———— 07 ————
บรรยากาศในรถอึดอัดเกินกว่าที่คิดไว้
ผมทำตัวไม่ถูกนิดหน่อยตั้งแต่เปิดประตูรถ ตอนที่เราคบกับคุณติดมอเตอร์ไซค์ของผมอยู่ตลอดเวลา และตอนที่เราเลิกกัน คุณยังไม่ทันจะขับรถเป็นด้วยซ้ำ – แต่รถคันนี้ก็ดูจะผ่านการใช้งานมาสักพักแล้ว – คงจะสองหรือสามปีเป็นอย่างต่ำ
“ขอโทษนะรกไปหน่อย”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ใกล้เคียงอะไรแบบนั้นแม้แต่น้อย รถของคุณสะอาด มีกลิ่นหอมจากเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งก็ไม่ได้มีของระเกะระกะดั่งที่คิดไว้เสียเท่าไหร่นอกจากเสื้อกาวน์ที่ถูกแขวนไว้หลังรถ
“ขับนานแล้วเหรอ”
“ก็ต้องหัดก่อนลงไปใช้ทุน”
“อ๋อ”
“ใช่ ขืนขับรถไม่เป็นที่นู่นก็ลำบาก เที่ยวไหนไม่ได้เลย” คณณัฐตอบแบบนั้น ขณะที่มองซ้ายมองขวา หยิบ
สาย USB เชื่อมโทรศัพท์กับเครื่องเล่นเพลงก่อนจะสตาร์ทรถ
เพลงที่ถูกเล่นคือเพลงยุค 00’s ช่วงที่เรากำลังเป็นวัยรุ่น อมยิ้มขำเมื่อคุณกดผ่านเพลงสองเพลงแรกก่อนจะหยุดลงในเพลงที่สามของ sum41 ฮัมเบาๆ ตามทำนองที่ถูกเล่น ปลายนิ้วที่อยู่บนพวงมาลัยรถเคาะเป็นจังหวะ
“ดีนะ” ผมเอ่ยเปรยขึ้นมา
เจ้าของรถหันขวับ “อะไรเหรอ”
ตอนนี้ “ที่มีรถเป็นของตัวเองไง” ในใจอยากตอบแบบนั้นแต่ปากก็ไม่ได้ตอบออกไปหรอก ขืนทำไปต้องทำหน้าไม่ถูกกันแน่ๆ “ไปไหนสะดวกดี”
“แต่รถติด” คุณเบะปาก “วันไหนได้กลับบ้านวันศุกร์ก็เล่นเอาไม่อยากกลับบ้านเลย รถติดจะตายชัก”
“ก็จริง”
“เธอขับรถเป็นตั้งนานแล้วนี่ ไม่ออกรถหรือ”
“ไม่ล่ะ สาเหตุเดียวกัน” ผมตอบไปตามจริง เหลือบมองคนที่หันหน้ามาคุยด้วยยามสัญญาณไฟเป็นสีแดง “มอเตอร์ไซค์ก็สะดวกดี ทำงานแค่ใกล้ๆ ด้วย”
“แต่ก็ต้องขับระวังๆ นะ เดี้ยงเหมือนวันก่อนแย่เลย”
เสียงหัวเราะแผ่วเบา, รอยยิ้มที่ถูกวาดกว้างจนตาหยี, ทำนองเพลงที่เคยฟังด้วยกันและบรรยากาศในรถที่แออัดในท้องถนน
เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคุณก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดตัวเองในห้าปีก่อนเสียจริงว่าปล่อยมือจากคนที่ให้ความรู้สึกสบายใจแบบนี้ได้อย่างไร ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ นายณภัทร ไอ้คนโง่เง่า
วันเสาร์ตอนบ่ายสามไม่ได้มีการจารจรแออัดเท่าที่คิด เพลงใหม่สลับเก่าถูกเล่นเพลงแล้วเพลงเล่า คำพูดที่แลกเปลี่ยนกันในไฟแดงแต่ละแยกชวนให้สบายใจ คงเพราะตอนนี้โลกของผมเหลือแค่คุณกับพื้นที่เล็กเท่ารถยนต์สี่ประตู
“แล้วเลี้ยงหมากับแมวมันไม่ตีกันเหรอ” เอ่ยถามยามที่คิดขึ้นมาได้ว่าคุณเคยเลี้ยงแมวด้วยหนึ่งตัว จำชื่อไม่ได้แล้วหากแต่รับรู้ว่าเป็นแมวไทยพันธุ์ทาง “น่าจะเหนื่อยอยู่นะ”
“เปล่าหรอก เลี้ยงตัวเดียว”
“อ้าว—”
“แมวเลี้ยงตายไปแล้วนะ” คำตอบที่ถูกพูดออกมาเสียงเรียบเฉยทำให้ผมนิ่งเงียบไป “ตั้งแต่เค้าไปใช้ทุนแล้ว”
คุณไม่ได้ดูมีความเสียใจในน้ำเสียงนั้นหรอก รอยยิ้มบางๆ ยังประดับบนริมฝีปากด้วยซ้ำ
ก่อนที่จะหันมามองกันแล้วหัวเราะเล็กน้อย “อย่าคิดมากสิ”
“ขอโทษที”
“ไม่เป็นไร”
“—ขอโทษจริงๆ ครับ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ” คุณย้ำ “มันตั้งนานแล้ว เธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”
บรรยากาศดีๆ ของเราเสียไปแล้ว เปราะบางเสียเหลือเกิน, อดคิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะไปโทษใครนอกจากตัวเองในเมื่อเพลงก็ยังเล่นเหมือนเดิม การจราจรก็ยังไม่ทันพ้นจากตำแหน่งเดิมมาเสียเท่าไหร่ และโลกของเราก็ยังมีพื้นที่เท่าเดิม – แค่คำพูดของผมเท่านั้นเอง
“มันนานแล้วจริงๆ ณะ” คุณพูดมันขึ้นมาอีกครั้ง “นานชนิดที่ว่าเค้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเธอแล้วซะอีก”
อยากจะเอ่ยคำขอโทษอีกครั้งแต่ก็พูดไม่ออก
ผมมองสัญญาณไฟที่เริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวให้รถของเราเคลื่อนตัวไปจากเดิมเพราะไม่กล้าสบตาคุณกับคำพูดของอีกฝ่าย
ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยปากออกไปว่า
ไม่เห็นเป็นอะไรเลยคุณ ในเมื่อตอนนี้เราก็เจอกันแล้วนี่ แต่ก็นั่นแหละ, คุณพูดถูกต้อง ห้าปีที่ความสัมพันธ์จบลงเรียกได้ว่าเนิ่นนานเสียจนเราควรจะลืมกันไปได้แล้วว่าเราเคยรู้จักคนนี้มาก่อน ห้าปีคือระยะเวลาจากเด็กม. หกเรียนมหาวิทยาลัยจนรับปริญญา เพื่อนผมเริ่มแต่งงานมีลูก บางคนเปลี่ยนงานไปสามที่แล้วด้วยซ้ำ
นานเสียจนไม่น่าจะมีอะไรเหมือนเดิมได้อีกเลย
ไม่น่าเลยจริงๆ
เขายังอยากเป็นเพื่อนกันก็ดีแค่ไหนแล้วเชียว ตอนเห็นมะขามก็เข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมน้องสาวของคุณถึงได้โทรมาร้องขอให้คุณกลับบ้านเพื่อพามันไปหาหมอ
หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ดูจะตัวโตกว่าตัวอื่นๆ โงหัวขึ้นมาจากพื้นตอนที่ผมจับพลัดจับพลูเดินเข้า
บ้านมาด้วย น้องสาวของคุณท่าทางร้อนใจเกินกว่าจะถามว่าผมเป็นใคร เอาแต่อธิบายว่าน้องมะขามมีอาการเป็นอย่างไรบ้างให้พี่ชายฟัง
“พี่คุณอุ้มไหวไหม” น้องถาม “หนูอุ้มไม่ไหวเลย น้องพยายามลุกแต่น้องลุกไม่ได้”
“ใจเย็นๆ ครับ”
คนเป็นพี่ได้แต่พยายามบอกให้น้องสาวตัวเองใจเย็นทั้งที่น้องทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก่อนจะย่อกายลงไปหาสุนัขตัวโตของตัวเอง ลูบหัวสัตว์เลี้ยงเบาๆ ก่อนจะพยายามช้อนมันขึ้นมาในอ้อมแขน แต่ด้วยการที่มันนอนอยู่บนพื้นทำให้มันดูเป็นได้ยากเล็กน้อย
“คุณ” ผมเรียกอีกฝ่ายที่ตอนนี้ดึงเจ้าหมาตัวใหญ่ขึ้นมาจากพื้นได้แล้ว แต่จัดแจงท่าทางไม่ถูก “เดี๋ยวอุ้มให้”
คุณไม่ได้ทำอะไรมาก ใช้มืออีกข้างจัดแจงท่าทางมันให้ผมอุ้มไอ้ตัวโตง่ายขึ้น มันส่งเสียงร้อง ดูท่าจะไม่ยอมท่าเดียวแต่สุดท้ายผมนั่งแหละที่อุ้มมันขึ้นรถมาได้โดยที่น้องขนุนเป็นคนเปิดประตูรถของพี่ชายตัวเองให้
“เดี๋ยวพี่ขับพาไปหาหมอก่อนนะ”
“หนูไปด้วย”
“ไปสิ” คุณพยักหน้า “หนูก็ต้องไปบอกอาการมะขามมัน”
เพราะฉะนั้นเราเลยอยู่บนรถด้วยกันทั้งสามคนพร้อมกับสุนัขที่ส่งเสียงบ่นในลำคอไม่มีหยุด น้องขนุนทำท่าจะร้องไห้ตลอดระยะเวลาไม่ถึงสิบนาทีดีในการมาถึงคลีนิคสัตว์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านของคุณ เพราะความร้อนใจนั้นเองทำให้น้องไม่ได้ถามพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำว่าผมเป็นเพื่อนคนไหน มาอยู่กับคุณได้อย่างไร
จำได้ว่าคุณไม่ค่อยมีความลับกับที่บ้าน เพราะงั้นตัวน้องขนุนก็รับรู้ว่าคุณมีแฟนตอนคบกับผม หากก็ไม่เคยเจอกัน, หรืออาจจะเจอกันเพียงพูดคุยไม่กี่คำ จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก
รถมาจอดที่หน้าคลีนิค ต้องขับไปอีกหน่อยถึงจะมีที่จอดรถสำหรับคลีนิคสัตว์ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้
ผมปลดเข็มขัดนิรภัย “เดี๋ยวอุ้มเข้าไปให้ เธอขับรถไปจอดนะ” ว่าก่อนจะเปิดประตูรถลงไป
เจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ดูจะไม่สบายตัวเท่าไหร่ตอนที่ผมพยายามอุ้มมันลงจากรถเพื่อเดินไปที่ประตูคลีนิคซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามเมตรดี ยังดีที่คนข้างในรีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ แถมเจ้ามะขามตัวหนักไม่ใช่เล่น
พี่ที่เปิดประตูให้ผมเอ่ยพูดกับผู้หญิงอายุน้อยอีกคน “ตามหมอป้องหน่อยค่ะ”
ไม่นานชายหนุ่มตัวสูงผิวขาวก็เดินออกมาในสภาพหัวยุ่ง ท่าทางคงจะงานยุ่งน่าดู ของอีกฝ่ายคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่นก่อนจะถามว่าใครเป็นเจ้าของเจ้าหมาตัวใหญ่ตัวนี้ อาการเป็นอย่างไรบ้าง ผมเลยถอยออกมาให้น้องสาวของคุณเข้าไปคุยแทน ไม่ได้พูดอะไรอีกจนกระทั่งเจ้าของอีกคนของหมาตัวโตนั่นเดินเข้ามาในคลีนิค ตรงดิ่งไปหาน้องสาวตัวเองด้วย
ทำอะไรไม่ถูกอยู่นานเมื่อสถานการณ์ดูเคร่งเครียดจนกระทั่งสัตวแพทย์คนนั้นรับปากออกมาว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้น่าห่วงมาก และจะทำการตรวจดูเดี๋ยวนี้
คุณเอามือลูบไหล่เล็กของน้องสาวขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองผม ขยับปากอย่างไร้เสียงว่า
ขอบคุณด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่
ผมส่ายหน้า
ไม่เป็นไร ตอบกลับไปแบบนั้น
สิบห้านาทีเห็นจะได้ตั้งแต่เจ้ามะขามถึงมือหมอ ถูกตรวจเลือด ถามนู่นถามนี่กับเจ้าของเต็มไปหมด สุดท้ายก็โดนบอกสีหน้าเคร่งเครียด
“จากอาการ คิดว่าอาจจะเป็นพยาธิในเม็ดเลือดนะครับ” คุณหมอว่าเช่นนั้น “เดี๋ยวรอผลตรวจเลือดอีกที แต่เพราะพามาหาหมอเร็วแบบนี้และไม่มีอาการอาเจียนหรือดื้อยาอะไร ถ้ากินยา 2 อาทิตย์ก็กลับมาเป็นปกติได้แล้ว”
เพียงฟังเท่านั้นหญิงสาวก็สีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด หันไปซบไหล่คนเป็นพี่ชายราวกับจะหัวใจวายอยู่ตรงนั้นจริงๆ
ผมมองภาพคุณที่จัดการกับเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ พร้อมๆ กับปลอบโยนน้องสาวและพูดคุยอย่างเป็นการเป็นการกับหมอถึงอาการสัตว์เลี้ยงของตัวเองด้วยความชื่นชมในใจ
คณณัฐเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะเป็นคนที่คนบางคนบอกว่าไม่แมนจากนิสัยเรียบร้อยและคำพูดคำจาสุภาพ ผมไม่เห็นว่านั่นมันจะเกี่ยวกันตรงไหน แมนไม่แมนแล้วอย่างไร, เรื่องที่คุณเป็นที่พึ่งให้น้องสาวหรือเพื่อนๆ ในหลายเรื่องได้เพราะมีสติก็น่าจะบ่งบอกให้รู้ได้แล้วว่าคุณเป็นคนที่เหมาะสมกับคำชม
ยังโชคดีอยู่บ้างว่าแม้จะเป็นคลีนิคขนาดไม่ใหญ่มาก หากแต่ก็มีที่พักให้สัตว์ค้างคืนและมันว่างพอดี เมื่อผลตรวจออกมาเป็นตามที่คุณหมอสันนิษฐานไว้ก็เลยได้ข้อตกลงว่าจะให้เจ้ามะขามนอนที่นี่สักคืนก่อน
“เดี๋ยวหนูขอเข้าไปดูน้องหน่อย”
คุณพยักหน้าให้น้องสาว เอาจริงนะ, ผมเอ็นดูการพูดจาไพเราะกับทุกอย่างของบ้านนี้เสียเหลือเกิน
คณณัฐทำท่าจะเดินตามเข้าไปด้วยก่อนที่จะหันมามองผม กวักมือเรียกราวกับจะให้เขาไปหาเจ้าหมาตัวโตนั่นด้วยกันแต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ไปหรือ” คำถามนั้นถูกถามอย่างแปลกใจ
“ไม่เป็นไร เวลาครอบครัว”
คุณหัวเราะ ฟาดมือลงบนไหล่ผมเบาๆ “เข้าไปด้วยก็ได้นี่นา อุส่าต์พามะขามมา”
“น้องเธอทำเหมือนจะร้องไห้” ผมเปรย “โตเป็นสาวแล้วนะ น้องน่ารักดี” อดชมน้องสาวอีกคนไม่ได้
คุณขมวดคิ้วมุ่น “อย่าคิดจะจีบขนุนเชียว น้องมีแฟนแล้ว” เอานิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้าเหมือนกับจะต้องการปรามกัน
ผมหัวเราะผะแผ่ว สิ่งที่ถูกเตือนไม่แม้แต่จะอยู่ในความคิดด้วยซ้ำแต่คุณยิ่งทำหน้าจริงจังมากกว่าเก่า นั่นค่อนข้างจะ—
น่ารัก โอ้ แหงล่ะ, ผมเริ่มคิดแล้วว่าคำพูดชื่นชมเมื่อกี้ที่ตัวเองพูดออกไปควรจะใช้ชมน้องสาวหรือพี่ชาย แต่คงไม่ดีแน่ถ้าจะเอ่ยชมคณณัฐในยามนี้
ผมจับไหล่สองข้างของคุณหมอให้หันหลัง บอกกับอีกฝ่ายว่าเดินไปปลอบน้องหน่อยแล้วผมจะยืนรออยู่ตรงนี้เอง
“เป็นอะไรครับ” ผมในวัยยี่สิบเอ็ดปีซึ่งตัดสินใจพักสายตาจากโปรแกรมการตัดต่อที่ยิงยาวกว่าสามชั่วโมงของตัวเองเพิ่งสังเกตว่าอีกหนึ่งชีวิตที่กางโต๊ะญี่ปุ่นอ่านหนังสืออยู่ในห้องสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ว่าที่คุณหมอสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบว์บนกล่องของขวัญ
“คุณ” เรียกชื่ออีกฝ่ายย้ำอีกครั้ง เดินเข้าไปทิ้งตัวข้างๆ แต่คุณกลับไม่เงยหน้าขึ้นมาจากชีทหนากองโต
“ยากเหรอ” ริมฝีปากของอีกคนเม้มแน่น
“—ไม่ค่อยเข้าหัวเลย”
“หยุดอ่านก่อนไหม”
“ไม่ล่ะ” เหลือบตามองคนเนิร์ดที่หน้าตาไม่สู้ดี เลื่อนมือไปแตะผมส่วนหน้าที่ยาวจนจะทิ่มตาอีกฝ่ายอยู่แล้ว ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด คุณไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้มานานแล้ว คงจะเป็นส่วนที่ตัวเองไม่เข้าใจจริงๆ
“ไม่อยากเรียนใหม่” เสียงแผ่วเบาเอ่ยเอื้อนออกมา
“ถ้าสอบไม่ผ่านเค้าคง—” ผมบีบริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนพูดจบ คณณัฐย่นจมูก เอื้อมมือมาตียามที่เห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อเสียที เป็นท่าทางที่ชวนให้หัวเราะด้วยความเอ็นดู
“โทรหาคุณแม่ไหม”
“ไม่เอาล่ะ โทรบอกแม่ เดี๋ยวแม่ก็รู้สิว่าเครียด”
“คุณแม่คงอยากให้บอก”
“แต่เค้าไม่อยากบอก” คนคงไม่เชื่อว่าคุณเป็นคนดื้อเงียบ – แต่ผมนี่แหละรู้ดี – เพราะงั้นผมเลยยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ คุณไม่ชอบบอกถึงความเครียดของตัวเองกับที่บ้าน ทั้งที่ปกติจะต้องติดต่อกับแม่หรือน้องสักชั่วโมงในแต่ละวัน แต่พอเครียดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ยอมทำ คุณบอกปิดบังไม่ได้ และกลัวจะเอาด้านแย่ๆ ไปลงกับคนที่บ้าน
“งั้นเธอพักก่อน”
“เอ๊ะ เค้าบอกว่าเค้าอ่านไม่ทัน” ผมแย่งชีทมาจากมือของว่าที่คุณหมอ
“เดี๋ยวอ่านให้ฟัง” คุณทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ไม่ได้แย่งชีทจากมือผมกลับไป อยู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเท้าแขนราวกับจะรอฟัง ผมก้มหน้าอ่านสไลด์แรกผิดๆ ถูกๆ ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้เราก็แค่เด็กฟิล์มจะเอาทักษะไหนมาอ่านศัพท์ทางการแพทย์ สุดท้ายแล้วคุณก็หลุดหัวเราะกับความโง่เง่าในสายวิชาที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ของผม ตีไหล่กันแล้วก็บอกว่าผมควรไปตัดต่อ sound เหมือนเดิมท่าจะดีกว่า
ผมยิ้มตามรอยยิ้มนั้น
แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหนังสือให้คุณฟังจริงๆ อยู่แล้ว แค่อยากให้คุณยิ้มเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มอีกคนก็พิงศีรษะลงบนไหล่ของผม บ่นงึมงำถ้อยคำน่าฟังเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ผมก็ได้
ยินอยู่ดี
“ดีจังที่เค้ามีเธอ” ผมก็รู้สึกดีเหมือนกันที่สามารถให้คุณมีผมได้ในวันที่คุณอยากพักมากที่สุด
ผมได้ทานมื้อเย็นฝีมือน้องขนุน หล่อนบอกว่าอยากจะทำให้แทนคำขอบคุณที่ผมไปช่วยเหลือวันนี้โดยที่พี่ชายหล่อนมากระซิบบอกว่าขนุนทำอาหารไม่อร่อยเท่าไหร่หรอก แต่พอเห็นหล่อนขอแวะซื้อของสดระหว่างทางกลับจากคลีนิคสัตว์และวนเวียนอยู่ในครัวทันทีที่กลับมา ไอ้ครั้นจะปฏิเสธเลยไม่มีอยู่ในความคิด
จำได้ว่าเคยมาบ้านของคุณเมื่อนานมาแล้วอยู่สองหน ครั้งแรกตอนเป็นเพื่อน ครั้งที่สองตอนเป็นแฟนแล้วแต่ไม่รู้ว่าสมาชิกที่บ้านคุณรู้หรือเปล่า ใครจะคิดว่าจะมีโอกาสมาครั้งที่สามในฐานะแฟนเก่ากันวะ
มื้ออาหารจบลง ผมอาสาล้างจานให้ในขณะที่คณณัฐล้างอุปกรณ์ครัวอยู่ข้างๆ ไปด้วย และมีเสียงบ่นน้องสาวตัวดีของตัวเองดังเรื่อยๆ ทั้งที่ยังยิ้มอยู่
นี่แหละนะพี่ชาย บ่นแทบตายสุดท้ายก็ตามใจอยู่ดี
“เดี๋ยวเค้าไปส่งคอนโดเธอ”
“เฮ้ย ไม่ต้อง” ผมรีบปฏิเสธ “แค่บีทีเอสก็พอมั้ง กลับเองได้”
“แต่ว่า—”
“ขนุนอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ วันนี้คุณแม่เธอไม่กลับนี่ กว่าจะขับไปถึงนู่นคงนานน่าดู”
พออ้างถึงคุณแม่ของคุณที่ไปร่วมทริปทำบุญคุณก็หมดคำเถียง เราล้างจานกันจนเสร็จ กลับไปคุยกับน้องขนุนอีกนิดหน่อย เจ้าหล่อนยิ้มหวานบอกว่าไว้เจอกันใหม่ในครั้งหน้าก่อนที่จะบอกลา
รถคันเดิมที่พาผมมาที่นี่เป็นรถที่พาผมกลับ คุณบอกว่าขับรถสักสิบนาทีก็ถึงบีทีเอสแล้ว
“ขอบใจนะที่มาวันนี้”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับจากใจจริง “ขอบใจมากกว่าที่ชวนมา”
“อื้อ”
มันกลับมาแปลกๆ อีกแล้ว ตอนนี้ผมอยากจะครวญครางด้วยเสียงแบบไอ้มะขาม เผื่อว่าคุณจะเอ็นดูกันอยู่บ้าง
“เฮ้ย!” จู่ๆ รถคันหน้าก็ปาดข้ามเลนเข้ามาในจังหวะนั้น คุณเหยียบเบรกจนรถกระตุกเพื่อไม่ให้ชน ผมเองก็โน้มตัวไปข้างหน้า เผลอทำโทรศัพท์ตกลงไป “ขอโทษๆ”
“ขับเหี้ยไรของมันเนี่ย” ผมเผลอบ่น
คุณหัวเราะนิดหน่อย “แล้วเมื่อกี้เธอทำอะไรตกหรือเปล่า ได้ยินเสียง”
“มือถือๆ” ผมเอามือปะป่ายข้างล่าง “เดี๋ยวค่อยหาตอนจะลงก็ได้”
ไม่ถึงนาทีดีก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้า คุณจอดรถข้างทางและหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดไฟฉายให้ ผมโน้มตัวลงไปเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ตัวเองอยู่ในซอกใต้เบาะ
“ส่องไฟฉะ—”
คำพูดของผมถูกหยุดลงเมื่อหันไปและพบว่าคุณอยู่ในระยะที่ใกล้กว่าที่คิด จากที่หมายจะขอยืมโทรศัพท์ของคุณมาไว้ในมือก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ คณณัฐเองก็ดูจะตกใจเหมือนกันที่ผมหันกลับมายามที่คุณกำลังโน้มตัวเข้ามาเพื่อช่วยเหลือแบบนี้
ผมเผลอจับจ้องที่ดวงตาที่สบกันกับผมไม่ยอมหลีกหนีไปไหน, ไฝสองจุดที่เรียงตัวกันเป็นเส้นตรงใต้ดวงตาข้างซ้าย, ปลายจมูก, และริมฝีปากของคุณ
จำได้ว่าตัวเองเคยสบตากับอีกคนบ่อยแค่ไหน แต่จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เรามองกันในระยะนี้ครั้งสุดท้ายคือเวลาใด เนิ่นนานเพียงไหนแล้ว – และจำไม่ได้ด้วยว่าครั้งสุดท้ายผมทำอะไรกับคุณในระยะห่างเพียงเท่านี้
คุณผลุบตาลงต่ำ บดกลีบปากเข้าหากันแน่น
คุณจะถอยออกไปหรือเลื่อนกายเข้ามานะ เสี้ยววินาทีที่เผลอตั้งคำถามเป็นเวลาเดียวกับที่ได้รับคำตอบว่า เปล่า คุณไม่ได้ทำอะไรเลย ราวกับเฝ้ารอว่าตัวผมเองจะทำอะไรต่อไป คุณถึงจะเป็นฝ่ายตัดสินใจ
เพราะฉะนั้นผมเลยเป็นคนที่เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกนิด
“เธอ— เอาไปส่องเองไหม” และผมก็ได้รับรู้แล้วว่าคุณถอยออกไป ระยะห่างเท่านั้นคือใกล้ที่สุดที่ผมได้รับอนุญาตในยามนี้
ผมรับโทรศัพท์มาจากอีกคน กระอักกระอ่วนใจเหลือเกินเพราะงั้นเลยไม่กล้ามองหน้าคุณอีกเลย เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาได้แล้วจึงส่งมันคือให้กับคุณและเปิดประตูออกไป
“กลับดีๆ นะ”
“ครับ” ผมตอบ ไม่มองหน้าอีกคนด้วยซ้ำ “เหมือนกันนะ”
“ถึงแล้วบอกด้วยนะครับ”
“อื้อ”
ผมกำลังจะปิดประตูอยู่แล้ว หากแต่รวบรวมความกล้าที่จะมองหน้าคุณอีกสักครั้ง รอยยิ้มถูกหยิบยื่นมาให้เหมือนกับทุกครั้งหาก เพียงแค่นั้น, แค่เท่านั้น, ผมก็ทำได้แค่ยิ้มกลับไป
“ณะ”
ผมหยุดมือ “ครับ?”
คณณัฐเม้มปากแน่น “ขอบคุณนะวันนี้”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณเหมือนกัน ฝากบอกน้องขนุนด้วยนะ”
“อื้อ” คุณพยักหน้า “กลับดีๆ” ย้ำคำเดิมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
ผมพยักหน้า ปิดประตูรถ เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังสถานีรถไฟฟ้า รถคันนั้นยังจอดอยู่ที่เดิมจนผมเลื่อนมาจนถึงสิ้นสุดทางนั้น คณณัฐจึงขับรถออกไป
พยายามบอกว่าแค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว
พยายามแล้ว, แต่— ให้ตายเถอะ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้คุณคิดอย่างไร
คุณทำได้จริงๆ หรือไอ้การเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าเนี่ย
เก่งเหลือเกิน
-------------------------
อยู่ๆ คอมเม้นกับคนอ่านก็เยอะมาก
ขอบคุณทุกคนมากๆๆๆ นะคะ จะพยายามเขียนออกมาให้เร็วที่สุดเลย
ปล. ใครรู้จักหมอป้องยกมือขึ้น
เจอกันในแท็กค่า
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ