———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————  (อ่าน 44810 ครั้ง)

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



ผลงานที่ผ่านมา
SINGLE PAPA คุณพ่อยังโสด (จบแล้ว)
TIME TICKET อยากให้เรารักกันอีกครั้ง (จบแล้ว)
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] ช่องว่างระหว่างชอบกับรัก
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] MIDSUMMER's ICE CREAM
ขอให้ (ไม่) ใช่รัก (จบแล้ว)
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] Friend's Cigarette
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] Elevator Is Out of Order
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] Nothing in Return
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2019 23:49:14 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 00 ————

 

     “—ณะ ไอ้ณะ”

     “ฮะ” ผมดึงหูฟังออกเพราะเสียงตวาดพร้อมกับแรงบีบบริเวณหัวไหล่ ละสายตาจากหน้าจอที่จ้องอยู่ตั้งหลายชั่วโมงตามเสียงเรียก

     เจ้ปันสีหน้าร้อนรนใจอย่างปิดไม่มิด “ฉันหากุญแจบ้านไม่เจอ ไม่รู้อยู่ไหน”

     “เอ้า ผมจะรู้กับเจ้ไหมเนี่ย”

     “กำลังคิดว่าลืมไว้ที่ร้านที่ไปซื้อข้าวกลางวันมาให้พวกแกรึเปล่า” หล่อนว่าอย่างนั้น “ขับพาไปหน่อย”

     “ปากซอยเอง เดินไปสิวะ”

     “ไอ้ณะ ปากซอยอะไรล่ะ ร้านป้าไม่เปิดเว้ย ฉันเดินไปยันซอยสี่ให้แก!”

     “เอ้า” ผมเกาหัว ก็ว่าอยู่เชียวว่าข้าวมันเค็มกว่าปกติ “เอากุญแจรถไปได้ปะ แล้วก็ขับไปเอง เดี๋ยวผมตัดงานไม่ทันพอดี”

     “ฉันขับมอเตอร์ไซค์เป็นที่ไหนล่ะยะ!” หล่อนแหว ดูท่าจะร้อนใจจริงๆ “นะๆ”

     “อันนี้อ้อนหรือเรียกชื่อ”

     “เรียกชื่อมั้งไอ้บ้า”

     “งั้นขับไปเอง”

     “ไอ้ณะ ไอ้เด็กเวร!”

     ผมหัวเราะพรืด รู้ว่าตอนนี้เจ้ปันไม่น่าจะเล่นด้วยมากเท่าไหร่เลยรีบกดเซฟงาน มองซ้ายขวาในออฟฟิศ ไอ้โย่งหันมาพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงว่าช่วยเหลือผู้อาวุโสที่สุดในที่แห่งนี้เสียก่อน

     ผมควงกุญแจรถ “แล้วไปทำอิท่าไหนถึงลืมวะ”

     “ไม่รู้ นี่ฉันก็ไม่รู้ว่าไปแล้วจะเจอไหม หายไปตอนไหนไม่รู้”

     “เอ้า แล้วก่อนหน้านี้ไปไหนอีก”

     “ไม่ๆ” เธอรีบตอบ “แต่ก่อนฉันไปซื้อข้าวให้พวกแกมันอยู่เว้ย ไม่หล่นระหว่างทางก็ลืมไว้ที่ร้านเนี่ยแหละ”

     ผมเกาหัวแกรก “ใจเย็นๆ”

     พูดไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ว่าเจ้ปันไม่ใจเย็นตามคำแนะนำผมอยู่แล้ว ผมสตาร์ทรถ แล้ววันนี้แม่สาวเจ้าก็มีออกไปคุยกับคนอื่นถึงได้ใส่กระโปรงให้นั่งยากๆ เสียอย่างนั้น หล่อนนั่งเหมือนกับสาววัยมหาวิทยาลัยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ให้น้ำหนักเอียงไปฝั่งเดียว ลำบากฉิบหาย

     รอเจ้ปันอยู่หน้าร้านตามสั่งที่อีกฝ่ายมาซื้อให้ช่วงกลางวันพักหนึ่งเพราะเจ้าของร้านบอกให้รอแป๊บนึง แม่ครัวร้านนี้ดูหงุดหงิดเสียจนน่ากลัวเสมอ บางทีก็กลัวว่าแกจะขว้างตะหลิวออกมาหากันตอนไหน สุดท้ายหล่อนก็เดินออกมาด้วยสีหน้าดีอกดีใจ

     “สรุปไปทำอิท่าไหนวะ”

     “เผลอวางไว้ตอนล้วงกระเป๋ามาจ่ายเงินมั้ง” หล่อนถอนหายใจ “เกือบนึกว่าต้องเสียค่าคีย์การ์ดแล้วกู”

     “ยังดีนะที่เจอ แก่แล้วขี้ลืม”

     “ไอ้ณะ!”
     
     ผมยกมือปิดหู “ขับรถพามาขนาดนี้แล้วเจ้ ยังจะด่าอีก”

     หล่อนฟึดฟัดแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมรู้ว่าเจ้ปันเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยโดนยุขึ้นง่ายเพราะงั้นเลยชอบที่จะแหย่ โดยเฉพาะเรื่องอายุเนี่ยแหละ ทั้งที่ความเป็นจริงก็แค่วัยสามสิบต้นๆ เท่านั้น

     “ไปๆ รีบกลับกัน” เจ้ปันตบบ่า

     มันก็ควรจะได้รีบกลับอยู่หรอก

     “เชี่ย ตำรวจว่ะ” ผมสบถออกมาเมื่อขับมาจนจะถึงสี่แยก

     ทั้งที่ที่ทำงานตัวเองอยู่ถัดไปแค่สองซอย ออกถนนใหญ่เพียงแป๊บเดียวแท้ๆ แต่ลองมีการการตั้งด่านแบบนั้น แถมตอนนี้ไม่มีใครพกหมวกกันน๊อกมาสักคน ขืนโผล่ไปให้เจอ ยังไงก็ต้องโดนเรียกแน่นอน ไอ้เวรเอ๊ย ก่อนหน้านี้แค่ห้านาทียังไม่มาตั้งเลย

     ผมหักเลี้ยวกลับเข้าไปอีกทาง

     “ไอ้ณะ!” คนซ้อนท้ายตีไหล่ผมเบาๆ เป็นการเรียกสติ “แกขับไปไหน”
     
     “ออกท้ายซอยเหอะ มีตำรวจ”

     “ท้ายซอยตรงไหนวะ”

     “ตรงสะพาน”

     “ไอ้ณะ!” หล่อนแหวเสียงดังขึ้นอีกหน่อย “สะพานมันสูงฉิบหายเลยนะเว้ย”

     “เอออออ ออกไปก็ถึงแล้วเนี่ย ไม่เป็นไรหรอกน่า เจ้เชื่อณะ




         



     ไม่เป็นไรก็แย่แล้ว

     เจ้ปันบ่นผมไม่ยอมหยุดตั้งแต่เราก้าวเข้ามาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หล่อนหยิกหูผมจนหน้าแทบเขียวเมื่อสุดท้ายแล้วเราไม่ได้กลับออฟฟิศตามที่ผมโม้ไว้

     “ก็เจ้อ้วนอ่ะ”

     “ไอ้เด็กนี่ ฉันบอกแล้วว่าให้แกขับขึ้นไปเองแล้วให้ฉันเดินข้ามสะพาน”

     “ก็ปกติมันขึ้นได้นี่”

     “ปกติแกขึ้นคนเดียว!”

     ผมบ่นอุบอิบ “ก็คิดว่าทำได้อ่ะ”

     เจ้าหล่อนทำท่าจะเงื้อมือฟาดอีกรอบแต่มองสภาพผมแล้วก็ถอนหายใจพรืดอย่างอารมณ์เสีย เอ่ยถ้อยคำให้รู้สึกเจ็บใจกว่าเดิม “ไงล่ะ ไม่ยอมจ่ายค่าปรับ มาจ่ายค่าหมอแทน ไปๆ มาๆ แพงกว่าอีกมั้งเนี่ย”

     “โหย อย่าย้ำได้ปะ เจ็บแล้ว”

     “แกต้องล้างแผลเองด้วย สมน้ำหน้า ดีไม่ดีแผลแกก็จะเน่า”

     ผมเบ้ปาก ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกขนลุกอยู่นิดหน่อยกับคำขู่นั้นยามที่ก้มลงมองสภาพแผลของตัวเอง โดนไปหมดทั้งหัวเข่าทั้งข้อศอก ไม่อยากคิดว่าช่วงที่แผลเริ่มแห้งผมจะแสบแค่ไหน ไอ้เวรเอ๊ย ไม่น่าห้าวเลยกู แล้ววันนี้ก็ไม่น่าใส่ขาสั้นด้วย ต้องโทษที่ทำงานแล้วที่ปล่อยให้ผมชิลได้เกินเหตุ!

     “คุณณภัทรค่า”

     “ครับ” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อพยาบาลเรียก จังหวะที่ทิ้งน้ำหนักลงบนขาขวาผมก็เจ็บจนต้องนิ่วหน้า

     เจ้ปันสังเกตได้ “ไปเป็นเพื่อนปะ” หล่อนลุกขึ้นจะพยุงผม

     “ไม่ๆ รอนี่แหละเจ้”

     ผมโบกมือไปมาทั้งที่ในหัวนี่สบถคำหยาบไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนหน้านี้นึกว่ามีแค่แผลจากรถล้มอย่างเดียวเพราะขับมอเตอร์ไซค์มาที่โรงพยาบาลที่อยู่ห่างไปสี่ซอยได้อย่างปลอดภัย (ไม่โดนด่านด้วย) เพิ่งมารู้สึกตัวเมื่อกี้นี้นี่แหละว่าไม่น่าจะได้เจ็บแค่จุดเดียวเสียแล้ว

     ผมกุมขมับ ซวยแล้วไอ้ณะ อย่างน้อยขอให้ยังขับรถกลับไปได้หน่อยเถอะ

     พยาบาลเป็นคนช่วยพยุงผมเข้ามา ท่าทีไม่ทุลักทุเลมากแต่สาวเจ้าก็ถามสีหน้าเคร่งเครียดว่าเจ็บเท้าด้วยหรือไม่ นาทีนี้ไม่กล้าห้าวต่อ ผมเลยพยักหน้าให้

     คุณพยาบาลสาวปิดม่าน “รอแป๊บนะคะ”

     ผมพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน

     จริงๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็รถล้มบ่อยครั้งเพราะถนนแถวมหา’ ลัยวิ่งกันอย่างวุ่นวาย แต่ตอนนั้นไม่มีหรอกจะระเห็จมาถึงโรงพยาบาล ไปที่คลีนิกใกล้ๆ ก็หรูแล้ว แต่รอบนี้เจ้ปันนั่นแหละที่เซ้าซี้ให้มาถึงนี่เพราะสถานพยาบาลใกล้ที่สุดเป็นที่นี่ ขืนเป็นคลีนิกผมคงขับไปไม่ไหว แถมที่ออฟฟิศยังไม่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอีกต่างหาก

     ผมก้มหน้ามองแผล เหมือนจะได้ยินเสียงคนที่ช่วยทำแผลให้กันสมัยก่อนบ่นมาแต่ไกล


     “เนี่ย ก็เธอขับไม่ระวัง”

     “เค้าระวังแล้วแต่ก็ยังล้มต่างหาก”

     “เถียงเก่งจังนะ”

     “อันนี้เรียกชื่อหรือลงท้ายประโยคไม่ให้ห้วน”

     และหลังจากนั้นผมก็จะโดนสำลีนั้นกดแผลแรงๆ ให้ผมอุทานดังลั่น – กวนตีนตอนอีกฝ่ายหงุดหงิดทีไรได้เรื่องทุกที

     จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เลิกกับคุณ ผมก็ไม่ได้รถล้มอีกเลย

     เสียงเลื่อนของม่านทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ คุณหมอเป็นคนเดินเข้ามาพร้อมกับก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรสักอย่างอยู่ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของอีกฝ่ายเจือจางแทรกมากับสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหยูกยา ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้กลิ่นน้ำหอมอีกฝ่ายชัดเจนแบบนี้

     อีกคนไม่เงยหน้าอยู่พักหนึ่งในขณะที่ผมเงยหน้าขึ้นมอง มือของอีกฝ่ายขาวจนเกือบซีด ก็อย่างว่า คนเป็นหมอคงไม่มีเวลาไปเจอแสงแดดเท่าไหร่นัก

     สุดท้ายคุณหมอก็เอาแฟ้มลงให้ผมเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆ

    ไอ้เหี้ย

     นั่นไม่ใช่ชื่อของอีกฝ่าย แต่เป็นคำอุทานที่ผมเกือบหลุดปากออกไปเมื่อเห็นใบหน้าอีกคนชัดๆ

     “นายณภัทร”

     เวลาโดนเรียกแบบนี้ ผมคิดถึงหน้าลูกชายคนดังของดาราทุกครั้งเลยให้ตาย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้เสียด้วยสิ

     อีกฝ่ายขมวดคิ้วเมื่อเห็นผมไม่ตอบ “นายณภัทรใช่ไหม” เรียกชื่อจริงโหลๆ ของผมซ้ำ

     “อา— ใช่” ผมชักจะอึกอัก สถานการณ์แบบไหน หรือเขาจะจำกันไม่ได้จริงๆ

     คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันตามนิสัยที่ชอบทำเวลาหัวเราะโดยไม่มีเสียง “รถล้มเหรอ”

     “ครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว

     เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก สบถในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้งไปแล้ว อีกฝ่ายเหมือนแวมไพร์ฉิบหาย ขี้กร้านจะดูดีขึ้นเสียด้วยซ้ำ ไม่ได้เจอกันตั้งสี่— ไม่สิ ห้าปี ไม่ได้เจอกันห้าปียังเหมือนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยไม่ผิดเพี้ยน

     หรือเพราะจริงๆ แล้วระยะเวลาห้าปีนั้นมากพอที่ทำให้อีกฝ่ายลืมกันไปแล้ว

     คุณมองหน้าผมในขณะที่ผมมองไปที่ชื่อบนอกข้างซ้าย ลึกๆ ในใจหวังว่าจะเป็นเพียงแค่คนหน้าเหมือนเฉยๆ แต่ลึกลงไปอีกก็คิดว่าที่ผมไม่อยากเจอคุณเป็นเรื่องโกหก

     สุดท้ายชื่อที่ปักอยู่บนอกก็บอกว่าผมไม่ได้ฝันไป

     คุณ คณณัฐ์ – คนที่ชื่อจริงอ่านยากฉิบหายคนนั้น

     “เธอเนี่ย อายุเท่าไหร่ก็ไม่เปลี่ยนเลย”

     ผมผงะ “ฮะ?” ร้องเสียงฉงนยามที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

     คุณหมอหัวเราะ “เธอยังโง่เหมือนเดิมเลยนะ”

     —อืม

     และนั่นคือบทสนทนาแรกระหว่างผมกับแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาห้าปีครับ






-------------------------

ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งค่ะ ; )
ไม่ได้เขียนนิยายจริงๆ นานเลย ขอฝากด้วยนะคะ


#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2018 21:47:43 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรียกกันเธอๆน่ารักจังงง ติดตามนะคะ <3

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
หมอออ มาดูแลน้องด่วนนนนนน

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
พระเอกดุ ส่วนน้องก็น่าตีจริงๆ สนับสนุนพระเอกดุๆค่ะ :hao7:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 01 ————



     “โย่ง มึงว่าเขาชื่ออะไรวะ อ่านยากฉิบหาย”

     ผมพูดคุยกับเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้จักกันในตอนนี้ ยกนิ้วขึ้นชี้ชื่อที่อยู่เหนือผมไป ดูท่าจะออกเสียงยาก หรือว่าผมโง่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตำแหน่งบนกระดาษเอสี่ที่แปะประกาศอยู่บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของชื่อคงจะได้อยู่ห้องตรงข้ามไม่ก็ห้องข้างๆ กันแน่นอน

     “คะ-นะ-นัด”

     “อ๋อ เออว่ะ” เหลือบตาอ่านชื่อที่ถูกเขียนไว้ก็คิดว่ามันก็คงจะอ่านได้แบบนั้นจริงๆ ก่อนที่จะผงะอย่างตกใจเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อกี้ไม่ใช่เสียงของเพื่อนตัวเอง

     หันไปที่ต้นเสียงก็เจอกับผู้ชายรูปร่างสูงใกล้เคียงกันสวมเสื้อยืดคอวีสีดำที่ผมมารับรู้ทีหลังว่าตู้เสื้อผ้าของอีกคนเต็มไปด้วยเสื้อทรงนี้หลากหลายสีสัน ดวงตาใต้กรอบแว่นหนาเตอะกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว

     “มันอ่านยากขนาดนั้นเลยเหรอ”

     คำพูดเหมือนจะหาเรื่องแต่ก็เปล่า ผมเห็นอีกฝ่ายพยายามกลั้นขำเสียด้วยซ้ำ

     “ก็ยากนิดนึง”

     “จริงปะ เป็นคนแรกเลยที่บอก” ผมไม่รู้จะตอบอะไร อยู่ๆ ก็โดนคนอัธยาศัยดีชวนพูดคุยด้วยคำพูดสุภาพเลยทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ให้อีกฝ่าย “แล้วเธอชื่ออะไร”

     “เราเหรอ?”

     “อาฮะ”

     “ชื่อณภัทร” ผมแนะนำตัวด้วยชื่อจริง เพราะเกิดมาทั้งชีวิตไม่มีชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ แล้วแต่ศรัทธาคนจะเรียกทั้งนั้น “มึง เอ้ย— เธอล่ะ” อยากกัดลิ้นตายฉิบหาย จั๊กจี้พิลึกกับการเรียกผู้ชายเหมือนกันว่าเธอ

     อีกฝ่ายเอามือปัดไปมา “พูดมึงก็ได้”

     “เอ้าเหรอ” ก็เห็นสุภาพ ผมนึกว่าจะซีเรียสมากกว่านี้เสียอีก “แล้วมึงชื่ออะไร”

     “ชื่อที่เธอเพิ่งอ่านไง” เพื่อนใหม่ยิ้ม “คะ-นะ-นัด”

     วันนั้นเป็นวันย้ายเข้าหอพักในของมหาวิทยาลัยตอนขึ้นปีหนึ่ง และผมเปิดตัวด้วยการโชว์โง่ด้วยการให้เจ้าของชื่อมาอ่านชื่อตัวเองให้ผมฟังโดยที่ไม่รู้จักกัน
   



     “แล้วไปทำอิท่าไหนอีกล่ะรอบนี้”

     “อะไร”

     อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “ที่รถล้มไง” น้ำเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อยราวกับต้องการจะดุกัน

     “อ๋อ— หนีตำรวจน่ะ ไม่ได้ใส่หมวกมา มีคนซ้อนด้วย”

     “ยอมจ่ายค่าปรับอาจจะถูกกว่าค่าหมอ”
   
     ผมมองคนผิวขาวที่พูดถ้อยคำเหมือนจะสมน้ำหน้ากันด้วยริมฝีปากสีแดงน่าบีบหากแต่ยังแห้งเป็นขุยเล็กน้อย ไฝเล็กๆ สองดวงบริเวณใต้ดวงตาข้างซ้ายที่กำลังจับจ้องแผลของผมอยู่ ไปจนถึงปลายนิ้วเรียวที่บรรจงแตะต้องรอบๆ แผลของผมอยู่
   
     “แล้วพาใครซ้อนมา”
   
     “พี่ที่ทำงาน”
   
     “เป็นอะไรหรือเปล่า”
   
     “ไม่เป็น ก็นี่พยายามหลบไม่ให้พี่มันโดน”
   
     คุณละสายตาจากบาดแผล “พี่ผู้หญิงเหรอ”   ผมคงเผลอแสดงสีหน้างุนงงออกไป เจ้าตัวถึงหัวเราะออกมาผะแผ่ว “ก็ปกติเธอทำแบบนั้นกับผู้หญิงนี่ เหมือนตอนที่พากิ๊บล้ม เอาตัวบังซะจนเปิดเปิงไปหมด”
   
     ผมกลืนน้ำลายอึก “ยังอุตส่าห์จำได้อีกนะ”
   
     “อืม” คุณพยักหน้า “ไม่รู้สิ— ก็จำได้”
   
     แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมเราอีกครั้ง
   
     ผมคิดไม่ออกว่าเราต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร วันนี้ดูท่าจะสุดเหวี่ยงเกินไปแล้ว ตั้งแต่หนีตำรวจ รถล้ม เข้าโรงพยาบาล แล้วยังมาเจอแฟนเก่าที่รับมือยากที่สุดด้วย

     คุณ คณณัฐ์เป็นแฟนเก่าของผมสมัยมหาวิทยาลัย เสริมอีกหน่อยคือเป็นแฟนเก่าที่รับมือยากที่สุดในโลกใบนี้ คุณไม่เหมือนตอนที่ผมคบน้องหวานตอนม. สี่ หรือคบกับแก้วตอนม. ห้า อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ใจเย็นเสียจนคนใจร้อนอย่างผมทำอะไรไม่ค่อยถูกตั้งแต่เราคบกัน ไม่งี่เง่า ไม่งอแง – เป็นแบบนั้นกระทั่งเวลาเราเลิกกันเลยด้วยซ้ำไป
   
     เมื่อจัดการแผลตรงหัวเข่าเสร็จ อีกฝ่ายก็เลื่อนสายตาไปที่ข้อเท้า แตะต้องมันตามประสาหมอ
   
     “เจ็บไหม”
   
     ผมนิ่วหน้า “เจ็บ”
   
     “สมน้ำหน้า”
   
     “เอ้า”
   
     “ล้อเล่น” และก็เป็นรอยยิ้มบางๆ อีกครั้งบนใบหน้าอีกฝ่าย “ขาเธอถึงขั้นร้าวเลยไหมเนี่ย”
   
     ผมกลืนน้ำลายอึก เอาล่ะชีวิตกู เริ่มคิดจริงๆ แล้วว่าไม่น่าห้าวขนาดนี้
   
     โดนตรวจอยู่พักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายแล้วจะได้ข้อสรุปออกมาว่าไม่ใช่ขาผมร้าวแต่อย่างใด แค่พลิกเฉยๆ คุณหมอคนเก่งก็เลยจัดการพันข้อเท้าให้ผม อดคิดถึงตอนที่อีกฝ่ายเคยทำแบบนั้นสมัยเราอยู่มหาวิทยาลัยไม่ได้ ตอนนั้นคุณบ่นผมยับขณะทำแผลให้ผมไปด้วย สองสามครั้งเห็นจะได้ แต่ก็นั่นแหละ, ครั้งนี้คุณไม่ได้เอ่ยปากบ่นอะไรอีกแล้ว คงเพราะสถานะของเราไม่เหมือนเดิม
   
     “ที่ข้อเท้าก็ประคบร้อนประมาณ 2 วัน จากนั้นค่อยประคบเย็น ส่วนแผลตรงอื่น ระวังไม่ให้โดนน้ำ แล้วก็มาล้างแผลด้วย” ผมมองกลีบปากนั้นที่พูดอย่างใจเย็น ก่อนที่อีกฝ่ายจะชะงักไป “เธอล้างเองได้ไหมเนี่ย”
   
     “เค้าล้างได้” ตอนพูดออกไปผมเกือบจะกัดลิ้น – ไอ้ห่า เค้าอะไรกัน
   
     “เหรอ แต่เค้าว่าตรงเข่านี่ช่วงแรกมาล้างที่โรงพยาบาลหรือคลีนิกก็ดีนะ เธอชอบทำอะไรสกปรกอ่ะ”
   
     “ไม่สกปรกแล้ว”
   
     “จริงเหรอ ถ้าเน่ามาโดนตัดขาไม่รู้นะ”
   
     สีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดขำ – คุณขู่แบบนี้กับผมมาตั้งแต่รถล้มครั้งแรกนั่นแหละ
   
     “เธอขำมากปะ” แล้วก็ชอบต่อด้วยประโยคนี้อีกเหมือนกัน “ออกไปได้แล้ว นานแล้ว”
   
     “นานอะไร”
   
     “ตรวจเธอนานแล้ว เดี๋ยวโดนคนอื่นด่า”
   
     “สิบห้านาทีเนี่ยนะ”
   
     “เออ นั่นแหละ นานแล้ว!” คุณเริ่มเสียงแข็งขึ้นมาอีกหน่อย
   
     และ โอเค, ผมยอมแพ้ สิ่งที่ทำได้มีแค่การยกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ บ่งบอกว่าผมยอมให้อีกฝ่าย “ไปแล้ว”
   
     “ล้างแผลดีๆ ด้วยนะ”
   
     “อาฮะ” ผมพยักหน้า พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทุลักทุเลเล็กน้อย
   
     จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบมองใบหน้าที่ยังไม่แตกต่างจากสมัยเราเป็นนักศึกษาของอีกฝ่าย แต่ก็ชัดเจนว่าคณณัฐ์หาได้สนใจกันไม่ กำลังเขียนลายมืออ่านง่ายลงบนกระดาษแผ่นนั้น – ไหนใครว่าลายมือหมอมักจะห่วยแตก ผมสาบานเลยว่าไม่จริง – อีกฝ่ายเป็นระเบียบกว่าเด็กฟิล์มอย่างผมเสียอีก
   
     เหมือนอีกฝ่ายรับรู้ คุณเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วมุ่น “ยังไม่ไปอีก”
   
     “เอ่อ— ขอโทษ”
   
     นั่นยิ่งทำให้คุณงงยิ่งกว่าเก่า “ขอโทษอะไร”
   
     ไม่รู้ นั่นเป็นคำตอบแรกที่ผุดเข้ามาในหัว ผมแค่อยากจะเอ่ยคำขอโทษออกมา
   
     “ไปแล้วครับ”
   
     ผมหันหลังกลับ กำลังจะเดินไปเปิดม่านที่ถูกพี่พยาบาลปิดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเชียว หนึ่ง, ผมแอบนับในใจ บอกกับตัวเองว่าถ้าถึงก้าวที่ห้าแล้วยังไม่มีเสียงเรียกใดใดรั้งไว้ สอง, คงเป็นตัวผมเองที่จะต้องหันกลับไปพูดอะไรสักอย่าง สาม
   
     “ณะ”
   
     ผมเกือบตะโกนออกมาด้วยความปิติ แต่สิ่งที่ทำได้มีแค่การหันไปหาอีกฝ่าย “ว่า?”
   
     “เปล่าเลย” แต่คุณกลับทำแค่ยิ้มแบบที่คุณเคยทำ “แค่เรียกเฉยๆ”
   
     “อาฮะ”
   
     “ณะ”
   
     ผมหันไปอีกครั้ง “ครับ”
        
     “เธออันบล๊อกไลน์เค้าได้หรือยัง”
   




     คุณเคยต้องมานั่งมองหน้าโปรไฟล์แฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้วหลายปีไหมครับ
   
     ใช่ – ผมกำลังทำแบบนั้นแหละ
   
     “ส่องใครอ่ะ”
   
     เสียงเพื่อนสนิทที่ดังขึ้นมาจากข้างหลังทำให้ผมเผลออุทานคำหยาบ “โว้ย โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียง” ด่าไอ้โย่งที่ไม่ได้ตัวโย่งสมชื่อก่อนจะกดออกจากแอพพลิเคชั่น ลนลานแม้คำพูดของมันจะทำให้ผมรับรู้ว่าเพื่อนสนิทจากมหาวิทยาลัยต้องรับรู้แล้วแน่นอนว่าผมไปเจอกับใครมา
   
     “มา เดี๋ยวกูไปส่ง”
   
     “ขอบใจมากมึง”
   
     “ทำบุญทำทานให้หมามันจ้า”
   
     ด่ากันเก่งแต่เลิกคบกันก็ไม่ได้ เจอหน้าแม่งตั้งแต่มัธยม มหาวิทยาลัย กินข้าวคลุกน้ำปลาพร้อมเซ็ทฉากด้วยกันตอนออกกองครั้งแรกยันงานธีสิส แยกกันอยู่พักหนึ่งแล้วยังอุตส่าห์มาสมัครทำงานที่เดียวกันอีก – เหมือนโลกบอกว่าคนต่ำตมก็ต้องอยู่ด้วยกัน มีณะมีโย่ง มีโย่งมีณะที่แท้
   
     ไอ้โย่งโกยเศษซากกาแฟออกมาจากโต๊ะ ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วและนี่ถือว่าเป็นการกลับบ้านเร็วของออฟฟิศผม มันจะขับรถไปส่งให้ส่วนมอเตอร์ไซค์ให้ผมจอดไว้ที่ออฟฟิศจะได้ไม่วุ่นวายมาก เป็นการทำเพื่อตัดรำคาญคำบ่นจากเจ้ปันที่ผมได้บุญลงไปเต็มๆ
   
     “เมื่อกี้มึงส่องเฟซใครนะ”
   
     ผมอยากยกตีนขึ้นมากุมขมับ แต่เกรงว่าจะเป็นการเล่นใหญ่เกินไป “เสือก”
   
     “ขอบใจ กูภูมิใจกับคำนี้” ฉายาไอ้โย่งตาทิพย์ไม่ได้ได้มาเล่นๆ “เจ้ปันบอกว่ามึงเหวอจนเกือบขับชนเสาอีกรอบตอนกลับมา สรุปเจอจริงเหรอวะ”
   
     “ใคร”
   
     “คุณ”
   
     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เออ” รู้ไปว่าสักวันก็ต้องบอกมันอยู่ดี เพราะว่าไม่มีใครให้ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกแล้ว
   
     โย่งถึงกับระเบิดหัวเราะ “จริงปะเนี่ย ทักปะ”
   
     “ไม่ทักก็แย่ เขาตรวจกูเนี่ย” แค่เท่านั้นเพื่อนเวรของผมก็ระเบิดหัวเราะเล่นใหญ่กว่าเดิม ไม่ได้สงสารใจกันแม้แต่น้อย ไอ้โย่ง เพื่อนสันดานเสีย
   
     “เห็นคุณย้ายมาโรงพยาบาลนี้กูยังไปเม้นแซวเลยว่าอยู่ใกล้ๆ กัน เดี๋ยวจะพาเพื่อนไปเจอ สมพรปากว่ะ” มันสตาร์ทรถจับเกียร์ สีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของเพื่อนเสียจนผมอยากด่าว่าไอ้โย่งหน้าหมา “แล้วไหงไปส่องเฟซเขาอีกวะ”
   
     “ก็แค่เจอ”
   
     “จริงปะจ๊ะ”
   
     “จริง” ผมย้ำ นิ่งไปชั่วครู่ “—มั้ง”
   
     “เนี่ย มึงมีเยื่อใยอ่ะ”
   
     “ไอ้เวร กูแค่ตกใจไหมล่ะ ไม่คิดว่าจะเจอ”
   
     จริงๆ ไม่คิดว่าจะเจออีกฝ่ายอีกแล้วในชีวิตนี้
   
     นั่นไม่ใช่เรื่องที่โกหก ใช่ว่าไม่รู้ความเป็นไปในชีวิตอีกคน พอจะรับรู้ได้อยู่หรอกจาก social media ของเพื่อนๆ คุณ – แหงล่ะ ผมเล่นอันเฟรนด์เฟซบุ๊กอีกฝ่ายไปตั้งแต่เราเลิกกัน – ไม่นับไปถึงการบล๊อกไลน์และเบอร์โทรในช่วงเวลาที่เราตัดสินใจว่าพอดีกว่า เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รับรู้หรอกว่าอีกคนเป็นอย่างไรบ้าง รู้แค่ว่ากลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วหลังจากไปใช้ทุนที่นครศรีธรรมราชมาเพราะเพื่อนๆ มีการอัพเดตให้เห็นหน้าคุณบ่อยกว่าปกติ
   
     “จริงเหรอวะ” โย่งใช้จังหวะที่รถมาถึงไฟแดงหันมาถาม น้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย
   
     “มันไม่น่าเชื่อเหรอ”
   
     “ไม่รู้ดิ กูแค่แบบ— คุณคือคนที่มึงคบนานที่สุดอ่ะ”
   
     ผมย้อนคิด ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เกือบสี่ปีที่คบกับอีกฝ่ายก็เป็นสถิติสูงสุดที่เกิดขึ้นในชีวิตรักผมจริงๆ
   
     “ทำให้มึงเลิกบุหรี่ได้ด้วย” มันเสริม
   
     “แล้วก็ทำให้กูกลับมาติดบุหรี่ใหม่”
   
     เพื่อนคนเดียวส่ายหน้า “ดึงดราม่าเฉย”
   
     “กูเปล่าเลย”
   
     “จริงปะจ๊ะ”
   
     “ขอร้อง ไอ้คำพูดนี้เลิกพูดสักที เปรี้ยวตีนฉิบหาย”
   
     “จริงปะ—” ผมด่ามันก่อนที่มันจะพูดจบ แล้วบทสนทนาของเราก็จบอยู่ตรงนั้นเพราะไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี




     ไอ้โย่งมาส่งถึงหน้าคอนโด ขอบคุณที่มีเซเว่นอยู่ใกล้ๆ คอนโดของผมขนาดนี้ ทำเลดีแท้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของพี่ชาย ตอนแรกผมก็อยู่กับมัน จนสุดท้ายมันเลือกที่จะแต่งเข้าบ้านเมียของตัวเอง ผมเลยได้ยึดสถานที่ดีๆ แบบนี้ไปฟรีๆ
   
     อาหารมื้อนี้โง่กว่าทุกวัน มันจบลงที่พะแนงไก่ในเซเว่น เวฟมาเลยจะได้ไม่ต้องล้างจาน ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างเอื่อยเฉื่อย เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บจากแผลที่ได้จากความโง่ของตัวเองเข้าให้แล้วจริงๆ ในเวลานี้
   
     Kunnanad T.
   
     อ่านชื่อเดิมบนหน้าจอโทรศัพท์ซ้ำไปมา ผมไล่รูปโปรไฟล์ของคุณไปนาน ไปจนถึงวันสำคัญต่างๆ ในชีวิตอย่างเช่นวันรับปริญญาหรือวันรับกาวน์ที่จำได้ว่าตัวเองเป็นคนถ่ายมากับมือ นั่นเป็นทั้งหมดที่ทำได้แล้วในเมื่ออีกฝ่ายตั้งไว้เป็น private
   
      ผมคิดถึงคำพูดล่าสุด – คำถามโง่ๆ ว่าผมยังไม่อันบล๊อกไลน์อีกฝ่ายสักที
   
     จำไม่ได้ว่าทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนั้น แต่ก็นึกได้ว่าทรมานไม่ใช่น้อยในตอนนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองต้องทำธีสิสในสภาพไหน ตัดวีดีโอไปร้องไห้ไปก็เคย แล้วก็จำได้เหมือนกันว่าเพื่อนๆ ของคุณที่ยังพูดคุยถามไถ่กัน เล่าว่าสภาพของคุณก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
   
     ผมมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง คว่ำหน้าจอโทรศัพท์
   
     ไม่นานก็หยิบมาใหม่ มองภาพเหล่านั้นอยู่อีกสองสามนาที สุดท้ายก็ออกจากแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก –  พอแล้วดีกว่า, ส่องไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นหรอก – บอกกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะเดินไปอาบน้ำด้วยสภาพทุลักทุเลนิดหน่อย
   
     ออกจากห้องน้ำพร้อมกับความคิดว่าที่ข้อเท้าผมปวดระบมจริงๆ เสียแล้ว จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าตอนนั้นคุณบอกผมว่าอะไร ประคบร้อนหรือเย็นกันแน่ ผมเลยตั้งใจจะเสิร์จกูเกิ้ลเสียหน่อย
   
     Kunnanad T. sent you a friend request.
   
     ผมใจกระตุกนิดหน่อย
   
     ยอมรับจริงๆ ว่าคุณเป็นคนที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผมผิดเพี้ยนตั้งแต่ครั้งแรก บางทีก็แค่ตกใจ, รอยยิ้มของเขาทำให้ผมอ่านไม่ค่อยออกเท่าไหร่
   
     ผมลังเลว่าตัวเองควรจะกด confirm หรือ delete request จากอีกฝ่ายดี
   
     สุดท้ายแล้วผมก็เมินเฉยกับคำแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ กดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์ของตัวเองแทน ค้นหารายชื่อที่เคยบล๊อกไว้เมื่อนานมาแล้ว กดอันบล๊อก มองหน้าแชทอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจพิมพ์เข้าไปสั้นๆ แม้ในหัวจะมีคำถามมากมาย
   
napat
เค้าไม่ได้บล๊อกเธอแล้ว

     คุณไม่ได้ตอบผมในทันที – และมันน่าตลกมากที่ผมมองหน้าจอทุกๆ ห้านาทีขณะที่ประคบข้อเท้าของตัวเองอยู่
   
     คนเราจะต้องรอข้อความจากแฟนเก่าที่เลิกกันไปห้าปีหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจเหมือนกัน
   
     คืนนั้นผมมองเพดานสีขาว พลิกตัวไปมาสองสามรอบ นึกคึกเปิดเพลย์ลิสต์ของ the script ที่ไม่ได้เปิดฟังนานแล้ว ได้ยินเพลง the man who can’t be moved วนไปมาหลายเวอร์ชั่นเสียจนผมเผลอฮัมทำนองที่คุ้นเคยจนเผลอหลับไป
   
     ผมฝันถึงคุณในชุดนักศึกษา กินอะไรสักอย่างอยู่ที่ม้านั่งหอในที่เราเคยนั่งด้วยกันบ่อยๆ คุยกันด้วยอะไรที่อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเหมือนที่ได้เห็นบ่อยๆ และผมเอาแต่จับจ้องอีกฝ่าย เส้นผมสีดำขลับ, สีผิวที่ขึ้นสีแดงขณะที่โดนแดด, รอยยิ้มที่สดใสสู้กับพระอาทิตย์และเสียงหัวเราะผะแผ่วของอีกฝ่ายในบทสนทนาโง่ๆ ของเรา
   
     ผมตื่นมาตอนเช้าเพราะนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือตัวเอง กดเลื่อนมันอยู่สองสามรอบก่อนจะมีสติว่าตัวเองควรจะตื่นจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะไปทำงานสาย
   
     สิ่งที่ปรากฎในโทรศัพท์นอกจากนาฬิกาปลุกก็คงเป็นข้อความจากเจ้าของความฝันของผมในไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง
   
     k.
     โอเคสิ 5555
     เธออย่าลืมล้างแผลด้วยนะ

   
     คุณเป็นแบบนั้นเสมอ ให้ความรู้สึกว่าได้ยินเสียงที่พูดแบบช้าๆ ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แม้จะไม่ได้คุยกันต่อหน้า เป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่า ให้ตาย แล้วใครมันจะเกลียดเธอลง แบบนี้บ่อยๆ แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าอะไรทำให้ผมฝันถึงคุณที่เป็นแบบนั้น

     คงเพราะภาพจำของคุณเป็นแบบนั้น – ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้กระทั่งเราเลิกกัน
   
     ต่อให้เราเป็นแฟนเก่ากันแล้วก็เถอะ แต่— ให้ตาย, แล้วใครจะเกลียดเธอลง
   





-------------------------

แฟนเก่าก็ไม่จำเป็นต้องดราม่าจ้า
เรื่องนี้เป็นนิยายกุ๊งกิ๊งนะจ๊ะ

เจอกันในแท๊กค่า  :katai2-1:
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2018 21:24:15 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
แงงงงงง น่ารักมากเลยค่า ชอบตรงแทนว่าเค้ากับเธอ ติดตามๆ

ออฟไลน์ fon270640

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
อนาคตล่ะคะจะดราม่าไหม 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ brave

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :mew1: รออ่านนต่ออยู่นะคะ น่ารักมากๆเลยย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 02 ————



     “ณะ จะไปล้างแผลปะ เดี๋ยวขับไปส่ง”

     เจ้ปันที่ช่วงนี้วอแวผมเป็นพิเศษถามขณะควงกุญแจรถของตัวเอง เจ้แกวอแวผมเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งคงเพราะสองวันมานี้ผมเลือกที่จะไม่ขับมอเตอร์ไซค์ของตัวเองมา เรียก grab เอาจะสะดวกกว่า ขอให้มั่นใจก่อนว่าแขนขาของตัวเองมั่นคงพอที่จะขับมอเตอร์ไซค์ได้ ขากลับก็ติดรถเพื่อนไม่ก็พี่ๆ ที่ออฟฟิศเอา สะดวกกว่ากันเยอะ อีกส่วนคงเพราะรู้สึกผิด แม้ว่าตอนนั้นผมจะดันทุรังเอาเองล้วนๆ

     “วันนี้นัดล้างแผลเหรอวะ” ไอ้โย่งที่อยู่หัวโต๊ะเอ่ยปากถาม

     “เออ”

     “โดนไปเท่าไหร่วะเนี่ย”

     “ไม่รู้ว่ะ แต่เขาบอกวันแรกๆ ไปล้างที่โรงพยาบาลดีกว่า”

     เพื่อนสนิทหรี่ตา “เขานี่ใครวะ”

     ไอ้ฉิบหาย โดนแล้วกู – ผมเลิ่กลั่กในขณะที่เพื่อนระเบิดหัวเราะ “หน้าหมา” ตะโกนด่าเพื่อนที่ดูจะสะใจกับการล้อผมเรื่องแฟนเก่าราวกับเราเป็นเด็กมหาวิทยาลัย

     “อะไรวะ” เจ้ปันเกาหัวแกรก “สรุปไปปะ เดี๋ยวเจ้ไปส่ง”

     “ทำไมวันนี้ใจดีจังครับบบบ” ลากเสียงยาวพร้อมกับคว้าแขนเจ้าเนื้อของหล่อนมาบีบเล่นจนคนอายุมากกว่าทำท่าจะฟาดกันเสียอย่างนั้น “ไปๆ เจ้จะไปแล้วเหรอ”

     “เออ เดี๋ยวรถติด ขี้เกียจ”

     “ขอเก็บของแป๊บ”

     ผมรีบกดปิดหน้าต่างๆ นานาที่เปิดอยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ เก็บของต่างๆ เข้ากระเป๋าในขณะที่เจ้ปันยืนคุยกับไอ้โย่งอย่างออกรสว่าเมื่อกี้โย่งหัวเราะอะไร

     “เจ้ถามไอ้ณะเองเลย เรื่องนี้โย่งไม่ยุ่ง” มันว่างั้นแต่ยังป้องปากขำ มองจากนอกโลกยังรู้ว่ามีพิรุธ

     “ทำไมวะณะ มันพูดไม่ได้เหรอ”

     “เสือก”

     “แกด่าเจ้เหรอ! เดินไปโรง’ บาลเองเลยนะ”

     “เปล่า ด่าไอ้โย่ง” กลับคำแทบไม่ทันเมื่อสาวเจ้าทำท่าจะปล่อยผมเดินไปจริงๆ

     “เจ้ลองปล่อยมันเดินเปล่า ผมว่าใจมันพามันเดินไปหาหมอได้”

     เพื่อนสนิทเน้นคำว่าหมอแรงๆ เสียจนผมหันไปด่าคำหยาบให้อีกหน ทีนี้เจ้ปันคงเริ่มจับจุดได้ ทำท่าจะเอ่ยปากถามว่าหมอเกี่ยวอะไรกับผมแต่ผมรีบตัดบทไปเสียก่อน เดินออกจากออฟฟิศก่อนที่จะโดนเจ้ปันซักกันจนขาว

     “พาเดี้ยงไปล้างแผลเหรอ”

     “ใช่ค่าพี่เอก”

     พี่เอกที่เดินสวนออกมาทักทายกัน มองผมที่เรียกว่าเดี้ยงแล้วส่ายหน้าเหมือนจะขำ พี่แกเป็นเหมือนกับพ่อในออฟฟิศแห่งนี้พอๆ กับที่เจ้ปันเหมือนคุณป้าขี้บ่นข้างบ้าน     

     “แล้วนี่ขาเป็นไงบ้าง” พี่เอกเหล่สายตามาที่ขาของผม “จะเลิกเดี้ยงตอนไหน”

     “โหยพี่ มันหายวันหายพรุ่งได้ที่ไหนเล่า”

     “บอกให้ลาหยุดสักวันสองวัน”

     “บ้า ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น”

     “เปล่า กูปวดหู ขี้เกียจฟังเสียงมึงกับไอ้โย่งทะเลาะกันเรื่องใครจะเป็นแครี่”

     “เวร”

     พี่โย่งหัวเราะ ตบบ่าพร้อมกับอวยพรให้ผมหายไวๆ แล้วเดินเข้าออฟฟิศไป

     ผมทำงานที่นี่มาได้สามปีเศษ ยังไม่มีแพลนจะย้ายไปทำงานที่ไหนนอกจากรับฝิ่นงานนอกเป็นครั้งคราว ไอ้ตัวเราจบเอกภาพยนตร์มาก็จริง แต่งานประจำที่ทำตอนนี้เป็นตากล้องและ editor ให้กับเพจท่องเที่ยวดังแห่งหนึ่ง จะว่าไม่ตรงสายก็ใช่ แต่นาทีนั้นผมแค่เบื่อชีวิตฟรีแลนซ์ที่ไม่แน่นอน สู้หางานประจำที่ว่างพอให้ผมรับฝิ่นเป็นช่วงๆ เกรงว่าจะดีกว่า คนในออฟฟิศเองก็เป็นกันเองดี มีผมกับไอ้โย่งที่ผันตัวมาทำ creative เจ้ปันที่เป็นคนคอยเขียนคอนเทนท์ต่างๆ พี่เอกกับแฟนชื่อพี่ข้าว ทั้งคู่ที่เป็นคนก่อตั้งเพจ นอกจากนี้ก็ยังมีฟรีแลนซ์หน้าเดิมๆ โผล่มาบ่อยๆ อีกสองสามคน ถือว่าเป็นบรรยากาศครอบครัว

     ถ้านับการที่เจ้ปันเท้าเอวด่าผมสารพัดเป็นบรรยากาศครอบครัวได้อ่ะนะ

     “แล้วขากลับกลับไงวะ”

     “เดี๋ยวเรียก grab เอา”

     “ให้รอไหม”

     “ไม่เป็นไร” ผมโบกมือไปมา “ขอบใจมากเจ้”

     “สรุปมีเรื่องอะไรกับหมอเหรอวะไอ้ณะ”

     “โอ๊ย ไอ้โย่งมันก็— ขับดีๆ ดิวะเจ้แม่ง” ผมชะงักนิดหน่อยตอนที่เจ้ปันทำท่าจะปาดรถคันข้างหน้า ไม่ชอบนั่งรถพี่แกก็เพราะอย่างนี้แหละ ผู้หญิงอะไรตัวเล็กแต่ขับรถห้าวฉิบหาย “ไอ้โย่งพูดไปเรื่อย”

     “จริงเหรอ แกก็ดูร้อนอยู่นะ”

     “เจ้คิดม๊าก”

     “เสียงสูง”

     “เจ้คิดมาก” ผมลงเสียงต่ำแทบไม่ทัน

     “ดูมัน” หล่อนทำท่าจะฟาดผมสักที รุนแรงฉิบหาย แต่นั่นแหละ, ตอนนี้อาศัยรถเขาเลยต้องเงียบๆ ไว้

     เจ้ปันวนรถมาส่งผมให้ตรงหน้าตึกคนไข้ทั่วไปให้สะดวกกับไอ้เดี้ยงอย่างผมก่อนที่จะวนรถกลับไปเลย ในขณะที่ผมเข้าไปติดต่อ รอไม่นานเท่าไหร่ก็ถูกเรียกชื่อตามประสาโรงพยาบาลเอกชนขนาดไม่ใหญ่มาก คิดว่าจะมาล้างแผลที่นี่แค่สองครั้งแรกๆ ให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ติดเชื้ออะไรก็พอแล้ว ผมไม่ค่อยรักษาความสะอาด ขาดทักษะในการทำแผลให้ตัวเองโดยสิ้นเชิง เกรงว่าช่วงแรกๆ ถ้าไม่รักษาดีๆ แผลจะติดเชื้อไปก่อน

     ผมเหลือบคุณหมอสองคนที่เดินคุยกันมาขณะออกจากลิฟต์ตอนที่ตัวเองรอจะจ่ายเงิน ในหัวพาลคิดไปถึงคุณหมออีกคนที่เพื่อนหยิบยกมาแซวกัน ไอ้โย่งหน้าหมา

     บทสนทนาของผมกับคุณจบลงไปแล้ว ไม่เกิน 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่คณณัฐ์ตอบกลับมา เราคุยกันด้วยคำถามโง่ๆ ง่ายๆ อย่างเช่น คุณกินอะไรแล้วหรือยัง ไม่ก็สรุปเธอปวดแผลบ้างไหม ก่อนจะจบลงด้วยคำพูดว่าเราไปก่อนนะ มีเคสที่ศัลย์— แล้วก็จบ ผมไม่ตอบ ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรอีก

     จริงๆ ก็มีความคิดอยู่บ้างว่าหรือผมควรจะทักไปบอกคุณกันนะว่าผมกำลังมาล้างแผลที่โรงพยาบาล แล้วยังไงต่อ? ไปกินข้าวเย็นกันสักมื้อไหมอย่างนี้หรือ

     คนเราไม่น่าจะต้องชวนแฟนเก่าไปกินข้าวไหมนะ – ต่อให้เป็นแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอกันห้าปีก็เถอะ

     “คุณณภัทรค่ะ”

     “ครับ” เสียงเรียกนั่นทำให้ผมเลิกคิดไร้สาระ ลุกขึ้นยืนไปจ่ายเงินให้จบๆ ไปเสียที ใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะเดินออกมาเรียกแท๊กซี่กลับคอนโดของตัวเองได้สักที



     
     คืนนั้นโทรศัพท์ของผมที่แทบจะไร้บทสนทนาอื่นๆ นอกจากเรื่องงานส่งแจ้งเตือนขึ้น

     k.
     เออ เห็นเธอตอนเย็น มาล้างแผลเหรอ?

     ลังเลนิดหน่อยที่จะตอบกลับไปในทันที ผมสูดเส้นที่ยังนอนแอ่งแม้งอยู่ในถุงพลาสติกเพื่อให้สะดวกต่อการล้างจาน ยอมรับว่าขี้เกียจมากจริงๆ และทุกคนที่เห็นผมทำแบบนี้ก็จะด่าผมเสียหมดว่าผมมันไอ้ซกมก

      สุดท้ายก็เลือกที่จะกินก๋วยเตี๋ยวจนหมดจานแล้วค่อยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตอบอีกคน

napat
ใช่ๆ
เจอแล้วไม่ได้ทักเหรอ
     
     k.
     เห็นหลังไกลๆๆ ยังคิดเลยว่าใช่หรือเปล่า
     วิ่งตามไม่ทันหรอก 5555

     
napat
ขนาดนั้นเลยนะ
     
     k.
     ขนาดนั้นเลยแหละ
     แล้วเป็นยังไงมั่งแผล เป็นหนองไปแล้วใช่ปะ

     
napat
ทำไมต้องแช่งกันตลอดด้วยเนี่ย
ก็ปกติดี

     k.
     ข้อเท้าอ่ะ ดีขึ้นยัง ประคบมั่งเปล่า

     
napat
ดีขึ้นแล้วครับ

     เอาจริงๆ ก็แปลกใจกับสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน ผมตอบกลับไปแค่นั้น ข้อความถูกขึ้นว่าอ่านแล้วในทันที คงเพราะคุณก็กำลังจับโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา ข้อความที่ส่งไปมันก็ไม่มีอะไรน่าต่อจริงๆ – แต่ก็ใจหายนิดหน่อยกับความเงียบไม่กี่นาทีนั้น

     ผมมองหายางมารัดปากถุงก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาให้ผมอ่านข้อความผ่านหน้าจอโทรศัพท์ที่ก่อนหน้านี้ล็อกไปแล้ว

     k.
     แล้วช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ทำงานแถวนั้นเหรอ
     
     —ลืมไปได้ยังไงนะว่าคุณเก่งเรื่องชวนคุย

napat
ครับ เค้าทำแถวนั้น
อยู่ซอยหก
     
     k.
     เอ้า ใกล้มากเลยนี่
     ที่เดียวกับโย่งใช่เปล่า

napat
รู้ด้วยเหรอ?
     
     k.
     ไปส่องมาไง 55555
     ก็ณะไม่รับแอดเฟซเราสักทีอ่ะ
     
     ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เห็นแล้วแหละว่าคณณัฐ์แอดมาหากันตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ตอนนั้นเอาแต่คิดว่าต้องอันบล็อกไลน์อีกฝ่ายเสียก่อน
     
     ผมเอาลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้ม นี่เป็นอีกเรื่องที่คุณเก่ง, ทำให้ผมยิ้มโดยไร้สาเหตุ
     
     นึกแปลกใจนิดหน่อยที่คุณเป็นแบบนี้ พูดคุยกันอย่างอัธยศัยดีเหมือนเดิม เหมือนกับว่าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเราจบกันไปแล้ว แถมยังเป็นการจบกันแบบที่ผมทำตามสัญญาไม่ได้ว่าถ้าวันไหนเลิกกัน เราจะเป็นเพื่อนกันต่อ
     
     ตอนนั้นผมแค่คิดว่าถ้าผมเห็นอีกฝ่ายผมต้องตายแน่ๆ ต้องไม่มีสมาธิทำอะไร ต้องแบกร่างไปทำธีสิสไม่ได้ สุดท้ายถึงเลือกแบบนั้น
     
     k.
     เงียบเลยเหรอออ
     
     ผมชะงัก พิมพ์ตอบกลับไปในทันทีแม้ว่านั่นจะเป็นคำโกหก

napat
ขอไปล้างจานแป๊บหนึ่งได้ไหมล่ะ
     
     k.
     ดีใจจังที่เธอล้างจานเป็นแล้ว 55555
     กินข้าวแล้วเหรอ

     
napat
ครับ เธอกินยัง
     
     k.
     ยังๆ รอน้องในวอร์ดซื้อมาให้อยู่

     
napat
เคเอฟซีจัดไป
     
     k.
     ก็เยินตายดิ 555555 ไม่เอาแหละ
     เธอๆ
     น้องเอามาให้แล้ว เราไปกินข้าวก่อนนะ
     อย่าลืมล้างจานนน

     
napat
โอเคครับ ไปล้างแล้ว
     
     ผมวางโทรศัพท์มือถือ เผลอวาดยิ้มอยู่ชั่วครู่ยามคิดถึงคุณหมอและเรื่องที่อีกฝ่ายเคยบ่นว่าเคเอฟซีเป็นอาหารที่เอามากินที่โรงพยาบาลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นวันนั้นจะมีแต่เคสน่าปวดหัวทั้งวัน
     
     เดินเอาถุงพลาสติกที่มีเศษอาหารไปทิ้งแต่ก็ไม่ได้ล้างจานจริงตามที่บอกกับอีกคน สาบานว่าถ้าอยู่ด้วยกัน คุณคงได้ด่าผมฉอดๆ แล้วก็ยืนบอกผมว่าเทใส่จานดีๆ แล้วล้างจานดีๆ ด้วย อะไรแบบนั้นเหมือนที่เคยทำตอนที่ผมไปนอนหออีกฝ่าย หรืออีกฝ่ายมานอนหอผม

     แต่ก็นั่นแหละ, ไม่นานผมก็ได้สติว่ามันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว

     น่าแปลกใจเหมือนกัน คุณเป็นแฟนเก่าที่ทำให้ผมคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ของอีกฝ่าย ภาพในหัวของผม คุณเป็น
แบบนั้นเสมอ

     มีคำถามโง่ๆ ปรากฎขึ้นมาว่า ทำไมเราถึงเลิกกันนะ

     ตอนนั้นเราแค่เหนื่อยหรือเปล่า

     เราไม่ได้เลิกกันแบบสาเหตุในหนังในละคร ไม่ใช่สักนิด ไม่ได้มีมือที่สาม ไม่ได้มีเรื่องเข้าใจผิด ไม่ใช่กระทั่งเรื่องครอบครัวที่กดดัน เราแค่เลิกกันเพราะ— คิดถึงแต่ตัวเองมากไปหน่อย จะบอกแบบนั้นก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว หลังจากที่คุณย้ายไปเรียนอีกวิทยาเขตตั้งแต่ขึ้นปี 2 ช่วงนั้นเรายังพอจะมีเวลาว่างให้กันบ้าง ไทม์ไลน์ชีวิตยังใกล้ๆ กัน ก่อนที่จะถูกฉีกกระชากช่วงที่เราอยู่ปี 4 ผมกำลังหัวหมุนกับธีสิส ส่วนคุณกำลังเริ่มขึ้นวอร์ด เราแค่หาเวลาเจอกันแทบไม่ได้ คุยกันแทบไม่ได้ ผมอยู่ทำงานจนตีสาม ในขณะที่ตีห้าคุณต้องตื่นไปเตรียมขึ้นวอร์ด

     เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งๆ ที่ระหว่างเราทะเลาะกัน ผมต้องขอปลีกตัวไปออกกอง ส่วนคุณปลีกตัวไปเขียนรีพอร์ต ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเราคิดว่า— เมื่อไหร่แบบนี้มันจะจบสักที

     จำไม่ได้เหมือนกันว่าเรื่องที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเราคืออะไร ผมช่วยงานกองจนไม่ตอบไลน์ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่คุณไม่ยอมกินข้าวเที่ยงบ่อยจนอาการโรคกระเพาะกำเริบ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่งี่เง่ากว่านั้นก็ได้

     เราแค่พูดออกมาว่าเราเหนื่อย – เหนื่อยแล้วนะ ไม่เอาแล้วได้ไหม – ผมหรือคุณกันแน่ที่พูดคำนั้นออกมาก่อน

     แล้วมันก็ตามด้วยคำตอบรับจากอีกคนว่า – เค้าก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน

     เรื่องของเราเป็นแบบนั้นเสมอมา

     เกิดขึ้นแบบง่ายๆ จบลงแบบง่ายๆ

     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองข้อเท้าที่เริ่มจะเจ็บน้อยลง ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ถ้าประคบสม่ำเสมอ อีกสองวันคงจะกลับไปขับมอเตอร์ไซค์ได้เหมือนเดิม ส่วนแผลที่เพิ่งไปล้างมา เดี๋ยวอีกสอง – สามวันไปล้างอีกสักที หลังจากนั้นผมคงจะจัดการเองได้

     แต่พูดตามตรงนะ,

     ถ้ามีคุณมาล้างแผลให้กันเหมือนเมื่อก่อนคงดี





     วันเสาร์ – อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนกับโกหก ผมที่รับฝิ่นงานจากรุ่นพี่ที่คณะแทบไม่ได้นอน สีหน้าอิดโรยเสียจนพี่ข้าวเอ่ยปากทักทายว่าทำไมผมถึงทำตัวราวกับไม่ได้หยุดอย่างไรอย่างนั้น

     “น้องณะ แล้วเดี๋ยววีคนี้ไปอุบลฯ กับพี่ได้ไหมเนี่ย”

     “โหย ได้พี่ สบายมาก” ผมโบกมือไปมา

     “ดีมาก ถ้าไม่ได้พี่จะหักเงินเดือน”

     “พี่ข้าววว แค่นี้ก็ไม่มีเงินใช้แล้วครับบบ”

     หล่อนหัวเราะ ยิ้มกว้างให้กันก่อนที่จะตบบ่าเป็นเชิงว่าไปทำงานต่อเสียที

     ผมหย่อนกายนั่งในตำแหน่งประจำ เหลือตัดต่อคลิปวีดีโอทริปญี่ปุ่นที่ไปมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนอีกพาร์ท ระหว่างนั้นก็มีคลิปชวนเที่ยว ชวนหาของกินในกรุงเทพฯ ลงแทรกเป็นระยะๆ ไม่ให้น่าเบื่อเพราะทริปญี่ปุ่นมีความยาวมากกว่าปกติ

     k.
     ทำงานอยู่ซอยหกใช่เปล่า

     ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เสียงไลน์ใน PC ก็เด้งขึ้นมา ดังพอที่จะทำให้ไอ้โย่งซึ่งนั่งตรงข้ามกันเงยหน้าขึ้น ไอ้เราบางทีก็ลืมจะล็อกเอาท์จากไลน์ด้วยซ้ำเพราะปกติแทบจะเป็นคนเดียวที่ใช้เครื่องนี้

     ผมคว้าหูฟังมาเสียบไว้ แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพิมพ์ตอบกลับอีกคนไป

     
napat
ครับ ทำไมเหรอ

     k.
     วันนี้เลิกเวรเที่ยงอ่ะ
     ไปกินข้าวด้วยกันไหม

     ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ชะโงกหน้าแบบแนบเนียนไปดูเพื่อนตัวเองที่นั่งตรงข้าม กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปอีกฝ่ายก็พิมพ์เสริมมาก่อน

     [k.
     อย่าลืมชวนโย่งมาด้วยนะ อยากเจอ 55555555

     ไอ้โย่ง— ไอ้หน้าหมา

     เหมือนรู้ว่ามีการด่าในใจ เพื่อนสนิทถึงกับจามออกมาในเสี้ยววินาที ชีวิตเหมือนกับซิตคอมมากไปหน่อย มันขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าผมกำลังจ้องอยู่ ก่อนที่จะขยับปากอย่างไรเสียงว่ามองอะไรของมึง

     ผมไม่คิดจะยุ่ง ปล่อยเบลอมันไปแล้วพิมพ์ไลน์ตอบหาอีกคน

     
napat
เธอไปชวนมันดิ

     k.
     เอ้า เฉยเลย ทำงานกับเขาก็ชวนหน่อยสิ
     ไปหาไรกินกัน แถวนี้ๆ
     ไม่ได้เจอนานเลย ว่าจะนัดเจอโย่งตั้งนานแล้ว

napat
แล้วเค้าอ่ะ

     “แล้วเค้า— เชี่ย มึงคุยกับใครเนี่ย” ผมสะดุ้ง รีบปิดหน้าจอไลน์แทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของพี่เอก ก่อนที่จะตามมาด้วยการแหกปาก “กูเห็นนะ”

     “พี่เอกมึง”

     “เจ้านายๆ น้อยๆ หน่อย”

     “ก็พี่แม่งมาไม่ให้สุ่มให้เสียงอ่ะ”

     “มึงคุยกับสาวแน่นอน ทำมาเค้า เบาหน่อยพ่อหนุ่ม” ยังจะมาบีบเสียงเล็กเสียงน้อยอีก! “เวลางานจ้า อย่าเพิ่งคุยไลน์จ้า”

     “สาวอะไรเล่า” ผมเถียง และนั่นไม่ใช่คำโกหก

     แต่ดูเหมือนจะทำให้ไอ้โย่งที่ตั้งท่ารอเสือกจะมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “มันคุยกับใครวะพี่”

     “ตัวเคๆๆ”

     “พี่เอก! ไม่ต้องพูดเลย!”

     “ตัวเค?” ไอ้โย่งขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มแบบมาดร้าย “เอ๋ กูว่ามึงมีตัวเคอยู่คนเดียวน้า ยังไงน้า”

     “ห่าโย่ง เงียบไปไป๊”

     “รีเทิร์นไหมน้า”

     “ไอ้ห่า เงียบ!”

     ไอ้โย่งหัวเราะเสียงดังในขณะที่พี่เอกแสดงสีหน้าสนอกสนใจ รวมไปถึงเจ้ปันกับพี่ข้าวที่เริ่มจะได้ยินเสียงโวยวายของผมที่ด่าเพื่อนกับเจ้านายไปเรียบร้อยก็ดูหูพึ่งไม่แพ้กัน

     ตึ๊ง!

     k.
     น้อยใจเก่งจัง 5555555
     เธอก็อยากเจอเหมือนกัน

     “อยากเจอเหมือนกันด้วยว่ะ”

     “ไอ้ห่า พี่เอกกกก!” ผมโวยวายเสียงดังเมื่ออีกฝ่ายอ่านข้อความที่เด้งแจ้งเตือนขึ้นมาบนหน้าจอ PC

     พี่มันหัวเราะ เอาซองเอกสารสีน้ำตาลฟาดหัวผมไม่แรงไม่เบาก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง ในขณะที่ไอ้โย่งชี้หน้าผมเหมือนจะบอกว่าผมต้องเตรียมคำตอบให้มันดีๆ ไม่อยากคิดเลยว่าตอนเที่ยงจะชักจูงมันออกไปเจอกับคุณได้ยังไง

     สนใจกันจังนะเรื่องกูกับเมียเก่ากูเนี่ย ไอ้เวรเอ๊ย!




-------------------------

ดีใจที่ทุกคนชอบกันนะคะ <3

ปล. ขอโทษที่แยกสีตัวอักษรในแชตสำหรับ TBL ไม่ได้ ทำแล้วรวนไปหมดเลย  :hao5:

เจอกันในแท๊กค่า  :katai2-1:
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
น่าร้ากกกกกกกก​ ถ้าจะรีเทิร์นต้องปรับกันใหม่น้า

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่าร้ากกกกกกกกกก  :-[

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เขินเลย น่าจะเดาพระนายผิด ฮา

ลุ้นไปกับความสัมพันธ์ค่ะ อยากให้ถึงตอนหวานๆกันเร็วๆเน้อ ฮ่าๆ
เชื่อคนเขียนนะคะว่าว่าไม่มาม่า  ฮืออ

ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรียกเค้าตัวเองกันซะน่ารักเลย เหมือนยังเป็นแฟนกันอยู่ อ่านแล้วดูนุ่มนิ่มอะ  :-[

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
น่ารักมากเลยย เหมือนยังเป็นแฟนกันอยู่เลย

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 03 ————



     ผมทำอะไรไม่ถูก ยอมรับเลย

     “มึงล่ก” นั่นเป็นคำที่เพื่อนสนิทบอกกัน

     “กูเปล่า”

     โย่งหัวเราะ “มึงล่ก ล่กแบบสุดๆ” ย้ำคำเดิมซ้ำอีกครั้ง

     มันดูจะมีความสุขมากกว่าผมด้วยซ้ำตอนผมเดินไปถามว่าไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหม มีคนฝากชวนมึง แวบแรกซักผมราวกับมันจะลาออกไปทำร้านซักรีด แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมันก็แค่นั้น ผมไม่ตอบสักอย่างมันจะทำอะไรได้

     นั่งก่นด่าตัวเองในใจว่ากำลังจะทำจริงๆ หรือวะ ผมกำลังจะนั่งกินข้าวกับแฟนเก่าพร้อมด้วยเพื่อนตัวเองที่รับรู้เรื่องตั้งแต่ผมหลงรักแฟนคนนั้นยันเรื่องที่ผมเป็นหมาบ้าตอนเลิกกัน – ให้ตายเถอะณะ มึงคิดอะไรอยู่

     ร้านอาหารในศูนย์การค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของพวกเราเป็นตำแหน่งที่ตอบโจทย์ได้ดี คุณบอกว่าไม่มีนัดต่อ แค่นึกขึ้นได้ว่าอยากจะเจอโย่งและผมสักครั้ง ส่วนผมกับโย่งก็แจ้งไว้แล้วว่าวันนี้อาจจะกลับไปเข้าออฟฟิศช้า ด้วยความที่บรรยากาศเป็นกันเองพี่ๆ เลยไม่ได้ว่ากล่าวอะไร

     “เป๋มาหาคุณเลย”

     “เลิกเป๋แล้ว” ผมเถียง ตอนนี้ผมกลับมาเดินได้ปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องพันข้อเท้ามาเหมือนอาทิตย์ก่อน แผลที่แขนเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดอะไรแล้ว หากแต่แผลที่หัวเข่ายังไม่ทันตกสะเก็ดดี เพิ่งเริ่มตึงๆ หน่อยเท่านั้น

     “คุณรออยู่ที่ร้านแล้วใช่ปะ”

     “อาฮะ”

     “มึงลุกลี้ลุกลนอ่ะ”

     “เชี่ย กูเปล่า”

     โกหกคำโต มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าผมเป็นแบบที่มันว่า แต่อย่างไรก็ตาม, ผมก็ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่

     ร้านอาหารญี่ปุ่นที่พอจะมีชื่อเป็นที่หมายของเรา ผมกับไอ้โย่งเดินมา ไม่ทันที่จะเข้าร้านก็เห็นว่าคุณกำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่บริเวณริมหน้าต่าง ไม่ได้รับรู้สักนิดว่าเราจะมา

     เสื้อเชิ้ตสีอ่อน, ใบหน้าที่ดูไม่ได้แตกต่างจากวัยมหาวิทยาลัย, สีผมดำขลับที่ไม่เคยผ่านการทำสีผมใดๆ

     ให้ตายเถอะ คุณเหมือนเดิมขนาดนี้ได้อย่างไร

     “เพื่อนมาแล้วครับ” ไอ้โย่งเอ่ยปากกับพนักงานสาวที่เดินมาทักทายเราแบบนั้น ในขณะที่ผมไม่ได้ละสายตาไปจากอีกคนเลยแม้แต่น้อย

     มันเอาแขนกระทุ้งผมเบาๆ ยักคิ้วราวกับจะเอ่ยแซว และเป็นคนเดินไปเอ่ยทักทายเพื่อนเก่าเสียก่อน

     “โย่งงงง” คุณร้องเรียกชื่อเพื่อนผมทันทีที่โดนทักทาย ยิ้มจนตาหยี

     เจอแล้วว่ามีอะไรแตกต่างไป, เดี๋ยวนิ้วเวลายิ้มแล้วรอยย่นที่ตาของคุณชัดกว่าแต่ก่อน เป็นตำแหน่งที่ผมเคยใช้เย้าแหย่อีกฝ่ายบ่อยๆ ว่าหน้าแก่ แต่ตอนนี้ผมคงหน้าแก่นำไปหลายขุมแล้ว

     “คิดถึงคุณหมอจังเว้ย” โย่งโอบกอด ตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

     ผมยืนนิ่งเมื่อทั้งสองผละออกจากกัน คุณก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน แค่เสี้ยววินาทีที่เราสบตาทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเลื่อนตัวเข้าไปนั่งตำแหน่งตรงข้ามกับคุณเสียก่อน ไอ้ครั้นจะกอดกันข้ามโต๊ะก็คงแปลกๆ ทุกอย่างเลยเป็นเหมือนกับปกติ

      “ว่าจะนัดนานแล้ว วันนี้นึกขึ้นได้เลยนัดซะเลย”

     “ก็ใช่ดิ ไอ้เราก็นั่งคอมเม้นเฟซบุ๊กคุณหมออยู่ตั้งนาน” ผู้ชายห่ามๆ อย่างมันก็ยังต้องยอมพูดสุภาพกับคุณ “แล้วเป็นยังไงบ้าง ย้ายมาจากใต้ใช่เปล่า ก่อนหน้านี้อยู่ที่ไหนนะ”

     “ไปใช้ทุนที่นครศรีธรรมราช”

     “ก็ดีนี่นา”

     “ใช่” คุณวาดยิ้ม “ไม่ได้แย่เลย โชคดีด้วยแหละอยู่ในเมือง แต่พอมีพายุอะไรเข้าก็เหนื่อยหน่อย”

     ผมฟังเพื่อนตัวเองคุยกับคุณเรื่อยเปื่อย บทสนทนาหยุดชะงักเมื่อพนักงานเข้ามารับออเดอร์ ผมเมนูที่ตัวเองอยากทานในขณะที่ในหัวคิดว่าเมนูที่คุณจะสั่งคืออะไรในเมื่อผมรู้ดีว่าอีกคนไม่นิยมชมชอบปลาดิบเท่าไหร่นัก ใช่ว่ากินไม่ได้แต่เลือกได้ก็ไม่กิน

     “ผมเอาแซลมอนดงบุริครับ”

     “เบิร์นไฟไหมคะ”

     “แค่ครึ่งเดียวพอครับ”

     แล้วก็ต้องยอมรับว่าผิดหวังนิดหน่อยที่ผลออกมาเป็นแบบนั้น – ที่เดาในใจไม่ได้ตรงใจอีกฝ่ายเสียทีเดียว

     “คุณยังติดต่อกับพวกไอ้ม่านอยู่ไหม”

     “ติดต่อดิ วันหลังนัดเจอมันบ้างก็ได้นะ มันก็อยู่กรุงเทพฯ”

     “เออว่ะ แต่ไอ้เกมกลับลำปางไปแล้ว รอไปงานแต่งมันทีเดียวเลยท่าจะดี”

     “จะแต่งแล้วเหรอ”

     “คุยกันเมื่อเดือนก่อนก็หาฤกษ์แล้วนะ”

     บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเพื่อนคนอื่นๆ สมัยพวกเราอยู่ปีหนึ่ง ผม โย่งและคุณอยู่หอใน นอกจากนี้ยังมีเมทของผมที่เรียนประมงฯ และเมทของคุณที่เรียนเทคนิคการแพทย์ฯ ที่มักจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ พึ่งพากันมาเยอะ เคาะประตูยืมตั้งแต่สบู่ แชมพูยันไบก้อน เตือนกันเรื่องผ้าที่ตากไว้ในวันฝนตก บางทีก็ตั้งวงเหล้ากันในห้องบ่อยๆ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้เลยแม้แต่น้อย

     ในหมู่ที่เอ่ยๆ ชื่อมานี้ คุณเป็นคนที่ห่างไกลมากที่สุดเพราะตอนปีสองย้ายไปอีกวิทยาเขต จะมาหาผมสักทีก็มักจะคลุกคลีกับผมเท่านั้น เห็นหน้าบ่อยหน่อยก็คงจะเป็นโย่งที่เรียนคณะเดียวกับผม ช่วงอ่านสอบหรือทำงาน
อะไร ไอ้โย่งปรากฎในทุกช่วงชีวิต คุณกับมันเลยยังสนิทกันไม่เสื่อมคลาย

     “แล้วเธออ่ะ เป็นไงมั่ง”

     สรรพนามที่คุ้นชินถูกเรียกออกมา ผมเห็นเพื่อนตัวเองยกมือเท้าแขน ยกยิ้มเหมือนจะล้อเลียนแต่ผมไม่เปิดโอกาส

     “ก็ปกติดี ไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอก” ผมตอบกลางๆ “ใช้ชีวิตไม่ต่างจากไอ้โย่งเท่าไหร่”

     “ทำให้เพจไหนนะ”

     “เที่ยว Tape”

     “เฮ้ย ดังนะนั่น เราก็ตามอยู่”

     ผมนั่งฟังคุณชวนเราคุยไปเรื่อยเปื่อย ถ้าแบบนั้นก็ได้เที่ยวบ่อยใช่ไหมหรือไม่ก็เอาไว้เราจะลองไปเที่ยวตามรอยดูนะ ถ้อยคำต่างๆ ที่หลุดออกมาจากอีกคนฟังรื่นหู รอยยิ้มนั้นก็ดูจริงใจ เสียงหัวเราะผะแผ่วตอนที่ไอ้โย่งเล่นมุกตลกพร้อมกับคำด่าที่ฟังยังดูนิ่มนวลตามนิสัยของอีกคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก

     ไอ้โย่งที่นั่งเล่าประสบการณ์การโดนหญิงเทเพราะเป็นฟรีแลนซ์ด้วยความสนุกสนาน เหมือนตอนที่มันเศร้าในช่วงสองสามปีไม่ใช่เรื่องจริง

     “ไอ้เรามันก็เด็กฟิล์มขายขำไปวันๆ ใครมันจะไปชอบ”

     “โย่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ขายขำแล้ว”

     “ทุกวันนี้พี่ๆ ยังชอบด่าเราว่าเราทำตัวกากกรังอยู่เลย”

     “กรังก็ส่วนกรังสิ อันนั้นเพราะสกปรกหรือเปล่า ไม่ใช่ขายขำสักหน่อย” คุณหัวเราะ “แต่เราก็อยากฟรีแลนซ์บ้างนะ ถึงมันจะเหนื่อยก็เถอะ”

     “ไม่ดีหรอก” ผมเอ่ยแทรก ก่อนหน้านี้พวกผมก็ฟรีแลนซ์กันมาทั้งนั้น แต่พอทำงานฟรีแลนซ์ไปสักสองสามปีมันก็เริ่มเหนื่อย อยากทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งบ้างถึงเบนมาอยู่ในสายนี้ “เป็นคุณหมอไปน่ะดีแล้ว แล้วคุณไม่เรียนต่อเหรอ”

     “อาจจะเรียนต่อนะ กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ใช่ปีนี้”

     “—อ๋อ” ผมครางรับในลำคอ แล้วก็เงียบ

     อีกคนมองผมก่อนจะเอ่ยคำที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา “จริงๆ ณะก็เลิกขายขำแล้วเหมือนกันนะเนี่ย”

     “ไม่เคยขายขำสักหน่อย” ผมเถียง “มันเป็นคาแรกเตอร์เฉยๆ”

     คุณแกล้งทำหน้าไม่เชื่อ “จริงเหรอ”

     “คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ”

     คนที่นั่งตรงข้ามกันระบายยิ้ม หัวเราะก่อนจะเอ่ยผะแผ่วว่าแซวเล่น เอื้อมมือมาตีท่อนแขนผมที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนที่จะหันไปสนใจไอ้โย่งใหม่

     ผมมองรอยยิ้มนั่น ตั้งคำถามในใจว่าอะไรถึงเลือกปล่อยมันไปในตอนนั้น

     และตั้งคำถามใหม่,

     ว่าจนกระทั่งตอนนี้ มันยังเป็นรอยยิ้มที่น่ามองที่สุดอยู่หรือเปล่า



     
     “อันนี้คืออะไรเนี่ย”

     คณณัฐ์ร้องเสียงหลงเมื่อบังเอิญลงมาเจอผมในสภาพไม่จืด สภาพไม่จืดในที่นี้หมายถึงหน้าและตัวสีฟ้า กางเกงสีขาว ตอนนี้หนาวเป็นบ้า ว่าที่คุณหมอถึงกับหัวเราะพรืด วางตะกร้าผ้าที่อยู่ในมือแทบไม่ทัน

     “กิจกรรมคณะ” ผมตอบไปตามจริง “ตีหนึ่งแล้ว ทำไมเพิ่งซักผ้า”

     “เราเผลอหลับอ่ะ แต่นึกได้ว่าต้องซักผ้า พรุ่งนี้ไม่มีเสื้อใส่แล้ว”

     “ใส่ซ้ำดิ”

     “ทำไมเธอซกมกจัง”

     “เปล่าเสียหน่อย”
ผมเถียง “หรือคุณไม่เคยใส่ซ้ำเลย”

     “ก็เคย แต่ไม่เคยเกินสองวัน” คุณหมอชูนิ้วขึ้นมา เหมือนได้สติเลยเดินออกไปที่หน้าหอ ค่อยๆ หย่อนผ้าทีละตัวลงเครื่องซักผ้า “มันจะแห้งทันไหมเนี่ย” เหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับผม

     “เดี๋ยวให้ยืมเอาเปล่า”

     อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจ คนหล่อเหลาขมวดคิ้วมุ่น “เสื้อเนี่ยนะ”

     “เออ เสื้อเนี่ยแหละ”

     “เธอให้คนอื่นยืมเสื้อบ่อยเหรอ ของส่วนตัว”

     “เปล่า” บ้าหรือเปล่า เสื้อนักศึกษานะ

     อยากจะว่ากลับไปแบบนั้นแต่ก็ทำไม่ได้ คุณเป็นคนที่ทำให้ผมต้องงับปากพูดสุภาพด้วยเสมอ สมมุตินั่งด่าเพื่อนคนหนึ่งว่าไอ้สัด หันกลับมาหาคุณก็คือเงียบกริบ ด่าอะไรแบบนั้นไม่ได้ ขนาดสรรพนามยังพูดกูมึงกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย – ไม่ใช่ว่าคุณห้ามหรอกนะ – แต่การที่เราพูดกูมึงใส่คนที่พูดกับเราแค่คำว่าเธอมันก็แปลกๆ ใช่ไหมล่ะ ต่อให้สนิทกันก็เถอะ

     “งั้นไม่เป็นไรหรอก คงแห้งทันแหละ”

     “ก็แล้วแต่” ผมไม่คิดเถียง “แล้วเดี๋ยวลงมาเอาเหรอ ตีสองแน่”

     “นั่นสิ กลัวเผลอหลับอีกอ่ะ”

     “เดี๋ยวโทรปลุก” คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “เราอาบน้ำอะไรเสร็จแม่งก็คงตีสองแล้ว กว่าจะล้างออก”

     “งั้นหรือ” อีกฝ่ายทำท่าจะหัวเราะขณะที่เทผงซักฟอกลงไปและปิดฝาเครื่องซักผ้า “เป็นคุณอวาตาร์ที่ใจดีจังนะ”

     ว่ากันตามจริง, ผู้ชายหน้าตาดีที่ส่วนสูงเท่ากันมาเรียกผมด้วยคำพูดแบบนี้ไม่น่าจะดูน่ารักได้ยังไง แต่คุณกลับทำให้ผมสบถในใจว่าน่ารักฉิบหายเป็นล้านครั้งในเสี้ยววินาที

     “ไม่ใช่อวาตาร์นะ สเมิร์ฟต่างหาก”

     สิ้นคำเถียงของผมคุณก็เป็นฝ่ายโวยวายว่าตัวสูงขนาดนี้แต่งเป็นสเมิร์ฟทำไม เหมือนจะกลบเกลื่อนความอายที่ทักทายเป็นหนังผิดเรื่องเสียอย่างนั้น




     
     “เดี๋ยวนี้คุยกับแฟนเก่าบ่อยจังนะ”

     “หน้าหมา”

     “ขอบใจนะมึง กูรู้ว่าสาวๆ มักจะชอบหมา”

     ผมอ่อนล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้ว เถียงไปสิบชาติก็ไม่มีวันชนะไอ้โย่ง เอาจริงๆ ก็คือขนาดสาวปากจัดยังเหนื่อยจะคุยกับมันเลย เห็นเจ้ปันเป็นตัวอย่างกันแล้วนี่

     “ยังคุยกันอีกเหรอวะ ถามจริง”

     “ไม่ได้คุย” ขนาดนั้น ผมต่อในใจ “ก็แค่— ตอบไปมา”

     “ไอ้ณะ นั่นคือการคุย”

     “เออๆ” ผมปัดมือไปมา หมดแรงที่จะเถียงด้วย “แล้วแต่มึงเถอะ”

     ผมเก็บข้าวของต่างๆ นานาขณะที่รอโปรแกรมแรนเดอร์ สำรวจกล้องที่พกมาด้วยในวันนี้พร้อมกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบเพราะตอนเย็นเราจะเดินทางไปอุบลราชธานีกันในวันนี้ ถึงจะเป็นคอนเทนท์ไปเที่ยว แต่ลึกๆ แล้วเราก็รู้นั่นแหละว่าเป็นการไปเที่ยวกันทั้งออฟฟิศ เพราะวันนี้มีคนไปครบเลย ตั้งแต่ผม, ไอ้โย่ง, เจ้ปัน ขาดไม่ได้ก็คู่รักที่ร่วมสร้างเพจนี้มาตั้งแต่เป็นแค่เพจในเฟซบุ๊กจนทุกวันนี้ลงแชแนลในยูทูปเป็นเรื่องเป็นราว พ่วงด้วยน้องสาวของพี่ข้าวมาอีกคนอีกต่างหาก

     ปึง!

     ขณะที่จะแบกร่างตัวเองไปห้องน้ำผมก็สะดุ้งอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ประตูถูกเปิดขึ้นอย่างแรงผิดปกติ พี่ข้าวที่ปกติต้องสีหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่แสดงความหงุดหงิดใจแบบปิดไม่มิด ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของเจ้าตัวแทบไม่ทัน

     ผมทำหน้างุนงง เหลือบมองคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็สภาพเดียวกัน ก่อนที่จะเดินออกมาที่ห้องน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้

     ทำธุระเสร็จ ขณะที่จะเดินกลับออฟฟิศตัวเองก็เหลือบไปเห็นเจ้านายตัวเองกำลังพ่นควันบุหรี่ออกมาในโซนใกล้ๆ นั้น พอจะจับอาการได้ลางๆ แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกไปกลับโดนพี่เอกร้องเรียกเสียก่อน

     “ว่าไงมึง โดดงานเหรอ”

     “เฮ้ย เปล่าสักหน่อยพี่” ผมแก้ตัวเป็นพัลวัน

     คนอายุมากกว่าหัวเราะ มันชูซองบุหรี่ราวกับจะถามแต่ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “สมัยก่อนมึงสูบนี่”

     “พอโตขึ้นแล้วก็อยากเลี่ยงๆ ว่ะ” ผมตอบตามจริง “ขอดูดเฉพาะตอนที่กินเหล้าอะไรพอ ไม่ไหวแล้วเดี๋ยวนี้”

     “ก็ดี” พี่มันว่าแบบนั้น พ่นควันให้ลอยฟุ้งในอากาศ จางหายไปในระยะเวลาไม่นาน “ข้าวกลับเข้าไปแล้วใช่เปล่า”

     “ใช่”

     “ตึงอ่ะดิ”

     “เออดิ ทะเลาะกันหนักเหรอพี่”

     “ช่วงนั้นของเดือนมั้ง เลยเหวี่ยงไปซะหมด” ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่จริงจังอะไรมาก “แต่ก็ทะเลาะกันด้วย กูแม่ง— บางทีก็ไม่เข้าใจผู้หญิงว่ะ”

     “ทำไมอ่ะ”

     “แฟนเก่า”

     คำพูดที่หลุดออกมาคำแรกทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย ช่วงนี้อ่อนไหวกับคำนี้เป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร – เออ จริงๆ ก็รู้แหละ – แกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่

     “ข้าวไม่อยากให้ชวนแฟนเก่ามางานแต่งว่ะ แต่สำหรับกู, ไม่รู้ดิ ก็ยังคุยกันได้หรือเปล่า”

     “กรรม” ผมเกาหัวแกรก “ยากจัง”

     “เทแม่งเลยดีไหม”

     “เทแฟนเก่า?”

     “เทงานแต่ง” เจ้านายระเบิดหัวเราะ “ไอ้เหี้ย อย่าเล่นให้มันได้ยินวันนี้ โกรธตายชัก – เล่นวันอื่นไม่โกรธแต่วันนี้กูโดนฟาดแน่”

     ผมเองก็หัวเราะไปด้วย “ค่อยๆ คุยดีกว่าพี่ ถ้าพี่ข้าวไม่เข้าใจยังไงก็เลี่ยงดีกว่า เดี๋ยวตึงกันเปล่าๆ”

     “รอมันเย็นๆ ก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกรอบ ขืนตึงทั้งทริปกูตาย”

     ผมหัวเราะแม้ในใจก็แอบเห็นด้วย คงจะกร่อยน่าดู

     พี่เอกขยี้บุหรี่ลงกับกระถางที่ถูกวางไว้ใกล้ๆ “แค่แฟนเก่ามันจะทำอะไรได้วะ เจอหน้าก็ไม่คิดอะไรหรอก” มันบ่นงึมงำ คงจะเซ็งไม่น้อยเช่นกัน

     ในขณะที่ผมนิ่งไปกับถ้อยคำนั้นเหมือนกัน

     เออ, เป็นแค่แฟนเก่ามันจะทำอะไรได้วะ

     ผมสูดลมหายใจลึกยามที่ตระหนักได้ถึงความหวั่นไหวในใจ เป็นความสงสัยนิดหน่อยว่าหรือจริงๆ แล้ว สาเหตุที่คุณยังคุยกับผมได้เป็นปกติราวกับเราไม่เคยจบกันลงไปเป็นเพราะแบบนี้ – เจอหน้าก็ไม่คิดอะไรหรอก

     ขืนได้ยินคณณัฐ์มาพูดแบบนี้ใส่ ผมคงทำหน้าไม่ถูกแหงๆ




-------------------------

อาจจะช้าไปหน่อย แต่สุขสันต์ปีใหม่นะคะ
ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขมากๆ
ปีนี้หวังว่าจะเขียนเรื่องนี้จบ และก็มีโอกาสเขียนเรื่องอื่นนะคะ

(ตั้งเป้าว่าปีนี้จะช้าไปไหมนะ 55555555
แต่ยังไงก็ยังเรียนไม่จบเลยต้องแบ่งเวลา จะสู้ค่ะ!)

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
คุณยังน่ารักเหมือนเดิมเสมอเลย

สู้ๆนะคะจบปีไหนเราก็จะรออ่านค่ะ :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
สนุกมากกกก

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เอาว่ะะะะะ

ร้องเพลงถ่มนไฟเก่ามันร้อน รอวันรื้อฟื้นแปปค่ะ  :hao6:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 04 ————



     “พี่ณะๆ”

     “ว่าไงขิม”

     “พี่ณะถ่ายรูปให้น้องได้เปล่า”

     “ได้ครับ”

     น้องขิมยิ้มหวานเอ่ยปากขอบคุณก่อนที่จะเดินไปที่ปลายก้อนหินให้ผมเล็งรูปภาพสวยๆ เปลี่ยนท่าไปมาก่อนจะเริ่มโวยวายว่าไม่รู้จะทำท่าอะไรแล้วจนผมหัวเราะด้วยความเอ็นดู

     “มาดูรูปก่อนเปล่า”

     “ดูๆๆ ดูค่ะ”

     เด็กวัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัยวิ่งกลับมาชะโงกหน้าดูรูปในกล้องที่ยังถูกห้อยคอผมไว้ เป็นระยะที่ใกล้เสียจนได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ จากเจ้าหล่อน – ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรกับเขาหรอก แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วผงะไปนิดหน่อยถึงได้รับรู้ว่ามันคงจะเป็นการไม่ระวังเกินไป

     “ขอโทษค่ะพี่ณะ” ขิมว่าหัวเราะแบบที่ดู— กระอักกระอ่วน? ผมพยายามจะคิดให้มันเป็นคำนั้น หากแต่เท่าที่มองแล้ว ใช้คำว่าเขินน่าจะเหมาะกว่า “พี่ถ่ายรูปสวยจัง”

     “เอ้า พี่ทำงานด้านนี้ ถ่ายไม่สวยแล้วจะให้ทำมาหากินยังไง”

     “มันก็ไม่มีถ่อมตัวเลยเนอะ”

     “ให้พี่อวดหน่อยเหอะ” ผมส่ายหน้า “มีเรื่องดีๆ ให้อวดอยู่นิดเดียว”

     “จริง—”

     “อะแฮ่ม!”

     ผมสะดุ้งอย่างตกใจเมื่อเสียงกระแอมไอที่ดังกว่าปกติดังมาจากอีกฝั่ง พี่เอกเป็นต้นกำเนิดเสียงนั้น ปรายตามองผมและมองน้องสาวแฟนตัวเองก่อนที่จะชี้นิ้วไปที่ด้านหลัง

     “ณะไปถ่ายให้ข้าวดิ มันบ่นว่าพี่ถ่ายไม่สวยว่ะ”

     “ได้พี่” ผมพยักหน้า “ไอ้โย่งมันไปไหนอ่ะ”

     “ถ่ายคลิปอยู่ไง”

     “—อ๋อ” ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ วิ่งไปหาเจ้านายอีกคนของตัวเองแทบไม่ทันเพราะเห็นว่าพี่เอกกำลังมองผมตาเขียวปั๊ดอยู่

     แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของผมใช่ไหมล่ะ




     “ฉันว่าน้องขิมชอบแกว่ะณะ”

     นั่นเป็นการเปิดประเด็นที่ค่อนข้างจะร้ายแรงของเจ้ปันขณะที่เราอยู่กันในเซเว่น กำลังจะซื้อข้าวของไปสำหรับปาร์ตี้คืนสุดท้ายก่อนที่พรุ่งนี้จะกลับกรุงเทพฯ

     “คิดมาก” ผมตอบปัด

     “ไม่เว้ย” แต่หล่อนไม่ยอมจบ “มึงเชื่อเซ้นส์ผู้หญิงที”

     “โอ๊ย อิเจ้”

     “คำพูดแกสาวแตกมาก ฉันเครียด” ผมหัวเราะกับการยกมือสองข้างขึ้นมากุมศีรษะของเจ้มัน หันไปสนใจกับเนื้อหมูสันคอในโซนอาหารสดแทนคำพูดของสาวใหญ่อย่างเจ้ปัน “น้องก็น่ารักนะเว้ย กรุบๆ กริบๆ”

     “ยังไม่รับปริญญาจ้า”

     “ก็ไม่ติดคุกอ่ะ”

     “จับคู่เก่ง” ผมลากเสียงยาว “เอาเวลาไปจับคู่ให้ตัวเองก่อนน้า”

     “ไอ้ณะ!”

     หล่อนทำท่ากระฟัดกระเฟียดเมื่อผมพูดจาจี้ใจดำเต็มๆ เห็นอย่างนี้หล่อนคงเศร้าอยู่บ้าง เดือนก่อนเห็นเอาแต่บ่นว่าเพื่อนๆ เตรียมงานแต่งกันเกือบหมดแล้วเหลือแค่ตัวเองที่ยังไม่มีแม้แต่ว่าที่เจ้าบ่าว

     “จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นแกมีแฟน” คนอายุมากกว่าพูดต่อพลางคว้าข้าวโพดสองฝักใส่รถเข็น “หรือว่าจริงๆ ซุกเงียบวะ”

     “ไม่มีจริงๆ”

     “แต่เห็นช่วงนี้ไอ้โย่งแซวแกบ่อย เรื่องถ่านไฟเก่า”

     ผมชะงักไปนิดหน่อยก่อนที่แกล้งทำเป็นง่วนกับการเลือกผักชนิดอื่นแทน “เอาแครอทด้วย”

     “เปลี่ยนเรื่องเก่งมาก” หล่อนประชดแต่ก็คว้าผักมาให้ดังว่า “แค่ถามเฉยๆ ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า”

     “ขอบใจมากเจ้ มันไม่ได้แย่หรอก”

     หล่อนขมวดคิ้ว “แฟนเก่าเนี่ยนะไม่แย่” ถามออกมาอย่างแปลกใจ “ฉันคือคนหนึ่งที่บอกเลยว่าแฟนเก่าจะไม่ได้อยู่ในชีวิตอีก – ทุกกรณี” ย้ำคำสุดท้ายอย่างชัดถ้อยชัดคำ

     ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ความคิดมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ได้มองว่าเจ้าหล่อนผิดที่คิดแบบนั้น เพราะกาลครั้งหนึ่ง, ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน – พูดไปขี้กร้านจะเถียงกันมากกว่า – นั่นคงเป็นสิ่งที่ตัวผมในอดีตกับตอนนี้แตกต่างไป

     “เฮ้ยณะ หลบๆ”

     เสียงไอ้โย่งดังมาจากระยะไม่ใกล้ไม่ไกล มันเดินมาพร้อมกับเบียร์หนึ่งแพ๊ค ตามด้วยน้องขิมที่มาพร้อมกับน้ำอัดลมและขนมอีกนิดหน่อยในมือ

     เจ้ปันย่นจมูก “พวกแกอาบราดตัวเหรอ”

     “ให้พี่เอกอาบค่ะ” น้องขิมพูดถึงแฟนพี่สาวตัวเองด้วยรอยยิ้มตาหยี “เรามากินแค่โค้กกันดีกว่าพี่ปัน”

     “ก็แย่แล้ว” ผมเอ่ยแซว “สรุปขิมเมาคนแรก พี่จะหัวเราะให้”

     “บ้า น้องไม่กิน”

     ผมเห็นเจ้ปันบึนปากแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รับรู้อะไร พอๆ กับแกล้งไม่รู้ว่าน้องสาวพี่ข้าวมองผมด้วยสายตาแบบไหน ไม่รู้สิ แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ตอนนี้น้องก็ไม่ได้พูดอะไรชัดเจน อยู่กันแค่ในทริป ไม่น่าจะยุ่งยากตรงไหน

     จัดการจ่ายเงินเรียบร้อย เจ้ปันเป็นคนออกเงินให้และทำท่าว่าจะเลี้ยง ไอ้เราก็ถือว่าลาภปาก ก่อนที่พวกผมจะเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ที่เรายืมมาจากที่พัก

     ผมแบมือไปตรงหน้าคนอายุน้อยกว่า “แบ่งมาให้พี่ถือก็ได้”

     “ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวน้องถือเอง”

     “งั้นเอาพวกนี้มาให้พี่แขวนไว้”

     “ได้เหรอพี่” หล่อนทำท่าลังเลนิดหน่อย “น้องถือไหวนะคะ”

     “เอามาเถอะ” สุดท้ายหญิงสาวก็ยื่นบางส่วนให้ผมแขวนไว้ข้างหน้า อีกส่วนเธออาสาจะถือไว้เอง

     ผมสตาร์ทรถ หล่อนเอามือมาแตะไหล่ผมเบาๆ ตามคำสั่งว่าอย่าจับที่ชายเสื้อ ท่าท่าเงอะงะในการซ้อนมอเตอร์ไซค์ทำให้นึกเอ็นดู




     k.
     อยากไปเที่ยวมั่ง
     เราล่ะอิจฉา     

napat
ก็ไปเที่ยวร้านดัง คนวางทริปเป็นพวกพี่ๆ น่ะ
แล้วก็มีไปสามพันโบก
เออ วันนี้ยุ่งอยู่เหรอ
     
     คำถามนั้นถูกทิ้งไว้ตั้งแต่แปดชั่วโมงก่อนโดยยังไร้ซึ่งคำตอบ ไม่ได้มีแม้กระทั่งสัญญาณว่ามันถูกเปิดอ่าน ผมไม่ได้ร้อนรน – คิดว่าอย่างนั้น – แม้ว่าตอนนี้ผมจะเผลอเปิดหน้าแชตของอีกฝ่ายมาดูก็ตาม

     เพลงคาราโอเกะถูกเปิดร้องที่บ้านพัก คุณป้าเจ้าของที่บอกว่าเสียงดังได้แค่อย่าให้เกิดเที่ยงคืนเพราะว่าบ้านข้างๆ สองหลังไม่มีคนพักอยู่ ทีนี้ก็สมใจสาวๆ โดยเฉพาะเจ้ปันที่ยังร้องเพลงกินจุ๊บกินจิ๊บอยู่

     แก้วใส่เบียร์ของผมพร่องไปเยอะทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่กินมากนักเนื่องจากว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินไม่มีหยุดจนเริ่มหน้าแดง เจ้ปันก็เป็นพระเภทคออ่อน ไอ้โย่งก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งเก็บข้าวของ หน้าที่นั้นคงเป็นของผมไปโดยปริยาย อีกส่วนหนึ่งคงเพราะคิดว่าตัวเองแก่เกินจะเมาหัวราน้ำเหมือนกับวัยมหาวิทยาลัยแล้ว

     “พี่ณะเอาเนื้ออีกไหม”

      “ขิมกินเหอะ” ผมโบกมือปฏิเสธพลางหยิบถั่วปากอ้าที่ซื้อมาเข้าปากอีกรอบ “พี่กินแค่ถั่วก็พอแล้ว”

     หล่อนพยักหน้า วางจานเนื้อไว้ตรงหน้าก่อนที่จะหย่อนกายนั่งข้างๆ “เป็นไรพี่ ไม่ร้องเพลงเหรอ”

     “—ขี้เกียจไปแย่งไมค์เจ้มัน”

     “อ๋อ” แล้วเราก็เงียบใส่กันอย่างกระอักกระอ่วน

     ผมดื่มเบียร์ที่เหลือครึ่งแก้วจนหมด วางลงบนโต๊ะ เธอจัดการเติมน้ำแข็งและรินเบียร์ให้ ค่อยๆ เทไม่ให้มีฟอง “มีฟองก็ได้” ผมเอ่ยขึ้นแบบนั้น

     ขิมทำหน้างุนงง “ปกติเพื่อนๆ น้องกินแบบไม่มีฟอง”

     “เทให้มีฟองมันหอมกว่า” ผมพูดไปตามจริง “แล้วก็ไม่ทำให้ท้องอืดด้วย”

     “จริงเหรอ ไม่ยักกะรู้ ปกติเวลากินกับพวกเพื่อนๆ นะ เวลาเทให้มีฟองก็จะโดนแซวว่าเมาแล้วๆ”

     ผมเผลอยกมือขึ้นมาเท้าโต๊ะมองเจ้าหล่อน ไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่กลับทำให้เธอแสดงอาการทำอะไรไม่ถูกออกมาให้เห็นได้ชัด

     “มันก็แล้วแต่คนกิน— แฟนเก่าพี่ก็กินแบบเราแหละ”

     ดูท่าผมเองก็เริ่มมึนๆ เข้าให้แล้ว ไม่เช่นนั้นคำว่าแฟนเก่าคงไม่มีวันหลุดออกมาจากปาก

     หล่อนทำหน้าไม่ถูกก่อนจะหัวเราะแก่นๆ “พูดถึงแฟนเก่าเฉย มึนแล้วสิท่า” ยิ้มแย้มตามวัยเด็กเพิ่งเรียนจบ “ขอเพลงเปล่า เดี๋ยวน้องไปขอไมค์ให้เลยนะเนี่ย”

     “ไม่ต้องหรอก” ผมปฏิเสธอีกครั้ง “แค่พูดถึงเฉยๆ”

     “ขิม! มาเป็นสาวสาวสาวกับพวกพี่เร็ว!”

     เสียงเอ่ยออกไมค์ทำเอาผมหัวเราะพรืดพร้อมๆ กับคนถูกเรียก น้องทำหน้างุนงงไม่เท่าไหร่ก็โดนเจ้ๆ ทั้งสองเดินมาลากไปร้องเพลง ขิมโวยวายใหญ่ว่าสาวสาวสาวอะไรไม่รู้จัก หล่อนรู้จักแต่เฟย์ฟางแก้ว เป็นเรื่องที่น่าขันพิลึก

     เพลงถูกเล่นไปเรื่อยๆ จนเจ้ปันยอมวางไมค์ ท่าทางเหมือนจะตายไปแล้วหนึ่ง ในขณะที่บุหรี่มาอยู่ในมือของผมแทนที่จะนอนแอ้งแม้งอยู่ในซองต่อไป เป่าควันขึ้นฟ้าตอนที่เพลงเฮฮาถูกเปลี่ยนเป็นเพลงที่เศร้ามากขึ้น แอบรักบ้าง โหยหารักครั้งเก่าบ้าง

     ผมเลิกอินกับเพลงที่กล่าวถึงแฟนเก่ามานานมากแล้ว, สักสามหรือสี่ปีเห็นจะได้ที่เลิกเฮิร์ทเสียจนนั่งฟังเพลงเศร้าซ้ำไปมา

     คิดจริงๆ หรือว่าผมจะไม่เปิดใจให้ความสัมพันธ์ใดเลยก่อนที่กลับมาเจอคุณ ตลกแล้ว ผมเป๋ไปแค่เทอมเดียวด้วยซ้ำกระมัง พอทำงานแล้วก็มีคุยเล่นกับคนอื่นบ้าง เพื่อนของเพื่อน คนที่รู้จักกันจากการทำงาน กระทั่งเจอกันจากร้านเหล้าสักร้าน – คุณแค่เป็นคนสุดท้ายที่ผมเรียกว่าแฟน – หลังจากนั้นมักจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ไปต่อหรือไม่ก็จบลงแค่ค่ำคืนเดียว

     ผมไม่ได้ปิดใจหรอก ไม่เคยสักนิด ในขณะเดียวกันก็เลิกครวญครางร้องหาความรักหรือก่นโทษพระเจ้าว่าทำไมใจร้ายไปนานแล้ว ผมแค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น

     ผมปล่อยควันออกจากปาก บุหรี่ร้อนไม่ใช่อะไรที่ชอบเท่าไหร่แต่ของฟรีจากพี่เอกมัน เอาอะไรมาก

     ผมเองก็มีคำถามเหมือนกันนะว่ามันเป็นเรื่องน่าดีใจหรือน่าเศร้ากันแน่ที่ได้กลับมาเจอคุณอีกครั้ง

     ดีใจ, ที่มีโอกาสมาเจอคนที่เคยทำให้รักมากถึงเพียงนั้น

     น่าเศร้า, ที่ไม่รู้ว่าต่อให้เจอกันแล้ว เราจะมีโอกาสทำอะไรได้อีกบ้างไหม

     ครืด

     โทรศัพท์ในมือสั่นทำให้ผมพลิกมันขึ้นมาดูก่อนที่จะเผลอยืดตัวหลังตรงขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นว่าข้อความนั้นมาจากใคร

     k.
     ใช่ 55555 อย่างเยินเลยวันนี้
     โคตรๆๆๆ เหนื่อย
     เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไป opd อีกตั้งแต่เช้า
     เอ้า อ่านเร็วจัง ไม่เที่ยวอยู่เหรอ

     ผมกลืนน้ำลาย เผลอเข้ามาอ่านแชตก่อนที่ในหัวจะตัดสินใจได้อีก โทษเบียร์ที่ตัวเองกินไปคนเดียวตั้งสองขวดและบุหรี่มวนเมื่อกี้แล้วกัน

napat
อื้ม กินเหล้ากันอยู่ที่พักแล้ว

     k.
     อ๋อ ดีจัง 555555
     ไปกินดิ

     —ยังไม่อยากไป

     นิ้วผมผมเกือบพิมพ์คำนั้นไปอยู่แล้ว อันที่จริงพิมพ์ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่จังหวะที่จะกดส่งก็ชะงักไป กดลบ พิมพ์ข้อความอื่นไปแทน

napat
ทำไมอ่ะ คุยไม่ได้เลยเหรอ
     
     k.
     เปล่าครับ ก็คุยได้แหละ
     เมาเหรอ

     
napat
ไม่เมา
     
     k.
     จริงเปล่าาาา

napat
จริงๆ
ไม่งั้นลองคอลดูไหม

     ผมกดออกแชตในทันทีที่พิมพ์ไปแบบนั้น ข้อความมันขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วก่อนที่ผมจะออกมาเสียอีก อยู่ๆ ในใจก่อนเต้นรัว อยากจะกดลบข้อความแม้จะรู้ดีว่าไม่ทันแล้วก็ตาม

     บทสนทนาของเราเงียบลง พอๆ กับความรู้สึกผมที่รู้สึกเหมือนรอบตัวเงียบไปด้วยทั้งที่เพลงยังเปิดดังลั่น เสียงของพี่ๆ ยังร้องเพลงเศร้ากันอยู่

     ผมบี้บุหรี่ที่สุดก้นกรองลงบนที่เขี่ยบุหรี่ “ขออีกตัวนะพี่” เอ่ยกับพี่เอกที่นังกระซิบกระซาบกับแฟนสาวตัวเองอยู่ข้างๆ หยิบออกมาหนึ่งตัวพร้อมกับไฟแช็ก

     ผมเดินออกมาที่หน้าบ้านซึ่งไกลจากบริเวณที่ทุกคนกำลังเฮฮากันอยู่ หย่อนกายบนบันไดที่มีเพียงสองขั้นเพื่อยกตัวบ้านสูงจากพื้นดิน เกาศีรษะอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นมาอีกมวน

     หน้าจอนั้นยังคงเงียบเฉย ผมรู้ตัวในตอนนั้นเลยว่าตัวเองพลาดไปแล้ว

     
napat
ขอโทษ

     สุดท้ายผมก็พิมพ์คำนั้นออกไป สั้นๆ ง่ายๆ ข้อความนั้นไม่ถูกอ่านในทันทีแต่ผมก็เฝ้ารอ ในที่สุดมันก็ขึ้นว่าข้อความที่ส่งไป ปลายทางได้เปิดอ่านแล้ว

     k.
     55555 ไม่เป็นไร
     ช่างมันเถอะเนอะ

     
napat
อืม
อึดอัดใช่หรือเปล่าครับ

     ถ้าเป็นตอนที่เราคบกัน คุณคงจะบอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยได้ไหม รอเจอหน้ากันดีกว่า เคลียร์กันผ่านตัวอักษรหรือน้ำเสียงเพียงอย่างเดียวไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้น รั้งแต่จะทำให้แย่ลง รู้อยู่แล้วหากแต่รอบนี้ก็คิดไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร

     อันที่จริงเรามีอะไรให้เคลียร์กันหรือเปล่าก็ไม่รู้

     ผมดูดลมร้อนเข้าปอด, แผดเผาภายใน, ก่อนที่จะปล่อยมันออกไปเหลือแต่กลิ่นติดปลายจมูก

     k.
     นิดนึง

     เราไม่เคยปิดบังอะไรกัน เลือกที่จะพูดกันตรงๆ เสมอ เพราะฉะนั้นผมไม่ได้แปลกใจกับคำตอบที่ไม่ได้ตอบตามมารยาทของอีกฝ่าย – หรือจริงๆ นั่นอาจจะตามมารยาทแล้ว? ในใจคณณัฐ์อาจจะอยากตอบกลับมาว่าอึดอัดสิโว้ยก็ได้

     k.
     ก็เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว
     เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าต้องตอบเธอแบบไหน

     
napat
เข้าใจครับ
     
     k.
     จำได้ปะว่าตอนนั้นเราคุยกันว่าถ้าเลิกกันเราจะเป็นเพื่อนกันต่อ
     แต่ตอนนั้น เธอก็ทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
     เค้าก็เข้าใจนะ เพราะงั้นเค้าเลยไม่รู้ไงว่าเล่นได้ถึงไหน 5555555
     
     คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกบีบรัดเสียจนอยากจะร้องไห้
     
     เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว, หากแต่ก็ยังรู้สึกในวินาทีนี้

     
napat
เล่นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า เหมือนที่เราเคยเล่นกัน
คุยกันเหมือนเดิม
อะไรแบบนั้น เธอพอจะทำได้ไหม

     คุณเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรอยู่พักหนึ่ง นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเก่า – คนเมาไม่ได้พูดอะไรไม่คิด แต่พูดในสิ่งที่คิดหากไม่เคยได้พูดเสียมากกว่า – ผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

     k.
     ตอนนั้นเธอไม่อยากมีเค้าอยู่ในชีวิตแล้วนะ 55555555
     เค้าก็ตามใจเธอตลอดแหละ 555555555

     ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกเลย

     
napat
อืม แล้วเธอคิดว่ายังไงบ้างอ่ะ
หมายถึง
อยากให้เค้าทำยังไงครับ

     ผมรอคำตอบนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เฝ้ารอว่าประโยคถัดไปที่คุณจะเอ่ยเอื้อนคืออะไร หวาดหวั่นเล็กน้อยยามคิดว่านั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

     k.
     อยากมีเธอในชีวิตเหมือนเดิมแหละ
     อย่าหายไปอีกได้เปล่า
     นะครับ

     —เป็นคุณตลอดเลยที่ทำให้ผมรู้สึก

     เป็นคุณเสมอมาเลยด้วยซ้ำไป

     k.
     กลับไปทำตามสัญญาได้เปล่า
     เลิกกันแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิมนะ





-------------------------

เปิดเทอมแล้ว หลังจากนี้คงอัพช่วงวันพฤหัส - เสาร์นะคะ
เพราะที่หอไม่มีเน็ตค่ะ 5555555555

แต่ว่าวันนี้มาอัพให้ก่อน แบกคอมมานั่งคาเฟ่ใกล้ๆ

ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ  :katai5:

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เเง้ คำว่าเพื่อน พูดเบาก็เจ็บบบบบบ สู้เค้านะะะ  :katai4: มาสวัสดีปีใหม่คนเขียนย้อนหลังค่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จุกแทนณะเบาๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 o22


หน่วงเด้อออ

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คำว่าเพื่อนคืออออออ
แต่เค้าคุยกันน่ารักมากๆเลยค่ะ ; v ;

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด