———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————  (อ่าน 44813 ครั้ง)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ GevalinW329

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o18
กลับไปทำตามสัญญาเหมือนเดิมเหรอโอ้ยยยย

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 05 ————



     “แล้วถ้าเราเลิกกัน เธอจะคบกับเค้าเหมือนเดิมไหม”

     ไม่มั่นใจว่าบทสนทนานั้นเริ่มขึ้นตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่เรากินหมูกระทะหลังจากช่วงที่เราคบกันใหม่ๆ หรืออาจจะเป็นตอนที่เรากำลังดูหนังในห้องของใครสักคนหลังจากคบกันมาสองปีแล้ว จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน และจำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าทำไมเราเจอเหตุการณ์อะไรเราถึงถามคำถามแบบนี้ออกมาให้กัน

     ช่างเถอะ, เอาเป็นว่าตอนนั้นมันนานมากก็แล้วกัน

     “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

     “ก็แค่— ลองๆ คิดดู”
จำได้แค่ว่าคุณเป็นคนพูดคำนั้น “ว่าถ้าเราเลิกกัน จะเลิกเป็นเพื่อนกันไปเลยหรือเปล่านะ”

     “แล้วทำไมต้องคิดด้วย”


     ไม่ได้ถามด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นหรือประชดประชัน ผมแค่ถามเฉยๆ คงเป็นเพราะปกติคุณไม่ใช่คนชอบเอ่ยเรื่องอนาคต (หมายถึงอนาคตของเรา) ประกอบกับที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ ไอ้คำพูดจำพวกพอเธอแก่แล้วเราไปอยู่บ้านด้วยกันเถอะหรือว่าเธออยากเจอพ่อแม่เราหรือเปล่าก็หลุดปากออกมาน้อยมาก อย่างมากก็แค่เวลาเราเจอร้านอาหารแล้วบอกกันว่าเอาไว้ไปร้านนั้นด้วยกันนะอิหรอบนี้มากกว่า

     เราสัญญากันน้อยเรื่องมาก— น้อยมากๆ

     และไม่รู้ว่าอะไรทำให้เราไปถึงคำสัญญาในเรื่องนี้ได้

     กลางเรื่องเราคุยอะไรกันบ้างนะ เราทะเลาะกันหรือเปล่า คุณงอนหรือผมเองที่เป็นคนน้อยใจ – ผมตอนนี้จำอะไรไม่ได้สักอย่าง จำได้แค่ว่าเราจบกันด้วยคำพูดว่า

     “ถ้าเราเลิกกันแล้ว ช่วยเป็นเพื่อนกันต่อด้วยนะ”

     “ครับ”
ผมตอบแบบนั้น “สัญญา”

     จำได้ว่าคณณัฐ์แปลกใจนิดหน่อยกับคำพูดนั้น แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นการฉีกยิ้มกว้าง

     เอ่ยเอื้อนคำเดียวกันกลับคืนมา

     “สัญญา”

     ใช่, เราสัญญากันแบบนั้น

     แต่สุดท้ายผมนี่แหละที่ทำไม่ได้

      รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่เคยชอบคำสัญญาที่อาจจะทำไม่ได้ในท้ายที่สุด รู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่ควรให้คำมั่นกับสิ่งที่อาจจะไม่จีรังยั่งยืน

     เพราะแบบนั้นหรือเปล่าถึงรู้สึกว่าลืมคุณไม่ได้เสียที




     ผม – ในวัยยี่สิบเจ็ด – มองหมูยอเส้นที่ซื้อมาเกินจำนวนที่ตัวเองจะกินและขนมเปี๊ยะเจ้าดังจากอุบล อุตส่าห์แบ่งให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ไปแล้วแต่ก็ยังมีเกินกว่าที่ตัวเองจะเก็บได้อยู่ดี ปกติก็ไม่ค่อยทำอะไรกินเท่าไหร่เสียด้วย – คงเพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อมาฝากอีกคนด้วยกระมัง

     k.
     กลับไปทำตามสัญญาได้เปล่า
     เลิกกันแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิมนะ

     ยังจำคำพูดของคุณได้อยู่เลย – แม่งเอ้ย

     ผมถอนหายใจพรืด ตอนนั้นก็ตัดสินใจตอบไปด้วยเลขห้าที่ยาวกว่าทุกครั้งแทนการหัวเราะอย่างสมเพชตัวเองแล้วก็ใช้คำพูดปิดโอกาสตัวเองจนแทบเป็นศูนย์

napat
55555555555555
นึกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกันแล้วซะอีก
แบบนั้นก็ได้ครับ

     สุดท้ายแล้วผมเองนั่นแหละที่ต้องมานั่งกุมขมับ มีสองความคิดตีกันว่าระหว่างโอเค เพื่อนก็เพื่อนกับเพื่อนก็เหี้ยแล้ว วนเวียนเถียงกันอยู่อย่างนั้น คิดว่าถ้ายังคิดไม่ตกอีกหน่อยอาจจะต้องเลือกปรึกษาใครสักคน

     คงจะดีกว่านี้อีกหน่อยถ้าหากไม่ใช่วันต่อมาหลังจากบทสนาทนานั้นจบลง คุณบอกว่ามีเคสด่วน จากนั้นก็หายไปเลย ไลน์ไม่ได้ตอบอะไรอีก เล่นเอาตัวผมกระวนกระวาย ไอ้ครั้นจะทักไปบอกว่า นัดเจอกันไหมเผื่อเอาหมูยอกับขนมเปี๊ยะไปให้ก็ดูเป็นเรื่องกระอักกระอ่วน คิดไม่ออกว่าถ้าเจอหน้ากันตรงๆ จะเผลอทำหน้าแบบไหนออกไปเสียด้วย ขืนบรรยากาศกร่อยคงจะให้รู้สึกแย่น่าดู

     ผมเอาหมูยอที่เหลือไม่ถึงเส้น เดินไปที่ครัวแล้วหั่นให้เป็นลูกเต๋าขณะที่เปิดดูในตู้เย็น หยิบไข่ออกมาสองฟอง ทำไข่เจียวง่ายๆ

     เออ กินหมูยอคนเดียวก็ได้!



     
     ทั้งที่หมายมั่นปั้นมือไว้แบบนั้นแท้ๆ แต่เพียงเห็นคนที่หายหน้าหายตาไปจากแอพพลิเคชั่นไลน์สามวันทักทายเข้ามาประโยคเดียวขณะที่ผมกำลังตัดต่อคลิปวีดีโออยู่ในออฟฟิศ ไอ้ตัวผมถึงกับรู้สึกทำสีหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว

     k.
     อ้าว เพิ่งเห็นว่าลืมตอบเธอ

     อยากจะประชดประชันว่าลืมนานกว่านี้ก็ไม่เป็นไรหรอกคุณ! แต่แน่นอนว่านั่นแค่คิดในใจเท่านั้น

     ผมเห็นข้อความเด้งอีกสองสามประโยคแต่ไม่อยากจะกดเข้าไปดู ปิดหน้าจอโทรศัพท์ใส่ใจกับงานตรงหน้าก่อน ไม่ใช่แฟนเก่าที่กำลังอยากเป็นเพื่อนกัน – แม่งเอ้ย, รู้สึกว่าตัวเองขี้น้อยใจเหมือนกับสาววัยแรกรุ่นอย่างไรอย่างนั้น

     ผมเมินเฉยกับข้อความของอีกฝ่ายได้จวบจนพักเที่ยง ตอนที่เดินออกมากินร้านข้าวแกงกับพี่ๆ ที่ออฟฟิศบทสนทนาวนเวียนอยู่ถึงเรื่องทริปบรรยากาศการไปเที่ยวที่ผ่านมาไปจนถึงการวางแผนถึงคอนเทนต์การท่องเที่ยว

     “ลองไปตามงานที่เขาจัดไหมพี่” ไอ้โย่งเสนอ “ปกติถ้าเที่ยวในกรุงเทพฯ พี่ก็พาไปร้านนู้นร้านนี่ใช่ปะ ถ้าเป็นตามงานที่เขาจัดบ้างก็ไม่เลวมั้ง”

     “เออ พวกนั้นก็น่าสนใจ” พี่เอกทำท่ากรุ่นคิดก่อนจะหันไปคุยกับแฟนตัวเองว่ามีกิจกรรมไหนที่อยากทำเป็นพิเศษหรือเปล่า

     “Wedding Fair ไหม” ผมเอ่ยถาม “พวกลูกเพจเขาก็รู้กันนี่นาว่าพี่จะแต่งงาน”

     “โอ๊ย ผิดคอนเซปต์เพจไปเยอะ”

     “ก็ยังไงพี่ก็ต้องไปอยู่แล้วไง”

     “เก็บๆ ไว้ก่อนแล้วกัน” หัวหน้าว่าเช่นนั้น “แต่ถ้าไปงานอะไรพวกนี้คนตัดต่อลำบากนะเว้ย มึงจะทำทันเหรอไอ้ณะ”

     บทสนทนาเราวนเวียนกันอยู่แค่นั้นในช่วงพัก ผมเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ ในเฟซบุ๊กเผื่อจะมีร้านหรืออะไรน่าสนใจ ระหว่างนั้นเห็นชีวิตเพื่อนที่แยกย้ายกันไปแทรกอยู่บ้างก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่ยามเฟซบุ๊กแส่รู้ด้วยการขึ้นข้อความเตือนขึ้นมา

     Kunnanad T. sent you a friend request.

     —จริงสินะ ผมยังไม่ได้รับแอดจากคุณเลยตั้งแต่ตอนนั้น

     เพราะปกติคุยไลน์กัน ไม่ได้ห่างกันไปนานเท่าไหร่เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก ไม่รู้ว่าเฟซบุ๊กแส่รู้ขึ้นมาหรืออาจเป็นคุณที่ส่งคำขอมาใหม่ แต่นั่นก็ดูผิดวิสัยของคุณไปเสียหน่อย ผมเลยเทน้ำหนักไปที่ข้อแรกมากกว่า

     ผมมองปุ่มสองปุ่ม

     ความหมายของมันคือการตอบรับกับปฏิเสธ

     สุดท้ายผมก็ยอมกดตอบรับคำขอนั้นหลังจากเมินเฉยมันมาเสียนาน

     ไม่มีแล้วนายณภัทรที่จะจมปลักกับเรื่องเก่าๆ นายณภัทรคนนี้จะเอาใหม่ ไม่มีมาตราการรอเพื่อนตอบไลน์ ไม่มีการอยากเจอหรืออยากได้ยินเสีย ไม่มีกระทั่งการคิดเรื่องเก่าๆ

     เพื่อนก็เพื่อนดิวะ!




     
     
napat
(photo)
(photo)
เธอเคยบอกอยากกินใช่ปะ

     อย่าไปบอกใครแล้วกันว่าอาทิตย์ก่อนหมายมั่นปั้นมือกับตัวเองอย่างไร – เสียหมาฉิบหาย

     ผมเกลียดการที่พอเจอเมนูบางเมนูก็ย้อนนึกถึงบทสนทนาเรื่อยเปื่อยของคุณ การเดินเข้ามาในร้านอาหารเกาหลีแล้วกินเมนูที่ปกติตัวเองไม่คิดอยากกินเพียงเพราะนึกสงสัยว่ารสชาติแบบไหนที่คุณอยากกินเป็นเรื่องพิลึก และการถ่ายเมนูนั้นไปให้คุณก็เป็นเรื่องที่พิลึกมากขึ้นไปอีก

     k.
     เอ้า 5555555 เธอกินเหรอ?


napat
ครับ
ทำไมเหรอ

     k.
     ก็ปกติไม่น่าจะกินอะไรงี้อ่ะ
     แล้วนี่ออกไปทำอะไรเหรอ

     
napat
มาดูหนัง

     ตอบไปพลางละเลียดกินข้าวไป เอาจริงๆ นะ, ไอ้ไก่ทอดเกาหลีราดชีสนี่เห็นจะไม่อร่อยตรงไหน เสียสุขภาพอีกต่างหาก ผมคิดว่าผมคงจะเลี่ยนก่อนกินหมดแหงๆ แต่นั่นแหละ สั่งมาแล้ว จะไม่กินก็เสียดายเงิน

     k.
     แหน่ะๆๆ แผลหายแล้วก็เปรี้ยวเลยนะ
     ไปกับใครค้าบ

     ผมได้แต่ถอนหายใจพรืดกับคำถามนั้น ถามจริงคณณัฐ์ ถามจริง! นั่นคือสิ่งที่อยากจะตะโกนถามอีกฝ่ายแต่ทำได้แค่ในใจ ช่วงหลังๆ คุณเริ่มหยอกเย้าผมเหมือนกับเราเป็นเพื่อนกัน – ให้ตาย พูดแล้วก็เศร้าเอง – แต่นั่นแหละ คุณทำแบบนั้น วันก่อนคุณยังบอกว่าไม่เชื่อที่ผมจะโสดสนิท แบบไม่มีใครจริงๆ

     คณณัฐ์คิดว่าผมหน้าตาดีมากขนาดนั้นเลยหรือ ส่องกระจกแล้วก็เริ่มจะภูมิใจหน่อยๆ แม้ในใจจะตัดพ้อรอบที่ล้านว่าผมไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายคิดอย่างนั้นสักนิด

     
napat
มากับสาว

     k.
     เอ้าาาาา ไหนบอกไม่มีใคร
     โกหกนี่นา แย่ๆๆๆ

     ช่วยแสดงอาการเศร้าเสียใจหน่อยได้ไหมคุณ แค่นี้ผมก็จะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว เล่นตอบกันมาแบบนี้ก็เหมือนคุณจะไม่คิดอะไรเลย

     ไอ้เวรเอ๊ย, ก่อนเลิกกันก็ฉีกเฟรนด์โซนมาได้ เลิกกันแล้วมาเจอกันใหม่ก็ยัดกันไปอยู่ในตำแหน่งเดิมเฉย

     
napat
ก็ยังเชื่อเนอะ 555
มาคนเดียวครับ
     
     k.
     จริงเปล่า เชื่อได้ปะเนี่ย

napat
ช่วยเชื่อเถอะตอนนี้

     k.
     5555 เชื่อก็ได้
     ณะดูอะไรมาเล่าให้ฟังมั่งนะ
     เราไปกินข้าวบ้างแล้ว

     ผมส่งสติ๊กเกอร์ไปหนึ่งตัว ล็อกหน้าจอ เห็นว่ามีข้อความอีกสองสามคำจากคนช่างชวนคุยแต่ก็เมินเฉย อย่าว่ากันเลยในเมื่อมันเป็นการมอบโอกาสให้ตัวเองต่อบทสนทนาอื่นต่อไปเรื่อยๆ

     สุดท้ายแล้วอาหารมื้อนั้นก็เหลืออย่างที่ผมคาดการไว้ การกินอะไรเลี่ยนๆ ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ นึกขันที่คุณหมอซึ่งน่าจะซีเรียสเรื่องสุขภาพเมินเฉยกับเรื่องพวกนี้มากกว่าผมอีก ตอนที่ผมถาม เจ้าตัวก็บอกว่าเราก็รู้หมดแหละว่าอะไรดีไม่ดี แต่ก็อยากกินนี่ ซึ่งมันก็ถูกต้องของเขา – ก่อนเลิกกันคุณก็เป็นคนที่ดูมีความสุขกับการกินมากเสียจนผมไม่เคยโต้แย้งใดๆ ในเรื่องนี้



     
     เทศกาลหนังญี่ปุ่นทำให้ผมมีความสุขในวันเสาร์ – อาทิตย์ จริงอยู่ที่ตอนเรียนผมเรียนเอกตัดต่อ เพราะฉะนั้นเลยคลุกคลีอยู่กับภาพยนตร์ค่อนข้างมาก ตอนที่ตัวเองเรียนอยู่ก็คิดว่าจะทำงานเกี่ยวกับด้านนั้นเหมือนกัน ถึงสุดท้ายจะมีหลายปัจจัยให้ไม่ได้ทำงานตรงตามที่เคยคิดไว้ในตอนนั้นเท่าไหร่ แต่การใช้ทั้งวันในการดูหนังสองสามเรื่องในโรงหนังขนาดเล็กและล้อมรอบไปด้วยคนที่ดูจะเข้าใจทุกอย่างเหมือนกันก็เป็นความรู้สึกที่ดี

     ผมออกจากห้างช่วงสามทุ่ม ถนนที่เคยหนาแน่นในช่วงกลางวันเหลือรถน้อยแล้ว ส่วนผมก็ได้แค่มองจากสะพานเดินขึ้นไปที่รถไฟฟ้า ถ้ารถเป็นแบบนี้ทั้งวันก็คงจะดี ผมไม่ค่อยอยากขับรถยนต์เพราะไม่ชอบช่วงที่ต้องติดอยู่ในถนนนานๆ ตอน rush hour ประกอบกับได้ที่ทำงานห่างไปจากคอนโดไม่ถึงหนึ่งสถานีดี ผมเลยยังกระเตงมอเตอร์ไซค์คันเดิมเป็นพาหนะคู่ใจไปก่อน วันไหนจะไปที่อื่นค่อยพึ่งรถไฟฟ้ากับ grab เอา

     ผมเดินแทรกเข้าไปในรถไฟฟ้า ผู้คนไม่ได้น้อยขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้แออัด ในหัวคิดไปถึงหนังที่เพิ่งดูจบทั้งสองเรื่อง

     เวลาไหนที่เหงามากที่สุดก็คงจะเป็นเวลาแบบนี้ เจอหนังที่อยากพูดคุยกับใครสักคนแล้วไม่มีใครคุยด้วย ได้เจอเพลงใหม่ที่ชอบแล้วไม่รู้จะแชร์กับใคร จะบอกว่าให้แชร์กับเพื่อนอย่างไอ้โย่งหรือเพื่อนในคณะคนอื่นที่เริ่มห่างๆ กันไปแล้วก็คงไม่ใช่

     เคยบ่นเรื่องนี้กับเจ้ปัน เจ้มันก็บอกว่าให้เลี้ยงสัตว์สักตัวแล้วพล่ามให้มันฟังเอา เป็นคำแนะนำที่เหมาะกับผู้ที่โสดมาอย่างเชี่ยวชาญฉิบหาย

     เปิดประตูเข้ามาในห้องพบเจอแต่ความมืด คลำหาสวิชต์เปิดไฟ โยนกระเป๋าที่ใช้อยู่ใบเดียวของตัวเองไว้ที่โซฟา เดินเอาเฉาก๊วยที่ซื้อมาเพราะสงสารยายแกไปใส่ไว้ในตู้เย็นก่อนจะนั่งเอื่อยเฉื่อยเพราะยังไม่อยากอาบน้ำ แต่ก็ยังไม่ขยันพอจะเปิดคอมมาทำงานที่ตัวเองรับเพิ่ม

     k.
     ณะๆ
     วันอาทิตย์หน้าว่างไหม

     ขมวดคิ้วนิดหน่อยกับคำถามที่ถูกยื่นให้กันค้างไว้เมื่อสาม – สี่ชั่วโมงก่อน

     
napat
มีอะไรหรือเปล่า

     พิมพ์คำถามกลับไปและออกหน้าแชตออกมาก่อน คุณคงไม่ตอบผมในเร็วๆ นี้ก่อนจะขมวดคิ้วอีกหน่อยเมื่อเห็นว่ามีอะไรแปลกไปในแอพพลิเคชั่น

     ปกติไลน์ผมมีแชตน้อยมาก นอกเหนือจากไลน์ครอบครัวและงานที่ปักหมุดไว้บนสุด คนที่ตอบโต้กันตลอดก็มีแค่คณณัฐ์ พี่ชาย และเหล่าออฟฟิเชี่ยลต่างๆ แต่ตอนนี้กลับมีแชตใบหน้าผู้หญิงยิ้มแป้นให้เห็นอีกคน

     ขิม
     พี่ณะว่างไหมคะ
     น้องจะมาถามว่าพี่ณะรับถ่ายรูปรับปริญญากลุ่มมั้ยย

     งุนงงนิดหน่อยว่าเธอเอาไลน์ผมมาจากไหน แต่ก็พอเข้าใจได้กับคำถามนั้น ยิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องงานเลยยิ่งตอบกลับอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนพิมพ์ค้างไว้ให้ตั้งแต่ตอนผมกลับบ้าน เลยไม่ได้สังเกต

napat
ต้องบอกรายละเอียดกับวันก่อนอ่ะ

     ขิม
     กลุ่ม 5 คนค่ะ ไม่ได้อยากได้อะไรยิ่งใหญ่อ่า ขอแค่ถ่ายที่มหา’ ลัย
     แต่วันเวลาคุยกันได้นะคะ ขิมอยากถ่ายกับเพื่อนๆ
     ปกติพี่ณะคิดราคาเท่าไหร่คะ

     น้องขิมตอบกันเร็วเหมือนกับเฝ้ารออยู่ตลอดเวลา ผมพิมพ์รายละเอียดต่างๆ ให้ยาวเหยียด ผมเคยรับถ่ายรูปรับปริญญามาบ้างแต่ส่วนใหญ่มาจากคนรู้จักๆ กันเลยไม่ได้ทำอะไรเป็นกิจลักษณะนัก ยังไงก็ไม่ใช่ช่างภาพอาชีพ แค่ถือคติไม่เลือกงานไม่ยากจน

     ขิม
     งั้นเดี๋ยวน้องถามเพื่อนก่อนนะคะ
     แต่เพื่อนๆ อยากจะให้พี่ณะถ่ายแหละ

     
napat
เอ้า เพื่อนรู้จักพี่ด้วยเหรอ
     
     ขิม
     อัพรูปที่อุบลฯ ในไอจีงายย
     เพื่อนๆ บอกว่าพี่ถ่ายสวย

napat
อ๋ออ
โย่งก็ถ่ายสวยนะ

     เสนอตัวเลือกไปให้ ระหว่างโย่งกับผม ไอ้โย่งรับงานถ่ายภาพบ่อยเสียจนรายได้แทบจะเทียบเท่ากับที่พี่สาวน้องจ้างเป็นตากล้องแล้วกระมัง

     ขิม
     น้องอยากให้พี่ณะถ่าย

     
napat
     แล้วแต่ครับ 55555


     ผมทำสีหน้าไม่ถูกกับคำพูดแบบนั้น คิดแบบไม่มีนัยยะก็ไม่มีอะไร แต่ก็นั่นแหละ, ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเสียหน่อยที่มีเซ้นส์ ฟังดูน่าหมั่นไส้ฉิบหาย แต่ผมว่าผมก็มีเซ้นส์เรื่องแบบนี้อยู่บ้าง เพราะงั้นเลยเลือกตอบไปแบบกลางๆ

     น้องพิมพ์กลับมาว่าขอคุยกับเพื่อนแป๊บหนึ่งแต่ถ้าจ้างจริงๆ จะเป็นช่วงเสาร์ – อาทิตย์ ให้คำตอบได้ภายในพรุ่งนี้ ไม่วายทิ้งท้ายเย้าแหย่กันว่ารู้จักมักจี่กันลดราคาให้ได้หรือไม่ ไอ้เราก็อยากจะบอกว่าน้องครับ ถ่ายรูปให้สาวๆ แม่งเหนื่อยฉิบหายแต่สิ่งที่ตอบกลับไปได้ก็แค่คำว่าเอาไว้จะลองคิดดู

     ออกจากไลน์มาไม่ทันไรก็ต้องกดเข้าไปใหม่เมื่อพบว่าคนที่ถามคำถามไว้ตอบกลับมา

     k.
     นี่กับเพื่อนซื้อจองบุฟเฟ่ต์โรงแรมไว้อ่ะ
     แต่เขาไม่ว่างแล้ว
     สนใจไหม จะขายต่อ 55555

napat
     ที่ไหนอ่ะ กลางวันเหรอ
     
     k.
     (photo)
     (photo)
     ที่นี่ๆ ตอนนั้นมันมีโปรจองผ่านแอปอ่ะ
     จะทิ้งก็เสียดายด้วย

napat
     อ๋อ คิดออกๆ
แล้วเธอไม่อยู่เวรเหรอตอนนี้
     
     k.
     เพิ่งออกครับ กำลังจะขับรถกลับ

     
napat
     ขับดีๆ นะ
ก็น่าสนใจอ่ะ เห็นกุ้งแล้วอยากกิน
แต่ไม่รู้จะไปกับใคร 55555

     ผมตอบกลับไปแบบนั้น ภาพที่อีกฝ่ายส่งมาก็ชวนน้ำลายสอไม่เบา ราคาก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับบุฟเฟ่ต์โรงแรมชื่อดัง จำได้ว่าตอนเห็นโปรโมชั่นผมยังแคปหน้าจอไว้อยู่เลย เพียงแค่ไม่มีเพื่อนไปด้วย

     k.
     เดี๋ยวขายให้ราคาคนเดียวไหม 5555
     เค้าแค่เสียดายอ่ะ
     อยู่ๆ คนที่จะไปด้วยก็ติดเวร

     คำพูดชวนขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อในหัวเผลอมีคำถามเข้ามาว่าปกติคนเราไปกินบุฟเฟ่ต์โรงแรมกับใครสองคนกันนะ

     และใช่, คนส่วนใหญ่น่าจะไปกินกับแฟน

     
napat
     แหน่ะ ตอนแรกจะไปกับใคร

     k.
     เธอไม่รู้จักหรอก 55555555555

napat
     เดท?

     ผมกดออกจากหน้าแชตเมื่อเห็นว่าข้อความนั้นขึ้นอ่านแล้วในทันที ล็อกหน้าจอ ตั้งใจจะรอแจ้งเตือนว่าอีกฝ่ายตอบกลับมาว่าอะไร

     แล้วมันก็เป็นคำตอบที่ตอบกลับมาแบบให้ผมหน้าหงาย

     k.
     55555555555

     คุณไม่ใช่คนชอบโกหก – ผมรู้ – และเรื่องที่คุณชอบบ่ายเบี่ยงด้วยการหัวเราะผมเองก็รู้อีกนั่นแหละ

     แม่งเอ๊ย, ผมสบถคำผรุสวาทในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งกว่าโดนกระทะฟาดหน้ายามคิดว่านัดนั้นสำหรับคุณอาจจะเป็นเดตจริงๆ ก็ได้ แล้วอีกฝ่ายเป็นใคร? ผมอยากจะดึงทึ้งศีรษะตัวเองฉิบหายในตอนนี้แต่สิ่งที่พิมพ์กลับไปได้น่ะหรือ—

napat
     55555555555555555

     ใครก็ได้ช่วยแทนเลขห้านั่นแทนคำว่าห่าที ขอร้อง!

     k.
     เดี๋ยวค่อยตอบก็ได้ครับ

napat
     เธอ

     ผมสูดลมหายใจ พิมพ์ไปคำเดียวแล้วขึ้นว่าอีกฝ่ายรับรู้เลยแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาราวกับรอให้ผมพิมพ์ประเด็นเข้าไปก่อน

     ณภัทร เอาสักหน่อย, ลองดูไม่เสียหาย

     
napat
     ยังไงเค้าก็ไม่มีใครไปด้วยอยู่แล้ว
ถ้าไม่อย่างนั้น
เธอไปกินกับเราได้ไหมครับ





-------------------------

ตอนหน้าไม่มีแชตแล้ว!

ช่วงนี้ดูแลสุขภาพกันดีๆ นะคะ
สภาพอากาศในประเทศเราย่ำแย่มากจริงๆ
ใครเป็นภูมิแพ้ยิ่งต้องระวังเลยค่ะ

เจอกันในแท๊กนะคะ  :pig4:
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2019 23:09:54 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รออยู่เลยค่ะะ มาอัพแล้วว
ณะสู้หน่อยเอ้ยยย ถึงแม้คุณจะดูยากมากก็ตามว่ารู้สึกยังไง

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ชอบคาร์คุณหมอมากเลย น่ารัก อยากปกป้อง อยากดูแล แง  :mew1:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 06 ————



     ผมพยายามแล้วที่จะบอกตัวเองไม่ให้ประหม่า

     แต่นั่นแหละ, มันยากมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก

     ตื่นมาเช้ากว่าปกติเพื่อเล่มเกม ตีป้อมแตกไปอีกไม่รู้กี่ป้อม ตอนแรกก็คิดว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอกไปกินข้าวกับคนที่เป็นเพื่อน (และแฟนเก่า) ไม่น่าจะวุ่นวายขนาดนั้น อาบน้ำเตรียมตัวชิลๆ ก่อนที่จะสำเหนียกได้เมื่อตัวเองเดินทางออกมาว่าสองชั่วโมงนั้นโกหก – ความจริงผมตื่นเต้นแบบฉิบหาย

      เสยผมที่เริ่มยาวปรกหน้าเป็นรอบที่ร้อย ถึงจะบอกว่าเป็นร้านอาหารโรงแรมแต่ก็ไม่ได้เป็นโรงแรมหรูอะไรเลยแต่งตัวได้แบบปกติ คลายความกังวลไปบ้างก่อนที่จะเริ่มตื่นเต้นใหม่เมื่อเห็นข้อความของอีกฝ่ายที่บอกว่าเพิ่งจอดรถเสร็จ

     เคี้ยวลิ้นตัวเองตายไปก่อนเลยได้หรือเปล่า

     —จำได้ว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่แบบนี้นะณภัทร

     ครั้งสุดท้ายที่ตื่นเต้นเวลามาเที่ยวกันสองคนเป็นตอนไหนนะ อาจจะเป็นตอนที่เริ่มจีบน้องหวานติดสมัยม. สี่ จำได้ว่าตอนนั้นไปรับเขาเพื่อไปเดินตลาดแถวบ้าน ตื่นเต้นฉิบหายเหมือนกัน แต่พอมานั่งคิดดีๆ แล้ว ก็อาจจะไม่ใช่, มีครั้งที่กระอักกระอ่วนกว่านั้นอีก

     ตอนที่ผมกับคุณไปเดตกันครั้งแรกหลังตัดสินใจคบกันนั่นแหละ

     “ณะ”

     เสียงเรียกชื่อทำให้ผมนับหนึ่ง, สอง, สามในใจ ตั้งใจจะหันไปทันทีหากแต่สุดท้ายมันก็เกินเป็นสี่, ห้า,
และ— เอาวะ สักตั้ง!

     “มาแล้วเหรอ” นั่นเป็นคำทักทายที่เก้ๆ กังๆ และดู non-sense ที่สุดในโลกใบนี้

     “มาแล้วสิ” อีกฝ่ายวาดยิ้ม “ไม่งั้นจะเห็นเหรอ”

     คุณเป็นเหมือนเดิม ผู้ชายรูปร่างสูงผิวขาว ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ขายาวให้รู้สึกว่าเด็กลงมาหน่อย ผมที่ไม่เคยผ่านการทำสีนั้นไม่ได้ถูกเซ็ตแต่ดูจะเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งสุดท้ายที่ได้เจอ คงไปตัดผมมาเสียละมั้ง

     ไม่รู้ว่าเผลอสำรวจอีกฝ่ายท่ามกลางความเงียบนานไปหรือเปล่า คุณเลยยกมือขึ้นมาเกาศีรษะ เบนสายตาไปทางอื่น “งั้นเราเข้าไปกันไหม” ถามด้วยน้ำเสียงน่าฟังเหมือนกับที่เคยเป็นมา

     “—อา” เผลอทำอะไรไม่ถูกก่อนจะพยักหน้าลง

     คุณพยักหน้าให้ผม เดินนำไปก่อนแต่คงเพราะปกติคุณเป็นคนเดินช้าในขณะที่ผมเดินเร็ว เราเป็นแบบนั้นเสมอ, แค่สองสามก้าวของผม เราก็กลับมาเดินอยู่ในระยะเดียวกัน

     พวกเราอยู่ในระยะห่างที่น่ากระอักกระอ่วนแปลกๆ มันไม่ได้ห่างไกลจนคนไม่รู้ว่าเรามาด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ใกล้ถึงขนาดที่หลังมือเราจะสัมผัสกันยามที่มันแกว่งเพราะจังหวะการเดิน

     ระยะทางจากตำแหน่งที่ผมยืนรอคุณมาถึงร้านอาหารไม่ได้นานขนาดนั้น ตอนที่เราเดินไปขึ้นบันไดใกล้ๆ จวบจนขึ้นลิฟต์ ยามประตูลิฟต์เปิดก็กลายเป็นที่ที่คุณจองไว้ตั้งแต่ต้น

     “จองไว้ครับ” คุณเอ่ยปากกับพนักงานที่ยืนต้อนรับ ส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายอ่านหมายเลขในการจอง ก่อนที่พนักงานจะโน้มศีรษะบอกว่าให้รอสักครู่ถึงหันกลับมาหาผม “แปลกๆ เนอะ”

     ผมเลิกคิ้ว “—แปลกตรงไหนเหรอ” ถามคำถามโง่ๆ ไปทั้งที่คิดเหมือนกัน

     “ไม่รู้สิ” อีกฝ่ายทำหน้ากรุ่นคิด “แค่แต่ก่อนคิดว่า— คงไม่ได้มาทำไรแบบนี้กับเธอแล้วมั้ง”

     ผมหัวเราะแห้งๆ

     “แค่กินข้าวเอง”

     “นั่นสิ” คุณว่าอย่างนั้น “แค่กินข้าวเอง”

     พนักงานเข้ามาแทรกเราก่อนจะพาเราไปที่โต๊ะทำให้บทสนทนาสั้นๆ และแสนกระอักกระอ่วนจบลงตรงนั้น ผู้คนในร้านค่อนข้างหนาตาแต่ไม่ได้แออัดจนเกินไป นั่งฟังเขาชี้แจงเวลาและโซนอาหารต่างๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะตามมาด้วยประโยคว่าขอให้ทานให้อร่อยครับ

     ทั้งที่ได้สัญญาณว่าเราควรเดินไปดูอาหารที่จ่ายเงินมาเสียหน่อย แต่เปล่าเลย, เราก็นั่งมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนนั่นแหละ

     เป็นคุณที่ถามขึ้นมาก่อน “เธอไปตักก่อนไหม”

     “ไม่เป็นไร เธอไปก่อนเถอะ”

     “ไม่อ่ะ เธอก่อน”

     เรามองหน้าอยู่เสี้ยววินาทีแล้วผมก็กระแอมไอ “งั้นไปด้วยกันนี่แหละ”

     “—ก็ได้ครับ”

     เพราะแบบนั้นเราเลยมายืนกันอยู่ที่หน้าไลน์อาหารญี่ปุ่นในตอนนี้ ผมลอบมองผู้ชายที่ส่วนสูงประมาณกัน คุณไม่ใช่คนตัวเล็ก ไม่ใช่เลยสักนิด, แต่ถึงแบบนั้นท่าทางสนใจในอาหารกลับดูน่ามองไม่หยอก ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณเป็นคนมีความสุขกับการกินหากแต่ไม่ได้อ้วนสักนิด คงเพราะไม่ใช่คนที่เน้นกินอะไรเยอะ แต่ชอบกินนู่นกินนี่ กินอาหารดีๆ พร้อมกับกินบรรยากาศไปด้วยมากกว่า

     “เอาแซลมอนไหม” คุณหันมาถามผมแบบนั้นตอนที่ผมเพิ่งซูชิบางส่วนลงบนจาน

     “เอามาก็ได้ครับ” ผมหันช่องว่างที่มีบนจานให้อีกคน คุณจัดการวางสโมกแซลมอนให้อย่างไม่อิดออด เงยหน้ามองกันราวกับจะถามว่าพอหรือยัง “พอแล้ว ขอบคุณนะ”

     “มีปลาดิบตรงนู้นด้วย” คุณว่าเช่นนั้น “เค้าว่าจะไปสั่ง เธอจะเอาอะไรไหม เผื่อสั่งให้”

     “สั่งมาเลยก็ได้ กินได้ทุกอย่าง”

     “อืม, จำได้”

     รอยยิ้มบางๆ กับคำพูดสองพยางค์นั้นทำให้ผมใจพองฟู แต่เหมือนคุณจะไม่คิดเช่นนั้น อีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนตัวเองเพิ่งพูดอะไรผิด ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้อธิบายหรือแก้ตัวแต่อย่างใด

     คุณไล่ผมให้เอาจานไปวางก่อนแล้วเดินไปในโซนที่จัดอาหารให้ตามออร์เดอร์ ผมทำแบบนั้นไม่อิดออด เดินไปที่โต๊ะ วางจาน หยิบแก้วน้ำทั้งสองใบก่อนที่จะเดินกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าทั้งสองแก้ว

     คนที่กลับมาที่โต๊ะแล้วทำหน้าตาเหรอหรา “เอาให้เราเหรอ”

     “กินเองมั้งสองแก้ว”

     “เธอกวนตีน” อีกฝ่ายว่าเสียงเบาเหมือนกับปกติ เป็นคนที่ด่าแล้วไม่เคยให้ความรู้สึกว่าโดนด่าจริงๆ สักครั้ง

     ผมหย่อนก้นนั่ง “กินน้ำเปล่าใช่ไหม” ถามอย่างไม่มั่นใจนัก

     “ถ้าเราไม่กินอ่ะ”

     “ก็ขอแก้วใหม่”

     “อื้อ”

     การพยักหน้าของอีกคนทำให้ใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ถามอย่างไม่มั่นใจเมื่อสิ่งที่คิดว่าจำได้มันถูกบั่นทอนลง “เธอดื่มอย่างอื่นเหรอ”

     ความเงียบชั่วอึดใจก่อนจะตามมาด้วยการคลี่ยิ้ม “เปล่า” เว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา “ไม่นึกว่าเธอจะจำได้”

     เราไม่ได้พูดอะไรกับประเด็นนี้อีก แม้ในใจผมจะเถียงว่ามีหรือจะจำไม่ได้ ตอนคบกันผมแทบไม่เห็นอีกฝ่ายดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวานต่างๆ เลยสักนิด น้อยมากๆ ถ้าไม่ใช่วันที่ต้องการคาเฟอีนจริงๆ คุณพกน้ำหนึ่งขวดติดกระเป๋า บางวันเป็นผมเองที่เดินไปซื้อให้ แถมยังโดนบ่นบ่อยๆ เรื่องดื่มน้ำน้อย – จะนานแค่ไหน มันก็ต้องจำได้บ้างแหละ

     “ช่วงนี้เป็นไงมั่งล่ะ” ผมถามออกไปทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นคำถามที่โง่พอตัว “ไม่ได้เจอกันตั้ง— เดือนนึง?”

     “แค่เดือนเดียวเอง” คณณัฐหัวเราะ “จะมีอะไรเปลี่ยนไป เหมือนเดิมแหละ วนเวียนอยู่แค่นี้ วอร์ด หอพัก
บ้าน”

     “กลับบ้านบ่อยไหม”

     “บ่อยสิ บ้านก็อยู่แค่นี้ แล้วเธอล่ะได้ไปเยี่ยมแม่บ้างหรือเปล่า”

     “ถ้าได้วันหยุดก็กลับ”

     “คุณน้าก็ย้ายไปไกลจังเลยนะ”

     “ก็กลับบ้านเขาแหละ ไม่ได้มีอะไรหรอก อยู่กับ ป้าๆ ก็ดีนะ”

     ผมพูดถึงแม่ของตัวเองที่ตอนนี้ย้ายกลับไปอยู่กับคุณป้าที่แม่ฮ่องสอน เดิมทีแม่ของผมเป็นคนเหนือแต่มาแต่งกับคุณพ่อที่อยู่กรุงเทพฯ ด้วยหน้าที่การทำงานต่างๆ ก็เลยอยู่กรุงเทพฯ จวบจนวัยเกษียณแล้วจึงขายบ้านไปซื้อบ้านใกล้ๆ กับเครือญาติของแม่ที่นู่น พี่ชายผมเองก็แต่งงานแล้วกลายเป็นแต่งเข้าบ้านภรรยา ตอนนี้เลยมีผมอยู่หัวเดียวกระเทียมลีบแบบนี้

     “แต่มันก็สงบดีแหละ” คุณเอ่ยแบบนั้น “ตอนเราไปนครศรีฯ เราว่ามันก็คนละอารมณ์นะ แต่ถ้าเราไปอยู่ถ้าเหนือก็คงอีกอารมณ์อีกอยู่ดี”

     “อืม ก็ดีแหละ เขาอยากพักกันแล้วด้วย”

     “แล้วเธอไม่อยากย้ายไปด้วยเหรอ” คนตรงข้ามเอียงศีรษะเล็กน้อยขณะที่คีบปลาดิบเข้าปาก “งานของเธอมันก็น่าจะทำที่บ้านได้นี่นา ก่อนหน้านี้เธอเป็นฟรีแลนซ์ไม่ใช่หรือ”

     “ก็— ไม่รู้สิ ตอนนั้นเพิ่งได้งานประจำปีเดียวเองมั้ง” ผมยกน้ำจิบเบาๆ ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องอีกฝ่ายเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ “แล้วยังไงก็อยู่กรุงเทพฯ มาตลอดด้วย อยู่ที่นี่พี่ๆ เพื่อนๆ ก็ช่วยหางานนู่นงานนี้ให้ทำดี เก็บเงินไปเรื่อยๆ ก่อน”

     “อ๋อ ก็ดีนะ”

     “แต่ก็คิดถึงที่บ้านเหมือนกัน”

     “ก็ปกติเธอติดบ้านอ่ะ”

     “เปล่าสักหน่อย” ผมเถียง รู้สึกเหมือนโดนคุณด่าว่าเป็นลูกแหง่ชอบกล “เธอนั่นแหละไม่ค่อยกลับบ้านเอง”

     “ก็ตอนเรียนมันหนักนี่ แต่ช่วงนี้กลับบ่อยแล้วเถอะ”

     ปากของอีกฝ่ายเริ่มทำการเถียง คิ้วขมวดเข้าหากันเสียจนอยากจะเอาตะเกียบที่อยู่ในมือนี้จิ้มให้มันคลายออก คุณใช้ตะเกียบหยิบซูชิเข้าปากอีกคำแล้วทำการอธิบายต่อ

     “รู้น่า ช่วงหลังๆ คุณแม่ของเค้าเริ่มไม่ค่อยสบายด้วย”

     “แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่หรือเปล่าครับ” 

     “ไม่หรอก ก็ตามอายุนั่นแหละ”

     จำได้ว่าสมัยก่อนคุณแม่ของคุณก็เป็นหนึ่งในบทสนทนาบ่อยๆ คุณเป็นคนรักที่บ้าน พูดถึงแม่กับน้องสาวที่อยู่กันแค่สามคนบ่อยมากๆ คงเพราะโตมากับบ้านหญิงล้วนด้วย เลยยิ่งทำให้คุณเป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่าเรียบร้อยกว่าผู้ชายทั่วไป ทั้งนิสัยไม่โวยวาย ทั้งทำอะไรสงบๆ รวมไปถึงคำพูดคำจา ไอ้การที่คุณเรียกคุณแม่ทุกคำไม่เสื่อมคลายนี่ก็เหมือนกัน

     บทสนทนาเราวนไปเรื่อง น้องสาวของคุณ พี่สาวของผม เรื่องที่ญาติคนไข้ที่พูดคุยกับคุณหรือว่าเรื่องแปลกๆ ที่เจอมาทั้งประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อม

     ผมชอบเห็นปากนั่นขยับมากกว่าเห็นข้อความตัวอักษร ชอบที่จะได้ยินเสียงมากกว่าต้องมานั่งเดาว่าจริงๆ แล้วตอนที่อีกฝ่ายพิมพ์เลขห้ามาแทนการหัวเราะจริงๆ ไหม หรือว่าพิมพ์มาเพื่อไม่ให้มันดูห้วนจนเกินไป ชอบที่จะเห็นดวงตาอีกฝ่ายหยีลงจนเป็นพระจันทร์เสี้ยวตอนที่ผมเล่าเรื่องตลกในออฟฟิศให้ฟัง

     คุณ

     ผมได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นมาจากสมอง ไฟแดงกระพริบถี่ๆ ขณะที่ในหัวของผมมีแต่ชื่อคุณ เสี้ยววินาทีที่ฉุกคิดว่าไอ้เวร นายณภัทร มึงหยุดเดี๋ยวนี้ แต่เพียงได้สบตากับอีกคนอย่างตรงไปตรงมามันก็เป็นเพียงเสียงแผ่วเบาจนเลือนรางไปกับสายลม

     แย่แล้วณะ, ทั้งที่คิดว่าเลิกชอบไปแล้วแท้ๆ

     สุดท้ายก็ยังชอบมากอยู่ดี




     
     “เธอจะไปไหนต่อหรือเปล่า”

     “ก็— กลับเลย?” คนที่เดินเอื่อยเฉื่อยไปด้วยกันเอียงคอ “หรือว่าจะไปไหนดี แถวๆ นี้มีอะไรเยอะนะ”

     “ไม่รู้สิ”

     อีกคนพยักหน้า “นั่นสิ ไม่รู้เหมือนกัน”

     ผมไม่รู้ว่าการแสดงออกของเราเป็นยังไง เราถามกันหลังจากอิ่มแล้วและเสียเวลาเถียงกันว่าใครจะจ่ายเงิน (แน่นอนว่าผมได้จ่าย เพราะอ้างว่าจะได้ไม่ต้องโอนเงินให้คุณทีหลัง) แต่ยังไม่มีแพลนจะไปไหน ยอมรับเลยว่าวินาทีเมื่อกี้ที้คุณถามเหมือนจะไม่ไปไหนต่อก็ทำให้ผมใจแป้วไปไม่ใช่น้อย

     อีกนิดได้ไหมคุณ – ขอเวลาอีกนิดหนึ่ง

     “ปกติเธอทำอะไรบ้างวันหยุด”

     “เหมือนๆ เดิม” ผมตอบตามจริง ต่อบทสนทนาเรื่องง่ายๆ ที่ถูกถามออกมา “ดูหนัง เล่นเกม กินๆ นอนๆ”

     “ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่นี่”

     “ก็นั่นสิ” ผมลดระดับเสียงลง “ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่หรอก”

     เราหยุดกันหน้าประตูไปลานจอดรถ ยังไม่มีใครตกลงได้ว่าจะไปไหนต่อ คุณยืนนิ่งในขณะที่ผมเองก็ไม่ได้แตกต่าง ระยะห่างของเรามีเพียงสองก้าว

     จะไปแล้วหรือ

     ผมครวญครางในใจ สองชั่วโมงอาจจะไม่เพียงพอสำหรับความรู้สึกตอนนี้ และไม่รู้หรอกว่าตัวเองเผลอทำหน้าแบบไหนออกไปคุณถึงเบนสายตาไปอีกทาง

     “ณะ”

     “—ครับ?”

     ผมเอ่ยถามเสียงแผ่วในขณะที่อีกฝ่ายเม้มปากแน่น สบตาผม ผลุบตาลงต่ำแล้วจึงเงยขึ้นมาสบตากันใหม่

     “เธอว่าเรา—”

     ยังไม่ทันจบประโยคทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อโทรศัพท์แผดร้องขึ้นมา ผมรีบตะปบกางเกงตัวเองก่อนที่จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ของผม คณณัฐเองก็ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ มองตากันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง มองหน้าจออยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะกดรับสาย

     “ว่าไงครับขนุน”

     ตอนแรกผมเกือบจะใจแป้วแล้ว แต่ชื่อที่ถูกเอ่ยเอื้อนออกมาก็เป็นชื่อที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จัก ขนุนคือน้องสาวของคุณ พูดจาสุภาพใส่กันตลอดจนผมนึกเกร็ง

     “พี่มากับ—” อีกฝ่ายเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “เพื่อน”

     เพื่อนอะไรล่ะ อยากตะโกนไปแบบนั้นทั้งที่ความเป็นจริงทำได้แค่ยิ้มให้

     ผมนึกว่าตัวเองจะเกลียดคำว่าเพื่อนเฉพาะตอนที่แอบชอบคุณเสียอีก แต่ตอนนี้ผมกลับต้องมาเกลียดคำนี้ใหม่อีกรอบแล้วอย่างนั้นหรือ

     “มะขามเหรอ” น้ำเสียงนั้นดูจะแสดงความกังวลใจออกมาให้เห็น คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน คุณมองผมอย่างกับทำอะไรไม่ถูกแต่ยังคุยกับปลายสายไม่หยุด “ไม่อาการหนักมากใช่หรือเปล่า”

     ผมเกาศีรษะ มะขามคือใครอีก ชื่อนี้ไม่ยักกะเคยได้ยินมาก่อน

     “อา— ถ้าอาการไม่ดี พี่ไปได้แหละ”

     ท่าจะไม่ดีแล้ว

     ผมเห็นสีหน้าที่ปิดไม่มิดของอีกฝ่าย ท่าทางดูไม่สบายใจเท่าไหร่ น้ำเสียงที่คุยกับน้องสาวซึ่งอยู่ปลายสายก็ดูตึงเครียดไม่ใช่น้อย สุดท้ายแล้วเมื่อวางโทรศัพท์ลงคณณัฐก็กัดปากล่างของตัวเอง

     “เค้าต้องกลับบ้านน่ะ”

     “มีอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “น้องสาวเหรอ?”

     “อื้อ น้องบอกมะขาม เอ่อ— หมาที่บ้าน อยู่ๆ มันก็ลุกทรงตัวไม่ได้”

     “เฮ้ย แล้วน้องเธอทำยังไง”

     “น้องขับรถไม่เป็นอ่ะ มะขามมันตัวใหญ่ด้วย เดี๋ยวเค้าคงไปช่วย”

      “—อา”

     คณณัฐเก็บโทรศัพท์เข้าตำแหน่งเดิม ไม่ต้องเงยหน้าก็มองผมได้ชัดเจนในเมื่อเราสูงประมาณกัน ระดับสายตาเราก็เท่ากันอยู่แล้ว

     ผมเข้าใจนะว่านั่นมันเรื่องด่วน และก็เข้าใจด้วยว่าเราไม่ได้มีแผนไปไหนต่อ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้

     “ณะ ไปด้วยกันไหม”

     แต่ใช่, ผมไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายถามคำนั้นขึ้นมาหรอก

     และผมก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนที่ผมจะตอบกลับเสียอีก เพราะงั้นเลยเผลอยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปาก เมื่อกี้คงเผลอยิ้มกว้างออกไปแน่ๆ

     “ไปนะ”

     “นั่นเรียกชื่อเหรอ” ผมเอ่ยถาม

     คุณทำหน้ากรุ่นคิดไปนิดหน่อยก่อนจะตอบเสียงเบา “เปล่า ชวนต่างหาก”

     “อืม, ไปสิ” ผมพยักหน้า

     ไปไหนก็ได้

     แต่ขออยู่กับคุณนานกว่านี้หน่อยเถอะ




-------------------------

บอกแล้วว่าไม่มีแชตแล้ว!

อยากรู้ว่าทุกคนคิดยังไงกับเรื่องนี้
คอมเม้นบอกหรือเล่นแท็กในทวิตได้นะคะ

จะพยายามปั่นตอนหน้ามาตอบแทนให้!

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
   

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราชอบแชทน้าา ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าน่ารักมากๆ ทั้งคู่เลย อยากอ่านพาร์ทอดีตมากเลยค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น่าะใจตรงกันเหมือนเดิมแหละมั้งงงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จะแชทหรือไม่แชทสองคนนี้ก็คุยกันน่ารักมากๆ อยากให้ใจตรงกันอีกครั้ง

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เพื่อนตลอดเรยยย น้องคุณ!

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :hao5: จีบคุมหมอหน่อยยยย เดี๋ยวชั้นจะเข้าไปจีบเองแล้วนะะะ

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พูดกันน่ารักเนอะ ชอบบบบ

ออฟไลน์ 2:00PM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เคมีดีจังเลยตอนอยู่ด้วยกัน ชอบความรู้สึกของนะที่มันค่อยๆพีคขึ้น จนยอมรับว่ายังชอบอยู่มาก
แล้วเก็บมาเว้าวอนในใจคนเดียว
เดี๋ยวทั้งคู่ก็จะกลับมาคบกันใช่ไหมคะ แต่อยากยืดระยะออกไปหน่อย อยากอ่านนะเวิ่นเวอเพ้อถึงหมอ
ชอบให้เมะทรมานใจ  :laugh:
ขอบคุณนะคะ แฮปปี้วาเลนไทน์ค่ะ    :3123:

ออฟไลน์ enas290843

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มันอินตรงที่อยู่ในเฟรนโซนเหมือนกันนี่แหละ เห้อออออ ออกยาก

ออฟไลน์ QueenPlai

  • twitter - @khunhappymoon gmail - JangPlailiiz@gmail.com
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
แงงงง ชอบจังเลยอ่ะ ฮือออ มันยุบยิบในใจแบบชอบมากกกก :hao5: :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 07 ————




     บรรยากาศในรถอึดอัดเกินกว่าที่คิดไว้

     ผมทำตัวไม่ถูกนิดหน่อยตั้งแต่เปิดประตูรถ ตอนที่เราคบกับคุณติดมอเตอร์ไซค์ของผมอยู่ตลอดเวลา และตอนที่เราเลิกกัน คุณยังไม่ทันจะขับรถเป็นด้วยซ้ำ – แต่รถคันนี้ก็ดูจะผ่านการใช้งานมาสักพักแล้ว – คงจะสองหรือสามปีเป็นอย่างต่ำ

     “ขอโทษนะรกไปหน่อย”

     ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ใกล้เคียงอะไรแบบนั้นแม้แต่น้อย รถของคุณสะอาด มีกลิ่นหอมจากเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งก็ไม่ได้มีของระเกะระกะดั่งที่คิดไว้เสียเท่าไหร่นอกจากเสื้อกาวน์ที่ถูกแขวนไว้หลังรถ

     “ขับนานแล้วเหรอ”

     “ก็ต้องหัดก่อนลงไปใช้ทุน”

     “อ๋อ”

     “ใช่ ขืนขับรถไม่เป็นที่นู่นก็ลำบาก เที่ยวไหนไม่ได้เลย” คณณัฐตอบแบบนั้น ขณะที่มองซ้ายมองขวา หยิบ
สาย USB เชื่อมโทรศัพท์กับเครื่องเล่นเพลงก่อนจะสตาร์ทรถ

     เพลงที่ถูกเล่นคือเพลงยุค 00’s ช่วงที่เรากำลังเป็นวัยรุ่น อมยิ้มขำเมื่อคุณกดผ่านเพลงสองเพลงแรกก่อนจะหยุดลงในเพลงที่สามของ sum41 ฮัมเบาๆ ตามทำนองที่ถูกเล่น ปลายนิ้วที่อยู่บนพวงมาลัยรถเคาะเป็นจังหวะ

     “ดีนะ” ผมเอ่ยเปรยขึ้นมา

     เจ้าของรถหันขวับ “อะไรเหรอ”

     ตอนนี้

     “ที่มีรถเป็นของตัวเองไง” ในใจอยากตอบแบบนั้นแต่ปากก็ไม่ได้ตอบออกไปหรอก ขืนทำไปต้องทำหน้าไม่ถูกกันแน่ๆ “ไปไหนสะดวกดี”

     “แต่รถติด” คุณเบะปาก “วันไหนได้กลับบ้านวันศุกร์ก็เล่นเอาไม่อยากกลับบ้านเลย รถติดจะตายชัก”

     “ก็จริง”

     “เธอขับรถเป็นตั้งนานแล้วนี่ ไม่ออกรถหรือ”

     “ไม่ล่ะ สาเหตุเดียวกัน” ผมตอบไปตามจริง เหลือบมองคนที่หันหน้ามาคุยด้วยยามสัญญาณไฟเป็นสีแดง “มอเตอร์ไซค์ก็สะดวกดี ทำงานแค่ใกล้ๆ ด้วย”

     “แต่ก็ต้องขับระวังๆ นะ เดี้ยงเหมือนวันก่อนแย่เลย”

     เสียงหัวเราะแผ่วเบา, รอยยิ้มที่ถูกวาดกว้างจนตาหยี, ทำนองเพลงที่เคยฟังด้วยกันและบรรยากาศในรถที่แออัดในท้องถนน

     เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคุณก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดตัวเองในห้าปีก่อนเสียจริงว่าปล่อยมือจากคนที่ให้ความรู้สึกสบายใจแบบนี้ได้อย่างไร ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ นายณภัทร ไอ้คนโง่เง่า

      วันเสาร์ตอนบ่ายสามไม่ได้มีการจารจรแออัดเท่าที่คิด เพลงใหม่สลับเก่าถูกเล่นเพลงแล้วเพลงเล่า คำพูดที่แลกเปลี่ยนกันในไฟแดงแต่ละแยกชวนให้สบายใจ คงเพราะตอนนี้โลกของผมเหลือแค่คุณกับพื้นที่เล็กเท่ารถยนต์สี่ประตู

     “แล้วเลี้ยงหมากับแมวมันไม่ตีกันเหรอ” เอ่ยถามยามที่คิดขึ้นมาได้ว่าคุณเคยเลี้ยงแมวด้วยหนึ่งตัว จำชื่อไม่ได้แล้วหากแต่รับรู้ว่าเป็นแมวไทยพันธุ์ทาง “น่าจะเหนื่อยอยู่นะ”

     “เปล่าหรอก เลี้ยงตัวเดียว”

     “อ้าว—”

     “แมวเลี้ยงตายไปแล้วนะ” คำตอบที่ถูกพูดออกมาเสียงเรียบเฉยทำให้ผมนิ่งเงียบไป “ตั้งแต่เค้าไปใช้ทุนแล้ว”

     คุณไม่ได้ดูมีความเสียใจในน้ำเสียงนั้นหรอก รอยยิ้มบางๆ ยังประดับบนริมฝีปากด้วยซ้ำ

     ก่อนที่จะหันมามองกันแล้วหัวเราะเล็กน้อย “อย่าคิดมากสิ”

     “ขอโทษที”

     “ไม่เป็นไร”

     “—ขอโทษจริงๆ ครับ”

     “ไม่เป็นไรจริงๆ” คุณย้ำ “มันตั้งนานแล้ว เธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”

     บรรยากาศดีๆ ของเราเสียไปแล้ว เปราะบางเสียเหลือเกิน, อดคิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะไปโทษใครนอกจากตัวเองในเมื่อเพลงก็ยังเล่นเหมือนเดิม การจราจรก็ยังไม่ทันพ้นจากตำแหน่งเดิมมาเสียเท่าไหร่ และโลกของเราก็ยังมีพื้นที่เท่าเดิม – แค่คำพูดของผมเท่านั้นเอง

     “มันนานแล้วจริงๆ ณะ” คุณพูดมันขึ้นมาอีกครั้ง “นานชนิดที่ว่าเค้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเธอแล้วซะอีก”

     อยากจะเอ่ยคำขอโทษอีกครั้งแต่ก็พูดไม่ออก

     ผมมองสัญญาณไฟที่เริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวให้รถของเราเคลื่อนตัวไปจากเดิมเพราะไม่กล้าสบตาคุณกับคำพูดของอีกฝ่าย

     ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยปากออกไปว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลยคุณ ในเมื่อตอนนี้เราก็เจอกันแล้วนี่

     แต่ก็นั่นแหละ, คุณพูดถูกต้อง ห้าปีที่ความสัมพันธ์จบลงเรียกได้ว่าเนิ่นนานเสียจนเราควรจะลืมกันไปได้แล้วว่าเราเคยรู้จักคนนี้มาก่อน ห้าปีคือระยะเวลาจากเด็กม. หกเรียนมหาวิทยาลัยจนรับปริญญา เพื่อนผมเริ่มแต่งงานมีลูก บางคนเปลี่ยนงานไปสามที่แล้วด้วยซ้ำ

     นานเสียจนไม่น่าจะมีอะไรเหมือนเดิมได้อีกเลย

     ไม่น่าเลยจริงๆ

     เขายังอยากเป็นเพื่อนกันก็ดีแค่ไหนแล้วเชียว






     ตอนเห็นมะขามก็เข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมน้องสาวของคุณถึงได้โทรมาร้องขอให้คุณกลับบ้านเพื่อพามันไปหาหมอ

     หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ดูจะตัวโตกว่าตัวอื่นๆ โงหัวขึ้นมาจากพื้นตอนที่ผมจับพลัดจับพลูเดินเข้า
บ้านมาด้วย น้องสาวของคุณท่าทางร้อนใจเกินกว่าจะถามว่าผมเป็นใคร เอาแต่อธิบายว่าน้องมะขามมีอาการเป็นอย่างไรบ้างให้พี่ชายฟัง

     “พี่คุณอุ้มไหวไหม” น้องถาม “หนูอุ้มไม่ไหวเลย น้องพยายามลุกแต่น้องลุกไม่ได้”

     “ใจเย็นๆ ครับ”

     คนเป็นพี่ได้แต่พยายามบอกให้น้องสาวตัวเองใจเย็นทั้งที่น้องทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก่อนจะย่อกายลงไปหาสุนัขตัวโตของตัวเอง ลูบหัวสัตว์เลี้ยงเบาๆ ก่อนจะพยายามช้อนมันขึ้นมาในอ้อมแขน แต่ด้วยการที่มันนอนอยู่บนพื้นทำให้มันดูเป็นได้ยากเล็กน้อย

     “คุณ” ผมเรียกอีกฝ่ายที่ตอนนี้ดึงเจ้าหมาตัวใหญ่ขึ้นมาจากพื้นได้แล้ว แต่จัดแจงท่าทางไม่ถูก “เดี๋ยวอุ้มให้”

     คุณไม่ได้ทำอะไรมาก ใช้มืออีกข้างจัดแจงท่าทางมันให้ผมอุ้มไอ้ตัวโตง่ายขึ้น มันส่งเสียงร้อง ดูท่าจะไม่ยอมท่าเดียวแต่สุดท้ายผมนั่งแหละที่อุ้มมันขึ้นรถมาได้โดยที่น้องขนุนเป็นคนเปิดประตูรถของพี่ชายตัวเองให้

     “เดี๋ยวพี่ขับพาไปหาหมอก่อนนะ”

     “หนูไปด้วย”

     “ไปสิ” คุณพยักหน้า “หนูก็ต้องไปบอกอาการมะขามมัน”

     เพราะฉะนั้นเราเลยอยู่บนรถด้วยกันทั้งสามคนพร้อมกับสุนัขที่ส่งเสียงบ่นในลำคอไม่มีหยุด น้องขนุนทำท่าจะร้องไห้ตลอดระยะเวลาไม่ถึงสิบนาทีดีในการมาถึงคลีนิคสัตว์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านของคุณ เพราะความร้อนใจนั้นเองทำให้น้องไม่ได้ถามพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำว่าผมเป็นเพื่อนคนไหน มาอยู่กับคุณได้อย่างไร

     จำได้ว่าคุณไม่ค่อยมีความลับกับที่บ้าน เพราะงั้นตัวน้องขนุนก็รับรู้ว่าคุณมีแฟนตอนคบกับผม หากก็ไม่เคยเจอกัน, หรืออาจจะเจอกันเพียงพูดคุยไม่กี่คำ จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก

     รถมาจอดที่หน้าคลีนิค ต้องขับไปอีกหน่อยถึงจะมีที่จอดรถสำหรับคลีนิคสัตว์ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้

     ผมปลดเข็มขัดนิรภัย “เดี๋ยวอุ้มเข้าไปให้ เธอขับรถไปจอดนะ” ว่าก่อนจะเปิดประตูรถลงไป

     เจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ดูจะไม่สบายตัวเท่าไหร่ตอนที่ผมพยายามอุ้มมันลงจากรถเพื่อเดินไปที่ประตูคลีนิคซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามเมตรดี ยังดีที่คนข้างในรีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ แถมเจ้ามะขามตัวหนักไม่ใช่เล่น

     พี่ที่เปิดประตูให้ผมเอ่ยพูดกับผู้หญิงอายุน้อยอีกคน “ตามหมอป้องหน่อยค่ะ”

     ไม่นานชายหนุ่มตัวสูงผิวขาวก็เดินออกมาในสภาพหัวยุ่ง ท่าทางคงจะงานยุ่งน่าดู ของอีกฝ่ายคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่นก่อนจะถามว่าใครเป็นเจ้าของเจ้าหมาตัวใหญ่ตัวนี้ อาการเป็นอย่างไรบ้าง ผมเลยถอยออกมาให้น้องสาวของคุณเข้าไปคุยแทน ไม่ได้พูดอะไรอีกจนกระทั่งเจ้าของอีกคนของหมาตัวโตนั่นเดินเข้ามาในคลีนิค ตรงดิ่งไปหาน้องสาวตัวเองด้วย

     ทำอะไรไม่ถูกอยู่นานเมื่อสถานการณ์ดูเคร่งเครียดจนกระทั่งสัตวแพทย์คนนั้นรับปากออกมาว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้น่าห่วงมาก และจะทำการตรวจดูเดี๋ยวนี้

     คุณเอามือลูบไหล่เล็กของน้องสาวขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองผม ขยับปากอย่างไร้เสียงว่าขอบคุณด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่

     ผมส่ายหน้า ไม่เป็นไร ตอบกลับไปแบบนั้น

     สิบห้านาทีเห็นจะได้ตั้งแต่เจ้ามะขามถึงมือหมอ ถูกตรวจเลือด ถามนู่นถามนี่กับเจ้าของเต็มไปหมด สุดท้ายก็โดนบอกสีหน้าเคร่งเครียด

     “จากอาการ คิดว่าอาจจะเป็นพยาธิในเม็ดเลือดนะครับ” คุณหมอว่าเช่นนั้น “เดี๋ยวรอผลตรวจเลือดอีกที แต่เพราะพามาหาหมอเร็วแบบนี้และไม่มีอาการอาเจียนหรือดื้อยาอะไร ถ้ากินยา 2 อาทิตย์ก็กลับมาเป็นปกติได้แล้ว”

     เพียงฟังเท่านั้นหญิงสาวก็สีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด หันไปซบไหล่คนเป็นพี่ชายราวกับจะหัวใจวายอยู่ตรงนั้นจริงๆ

     ผมมองภาพคุณที่จัดการกับเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ พร้อมๆ กับปลอบโยนน้องสาวและพูดคุยอย่างเป็นการเป็นการกับหมอถึงอาการสัตว์เลี้ยงของตัวเองด้วยความชื่นชมในใจ

     คณณัฐเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะเป็นคนที่คนบางคนบอกว่าไม่แมนจากนิสัยเรียบร้อยและคำพูดคำจาสุภาพ ผมไม่เห็นว่านั่นมันจะเกี่ยวกันตรงไหน แมนไม่แมนแล้วอย่างไร, เรื่องที่คุณเป็นที่พึ่งให้น้องสาวหรือเพื่อนๆ ในหลายเรื่องได้เพราะมีสติก็น่าจะบ่งบอกให้รู้ได้แล้วว่าคุณเป็นคนที่เหมาะสมกับคำชม

     ยังโชคดีอยู่บ้างว่าแม้จะเป็นคลีนิคขนาดไม่ใหญ่มาก หากแต่ก็มีที่พักให้สัตว์ค้างคืนและมันว่างพอดี เมื่อผลตรวจออกมาเป็นตามที่คุณหมอสันนิษฐานไว้ก็เลยได้ข้อตกลงว่าจะให้เจ้ามะขามนอนที่นี่สักคืนก่อน

     “เดี๋ยวหนูขอเข้าไปดูน้องหน่อย”

     คุณพยักหน้าให้น้องสาว เอาจริงนะ, ผมเอ็นดูการพูดจาไพเราะกับทุกอย่างของบ้านนี้เสียเหลือเกิน

     คณณัฐทำท่าจะเดินตามเข้าไปด้วยก่อนที่จะหันมามองผม กวักมือเรียกราวกับจะให้เขาไปหาเจ้าหมาตัวโตนั่นด้วยกันแต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

     “ไม่ไปหรือ” คำถามนั้นถูกถามอย่างแปลกใจ

     “ไม่เป็นไร เวลาครอบครัว”

     คุณหัวเราะ ฟาดมือลงบนไหล่ผมเบาๆ “เข้าไปด้วยก็ได้นี่นา อุส่าต์พามะขามมา”

     “น้องเธอทำเหมือนจะร้องไห้” ผมเปรย “โตเป็นสาวแล้วนะ น้องน่ารักดี” อดชมน้องสาวอีกคนไม่ได้

     คุณขมวดคิ้วมุ่น “อย่าคิดจะจีบขนุนเชียว น้องมีแฟนแล้ว” เอานิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้าเหมือนกับจะต้องการปรามกัน

     ผมหัวเราะผะแผ่ว สิ่งที่ถูกเตือนไม่แม้แต่จะอยู่ในความคิดด้วยซ้ำแต่คุณยิ่งทำหน้าจริงจังมากกว่าเก่า นั่นค่อนข้างจะ— น่ารัก โอ้ แหงล่ะ, ผมเริ่มคิดแล้วว่าคำพูดชื่นชมเมื่อกี้ที่ตัวเองพูดออกไปควรจะใช้ชมน้องสาวหรือพี่ชาย แต่คงไม่ดีแน่ถ้าจะเอ่ยชมคณณัฐในยามนี้

     ผมจับไหล่สองข้างของคุณหมอให้หันหลัง บอกกับอีกฝ่ายว่าเดินไปปลอบน้องหน่อยแล้วผมจะยืนรออยู่ตรงนี้เอง






     “เป็นอะไรครับ”

     ผมในวัยยี่สิบเอ็ดปีซึ่งตัดสินใจพักสายตาจากโปรแกรมการตัดต่อที่ยิงยาวกว่าสามชั่วโมงของตัวเองเพิ่งสังเกตว่าอีกหนึ่งชีวิตที่กางโต๊ะญี่ปุ่นอ่านหนังสืออยู่ในห้องสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ว่าที่คุณหมอสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบว์บนกล่องของขวัญ

     “คุณ” เรียกชื่ออีกฝ่ายย้ำอีกครั้ง เดินเข้าไปทิ้งตัวข้างๆ แต่คุณกลับไม่เงยหน้าขึ้นมาจากชีทหนากองโต “ยากเหรอ”

     ริมฝีปากของอีกคนเม้มแน่น “—ไม่ค่อยเข้าหัวเลย”

     “หยุดอ่านก่อนไหม”

     “ไม่ล่ะ”


     เหลือบตามองคนเนิร์ดที่หน้าตาไม่สู้ดี เลื่อนมือไปแตะผมส่วนหน้าที่ยาวจนจะทิ่มตาอีกฝ่ายอยู่แล้ว ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด คุณไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้มานานแล้ว คงจะเป็นส่วนที่ตัวเองไม่เข้าใจจริงๆ

     “ไม่อยากเรียนใหม่” เสียงแผ่วเบาเอ่ยเอื้อนออกมา “ถ้าสอบไม่ผ่านเค้าคง—”

     ผมบีบริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนพูดจบ คณณัฐย่นจมูก เอื้อมมือมาตียามที่เห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อเสียที เป็นท่าทางที่ชวนให้หัวเราะด้วยความเอ็นดู

     “โทรหาคุณแม่ไหม”

     “ไม่เอาล่ะ โทรบอกแม่ เดี๋ยวแม่ก็รู้สิว่าเครียด”

     “คุณแม่คงอยากให้บอก”

     “แต่เค้าไม่อยากบอก”


     คนคงไม่เชื่อว่าคุณเป็นคนดื้อเงียบ – แต่ผมนี่แหละรู้ดี – เพราะงั้นผมเลยยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ คุณไม่ชอบบอกถึงความเครียดของตัวเองกับที่บ้าน ทั้งที่ปกติจะต้องติดต่อกับแม่หรือน้องสักชั่วโมงในแต่ละวัน แต่พอเครียดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ยอมทำ คุณบอกปิดบังไม่ได้ และกลัวจะเอาด้านแย่ๆ ไปลงกับคนที่บ้าน

     “งั้นเธอพักก่อน”

     “เอ๊ะ เค้าบอกว่าเค้าอ่านไม่ทัน”


     ผมแย่งชีทมาจากมือของว่าที่คุณหมอ “เดี๋ยวอ่านให้ฟัง”

     คุณทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ไม่ได้แย่งชีทจากมือผมกลับไป อยู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเท้าแขนราวกับจะรอฟัง ผมก้มหน้าอ่านสไลด์แรกผิดๆ ถูกๆ ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้เราก็แค่เด็กฟิล์มจะเอาทักษะไหนมาอ่านศัพท์ทางการแพทย์ สุดท้ายแล้วคุณก็หลุดหัวเราะกับความโง่เง่าในสายวิชาที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ของผม ตีไหล่กันแล้วก็บอกว่าผมควรไปตัดต่อ sound เหมือนเดิมท่าจะดีกว่า

     ผมยิ้มตามรอยยิ้มนั้น

     แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหนังสือให้คุณฟังจริงๆ อยู่แล้ว แค่อยากให้คุณยิ้มเท่านั้นเอง

     ชายหนุ่มอีกคนก็พิงศีรษะลงบนไหล่ของผม บ่นงึมงำถ้อยคำน่าฟังเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ผมก็ได้
ยินอยู่ดี

     “ดีจังที่เค้ามีเธอ”

     ผมก็รู้สึกดีเหมือนกันที่สามารถให้คุณมีผมได้ในวันที่คุณอยากพักมากที่สุด





     ผมได้ทานมื้อเย็นฝีมือน้องขนุน หล่อนบอกว่าอยากจะทำให้แทนคำขอบคุณที่ผมไปช่วยเหลือวันนี้โดยที่พี่ชายหล่อนมากระซิบบอกว่าขนุนทำอาหารไม่อร่อยเท่าไหร่หรอก แต่พอเห็นหล่อนขอแวะซื้อของสดระหว่างทางกลับจากคลีนิคสัตว์และวนเวียนอยู่ในครัวทันทีที่กลับมา ไอ้ครั้นจะปฏิเสธเลยไม่มีอยู่ในความคิด

     จำได้ว่าเคยมาบ้านของคุณเมื่อนานมาแล้วอยู่สองหน ครั้งแรกตอนเป็นเพื่อน ครั้งที่สองตอนเป็นแฟนแล้วแต่ไม่รู้ว่าสมาชิกที่บ้านคุณรู้หรือเปล่า ใครจะคิดว่าจะมีโอกาสมาครั้งที่สามในฐานะแฟนเก่ากันวะ

     มื้ออาหารจบลง ผมอาสาล้างจานให้ในขณะที่คณณัฐล้างอุปกรณ์ครัวอยู่ข้างๆ ไปด้วย และมีเสียงบ่นน้องสาวตัวดีของตัวเองดังเรื่อยๆ ทั้งที่ยังยิ้มอยู่

     นี่แหละนะพี่ชาย บ่นแทบตายสุดท้ายก็ตามใจอยู่ดี

     “เดี๋ยวเค้าไปส่งคอนโดเธอ”

     “เฮ้ย ไม่ต้อง” ผมรีบปฏิเสธ “แค่บีทีเอสก็พอมั้ง กลับเองได้”

     “แต่ว่า—”

     “ขนุนอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ วันนี้คุณแม่เธอไม่กลับนี่ กว่าจะขับไปถึงนู่นคงนานน่าดู”

     พออ้างถึงคุณแม่ของคุณที่ไปร่วมทริปทำบุญคุณก็หมดคำเถียง เราล้างจานกันจนเสร็จ กลับไปคุยกับน้องขนุนอีกนิดหน่อย เจ้าหล่อนยิ้มหวานบอกว่าไว้เจอกันใหม่ในครั้งหน้าก่อนที่จะบอกลา

     รถคันเดิมที่พาผมมาที่นี่เป็นรถที่พาผมกลับ คุณบอกว่าขับรถสักสิบนาทีก็ถึงบีทีเอสแล้ว

     “ขอบใจนะที่มาวันนี้”

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับจากใจจริง “ขอบใจมากกว่าที่ชวนมา”

     “อื้อ”

     มันกลับมาแปลกๆ อีกแล้ว ตอนนี้ผมอยากจะครวญครางด้วยเสียงแบบไอ้มะขาม เผื่อว่าคุณจะเอ็นดูกันอยู่บ้าง

     “เฮ้ย!” จู่ๆ รถคันหน้าก็ปาดข้ามเลนเข้ามาในจังหวะนั้น คุณเหยียบเบรกจนรถกระตุกเพื่อไม่ให้ชน ผมเองก็โน้มตัวไปข้างหน้า เผลอทำโทรศัพท์ตกลงไป “ขอโทษๆ”

     “ขับเหี้ยไรของมันเนี่ย” ผมเผลอบ่น

     คุณหัวเราะนิดหน่อย “แล้วเมื่อกี้เธอทำอะไรตกหรือเปล่า ได้ยินเสียง”

     “มือถือๆ” ผมเอามือปะป่ายข้างล่าง “เดี๋ยวค่อยหาตอนจะลงก็ได้”

     ไม่ถึงนาทีดีก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้า คุณจอดรถข้างทางและหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดไฟฉายให้ ผมโน้มตัวลงไปเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ตัวเองอยู่ในซอกใต้เบาะ

     “ส่องไฟฉะ—”

     คำพูดของผมถูกหยุดลงเมื่อหันไปและพบว่าคุณอยู่ในระยะที่ใกล้กว่าที่คิด จากที่หมายจะขอยืมโทรศัพท์ของคุณมาไว้ในมือก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ คณณัฐเองก็ดูจะตกใจเหมือนกันที่ผมหันกลับมายามที่คุณกำลังโน้มตัวเข้ามาเพื่อช่วยเหลือแบบนี้

     ผมเผลอจับจ้องที่ดวงตาที่สบกันกับผมไม่ยอมหลีกหนีไปไหน, ไฝสองจุดที่เรียงตัวกันเป็นเส้นตรงใต้ดวงตาข้างซ้าย, ปลายจมูก, และริมฝีปากของคุณ

     จำได้ว่าตัวเองเคยสบตากับอีกคนบ่อยแค่ไหน แต่จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เรามองกันในระยะนี้ครั้งสุดท้ายคือเวลาใด เนิ่นนานเพียงไหนแล้ว – และจำไม่ได้ด้วยว่าครั้งสุดท้ายผมทำอะไรกับคุณในระยะห่างเพียงเท่านี้

     คุณผลุบตาลงต่ำ บดกลีบปากเข้าหากันแน่น

     คุณจะถอยออกไปหรือเลื่อนกายเข้ามานะ

     เสี้ยววินาทีที่เผลอตั้งคำถามเป็นเวลาเดียวกับที่ได้รับคำตอบว่า เปล่า คุณไม่ได้ทำอะไรเลย ราวกับเฝ้ารอว่าตัวผมเองจะทำอะไรต่อไป คุณถึงจะเป็นฝ่ายตัดสินใจ

     เพราะฉะนั้นผมเลยเป็นคนที่เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกนิด

     “เธอ— เอาไปส่องเองไหม”

     และผมก็ได้รับรู้แล้วว่าคุณถอยออกไป

     ระยะห่างเท่านั้นคือใกล้ที่สุดที่ผมได้รับอนุญาตในยามนี้

     ผมรับโทรศัพท์มาจากอีกคน กระอักกระอ่วนใจเหลือเกินเพราะงั้นเลยไม่กล้ามองหน้าคุณอีกเลย เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาได้แล้วจึงส่งมันคือให้กับคุณและเปิดประตูออกไป

     “กลับดีๆ นะ”

     “ครับ” ผมตอบ ไม่มองหน้าอีกคนด้วยซ้ำ “เหมือนกันนะ”

     “ถึงแล้วบอกด้วยนะครับ”

     “อื้อ”

     ผมกำลังจะปิดประตูอยู่แล้ว หากแต่รวบรวมความกล้าที่จะมองหน้าคุณอีกสักครั้ง รอยยิ้มถูกหยิบยื่นมาให้เหมือนกับทุกครั้งหาก เพียงแค่นั้น, แค่เท่านั้น, ผมก็ทำได้แค่ยิ้มกลับไป

     “ณะ”

     ผมหยุดมือ “ครับ?”

     คณณัฐเม้มปากแน่น “ขอบคุณนะวันนี้”

     “ไม่เป็นไร ขอบคุณเหมือนกัน ฝากบอกน้องขนุนด้วยนะ”

     “อื้อ” คุณพยักหน้า “กลับดีๆ” ย้ำคำเดิมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม

     ผมพยักหน้า ปิดประตูรถ เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังสถานีรถไฟฟ้า รถคันนั้นยังจอดอยู่ที่เดิมจนผมเลื่อนมาจนถึงสิ้นสุดทางนั้น คณณัฐจึงขับรถออกไป

     พยายามบอกว่าแค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว

     พยายามแล้ว, แต่— ให้ตายเถอะ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้คุณคิดอย่างไร

     คุณทำได้จริงๆ หรือไอ้การเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าเนี่ย

     เก่งเหลือเกิน




     
-------------------------
อยู่ๆ คอมเม้นกับคนอ่านก็เยอะมาก
ขอบคุณทุกคนมากๆๆๆ นะคะ จะพยายามเขียนออกมาให้เร็วที่สุดเลย

ปล. ใครรู้จักหมอป้องยกมือขึ้น

เจอกันในแท็กค่า
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ทุกคนสะกดตัวเองว่าต้อง move on สินะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
กำแพงเฟรนด์โซนมันสูงอะไรขนาดนี้  :hao7:

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
คุยกันน่ารัก

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คุยกันน่ารักมาก แต่มันเป็นงึกๆงักๆ5555555
อยากอ่านมุมคุณบ้างจังค่ะ

ออฟไลน์ enas290843

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ส่องไฟฉายหาโทรศัพท์ในรถ เราคิดภาพตามแล้วกระอักกระอวนแทนณะเลยค่ะ มะนคงจะหน่วงมากๆ อยากรู้จังว่าคุณจะคิดอะไรบ้างมั้ย

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 08 ————




     “มึงไปกินข้าวกับใครวันเสาร์”

     ผมเลิกคิ้วกับคำถามแรกที่โดนถามจากโย่งทันทีที่เดินเข้ามาในออฟฟิศ ดึงหูฟังออกแล้วเอ่ยถามมันด้วยสีหน้าแปลกใจ “เมื่อกี้มึงพูดไรนะ”

     “มึงไปกินข้าวกับใครวันเสาร์” โย่งย้ำ “ที่ผ่านมา”

     “อ๋อ” ไม่ได้แปลกใจใดๆ ที่เพื่อนเอ่ยถามคำนี้ “กูว่าแล้ว”

     วันก่อนผมเห็นคุณอัพภาพในเฟซบุ๊กแล้ว มันก็เป็นแค่ภาพอาหารนั่นแหละ ถ้าไม่บังเอิญว่าโต๊ะกับเมนูนั้นเป็นภาพที่ผมอัพลงอินสตาแกรมเมื่อคืนก่อนหน้านั้นพอดี ยังคิดอยู่เลยว่าไอ้โย่งที่ไม่เคยจะปล่อยเรื่องของผมผ่านต้องมาถามอยู่แล้ว นึกแปลกใจด้วยซ้ำที่เลือกจะถามวันจันทร์ แทนที่มันจะไลน์มาทันทีที่เห็น

     “กูว่าแล้ว!” ไอ้โย่งทำหน้าตาตื่น “รีเทิร์นจริงๆ ใช่ไหม”

     “โอ๊ย กูอยากจะฟาดปากมึง”

     “อ้าว”

     “ไม่รีเทิร์น” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มึงกินอาหารกับเพื่อน ถ่ายรูปลงไม่ได้หรือไง ก่อนหน้านี้มึงเจอคุณมึงยังถ่ายรูปลงเลยนี่” เถียงมันด้วยความโมโหอย่างไม่จริงจัง

     “ได้ทั้งนั้นถ้าคนนั้นไม่ใช่แฟนเก่ากู”

     “ไอ้โย่ง หน้าหมา”

     “หรือจะเถียง”

     “เออ!” ผมกระแทกเสียง ไม่เถียงอะไรทั้งนั้นแหละ เถียงไปยังไงก็แพ้ “ย้ำอยู่นั่นแหละ แฟนเก่า!”     

     ไอ้โย่งที่โดนคำพูดใส่อารมณ์ของผมไปถึงกับทำอะไรไม่ถูก น้อยครั้งนักที่ผมจะหงุดหงิดให้เพื่อนเห็นด้วยประเด็นที่ล้อเลียนกันเหมือนสมัยเราอยู่มหาวิทยาลัย

     “โกรธเหรอวะ” มันถามน้ำเสียงหงอยลงไปนิดหน่อย “กูยุ่งมากไปเหรอวะมึง”

     “ก็ใช่ด้วย” ผมว่าเสียงอ่อนลงบ้าง เห็นเพื่อนไม่สบายใจอะไรก็ไม่ได้นึกอยากจะโวยวายใส่ให้เห็นหรอก “แต่มึง— เลิกย้ำสักทีว่ากูเป็นแฟนเก่า กูรู้แล้ว แฟนเก่าไง!” ผมกระแทกก้นลงไปบนเก้าอี้ของตัวเอง เผลอจิกตีนเมื่อเห็นว่าเก้าอี้ทำท่าจะเลื่อน ขืนผมล้มตอนนี้มันคงจะเป็นฉากขึงขังที่ตลกพิลึก “แฟนเก่าแล้วยังไง เลิกย้ำได้แล้ว กูเป็นเพื่อนคุณได้”

     โย่งเองก็ทำสีหน้าไม่ถูกกับความจริงจังของผมในวันนี้ มันมองซ้ายมองขวา สุดท้ายก็พูดคำว่าขอโทษออกมาในที่สุด

     “ขอโทษด้วยถ้ากูล้อจนมึงไม่สนิทใจกับคุณ”

     “เปล่า” ผมถอนหายใจพรืด “ให้ตายกูก็ไม่สนิทใจ”

     “เอ้า”

     ผมเปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้า “เออ กูไม่สนิทใจ” ย้ำคำเดิมอีกครั้งเหมือนอดกลั้น

     การอยู่คนเดียวช่วงวันอาทิตย์มาจนถึงวันจันทร์เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมต่อสู้กับความสับสนว้าวุ่น ทำอะไรไม่ถูกด้วยตัวคนเดียวมาเกินวันไม่ได้หรอก

     “ให้ตายก็ไม่สนิทใจ บ้าปะวะ ใครมันจะเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ดีขนาดนั้นอ่ะ”

     ไอ้โย่งขมวดคิ้ว “เวร” ก่อนจะตบหน้าผากเข้าฉาดใหญ่

     ผมได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนสนิท “ใช่ เวร”

     “ณะ กูถามจริง” โย่งเหลือบมอง มันคงคิดว่าผมจะประชด แต่เปล่าเลย, ผมไม่ได้ประชดสักนิด – ที่พูดออกไปทั้งหมดคือเรื่องจริง พอเห็นสีหน้าไม่เล่นของผมแล้ว มันก็คงรู้เหมือนกัน

     “เออ” ผมย้ำอีกครั้ง

     สีหน้าของเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปเป็นจริงจังมากขึ้น “กูเห็นความรักของมึงมาตั้งแต่มึงเริ่มแอบชอบคุณ ข้ามเส้นเฟรนด์โซน คบกันยันมึงเลิกกัน นี่กูยังต้องเห็นตอนมึงจีบคุณใหม่ด้วยเหรอ”

     ผมเค้นหัวเราะในลำคอดังเฮอะ “มีโอกาสจีบใหม่ก็ดีสิ”

     “เอ้า” มันทำสีหน้าแปลกใจ “คุณไม่เอามึงเหรอ”

     “ไอ้โย่งหน้าหมา” ผมด่ามันด้วยความหงุดหงิดใจเพราะมันพูดถูกต้องทุกประการ

     “สนามอารมณ์มากเลยกูเนี่ย ไม่คิดบ้างเหรอว่ากูก็เจ็บได้ร้องไห้เป็น” มันพูดติดตลกเหมือนกับทุกครั้งก่อนจะตัดเข้าประเด็นจริงจังใหม่ “คือยังไง ที่มึงคุยๆ กันอยู่นี่ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนจะจีบกันใหม่เหรอ”

     “จีบกันใหม่ก็แย่ คุณบอกเป็นเพื่อน”

     มันทำหน้าแหย “เป็นเพื่อน?” ทวนคำเสียงฉงน “กูไม่มีมาตราการคุยไลน์กับเพื่อนทุกวัน แล้วไปหาอะไรกินด้วยกันสองคนในวันหยุดนะ ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษจริงๆ หรือเคสที่ไม่มีใครคบแล้วเหมือนกูกับมึงตอนนี้”

     ผมขยำทิชชู่ปาใส่มันสักทีด้วยความหมั่นไส้แต่ก็เถียงไม่ออก เอาจริงๆ คนวัยเราก็เริ่มแยกย้ายกับเพื่อนไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่อยู่กับคนรักทั้งนั้น ถ้าผมไม่ได้รับคำชวนจากไอ้โย่งให้มาทำงานที่นี่ก็คงจะเป็นการคบที่เริ่มห่างกันไปไปแล้วเหมือนกัน

     “คุณใจแข็งแล้วก็ใจดี” มันว่าต่อ “ยังไงก็ไม่ใช่คนที่จะตัดฉับใครได้เพียงเพราะเขาเป็นแฟนเก่าว่ะ หมอก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

     “เขาเคยทำได้”

     “เขาไม่ได้เคยทำได้” มันว่าน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนั้นมึงบังคับให้เขาทำได้”

     ผมนิ่งเงียบ

     “เถียงดิ” มันเลิกคิ้วเหมือนจะซ้ำเติมแต่ผมทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นเพราะที่พูดเรื่องจริงล้วนๆ “ตอนนั้นกูว่าพวกมึงก็สภาพใกล้ๆ กันอ่ะ ถึงกูจะอยู่กับมึงมากกว่าก็เถอะแต่กูก็รู้ปะวะ เพื่อนคุณด่ามึงฉิบหาย— ไอ้แมคปะวะ ชื่อนั้นปะ”

     “ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว”

     “เออ เอาเป็นว่ากูรู้แล้วกันว่าคุณสภาพไม่ต่างจากมึงหรอก” มันพูดด้วยความจริงจังขึ้นมาหน่อย “ตอนนั้นน่ะนะ ตอนนี้กูไม่รู้”

     ผมมองหน้าจอที่ขึ้นว่าพร้อมใช้งาน ถอนหายใจอีกครั้ง แค่คุยกับไอ้โย่งเรื่องนี้เพียงแป๊บเดียวยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

     “ไม่แปลก – ตอนนี้กูก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน”




     ผมคิดว่าบรรยากาศในออฟฟิศมันก็หม่นหมองอยู่พอตัวเพราะความคิดน่าปวดหัวต่างๆ ที่วนเวียนมาทั้งอาทิตย์ พยายามตอบแชทคุณให้น้อยลงแต่ก็กลายเป็นตัวเองที่อยากจะพูดคุยถามไถ่เสียเอง จนวันที่ผมต้องแบกร่างออกมาที่งานฟู้ดแฟร์ซึ่งจัดอยู่อีกฝั่งของกรุงเทพฯ กับพี่ข้าวและพี่เอกนั่นแหละ

     “ทะเลาะกันเหรอวะพี่” สบโอกาสถามพี่เอกตอนที่พี่ข้าวกำลังไปเข้าห้องน้ำ ผมรับหน้าที่คนขับรถงี้เกร็งจนฉี่จะแตก

     “เออ” เจ้านายพยักหน้า ท่าทางหัวเสีย “แม่งเอ๊ย”

     “คลิปกร่อยปะเนี่ย”

     “ไม่รู้แม่ง ถ้ามันเป็นมืออาชีพไม่ได้ก็ลองดู”

     “พี่ข้าวมาได้ยินพี่โดนแน่”

     ว่าที่เจ้าบ่าวยักไหล่ ทำท่าทีไม่แคร์อะไรแบบนี้ก็คงจะหงุดหงิดไม่แพ้สาวเจ้าเหมือนกัน

     เห็นเจ้านายเป็นแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าอะไรทำให้คู่รักสามวันดีสี่วันไข้ตัดสินใจจัดงานแต่งงานในเดือนหน้านี้ได้ พี่ข้าวเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับนิยามว่าผู้หญิ๊ง...ผู้หญิง ในขณะที่พี่เอกดูจะไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่ ด้านชาเป็นที่หนึ่ง (แต่บางครั้งผมก็เข้าใจพี่เอกตอนที่บอกว่าเจ้าหล่อนอีโมฯ เกินไปเสียหน่อย) แต่ก็นั่นแหละ, ผมพอเข้าใจได้ว่าทั้งสองเองก็คงถึงวัยคิดสร้างครอบครัวแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่อายุห่างจากผมไปแค่สี่ – ห้าปีแท้ๆ พี่ชายของผมก็แต่งงานด้วยวัยประมาณนี้เหมือนกัน

     พี่ข้าวเดินออกมาสีหน้าหงุดหงิด ท่าทางไม่พอใจเท่าไหร่นัก ทำท่าจะเดินจ้ำอ้าวแต่ก็หันขวับมาเมื่อผมกับพี่เอกเดินตามไม่ทัน เพียงเท่านั้นพี่เอกก็สาวเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเพื่อที่จะเดินตามแฟนตัวเองให้ทัน

     อืม, นั่นก็น่ารักดี

     ผมเปิดกล้อง จริงอยู่ที่ปกติผมมักจะรับหน้าที่ตัดต่อ แต่ก็เป็นตากล้องด้วยเหมือนกัน เวลาออกนอกสถานที่โดนมากจะเป็นไอ้โย่ง มีผมแทรกมาบ้างเมื่อโย่งเริ่มงอแงว่ามันขี้เกียจ

     พอเข้ามาในฟู้ดแฟร์แล้วในหัวเผลอนึกถึงคุณอย่างห้ามไม่ได้ จำได้ว่านี่เป็นหนึ่งในบทสนทนาตอนที่เรากินอาหารฝีมือน้องสาวของคุณด้วยกัน คุณหันหน้าจอที่มีภาพไส้ย่างมาให้ ผมจำชื่อร้านไม่ได้หรอก – แต่ก็จำได้ว่าคุณ
อยากกินไส้ย่างที่มาออกบูธงานวันนี้

     ผมเดินตามคู่รักคนดังต้อยๆ จริงอย่างที่พี่เอกว่า พี่ข้าวก็มืออาชีพมากพอที่จะถ่ายคลิปวีดีโอด้วยความเฮฮา เล่นมุกอย่างสนุกสนาน กินทุกอย่างด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ป้อนแฟนหนุ่มบ้าง ยุให้แฟนหล่อนป้อนตากล้องอย่างผมบ้าง

     “มีแต่คนถามว่าตากล้องโสดไหม ตากล้องโสดทั้งสองคนนะคะ ข้าวบอกไว้ตรงนี้”

     “โหย พี่ข้าว” ผมชะโงกหัวออกมาจากหลังกล้องวีดีโอ “ขายกันอย่างนี้เลยนะ”

     “เฮ้ย พวกแกก็มีคนถามถึงเยอะนะเว้ย” พี่เอกหัวเราะ “ประกาศๆ ไป เดี๋ยวก็มีคนติดต่อเข้ามา”     

     “ขอขาวๆ นะครับ” ผมเอ่ยออกมา ก่อนจะเป็นตัวเองที่ชะงักไปเอง

     “เฮ้ย ไม่ขาวแล้วไงวะ มึงมีปัญหาเหรอไอ้น้อง” พี่เอกถามผมด้วยน้ำเสียงเฮฮาว่าผมเรื่องมากหรือเปล่า ต้องขาวอย่างเดียวหรือถึงจะเอา มีสเป็กเจาะจงอย่างอื่นอีกไหม แต่ผมตอบคำถามเหล่านั้นแค่ในใจ

     ไม่เคยชอบคนขาว, ไม่เคยเลย— แต่เพราะชอบคุณนั่นแหละ ถึงได้หันมาชอบคนผิวขาว
     คนพูดเสียงเบาเนิบนาบก็ไม่ได้อยู่ในสเป็ก คนเป็นหมอก็ไม่ใช่ คนใจเย็นหรือคนตัวสูงผอมก็ไม่ใช่อีก คิดไปคิดมาแล้ว ผมไม่ได้มีสเป็กอะไรเลยนอกจากคิดถึงคุณเวลาคนถามว่าชอบคนแบบไหน

     พอไหมณะ

     ถามตัวเองแบบนั้น แต่ตอนที่หันไปเจอร้านขายไส้ย่างแล้วก็ยังเห็นหน้าคุณอยู่ดี

     เอาแบบนี้สิตัวกู




     
     ผมเลื่อนสตอรี่อินสตาแกรมเรื่อยเปื่อยตอนที่นั่งอยู่บนรถซึ่งพี่เอกเป็นคนขับแก้เซ็ง พี่มันอาสาจะขับกลับไปส่งที่คอนโดให้ตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น แต่กรุงเทพฯ ช่วงหลังมื้อเย็นก็ยังเป็นที่ที่ชวนให้หงุดหงิดกับรถที่เต็มถนนอยู่ดี

     “น้องขิงทักมาแหละ” พี่ข้าวที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับเอ่ยออกมา “ถามถึงณะด้วย”

     “—อา”

     “น้องสาวพี่โสดนะ”

     คำพูดลอยๆ จากหญิงสาวทำให้ผมเงียบกริบ แต่แฟนของพี่ข้าวก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “อย่าคิดจะจับคู่เลยนะข้าว”

     “เอ้า ทำไมอ่ะ เผื่อณะมันเหงาไง”

     “ไม่เหงาพี่” ผมเอ่ยปากขึ้นมาตัดบท “ไม่ได้เหงาอะไร”

     “จริงเหรอ”

     “อือ” ผมไม่ได้โกหกหรอก “ไม่เหงาเลย”

     พอเป็นแบบนั้นพี่ทั้งสองก็ยอมแพ้ ผมออกจากอินสตาแกรม เปิดมาที่แอพพลิเคชั่นอื่น สุดท้ายก็ไปไถไทม์ไลน์เฟซบุ๊กที่ไม่ได้เข้าบ่อยนัก ตอนนี้เต็มไปด้วยประเด็นการเมืองเผ็ดร้อน บางคนก็บ่นยาวหลายหน้ากระดาษ บางคนก็แค่แชร์บทความ ผมเลื่อนผ่านอย่างไม่ใส่ใจอะไรนักก่อนที่จะหยุดนิ่งกับภาพที่เห็น

     Jednipat J. – with Kunnanad T.
     thanks for photo na krub


     รู้อยู่แล้วว่าเฟซบุ๊กเป็นแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างจะสาระแน อะไรที่ไม่อยากเห็นก็มักจะได้เห็น แต่ตอนที่ได้เห็นภาพที่คุณถูกแท็กมาด้วยใครสักคนที่ไม่รู้จักก็ทำให้ใจตกลงไปกองที่ตาตุ่ม ภาพนั้นไม่ได้เห็นหน้าคุณแต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นภาพที่คุณถ่ายให้

     Jednipat J. คนนั้นดูจะเป็นคนหน้าตาดี ชายหนุ่มผิวสองสี สวมแว่นตาท่าทางมีภูมิฐาน อายุคงไล่เลี่ยกับคุณ – และเป็นคุณหมอที่โรงพยาบาลเดียวกัน – ข้อมูลนั้นเฟสบุ๊กเป็นคนบอกกัน

     ผมเลื่อนดูความคิดเห็นของคนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมาเอ่ยปากว่าหมอเจตอะไรนี่หล่อ บางคนก็มาแซว แต่ความคิดเห็นที่ทำให้ผมถึงกับหยุดชะงักคืออันล่าสุด

     Pink pawarisa สรุปคู่จิ้นนี้จริงไหมคะพี่หมอเจต 5555
     Jednipat J. น่าจะเป็นได้แค่คู่จิ้นมั้ง มีคนใจร้าย ) : Kunnanad T.
     Kunnanad T. พี่เจตเลิกปั่นเถอะครับบบบ
     Jednipat J. เผื่อจะได้เป็นจริงไง


     —เอาล่ะ กูไม่ชอบไอ้พี่เจตนี่

     อยากจะไปแสดงความคิดเห็นบ้าง แต่โพสต์ก็ไม่ใช่ของคุณ – ต่อให้เป็นของคุณก็ไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองจะกล้าเสนอหน้าเข้าไปในโลกที่ตัวเองเคยเดินออกมาเนิ่นนานถึงห้าปีได้หรือเปล่า

     ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ ถอนหายใจมองรถบนถนนที่แน่นขนัดและคงจะแน่นไปอีกสักพัก อย่างน้อยๆ ก็คงอีกสองสามช่วงถนนก่อนที่จะเริ่มรับรู้ว่าเพลงที่เปิดอยู่ในรถคือเพลงซ่อนกลิ่นของปาล์มมี่ – ไอ้พี่เอก เพลย์ลิสต์พี่ก็ช่างสรรหาเหลือเกิน – เอาเสียซีนอย่างกับหนังรัก




     
     k.
     เพิ่งออกจากเวรแหละ
     เหนื่อยจัด

     ผมอ่านข้อความที่ถูกส่งค้างไว้ราวห้าชั่วโมงก่อนทิ้งท้ายคำบ่นพร้อมกับสติ๊กเกอร์หมีปิดหน้าร้องไห้หนึ่งตัวนั่นทำให้ผมเค้นยิ้มได้ไม่ยาก จะยิ้มให้เต็มปากก็ไม่ได้

     
napat
     เพิ่งถึงห้อง เหนื่อยเหมือนกัน

     ตอนที่พิมพ์กลับไป ไม่คิดเลยว่าข้อความจะถูกอ่านราวกับกำลังรออยู่แบบนั้น

     k.
     อ้าววว ปกติไม่ดึกขนาดนี้นี่
     ทำไมวันนี้ดึกอ่ะ

     
napat
     ออกไปถ่ายงานฟู้ดแฟร์ครับ
ที่เธอเคยพูดถึงอ่ะ
     
     k.
     อ๋อ 555555555555
     อยากเที่ยวบ้างจัง

     
napat
     วันนี้ก็ไปเที่ยวนี่
กับคุณหมออีกคนใช่หรือเปล่า

     ผมไม่ได้พูดประชดแต่อย่างได้ แต่หยั่งเชิงกับคำถามนั้น อยากรู้ว่าคุณจะตอบกลับว่าอะไร – คุณไม่ได้บอกผมว่าจะไปไหนหรอกถ้าไม่ใช่เราตอบกันกลับแบบในทันทีแล้วจะปลีกตัว

     วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวบนเตียง บอกตัวเองว่าอย่าทำตัวเป็นเฝ้ารอ และความตั้งใจนั้นก็เป็นหมันในไม่กี่นาที

     k.
     เอ้า รู้ได้ยังไง

     ผมพ่นหายใจพรืด พิมพ์ตอบกลับไป

     
napat
     เฟซมันเด้งขึ้นมาไง
ไม่ได้ตั้งใจจะส่องนะ

     k.
     ร้อนตัววว ไม่ได้ว่าอะไรเลย

napat
     สนิทกันเหรอ

     ผมรู้ตัวว่าถามคำถามที่ไม่น่าถามตอนที่ใจร้อนกดส่งไปแล้ว คุณอ่านมันในทันที บรรยากาศในแชตดูห้วนไปหรือเปล่านะ และผมมีสิทธิ์ที่จะถามอยู่ไหม นั่นเป็นสิ่งที่ตั้งคำถามเพิ่มเติมในใจ ก่อนที่ผมจะได้รับคำตอบกลับมา

     k.
     555555555555555

     —ด้วยวิธีที่คุณใช้บ่ายเบี่ยง

     นั่นค่อนข้างจะน่าหงุดหงิด ผมสูดลมหายใจลึก รู้แล้วว่าคุณไม่อยากให้ถาม หรือไม่สะดวกใจที่จะตอบ แต่ผมบอกตัวเองว่า – พอแล้ว – พอ พอ พอให้หมด, ผมควรรู้เสียทีว่าตัวผมควรจะได้ยืนตรงไหนในความสัมพันธ์กับแฟนเก่า

     เราควรแปะป้ายกันว่าอะไรในตอนนี้เหรอคุณ

     แฟนเก่าหรือเพื่อนใหม่

     k.
     ก็เวียนเจอกันบ่อยๆ

     
napat
     สนิทใช่เปล่า

     k.
     ประมาณนั้นมั้ง 55555555
     ไม่ใช่เธอกับโย่งนะ คบกันแค่นั้นอ่ะ

     
napat
     เธอ

     k.
     ครับ?

     พอแล้ว ผมบอกตัวเองอีกครั้ง พอแล้วจริงๆ

     
napat
     คนนี้ใช่เปล่าที่เธอซื้อบุฟเฟ่ต์โรงแรมคราวนั้นด้วย
จะไปกับเขาใช่หรือเปล่า
คุยๆ กันกับเขาอยู่เหรอ?

     ถ้าตัวอักษรมีเสียง มันคงเนิบนาบเหมือนที่คุณพูด แต่ผมรู้, คนอย่างผมไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบนั้นนักหรอกในความเป็นจริงถ้าหากนั่นไม่ใช่คำถามจริงจัง และผมคิดว่าคุณเองก็รู้ ถึงได้อ่านข้อความแล้วเงียบไปแบบนั้น

     ผมใจฝ่อในความเงียบนั้นเหลือเกิน ไม่มีโอกาสในการยกเลิกข้อความอีกแล้ว, และถ้าผมทำ ผมคงด่าตัวเองไปตลอดชาติเหมือนกับตอนที่บอกเลิกคุณแน่ๆ

     k.
     ตั้งใจจะไปกับพี่เขาอ่ะแหละ 55555555
     ทำไมอ่ะ

     คราวนี้เป็นผมเองที่เงียบกับคำถามสั้นๆ นั้น

     คำถามสั้นๆ ที่ตีความได้มากมาย เป็นคำถามที่ราวกับจะเอ่ยปากบอกกันว่าผมกำลังก้าวก่ายเกินไป หรืออาจจะสื่อว่าผมไม่ควรไปยุ่งกับอะไรแบบนี้

     k.
     ณะ เธอถามเค้าในฐานะอะไรเหรอ
     เค้าจะได้ตอบคำถามถูก

     ผมเดาอารมณ์ของคุณไม่ถูกเลย จริงๆ นะ, หรือห้าปีมันเนิ่นนานเกินไปจนผมรู้สึกราวกับว่าเราต้องทำความรู้จักกันใหม่

     k.
     เค้าเหนื่อยจะเดาใจเธอแล้วอ่ะ
     จริงๆ นะครับ
     บอกเค้าหน่อยนะ เค้าเดาใจเธอตลอดไปไม่ได้หรอก

     —แล้วจะไปทำความรู้จักกันในฐานะอะไรเล่า

     ผมถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกับที่คุณถามผม

     k.
     เค้าจะได้รู้ไง
     ว่าเค้าควรตอบที่เธอถามว่าอะไร



     

-------------------------
ขอโทษที่หายไปนานค่ะ

มิดเทอมทำพิษมา หายไปนานเกินกว่าที่คิดมากๆ
เพราะมีงานด้วย ;-;
ยังเรียนไม่จบนะคะ แง้ ปีสามเองค่ะ
แต่หลังจากนี้น่าจะกลับมาอัพได้แบบเดิมแล้วค่ะ!

ฝากด้วยนะคะ!

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2019 21:39:47 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ่านแล้วก็เห้ยเบาๆ คู่นี้เล่นอะไรกันอยู่ 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด