บทที่ 10 : แมวของผม...ร้องไห้
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่ามุมมองภาพที่เห็นตรงหน้านั้นเปลี่ยนไปจากเดิม สถานที่ก็ต่างออกไปจากที่ผมเห็นเมื่อสักครู่ มันดูเป็นเหมือนลานจอดรถที่ไหนสักที่ แต่แน่นอนว่าผมยังอยู่ในรถเช่นเดิม...ก้มลงมองตัวเองพบว่าตอนนี้ผมเปลือยเปล่ามีเสื้อเชิ้ตคลุมสีเข้มคลุมอยู่ แต่พอหันไปข้างๆ ก็ไม่เห็นเจ้าของรถซะแล้ว
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรประตูรถก็เปิดออก เป็นเจ้าของรถนี่เองที่ก้าวเข้ามานั่ง
“อ่ะ...พายตื่นแล้วหรอครับ ยังไงก็ใส่เสื้อผ้าพวกนี้ก่อนนะครับ” มันธ์ยื่นถุงกระดาษให้ผม ผมรับมาทันทีแล้วเขาก็ออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะปิดประตูรถด้วย
ผมได้แต่มองคนที่เพิ่งออกไปอย่างงงๆ แต่ก็หยิบเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้ให้มาสวมใส่อย่างทุลักทุเล ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นดูจะตัวใหญ่กว่าผมเล็กน้อย
ผมสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วก็ลงจากรถเดินไปหาอีกฝ่าย
“เอ่อ...มันธ์ครับ”
ผมเพิ่งสังเกตว่าเสื้อที่คลุมร่างกายผมเมื่อกี้เป็นเสื้อตัวเดียวกับที่มันธ์ใส่ออกมาจากคอนโด ส่วนตอนนี้คนตรงหน้าผมกลับสวมเสื้อยืดแทน
“หลวมไปหน่อยนะครับ ขอโทษด้วยพอดีผมให้เพื่อนมันหยิบๆ มาให้จากห้องผมนะครับ อ่ะ!! ไม่ต้องห่วงนะครับผมไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังหรอก”
แสดงว่าเสื้อที่มันธ์ใส่อยู่ก็คงเป็นเสื้อที่เพื่อนเอามาให้ด้วยเช่นกันสินะ มันธ์คงถอดเสื้อตัวเองออกแล้วเอามาคลุมให้ผม
ผมนึกได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ความทรงจำสุดท้ายก่อนผมจะวูบไปผมยังคงเป็นแมว ตื่นมาร่างกายผมก็ไร้เสื้อผ้า ทุกอย่างมันชัดเจนว่าผมกลับเป็นคนต่อหน้าเขา....
“เอ่อ...มันธ์จะไม่ถามอะไรหน่อยหรอครับ?”
“หืม?”
“ก็เรื่องทั้งหมดนี่” ผมชี้มาที่ตัวเอง เรื่องทั้งหมดของผม... “มันธ์จะไม่ถามอะไรหรอครับ?”
“ถ้าพายไม่อยากเล่า ผมก็จะไม่ถามครับ”
ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มกลับมาหาผมด้วยรอยยิ้มสดใสเฉกเช่นทุกครั้งที่ยิ้มให้ผมเสมอมา
ผมเริ่มมองเห็นอีกฝ่ายอย่างไม่ชัดแต่แล้วจู่ๆ มันธ์ก็ก้าวเข้ามาจับแขนผมและออกแรงดึงจนผมเซเข้าไปหาอีกฝ่าย มันธ์รีบยกแขนขึ้นมาโอบล้อมตัวผม รัดอ้อมกอดแน่นขึ้น มือข้างหนึ่งจับหัวผมให้ซบไปกับไหล่ของเขา
“พายไม่ร้องนะครับ...ไม่ร้องแล้วนะ” มันธ์เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
ร้อง?
อ่า...น้ำตานี่เองที่กำลังไหลออกมาทำให้ผมเห็นภาพตรงหน้าพล่าเลือนไปหมด
“ไม่ร้องนะครับ...ผมอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ พายนี่ ผมไม่ไปไหน”
“อึก…” เสียงสะอื้นที่เหมือนพยายามอัดอั้นไว้ดังออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“โอ๋ๆ นะครับ” มันธ์ลูบหลังผมไปมาพร้อมกับประโยคนั้น
ความทรงจำวัยเยาว์ตีขึ้นเข้ามาในห้วงความทรงจำ ภาพสีหน้า สายตา ของคนรอบข้างที่มองอย่างรังเกียจ คำพูดที่ด่าทอผมต่างๆ นานา วนเวียนกลับเข้ามา
‘ไอ้ตัวประหลาด!!’
‘ออกไปนะ!! อย่าเข้ามาใกล้ลูกฉัน!’
‘นายมันเป็นปีศาจ นายมันผิดมนุษย์!!’
‘ขอโทษนะ แต่พวกเราให้เธออยู่ด้วยไม่ได้’
“พาย...ใจเย็นๆ ครับ”
ผมไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองส่งเสียงออกมาดังแค่ไหน หรือตัวเองตัวสั่นแค่ไหน เสียงของผมแผ่ดขึ้นดังลั่นจนเรียกให้คนผ่านไปผ่านมาหันมามอง มันธ์ดูจะตกใจกับปฏิกริยาของผม เขาเอาแต่พูดปลอบประโลมผม มือก็ลูบหลังผมไปมาไม่หยุด
“พายครับ...ใจเย็นนะครับ”
มันธ์ถอยห่างออกมามองหน้าผมเล็กน้อยตอนพูดประโยคนั้น ก่อนที่จะโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากผมเบาๆ
“ใจเย็นๆ นะครับ...”
มันธ์เลื่อนริมฝีปากมาสัมผัสที่เปลือกตาผม
“ผมอยู่ตรงนี้นะครับ”
ริมฝีปากเลื่อนมาซับน้ำตาที่แก้มอย่างบางเบา
“ผมอยู่ข้างๆ พายนะครับ”
ริมฝีปากเรียวบางนั้นเลื่อนมาสัมผัสกับริมฝีปากร้อนของผม มันธ์ออกแรงกดสัมผัสนั้นหนักขึ้นเล็กน้อยราวกับจะตอกย้ำคำพูดของเขา ว่าเขายังอยู่ตรงนี้...อยู่ข้างๆ ผมนี้....
มันธ์ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิง หน้าผากยังคงแนบชิดติดกับหน้าผากผม ใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่คืบ
“ผมรักพายนะครับ”
สัมผัสเดิมจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง แต่คราวนี้สัมผัสนั้นกลับรุนแรงขึ้นมาเล็กน้อย ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาจากสัมผัสนั้นทำผมเผลอตอบรับการกระทำนั้นกลับไปอย่างไม่รู้ตัว
จนกระทั่งผมแทบจะหมดลมหายใจนั่นแหละอีกฝ่ายถึงปล่อยริมผีปากผมให้เป็นอิสระ แต่ยังคงไม่คลายอ้อมกอดที่สัมผัสตรงกันข้าม มันกลับรัดแน่นขึ้นมาอีกครั้ง
ผมยืนรับสัมผัสไออุ่นของอ้อมกอดนั้นอยู่สักพักจนจิตใจเริ่มรู้สึกสงบขึ้น
มันธ์มองผมอย่างยิ้มๆ ก้มหัวลงมาเอาหน้าผากของตัวเองโขกกับหน้าผากผมเบาๆ หนึ่งครั้ง ทำเอาผมได้แต่ทำหน้างุนงงว่าอีกฝ่ายทำอะไร
“หยุดร้องแล้วสินะครับ”
จริงสิ...น้ำตาผมหยุดไหลแล้ว
ยังไม่ทันที่ผมจะเอามือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่ อีกฝ่ายก็ใช้มือข้างหนึ่งขึ้นมาเช็ดน้ำตาของผมเสียแล้ว
มันธ์ปาดคราบน้ำตาออกจากแก้มของผมไปมา ก่อนจะกลับไปกอดผมแน่นเหมือนเดิม
“ร้องไห้เสร็จแล้วหิวไหมครับ? ไปกินข้าวกันไหม?” เขาถามขึ้นราวกับผมเป็นเด็กที่ร้องไห้งอแงเสร็จแล้วมักบ่นหิวข้าว ผมได้แต่เหล่มองคนสูงกว่านิดๆ
“ว่าไงครับ ไปกินข้าวไหมครับ? อ่ะ! หรือจะกินผมดี?” ไม่ว่าเปล่า มันธ์ดันก้มหน้าลงมาฉกฉวยริมฝีปากผมอย่างเบาๆ ไปอีกหนึ่งที
“อยากกลับคอนโด”
ผมได้แต่หน้ายู่ใส่คนฉวยโอกาส ก่อนจะตอบอีกฝ่ายไปตามความจริง ตอนนี้ผมอยากกลับพักผ่อน อยากนอนแผ่หลาบนเตียง ดูถ้าว่าผมจะร้องไห้ออกไปหนักกว่าที่คิด ถึงได้รู้สึกแสบคอ ปวดตา ขนาดนี้ ใครว่าร้องไห้แล้วไม่เหนื่อย ผมขอเถียง
“โอ๊ะ! พายจะกินผมหรอครับ ได้เลยครับ! ไปครับรีบกลับคอนโดกันเถอะ!!”
ผมได้แต่เอามือเคาะหัวคนเด็กกว่าไปทีนึง โทษฐานมาพูดอะไรลามก แต่แล้วอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือผมไว้ทันที ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วทั้งสองข้างบังคับให้ผมแบมือออก
“เจ็บไหมครับ?”
ผมก้มลงมองตามสายตาที่เขามองมือผม... อ่าจริงสินะผมโดนแก้วบาด
เพราะกลับร่างเดิมทำให้ผ้าพันแผลที่พันไว้อย่างดีจึงหลุดหลุยเนื่องจากขนาดมือที่ขยายใหญ่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแผลที่มีขนาดใหญ่อยู่กลางฝ่ามือแมว ก็ราวกลับขยายใหญ่ตามมือผมด้วย ทำให้ตอนนี้กลางฝ่ามือผมมีรอยแผลเป็นรอยบาดขนาดใหญ่ เลือดที่เคยแห้งไปแล้วกลับมามีเลือดซึมออกมาอีกครั้ง
มันธ์ก้มลงมาจูบมือผมเบาๆ
“ขอโทษนะครับที่ทำให้บาดเจ็บ”
“ไม่หรอก มันไม่ใช้ความผิดของมันธ์ครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้เริ่มทำหน้าเหมือนเด็กน้อยทำความผิดมา
“แต่ก็เจ็บใช่ไหมครับ...ที่แก้วมันแตกยังไงก็เป็นเพราะผม ดังนั้นมองยังไงๆ ผมก็ผิด”
“ไม่เอาน่า...อย่าคิดมากสิ”
“แต่ว่า...!!”
“หยุดโทษตัวเองเลยครับ! ไปครับกลับคอนโดดีกว่า ไหนมันธ์บอกจะให้ผมกินมันธ์ไง? ผมหิวจะแย่แล้วอยากรีบกลับไปกินมันธ์แล้วเนี่ย”
เพราะพูดล้อเล่นตามมุกของอีกฝ่าย จึงทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงกว่าทุกครั้ง แต่ก็ดีกว่าทำหน้าเศร้าแบบเมื่อกี้ล่ะนะ
ผมพลิกมือของอีกฝ่ายมาจับไว้หลวมๆ ก่อนจะค่อยๆ ดึงร่างสูงมาที่ประตูฝั่งคนขับ ผมเปิดประตูแล้วดันให้อีกฝ่ายไปนั่ง ซึ่งมันธ์ก็ยอมนั่งดีๆ ส่วนตัวผมก็กลับไปนั่งที่ข้างคนขับ
“ไปครับเรากลับไปกินกันดีกว่า” ผมพูดแซวไปอีกครั้ง จนอีกฝ่ายหัวเราะขึ้นมานิดๆ แล้วยอมสตาร์ทรถ ขับออกมา
ตลอดทางมันธ์ก็เอาแต่นิ่งเงียบ ในขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้ามองเข่าตัวเอง...แม้อีกฝ่ายไม่ถามอะไรผม แต่ผมก็รู้สึกว่าควรจะบอกอะไรอีกฝ่ายบ้าง แต่จะพูดยังไงดีล่ะ?
ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงคอนโด พอผมก้าวขาลงจากรถมันธ์ก็รับเดินมาหาผม แล้วฉวยมือข้างที่ไม่เจ็บของผมไปจับ เขาบีบมือผมนิดๆ ก่อนจะจูงผมไปทางคอนโด
จนตอนนี้เข้ามาในห้องของมันธ์แล้วเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือผม เขาลากผมมานั่งที่โซฟา ส่วนตัวเองก็เดินไปหยิบกล่องยามาแล้วนั่งลงข้างๆ ผม
มันธ์จับมือข้างที่บาดเจ็บ ก่อนจะก้มลงมองมัน
“เจ็บไหมครับ?”
ปากก็ยังคงถามคำถามเดิมกับที่ถามผมเมื่อสักครู่
ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ตอบอีกฝ่าย “ไม่เจ็บครับ เลิกเครียดได้แล้ว”
“ครับ” ว่าแล้วก็กลับไปเงียบก้มหน้าก้มตาทำแผลให้ผม พอทำเสร็จก็เงยหน้ามามองผมสายตายังคงเสร้าสร้อยเหมือนเดิม เห็นอย่างนั้นผมเลยก้มหน้าจูบคนตรงหน้าหนึ่งทีและรีบดึงหน้าตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว สัมผัสได้ถึงความร้อนของหน้าที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำเองเขินกว่าโดนกระทำเยอะเลย
“ไม่เศร้าแล้วนะครับ”
ฝ่ายถูกจูบดูยังยังไม่หายอึ้ง ผมเลยรีบก้มลงไปจุ๊บเร็วๆ อีกหนึ่งที
“กลับมาเป็นมันธ์คนเดิมได้แล้วครับ”
“…”
ยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิมไม่ตอบอะไร
“ถ้ายังไม่กลับมาเหมือนเดิมผมกลับห้องแล้วนะ” ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นทันที แต่อีกฝ่ายก็คว้ามือผมไว้ก่อนจะดึงตัวผมไปในอ้อมกอด
“จุ๊บแบบเมื่อกี้ไม่พอหรอกครับ มันต้องแบบนี้”
มันธ์ก้มลงจูบผมอย่างทันที ริมฝีปากเรียวของเขากดริมฝีปากผมหนักขึ้น บังคับให้ผมอ้าปากออก ก่อนจะค่อยๆ แทรกลิ้นเข้ามาอย่างละลาบละล้วง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ผมไม่รู้ รู้ตัวอีกทีผมก็หายใจไม่ทัน มันธ์จึงยอมปล่อยริมฝีปากผมเป็นอิสระ แต่ก็เพียงแค่เสียววิ เขาก็ก้มลงมากระหน่ำจูบปากผมอีกครั้งพร้อมโถมน้ำหนักตัวเข้ามาหาผมมากขึ้น ส่งผลให้ผมล้มไปบนโซฟาทันที ปากที่ยังประกบกันอย่างไม่หยุดทำให้อีกฝ่ายก็ล้มตัวลงมาอยู่บนตัวผมด้วยเช่นกัน
มันธ์ยังคงจูบผมไม่หยุด ราวกับโหยหาอยากจะกลืนกินปากผม มือข้างหนึ่งจับใบหน้าผม ไม่ให้หลีกหนีจากการรับจูบที่หนักหน่วงนี้ ส่วมมืออีกข้างก็ค่อยๆ ไล้มายังร่างกายผมก่อนจะปลดกระดุมออกอย่างชำนาน พอมือเย็นๆ ของอีกฝ่ายสัมผัสหน้าอกที่เปลือยเปล่าของผมผมก็รีบจับมือของอีกฝ่ายทันทีราวกับได้สติ
“มันธ์ครับ...ไม่เอาครับ”
เขาหยุดการกระทำ ก่อนจะมองหน้าผมราวกับถูกขัดใจ
“ไม่-เอา-ครับ” ผมพูดขึ้นดังชัดอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงมาทำเอาผมหลับตาปี๋เตรียมรับสัมผัสจูบที่รุนแรงอีกครั้ง แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นเบาๆ ที่หน้าผาก ผมรีบลืมตาขึ้นทันทีเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกจากหน้าผากผม
“ครับ...ถ้าพายยังไม่พร้อมก็ไม่ทำครับ” ว่าแล้วเขาก็ยิ้มให้ผมเบาๆ และลุกขึ้นออกจากตัวผม จากนั้นก็หันมาดึงตัวผมให้ลุกไปนั่งเช่นกัน
มันธ์หันมาติดกระดุมเสื้อให้ผม มือก็ลูบหน้าผม นิ้วค่อยๆ เลื่อนมาสัมผัสริมฝีปากผม สายตามองตามนิ้วนั้นอย่างโหยหา
“ทำแบบนี้บ่อยๆ นะครับผมชอบ” ว่าแล้วก็แจกรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้งขึ้นมาอีกที ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
“พอเลย ไม่ทำแล้ว”
ผมลุกขึ้นหนีคนตรงหน้าทันที อีกฝ่ายก็เดินตามมาอย่างไม่ลดละ จนผมเดินผ่านห้องครัวถึงทันสังเกตเห็นเจ้าแมวทั้งสองตัว
“อ่ะ ลืมไปเลยว่าเจ้าหมูกรอบกับเจ้าเต้าหู้อยู่ด้วย” มันธ์พูดขึ้นทันทีเมื่อมาหยุดอยู่ข้างหลังผม
“หืม? หมูกรอบกับเต้าหู้คืออะไร?” ผมรีบหันกลับไปถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“อ่า...พายไม่ได้อ่านไลน์หรอครับ ก็ที่ผมบอกไงว่าผมไม่รู้ชื่อพวกมัน ผมเลยตั้งชื่อพวกมันให้”
พูดแล้วก็นึกได้ เหมือนอีกฝ่ายไลน์มาถามผมจริงๆ แหละ แต่ตอนนั้นมก็วุ่นๆ เลยไม่ทันได้สนใจ กลายเป็นว่าแมวผมมีชื่อใหม่เฉยเลย
“จริงๆ พวกมันชื่อไข่แดงกับไข่ขาวนะครับ”
“อ้าวหรอครับ ชื่อน่ารักดีนะครับ น่ารักเหมือนเจ้าของ” ใบหน้ายิ้มทะเล้นกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง