ลูกเป็ดขี้เหร่[:18]
“ฮือ....”
มือเรียวของเด็กผู้ชายตาตี่ผิวขาวปากแดงกำลังบรรจงตัดรูปของดาราหนุ่มที่กำลังโด่งดังขั้นสุดก่อนจะยกขึ้นเช็ดขี้มูกที่ไหลมาปริ่มๆริมฝีปากลวกๆแล้วกลับไปตั้งใจตัดรูปอีกครั้ง
เสียงร้องไห้เบาๆกับดวงตาแดงๆของเด็กน้อยวัย 17 ปีทำให้พี่เลี้ยงต้องชะโงกหน้าขึ้นมาจากโต๊ะรีดผ้า
“คุณอาโปเป็นอะไรคร๊า” พี่เลี้ยงสาวประเภทสองเอ่ยถามเมื่อเริ่มรำคาญเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังมาร่วมชั่วโมงแล้ว เครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายถูกจับแขวนอย่างเป็นระเบียบ
“พี่เมฆขวัญใจของอาโปป่วยล่ะ”
“ป่วย เป็นอะไรคะ แล้วตายแล้วหรือไงคุณอาโปถึงมานั่งร้องไห้แบบนี้”
“บ้าสิ....” เสียงใสแหวใส่พลางหันไปส่งค้อนวงเบ้อเริ่มใส่ผู้เป็นพี่เลี้ยง
“ตีปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะมาแช่งพี่เมฆของอาโปได้ยังไง” ธนากรค้อนควั่กปากคว่ำอย่างไม่ชอบใจ พี่เจสซี่จะมาแช่งพี่เมฆขวัญใจของอาโปไม่ได้นะ
“เค้าแค่เป็นไข้หวัดใหญ่ จะมาเติงมาตายได้ไงล่ะ “ คนตัวอวบว่าก่อนจะบรรจงแปะกาวลงบนรูปแล้วแปะลงสมุดที่จัดทำซะสวยงาม
“แล้วนั่นเห็นนั่งทำตั้งนานอะไรเหรอคะ”
“อ่อ เนี่ยเหรอ อาโปทำสมุดอัลบั้มรวมรูปผลงานต่างๆข่าวงานอีเว้นท์ที่พี่เค้าไปอ่ะกะจะเอาไปฝากพยาบาลมอบให้พี่เมฆที่โรงพยาบาล”
“เค้าจะรับเหรอคะ”
“รับไม่รับอาโปก็ไม่รู้แหละอาโปแค่อยากทำให้ดาราในดวงใจเฉยๆ ถ้าเค้าจะทิ้งหรือจะอะไรอาโปไม่ได้สนใจหรอกอาโปแค่อยากทำให้แค่นั้นแหล่ะทำเป็นกำลังใจให้พี่เค้าว่าเนี่ยยังมีติ่งตัวเล็กๆคอยเป็นกำลังใจให้เค้าอยู่ ก็เหมือนเวลาพี่เจสซี่เขียนจดหมายหาปอยฝ้ายโอปป้าแหล่ะมีความสุขมั๊ยล่ะ”
“โอ๊ยยยยยยยย..ม่วนซื่นสุดๆฮร๊า”
สวัสดีครับผมชื่อธนากรครับ ปีนี้พอเปิดเทอมผมก็จะเป็นนักเรียน ม.ปลายปีสุดท้ายแล้วล่ะครับ ครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากแค่พอมีพอกินป๊ากับม้าขายยาครับ
แหน่ะ ไม่ใช้ค้ายาเสพติดนะ ท่านสองคนเป็นเภสัชกรครับส่วนพี่ชายของผมแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วเมื่อต้นปีตอนนี้บ้านเราจึงมีคนอยู่กันครึกครื้นเพราะพี่สะใภ้ต้องแต่งเข้าบ้านมาช่วยกันประกอบธุรกิจขายยา ส่วนผมเป็นลูกคนเล็กพ่อกับแม่บอกไว้แล้วถ้าไม่เรียนเภสัชก็ต้องเรียนหมอเพื่อสานต่อกิจการของครอบครัว
แต่ผมไม่ชอบเลย ผมเบื่อกลิ่นยาเต็มที ตั้งแต่ลืมตาอุแว้ๆขึ้นมาผมก็เจอกับสารพัดยา เอาแค่ว่าแค่ได้กลิ่นก็บอกได้แล้วว่าชื่อยาอะไรใช้รักษาอาการไหน กิจการร้านขายยาของที่บ้านของผมค่อนข้างรุ่งเรืองครับพ่อกับแม่เลยไม่มีเวลาเลี้ยงผมจึงจ้างพี่เลี้ยงชาวอีสานมาคอยดูแลผม พี่เจสซี่หรือชื่อจริงคือประจักษ์เลี้งผมมาตั้งแต่ 2 ขวบ จนตอนนี้จะ 18 อยู่แล้ว
เรียกกันว่าผมกินปลาร้าบ่อยกว่าขนมเทียน ซัดส้มตำมากกว่าซาลาเปาและฟังเพลงหมอลำมากกว่าเพลงป๊อป แต่ถึงแม้ผมจะมีเมฆโอปป้าเป็นขวัญใจยังไงก็ตามผมก็มีผู้ชายที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่อยู่ ม.ต้นแล้วนะครับ ที่ยอมเข้าชมรมดนตรียอมโดนดุโดนด่าก็เพราะผมอยากจะเห็นหน้าพี่เค้าทุกวัน
สงสัยไอ้คำว่าหรือผู้หญิงนั้นชอบคนเลวคงจะจริง เพราะถึงแม้ผมจะไม่ใช่ผู้หญิงผมยังตกหลุมรักแบดบอยตัวพ่อของโรงเรียนชนิดที่เรียกว่าถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
คิดแล้วใจหาย ปีนี้พี่หมอกกับพี่อาทิตย์มือกีต้าร์สะท้านโลกันต์ขวัญใจของผมก็เรียนจบแล้วด้วยสิ ว่าแล้วก็วางมือจากอัลบั้มรวมผลงานของเมฆโอปป้าแล้วไปนั่งเขียนฟิคหมอกอาทิตย์ต่อดีกว่า
จะมีใครรู้บ้างว่าอาโปใช้การเขียนฟิคชั่นทำร้ายพี่หมอกเป็นการแก้แค้นที่ตลอดเวลาที่เฝ้าแอบรักแอบคิดถึงแอบมองมา 2-3 ปี พี่หมอกเอาแต่ทำร้ายร่างกายกด((อยากโดนกด)) ขี่((อยากโดนขี่ ขอแบบคลานเข่านะ)) ข่ม((ขมขื่นมาเลยฮะอาโปพร้อม ถึงขาอาโปจะสั้นแต่ท่ายากของอาโปจัดว่าเด็ดนะฮะ)) เหง มาตลอด
พี่หมอกชอบตวาดใส่อาโป เอาไม้กลองเขวี้ยงอาโปเวลาไม่พอใจที่อาโปเก็บเครื่องดนตรีช้า ชอบเรียกอาโปว่าไอ้เตี้ย พี่หมอกรับของขวัญจากอาโป กินของที่อาโปซื้อให้แต่พี่หมอกไม่เคยจำชื่ออาโปได้ซักที แทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอาโปมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
คนอะไรหูกางแล้วยังใจร้าย...แต่หัวใจเจ้ากรรมของอาโปก็บอกแต่ว่า ชอบ... ชอบพี่หมอก..
“แม่ง อย่าให้รู้นะว่าอิ่หมาน้อย 69 นี่คือใคร” หมอกกดปิดหน้าฟิคชั่นคู่หมอกอาทิตย์ลงอย่างหัวเสีย อาทิตย์ที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆส่งสายตาอ้อนๆมาให้
“พี่หมอกฮะ ตรงนี้ของผมมันร่ำร้องอยากให้พี่สัมผัสมันอยู่นะฮะ” อาทิตย์แกล้งส่งสายตายั่วยวนมาให้พลางกัดปากขยิบตาทิ้งท้ายอย่างเซ็กซี่ พูดและทำตามบทของตัวเองในฟิคเป๊ะๆ
“รอส้นตีนกระผมไปสัมผัสสิครับ” หมอกไม่พูดเปล่ายังทำท่าจะยกเท้าถีบจริงๆจนคนผิวคล้ำกว่าต้องยกมือห้าม
ก็รู้กันอยู่ตีนหมอกไม่ใช่นุ่นสัมผัสแล้วจะได้เบาสบายส่วนตีนอาทิตย์ก็ไม่ใช่เม็ดทรายอัดเข้ามาถึงขั้นลำไส้เรียงตัว โดนทีนึงถึงขั้นจุกไป 7 วัน ก็ไม่รู้มาคบกันเป็นเพื่อนกันได้ยังไง ทั้งๆที่เมื่อก่อนตีกันไม่เว้นแต่ละวัน
หมอกเป็นประเภทมองหน้าแล้วของขึ้น ส่วนอาทิตย์ก็เป็นประเภทชอบมองหน้าด้วยสายตากวนส้น ซัดปากกันมาเกือบปี อยู่ดีๆวันหนึ่งกำลังยกพวกตีกันตำรวจก็โผล่เข้ามา จำได้ว่าตอนนั้นอาทิตย์ดึงมือหมอกให้วิ่งหนีตำรวจมาด้วยกันทั้งๆที่กำลังปล่อยหมัดใส่กันแท้ๆ พอตำรวจไปแล้วหันมามองหน้ากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะใส่กัน จากที่เป็นศัตรูกันก็เปลี่ยนมาเป็นมิตร ยิ่งชอบดนตรีเหมือนก็เลยจูนเข้าหากันได้ง่ายขึ้น
“นี่กูรอไอ้เมฆมันหายป่วยอยู่นะเนี่ยไม่รู้จะป่วยอะไรนักหนาแม่ง เดี๋ยวเป็นนั่นเดี๋ยวเป็นนี่เมื่อไหร่จะด้ไปออดิชั่นซักที” หมอกลงไปนั่งบนโซฟาแล้วใช้เท้าเขี่ยอาทิตย์ให้เขยิบไปอาทิตย์จิ๊ปากส่งสายตาขุ่นให้อย่างไม่ชอบใจแต่ก้ยอมขยับให้แต่โดยดี
“คนมันจะป่วยแม่งห้ามกันได้เหรอ กูว่าพี่มึงมันก็น่าสงสารนะดูแล้วเค้าก็รักมึงรักพ่อแม่มึงดีอยู่นี่”
“มันคลั่งไงโหยหาความรักห่าเหวอะไรไม่รู้ นี่พ่อกูหลอกเอาบ้านได้แล้วหลังหนึ่งกูขอให้มันทำห้องซ้อมดนตรีให้แม่งก็ทำโง่จริงๆ”
“มึงไม่คิดจะรักจะเคารพพี่มึงมั่งเหรอวะ เอาตรงๆนะเท่าที่กูดูมึงไม่ต้องหลอกขอเงินไม่ต้องหลอกขอนู่นนี่นั่น เอ่ยปากขอเค้าดีๆพี่มึงก็ให้นะ”
“มึงมันจะไปรู้อะไร ขอดีๆมันก็ไม่สนุกสิได้ทีนึงก็น้อยหลอกขอตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยได้เป็นกอบเป็นกำจะตาย อีกอย่างนึงนะถ้าแม่งไม่หลอกให้ซื้อบ้านซื้อนู่นนี่นั่นให้นะเดี๋ยวไอ้ผู้จัดการของมันขอไปโดยอ้างสิทธิว่าเป็นเมียมันหมดตัวขึ้นมาทำไงล่ะ นอนเกาพุงรออยู่ดีๆหมาคาบไปซะแล้ว พี่กูยิ่งโง่ๆอยู่”
“น่าสงสารเนอะพี่มึงเนี่ยเสียทั้งเงิน เสียทั้งเพื่อน เสียทั้งเมีย นี่ถ้ารู้ว่าถูกพ่อแม่หลอกคงเสียความรู้สึกแล้วก็เสียใจ”
“มึงอย่าคิดมากดิ่ บ้านที่มันซื้อให้แม่อ่ะยังไงถ้ามันหมดตูดไม่มีใครไม่เหลืออะไรกูจะกันห้องเก็บของให้มันนอนก็แล้วกันนะ อย่างน้อยก็ยงมีที่ซุกหัวนอน”
“จากใจนะเว๊ยไอ้หมอก มึงนี่โตครเหี้ยเลย”
“ขอบใจที่ชม” หมอกนั่งฮัมเพลงเกากีต้าร์ที่พี่ชาย “สุดที่รัก” ซื้อให้อย่างสบายอารมณ์
หลอกกินเงินพี่ไปวันๆงั้นเหรอ แล้วไงอ่ะ นี่หมอกทำเพื่ออนาคตของเมฆเลยนะ เรื่องอะไรจะให้เมฆเอาเงินไปให้คนอื่นใช้ล่ะ สู้เอามาหมดกับคนในบ้านให้น้องให้นุ่งให้พ่อ((ของเขา))กับแม่ใช้ยังจะดีกว่า ใครใช้ให้อยากได้ความรักมากมายนักล่ะ เมฆแม่งโง่ โง่ที่คิดว่าทุกคนจะรักมันจริง โง่ที่เอาเงินซื้อความรักใช้เงินซื้อความสุขจอมปลอม
เมฆโง่ที่หลงระเริงไปกับวงการมายา หลงระเริงไปกับเพศรส เมฆโง่ที่ทิ้งขว้างคนที่รักเมฆแบบไม่หวังสิ่งใดตอบแทนไป จริงๆหมอกก็ไม่ได้รักได้ชอบหมอจิณณ์เท่าไหร่หรอกก็แค่ขอคบเล่นๆ แต่มาคิดๆดูถ้าเขาจีบหมอติดเมฆคงจะทรมานน่าดู
คนอย่างมันไม่กล้าแย่งของๆเขาอยู่แล้วล่ะแล้วช่วงนี้คือหมอน่ารักขึ้นยิ่งดูยิ่งเพลิน บางทีนะ บางทีตอนนี้หมอกอาจจะชอบหมอขึ้นมาจริงๆแล้วก็ได้ แค่คิดก็สนุกแล้ว หมอกแค่อยากรู้ว่าดาราดังที่มีคนรักมากมายน่ะพอถึงที่สุดแล้วจะมีใครรักและคอยยืนเคียงข้างซักกี่คนกัน
“ขอโทษนะคะทางต้นสังกัดไม่อนุญาตให้แฟนคลับเข้าเยี่ยมหรือฝากของให้กับคุณเมฆค่ะ” นางพยาบาลวัยกลางคนเอ่ยบอกอาโปที่หอบสมุดตัดแปะรูปภาพรวมผลงานรวมทั้งถุงขนมของกินหอบใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ
หล่อนเข้าใจโลกของแฟนคลับดีเด็กพวกนี้ไม่ได้มีเจตนาจะมารบกวนการพักผ่อนของเมฆที่มาก็ด้วยความรักล้วนๆ บางคนเข้าใจที่อธิบายก็ลาจากไปพร้อมคำขอโทษและขอบคุณ ส่วนบางคนชักสีหน้าไม่พอใจพลางทำท่าฟึดฟัดรวมทั้งแอบด่าและด่าต่อหน้าพยาบาลก็มี
แต่อาโปเลือกที่จะยกมือไหว้แล้วเอ่ยขอบคุณรวมทั้งกล่าวคำขอโทษที่มารบกวนการทำงานของพยาบาลเด็กน้อยมองกองของฝากที่แฟนคลับบางคนวางทิ้งไว้เพราะหวังว่าทางเจ้าหน้าที่อาจจะเก็บไปให้เมฆแล้วมองของในมือตัวเอง เรื่องอะไรจะเอาของไปวางโดยไม่รู้ชะตากรรมแบบนั้นล่ะ อาโปไม่ยอมหรอกนะ
เด็กน้อยถอนหายใจหงอยๆ มองดูนาฬิกาก็เพิ่งจะ 10 โมงเช้า กว่าจะถึงเวลานัดกับเพื่อนไปดูหนังก็อีกเกือบสามชั่วโมง หรือจะย้อนกลับเอาไปเก็บที่บ้านดี แต่มันก็วนไปย้อนมาเปลืองเงินค่ารถอีก
“หรือจะโทรให้พี่เจสซี่มาเอากลับไปดี” อาโปคิดไม่ตกกับหอบของฝากของตัวเอง
อันที่จริงก็พอรู้มาบ้างล่ะว่าต้นสังกัดของเมฆไม่รับของฝากจากแฟนคลับด้วยเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของศิลปินแต่อาโปก็ยังจะเสี่ยงลองเอามาดู แล้วก็อดมอบให้พี่เมฆจริงๆด้วย อาโปตัดสินใจไปหาที่นั่งพัก อากาศหนาวของเดือนธันวาคมทำให้เด็กน้อยไปซื้อชอคโกแลตร้อนๆแก้วหนึ่งแล้วเดินออกไปข้างนอก
สวนสาธารณะที่มีลมเย็นพัดเอื่อยๆให้ความรู้สึกกึ่งเทพนิยาย ตรงศาลาริมน้ำมีร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนอยู่เสื้อผ้าหนาสีเข้มที่อยู่บนร่างกายไม่ได้ช่วยกลบออร่าในตัวชายหนุ่มแต่อย่างใด อาโปประคองแก้วชอคโกแลตจรดริมฝีปากด้วยมืออันสั่นเทา สั่นจนน่ากลัว
“พี่เมฆ...งือ....” แดรกแก้วด้วยความขวยเขินไปด้วยจะได้มั้ย
อาโปกัดปากแก้วกระดาษเพื่อระงับเสียงกรีดร้องที่ร่ำร้องจะตะโกนออกไปให้เมฆโอปป้าซารางเงย์ของอาโปให้ได้ยิน แบบว่ายังไงล่ะ ความดีใจมันแน่นอกถ้าไม่รีบยกออกอกพองๆของอาโปคงจะระเบิด ไม่ได้ๆ ถ้าอาโปกรี๊ดพี่เมฆตกใจกระโจนลงน้ำว่ายข้ามไปอีกฝั่งอาโปอดเจอมายไอดอลระยะประชิด อาโปจะอดเอาไปคุยให้พี่เจสซี่ฟังว่าเจอพี่เมฆเชียวนะ
ควักกระจกลายคิตตี้สีชมพูออกมาเชคเสื้อผ้าหน้าผมอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ อืม...ยังเป๊ะ ปรับสีหน้าอีกนิดพี่เมฆจะได้ไม่คิดว่าเราปริ่มจนออกนอกหน้า โอเคสวยเด้ง ยกจั๊กแร้ขึ้นมาดมเชคสภาพกลิ่น เริ่ด....ต่อให้พี่หมอกเอาหน้ามาซุกก็จะบอกว่าหอมเหมือนอาบด้วยน้ำโรยดอกมะลิทั้งดง
ซดช็อกโกแลตเรียกกำลังใจอีกฮวบเหมือนลำยองซดยาดอง ยกซดรอบเดียวหมดแก้วโยนแก้วกระดาษที่ปากแก้วยุ่ยจากการกัดแก้เขินลงถังขยะปัดผมหน้าม้าลงมาปรกหน้าอีกนิดเพื่อความโมเอ้แล้วตัดสินใจเดินไปหาพี่เมฆ เหมือนภาพในฟิคที่เขียนเลยอ่ะ
ร่างอวบค่อยๆก้าวเท้าช้าๆเข้าไปหาเจ้าชายที่ยืนเอามือไขว้หลังอย่างสง่า ดวงเนตรดำขลับจดจ้องรูปสลักเบื้องหน้าด้วยแววระยิบระยับหวาน
“ข่ะ...ขอ”
“แค่กๆๆๆๆๆ”
ฟิลหายเลยฮะในตอนนี้ กำลังจะเอ่ยขอความรัก...ไม่ใช่ กำลังจะเอ่ยขอโทษพี่เมฆก็หลุดมาดด้วยการงอตัวกำมือป้องปากไอผ่านผ้าปิดจมูกหน้าดำหน้าแดงเลยฮะ อาโปก็เลยยืนเก้ๆกังๆจนพี่เมฆหยุดไอแล้วเงหน้าขึ้นมามองอาโปที่ยืนกอดแฟ้มอัลบั้มมองพี่เมฆด้วยสายตาห่วงใย ถ้าไอแทนได้ก็จะไอให้นะฮะ แต่ตอนนี้น้องอาโปกำลังจะเป็นลมฮะ ก็พี่เมฆเล่นจ้องน้องอาโปซะจนรู้สึกเหมือนกำลังจะตั้งท้องลูกคนแรกกับพี่เมฆแล้วอ่ะ
แล้วอาการเลิกคิ้วเอียงคอนิดๆนั่นคือร่ะ?? พี่เมฆอ่อยอาโปเหรอฮะ ถึงอาโปจะปลื้มพี่เมฆก็อย่าคิดว่าอาโปจะง่ายนะฮะเพราะพี่เมฆ คิดถูกแล้ว
“คือ...ใช่พี่เมฆหรือเปล่าฮะ?” ตัดสินใจถามออกไปทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ต่อให้พี่เมฆเอาถุงปุ๋ยตราเรือใบไวกิ้งครอบหัวอาโปก็จำได้อ่ะ อาโปชอบพี่เมฆมาตั้งแต่ ม.3 ทำไมจะจำไม่ได้
“ครับ”
รอแป๊บได้มั้ยครับ พี่เมฆรอน้องอาโปแป๊บได้มั้ย ขอวิ่งเข้าดงไม้ข้างๆไปหลบกรี๊ดก่อนได้มั๊ย พี่เมฆตอบรับอาโปด้วยอ่ะ อยากจะกระทืบพื้นกรีดร้องแต่พี่เจสซี่สอนมาว่ากุลสตรีที่ดีต้องไม่แสดงกริยาแร่ดเกินความจำเป็นต่อหน้าผู้ชาย
โง๊ยยยยยยยยยยย......เขินขั้นข่วนพื้นเลยพ่อเอ๊ยแม่เอ๊ย ถ้าอาโปท้องได้พ่อแม่ก็ไม่ต้องสืบให้เหนื่อยนะฮะว่าท้องกับใคร
ใสใสไว้
แอ๊บแบ๊วไว้
“......”
“......”
คือไร???
อาการนี้คือไร??
การที่พี่เมฆเอียงคอน้อยๆยืนมองอาโปดวงตาเป็นประกายคือไร?? จะพรากพรหมจรรย์ทางสายตาเหรอฮะ แล้วการที่อาโปยืนนิ่งเหมือนถูกสะกดคือระ?? น้ำตาไหลเข้าปากจนเค็มคือระ?? นี่อาโปปลื้มใจขนาดร้องไห้เลยเหรอ
“ว๊า...พี่ทำอะไรให้เด็กน้อยไม่พอใจหรือเปล่าครับดูซิ๊ร้องไห้เลย”
โง๊ยยยยยยยยยยยย... ณ จุดนี้อยากหยิบสมุดขึ้นมาจดพลอตฟิค
“นี่ฮะอาโปทำมาให้พี่ อาโปนั่งตัดรูปสะสมข่าวเองเลยตั้งแต่พี่เข้าวงการแรกๆเลยนะฮะ มีภาพที่พี่แสดงแทนพี่โอมด้วยนะฮะ” อาโปค่อยๆเปิดหนังสือภาพให้พี่เมฆดูแล้วชี้ไปยังรูปที่พี่เมฆแต่งตัวเหมือนโอมดาราหนุ่มที่ดังสุดๆ((แต่อาโปว่าพี่เมฆดังกว่า))
“อืม...ตอนนั้นพี่ปั่นจักรยานกลับจากตลาดล่ะ”
คือระ?? มันใช่เรื่องมั๊ยที่พี่เมฆจะเอียงตัวเอียงหน้ามาใกล้อาโปเพื่อดูรูปตัวเองเนี่ย จะขยี้พรหมจรรย์ทางกายสัมผัสอีกรอบช๊ะปร๊า นิ่งไว้น้องอาโปนิ่งไว้...แม้หัวใจจะเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ตัดสินใจยื่นอัลบั้มภาพให้พี่เมฆ
“อาโปทำมาให้พี่ฮะ จริงๆมีแฟนคลับอีกหลายคนเลยที่อยากมอบของขวัญให้พี่ ตอนที่รู้ข่าวว่าพี่ตกบันไดอยากจะมาเยี่ยมแทบแย่แต่แม่ไม่ให้มาเพราะติดสอบแต่ตอนนี้ว่างแล้วฮะ แล้วก็นี่ขนม” อาโปหยิบถุงเกือบสิบใบใส่มือพี่เมฆอย่างดีใจ อย่างน้อยที่ทำมาก็ไม่สูญเปล่าอาโปได้เจอพี่เมฆได้นั่งใกล้ได้ใช้โอโซน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซค์ร่วมกันแล้ว อาโปพอใจแล้ว
“กินได้หรือเปล่ามียาพิษมั้ย” พี่เมฆยกถุงขึ้นมาดูพลางทำหน้าล้อเลียนเหมือนว่ากลัวขนมในถุงจะเคลือบยาพิษไว้ คือถ้าเป็นคนอื่นอาโปจะคิดว่ากวนตีนแต่พอเป็นพี่เมฆปุ๊บอาโปจะถือว่านี่คือสิ่งดีงาม
“โธ่....อาโปรักพี่เมฆจะตายอาโปจะวางยาพี่เมฆทำไมล่ะฮะ กินได้อร่อยด้วยไม่เชื่ออาโปกินให้ดู” อาโปฉวยถุงๆหนึ่งจากมือพี่เมฆพลางหยิบกล่องชอคโกแลตออกมาแกะส่งเข้าปากเคี้ยวให้พี่เมฆดู
“พี่ล้อเล่น ขอบคุณมากนะครับสำหรับของฝาก ไม่คิดนะว่าจะมีแฟนคลับตัวกลมๆมาเยี่ยมกันไม่คิดว่าจะติดตามกันมาตั้งแต่เพิ่งเข้าวงการ”
“โหย...ข้างหน้าโรงพยาบาลยังมีอีกเพียบเลยฮะแต่ต้นสังกัดของพี่เขาไม่ให้ฝากของนี่ตอนแรกอาโปกะจะให้พี่เลี้ยงมาเอากลับแล้วไปดูหนังต่อกับเพื่อนแต่โชคดีเจอพี่ซะก่อน พี่รู้มั้ยเพื่อนๆอาโปที่เป็นติ่งพี่เหมือนกันน่ะร้องไห้จะเป็นจะตายที่เห็นข่าวว่าพี่น็อคกลางกองถ่าย คนรักพี่เยอะแยะเลยนะฮะพี่ต้องรีบหายไวๆนะอาโปจะรอผลงานเรื่องต่อๆไปของพี่”
อาโปไม่รู้หรอกนะว่าทำไมพี่เมฆมีปฎิกริยาเหมือนไม่ค่อยชื่อตอนที่บอกว่ามีคนรักพี่เมฆเยอะแยะ อาโปแค่อยากพูดความในใจที่ติ่งคนหนึ่งจะพูดกับดาราที่ตัวเองชื่นชอบได้ เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงก็มีคนมาตามพี่เมฆแน่นอนว่าอาโปถูกดุจากผู้ชายหน้าหวานๆมีลักยิ้มบุ๋มๆคนนั้น คนที่แขนพันเผือกไว้
“ไม่เป็นไรหรอกพี่เดย์ผมเป็นคนชวนน้องเค้าคุยเองแหละ...น้อง...อาโปใช่มั๊ย เดี๋ยวพี่คงต้องขึ้นห้องแล้วหนีคุณพยาบาลมานั่งเล่น ขอบคุณสำหรับของฝากและ...ความรักนะครับพี่ดีใจมากๆ กลับบ้านดีๆดูแลสุขภาพด้วยนะเดี๋ยวจะป่วยเหมือนพี่” อาโปได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็งเมื่อพี่เมฆโน้มตัวมาข้างหน้าพลางวางฝ่ามือลงบนหัวของอาโปแล้วโยกไปมาเหมือนพี่ชายใจดีเล่นกับน้อง แบบว่าปลื้ม...แบบว่าจะร้องไห้อ่ะ
พี่เมฆไปแล้วเดินตามหลังพี่หน้าหวานตาดุคนนั้นไปแล้ว แต่พี่เมฆทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้กับอาโป สิ่งที่ชาตินี้อาโปจะไม่มีวนลืมเลย สิ่งๆนั้นเรียกว่า.. ความประทับใจ...
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นราวๆ 5 ทุ่ม วันนี้ผมกลับมานอนที่บ้านหลังจากที่หมออนุญาตให้กลับมาฟักฟื้นได้ แม่แนะว่าผมควรกลับมาอยู่ที่บ้านแทนที่จะไปอยู่คอนโดคนเดียวไม่มีใครดูแลเพราะพี่เดย์ถูกย้ายไปทำแผนกอื่นในบริษัทชั่วคราวระหว่างที่รักษาแขนที่หัก ผมมองเหยือกน้ำหัวเตียงมันเหลือน้ำก้นเหยือกเพียงน้อยนิดผมหย่อนปลายเท้าลงบนพื้นพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่ถูกไข้ขโมยไปเป็นอาทิตย์ลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเหยือกน้ำเพื่อลงไปเติมข้างล่าง แสงไฟเพียงสลัวจากในครัวกับเสียงพูดคุยทำให้รู้ว่าคนในบ้านยังไม่นอน
“เมื่อไหร่มันจะโอนบ้านให้เธอซักทีฉันเบื่อที่จะต้องรอคอยแล้วนะ” เสียงพ่อที่ดังออกมาน้ำเสียงตึงห้วนทำให้ผมชะงักเท้าที่จะก้าวเข้าไปร่วมวงสนทนานั้น
“โธ่คุณคะ ลูกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเองนะคะ” เสียงแม่เอ่ยแย้งแต่แฝงความเกรงใจอยู่ในที่
“เดี๋ยวติดงานเดี๋ยวป่วยเดี๋ยวเป็นนั่นเป็นนี่อยู่นั่นแหละ เห็นมันมาเสนอหน้าในบ้านฉันก็ขัดหูขัดตาจะแย่อยู่แล้ว ตะล่อมให้มันรีบโอนเป็นชื่อเธอซักทีฉันจะได้ให้เธอโอนต่อให้หมอกมัน จบเรื่องจบราวจะได้บอกมันว่าอย่าเสนอหน้ามาเผยอในบ้านอีก”
“แต่คุณค่ะนี่มันบ้านที่เมฆเป็นคนซื้อนะคะ มันเป็นน้ำพักน้ำแรงของลูกฉันว่า...”
“เธอมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้ารักมันจริงเธอคงไม่ร่วมมือกับฉันเล่นละครตบตามันด้วยหรอก ตัวมันเป็นดาราหาเงินง่ายเงินไม่กี่ล้านน่ะมันหาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้ แต่หมอกน่ะมันยังเด็กอีกนานกว่าจะมีงานมีเงินของตัวเอง มันเป็นพี่จะซื้อบ้านซื้อรถให้น้องซักหลังซักคันทำไมจะทำไม่ได้”
ชัดเจน....พ่อกับแม่...ร่วมมือกัน...หลอกผมเหรอครับ ความรักที่มอบให้กับผมในเวลาเดือนกว่าๆนี่คือหลอกผมกันใช่มั้ยครับ หัวใจของผมมันเต้นตุบราวกับจะฟ้องว่าทุกวันนี้ผมเป็นควายให้เขาสนตะพายเท่านั้นเอง
เพล๊ง!!!
ผมเขวี้ยงเหยือกน้ำลงใกล้ๆกับไอ้พ่อเลี้ยงชั่วก่อนจะหันหลังวิ่งขึ้นห้องหยิบกุญแจรถแล้ววิ่งสวนแม่ที่วิ่งตามมาหน้าตาตื่น
“เมฆ ฟังแม่ก่อนเมฆเดี๋ยว...” ผมปัดมือแม่ทิ้งอย่างไม่ใยดีเดินสวนเขาที่ยืนอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้ายก่อนจะหยุดหันมาพูดกับเขา
“ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมตาสว่างซักที ขอบคุณที่แกล้งแสดงว่ารักควายตัวนี้เหมือนลูก บ้านหลังนี้เป็นของผม ถ้าไม่เกรงใจก็อยู่ไปเรื่อยๆนะครับ ส่วนโฉนดผมจะไม่โอนให้ใครทั้งนั้น ใครอยู่ก็ถือเป็นผู้อาศัยทั้งหมดถ้าทำให้ผมไม่พอใจผมจะเฉดหัวออกจากบ้านให้หมดทุกคนเลยจำไว้”
“ไอ้เมฆมึง” ผมไม่สนใจเสียงโครมครามในบ้านกดรีโมทเปิดรั้วก่อนจะขึ้นรถสตาร์ทแล้วขับออกจากบ้านทันที
ผม...ร้องไห้
นี่เหรอความรักที่ผมโหยหา ผมคิดว่าครอบครัวจะเป็นที่ๆเดียวที่มีความรักให้ผมอย่างจริงใจ แต่แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ คนที่ผมเคารพให้ความรักนับถือว่าเป็นพ่อวางแผนปอกลอกเงินของผมไปให้ลูกของตัวเอง นั่นยังไม่เจ็บเท่าแม่แท้ๆของผมสมรู้ร่วมคิดรวมหัวกันหลอกผม
ผมเป็นลูกของแม่นะครับเป็นลูกชายแท้ๆของแม่ แม่ทำกับผมลงคอได้ยังไง ไหนล่ะความรักความหวังดีที่แม่บอกผม แม่รู้มั้ยสิ่งที่แม่ทำกับผมในครั้งนี้เหมือนแม่ใช้เหล็กแหลมทิ่มลงมาที่หัวใจของผมค่อยๆแทงลงมาแล้วงัดเส้นเลือดจนขาดสะบั้น แม่ทำลายความเชื่อใจและความศรัทธาของผมไปจนหมดสิ้นแล้ว... ทำไมความสุขอยู่กับผมเพียงเดี๋ยวเดียวแล้วก็บินจากไปราวกับมายา
ผมไม่รู้จะไปที่ไหน สมองมันสั่งให้บังคับรถแล้วพาตัวเองมาหยุดที่นี่อีกแล้ว บานประตูห้องของหมอปิดสนิท มันเที่ยงคืนกว่าแล้วผมขับรถออกมาโดยลืมใส่เสื้อตัวนอก แม้แต่รองเท้าผมก็ลืมใส่ ผมยกมือขึ้นเคาะห้องหมอ...แล้วยืนรอ น้ำตาของผมก็ยังคงไหล เสียงเคลื่อนไหวในห้องบ่งบอกว่าหมอเดินมาที่ประตูแล้ว และหมอก็คงจะส่องตาแมวดูแล้วว่าใครมาเคาะห้องตอนดึกๆ
แกร่ก...
ประตูถูกเปิดออกและทันทีที่ผมเห็นร่างบอบบางในชุดบอลแมนยูตัวเก่งของหมอ ผมก็กลับไปเป็นเด็กชายเมฆอีกครั้ง
“หมอครับหมอ...ฮือ.....” ผมคุกเข่าลงกอดเอวหมอซุกหน้ากับหน้าท้องของหมอแล้วร้องไห้อย่างไม่อายใคร หมอยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรแต่หมอใช้ฝ่ามือของหมอลูบผมของผมเบาๆถ่ายทอดความอบอุ่นมาให้กับผม
ขอกอดแบบนี้ซักพักนะครับ ผมเหนื่อยเหลือเกิน.. ผมวิ่งตามความรักมากเกินไปจนหมดพลังแล้วในตอนนี้... อย่าเพิ่งผลักไสผมเหมือนที่คนในครอบครัวของผมทำกับผมเลยนะครับ ผมไม่เหลือใครแล้วจริงๆ
ผมไล้มือตามกรอบหน้าคมสันของเขา.. จ้องมองใบหน้ายามหลับของเขาผ่านความมืด.. เมฆหลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยาและไข้ที่กลับมาเล่นงานอีกครั้ง ตัวของเขาอุ่นจัดตอนที่โผลงกอดเอวผมพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นราวเด็กน้อยที่กำลังเสียขวัญ
ผมยืนนิ่งให้เขาซุกกายร้องไห้กับผม ปกติเมฆไม่ใช่คนจะมาร้องไห้ฟูมฟายอะไรแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมาเขาพร่ำพูดแต่ว่าเขาไม่เหลือใครแล้ว เกือบสิบนาทีที่ผมืนนิ่งราวกับถูกตะปูตรึงผมจึงกล้าที่จะดึงตัวของเขาขึ้นยืน
เขาเล่าเหตุการณ์ที่ได้เจอมาด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ดวงตาฉ่ำน้ำของเขาโรยแสงเหลือเกินในตอนนี้ บางครั้งกลับเข้มขึ้นด้วยแรงอารมณ์ยามนึกถึงพ่อเลี้ยงแสนเลวของเขา
เขาผิดหวัง เขาเสียใจ และเขาหมดศรัทธาในสถาบันครอบครัว เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถแสดงความเห็นอะไรได้เพราะยังไงตอนนี้ผมเองก็เป็นแค่เพียงคนนอก สิ่งที่ทำได้คือลูบหลังเขา บีบมือเค้าเบาๆ
ผมยังอยู่ตรงนี้นะ ยังรอคุณอยู่ที่ตรงนี้นะ ผมเป็นเหมือนหมาที่ถูกเจ้าของทิ้งขว้าง ทำได้เพียงรอเขากลับมามอบความรัก ให้อาหารบ้างบางเวลาเท่านั้น หมาที่โง่..โง่เพราะคิดว่าเจ้าของยังรักยังเอ็นดูกับมัน
แค่เห็นน้ำตาของเขาผมก็แทบจะร้องไห้ตามอยู่แล้ว ยิ่งสายตาเหมือนเขาสำนึกผิดได้นั่นยิ่งทำให้ใจที่คิดว่ามันแข็งแรงขึ้นมาได้บ้าง ความมั่นใจนั้นถูกทำลายลงในทันทีที่ริมฝีปากของเขาเอื้อนเอ่ยคำว่า
“ที่ผ่านมาผมขอโทษนะครับหมอ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ขอโทษจากใจจริงๆ”
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เข้าห้องเถอะ?” แล้วก็กลายเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายจูงมือของเขาเข้ามาในห้อง แล้วก็เป็นผมเองที่ผสมน้ำอุ่นมาล้างเท้าให้กับเขาเพราะตัวของเขาเย็นเฉียบ แล้วก็เป็นผมเองที่ดึงเขาเข้ามานอนกอด แล้วก็เป็นผมเองที่ใจอ่อน... เป็นผมเองที่รับเขากลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ผมประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากอุ่นจัดของเขา
ผมรัก รักเขามากมายเหลือเกิน ไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่คิดถึงเขา 1 วัน มี 86,400 วินาที ผมใช้เวลาในการคิดถึงเค้าไปซะ 86,399 วินาที เหลือไว้คิดถึงเรื่องของตัวเองเพียงแค่ 1 วินาที ผมนี่เป็นเอามากเนอะ เป็นเอามากที่รับเค้าเข้ามามีอิทธิพลในหัวใจมากเกินไป มากจนละเลยตัวเอง มากจนผมลืมไปว่าตัวผมเองก็มีค่า
ผมไม่ได้ลืมหรอกนะความเจ็บช้ำที่ได้รับมาตลอดเวลาหลายเดือน ก็อย่างที่เคยบอกไปกับหมอกว่าแผลของผมมันยังสดเหลือเกิน แต่วันนี้ผมขอ ขอแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเช้าที่ผมจะสามารถกอดเขาไว้ได้ให้มากที่สด นานที่สุดเท่าที่ใจจะต้องการ ก่อนที่ผลสุดท้ายความสัมพันธ์ของเราก็จะเป็นแค่คนเคยรักกัน ผม...ใจอ่อนในวันนี้เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้หัวใจได้เข้มแข็งในวันข้างหน้า
ตอนนี้เค้าแค่เคว้งคว้าง พอเขาตั้งหลักได้ มีคนรักเขามากมายเหลือเกิน ผมไม่อยากต้องไปรบรากับใครอีกแล้ว ผมเลื่อนตัวลงนอนข้างๆเขาหนุนหัวกับมือตัวเองจ้องมองเสี้ยวหน้าของเขาผ่านความมืดไม่แม้แต่จะอยากกระพริบตา
ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมกำลังนอนมองอยู่นี้จะเป็นเพียงภาพมายาเพียงแค่กระพริบตาร่างของเขาก็จะสลายกลายเป็นละอองสีรุ้งแล้วปลิวไปตามสายลม ไม่แม้แต่จะกล้าหายใจแรงกลัวเขาจะรำคาญ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเปลี่ยนท่ากลัวเขาจะรู้สึกตัวแล้วจากผมไปก่อนเวลาอันสมควร กลัวไปซะทุกอย่าง
จริงๆแล้วผม....ไม่ได้เข้มแข็งอะไรอย่างที่ปากเก่งออกไปเลยซักนิดผมยังคงรักเขาหมดหัวใจ
...............................................
ไม่รู้จะสงสารใครก่อนดี...