ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
……………………..
ตอนที่ 6
เรื่องถึงหู...
หูที่ว่า...แน่นอนว่าเป็นหูของคุณเทียมผู้เคยออกปากกลางงานศพว่าจะส่งคนช่วยดูแลความปลอดภัยภรรยาม่ายของคนตาย แล้วพอถึงหูคุณเทียม เรื่องก็ย่อมถึงหูหลานชายของคุณเทียม
พิทักษ์คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าจิณณะคิดจะทำเรื่องใหญ่ เจ้าตัวไม่สงบเสงี่ยมแต่แหวกหญ้าประกาศตัวเองว่าสนิทสนมกับบ้านของทองสุก เพื่อให้คนที่กำลังตามจ้องจะเล่นงานวรชิตเบี่ยงปากกระบอกปืนมาที่จิณณะแทน
ก่อปัญหาเสมอ!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายหนุ่มเก็บรวบรวมอารมณ์โมโหของตนเองลงกับอก ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดเข้ามาโดยเลขานุการ
“ปลัดจิณมาแล้วค่ะ”
ข้างหลังของหล่อนคือข้าราชการหนุ่มที่วันนี้ยังคงยูนิฟอร์มอย่างเดิมคือเสื้อโปโลสกรีนชื่อที่ว่าการ
“ให้คนยกอาหารมาเลย”
เพราะจิณณะก่อเรื่อง พิทักษ์จึงไม่คิดจะลงไปทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหาร เขาต้องการความเป็นส่วนตัวในการอบรมสั่งสอนคนที่ชอบแก้ปัญหาด้วยการก่อปัญหาซ้ำซาก
ปลัดหนุ่มผู้มาฝากท้องที่สนามกอล์ฟแทบทุกวันเลิกคิ้วเล็กน้อย ตอนแรกก็เอะใจอยู่หรอกที่พอมาถึงแล้ว พนักงานของที่นี่บอกให้เขาขึ้นมาที่สำนักงานชั้นบน คิดเอาเองว่าพิทักษ์ยังทำงานไม่เสร็จ แต่พอกวาดตาดูก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะยุ่งจนโงหัวไม่ขึ้นเลย
แต่ก็ยังให้เขาขึ้นมาที่นี่ แถมสั่งให้ยกอาหารมาทานข้างบนอีกต่างหาก
เลขานุการออกไปทำตามสั่ง อึดใจเดียวพนักงานจากห้องอาหารก็ขึ้นมาพร้อมกับอาหาร 3-4 อย่าง โต๊ะประชุมเล็กๆในห้องกลายเป็นโต๊ะอาหารไปในทันที
รอจนกระทั่งคนอื่นออกจากห้องไปหมดแล้ว และประตูปิดลงแล้ว จิณณะถึงได้หันมาทางเจ้าของห้อง
“งานไม่เสร็จหรือพี่” เขาถาม ทั้งๆที่เห็นเต็มสองตาว่านอกจากแฟ้มเอกสารที่วางสุมอยู่ฝั่งหนึ่ง โน้ตบุ้คที่เปิดคาไว้ แต่พิทักษ์ไม่ได้ดูวุ่นวายกับงานแต่อย่างใด
“คุณไปบ้านภรรยาของทองสุกทำไม”
ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมาคือคำถามของเจ้าของห้อง จิณณะเม้มปากเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะไปอย่างเอิกกะเหริกมากไปหน่อยจริงๆ เรื่องถึงได้ดังมาถึงพิทักษ์ด้วย
“ก็...ไปเยี่ยม ผมกับพี่สุกรู้จักกันนะ เขาเพิ่งตายจะให้ผมตัดหางปล่อยวัดครอบครัวเขาแล้วหรือ” คนฟังพ่นลมหายใจเบา คิดเอาไว้แล้วว่าคนอย่างจิณณะไม่มีทางตอบความจริง
“คุณไปเพราะอยากให้คนที่คิดจะทำร้ายเพื่อนของคุณ หันมาทางคุณแทนต่างหาก”
ปลัดหนุ่มเงียบ เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาคนพูด
“คุณรู้รึเปล่าว่ากำลังทำอะไร พวกนั้นจ้องจะเก็บคนที่อยู่กับทองสุกในคืนนั้น! และคุณกำลังทำให้พวกมันสงสัยว่าเป็นคุณ!”
“แล้วพี่จะให้พวกมันเก็บเพื่อนผมแทนหรือ?!! ไอ้ชิตเป็นเพื่อนผม!!” จิณณะระเบิดโพล่งออกมา
ความกลัวตายก็เรื่องหนึ่ง แต่ความเป็นเพื่อน มิตรภาพ ความช่วยเหลือที่วรชิตมีให้เขาก็ยังสะท้อนอยู่ในใจทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งเห็นเพื่อนวิตกกังวลและอมทุกข์ เขาก็ยิ่งอยู่เฉยไม่ได้
เรื่องมันเกิดขึ้นที่เขา! ก็ไม่ควรต้องมีใครมารับกรรมแทนไม่ใช่หรือ!
“ไอ้ชิตเป็นเพื่อนผม ถ้ามันเป็นอะไรเพราะพวกนั้นเข้าใจผิด ผม...ผม...” เขาไม่ได้กล้าหาญคิดจะรับกระสุนแทนใคร แต่ก็ทำใจไม่ได้เช่นกันที่จะต้องมีคนมารับกระสุนแทนเขาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ทั้งสีหน้า ทั้งแววตา จากคนกวนโมโหที่มักชอบทำหน้าตาระรื่น มาบัดนี้ไม่เหลือแม้แต่ราศีสักนิด จิณณะในเวลานี้อ่อนแอเสียจนพิทักษ์ยังต้องลดความโกรธเคืองในใจลง เขาลุกจากโต๊ะเดินเข้ามาหา ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัว แต่ก็ยืนใกล้เพียงพอที่จะถามด้วยน้ำเสียงเบา
“ทำไมพวกนั้นถึงคิดว่าเพื่อนของคุณอยู่กับทองสุกในวันเกิดเหตุ” เพราะเป็นคำถามที่ไม่ได้คาดคั้นเอาผิด ไม่ได้กดดันจนทำให้ยิ่งเคร่งเครียด จิณณะเลยพลอยพยายามปรับอารมณ์ตัวเองลงด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก
“ไม่รู้ อาจจะ...อาจจะเพราะพี่สุกเป็นสายให้ฝ่ายป้องกัน ไอ้ชิตเป็นปลัดฝ่ายป้องกัน”
“เป็นสายเรื่องอะไร”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปถามเพื่อนคุณ” ดูเหมือนจะเป็นคำแนะนำที่สิ้นคิดสำหรับจิณณะ มันจุดความหงุดหงิดในใจพรวดขึ้นมาอีก
“เพื่อนผมที่กำลังจะเป็นบ้าเพราะถูกจ้องเล่นงานน่ะหรือ?! พี่จะให้อยู่ดีๆผมก็ไปถามมันเรื่องนี้เนี่ยนะ?!!”
พิทักษ์ไม่ถือสาความหงุดหงิดเจ้าอารมณ์ของอีกฝ่ายในเวลานี้ เขารู้ว่าจิณณะทั้งเครียดและกังวล ไหนจะชีวิตของตนเอง ไหนจะชีวิตของเพื่อน ไม่รู้ว่าใครจะตายก่อนกัน และที่สำคัญ...ไม่มีใครอยากตายทั้งนั้น
“ตั้งสติหน่อย” เขาปราม น้ำเสียงทุ้มขึ้นเล็กน้อย คนที่กำลังหงุดหงิดเลยได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น
“ผมไม่ได้ให้อยู่ดีๆไปถาม เพื่อนคุณตอนนี้เขาคงไม่อยากอยู่คนเดียว ชวนเขาไปค้างกับคุณ แล้วค่อยถามเขา ให้เขาเป็นคนเล่าว่าเขาคิดว่าใครกำลังเล่นงานเขา คิดว่าเกี่ยวกับเรื่องที่ทองสุกตายไหมในเมื่อทองสุกเป็นสายให้ฝ่ายที่เขาทำงานอยู่” เป็นคำแนะนำที่เป็นขั้นเป็นตอนและละเอียดยิบจนจิณณะที่แม้จะหงุดหงิดแต่ก็ต้องหันกลับมามองอย่างตั้งใจฟัง
พิทักษ์มองตรงมาที่เขา หน้าตาเรียบเฉยเหมือนเคย แต่สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะช่วยเหลือและ...ห่วงใย
ปลัดหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองโชคดีหรือพิทักษ์โชคร้าย โลกถึงได้เหวี่ยงพวกเขาให้มาลงเรือลำเดียวกันทั้งๆที่พิทักษ์จะไม่ต้องลงก็ได้ แต่ถ้าไม่ลง เรือลำนี้คงอับปางเพราะความมุทะลุใจร้อนของเขา
จากความโกรธ หงุดหงิด กดดันสะสม จิณณะรับรู้ว่าพวกมันกำลังค่อยๆคลายตัวออกมาพร้อมกับลมหายใจของเขา สติและความรู้สึกนึกคิดเริ่มกลับเข้ามา
พิทักษ์พอจะมองออกว่าคนที่เขาเตือนสติเริ่มกลับเข้ารูปเข้ารอยแล้ว จึงหันไปทางโต๊ะประชุมเล็กที่มีอาหารวางอยู่
“ทานข้าวเถอะ บ่ายนี้ผมต้องเข้ากรุงเทพฯ”
เจ้าของห้องหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะแล้ว จิณณะมองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย สายตาที่ทอดมองนั้นแปลกไปจากเดิม มันไม่ได้ยียวนกวนโมโหเหมือนทุกที ไม่ได้เคร่งเครียดและเป็นทุกข์เหมือนเมื่อครู่ ทว่าเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ แฝงด้วยความซาบซึ้ง
พิทักษ์หันกลับมามอง หมายจะเอ่ยปากเรียกให้มาทานอาหาร แต่สายตาที่มองมาทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่ง ใบหน้าของจิณณะมีรอยยิ้มจางเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้สดใสสวยงามของคนที่อยู่ในโลกแห่งความสุข แต่เป็นรอยยิ้มจากจิตใต้สำนึกในวันที่อ่อนแอ
เป็นรอยยิ้มที่มาจากแรงใจในวันที่เรี่ยวแรงอ่อนล้ากับปัญหาที่ถาโถม
“ขอบคุณนะพี่” เสียงของจิณณะแผ่วเบา ทว่าดังพอให้ได้ยินในห้องที่มีเพียงสองคน
คำตอบของพิทักษ์ไม่ใช่คำพูด แต่เป็นรอยยิ้มจางที่ทำให้คนมองอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
...ในวันที่มืดแปดด้าน...
...ดีเหลือเกินที่เป็นผู้ชายคนนี้อยู่ที่นี่ในวันนี้...
................................
เย็นนั้นจิณณะชวนวรชิตให้ไปค้างที่บ้านพักของตนเอง ตอนแรกคนถูกชวนทำท่าไม่อยากไป เพราะกลัวว่าจะเอาเรื่องเดือดร้อนไปให้เพื่อน แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอหนักเข้า ความกลัวตายก็ทำให้วรชิตยินยอม
บ้านพักราชการของจิณณะอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเขานัก โครงสร้างและสภาพเหมือนกันทุกประการเพราะสร้างพร้อมกันเมื่อหลายสิบปีก่อน วรชิตเคยมาบ้านของเพื่อนร่วมอาชีพคนนี้หลายครั้ง และหลายๆครั้งก็มาค้างหลังจากตั้งวงกินดื่มกันจนเมา แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่มาค้างเพราะจิณณะชวนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้มาก่อน
ไม่สิ...ไม่ใช่ว่าไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่เพราะจิณณะเป็นห่วงเขาต่างหาก
วรชิตมองแผ่นหลังของเพื่อนด้วยความเป็นกังวลผสมตื้นตัน
“เอาของขึ้นไปเก็บข้างบนแล้วออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า” เจ้าของบ้านหันมาพูด ก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นแขกยืนมองเขาอยู่
“มึงไม่กลัวหรือ” คำถามแรกของวรชิตนั้นไม่ต้องเกริ่นนำก็รู้ว่าหมายถึงกลัวอะไร ดวงตาของจิณณะไหววูบไปชั่วอึดใจ ความกลัวที่อยู่ในหัวอกของเพื่อนนั้นคือความผิดของเขาต่างหาก แต่...ไม่กล้าพูด ได้แต่โบ้ยไปเรื่องอื่น
“จะกลัวอะไร คนของคุณเทียมคอยดูแลอยู่”
นับตั้งแต่เกิดเหตุกองใบไม้แห้งข้างบ้านพักของวรชิตกลายเป็นกองเพลิงขนาดย่อมๆ พิทักษ์ทำอย่างที่ปากพูดคือขอความช่วยเหลือจากคุณเทียมให้ส่งคนมาช่วยดูแล นอกจากจะดูแลวรชิตแล้ว ยังแบ่งปันมาสอดส่องบ้านพักของจิณณะด้วย
พอพูดถึงคุณเทียม ก็ดูเหมือนวรชิตจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาคนนี้ไม่ใช่แค่ปลัดอำเภอตัวเล็กๆที่มีนามสกุลมหาเศรษฐีห้อยท้าย แต่ยังมีดีกรีเป็นถึง ‘คนรัก’ ของหลานชายผู้มีอิทธิพลในจังหวัดอีกต่างหาก
เขาถอนหายใจเบา หากจิณณะจะไม่กลัวอะไรก็ไม่ใช่เรื่องผิด ในเมื่อเจ้าตัวมีความช่วยเหลือทั้งในแง่เงินทุนและเส้นสายขนาดนี้
แต่ตัวเขานี่สิ...ตัวเขาที่เป็นปลัดอำเภอธรรมดา เงินทองไม่ได้มากมาย เส้นสายยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนแบบเขา...จะมีชีวิตรอดไปได้อีกสักกี่วัน
“ไอ้ชิต” เสียงของจิณณะทำเอาคนกำลังเป็นกังวลกับอายุขัยของตนเองต้องเงยหน้ามอง จิณณะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และกำลังมองตรงมาด้วยสายตาที่แน่วแน่และทรงพลัง
“กูไม่ปล่อยให้มึงเป็นอะไรแน่ๆ” อาจจะเป็นแค่ลมปาก แต่เวลานี้ที่วรชิตจนปัญญา แค่คำพูดเพียงอย่างเดียวก็ช่วยกอบกู้กำลังใจของเขาได้แล้ว
“ขอบใจว่ะ”
“ไป เอาเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บ จะได้ออกไปกินข้าว กินอะไรดี ส้มตำดีไหม” เวลานี้วรชิตไม่มีปากเสียงจะเสนอความคิดเห็นเรื่องอาหารใดๆ เขาได้แต่พยักหน้าเออออไปกับเพื่อนก่อนจะหิ้วกระเป๋าเป้ขึ้นชั้นสอง ปล่อยให้จิณณะได้แต่มองตามแล้วทำได้เพียงเม้มปากแน่นด้วยความสะเทือนใจ
...กูไม่ปล่อยให้มึงเป็นอะไรแน่ๆ...
...กูสัญญา...
................................
แม้จะเป็นเพื่อนร่วมงานกันมานาน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นจะพูดคุยกันได้ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับงาน แม้ต่างฝ่ายต่างเป็นปลัด แต่วรชิตเป็นปลัดฝ่ายป้องกัน เรื่องในฝ่ายป้องกันบางเรื่อง ต่อให้กับเพื่อนปลัดด้วยกัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟัง เรื่องนี้จิณณะรู้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ซักไซ้ตั้งแต่คืนแรกที่วรชิตมาค้างด้วย
เพราะต่างคนต่างเป็นผู้ชาย การอาศัยบ้านเดียวกันหรือการร่วมห้องนอนจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ หนำซ้ำยิ่งทำให้ความสนิทสนมเพิ่มพูน
“พรุ่งนี้พี่เข้ากรุงเทพฯไหม ผมอยากกินปาท่องโก๋ เลยว่าจะแวะซื้อ ถ้าพี่อยู่จะได้ซื้อเผื่อ” วรชิตออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็พบว่าจิณณะกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ ดูเหมือนเจ้าตัวจะเห็นว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังแล้ว เลยเบาเสียงลงเล็กน้อย
“งั้นเดี๋ยวผมซื้อเข้าไปให้ เอาอย่างอื่นไหม”
“ครับๆ ไม่ใช้เงินเยอะครับ แค่ปาท่องโก๋จะสักกี่บาท ผมซื้อน้ำเต้าหู้แถมพี่อีกสิบถุงยังมีเงินเหลือใช้ยันสิ้นเดือนเลย” วรชิตไม่ได้ยินว่าปลายสายพูดอะไร แต่คงดุเรื่องการใช้เงินอย่างใจกว้างของจิณณะพอสมควร เขาหัวเราะเบาๆ คิดถึงตอนที่พิทักษ์ไปห้ามทัพสองย่าหลานวงศ์กีรติที่ที่ว่าการแล้วก็ชักอยากรู้ว่าคนอย่างพิทักษ์ชาติที่แล้วทำบุญมาด้วยอะไร
ชาตินี้ถึงเอาจิณณะได้อยู่หมัดเหลือเกิน
“แค่นี้แหละพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้หิ้วปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ เต้าฮวยน้ำขิงอย่างละ 10 ถุงไปฝาก” พูดจบ ปลัดอำเภอตัวแสบก็กดตัดสาย ก่อนจะหันมาส่ายหน้ากับวรชิต
“ขี้บ่นฉิบหาย”
“บ่นเรื่องมึงใช้เงินหรือ”
“เออสิ หาว่ากูใช้เงินเก่ง ใช้เงินเก่งอะไร กูซื้อของกินทั้งนั้น แล้วคนที่สนามกอล์ฟก็มีตั้งเยอะ กูซื้อฝากพี่ทิศ แล้วจะปล่อยให้คนอื่นๆมองตามน้ำลายหกรึไง” จิณณะบ่น ทว่าคนเป็นเพื่อนกลับหัวเราะ จนคนบ่นชักตาขวาง ยกเท้าถีบไปที
“หัวเราะเลือกข้างเชียวนะไอ้ชิต” แค่เสียงหัวเราะอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าวรชิตชอบอกชอบใจแค่ไหนที่พิทักษ์เคร่งครัดเรื่องการใช้เงินของจิณณะแม้กระทั่งจะซื้อปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้
“ก็กูไม่เคยเห็นใครเอามึงอยู่ขนาดนี้นี่หว่า” ปลัดฝ่ายป้องกันว่าอย่างนั้น ก่อนจะเดินมาทรุดตัวนั่งที่โซฟาใกล้เตียง
“กูถามหน่อยสิ มึงกับคุณพิทักษ์ ไปไงมาไงมาลงเอยกันได้วะ”
คำว่าลงเอยเล่นเอาคนถูกถามถึงกับสะดุ้ง ไม่ใช่เพราะสาเหตุที่ทำให้เขาและพิทักษ์มาลงเอยกันนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้วรชิตกำลังซวยในเวลานี้ แต่ที่สะดุ้งเพราะคำว่า ‘ลงเอย’ ต่างหาก
ศัพท์แสงไอ้ชิตนี่น่ากลัวจริงๆ สมัยสอบเข้ามหาวิทยาลัย ใช้คะแนนภาษาไทยกรุยทางใช่ไหม?
“เอ่อ...ก็...ก็...มันพูดยาก”
“ทำมาเป็นพูดยากกับกู ทีกับคุณพิทักษ์ กูไม่เห็นมึงจะสงบปากสงบคำกับเขาสักที”
“มึงไปเห็นตอนไหน” จิณณะย้อน หน้าตาไม่เชื่อถือคำพูดของเพื่อนสักนิด
“ก็เห็นมึงโทร.คุยกับคุณพิทักษ์ทุกวันนี่ไง”
นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่บ้านของจิณณะ สิ่งที่วรชิตเห็นจนชินตาคือจิณณะคุยโทรศัพท์กับพิทักษ์ บางทีพิทักษ์โทร.มาหาตอนเช้าบ้าง บางทีก็เห็นจิณณะโทร.หาตอนเย็นบ้าง หรือขั้นกว่าคือพิทักษ์แวะมาหาเป็นตัวเป็นตนด้วยซ้ำ
คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ได้แต่กะพริบตาปริบๆด้วยคิดไม่ถึงว่าหมู่นี้เขาคุยกับพิทักษ์บ่อยขนาดที่เพื่อนยังออกปาก
...คุยทุกวันจริงหรือ?...
...ทำไมไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าคุยกันทุกวัน...
“กูก็พอเข้าใจนะ แฟนกันก็มีเรื่องสัพเพเหระให้คุยกันทุกวันเป็นธรรมดา ว่าแต่...คุยอะไรกันบ้างวะ เช้านี้อยากกินอะไร เย็นนี้อยากกินที่ไหน อย่างงี้มั้ย ฮึ้ย! กูนึกหน้าคุณพิทักษ์ตอนคุยเรื่องแบบนี้กับมึงไม่ออก” วรชิตไม่คิดว่าคนเคร่งขรึมหน้าตาเรียบเฉยอย่างพิทักษ์จะพูดคุยเรื่องจิปาถะพวกนั้น ทว่าสำหรับจิณณะที่กำลังตรึกตรองกับหัวข้อที่พวกเขาพูดคุยกันในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็พบว่า
แม้จะเริ่มต้นคุยกันด้วยเรื่องอันตราย เรื่องคนแอบตาม เรื่องความเป็นความตายของเขาและวรชิต
แต่ลงท้ายแล้ว ก็มักจบที่ตอนเช้าอยากทานอะไร ตอนเย็นอยากกินที่ไหน อย่างที่วรชิตว่าจริงๆ
เรื่องสัพเพเหระ เรื่องจิปาถะ เรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่กลับเป็นเรื่องที่ยกเอามาคุยกันได้ทุกวัน ทั้งตอนเจอหน้า หรือแม้กระทั่งทางโทรศัพท์
จิณณะไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่เด็กน้อยไม่ประสีประสา มิตรภาพของเพื่อนไม่จำเป็นต้องถามไถ่กันด้วยเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้น แต่สำหรับบางความสัมพันธ์...หัวข้อพวกนั้นทำให้บทสนทนายืดยาวออกไป ราวกับ...อยากพูดคุยกันให้มากขึ้นอีกนิด
ลมหายใจของปลัดหนุ่มสะดุดกึก เขาก้มลงมองโทรศัพท์ในมือตนเองแล้วเปิดดูประวัติการโทร.
เบอร์ของพิทักษ์อยู่บนสุดบอกให้รู้ว่าเป็นสายล่าสุดที่เขาพูดคุย เมื่อกดเข้าไปดูก็พบประวัติการโทรและรับสายยาวเหยียด บางวันมากกว่าหนึ่งครั้ง บางวันพูดคุยกันสั้นๆแต่มีทั้งเขาเป็นฝ่ายโทร.หาและฝ่ายพิทักษ์โทร.มา บางวันแค่ครั้งเดียวแต่เวลาสนทนายืดยาวนับชั่วโมง
นี่แค่ประวัติการโทร. ไม่ต้องถามถึงวิธีการสื่อสารทางอื่น จิณณะไม่ต้องเปิดดูก็พอรู้ตัวว่าเขาติดต่อกับพิทักษ์บ่อยกว่าใครคนไหน และไม่ต้องทายเช่นกันว่าแม้จะมีเหตุผลนำหน้าในการติดต่อไป แต่สุดท้ายบทสนทนาก็วกไปหาเรื่องคุยที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร
ทว่า...บัดนี้ หัวข้อพูดคุยที่ไม่สำคัญเหล่านั้นกลายเป็นหลักฐานชี้ชัดถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังก่อตัว
จิณณะได้แต่กลืนน้ำลาย หัวใจโหวงเหวง ช่องท้องเย็นวาบ สันหลังสะท้าน เพราะความคาดไม่ถึง...
...........................
พิทักษ์พบว่าเช้านี้มีคนเอาปาท่องโก๋ 2 ถุงใหญ่ น้ำเต้าหู้และเต้าฮวยน้ำขิงอย่างละ 10 ถุงมาฝากไว้กับพนักงานต้อนรับของสนามกอล์ฟ พนักงานบอกว่าพอฝากแล้วเจ้าตัวก็กลับขึ้นรถขับออกไปทันที
ชายหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย ทั้งๆที่เมื่อวานกำชับแล้วว่าไม่ต้องซื้อมาเยอะเพราะเปลืองเงิน แต่คนใจกว้างมือเติบไม่ได้ฟังคำทักท้วงเลยสักนิด
เขากดโทรศัพท์หาเบอร์โทร.ล่าสุดที่เพิ่งคุยกันเมื่อคืน แต่รอจนสัญญาณรอสายกลายเป็นไม่มีสัญญาณตอบรับ สงสัยเจ้าตัวคงจะกลัวเขาบ่นจึงไม่ยอมรับสาย พิทักษ์เปลี่ยนวิธีการใหม่เป็นการส่งข้อความไปหา
‘ซื้อมาทำไมเยอะแยะ’
ทันทีที่ส่งข้อความไป โปรแกรมแชทก็ขึ้นว่าข้อความของเขาถูกอ่านในทันที ทว่ารออยู่อึดใจใหญ่ๆกลับไม่มีข้อความใดส่งกลับมา พิทักษ์เลิกคิ้วเล็กน้อย คนช่างเถียงอย่างจิณณะไม่ใช่คนนิ่งเงียบใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวแบบนี้เลย เขาส่งข้อความไปหาอีกครั้ง
‘เที่ยงนี้จะมาทานที่นี้ไหม’
คราวนี้ข้อความของเขาไม่ถูกอ่าน พอดีกับที่เลขานุการนำเอกสารเข้ามาในห้อง เขาจึงวางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปคุยงานกับหล่อน
จนกระทั่งสิบเอ็ดโมงเศษ เมื่อพิทักษ์มาดูโทรศัพท์อีกครั้งก็พบว่ามีข้อความส่งกลับมา
‘วันนี้ผมไม่ไปนะ’
ชายหนุ่มมองข้อความแล้วเอนหลังพิงพนัก ความรู้สึกแปลกพิกลปรากฏขึ้นในใจ อะไรบางอย่างทำให้เขาตัดสินใจลุกจากโต๊ะ
วันนี้ไม่มีประชุมบ่าย ออกไปทานข้าวข้างนอกบ้างก็ไม่เลว
.........................