บทที่ 11 แมวของผม...กับสถานที่ในอดีต
RRRRR
เสียงโทรศัพท์ปลุกผมตื่นจากการหลับไหลในวันจันทร์ที่ผมไม่มีงาน พอมองหน้าจอก็พบว่าเป็นเสียงเรียกเข้าจากเพื่อนรักที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสามอาทิตย์เต็ม
ผมกดรับสายอย่างงัวเงีย กวนตีนมันไปก่อนที่มันจะได้พูดอะไร
“ยังไม่ตายอีกหรอ?”
‘โฮ้~ ไม่ได้คุยกันตั้งนานมึงทักกูอย่างนี้เลยหรอ’
“เออ ก็มึงเล่นหายไปไม่ติดต่อกูเลย กูทักไลน์ไปแม่งก็ไม่ตอบ แล้วมึงยังส่งรูปอะไรก็ไม่รู้กับพิมพ์ภาษาอะไรไม่รู้ให้กูอีก”
‘เชี้ย? จริงดิ?? กูส่งไรไปวะ??’
แล้วมันก็เงียบหายไปสักพักผมเดาว่ามันคงหายไปเปิดไลน์ แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงมันอุทานไม่เป็นคำก่อนมันจะกลับมาพูดกับผม
‘ไอเหี้ยมึงลืมๆ ไปไม่มีอะไรหรอก’
“เออ กูก็ไม่ได้สนใจอะไร มึงกลับมาจากญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
‘กลับมานานแล้ว ตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้วนู่น’
“เออๆ ว่าแต่โทรมามีไร??”
‘กูมีเรื่องจะรบกวน ยังไงมึงมาที่ห้องกูก่อน’
“อะไรวะ?? มึงก็ขึ้นมาห้องกูดิ”
‘เถอะน่า...มาห้องกูเถอะ กูไปหามึงไม่ไหวแล้วววว’
อะไรของมันวะ?? สุดท้ายผมได้แต่เออออ ยอมตามใจมัน ผมวางสายก่อนจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ปิดห้องให้เรียบร้อย ปล่อยเจ้าแมวสองตัวเดินป้วนเปี้ยนไปมาในห้อง
ผมเดินลงมาที่ห้อง 505 ซึ่งเป็นห้องด้านล่างของห้องมันธ์พอดี กดกริ่งไปสักพัก เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นมาทันที
NewBalancez : เข้ามาเลย รหัสเดิม
ผมก็กดรหัสเข้าห้องมันตามที่เคยจำได้ โดยไม่ได้สนใจว่าในมือเสียงแอพลิเคชั่นไลน์กำลังดังขึ้นต่อเนื่องอย่างระรัวแค่ไหน พอเข้าไปก็ได้ยินเสียงมันตะโกนมาจากห้องนอน เลยเดินเข้าไปตามเสียงเรียกนั้น ผ่านห้องนั่งเล่นที่มีแต่กล่องอะไรไม่รู้วางระเกะระกะเต็มไปหมด พอมาถึงห้องนอนก็เห็นสภาพเพื่อนรักที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงห่มผ้าห่มจนมิด มีแต่หัวทุยๆ ขอมันโผล่พ้นผ้าออกมา
“มีอะไรวะ??”
“มึงดูในไลน์ๆ”
“??”
ผมก้มลงไปดูตามที่มันบอกอย่างผ่านๆ ตา พบว่าเสียงแจ้งเตือนเมื่อครู่ก็มาจากคนตรงหน้านี่แหละ มันส่งรูปศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นมาให้ผมประมาณสิบกว่ารูปได้
“ศาลเจ้า?”
“เออ”
“ทำไมอ่ะ? ไม่เข้าใจ?? แล้วมึงกลับมาจากญี่ปุ่นเป็นอาทิตย์แล้วทำไมเพิ่งเอารูปมาอวดกู?”
“ขอสารภาพ พอดีมันวุ่นๆ แล้วกูเลยลืมไป เพิ่งนึกได้อ่ะ แฮะๆ...”
“……”
ผมได้แต่ทำหน้ายุ่งคิ้วขมวดใส่มัน
“เออน่า สาระสำคัญไม่ใช่กูจะอวดรูปเว้ย คืองี้ ศาลเจ้าในรูปอ่ะอยู่แทบคันไซ กูกับบอสไปเจอโดยบังเอิญ”
แล้วยังไงล่ะ?? ศาลเจ้ามันทำไม?? มันก็สวยดีนะ แต่นี่คือเรื่องสำคัญที่มันถึงกับลากให้ผมมาที่ห้องมันเลย??
“ตอนแรกกูก็ไปเฉยๆ เห็นผ่านแล้วสวยดี แต่ที่พีคคือมึงดูรูปที่กูส่งไป เห็นป่ะ รอบๆ วัดแม่งมีแต่รูปปั้นแมวเต็มไปหมด แถมในวัดก็แมวเยอะมากๆ”
“เห็น แล้วแปลกอะไรวะ?? คือตามศาลเจ้าปกติก็มีรูปปั้นนั่นนี่เป็นปกติมะ?”
“เออ ก็ไม่แปลกอย่างที่มึงว่า แต่ที่แปลกคือนี่ มึงดูๆ ประมาณรูปที่ห้าที่กูส่งไป”
ผมลองเลื่อนๆ ดู ก็พบภาพหนึ่งที่ต่างจากภาพอื่นๆ มันเป็นภาพผ้าแขวนผนัง แต่ลายผ้าแขวนนั้นกลับเห็นไม่ชัดเพราะภาพสั่นเกินไป
“ผ้าแขวนอะไรวะ? แล้วทำไมภาพสั่นขนาดนี้”
“ก็กูแอบถ่ายอ่ะดิ เขาไม่ให้ถ่ายรูปพวกผ้าแขวน แต่กูตื่นเต้นจัดเลยแอบถ่ายมาให้มึง”
“แล้วสรุปมันคือผ้าแขวนอะไร?”
“มันเป็นรูปแมวค่อยๆ กลายเป็นคน!!!”
“หืม? หมายความว่าไง?”
“กูก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดว่ะ วันนั้นพระที่วัดไม่อยู่วัดกัน มีแต่มิโกะอยู่นิดหน่อย กูไปถามแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไร”
“อ้าว...”
“เออ ขอโทษด้วย แต่กูว่ามันอาจจะเป็นเบาะแสถึงอาการของมึงก็ได้นะ”
“หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่รูปวาดจากตำนานปรัมปราไม่มีอะไรก็ได้” ผมพูดขัดคนที่นอนบนเตียง ข้อมูลใหม่ที่นิวได้รับมามันก็น่าสนใจอยู่หรอก...แต่มองในอีกแง่มุม มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ กับข้อมูลที่ได้มา ก่อนจะเปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่น ปล่อยจางเรื่องนี้ไป
“มึงเรียกกูมาแค่นี้?”
“เปล่า...จริงๆ มีเรื่องจะรบกวน”
“??”
“คือวันนี้กูต้องเอาเอกสารกับของไปให้ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแทนแม่อ่ะ แต่คือกูไปไม่ไหว มึงเอาไปให้หน่อยดิ ของทั้งหมดอยู่ในห้องนั่งเล่นนะ เออแล้ววันนี้ที่นั่นมีงาน มึงไปช่วยถ่ายรูปด้วยดิ งานเริ่มบ่ายๆ”
“อ้าว แล้วทำไมมึงไม่ไปเอง? หรือแผลผ่าตัดไส้ติ่งมึงยังไม่หาย? แต่ก็ครบเดือนแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมเป็นนานจัง”
“แผลอ่ะยังไม่หายแต่ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ก็แบบ...กูป่วยนิดหน่อย กูรู้ว่ามึงไม่อยากไป แต่กูไม่ไหวจริงๆ คนเก่าๆ ที่อยู่ที่นั่นก็ไม่อยู่กันแล้ว ไม่มีใครรู้จักมึงหรอก มึงไม่ต้องกลัว”
มันรีบพูดหวังให้ผมตกลง มันก็น่าจะรู้ว่าที่นั่นแม้จะเป็นที่มีพระคุณกับผม แต่ผมก็ไม่ค่อยอยากจะกลับไปเหยียบที่นั่นสักเท่าไหร่...แต่ก็จริงของมัน ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นเกือบสิบปีแล้วต่างกับนิวที่กลับไปที่นั่นเป็นประจำเพราะส่วนนึงคือมันต้องไปคอยดูแลแทนแม่ ในขณะที่ผมพอออกมาจากที่นั่นก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย มีเพียงแต่ส่งเงินไปให้ทุกเดือนก็แค่นั้น ว่าแต่มันป่วยอะไรของมัน ก็เห็นสภาพปกติดี
“ป่วยอะไร?”
“เออน่า...มึงช่วยกูหน่อย”
อยากจะด่าแต่เห็นสายตาอ้อนวอนของมันก็ด่าไม่ลง
“เออ ก็ได้ เดี๋ยวกูไปให้ แล้วไหนเอกสาร?”
“อยู่นี่ๆ”
ว่าแล้วมันก็เอื้อมมือออกมาเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นรอยที่แขนของมันเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด
“แขนมึงไปโดนอะไรมาวะ?”
ได้ยินแบบนั้นมันรีบชักมือกลับมาในผ้าห่มทันที แต่เพราะมันทำแบบนั้นทำให้ผ้าห่มหลุดออกมาแว่บหนึ่งจนผมเห็นว่าไม่ใช่แขนที่เป็นรอยจ้ำ แต่บริเวณลำคอมันก็มีรอยเช่นกัน
“มึงไปโดนอะไรมา แพ้อะไรหรอ?? หาหมอยัง??”
“เออ ไม่เป็นไรหรอก”
ว่าแล้วมันก็เลิกสนใจผม หันมาเอื้อมมาที่หัวเตียงหยิบเอกสารที่ผมถามหาเมื่อสักครู่ แต่เพราะมันเอื้อมหยิบในท่าที่นอนอยู่อย่างขี้เกียจมันเลยดูทุลักทุเลไม่ได้สักที
“มึงจะขี้เกียจไปไหน ลุกมาหยิบดีๆ ดิวะ”
ท่าทางของมันเหมือนไม่อยากให้ส่วนใดๆ ของร่างกายยื่นออกมาจากผ้าห่ม สุดท้ายมันเลยส่งผลคนตรงหน้าดูเก้ๆ กังๆ ด้วยความรำคาญผมเลยฉุดแขนมันให้ลุกขึ้นมาเบาๆ จังหวะนั้นเองที่ผมแอบเหลือบเห็นรอยจ้ำใต้เสื้อของมันที่ดูจะมีเยอะกว่าภายนอกเสื้อผ้าที่ผมเห็นเมื่อกี้ด้วยซ้ำ!!
“มึงถอดเสื้อเดี๋ยวนี้!!” ผมสั่งมันเสียงเข้ม
“อะ…อะไร?!!”
“ถอด-เดี๋ยว-นี้!!”
มันทำท่ายึกยักไม่ยอดถอดสักที่ผมเลยตรงเข้าไปจับคนตรงหน้าถอดเสื้อออก ฝ่ายถูกจับให้ถอดเสื้อก็รีบกอดอกหวังจะปิดบังร่างกายตัวเองทันที แต่ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่ามันไม่ได้ช่วยปิดอะไรหรอก....
“มึงเป็นอะไรเนี่ย? นี่ไม่ใช่รอยแพ้แล้วมั้ง บางรอยดูเป็นรอยช้ำด้วยซ้ำ แล้วทำไมเป็นเยอะขนาดนี้?”
“ไม่มีอะไรหรอก...เนี่ยมึงก็เห็นสภาพกูแล้วนี่ จะให้กูไปเองกูก็กลัวโดนถามจนเดือดร้อนไปเข้าหูแม่กูอีก ขี้เกียจตอบคำถาม”
“งั้นมึงต้องตอบกู สรุปเป็นอะไร ไปกินอะไรผิดสำแดงที่ญี่ปุ่น?”
“เปล่า”
“อ้าว...แล้วสรุปมึงเป็นอะไร มัวแต่อุบอิบอยู่นั่นแหละ แล้วกินยายัง”
“กินแล้ว”
“สรุปเป็นไร?”
“…”
มันก็เอาแต่เงียบ ไม่ยอมพูดอะไร ผมก็เงียบจ้องหน้ากดดันมันเบาๆ จนสุดท้ายมันได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยอมตอบคำถามผม
“กูไม่ได้เป็นไรหรอกมึง..คือแบบ”
“แบบ?”
“คือเมื่อคืน...คือบอส”
“….”
แล้วมันก็เงียบอีก ไม่ยอมพูดอะไรต่อ แต่หน้ากลับขึ้นสีแดงขึ้นมาเรื่อยๆ
“บอส?? คุณธาริณ?”
“เออ”
“คุณธาริณเกี่ยวอะไร?”
“กะ...ก็ คุณธาริณของมึงนั่นแหละที่ทำกูเป็นแบบนี้”
มันรีบพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะดึงผ้าห่มแล้วมุดหน้าลงไป หนีหน้าผมทันที
เหี้ย! เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันพูดอะไรนะ?
ผมมองปฏิกริยาเพื่อนตรงหน้า ก่อนจะนึกทวนคำพูดมัน นึกสภาพร่างกายของมันตอนนี้ ผลลัพธ์ก็ชัดเจนมีอยู่เพียงคำตอบเดียว
“เหี้ย! ได้ยังไง?? มึงกับคุณธาริณ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?? ไอ้เหี้ย ไอ้นิวมึงโผล่ออกมาคุยกับกูก่อน”
ผมพยายามดึงผ้าห่มมันออกมาแต่คราวนี้คนใต้ผ้าห่มกลับจับไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้หลุดออกมา
“ไอ้นิววววว โผล่หน้ามาพูดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะบอกแม่มึง!!”
คราวนี้ได้ผล มันยอมโผล่หัวยุ่งๆ ของตัวเองออกมา
“สรุปยังไง? มึงกับบอสคบกัน?”
“อือ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่??”
“ปีที่แล้ว”
“เหี้ย! นานขนาดนั้นทำไมกูไม่รู้วะ??”
“ก็กูไม่กล้าบอก กลัวมึงจะรู้สึกไม่ดี...”
คราวนี้ผมได้หันไปมองหน้าคนบนเตียงอย่างจริงๆ จังๆ
“ทำไมมึงคิดแบบนั้น? มึงคิดว่ากูจะใจแคบรับไม่ได้ที่เพื่อนคบกับผู้ชาย?? มึงยังรับได้ที่กูมีร่างกายประหลาดแบบนี้ได้ อะไรทำให้มึงคิดวะว่าเรื่องแค่นี้กูจะรับไม่ได้”
ผมเริ่มมีน้ำโหขึ้นมานิดๆ
“กูขอโทษ เออกูคิดมากไปเอง กูไม่ได้คิดว่ามึงใจแคบเลยนะ มึงอย่าโกรธกูนะ โอ๊ย!!”
เพราะมันรีบลุกขึ้นมาจับมือผม หวังจะอธิบายให้ผมฟังทำให้ความเจ็บจากแผลผ่าตัดไส้ติ่งที่ยังไม่ทันหายดีก็แล่นขึ้นมา มันเลยร้องขึ้นมาทันที แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผม
เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้
ผมจับมือของมันแล้วค่อยๆ ดึงออกจากแขนของตัวเอง ปฏิกริยานั้นยิ่งเรียกสีหน้าสลดจากนิวได้เป็นอย่างดี
ผมได้แต่ถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะจับตัวมันให้ล้มนอนลงแบบเดิม กับมันผมไม่เคยโกรธเกินได้ชั่วโมงเลยจริงๆ
“มึงนอนไป เดี๋ยวแผลก็ระบมอีก”
“มึงไม่โกรธกูนะ”
“เออ ไม่โกรธ แล้วทำไมสภาพมึงเป็นแบบนี้? คุณธาริณรุนแรงกับมึงแบบนี้ตลอดเลยหรอ?”
ปกติผมไม่เคยสังเกตร่างกายของเพื่อนเลย ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าร่างกายมันจะมีรอยช้ำอะไรเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ประจำอีก ผมคงต้องคุยกับอีกฝ่ายอย่างจริงๆ จังๆ
“เปล่าหรอก เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”
“มีเรื่อง?”
“มึง กูไม่เป็นอะไรจริงๆ”
“ถ้าเขาทำร้ายมึง หรือรุนแรงกับมึง มึงก็ไม่ควรจะฝืนทนนะ ถึงมึงจะรักกันแต่การทำร้ายร่างกายกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”
“ใจเย็นก่อนพาย บอสไม่ได้รุนแรงหรือทำร้ายร่างกายกูจริงๆ บอสเป็นคนดี มึงไว้ใจได้ กูแฮปปี้ไม่ได้ฝืนอะไร คือแบบมึงก็รู้ใช่ป่ะว่ากูผ่าตัดไส้ติ่งมาเดือนนึงแล้ว”
“อ่าห้ะ...แล้ว?”
“ก็นั่นแหละ คือกูเป็นงี้ไง มีแผลผ่าตัด หมอบอกห้ามออกกำลังกายหนัก”
“…?..”
“ก็แบบมันก็รวมถึงเรื่องอย่างว่า แล้วแบบก็กูกับบอสก็ไม่ได้ทำมาเป็นเดือนแล้ว...แผลกูก็ยังไม่หายดี บอสเลยแบบทำแค่ภายนอก...จะได้ไม่กระเทือนแผลกูมาก...มันเลยแบบ....” มันพูดไปหน้าก็แดงไปแถมยิ่งพูดหน้าก็ยิ่งค่อยๆ หดหายลงไปใต้ผ้าห่ม ผมเลยขัดมันขึ้นมาทันที
“พอ...กูเก็ทแล้ว โอเค งั้นมึงนอนพักไป เดี๋ยวกูจัดการเรื่องที่บ้านเด็กกำพร้าให้ ว่าแต่มึงเอายาอะไรเพิ่มเติมไหม หรืออยากได้อะไรหรือเปล่าเดี๋ยวกูไปซื้อให้”
“ไม่เป็นไรมึง บอสซื้อให้กูไว้หมดแล้ว”
“โอเคๆ งั้นมึงนอนพักไปๆ เดี๋ยวกูจัดการให้”
ผมเอื้อมหยิบเอกสารในโต๊ะก่อนจะส่งให้มันตรวจเช็คว่าเอกสารนั้นถูกต้องครบถ้วนใช่ไหม ซึ่งมันก็รับไปตรวจก่อนจะส่งคืนเมื่อตรวจความถูกต้องเอกสารครบถ้วน
“แล้วมึงขนของคนเดียวไหวไหมวะ ของรอบนี้เยอะด้วย เดี๋ยวกูช่วยดีกว่า”
ว่าแล้วมันก็ทำท่าจะลุกมาวยผม โดยไม่เจียมสังขารตัวเองเลย ผมรีบกดไหล่ให้มันนอนลงไป
“มึงนอนไปเลย เจ็บแล้วยังไม่เจียมสังขารตัวเองอีก ไหนหมอบอกห้ามออกกำลังกายไง”
“แต่…"
“นอนไปเลย”
มันก็ยังคงทำหน้ากังวลไม่เลิกจนผมบอกจะหาคนมาช่วยนั่นแหละมันถึงทำสีหน้าวางใจลงได้ แต่ยังไม่วายให้ผมเปิดประตูห้องนอนไว้ มันจะได้เห็นว่าผมหาคนมาช่วยขนของจริงๆ ไหม
สุดท้ายผมเลยได้แต่โทรไปรบกวนให้มันธ์ลงมาช่วย ซึ่งมันธ์ก็ยินดี รีบลงมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นผู้ช่วยผมมาแล้ว เจ้าของห้องก็ดูจะวางใจได้เลยพล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
พวกเราใช้เวลาขนประมาณยี่สิบนาที ของทั้งหมดก็มาอยู่บนรถผม พอขนมาเรียบร้อยผมกูรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ จนเซไปเล้กน้อย มันธ์อย่างอย่างนั้นก็รีบเข้ามาประคองผมทันที
“ไหวไหมครับ?”
“ผมว่าผมไม่ไหวครับ ...อึก!”
คราวนี้ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจเต็นแรงขึ้น มันธ์เห็นท่าไม่ดีจึงประคองผมไปนั่งในรถฝั่งข้างคนขับพลางปรับเบาะให้ผมนอนได้สบายๆ ส่วนตัวเขาหยิบกุญแจไปจากมือผมก่อนจะกลับไปที่ฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ แล้วหันมาหาผม
“ดีขึ้นไหมครับ?”
“อือ” ผมพึมพำตอบไปเล็กน้อย มือก่ายหน้าผากตัวเอง พยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ
“พายไปคนเดียวไหวไหม? ให้ผมไปด้วยไหม?”
“มันธ์ว่างหรอครับวันนี้?”
“ครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”
ผมพยักหน้าเบาๆ เห็นแบบนั้นมันธ์จึงส่งมือถือให้ผม ผมรับไปมองนิดนึง มันคือแอพ map ผมพิมจุดหมายปลายทางแล้วส่งมือถือคืน แล้วนอนนิ่งๆ ต่อไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าผมต้องการพักผ่อนเลยปล่อยให้ผมนอนไปอย่างเงียบๆ
จุดหมายปลายทางครั้งนี้เป็นบ้านเด็กกำพร้าที่ผมเติบโตมา ผมไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าจะไปไหน แต่เขาคงเห็นจากในแมพแล้วแหละ
พอขับรถไปได้สักพัก ผมก็รู้สึกได้ว่ารถหยุดนิ่ง พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่รอบๆ มองแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
“พายกินอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”
“อือ...อะไรก็ได้”
“โอเคครับ”
ผ่านไปสักครู่มันธ์ก็กลับมาพร้อมกับซาลาเปาและชานมปั่นหนึ่งแก้ว
“พายกินหน่อยนะครับ”
ผมรับมากินอย่างว่าง่าย พอได้กินน้ำหวานๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ผมนั่งกินต่ออย่างเงียบๆ ส่วนมันธ์ก็กลับไปขับรถต่อ
พอผมรู้สึกดีขึ้นก็ปรับเบาะให้นั่งขึ้นมานิดหน่อย
“ขอบคุณนะครับสำหรับอาหาร แล้วก็ที่มาเป็นเพื่อน”
“ครับ ว่าแต่พายเป็นอะไร ดีขึ้นหรือยังครับ?”
“ดีขึ้นแล้วๆ แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
“เหนื่อย?” มันธ์หันมามองผมอย่างสงสัย คงเพราะปกติคนที่แค่เหนื่อยไม่น่ามีอาการอะไรแบบนี้
“คือถ้าผมเหนื่อยผมจะรู้สึกหัวใจเต้นผิดปกตินิดหน่อยก่อนจะกลายเป็นแมวน่ะครับ”
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง สรุปคือพายจะกลายเป็นแมวถ้ารู้สึกเหนื่อย?”
“อือ”
“แล้วอย่างนี้จะไหวไหมครับ จะไม่กลายเป็นแมวใช่ไหมถ้าเราไปถึงแล้วน่ะ?”
“ดีขึ้นแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรแล้วล่ะครับ”
“โอเค...ยังไงพายก็นอนพักต่ออีกหน่อยละกัน กว่าจะถึงน่าจะอีกครึ่งชั่วโมง”
“อือ ขอบคุณมาก”
ผมว่า แต่ก็ไม่ได้กลับไปนอนต่อแบบที่อีกฝ่ายบอก ผมหันออกไปดูวิวข้างทางไปเรื่อยเปื่อย พลางคิดถึงเรื่องราวในอดีต