———— 15 ————
“ณะ แกว่าฉันเป็นยังไง”
วันนี้ได้ยินคำพูดนี้รอบที่ล้านได้แล้วกระมัง “สวยแล้วๆ สวยที่สุด สวยแบบที่มีใครแย่งซีน”
“ไม่จริงใจ” พี่ข้าวทำท่าเหมือนจะร้องไห้ มองกระจกซ้ายขวา “สวยจริงๆ นะ”
“โอ๊ย น้องข้าว สวยแล้วจริงๆ”
“หน้ามันหนาไปมั้ยคะเจ้ปัน”
“ก็งานแต่งงานมันก็ต้องหนากว่าปกติอยู่แล้วนี่”
ผู้หญิงอีกคนในออฟฟิศตบบ่าทั้งสองของเจ้านาย พี่ข้าวยังคงมองตัวเองในกระจก วันนี้เจ้าหล่อนแปลกไปเล็กน้อย จากผู้หญิงที่แต่งหน้าบางๆ แต่งตัวทะมัดทะแมงกลายมาเป็นผู้หญิงที่แต่งหน้าหนากว่าปกติ ขนตาทำให้รู้สึกเหมือนโดนลมพัดทุกครั้งที่เจ้าหล่อนกระพริบตา (แน่นอนว่าคิดได้แค่ในใจ ขืนเผลอพูดไป เจ้าหล่อนคงได้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองจนเป็นบ้าไปก่อนแน่)
“นั่นสิพี่ข้าว” อีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำเปล่ามาตรงหน้า “เอาไหมคะพี่ณะ”
“อา— ขอบคุณครับน้องขิม”
น้องสาวเจ้าสาวพยักหน้าให้ ผมรับแก้วมา น้องขิมหันไปยื่นแก้วอีกใบให้เจ้ปัณ และวางแก้วใบสุดท้ายให้พี่สาวตัวเอง “สวยแล้ววันนี้ ขิมยอมให้หนึ่งวัน”
“เฮ้ย บ้าแล้ว พี่สวยกว่าเธอตลอดแหละ”
“ไม่จริง”
“จริง”
ผมปล่อยให้คู่พี่น้องผู้หญิงเถียงกันไปแบบนั้น ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนที่จะยกกล้องขึ้นมาเช็กภาพที่ถ่ายไว้ให้
วันนี้ผมรับหน้าที่เป็นตากล้องเก็บบรรยากาศงานแต่งงานให้ น้อยครั้งที่จะได้รับงานพวกนี้ ผมว่ามันวุ่นวายและดีไม่ดีอาจจะได้เงินไม่คุ้มด้วยซ้ำ เห็นว่าเป็นพี่ที่สนิทกันเลยตอบรับให้ ตอนเช้าก็เข้าไปหาเจ้าบ่าวมาแล้วแต่พี่เอกก็ปัดมือไล่ไปมา บอกว่าไม่เห็นต้องเก็บบรรยากาศอะไรมาก ตัวเด่นวันนี้อยู่ที่เจ้าสาว ทำอะไรๆ ก็ตามใจเจ้าสาวเท่านั้น ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้ผิดเท่าไหร่นัก เท่าที่รู้จักกันมาพี่เอกก็ไม่ใช่คนชอบกิจกรรมอะไรพวกนี้ หากจะจดทะเบียนอย่างเดียวแล้วไม่จัดงานก็ดูไม่เกินจริง
“ไอ้โย่งยังไม่มาอีกเหรอ” เจ้ปันหันมาถามผม “หรืออยู่ห้องพี่เอก”
“มันพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนไง”
“อ๋อ”
ผมเหลือบมองนาฬิกา “แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้วมั้ง”
“ไม่ต้องไปเร่งโย่งหรอก” เสียงเจ้าสาวแทรกเข้ามา “แค่มันยอมโผล่มาตอนเช้าฉันก็ดีใจใจจะขาดแล้ว คนอย่างมันยอมตื่นหกโมงมาหากันอ่ะ”
ผมหัวเราะ ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น
จังหวะนั้นเองที่กลุ่มเพื่อนเจ้าสาวเดินเข้ามา เอ่ยแซวกันด้วยรอยยิ้ม หัวเราะกันเสียงดัง ถ่ายรูปกันไม่หยุดหย่อน ผมไม่ได้รู้สึกรำคาญ ตรงกันข้าม, เป็นจังหวะที่เผลอคิดว่าสักวันเพื่อนๆ ของผมก็คงเป็นแบบนี้ อีกสักสองถึงสามปีในอนาคต บางทีผมอาจจะต้องเป็นตากล้องให้ในวันที่ไอ้โย่งแต่งงานด้วยซ้ำ
“พี่ณะกินอะไรมั้ย” คำถามตามมารยาทดังออกมาจากน้องขิม “ขิมจะลงไปเซเว่น แล้วเดี๋ยวจะแวะไปรับคุณพ่อคุณแม่ด้วย”
“อ๋อ ไม่ล่ะ เดี๋ยวพี่คงไปนั่งเล่นห้องพี่เอก”
น้องพยักหน้า “ค่ะ” นิ่งไปสักนิดก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วพี่คุณไปไหนล่ะคะ วันนี้ไม่มาด้วยกันเหรอ”
ผมยิ้มบางๆ “คุณยุ่งน่ะ”
“คุณหมออ่ะเนอะ”
“ใช่ ประมาณนั้นแหละ” ผมได้แต่เห็นด้วย “ความจริงยังไม่เคยพามาเจอพี่ข้าวกับพี่เอกด้วย”
“อ้าวเหรอคะ” น้องขิมทำท่าทางแปลกใจ “งั้นแปลว่าขิมเป็นคนเดียวที่เคยเห็นน่ะสิ”
“ประมาณนั้นแหละ ถ้าไม่นับไอ้โย่งนะ”
“แต่ขิมว่าพี่ๆ เขาก็ไม่ซีเรียสหรอกถ้าจะชวนมา”
“เห็นว่าถ้าตอนเย็นเวรไม่เยินจะมาหา”
ผมตอบไปตามจริง ความจริงเมื่อคืนเราคุยกันแล้ว ถามย้ำก็แล้วแต่คุณก็ยืนยันว่าไม่มั่นใจ เห็นว่างานเย็นจะเริ่มตอนทุ่มหนึ่ง คณณัฐที่เลิก OCD ตอนหกโมงก็ยังไม่กล้ารับปากว่าจะมาแน่ๆ
กลัวว่าจะผิดนัดอีก คุณบอกผมแบบนั้นเมื่อคืนเสียงหงอยแบบที่ผมรู้ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกผิด
รอบนี้ไม่ได้นัดแค่เธอด้วย ถ้าผิดนัดอีกก็แย่เลยโดนพูดแบบนั้นใส่ก็ใจอ่อนไม่อยากเซ้าซี้ แม้จะโดนพี่เอกย้ำมาอีกทีว่าชวนมาเถอะ แขกมีเป็นร้อย เพิ่มมาสักคนไม่ได้ทำให้จ่ายเงินค่าบุฟเฟ่ต์เพิ่มขึ้นเพราะจ่ายไปหมดแล้ว แถมเจ้าบ่าวเจ้าสาวคล้ายจะอยากเห็นเหลือเกิน ขอบคุณที่พี่เอกไม่เผากันเรื่องผมแอบพาคุณหมอขึ้นออฟฟิศในคราวก่อนอย่างประเจิดประเจ้อ ไม่งั้นคงจะต้องฟังคนอื่นๆ ล้อไปจนวันตาย
—ทุกวันนี้ก็โดนล้อจนตายอยู่แล้วน่ะนะ
เดินเข้าไปหาพี่เอกบ้าง บรรยากาศสงบกว่ากันเป็นกอง พี่เอกยังบ่นไม่มีหยุดว่าทำไมเราต้องแยกห้องกันแต่งตัวเพราะเพื่อนตัวเองก็ไม่ได้เยอะ อุปกรณ์แต่งตัวก็ไม่ได้เยอะ เปลืองค่าห้อง ว่าแบบนั้นแต่เห็นก็ตามใจไม่มีหยุด
ผมมองไปที่โซฟามีของวางระเกะระกะ “ขอนอนได้ปะพี่” เอ่ยถามอย่างเหนื่อยอ่อน
“ก็เอาดิ”
“เอ้อ ดีเว้ย” ผมหัวเราะ
“เออ นอนๆ ไปเถอะ จองห้องในโรงแรมแล้วเน้นใช้ให้คุ้ม”
“ตามใจแฟนสุด”
“หลังจากวันนี้ก็เป็นเมียแบบถูกกฎหมาย” พี่เอกว่าแบบนั้น “ถึงจะว่างั้นก็เถอะ กูไม่ได้ตามใจแค่ข้าวสักหน่อย เอาจริงก็ตามใจพ่อแม่ตัวเองด้วย”
“—อ๋อ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ ทิ้งตัวลงบนโซฟาหลังจากเคลียร์ของให้มีพื้นที่ในการนอน “ก็เก็ทว่ะพี่ เอาจริง ตอนพี่ผมแต่งงานก็แบบนี้แหละ”
“ตอนคบมันเป็นเรื่องของสองคน ตอนแต่งงานแม่งสองครอบครัวเฉย” พี่เอกว่าแบบนั้น “กลับไปตอนเพิ่งคบกันใหม่ๆ นะ แม่งไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลยว่ะ”
ผมที่หลับตาลงถึงกับเปิดเปลือกตาขึ้นใหม่ “อื้ม, เข้าใจ” ตอบไปสั้นๆ พร้อมกับความทรงจำบางอย่างที่ลอยเข้ามาในหัว “อย่างว่าแหละ ตัวเองตอนยี่สิบกับตัวเองตอนสามสิบ มันจะไปเหมือนกันได้ยังไงวะ”
“ถูกของมึง” เจ้าบ่าววันนี้หัวเราะ “ถ้าเจอข้าวตอนยี่สิบ กูอาจจะแครี่มาไม่ถึงตอนที่แต่งงานกันก็ได้”
“ไม่รู้เลยว่าพี่ข้าวตอนยี่สิบเป็นไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน – คงไม่รู้ด้วย”
“มีไหมวะคู่ที่คบกันตั้งแต่ม. ปลายแล้วได้แต่งงานกัน”
“มีนะเพื่อนกูอ่ะ แต่น้อยเหลือเกิน”
ผมหัวเราะ “เพื่อนผมก็มีนะ แต่งงานกับแฟนตอนมหา’ ลัย”
“เก่งฉิบหายที่คบกันมาเป็นสิบๆ ปีได้”
“เฮ้ย พี่พูดงี้ไม่ได้ปะวะ” ผมแกล้งแซว “ตอนนี้พี่กับพี่ข้าวก็จะสิบๆ ปีแล้ว เดี๋ยวก็ได้จัด anniversary สิบปีด้วยกัน”
“อาจจะไม่ได้จัดก็ได้” พี่เอกว่าแบบนั้น “ใครจะไปรู้อนาคตวะ”
เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกเศร้าพิลึกที่ถูกพูดออกมาในวันแต่งงาน ถ้าสาวเจ้ามาได้ยินเข้าอาจจะร้องไห้เพราะวันนี้ดูเป็นวันที่เธออารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ แต่ผมก็เข้าใจ, ด้วยนิสัยของพี่เอกมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
“แต่ก็นะ,” พี่มันยักไหล่ “ตอนกูคบแรกๆ กูก็คิดว่าอาจจะไม่ได้แต่งก็ได้เหมือนกัน ตอนนี้กูได้แต่งแล้ว เพราะงั้นครบสิบปีก็อาจจะเป็นเหมือนกันก็ได้”
ผมฟังคำพูดของพี่มัน “ก็นั่นสิเนอะ”
งานแต่งงานไม่ได้แตกต่างจากงานรับปริญญา ไม่ได้แตกต่างอะไรจากความรู้สึกเวลาไปเยี่ยมลูกสาวคนแรกของเพื่อนในกลุ่มที่โรงพยาบาล และบางที, มันก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกับงานศพของใครสักคน – เป็นงานที่ให้ความรู้สึกว่าเรากับเจ้าของงานกำลังจะห่างกันไปอีกขั้นหนึ่ง หลังจากนี้คงจะมีเรื่องอื่นสำคัญในชีวิต เหมือนได้เห็นการเติบโตของใครสักคน ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด
“เธอกินข้าวรึยัง” ปลายสายเอ่ยถามกันอย่างเป็นห่วง “เป็นตากล้องคงไม่ได้กินข้าว”
“กินแล้วครับ” ผมตอบกลับตามจริง “เอาจริงก็คงยุ่งแค่ช่วงที่มีแขกมาเยอะๆ แหละ มีจังหวะให้กินข้าวอยู่”
“แต่เธอกินแล้ว”
“เดี๋ยวก็กินอีก ใส่ซองไปขนาดนั้นต้องกินให้คุ้ม”
คนปลายสายหัวเราะ “วันนี้ไม่เยินมาก แต่ยังไม่กล้ารับปากเลย”
“มาเถอะ เจ้าสาวเจ้าบ่าวเขาก็อยากให้มา”
“ยังไม่เคยเจอกันสักครั้งเลยนะ” คุณหมอทำเสียงแปลกใจ “ทำไมเจ้านายเธอถึงอยากให้ไปเจอนักนะ”
“อ๋อ” ครางรับในลำคอเบาๆ เวรแล้ว นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เล่าให้คณณัฐฟังเลยว่าโดนพี่เอกเห็นหมดแล้วตั้งแต่วันที่คุณซื้อเคเอฟซีมาให้กินถึงออฟฟิศ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคณณัฐรู้แล้วจะเป็นอย่างไร “มันก็แค่เดาได้ว่าเค้า อา— ว่ายังไงล่ะ มีเธออยู่”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากปลายสาย “ก็ไปได้แหละ แต่ไม่รู้กี่โมง รถติดแน่เลย”
“สูทก็หยิบมาเผื่อให้แล้ว” ผมพูดเสียงอ่อน อีกนิดจะเรียกว่าอ้อนเสียด้วยซ้ำ “ถ้ามาได้ก็มาเถอะ”
“คร้าบบ ถ้าไปได้จะโทรไปบอกนะครับ”
เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่สถานการณ์จะบังคับให้ผมวางสาย แขกเหรื่อของคู่บ่าวสาวเริ่มเข้ามาจนผมรู้ว่าผมต้องไปทำงานให้สมเงินที่พี่ๆ จ่ายเสียหน่อย โย่งยังคงรับหน้าที่ตากล้องถ่ายวีดีโอเหมือนเดิม วันนี้เพื่อนสนิทของผมทำผมดีกว่าปกติ แต่งตัวเป็นผู้เป็นคน มันแซวว่าเพื่อนเจ้าสาวสวยๆ เยอะต้องมีคนสนใจมันสักคน ฟังแล้วอยากจะหัวร่อเข้าให้ แต่ก็ยอมๆ เขาหน่อย ดูเหมือนช่วงนี้โย่งจะเหงามากกว่าปกติ
“ยำแซลมอนอร่อยจัด” โย่งเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับกล้องในมือ “ว่างั้นปะครับคุณณะ”
“ไม่รู้ครับยังไม่ได้กิน ใช้งานกันซะคุ้มราคาเลย”
“ได้ยินมั้ยพี่ อย่าลืมอัพเงินเดือน”
ผมหัวเราะกัลคำเย้าแหย่ให้เจ้านาย ไม่รู้เหมือนกันว่าคลิปรอบนี้จะออกมาในรูปแบบไหน แต่ก็ต้องเป็นการใหญ่หน่อยแหละ เจ้าของเพจเขาอุตส่าห์แต่งงานกันทั้งที
หลายคนที่เดินเข้ามาคุ้นหน้าคุ้นตากันใหญ่เนื่องจากเคยทำคลิปลงในเพจร่วมกัน ก็คือผมเป็นฝ่ายรู้จักเขาฝ่ายเดียว ตำแหน่งของผมไม่ได้ออกหน้ากล้อง มีแต่เอาคนหน้ากล้องมาลงคอมพิวเตอร์เพื่อตัดต่อเท่านั้น
“คุณมาไหมล่ะสรุป”
“เห็นว่าจะมา” ผมตอบไอ้โย่ง
“อ๋อ” มันดูว่าง่ายดี แต่ไม่วายสงสัย “แล้วจะแต่งตัวอะไรทันเหรอวะ”
“พกสูทมาให้ท้ายรถอยู่แล้ว”
“—ก็ดีๆ” มันพยักหน้าแค่นั้น
ผมเลื่อนกล้องขึ้นมาระดับสายตา ถ่ายภาพบรรยากาศที่ดูอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม จังหวะนั้นที่น้องขิมเดินผ่านก็ไม่วายหันมายิ้มให้กล้อง วันนี้หล่อนสวย, ดูเป็นสาว แต่รอยยิ้มก็ดูสดใสสมเพิ่งเป็นบัณฑิตดี
“กูนะ” เสียงเปรยแผ่วเบาดังขึ้นมาจากข้างกาย “ไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะกลับมาคืนดีกับคุณ”
ผมลดกล้องในมือ “ไม่คิดเหมือนกัน” ตอบกลับแบบนั้นอย่างนึกขำขัน
“อันที่จริงตอนอยู่มหา’ ลัย กูคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรจะทำให้พวกมึงเลิกกัน” มันพูดแบบนั้นพลางยกแก้วเครื่องดื่มจรดริมฝีปาก พูดเหมือนคนแก่คุยกันทั้งที่เรายังไม่ทันสามสิบดี “แต่ตอนนั้นมึงเหมือนหมาที่สุดในสามโลก ในกลุ่มคุยกันบ่อยฉิบหายว่ามึงจะจบไหม เล่นเลิกกันตอนเวลาพีคๆ ของปีสี่พอดี”
“ก็ขอบคุณตัวเองที่เรียนจบมา” ผมหัวเราะ “—แต่ตอนนั้นเจ็บจริงๆ นะเว้ย เหมือนหมาที่สุดในชีวิตกูแล้ว”
“คุณหมอก็ไม่ต่างเถอะ”
“อื้ม” ตอบกลับแผ่วเบาเพราะไม่รู้จะพูดอะไร
“แล้วจะเปิดตัวตอนไหนล่ะ”
“เปิดตัวอะไร”
“แฟนใหม่ที่มาจากแฟนเก่า”
ผมเค้นหัวเราะ “ให้คุณคบกูก่อนเถอะ”
มันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้อยู่ในสถานะคนคุยเหรอ” ดูจะแปลกใจที่ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “จะสามสิบแล้ว ทำอะไรให้มันรวดเร็วฉับไวหน่อยสิวะ รออะไรอยู่”
เป็นคำถามที่ให้ความรู้สึกแปลกพิลึก จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองโดนคำถามแบบนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายตอนไหน
“ไม่รู้สิ” ผมกดชัตเตอร์ให้ภาพของความสุขอีกครั้ง “รอให้เขามั่นใจว่ามันจะไม่จบลงเหมือนเดิมมั้ง”
บทสนทนาหยุดลงชั่วครู่ทันทีที่โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่น ผมหยิบขึ้นมาพร้อมกับพบว่าคนโทรมาคือคนที่อยู่ในประเด็นที่กำลังคุยกันอยู่ กดรับสายแทบจะในทันที
“ถึงแล้วเหรอ”
“ใช่ๆๆ เค้าถึงแล้ว” คุณตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรนนิดหน่อย “ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ๆ เดี๋ยวลงไปหา จอดรถไว้ชั้นเจ็ด”
“งั้นเดี๋ยวเค้าขึ้นไปหาเธอเอง ชั้นเจ็ดนะ”
“ครับ”
ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาว่าโอเคก่อนที่สายจะถูกตัดไป ผมก้มมองนาฬิกา อีกราวครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงเวลาที่คู่บ่าวสาวออกมาทักทายแขกให้ผมไม่ว่างอีกรอบ เพราะตอนนี้เจ้าของงานทั้งสองบอกให้พักกินข้าวก่อนผมเลยดูงานได้สบายๆ
ผมดึงสายคล้องกล้อง นำไปสวมคอไอ้โย่ง “ฝากแป๊บ เดี๋ยวลงไปรับคุณ”
เพื่อนซื้งุนงงแต่ก็ตอบรับแต่โดยดี
ตอนที่ประตูลิฟต์เปิด คุณหมอก็ยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์แล้ว อีกฝ่ายสีหน้าอิดโรยนิดหน่อย ในมือถือถุงกระดาษแบรนด์ของใช้ หากแต่ไม่วายยิ้มตาหยีตอนที่เจอกัน
“จะแปลกๆ ไหม” คุณถามแบบนั้น “แต่คิดว่าคงไม่ดีถ้ามามือเปล่า”
“จริงๆ พี่ๆ เขาก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว” ผมว่าแบบนั้น เดินนำอีกฝ่ายไปที่ลานจอดรถ วันนี้มีรถยนต์มาขับเพราะยืมพี่ตัวเองมาเนื่องจากคิดว่ามอเตอร์ไซค์คงเอาไม่อยู่ แถมต้องอยู่ตั้งแต่งานเริ่มยันงานเลิก “เธอใส่ได้ไหมเนี่ย”
“เฮ้ย เราก็เตี้ยกว่าเธอนิดเดียวเอง” คุณขมวดคิ้วมุ่น “ทำเหมือนเธอสูงนักแหละ”
“ก็ไม่ได้พูดแบบนั้น เป็นห่วงแค่ตรงไหล่เฉยๆ”
คณณัฐก็ดูจะงอแงแบบเล็กๆ ทำให้ผมไม่วายเอื้อมมือไปบีบจมูกอีกฝ่ายสักที คุณหมอสวมเสื้อสูทสีเบจของผม ดูเหมือนไหล่จะตกไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร
“ไปแค่นี้ได้ไหม” คุณถามอย่างไม่มั่นใจ “ต้องเซ็ทผมไหมอ่ะ”
“ไม่ต้องหรอก เธอดูเค้าสิ”
“ก็เธอเซ็ทแล้ว!”
“เอ้า” หัวเราะแผ่วเบากับคำพูดที่ฉายชัดถึงอารมณ์ ดูเหมือนวันนี้คุณหมอจะงอแงผิดปกติ อาจจะเป็นเพราะการจารจรที่ทำให้เหนื่อยมาก
จะไม่มาก็ได้แท้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์มา
พอคิดแบบนี้แล้วก็ขอบคุณคุณเขานั่นแหละ – ธุระอะไรก็ไม่ใช่เลยแท้ๆ
คุณหมอทำท่าเหมือนจะไปเซ็ทผมจริง แต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ใช่งานเล่นใหญ่อะไร ผู้ใหญ่ก็ไม่เยอะ แต่งตัวหล่อไปถึงไหน แซวเบาๆ แต่โดนถลึงตามองใส่พร้อมกับบอกว่าเป็นมารยาทให้เกียรติสถานที่แล้วกัน ผมเลยตามใจ ยอมให้คุณเขาเอาเจลเซ็ทผมไปที่ห้องน้ำเพื่อแต่งตัวสักหน่อย
ใช้เวลาไม่นานนักหรอกคุณหมอก็เดินออกมาในสภาพไม่ต่างจากเดิม ผมมอง กำลังจะเอ่ยแซวแต่คุณก็ตีไหล่เบาๆ
ตอนที่เดินเข้าไปในงาน คณณัฐดูจะเกร็งมากกว่าปกติถึงได้เบียดกายมาหาผมมากกว่าเดิมให้คนรู้ว่าเดินมากับใคร ผมบ่นพึมพำว่าขอบคุณที่มาทันเวลาเมื่อไอ้โย่งโบกมือให้พร้อมกับเคาะที่นาฬิกาข้อมือมันราวกับจะบอกว่าต้องรีบแล้ว
“ขอบใจมาก” ผมเดินไปรับกล้องจากมือมัน ก่อนที่จะหันมาถามคนข้างกาย “เดี๋ยวเค้าไปแถวๆ เวที เก็บภาพน่ะ เธออยู่กับไอ้โย่งไปนะ”
“อ๋อ” คุณทำหน้ากังวลใจนิดหน่อยแต่ก็ยิ้ม “ได้ๆ”
“มานี่หมอ ให้มันไปทำงานก่อน”
คุณหมอหัวเราะ โบกมือลาให้กันอย่างว่าง่าย ผมรีบแทรกตัวไปแถวเวที และยังไม่ทันพักเหนื่อยไฟก็เริ่มดับลงเพื่อให้ความสนใจกับคู่บ่าวสาว
เสียงแซวบนเวทีจากพิธีกรที่เป็นเพื่อนพี่เอก, คลิปวีดีโอบอกเล่าความรักของทั้งสอง, คำอวยพรซึ้งๆ จากญาติผู้ใหญ่ที่ทำเอาพี่ข้าวน้ำตาคลอ เรื่อยไปจนถึงการตัดเค้กแต่งงานที่จำได้ว่าเจ้าบ่าวบ่นว่าสิ้นเปลืองแต่เจ้าสาวบอกว่าเป็นความฝัน – ผมเก็บทั้งหมดนั้นไว้ในภาพถ่ายผ่านกล้องของตัวเอง
จนไฟกลับมาเปิดเป็นปกติ เจ้าบ่าวเจ้าสาวลงมาขอบคุณตามโต๊ะต่างๆ แล้ว ทั้งเพื่อนและญาติๆ ผมหันไปมองหาเพื่อนตัวเอง ก่อนที่จะนึกแปลกใจนิดหน่อยที่ข้างๆ ของคณณัฐไม่ได้มีแค่ไอ้โย่ง แต่รวมถึงน้องขิมด้วย
“นึกว่าพี่คุณจะไม่มาซะแล้ว” น้องขิมหันมาพูดกับผมแบบนั้นตอนผมเดินเข้าไปหา “แต่ก็อุตส่าห์มา ขอบคุณนะคะ ได้คุยกับพี่ข้าวหรือยัง”
คุณหมอส่ายหน้าน้อยๆ “ยังเลย”
“เดี๋ยวพี่ข้าวก็มาแหละค่ะ วันนี้คิวแน่น”
“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ” คณณัฐยิ้มตาหยีให้กับน้องเจ้าสาว “วันนี้เป็นตัวเอก ต้องยุ่งเป็นธรรมดา”
บทสนทนาไหลลื่นไปตามประสาคุณหมออัธยาศัยดี กลายเป็นผมเองที่เงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรเท่าไหร่เมื่อไอ้โย่งขอตัวไปถ่ายวีดีโอก่อน คุณหมอคุยกับน้องขิมอยู่นานพอควรจนถึงตอนที่น้องขอตัวไปทักทายญาติผู้ใหญ่ที่บังเอิญเจอ
ผมเหลือบมองคู่บ่าวสาวที่เดินมากำลังจะถึงตำแหน่งที่พวกผมยืนอยู่
“แปลกๆ แฮะ ยังไม่ได้ไหว้เจ้านายเธอเลย”
“ถึงจะเรียกว่าเจ้านายแต่ก็เหมือนรุ่นพี่เฉยๆ มากกว่า” ผมหัวเราะแผ่วเบา
“จะเป็นไรไหมนะ” คุณหมอย่นจมูก “ไม่ได้รู้จักโดยตรงด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คิดมาก”
เจ้าของงานเดินเข้ามาใกล้อีกนิด สังเกตเห็นคณณัฐยืนกำมือนแน่นกว่าปกตินิดหน่อยแต่สีหน้ายังยิ้มแย้มไม่มีเปลี่ยน ใจนึงก็อยากเย้าแหย่ว่าตอนมหาวิทยาลัยที่อีกฝ่ายเจอพ่อแม่ผมยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ อันนี้อะไรกับไอ้แค่รุ่นพี่
—คงเพราะเป็นครั้งแรกที่จะก้าวเข้ามาในสังคมของอีกฝ่ายหลังจากเดินออกไปมานานก็ได้ ไอ้ผมก็เผลอตั้งข้อสงสัยแบบนั้นอย่างอดไม่ได้
“นี่เธอ” เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ ตอนที่คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เค้าต้องแนะนำเธอว่ายังไงนะ”
“ฮะ?” คนข้างกายหันร้องเสียงฉงน คณณัฐดูงุนงง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่จะผลุบตาลงต่ำ “ก็— เอาที่เธออยากแนะนำแล้วกัน”
หัวใจผมพองโตเล็กน้อยกับถ้อยคำง่ายๆ เหล่านั้น,
เหมือนคุณจะบอกว่า
อย่างไรก็ตกลงเจ้าบ่าวเจ้าสาวหันมาเห็นผมแล้ว พี่เอกดูจะแปลกใจ คงเพราะเคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของคุณหมอตั้งแต่ในกล้องวงจรปิดวันนั้นแล้ว แต่พี่ข้าวดูจะไม่รับรู้เรื่องด้วย คุณหมอยกมือไหว้ทั้งสองทันทีที่สบตาตามประสาคนมีมารยาท
เจ้าของงานเดินมา “ขอบคุณครับที่มา” ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม
“ครับ แล้วก็ยินดีด้วยนะครับสำหรับงานแต่งงาน” คณณัฐเอ่ยถ้อยคำอวยพรที่แสนเรียบง่าย
พี่ข้าวยิ้มให้ บอกว่าขอบคุณ ขณะนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมกับคำถามในแววตาเหมือนกับจะบอกผมให้แนะนำ ส่วนคณณัฐยังไม่ทันรู้เรื่อง
ผมเม้มปากแน่น,
ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว,
“พี่เอก พี่ข้าว” ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เรียกชื่อทั้งสองเพื่อจะแนะนำคุณให้อีกฝ่ายรู้จัก “นี่คุณนะครับ”
เอาล่ะ, เอาหน่อย, ณะเอาหน่อย,
ผมบอกตัวเองด้วยคำนี้มาประมาณสามร้อยครั้งในเสี้ยววินาที ก่อนที่จะขยับปากพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดมาเนิ่นนาน – นานเหลือเกินที่จะได้กลับมาเรียกคุณด้วยคำนี้อีกครั้งหนึ่ง
“คุณเป็นแฟนของผมครับ”the end.
จะเอานายเอกชื่อ “คุณ”
นั่นเป็นความคิดเดียวที่มีตอนที่ตัดสินใจจะเขียนเรื่องนี้ จากนั้นก็ตามมาด้วยความคิดว่าอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับแฟนเก่าที่ไม่ใช่นิยายดราม่า – และอยากให้คนคิดถึงช่วงเวลาในการตกหลุมรักครั้งนั้นในชีวิตขณะที่อ่านนิยายเรื่องนี้ไปด้วย
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ เกิดขึ้นแบบนั้น,
เรียบง่ายจนน่าตกใจ ทุกฉากทุกตอน ทุกการจัดการความรู้สึก – แน่นอนว่ามีเชิงลึกกว่านี้ในเล่มแน่นอน (สามารถกดจองได้ที่ : https://forms.gle/emoVJYFmj2ZfJfH4A)
อยากเขียนอะไรที่เรียบง่าย เป็นวันธรรมดาในแต่ละวัน ไม่ใช่ดราม่าเหมือน soap opera หรือวุ่นวายเหมือน high school life ในหนังฝรั่ง ก็แค่อยากให้คนอ่านทุกคนคิดถึงตอนที่ตกหลุมรักมากที่สุด – นั่นคือสาเหตุที่คณณัฐได้ชื่อคุณ
ทุกประโยคที่พูดถึงคุณ – คนอ่านอาจจะไม่ได้คิดถึงแค่ “คุณหมอคณณัฐ” เหมือนที่ณะคิดถึง แต่อยากจะคิดถึงความรักสักครั้งที่แทรกตัวอยู่ในซอกหลืบของความทรงจำ หรืออาจจะเป็นความรักที่ยังอยู่ในมือ จะเป็นรักครั้งไหนก็ได้, ถ้าหากนิยายเรื่องนี้ยังทำให้รู้สึกคิดถึงสิ่งที่เรียกว่าการตกหลุมรักได้จะเป็นความยินดียิ่ง
ตอนที่กลับมาเขียนนิยายอีกครั้งยอมรับว่ากล้าๆ กลัวๆ ไปหมดเพราะห่างหายจากวงการนิยายวายมานานมากๆ (ไปเขียนฟิคอยู่ช่วงหนึ่ง) กลัวคำวิจารณ์ กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน กลัวว่าจะโดนคำด่าเหมือนที่เคยโดน
ขอบคุณทุกความคิดเห็น คำวิจารณ์และความช่วยเหลือที่ทำให้นิวเลิกกลัว – ไม่ว่าจะเคยรู้จักกันในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก หรือเคยรู้จักกันมาจากนิยายเรื่องอื่นแล้ว
ขอบคุณนะคะ,
ที่ทำให้นิวได้กลับมาตกหลุมรักการเขียนนิยายของตัวเองอีกครั้ง
ขอบคุณจากใจจริง
เอ็นเอ็น
[/color]