<< ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4  (อ่าน 9365 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0






บทที่ 11 แมวของผม...กับสถานที่ในอดีต





           RRRRR

           เสียงโทรศัพท์ปลุกผมตื่นจากการหลับไหลในวันจันทร์ที่ผมไม่มีงาน พอมองหน้าจอก็พบว่าเป็นเสียงเรียกเข้าจากเพื่อนรักที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสามอาทิตย์เต็ม

           ผมกดรับสายอย่างงัวเงีย กวนตีนมันไปก่อนที่มันจะได้พูดอะไร

            “ยังไม่ตายอีกหรอ?”

           ‘โฮ้~ ไม่ได้คุยกันตั้งนานมึงทักกูอย่างนี้เลยหรอ’

           “เออ ก็มึงเล่นหายไปไม่ติดต่อกูเลย กูทักไลน์ไปแม่งก็ไม่ตอบ แล้วมึงยังส่งรูปอะไรก็ไม่รู้กับพิมพ์ภาษาอะไรไม่รู้ให้กูอีก”

           ‘เชี้ย? จริงดิ?? กูส่งไรไปวะ??’   

            แล้วมันก็เงียบหายไปสักพักผมเดาว่ามันคงหายไปเปิดไลน์ แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงมันอุทานไม่เป็นคำก่อนมันจะกลับมาพูดกับผม   

           ‘ไอเหี้ยมึงลืมๆ ไปไม่มีอะไรหรอก’

            “เออ กูก็ไม่ได้สนใจอะไร มึงกลับมาจากญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

            ‘กลับมานานแล้ว ตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้วนู่น’

            “เออๆ ว่าแต่โทรมามีไร??”

            ‘กูมีเรื่องจะรบกวน ยังไงมึงมาที่ห้องกูก่อน’

           “อะไรวะ?? มึงก็ขึ้นมาห้องกูดิ”

           ‘เถอะน่า...มาห้องกูเถอะ กูไปหามึงไม่ไหวแล้วววว’

           อะไรของมันวะ?? สุดท้ายผมได้แต่เออออ ยอมตามใจมัน ผมวางสายก่อนจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ปิดห้องให้เรียบร้อย ปล่อยเจ้าแมวสองตัวเดินป้วนเปี้ยนไปมาในห้อง

           ผมเดินลงมาที่ห้อง 505 ซึ่งเป็นห้องด้านล่างของห้องมันธ์พอดี กดกริ่งไปสักพัก เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นมาทันที


           NewBalancez : เข้ามาเลย รหัสเดิม

   

            ผมก็กดรหัสเข้าห้องมันตามที่เคยจำได้ โดยไม่ได้สนใจว่าในมือเสียงแอพลิเคชั่นไลน์กำลังดังขึ้นต่อเนื่องอย่างระรัวแค่ไหน พอเข้าไปก็ได้ยินเสียงมันตะโกนมาจากห้องนอน เลยเดินเข้าไปตามเสียงเรียกนั้น ผ่านห้องนั่งเล่นที่มีแต่กล่องอะไรไม่รู้วางระเกะระกะเต็มไปหมด พอมาถึงห้องนอนก็เห็นสภาพเพื่อนรักที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงห่มผ้าห่มจนมิด มีแต่หัวทุยๆ ขอมันโผล่พ้นผ้าออกมา

            “มีอะไรวะ??”

            “มึงดูในไลน์ๆ”

               “??”

            ผมก้มลงไปดูตามที่มันบอกอย่างผ่านๆ ตา พบว่าเสียงแจ้งเตือนเมื่อครู่ก็มาจากคนตรงหน้านี่แหละ มันส่งรูปศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นมาให้ผมประมาณสิบกว่ารูปได้

            “ศาลเจ้า?”

            “เออ”

            “ทำไมอ่ะ? ไม่เข้าใจ?? แล้วมึงกลับมาจากญี่ปุ่นเป็นอาทิตย์แล้วทำไมเพิ่งเอารูปมาอวดกู?”

            “ขอสารภาพ พอดีมันวุ่นๆ แล้วกูเลยลืมไป เพิ่งนึกได้อ่ะ แฮะๆ...”

            “……”

            ผมได้แต่ทำหน้ายุ่งคิ้วขมวดใส่มัน

            “เออน่า สาระสำคัญไม่ใช่กูจะอวดรูปเว้ย คืองี้ ศาลเจ้าในรูปอ่ะอยู่แทบคันไซ กูกับบอสไปเจอโดยบังเอิญ”

            แล้วยังไงล่ะ?? ศาลเจ้ามันทำไม?? มันก็สวยดีนะ แต่นี่คือเรื่องสำคัญที่มันถึงกับลากให้ผมมาที่ห้องมันเลย??

            “ตอนแรกกูก็ไปเฉยๆ เห็นผ่านแล้วสวยดี แต่ที่พีคคือมึงดูรูปที่กูส่งไป เห็นป่ะ รอบๆ วัดแม่งมีแต่รูปปั้นแมวเต็มไปหมด แถมในวัดก็แมวเยอะมากๆ”

            “เห็น แล้วแปลกอะไรวะ?? คือตามศาลเจ้าปกติก็มีรูปปั้นนั่นนี่เป็นปกติมะ?”

            “เออ ก็ไม่แปลกอย่างที่มึงว่า แต่ที่แปลกคือนี่ มึงดูๆ ประมาณรูปที่ห้าที่กูส่งไป”

           ผมลองเลื่อนๆ ดู ก็พบภาพหนึ่งที่ต่างจากภาพอื่นๆ มันเป็นภาพผ้าแขวนผนัง แต่ลายผ้าแขวนนั้นกลับเห็นไม่ชัดเพราะภาพสั่นเกินไป

           “ผ้าแขวนอะไรวะ? แล้วทำไมภาพสั่นขนาดนี้”

            “ก็กูแอบถ่ายอ่ะดิ เขาไม่ให้ถ่ายรูปพวกผ้าแขวน แต่กูตื่นเต้นจัดเลยแอบถ่ายมาให้มึง”

            “แล้วสรุปมันคือผ้าแขวนอะไร?”

             “มันเป็นรูปแมวค่อยๆ กลายเป็นคน!!!”

            “หืม? หมายความว่าไง?”

            “กูก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดว่ะ วันนั้นพระที่วัดไม่อยู่วัดกัน มีแต่มิโกะอยู่นิดหน่อย กูไปถามแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไร”

            “อ้าว...”

            “เออ ขอโทษด้วย แต่กูว่ามันอาจจะเป็นเบาะแสถึงอาการของมึงก็ได้นะ”

           “หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่รูปวาดจากตำนานปรัมปราไม่มีอะไรก็ได้” ผมพูดขัดคนที่นอนบนเตียง ข้อมูลใหม่ที่นิวได้รับมามันก็น่าสนใจอยู่หรอก...แต่มองในอีกแง่มุม มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ กับข้อมูลที่ได้มา ก่อนจะเปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่น ปล่อยจางเรื่องนี้ไป

           “มึงเรียกกูมาแค่นี้?”

           “เปล่า...จริงๆ มีเรื่องจะรบกวน”

           “??”

           “คือวันนี้กูต้องเอาเอกสารกับของไปให้ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแทนแม่อ่ะ แต่คือกูไปไม่ไหว มึงเอาไปให้หน่อยดิ ของทั้งหมดอยู่ในห้องนั่งเล่นนะ เออแล้ววันนี้ที่นั่นมีงาน มึงไปช่วยถ่ายรูปด้วยดิ งานเริ่มบ่ายๆ”

           “อ้าว แล้วทำไมมึงไม่ไปเอง? หรือแผลผ่าตัดไส้ติ่งมึงยังไม่หาย? แต่ก็ครบเดือนแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมเป็นนานจัง”

           “แผลอ่ะยังไม่หายแต่ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ก็แบบ...กูป่วยนิดหน่อย กูรู้ว่ามึงไม่อยากไป แต่กูไม่ไหวจริงๆ คนเก่าๆ ที่อยู่ที่นั่นก็ไม่อยู่กันแล้ว ไม่มีใครรู้จักมึงหรอก มึงไม่ต้องกลัว”

           มันรีบพูดหวังให้ผมตกลง มันก็น่าจะรู้ว่าที่นั่นแม้จะเป็นที่มีพระคุณกับผม แต่ผมก็ไม่ค่อยอยากจะกลับไปเหยียบที่นั่นสักเท่าไหร่...แต่ก็จริงของมัน ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นเกือบสิบปีแล้วต่างกับนิวที่กลับไปที่นั่นเป็นประจำเพราะส่วนนึงคือมันต้องไปคอยดูแลแทนแม่ ในขณะที่ผมพอออกมาจากที่นั่นก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย มีเพียงแต่ส่งเงินไปให้ทุกเดือนก็แค่นั้น ว่าแต่มันป่วยอะไรของมัน ก็เห็นสภาพปกติดี

           “ป่วยอะไร?”

           “เออน่า...มึงช่วยกูหน่อย”

           อยากจะด่าแต่เห็นสายตาอ้อนวอนของมันก็ด่าไม่ลง

           “เออ ก็ได้ เดี๋ยวกูไปให้ แล้วไหนเอกสาร?”

           “อยู่นี่ๆ”

           ว่าแล้วมันก็เอื้อมมือออกมาเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นรอยที่แขนของมันเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด

           “แขนมึงไปโดนอะไรมาวะ?”

           ได้ยินแบบนั้นมันรีบชักมือกลับมาในผ้าห่มทันที แต่เพราะมันทำแบบนั้นทำให้ผ้าห่มหลุดออกมาแว่บหนึ่งจนผมเห็นว่าไม่ใช่แขนที่เป็นรอยจ้ำ แต่บริเวณลำคอมันก็มีรอยเช่นกัน

           “มึงไปโดนอะไรมา แพ้อะไรหรอ?? หาหมอยัง??”

           “เออ ไม่เป็นไรหรอก”

           ว่าแล้วมันก็เลิกสนใจผม หันมาเอื้อมมาที่หัวเตียงหยิบเอกสารที่ผมถามหาเมื่อสักครู่ แต่เพราะมันเอื้อมหยิบในท่าที่นอนอยู่อย่างขี้เกียจมันเลยดูทุลักทุเลไม่ได้สักที

            “มึงจะขี้เกียจไปไหน ลุกมาหยิบดีๆ ดิวะ”

           ท่าทางของมันเหมือนไม่อยากให้ส่วนใดๆ ของร่างกายยื่นออกมาจากผ้าห่ม สุดท้ายมันเลยส่งผลคนตรงหน้าดูเก้ๆ กังๆ ด้วยความรำคาญผมเลยฉุดแขนมันให้ลุกขึ้นมาเบาๆ จังหวะนั้นเองที่ผมแอบเหลือบเห็นรอยจ้ำใต้เสื้อของมันที่ดูจะมีเยอะกว่าภายนอกเสื้อผ้าที่ผมเห็นเมื่อกี้ด้วยซ้ำ!!

            “มึงถอดเสื้อเดี๋ยวนี้!!” ผมสั่งมันเสียงเข้ม

            “อะ…อะไร?!!”

            “ถอด-เดี๋ยว-นี้!!”

             มันทำท่ายึกยักไม่ยอดถอดสักที่ผมเลยตรงเข้าไปจับคนตรงหน้าถอดเสื้อออก ฝ่ายถูกจับให้ถอดเสื้อก็รีบกอดอกหวังจะปิดบังร่างกายตัวเองทันที แต่ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่ามันไม่ได้ช่วยปิดอะไรหรอก....

             “มึงเป็นอะไรเนี่ย? นี่ไม่ใช่รอยแพ้แล้วมั้ง บางรอยดูเป็นรอยช้ำด้วยซ้ำ แล้วทำไมเป็นเยอะขนาดนี้?”

             “ไม่มีอะไรหรอก...เนี่ยมึงก็เห็นสภาพกูแล้วนี่ จะให้กูไปเองกูก็กลัวโดนถามจนเดือดร้อนไปเข้าหูแม่กูอีก ขี้เกียจตอบคำถาม”

            “งั้นมึงต้องตอบกู สรุปเป็นอะไร ไปกินอะไรผิดสำแดงที่ญี่ปุ่น?”

             “เปล่า”

             “อ้าว...แล้วสรุปมึงเป็นอะไร มัวแต่อุบอิบอยู่นั่นแหละ แล้วกินยายัง”

             “กินแล้ว”

              “สรุปเป็นไร?”

              “…”

             มันก็เอาแต่เงียบ ไม่ยอมพูดอะไร ผมก็เงียบจ้องหน้ากดดันมันเบาๆ จนสุดท้ายมันได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยอมตอบคำถามผม

              “กูไม่ได้เป็นไรหรอกมึง..คือแบบ”

              “แบบ?”

              “คือเมื่อคืน...คือบอส”

              “….”

              แล้วมันก็เงียบอีก ไม่ยอมพูดอะไรต่อ แต่หน้ากลับขึ้นสีแดงขึ้นมาเรื่อยๆ

             “บอส?? คุณธาริณ?”

             “เออ”

             “คุณธาริณเกี่ยวอะไร?”

              “กะ...ก็ คุณธาริณของมึงนั่นแหละที่ทำกูเป็นแบบนี้”

             มันรีบพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะดึงผ้าห่มแล้วมุดหน้าลงไป หนีหน้าผมทันที

             เหี้ย! เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันพูดอะไรนะ?

              ผมมองปฏิกริยาเพื่อนตรงหน้า ก่อนจะนึกทวนคำพูดมัน นึกสภาพร่างกายของมันตอนนี้ ผลลัพธ์ก็ชัดเจนมีอยู่เพียงคำตอบเดียว

             “เหี้ย! ได้ยังไง?? มึงกับคุณธาริณ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?? ไอ้เหี้ย ไอ้นิวมึงโผล่ออกมาคุยกับกูก่อน”

              ผมพยายามดึงผ้าห่มมันออกมาแต่คราวนี้คนใต้ผ้าห่มกลับจับไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้หลุดออกมา

              “ไอ้นิววววว โผล่หน้ามาพูดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะบอกแม่มึง!!”
 
               คราวนี้ได้ผล มันยอมโผล่หัวยุ่งๆ ของตัวเองออกมา

              “สรุปยังไง? มึงกับบอสคบกัน?”

              “อือ”

             “ตั้งแต่เมื่อไหร่??”

              “ปีที่แล้ว”

             “เหี้ย! นานขนาดนั้นทำไมกูไม่รู้วะ??”

             “ก็กูไม่กล้าบอก กลัวมึงจะรู้สึกไม่ดี...”

             คราวนี้ผมได้หันไปมองหน้าคนบนเตียงอย่างจริงๆ จังๆ

             “ทำไมมึงคิดแบบนั้น? มึงคิดว่ากูจะใจแคบรับไม่ได้ที่เพื่อนคบกับผู้ชาย?? มึงยังรับได้ที่กูมีร่างกายประหลาดแบบนี้ได้ อะไรทำให้มึงคิดวะว่าเรื่องแค่นี้กูจะรับไม่ได้”

             ผมเริ่มมีน้ำโหขึ้นมานิดๆ

            “กูขอโทษ เออกูคิดมากไปเอง กูไม่ได้คิดว่ามึงใจแคบเลยนะ มึงอย่าโกรธกูนะ โอ๊ย!!”

            เพราะมันรีบลุกขึ้นมาจับมือผม หวังจะอธิบายให้ผมฟังทำให้ความเจ็บจากแผลผ่าตัดไส้ติ่งที่ยังไม่ทันหายดีก็แล่นขึ้นมา มันเลยร้องขึ้นมาทันที แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผม

            เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

            ผมจับมือของมันแล้วค่อยๆ ดึงออกจากแขนของตัวเอง ปฏิกริยานั้นยิ่งเรียกสีหน้าสลดจากนิวได้เป็นอย่างดี

            ผมได้แต่ถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะจับตัวมันให้ล้มนอนลงแบบเดิม กับมันผมไม่เคยโกรธเกินได้ชั่วโมงเลยจริงๆ

           “มึงนอนไป เดี๋ยวแผลก็ระบมอีก”

           “มึงไม่โกรธกูนะ”

            “เออ ไม่โกรธ แล้วทำไมสภาพมึงเป็นแบบนี้? คุณธาริณรุนแรงกับมึงแบบนี้ตลอดเลยหรอ?”

             ปกติผมไม่เคยสังเกตร่างกายของเพื่อนเลย ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าร่างกายมันจะมีรอยช้ำอะไรเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ประจำอีก ผมคงต้องคุยกับอีกฝ่ายอย่างจริงๆ จังๆ

            “เปล่าหรอก เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

            “มีเรื่อง?”

             “มึง กูไม่เป็นอะไรจริงๆ”

             “ถ้าเขาทำร้ายมึง หรือรุนแรงกับมึง มึงก็ไม่ควรจะฝืนทนนะ ถึงมึงจะรักกันแต่การทำร้ายร่างกายกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”

             “ใจเย็นก่อนพาย บอสไม่ได้รุนแรงหรือทำร้ายร่างกายกูจริงๆ บอสเป็นคนดี มึงไว้ใจได้ กูแฮปปี้ไม่ได้ฝืนอะไร คือแบบมึงก็รู้ใช่ป่ะว่ากูผ่าตัดไส้ติ่งมาเดือนนึงแล้ว”

             “อ่าห้ะ...แล้ว?”

             “ก็นั่นแหละ คือกูเป็นงี้ไง มีแผลผ่าตัด หมอบอกห้ามออกกำลังกายหนัก”

              “…?..”

             “ก็แบบมันก็รวมถึงเรื่องอย่างว่า แล้วแบบก็กูกับบอสก็ไม่ได้ทำมาเป็นเดือนแล้ว...แผลกูก็ยังไม่หายดี บอสเลยแบบทำแค่ภายนอก...จะได้ไม่กระเทือนแผลกูมาก...มันเลยแบบ....” มันพูดไปหน้าก็แดงไปแถมยิ่งพูดหน้าก็ยิ่งค่อยๆ หดหายลงไปใต้ผ้าห่ม ผมเลยขัดมันขึ้นมาทันที

              “พอ...กูเก็ทแล้ว โอเค งั้นมึงนอนพักไป เดี๋ยวกูจัดการเรื่องที่บ้านเด็กกำพร้าให้ ว่าแต่มึงเอายาอะไรเพิ่มเติมไหม หรืออยากได้อะไรหรือเปล่าเดี๋ยวกูไปซื้อให้”

              “ไม่เป็นไรมึง บอสซื้อให้กูไว้หมดแล้ว”

              “โอเคๆ งั้นมึงนอนพักไปๆ เดี๋ยวกูจัดการให้”
   
             ผมเอื้อมหยิบเอกสารในโต๊ะก่อนจะส่งให้มันตรวจเช็คว่าเอกสารนั้นถูกต้องครบถ้วนใช่ไหม ซึ่งมันก็รับไปตรวจก่อนจะส่งคืนเมื่อตรวจความถูกต้องเอกสารครบถ้วน

             “แล้วมึงขนของคนเดียวไหวไหมวะ ของรอบนี้เยอะด้วย เดี๋ยวกูช่วยดีกว่า”
 
                ว่าแล้วมันก็ทำท่าจะลุกมาวยผม โดยไม่เจียมสังขารตัวเองเลย  ผมรีบกดไหล่ให้มันนอนลงไป

             “มึงนอนไปเลย เจ็บแล้วยังไม่เจียมสังขารตัวเองอีก ไหนหมอบอกห้ามออกกำลังกายไง”

              “แต่…"

               “นอนไปเลย”

               มันก็ยังคงทำหน้ากังวลไม่เลิกจนผมบอกจะหาคนมาช่วยนั่นแหละมันถึงทำสีหน้าวางใจลงได้ แต่ยังไม่วายให้ผมเปิดประตูห้องนอนไว้ มันจะได้เห็นว่าผมหาคนมาช่วยขนของจริงๆ ไหม

              สุดท้ายผมเลยได้แต่โทรไปรบกวนให้มันธ์ลงมาช่วย ซึ่งมันธ์ก็ยินดี รีบลงมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นผู้ช่วยผมมาแล้ว เจ้าของห้องก็ดูจะวางใจได้เลยพล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว




              พวกเราใช้เวลาขนประมาณยี่สิบนาที ของทั้งหมดก็มาอยู่บนรถผม พอขนมาเรียบร้อยผมกูรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ จนเซไปเล้กน้อย มันธ์อย่างอย่างนั้นก็รีบเข้ามาประคองผมทันที

              “ไหวไหมครับ?”

               “ผมว่าผมไม่ไหวครับ ...อึก!”

              คราวนี้ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจเต็นแรงขึ้น มันธ์เห็นท่าไม่ดีจึงประคองผมไปนั่งในรถฝั่งข้างคนขับพลางปรับเบาะให้ผมนอนได้สบายๆ ส่วนตัวเขาหยิบกุญแจไปจากมือผมก่อนจะกลับไปที่ฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ แล้วหันมาหาผม

              “ดีขึ้นไหมครับ?”

              “อือ” ผมพึมพำตอบไปเล็กน้อย มือก่ายหน้าผากตัวเอง พยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ

              “พายไปคนเดียวไหวไหม? ให้ผมไปด้วยไหม?”

             “มันธ์ว่างหรอครับวันนี้?”

             “ครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”

             ผมพยักหน้าเบาๆ เห็นแบบนั้นมันธ์จึงส่งมือถือให้ผม ผมรับไปมองนิดนึง มันคือแอพ map ผมพิมจุดหมายปลายทางแล้วส่งมือถือคืน แล้วนอนนิ่งๆ ต่อไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าผมต้องการพักผ่อนเลยปล่อยให้ผมนอนไปอย่างเงียบๆ

             จุดหมายปลายทางครั้งนี้เป็นบ้านเด็กกำพร้าที่ผมเติบโตมา ผมไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าจะไปไหน แต่เขาคงเห็นจากในแมพแล้วแหละ

             พอขับรถไปได้สักพัก ผมก็รู้สึกได้ว่ารถหยุดนิ่ง พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่รอบๆ มองแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง

              “พายกินอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”

              “อือ...อะไรก็ได้”

              “โอเคครับ”

               ผ่านไปสักครู่มันธ์ก็กลับมาพร้อมกับซาลาเปาและชานมปั่นหนึ่งแก้ว

              “พายกินหน่อยนะครับ”

              ผมรับมากินอย่างว่าง่าย พอได้กินน้ำหวานๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ผมนั่งกินต่ออย่างเงียบๆ ส่วนมันธ์ก็กลับไปขับรถต่อ

               พอผมรู้สึกดีขึ้นก็ปรับเบาะให้นั่งขึ้นมานิดหน่อย

              “ขอบคุณนะครับสำหรับอาหาร แล้วก็ที่มาเป็นเพื่อน”

               “ครับ ว่าแต่พายเป็นอะไร ดีขึ้นหรือยังครับ?”

              “ดีขึ้นแล้วๆ แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”

              “เหนื่อย?” มันธ์หันมามองผมอย่างสงสัย คงเพราะปกติคนที่แค่เหนื่อยไม่น่ามีอาการอะไรแบบนี้

             “คือถ้าผมเหนื่อยผมจะรู้สึกหัวใจเต้นผิดปกตินิดหน่อยก่อนจะกลายเป็นแมวน่ะครับ”

             “อ่อ อย่างนี้นี่เอง สรุปคือพายจะกลายเป็นแมวถ้ารู้สึกเหนื่อย?”

            “อือ”

           “แล้วอย่างนี้จะไหวไหมครับ จะไม่กลายเป็นแมวใช่ไหมถ้าเราไปถึงแล้วน่ะ?”

           “ดีขึ้นแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรแล้วล่ะครับ”

           “โอเค...ยังไงพายก็นอนพักต่ออีกหน่อยละกัน กว่าจะถึงน่าจะอีกครึ่งชั่วโมง”

           “อือ ขอบคุณมาก”

           ผมว่า แต่ก็ไม่ได้กลับไปนอนต่อแบบที่อีกฝ่ายบอก ผมหันออกไปดูวิวข้างทางไปเรื่อยเปื่อย พลางคิดถึงเรื่องราวในอดีต

            

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0








                ผมในตอนเด็กนั้นตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ตอนนั้นผมเหมือนเด็กแรกเกิด ที่ฟังใครก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความทรงจำใดๆ เหลืออยู่

           ผมถูกพามาที่บ้านเด็กกำพร้าทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล... ผมถูกจับให้เรียนรู้ใหม่ทั้งหมดทั้งการใช้ชีวิต ภาษา ความรู้ทุกอย่าง อาจจะเพราะแค่สูญเสียความทรงจำจำเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้แต่ทักษะต่างๆ ยังคงไม่ได้เลือนหายตามไปดังนั้นเพียงเวลาแค่หนึ่งปี ผมก็สามารถใช้ชีวิตปกติได้ มีความรู้ตามความสมวัยของตัวเอง แต่แม้ความรู้ของผมจะเพิ่มขึ้นแต่การเข้าสังคมของผมกลับติดลบ...

           ผมไม่สามารถเข้ากับใครได้เลย แรกๆ ผมก็เข้ากับคนอื่นได้จนวันหนึ่งที่จู่ๆ ผมกลายเป็นแมว...ทุกคนต่างตกใจ เขวี้ยงข้าวของใส่ผม ด่าทอว่าผมคือตัวประหลาด และเลิกเล่นเลิกคุยกับผมไป แม้แต่แม่ๆ ที่บ้านเด็กกำพร้าก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ผม มีแต่คุณแม่ใหญ่คนเดียวที่ยังรักผม ไม่รังเกียจผม ช่วยสอนให้ผมรับรู้ร่างกายตัวเอง และสอนถึงการปรับตัวเข้ากับสังคมให้กับผม ให้ผมเก็บมันเป็นความลับ แต่อย่างไรก็ตามท่านก็มีงานเยอะ จึงไม่ค่อยได้ลงมาดูแลเด็กๆ โดยตรง หนึ่งปีที่ผ่านมาผมจึงแทบจะอยู่คนเดียวเกือบตลอดเวลา

           เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองผมจึงถูกเหมาไปว่าน่าจะอายุประมาณเก้าปี หนึ่งปีหลังจากได้อยู่ที่นี่เพราะถูกทุกคนรังเกียจ ผมเลยไม่มีชื่อ ไม่มีใครเรียกก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมีชื่อ...ถ้าจำเป็นต้องเรียกทุกคนก็จะเรียกผมว่าตัวประหลาด ส่วนพวกแม่ๆ ก็จะเรียกผมว่าเด็กใหม่...จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่นิวก้าวเข้ามาในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้... ผมยังจำวันนั้นได้ดี...




           วันนั้นเป็นวันเด็ก ที่ทางบ้านเด็กกำพร้าจัดกิจกรรมให้เด็กได้มานั่งทำสิ่งประดิษฐ์กัน มีหลายหลายให้เด็กเลือกทั้งเพ้นท์กระเป๋า พับกระดาษ วาดรูประบายสี ปั้นดินน้ำมัน ระบายสีปูนปาสเตอร์ ซึ่งผมเลือกอย่างหลัง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจปูนปาสเตอร์ ทั้งห้องเลยมีแค่ผมคนเดียวหรือความจริงทุกคนอาจจะแค่ไม่อยากอยู่ใกล้ผม... ผมนั่งลง แล้วเริ่มลงมือทาสี แต่แล้วก็มีเด็กที่ดูแต่งตัวดีกว่าทุกคนในที่นี้มานั่งข้างๆ ผม เขาหันมาพยายามชวนผมคุย

           “นี่ๆ นายชื่ออะไรหรอ?”

           “…”

           “ว่าไงชื่ออะไร??”

           “…”

           “ทำไมไม่ตอบอ่ะ เราชื่อนิวนะ นายชื่ออะไรอ่ะ?”

           จะเอาชื่ออะไรดีล่ะ ระหว่างตัวประหลาดกับเด็กใหม่? ผมเลือกชื่อที่แย่น้อยกว่าบอกอีกฝ่าย

           “เด็กใหม่”

           “หืม??”

            “ทุกคนเรียกเราว่าเด็กใหม่”

            “สรุปนายชื่อเด็กใหม่??”

            “เปล่า...เราไม่มีชื่อ แต่ทุกคนเรียกเราว่าเด็กใหม่”

            “อ้าว”

            ผมได้แต่เงียบไม่รู้จะพูดอะไร หันกลับไปก้มหน้าก้มตาระบายสีปูนปาสเตอร์ตรงหน้า

            “พาย”

            “หืม?” ผมหันไปหาอย่าสงสัย เมื่อจู่ๆ คนข้างตัวพูดขึ้นมาอีกครั้ง

             “นายชื่อพายไง ดีไหม?”

             “ทำไมต้องชื่อพายอ่ะ”

              “ก็พายอร่อย พายเป็นขนมที่เราชอบกินที่สุดเลยโดยพายแอปเปิ้ล”

              “พายแอปเปิ้ล?”

              “อ้าว!!...นายไม่เคยกินหรอ?”

              ผมรีบส่ายหน้าทันที

              “งั้นเดี๋ยวแป๊ปนะ”

               ว่าแล้วเขาก็รีบลุกออกไปทันที ผมมองตามหลังเล็กๆ ที่วิ่งออกไป เห็นเขาวิ่งไปหาคุณป้าที่แต่งตัวดีคนนึง คุณป้าคนนั้นก็จูงมือเขาเดินหายไป พอเขาลับสายตาไปผมเลยหันกลับมาตั้งใจสร้างสรรค์ผมงานตรงหน้าต่อ จนสุดท้ายผมระบายเสร็จไปเกือบครึ่งหนึ่งก็มีกลิ่นบางอย่างปะทะเข้ากับจมูกผมเต็มๆ ผมหันไปมองสิ่งนั้นทันที

              เด็กชายคนเมื่อกี้กลับมาแล้ว ในมือของเขาถือจาน บนจานนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่

              “นี่ไงพายแอปเปิ้ล นายลองกินสิ”

             ว่าแล้วเขาก็ยื่นจานให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆ มองดูสิ่งที่อยู่ในจาน

              “กินสิๆ”

             เขาคนนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมกิน ผมเลยค่อยๆ ตักอาหารที่อยู่ในจานเข้าปาก รสสัมผัสแรกที่รู้สึกทำเอาผมรู้สึกประหลาด มันหวาน กรอบ อร่อย ผมไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

             พอได้เข้าปากไปคำนึง คำอื่นๆ ก็ตามเข้ามาอย่างรวมเร็ว เพียงแว่บเดียวอาหารในจานก็หมด

             “อร่อยใช่ไหมล่ะ” เขาถามผมอย่างยิ้มๆ

              ผมรีบพยักหน้าตอบไปทันที “อร่อยมากๆ เลย มันคืออะไรหรอ?”

              “พายแอปเปิ้งไง ที่เราบอกเมื่อกี้อ่ะ”

              “อ่อ...อร่อยมากเลย”

             “ถ้านายพอใจงั้นนายก็พอใจชื่อพายใช่ไหม?”

              ผมหันมองคนตรงหน้าอีกครั้ง คิดถึงอาหารที่กิน ...พายอร่อย พายไม่ได้แย่ อย่างน้อยคำว่าพายก็ดีกว่าคำว่าตัวประหลาดหรือเด็กใหม่

              “อือ...ชื่อพายก็ดี...ขอบคุณนะ”

              เขาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้น “งั้นเราชื่อนิวนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะพาย”

              “อือ...ยินดีที่ได้รู้จัก”

               “งั้นต่อจากนี้เรามาเป็นเพื่อนกันนะ”

              พอได้ยินอย่างนี้ผมชะงักไปนิดนึง

              “เอ่อ....”

               “นะ เป็นเพื่อนกัน”

                 ผมลังเลไปมา สุดท้ายถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจบอกอะไรบางอย่างกับคนตรงหน้า

               “คือเราก็อยากเป็นเพื่อนกับนิวนะ...แต่เราเป็นตัวประหลาด นิวอย่าเป็นเพื่อนผมเลย...”

                “หมายความว่าไงอ่ะ?” อีกฝ่ายก็ยังคงทำหน้างง ผมเลยตัดสินใจแสดงให้ดูเลยดีกว่า

                “เอ่อ...เดี๋ยวเราทำให้นิวดู แต่นิวอย่าร้องตกใจหรือเขวี้ยงอะไรใส่ผมนะ” ผมไม่อยากเจออะไรเขวี้ยงใส่อีกแล้ว...

                “ทำไมต้องตกใจ ทำไมต้องเขวี้ยงด้วยอ่ะ??”

                 “เดี๋ยวนิวก็จะเข้าใจเอง”

                 ว่าแล้วผมก็เริ่มวิ่งไปมาทั่วห้อง พอเริ่มสัมผัสปฏิกริยาร่างกายตัวเองได้ผมก็หยุดอยู่ตรงหน้า เพียงเสี้ยววิผมก็กลายเป็นแมว

                  คนตรงหน้าดูตกใจแต่ก็ไม่ได้กรีดร้อง หรือวิ่งหนี หรือเขวี้ยงปูนปาสเตอร์ใส่ผม เขานิ่งไปเพียงนิดเดียวก่อนจะนั่งลง เอามือมาลูบๆ หัวผม

                “พายหรอ?”

                ผมพยักหน้าพลางร้องตอบรับเขา

                “พายจริงๆ ดิ”

               ผมทำเช่นเดิมเพื่อตอบรับเขา

               “เฮ้ย โคตรเจ๋งงงงง เฮ้ย! พายกลายเป็นแมวได้จริงดิ เฮ้ยเจ๋งโคตรรรรรรรรร”

                เขาพูดพลางอุ้มผมชูขึ้นไปมา ร้องดีใจดูสีหน้าตื่นเต้นราวกับเจอเรื่องสนุก ซึ่งเป็นปฏิกริยาเกินคาดมากๆ

              พอนิวเริ่มรู้สึกเหนื่อยเขาก็วางผมลงกับกองเสื้อผ้าของผมเช่นเดิม แล้วก็พูดถามผมนั่นนี่เต็มไปหมดแต่ผมยังคงเป็นแมวทำได้แต่ตอบแค่เมี๊ยว จนสุดท้ายเหมือนนิวจะรู้ตัวสักทีว่าถามผมไปตอนนี้ผมก็ตอบคำถามเขาไม่ได้ เขาเลยได้แต่เปลี่ยนมาลูบหัวผมเล่นไปมา

              ไม่เกินห้านาทีผมก็กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม ผมใส่เสื้อผ้าก่อนเป็นอันดับแรก แล้วอีกฝ่ายก็จู่โจมถามผมทันที

              ผมนั่งคุยกับเขาไปมาจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน นานแล้วที่ผมไม่ได้มีคนคุยเล่นแบบนี้ ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ ยิ่งนิวรู้ความประหลาดของผมแล้วไม่รังเกียจผม ผมยิ่งมีความสุข นับเป็นความสุขในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาก็ว่าได้

               แต่แล้วความสุขของผมก็สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว เมื่อค้นพบว่าแท้จริงแล้วนิวไม่ได้เป็นเด็กที่นี่...นิวเป็นลูกของเจ้าของบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ วันนี้นิวแค่ตามคุณแม่มาด้วยเฉยๆ พอกิจกรรมจบ นิวก็ถูกคุณแม่พาตัวกลับไปทันที แต่ไม่วายนิวก็ยังคงตะโกนให้สัญญากับผมว่าจะกลับมาหาผมบ่อยๆ

               ซึ่งหลังจากวันนั้น นิวก็กลับมาหาผมบ่อยๆ จริงๆ ส่วนมากจะมาหาผมทุกวันเสาร์ เพียงแค่วันเสาร์ที่ผมจะมีความสุข แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว....

                ผ่านไปประมาณปีหนึ่งนิวก็บอกกับผมว่าเขากำลังจะเข้าศึกษาชั้นมัธยม ผมเลยลองไปศึกษาดูและพบว่าผมก็สามารถสอบเทียบและเข้าไปเรียนกับนิวได้ ผมเลยพยายามสุดความสามารถทั้งตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจทำข้อสอบ จนได้ทุน และสอบติดที่เดียวกับนิว หลังจากนั้นเราเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ผมได้เจอมันในทุกๆ วัน เพราะมันเป็นโรงเรียนประจำ ความลับของผมตลอดหกปีที่เรียนโรงเรียนประจำ ก็มีนิวคอยช่วยเหลือ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีมัน ก็คงไม่มีผมในวันนี้ นิวคือคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผม จากคนที่นั่งเงียบไม่กล้าเข้าสังคม กลายเป็นคนที่ยอมเปิดรับสังคมรอบข้าง และปรับตัวที่จะอยู่กับคนทั่วไปให้ได้




             “ถึงแล้วครับพาย”

             เสียงของมันธ์ปลุกผมจากห้วงความทรงจำในวัยเด็ก ผมหันไปมองรอบๆ พื้นที่ที่คุ้นเคย แต่ก็ดูแปลกตาไป ตึกต่างๆ มีการทาสี ปรับแต่งเพิ่มเติม ต้นไม้ที่มีก็ก็ดูจะมีลดน้อยลง แต่ยังดีที่มีเครื่องเล่นเด็กต่างๆ เพิ่มขึ้น

            ผมมองรอบข้างๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมลุกออกไปไหน จนคนข้างๆ ต้องมาสะกิดผมเล็กน้อย

           “พายครับ...ไม่ลงหรอ?”

            “ครับ...ลงครับ”

            แม้ปากพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ยังคงไม่ขยับ ต่างกับคนข้างๆ ที่ลงจากรถไปเป็นที่เรียบร้อย มันธ์เดินมายังฝั่งข้างคนขับ เปิดประตูออก แต่ผมก็ยังคงนั่งนิ่งอย่างนั้น

            มันธ์ค่อยๆ นั่งลงยองๆ ให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับผม

           “พายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

            “ผมกลัวนิดหน่อยน่ะ”

            มือผมสั่นไม่หยุด จนกุมมือของตัวเองเข้าด้วยกัน หวังจะให้มันหยุดสั่น อีกฝ่ายก็เห็นมือของผม เขาเลยจับไว้เบาๆ

            “ผมอยู่ตรงนี้นะครับ พายไม่ต้องกลัวนะ”

             ผมหันมองคนที่จับมืออยู่ ก่อนจะควบคุมลมหายใจของตัวเอง พยายามรวบรวมสติ เพียงไม่กี่นาทีผมก็รู้สึกหยุดสั่น และกล้าที่จะก้าวลงมาจากรถ มันธ์ก็ยังคงจับมือผมไม่ปล่อย

              เราเดินจับมือกันไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในตึก อีกฝ่ายก็ปล่อยมือผม แล้วหันมายิ้มให้ผม ผมเข้าใจถึงการกระทำของอีกฝ่าย เขาคงกลัวว่าคนจะมองไม่ดี

            ผมเดินตรงไปที่ห้องผู้อำนวยการ มันธ์ปล่อยให้ผมเดินเข้าไป ส่วนตัวเองรออยู่ด้านนอก พอเข้าไปก็พบผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่ เขาคือแม่ใหญ่คนเดิม แม่ที่คอยให้ความรักให้กำลังใจผม...น้ำตาผมคลอขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

             “คะ...คุณแม่?”

             “คะ?”

             แม่ใหญ่เงยหน้าขึ้นมามองผม รอยยิ้มใจดีนั้นยังคงเหมือนเดิม ใบหน้านั้นมีริ้วรอยขึ้นมากกว่าในความทรงจำของผม แต่คุณแม่ใหญ่ก็ยังเป็นคุณแม่ใหญ่คนเดิม

               ผมรีบยกมือไหว้คนตรงหน้าทันที คุณแม่ใหญ่รับมือไหว้ผม ใบหน้านั้นฉีกยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะทักผม

             “พายนี่เอง ไม่ได้เจอกันมานานเลยนะ”

              คุณแม่ใหญ่ยังคงจำผมได้...

             ท่านเดินเข้ามาก่อนจะใช้ทิชชู่ค่อยๆ ซับน้ำตาให้ผม

              “เป็นเด็กขี้แยเหมือนเดิมเลยนะ”

              คุณแม่ลูบหัวผมเบาๆด้วยความเอ็นดู ผมรีบโผเข้ากอดท่าน น้ำตาไหลออกมาทันที ผมปล่อยโฮอย่างไม่อาย คุณแม่ได้แต่ลูบหลังพลางปลอบผมไปมา

             เรายืนกอดกันสักพัก พอผมผละอ้อมกอดออก คุณแม่ก็พาผมมานั่ง เราพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และสุดท้ายผมก็ขอโทษท่านที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ถือสาอะไร แถมยังขอบคุณที่ผมคอยส่งเงินกลับมาที่นี่อย่างเป็นประจำ

              ผมแจ้งถึงจุดประสงค์ที่มา ก่อนจะยื่นเอกสารให้ ท่านรับไปตรวจสอบสักพักก่อนจะเก็บใส่ลิ้นชัก แล้วอาสาพาผมเดินสำรวจที่นี่ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธ

             พอออกมาหน้าห้อง ก็พบมันธ์นั่งรออยู่ พอมันธ์เห็นคราบน้ำตาที่ใบหน้าผมเขาก็รีบปรี่เข้ามาหาผมทันที

             “พายเป็นอะไรไปครับ? ทำไมร้องไห้??”

              “ไม่มีอะไรหรอก คุณแม่ครับนี่มันธ์เป็นน้องผมน่ะครับ” ผมแนะนำคนข้างตัวใหญ่คนแก่กว่าได้รู้จัก มันธ์ได้ยินอย่างนั้นก็รีบยกมือไหว้คนข้างตัวผมทันที

               คุณแม่รับไหว้พลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่าย

               เราเดินตามคุณแม่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงที่จัดงานเย็นวันนี้ ท่านเลยขอตัวไปทำงานต่อ ส่วนเรื่องของที่พวกผมเอามา ท่านก็ให้เด็กๆ มาช่วยยก

              ไม่นานนักของทั้งหมดก็ถูกยกออกมาเรียบร้อย สุดท้ายผมเลยเอากล้องขึ้นมาเช็ค

               “ที่ห้อยมันคืออะไรหรอครับ?” จู่ๆ มันก็ถามขึ้น ตอนผมเอากล้องมาลองถ่าย

              “ที่ห้อย?”

               “สายสีน้ำเงินที่ห้อยอยู่น่ะครับ”

               ผมหันไปมองตามที่มันธ์ชี้ ...มันคือสายผ้าสีน้ำเงินซีดเก่าๆ ที่ผมเอามาคล้องกับสายกล้องอีกที

               “ผมเคยเห็นมันครั้งนึตอนอยู่ในห้องพายน่ะ มันเป็นพวงกุญแจหรอครับ? แต่ก็ดูไม่เหมือน”
 
               “อ่อ....ความจริงมันเป็นปลอกคอน่ะ”

               “หืม? ปลอกคอ??”

               “ครับ จริงๆ ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่ามันคือปลอกคอ แต่มันเป็นสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่ผมสูญเสียความทรงจำน่ะ ตอนแรกผมนึกว่าเป็นกำไรข้อมือ แต่มันก็ดูใหญ่เกินไปสำหรับเด็ก จนพอผมได้กลายเป็นแมวอีกครั้งถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือปลอกคอ”

               “หืม? แล้วทำไมพายเอามาทำเป็นที่ห้อยอย่างนี้ล่ะครับ?”

               “มันเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่น่ะครับ มันติดตัวกับผมตั้งแต่ก่อนผมจะสูญเสียความทรงจำผมเลยพกมันเป็นเครื่องรางน่ะ”

                “หรอครับ”

                มันธ์จับมันมองอย่างเหม่อลอย

                “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

                 ผมถามไปแต่มันธ์ก็ยังคงสัมผัสมันไปมา สายตามองสายดังกล่าวอยู่ก็จริง แต่ดูสติจะเลื่อนลอยออกไปไกล

                  “มันธ์ครับ?”

                     ผมส่งเสียงเรียกอีกทีจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว

                “ครับ?”

                 “เป็นอะไรรึเปล่า?”

                 “เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกว่ามันคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก”

                 “หืม? คุ้น?”

                “ช่างมันเถอะครับ ไม่มีอะไรหรอก”




               ใช้เวลาประมาณบ่ายสามงานก็เสร็จเรียบร้อย พวกเราเดินไปลาคุณแม่ใหญ่อีกครั้ง ท่านกอดผมเบาๆ ก่อนจะอวยพรให้พวกเราทั้งสองตามประสาผู้ใหญ่

               ผมได้แต่กอดท่านแน่ๆ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ท่านได้แต่เช็ดน้ำตาให้ผม พลางหัวเราะอย่างเอ็นดู

               ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมก่อนจะกอดท่านแน่นๆ ขึ้นอีกครั้ง คุณแม่ใหญ่ทำท่าจะออกมาส่งผม แต่ผมให้ท่านกลับไปนั่งที่เดิม เพราะไม่อยากให้คุณแม่เหนื่อย

              เราเดินมาเรื่อยๆ จนถึงรถ

             “คราวนี้เดี๋ยวผมขับเองครับ”

             “ผมขับดีกว่า พายจะได้พัก”

              ผมยิ้มให้มันธ์ก่อนจะชูกุญแจรถไปเยาะเย้ยอีกฝ่าย ว่าผมมีกุญแจนะ ดังนั้นผมต้องเป็นคนขับ แต่ยังไม่ทันเปิดประตู อาการเดิมก็จู่โจมขึ้นมาอีกครั้ง ผมเซเข้าไปพิงกับประตูรถ พลางหอบหายใจเล็กน้อย เพียงเสี้ยววิผมก็กลายเป็นแมวไปทันที

             มันธ์เดินเข้ามาอุ้มผม ยกผมขึ้นมาระดับสายตาก่อนจะยิ้มอย่างร้ายกาจให้ผม

              “สรุปผมขับกลับนะครับ”







__________________________
 I'm backkkkkkkkkk.
ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษที่ายไปนานค่ะ มีธุระนั่นนี่ แล้วมีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อย เลยหายไปนาน
หลังจากนี้สัญญาค่ะ จะไม่หายไปนานแบบนี้อีกแล้ววววววว
ขอบคุณทุกคนนะคะที่ยังติดตามกันอยู่ พวกคุณคือกำลังใจที่สำคัญของเรา <3

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มาแล้วๆๆ ดีใจมากๆเลย มันธ์บอกว่าปลอกคอคุ้นๆ ต้องมีะไรบางอย่างแน่เลย รอตอนต่อไปจ้า เป็นกลจให้นักเขียนนะคะสู้ๆ :กอด1: :L1:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เพราะอะไรถึงต้องเป็นแมวน้า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขอเดาว่า  พายกับมันธ์ต้องเคยเจอกันมาก่อนตอนเป็นเด็กแน่ ๆ เลย  และเป็นช่วงเวลาก่อนที่ความทรงจำของพายจะหายไปนั่นแหละ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ปริศนากำลังจะเฉลยใช่มั้ยๆๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
มันธ์เคยเจอพายมาก่อนหรอ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Noina_Pn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ M_mA

  • เด้กน้อยที่จมอยู่กับความฝัน....
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อยากรู้อดีตของน้องง!! มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้้นนนนนนน!!!

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :mew2:
ติดตามๆ มีอะไรในอดีต
 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :call: :call: :call:

เกือบครบ 1  เดือนแล้วที่น้องแมวหายไป

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :call: :call: :call:

ไข่แดงตัวอ้วน  รีบกลับเข้าเล้าเถอะลูก

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด