———— 11 ————
เคยรู้สึกว่าตื่นมาแล้วสดใสกว่าทุกวันไหม อยู่ๆ ก็รู้สึกแบบนั้นหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว คว้าโทรศัพท์ขึ้นมามองนาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลาเดิมที่ตื่น หากแต่ปกติต้องขดตัวอยู่บนเตียงต่ออีกสักยี่สิบนาที ไม่ใช่ลุกขึ้นไปแปรงฟันในทันทีเพราะจำคำพูดของคนที่คุยกันเมื่อคืนได้ว่า
ตื่นแล้วลุกเลยนะ เลยรู้สึกว่าต้องทำตามเสียหน่อย
แม่งเอ๊ย เหมือนกลับไปเป็นณภัทรตอนอายุสิบแปด – ห่างหายความรู้สึกสดชื่นหลังตื่นตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะยิ่งทำงานหาเงินไปเรื่อยๆ เนี่ยยิ่งเหนื่อย มันต้องมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำงานแล้ว อยาก skip ชีวิตไปตอนมีเงินแล้วแวบเข้ามาบ้าง แต่คุณทำได้— ยกความดีความชอบให้เขาแล้วกัน
แปรงฟันก่อนจะเดินออกมาหาอะไรทำเมื่อพบว่าเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ไม่ต้องรีบไปอาบน้ำและแบกร่างตัวเองไปขับมอเตอร์ไซค์และทำงาน
หยิบโทรศัพท์เช็กข่าวสาร ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องที่รถไฟฟ้าเสียอีกแล้ว – คุณภาพชีวิตเฮงซวย – ก่อนจะเข้าไปในไลน์เพื่อพบว่าแชตของคนที่อยู่บนสุดเพราะถูกปักหมุดไว้ได้ตอบกลับมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
k. เค้าออกเวรแล้ว
เดี๋ยวไปนอน สายๆ คงตื่นมั้ง มีเวรอีกทีพรุ่งนี้เลย
แต่ถ้าสัก 14.00 เค้าไม่ตื่น ทักมาปลุกที 5555
ยอมใจกับชีวิตที่ดูจะแย่กว่าผมไปอีกขั้น คุณไม่ได้มีเวลาทำงานประจำเหมือนผม อาจจะโหมงานเหมือนตอนที่ผมทำฟรีแลนซ์แต่ไม่ได้สบายเหมือนอยู่บ้าน และความกดดันเป็นความกดดันที่คนละแบบ
napat
โอเค ตื่นแล้วบอกนะ
นอนพักไป
ผมมองตัวอักษรที่ส่งไป ไม่ได้ขึ้นอ่านแล้วแต่อย่างใด ถึงกระนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังหลับฝันดี
สุดท้ายก็นั่งไถนั่นนี่ในทวิตเตอร์ไปเรื่อย ก่อนที่จะแบกตัวเองไปอาบน้ำเมื่อรู้ว่า อ้าว, ฉิบหายแล้ว, สุดท้ายก็เริ่มอาบน้ำเหมือนกับวันที่นอนตื่นสายอยู่ดี
“ไปงานแต่งไอ้เก่งปะ” ขณะที่ผมยังง่วนอยู่กับการดูฟุตเทจที่ทำท่าจะมีปัญหาขึ้นมาเพราะไมค์ช่วงท้ายคลิปไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ โย่งก็เอ่ยปากถามขึ้นมาแบบนั้น
ผมเงยหน้า “ฮะ? เชี่ย ลืมไปเลย”
“เออ มันย้ำในกรุ๊ปเนี่ย”
“ไม่ได้ไปอ่านว่ะ” ผมถอนหายใจ “วันไหนนะ”
“วันพฤหัสฯ นี้”
“บอกทีว่ามันไม่ได้มีธีมสีพิลึกๆ กูหาชุดไม่ทัน”
“ไม่ สีขาวธรรมดา”
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก จริงๆ จำได้ว่าไอ้เก่งที่เป็นเพื่อนคนหนึ่งในคณะกำลังจะแต่งงาน แต่ช่วงหลังๆ นี่ทำนู่นนี่ และมีเรื่องที่ทำให้วอแวมาแทรกอยู่พอตัว เลยกลายเป็นลืมไปเสียสนิทว่าต้องเตรียมตัวไปงานแต่งเพื่อน
“ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะแต่งงานแล้ว” โย่งพูดไปเรื่อย “มึงจำได้ปะที่มันคบกับพี่นุกมาตั้งห้า-หกปี แล้วอยู่ๆ ก็ปิ๋ว เลิกเฉย— แล้วดูคนนี้ คบแป๊บๆ ก็แต่งแล้ว นี่แหละนะ แม่งจะใช่ไม่ใช่ไม่ได้อยู่ที่เวลา”
แฟนเก่าของเพื่อนถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น จำได้ว่าตอนสมัยเรียนเพื่อนที่ชื่อเก่งคบกับรุ่นพี่คนสวย คบกันเนิ่นนาน ทำงานแล้วก็ยังคบกันต่ออีกสักพักชนิดที่พวกผมทุกคนล้วนบอกกันว่ามันคงจะไม่แคล้วไปแต่งกับคนอื่นแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่
“ตอนเรียนมันก็งั้นแหละ” โย่งว่าพลางหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งเข้าปาก “คู่ที่ไปรอดจริงๆ แม่งจะมีกี่คู่กันวะ”
“—ก็ถูก” ผมบ่นพึมพำ “แต่ถ้าไปรอดได้มันก็คงดี”
เพื่อนสนิทเลิกคิ้วพลางยื่นขวดคุกกี้มาให้ผม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ มันเลยเลื่อนมือกลับไปพร้อมกับหยิบเข้าปากอีกชิ้น
“มันก็ดีหรอก” มันว่าแบบนั้น “แต่ถ้าไปไม่รอดแล้วก็อย่าลืมลองเปิดใจกับคนใหม่ๆ มั่งแล้วกัน”
ผมหัวเราะแผ่วเบาตอบแทนความหวังดีของเพื่อนที่ปกติจะปากหมา ยังไม่อยากออกตัวแรงเพราะกลัวว่าจะฟรีล้อเข้าให้สักวัน
k. ตื่นแล้ว
ข้อความสั้นๆ เด้งขึ้นมาที่หัวมุมหน้าจอ ผมมองมันก่อนจะเปลี่ยนโหมดเป็น do not disturb เผื่อไว้ก่อน และตอบกลับไปในทันที
napat
จะออกไปกินอะไรไหม
เที่ยงแล้ว
k. ขี้เกียจอ่ะ
เดี๋ยวสั่งไลน์แมนมามั้ง
เดี๋ยวเย็นนี้จะขับรถพาแม่ไปกินข้าวด้วย
napat
โอเคครับ ตามนั้น
k. ตั้งใจทำงานได้ละ
สู้ๆ
ผมยิ้มให้กับเรื่องราวเล็กๆ แบบนั้นอย่างห้ามไม่ได้ – ยกมือขึ้นปิดบังริมฝีปากตัวเองบ้างเพราะกลัวว่าใครจะมองเห็น ส่งสติ๊กเกอร์กลับไปหนึ่งตัวก่อนที่จะจัดการทำงานต่อเหมือนเดิม
“ณะ”
“จ๋า” ผมขานรับเจ้านายผู้หญิงเสียงหวานเมื่อเจ้าหล่อนดูน้ำเสียงฉุนเฉียว “ว่าไงพี่”
“เลือกให้พี่หน่อย”
“ฮะ?”
พี่ข้าววางแฟ้มในมือลงตรงหน้าผมดังปึก หน้านิ่วคิ้วขมวด คาดว่าคงหงุดหงิดอะไรค้างมาอย่างแน่นอน และผมก็ได้รับคำตอบเมื่อพี่เอกเดินเข้ามา
“เอาให้ทุกคนโหวตเลยดิ ห้าเสียง ตัดสินให้จบๆ”
อ๋อ—
เรื่องแต่งงานอีกตามเคย ยิ้มขำให้กับภาพที่เริ่มเห็นบ่อยๆ เหมือนช่วงหลังสองคนนี้จะตีกันบ่อยครั้งเรื่องความคิดเห็นไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับการจัดงาน แน่นอนว่าเจ้ ผม และไอ้โย่งมักจะได้เป็นกรรมการบ่อยๆ และสุดท้ายรอบนี้พี่ข้าวก็ชนะเมื่อผลโหวตเรื่องกระโปรงทรงไหนดีกว่ากัน ด้วยผลโหวต 3 ต่อ 2 ฟังดูตลกพิลึก แต่หล่อนก็อารมณ์ดีแล้ว
ผมเหลือบมองพี่เอก นึกว่าจะหงุดหงิดแต่สุดท้ายก็ยิ้มขำให้แฟนตัวเองที่อารมณ์ดีที่ได้ตามใจ
ความรักก็แบบนี้
“เออ น้องณะ”
“ว่าไงอีกพี่”
“เสาร์นี้ไปถ่ายรับปริญญาให้ไอ้ขิมใช่ป่ะ” พี่ข้าวถามถึงน้องสาวตัวเอง “ถ้ายังไงมันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มไรก็บอกพี่ละกันนะ เดี๋ยวพี่จ่ายให้เอง”
พอหล่อนพูดขึ้นผมก็ครางในลำคอ เรื่องนี้ก็เกือบลืมไปเหมือนกัน ยังดีที่เจ้าหล่อนเตือนกันก่อน
ผมหัวเราะ “โห ป๊ามาก สุดยอดไปเลยพี่”
“ไอ้บ้า” หญิงสาวเอาแฟ้มนั้นเคาะหัวผมเบาๆ “เอ้า ทำงานต่อ ไม่งั้นไม่จ่ายเงินให้นะ”
k. (photo)
(photo)
คอนเทนท์นี้ของเพจเธอน่ากิน
napat
ไม่ใช่เพจเค้าสักหน่อย 55555
แต่ไอ้โย่งบอกว่าอร่อยจริง
ยังไม่ได้ไปกินเลย
k. อ้าว ไม่ได้ไปถ่ายเหรอ
napat
เวียนๆ กันอ่ะ ร้านนั้นเค้าไม่ได้ถ่าย
k. อ๋อ
ผมมองข้อความนั้นที่สิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมาขณะที่ร้านราดหน้าแถวๆ หอพักเอามาเสิร์ฟพอดี ป้ายังหน้าตาบึ้งตึงเหมือนเคย แต่ผมยิ้มให้ป้า ทีนี้ป้าแกก็งง เดินกลับไปพร้อมกับฟาดมีดลงเขียงด้วยน้ำเสียงที่แรงเหมือนกับที่ผ่านมาทุกวัน
k. พรุ่งนี้วันเสาร์
เธอว่างไหม
ผมขมวดคิ้วมุ่น หัวใจพองโตอย่างไม่น่าให้อภัยเพียงเพราะคำถามง่ายๆ นั้น
napat
ทำไมเหรอครับ
ใจดีกันหน่อยคณณัฐ –
ผมภาวนาให้คุณเป็นคนพูดออกมาก่อน – กลัวพูดบ่อยไปจะทำให้ดูคลั่งรัก และมันค่อนข้างจะน่าแปลกใจกับการแสดงออกกั๊กๆ ของเรา แต่นั่นแหละ, ผมยังวางตัวไม่ถูกนักแม้ว่าเราเหมือนจะปรับความเข้าใจกันมาแล้ว
อย่างว่า, มันต้องใช้เวลา – ไอ้เราก็ไม่เคยมีประสบการณ์จีบแฟนเก่าเสียด้วย
k. เค้าว่าง
และนั่นก็—
น่ารักฉิบหาย สบถในใจเป็นพันครั้ง ช่วงเวลาที่ห่างกันไปหลายๆ ปีคงทำให้ไม่สามารถชินกับนิสัยน่ารักของอีกฝ่าย แม้ถ้าพูดในแง่ความเป็นจริงว่าคุณหมอเป็นคนสูงชะลูดและหน้าตาดูจะหล่อเหลาเกินกว่าจะบอกว่าน่ารัก แต่ผมก็ยังคงจะยืนหยัดในความน่ารักของเขาอยู่ดี ไม่ใช่ในแง่รูปลักษณ์ภายนอกแต่เป็นในแง่นิสัยต่างหาก
k. อีกนิดก็ขับแหกโค้งแล้วนะ
ตรงจัด
เธอต้องตอบเค้าว่าอะไร
napat
5555555555
จริงๆ เค้าไม่ว่าง
k. ณะ
: (
อา— ให้ตายเถอะ ผมตักราดหน้าเข้าปากอย่างมีความสุขทั้งที่เส้นใหญ่แม่งก็ยังเละเหมือนเดิม แต่รสชาติอร่อยกว่าทุกวัน และผมจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาของป้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงขณะที่เอาอาหารมาเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ
napat
แต่ก็ไปได้
ตอนเย็นๆ ได้ไหม
k. เค้ามีเวรทุ่มนึง
ไม่เป็นไรนะ
วันอื่นก็ได้
ผมนิ่งไปชั่วครู่กับคำพูดนั้น พยายามบอกตัวเองว่าไม่ให้ผิดหวังกับเรื่องเล็กๆ ทั้งที่เอาความจริงก็ผิดหวังนิดหน่อย อย่างไรดีล่ะ เราก็โตกันแล้ว – เข้าใจหมดนั่นแหละ
แต่จะว่าไป, ตัวผมตอนปีสี่ก็
เข้าใจเหมือนกัน
ผมออกจากแชทของคุณ เข้าไปในแชทล่าสุดของน้องสาวของพี่ข้าวที่ยืนยันเวลาวันพรุ่งนี้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เจ้าหล่อนอาสาจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นโลเกชั่นในการถ่ายภาพ เวลานัดคือช่วงเก้าโมง
ผมถอนหายใจ เปิดแชทคุณอีกครั้ง
napat
พรุ่งนี้เช้าล่ะว่างไหม
k. ก็ว่าง วันนี้เค้าออกเวรสี่ทุ่ม
เธอมีงานไม่ใช่เหรอ
napat
ยกเลิกงานแล้ว
k. ไม่ตลก
ณะ เค้าไม่ตลกนะ ทำงานไปเลย
napat
หยอกจ้า
k. ไม่ขำ
ถ้าเป็นโย่งจะพิมพ์กลับมาว่าหยอกพ่อมึงดิ แต่ถ้าเป็นคุณก็แบบนี้— ไม่เคยจะเกรี้ยวกราดอะไรเหมือนชาวบ้านเขาเสียที
napat
มีไปถ่ายรูปรับปริญญา
เธอไปด้วยกันไหม
คณณัฐ์เงียบไป
ผมเลยเริ่มลังเลใจเพิ่มอีกหน่อย คุณหมอคงจะเหนื่อย ผมเข้าใจได้ถ้าคุณหมอจะอยากนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง หรือทำกิจกรรมสบายๆ มากกว่าการไปตากแดด ถือพัดลมตัวเล็กให้กับสาวๆ ในวันรับปริญญา ไม่ได้แปลกใจอะไรเลยด้วยซ้ำ
napat
ถ้าเธอเหนื่อยไม่ต้องก็ได้นะ
k. เปล่าๆ ตะกี้คุยกับพี่พยาบาล 55555
napat
อ๋อ
ใจแป้วหมดเลยนายณภัทร บ้าจริง
k. กี่โมงอ่ะ
napat
เค้านัดกับที่นู่นไว้เก้าโมงครับ
k. ขอเงื่อนไขเดียว
ผมมองข้อความที่ส่งมาของคุณหมอ เริ่มใจตุ่มๆ ต่อมๆ ปกติลูกบ้าคุณหมอเยอะเกินกว่าที่ใครคิด ขืนยื่นเงื่อนไขยากๆ คงทำให้ผมปวดหัว
k. ขับรถให้ทีนะรอบนี้
ขี้เกียจขับรถแล้วอ่ะ 5555555
ผมหัวเราะ
—และตอบคุณกลับไปว่า
ด้วยความยินดียิ่ง เช้าวันถัดมาผมขับมอเตอร์ไซค์ไปหาคณณัฐ์ด้วยตัวเองตอนแปดโมง เร็วกว่าที่แพลนไว้ในตอนแรกเพราะตั้งใจว่าจะใช้รถยนต์ของคุณไปที่มหาวิทยาลัยของน้องขิมแทน เมื่อคืนตอนที่พิมพ์ไลน์ไปบอกน้อง น้องเองก็ดูจะงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร
คุณเดินลงมาที่หน้าคอนโดพร้อมหาววอด เสื้อเชิ้ตแขนสั้นเป็นเสื้อที่ถูกหยิบมาสวมใส่กับกางเกงขายาว จำได้ว่าคุณชอบเสื้อเชิ้ตไม่ทางการตั้งแต่ตอนนั้น ดูๆ ไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ พอๆ กับที่ผมยังชอบเสื้อสกรีนลายโง่ๆ อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ
คุณหมอทำท่าจะวางกุญแจรถบนมือของผม แต่ก็ชะงัก “ขับรถให้จริงอ่ะ” ถามย้ำอีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ
“มาขนาดนี้แล้วปะ” ผมหัวเราะ คว้ากุญแจในมือนั่นมาหยิบเอง ก่อนที่ชะงักไป “รถเธอคันไหนนะ”
“เนี่ย มันเป็นซะอย่างงี้”
ผมชอบตอนเช้าที่เจอคุณชะมัด ชอบเสียงหัวเราะนิดๆ หน่อยๆ และดนตรีที่คลออยู่ของรถคุณหมอ กลิ่น air refresher เย็นๆ ปะปนกับกลิ่นน้ำหอมที่ผมไม่เคยคิดฉีดแต่คุณหมอดูเหมือนจะขาดมันไม่ได้
“เธอจะกินข้าวเช้าไหม” ผมเอ่ยปากถามขณะที่กำลังจะสตาร์ทรถ
“ม่าย”
“แล้วชอบบ่นให้เค้ากิน”
“เอ้า วันหลังไม่บ่นดีปะ”
ผมวาดยิ้มบางๆ “ไม่ดี” ตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่ในใจหมองลงไปนิดหน่อย
คุณคงจะมองเห็นถึงได้มีความวูบไหวในสายตา เราก็แค่ไม่อยากหยิบมันเหล่านั้นมาพูดถึงอีก – ซ้ำไปซ้ำมาและวนเวียนอยู่ในความคิด แต่แท้จริงแล้ว, ชีวิตที่ไม่มีคุณตั้งห้าปีมันก็ยังมีความเคยชินบางอย่างอยู่
“เดี๋ยวพอถึงมหา’ ลัย เค้าค่อยแวะเซเว่นก็ได้” คุณบอกแบบนั้น เหมือนเป็นการยอมลดตัวเองไปกินข้าวเช้าสักนิด
ผมไม่ได้พูดอะไร ขยับเปลี่ยนเกียร์ในขณะที่บอกให้คุณช่วยเปิด map ให้หน่อย พบว่าระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางคงจะทำให้เราไปถึงเร็วกว่าที่นัดไว้สักหน่อย
“น้องเค้าก็จะรับปริญญา”
“จ้างได้นะ”
“ฟรีปะ ถ้าฟรีเดี๋ยวจ้างให้เลย”
“โห คุณครับ” ผมโอดครวญ “ต้องทำมาหากินนะ”
“แหย่เล่น” และคุณก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ผมไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้คุณเป็นคนเปิดเพลงบนรถ และฟังเสียงปรามนิดหน่อยเวลาที่ผมเร่งเครื่อง คุณเป็นพวกหวงรถ ผมเข้าใจได้เพราะว่าตัวเองก็คงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำให้อีกคนวางใจได้ในทันที แต่คุณก็ยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากทำเสียงเข้มขึ้นมาหน่อยเรียกณะ ไม่เอาดิตอนที่ผมใช้รถของเขาแซงรถคันที่ขับยึกๆ ยือๆ ข้างหน้า
ไม่นานเท่าไหร่เราก็มาถึงที่มหาวิทยาลัย ผมจึงทำการโทรหาน้องขิมก่อนเป็นคนแรก
“พี่ณะถึงแล้วเหรอคะ” ปลายสายรับสายเสียงตกอกตกใจ
“ครับ” ผมตอบรับ มองคณณัฐที่กำลังหยิบกระเป๋ากล้องของผมและทำท่าจะเปิดประตูลงรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ให้พี่ไปที่ไหน”
“พี่ณะขา พวกหนูยังแต่งหน้าไม่เสร็จเลย พี่มาเร็วอ่ะ”
“เอ้า พี่ขอโทษ” คุณเหลือบมอง สุดท้ายก็เปิดประตูรถลงไปก่อนเลย ผมเห็นแบบนั้นเลยเปิดประตูลงไปบ้าง “แถวนี้มีอะไรให้พี่กินบ้างไหม หรือเซเว่น—”
“โรงอาหารไม่เปิดค่า พวกหนูอยู่กันใต้ตึก พี่ณะมาหาหนูก่อนไหมแล้วเดี๋ยวพาเดินไปเซเว่น”
“อ๋อ” ผมครางรับ มองอีกฝ่ายที่ยืนมองซ้ายมองขวาหาที่ร่มหลบอยู่ ก่อนที่จะสะกิดหลังมือให้อีกคนเดินตาม “พี่อยู่ตรงลานจอดรถ เดินไปไหนต่อ”
คนปลายสายบอกทางเดิน ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเท่าไหร่เพราะงั้นเลยดูไม่มีปัญหา เดินไปที่ใต้ตึกเรียนก็เห็นกลุ่มสาวๆ หน้าตาดีตามประสาสาวบัญชีแต่งหน้ากันอยู่ ขิมเป็นคนแรกที่ยกมือโบกทักทายก่อนชะงักไปเล็กน้อย
และเปลี่ยนมายกมือไหว้เมื่อไม่ได้เห็นว่ามีผมคนเดียว
ผมเหลือบมองผู้ช่วยจำยอมวันนี้ อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำแบบไหน
แต่คณณัฐ์ก็เป็นเหมือนเดิม ยิ้มหวาน ทักทายน้องๆ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีสนิทชิดเชื้อไปมากกว่านั้น
“ไปเซเว่นด้วยกันไหมคะ” ขิมเอ่ยถามผมแบบนั้น “หรือพี่ณะกับพี่—”
“พี่เขาชื่อคุณ” ผมแนะนำ
ขิมพยักหน้า ยิ้มหวานให้ “ค่ะ พี่คุณไปด้วยกันไหม”
คุณหมอมองหน้าผมชั่วครู่ คงไม่อยากไปไหนโดยไม่มีผมเพราะยังไงก็ไม่มีคนรู้จัก ผมเลยไม่ขัด บอกให้น้องๆ บอกทางมาและเดินไปเอง ใช้ข้ออ้างว่าเจ้าหล่อนยังแต่งหน้ากันไม่เสร็จจะได้ไม่ต้องเสียเวลา
“หนูไปด้วยได้นะคะ จะไปซื้อน้ำด้วย”
“ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ
ขิมไม่ได้มีท่าทีอะไร น้องแค่บอกว่างั้นฝากซื้อน้ำขวดใหญ่และขอโทษที่ยังแต่งตัวกันไม่เสร็จแบบนี้ ปล่อยให้สองหนุ่มอย่างพวกผมเดินออกมาเอง
“มีแต่สาวๆ” คุณหมอเปรยขึ้นมาตอนที่เราอยู่กันสองคน “ชอบล่ะสิ”
ผมรู้สึกหัวใจพองโตกับคำพูดนั้น
ไม่ได้จริงจังอะไรมากแต่ก็ไม่ได้เมินเฉยกัน – นั่นโคตรน่ารัก
“ก็ชอบสิ สาวๆ มหา’ ลัย วัยขบเผาะ”
คุณหัวเราะ “พูดจาเหมือนเฒ่าหัวงู แก่แล้วนะ”
“เอ้า คุณก็อายุเท่าๆ ณะแหละ” ผมไม่ได้ว่าอะไรกับมือที่ตบไหล่ผมเบาๆ เหมือนกับจะหยอกล้อ ไม่ได้เจ็บเลย อันที่จริงวางมือคุณไว้ตรงนี้ต่อไปก็ได้ “แล้วก็ขอโทษนะ— ชอบเหมือนกันล่ะสิ”
คุณหมอทำลอยหน้าลอยตา ไม่รู้เรื่องแต่ก็ไม่ได้ทิ้งลายผู้ชายเสียทีเดียว
อย่างไรก็ผู้ชาย ไอ้เรื่องชอบมองอะไรสวยๆ งามๆ เนี่ยมันห้ามกันไม่ได้หรอก และมันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เราคบกันแล้ว
“เค้าเอาไว้มอง” คุณอธิบาย “ทัศนียภาพมันสวย”
“เค้าก็ทำงานเหมือนกันครับ ขอโทษ”
“สงสัยต้องตามมาดูเธอทำงานบ่อยๆ แล้ว”
“ก็คือมาคุมเค้า?”
“มาดูสาวสิ จะมาคุมอะไรเธอ”
ผมเอื้อมมือไปบีบหลังคออีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวกับคำพูดเย้าแหย่นั้น คุณหัวเราะขณะที่ย่นคอหนี ก่อนที่จะตามมาด้วยการบ่นงึมงำว่าไม่เล่นแล้วๆ
ถ้าคุณจะมาคุมผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก
ถึงแม้จะรู้ดีก็เถอะ – ว่าต่อให้คุณไม่คุมผมก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดี
-------------------------
หายไปนานมากกกกกก แบบมากกกก T_T
ไม่มีคำไหนจะโต้เถียง ขอโทษจริงๆ ค่ะ
มีทั้งงานต่างๆ สอบไฟนอล แล้วพอสอบเสร็จปุ๊บเค้าก็ไปเกาหลีปั๊บ
มีเวลาพักสอง – สามวันก็จะฝึกงานแล้ว 55555555555
แต่ช่วงฝึกงานคงจะอัพนิยายได้เหมือนเคยค่ะ
เรื่องมันเนิบนาบไปไหมนะ ; - ; แต่ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้เลยค่ะ
ถ้าทำให้เบื่อต้องขอโทษด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ยังติดตามตลอดค่ะ
รักทุกคนนะคะ <3
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ