———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————  (อ่าน 44775 ครั้ง)

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

หนังสือ #ตอนนี้ยังเป็นคุณ
เปิดให้จองวันที่ 30 สิงหาคม เวล 20.00 น.
ติดตามได้ที่ @ninewnn_novel



———— 14 ————

“วันนี้ยังจะเจอกันไหม”

“วันนี้เค้าไม่ไหวหรอก” ผมตอบกลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน มองหน้าจอคอมพิวเตอร์สลับกับตัวเลขบ่งบอกเวลาที่มุมหน้าจอ “มีปัญหาตอนแรนเดอร์นิดหน่อย วันนี้คงต้องอยู่ยาวๆ”

“งั้นเหรอ— ขอบคุณพี่จิ๊บครับ” ปลายสายตอบกลับแค่นั้นก่อนจะตอบกับใครอีกคนที่อยู่ด้วยแทนที่จะเป็นผม “ไม่เป็นไรหรอก แบกงานกลับบ้านหรือว่าทำที่ทำงานล่ะแบบนี้”

“เดี๋ยวดูก่อน แต่ยังไงก็คงต้องกลับบ้านแหละ เค้าไม่ได้มีเสื้อผ้าเก็บไว้ที่นี่”

“กลับดึกเหรอ”

“อาจจะครับ”

“โอเคครับ” คุณหมอตอบกลับมาแบบนั้น “ถ้าเหนื่อยๆ ก็นอนนั่นเลยนะ ไม่ขับตอนดึกล่ะ”

“เค้าจะไม่ได้อาบน้ำนะ”

“อาบน้ำกับอาบเลือดเลือกอะไรล่ะ”

“โห— ดุจังวะคุณ”

ปลายสายหัวเราะแผ่วเบา ถึงจะทำพูดขู่แต่น้ำเสียงก็ไม่เคยจะดูน่ากลัวเท่าไหร่เลย เราคุยกันอีกสองสามคำก่อนที่จะได้ยินใครสักคนเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหมอ จากนั้นคุณก็บอกว่าแค่นี้ก่อนนะแล้วก็วางสายไป นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่นัก

คุณหมอเหรอ จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้ยินคุณถูกเรียกแบบนั้นเท่าไหร่ แต่อย่างว่า, ผมก็ไม่ได้ไปโผล่ที่โรงพยาบาลของคุณสักครั้งนับตั้งแต่เข้าเฝือก

ผมมองไปที่หน้าจอก่อนจะถอนหายใจยืดยาว ตอนนี้ในออฟฟิศมีแค่ผมอยู่คนเดียว ไอ้โย่งไปถ่ายงานพร้อมกับคู่รักที่บางแสน เจ้ปันก็เข้าบริษัทมาแต่เพิ่งจะออกไปหาอะไรกิน ส่วนตัวผมที่มีปัญหากับการแรนเดอร์งานก็หงุดหงิดเกินกว่าจะไปกินข้าว รู้ตัวดีว่าตัวเองอยากได้เวลาในการอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวสักชั่วโมงให้อารมณ์เสียจางหายไปก่อนที่จะเอานิสัยเสียไปลงกับใครเขา เลยฝากให้เจ้ปันซื้ออาหารตามสั่งมาให้แค่นั้น

ส่วนที่คณณัฐโทรมาก็ไม่ใช่อะไร – นานๆ ทีอีกฝ่ายจะมีเวลาว่างตอนกลางวันมากพอให้เราคุยกัน – คงเพราะเห็นข้อความที่ผมบ่นกระปอดกระแปดลงในไลน์ อีกฝ่ายเลยรับรู้ได้ว่าผมไม่รู้สึกดีเท่าไหร่นัก ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ ไม่ถีงห้านาทีดี แต่ก็ช่วยเหลือกันได้มากเลยทีเดียว

ไม่นานนักก่อนที่เจ้ปันจะเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องข้าวหนึ่งกล่องตามที่สั่งไว้ “ไปกินข้าวก่อนไอ้ณะ จากโมโหงานแล้วจะพาลโมโหหิวด้วยไม่ได้” หล่อนว่าแบบนั้นก่อนจะปัดมือไปมาเป็นเชิงไล่กัน

เราคุยกันอย่างเอื่อยเฉื่อยเพราะเหลือกันแค่สองคน เจ้ปันเล่าให้ฟังว่าพี่เอกกำลังเปิดรับสมัครคนมาช่วยงานผมอยู่และตำแหน่งอื่นๆ เพราะเพจเราดูจะเติบโตได้มากกว่าที่เคยคาดคะเนกันไว้ในต้นปี ซึ่งถือเป็นเรื่องดี

“แล้ววันนี้แกจะนอนนี่เหรอ”

“คงไม่นอน” ผมจ้วงข้าวเข้าปาก เคี้ยวอีกนิดก่อนจะตอบเจ้ “เดี๋ยวดูก่อน แต่ไม่แบกกลับไปทำบ้านแน่นอน ขี้เกียจ”

“ไอ้ณะ มูมมามมาก สาวๆ ไม่ชอบ”

“เจ้เป็นสาวด้วยเหรอ” ผมแหย่ “สามสิบกว่าแล้วนะ”

“ฉันมีเงินดูแลตัวเองย่ะ”

ผมหัวเราะกับเจ้าหล่อน ไม่ได้เถียงอะไรต่อ




แล้วมันก็เป็นแบบที่คาดเดาไว้ เจ้ปันบอกว่าจะไปรับหลานที่อนุบาลเพราะบังเอิญพี่ชายตัวเองไม่ว่าง ไม่ลืมที่จะเตือนให้ผมล็อกกุญแจทุกอย่างหากจะกลับ ก่อนที่จะโดนพี่เอกด่าในวันพรุ่งนี้

“พี่เอกเร่งงานเหรอ”


“เปล่าหรอก” ผมตอบอย่างเหนื่อยอ่อน “แต่คิดว่าต้องเสร็จแล้ว ยังไงมันก็มีเดดไลน์”

“กดดันตัวเองเครียดเปล่าๆ” เจ้เดินมาลูบหัว ทำเหมือนผมเป็นหมาตัวใหญ่เสียอย่างนั้น “ไปกินข้าวเย็นด้วยนะเว้ย”

“จ้า”

“กวนตีน” หล่อนควงกุญแจรถของตัวเอง “เดี๋ยวไปแล้ว ขอให้งานเสร็จนะไอ้น้อง”

“ขอบคุณมากเจ้”

ผมโบกมือให้เพื่อนร่วมงานคนเดียวที่เหลือวันนี้ เดินออกมาทิ้งตัวที่โซฟา มองเพดานอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาเปิดนั่นเปิดนี่ไปเรื่อย ไลน์ครอบครัวของผมกำลังคุยกันด้วยเรื่องว่าตอนนี้ช่วงเย็นแม่จะทำขนมจีนน้ำเงี้ยวและคิดถึงลูกๆ มากแค่ไหน ผมพิมพ์ตอบกลับไปไม่กี่คำ ว่ากันตามจริงคิดว่าหลังจากงานแต่งงานของเจ้านายจะบินไปหาที่บ้านเสียหน่อยแต่อยากแกล้งไปเซอร์ไพรส์ที่บ้านให้คนแก่เขาตกใจกันเสียบ้าง

ออกมาจากหน้าต่างนั้นเข้าสู่หน้าต่างเพื่อนๆ เพื่อนในกลุ่มมหาวิทยาลัยของผมไม่ได้พูดคุยอะไรกันนัก เหลือแค่ไอ้โย่งที่ถ่ายอาหารทะเลมาให้และผมทำได้เพียงพิมพ์ตอบมันไปอย่างเกรี้ยวกราดว่างานผมมีปัญหา กำลังแก้ไขอยู่ มันหัวเราะกลับมาก่อนจะอวยพรให้ทุกอย่างปลอดภัย

ออกมาจากแชตนั้นและมองแชตที่ถูกปักหมุดไว้บนสุดอีกครั้ง คณณัฐยังไม่ได้ตอบอะไรนับตั้งแต่โดนเรียก ก็ตามประสาคุณหมอ หวังแค่ว่าวันนี้งานจะไม่เยินก็พอ ได้ยินว่าออกเวรสองทุ่ม ผมก็คิดว่าคณณัฐเองก็คงจะเจอเรื่องน่าปวดหัวไม่แพ้กันแน่

ไถนั่นนี่อย่างคนไม่มีอะไรทำนัก ก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่า เอาวะ, ทำงานต่อสักที

ปวดตาก็แล้ว ปวดหลังก็แล้ว ชีวิตคนตัดต่อวีดีโอมันก็อย่างนี้ – จนตอนที่เห็นข้อความของคนที่หายไปนานตอบกลับมานั่นแหละ
   
   k.
   เลิกแล้ว
ฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้าง 555

napat
จะเหลือเหรอครับ
   
   k.
   ว้าว เสร็จแล้วล่ะสิ

napat
ก็แย่แล้ว
ยังอยู่ที่ออฟฟิศอยู่เลยเธอ

ว่าแบบนั้นพลางส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้แทนการออดอ้อนสักที ดูแล้วคล้ายจะน่าสมเพชเหลือเกิน
   
   k.
   อ้าว
   แล้วกลับกี่โมง
   กินอะไรรึยังเนี่ย

ผมเบนสายตาไปมองก่อนที่จะพบว่าตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว เกาหัวแกรกๆ เมื่อรับรู้ว่าตัวเองทำงานเพลินเกินกว่าจะลุกไปซื้ออาหารเย็นมาทาน

เป็นจังหวะที่เผลออ้าปากพะงาบๆ เพราะรู้ว่าคณณัฐคงได้เทศน์กันมากกว่าเดิม แต่เงียบไปก็คงทำให้คุณหมอรู้คำตอบแล้ว
   
   k.
   ยังไม่ได้กินอ่ะดิ
   นิสัยเสีย

napat
โหหหหหห
คนที่วันนึงกินข้าววันละมื้อ ทำมาบ่น

อมยิ้มนิดหน่อยกับบทสนทนาง่ายๆ ของเรา สุดท้ายแล้วคณณัฐก็พิมพ์กลับมาว่าจะไม่บ่นแล้ว อย่าลืมกินข้าวด้ย เดี๋ยวขับรถก่อน เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ผมมีแรงขึ้นมาใหม่

ผมเหยียดกายบิดขี้เกียจอีกครั้งขณะที่คิดว่าตัวเองควรจะเชื่อคุณหมอบ้างก่อนที่จะจบลงด้วยสุขภาพเหมือนชีวิตในหนังฟรีแลนซ์* ซึ่งบางทีก็ไม่ได้ดูห่างไกลเท่าไหร่ กดเข้าแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารที่ทำให้ชีวิตง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะแล้วเริ่มทำงานใหม่

แกร๊ก

ผมขยับกายซ้ายขวาเมื่อได้ยินเสียงจากประตู เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสนใจหน้าจอใหม่

แกร๊ก— แกร๊ก!

ผมเริ่มหรี่ตายามที่คิดว่าเสียงจากประตูไม่ได้เป็นการหูแว่วไปเอง

จับจ้องที่ลูกบิดที่คาดว่าเป็นต้นเหตุของเสียงเหล่านั้น ก่อนที่จะพบว่ามันขยับราวกับมีคนพยายามจะเปิดจริงๆ

เป็นจังหวะที่สูดลมหายใจตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป โทรศัพท์ของผมก็สั่น – คณณัฐโทรหากันในเวลาแบบนี้ – ผมคว้ามันมารับสาย เบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องลี้ลับอยู่ชั่วครู่

“เธอเปิดประตูให้หน่อย”

“ฮะ?” ร้องเสียงฉงนตอนที่ปลายสายเอ่ยปากแบบนั้นทันทีที่กดรับ

“—เธออยู่ตึกสีเขียวๆ ชั้นไหนนะ”

“ห้าครับ”

“เนี่ย เค้าอยู่หน้าประตูออฟฟิศเธอ”

ผมเดินตรงไปที่ประตูทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ปลดล็อกโดยยังไม่ทันตัดสาย

คุณหมอยืนอยู่ตรงหน้า ถือโทรศัพท์แนบหูไม่ต่างกัน ส่งยิ้มให้พร้อมกับชูของในมือ ไก่ทอด KFC จำนวนสองกล่อง

“ไม่บอกเลยว่าจะมา” ผมบ่นงึมงำ ตัดสายโทรศัพท์เมื่อเห็นว่าคนในสายยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

คุณหันกลับมา “เซอร์ไพรส์”

“ถ้าเค้าไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะ”

“แล้วจะอยู่กับใคร” คณณัฐถามอย่างขำขัน “กับชู้เหรอ”

“ใครเขาจะพาชู้มาที่ออฟฟิศ”

“เผื่อจะเป็นพล๊อตหนังโป๊”

“แย่มาก”

คุณหมอหัวเราะจนตาหยี มองซ้ายมองขวาก่อนที่จะวางมันบนโต๊ะที่พวกผมใช้กินข้าว “ซื้อมาให้”

“จริงๆ เค้าสั่งไลน์แมนไปแล้ว”

“อ้าวเหรอ งั้นเค้ากินคนเดียวก็ได้” คุณไม่ได้ดูเสียใจเท่าไหร่ “แต่ไม่หิวเหรอ— สามทุ่มกว่าแล้วนะ” ถึงกระนั้นก็ยังมองกันด้วยความเป็นห่วง

ผมพยักหน้า บอกว่ายังไงก็แบ่งกันกินก็ได้ จริงๆ นึกแปลกใจที่คณณัฐโผล่มาถึงออฟฟิศแบบนี้ จริงอยู่ที่พี่เอกกับพี่ข้าวไม่ได้ซีเรียสในการพาใครเข้ามา ช่วงไอ้โย่งติดสาวก็มีการพาสาวมานั่งรอหลังเลิกงานเหมือนกัน แต่แปลกใจที่เจอคณณัฐในสภาพเสื้อโปโลตัวเก่งกับกางเกงขายาวพร้อมกับ KFC ต่างหาก

“นึกยังไงถึงซื้อ KFC มา”

ผมถามขณะที่เดินเข้าไปในโซนห้องครัว จัดหามีดกับจานให้อีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่าคุณหมอไม่ชอบให้มือเปื้อนเวลากินไก่

“อยากกินมากๆ” คุณบอกแบบนั้น “แต่ถ้าสั่งมาที่วอร์ดก็คงโดนเชือด”

“สรุป KFC มันทำให้เวรเยินจริงไหม”

“ไม่รู้! แต่มันเยินทุกครั้งเลยนะ”

อีกฝ่ายบ่นนั่นบ่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยถึงตอนที่รุ่นพี่ทำใจกล้าสั่งไก่ทอดเข้ามาในวอร์ด ฟังแล้วตลกนิดๆ ที่คุณดูจะไม่เชื่อว่าเป็นเหมือนกันทุกโรงพยาบาล แต่ถามเพื่อนคนอื่นๆ ก็บอกว่าไม่ต่างกัน หรือมันจะเป็นเรื่องความลี้ลับที่หาคำตอบไม่ได้ของวงการแพทย์ล่ะมั้ง

“เธอสั่งอะไรไลน์แมนไป”

“สั่งราดหน้า” ผมว่าพลางยื่นจานหนึ่งใบให้อีกฝ่าย “สั่งมาตั้งสามถุง ตั้งใจจะเก็บไว้ด้วย เธอเอากลับไปสักถุงก็ได้”

“แปลว่าไก่เค้าไม่เป็นหมัน?”

“กินทั้งหมดได้ไหม หิว”

คุณหมอขมวดคิ้ว “ก็บอกแล้วว่าอย่าลืมกินข้าว” บ่นเบาๆ อย่างเป็นต่อ แหงสิ, ปกติคนที่ไม่กินข้าวไม่ใช่ผมเสียหน่อย น้อยครั้งคุณเขาจะมีสิทธิ์พูด ก็ต้องยอมเขาเสียบ้าง

คณณัฐเหลือบมอง หยิบน่องไก่ให้กันก่อนโดยผมไม่ต้องเอ่ยปากขอเพราะเราแบ่งกันแบบนี้เสมอ ผมกินน่อง คุณกินปีก ไม่ลืมที่จะฉีกซองซอสมะเขือเทศ บีบมันลงบนจานเปล่าๆ ของผมให้เสร็จสรรพ

“เฟรนช์ฟรายเหี่ยวแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก” ผมหัวเราะ “เหี่ยวๆ ก็อร่อยดี”

“ไปล้างมือก่อน”

“ค้าบบบบ”

ได้ยินเสียงบ่นว่าผมกวนตีนดังไล่หลังออกมา ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะ

เรานั่งกินไก่ทอดด้วยกัน เงียบเฉย มีเสียงช้อนกระทบกับจานจากคณณัฐอยู่คนเดียวเพราะผมไม่ได้ใช้มีดเหมือนคุณเขา นั่งฟังเรื่องที่คุณหมอน้อยใจกับไก่ทอดสไตล์เกาหลีที่ครองห้างในขณะที่คุณหมอยังคงจงรักภักดีกับไก่ทอดของผู้พัน

“เป็นคุณหมอกินแบบนี้จะดีเหรอ”

“หมอก็คนปะ อยากกินอะไรตามใจปากเหมือนกัน” คุณโวยวาย “ตอนนี้อายุยังไม่เยอะ สักสามสิบแล้วค่อยคิด”

“ยืมไปบอกแม่ของเค้าที ไขมันเกินอีกแล้ว”

“คุณแม่เธออายุเท่าไหร่แล้วนะ”

“หกสิบห้า เกษียณมาหลายปีแล้ว”

“อืม, ระวังๆ หน่อยก็ดี” คุณว่าเช่นนั้น “แล้วเธอคิดจะย้ายไปอยู่กับที่บ้านหรือเปล่า”

“—อา ยังไม่ได้คิดไว้หรอก ถ้าจะไปคงไม่ใช่เร็วๆ นี้”

“อื้อฮึ” คำตอบรับเงียบงันแบบนั้น

บางครั้งผมก็รู้สึกแปลกใจเวลาที่บทสนทนาเราเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่กับคุณหรอก, กับเพื่อนๆ อย่างไอ้โย่ง หรือผู้ร่วมงานอย่างเจ้ปันเองก็เหมือนกัน กาลครั้งหนึ่งเราเป็นเพียงนักศึกษา พูดคุยกันในเรื่องของอาจารย์ประสาทๆ ในมหาวิทยาลัยหรือกิจกรรมที่แสนวุ่นวาย ไม่เคยจะมีบทสนทนาเรื่องสุขภาพ ประกันชีวิต หรือกองทุนใดๆ ไว้เลย – หัวข้อเหล่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อยของช่วงชีวิตทำให้รู้สึกใจหายมากพอตัว

ผมมองหน้าคุณ

และคุณก็เงยหน้ามองหน้าผม “เค้าขอทายว่าเธอคิดอะไร” เอ่ยถามกันแบบนั้นยิ้มๆ

“อ๋อ” ผมเลิกคิ้ว “ลองทายดู”

“คงจะแนวๆ ว่าเค้ากำลังลองใจ—” คณณัฐหรี่ตา สบตากันเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับคำพูด “อืมมม ไม่ใช่ๆ”

“เธอรอดูจากหน้าเค้านี่นา”

“เอ้า ไม่ได้เหรอ”

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วตอนนี้เค้าคิดอะไรอยู่”

“ยากจัง”

“นั่นสิ”

“แต่คิดว่าเค้าคิดเหมือนเธอ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “ยังไม่ทันรู้เลยว่าเค้าคิดอะไร”

“ก็คิดว่าคงไม่ต่างกันเท่าไหร่” คนเป็นหมอยักไหล่ “ใช่ไหมล่ะ”

“ถ้าใช่ก็ดี”

“อยากให้ใช่เหมือนกัน”

เรามองหน้ากัน ยิ้มและหัวเราะ – แบบที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้กับแฟนเก่าคนหนึ่งมาก่อน

ไม่นานนักไลน์แมนก็ทำให้พวกเราเลิกคุยกัน ผมเดินออกไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายเงินค่าราดหน้าที่สั่งมา เดินขึ้นมาไม่ทันไรก็เห็นคณณัฐชูโทรศัพท์มือถือของผมให้กัน

“ณะ มีคนโทรหาเธอ”

“หือ” รับโทรศัพท์ที่วางไว้มาดูว่าสายที่ไม่ได้รับคือพี่เอก

“ไม่กล้ารับให้อ่ะ”

ผมเอื้อมมือไปแตะศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ “ไม่เป็นไร” ตอบปัดอย่างไม่คิดอะไรมากก่อนที่จะกดโทรกลับหาเจ้านายที่ช่วยจ่ายเงินเดือนให้กันในทันที เพราะปกติไม่มีเรื่องให้โทรคุยกันมากนักหากไม่ได้นัดเวลาคุยงานกันก่อน เพราะงั้นเลยคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องด่วนก็ได้

“ฮัลโหล”

“ณะเองพี่” ผมพูดทันทีที่ปลายสายกดรับ “มีอะไรรึเปล่า”

“ตอนนี้ยังอยู่ที่ออฟฟิศปะหรือกลับไปแล้ว”

“ยังๆ”

“เหรอ ทำอะไรอยู่”

ผมขมวดคิ้วมุ่น “พักกินข้าว” แต่ก็ตอบไปตามจริง

“งานใกล้เสร็จยัง”

“ก็ใกล้แล้วนะ – ถามทำไมวะ”

“เหรอ จริงปะ” น้ำเสียงพี่เอกไม่ได้เคร่งเครียดเท่าไหร่ เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของใครดังออกมาจากปลายสายด้วยซ้ำ “จะฝากดูให้หน่อยว่าสายชาร์ตแบตกูมีอยู่ที่โต๊ะไหม หาไม่เจอ ไม่งั้นจะซื้อใหม่เลย”

“รอแป๊บนะพี่” ผมว่าพลางหันหลัง เดินไปที่โต๊ะพี่เอก คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้นมากกว่าเก่าจากด้านหลัง “อยู่กับใครวะพี่ พี่ข้าวเหรอ”

“เอ้า กูก็ต้องอยู่กับแฟนกูสิวะ”

“เสียงหัวเราะหลอนฉิบหาย” ผมหัวเราะกลับบ้าง กวาดสายตามองหาสิ่งที่พี่เอกบอก “บนโต๊ะไม่มี”

“ลิ้นชักชั้นสอง”

“อ๋อ” เปิดลิ้นชักแล้วเจอกับสิ่งนั้นพอดี “เจอนะพี่ ยืมใครไปก่อนแล้วค่อยซื้อก็ได้”

“เออ ขอบใจมากๆ”

“ครับ”

เกือบจะกดตัดสายอยู่แล้วถ้าปลายสายไม่เรียกชื่อกันไว้ก่อน “ไอ้ณะ”

“ว่าไงพี่”

“แฟนมึงน่ารักดีนะ”

ผมรู้สึกขนลุกวาบกับคำพูดนั้น หันไปมองคณณัฐที่เคี้ยวเฟรชฟรายจนแก้มตุ่ยก่อนที่จะแกล้งหัวเราะแห้งๆ ใส่สาย “บ้าน่ะ ไม่มีแฟน”

“แล้วมึงพาใครเข้ามาในออฟฟิศ”

“เชี่ย” เผลอสบถออกมาอย่างตกใจ มองซ้ายมองขวาอย่างนึกระแวง

“ลืมไปแล้วรึไงว่ากูติดกล้องไว้ในออฟฟิศ ไอ้ง่าว” พี่เอกระเบิดหัวเราะ “ไม่ได้ตั้งใจจะสอดแนม แต่กูแค่เปิดกล้องเช็กความเรียบร้อย ไงล่ะ เจอของเด็ด อร่อยปะมีคนเอาของมาส่งให้ถึงที่”

ผมเหลือบมองคุณหมอ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันอย่างงุนงงก่อนที่จะก้มลงไปเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองใหม่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นประเด็นในการสนทนา

“—งานวันแต่งต้องชวนมาให้ได้นะเว้ย ไม่งั้นไม่จ่ายค่าจ้าง”

“โห”

“เปิดตัวก็ได้” พี่เอกย้ำ “โลกเปิดกว้างแล้ว ในออฟฟิศเราก็คงไม่มีใครเกลียดมึงหรอก”

“เหอ ยุ่งน่า” ผมตอบปัดไปมา “ไม่ได้กลัวเรื่องคนจะรับไม่ได้สักหน่อย”

“เอ้า, งั้นเหรอ” เจ้านายกลั้วหัวเราะ “แล้วกลัวเรื่องอะไร?”

ผมกัดฟัน พยายามพูดให้เสียงเบาลง “ยังไม่ใช่แฟนเลยไม่อยากเปิดตัว แค่นี้นะ”

ได้ยินเสียงถามว่าจริงเหรอของพี่เอกดังลอดมาไม่ทันจะสิ้นคำด้วยซ้ำ ผมกดตัดสายก่อน เดินไปหาคุณที่ยังคงเล่นโทรศัพท์ได้เพราะมือไม่เปื้อน

“ณะจะกลับตอนไหนเหรอ”

“อีกไม่นานงานก็เสร็จแล้วมั้ง”

“ขับรถไหวไหม” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยถามเจือด้วยความเป็นห่วงเหมือนทุกครั้ง

ผมพยักหน้า แต่คณณัฐคล้ายว่าจะยังไม่เชื่อกัน อีกฝ่ายทำท่าคิดไปชั่วครู่ก่อนจะวาดยิ้ม “เดี๋ยวเราขับไปส่งก็ได้”

เป็นคำตอบที่ทำให้รู้สึกเป็นห่วงคนที่น่าจะเหนื่อยกว่าผมหลายเท่าชอบกล “ไม่เหนื่อยเหรอ ทำงานมาทั้งวัน”

“ไม่เป็นไรวันนี้เค้าไม่เยิน”

แต่อีกคนคล้ายว่าจะไม่คิดอย่างนั้นถึงได้ตอบมาแบบนั้น เอื้อมมือที่ยังไม่ทันโดนไก่ทอดมาแนบแก้มผมเบาๆ พูดคำที่น่ารักเกินกว่าจะคิดไว้ออกมา

“เดี๋ยวเอาใจเธอหน่อยก็ได้ เธอตามใจเค้ามาเยอะแล้ว”

ผมรู้ว่าเราเหนื่อย – อย่างน้อยๆ ก็รู้ดีว่าภาระที่เราแบกไว้บนบ่ามากมายกว่าสมัยมหาวิทยาลัยมากมายแค่ไหน ความกดดันแตกต่างกัน เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตที่แสนสับสนและวุ่นวายได้เก่งขึ้นกว่าเก่า

เป็นวินาทีที่ทำให้ผมย้อนคิดถึงตอนที่เราเคยทะเลาะกันครั้งเป็นเด็กไร้เดียงสา

ตอนนั้นเราเงียบใส่กันไม่ก็บึงตึง หากมีใครพูดคำว่าเหนื่อยก็คงจะเอ่ยปากออกมาว่าเหนื่อยเหมือนกัน

“ว่าไง”

“โอเคครับ” ผมหัวเราะ กดศีรษะลงบนไหล่ของอีกฝ่ายที่ส่วนสูงใกล้เคียงกัน “วันนี้ขับไปส่งหน่อย”

“น่ารักมาก”

ปลายนิ้วไล้ลงบนเส้นผมของผมแผ่วเบา แตะท้ายทอยแล้วบีบนวดเล็กน้อย มันไม่ได้ช่วยคลายเหนื่อยเท่าไหร่แท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าความตึงเครียดจะหายไปอย่างที่บอกจริงๆ

เป็นอีกวินาทีที่ทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่คนเดียว หรือความรักในครั้งเยาว์วัยที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าเด็กอายุเท่านั้นจะแบกรับไหวในตอนนั้น

“ดีใจจัง” ผมเอ่ยปาก “ขอบใจนะที่อยู่ด้วย”

“ก็เหมือนวันที่เค้าผิดนัดเธอ หรือหมดแรงจะคุยนั่นแหละ” คุณขยี้เส้นผมของผมราวกับนึกมันเขี้ยวกัน “ตอนนั้นก็ขอบคุณเหมือนกันที่อยู่ด้วย”

ก็เป็นเสียแบบนี้,

ถ้าไม่แคร์กล้องวงจรปิดที่คอยสอดแนมอยู่ ผมคงได้จูบคุณจนปากช้ำแน่ๆ





-------------------------
หายไปนานเพราะจัดการรายละเอียดเล่มไม่ลงตัวค่ะ
จัดการอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้เรื่องระยะเวลา/รายละเอียดต่างๆ ลงตัวที่สุด
ต้องขอบคุณจริงๆ นะคะที่ทุกคนให้ความสนใจกัน //โค้งรอบทิศ

เดี๋ยวตอนสุดท้ายจะอัพให้หลังจากเปิดจองไม่เกิน 1 อาทิตย์
หลังจากนั้นตัวอย่างภาพดราฟ/ตอนพิเศษต่างๆ จะตามมาค่ะ

ขอบคุณทุกคนนะคะ
ช่วยอยู่ด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายทีนะคะ

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทั้งคู่น่ารักมากกกกก :hao5:

ออฟไลน์ megatef4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ดีมากๆเลยค่ะ งื้อ เขิน ขอบคุณนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โง้ยยยยยน่ารักคุณหมอทำเซอร์ไพรส์ด้วย แต่ ๆ โป๊ะแตกกลางออฟฟิศซะงั้น5555 

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักมากเลย  มันอุ่นในใจ :mew2:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 15 ————


“ณะ แกว่าฉันเป็นยังไง”

วันนี้ได้ยินคำพูดนี้รอบที่ล้านได้แล้วกระมัง “สวยแล้วๆ สวยที่สุด สวยแบบที่มีใครแย่งซีน”

“ไม่จริงใจ” พี่ข้าวทำท่าเหมือนจะร้องไห้ มองกระจกซ้ายขวา “สวยจริงๆ นะ”

“โอ๊ย น้องข้าว สวยแล้วจริงๆ”

“หน้ามันหนาไปมั้ยคะเจ้ปัน”

“ก็งานแต่งงานมันก็ต้องหนากว่าปกติอยู่แล้วนี่”

ผู้หญิงอีกคนในออฟฟิศตบบ่าทั้งสองของเจ้านาย พี่ข้าวยังคงมองตัวเองในกระจก วันนี้เจ้าหล่อนแปลกไปเล็กน้อย จากผู้หญิงที่แต่งหน้าบางๆ แต่งตัวทะมัดทะแมงกลายมาเป็นผู้หญิงที่แต่งหน้าหนากว่าปกติ ขนตาทำให้รู้สึกเหมือนโดนลมพัดทุกครั้งที่เจ้าหล่อนกระพริบตา (แน่นอนว่าคิดได้แค่ในใจ ขืนเผลอพูดไป เจ้าหล่อนคงได้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองจนเป็นบ้าไปก่อนแน่)

“นั่นสิพี่ข้าว” อีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำเปล่ามาตรงหน้า “เอาไหมคะพี่ณะ”

“อา— ขอบคุณครับน้องขิม”

น้องสาวเจ้าสาวพยักหน้าให้ ผมรับแก้วมา น้องขิมหันไปยื่นแก้วอีกใบให้เจ้ปัณ และวางแก้วใบสุดท้ายให้พี่สาวตัวเอง “สวยแล้ววันนี้ ขิมยอมให้หนึ่งวัน”

“เฮ้ย บ้าแล้ว พี่สวยกว่าเธอตลอดแหละ”

“ไม่จริง”

“จริง”

ผมปล่อยให้คู่พี่น้องผู้หญิงเถียงกันไปแบบนั้น ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนที่จะยกกล้องขึ้นมาเช็กภาพที่ถ่ายไว้ให้

วันนี้ผมรับหน้าที่เป็นตากล้องเก็บบรรยากาศงานแต่งงานให้ น้อยครั้งที่จะได้รับงานพวกนี้ ผมว่ามันวุ่นวายและดีไม่ดีอาจจะได้เงินไม่คุ้มด้วยซ้ำ เห็นว่าเป็นพี่ที่สนิทกันเลยตอบรับให้ ตอนเช้าก็เข้าไปหาเจ้าบ่าวมาแล้วแต่พี่เอกก็ปัดมือไล่ไปมา บอกว่าไม่เห็นต้องเก็บบรรยากาศอะไรมาก ตัวเด่นวันนี้อยู่ที่เจ้าสาว ทำอะไรๆ ก็ตามใจเจ้าสาวเท่านั้น ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้ผิดเท่าไหร่นัก เท่าที่รู้จักกันมาพี่เอกก็ไม่ใช่คนชอบกิจกรรมอะไรพวกนี้ หากจะจดทะเบียนอย่างเดียวแล้วไม่จัดงานก็ดูไม่เกินจริง

“ไอ้โย่งยังไม่มาอีกเหรอ” เจ้ปันหันมาถามผม “หรืออยู่ห้องพี่เอก”

“มันพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนไง”

“อ๋อ”

ผมเหลือบมองนาฬิกา “แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้วมั้ง”

“ไม่ต้องไปเร่งโย่งหรอก” เสียงเจ้าสาวแทรกเข้ามา “แค่มันยอมโผล่มาตอนเช้าฉันก็ดีใจใจจะขาดแล้ว คนอย่างมันยอมตื่นหกโมงมาหากันอ่ะ”

ผมหัวเราะ ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น

จังหวะนั้นเองที่กลุ่มเพื่อนเจ้าสาวเดินเข้ามา เอ่ยแซวกันด้วยรอยยิ้ม หัวเราะกันเสียงดัง ถ่ายรูปกันไม่หยุดหย่อน ผมไม่ได้รู้สึกรำคาญ ตรงกันข้าม, เป็นจังหวะที่เผลอคิดว่าสักวันเพื่อนๆ ของผมก็คงเป็นแบบนี้ อีกสักสองถึงสามปีในอนาคต บางทีผมอาจจะต้องเป็นตากล้องให้ในวันที่ไอ้โย่งแต่งงานด้วยซ้ำ

“พี่ณะกินอะไรมั้ย” คำถามตามมารยาทดังออกมาจากน้องขิม “ขิมจะลงไปเซเว่น แล้วเดี๋ยวจะแวะไปรับคุณพ่อคุณแม่ด้วย”

“อ๋อ ไม่ล่ะ เดี๋ยวพี่คงไปนั่งเล่นห้องพี่เอก”

น้องพยักหน้า “ค่ะ” นิ่งไปสักนิดก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วพี่คุณไปไหนล่ะคะ วันนี้ไม่มาด้วยกันเหรอ”

ผมยิ้มบางๆ “คุณยุ่งน่ะ”

“คุณหมออ่ะเนอะ”

“ใช่ ประมาณนั้นแหละ” ผมได้แต่เห็นด้วย “ความจริงยังไม่เคยพามาเจอพี่ข้าวกับพี่เอกด้วย”

“อ้าวเหรอคะ” น้องขิมทำท่าทางแปลกใจ “งั้นแปลว่าขิมเป็นคนเดียวที่เคยเห็นน่ะสิ”

“ประมาณนั้นแหละ ถ้าไม่นับไอ้โย่งนะ”

“แต่ขิมว่าพี่ๆ เขาก็ไม่ซีเรียสหรอกถ้าจะชวนมา”

“เห็นว่าถ้าตอนเย็นเวรไม่เยินจะมาหา”

ผมตอบไปตามจริง ความจริงเมื่อคืนเราคุยกันแล้ว ถามย้ำก็แล้วแต่คุณก็ยืนยันว่าไม่มั่นใจ เห็นว่างานเย็นจะเริ่มตอนทุ่มหนึ่ง คณณัฐที่เลิก OCD ตอนหกโมงก็ยังไม่กล้ารับปากว่าจะมาแน่ๆ

กลัวว่าจะผิดนัดอีก คุณบอกผมแบบนั้นเมื่อคืนเสียงหงอยแบบที่ผมรู้ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกผิด รอบนี้ไม่ได้นัดแค่เธอด้วย ถ้าผิดนัดอีกก็แย่เลย

โดนพูดแบบนั้นใส่ก็ใจอ่อนไม่อยากเซ้าซี้ แม้จะโดนพี่เอกย้ำมาอีกทีว่าชวนมาเถอะ แขกมีเป็นร้อย เพิ่มมาสักคนไม่ได้ทำให้จ่ายเงินค่าบุฟเฟ่ต์เพิ่มขึ้นเพราะจ่ายไปหมดแล้ว แถมเจ้าบ่าวเจ้าสาวคล้ายจะอยากเห็นเหลือเกิน ขอบคุณที่พี่เอกไม่เผากันเรื่องผมแอบพาคุณหมอขึ้นออฟฟิศในคราวก่อนอย่างประเจิดประเจ้อ ไม่งั้นคงจะต้องฟังคนอื่นๆ ล้อไปจนวันตาย

—ทุกวันนี้ก็โดนล้อจนตายอยู่แล้วน่ะนะ

เดินเข้าไปหาพี่เอกบ้าง บรรยากาศสงบกว่ากันเป็นกอง พี่เอกยังบ่นไม่มีหยุดว่าทำไมเราต้องแยกห้องกันแต่งตัวเพราะเพื่อนตัวเองก็ไม่ได้เยอะ อุปกรณ์แต่งตัวก็ไม่ได้เยอะ เปลืองค่าห้อง ว่าแบบนั้นแต่เห็นก็ตามใจไม่มีหยุด

ผมมองไปที่โซฟามีของวางระเกะระกะ “ขอนอนได้ปะพี่” เอ่ยถามอย่างเหนื่อยอ่อน

“ก็เอาดิ”

“เอ้อ ดีเว้ย” ผมหัวเราะ

“เออ นอนๆ ไปเถอะ จองห้องในโรงแรมแล้วเน้นใช้ให้คุ้ม”

“ตามใจแฟนสุด”

“หลังจากวันนี้ก็เป็นเมียแบบถูกกฎหมาย” พี่เอกว่าแบบนั้น “ถึงจะว่างั้นก็เถอะ กูไม่ได้ตามใจแค่ข้าวสักหน่อย เอาจริงก็ตามใจพ่อแม่ตัวเองด้วย”

“—อ๋อ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ ทิ้งตัวลงบนโซฟาหลังจากเคลียร์ของให้มีพื้นที่ในการนอน “ก็เก็ทว่ะพี่ เอาจริง ตอนพี่ผมแต่งงานก็แบบนี้แหละ”

“ตอนคบมันเป็นเรื่องของสองคน ตอนแต่งงานแม่งสองครอบครัวเฉย” พี่เอกว่าแบบนั้น “กลับไปตอนเพิ่งคบกันใหม่ๆ นะ แม่งไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลยว่ะ”

ผมที่หลับตาลงถึงกับเปิดเปลือกตาขึ้นใหม่ “อื้ม, เข้าใจ” ตอบไปสั้นๆ พร้อมกับความทรงจำบางอย่างที่ลอยเข้ามาในหัว “อย่างว่าแหละ ตัวเองตอนยี่สิบกับตัวเองตอนสามสิบ มันจะไปเหมือนกันได้ยังไงวะ”

“ถูกของมึง” เจ้าบ่าววันนี้หัวเราะ “ถ้าเจอข้าวตอนยี่สิบ กูอาจจะแครี่มาไม่ถึงตอนที่แต่งงานกันก็ได้”

“ไม่รู้เลยว่าพี่ข้าวตอนยี่สิบเป็นไง”

“ไม่รู้เหมือนกัน – คงไม่รู้ด้วย”

“มีไหมวะคู่ที่คบกันตั้งแต่ม. ปลายแล้วได้แต่งงานกัน”

“มีนะเพื่อนกูอ่ะ แต่น้อยเหลือเกิน”

ผมหัวเราะ “เพื่อนผมก็มีนะ แต่งงานกับแฟนตอนมหา’ ลัย”

“เก่งฉิบหายที่คบกันมาเป็นสิบๆ ปีได้”

“เฮ้ย พี่พูดงี้ไม่ได้ปะวะ” ผมแกล้งแซว “ตอนนี้พี่กับพี่ข้าวก็จะสิบๆ ปีแล้ว เดี๋ยวก็ได้จัด anniversary สิบปีด้วยกัน”

“อาจจะไม่ได้จัดก็ได้” พี่เอกว่าแบบนั้น “ใครจะไปรู้อนาคตวะ”

เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกเศร้าพิลึกที่ถูกพูดออกมาในวันแต่งงาน ถ้าสาวเจ้ามาได้ยินเข้าอาจจะร้องไห้เพราะวันนี้ดูเป็นวันที่เธออารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ แต่ผมก็เข้าใจ, ด้วยนิสัยของพี่เอกมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

“แต่ก็นะ,” พี่มันยักไหล่ “ตอนกูคบแรกๆ กูก็คิดว่าอาจจะไม่ได้แต่งก็ได้เหมือนกัน ตอนนี้กูได้แต่งแล้ว เพราะงั้นครบสิบปีก็อาจจะเป็นเหมือนกันก็ได้”

ผมฟังคำพูดของพี่มัน “ก็นั่นสิเนอะ”




งานแต่งงานไม่ได้แตกต่างจากงานรับปริญญา ไม่ได้แตกต่างอะไรจากความรู้สึกเวลาไปเยี่ยมลูกสาวคนแรกของเพื่อนในกลุ่มที่โรงพยาบาล และบางที, มันก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกับงานศพของใครสักคน – เป็นงานที่ให้ความรู้สึกว่าเรากับเจ้าของงานกำลังจะห่างกันไปอีกขั้นหนึ่ง หลังจากนี้คงจะมีเรื่องอื่นสำคัญในชีวิต เหมือนได้เห็นการเติบโตของใครสักคน ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด

“เธอกินข้าวรึยัง” ปลายสายเอ่ยถามกันอย่างเป็นห่วง “เป็นตากล้องคงไม่ได้กินข้าว”

“กินแล้วครับ” ผมตอบกลับตามจริง “เอาจริงก็คงยุ่งแค่ช่วงที่มีแขกมาเยอะๆ แหละ มีจังหวะให้กินข้าวอยู่”

“แต่เธอกินแล้ว”

“เดี๋ยวก็กินอีก ใส่ซองไปขนาดนั้นต้องกินให้คุ้ม”

คนปลายสายหัวเราะ “วันนี้ไม่เยินมาก แต่ยังไม่กล้ารับปากเลย”

“มาเถอะ เจ้าสาวเจ้าบ่าวเขาก็อยากให้มา”

“ยังไม่เคยเจอกันสักครั้งเลยนะ” คุณหมอทำเสียงแปลกใจ “ทำไมเจ้านายเธอถึงอยากให้ไปเจอนักนะ”

“อ๋อ” ครางรับในลำคอเบาๆ เวรแล้ว นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เล่าให้คณณัฐฟังเลยว่าโดนพี่เอกเห็นหมดแล้วตั้งแต่วันที่คุณซื้อเคเอฟซีมาให้กินถึงออฟฟิศ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคณณัฐรู้แล้วจะเป็นอย่างไร “มันก็แค่เดาได้ว่าเค้า อา— ว่ายังไงล่ะ มีเธออยู่”

เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากปลายสาย “ก็ไปได้แหละ แต่ไม่รู้กี่โมง รถติดแน่เลย”

“สูทก็หยิบมาเผื่อให้แล้ว” ผมพูดเสียงอ่อน อีกนิดจะเรียกว่าอ้อนเสียด้วยซ้ำ “ถ้ามาได้ก็มาเถอะ”

“คร้าบบ ถ้าไปได้จะโทรไปบอกนะครับ”

เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่สถานการณ์จะบังคับให้ผมวางสาย แขกเหรื่อของคู่บ่าวสาวเริ่มเข้ามาจนผมรู้ว่าผมต้องไปทำงานให้สมเงินที่พี่ๆ จ่ายเสียหน่อย โย่งยังคงรับหน้าที่ตากล้องถ่ายวีดีโอเหมือนเดิม วันนี้เพื่อนสนิทของผมทำผมดีกว่าปกติ แต่งตัวเป็นผู้เป็นคน มันแซวว่าเพื่อนเจ้าสาวสวยๆ เยอะต้องมีคนสนใจมันสักคน ฟังแล้วอยากจะหัวร่อเข้าให้ แต่ก็ยอมๆ เขาหน่อย ดูเหมือนช่วงนี้โย่งจะเหงามากกว่าปกติ

“ยำแซลมอนอร่อยจัด” โย่งเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับกล้องในมือ “ว่างั้นปะครับคุณณะ”

“ไม่รู้ครับยังไม่ได้กิน ใช้งานกันซะคุ้มราคาเลย”

“ได้ยินมั้ยพี่ อย่าลืมอัพเงินเดือน”

ผมหัวเราะกัลคำเย้าแหย่ให้เจ้านาย ไม่รู้เหมือนกันว่าคลิปรอบนี้จะออกมาในรูปแบบไหน แต่ก็ต้องเป็นการใหญ่หน่อยแหละ เจ้าของเพจเขาอุตส่าห์แต่งงานกันทั้งที

หลายคนที่เดินเข้ามาคุ้นหน้าคุ้นตากันใหญ่เนื่องจากเคยทำคลิปลงในเพจร่วมกัน ก็คือผมเป็นฝ่ายรู้จักเขาฝ่ายเดียว ตำแหน่งของผมไม่ได้ออกหน้ากล้อง มีแต่เอาคนหน้ากล้องมาลงคอมพิวเตอร์เพื่อตัดต่อเท่านั้น

“คุณมาไหมล่ะสรุป”

“เห็นว่าจะมา” ผมตอบไอ้โย่ง

“อ๋อ” มันดูว่าง่ายดี แต่ไม่วายสงสัย “แล้วจะแต่งตัวอะไรทันเหรอวะ”

“พกสูทมาให้ท้ายรถอยู่แล้ว”

“—ก็ดีๆ” มันพยักหน้าแค่นั้น

ผมเลื่อนกล้องขึ้นมาระดับสายตา ถ่ายภาพบรรยากาศที่ดูอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม จังหวะนั้นที่น้องขิมเดินผ่านก็ไม่วายหันมายิ้มให้กล้อง วันนี้หล่อนสวย, ดูเป็นสาว แต่รอยยิ้มก็ดูสดใสสมเพิ่งเป็นบัณฑิตดี

“กูนะ” เสียงเปรยแผ่วเบาดังขึ้นมาจากข้างกาย “ไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะกลับมาคืนดีกับคุณ”

ผมลดกล้องในมือ “ไม่คิดเหมือนกัน” ตอบกลับแบบนั้นอย่างนึกขำขัน

“อันที่จริงตอนอยู่มหา’ ลัย กูคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรจะทำให้พวกมึงเลิกกัน” มันพูดแบบนั้นพลางยกแก้วเครื่องดื่มจรดริมฝีปาก พูดเหมือนคนแก่คุยกันทั้งที่เรายังไม่ทันสามสิบดี “แต่ตอนนั้นมึงเหมือนหมาที่สุดในสามโลก ในกลุ่มคุยกันบ่อยฉิบหายว่ามึงจะจบไหม เล่นเลิกกันตอนเวลาพีคๆ ของปีสี่พอดี”

“ก็ขอบคุณตัวเองที่เรียนจบมา” ผมหัวเราะ “—แต่ตอนนั้นเจ็บจริงๆ นะเว้ย เหมือนหมาที่สุดในชีวิตกูแล้ว”

“คุณหมอก็ไม่ต่างเถอะ”

“อื้ม” ตอบกลับแผ่วเบาเพราะไม่รู้จะพูดอะไร

“แล้วจะเปิดตัวตอนไหนล่ะ”

“เปิดตัวอะไร”

“แฟนใหม่ที่มาจากแฟนเก่า”

ผมเค้นหัวเราะ “ให้คุณคบกูก่อนเถอะ”

มันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้อยู่ในสถานะคนคุยเหรอ” ดูจะแปลกใจที่ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “จะสามสิบแล้ว ทำอะไรให้มันรวดเร็วฉับไวหน่อยสิวะ รออะไรอยู่”

เป็นคำถามที่ให้ความรู้สึกแปลกพิลึก จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองโดนคำถามแบบนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายตอนไหน

“ไม่รู้สิ” ผมกดชัตเตอร์ให้ภาพของความสุขอีกครั้ง “รอให้เขามั่นใจว่ามันจะไม่จบลงเหมือนเดิมมั้ง”

บทสนทนาหยุดลงชั่วครู่ทันทีที่โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่น ผมหยิบขึ้นมาพร้อมกับพบว่าคนโทรมาคือคนที่อยู่ในประเด็นที่กำลังคุยกันอยู่ กดรับสายแทบจะในทันที

“ถึงแล้วเหรอ”

“ใช่ๆๆ เค้าถึงแล้ว” คุณตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรนนิดหน่อย “ยุ่งอยู่หรือเปล่า”

“ไม่ๆ เดี๋ยวลงไปหา จอดรถไว้ชั้นเจ็ด”

“งั้นเดี๋ยวเค้าขึ้นไปหาเธอเอง ชั้นเจ็ดนะ”

“ครับ”

ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาว่าโอเคก่อนที่สายจะถูกตัดไป ผมก้มมองนาฬิกา อีกราวครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงเวลาที่คู่บ่าวสาวออกมาทักทายแขกให้ผมไม่ว่างอีกรอบ เพราะตอนนี้เจ้าของงานทั้งสองบอกให้พักกินข้าวก่อนผมเลยดูงานได้สบายๆ

ผมดึงสายคล้องกล้อง นำไปสวมคอไอ้โย่ง “ฝากแป๊บ เดี๋ยวลงไปรับคุณ”

เพื่อนซื้งุนงงแต่ก็ตอบรับแต่โดยดี

ตอนที่ประตูลิฟต์เปิด คุณหมอก็ยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์แล้ว อีกฝ่ายสีหน้าอิดโรยนิดหน่อย ในมือถือถุงกระดาษแบรนด์ของใช้ หากแต่ไม่วายยิ้มตาหยีตอนที่เจอกัน

“จะแปลกๆ ไหม” คุณถามแบบนั้น “แต่คิดว่าคงไม่ดีถ้ามามือเปล่า”

“จริงๆ พี่ๆ เขาก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว” ผมว่าแบบนั้น เดินนำอีกฝ่ายไปที่ลานจอดรถ วันนี้มีรถยนต์มาขับเพราะยืมพี่ตัวเองมาเนื่องจากคิดว่ามอเตอร์ไซค์คงเอาไม่อยู่ แถมต้องอยู่ตั้งแต่งานเริ่มยันงานเลิก “เธอใส่ได้ไหมเนี่ย”

“เฮ้ย เราก็เตี้ยกว่าเธอนิดเดียวเอง” คุณขมวดคิ้วมุ่น “ทำเหมือนเธอสูงนักแหละ”

“ก็ไม่ได้พูดแบบนั้น เป็นห่วงแค่ตรงไหล่เฉยๆ”

คณณัฐก็ดูจะงอแงแบบเล็กๆ ทำให้ผมไม่วายเอื้อมมือไปบีบจมูกอีกฝ่ายสักที คุณหมอสวมเสื้อสูทสีเบจของผม ดูเหมือนไหล่จะตกไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร

“ไปแค่นี้ได้ไหม” คุณถามอย่างไม่มั่นใจ “ต้องเซ็ทผมไหมอ่ะ”

“ไม่ต้องหรอก เธอดูเค้าสิ”

“ก็เธอเซ็ทแล้ว!”

“เอ้า” หัวเราะแผ่วเบากับคำพูดที่ฉายชัดถึงอารมณ์ ดูเหมือนวันนี้คุณหมอจะงอแงผิดปกติ อาจจะเป็นเพราะการจารจรที่ทำให้เหนื่อยมาก

จะไม่มาก็ได้แท้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์มา

พอคิดแบบนี้แล้วก็ขอบคุณคุณเขานั่นแหละ – ธุระอะไรก็ไม่ใช่เลยแท้ๆ

คุณหมอทำท่าเหมือนจะไปเซ็ทผมจริง แต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ใช่งานเล่นใหญ่อะไร ผู้ใหญ่ก็ไม่เยอะ แต่งตัวหล่อไปถึงไหน แซวเบาๆ แต่โดนถลึงตามองใส่พร้อมกับบอกว่าเป็นมารยาทให้เกียรติสถานที่แล้วกัน ผมเลยตามใจ ยอมให้คุณเขาเอาเจลเซ็ทผมไปที่ห้องน้ำเพื่อแต่งตัวสักหน่อย

ใช้เวลาไม่นานนักหรอกคุณหมอก็เดินออกมาในสภาพไม่ต่างจากเดิม ผมมอง กำลังจะเอ่ยแซวแต่คุณก็ตีไหล่เบาๆ
 
ตอนที่เดินเข้าไปในงาน คณณัฐดูจะเกร็งมากกว่าปกติถึงได้เบียดกายมาหาผมมากกว่าเดิมให้คนรู้ว่าเดินมากับใคร ผมบ่นพึมพำว่าขอบคุณที่มาทันเวลาเมื่อไอ้โย่งโบกมือให้พร้อมกับเคาะที่นาฬิกาข้อมือมันราวกับจะบอกว่าต้องรีบแล้ว

“ขอบใจมาก” ผมเดินไปรับกล้องจากมือมัน ก่อนที่จะหันมาถามคนข้างกาย “เดี๋ยวเค้าไปแถวๆ เวที เก็บภาพน่ะ เธออยู่กับไอ้โย่งไปนะ”

“อ๋อ” คุณทำหน้ากังวลใจนิดหน่อยแต่ก็ยิ้ม “ได้ๆ”

“มานี่หมอ ให้มันไปทำงานก่อน”

คุณหมอหัวเราะ โบกมือลาให้กันอย่างว่าง่าย ผมรีบแทรกตัวไปแถวเวที และยังไม่ทันพักเหนื่อยไฟก็เริ่มดับลงเพื่อให้ความสนใจกับคู่บ่าวสาว

เสียงแซวบนเวทีจากพิธีกรที่เป็นเพื่อนพี่เอก, คลิปวีดีโอบอกเล่าความรักของทั้งสอง, คำอวยพรซึ้งๆ จากญาติผู้ใหญ่ที่ทำเอาพี่ข้าวน้ำตาคลอ เรื่อยไปจนถึงการตัดเค้กแต่งงานที่จำได้ว่าเจ้าบ่าวบ่นว่าสิ้นเปลืองแต่เจ้าสาวบอกว่าเป็นความฝัน – ผมเก็บทั้งหมดนั้นไว้ในภาพถ่ายผ่านกล้องของตัวเอง

จนไฟกลับมาเปิดเป็นปกติ เจ้าบ่าวเจ้าสาวลงมาขอบคุณตามโต๊ะต่างๆ แล้ว ทั้งเพื่อนและญาติๆ ผมหันไปมองหาเพื่อนตัวเอง ก่อนที่จะนึกแปลกใจนิดหน่อยที่ข้างๆ ของคณณัฐไม่ได้มีแค่ไอ้โย่ง แต่รวมถึงน้องขิมด้วย

“นึกว่าพี่คุณจะไม่มาซะแล้ว” น้องขิมหันมาพูดกับผมแบบนั้นตอนผมเดินเข้าไปหา “แต่ก็อุตส่าห์มา ขอบคุณนะคะ ได้คุยกับพี่ข้าวหรือยัง”

คุณหมอส่ายหน้าน้อยๆ “ยังเลย”

“เดี๋ยวพี่ข้าวก็มาแหละค่ะ วันนี้คิวแน่น”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ” คณณัฐยิ้มตาหยีให้กับน้องเจ้าสาว “วันนี้เป็นตัวเอก ต้องยุ่งเป็นธรรมดา”

บทสนทนาไหลลื่นไปตามประสาคุณหมออัธยาศัยดี กลายเป็นผมเองที่เงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรเท่าไหร่เมื่อไอ้โย่งขอตัวไปถ่ายวีดีโอก่อน คุณหมอคุยกับน้องขิมอยู่นานพอควรจนถึงตอนที่น้องขอตัวไปทักทายญาติผู้ใหญ่ที่บังเอิญเจอ

ผมเหลือบมองคู่บ่าวสาวที่เดินมากำลังจะถึงตำแหน่งที่พวกผมยืนอยู่

“แปลกๆ แฮะ ยังไม่ได้ไหว้เจ้านายเธอเลย”

“ถึงจะเรียกว่าเจ้านายแต่ก็เหมือนรุ่นพี่เฉยๆ มากกว่า” ผมหัวเราะแผ่วเบา

“จะเป็นไรไหมนะ” คุณหมอย่นจมูก “ไม่ได้รู้จักโดยตรงด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า คิดมาก”

เจ้าของงานเดินเข้ามาใกล้อีกนิด สังเกตเห็นคณณัฐยืนกำมือนแน่นกว่าปกตินิดหน่อยแต่สีหน้ายังยิ้มแย้มไม่มีเปลี่ยน ใจนึงก็อยากเย้าแหย่ว่าตอนมหาวิทยาลัยที่อีกฝ่ายเจอพ่อแม่ผมยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ อันนี้อะไรกับไอ้แค่รุ่นพี่

—คงเพราะเป็นครั้งแรกที่จะก้าวเข้ามาในสังคมของอีกฝ่ายหลังจากเดินออกไปมานานก็ได้ ไอ้ผมก็เผลอตั้งข้อสงสัยแบบนั้นอย่างอดไม่ได้

“นี่เธอ” เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ ตอนที่คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เค้าต้องแนะนำเธอว่ายังไงนะ”

“ฮะ?” คนข้างกายหันร้องเสียงฉงน คณณัฐดูงุนงง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่จะผลุบตาลงต่ำ “ก็— เอาที่เธออยากแนะนำแล้วกัน”

หัวใจผมพองโตเล็กน้อยกับถ้อยคำง่ายๆ เหล่านั้น,

เหมือนคุณจะบอกว่าอย่างไรก็ตกลง

เจ้าบ่าวเจ้าสาวหันมาเห็นผมแล้ว พี่เอกดูจะแปลกใจ คงเพราะเคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของคุณหมอตั้งแต่ในกล้องวงจรปิดวันนั้นแล้ว แต่พี่ข้าวดูจะไม่รับรู้เรื่องด้วย คุณหมอยกมือไหว้ทั้งสองทันทีที่สบตาตามประสาคนมีมารยาท
 
เจ้าของงานเดินมา “ขอบคุณครับที่มา” ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม

“ครับ แล้วก็ยินดีด้วยนะครับสำหรับงานแต่งงาน” คณณัฐเอ่ยถ้อยคำอวยพรที่แสนเรียบง่าย

พี่ข้าวยิ้มให้ บอกว่าขอบคุณ ขณะนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมกับคำถามในแววตาเหมือนกับจะบอกผมให้แนะนำ ส่วนคณณัฐยังไม่ทันรู้เรื่อง

ผมเม้มปากแน่น,

ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว,

“พี่เอก พี่ข้าว” ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เรียกชื่อทั้งสองเพื่อจะแนะนำคุณให้อีกฝ่ายรู้จัก “นี่คุณนะครับ”

เอาล่ะ, เอาหน่อย, ณะเอาหน่อย,

ผมบอกตัวเองด้วยคำนี้มาประมาณสามร้อยครั้งในเสี้ยววินาที ก่อนที่จะขยับปากพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดมาเนิ่นนาน – นานเหลือเกินที่จะได้กลับมาเรียกคุณด้วยคำนี้อีกครั้งหนึ่ง

“คุณเป็นแฟนของผมครับ”




the end.





จะเอานายเอกชื่อ “คุณ”

นั่นเป็นความคิดเดียวที่มีตอนที่ตัดสินใจจะเขียนเรื่องนี้ จากนั้นก็ตามมาด้วยความคิดว่าอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับแฟนเก่าที่ไม่ใช่นิยายดราม่า – และอยากให้คนคิดถึงช่วงเวลาในการตกหลุมรักครั้งนั้นในชีวิตขณะที่อ่านนิยายเรื่องนี้ไปด้วย

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ เกิดขึ้นแบบนั้น,

เรียบง่ายจนน่าตกใจ ทุกฉากทุกตอน ทุกการจัดการความรู้สึก – แน่นอนว่ามีเชิงลึกกว่านี้ในเล่มแน่นอน (สามารถกดจองได้ที่ : https://forms.gle/emoVJYFmj2ZfJfH4A)

อยากเขียนอะไรที่เรียบง่าย เป็นวันธรรมดาในแต่ละวัน ไม่ใช่ดราม่าเหมือน soap opera หรือวุ่นวายเหมือน high school life ในหนังฝรั่ง ก็แค่อยากให้คนอ่านทุกคนคิดถึงตอนที่ตกหลุมรักมากที่สุด – นั่นคือสาเหตุที่คณณัฐได้ชื่อคุณ

ทุกประโยคที่พูดถึงคุณ – คนอ่านอาจจะไม่ได้คิดถึงแค่ “คุณหมอคณณัฐ” เหมือนที่ณะคิดถึง แต่อยากจะคิดถึงความรักสักครั้งที่แทรกตัวอยู่ในซอกหลืบของความทรงจำ หรืออาจจะเป็นความรักที่ยังอยู่ในมือ จะเป็นรักครั้งไหนก็ได้, ถ้าหากนิยายเรื่องนี้ยังทำให้รู้สึกคิดถึงสิ่งที่เรียกว่าการตกหลุมรักได้จะเป็นความยินดียิ่ง

ตอนที่กลับมาเขียนนิยายอีกครั้งยอมรับว่ากล้าๆ กลัวๆ ไปหมดเพราะห่างหายจากวงการนิยายวายมานานมากๆ (ไปเขียนฟิคอยู่ช่วงหนึ่ง) กลัวคำวิจารณ์ กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน กลัวว่าจะโดนคำด่าเหมือนที่เคยโดน

ขอบคุณทุกความคิดเห็น คำวิจารณ์และความช่วยเหลือที่ทำให้นิวเลิกกลัว – ไม่ว่าจะเคยรู้จักกันในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก หรือเคยรู้จักกันมาจากนิยายเรื่องอื่นแล้ว

ขอบคุณนะคะ,
ที่ทำให้นิวได้กลับมาตกหลุมรักการเขียนนิยายของตัวเองอีกครั้ง

ขอบคุณจากใจจริง
เอ็นเอ็น

[/color]

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักน่าประทับใจมาก ฮือออออ ขอบคุณนะคะชอบนิยายเรื่องนี้มาก ๆ เลย :L2:

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักมากกกกกก ซึ้งแอบน้ำตาซึมหน่อยๆ
ชอบที่เป็นแฟนกันตั้งแต่มหาลัย รักกันมากแล้วก็เลิกกันแบบงงๆ จนกลับมาเจอกันอีกครั้งคุณหมอคุณก็ยังรอณะอยู่ นี่นับถือหมอมากที่ยังรอณะ เพราะณะทิ้งหมอคุณของเราก่อน แต่ตอนนี้แฮปปี้แล้ว นี่ก็แฮปปี้ :katai2-1:

ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ เรื่องนี้สนุกมากค่ะ o13

ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เอ็นดูมากๆ ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆออกมาค่า

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบบบบบบบ ไม่ได้เศร้าแค่เทาๆให้คิดถึงเรื่องในอดีต ตอนนั้นอาจจะยังเป็นเด็กความอดทนอะไรก็คงยังไม่มากพอ
ตอนนี้ก็รักษามันดีๆนะ ขอบคุณมากๆค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
รออ่านตอนพิเศษในเล่มไม่ไหวเลยค่ะ มันดีมาก ชอบตัวละครทั้งคู่มากเลย ไม่ต้องโดดเด่น หวือหวาอะไร แต่ว่ามีเสน่ห์มากเลย จะตามอ่านนิยายคุณนิวทุกเรื่องตลอดไปเลยค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Babyfish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบคุณคุณมากเลย ทำยังไงดี ขอแย่งได้มั้ยคะคุณณะ อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากเลยค่ะ ชอบตัวละครทุกคนเลย เนิบๆแต่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก บางตอนเกือบร้องไห้ด้วย อีโมเหมือนกับคุณข้าวเลยค่ะ555555 รอติดตามนิยายเรื่องอื่นๆต่อนะคะะะ❤️

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กลมกล่อมดีค่ะ ไม่ได้เศร้าอาจจะเทาๆบ้างแต่ก็มีความละมุนน่ารักแล้วก็ทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่แรกรักกัน
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ

ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
เพิ่งมีโอกาสมาอ่าน รวดเดียวจบเลย เป็นเรื่องที่อ่านได้เรียบๆเรื่อยๆแต่มันดีมากเลยค่ะ
 ทำให้คิดย้อนไปถึงช่วงชีวิตนึงที่เคยหวนไปคบ”แฟนเก่า” แต่เราไม่ได้จบแฮปปี้แบบคุณ,ณะเท่านั้นเองค่ะ (:

ออฟไลน์ Gimlongdeep

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มันเป็นนิยายที่เค้าๆเธอๆมากอ่ะะเจิลจนบิดไปหมดเลยค่ะ ขอบคุณนักเขียนที่กลับมาเขียนนะคะ เยื่อมมากกกกกรัวมือออๆๆๆๆ :katai4:

ออฟไลน์ Natti

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เรียบง่าย ภาษาลื่นไหล

คุณหมอน่ารัก พ่อพระเอกเราก็กล้าๆกลัว เอ็นดู

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :pig4: :pig4: :pig4: ทั้งหนาวง และน่ารัก
ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ four4

  • รักนี้ชั่วนิรันด์
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เรื่องนี้คือดีมากกกกกกกก. ชอบครับ คุณ&ณะ :-[

ออฟไลน์ Parapoyfaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้สองคนนี้กลับมาเจอกันอีก ดีจัง
ฮื่ออ อบอุ่นไปหมดเลย ขอให้ครั้งนี้มันเป็น right place and right time นะ
รอบนี้ขอให้มันดี
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน
ขอบคุณค่า
 :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Prema

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณที่แต่งนิยายน่ารัก ๆ แบบนี้ออกมานะคะ :mew1:

ออฟไลน์ gibari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รู้สึกถึงความนุ่มนิ่มอยู่ในเรื่อยเต็มไปหมดเลยค่ะ
เรื่องราวอาจจะไม่ได้หวือหวาอะไรมากมาย แต่ก็อ่านได้ไม่มีเบื่อเลยแม้แต่น้อยค่ะ
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ สำหรับนิยายน่ารักๆ นี้ ^^

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
งื้ออออ ดีมากเลยค่ะะะ

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดีมากๆหวานมากๆอ่านแล้ว​ ทั้งเขินทั้งดีด​ อบอุ่นด้วย
ตอนแรกหงุดหงิดนิดหน่อยกะณะแบบพ่อ​ พ่อต้องด
พูด​ แม่ไม่เข้าใจ​ แต่ก้เข้าใจแหละ​ วนกลับมาเจอป
แฟนเก่า​  แต่นี่ชอบ​บุคลิก​คุณมาก​ แบบเหมือนทำให้คนยิ้มได้โดยไม่ต้องพยายาม

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น่ารักดีอ่ะอ่านไปยิ้มไป อยากอ่านต่ออีกเลยอ่ะเสียดายจบซะแล้ว

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่ารักกกก เวลาคุยกันยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
อ่านไปยิ้มไป แอบเศร้านิดๆช่วงแรกเพราะณะคิดถึงตอนที่เลิกกัน
แต่หลังๆอ่านไปยิ้มไปจริง มันเป็นความอบอุ่น ละมุนในใจเมื่อได้อ่าน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆฮะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด