไม่ชอบให้วุ่นวาย”


“ชอบฟังเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”  เขาไม่เห็นอยากให้สารินมารับรู้เรื่องในอดีตพวกนั้น และบางเรื่อง…มันก็ไม่ได้จริงเสมอไป


“มันลอยมาเข้าหูสาเอง”


“เรื่องดีๆไม่เห็นจะชอบฟังเลยนะ”  มือไม้ของเขาเริ่มล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ ผิวเนื้อของสาริน เหมือนจะสั่นระริกไปตามสัมผัสที่ไล่ขึ้นมาแต่ละจุด


“สาฟังนะ สาฟัง”


“เถียงอีก”


“ก็พี่สนทำแต่เรื่องไม่ดีนี่”


“…”


“สาจะเก็บของแล้ว”


“วุ่นวาย”  เขาตัดบทสั้นๆแค่นั้น ก่อนที่จะปิดริมฝีปากที่พูดแต่ความจริงร้ายๆ ขัดใจไปหมดทุกอย่างแต่นั่นก็เป็นเขาที่คาดหวังเองด้วย


คาดหวังว่าจะได้เห็นสาตื่นมาเขินอาย คาดหวังว่าจะเห็นสาบนตักขณะที่เรานั่งกินอาหารด้วยกัน คาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับ และคาดหวังว่าสาจะเปิดใจ…


ให้กับอะไรที่เขาผิดพลาด และที่เรา…ผิดพลาด


“พี่สน!”  คราวนี้สาไม่ได้อนุญาตเสียหน่อย มือหนาของเขาขยำก้อนเนื้ออวบอิ่มในขณะที่กำลังซุกซอกคอ เมื่อวานเขาแต่งแต้มรอยรักไว้เต็มกาย และวันนี้ก็ยังหมายจะได้เชยชมมันอีก แต่น่าเสียดาย สารินที่ไม่มีความโรแมนติคแม้แต่น้อยนั้นใส่เสื้อผ้าปิดมิดชิด ช่างต่างจากคนที่เขาเคยได้เชยชม


ทุกคนคิดจะรั้งกันไว้ แต่มีแค่คนเดียวที่นอกจากไม่รั้ง แถมยังเปิดประตูพร้อมผายมือให้เดินออกไป


“พี่สน นี่มันยังเช้าอยู่เลย”


“ทีตอนกลางคืนยังทำได้ ทำไมตอนกลางวันทำไม่ได้ล่ะ”  สางง และสางงมากๆ


“ก็เพราะมันเป็นตอนกลางวันนี่ครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า!”


“ใครจะมา พี่สั่งห้ามไว้หมดแล้ว”


“อื้อ”  พูดมากจังตัวแค่นี้ เอาจริงๆเลยนะที่วันนี้พูดมาทั้งหมด อาจจะเยอะมากกว่าที่เคยรู้จักกันมาแล้ว แต่เขาไม่ได้อยากจะฟังเสียงบ่น


“พี่หิว”


“สาก็ทำข้าวให้กินแล้วไง”


“พี่จะกินสา”


“…”


“กินให้เรียบเลย”  เอาเป็นว่าจะกินให้ลุกขึ้นมาทำตัวกระฉับกระเฉงไม่สนไม่แคร์ใครไม่ได้


โดยเฉพาะเขาอีกเลย!


- - - - - -


สมกับความต้องการของเขา สารินนั้นรับต่อไปไม่ไหวจริงๆ


“อือ…” เมื่อเช้านี้เพิ่งบอกว่ารู้สึกเหมือนร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง และพอเขาตอกย้ำกันแบบนี้ สารินพูดได้ทันทีว่าขาของตนที่ขยับไม่ได้ มันเหมือนไม่ใช่ของตัวเองแล้วจริงๆ!


แต่กระนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของผลงานที่เดินไปหยิบจานอาหารซึ่งเย็นและชืดแล้วเข้ามากิน เขานั่งลงที่ข้างๆ จิ้มไส้กรอกขึ้นมาใส่ปากและเคี้ยว มันน่าหมั่นไส้นัก ทว่าแม้จะมองจิกกัดด้วยสายตา คนหน้าด้านก็แค่ยักคิ้วส่งมาให้


สาไปทำอะไรให้นักหนา! ไม่อ่อนโยนเลย!!


“สาอยากกลับบ้านแล้ว”


“จำได้หรือเปล่าว่าเรามาที่นี่ทำไม”


“แล้วเมื่อไหร่จะได้กลับอ่ะ”


“สักพัก”


“ถ้าพี่สนหมกมุ่นก็อย่ามาลงกับสาอีกนะ”


“เดี๋ยวเถอะ”


“ฮื้อ!”  น้องโกรธ…


และตอนนี้ก็นอนตะแคงหันหลังให้เขาแล้ว


สนธยารีบกินจนหมด ก่อนจะเอาออกไปเก็บ ล้างมือ และกลับไปเอนตัวลงนอนข้างๆ เขาพาตัวเองเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกันพร้อมกับสวมกอดร่างบางเอาไว้ ทว่าอีกคนก็ยังทำเฉยชา เขาที่มันเขี้ยวจึงกัดลงบนไหล่เบาๆให้รู้ว่าไม่ชอบถูกเมิน


“อื้อ”


“ไม่ต้องมาแกล้งหลับ”


“…”


“แล้วก็ต้องไม่งอนด้วย”


“สาไม่ได้งอนเสียหน่อย”  ใครมันจะไปงอนเขาได้


“แล้วที่ทำปากยื่นแบบนี้ไม่ได้งอนพี่อยู่เหรอ”


“…”


“พี่จะไปเอาใจเราไหวได้ยังไง”


“พี่สนไม่เห็นต้องเอาใจสาเลย”


“ต้องสิ…” เพื่ออะไรกันล่ะ?


เขาทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรกัน?


เรากอดกกกันอยู่นานเงียบๆเหมือนลืมวันเวลา ทว่าหลังจากได้ผละออกมาสารินก็มาชำระร่างกาย เพราะการที่ต้องตัดขาดจากคนอื่นมาอยู่อย่างนี้ ทำให้ตนไม่แน่ใจนักว่านี่ผ่านไปกี่วัน แต่แบบนี้ก็เพลินๆเหมือนกัน จนคิดว่าถ้าได้บอกคนอื่นก่อนว่าจะมาปลีกวิเวกคงมาได้สบายใจกว่านี้


แต่เจ้าของที่คนนั้นจะยินยอมให้มาใช้พื้นที่ของเขาได้นานแค่ไหนกัน สาไม่รู้และไม่กล้าลองถาม


ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อวานถือเป็นจุดเปลี่ยนบางอย่าง สารินดูใจง่ายมากๆที่ทำเช่นนั้น และตอนนี้ผลของการกระทำที่คิดว่าไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็เริ่มทำให้รู้สึกไม่มั่นคงเท่าไหร่ ทั้งๆที่ก็คิดมาดีแล้วแท้ๆแต่พอต้องมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตามมามันก็ยากที่จะรับมือไหว


หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็เดินออกมาจัดการกับข้าวของที่กระจัดกระจายรอบห้อง เพียงแค่คิดว่าอะไรที่ทำให้ห้องเละแบบนี้ ใบหน้าก็เริ่มจะขึ้นสี แต่โชคดีที่ควบคุมความฟุ้งซ่านดังกล่าวได้ ถ้าจะเก็บก็ต้องตอนนี้แหละ ตอนที่สนธยาออกไปหาซื้ออาหารเข้ามาให้กิน


สารินนั้นจัดเก็บไปเรื่อยๆก็ค้นพบว่าในถังขยะมีบางสิ่งบางอย่างวางไว้อยู่แล้ว ซองถุงยางและถุงยางที่ถูกใช้ทำให้เขินขึ้นมาอีกรอบ ก่อนความรู้สึกโล่งใจจะเข้ามา ถึงตนจะง่ายดายที่เดินเข้ามายอมให้กินได้หมดทั้งตัว ก็ใช่ว่าคาดหวังจะตั้งท้องให้เขาเสียหน่อย จะอย่างไรแม้จะไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องดังเดิม แต่หน้าที่ที่มีต่อบ้านเพย์ตันก็ยังค้ำคออยู่ดี


แต่จะรู้สึกดีจริงๆใช่ไหมที่ได้มอบครั้งแรกให้กับคนที่เป็นพี่ชาย ไม่ใช่คนของเพย์ตัน?


สารินที่โง่เง่าจำต้องยอมรับความรู้สึกสิเน่หาที่มีต่อสนธยาผู้เป็นพี่ชาย จะอย่างไรเราก็ไม่ได้ทำผิดศีลธรรมจนเกินไป แม้เรื่องนี้จะไม่อาจจะเอ่ยปากให้คนในครอบครัวคนอื่นรู้ได้ ทว่ามันคงยากที่จะทำให้เลือนหายไปจากใจ เพียงแค่ว่าก่อนทำ ได้คิดไปก่อนไหมว่าหลังจากนั้นเราจะทำตัวอย่างไรต่อกัน


แน่นอนว่าไม่ได้คิดเรื่องจะมานอนเคียงกันยาวยันบ่ายเย็นแบบนี้ด้วย!?


หรืออันที่จริงเขาก็มีใจให้ แบบที่สาเองก็เหมือนจะติดบ่วงตรงนั้นอยู่เหมือนกัน เช่นนี้แล้วหากเพย์ตันเรียกกันให้เข้าไป เขาจะรับได้เหรอที่ครั้งหนึ่งคนที่เคยใช้เวลาบนเตียงด้วยกันจะไปตั้งท้องให้ใคร หรือจริงๆแล้วการร่วมเตียงเพียงครั้งไม่อาจพิสูจน์ความรู้สึกอะไร ในเมื่อให้ก็เอา พอจบแล้วก็ไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรไว้อีกเลย


แล้วทำไมต้องกอดกันต่อไปทั้งๆที่จะเมินเฉยต่อก็ทำได้


สายน้ำที่ไหลอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้คนที่เพิ่งกลับเข้ามารู้สึกประหลาดใจ สารินในเสื้อผ้าของเขานั้นยืนอยู่หน้าอ่างล้างจาน ทว่ากลับยืนนิ่งไม่ทำอะไร แม้ว่าน้ำจะรินไหลอย่างเสียเปล่าแบบนั้น เพียงแค่มองจากข้างหลังก็เห็นแล้วว่าใครบางคนกำลังยืนเหม่อลอยไปไกลจนแม้แต่เสียงน้ำตกกระทบกับอ่างก็ไม่อาจจะนำพากลับมาได้


สนธยามองหลังคอของคนที่ยืนนิ่งเงียบๆก่อนจะครุ่นคิดถึงบางอย่าง แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนผ่าน แต่ความกระหายที่มาพร้อมกับสัญชาตญาณยังคงหลงเหลืออยู่ ฉับพลันเขาก็รู้สึกเหมือนอยากกัดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องเดาไปไกลเลยว่ามันคืออะไร ความรู้สึกที่ล้นปรี่อยู่นั่นคือความรู้สึกลึกๆของคนผู้ซึ่งสืบทอดเผ่าพันธุ์อัลฟ่ารู้สึก


เห็นหลังคอแล้วมันรู้สึกกลืนน้ำลายได้ยากเย็น


“น้ำไหลหมดบ้านแล้ว”  แต่เขาก็สงบจิตสงบใจและพูดออกมา อีกฝ่ายสะดุ้ง อย่างที่คิด แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้ามาโดยตั้งใจให้เงียบเฉียบ แต่สารินก็ไม่ได้รับรู้อะไรเลย


 “พี่สนกลับมาแล้ว”


“อืม มายืนมองเราได้สักพักแล้ว”  และในตอนนี้ที่ไม่รู้จะเอามือไม้ไว้ที่ไหน คนตัวเล็กก็แสร้งทำเป็นล้างจานไป


ก็หลายวันอยู่กับการพาน้องมาไว้ที่นี่ เขาได้แจ้งครอบครัวว่าได้พาอีกฝ่ายมากบดาน ซึ่งอันที่จริงไม่ได้รับความเห็นชอบจากพ่อและแม่เท่าไหร่นัก แต่เขากลับมองว่าในเมืองอาจจะวุ่นวายกว่า อีกไม่นานก็ต้องพาสาย้ายกรงไปอีกที่หนึ่ง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะรั้งไว้ให้นานที่สุด หากพ่อของเขาจัดเตรียมสถานที่เรียบร้อย เกรงว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแบบนี้คงหมดไป


น่าเสียดาย แต่ว่าเรายังอยู่ในภาวะที่เปราะบาง


“เดี๋ยวอีกไม่นานเราอาจจะต้องย้าย”


“ครับ?”


“ตอนนี้คุณพ่อกำลังหาสถานที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ให้อยู่ จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเรียบร้อย เราอาจจะต้องย้ายที่อยู่”


“พี่สนจะไปด้วยไหม”


“ต้องไปอยู่แล้ว”


“…”


“พี่ต้องไปส่งให้ถึงที่ ให้มั่นใจว่าเราปลอดภัย”  สำหรับเขาสิ่งที่พูดไปมีความหมายตามนั้นและไม่ได้แฝงอะไรมากมาย ทว่าคนฟังกลับคิดไปแล้วว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาต้องไปส่ง ไม่ใช่ความต้องการของหัวใจ


“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”


“เราสิที่ลำบาก” เขาเดินมา ลูบหัวคนคิดมากด้วยหมายจะกำจัดความคิดไม่เป็นเรื่องออกไป ทว่าเขาคงไม่รู้ว่าความคิดมากของสารินนั้นซับซ้อนได้มากกว่า


และคนคิดมากก็เรียนรู้ที่จะเก็บงำความในใจเอาไว้ และใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเช่นทุกวัน ความใส่ใจที่เจ้าตัวคิดว่าเขาทำเพราะหน้าที่ก็ทำให้ปลาบปลื้มไปพร้อมๆกับทุกข์ใจ ความสัมพันธ์ทางกายของเราดำเนินไปบ้าง สารินคนเห็นแก่ตัวนั้นเก็บกักความทรงจำช่วงเวลาที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยความรู้สึกในใจออกไป


และวันที่ช่วงเวลาเหล่านั้นจะจางหายก็มาถึง


สารินที่คิดว่าคงไม่นานจะได้กลับไป ในวันนี้ตนก็ได้มาอยู่ในรถคันเล็กที่เขาสับเปลี่ยนมาให้มันดูไม่สะดุดตา เพราะไม่อยากอาลัยอำลาให้กับความสุขเพียงครู่จึงเลือกที่จะเดินมานั่งอยู่ภายในอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าการอ้อยอิ่งเกินไป จะยิ่งทำให้ตัดใจลำบาก


สนธยาตามมานั่งตรงที่นั่งคนขับ เขาไม่ได้เร่งความเร็วด้วยไม่อยากให้รถของเราเป็นที่จับตา ทว่าจริงๆแล้วจุดประสงค์แฝงคืออยากจะยืดเวลาให้มากกว่านี้ เหมือนกับว่ามันมีบางอย่างที่อยากพูดหรืออยากฟัง ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา น่าเสียดาย จนต้องถอนหายใจ


“หิวไหม”


“เราเพิ่งกินมานะครับ”


“เผื่อว่าอยากกินอะไรอีก”


“สาไม่…”


“อืม ถ้าอยากได้อะไรก็บอก อีกหลายชั่วโมงเลยล่ะ”  เส้นทางตรงที่แทบจะไม่มีรถวิ่งนั้น ดูก็รู้ว่ารถของบอดี้การ์ดติดตามนั้นแล่นอยู่รอบๆไม่ให้สะดุดตา  หากขับไม่เร็วเช่นนี้คงหลายชั่วโมงอยู่ เป็นแบบนี้จะหลับอีกสักตื่นก็ย่อมได้ แต่สารินกลับข่มตาหลับไม่ลง


“พี่สน…”


เอี๊ยด!!!!!


ปัง!!!!


สารินที่เอ่ยชื่อเขาออกมาด้วยเพราะเหตุผลอะไรบางอย่างได้หลงลืมมันไปในตอนที่เสียงดังสนั่นเข้าโจมตีพร้อมกับการหมุนคว้างจากเลนหนึ่งไปอีกเลน รถที่ขับติดตามเราก็เหมือนจะประสบภัยบางอย่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากๆจนไม่อาจจะคิดอะไรได้ทัน ทว่าเมื่อสติกลับมาตอนที่รถหยุดนิ่ง สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือสนธยา


เลือดแดงฉานที่เปรอะเปื้อนใบหน้าจุดความกลัวสุดขีดขึ้นมาในหัวใจ


“พี่สน!”  เขาหลับตา เกรงว่าแรงกระแทกจะหนักหนาพอสมควร สารินรีบปลดเข็มขัดและปลดล็อคที่นั่งฝั่งของเขาเพื่อเปิดประตูออก ก่อนจะลงจากรถ สถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้ตนคิดน้อยไปนิด ความเป็นห่วงที่มีสุดหัวใจทำให้รีบวิ่งไปที่ฝั่งตรงข้ามของจุดที่ตนนั่ง เพื่อไปดูว่าคนที่สลบไสลเป็นเช่นไรบ้าง


ต้องพาเขาออกมา คือความคิดที่ดังอยู่ในหัว ทว่าเมื่อปลดเข็มขัดออกให้เพื่อที่จะดึงคนตัวสูงกว่าให้ออกมา แขนของตนก็ถูกคว้าไปโดยใครบางคน


“เอาตัวมันมา!”  เสียงตะโกนกู่ร้องจากทิศหนึ่งทำให้รู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นภัยกับตัวเอง ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคู่กรณี แต่ที่รู้คือตนเป็นเป้าหมาย


“พี่สน!”  แต่จะอย่างไรสิ่งที่คิดถึงก็มีเพียงแค่คนที่ยังไม่ได้สติ แต่เสียงของสารินก็ยิ่งไปไม่ถึง เพราะถูกดึงออกมาไกลมากขึ้น


“ถ้าไม่อยากให้มันตายก็มาดีๆ”  ใครสักคนพูดขึ้นไม่ดังมาก สารินมองไปรอบด้าน เราเป็นต่อเขาจริงๆ


“ปล่อย!”  แต่สารินยังไม่ยอม


“หรือมึงจะให้ไปจัดการกับครอบครัวมันด้วย”


“…”


“พามันขึ้นรถ!”  ฝืนต่อไปก็รังแต่จะออกแรงให้พ่ายแพ้ไปง่ายๆเสียเปล่า และคำขู่พวกนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำได้จริงๆหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้ความมุทะลุของตัวเองเป็นเหตุให้คนที่แคร์มากมายต้องเป็นอะไรไปจริงๆ และภาพสุดท้ายก่อนที่สายตาของตนจะถูกอะไรบางอย่างบดบังไป…


คือภาพรถคันนั้นที่จอดอยู่นิ่งๆไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ


เหมือนกับคนๆนั้นที่ไม่ขยับร่างกาย พาลให้คิดว่าเขาเป็นอะไรหนักไปเช่นกัน


“ตรงไปพบนายใหญ่ได้เลย ระวังพวกติดตามให้ดีด้วย”  นี่คือสิ่งที่สารินได้ยิน ทว่าตนนั้นถูกมัดมืดและเอาผ้ามาปิดตาไว้เสียแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การจับกุมที่ทรมานกายเลยสักนิด ไม่ว่าจะพวกไหนก็ตามเขาทะนุถนอมกันมากกว่าที่คิด


แต่นายใหญ่ที่ว่าจะเป็นใคร เขาจะนำความลำบากมาให้ครอบครัวที่ตนหวงแหนไหม อันนี้สารินไม่อาจจะคาดเดา และเป็นเวลานานเหลือเกินที่ความคิดของตนจมจ่อมอยู่อย่างนั้น ในที่สุดรถที่เคลื่อนตัวมานานก็ได้หยุดลง ช่วงเวลาวัดความเป็นความตายกำลังจะมาถึง


“พาลงไป”  แขนของตนนั้นถูกดึงให้ไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ ในใจยังคงคิดถึงสนธยาที่อาจจะเจ็บหนักอยู่ สารินถูกบังคับให้นั่งลง และมือของตนที่ถูกมัดไว้ก็ถูกแก้ ก่อนที่ดวงตาต้องเปิดรับแสงจ้าที่คิดไปเองว่าช่างไม่คุ้นเคย


“…”  เป็นเวลาชั่วครู่กว่าที่จะปรับตัวรับแสงนั้น จริงๆแล้วมันไม่ได้จ้าจนเกินไป ทว่าเพราะอยู่กับความมืดที่ค่อนข้างจะนานจึงทำให้ไม่ชินเสียนิดหน่อย สารินจ้องมองไปยังใบหน้าของชายที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาช่างดูคุ้นตาและเมื่อนึกขึ้นได้ ก็เข้าใจว่าตนนั้นถูกจับมาโดยใคร


“เจอกันอีกแล้ว”  เพย์ตัน…เป็นเพย์ตันละมั้งถ้าเข้าใจไม่ผิด


เพราะครั้งหนึ่งที่ถูกจับก็เป็นคนๆนี้ และพี่สนก็บอกว่าเขาคือคนของเพย์ตัน ทว่าท่าทางที่ดูจะมีอะไรมากกว่านั้นทำให้ไม่อาจจะวางใจ บางทีเขาอาจจะเป็นคนของเพย์ตันที่แปรพักตร์ก็เป็นได้ และถ้าให้เดามันก็ไม่เป็นผลดีกับคนที่บ้านของเราเท่าไหร่ สารินนึกกังวลใจที่ตนไม่อาจจะเป็นลูกที่ดีแถมยังสร้างความลำบากให้บุพการีที่รับเลี้ยงมา


“กว่าเราจะตามเจอได้เสียเวลาไปเยอะทีเดียว สนธยาฉลาดเก็บร่องรอย”  แต่เพราะพวกเขาทุ่มทรัพยากรต่างๆในการค้นหา และพอกำลังจะตามไปก็พบว่าอีกฝ่ายได้เคลื่อนย้ายออกมาและนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเข้าถึงตัว


“คุณต้องการอะไร”


“นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”


“…”


“ทาริค เพย์ตันคือชื่อของฉัน และความเกี่ยวข้องระหว่างเรา คาดว่าคงจะพอรับรู้มาแล้ว”  จริงๆคนที่บ้านไม่เคยบอกว่าใครคือคนที่สารินต้องมอบกายให้ แต่เมื่อเจ้าตัวพูดมาซะขนาดนี้ก็ไม่อาจจะคิดตีความเป็นอื่น


เขาคือคนที่สารินต้องอุ้มท้องให้


“คุณอยากให้ผมตั้งท้องให้งั้นเหรอ”  แล้วทำไมไม่บอกกันดีๆ สารินไม่เคยคิดหนีไปไหน


“ทั้งใช่และไม่ใช่ เอาเป็นว่าเราจะยังไม่คุยเรื่องนี้กัน”


“พี่สน…พวกคุณทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ!”


“สายของเรารายงานมาว่าหมอนั่นถึงมือหมอแล้ว ขอโทษนะที่รุนแรงแต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะชิงนายกลับมา”


“พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ทำไมต้องทำแบบนี้”


“เรื่องนั้นคงไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม พาเด็กนี่ไปพักผ่อนก่อน หาคนเฝ้าให้ดีและเพิ่มกำลังเฝ้ารอบๆด้วย”  และเป็นอีกครั้งที่ไม่ได้รับรู้อะไรเพิ่มเติม สารินถูกพาไปนั่นมานี่แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกชินชาแต่อย่างใด ใจก็ยังนึกพะวงถึงคนที่เจ็บตัวก่อนจากมา เราไม่รู้เลยว่าเขาบาดเจ็บหนักแค่ไหน แต่เลือดที่ไหลมันมากมายจนไม่อาจจะคิดดีได้จริงๆ


ทำไมเราถึงทำอะไรไม่ได้เลยในสถานการณ์แบบนี้ สานึกโกรธตัวเอง ทำไมถึงปล่อยพี่สนไปได้ง่ายๆ สานึกไม่พอใจ แต่ปริศนามันมากมายเกินไป สารินก็ไม่คิดว่ามันจะซับซ้อนขนาดนี้ ต้องโทษคนในครอบครัวหรือเปล่าที่กีดกัน และถ้าพวกเขารับรู้ว่าการที่ต้องมาปกป้องใครคนหนึ่งทำให้ลูกชายที่แท้จริงเพียงคนเดียวต้องบาดเจ็บ พวกเขาจะยังรับกันได้ไหม


สารินทั้งเป็นห่วงและกังวลใจในจุดที่ตนกำลังถูกจับให้ยืน….




Talk
คงจะอิหยังวะ โดนจับไปอีกแล้วววว แต่เรื่องนี้ไม่ดราม่ามากคับ(เหรอ)เดี๋ยวน้องก็มีชีวิตดี
ว่าแต่ยังจำยัยฉันได้ไหม ตอนนี้ไม่ได้ออกเลย ต้องรอให้น้องสาเอาตัวรอดก่อนยัยฉันถึงจะมีบท
อย่างไรก็ตามฝากติดตามต่อนะคับ ถ้าวันนี้ตรวจทันจะมาอีกรอบนะ แต่ถ้าไม้ทันเจอกันพะนี้นะคับ
#คู่กินคู่กัด





















หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 22 19/5/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 19-05-2019 19:05:41
22

สน xสา

สารินมาอยู่ที่นี่ด้วยความเป็นอยู่ที่สบายดี


แต่น่าอึดอัดเสียยิ่งกว่าตอนอยู่กับครอบครัวธัมรงค์รัชต์


ย่อมเป็นเช่นนั้นเพราะที่นี่ไม่ใช่บ้าน และบ้านเพียงหนึ่งเดียวที่ในขณะที่พยายามจะถอยห่างก็ยังยึดติด สารินอยากกลับไปออดอ้อนคุณแพรวรรณ จ้องตากับคุณวรวุฒิ และแอบมองสนธยา


ในวันนี้ที่ได้มาอยู่ในรั้วบ้านเพย์ตัน สารินมีอิสระที่จะไปได้ทุกหนทุกแห่งที่อยู่ในอาณาเขตบ้าน แม้ว่าจะกว้างใหญ่เพียงไหน มันก็ไม่พอหรอก ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้บีบคั้นกันเกินไป อาการของสนธยาที่ถูกส่งถึงมือหมอนั้นได้ถูกถ่ายทอดให้ฟัง คาดว่าคงให้มือดีจับตามองอยู่


ไหนว่าธัมรงค์รัชต์กับเพย์ตันเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน…


หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวกับสาริน แม้จะไม่อาจคิดเข้าข้างตัวเองทว่ามันก็อดไม่ได้ ที่พวกเขาไม่ยอมส่งตัวให้นั่นก็เพราะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของกันใช่ไหม ไม่ใช่ว่านึกน้อยใจว่าตนไม่มีค่า แต่ทว่าทุกคนกำลังปกป้องกันอยู่จนประสบกับเหตุการณ์ร้ายๆแบบนั้นกันใช่ไหม


อย่างนั้นสารินก็ยิ่งกว่าเนรคุณแล้ว


และนี่คือเหตุที่ไม่คิดที่จะโต้แย้งหรือเรียกร้องอะไรมากมาย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ยิ่งกว่ายากจะเข้าใจ สนธยาเองจะเป็นเช่นไรบ้าง ใช่ตามที่พวกเขาบอกกล่าวกันไหม ตรงนี้ไม่รู้เลย แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่าเวลาไม่หยุดเดิน และนี่ก็ร่วมเดือนแล้วที่ต้องจากครอบครัวมา วันนี้ ‘ทาริค เพย์ตัน’ ได้มาหา และสารินก็ค้นพบว่าเขาคือคนที่ตนจะต้องมีทายาทให้


“หน้าตาดูไม่ค่อยสดใสดีนัก”  ใครสักคนที่อยู่ข้างกายชายผู้นั้นได้พูดขึ้น เขาดูจดจ้องและวิเคราะห์กันอย่างไม่คิดถึงมารยาท แต่จะไปท้วงอะไรได้ ในเมื่อนี่มันถิ่นเขา


“เขาคงไม่ค่อยมีความสุขน่ะเอล”


“ก็รีบๆท้องแล้วคลอดออกมาซะสิ บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ได้กลับบ้าน”


“…”


“และนายก็ได้ผู้สืบทอดอำนาจ เพื่อความมั่นคงของตระกูลและที่ประกันตำแหน่ง”


“ฉันคิดว่าเราคุยกันเรื่องนั้นแล้ว”


“ฉันไม่คิดจะยอมรับได้หรอกนะ”


“…”


“ตอนนี้ฝ่ายเรากดดันกันมาก และทุกคนกำลังตามหาโอเมก้าคนนั้น”


“แล้วเจอไหมล่ะ”


“ไม่นานหรอก”  เจ้าของชื่อเอลนั้นครุ่นคิด “เราควรสร้างข่าวบางอย่าง”


และพวกเขาก็พูดคุยกันต่อราวกับว่าอาหารข้างหน้าไม่มีผลต่อความต้องการ หรือไม่แม้แต่จะสนใจว่ามีคนนอกนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่เท่าที่ฟังสารินสรุปความได้ว่าตนนั้นเป็นหมากของคนพวกนี้ ทว่าเป็นหมากที่จะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวธัมรงค์รัชต์หรือไม่ ตรงนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


“เด็กคนนี้มาจากธัมรงค์รัชต์สินะ”


“ใช่”


“เป็นลูกบุญธรรมเสียด้วย ไม่ใช่ว่าพวกนั้นพยายามจะอยากยกระดับให้เด็กคนนี้มาเคียงคู่นายจริงๆ”  แววตาที่ดูเหยียดหยามนั้นทำให้สารินรู้สึกลำบากใจ


“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าโง่เง่า พวกเขาย่อมรู้ว่าเพย์ตันจะไม่เล่นด้วย”


“แต่ตอนนี้นายก็ลงไปเล่นแล้วนี่”


“ก็ไม่ใช่คนนี้อยู่ดี”


“…”


“เอาเป็นว่าฉันจะทำตามที่นายเสนอ เราจะเชิญหมอที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกฝ่ายมาให้ตรวจร่างกายเขา ทำเหมือนกับว่าเรากำลังจะมีทายาท”


“ขอบคุณที่นายฟังฉันบ้างนะทาริค”


“งั้นนายต้องฟังฉันบ้าง”


“ต้องการอะไรก็ว่ามาเลย”


“อย่ากดดันธัมรงค์รัชต์มากเกินไป”  และประโยคนี้ของทาริค เพย์ตัน…


ก็ทำให้สารินวางใจ…


คนที่ชื่อเอลกลับไปแล้ว มันทำให้วางใจหน่อยว่าอย่างน้อยก็ไม่มีผู้ชายตัวใหญ่หน้าดุปากไม่ดีในห้องนี้อีกต่อไป แต่จะว่าสบายใจก็พูดได้ไม่เต็มปาก ทาริค เพย์ตันยังคงอยู่ที่นี่ และคงมีเรื่องที่จะบอกกล่าวกันก่อนเป็นแน่ แต่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีล่ะ สารินคงต้องทำใจและรับฟัง


“ทางเราจะให้หมอมาตรวจร่างกายเพื่อปล่อยข่าวว่าเรากำลังวางแผนให้นายมีลูกให้”


“ครับ”  แม้ว่านี่จะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง  “แต่คุณจะไม่ทำอะไรธัมรงค์รัชต์ใช่ไหม”


“ตอนนี้พวกเขาอยู่เงียบๆก็ดีอยู่ คงไม่มีเหตุผลให้สร้างศัตรูโดยไร้เหตุผล”


“แต่คุณก็ทำร้ายพี่สน”


“เพราะพี่สนของนายทำร้ายคนของฉันก่อน”


“…”


“ดูแลสุขภาพให้ดี อย่างน้อยเวลาที่พ่อนายเลียบเคียงถามอาการฉันจะได้ไม่ต้องลำบากใจโกหกออกไป”


“พ่อเหรอครับ”


“ใช่”  ไม่ว่านี่จะเป็นการโกหกหรืออะไรก็ตาม สารินยอมรับว่าดีใจที่อีกฝ่ายถามหากัน ไม่ว่าจะถามเพื่อหยั่งเชิงสถานการณ์หรือเป็นห่วงจริงจัง การรับทราบว่าตัวเองนั้นยังมีตัวตนอยู่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี


และหวังว่าอีกไม่นานเรื่องราวเล่านี้จะจบสักที…


สาเพิ่งได้รู้ว่าสถานที่ที่เขาจัดหาไว้สำหรับตรวจร่างกายในบ้านนั้นมีอุปกรณ์ครบครัน ก็ทราบว่าเพย์ตันนั้นร่ำรวยมาก แต่ว่าถึงขนาดมีเครื่องทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากมายขนาดนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ไม่เกินไปหรอก เขาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลด้วยซ้ำ แถมต้องให้มั่นใจว่าจะให้กำเนิดทายาทที่แข็งแรงได้ ไม่ว่าอะไรก็ทุ่มได้


แม้แต่ผลประโยชน์ที่จะมอบให้กับผู้จัดหาอย่างธัมรงค์รัชต์เช่นกัน


ทราบว่าทีมแพทย์ที่ทางนั้นพามาเป็นอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการทำคลอดให้กับผู้ชายที่ท้องได้ สารินถูกจับหมุนไปทางนู้น นั่งตรงนี้ ยืนตรงนั้นจนไม่อาจจะบอกได้ว่าตนถูกทำอะไรไปบ้าง ทาริค เพย์ตันยืนกอดอกสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล ใบหน้าดูเคร่งเครียด แต่คิดว่าคงเพราะปัญหาที่เผชิญอยู่มากกว่าจึงทำให้อารมณ์ขุ่นมัวเช่นนี้


“ผลตรวจจะต้องรอนานไหม”


“ทางเรากำลังเร่งตรวจสอบแต่คิดว่าต้องใช้เวลา”


“ก็…เอาที่เห็นตามสมควรเถอะ”  แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นแต่คนที่นั่นก็คงรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดอยู่ ทว่าสารินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตรงนี้ และก็รับรู้ได้ดีว่าเขาไม่ได้หงุดหงิดจนพาลไปหมด


หลังจากนั้นไม่นาน หนึ่งในทีมงานก็ได้นำเอาซองเอกสารที่ใส่ข้อมูลการตรวจสุขภาพมาให้กับคุณหมอ คาดว่าทางเพย์ตันอยากให้กลุ่มอื่นได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้นิ่งเฉยและมีการเคลื่อนไหวกับเรื่องสืบทอดตำแหน่งอยู่ และสาคือหมากตัวนั้น การตรวจสุขภาพนี้จะทำให้คนอื่นได้เห็นถึงจุดยืนที่เพย์ตันพยายามทำ


“แปลก”


“มีอะไรเหรอ”  ทาริคเอ่ยถาม คุณหมอที่เป็นผู้มาอ่านผลนั้นไม่ตอบอะไรเพียงแค่อ่านข้อมูลซ้ำไปซ้ำมา และหันไปเรียกหนึ่งในทีมงานที่เป็นผู้จัดทำผลตรวจ


“ทางเราได้ตรวจสอบผลเลือดหลายครั้งแล้วครับ”  แต่โดยไม่ต้องถามออกมา คำตอบก็ลอยมาถึงมือ ในตอนนั้นสารินเองก็เริ่มระแวงตามไปแล้วเช่นกัน


“มีอะไรกัน”  ทาริคเริ่มอยู่เฉยไม่ได้ เขาไม่ได้กังวลเรื่องปัญหาสุขภาพของสารินผู้ต่ำต้อย เพียงแค่กังวลเรื่องแผนการที่วางไว้ ครั้งนี้เขาได้เชิญทีมแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับด้วยหวังให้ข่าวการพาผู้ตั้งครรภ์มาไว้น่าเชื่อถือ


“คุณทาริคผมเกรงว่าเราคงไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพเพื่อเตรียมสำหรับการตั้งครรภ์อะไรอีกแล้ว”  คุณหมอคนนั้นเริ่มอธิบาย  “เพราะเด็กคนนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ครับ”  แม้ว่าคำพูดนี้จะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแต่อย่างใด ทว่ามันก็ทำให้ทั้งห้องต้องเงียบงัน


รวมทั้งสารินที่ได้ยินมันกับหูตนเองด้วยเช่นกัน


“ท้องเหรอ”  ทาริคเป็นคนเปิดปากออกมาก่อน


“ครับ ผลตรวจเป็นเช่นนั้นจริงๆ”


และหลังจากนั้นพวกเขาก็พูดอะไรกันมากมาย ทว่าเวลาของคนที่ถูกเจาะเลือดไปตรวจร่างกายนั้นเหมือนถูกหยุดไว้ตรงที่วินาทีที่คุณหมอเปิดปากพูดเรื่องการตั้งครรภ์ สารินไม่รู้ว่าตนควรจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ ในเมื่อไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์ที่มีการป้องกันทุกครั้งของตนนั้น มันจะนำผลลัพธ์เช่นนี้มาให้


นี่สากำลังตั้งท้องลูกของพี่สนหรือเนี่ย?!


“ผมไม่คิดว่าเขาจะท้อง เรามีคุยกันไว้ว่าถ้าร่างกายของเขาพร้อมเราจะเริ่มกันอย่างจริงจังเลย”  ทาริคเอ่ยออกมา  “แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้”


“เราอาจจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม”


“รบกวนทางคุณหมอด้วยครับ”  ทาริคหันมามองหน้าของสารินที่ซีดเผือด  “ลูกในท้องของเด็กคนนั้นคือคนสำคัญของเพย์ตัน”  และสารินก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะดำเนินเกมอย่างไร


สารินระมัดระวังทุกคำพูดเพราะยังไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป  เด็กคนนี้เป็นลูกของสนธยาแน่แท้ ทว่าทาริค เพย์ตันก็เหมือนจะทำให้คนอื่นเข้าใจว่านี่คือลูกของเขา ในขณะที่อยากจะพูดกันตรงๆแต่ก็อดจะหวั่นระแวงไม่ได้ เพราะการตั้งครรภ์นี้อาจจะทำให้ทิศทางของสถานการณ์ต่างๆที่ธัมรงค์รัชต์กำลังเผชิญนั้นต่างออกไป


เรามีแต่ความเงียบงันให้กันหลังจากที่ทีมแพทย์ออกไปแล้ว


“นายท้อง”  คือคำแรกที่ออกมา


“…”


“ใครเป็นพ่อเด็ก”


“…”


“คงไม่ยอมตอบง่ายๆสินะ”


“ครับ ผมคงไม่มีข้อต่อรองอะไร แต่ตอบไม่ได้จริงๆว่าใคร”


“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้สนใจว่านายเคยมีอะไรกับใครที่ไหน ต่อให้หนึ่งในกลุ่มต่อต้านเป็นพ่อเด็กก็ไม่สนใจ”  ทาริค เพย์ตันพูดเช่นนั้น  “แต่การที่นายมีลูกอยู่ทำให้ทางเพย์ตันเสียหาย เข้าใจใช่ไหมว่าต่อไปนี้ไม่ใช่แค่นายที่จะเป็นหมาก แต่ลูกของนายด้วย”


“…”


“นอกเสียจากจะเอาเด็กคนนี้ออก และรอคลอดคนใหม่ที่เป็นลูกฉัน”


“ผมไม่!”


“ฉันก็ไม่ได้อยากได้ลูกคนอื่นมาเป็นลูกของตัวเองหรอกนะ”


“…”


“ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่ได้อยากให้นายมามีลูกให้ด้วย”  นี่มัน…


หมายความว่าไงกัน?


“มาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องเล่าให้ฟังแล้วสินะ”  ทาริคถอนหายใจออกมา ก่อนจะเริ่มพูด  “ฉันต้องการให้โอเมก้าคนอื่นตั้งท้องให้ แต่ว่าตอนนี้ยังตกลงกันไม่ได้”


“เห…”


“คือแบบ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับการเมืองเลยมันคือเรื่องของความรู้สึก แต่ธรรมเนียมปฏิบัติตรงนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ”


“คุณรักโอเมก้าคนนั้น”


เขาเงียบไป ก่อนจะเปล่งคำตอบออกมาอย่างยากเย็น  “ใช่…”


“แล้วจับผมมาทำไม”


“ก็บอกว่าคนไม่ยอมรับ เลยต้องเก็บนายไว้เป็นหุ่นเชิด เดิมทีทางธัมรงค์รัชต์เคยสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนรับเลี้ยงนายว่าจะส่งให้ แต่ช่วงหลังพวกเขาเล่นแง่กับเราบ่อยเกินไป จนทำให้ต้องไปพามาเอง”


“…”


“และนายก็ท้องแล้วด้วย ตอนนี้คงมีคนกระจายข่าวว่านายกำลังจะมีทายาทให้กับเพย์ตัน”


“แต่คุณไม่ใช่”


“ฉันไม่ใช่”  เขาก็ยืนยันเช่นนั้น  “แต่ตอนนี้ต่อหน้าใครๆมันก็ต้องใช่ ฉันถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว”


“…”


“จนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง ฉันไม่ให้นายต้องมาเกี่ยวข้องหลังคลอดแน่ เด็กนั่นยังไงก็ไม่ใช่คนของเพย์ตัน ฉันก็ไม่ยอมรับ แต่ในตอนนี้คงต้องให้คนอื่นเชื่อเช่นนั้นไปก่อน”  ทาริคไม่ได้ยื่นข้อเสนอ เขาบังคับ  “เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แม้แต่กับครอบครัวก็อย่าพูดความจริงกับพวกเขา” 


สารินไม่ได้ชอบโกหก แต่ในตอนนี้ความจริงบ้าบอนี่จะเอาไปพูดให้ใครในบ้านได้ยินได้อย่างไร นอกจากจะท้องโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว คู่กรณีก็เป็นคนที่ไม่มีใครยอมรับได้ และจะเอาที่ไหนไปบอกความจริงให้ใครฟังกัน!


“แล้วคุณจะบอกใครไหมว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ”


“…”


“ถ้าผมจะขอแค่ให้วันหนึ่ง…ผมขอหายไปเงียบๆ ไม่มีใครตามเจอได้หรือเปล่า”


“เพื่ออะไร”


“ผม…ไม่อยากกลับไป” ทาริคมองใบหน้าของคนที่กำลังเคร่งเครียดทั้งๆที่การมีลูกสำหรับบางคนถือเป็นข่าวดี บางทีเงื่อนไขของครอบครัวนั้นมันอาจจะเกินขอบเขตความเข้าใจที่เขาหยั่งรู้ และถ้ายอมที่จะให้ความร่วมมือ ทำไมเขาจึงต้องปฏิเสธคำขอที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี้ด้วย


“ตามนั้น ฉันจะมอบเงินให้ด้วยถ้าเธอทำตัวดี”  จริงๆแล้วสาก็ไม่อยากเลือกทางนี้


แต่ก็ดูเหมือนว่าตนจะไม่มีทางเลือกเท่าไหร่


- - - - - -


“ฉันไม่ยอมรับ”  คนที่ชื่อเอลตะโกนลั่น เมื่อเขาทราบเรื่องก็รับทราบได้ถึงความไม่ชอบมาพากล  “ทาริค นายทำบ้าอะไรลงไป!”


“บ้าแต่ก็ทำไปแล้ว”


“นายจะมาแอบอ้างลูกคนอื่นเป็นลูกตัวเอง รู้แล้วเหรอว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง”


“ก็พอจะรู้บ้าง” 


“รู้…แล้วยังทำนะเหรอ”


“อีกฝ่ายไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก มีแค่สองอย่างหากไม่ออกมาเรียกร้องความเป็นพ่อ ซึ่งคงพอจะเจรจาได้ ก็ไม่รู้อะไรแล้วปล่อยละเลย”


“นี่นายพูดถึงใคร”


“ฉันก็ไม่ได้แน่ใจนัก”


“ทาริค เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับความเป็นไปของบ้านเรานะ”


“ฉันรู้เอล ฉันรู้”


“ตอนนี้นายทำทุกอย่างให้มันเละไปหมด ทั้งคิดจะยกโอเมก้ามาเคียงข้าง นายคิดว่านี่มันเหมาะสมเหรอ”


“แล้วฉันเคยพูดว่าตัวเองเหมาะสมแต่แรกไหม”


“…”


“เอล…นายรู้ว่าฉันต้องการอะไรมากที่สุด”  ใช่…เอลรู้ ว่าทาริคต้องการยกคนที่ตนรักขึ้นมาเคียงข้างเพียงหนึ่งไม่มีสอง และต้องการให้คนๆนั้นให้กำเนิดลูกของตนด้วยความรัก มิหนำซ้ำยังรู้ว่าทาริคไม่ต้องการสิ่งใด ทว่าสิ่งที่เขาไม่ต้องการ มันมีความเกี่ยวเนื่องกับเอลเองโดยตรง


นั่นคือทาริคมองว่าเอลสมควรเป็นผู้รับตำแหน่งนี้มากกว่า


“ทาริค เราคุยกันแล้ว”


“ฉันไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะกับกฎคร่ำครึพวกนั้นเท่านายแล้วนะเอล”


“…”


“อันที่จริงนายเองก็ไม่ได้ยอมรับมันทุกอย่างหรอก”


“ไม่…”


“หรือบางทีเราอาจจะต้องปล่อยมันไปทั้งคู่”


“เราปล่อยมันไปไม่ได้”  บนหลังเสือหากจะลง มันย่อมไม่ปลอดภัย  “ถ้านายจะลง มันก็ต้องจัดการอะไรให้เรียบร้อย”


“และฉันจำเป็นต้องซื้อเวลา และหลอกสับขาคนอื่นอีกมากมาย”


“นายเลยตั้งใจให้ข่าวลือที่ว่ากำลังจะมีลูกแพร่สะพัดออกไป”


“ใช่แล้ว”  ทาริคได้ตัดสินใจ ดวงตาคมกล้ามองหน้าญาติผู้น้องที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจะเป็นเจ้าตระกูล  “และฉันตัดสินใจแล้วว่าปลายทางของอำนาจตรงนี้ฉันจะมอบมันให้กับนาย”


“ฉันไม่เหมาะสม”


“เหมาะสมกว่าคนที่อยากแต่งเมียโอเมก้าจนตัวสั่นอย่างฉันละมั้ง”  เขาพูดติดตลก แต่ไม่มีอะไรง่ายดายเลย ทั้งเรื่องการเมืองของเผ่าพันธุ์ และเรื่องโอเมก้าคนนั้น


ที่เย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมใคร…


- - - - - -


ข่าวที่ทางเพย์ตันจงใจให้เผยแพร่ออกไปนั้นดังเข้าหูคนในบ้านธัมรงค์รัชต์เข้าจนได้


“นี่มันอะไรกัน ทำไมเพย์ตันทำแบบนี้”  คุณแพรวรรณเป็นเดือดเป็นร้อน เธอมองว่านี่เป็นการไม่ให้เกียรติกันเลยแม้แต่น้อย ทางเราไม่เคยส่งมอบสารินให้กับทางนั้นอย่างเต็มใจ แม้ว่าจะโกรธที่สนธยามุทะลุไปพาตัวของสารินออกมาจนทำร้ายคนไปมากมาย แต่มันก็ไม่สมควรที่อีกฝ่ายจะมาลักพาตัวไปเช่นนี้


ถึงทางธัมรงค์รัชต์จะเคยทำเหมือนจะยกให้และกลับคำพูดให้ตัวเองดูน่าสงสัยก็ตาม


“พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปที่เพย์ตัน จะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ไว้หน้าเราเลย”  การที่สารินท้องก่อนเช่นนั้น พวกเราไม่มีใครรับประกันเลยว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมจะเจออะไรบ้าง


เพราะช่วงนี้กลุ่มอำนาจใหม่ตั้งท่าว่าจะกีดกันการส่งมอบตัวโอเมก้าให้กับทางเพย์ตัน ทำให้พวกเขาจำต้องระวังท่าที และไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้เป็นผลดีหรือไม่ที่การส่งมอบเด็กที่อุปการะให้จำต้องยืดออกไป ทว่าพวกเขาก็พอใจที่จะปกป้องสารินไม่ให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของใครแบบนั้น


แต่ก็ดูเหมือนว่าความพยายามทั้งหมดได้สูญเปล่า


“ฉันจะไปด้วยค่ะ”


“แพร… ผมว่าคุณอย่าเลย”


“งั้นผมไปได้ใช่ไหมครับ”


“สนก็ไม่ได้เหมือนกัน…”  วรวุฒิห้ามไว้  “คงไม่ลืมไปใช่ไหมว่าเรามีเรื่องบาดหมางอะไรกันอยู่”  กับวรวุฒินั้นก็พอจะเข้าหน้าได้บ้าง แต่กับสนธยาที่ปะทะกันรุนแรง เขาก็ไม่อาจจะวางใจให้เข้าไป อย่างน้อยพรุ่งนี้เราก็อยากจะเจอกับสารินเพื่อพูดคุยโดยตรง ทั้งนี่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ใดๆเลย


พวกเขาในฐานะครอบครัวก็แค่เป็นห่วงเฉยๆมากกว่า


การเข้ามาขอพบนั้นทำได้ไม่ยาก ราวกับว่าทางเพย์ตันคิดว่าเขาจะต้องมาอยู่แล้ว วรวุฒินั้นไม่เคยคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องออกตัวให้กับโอเมก้าคนหนึ่งขนาดนี้ แต่ส่วนหนึ่งที่เลี้ยงดูสารินอย่างดิบดีก็เพราะเคยติดค้างบางสิ่งกับโอเมก้าอีกคนเอาไว้ และโอเมก้าคนนั้น…


ก็คือผู้ให้กำเนิดสนธยา


เป็นที่รู้ว่าเล่าอัลฟ่าด้วยกันนั้นมีลูกยาก ต่อให้มีได้ เด็กคนนั้นก็มักจะมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหรือหมาป่าอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางออกของปัญหาของเหล่าอัลฟ่าในวันที่ดีเอ็นเอมีการกลายพันธุ์นั้นคือโอเมก้า…ที่ก็กลายพันธุ์เช่นกัน


และธัมรงค์รัชต์ก็เคยอ้าแขนต้อนรับโอเมก้าคนหนึ่งเข้ามา ก่อนที่เข้าจะแต่งงานกับแพรวรรณ แม้ว่าจะไม่ยอมรับชนชั้นที่อ่อนแอกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัลฟ่าหลายคนนั้นชื่นชอบโอเมก้าในอาณัติของตนเอง ทว่าด้วยรูปแบบทางสังคมนั้นบีบคั้นให้เราวางสถานะและแยกจากกันหลังจากหมดสิ้นหน้าที่


แต่กับวรวุฒิ วาริน และแพรวรรณแตกต่าง


เขารักวาริน แต่จำต้องแต่งงานกับแพรวรรณ นั่นคือบริบทที่ไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ ทว่าแพรวรรณที่ก็ไม่เคยรักกันฉันนั้นก็ยอมรับในตัววารินและยินดีที่จะเป็นเมียตรงหน้าฉากให้เขาครองรักกับวารินต่อไป ทว่าเป็นวรวุฒิเองที่ยอมรับข้อนี้ไม่ได้ ทั้งๆที่นี่คือผลประโยชน์ของตัวเอง กับแค่ยอมรับว่ามีใจให้โอเมก้าคนหนึ่ง มันยากเกินไปหรือไร


ใช่…มันยาก และวารินก็ไม่อยู่รอให้เขายอมรับตัวเอง


หลังจากคลอดสนธยา โอเมก้าคนนั้นก็ไม่สามารถทนต่ออาการเจ็บป่วยได้ สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ล่ำลากัน แพรวรรณฝังใจกับเรื่องนี้มาก เพราะสำหรับเธอนั้นวารินคือเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง มิหนำซ้ำผู้หญิงประหลาดคนนั้นกลับมองว่าวารินเสียสละมากมายเพียงเพื่อให้เธอมีความสุขกับการได้กอดสนธยา


เราจึงตกลงกันได้ว่าต่อไปนี้หากเราต้องรับโอเมก้ามาอุ้มชูเพื่อส่งต่อให้ตระกูลอื่น เราจะดูแลเขาให้ดีเพราะคนพวกนี้มีพระคุณกับเผ่าพันธุ์


และนั่นคือสาเหตุที่แทนที่เราจะรับสารินมาเป็นเด็กในบ้านคนหนึ่ง เรากลับรับมาเป็นลูกอีกคน มันเป็นการกระทำที่งี่เง่า แต่เขาในฐานะสามีก็ตามใจภรรยา อันที่จริงเขาไม่คิดอยากจะผูกพันกับโอเมก้าคนไหนแล้วด้วยซ้ำ แต่เราก็มาถึงจุดที่ไม่สามารถหยุดนิ่งได้ มีแต่ต้องเดินต่อไปเท่านั้น


“เชิญรอสักครู่นะคะ”  เขาโทรมานัดแล้ว ทราบว่าให้เข้าพบได้แต่คงต้องรอเสียหน่อย ตอนนี้ทางเพย์ตันเองก็มีอะไรให้จัดการมากมาย แต่การจัดการเรื่องที่ว่านั้นทำให้คนของเขาท้องนี่มันยังไงอยู่


การแสดงออกของวรวุฒิต่อสารินนั้นชัดเจนว่าไม่ยอมรับทั้งใจ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป การได้มีเด็กเล็กๆอีกคนที่นิสัยต่างกันกับสนธยาอย่างสิ้นเชิงก็เหมือนจะค่อยๆหลอมละลายใจ ในแวบแรก เขารู้ว่าเด็กน้อยที่ชื่อสารินมีความหวาดกลัวต่อโลกโดยเฉพาะกับอัลฟ่า อาจจะเพราะการถูกเลี้ยงดูมาทำให้ซึบซับอะไรบางอย่าง แต่ความอ่อนโยนของแพรวรรณช่วยละลายพฤติกรรม กระนั้นทางความคิดเราไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวคิดเช่นไร


แต่มั่นใจว่าเขาผูกพันกับเรามากจนไม่น่าจะทรยศเราไปก็เท่านั้น


ทว่าเพราะความผูกพันนั้นก็ทำให้สารินคาดเดาได้ยาก แต่เดิมเราตกลงกันไว้ว่าจะกีดกันไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้อะไร และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าความคิดนั้นจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเท่ากับว่าเราไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าสารินคิดจะทำอะไรเหมือนกัน


และหลังจากที่รับรู้ แม้จะมั่นใจว่าเด็กคนนั้นคงไม่ทำร้ายกัน แต่กลับกัน ก็เป็นไปได้ที่อาจจะยอมฝืนทำอะไรลงไปเพื่อพวกเราเช่นกัน


และนั่นคือการที่ยอมตั้งท้องให้กับเพย์ตันโดยไม่ถามความเห็นคนในบ้านหรือเปล่า?


วรวุฒิรู้ตัวว่าตนนั้นไม่ใช่คนที่อีกฝ่ายอยากจะเจอ เขาเข้าถึงยากเสมอ แต่หวังว่าเวลาที่เราอยู่ร่วมกันจะทำให้เด็กคนนั้นรู้ว่าเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ห่วงใย จนถึงตอนนี้เขาไม่อาจจะปฏิเสธใครได้ว่าไม่คิดอะไรเลย แพรวรรณเลี้ยงเด็กคนนั้นมาในสายตาของเขา มันอดไม่ได้หรอกที่จะเอ็นดู


สารินคือคนที่เข้ามาเติมเต็มให้ธัมรงค์รัชต์ แม้นี่จะเกินความคาดหมาย แต่เราก็มีความสุขดีจนไม่แน่ใจว่าจะขาดไปได้


“คุณพ่อ”  เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหนึ่งทำให้วรวุฒิหลุดจากภวังค์  เขาเห็นภาพซ้อนทับของเด็กหนุ่มคนนี้กับเด็กน้อยมอมแมมในวันนั้น แม้แววตาที่เราเห็นจะต่างกัน แต่เขาก็ปลื้มปริ่มใจ เหมือนกับว่าเราไม่ได้เจอหน้าลูกชายคนเล็กมานานเหลือเกิน


“สา”  แต่วรวุฒิไม่ได้เตรียมใจมาเจอลูกชายร้องไห้ ไม่มีใครเตรียมรับมือกับอารมณ์ของคนที่เราไม่ได้ชิดใกล้แต่ปกป้องมาตลอดได้หรอก ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายร้องไห้และวิ่งมากอดเช่นนี้


ทว่าวรวุฒิก็โต้ตอบปฏิกิริยาเหล่านี้ได้ดี


“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร”  เขาเอ่ยก่อนที่จะสวมกอดลูกชายคนเล็กของตัวเองไว้  “พ่ออยู่นี่แล้ว”  ก่อนจะยืนยันความเป็นครอบครัว


ครอบครัวที่สำคัญของสารินมาตลอด



tbc


หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 22 19/5/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-05-2019 20:55:51
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 22 19/5/2019 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-05-2019 01:26:31
แง สงสารน้องสา
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 23 20/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 20-05-2019 16:56:11
23

สน xสา

“คุณพ่อ!”  สนธยานั้นลุกขึ้นยืนในทันทีที่ผู้เป็นบิดากลับเข้ามาในบ้าน เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เสนอหน้าไปที่นั่นเด็ดขาด คงเพราะเหตุการณ์ก่อนนี้ที่ทำให้ทางธัมรงรัชต์กับเพย์ตันวุ่นวาย


“แม่ของแกเขาไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ”  ใบหน้าของวรวุฒิดูอ่อนล้า เขาร้องหาภรรยาผู้เป็นคู่คิด ทั้งนี้เขาอยากเลี่ยงที่จะพูดคุยกับลูกชาย เพราะความมุทะลุที่ยากจะควบคุมนั้นทำให้ไม่มั่นใจว่าตอนนี้สนธยากลับมาอยู่ในการควบคุมได้หรือไม่


“คุณวุฒิ สาเป็นอย่างไรบ้าง”  โดยไม่ต้องให้หา แพรวรรณที่รอมาเนิ่นนานก็เดินเข้ามาหากัน และคำถามแรกที่ออกจากปากก็คือเรื่องของคนที่วันนี้เราให้ไปเจอ


“ลูกค่อนข้างเครียด แต่ตอนนี้ดูสบายใจขึ้น”


“ว่าแต่สาท้องจริงๆเหรอ”  แพรวรรณไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เราอาจจะเคยสัญญากับทางเพย์ตันว่ารอบนี้จะส่งโอเมก้าให้แต่ก็เลี่ยงให้เห็นมาตลอด เลยไม่คิดว่าที่จับตัวไปแล้วข่มเหงคนของทางนี้เลยจะจริง มันดูแปลกแต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าห่วงสารินไม่น้อย


“ใช่…”


“แพรจะไปคุยกับเพย์ตันเอง!”


“แพรไม่ต้อง”  แต่วรวุฒิห้ามไว้  “สารินห้ามไม่ให้พวกเราไปยุ่ง”


“สา…”


“ตอนนี้ชีวิตของสาและลูกสำคัญ ถ้าเราไปยุ่งกับเพย์ตันตอนนี้ อาจจะไม่เป็นผลดีกับสารินที่อยู่ที่นั่นนัก”


“แล้วเราจะดูแลลูกได้ยังไง ตอนนี้เขาอยู่ที่นั่น”


“เราไปหาได้ ตอนนี้เรากลายเป็นพวกเดียวกับทางนั้นไปแล้ว”  ไม่อยากจะเชื่อ “เขาบีบเราให้เป็นพวกเดียวกับเขาด้วยสารินจริงๆ”  สถานะของเพย์ตันไม่ได้มั่นคงเหมือนสมัยก่อนที่ผูกขาดอำนาจ ทางธัมรงค์รัชต์เองก็ตั้งใจว่าจะไม่ส่งสารินถึงมือทางนั้นแล้ว


การรับเลี้ยงสารินเป็นเหมือนหลักประกันที่ทำให้รู้สึกมั่นคงทางอำนาจ แต่ก็ยอมรับว่าที่เลี้ยงดูเขาดีแบบนั้น ก็เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่มีต่อวารินผู้ให้กำเนิดสนธยาด้วย และเมื่อเราเอาใจใส่เขาถึงเพียงนั้น มันจึงไม่ยากเลยที่วันหนึ่งเขาจะกลายมาเป็นคนสำคัญที่ทำให้เราไม่อาจจะทำใจเสียไปได้


เราเลี่ยงพูดคุยเรื่องการส่งตัวสารินเพราะหวั่นเกรงถึงความต้องการของคนอื่นในครอบครัว โดยไม่รู้เลยจนกระทั่งได้มาพูดคุยกันจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ พวกเราไม่มีใครอยากทรงสาไป แต่ถ้ามันมีความจำเป็น เราอาจจะต้องกลับคำพูดเหล่านั้น ทว่าเมื่อวันหนึ่งที่ทุกอย่างจบสิ้น ธัมรงค์รัชต์ย่อมขอให้สารินกลับมาอยู่กับเราอีกครั้งเป็นแน่


แม้ไม่รู้ว่าใจของสารินจะคิดเห็นอย่างไรกับการกลับมาอยู่กับคนที่ทำกับตนอย่างนั้นลงไป


การที่เรื่องมันยืดเยื้อถึงเพียงนั้น ก็เป็นเพราะว่าเพย์ตันบีบให้ประกาศตัวว่าอยู่ฝ่ายใคร และความชัดเจนนี้อาจจะไม่เป็นผลดีกับธัมรงค์รัชต์เลย ส่วนอีกเหตุผลที่ไม่ส่งไปก็เพราะสารินเองก็เป็นคนสำคัญ เราจึงพยายามที่จะกันเขาออกจากเรื่องนี้ และพยายามอย่างมากที่สุดที่จะจับตาไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ น่าเสียดายที่สารินไม่เข้าใจเจตนานี้และคิดว่าจับตามองกันไว้เพราะไม่อยากให้หนีไปไหน


ต่อให้เราดูแลดีแค่ไหนแต่ก็คลาดสายตาไปได้ เพย์ตันบุกใช้ไม้แข็งและเล่นกับจุดอ่อนอย่างซึ่งๆหน้าๆ ในวันนี้พวกเขาบ้าบิ่นพอจะทำให้แก้วตาดวงใจของธัมรงค์รัชต์ท้องเพื่อเป็นข้อต่อรองแลกกับความสวามิภักดิ์ วรวุฒิเองก็โกรธมากแต่เขายังมีสติพอจะไม่ตะบันหน้าคนพวกนั้นเพราะสารินห้ามไว้ เราไม่สามารถเรียกคืนความบริสุทธิ์ของลูกได้อีก


เพราะเด็กได้เกิดมาอยู่ในท้องของสารินแล้ว


ในสถานการณ์เช่นนี้การเอนเอียงไปกับเพย์ตันก่อนอาจจะดีกว่า วรวุฒิจึงหมายตาว่าจะเฉยๆไว้ ทว่าคนที่โกรธจนอาจจะไม่สามารถมีใครทัดทานได้คงมีแค่สนธยา ในตอนนี้จากที่เคยให้คนจับตาสา กลับกลายเป็นว่าเขาต้องคุมขังลูกชายตัวเองที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายอมไม่ได้กับเหตุการณ์นี้


“แพรไปเยี่ยมลูกได้ใช่ไหม”


“ได้สิ”


“งั้นเราไปกันเลยได้ไหม”


“ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้สาเขาเพลียๆ อย่าเพิ่งไปกวนเลย”  แพรวรรณพยักหน้ารับคำ เธอหมายมั่นว่าจะเตรียมอาหารดีๆที่ลูกชอบไปให้จึงเดินออกไปจัดเตรียม เหลือคนเป็นพ่อและลูกชายหัวร้อนเอาไว้ในห้องรับแขกเพียงสองคน


และเป็นสองคนที่มีคำพูดมากมาย แต่ไม่ได้ถ่ายทอดออกไปสักคำ


“ฉันขอสั่งห้ามแกให้หยุดทุกอย่างที่จะทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายไปกว่านี้”


“แล้วเราก็จะปล่อยให้เพย์ตันทำตามอำเภอใจหรือไง อย่างนี้มันไม่ให้เกียรติกันเลย”


“ฉันก็ไม่ได้ชอบใจที่เขาทำกับเราแบบนี้”  วรวุฒิถอนหายใจ  “แต่สารินท้องแล้ว”


“…”


“ท้องลูกให้กับเพย์ตันแล้ว” แม้ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว


สนธยาจำต้องปล่อยเมียของเขาให้ไปเป็นตุ๊กตาประดับบ้านเพย์ตันแบบนั้นหรือไง!


“เราจะไปรับน้องมาด้วยกันนะสน อดทนหน่อย” มันยากเหลือเกินที่จะให้อดทน ในเมื่อว่าคนทั้งคนได้หายไปแบบนั้น เราล้วนรู้ดีว่าสิ่งที่สารินเผชิญอยู่คืออะไร


และเขาทำอะไรมากกว่านี้ไปไม่ได้เลยเหรอ?!


“อย่าทำเรื่องที่น้องห้ามไว้” ถ้าสารินไม่ห้าม แน่นอนว่าต้องทำแน่ เพราะนี่ขนาดห้าม…เขายังอยากทำอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ! “ตอนนี้น้องไม่ปลอดภัย ถ้าจะใจร้อนก็ช่วยคิดถึงน้องกับเด็กในท้องด้วย”  แววตาของอัลฟ่าหนุ่มอ่อนลง มันเป็นแบบที่พ่อของเขาพูดเพราะเพย์ตันบ้าบอพอที่จะใจร้ายกับคนที่อยู่ในอาณัติของตนตอนนี้


คนที่บ้านนี้รักสาเหมือนลูกหลาน เหตุการณ์แบบนั้นหากเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีเหตุให้ต้องผลักไสหลังจากใช้ประโยชน์ไป เพราะประโยชน์ที่เรามีร่วมคือประโยชน์ทางใจกันมากกว่า และนั่นคือสิ่งที่วรวุฒิวางเป้าหมายไว้หลังจากนี้ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้อีกแล้วก็แค่ต้องรอเท่านั้น เมื่อไหร่ที่เพย์ตันได้สิ่งที่เขาต้องการ คนพวกนั้นก็จะคืนสารินมา แม้ว่าพวกเขาจะเสนอผลประโยชน์ให้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นให้สนใจ


และตอนนี้สนธยาคือคนที่ถูกจับตามอง เขาทราบจากพ่อว่าน้องบอกไม่ให้ทุกคนต้องห่วงใย ในอ้อมกอดของเพย์ตันอาจจะให้ความปลอดภัยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่การไปอยู่ในปากเสือก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจริงๆ ตอนนี้ทางนั้นเองก็มีปัญหารอบด้าน และเขากลัวเหลือเกินว่าปัญหาบางอย่างจะพุ่งตรงเข้ามาจัดการถึงภายในปากเสือนั้นได้


เขาไม่ได้รังเกียจเมียของเขาที่กำลังท้องลูกให้ใคร แต่เจ็บใจที่ไม่สามารถแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอะไรได้เลย!


“ลูกของเพย์ตันงั้นเหรอ”  ในตอนนี้ที่คำถามที่สงสัยที่สุดไม่ได้ถูกถามออกไป เพราะคนที่ควรจะตอบยังอยู่ไกลเขาก็ได้แต่เก็บคำถามนั้นไว้ สนธยาได้วางแผนบางอย่างเอาไว้เนิ่นนาน และมันก็กำลังจะเข้ารูปเข้ารอยจนกระทั่งตัวแปรที่ชื่อว่าเพย์ตันนั่นแหละที่เข้ามาทำให้เสียเรื่อง


หากได้เจอหน้ากันสักนิดเขาจะถามให้ชัด ตอนนี้ที่ได้แต่คิดมันก็ยิ่งทำให้ฟุ้งซ่าน เด็กในท้องนั้นเป็นลูกของเพย์ตันจริงๆเหรอ คนพวกนั้นฝืนใจน้องจริงๆเหรอ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรให้เพย์ตันสมอ้างลูกของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเลย แม้จะเป็นมนุษย์หมาป่าหรือมีเชื้ออัลฟ่าเหมือนกัน แต่พวกเราก็มีความภาคภูมิใจในสายเลือดตรงของตัวเองมากกว่า


ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ยากที่ทาริค เพย์ตันจะรับลูกของคนอื่นมาสมอ้าง นอกเสียจากว่าพวกเขาหมายมั่นอะไรบางอย่าง แต่ขอเถอะ ถ้าสารินตั้งท้องจริงๆ นั่นไม่เท่ากับการที่เขาปล่อยเมียและลูกที่อาจจะเป็นของตัวเองไปอยู่ในปากเสือที่กำลังถูกง้าง


เขาหมายมั่นจะตีตราจองสารินไว้ขนาดนี้


ทำไมต้องมีอุปสรรคมากมายขนาดนั้นด้วยนะ


ในส่วนของสารินที่หลังจากยืนส่งผู้เป็นพ่อให้กลับบ้านไปก็กลับมาใช้ชีวิตในปากเสือที่ดูน่าสะดวกสบายที่สุด มือเล็กที่วางช้อนอาหารลงทั้งๆที่ไม่ได้มีความต้องการแม้แต่น้อยนั้นเปลี่ยนไปลูบบริเวณหน้าท้อง ทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นเหมือนจะเพื่อตัวเองและคนอื่นๆ แต่อันที่จริงแล้วสารับรู้ได้ถึงความสำคัญตรงนี้ที่สุด


ลูก…ของสากับพี่สน


“ไม่รู้ว่าพ่อของเราจะทิ้งเราไปยังเนอะ”  ถึงจะพูดไปเช่นนั้น แต่ว่าในใจกลับย้อนแย้งไปมา สาคิดว่าหากเขาไม่กำลังหัวร้อนอยู่ ก็เป็นได้ว่าจะเพิกเฉยไม่สนใจสิ่งใด


จากที่ได้รับฟังมาและปะติดปะต่อเอง สถานการณ์ของเผ่าพันธุ์นั้นไม่ค่อยดีนัก และตอนนี้สารินก็รับรู้ถึงความห่วงใยที่คนในครอบครัวแสดงออกมาตลอดในรูปแบบของการจำกัดอิสระ เขาแค่ไม่อยากให้สามายุ่งเกี่ยว แต่ไม่เคยคิดเลยหรือไง ว่าพระคุณที่มีให้ มันทำให้สาอยากจะยุ่งเกี่ยวจนจะแย่


แม้ว่าในท้องของตนนี้ สายเลือดที่มีร่วมจะเป็นของพี่สน แต่มันไม่ใช่เหตุผลอะไรที่จะหยุดสาจากการช่วยเหลือคนที่บ้าน ถึงธัมรงรัชต์จะหยั่งเชิงเป็นกลาง แต่ข้อเสนอของทางเพย์ตันที่มอบให้ก็หวานหอมจนสารินยังคิดว่าชีวิตของตนน่าจะมีค่าน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ


ดังนั้นตนจึงเลือกที่จะอยู่เป็นหมากที่นี่ และยอมให้สมอ้างว่าลูกในท้องคือของพวกเขาเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเพย์ตันก็ไม่ยอมรับเด็กที่เกิดมาจริงหรอก วันหนึ่งก็ต้องยอมปล่อยไป


และในตอนนั้นสารินที่อุ้มท้องลูกพี่สน ก็ไม่อาจจะหวนกลับไปสู่ธัมรงรัชต์ด้วยเหมือนกัน


คุณแพรวรรณและคุณวรวุฒิที่วันนี้โดนหลอกเข้าเต็มเปาจะรู้สึกอย่างไรหากรู้ว่าเด็กที่อุ้มชูเอ็นดูเป็นอย่างดีนั้นทรยศต่อความไว้ใจปีนเตียงลูกชายผู้เป็นผู้สืบทอดของที่บ้าน จะอย่างไรจุดจบของสารินก็ไม่พ้นต้องออกจากบ้านนั้นเพราะได้แปรสภาพการเป็นลูกคนหนึ่งไปเป็นคนผลิตทายาทให้คนในบ้านนั้นแล้ว สาไม่อาจจะอยู่ต่อไปได้และไม่แน่ใจในชะตากรรมของลูกตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นมันจะดีกว่าหากไม่คิดย้อนกลับไปแต่แรก


ถึงแม้วรวุฒิบอกว่าจะมารับกลับก็เถอะ


“วันนี้คุณปู่มาหา เขาบอกจะพาเรากลับไปบ้านนั้น” แต่คุณปู่ไม่รู้ว่าหลานของตนคือเด็กคนนี้ เขาอาจจะรังเกียจเด็กในท้องของสารินไปแล้วที่ทำให้เรื่องราวมันวุ่นวาย แต่ไม่เป็นไร ต่อไปก็จะไม่อยู่วุ่นวายต่อไปอีกแล้ว


สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในระหว่างนี้ เดิมทีมันไม่ใช่ความต้องการของสาเลย ลูกคือสิ่งที่ไม่เคยนึกอยากมี กระทั่งวันนี้ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชิน แต่จะอย่างไรนี่ก็เป็นเด็กที่เกิดจากความรักที่สามีต่อพี่สน แม้มันคือความไม่ตั้งใจ แต่ก็คือผลผลิตของความสัมพันธ์ทางกายกับคนที่ตนหลงรัก จากที่คิดจะจบวงจรอุบาทว์นั้นไว้ ยามนี้คิดแต่ว่าอยากจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด


และเราจะต้องไม่กลับไปวนเวียนในวงจรน่าเกลียดน่ากลัวนั่นด้วยกัน


“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!!!!”  ในขณะที่สารินจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงตะโกนดังลั่นนั้นก็ทำให้ตนสะดุ้งตื่นจากภวังค์


ประตูห้องเปิดผาง พร้อมกับเหล่าบอดี้การ์ดของตระกูลที่ลากใครบางคนเข้ามาที่นี่ ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวนั้นกระเด็นเข้ามาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของสาริน ร่างบอบบางและกลิ่นหอมที่ลอยมาทำให้สารินรับรู้ได้ถึงความพิเศษ เดิมทีตนก็แค่เคยอ่านจากในหนังสือบันทึกชาติพันธุ์ที่ส่งต่อกันมา แต่ไม่เคยเจอใครที่มีลักษณะที่โดดเด่นขนาดนี้มาก่อน


คนๆนี้มีเชื้อสายโอเมก้าอย่างแน่นอน…และเขาก็งดงามมากๆ


“…”


“เอ่อ…สวัสดี”  เราเงียบกันอยู่นาน และอีกฝ่ายก็ดูงงๆและไม่พอใจอะไรสักอย่าง ดวงตาคู่งามนั้นจ้องกันเขม็งจนสารินนึกกลัวเกรง เขาเป็นใครกัน ทำไมพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้นต้องจับโยนเข้ามา


“พวกนั้นแย่จริงๆ”  ทั้งๆที่เจ้าบ้านพูดจากปากหวานใส่กันจนอยากอ้วก แต่การกระทำของคนในบ้านหลังนี้ช่างห่างไกลจากการให้เกียรติกันเต็มที ทำไมคนพวกนี้ไม่รู้จักมารยาทที่ดีไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม


เขาไม่ใช่โอเมก้าที่ถูกส่งมาเพื่อระบายอารมณ์นะ!


“คุณคือ?”  เดิมที ‘ดรัญ’ ตั้งใจจะทำเป็นไม่เห็นเจ้าของห้องมีตัวตนเท่าไหร่ แต่โดนจี้ถามแบบนี้ การเมินเฉยก็ดูไม่มีมารยาทแบบที่เจ้าตัวเคยปรามาสคนอื่นไว้มากมาย


“แขกไม่ได้อยากถูกเชิญของเจ้าของบ้าน ฉันชื่อดรัญ” อีกส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเจ้าของห้องมีลักษณะที่ทำให้คนเกลียดไม่ลงด้วยละมั้ง แม้แต่ดรัญที่ไม่ถูกใจอะไรเลยในบ้านหลังนี้ ยังนึกเอ็นดูระคนสงสารคนที่ถูกจับมาไม่น้อย


ทั้งๆที่เขาก็ถูกจับมาเหมือนกัน…


“ผมชื่อสารินครับ”  เจ้าของชื่อเอียงคอยิ้มหวานให้ เป็นโอเมก้าที่น่ารักขนาดนี้ ทำไมทาริค เพย์ตันถึงได้เพิกเฉยไม่สนใจได้ลงคอนะ ได้ยินข่าวลือหนาหูว่าคนนี้แหละที่ถูกเล็งให้จัดการเรื่องทายาทให้ แต่ปัญหาวุ่นวายในเผ่าพันธุ์ทำให้ทุกอย่างยืดเยื้อ แต่วันนี้เจ้าตัวก็อุ้มท้องโย้นอนอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วไง ทำไมยังมาวุ่นวายกับดรัญอีก!


“นายดูสุขสบายดี กินข้าวหมด ไม่มีอะไรขาดเหลือใช่ไหม”


“ครับ?”


“แบบนั้นก็ดีแล้ว”  ที่เขาถามคำถามแปลกๆ ทั้งหมดก็เพราะพวกคนที่อยู่ข้างนอกไล่มาดูความเป็นไปของคน ‘สำคัญ’ ของตระกูลคนนี้ไง เราไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ก็ยังดึงดันให้มาวุ่นวายแบบนี้ได้ คนแบบทาริค เพย์ตันนั้นเป็นคนอย่างไรกันนะ


ปากก็บอกว่ารัก


แต่ดันไปทำคนอื่นท้องและให้คนที่ตัวเองรักมาดูแล?!


“คุณเป็นโอเมก้าที่ดูดีมากเลย ผมไม่เคยเห็นคนที่มีกลิ่นหอมลอยฟุ้งออกมาแบบนี้”


“นายได้กลิ่นฉันด้วยเหรอ”  เอาจริงๆเขายังไม่เคยได้กลิ่นตัวเองด้วยซ้ำ คนที่เคยบอกว่าเขาตัวหอมนั้นเห็นจะมีแค่ทาริค กับคนนี้ๆเท่านั้น


“อา..หรือคงเป็นเพราะท้อง จมูกเลยจะไวหน่อยๆ”  ดรัญหรี่ตามองคนท้องที่กำลังลูบหลังคอ ท่าทางสารินคงไม่ใช่โอเมก้าที่คลุกคลีอยู่กับโอเมก้าบ่อยๆ


“นายถูกเลี้ยงแยกออกมาจากพวกโอเมก้าใช่ไหม”


“อา…ตอนเด็กๆผมเคยอยู่รวมกับโอเมก้าคนอื่นๆนะครับ แต่ก็เด็กมากๆ” นั่นแปลว่านานมากแล้ว


“มิน่าล่ะ ถึงได้ดูสบายๆตอนอยู่ในบ้านที่มีแต่พวกหมาป่า” เขาพูดเหมือนดูประชด


“ก็…มันก็ไม่มีทางเลือกมากนี่ครับ” สายิ้มให้ ลูบท้องตัวเองเบาให้อีกคนได้รู้ว่าทางเลือกที่มีไม่มาก เจ้าตัวได้เลือกใคร


“นายอยู่เฉยๆขนาดนี้ได้ไงกันนะ”  ดรัญไม่เข้าใจเด็กคนนี้เอาเสียเลยจริงๆ ถ้าเป็นเขาคงไม่ยอมให้เพย์ตันหรือพวกมนุษย์หมาป่าที่ไหนควบคุมได้โดยง่าย ก็พอจะรู้ว่าโอเมก้านั้นใครๆก็ว่าหัวทึบ ทว่าทั้งๆที่ดรัญเองก็เป็นโอเมก้า แต่ว่าตนไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นโง่ไม่ทันใคร


โอเมก้าไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถ แต่ถูกจำกัดบทบาทไม่ให้มีความสามารถเหนือใครต่างหาก


“ถ้าฉันพาหนี นายจะไปกับฉันไหม”  คำพูดของดรัญทำให้สารินเงยหน้าขึ้นมา หากเป็นก่อนนี้ตนคงรับไว้พิจารณา


“ไม่ครับ ผมคงต้องอยู่ที่นี่สักพัก”


“อยู่ที่นี่? คลอดลูกให้พวกหมาป่าเอาไปเลี้ยงนะเหรอ”


“เอ่อ..”


“นายถูกล้างสมองหมดไปแล้วเหรอ”


“เปล่าหรอกครับ ผมแค่อยากอยู่เพื่อให้มั่นใจว่าคนที่บ้านจะปลอดภัยและได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”  สารินรักพวกเขามาก  “พวกเขาดีต่อผมมาก ต่อให้เลี้ยงผมมาเพื่อสิ่งนี้ก็ต้องตอบแทนให้สมน้ำสมเนื้อ ถ้าผมหนีไป ทั้งชาติคงไม่มีวันทิ้งบุญคุณไว้เบื้องหลังได้แน่” 


“บ้านของมนุษย์หมาป่า จะมาดีกับโอเมก้าได้ยังไง”


“ผมรู้ครับว่าโอเมก้าบางคนเจอเรื่องเลวร้ายมากมายหลังจากถูกขายให้มนุษย์หมาป่า”  สารินไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้น  “แต่ผมนั้นแค่โชคดีกว่าพวกเขา”


“นายเลยเห็นดีเห็นงามกับขบวนการค้ามนุษย์นี้งั้นเหรอ”


“ไม่เห็นด้วยเลยครับ”  จะอย่างไรอะไรที่ไม่ถูกต้อง สารินก็ไม่เห็นควร  “และอยากหยุดมันไว้ที่ผมคนนี้ จะไม่มีลูกหลานโอเมก้าที่สืบทอดสายเลือดของผมคนไหนต้องมารับกรรมแบบนี้อีก”


“…”


“คุณดรัญเอง…ก็คงเป็นโอเมก้าที่ไม่อยากให้อนาคตของลูกหลานเป็นแบบที่ผ่านๆมาใช่ไหมครับ”  ใช่แล้ว ดรัญพยักหน้า การได้เจอกับสารินทำให้ความโกรธเกลียดที่ถูกฉุดกระชากให้มาที่นี่พลอยทุเลาไป อย่างน้อยก็ได้เจอคนที่พูดรู้เรื่องแม้พูดคนละเรื่องกันก็ตาม


เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ที่ทาริคให้มาอยู่กับคนท้องแล้ว


ดรัญนั้นต่างจากสารินที่ชาติกำเนิดไม่ได้อยู่ในซ่องเหมือนกัน ทว่าตนนั้นเกิดมาในเรือนคนใช้ซึ่งมีแม่ผู้ซึ่งเป็นโอเมก้าให้กำเนิด และมีนายเหนือหัวเป็นอัลฟ่า ชะตากรรมของดรัญก็ไม่ต่างจากสาริน เจ้านายใหญ่มุ่งหมายให้ดรัญถูกส่งต่อมาให้กับตระกูลใหญ่ๆเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เลี้ยงไว้แม้ว่าลูกชายอัลฟ่าของตัวเองจะมีสายเลือดเกี่ยวพันกับลูกคนใช้


 นายใหญ่จะว่าใจดีก็ใจดี เขารับเลี้ยงแม่ไว้ต่อหลังจากที่คลอดนายน้อยแล้ว หลังจากนั้นแม่ก็มีดรัญในเรือนคนใช้ น่าเสียดายที่พ่อของดรัญนั้นตายเร็วเกินไป ด้วยเป็นเด็กฉลาดชอบตั้งคำถามกับทุกอย่าง แม่ที่ไม่สามารถตอบได้จึงจำต้องส่งดรัญไปเรียนหนังสือ และที่นั่นก็ช่วยเพิ่มพูนความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนพื้นฐานให้กัน


แม้พวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ความพยายามที่จะอยู่ร่วมกันมันก็ต้องปรับตรงนี้ด้วยหรือเปล่า


ไม่เช่นนั้นจะมีโอเมก้าเกิดมาทำไม ถ้าไม่ให้เกียรติกันในฐานะที่เติบโตมาอย่างยากเย็นนะฮึ?


เราอยู่ในสังคมที่มีมนุษย์รายล้อมจึงไม่แปลกที่เราจะคิดว่าเราคือมนุษย์คนหนึ่ง แต่กายภาพที่ไม่เหมือนมนุษย์ก็ทำให้เราตั้งคำถามกับความประหลาดของร่างกายมานับครั้งไม่ถ้วนจนต้องทำใจและยอมรับว่ามันไม่ใช่ ดรัญนั้นเติบโตมาอย่างดีพร้อมทางการศึกษา ถือว่าเป็นโอเมก้าหัวก้าวหน้าที่ได้โอกาสเรียนสูงจากความพยายามของตัวเอง


และวันที่เขากำลังจะถูกส่งมอบให้ ‘ตระกูลสเตอร์ลิ่ง’ ก็มาถึง ทว่าก่อนจะถึงวันนั้นก็เป็นผู้ชายคนนั้นที่ไปลักพาตัวมา เป็นเพย์ตันที่พยายามอย่างมากที่จะตัดแข้งตัดขา ดรัญจึงได้มาเจอเขาที่เข้ามาเปลี่ยนโลกทั้งใบของตนอย่างสิ้นเชิง


‘นายคงเป็นโอเมก้าที่คิดว่าการได้ให้กำเนิดลูกอาจจะทำให้อัลฟ่าหลงรักและนำมาเลี้ยงดูถึงได้ยอมง่ายๆสินะ’  คำเหยียดของทาริค เพย์ตันที่จับกันมานั้นยังคงอยู่ในหัวใจทุกประโยค แน่นอนว่าดรัญไม่ได้ยอม


กำลังจะหนีแต่ถูกเพย์ตันจับมาก่อนต่างหากโว้ย!


‘ถ้างั้นกับพ่อพันธุ์คนไหนก็ย่อมได้สินะ มาสิฉันจะปราณีนายที่สุด’


‘เป็นบ้าเหรอ’


‘หืม’


‘เอาสมองที่ไหนคิดว่ามีโอเมก้าอย่างนั้นอยู่ นี่มันก็ยุคสมัยไหนแล้ว ประวัติศาสตร์ถ้าเขาไม่มีให้เห็นความผิดพลาดแล้วจะมีทำไม เขียนไปเผาทิ้งเหรอ’ 


เป็นอัลฟ่าที่โง่และหยิ่งยโสไม่ถูกที่จริงๆ


“คุณพูดแบบนั้นกับคุณทาริคไป?!”  สารินที่ได้ยินยังไม่อยากจะเชื่อหู แม้ว่าตนจะเป็นโอเมก้าที่จัดว่าหัวก้าวหน้าแล้ว แต่พูดจากับอัลฟ่าที่ไม่รู้จักแบบนั้นอย่างไม่กลัวตาย ต้องไปกินยาดีอะไรมากันนะ


“สิ่งที่ฉันมีดีคือความบ้าบิ่นและเอาตัวรอดเก่ง”  ไม่งั้นจะได้ทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนจบปริญญาโทโดยที่ไม่มีอัลฟ่าที่ไหนจับกลับบ้านไปได้อย่างไร ดรัญเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เอาตัวรอดเก่งมาก ทุกวันนี้เขาจึงถูกชิงชังและหมายตาจากพวกอัลฟ่าโดยเฉพาะพวกชอบลองของแปลกอย่างทาริค เพย์ตัน


คนที่ทำเป็นปากหวานและบอกว่าจะมอบตำแหน่งข้างกายให้กัน


“แต่ผมเชื่อว่าคนเราถ้าเจอความโหดร้ายจะพยายามปรับตัวให้อยู่รอดและเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้”


“…”


“ผมเองก็ไม่ได้อยากมีลูกหรอก แต่เด็กคนนี้เขาได้เกิดมาแล้วนี่นะ”


“อย่าทำเป็นผูกพันกับเด็กจนเกินไป วันหนึ่งเขาก็ไม่ใช่ลูกนาย”  ดรัญอยากจะเตือนไว้ เพราะไม่อยากให้สาเป็นแบบแม่ของเขาที่ต้องทนกับสายตาของลูกชายคนแรกที่ขยะแขยงในตัวเอง ทั้งๆที่พอคลอดออกมาประคบประหงมดูแลดีเท่าไหร่ก็ตาม อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า คนพวกนั้นไม่มีวันยอมรับชาติกำเนิดที่มาจากโอเมก้า มันย้อนแย้งดีไหมล่ะ


“เขาต้องเป็นลูกผมสิ”


“เดี๋ยวทาริคก็เอาไปไม่ใช่เหรอ แล้วนายก็เตรียมตัวให้ดี คนพวกนี้คงใจดีให้เงินก้อนและเตะออกไปอะนะ”  ทาริคคนบ้า ปากก็บอกว่าชอบกันอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็มาทำโอเมก้าตนอื่นท้องโต


“ผมว่าทาริคเขาคงไม่รับเด็กคนนี้หรอก มนุษย์หมาป่าไม่ชอบเอาลูกของหมาป่าตัวอื่นมาเลี้ยง”


“…”


“โอ้…” จริงๆแล้วสารินไม่ควรพูดหรือเปล่า เราไว้ใจดรัญได้แค่ไหน? แต่คำพูดนี้ของสารินทำให้หัวใจที่เกรี้ยวกราดของดรัญกลับมาพองโตอีกครั้ง…


คนท้องนั้นหันไปมองที่กล้องวงจรปิดและประตู ถ้าทำผิดต้องมีคนเข้ามาแล้ว แต่นี่ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง สารินหันกลับมามองใบหน้าที่แดงระเรื่อของดรัญอีกครั้งและได้แต่สงสัย โดยไม่ได้รับรู้อะไรว่าที่อีกฟากฝั่งคนที่มองเราผ่านกล้องวงจรปิดนั้นกำลังยิ้มบางๆ


ให้กับคนเกรี้ยวกราดชอบทำเป็นรู้ดีที่น่ารักที่สุด


“ไม่ใช่ว่ากำลังงอนกับคุณทาริคเรื่องผมจนหนีไป ให้เขาตามจับกลับมาคุยกับผมใช่ไหมครับ…ดรัญ” สารินเองก็ไม่โง่ ขนาดเขาไม่พูดอะไร ก็คาดเดาได้อย่างแม่นยำ


“…”  ดรัญไม่ตอบอะไร แต่รู้สึกเจ็บใจที่ถูกต้อนจนลงหลุมแบบนี้ ทาริคคงคาดการณ์ไว้หมดแล้วสิ


“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ คุณดรัญ”  สารินยิ้มบางๆ การปรากฏตัวของโอเมก้าที่ทาริคหมายตาทำให้ตนสบายใจขึ้น และอย่างไรก็ตามเรามีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่


นั่นคือโลกของโอเมก้าของทั้งสองคน…มันเปลี่ยนมาสักพักแล้ว


Talk:
เปิดตัวดรัญโอเมก้าที่จะเข้ามามีบทบาทนิโหน่ยในเรื่องนี้นะคะ อ่านไปอ่านมาเหมือนน้องสาเป็นนายเอกหนึ่งเดียวที่เหลือคือเพื่อน555 แม้แต่ฉันเองก็ไม่ได้มีออร่าขนาดนั้น อย่างว่า ชีวิตไม่ค่อยเจอวิบากกรรม



















































หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 23 20/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-05-2019 18:09:46
ฉันหายไปเลย
คิดถึงนะ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 23 20/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-05-2019 22:58:52
ถ้าทาริคง้อดรัญสำเร็จแล้วจะคืนน้องสาให้พี่สนไหม
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 24 21/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 21-05-2019 20:14:39
24

สน xสา


ดวงตาของพี่ชายคนนั้นที่มองมาทำให้หัวใจสั่นไหวไม่น้อย


“สาสบายดีครับ”  แต่กระนั้นหากไม่ยิ้มออกไปก็จะดูน่าสงสัย


วันนี้เป็นวันแรกที่สนธยามาเยี่ยม เขาไม่ได้มาที่นี่เลยหลังจากที่ท้องของสารินเข้าสู่เดือนที่ห้าเลย แม้จะรู้ว่าสนธยาไม่ค่อยพอใจกับการทำเช่นนี้ของเพย์ตัน ทว่าเมื่อได้มาเจอจริงๆก็อดคิดว่าที่ไม่มา ไม่ใช่เพราะถูกห้ามไม่ให้มา แต่เพราะว่าไม่ได้อยากมาขนาดนั้น เพราะถ้าเขาเต็มไปด้วยความโหยหากัน แววตาคงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก


แววตาแบบนี้มันเย็นชาเสียจนน่ากลัวว่าที่ผ่านมาเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย


“น้องสาต้องดูแลตัวเองดีๆนะลูก”


“ครับคุณแม่”  สารับคำก่อนจะส่งทุกคนกลับไป


เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่มาอยู่ที่เพย์ตัน สารินแทบจะตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกที่เคยมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ป่านนี้ฉันชนก หรือคนที่ทำงานจะเป็นอย่างไรบ้าง คาดว่าการไปไม่ลาของตนคงส่งผลให้ถูกไล่ออกไปแล้ว แต่สารินไม่มีอะไรที่กังวล หรือไม่นึกอยากจะกังวลในตอนนี้ เพราะความสำคัญทั้งหมดได้ถูกส่งมอบไปให้ยังบุคคลที่ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา


ลูกของสากับพี่สน…


ถ้าเป็นเจ้าก้อนนิ่มๆมาให้กอดล่ะก็ โลกทั้งใบของสาคงถูกเติมจนเต็มเป็นแน่ แค่คิดหัวใจก็พองฟูแล้ว รีบเกิดมาให้แม่ได้รักเสียทีได้ไหม เพราะในสถานะที่มีความรักอยู่เต็มหัวใจแต่ส่งต่อให้ใครไม่ได้มันน่าอึดอัดเสียจริง


“ยิ้มอะไรคนเดียวน่ะ”  ดรัญที่เพิ่งเข้ามานั้นทักถาม ก็รู้หรอกว่าคุยกับลูกแต่ว่ามันก็น่าหยอกไม่น้อย


“ดรัญ”


“กว่าจะแยกตัวออกมาได้”


“ไปหาคุณทาริคมาเหรอ”


“ถูกลากไปหาต่างหาก”  ดรัญถอนหายใจ กระนั้นสารินที่เป็นคนนอกมองเข้าไปก็รู้ดี ว่าสองคนนี้มีอะไรที่เชื่อมต่อกันอย่างสนิทซ่อนอยู่ แม้ดรัญจะดื้อ แต่ก็ถูกใจคนแบบทาริคไม่น้อย คุณทาริคเองแม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนคนเจ้ายศเจ้าอย่าง แต่เขาก็เปิดรับดรัญไปพร้อมๆกับยอมรับตัวเองที่มีใจให้กับสิ่งที่เขาตั้งตนเป็นปรปักษ์เสมอมา


“ดรัญโชคดี คุณทาริคแสดงออกชัดขนาดนี้”


“ชัดจนน่ารำคาญน่ะสิ”  แล้วทำไมแก้มถึงขึ้นสีได้น่ารักขนาดนั้นล่ะคนปากแข็ง  “บางทีก็ลำบากเพราะเป็นคนโปรดของคนแบบนั้นเหมือนกัน” แต่สารินก็เข้าใจ ดรัญเป็นเด็กหนุ่มที่รักอิสรเสรี ทว่าในตอนนี้ตนก็เหมือนกับเดินวนอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น คนของทาริคมักถูกจับตามองเสมอ


แม้ว่าเขาจะพยายามเบี่ยงเป้าสายตาให้มาอยู่ที่สาก็ตาม


“เขาก็พยายามทำให้ดรัญไม่อึดอัดอยู่ไง”


“โดยการดึงสากับลูกมาใช้ซ่อนกันนี่นะ เห็นแก่ตัวชะมัด”  ดรัญบ่น ทั้งๆที่รู้ดีว่าทาริคนั้นหวังดีกับตัวเองมากแค่ไหน เกรงว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่เห็นใครดีเท่าคนที่เขารักเลย แม้ว่าจะสูญเสียใครอย่างเย็นชา แต่สารินคิดว่าเขาสามารถสละมันได้เพียงเพื่อคนๆเดียว คนแบบนี้น่ากลัวนัก แต่เขาก็มีข้อดี


ข้อดีที่ว่าอย่างน้อยเขาก็รักใครสักคนเป็นจริงๆ


ในขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบกับผู้ชายอีกคนที่สาไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเขาคิดเช่นไรกับคนอื่น สาคิดว่าเขาช่างต่างจากทาริคนัก น่าเสียดายที่ความรู้สึกที่ไม่ควรมีดันกลับมีให้ไปแล้ว สารินจึงได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเวลาจะช่วยเยียวยา


ไม่เช่นนั้นเราอาจจะต้องใช้ทุกอย่างที่เอื้อมถึงมาเยียวยาตนเองให้ไปต่อได้


สถานการณ์ของเพย์ตันดูเหมือนจะไม่ดีเท่าไหร่นัก อันนี้คือสิ่งที่สาได้ยินจากดรัญที่คงสืบพบเจอ แม้แต่ดรัญที่เป็นคนรักของทาริคเองก็ไม่ได้รับรู้อะไรมากด้วยเหตุผลทางความปลอดภัย แต่คนอยากรู้อยากเห็นย่อมได้รู้ได้เห็นอะไรมาบ้างและนำมาเล่าต่อให้กับคนที่มีโชคชะตาที่เกือบคล้าย ดูเหมือนว่าทาริคคิดจะทำการใหญ่แบบที่พลิกชะตาตระกูลของเขาได้


ความรักที่น่าหลงใหลทำให้ตัวเขาขับเคลื่อนชะตาของเพย์ตันไปในทางนั้น


มีวันหนึ่งที่คนของเพย์ตันที่รับหน้าที่ดูแลและสอดส่องเข้ามาตามให้ดรัญออกไปจากห้องเพราะทาริคจะเข้ามาที่นี่ แน่นอนว่าดรัญที่มักจะอยู่ด้วยกันย่อมโวยวาย มีอะไรทำไมถึงให้รู้ไม่ได้ แม้แต่เรื่องของสารินก็ยังเป็นความลับเหรอ เช่นนี้ มันอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่ต้องการจะพูดคุยด้วยมันเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวโดยตรง


และเมื่อพาดรัญออกไปได้ ทาริคก็เข้ามา


“ดรัญติดเธอมากจริงๆ”  รอยยิ้มของเขา มันแฝงไปด้วยความยินดีแต่ก็ดูเหนื่อยล้า


“คุณคงคิดจะทำอะไรบางอย่างแต่ไม่อยากให้เขารู้”


“ถ้าเขาว่าง่ายกว่านี้อีกสักนิด ผมย่อมอยากให้เขามานั่งฟังการตัดสินใจของผมตรงนี้”  เขานั่งลงและมองใบหน้าโอเมก้าที่เขาใช้ปล่อยข่าวลือแปลกๆ  “ผมตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยวางเรื่องดรัญจริงๆ” นั่นเท่ากลับว่าเขาไม่สามารถถืออีกสิ่งไว้บนมือและจำต้องปล่อยบางสิ่ง ซึ่งนั่นคงเป็น…เพย์ตัน


ซึ่งทาริคตัดสินใจมาสักพักแล้ว แต่รอบข้างที่ดึงรั้งกันไว้ทำให้เสียเวลามาจนถึงป่านนี้  และแน่นอน…


“และผมก็จะปล่อยคุณไปด้วย”


นั่นหมายความสารินจะต้องกลับไปอยู่ที่บ้านธัมรงค์รัชต์?


“คุณคงดีใจ”  อันที่จริงแล้วนั้น


“ผมไม่แน่ใจ”   หรือจะให้พูดตรงๆคือไม่…


สาไม่ได้อยากกลับไปที่บ้านนั้นแล้ว


สารินได้รับสิทธิ์ในการใช้โทรศัพท์ ทว่าการใช้งานจำต้องอยู่ต่อหน้าใครสักคนที่นี่เพื่อกันข้อมูลรั่วไหลอยู่ดี สารินจึงพยายามนึกคิดว่าใครควรจะเป็นคนที่ตนติดต่อไปหลังจากคำประกาศอิสรภาพ ควรจะเป็น คุณแม่ คุณพ่อ หรือใคร ที่แน่ๆไม่ควรจะเป็นสนธยา


หากเป็นเขารับแล้วปฏิกิริยาตอบกลับมันไม่เป็นแบบที่คาดหวังไว้ แล้วคนท้องจะรับได้เหรอ ความรู้สึกเหล่านั้น สารินมั่นใจว่าตนไม่ควรแบกรับไว้ตอนนี้


“คุณฉัน…นี่เราเอง” และอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้สาเลือกที่จะโทรหาใครสักคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งๆนี่ แต่ถ้าเราย้อนคิดให้ดี


ฉันชนกก็เหมือนเกาะร้างอันโดดเดี่ยวที่เหมาะกับคนที่ซึ่งไม่เหมาะจะยืนตรงไหนบนโลกอย่างตนเช่นกัน


--------
คงไม่ลืมฉันชนกไปแล้วหรอกนะ!
(`A´)
--------


“หายไปแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน คิดว่าเราเป็นใครทำไมไม่ติดต่อมา อ๋อ ไม่สำคัญสิเนอะ ไม่ได้เป็นเพื่อนนี่เนอะ เออ! ไม่สำคัญสิเนอะ”  คำแรกและยาวมากๆที่หลุดออกมาทำให้ปลายสายหลุดยิ้มแม้น้ำตาจะรินหล่นมาเป็นสาย ฉันชนกที่ระลึกถึงความสัมพันธ์ที่มีระหว่างตนกับคนที่หายไปอดบ่นไม่ได้ น่าเสียดายที่ไม่อยู่ใกล้ๆ จะฟาดให้แรงๆ


“เราขอโทษฉัน แค่ไม่อยากไปวุ่นวาย” 


“ไม่คิดเลยเหรอว่าตัวเองอ่ะวุ่นวายอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็วุ่นวาย ไอ้ตัววุ่นวาย ฮึ้ย!”  ทำไมคำด่าแสบสันนั่นไม่สะเทือนเนื้อหนังกันเอาเสียเลย เจ้าตัวเล็กดูน้าฉันสิ ทำไมขี้บ่นจัง เด็กดีอย่าเอาอย่างน้าเขานะลูก  “แล้วนี่ไปทำตัววุ่นวายที่ไหน”


“เรื่องมันวุ่นวายจริงๆฉัน แต่ตอนนี้เราลำบากแล้ว”


“ขนาดนั้นเลยเหรอ”  โทนเสียงที่เปลี่ยนไปของฉันทำให้เราเข้าสู่โหมดจริงจังกันสักที และนี่คือคำขอที่สามั่นใจว่ามันอาจจะมากเกินไป


“ฉัน…” และฉันอาจจะให้มันไม่ได้  “เรากำลังจะหนีออกจากบ้าน”


แต่เราต้องมีความหวังในตัวใครสักคน…


จริงไหม?


“เอาจริงๆเหรอ”  เสียงของฉันสงบนิ่ง


“อืม”


“ถ้าพี่สนจับได้ เขาจะมาแหกอกเราไหม”


“ไปเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ”  สาหัวเราะ แต่มันฝืดเคืองสิ้นดี  “เราขอไปอยู่ด้วยวันสองวันได้ไหม”


“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก เราให้มาอยู่ได้”  ฉันพูดแบบไม่ยี่หระแต่อย่างใด และนั่นทำให้สาสบายใจว่าตนจะมีจุดพัก แต่ความจริงบางประการที่ยังไม่ได้พูดออกไป จนกว่าจะได้พบหน้าก็คิดว่าจะเงียบมันเอาไว้ก่อน


ไม่เช่นนั้นใครบางคนคงโวยวายเล่นใหญ่แน่ถ้ารู้ทั้งหมด


 อันที่จริงทางทาริคเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น อาจจะเพราะดรัญไปโวยวายเสียยกใหญ่เขาเลยหยิบยื่นน้ำใจมาให้ คนท้องคนไส้ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสามารถอยู่ในการดูแลของเพย์ตันไปได้ แต่สารินก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธอยู่ดี เพราะอะไรนะเหรอ เพราะอยู่ที่นี่ก็มีสภาพไม่ต่างจากหมากของเขา ถึงจะเลิกใช้ แต่ก็อาจจะเป็นหมากที่เก็บไว้เพื่อรอใช้ข้างกระดาน


“งั้นมีอะไรที่เราพอจะชดเชยเป็นค่าเสียเวลาได้บ้าง”


“มันใช่แค่เวลาเหรอที่สารินเขาเสียไปน่ะ!”


“ดรัญ…เราไม่เป็นไร”  สารินไม่เป็นไรเลย ไม่ได้โกรธทาริคเลยด้วยซ้ำ ในใจยังนึกขอบคุณสถานการณ์ที่ทำให้ตนถูกแยกออกมาจากบ้านอย่างนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นไรหากที่บ้านมาคาดคั้นว่าตนท้องกับใคร ให้พวกเขาเข้าใจว่าทาริคคือพ่อของเด็กสักระยะเพื่อถ่วงเวลาให้จัดการอะไรๆย่อมดีกว่า


สาไม่อยากให้พี่สนมีปัญหา และไม่อยากมีปัญหากับใครเลยในบ้านหลังนั้นแม้แต่พี่สน ตามธรรมเนียมของอัลฟ่าทั่วไป พวกเขาจะไม่รับเลี้ยงเด็กโอเมก้าเพื่อการสืบพันธุ์ในบ้านของตัวเองอยู่แล้ว และมันดูประหลาดแค่ไหนที่สาไปท้องกับลูกชายคนโตที่เป็นทายาทสายหลักของบ้านหลังนั้น ไม่ใช่แค่สารินทำให้พวกเขาวุ่นวายกับการจัดการเลือดเนื้อเชื้อไข


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันดูทรยศต่อความไว้ใจที่เขาเอามาเลี้ยงไว้ดีกว่าโอเมก้าบ้านไหนเลยด้วยซ้ำ


“จริงๆผมอยากออกไปเองเพราะไม่อยากให้คนที่บ้านมาหาบ่อยๆเหมือนช่วงหลังๆด้วยละครับ”  สารินเริ่มอธิบาย  “ต่อไปคุณดรัญก็คงมีลูกให้กับคุณทาริค และทุกคนก็จะสงสัยเรื่องของผม เลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าถอยออกไปหาทางหนีทีไล่”


“ทางเราทำให้เธอลำบากแล้ว”  ทาริครู้สึกผิดกับการที่ทำให้สารินต้องมาวุ่นวาย แต่คิดว่าการที่เด็กคนนี้กลับบ้านไปมันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร เมื่อจัดการธุระภายในมาถึงจุดนี้ได้ ทาริคก็คิดว่าตัวเองสามารถจะเปิดเผยเรื่องจริงให้ทุกคนได้รู้ได้เหมือนกัน แต่ทำไมเจ้าตัวเหมือนจะไม่อยากให้ใครรู้อะไรมากนักทั้งๆที่เป็นผู้เสียประโยชน์แท้ๆ


เว้นเสียแต่จะมีอะไรตื้นลึกหนาบางที่เขาไม่รู้ หรือรู้แต่ต้องทำไม่รู้ไว้ก่อน?


“ผมติดต่อจะไปขออยู่กับเพื่อนแล้วครับ ทางคุณทาริคไม่ต้องพูดอะไรมาก จะบอกว่าผมแท้งไปแล้วก็ได้”


“เดี๋ยวนะสา…ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย เรามาพูดความจริงแล้วนายได้กลับบ้านไปอยู่กับธัมรงค์รัชต์ดีกว่าไหม” ดรัญเข้าใจว่าสารินนั้นรักบ้านหลังนั้นมากๆเสียอีก แต่นี่ทำไมดูเหมือนไม่อยากให้ใครในบ้านนั้นรับรู้เรื่องท้องนี้เลย


จะว่าไปพวกเขาก็ไม่เคยมีใครได้รู้เหมือนกันว่าพ่อเด็กในท้องเป็นใคร


“หรือว่าสาอายที่… ท้องไม่มีพ่อเหรอ” อันนี้ดรัญสรุปความเอง แต่บางอย่างมันดูทะแม่งๆอยู่นะ


“หรือไม่พ่อของเด็กก็เป็นคนที่ให้ใครรู้ไม่ได้”  ซึ่งทาริคตอกกลับได้ตรงใจกว่า ทว่าจะตีความกันไปมากมายแค่ไหน


เจ้าตัวไม่พูด ความจริงก็ไม่มีใครรู้อยู่ดี


“หากคุณอยากจะทำอะไรให้ผมสักอย่างผมขอแค่จะไปอยู่กับเพื่อนและไม่ให้พวกคุณเปิดปากเรื่องของผมกับใครแล้วกัน”  ซึ่งนั่นคือแม้แต่ธัมรงค์รัชต์ก็ไม่มีสิทธิ์รับทราบ


“แล้วเราจะโกหกมันไปได้ยังไง”  มันยากเกินไป ยากที่จะกันไม่ให้คนที่อยากรู้มาวุ่นวาย


“แต่นี่มันก็เหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือครับ”


“…”


“ค่าเสียโอกาสต่างๆที่คุณอยากจะตอบแทนให้ผมขอเป็นสิ่งนี้ได้ไหม”  สารินยังพูดกลับไปด้วยรอยยิ้ม ดรัญเลิกที่จะซักถามให้มากความก่อนจะเหลือบตาไปมองทาริคที่นิ่งเงียบ โดนแล้วไหมล่ะ…


สารินนี่…ใครว่าไม่ร้ายกันเล่า!


หากเป็นปกติสารินคงไม่พูดกับทาริคแบบนั้นแต่เพราะเห็นว่าดรัญก็ถือหางกันไม่น้อยจึงลองดู อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเมื่อเร็วๆนี้ทางธัมรงค์รัชต์จะได้โครงการบางอย่างไปทำซึ่งมันเป็นผลมาจากการผลักดันของเพย์ตัน ทราบว่าเป็นโครงการใหญ่ไม่น้อย เป็นเช่นนี้สารินจึงพึงใจกับการเสียสละของตนตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา


เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้สึกติดค้างบุญคุณอะไรแล้ว และถ้าจะจากไปใจของตนก็พร้อม


“แค่ไม่บอกใครว่าเธอไปไหน หรือไม่ตอบอะไรเกี่ยวกับเธอแม้ว่าเขาจะโทรมาใช่ไหม”


“ตอบว่าผมขอไป ไม่อยากให้ตาม คุณเลยไม่ตามเลยไม่รู้ก็ได้ครับ”


“ก็ยังดีนะที่หาคำตอบมาให้”  ทาริคคงประชด


แต่คำตอบนั้นต้องถูกนำไปใช้จริงๆแม้มันจะดูกำปั้นทุบดินก็ตาม


ทว่าสารินคือเพื่อนรักเพื่อนที่ดีของดรัญ ในระยะเวลาหลายเดือนต้องยอมรับว่าความหัวร้อนของตนถูกดับลงไปมากเพราะเพื่อนคนนี้ จนเรื่องดีๆเหมือนจะเกิดขึ้นรอบตัวอยู่บ่อยครั้ง การจากไปของสาทำให้รู้สึกใจหาย และความประสงค์ดีทำให้ดรัญดื้อรั้นที่จะเป็นคนพาเจ้าตัวมาส่งเอง แน่นอนว่าสารินย่อมไว้ใจกันมากกว่าใครในเพย์ตัน


คอนโดมิเนียมย่านอารีย์คือปลายทางที่สารินขอให้มาส่ง  ดรัญรับคำมั่นว่าจะไม่บอกใครว่าสาอยู่ที่นี่ ซึ่งสาที่ตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่อื่นต่อย่อมสบายใจกับคำสัญญาเหล่านั้น หากธัมรงค์รัชต์จะตามหากัน พวกเขาก็อาจจะนึกถึงฉันเป็นคนแรกๆ ดังนั้นตนจึงได้ขอร้องให้ทางทาริคช่วยยืดเวลาไปให้หน่อยเผื่อว่าจะพอซื้อเวลาต่อไปได้บ้าง


“มาแล้วเหรอเจ้าตัวดี”  ฉันชนกที่ลงมารับที่คอนโดข้างล่างนั้นบ่นเป็นอย่างแรก และสารินก็ทำได้แค่ยิ้มอ่อนๆให้กับคนที่เดินตามฉันมา เป็นการันต์หรือคุณป๊ะของฉันจ๋าที่ลงมารับด้วยกัน และสายตาคู่นั้นที่มองมาก็ทำให้ตนรู้สึกหนาวๆร้อนๆไม่น้อย


ไม่เคยรู้สึกกดดันเมื่ออยู่ตรงหน้าผู้ปกครองของเพื่อนขนาดนี้เลย


“ขึ้นไปกันเถอะ”  การันต์ปรับสีหน้าที่ดูประหลาดใจของตนให้เป็นปกติก่อนจะชี้ชวนให้เด็กทั้งสองคนขึ้นไป เขาแค่ลงมาเป็นเพื่อนลูกที่วันนี้แวะมาหา ไม่คิดว่าจะได้เจอกับเพื่อนของลูกในสภาพแบบนี้


สภาพที่ไม่ต่างจากคนท้อง


“รบกวนด้วยนะครับ”  สารินเอ่ยหลังจากเข้ามาในห้อง ระหว่างทางของพวกเรานั้นมีแต่ความเงียบงัน อ่อ..มีฉันบ่นคนเดียว


เพราะเคยพูดเปรยๆให้ฉันฟัง จึงไม่แปลกหากเพื่อนจะสงสัยกับสภาพที่ดูอวบอัดแปลกๆของคนที่สวมเสื้อตัวใหญ่ดูสบายตัว ทว่าการันต์นี่สิ เขาคิดอะไรอยู่ และเป็นไปได้หรือเปล่าที่เขาจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สารินไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแบบพวกเขา และการมีตัวตนของโอเมก้าก็เป็นความลับเหมือนกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ


“น้องสาเป็นโอเมก้าเหรอ”  ในที่สุดการันต์ก็พูดออกมา แต่สาไม่แปลกใจนัก คนที่ดูแปลกใจกว่าคือลูกชายของการันต์เอง


“ป๊ะครับ!”


“โวยวายทำไมน้องฉัน”  การันต์คิดว่าต่อให้ถามไป ฉันที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็คงไม่สงสัยอยู่ดี ทว่าน่าแปลกที่ลูกกับโวยออกมา


“ทำไมป๊ะถึงรู้ว่าอะไรคือโอเมก้าเล่า”  ในความเข้าใจของเด็กทั้งสองคน การันต์ก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะเลี้ยงแวมไพร์เป็นลูก ทว่าก็เป็นการรับเลี้ยงต่อมาอีกที มนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกต่างเผ่าพันธุ์อย่างนี้ไม่น่าจะรู้ว่าอะไรคือโอเมก้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย


“อา…ป๊ะไม่เคยบอกน้องฉันเลยนี่นะ” การันต์ยิ้มออกมา เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับลูกเพราะเราอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้กลมกลืนมากกว่าและยังตัดขาดจากที่ที่มาแทบจะอย่างสิ้นเชิงทั้งตัวเขาและวธินที่เป็นพ่อบุญธรรมอีกคนของฉันชนก


 เอาอย่างไรดี เขาควรจะพูดความจริงที่เก็บมายี่สิบกว่านี้ไหม การันต์ค่อนข้างหนักใจ


 “ป๊ะเป็นแวมไพร์เหมือนน้องฉันนี่แหละ”  และเขาก็รับรู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของลูกชายมาตลอดเพราะเราคือสายพันธุ์เดียวกัน


“ทำไม…”


“เพราะเราทำผิดกฎของครอบครัวเลยไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้แล้ว ป๊ะกับคุณพ่อถูกตัดออกจากสกุลและไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก เราพาน้องฉันหนีมาไกลถึงกรุงเทพนี่แล้วตั้งใจว่าจะเริ่มต้นใหม่ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน”


“ไหนที่บอกผมว่า…” ใช่…ครั้งหนึ่งเราเคยบอกว่าฉันถูกพี่สาวรับเลี้ยงมา แต่เผชิญว่าเธอตายไปแล้วเราจึงต้องรับเลี้ยงต่อ จริงๆแล้วเรื่องเหล่านั้นมันโกหกทั้งเพ


สาเป็นเด็กที่เกิดนอกเผ่าพันธุ์และมีเชื้อสายสืบทอดมาจากอีกตระกูลที่เป็นตระกูลดั้งเดิมซึ่งเหลือน้อยเต็มที ลักษณะทางกายภาพและความสามารถพิเศษบางประการจะแตกต่างออกไป แต่นอกจากนั้นฉันยังมีความพิเศษอื่นๆอีก


“ฉันไม่โกรธพวกเราใช่ไหมลูก”  บอกตรงๆฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ตอนนี้มันคงยังเร็วเกินไปกว่าแวมไพร์อ๋องๆตนหนึ่งจะคิดตามอะไรได้ทัน ฉันนั้นผ่านอะไรมามากมาย รู้สึกทั้งกลมกลืนและแปลกแยกจากสังคมโดยที่ไม่รู้ถึงที่มาที่แน่ชัด วันนี้พอได้ฟังคำเฉลยที่มาพร้อมกับเหตุการณ์ประหลาดอื่นๆ จึงไม่แปลกเลยที่จะตั้งรับไม่ถูก


“เรา…ค่อยคุยกันดีกว่าครับป๊ะ สาคงงงกับบ้านเราไปหมดแล้ว”


“ไม่เป็นไรเลยฉัน ทุกคนมีเรื่องราวซับซ้อนในตัวกันหมดนั่นแหละ”  แม้แต่คนที่ต้องการที่พึ่งอย่างสารินยังรู้สึกเห็นใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นเกียรติที่พวกเขาไม่ผลักไสและยินดีให้รับฟังเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น…มันก็มีความอึดอัดบางอย่างแฝงอยู่


“สากำลังจะมีน้องใช่ไหม ป๊ะดีใจด้วยนะ”  การันต์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“ครับ”


“เพราะงี้ใช่ไหมเลยบอกว่าจะมารบกวนระยะหนึ่ง”  ฉันโพล่งออกมา


“อืม สักสองสามวัน”


“ไอ้บ้า แค่นั้นมันพอที่ไหน!”


“…”


“คนท้องคนไส้จะปล่อยให้ไปไหนคนเดียวได้ไง สารินคิดดีๆสิ นายจะอุ้มลูกหนีไปไหนไกลๆและอยู่อย่างปลอดภัยได้จริงๆเหรอ!”


“อุ้มลูกหนี นี่มันหมายความว่ายังไงกัน”  การันต์ที่ได้ฟังนั้นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้เรื่องบทสนทนาก่อนหน้าของเด็กทั้งสอง


“ก็เจ้าเด็กนี่ครับป๊ะ มันโทรหาฉันบอกว่าจะหนีออกจากบ้านขอมาอยู่ด้วยสองวัน”  ฉันได้ทีหันไปฟ้อง และนั่นทำให้การันต์คิดตาม เมื่อนึกถึงครอบครัวของสา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าสนธยาแฟนเก่าลูกชายคือพี่ชายของสาริน และแฟนเก่าลูกชายของตนนั้น…คือหมาป่าอัลฟ่า


“มันมีอะไรที่รุนแรงมากๆเกิดขึ้นเหรอสา”  แม้ว่าจะออกมาใช้ชีวิตแบบตัดขาดจากตรงนั้น แต่ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ การันต์รับรู้ได้ทันทีว่ามันต้องมีบางอย่างที่เป็นปัญหา สาที่มองใบหน้าของผู้ใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเข้าใจกันมากกว่าที่คิดน้ำตาคลอ ตลอดหลายเดือนหรือหลายปี แม้จะสามารถพูดความรู้สึกหรือความต้องการได้อย่างตรงไปตรงมา ทว่าหลายครั้งก็มักจะเลี่ยงพาไม่ให้ใครเข้าใจอะไรเลย


ไม่นานหลังจากนั้นน้ำตาก็ทะลักออกมาเป็นสาย พร้อมกับเรื่องราวบางส่วนที่ตนได้พบเจอขณะอยู่ที่เพย์ตัน


“โหดร้าย”  ฉันชนกที่เพิ่งได้รับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้านั้นพึมพำออกมา แม้แต่สารินที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในฐานะโอเมก้า ยังไม่สามารถทำใจให้ชินชากับชะตากรรมมากมายที่คนร่วมเผ่าพันธุ์ต้องเผชิญ


“แต่เท่าที่ฟังดู ป๊ะว่าทางธัมรงค์รัชต์น่าจะยินดีพาสากลับไปอยู่ด้วยอยู่นะ”


“ผมก็เคยคิดลังเลเหมือนกันว่าหลังจากท้องลูกให้กับเพย์ตันแล้วเขาอาจจะยินดีให้กลับไปหรืออาจจะไม่” แม้ว่าพวกเขาจะใจดีแค่ไหน แต่สารินก็รู้ว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อน ถึงจะพากลับไป แต่ไม่ได้หมายความว่าสารินจะยินยอม ในเมื่อถ้าถูกส่งไปได้ การจะกลับไปมองหน้าคนที่ส่งกันไปโดยไม่รู้สึกอะไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก


ต้องมีคนไปและคนนั้นควรจะเป็นสาเอง


ทว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว และสารินก็ซึ้งใจไม่น้อยที่พอจะรับรู้ว่าพวกเขาไม่อยากส่งกันไป ทว่าเหตุสุดวิสัยที่ถูกทาริคจับตัว ทำให้ต้องยินยอมพร้อมใจอย่างเสียไม่ได้ และข้อเสนอของทาริคที่จะมอบให้ธัมรงค์รัชต์ก็หอมหวาน สาที่ท้องลูกของคนที่ไม่คู่ควรย่อมต้องยอมรับและจบมันลงเองด้วยสองมือ


ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้คือกลับไม่ได้แน่ๆและก็คงไม่ดีหากให้พวกเขารู้ว่าพ่อเด็กคือใครด้วย งั้นทำอะไรส่งกลับไปให้จะได้ไม่ติดค้างกันย่อมดีกว่า และจะจากมาสารินก็พอใจ ต่อจากนี้ก็ไม่รู้ว่าทาริคจะให้ความร่วมมือได้ดีแค่ไหน แต่อย่างไรดรัญก็คงจะช่วยเหลือกันให้ถึงที่สุด


“แล้วอย่างนี้เวลาที่จะคลอดต้องทำที่ไหน”  ฉันถาม พาไปโรงพยาบาลแบบคนปกติไม่ได้อยู่แล้ว


“ปกติมันจะมีพวกศูนย์ที่ดูแลเรื่องแบบนี้ของโอเมก้าอยู่แล้ว” แบบลับๆ ต้องขอบคุณที่ครั้งหนึ่งตนเคยอยู่ในสถานที่แบบไหน หากอยู่ในการดูแลของครอบครัวอัลฟ่าเขาย่อมหาทางให้ทำคลอดอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว แต่หากโอเมก้าตั้งท้องโดยอยู่อย่างเป็นอิสระก็ต้องดูแลตัวเอง ในย่านที่สาเคยอยู่มีสถานที่รับทำแท้งหรือทำคลอดสำหรับเผ่าพันธุ์นี้อยู่


“มีเรื่องหนึ่งที่คุณป๊ะสงสัย”  และดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามจะถามอ้อมๆมาหลายครั้งแต่คนตอบก็ไม่เคยจะตอบมัน จึงคิดว่าควรจะถามตรงๆดีกว่า หัวใจของคนถูกถามเต้นแรงขึ้นเพราะเหมือนจะเดาได้ว่าคำถามนั้นคืออะไร


“ผม…”


“ตกลงทำไมถึงกลับไปที่ธัมรงค์รัชต์ไม่ได้ล่ะ”  พวกเขาเลี้ยงดูดีต่างจากโอเมก้าคนอื่นๆที่การันต์ได้รับรู้มานัก ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทอดทิ้งสารินเลยแม้แต่น้อย จากที่เคยได้ยินจากฉันเกี่ยวกับคุณแพรวรรณ และชื่อเสียงของธัมรงค์รัชต์ที่เคยได้ยินมา การันต์ไม่คิดว่าพวกเขาจะเย็นชาได้ขนาดนั้นจริงๆ


แล้วมันทำไมกันล่ะ


“ไม่ใช่ว่าสา…กำลังปกปิดอะไรอยู่ใช่ไหม” เมื่อการันต์ถามถึงเพียงนี้ ความเงียบงันของสารินก็ยิ่งทำให้ฉันที่เกือบจะลืมเลือนบางอย่างสะกิดใจขึ้นมา และจากสัญชาตญาณที่มีเกี่ยวกับบางเรื่องพร้อมกับเรื่องราวต่างๆที่ได้รับฟังตนก็เริ่มจะปะติดปะต่อมันเอง


สาปิดบังอะไรอยู่กันนะ


แล้วทำไมต้องถึงขนาดหนีออกมาขนาดนี้ด้วย?




TALK:
เห็นมีคนบ่นคิดถึง ความฉดใฉของเรื่องนี้ออกมาแล้วนะคับ และเราก็จะเข้าสู่เนื้อเรื่องที่ขนานกันไปของทั้งสองคู่จากนี้
เรื่องนี้อีกไม่นานก็จบถ้าเราลงทุกวันแบบนี้ ฝากตัวนะคะ คิดว่าภายในต้นเดือนหน้านี้คงลงครบแน่ๆ
#คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 24 21/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-05-2019 23:03:08
ไม่พูดไม่ถามกัน ก็คิดกันไปเองเลย
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 25 22/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 22-05-2019 19:50:14
- - - - - -
ทุกคน! หยุดอย่าขยับนะ!
(`Д´)
- - - - - -

สายตาของฉันที่มองมาทำให้ขนลุก


“ไม่ใช่ว่าสาน่ะ…” ฉันเปิดปาก


และนั่นทำให้สาต้องกลืนน้ำลาย


“ฮึ่ม”


“…”


“อืม”


อะไรกันคือสิ่งที่อยู่ในหัวของฉันชนกตอนนี้?


“รอแป๊ปนะ หยุดและห้ามขยับเลยนะ” แล้วฉันก็ลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะตรงไปหยิบสมุดวาดรูปเล่นของตนมา สารินยังไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเพื่อนนัก และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้อยากให้เห็นเสียเท่าไหร่


“ฉัน…”


“แป็ปนึงสิ”  ฉันก้มหน้าขีดเขียนบางอย่าง คิ้วเรียวขมวดมุ่น ใบหน้าดูครุ่นคิดถึงหนัก แถมยังเงยหน้าก้มลงสลับมองไปมองมา ก่อนจะเกาหัว  “โว้ยยยยยยย”


“ฉันเป็นอะไรลูก”  ในที่สุดการันต์ก็ทนไม่ไหว ท่าทางของฉันนั้นดูวุ่นวายใจ


“ฉันกำลัง…คิด” ใช่แล้ว ฉันกำลังคิด


นี่ฉันโง่หรือโคตรโง่เลยวะ!


“ทำไมมันยากจังวะ”  หรือเมื่อวานจะนอนไม่พอ กับแค่คิดอะไรนิดหน่อยแค่นี้ก็ยังไม่ได้ ทุกอย่างมันเหมือนอยู่ตรงหน้าแต่กระจัดกระจาย พยายามจะเขียนเพื่อรวบรวมความคิดเท่าไหร่ สิ่งที่ติดค้างแต่ไม่อาจจะอธิบายได้จึงไม่ยอมไหลออกมาสักที


“คุณฉัน…โอเคไหมอ่ะ” สาที่เห็นเพื่อนวุ่นวายอยู่นานแล้วเลยร้องถาม แต่คนขี้สงสัยกลับหันมามองค้อน


“ชู่ว!”  เห็นเช่นนั้นสารินก็ยิ้ม ไม่ว่าเมื่อไหร่ต่อให้ซีเรียสแค่ไหน ความเต็มที่ของฉันก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้น่าเศร้าซึมเลย


“คุณฉันแค่กำลังปะติดปะต่อเรื่องของเรากับที่บ้าน เรื่องโอเมก้า อัลฟ่า และเรื่องที่เราเป็นโอเมก้า เรื่องพี่สนเป็นอัลฟ่า และเรื่องที่ว่าเรากลับไปไม่ได้ และเรื่องที่ว่าบ้านอัลฟ่าจะไม่มีลูกกับโอเมก้าที่ตัวเองซื้อมาไว้ใช่ไหม”


“ใช่ๆ”  ทำไมสาถึงพูดทุกสิ่งในหัวที่ฉันกำลังเทียบออกมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้ล่ะ


“เพราะเราท้องกับพี่สน เราเลยทรยศต่อธรรมเนียมของที่บ้าน และเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับใครเราเลยต้องหนีมาไง”


“นั่นแหละใช่เลย”  สาลุกขึ้นยืน นี่แหละคิดสิ่งที่กำลังคิดรวบรวม  “เฮ้ย!”  แต่นี่มันเรื่องร้ายแรงนี่หว่า?!!


“ฮือออออ คุณฉัน เราท้องอยู่ อย่าทำให้เราขำสิ”  สาขำแล้ว ทั้งๆที่สถานการณ์มันไม่มีอะไรน่าขำเลย


“เป็นไอ้…” ฉันกำลังจะด่าแล้วแต่พอเหลือบไปเห็นสายตาบุพการีก็ต้องหุบปากฉับ คุณป๊ะไม่ชอบให้พูดคำหยาบ แต่คนอย่างสนธยามันก็สุดแสนจะหาคำด่าแล้ว “ขำทำไม! ตลกเหรอถามจริง!” นี่สารินคือกำลังทุกข์อยู่หรือเปล่า ทำไมหัวเราะเป็นบ้า


“ก็ฉันตลกอ่ะ ถ้าเราแท้งลูกเพราะหัวเราะบ่อยเกินไปนี่โทษฉันเลยนะ”


“แท้งไม่ได้เด็ดขาดนะ นี่หลานเรา เราจะเลี้ยง”  ไม่ยกให้ไอ้พ่อนั่นหรอก


“ฉันได้เลี้ยงแน่ เราเลยมาหาให้ฉันเลี้ยงไง”


“…”


“เอาไว้ให้เราหาที่อยู่ได้แล้วจะติดต่อมาให้แอบไปเลี้ยงหลานนะ”  ทว่าอะไรแบบนี้ทำไมฉันถึง…


ไม่ชอบใจเลยนะ?!


คนท้องที่เดินทางมาหานั้นขอตัวไปนอนกลางวัน และในตอนนี้ฉันก็ได้มานั่งอยู่กับการันต์อย่างเป็นส่วนตัวมากขึ้น เรื่องราวที่ได้ฟังในวันนี้มันมีมากเกินไป คิดว่าตัวเองคงยังวิเคราะห์ข้อมูลได้ไม่หมด แต่ที่แน่ๆที่รู้สึกได้ คือเรื่องแวมไพร์อะไรนี่…ฉันถูกปกปิดมาตลอด


“น้องฉันโกรธป๊ะเหรอ”


“ก็อยากจะโกรธ” แต่ว่าโกรธไม่ลง


“ป๊ะก็ไม่ได้อยากให้น้องฉันเข้าใจหรอก แต่ทั้งหมดเราก็คิดมาแล้วว่ามันเพื่อครอบครัวเรา”


“ป๊ะคิดว่าอยากให้เราเป็นมนุษย์มากกว่าเหรอ”  การันต์ที่รับฟังคำถามนั้นเงียบไป


“แวมไพร์ที่รักกับมนุษย์หมาป่าน่ะ…ไม่น่าจะจบดีจริงๆใช่ไหม” และนี่คือข้อเท็จจริงอีกอย่าง…ที่ฉันชนกไม่เคยรู้


ไม่ใช่แค่การันต์ที่เป็นแวมไพร์  แต่วธินคู่ชีวิตนั้นเป็นมนุษย์หมาป่าอัลฟ่าซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยจะถูกคอกันในอดีตนัก แม้ในปัจจุบันจะไม่มีความบาดหมางรุนแรงอะไรกันอีก แต่อคติของครอบครัวหัวเก่าอย่างบ้านของวธินและการันต์นั้นไม่ว่าจะหยิบยกเหตุผลอะไรขึ้นมาก็ไม่มีวันยอมรับกันและกัน


นั่นคือเหตุผลที่คนสองคนซึ่งหลงรักกันตั้งแต่แรกพบและนับวันก็ยิ่งจะเพิ่มพูนยอมสละทุกอย่างที่ตนมีเพื่อหนีออกมา พร้อมกับความตั้งใจที่ว่าหากเผ่าพันธุ์คือตัวฉุดรั้งความสุขทางใจของเรา เราก็พร้อมจะปลดเปลื้องสิ่งนั้นและเป็นสิ่งอื่นที่มอบอิสระได้มากกว่า


ซึ่งคำตอบนั้นคือมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีมากมายที่สุด หากแต่ไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนอื่นซึ่งอยู่รอบกาย


เพราะมนุษย์นั้นมีมากมาย การเป็นมนุษย์หรือการกลมกลืนไปกับพวกเขานั้นอาจจะช่วยพรางตาคนที่อาจจะตามหากันอยู่ และมันก็สำเร็จมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้การที่จะทำให้สำเร็จได้ ไม่ได้เพียงการหลอกคนอื่น


หากไม่หลอกตัวเองให้เนียน เราจะไปหลอกใครได้


“ป๊ะขอโทษนะลูก”


“แต่ป๊ะกับพ่อพาฉันไปหาหมอรักษาโรคไม่รับรส”  ทั้งๆที่การันต์รู้ถึงอาการนี้กว่าใคร แต่เขาก็ยังทำมัน หากฉันรู้ว่าสิ่งที่ตนเป็นมันไม่ได้ประหลาดหรือน่ากลัวแต่อย่างใด ชีวิตคงไม่มีวันเป็นแบบนี้


บางทีอาจจะรับมือคนแบบภูวนัยได้มากกว่าที่คิด


“แต่ความลับไม่มีในโลกจริงๆ ดูเหมือนว่าน้องฉันก็รู้ตัวเองแล้ว”


“…”


“อยู่ๆทำไมถึงรู้ได้ล่ะ”  การันต์มั่นใจว่าฉันชนกไม่น่ารู้ตัวเองได้หากไร้ซึ่งสิ่งกระตุ้น เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงในฐานะมนุษย์มาโดยตลอด แม้จะมีโรคประหลาดน่าสงสัย แต่ว่าก็อยู่ในฐานะมนุษย์ที่ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง มันเป็นไปได้ยากที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง


มิหนำซ้ำสายเลือดอีกครึ่งที่เป็นมนุษย์ก็ทำให้ฉันห่างไกลจากความเป็นแวมไพร์ที่มีสัญชาตญาณพร้อมแต่เกิด


“มันมีคน…บอกมา”


“แวมไพร์?”  การันต์ถาม  “หรือว่าน้องสาเป็นคนบอก จะอย่างไรเด็กคนนั้นก็โอเมก้านี่เนอะ”  และโอเมก้าก็รับรู้ความเป็นไปของโลกมากกว่ามนุษย์ทั่วไป ไม่แปลกที่เด็กสองคนคบกันจะไม่เห็นความแปลกประหลาดของอีกฝ่าย สารินย่อมมองออกที่ว่าทำไมฉันถึงกินอะไรไม่รู้รส


“อืม สารู้”  ความเป็นจริงนั้นสารินรู้ดีว่าฉันเป็นแวมไพร์หากแต่ไม่เคยพูดให้รู้ เป็นใครอีกคนนั้นเองที่กระตุ้นกันได้มากกว่า ทว่าชื่อของคนๆนั้น หรือตัวตนที่เขาเป็น ไม่ได้ถูกเอ่ยออกไป


“ป๊ะก็โล่งใจที่ต่อไปเราจะได้เปิดอกคุยกันสักที”  เขาเองก็เก็บงำมันมาไว้นานแล้ว  “น้องฉันไม่โกรธป๊ะกับพ่อใช่ไหม”


“ไม่โกรธหรอกครับ” ไม่โกรธหรอก จะอย่างไรเขาก็ทำเพราะหวังดีกับครอบครัวด้วยส่วนหนึ่ง เรื่องบางเรื่องให้เป็นความลับก็อาจจะดีกว่าจริงๆ


อย่างเรื่องของไพร์มเองก็เช่นกัน…


การันต์กลับไปแล้วและคนท้องก็ตื่นแล้ว เหลือฉันชนกกับสารินอยู่ในห้องของคอนโดเพียงสองคน  เราสองคนนั่งเงียบๆ แม้มีอะไรจะพูดเยอะแยะแต่ก็เลือกที่จะเงียบเสียมากกว่า อย่างไรถ้าเราพูดออกมา ต้องมีคนค้านแน่ๆ


“เรื่องที่สาบอกว่าจะขออยู่ด้วยครู่หนึ่งน่ะ เราปรึกษาป๊ะแล้วนะ”


“…”


“เราว่าอยู่ด้วยกันจนกว่าจะคลอดดีกว่า มันไม่ปลอดภัย”


“ฉัน…”


“อย่าเถียงเรานะ”


“ยังไม่ได้กะจะเถียงสักหน่อย แต่ว่ามันวุ่นวายฉัน แค่นี้เราก็เกรงใจจะตายอยู่แล้ว”


“ไหนบอกว่าจะไม่เถียงไง”  ฉันนับหนึ่งถึงสิบ  “มันวุ่นวายตรงไหน สาจ๋าก็เพื่อนฉัน แถมเด็กในท้องก็หลานฉันป่ะ”


“แต่ว่า”


“แล้วเราก็…รู้สึกผิดที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ด้วย” จริงๆแล้วฉันน่ะ ถ้าหัวไวกว่านี้สักนิด เรื่องมันอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็เป็นได้


ตนเองเหมือนจะรู้อยู่แก่ใจว่าสาและพี่สนมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาต่อกัน ในตอนนั้นที่เลิกกับพี่สนก็เคืองๆสาอยู่บ้างที่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนถูกบอกเลิก แต่ถ้ามองดีๆก็จะพบว่าตอนนั้นตัวสาไม่ได้อะไรเลย ตนต่างหากที่เหมือนจะถูกพี่สนใช้เป็นเครื่องมือเข้าไปใกล้ชิดสา


สาเว้นระยะห่างดีแล้ว แต่เพราะฉันทำให้ระยะห่างนั้นๆค่อยๆแคบลงจนมันกลายมาเป็นเช่นนี้  มันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของฉันชนกเองก็เป็นได้ที่รู้สึกเช่นนั้นระหว่างคบกัน สนธยานั้นเย็นชามาก แต่ถ้าพูดเรื่องเกี่ยวกับสาริน ก็ดึงความสนใจของเขามาได้ จนกระทั่งตอนนี้ฉันชนกมั่นใจ


ว่าเขาก็คงรักน้องชายคนนี้ไม่น้อย แต่ทำอะไรโจ่งแจ้งไม่ได้ จึงต้องแอบอยู่ข้างหลังฉันและรุกคืบเข้าไปหาสาแบบนี้


และคนสองคนก็เหมือนจะรักกัน ฉันคิดว่ามันคงเป็นเช่นนั้นแม้ว่าสารินจะแสดงออกว่ารักชอบต่อหน้าคนอื่นน้อยเหลือเกิน เมื่อคิดดูดีๆสารินจะมีอารมณ์ที่หลากหลายเมื่อฉันชวนคุยเรื่องของพี่สน บางทีมันก็อาจจะมากกว่าที่มีให้กับธนนเสียด้วยซ้ำ


คนรักกัน ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปได้โดยง่าย ทว่ากฎ ธรรมเนียม ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์บ้าบออะไรที่ทำให้คนสองคนถูกพรากมาแบบนี้ ฉันในฐานะที่ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาคนหนึ่งไม่อาจจะยอมรับ


ทว่าเมื่อรับรู้เรื่องของวธินกับการันต์ที่เป็นแวมไพร์และมนุษย์หมาป่าที่ต้องหนีออกมาเพราะเลือกกันและกัน บางทีเรื่องที่ฉันมองว่าไร้สาระ สำหรับคนกลุ่มหนึ่งมันคือพันธะผูกพันของชีวิตที่ไม่อาจจะพลาดพลั้งได้จริงๆและนี่คือเหตุผลที่ฉันคิดว่าจะต้องเข้าข้างสารินให้ถึงที่สุด เพราะนอกจากฉันแล้ว ตนก็ไม่นึกว่าเพื่อนจะมีใครอื่นให้พึ่งพาได้


เนี่ย…จริงๆก็ยังเอาตัวไม่รอดนะ


แต่ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน…


“แต่อยู่กับฉัน ที่บ้านตามเจอแน่นอน”  ธัมรงค์รัชต์นั้นสามารถตามหาสาเจอได้ ขนาดถูกเพย์ตันจับตัวไปพี่สนยังหาเจอ นับประสาอะไรกับของตายแบบฉันชนกล่ะ เมื่อสาพูดเช่นนั้น ฉันก็กัดริมฝีปาก คิดดูๆดีแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้วอย่างนี้จะไปปกป้องสาได้อย่างไร


“เราต้องหาวิธี”


“เอาเราไปไว้บ้านพ่อฉันก็เจออยู่ดี”  แล้วไม่รู้ว่าป๊ะกับพ่อจะยินดีอยากเข้าไปเกี่ยวพันกับคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าหรือเปล่า ในเมื่อพวกเขาพยายามหนีกันมานาน ฉันนี่แม่ง ไร้ประโยชน์ว่ะ


“เรามีวิธี”  เมื่อกี้คือยังจะหาวิธีอยู่เลย


“วิธีอะไร”


“เรารู้จักคนๆหนึ่ง”


“ใครอ่ะ”


“เรามั่นใจว่าเขาต้องเลวเอ้ย! ร้ายพอๆกับพี่สนแน่ๆ”


“เรารู้จักไหม”


“ก็รู้จักอะแหละ”


“…”


“คุณไพร์มน่ะ เจ้าของร้านกาแฟที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องของพี่สน”


“คุณคนนั้นที่ฉันเคยบอกว่าเหมือนเขาจะจีบอะเหรอ”


“จริงๆแล้วเขาไม่ได้จะจีบเราหรอก”    มาถึงจุดนี้ก็คือต้องอธิบายเสียหน่อย  “เขาแค่อยากให้เราช่วยดูดเลือดออกไปบ้างน่ะ”  ความสัมพันธ์ของฉันกับคุณไพร์ม…มันเป็นอะไรแบบนั้นจริงๆ


สาเงียบไป เรียกว่าไม่เข้าใจเลยช็อกไปแล้วมากกว่า ก็นะใครมันจะชอบให้แวมไพร์ดูดเลือด แต่มันก็มีมนุษย์ประเภทหนึ่งที่จำเป็นต้องเอาเลือดออกไม่เช่นนั้นร่างกายจะแย่ลง ฉันไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพราะตนเองก็ไม่ได้ทราบรายละเอียดมากมาย ที่รับรู้บ้างอาจจะเป็นในส่วนของลักษณะนิสัยที่ว่าภูวนัยอาจจะไม่ใช่คนดี


และเป็นคนไม่ดีที่กำลังพยายามจะต่อรองบางอย่าง


บอกสาไม่ได้เด็ดขาดเรื่องนี้ มั่นใจได้ว่าสาย่อมไม่ยินยอมให้ฉันไปทำอะไรเสี่ยงๆแน่ๆ แต่ฉันก็คิดมาดีพอสมควรเหมือนกัน ก่อนนี้ที่เคยได้ยินข้อเสนอ ฉันเองก็ไม่ได้คิดมากอะไร ก็แค่อาจจะต้องถูกเจาะเลือดไปตรวจสอบและอาจจะถูกซักประวัตินั่นนี่ ก็เท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าฉันอาจจะต้องให้ความร่วมมือมากหน่อย


ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ทว่าจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้ตอบตกลงใจไปก็เท่านั้น เพราะอะไรนะเหรอ เพราะฉันไม่ได้มั่นใจว่ามันจะง่ายแบบนั้นนะสิ หากทางฝั่งแวมไพร์รู้ว่ามีแวมไพร์นอกคอกตัวหนึ่งทำเช่นนั้นลงไป มันอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับพวกนั้นได้ แต่ตอนนี้ความจำเป็นของสาริน และสิ่งที่ได้ยินความจากปากของการันต์ ฉันชนกคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจกันอีก


แม่ของฉันถูกคนในเผ่าหักหลังและตายอย่างอนาถ


ส่วนคนที่รับดูแลฉันมาก็ถูกขับออกจากเผ่าอย่างเลือดเย็น


ช่างหัวแวมไพร์มัน หากว่าสิ่งที่จะทำลงไปนี้คือการช่วยให้มนุษย์แบบคุณไพร์มตัดขาดจากเผ่าพันธุ์นั้นได้ ต่อให้แวมไพร์จะสูญเสียผลประโยชน์มากมายเท่าไหร่ ฉันชนกก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ ในเมื่อโตมาขนาดนี้เพราะทาครีมกันแดดทุกสองชั่วโมงยังทำจนชินได้ จากนี้จนตายฉันชนกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะลำบากอะไร


มิหนำซ้ำคุณไพร์มคนนั้นยังยื่นข้อเสนอให้ฉันสามารถรับเลือดของเขาเพื่อคงสภาพภูมิต้านทานของร่างกายได้อีกต่างหาก ถ้าเราพูดคุยตกลงกันเรื่องข้อเสนอดีๆได้แล้วล่ะก็ ฉันชนกคิดว่าคงจะให้ความร่วมมือกับเขาได้แน่ และนี่คือเหตุผลที่ใช้ให้สารินทำอาหารอยู่ที่ห้อง และตนก็บอกไปว่าจะออกมาซื้อเลย์กินแก้เครียด


แต่จริงๆแล้วเลี้ยวไปเคาะประตูห้องถัดๆไป ก๊อกๆ


“มีอะไรเปล่าครับคุณฉัน”  ไพร์มที่อยู่ในชุดลำลองนั้นเดินออกมาเปิดประตูให้ เขาได้ยินเสียงเคาะที่ดังไม่มากก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร แต่เกรงว่าถ้าไม่รีบมาเปิดเสียงที่ดังไม่มากจะดังก้องไปทั้งชั้นให้คนอื่นๆหันมาสนใจด้วยเช่นกัน


“มีเรื่องจะคุยด้วย”


“เราจะคุยไปกัดไปก็ได้ครับ”  เขาพูดแบบติดตลก แต่อีกคนไม่แม้แต่จะหัวเราะ แวมไพร์ตัวน้อยแยกเขี้ยวคู่นั้นใส่ น่ารักเหมือนแมวน้อยพองขนในสายตา  “ผมพูดจริงๆนะ เผื่อคุณฉันคันฟัน”


“คนบ้าอะไรจะไปคันฟัน ไม่ใช่หมานะ!”  ฉันชนกโวยกลับไปแต่กระนั้นก็เดินตามเข้าห้องราวกับเป็นพื้นที่ของตน ความคุ้นเคยทำให้การแสดงออกดังกล่าวดูเป็นธรรมชาติ


“ไม่งั้นมันมีอะไรกันละครับที่ทำให้คุณฉันมาถึงที่นี่”


“…”


“หรือว่าหิว งั้นลงไปซื้อของสดกันมาก่อน”


“วันนี้ฉันมีคนมาทำข้าวให้กินแล้ว” ภูวนัยเลิกคิ้ว แปลกใจเล็กน้อย  “ฉันจะมาคุยกับคุณไพร์มเรื่องข้อเสนอ”  ฉับพลันหัวใจของเขาก็เหมือนจะเต้นแรงขึ้นมา ความปิติยินดีท่วมล้นจนแสดงออกทางใบหน้า


“เซ็นสัญญาเลยไหมครับ”


“ถ้าข้อเสนอมันลงตัวนะ!”  น่าเสียดายที่ต่อรองไม่ง่ายเลย แต่ได้ยินว่ามีหนทางให้ได้ไปต่อ เขาย่อมดีใจ


“งั้นเรามาคุยกันเลยดีกว่า ว่าคุณฉันอยากได้อะไร” เขาผายมือให้อีกฝ่ายได้นั่งลงบนโซฟาห้องนอน เป็นการติดต่อธุรกิจ…ที่เป็นส่วนตัวมากเกินไปหน่อยไหม


ฉันขอรับทราบรายละเอียดที่ฉันต้องทำหากเซ็นสัญญา อย่างที่เคยบอกไว้ เขายังยืนยันว่ามันจะมีแค่การเจาะเพื่อนำเอาของเหลวในร่างกายของฉันซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่ามันคือเลือด แต่คุณไพร์มอธิบายเพิ่มเติมว่ามันจะต้องเจาะเข้ากระดูก ฉันชนกกลืนน้ำลาย ดูท่าจะเจ็บไม่น้อย แต่เขาก็ปลอบโยนกันว่ามันจะไม่เป็นไร


“ผมจะเอาไปไม่เยอะ จะค่อยๆใช้”


“แล้วถ้าเอาไปแล้วมันไม่ได้อะไรขึ้นมา คุณไพร์มจะมาเอาอะไรกับฉันอีกไหม”  เขาเงียบ  “เช่นอวัยวะภายในหรืออะไรแบบนี้ ฉันยังไม่อยากตายนะ”


“ถ้าทำอย่างนั้นผมอาจจะโดนสอบสวนเรื่องศีลธรรมและทำตัวเองเข้าคุกไปด้วยนะ ฮะๆ”


“…”


“ไม่ต้องกลัวครับคุณฉัน ผมรับรองความปลอดภัยแน่นอน”  ใบหน้าของคนฟังยังดูหวั่นๆ “ระบุในสัญญาไว้เลย”  แต่ฉันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว


“ผมมีเรื่องให้คุณไพร์มช่วย”  เมื่อฉันชนกแสดงความต้องการออกไป


ภูวนัยก็แสดงออกถึงความคาดไม่ถึงและแปลกใจในคราเดียว


ความต้องการทั้งหลายถูกบอกออกมา ฉันอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าการกระทำการต่างๆจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย เรื่องนี้ฉันชนกไม่ไว้ใจใครและคิดว่าคงจะดีหากได้ยืนยันกับปากคนที่เป็นแวมไพร์เหมือนกันสักครั้ง และคนๆนั้นคือการันต์ที่ไม่ควรจะทราบเรื่องราวทั้งหมด แน่นอนว่าถ้ายืนยันความปลอดภัยได้แล้ว การเซ็นสัญญาย่อมไม่มีปัญหา


ส่วนผลตอบแทนที่ควรจะได้หรือค่าเสียเวลา ฉันชนกไม่ขอรับในรูปแบบใดนอกจากความช่วยเหลือทางการพักพิง มาถึงตรงนี้คนฟังย่อมแปลกใจ มีเหตุอะไรให้ฉันจะต้องหาที่พักใหม่ในเมื่อตรงนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อฉันอธิบายต่อเขาก็เข้าใจ ว่าทั้งหมดนี้มันไม่ได้เพื่อตัวเอง


แต่เพื่อเพื่อนสนิทอีกคน


“อันนั้นผมพอจะจัดหาให้ได้อยู่แล้ว แต่เพื่อนของคุณฉันไปทำผิดอะไรมา”


“…”


“อย่างน้อยผมก็ควรรู้ว่าตนกำลังจะถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิดอะไร จริงไหม?”  ต่อให้การได้พัฒนาสินค้าเพื่อรายได้และผลประโยชน์มหาศาลจะหวานหอมในความรู้สึก แต่คำขอร้องที่เจือกลิ่นอายอันตรายก็ใช่ว่าจะละเลยได้ คนถูกถามกลับก้มหน้าลง พยายามหาคำพูดที่เป็นความจริงและคำโน้มน้าวในกรณีที่เขาจะไม่เห็นด้วย  “คุณฉันจะไม่ใจร้ายกับผมเกินไปหน่อยเหรอครับ” 


“ฉันก็แค่…” มันก็ไม่แฟร์ต่อภูวนัยสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทว่าเจ้าตัวนั้นกำลังสนุกที่ได้ดูใครบางคนงัดเอาทุกอย่างมาต่อรองกับเจ้าพ่อการต่อรองแบบเขา ในแง่ของอายุ ไพร์มไม่ได้อายุเยอะกว่าฉันนัก แต่ในแง่ของประสบการณ์ เขาเป็นต่ออย่างแน่นอน


ใครจะไปรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างถึงได้มีตัวตนจนถึงทุกวันนี้


“คิดว่าถ้าเป็นคุณไพร์มล่ะก็ น่าจะกันพี่สนออกไปได้”


“พี่สน?”  เป็นชื่อที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยพอใจ เดิมทีเขาไม่ได้อคติเพื่อนรุ่นพี่แต่เมื่อได้รู้จักกับฉันที่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้น ความรู้สึกที่มีต่อกันก็เปลี่ยนไป เอาเป็นว่าเขาไม่ชอบใจ แต่ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่จะไม่รับฟัง


“เขา…เขาทำเพื่อนของฉัน” ฉันนั้นลังเลเหลือเกินที่จะพูดความจริงให้เขาฟังทั้งหมด จะอย่างไรพวกเขาก็รู้จักกัน และเผื่อๆอาจจะรู้จักกันดีกว่าที่ฉันหรือสารู้จักเสียด้วยซ้ำในบางแง่ และคนเหล่านี้สามารถพลิกแพลงอะไรหลายอย่างๆแค่มีข้อมูลเพียงหยิบมือเท่านั้น


“กันเพื่อนคุณฉันจากพี่สน แสดงว่าพี่สนจะตามหาเขาเหรอครับ”  ไพร์มนั้นดูออกไม่ยาก


“อืม”  ฉันชนกก้มหน้าลงไปอีกครั้ง  “เพื่อนของฉันท้องอยู่ด้วย”  ดวงตาของเขาวาววับขึ้นมา สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้หัวใจเต้นแรง รอยยิ้มแปลกๆนั้นหายไปเกือบจะทันทีที่ฉันชนกเงยหน้าขึ้นมา


“ท้องกับใครเหรอครับ”  เขาเหมือนจะได้ยินอะไรประหลาดๆเกี่ยวกับเพย์ตันมาเมื่อเช้านี้เอง


“ไม่สำคัญหรอก แต่เขาแค่ไม่อยากกลับไปอยู่ที่บ้านคนใจร้ายพวกนั้นแล้ว”  ฉันชนกที่เลี่ยงจะพูดว่าใครเป็นพ่อนั้นใช้วิธีผลักให้ธัมรงค์รัชต์เป็นพวกร้ายๆ จะอย่างไรคนที่ซื้อชาวบ้านมาใช้งานแบบนั้นก็ย่อมไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว  “คุณไพร์มจะช่วยฉันไหม”


“อืม…นั่นสินะครับ”


“หรือคุณไพร์มจะเข้าข้างพวกพี่สน”  ดวงตาที่จ้องมองกันกลับมาเต็มไปด้วยความคาดหวัง


“ผมเลือกคุณฉันครับ”  เขาตอบกลับเช่นนี้  “ขอแค่คุณฉันไว้ใจและช่วยเหลือผม ไม่ต้องกังวลเรื่องคนบ้านนั้นจะเข้าถึงเพื่อนคุณฉันเลยครับ”  อย่างที่ฉันชนกคิดไว้จริงๆ แม้จะยังไม่รู้ว่าเขาจะทำ หรือทำได้อย่างที่พูดไหม แต่การที่จะต่อกรกับคนแบบสนธยา ธัมรงค์รัชต์


จำเป็นต้องเป็นคนที่ชื่อ ‘ภูวนัย สุธาสกุล’


- - - - - -
วันนี้ฉันกินเจ!
⊂((・⊥・))⊃
- - - - - -




“วันนี้ฉันกินเจ ไปล่ะนะ”  นั่นแปลว่าเขาต้องม้วนลิ้นตัวเองกลับไป เพราะฉันไม่ใจดีจะดื่มเลือดใครวันนี้


ไพร์มกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเอง ดูคนที่เข้ามาต่อรองเดินออกไปจนประตูห้องปิด พร้อมด้วยความสบายใจที่มาจากหลายหนหลายแห่งแต่รวมๆแล้วมันมาจากคนๆเดียว ถ้าให้เลือกระหว่างสนธยาที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ร่วมในช่วงหลังนี้ กับความหวังหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ แน่นอนว่าคนอย่างเขาต้องเลือกอย่างหลังที่สำคัญกว่าอยู่แล้ว


แต่คุณฉันคนนั้นจะรู้ไหมว่าการให้ไปรับมือกับคนๆนั้นที่พุ่งเป้ามาทางนี้มันวุ่นวายแค่ไหน ภูวนัยจึงตั้งใจจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่หากเกินกว่านี้เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องแลกทุกสิ่งเพื่อบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เขาแค่พูดว่าเขาเลือกจะช่วยคุณฉัน แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวลำบากด้วยซ้ำ


คนที่มีปัญหากับทางนั้นน่ะคือเพื่อนที่เป็นน้องสนธยาไม่ใช่เหรอ ฉันรู้ว่าเขาไม่เชื่อในทุกสิ่งที่ฉันพูดแน่นอน เด็กคนนั้นจึงเลือกที่จะพูดความจริงแค่บางอย่าง เท่าที่ไพร์มรู้มา มันไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้หนีจากธัมรงรัชต์ เว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อๆไป


ทว่าโอเมก้าที่ท้องแล้วก็เท่ากับมีราคี การจะใช้ซ้ำหากไม่ทำโดยเพย์ตันที่ประกาศตัวว่าเป็นพ่อเด็กคนแรก ก็เกรงว่าจะใส่ตระกร้าย้อมส่งให้ใครต่อไปไม่ได้ แล้วมันมีเหตุผลอะไรให้รับกลับหรือว่าเด็กคนนั้นไปรู้อะไรที่อาจจะทำให้เพย์ตันต้องหวั่นใจ ถ้าอย่างนั้นการให้ความช่วยเหลือในเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาต้องเป็นศัตรูกับทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าเลยหรือนี่


แต่อีกส่วนหนึ่งของความรู้สึกเขาไม่คิดว่ามันเป็นอะไรที่ใหญ่ระดับนั้นหรอก เพราะเช่นนั้นเพย์ตันคงไม่ปล่อยให้ออกมาง่ายๆ อันที่จริงๆคำว่าหนีมามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับที่นั่น สิ่งที่เขารับรู้คือทางนั้นยังคงเงียบอยู่แต่คนพูดกันมากมายว่าโอเมก้าที่อุ้มท้องให้ทาริคไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นแล้ว ปล่อยออกมาง่ายดายก็แสดงว่าไม่ได้สำคัญอะไรนัก


แต่สำคัญจนทำให้ธัมรัชต์ต้องตามหา ถ้าไม่ใช่เพราะรักและผูกพัน
เด็กในท้องของโอเมก้าคนนั้นคงสำคัญจนต้องรีบตามหาให้เจอ



Talk
เมื่อวานเปิดตัวน้องฉัน วันนี้ก็เปิดตัวตัวร้ายของเรื่อง555หลอกๆ
ตอนนี้เรื่องของทั้งสองคนบรรจบกันเรียบร้อยแล้วค่ะ
จะพยายามมาทุกวันนะคะ
#คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 26 23/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 23-05-2019 20:24:40
- - - - - -
ฉันยอม ยอมทุกอย่างจริงๆ
(;へ:)
- - - - - -


“ทำไมฉันถึงไปส่งสาไม่ได้อ่ะ” ฉันชนกโวยวาย หลังจากที่เราตกลงในทุกเงื่อนไข มีหัวข้อนี้เท่านั้นที่รับไม่ได้และไม่สบายใจ


“เพราะการเคลื่อนไหวของคุณฉันอาจจะทำให้พวกพี่สนจับได้ไงครับ”


“ฉันจะเดินเบาๆ”


“นั่นก็ไม่เกี่ยวอยู่ดี”


“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าสาปลอดภัยอยู่สุขสบาย”


“ผมไม่ได้มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนครับ เอาไว้ให้คุณสาไปจริงๆแล้วโทรมารายงานกับคุณฉันดีไหม”


“แต่ถ้าคุณไพร์มส่งเพื่อนฉันไปอยู่ไกลๆแล้วถ้ามีอะไรฉันจะช่วยเพื่อนได้ไง”


“ตัวแค่นี้ทำเก่ง เราจะไปช่วยอะไรได้ครับ ช่วยส่งกำลังใจห่างๆก็พอเนอะ เรื่องช่วยคุณสาผมมีส่งโอเมก้าที่เคยดูแลโอเมก้าที่กำลังท้องอยู่ไปด้วย รับรองว่าดูแลดีกว่านี้ไม่มีแล้วจริงๆ”


“ฮื้อออออ”


“เชื่อผมเถอะครับคุณฉัน เป็นเด็กดี นอนให้ผมเจาะกระดูก ถ้าฟื้นแล้วหิวก็ลุกมาดื่มเลือดผมและสลบต่อ”


“ไม่ใช่ว่าตื่นมา หลานของฉันวิ่งได้แล้วงี้นะ” 


“ก็จะนอนกินบ้านกินเมืองไป ถ้าคุณฉันไม่ตื่นก็คือขี้เซาแล้วมาโทษผมเอง มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น คุณฉันก็ไปหาข้อมูลมาเองแล้วนี่ครับ”  ใช่…ฉันไปหลอกถามป๊ะมา มันก็ดูจะไม่รุนแรงอย่างนั้นหรอก


แต่ความจริงทางกายภาพที่ออกจากปากการันต์นั้นทำให้ฉันช็อกไปแล้วจริงๆ


ทั้งเรื่องที่ว่าร่างกายมีเลือดติดตัวแต่ผลิตได้น้อยมากยิ่งกว่าคนเป็นโรคโลหิตจางหลายเท่า ตอนนี้หากดูดเลือดฉันออกมาคงเป็นเลือดคุณไพร์มไปแล้วเกินครึ่ง ระบบอวัยวะของฉันนั้นคล้ายมนุษย์แต่การทำงานนั้นโชคดีที่ได้รับวิตามินบำรุงที่ทานตลอดเข้าไปช่วยส่งเสริมให้ทำงาน แต่ถ้าได้เลือดมาจริงๆก็จะสุขภาพดีมาก ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้วเย้!


หลายอย่างที่ฉันทำในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องการทานอาหารเสริมหรือทาครีมกันแดดยี่ห้อที่ป๊ะซื้อให้ทุกสองชั่วโมงมาตั้งแต่เด็กและไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อไหนเพราะขี้เกียจเกินไป กลายเป็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้นั้นตรงกับความต้องการของร่างกายจริงๆ บางทีความขี้เกียจคิดค้นคว้าอะไรใหม่ๆอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จนป่านนี้แล้วเพิ่งมารู้ตัวว่าตนเป็นแวมไพร์


อย่างไรก็ตามการเจาะเอาของเหลวในกระดูกไม่ทำให้ตาย หากเอาไปอย่างพอดี


เพราะเลือดน้อย ต้องพึ่งอาหารเสริมหรือเลือดของชาวบ้าน ก็ไม่แปลกที่ถ้าเจาะเลือดไปดูก็จะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากดีเอ็นเอของตัวคุณไพร์มเอง แต่การเจาะเอาน้ำในกระดูกมันดูเจ็บแบบไม่จบ หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ นั่นเท่ากับว่าพวกมนุษย์แบบคุณไพร์มไม่จำเป็นต้องพึ่งแวมไพร์อีกต่อไป มาถึงตรงนั้นคนที่จะอดตายคือฉันเองไม่ใช่ใคร


พอมาพูดให้ไพร์มฟังเช่นนั้นเขาก็หัวเราะแรงใส่กัน มันเป็นเรื่องยากที่จะถอดสินค้าที่ติดตลาดหลายๆตัวออกจากห้างร้านต่างๆ เพราะจริงๆแล้วกลุ่มลูกค้าไม่ได้มีแค่แวมไพร์แต่ยังมีพวกเผ่าพันธุ์อื่น อันนี้องค์การอนามัยโลกทำอะไรอยู่ มีเลือดผสมอยู่ในอาหารทำไมไม่มีใครเคยรู้!


ทว่าไพร์มที่คงกังวลว่าฉันจะเอาเรื่องไปฟ้องศาลไคฟงได้หยุดความคิดนั้นลง เขาให้สัญญาพร้อมจะระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าถ้าหากโปรเจ็คสำเร็จ เขาจะเลี้ยงฉันและป๊ะเอง เราไม่ต้องกลัวอดตายแล้ว เย้!


บางทีก็อยากกลับไปถามผู้ปกครองอีกทีว่าที่ดูบ๊องๆโง่ๆนี่เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยใช่ไหม แต่มาคิดดูอีกที ป๊ะที่เป็นแวมไพร์เหมือนกันก็ฉลาดออก อย่างนี้หมายความว่าที่โง่ก็เพราะโง่ด้วยตัวเองไม่ใช่เพราะใคร เศร้าเนอะแต่อ้าวเหะ?! คิดไปถึงไหน อีตาไพร์มก็ฉวยโอกาสเก่งไง ยังไม่ทันอ่านสัญญาก็เอามาให้ฉันเซ็นตรงหน้า ทางนี้ก็บ้าจี้เซ็นเสร็จทั้งชื่อและนามสกุล


“คุณฉัน สัญญามันกินไม่ได้!” 


“ก็ฉันยังไม่ได้อ่านเลย!”


“แล้วทำไมเซ็นเลยล่ะครับ ก็ต้องอ่านก่อนไหม”  โชคดีที่เซ็นไปแค่ชุดเดียว ยังมีอีกชุดของคู่สัญญาที่ยังไม่ได้เซ็น


ทีนี้คนที่ทำตัววุ่นวายมากๆเลยตั้งสติและนั่งไล่อ่านมันอย่างละเอียดถึงสองฉบับ ภูวนัยนั้นเท้าคางมองอยู่สิบนาที เขาก็รู้ว่าอีกนานแน่เพราะยังไม่เปลี่ยนหน้าอีก จึงหายไปหาอะไรกินในห้องครัว และก็คิดว่าคงสักพักเลยทำอาหารเตรียมไว้เผื่อว่าคู่สัญญาอ่านจบแล้วหิวพอดี


ทั้งนี้ฉันค่อนข้างจะพอใจในเนื้อหาสัญญา ทั้งข้อตกลงที่คุยกันไว้ และผลตอบแทนที่จะตามมา เมื่อถลำมาถึงตรงนี้ถ้าไม่เซ็น คิดว่าเจ้าของห้องคงเดินไปหยิบปืนลูกซองมายิงกันเป็นแน่แท้ ก็เล่นวุ่นวายยื้อยั้งไปมาขนาดนั้น ต่อให้น่าเอ็นดูแต่ก็น่ารำคาญ ฉันเชื่อมั่นอย่างนั้น เลยเซ็นมันไปทั้งสองฉบับเลยนั่นแหละ


“ทำอะไรกินอ่ะ”  เพราะกลิ่นที่โชยออกมาปลุกความยากอาหาร เพราะอ่านสัญญาจนเหนื่อยหรอกนะถึงหิว


“ทำผัดมาม่ากินครับ”


“น่ากินจัง”


“เอะอะน่ะคนเรา ไม่ได้ทำให้สักหน่อย”


“คุณไพร์มต้องขุนฉันดีๆ ถ้าฉันผอมซูบคุณไพร์มจะเอาฉันไปทำอะไรได้”  คนที่อ้างนู่นอ้างนี้ก็พูดไป ภูวนัยปิดเตาและหันไปมองหน้าเจ้าแป้นแล้นที่มาพูดข้ามไหล่ จับบีบแก้มไปมา ดูตรงไหนก็อ้วนกว่าแวมไพร์ทั่วไปด้วยซ้ำ  “อั๋นเอ่บบบบบ”  ฉันเจ็บ โวยวายเช่นนั้น


“ก็ใครบีบให้ไม่เจ็บล่ะครับ ยังไงก็จะกินให้ได้ใช่ไหมเรา”


“ไม่ให้กินก็จะแย่งอ่ะ”


“ได้สิ ผมจะเขี่ยผักไปให้เยอะๆ คุณฉันจะได้มีสุขภาพที่ดีเหมาะสมกับการเข้ารับการตรวจ”


“ไม่กีนนนน”


“ต้องกีนนนน”  และเรื่องราวว่าด้วยการตกลงของเรา


ก็จบลงด้วยประการนี้


ไม่กี่วันจากนั้น ฉันก็ยืนช่วยจัดข้าวเก็บของให้คนท้องได้ไปต่อในสถานที่ที่ตนจัดเตรียมไว้ให้ สารินยังดูไม่เข้าใจในสถานการณ์ และอันที่จริงฉันไปทำอะไรถึงได้จัดการหาที่พักพร้อมคนดูแลให้ได้ จะบอกว่าการันต์หรือวธินจัดเตรียมให้ สารินก็ไม่คิดว่ามันจะใช่


ทุกอย่างมันดูเป็นมืออาชีพเกินไป ดูจากคนที่มารับไปด้วยนี่สิ


“ฉันบอกเรามาตรงๆ”


“เนี่ยไงตรงๆ เราไม่เลี้ยงสาแล้ว เลยส่งไปอยู่ที่อื่น”


“ฉัน…”


“จะคิดอะไรมากทำไม เดี๋ยวตัวเล็กก็ออกมาน่าเกลียดน่าชังเหมือนสาหรอก ให้ไปก็ไปเถอะน่า”


“แล้วให้ไปไหน กับใคร ยังไง”


“…”


“ฉันไปทำอะไร บอกเรามาเดี๋ยวนี้นะ”


“ก็แหมมมมมม คนที่มาจีบเราเขาทำให้”


“จีบ?”


“เราก็หน้าตาดีอยู่นะสา”


“นอกเรื่องแล้ว”


“ก็คุณไพร์มอ่ะ ที่เคยเล่าให้ฟังคือเราไปขอความช่วยเหลือเขา”


“แล้วแลกด้วยอะไร”  สาไม่เชื่อหรอกว่าของฟรีมีในโลก แล้วเมื่อวันก่อนยังบอกว่าไม่ได้จีบไม่ใช่เหรอ


“แหมมมมมม”


“พูดมา” 


“ดุเป็นพี่สนไปได้”  ขอแซวหน่อยเหอะ  “ก็แบบก่อนนี้เรางอนเขาอยู่ พอเขามาง้อเราเลยขอให้ช่วย” ไม่ต้องมองใส่กันแรงขนาดนั้นก็ได้


“จริงเหรอ”


“นอกจากหน้าตาดีแล้ว สาคิดว่าเรามีประโยชน์อะไรให้เขาหาเศษหาเลยบ้างไหมล่ะ”  ก็ไม่น่าจะมีแหะ  “เชื่อเหอะว่าฉันอ่ะสมองไม่มีหน้าตาดีไปวันๆ”


“โอเค เข้าใจแล้ว”  ฉันควรดีใจไหมที่เพื่อนเชื่อสนิทใจ…ว่าฉันนั้นสวยใสไร้สมองจริงๆ


ส่งฉันไปอยู่ที่พักที่คุณไพร์มจัดหาให้แล้ว ฉันก็ล้มลงนอนแผ่บนเตียงอย่างขี้เกียจ อยู่นิ่งๆไม่คิดอะไรพลิกไปพลิกมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต่อไปตนต้องเผชิญอะไร


จากที่คุยกับการันต์เรื่องทั่วไปของแวมไพร์ ฉันชนกไม่อาจจะพูดถึงการตัดสินใจของตนกับครอบครัวได้ เพราะรู้ดีว่าไม่มีพ่อแม่ที่ไหนปล่อยลูกไปเป็นหนูทดลองยาแบบนี้ กับไพร์มเองที่รู้ทั้งรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาไว้ใจไม่ได้นั้น ฉันก็ตกลงปลงใจไปแล้ว และประกายสายตาที่สว่างวาบยามที่บทสนทนากำลังเอื้อประโยชน์ไปทางเขามันทำให้เราปฏิเสธไม่ลงจริงๆ


ฉันชนกได้แต่คิดไปว่าเจ็บนิดหน่อยเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ แม้การันต์จะยืนยันว่าแวมไพร์มีร่างกายที่คล้ายมนุษย์มากโดยเฉพาะของฉัน ที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้ตัวแบบมนุษย์ทั่วไปมานาน มันมีความลับที่ลึกซึ้งกว่านั้นที่นอกจากการันต์แล้ว คงไม่มีใครรู้ เช่นกันคุณไพร์มก็ไม่รู้


ว่าแม่ที่เป็นแวมไพร์ของฉัน มีสัมพันธ์จนตั้งครรภ์กับมนุษย์คนหนึ่ง


นั่นทำให้ฉันมีสถานะเป็นลูกครึ่งมนุษย์แวมไพร์ ภูมิของฉันนั้นมีความเป็นมนุษย์ในตัวสูงมาก ต่อให้ละเลยการดูแลตัวเองเยี่ยงแวมไพร์ไปบ้างก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายเหมือนแวมไพร์คนอื่นๆ ทว่าโชคดีเช่นนี้มันไม่ได้มีตัวอย่างให้ดูนัก ฉันอาจจะมีข้อด้อยของแวมไพร์อยู่เยอะจนไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ต่องานของคุณไพร์มเลย


แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ เลยไม่อยากทำลายความหวังของใคร


เวลาอยู่เงียบๆคนเดียวก็มักจะปลอบตัวเองถึงสิ่งที่ตัดสินใจลงไป การเซ็นสัญญาครั้งนั้นมันเต็มไปด้วยเหตุผลสนับสนุนมากมายที่วันนี้ฉันได้นำมาประกอบการตัดสินใจและปลอบใจตัวเองเมื่อเผลอคิดวุ่นวายไปใหญ่


ทั้งความโกรธแค้นต่อเผ่าพันธุ์แวมไพร์ที่ใจร้ายต่อแม่ผู้ให้กำเนิด พวกเขารับไม่ได้ที่แม่ของฉันอุ้มท้องลูกมนุษย์ที่เป็นสายพันธุ์ที่พวกเขามองว่าอยู่ต่ำกว่าเสมอ ทั้งนี้พวกเขาไม่เคยคิดอยากจะผูกสัมพันธ์กับมนุษย์ตรงๆและมักจะเข้าหากันผ่านการซื้อขายเลือดกันมาช้านาน มองว่าต่ำกว่าแต่ก็ยังต้องพึ่งพา น่าขันสิ้นดี


และความโกรธแค้นที่พวกเขาคิดพรากการันต์และวธินออกจากกันจนทั้งสองต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพียงสองเหตุผลนี้ก็มากพอให้โกรธแค้นแวมไพร์ได้แล้ว แต่นั่นคือเหตุผลที่จะทำให้คนรักสงบหันมาเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์ที่ตนไม่เคยได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งจริงๆนะเหรอ


แน่นอนว่าฉันย่อมหาเหตุผลอื่นๆประกอบ สารินที่กำลังต้องการความช่วยเหลือคือข้อต่อรอง และการได้ช่วยเพื่อนนั้นทำให้ฉันมีความสุข ทั้งนี้หากสนธยาตามเจอและเขาพร้อมจะรับผิดชอบโดยสัญญาว่าทุกปัญหา เขาจะจัดการแก้ไขโดยไม่ปล่อยให้ยุงไต่ไรตอมตัวของสา เท่านี้ฉันก็ยินดีจะส่งเพื่อนที่นอกจากจะต้องการพ่อของลูกแล้ว


ก็ต้องความรักแบบที่ตนผลักไสตลอดมาแต่อยู่ในใจตลอดไป


อีกหนึ่งเหตุที่ลืมไม่ได้คือตัวของภูวนัย เขามีแรงดึงดูดที่มากมายมหาศาล และเพราะการเข้ามาในชีวิตของตัวเขา มันทำให้ฉันชนกที่เหมือนคนไม่เคยได้รับรู้ความเป็นจริงอะไรได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆที่เกี่ยวกับตัวเอง ฉันนั้นโง่เขลานักที่เดินเข้าสู่กับดักของเขาอย่างสมบูรณ์ แต่ความลับที่ซ่อนอยู่มันช่างหวานหอม ชักชวนให้อยากจะลิ้มลอง


แม้สิ่งที่ถูกซ่อนจะต้องห้ามเท่าไหร่ก็ตาม


- - - - - -

ในขณะเดียวกัน คนที่หัวเสียกับการไม่ได้รับคำตอบอะไร ก็ได้แต่เดินออกจากห้องทำงานผู้เป็นเจ้าตระกูลอย่างหงุดหงิดใจ สนธยารู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของเพย์ตันเรื่องเกี่ยวกันสาริน น้องชายของเขาไม่สบายไม่สะดวกให้พูดคุยด้วย ไอ้พบเจอนั่นนะยังเข้าใจได้ แต่ถึงขนาดโทรหาก็ไม่มีใครรับ ไปถามอาการก็อธิบายวกไปวนมา


นี่มันไม่ปกติแล้ว คนในครอบครัวของเขาก็รู้สึกอย่างนั้น แต่ไม่มีใครใจร้อนเท่ากับที่เขารู้สึกได้เลย ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา คนแบบสนธยาต้องเฝ้าอดทนที่จะไม่บุกไปพาน้องกลับมา เพียงเพราะคำขอร้องของพ่อให้อดทน ความใจร้อนของเขาที่จะไปงัดข้อกับเพย์ตัน อาจจะนำความเดือดร้อนให้กับผู้เกี่ยวข้องมากมายต้องวุ่นวายไป ที่ผ่านมาเขาจึงได้แต่รอคอยเวลาที่จะได้กลับไปรับหลังจากที่ทุกอย่างมันจบลงแต่โดยดี


มิหนำซ้ำหลังเพย์ตันปล่อยข่าวลือว่าธัมรงค์รัชต์ส่งสารินไปให้ คนก็เข้าใจว่าพวกเขาเลือกข้าง ความวุ่นวายและงานการมากมายต่างประดังประเดให้ต้องจัดการ เพราะถ้าพลาด…ผู้ไม่หวังดีอาจจะวิ่งเข้าหาเพย์ตันและถึงตัวสาริน น้องจะมีอันตราย เขาจึงต้องช่วยเพย์ตันให้หลุดพ้นจากปัญหาต่างๆอย่างไม่ตั้งใจ และต่อให้ไม่ทำ เพย์ตันก็มีสาเป็นตัวประกันอยู่ดี


พอทำตัวได้ดีก็ได้รับคำอนุญาตให้ไปเยี่ยมได้ ทว่าจะแสดงอะไรออกไปก็มีคนอยู่รอบๆ เพียงแค่เห็นใบหน้า ความโหยหาก็ตีเข้าจนจุก สนธยาจำต้องสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อยับยั้งตัวไว้ สิ่งที่พยายามทำลงไปอาจจะพินาศในพริบตาเพราะความห่วงหาและคิดถึงที่มี


ในตอนนั้นเขาก้มมองที่ท้องของสารินก่อนจะเลี่ยงไปมองทางอื่น ในหัวนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างตีพันมากมาย ความแคลงใจและความสงสัยไม่สามารถพ้นออกจากหัว สนธยาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้มานานหลายเดือน หากแต่ถามออกไปไม่ได้ และเกรงว่าคำตอบก็อาจจะยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บหนักเข้าไปอีก


ไม่เป็นไร ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไรเราก็พร้อมจะรับน้องกลับไปด้วย ทุกคนบอกให้สารินได้รู้ถึงเจตนาหลังจากนี้ แต่แรกแล้วที่เราพาสารินมาในครอบครัวก็หวังจะอุ้มชูตลอดไป ถึงมันจะโหดร้ายเพราะเราไม่อาจจะรับรู้ได้ว่าต้องปล่อยเด็กคนนี้ไปเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเราก็ตั้งใจจะชดใช้ให้กับความรู้สึกที่เสียไปของสาเช่นกัน


ในฐานะอัลฟ่าเขารู้ว่ามันคือหน้าที่


แต่ในฐานะสนธยาคนนี้ เขาไม่ได้ต้องการปล่อยน้องไปไหน


แม้แต่การไปทำหน้าที่ให้กับเพย์ตัน เขาก็เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะยื้อเวลาออกไป คนที่บ้านเรานั้นเดิมทีตั้งใจจะเลี้ยงสารินให้ดีที่สุดเพื่อที่ว่าจะไม่รู้สึกติดค้างใจอะไรกันและหลังจากขอให้ไปตั้งท้องให้เพย์ตันแล้วก็จะรับกลับมาหรือมอบเงินให้เป็นค่าเสียเวลา ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกัน ความรู้สึกที่เป็นครอบครัวก็ก่อกำเนิดขึ้นมาจริงๆ


สำหรับพ่อและแม่ของเขาสาคือลูกคนหนึ่ง


แต่สำหรับสนธยา…สารินไม่อาจจะเป็นน้องชายจริงๆได้


รถสปอร์ตคันหรูกระชากตัวออกจากบ้านธัมรงค์รัชต์ แพรวรรณและวรวุฒินั้นมองการเคลื่อนไหวของลูกชายห่างๆก็ได้แต่ถอนหายใจ แพรวรรณพูดแล้วว่าเราควรจะห้ามลูก แต่วรวุฒิกลับบอกปัดไป เรายื้อลูกชายคนโตไว้นานเกินไปแล้ว มาในวันนี้ที่เพย์ตันทำตัวไร้เหตุผลมากจนเกินรับไว้ เราไม่อาจจะห้ามสนธยาได้อีก เท่าที่อดทนมาได้ก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว


ในฐานะคนใกล้ชิด พวกเขาล้วนแต่ลังเลถึงท่าทีของเด็กสองคนที่มีให้กัน ในความห่างเหินมันมีเส้นใยบางๆอยู่ หากคนสองคนที่แอบมองกันไม่เคยรับรู้ คนที่ถูกกันออกมาข้างนอกอย่างเราย่อมมองออก แต่เวลาที่เนิ่นนานจนเกินไป ทำให้เราไม่แน่ใจจริงๆว่าความต้องการของทั้งสองคืออะไร


ไม่มีบ้านหลังไหนเฟ้นหาโอเมก้าให้ลูกชายของตัวเอง ด้วยกลัวจะเกิดความผูกพันกันขึ้น สิ่งที่พวกเขาทำคือจัดหา คัดแยก และส่งไปเป็นของกำนัลบ้านอื่น นี่อาจจะเป็นกรณีหายากหรือไม่เคยมีเลยที่เรารับเลี้ยงโอเมก้าเหมือนลูกทั้งๆที่มีลูกชายอัลฟ่าอยู่ในครอบครัว ตอนเราพาสารินมาก็ไม่เคยนึกถึงความเสี่ยงตรงนี้เลย


แต่ถ้าถามว่าเด็กทั้งสองหากรักกันเราจะยอมรับไม่ได้เชียวหรือ เอาจริงๆมันแปลกใหม่เกินกว่าจะทำใจยอมรับในทันที ทว่าเมื่อได้อยู่กับเด็กที่รับเลี้ยงมานาน พวกเขาก็ผูกพันจนยอมรับได้ว่าเสียงพูดเสียงอ้างของคนรอบข้างมันไม่สำคัญเท่ากับความสุขของคนในครอบครัว โลกเปลี่ยนไปทุกวัน


และเราต้องปรับตัว


วันนี้ทาริค เพย์ตันต้องรับแขกเยอะเป็นพิเศษ อันที่จริงเขาก็ยุ่งมาสักพักแต่วันนี้แขกจากบ้านธัมรงค์รัชต์เข้ามาหาสองคนแล้ว แต่มาคนละรอบ


“รับมือยากชะมัด”  หากไม่ใช่เพราะดรัญขอหรือสั่งไว้ ไม่มีวันหรอกที่ทาริคจะมาวุ่นวายกับอะไรแบบนี้ แค่เห็นว่ามีปัญหากับดรัญมันวุ่นวายกว่า เขาเลยยินดีที่จะมาวุ่นวายกับพวกคนเหล่านี้แทน


และตอนนี้ก็เป็นทีของลูกชายคนโตของบ้านธัมรงค์รัชต์ ร่างสูงของสนธยาที่เดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านพักเพย์ตันนั้นดูเต็มไปด้วยความร้อนที่พร้อมจะเผาทุกอย่าง ต่างจากชื่อจริงที่เป็นนามอันแสนสงบนิ่งเสียเหลือเกิน


“ผมแจ้งไปหมดแล้วว่าสารินไม่สบาย ไม่สะดวกเข้าพบ”  เขาพูดไปตามบท


“เพราะน้องของผมไม่สบาย ทางเราเลยอยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ผมจึงมาสอบถามด้วยตนเอง”  ดูก็รู้ว่าสนธยาต้องพยายามสะกดกั้นอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นของตนเพียงไหน ทาริคอยากจะยกมือมากุมขมับนัก แต่ติดที่ว่าถ้าทำเช่นนั้นทุกอย่างที่ดรัญฝากฝังต้องพังทลายไปเป็นแน่


“เขาป่วยและแสดงความต้องการที่จะไม่พบใคร นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ทางเราต้องทำตามความต้องการ”


“ตามใจกันดีนะครับ ฟังว่าเพย์ตันเอ็นดูน้องชายผมขนาดนี้ก็รู้สึกดีใจ”


“คนท้องก็งี้แหละครับ ปล่อยให้เครียดไปไม่ดี อะไรตามใจได้ก็ต้องยอม”  ทั้งๆที่สังเกตได้ว่าหากต่อปากต่อคำเช่นนี้ไปอีกฝ่ายต้องเดือดดาลเป็นแน่ แต่ทาริคที่เป็นคนไม่เคยกลัวใครนั้นไม่ใช่แค่พลั้งปากแต่เขาตั้งใจ


“ชักเป็นห่วงแล้วสิครับ มาอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหน ที่ป่วยนั่นอาจจะเป็นเพราะความเครียดก็เป็นได้”


“เห็นสารินบอกว่าค่อนข้างชินแล้ว น่าแปลกนะครับว่าทำไม”  คนพูดย่อมต้องการจะสื่อออกไปว่าอยู่ที่ธัมรงค์รัชต์ก็ไม่ได้มีอิสรภาพมากนักหรอก ชีวิตโอเมก้าที่ถูกซื้อมาก็เช่นนี้ บางคนถึงกับถูกฝังชิพติดตามตัวเพื่อกันหนีไปด้วยซ้ำ


มาถึงตรงนี้สนธยาก็แอบคิดเหมือนกันว่าวิธีที่ลิดรอนเสรีภาพและขัดกับหลักมนุษยธรรมที่ใช้กันนั้น ทำไมเขาถึงไม่ทำแต่แรก!


“...”  สงครามจิตวิทยายังคงดำเนินต่อไป


หากไม่ได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มขึ้น ก็คาดว่าแขกผู้มาเยือนก็จะปักหลักอยู่อย่างนี้ หากให้เทียบกัน ทาริคที่ถือกำเนิดจากครอบครัวเพย์ตันผู้เป็นใหญ่ย่อมมีลักษณะเด่นกว่าอัลฟ่าปัจจุบันทั่วไป เขานั้นสามารถข่มขวัญสนธยาได้หากยังดันทุรังอยู่เช่นนี้ ทว่าจะทำหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจเอาเอง


“ต่อให้คุณรอทั้งวันเขาก็ไม่มาเจอ” ทาริคนั้นตอกกลับด้วยเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเปลี่ยนร่างมนุษย์ของตน หากเทียบกันแล้วร่างมนุษย์หมาป่าของทาริคนั้นสูงใหญ่กว่าสนธยาและยังสามารถปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกเสียขวัญไปเองได้ แต่สนธยาที่ดื้อรั้นมาถึงนี่ไม่มีอะไรจะเสีย เขายืนนิ่ง มองการข่มขวัญนั้นราวกับเป็นเรื่องปกติ


ปกติ…เสียจนน่าหมั่นไส้


“กลับไปซะเถอะ สารินไม่มีวันมาพบนายหรอก”  ดวงตาของอดีตเจ้าชายอัลฟ่านั้นเปลี่ยนเป็นสีทอง


“ทำไม”


“เพราะนั่นคือความต้องการของเจ้าตัวยังไง”  ทาริคที่คิดว่ายื้อกันต่อไปมันก็ไม่จบ ที่สำคัญเขาก็ยื้อมาให้หลายวันแล้ว ตอนตกลงกันก็ไม่ได้บอกให้ยื้อตลอดไปเสียหน่อย เจตนาอีกฝ่ายก็แค่อยากจะซื้อเวลาเท่านั้น


“ผมไม่เข้าใจ”


“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”  ทาริคตอบกลับ เขานั้นไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมสารินถึงเลือกเช่นนั้น แต่ถ้าถามว่าเข้าใจความสับสนของสนธยาไหม น่าแปลกที่เข้าใจ  “ผมให้คุณดูทุกห้องที่นี่ก็ได้ แต่สารินจะไม่มีวันพบคุณ ส่วนเพราะอะไรนั้น คุณคงพอจะคิดใคร่ครวญให้ดีต่อจากนี้ได้ เท่านี้ผมก็ถือว่าผมไม่ได้ติดค้างฝ่ายไหนอีก ขอบใจสำหรับเรื่องดรัญ” 


ร่างของมนุษย์หมาป่าอัลฟ่าหนุ่มนั้นหายออกไปจากห้อง ทิ้งคำถามให้กลับไปคิดต่อมากมาย สนธยาถอนหายใจออกมา ทาริคเปิดโอกาสให้เขาได้อย่างที่สุดแล้ว อย่างน้อยในช่วงก่อนจากกันเขาก็ได้รับการตอบแทนสำหรับเรื่องที่เคยทำลงไป แต่เกรงว่าสิ่งที่เขาทำกับดรัญนั้นได้สนองกลับในรูปบาปกรรมให้เขาต้องพลัดพรากจากสารินเช่นนี้


ใช่…เขาเป็นคนส่งดรัญมาเข้าปากหมาป่าในบ้านนี้เอง…


เพื่ออะไร ทำไมสนธยาต้องทำเช่นนั้น เดิมทีนั้นดรัญเป็นโอเมก้าหัวรั้นที่อยู่อาศัยในบ้านของเศรษฐีที่กำลังมีปัญหาทางด้านความไว้วางใจ ทำให้หันไปหาใครก็ไม่มีคนคิดจะช่วยเหลือ เดิมทีดรัญคือโอเมก้าที่จะถูกส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้สเตอร์ลิ่งซึ่งเป็นคู่ปรับของเพย์ตัน แต่การส่งตัวถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนดเพราะปัญหาความน่าไว้ใจนั่นแหละ


เขาเลยไปลักลอบเจรจาขอซื้อดรัญต่อมาเพื่อส่งต่อให้ทาริคด้วยหวังให้ใช้ผลิตทายาทแทนสา


แต่ทั้งๆที่วางแผนเสียดิบดีด้วยการไม่ทำอะไรด้วยตนเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าทาริคจะฉลาด ข่าวลือเรื่องทาริคกับดรัญเขาก็ได้ยินอยู่บ้าง และเพราะดรัญนั้นสำคัญพอจึงมีการตรวจสอบที่มา ทั้งนี้ต่อให้ป้องกันชื่อของเขาที่ชักใยอยู่ด้านหลังแค่ไหนแต่ก็คงมีผิดพลาดจนอีกฝ่ายจับได้แต่เก็บงำไว้มาตลอด


แล้วทำไมสารินถึงถูกจับตัวมาที่นี่ทั้งๆที่ก็มีดรัญอยู่ เขาไม่แน่ใจในจุดประสงค์นัก คงเพราะอยากให้ทุกคนหันไปสนใจสามากกว่าดรัญแน่ๆ แต่หากให้เดาท่าทีและคำพูดของทาริคเมื่อกี้ บางทีเขาคงพลาดอะไรไป


รถคันหรูได้เคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังใหญ่ คำถามมากมายวกวนอยู่ในหัวและเขาก็ค่อยๆปลดล็อกมันทีละส่วน ให้หาทุกห้องก็ไม่มีวันมาเจอ นั่นเท่ากับสาไม่ได้อยู่ที่นี่หรือเปล่า แล้วทำไมทาริคถึงปล่อยให้สาไปไกลตัว ปกติแล้วเมื่อโอเมก้าตั้งท้องจะเกิดความหวั่นระแวง และทำไมทาริคถึงกล้าปล่อยไป เด็กที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์นั้นมันไม่มีความสำคัญเลยหรือไง


อา… หรือจริงๆสำหรับทาริคมันไม่สำคัญนัก


“ฮึๆ ให้ตายเหอะ” เขาพ่นหัวเราะ รู้สึกเหมือนจะบ้า ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์จะเป็นจริง ทาริคไม่ได้เห็นความสำคัญของลูกในครรภ์ของสา เพราะว่าอัลฟ่าไม่นิยมเอาลูกอัลฟ่าคนอื่นมาเลี้ยง แต่ถ้าใช้เบี่ยงเบนความสนใจผู้ไม่ประสงค์ดีออกจากดรัญไปได้ หลอกคนอื่นไปสักระยะก็ไม่เสียหาย ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าระยะนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว….


และน้องชายที่กำลังอุ้มลูกในท้องของเขานั้น…ก็ไม่สำคัญสำหรับเพย์ตันอีกต่อไป!


Talk
ไหนใครเรียกพระร้ายนะ พี่ไพร์มกับพี่สนออกจะคนดี5555
ขยันเนาะลงทุกวัน แต่ถ้าหายไปคืองานกองทับสุมหัวแล้วนะคะ5555
ตอนนี้เปิดอีกเรื่องไว้แล้วด้วยนะ อันนั้นก็ลงวันนี้เหมือนกัน
ฝากทั้ง #คู่กินคู่กัด #อังคารของที่รัก
อะไรจะเปิดเยอะปานนั้นเนาะ

หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 26 23/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-05-2019 17:40:05
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 26 23/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-05-2019 23:14:55
เก๊กนัก ไงล่ะน้องเลยหนี
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 27 26/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 26-05-2019 13:33:52
- - - - - -
ฉันรู้ที่ไหน!
(`Д´)
- - - - - -


เขาไม่ได้พูดว่าไปรับรู้อะไรมากับคนในครอบครัวและไม่มีใครทู่ซี้ถามเพราะเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเคร่งเครียด


ทว่าเขากลับมาคิดหาทางตามหาคนที่หายไปอย่างจริงจังอีกครั้ง ในครั้งนี้แม้จะเหมือนหมดหวังแต่ก็มีความหวังซ่อนอยู่ สนธยายอมรับว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็เหมือนจะจงใจให้เกิดและก็สงสัยมาตลอด วันนี้ทาริคเหมือนได้เฉลยแบบกลายๆให้ฟังแล้ว ที่เหลือคือหน้าที่ของเขาที่จะไปไขว่คว้าต่อเอง


สาท้อง ท้องลูกของเขา และมันเกิดจากความสัมพันธ์ที่เหมือนจะไม่ยั้งคิด แต่จริงๆมันคือความตั้งใจทั้งนั้นที่จะให้มันเกิดขึ้น ทว่าทุกอย่างมันเป็นความตั้งใจฝ่ายเดียว เขาจึงไม่อาจจะมั่นใจได้เพราะมีอีกฝ่ายไม่ได้ให้ความร่วมมือ


ในวันนั้นที่เป็นครั้งแรกของเรา สนธยาคว้าหยิบเอาถุงยางที่มีอยู่ในกระเป๋าสัมภาระที่มักจะมีของที่ไม่คาดคิดเก็บไว้อยู่ สภาพของถุงยางที่อยู่ในนั้นมานานทำให้เขาไม่แน่ใจนักว่ามันจะยังใช้ได้ไหม แต่เขาก็นำไปใช้ ในภาวะที่เกือบจะขาดสตินั้น พวกเราบรรเลงเพลงเสน่หาร่วมกันหนักหน่วงจนไม่ได้สนใจว่าอุปกรณ์ป้องกันหนึ่งเดียวจะรับไหวหรือเปล่า


และเขาก็เหมือนจะลืมเรื่องนั้นไปเลยจนกระทั่งได้ยินว่าสารินท้อง


แต่สนธยาก็เพียรคิดว่ามันอาจจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อยว่าถุงยางของเขาอาจจะรั่ว มันมีโอกาสแต่ก็ไม่ได้เต็มร้อย ในตอนนั้นเขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าทาริคจะวางแผนกับดักไว้อีกครั้งเพราะเรื่องที่ว่าสาท้องกับเขาคนนั้นมันถูกยืนยันออกมาจากปากแพทย์ที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากในหมู่มนุษย์หมาป่า


ทว่าในวันนี้เรื่องมันกลับตาลปัตร สนธยาต้องรู้ให้ได้ว่าสารินหนีไปไหน ทาริคจะให้ความช่วยเหลืออะไรเด็กคนนั้นในการหายตัวไปหรือไม่ เขาอยากจะถามแต่เกรงว่าเพย์ตันคงไม่ตอบอะไรอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือแอบใช้คนไปสืบหาให้เท่านั้น


และต่อให้มันต้องเสียเงินหรือเวลาแค่ไหน ถ้าได้สากลับมามันก็คุ้มค่า


มันต้องคุ้มค่าจริงๆ


สารินถูกดูแลอย่างดี ในระดับที่พอที่จะพูดว่ามันไม่อึดอัดจนเกินไป ที่สำคัญคนดูแลที่ชื่อว่า ‘พี่แจง’ ก็เป็นโอเมก้าเหมือนกัน โอเมก้าหญิงที่ดูเผินๆก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปนั้นจะมีลักษณะพิเศษบางประการที่สามารถเห็นได้ชัดว่าเป็นโอเมก้า มิหนำซ้ำกลิ่นประจำกายก็แรงกว่าโอเมก้าชาย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อัลฟ่าใช้แยกโอเมก้ากับมนุษย์ทั่วไปได้ และเมื่อได้อยู่ใกล้ก็ทำให้หวนนึกถึงโอเมก้าหญิงคนไกลในอดีต ที่ตนเคยได้รู้จัก


คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่


สาพลาด พลาดต่อความตั้งใจทั้งหลาย ประสบการณ์ที่ส่งต่อจากแม่มาถึงลูก ทำให้สารินตัดสินใจว่าจะไม่มีลูกมากวนตัวยามออกจากธัมรงค์รัชต์ นั่นเท่ากับว่าชาตินี้ทั้งชาติตนจะไม่มีลูกเป็นของตัวเองตลอดไปเพื่อตัดวงจรบ้าๆนั่นสักที แต่เมื่อมีเขาอยู่ในกาย โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปโดยปริยาย


น่าแปลกที่สารินพ้นผ่านช่วงเวลาอันน่าหดหู่มาได้ด้วยเพราะการมีอยู่ของใครคนหนึ่งในท้อง เขาคือกำลังใจหนึ่งเดียวที่ตนมีอย่างไม่คาดคิด และมันทำให้ตัวตนของเด็กคนนี้สำคัญขึ้นมา ในตอนที่รู้ว่าจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวนั้นอีกครั้ง สาจึงไม่ลังเลเลยที่จะหอบลูกหนีมา


ทั้งๆที่หนีไปทำแท้งก่อนและกลับไปสู่อ้อมกอดคุณแพรวรรณอย่างนั้นก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆใครมันจะไปทำอย่างนั้นลง ลูกของสาทั้งคน แม้ไม่อาจจะเป็นลูกของพี่สนแต่สารินที่ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหนมากมายกลับบอกทุกคนว่าตนเลี้ยงได้ และจะเลี้ยงให้ดีๆด้วย


ฉันเองก็เป็นเพื่อนที่ดี ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็พึ่งพาได้จริงๆจังๆเหมือนกัน ต้องขอบคุณฉันที่ทำให้สาได้ปลีกตัวออกมาอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบของบ้านติดริมทะเลแบบนี้


ช่วงเวลาที่หวานขมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงยามที่อยู่กับคนที่ตนรักจริงๆ เราไม่อาจจะย้อนอดีตไปลบความผิดพลาดและไม่มีเหตุผลอะไรให้แก้ไข สารินพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและยินดีกับการตัดขาดกับธัมรงค์รัชต์จริงๆ น่าเสียดายความสัมพันธ์ตลอดหลายปีแต่ตอนนี้มีใครอีกคนที่ต้องการกันมากที่สุดจริงๆแล้ว


แค่คนๆนั้น ยังไม่มีชื่อเรียกจริงๆจังๆสักที


ในส่วนของฉันชนกที่ส่งเพื่อนไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก็ไม่ได้รับรู้อะไรว่าตนถูกคุกคาม เริ่มจากการขุนด้วยอาหารดีๆแบบที่ไม่ใคร่จะถูกใจทุกวันจากคุณไพร์ม ถ้ารู้ว่าต้องกินผักผลไม้เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายขนาดนี้ ฉันควรจะคิดให้ดีว่าควรเพิ่มอะไรลงไปในสัญญาอีกก่อนจะเซ็น!


แต่คุณไพร์มเลี้ยงดีมากอันนี้ยอมรับ ซึ่งบางทีไอ้เลี้ยงดีก็ออกจะบังคับกันให้อยู่ในกรอบจนเกินไป และนับวันเขาก็จะรับมือกันเก่งเกินไปใหญ่แล้ว ฉันชนกจึงได้หนักใจกับตารางอาหารประจำวันที่เขาส่งมาให้พร้อมกำชับให้กินตามเวลา คาดเดาได้ว่าถ้าขอตารางเสื้อสีประจำวัน คุณไพร์มคนนั้นก็ต้องมีแน่ เออ!


“ฉัน”  เสียงเรียกที่เคยคุ้นนั้นหยุดสองขาของฉันชนกที่กำลังจะแตะบัตรเข้าไปในตึก เจ้าแวมไพร์ตัวน้อยค่อยๆหันมามองคนเรียก และมันก็อย่างที่คิดไว้ว่าอย่างไรก็ต้องเผชิญ


“อ้าวพี่สน…”


“สาอยู่ไหน” 


“ไม่รู้อ่ะ”  อันนี้พูดจริงๆ ภูวนัยอาจจะพาน้องพี่สนเขาผ่านด่านชายแดนกัมพูชาและต่อเครื่องไปอเมริกาแล้วก็เป็นได้ ว่าแต่คนเราเคยรักกันทำไมเย็นชาได้ขนาดนี้ คำทักทายสักคำก็ไม่มีมาถึงก็ถามหาเมียก่อนเลย แย่เอ๊ย!


สมแล้วที่ฉันมั่นใจว่าเคยถูกหลอกใช้ให้คบ!


ฉันชนกจ้องหน้าแฟนเก่าอย่างไม่แม้แต่จะหลบตา หลังจากที่ได้พูดคุยปรับความในใจกับเจ้าตัวดีครั้งล่าสุด ตนก็เข้าใจกระจ่างชัดว่าอะไรที่ติดอยู่ในใจแต่อธิบายไม่ได้ เราต่างก็ใช้กันและกันเพื่อประโยชน์ในการสานสัมพันธ์ทั้งนั้น


เดิมทีฉันจีบพี่สนแทบตายเขาไม่เคยจะแล แต่เพราะมาเที่ยวดูหนังแล้วเจอน้องชายของเขาโดยบังเอิญวันนั้นท่าทีของผู้ชายคนนี้ก็ดูอ่อนลง ฉันนั้นก็นึกว่าซึ้งใจที่ฉันไปช่วยเหลือสาจ๋าของเขาไว้เลยยอมเปิดใจให้กันมากขึ้น


ที่ไหนได้ เป็นเขานั่นแหละที่หลอกใช้ฉันให้ไปช่วยสา และใช้ฉันเป็นข้ออ้างเข้าใกล้สาแบบเนียนๆ


พี่น้องคู่นี้ช่างแปลกประหลาด นี่คือเรื่องที่ฉันล้วนมโนเองทั้งสิ้นแต่มีความเป็นไปได้สูงนัก จากปากของสาเมื่อวันก่อน ตั้งแต่เจอกันจนกระทั่งขึ้นมัธยมปลาย สารินกับสนธยาแทบไม่เคยคุยกัน เพราะงั้นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องมันก็ไม่มีแต่แรก แล้วทีนี้เขามาคุยกันได้ไง คำตอบก็ยืนหน้าโง่ให้เขาหลอกใช้อยู่นี่ไง คือฉันเอง!


เป็นฉันคนนี้นั่นแหละที่เชื่อฟังเขาที่บอกว่าฝากดูแลน้องงู้นงี้ แล้วตัวเขาที่คบกับฉันเพราะคำแนะนำของสาก็หาทางให้ฉันดึงสามาอยู่ด้วยเพื่อที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ หากฉันฉลาดกว่านี้สักนิดเมื่อหลายปีก่อนต้องมองออกแน่ๆ แต่แค่นี้ก็ภูมิใจในตัวเองจะตายอยู่แล้ว เพราะฉันรู้แต่สายังไม่รู้ ฉันรู้ก่อน แปลว่าฉันชนะ!


“พี่จะไม่ถามซ้ำนะ”  น้ำเสียงของเขาดูดุดันแต่ฉันที่สวดมนต์ในใจทั้งๆที่แวมไพร์ดูไปกันไม่ได้กับพุทธศาสนานั้นก็ยังคงจ้องหน้าไม่แคร์


“ก็ฉันไม่รู้จริงๆ” ต่อให้จับเท็จกันตรงนี้ก็ไม่รู้เว้ย ไอ้คุณไพร์มไม่ได้บอก!


จะว่าไปคำสารภาพของสาก็ทำให้ผู้ชนะตกใจไม่น้อย ในขณะที่ฉันเข้าหาสาเพื่อจะได้เข้าใกล้พี่สน พี่สนเองก็ใช้ฉันเป็นสะพานเชื่อมไปหาน้องชายตัวเอง ทว่าเมื่อเร็วๆนี้ฉันเพิ่งได้ทราบ…ว่าสาเองก็พยายามเข้าหาฉันเพื่อจะได้สนิทสนมกับพี่สนมากขึ้น


เออดี…คนเหล่านี้มีคนสติครบปกติกันบ้างไหม ใช้กันไปใช้กันมา!?


“แล้วสามาหาฉันที่นี่ทำไม”


“มาหาที่นี่?”  ฉันไม่ทราบว่าเขารู้ได้ไงและรู้ถึงไหน แต่ตอนนี้สภาวะแต้มต่อของเราถือว่าเป็นรอง ฉันอยากจะถอยก่อนแต่ติดว่าขาสั้นไม่น่าหนีทัน


“กล้องวงจรปิดฉายว่าสามาอยู่ที่นี่และไม่เคยออกไปไหนจนกระทั่งผ่านไปแล้วราวๆสี่วันหลังจากนั้น สาออกไปกับรถตู้ของใคร”  แม่นมาก ฉันเองยังจำอะไรแบบนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ


“สามาหาจริงแต่ก็ไม่อยู่ด้วยแล้วอ่ะ ไปไหนก็ไม่รู้”


“อย่าโกหกพี่”  น้ำเสียงเขาดุดัน บางทีที่สาบอกว่าอัลฟ่าจะมีฟีโรโมนหรือกลิ่นที่สร้างความกดดันได้และยิ่งมีผลต่อคนที่เป็นโอเมก้าหรืออัลฟ่าด้วยกัน ทว่าความกดดันนั้นส่งผ่านมาถึงแวมไพร์ได้ด้วย อันนี้ฉันก็ไม่เคยได้รู้มาก่อน


กว่าจะได้รู้เหงื่อก็ออกแถมใจก็สั่นไปพร้อมๆกับขา ช่างน่าตายนัก!


ทำไมแวมไพร์มันไม่ได้น่ากลัวเลยวะ แม่ง!


สนธยาหายไปหาข้อมูล ไม่มีความเคลื่อนไหวต้องสงสัยจากเพย์ตัน และข้อมูลคนในก็บอกกันชัดเจนแล้วว่าทาริคให้สาออกไปอยู่ที่อื่น ทว่าที่อื่นที่เป็นไปได้สำหรับกรณีนี้เขาคิดถึงใครไม่ออกนอกจากฉัน เพื่อนคนเดียวที่สารินไว้ใจ


เขามาดักรอ…รอนานและเริ่มจะหมดความอดทนเมื่อฉันชนกยังคงตอบคำถามวกไปวนมา ฉันเริ่มหวาดกลัวกับความกดดันนั้น ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร ใครอีกคนก็ออกมาจากลิฟต์ของอาคารและมุ่งหน้ามาที่ประตูทางเข้า


“…”


“พี่สนมาหาฉันเหรอครับ”  ภูวนัยถาม เอาจริงๆการปรากฏตัวของเขาตรงนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีคนแจ้ง เขาเลยลงมาเคลียร์ให้ อาจจะได้ผลในระยะสั้น แต่สักวันต้องเห็นคำตอบในระยะยาว


ทว่าการปรากฏตัวของคนที่มาใหม่นั้นกลับทำให้สนธยาคิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆถ้าฉันไม่ได้พาไปซ่อนก็มีแค่คนๆเดียวที่ซ่อนได้สนิทมิดชิดจากสายตาเขาขนาดนี้ ในขณะที่สั่งให้คนจับตามองฉันชนกตลอดเวลาแต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวแปลกๆ เขากลับลืมไปเลยว่ามีไพร์มอีกคนที่อยู่ไม่ไกลตัว


“สาอยู่ไหน”


“มาถามอะไรกับผมกันละครับ”


“ไพร์ม”


“ต่อให้เรียกเสียงแข็งก็ไม่มีใครตอบอะไรหรอกนะครับ เสียเวลาเปล่า”


“นายต้องการอะไรกันแน่” 


เขาไม่ได้รู้จักไพร์มดีนัก แต่จากสิ่งที่เคยได้ยินจากอดีตที่ได้รู้จักแบบผิวเผินก็ทำให้ตัดสินคนแบบนี้ไม่ยาก ภูวนัยไม่มีทางทำอะไรฟรีๆแน่ และมนุษย์ประเภทนี้จะมีความจำเป็นต้องเข้าหาฉันชนกที่เป็นแวมไพร์ทำไม อะไรก็ตามที่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับคนๆนี้ ล้วนมีสิ่งไม่ดีที่เรียกว่าผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องเสมอ


“นายต้องการอะไรในตัวแวมไพร์”  สนธยาตอกย้ำ และเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีส่วน ถึงแม้ภูวนัยจะไม่หวั่นไหวในคำพูดอะไรของเขาเลย แต่คนข้างๆกลับหลบตา เป็นฉันที่ยอมต่อรองกับไพร์มแน่ๆ


“ผมจะไปอยากได้อะไรกันครับ”


“ถมเถไป เงินทอง ชื่อเสียง”  สนธยายิ้มอย่างเป็นต่อ  “หรือการยอมรับ”  แต่เขาดูจะเน้นคำสุดท้ายนี้เป็นพิเศษและมันอาจจะไปตรงใจใครบ้าง ทว่าภูวนัยไม่ใช่คนที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่แท้จริงของตนผ่านใบหน้า เขายังยิ้มรับเหมือนกับว่าทุกคำที่พูดออกมาไม่มีความหมาย


“เห็นผมเป็นคนแบบไหนกันเนี่ย ที่พูดมาดูผมเป็นคนแย่ๆไปเลย”


“หรือว่าไม่ใช่ บอกสิ่งที่นายต้องการมาสิ จะหามาให้ แลกกับที่อยู่ของสา”  สนธยาเองก็ไม่ลังเลที่จะหยิบยื่นข้อเสนอ เขาต้องยอมรับว่าถ้าสาอยู่ไพร์ม เขาอาจจะมีโอกาสตามหาเจอแต่ก็น้อยเต็มทน ก่อนนี้ที่เพย์ตันจับตัวไป มันเป็นเพราะเขาหาข่าวจากข้างในได้ต่างหาก


แต่อำนาจที่ไพร์มถืออยู่มันต่างออกไป


“สิ่งที่ต้องการหรือครับ ตอนนี้คิดว่าไม่มีนะ”  ภูวนัยยิ้มก่อนจะดันหลังของฉันชนกให้เข้าไปข้างใน คนที่ทะเยอทะยานเช่นนี้มาบอกว่าไม่ต้องการอะไรในตอนนี้ นั่นเท่ากับว่าเขามีพร้อมแล้ว


ภูวนัยคนที่ไม่เคยสนใจใยดีใครนอกจากตัวเองต้องจริงจังกับการปกป้องสารินที่เป็นเพื่อนกับแวมไพร์ที่ชื่อฉันชนกแค่ไหน คนๆนี้ไม่เคยคิดจะปกปิดให้เขาเห็นภาพรวมของความจริงเลย เป็นหมอนี่ที่พาสาไปซ่อน และเป็นหมอนี่ที่ชี้บอกว่าเพราะอะไรถึงทำเช่นนี้ ประเมินสนธยาต่ำเกินไปแล้วไอ้เด็กเมื่อวานซืน


อย่าทำตัวเหมือนตัวเองไม่มีจุดอ่อนแบบนั้น


ในด้านของฉันชนกที่ถูกพาเข้ามาในตึกอย่างปลอดภัยนั้นรู้สึกขอบคุณคนที่มาช่วยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ตลอดเวลาที่ยืนข้างกัน ฉันนั้นเหลือบมองเขาอยู่บ่อยครั้งแต่ไพร์มก็ไม่หันมาตอบอะไร มาหวนนึกดูอีกครั้งหากภูวนัยไม่ลงมาช่วย ฉันคิดว่าต่อกรกับพี่สนนั้นไม่ง่ายเลย สานะสารักกับคนแบบนี้ไปได้ยังไงกัน


“คุณฉันไม่ได้โดนพี่สนทำอะไรมาใช่ไหมครับ”


“ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณคุณไพร์มมาก”  และเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ แน่นอนว่าไม่มีการได้หยอกล้อกันอีก


ภูวนัยไม่เคยบอกอะไรว่าพาสาไปที่ไหน แต่ตอนนี้ฉันเห็นมันเป็นข้อดีแล้วที่ตัวเองไม่รู้อะไร ไม่ใช่ว่าตนเองใจอ่อนอะไรหรอก แต่พอไม่รู้มันก็สบายใจเพราะไม่ต้องมาโกหกอะไร กลายเป็นว่าคนที่ต้องแบกรับไปคือตัวคุณไพร์มที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง


“ผมทำน้ำผลไม้แยกกากไว้ คุณฉันไปกินไหม”


“ไป”  มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปล่ะ ฉันยิ้มกว้างและเพราะไม่รู้ว่าบรรยากาศที่มันเปลี่ยนไปหรือยังไง ไพร์มก็ค่อยๆคลี่ยิ้มตาม


“กินเก่งจังเนอะ”


“เพื่องานวิจัยของคุณไพร์มต่างหาก”


“พูดเก่ง” ในตอนนี้กลายเป็นว่าการมาของสนธยา ไม่ได้เป็นปัญหาให้ต้องหนักใจอีกต่อไป


พรุ่งนี้ฉันจะได้เข้าไปที่แล็บเพื่อเก็บตัวอย่างที่เขาบอกว่ามันเป็นการเจาะเอาน้ำจากกระดูกนั่นแหละ แต่กายภาพของมนุษย์และแวมไพร์ที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นพันทิพไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย ตอนนี้ที่ดีใจคืออย่างเดียว กินปิ้งย่างยังไงแวมไพร์ก็ไม่เป็นมะเร็ง แต่ถ้าโดนแสงแดดมากไป แวมไพร์อาจจะเผาไหม้ตัวเองได้…


“คุณฉันกลัวไหมครับ”


“ไม่กลัว!”


“จะร้องไห้แงๆหรือเปล่า ผมจะได้เอาทิชชู่ไปเยอะๆ”


“จะร้องไห้ทำไม ฉันไม่ได้ขี้แย”


“ครับคุณฉันไม่ได้ขี้แย แต่กลัวเจ็บ”


“คุณไพร์มก็ทำเบาๆหน่อยสิ”


“…”


“ถนอมฉันหน่อย เผื่อต้องใช้งานอีกอะไรแบบนี้”  ไพร์มยิ้ม รู้สึกเอ็นดูขึ้นมาทุกวัน พ่อแม่ต้องเลี้ยงมายังไงทำไมหน้าแป้นแบบนี้


ภูวนัยหวนนึกไปถึงตอนที่เขาให้คนเช็คประวัติครอบครัวของฉันชนก เป็นครอบครัวที่แค่รับอุปการะมาเท่านั้น แต่ทำไมเด็กที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่จริงๆอย่างฉันชนกถึงได้เติบโตมาได้ดีขนาดนี้กัน อิจฉาได้ไหม ทำไมชีวิตของเด็กคนนี้ ถึงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่เขาเข้าใจ


หรือจริงๆแล้วเป็นเขานั่นแหละที่อยู่ผิดที่ผิดทาง


เข็มนาฬิกาเหมือนจะเดินช้า แต่ทว่าวันที่ภูวนัยรอคอยก็มาถึงแล้ว เขาได้พาฉันชนกเข้าไปในตึกของบริษัทย่านใจกลางเมือง ผู้ตามที่ได้เห็นความอลังการของพื้นที่แห่งนี้ก็ตกใจอยู่บ้าง เท่าที่ดูก็เหมือนแลปที่เขาพามาจะตั้งอยู่ในชั้น 24 ของตึกและกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นเห็นจะได้


“ตื่นเต้นหรือครับ”


“เอาเข็มแทงกระดูกเลยนะ!” มันดูไม่เจ็บหรือไง ต้องให้ฉันเอาเข็มทิ่มเขาก่อนไหม จะได้รู้สึกเห็นใจกันบ้าง!


“มันเป็นบริเวณที่คาดว่าน่าจะนำไปศึกษาต่อได้ดีที่สุดครับ ทนเจ็บนิดเดียว เดี๋ยวผมพาไปกินบิงซู”  ฉันชนกที่ตัวลีบลงได้แต่พยักหน้า ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องประชุมเล็กห้องหนึ่ง


ภูวนัยสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย ฉันชนกเหมือนเด็กน้อยที่รู้ตัวว่าจะถูกฉีดยาก็เลยทำเป็นเก่งกล้าแต่ในใจกลับกลัวมันอย่างมากมาย เขาคิดว่ามันคงจะเจ็บ แต่ไม่แน่ใจว่าสำหรับแวมไพร์นี่มันจะเจ็บมากกว่าไหม จะอย่างไรก็คิดว่าน้ำที่ดูดออกมาจากกระดูกนั้นมีความเข้มข้นพอที่อาจจะนำไปศึกษาต่อได้ หากไม่ก็มีอีกจุดหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูง อาจจะเท่ากันหรือมากกว่าด้วยซ้ำ


นั่นคือหัวใจ


“…”


“อื๋อ”  ความคิดของเขาถูกปัดทิ้งออกไป ยิ่งลูกน้องของเขาเข็นอุปกรณ์เข้ามามากเท่าไหร่ฉันก็ดูจะแพนิคขึ้นตามเท่านั้น ไพร์มนั้นจับมือของฉันไว้ ทั้งนี้มันไม่ได้เพื่อจะกันไม่ให้อีกคนที่กลัวหนีไป แต่เพื่ออะไร…


เขาก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน


“มันน่ากลัว”  ฉันชนกหันมา ดวงตากลมที่ช้อนมองเขามีหยาดน้ำคลออยู่ดูน่าสงสาร ในชั่ววินาทีหนึ่งในห้วงความคิด ไพร์มอยากจะฉุดอีกคนให้วิ่งและออกไปจากตึกนี่พร้อมกัน เพราะนอกจากเขาคิดว่ามันคงจะเจ็บจริงๆ


ยังรู้สึกผิดที่ดึงดันให้คนแบบฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้


และนี่อาจจะเป็นความรู้สึกผิดครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมา


“อึก” แต่ความคิดที่จะพาหนีก็เป็นได้แค่ความคิด เขามองฉันที่หลับตาปี๋ยื่นแขนให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบทั้งความดันและอื่นๆ จนกระทั่งเสียงร้องที่เก็บเอาไว้ดังออกมา เข็มแท่งใหญ่ถูกแทงผ่านชั้นผิวหนังของแวมไพร์ตัวน้อยลงไป มันคงเจ็บมากเพราะตัวเข็มนี้ทำมาจากโลหะชนิดที่ไว้ใช้ฆ่าแวมไพร์


เขาจำเป็น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดในโลกที่แทงกระดูกแวมไพร์ได้หรอก…


“ชู่ว ไม่เป็นไรนะครับ”  เขารู้ว่าฉันคงเจ็บ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รวบเด็กคนนี้มากอดไว้กับอกและปลอบโยนต่อหน้าลูกน้องทั้งหลาย ภูวนัยไม่เคยต้องบริการใครเพื่อผลประโยชน์ขนาดนี้เลย ฉันชนกคงสำคัญมากที่นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดความรำคาญและยัง….เรียกร้องความเห็นใจจากคนไร้หัวใจได้อย่างมหาศาล


“ฉัน…เจ็บ”


“มันจะผ่านไปครับ คนดี”  เขากระซิบปลอบ ความรู้สึกผิดเอ่อล้น ในตอนนั้นเขาเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่เป็นมาสักระยะหนึ่ง บางทีการเปลี่ยนแปลงนั้นๆอาจจะเริ่มเกิดขึ้นในวันที่ฉันชนกเดินมาหลบฝนที่หน้าร้านกาแฟแห่งนั้น


และสีสันที่เขาเคยเห็นผ่านดวงตาก็เหมือนจะเปลี่ยนไป


เขามองของเหลวสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่ค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้น  ริมฝีปากของเขาประทับลงบนขมับที่ชื้นเหงื่อ รับรู้ได้ว่าใบหน้าของฉันชนกดูซีดลงๆสวนทางกับอาการสั่นที่เจ้าตัวต้องพยายามสกัดกั้น


โดยปกติหากเราตรวจเลือดของแวมไพร์ เราจะเห็นมันเป็นสีแดงเหมือนกับเลือดมนุษย์แต่ไม่เข้มข้นเท่า นั่นอาจจะเป็นเพราะแวมไพร์รับเอาภูมิของมนุษย์เข้าไปจึงทำให้ของเหลวนั้นกลายเป็นสีแดง แต่เนื้อแท้จริงๆแล้ว แวมไพร์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเป็นสีแดงเลย และนั่นอาจจะเป็นความต่างของสายพันธุ์ที่เห็นได้ชัดเจน


สีน้ำเงินเกือบดำนั่นคือของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของแวมไพร์อย่างแท้จริง


“ฮื้อออออ”  ฉันชนกกัดฟัน มันเจ็บมากๆ คาดว่าตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยได้พบหรือสัมผัสอะไรที่ทำให้เจ็บถึงขั้นนี้ เดิมทีตนเตรียมใจมาแล้วว่ามันต้องเจ็บ แต่ไม่เคยเลยที่จะคิดว่ามันจะเป็นความเจ็บประเภท….


เจ็บ…จนจะขาดใจตายให้ได้


และเจ็บ… ไปพร้อมกับรู้สึกสูญเสียบางอย่างไปมากมาย


“คุณฉัน?!”  เขาเรียก สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่เหมือนจะตกลงเรื่อยๆของคนในอ้อมกอด อาการของฉันก็แสดงออกชัดดีว่าสิ่งที่เขานำออกมามีค่าและอาจจะเป็นคำตอบของทุกอย่างที่ค้นหา “พอก่อน!”  แต่ในที่สุดก็เป็นตัวเขาเองที่แพ้ แพ้จริงๆ


“แต่ว่าคุณภูวนัยครับ?”เจ้าหน้าที่คนนั้นจะแย้ง เราเคยประชุมกันและกำหนดเป้าหมายเอาไว้ ซึ่งนี่มันยังไม่ถึงครึ่งจากที่ต้องการ เป็นเขาที่หลอกฉันเอง หลอกไปว่าการทดลองนี้ไม่อันตรายใดๆหลอกให้ฉันวางใจและยอมเป็นหนูทดลองแลกกับข้อเสนอปัญญาอ่อนที่ไม่อาจจะบอกได้ว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ฉันจะต้องเสียไป เขาหลอกฉันให้เชื่อเสียสนิทใจ


โดยที่ก็รู้ดีว่าก็ไม่ได้มีข้อมูลมากพอมายันเรื่องความปลอดภัยตอนเราตกลงกันจริงๆ


“เอาเข็มออก!”  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาจึงคิดว่าฉันไม่น่าจะทนรับไหวได้อีก เรามีข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับแวมไพร์น้อยมากและไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ใดๆมารับรอง ตอนที่ไพร์มริเริ่มแผนการนี้เขาเพียงแค่ต้องการจะหาประโยชน์จากเหยื่อโดยไม่สนใจสภาพและไม่สนใจวิธีการ ทว่าวันนี้เขากลับแพ้อย่างสิ้นเชิง


ทั้งๆที่เคยยินดีในตอนที่ฉันมาบอกว่าจะให้ความร่วมมือ


“คุณฉัน”  หลังจากที่เข็มซึ่งแทงลงไปยังกระดูกของแวมไพร์ตัวน้อยถูกเอาออก เขาก็ยังคงกอดฉันอยู่อย่างนั้น ทว่าร่างเล็กในอ้อมอกเขาแทบไร้แรงเคลื่อนไหว ฉันเพียงเงยหน้าขึ้นมา มองกันด้วยดวงตาปิดปรือ ยิ้มให้บางๆก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงไปแบบไร้แรงต้านอย่างสิ้นเชิง


“ฉัน…เจ็บ” เสียงกระซิบที่แผ่วเบานี้จางหายไปกับสายลม


ทิ้งไว้เพียงอาการหัวใจกระตุกรุนแรงที่คนฟังต้องเผชิญ



Talk: ด่าพี่ไพร์มได้แต่อย่าแลงมาก พี่เขาจำเป็น ไม่สิ จริงๆก็ไม่จำเป็นแต่เป็นหน้าที่555
เนื้อเรื่องในส่วนของนุ้งฉันนี่ก็เริ่มติงตังแน้วเหมือนกัน ._.
แต่เพราะนี่คือฉัน ความพาสเทลจึงจัดเต็มในโทนดราม่าของเรื่อง
ยังไงก็ยังฝากต่อไปนะคะ55555
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 27 26/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-05-2019 10:58:51
น้องฉันจะเป็นอะไรมากไหม ขอให้ปลอดภัยนะ ส่วนพี่สนก็ขอให้เจอน้องสาไวๆ จะได้ปรับความเข้าใจแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันสักที
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 27 26/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-05-2019 13:13:59
ฉันยังน่าเอ็นดูไม่เปลี่ยน
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 28 28/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 28-05-2019 19:35:27
- - - - - -
ฉันเป็นห่วง
(._.)
- - - - - -


ก่อนที่ฉันจะหลับลงไป


เสียงเรียกชื่อ ‘ฉัน’ ช่างดังก้องมาถึงในใจ


“อืม”  ไม่สบายตัวเอาเสียเลย แต่ฉันคิดว่าตัวเองก็หลับไปนานจึงไม่อาจจะอยู่ในโลกแห่งความฝันได้มากกว่านี้อีก


ทว่าไออุ่นข้างตัวทำให้ฉันต้องตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าเราไม่ได้นอนอยู่คนเดียว ร่างสูงที่คุ้นเคยนั้นนอนอยู่ข้างๆ เราเกยก่ายกันเหมือนสนิทสนมเสียเต็มประดา และฉันก็บ้าเกินไปที่จะไม่รู้สึกเขินอาย


คุณไพร์มหลับอยู่ ฉันกวนได้ไหมนะ


“คุณไพร์ม”  เสียงเรียกที่ดังออกไปนั้นเหมือนไม่ใช่เสียงของฉันเลย ทำไมแค่คำสั้นๆก็เปล่งออกไปได้อย่างยากเย็น


ทว่ามันก็ดังพอให้เจ้าของชื่อค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา และสิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกก็คือใบหน้าลางๆของคนที่สลบไปในอ้อมกอดของเขา เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ตรวจร่างกายเท่าไหร่ก็ไม่พบสาเหตุ โชคยังดีที่เขายังสัมผัสสัญญาณชีพได้


“รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหมครับ”  ฉันที่ไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรหนักแค่ไหนอยากจะถามเขากลับ คุณไพร์มก็ไม่ได้ดูหล่อเหลาเหมือนทุกวัน กลับกัน เขาดูหมองแบบประหลาด


“ฉันไม่เป็นไร”  เสียงที่แหบแห้งนั้นเปล่งออกมาได้อย่างยากเย็น หากฉันจะพิจารณาตัวเองสักนิด จะรู้ว่าที่เป็นอยู่ไม่ปกติเอาเสียเลย


“ตัวคุณฉันยังเย็นอยู่เลย” มือใหญ่ของเขาประคองใบหน้าน่ารักนั่น มันยังเย็นต้านความอุ่นของฝ่ามือเขาอยู่


“คุณไพร์มก็โทรมมาก ไม่หล่อเลย” เขาขยับตัว ฟังคำหยอกล้อของฉันชนกและยิ่งขมวดคิ้ว ในเวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาเล่นอีก ไม่รู้เลยหรือไงว่าหลับไปนานเท่าไหร่


นี่ผ่านไปสองคืนแล้วนะ!


“เหมือนร่างกายคุณฉันไม่รับเลือดเลย”  เขาส่องไฟและมองไปที่ถุงเลือดซึ่งถูกแขวนไว้ ก่อนจะมองไปที่สายที่ส่งผ่านน้ำเลือดเข้าสู่ท่อนแขนที่ถูกเจาะอีกครั้งด้วยเจตนาที่ต่างออกไป


“นี่มันอะไร”  ฉันถามแบบที่สติก็ยังมาไม่ครบ ปกติก็เหมือนไร้สติอยู่แล้ว นี่ยิ่งหายหนักเข้าไปใหญ่


“คุณฉันตัวซีดมาก เหมือนแวมไพร์ที่มีอาการป่วยรุนแรง”  หรือจริงๆจะให้เรียกว่าเป็นอะไร พวกเราก็เข้าใจว่าเป็นอาการภูมิแพ้ของแวมไพร์ แพ้ต่อหลายสิ่งบนโลก แน่นอนว่าแสงแดดเพียงนิดเดียวก็อาจจะเผาเด็กคนนี้ให้เป็นจุลได้ ดังนั้นห้องที่เขาพามานอนนี่จึงเพียงเปิดไฟสลัวๆให้


ที่ฉันชนกเห็นหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน อาจจะเป็นเพราะมันเป็นหนึ่งในความสามารถของแวมไพร์ที่มองอะไรในที่มืดได้ดี แต่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวไม่เคยจะสนใจและเพราะอยู่กับความสามารถนี้มาแต่เด็กเลยไม่คิดว่ามันแปลกไปตรงไหน ทว่าความคิดทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอีกเรื่องทันใดเมื่อเขาส่องไฟไปที่ปลายสายซึ่งส่งผ่านเลือดเข้าไปในร่างของฉัน


มันส่งเข้าไปหมดแล้วแต่ท่าทางเพ้อๆนี่ยังไม่หายไปเสียที


“คุณฉันรู้สึกเป็นไงบ้าง”


“อืม ฉันปวดหัว”


“รู้สึกแย่มากไหมครับ”


“ฉันเป็นอะไรอ่ะคุณไพร์ม”


“บอกผมก่อนว่ารู้สึกอะไร”  ฉันชนกเงียบไป มันยากจะตอบในทันทีเพราะความรู้สึกที่มีอยู่นี่มันปนเปอยู่หลายอย่าง รู้สึกไม่สบายกาย หนาวๆร้อนๆ และรู้สึกเหมือนบางสิ่งได้ขาดหายไปและต้องการอะไรเข้ามาทดแทน และเมื่อคิดดีๆ


“ฉัน…ต้องการเลือด”


“….”


“อึก”


“คุณฉัน”  เขาไม่เข้าใจ เราน่าจะให้เลือดกับคุณฉันไปมากมายแต่ดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอกับความต้องการเลย ภูวนัยเร่งคิด หรือเขาควรจะบอกให้คนนำเอาถุงเลือดมาเพิ่มให้อีก ใช่…เขาต้องทำอะไรสักอย่างในเมื่อเจ้าแวมไพร์ก็บอกอยู่ว่าต้องการเลือด แต่อีกส่วนหนึ่งในใจก็แย้งว่าเลือดถุงไม่ใช่คำตอบของปัญหาที่เผชิญ


“นี่ครับคุณฉัน”  เขารวบร่างบางเข้ามาใกล้อีกครั้ง ขยับลำคอของตนไปให้ กลิ่นกายอ่อนๆที่ปล่อยออกมาจากลำคอที่แสนหอมหวานอันเป็นลักษณะเฉพาะทางของมนุษย์ผู้ชื่นชอบการปลดปล่อยเลือดของตัวเองกระตุ้นให้ก้อนเนื้อภายในอกของฉันยิ่งเต้นแรง สัญชาตญาณดิบที่ไม่จำเป็นต้องเก็บกักนั้นทำให้ริมฝีปากอิ่มค่อยๆเปิดออก และเขี้ยวเล็กแหลม


ก็ค่อยๆยาวขึ้น….


ภูวนัย…ไม่เคยรู้สึกถึงการถูกดูดเลือดที่เต็มไปด้วยความต้องการมากขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกดีแต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ปกตินัก ฉันไม่ได้กินเพื่ออยู่แต่กินเพื่อให้มีชีวิต เพราะพลังชีวิตได้ถูกพรากไปจนไม่อาจจะบอกได้ว่าต้องได้เลือดของมนุษย์เช่นเขากลับมามากเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอสร้างภูมิคุ้มกันภัยจากสภาวะของโลก


“คุณไพร์ม”  ฉันชนกถอนริมฝีปากออก รับรู้ได้ด้วยสติที่เริ่มมีพร้อมว่าตนนั้นดูเลือดของเขาออกไปมาก ปกติเลือดของไพร์มข้นนัก ดูดมากเกินไปจะทำให้ร่างกายของตนรับไม่ไหว แต่นี่ก็ดูดมากกว่าปกติไปหลายเท่าด้วยซ้ำ ฉันชนกก็ยังมีความต้องการมันอีก


และครั้งนี้แปลกมากเพราะฉันไม่ได้ดูดออกไปเพราะหยุดไม่ได้แล้วเพราะตนฝึกตัวเองให้มีสติรับได้พอดีมาสักพัก ทว่าครั้งนี้มันเหมือนร่างกายของตนมันเรียกร้องจริงๆ เรียกร้องราวกับว่าถูกทำให้อดข้าวมาเป็นเดือนๆได้แบบนั้น


“คุณไพร์ม ฉันขอโทษ”  การดูดเลือดที่ยาวนานจนเกือบจะเป็นชั่วโมงนั้นทำให้คนสุขภาพดีแบบไพร์มถึงกับทรุดได้เหมือนกัน แต่ได้ยินฉันชนกพูดชัดถ้อยชัดคำแถมขยับตัวมาหาได้ เขาก็ทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้าแต่เต็มไปด้วยความสบายใจในทันที


“ไม่เป็นไรครับ”


“แต่ฉันดูดออกไปเยอะมาก คุณไพร์มอาจจะ…เขาเรียกอะไร อ๋อ! เลือดจางได้”


“ก็เป็นไปได้ครับ”  ไม่ใช่เป็นไปได้ล่ะ เป็นไปแล้วเลย ตอนนี้เขาเริ่มจะมึนหัวและคิดว่าตนเองเข้าสู่ภาวะนั่นจริงๆ


“นี่เราอยู่ไหน ให้ผมตามหมอให้ไหม” 


“อันที่จริงไม่ต้องตามครับ”  เพราะในตึกนี้คนที่รู้ดีเรื่องอนาโตมี่ของมนุษย์เช่นเขาไม่มีใครอื่นอีก และตนก็รับรู้ได้ถึงภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ เพียงแต่คิดว่าได้พักสักหน่อยก็คงฟื้นฟูได้ ภูวนัยยังไม่ตายในตอนนี้หรอก


“แต่ฉันเป็นห่วง” เขายิ้มออกมา รับรู้ได้ถึงความห่วงหาจากใจจริงของคนที่กำลังลูบใบหน้ากันอยู่ มันรู้สึกดีอะไรแบบนี้ เหมือนกับว่าเขาไม่คุ้นเคยมาก่อน อา…เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความห่วงใยจากใครสักคนจริงๆนี่นะ


“ผมง่วงนิดหน่อย อีกสักพักคงสบายดี”


“….”


“นอนกันต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมขอบอกข้างนอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยก่อนนะ” และเขาก็คว้าหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความออกไป


ฉันยังคงพะวงเรื่องเขาอยู่ เห็นได้จากท่าทางที่ยังเคร่งเครียดอยู่นี้ เขารู้สึกดีจนแทบบ้า คงบ้าไปแล้วจริงๆถูกสูบเลือดออกจากตัวเกือบหมดแบบนั้นแต่ยังยิ้มมีความสุขอยู่ได้ ภูวนัยก็ไม่เข้าใจตัวเอง แต่ช่างเถอะ บางทีพักผ่อนสักตื่นอาจจะคิดอะไรดีๆออกมาได้


“คุณไพร์ม!”  ฉันร้องออกมา คนที่ป่วยแทนรวบกันเข้าไปในอ้อมกอด นี่เขาจะนอนโดยไม่ไปตรวจร่างกายอะไรจริงๆเหรอ


“หลับนะครับเด็กดี”  ฉันชนกเบะปาก นึกไม่พอใจเสียหน่อยแต่ไม่ได้ว่าอะไรต่อ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเขากำลังหลับอยู่จริงๆก็คลายคิ้วที่ขมวดปมแน่นของตนออกมา อย่างน้อยก็วางใจได้ ภูวนัยอาจจะแค่ง่วงนอนจึงหลับไปอย่างที่เขากล่าวอ้าง อย่างไรนี่ก็ดีแล้วที่มันเป็นแค่หลับ


เพราะฉันพิสูจน์ได้ว่าลมหายใจของเขายังไม่ถูกพรากไป


ในด้านของสนธยาที่ได้รับฟังเรื่องราวจากคนสนิทนั้นไม่แปลกใจเท่าไหร่ ฉันชนกต้องทำข้อตกลงอะไรกับภูวนัยไว้อยู่แล้วจึงทำให้ป่านนี้เขายังหาสารินไม่เจอ!


“พาไปที่สำนักงานใหญ่แบบนั้น คงไม่พลาดพาไปที่แล็บเพื่อทำอะไรบางอย่าง” 


“แต่ได้ยินว่าผ่านมาสามวันแล้วก็ยังไม่ได้ออกกันมาเลย”


“อันนี้แปลกแล้ว ยังไงตามสืบด้วย”


“ครับ”


หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน แม้เขาไม่รู้ว่าไพร์มกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แต่เชื่อมั่นได้เลยว่าเด็กโง่เง่าอย่างฉันชนกคงติดกับเข้าเต็มเปาและอาจจะเจอเรื่องยุ่งยากบางอย่างอยู่จริงๆ เขารู้สึกห่วงเพื่อนน้องชายนิดหน่อย อย่างน้อยครั้งหนึ่งฉันชนกก็เคยมีประโยชน์ต่อเขามากมาย


ช่วยให้พี่น้องที่ไม่ค่อยได้คุยเริ่มสนิทสนมกันได้


ฉันชนกที่วุ่นวายคนนั้นก็มีความดีความชอบไม่น้อย


ท่าทีของเขาต่อสารินเป็นที่สงสัย สนธยารับรู้ได้แต่ไม่สนใจสายตาของใคร มาถึงจุดที่ลูกเมียหนีไปเขาก็คิดว่าหากแคร์คนอื่นมากมายสุดท้ายก็คงไม่เหลืออะไรไว้เลย


ที่ผ่านมาแม้จะวางแผนมากมายแต่สุดท้ายมันอาจจะไร้ค่า เพราะว่าเขาใช้เวลาทำให้สาเกิดความไม่มั่นใจในหลายๆด้าน และความกลัวที่เราสองคนถือครองไว้อยู่ก็ทำให้เรารู้ใจตัวเองและรู้ว่าสิ่งที่ควรทำนั้นคืออะไร ทว่ากว่าจะรู้ดีนั้นก็อาจจะสายไป วันนี้เขาถูกพรากจากอีกคนไปแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะเดินออกไปจากชีวิตกันได้ตลอดไป


ครั้งหนึ่งเข้ามาแล้ว ออกไปมันไม่ง่ายหรอก


สิ่งที่เรียกว่าความรักน่ะ…


ในที่สุดฉันชนกที่นอนเป็นแวมไพร์ป่วยก็ได้กลับมาที่คอนโดเสียที นี่ก็เพิ่งรู้ว่าตนนอนหลับไปสองคืนในตอนนั้น ทว่าฉันก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเพราะตนเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันอาจจะเกิดขึ้นได้ และเพราะยังไม่ตายแถมยังกระโดดได้จึงไม่ถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นร้ายแรงแต่อย่างใด


“คุณฉันไม่กระโดดสิครับ”  ไพร์มที่เดินเข้ามาหาที่ห้องรับแขกนั้นหลุดหัวเราะ อยู่ๆก็เป็นอะไรของเขา


“ฉันแค่เช็คว่าตัวเองสบายดีจริงๆแบบที่คิดหรือเปล่า”


“…”


“แต่เท่าที่ดูก็เหมือนเดิมเลยนะ วิ่งได้ กระโดดได้ หลับสบาย และสดใสเหมือนเดิม!”


“ฮึๆ” 


“หิวได้เหมือนเดิมด้วย”


“และคงจะกินเก่งเหมือนเดิม”  เขาส่ายหน้า รู้สึกว่าตัวเองก็บ้าบอไปกับฉันชนกคนบ๊องเสียแล้ว


วันนี้ไพร์มจัดราดหน้าทะเลให้ แถมยังมีทอดมันกุ้งของโปรดชิ้นใหญ่เพื่อฉลองการหายป่วย เขารู้ดีว่าจะเบี่ยงเบนความสนใจของแวมไพร์ตัวน้อยได้อย่างไร เพราะมันคือสิ่งที่เขาทำมาตลอด จนถึงตอนนี้ที่เขาเคยรู้สึกดีมันกลับไม่ใช่ การที่เขาหลอกให้ฉันนั้นดีใจมันคือสิ่งที่ผิด


นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเจ็บปวดกับการ ‘ไม่ซื่อสัตย์’


“คุณไพร์มกินนี่ๆ”


“อย่าหลอกเอาคะน้ามาให้ผมกินแทนครับ”


“ง่า…เก่งอ่ะ รู้ทันด้วย”


“นี่นักปราบแวมไพร์กินจุนะครับ กับเรื่องโดนหลอกให้กินคะน้านี่เบามากๆ อย่าหลอกเสียให้ยาก”  ฉันชนกเบะปาก ถูกเขาแซะแซวจนพรุนไปหมดแล้ว ไม่เห็นใจคน(เคย)ป่วยเอาเสียเลย แต่ในขณะที่กำลังด่าทอในใจ เจ้าของใบหน้าหล่อก็ขยับมาฉกเอาคะน้าที่เจ้าตัวตักใส่ช้อนยื่นให้แต่โดยดี  “ของมีประโยชน์ต้องกินให้หมดนะครับ เด็กดี”


นี่มันวิธีรับมือแวมไพร์แบบไหนของเขากันนี่ ฉันจะระเบิดตัวตาย!!!!!


เราสองคนช่วยกันล้างจาน คุณไพร์มซึมมาก มันเพราะอะไร?  ฉันชนกที่ไม่ได้ติดใจอาการของตัวเองก่อนหน้านี้นึกสงสัยอยู่เรื่องเดียวคืออารมณ์ของคนข้างกายที่กำลังเช็ดจานอยู่ เหลือบมองใกล้ขนาดนี้เขายังไม่หันมาเล่นหูเล่นตาใส่ ฉันต้องยื่นหน้าเข้าไปส่องหูเขาเลยไหมถึงจะรู้ว่าเรียกร้องความสนใจอยู่


นี่แน่ะ!


“ทำอะไรครับ ลวนลามแก้มผมเหรอ”  เปล่านะเฮ้ย!


“ส่องหูคุณไพร์มอยู่ต่างหากเล่า!”


“ส่องทำไมครับ ในไปโดนตัวไหนมา ทำไมคึกจังวันนี้”


“ก็กินทุกอย่างที่คุณไพร์มหาให้อ่ะแหละ”  แต่ฉันคิดว่าตัวเองดีดไปจริงๆ ปกติก็ดีด แต่ไม่มากเท่านี้ คาดว่าคงจะมีปัญหาที่ทำให้ตนตลกกลบเกลื่อนได้ทั้งวัน และปัญหานั้นๆเขารู้ตัวไหมว่าฉันเป็นห่วง  “ฉันเป็นห่วงคุณไพร์ม คุณไพร์มซึมไม่ค่อยเล่นเลย”  เพราะกลัวจะไม่รู้ เลยบอกไปตรงๆ และคนที่ดีดทั้งวันก็ทำหน้าจ๋อย ราวกับอยากจะแบกรับเรื่องราวไม่สบายใจแทน


“ผมไม่เป็นอะไรครับ”  เขาเลิกคิ้ว นี่แค่ไม่กี่วัน แต่ทำให้แวมไพร์ตัวน้อยที่ชื่อฉันห่วงไปกี่ครั้งแล้ว


รู้สึกผิดแต่ก็รู้สึกดี อันนี้ฟ้าอนุญาตให้เขาเกลียดตัวเองได้ไหม


“เป็นสิ เป็นมากด้วย หรือว่าผลวิจัยออกมาไม่ดี”


“…”


“พาฉันไปเจาะกระดูกอีกไหม เผื่อว่าจะได้ใช้”  และฉันก็จริงจังมากๆ คนตัวบางยื่นแขนมาให้ และสิ่งที่ได้เห็นก็คือรอยช้ำดวงใหญ่ ตัดกับผิวขาวซีดของแวมไพร์เพิ่งหายป่วย


“ไม่ต้องหรอกครับ”


“แต่ว่า…”


“ผมแค่เหนื่อยๆครับ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่แล็บเลย”  เขายิ้มให้ นับถือในความหวังดีของฉันชนกแต่เพราะความรู้สึกบีบอัดที่ไม่เคยได้สัมผัสมาเนิ่นนานนั้นมันเจ็บปวดราวกับว่าตัวเองจะขาดใจได้ ไพร์มจึงไม่คิดจะช่วงชิงอะไรกับเด็กคนนี้อีก


ที่เขารู้สึกนี้คือความเห็นแก่ตัวใช่ไหม เห็นแก่ตัวเองที่ไม่อยากสูญเสียอะไรไป แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกรุนแรงต่อคนๆหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ก็ตาม


ดวงตาใสที่มองกลับมาช่างอ่อนเดียงสา ฉันชนกเติบโตมาขนาดนี้ได้อย่างไร เด็กคนนี้ถูกช่วงชิงผลประโยชน์ไปเท่าไหร่เขาไม่อาจจะรู้ได้เลย แต่ที่รู้แน่ๆ คือเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนไม่ดีที่เข้าหาอีกฝ่ายด้วยจุดประสงค์แย่ๆ ไพร์มค่อยๆวางมือลงบนศรีษะทุย คิดถึงอีกฝ่ายแม้จะยืนอยู่ตรงหน้าก็ตาม


“คุณฉันเคยมีช่วงเวลาที่…เกลียดผมบ้างไหม”


“เกลียดคุณไพร์ม ทำไมเหรอ?”


“เพราะผมคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ดีสักเท่าไหร่”


“แล้วฉันเป็นคนดีที่ไหน เพ้อเจ้อนะเราเนี่ย”


“ยังไม่ได้ชมเลย ใครกันแน่ที่เพ้อเจ้อครับ”


“แฮ่…ฉันเอง”  เจ้าตัวดียิ้ม ช่างพาออกนอกเรื่องเก่งนัก  “แต่จริงๆแล้วฉันเองก็ไม่ใช่คนดี ครั้งหนึ่งเคยเป็นสาเหตุที่ทำให้สาถูกเพื่อนแบนไม่ชอบขี้หน้า ฉันว่าสาต้องร้องไห้แน่ๆเลย ชั่ววินาทีหนึ่งฉันสะใจด้วยนะ”


“…”


“คือแบบ คนดีๆที่ไหนที่อยากแก้แค้นเพื่อนที่ดีมากๆกับเราคนหนึ่งด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ทำให้แฟนเราไม่รักเราอ่ะ คือสาเป็นเพื่อนที่ดีมากนะ แต่พอพี่สนขอเลิกกับฉัน ฉันก็พาลโกรธสาเพราะคิดไปเองว่าพี่สนอ่ะแอบชอบสามากกว่า”  ฉันพูดออกไป รู้สึกเหมือนได้ระบายความในใจที่เก็บไว้นาน  “แต่ตอนนั้นก็รู้ตัวนะว่าที่ทำไปไม่ถูกเลยไปขอคืนดี”


“คุณฉันเป็นคนดีครับ”  ถึงตอนนั้นฉันไม่เคยพูดเป่าหูใครว่าสาทำอะไรแต่ความเงียบที่จงใจสร้างก็ทำให้เพื่อนพวกนั้นคิดไปเองว่าคนผิดในครั้งนั้นคือสา


“ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก”  และนี่คือเหตุผลที่ว่าฉันเองก็อยากชดใช้ เห็นไหมว่าที่ทำลงไปไม่ใช่เพราะเป็นคนดีหรอก เพราะอยากทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเราก็เป็นคนดีเหมือนกันต่างหาก


“ดีแล้วครับ ดีมากกว่าผมหลายเท่าเลย”


“เราก็ไม่บอกว่าคุณไพร์มเป็นคนดีหรอก”


“…”


“คุณไพร์มอ่ะ แค่ดูหน้าก็ร้ายแล้ว แถมเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ใครคิดว่าเป็นคนดีก็ต้องโง่แล้ว นี่ดีนะที่ฉันไม่โง่”


“แล้วทำไมถึงยอมผมครับ”


“ก็บอกแล้วไงว่าฉันโกรธพวกแวมไพร์ และอยากทำเพื่อสา โน่นนี้ แต่จริงๆฉันก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ให้ทุกคนที่มาตีซี้หรือขอหรอก ฉันมองออกนะ แต่กับคุณไพร์ม”  แต่ละถ้อยคำที่หลุดออกมาทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย  “ฉันไว้ใจคุณไพร์มอ่ะ ไม่รู้สิ อาจจะโง่แบบที่คุณไพร์มคิดก็ได้”  สุดท้ายก็ยอมรับ บ้าจัง


“คุณฉันแค่เชื่อคนง่าย ไม่ถึงกับโง่หรอก”  เขายิ้มออกมา กับคำว่าไว้ใจมันให้อานุภาพมากมายขนาดนี้ หัวใจของเขาพองฟูไปหมด  “แต่คิดว่าคุณฉันน่ารักอ่ะเป็นเรื่องจริง เชื่อไหม”


“อันนั้นฉันรู้ ไม่ต้องบอกก็ได้!!!”  แต่ย้อนซะเสียงสูงและแก้มแดงสุกปลั่งขนาดนั้น ไม่ให้เชื่อได้เหรอว่าเขินกันอยู่  “นี่แน่ะๆๆๆๆๆ”  คุณไพร์มอะไรนี่ทำตัวน่าตีขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันรัวมือไม่ยั้ง แต่มันไม่แรงมาก ไม่เจ็บเท่ามดกัดด้วยซ้ำ


“เดี๋ยวช้ำหมด”  แต่เขาก็รวบมือนั้นเอาไว้ แววตาหมองที่เห็นได้ตั้งแต่เช้านั้นแปรเปลี่ยนไปวาวระยับ อย่างไรก็ตาม มันน่าหลงใหลเสียจนหัวใจของฉันก็เต้นแรง เราสองคนเหมือนหลุดออกจากโลกใบนี้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง


มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันค้นพบแต่ความจริงใจไร้จริตหรือแผนการจากแววตาคู่นั้น


“คุณฉันครับ”


“อื้อ”


เขายกมือของฉันขึ้นมาจรดริมฝีปาก ก่อนจะถามคำสำคัญ “ผมจูบได้ไหม” 


“…”


“ถ้าไม่ตอบ แปลว่าอนุญาตเลยได้ไหมครับ”  และตามนั้นฉันไม่ตอบไม่แย้งไม่แม้แต่จะกะพริบตา  “จูบเลยละกัน”


ทันใดนั้นริมฝีปากของเขาก็ประกบลงกับริมฝีปากอิ่มของฉัน และดวงตาคู่นั้นก็ปิดสนิทลงราวกับจะฝังให้ตัวเองไปอยู่ในห้วงฝันที่แท้จริง ภูวนัยไม่ได้รุกล้ำกันในคราแรก เขาส่งมอบจังหวะอ่อนนุ่มที่ดีต่อใจผู้รับก่อนจะค่อยๆริเริ่มจังหวะรุกเร้าเข้าไปทีละนิด ฉันกำลังถูกคุกคาม แต่อีกส่วนหนึ่งก็เหมือนตนไปยื่นมือให้เขาเข้ามา


“อืม” เขาผละริมฝีปากที่เคยบดคลึงอย่างเบาบางออกมาเพื่อแปรเปลี่ยนจังหวะที่หนักหน่วงและวาบหวามกว่าเดิมให้ไป ร่างของฉันถูกดึงให้เข้ามาใกล้ก่อนที่จะบดเบียดร่างกายกันไปด้วยจังหวะที่ร้อนเร่าได้มากขึ้น


ในที่สุดมือไม้ที่ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหนก็ถูกยกขึ้นมาปัดป่ายสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังและเอวสอบได้รูปของเขาราวกับจะระบายความปรารถนาที่ตนมี เราจูบกัน เราสัมผัสกันและเราก็ดื่มด่ำรสชาติจากร่างกายของกันและกันจนคิดไปได้ว่าเท่านี้ยังไม่พอ อยากจะค้น อยากจะหา อยากจะชื่นชมให้ได้มากกว่าที่เคอร์ฟิวกำหนดไว้


และสุดท้ายเราก็หลงลืมคำถามที่ว่าเมื่อไหร่ เราจะหยุดมันไปเสียที รู้ตัวอีกครั้งก็ค้นพบว่าจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่เล่นๆแล้ว


นี่คุณไพร์มชอบกันมากเลยนี่หว่า…ใครจะกล้าเถียงฉันไหม!


- - - - - -
แต่ฉันก็ชอบมากเลยเหมือนกัน
(.///.)
- - - - - -


สนธยารับซองที่บรรจุภาพถ่ายจำนวนหนึ่งมาไว้ในมือ ก่อนจะพยักหน้าอนุญาตให้รายงาน


“เหมือนว่าคุณฉันจะเข้าไปในฐานะผู้ถูกทดลองตัวยาใหม่ครับ”


“โปรเจ็คอะไร”


“เป็นโปรเจ็คลับครับ แต่เดาไม่ยาก น่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่ฝั่งแวมไพร์ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้”


“ที่ว่าผลิตสารเพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเองนะเหรอ”


“คิดว่าใช่ครับ”


“เข้าใจแล้ว ออกไปได้”  เขาบอกก่อนจะหยิบเอารูปถ่ายออกมาจากซอง ภาพจำนวนห้าใบนั้นเป็นภาพที่ถูกถ่ายตอนที่ฉันถูกพาออกมาจากตึก


สนธยามองดูภาพเหล่านั้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่ในหัวมีความคิดอยู่มากมาย ฉันเป็นแวมไพร์ที่จะพูดว่าแปลกมากก็คงใช่ คงไม่มีใครในเผ่าพันธุ์ไหนยื่นมือช่วยฝ่ายตรงข้าม แต่ฉันไม่ได้โง่ขนาดจะทำอย่างไร้เหตุผล ซึ่งเหตุผลนั้นแค่เพื่อให้สาไปซ่อนตัว เขาไม่คิดว่ามันจะคุ้มหรืออะไรสักหน่อย


ไพร์มตามติดฉันมานานแค่ไหน เขารู้ดี และการลงทุนที่ไพร์มลงมาเล่นเองขนาดนี้ เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องฝากฝังความหวังไว้ที่แวมไพร์ตนนี้มากมายแน่ๆ


แต่การทดลองที่ว่านั่นมันถูกกฎหมายหรือเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ แม้ปากจะเอ่ยว่าธุรกิจที่ทำนั้นโปร่งใส แต่เราที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงามนุษย์โลกย่อมรู้กันดีกว่าใครว่าใดๆมันไม่มีโปร่งใสเช่นนั้นหรอก ไม่งั้นเลือดคนคงไม่ผสมอยู่ในซอสปรุงรสวางขายเกลื่อนกลาดอยู่ทุกวันนี้


แล้วพ่อทั้งสองของฉันชนกทราบเรื่องหรือไม่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาทำอะไรแบบนั้น อันที่จริง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนเหล่านั้นรู้ตัวหรือเปล่าว่าเลี้ยงอะไรเอาไว้อยู่ แต่คำว่าถูกทำการทดลอง มนุษย์คนไหนๆก็ย่อมรับไม่ได้ทั้งนั้น จนกว่าจะได้ฟังรายละเอียดถี่ถ้วนก่อน


แต่เขาคงไม่วิ่งไปบอกพ่อของฉันชนกในตอนนี้เพื่อบีบอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามก็ถือว่าเป็นแผนการที่ดีหากว่าต่อจากนี้ยังไม่ยอมจำนน ยังไม่ใช่ตอนนี้แต่อีกไม่นานหรอก เขาจะยังสั่งคนไปเฝ้าดูทั้งไพร์มและฉันเอาไว้ เผื่อว่ามีการเคลื่อนไหวแปลกๆเมื่อไหร่ก็จะจัดการได้ทันควัน มิหนำซ้ำเขายังเชื่อสนิทใจว่าสิ่งที่ไพร์มทำกับฉันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ


จะให้ปล่อยไปก็ไม่ได้ ถึงไม่ได้รัก เขาก็รู้ว่าสาต้องโกรธกันแน่ๆหากเขาเมินเฉย ดังนั้นสนธยาจึงคิดจะปล่อยไปเพื่อให้ได้เผชิญกับโลกที่โหดร้ายสักครั้งเผื่อที่จะได้หายซ่า ถึงจะเอ็นดูและไว้ใจฉันที่สนิทสนมกับสาของเขาอยู่บ้าง


แต่ถ้าปล่อยให้ทำตามอำเภอใจเสียทุกอย่าง…เด็กคนนั้นก็จะไม่ได้รับบทเรียนราคาแพงอะไรเลย



Talk:
ตัวร้ายจะกลับใจหรือไม่
โปรดติดตามตอนต่อไป
#คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 28 28/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-05-2019 23:37:14
ฉันออกจะน่ารัก อย่ารังแกกันนะ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 28 28/5/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-05-2019 15:25:32
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 29 1/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 01-06-2019 17:55:21
- - - - - -
ใครน่ะ!
((゚Д゚;))
- - - - - -

ชีวิตของสานั้นเรียกว่าดีมากๆ ตื่นมาก็มีคนหาอาหารต่อสุขภาพที่ดีต่อลูกให้ทาน สภาพจิตก็แจ่มใสดี ลมเย็นๆที่พัดโชยพากลิ่นทะเลมานั้นทำให้รู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่ได้มาอยู่ที่นี่


แต่บางทีก็รู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง เพราะที่เผชิญอยู่มันเรียกได้ว่าดีเกินไป


“ผลไม้ค่ะ”


“ขอบคุณครับ”  สารับจานผลไม้ที่เพิ่งถูกปอกใหม่ๆมา ทันทีที่มันเข้าไปในปาก ความสดชื่นก็ทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นไปอีกระดับ


แม้แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังชอบ ดีจังเลยน้า


“ว่าไงครับลูก”  สาเอ่ยถามแม้ไร้คำตอบ มือที่ลูบหน้าท้องของตนนั้นสัมผัสได้ถึงแรงตอบกลับดั่งคำทักทายในยามเช้า เจ้าตัวเล็กก็ตื่นเร็วเหมือนกันในวันนี้


คงเป็นเพราะข้าวต้มที่ได้กินไปทำให้เจ้าตัวรับรู้ว่าคุณแม่ได้กินอาหารส่งไปให้ในเช้าวันใหม่ ชีวิตของสารินเรียบง่าย ดูเหมือนจะไร้ความทุกข์ใดๆเพราะมันไกลเกินกว่าสิ่งเหล่านั้นจะเข้าถึง ทว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล…


ความทุกข์อยู่ติดกับความรู้สึกที่ใจซึ่งเราพกพามันไปทุกที่ทุกเวลา


“จนป่านนี้แล้วเขาคง…ลืมกันไปหมดแล้วล่ะมั้ง” สารินหวังเช่นนั้น แต่ส่วนลึกภายในใจก็โต้แย้งไม่อยากให้มันเป็นจริงๆ ความรักความผูกพันไม่สามารถสร้างกันในหนึ่งวันได้ฉันใด จะลบมันออกไปก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆเช่นนั้นเหมือนกัน


และเผื่อๆเราอาจจะต้องอยู่กับมันตลอดไป


“มีโทรศัพท์มาค่ะคุณสา”


“จากคุณฉันเหรอ”


“ใช่ค่ะ”


“ขอบคุณมากครับ”  สารับโทรศัพท์นั้นมา ฉันแทบจะโทรหากันทุกวัน แต่แทนที่จะรู้สึกดี บางทีกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาจริงๆ


“สารับช้า”


“คนท้องทำอะไรก็ช้าไปหมดนั่นแหละ”


“ตอนนี้คงอ้วนเป็นหมูเลยสิท่า”


“ก็คิดว่าไม่ได้อ้วนขนาดนั้น แต่ก็ใช่…คงอ้วน” สาลืมไปแล้วว่าโลกใบนี้มีเครื่องชั่งน้ำหนักอยู่


“เดินเหินบ้างนะ เดี๋ยวหลานฉันกลายเป็นหมู”


“ก็ดีนะ มีแม่หมู คุณลุงหมู และลูกหมู”


“ฉันไม่อ้วนเหอะ”


“เดี๋ยวนี้ชักแก้มยุ้ยนะ รู้ตัวป่ะ”


“รู้!”  ก็จะเพราะอะไรล่ะ ตั้งแต่เจอคุณไพร์มทุกอย่างมันก็อร่อยไปหมด


“ทางนั้นเป็นไงบ้าง”


“ก็ดีนะ สงบดี”


“แล้ว…ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม ทางบ้านเราเข้าไม่…” จริงๆจะถามไปก็กลัวใจไม่น้อย ไม่ว่าจะทางไหนก็ชวนให้ปวดใจทั้งนั้น


“ไม่คุยเรื่องนี้อ่ะ คนท้องต้องเครียดแน่เลย”


“มันน่าเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ”


“เรื่องของบ้านนั้น พูดยังไงก็เครียดป่ะสาอ่ะ”  ก็จริงของฉัน


“งั้นก็ได้ เราไม่รู้ก็ได้”


“รู้แค่ว่าสาต้องมีความสุขมากๆก็พอแล้ว จำคำเราไว้”  ฉันย้ำเช่นนี้ และยืนยันจะไม่เปิดปากเรื่องที่พบเจอออกไปเด็ดขาด สายังไม่สมควรรู้ ต่อให้บอกอย่างไรก็คงเก็บไปคิดมากอยู่ดี เอาจริงๆตอนนี้ขนาดไม่รู้อะไร ก็คิดมากอยู่ใช่ไหมเนี่ย มีหรือฉันจะมองไม่ออก!


ดูเหมือนฉันจะโทรมาบ่นกันให้ฟังเสียมากกว่า ซึ่งสาก็ฟังๆไป โทนเสียงของฉันไม่ว่าจะมึงมาพาโวยสักเพียงใดมันก็เป็นได้แค่ลมที่จั๊กจี้ใบหูแค่นั้น ทำไมคนที่ดูจะมืดมนอย่างสาถึงได้ถูกคนแบบฉันชนกดึงดูดให้เข้าหาได้ขนาดนี้


สาเคยอยากเป็นคนแบบฉัน มีความสุขทุกวันเหมือนไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆในหัว แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆระบบประมวลความคิดของฉันนั้นอาจจะซับซ้อนอยู่แต่เราแค่ไม่เข้าใจ ทว่าสามั่นใจว่าหากได้คลอดตาหนูออกมาและมีฉันช่วยเลี้ยง ลูกต้องอารมณ์ดีเหมือนเพื่อนแน่ และนั่นคือสิ่งที่คาดหวังอยากให้เป็น เรื่องเลวร้ายทั้งหมดนั่น….


ให้สาเก็บมันไว้แค่เพียงคนเดียวก็พอแล้วจริงๆ


จริงๆที่ฉันเพียรบ่นเพียรโทรหาก็แค่อยากให้สาได้รู้ว่าตนยังมีคนที่ห่วงใยอยู่ หลังจากวันนั้นที่ได้เจอสนธยา ฉันก็ไม่ได้เจอเขาอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณไพร์มหรือเปล่าที่กันไม่ให้เขาเข้ามา แต่อย่างไร ฉันก็ได้พูดคุยกับคุณเขาไปเพิ่มเติมในวันก่อน


เรื่องที่ว่าฉันอยากจะกีดกันสนธยาออกจากสารินจริงๆหรือไม่?


เจตนาของฉันนั้นไม่รุนแรงแบบที่สาคิด อย่างไรก็อยากให้ทั้งสองได้คู่กันด้วยเหตุผลที่ว่าคนรักกันก็ควรจะมีความสุขร่วมกันสักครั้ง หากมันไม่รอดจริงๆก็คุยให้ชัดเจน หาทางแก้ปัญหา ถ้าไม่ไหวค่อยแยกจากกันอีกที หนีมาเลยโดยไม่พูดไม่จาแบบนี้มันไม่ดีจริงๆ ไม่ดีที่สักวันหนึ่งก็ต้องถูกตามเจอ และกว่าจะถึงตอนนั้นเราก็ต้องอยู่กับความกังวลใจไปตลอดด


แล้วทำไมฉันถึงช่วยสาแต่แรก ก็เพราะว่าถ้าปล่อยให้พี่สนพาสาเข้าบ้านไป ฉันก็ไม่แน่ใจว่าสาต้องเผชิญอะไรบ้าง หากถูกสั่งให้ทำแท้ง ฉันมั่นใจได้เลยว่าคนที่เจ็บที่สุดคือสาและเสียใจที่สุดคือฉัน ดังนั้นกันออกมาเพื่อให้ได้เจรจากับพี่สนก่อนย่อมดีกว่า แต่เมื่อไหร่กันล่ะที่ฉันจะได้พูดคุยกับพี่สนดีๆสักที


ก็ก่อนหน้านี้ที่เขามา ทั้งท่าทางคุกคามและเลือดแค้นในกายที่สุมอยู่ก็ทำให้ตนเลือกที่จะเล่นละครทำไม่รู้ไม่ชี้ไป อันที่จริงฉันก็คิดไว้ว่าให้เขาได้อดทนกับอะไรบ้างมันอาจจะดีกว่าได้ทุกอย่างมาได้ง่าย แต่ในตอนนี้สำหรับฉันมันไม่ง่ายแล้วสิ ไม่ใช่ว่าตอนนี้สนธยาถอดใจและเลิกตามหาสารินของฉันชนกไปแล้วนะ!


หลานของฉันจะไม่มีพ่อเพราะน้าโง่ๆคนนี้แท้ๆ


ฉันได้บอกภูวนัยถึงเจตนาของตน ทว่าก็บอกต่อไปถึงความกลัวที่จะไม่ได้เจอสนธยาอีก ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับยิ้มน้อยๆ ลูบใบหูของฉันแผ่วเบาก่อนจะพูดว่า ‘ต้องได้เจอกันแน่ๆ ไม่นานนี้แหละ’ บอกตรงๆนะ


อีหยังของคุณไพร์มวะ ฉันงง?!


วันนี้ฉันต้องกลับบ้าน มันเป็นคำขอจากพ่อทั้งสองที่ไม่ได้กินข้าวด้วยกันสักพักแล้ว แน่นอนว่าโยเยต่อบุพการีไม่ใช่เรื่องดี ทันทีที่วางโทรศัพท์ที่คุยกับวธิน ฉันก็หยิบกระเป๋าสตางค์กับมือถือออกมากวักเรียกแท๊กซี่ ยังเช้ามากสำหรับวันหยุด คาดว่าถนนคงว่าง และภูวนัยก็คงยังไม่ตื่น


หลังจากโทรไปกวนสา ก็ค้นพบว่าในกรุงเทพรถมันน้อยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นั่งเบื่อๆไปก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยก้มหน้าเล่นมือถือ รถเคลื่อนตัวไปสักพักก็เริ่มจะคล่องตัวขึ้นบ้างแต่ไม่มาก ฉันกำลังเบื่อเพราะไทม์ไลน์เฟซบุคมีแต่อะไรไร้สาระ ทว่าสายโทรเข้าก็ทำให้ตนร่าเริงขึ้น


สายโทรเข้าที่เฟซไทม์มาหา


“ฉันตื่นเร็ว!”


“ครับผม”  เป็นเขาที่ตื่นสาย และพอตื่นก็โทรหาทันที สภาพของเขาในตอนนี้คือร่างที่ยังหัวยุ่งหน้าบวมตายังไม่เปิดดีและที่สำคัญ ไม่ใส่เสื้อนอน อันนี้คนได้เห็นก็ฮึบไม่ออก แซวไม่ได้ แต่ห้ามเขินเช่นกัน


“ทำไมวันนี้คุณไพร์มตื่นสาย”


“นั่งปั่นงานอยู่ครับ ว่าแต่คุณฉันล่ะ นี่ยังไม่ใช่เวลาตื่นนี่”


“วันนี้ที่บ้านโทรมาปลุกตั้งแต่ฟ้ายังมืดอยู่เลย วันนี้ฉันเลยว่าจะไปกินข้าวกับที่บ้าน”


“แล้ววันนี้จะค้างไหมครับ”  เขาเท้าคาง ตั้งมือถือไว้ในท่าที่ถนัดเพื่อมองหน้าคนที่ยอมเปิดกล้องคุยด้วยในตอนเช้า


“นั่นสินะ ฉันค้างดีมะ…เอ้ยยยย!!!!!!!!!”


“คุณฉัน เกิดอะไรขึ้น?”


“ลุงครับเกิดอะไรขึ้นครับ”  ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคนขับรถต้องเบรกแรงแบบนั้นด้วย


“ก็ไอ้คันหน้าน่ะสิ อยู่ก็ขับเข้ามาปาดหน้า มันไม่กลัวตายหรือไงวะ แล้วนั่นมันลงมาแล้ว” แท๊กซี่ที่อายุไม่ได้เยอะกว่าพ่อของฉันมากเท่าไหร่แกดูโมโหมาก เอาเป็นว่าพร้อมฟาดตลอดเวลาแต่ฉันผู้รักสงบบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอยากจะมีเอี่ยวด้วยไหม  “ไหนมึง! ขับรถภาษาอะไรเฮ้ย?!!”  ทว่าทันทีที่คนขับเปิดประตูรถออกไป ร่างก็ถูกกระชากออกไปด้วยแรงอันมหาศาล


ฉันยังคงไม่ได้ตอบไพร์มว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะตนก็ยังงง ไพร์มเองก็เอาแต่เงี่ยหูฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้น เสียงดังเกิดขึ้น ฉันสะดุ้งก่อนที่ประตูฝั่งที่ตนนั่งจะถูกเปิดออก


“ลงมา” เสียงที่ไม่ได้เบาหรือดังเกินไปทว่าเต็มไปด้วยความกดดันนั้นทำให้ทำอะไรไม่ถูก


“ผม…” ฉันทำตัวไม่ถูก ในหูที่เสียบหูฟังไว้นั้น ไพร์มได้เรียกชื่อตน และไม่ทันได้อะไรอีกก็กลายเป็นว่าร่างตนได้ถูกกระชากพาออกไปนอกรถเสียแล้ว และในตอนนั้นเอง


การติดต่อกับไพร์มก็สิ้นสุดลงเช่นกัน


“พวกคุณเป็นใครกัน!”


“พาไปขึ้นรถ นายใหญ่ให้รีบจัดการ” นายใหญ่อะไร คนพวกนี้เป็นคนของใครกัน ฉันนั้นมองไปรอบๆ ไม่มีใครที่รู้จัก คุ้นตา หรือสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าคุ้นเคย


“มะ…ไม่!!”  ฉันขืนตัวก็แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ คนพวกนี้แรงเยอะเกินไป หรือสายพันธุ์ของฉันมันอ่อนแอเกินไป


“เดินมานี่”  และแล้วเมื่อมันรำคาญกับท่าทีที่ไม่เชื่อฟัง อาวุธที่ใครก็ต้องกลัวก็ถูกนำมาใช้ขู่ ทว่าแวมไพร์นี่จะตายเพราะกระสุนไหม แต่ถ้าทำจากเงิน ก็ไม่แน่มั้งนะ


สุดท้ายก็ต้องยอมจำนวนและเดินเข้าไปในรถแต่โดยดี ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของการถูกจับไปหรอก อาจจะเป็นอันตรายก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่ไปตอนนี้ก็โดนยิงก่อนเลย ซึ่งอันนี้เป็นอันตรายแน่!


“พาไปที่แล็บ”


“รับทราบครับ”  แล็บ…แล็บที่ไหน


นี่มันเกี่ยวอะไรกับคุณไพร์มหรือเปล่านี่!


- - - - - -
ไม่เล่นสิ! คือฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย
((゚Д゚;))
- - - - - -


เขาเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้น


แต่ในขณะเดียวกันก็ทำอะไรไม่ได้เลย!


ภูวนัยแทบจะพุ่งตัวออกไปจากห้องทั้งในสภาพชุดนอนแบบนั้น จะมีใครที่ต้องการตัวฉันไปเท่ากับสนธยา ทว่าเมื่อเขาติดต่อทางนั้นไป กลับไม่ได้รับการตอบกลับใดๆราวกับว่าไม่ได้สนใจการติดต่อไปของเขา มันยิ่งทำให้น่าสงสัยขึ้นไปอีก


ทว่าลางสังหรณ์บางอย่างก็บอกกันว่าอย่าเชื่ออะไรอย่างใดอย่างหนึ่งไป สิ่งที่เขาทำมันก็ขัดผลประโยชน์หลายฝ่ายอยู่ และเป็นไปได้ที่ฉันชนกจะถูกจับตัวไปเพราะการทดลองของเขา แต่กลุ่มไหนกันล่ะที่ทำสำเร็จ


อย่างไรก็ตาม ในสมองของเขามีแค่เรื่องความปลอดภัยของเด็กคนนั้น น่าแปลกที่แม้แต่นิด ก็ไม่ได้คาดหวังหรือเป็นห่วงเรื่องแผนงานที่วางไว้หลายปีจนแทบเป็นความฝันกว่าค่อนชีวิตเลย แม้แต่ไพร์มที่ฉุกคิดถึงมัน ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเขารู้สึกร้อนรนเสียจนอยากจะบ้า


“ผมต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”  เขาติดต่อไปที่ผู้ช่วยของเขา ในใจไม่นึกอยู่สุข หลังจากที่เปลี่ยนชุด เขาก็แทบจะพุ่งรถไปยังเส้นทางตามระบบติดตาม และแห่งสุดท้ายมันคือที่นี่…


แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น


“ทางสนธยาล่ะ” 


“ตอนนี้คุณสนเหมือนจะไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทยครับ บินออกนอกประเทศไปตั้งแต่เมื่อวานก่อนนี้ ทางเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว”  แต่นี่ไม่ได้ช่วยยืนยันอะไร


“ทางกลุ่มแวมไพร์ล่ะ”


“ขอเวลาหน่อยครับ ตอนนี้กำลังเร่งสืบอยู่”  แม้แต่ผู้ช่วยคนสนิทก็ยังแปลกใจในความใจร้อนของเจ้านาย ปกติเขาสุขุมกว่านี้ แต่ก็เป็นไปได้เพราะนี่คือการหายตัวไปของหนูทดลองที่สำคัญกับอนาคตโปรเจ็ค จะหงุดหงิดก็ไม่แปลก


แต่ก็ยังแปลก…อยู่ดี


ภูวนัยค่อยๆหายใจเข้าออก เขาจอดรถไว้ข้างทาง พยายามบังคับตัวเองไม่ให้สติแตกไปมากกว่านี้ การติดต่อของเขากับผู้ช่วยและแหล่งข่าวๆอื่นที่มีอยู่ได้จบลงไปแล้ว มันน่าตกใจที่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้และไม่เคยแม้แต่จะทุ่มหน้าตักกับอะไรแบบนี้มาก่อน ทุกอย่างเหมือนจะมาจากเหตุผลเดียว


เหตุผลที่เป็นบุคคลที่อาจจะไม่มีผลประโยชน์


“เป็นแบบนี้ไม่ได้นะ”  เขาได้แต่พูดกับตัวเอง มันไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวใจทำงานหนักขนาดนี้ หรือจะให้พูดให้ถูกคือตัวเขาไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ราวกับว่าที่เป็นบ้าอยู่นี้หัวใจมันเรียกร้อง และสมองก็พยายามปฏิเสธ แต่ว่ามันกำลังจะแพ้ เพราะหัวใจจะไม่ยอมอีกต่อไป


ทำไมผู้ชายตัวเล็กแก้มพองๆคนหนึ่งถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจได้มากขนาดนี้ ไม่มีใครตอบได้ และหากเขาไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ก็จะไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้เช่นกัน ทว่ามีเวลาคิดด้วยเหรอในตอนนี้


เอาเป็นว่าหากหาไม่เจอล่ะเรื่องใหญ่แน่ เน้นหาก่อนแล้วกัน!


ในอีกมุมหนึ่ง คนที่ออกจากประเทศและมีกำหนดกลับในวันนี้ก็ได้รับการแจ้งข่าวแปลกๆที่ดึงเอาความสนใจของเขาทั้งหมดที่มีไป ไม่ใช่ว่ามีคนหาสารินเจอหรอก แต่คนที่ติดตามฉันอยู่กลับเจออะไรแปลกๆเข้า


“ให้คนตามไปใช่ไหม”


“ตอนนี้เราทำได้แค่ตามครับ ทางนั้นมากันเยอะ จะเป็นอันตรายกับคนของเราได้ อีกอย่างเราได้รับคำสั่งแค่ตามเลยไม่ได้ทำการอะไรลงไป”


“เอาเป็นว่าตอนนี้ตามให้รู้แน่ชัดว่าใครกันที่ทำลงไป”


“รับทราบครับ”  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สนธยาเองก็สงสัยไม่น้อย จะว่าไพร์มทำอะไรเช่นนี้ มันก็ไม่เมคเซนส์เอาเสียเลย งั้นก็คิดได้อย่างเดียวแล้วว่าคงเป็นศัตรูของไพร์มสักคนที่ทำลงไป แต่ด้วยเจตนาอะไรนั้น มันยังยากที่จะตัดสินได้ และฉันอาจจะได้รับอันตรายจากเหตุการณ์นี้


“หึ”  ที่เขาบอกว่าอยากให้ได้ลิ้มลองรสชาติบางอย่าง


ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังเผชิญมันอยู่จริงๆ


ในตอนเกือบเที่ยง ทางสารินได้รับโทรศัพท์จากคนที่ให้ที่อยู่ชั่วคราวกับตน ทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ในที่สุดสารินก็ได้คุยด้วย เนื้อหาคือสอบถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป ซึ่งสาเองก็ตอบไปอย่างที่ตัวเป็น แต่ก็รู้สึกประหลาดๆอยู่บ้าง


และเมื่อวางสาย ตนก็ส่งต่อโทรศัพท์ให้กับคนดูแลไปพูดคุย เธอออกไปพูดคุยกับเจ้านายของเธอข้างนอก ดูเป็นเรื่องส่วนตัวและสาก็ไม่คิดที่จะไปสนใจ


“ไม่มีอะไรผิดปกตินี่คะ”  เธอตอบกลับคำถามของเจ้านาย รอบด้านยังดูปกติ บอดี้การ์ดก็ไม่ได้มาแจ้งให้ทราบถึงอะไรแปลกๆ ว่าแต่เขาไม่ได้ติดต่อไปถามทางบอดี้การ์ดหรอกเหรอ?


“เข้าใจล่ะ แค่นี้แหละ”  ภูวนัยที่อยากจะได้รับความมั่นใจจากหลายๆคนนั้นถามไปทั่ว แต่คำตอบยังคงเป็นคำเดิม


เวลาเหมือนจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่สำหรับเขามันนานชั่วกัปกัลป์ ทำไมกับแค่คนๆหนึ่งที่ไม่ได้ผูกพันกันเนิ่นนาน จะก่อให้เกิดความรู้สึกห่วงหาได้ถึงเพียงนี้ เมื่อย้อนคิดเปรียบเทียบกลับไปถึงคนที่เขารู้จักมาทั้งชีวิต ภูวนัยก็นึกสะท้อนใจ


ทำไมเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย


ตั้งแต่เกิดมาเขาอยู่ในสถานะที่ยิ่งกว่าเป็นรองในทุกๆด้าน มีแม่เป็นเมียน้อยที่นอกจากจะไม่มีความสำคัญ ความใส่ใจต่างๆเรียกว่าแทบไม่มี เขาเคยได้ยินมาว่าพ่อที่เป็นผู้นำตระกูล ‘สุธาสกุล’ ผู้มีลูกมากนั้น บางครั้งเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นลูกของตัวเองบ้าง มันเหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ไพร์มยังจำสายตาที่คนเป็นพ่อมองกันราวกับไม่มีตัวตนได้


คงนึกว่าเขาเป็นลูกของคนสวนที่บ้างกระมัง


แม่ของเขาเป็นคนใช้ ถูกเข้าหาในคืนหนึ่งและจบลงทั้งอย่างนั้น เมื่อตั้งท้องเธอก็ทำตามเงื่อนไขที่ผู้ช่วยของพ่อซึ่งรู้เห็นทุกอย่าง เธอเดินไปบอกเขาว่าตั้งท้องลูกของนายท่าน และเธอก็ได้รับเงินมาก้อนหนึ่งสำหรับดูแลตัวเอง ทว่าเธอย่อมรู้ดีว่าลูกในท้องจะสามารถใช้นามสกุลร่วมได้ แต่จะไม่มีสิทธิ์อะไรในบ้านหลังนี้เลย


หากไม่พาตัวเองออกไป ก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนลูกคนใช้คนหนึ่งไม่ต่างจากคนอื่น ไพร์มไม่ใช่ลูกคนแรกที่มีชีวิตที่รันทดแบบนั้น เขามีพี่น้องอีกเกือบสิบคนที่เกิดมาด้วยกำพืดแบบเดียวกัน และบางคนนั้นสามารถผลักดันตัวเองเป็นที่จดจำและได้เลื่อนลำดับขั้นในที่สุด


เขาไม่แน่ใจว่าความรักคืออะไรเพราะไม่ได้เกิดมาด้วยเหตุผลนั้น อันที่จริงที่เขาไม่ตายเพราะการมีอยู่ของเขาจะทำให้เบี้ยเลี้ยงคนใช้ของแม่สูงขึ้นกว่าปกติ มันไม่มีเรื่องทารุณกรรมอะไรเกิดขึ้นหรอก ทว่าก็ไร้ซึ่งความอบอุ่นอย่างที่ใครๆบอกว่ามันควรจะเป็นเช่นกัน และในวันหนึ่งแม่ของเขาที่ติดยาหนัก…ก็ได้รับกรรมจากการเสพย์ยาเกินขนาด


เขาที่ถูกเลี้ยงแบบค่อนไปทางตามมีตามเกิดนั้นมองสภาพแม่ที่เหมือนศพเดินได้และได้กลายไปเป็นศพจริงๆ ในตอนนั้นเขาน่าจะสักเกือบสิบขวบได้แล้วมั้ง รู้ความ อย่างน้อยก็รู้ว่าแม่นั้นเริ่มติดยามาได้เกือบปีจากคนสวนที่เข้ามาใหม่ในบ้านหลังนี้ จริงๆเธอค่อนข้างจะมีเพื่อนมากน่ะ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยสอนเพื่อนเท่าไหร่


ในวันหนึ่งหลังจากที่แม่ตายแล้ว เขาถูกสั่งให้เข้าไปช่วยทำความสะอาดในบ้านใหญ่ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเหล่าคุณหนูของที่บ้านซึ่งเกิดจากคุณนายใหญ่หรือจะเรียกง่ายๆว่าเป็นเมียหลวงของพ่อ แน่นอนว่าสภาพของเขาที่เป็นลูกเหมือนกันช่างต่างราวฟ้าเหว และด้วยความที่ไพร์มยังเด็กเกินที่จะยอมรับความเป็นจริง เขาจึงเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้


ทว่ายังไม่ทันได้เอาไประบายที่ไหนก็มีคนสร้างเรื่องให้เขาแล้ว


‘ไอ้เด็กนั่นมันขโมย’ เมื่อมีของหาย เด็กสักคนหนึ่งก็ชี้มาทางเขา อาจจะเพราะเห็นว่าเพิ่งกำพร้าแม่เลยไม่มีคนมาช่วยแก้ต่างให้ น่าแปลกใจที่ไพร์มในตอนนั้นมองตอบไปด้วยสายตาด้านชา แต่ใจนั้นเต้นระรัว ค้นพบความรู้สึกใหม่ๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตัวเอง


‘ค้นตัวมันสิ’


‘ไม่มี!’  มันจะไปมีได้ไง


ในเมื่อเขาเห็นว่าต่างหูที่ทุกคนพูดถึงนั้น มันถูกเอาไปวางไว้หลังแจกันโดยอีกคนที่มาทำความสะอาดด้วย


ในตอนนั้นที่เขาไม่สนโลกไม่สนใคร การถูกกล่าวหาเพียงครั้งได้เปลี่ยนทัศนคติของเด็กชายไปตลอดกาล คนที่ชี้มาทางเขาเป็นลูกคนใช้ ส่วนคนที่ค้นตัวหรือมองดูอยู่รอบๆล้วนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดฝั่งพ่อ ส่วนคนที่น่าจะเป็นขโมยก็คือ…


น้องชายของไอ้คนที่กล่าวหา


‘มึงเอาไปไว้ไหน’


‘กูไม่ได้เอาไป’ เด็กชายตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง


 ‘อย่ามาโกหก’


‘แล้วทำไมต้องเป็นกูที่ถูกมึงค้นตัวด้วย’


‘ก็มึงไม่มีแม่อยู่แล้วไง’ จะหมายความว่าความเป็นอยู่ของเด็กชายมันจะยากแค้นต่อจากนี้จนต้องขโมยของหากิน หรือเพราะการที่แม่ไม่อยู่ทำให้มันไม่ยุ่งยากดีล่ะ เขากระตุกยิ้ม นึกไม่ถึงว่าเรื่องงี่เง่าจะสนุกขึ้นมา


เด็กชายค่อยๆขยับไปยืนใกล้ ก่อนจะพูดคำๆหนึ่งที่พลิกสถานการณ์ออกมา


‘ทำไมมึงไม่ไปค้นตัวน้องมึงล่ะ มันเก็บต่างหูใส่กระเป๋าแล้ว’


‘อึก’


‘กูให้โอกาสนะ’ น้ำเสียงของเด็กชายไม่ได้สั่นแม้แต่น้อย ‘จะรับเองหรือให้เจ้าตัวรับไป’


แต่สุดท้ายแล้ว…ก็ไม่มีใครรับไปเพราะตามดมมือใครไม่ได้ ก่อนที่จะหมดวัน เราพบเจอไอ้ต่างหูนั้นแถวบันได


เด็กชายภูวนัยที่ในตอนนั้นไม่ได้มีชื่อเล่นว่าไพร์มและไม่มีชื่อเล่นอะไรเพราะถูกเรียกว่า ‘มึง’ หรือ ‘มัน’ มาตลอดนั้นเป็นคนใจดีหรือไงถึงได้ปล่อยสองพี่น้องนั่นไป ไม่…เขาไม่ได้ปล่อยใครเลย เป็นเขาที่เสนอแก้สถานการณ์ให้ แลกกับการที่เด็กพวกนั้นต้องทนอยู่กับการถูกบงการชักใยต่อจากนั้นเป็นเวลาหลายปี จนบางทีคิดว่ารับโทษไปเองคงจะสบายใจกว่า


แล้วเด็กชายที่กำพร้ามารดาใช้ชีวิตอย่างไรต่อมา ด้วยเพราะความเป็นจริงบางอย่างได้ทำให้เขาเปลี่ยนไป ไม่มีมิตรแท้แม้แต่คนในสายเลือดเดียวกัน เราไม่มีความเห็นใจใดๆกันเลยในเมื่อทุกคนหมายจะยกตัวเองขึ้นไป แต่คนเหล่านั้นล้วนโง่เขลาเพราะการจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ผลนั้นไม่ใช่แค่ทำตัวเองให้เก่งกว่าใคร


แต่เป็นการทำตัวเองให้เก่งเหนือใคร


เหยียบได้…เหยียบ เด็กชายภูวนัยที่ไร้ซึ่งมารดานั้นเหมือนเหลือตัวคนเดียว เขาคือหมาบ้าที่ฆ่าได้ฆ่า การจะไต่เต้าเข้าไปเป็นที่จดจำนั้น ถ้าไม่ทำมันบนหลังคนอื่นก็จะไม่น่าสนใจ โดยเวลาปีกว่าๆเท่านั้นเขาได้เลื่อนสถานะไปอยู่เรือนที่ใหญ่กว่า รวมถึงได้รับการศึกษาที่ดีพอๆกับคุณหนูทั้งหลายในบ้าน ทว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งถูกยอมรับก็ยิ่งถูกคาดหวัง


เด็กชายได้รับการตั้งชื่อเรียกเล่นๆโดยผู้เป็นพ่อว่า ‘ไพร์ม’ เขาได้นำความสำเร็จต่างๆมาให้สุธาสกุลภูมิใจ และผลตอบรับคือความมั่งคั่งและอำนาจมากมาย ทว่าไพร์มก็ไม่เคยที่จะไว้ใจและทำเพื่อใครเต็มร้อย เขาหาผลประโยชน์ให้ทุกคนแต่ก็พร้อมจะยึดครองส่วนแบ่งมหาศาลให้ตนเอง หรือเหยียบทุกคนที่ขวางหน้า จุดประสงค์คืออะไรไม่มีใครทราบ แม้กระทั่งเจ้าตัวเองก็ไม่เคยถามหาเพราะแค่คิดว่ามันสนุกดีก็เพียงเท่านั้น ทว่าในตอนนี้ทุกๆอย่างกลับสั่นคลอน


เพียงเพราะคนๆเดียวหายตัวไป


TBC









หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 29 1/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-06-2019 00:06:25
 ใครจับตัวฉันไป :katai1:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 29 1/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-06-2019 15:57:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 30 3/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 03-06-2019 15:18:57
- - - - - -
ในระหว่างที่ฉันถูกจับตัว
(._.)
- - - - - -


ไม่มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้น


มีแต่ความวุ่นวายใจที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที


เขาเริ่มหงุดหงิด ใส่อารมณ์ไปทั่ว เป็นการแสดงออกที่เป็นตัวเองที่สุดในชีวิต หลายครั้งคนเราย่อมมีเรื่องที่ทำให้หงุดหงิด แต่ไพร์มจะควบคุมตัวเองได้ดีมาเสมอ จนน่าคิดว่าจริงๆแล้วควบคุมได้ดี หรือแค่ไม่ได้รู้สึกรุนแรงถึงขนาดให้เสียการควบคุมมากกว่า


“ทางเราไม่พบอะไรที่ผิดปกติจากทางฝั่งแวมไพร์เลยครับ และคนที่ติดตามคุณฉันของทางเราก็พบหมดสติเจ็บหนักนำส่งเพื่อรับการรักษาแล้ว”  คนสนิทของเขารายงานมาแบบนั้น “เอายังไงต่อดีครับ”  ไพร์มค่อยๆหลับตาลง เขาไม่อยากเสียอะไรที่ได้ชื่อว่าผลประโยชน์ไป หลายครั้งการเหยียบเรือสองแคมจะให้โทษ และครั้งนี้ก็เช่นกัน


เขาค่อยๆหลับตาลง…


“เข้าใจแล้ว”  คำพูดนี้ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าไพร์มจะปล่อยวาง และสิ่งแรกที่คนสนิทคิดได้ก็คือตัวคนที่หายไปนั่นแหละคือสิ่งที่เจ้านายได้ปล่อยวางแล้ว แต่จริงๆนั้น  “ฉันจะลองทำอะไรสักอย่าง”  เขายังไม่ปล่อยวางในบางอย่างแน่นอน


หลายๆอย่างที่เฝ้าติดตามมาตลอดหลายชั่วโมง จากเช้ามาบ่าย จนเกือบจะเย็นค่ำ ภูวนัยมั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้มันมีการวางแผนมาอย่างดี กำลังคนที่เขาให้ติดตามฉันชนกอยู่ห่างๆนั้นยังถูกจัดการได้โดยง่าย


ไม่โดนคนของตัวเองบ่อนไส้เสียเอง ก็ต้องเจอกับคนที่เก่งกว่ามากๆ


ทว่ามันยังมีอีกวิธี หลังจากที่เขาพาสารินไปหลบซ่อนและได้เจอกับสนธยาในวันนั้น เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องแอบติดตามกันแน่ และเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายก็คงส่งคนไปติดตามทางฉันชนกด้วยเช่นกันด้วยคิดว่าสักวันเด็กคนนั้นต้องแอบไปหาเพื่อน จะอย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะไม่เคยบอกฉันเลยว่าสารินอยู่ที่ไหน


ไม่น่าเชื่อว่าไพ่ตายที่ไม่คิดจะได้ใช้ต้องถูกเปิดออก


“ในที่สุดนายก็ติดต่อมาด้วยตัวเอง”


“ก็ใช่ว่าพี่สนจะติดต่อมาก่อนนี่ครับ” สนธยาที่อยู่ปลายสายนั้นลอบยิ้ม ไม่มีครั้งไหนที่รุ่นน้องคนนี้แสดงออกว่าพ่ายแพ้อย่างชัดเจน ไพร์มนั้นเป็นที่รู้จักดีในเรื่องของความเก่งฉกาจในด้านต่างๆ ซึ่งทุกอย่างล้วนได้มาจากความฉลาดแกมโกงของเจ้าตัว


อย่างไรก็ตามเราก็รู้จักกันประมาณหนึ่งตามประสานักธุรกิจที่มีสายเลือดเฉพาะทางกลุ่มเล็กๆ ไม่ได้สนิทสนมกันด้วยเรื่องส่วนตัว เพียงแต่ว่าเขาเคยเรียกขอให้คนของไพร์มคอยเฝ้ามองแฟนเก่าของน้องชายด้วยไม่อยากให้ใครได้รับรู้เรื่องที่เก็บซ่อนไว้ และเราก็เจรจาการค้ากันมาโดยตลอด


และตอนนี้ไพร์มก็คงพร้อมจะเจรจากับเขาเช่นกัน


เดาได้ว่าฉันชนกคงสำคัญพอที่ไพร์มจะยอมตามใจ คนหัวหมอที่ถือครองโปรเจ็คนวัตกรรมใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับตัวยามากมายอย่างภูวนัยนั้นถึงจะชอบส่งคนลงไปทำงาน แต่เพราะไม่ค่อยไว้ใจใครเท่าไหร่ กับงานสำคัญไหนๆก็มักจะลงมือเอง


ตอนแรกที่ได้เห็นว่าสองคนนั้นรู้จักกันตอนไปเยี่ยมเยือนในร้านกาแฟ สายตาที่เหมือนกับหมาล่าเหยื่อของไพร์มนั้นทำให้เขาลงทุนทำตัวสนิทสนมกับฉัน และสายตาที่ถูกมองมันแสดงออกชัดเจนว่ากำลังดูเชิงกันอยู่ เขามั่นใจว่าฉันต้องเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คสำคัญบางอย่าง ยิ่งชาติกำเนิดแวมไพร์ของเจ้าตัวที่เขาบังเอิญรู้ ก็ยิ่งเข้าใจความต้องการ


“หวังว่านายคงจะยอมทำตามข้อตกลง”


“ผมเคยคิดว่าพี่คงไม่ลักพาตัวหรือทำอันตรายเพื่อนของสาริน แต่จริงๆแล้วผมคิดผิดไปใช่ไหม”  ไพร์มนั้นเคยไม่สนใจว่าคนที่ชื่อว่าสารินเป็นใครจนกระทั่งเร็วๆนี้เขาได้ตรวจสอบดูก็รู้ว่าตัวเองเคยเป็นมือไม้ให้อีกฝ่ายมาก่อน จึงเดาไม่ยากเลยว่าพี่ชายคนนี้คิดอะไรอยู่ เห็นว่าฉันมีความสัมพันธ์กับบ้านอีกฝ่ายดีเลยเผลอวางใจไม่คิดจะโดนลอบกัด


“นายคิดไม่ผิด คนของฉันแค่ตาม แต่ไม่ได้ทำอะไร และเพราะแค่ตามจึงไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะช่วยได้” คนของสนธยาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างและต้องพลิกแพลงสถานการณ์ ในตอนนี้เขาเองก็ต้องระแวงว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายสารินเพราะความเข้าใจผิดเช่นกัน


สนธยาไม่เคยคิดจะลักพาตัวฉันชนกเพื่อไปกระตุกหนวดคนแบบไพร์ม สารินกำลังท้องและมันเสี่ยงมากๆกับการท้าทายให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าโกรธ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้นมีเพียงเฝ้าติดตาม ค้นหาด้วยตนเองหรือรอการติดต่อเพื่อต่อรองกลับมา ทว่าวันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ทางเขาเองก็จำต้องทำอะไรบางอย่าง


คือเข้าถึงตัวฉันชนกให้ได้ก่อนไพร์มเพื่อสร้างสถานการณ์ที่เป็นต่อเช่นกัน


“งั้นพี่ก็บอกมาว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน”


“แล้วนายจะบอกฉันก่อนไหมว่าสาอยู่ที่ไหน”


“เขาปลอดภัยดี”


“แค่นั้นมันไม่พอ”


“….”  ถ้าต้องแลกสารินกับฉันชนกล่ะก็ เขาย่อมเห็นว่ามันคุ้มค่าอยู่แล้ว แต่จะอย่างไรหัวใจก็ยังรู้สึกว้าวุ่นอยู่ดี


“ฉันต้องการแลกเปลี่ยนคน”  เขาบอกความต้องการนั้นลงไปก่อนจะวางสายโดยไม่ฟังคำโต้แย้งหรือคำต่อรองใดๆต่อ สนธยาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นนักหรอก และถ้าหากอยากแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่างที่คิดว่าคุ้มค่าแล้วล่ะก็


สารินแลกกับฉันชนกก็ดูเหมาะสมกันดี!


สนธยาเดินทางกลับไทยพร้อมกับความหวังที่จะได้เจอสารินแบบเป็นรูปธรรมมากขึ้น เขาได้รับการอัพเดทความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ รายงานที่ได้รับทราบมา ข้อตกลงระหว่างเขากับภูวนัยจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทางเขาได้ตัวของฉันชนกมาครอบครองไว้แล้วเท่านั้น แต่หากทางเขาบุ่มบ่ามไป ก็อาจจะทำให้ศัตรูของอีกฝ่ายย้อนกลับมาเล่นงานกันได้


แต่ถ้าเขาบอกที่อยู่สารินกับภูวนัยไป ทุกอย่างก็อาจจะเป็นโมฆะ ครั้งนี้เขาจึงจะเข้าไปเคลื่อนไหวใกล้ชิดกว่าเดิม เพราะจะให้ทนนั่งรอเฉยๆ ก็ไม่สบายใจนัก และอีกอย่างมันคงจะดีกว่าถ้าได้เป็นคนที่กำลูกไก่ในกำมือและเอาไปยื่นให้พ่อไก่ด้วยตัวเอง


“คุณสนครับ ทางเราได้รับการแจ้งกลับแล้ว สถานที่ตรงนั้นเป็นทรัพย์สินของสุธาสกุล”


“คนในบ้านคิดไม่ซื่อเองหรอกเรอะ”  เขาพอจะรู้อยู่หรอกว่าปัญหาภายในสุธาสกุลเป็นไง ถึงได้อดที่จะนับถือความปากกัดตีนถีบของภูวนัยอยู่ไม่น้อยและระแวงอยู่พอสมควร


“จะให้ลงมือไหมครับ” 


“ทำตามนั้นต่อเลย” ถึงจะเป็นปัญหาในครอบครัว ทว่าสนธยาก็ได้นำพาตัวเองมาเกี่ยวข้องเสียแล้ว งานนี้จึงไม่มีใครคิดจะถอยหลังกลับมาแม้แต่น้อย ถ้ามันจะพลาด


มันคงพลาดตั้งแต่วันแรกที่เขาได้เจอกับน้องแล้ว…


ทางด้านของภูวนัยที่ไม่สามารถติดต่อไปที่ทางนั้นได้อีก เขาได้เผชิญกับความสิ้นหวังและต้องทนอยู่กับการเฝ้ารอที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุด คนของเขายังคงทำงานอย่างเต็มที่ แต่จะอย่างไรก็ดี เขาเริ่มที่จะคิดว่าที่หาไม่เจอนั้นเป็นเพราะถูกปิดหูปิดตาอยู่หรือเปล่า อันที่จริงไพร์มนั้นไม่เคยเชื่อถือใคร จึงมีการเลือกคนเข้ามาช่วยงานอย่างเข้มงวด


และในตอนนี้ที่อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ เขาก็เริ่มกลับมานั่งคิดมันใหม่หรือง่ายๆก็คือฟุ้งซ่านนั่นแหละ จริงๆแล้วไพร์มควบคุมตัวเองได้ดีมาเสมอ เขาเองยังแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงเป็นไปได้ขนาดนี้ ฉันชนกมีผลประโยชน์ต่อเขามาเลยหรือไง


ทำให้เขาไม่อยากให้มีการเก็บตัวอย่างจากเด็กคนนั้นอีก


ทำให้เขาคิดไปว่าถ้าหากพรุ่งนี้ไม่เจอกันจะยิ้มได้อีกไหม


ไพร์มไม่เคยยิ้มออกมาอย่างจริงใจ แต่ทำไมกับเด็กคนหนึ่งที่แค่ตลกและน่าเอ็นดู ถึงทำให้รู้สึกว่าชอบตัวเองตอนอยู่กับฉันและรู้สึกมีความรับผิดชอบต่อการหายไปของเด็กคนนั้นถึงเพียงนี้ การเปลี่ยนแปลงไปแบบฉับพลันของเขา ทำให้ในตอนนี้ที่ต้องเผชิญนอกจากต้องวางแผนค้นหา คือความรู้สึกที่ค่อยๆบาดลึกเหมือนจะทิ้งแผลยาวไว้หลังจากจบเรื่องนี้


นี่เขากำลังอ่อนแอลงได้มากกว่าครั้งไหนๆในโลกเลยเหรอ


คนตัวเล็กๆคนหนึ่ง มีพลังมากมายขนาดนั้นเลยหรือไงกัน

- - - - - -


กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ฉันไม่เคยชอบนั้นอยู่รอบตัว


คนที่ไม่เคยรู้ตัวว่าทำให้โลกของคนๆหนึ่งเปลี่ยนไปนั้นกำลังจ้องมองคนอื่นตาใส ฉันชนกยังคงเป็นคนคิดน้อยหรือไม่ จริงๆแล้วมีแค่เจ้าตัวที่รับรู้ แน่นอนว่าฉันนั้นกังวลเป็นอย่างมาก ที่นี่คือที่ไหนก็ไม่รู้ มิหนำซ้ำยังมีคนและเครื่องมืออีกมากมาย อย่างนี้หัวเดียวกระเทียมลีบจะไม่กลัวได้ยังไง ถามจริง!


แต่จะอย่างไรฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ตัวเองอ่อนแอเกินไป และห่วยแตกเกินไป ทว่าจะรอให้คนอื่นมาช่วยก็ทำใจอยู่เฉยๆไม่ได้ แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีคนมาช่วยไหม อย่างน้อยก็อยากให้คุณไพร์มมาช่วยจังเลย


“ตัวอย่างที่ดูดออกจากกระดูกใช้การไม่ได้ใช่ไหม”


“ใช่”


“ไม่ใช่ว่าดูดออกไปไม่พอหรอกเหรอ”


“ตัวอย่างมีความเจือจางมาก อาจจะต้องดูดออกไปใหม่ หรือไม่ก็…” คนพูดเว้นช่วงไป “คงต้องเอาจากแหล่งที่มีความเข้มข้นสูงกว่า”


บทสนทนาเหล่านั้นเกิดขึ้นไกลจากตัวฉันพอสมควร อันที่จริงในยามที่น่ากังวลแบบนี้ ฉันชนกเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีประสาทสัมผัสที่เร็วมากๆ ราวกับว่าตัวเองได้เป็นแวมไพร์จริงๆก็ตอนนี้ เอ่อ…แล้วที่ผ่านมาทำไมง่อยจังนะ


“แต่คราวที่แล้วเราเอาจากกระดูกไปจำนวนหนึ่งเด็กคนนั้นก็ถึงกับสลบไปเป็นวันแถมยังมีอาการไม่สู้ดี สัญญาณชีพก็ต่ำมาก”


“แล้วไง”  ทว่าคนฟังดูไม่สนใจเท่าไหร่


“ผมกลัวว่าถ้าเราเจาะเข้าไปอีกครั้งเขาอาจจะตายได้”


“ต้องเจาะตรงไหนกันล่ะ”


“ครับ?”


“ก็ถ้าเราเจาะอีกครั้งมันจะตาย ก็เจาะให้มันถูกจุดจะได้ไม่พลาดไง แล้วจะตายก็เรื่องของมัน”  ขาของฉันเหมือนจะสั่นขึ้นมา


“แต่ถ้าคุณไพร์ม”


“ถ้าเราทำสำเร็จ ไพร์มมันก็ทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว เดิมทีมันก็คงไม่ได้ตั้งใจจะเก็บไว้เพราะรู้ว่าทำยังไงก็ตายเหมือนกัน ไปจัดการซะ จะรอให้ไอ้ไพร์มมันตามมาทันก่อนหรือไง”  ชื่อของอีกคนที่ลอยเข้าหูมาเหมือนจะสร้างความมั่นใจให้ได้แค่ 0.25% ทว่าความจริงที่ว่าเขายังมาไม่ถึง ทำให้ความกลัว 99.75% เพิ่มเป็น 100% ในชั่ววินาที


งานนี้ต้องงัดสกิลแวมไพร์ต่างๆออกมาใช้แล้ว แต่เอาจริงๆนอกจากชอบกัดชอบกิน ฉันก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษอื่นๆอีก บางทีฟันแวมไพร์อาจจะคมขนาดกัดคอคนตายได้เหมือนกัน เอายังไงดีฉันควรทำอย่างไร


“เฮ้ย!”  วิ่งสิครับจะรอให้มันจับไปเชือดเหรอ! ฉันชนกที่เคยเป็นแชมป์วิ่งสมัยประถมนั้นไม่แน่ใจว่าฝีเท้ายังดีอยู่ไหมเพราะตั้งแต่เข้ามัธยมก็ต้องวิ่งตากแดดนอกโรงยิมก็เลยจำต้องเลิกวิ่งเพราะเลือดแวมไพร์มันกลัวว่าผิวจะไหม้ ทว่าตอนนี้ตนค้นพบแล้วว่าการที่เปิบได้เร็วมากนั้นไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่ไหน แวมไพร์มันไวแบบนี้นี่เอง!?


“จับมัน”  ความปราดเปรียวที่ได้จากแม่มาทำให้ฉันหลบได้ทุกเม็ด คนตัวเล็กวิ่งปัดไปปัดมาสับขาหลอกคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่ในขณะที่กำลังยิ้มอย่างย่ามใจ ความไวของฝีเท้าก็ค่อยๆลดลงอย่างไม่รู้ตัว


และอากาศที่ใช้หายใจก็เหมือนจะถูกลิดรอนไปทุกวินาที


“ฮึก”  ในที่สุดร่างของคนที่วิ่งอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเดินเซ แม้ไม่มีใครแตะเนื้อต้องตัวได้แต่อากาศที่ใช้หายใจก็เหมือนจะหายไป ร่างทั้งร่างหอบโยน ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ภายในนั้นเต้นแรง และในที่สุดร่างของตนก็ทรุดลงนั่งก่อนจะล้มลงนอน


“…”  ในเสี้ยววินาทีที่ดวงตาทั้งสองข้างกำลังจะปิดลง


ฉันเหมือนเห็นคนที่ตนรู้จักในห้องนั้น


- - - - - -


มนุษย์หมาป่าที่กลมกลืนอยู่กับมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆบนโลกนั้น ไม่ค่อยถูกกับแวมไพร์ด้วยเพราะเราต่างก็ยึดมั่นในความยิ่งใหญ่ของสายพันธุ์ และนิสัยที่ไม่เป็นมิตรแถมติดจะเย่อหยิ่งของคนพวกนั้นทำให้หลายครั้งได้มีเรื่องให้เชือดเฉือนกันอยู่หลายคราว และในปัจจุบัน…เราก็เปลี่ยนมาแข่งขันกันด้านธุรกิจจึงทำให้ความสัมพันธ์ไม่อาจจะดีขึ้นได้


มันเป็นเพราะอคติระหว่างเผ่าพันธุ์ที่มีมาจนถึงบัดนี้


อันที่จริงสนธยาเองก็ไม่ได้เกลียดชังฉันชนกเป็นการส่วนตัว เด็กคนนั้นเป็นแวมไพร์ที่คบได้แต่แค่ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเขาจริงๆ ทั้งนี้เรามีเหตุให้ต้องมาเกี่ยวพันกัน และครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งแรกที่เขาให้ความสำคัญกับชีวิตเผ่าพันธุ์ที่ผูกพันธ์กันด้วยอคติมาอย่างช้านาน


“นายครับทางเราพร้อมแล้ว”


“งั้นจัดการได้เลย”  และจากนั้นสนธยาก็นั่งมองทุกอย่างอยู่ในรถ


 คนของเขาค่อนข้างมั่นใจว่าบุคคลที่อยู่ด้านในไม่ใช่จะจัดการได้ง่ายๆ และเพื่อเลี่ยงปัญหาต่อๆมา พวกเขาปิดซ่อนใบหน้าและเลี่ยงการแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าพร้อมกลบเกลื่อนร่องรอยของเผ่าพันธุ์อย่างมิดชิด คนพวกนั้นอาจจะให้ความสนใจในการประกบคนของภูวนัย แต่คงคิดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษที่ 3 ที่ต้องการตัวแวมไพร์คนนั้นเช่นกัน


ปราการชั้นแรกถูกกำจัดทิ้งอย่างเงียบๆ เขาฟังเสียงบทสนทนารายงานความคืบหน้าพร้อมคำสั่งให้เข้าไปในตัวอาคารด้วยความรู้สึกสงบนิ่ง ทันทีที่สนธยาลงเครื่องมาเขาก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ ด้วยการเตรียมการอย่างดีก็มาถึงอย่างรวดเร็วอย่างที่ตั้งใจ ทว่าคงไม่สามารถกลบเกลื่อนร่องรอยตัวเองทันไหว จึงได้แต่หวังว่าทีมอัลฟ่าของเขาจะว่องไวกว่า


อย่างน้อยก็ต้องไวกว่าการมาถึงของบุรุษที่ 1ที่กำลังจะมุ่งหน้ามา


 “ชั้น 2เคลียร์” เสียงที่เบาดั่งกระซิบยังคงรายงานอย่างต่อเนื่อง สนธยายกแขนขึ้นมาดูเวลา รวดเร็วเหมือนกับที่คิดไว้


“เป็นไปได้ว่าจะมีห้องลับหรือใต้ดิน ตรวจสอบให้ดีและระวังกับดัก”


“รับทราบครับ” เหล่าบอดี้การ์ดผู้ได้รับการฝึกฝนจนเป็นแนวหน้าของประเทศนั้นยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ทางนั้นจะมีการป้องกันอยู่มาก แต่จะเห็นได้ชัดว่าพวกนั้นเน้นภายนอกอาคาร และภายในอาคารชั้นหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ซ่อนอยู่คงเป็นความลับมากๆจนไม่อาจจะให้ใครต่อใครรู้ได้เลยสินะ


เสียงการปะทะที่เกิดขึ้นนั้นจบลงอย่างรวดเร็ว จมูกของหมาป่านั้นได้ชื่อว่าไวกว่ามนุษย์ทั่วไป พวกเขาจึงจัดการกับศัตรูที่เข้ามาจู่โจมได้ในทันที สนธยาสังเกตได้ถึงการเคลื่อนไหวที่แปลกๆจากด้านหนึ่ง เขานั้นกระชับอาวุธที่มี สำรวจความเรียบร้อยและวางแผนในหัวอย่างเร่งรีบ


คนๆนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว


ทางด้านของภูวนัยที่เหมือนจะช้าไปหนึ่งก้าวนั้นถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนที่เขาเคยไว้ใจ เมื่อเขาจับตัวได้คนหนึ่ง ที่เหลือก็เริ่มจะเผยไต๋และสถานการณ์บางอย่างก็เหมือนจะเริ่มรุนแรง


ปึก!


“อ้ากกกกกกก!!!!”  เสียงร้องโหยหวนของผู้ถูกกระทำนั้นดังขึ้น ดวงตาของไพร์มนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและไร้ซึ่งความปราณีใดๆ จำนวนคนพวกนี้ต่อให้เป็นเขาอยู่คนเดียวก็ไม่คณามือหรอก หากมีเวลาก็คงจะเล่นสนุกได้นานกว่านี้


“ยกโทษให้ผมด้วยเถอะคุณไพร์ม!!!”


“นี่คือราคาของความไว้ใจ”  เขาพูดเช่นนั้นก่อนจะปักมีดลงบนหลังมือของมันจนทะลุอย่างไม่คิดต่อรองหรือจริงๆคือไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เขารับทราบและกำลังจะติดตามสนธยาไปยังสถานที่ที่ซึ่งฉันชนกถูกจับตัวไปอยู่ หากไม่ใช่เพราะพวกคนเหล่านี้ปิดหูปิดตาคนที่เหลือ กับอีแค่หาคนๆเดียวมันไม่น่าจะเกินชั่วโมงด้วยซ้ำ


โดยเฉพาะสถานที่ที่อยู่ตรงปลายจมูกด้วยแล้ว


ใครกันมันจะกล้าเข้าถ้ำเสือ และใครกันมันจะกล้าโค่นเขาลงจากตำแหน่ง คำตอบมันไม่ยากเลยหากไม่ใช่คนที่อยู่ในตำแหน่งที่หวังครองบัลลังก์เดียวกันและนั่นคือคนในครอบครัว เขาเหมือนจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ถูกดึงดูดความสนใจออกไป กว่าจะมาถึงตรงนี้ต้องมีเรื่องกับคนมากมายเท่าไหร่ ก่อนจะทำลงไปเขาย่อมไม่เสียใจในผลของการกระทำอยู่แล้ว


และผลของการกระทำเหล่านั้นคือการมีศัตรูมากไป


มากจนไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ในทันที


รถของเขาแล่นออกไปด้วยความเร็วสูง เขาไม่สนใจว่าจะต้องปะทะกับคนของสนธยาหรือว่ากับใครทั้งนั้น รอบกายฃยังมีคนบ้าบอที่สิ้นหวังพอจะทำงานให้กันแบบถวายหัว และนั่นทำภูวนัยกลายเป็นคนๆหนึ่งที่พร้อมจะปะทะกับใครสักคนอยู่ตลอดเวลา


และเลือดของเขาก็ร้อนพอจนคิดว่าพร้อมจะเผชิญหน้ากับบางสิ่งและบางคนแล้ว


เวลาเดินช้ากว่าใจต้องการ ทว่าในที่สุดก็ดั้นด้นมาจนถึงอาคารเก่าที่ซึ่งเคยเป็นแล็บของบริษัทที่เขาทำงานถวายชีวิตให้ หรือที่เรียกง่ายๆว่าธุรกิจของครอบครัวนั่นแหละ เมื่อมาถึง เขาเห็นบ้างที่โดนล้มไปแล้ว บ้างที่ยังไม่ล้ม ทว่าคงไม่ใช่พวกเดียวกัน และบ้าง…ที่กำลังจะตลบหลังและพร้อมจะกู้คืนสถานการณ์


“เอาไงดีครับคุณไพร์ม”


“จัดการคนของคุณพีไปเลย” ครอบครัวของเราก็เป็นเช่นนี้ หากจะบอกว่าน้องไม่ควรทำร้ายพี่ พี่ก็ไม่ควรจะชุบมือเปิบของของน้องเช่นกัน ภูวนัยนั้นไม่เพียงออกคำสั่ง เขายังเดินเข้าไปในสมรภูมิการต่อสู้นี้ด้วยตัวเอง


ไม่ใช่ว่าไม่คิดหน้าคิดหลัง หรือถูกฝึกมาอย่างดี แต่เขาอาจจะบ้ามากพอที่อยากจะไปเห็นกับตาตัวเองว่าฉันชนกนั้นปลอดภัย เจ้าของร่างสูงที่ดูไม่ยอมใครนั้นติดตามไปกับทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ


“คงเป็นพวกหมานั่น”  พื้นที่ภายนอกดูเหมือนจะถูกเคลียร์แล้วเรียบร้อย เขามาสายไปจริงๆ สนธยามาถึงก่อนแล้วแต่ก็ไม่แปลกใจเมื่อเขาติดตามมาก่อน มาช้ากว่าที่คิดนิดหน่อย แต่ก็ไม่แปลกเพราะการมีเรื่องกับคนต่างเผ่าพันธุ์มีความเสี่ยง จึงต้องเสียเวลาเตรียมการ


ปัง ปัง!!


ร่างสูงของภูวนัยใช้ความฉับไวของตนหลบกระสุนได้ในเสี้ยววินาที คนของเขาเหมือนจะถูกยิงบาดเจ็บไปหนึ่งแต่ก็ยังไม่ถึงชีวิต เขาหาจังหวะที่เป็นช่องว่างของห่ากระสุนพวกนั้น ก่อนจะยิงสวนกลับไปได้อย่างแม่นยำ ถามว่านี่มันโชคช่วยเหรอ ก็ใช่…โชคมักช่วยให้เขาเก่งในหลายๆเรื่อง


รวมถึงเรื่องประสาทสัมผัสและพละกำลัง


“อั่ก!”  ในส่วนความเร็วก็ไม่ได้เป็นรองใคร เขาสามารถเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามก่อนจะเหวี่ยงมันเข้ากำแพงในทันที ดูเหมือนว่าคนส่วนมากมักจะคิดว่าไพร์มนั้นเป็นนักวิชาการที่วันๆคงอยู่แต่ในห้องแล็ป ซึ่งมันก็จริง ทว่าเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ภูวนัยยังมีอีกหลายด้านที่คนอื่นไม่รู้ และแม้แต่บางด้าน เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ


“ฉันชนกอยู่ที่ไหน”  มือของเขาบีบคอมันคนหนึ่ง


“มะ…อั่ก…ไม่รู้”


“พีรวัสจับคนของฉันไปไว้ที่ไหน!” 


“นายครับ!?”  หากปล่อยไพร์มไว้เช่นนี้ คนบางคนอาจจะตายคากำมือของเขาได้ จริงๆมันก็ไม่เท่าไหร่แต่อย่างไรเราก็มีเป้าหมายที่สำคัญ


“ผะ…ผมไม่รู้”


“งั้นก็ตายซะ” ถึงแม้ไพร์มไม่นิยมการฆ่าจริงๆเพราะตายมันง่ายไป


“นะ…น่าจะห้อง ตะ..ใต้ดิน แค่กๆ”  ไพร์มที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่เสียเวลาอีก เขาปล่อยมันทว่าก็ไม่ปล่อยให้ได้สำลักอากาศนาน ด้ามปืนที่เขาถืออยู่ที่มือซ้ายได้ถูกกระแทกที่หลังคอจนมันสลบไป


ห้องใต้ดิน…เป็นไปได้


แม้จะเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว แต่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดคือบริเวณนั้น ทว่าข้อเสียของมันคือมีทางเข้าเดียว และเป็นไปได้ว่าเขาจะต้องปะทะกับคนอีกมากมายเพื่อที่จะได้ไปถึงตัวของฉันชนก จากตรงนี้ไปก็คงไม่ไกล


แต่อย่างไรก็คงไปไม่ทันสนธยาที่นำไปก่อนอยู่ดี


ใช่แล้ว…สนธยาที่นำไปก่อน สามารถไปถึงตัวของฉันชนกได้ก่อนจริงๆ ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่นี่ ทีมของเขาได้จัดการปลดอาวุธโดยรอบ ส่วนคนที่ขัดขืนก็ถูกจัดการจนหมอบไปหมดแล้ว ภายในห้องนี้มีแต่นักทดลองดูไม่ประสาเรื่องการต่อสู้ จึงไม่ยากที่จะเข้าควบคุม ทว่าแม้จะจัดการรวบรัดแล้ว เขาก็เชื่อว่ามีใครบางคนได้หนีไปก่อนนี้ ทว่ามันไม่ใช่ปัญหาของเขา


เพราะปัญหาที่ว่า กำลังจะถูกแก้ไขได้ด้วยบุคคลที่นอนอยู่ตรงหน้า


“ยังไม่ตายใช่ไหม”  เขาถามคนของเขา ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงได้หลับสนิทอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถตอบได้ในทันทีหรอกว่าโดนยาตัวไหนไป เอาเป็นว่ายังไม่ตายก็เพียงพอที่จะแลกกับน้องชายของเขาแล้วละมั้ง แต่ถึงจะพูดว่ายังไม่ตาย มันก็น่าหวั่นใจอยู่ดี


“เข็มนั่น”


“ครับ”  ผู้ช่วยคนหนึ่งของเขาตอบรับ ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา  “แทงเข้าไปที่จุดตายพอดี” นั่นหมายความว่าสภาพของคนที่ยังไม่ตายในตอนนี้ กำลังเข้าสู่เขตความตาย และเครื่องมือที่ใช้พรากวิญญาณของแวมไพร์ตัวนี้นั้น


คือเข็มที่แทงลงไปบริเวณหน้าอก และน่าจะลึกพอถึงหัวใจ


Talk: ตอนแรกว่าจะลงเมื่อวานแต่ก็ไม่ได้มาลง ขอโทษที่ให้รอนะคะ ใกล้จะจบแล้วเอาใจช่วยน้องฉันด้วยนะคะ #คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 30 3/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 03-06-2019 16:04:19
 :m31:น้องฉันนนนนนน
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 31 8/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 08-06-2019 15:37:54
- - - - - -
หิว!!!!!!!!
(iДi)
- - - - - -


ชีวิตฉันดราม่าสุดคือตอนที่งอนสา


นอกจากนั้นคือเรื่องกินอะไรไม่อร่อยเลย!


ทว่าตอนนี้ชีวิตฉันผจญกับเรื่องที่ดราม่ายิ่งกว่า ทว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวอะไรกับใครเขาเลย สนธยานั้นยืนนิ่งมองร่างที่ที่มีเข็มปักทิ่มบนเตียงราวกับมองศพที่ตายอนาถแต่ไม่รู้จักกันก็ไม่ปาน เขาถอนหายใจออกมา รับรู้มาตลอดจากรุ่นสู่รุ่นว่าจุดตายของแวมไพร์คือที่อกซ้าย ทว่าไม่เคยได้มีโอกาสเอาอะไรไปปักใคร จึงไม่รู้เลยว่าที่นอนนิ่งไปใกล้จะตายจริงๆหรือไม่


ทว่าคนที่ไม่ใช่ญาติแต่ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟกำลังจะเข้ามา


“เฝ้าไว้ อย่าแตะต้อง”  และเขาคือคนที่สมควรจะไปเผชิญหน้ากับคนๆนั้นที่สุด ด้วยความหวังที่จะรู้ว่าคนที่ตนเองต้องการเจออยู่ที่ใด ไม่ตายก็ดี เพราะถ้าตายแล้วก็อาจจะเอามาเป็นข้อต่อรองอะไรไม่ได้เลยนอกจากภูวนัยจะอยากได้ศพไปผ่าทดลองเพื่อสานต่อโครงการเหล่านั้น


เมื่อออกมา เขาก็เห็นสภาพคนของเขาและคนของแล็บที่ล้มนอนระเนระนาด ที่ยังคงพยายามสกัดกั้นคนที่พยายามจะบุกเข้ามาก็มีอยู่บ้าง เห็นเช่นนี้แล้วก็รู้ว่าใครบางคนนั้นเลือดร้อนแค่ไหน กับแค่คนๆเดียวที่วันๆได้แต่ทำหน้าโง่ๆใส่คนนั้นคนนี้ไปทั่ว ภูวนัยต้องให้ความสำคัญจนถึงขั้นลงมือเองเชียวเหรอ


“หยุดได้แล้วไพร์ม ทางเราได้ตัวฉันไว้แล้ว!”  เขาตะโกนก้อง ก่อให้เกิดภาวะชะงักงันในทันใด ไพร์มผลักคนของเขาไปให้พ้นทาง และเพราะได้รับคำสั่งให้ถอยจากเจ้านาย พวกเขาจึงไม่มีใครคิดที่จะขวางทางคนที่เหมือนจะไร้ซึ่งความเจ็บปวดทางร่างกายคนนี้


“ต้องการแค่ที่อยู่ของสารินใช่ไหม”


“ใช่แล้วไพร์ม ถ้านายให้ง่ายๆทุกอย่างมันก็จบลงอย่างง่ายดาย” มันควรจะเป็นเช่นนั้น “แต่ถ้าไม่ เรื่องมันคงยากกว่านั้น”


“ผมต้องการตัวฉันชนก”


“ให้นายได้อยู่แล้วไพร์ม แต่นายต้องส่งมอบสารินมาให้ทางนี้เช่นกัน แต่ถ้าไม่พี่ก็จะไม่ประกันความปลอดภัยของฉันในห้องนั้น เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็สามารถตายได้ทันทีเหมือนกัน”  ถึงจะอย่างไรฉันก็มีสายเลือดของแวมไพร์ คงไม่ตายง่ายๆ แต่ถ้าจะตายในเสี้ยววิก็คงอยู่ในภาวะปางตายหรือไม่ก็มีกระสุนเงินจ่อที่หัว


หรือไม่ก็หัวใจในตอนนี้….


“ส่งมอบที่อยู่ของสารินให้คุณสน” 


“ครับ”  เหมือนอย่างที่เขาคิดแต่ไม่ได้คาดหวังไว้ สนธยาคิดว่าฉันชนกมีค่าพอให้ต่อรองกับสารินจริงๆ ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าตัวฉันชนกนั้นสำคัญอะไรหรอก แต่น่าจะเพราะสารินต่างหากที่ไม่ได้มีความสำคัญเลย  อย่างไรก็ตามแววตาของไพร์มในตอนนี้ทำให้ได้เปิดมุมมองอะไรใหม่ๆ ทั้งเรื่องความต้องการของอีกฝ่าย


และตัวตนที่แท้จริง…


สนธยาพยักหน้าหนึ่งครั้ง การถอนกำลังของทีมมนุษย์หมาป่าได้เริ่มต้นขึ้น ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็ได้ออกมา หลีกทางให้คนที่เขาให้สัญญาได้เข้าไปก่อนที่จะสั่งการให้ทีมเก็บกวาดจัดการงานนี้ให้เรียบร้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากอื่นๆตามมา


ในด้านของภูวนัยที่ได้เข้าไปในห้องนั้น เขาไม่รู้ว่าขาตัวเองช้าได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่ายิ่งภาพตรงหน้าชัดขึ้นเท่าไหร่ เรี่ยวแรงก็เหมือนจะค่อยๆหายไปเช่นกัน เข็มที่ใช้สกัดเอาตัวอย่างที่ใหญ่กว่าของวันนั้นถูกปักอยู่บนอกของแวมไพร์ตัวน้อยที่นอนหลับใหลราวกับเจ้าชายนิทรา


“คุณฉัน”  เขาเรียก หัวใจของเขาเต้นจนปวดหน่วงอีกครั้ง ตั้งแต่เกิดมา ภูวนัยเคยนึกว่าคนร่วมเผ่าพันธุ์แบบเขาทุกคนไม่มีหัวใจ เพราะสิ่งที่ทุกคนทำไปล้วนไร้ซึ่งศีลธรรมอันดีงาม เขาเคยคิดว่าตัวเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น


จนกระทั่งได้มาพบ รู้จัก และผูกพันกับฉันชนก อาการเหล่านี้หากไม่ใช่เพราะเขากำลังเป็นโรคร้ายทางทรวงอก มันก็ช่วยพิสูจน์ว่าที่ปวดอยู่นั้นคือหัวใจจริงๆ


เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าทั้งวันเขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของอีกฝ่ายแค่ไหน และความหมกมุ่นนี้คงฝังรากลึกลงไป เขาแอบมองแอบตามตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันด้วยผลประโยชน์บางอย่าง หลายครั้งที่คิดว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องทำขนาดนี้ แต่ก็มักจะมีเหตุผลบ้าๆมาหักล้างเสมอ มันเกิดขึ้นหลายครั้งจนคิดว่าที่นึกหาเหตุผลมากมายเหล่านั้นคือข้ออ้างให้ทั้งวันได้มองหาคนที่ชื่อฉันชนกใช่หรือไม่


คำตอบเหมือนจะใช่ เพราะแค่วันนี้ที่พยายามหาเท่าไหร่ มันยิ่งหักห้ามใจไม่ได้เลย ของที่ต้องการก็ได้มาแล้ว ทว่าทำไมเราถึงปล่อยมือคนๆเดียวไปไม่ได้ เพราะไม่อยากให้ใครมาชุบมือเปิบใช่ไหม แต่เหนือกว่าสิ่งใดแค่คิดได้ว่าจะเกิดอะไร จินตนาการก็นำพาให้ไปถึงจุดที่กระวนกระวายจนไม่เป็นอันทำอะไรไปหมดแล้ว


เพราะสิ่งที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น….คือตามหาให้เจอ


“คุณฉันครับ”  เขาค่อยๆหาสัญญาณชีพตามแอ่งชีพจรต่างๆและเมื่อรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ ใจก็พองฟูขึ้นมา ภาพที่เคยเหมือนจะช้าพลันกลับมารวดเร็วเหมือนเดิม เขาค่อยๆดึงเข็มนั้นออกไป


โชคดีที่ทีมของสนธยามาเร็วกว่าที่คนพวกนั้นจะดูดเอาตัวอย่างขึ้นมาจากหัวใจของแวมไพร์ แม้จะไม่มีเอกสารรองรับถึงผลที่ตามมา แต่ทว่าจุดตาย…ก็ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้


“คุณไพร์มครับ เราตรวจเจอการปล่อยสารที่เป็นพิษต่อร่างกายของแวมไพร์ตามช่องระบายอากาศครับ”  ผู้ช่วยของเขาที่ดูจะสงบกว่านั้นเดินมาบอก เขาหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่อีกครั้ง เป็นไปได้ว่าที่นอนไม่ตื่นและดูจะซีดเซียวขนาดนี้นั้นเพราะรับสารพวกนั้นฉับพลัน และมันเป็นพิษต่อร่างกายที่แวมไพร์เป็น


“ไปเอาเลือดมา เราจะให้เลือดกับเขา!”  ภูวนัยสั่ง ตอนนี้มีวิธีเดียวคือทำให้ร่างกายของฉันมีภูมิต้านทานขึ้นมา และภูมิต้านทานเดียวที่พวกเขารับรู้คือแวมไพร์…


ต้องได้รับเลือด


เป็นอีกครั้งที่ไพร์มต้องมานั่งดูการให้เลือดทางสายยางแบบนี้กับคนๆเดิม และความรู้สึกครั้งที่สองไม่ได้น้อยลงจากครั้งแรกแต่อย่างใด เขามีอาการวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เสียจริตต่อหน้าลูกน้องไปมากเท่าไหร่ เหมือนจะหลงลืมสิ่งที่ต้องรักษาไว้ชั่วขณะ แล้วต่อจากนั้นก็จะนึกขึ้นได้ว่ากำลังสูญเสียความเป็นตัวเองที่เคยเป็นมา


แต่เมื่อดวงตาของฉันชนกค่อยๆเปิดขึ้นมา เขาที่แทบไม่ได้กะพริบตาก็รีบถลาเข้ามาหา เกาะข้างเตียงเหมือนลูกหมานั่งเฝ้าเจ้าของอะไรอย่างนั้น น่าสมเพชแต่ช่างมันก่อน ฉันตื่นแล้ว!


“รู้สึกยังไงบ้างครับ”


“ดีจังที่คุณไพร์มมา”  คำแรกที่ฉันนั้นพูดคือคำนี้ และมันน่าเจ็บใจตรงที่อันที่จริงเขาไม่ได้มาถึงเป็นคนแรก แต่เป็นไอ้บ้าแฟนเก่าที่วันนี้มันไม่ได้แม้แต่จะสนใจใยดีความเป็นความตายของเด็กคนนี้จริงๆ  “ทำหน้าอย่างนั้นทำไมอ่า..”


“ไม่มีอะไรหรอกครับ”


“เมื่อกี้ฉันทำอะไรนะอา…ฉันกำลังวิ่ง วิ่งเร็วมากๆด้วย แล้วก็ง่วงขึ้นมา ก่อนที่จะแบบว่าลาก่อย ขอนอนแพพ อะไรแบบนี้”


“ลาก่อย นอนแพพอะไรกันครับ”  เขาหลุดหัวเราะ ในความเครียด ฉันชนกที่นอนพะงาบๆป่วยๆยังอารมณ์ดี


“ก็มันง่วงจริงๆนี่ ขนาดเจ็บหน้าอกแบบมากๆๆๆๆ ก็ยังขี้เกียจตื่นอยู่ดี”


“…”


“ฉันนอนไปนานไหมอ่ะ”


“สักพักหนึ่งครับ”


“เริ่มจะหิวแล้ว แต่ก็ยังง่วง”


“งั้นนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวตื่นมาจะได้กินอิ่มๆไม่ต้องรอย่อยจะได้นอนต่อ”


“อืม”  บทสนทนาระหว่างเขากับฉันชนกจบลงแค่นั้น เหมือนสติของคนป่วยคนนั้นค่อยๆหายไปพร้อมกับการเข้าสู่ห้วงนิทรา


ฉันชนกปลอดภัยจริงๆ ภูวนัยควรจะวางใจได้แล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย ในขณะที่ออกตามหา ความรู้สึกที่ไม่พอใจต่อความคาดหวังที่ควรจะเป็นก็เข้ามากัดกินความรู้สึก ไพร์มพยายามแล้วที่จะควบคุม แต่การหายไปของฉันชนกกับสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีที่เข้ามาเรื่อยๆก็ลอยมาเข้าหูทำให้ความพยายามเหล่านั้นหายไป


เป็นเพราะฉันที่ทำให้อ่อนแอ


เป็นเพราะฉันที่ทำให้เขาเหมือนคนขี้แพ้


แต่จริงๆไม่ใช่ฉันหรอกที่ทำ เป็นเขาที่อ่อนแอและขี้แพ้


เป็นมานานแล้วแต่แค่ไม่มีใครไปถึงจุดที่ปลุกพวกมันให้ตื่นขึ้นมาได้


“ทางเราพร้อมเคลื่อนย้ายแล้วครับ”


“จะมีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อย”  เขาหันไปบอกกับลูกน้องที่เข้ามารายงาน ใบหน้าของคนมาใหม่นั้นดูแปลกใจเล็กน้อย แต่วันนี้อะไรๆก็น่าแปลกใจไปหมด โดยรวมแล้วไม่มีอะไรน่าตกใจอีก “เราจะพาคนป่วยไปส่งที่บ้านของเขา”  นั่นเท่ากับว่าจะไม่ไปที่คอนโดของเรา…


อีกแล้ว?


ทางด้านบ้านของฉันที่อยู่นอกตัวเมืองนั้น คุณพ่อทั้งสองคนที่รอลูกชายคนเดียวของพวกเขามาหาก็กระวนกระวายไม่น้อย บอกว่าจะมาแต่ก็ไม่ยอมมาสักที โทรไปก็ไม่รับ ช่องทางการติดต่อก็ขาดหาย พวกเขาถามทุกคนที่นึกออกทว่ากลับไม่มีใครรับรู้ ก็ได้แต่คิดในแง่ดีว่าเจ้าลูกตัวดีเถลไถลไปเรื่อยแล้วมือถือแบตหมดไป อีกสักพักคงยิ้มแฉ่งเดินเข้ามาหา


ถ้าไม่ใช่ ผ่านชั่วโมงนี้ไปพวกเขาคงต้องไปแจ้งความแล้วล่ะ


“พ่อมึง หรือว่าเราจะไปแจ้งความกันดี”


“นั่นสินะ”  วธินที่ไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตนเช่นกันก็ได้แต่ครุ่นคิด หากพวกเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา แล้วเจ้าเขี้ยวเล็กนั่นไม่ใช่แวมไพร์ ไม่มีทางหรอกที่พวกเขาจะไม่พุ่งชนไปเข้าหาตำรวจ แต่เพราะมันมีความเสี่ยงที่ความลับของเผ่าพันธุ์จะเปิดเผย จึงต้องอดทนนั่งเงียบๆกันต่อไป


“ป่านนี้เจ้าฉันจะเที่ยวเล่นอยู่ไหนน้า”  การันต์นั้นแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ พวกเขาห่วงเด็กคนนั้นพอๆกัน และก็ยังคงหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่เพราะหนีมาไกลและไม่ต้องการให้ใครมาข้องเกี่ยว พวกเราคงไม่วางตัวสันโดษเสียจนแทบไม่มีใครให้ไหว้วานช่วยเหลือแบบนี้ และคนๆเดียวที่พอจะถามได้อย่างสารินก็ไม่รับสายเสียอย่างนั้น


ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน?


“นั่น…ใครมากันนะ” การันต์ที่เหมือนจะเห็นบางอย่างในความมืดมิดภายนอกบ้านร้องถาม วธินหลับตาลง..เขารับรู้ได้ถึงการเข้าใกล้จากกลุ่มคนที่มีกลิ่นอายต่างจากมนุษย์ทั่วไป หันไปมองทางการันต์ที่ปิดปากตัวเองแน่น กลิ่นบางอย่างที่ลอยเข้ามาทำให้สัญชาตญาณแวมไพร์ของการันต์ทำงาน


พวกมนุษย์โรคจิตพวกนั้นนะเหรอที่มาเยือนพวกเขา?


“รออยู่ในนี้”  เขาเอ่ยเตือนพร้อมกับค่อยๆเดินออกไป กลิ่นอายของคนจำนวนมากเมื่อครู่เหมือนจะลดหายไปบ้าง เหลือเพียงกลิ่นอายประหลาดๆเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะมาจากคนๆเดียว  “ใคร??!”  วธินร้องถาม


“คุณวธินใช่ไหม”  ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน ลมเย็นๆพัดมาให้รู้สึกขนลุก แขกของเขาหรือ ทำไมไม่เคยรู้จักกันนะ


“คุณเป็นใคร”


“ผมพาคุณฉันมาส่ง”


“ฉันงั้นเหรอ?”มันเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศแบบนี้ช่างดูไม่ปกติเอาเสียเลย วธินที่มั่นใจในพละกำลังของตัวเองนั้นเดินเข้าไปใกล้ มีประตูบานใหญ่ที่ขวางกั้นเราเอาไว้


“และผมมาเพื่ออธิบาย”  เพราะว่ามีเรื่องอธิบายจึงทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้น วธินตัดสินใจปลดล็อกของประตูบานนั้นและเลื่อนเปิดให้บุคคลผู้น่าสงสัยได้เข้ามา ทว่าเมื่อได้เห็นตัวของชายคนนั้น


ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาแทบคลั่งจนยากจะยับยั้งอารมณ์ไหว?!


“…”


“…”


“ผมขอเล่าทั้งหมดก่อน”  เป็นชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ยั้งกันไว้ แววตาของเขาที่มองมาทำให้วธินไม่อาจจะพูดอะไรได้อีก หากมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคงไม่พลาดขย้ำเจ้าเด็กนี่แน่ แม้ว่าลูกชายของเขา


จะถูกอุ้มแนบอกอยู่ก็เถิด


“น้องฉัน!”  เสียงของการันต์ที่มองออกมาทำให้เขาจำใจต้องพาแขกไม่ได้รับเชิญเข้าไปในตัวบ้าน คนรักของเขาถลาเข้ามาหาลูก แทบจะรับไปในอ้อมกอดของตัวเองโดยไม่ได้คิดจริงๆว่าเจ้าลูกชายในวันนี้ ไม่ได้ตัวเล็กเป็นก้อนให้กอดอุ้มและหอมไปมาได้เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ดื้อซนเกินไป เกินไปจนทำให้คนเป็นพ่อเจ็บแปลบที่หัวใจ


“ช่วยวางไว้ที่ฟูกตรงนั้น และเราค่อยมานั่งคุยกันดีกว่า” หากยื้อเจ้าตัวไม่เล็กกันไปมาตรงนี้อาจจะได้มีบาดเจ็บกันระหว่างส่งมอบได้ มันดีกว่าที่จะให้แขกผู้มาใหม่ได้วางเจ้าแสบให้ปลอดภัยลงเสียก่อน


“ขออนุญาตนะครับ”  ฟูกนอนกลางวันที่แวมไพร์จอมขี้เกียจทั้งสองชอบเอามานอนนั้นถูกวางปูอย่างรีบเร่ง ร่างของฉันที่ยังหลับอยู่นั้นค่อยๆถูกวางอย่างทะนุถนอม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าพ่อๆของเจ้าเด็กแก่นนี่หรือเปล่า เขาคนนี้จึงได้อ่อนโยนนัก


“เชิญคุณมานั่งก่อน การันต์ช่วยเอาน้ำมาให้แขกได้ไหม”


“ผมไม่เป็นไรครับ”


“งั้นทางนี้ไม่ขอเกรงใจละกันนะ”  วธินจึงนั่งลง ประสานมือของตัวเองบนหน้าตักเพื่อเก็บกักความหงุดหงิดของตนเอาไว้และจ้องตาคนที่พูดว่ามีคำอธิบายให้กัน คนหนุ่มคนนี้มีแววตาที่มุ่งมั่นและไม่แม้แต่จะเกรงกลัวกัน ว่าแต่เขานั้นรู้ไหมว่าในบ้านหลังนี้ นอกจากจะมีแวมไพร์ป่วยๆคนหนึ่งนอนอยู่ ยังมีแวมไพร์ที่ขาดเลือดมานานแถมยังหมาป่าอีกหนึ่งตัว


ที่กำลังโกรธมากๆด้วย…


ชายหนุ่มได้เริ่มจากแนะนำตัวเอง เขาชื่อภูวนัย และพูดต่อถึงความบังเอิญที่ได้เจอกันและหลังจากนั้นก็เริ่มพูดถึงความสนใจของเขาที่มีต่อตัวฉันรวมไปถึงสิ่งที่ศึกษาและต้องการ การันต์ที่ได้ยินเช่นนั้นเกือบจะร้องไห้ออกมา พวกเราออกมาจากวงสังคมตรงนั้นเราไม่รู้หรอกว่าโลกแวมไพร์พัฒนาไปถึงไหนและการแข่งขันอะไรนั่นก็ไม่เคยใส่ใจ


คนรักของเขายอมสละความสุขทางการลิ้มรสเพียงเพราะต้องการอยู่กับเขาและลูก ทว่าไม่เคยรู้เลยว่าฉันนั้นทุกข์แค่ไหนกับการมีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างในโลกมนุษย์โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นอะไร


“เขาถึงกับร้องไห้เลยเหรอ”


“ครับ”  เรื่องราวของฉันที่ออกจากปากไพร์ม ในวันแรกที่เคยเจอกัน เพียงแค่เลือดหนึ่งหยดนั้นก็ช่วยให้ฉันได้รับรู้ถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้ จุดเริ่มต้นแปลกๆแต่อาจจะสวยงามในความรู้สึกของเด็กคนนั้นทำให้คนเป็นพ่อรู้สึกผิดที่ปิดบัง


ไพร์มเล่าต่อไปถึงความสัมพันธ์ลำดับถัดมา เขาพยายามเข้าหา เริ่มต้นคือเพื่อนบ้านโดยมีเป้าหมายที่ต้องการให้ฉันไว้วางใจ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้เปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ถึงความลับส่วนตัวของเราที่ฉันเองไม่เคยเข้าใจ สัญชาตญาณแวมไพร์ของฉันถูกปลุกขึ้นมาวันแรก ต่างจากแวมไพร์คนอื่นที่ถูกถ่ายทอดสั่งสอนโดนแวมไพร์เหมือนกัน


“เราเป็นผู้ปกครองที่แย่มากที่ไม่เคยได้สอนให้เขาปรับตัวกับสัญชาตญาณ”  การันต์ด่าว่าตัวเองเสียงเบา เพียงเพราะไม่อยากให้ใครหาครอบครัวเจอ การโกหกครั้งใหญ่จึงเริ่มขึ้น ทว่าฉันชนกที่ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องถูกลากมาอยู่ในเกมนี้ เกมที่ไม่รู้เลยว่าวันไหนเขาจะรู้ตัวเองว่าเป็นใคร


และวันหนึ่งฉันชนกก็มาเรียกหา บอกว่ายอมรับข้อเสนอของเขาแลกกับการช่วยพาสารินหนี เรื่องนี้การันต์พอจะทราบอยู่แล้วจึงปะติดปะต่อได้ ทว่าเหตุผลที่ฉันไม่ได้บอกใครตรงๆว่าทำไมต้องลงทุนขนาดนี้เพื่อเพื่อนคนหนึ่ง ไพร์มก็คิดเอาเองว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เคยกระทำกับอีกฝ่าย ฉันไม่เคยเล่าทั้งหมดตรงๆแต่เพียงส่วนเสี้ยวก็พอเดาได้


ทว่าเรื่องราวต่อจากนี้ทำให้บุพการีของฉันชนกรับไม่ได้ วิธีการเก็บตัวอย่างของเขาทำให้แวมไพร์อย่างการันต์ตกใจ แวมไพร์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเลือดไหลเวียนเป็นของตัวเองอยู่น้อยมาก และการจะเก็บตัวอย่างที่เข้มข้นต้องเก็บจากกระดูกซึ่งนั่นต้องเจ็บมากๆ แล้วยิ่งหากดูดเอาสิ่งนั้นออกไปมากเกิน ร่างกายที่ต่างจากมนุษย์ของพวกเขาอาจจะตายได้


“ผมเห็นความเจ็บปวดของเขาเลยตั้งใจจะหยุดทุกอย่างแค่นั้น”


“แล้วทำไมคุณถึงไม่หยุด”


“…”


“ทำไมฉันถึงกลับมาหาเราในสภาพนี้อีก”


“เขาหลับไป เพราะฤทธิ์ยา”


“ร่างกายของแวมไพร์นั้นซับซ้อน พวกคุณไม่รู้จักพวกเราดีแต่ให้ฉันรับยาอะไรก็ไม่รู้เข้าไป เขาอาจจะตายได้”  การันต์ต่อว่าเขายกใหญ่ แต่มันก็สมควรแล้วจริงๆ


“ผมต้องขอโทษจริงๆครับ”


“ครั้งนี้ใครเป็นคนทำ”  วธินที่นั่งเงียบรับฟังมานานเอ่ยเสียงเรียบ


“เป็นพวกพี่ชายของผมเอง พีรวัส สุธาสกุล”


“นี่มันปัญหาภายในของพวกคุณชัดๆ แล้วทำไมต้องมาวุ่นวายกับลูกของพวกเราด้วย”


“ผมไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาจะทำแบบนี้ แต่แก้ตัวไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา”  ไพร์มยอมรับตรงๆ  “ผมจึงคิดว่าการจัดการที่ดีที่สุดคือพาฉันกลับมาหาพวกคุณ”


“คุณก็แค่คิดว่าทำแบบนี้มันดีที่สุดเพราะมันทำให้คุณสบายใจที่สุด”


“ไม่ปฏิเสธเลย”


“ลูกชายของเราอาจจะตายได้ เขาเอาเลือดของลูกเราไปมากแค่ไหน!?!”


“ผมคิดว่าเขาไม่ได้เอาไป ยังไงผมก็ได้จัดการถ่ายเลือดให้ฉันแล้ว”  ไพร์มพูดอย่างใจเย็น  “แต่ที่กังวลคือครั้งนี้พวกเขาแทงเข็มลงไปที่อกของฉัน ผมกลัวว่ามันจะเกิดอันตราย”


“ที่อกงั้นเหรอ?!”  พวกเราล้วนรู้ดีว่ามันคือจุดตาย


“และผมก็ไม่แน่ใจว่าจะดูแลยังไงเลยคิดว่าพามาหาพวกคุณคงดีกว่า”


“แสดงว่านายรู้ว่าการันต์เป็นแวมไพร์”  วธินพูด


“…ผมแค่สงสัย”


“นี่มันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย”  วธินที่วันนี้ต้องมารับรู้เรื่องราวมากมายอยากจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยท้อแท้ การันต์ที่เปิดเสื้อของลูกดูก็พบว่าบริเวณอกซ้ายมีร่องรอยของการถูกเข็มทิ่มแทง มันเป็นรอยช้ำสีม่วงวงใหญ่ แต่อย่างไรก็ยืนยันได้ว่าไม่ถึงตาย จึงหันไปหาวธินและพยักหน้าให้


โชคดีที่คนพวกนี้ไม่รู้ว่าหัวใจของแวมไพร์อยู่ต่ำกว่าบริเวณนั้นนิดหนึ่ง!


“ผมคงไม่มีอะไรจะโต้แย้งและพร้อมยินดีรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด”


“ลูกชายของเราเพิ่งพบเจอประสบการณ์เฉียดตาย คุณจะชดใช้ยังไง”


“ผม…ไม่รู้เลย”


“…”


“…”


“กลับไปเถอะ”  วธินกล่าว  “ผมขอให้คุณรับผิดชอบด้วยการกลับไป ได้ไหม”  ถ้านี่คือความต้องการของผู้เสียหาย เขาในฐานะผู้เสนอมันลงไปจะทำอะไรได้ เขาให้กลับ ก็ต้องกลับ และต่อไปหากเขาไม่ให้เจอ


ก็คงมาเจอไม่ได้อีก…


การันต์ยังคงอยู่กับลูก ฉันชนกที่มีความหมายว่า ‘เหมือนดั่งพ่อ’ นั้นกำลังหลับใหลฝันดีอยู่ในบ้าน ต่างจากสภาวะความรู้สึกของ ‘ผู้เป็นพ่อ’ ของเจ้าเด็กบ้านี่จริงๆ วธินออกมาส่งแขกออกจากบ้าน ดวงตาของเขาแวววับ มันก็สักพักแล้วที่เขาไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าจนอาจจะลืมไปแล้วว่าการวิ่งด้วยสี่ขาต้องทำอย่างไร


“สุธาสกุลทำไม่ถูก”  เขาพูดไล่หลังมา กลิ่นอายแห่งความโกรธเคืองยังคงมีอยู่ หากเป็นตัวเขาก่อนที่จะละทิ้งทุกอย่างมาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีตายกันไปข้าง ทว่าวันนี้วธินมีครอบครัวที่สำคัญกว่าใครที่ต้องรักษาไว้


“ผมจะจัดการเอง”


“จะจัดการยังไง ในเมื่อนายก็เป็นสุธาสกุลคนหนึ่งเหมือนกัน นายจะมาเห็นคนอื่นดีกว่าสายสัมพันธ์ของครอบครัวได้ยังไง” วธินที่ไม่อาจจะเก็บกรงเล็บของตนเมื่อร่างนั้นกำลังจะเปลี่ยนไปยังคงเดินไปข้างหน้า ภูวนัยนั้นหยุดแล้วและเขาไม่แม้แต่จะสั่นไหวหวาดกลัวกับการคุกคามนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มผินมาด้านหลังเพื่อมองวธินที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ


“ผมคิดว่าคำถามนี้คนที่หนีมาจากฝูงเพื่ออยู่กับคนที่มีเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างอย่างคุณคงตอบได้ดีกว่าใคร”  ภูวนัยตอบคำถามนั้นสั้นๆแต่ทำให้เท้าที่กำลังก้าวเดินของวธินชะงักในทันที และเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้นอีกครั้ง คำตอบที่ให้กลับไปคิดเองก็กระจ่างชัดในหัวใจ


ไพร์มอาจจะทำได้ถ้าเขาอยากทำ


และการที่เขาจะทำสิ่งนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าแรงขับเคลื่อนที่มีมันมากเพียงใด


“…” ภูวนัยไม่ตอบอะไรอีกและเดินออกจากบ้านของพวกเขาไป ทิ้งไว้ซึ่งวธินที่มีหลายสิ่งที่ต้องคิด ทว่าคิดเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรดีๆออกมา บางทีวธินก็อาจจะแก่เกินกว่าจะมีเรื่องกับใครแล้ว เขาถอนหายใจออกมา ปลดปล่อยเรื่องราวหนักหัวและคิดเรื่องของเจ้าลูกชาย ตื่นมาต้องเล่นงานเสียให้เข็ด ส่วนเรื่องว่าคนๆนั้นจะจัดการกับสุธาสกุลหรือไม่


ดวงตาสีทองคู่นั้นเหมือนจะตอบกลับมาให้หมดแล้ว


Talk:
พรุ่งนี้มาอีกจะมีใครรออ่านไหมน้า  ><
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 31 8/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-06-2019 17:05:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 31 8/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-06-2019 06:49:05
เอิ่มมม ไพร์มเป็นใคร มีสายพันธ์ุแต่ใดมา

เอ็นดูฉันมากเลยค่ะ น้องไม่ใช่ไม่รู้ รู้บ้างแต่ก็ยังทำ
เพราะใจเอียงไปทางคุณไพร์มเค้าซะเยอะเลย
แล้วดูแต่ละอย่างที่ฉันเป็น น่าบีบมาก
เจ็บขนาดนั้น ยังห่วงคนอื่น

ไพร์มจะได้รู้ตัวสักทีว่า ฉัน คือคนพิเศษจริงๆ
ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง สับสน ไม่ยอมรับ

ป๊ะกับพ่อคือคนละสายไปอีก ตอนแรกคิดว่าสายเดียวกัน
รอลุ้นค่ะ ว่าจะคืบหน้ากันบ้างไหม ดูพ่อแอบเกรี้ยวกราด

สนจะไปตามหาสาแล้ว เอ็นดูสา อยากเจอก็อยาก
อยากตัดก็อยาก แต่รอพ่อหาเจอก่อนเหอะ แม่หนีไม่รอดแน่
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 32 9/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 09-06-2019 14:36:51
- - - - - -
คุณไพร์มไปไหน!?!!!!
(iДi)
- - - - - -


ทั้งๆที่คิดว่าไพร์มคงตามกันเจอแน่ๆ แต่ก็ประเมินไว้แล้วว่าคงถ่วงเวลาไว้ได้ในระดับหนึ่ง


“กลุ่มไหนกันที่มันแทรกแซง”  คนกลุ่มนั้นดูจะเป็นกลุ่มรับจ้างอิสระ ก็อาจจะเป็นไพร์มนั่นแหละที่หามา


แต่มันเร็วมากที่ไพร์มจะหาเจอ ทั้งๆที่มีพวกนกต่อในทีมซึ่งถูกซื้อตัวไว้ แต่ก็ใช้เวลาในการหาเร็วมาก มันน่าเจ็บใจไม่น้อยที่ยังไม่ได้อะไรจากแวมไพร์ตนนั้น และต้องหนีหัวซุกหัวซุนไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้


“จะหนีไปต่างประเทศก่อนไหมครับ”


“ไม่จำเป็น”  แต่ถึงกระนั้นก็คงไม่ต้องทำอะไรให้มันมากเกินไป ถึงอย่างไรไพร์มก็คงไม่ทำอะไรกับคนในบ้านอยู่แล้ว ยิ่งเขาคือสายหลักของคุณพ่อ แม้ไพร์มจะเป็นคนโปรดแต่ก็เกรงใจกันอยู่บ้าง พรีวัส สุธาสกุลมั่นใจเช่นนั้น แต่เขาคงไม่รู้เลย…


ว่าคนในความคิดกำลังจะมาปรากฏกายให้เห็นจริงๆถึงที่


“แย่แล้วครับ นายท่านหนีเร็ว!” เสียงตึงตังที่ดังจากด้านนอกทำให้เขาที่กำลังจะเข้านอนนั้นต้องลุกขึ้นมาอย่างหงุดหงิด นอกจากวันนี้จะปฏิบัติการใหญ่ไม่สำเร็จ ยังมีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่ได้หยุดหย่อน


“เกิดอะไรขึ้น”  เขาพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย เปิดประตูออกมาหมายจะเฉ่งเจ้าคนเสียงดัง ทว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยได้รู้เลยว่าถ้าออกมาจะไม่ได้ดุด่าใคร


เพราะเจ้าตัวต้นเรื่องได้นอนสลบอยู่กับพื้นแบบเป็นตายก็หารู้ได้ไม่ในตอนนี้


“ไพร์ม…” และคนทำก็เหมือนจะเป็นน้องชายต่างแม่ของเขา แต่แม้จะคล้าย ทว่าก็มีส่วนที่ไม่เหมือนเอาเสียเลย


โดยเฉพาะดวงตาสีทองที่ไม่ควรจะมีหรือเป็นคู่นั้น


“แก…แกเป็นใคร” ทุกคนรับรู้ว่าแม่ของไพร์มคือใคร และมั่นใจว่าไม่ว่าทางไหนภูวนัยก็ไม่ควรจะมีดวงตาสีนี้ ฉับพลันความจริงบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัว หลายคนได้รับรู้ว่าผู้หญิงคนไหนคลอดปีศาจร้ายตัวนี้ออกมา


นั่นก็เท่ากับว่า…


“แกรนหาที่ให้ความอดทนต่ำๆก็ฉันหมดลงเองนะ” เจ้าของดวงตาสีทองพูดออกมา ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าเคยส่งมนุษย์หมาป่าไปทำร้าย แต่สายรายงานมาว่าไพร์มสามารถตบทีเดียวมันกระเด็นได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์สายพันธุ์ไหนก็ไม่ควรทำได้ทั้งนั้น


“กะ…แกไม่ใช่น้องฉัน”


“ต่อให้มีสายเลือดเดียวกันแกก็ไม่เคยเห็นใครเป็นน้องอยู่แล้ว”  ขายาวๆนั้นไม่เคยหยุดก้าวเดิน ในตอนนี้แม้ไม่มีใครติดตาม แต่น่ากลัวว่าแค่ไพร์มคนเดียวก็ล้มคนได้มากมาย พีรวัสถอยหนี ถอยจนไม่รู้ว่าตัวเองจะถอยไปไหน


“พะ..ไพร์ม…”


“ดูเหมือนว่าแกคงไม่รู้ว่าล้ำเส้นกันเกินไป”  อาจจะเพราะเขายอมให้ล้ำเส้นกันบ้าง เพราะบางอย่างก็ต้องยอมให้เพื่อที่จะได้รับ ทว่าฉันชนกคือคนที่ไม่อนุญาตให้ใครแตะ และคนๆนี้ก็ไม่ได้ทำแค่แตะต้อง  “และคงไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตจะเป็นยังไง” 


“มะ…ไม่” เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจเพราะมีชีวิตที่สุขสบายในกองเงินกองทอง แต่ความทะเยอทะยานโง่เง่ากำลังจะทำให้ได้รู้


ดวงตาสีทองวาวโรจน์อย่างน่ากลัว ในตอนนั้นพระจันทร์เต็มดวงกำลังถูกเมฆบดบัง เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากบ้านหลังนั้น


แต่น่าเสียดายที่คนได้ยินไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรไม่ให้มันเกิดได้เลย

- - - - - -

“คุณพีพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”  ชายชราที่ได้รับฟังนั้นยังคงมีใบหน้านิ่งเรียบ เดิมทีพีรวัสก็เป็นลูกนอกสายตาอยู่แล้ว และยิ่งสร้างปัญหาครั้งใหม่นี้ เขายิ่งไม่สนใจว่าลูกคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง


“จัดการกลบข่าวให้เรียบร้อย”  เจ้าบ้านสุธาสกุลนั้นสั่งเสียงเรียบ นี่ก็ดึกมากแล้ว ผู้เฒ่าเช่นเขาไม่ควรจะนอนดึกให้เสียสุขภาพ ชายชราที่อยู่ในชุดผ้าราคาแพงนั้นเดินกลับไปยังห้องนอน รู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย ไม่ใช่เพราะการที่ลูกๆของตนตีกันมันไม่ดี การแข่งขันก็ให้เกิดผลกำไร แต่เพราะมันวุ่นวายมาถึงทางนี้ ก็เลยไม่ค่อยชอบใจนัก


และไปตีกับใครไม่ตี ไปตีกับเจ้าไพร์ม…


“ดูคุณพ่ออารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะครับ”


“ไพร์ม?”  ยังไม่ทันที่ท่านเจ้าบ้านจะเปิดไฟในห้อง ไฟมันก็สว่างขึ้นมาเอง เผยให้เห็นกับแขกอีกคนที่มาเยือนในยามวิกาล ลูกชายที่เคยอยู่นอกสายตามากๆอีกคนนั้นบุกเข้ามาหาเขาถึงที่ คาดว่าคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เดิมทีเจ้าคนหนุ่มไฟแรงคนนี้สร้างผลกำไรมากมายให้บริษัท ทัศนคติที่ดีจึงค่อยๆถูกสร้าง ในขณะเดียวกันเขาก็เรียนรู้ได้ถึงความน่ากลัวบางอย่าง


บางอย่างที่ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับตระกูลเรา


“ผมหวังว่าคุณพีจะหายดี”


“แกทำให้พี่เขาเดินไม่ได้”


“ถ้าเขามีความพยายามมากพอ จะกลับมาเดินได้สักวัน แต่เกรงว่าอาจจะไม่มีวันนั้นที่เขาจะวิ่งตามทันคนอื่นอีก”


“…”


“ถ้าการมีขาทำให้เขาก่อเรื่องวุ่นวาย ผมก็แค่เรียนรู้วิธีการจัดการแบบสุธาสกุล”  นั่นคือตัดขาอย่าให้เดิน


“มาที่นี่ทำไม”


“ผมแค่มายื่นใบลาออกจากบริษัทอย่างเป็นทางการ”


“กับเรื่องแค่นี้ถึงกับต้องลาออกเลยรึ”  ชายชรายังคงไว้มาด เขาเดินไปนั่งอย่างสบายใจบนเตียง ที่อีกด้านหนึ่งมีผู้บุกรุกนั่งอยู่บนโซฟาหนังตัวโปรดอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด


“อันที่จริงผมก็สนุกสนานมาพอแล้ว”  ความสำเร็จของบริษัทมากมายที่มาจากมือของเด็กชายนอกสายตาคนนั้น ไม่ได้เกิดจากความรัก หากแต่เต็มไปด้วยความอยากเอาชนะและความสนุกสนาน ภูวนัยถือเป็นสมบัติไร้หัวใจที่ล้ำค่า ทว่าวันนี้เจ้าตัวกลับมาขอถอนตัวออกไป


น่ากังขาว่าเพราะหาหัวใจเจอแล้วหรือยังไง


“ฉันจ่ายแกไม่พอรึ”


“ผมมีเยอะเลยไม่คิดอยากได้อีก”


“อวดดี”


“ต้องขอบคุณพวกคุณผมถึงได้ร่ำรวยถึงเพียงนี้”  ไพร์มยิ้ม “แต่คงจะดีถ้าไม่มายุ่งกับผมอีก”


“ไพร์ม…”


“คุณก็รู้ว่าผมรู้ว่าผมไม่ใช่ลูกคุณ”


“…”


“คุณรับเด็กทุกคนเป็นลูก เพราะจะยังไงคุณก็ไม่ได้เลี้ยงดูให้ดีกว่าคนใช้อยู่แล้ว ถ้าเด็กคนนั้นมีแววก็แค่ปั้นเขาให้ใช้งานได้ ลูกของคุณมีมากมาย แต่หลายคนก็ไม่ใช่ลูกของคุณ”


“แก…”


“เพราะถ้าคุณเป็นพ่อ…” เขาจ้องมองชายแก่คนนั้นที่เป็นคนแปลกหน้าเสมอมา  “ดวงตาของผมคงไม่เป็นสีนี้”  สีทอง คือสีที่หลบซ่อนอยู่บางเวลา สีทองเป็นสีที่หายาก และเป็นสีที่บอกกันชัดเจนว่าเลือดของเขาที่มันข้นจนต้องคอยถ่ายออกนี้ เขามีเลือดของอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งไร้เวียนอยู่รอบกาย


และสีทองไม่ใช่สีที่ควรจะเข้าไปมีเรื่องด้วย


ภูวนัยรู้ตัวว่าพ่อของเขาไม่ใช่เจ้าบ้านสุธาสกุลตั้งแต่วันแรกที่ตื่นขึ้นมาพบว่าดวงตาของตัวเองสามารถเปลี่ยนเป็นสีทองได้ เขาเริ่มหาข้อมูลถึงความเป็นไปได้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ และวันหนึ่งก็ได้พบกับความจริงโดยบังเอิญ มันมีผู้ชายอีกคนที่มีดวงตาสีเดียวกันกับเขา แต่มีร่างอีกร่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง


“หวังว่าต่อไปนี้คงไม่ได้มีเหตุให้เจอกันแล้วนะครับ”  ไม่เช่นนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับสุธาสกุลก็สุดรู้ หลายสิ่งที่ไพร์มสร้างขึ้นมาให้ ในขณะเดียวกันก็สามารถทำลายมันลงได้ และถ้าเขาขยันพอ


ก็สามารถที่จะทำให้สิ่งอื่นที่สร้างสรรค์โดยคนอื่น


พังทลายได้ต่อหน้าลูกหลานทุกคนในบ้านหลังนี้เช่นกัน


หลังจากมั่นใจว่าการมาของตัวเองในครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ภูวนัยก็เดินจากมาโดยไม่หมายจะย้อนกลับไปอีก นี่เป็นการตัดสินใจที่จะเรียกกว่ากะทันหันก็ว่าเช่นนั้นได้ แต่ทุกอย่างล้วนถูกคิดมาอย่างดีแล้ว


อันที่จริงเขาอยากจะทำอย่างนี้มาตลอด ทว่ามันไม่ได้มีแรงบันดาลใจมากพอให้ทำเพราะทุกครั้งสิ่งที่สุธาสกุลทำ คือการมอบของเล่นใหม่ๆเพื่อไม่ให้เขาทนเบื่อกับการอยู่ที่นี่จนเกินไป แต่วันนี้เขาเล่นจนพอแล้ว


ไม่น่าเชื่อว่าแวมไพร์ตัวเล็กๆจะกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้คนนิสัยเสียคนหนึ่งเลือกที่จะเดินจากมาแบบเงียบๆ และในเวลาที่ว่างแบบไม่มีอะไรทำจริงๆ เขาเคยจินตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไรหากไม่มีความเกี่ยวข้องกับสุธาสกุลอีก และในวันนี้เขาก็กำลังได้เผชิญกับมัน


อย่างโดดเดี่ยวไม่เหลือใครแบบที่ควรจะเป็น

- - - - - -


อีกด้านหนึ่งของมุมเมือง ใครสักคนกำลังห่มผ้าผืนหนาให้กับเจ้าโอเมก้าอวดเก่งที่ในวันนี้คอพับคออ่อนอาละวาดไม่ได้เต็มที่อย่างน่าสงสาร ทาริคที่ต้องคอยสู้รบกับคนเก่งที่มีร้อยแปดพันวิธีหนีไปจากเขานั้นยิ้มออกมา ในที่สุดเจ้าโอเมก้าก็มาตายรังอยู่ตรงนี้ บนกองหมอนนิ่มทั้งหลายในห้องนอนของเขาที่กำลังกลายเป็นของเรา


ฝันดีนะดรัญ…


“ดรัญหลับแล้วสินะ”  เอลที่รอที่จะคุยด้วยนั้นทัก ทาริคผู้ซึ่งสละตำแหน่งผู้นำเผ่าพันธุ์นั้นเดินลงบันไดมาหาอย่างอารมณ์ดี หลายวันมานี้มีแต่เรื่องดีๆ


เรื่องที่โอเมก้าที่รักกำลังจะมีลูกเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เรื่องที่ส่งสารินออกไปไกลตัวโดยไม่จำเป็นต้องมีปัญหากับธัมรงค์รัชต์ก็ดีมากๆแถมลูกพี่ลูกน้องอย่างเอลก็ได้รับคะแนนเสียงดีกว่าที่คาดไว้ บางทีตำแหน่งผู้นำเผ่าพันธุ์รุ่นต่อไป ก็ยังคงเป็นเพย์ตันอยู่ เอาเป็นว่าชีวิตเขาตอนนี้ดีมากๆ


“ได้ยินว่าตอนนี้สนธยาเข้าใกล้ตัวสารินได้แล้ว”


“เป็นไพร์มจริงๆสินะที่ช่วยเหลือ” จริงๆพวกเขาตัดขาดเรื่องที่ว่าสารินจะไปไหนทำอะไรมาสักพักแล้ว แต่ดรัญเป็นฝ่ายหงุดหงิดทุกครั้งที่ตอบอะไรไม่ได้ ดังนั้น…เขาจึงต้องไปหาคำตอบมาให้กับทุกสิ่งที่เจ้าโอเมก้าเจ้าอารมณ์อยากรู้


“อืม” 


“เป็นอะไรไปล่ะเอล”


“วันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อย”  เอลนั้นครุ่นคิดว่าตนควรจะพูดออกไปหรือไม่  “ไพร์มมีเรื่องกับคนที่สุธาสกุล”


“อะไรนะ”


“ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทั้งสนธยาและไพร์มเข้าไปมีเรื่องวุ่นวายกับพีรวัส ไพร์มเล่นงานซะหนักเลย คิดว่าคงตัดขาดกับสุธาสกุลแล้วแน่”


“ก็ถ้าไม่มัวแต่เล่นสนุก หมอนั่นก็คงไม่เห็นค่าอะไรของสุธาสกุลนัก”  ทาริคไหวไหล่ เขาไม่ได้รู้จักไพร์มดีนักหรอก แต่บางทีก็เคยได้ร่วมโต๊ะกันบ้าง


เป็นการคบหาสนิทสนมกันแบบลับๆ


“สุธาสกุลที่ไม่มีไพร์มคงจะวุ่นวายน่าดู”  ทาริคนั้นค่อยๆรินไวน์ใส่แก้วและส่งให้เอล เพย์ตันลูกพี่ลูกน้องของเขา ทำไมพวกเขาถึงได้เกี่ยวข้องกับคนอย่างภูวนัย สุธาสกุลนะเหรอ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เปิดเผยเป็นวงกว้าง มิหนำซ้ำบางทีมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่เปิดเผยออกไปไม่ได้


“โทรหาหมอนั่นก็ไม่รับ”


“ให้เวลาน้องมันบ้าง คาดว่าคงเจอเรื่องที่ใหญ่พอตัวเลยล่ะวันนี้”  ทาริคเอ่ยปลอบไป เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคนแบบนั้นคงไม่ล้มนานเกินไป ภูวนัยเป็นคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากๆ แม้ว่าร่างกายของหมอนั่นจะมีความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ แต่มันสมองที่สุดยอดเจ้าเล่ห์นั้น เขาเดาภาพไพร์มที่ล้มหมดท่าจริงๆไม่ออกเท่าไหร่


“ถ้าตอนนั้นเราไม่ตามใจหมอนั่นจนเกินไปคงจะดี”


“ก็มันอยากทำและอีกอย่างสถานการณ์ของเพย์ตันก็ใช่ว่าจะดี”  ทาริคยังคงพยายามพูดให้เอลเย็นลงแต่เหมือนจะไม่เลย ดวงตาของเอลที่มองออกไปยังด้านนอกอันมืดมิดนั้นเต็มไปด้วยความกังวล และเมื่อนึกถึงความผิดพลาดมากมายที่เคยเกิดขึ้นเขาก็ได้แต่นึกโทษตัวเอง “ดวงตานายเปลี่ยนสีแล้ว” และความคิดที่ควบคุมไม่ได้ก็ส่งผลให้ร่างกายทำปฏิกิริยา


“อย่างน้อยเขาก็มีดวงตาสีเดียวกับพวกเรา” เอลหันกลับมามองญาติผู้พี่ ในตอนนี้ด้วยดวงตาสีทองไม่ต่างจากอีกคน


“แต่เขาไม่ใช่มนุษย์หมาป่าเต็มตัว”  ไม่บ่อยหรอกที่เอลจะเอาแต่ใจ  “เขามีลักษณะของมนุษย์มากกว่า หมอนั้นยังต้องจัดการกับเลือดของตัวเองอยู่ทุกสามวัน ถึงจะมีร่างกายแข็งแกร่งแบบพวกเราแต่เขาแปลงร่างไม่ได้”  นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับ


พวกเราไม่เคยสืบกันจริงจังว่าญาติของพวกเราคนไหนเป็นพ่อของไพร์ม ทว่าทั้งเอลและทาริคผู้ซึ่งค่อนข้างจะหัวสมัยใหม่ต่างรับได้ที่พวกเขาจะมีน้องชายโผล่มาอีกคน แม้ว่าน้องชายคนนั้นจะไม่ได้มีลักษณะทางกายภาพเหมือนพวกเขาทุกกระเบียดนิ้วก็ตาม


“…”


“เอล…นายทำดีที่สุดแล้วจริงๆ” ในวันหนึ่งที่พวกเราไปร่วมงานเลี้ยงที่จัดโดยสุธาสกุล ที่นั่นเราได้พบกับเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้ถูกเรียกว่าคุณไพร์ม เด็กคนนั้นเป็นหนึ่งในคนโปรดของเจ้าบ้านสุธาสกุล เขามีศักดิ์เป็นลูกคนที่เท่าไหร่ไม่รู้ ทว่าออร่าบางอย่างที่โอบล้อมกาย มันช่างต่างจากคนบ้านนั้นเหลือเกิน


คาดว่าอะไรสักอย่างในวันนั้นได้กระตุ้นสัญชาตญาณของเราสองพี่น้อง เอลและเขาเผลอจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยดวงตาสีทองอันเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลเพย์ตันเท่านั้น และก็พบว่าถูกมองกลับด้วยดวงตาแบบเดียวกันขึ้นมา มันทำให้เขาพบว่าจริงๆเรามีญาติพี่น้องคนอื่นอยู่นอกตระกูล


พี่น้องที่ ไม่ได้มีลักษณะของมนุษย์หมาป่าแต่เป็นลูกครึ่งอัลฟ่าที่แข็งแกร่งและมีสติปัญญาที่ดีเยี่ยม


แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ของเราไม่ต้อนรับคนที่มีลักษณะแบบไพร์มให้เข้ามาแน่ๆ เด็กหลายคนต้องอยู่อย่างหลบซ่อนและทำตัวให้กลมกลืนกับเผ่าพันธุ์อื่นมากกว่าหากพวกเขามีเชื้อสายของหมาป่าแต่ไม่ได้กำเนิดโดยโอเมก้าแบบที่อัลฟ่าคนอื่นๆเป็น และนั่นเป็นเหตุผลที่เรารับเขามาอย่างเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็ติดต่อกันเรื่อยๆหยิบยื่นน้ำใจกันบางครา


อย่างไรก็ตาม ไพร์มก็ไม่เคยคิดอยากจะเข้ามาเป็นหนึ่งในตระกูลเพย์ตัน เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเอลหรือทาริคพอที่จะสนิทใจ สิ่งใดที่รับได้เขาก็รับ หากแต่สิ่งใดที่ไม่มั่นใจว่าจะดีก็ไม่คิดจะรับไว้ แน่นอนว่าผลประโยชน์หลายอย่างหมอนั่นก็โกยจากไปอื้อ โชคดีที่พอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หลายๆเรื่องนั้นไพร์มก็เผื่อแผ่ความช่วยเหลือมาที่เพย์ตันบ้าง


“ปล่อยวางซะเอล ไพร์มมันไม่แย่ไปกว่านี้หรอก”  เพราะเท่าที่เขารู้จักไพร์ม เจ้าบ้านั่นคือแย่แล้วและก็คงไม่อาจจะแย่ได้อีก


ถ้าแย่กว่านี้ก็เกรงว่าคงไม่มีใครจะหยุดหมอนั่นได้อีก…แล้วจริงๆ


ทว่าคนที่เป็นต้นเหตุของทุกสิ่งที่วุ่นวายในช่วงวันที่ผ่านมานี้กลับนอนหลับเต็มตื่น “ฮ้าววววววว”  แถมตื่นมาก็ยังหาวปากกว้าง มึนงงกับทุกสิ่งทันทีที่ลืมตา ที่นี่ที่ไหน ฉันมาทำไม และหิวแล้วมีอะไรกินไหม


เดี๋ยวสินี่มันที่บ้านนี่?!!


“ฮื้อออออออ”  ฉันชนกที่ร่างกายไม่พร้อมจะลุกขึ้นยืน ทว่าจิตใจก็เข้มแข็งพอที่จะส่งมอบพลังกายไปให้กระดิกตัว ฉันค่อยๆกลิ้งไปข้างๆลงจากเตียง นอนให้พอหายมึนก่อนจะคลานกระดื้บไปยังประตูห้องนอนที่ตนคุ้นเคย


นี่ฉันฝันอยู่เหรอ แค่คิดว่าอยากกลับบ้านเลยมาอยู่ที่บ้านได้เลยหรือไง เจ้าแวมไพร์โง่เง่าถามตัวเองเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบ ถึงแม้จะพาตัวเองมาถึงบันไดบ้านได้แล้ว ทว่าก็ไม่คิดจะลุกขึ้นยืนและเดินลงมาดีๆ


“เดี๋ยวพ่อจะตีให้”  วธินที่มาเห็นเจ้าตัวแสบค่อยไถก้นตัวเองลงมาตะโกนก้อง เขายังเคืองเรื่องเมื่อวานไม่หาย วันนี้จอมขี้เกียจทำงามหน้าด้วยการสวมร่างขี้เกียจไถตัวเองลงมาแบบนี้อีก นอกจากอันตรายแล้วมันไม่ได้ดูน่ารักเลย


“ป๊ะ! ช่วยน้องฉันด้วย”  พอเห็นวธินตั้งท่าจะต่อว่า เจ้าตัวเลยร้องหาตัวช่วยที่มักจะอยู่ไม่ไกล การันต์เดินเข้ามาเห็นสองพ่อลูกก่อสงครามย่อมๆก็ส่ายหน้า ทว่าก็เดินไปฉุดเจ้าลูกตัวแสบให้ลุกขึ้นยืนและช่วยพยุงให้เดินมาดีๆ


“ลูกยังอ่อนแรงนะ”  ด้วยความที่เป็นแวมไพร์เหมือนกันและเป็นมานานกว่า การันต์รู้ดีถึงอาการขี้เกียจที่ฉันแสดงออกมา ฤทธิ์ยาอะไรนั่นยังคงตกค้าง คงต้องให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อนคงวิ่งซนได้รอบบ้านเหมือนเดิม


“งั้นจะลงมาทำไม”  วธินที่ทราบดังนั้นเลยเข้ามาช่วยประคอง


“หิววววว”  ไม่ได้กินอะไรมาหลายเพลาแล้ว


“วันหลังส่งโทรจิตมา จะเอาขึ้นไปให้กิน”  ทำแบบนั้นได้ซะที่ไหน เจ้าตัวแสบลูบหัวตัวเองปอยๆมองค้อนคนพ่อที่ตีเบาๆเมื่อครู่นี้


หลังจากความทรงจำกลับมาเข้าสู่สมองแบบปกติ คำถามแรกคือทำไมตนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังนอนอ้อนผู้ชายอยู่อีกที่ ทำไมตอนนี้ถึงมาอ้อนพ่อกับพ่ออย่างนี้ได้


“เป็นอะไรไปล่ะเจ้าฉัน ขมวดคิ้วใหญ่เลย” การันต์ที่ว่าจะเอาจานชามไปล้างเห็นท่าทางลูกชายแปลกๆเลยถามออกไป โดยไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้ตนจะไม่ได้เอาจานไปล้างอีกพักใหญ่


“ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ”


“มีคนมาส่ง”


“คุณไพร์มนะเหรอ”


“อืม”


“แล้วคุณไพร์มบอกอะไรป๊ะกับพ่อไหม”


“บอก…บอกว่าลูกชายป๊ะมันแก่นเซี้ยวแค่ไหน น้องฉันมันอันตรายมากนะทำไมทำอะไรถึงไม่คิดถึงใจป๊ะเลย” การันต์ต่อว่า


“ก็…ไม่อยากให้ป๊ะเป็นห่วง”


“แล้วเราไปไว้ใจคนอื่นแบบนั้นได้ไง อยู่ๆเขาบอกจะเอาไปทดลองก็ไปเหรอ จะตายไหมทำไมไม่รู้”


“ก็คุณไพร์ม…” อันที่จริงเขาเคยสัญญาต่อกันว่าจะไม่ให้ฉันต้องเป็นอะไร แต่สุดท้ายเรื่องราวเมื่อคืนวานก็เกิดขึ้น แม้มันจะไม่ใช่ฝีมือเขา แต่การที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปเกี่ยวข้องเลยเป็นอันต้องเผชิญกับมันด้วยแบบนั้น


“ร่างกายของแวมไพร์ไม่เหมือนมนุษย์ มันมีจุดที่อ่อนไหวและให้ใครแตะต้องไม่ได้เพราะถ้าเกิดพลาดไปนิดนึง”  การันต์หยุดพูดไปพักหนึ่ง  “เราอาจตายได้”


“ก็ผมไม่รู้”


“…”


“ผมเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์”  ลูกอธิบาย ดวงตาคลอน้ำตาอย่างรู้สึกผิด แต่อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของวธินและการันต์ด้วยที่ปิดบังไม่ให้ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เพียงเพราะคิดว่าเราหนีมาไกลถึงเพียงนี้ก็ควรจะลืมสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นไป เราจึงเลี้ยงลูกขึ้นมาโดยให้เขามีจิตสำนึกของการเป็นมนุษย์มากกว่าแวมไพร์


และคิดว่าหากรอบตัวของฉันมีแต่มนุษย์แล้วล่ะก็ เด็กคนนี้คงไม่เกิดปัญหาอะไร แต่เราคิดผิด โลกมันเปลี่ยนไปแล้วและต้องยอมรับว่าทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนเกินไป และในระหว่างนั้นอาจจะก่อให้เกิดภัยอันตรายที่เราไม่อาจจะคาดได้ว่ามันจะเกิดแบบไหน อย่างไร หรือเมื่อไหร่ 


“ไม่ต้องร้องแล้วน้องฉัน มันผ่านไปแล้ว” การันต์เดินเข้าไปหา ช่วยเกลี่ยหยดน้ำตาบนใบหน้าอย่างแผ่วเบา ในตอนที่ลูกแสดงออกมาว่ารู้แล้วว่าตัวเองเป็นแวมไพร์ การันต์ต้องเก็บสีหน้าและความรู้สึกเอาไว้ ทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องทั่วไป อันที่จริงเขาแค่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง เพราะไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเผชิญ


ในบรรดาผู้คนทั้งหมดลูกคือคนที่รับมือยากจริงๆ เพราะเราแคร์เขากว่าใคร เราจึงไม่อยากให้เขาแตกหักไปเพราะความผิดพลาดของเรา


“ต่อไปนี้เรามาเรียนรู้กันว่าน้องฉันมีความสามารถอะไรบ้าง และต้องระวังอะไรบ้าง”


“ฉันวิ่งเร็วใช่ไหม”


“ใช่”  แวมไพร์นั้นหากฝึกอย่างถูกวิธีก็จะมีความว่องไวเหนือใคร ทว่าเขาไม่แน่ใจในเคสของฉันชนกนัก เด็กคนนี้มีเชื้อสายของมนุษย์ธรรมดาผสมอยู่ด้วย ทุกวันนี้ที่เขาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ บางทีก็ละเลยความเคร่งครัดบางอย่างแบบแวมไพร์ที่อาศัยอยู่บนโลก แต่ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร คงจะเพราะเลือดมนุษย์ที่ไหลเวียนอยู่ในกายด้วยส่วนหนึ่ง


ทว่าตอนนี้ลูกได้ถูกปลุกสัญชาตญาณแวมไพร์ในตัวแล้ว ทั้งการดูดเลือด ความว่องไวที่เจ้าตัวรับรู้ว่ามี มันทำให้ฉันเริ่มที่จะเป็นแวมไพร์มากขึ้น และมันคงเป็นหน้าที่ของการันต์ที่จะต้องสอนให้ลูกปรับตัว


วธินที่เดินเข้ามาเห็นสองพ่อลูกอย่างการันต์และฉันกอดกันกลมนั้นก็ยิ้มออกมา เขาเคืองเจ้าตัวแสบไม่น้อยที่ก่อเรื่องเอาไว้แต่ก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาปิดกั้นลูกเกินไป และในตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติสุขแล้วเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข เขาเดินเข้าไปโอบกอดคนทั้งสองที่เขารักที่สุดในโลกเอาไว้ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่เช่นกัน


ความลับของครอบครัวเราก็จะยังคงเป็นความลับอยู่ แต่ต่อไปนี้จะไม่มีความลับต่อคนข้างในครอบครัวอีกแล้ว พวกเราสามคนดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศแห่งความอบอุ่น วธินกับการันต์ช่วยกันพยุงเจ้าตัวแสบขึ้นไปนอนบนห้อง ห่มผ้าและจูบหน้าผากเหมือนเมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นเด็ก


“ฝันดีนะเจ้าฉัน”  การันต์พูดก่อนจะดึงให้วธินออกจากห้องไป


ทว่าเมื่อประตูห้องนอนปิดลงคนที่ควรจะหลับตานอนฝังตัวเองลงไปในโลกแห่งความฝันก็ลืมตาขึ้น ความรักคือสิ่งที่สัมผัสได้และยังคงอยู่ไม่หายไปไหน ทว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่และไม่เข้าที่เข้าทางในความรู้สึก ฉันชนกยังคงมีคำถามมากมายและความกังวลที่ตนไม่อาจจะรู้วิธีแก้ไข แต่จะอย่างไร


มันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องของภูวนัยที่หายไปและติดต่อไม่ได้คนนั้น…


- - - - - -


บ้านหลังนั้นคือเป้าหมายที่ใกล้แค่เอื้อม


แต่ไกลทางความรู้สึกนัก


สนธยามาถึงที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับข้อมูลสถานที่แล้ว ทว่าสิ่งที่เขาทำนั้นคือการมองอยู่ห่างๆ ไพร์มทำตามสัญญาได้ดี เขาเอื้อเฟื้อให้เบอร์ติดต่อของแจง โอเมก้าที่ดูแลสารินเอาไว้ เราคุยกันและนำมาสู่ข้อตกลงที่ว่าสนธยาจะได้รับการรายงานเรื่องราวของสารินโดยตรง


ทำไมสนธยาไม่เข้าไป เขาคิดว่าเขายังคงต้องการเวลาอีกหน่อย จะอย่างไรตอนนี้มันก็อยู่ในระยะที่พอใจแล้วที่จะได้มองเห็น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมย่อมเข้าไปแน่


แล้วเมื่อไหร่สารินถึงจะยอมรับกันได้เล่า จริงๆเขาก็ไม่รู้เลยจริงๆ น้องเป็นเด็กดื้อและยึดมั่นในตัวเองกว่าที่ใครๆคิดๆ และเรื่องที่หนีออกมา เจ้าตัวก็ได้วางแผนรวมถึงทำมันอย่างรอบคอบ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าสารินไม่ได้อยากกลับไป ไม่ว่าจะกลับไปหาครอบครัวของเรา หรือแค่กลับมาหาเขาก็ตาม


“เคลียร์คนออกไปให้หมด”  เขาหันไปสั่งกับลูกน้อง หากคนอยู่กันเยอะเกินไป เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะพบเห็นและตกใจได้ ในบ้านหลังใหญ่ของภูวนัยที่อยู่ริมทะเลแห่งนี้  เจ้าตัวคงมีแผนจะเปิดที่พักตากอากาศหรืออะไรสักอย่าง ทว่ายังไม่ได้เริ่มเลยให้คนของเขามาพักที่นี่ก่อน อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ที่พักในอาคารเดียวกันหากแต่คนละฝั่ง


สารินอยู่ในสัดส่วนของตัวเองเพราะเกรงใจและไม่อยากเดินไปไหนมาไหนในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และนั่นจึงเปิดโอกาสให้เขาได้ย้ายเข้าไปอยู่ใกล้ๆโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เอะใจอะไร และที่เหลือ…


ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส


“แขกเหรอครับ”  สารินถามออกไป เห็นว่าเมื่อช่วงเช้านั้นดูวุ่นวายไม่ใช่น้อย เพิ่งรู้ว่านอกจากตัวเองแล้วก็มีใครอีกคนมาพักที่นี่


“ค่ะ คนรู้จักของคุณเจ้าของมาพักตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่คุณสาหลับ”


“มาเที่ยวเหรอครับ”


“ค่ะ แต่คงไม่อยากให้รบกวน วันนี้ก็บอกให้ช่วยเอาอาหารไปวางไว้ที่หน้าห้องเลย”


“อ๋อ”


“คุณสารับอาหารเลยไหมคะ”


“ก็ดีครับ”  และเรื่องราวของผู้มาใหม่ก็ถูกบอกเล่าแค่นั้น เขาดูเหมือนคนที่อยากได้รับความส่วนตัว ซึ่งดีแล้วเพราะสาเองก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน


จนถึงตอนนี้ภาพร่างอนาคตของสารินก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ต่อไปจะเลี้ยงลูกยังไง ที่ไหน หาเงินอย่างไร สาก็ยังไม่มั่นใจเลย อันที่จริงตนเคยนึกภาพที่ต้องออกมาจากธัมรงค์รัชต์โดยตลอด พอต้องออกจริงๆแล้วมันก็เคว้งทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน แต่จะกลับไปมันก็ทำไม่ได้แล้ว


สาไม่อาจจะโกหกใครได้จริงๆว่าพ่อของลูกเป็นใคร ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถบอกกับทุกคนว่าได้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจทรยศต่อความเชื่อมั่นของพวกเขาลงได้ ทว่าสิ่งที่ตนกลัวที่สุดอาจจะไม่ใช่ทั้งคุณพ่อหรือคุณแม่ แต่เป็นพี่สนเองที่จะมองมา สาไม่อาจจะมองหน้าหรือบอกเขาได้จริงๆเพราะกลัวเกินไปถึงสิ่งที่เขาจะเอื้อนเอ่ย


 สากลัวว่าเขาจะให้ตนไปทำแท้ง


“อึก” 


เจ้าตัวแสบ…


“ไม่เครียดแล้วครับลูก”  ลูกรู้ว่าสาอ่อนแอแค่ไหนและรู้ที่จะเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้คิดต่อไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นมา  “เป็นห่วงแม่เหรอครับ”  สารู้ว่าเขาจะยังไม่ตอบตอนนี้ แต่เจ้าตัวเล็กที่แสนดี เขาน่ารักขนาดนี้สาคงไม่สามารถปล่อยไปได้


โอเมก้าคนอื่นต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งขนาดไหนกันที่จะสามารถปล่อยลูกไปเป็นลูกคนอื่นได้ คาดว่าพวกเขาคงบอบช้ำและกลายเป็นคนไร้หัวใจไปเลยหลังจากนั้น แต่สารินมีทางเลือก และตนไม่เลือกทางนั้นแน่ๆ หากการกลับไปที่ธัมรงค์รัชต์คือความเสี่ยงที่จะสูญเสียเด็กคนนี้ไป งั้นอย่าได้หวังเลยว่าชาตินี้สารินจะยอมกลับไปเยือนที่นั่นอีก


แม้จะได้ชื่อว่าอกตัญญู แต่สา…จะไม่ยอมเสีย ‘เจ้าแสนดี’ นี่ไปเด็ดขาด!




Talk:


ตอนนี้อาจจะตัดไปตัดมาหน่อยนะคะ  หวังว่าจะไม่งงกัน แต่ถ้างงหรือยังไงก็บอกกันได้ค่ะ หลังจากตอนนี้ก็อาจจะตัดไปคู่สนสาหน่อย และก็อีกไม่กี่ตอนก็คงจะจบแล้วล่ะค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ  #คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 32 9/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 10-06-2019 09:17:10
สาคิดมาก พี่สนต้องรีบเจ้าไปง้อนะคะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 32 9/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-06-2019 21:18:54
สานี่นะ คิดเองเออเองอยู่นั่นแหละ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 32 9/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-06-2019 23:42:39
บางทีอะไรๆมันอาจจะดีกว่าที่คิดไว้ก็ได้นะน้องสา
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 33 11/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 11-06-2019 20:33:10
- - - - - -
คนอะไรตั้งชื่อลูกตัวเองว่า ‘แสนดี’
(=_=)
- - - - - -

แค่ได้รับรู้ว่าสารินมีความสุขและได้รับความสะดวกสบาย เขาก็สบายใจขึ้นมาระดับหนึ่ง


แต่ก็ไม่ได้ดีนักเพราะมันไม่เท่ากับการได้ไปยืนมองในระดับที่ใกล้ๆเลย


“วันนี้มีมังคุดด้วยค่ะ” 


“จริงเหรอครับ”  คนที่ชอบมังคุดมากนั้นถึงกับตาโตขึ้นมา เคยขอให้คนไปซื้อให้แล้วเพราะอยากกินมากๆกับกลายเป็นว่ามันเป็นผลไม้หายากของแถวนี้


“เผอิญคนของแขกของคุณไพร์มออกไปซื้อมาเลยแบ่งมาให้ โชคดีจังเลยนะคะ”  แขกของคุณไพร์มเหรอ จะว่าไปมาอยู่ตั้งสามวันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ทักทายกันแม้แต่น้อย หรือจริงๆเขาอาจจะไม่สะดวกที่จะทักทาย สารินก็ไม่รู้


“ถ้ายังไงเจอคุณเขา สาฝากขอบคุณไปด้วยนะครับ”  สารินเพียงยิ้มบางๆ ค่อยๆรับจานมังคุดที่ถูกผ่าครึ่งมาให้แล้ว เจ้าตัวเล็กในท้องก็เหมือนจะชอบมังคุดเหมือนกัน ไม่มีอาการงอแงใดๆให้อยากขย้อนออกมาเลย อันที่จริงเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแทบไม่เคยทำให้แพ้ท้องเลยด้วยซ้ำ เป็นเด็กดีขนาดนี้จะให้ทิ้งเขาไปได้ยังไง


พอกินแล้วก็นอน คนท้องก็จะง่วงบ่อยหน่อย ทว่าวันนี้อากาศดี คุณแม่ที่อ่านหนังสืออยู่บนเปลนอนได้ผล็อยหลับไปทั้งๆที่หนังสือยังคาอก และโดยไม่รู้ตัว ชายคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหา เขาหยิบหนังสือที่ยังอ่านค้างนั้นขึ้นมาพร้อมคั่นหน้าและปิดมัน ก่อนจะคลี่ผ้าห่มผืนบางคลุมตัวให้ด้วยกลัวว่าลมเย็นๆจะทำให้ไม่สบาย


“แก้มยุ้ยกว่าเดิมอีกนะ”  เขาสังเกตน้องอย่างใกล้ชิด สารินอ้วนขึ้นแต่ไม่นับว่าอ้วนมาก ท้องนี้ก็ขยายบ่งบอกว่ามันก็หลายเดือนแล้วที่เจ้าลูกหมาป่าที่อยู่ข้างในได้เติบโตขึ้น เขายิ้มที่ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดี


สนธยายังคงแอบมองอยู่ห่างๆและรับฟังเรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวันจากคนอื่น เขายังไม่ได้บอกคนที่บ้านว่าพบน้องแล้ว เพราะกลัวว่าคนอื่นจะตามกันมาจนทำให้สาตกใจเตลิดหนีหรือต่อต้านกันอย่างออกนอกหน้า มันยากที่จะได้รับการยอมรับ เพราะทิฐิทางเผ่าพันธุ์ของเขา และการยึดมั่นในหลักการของตัวสาเองใช่ว่ามันจะหักล้างกันง่ายๆ


“ถ้ามีอะไรที่อยากได้ บอกกับผู้ช่วยของผมได้เลย”  เขากำชับคนดูแลอย่างนั้น แม้จะทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้วแต่เขาก็ยังอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนท้อง ขอแค่ทั้งลูกและแม่มีความสุขกายสบายใจ เขาในฐานะพ่อก็ไม่มีอะไรจะต้องห่วงหาอีก


ถ้าถามเจ้าจอมดื้อ ต้องไม่ยอมรับว่าเขาเป็นพ่อของลูกในท้องเป็นแน่ สารินที่ชอบคิดไปเองและทำอะไรคนเดียวคงคิดว่าอย่างนี้มันดีที่สุด ซึ่งมันดีที่ไหน หอบลูกหนีไปและตั้งใจจะเลี้ยงดูด้วยตัวเองคนเดียวอะไร ในเมื่อเขาเต็มใจจะรับผิดชอบขนาดนี้ สนธยาจึงมองว่ามันไร้สาระสิ้นดี


แต่ขืนพูดไปอีกฝ่ายก็คงจะโกรธเคืองกัน แล้วเมื่อไหร่เขาถึงจะสามารถพูดสิ่งที่หวังออกไปได้ แค่พูดว่าให้กลับไปอยู่ด้วยกันมันไม่ควรจะยากขนาดนี้ แต่มันต้องยากขนาดนี้เพราะแค่เผชิญหน้า


เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำ…ได้เลย


สาเผลอหลับไปไม่นานและเมื่อลุกขึ้นนั่ง ผ้าที่ห่มคลุมอกก็หล่นตกลงมา คงเป็นพี่แจงที่เอามาคลุมให้ สาก็ไม่น่ามานอนตรงนี้เลยจริงๆ ถึงอยากจะนอนต่อแต่คงไม่มานอนตรงนี้แล้วเพราะอาจจะป่วยได้ ซึ่งมันไม่ดีกับเจ้าตัวเล็กเอาเสียเลย


“คุณสาจะขึ้นห้องแล้วเหรอคะ”


“ครับ สายังง่วงอยู่เลย”


“ถ้างั้นขึ้นห้องเถอะค่ะ พักผ่อนเยอะๆ”  เธอพูดเช่นนั้นและเข้ามาประคอง และในจังหวะนั้นสาก็เกือบจะทำผ้าตกลงพื้น  “อุ้ย! ขอโทษค่ะ”


“ผมต่างหากต้องขอโทษที่ทำผ้าตก”


“จะมาขอโทษทำไมล่ะคะ ผ้าก็ของคุณสาเอง”


“…” 


“ขึ้นห้องกันดีกว่า เดี๋ยวพี่ช่วยถือนะคะ”  สารินคิดว่าตัวเองง่วงและเบลอมากจริงๆวันนี้


และคงเพราะง่วงและเบลอมากเลยกลายเป็นว่าติดผ้าผืนนั้นไปโดยปริยาย แบบที่ไม่รู้ตัว ก็ลุกเดินงัวเงียไปเอาผ้าห่มพื้นบางนั่นมากอดห่มไว้ น่าแปลก สารินไม่เคยอยากกอดหมอนกอดผ้าห่มอย่างนี้มาก่อน อันที่จริงตนเองไม่เคยยึดติดกับอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ


แต่ทุกครั้งที่สูดดมกลิ่นหอมที่ติดบนผ้า สาก็รู้สึกสบายใจและเข้าสู่นิทราที่หวานเกินใคร จนเลิกคิดไปถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปของตนแบบนั้น


“ทำรัง?”


“ค่ะ คุณสางอแงใหญ่พอบอกจะเอาไปซักให้ พี่ก็เพิ่งมารู้ว่าผ้าผืนนั้นเป็นของคุณสน แต่ว่าคุณสาเธอยังไม่รู้และเธอก็ติดผ้านั้นมาก พอพี่กำลังจะเอาไปซักเธอก็เดินร้องไห้มาเลยค่ะ”


“ร้องไห้เลยเหรอครับ”


“ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นอาการคนท้อง แต่ทุกครั้งพี่จะเห็นเธอกอดอยู่เสมอเลยคิดได้ว่าน้องเขาอาจจะเอาไว้ทำรังหรือเปล่า”


“ผม…ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”


“จริงๆมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดจนเรียกว่าอาจจะไม่มีไปแล้วจริงๆค่ะ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อโอเมก้ารู้สึกปลอดภัยถ้าได้อยู่ใกล้กลิ่นของอัลฟ่าที่ตนรู้สึกเชื่อใจ”  ที่มันไม่ค่อยถูกพูดถึงก็เพราะในทางปฏิบัติส่วนใหญ่ โอเมก้ากับอัลฟ่านั้นมีความสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจน้อยมาก และส่วนใหญ่


มักเกิดในหมู่คู่รักเสียมากกว่า


“แล้วผมควรทำยังไง”  สนธยาไม่รู้ว่าตนควรจะลำบากใจหรืออย่างไรดี


“คุณสนไม่ต้องทำอะไรค่ะ ดูเหมือนว่าน้องสาเขาก็พอใจกับแค่ผ้าห่มผืนเดียวด้วย”


“….”


“พี่เองก็เพิ่งเคยเห็นโอเมก้าติดรังเหมือนกันเลยอาจจะบอกอะไรไม่ได้ แต่คุณสนอาจจะลองเอาพวกผ้าห่มหรือผ้าปูที่นอนมาให้พี่ไปเปลี่ยนให้น้องสา เขาอาจจะสบายใจกว่าถ้าได้หลับในสภาวะที่มีกลิ่นของคุณสนรอบตัวแบบนั้น” การทำรังอะไรนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ


แต่อย่างไรก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ไม่ได้ เขาเลยยินดีที่จะให้อีกฝ่ายมาเอาพวกชุดเครื่องนอนที่ใช้อยู่เป็นประจำและให้คนขนมาให้จากบ้านไปเปลี่ยนให้อีกคน อย่างไรก็ตาม มันเหลือเชื่อจริงๆที่โอเมก้าคนหนึ่งจะรู้สึกกับกลิ่นของอัลฟ่าขนาดนี้ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อน แต่พอได้ยินว่าผ้าห่มของเขาทำให้อีกฝ่ายถึงกับร้องไห้ตอนที่มีคนมาเอาไป ก็อยากจะวิ่งไปฉุดรั้งมากอดปลอบใจจริงๆ


“อืม เคยเห็นครั้งหนึ่ง”


“เรื่องทำรังนะเหรอครับ”


“ว่าแต่ทำไมถึงถาม”  นั่นสิทำไมอยู่ๆเขาถึงเอาเรื่องนี้ไปถามกับพ่อของตัวเอง ว่ารู้จักเรื่องการ ‘ทำรัง’ หรือเปล่า


“เผอิญมีเพื่อนมาถามอีกที”


“มันก็ไม่ได้อะไรหรอก โอเมก้าที่เขาท้องหรือเครียดอยู่น่ะ เขาจะสบายใจเวลามีกลิ่นของอัลฟ่าที่เขาผูกพันอยู่รอบๆตัว แต่บางทีมันก็วุ่นวาย บอกเพื่อนแกให้ระวังตู้เสื้อผ้าให้ดีแล้วกัน”  วรวุฒิก็บ่นไปเรื่อย อันที่จริงการที่อัลฟ่ากับโอเมก้าจะรักกันมันก็คงมีอยู่บ้าง แค่ไม่เปิดเผยมากเพราะมันมีคนมากมายเชื่อว่าระบบจะไม่เสถียรเพราะการเปลี่ยนแปลงนี้


และพวกอัลฟ่าไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เลยพยายามควบคุมหัวใจไม่ให้ตกหลุมรักใครโดยง่ายแบบนั้น


“ตู้เสื้อผ้า?”


“อื้ม”  สมัยนั้นเสื้อผ้าของเขาก็หายไปหมดตู้ พวกโอเมก้าจอมวุ่นวายมาขโมยมันไปหมด พอเสนอตัวให้กอดก็ไม่ยอมกอดอยู่ดี  “แม่ที่คลอดลูกออกมาก็เป็น เสื้อผ้าของพ่อหมดตู้ต้องซื้อใหม่ ทุกวันนี้ยังได้คืนมาไม่หมด และเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้ตัวด้วยนะว่าทำอะไรแบบนั้นลงไป” และนั่นคือสาเหตุที่วรวุฒิรู้จักการทำรังดีกว่าใคร


ครั้งหนึ่งแม่แท้ๆของสนธยาก็ทำเช่นนั้นกับข้าวของของเขาเช่นกัน


สรุปคือเรื่องทำรังนั้นมีอยู่จริงและมีอยู่ใกล้ตัวมากๆด้วย แต่กระนั้นสารินก็ไม่ได้รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นสนธยาจึงคิดว่าตนคงไม่ต้องหาซื้อเสื้อผ้าของใช้อะไรของตนใหม่มาทดแทนขนาดนั้น แต่แล้ววันหนึ่งในขณะที่กำลังอ่านอีเมล์ของคู่ค้าที่ส่งมาในห้องพักส่วนตัว โอเมก้าผู้ดูแลสารินก็เดินเข้ามาหาหน้าซีด


“เสื้อผ้าของผมเหรอครับ”  เธอพยักหน้า


“ค่ะ…พี่ใส่ตะกร้าไว้กำลังจะเอาเข้าเครื่องซักแต่เผอิญต้องออกไปรับจดหมายกะทันหันเลยทำให้ไม่ได้ยืนเฝ้าไว้”  เธอค่อยๆอธิบาย  “กลับมาอีกทีก็หายเหลือแต่ตะกร้า”  สนธยากุมขมับ เรื่องที่เขาไม่คิดว่าจะเกิดกลับเกิดขึ้นมาในชีวิตจริงๆ


ทว่าแทนที่จะปวดหัวเพราะไม่มีอะไรให้ใส่เปลี่ยน เขากลับหัวเราะออกมา นึกเอ็นดูเจ้าโอเมก้าที่เวลาอยู่ให้กอดไม่กอด แต่แอบย่องเบามาลักขโมยของไปนอนกอดเองสบายใจเฉย


“วันหลังถ่ายรูปรังของเด็กคนนั้นมาให้ดูหน่อยนะครับ”  น่าเสียดายจริงๆที่ไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง


- - - - - -


“แค่ไม่สบายจริงๆเหรอ”  สารินที่ฟังคำแก้ตัวของฉันนั้นไม่ค่อยจะเชื่อใจ พอเป็นเรื่องสำคัญเด็กนี่ไม่ค่อยจะบอกกันสักเท่าไหร่


หลายวันแล้วที่ฉันไม่ได้โทรมาก่อกวนกันแถมโทรไปก็ไม่รับ แต่วันนี้เจ้าตัวดีได้ฤกษ์โทรมาหากันสักที และเหมือนเดิม ทำเสียงสดใสกลบเกลื่อนความผิดที่สารินยังไม่ได้ถามเลยว่าไปทำอะไรมา


“ไม่สบาย หนักมากๆๆ แค่กๆ เห็นไหมยังไออยู่เลย”  สารินที่รับฟังนั้นหรี่ตาไม่เชื่อถือ ทว่ายังไม่ทันซัก ฉันชนกตัวดีก็ชวนคุยเรื่องลูก และคุณแม่ที่เห่อลูกกว่าสิ่งใดจึงยอมปล่อยให้ฉันชนกหลอกชวนคุยเรื่องอื่นไปและไม่ได้กลับไปถามเรื่องเดิมอีกเลย


จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่ฉันที่แปลกๆ แม้แต่สาเองก็แปลก เดี๋ยวนี้ตนนอนหลับสบายมากขึ้น แต่ก็ค้นพบว่าของใช้ในห้องมันเปลี่ยนไป มิหนำซ้ำยังชอบไปเอาเสื้อผ้าใครมากองไว้ มันเป็นนิสัยแปลกๆตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินว่ามีคนแพ้ท้องแบบนี้


แต่เอาอะไรกับคนท้อง สาเลือกที่จะตัดความคิดฟุ้งซ่านไป กับเสื้อผ้าของใครไม่รู้พวกนั้นแม้ตนจะยอมตัดใจเอาไปคืนพี่สาวผู้ดูแลแล้ว แต่เธอกลับยิ้มออกมาและบอกว่าพวกนี้คือเสื้อผ้าของเจ้าของบ้านที่เขาไม่ใส่ สาสามารถเอาไปใช้ต่อได้ แต่เอาจริงๆไซซ์ใหญ่แบบนั้นใครมันจะใส่ ทว่าก็ไม่พูดต่อเพราะกลัวเธอจะรู้ว่าตนเอาไปกอดนอน


“ได้ยินว่าคุณแพรวรรณไม่ค่อยสบายอ่ะ”


“…”


“เอ่อเราลืมไปว่าไม่ควรพูด”


“ไม่หรอกฉัน พูดได้”


“ขอโทษนะ แต่เราบอกเขาไปว่าเราไม่รู้ว่าสาอยู่ไหน” 


“ฉันทำถูกแล้ว”  สาพยายามสะกดกั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา รู้สึกผิดทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าตนคือต้นเหตุของอาการป่วยนั่นหรือเปล่า


เราสองคนจบบทสนทนาไว้เท่านั้น และสารินก็ไม่อาจจะห้ามน้ำตาของตนเองได้อีก เรี่ยวแรงที่ควรมีนั้นเหมือนจะหายไป คนตัวเล็กกอดผ้าห่มผืนบางที่ตนถือลงมาด้วยหมายจะหวังพึ่งมันสร้างความสบายใจ และในที่สุดเด็กบ้าก็หาทางแก้ปัญหาด้วยการหลุดโทรไปหาอีกฝ่ายที่ตนคิดถึงอย่างเผลอไผล


“สวัสดีค่ะ”


“…”


“สวัสดีค่ะ?”


“…”


“…”


“น้องสาเหรอลูก”  น้ำเสียงของปลายสายสั่นไหว และมันยิ่งทำให้สารินควบคุมตัวเองได้ยากขึ้นไปอีก


“คุณแม่…”


“น้องสาๆ น้องสาจริงๆใช่ไหมคะ”


“ผม…ขอโทษ” และสารินก็เลือกที่จะตัดสายไป


มือถือนั้นหลุดล่วงหล่นจากมือ พร้อมกับร่างที่ค่อยๆทรุดลงนั่งเกาะบันไดเป็นที่ยึดเหนี่ยว สารินไม่เคยคิดจะติดต่อไปทางนั้นก่อนด้วยหมายจะให้เวลาช่วยทำให้ทุกฝ่ายได้เยียวยา เธอพยายามโทรกลับแต่สาก็คว้ามือถือมาปิดเครื่องไปเลย ต่อไปนี้ฉันโทรมาคงไม่ได้รับแน่ๆแต่ช่างก่อน เดี๋ยวเปลี่ยนเบอร์แล้วค่อยหาโอกาสโทรไปบอกเบอร์ใหม่อีกครั้ง


มีแค่คำขอโทษที่หลุดออกไปทั้งๆที่สิ่งที่อยากรู้คืออาการป่วยของปลายสาย สารินขี้ขลาดเกินไปหรือเปล่าที่ไม่กล้าเผชิญหน้า แต่ทุกอย่างที่ตนทำก็เพื่อเจ้าแสนดีทั้งนั้น แม้จะคิดภาพคุณพ่อคุณแม่ด่าทอหรือสั่งกันให้ไปเอาเด็กออกไม่ได้ แต่ภาพที่พวกเขาแสดงสีหน้าผิดหวัง มันหลอกหลอนกันในความฝันเกือบจะทุกคืน


“ฮึก”  สารินนั้นปล่อยน้ำตาตัวเองให้ไหล จะอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีคนอยู่บ้าน อีกสักประเดี๋ยวเมื่อร่างกายพร้อมกว่านี้ เจ้าแสนดีก็คงจะช่วยพาแม่ของเขาขึ้นไปร้องไห้งอแงต่อบนห้องนอนได้ แต่ตอนนี้ไม่ไหวจริงๆ


หัวใจของสาบีบรัดจนพาลทำให้แข้งขาไม่มีแรงตามไปด้วย


ทว่าใบหน้าที่ก้มต่ำของตนกลับตรวจพบสลิปเปอร์ของใครสักคนที่เดินเข้ามา จากที่คิดว่าในบ้านนั้นมีเพียงตนแค่คนเดียว สากลับลืมไปว่ายังมีแขกของเจ้าของบ้านอีกคน มือเล็กรีบปาดน้ำตาด้วยหมายจะเงยหน้าขึ้นมาบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ทว่าเมื่อสบตาคมคู่นั้น น้ำตามากมายก็ไหลออกมาได้อีก


“ไม่ต้องร้องแล้ว”  เขาย่อตัวลงนั่งตรงหน้า ร่างกายใหญ่โตของสนธยานั้นไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่แต่เขาไม่อยากให้น้องต้องแหงนหน้ามองร้องไห้แบบนี้


“พี่…พี่สน” เขาเกลี่ยน้ำตาให้เจ้าของพวงแก้มใส อยากจะหอมอยากจะจูบใจแทบขาดแต่ต้องอดทนไว้ มันยังเร็วไปเกินกว่าจะสร้างความไว้ใจให้เกิดขึ้นมาได้


“ลุกขึ้นก่อน”  เขาค้นพบว่าน้องไม่มีแรง และคนท้องจำต้องปกป้องลูกของตนให้ดีที่สุด หากเขาจับอุ้มแล้วอีกฝ่ายจะไม่ผวาเขาก็คงทำ แต่มันต้องเกิดขึ้นเป็นแน่จึงได้แต่พยุงให้ลุกเดินก่อนจะช่วยประคองให้ไปนั่งบนโซฟา


และสารินก็ไหลเป็นของเหลวลงไปนอนกอดผ้าห่มผืนบางที่เคยเป็นของเขา


“…”


“แม่โทรบอกพี่ว่าสาโทรไปหา” 


“…”


“แม่ดีใจมากรู้ไหม” ได้รู้ว่าคุณแพรวรรณไม่ได้โกรธเคือง สาก็ดีใจ  “พี่เองก็ดีใจมากๆเหมือนกัน”  คำหลังนั้นพูดด้วยเสียงเบา แต่ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังส่งผลต่อหัวใจ ใบหน้าของสารินนั้นถูกผ้าห่มปิดไว้ ใครเล่าจะเข้าใจว่าเจ้าตัวเล็กนั้นคิดอะไรอยู่


เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมาทำไมกัน?


ในวันนี้สารินมีอะไรที่ยังมอบให้กับเขาได้อีกเหรอ ตนคิดว่าสภาวะที่ถูกผูกติดอยู่กับลูกของเขาแบบนี้ สารินไม่อาจจะเป็นประโยชน์อะไรได้มาก เจ้าของใบหน้าน่ารักนั้นกัดริมฝีปาก อยากจะพูดอยากจะถาม แต่ไม่อาจจะประดิษฐ์คำ


“ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้สาช่วยหรือเปล่า”  สารินที่คิดอะไรไม่ออกนั้นแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง จากสภาพที่ดูไม่ได้เมื่อครู่ เจ้าโอเมก้าตัวดีค่อยๆลุกขึ้นนั่งและจ้องมองกันด้วยแววตาที่ว่างเปล่าเสแสร้ง


“ไม่มีเป็นพิเศษ”


“…”


“…”


“งั้นสาขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนครับ”  พอมีแรงก็กำผ้าห่มเขาแน่นและจะลุกขึ้นยืน ทว่าเป็นสนธยาเองที่รั้งเจ้าตัวไม่ให้ลุกขึ้น และจอมดื้อก็ไม่ยอม ยื้อกันไปมาจนเหมือนลืมว่าเจ้าลูกหมาป่าอาจจะเวียนหัวอยู่ในท้อง


“อย่าดิ้น!”


“ปล่อย!”  กับแค่ขอให้นั่งอยู่ที่นี่ก่อนมันจะอะไรนักหนา เขากอดคุณแม่ตัวนิ่มเอาไว้ ทว่าเป็นอีกฝ่ายที่ไม่ยินดีกับสัมผัสนี้ แล้วจะให้เขาทำอย่างไร ปล่อยไปทั้งๆที่ทุ่มเทตามหาเช่นนี้เหรอ ไม่มีทางหรอกนะ


“สา…พี่ขอร้อง” ในที่สุดคำนี้ก็หลุดออกมา สาที่ดิ้นหนักก็ค่อยๆลดแรงของตนลง จนกระทั่งมันได้จังหวะที่เขาจะหยุดยั้งสองขาที่ชอบหนีกันเอาไว้


สนธยาลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น


“อย่าหนีไปไหน…ได้โปรด” เขาคือคนเย็นชา เป็นคนใจร้าย เป็นคนที่มาพรากเอาหัวใจคนอื่นไป ก่อนจะมองกันด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน สารินยังจดจำแววตาของเขาวันนั้นที่มาเยี่ยมได้ มันแย่ยิ่งกว่าตอนที่เรื่องลึกซึ้งแบบนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นเสียอีก เขาเป็นพ่อของเจ้าแสนดีในท้องของสานะ แต่เขามันแสนแย่ แสนเลวร้ายเหลือเกิน


“พี่สนปล่อยสา”  อ้อมแขนของเขาโอบกอดสาเอาไว้ ใบหน้าของเขาซุกกับไหล่บอบบางของคนไร้ทางสู้แต่ยังเอาแต่ทุบตีเขาไม่หยุดยั้ง สาร้องไห้ออกมา และเมื่อแรงทั้งหมดที่มีถูกใช้ไปกับการทำร้ายร่างกายเขาที่ไม่แม้แต่จะพลิ้วไหว สารินก็ค่อยๆทิ้งแขนลงข้างลำตัวอย่างคนหมดแรง มีเพียงแค่อ้อมกอดของสนธยา….ที่แน่นขึ้นหมายจะฝังตัวตนเอาไว้ ไม่เปิดโอกาสให้สารินได้เริ่มต้นใหม่จริงๆ 


นานพอที่น้องจะสงบลง เขากอดสาเอาไว้เพราะมันคือความต้องการทั้งหมดตลอดหลายเดือนที่ไม่ได้เจอหน้า เขามันคือคนขี้ขลาดที่ปล่อยให้สาทำนั่นทำนี่เพื่อครอบครัวของเขาแต่ไม่อาจจะทำอะไรตอนแทนได้จริงๆจังๆ สนธยาทั้งเกลียดตัวเองและครอบครัวที่เหมือนจะยืนหลบหลังเด็กคนนี้ เขาไม่นึกภูมิใจสักครั้งทั้งๆที่มันควรจะเป็น


ในตอนนั้นหากจัดการปัญหาความไม่มั่นคงของธุรกิจที่บ้านได้เร็วกว่านี้ เขาคงไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนไหนแอบอ้างการเป็นพ่อของลูกในท้องของน้องไปได้ แต่ทั้งนี้ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว จึงได้แต่กระซิบบอกคำขอโทษต่อไปโดยตัวเองก็ไม่เคยนึกสนใจหรือแอบอ้างความพังทลายที่ได้เผชิญมาหลายเดือนในขณะที่สาอยู่ที่เพย์ตันเหมือนกัน


อ้อมแขนแกร่งนั้นโอบอุ้มแม่ของลูกของเขาเอาไว้ ก่อนจะพาขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องนอนที่เต็มไปด้วยข้าวของของเขา สนธยาค่อยๆวางน้องบนเตียงที่มีแต่เสื้อผ้า และเมื่อได้อยู่ในรังของตน เจ้าโอเมก้าตัวน้อยก็ค่อยๆซุกตัวลงสูดกลิ่นที่ก่อให้เกิดความสบายใจพวกนั้น เหมือนที่พ่อเขาบอก เจ้าของกลิ่นอยู่ตรงนี้ไม่รู้จักกอด


อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้เขาปรากฏตัวในตอนนั้นกัน? เพราะแม่โทรมาและเขานึกขึ้นได้ว่าผู้ดูแลของสาไม่อยู่ที่นี่ การที่สารินที่ใจแข็งมานานโทรไปหาแม่ของเขาอย่างนั้น มันคิดเป็นอื่นไม่ได้ เจ้าตัวกำลังเผชิญปัญหาภาวะทางอารมณ์อยู่เป็นแน่ สนธยาที่ไม่ได้คิดคำพูดหรือเตรียมตัวเองไว้ก่อนได้ตัดสินใจก้าวออกไปหาหลังจากหลบอยู่ในมุมมืดมานาน


และภาพที่เห็นตรงบันไดก็ทำให้เขาแทบอยากจะอ้อนวอนขอทุกอย่าง


สารินนั่งลงที่บันไดนิ่งๆ น่าหวั่นใจว่าเจออุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า ยิ่งเป็นคนท้องก็ยิ่งต้องห่วง ทว่าเจ้าตัวที่นั่งนิ่งนั้นปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมามากมาย เขาจึงวางใจแต่กระนั้นก็ไม่หันหลังให้ เขาเลือกเดินเข้าไปหา หากไม่พร้อมก็จะไม่มีวันพร้อมตลอดไป สักวันหนึ่งเราต้องเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว


เขาจึงเลือกที่จะให้เราได้เจอกันตอนนี้เลย!


“…”


“สาอยากอยู่คนเดียว”


“อยู่คนเดียวนานเกินไปแล้วหรือเปล่า”  เขาถาม มองคนที่บอกความต้องการของตัวเองแบบไม่แคร์ใครซุกใบหน้าลงกับหมอนที่เต็มไปด้วยกลิ่นของเขา  “ใจคอตั้งใจจะอุ้มลูกหนีพี่ตลอดชีวิตเลยใช่ไหม”


“ไม่ใช่ลูกพี่สน”  เจ้าตัวดื้อตอบกลับมาด้วยเสียงบู้บี้


“ถ้าไม่ใช่พี่แล้วใครมันจะไปเสกเด็กเข้าท้องเรา สา…เลิกล้อเล่นสักที”


“สาไม่ได้ล้อ”  ในตอนนี้คนที่เอาแต่หลบตากลับเงยหน้าขึ้นมาสบตา  “ลูกของสาไม่ใช่ลูกพี่สน”


“เราท้องเองได้คนเดียวเหรอ”


“สาก็ท้องเองมาหลายเดือนแล้ว”


“พี่หมายถึงพ่อเด็กนะสา”


“แล้วทำไมสาจะเป็นทั้งพ่อและแม่ของลูกตัวเองไม่ได้”


“…”


“โอเมก้าหลายคนก็เป็นแบบนี้ พี่สนจะมาดูถูกว่าสาทำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”  ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ


“พี่ไม่ได้จะดูถูกอะไรเลย”  เขาตอบเสียงอ่อน  “แต่ไม่เห็นด้วยสักนิดที่เราจะไปอยู่คนเดียว”


“ตลอดชีวิตเราไม่เคยสนิทสนมกัน ทำไมวันนี้พี่สนต้องมาแคร์สาด้วย”


“แล้วพี่แคร์ในฐานะพ่อของลูกไม่ได้หรือไง”


“ลูก?”  เขาแคร์เด็กในท้องของสาสินะ  “ไม่ใช่ลูกพี่สน ต้องให้บอกกี่ครั้ง”


“ถ้าไม่ใช่ลูกพี่ แล้วใครกันมันเป็นพ่อเด็ก”


“ใครก็ไม่รู้ สาไปมั่วกับใครมา สาจำไม่ได้”


“ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้”  เขาข่มอารมณ์คุกรุ่น ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าสาจะทำมันลง “ทำไมถึงดื้อแบบนี้”


“เลิกยุ่งกับสาซะสิ”


“สาก็รู้ว่าพี่ทำไม่ได้”


“สาไม่รู้!”  สาเองก็ใช่ว่าจะควบคุมไว้  “กับแค่ความผิดพลาดไม่กี่ครั้ง พี่สนอย่ามาเหมารวมหรือบังคับว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของพี่สนนะ!”


แต่สิ่งที่สาไม่เคยรู้


“แล้วใครว่ามันเป็นความผิดพลาด”


“…”


“ในเมื่อเด็กคนนี้คือความตั้งใจที่พี่จะมีกับเรา”



Talk
เฉลี่ยแล้วพี่สนซ่อนตัวแค่ตอนเดียว…นะคะ
#คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 33 11/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 11-06-2019 21:27:03
โผล่มาซะที
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 33 11/6/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-06-2019 02:21:16
รีบปรับความเข้าใจกันแล้วพาน้องกลับไปดูแลได้แล้วนะพี่สน
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 34 16/6/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 16-06-2019 14:41:59
34

- - - - - -

คุณไพร์มหายไปเลย…

(._.)

- - - - - -


 

เขาพูดบ้าอะไรออกมา

ถามจริงๆว่าพูดบ้าอะไรออกไป!

 

 

สารินมองเขาตาแดงก่ำ มีทั้งความโกรธเคือง ความสับสนอยู่ในนั้น และใช่ สนธยาได้สารภาพเรื่องราวที่เขาเก็บงำเอาไว้และได้แต่สงสัยจนกระทั่งมั่นใจจึงได้พูดออกมา

 

 

“ก่อนที่เราจะ…มีอะไรกัน ถุงยางมันดูจะมีปัญหา”

 

 

“…”

 

 

“ตอนนั้นพี่ก็เลยคิดว่าถ้าสาท้องลูกของพี่ก็คงจะดี”  เขาพูดด้วยความสงบแต่ใจของผู้ฟังนั้นเต็มไปด้วยความสับสน “เราจะได้ไม่เป็นของใคร”

 

 

“พี่สน…”

 

 

“ก็พูดไม่ได้หรอกว่ามันคือความตั้งใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าพี่ก็ขอใช้โอกาสนั้นและถ้าเขาจะมาอยู่กับเรา…”  สนธยาจ้องมองดวงหน้าของคนที่อุ้มท้องลูกของเขาเอาไว้  “พี่ก็จะดีใจมากที่สามีลูกให้พี่”

 

 

“แต่อัลฟ่าจะไม่…กับโอเมก้าที่รับเลี้ยง”

 

 

“ช่างหัวมันสิ”

 

 

“…”

 

 

“เรื่องนี้ใช่ไหมที่ทำให้เรากังวล”  ในที่สุดเขาก็เข้าใจทั้งหมด ถึงสาเหตุที่สารินทำทุกอย่างให้ได้ออกมาจากธัมรงค์รัชต์

 

 

“…”

 

 

“สา…”

 

 

“เราไม่ได้รักกันด้วย”  เหตุผลมันย่อมมากกว่าหนึ่งแน่ๆ  “สายอมไม่ได้ถ้าพี่สนจะมาบอกให้สาไปเอาลูกออก หรือคลอดลูกให้พี่แต่ตัวเองไม่ได้เลี้ยง”

 

 

“แล้วทำไมเราถึงจะไม่ได้เลี้ยง เพราะแค่เราไม่ได้รักกันนะเหรอ”

 

 

“แล้วเราจะบอกลูกว่ายังไง ดูยังไงมันก็ความผิดพลาดอยู่ดี ยังไงก็ขอบคุณที่ห่วงสาแต่สาคิดว่ามันดีกว่าที่ให้สาไปมีลูกให้อัลฟ่าคนอื่น”

 

 

“พูดอะไรออกมาน่ะสาริน”

 

 

“ถ้าสาไม่ท้องลูกพี่สนป่านนี้ก็ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนขนาดนี้ไหม” น้ำตาที่ไหลมันออกมาเพราะความน้อยใจ  “สาเคยจินตนาการมาตลอดว่าวันหนึ่งต้องออกจากบ้านธัมรงค์รัชต์ถ้าตัวเองไปทำหน้าที่โอเมก้าที่ดีเสร็จแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่แม้แต่คำลาก็ไม่ได้พูดสักคำ”

 

 

“…”

 

 

“พี่สนทำอย่างนั้นกับสาทำไม…”  โอเมก้าตัวเล็กตัดพ้อด้วยเสียงสั่นเครือ

 

 

“แล้วคิดว่าพี่ยินดีให้เราไปมีลูกกับอัลฟ่าคนไหนก็ได้นะเหรอ ไม่มีทางหรอกนะ”

 

 

“…”

 

 

“หลายปี พี่ต้องวิ่งเต้นมากมายเพื่อไม่ให้เพย์ตันพาเราไป ทั้งๆที่เราพาสามาเลี้ยงไว้เพื่อวันหนึ่งจะส่งต่อให้เพย์ตัน มันวุ่นวายมาก แต่จะวุ่นวายกว่าถ้าพี่ยอมส่งสาไปดีๆ”  เขาไม่หวังให้สารินเข้าใจ  “พี่ไม่ได้รังเกียจถ้าสาจะเคยท้องให้ใครมาก่อน ขอแค่กลับมาอยู่ด้วยกันก็แค่นั้นเอง”

 

 

“พี่สน”

 

 

“แล้วที่บอกว่าเพราะเราไม่ได้รักกันแล้วจะบอกลูกยังไง”  เขาจะบอกวิธีให้  “สาคิดไปเอง เพราะถ้าไม่รักพี่ไม่ไปเสี่ยงมีลูกกับคนที่ตัวเองไม่ได้มีใจให้หรอก”  และเหมือนกับจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่สาคิดว่ามันไม่เคยมีอยู่จริงมาปรากฏอยู่ในมือ แต่มันกะทันหันเกินไป สาคิดว่าตัวเองรับมันไม่ไหว

 

 

“พี่สน…ระ…เราไม่ควร เราเป็นพี่น้องกันนะ”

 

 

“ใครเป็น คิดไปเอง”  สาถูกพามาเป็นน้อง แต่เขาไม่เคยบอกว่าจะยอมเป็นพี่ชายแบบนั้นเสียหน่อย และอีกอย่างเราเป็นพี่น้องจริงๆที่ไหน  “พี่น้องบ้าอะไรทั้งกอดทั้งจูบจนมีเจ้าตัวเล็กด้วยกันแบบนี้”

 

 

“นี่..”

 

 

“แล้วเราทำแบบนั้นกับพี่ชายตัวเองได้จริงๆเหรอไง”  น่ากังขา สนธยาจับมือเล็กขึ้นมาประทับจุมพิตถามด้วยสายตาที่สารินคิดว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต

 

 

“…”

 

 

“พี่ก็กอดน้องชายตัวเองไม่ได้หรอกนะ”  เขาสารภาพออกมาตรง  “โชคดีที่เกิดมาเป็นลูกคนเดียว” และต่อจากนี้ เขาจะไม่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว

 

 

“แต่…ที่บ้าน”  สารินอ่อนลงให้กันเยอะมาก คิดว่าเป็นเพราะมีใจให้เหมือนกันและนั่นทำให้เขาพอใจที่สุด เด็กคนนี้เอาแต่ตีตัวออกห่าง และเขาก็ไม่ใช่คนช่างเข้าหา จึงได้แต่แอบมองจากด้านหลังมาตลอด วันนี้เขาก้าวเข้ามาใกล้มากกว่าทุกวัน

 

 

“สา…พี่ขอร้อง ถ้าเราจะกลับไปบ้านหลังนั้นไม่ได้”  หรือจริงๆแค่ไม่ยอมลองกลับไป  “ก็อย่าไล่ให้พี่กลับไปคนเดียวเลย”  สารินพาตัวเองออกมาจากโลกของเขานานเกินไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะเกาะโลกของน้องเอาไว้

 

 

แล้วอย่าได้คิดจะผลักไสให้เขากลับไปในโลกที่ตัวเองเคยอยู่อีกต่อไปเลย

 

 

เรื่องที่ได้ฟังมันบ้ามาก สารินไม่แน่ใจว่าตัวเองรับไหวในทันที พอเขาพูดทุกอย่างที่อยากพูดออกมา สิ่งที่ตนทำมีเพียงแค่นั่งเงียบก่อนจะพลิกตัวลงนอนและเอาผ้ามาห่มคลุมปิดหัวตัดการรับรู้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าตนจะเย็นชาไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ แต่เพราะความเขินอายที่เข้าจู่โจมกันเมื่อครู่ ทำให้คุณแม่ที่ใจเต้นแรงต้องรีบหาพื้นที่ว่างให้ตัวเองได้หายใจ

 

 

และก็จบด้วยการนอนสูดกลิ่นเสื้อ กลิ่นหมอน กลิ่นผ้าปูที่นอนแบบนี้

 

 

“มันเป็นอย่างนี้เอง”  สนธยาพูดกับตัวเอง เขาเพิ่งเคยเห็นรังโอเมก้า และเพิ่งเคยเห็นโอเมก้าที่รักกำลังทำรัง

 

 

เขารู้ว่าทุกอย่างมันกะทันหัน และเรื่องที่พูดไปก็ไม่เคยมีใครได้รู้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะให้เวลากับน้องให้ได้ใคร่ครวญทุกอย่าง ในส่วนของเขาที่ได้รับโอกาสขนาดนี้ ก็เลือกที่จะเดินออกจากห้องไป โดยไม่มีแม้แต่คำอธิบาย

 

 

ปัง…

 

 

เสียงประตูที่ปิดลงทำให้สารินบอกไม่ถูกว่าสบายใจที่ได้ความเป็นส่วนตัวกลับคืนหรือไม่สบายใจกับท่าทีที่ดูเข้าใจผิดของเขากันแน่ อันที่จริงสาไม่ได้รังเกียจเขาเลย ตรงกันข้าม ที่ปล่อยตัวปล่อยใจก็เพราะแอบชอบพี่ชายคนนี้มานานจนอยู่ในจุดที่ไม่อาจจะอดใจไหวต่อการล่อลวงของกามเทพในวันนั้น

 

 

นี่เขาก็รักเราเหมือนกันเหรอ…ไม่อยากจะเชื่อเลย

 

 

สารินฟุ้งซ่านไปไกล ตอนนี้ผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กในท้องอยู่ในภาวะสับสนจนคิดว่าต้องการใครสักคนมาคอยให้คำแนะนำ เดิมทีคนๆนี้ไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือหรอก แต่เป็นคนๆเดียวที่คิดถึงในยามยากเสมอมา

 

 

“โทรมาทำมายยยยยย”  และเป็นคนที่จะรับสายตลอด หากไม่ติดว่าป่วยเหมือนก่อนหน้านี้

 

 

“เรา…เจอพี่สนแล้ว”

 

 

“….”

 

 

“และเขารู้แล้วว่าเราท้องกับ…เขา”

 

 

“แล้วไอ้บ้านั่นพูดอะไรไม่ดีกับสาหรือเปล่า”

 

 

“ไม่…กะ ก็พูดบ้าง แต่โดยรวมก็”  สาสับสนเกินไป  “เขาบอกรักเรา”

 

 

“เอาจริงดิ สักทีสินะ”

 

 

“หืม?!”

 

 

“นี่ก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยนะสา”  เอาจริงฉันชนกที่สามองว่าไร้เดียงสาบ้าๆบอๆ บางทีก็รู้เรื่องมากมายกว่าที่คิด

 

 

อย่าดูถูกแวมไพร์ที่ไม่เคยรู้ตัวเลยใช้ชีวิตด้วยสัญชาตญาณตัวเองมาตลอดชีวิตอย่างฉันชนกเชียว

 

 

หลังจากนั้นข้อมูลสมมติฐานที่ฉันชนกอ้างว่าได้รับการยืนยันชัดแจ้งแล้วก็ถูกเปิดเผย สารินอ้าปากข้าง ไม่ใช่ว่าตกใจในความใสซื่อของตัวเองที่ถูกเปิดโปงโดยคนอย่างฉันชนก แต่จริงๆคือเรื่องมันไม่ซับซ้อนเลย ทว่าพอมาเกิดกับตัวเองก็โง่ได้เองอย่างนั้น

 

 

“พี่สนนะอ่อยโคตรยากเลยรู้ป่ะ แต่วันหนึ่งเขาก็โทรมาชวนไปกินข้าวที่ห้าง เราก็อ่อยอยู่เลยไปด้วย กินข้าวกันไป เขาก็มองอะไรไม่รู้เราเลยมองตาม เลยเห็นสากำลังถูกผู้ชายฉุด รู้ป่ะตอนนั้นพี่ชายสาแทบจะไปกระทืบมัน”

 

 

แน่นอนว่าไม่รู้

 

 

“เราเลยถือโอกาสสร้างผลงานออกไปจัดการให้ กลับมาเราเลยตีสนิทสา อย่าด่าว่าแรดแต่ตอนนั้นชอบพี่สนจริงๆ ตอนนี้แค่คิดก็ขนลุก”

 

 

“คือฉันจะบอกว่าพี่สนมาแอบดูเรา”

 

 

“คิดเป็นอื่นไม่ได้แล้วจริงๆอ่ะ แล้วก็งี้นะ พอเรารู้ว่าสาเป็นน้องพี่สนก็เลยตีซี้ไง ตอนนั้นก็ดีใจว่าจะได้เข้าใกล้พี่สน ที่ไหนได้ตอนหลังมารู้ว่าสากับพี่สนไม่สนิทกัน อีพี่นั่นมันก็หลอกใช้เราตีซี้กับสา จะได้เนียนเข้าใกล้โดยเอาเราเป็นฉากบังหน้า ลึกซึ้งปะล่ะ”

 

 

“เอ่อ…”

 

 

“แล้วอยู่ดีๆก็เดินหน้าเป็นตูดมาขอคบ อย่าบอกเรานะว่าสาเคยไปพูดกับพี่สนให้มาคบกับเราอ่ะ”

 

 

ใช่…เคยพูด

 

 

“แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนซื้อกันเป็นแพคเกจ ซื้อพี่สนแถมสา ซื้อสาแถมพี่สน ซื้อเราแถมสา เชื่อไหมว่าถ้าไม่มีเราป่านนี้หมอนั่นก็ยังเข้าใกล้สาไม่ได้หรอก”

 

 

อันนี้เริ่มจะเชื่อล่ะ…

 

 

“เนี่ยแหละคือตอนนั้นเราก็สงสัยว่าพี่น้องอะไรทำไมมันดูเว้าวอนแปลกๆแต่ก็พยายามไม่คิดมาก จนพี่สนมาขอเลิกนั่นแหละ พาลไปทั่ว ขอโทษนะสา แต่จะด่าก็ให้ไปด่าไอ้บ้านั่นที่สร้างความร้าวฉาน”  ที่ฉันโกรธจนเกิดเรื่องไม่ยุ่งกันนั้นมีที่มาจริงๆ ตอนแรกสาก็ยังว่าฉันคิดมากเกินไป แต่เอาจริงๆแล้วฉันไม่คิดอะไรไปมากเลย

 

 

สามันคิดน้อยไปเอง…

 

 

“ว่าแต่เจอกันแล้วตกลงกันเรียบร้อยไหม หมอนั่นมาดักเจอเราด้วย แต่เราพยายามแล้วนะ”  ช่างเป็นความพยายามที่สูญเปล่าสิ้นดี

 

 

“ขอบคุณฉันมาก แค่นี้ก่อนนะ”

 

 

“เฮ้ย!เดี๋ยว อย่าเพิ….” และขณะนี้ปลายสาย ได้ตัดสัญญาณไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

 

 

สา…ประมวลผลไม่ทัน….

 

 

“เฮ้อ”  มันไม่ยากเกินไป แต่เกินคาดเกินไป สาถึงได้สับสนแบบนี้

 

 

มือเล็กลูบท้องของตัวเองแผ่วเบา หลังจากฟังสิ่งที่ฉันพูด สารู้สึกได้ว่ามันเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง และตอนนี้หัวใจของตนก็เต้นแรง ทั้งเรื่องคำสารภาพของเขา และความเข้าใจของฉันชนก มีผลกับความรู้สึกของสารินมากมาย ซึ่งมันเปลี่ยนไปมาก จากเมื่อเช้านี้

 

 

ทั้งๆที่คิดมาตลอดว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่แค่กับลูกสองคน ไปๆมาๆก็มีคนเดินมาบอกว่าสาคิดผิด มีอะไรอีกมากมายที่ตนไม่รู้ มันเหมือนแผนการทุกอย่างที่วางไว้กำลังจะพังทลายลงไปเพราะความหวังใหม่ๆที่ใครบางคนหยิบยื่นมาให้ แต่กระนั้นอีกส่วนหนึ่งของจิตใจก็ย้ำเตือนไม่ให้ทิ้งตัวไปทางนั้นเพราะอาจจะพลาดพลั้งไปได้

 

 

“หลับแล้วเหรอ”  เขาเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่รู้เลย?

 

 

สารินหลับตา แสร้งทำเป็นหลับไปตามนั้น เขาค่อยดึงผ้าห่มที่คลุมตัวออกและนั่นทำให้สาไม่พอใจมาก ทว่าตนนั้นแกล้งหลับอยู่ จะให้โวยวายออกไปย่อมทำไม่ได้ สิ่งที่แสดงออกจึงเป็นเพียงคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ทว่าดวงตาทั้งคู่ก็ยังซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาสีอ่อน

 

 

“หวงจริงนะ ขนาดนอนยังทำหน้ายุ่งใส่พี่ขนาดนี้” เขาขำออกมาเบาๆก่อนจะคลี่ผ้าห่มผืนใหม่มาห่มกายให้ เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย ความไม่พอใจทั้งหลายก็ได้อันตรธานหายไป คิ้วที่ขมวดกันแน่นก็คลายออกแทบจะทันที

 

 

ชอบ…จัง

 

 

“อันนี้ห่มมานานแล้วครับ เอาไปซักก่อนนะ”  เขาไปหาผ้าแบบนี้มาจากไหน รู้ไหมว่าสารินหาแทบทั้งบ้าน และพบว่านอกจากที่ตนครอบครองไว้อยู่ก็ไม่มีอันอื่นอีกเลย และนั่นคือเหตุผลที่คนท้องต้องยอมนอนจมในผ้าเน่า

 

 

และในที่สุดคนที่แกล้งหลับ…ก็ได้หลับใหลไปในที่สุด

 

 

ในส่วนของคนที่ถูกโทรมากวนก็ตั้งใจจะคุยให้มากกว่านี้หน่อย กลายเป็นว่าเจ้าตัวดีชิงตัดสายไม่สนใจ โทรไปไม่รับสายอีกให้เคืองเล่น ฉันชนกที่รู้ตื่นเบิกบานนั้นกำลังเซ็งกับสิ่งที่ต้องเผชิญ ถามว่ามันคือปัญหาใหญ่ไหม ไม่หรอก ไม่มีอะไรน่าตกใจเท่าการที่อยู่ๆก็มีคนมาบอกว่าเป็นแวมไพร์

 

 

แต่ว่าคนที่มาบอกกันนั้นได้หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้

 

 

“ไปไหนของเขา”  เอาของกินมาล่อ แล้วอยู่ๆก็หายไปงี้ฉันรับไม่ได้หรอก รับไม่ได้จริงๆ

 

 

“เป็นอะไรของเรานะเจ้าฉัน แล้วนี่จะสายแล้วไม่ไปทำงานหรือไง”  การันต์นั้นเดินออกมาเห็นว่าอีกคนยังคงวุ่นวายกับมือถือ วันนี้กลับไปทำงานวันแรกหลังจากลามานาน คิดว่าจะกระตือรือร้นกว่านี้เสียอีก

 

 

ฉันไม่ได้บอกใคร ว่าตนเองกำลังคิดถึงใครอยู่ ทั้งนี้ครอบครัวของตน ก็ดูไม่ค่อยชื่นชอบในตัวภูวนัยสักเท่าไหร่ เชื่อเถอะว่าคนแบบคุณไพร์มนี่ถ้าไม่ได้ฉันรับเป็นเพื่อนไว้ให้ ใครเขาจะกล้ามาคบคนแบบนั้นกัน!

 

 

และเพราะความที่คุณไพร์มไม่มีเพื่อนหรือเพราะฉันไม่รู้จักเพื่อนของคุณไพร์มนั่นแหละทำให้ตามไม่เจอ ใครไปทำอะไรเขากันหนอ หรือว่าตอนนี้ไม่สบาย ฉันชนกคิดไปมากมาย และวันนี้ก็ว่าจะกลับไปที่ห้องที่คอนโด เผื่อว่าจะตามตัวเจอ

 

 

“เขาไม่ไล่แกออกก็ดีแล้วไอ้ฉัน กลับมาทำงานเหอะ ด้วยความหวังว่าบอสจะให้อภัย”  เพื่อนคนเดิมเพิ่มเติมคือปากหมาไม่เปลี่ยนไปเอ่ยทักทาย ฉันชนกมาทำงานแบบคาบเส้นยาแดงผ่าแปด ฉันลางานไปนานหลายสัปดาห์ และคิดว่าคงถูกเรียกคุยเป็นแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ป๊ะบอกลาออกได้ป๊ะอภัยให้

 

 

จริงๆฉันไม่มีอารมณ์มาวุ่นวายกับใครหรอก การหายไปของคุณไพร์มทำให้ฉันสูญเสียเวลาทั้งวันในอ่านเมล์อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ และในขณะที่บ่ายแก่ๆแบบที่กำลังน่านอนมาก ฉันชนกก็เลือกที่จะพาร่างออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อให้ตัวเองไม่ไหลลงไปนอนใต้โต๊ะ

 

 

และที่นั่นเองตนก็ได้พบกับใครบางคน

 

 

“คุณพลู”  เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่นี่ ไม่แปลกที่จะมาเจอที่ทำงาน แต่มันแปลกเพราะเราไม่ได้เจอกันแค่ที่นี่ที่เดียว

 

 

อย่างน้อยถ้าฉันไม่ฝันไปก็คิดว่าตัวเองคงได้เจอคุณพลูในอีกที่เช่นกัน

 

 

“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”  เอาเป็นว่าถึงเขาจะหน้าหยิ่ง แต่คงเป็นห่วงจริงมั้ง ฉันคิดว่างั้น

 

 

“ว่าแต่คุณพลู…สบายดีใช่ไหม”

 

 

“อืม หนีมาทัน”  จริงๆฉันก็ไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรอก ทว่าตนเองก็มโนฉากบู๊มากมายไปแล้ว ก็เชื่อเหอะคนจับมาเล่นใหญ่ขนาดนั้น คนไปช่วยเล่นน้อยกว่ากัน…มันได้เหรอ?!

 

 

“คุณพลูคงไม่…ทำอะไรแบบนั้นอีกใช่ไหม”  อนึ่งฉันคือเตรียมวิ่งแล้ว คราวนี้พ่อสอนให้ปิดจมูกด้วย

 

 

“ฉันไม่ทำอะไรนายแล้ว อันที่จริงฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันจะ…เป็นอย่างนั้นด้วยซ้ำ”

 

 

“…”

 

 

“เอาเป็นว่าคนที่จ้างฉันให้จับตาดูนายตอนนี้ก็เจ็บหนักแล้ว ฉันคงไม่หาเรื่องทำตัวเองให้เจ็บเหมือนกัน”

 

 

“จับตาดูผม?”

 

 

“ช่างเหอะ เอาเป็นว่าฉันจะไม่ทำงานที่นี่แล้ว นายก็ดูแลตัวเองดีๆละกัน”  และพลูก็ทิ้งฉันชนกให้งงงวยอยู่อย่างนั้น โดยไม่คิดจะอธิบายอะไร อีหยังวะ ตกลงคือจะไม่ให้ฉันรู้อะไรกันเลยหรือไง

 

 

คิดเองก็ได้! มีสมอง คิดเองเป็น!?!

 

 

ฉันชนกกลับมาที่นั่ง จ้องมองคอมพิวเตอร์และเร่งทำงานเพื่อให้ทันเวลาเลิกงาน และเพราะความตั้งใจอันเลิศล้ำจึงทำให้ตนสามารถดีดตัวเองออกจากที่นั่งได้ตอนที่เลิกงานพอดิบพอดี จุดมุ่งหมายต่อไปคือห้องพักที่คอนโด วันก่อนป๊ะส่งคนมาช่วยทำความสะอาดให้แล้ว ฉันมั่นใจว่าไปวันนี้ต้องไม่นอนจมกองฝุ่นตาย

 

 

และเมื่อปิดประตูขังตัวเองในนั้น สมุดวาดรูปคู่ใจก็ถูกหยิบออกมาวาดๆเขียนๆ ใช้เวลาพักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเอง ว่า…คุณพลูคือคนที่ถูกพวกตัวร้ายจ้างมาทำร้ายกัน

 

 

เหมือนเด็กดีใจยามที่ได้ทำความดีเช่นทำการบ้านถูกทุกข้อ ฉันชนกนั้นรีบพาตัวเองออกจากห้องเพื่อไปเคาะเรียกภูวนัยที่ห้อง ทว่าเมื่อประตูได้เปิดออก

 

 

คุณไพร์มกลับไม่ใช่คนที่เปิดออกมา

 

 

“คะ?”

 

 

“คือ…คุณไพร์ม”

 

 

“หมายถึงผู้เช่าคนเก่าหรือเปล่าคะ”

 

 

“…”

 

 

“เผอิญเราเพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวานนี้เองอะค่ะ”  นั่นแปลว่าคนที่เคยอยู่ไม่ได้อยู่อีกต่อไปแล้ว

 

 

คุณไพร์มมันนี่แม่ง! นิสัยแย่จริงๆ!!!!!

 

 

- - - - - -

 

 

ภูวนัยขับรถมาตามทาง ค่ำไหนก็เปิดโรงแรมนอนแถวนั้น

 

 

เป็นชีวิตที่ไม่มีความจริงจัง หลักลอย และไม่ใช่ตัวเขามากที่สุด

 

 

แต่มันคือรูปแบบชีวิตที่เคยคิดว่าสักวันอาจจะต้องลอง หลังจากที่เคลียร์ปัญหากับคนที่ตนเคยทำงานให้ ก็ไปจัดการแจ้งความต้องการให้กับลูกน้องที่ติดตามกันมา แน่นอนเขาไม่คาดหวังเลยว่าจะได้รับบทละครเศร้าซึ้งตอบกลับ แต่กลายเป็นว่าหลายคนรับไม่ได้ที่ต่อไปเจ้านายของตนจะไม่ใช่เขาอีก

 

 

นี่ก็เพิ่งรู้ว่าเป็นคนดีในสายตาคนอื่นอยู่บ้างเหมือนกัน

 

 

เอาเป็นว่าตอนนี้ชีวิตของเขาก็ไม่แย่ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะดี ทุกอย่างที่ต้องทำก็ทำไปหมดแล้ว ทว่ากลับรู้สึกเหมือนไม่พอใจเพราะขาดอะไรไปสักอย่าง และใช่ว่าจะไม่รู้ รู้…แต่ยอมรับไม่ได้เพราะไม่เคยคิดว่ามันจะสำคัญขนาดนี้

 

 

ความคิดถึงมันเกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่จากมา

 

 

หลังจากที่ไปส่งฉันกลับบ้าน เคลียร์ปัญหากับลูกน้อง เขาก็ได้ทราบความจริงเพิ่มขึ้น อันที่จริงแล้วเหตุการณ์การถูกมนุษย์หมาป่าหมายหัวในตอนนั้นที่โรงจอดรถ ไม่ใช่ฉันที่เป็นเป้าหมาย แต่เป็นเขาต่างหาก ทว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันชนกก็มีตัวตนในสายตาศัตรูของเขาขึ้นมาด้วย

 

 

เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งรู้ว่านอกจากจะมีหนอนในกลุ่มเจ้าหน้าที่โครงการของเขา ที่ทำงานของฉันชนกก็ยังมีคนคอยขายข้อมูลส่วนตัวของอีกฝ่ายให้กับพีรวัส คนนั้นๆเป็นมนุษย์ธรรมดาที่คงไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเกี่ยวพันกับพวกมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ อย่างไรก็ตาม…คนๆนั้นคงไม่คิดที่จะมาวุ่นวายกับฉันอีกแล้ว เพราะเขาสั่งคนให้ไปจัดการ และคิดว่ามันเป็นงานสุดท้ายที่ได้สั่งไปในฐานะเจ้านาย

 

 

โดยเต็มไปด้วยความหวังว่าต่อไปเด็กคนนั้นจะปลอดภัย และบางที… เราก็ไม่น่าจะมาพบเจอกันเลยจริงๆ

หมายถึงฉันน่ะ…ไม่น่ามาเจอคนอย่างเขาเลย

 

 

Talk:

ตอนแรกว่าจะมาวันเสาร์แต่เพราะเรามีเรื่องยุ่งๆเลยทำให้มาไม่ได้อะนะคะ จริงๆเมื่อวันศุกร์ก็เพิ่งมีประกาศไปว่าจะไม่ได้ตีพิมพ์กับสนพ.พีชชี่พายแล้ว และทางเราก็มีการพูดคุยกับทางนั้นเรียบร้อย ตอนแรกก็คิดว่าคงปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้และก็จะลงให้จบเหมือนเดิม แต่กลายเป็นว่ามีอีกสนพ.มาติดต่อเรื่องตีพิมพ์นิยายเรื่องนี้แทน อิแม่น้ำตาจะไหล น้องฉันกับน้องสาได้ไปต่อแล้ว  แงงงงงงง

ถ้ายังไงฝากติดตามต่อด้วยนะคะ เราจะตั้งใจ ฮือออออออออ

#คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 34 16/6/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-06-2019 15:55:09
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 35 22/6/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 22-06-2019 13:40:24
35
- - - - - -
อย่าให้เจอนะ จะ…ให้ดู!!!!
(+_+)
- - - - - -


อย่าให้เจอเชียวนะ…


ถ้าเจอล่ะก็…ก็อะไรดีล่ะ?!
คิดไม่ออกอ่ะ เอาเป็นว่าถ้าโทรไปอีกสองรอบแล้วไม่รับ สายตัดล่ะก็ ฉันจะเลิกโทรแล้ว


 แต่เอาเข้าจริงๆพอว่างจะเข้าห้องน้ำกินข้าวหรืออะไรก็ตาม แค่พอนึกขึ้นได้ฉันก็โทรหา จนไม่อยากจะคิดว่าตนได้โทรไปกี่ครั้งแล้ว แต่จะกี่ครั้งก็ช่างเหอะ มีสักครั้งไหมที่พ่อคนนั้นเขาจะรับอ่ะ!!


“ไปอยู่ไหนของเขา”  ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจริงๆหรอกนะ ก็วันนั้นมันดูอันตรายมากๆ แต่ทั้งๆที่ฉันปลอดภัย แล้วคุณไพร์มเป็นอะไรทำไมหายหัวไปเลย


“ไอ้ฉัน เหม่อนานแล้วนะ”  เพื่อนร่วมงานที่เห็นเอาแต่จ้องโทรศัพท์ทั้งวันก็ทัก แต่ฉันนั้นก็ทำแค่ถอนหายใจและวางมือถือตัวเองลง


“ถ้าแกติดต่อใครคนหนึ่งไม่ได้เป็นเวลานาน แกจะทำไง”


“แจ้งความคนหาย”


“เอาจริงดิ”


“ก็ถ้าหาไม่เจอ ติดต่อไม่ได้ เราก็ต้องแจ้งความปะวะ”  ถึงเห็นฉันโง่ๆ แต่ฉันก็ไม่โง่นะเว้ย ต่อให้ห่วงคุณไพร์มแค่ไหน แต่ที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่ทั้งพ่อและแม่เขา แล้วเราจะเอาสิทธิ์อะไรไปแจ้งความให้ตำรวจด่าและไล่กลับบ้านกัน หรือจริงๆแล้วฉันควรไปตามหาพ่อแม่เขาก่อน และพาพวกท่านไปแจ้งความตามหาคนหายจริงๆ


แต่เชื่อเหอะ ไอเดียนี้ใช่ว่าจะดี ก็เผ่าคุณไพร์มนี่นอกจากคุณไพร์ม ฉันก็ไม่รู้ว่าคนอื่นน่าคบหรือเปล่าด้วยซ้ำ อยู่ๆมีแวมไพร์ทะเล่อทะล่าไปถามหาลูกชายบ้านเขาหน้าโง่ๆ ถ้าไม่จับขังก็ต้องถีบออกมาแน่นอน


แล้วฉันต้องทำไงเหรอถึงจะได้เจอ…

- - - - - -

ส่วนสาคือทำตัวไม่ถูกมากๆเมื่อถูกเฝ้าแบบนี้


ความใจดีและความอ่อนโยนเหนือระดับที่ตนไม่เคยได้รับนั้นบุกจู่โจมจนวางตัวไม่ถูก สนธยาทำแม้แต่ช่วยตัดเล็บเท้าให้เพราะกังวลว่าเจ้าตัวจะทำอะไรไม่ถนัด อันที่จริงเจ้าตัวเล็กของเราก็ไม่ได้ตัวใหญ่ทำให้คุณแม่ท้องโย้ขนาดนั้น แต่ก็จริงที่ว่ามีคนทำให้ มันก็ดีกว่า


ว่าแต่ได้แล้วหรือ ที่ยอมรับว่านี่คือลูกของเรา


“เรื่องบริษัทน่ะพี่ให้คนไปจัดการเรื่องลาออกมาสักพักแล้ว เราคงไม่เคืองอะไรใช่ไหม”  เขาถาม ชวนคุยเรื่องนั้นนี้ แน่นอนว่าสาไม่โกรธหรอก ยังไงสารินก็คงกลับไปไม่ได้อยู่แล้ว เราจะเอาตัวเองที่ท้องโตๆไปทำงานได้ยังไง โอเมก้าที่ไหนเขาทำกัน





พอเริ่มเป็นที่สังเกต โอเมก้าส่วนใหญ่ก็เก็บตัวอยู่ในห้องหับกันทั้งนั้น ต่อให้อดอยากปากแห้งแค่ไหน แต่ก็รู้สึกสบายใจกว่าการเป็นตัวประหลาดของสังคม เพราะฉะนั้นหากต้องออกไปเป็นเวลาบ่อยๆนานๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่ทำกันหรอก และต่อให้คลอดแล้ว สารินที่ตอนนั้นคิดจะหนีก็ไม่คิดว่าจะเป็นการดีหากกลับไปทำงานที่เดิมให้คนอื่นตามเจอ


ว่าแต่นี่ไม่คิดจะหนีแล้วใช่ไหม


“คายมา” และเม็ดมังคุดก็ถูกคายออกมาจากปากของสา


เดี๋ยวสิ นี่มันไม่ถูกต้อง!


“พี่สน!” มันจะมากไปแล้วนะสนธยา อยู่ก็เอามือมารองเม็ดมังคุดจากปากคนอื่นได้ไง!


“อะไรเหรอ”


“มัน…สกปรกนะ”  ไม่ต้องเอาใจกันขนาดนั้นก็ได้ สารินทำหน้ายุ่ง แต่ดูเหมือนเขาไม่เห็นด้วย เจ้าตัวพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้คิดเช่นนั้นจริงๆด้วยการโยนเม็ดมังคุดที่สาคายออกมาไปใส่ในปากของตัวเอง


“แล้วไง”


“พี่สน!”  เขาเกินไปมากจริงๆ โดยเฉพาะการดูแลแบบไม่มีขอบเขตนี่!


สนธยาคายเม็ดมังคุดของเหลือจากปากสารินออกมาและทิ้งลงถังขยะ เขายิ้มไม่รู้ว่าเพราะได้เห็นใบหน้าแสนงอนนั่นหรือเปล่า แต่เอาจริงๆตอนเอามือไปรับมาก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดว่าอมเม็ดไว้นานแล้วนะไม่คายมาเสียที จะป้อนลูกใหม่ให้ก็เท่านั้นเอง ก็เห็นว่าชอบนักเลยอยากให้กินให้หนำใจก่อนมันจะหมดฤดู ความหวังดีของเขากลายเป็นม่ายเสียแล้ว


แต่…ก็ไม่ยอมเป็นหม้ายเมียทิ้งลูกหนีหรอกนะ


“กินอีกไหม”


“ไม่แล้วครับ”  เลยไม่ยอมกินอีกเลย ให้ตายเถอะ…


ตอนนี้เราสองคนนั่งรับลมเย็นๆอยู่ที่ห้องรับแขก มันก็เพิ่งเมื่อสองวันก่อนที่สารินได้รู้ว่าเขาก็อยู่ที่นี่ และก็เป็นสองวันที่สนธยาพยายามจะพาตัวเองรุกเข้าไปในความรู้สึก ซึ่งเขาไม่รู้เลยแต่ได้แค่หวังว่าอีกฝ่ายจะมีใจ มันอาจจะเคยมี แต่ตอนนี้เจ้าตัวอาจจะตัดใจจากเขาไปแล้ว


“สาไม่ได้อึดอัดใช่ไหม”


“…”  เขาไม่น่าถาม ย่อมต้องอึดอัดอยู่แล้ว จากพี่น้องที่ไม่สนิท ข้ามผ่านมาเป็นคนที่กำลังเกี้ยวพา มันใช่เรื่องที่จะชินชากันได้ง่ายๆเหรอ เอาอะไรคิดกัน?!


“คงจะชินสักวัน”


“พี่สนคิดเองทั้งนั้น”


“แล้วใจคอเราจะไม่ชินหน่อยเหรอ”


“…”


“โอเค พี่ผิดเอง”  สาขมวดคิ้ว เขาผิดอะไร  “ที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้”  เขาทำอะไร ทำไมถึงผิด ทำไมถึงอ้างว่ามันทำให้เป็นแบบนี้


“พี่สนทำสางง”


“พี่ผิดเองที่เราอยู่ด้วยกันมานานแต่ไม่ได้ทำให้สารู้สึกสบายใจหรือเข้าใจอะไรขึ้นมาเลย”


“จะบอกว่าสาช้า…”


“เปล่า พี่แค่…เคยพยายามปกปิด”


“…”


“ต่อให้พี่อยากจะเปิดเผยแค่ไหน แต่อนาคตมันพูดยากมาก”


“แล้วตอนที่พี่สนเอาแต่ปิดบัง เคยคิดเรื่องอนาคตของตัวเองกับผมบ้างหรือเปล่า”  สารินโพล่งถามอย่างประชดประชันแกมอยากรู้อยากเห็น แต่ถ้าตัวเองรู้อนาคตแม้เพียงเสี้ยววินาที จะรู้ว่าคำถามนี้ไม่ควรเอาออกมาถามเลย


“คิดสิ… และทำไปบ้างแล้วด้วย”


“…”


“สงสัยคงเนียนไปจนเราไม่รู้เรื่อง”


“เห็นฉันบอกว่าพี่สนคบกับฉันเพราะอยาก… เข้าใกล้สา”  สารินอ้อมแอ้มถาม  “อันนี้ฉันไม่ได้มโนเก่งไปเองใช่ไหม”  ขอโทษนะฉัน แต่จริงๆนายเป็นอย่างนั้นบ่อยมาก


“ฉันถูก พี่ทำแบบนั้นจริงๆ”


“…”


“แต่ส่วนหนึ่งเพราะเราเอาแต่เชียร์ให้คบด้วย พี่ก็เลยคิดว่าจะหึงบ้างไหมนะ สรุปว่าไม่เลย แต่ก็ดีเพราะใช้เป็นข้ออ้างพาสาไปเจอฉันได้” ตลกเนอะ ต้องคบกับอีกคนเพื่อนพาอีกคนที่เป็นแค่น้องชายไปไหนมาไหนด้วย ครอบครัวประหลาดแบบนั้นคงไม่เหมาะกับเราจริงๆ


“สาเคย…อยากให้พี่สนเป็นพี่ชายนะ”


“น่าเสียดายที่พี่ไม่เคยอยากได้น้องชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”  แล้วที่ทนเงียบคอยมองคนที่ที่บ้านพามาประเคนให้เป็นน้องชายคนนี้ล่ะ  “แต่เพราะสาคือข้อยกเว้นที่อยากให้มาอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่ในฐานะน้องชาย”  และนี่คือสิ่งที่อยากรู้แต่ไม่อยากถาม


คือสาคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่สนจะบอกว่า…เขาชอบกันตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ


เราจมตัวเองเข้าสู่ความเงียบงัน สานั้นค่อยๆดึงผ้าห่มมากอดและดม กลิ่นพวกนี้ยังคงสร้างความสบายใจ แต่เจ้าตัวจะทำเป็นไม่รู้ตลอดไปเลยใช่ไหม ว่าผ้าพวกนี้คือของใช้ส่วนตัวของใคร


“ชอบผ้านั้นมากนักเหรอ”


“อืม”


“ชอบมากกว่าพี่อีกหรือไง”


“มันไม่เกี่ยวกันนะ”


“พี่จะได้รู้ไงว่าแพ้ผ้าห่มของตัวเอง”


“…”


“แต่จริงๆสาก็แค่ชอบกลิ่นพี่และสัมผัสนุ่มลื่นของมัน หนังสือที่เกี่ยวกับโอเมก้าเขียนอย่างนั้นและพี่ก็พยายามจะเข้าใจมันอยู่”  เขาชูหนังสือที่เขาสั่งให้คนไปเอามาให้ที่บ้าน ทราบว่าเป็นมรดกตกทอดของพ่อ เพราะของพวกนี้หาซื้อทั่วไปได้ที่ไหน


“พี่สนอ่านอะไรน่ะ”


“อ่าน…เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมเมียตัวเอง”


“นี่…”


“เพราะว่าสาติดรังตัวเองมาก พี่ต้องมั่นใจว่ามันจะมีผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาวไหมเลยต้องหาข้อมูลไว้”


“รังเหรอ?”


“อืม…ก็การที่เราเอาเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ของอัลฟ่ามาหนุนนอน”


“…สาไม่เห็นรู้จักเลย”  ในฐานะที่เป็นโอเมก้ามาทั้งชีวิต สารินไม่เคยพบเจอหรือได้ยินอาการแบบนั้นเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าตนนั้นเข้าข่าย


“จะรู้จักได้ไง โอเมก้าเดี๋ยวนี้นอกจากไม่ฮีทแล้วยังไม่ทำรังกันด้วย”  โดยเฉพาะโอเมก้าที่สาเคยพบเจอมา บางคนนั้นเหม็นหน้าอัลฟ่าพ่อพันธุ์ที่ตนเคยมีสัมพันธ์ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอาของใช้เขามาดมแบบที่สาทำทุกวันนี้


และนั่นหมายความว่าสารินจะทำรังกับสิ่งของของคนที่ตนรักงั้นเหรอ?!


“…”


“เขาว่ากลิ่นของอัลฟ่าที่โอเมก้าเลือกมาใช้ทำรังน่ะ ต้องเป็นอัลฟ่าที่ก่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ”


“งั้นเหรอครับ”


“หรือเกิดจิตปฏิพัทธ์รักใคร่”  สนธยาแค่เพียงอ่านข้อความในหนังสือไป ทว่าเขาลอบยิ้มมุมปากเมื่อแอบเห็นว่าคนฟังใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ  “อย่างนี้เราจะแค่ไว้ใจหรือแอบรักพี่เหมือนกันถึงได้เอาข้าวของพี่มาดมตั้งแต่วันที่เรายังไม่ได้เจอกัน”


“สาจะไปรู้เหรอ หนังสือมันอาจจะมั่วก็ได้ ทำรังอะไรกัน ไม่มีหรอก”


“แล้วที่ตื่นมาบนกองผ้า พอคนจะเอาไปซักก็นั่งร้องไห้นี่คืออะไรเหรอ”


“…”


“จะไม่ยอมรับกับพี่ก็ได้นะ”  เขาไม่บีบคั้นต่อ  “แต่ช่วยยอมรับกับตัวเองบ้างสักนิดได้ไหม”  แต่ก็เว้าวอนขอความเห็นใจ แม้เป็นส่วนเล็กๆน้อยๆก็ตาม


เพราะวันหนึ่งมันอาจจะค่อยๆขยายและแบ่งผลประโยชน์ตรงนั้นมาให้คนที่รอ


ในขณะที่รู้สึกลำบากใจ แต่ก็รู้สึกดีใจและอุ่นใจยามที่มีใครสักคนอยู่ไม่ไกล ทว่าที่ติดขัดคงจะเป็นลำดับขั้นของการสานสัมพันธ์ระหว่างตนกับอีกคนเท่านั้น จากคนไม่รู้จัก กลายมาเป็นพี่น้องที่ไม่สนิท พอเริ่มจะพูดคุยกันมากขึ้น ก็กลายมาเป็นคนที่มีอะไรกันจนมีลูกออกมา วันหนึ่งเขามาบอกว่าคิดแบบนั้นต่อกันนานแล้ว สารินก็เลยจะไม่ชินอยู่หน่อย


และเมื่อขจัดความรู้สึกต่อต้านออกไป ก็ยอมรับว่ารู้สึกดีกับการได้อยู่ใกล้ไม่น้อย


ตนมีใจให้สนธยาตั้งเท่าไหร่ ทำไมจะไม่รู้ตัว ที่ผ่านมานั้นที่ไม่ยอมเข้าใกล้เพราะกลัวหัวใจจะต้องเจ็บช้ำเพราะเรารักกันไม่ได้ วันนี้ที่ความรักสมหวังก็ใช่ว่าจะมีความสุขนัก เพราะหลายๆอย่างรอบกายอาจจะยังไม่ยอมรับกันอยู่ ถ้าเราเป็นแค่คนรักกันทั่วไปก็คงจะดี จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเรื่องความเหมาะสมบ้าๆนั่น


“พี่จะกลับไปกรุงเทพแล้วจะรีบมา สามีอะไรที่อยากให้ซื้อมาให้ไหม”


“พี่สนไปทำอะไรเหรอครับ”


“ธุระนิดหน่อยน่ะ”  เขายิ้มให้ แต่การที่เขาไม่ระบุว่ามันคือธุระอะไร สารินก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขานั้นปิดบัง


แต่จะไปกดดันให้เขาพูดมาทั้งหมดมันก็ไม่แฟร์ สนธยาเปิดเผยตัวตนที่ปิดมานานให้กันตั้งเท่าไหร่ แต่สารินคนนี้กลับยังไม่เคยเปิดเผยความนัยอะไรกลับไปทั้งๆที่รู้ดีว่าถ้าเขาไม่มั่นใจในความรู้สึกกันละก็ สนธยาคงไม่ดื้อแพ่งถึงเพียงนี้ ใช่…เขาอาจจะรู้แต่ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าสารู้สึกต่อเขาเช่นไร และสาเองก็ไม่ได้มีกำหนดจะบอกไปถึงความรู้สึกที่มี


เขากลับมาหากันในคืนนั้น เรานอนอยู่ห้องเดียวกันแต่เขาไม่ได้ขึ้นมานอนบนรังของตนเพราะคิดว่าสาจะหวง บนฟูกนอนที่จัดได้ว่านิ่มเหมือนกันจะมีร่างสูงของเขานอนหลับใหลอยู่อย่างนั้น สารินจ้องมองกันด้วยความรู้สึกมากมาย


หลังจากคืนนั้น เขาก็ไปๆมาๆอย่างนี้ในวันเดียวกันจนสารู้สึกไม่สบายใจ


เขาดูเหนื่อย สภาพดูโทรมอย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็ยังโทษตัวเองที่ไม่สามารถทำเวลามาดูแลกันได้มากกว่านี้ ทั้งๆที่สารินซึ่งอยู่เฉยๆไม่ได้ลำบากอะไร เพราะสถานการณ์มันดูลำบากกับทุกฝ่าย สาก็ดันเผลอคิดถึงวิธีแก้ปัญหานี้ขึ้นมา


ซึ่งมันอาจจะขัดแย้งกับความต้องการแรกเริ่ม


“พี่จะรีบกลับมา”  หรือว่าจะง่ายกว่าหากสายอมไปกับพี่สน แต่จะไปในฐานะอะไรในเมื่อตนพยายามหนีเขามาขนาดนี้ ตอนนี้เพราะรู้ว่าหนีไม่ได้เลยไม่ไปไหน แต่ทำไปทำมากลับรู้สึกยึดติดกับตัวเขานัก


ทั้งกลิ่นกาย ไออุ่น รอยยิ้ม วันไหนที่ไม่ได้อยู่เคียงใกล้ ก็ถึงกลับรู้สึกกระวนกระวายแบบไม่เคยเป็น


“พี่ก็ไม่รู้ค่ะ แต่คิดว่าเป็นเพราะน้องสารู้สึกดีกับคุณเขามั้งคะ”  พี่แจงตอบกันเช่นนั้นเมื่อถาม ช่วงนี้พี่สนไม่ค่อยอยู่ที่นี่เลยทำให้สาต้องมาใช้เวลาอยู่กับผู้ดูแลเสียเป็นส่วนมาก


“รู้สึกดีเหรอครับ”


“ใช่ค่ะ เหมือนเวลาที่เรารู้สึกดีกับใครก็จะคิดถึงคนนั้น อยากอยู่ด้วย…”


“มันไม่เหมือนกับการทำรังใช่ไหม”


“บางคนก็บอกค่ะว่าโอเมก้าจะติดอัลฟ่าที่เป็นพ่อของลูก แต่น้องสาก็รู้ว่าโอเมก้าเราไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะ…ได้สานสัมพันธ์แบบนั้นใช่ไหมคะ”


“…”


“แต่พี่ว่าไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ถ้าเรารู้สึกดีกับใครสักคน เราอาจจะมีความต้องการบางอย่างที่อยู่เหนือเหตุผลทั้งหมด แต่พี่ว่านั่นแหละค่ะคือสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”  สารินก็ต้องกลับมาคิดดีๆว่ามันใช่หรือไม่


แต่ทำไมหัวใจถึงบอกว่าใช่…ไปเสียแล้วล่ะ


ในขณะที่นอนหลับ สนธยาก็ยังขมวดคิ้ว เขาหลับลึกเสียจนไม่รับรู้สิ่งใด แม้การที่ถูกจ้องมองลงมาจากบนเตียงนั้นจะทำอย่างจงใจ แต่คนที่หลับใหลก็ไม่รู้สิ่งใดแล้วทั้งๆที่ปกติเขามีสัญชาตญาณที่ดี


เหนื่อยมากไหม…สาอยากจะถามออกไปอย่างนี้ ทว่ากลับได้แต่เก็บงำทั้งคำพูดและความรู้สึกเอาไว้


“ทำไมต้องทำให้กันขนาดนี้ด้วยนะ”  เพื่อทดแทนสิ่งที่เขาไม่ได้ทำลงไป เพื่อทำให้ไม่ต้องรู้สึกผิดอีก เพื่อทำให้เขาสบายใจ ไม่ว่าจะเพื่ออะไร สนธยามักจะตอกย้ำเสมอว่าทั้งหมดมันมาจากความรัก


ความรักที่อยู่เกินเอื้อมถึงเสมอ วันนี้มันไม่ไกลเลยหากจะเอื้อมแขนออกไป สารินค้นพบว่าระยะจากบนเตียงจนถึงฟูกนั้นไม่ไกลเกินที่จะเอื้อมมือไปหา เราไม่เคยใกล้ชิดทั้งกายและใจได้ถึงขนาดนี้เลย มันคงจะไม่ใช่ฝันไปจริงๆใช่ไหม เพราะถ้าวันหนึ่งตื่นจากฝันและรับรู้ว่าความจริงคืออะไร สาคงไม่สามารถกลับไปอยู่ในจุดที่จากมาเพื่อที่จะไม่มีโอกาสได้พบเจอตลอดไปได้


ด้วยความต้องการเบื้องลึกหรือเพราะชะล่าใจคิดว่าเขาคงหลับลึกแน่นอน คนตัวเล็กจึงค่อยๆคลานลงไปหาและซุกตัวนอนตะแคงหันไปข้างๆ แสงไฟจากโคมไฟนั้นมากพอที่จะทำให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา ขอแค่อยู่ตรงนี้พักเดียวเท่านั้น พักเดียวจริงๆ ในอ้อมแขนตรงนี้เหมือนดั่งความฝัน และสารินก็ตระหนักเสมอว่านี่…


อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ตรงนี้


ทว่าคำว่าพักเดียวแต่ขอต่อเวลาไปเรื่อยๆ ในที่สุดสติของตนก็วูบหายไป สนธยารับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ เขารู้แต่แสร้งหลับลึกเพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเองและอีกฝ่ายได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ในขณะที่สารินกังวลว่าเขาจะเหนื่อยกับการทำนั่นนี่ให้มากมาย เจ้าตัวรู้หรือไม่ว่าเขาเองก็กังวลในเรื่องของอีกฝ่ายเหมือนกัน


จะคิดอะไรเยอะแยะนะเจ้าตัวเล็ก แค่ยอมรับว่ารู้สึกดีๆเหมือนกันมาเลยไม่ได้เหรอ แต่เขาเข้าใจว่าเรื่องความรู้สึกกับการแสดงออกมันซับซ้อน เพราะกับตัวเองที่รู้สึกแปลกๆตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน ก็ใช้เวลานานเกือบสิบปีที่จะยอมรับว่านอกจากจะไม่ได้อยากให้สาเป็นน้องแล้ว ยังต้องการให้อีกคนได้ตำแหน่งสำคัญกว่านั้นไปครอบครองด้วย


แต่นี่เราอยู่ในสถานการณ์ที่แข่งกับเวลาไม่น้อย เจ้าตัวเล็กจะออกมาดูโลกข้างนอกแล้ว ทว่าคุณแม่ยังไม่ยอมรับในตัวคุณพ่อเลย ไม่ใช่พอคลอดออกมาสารินจะผลักไสเขาออกไปจากชีวิตอีกครั้งหรอกนะ สนธยาตั้งคำถามนั้นขึ้นมาโดยไม่ได้ถามออกไป และจนกระทั่งเข้าสู่นิทราหลับใหล…


ก็ไม่ได้คำตอบออกมาแต่อย่างใดเช่นกัน


เปลือกตาสีอ่อนของสารินกะพริบช้าๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองวูบหลับไปตอนไหนทว่ามันคงผ่านไปสักระยะแล้วเพราะแสงจากภายนอกสอดส่องเข้ามาในตอนนี้ เช้าแล้ว…สารินตระหนักได้ในความไร้แบบแผนของตน ทั้งๆที่ตั้งใจจะอยู่ไม่นานแต่กลายเป็นว่าดันเผลอหลับซุกอกเขาไปเสียดาย จะลุกตอนนี้มันจะทันไหมนะ


“ตื่นแล้วเหรอ”  ไม่ทันแล้ว เพราะเจ้าของอกแกร่งนี้ได้ทักทายกันแทบจะทันทีที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวข้างกาย


“กี่โมงแล้ว พี่สนต้องกลับกรุงเทพหรือเปล่า”  สาถาม หลีกเลี่ยงที่จะแก้ตัวหรือแถลงไขว่าทำไมตนถึงมานอนอยู่ตรงนี้ คนตัวเล็กขยับตัวจะลุกขึ้น ทว่าแขนแกร่งของเขาก็เคลื่อนมาพาดทับตัวเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน จริงๆตอนนี้ต้องเตรียมตัวเดินทางแล้วล่ะแต่ว่า…โอกาสแบบนี้ใช้เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอซื้อหรอก อยากได้ต้องไขว่คว้า!


“ไม่อยากไปไหนเลย”  เขาเริ่มงอแง


“ไม่ใช่ว่ามีนัดเหรอครับ”  สาดิ้นเล็กน้อยให้เขาพอรู้ว่าไม่ยินยอมอยู่ในอ้อมกอด แต่สนธยาใช้สิทธิ์เช้าเกินไปหัวเลยช้า เขาเพิกเฉยต่อการประท้วงนั้น


“มี แต่อยากอยู่แบบนี้สักพัก”


“พี่สน…” และเขาก็ทำตามที่พูดด้วยการจะอยู่ไปอีกสักพัก  “พี่สนยุ่งขนาดนี้กลับมาทำไมครับ”


“เพราะสาอยู่ที่นี่ไง”


“สาไม่หนีไปไหนแล้ว พี่สนไปอยู่กรุงเทพทำธุระให้เรียบร้อยเถอะนะ อย่างนี้มัน…เหนื่อยๆเปล่า” เอาจริงตอนนี้สารินที่ถูกดูแลอย่างดีมาหลายเดือนได้กลายเป็นโอเมก้าขี้เกียจไปแล้ว ยิ่งมีอัลฟ่าที่ตนปลาบปลื้มมากๆมาบอกความในใจเช่นนั้น สาไม่คิดจริงๆว่าตนจะมีแรงขัดขืนหนีไปไหนในเร็วนี้ๆ


“ประเด็นคือมันไม่ได้อยู่ที่เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย หรือสาจะหนีหรือไม่หรอกนะ”  เขาค่อยๆอธิบาย  “มันอยู่ที่พี่อยากเจอทุกวัน”


“…”


“เพราะงั้นไม่ต้องคิดอะไรมากและรอ…พี่จะดีใจถ้าสารอให้กลับมาหา”


“หรือว่าให้สาไปอยู่กรุงเทพด้วยไหม”


“หืม”


“คือสาอาจจะหาที่อยู่ในกรุงเทพได้ ไปพักกับ…ฉันก็ได้”


“แล้วพี่จะไปหาเราที่บ้านฉัน แล้วตัดเล็บ ปอกมังคุด หรือกอดแบบนี้ได้ไหม”  แน่นอนว่าไม่ได้ เดี๋ยวฉันแซว!


“ฮื้ออออ แต่นั่นมันดีที่สุดแล้ว”  เขายิ้ม ทั้งๆที่สาอยากจะขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเขาจะแย่ แต่ก็เป็นสนธยานี่แหละที่ยื่นหน้าเขาไปกดจูบที่ขมับ


“พี่ทำได้ดีกว่านั้นอีก”  เขาบอก “ถ้าสาไม่อยากกลับไปที่ธัมรงค์รัชต์ พี่หาบ้านหรือคอนโดให้อยู่ดีไหม”  อันที่จริงเขาคิดมาสักพักว่านี่มันอาจจะดีกว่า


เขาเองก็อยากให้สากลับไปเจอพ่อกับแม่ที่บ้าน แต่เพราะน้องไม่สบายใจและเราไม่ควรทำให้คนท้องเครียดจนเกินไป  แต่เรามารบกวนสถานที่ของไพร์มนานแล้ว แม้หมอนั่นจะหายหัวติดต่อไม่ได้ แต่เขาก็เกรงใจเลยอยากจะพาย้ายไปที่อื่น ประจวบกับการแพทย์ที่นี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมนี่เป็นเคสของโอเมก้า จึงอยากให้ถึงมือของคนที่ไว้ใจได้มากกว่า


กรุงเทพดูเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่เขาแค่ยังไม่รู้วิธีการว่าควรจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายตายใจและยอมไปด้วยกัน เมื่อพอเราคุยกันมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มสบายใจขึ้น แต่สายังคงเงียบงันคิดหนักอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นไปได้เหรอที่เราจะอยู่ด้วยกันไม่ไกลจากธัมรงค์รัชต์โดยปราศจากความกังวลใจ


“พี่อยากชวนสาไปอยู่ที่นั่นมาสักพักแล้ว อันที่จริงพี่ซื้อเตรียมไว้มาสามปีแล้วล่ะ คิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับครอบครัว”  ไม่ใช่ว่าเมื่อสามปีก่อนไปซื้อไว้เพื่อการนี้เลยหรือ ใบหน้าคนฟังที่เผลอคิดไปไกลนั้นแดงระเรื่อ “ไปอยู่ด้วยกันนะครับ”


แล้วถามมาแบบนี้ จะไปตอบอะไรได้…


“อื้อ”  แค่ไม่นานนะ…


จะอยู่ด้วยแค่ไม่นานจริงๆ


- - - - - -


“เขาตามหาคุณไพร์มอยู่”  เขารับโทรศัพท์รายงาน ยังมีลูกน้องบางคนที่ไม่ว่าจะพูดว่าไม่จำเป็นต้องติดตาม ทว่าก็ยังยินดีที่จะคอยบอกกล่าวเรื่องที่ได้ยินมา


“บอกไปว่าไม่สะดวกพบใครก็พอ”  ใช่ เพราะในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่สะดวกพบใครนัก ไพร์มนั้นยังคงไปที่ต่างๆด้วยเคยวางแผนไว้นานแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆเขากลับไปโดยไร้ซึ่งความตื่นเต้นใดๆ การอยู่คนเดียวไม่เคยเป็นปัญหา ทั้งๆที่เคยมีความเหงาเป็นเพื่อนจนชาชิน ทว่ากลับไม่รู้สึกพอใจที่ต้องอยู่คนเดียวยามมาท่องเที่ยวแบบนี้


หรืออันที่จริงเขาแค่ไม่เคยรู้ว่าการท่องเที่ยวเป็นยังไงเลยทำอะไรไม่ถูก


อีกสักพักเขาคงต้องไปตั้งหลักปักฐานสักที่ และในตอนนี้ก็เริ่มมีเล็งๆไว้แล้วว่าจะทำที่ไหน จริงๆมันเป็นที่ไหนก็ได้ แต่สมองสั่งการให้ไปให้ไกลจากกรุงเทพ เพราะต่อให้ที่นั่นจะเป็นเมืองใหญ่แค่ไหน เขาก็กลัวความบังเอิญจะนำพาไปพบกับฉันชนกอยู่ดี ทว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้ามันจะเจอก็ต้องเจอ ไพร์มไม่ได้หนีหายไปเสียทีเดียว เขาแค่ไปทำในสิ่งที่ต้องทำ


แล้วทำไมต้องหนีจากเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง? อ๋อ…เพราะคนๆนั้นคือชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้ไพร์มรู้สึกล้มเหลวในตัวเองอย่างรุนแรงขนาดนี้ นี่กำลังโทษฉันว่าเป็นต้นเหตุอยู่เหรอ? ก็ไม่ใช่หรอก…ฉันไม่ใช่ต้นเหตุของความบ้าบอพวกนี้สักนิด


มันผิดที่เขาห้ามใจไม่ให้ตกหลุมรักไม่ได้ต่างหาก


Talk:
ช่วงที่ผ่านมาเราไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดเลยทำให้ไม่ได้แตะคอมเข้ามาลงนิยายหรือแต่งนิยายอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วจะพยายามมาบ่อยๆนะคะ #คู่กินคู่กัด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 36 23/6/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 23-06-2019 14:58:20
36
- - - - - -
ก็รู้แหละว่าเขานิสัยไม่ดี
แต่ก็ใช่ว่าพี่สนจะนิสัยดีมากสักกะหน่อย!
(+_+)
- - - - - -


นี่คือบ้านที่เขาพูดถึงใช่ไหม
นี่ตั้งใจจะสร้างครอบครัวใหญ่แค่ไหนกัน!?


“หรือว่าเราอยากไปอยู่คอนโดมากกว่า”


“สาแค่คิดว่ามันทำความสะอาดลำบาก”


“แล้วใครจะให้เราทำกัน”


“พี่สน…บ้านนี้มีตั้งสี่ห้องนอน”


“พี่คิดเผื่อไว้ว่าอาจจะมีลูกสองคน”  สองคนในที่นี้คือไม่ใช่สาใช่ไหมที่ท้อง  “ถ้าไม่ใช่เรามีให้พี่แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ”  เขาได้พูดดักคอไว้หมดแล้ว หมดสิทธิ์คิดเป็นอื่นไปเลย


“ใครจะไปมีลูกให้”


“ก็มีแล้วหนึ่งไม่ใช่เหรอ หรือว่าเจ้าตัวเล็กของพ่อนี่ท้องแฝด”


“พี่สน!” บ้าบอกันไปหมด นี่สายังไม่เคยยอมรับเรื่องลูกหรือยอมรับในตัวเขาสักนิดเดียว


“มาอยู่ที่นี่อาจจะเหงาหน่อย พี่จะให้คนมาดูแลแต่ถ้าสาเหงาอยากให้ฉันมาอยู่คุยด้วยก็ได้”


“ขอบคุณครับ”


“แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาขนาดนั้นเพราะพี่จะกลับมาหาเราทุกวันเหมือนเดิม”  มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถาม


แต่ไม่ได้พูดออกไป…


ที่เขาวุ่นๆคงเพราะเรื่องงานและเรื่องที่บ้าน การที่สารินมาอยู่ที่นี่ด้วยเพราะรู้สึกอุ่นใจมากกว่า แต่ตนคิดผิด หากไม่ถาม คนแบบสนธยาคงไม่ตอบอะไรเพราะเขาไม่ใช่พวกที่จะมาพูดอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ สารู้ว่าคุณแพรวรรณจะไม่เป็นไรเพราะถ้าหากอาการหนักเขาคงบอกกันมาแล้ว แต่จะอย่างไร…ก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดี


“ฮัลโหล ฉัน”  แต่ในขณะที่ฟุ้งซ่านอยู่นี้ เจ้าตัวดีก็โทรมาหา  “เราอยู่กรุงเทพแล้วนะ”  ก็เลยบอกไป ซึ่งแน่นอน…


ว่าเจ้าตัวต้องแจ้นมาหาในเย็นวันนั้นเลย


“นี่เหรอคือเรือนหอ”


“ฉันชนกตบปากห้าที”


“โหดอ่ะ เอาสารินคนมุ้งมิ้งของเรากลับมาเดี๋ยวนะ”  คนๆนั้นได้ตายไปจากโลกแล้ว ในขณะเดียวกันที่ฉันก็ยังไร้สาระอยู่เหมือนเดิม


วันนี้สนธยาโทรมาบอกแล้วว่าเขาจะกลับมาดึกหน่อย แต่เพราะมีฉันอยู่จึงไม่มีอะไรให้กังวล มิหนำซ้ำเขายังบอกว่าถ้าฉันจะกลับให้เรียกคนขับรถของเขาไปส่งได้อีก บริการดีขนาดนี้ หวังว่าจะไม่ใช่แค่ช่วงทำคะแนน


“สรุปคือยังไม่ตกลงปลงใจอีกเหรอ”


“อืม”  และเราก็กลับมาที่บทสนทนาแบบนี้จนได้สาก็ไม่ได้อยากจะคุยด้วยนักแต่ฉันที่ติดตามติดขอบเวทีนี่ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่เปิดปากวันนี้คาดว่าต้องมีบางคนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแน่


“ทำไมอ่ะ พี่สนไม่ดีตรงไหน”


“เชียร์จังเลยนะ แต่ก่อนเกลียดเขาจะเป็นจะตายไม่ใช่เหรอ”


“คนเราต้องมูฟออน สำหรับเราตอนนี้เขาคือโคตรคนอื่น แต่ยินดีให้เป็นสามีเพื่อนนะ ใจๆเลย”


“ฉันนี่ไม่ใจเลยอ่ะ”  คนหรืออะไร ทำไมเปลี่ยนสีเก่ง


“ก็เราเหมือนจะรู้สึกว่าเขาไปช่วยเราไว้อ่ะ”


“ช่วยอะไร”


“อ๋อ เปล่าไม่มีอะไร ว่าแต่หิวน้ำจัง ไม่มีน้ำให้แขกใช่ไหม”  ได้เลยฉัน ถ้าคิดจะปิดบัง ทางนี้จะได้สะสางบัญชีที่ไปทำลับหลังกันทั้งคู่เลย!


จริงๆสาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จะว่าปลงแล้วก็ใช่ ถ้าหนีอีกคิดว่าคราวนี้ต้องตามหาเจอแน่ๆ และหากมองในระยะยาว การอยู่ที่นี่มีคนเลี้ยงดูประกอบกับหางานทำไปพร้อมๆกับเลี้ยงลูกก็ถือว่าดี มิหนำซ้ำเด็กก็จะได้มีพ่อ แม้ว่าจะงงๆที่ไม่ได้ไปไหว้ครอบครัวฝั่งพ่อแต่สารินก็คิดว่าพอรับมือไหว ถ้าเขายังอยากให้อยู่ก็อยู่ต่อไปได้ ในระหว่างนั้นก็ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท 


ตอนนี้ก็ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว จะให้กระเตงเจ้าตัวเล็กหนีพ่อเขาก็ลำบากอยู่นะ


ฉันชนกก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามเรื่องรักไม่รักอีกเพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะมีชนักบางอย่างอยู่ ขณะที่เราทานอาหารกัน คนที่คิดว่าจะกลับดึกกว่านี้ก็ดันกลับมาก่อนเวลา


“ถ้าดูแลสารินไม่ดี คราวนี้จะไม่ให้แล้วนะ”  โดยไม่ได้ทักทาย เจ้าตัวดีชี้หน้าว่าที่สามีชาวบ้านเขาและพูดเช่นนั้น


“วันหลังก็หัดถามกันก่อนสิ จะได้รู้ว่าดีหรือไม่ดี”  เขาก็เถียงกลับ เอาจริงๆรูปแบบที่เป็นอยู่นี้ดีกว่าสมัยที่เคยคบกันอีก


“นั่นสิ แล้วก็ไม่ควรจะมีเรื่องปิดบังกันด้วย” ทว่าในระหว่างที่สองคนกำลังต่อปากต่อคำอยู่นั้น สารินก็ได้โผล่งออกมา “มีใครปิดบังอะไรเรากันอยู่หรือเปล่า พี่สนได้ไปทำอะไรฉัน!?”


“ทำ? พี่ทำอะไร” เขายังคงตามไม่ทัน มองหน้าคนถามก็งง พอมองหน้าคู่กรณีในบทสนทนาก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก


“แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไร ได้ไปทำร้ายหรือแกล้งอะไรเพื่อนสาหรือเปล่า”


“แกล้งเหรอ พี่แค่เคยไปหาเพื่อถามว่าสาอยู่ที่ไหนครั้งเดียวเอง”  แต่นอกจากฉันจะไม่ยอมบอก ก็ยังเรียกพวกมาปกป้องอีก เขาหันไปมองเพื่อนของว่าที่เมีย และได้เห็นว่าอีกฝ่ายตัวแข็งไปแล้ว  “อ๋อ…”


“อ๋ออะไรครับ”  สายิ่งกดดัน


“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก”  เขาหันไปยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ “เผอิญมีใครบางคนถูกจับตัวไปทดลองยา พี่ดันตามไปเจอเลยรอดตายอย่างปาฏิหาริย์น่ะ”


“ฉันชนก!”


“อย่าดุเพื่อน!”  ยังมีหน้ามาสั่งอีก มันใช่เหรอ!!!


“นี่มันอะไรกัน หรือว่าที่ฉันหาที่พักให้เราได้เพราะเอาตัวเองไปเสี่ยงอะไรแบบนี้งั้นเหรอ”  สนธยานั้นขยับเข้าไปลูบหัวลูบหลัง เจ้าโอเมก้าของเขาโกรธมากๆ


“จริงๆคือเราแค่ได้ยินว่ามันไม่มีอะไร ไม่คิดว่าจะถูกพวกคนไม่ดีจับตัวไป แต่ก็ปลอดภัยแล้วเห็นไหม เนอะพี่สนเนอะ”


“อืม เผอิญพี่คิดว่าฉันอาจจะแอบไปหาสาสักวันเลยให้คนตามดู โป๊ะเชะถูกคนมาหิ้วปีกไป”


“แล้วนี่ถึงกับจะตายเลยเหรอ ตายไม่ได้นะ”


“เฮ้ยๆ ไม่ตายๆ นี่เราเอง จับได้ ยังมีชีวิตอยู่ โอ้ยยยยย!!!” ไม่ใช่แค่สาจะจับเท่านั้น แต่จับหยิกด้วย  “เจ็บบบบบบบบ!”


“ก็หยิกให้เจ็บไง พี่สนเล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ”  มาถึงจุดๆนี้ถ้าไม่พูดต้องมีคนตายจริงๆ


สนธยาเปิดปากอธิบายให้รู้ในสิ่งที่เขาเข้าใจ และเพราะข้อเสนอของไพร์มทำให้เขาได้ที่อยู่ของสารินมาไว้ เท่านี้คนฟังก็กระจ่างใจถึงกลับขมวดคิ้ว นี่มันไม่โอเคเลย


“คุณไพร์มนั่นเป็นใครที่ไหนยังไง ทำไมถึงเชื่อใจเขาง่ายๆล่ะ”  สาต่อว่า ซึ่งก็จริงฉันแม่งโง่


“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”  เอาจริงๆฉันเองยังงง แต่สนธยาไม่แปลกใจ


“เรามันซื่อบื้อ แล้วไพร์มก็เก่งเกินไป หมอนั่นโน้มน้าวคนเก่ง ก็ไม่แปลกหรอก”


“…”


“พี่ไม่ได้สนิทกับไพร์มขนาดนั้น แต่พอจะรู้มาบ้างว่าบ้านของหมอนั่นค่อนข้างจะโหดพอดูเลย…การแข่งขันมันสูงน่ะ”


“แล้วทำไมพี่สนไม่เตือนหน่อยล่ะ”


“ใครจะไปรู้ว่าทั้งสองคนจะสนิทกันขนาดนี้”  จริงๆเขาเคยสนใจและโทรไปตักเตือนอยู่พักหนึ่งแต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก “ไพร์มเองก็ไม่ได้ทำอะไรเปิดเผยมากมาย หมอนั้นความลับเยอะแม้แต่คนที่ทำงานด้วย ต่อให้ถูกคัดมาแล้วก็ยังไม่ไว้ใจ”


“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนรู้ไหม”


“…”  ไม่มีใครคิดว่าฉันจะถามกลับมาแบบนี้


“ผมอยากเจอ”


“เจอทำไมอีก ฉันก็ได้ยินพี่สนพูดแล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี”


“พี่สนไม่ได้พูดว่าเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีนี่”  ฉันหันกลับไปเถียงทันควัน


“กำลังจะพูดนี่แหละ” 


“คุณไพร์มไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ ใครๆก็เป็นคนไม่ดี คนที่หลอกใช้คนอื่นเข้าหาน้องชายบุญธรรมนี่คนดีตรงไหน!?”


“ฉันชนก!” น่าแปลกที่นี่ไม่ใช่สนธยาที่โผล่งออกไป แต่เป็นสารินที่ทนฟังไม่ได้


“คุณไพร์มเขาแค่…ทะเยอทะยานในทางที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ เราเองก็ไม่ใช่คนดีสักหน่อย สาด้วย ไม่งั้นเราคงคบกันไม่ได้”


“จริงๆหมอนั่นทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะมาก แต่พี่จะไม่ช่วยส่งเสริมประสบการณ์ตรงนั้นให้ละกันนะ” ทั้งสารินและสนธยาต่างเข้าใจว่าฉันอาจจะเพ้อๆเห็นผิดเป็นถูกนิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้


บางทีถ้าคนมันใช่ พูดว่าผิดแค่ไหน ก็ไม่ผิดอยู่ดี!


ฉันชนกยอมรับว่าคุณไพร์มนิสัยไม่ดีถึงขั้นเลวร้าย แต่ตราบใดที่ไม่รู้และหน้ามืดไม่สนไม่แคร์อะไรเขาก็ไม่ได้เลวร้าย กับเรื่องของฉันที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายก็ดูมีความตั้งใจตามหาดี ถึงแม้ว่าสนธยาจะตามเจอก่อนเพราะติดตามกันอยู่แล้ว แต่เขาก็ดูจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่


ทั้งนี้สนธยาที่เคลมว่าภูวนัยไม่ใช่คนดีนักก็พูดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้น ถึงอีกฝ่ายจะมาช้า แต่เขาก็ดั้นด้นมาและยินยอมที่จะเจรจาแต่โดยดี ทั้งนี้ที่สารินอคติก็คงเพราะผู้ชายสองคนนี้ไปต่อรองกันโดยเอาทั้งตัวเองและฉันชนกมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน นี่มันคนดีที่ไหน น่าเฉดหัวไปทั้งคู่เลย


“แค่ไพร์มดีต่อฉันก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว ถึงจะทำเพราะหวังผลไปบ้าง แต่พี่ว่างานนี้เขาขาดทุนอยู่นะ”


“ขาดทุนมากไหมอ่ะ ฉันเสียดายแทน”  สารินมองค้อน เพื่อนเรานี่มันบ้าบอ


“ก็…คิดว่าตัวอย่างที่เก็บไปจากเราก็ใช้ไม่ได้ในระหว่างตะล่อมเราก็คงมีค่าใช้จ่าย ค่าเสียเวลา สรุปที่ทำมาคือเสียเปล่านี่ก็ขาดทุนเยอะอยู่นะ”  สนธยาว่าไปตามจริงซึ่งฉันรู้ดีว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการขุนฉันให้อ้วนพีนั้นมันสูงแค่ไหน  “และได้ยินว่าครั้งนี้ทำให้เขาลาออกจากบริษัทไปเลย”


“หา?!”


“จริงๆไม่ใช่แค่ลาออกจากบริษัทหรอก เรียกว่าลาออกจากตระกูลด้วยนะ เสียแรง เคยได้ยินว่าไพร์มอาจจะได้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งประธานบริหารแทนพ่อของตัวเอง”


“…”


“มันมีพ่อที่คิดแบบนั้นกับลูกจริงๆเหรอ”  ถึงสาจะเกิดจากท้องของโอเมก้าที่ไม่สนใจใยดีกัน แต่เพราะเติบโตมาเห็นวรวุฒิพ่อของสนธยาเป็นแบบอย่าง ตนจึงนึกเหลือเชื่อในรูปแบบความรักของบ้านสุธาสกุลไม่น้อย


“ก็นะ…” ไม่สนใจว่าจะเป็นลูกคนไหน ถ้าไม่ใช่เมียแต่งก็ให้ไต่เต้าจากการเป็นคนใช้ให้หมด ปากกัดตีนถีบไร้ความเมตตาปราณีต้องดิ้นรนให้มีชีวิตรอด และถ้ามีความทะเยอทะยานไม่พอ…


ก็จะได้ไปอยู่ที่ตำแหน่งล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร


ฉันชนกอึนไปหมดกับสิ่งที่ได้ฟัง คุณไพร์มนั้นไม่ค่อยยิ้มไปถึงตา จนหลายครั้งฉันก็อยากจะแซวออกไปบ้าง ทว่าไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะมีอดีตที่ดูดำมืดแบบนั้น ถึงจะถูกเก็บมาและเลี้ยงดูโดยผู้ชายทั้งสองคน แต่ฉันชนกนั้นมีความสุขและพลังงานเหลือล้น จนตนคิดไม่ออกว่าถ้าต้องมาเผชิญกับสิ่งเดียวกัน จะรับมือไหวไหม


อาจจะไหวแต่ก็จะกลายเป็นแบบที่คุณไพร์มเป็นไปอย่างนั้นหรือเปล่า?


“แล้วนี่ไปไหนกันนะ อยากตีนักเชียว”  ฉันชนกพูดออกมาง่ายๆราวกับว่าจะตีได้ แต่ทุกคำพูดนั้นซ่อนความห่วงใยไว้ได้อย่างไม่มิดชิด หากไพร์มมาได้ยินก็คงขำอยู่ดี


ต่อไปนี้ต่อให้เขายิ้มไม่ถึงตา หรือขำแบบปั้นแต่งก็แล้ว ฉันชนกไม่มีสิทธิ์ไปแขยงสิ่งที่เขาเป็น ในเมื่อเลือกที่จะยอมรับเขาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตนเองก็ไม่เคยคาดหวังให้ได้เป็นแบบอย่างหรือช่วยให้เขาปรับเปลี่ยนกลายเป็นใครอีกคนอย่างที่สังคมคาดหวังหรอก เอาจริงๆแค่เขาเป็นคุณไพร์มแบบที่ฉันรู้จัก ก็พอใจแล้ว


หลอกตัวเองเก่งฉันรู้ แต่การแสวงหาความจริงก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขสักเท่าไหร่ เพราะแค่คิดว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนก็ปวดประสาทแล้ว แต่อย่างไรตนก็เชื่อมั่นมากๆว่าที่ยอมเขาขนาดนี้ คุณไพร์มต้องมีข้อดีที่หักล้างพอให้ยอมปิดตาข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใครยังไง…


ต้องหาเขาให้เจอให้ได้ก่อน!


ทว่าอีกด้านในบ้านที่ฉันชนกเพิ่งจากมา สามีและแม่ของลูกของเขาก็กำลังจะเข้านอน ตั้งแต่วันที่เจอกันอีกครั้ง ก็ไม่มีเลยที่จะปล่อยให้สานอนคนเดียว ทั้งๆที่บ้านหลังนี้มีตั้งสี่ห้องนอน แต่เจ้าของบ้านกลับลำบากให้คนจัดเตรียมฟูกนอนไว้ให้เหมือนเดิม จนสาก็ขี้เกียจจะเถียง


เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันทำให้ตนกลับมานั่งตระหนักคิดถึงอะไรมากมาย บรรยากาศรอบตัวที่ดูขุ่นมัวทำให้อัลฟ่าหนุ่มเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคนท้อง และนโยบายไม่ส่งเสริมความเครียดก็ทำให้เขาเริ่มกังวลตาม


“สานอนไม่หลับเหรอ”


“จริงๆแล้วสาก็แอบคิดว่าเป็นเพราะสาหรือเปล่าที่ทำให้ฉันตกลงทดลองยาอะไรนั่น และก็เป็นสาที่ทำให้ฉันถูกจับตัวไป”


“บางทีพวกที่จับตัวสาไปอาจจะรู้อยู่แล้วว่าฉันกับไพร์มจะทำอะไร ต่อให้ไพร์มไม่พาฉันไปทดลองก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัย”


“แล้วตอนนี้ฉันปลอดภัยไหม”


“น่าจะนะ ได้ยินว่าไพร์มไปจัดการคนทำจนเดินไม่ได้ คงเป็นการเชือดไก่ให้คนคิดจะเป็นลิงดูกลายๆ”


“…”


“พี่อาจจะพูดให้สากลัวไพร์ม ซึ่งจริงๆก็จะไม่บอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรอก สิ่งที่หมอนั้นทำคือทำลายอนาคตคนเลยถ้าเราไม่มองว่าคนๆนั้นทำอะไรมาก่อน”  เขาพยายามจะเป็นกลาง “แต่ถ้ามีใครทำกับสาของพี่ แน่นอนว่าพี่ไม่ให้มันแค่เดินไม่ได้แน่” คำพูดที่ดูหนักแน่นนั้นทำให้คนฟังหน้าแดงขึ้นมา พอเป็นเขาพูดมันก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่ถูกต้อง


“แต่ฉันกับคุณไพร์มไม่ได้เป็นแบบ…พี่สนกับสาเสียหน่อย”  ท้ายประโยคนั้นเสียงเบาไปหน่อยแต่เขาได้ยินชัดทุกคำ


“พี่เลยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมว่าไพร์มก็…รักฉันเหมือนที่พี่สนรักสา”


“…”


“ถึงคนแบบหมอนั่นไม่น่ารักใครจริงจังได้ก็ตาม แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้”  สนธยาคิดว่าเขาจะจบบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องคนอื่น  แต่ถ้าไตร่ตรองดีๆก็จะพบว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็มีความรักที่ไม่ง่ายเลย เขาอาจจะรู้สึกถึงความต้องการในตัวน้องแต่แรกพบ ทว่าหลังจากนั้นอีกหลายปีก็ไม่เคยนึกชอบใคร มารู้ตัวว่าตนมั่นคงแค่ไหนก็ตอนระลึกได้ว่าแอบรักเขามาเกือบสิบปี


“พี่สน…สามีอีกเรื่องอยากถาม”


“ครับ”


“คุณแม่ป่วยเหรอ”


“…”


“ที่พี่สนมากรุงเทพบ่อยๆเพราะเรื่องงานและเรื่องคุณแม่ใช่ไหม”


“ใช่ แต่สาไม่ต้องเป็นห่วง”


“ไม่ห่วงได้ไง”  สาแย้งขึ้นมา  “ถึงสาจะเลวที่หนีมาแต่สาก็ไม่ลืมว่าคุณแม่ดีต่อกันแค่ไหนหรอกนะ”


“สาไม่ได้เลวหรอก สาแค่กลัว และคนที่เป็นต้นเหตุให้สาเป็นอย่างนี้คือพี่เองครับ” 


“พี่สน…”


“คุณแม่ป่วยจริงๆแต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”  เขายิ้มให้บางๆ  “ตอนที่สาไม่อยู่ คุณแม่ตรวจเจอก้อนเนื้อน่ะ ก็เลยแค่เอาออกแค่นั้น”


“แค่นั้นจริงๆเหรอ”


“ครับแค่นั้นจริงๆ”  เขายิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม สารินที่จ้องมองแววตาของเขาก็ค้นหาอะไรไม่เจอ สักพักก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นนอกจากความหวานล้ำที่ส่งมา


คนตัวเล็กกว่าที่คิดว่ามันคงเป็นสัญชาตญาณไขว่คว้าหาความปลอดภัยจากอัลฟ่าจึงค่อยๆทิ้งตัวเบาๆลงมาบนฟูกเขาและเข้าซุกตัวหาไออุ่นจากร่างกายอีกคน


“ฝันดีครับ”  และสนธยาก็ไม่ได้แซวอะไรให้น้องต้องอายจนเตลิดหนี อย่างนี้เขาถือเป็นกำไรจึงคว้าไว้ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดไม่ให้อีกคนหนีไปไหนไกลอีกครั้ง


- - - - - -


มันคงไม่เสี่ยงไปใช่ไหมที่มาหาแบบนี้


สารินที่ได้ฟังสิ่งที่อดีตพี่ชายของตนพูดมาไม่ได้เกิดความเชื่อเต็มอัตราขนาดนั้น เขาคือคนที่พยายามเลี่ยงทุกอย่างเพื่อตัวสาและลูก ดังนั้นไม่แปลกที่เขาจะไม่พูดความจริง ดังนั้นสาที่ยังไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรจึงเลือกที่จะมาที่โรงพยาบาลเพื่อดูลาดเลา


หลังจากชำระเงินค่าดอกไม้ที่ตนคัดมาแล้วว่ามีแต่ที่คนป่วยชอบ เจ้าของอ้อมแขนเล็กก็กอดมันไปยังห้องพักพิเศษที่ผู้ป่วยวีไอพีเท่านั้นถึงจะได้ใช้บริการ แน่นอนว่าสารู้ดีเพราะตนอยู่กับครอบครัวนี้มานาน


เท่าที่คิดได้ บางทีอาจจะมีบอดี้การ์ดยืนอยู่หน้าห้องหรือมีใครสักคนเฝ้าไข้อยู่ สารินอาจจะสามารถไปเขย่งเท้าดูเพื่อจะเห็นว่าข้างในเป็นอย่างไร และฝากของเยี่ยมไว้ให้กับพยาบาลเอาเข้าไป ก่อนจะกลับบ้าน


สารินเป็นลูกที่ไม่ดี จนป่านนี้ก็ไม่กล้าไปพบผู้มีพระคุณทั้งสองของตน หากว่าเด็กในท้องตอนนี้ไม่ใช่ลูกของสนธยาที่เป็นลูกชายของพวกเขาทั้งคู่ บางทีอะไรๆก็อาจจะง่ายดายกว่า แต่มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว สนธยาเองก็พยายามอย่างที่สุด สารินไม่ควรโทษเขาหรือโทษใคร หรือแม้แต่ตัวเองที่สุดท้ายเราต้องมารับผิดชอบเด็กคนหนึ่งร่วมกันแบบนี้


อาจจะน่าเสียดายที่ไม่สามารถเดินร่วมทางกับธัมรงค์รัชต์ได้อีก แต่แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่างน้อยพี่สนที่ตนไม่ได้อยากให้เข้ามาข้องเกี่ยวก็ไม่ได้กดดันกันจนเกินไป บางทีในไม่ช้าสารินอาจจะตกลงปลงใจอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นของเขา และใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนต่อไปกับลูกชายที่กำลังจะเกิดในไม่นานนี้


จริงสิ…เรายังไม่เคยบอกใครเลยนี่น่าว่าเจ้าลูกหมาป่านี่เป็นผู้ชายนะ


“สาริน…”


“…”


“สาใช่ไหม”  เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลังนั้นทำให้คนตัวบางแข็งค้าง หากเสียงนี้ไม่คุ้นหูตนคงจะมีสติและประคองตัวเดินหนีไปได้เร็วกว่านี้ ทว่ามันใช้เวลาอยู่หลายชั่ววินาทีเลยที่จะพิจารณาว่าใครกันหนอที่เรียกกัน


“คุณ..พ่อ…”


“มาจนได้สินะ”  เหมือนวรวุฒิจะคำนวณไว้อยู่แล้วว่าถ้าสารินได้รู้ คงไม่วายมาเยี่ยม


เขามองลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้ท้องใหญ่กว่าแต่ก่อนพอควร สารินไม่ได้จัดว่าท้องใหญ่เท่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในตอนนี้หากเจ้าตัวเดินไปฝากครรภ์ก็คงจะกลมกลืนอยู่หรอก หลายเดือนแล้วผมก็ไม่ได้ตัด มันทำให้ทุกอย่างแม้แต่บรรยากาศดูหวานและอบอุ่นขึ้น จากที่ไม่เคยมีความดุดันแม้แต่น้อย ตอนนี้เรียกว่ามันดูสมบูรณ์สมกับที่จะเป็นแม่คน


“สา…”


“เข้าไปเยี่ยมหน่อยสิ แพรคิดถึงเธอมากนะ”  รอยยิ้มที่ดูเหนื่อยๆของวรวุฒิทำให้สารินน้ำตาแทบตก แม้ว่าไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่จินตนาการไว้ แต่สารินไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะหนีหายไปได้เฉยๆต่อหน้าคนๆนี้


หัวใจของโอเมก้าตัวน้อยเต้นแรงเมื่อตนกำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่ไม่คิดว่าจะได้เปิดเข้ามาด้วยซ้ำ นอกจากแพรวรรณจะไม่มีคนเฝ้าหน้าห้องแล้ว ในห้องก็ไม่มีใครมาดูแล ดูจากหน้าผู้เป็นสามีก็พอจะเดาได้ว่าคงมาเฝ้าเอง ทั้งสองคนแม้จะไม่ได้รักกันฉันคนรัก แต่ก็วางเป้าหมายที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนหมดลมหายใจ


“อีกไม่กี่เดือนคงจะคลอดแล้วสินะ” 


“….”


“ตั้งชื่อหรือยังล่ะ”


“ว่าจะให้ชื่อน้องแสนดีครับ”


“คงจะเป็นเด็กดีกับคุณแม่มากสินะ”  วรวุฒิยิ้มให้ อย่างไรเขาก็ไม่ได้ถามคำถามที่จะทำให้สารินลำบากใจ จึงทำให้บทสนทนาไหลลื่น  การผ่าตัดของคุณแพรวรรณนั้นเพิ่งเสร็จสิ้นได้เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้คนป่วยกำลังหลับอยู่ แต่ว่าเธออาการดีขึ้นมากแล้วจากคำบอกเล่าของคนเฝ้า


และมันตรงตามกับที่สนธยาบอกกันไว้


“ถ้าเธอไม่รีบจนเกินไป ช่วยรอแพรตื่นก่อนได้ไหม”


“เอ่อ…”


“เราเข้าใจว่าการที่เธอไม่กลับมาเพราะมีเหตุผลส่วนตัว ไม่ต้องห่วงนะ พ่อและแม่จะไม่เซ้าซี้ถาม”  วรวุฒิออกตัวให้เข้าใจ  “แค่ได้เห็นว่าเธอปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดี ในฐานะพ่อก็พอใจแล้ว แต่อยากให้แพรได้ยืนยันในฐานะแม่สักหน่อย คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”  แล้วสาจะไปว่าอะไรได้


นอกจากน้ำตาไหลออกมา


“ร้องทำไมอีกเนี่ย  เดี๋ยวลูกในท้องก็งอแงตามหรอก”  วรวุฒินั้นคว้าเจ้าตัวเล็กที่ในตอนแรกเขาไม่เคยเห็นด้วยที่จะรับเลี้ยงมาไว้ในอ้อมอก เขาเชื่อว่าสารินมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ และมันก็ผ่านมาสักพักที่พวกเขาจะทำความเข้าใจและไม่หมายจะรับรู้อะไรที่ลูกไม่อยากให้รู้


ทั้งนี้ทั้งนั้นน้ำตาของสาไหลออกมาเพราะคำว่า ‘แค่ให้ลูกมีสุขภาพที่ดี’ เพราะเราเห็นกันอยู่ว่าวรวุฒิดูซูบโทรมไปถนัดตา ส่วนคุณแพรวรรณก็ล้มป่วยเข้าผ่าตัด ทั้งนี้สานั้นตีโพยตีพายไปเองว่าตนลำบากแต่ไม่เคยมองหาว่าคนที่ตนจากมาจะเป็นเช่นไร เมื่อนับกันแล้ว สารินมีชีวิตและสุขภาพจิตที่ดี ทุกคนที่ได้อยู่ใกล้ๆต้องพยายามอย่างมากที่จะประคองกันไว้เหมือนเป็นแก้วใส ฟังเช่นนี้แล้ว…


จะให้รู้สึกดีได้เช่นไร มันจะเกินไปแล้ว…


“อืม”  แพรวรรณกำลังจะตื่นนอน และเมื่อเธอตื่นเต็มตาก็ได้พบกับ  “น้องสา?”  ลูกชายที่เธอเฝ้ารอให้กลับมาตั้งแต่วันที่ได้หายตัวไป


“คุณแม่…ฮึก”


“เป็นอะไรน้องสา นี่คุณแกล้งลูกอีกแล้วเหรอ”  เธอไม่ได้ถามหาเหตุผลหรือแม้แต่จะทักทายว่าสบายดีไหมเพราะเห็นกันอยู่ เธอเลือกที่จะทำทุกอย่างเหมือนที่เคยผ่านมา ทำให้มันเหมือนเป็นปกติของบ้านเราทั้งๆที่มันไม่ใช่ เราต่างก็มีรอยแผลจากการหายไปในตอนนั้น


“สา…ขอโทษ”


“แม่ดีใจที่น้องสามา”  เธอยิ้มให้ มันดูซีดเซียวแต่เต็มไปด้วยความสุขสบายใจ


แพรวรรณค่อยๆพิจารณาลูกชายคนเล็กเสียใหม่ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานสาก็คงจะคลอดแล้ว ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็ลำบากแต่ก็ยังมาหา ลูกคงรู้ว่าเธอป่วยจากฉันชนกที่อ้างเสมอว่าไม่เคยรู้ว่าสาอยู่ไหน แต่ช่างมันเถอะ วันนี้เธอได้เจอแล้ว ก็สบายใจได้สักที และต่อไปนี้เธอจะไม่บังคับหากไม่อยากกลับไป แต่พอจะเป็นไปได้ไหม


ที่โอเมก้าตัวน้อยคนนี้จะเปิดโอกาสให้เราได้เจอกันบ้าง?


“คุณพ่อครับ”  ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมเสียงเรียกหาวรวุฒิที่คุ้นเคย สารินหันหลังไปหาผู้มาใหม่ และเราก็ได้จ้องตากัน อย่างนี้ไม่เหมือนที่คุยไว้เลย


“พี่สน…”


“อา… ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”  ไม่ใช่สิ เราไม่เคยคุยกันไว้นี่นา…


ว่าต่อหน้าพ่อกับแม่แบบนี้…
ควรจะทำตัวยังไง?



TALK:
จะจบแล้ว นี่แหละที่สุดของความดราม่าของน้องฉัน ผิดก็ไม่ว่าตามผิดค่ะ ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นนกสุด
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 37 29/6/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 29-06-2019 16:30:08
37
- - - - - -
รอเฉยๆแบบนี้ ทั้งชาติคงไม่ได้เจอเนอะว่าไหมมม
(+_+)
- - - - - -


“เอ่อ..”การเจอกันกับครอบครัวธัมรงค์รัชต์ไม่เคยอึดอัดเท่านี้มาก่อน โทษได้ไหมว่าเป็นเพราะใคร


“…”


“สนมาพอดีเลยลูก เห็นไหมว่าน้องสามาเยี่ยมแม่แล้ว”


“ครับ ก็..ก็ดีนะครับ”  เดาได้ว่าเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าสารินจะมาเร็วปานนี้ ก็พอเดาได้ว่าสักวันน้องจะต้องมา แต่ไม่น่าจะใช่วันถัดมาหลังจากที่ไถ่ถามอาการป่วย


ทั้งวรวุฒิและแพรวรรณคงไม่ได้คิดอะไรกับความอึดอัดที่เกิดขึ้น เดิมทีทั้งสนธยาและสารินก็ทำตัวอึดอัดต่อกันอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งไหน สาไม่ได้บอกเขาก่อนว่าจะมา ทั้งๆที่เรานั้นคือผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน สนธยาปรับสีหน้าให้นิ่งเรียบ เขาพยายามจะตามน้ำทั้งๆที่ในใจอยากเอ่ยถามว่าทำไมไม่บอกก่อน และสาก็รู้ว่ามันค่อนข้างจะยาก


แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจไปนี้ มันถูกต้องหรือไม่


“พี่สน”


“ครับ”


“เรามาพูดความจริงกันเถอะ”  เชื่อมั่นได้ว่าหัวใจของเราคงเต้นแรงเหมือนกันทั้งคู่ คนพี่มองหน้ากันอย่างจะถามว่าจะดีเหรอ ซึ่งคนน้องก็ทำให้แค่ยิ้มออกมา


ในตอนนั้นเราไม่ได้คิดหรอกว่าหากพูดไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น


“…”


“มีอะไร…กันหรือเปล่าเด็กๆ”  คุณแพรวรรณถาม ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยบทสนทนาแปลกประหลาด ก่อนจะนิ่งเงียบจ้องตา ไม่บอกว่าอะไรคือ ‘ความจริง’  สักที


“คือว่า…คุณแม่ครับ”  สนธยาคิดว่าเขาควรจะรับผิดชอบด้วยการอธิบาย แต่ทว่ากลับมีบางคนเร็วกว่า


“สาท้องอันนี้ทุกคนคงรู้แล้ว”  สาพยายามจะแย่งพูด


“จ้ะ”


“เจ้าตัวเล็กนี่เป็นลูกของเราสองคนครับ” แต่สนธยากลับไม่ยอมให้เป็นตามนั้น อย่างไรก็ตาม


ความจริงก็ได้ถูกเปิดเผยแล้ว


“…”  แน่นอนว่าหลังจากพูดไป ทุกคนก็กลับมาเงียบงันเช่นเคย และคนที่เก็บงำความผิดนี้เอาไว้นานที่สุดก็รู้สึกไม่สบายใจและกระวนกระวาย


“สาขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”


“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ”  ร่างสูงของสนธยานั้นก้าวเข้าไปยืนข้างอดีตน้องชายที่ไหล่นั้นไหวสั่น เขาไม่อยากให้สารินต้องเครียด แต่ก็ยอมรับว่าการได้เปิดเผยความจริงอาจจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง ที่เหลือก็คือปฏิกิริยาของผู้ฟังแล้วว่าจะเป็นไปทางใด


“สารู้ว่าสาถูกพามาเลี้ยงเพื่ออัลฟ่าบ้านอื่น มันเป็นความผิดของสาเอง”


“ผมเองก็ผิด อย่าโทษน้องเลยครับ”


“สาเข้าใจว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่รับไม่ได้ สาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอีก ลูกก็ด้วย เขาจะไม่มาวุ่นวายกับธัมรงค์รัชต์เลย”


“…”


“สาเคยคุยกับคุณพ่อของฉันแล้ว สาจะรีบทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลนะครับ”  จริงๆสนธยาไม่เคยคิดว่าน้องจะไปได้ลึกซึ้งขนาดนั้น เขาตกใจไม่น้อย บางทีที่เห็นว่าสารินอาจจะยินยอมมาอยู่กับเขา เจ้าตัวอาจจะกลับคำ เปลี่ยนใจอีก


ใช่…ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคำตอบของบุพการีทั้งสอง ถ้าพวกเขารับไม่ได้ที่เราสองคนมีลูกด้วยกัน สารินที่รู้สึกผิดย่อมไถ่บาปให้ตัวเองด้วยทุกวิถีทาง แม้แต่ผลักไสกันออกไปก็คงยอมทำ ในตอนนั้นเขาจับมือน้องไว้แน่น ไม่ต้องการให้ไปไหน แต่เขาก็ลังเลที่จะปลดภาระทุกอย่างและออกไปด้วย ทำไมเราสองคนแค่รักกันจะไม่ได้เลยเหรอ


สารินจะมั่นใจในตัวเขากว่านี้และไม่ผลักไสกันไปอีก ไม่ได้เชียวเหรอ?


“น้องสา แม่ไม่ได้โกรธเลยนะคะกับเรื่องนี้”  เหมือนแสงสว่างส่องเข้ามา แพรวรรณเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่สงบ


“แต่ว่าสา…”


“จุดประสงค์ที่เราพาสามามันเป็นแบบนั้นก็จริง อันนี้แม่กับพ่อเองก็ไม่ได้รู้สึกดี แต่ก็พยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงด้วยการเลี้ยงน้องสาให้ดี เผื่อว่าวันหนึ่งน้องสาจะไม่บอบช้ำหรือรู้สึกเดียวดายจนเกินไป เราก็รักน้องสามาก มากจนรู้สึกผิดและไม่อยากส่งน้องสาให้ใครอีกแล้ว”  ถ้าไม่เกิดเรื่องวุ่นวายนั้นขึ้น คงไม่มีใครในบ้านนี้ยอมส่งให้เพย์ตันง่ายๆอยู่ดี


“คิดมาก”  วรวุฒินั้นพูดแค่นั้น


“แน่นอนว่าเราเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าน้องสากับสนจะ…มีลูกด้วยกัน”


“สาขอโทษ”


“น่าแปลกที่คุณแม่ไม่ได้ตกใจเลย”  แพรวรรณยิ้มออกมา เมื่อพิจารณาความรู้สึกตัวเองตั้งแต่ได้ฟังจนถึงตอนนี้  “วันนี้คุณแม่รู้สึกโล่งใจ สบายใจ เรื่องหลานของแม่ที่ได้ฟังก็ตกใจบ้าง ที่กังวลคือเรื่องความวุ่นวายจากคนอื่นต่อจากนี้ แต่มาคิดดูอีกที แม่แคร์ลูกๆและหลานตัวเองมากกว่า”


“ที่โทรมาถามเรื่องทำรังคือคนนี้ใช่ไหม”  วรวุฒิไม่ได้สนใจตอบข้อสงสัยทางความรู้สึกเท่าไหร่เพราะตัวเขาเหมือนจะรู้ๆอยู่แล้ว เขาหันไปถามลูกชายคนโต ทว่าคนที่เขินอายกลับเป็นลูกชายคนเล็ก  “เขินอะไร”


“…”


“พ่อยินดีที่หาน้องเจอและยินดีเรื่องที่จะได้เป็นพ่อแม่คนด้วย”


“แล้วน้องสาจะกลับมาอยู่ที่บ้านเราไหม”


“…”


“ตาสน เราไม่ได้ขังน้องไว้ใช่ไหม”


“ถ้าผมขังคงไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรอกครับ”


“งั้นก็พาน้องกลับบ้าน พ่อแม่ไมได้โกรธอะไร จะช่วยเลี้ยงลูกให้ คิดว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมันง่ายเหรอ”


“แม่ต้องคิดถึงสภาพจิตใจของสาด้วยนะครับ เขาคิดมากเรื่องพวกเราขนาดไหน จะให้เขากลับไปก็ต้องถามความเห็นเขาก่อน”


“น้องสา…”


“ผม…ถ้าให้ไปอยู่บ้าง และช่วงที่ใกล้คลอดมากๆล่ะก็”  อย่างไรที่นั่นก็ได้ชื่อว่าบ้านที่ตนอยู่มานานหลายปี ในตอนนี้แม้ไม่อาจจะพูดว่าสบายใจ แต่ปฏิกิริยาของทุกคนที่เคยกังวลก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปได้มากมาย จากที่คิดว่าอยู่คนเดียวก็คงทำได้ แต่ตอนนี้มีคนยื่นมือมาให้ สารินอาจจะปรับตัวไม่ถูกทว่าก็ดีใจเกินกว่าจะเข้าใจในเวลาสั้นๆ


“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะจ้ะ”  คุณแพรวรรณยิ้ม ลูกของเธอแม้ว่าจะสับสนและไม่เข้าใจเพราะเราไม่เคยเปิดอกคุยกันตรงๆ แต่เขาก็ยังคงน่ารักเหมือนที่เคยเป็น เราเป็นครอบครัวเดียวกันมานานแล้ว และต่อให้ห่างไปก็เพราะความรักที่ทำให้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง


และต่อจากนี้ไปเราก็จะมีสมาชิกคนใหม่


ที่จะเข้ามาสร้างสีสันสดใสให้กับบ้านเราอีกคน


“สาคงไม่อึดอัดใช่ไหม”  ในความปลื้มใจที่ทุกอย่างมันเหมือนจะเรียบร้อยไปด้วยดี เขานั้นหวั่นใจว่าสาอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นแต่เพราะมันเลี่ยงไม่ได้จึงจำยอม ทว่าน้องกลับส่ายหน้าและค่อยๆเขยิบเข้ามาควงแขนเขาไว้ เรากลับมาที่บ้านที่เขาซื้อไว้และกำลังนั่งคุยกันถึงสิ่งที่จะทำถัดๆไป


“มันคงไม่เป็นอะไรมั้ง”  นั่นหมายความว่าเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ


“พี่ไม่ได้บังคับนะ”


“สาแค่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง” ใบหน้าน่ารักนั้นเอียงซบกับต้นแขน “แค่ได้ยินว่าสายังได้รับความรัก และทุกคนก็ยอมรับในตัวเจ้าแสนดี แค่นี้สาก็อยากกลับไปแล้ว”


“เจ้าแสนดี?”


“ชื่อเจ้าลูกหมาป่าไง”


“เจ้าแสนดี…นี่เป็นเด็กผู้ชายเหรอ”


“อื้ม…หมอของทางเพย์ตันที่มาตรวจสุขภาพบอกไว้น่ะ” สนธยายิ้มออกมา เขาค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสท้องที่นูนออกมาของเจ้าโอเมก้าก่อนนี้เขาไม่กล้าทำเช่นนั้นเพราะอีกฝ่ายยังคงระแวงกัน แต่ตอนนี้สนธยาคิดไปเองว่าเขาทำได้แล้ว


“พี่คงต้องเรียกหมอของเรามาบ้างแล้ว เจ้าแสนดีใกล้จะออกมาดูโลกเต็มที”


“ยังอีกหลายเดือน”  สาหัวเราะเบาๆ  “แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่”


“นั่นสินะ”


“พี่สนรู้ไหมว่าตลอดชีวิต สาไม่เคยคิดเรื่องมีครอบครัวเป็นของตัวเองเลย ไม่เคยคิดเรื่องมีลูกหรืออะไรด้วยซ้ำ”


“…”


“สาคิดว่าการมีอะไรแบบนั้นชาตินี้คงเอื้อมไม่ถึงหรอก แค่คุณพ่อกับคุณแม่เลี้ยงมาอย่างดี หลังจากคลอดลูกให้เพย์ตันสาก็จะไปใช้ชีวิตเลี้ยงตัวเองคนเดียวเงียบๆ ไม่มีคนรัก ไม่มีลูก ใช้ชีวิตเรื่อยๆไม่ทุกข์ไม่ร้อนและตายไปคนเดียวแบบนั้น”


“ความฝันของสาคงไม่เป็นจริงแล้ว”


“เพราะพี่สนคนเดียว”  ที่ทำให้ชีวิตสากลายมาเป็นแบบนี้ แม้ว่าใครจะบอกว่าการมีครอบครัวมันดีกว่า ทว่าคนที่ไม่เคยคิดฝันจะได้รับชีวิตที่มีความสุขแบบนั้น ย่อมหวั่นเกรงว่ามันจะเป็นแค่ฝันดีชั่วคราว  “แต่พี่สนจะไม่ทิ้งสากับลูกไปใช่ไหม   


“พี่ไม่เคยมีความคิดอย่างนั้นเลย”  เขาส่ายหน้า เดิมทีเขาก็ไม่คิดว่าตนจะได้มีลูกกับสาเหมือนกัน จริงๆแล้วก็เลี่ยงที่จะคิดอะไรยาวๆแบบนั้น ที่คิดไว้มีเพียงแค่จะให้น้องอยู่รอบตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆจนตาย ทว่าเป็นแบบนี้ไม่เลวเลย


ไม่สิ…มันดีมากๆแบบที่ไม่เคยฝัน แต่ดีกว่าที่มันกลายเป็นจริง


“สาเชื่อพี่สนนะ”  และนี่มันยิ่งกว่าคำบอกรักที่ไหน เราต่างรู้จักกันพร้อมกับที่เคลือบแคลงใจมาตลอด คำว่าเชื่อมั่นจึงเป็นคำวิเศษที่เขาอยากได้ยินที่สุด


สนธยากระชับกอดของเขาให้แน่นขึ้น ต่อจากนี้ไปเรามีอะไรให้ต้องจัดการสะสางมากมาย เจ้าลูกหมาป่าใกล้จะเอามาวิ่งไล่กับเขาแล้วเพราะฉะนั้นเราอาจจะวุ่นวายกันเสียหน่อย แต่ต่อให้วุ่นวายแค่ไหน เราก็พ้นผ่านอุปสรรคมากมายมาอยู่ด้วยกันได้แบบนี้


“พี่รักสาและลูกของเรามากนะ”  เขากระซิบบอกก่อนจะกดจูบลงบนขมับ สารินหลับตาพริ้ม ลอบยิ้มอย่างมีความสุขโดยที่เขาไม่มีวันรู้ ในวันนี้สารินได้บอกความในใจและต่อไปก็จะเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากกว่านี้


แน่นอนว่าสนธยาได้มีโอกาสที่จะดูแลกันต่อไปเพื่อเพิ่มพูนความมั่นใจให้หัวใจดวงน้อยของคนที่เตลิดหนี ต่อแต่นี้ไม่มีอีกแล้วที่จะมาเก่งกล้าบ้าบอบอกว่าจะอยู่คนเดียว


เพราะการอยู่ในอ้อมกอดของคนๆนี้มันดีกว่าเป็นไหนๆ


- - - - - -


ทางด้านคนที่กินไม่ได้เพราะอะไรก็ไม่อร่อยแต่ยังพอนอนได้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ


แต่เพราะมันทำอะไรไม่ได้ เลยไม่รู้จะทำยังไง


“เราดีใจกับสาด้วย”  ฉันที่โทรไปฟุ้งซ่านใส่คนท้องก็แสดงความยินดีกับเรื่องที่ได้ยิน สนธยาก็ไม่ได้เลวร้าย สำหรับสาคือเขาดีมาก แต่คนที่พอดีสำหรับคนๆหนึ่ง อาจจะไม่เพียงพอกับอีกคน


“ว่าแต่นี่เมื่อไหร่จะหายซึม”


“ไม่อ่ะ”  ฉันก็ยังซึมอยู่ กับคนๆหนึ่งเราสามารถยึดติดได้ขนาดนั้นเลยหรือไง  “เราว่าจะออกไปตามหาเองแล้ว”  เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเขาไปไหนเลยได้แต่รอคอยไปเรื่อยๆ แต่ใช่ว่าตอนนี้ฉันจะมีจุดหมายให้ไป


“เราเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง อยากให้…เอ่อคุยกับพี่สนให้ไหม”


“ไม่อ่ะ เราว่าเรายังไหว”  เอาอะไรมาไหว  “เราอยากลองไปถามคนที่บ้านที่ฉันเคยไปอยู่”


“อา…เอาเบอร์ไปไหม”


“ไม่อ่ะ เราจะไปหาเลย นัดให้หน่อยได้ไหม แบบบอกเขาไปว่าเราแวะเอาของมาฝากไรงี้”


“เอางั้นเหรอ”  ก็ต้องอย่างนั้นแหละ ต้องอย่างนั้นเลย!


มันค่อนข้างจะมัดมือชกไปหน่อยที่ว่าจะไปหา แต่ว่าฉันไม่อยากให้ใครแบไต๋ไปว่าฉันชนกจะไปหาใครก่อนจนกว่าจะได้เจอหน้าและสบตาเวลาถาม อย่างไรซะโอเมก้าที่ชื่อพี่แจงคนนั้นก็เป็นคนของคุณไพร์ม เธออาจจะทำตามคำสั่งของนาย และทำให้การค้นหายิ่งกว่าลำบาก


ก็รู้กันอยู่ว่าคุณไพร์มจงใจปิดกัน


ฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด การที่เขาหายไปแบบนี้ย่อมเป็นตัวเขานั่นแหละที่ผิดและหนีหน้า ยิ่งเวลาผ่านไป นอกจากฉันจะไม่ลดราความต้องการเจอไปได้แล้ว แรงสุมในไฟยังยิ่งลุกโชนจนผลักดันกันให้ถึงจุดๆนี้ คอยดูนะ…ถ้าเจอแล้วจะกัดให้จมเขี้ยว! คิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นสารินโอเมก้าขี้น้อยใจหรือไงถึงจะได้หอบลูกหนี!


ระยะเวลาเดินทางจากบ้านมายังจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของบ้านหลังนั้นน่าจะราวๆสองชั่วโมงกว่า แต่กว่าจะฝ่ารถติดจากกรุงเทพไปก็ราวๆเกือบสามชั่วโมง ชักยอมใจสนธยาที่เทียวไปเทียวมาแล้ว แต่ช่างเหอะถือว่าเป็นกรรมของหมอนั่นที่เคยทำต่อกันเอาไว้


ฉันชนกไม่ค่อยได้ขับรถไปไหนเพราะทักษะการจอดคือห่วยแตก แต่เพราะภูวนัยคนเดียวที่เป็นแรงผลักดัน ทำให้ฉันต้องดั้นด้นขับรถทางไกล และตัวเองเพิ่งจะนึกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ขับมาถึงต่างจังหวัด เจอกันแล้วจะกัดแค่ให้จมเขี้ยวไม่ได้ ต้องทะลุเท่านั้นถึงจะสะใจ!


มาถึงโดยสวัสดิภาพ โดยการพึ่งแผนที่ในมือถือและแผนที่เขียนมือโดยคนของสนธยาที่สารินแอบไปซื้อใจมา ฉันชนกลงมาจากรถอย่างรู้สึกกังวลอยู่นิดๆ สาโทรมานัดไว้ให้แล้วมันก็คงจะไม่เป็นไร แต่ยิ่งมีความหวังว่าจะได้พบกับความจริงเท่าไหร่ก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้


“สวัสดีค่ะคุณ…เอ่อเพื่อนคุณสาใช่ไหมคะ” สาไม่ได้บอกชื่อฉันเอาไว้ นั่นคือสิ่งที่ฉันกำชับเด็ดขาด


“พี่แจงใช่ไหมครับ เผอิญสาเขาฝากผมให้เอาของมาให้ แต่ว่าผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ”


“อา…เชิญเลยค่ะ” เธอเชื้อเชิญฉันชนกให้เข้าบ้านไป ฉันส่งของที่จะให้กับเธอ ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างที่ขอไว้ เอาจริงๆนะ ฉี่ไม่ออกว่ะ


ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักพร้อมกับลดอาการใจเต้นแรงของตน ฉันชนกเรียกสติออกมาคิดวิเคราะห์ อีตาคุณไพร์มคือต้องมีบ้านใหญ่เป็นวิมานแบบนี้ด้วยเหรอ สมแล้วกับที่เป็นตัวร้ายรวยๆไม่มีคนคบ หลังจากที่จัดการกับสภาพจิตใจตัวเองได้แล้วฉันก็ออกมา พี่แจงยังคงยืนรอกันอยู่ ดูระแวดระวังบางอย่างอย่างน่าสงสัย


“คุณเจ้าของบ้านอยู่หรือเปล่าครับวันนี้”  ฉันชนกเนียนถาม


“เอ่อ ท่านไม่อยู่ที่นี่หรอกค่ะ”


“น่าเสียดายจัง อยากจะขอบคุณเรื่องสาเสียหน่อย”  ฉันยิ้มให้ แต่ในใจคือขุ่นมัวมาก


ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยอยากต้อนรับหรือดูกังวลอะไรสักอย่างตลอดเวลา แค่เห็นก็รู้สึกสงสารในความพยายามเหล่านี้ ฉันชนกที่เหมือนจะเกรงใจเลยขอลากลับโดยไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ แหงสิ…พิรุธเยอะขนาดนี้ใครจะมาตอบคำถาม!


แต่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกลก็ต้องทำอะไรสักอย่าง เจ้าแวมไพร์ตัวเล็กที่ประกาศไม่ยอมแพ้เพราะเสียดายค่าน้ำมันนั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ลับหลัง ทำเป็นเดินกลับไปที่รถก่อนจะหันกลับไปมองว่าตอนนี้ไม่มีใครมองอยู่ ก่อนที่จะทำการกระชากดึงประตูรถที่ปิดอยู่ของตนอย่างแรง


ทั้งๆที่ประตูยังล็อกนั่นแหละ…


เสียงสัญญาณกันขโมยของรถคันหนึ่งที่ดังขึ้นมาทำให้เขาไม่สามารถนอนต่อได้ เจ้าของบ้านที่เพิ่งได้มาที่นี่นั้นขมวดคิ้วหงุดหงิดกับเสียงแสบแก้วหูนี่แต่ไม่มีแรงจะทำอะไร เขาป่วยหนัก รู้ว่าเป็นอะไร แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้น


“แค่กๆ”  ในขณะที่คิดว่าจะช่างมันเพราะสักพักมันคงจะหายไป แต่ความหงุดหงิดก็ชนะทุกสิ่งและทำให้เขาพาร่างพังๆของตนออกเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านหน้าต่างของห้อง


และก็ได้พบที่มาของเสียงจากรถคันหนึ่งไม่คุ้นตา


“แจง ช่วยไปดูรถคันนั้นให้ผมหน่อยครับ”  เขาไร้เรี่ยวแรงจะลงไปดูเองหรือตะโกนบอก เลยโทรไปบอกผู้ดูแลที่หลังจากให้ดูแลสารินที่นี่ก็จ้างต่อให้ดูแลบ้านเพราะเขาเหนื่อยเกินกว่าจะวางแผนอะไรยุ่งยากในช่วงนี้ ทว่าเจ้าตัวไม่รู้เลยว่าตัวต้นเหตุนั้นจงใจแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง


โอเมก้าสาวนั้นเธอมาดูแถวรถแล้วแต่ไม่เห็นเจ้าของรถ เธอจึงเดินหาเพื่อนของคุณสาเสียทั่วบ้านด้วยร้อนรนใจ ยิ่งเจ้านายโทรมาสั่งพร้อมกับเสียงสัญญาณกันขโมยที่ดังขึ้นเร่งจังหวะการเต้นของหัวใจ แจงก็ยิ่งลนลาน แต่อยู่ๆเสียงของมันก็ดับลง เธอถอนหายใจโล่งอก โดยไม่รู้เลยว่า


ใครบางคนได้ลักลอบเดินเข้าบ้านคนอื่นอย่างไม่เกรงกลัวความผิดใดๆไปเสียแล้ว


ขอบคุณสวรรค์ที่ในที่สุดรถคันนั้นก็หยุดแหกปากได้ ไพร์มเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจว่านั่นมันรถใครเพราะบางทีอาจจะเป็นคนรู้จักของผู้ดูแล เขาทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่มนี่อีกครั้ง ตั้งใจจะหลับใหลเพื่อให้ความฝันพรากความเจ็บปวดทางกายที่กำลังเผชิญออกไป แม้มันจะแค่ฝันตื่นหนึ่ง แต่ก็ส่งผลที่ช่วยเยียวยาได้ระยะสั้นๆ


และเขาคงเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจว่ามีใครสักคนแอบเปิดดูทุกห้องของบ้านหลังนี้และในที่สุดคนๆนั้นก็มาถึงห้องนี้จนได้ ฉันชนกที่ถ้าตั้งใจอะไรก็สำเร็จนั้นเปิดประตูเสียงเบา ทำให้เขาที่ใกล้จะหลับเต็มทนไม่ได้รับรู้อะไรมากมาย ราวกับว่าอะไรจะเกิดก็ช่างมันไป แต่ถ้าได้ลืมตามาสักครั้งเขาอาจจะตะโกนบอกว่าช่างแม่งกับผีสิ!


“หลับสบายเชียวนะ”  ฉันชนกที่ตั้งใจจะกัดคอคนให้ทะลุนั้นรู้สึกคันฟันขึ้นมา ใบหน้าของไพร์มซูบเซียว รู้ได้ทันทีว่าเขาเพิกเฉยการดูแลตัวเองขนาดไหน ไม่ใช่ว่าต้องถ่ายเลือดออกเรื่อยๆหรอกเหรอ ที่เป็นอยู่คงไม่ใช่ว่าทรมานมากมายหรอกนะ


เตียงของเขายวบเพราะใครบางคนเสียมารยาทมานั่ง ทว่าอยู่นานไพร์มก็ไม่ลืมตาขึ้นมา ฉันต้องเขยิบไปหาเพื่อให้มั่นใจว่าเขายังหายใจอยู่จริงๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้ว่าเมื่อครู่ฉันที่แอบมองอยู่จะเห็นเขาเดินมาเปิดหน้าต่างทำหน้ามุ่ยก็ตาม


“อืม..”


“คุณไพร์ม”


“…คุณฉัน”  เขาเรียกชื่อออกมาทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา มันหนักอึ้งไปหมด  “ผมฝันอยู่เหรอ”


“ฝันเฝินที่ไหน ฉันยังไม่ตายจะเอาที่ไหนไปเข้าฝันบอกหวยคุณฮะ!”  ฉันไม่อ่อนโยน จะป่วยหรือไม่ยังไงก็ไม่อ่อนโยน มือบางนั้นตีลงบนต้นแขนคนป่วยให้ตื่นเต็มตา และตอนนี้มันก็กระจ่างใจแล้ว


ถ้าเป็นคนอื่นเขาต้องเรียกคนมาโยนออกไปแน่ๆ


“ทำไม…”


“แล้วทำไมคุณไพร์มถึงหายไป ไหนเราคุยกันว่ายังไง ทำไมทำแบบนี้”


“…”


“ก็รู้หรอกว่าคุณไพร์มโคตรนิสัยไม่ดี แต่ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดไม่รักษาสัญญา ไหนบอกถ้าฉันตื่นมาฉันจะได้กินข้าว”  สรุปคือโกรธเรื่องนี้เหรอ


“คุณฉัน…”


“ฉันไม่ได้มาฟัง มาบ่น! วันหลังถ้าทำไม่ได้ก็บอกตรงๆ นี่โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ห้องหับก็เอาไปให้คนอื่นอยู่ แล้วนี่หนีมาอยู่ที่นี่กับสภาพซีดๆ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกกำลังตรอมใจหรือไง ไม่ใช่นะคุณไพร์มมันตัวร้ายต่างหาก”  และคนที่มาตามตัวที่ว่านี่นางเอกเหรอ ฉันไม่ถูกพิจารณาให้เป็นเช่นนั้นแน่


“คุณฉันต้องการอะไร”


“ต้องการอะไร ถามมาได้!? ฉันยังไม่ตายแล้วอยู่ๆคุณไพร์มก็หายไป ถ้าฉันฉลาดคงคิดได้ว่าคุณไพร์มเห็นว่าฉันหมดประโยชน์แล้วเลยปล่อยลอยแพ แต่นี่โง่ไงเลยนั่งรอทุกวัน จากที่ฉันขับรถไม่ค่อยจะเป็นก็ได้ขับมาถึงนี่!”


“นี่ขับรถมาเองเหรอครับ”


“ถ้าไม่ขับมาเองก็ไม่มีใครเขาอยากให้มาหาคุณไพร์มหรอกนะ ก่อเรื่องอะไรไว้บ้างล่ะ”


“…”


“แล้วจะทำอีกไหม ที่หลอกใช้คนอื่นเขาอย่างนั้น ผลักดันตัวเองโดยการเหยียบชาวบ้านใช้เขาเป็นฐานให้ตัวเองได้ไต่เต้าน่ะ”


“ถึงอยากทำก็ไม่มีแรงทำแล้วล่ะครับ”


“ตอนคุณไพร์มอยู่กับฉันก็ไม่เห็นจะเป็นคนไม่ดีเลย ทำไมไปทำเรื่องแบบนั้นได้ล่ะ”


“เพราะผมไม่ได้ทำทุกอย่างให้ดูไงครับ”  เขาจะไม่บอกหรอกว่าเขานั้นโกหกหลอกลวงอีกฝ่าย เขายอมรับว่าถ้าจะทำก็ทำมันได้ แต่กับฉัน…อะไรบางอย่างบอกกันว่านั่นคือธรรมชาติของเขาที่แสดงออกมา “คุณฉันก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน”


“อืมฉันก็ไม่ทำ และถ้าอะไรที่ฉันทำไม่ดีและรู้สึกว่าไม่ควรทำอีก ฉันก็จะไม่ทำ”  นี่ฉันดั้นด้นมาถึงนี่ทำไม  “แล้วคุณไพร์มล่ะ หยุดทำได้ไหม”


“ตอนนี้ผมไม่รู้เลย”


“คุณไพร์ม”


“ถ้าเป็นแต่ก่อนผมต้องตอบว่าไม่ได้แน่ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มิหนำซ้ำ…ยังกลัวที่จะเปลี่ยนไป” เพราะเขายึดติดกับสิ่งที่เคยเป็นเคยหวังเคยอยากได้ และพอวันหนึ่งมีคนมาชี้ทางให้เห็นว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำหรือควรได้รับ ไพร์มย่อมเกิดความสับสนในใจ และมันมากพอที่จะทำให้เขาไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน


“คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ”  ดวงตาของฉันเป็นประกายแวววาว มันดูสวยงามเรียกร้องให้เขาพูดความจริง และเมื่อเรามองตากันเช่นนี้ มันยิ่งง่ายที่จะถ่ายทอดบางสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำได้ และดวงตาของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทอง  “คุณไพร์มต้องมีฉันนะรู้ไหม”  นี่ก็โมเมเก่ง


“ทำไม” ว่าแต่ทำไมเขาคนนี้จำเป็นต้องไปมีแวมไพร์หัดดูดเลือดอย่างคุณฉันข้างๆด้วย หวังว่าอีกคนจะอธิบายเก่งเช่นกัน


“เพราะคุณไพร์มมีปัญหาด้านสุขภาพและฉันช่วยได้”


“ก่อนเจอคุณฉันผมก็มีวิธีจัดการกับปัญหาทางสุขภาพครับ”


“มันไม่เหมือนกัน” ฉันยังคงเถียงตาใส  “เพราะฉันก็ขาดคุณไพร์มไม่ได้”


“…”


“คุณไพร์มทำให้ฉันเสียนิสัย อยากได้อยากกินไปหมด แถมการมีคุณไพร์มในชีวิตทำให้มีภูมิต้านทานต่อสังคม”


“ผมเคยทำอะไรลงไปกับคุณฉัน จำไม่ได้เหรอครับ”


“ไม่ค่อยอยากจำ แต่พอจะจำได้ ทำให้ฉันเกือบตายจากการถูกเจาะเก็บตัวอย่างที่กระดูกใช่ไหม แต่ฉันเก่ง ไม่ตาย” คาดว่าเพราะเป็นสายพันธุ์แวมไพร์ตาสีม่วงที่มีน้อย แม้จะเป็นลูกครึ่ง แต่ฉันก็ได้รับการถ่ายโอนพันธุกรรมของสายพันธุ์มาดี


“แล้วที่เกือบตายเพราะถูกจับไปล่ะครับ ทำไมไม่จำ”


“ก็คุณไพร์มมาช่วยนี่ และก็ไม่ตายอยู่ดี”


“คนไปช่วยชื่อสนธยาครับ เผื่อคุณฉันไม่รู้”


“พี่สนเล่าให้ฟังหมดแล้ว เขาไปช่วยเพราะเขาจะใช้ฉันเป็นตัวประกันต่างหาก”


“…”


“เห็นไหมว่าพี่สนบางทีก็แย่ๆ ฉันบางทีก็แย่ๆ คุณไพร์มอาจจะแย่หน่อยแต่ไม่ได้ตัวคนเดียวนะ” 


“คุณฉัน” 


ต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 37 29/6/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 29-06-2019 16:30:29
“เราทุกคนเคยทำเรื่องแย่ๆ แต่ถ้าวันไหนคุณไพร์มคิดว่าจะไปต่อแบบที่ดีขึ้น ฉันก็จะไปด้วย”  ฉันค่อยๆโน้มตัวไปหา  “คุณไพร์มมีสิทธิ์เริ่มต้นใหม่เหมือนทุกคนและถ้าต่อไปจะเจออะไรมันก็เป็นผลของการกระทำในอดีต เราก็แค่ต้องชดใช้มันไป แต่มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำร้ายตัวเองนะ”


“…”


“ให้ฉันช่วยนะ”  เขาเหมือนคนหลงทางและไม่เชื่อใจว่าแสงสว่างข้างหน้าคือสิ่งที่ดีจริงๆหรือเปล่า ภูวนัยอยู่ในโลกที่มืดมนมานานและไม่เคยแยแสแสงสว่างภายนอก เขาดีกว่านี้ได้แต่เขาไม่เคยทำ และการรับความช่วยเหลือจากคนอื่นโดยเฉพาะคนที่เขาเคยหลอกใช้ประโยชน์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในหัวเลย


ฉันชนกจำไม่ได้เลยเหรอว่าเขาเป็นคนสั่งให้เอาเข็มที่ทำจากโลหะที่ใช้ฆ่าแวมไพร์มาแทงบนตัว และจำไม่ได้จริงๆเหรอว่าเป็นเพราะความขัดแย้งของเขา ทำให้เจ้าตัวถูกจับไป


“ถ้าคุณฉันยินดี…” และเขาจำไม่ได้เลยเหรอว่าตนเองพยายามแค่ไหนที่จะออกห่างจากความอ่อนหวานทางความรู้สึกแบบนี้ แต่เพียงคำพูดเดียวของเขา ก็ทำให้ผู้บุกรุกยิ้มหวานและโผเข้ามากอดเอาไว้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้กอดใครอย่างไม่ต้องฝืนใจ นานแค่ไหนที่การสัมผัสกายทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ


ไม่นานเลย เพราะเขาเพิ่งเจอฉันชนกเมื่อเร็วๆนี้เอง


เขี้ยวน้อยของแวมไพร์ค่อยๆงอกออกมา เขาปล่อยให้ฉันชนกจัดท่าทางคร่อมกายและพ่นลมหายใจอุ่นที่ข้างแก้ม ดวงตาของไพร์มหลับพริ้ม เขาค่อยๆซึมซับทุกสิ่งที่อีกฝ่ายจะปรนเปรอหรือเอาไปทั้งหมด “อย่ากินเยอะไปนะครับ”  อย่างไรก็ตามฉันเองก็ไม่ได้ดื่มเลือดมาสักพัก พอๆกับเขาที่ไม่ได้ถ่ายเลือดเลย หากไม่เตือนฉันคงฝืนรับไปจนป่วยไข้ แต่ไม่เป็นไรหรอก เขามีเวลา…มากพอจะดูแล


ความรู้สึกเจ็บที่คุ้นเคยนั้นแทรกซึมส่งผ่านทางต่อมการรับรู้ เขาเผลอเกร็งกายก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายเพื่อให้เจ้าแวมไพร์ที่กกกอดกันทำอะไรๆได้ง่ายขึ้น รับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ข้นคลั่กของตัวเองกำลังหมุนเวียน ฉันชนกไม่ได้หิวโซแต่เพราะขาดมันมาสักพัก อีกฝ่ายจึงไม่พลาดสักหยดที่เขามี


“ช้าๆครับ”  เขาลูบแผ่นหลังบอบบางนั้นช้าๆ ส่งมอบจังหวะผ่านฝ่ามือให้ฉันทำตาม ร่างกายของคนที่อยู่เหนือร่างก็ช่างน่าหลงใหล เขาได้สัมผัสความเนียนลื่นของผิวเนื้อที่ต้นแขนเรื่อยลงมา ก่อนจะสอดมือเข้าไปในร่มผ้าเพื่อสัมผัสแผ่นหลังน่าทะนุถนอม


“อืม” แวมไพร์ตัวน้อยหลุดเสียงครางทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงฝังกับต้นคอของอีกฝ่าย การที่ภูวนัยสัมผัสกันไปทั่วในขณะที่ฉันกำลังลิ้มรสตัวเขาอยู่ มันให้ความรู้สึกที่เกินบรรยายจริงๆ มันดีมากๆ เป็นอรรถรสที่บอกไม่ถูก แต่คิดว่าหลังจากนี้อาจจะเสพย์ติดเข้าแล้วจริงๆ


ใบหน้าน่ารักของเจ้าแวมไพร์ค่อยๆผละออกมา ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มนั้นเหมือนจะยิ่งน่าสัมผัสเมื่อมันถูกย้อมด้วยสีเลือดเป็นจุดๆ มือที่เคยกอดกันนั้นถูกเลื่อนมาวางบนอกเขา ฉันเอาเลือดเขาไปเยอะพอควรเลย ภูวนัยรับรู้ถึงความรู้สึกที่โล่งสบายกว่าเดิม การมาของฉันทำให้โลกที่หนักอึ้งใบนั้นค่อยๆผ่อนคลาย


“…”  ไพร์มเฝ้าถามตัวเอง เขาเหมาะสมจริงๆเหรอ เป็นเขาได้จริงๆเหรอ ไม่ใช่ว่านี่คือเรื่องที่ฟ้าส่งมาโกหกกันเล่นๆใช่ไหม ฉันชนกคือสิ่งล้ำค่าที่เขาที่อ่อนแอมากๆในตอนนี้ไม่คิดว่าตัวเองเหมาะสมหรือคู่ควร


“…”  ไม่มีใครพูดสิ่งใดต่อกัน ฉันชนกจ้องมองมือของเขาที่ยื่นมาหาช้าๆ ก่อนที่นิ้วโป้งของเขาจะบดขยี้ลงบนริมฝีปากที่ยังติดคราบเลือดของตนเบาๆ เราสองคนไม่ใช้เสียงใดในการพูดคุย ทว่าใช้ดวงตาจ้องมองไปยังอีกฝ่ายราวกับว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือสิ่งที่ได้เฝ้าคอยให้มาหากันเนิ่นนาน


ดวงตาของฉันชนกที่เพิ่งจะรับเลือดของเขาค่อยๆเปลี่ยนสี จากสีม่วงไปเป็นสีทอง มันสุกสกาวเหมือนทุกครั้งที่เขาส่องกระจกมองตัวเอง ดวงตาของเขาที่จ้องมองกลับก็เป็นสีเดียว ราวกับว่านี่คือสัญญาณของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นไพร์มที่ทำให้อีกฝ่ายแปดเปื้อนใช่ไหม แล้วทำไมถึงโง่เง่าไม่ยอมหนีไป ยังมีโอกาสอยู่นะหนีไปสิ


ทว่านี่คงเป็นการผลักไสที่ไม่จริงจังที่สุด เพราะแทนที่คนตัวเล็กจะออกห่าง เจ้าตัวกลับค่อยๆเคลื่อนเข้าหาราวกับว่าเรามีแม่เหล็กดึงดูดกันให้เข้ามาจนกระทั่งมันไม่เหลือที่ว่างใดๆแล้ว


เพราะริมฝีปากของเราได้ประกบแนบชิด


หากจะบอกว่าไพร์มเป็นมนุษย์ที่ชั่วร้ายราวกับซาตาน ฉันชนกก็ได้ทำสัญญาทาสกับเขาแล้ว และมันคงยากที่ต่อจากนี้จะปลีกตัวแยกออกไป เพราะเขาคงไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้น ภูวนัยไม่เคยเฝ้ารอหรือพบเจอคนแบบฉัน แต่ถ้าได้ครอบครองกันเขาก็คงไม่ปล่อยไปไหนอีก


ริมฝีปากของเรายังคงบดเบียดคลอเคลียกันอยู่ เขากดจูบลึกซึ้งย้ำๆก่อนจะที่จะมอบจูบที่เนิ่นนานอีกครั้งและพลิกตัวฉันที่คร่อมกันอยู่นั้นให้นอนราบลงไป มือไม้ของเราสัมผัสปัดป่ายกันไปทั่ว ฉันค่อยๆโอบรอบคอเขาไว้เพื่อไม่เปิดให้ผลักไสกันไปไหน ก่อนที่เราจะผละออกมาจ้องตากันอีกครั้งไม่ใช่เพื่อถามความแน่ใจ


“ต้องเป็นแฟนฉันแล้วแหละ”  ถ้าจะจูบจนลืมหายใจขนาดนี้…ภูวนัยยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ออกจากปากส่งไปถึงดวงตา และรอยยิ้มนี้ก็ส่งผลทำให้คนมองตาโต “คุณไพร์ม นั่น!” เขายิ้มจากปากไปถึงตา และดวงตาเขาก็เป็นสีทอง ทว่ายังไม่ได้หลุดพูดอะไรออกมา…


เขาก็จัดการปิดปากเด็กพูดมากด้วยริมฝีปากของเขา…


อีกครั้งและอีกครั้ง เนิ่นนาน…เกินกว่าที่ใครจะใส่ใจนับ





Talk: ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายแน้ววววววววว
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 30-06-2019 12:36:52
- - - - - -
ง้อยากง้อเย็นรู้ตัวไหม
รีบทำข้าวให้ฉันเลยนะ!!
(+_+)
- - - - - -


ฉันชนกที่เพลียหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้นั้นค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา


มันก็เช่นนี้มาโดยตลอดเวลาที่ ‘ลูกครึ่งมนุษย์-แวมไพร์’ เช่นตนดื่มเลือดมากเกินไป แต่มันอร่อย หอมหวาน ใครมันจะไปอดใจได้ แต่เพราะอดไม่ได้นี่แหละถึงทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ไหวนอนซมไปเป็นวันเรื่อยไป กระนั้นเจ้าของเลือดผู้ใจดีก็ช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้


นี่อาจจะเป็นเดิมพันหนึ่งในชีวิต เขาคิดว่าถึงความเป็นไปได้ในอนาคตในหลายๆแบบ และรูปแบบหนึ่งที่ว่าฉันชนกมาติดตามหากันให้เขากลับไปอยู่ด้วยก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถ้าทนคิดถึงไม่ไหวจริงๆ บางทีเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายกลับไปหาเอง ง้องอนให้ฉันชนกกลับมาอยู่ใกล้ๆเช่นกัน


ช่วงที่ไพร์มหายไป เขาท่องเที่ยว เรียนรู้ความรู้สึกของตัวเองในสถานการณ์ที่ต่าง จัดการเรื่องที่เคยทำค้างคาและมองหาความเป็นไปได้ในอนาคตต่อไป มันใช้เวลาสักพักแต่เขาก็โหมทำอย่างบ้าคลั่งและเมื่อกำลังจะหลับตาลงพักเหนื่อย ก็เป็นแวมไพร์ตัวน้อยที่กลับมาวุ่นวายในชีวิตของกันและกันอีกครั้ง


ทั้งแปลกใจและไม่ตกใจว่าตัวเองกลับดีใจเสียอย่างนั้น


หลังจากติดตามจนเจอภารกิจง้อบ้าบอขอฉันก็เป็นไปได้ด้วยดี แม้ไม่อาจจะพูดได้ว่าภูวนัยกอบกู้ความมั่นใจของตัวเองมาได้ แต่เขาก็ยอมเดินต่อไปในเส้นทางที่แตกต่าง และในฐานะคนที่ฉุดเขาขึ้นมา ฉันชนกก็หวังว่าเขาจะเป็นตัวเองที่ดีขึ้นและมีความสุขในเวลาต่อมา


“หิวง่ะ”  ตื่นมาก็หิวเลยให้ตาย ไม่เจอกันพักใหญ่ฉันก็ผอมลงไป แต่พอเจอกันได้ไม่กี่วัน น้ำหนักก็ขึ้นตามมาจนน่ากลัวว่าจะลดไม่ทัน


“ตื่นแล้วเหรอครับ”  ไพร์มที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟานั้นยิ้มให้ ไม่ใช่ว่าเขาตื่นเช้าแต่นี่มันจะเที่ยงแล้ว


ฉันชนกในชุดเสื้อนอนตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นตัวเล็กนั้นเดินหัวยุ่งหน้ายุ่งมาหาเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมเอนตัวลงมาหนุนตัก


เจ้าตัวมีความจริงจังที่จะค้นหาเขาเกินคาด ภูวนัยผิดเองที่ประเมินจอมขี้เกียจอย่างอีกฝ่ายผิดไป ที่เขาไปพักที่บ้านนั้นไม่ใช่ว่าคิดไม่ถึงว่าฉันจะตามเจอ อันที่จริงเขารู้ว่าสารินเพื่อนของอีกฝ่ายต้องบอกแน่ถ้าถูกถาม เลยจงใจเลือกสถานที่ที่ไม่ยากเกินไปเพราะกลัวจอมขี้เกียจท้อเลิกมาต่อว่ากันเสียก่อน


เอาจริงๆต่อให้อยากหนีจากคนที่ทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองไปเท่าไหร่ สุดท้ายก็ยังอยากเจอคนๆนั้นเพื่อให้มาช่วยชี้นำว่าเมื่อสูญเสียตัวตนเก่าๆไปแล้ว เขาควรเดินต่อไปทางไหนอย่างไรกันแน่ ในระหว่างที่หายไป เขาก็คาดหวังอยู่ทุกลมหายใจให้ฉันมาหา มาช่วยเขา ถึงไม่ยอมดูแลตัวเองอย่างจริงๆจังๆสักที


อีกส่วนที่เลือกมาที่นั่นอยู่ดีเพราะความยุ่งยากในชีวิตช่วงนี้ ไพร์มอยากอยู่ในสถานที่ที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายและไม่ต้องการคิดเยอะมากมาย ส่วนเรื่องฉันเขาแค่คิดไว้ว่าอีกฝ่ายอาจจะหงุดหงิดใจ แต่เพราะตัวเองเกือบตายคงไม่ขยันออกมาตามหาคนอย่างเขา ในขณะที่อยากเจอแทบใจจะขาด ก็พยายามที่จะตัดใจด้วยส่วนหนึ่ง


กลายเป็นว่าอีกฝ่ายถึงขั้นขับรถมาเองเลย


“หิว”


“แล้วมานอนหนุนตักแบบนี้จะได้ไปกินไหมครับ”


“งืมมมม”  แต่ขี้เกียจด้วย


“จะกินผมหรือจะกินข้าวกันแน่ เอาดีๆสิ”


“กินคุณไพร์มไปเยอะแล้ว” ฉันคงพูดถึงเรื่องดื่มเลือด


“หมายถึงกินแบบก่อนจะกัดคอต่างหาก”  และมันคือกินแบบที่เราสองคนรู้กัน เพราะทันทีที่นึกออกนั้น ฉันชนกก็หน้าแดงออกมา คงเป็นการกินที่…วาบหวามน่าดู


ยื้อไม่นานก็สามารถพาจอมขี้เกียจลุกมาหาอะไรกินได้ ภูวนัยที่วันนี้ต้องเข้าไปดูร้านตอนบ่ายนั้นเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว เพียงแค่ต้องอุ่นนิดหน่อยก็พร้อมทาน


เขายังคงมีทรัพย์สินส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และอสังหาริมทรัพย์ แต่ถึงเขาจะมีที่มากมายให้ตัวเองได้ไปอยู่อาศัย ทว่ากลับเลือกมาจมอยู่ที่ห้องเล็กๆของคนรักเพราะยังมีอีกหลายอย่างต้องทำแถวนี้ก่อนที่เราจะย้ายไป ใช่…เรากำลังทำบางอย่างไปด้วยกัน


จริงๆในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านพักริมทะเล ภูวนัยก็คิดว่าถ้าเขาพักพอแล้ว บางทีถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็คงกลับมาทำธุรกิจที่นั่น เขามีที่พักสวยๆ และไม่ยากที่จะหาทีมงานดีๆมาต่อยอดธุรกิจบางอย่างที่นี่ ทว่ายังไม่ทันจะพักดี จอมยุ่งก็มาตามกันถึงที่ และในระหว่างที่โดนชวนคุยไปมาเขาก็เผลอเล่าให้ฟังถึงไอเดียนั้น


แวมไพร์ตัวน้อยทำตาวาว ดูท่าเจ้าตัวจะชอบที่นี่เสียเหลือเกิน เอาจริงๆเขาคิดว่าฉันก็คงเบื่อกรุงเทพในระดับหนึ่ง เจ้าตัวจึงยิ่งโน้มน้าวให้เขาทำธุรกิจตรงนี้


แววตาของฉันนั้นเป็นประกายอ่านง่ายเหมือนเด็กๆ แต่เขานั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า ช่างน่าเสียดายที่ไพร์มเป็นคนที่เห็นแก่ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอเห็นว่าฉันดูตื่นเต้นอย่างไร เขาก็เริ่มวางแผนไว้ในหัว


“สรุปคุณฉันพอจะมีคนแนะนำให้มาช่วยผมไหม”


“ไม่มีเลยอ่ะ”


“ทำไมคนดีๆถึงหายากจังนะ อย่างนี้ผมคงไม่ค่อยได้เข้ากรุงเทพแน่เลย”


“…”


“คุณฉันมาหาผมบ่อยๆได้ไหม จะเบื่อแถวนั้นหรือเปล่า มันไม่ค่อยมีอะไร”


“ไม่เลยฉันไม่เบื่อเลย” แต่ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันจริงๆเหรอ พอคิดถึงจุดนี้ก็เริ่มจะกินไม่ลงสักเท่าไหร่ “แต่ฉันถามคนหลายคนแล้ว ยังเจอคนที่ไม่ดีพอจะส่งมาลองสัมภาษณ์งานจริงๆ”


“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็รบกวนคุณฉันแย่แล้ว”  เขาเช็ดคราบเลอะที่มุมปากให้อย่างแผ่วเบา ค่อยๆตะล่อมให้เหยื่อเดินตกหลุมที่ขุดไว้


“ฉันช่วยได้ หรือมีอะไรที่ฉันช่วยได้อีก ให้ฉันช่วยก็ได้”


“…”


“หรือว่าจะลองให้ฉันลางานไปช่วยช่วงแรกๆไหม บริษัทที่ทำอยู่นี่ลาแบบไม่เอาเงินเดือนได้อยู่นะ”


“เกรงใจครับ”


“ไม่ต้องเลยคุณไพร์ม ฉันจะยื่นใบลาแล้ว”  เอาล่ะเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ต่อให้ฉันยังไม่ยอมลาออกจากงาน แต่การมาช่วยเขาชั่วคราวแบบนั้น เขายังสามารถหาทางทำให้ฉันลาออกจากงานนั้นเพื่อมาทำงานนี้ยาวๆได้แน่


ทำไมเขาไม่พูดตรงๆกับอีกฝ่ายไป มันก็เพราะเราเพิ่งจะเริ่มต้นกันอย่างจริงจังเมื่อเร็วๆนี้ ไพร์มคงไม่กล้าขอตรงๆให้ฉันยอมทิ้งปัจจุบันและอนาคตทางการทำงานของตัวเองแบบนั้นมาเพื่อเขา และเพราะมันยังเร็วไป ต่อให้อีกฝ่ายจะดูเด็กและไม่จริงจังแค่ไหน แต่บางมุมก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะคิดให้รอบคอบ


มันดีกว่าที่จะไม่สร้างความลำบากใจให้กันในขณะที่เรากำลังสร้างและประคับประคองความสัมพันธ์เพี้ยนๆนี้ให้เข้ารูปเข้ารอย ถึงฉันจะอยากไปแค่ไหน แต่เราควรจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปเสียก่อน เร่งรัดไป มันอาจจะส่งผลเสียมากกว่า


สำหรับฉันนั้นคาดหวังให้เขาเป็นคนสุดท้ายของชีวิตไหม ไพร์มไม่รู้หรอก แต่สำหรับเขาที่เรื่องเยอะเป็นพิเศษคงไม่อาจจะมองหาคนที่ดีกว่าให้กับตัวเองได้ง่ายๆ หากเสียอีกฝ่ายไป เขาคงได้อยู่คนเดียวอย่างที่เคยหวังไว้จริงๆ


เพราะงั้นสักนิดหนึ่งก็จะพลาดไปไม่ได้ ไพร์มที่เคยเป็นคนมั่นใจในตัวเองกว่านี้คิดไว้เช่นนั้น


“ไปละนะครับ”  หลังจากที่รับประทานอาหาร พูดคุยกันเรื่องโปรเจ็คใหม่กันเสร็จแล้ว ภูวนัยที่จำต้องออกไปประชุมกับทีมงานร้านอาหารในวันหยุดของฉันแบบนี้ก็เอ่ยลา เราสองคนยืนอยู่ที่ประตูห้อง อ้อยอิ่งจนคนมองอาจจะรำคาญ แต่ว่ามันค่อนข้างยากที่จะหยุดการคลอเคลียเอาไว้และเดินจากไป


“ตั้งใจทำงานหาเงินมาเลี้ยงฉันนะ” พูดเหมือนยอมให้เลี้ยงเต็มตัวขนาดนั้นแหละ ไพร์มนึกหมั่นไส้ เขาก้มลงไปกดจูบแรงๆที่ริมฝีปากช่างพูดนั่นเพียงครั้งก่อนจะหอมแก้มนุ่มฟอดใหญ่


“เป็นเด็กดีอยู่บ้านให้กลับมาเลี้ยงนะครับ” ไพร์มกระซิบเบาที่ข้างหู รับรู้ได้ว่าคนฟังกำลังยิ้มกว้างก่อนจะเข้ามากอดกันแน่นเพียงครั้งและผละออกมา


ทั้งนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันชนกที่ไปตามเขาเผื่อฉุดให้กลับมามันดีหรือเปล่า


และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าการที่ไพร์มที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างได้กลับมาสำหรับบางสิ่งนั้นดีหรือไม่


“ฉันรักคุณไพร์มนะ กลับมาเร็วๆ”  บางทีเจ้าแวมไพร์ตัวน้อยอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่พูดคำว่ารักออกมาตรงๆ ทว่าเขาที่จดจำทุกอย่างได้หมดนั้นกลับรู้สึกมากมาย


“ผมรู้ครับ รักฉันเหมือนกันนะ”  เขารู้ รู้ว่าอีกฝ่ายรักและห่วงใยกันแค่ไหน บางทีเขาอาจจะรู้จักอีกฝ่ายมากกว่าที่เคยรู้จักตัวเองทั้งหมดมาก็เป็นได้ คนเราก็มักจะเป็นเช่นนี้ รู้จักคนอื่นกว่าใครแต่ไม่สามารถรู้ใจตนเองจนมันอาจจะสายไปที่จะมาแก้ไขอะไร และทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เคยผิดหวังกับทางเดินใหม่ที่เลือกไว้ ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง


ถึงแม้จะประเมินความเสี่ยงออกมาเป็นภาพหรือตัวเลขไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ที่มันดีต่อใจ การมานั่งคิดหาความน่าจะเป็นใหม่ๆ ก็คงไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่เหมือนกัน


ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้มอบบททดสอบคือแอปเปิ้ลผลหนึ่ง
และในวันนี้ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยรวมถึงพวกเขา...
ที่กัดชิมแอปเปิ้ลต้องห้ามพวกนั้น
อย่างเอร็ดอร่อย…





END


Talk: เรื่องนี้จบแน้ววววววววว
แต่จริงๆมันมีตอนพิเศษอีกห้าเลยทีเดียวละค่ะ มีทั้งตอนของไพร์มฉัน สนสา ทาริคดารัญ และ วธินการันต์ แน่นอนว่าฉากนั้นๆก็จะยกยอดไปอยู่ในตอนพิเศษด้วย
เราเห็นในเม้นท์หลายคนคงคิดว่าสนสาเป็นคู่หลัก555 จริงๆเราไม่มายด์เรื่องคู่รองคู่หลักเลย เราแค่อยากเขียนให้สองคู่นี้มีความต่างกันอย่างชัดเจนในนิยายเรื่องเดียวอยู่แล้ว จำนวนตอนก็ไม่เคยนับและตัวเรื่องที่เข้มข้นกว่าทางฝั่งนั้นจึงอาจจะทำให้ดูเป็นเช่นนั้นซึ่งเราก็ไม่ติดอะไร ก็คงต้องน้อมรับคำติหรือคำชมไว้ณ.ที่นี้
เรื่องนี้อยู่กับเรามานานพอสมควร เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ให้ความรู้สึกว่ายากแต่เราก็รักมากๆนะคะ
เรื่องนี้ทางสนพ.เฮอร์มิทจะมาตีพิมพ์ให้และน่าจะวางขายในปีนี้ อยากเห็นหน้าปกจังเล้ยยยยยย แต่ได้ยินว่าเล่มหนามาก แงงงงงนุขอโทดดดดดดดด
สุดท้ายนี้ ขอบคุณคุณคนอ่านที่ติดตามมาจนถึงวันนี้ ทุกคอมเมนท์ของทุกคนคือกำลังใจที่ทำให้ได้ไปต่อจริงๆ เราหวังว่าในอนาคตทุกคนจะช่วยกันติดตามผลงานของเราต่อๆไปนะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจและข้อเสนอแนะมาณ.ที่นี้ด้วย
และขอฝากตัวไปกับผลงานในอนาคตด้วยนะคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ
@reallyuri

หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 01-07-2019 23:27:39
มาเจอเรื่องนี้ช้าไปมากๆๆๆๆโอ๊ยยยดีงามพระรามแปดมากกกกกก ชอบความฉันที่แบบอะไรก็ดูจริงจังแต่ก็ไม่เครียด มันเป็นคาแรกเตอร์ที่แบบไม่ดูงี่เง่าจนเกินไปทำให้เนื้อเรื่องมีความน่ารักและดูผู้ใหญ่ขึ้นไปมาก ส่วนพ่อพระเอกใหญ่ตาทองของเราก็แหมมมนึกว่านายเอกมีความหายจากการติดต่อหลบซ่อน ดีนะฉันแมนพอจะตามถึงที่ 5555555 ส่วนคู่สนสาน่ารักตะมุนะมิดีมากกกกน่าเอ็นดูวววววว จริงๆแอบอยากเห็นน้องแสนดีด้วยนะอยากดูความหลงลูกของพี่สนความเห่อหลานของฉันต้องมาแน่ๆ โอ๊ยยยยดีไปหมดดดตอนพิเศษมาตอนไหนดิฉันก็พร้อมอ่านจ้าาาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-07-2019 09:50:28
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้จนจบ
เรื่องสนุกมากค่ะ น่ารักมาก
ชอบความน่ารักของฉันกับสา
อยากอ่านตอนพิเศษของสนกับสามาก อยากเห็นเจ้าตัวเล็ก อิอิ

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ

ป.ล.มีบางจุดที่ชื่อฉัน กับ สา สลับกันนะคะ แต่เข้าใจความมึนเวลาเขียนค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 21-07-2019 11:03:18
งื้อน่ารักไปหมดดทั้งน้องฉันและน้องสา นิยายสนุกมากค่ะ ชอบomegaverseมากๆเลย ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4: :bye2:
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
เริ่มหัวข้อโดย: tookta ที่ 03-08-2019 12:30:29
ขอบคุณนะคะ สนุกมากอ่านแล้วเพลิน มีให้ลุ้นให้ติดตามว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 12:20:36
 :pig4: