———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————  (อ่าน 44818 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อยากตอบแทนณะบ้างว่าไม่รู้ว่าเธอวางเราไว้ในฐานะไหน แง้ ปวดหัวใจ ไม่รู้ว่าคุณมูฟออนได้ไหม แต่สำหรับณะ ไม่แน่ๆ  :hao5:

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราก็เดาใจคุณไม่ออกเหมือนกันค่า แง้

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 09 ————

 

 

     ผมไม่ใช่คนไม่รู้อะไรเลย – แค่แกล้งทำตัวแบบนั้นเก่งเท่านั้น

 

     ตอนที่ผมรู้ตัวว่าเพื่อนคนหนึ่งแอบชอบผม แวบแรกก็รู้สึกตกใจ, ตกใจมากๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเลยตั้งใจว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครมาชอบ – ผมมันก็ทำแบบนี้ไปเสียทุกครั้ง ยิ้มแย้มเป็นมิตรแต่ถอยออกมาหน่อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดไปเอง แต่เหมือนเคสนี้จะยากกว่าทุกครั้งในเมื่อณะหรือณภัทรคนนั้นเป็นผู้ชายตัวโตที่ดูท่าจะซื่อบื้อ

 

     แขนขายาวเก้งก้างนั่นจะขยับตัวแต่ละทีก็ยึกๆ ยือๆ ไปเสียหมด แถมสีหน้านั่นปิดบังอะไรไม่ค่อยได้เอาเสียเลย

 

     “คุณ” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นมาจากหน้าประตู “อยู่ห้องเปล่า”

 

     ผมถอยเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะ เดินไปเปิดประตูเพราะรู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือใคร“ว่าไง”

 

     “ยืมเหรียญสิบหน่อยดิ ไม่มีเหรียญจะซักผ้าแล้ว”


 

     มุกที่เอามาใช้เคาะประตูห้องผมก็น่ารักดีเหมือนกัน ผมเริ่มจะชินไปเสียแล้วกับการที่มีคนห้องใกล้ๆ กันในหอในเดินออกมายืมนู่นยืมนี่ ขอแลกเหรียญสิบไปซักผ้าบ้าง บางวันก็เดินมายืมยากันยุง ยาสีฟัน ตลกไหม, รูมเมทของตัวเองก็มี เซเว่นใต้หอก็มี ยังอุตส่าห์มายืมนู่นนี่ของเพื่อนต่างคณะอีก ตอนแรกก็คิดในใจว่าไอ้เด็กฟิล์มตัวสูงชะลูดนี่ไม่มีอะไรเลยเหรอ แต่พอคุยกับไอ้แมคที่เป็นรูมเมทคณะเดียวกันแล้วก็กลายเป็นว่ามันส่ายหน้าบอกผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

 

     “ไอ้ณะมันไม่เคยมาเคาะห้องเราตอนกูอยู่เด้อ”

 

     “อ้าว”
ผมเกาหัวแกรก “จริงเหรอ”

 

     “เออ มันหาเรื่องเจอหน้ามึงเปล่า”


 

     —ก็คงใช่

 

     พอเริ่มสังเกตแล้วก็หยุดสังเกตไม่ได้ คงเพราะหอในมีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้รู้จักกับเพื่อนคณะอื่น ไปๆ มาๆ ห้องของผมกับห้องของณะ รวมไปถึงปีหนึ่งอีกสองสามคนในหอก็ชอบสั่งพิชซ่ามากินกันตอนดึกๆ หรือไม่ก็คลุกกันเล่นเกม โดยที่ผมกับณะไม่เล่นเกม เวลาพวกนั้นสุมหัวกัน ผมก็ถูกดีดมาอยู่กับณะไปโดยปริยาย

 

     อยากจะแกล้งทำเป็นไม่รู้อยู่หรอก แต่ไอ้การที่เปิดพัดลมแล้วจงใจจ่อให้ผมทั้งที่ตัวเองเหงื่อแตกซ่กเต็มหลัง หรือการที่ชวนไปกินอะไรที่ผมเพิ่งเปรยว่าอยากกินไปเมื่อสองสามวันก่อนนั่นก็ค่อนข้างน่าสงสัย

 

     “อ่ะ เอาอันนี้ไปกินดิ”

 

     “เฮ้ย ณะกินไปก็ได้”

 

     “ไม่เป็นไร”
อีกฝ่ายว่าแบบนั้น “อยากให้คุณกิน”

 

     ผมหัวเราะอย่างเก้อเขิน แกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาคู่นั่นที่มองมาอย่างซื่อตรง “เนี่ย ชอบพูดจาพระเอกนะเนี่ย ทำแบบนี้ให้สาวๆ สาวหลงตาย”

 

     “แล้วต้องไปทำให้สาวเหรอ”


 

     ฟังคำพูดแล้วโคตรของโคตรเจ้าชู้, แต่สีหน้างุนงงนั่นก็ไม่ได้บ่งบอกอะไรไปมากกว่าผู้ชายคนนี้ถามออกมาตรงๆ ว่าเขาต้องไปทำหรืออย่างไร

 

     “เดี๋ยวคนก็คิดว่าณะชอบเราหรอก”

 

     ผมเอ่ยแบบนั้นพลางหลบตา – หมายมั่นว่ามันจะเป็นกำแพงให้เสียหน่อย

 

     ณะแสดงสีหน้าออกมา อ่านออกง่ายเหมือนกับทุกครั้ง ทำน้ำเสียงโอดครวญจนทำให้ก้อนเนื้อในอกผมเต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้

 

     “จริงๆ คุณเองก็รู้อยู่แล้วนี่นา”

 

     แล้วผมก็รับรู้ได้ตอนนั้น – ไอ้กำแพงที่ว่านั่นไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันณะหรอก – ไม่เช่นนั้น แค่ณะแตะต้องเพียงแผ่วเบาคงไม่ล้มครืนง่ายๆ ถึงเพียงนี้

 

     ขี้โกงเหลือเกินนะณภัทร

 

 

 

 

 

     เคยมีคนบอกว่าแฟนคนแรกมักจะติดอยู่ในความทรงจำไปอีกเนิ่นนาน – ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต – แฟนคนแรกของผมอยู่ในความทรงจำของผมได้นานกว่าที่อยู่ในความเป็นจริงเสียอีก

 

     แม้จะไม่ได้นานเท่าไหร่นักที่ได้คบกับณะ แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่น้อยเลย

 

     แต่เชื่อไหม, ณะ – ในวัยยี่สิบปีที่อาศัยในภาพจำ – ติดอยู่กับผมแม้ว่าผมจะผ่านช่วงเวลาสุดโหดในการเป็น extern, ผมรับปริญญา, ผมไปใช้ทุน จวบจนผมกลับมาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ

 

     เนิ่นนานขนาดนั้นแหละ

 

     เพราะฉะนั้นตอนที่เห็นใบประวัติคนเพิ่งได้รับอุบัติเหตุมา ชื่อณภัทรที่แสนโหลกับนามสกุลที่ผมคุ้นๆ ขึ้นมาทำให้ขมวดคิ้ว ก้อนเนื้อในอกเต้นตุบ, ตุบ, ตุบ เหมือนกับภาวนาอะไรสักอย่าง

 

     ตอนที่เดินเข้าไปและเห็นว่าณภัทรคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่อาศัยอยู่ในภาพจำ รู้ไหมผมทำอะไรไม่ถูก เอ่ยปากทักทายด้วยรอยยิ้มทั้งที่ในหัวร้องกู่ก้องว่าฉิบหายแน่สลับกับตะโกนคำว่าทำยังไงดีอยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง จะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักก็ไม่ได้เพราะวินาทีที่สบตากันผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายจำผมได้

 

     —ต้องดีใจหรือเสียใจนะ

 

     รำพันคำนั้นกับตัวเอง ผมคิดไม่ออกว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีกับสถานการณ์แบบนี้

 

     ห้าปีที่ไม่ได้เจอกันเธอเป็นยังไงบ้างนะ

 

     แล้วเธอยังอยากจะเจอกันอยู่ไหม

 

     “ณะ เธออันบล๊อกไลน์เค้าได้หรือยัง”

 

     ตอนที่พูดออกไป ในหัวไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก – จริงๆ นะ – นั่นมันเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะพูดออกมาตลอดตอนเจอหน้าอีกฝ่ายนับตั้งแต่เราเลิกรากันไป

 

     ณภัทรหน้าเจื่อนไปชั่วครู่กับคำพูดนั้น ผมแสร้งทำเป็นหัวเราะก่อนที่จะโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าให้คนขาเป๋ออกไปจากที่ตรงนี้เสียที

 

     ความเงียบอยู่กับผมอยู่เพียงชั่วครู่ ผมถอนหายใจพรืด แต่นั่นไม่ได้ช่วยจัดการกับความรู้สึกปั่นป่วนในอกเลยแม้แต่น้อย

 

     ผมส่งยื่นเอกสารให้กับพี่พยาบาลที่เอ่ยปากถามว่าเจอคนรู้จักหรือ ตอบไปไม่กี่คำ ไม่ได้อธิบายใดๆ ต่อ

 

     ถ้ายังอยากรู้จักกันอยู่น่ะนะ

 

 

 

 

   

     “เจอกับณะด้วยแหละ”

 

     ผมเอ่ยปากบอกเพื่อนสนิทที่เพิ่งจะได้นัดเจอกัน แมคที่ตอนนี้เป็นหมอแมคขมวดคิ้วนิดหน่อยราวกับจะถามว่าผมกำลังพูดถึงใคร ก่อนที่มันจะเบิกตาโพล่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจดจำแฟนเก่าของผมได้

 

     “ไอ้เชี่ยณะอ่ะนะ” ผมหัวเราะ พยักหน้าให้กับแมคที่ยังงุนงงไม่หาย “ตอนไหนวะ ได้ยังไง”

 

     “ก็เจอที่โรงพยาบาล ณะรถล้มมา เราตรวจให้” ผมอธิบายไปตามจริง “แล้ววันก่อนก็นัดกินข้าวด้วยกัน”

 

     “สองคน?”

 

     “เปล่า กับโย่งด้วย”

 

     “โย่งไหนอีกวะ”

 

     “โย่งไง ที่เป็นแฝดกับณะอ่ะ ตัวติดกันบ่อยๆ ตอนปีหนึ่ง” ผมพยายามอธิบาย มันกรุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะร้องอ๋อออกมา “จำได้แล้วใช่เปล่า”

 

     “คิดออกแล้ว โหย, ก็ลืมไปเลยว่ะ”

 

     ไม่แปลกที่แมคจะลืม คณะแพทยศาสตร์ย้ายออกมาเรียนอีกวิทยาเขตตอนปีสอง เพราะฉะนั้นพวกเราเลยห่างกับคนวิทยาเขตนั้นไปโดยปริยาย มีเพียงผมที่ตอนนั้นยังคบกับณภัทรอยู่เลยเดินทางไปที่นั่นช่วงเสาร์ – อาทิตย์ สลับกับให้ณะเดินทางมาหาผมบ้างก็เท่านั้น

 

     แมคมองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้นแทนที่จะจดจ้องกับจานข้าวของตัวเอง “แล้ว?”

 

     “ฮะ?”

 

     “แล้วยังไงต่อ” มันถามย้ำ “คือมึงต้องการสื่ออะไรวะ”

 

     “เปล่านี่”

 

     “อยากคืนดีกับมันหรือยังไง”

 

     นั่นน่ะเป็นคำถามที่ยิ่งกว่าหมัดฮุกเสียอีก

 

     ผมเลิกคิ้วกับคำถามนั้นทั้งที่ในใจร้อนรนยิ่งกว่าโดนไฟลน แต่คงจะตบตาเพื่อนที่ยังอาศัยอยู่ด้วยกันเกือบตลอดไม่ได้ คนตรงข้ามทำสีหน้าค้านคั้น แต่ผมเลือกที่จะเงียบ และนั่นคงจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนดี

 

     “แค่คิดว่า— ดีจังนะที่ได้เจอกันอีก” ผมพูดไปตามที่คิด

 

     นั่นไม่ได้โกหก

 

     ถ้าเป็นตัวผมก่อนหน้านี้สักแปด-เก้าปีผมคงบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็คงไม่อยากเลิกกันหรอก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักห้าปีผมก็คงจะร้องไห้บอกว่าคิดถึงฉิบหาย หรือถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสองปีคงจะบอกว่าณะจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป

 

     คิดออกไหม

 

     ความรู้สึกที่ผมมีให้ณะมันเปลี่ยนไปทุกปี มันเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่ไหลผ่านผมไป เปลี่ยนไปตามความเนิ่นนานของความทรงจำ

 

     ตัวผมตอนนี้คิดแค่ว่าดีจังนะที่ได้เจอกันอีก ขอบคุณนะที่ยังยอมคุยกันบ้าง

 

     “แค่นั้น?” แมคถามอย่างแปลกใจ

 

     ผมพยักหน้า “แค่นั้น”

 

     “ตอนนั้นมันทำมึงไว้มาก” มันส่ายหน้า พันสปาเก็ตตี้ในจานตัวเองต่อ บรรยากาศไม่ตึงเครียดเท่ากับคราแรกที่เอ่ยปากบอกเรื่องแฟนเก่า “แต่พอมานั่งคิดๆ แล้วก็เข้าใจได้ มันไม่ได้นอกใจ แล้วก็ไม่ได้งี่เง่า”

 

     “อืม” ผมครางในลำคอ คิดย้อนไปถึงความทรงจำเก่าๆ “แต่ตอนนั้นแมคด่าณะไว้ซะเสียหมา”

 

     กาลครั้งหนึ่งคนที่มองโลกในแง่ดี ดีลกับปัญหาเก่งอย่างผมยังเคยโทรมเป็นหมาในวอร์ด จำช่วงเวลาที่ตัวเองเจ็บเจียนตายกับคำยุติความสัมพันธ์ที่ถูกเอ่ยเอื้อนออกมาผ่านโทรศัพท์ได้ไม่มีวันลืม และยังจำได้ด้วยว่าตอนนั้นแมคกับพี่ๆ ที่วอร์ดช่วยแบกผมกันมากแค่ไหน

 

     “ก็แหงดิวะ ตอนนั้นกูยังเด็ก คิดแค่ว่าใครทำอะไรเพื่อนกูคือเลวมาก”

 

     “แล้วตอนนี้ล่ะ”

 

     “ถ้ามันทำมึงเจ็บกูก็ด่ามันเหมือนเดิมอ่ะ”

 

     ผมหัวเราะพรืด “ไม่ทำหรอก”

 

     “อย่าบอกนะว่ากูจะหมาแล้ว” แมคทำท่าลุกลี้ลุกลน

 

     “เปล่าสักหน่อย แต่ยังไงณะก็คงไม่ทำอะไรหรอก” ผมอดขำกับทีท่าแบบนั้นของเพื่อนไม่ได้ “—เพราะเราเองก็เจ็บแล้วก็จำเหมือนกัน”

 

     แมคมองผมด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ ก็จะตามมาด้วยการส่ายศีรษะน้อยๆ

 

     “เพราะแบบนี้ไงกูถึงได้เชียร์หมอเจต”

 

     “เลิกเชียร์เถอะ”

 

     “ทันทีมาก ถ้ากูเป็นพี่มันกูร้องไห้แล้วนะ”

 

     ผมยิ้มและหัวเราะแห้งๆ  แม้ว่าตอนแรกก็สงสารพี่หมอเจต ถึงทีท่าจะดูหมาหยอกไก่กับผมมานานแถมสาวๆ ในวอร์ดก็ชอบแซวกันเสียเหลือเกินแต่ช่วงหลังๆ ก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคาดหวังให้มีการพัฒนาความสัมพันธ์จริงๆ ตอนแรกผมปฏิเสธออกไปชัดเจน แม้ไม่ได้ขัดกับผู้ชายแต่ไม่ได้แปลว่าเป็นใครก็ได้ หากแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าให้ลองดูไปก่อนโดยที่ไม่ดันทุรังจนน่าเกลียดจนผมเองก็ใจอ่อน ยอมคุยกันแม้จะรับรู้ว่าอีกคนคิดยังไงหากแต่ก็ยังไม่เปิดใจ

 

     “ใจร้ายเก่งเนอะมึงอ่ะ”

 

     “แมคก็รู้” ผมส่ายหน้า “ไม่เคยใจร้ายได้จริงๆ สักทีหรอกน่า เราอ่ะ”

 

     “โอ้โห” เพื่อนสนิทเลิกคิ้วราวกับคำพูดของผมมันฟังดูตอแหลหนักหนา เอาอะไรกับเพื่อนคนเดียวที่ยังกล้าพูดกูมึงใส่ทั้งที่ผมเคยชนิดกับการพูดสุภาพล่ะ หมอนี่น่ะเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมเร็วกว่าชาวบ้านเขาเสมอนั่นแหละ “จะคอยดูแล้วกัน”

 

 

 

 

 

     หรือว่าวันที่ผมต้องใจร้ายจริงๆ มันมาถึงแล้วนะ

 

     ผมคิดว่าณะอาจจะร้องไห้ไปแล้วถ้ารู้ว่าบุฟเฟ่ต์โรงแรมที่อีกฝ่ายซื้อต่อมามันคือของพี่เจตที่กำลังพยายามจะก้าวเข้ามาในชีวิต ตอนแรกไม่คิดหรอกว่าจะต้องทำอะไรแบบนี้ แต่พออีกฝ่ายหยิบยื่นน้ำใจให้กันก็เลยคิดว่าไม่เป็นอะไรกับการไปกินข้าวกับแฟนเก่า

 

     ผมคิดแบบนั้น

 

     —หรือบอกให้ตัวเองคิดแบบนั้นกันแน่นะ

 

     บริสุทธิ์ใจทุกอย่างที่พูดกับณะ ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ และแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่วูบไหวในแววตาอีกคน

 

     หลายครั้งที่ใจนึกหวาดหวั่นว่าถ้าผมเห็นมันเมื่อไหร่ ผมจะแกล้งทำเป็นโง่ไม่ได้อีกต่อไป

 

     และถ้าผมแกล้งทำเป็นโง่ไม่ได้ – ผมอาจจะเสียเขาไปอีกก็ได้ – คราวนี้คงไม่มีใครใจดีเหวี่ยงเขามาให้ผมเจออีกแล้ว

 

     ณะไม่เคยจะปิดบังอะไรได้, ไม่เคยเลย, แต่เขากลับไม่ชอบพูดออกมาตรงๆ สักที ผมคิดว่าระยะเวลาห้าปีที่เราไม่เจอกันจะสอนให้เขาปิดบังได้หรือไม่ก็มีความกล้าในการพูดมากขึ้น สักทางใดทางหนึ่ง แต่เหมือนคำภาวนาของผมจะไร้ผมชอบกล

 

     ดังนั้นการอยู่ในระยะใกล้ที่ผมรับรู้ถึงลมหายใจอีกฝ่ายถึงได้อันตรายเหลือเกิน

 

     แววตาของเขามองผม – ไม่เหมือนเดิมนักแต่ก็ไม่แปลกไปจากเดิม – และมั่นน่าแปลกมากๆ ที่ผมยังจดจำมันได้แม้แต่ได้รับรู้มาตั้งหลายปี

 

     ผมรอว่าเขาจะทำอะไร เขาจะขยับเข้ามาใกล้เหมือนแต่ก่อนไหมนะ หรือจะผละออกไปเลย

 

     แต่พอณะขยับเข้ามา – เป็นผมเองที่เผลอถอยออกไป

 

     นั่นมันแย่ที่สุด, ห่วยมากๆ, ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเลยเสียด้วยซ้ำตอนที่ตัวเองทำแบบนั้น ความรู้สึกในหัวตีกันยุ่งเหยิงไปหมด

 

     ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจกลับบอกตัวเองว่า คณณัฐ์ เอาหน่อย, อีกครั้งจะเป็นอะไรไป

 

     ผมเองที่สร้างกำแพงให้กับความสัมพันธ์ที่เคยพังในครั้งเก่าเพียงเพื่อค่อยๆ หยิบอิฐออกทีละชิ้น, ทีละชิ้น, ด้วยความใจอ่อน

 

     คิดถึงคำพูดแมคที่บอกว่าผมใจร้าย

 

     ผมรู้ว่าผมใจร้าย – แต่ไม่เคยจะใจร้ายกับณภัทรได้เลยสักครั้ง – ตั้งแต่ตอนเขาเริ่มมันครั้งแรกแล้ว

 

     พูดออกมาตรงๆ ได้ไหม ผมเว้าวอนทุกครั้งที่เห็นข้อความที่มาจากอีกฝ่าย ผมอยากรู้เหลือเกินว่าณะคิดอะไรอยู่ในหัว ผมจะได้แสดงออกแบบไหน

 

     เจ็บแล้วจำน่ะใช่ – แต่เรื่องดีๆ ที่เคยทำให้กันก็จำได้เหมือนกัน

 

     ถ้าณะเป็นคนที่ทำเลวกับผมมันคงจะง่ายกว่านี้ เพราะคงไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าความสัมพันธ์มันจะถูกดึงกลับมาได้หรือเปล่า แต่ณะไม่ใช่, ไม่เคยเลยสักครั้ง, สิ่งเดียวที่ณะทำร้ายกันคงจะเป็นการเอ่ยปากบอกเลิกออกมา แล้วบอกกันว่าไม่อยากมีผมอยู่ในชีวิตแล้ว

 

     
k.

     ณะ เธอถามเค้าในฐานะอะไรเหรอ

     เค้าจะได้ตอบคำถามถูก

     เค้าเหนื่อยจะเดาใจเธอแล้วอ่ะ

จริงๆ นะครับ

 

     ถ้าเราย้อนกลับไปเป็นแบบเดิม เราจะไปต่อกันรอดจริงๆ ใช่ไหม

 

     
k.

     บอกเค้าหน่อยนะ เค้าเดาใจเธอตลอดไปไม่ได้หรอก

     เค้าจะได้รู้ไง

     ว่าเค้าควรตอบที่เธอถามว่าอะไร

   

     ถ้าเธอบอกกันว่าเธอไม่อยากเค้าอยู่ในชีวิตซ้ำสองจะต้องทำยังไงนะ

 

     ใช้เวลานานเลยกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ นานเลยนะที่คนซึ่งไม่เคยร้องไห้ต้องร้องไห้เวลาปิดไฟ นานเลยนะที่ต้องทำตัวให้ชินกับการไปไหนโดยไม่มีเธอ

 

     กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ความเหนื่อยยากในอาชีพการงานยังไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเท่าตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะห่างหายจากความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูก ณะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กปีหนึ่งคนนั้น

 

     ผมมองข้อความของตัวเองที่ขึ้นว่าอีกฝ่ายรับสารนั่นแล้ว และณะเงียบไป

 

     กำโทรศัพท์มือถือแน่นอย่างทำอะไรไม่ถูก

 

     napat

     เธอพักที่ไหนนะ?

 

     ข้อความนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงง ไม่ทันจะตอบอะไรกลับหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสายโทรเข้าผ่านไลน์ ผมเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเป็นคนที่เพิ่งโต้ตอบกันล่าสุด

 

     ตอนนี้เนี่ยนะ ถามจริง

 

     ผมเม้มปากแน่นทำท่าจะกดรับสายแต่สุดท้ายก็ลังเล กำลังจะตัดสายแต่ใจก็ไม่แข็งพอที่จะทำอย่างนั้น สุดท้ายมันก็ถูกตัดไป

 

     napat

     คุณ รับหน่อยครับ

     อยากคุยด้วย

 

     พิมพ์กลับมาแค่นั้น เงียบไปชั่วครู่กับการนิ่งเฉยของผม ก่อนที่สายเดิมจะโทรเข้ามาใหม่

 

     นาทีนั้นแหละที่ผมรู้ว่าณะก็ยังเป็นณะ และผมก็ยังเป็นคุณ

 

     ใจร้ายกับณะไม่ลงเสียที

 

     “ฮัลโหล”

 

 

 

 

-------------------------

เป็นกึ่งๆ ตอนพิเศษนั่นแหละค่ะ

รู้แล้วว่าทุกคนอยากรู้ความคิดคุณ ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วนะ

 

หลายคนที่อ่านคุณไม่ออก ตอนนี้คงอ่านออกมากขึ้นแล้วน้า ( :

 

ปล. ไม่มีประสบการณ์กับแฟนเก่าค่ะ

แต่คิดว่าถ้าเป็นตัวเองมีแฟนเก่าแบบนี้คือฟาดมันสักทีแล้ว ยึกยือ!

 

เจอกันในแท็ก #ตอนนี้ยังเป็นคุณ นะคะ

 


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ต่างคนต่างยึกยือจริงค่ะ คาดหวังว่าตอนหน้าเขาจะได้เคลียร์กันจริงจังสักที เหมือนต่างคนต่างไม่มูฟออน  :hao5:

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เย้ได้อ่านฝั่งคุณแล้ววว ลำบากเหมือนกันนะคะ อยากรู้จังว่าทำไมณับอกเลิกคุณ
ต่อไปคือคุยกันแล้วไม่งึกงักแล้วเนาะ555555

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุ้นมากกกกกก นตอนแรกแอบเสียวๆ ว่าคุณไม่คิดอะไรแล้วจริงๆ
แต่พอเห็นแบบนี้ก็โล่งอก ไปหน่อย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nooonun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้โหห คือต่างฝ่ายต่างยังฝังใจกลับรักครั้งนั้นอยู่เลย จนอยากจะรู้ถึงเหตุผลและความคิดของณะตอนบอกเลิกคุณครั้งนั้นเลยอะ

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ฮืออออออ อยากรู้แล้วว่าจะเคลียร์กันยังไงงงง :katai1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
คนหนึ่งรุกเก่ง อีกคนบอกปัดเก่งง

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 10 ————




     ผมเคยก่นด่าเพื่อนสนิทผู้หญิงตอนมหาวิทยาลัยว่ามันโคตรโง่เง่า วนเวียนกับแฟนเก่าที่ทำเหมือนมันเป็นของตายอยู่นานเป็นเทอมๆ ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นสักที ผมอีกนั่นแหละที่เคยมองตัวละครในหนังรักปัญญาอ่อนที่ไม่ยอมเอาตัวเองออกจากความรักครั้งเก่า

     ผม – ตอนที่เลิกกับคุณ – เป็นตัวผมที่อดทนกับการเลิกราไม่ได้ ยอมที่จะตัดคุณออกจากชีวิตด้วยความรู้สึกว่าไม่ได้เป็นแฟนก็ไม่ต้องเป็นห่าอะไรแล้ว เมินเฉยต่อคำสัญญาน้อยเรื่องที่มีให้กันและเดินออกมา

     ผม – ตอนที่ได้เจอกับคุณอีก – เป็นตัวผมที่สับสน วุ่นวาย ละทิ้งความคิดต่างๆ ที่เคยมีมา ไม่มีทฤษฎีแฟนเก่าไม่ควรกลับมาในชีวิตหรือทฤษฎีว่าคนเราต้องเอาแฟนเก่ามาเป็นเพื่อนอยู่ในหัวเลยสักอย่าง ตีกับตัวเองทุกชั่วโมง เป็นเหมือนไบโพลาร์ที่ดีใจกับข้อความโง่ๆ ที่เขาตอบมาและดิ่งลงเหวยามคิดว่าข้อความเชิงนั้นอาจจะถูกส่งให้กับใครหลายคนเพราะผมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆ

     และตัวผม – ตอนที่โดนคุณถามคำถาม – เป็นตัวผมที่ถูกฉุดลงมาเจอกับความเป็นจริงว่าเรื่องครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น

     กดคอลไปหาอย่างไม่ได้คิด หัวใจที่เป็นลูกโป่งถูกจิ้มจนฟีบลมในทุกสัญญาณที่บ่งบอกว่าปลายสายยังไม่คิดจะรับ

     
napat
     คุณ รับหน่อยครับ
     อยากคุยด้วย

     พิมพ์บอกคุณไปแบบนั้น กดโทรศัพท์ไปหาอีกรอบขณะที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

     รู้ว่าความคิดนี้มันเฮงซวย แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อความคิดไหนก็เฮงซวยอยู่ดี – เอาความเฮงซวยออกมาเป็นการกระทำเลยคงไม่ได้แย่นัก

     “ฮัลโหล”

     ปลายสายรับเสียที

     น้ำเสียงนิ่งเรียบแบบที่ได้ยินตามปกติ ก้อนเนื้อในอกผมเต้นดังตุบ, ตุบ, ตุบ อีกนิดก็คงจะทะลุออกมาที่ปากกันพอดี

     “ว่าไงครับ” คณณัฐเอ่ยถามเสียแผ่วเบา “โทรมาแล้วก็ไม่พูด”

     “—เธออยู่ไหนนะ”

     นั่นเป็นคำถามเดียวที่ผมอยากถามตอนนี้

     คนปลายสายเงียบไปชั่วครู่ “เอาจริงเหรอณะ?”

     “อืม” ผมยืนยัน “อยากไปหา”

     คุณยังคงเงียบ ผมเลยย้ำอีกครั้ง – เผื่อว่านั่นจะทำให้คุณมั่นใจขึ้นมาอีกหน่อย

     “อยากไปเจอเธอว่ะ ตอนนี้เลย”




     
     “—เอาจริงดิ”

     ผมมองคุณหมอที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเสื้อยืดย้วยๆ – หรือบางทีนั่นอาจจะเสื้อกล้าม? ช่างมันเถอะ, คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาว กางเกงห้าส่วนที่ไม่น่าจะได้เห็นในวันปกติ เส้นผมไม่ผ่านการทำสีนั่นยุ่งพอๆ กับใบหน้าที่ยังดูงุนงงว่าผมมาปรากฎตัวตรงหน้าแล้วจริงหรือไม่

     โลเกชั่นที่ถูกแชร์มาให้กันหลังจากถามย้ำหลายครั้งว่าจะมาจริงๆ หรือ และใช่, ผมทำ สุดท้ายผมถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ใต้คอนโดด้วยสภาพไม่แตกต่างจากคนตรงหน้านัก

     “เธอถามย้ำแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ” ผมเอ่ยเบาๆ ประดักประเดิดพอตัว – ว่ากันตามจริงก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

     คุณยกมือขึ้นเกาท้ายทอย หัวเราะเสียงแห้งก่อนที่จะเงยหน้ามองผมหลังจากที่มองเท้ามานาน

     “ก็ยังอุตส่าห์มา” นั่นเป็นถ้อยคำอื่นที่ได้รับ “ขาเพิ่งหายแท้ๆ”

     “ก็หายมาสักพักแล้วนะ”

     คุณย่นจมูก “ไม่เชื่อหมอเหรอ”

     “อืม, ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่” ผมหัวเราะเบาๆ

     เรามองหน้ากัน หัวเราะให้กันด้วยเสียงหัวเราะที่เหี่ยวแห้งที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้ จากนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ ผมไม่พูดสิ่งใด คุณไม่อาจเอ่ยสักคำ

     แบบนี้อีกแล้ว – ไม่ชอบเลยแฮะ – แต่ก็ชอบมากกว่าตอนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยอยู่ดีนั่นแหละ

     “อยากไปไหนไหม” ผมถามเสียงเรียบ “อาจจะ เอ่อ— ไม่รู้สิ แถวนี้มีอะไรนั่งบ้างนะ”

     “นี่ก็ใกล้ที่เธอทำงานนะ”

     “แล้วมันไกลโรงพยาบาลเธอเหรอ”

     คณณัฐย่นจมูก “ยอกย้อน!” ตีไหล่กันเบาๆ ราวกับจะหยอกล้อ “ไม่รู้สิ เธอไม่มีแพลนอะไรเลยเหรอ”

     “ไม่มีจริงๆ” ผมยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างยอมแพ้

     “แล้วเธอมาทำไมอ่ะ”

     เหมือนเป็นใบ้ในวินาทีนั้นแหละ

     คราแรกคิดเหมือนกันว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นความสั่นไหวในแววตา แต่ดูจะยากเหลือเกิน – ผมทำไม่ได้หรอก – เพราะฉะนั้นเลยสูดลมหายใจลึก ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าที่เคย หากแต่ก็ยังเบาหวิวอยู่ดี

     “ก็— อยากมาเจอเธอ”

     คุณดูไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่

     ก่อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าจะวาดยิ้มออกมา เสี้ยววินาทีก่อนที่มือขาวจะยกขึ้นมาปิดราวกับไม่อยากให้เห็นว่ายิ้มกว้างแค่ไหน

     “จริงๆ แถวนี้มันก็มีแต่พวกร้านเหล้า บาร์” คุณว่าเช่นนั้น มองผมในสภาพที่ดูดีกว่าชุดนอน หากแต่ก็ไม่ใช่ไปสถานที่เหล่านั้นแน่ๆ “มีร้านบัวลอยอยู่ท้ายซอย ร้านดังเลย เธอเคยกินหรือเปล่า”

     “อา ไม่เคยหรอก”

     “งั้นไปด้วยกันไหม”

     ผมพยักหน้า เหมือนหมาตัวโตที่ดีใจกับคำพูดของเจ้าของ

     คุณหัวเราะ “แต่ท่าทางจะต้องรอนานหน่อยนะ คนเยอะตลอดเลย ร้านมันแมส”

     “ไม่เป็นไรหรอก ไม่รีบทำอะไร” ผมว่าแบบนั้น เหลือบมองคุณหมอที่หัวเราะน้อยๆ เย้าแหย่กันว่าไม่ต้องรีบไปตัดงานหรือ แต่ความเป็นจริงแล้วตอนนี้อีกฝ่ายครั้นจะดูยุ่งกว่าผมเสียอีก “อยู่กับเธอนานๆ ก็ได้”

     คนฟังนิ่งไปนิดหน่อย ก่อนจะบ่นงึมงำ “ไปเรื่อย” เหมือนจะด่ากันหากไม่ได้มองว่าคุณยกมือขึ้นเกาท้ายท้อย แก้เขินเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

     คุณเดินออกมาพร้อมกับผมก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาอะไรเท่าไหร่ – อยากผ่ากะโหลกคุณดูจริงว่าในหัวนั่นคิดอะไรบ้าง – บางทีก็อดตั้งคำถามแบบนี้ไม่ได้ และก็เผลอคิดขึ้นมาได้ว่าคำถามของผมดูเหมือนความคิดของฆาตกรในหนังสยองขวัญชอบกล ผมเลยหลุดหัวเราะออกมา

     “อะไร” คุณถาม หรี่ตามองผม “เธอคิดอะไรเนี่ย”

     “เปล่า”

     “เอ๊ะ แล้วหัวเราะอะไร”

     “ไปเรื่อย” ผมตอบด้วยคำที่คุณเคยใช้ว่ากัน

     “หัวเราะไอ้ม่วงหรือไงล่ะ”

     ผมมองตามสายตาของอีกคน เลิกคิ้วนิดหน่อยที่เห็นว่าคุณมองหมาข้างถนนตัวหนึ่งอยู่ “ยังไม่เลิกตั้งชื่อให้หมาทุกตัวอีกเหรอ” หลุดขำนิดหน่อยกับชื่อที่คุณเรียก

     “ไม่ได้ตั้งเองสักหน่อย อันนี้ป้าขายข้าวแกงเขาก็เรียก” บ่นเสียงเข้มขึ้นมาเสียจนผมยิ้มขำ

     ระยะเวลาจากห้องพักของคุณมาถึงร้านบัวลอยที่ว่าก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นัก แต่พอเดินมาถึงแล้วก็เข้าใจกับคำพูดที่ว่ารอนานนะ เพราะเต็มไปด้วยผู้คนวัยหนุ่มสาว มีเก้าอี้พลาสติกจัดให้รออยู่ประมาณสิบที่นั่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือมีพี่ๆ ที่ใส่ชุด line man กับ grab อีกจำนวนหนึ่ง

      “มันอร่อยมากเลยเหรอ” ผมถามขึ้นอย่างนึกสนใจ

     “ก็อร่อยดีนะ ถูกด้วย”

     ผมพยักหน้าตอบรับคำคุณหมอ ในหัวคิดว่าสงสัยต้องลองไปเสนอกับพี่เอกสักหน่อยในสำหรับคอนเทนท์เล็กๆ น้อยๆ ลงแก้ขัด

     จังหวะที่เก้าอี้ว่างผมก็เดินนำคุณไปที่เก้าอี้ ตั้งใจจะปล่อยให้คุณนั่ง ตอนแรกทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายข้อสรุปของเราก็จบลงตอนที่กลุ่มสาวๆ วัยมหาวิทยาลัยเดินเข้ามา ผมกับคุณเลยเดินแยกออกมาหน่อยให้พวกหล่อนนั่งโดยปริยาย

     “เคยมากินไหม” ผมถามตอนที่บทสนทนาของเราชะงักไปนิดหน่อย

     “ก็เคย”

     “เหรอ”

     “มากับพวกพี่ๆ ที่เป็นหมออ่ะ ส่วนใหญ่ก็อยู่แถวนี้กันหมด” คุณเอ่ยปากพูดเพิ่มเอง

     “—แล้ว” ผมอึกอัก ความลังเลวิ่งเข้ามาชั่วอึดใจ “กับหมอที่ชื่อว่าเจต— เธอก็เคยมาด้วยใช่ปะ”

     คุณมองหน้าผม ความอึดอัดแล่นเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวกับแววตา กลบเกลื่อนมันด้วยเสียงหัวเราะน้อยๆ ที่ได้ยินบ่อยเหลือเกินในช่วงหลัง

     “ที่เค้าถาม เธอยังไม่เห็นตอบเลย”

     ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

     และคุณคงสังเกตเห็น ถึงผลุบตาลงต่ำ “ก็เคยมา” สุดท้ายก็ยอมตอบกลับมา “สองคนก็เคย”

     “อา—” ผมยิ้มเจื่อน “งั้นเหรอ”

     “บัวลอยจะอร่อยอยู่ไหมนะ”

     “อร่อยดิ” ตอบแบบนั้นพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ใส่กัน กระอักกระอ่วนฉิบหาย

     คุณลอบมองผมด้วยสายตาที่อ่านยากเช่นเคย แบบนี้เสมอ – เหมือนจะเดาง่ายแต่ก็ไม่ เหมือนจะอ่านออกสบายๆ ทั้งที่ต้องใช้ความคิดมากกว่าข้อสอบวิเคราะห์ภาพยนต์เสียอีก

     คนเป็นหมอเข้าใจยากแบบนี้เสมอเลยไหมนะ

     ถามไปงั้นทั้งที่ก็รู้ว่าไม่ใช่หรอก ไม่เกี่ยวกับหมออะไรทั้งนั้น ก็แค่เป็นคุณต่างหาก

     “หลังจากนี้ไปไหนต่อดี”

     “กลับไปนอนไง” คุณขมวดคิ้วเมื่อผมโพล่งคำถามขึ้นมาแบบนั้น “เธอจะไปไหนอีก”

     “อา— ไม่รู้สิ”

     “เอ้า” ดูคุณจะแปลกใจนิดหน่อย “งั้นกินก่อนไหมล่ะ แล้วค่อยคิด”

     ผมเดาะลิ้น พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วคุณก็ยิ้มให้เหมือนไม่มีเรื่องน่าอึดอัดใจกันมาก่อน

     เป็นวินาทีที่ผมย้อนคิดถึงตอนเราเพิ่งคบกันใหม่ๆ บ่อยครั้งที่เรามีเรื่องตึงใส่กันเพราะไม่ถูกใจเรื่องเล็กๆ บางอย่างของแต่ละคน ยังจูนหากันไม่ติด อะไรทำนองนั้น และนั่นแหละ – เราจบลงตรงที่ร้านขนมแถวๆ หอในบ่อยมาก บางทีก็เซเว่น อะไรก็ตามที่เป็นของกินจะทำให้เราปรับความเข้าใจกันได้เสมอ

     “จริงๆ แล้ว—”

     “คุณ คุณคุณสองคนค่า!”

     คำพูดของคุณหยุดชะงักลงด้วยเสียงตะโกนของพนักงาน ผมเลิกคิ้วแทนคำถามแต่คุณส่ายหน้า เดินนำไปที่ร้านก่อน

     ร้านขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนร้านอาหารตึกแถวทั่วไปในขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เมนูมีแต่บัวลอย เต้าทึง ของหวานต่างๆ ที่ราคาไม่แพง ไม่เน้นรูปลักษณ์ พอเห็นชื่อร้านชัดๆ แล้วก็คุ้นเคยขึ้นมาหน่อยเพราะผมเองก็เคยเห็นผ่านตา ดังจริงไม่ตินัง

     “อยากกินบัวลอยงาดำอ่ะ”

     “สั่งดิ”

     “เธอจะกินอะไร”

     “อันนี้มั้ง” ผมชี้นิ้วส่งๆ ไม่ได้นึกอยากกินอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว “มันจะหวานปะวะ”

     “เออ ร้านนี้หวานนิดนึงนะ” คุณว่าแบบนั้น “แต่ก็ไม่ใช่ชานมที่จะสั่งหวานน้อยใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นเธอโดนป้าเขาเพ่งกบาลแน่” ยิ้มเหมือนจะขำกันมากกว่า

     ผมไม่คิดเถียงใดๆ และหันไปสั่งเมนูให้กับคุณ ผมสั่งน้ำมะพร้าวหนึ่งแก้วกับขนมหนึ่งถ้วย ในขณะที่คุณสั่งขนมมาสองถ้วยกับน้ำเปล่าแทน

     พูดคุยกันด้วยเสียงเคาะโต๊ะที่ทำจากสแตนเลสเพราะไม่อยากสู้เสียงสาวๆ โต๊ะถัดไปที่หัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลัง ผมไล้ปลายนิ้วเป็นจังหวะเพลง ก่อนที่คุณจะเคาะมันตามผม ก่อนจะตามมาด้วยการเตะเท้ากันใต้โต๊ะเมื่อผมเลื่อนปลายนิ้วไปสัมผัสกับหลังมือของอีกคนแทนจะเป็นพื้นโต๊ะ

     “เตะทำไมอ่ะ”

     “แล้วจับทำไมอ่ะ” คุณหมอว่าอย่างไม่ยอมแพ้

     ผมไม่ได้ตอบ มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นโดยที่ยังไม่เลื่อนนิ้วจากหลังมืออีกคน คุณหมอในสภาพอยู่บ้าน แตกต่างจากทุกวันที่เราได้เจอกันในช่วงหลังๆ มองกลับมา สุดท้ายก็เป็นคนละสายตาไปก่อน

     คนนั่งตรงข้ามเตะเท้าใต้โต๊ะกันอีกครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อโดนขัดใจกับการกระทำนั้น ก้มลงบ่นงุบงิบก่อนที่จะเอ่ยน้ำเสียงดังขึ้นมาหน่อยให้ผมรู้ว่านั่นไม่ได้พูดกับตัวเองแต่พูดกับผม

     “ตอนนั้นเธอก็ทำแบบนี้”

     “หือ?”

     “นานแล้วอ่ะ ปีไหนนะ” คุณเอียงคอ ทำท่ากรุ่นคิด “ตอนที่เค้าหึงเธอกับพี่ที่เธอไปช่วยธีสิส”

     “อ๋อ” ผมครางรับ ใบหน้ารุ่นพี่คนดังผุดขึ้นมาในหัวแต่คิดชื่อไม่ออก คุณเลิกคิ้วเหมือนกับจะรอ สุดท้ายผมก็ยอมรับความจริง “จำชื่อไม่ได้แล้วแต่คิดหน้าออกนะ”

     “แหงดิ พี่เขาสวย” คุณหัวเราะ “โคตรสเป็กเค้าเลย”

     “น้อยๆ หน่อยสิคุณ”

     “จำได้ปะว่าตอนนั้นเค้าโคตรโกรธที่เธอต้องคอยตอบแชตพี่คนนั้นทั้งวัน แล้วไปทำธีสิสด้วย คนก็เอาแต่อัพรูปเธอตัวติดกับพี่เขาอ่ะ”

     “จำได้— มั้ง” ปลายเสียงเบาไปหน่อยเพราะไม่มั่นใจเท่าไหร่ “ตอนนั้นน่าจะทะเลาะกันหนักที่สุดแล้ว”

     คุณพยักหน้า วาดยิ้มบนริมฝีปาก “อืม ไม่น่ามีครั้งไหนเท่าครั้งนั้นแล้ว”

     เราคุยกันผ่านสายตา เหมือนเรื่องราวในอดีตมันฉายชัด วนไปวนมา ผมยังจำตอนที่คุณกินข้าวเย็นในโรงอาหารได้ จำตอนที่คุณหัวเราะกับไอ้โย่งที่ทำอะไรบ้าๆ กับแก๊งหอในได้ จำตอนที่คุณหน้าหงิกงอในการฝ่าการจารจรอันติดแสนติดมาหาผมที่หอได้ทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งจะได้เวลาว่างหลังสอบ

     แล้วคุณจำเรื่องแบบไหนเกี่ยวกับผมได้นะ

     เป็นเรื่องดีๆ แบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า

     “เธอจำได้ไหมว่าตอนนั้นทำแบบไหนเค้าถึงหายโกรธ”

     “—อา”

     เหมือนปฏิกิริยาของผมจะทำให้คุณหลุดขำมากกว่าจะโกรธ คุณยิ้ม ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ยักคิ้วนิดหน่อยราวกับจะบอกว่าพูดมาสิรอฟังอยู่

     “จำไม่ได้ถูกไหม”

     ผมหัวเราะแห้งแทนคำตอบ

     คุณยิ้ม เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่พนักงานเอาเมนูที่เราสั่งมาเสิร์ฟตรงหน้า คณณัฐหันไปขอบคุณก่อนที่จะหันมาหาผม

     “เธอก็แค่พาเค้ามากินขนม ตอนนั้นน่าจะปังเย็นมั้ง” คุณพูดเช่นนั้น “แล้วเธอก็สั่งให้เลย โคตรวัดใจ ถ้าตอนนั้นเธอสั่งผิดเมนู เค้าต้องหงุดหงิดฉิบหายแน่ๆ”

     “พูดคำหยาบ”

     “แค่คำว่าฉิบหายเอง”

     “นั่นแหละ”

     “ไอ้เรื่องมาก” ผมยักไหล่ไม่คิดเถียง จริงๆ ในหัวผมเอื้อมมือไปบีบปากนั่นแล้ว แต่เป็นความคิดที่รุ่มร่ามและคงไม่อาจทำได้จริงในนาทีนี้ “แล้วจากนั้นเธอก็ให้เค้ากินแม่งทั้งหมดอ่ะ เธอสั่งมาตั้งสองถ้วย แล้วไม่ช่วยกินด้วยนะ ไปเอาความคิดว่าเค้าจะอารมณ์ดีเวลากินของหวานมาจากไหนวะ ตอนนั้นโคตรหงุดหงิด”

     “อ้าว” ฉิบหาย ผมจำไม่ได้เลยว่าตอนนั้นทำอะไรไว้ ณภัทรตอนอายุยี่สิบจามแทบไม่ทันแล้วมั้งตอนนี้

     “แต่—” คุณเว้นช่วงไปชั่วครู่ ก้มหน้า แล้วก็พูดออกมาเสียงเบา “ตอนที่เธอบอกว่าเอาอีกถ้วยไหม เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น เดี๋ยวเธอเลี้ยงเอง เค้าก็แบบ— ใครจะไปโกรธเธอต่อลง” คุณหัวเราะ “บ้าบอเนอะ ตอนนั้น”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร

     ยิ้มแบบที่คุณยิ้ม หัวเราะแบบที่คุณหัวเราะ เห็นด้วยกับคุณทุกประการว่าตอนนั้นมันเป็นเรื่องบ้าบอและง่ายดายถึงเพียงไหน

     “กินอันนี้ไหม” ผมตักบัวลอยงาดำขึ้นมาไว้บนหน้า

     คุณเลิกคิ้วเพราะเมนูที่ผมสั่งเป็นหนึ่งในสองเมนูที่คุณสั่งมาด้วย ไม่ทันที่จะส่ายหน้าผมก็วางลงบนถ้วยของคุณเสียก่อน

     “เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”

     เหมือนคำพูดของผมจะทำให้คุณยิ้มกว้างกว่าเก่า ถึงได้เลื่อนมือมาปิดริมฝีปากของตัวเองเพราะไม่อยากให้ผมเห็น

     “หลังจากนั้นเราทำอะไรต่อนะ” ผมตั้งคำถาม “ให้ทาย, เค้าพาเธอขับรถเล่นใช่ปะ” มีอะไรให้ทำไม่กี่อย่างหรอกตอนนั้นน่ะ

     คุณขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า

     “งั้น— เดี๋ยวไปขับรถเล่นกัน” ผมว่าแบบนั้น “มอเตอร์ไซค์เหมือนเดิมนะ โอเคหรือเปล่า”

     คณณัฐมองผม ลดรอยยิ้มลงนิดหน่อย “คำถามที่เค้าถามเธอ ยังไม่ตอบเลยนะ”

     ผมเม้มปากแน่น

     “รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้เค้าคิดนะว่ามันไม่ใช่แล้วอ่ะ” คุณพูดแบบนั้น มองตรงมาที่ผม ไม่หลบตา ไม่มีการตะเบ็งเสียงหรือตะคอก ก็แค่พูด, ในแบบที่คุณรู้ว่าผมจะฟัง “เค้าไม่อยากคิดไปเองหรอกนะ”

     ผมมองคำถามในตาคุณ

     เป็นคุณอีกแล้วที่ทำให้ผมรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ โต้แย้งไม่ได้ อย่าคิดจะหลบหลีก – เป็นคุณอีกแล้วที่ทำให้เรื่องที่ผมซ่อนไว้ถูกเปิดเผยออกมาหมดเปลือกและถูกเอ่ยเอื้อนออกมา

     ผมเลื่อนปลายนิ้วไปแตะปลายนิ้วของคุณ

     “จริงๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำเท่าไหร่” พูดแผ่วเบา – หรือไม่เบากันนะ – แต่เหมือนเสียงหัวใจของผมดังกลบไปหมดเลย “ถ้าเค้าจีบเธอตอนนี้ เธอจะอนุญาตไหมครับ”

     คุณสบตาผม บดกลีบปากเข้าหากัน แวบเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าแววตาของคุณสั่นระริกก่อนมันจะกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือของคุณถูกดึงกลับไป – ฉิบหาย – ผมร้องตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะเห็นว่าคุณยกมือขึ้นมาริมฝีปากตัวเองเอาไว้อีกแล้ว

     ผมรู้คำตอบในนาทีนั้น ก่อนที่คุณจะบ่นงึมงำเสียอีก

     “ดูละครมาหรือไง โคตรเชย”

     แต่คุณก็ยิ้มอยู่ดี

     

-------------------------

หายไปนานมากๆๆ ขอโทษด้วยนะคะ
โทษโปรเจ็กและงานต่างๆ ที่ทับหัวอิฉันที ;-;

จริงๆ เรื่องนี้วางพล๊อตไว้ไม่ยาวค่ะ
ตอนนั้นคิดว่าถ้ายาวจะไม่จบเอา 55555555555

เพราะงั้นบอกไว้ก่อนว่านี่ก็เกินครึ่งหนึ่งของเรื่องแล้วนะคะ
เขียนฟีลกู๊ดไม่ค่อยเก่งจริงๆ เลย แง

เจอกันในแท็กค่า
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จริงๆ แอบคิดว่าปูเรื่องมาแบบนี้ ถ้าตอนจบแยกย้ายกัน คนอ่านก็จะไม่เสียใจเท่าไหร่ 55555555
แต่อยากให้แฮปปี้เอนดิ้งนาจา อิอิ

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เขาจีบกันนนนนน น่ารักเนอะ ^^
หายไปนานจริงไรจริง แต่เค้ายังรอทุกวันน๊าาา

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เย้ๆๆ จีบเลยยยนยยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ยังไงงดิ อย่ายึกยัก ไม่งั้นแม่จะฟาดๆๆ ค่ะ  :katai1:

ออฟไลน์ tangtey59

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ชอบเรื่องนี้สนุก

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แง้ น่ารักมาก อ่านเรื่อยๆเพลินดีมากค่ะ

ออฟไลน์ megatef4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
น่ารัก อยากให้กลับมาคบกันแล้ว  :กอด1:
ขอบคุณนะคะ เขียนดีมากๆเลย ภาษาสวยมากก

ออฟไลน์ tangtey59

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ชอบเรื่องนี้ น่ารักดีค่ะ

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
ลุ้นๆ ลุ้นกับทั้งคู่เลย  :mew3:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 11 ————


     เคยรู้สึกว่าตื่นมาแล้วสดใสกว่าทุกวันไหม

     อยู่ๆ ก็รู้สึกแบบนั้นหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว คว้าโทรศัพท์ขึ้นมามองนาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลาเดิมที่ตื่น หากแต่ปกติต้องขดตัวอยู่บนเตียงต่ออีกสักยี่สิบนาที ไม่ใช่ลุกขึ้นไปแปรงฟันในทันทีเพราะจำคำพูดของคนที่คุยกันเมื่อคืนได้ว่า ตื่นแล้วลุกเลยนะ เลยรู้สึกว่าต้องทำตามเสียหน่อย

     แม่งเอ๊ย เหมือนกลับไปเป็นณภัทรตอนอายุสิบแปด – ห่างหายความรู้สึกสดชื่นหลังตื่นตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะยิ่งทำงานหาเงินไปเรื่อยๆ เนี่ยยิ่งเหนื่อย มันต้องมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำงานแล้ว อยาก skip ชีวิตไปตอนมีเงินแล้วแวบเข้ามาบ้าง แต่คุณทำได้— ยกความดีความชอบให้เขาแล้วกัน

     แปรงฟันก่อนจะเดินออกมาหาอะไรทำเมื่อพบว่าเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ไม่ต้องรีบไปอาบน้ำและแบกร่างตัวเองไปขับมอเตอร์ไซค์และทำงาน

     หยิบโทรศัพท์เช็กข่าวสาร ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องที่รถไฟฟ้าเสียอีกแล้ว – คุณภาพชีวิตเฮงซวย – ก่อนจะเข้าไปในไลน์เพื่อพบว่าแชตของคนที่อยู่บนสุดเพราะถูกปักหมุดไว้ได้ตอบกลับมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน

     k.
     เค้าออกเวรแล้ว
     เดี๋ยวไปนอน สายๆ คงตื่นมั้ง มีเวรอีกทีพรุ่งนี้เลย
     แต่ถ้าสัก 14.00 เค้าไม่ตื่น ทักมาปลุกที 5555

     ยอมใจกับชีวิตที่ดูจะแย่กว่าผมไปอีกขั้น คุณไม่ได้มีเวลาทำงานประจำเหมือนผม อาจจะโหมงานเหมือนตอนที่ผมทำฟรีแลนซ์แต่ไม่ได้สบายเหมือนอยู่บ้าน และความกดดันเป็นความกดดันที่คนละแบบ

napat
โอเค ตื่นแล้วบอกนะ
นอนพักไป

     ผมมองตัวอักษรที่ส่งไป ไม่ได้ขึ้นอ่านแล้วแต่อย่างใด ถึงกระนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังหลับฝันดี

     สุดท้ายก็นั่งไถนั่นนี่ในทวิตเตอร์ไปเรื่อย ก่อนที่จะแบกตัวเองไปอาบน้ำเมื่อรู้ว่า อ้าว, ฉิบหายแล้ว, สุดท้ายก็เริ่มอาบน้ำเหมือนกับวันที่นอนตื่นสายอยู่ดี





     “ไปงานแต่งไอ้เก่งปะ”

     ขณะที่ผมยังง่วนอยู่กับการดูฟุตเทจที่ทำท่าจะมีปัญหาขึ้นมาเพราะไมค์ช่วงท้ายคลิปไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ โย่งก็เอ่ยปากถามขึ้นมาแบบนั้น

     ผมเงยหน้า “ฮะ? เชี่ย ลืมไปเลย”

     “เออ มันย้ำในกรุ๊ปเนี่ย”

     “ไม่ได้ไปอ่านว่ะ” ผมถอนหายใจ “วันไหนนะ”

     “วันพฤหัสฯ นี้”

     “บอกทีว่ามันไม่ได้มีธีมสีพิลึกๆ กูหาชุดไม่ทัน”

     “ไม่ สีขาวธรรมดา”

     ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก จริงๆ จำได้ว่าไอ้เก่งที่เป็นเพื่อนคนหนึ่งในคณะกำลังจะแต่งงาน แต่ช่วงหลังๆ นี่ทำนู่นนี่ และมีเรื่องที่ทำให้วอแวมาแทรกอยู่พอตัว เลยกลายเป็นลืมไปเสียสนิทว่าต้องเตรียมตัวไปงานแต่งเพื่อน

     “ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะแต่งงานแล้ว” โย่งพูดไปเรื่อย “มึงจำได้ปะที่มันคบกับพี่นุกมาตั้งห้า-หกปี แล้วอยู่ๆ ก็ปิ๋ว เลิกเฉย— แล้วดูคนนี้ คบแป๊บๆ ก็แต่งแล้ว นี่แหละนะ แม่งจะใช่ไม่ใช่ไม่ได้อยู่ที่เวลา”

     แฟนเก่าของเพื่อนถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น จำได้ว่าตอนสมัยเรียนเพื่อนที่ชื่อเก่งคบกับรุ่นพี่คนสวย คบกันเนิ่นนาน ทำงานแล้วก็ยังคบกันต่ออีกสักพักชนิดที่พวกผมทุกคนล้วนบอกกันว่ามันคงจะไม่แคล้วไปแต่งกับคนอื่นแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่

     “ตอนเรียนมันก็งั้นแหละ” โย่งว่าพลางหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งเข้าปาก “คู่ที่ไปรอดจริงๆ แม่งจะมีกี่คู่กันวะ”

     “—ก็ถูก” ผมบ่นพึมพำ “แต่ถ้าไปรอดได้มันก็คงดี”

     เพื่อนสนิทเลิกคิ้วพลางยื่นขวดคุกกี้มาให้ผม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ มันเลยเลื่อนมือกลับไปพร้อมกับหยิบเข้าปากอีกชิ้น

     “มันก็ดีหรอก” มันว่าแบบนั้น “แต่ถ้าไปไม่รอดแล้วก็อย่าลืมลองเปิดใจกับคนใหม่ๆ มั่งแล้วกัน”

     ผมหัวเราะแผ่วเบาตอบแทนความหวังดีของเพื่อนที่ปกติจะปากหมา ยังไม่อยากออกตัวแรงเพราะกลัวว่าจะฟรีล้อเข้าให้สักวัน

     k.
     ตื่นแล้ว

     ข้อความสั้นๆ เด้งขึ้นมาที่หัวมุมหน้าจอ ผมมองมันก่อนจะเปลี่ยนโหมดเป็น do not disturb เผื่อไว้ก่อน และตอบกลับไปในทันที

     
napat
จะออกไปกินอะไรไหม
เที่ยงแล้ว

     k.
     ขี้เกียจอ่ะ
     เดี๋ยวสั่งไลน์แมนมามั้ง
     เดี๋ยวเย็นนี้จะขับรถพาแม่ไปกินข้าวด้วย

     
napat
โอเคครับ ตามนั้น

     k.
     ตั้งใจทำงานได้ละ
     สู้ๆ

     ผมยิ้มให้กับเรื่องราวเล็กๆ แบบนั้นอย่างห้ามไม่ได้ – ยกมือขึ้นปิดบังริมฝีปากตัวเองบ้างเพราะกลัวว่าใครจะมองเห็น ส่งสติ๊กเกอร์กลับไปหนึ่งตัวก่อนที่จะจัดการทำงานต่อเหมือนเดิม

     “ณะ”

     “จ๋า” ผมขานรับเจ้านายผู้หญิงเสียงหวานเมื่อเจ้าหล่อนดูน้ำเสียงฉุนเฉียว “ว่าไงพี่”

     “เลือกให้พี่หน่อย”

     “ฮะ?”

     พี่ข้าววางแฟ้มในมือลงตรงหน้าผมดังปึก หน้านิ่วคิ้วขมวด คาดว่าคงหงุดหงิดอะไรค้างมาอย่างแน่นอน และผมก็ได้รับคำตอบเมื่อพี่เอกเดินเข้ามา

     “เอาให้ทุกคนโหวตเลยดิ ห้าเสียง ตัดสินให้จบๆ”

     อ๋อ— เรื่องแต่งงานอีกตามเคย

     ยิ้มขำให้กับภาพที่เริ่มเห็นบ่อยๆ เหมือนช่วงหลังสองคนนี้จะตีกันบ่อยครั้งเรื่องความคิดเห็นไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับการจัดงาน แน่นอนว่าเจ้ ผม และไอ้โย่งมักจะได้เป็นกรรมการบ่อยๆ และสุดท้ายรอบนี้พี่ข้าวก็ชนะเมื่อผลโหวตเรื่องกระโปรงทรงไหนดีกว่ากัน ด้วยผลโหวต 3 ต่อ 2 ฟังดูตลกพิลึก แต่หล่อนก็อารมณ์ดีแล้ว

     ผมเหลือบมองพี่เอก นึกว่าจะหงุดหงิดแต่สุดท้ายก็ยิ้มขำให้แฟนตัวเองที่อารมณ์ดีที่ได้ตามใจ

     ความรักก็แบบนี้

     “เออ น้องณะ”

     “ว่าไงอีกพี่”

     “เสาร์นี้ไปถ่ายรับปริญญาให้ไอ้ขิมใช่ป่ะ” พี่ข้าวถามถึงน้องสาวตัวเอง “ถ้ายังไงมันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มไรก็บอกพี่ละกันนะ เดี๋ยวพี่จ่ายให้เอง”

     พอหล่อนพูดขึ้นผมก็ครางในลำคอ เรื่องนี้ก็เกือบลืมไปเหมือนกัน ยังดีที่เจ้าหล่อนเตือนกันก่อน

     ผมหัวเราะ “โห ป๊ามาก สุดยอดไปเลยพี่”

     “ไอ้บ้า” หญิงสาวเอาแฟ้มนั้นเคาะหัวผมเบาๆ “เอ้า ทำงานต่อ ไม่งั้นไม่จ่ายเงินให้นะ”



     
     k.
     (photo)
     (photo)
     คอนเทนท์นี้ของเพจเธอน่ากิน

     napat
ไม่ใช่เพจเค้าสักหน่อย 55555
แต่ไอ้โย่งบอกว่าอร่อยจริง
ยังไม่ได้ไปกินเลย

     k.
     อ้าว ไม่ได้ไปถ่ายเหรอ

     
napat
เวียนๆ กันอ่ะ ร้านนั้นเค้าไม่ได้ถ่าย

     k.
     อ๋อ

     ผมมองข้อความนั้นที่สิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมาขณะที่ร้านราดหน้าแถวๆ หอพักเอามาเสิร์ฟพอดี ป้ายังหน้าตาบึ้งตึงเหมือนเคย แต่ผมยิ้มให้ป้า ทีนี้ป้าแกก็งง เดินกลับไปพร้อมกับฟาดมีดลงเขียงด้วยน้ำเสียงที่แรงเหมือนกับที่ผ่านมาทุกวัน

     k.
     พรุ่งนี้วันเสาร์
     เธอว่างไหม

     ผมขมวดคิ้วมุ่น หัวใจพองโตอย่างไม่น่าให้อภัยเพียงเพราะคำถามง่ายๆ นั้น

     
napat
ทำไมเหรอครับ

     ใจดีกันหน่อยคณณัฐ – ผมภาวนาให้คุณเป็นคนพูดออกมาก่อน – กลัวพูดบ่อยไปจะทำให้ดูคลั่งรัก และมันค่อนข้างจะน่าแปลกใจกับการแสดงออกกั๊กๆ ของเรา แต่นั่นแหละ, ผมยังวางตัวไม่ถูกนักแม้ว่าเราเหมือนจะปรับความเข้าใจกันมาแล้ว

     อย่างว่า, มันต้องใช้เวลา – ไอ้เราก็ไม่เคยมีประสบการณ์จีบแฟนเก่าเสียด้วย

     k.
     เค้าว่าง

     และนั่นก็— น่ารักฉิบหาย

     สบถในใจเป็นพันครั้ง ช่วงเวลาที่ห่างกันไปหลายๆ ปีคงทำให้ไม่สามารถชินกับนิสัยน่ารักของอีกฝ่าย แม้ถ้าพูดในแง่ความเป็นจริงว่าคุณหมอเป็นคนสูงชะลูดและหน้าตาดูจะหล่อเหลาเกินกว่าจะบอกว่าน่ารัก แต่ผมก็ยังคงจะยืนหยัดในความน่ารักของเขาอยู่ดี ไม่ใช่ในแง่รูปลักษณ์ภายนอกแต่เป็นในแง่นิสัยต่างหาก

     k.
     อีกนิดก็ขับแหกโค้งแล้วนะ
     ตรงจัด
     เธอต้องตอบเค้าว่าอะไร

     
napat
5555555555
จริงๆ เค้าไม่ว่าง
     
     k.
     ณะ
     : (

     อา— ให้ตายเถอะ ผมตักราดหน้าเข้าปากอย่างมีความสุขทั้งที่เส้นใหญ่แม่งก็ยังเละเหมือนเดิม แต่รสชาติอร่อยกว่าทุกวัน และผมจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาของป้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงขณะที่เอาอาหารมาเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ

napat
แต่ก็ไปได้
ตอนเย็นๆ ได้ไหม

     k.
     เค้ามีเวรทุ่มนึง
     ไม่เป็นไรนะ
     วันอื่นก็ได้

     ผมนิ่งไปชั่วครู่กับคำพูดนั้น พยายามบอกตัวเองว่าไม่ให้ผิดหวังกับเรื่องเล็กๆ ทั้งที่เอาความจริงก็ผิดหวังนิดหน่อย อย่างไรดีล่ะ เราก็โตกันแล้ว – เข้าใจหมดนั่นแหละ

     แต่จะว่าไป, ตัวผมตอนปีสี่ก็เข้าใจเหมือนกัน

     ผมออกจากแชทของคุณ เข้าไปในแชทล่าสุดของน้องสาวของพี่ข้าวที่ยืนยันเวลาวันพรุ่งนี้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เจ้าหล่อนอาสาจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นโลเกชั่นในการถ่ายภาพ เวลานัดคือช่วงเก้าโมง

     ผมถอนหายใจ เปิดแชทคุณอีกครั้ง

     
napat
พรุ่งนี้เช้าล่ะว่างไหม

     k.
     ก็ว่าง วันนี้เค้าออกเวรสี่ทุ่ม
     เธอมีงานไม่ใช่เหรอ

     
napat
ยกเลิกงานแล้ว
     
     k.
     ไม่ตลก
     ณะ เค้าไม่ตลกนะ ทำงานไปเลย

napat
หยอกจ้า

     k.
     ไม่ขำ

     ถ้าเป็นโย่งจะพิมพ์กลับมาว่าหยอกพ่อมึงดิ แต่ถ้าเป็นคุณก็แบบนี้— ไม่เคยจะเกรี้ยวกราดอะไรเหมือนชาวบ้านเขาเสียที

napat
มีไปถ่ายรูปรับปริญญา
เธอไปด้วยกันไหม

     คณณัฐ์เงียบไป

     ผมเลยเริ่มลังเลใจเพิ่มอีกหน่อย คุณหมอคงจะเหนื่อย ผมเข้าใจได้ถ้าคุณหมอจะอยากนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง หรือทำกิจกรรมสบายๆ มากกว่าการไปตากแดด ถือพัดลมตัวเล็กให้กับสาวๆ ในวันรับปริญญา ไม่ได้แปลกใจอะไรเลยด้วยซ้ำ

     
napat
ถ้าเธอเหนื่อยไม่ต้องก็ได้นะ

     k.
     เปล่าๆ ตะกี้คุยกับพี่พยาบาล 55555

napat
อ๋อ

     ใจแป้วหมดเลยนายณภัทร บ้าจริง

     k.
     กี่โมงอ่ะ

     
napat
เค้านัดกับที่นู่นไว้เก้าโมงครับ
     
     k.
     ขอเงื่อนไขเดียว
     
     ผมมองข้อความที่ส่งมาของคุณหมอ เริ่มใจตุ่มๆ ต่อมๆ ปกติลูกบ้าคุณหมอเยอะเกินกว่าที่ใครคิด ขืนยื่นเงื่อนไขยากๆ คงทำให้ผมปวดหัว
     
     k.
     ขับรถให้ทีนะรอบนี้
     ขี้เกียจขับรถแล้วอ่ะ 5555555
     
     ผมหัวเราะ
     
     —และตอบคุณกลับไปว่าด้วยความยินดียิ่ง
     






     เช้าวันถัดมาผมขับมอเตอร์ไซค์ไปหาคณณัฐ์ด้วยตัวเองตอนแปดโมง เร็วกว่าที่แพลนไว้ในตอนแรกเพราะตั้งใจว่าจะใช้รถยนต์ของคุณไปที่มหาวิทยาลัยของน้องขิมแทน เมื่อคืนตอนที่พิมพ์ไลน์ไปบอกน้อง น้องเองก็ดูจะงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

     คุณเดินลงมาที่หน้าคอนโดพร้อมหาววอด เสื้อเชิ้ตแขนสั้นเป็นเสื้อที่ถูกหยิบมาสวมใส่กับกางเกงขายาว จำได้ว่าคุณชอบเสื้อเชิ้ตไม่ทางการตั้งแต่ตอนนั้น ดูๆ ไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ พอๆ กับที่ผมยังชอบเสื้อสกรีนลายโง่ๆ อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ


     คุณหมอทำท่าจะวางกุญแจรถบนมือของผม แต่ก็ชะงัก “ขับรถให้จริงอ่ะ” ถามย้ำอีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ

     “มาขนาดนี้แล้วปะ” ผมหัวเราะ คว้ากุญแจในมือนั่นมาหยิบเอง ก่อนที่ชะงักไป “รถเธอคันไหนนะ”     

     “เนี่ย มันเป็นซะอย่างงี้”

     ผมชอบตอนเช้าที่เจอคุณชะมัด ชอบเสียงหัวเราะนิดๆ หน่อยๆ และดนตรีที่คลออยู่ของรถคุณหมอ กลิ่น air refresher เย็นๆ ปะปนกับกลิ่นน้ำหอมที่ผมไม่เคยคิดฉีดแต่คุณหมอดูเหมือนจะขาดมันไม่ได้

     “เธอจะกินข้าวเช้าไหม” ผมเอ่ยปากถามขณะที่กำลังจะสตาร์ทรถ

     “ม่าย”

     “แล้วชอบบ่นให้เค้ากิน”

     “เอ้า วันหลังไม่บ่นดีปะ”

     ผมวาดยิ้มบางๆ “ไม่ดี” ตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่ในใจหมองลงไปนิดหน่อย

     คุณคงจะมองเห็นถึงได้มีความวูบไหวในสายตา เราก็แค่ไม่อยากหยิบมันเหล่านั้นมาพูดถึงอีก – ซ้ำไปซ้ำมาและวนเวียนอยู่ในความคิด แต่แท้จริงแล้ว, ชีวิตที่ไม่มีคุณตั้งห้าปีมันก็ยังมีความเคยชินบางอย่างอยู่

     “เดี๋ยวพอถึงมหา’ ลัย เค้าค่อยแวะเซเว่นก็ได้” คุณบอกแบบนั้น เหมือนเป็นการยอมลดตัวเองไปกินข้าวเช้าสักนิด

     ผมไม่ได้พูดอะไร ขยับเปลี่ยนเกียร์ในขณะที่บอกให้คุณช่วยเปิด map ให้หน่อย พบว่าระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางคงจะทำให้เราไปถึงเร็วกว่าที่นัดไว้สักหน่อย

     “น้องเค้าก็จะรับปริญญา”

     “จ้างได้นะ”

     “ฟรีปะ ถ้าฟรีเดี๋ยวจ้างให้เลย”

     “โห คุณครับ” ผมโอดครวญ “ต้องทำมาหากินนะ”

     “แหย่เล่น” และคุณก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

     ผมไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้คุณเป็นคนเปิดเพลงบนรถ และฟังเสียงปรามนิดหน่อยเวลาที่ผมเร่งเครื่อง คุณเป็นพวกหวงรถ ผมเข้าใจได้เพราะว่าตัวเองก็คงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำให้อีกคนวางใจได้ในทันที แต่คุณก็ยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากทำเสียงเข้มขึ้นมาหน่อยเรียกณะ ไม่เอาดิตอนที่ผมใช้รถของเขาแซงรถคันที่ขับยึกๆ ยือๆ ข้างหน้า

     ไม่นานเท่าไหร่เราก็มาถึงที่มหาวิทยาลัย ผมจึงทำการโทรหาน้องขิมก่อนเป็นคนแรก

     “พี่ณะถึงแล้วเหรอคะ” ปลายสายรับสายเสียงตกอกตกใจ

     “ครับ” ผมตอบรับ มองคณณัฐที่กำลังหยิบกระเป๋ากล้องของผมและทำท่าจะเปิดประตูลงรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ให้พี่ไปที่ไหน”

     “พี่ณะขา พวกหนูยังแต่งหน้าไม่เสร็จเลย พี่มาเร็วอ่ะ”

     “เอ้า พี่ขอโทษ” คุณเหลือบมอง สุดท้ายก็เปิดประตูรถลงไปก่อนเลย ผมเห็นแบบนั้นเลยเปิดประตูลงไปบ้าง “แถวนี้มีอะไรให้พี่กินบ้างไหม หรือเซเว่น—”

     “โรงอาหารไม่เปิดค่า พวกหนูอยู่กันใต้ตึก พี่ณะมาหาหนูก่อนไหมแล้วเดี๋ยวพาเดินไปเซเว่น”

     “อ๋อ” ผมครางรับ มองอีกฝ่ายที่ยืนมองซ้ายมองขวาหาที่ร่มหลบอยู่ ก่อนที่จะสะกิดหลังมือให้อีกคนเดินตาม “พี่อยู่ตรงลานจอดรถ เดินไปไหนต่อ”

     คนปลายสายบอกทางเดิน ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเท่าไหร่เพราะงั้นเลยดูไม่มีปัญหา เดินไปที่ใต้ตึกเรียนก็เห็นกลุ่มสาวๆ หน้าตาดีตามประสาสาวบัญชีแต่งหน้ากันอยู่ ขิมเป็นคนแรกที่ยกมือโบกทักทายก่อนชะงักไปเล็กน้อย
และเปลี่ยนมายกมือไหว้เมื่อไม่ได้เห็นว่ามีผมคนเดียว

     ผมเหลือบมองผู้ช่วยจำยอมวันนี้ อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำแบบไหน

     แต่คณณัฐ์ก็เป็นเหมือนเดิม ยิ้มหวาน ทักทายน้องๆ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีสนิทชิดเชื้อไปมากกว่านั้น

     “ไปเซเว่นด้วยกันไหมคะ” ขิมเอ่ยถามผมแบบนั้น “หรือพี่ณะกับพี่—”

     “พี่เขาชื่อคุณ” ผมแนะนำ

     ขิมพยักหน้า ยิ้มหวานให้ “ค่ะ พี่คุณไปด้วยกันไหม”

     คุณหมอมองหน้าผมชั่วครู่ คงไม่อยากไปไหนโดยไม่มีผมเพราะยังไงก็ไม่มีคนรู้จัก ผมเลยไม่ขัด บอกให้น้องๆ บอกทางมาและเดินไปเอง ใช้ข้ออ้างว่าเจ้าหล่อนยังแต่งหน้ากันไม่เสร็จจะได้ไม่ต้องเสียเวลา

     “หนูไปด้วยได้นะคะ จะไปซื้อน้ำด้วย”

     “ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ

     ขิมไม่ได้มีท่าทีอะไร น้องแค่บอกว่างั้นฝากซื้อน้ำขวดใหญ่และขอโทษที่ยังแต่งตัวกันไม่เสร็จแบบนี้ ปล่อยให้สองหนุ่มอย่างพวกผมเดินออกมาเอง

     “มีแต่สาวๆ” คุณหมอเปรยขึ้นมาตอนที่เราอยู่กันสองคน “ชอบล่ะสิ”

     ผมรู้สึกหัวใจพองโตกับคำพูดนั้น

     ไม่ได้จริงจังอะไรมากแต่ก็ไม่ได้เมินเฉยกัน – นั่นโคตรน่ารัก

     “ก็ชอบสิ สาวๆ มหา’ ลัย วัยขบเผาะ”

     คุณหัวเราะ “พูดจาเหมือนเฒ่าหัวงู แก่แล้วนะ”

     “เอ้า คุณก็อายุเท่าๆ ณะแหละ” ผมไม่ได้ว่าอะไรกับมือที่ตบไหล่ผมเบาๆ เหมือนกับจะหยอกล้อ ไม่ได้เจ็บเลย อันที่จริงวางมือคุณไว้ตรงนี้ต่อไปก็ได้ “แล้วก็ขอโทษนะ— ชอบเหมือนกันล่ะสิ”

     คุณหมอทำลอยหน้าลอยตา ไม่รู้เรื่องแต่ก็ไม่ได้ทิ้งลายผู้ชายเสียทีเดียว

     อย่างไรก็ผู้ชาย ไอ้เรื่องชอบมองอะไรสวยๆ งามๆ เนี่ยมันห้ามกันไม่ได้หรอก และมันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เราคบกันแล้ว

     “เค้าเอาไว้มอง” คุณอธิบาย “ทัศนียภาพมันสวย”

     “เค้าก็ทำงานเหมือนกันครับ ขอโทษ”

     “สงสัยต้องตามมาดูเธอทำงานบ่อยๆ แล้ว”

     “ก็คือมาคุมเค้า?”

     “มาดูสาวสิ จะมาคุมอะไรเธอ”

     ผมเอื้อมมือไปบีบหลังคออีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวกับคำพูดเย้าแหย่นั้น คุณหัวเราะขณะที่ย่นคอหนี ก่อนที่จะตามมาด้วยการบ่นงึมงำว่าไม่เล่นแล้วๆ

     ถ้าคุณจะมาคุมผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก

     ถึงแม้จะรู้ดีก็เถอะ – ว่าต่อให้คุณไม่คุมผมก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดี


-------------------------
     หายไปนานมากกกกกก แบบมากกกก T_T
     ไม่มีคำไหนจะโต้เถียง ขอโทษจริงๆ ค่ะ
     มีทั้งงานต่างๆ สอบไฟนอล แล้วพอสอบเสร็จปุ๊บเค้าก็ไปเกาหลีปั๊บ
     มีเวลาพักสอง – สามวันก็จะฝึกงานแล้ว 55555555555
     
     แต่ช่วงฝึกงานคงจะอัพนิยายได้เหมือนเคยค่ะ
     เรื่องมันเนิบนาบไปไหมนะ ; - ; แต่ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้เลยค่ะ
     ถ้าทำให้เบื่อต้องขอโทษด้วยนะคะ
     
     ขอบคุณที่ยังติดตามตลอดค่ะ
     รักทุกคนนะคะ <3

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2019 21:43:51 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถามว่าเนิบไหม มันก็เนิบอยู่นะแต่ว่า...เค้าชอบแบบนี้ จีบกันน่ารักเนอะ
คิดถึงมากกกกก และก็ดีใจมากที่มาต่อ  :mew1:

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถามว่าเนิบไหม มันก็เนิบอยู่นะแต่ว่า...เค้าชอบแบบนี้ จีบกันน่ารักเนอะ
คิดถึงมากกกกก และก็ดีใจมากที่มาต่อ  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด