<< ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4  (อ่าน 9390 ครั้ง)

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ความลับจะปิดได้อีกนานสั้ยเนี่ยะ

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บทที่ 7 : แมวของผม...สอนเลี้ยงแมว





           “ขอบคุณมากนะนิวที่ช่วย” นี่คือประโยคแรกที่ผมพูดขึ้นเมื่อกลับมาร่างเดิม

           “อือ ก็เกือบไปเหมือนกัน ตอนแรกกูก็สงสัยทำไมมีเสื้อกับกระเป๋ามาอยู่หน้ารถกู แต่ดูคุ้นๆ เลยเปิดกระเป๋าดูถึงรู้ว่าเป็นของมึง ใช้เวลาคิดสักนิดก็เลยรู้ว่ามึงน่าจะเป็นแมวไป”

           เมื่อช่วงเย็น ผมทำงานอยู่ดีๆ ก็รู้สึกใจเต้นผิดปกติ พอกลับมาถึงคอนโดจู่ๆ ก็กลายเป็นแมวไปทันที โชคดีที่ไม่มีใครเห็น แต่ก็โชคร้ายที่ดันกลายเป็นแมวทั้งๆ ที่อยู่นอกคอนโด จะกลับไปห้องตัวเองก็เข้าคอนโดไม่ได้ ตอนแรกผมจะส่งข้อความหาไอ้นิวเพื่อบอกให้มันมาช่วย แต่มือแมวๆ ของผมเนี่ยมันดันกดหน้าจอมือถือไม่ติด!! สุดท้ายผมเลยได้แต่คาบกระเป๋ากับเสื้อเชิ้ตไปวางไว้บนรถไอ้นิวหวังว่าถ้ามันกลับมาถึงคอนโดแล้วเห็นของอยู่บนรถมันน่าจะเดาได้ แต่ก็ต้องภาวนาอีกอยู่ดีเพราะไม่รู้ว่ามันจะเดินมาที่รถหรือเปล่า ทุกวันนี้มันก็มีสารถีคอยเทียวไปเทียวมารับส่งอยู่ จนแทบไม่ได้แตะลูกรักคันโปรดของมันมาหลายเดือน แต่ก็นะ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว มันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

           พอผมเดินกลับมาหน้าคอนโดเพื่อมาเอากางเกงกับรองเท้าไปไว้ที่รถไอ้นิว ผมก็เห็นคนคุ้นหน้าเดินออกมาจากคอนโดพอดี จังหวะนั้นถ้าผมคาบกางเกงกับรองเท้านี่ไปตอนนี้เขาต้องสังเกตเห็นแน่ๆ ผมเลยรีบเอาเสื้อผ้าที่เหลือไปซุกไว้แถวพุ่มไม้ตรงนั้น แต่ด้วยความรีบร้อน กุญแจคีย์การ์ดก็เลยล่นออกมาจากกระเป๋า ผมคาบมันขึ้นมาหวังจะรีบวิ่งไปแอบแถวนี้ก่อน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วอีกฝ่ายเห็นผมเสียก่อน.... นั่นแหละแล้วผมก็โดนพาเข้ามาในห้องของอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจหนัก...

           แต่ก็แปลกวันนี้ผมว่าผมก็ไม่ได้เหนื่อยมากอะไรนะ แต่ทำไมกลายเป็นแมวไปก็ไม่รู้

           “เออว่าแต่ มึงรู้ได้ไงอ่ะว่ากูอยู่ห้องนั้น?” ผมถามขึ้นเพราะผมแค่ส่งสัญญาณบอกมันเป็นนัยว่าผมกลายเป็นแมวเองนะ ไม่ได้บอกอะไรไว้ว่าอยู่ที่ไหน

           “กูไม่รู้หรอก”

           “อ้าว? หมายความว่ายังไง?”

           “เอาจริงต้องบอกเลยนะว่ามึงเนี่ยโชคดีมากที่กูออกจากโรงพยาบาลวันนี้ แล้วบอสต้องการเอกสารที่กูลืมไว้ในรถพอดีเลยเดินไปดู ไม่งั้นกูก็ไม่เห็นเสื้อผ้ามึงหรอก เออถ้ากูไม่เห็นเสื้อกับกระเป๋ามึงขึ้นมามึงจะทำยังไง?” ประโยคหลังมันหันมาถามผม โดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย

           “กูก็กะซ่อนอยู่แถวนั้น รอจนกว่าเป็นคนนั่นแหละ แต่ก็เกิดเหตุนิดหน่อย แล้วสรุปมึงเจอกูได้ไง?”

             “ก็นั่นแหละกูเห็นกระเป๋ากับเสื้อมึงเลยเดาได้ว่ามึงกลายเป็นแมว”

           “…” ผมเงียบไม่ขัดจังหวะมันเล่า รอฟังมันให้จบ

             “แล้วทีนี้กูเลยมองหามึงที่ลานจอดรถก็ไม่เจอ เลยเรียกบอสมาช่วยหา ก็ยังไม่เจอ จนฝนตก”

           พอผมได้ยินถึงตรงนี้ผมเลยรีบขัดจังหวะมันขึ้นมาทันที

            “เดี๋ยวนะ...มึงบอกคุณธาริณเรื่องกูหรอ?” 

            “เปล่า~ กูไม่ได้บอก กูบอกบอสว่าเห็นแมวของมึงวิ่งอยู่เลยให้ช่วยหา บอสก็บอกให้กูโทรหามึง กูก็แถๆ ไปว่าโทรแล้วไม่รับ”

            “อ่อ...ก็แล้วไป” ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจบอสของไอ้นิวหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ ผมกลัวการถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด ผมไม่อยากให้ใครมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว...

             “เออนั่นแหละ แล้วกูก็นึกได้ว่าถ้ามึงกลายเป็นแมว ก็ให้แมวมึงช่วยหาน่าจะช่วยอะไรได้มากกว่ากูกับบอส กูเลยขอบอสขึ้นมาห้องมึงให้เขาหาอยู่ข้างล่าง พอเข้ามาในห้องกูเลยให้เจ้าแมวสองตัวนั่นช่วยหามึง”

             ผมไม่ค่อยแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน เพราะนิวมันรู้รหัสห้องผมอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่มันจะเข้าไปในห้องผมได้

             “โชคดีนะที่แมวมึงรู้จริงๆ กูเห็นมันวิ่งไปดมๆ ที่ห้องข้างๆ มึง เลยลองเคาะถามดู แล้วก็โป๊ะเช๊ะ!”

                   “เออขอบใจมากมึง เออเฮ้ยว่าแต่มึงบอกคุณธาริณยังว่าเจอกูแล้ว?” ผมนึกถึงอีกคนที่มันเพิ่งพูดถึง มันบอกว่าเขาช่วยหาผมอยู่ข้างล่าง แต่ตั้งแต่ผมเข้ามาในห้องมันจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่เห็นมันโทรไปบอกคุณธาริณเลย ป่านนี้คุณเขาไม่รอมันแย่หรอ

            “บอกแล้ววววว โทรไปบอกตอนเข้าห้องน้ำไปเอาผ้าขนหนูเมื่อกี้ไง”

            “เอองั้นก็ดีไป แล้วแผลมึงเป็นไงบ้าง ตากฝนเมื่อกี้เช็ดให้แห้งรึยัง?” แล้วทำไมเมื่อกี้ต้องแอบไปคุยลับๆ ล่อๆ ในห้องน้ำด้วย?

            “เรียบร้อยแล้วน่า...ว่าแต่ คนที่อยู่ข้างห้องมึงนี่ใครวะ? แล้วมึงไปอยู่กับเขาได้ไง?”

           “อ่า...เรื่องมันยาว เอาเป็นว่ากูบังเอิญโดนเจอเขาเข้า แล้วเขาก็เข้าใจว่ากูในร่างแมวเป็นสัตว์เลี้ยงของกู เขาก็เลยอุ้มกูไปอยู่ที่ห้องเพราะเห็นฝนมันจะตก”

           “เขาไม่รู้เรื่องมึงใช่ไหม? เขาเลยสงสัยที่กูเรียกมึงในร่างนั้นว่าพาย”

           “อืม ไม่รู้ ...เขาเคยเจอกูในร่างแมวครั้งนึง ตอนนั้นกูก็แถๆ ไปว่าเป็นแมวของกูกับของมึง”

            ไอ้นิวทำหน้าตกใจพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ยักคิ้วขึ้นข้างนึงอย่างสงสัย

           “เออมึงนั่นแหละ แล้วมึงนี่ก็นะ กูยอมใจในสกิลแถเรื่องชื่อแมวมาก หัวไวสุด”

           “แน่นอนอยู่แล้ว นี่ใครครับ?! นี่คุณนิวเจ้าของฉายาลื่นเป็นปลาไหลนะครับ!!” นิวพูดพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ...ใช่เรื่องที่จะภูมิใจไหมล่ะนั่น

           “เออ ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะ ถ้ามึงไม่มา มีหวังกูต้องเข้าห้องทางระเบียงอีกรอบแน่ๆ” ตอนนั้นเขายังคิดอยู่เลยว่ากะจะรอให้อีกฝ่ายเผลอแล้วกระโดดกลับเข้าห้องทางระเบียง โชคดีที่ยังไม่ได้ซ่อมกระจกระเบียง มันก็คงไม่ยากที่ผมจะแอบเข้าไปในห้องตัวเอง แต่นั่นแหละ จู่ๆ ผมก็วูบหลับไปเฉย ดีนะที่ไม่กลับมาเป็นมนุษย์ตอนหลับอยู่ในห้องมันธ์

           “เออ ไม่เป็นไรเว้ย เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันเปล่าวะ”

           ผมพยักหน้าให้มันไปทีนึง ก่อนจะพูดต่อ “ยังไงเดี๋ยวกูกลับห้องเลยดีกว่า ขอบคุณมากนะสำหรับกางเกง เดี๋ยวกูซักมาคืน” เพราะผมเอากางเกงไปซ่อน ตอนนี้ที่นิวมันเลยมีแค่เสื้อกับกระเป๋าของผมที่วางไว้ตรงรถมัน โชคดีที่มันถือติดมาด้วย ผมเลยยืมกางเกงเลที่มันเอาไว้ใส่นอนมาใส่ก่อน

           “เออ ไม่ต้องรีบ ตัวนั้นขามันสั้นแล้วกูไม่ค่อยได้ใส่หรอก”

           “มึงจะด่าว่ากูเตี้ยว่างั้น?” นั่นไงสุดท้ายมันก็อดไม่ได้ที่จะหาเรื่องแซะผม

           “กูเปล่าพูดนะ” มันตอบยิ้มๆ

           “เออ กูไปและ ไปเจ้าไข่แดงไข่ขาวกลับห้องกัน” ประโยคหลังผมหันไปพูดกับเจ้าแมวทั้งสองที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น ก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินไปเตรียมจะออกจากห้องแล้วก็นึกได้....ผมไม่มีรองเท้านี่หว่า

           “เออไอ้นิว!!”

           “อะไร?!” เสียงมันตะโกนมาจากห้องนั่งเล่น
   
           “กูขอยืมรองเท้าแตะมึงด้วยนะ” ผมตะโกนไปขอเจ้าของห้อง

           “เออ เอาไปเลย อยากใส่คู่ไหนก็เอาไป” มันบอกกลับมาอย่างส่งๆ ไม่ได้สนใจผมนัก ผมก้มมองชั้นรองเท้ามันแล้วก็ต้องแปลกใจนิดๆ ทำไมมีรองเท้าสองขนาด?..ถึงจะเป็นสองขนาดที่ไม่ต่างกันมาก แต่ก็พอมองออกว่ารองเท้าบางคู่มันเป็นขนาดใหญ่กว่าไซส์ของไอ้นิว คือถึงผมจะเตี้ยกว่านิว แต่เท้าของเราก็ใหญ่เท่ากัน จะว่าเท้ามันใหญ่ขึ้นก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าเท้ามันใหญ่ขึ้นมันจะเก็บรองเท้าไซส์เดิมไว้ทำไม แถมทั้งสองไซส์มันก็ดูเป็นรองเท้าใหม่ทั้งคู่ ดูไม่เหมือนรองเท้าเก่าที่เลิกใช้แล้ว

           ผมได้แต่สะบัดหัวนิดๆ ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้สิ่งที่ผมควรกังวลคือ จะมีใครบังเอิญไปเจอกางเกงกับรองเท้าผมหรือเปล่า คือถ้าเจอแค่กางเกงกับรองเท้าอ่ะผมก็ไม่กังวลหรอก แต่ผมกลัวคนเจอกางเกงในด้วยต่างหากล่ะ!!




           พอผมกลับไปถึงห้อง ผมก็เห็นคุกกี้ถุงหนึ่งห้อยอยู่ตรงประตู...หืม? คุกกี้??

           ผมหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่านอกจากคุกกี้แล้วยังมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะอยู่

           ‘คุกกี้ตอบแทนครับ ขอบคุณสำหรับเตียงนอน โจ๊ก และข้าวผัดนะครับ’

           ผมยิ้มให้กับข้อความนิดๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุกกี้นี้มาจากใคร

           ผมเข้าไปในห้อง เดินไปที่ห้องครัวเพื่อจะเอาคุกกี้มาใส่โหล จังหวะนั้นเองที่ผมมองเห็นจานเปล่าที่หน้าตาไม่คุ้นเคยวางอยู่ตรงที่เก็บจาน

           นั่นสิ...ผมยังไม่ได้เอาจานไปคืนเขาเลยนี่น่า... นึกได้ดังนั้นผมเลยรีบหยิบจาน เดินออกไปหาคนที่อยู่ห้องข้างๆ กดกริ่งไม่กี่ครั้งเขาก็เปิดประตู

           “ผมเอาจานมาคืนน่ะครับ” ผมยื่นจานให้คนตรงหน้า

           “อ่อครับ...ขอบคุณครับ”

           “แล้วก็ขอบคุณสำหรับคุกกี้นะครับ” ผมกล่าวขอบคุณคนตรงหน้าไปอีกครั้ง ในใจก็ได้แต่กล่าวขอบคุณเรื่องที่ช่วยเหลือตอนเขากลายเป็นแมวเมื่อกี้ด้วย

           “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ได้กินคุกกี้หรือยังครับ?”

           “ยังเลยครับ ผมเพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อกี้เอง นึกได้เรื่องจานเลยรีบเอามาคืน”

            “งั้นหรอครับ...อย่าลืมกินนะครับ”

            “ครับ”

            “จริงสิ เมื่อกี้ผมเจอแมวของพายด้วย เจ้าตัวเล็กๆ สีเทาน่ะ แต่ว่าเพื่อนพายมาเอาไปแล้วได้คุยกันหรือยังครับ?”

            “คุยแล้วครับ มันบอกผมเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณนะครับที่ช่วยเจ้าตัวเล็กไว้” ในที่สุดผมก็ได้ขอบคุณตรงหน้าเรื่องนี้

            “เข้ามาในห้องก่อนไหมครับ?” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา ผมพยักหน้าตอบกลับไป เหมือนมันกลายเป็นปฏิกริยาอัตโนมัติไปเสียแล้ว

           มันธ์หันตัวหลบเล็กน้อย ให้ผมเดินเข้าไป ผมเดินเข้าไปนั่งตรงโซฟาที่อยู่ในห้องนั่งเล่น มองที่โทรทัศน์ก็เห็นอีกฝ่ายเปิดหนังเรื่องโปรดของผมค้างไว้

           “มันธ์ชอบดูหนังเรื่องนี้หรอครับ?”

           “ครับ เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของผมเลย”

           “บังเอิญจังครับ เรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องโปรดของผมเหมือนกัน”

           มันธ์ไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในครัว ปล่อยให้ผมสนใจกับภาพยน์ในโทรทัศน์ หันมาอีกที มันธ์ก็โผล่มาพร้อมคุกกี้ในมือ

           “พอดีผมยังมีคุกกี้อยู่น่ะครับ พายกินเถอะครับ” เขาว่าแล้วยื่นจานนั้นมาให้ ผมได้แต่รับมาแล้วพูดขอบคุณ

           พวกเรานั่งดูหนังเรื่องนั้นกันอย่างเงียบๆ ไปสักพักอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา

           “หนังเรื่องนี้ดีนะครับ ผมชอบมาก โดยเฉพาะเจ้าแมวในเรื่อง น่ารักมากๆ”

           “ใช่ครับ ผมก็ชอบมาก”

           “ผมดูเรื่องนี้ครั้งแรก นี่อยากจะหาแมวมาเลี้ยงแล้วออกไปเปิดหมวกเล่นกีต้าร์แบบนี้เลย

           “มันก็ดูน่าสนุกแหละครับ แต่ถ้าทำจริงผมว่าคงเหนื่อยแน่ๆ ยิ่งถ้าแมวซนๆ นี่ ยิ่งจับยากเผลอแว่บเดียวก็วิ่งหนีหายไปอีก”

            “ก็จริงครับ”

            “เอาจริงๆ ผมเคย พาเจ้าสองตัวไปออกทริปทำงานด้วยกันด้วยแหละ” จู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องเมื่อเกือบครึ่งปีก่อนขึ้นมา

            “หืม? แล้วยังไงต่อครับ?” มันธ์หันมาสนใจผม ละสายตาออกจากจอโทรทัศน์

            “คือตอนนั้นผมก็เพิ่งเก็บเจ้าสองตัวมาเลี้ยงไม่นาน เจ้าอ้วนยังอายุไม่ถึงหกเดือนเลยครับ ตอนนั้นมันซนกว่าตอนนี้มากๆ วิ่งไปวิ่งมา ผลสุดท้าย ดันเล่นซนปีนต้นไม้แล้วลงไม่ได้ เดือดร้อนผมต้องปีนขึ้นไปรับมันลงมา” และแน่นอนตอนนั้นพอผมกลับมาถึงโรงแรมผมก็กลายเป็นแมวทันที และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองรู้ว่าผมเป็นแมวได้

            “โห...ไม่ลำบากแย่หรอครับ? แล้วทำไมพายเอามันไปทำงานด้วยล่ะครับ?” อีกฝ่ายถามขึ้นมาอย่างสงสัย

            “ก็ตอนนั้นผมเพิ่งรับมันมาเลี้ยงน่ะครับ ยังไม่รู้จะเอาไปฝากไว้ที่ใคร เลยพามันไปด้วย ก็คิดว่าคงไม่ลำบากอะไร แต่ใครจะไปคิดว่าจะลำบากสุดๆ ไปเลย โชคดีที่หลังจากครั้งนั้นไอ้นิวเพื่อนผมมันก็ยอมรับฝากแมวช่วงที่ผมไปออกทริป”

            อีกฝ่ายได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้นมานิดๆ คงนึกภาพความวุ่นวายตอนนั้นอยู่

           “แล้วเนี่ย ออกทริปรอบนี้ผมว่าผมอาจจะต้องกระเตงเจ้าสองตัวไปด้วย ก็หวังแค่ว่ามันจะไม่ซนเท่าเมื่อก่อน” ผมยังคงพูดต่ออย่างไม่หยุด

           แต่พออีกฝ่ายได้ยินผมพูดดังนั้น เขาถึงกับขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามผมขึ้น

           “หืม? ทำไมต้องเอาไปด้วยหรอครับ ไม่ฝากเพื่อนพายไว้เหมือนเดิมหรอ?”

           “อ่า...คือพอดีอาทิตย์หน้านิวไม่อยู่น่ะครับ ผมก็กะจะเอาไปฝากคนอื่น แต่คิดๆ ดู เอาพวกมันไปด้วยดีกว่า จะฝากคนอื่นดูเจ้าสองตัวนั้นก็เกรงใจ”

           “พายจะออกทริปอาทิตย์หน้าหรอครับ?”

           “ครับ”

           “วันไหนหรอ?”

            “น่าจะไปวันเสาร์นี้น่ะครับ”

            “ครับ...แล้วกลับ?”

           “อ่า...อย่างเร็วน่าจะวันพุธอย่างช้าก็วันศุกร์ครับ เวลากลับยังไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผมเขียนคอลัมน์เสร็จช้าเร็วแค่ไหน” จริงๆ ส่วนนึงก็เพราะผมจะกลายเป็นแมวมากน้อยแค่ไหนด้วยแหละ เพราะถ้าผมกลายเป็นแมวผมก็จะทำงานได้ช้าลง...

           “จริงๆ พายเอาเจ้าสองตัวมาฝากไว้ที่ผมก็ได้นะ”

           “หืม?”

            “ก็ถ้ามันลำบาก พายก็เอามาฝากไว้ที่ผมก็ได้”

            “เฮ้ย ไม่ดีกว่า มันจะลำบากมันธ์นะ”

           “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ยังไงผมก็ว่างๆ แถมอยู่ห้องตลอด คอยดูแลมันได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง”

           “แต่มันธ์ไม่เคยเลี้ยงแมวไม่ใช่หรอ...มันลำบากนะ” ผมถามย้ำคนตรงหน้าอีกที

           จริงๆ เรื่องเอาแมวไปฝากคนอื่นมันยากตรงที่ต้องหาคนรับฝากที่ดูแลแมวเป็นนี่แหละ การฝากแมวไว้ที่ใครสักคนมันไม่ใช่แค่ฝากแป๊ปๆ แต่มันฝากเป็นสัปดาห์ แมวมันต้องกิน ต้องถ่าย ถ้าคนดูแลไม่เป็น ผมก็เป็นห่วง แถมยังเกรงใจคนที่รับฝากด้วยที่ต้องสละเวลามาดูแลเจ้าแมว มาคอยทำความสะอาดมัน คอยให้อาหารมัน

           “มันคงไม่ลำบากมากหรอกครับ ถือเป็นการให้ผมฝึกลองเลี้ยงแมวไง...อย่างที่ผมเคยบอกผมอยากลองเลี้ยงแมวมานานแล้วแต่ไม่กล้าซะที นี่ก็ถือเป็นการทดลองไปในตัว” มันธ์พูดขึ้นอย่างยิ้มๆ

           “แต่ว่า...”

           “นะครับ เอาเจ้าสองตัวมาฝากไว้ที่ผมเถอะ” เสียงมันธ์ออดอ้อนผมอีกครั้ง “ถ้าพายยังเป็นห่วง ช่วงเวลาไม่กี่วันที่เหลือนี้ พายก็สอนผมเลี้ยงสิครับ ผมจะได้รู้วิธีดูแลพวกมัน พอถึงเวลาที่พายไปออกทริป ผมจะได้ทำเป็นแล้วพายจะได้ไม่ต้องห่วงเจ้าสองตัวนี้ แถมจะได้ไม่ลำบากแบกพวกมันไปด้วย”

            ผมได้แต่คิดตามสิ่งที่คนตรงหน้าพูด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เป็นอันตกลง

           “ก็ได้ครับ งั้นผมต้องขอฝากเจ้าสองตัวนี้ในช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่นะครับ”

           “ครับ” อีกฝ่ายตอบอย่างน้ำเสียงยินดี แลดูสนุก

             “งั้นมะรืนนี้มันธ์ว่างไหมครับ?”

            “ว่างครับ”

            “โอเค งั้นเดี๋ยววันมะรืนผมมาสอนมันธ์เลี้ยงเจ้าพวกสองตัวนี้นะครับ”

            “ได้เลยครับ” มันธ์ยิ้มให้ผมหน้าระรื่น แล้วพวกเราก็หันไปดูหนังกันต่อ




            พอถึงวันที่นัดกับมันธ์ ไว้ ผมก็ไปกดกริ่งเรียกห้องข้างๆ ไม่นานเขาก้เปิดประตูให้ผมเข้าไปในห้อง พอผมเข้าไปผมก็เห็นเขาเปิดโน้ตบุ๊คค้างไว้อยู่

            “มันธ์ทำงานอยู่หรอครับ...ผมรบกวนรึเปล่า”

            “ไม่รบกวนเลยครับ ผมใกล้เสร็จแล้ว พายรอแป๊ปนะครับ”

           “อ่อโอเคครับ”

            ผมนั่งลงบนโซฟาก่อนที่มันธ์จะนั่งลงตาม เขาหันไปทำงานต่อเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับผม

           “เสร็จแล้วครับ”

            “อ่า...ครับ จริงๆ หลักๆ ผมจะให้มันธ์ คอยดูอาหารกับน้ำเจ้าสองตัวนั้นอ่ะครับ เททิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวมันก็เดินมากินเอง”

           “หืม? เททิ้งไว้ได้เลยหรอครับ?”

           “ครับ ส่วนอาหารกับชามข้าวเดี๋ยววันที่ผมเดินทางผมเอามาให้”

           “อ่าครับ...”

           “นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องห้องน้ำแมวอ่ะครับ ถ้าเจ้าสองตัวไปอึ ผมก็ต้องรบกวนให้มันธ์ช่วยตักออกจากกระบะทรายครับ แล้วถ้าทรายมันพร่องลงไปก็คอยเติม ส่วนเรื่องทำความสะอาดก็ดูว่ามีอึติดตูดติดเท้าน้องไหม ถ้ามีก็ใช้ทิชชูเปียกเช็ดครับ”

            “โอเคครับ ไม่น่ายาก”

            “ครับ ไม่ยากหรอก แต่ผมกลัวมันจะดื้อแค่นั้น ถ้าเจ้าอ้วนดื้อก็แค่เอาอาหารล่อ ส่วนเจ้าตัวพี่ก็อาจจะยากหน่อย เพราะมันไม่ค่อยชินคน ยังไงก็พยายามเอาใจเจ้าอ้วนนะครับ เพราะถ้าเจ้าอ้วนยอมมันธ์แล้ว เดี๋ยวเจ้าตัวขาวก็ยอมตามเอง”

           “โอเคเลยครับ”

           “หลักๆ ก็มีแค่นี้แหละครับ เรื่องอื่นๆ ผมจดให้ลงกระดาษนี่แล้ว” ผมยื่นกระดาษเอสี่ให้อีกฝ่าย ในนั้นก็จะมีขั้นตอนการดูแลแมวเบื้องต้นที่ผมเพิ่งบอกไป แล้วก็รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการดูแลเจ้าแมวสองตัวนั้นเพิ่มเติม “แล้วก็ยังไงถ้ามันธ์ว่างๆ ก็คอยเล่นกับมันบ้างนะครับ ทั้งสองตัวชอบให้รูปหัวกับเกาคาง แต่เจ้าตัวส้มจะชอบให้ลูบท้องเป็นพิเศษ”

           “ลูบท้อง?”

           “ครับ รูปเบาๆ เหมือนเกาพุงให้มันอ่ะครับ”

           “แปลกดีนะครับ ผมเคยอ่านเจอบอกว่าจริงๆ แมวไม่ชอบให้ยุ่งกับท้อง”

           “เจ้าอ้วนมันชอบให้เอาใจครับ จริงๆ อยากลูบ อยากจับตรงไหนก็ได้เลย มันชอบ”

           “โอเคครับ”

            “แล้วถ้ามีอะไรสงสัยหรือเกิดเหตุเร่งด่วนอะไรก็โทรหรือไลน์มาถามก็ได้นะครับ” ผมพูดก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปให้อีกฝ่ายแอดไลน์ เมมเบอร์ อีกฝ่ายก็รับมา กดเบอร์ตัวเองแล้วยิงเข้าเครื่องเรียบร้อย กดแอดไลน์แล้วก็ส่งคืนผม

           “แล้วเจ้าตัวเล็กล่ะครับ? เจ้าตัวเล็กปกติพายกับเพื่อนพายช่วยกันเลี้ยงนี่...แล้วเพื่อนพายไม่อยู่แบบนี้ เจ้าตัวเล็กไม่มาอยู่กับพายหรอ?”

             อ่า...จริงสิ ผมลืมคิดเรื่องนั้นไปเลย...

            “เอ่อ...”

            “…?”

           “คือนิวมันเอาไปฝากแม่มันน่ะครับ แต่แค่ตัวเดียวแม่ก็ลำบากแล้ว ผมเลยไม่กล้าเอาอีกสองตัวไปฝากด้วย” ผมรีบแถไปอย่างรวดเร็ว

            “โอเคครับ ยังไงถ้าลำบากให้ผมช่วยดูแลเจ้าตัวเล็กอีกตัวก็ได้นะ” มันธ์ก็ยังพูดด้วยความหวังดี

             “ครับ ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ แค่เจ้าสองตัวนี้ก็ลำบากมันธ์มากพอแล้ว”

            อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มตอบกลับมาเล็กๆ

            “จริงสิ เดี๋ยวมันธ์ไปห้องผมนะครับ จะได้ไปเล่นกับเจ้าสองตัวนั้นสร้างความคุ้นเคย แล้วก็เดี๋ยวผมจะได้สอนวิธีตักอึออกจากทรายด้วย”

           “ได้ครับ”



   
           พอเดินมาถึงหน้าห้องผมก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ ผมเลยหันไปพูดกับมันธ์

           “รหัสห้องผมศูนย์ห้าศูนย์สี่นะครับ”

           “…?..”

           “คือบอกไว้ก่อนครับ เผื่อวันที่ผมไม่อยู่แล้วมันธ์ต้องการอะไรเพิ่มเติมจะได้เดินมาหยิบได้”

           “อ๋อโอเคครับ ว่าแต่ศูนย์ห้าศูนย์สี่...นี่วันเกิดพายหรอครับ...ห้าเมษา?”

           “เปล่าครับ มันเป็นวันที่ผมเจอเจ้าสองตัวนี้น่ะ”

           “อ่อ…"

           พอเข้ามาในห้องผมก็ให้อีกฝ่ายไปนั่งที่โซฟาห้องก่อน ซึ่งเจ้าสองตัวนั้นก็นั่งอยู่บนโซฟาพอดี เจ้าตัวอ้วนรีบกระโดดขึ้นตักคนมาใหม่ทันที

           “ว่าแต่พายเกิดวันไหนหรอครับ?” คนนั่งลูบหัวแมวจู่ๆ ถามผมขึ้นมา
 
           “ยี่สิบสี่ธันวาน่ะครับ”

            “คริสมาสต์อีฟ?”

            “ครับ ทำไมหรอ?”

             “ถ้าบอกว่าพายเกิดวันเดียวกับผมพายจะเชื่อไหม?”

            “หืม จริงหรอครับ?” ผมตกใจเล็กน้อย เอาจริงๆ ก็จำได้ลางๆ ว่าอีกฝ่ายเกิดเดือนธันวา แต่เพิ่งรู้ว่าดันเกิดวันเดียวกับผม

            “จริงครับ...งั้นวันเกิดปีนี้เรามาฉลองด้วยกันนะครับ” มันธ์จ้องผม ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นสายตาแพรวพราว

            “อ่า….” จะตอบยังไงดีนะ

            “นะครับ มาฉลองวันเกิดของ ‘เรา’ ด้วยกันนะครับ” ปากยกยิ้ม ตาเป็นประกาย มือก็ถือโอกาสจับมือผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ราวกับจะกดดันให้ผมตอบตกลงเท่านั้น

            “ไม่รับปากนะครับ ผมต้องดูก่อนว่าวันนั้นมีงานไหม” ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไป อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยผม

             “ครับ ได้ครับแต่ยังไงผมก็จะรอนะ”



   
            ผมสอนวิธีการดูแลเจ้าสองตัวให้มันธ์ดู เผลอแว่บเดียวก็เที่ยงกว่าแล้ว คนข้างห้องเลยอาสาทำอาหารให้ผมทาน ผมก็ได้แต่ปล่อยให้เขาทำ เพราะบอกแล้วว่าฝีมือการทำอาหารของผมน่ะติดลบ....

             “เอ่อ...พายครับ” เสียงเรียกดังมาจากในครัว ผมเลยเดินไปหา

             “มีอะไรหรอ?”

             “คือตู้เย็นพายว่างมาก....”

             ก็ตามนั้นแหละ ปกติผมไม่ทำอาหารกินเอง ส่วนมากก็ซื้อข้าวจากร้านแถวคอนโดขึ้นมากินบางทีก็ซื้อจากเซเว่นเอา

             ผมมองเข้าไปในตู้เย็น ตอนนี้ในตู้ผมมีเบียร์สองกระป๋อง โซดาสามขวด นมหนึ่งแพ็ค น้ำเปล่าอีกสามขวดใหญ่...แค่นี้

             “คือปกติผมไม่ทำอาหารกินเองอ่ะ ตู้เย็นมันก็เลยโล่งแบบนี้”

            “อ้าวแล้วปกติพายกินอะไรหรอ?”

            “ก็ปกติผมก็ซื้ออะไรแถวคอนโดนี้กินแหละครับ....งั้นเราไปกินข้าวข้างนอกกันไหม?” ประโยคหลังผมหันมาเสนอทางออกให้อีกฝ่าย   

            “ผมว่า เดี๋ยวเราไปซื้อวัตถุดิบมาทำกันดีกว่า”

           “ทำทำไมให้เสียเวลา กินร้านไม่ง่ายกว่าหรอ?”

            “ก็ผมอยากทำให้พายทานนี่ครับ” ยิ้มพิฆาตใจมาอีกแล้ว...แล้วอย่างนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไง....   

            “ก็ได้...”

            “งั้นไปรถผมนะครับ”

            ผมได้แต่พยักหน้าให้อีกฝ่าย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 22:59:04 โดย มากมายด์ »

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0






            แม้เป็นช่วงเที่ยงวัน แต่การจราจรในกรุงเทพก็ยังคงเต็มไปด้วยรถรารถติดเป็นเรื่องปกติ ผมกับมันธ์มารถติดแง็กอยู่ตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ดูจะยังไม่มีทีท่าว่ารถจะเคลื่อนไปเสียที

            “พายจะไปออกทริปที่ไหนหรอครับ?” จู่ๆ มันธ์ก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ

            “ลำปางน่ะครับ”

            “ไปเหนือตอนเดือนตุลา? หนาวแล้วหรอครับ?”

            “ยังหรอกครับ อากาศเย็นลงแหละ แต่ยังไม่ถึงกับหนาว”

            “อ้าว งี้ไปทำไมล่ะครับ?”

           “ก็คอลัมน์ที่ผมจะเขียนมันวางแผงเดือนพฤศจิกายนน่ะครับ ผมก็เลยต้องเขียนคอลัมน์ที่เที่ยวหน้าหนาวตั้งแต่เดือนนี้”

           “อ่อ อย่างนี้นี่เอง...ผมยังไม่เคยไปลำปางเลยครับ แต่เคยเห็นอยู่ว่ามีวัดกับน้ำตกสวยมาก”

            “ใช่ครับ มีบ่อน้ำพุร้อนด้วยนะ” ผมรีบพูดไปตามที่ได้ศึกษามา ผมกะว่าจะลองไปแช่ไข่ไก่ดู เห็นเขาว่าไข่ไก่แช่บ่อน้ำร้อนจะอร่อยมาก

            “จริงหรอครับ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย ผมรู้แต่ว่าพูดถึงลำปางก็ต้องคิดถึงรถม้ากับชามตราไก่”

            “ใช่ครับ มันธ์ก็รู้เยอะเหมือนกันนะครับ”

            “ครับ ผมศึกษาพวกสถานที่ท่องเที่ยวงี้บ่อยครับ อยากไปนะ แต่ไม่มีโอกาสได้ไปสักที”
   
            “ลองไปดูนะครับ มันดีมากจริงๆ ถือโอกาสเป็นการพักผ่อน ให้รางวัลชีวิตแก่ตัวเอง”

            “ผมก็อยากไป แต่ไม่อยากไปคนเดียว เที่ยวคนเดียวมันเหงาๆ น่ะครับ”

           “ก็จริงครับ...มันธ์ไม่มีเพื่อนเที่ยวหรอ?” ผมพูดเออออเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ก่อนจะตบท้ายด้วยการถาม จริงๆ มันธ์ก็มีเพื่อนไม่ใช่หรอ เมื่อวันก่อนผมยังเจอคนที่ชื่อพลอยเลย

           “เพื่อนผมมันไม่ค่อยชอบเที่ยวน่ะครับ”

           “อ่อครับ”

           “พายสนใจไปกับผมไหม?”

           “ห้ะ?!” ตะกี้อีกฝ่ายพูดอะไรนะ??

           “ก็ ถ้าผมจะไปเที่ยวพายสนใจไปเป็นไกด์ให้ผมไหม? พายน่าจะเคยเที่ยวมาเยอะ”

           “อ๋อ...ได้ครับ”

           “สัญญาแล้วนะ?” อีกฝ่ายหันมายิ้มกว้างให้ผมอีกครั้ง

           “ครับ สัญญาครับ” ก็แค่เป็นไกด์นำเที่ยว จะไปยากอะไร

           โครก~

           เสียงท้องร้องดังขึ้น ทำเอาผมหน้าขึ้นสีเล็กน้อย ...ก็นะนี่จะบ่ายโมงแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย...

            มันธ์มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ยิ่งเรียกสีหน้าของผมให้แดงยิ่งขึ้นไปอีก

           “มีคุกกี้อยู่หลังรถน่ะครับ พายกินแก้หิวไปก่อนนะครับ”

           “คุกกี้หรอ?”

           “ครับ...ยังไม่เบื่อใช่ไหมครับ?”

           “ยังหรอกๆ” วินาทีนี้ผมกินได้ทุกอย่างแหละ หิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวแล้ว

            ผมเอื้อมตัวไปด้านหลังรถ ไม่นานผมก็เห็นโหลคุกกี้หลายสิบกระปุกอยู่หลังรถตามที่อีกฝ่ายบอก ผมเลยหยิบออกมากระปุกนึง พอเปิดดูแล้วก็พบว่ามันเป็นคุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์...ผมยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหยิบขึ้นมากิน...รสชาติแบบนี้ คงเป็นคุกกี้ที่มันธ์ทำเองแน่ๆ

            “มันธ์ทำคุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์อีกแล้วหรอครับ...หรือว่าเหลือจากวันก่อน?”

            “อ๋อ อันนี้เพิ่งทำเมื่อวานน่ะครับ ว่าจะเอาไปฝากขายที่ร้านประจำ”

            “อ้าว! ของขายงี้ ผมดันเอามากินเฉยเลย กระปุกละเท่าไหร่ครับ เดี๋ยวผมจ่ายเงินให้”

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ” มันธ์พูดกลับมาตายังคงจ้องมองถนน แต่ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง

           “เฮ้ยแต่มันของซื้อของขายนะ ผมเกรงใจ”

           “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ พายกินเถอะ หิวไม่ใช่หรอ?”

           “กินได้จริงๆ หรอ?” ผมถามขึ้นอีกครั้ง

            “ได้จริงๆ ครับ” คราวนี้มันธ์ละสายตาจากถนนมามองผมเล็กน้อย

           “อ่า...งั้นขอบคุณครับ”

            ผมหยิบคุกกี้ขึ้นมากินอีกสองสามชิ้น หันไปมองคนข้างๆ เขาก็ดูจะยังคงมีสมาธิกับการขับรถอยู่เช่นเดิม ผมก้มลงมองคุกกี้ในมือตัวเองก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ อีกครั้ง

           “เอ่อ...พายหิวไหมครับ...กินคุกกี้หน่อยไหม?” ผมถามมันธ์ขึ้น เพราะคุกกี้นี้อีกฝ่ายก็ให้ฟรีๆ จะนั่งกินคนเดียวก็ดูจะกระไรอยู่

            “ครับกินครับ” อีกฝ่ายพูดตอบผม ตาก็ยังจ้องอยู่กับถนน ใช้สมาธิมุ่งไปกับการขับรถตรงหน้า

            “เอ่อ....”

            ผมได้แต่ทำสายตาเลิกลั่กขึ้นมานิด มือค่อยๆ หยิบคุกกี้ขึ้นมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายมองมือผมด้วยหางตาเพียงแว่บเดียว ก่อนจะก้มหน้าลงกัดชิ้นคุกกี้ในมือของผม พอคุกกี้หมดผมรีบชักมือกลับทันที

            “อร่อยเน๊อะ” เขาพูดขึ้นมาหลังเคี้ยงคุกกี้หมด แม้มองถนนอยู่แต่สายตาก็ก็ดูจะมีความสุขอย่างล้นเหลือ

            “ครับ...อร่อยครับ” ผมได้แต่ก้มหน้ามองกระปุกคุกกี้ พูดเออออไปกับอีกฝ่าย

            “พายครับ...” เสียงนุ่มจากคนข้างๆ ผมดังขึ้นอีกครั้ง

            “ครับ?” ผมถามกลับ ตายังคงก้มหน้ามองแต่คุกกี้ในมือไม่กล้ามองอีกฝ่าย

            “พายครับ ผมอยากกินอีก”

           คราวนี้ผมยื่นคุกกี้ไปให้อีกฝ่ายทั้งกระปุก ตามองออกไปข้างนอก ไม่กล้ามองมันธ์

            “ผมขับรถอยู่...พายหยิบให้ผมหน่อยนะครับ แบบเมื่อกี้”
 
           อ่า....แบบเมื่อกี้เขาไม่เรียกว่าส่งให้ เขาเรียกว่า ‘ป้อน’

           “นะครับพาย...ผมหิวมากเลยเนี่ย”

            ผมได้แต่ก้มหน้างุดๆ หยิบคุกกี้แล้วหลับกูหลับตายื่นให้อีกฝ่าย มันธ์ก็ก้มหน้าลงกัดคุกกี้ในมือผมเช่นเดิม แต่คราวนี้เขากัดโดนนิ้วมือผมเบาๆ ผมรีบชักมือกลับทันที รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว...สัมผัสเมื่อกี้มันไม่ใช่การกัดพลาด แต่มันเหมือนเป็นการกัดแบบจงใจหยอกผมเสียมากกว่า...หรือผมคิดไปเอง?




           “พายอยากกินอะไรครับ” มันธ์หันมาถามผมระหว่างเดินในแผนกของสด

           “อะไรก็ได้ครับ”

           “ไม่เอาอะไรก็ได้ได้ไหมครับ?” อีกฝ่ายหันมาหาผมด้วยสายตาอ้อนๆ

            “อ่า...งั้นเป็นอะไรก็ได้ที่ทำง่ายสุด เร็วสุด” ผมยอมตอบตัดปัญหาไป จริงๆ ตอนนี้ผมกินอะไรก็ได้จริงๆ เพราะหิวมาก....

            “พูดอย่างนี้หิวสินะครับ”

            “ครับ” ผมตอบอย่างจริงใจเป็นที่สุด

            “โอเคครับ ผมจะรีบให้ไวเลยครับ งั้นพายกินข้าวผัดไหมครับ? ชอบหรือเปล่า?”

            “ได้ครับ”

            ได้ยินดังนั้นมันธ์ก็เดินไปนั่นไปนี่ ผมก็ได้แต่เดินตามร่างสูงไปมา

            “ว่าแต่ห้องพายมีพวกเครื่องปรุงไหมครับ?”

            “อ่า...ไม่มีครับ” บอกแล้วว่าผมไม่ทำอาหารกินเลย...

            “ครับ...แต่ใช้ของผมก็ได้” มันธ์บ่นกับตัวเองสองสามคำ แล้วก็เดินไปมาหยิบนั่นหยิบนี่ต่อ ผมได้แต่เข็นรถเข็นตาม

            พอจะจ่ายเงิน มันธ์ก็หันมาถามผมอีกที

            “ข้าวผัดโอเคจริงๆ หรอครับ ข้าวผัดหมูง่ายๆ เลยนะ”

      “โอเคจริงๆ ครับ” ผมตอบย้ำกับอีกฝ่ายไป

            เอาจริงๆ มานั่งนึกๆ ดู ตั้งแต่รู้จักกันมา อีกฝ่ายก็เอาแต่ตามใจผมตลอดจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแค่ชอบใส่ใจคนอื่น หรือมีอะไรมากกว่านั้น...หรือผมแค่คิดมากไปเอง?

           พอจ่ายเงินเสร็จอีกฝ่ายก็คุ้ยหาอะไรบางอย่างในกุง ก่อนจะส่งมาให้ผม...มันเป็นขนมปังเปล่าหนึ่งแผ่น ที่ผมไม่ทันสังเกตว่าเขาซื้อมาตอนไหน

            “พายกินรองท้องไปก่อนนะครับ”

           นั่นไง...ใส่ใจอีกแล้ว

           ผมรับขนมปังนั้นมากัดเบาๆ มืออีกข้างก็ช่วยอีกฝ่ายถือของ

           พอมาถึงที่รถ มันธ์ก็หยิบน้ำส่งให้ผม “น้ำครับจะได้ไม่คอแห้งจากขนมปังเมื่อกี้”

           อีกแล้ว...เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อีกฝ่ายมักใส่ใจจนผมอดสงสัยไม่ได้ทุกครั้ง

            “มันธ์...” ผมหันไปมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ อีกฝ่ายยังไม่ทันสตาร์ทรถก็หันมาตามเสียงเรียก

            “ครับ?”

            “ถามจริงๆ เลยนะ หลายๆ วันที่ผ่านมาเนี่ย ที่มันธ์ใส่ใจผม คอยดูแลผม คอยช่วยเหลือผม มันธ์มีอะไรอยากจะบอกผมไหม?” อยากถามตรงๆ แต่ก็กลัวหน้าแตกคิดไปเองว่าเขามาจีบ เลยเลือกคำถามเปิดๆ ไว้หน่อย ป้องกันการหน้าแตกไว้ก่อน

            “พายคิดว่ายังไงล่ะครับ?” อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบ แถมส่งยิ้มถามกลับมาอีก

            “ไม่อยากพูดอ่ะ กลัวหน้าแตก มันธ์บอกมาเถอะ”

            “ก็ตามที่พายคิดนั่นแหละ” อีกฝ่ายก็ยังคงไม่ตอบผมแต่ดันตอบอ้อมๆ เหมือนที่ผมถามอ้อมๆ

            “คิด..คิดอะไร?”

            “ก็คิดตามนั้น...”

            “…?.”

            “ครับ...ผมกำลังจีบพายครับ”






____________________________________
ภาพยนต์เรื่องโปรดของมันธ์กับพาย คือเรื่อง A street can named Bob ค่ะ >___< ใครยังไม่เคยดูลองไปหาดูนะคะ น่ารักมากๆ ทำมาจากเรื่องจริงด้วย


   

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
มันต้องยังงี้ !!

จีบต้องบอกว่าจีบ 5555

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Noina_Pn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
เค้ารู้ความในใจกันแล้ว

 :-[ :-[

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ชอบมากเลยค่ะ ลุ้นตลอดเลยว่าพายจะเปลี่ยนเป็นแมวต่อหน้ามันธ์รึป่าว จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0



บทที่ 8 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว...อยู่กับแมว
[/b]





           วันนี้เป็นวันที่พายต้องออกเดินทาง ผมตื่นเช้ามารับเจ้าแมวทั้งสองตัวกับอุปกรณ์เลี้ยงแมวอื่นๆ อีกฝ่ายย้ำวิธีการดูแลแมวคร่าวๆ ให้ผมฟังอีกครั้ง แถมยังไม่ลืมที่จะย้ำว่าอย่าให้อาหารเจ้าสองตัวนั้นเยอะเกินไป เพราะมันอ้วนเกินไปแล้ว ส่วนผมได้แต่ย้ำกับอีกฝ่ายว่าถ้าถึงลำปางแล้วให้ทักมาบอกผมด้วย

            จริงๆ วันนั้นที่ผมบอกกับพายตรงๆ ว่าผมจะจีบพาย ตอนแรกผมนึกว่าอีกฝ่ายจะเขินหลบหน้าหลบตาเสียอีก แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับเฉยๆ มีเขินหน้าแดงบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หลบหน้าหลบตาผมอย่างที่คิด วันนั้นพอเรากลับมาจากห้าง เราก็ยังทำข้าวผัด นั่งกินข้าวกัน แถมผมยังอยู่ห้องพายจนมืดค่ำช่วยพายซ่อมกระจกประตูระเบียงอยู่เลย ก็ถือเป็นปฏิกริยาที่เกินคาดนิดๆ

           “เมี๊ยว~” เจ้าแมวตัวส้มส่งเสียงเรียกร้องให้ผมหันไปสนใจมัน ต่างจากเจ้าตัวขาวที่วิ่งไปนั่งนิ่งบนโซฟาแล้ว

           “จะเอาอะไร?”

           “เมี๊ยว~” มันส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง ผมเลยอุ้มมันขึ้นมา มือข้างนึงคอยลูบหัวมันเบาๆ มันก็ครางออกมานิดๆ ราวกับพึงพอใจที่ผมทำอยู่

            ผมเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆ เจ้าตัวขาว ส่วนเจ้าตัวส้มก็วางไว้บนตักผม มันขยับตัวเล็กน้อยให้นั่งได้ถนัดถนี่ขึ้นแล้วก็นิ่งไป ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมหันมาอีกทีมันก็หลับไปเสียแล้ว

             ผมมองนาฬิกา ในใจพลางนึกถึงคนที่มาฝากแมวไว้ ป่านนี้คงถึงสนามบินแล้ว...จำได้ว่าพายบอกว่าไฟล์ทสิบโมง ดังนั้นน่าจะถึงลำปางก่อนเที่ยง ตอนนี้เพิ่งแปดโมงกว่า...อีกตั้งนาน

            ระหว่างที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยว่าวันนี้จะทำอะไรดี จู่ๆ แจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นไลน์ในมือถือผมก็เด้งขึ้น


            Pie : เช็คอินเรียบร้อย ตอนนี้กำลังรอขึ้นเครื่อง...มันธ์อยู่กับเจ้าสองตัวนั่นได้แน่ๆ ใช่ไหม?

             Month : ถ้าบอกไม่ได้ พายจะรีบกลับมาที่นี่ไหมครับ?

            Pie : ส่งสติ๊กเกอร์น้องหมีน้ำตาลยืนนิ่งๆ มา

            Month : ไม่อยากให้ไปเลย ไม่ให้ไปตอนนี้ทันไหมครับ?

   
            ผมแกล้งหยอดอีกฝ่ายไป ซึ่งเพียงเสี้ยววิมันก็ขึ้นว่าพายอ่านแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังดูเงียบไม่ได้ตอบอะไรผมมา


            Month : พายครับ?

            Pie : แค่นี้นะครับผมไปขึ้นเครื่องแล้ว

            Month : safe flight ครับ


           คราวนี้อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะอ่านข้อความผม...ตอนนี้ยังไม่ทันเก้าโมงยังเหลือเวลาขึ้นเครื่องอีกตั้งนาน ดูท่าว่าพายจะจงใจหนีผมไปเสียแล้ว   

           แล้วเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่พอก้มมองโทรศัพท์มือถือก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อคนที่ไลน์มาไม่ใช่คนที่ผมคาดหวัง

   
           กันต์ : จะเอาไหมกุญแจห้องมึงอ่ะ

           Month : เออ กูลืมไปเลย

            P. : มาเอาเร็วววววว เดี๋ยวบ่ายๆ ว่าจะไปตั้งตี้ร้านไอ้กันต์เหมือนเดิม

            Month : ได้ๆ เดี๋ยวไป กูกะจะไปซื้อของมาทำขนมพรุ่งนี้พอดี

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : ดีมากกกกก คราวนี้ห้ามเบี้ยวพวกกูอีก

   
           “เมี๊ยว~ เมี๊ยว~” เสียงเจ้าตัวส้มบนตักผมที่ดูจะตื่นเพร่ะผมยุกยิกไปมา เรียกความสนใจให้ผมก้มลงมามองมัน อ่า...ลืมไปเลย..


            Month : พวกมึงกูไปไม่ได้แล้วนะ

            P. : อ้าว

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เทเพื่อนอีกและะะะ

            กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์หมียืนหันหลังหันหน้ากลับมามองขวับ


            ผมก้มลงดูเจ้าตัวที่นอนสบายใจอยู่บนตักเล็กน้อย มันก็เงยหน้ามามองผมอย่างสงสัย ผมยิ้มให้มันนิดๆ ก่อนจะเปิดกล้องถ่ายรูปเจ้าอ้วนตัวส้มส่งเข้ากรุ๊ปไลน์


            Month : มีเพื่อนมาอยู่ด้วย ต้องดูแล

            P. : กรี๊ดดดดดด น้องแมววววว นว้องงงงงง น้องมาจากไหนนนนน น่าร้ากกกกกก อยากจับพุงงงงง โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : แมวใครอ่ะ?

            กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์หมีทำหน้าสงสัย

            Month : แมวของพาย พายเอามาฝากไว้

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เหยดโด้ววววว เดี๋ยวนี้มีฝากมงฝากแมวววววววว

            P. : เล่ามาเดี๋ยวนี้!!!

           กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์หมียื่นเผือก

           Month : เออน่า เดี๋ยวค่อยเล่า เอาเป็นว่าพวกมึงเอากุญแจมาให้กูที่คอนโดได้ป่ะ กูไม่อยากทิ้งแมวไว้ตามลำพัง

           ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : รักแมวให้เหมือนที่รักเจ้าของสินะ ถถถถถถ มีการไม่อยากทิ้งแมวไว้ตามลำพัง แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

           P. : ได้!! เพื่อความรักของเพื่อน เดี๋ยวดิฉันจะช่วยเอง!!

           Month : ดีมากเพื่อนรัก~


           แล้วผมก็ก้มหน้าลงไปจดวัตถุดิบอุปกรณ์ทั้งหลายที่ต้องการ ก่อนจะส่งไปให้ในกรุ๊ปดูอีกครั้ง


           Month : ฝากซื้อวัตถุดิบพวกนี้ด้วยดิ

           ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : ได้ทีใช้ใหญ่เลยนะ

           Month : เออน่า ช่วยหน่อย

           P. : เคๆ

           กันต์ : งั้นเดี๋ยวเย็นๆ หลังปิดร้านจะไปหานะ ถึงแล้วเดี๋ยวโทรอีกที

           Month : เค ดีลลลลลล


           ผมนั่งดูหนัง เข้าเพจ ส่องทวิตเตอร์ ทำนั่นทำนี่ไปเรื่อยเปื่อย หันไปอีกทีเจ้าตัวส้มเดินไปกินอาหารที่ผมเทไว้แล้ว ส่วนเจ้าตัวขาวก็ยังนอนอยู่บนโซฟาเช่นเดิม รู้ตัวอีกทีเสียงไลน์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง


           Pie : ถึงโรงแรมแล้วนะครับ


           พายส่งข้อความมาหาผมแถมส่งโลเคชั่นที่พักมาให้ ผมยิ้มให้กับข้อความนั้นเล็กน้อย อย่างน้อยพายก็ไม่ลืมที่จะบอกผม ผมหันไปด้านข้างตัวเองก่อนจะกดถ่ายรูปเจ้าแมวตัวขาวอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวถูกถ่ายไม่รู้ตัว และเดินไปทางครัวเพื่อถ่ายรูปเจ้าตัวส้มอีกตัว


           Month : โอเคครับ

           ** แนบรูปเจ้าตัวส้มกำลังกินอาหารกับเจ้าตัวขาวนอนอยู่บนโซฟา **

           Pie : ไม่ต้องให้มันกินข้าวเยอะนะ มันอ้วนจะตายแล้วววว

           Month : สติ๊กเกอร์แมวทำมือโอเค


            แล้วอีกฝ่ายก็เงียบหายไปเช่นเดิม สงสัยว่าจะเริ่มไปทำงานแล้ว ผมก็ไม่อยากรบกวนพาย เลยไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรเพิ่มเติม

            พอว่างไม่รู้จะทำอะไร ผมก็แอบเข้าไปส่องเพจ ‘Month-Pie Fanclub’ ถึงผมจะไม่ได้กดไลค์เพจนี้แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมชอบแอบไปส่องเพจนี้บ่อยๆ ตอนแรกยอดไลค์เพจแค่หลักร้อย ผ่านไปไม่กี่วันยอดไลค์เพจเกือบหมื่นแล้ว....

            ผมเลื่อนดูเนื้อหาเพจก็ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากวันนั้นที่ผมดู เพียงแต่มียอดไลค์และคอมเม้นท์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวแค่นั้น ผมเลยจะกดปิดแต่มือก็ดันไปกดปุ่มรีฟรชแทน ตอนนั้นเองที่ผมเห็นข้อมูลอัพเดตใหม่ในเพจนั้น

            มันเป็นรูปที่แคปมาจากไอจีสตอรี่ของพลอย ซึ่งพลอยเพิ่งแคปบทสนทนาไลน์เมื่อกี้ลงไอจีสตอรี่ของมัน แถมใส่คำว่า แมวของคนรักก็ต้องช่วยดูแล~

            เดี๋ยวนะ...ไอ้พลอย....

            ผมรีบเปิดไลน์อีกครั้ง พร้อมส่งรูปที่เพจนั้นลงเข้ากรุ๊ปไลน์
   

            Month : ไอ้พลอย ใครให้มึงเอาไปลงงงงง!!!

           P. : แหม นิดๆ หน่อยๆ เอง อย่าคิดมาก

            Month : ไอ้เหี้ย ถ้าพายมาเห็นเข้าจะทำไง?!

            P. : ไม่เห็นหรอกน่า ไอจีกูก็ล็อค เขาก็ไม่ได้ตาม ไม่เห็นหรอกน่า

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : มึงจะไปคิดมากอะไร ยังไงมึงก็จะจีบเขาไม่ใช่เร๊อะะะ นิดๆ หน่อยๆ อย่าคิดมาก

            Month : โอ๊ยยยย ไอ้พวกเหี้ยยยย


            ผมได้แต่กดปิดไลน์ไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด แอบหวั่นใจว่าถ้าพายมาเห็นพายจะคิดมากรึเปล่า ผมเคยบอกพายว่าจะจีบพายก็จริง แต่ก็ยังไม่เคยบอกเรื่องที่พวกเรากลายเป็นคู่จิ้นอะไรนี่เลย

            เพราะผมเอาแต่เครียดเรื่องความรู้สึกพายเลยไม่ทันได้สังเกตว่าไอจีพลอยมันเป็นไอจีล็อคแล้วเพจนั้นจะแคปรูปมาได้ยังไง....?




            พอถึงเวลาช่วงโพล้เพล้ไอกันต์ก็โทรมาหาผม ผมเลยบอกให้มันขึ้นมาเลย และแน่นอนพอเปิดประตูห้องผมมา ผมก็พบหน้าเพื่อนทั้งสามครบแก๊งไม่ใช่แค่ไอ้คนที่โทรหาผมเมื่อกี้คนเดียว

           “ไงเพื่อนรักกกกกกก ไหนๆ แมวอยู่ไหนนนนนนน?” เสียงพลอยดังมาก่อนเพื่อน พอมันก้าวเข้ามาในห้องแล้วเห็นเจ้าตัวขาวที่นั่งอยู่บนโซฟามันก็รีบปรี่เข้าไปหาทันที ส่งผลให้เจ้าตัวขาวสะดุ้งตกใจอย่างแรงแล้ววิ่งหนีมาทางผม

           “ง่ะ...หนีเราทำไม เรามาอย่างเป็นมิตรนะ มามะเจ้าเหมียวมาหาเรามา~” พูดเสียงสองมุ้งมิ้ง ทำเอาชายหนุ่มอีกสามคนในห้องได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระเอือมระอา

            พอเห็นเจ้าแมวไม่เล่นด้วย สายตาพลอยก็เหมือนจะหันไปเห็นเจ้าตัวส้มอีกตัวที่นอนอยู่แถวกระจกระเบียง พลอยก็ไม่รอช้าพุ่งตัวเข้าไปหาเจ้าส้มทันที โชคดีที่เจ้าส้มเข้ากับคนง่ายมันเลยยอมให้พลอยลูบขนมันไปมา

            “อ่ะนี่ ของที่มึงฝากซื้อ” กันต์ยื่นถุงชอปปิ้งให้ผม ผมก็รับมาพูดขอบใจเบาๆ แล้วเดินเอาไปวางไว้ที่ครัว แต่แค่เสียงถุงก๊อบแก๊บเล็กน้อยก็ทำเอาเจ้าอ้วนตัวส้มหูตั้งมันรีบวิ่งมาที่ครัวทันที ทิ้งให้พลอยนั่งงงว่าจู่ๆ เจ้าแมววิ่งไปไหน

             ไม่ต้องแปลกใจเลยสงสัยเจ้าอ้วนต้องคิดว่ามีขนมแน่ๆ

            “วันนี้ยังไม่มีขนมครับ” ผมยิ้มให้มันนิดๆ เอามือลูบหัวมันไปสองสามที มันก็ได้แต่ตอบกลับมาว่าเมี๊ยวแบบเซ็งๆ แล้วเดินกลับไปให้พลอยลูบหัวมันเล่นอีก

             “ว่าแต่แมวชื่ออะไรอ่ะมันธ์?” จู่ๆ ต้าที่เงียบมานานก็ถามขึ้น แล้วผมก็นึกได้....นั่นสิ ตั้งแต่รู้จักเจ้าแมวสองตัวนี้มาผมยังไม่รู้จักชื่อพวกมันเลยนี่น่า เห็นพายเรียกเจ้าตัวส้มว่าเจ้าอ้วน...ส่วนเจ้าตัวขาว...ผมนึกไม่ออกจริงๆ แฮะ ว่าพายเรียกว่าอะไร

             “เออ...กูไม่รู้ว่ะ”

             “อ้าว!! ยังไง?”

            “ก็กูไม่เคยถามชื่อพวกมัน พายก็ไม่เคยบอก ปกติเจ้าอ้วนตัวส้มพายก็เรียกว่าเจ้าอ้วน ส่วนเจ้าตัวขาวกูก็ไม่เคยได้ยินพายเรียกเลย”

             “รับแมวเขามาดูแล แต่ไม่ถามชื่อแมวเขาไว้ซะงั้น” พลอยละสายตาหันมาต่อว่าผมด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

             “เออ ก็ไม่ได้คิดถึงเลยนี่หว่า”

            “คิดถึงแต่เจ้าของแมวจนไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นก็พูด” คราวนี้เป็นไอ้ต้าที่แซวขึ้นมา

            “เออ!!”

            “แหมมมมมมม เดี๋ยวนี้ไม่มีปฏิเสธเลยนะครัชชชช”

            ครัชพ่อง!!

            เอาจริงกับคนแบบพวกมันเนี่ยอย่าไปพูดต่อปากต่อคำด้วยเลย พูดไปก็ไม่จบไม่สิ้น แต่เอาจริงพอพวกมันพูดถึงชื่อแมวผมก็เลยนึกได้

             ผมเปิดไลน์ทักเจ้าของแมวทั้งสอง

   
           Month : พายครับ...ผมลืมเรื่องสำคัญจะถาม

           Month : แมวของพายชื่ออะไรครับ?

           Month : ผมก็รู้จักพวกมันตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เคยรู้ชื่อเจ้าสองตัวนี้เลย เคยเห็นพายเรียกแต่เจ้าอ้วน ส่วนเจ้าตัวขาวผมไม่เคยได้ยินพายเรียกมันเลย


           เงียบ...อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะอ่านข้อความของผมด้วยซ้ำ ผมเลยปิดไลน์ไป สงสัยพายจะยังทำงานไม่เสร็จ

           “แน่ะๆ ตาวิเศษเห็นน้าาาาาา~ ไลน์หาใครหรอจ๊ะ~” เป็นเสียงไอ้ต้าเช่นเดิมที่เอ่ยแซวผม

           “หืม? อะไรๆ ขอเผือกหน่อย” คราวนี่พลอยละจากเจ้าแมวอ้วนเดินมาหาผมที่ห้องครัวแทน

           “ไม่มีอะไรหรอกน่า” ผมได้แต่บอกปัดด้วยความรำคาญ เลิกสนใจพวกมันแต่หันมาสนใจเจ้าแมวตัวขาวที่ป้วนเปี้ยนอยู่ที่เท้าผมแทน

            น่าแปลก...ปกติเจ้าตัวขาวแทบจะไม่เข้าใกล้ผมเลย แต่ตอนนี้มันกลับป้วนเปี้ยนอยู่รอบผมไม่ห่าง

           ผมก้มลงไปมองมันนิดๆ เอามือค่อยๆ ลูบหัวมัน ก่อนจะพูดกับมันด้วยความสงสัย

           “เจ้าตัวขาวเป็นอะไรไปหึ?”

            มันไม่พูดอะไรเพียงแต่เอาหน้ามาคลอเคลียมือผมไม่หยุด ตัวก็ดูจะสั่นนิดๆ

            “หืม? น้องแมวเป็นอะไรไปหรอ?” พลอยลงมานั่งยองๆ ข้างๆ ผม เจ้าตัวขาวเห็นอย่างนั้นก็ร้องขู่ แล้วกระโดดมาเกาะผมทันที

            แม้จะตกใจกับปฏิกริยาแมวตรงหน้า แต่โชคดีที่ผมพอจะมีสติอ้ามือรับเจ้าตัวขาวไว้ทัน มันมีอาการตัวสั่นอย่างแรง ส่งเสียงครางในลำคอไม่หยุด ผมเลยได้แต่ลูบหัวมันเบาๆ ค่อยๆ ปลอบมัน ซึ่งเหมือนมันก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของผม มันเลยค่อยๆ เงียบลง ตัวก็ค่อยๆ สั่นน้อยลงเช่นกัน ผมเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดๆ แล้วหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสามคนแทน

            “มึง อย่ามาเข้าใกล้แมวมาก มันกลัวแล้ว โดยเฉพาะมึงเลยไอ้พลอย ชอบจู่โจมน้อง”

            “อ้าว! กูผิดอีก!!” ถึงพลอยจะบ่นนิดหน่อย แต่พอมันเห็นท่าทางของแมวในอ้อมกอดผมมันก็ยอมเดินออกไปจากห้องครัว แล้วกลับไปนั่งเล่นกับเจ้าแมวส้มเช่นเดิม ส่วนเจ้าขาวพอเห็นหญิงสาวเดินออกไปแล้วมันก็คลอเคลียผมเล็กน้อย อาการร้องหรือตัวสั่นเมื่อสักครู่หายไปหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

           “โอ๋ๆ นะครับ ไม่ต้องกลัวนะ” ผมพูดพลางลูบขนมันไปมา ตัวขยับเล็กน้อยเหมือนกล่อมเด็ก ยิ่งทำให้เจ้าตัวขาวรู้สึกพึงพอใจมันเข้ามาคลอเคลียผมมากขึ้น แต่แล้วเองจังหวะนั้นเหมือนเจ้าตัวขาวหันไปเห็นชายหนุ่มอีกสองคนที่เหลือ มันก็ร้องขู่ขึ้นมาอีกครั้ง

            ผมหันไปมองตามมัน จึงได้แต่ส่งสายตาให้เพื่อนออกไปจากครัวก่อน ซึ่งเหมือนกันต์จะเข้าใจผมมันเลยลากไอ้ต้าไปนั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่นแทน

            พอทั้งห้องครัวปราศจากคน เจ้าขาวก็คลอเคลียกับซอกคอผมนิดหน่อยจนผมรู้สึกจั๊กกะจี้จนแอบหลุดหัวเราะออกมา ตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะของผมดันเรียกสติเจ้าแมวในอ้อมกอด มันเลยดิ้นเล็กน้อย แล้วกระโดดไปนั่งบนเคาร์เตอร์ครัวแทน

            แหม...ตะกี้ยังอ้อนผมอยู่เลย มาตอนนี้กลับไปหยิ่งซะแล้ว...อย่างนี้เรียกว่าผมได้ความไว้ใจจากเจ้าแมวตรงหน้าสักนิดไหมนะ?




             พอช่วงเวลาค่ำ หลังคนและแมวกินข้าวเสร็จเรียบร้อย เพื่อนๆ ผมก็ขอตัวกลับ ไอ้กันต์ก็ไม่ลืมที่จะคืนกุญแจห้องให้ผม

             เมื่อเพื่อนๆ จากไป ห้องผมก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ผมหันมองเจ้าแมวสองตัว แล้วหันกลับมามองที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง กดเข้าไปในไลน์ ก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงไม่อ่านไลน์ผมเช่นเดิม

             “นี่พวกแกสองตัวชื่ออะไรหรอ...หรือว่าเจ้าส้มชื่อเจ้าอ้วนจริงๆ...ส่วนเจ้าขาวล่ะชื่ออะไร?” ผมหันไปหาทั้งสองตัวหันหน้ามองมันไปมา

             “เหมียว~” มีแต่เสียงตอบกลับจากเจ้าแมวส้มตัวเดียว

            “หรือว่าพวกแกไม่มีชื่อจริงๆ จังๆ รึเปล่า?”

            “เมี๊ยว~” ก็ยังคงเป็นเจ้าอ้วนสีส้มตัวเดิมที่ตอบกลับมา

            ผมเลิกสนใจเจ้าสองตัวนั้นแล้วหันไปเปิดโทรทัศน์หาอะไรดู สุดท้ายไม่เจออะไรน่าดู ผมเลยเลือกจะเปิดหนังเรื่องโปรดเรื่องเดิม

            ผมเปิดดูไม่ถึงสิบนาที เจ้าแมวอ้วนสีส้มก็ปีนขึ้นมานั่งตักผม สายตาหันไปจ้องดูหนังไปกับผม ในขณะที่เจ้าตัวขาวยังคงเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในครัว ผมก็แอบอดเป็นห่วงมันไม่ได้ ครัวผมมีพวกมีด อุปกรณ์อันตรายเยอะแยะ ถ้ามันดันซนจนบาดเจ็บขึ้นมาจะเป็นไง...

            นึกได้อย่างนั้นผมเลยจะลุกไปอุ้มเจ้าตัวขาวมานั่งด้วยกัน แต่ก็ติดตรงที่เจ้าอ้วนบนตักผมนี่แหละ จะลุกก็ลุกไม่ได้

            “เจ้าอ้วนครับ ลุกก่อนได้ไหม”

            “…”

            “เจ้าอ้วนครับ”

            “…”

            มันก็ยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น ไม่ตอบคำถามผม โอเคสรุปว่ามันไม่ได้ชื่อเจ้าอ้วนสินะ เลยเงียบไม่สนใจผมแบบนี้

            ในเมื่อมันไม่ยอมฟังผม ผมเลยค่อยๆ อุ้มมันออกไปวางข้างๆ ก่อนจะเดินไปที่ครัวเพื่อเอาเจ้าตัวขาวมาวางที่โซฟาข้างๆ เจ้าตัวส้ม ซึ่งตอนอุ้มเจ้าตัวขาวมันก็มีดิ้นเล็กน้อย

            ผมเปิดดูไลน์อีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังคงไม่อ่านไลน์ผมอยู่ดี...นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้วนะ ยังทำงานไม่เสร็จอีกหรอ?

            ผมได้แต่ถอนหายใจ แล้วนั่งดูหนังต่อ พอถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนผมก็อาบน้ำเตรียมนอน เปิดเช็คไลน์อีกครั้งก็พบว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่อ่านไลน์ ผมได้แต่วางโทรศัพท์ไว้ข้างเตียงคิดว่าอีกฝ่ายคงทำงานจนเหนื่อยหลับไปแล้ว

           แต่พอจะนอนก็นึกได้ถึงเพื่อนร่วมห้อง เลยเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วต้อนเจ้าแมวทั้งสองตัวเข้ามานอนด้วยกันในห้องนอน เทน้ำวางไว้ให้เจ้าสองตัวเผื่อดึกๆ หิว ขนกระบะทรายมาไว้ที่ห้องนอน สุดท้ายไม่ลืมที่จะล็อคห้องนอนไม่ให้เจ้าแมวทั้งสองออกไปได้ ทำแบบนี้เวลาตกดึกผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะไปป้วนเปี้ยนกับอุปกรณ์ทำครัวจนได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า

           “ฝันดีนะครับ เจ้าอ้วน เจ้าขาว”

            เพราะไม่รู้ชื่อเลยได้แต่เรียกมันอย่างนี้ไปก่อน แต่เจ้าสองตัวก็ยังคงไม่สนใจผม ผมเลยได้แต่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะล้มตัวนอน หวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะเห็นข้อความของเจ้าของแมว แล้วรู้สักทีว่าเจ้าสองตัวนี้ชื่ออะไรกันแน่....




          



ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 







                 “เมี๊ยว~ เมี๊ยว~ เมี๊ยว!!”

            เสียงแมวและน้ำหนักบ้างอย่างที่ทับอยู่บนอกผมปลุกให้ผมต้องลืมตาตื่นจากห้วงนิทรา...สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อลืมตาก็คือดวงตาสีเหลืองโตกำลังจ้องมองผมอยู่ ใบหน้าของมันห่างจากผมไม่ถึงครึ่งฟุต

             “เชี้ย!”

             ด้วยความตกใจทำให้ผมสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที ส่งผลให้เจ้าอ้วนที่อยู่บนอกผมไม่ทันตั้งตัวกลิ้งลงไปข้างผม

             “เมี๊ยว!!” มันส่งเสียงดังประท้วงผมกลับ

             อ่า...จริงสิ เจ้าแมวทั้งสองของพายมาอยู่กับผมประมาณสัปดาห์หนึ่งนี่น่า...

             “แง้ว!! แง้ว!!! เมี๊ยว!!!!” เจ้าอ้วนตัวส้มส่งเสียงประท้วงผมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมไม่สนใจมัน

              “อ่า....รู้แล้วๆ ขอโทษน้าาาา ไม่ได้ตั้งใจนะ”

              มันหันมามองผมอีกครั้งก่อนจะส่งเสียงร้องไม่เลิกแล้วเดินไปทางประตู เอาเท้าเขี่ยประตูไปมา

              “หืม? มีอะไรเจ้าอ้วน?”

              “เมี๊ยวๆ~”

              ปากก็ร้องไม่หยุด มือก็ขูดประตูไม่เลิก

              “จะเอาอะไรหือ?”

              “เมี๊ยวๆ!”

              มันก็ยังคงทำเหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่ผมเห็นท่าทางของมันก็พอจะเข้าใจขึ้นมา “อยากออกไปจากห้องสินะ?”

              “เมี๊ยว!!” ราวกับมันตอบรับผมว่า ใช่!! ผมได้แต่ยิ้มให้มันนิดๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูให้มัน

             พอประตูเปิดออกเท่านั้นแหละมันก็รีบวิ่งไปที่จานข้าวทันที...นี่สินะสาเหตุที่ปลุกผม

             เจ้าตัวขาวที่นอนนิ่งๆ อยู่ปลายเตียง เห็นน้องตัวเองวิ่งไปห้องครัว มันก็เลยค่อยๆ เดินตามน้องมันไป

             ผมหันไปมองนาฬิกาก็เห็นว่าแปดโมงกว่าแล้ว พอเดินกลับไปที่เตียงหยิบมือถือ เปิดไลน์ขึ้นมาดู ก็ยังไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย อีกฝ่ายยังคงไม่อ่านไลน์เช่นเดิม...

             เฮ้อ...สงสัยจะงานยุ่งไม่ก็ยังไม่ตื่น

             ผมหันมองเจ้าแมวสองตัว ก่อนจะก้มหน้าพิมพ์ข้อความหาอีกฝ่าย


             Month : พายครับ สรุปเจ้าสองตัวนี้มีชื่อไหมครับ

             Month : ยังไงพายบอกผมนะครับ ระหว่างนี้ผมก็จะตั้งชื่อมันไปพลางๆ ก่อน


             เพราะถ้าอีกฝ่ายยังไม่ตอบผมอยู่อย่างนี้ เห็นทีผมอาจจะคุมเจ้าสองตัวนี้ไม่อยู่ ลองเรียกมันว่า เจ้าอ้วน เจ้าขาว เจ้าส้ม ก็แล้วมันก็ไม่สนใจราวกับผมไม่ได้เรียกมัน เพราะฉะนั้นผมต้องหาวิธีเรียกให้มันฟังเดี๋ยวผมต้องอัดคลิปทำอาหารแล้วด้วย ถ้ามันยังไม่ฟังอยู่อย่างนี้กลัวจะเกิดปัญหาตามมา....

             เอาจริงๆ เจ้าตัวส้ม ผมเรียกมันว่าเจ้าอ้วนมันก็สนใจผมนะ! แต่สนใจเฉพาะเวลามีอาหาร!!...เจ้าแมวอ้วนเอ๊ย!!!

             ว่าแล้วผมก็กดปิดไลน์ หันไปหาทางห้องครัวแล้วลองเรียกมันดูอีกครั้ง “เจ้าอ้วน! เจ้าขาว!”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว!” จู่ๆ เสียงเจ้าส้มก็ตอบรับเสียงเรียกของผมทำเอาหัวใจผมพองฟูขึ้นมา ผมรีบเดินไปหามันที่ห้องครัวทันที ก่อนจะพบสาเหตุเสียงของเจ้าแมวอ้วนตรงหน้า เล่นเอาใจที่พองฟูเมื่อกี้แฟ่บลงทันที

             ที่มันร้องเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะตอบรับที่ผมเรียกมันหรอก แต่เป็นการร้องเพราะบอกว่าอาหารหมดต่างหาก!! โอ๊ยยยยยยย เจ้าอ้วนจอมตะกละ!!

             ผมส่ายหน้าให้กับมันนิดๆ แล้วเทอาหารเม็ดที่พายเอามาให้ แต่ก่อนที่มันจะก้มหน้าลงไปกิน ผมก็ยกชามออกจากหน้าทั้งสองตัวก่อน

             “เมี๊ยว!!” เจ้าส้มร้องประท้วงขึ้นทันที

            “ไม่ได้ยังกินไม่ได้ จากวันนี้ไปอีกหนึ่งอาทิตย์ เราต้องอยู่ด้วยกัน แล้วฉันก็ไม่รู้ชื่อพวกนาย ดังนั้น ฉันจะตั้งชื่อให้แล้วเวลาเรียก พวกนายต้องตอบรับฉันนะเข้าใจไหม?!”

             “เมี๊ยว!!” เจ้าอ้วนตัวส้มตอบกลับมาอย่างหงุดหงิด ดูมันจะรู้สึกขัดใจที่ผมไปขัดขวางการกินอาหารของมัน ส่วนเจ้าตัวขาวก็ยังคงนิ่งมองผมเฉยๆ

             อืม...เอาชื่ออะไรดีนะ...ขนสีส้มตัวอ้วนๆ กับขนสีขาว....แล้วจู่ๆ เมนูอาหารบางอย่างก็ลอยขึ้นมาในหัวผม รู้แล้วว่าจะตั้งชื่อทั้งสองว่าอะไร!!

             “โอเค...ต่อไปนี้ฉันจะเรียกพวกแกสองตัวว่า หมูกรอบ กับ เต้าหู้” ผมชี้ไปที่แมวสีส้ม ตามด้วยเจ้าแมวสีขาว

             “เมี๊ยว!!” เจ้าแมวส้มยังคงส่งเสียงประท้วงผม

            “เมี๊ยว!” คราวนี้เจ้าแมวตัวขาวส่งเสียงประท้วงผมด้วยอีกตัว

            “ไหนลองสิ” ผมเดินถือชามข้าวทั้งสองชาม เดินไปที่ห้องนั่งเล่น “เจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้ มานี่เร็ว!!”

            ทั้งสองหันมามองผมนิดๆ เหมือนกำลังงงๆ ว่าผมพูดอะไรอยู่ ผมเลยเรียกมันไปอีกที

             “เจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้ มากินข้าวเร็ว~”

            ทีนี้เหมือนมันเริ่มเข้าใจว่าผมเรียกมันทั้งสอง เจ้าตัวส้มหรือที่ผมเรียกมันว่าหมูกรอบ ก็เดินมาหาผม ส่วนเจ้าตัวขาวที่ผมเรียกว่าเต้าหู้ก็ยังนิ่งอยู่

            เจ้าหมูกรอบเดินเข้ามานั่งตรงเท้าผม มันยกขาหน้าป้อมๆ ของมันสะกิดเท้าผม พลางส่งเสียงเล็กน้อยเหมือนเล็กร้องให้ผมเอาอาหารให้มัน

            “ไม่ได้นะ เจ้าหมูกรอบ นายยังกินไม่ได้ ถ้าเจ้าเต้าหู้ยังไม่ยอมเดินมาทางนี้” ผมก้มหน้าลงไปดุมันนิดๆ

            เหมือนมันจะเข้าใจที่ผมพูด มันเลยหัวไปหาเจ้าตัวขาวก่อนจะร้องเรียกอีกตัว

             “เจ้าตู้หู้มานี่เร็ว มากินข้าว” ผมเรียกมันไปอีกที

             “เมี๊ยว!” เจ้าตัวส้มก็ส่งเสียงเรียกเช่นกัน

             สุดท้ายเจ้าตัวขาวก็ดูรำคาญกับความช่างตื้อของหนึ่งคนกับหนึ่งตัว เลยยอมเดินเข้ามาหาทั้งคู่ มนุษย์คนเดียวในห้องเลยยกยิ้มขึ้นนิดๆ “ดีมาก เจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้~”

            ผมวางชามลงตรงหน้าทั้งสอง เจ้าหมูกรอบก็รีบก้มลงกินทันที ในขณะที่เจ้าเต้าหู้มองหน้าผมนิดนึงแล้วร้อง ‘เมี๊ยว~’ ก่อนจะก้มหน้าลงไปกินอาหาร ราวกับว่าจะขอบคุณผมอย่างนั้นแหละ

            โอเค สรุปตั้งแต่วันนี้ไปอีกหนึ่งอาทิตย์ เจ้าแมวสองตัวนี้จะชื่อหมูกรอบกับเต้าหู้!! ผมรีบเปิดไลน์เข้าไปบอกเจ้าของแมวทั้งสอง

   
            Month : พายครับ ทำงานอยู่สินะครับ

            Month : ผมจะทักมาบอกว่าผมตั้งชื่อให้เจ้าสองตัวนี้แล้วนะครับ

            Month : พอดีมันไม่ยอมฟังผมเลย ผมเลยตั้งชื่อให้มัน มันจะได้เชื่อฟังผมขึ้นมาสักนิด

            Month : ทำงานก็สู้ๆ นะครับ


            ผมปิดแอพพลิเคชั่นไลน์ แล้วหันมาดูเจ้าแมวทั้งสองตัวกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย




             ช่วงสายๆ หลังผมอาบน้ำทานข้าวเรียบร้อย ผมก็ลงมือทำงาน เจ้าแมวตัวส้มหรือที่ผมตั้งชื่อว่าหมูกรอบ มันก็กระโดดมาป้วนเปี้ยนแถวเคาน์เตอร์ครัว ส่วนตัวเจ้าขาวหรือเจ้าเต้าหู้นั้นมันกระโดดขึ้นไปนอนหลังตู้เย็นเป็นที่เรียบร้อย ราวกับจะยึดที่ตรงนั้นเป็นฐานที่ตั้งมั่นไปสักพัก

             พอผมทำอาหารไปได้ไม่นานเจ้าแมวอ้วนตัวสีส้มก็เดินไปมาจนบังหน้ากล้องพอดี

             “เจ้าหมูกรอบ หลบหน่อยเร็ว มันบังหน้ากล้อง”

             “เมี๊ยว~”

             มันไม่สนใจ แต่กลับเดินมาดมมือผมฟุดฟิดไปมา เรียกรอยยิ้มจากผมได้อีกครั้ง...ท่าทางของมันทำเอาผมคิดถึงวันแรกที่เจอเจ้าแมวตรงหน้า และยังเป็นวันแรกที่ผมพบกับพาย....

             ผมลูบหัวมันนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำขนมต่อท่ามกลางสายตาของเจ้าแมวอยากรู้อยากเห็นทั้งสองตัว




              เวลาผ่านไปจนถึงวันพุธ พายก็ยังไม่ตอบไลน์ผม จำได้ว่าตอนนั้นพายบอกว่าอาจจะกลับวันพุธนี่น่า....ผมกดโทรหาคนที่ไม่ยอมอ่านไลน์ แต่ก็ไม่มีคนรับเช่นเดียวกับไลน์ที่ไม่มีคนตอบ...สงสัยทำงานหนักมากจริงๆ แหละ แต่เล่นไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้ผมก็แอบอดห่วงไม่ได้

              ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ เสียงแอพพลิเคชั่นไลน์ก็ดังขึ้น ผมหันไปมองก็ผมว่ามันเป็นแจ้งเตือนจากคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่พอดี

   
              Pie : งานยังไม่เส้ดคับ เด่วกับวันสุก


              ข้อความของพายไม่ได้ตอบคำถามที่ผมเพียรถามไปหลายวัน แต่กลับพิมพ์บอกจุดประสงค์ของพายที่ไลน์มาหาผมแทนทำเอาผมสงสัยเล็กน้อย คือผมเข้าใจนะที่งานยังไม่เสร็จเลยอาจจะกลับช้า เพราะพายก็บอกผมไว้แต่แรกแล้วว่าอาจจะกลับวันศุกร์ แต่ที่ผมสงสัยคือการพิมพ์ของพายมากกว่า ถึงเราจะเพิ่งเคยคุยไลน์กันแค่ไม่กี่ประโยค แต่ก็ดูพายไม่น่าจะเป็นคนที่พิมพ์ไม่ถูกแบบนี้

             ผมพิมพ์ตอบกลับอีกฝ่ายไป


             Month : โอเคครับ ผมอยู่กับเจ้าสองตัวก็สนุกดีครับ จะดูแลพวกมันอย่างดี พายก็สู้ๆ นะครับ


              และเป็นเช่นเดิมที่อีกฝ่ายไม่อ่านไลน์ผม คาดว่าหลังพิมพ์ข้อความนี้เสร็จคงจะปิดไลน์ทันที เลยไม่ทันได้ตอบผม

              อ่า....คงจะงานยุ่งจริงๆ ผมได้แต่คิดอย่างนี้ปลอบใจตัวเองเป็นรอบที่ร้อย

              เจ้าแมวทั้งสองก็เหมือนจะจับอารมณ์ผมได้ เจ้าตัวอ้วนเดินมาวนเวียนแถวขาผม เอาหัวของมันถูไถลคลอเคลียผมไปมา ส่วนเจ้าตัวขาวเดินมานั่งข้างๆ เท้าผม แล้วเอาขาหน้าของมันแตะขาผมเบาๆ สองสามที ทั้งคู่ทำราวกับกำลังปลอบใจผม

              ผมยิ้ม เอื้อมมือลงไปลูบหัวพวกมันเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดความคิดไล่ความรู้สึกแย่ๆ ออกไป แล้วเทอาหารให้เจ้าสองตัวนี้แทน

              “ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกสองสามวันนะ”

              “เมี๊ยว!” เสียงเจ้าเต้าหู้ตอบรับผม ในขณะที่เจ้าหมูกรอบยังคงก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจผมอีก

             พอเห็นพวกมันกินอย่างมีความสุขผมก็ละสายตา แล้วเดินมาหยิบโน้ตบุ๊คเปิดยูทูปช่องตัวเองเพื่อดูคอมเม้นต์ด้านล่าง ซึ่งคอมเม้นต์ก็เต็มไปด้วยคนชื่นชมแมว แน่นอนยอดวิวก็ทะลุหลักแสนไปที่เรียบร้อย แม้มันจะยอดวิวไม่สูงเท่าคลิปที่ผมทำอาหารกับพาย แต่ก็ถือว่ายอดวิวสูงอยู่ดีสำหรับคลิปที่เพิ่งลงมาได้แค่สองวัน

              “ดังใหญ่แล้วนะเจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้” ผมยิ้มนิดๆ ให้กับพวกมัน ก่อนจะปิดโน้ตบุ๊คลงมือเตรียมตัวถ่ายคลิปสำหรับวันนี้

              ผมเปิดดูวัตถุดิบในครัว แล้วก็พบว่ามันพร่องลงไปเยอะ เพราะช่วงนี้ผมมัวแต่วุ่นอยู่กับเจ้าสองตัวเลยไม่ได้ออกไปซื้อวัตถุดิบมาเพิ่ม ที่พวกกันต์ซื้อมาให้เมื่อวันก่อนก็ใช้หมดไปแล้ว ผมได้แต่เดินไปมาอยู่ในครัวสักพักหวังจะเจอวัตถุดิบมากกว่านี้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจแล้วกลับมานั่งหน้าคอมเหมือนเดิม ก่อนจะพิมพ์ข้อความลงในเพจของตัวเอง

              ‘ขอโทษด้วยครับ มีปัญหาเล็กน้อย พรุ่งนี้ของดการลงคลิปนะครับ^^’

             พอพิมพ์ข้อความเสร็จก็ปิดโน้ตบุ๊ค แล้วหันกลับมาสนใจเจ้าแมวสองตัว ในหัวไม่วายพลางคิดไปถึงเจ้าของแมว...อีกสองวันก็วันศุกร์...จะได้เจอกันแล้ว~

             แต่ใครจะไปคาดคิดว่าผมจะไม่ได้เจอคนที่เฝ้าคิดถึงไปอีกนานกว่านั้น....




             ในที่สุดเช้าวันศุกร์ที่ผมเฝ้ารอก็มาถึง แต่ผมก็ยังคงไม่ได้รับข้อความหรือโทรศัพท์ใดๆ จากเจ้าของแมวเลย เดาว่าพายคงมาไฟล์ทเช้า ซึ่งไฟล์ทเช้าสุดจากลำปางมากรุงเทพก็คือแปดโมง ดังนั้นกว่าจะถึงสนามบิน กว่าจะกลับมาถึงคอนโดก็คงเที่ยงกว่า ผมก็ได้แต่รออย่างใจเย็น เจ้าแมวสองตัวก็เดินมาคลอเคลียผมอย่างเช่นที่ทำตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ อาจจะเพราะอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ พวกมันเลยเริ่มรู้สึกไว้ใจผม และสนิทกับผมมากขึ้น เจ้าตัวขาวที่ตอนแรกดูจะไม่ชอบเข้าใกล้ผม ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใกล้ผมเหมือนเดิมแหละ แต่ก็ยอมให้ผมลูบหัวจับตัวมันมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว ถือความเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี

             ผมนั่งรออีกฝ่ายจนเวลาเกือบเที่ยงเสียงแจ้งเตือนไลน์จากโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

             มุมปากผมยกยิ้มไม่ต้องดูก็รู้ว่ามาจากใคร แต่แล้วพอกดเปิดดูมุมปากที่ยกยิ้มของผมก็ต้องหุบลง คิ้วค่อยๆ ขมวดขึ้นเล็กน้อย จริงอยู่ว่าข้อความนั้นมาจากคนที่ผมเฝ้ารอ แต่ใจความของข้อความนี่สิมันคืออะไร?

   
             Pie : sos มาหาที่โรงแรมด่วน!!







_________________________________________
ขอโทษทีค่ะที่หายไปหลายวัน พอดีช่วงนี้ป่วยกับมีเรื่องเครียดนิดหน่อย ยังไงช่วงนี้ก็อาจจะอัพไม่ถี่เหมือนช่วงแรกนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ ชอบไม่ชอบยังไงอย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดให้กำลังใจกันสักนิดนะคะ หรือจะแวะมาพูดคุยกันในทวิต #แมวอยู่กับผม หรือ แอคทวิต @MW_many ก็ได้น้าาาาา >_____<

ออฟไลน์ Noina_Pn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เกิดอะไรขึ้นกับพาย ไม่น่าจะกลายร่างอย่างเดียวล่ะมั้ง

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
กลายเปนแมวยาวๆไปใช่มั้ยเนี่ยะพายอ่ะ

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เกิดอะไรจึ้นตอนพายเป็นแมวรุป่าวนะ แล้วพิมตอบได้ไงอ่ะ ของให้พายปลอดภัยน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
จำได้ว่าพายเคยบอกชื่อแมวไว้ตั้งนานแล้วนิ ไข่แดงกับไข่ขาวไง

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ dragonassist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
 :mew2: ตัวเองคะ แมวไม่ควรกินเค้กนะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่พายกลายเป็นแมวยาวนานเลยเหรอ?  ถึงทำให้ไม่สามารถตอบไลน์ได้  แถมพิมพ์ยังผิด ๆ ถูก ๆ อีก เพราะพิมพ์ส่งตอนอยู่ร่างแมวใช่ป่ะ?

แต่...เมสเสจสุดท้ายเนี่ยคืออะไร?  ใครพิมพ์มา?  โรงแรมที่ว่าคือโรงแรมอะไร ที่ไหน?

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0



บทที่ 9 : แมวของผม...ต้องการความช่วยเหลือ




           ทุกครั้งที่ผมมาทำงาน ผมต้องกลายร่างเป็นแมวเสมอๆ งานช่างภาพถือเป็นหนึ่งในงานที่เหนื่อย แต่ผมก็อยากจะทำ ผมรักที่จะทำงานนี้ ผมชอบความงามของธรรมชาติ ชอบที่จะท่องเที่ยว ถ่ายทอดความงามเหล่านั้นให้คนอื่นได้เห็น แม้มันจะเสี่ยง มันจะลำบาก แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำมันต่อไป

           แน่นอนโรงแรมที่ผมจองย่อมเป็นโรงแรมที่สามารถพาสัตว์เลี้ยงเข้ามาพักได้ พอเช็คอินเข้าห้องพักอย่างแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงโรงแรมอย่างที่ผมทำทุกครั้ง คือ เปิดโน้ตบุ๊ค เสียบสายชาร์ตค้างไว้ พร้อมต่อโน้ตบุ๊คพ่วงกับแป้นคีย์บอร์ด  ไม่ลืมที่จะต่อเม้าส์เลเซอร์เข้ากับโน้ตบุ๊คไว้ด้วย
          
            ความจริงโน้ตบุ๊คผมใช่ว่าแป้นคีย์บอร์ดจะเสียหรอกนะ แต่ผมทำทุกอย่างนี้เพื่อป้องกันเวลากลายเป็นแมว เพราะแป้นคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊คมันเล็กไปหน่อยใช้แป้นคีย์บอร์ดอันใหญ่สำหรับคอมจะพิมพ์สะดวกกว่า

           สองวันแรกผมออกไปถ่ายรูปวัด น้ำตก บ่อน้ำร้อน แต่พอวันที่สามผมกลับกลายเป็นแมว โชคดีที่ผมเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว เลยไม่ลำบากมาก

           ผมใช้เท้าแมวๆ กระโดดขึ้นไปที่โต๊ะทำงาน ใช้ขาหน้าค่อยๆ เลื่อนเม้าส์ กดเปิดโปรแกรมเอกสาร ก่อนจะเริ่มต้นทำงาน ท่าทางมันก็ออกจะทุลักทุเลเล็กน้อย

            หันมองหน้าเอกสารเปล่า ผมร่างไว้แล้วว่าคอลัมน์นี้จะนำเสนอจังหวัดนี้ในมุมมองไหน เลยไม่ยากนักที่จะเรียบเรียงพิมพ์ข้อความออกมา แต่ที่ยากคือเท้าแมวๆ นี่แหละที่ทำให้ผมกดแป้นคีย์บอร์ดไม่ถนัด!! โอเคแม้ปุ่มแป้นคีย์บอร์ดที่ต่อเข้ามามันจะทำให้พิมพ์ง่ายขึ้น แต่มันก็ค่อนข้างยากสำหรับแมวอยู่ดีโดยเฉพาะพวกตัวอักษรที่ต้องกดปุ่ม Shift ด้วย ผ่านไปจนเวลาตกเย็นผมก็พิมพ์ข้อความได้ประมาณหนึ่งหน้า เล่นเอาผมหอบเล็กน้อย ผมคิดว่าคงพอแล้วสำหรับวันแมวๆ นี้

            ผมเดินไปหัวเตียง คาบขนมปังมาวางไว้บนโต๊ะ ใช้เล็บแมวกรีดซองก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดึงขนมปังออกมากิน...คิดถูกจริงๆ ที่ซื้อขนมปังมาตุนไว้

            ผมก้มหน้าอ่านบทความที่ตัวเองพิมพ์เมื่อกี้ด้วยข้อจำกัดของเท้าแมวทำให้ผมพิมพ์ผิดเยอะอยู่พอสมควร แต่เดี๋ยวตอนกลับเป็นคนค่อยมาแก้ก็ได้

             ผมกินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเลยปีนกลับไปที่เตียง...ของีบสักแป๊ปละกัน



   
            รู้ตัวตื่นมาอีกทีด้านนอกก็มืดสนิทเสียแล้ว มองไปรอบๆ ก็รู้ทันทีว่าผมกลับเป็นคนแล้ว ก้มมองมือตัวเองเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานแล้วก็พบว่าผมกลับเป็นคนแล้วจริงๆ

            ผมลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลาก็พบว่าตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว จะนอนต่อก็กลัวจะเพลิน เลยลุกขึ้นมาอาบน้ำ แล้วนั่งแก้บทความที่พิมพ์ผิดทั้งหลาย

            พอฟ้าเริ่มสว่างผมก็ละสายตาจากจอคอมตรงหน้า ยังคงเปิดโน้ตบุ๊คเสียบที่ชาร์ตแบตทิ้งไว้เช่นเดิม เพราะแอบไม่ไว้ใจว่าจะกลายเป็นแมวตอนไหน อย่างน้อยเปิดคอมไว้ก็ย่อมดีที่สุด เพราะเมื่อกลายเป็นแมว เท้าของแมวทำให้ผมทำอะไรกับโทรศัพท์ได้เลย แต่อย่างน้อยถ้าเปิดโน้ตบุ๊คไว้ในนั้นมีโปรแกรมไลน์ หากเกิดอะไรเร่งด่วนผมก็จะสามารถติดต่อคนอื่นได้

            ผมเตรียมตัวออกไปถ่ายรูปเพิ่มเติม พอเสร็จวันนี้ก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย พรุ่งนี้ก็เตรียมตัวกลับได้โชคดีที่งานไม่ยืดเยื้อมาก จะได้รีบกลับไปหาเจ้าสองตัวนั้นเร็วๆ รู้สึกเกรงใจมันธ์ด้วยที่ต้องอยู่ดูแลเจ้าสองตัวนั้น

            แต่สุดท้ายเหมือนอะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ พอตกเย็นผมกลับถึงห้อง ผมก็กลับเป็นแมวอีกครั้ง...น่าแปลกรู้สึกช่วงนี้ผมกลายเป็นแมวบ่อยขึ้น แถมแต่ละครั้งก็อยู่ในร่างแมวนานขึ้นเช่นกัน 

            พรุ่งนี้ผมต้องเช็คเอ้าท์ก่อนเที่ยง ตอนนี้เพิ่งสี่โมงเย็น ยังไงก็น่าจะไม่มีปัญหา กลับเป็นคนทันแน่ๆ

           ผมเดินไปมาในห้องเท่าที่เท้าเล็กๆ จะเอื้ออำนวย แล้วตัดสินใจคาบเสื้อผ้าบางส่วนโยนลงกระเป๋า โชคดีที่ผมเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่มา แม้จะโยนๆ เสื้อผ้าลงกระเป๋าโดยไม่พับก็ยังคงมีพื้นที่เพียงพอให้ใส่เสื้อผ้าทั้งหมด

            ตอนนี้บทความก็เรียบร้อยดี ขาดก็แค่รูปภาพที่ผมยังไม่ได้แต่งรูป แต่เอาไว้กลับไปค่อยทำก็ยังทัน เพราะเดดไลน์ผมคือวันอาทิตย์

            ผมนั่งคิดสักพักว่าเหลืออะไรบ้างที่ต้องทำ ตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นกล่องบนโต๊ะ กล่องสองใบ ซึ่งใบหนึ่งผมซื้อมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก ส่วนอีกใบผมเตรียมไว้เพื่อที่จะเอาไปเป็นของฝากคนข้างห้องที่อยู่ดูแลแมวผมมาเกือบหนึ่งสัปดาห์

            ผมหยิบมันออกมาดูอีกครั้ง ด้านในกล่องเป็นแก้วเซรามิกสีเทาใบหนึ่ง...

            ผมเจอแก้วใบนี้ตอนขากลับจากวัด ตอนนั้นรถเวียงขับผ่านร้านเซรามิก ผมรีบบอกให้ลุงจอดรถทันที ร้านนั้นขายพวกชาม เครื่องปั้นดินเผา ป้ายร้านบอกราคาเริ่มต้นที่ห้าบาท ลักษณะร้านเป็นร้านตั้งเตนท์ขนาดใหญ่ อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยชื่อดังไปไม่มาก ผมเดินเข้าไปดูด้วยความสนใจ ในร้านนั้นละลานตาไปด้วยถ้วยชามหลายไซส์หลายขนาด สีสันรูปทรงหลากหลาย ผมเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดตาที่แก้วใบหนึ่ง

            มันเป็นแก้วกาแฟทั่วไป เป็นสีขาว แต่ที่แปลกว่าปกติคือตรงส่วนหูจับ มันเป็นลายลักษณะเหมือนหางแมว ปากแก้วมีสามเหลี่ยมขึ้นมาเล็กน้อยสองอัน มองจากด้านหน้าถึงมองออกว่ามันคือหูแมว ส่วนตรงตัวแก้วก็เพ้นท์ลายหน้าแมว
 
            น่ารัก...

            แล้วจู่ๆ หน้าเพื่อนข้างห้องก็ลอยเข้ามา จริงๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่ามันธ์ดูจะชอบแมวมากๆ แม้เขาจะไม่ได้เลี้ยงแมวก็ตาม...

             ผมหยิบแก้วใบนั้นขึ้นมาเตรียมจะนำไปจ่ายเงิน ทันใดนั้นเองผมก็เห็นว่าใบที่วางอยู่ด้านหลังแก้วสีเทาใบนี้ เป็นแก้วแมวเหมือนกัน แต่มีสีเทา

             เห็นแล้วก็อยากได้เองแฮะ....

             สุดท้ายผมเลยตัดสินใจหยิบแก้วสีเทานั้นมาด้วย ก่อนจะนำทั้งสองใบไปจ่ายเงิน ซึ่งราคาแก้วถูกเกินคาด สองใบรวมกันไม่ถึงร้อยเลย สมกับเป็นเมืองส่งออกเซรามิกรายใหญ่จริงๆ

            ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดเมื่อคาดคิดถึงปฏิกริยาของมันธ์เมื่อเห็นแก้วใบนี้ เขาคงมีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นเคยแน่ๆ ปากก็คงพูดว่า ‘ขอบคุณมากครับ ผมจะใช้แก้วใบนี้อย่างดี’ แน่ๆ เลย

            ยังไม่ทันคิดว่าจะทำอะไรต่อผมก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอีกแล้ว สี่เท้าเลยกระโดดกลับไปที่เตียงนอน แล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว หวังว่าพรุ่งนี้พอกลับถึงคอนโดผมจะได้พักเสียที



   
            แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างหวังเมื่อผมตื่นขึ้นมาผมยังคงอยู่ในร่างแมว!!  ผมรีบกระโดดไปที่โต๊ะข้างหัวเตียงด้วยความร้อนรน ใช้ขาหน้ากดปุ่มโฮมโทรศัพท์มือถือพบว่าตอนนี้แปดโมงกว่า ผมกลายร่างเป็นแมวมากว่าสิบหกชั่วโมงแต่ก็ยังไม่กลับเป็นคน....

             จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี ผมเดินไปเดินมาในห้อง พยายามรวบรวมสติตัวเองไม่ให้แตกตื่นไม่กว่านี้

             โอเค ตอนนี้ผมควรจัดการปัญหาเรื่องโรงแรมนี่ก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะกลับร่างเดิมทันไหม ส่วนตั๋วเครื่องบินที่จองไว้รอบเย็นก็คงต้องทิ้งไป

             ผมใช้ขาหน้าค่อยๆ เลื่อนเม้าส์คลิกเข้าอินเตอร์เน็ต กดเข้าเว็บเพื่อส่งอีเมลล์

             ผมเลือกที่จะใช้ภาษาอังกฤษพิมพ์อีเมลล์ เพราะแป้นคีย์บอร์ดถ้าใช้ขาหน้าของแมวพิมพ์จะสะดวกกว่า ไม่ต้องกดปุ่ม Shift เหมือนภาษาไทยให้ยุ่งยาก แม้จะกลายเป็นว่าผมพิมพ์ตัวอักษรอังกฤษพิมพ์เล็กทั้งหมด แต่ใจความก็ยังคงครบถ้วน ดีกว่าพิมพ์ภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ จนทางโรงแรมอาจคิดว่าเป็นอีเมลล์ขยะ

              ใช้เวลากดพิมพ์เกือบชั่วโมงกว่าจะเสร็จ จากนั้นก็กดส่งเข้าอีเมลล์ของโรงแรม รอเพียงไม่เกินห้านาทีทางโรงแรมก็ส่งกลับมาว่าเขาสามารถพักต่อได้อีกจนถึงวันศุกร์

              โอเคอย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถอยู่ในห้องเฉยๆ ไปได้อีกสองวัน ผมทำใจให้สงบขึ้น สองวันน่าจะเป็นเวลาเพียงพอที่จะทำให้เขากลับร่างเดิม จากประสบการณ์ที่มีมาทั้งหมด ผมจะกลายเป็นแมวนานสุดไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนนี้ก็ผ่านไปสิบเจ็ดชั่วโมงแล้วอีกไม่เกินเจ็ดชั่วโฒงผมก็น่าจะกลับร่างเดิม ขึ้นได้อย่างนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เลยกระโดดกลับไปที่เตียง

              RRRRR

              ยังไม่ทันที่จะได้หลับ เสียงโทรศัพท์มือถือผมก็แผ่ดเสียงลั่นจนผมสะดุ้ง ผมเดินมาดูก็พบว่าเป็นเสียงเรียกเข้าจากมันธ์ อยากจะรับแต่ก็รับไม่ได้ รอสักพักเสียงก็เงียบลง ผมจึงกระโดดกลับไปที่โต๊ะทำงาน แล้วกดเข้าโปรแกรมไลน์ ตลอดระยะเวลาที่ผมมาที่นี่ผมไม่ได้เข้าไลน์เลยสักนิด เข้าไลน์ครั้งล่าสุดก็คือตอนที่ส่งไปบอกอีกฝ่ายว่าเขามาถึงโรงแรมแล้ว

              พอคลิกเข้าไปดูก็พบว่าแจ้งเตือนของผมมีทั้งจากนิวและจากมันธ์ ผมคลิกเข้าไปดูที่นิวส่งมาให้ก่อน มันเป็นรูปภาพสั่นๆ รูปหนึ่งที่มองแทบไม่ออกว่ามันคืออะไรเพียงแค่รูปเดียวกับข้อความอะไรไม่รู้ไม่เป็นภาษา ผมเลิกสนใจข้อความจากนิว หันไปเลื่อนเม้าส์ไปกดดูข้อความของอีกคนที่มีจำนวนแจ้งเตือนเยอะกว่าเท่าตัว

             มันธ์ไลน์มาหาผมเยอะแยะ แต่จะให้ผมพิมพ์ตอบก็ไม่ไหว ผมเลยทำได้แค่พิมพ์ตามความจำเป็น


             Pie : งานยังไม่เส้ดคับ เด่วกับวันสุก


            เท้าแมวๆ ที่ทำให้พิมพ์ยากกว่าเดิมหลายเท่า แต่สุดท้ายผมก็สามารถพิมพ์ข้อความสั้นๆ บอกอีกฝ่ายได้ ผมเลื่อนเม้าไปกดปิด แล้วเดินกลับมาที่เตียงเช่นเดิม ความรู้สึกง่วงจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ผมจึงค่อยๆ ล้มตัวลงนอน




            สุดท้ายผ่านไปสองวันผมก็ยังคงเป็นแมว!!! แปลก...นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ผมไม่เคยกลายเป็นแมวนานขนาดนี้มาก่อน แลัววันนี้ผมต้องเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้วด้วย

            ผมเปิดอิเมลล์ก่อนจะพิมพ์หาโรงแรมเช่นเดิม ใจความของมันคือขออยู่ต่อจนถึงวันอาทิตย์ แต่คราวนี้ไม่เป็นดังหวัง เพราะทางโรงแรมส่งกลับมาว่าเสาร์-อาทิตย์นี้มีคนจองห้องผมเสียแล้ว เพราะฉะนั้นผมสามารถนอนต่ออย่างมากสุดได้แค่หนึ่งคืนและอาจจะต้องย้ายห้องหรือหากไม่ประสงค์จะพักต่อก็ต้องเช็คเอ้าต์ก่อนเที่ยงวันเสาร์ ผมได้แต่ตอบกลับโรงแรมไปว่าตกลงผมจะพักต่ออีกคืน

             คราวนี้แหละปัญหาใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าผมจะกลับเป็นมนุษย์ทันพรุ่งนี้ไหม ผมรีบกดเข้าไลน์แล้วพิมพ์ข้อความไลน์ไปหานิว บอกให้มันมาช่วยเหลือผมด่วน แต่จนแล้วจนรอดเวลาผ่านไปจากเช้าเป็นสาย จากสายเป็นเกือบเที่ยง นิวก็ยังคงไม่ตอบกลับข้อความผม ไม่แม้แต่จะอ่านด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองที่ผมนึกได้ว่านิวมันไม่อยู่ไทยนี่น่า....

             เอาไงดี....เอาไงดี......

             ผมเดินวนไปวนมา ในหัวก็คิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหาตรงหน้ายังไงดี สายตาเหล่ไปเห็นไลน์จากคนข้างห้อง ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที

             เอาวะ เป็นไงเป็นกัน แก้ปัญหาตอนนี้ก่อน ปัญหาวันหน้าก็ค่อยคิดวันหน้า!!

             คิดได้ดังนั้นผมก็เปิดไลน์ในคอมก็ใช้ขาหน้าพิมพ์ส่งข้อความหามันธ์

   
            Pie : sos มาหาที่โรงแรมด่วน!!
 
            Pie : 405


            พอจะกดพิมพ์ต่อจู่ๆ ผมก็รู้สึกวูบแล้วทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็นความมืด




             ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

             เสียงเคาะประตูปลุกผมตื่น ผมมองรอบๆ ห้องไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วแต่ตอนนี้รอบตัวมืดสนิท

             ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

             เสียงประตูห้องดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเรียกจากอีกฟากประตู “พายครับ? พายอยู่ไหมครับ?”

             เสียงมันธ์ดังขึ้นทำเอาผมตื่นเต็มตา มองรอบตัวที่ยังคงดูใหญ่กว่าปกติไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้ว่าผมยังคงอยู่ในร่างแมวแน่ๆ

            “พายครับ? ได้ยินรึเปล่า? เป็นอะไรรึเปล่าครับพาย?” เสียงจากมันธ์ที่อยู่อีกฟากของประตูยังดังขึ้นอีกครั้ง

           ฉิบหาย! เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เอาไงดีล่ะทีนี้

            RRRRR

            คราวนี้เป็นเสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ผมวิ่งไปดูก้พบว่าเป็นสายเรียกเข้า แล้วก็พบว่ามันคือสายเรียกเข้าจากคนที่อยู่อีกฟากของประตู...สายเรียกเข้าจากมันธ์

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “พายครับ อยู่ในห้องใช่ไหม ผมได้ยินเสียงมือถือ พายครับ?”

            ฉิบหายแล้ว....ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันธ์จะไปเรียกพนักงานมาเปิดประตูห้องผม

           ผมรีบกลับไปที่คอมก่อนพิมพ์ไลน์หาคนที่อยู่อีกฟากของประตูแต่ยังไม่กดส่ง พอพิมพ์เสร็จก็รีบวิ่งไปคาบกุญแจมาที่ประตู

           โชคดีที่ระหว่างพื้นห้องกับประตูมีช่องนิดๆ พอที่จะลอดกุญแจออกไปได้ ผมปล่อยกุญแจที่คาบเอาไว้ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยกุญแจออกไปข้างนอก แล้วรีบกลับมาที่โต๊ะทำงาน พอมันธ์ไขกุญแจเข้ามาในห้องปุ๊ปผมก็กดส่งข้อความที่พิมพ์ค้างไว้ทันที

            มันเป็นข้อความภาษาอังกฤษที่มีใจความสั้นๆว่า ‘มีงานด่วนฝากเอาแมวกับของกลับไปกรุงเทพให้ด้วย’

           มันธ์กดเปิดไฟห้องแล้วก้มหน้าอ่านข้อความเพียงแว่บเดียวก็กลับมามองผม ผมก็จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ

           “เจ้าตัวเล็ก?”

            “ครับ?” ผมส่งเสียงถามกลับไปตามความเคยชินแต่แน่นอนว่าเสียงของผมอีกฝ่ายคงได้ยินว่าเมี๊ยวเช่นเดิม

            “ทำไมมาอยู่นี่? ไหนว่าอยู่กับแม่เพื่อนพายไง??”

            อ่า...นั่นสิ...ผมลืมไปเลย

            อีกฝ่ายไม่ทันฟังคำตอบของผมก็เดินไปที่กระเป๋า ก็แน่ล่ะถึงมันธ์จะนั่งฟังผมสักชั่วโมงสิ่งที่มันธ์เข้าใจก็ยังคงเป็นแค่เสียงเมี๊ยวๆ ของผมนั่นแหละ

            มันธ์ก้มหน้าพิมพ์อะไรสักอย่างลงโทรศัพท์ แล้วเสียงไลน์ทั้งจากมือถือและจากโน้ตบุ๊คก็ดังขึ้นพร้อมกัน ผมก้มลงไปดู ก่อนจะเห็นข้อความว่าเป็นมันธ์คนเดิมที่ส่งข้อความมา


            Month : พายไปไหนครับ แล้วให้ผมเอาของไปหมดเลยหรอครับ?


            ผมเห็นข้อความของอีกฝ่ายแล้วแต่ก็ไม่รู้จะตอบกลับยังไง อีกฝ่ายก็ได้แต่ถอนหายใจและเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ก่อนจะก้มลงสนใจกับกระเป๋าเดินทางของผม จังหวะนี้เองที่อีกฝ่ายมัวแต่สนใจอย่างอื่นอยู่เลยไม่ทันเห็นผม ผมก็รีบพิมพ์ข้อความส่งกลับไปทันที


             Pie : yes 


            มันธ์ทำหน้ายุ่งเล็กน้อยก่อนจะหันมองรอบห้องคร่าวๆ แล้วตัดสินใจเทของในกระเป๋าผมออกมาทั้งหมดทันที

            เอ๋?!

             ผมรีบกระโดดไปหาร่างสูงเพื่อดูว่าเขาต้องการจะทำอะไร แล้วผมก็เห็นว่าเขากำลังนั่งพับผ้า?! มันธ์กำลังรื้อของในกระเป๋าผมออกมาเพื่อจัดระเบียบให้มันเรียบร้อย สายตาผมเหลือบไปเห็นบางสิ่ง จึงรีบเข้าไปคาบมันออกมารู้สึกอายเหมือนกันที่ต้องมาคาบชั้นในตัวเองแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายเห็นแหละ แต่ถึงจะพยายามแอบทำโดยย่องเบาแค่ไหน สุดท้ายมันธ์ก็ดันสังเหตเห็นผมอยู่ดี ผมเลยโดนอีกฝ่ายจับตัวไว้ทันทีและโดนบังคับให้ปล่อยสิ่งที่คาบไว้ออกมา

             “ไม่ซนนะครับ” เขาบ่นกับผมนิดหน่อยแล้วอุ้มผมไปวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะหันไปยุ่งกับการจัดกระเป๋าต่อ ไม่ถึงครึ่งชัวโมงมันธ์เดินไปที่ห้องน้ำ แล้วออกมาพร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ผมวางไว้ในห้องน้ำ มันธ์จัดการยัดพวกมันใส่ถุงพลาสติกก่อนจะวางลงในกระเป๋าเดินทาง

              ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง มันธ์ก็ปิดกระเป๋าผมเสร็จเรียบร้อย เขาหันมาจัดการกับโต๊ะทำงานของผมต่อ ผมปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการไป ส่วนตัวเองก็เดินมาดูห้องน้ำเผื่อเช็คของดูว่ามันธ์ตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า แต่ก็พบว่าในห้องน้ำไม่มีของของผมหลงเหลืออยู่เลย เดินไปดูตู้เสื้อผ้าหน้าห้องน้ำ ในนั้นก็โล่งเปล่า เดินไปดูบริเวณอื่นก็ไม่พบของของผมตกหล่นอยู่ โอเค...มันธ์เก็บของผมครบหมดจริงๆ

             ยังไม่ทันที่มันธ์จะเก็บโน้ตบุ๊คผม เขาก็เห็นกระเป๋าเงินของผมวางอยู่บนโต๊ะ มันธ์หยิบขึ้นมาดูพลางบ่นพึมพำขึ้นมาราวกับใช้ความคิดพูดย้ำๆ ทบทวนความเป็นไปได้ไปมา “กระเป๋าตังค์กับมือถือก็อยู่นี่แล้วจะหายไปไหนได้ยังไง?”

             เขาเลิกเก็บของแล้วก้มหน้าพิมพ์บางอย่างในมือถือ  แล้วก็หยุด ทำเพียงจ้องมองมือถือเครื่องนั้น สักพัก แต่แล้วก็ถอนหายใจก่อนจะเก็บมันลงไปยังกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม

              RRRRR

              เสียงโทรศัพท์ของมันธ์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม แต่พอเห็นชื่อปลายสายใบหน้านั้นก็หุบยิ้ม แล้วกดรับ

             “ว่าไง”

              ผมกระโดดขึ้นไปบนเตียงนั่งลงข้างๆ มันธ์ แอบลอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่าย

              “อือ ถึงแล้ว โชคดีที่มาทันตั๋วเครื่องรอบสุดท้าย”

             อ่า...จริงสิผมส่งข้อความไปหาอีกฝ่านตอนเที่ยง ตอนนี้แม้ผมจะยังไม่รู้เวลาแต่ดูจากที่ด้านนอกมืดแล้วมันคงเป็นเวลาค่ำๆ ฟังจากบทสนทนาแสดงว่ามันธ์คงจองตั๋วเครื่องบินรอบเย็นเพื่อมาหาผมแน่ๆ

             “เรียบร้อยแล้ว โรงแรมที่พายส่งโลเคชั่นมาให้นั่นแหละ ห้อง 405”

              พูดแล้วอีกฝ่ายก็ฝั่งอีกฝั่งของสายพูด

             “ไม่รู้ว่ะ ไม่เจอ”

               ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร ได้แต่นั่งฟังแล้วคาดเดาไป

              “เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับ อือ ฝากเจ้าแมวทั้งสองตัวด้วยนะพลอย”

               พูดจบมันธ์ก็กดวางสาย แต่ยังคงกดโทรศัพท์ต่อ เข้าฟังเสียงจากปลายสายประมาณเกือบสิบนาที ก่อนจะเริ่มบทสนทนาขึ้น ผมพอจับใจความได้ว่าเขาจะจองเครื่องบินกลับกรุงเทพ แล้วก็พูดอะไรเกี่ยวกับแมวนิดหน่อยก่อนจะกดวางสาย มันธ์มองมือถือในมืออยู่สักครู่ก่อนจะหันมาหาผม

              “อยู่ในห้องนี้คนเดียวแป๊ปนะ เดี๋ยวผมมา”

               “เมี๊ยว~”

               เขาลูบหัวผมเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินและออกจากห้องไป

               พอเห็นว่าอีกฝ่ายไปผมก็รีบกลับไปที่โน้ตบุ๊คโชคดีที่ตะกี้มันธ์ยังไม่ทันเก็บมันไป ผมกดเปิดไลน์ พิมพ์ข้อความภาษาอังกฤษหาอีกฝ่ายทันที บอกเพียงว่าผมมีธุระด่วนไปกับเพื่อนที่เจอกันทีนี่ ด้วยความรีบเลยไม่ทันได้เอาอะไรไปรวมไปถึงโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงิน ยังไงก็รบกวนให้พายเก็บทั้งหมดกลับกรุงเทพให้ด้วย ผมมองข้อความอีกครั้งจนคิดว่าครบถ้วนพอแล้วก็รีบกดส่งอีกฝ่ายทันที ซึ่งมันก็ขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วอย่างรวดเร็ว ผมเห็นดังนั้นจึงผมเดินกลับไปที่เตียงแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอน



   
               ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่อยู่บนหัว มันธ์กลับมาแล้ว....มองไปรอบห้องก็พบว่าทุกอย่างถูกเก็บลงกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย

               “เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลกันหน่อยนะ” เขาว่าพลางยื่นไส้กรอกมาให้ผม ผมรับมากินอย่างว่าง่าย ส่วนเขาก็หันไปกินข้าวกล่องของตัวเอง

               ไม่นานหนักทั้งคนทั้งแมวก็กินอาหารเสร็จเรียบร้อย มันธ์ก็ยังคงวุ่นอยู่กับโทรศัพท์มือถือ สีหน้าเริ่มดูไม่ดีขึ้นมาเป็นระยะ

                “เจ้านายแกหายไปไหนเนี่ย?”

                “เมีี๊ยว!”

               ให้ตายยังไงมันธ์ก็คงฟังผมไม่ออกอยู่ดี เขายิ้มให้ผมอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำอยู่ประมาณสิบกว่านาที พอออกมาจากห้องน้ำเขาก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที  ผมมองมันธ์อยู่สักพักแต่ไม่เห็นเขาขยับตัวจึงเดินเข้าไปมองหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ

               หลับหรือยังนะ?

               แล้วจู่ๆ อีกฝ่ายก็คว้าตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวจนส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ

               “แง้ว!!”

              “ขอกอดหน่อยนะครับ” เขาพูดพลางคลายอ้อมกอดให้ผมได้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น พอผมทำท่าจะหนีมันธ์ก็จะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นทันที

              “เจ้าตัวเล็กอย่าหนีสิ เจ้านายแกหนีฉันไปแล้ว แกก็อย่าหนีฉันไปอีกคนสิ”

              ได้ยินอย่างนั้นผมก็หยุดดิ้น หันไปมองคนที่พูดทันที แต่อีกฝ่ายก็หลับตาลงเป็นการตัดบทสนทนาทั้งหมด ผมได้แต่คอลเคลียคนที่หลับ อยากบอกเหลือเกินว่าขอโทษนะครับ...



   
              ช่วงสายผมตื่นขึ้นมาก็เห็นอีกฝ่ายอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อย มันธ์ยิ้มให้ผมนิดๆ สีหน้าของอีกฝ่ายดูเคร่งเครียด

               มันธ์ยื่นทูน่ากระป๋องที่เปิดแล้วมาให้ผม

              “ตื่นแล้วก็กินซะหน่อยนะ”

              “เมี๊ยว~”

              ผมขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน

             ไม่นานหนักพอพวกเรากินเสร็จมันธ์ก็หันไปสะพายกระเป๋าเป้

             “เราไปกันเถอะ”

             ว่าแล้วมันธ์ก็เปิดประตูห้องทิ้งไว้แล้วเดินเข้ามาลากกระเป๋าไปไว้ข้างนอกก่อนจะกลับมาสะพายกระเป๋ากล้องของผมไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างจับผมอุ้มขึ้นและไม่ลืมที่จะถือกระเป๋าของตัวเองไปด้วยตอนนั้นเองที่สายตาผมหันไปเห็นของที่อยู่บนโต๊ะ

             “เมี๊ยว!! เมี๊ยว! เมี๊ยว! แง้ว!” ผมส่งเสียงร้องโวยวายพลางดิ้นไปมาทันที จนอีกฝ่ายต้องปล่อยตัวผมลงผมใช้จังหวะนี้ปีนกลับไปที่โต๊ะทำงาน เอาเท้าเขี่ยกล่องบางอย่าง

              “หืม? อะไรเจ้าตัวเล็ก?”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว!”

              ขาหน้าผมแตะที่กล่องทั้งสองไปมาพยายามให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ

               “หืม? จะให้เอาไปด้วยหรอ?”

              พออีกฝ่ายเข้าใจที่ผมต้องการสื่อผมก็รีบส่งสียงร้องยืนยันไปทันที

               มันธ์หยิบกล่องทั้งสองใบขึ้นมาดู ก่อนจะเปิดมันออก  พอเห็นของข้างในเขาก็หันมามองผม

              “ของพายหรอ?”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยว!” ผมส่งเสียงโวยวายอีกครั้ง

              “โอเคครับ โอเค เข้าใจแล้ว”

              มันธ์ถอดเป้ที่สะพายอยู่ออกก่อนจะยัดกล่องทั้งสองใบนั้นลงกระเป๋าเป้ โชคดีที่มันยังพอมีที่ว่างยัดลงไปได้ คราวนี้ทั้งคนทั้งแมวก็พร้อมออกเดินทาง

              มันธ์ลงมาเช็คเอ้าท์โรงแรม แน่นอนผมไม่ได้บอกอะไรอีกฝ่ายไว้ เขาก็เลยต้องจ่ายค่าโรงแรมให้ผมไปก่อน มันธ์เหมารถแท็กซี่ไปยังเชียงใหม่ซึ่งราคาแพงหูฉี่ แต่เพราะมีผมที่เป็นแมวอยู่ด้วยเลยไม่สามารถขึ้นรถทัวร์หรือรถตู้ไปเชียงใหม่ได้ มันธ์เลยต้องเหมาแท็กซี่ไป

              พอเรามาถึงไปสนามบินเชียงใหม่ มันธ์ก็จัดการนำผมไปเช็คอิน ซึ่งแน่นอน ว่าผมต้องถูกขังอยู่ในกรง และเดินทางไปคนละส่วนกันคน พอจัดการกับผมเรียบร้อยมันธ์ก็ลูบหัวผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับไปจัดการกับตั๋วของตัวเอง โชคดีที่เราก็เดินทางกันปลอดภัยไม่มีปัญหาอะไร กว่าจะถึงกรุงเทพก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆ แล้ว

            






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2019 00:34:59 โดย มากมายด์ »

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
                  






                จากสนามบินมาถึงคอนโดใช้เวลาไม่นาน ตลอดเวลาที่เดินทาง มันธ์ก็ยังคงทำหน้าเคร่งเครียดไม่มีรอยยิ้มเหมือนทุกที

                เมื่อมันธ์เปิดประตูเข้าห้องตัวเอง ผมก็เห็นผู้หญิงคุ้นหน้าคุ้นตานั่งลูบหัวเจ้าตัวอ้วนไปมา ข้างๆ กันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่

               “คุณพายคะ?” เสียงเจ้าไข่ขาวร้องเรียกผมทันที

               “มาแล้วหรอมึง?” คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายดังออกมาจากในครัว

                “อ่ะ แมววววววววว น้องงงงงงงงงง” หญิงเดียวในห้องพุ่งตรงเข้ามาหาผม แล้วแย่งผมไปอุ้ม โดยเจ้าแมวตัวขาวก็เดินมาป้วนเปี้ยนแถวๆ ผม คอยถามผมด้วยความเป็นห่วง ผมก็ตอบมันไปคำสองคำ หูพยายามฟังบทสนทนาของเจ้าของห้องกับเพื่อนของเขา

               “แล้วสรุปยังไง? ทำไมมีแมว?” เสียงผู้ชายที่นั่งข้างผู้หญิงดังขึ้น เขาลุกเดินมาหามันธ์

               “ไม่รู้ว่ะ”

               “อะไรคือไม่รู้?”

               “ก็กูไปหาพาย แต่ไม่เจอว่ะ”

                “อ้าว...มึงอุส่าถ่อไปหาเขาถึงลำปาง แต่ไม่เจอคืออะไร? แล้วนี่ของทำไมเยอะแยะ?”

                ผมเห็นเพื่อนของมันธ์เดินมาที่โต๊ะกินข้าว แล้วยื่นน้ำให้มันธ์ มันธ์รับมาก่อนจะอธิบายให้เพื่อนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

                “ก็กูไปถึงก็ไม่เจอใครเลย เจอแต่แมวของพายกับของของพาย”

                “อ้าวแล้วงี้เจ้าตัวหายไปไหน”

               “กูไม่รู้เลย เขาแค่ส่งไลน์มาบอกกูว่าฝากเก็บของกับฝากแมวกลับมาหน่อย กูไม่รู้เลยเขาหายไปไหน ของก็อยู่ครบ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ โน้ตบุ๊ค มือถือ กระเป๋าเงิน ทุกอย่างอยู่ครบ แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่....” มันธ์พูดอย่างร้อนรนน้ำเสียงดูมีความกังวล

               “เฮ้ย...ได้ไง แล้วพี่พายเขาจะหายไปไหน กระเป๋าเงินกับมือถือก็ไม่เอาไปเนี่ยนะ?? มึงกูว่าโทรแจ้งตำรวจเถอะ ขนาดนี้แล้ว มันผิดปกติไปนะ”

              “อืม....กูก็เป็นห่วง เหี้ยเอ๊ย!! กูไม่น่ากลับมาเลย!!”

              เพล้ง!
 
               เสียงแก้วแตกกระจายอย่างแรง เรียกเอาทุกคนที่อยู่ในห้องหันไปมองคนขว้าง มันธ์ขว้างมันราวกับว่าจะช่วยระบายความโกรธในใจของตัวเองได้

               “ไอ้เหี้ยมันธ์มึงใจเย็นดิ”

              “กูเย็นไม่ไหวแล้วว่ะไอ้กันต์ ตลอดทางที่กูเดินนั่งรถกลับมากูเอาแต่ไลน์หาเขา เขาก็ไม่แม้แต่จะอ่านไลน์กู เมื่อวานกูก็ทั้งโทรไลน์ ทั้งส่งข้อความเขาก็ไม่ตอบกู จะโทรหาเขาก็ไม่ได้เพราะโทรศัพท์เขาก็อยู่ที่กู กูแม่งก็หน้าโง่ทำเหี้ยอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่เขาบอกคือ พาแมวกับของ กลับมากรุงเทพอย่างโง่ๆ”

               อารมณ์และน้ำเสียงของเขารุนแรงขึ้นตามความโกรธ เขาดูโมโห ดูหงุดหงิด น้ำตาเริ่มคลอหน่วย แต่มันดูเป็นน้ำตาที่มาจากความโกรธมากกว่าความเศร้า

              มันธ์รู้สึกตัวเองงี่เง่า เขาโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ โกรธจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ อีกฝ่ายก็หายไปเลย หายไปเหมือนจู่ๆ ก็แค่ ‘หายไป’ วินาทีนี้เองที่เขารู้ว่าเขาช่างไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย....ไม่รู้จักเพื่อน ไม่รู้จักครอบครัว ไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย.....

              ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกผิด...ผมสร้างความลำบากให้มันธ์จริงๆ

              ผมพยายามสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของหญิงสาว พอสะบัดหลุดก็รีบวิ่งและกระโดดขึ้นโต๊ะไป อีกฝ่ายยังคงหงุดหงิดจนเพื่อนที่อยู่ในห้องได้แต่เงียบแล้วมองอย่างเห็นใจ

              “พ่อกูมีเพื่อนเป็นตำรวจเยอะ เดี๋ยวกูให้พวกเขาประสานกับตำรวจที่ลำปางช่วยอีกทีนะมึง มึงต้องใจเย็นๆ พี่เขาไม่เป็นอะไรหรอก”

              “กูก็อยากใจเย็นนะพลอย แต่กูก็เป็นห่วงเขา เขาไม่แม้แต่จะอ่านไลน์กูด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีไหม หรือเป็นอะไรไปหรือเปล่า?”

              “เมี๊ยว” ผมอยู่ตรงนี้ไงล่ะ ผมค่อยๆ ยกขาหน้าของตัวเองไปจับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ อยากถ่ายทอดให้เขารับรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ผมปลอดภัย ไม่ได้เป็นอะไร...

              “เจ้าตัวเล็ก...เท้า....”

              มันธ์ก้มมองมือตัวเองเมื่อรู้สึกได้ถึงเท้าเล็กๆ ที่มาสัมผัส ทำให้สังเกตเห็นรอยเลือดเล็กๆ ที่มือของตัวเอง เขาจับเท้าผมขึ้นมาดูจนรู้ว่าเลือดนั้นมันมาจากบาดแผลที่เท้าของผม

               “หรือว่าแกไปเหยียบเศษแก้วที่ผมปาเมื่อกี้หรอ”

              ผมได้แต่เลือกที่จะเงียบ...เพราะเมื่อกี้เอาแต่เป็นห่วงอีกฝ่ายจนไม่ทันได้ระวัง ผมไม่อยากส่งเสียงอะไรอีกแล้ว แม้จะบอกว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย แต่ถ้าผมพูดอะไรตอนนี้ภาษาที่ออกมามันก็ยังคงเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ เขาก็อาจจะเข้าใจผิดแล้วโทษตัวเองหนักขึ้นไปอีก...

               “ขอโทษนะ..ขอโทษ พายให้ผมดูแล ผมยังทำให้ดีไม่ได้เลย..ฮึก...ขอโทษนะ” เสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมายิ่งทำให้ทั้งห้องเงียบขึ้นกว่าเดิม ผมเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น ค่อยๆ เลียน้ำที่ไหลมาจากดวงตาคู่นั้นอย่างแผ่วเบา ปลอบประโลมอีกฝ่ายด้วยการกระทำ

               เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในห้องก็ค่อยๆ เดิมเข้ามาก่อนจะโน้มตัวลงกอดมันธ์จากด้านหลัง ผู้ชายอีกสองคนที่เหลือก็เข้ามาร่วมกอดคนที่นั่งร้องไห้อยู่ ทั้งสามคนกอดมันธ์แน่นจนผมไม่เห็นอีกฝ่าย ผมได้แต่ถอยออกมานั่งดูมิตรภาพของเพื่อนอย่างเหงาๆ

             ทุกอย่างเป็นความผิดของผม...ผมไม่ได้บอกเรื่องของผมให้มันธ์ฟัง แต่ผมก็ยังสร้างภาระให้มันธ์ทำสิ่งโง่ๆ อย่างไปรับผมที่ลำปาง...เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

              จริงอย่างที่มันธ์พูด มันเหมือนจู่ๆ ผมแค่หายไป ผมควรจะบอกเขา อธิบายให้เขาฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของผม ที่ผมไม่ยอมบอกมันธ์เพราะผมแค่กลัว...กลัวจะโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาแปลกประหลาด...ผมมัวแต่กลัวว่าตัวเองจะรู้สึกแย่จนลืมที่จะนึกถึงจิตใจของอีกฝ่าย ถ้าผมเพียงจะอธิบายให้เขาฟังสักนิด....แต่จะมาคิดตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ผมไม่มีวิธีที่จะสื่อสารกับคนตรงหน้าอีกต่อไป วิธีเดียวที่ทำได้คือการกลับกลายเป็นมนุษย์....

              ผมขอโทษ......

              “ขอบคุณพวกมึงนะ” จู่ๆ เสียงมันธ์ที่อยู่ในวงล้อมของเพื่อนๆ ก็ดังขึ้นมา เพื่อนๆ ได้ยินอย่างนั้นจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดให้อีกฝ่ายได้ออกมาหายใจหายคอ

              “มึงใจเย็นยัง” คนที่มันธ์เรียกว่ากันต์ เป็นคนถามขึ้น

             “อือ...ขอบคุณพวกมึงมาก แล้วก็ขอบคุณที่ดูแลเจ้าแมวทั้งสองตัวให้”

            “แค่นี้เอง เพื่อนกันก็ต้องช่วยกัน” คราวนี้เป็นผู้ชายอีกคนพูดขึ้น

             “ยังไงตอนนี้กูขออยู่คนเดียวได้ไหม...”

             “มึงแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้?”

             “อืม...แน่ใจ”

             “โอเค งั้นเดี๋ยวพวกกูกลับก่อนละกัน ถ้ามึงต้องการอะไรโทรหาพวกกูได้ตลอดนะ”

              “ขอบคุณมาก”

              “ส่วนเรื่องพี่พาย เดี๋ยวกูลองถามพ่อให้”

              “อือ..ถ้าได้เรื่องยังไงบอกกูด้วย”

             “เออ มึงก็อย่าคิดมาก พักผ่อนด้วย ดูหน้าแล้วนี่เมื่อคืนไม่ได้นอนใช่ไหม?”

             มันธ์ไม่ยอมตอบคำถามเพื่อน จนเพื่อนได้แต่ถอนหายใจ แล้วยอมอออกจากห้องไป ปล่อยให้มันธ์ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง




             “เมี๊ยว” ผมส่งเสียงคิดเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดหรือขยับไปไหนมากว่าชั่วโมงแล้ว

             “อ่ะ...จริงสิ แผล”

              เขาจับเท้าผมยกขึ้นมาดูอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เลือดได้แห้งไปหมดแล้ว

             “ผมขอโทษนะ...ขอโทษ” เขาอุ้มผมขึ้นมาอุ้ม “ไปหาหมอกันนะ”

              ว่าแล้วเขาก็อุ้มผมออกไปจากห้องทันที โชคดีที่ผมทันได้หันไปบอกเจ้าสองตัวนั้นว่าให้อยู่ในห้องเงียบๆ ห้ามออกไปไหนเดี๋ยวผมกลับมา ดูท่าว่าเจ้าของห้องคงจะลนลานจนลืมไปแล้วว่ายังมีเจ้าแมวอีกสองตัวอยู่ด้วย




             พอมาถึงโรงพยาบาล รอไม่นานผมก็ได้พบคุณหมอ คุณหมอก็จัดการดึงเศษแก้วเล็กๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ออกจากปากแผลผม แล้วล้างทำความสะอาด โชคดีที่เป็นไม่หนักมากเลยไม่ต้องถึงกับเย็บแผล ไม่นานหนักเท้าผมก็มีผ้าพันแผลผืนเล็กพันอยู่

              คุณพยาบาลอธิบายการใช้ยาต่างๆ เรียบร้อยพวกเราก็กลับกัน ระหว่างทางอีกฝ่ายก็เงียบกริบไม่แม้กระแต่จะเปิดเพลงในรถ ทำให้ผมได้แต่นั่งนิ่งเงียบๆเช่นกัน

             ผมก็ได้แต่นั่งมองอีกฝ่ายขับรถไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นขึ้นมา

              อึก!!

               ความรู้สึกแบบนี้มัน?!!

               ผมรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา ความเจ็บปวดคราวนี้มันมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเผชิญมา ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนราวกับถูกไฟแผดเผา หน้าอกรู้สึกปวดหนึบแน่น การหายใจเริ่มติดขัด มีความรู้สึกปวดตุบๆ ไปมา

               ความร้อนของร่างกายดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผมเก็บความรู้สึกนี้ไม่ไหว ผมค่อยๆ ดิ้นไปมาตามความรู้สึกปวดร้าวตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย การหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นเพราะตอนนี้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก

               “แง้ว!”

               ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาจนเกินกว่าจะทนไหวทำเอาผมเผลอหลุดเสียงร้องออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ทัน เสียงนั้นเรียกให้คนข้างตัวหันกลับมามองผม

               พอมันธ์เห็นผมดิ้นไปมา หายใจหอบหนักขึ้นเขาพูดขึ้นมาด้วยความร้อนรนทันที “เจ้าตัวเล็ก!! เป็นอะไร?!!”
              มันธ์ค่อยๆ ประคองรถเข้าข้างทาง ก่อนจะจอดเพื่อดูอาการผม แต่ผมก็ยังคงรู้สึกร้อน ราวกับกระดูกกทั้งหลายของผมกำลังไหม้

               อึก!!

              ความรู้สึกแน่นในอกยังคงจู่โจมไม่หยุด จนในที่สุดภาพตรงหน้าของผมก็ดับมืด พร้อมกับเสียงทุ้มเข้มของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ จางหายไป....






_____________________________
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ว่าแมวไม่ควรทานเค้กนะคะ เราลืมชี้แจงให้ชัดเจนจริงๆ ค่ะ ว่าแมวไม่ควรทานเค้ก เราได้ลองปรึกษาสัตวแพทย์แล้ว คุณหมอบอกน้องทานได้แต่ไม่ควรเพราะมันไม่มีประโยชน์กับน้อง น้องเป็นสัตว์กินเนื้อต้องการโปรตีนมากกว่า ดังนั้นการให้น้องทานเค้กแม้จะไม่ได้มีอันตรายมากแต่ก็ไม่ควรค่ะ เพราะน้องอาจจะอ้วน แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์กับน้อง ^^ ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูล

ส่วนเรื่องชื่อน้องแมว สังเกตดีๆ น้าาาาาา พายไม่เคยเรียกชื่อเจ้าสองตัวนี้ต่อหน้ามันธ์เลย
จริงๆ เคยเรียกชื่อแค่ครั้งเดียวแต่ตอนนั้นพายเป็นแมวอยู่เพราะฉะนั้นมันธ์ฟังไม่รู้เรื่องแน่ๆ ค่ะ ^W^)//

ชอบไม่ชอบยังไงอย่าลืมเม้นต์ให้กำลังใจกันหน่อยน้า ฝากกดไลต์กดแชร์กันด้วยนะคะ หรือจะแวะมาพูดคุยกันที่แท็ก #แมวอยู่กับผม ก็ได้น้าาาาาาาา

หมายเหตุ
รถเวียงคือรถโดยสารของลำปาง มีลักษณะแบบรถแดงของเชียงใหม่ แต่มีสีเหลืองและสีน้ำเงิน
การเปิดโน้ตบุ๊คค้างไว้หลายวันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำนะคะ ^^
การเช็คอินแมวเนื่องจากเราไม่เคยพาน้องแมวขึ้นเครื่องเลยไม่ได้เขียนรายละเอียดไว้ อย่างไงถ้าอะไรผิดพลาดไปก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
___________________
ลงครั้งแรก 18-01-2019
22-01-2019 *** แก้ไขเรื่องสีแก้วแมว เป็นซื้อให้มันธ์สีขาว ซื้อให้ตัวเองสีเทา ***

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2019 00:35:29 โดย มากมายด์ »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พายจะเปลี่ยนร่างต่อหน้ามันธ์รึป่าวเนี่ย เราเข้าใจมันธ์เลย อยากให้พายลองบอกความจริงกับมันธ์ไปด้วยก็ดี อย่าปล่อยให้คนอื่นเป็นห่วงจนเป็นทุกข์เลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด