Ugly boys ลูกเป็ดขี้เหร่ [[จิณณ์-เมฆ]] ตอนที่ 20 08/12/61 ((ตอนจบ))
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Ugly boys ลูกเป็ดขี้เหร่ [[จิณณ์-เมฆ]] ตอนที่ 20 08/12/61 ((ตอนจบ))  (อ่าน 35097 ครั้ง)

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

...


ลูกเป็ดขี้เหร่  Intro







ไอ้ขี้เหร่...ผมเกลียดคำๆนี้ชะมัด ทำไม...คนรอบข้างถึงชอบยัดเยียดคำที่แสนทุเรศนี้ให้กับผม



“เมฆมึงนี่มันไม่มีอะไรดีเลยนะ ตัวสูงเก้งก้างเสียงก็ใหญ่ตัวดำฟันเหยินเหงือกเยอะ ไม่มีความพอดีซักอย่างถามจริงๆเหอะเวลาออกไปเดินเสนอหน้านอกบ้านเนี่ยไม่อายหนังหน้าบ้างเหรอมึงนี่มันมั่นหน้าเกินไปป่ะ” นั่นคือคำพูดของน้องชายของผม...มันหล่อครับ  หล่อราวเทพบุตร  ผิวมันขาวจมูกมันโด่งเป็นสันเพราะพ่อมันเป็นลูกครึ่งมันเลยได้ส่วนผสมของความหน้าตาดีมารวมไว้บนใบหน้า



ส่วนผมเพราะไม่เคยดูแลใส่ใจตัวเองเลย  ผลก็ออกมาเหมือนที่มันพูดว่าผมนั่นแหล่ะ  ทั้งๆที่ผมอายุ 22 แล้วแท้ๆแต่ไม่เคยมีแฟนเลย ส่วนน้องชายของผมมันเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่นจนบางครั้งผมแอบแช่งชักให้มันติดเอดส์ตายไปซะ  ยังไม่รวมคำพูดจากใครหลายๆคนที่ทำให้ผมอยากจะเอาปี๊บคลุมหัวเดิน  ถ้าเปรียบน้องชายของผมดั่งหงส์ขาว..ผมมันก็คงเป็นได้แค่เพียง



..ลูกเป็ดขี้เหร่..



ได้แค่นี้จริงๆ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2018 13:01:10 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ลูกเป็ดขี้เหร่..1





 ท้องฟ้าตอนเกือบทุ่มเริ่มถูกความมืดโรยตัวปกคลุมผมเดินถือถุงขยะสีดำที่แม่สั่งให้เอาออกมาทิ้งวางลงในถังขยะไม่ไกลจากบ้าน ทุกเย็นถ้าผมกลับจากซ้อมบาสเสร็จผมต้องรีบกลับมาช่วยแม่ทำอาหารเย็น  เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้อยากทำมันเหมือนเป็นงานของผู้หญิงแต่แม่เคยให้เหตุผลกับผมว่า

“แม่มีแต่ลูกชายถ้าลูกๆไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย ทำไมงานบ้านผู้ชายต้องผลักภาระให้ผู้หญิงทำฝ่ายเดียวในเมื่อบ้านก็อยู่ด้วยกันกินด้วยกันใช้ด้วยกันทุกคน” ผมช่วยไม่ใช่เพราะเหตุผลเพียงแค่นั้นผมแค่อยากใช้เวลาอยู่กับแม่ให้นานๆ อาจจะดูเป็นลูกแหง่แต่ตั้งแต่ผมจำความได้แม่จะไม่ค่อยกอดหรือแสดงความรักอะไรกับผม



ผมเองก็ไม่ถนัดที่จะแสดงความรักกับแม่เหมือนกันไม่เหมือนน้องชายของผมเจ้านั่นน่ะมันอ้อนเก่ง แค่มันทำยิ้มกว้างเข้าหาแม่มันชี้ดาวแม่ก็แทบจะเหมายานอาวกาศไปสอยดาวมาให้มัน



ยิ่งพ่อ...ผมหมายถึงพ่อเลี้ยงของผมแต่เป็นพ่อแท้ๆของน้องชายน่ะไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ต่อให้ลูกชายเขาไปฆ่าคนตายมันก็จะยังเป็นเทวดาน้อยๆของพ่อเสมอ



“ไงมึงเอาขยะมาทิ้งเหรอ...” ผมชะงักมือจากการมัดปากถุงให้เรียบร้อยตามกฏหมายที่กำหนดให้ทุกครัวเรือนต้องแยกขยะแต่ละประเภทและเก็บทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนทิ้ง  มันเดินเอามือล้วงกระเป๋าเข้ามาหาผมก่อนจะเบะปากเดินสวนผมไปด้วยท่าทางกวนส้นทรีนซะเหลือเกิน



“กูว่าความจริงมึงน่ะน่าจะมัดตัวเองรวมกับขยะเปียกพวกนี้ทิ้งพร้อมกันไปเลยนะอยู่ไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรพ่อก็ไม่มีแม่ก็รักกูมากกว่า” เสียงมันพูดข้างหูผมก่อนจะส่งเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมเจ็บจี๊ดในใจ



“ไอ้หมอก!!” ผมเหวี่ยงถุงขยะลงถังแล้วปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อมันอย่างโมโห มันไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวผมแถมยังขยำคอเสื้อของผมกลับซะแน่น



“ทำไมมึงจะทำอะไรกูฮ๊ะไอ้ลูกเป็ดขี้เหร่  มึงดูดิ๊คนทั้งบ้านเค้าหน้าตาดีๆกันทั้งนั้นมีมึงอยู่คนเดียวแหล่ะที่สารรูปดูไม่ได้  มึงรู้มั๊ยเวลาไปไหนกันทั้งบ้านกูไม่อยากให้มึงไปด้วยเลยกูอายที่จะต้องบอกใครๆว่ามึงเป็นพี่กูไอ้ลูกไม่มีพ่อ  คนอื่นเขาเป็นหงส์แต่มึงอ่ะเป็นได้แค่ลูกเป็ด  ทำไมโกรธเหรอ  โกรธแล้วจะทำอะไรกูได้  จะต่อยกูเหรอ  มึงกล้าเหรอ  ระหว่างมึงกับกูถ้าเกิดมีเรื่องกันมึงก็คงจะรู้นะว่าพ่อกับแม่จะเข้าข้างใคร  ไอ้เมฆมึงอย่าหาเรื่องเจ็บตัวเลยกูเตือนมึงด้วยความเคารพ”



มันค่อยๆแกะมือผมพร้อมรอยยิ้มที่โคตรจะเย้ยหยันแล้วก็เป็นมันที่เป็นฝ่ายผลักผมอย่างแรงจนเกือบล้มดีที่ผมตั้งตัวทันผมจึงทำได้แค่เซไปชนถังขยะจนถุงขยะที่ผมยังผูกไม่แน่นดีร่วงลงมา น้ำเหม็นๆจากเศษขยะสดหกราดตั้งแต่ช่วงเอวของผมจนถึงเท้าพร้อมๆกับเสียงหัวเราะสะใจก็ดังขึ้น



“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ  มึงแม่งโคตรปัญญาอ่อนเลยหว่ะ ดูสิขนาดขยะมันยังรู้เลยว่าใครพวกเดียวกับมัน” ผมได้แต่สะบัดน้ำเหม็นๆที่เปื้อนมือด้วยอารมณ์ที่เสียสุดๆ ในเมื่อทำอะไรมันไม่ได้ที่สุดผมก็ง้างเท้าเตะเจ้าถังขยะไม่รักดีดังโครมใหญ่ก่อนจะเดินตามไอ้ตัวแสบเข้าบ้าน



“อี๋....กลิ่นอะไรน่ะเมฆ” ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าบ้านแม่ก็ทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะทำหน้าเบ้ พ่อเลี้ยงของผมขมวดคิ้วฉับทันทีอย่างไม่พอใจ



“ถุงขยะมันหล่นน้ำขยะเลยหกใส่นาะแม่” ผมตอบห้วนๆอย่างไม่ใส่ใจนัก



“ไปเลยรีบไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเดี๋ยวนี้เลยแล้วดูซิเดินย่ำเข้ามาในบ้านแบบนี้ได้ยังไงกันลูกคนนี้นี่ โอ๊ยเหม็นตลบเลย” แม่โบกมือไล่ผมก่อนจะเปิดประตูบ้านทิ้งไว้แล้วไปเอาผ้าชุบน้ำยาถูพื้นปนกับน้ำยาฆ่าเชื้อมาไล่ตามหลังผมมา ผมปิดประตูห้องก่อนจะรูดตัวลงนั่งกอดเข่ากับพื้น บางทีผมก็ไม่ได้อยากให้น้ำตามันไหลออกมาหรอกนะแต่ไอ้ความรู้สึกที่มีชื่อว่า “น้อยใจ” มันขับน้ำตาออกมาเอง



ผมน้อยใจ..ทำไมพ่อกับแม่ผมต้องเลิกกัน ผมน้อยใจที่แม่รักน้องมากกว่า ผมน้อยใจที่พ่อเลี้ยงไม่รักผมเหมือนที่แสดงออกเวลาไปงานเลี้ยงหรือไปพบปะเพื่อนฝูงของเขา ผมน้อยใจที่น้องชายไม่เคารพผมเลยมันแทบจะไม่เคยเรียกผมว่า “พี่” เหมือนที่น้องคนอื่นเรียกพี่ชายเลย มันไม่เคยแสดงความภูมิใจเลยซักครั้งเวลาผมไปแข่งบาสชนะมา ผมน้อยใจพระเจ้าที่สร้างให้ผมเกิดมาเป็นลูกเป็ดในฝูงหงส์



ผมกอดเข่าตัวเองพลางซุกหน้านิ่งไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของผมแม้คนๆนั้นจะเป็นตัวผมเองก็ตามทีเถอะ... ในที่สุดผมก็ลงมาข้างล่างในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆเริ่มทานข้าวกันไปแล้วผมมองแม่ที่คีบไก่ชิ้นโตให้หมอกด้วยหัวใจห่อเหี่ยวเล็กๆ



"อ้าวมาซักที  หายเหม็นหรือยังเนี่ยไปนู่นเลยเข้าไปกินในครัวแม่จัดไว้ให้อีกชุดนึงแล้ว" ผมที่กำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้ถึงกับชะงักค้างมองหน้าแม่ราวกับว่าที่ผมได้ยินเมื่อครู่ผมแค่หูฝาด แต่แม่ก็ยังพยักหน้าเป็นการยืนยันคำพูด



ผมลุกจากโต๊ะเดินเข้าไปในครัวเงียบๆ ทั้งๆที่บอกตัวเองว่าอย่าหันไปมองที่โต๊ะอาหารอีกแต่ตาไม่รักดีของผมมันก็ยังบังคับร่างกายให้หันไปมอง ครอบครัวสุขสันต์สามคนพ่อแม่ลูก ครอบครัวที่สมบูรณ์โดยไม่ต้องมีผม เป็นภาพที่ดีจริงๆเลยนะครับแม่ ดีจนน้ำตาของผมแทบจะไหลออกมาอีกรอบ





บาสเกตบอลเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีคุณค่า  ผมไม่ลังเลที่จะตอบรับคำสั่งจากโค้ชที่จะต้องอยู่ซ้อมจนมืด ที่นี่…สนามบาสเป็นที่เดียวที่ผมได้รับการยอมรับ ที่นี่...เป็นที่เดียวที่ผมได้รับรอยยิ้มที่จริงใจและคำชื่นชม



มันทำให้ผมสามารถยิ้มได้กว้างที่สุด  รอยยิ้มที่ผมแทบจะไม่เคยมีเลยเมื่ออยู่ในบ้าน  การได้วิ่งและโลดแล่นไปทั่วสนามบาสมันเหมือนกับเทเลทับบี้วิ่งเล่นในทุ่งหญ้ายังไงยังงั้นเลย



การกระโดดขึ้นไปชู๊ตบาสมันก็เหมือนผมกำลังกระโดดเพื่อคว้าดาวซักดวงแล้วทำไมผมจะไม่มีความสุขกับมัน



ปรี๊ดดดดดดดดดดด...แต่เวลาแห่งความสุขมักจะมาไวไปไวเสมอ โค้ชเป่านกหวีดเรียกพวกเรามารวมตัวกันเพื่อบอกถึงจุดบกพร่องข้อดีและข้อเสียของแต่ละคนอีกราวๆ 10 นาทีก็ปล่อยให้พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำกลับบ้าน



เป็นธรรมดาที่เมื่อใช้พลังงานไปเยอะท้องก็จะเริ่มหิว  ผมรีบอาบน้ำแล้วโบกมือลาเพื่อนร่วมทีมก่อนจะสะพายกระเป๋าใบยุ่ยที่พ่อของผมส่งมาให้เมื่อหลายปีก่อนเป็นของขวัญวันเกิดแล้วออกมาจากโรงยิม



วันนี้แม่กับพ่อต้องไปงานเลี้ยงอะไรซักอย่างแม่จึงบอกกับผมว่าให้หาอะไรกินก่อนเข้าบ้านเลยเพราะเลิกงานเสร็จพ่อกับแม่ก็จะตรงไปที่งานเลี้ยงทันที ผมเดินเลี้ยวซ้ายตรงมาเรื่อยๆเข้าเขตที่คนเริ่มพลุกพล่าน วัยรุ่นชายหญิงจูงมือซบไหล่เดินผ่านผมไปหลายคู่ก่อนจะเปิดประตูร้านเล็กๆร้านหนึ่งเข้าไปข้างใน



มันเป็นร้านอาหารที่ผมชอบเข้าที่สุดเพราะมีเพื่อนต่างเพศคนหนึ่งของผมทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ ทันทีที่เสียงกระดิ่งดังขึ้นผู้หญิงตัวเล็กที่ง่วนอยู่กับการจัดเมนูหลังเค้าท์เตอร์ก็หันมามองผม



เธอเป็นคนตัวเล็กสูงไม่น่าจะถึง 150 ซม. ด้วยซ้ำ หลายคนมักทักว่าเธอเป็นทอม  ขนาดมีลูกค้าสาวๆมานั่งแช่รอจีบมันอยู่เป็นเดือนๆ



“ไงวันนี้มาซะเย็นเลยนะแก” ปัดเด็กสาวจากเมืองเหนือมันหันมาพยักหน้าแล้วยักคิ้วบางๆให้กับผม ผมเหวี่ยงกระเป๋าลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงรับน้ำเย็นที่เจ้าปัดมันส่งมาให้กับผม



“เหมือนเดิมป่ะ” เป็นอันรู้กันว่าผมกินไม่กี่อย่างส่วนมากถ้ามาก็กินอาหารเซตผมยักคิ้วให้มันไม่นานอาหารหอมฉุยก็ถูกวางลงตรงหน้า และไม่ทันที่ผมจะได้หยิบกินมันฝรั่งทอดชิ้นใหญ่ก็ถูกเซฟตัวเล็กยื่นมามาหยิบใส่ปากผมส่ายหน้าให้มันอย่างขำๆ



“ตลอดอ่ะ”



“ชิมหน่อยไม่ได้หรือไงเดี๋ยวนี้หวงเหรอ” มันย้อนถามผมด้วยท่าทางนักเลง ถึงเพื่อนผมคนนี้จะตัวเล็กแต่ใจมันนักเลงมาก และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เต็มใจจะเดินไปพร้อมกับผม



“มีอะไรต้องไปทำอีกป่ะ” ปัดมันหันมาถามผมหลังจากเสิร์ฟอาหารให้กลุ่มนักเรียนหญิงที่เดินส่งเสียงดังลั่นร้านกลุ่มใหญ่ ผมยาวๆของมันชื้นไปด้วยเหงื่อผมส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะปากผมเคี้ยวมันบดจนไม่ว่างจะตอบมัน



“เออ งั้นรอเดี๋ยว ใกล้เลิกงานแล้วเดี๋ยวไปส่งบ้าน”



บางทีผมก็แปลกใจว่าตกลงผมหรือเจ้าปัดที่เป็นผู้ชาย หลังจากนั่งรอเกือบชั่วโมงเจ้าปัดที่หายไปหลังร้านพักใหญ่ๆก็สะพายเป้ที่ใหญ่ไม่สมส่วนกับตัวมันออกมา



“ไปแก” มันว่าแค่นั้นก่อนจะเดินนำผมลิ่วๆออกมา ผมเห็นกระเป๋าเป้มันแล้วเกิดรำคาญลูกนัยน์ตาเลยดึงแบบไม่บอกไม่กล่าวจนไอ้ตัวเล็กมันปลิวตามมือของผมมาแทบจะทันที



“โอ๊ย อะไรของแกคะคุณเมฆฆฆฆฆฆ” มันโวยครับแต่ก็ยอมปล่อยเป้ให้ผมสะพายแทนมันอยู่ดี เราเดินคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระจนมาถึงซอยบ้านของผม จริงๆจะเรียกว่าปัดเดินมาส่งผมก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะไอ้ตัวเล็กมันเดินต่อไปอีกไม่ถึงสามร้อยเมตรก็จะถึงห้องเช่าของมันแล้วก็เลยเป็นทางเดียวกันไปด้วยกันซะมากกว่า



“โอ๊ะโอ.......นั่นอะไรน่ะ” เราสองคนชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนประหลาดใจซะเต็มประดา



“เดี๋ยวนี้ลูกเป็ดมีแฟนด้วยเหรอ” ใช่ครับเจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครหรอกครับ



หมอก น้องชายสุดที่รักของผมเอง และเช่นทุกครั้งที่เจอมันเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงที่เป็นท่าประจำที่มันทำเวลาออกนอกบ้าน อารมณ์ประมาณว่าก็ทำท่านี้แล้วหล่อมันเลยทำจนติดเป็นนิสัย



หมอกแกล้งปรายตาแล้วยิ้มมุมปากราวกับภาพที่ผมกับปัดเดินมาด้วยกันเป็นเรื่องประหลาด



“นี่เธอ นึกยังไงมาเดินกับมันเนี่ย”



“หมอกนี่เพื่อนพี่อย่าเสียมารยาท” ผมเอ่ยปรามมันเสียงเรียบๆในขณะที่ปัดมันมองหน้าผมกับหมอกงงๆ



“ฉันว่านะ....ขนาดตัวของเธอกับมันไม่น่าจะบาลานซ์กันนะ เอ๊ะหรือเรื่องส่วนสูงไม่เป็นอุปสรรค” มันหันไปพูดจาดูถูกใส่เพื่อนผม ปัดที่กำลังประเมินผลในสมองเงยหน้าขึ้นมามองผมสลับกับหมอกก่อนจะร้องออกมาว่า



“อ๋อออออออออ”



“หมอกทำไมพูดจาไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลย” ผมเหลือทนกับคำพูดแบบนี้ของน้องชาย



มันกำลังดูถูกผู้หญิง  ที่สำคัญผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้จักมันเลยซักนิด  อาจจะเคยเห็นกันผ่านๆแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดแซวหรือหยอกกันและผมรู้ว่ามันตั้งใจพูดจาไม่ดีใส่เพื่อนผม



“มึงหุบปากไปเลยไอ้ลูกเป็ดกูก็ไม่เห็นว่าอีนี่จะพูดอะไรเลย ฟังภาษาคนออกหรือเปล่าก็ไม่รู้”



“ภาษาคนน่ะกูฟังออกแต่ถ้ามันออกมาจากปากหมากูต้องใช้เวลาตีความ” เป็นเรื่องจนได้ ไอ้ปัดมันกำมือแน่นก่อนจะตะเบ็งเสียงด่าหมอก น้องชายของผมมันทำท่าเลิกคิ้วกวนประสาท



“มึงด่าใครปากหมา?”



“ด่ามึงไง” สวนกลับทันใดเหมือนกัน



“ขอโทษกูเดี๋ยวนี้ นี่กูเห็นว่าเป็นผู้หญิงนะไม่งั้นจะต่อยให้คว่ำเลย”



“ทำไมต้องขอโทษ” ผมว่าหมอกมันกวนประสาทแล้วนะ แต่หน้าไอ้ตัวเล็กตอนนี้กวนประสาทเหมือนเอาหมอก 10 คนมารวมกันแล้วเขย่า ปัดยืนกอดอกเลยเงยหน้าถามหมอกด้วยน้ำเสียงติดจะเยาะ



ผมจับไหล่มันบีบเบาๆเป็นเชิงขอโทษมันยักไหล่หนีแล้วยืนจ้องหน้าหมอกแบบไม่หลบตา



“หึ...สิ้นคิดหรือไม่มีใครเอากันนะถึงตาต่ำมาคว้าไอ้ลูกเป็ดนี่ น่าสมเพช”



เพี๊ยะ!!!!...ผมคิดว่าหลังจากวันนี้ผมคงต้องฝึกวิ่งและฝึกระบบประสาทสัมผัสให้มากกว่านี้ เพราะเพียงแค่จบคำพูดของหมอกสิ่งที่ผมเห็นก็คือไอ้ตัวเล็กที่ยืนเยื้องไปข้างหน้าของผมนิดหน่อยออกวิ่งแล้วกระโดดตบลงบนซีกหน้าของหมอกอย่างพอดีมือ จนน้องชายของผมถึงกับหน้าหันเซล้มลงก่อนที่ไอ้ปัดมันจะกระโจนไปฝากรอยดอกยางบนยอดอกของน้องผม ผมก็ปรี่ไปล็อคแขนทั้งสองข้างของมันเพื่อที่จะลากมันออกไปก่อนที่หมอกจะตั้งสติแล้วลุกมากระทืบเราสองคนได้



“ปล่อยกูไอ้เมฆกูจะไปกระทืบมัน” ยังไม่วายที่ไอ้ตัวเล็กมันจะสลัดขาสั้นๆเพื่อจะถีบน้องของผม



“มึงรู้จักกูน้อยไปซะแล้ว รู้มั๊ยกูเป็นใคร นี่อีปัดผู้ฆ่าเสือด้วยมือเปล่ามาแล้ว อย่ามาปากดีกับกูอีกนะ แล้วจะสอนให้เอาบุญ เป็นน้องน่ะต้องหัดเคารพพี่ซะบ้างไอ้อกตัญญู” มันชี้หน้าทิ้งท้ายหมอกก่อนจะยอมเดินตามผมมาแต่โดยดี



“ไม่น่าห้ามเลยนะแกน่ะ” หลังจากเดินกันมาเงียบๆได้ซักพักไอ้ตัวเล็กมันก็ต่อนต้นแขนผมเบาๆ



“ถ้าไม่ห้ามป่านนี้แกเละไปแล้ว....แต่ฉันว่าท่ากระโดดตบแกคุ้นๆนะ” ผมหันไปแซวมันครับ ปัดหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ



“นุสรา ต้อมคำไง รู้จักป่ะ”



“ใครวะ?” ผมพยายามนึกตาม ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยติดตามข่าวสารบ้านเมืองซักเท่าไหร่ก็ก็รู้สึกคุ้นๆชื่ออยู่ว่าจะเป็นนักกีฬาหรือดาราซักคนนี่แหล่ะ



“ซาร่าไง โหยเชยหว่ะ นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติ ฉันจำท่าตบมาจากซาร่าเวลากระโดดตบหน้าเน็ตอ่ะ” มันว่าก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ของมันไปถือไว้



“คราวหลังถ้าจะไปตบใครอีกบอกกันก่อนนะเว๊ย”



“ทำไมเป็นห่วงเหรอไอ้ลูกชาย”



“เปล่า...ฉันจะได้เตรียมลังไปให้แกปีนตบ” ผมแซวส่วนสูงของมันอีกครั้ง ไอ้ปัดมองค้อนผมก่อนจะว่า



“เจ็บนะเนี่ย พูดงี้มาไฝว้กันป่ะ ขอหาอาวุธแป๊บ”



“เออๆ ยอมๆ ไปเข้าบ้านไปได้แล้ว” ผมหัวเราะกับท่าคุ้ยเป้ของมันก่อนจะโบกมือไล่มันเข้าบ้านไป



“เออๆ ขอบใจที่มาส่งนะกลับบ้านดีๆล่ะ” มันว่าก่อนจะโบกมือบ๊ายบายผม ผมหันหลังเดินกลับมาทางเดิมแล้วก็คิดหนักสำหรับเหตุการณ์เมื่อครู่...



ยังไงซะวันนี้ต้องมีปัญหารอผมอยู่แน่ๆ...น่าขำนะครับ ทุกเย็นไม่มีใครรอผมกลับบ้านเลย มีอย่างเดียวที่รอผมอย่างซื่อสัตย์ก็คือปัญหา ผมควรซึ้งใจกับมันดีมั๊ยครับ??







.........................................................

อัพเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักจ้า

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
นี่คนในครอบครัว หรือ ขอทานว่ะ
ใครก็ได้รับเมฆไปเลี้ยงดูที
 :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่าติดตามค่ะ  :mew2:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



ลูกเป็ดขี้เหร่[:2:]



   เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของผมก็ยังคงเดิม ผมกลับจากส่งไอ้ปัดถึงบ้านก็พบกับหมอกนั่งเอาเท้าพาดลงบนโต๊ะกินข้าว ในมือของมันถือแผ่นเจลเย็นกำลังประคบปากอยู่ ท่าทางลูกตบหน้าเน็ตของเจ้าปัดคงจะแรงพอดูเพราะมุมปากของหมอกมีเลือดซึมอยู่ ผมเลี่ยงที่จะมีปัญหากับมันเตรียมจะเดินขึ้นห้องแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อมันพูดกับผม


   “พ่อกับแม่กลับมามึงโดนดีแน่” มันขู่ผมครับ ซึ่งผมก็ไม่ได้เถียงมัน ผมคิดว่ามันต้องทำจริงๆ มองเวลาเกือบสองทุ่มผมเดินกลับขึ้นห้องอาบน้ำทำรายงานเพื่อรอเวลาโดนพิพากษา และจำเลยอย่างผมไม่มีสิทธิ์ยื่นอุธรณ์ใดๆทั้งสิ้น


ผมรอเวลาที่จะเรียนจบ  เทอมนี้ก็เทอมสุดท้ายแล้วเมื่อผมทำงานผมก็จะแยกตัวออกไปเช่าห้องอยู่เอง ผมจะได้ไปพ้นจากใบบุญจอมปลอมของพ่อเลี้ยง  ผมจะได้ไปมีชีวิตในสังคมที่เค้ายอมรับผมซักที


ผมว่าสังคมไทยสมัยนี้นี้แปลกนะครับ ทุกคนมองรูปลักษณ์ภายนอก ให้ความสำคัญกับมันมากกว่าความดีงามในจิตใจ ให้ความสำคัญขนาดไหนน่ะเหรอครับ ก็มากขนาดที่ถ้าคุณหน้าตาไม่ดีหรือบางทีคุณอาจจะผอมแห้งแต่งตัวปอนๆยามที่คุณเดินใกล้ใครคนเหล่านั้นจะขยับหนีคุณโดยอัตโนมัติ มันก็จริงอยู่ที่ผมอยากเกิดมาดูดีกว่านี้ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าซักวันความดีในตัวผม((ที่ผมมั่นใจว่าผมมี)) จะช่วยทำให้ใครซักคนที่พระเจ้าประทานมาให้มองเห็นมันและรักผมในสิ่งที่ผมเป็น


แต่คงไม่ใช่สำหรับคนในบ้านนี้ เพราะเพียงแค่ผมเก็บกระดาษรายงานชิ้นสุดท้ายเสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น


ได้เวลาขึ้นตะแลงแกงรอการประหาร ผมยืนเต็มความสูงบิดขี้เกียจถอนหายใจหนักๆเรียกพลังให้กับตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตู และเพียงแค่บานประตูเปิดกว้าง ฝ่ามือหนาของพ่อเลี้ยงก็ประทับลงบนใบหน้าของผมอย่างพอดิบพอดีถึง 2 ทีซ้อน ผมถึงกับเซเข้าไปในห้องพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของพ่อที่เดินตามเข้ามารวมทั้งลูกชายผู้แสนจะกวนประสาทของเค้า


   “ไอ้เมฆ มึงให้อีหน้าไหนมาทำร้ายหมอก”


   “พ่อ....”


   “ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ มึงให้เพื่อนมึงมาทำร้ายน้องใช่มั้ย มึงเห็นคนอื่นดีกว่าน้องขนาดนี้เลยเหรอ” เขาใส่มาเป็นชุดครับ ด่าไม่ยั้งคำผรุสวาทหล่นเกลื่อนห้องพร้อมสีหน้าสะใจของหมอกที่ยืนกอดอกพิงโต๊ะเขียนหนังสือของผม


ผมไม่รู้ว่ามันไปพูดกับพ่อว่ายังไงบ้าง  ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะด่าผมว่ายังไง ผมไม่สนใจความเจ็บที่หน้าเลยซักนิด  สายตาของผมมองหาแค่คนเดียว  ผู้หญิงที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม


   “แม่...” ผมร้องเรียกเมื่อแม่เดินตามเข้ามาในห้องอีกคน ต่อให้คนทั้งโลกไม่เชื่อผมแต่ผมก็หวังแค่คนๆเดียวที่จะเชื่อ


   “ผมไม่ได้ทำ หมอกหาเรื่องลูกปัดก่อน”


   “เลิกโกหกซักทีเมฆ พ่อกับแม่กลับมาเหนื่อยๆอยากพักผ่อน ทำไมไม่เห็นใจกันบ้าง ปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายน้องแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ แม่รู้นะว่าเราอิจฉาน้อง อิจฉาที่น้องหน้าตาดีกว่ามีคนรักมากกว่าใช่มั้ย ไม่น่ารักเลยนะ คราวหลังถ้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีกแม่จะไม่พูดกับหมอกแล้วนะ โตแล้วนะเรียนจะจบอยู่แล้วทำไมยังทำนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอยู่ได้”


ถ้าการที่ผมเซจากการโดนพ่อเลี้ยงตบยังไม่มากพอ  ผมขอบอกตรงนี้เลยว่าผมทรุดลงแทบจะทันทีที่แม่เดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย  พ่อเลี้ยงหันมาชี้หน้าใส่ผมก่อนจะเดินตามออกไป  และมันไอ้ตัวแสบ  มันทำท่าหัวเราะใส่ผมพลางชูนิ้วกลางให้ก่อนจะใช้เท้าเกี่ยวขอบประตูและดันปิดจนเกิดเสียงดังปังใหญ่ ผมทำอะไรผิด....ทำไมผมถึงไม่เป็นที่รักและต้องการของใครซักคน


ผมเคยเขียนจดหมายไปหาพ่อ  ขอไปอยู่กับพ่อ  แต่พ่อก็ตอบกลับมาแค่ว่าพ่อมีครอบครัวใหม่มีลูกใหม่อีก 3 คน ไม่สะดวกที่จะรับผมเข้าไปเพิ่ม...ผมคงเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์เน่าๆที่ไม่มีใครต้องการสินะ จะต้องทำยังไงที่ผมจะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างบ้าง  ไม่เคยเลยซักครั้งที่ความรู้สึกน้อยใจจะจางหายไป  ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่ม  ถ้ามันเป็นดอกเบี้ยในบัญชีเงินฝากป่านนี้ผมคงรวยไปแล้ว


   เสียงทีวีในห้องเช่าแคบๆดังแว่วๆให้หญิงสาวร่างเล็กที่หาญกล้ากระโดดตบหมอกต้องเร่งมือในการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 3 ห่อ  ปัดรีบใช้ตะเกียบคนๆก่อนจะเทใส่ชามใบใหญ่ไม่วายคว้าถุงข้าวโพดคั่วที่แวะซื้อมาเมื่อวันก่อนติดมือมาด้วย

รายการศัลยกรรมชื่อดังของเกาหลีที่ยังคงเป็นซีซั่น 2  หญิงสาวนั่งกินมาม่าไปดวงตากลมก็จับจ้องรายการด้วยความสนใจ ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆเหรอ แล้วศัลยกรรมจะเปลี่ยนลูกเป็ดขี้เหร่ให้กลายเป็นหงส์งามได้มั้ยนะ...


เมื่อคิดได้ดังนั้นเพื่อนตัวแสบของเมฆก็ตรงไปคว้าโน๊ตบุ๊คมาเสิร์ซหาบางสิ่งบางอย่างด้วยความมุ่งมั่น  จนเวลาผ่านไปนานรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้น


   “ต่อไปใครๆก็ต้องยอมรับแกแน่ๆเมฆ  ฉันจะปั้นให้แกเป็นหงส์เอง”


   “น่า...นะพ่อนะ แค่ล้านสองล้านขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกพ่อ นะๆ ปัดต้องใช้จริงๆ” เสียงห้าวๆของคนตัวเล็กที่ใช้ไหล่กับหูเหน็บโทรศัพท์สองมือก็สาระวนกับการจัดร้านก่อนเปิดบริการลูกค้าพยายามออดอ้อนคนปลายสายเต็มที่


   “ไอ้ลูกปัดเอ็งจะเอาไปทำอะไรต้องสองล้าน ปกติเอ็งขอทีนึงไม่เคยเกินสองหมื่น” ผู้เป็นพ่อที่นั่งดมยามีภรรยาคอยพัดวีอยู่ไม่ห่างตวาดแหวกลับมาแทบจะทันที เมื่อลูกสาวคนเล็กและเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ทำตัวราวกับโรบินฮู้ดบินไปอยู่จังหวัดนู้นทีจังหวัดนี้ทีอุตส่าห์โทรกลับมาให้พ่อแม่ได้ชื่นใจเอ่ยวัตถุประสงค์หลักแบบไม่ต้องเกริ่นนำให้เสียเวลา


   “ปัดจะพาเพื่อนไปศัลยกรรม” หญิงสาวตอบเหมือนตอบเรื่องกินข้าวหรือยัง กินแล้ว อารมณ์ประมาณนั้นจนผู้เป็นพ่อแทบทรุด


   “เดี๋ยวนะไอ้ลูกปัดเอ็งตอบพ่อมาใหม่ให้พ่อชื่นใจซิ๊ลูกว่าเอ็งจะเอาเงินตั้งสองล้าน ย้ำ สองล้านนะลูกไปทำอะไร?” ผู้เป็นพ่อยังหวังว่าสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่แค่หูฝาด ลูกปัดถอนหายใจพรืดอย่างถอนฉิว พ่อได้ยินแต่แกล้งหูมีปัญหาชั่วคราว

   “ปัดจะพาเพื่อนไปทำศัลยกรรม”


   “แล้วทำไมต้องเป็นเงินข้าด้วยละโว้ย เงินตั้งสองล้านเอาไปไถ่ชีวิตโคกระบือได้ทั้งฝูง เอ่อ สิบฝูงเลยเอ้า”


   “โห่ พ่อ..ทำไมไถ่ชีวิตวัวควายพ่อยังไถ่ได้ล่ะ  ถ้าพ่อให้เงินปัดนะพ่อจะทำให้คนๆนึงมันมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นได้เลยนะ บ้านเราก็รวยเงินแค่นี้พ่อก็ถือว่าเดินไปเวทีมวยแล้วทำตังค์หล่นหายดิ่”เจ้าตัวเล็กคนลูกยังคงเถียงกลับผู้เป็นพ่อฉอดๆ จนได้ยินปลายสายถอนหายใจ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าผู้เป็นลูก พ่อกำลังเหนื่อยจะเถียง


   “ไหนเอ็งลองบอกเหตุผลดีๆซักข้อนึงให้พ่อฟังประกอบการตัดสินใจหน่อยซิ๊ว่าทำไมพ่อต้องเสียเงินสองล้านเพื่อใครที่ไหนก็ไม่รู้ด้วย”


   “เรื่องมันมีอยู่ว่า....” เรื่องราวของลูกเป็ดในฝูงหงส์ถูกถ่ายทอดออกไปให้ผู้เป็นพ่อรับฟัง ไม่จำเป็นต้องเติมแต่งปั้นเรื่องให้ดูน่าสงสารเลยเพราะชีวิตของเพื่อนที่บังเอิญเจอกันในสนามบาสมันรันทดจริงๆ เกือบยี่สิบนาทีเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นจากปลายสาย


   “ไอ้ลูกปัด”


   “หืม??”


   “พ่อส่งนักมวยในค่ายไปให้ซักสองคนเอามั้ย?” คำถามเรียบๆที่ทำให้เครื่องหมายคำถามเด้งออกจากหัวลูกปัดนับสิบอันดังขึ้น


   “ส่งมาทำไมอ่ะพ่อ?”


   “ฝากไปกระทืบไอ้หมาไอ้หมอกอะไรนั่นน้องเพื่อนเอ็งที”


   “ไม่ต้องหรอกพ่อ ปัดคนเดียวก็เอาอยู่อย่าลืมสิฉายาฆ่าเสือด้วยมือเปล่าไม่ได้ ได้มาง่ายๆนะ แล้วตกลงเรื่องตังค์ว่าไงอ่ะพ่อ ตังค์อ่ะตังค์”


   “ไม่เกินเที่ยงพรุ่งนี้เอ็งไปถอนได้เลย แต่มีข้อแม้ว่า...” น้ำเสียงขึงขังของพ่อทำให้ลูกปัดยืดตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


   “จบเรื่องเพื่อนของเอ็งแล้ว ต้องกลับมาดูแลค่ายมวย เลิกตะลอนทัวร์ซักที โอเคมั้ย?”


   “.....”


   “ว่าไง?”


   “โห่...พ่อ....”


   “ถ้าไม่ตกลงก็ไม่มีเงินเข้าบัญชี”


   “พ่ออ่ะ..” คนเป็นลูกเริ่มจะงอแงขึ้นมาบ้าง ลูกปัดชอบเที่ยว ชอบที่จะแบกเป้เรียนรู้ไปทั่วโลก การที่ต้องไปคุมโรงสีหรือค่ายมวยต้องอยู่กับสิ่งจำเจเดิมๆมันไม่ใช่แนวของปัด


“   ว่าไงถ้าไม่ตกลงพ่อจะได้วางนะต้องพานักมวยไปขึ้นเวที”


   “ก็ได้ๆๆ แต่ขอเป็นลูกจ้างชั่วคราวนะ”


   “ได้..กลับมาค่อยมาคุยกันเรื่องสัญญาว่าจ้าง”






   ผมกวาดตามองหาไอ้เพื่อนตัวเล็ก  แทบจะเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมมี  ไอ้ปัดนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมายในสวนสนุกผมก้มหน้าหลบผู้คนเมื่อมันโบกไม้โบกมือให้ผม  หลายคนมองตามสายตามันมาทำให้ผมรู้สึกประหม่า  ผมกดปีกหมวกให้ปิดหน้าแต่ทันทีที่เดินถึงตัวมันไอ้ปัดก็ถอดหมวกจากหัวผมออก


   “ใส่ไมวะแดดไม่ร้อน”


   “เอาคืนมา” ผมแบมือขอหมวกจากไอ้ตัวเล็กหากแต่มันทำหูทวนลมเก็บใส่กระเป๋าเฉย


   “ไอ้ปัด”


   “เฮ้ย หิวน้ำหว่ะ ไปซื้อน้ำกินกัน” มันจูงมือผมเดินปะปนกับผู้คนไปร้านขายน้ำในสวนสนุก ผมแทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาใครเลย ไม่แม้แต่จะตอบคำถามของลูกปัดด้วยซ้ำว่าจะกินอะไร


เวลาออกนอกบ้านผมมักจะใส่หมวกหรือไม่ก็ใส่หน้ากากอนามัย จนกระทั่งเอาฮู้ดขึ้นมาคลุมถึงแม้อากาศจะร้อนแค่ไหนก็ตาม การต้องโชว์หน้าสดแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่ทำ


   “เฮ้ยแก...มั่นใจในตัวเองหน่อยสิวะ” และเหมือนไอ้ปัดมันจะรู้ครับว่าผมคิดอะไรอยู่ มันเขย่งปลายเท้าเพื่อพี่จะกอดไหล่ผม…ดูจะลำบากเนอะ


   “ตามมาทางนี้มีอะไรจะคุยด้วย” ผมว่าวันนี้มันมาแปลกครับ ปกติมันจะต้องบ่นว่าหิวก่อนจะไปหาอะไรเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้อิ่มเข้าไว้ แต่วันนี้มันกินแค่น้ำขวดเดียว ผมเดินตามมันไปเรื่อยๆ


เออ...แปลกจริงๆ  ชวนมาสวนสนุก  มาเพื่อซื้อน้ำแล้วลากผมเดินกลับมาทางซอยบ้านเรา


   “เมฆ..”


   “หืม?”


   “ถ้าวันหนึ่งหน้าตาแกดีขึ้นมาแกจะทำอะไรเป็นอย่างแรกวะ”


   “ถามอะไรตลกๆ” ผมว่ามันครับ อยู่ๆก็ตั้งคำถามติงต๊องอะไรออกมา มันหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


   “แกตอบไม่ตรงคำถามนะเว้ย ฉันถามแกก็ตอบกลับมาดิ่” เรากำลังเดินผ่านบ้านของผมครับ ผมอดที่จะเหลือบมองเข้าไปในบ้านไม่ได้ ตอนนี้ทั้งบ้านเงียบสนิทพ่อกับแม่ออกไปทำงาน ส่วนไอ้หมอกคงไปเรียน(มั้ง)


   “ถ้าฉันหน้าตาดีขึ้นมาฉันจะไปยืนคู่กับหมอกตรงหน้าแม่แล้วถามแม่ว่าตอนนี้แม่ภูมิใจในตัวฉันแล้วหรือยัง...ไม่รู้สินะ....ฉันแค่อยากให้แม่ภูมิใจที่มีลูกชายหน้าตาดีทั้งคู่”


   “อืม...” ลูกปัดมันพยักหน้าหงึกหงักครับ เราเดินกันมาเรื่อยๆจนหยุดที่ห้องเช่าของมัน


   “เข้ามาๆ มีอะไรจะคุยด้วย” มันกวักมือเรียกเมื่อผมทำหน้างงๆ ผมเดินตามไอ้ปัดเข้ามาในห้องเช่า ปกติผมแค่ยืนส่งมันหน้าบ้านเท่านั้น รู้จักกันมาเป็นปีไม่เคยเหยียบเข้ามาเลย


ถึงจะไม่เป็นระเบียบมากนักแต่ก็ไม่ได้รกจนน่าเกลียด  ผมวางเป้แล้วนั่งลงบนพื้นโล่งๆนั่นแหล่ะ  ไอ้ปัดหายเข้าไปในห้องนอนแล้วหอบโน๊ตบุ๊คออกมา  พิมพ์นู่นพิมพ์นี่ซักพักก็เปิดบางสิ่งบางอย่างให้ผมดู


   “รายการศัลยกรรม...ทำไม?” ผมดูไปซักพักก็หันมาถามมันด้วยความสงสัย จะให้ดูทำไมของมัน


   “เมฆ...ถ้าศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตแกได้ แกจะทำมั้ย?” มันถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมจ้องหน้ามันซักพัก


นั่นสิ  ถ้าศัลยกรรมแล้วผมดูดีขึ้น แม่รักผมมากขึ้น น้องชายไม่อายที่จะเดินกับผม ไม่อายที่จะบอกกับใครต่อใครว่าผมเป็นพี่ของมัน ผู้คนไม่มองด้วยสายตาดูแคลนไม่ต้องได้ยินเสียงหัวเราะเยาะและคำถากถาง ชีวิตของผมก็คงจะมีความสุขไม่น้อย


   “อย่าถามอะไรที่เป็นไปไม่ได้สิวะ ศัลยกรรมต้องใช้เงิน”


นั่นแหละอย่างที่บอก ศัลยกรรมต้องใช้เงินไม่ใช่แค่เงินหลักหมื่นในบัญชีนะที่จะทำได้ แต่มันต้องใช้หลักแสนหลักล้าน


   “ถ้ามีคนออกเงินให้แก แกทำฟรีหมดแกจะทำมั้ยวะ” ผมว่าวันนี้ไอ้ปัดมันแปลกจริงๆแหล่ะ


   “ใครเค้าจะเอาเงินมาโปรยเล่น”


   “เออ แกตอบมาดิ่ว่าจะทำมั้ย”


   “ถ้ามีโอกาส....ถ้ามันทำให้ชีวิตฉันดีขึ้น ถ้ามันไม่ไปเดือดร้อนใคร ฉันก็จะทำ”



   ผมกำลังทำมันจริงๆเหรอ...ในสมองของผมตอนนี้มันเฝ้าย้ำเฝ้าถามแต่คำๆนี้  ในขณะเดียวกันผมแต่นั่งสั่นขาด้วยความตื่นเต้นจนไอ้ปัดมองหันมาตบหน้าขาให้กำลังใจผมหลายต่อหลายครั้ง


เงินจำนวนนับล้านที่จะเนรมิตให้ผมเปลี่ยนเป็นคนใหม่โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ชีวิตที่จะกลายเป็นคนที่สามารถเดินเชิดหน้าในสังคมและแนะนำตัวกับใครๆได้ไม่อายว่า


   “สวัสดีครับผมชื่อภาคินัยนะครับ” มันกำลังจะเป็นจริงเหรอ ผมได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองอย่างไม่เชื่อ มองตามแผ่นหลังไอ้ตัวเล็กที่เดินไปพูดคุยอะไรซักอย่างกับพยาบาลที่หน้าเค้าท์ตอร์มองไปรอบๆไม่ได้มีผมแค่คนเดียวที่นั่งอยู่ที่นี่ ยังมีผู้หญิงและผู้ชายอีกหลายคนนั่งอยู่โดยแต่ละคนมีทีท่าแตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์ของทุกคนก็คงจะเหมือนผม


   “เมฆมานี่” เสียงไอ้ปัดที่เรียกผมทำให้ผมดึงตัวเองกลับมาผมหยิบกระเป๋าเป้ที่ข้างในใส่ชุดบาสลุกตามมันมา


จากวันนั้นที่เราคุยกันก็สองเดือนกว่า ตอนนี้ผมเรียนจบแล้วมีเวลาพอที่จะมาทำศัลยกรรมและพักฟื้นผมจับมือไอ้ตัวเล็กที่ยื่นออกมารอรับ ผมรักมันครับเพื่อนแท้คนเดียวที่ผมมี


   “เชิญด้านในค่ะคุณหมอรออยู่แล้ว” เสียงพยาบาลสาวเปิดประตูออกมาผายมือให้เราสองคนเข้าไปในห้องตรวจ ในนั้นผมเห็นคุณหมอท่านหนึ่งหันหลังดูฟิล์มเอ็กเรย์ ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่ามันเป็นของผม


ผมลืมเล่าไปว่าก่อนหน้านี้ผมถูกจับถ่างปากใส่อุปกรณ์ที่ทำให้ปากผมกว้างแล้วไปยืนอยู่หน้าเครื่องฉายเอ็กเรย์  ตอนนี้มันก็ปรากฏในจอทั้งภาพหน้าสด สามมิติ สี่มิตินู่นนี่นั่นเต็มไปหมด


ผมกับไอ้ปัดนั่งรอคุณหมออยู่ชั่วครู่คุณหมอตัวเล็กในเสื้อกาวน์สีขาวก็หันมา คุณเคยรู้สึกมั้ยครับว่าคุณใช้ชีวิตอยู่ในโลกสีหม่นทึมเทามานานแต่อยู่ๆวันหนึ่งโลกของคุณก็สว่างบริ๊งค์ขึ้นมาเพียงเพราะรอยยิ้มของคนๆเดียว


ตอนนี้ผมกำลังคิดอย่างนั้นครับ  คุณหมอที่ผมคิดว่าคงจะแก่ ใส่แว่น มีอายุ พอหันมาพร้อมกับรอยยิ้มมันทำให้ผมอ้าปากค้างไปเลย  รอยยิ้มสว่างจนหน้ากระจ่างกับดวงตาพราวระยิบ นางฟ้าในคราบผู้ชายชัดๆ


   “สวัสดีครับหมอชื่อหมอจิณณ์นะครับ”


   “ครับ...” ผมคงลืมวิธีการพูดและลืมมารยาทเบื้องต้นไปแล้วมารู้สึกตัวก็ต่อเมื่อมีศอกแหลมๆที่อุดมไปด้วยกระดูกของไอ้ปัดมาสะกิดสีข้างจึ๊กๆนั่นแหล่ะผมถึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วลื่นมือไปสัมผัสทักทายกับคุณหมอ


   “หมอตรวจดูโครงหน้าของคุณแล้ว และตอนนี้หมอได้เห็นตัวจริงของคุณแล้วหมอคิดว่าจริงๆแล้วคุณเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว รูปหน้ายาว ตัวสูงการรักษาที่หมอวางไว้ก็คืออาจจะใช้การฉีดโบท็อกซ์ ทำจมูกรูปหยดน้ำ ทำตาสองชั้นซักหน่อย บำรุงผิว ดัดฟัน....” ผมฟังโครงการของคุณหมออย่างไม่เข้าใจนัก


ผมเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้วงั้นเหรอ ผมก็ส่องดูเบ้าหน้าในกระจกทุกวันทำไมผมไม่เคยเห็นมุมนั้นของตัวเองเลย


   “คุณหมอครับ” อยู่ๆความสงสัยก็ทำให้ผมพูดขัดคุณหมอคนน่ารักออกไป


   “ตัวคุณหมอน่ะ...ทำอะไรมาบ้างครับ?”


   “เห๋?...หมายถึงอะไรครับ?”


   “ผมหมายถึงทั้งหน้าคุณหมอทำอะไรมาบ้างแล้วครับทำไมคุณหมอน่ารักจัง”


เออ...ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรชวนอ้วกแบบนั้นไปได้ยังไงแต่ผมเห็นไอ้ปัดทำตาโตหันมามองหน้าผมราวกับไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน ส่วนคุณหมอน่ะหน้าขาวๆก็แดงขึ้นน้อยๆ  คุณหมอตัวเล็กอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าๆแล้วยื่นหน้ามาใกล้ผม  ดวงตากลมใสแจ๋วของคุณหมอกำลังหัวเราะ


   “หน้าสดครับพ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิดไม่ได้ทำอะไรเลยไม่เชื่อลองจับดูก็ได้นะครับ” ผมไม่รู้ว่าผมขาดการยับยั้งชั่งใจและสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะพอรู้สึกตัวมือของผมก็กำลังสำรวจใบหน้าคุณหมอไปซะแล้ว


ผมใช้ปลายนิ้วมือแตะแผ่วเบาที่คางไล่มาที่พวงแก้มนุ่มมือจนถึงสันจมูก ทุกอย่างไม่มีอะไรแปลกปลอมบ่งบอกว่าคุณหมอคนนี้หน้าตาดีโดยกำเนิด


   “เชื่อหรือยังครับ” ผมละมือจากหน้าคุณหมอเมื่อเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม คุณหมอยืดตัวนั่งหลังตรงอีกครั้งหลังจากนั้นแนวการรักษาก็ถูกถ่ายทอดให้ผมกับเจ้าปัดฟัง ในที่สุดผมกับเจ้าปัดก็ออกมาเดินซื้อของกินริมถนนดูนู่นดูนี่กันไป


   “พร้อมมั้ยแก” ไอ้ปัดมันแทะข้าวโพดต้มฝักเท่าต้นขาแมมมอธหันมาถามผม ผมยกชาเขียวปั่นขึ้นมาดูดก่อนจะถอนหายใจออกมา

   “ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะตกลงจ่ายเงินไปแล้วนี่”


   “อย่าทำหน้าลำบากใจแบบนั้นสิวะชีวิตใหม่นะเว้ย ชีวิตใหม่รอแกอยู่ข้างหน้า”


   “เงินตั้งมากมายฉันเกรงใจแกกับพ่อแกว่ะ”


   “นี่ ต่อมมารยาทไม่ต้องมามีตอนนี้ได้มั้ยก็บอกแล้วเงินนั่นน่ะพานักมวยไปต่อยครั้งสองครั้งก็ได้เงินแล้ว เอาเป็นว่าถ้าลำบากใจนะเว้ย ถ้าแกหล่อแบบโลกตะลึงหมาเหลียวหลังม้าเยี่ยวราดเมื่อไหร่ฉันจะส่งรูปแกไปให้พวกแมวมองมันดูเผื่อได้เข้าวงเกิงวงการฉันจองตำแหน่งผู้จัดการนะเว้ยหักค่าตัว 40% จนกว่าจะใช้หนี้หมดจากนั้น 30% โอเคป่ะ”



“ไอ้บ้ายังไม่ทันจะรู้ผลเลยว่าจะหล่อจริงหรือเปล่าวางแผนไปไหนแล้ว อีกอย่างอย่างฉันเนี่ยนะจะเป็นดาราถ้าตัวประกอบล่ะพอว่าฉันไม่ได้หน้าตาดีแบบหมอจิณณ์นะ คนอะไรหน้าตาโคตรจิ้มลิ้มเลย” ผมอดจะหัวเราะออกมาน้อยๆยามที่คิดถึงหน้าคุณหมอตัวเล็กที่บอกกับผมว่าตัวเองอายุจะ 30 ปีแล้วนะ หน้าเด็กกว่าผม 10 ปีเถอะ



   “เออ...นี่ พูดถึงหมอจิณณ์แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าวันนี้แกพูดเหมือนจีบหมอเค้าเลย แบบฉันอ้าปากค้างเลยนะเว้ยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้พัฒนาจีบคนเป็น ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”



   “บ้า...จีบเจิบอะไรตอนไหน” ผมเอาแก้วชาเขียวโขกลงไปบนหน้าผากมันครับไอ้ปัดมันเอามือกุมหัวป้อยๆ



   “แหมๆ...ร้ายนะยะ เขินแล้วรุนแรงเหรอ เดี๋ยวฟ้องหมอจิณณ์นะว่าแกทำร้ายร่างกายฉันน่ะไอ้โย่ง”



   “เงียบแล้วแทะข้าวโพดของแกไปเลยไอ้เตี้ยพูดมากเนี่ยกินๆเข้าไป”



ผมพยายามจับมือที่ถือฝักข้าวโพดของมันยัดปากแต่ไอ้ปัดมันยื้อตัวไว้ปากมันยังไม่วายแซว



   “แหม...เขิน...นี่ขนาดหน้าดำยังเห็นสีแดง เขินเหรอเนี่ย รักแรกพบเหรอวะ โหย แบบนี้ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานซักหน่อยว่านายภาคินัยหน้าแดงเพราะผู้ชายด้วยกัน ฮ่าๆๆๆๆ”



เอาเป็นว่าตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ จะไปไหนน่ะเหรอ ผมจะไปไล่เตะไอ้เตี้ยที่วิ่งหนีรองเท้าเบอร์ 44 ของผมไปที่หัวโค้งนู่นแล้วน่ะสิ





...................................................


#ลูกเป็ดขี้เหร่

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารเมฆจัง

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2




ลูกเป็ดขี้เหร่[:3:]




ผมกลับเข้าบ้านหลังจากเดินไปส่งไอ้ปัดแล้วนัดแนะเวลาสำหรับวันพรุ่งนี้ว่าเราจะไปทำอะไรกันบ้างก็ร่วมๆ 5 ทุ่ม  ในบ้านไฟยังสว่างอยู่  ผมเปิดประตูเล็กเข้าไปก่อนจะจัดการล็อคให้เรียบร้อย  เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้านก็พบว่า  พ่อ แม่ และหมอกนั่งดูหนังที่ไปเช่ามาที่ห้องนั่งเล่น  หมอกนอนหนุนตักแม่ส่วนพ่อเลี้ยงนอนราบกับพื้น


“ไง...ทำไมกลับซะดึกซะดื่นล่ะเมฆ ออกไปหางานทำไมนานจังนี่เรียนจบมาเป็นเดือนแล้วนะ” แม่เริ่มประโยคทักทายผมทำให้ผมชะงักพ่อเลี้ยงทำเพียงปรายตามองไม่ได้พูดอะไร


“ไปหางานทำที่ไหนล่ะแม่ ผมเห็นเดินควงสาวทั่วเมือง”


“เหอะ...หน้าตาแบบนี้ยังมีหน้าไปติดสาวอีกเหรอวะ...ทำอะไรก็หัดเจียมตัวบ้างนะผู้หญิงนั่นหวังเกาะหรือเปล่า”


“นั่นเพื่อนผมนะพ่ออีกอย่างเค้าเป็นผู้หญิงพูดจาควรให้เกียรติเค้าบ้าง” ผมโพล่งออกไปเมื่อเพื่อนเพียงคนเดียวของผมตกเป็นหัวข้อสนทนาในแบบที่จ้าตัวไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นอะไรเลย เพียงผมพูดจบประโยคพ่อเลี้ยงที่คงสถาปนาตัวเองเป็นแอนตี้แฟนเบอร์สองของผมก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นราวกับจะกระโจนมาขย้ำผม


“เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งเหรอไอ้เมฆ ก่อนจะมาขึ้นเสียงเถียงฉันให้สำนึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดหัวแกมาตั้งแต่หกขวบบ้าง

“คุณคะ...ใจเย็นเถอะค่ะ ลูกคงไม่ได้ตั้งใจจะเถียง เมฆขอโทษคุณพ่อซะ” ผมเบื่อประโยคนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ต้องกระทบกระทั่งกัน สุดท้ายแม่จะต้องพูดคำๆนี้


ขอโทษพ่อ  ขอโทษน้อง ขอโทษแม่ ขอโทษเพื่อนบ้าน  อีกหน่อยถ้าผมเดินเหยียบขาแมลงสาบแม่คงต้องให้ผมกราบขอโทษแมลงสาบด้วยแน่ๆ ทำไมผมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้วนะ


“โตเป็นควายแล้วเรียนก็จบแล้วแทนที่จะช่วยกันทำงานแบ่งเบาภาระกลับเอาแต่ตะลอนๆ ตั้งแต่เกิดมาเคยคิดจะทำตัวให้มีค่ามั่งมั๊ยนอกจากทำตัวเป็นเศษสวะไปวันๆ”


“พูดแบบนี้เกินไปหรือเปล่าพ่อ ผมไปทำอะไรให้ทำไมต้องหาเรื่องมาด่าได้ทุกวัน” คนเรามีขีดจำกัดในความอดทนใช่มั๊ยครับ ตอนนี้ขีดจำกัดผมมันลดลงไปเรื่อยๆ ทำไมผมไม่รู้สึกอยากเรียกผู้ชายตรงหน้านี้ว่าพ่ออีก ผมจ้องหน้าเขาที่กำลังค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อจะเข้าห้องของตัวเอง


แต่ยังไม่ทันจะขึ้นได้ถึง 5 ขั้นเลยความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นริ้วจี๊ดๆที่หัวและบริเวณหลังไหล่ตามด้วยเสียงหวีดร้องของแม่


“กรี๊ดดดดดดดด.....อย่าคุณอย่าทำลูก”


“มันไม่ใช่ลูกกู” เสียงที่ได้ยินและความเจ็บที่ได้รับทำให้ผมหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นและทันทีที่หันไปหัวไม้กอล์ฟเบอร์ 1 ก็ฟาดเป้งเข้าที่ขมับซ้ายของผมอย่างจังๆ


“โอ๊ย!!” ผมยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกเหมือนมีอะไรเปื้อนมือเป็นของเหลวหนืดๆทำให้ผมต้องแบมือออกดู ไม่ต้องเดาก็คงจะรู้นะครับว่าคนที่ถูกแม่ของผมดึงให้ถอยห่างผมปากก็พร่ำด่าด้วยสารพัดสัตว์และอวัยวะของสงวนในร่างกายทำผมหัวแตก


“ไปเลยนะไอ้กาฝากไสหัวไปจากบ้านกู กูทนเลี้ยงไม่ไหวแล้วคนที่เป็นต้นเหตุให้ลูกกูเจ็บตัวแล้วยังกล้ามาเถียงกูฉอดๆ ออกไปเลยคนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่องเลวกว่าหมากูไม่เลี้ยงแล้ว”


“พ่อครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับถ้าโกรธมากๆเดี๋ยวความดันขึ้นนะ” หมอกที่ยืนรอจังหวะประจบรีบเข้าไปดึงไม้กอล์ฟออกราวกับหวังดี ผมมองภาพนั้นพลางกัดฟันกรอด รอยยิ้มเยาะจากน้องชายเพียงคนเดียวทำเอาคลื่นความน้อยใจสั่นสะเทือนในกายผม


“แม่บอกแล้วใช่มั๊ยเมฆว่าให้ขอโทษทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ด้วย” อีกครั้งที่คนที่แม่เลือกจะฟังไม่ใช่ผม ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าระหว่างเลือดบนหัวกับน้ำตาของผม อะไรมันจะมีมากกว่ากัน


แม่ครับ..ผมเป็นลูกแท้ๆของแม่นะครับผมก็เป็นลูกคนหนึ่งของแม่เหมือนกัน  แต่ทำไมไม่มีซักครั้งที่แม่จะปกป้องผมล่ะครับ


ทำไมไม่เคยที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าสำหรับแม่แล้วผมมีค่า  ผมปาดน้ำตาทิ้งด้วยมือเปื้อนเลือดที่พ่อเลี้ยงพร่ำพูดอยู่ตอนนี้ว่าเอาเลือดชั่วมันออกมาล้างตีนซะบ้าง  เลือดในตัวของผมมันคงชั่วจริงๆสินะครับแม่ถึงไม่รักผมเลย  ผมผลุนผลันลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งขึ้นห้องไป


เสียงกร่นด่ายังคงตามหลังมา  แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว  ผมกระชากประตูห้องเปิดก่อนจะกระแทกปิดมันแบบไม่คำนึงถึงมารยาท


ปัง!!!!


ทันที่ที่เข้ามาในห้องผมก็เปิดตู้แล้วรวบเสื้อผ้าเท่าที่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ของผมจะใส่ได้สมุดบัญชีธนาคาร บัตรเอทีเอ็มรวมทั้งเงินสดที่ผมมีถูกยัดใส่กระเป๋ามาด้วย พอกันที...กับที่ๆไม่มีใครต้องการผม  พอกันที่กับบ้านที่ร้อนราวขุมนรก


ผมเดินเร็วๆผ่านสามคนพ่อแม่ลูกนั้นออกจากบ้านคว้าจักรยานที่ผมเก็บเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมกระโดดคร่อมแล้วปั่นออกมาโดยไม่หันไปมองเสียงร้องเรียกของแม่อีกเลย



ในเมื่อที่นี่ไม่ต้องการผม ผมก็จะไม่ขออยู่ ผมจะไม่มีทางกลับมาเหยียบบ้านนี้อีกเด็ดขาด  จนกว่าวันหนึ่งที่ผมได้ดีแล้วทุกคนจะยอมรับยอมสยบให้กับผม ลูกเป็ดตัวนี้คงต้องออกจากฝูงนับแต่วันนี้เป็นต้นไป  ถ้าขนไม่ผลัดลอกใหม่เป็นขนหงส์  อย่ามาเรียกผมว่าภาคินัย





ผมมองถนนซ้ายทีขวาที  เที่ยงคืนกว่า...เลือดบนหัวของผมมันแห้งจนตกสะเก็ดไปแล้ว  แต่ตอนนี้ผมกำลังเคว้ง... ซ้ายคือทางไปห้องของไอ้ปัด  ส่วนทางขวา...ผมไม่รู้อนาคต  ผมยืนชั่งใจราวสิบนาทีก่อนจะเบนหัวรถไปทางขวา


เวลาดึกขนาดนี้ผมไม่ควรไปหาไอ้ปัดมันหรอก  มันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวอีกอย่างผมรบกวนมันมากพอแล้วผมปั่นจักรยานผ่านย่านชุมชนที่มีอาหารตั้งขายมากมายลัดเลาะไปจนถึงสวนสาธาณะเล็กๆเตะขาหยั่งจอดจักรยานไว้โคนต้นไม้ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นดินเป้าใบใหญ่ที่ใส่สมบัติทั้งหมดของผมหล่นตุ๊บลงข้างตัวผมชันเข่าขึ้นมาก่อนจะ....


“ฮืออออออออออออออออ” ผมรู้...เป็นผู้ชายไม่ควรมาร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบนี้ แต่มันถึงที่สุดของผมแล้วจริงๆ


ผมไม่ได้ร้องไห้ให้ใครเห็น  ผมแค่ร้องไห้กับตัวเอง  ตามลำตัวแผ่นหลังหัวไหล่ของผมมันชา ผมไม่รู้ว่าเขาใช้ไม้กอล์ฟฟาดผมกี่ที  ผมผิดเหรอที่ไม่ได้เกิดมาเป็นลูกของเค้า ผมผิดเหรอที่ผมแค่อยากพูดอะไรเพื่อเป็นการปกป้องตัวเองบ้าง ผมผิดตรงไหน


“แม่ง ชีวิตแม่งก็เฮงซวยงี้แหล่ะ” ไม่ใช่เสียงผมนะครับ...เสียงใครวะ ผมเงยหน้าจากเข่าก่อนกวาดตามองไปรอบๆ ดึกขนาดนี้นอกจากผมแล้วยังมีใครมาอยู่ที่นี่อีก คงเป็นเพราะผมไม่ได้ดูให้ดีตอนที่เดินเข้ามาตอนนี้พอมองอ้อมไปอีกฝั่งของต้นไม้สิ่งแรกที่ผมเห็นคือกระป๋องเบียร์อย่างเกลื่อนอ่ะ


ถึงแม้อาชีพที่บ้านจะไม่ใช่เกษตรกรแต่ตอนนี้จอบเสียมผมพร้อมแล้วนะ ต่อมเผือกของผมทำงานวิ๊งๆจนอดรนทนไม่ได้ชะโงกหน้าไปดูคนที่ตัดพ้อว่าชีวิตเฮงซวย


ผมคิดว่าเสียงเค้าคุ้นๆนะ  เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน  และทันทีที่เห็นหน้าคนเมาปลิ้นลิ้นไก่สั้นที่เริ่มบ่นพึมพัมถึงสภาพดินฟ้าอากาศค่าเงินแปรปรวนไปจนถึง


“คนเราแม่ง...ว่าคบผู้หญิงโดนหลอกแล้ว คบผู้ชายแม่งยังทิ้งกู ฟายเยอร์ แม่ง มึงยังไม่เคยชิมกูเลยเสือกบอกกูจืดชืด ทำไมอ่ะนมกูก็มีถึงจะแบนแล้วเค้าเรียกนมมั๊ยอ่ะ มาบอกว่าถ้าวันหนึ่งกูโกรธแล้วกูจะเอามีดเฉือดจู๋มึงขึ้นมามึงจะเอาอะไรใช้ คิดได้เนอะคนเรากูเป็นหมอนะไม่ใช่ฆาตกรโรคจิต เดี๋ยวจับฉีดฟอร์มาลีนแม่งเลยไอ้คว๊ายยยยย!!!”


โลกกลมเกิ๊น คุณหมอจิณณ์!!”


“เหยดดดดดดดดดดด....ผี!!!” ทันทีที่ผมเอ่ยเรียกชื่อหมอจิณณ์แพทย์ที่จะเป็นคนผ่าตัดให้ผม คนเมาที่ตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำก็หันมามองผมแล้วอุทานออกมาด้วยถ้อยคำระคายหูอย่างแรง ผมรู้สึกอยากจะเตะหมอขึ้นมาทันทีทันใด คุณหมอคนสวยคลานสี่ขาหนีตายอย่างตกใจสุดขีด


“หมอนี่ผมเองครับ ภาคินัย” ผมแนะนำตัวหวังจะให้คนเมาจำได้


“ภาคินัยภาคิควายอารายที่ไหนไม่รู้จัก อย่าเข้ามานะโว๊ยถึงไม่มีพระแต่กูมีตีน หลอกกูเดี๋ยวกูเตะขาดสองท่อน รู้จักป่าวพี่จิณณ์แข้งทองอ่ะ”


เป็นชุด...ผมเขยิบเข้าไปใกล้กับคุณหมอที่ง้างเท้ารอ  จับขาแล้วออกแรงดึงเข้ามาใกล้


“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก.........ปล่อยนะโว๊ย แม่จ๋าช่วยจิณณ์ด้วยผีจับขาจิณณ์...”


ครับ...พี่จิณณ์แข้งทอง  ครับ  พี่จิณณ์ไม่กลัวผีแต่พี่จิณณ์แหกปากร้องซะจนผมเห็นลิ้นไก่สั่นสะเทือนราวๆ 7.4 ริกเตอร์


“ชู่วววววววว...หมอครับ หมอ” ผมตะปบลงบนปากที่เอาแต่แหกปากราวคนเสียสติ หมอทำตาโตใส่ผมพยายามดีดดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากการจับกุมของผม


คนอาร๊าย... เมื่อกลางวันยังชมว่าผมเบ้าหน้าดีมาแต่กำเนิด แต่ตอนนี้ตอนที่ครองสติไม่อยู่เอาแต่แหกปากร้องว่าผมเป็นผีอยู่นั่นแหล่ะ  หมอตอแหลกันนี่หว่า  นี่ผมเคืองจริงๆนะเนี่ย


ดิ้นกันไปปล้ำกันมาซักพักหมอก็ตีมือผมพลางพยักหน้าผมเห็นหมอสงบลงไม่ดิ้นนั่งนิ่งจึงชั่งใจว่าควรจะเอามือออกจากปากหมอดีมั๊ย  ในที่สุดผมก็ละมือออกมาแล้วรีบเขยิบให้พ้นวิถีแข้งทันที


“หมอจำได้แล้ว คนไข้ของหมอนี่หว่า” หมอขยี้ตาไปมาก่อนจะร้องบอกออกมามันทำให้ผมยิ้มรับ


“แล้วนี่มานั่งร้องไห้หาแม่อะไรตรงนี้เนี่ย เลือดเต็มหน้าเลยนึกว่าผีหลอก” หมอเอ่ยทักผมซะผมสะดุ้งผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอาวะเล่าให้คนเมาฟังพรุ่งนี้เช้ากคงจำอะไรไม่ได้หรอก


“ชีวิตแม๊งก็งี้แหล่ะ  เฮงซรวยยยยยยยยย”


“เออ....โผมก๊อว่ายางง๊านแหล่ะ แม๊งทำดีแทบตายสุดท้ายได้รางวัลเป็นหัวไม้กอล์ฟ”


“เออๆ...แม๊งนี่ถ้าหมออยู่ด้วยนะร๊าบรองจาเตะให้เอวเคล็ดเลยเป็นพ่อเลี้ยงมีเสดอารายมาตีวะ นี่แจ้งปวีณาจับได้เลยนะเนี่ยทำร้ายเด็กและซาตี ทามมายก่อนออกมาไม่ทำต้มฟักให้มันกินวะ”


“ฟ๊ากอารายอ่ะหมอนี่ออกมาทันโดนกระทืบอีกรอบก๊อบุญแหล่วววว”


“ฟ๊ากกกกกกกกยู๊วววววววววว งาย โง่ไปได้”


“หมอแม่งโคตรเข้าใจโผมเลยน่ารักสัดๆ”


“เอ้าโชนแก๊วววววววววว”


ในมุมมืดของสวนสาธารณะเล็กๆ  คุณหมอตัวเล็กที่เพิ่งถูกแฟนหนุ่มที่คบกันมาได้ 3 เดือนบอกเลิกกับเด็กหนุ่มที่หนีออกจากบ้านพร้อมจักรยานและกระเป๋าเป้ก็ยกกระป๋องเบียร์ที่ผลัดกันไปซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเป็นรอบที่ 3 กระป๋องเบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่าถูกโยนทิ้งเมื่อดื่มหมด


“แล้วหมา...เอ๊ย...หมอมาทำอารายโตงนี้เนี่ย”


“พูดแล้วมันเศร้าขอร้องไห้แพ๊บ” หมอคนสวยเบะปากก่อนจะส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กน้อยวัย 9 ขวบ หมดมาดคุณหมอวัย 29 ลงทันที เมฆประคองศีรษะทุยของคุณหมอคุณสวยให้มาซบไหล่ตัวเองก่อนตบไหล่ลูบไหล่ราวกับผุ้ใหญ่ปลอบใจเด็กน้อย


“โอ๋เอ๋ ร้องไห้มากๆตาบวมน๊า ถ้าหยุดร้องเดี๋ยวพี่จะพาไปซิ่ง”


“นี่...นายว่าหมอหล่อป่ะ หมอหน้าตาดีม๊ะ ดีสิเนอะก็เมื่อกลางวันนายยังชมว่าหมอน่ารัก แล้วดูดิ๊ หมอน่ารักขนาดนี้ ยังมีควายตัวโตๆทิ้งหมอได้ลงคอแม่งโคตรโง่เลย ทำไมอ่ะนมหมอก็มีเหมือนยัยผู้หญิงคนนั้น รูหมอก็มี ยัยนั่นมีจิ๋มหมอก็มีจู๋อ่ะ มันก็จอๆจ๋อๆเหมือนกันทำไมเค้าถึงเลือกยัยนั่นไม่เลือกหมออ่ะ แม๊ง ควายเผือก” คุณหมอคนสวยกระดกเบียร์อีกรอบก่อนจะโยนกระป๋องเปล่าทิ้งแล้วควานมือเข้าไปในถุงพลาสติก


“อ่าวหมด...นี่นาย ป่ะ ไปต่อห้องหมอ ห้องหมอมีท้างเบียร์ท้างเหล้า ซัดให้หมดไปเล๊ย” จิณณ์ลุกขึ้นจากอ้อมกอดของคนตัวดำที่เริ่มจะคอพับคออ่อนเพราะความมึนจากแอลกอฮอล์ ปกติเมฆไม่ใช่คนดื่มจะมีกินบ้างพอเป็นพิธีแต่วันนี้ที่ยอมนั่งกินกับคุณหมอเพราะตัวเองก็มีเรื่องกลุ้มใจเหมือนกัน


ที่สุดเมื่อหมอหนุ่มลากให้คนตัวหนักลุกคนตัวสูงก็เดินเซแซ่ดๆกวักมือเรียกให้หมอเดินตามตนมา


“หมอมานี่ เดี๋ยวขับโรดปายโส่งงงงง”


“โรดอารายอ่ะ”


“บีเอ็ม” เมฆเรอเอากลิ่นระมุดออกมาก่อนจะตอบสั้นๆ


“โห...รวยนี่หว่ามีบีเอ็มขับ รุ่นไหนอ่ะ หมอก็มี”


“บีเอ็มเอ็กซ์”






“หวา..........ทามมายโลกมันโคลงเคลงยางงี้หวา” เสียงคุณหมอคนสวยโวยวายเมื่อรู้สึกถึงความโคลงเคลงของรถที่นั่ง


“หมอ หยับตูดหน่อยดิ๊เนี่ย เป้าหมอบังทางผมมองไม่เห็น” เมฆพยายามสอดส่ายตาเพื่อมองถนน บรรดารถยนต์ที่แล่นผ่านไปผ่านมาได้แต่บีบแตรเสียงดังใส่


“บีบหาพ่อมึงเหรอ เดี๋ยวๆเดี๋ยวเตะอัดกำแพง” คุณหมอคนสวยตะโกนด่าตามหลังรถเหล่านั้นไป


ก็จะไม่ให้เขาบีบแตรด่าได้ยังไงในเมื่อจิณณ์เล่นนั่งบนส่วนหัวรถแถมหันหน้าเข้าหาเมฆ  ในขณะที่คนปั่นก็โงนไปเงนมารถจักรยานจึงส่ายราวงูเลื้อย  และเพียงไม่นาน


โครม!!!


“โอ๊ยยยยยยย” หมอหนุ่มที่ลงไปนอนกองกับพื้นโดนแฮนด์จักรยานจูบท้องกับเมฆที่กลิ้งลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่แถวคูน้ำข้างทางร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน คอนโดของจิณณ์อยู่ไม่ไกลแต่คนเมาดันรถล้มซะก่อน ปั่นกันมาได้ถึงขนาดนี้ถือว่าพระเจ้ายังเมตตาต่อสัตว์โลกตัวน้อยๆเหลือเกิน จิณณ์คลำข้อศอกตัวเองป้อยๆก่อนจะค่อยๆคลานมาหาเมฆที่ขยับตัวลุกขึ้น


“หมอลืมไปเดี๋ยวนี้รัฐบาลเค้ามีโครงการเมาไม่ขับ”


“ตลกแระ เมาไม่ขับแล้วกูจะกลับยางงาย”


“กลับแบบนี้ไง”


“หนึ่ง ซ๊อง หนึ่ง ซ๊อง หนึ่ง ซ๊อง ออกแรงหน่อยถึงแล้วๆ” เสียงคุณหมอที่นับจังหวะอย่างสม่ำเสมอดังจนยามที่แอบงีบสะดุ้งตื่น ภาพที่ยามวัยชราเห็นก็คือคุณหมอหนุ่มกับผู้ชายตัวสูงมีคราบเลือดติดเกรอะกรังบนซีกหน้าและเปรอะเปื้อนถึงไหล่เสื้อกำลัง “แบก” จักรยานคันใหญ่มาที่ลานจอดรถ พอถึงที่ว่างคุณหมอหนุ่มหน้าสวยกับผู้ชายตัวสูงผิวคล้ำก็โยนจักรยานโครมพลางเดินเซแซ่ดๆมาหายาม


“ลู๊ง ฝากรถด้วยนะอย่าห้ายหายล่ะ นี่บีเอ็มเชียวน๊า บีเอ็มเอ็กซ์ ฮ่าๆๆๆๆ”


ผมเดินตามคุณหมอขึ้นมายังห้องๆหนึ่ง  ชั้นที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้อ่ะหมอพาผมแวะหลายชั้นจนแทบอ้วกในที่สุดคีย์การ์ดก็ถูกเสียบที่หน้าห้องๆหนึ่ง  ไฟในห้องถูกเปิดสว่างก่อนที่เราทั้งคู่จะสลัดรองเท้าไปคนละทิศละทางหมอจิณณ์เดินไปที่ครัวเล็กๆก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบเหล้าเบียร์สารพัดออกมาแล้วกวักมือเรียกให้ผมไปช่วยแบกออกมาวางบนโต๊ะ  เรานั่งข้างกันบนโซฟาสีแดงสด เราสองคนต่างคนต่างยกต่างคนต่างกินโดยไม่พูดอะไรกัน


“ฮึก...” อยู่ๆเสียงสะอื้นเบาๆก็ดังมาให้ได้ยินผมหันขวับไปมองก็พบกับคุณหมอของผมกำลังร้องไห้


“เฮ๊ยหมอ ร้องไห้ทำไม”


“หมอป่าวร้องน้ำตามันไหลเองอ่ะทำไงดี” หมอตอบผมพลางเช็ดน้ำตาป้อยๆ แต่สงสัยมือหมอจะไม่พอเช็ดหมอหันรีหันขวางก่อนจะหันมาทางผมแล้วยกชายเสื้อของผมขึ้นแล้ว....


ปื๊ดดดดดดดดดดดดดด..ฟุ๊ดฟิ๊ดๆ สั่งขี้มูกขนาดนี้คงไม่ต้องซักแล้วล่ะ  โยนทิ้งแม๊งเลย


“ทำไมเค้าทิ้งหมออ่ะหมอไม่ดีตรงไหนอ่ะ หมอตามใจเค้าทุกอย่างเลยนะเว๊ยแต่แบบแม่งทิ้งไปเพราะบอกว่าเราเข้ากันไม่ได้อยู่กับยัยนั่นแล้วเค้ามีความสุข อยู่กับหมอเค้ากลัวว่าวันหนึ่งถ้าทะเลาะกันเค้าจะโดนหมอฆ่าตัดตอ หมอเจ็บจังเลย มันเจ็บตรงนี้อ่ะ ฮึก” คุณหมอกระชากคอเสื้อของผมก่อนจะซบหน้าร้องไห้จนตัวโยนกายของคุณหมอสั่นเทาผมได้แต่กอดปลอบไว้อย่างนั้น


ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าคนเราฉากหน้าดูมีความสุขมีชีวิตชีวาแท้จริงแล้วทุกคนมีเรื่องให้คิดให้ไม่สบายใจกันทั้งนั้น  ผมเชยคางคุณหมอขึ้นมาจ้องดวงตาใสแป๋วที่คลอไปด้วยหยดน้ำ  ริมฝีปากแดงสั่นระริก  จมูกโด่งแดงก่ำจากการใช้หลังมือขยี้เวลาที่น้ำมูกมันมาทำให้คัดจมูก

“ไหน....ใครมันบอกว่าคุณหมอจืดชืด....เดี๋ยวผมจะชิมเองว่าจริงๆแล้วคุณหมอจะจืดชืดหรือจัดจ้านกันแน่”


แล้วโดยไม่รู้ตัวเหมือนริมฝีปากอิ่มจะเชิญชวนซะเหลือเกินผมค่อยๆเชยคางคุณหมอขึ้นแล้วโน้มหน้าของตัวเองลงไปเรื่อยๆ  ช้าๆ จนกระทั่งภาพที่เห็นคือคุณหมอจิณณ์ค่อยๆปิดเปลือกตาลงและริมฝีปากของเราแนบสนิทติดกันราวกับถูกทาด้วยกาวตราช้าง...ริมฝีปากที่ตั้งใจจะแค่กดจูบลงไปเฉยๆ     เพราะคนตัวสูงเองก็ด้อยประสบการณ์ 


แหง๋ล่ะเกิดมา 22 ปีไม่เคยมีแฟนกับเค้าซักคนนี่นา  เมฆแตะปากลงบนปากนุ่มของคุณหมอหน้าหวานความนุ่มหยุ่นราวกับเจลลี่ทำให้เผลอส่งปลายลิ้นออกมาเลียที่กลีบปากเบาๆแต่นั่นกลับทำให้คุณหมอคนสวยเปิดปากจนปลายลิ้นสัมผัสกับซี่ฟันซี่เล็กที่เรียงระเบียบสวย


หวานจัง...เมฆผละริมฝีปากออกมองภาพคนตัวเล็กที่ปรือตามองริมฝีปากอิ่มชื้นวาวด้วยน้ำลายจากปลายลิ้นของเขาดูยั่วยวนเมฆบดเบียดริมฝีปากของตัวเองลงไปอีกครั้ง  ปลายนิ้วก็กรีดตามแนวกระดูกสันหลังของคนตัวเล็กจนร่างบางผวาเฮือกด้วยความรู้สึกร้อนแปลก   อกบางเด้งขึ้นชิดกับอกแกร่งตวัดแขนโอบรอบลำคอกดให้ท้ายทอยของชายหนุ่มบดเบียดกับตัวเองมากขึ้น  เมฆส่งปลายลิ้นดุนซี่ฟันเบาๆคุณหมอหนุ่มก็เปิดทางให้ความนุ่มหยุ่นมีกลิ่นแอลกอฮอล์นั้นเข้ามาสำรวจมากขึ้น ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวกับปลายลิ้นของคนตัวโตกว่าอย่างหยอกล้อก่อนจะกลายเป็ยจูบหนักหน่วงที่ผลัดกันบดคลึงดูดดึงฝ่ามือหนาเริ่มอยู่ไม่สุขเมื่ออารมณ์ดิบภายในกายเพิ่มมากขึ้นเมฆดันคุณหมอคนสวยให้นอนราบลงกับโซฟานุ่ม  ฝ่ามือแกร่งลูบไล้เรือนกายของคุณหมอตามอารมณ์ที่ถูกธรรมชาตินำพา  จิณณ์ปัดป่ายมือไปทั่วจนถูกโต๊ะที่มีขวดเบียร์ขวดเหล้าวางอยู่จนมันตกลงไปเกลื่อนพื้นยามที่ฝ่ามือหนาเลื่อนมาลูบไล้ยอดอกผ่านเนื้อผ้า   


“อื้อ...จับ..จับเลย มัน สะ...เสียวจัง” คุณหมอหน้าหวานจับมือที่กำลังจะป่ายไปทางอื่นให้มาจับที่หน้าอกตนอีกครั้ง เมฆยิ้มให้กับคนใต้ร่างก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อของคุณหมอแล้วถอดมันออกรวดเดียวจนหมด ผิวกายขาวละเอียดปรากฏต่อสายตาทำเอาคนเมาที่อายุน้อยกว่ากลืนน้ำลายดังเอื๊อก   


อยากสูงให้ดื่มนม...คิดได้ดังนั้นคนเมาก็เลื่อนใบหน้าของตัวเองลงมาที่อกขาวที่ประดับด้วยเม็ดทับทิมสีเนื้อก่อนจะตวัดปลายลิ้นชิมยอดอกที่แข็งชูชันตอบสนองทันทีที่ความชื้นเย็นวูบวาบตวัดผ่าน   


“อื้อ...ดูดเลย...” ทันที่ที่ได้รับคำอนุญาตเมฆก็ครอบครองยอดอกแบนราบนั้นทันที ขบเม้มกดจูบใช้ปลายลิ้นละเองอย่างด้อยประสบการณ์แต่ก็นำพาความเสียวซ่านพอให้คุณหมอคนสวยร่อนเอวไปมาเสียงครางหวานดังกระท่อนกระแท่นฝ่ามือนุ่มขยุ้มผมของเมฆจนแทบจะหลุดติดมือเพื่อระบายอารมณ์   


“อ๊าห์!!!” คุณหมอคนสวยเชิดหน้าส่งเสียงครางลั่นเมื่อเมฆกัดและดึงหัวนมของตนก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ  กายบางแดงระเรื่อด้วยแรงอารมณ์เป็นภาพที่สวยงามคนหนุ่มที่เลือดในกายเริ่มพุ่งพล่านลูบไล้ยอดอกที่แกงก่ำจากการกัดของตัวไล้เรื่อยจนถึงหน้าท้องแบนราบกดจูบที่สะดือหลุมงามก่อนจะค่อยๆปลดตะขอรูดซิปกางเกงของจิณณ์ออก  ซึ่งหมอหนุ่มเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเมื่อร่างกายของตนเปล่าเปลือยจึงดึงเสื้อปลดกางเกงของเมฆออกจนล่อนจ้อนเช่นเดียวกับตน


เสื้อผ้าถูกเหวี่ยงให้พ้นทางก่อนทั้งสองจะกลับมาแลกน้ำลายกันอีกรอบ  มือหนาเลื่อนลงไปลูบแกนกายขนาดกำลังเหมาะมือจนหมอหนุ่มสะท้านก่อนที่ข้อมือที่ใช้ชู๊ตบาสทุกวันจะขยับรูดรั้งความแข็งตึงแน่นมือช้าๆจนคุณหมอตัวเล็กสูดปากด้วยความเสียวซ่าน 

   

“อ๊ะ....อื้อ...แรงอีกนิด  เร็วหน่อย” เสียงร้องขอให้เพิ่มจังหวะและน้ำหนักมือทำให้เมฆเร่งสปีดมากขึ้น  ความเสียวที่แล่นไปทั่วร่างทำให้ขาที่ชันกับพื้นโซฟากว้างขึ้นปลายเท้าจิกกับพื้นเบาะนุ่มสองมือขยุ้มทั้งหัวทั้งไหล่ของคนที่กำลังปรนเปรอตนเองอยู่จนเลือดซิบ  ในที่สุดเมื่อถึงจุดสุดยอดร่างบางเกร็งก่อนจะพ่นน้ำขาวขุ่นออกมาเลอะหน้าท้องตัวเองและเมฆรวมทั้งมือแกร่งของชายหนุ่มก็เปรอะไปด้วยหยาดหยดของอารมณ์บางส่วนไหลไปถึงช่องทางสีสดที่ขมิบไปมาเพราะความต้องการที่มากกว่ามือ


เมฆมองผลงานของตัวเองด้วยความพอใจคุณหมอคนสวยนอนอ่อนระทวยใต้ร่างเขาตัวแดงเป็นกุ้งผิวแก้มใสแดงก่ำริมฝีปากฉ่ำวาว  แกนกายตั้งชันกระตุกหงึกหงักรวมทั้งช่องทางลับที่มีน้ำรักไหลเปรอะทำให้คนตัวสูงค่อยๆใช้ปลายนิ้วแหย่เข้าไป 

 

“อ๊ะ!!!” เสียงคุณหมอหนุ่มร้องอย่างตกใจที่มีสิ่งแปลกปลอมกำลังยุ่มย่ามกับประตูลับของตน ทันทีที่เปิดเปลือกตาคุณหมอหนุ่มกลับเห็นภาพของคนใจร้ายที่ทิ้งตัวเองไปซ้อนทับกับภาพของคนที่เพิ่งปรนเปรอความสุขให้กับคน                       

       

“ถ้ากูจืดชืดก็อย่ามาฟันกูนะไอ้ควาย!!!”                     

         

ผลั่ก!!!                 


โครม!!!!!


คร่อก!!!             


ฝ่าเท้าที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ถีบเต็มๆยอดอกของคนที่กำลังตั้งใจส่งนิ้วเข้าถ้ำจนคนตัวสูงกระเด็นออกไปจากตัวร่างสูงหงายหลังตามแรงถีบลงไปหัวฟาดกับขอบโต๊ะ  โคตรซวยที่มันเป็นตรงมุมส่วนสามเหลี่ยมพอดี  ทำให้คนเมาไม่มีสติก็กลายเป็นหมดสติทันที


คุณหมอคนสวยลุกพรวดหยัดเท้ายืนบนพื้นโดยไม่ทันมองว่ามีบรรดาขวดเบียร์หล่นระเกะระกะอยู่ความลื่นของขวดทำให้จิณณ์ล้มก้นจ้ำเบ้า เคราะห์หามยามซวยทีมีขวดเบียร์บางขวดหล่นในแนวดิ่งจึงทำให้ก้นงามงอนกระแทกกับปากขวดจนเจ้าตัวร้องซี๊ดดดดดดด     


“โอ๊ย...ซี๊ดดดดดดด  เจ็บตูดแม่ง” คุณหมอคว้าขวดเบียร์ที่เกือบแทงเข้าถ้ำตัวเองเขวี้ยงไปอีกทาง  ร่างบางยันตัวลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก  เห็นคนที่นอนสลบเป็นอดีตคนรักก็ง้างเท้าจะเตะ  แต่เพราะดื่มไปเยอะสติสัมปชัญญะน้อยลงทำให้เสียหลักพอยกเท้าก็ล้มแผละลงบนอกแกร่งพอดีหัวกลมทุยก็โขกกับขอบโต๊ะมุมเดียวกับที่เมฆโดนความมึนแล่นจากหน้าผากสู่สมองคุณหมอหนุ่มตาลอยกรอกไปกรอกมาก่อนจะซบแผล่ะกับอกของเมฆสลบตามกันไปในทันที       


“เอิ๊กกกกก.......คร่อก!!!”     

 


..............................



โถ................สลบเหมือด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2018 21:52:04 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
จังหวะซิทคอม

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ๊ยยยยหมอ555555 :mew2:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
อารายของพวกเจ้า !!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ตื่นมาต้องมีโวยวาย555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ maxtorpis

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1442
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-4

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ลูกเป็ดขี้เหร่[:4:]


แสงที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างในยามบ่ายแก่ๆไม่ได้มีผลให้คนสองคนที่นอนเกยก่ายหาไออุ่นซึ่งกันและกันขยับตัวตื่นขึ้น  แทนที่ความร้อนจะทำให้คนทั้งคู่ตื่นขึ้นมามันกลับทำให้ร่างทั้งสองร่างยิ่งอิงแอบแนบกันมากขึ้น


“อื้ออออ” เสียงคุณหมอหน้าสวยครางออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อมีเสียงของเครื่องมือสื่อสารดังรบกวนการนอนมือขาวป่ายปัดมั่วไปหมดคุณหมอคนสวยปรือตาขึ้นกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนจะหลับตาลงอย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสงจ้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา  โทรศัพท์ที่แผดเสียงยังคงนอนนิ่งห่างจากปลายเท้าไปจนสุดเหยียด


“ช่างแม่งคนจะนอน” คุณหมอหน้าสวยเคี้ยวน้ำลายแจ่บๆใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายที่ไหลย้อยจากมุมปากลวกๆก่อนจะหลับตาพริ้มกอดคนใต้ร่าง


“ว่าแต่กูเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” ความคิดหนึ่งวูบเข้ามาในสมองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าริงโทนโทรศัพท์ไม่ใช่เพลงเดิมที่ตัวเองใช้


“ช่างแม่ง สงสัยเผลอเปลี่ยนตอนเมา” ว่าแล้วคนที่ยังเมาค้างก็หลับตาลงอีกครั้งถอนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย


“เจ็บหัวแม่ง” อดบ่นไม่ได้เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบๆที่หน้าผากแต่ก็ยังคงหลับตานิ่งอย่างคนพยายามที่จะหลับอีกครั้ง


คร่อกกกกกกกกกกกก


“หืม??” คุณหมอหนุ่มขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์เมื่อมีเสียงแปลกๆดังขึ้น


“ใครกรนวะ....กูยังไม่ได้หลับ?”  ความคิดที่ทำให้หมอจิณณ์ผงกหัวขึ้นมาดู  แต่ยังไม่ทันจะกระจ่างอะไรมือของใครบางคนก็ลูบสะโพกตัวเองไปมา


“เหยดดดดดด” ทันทีที่มองลงไปข้างใต้ร่างของตนหมอจิณณ์ก็ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่นจนคนที่ลูบบั้นท้ายเขาอยู่อย่างเพลินมือรู้สึกตัวตื่นขึ้น


“ซี๊ดดดดดดด” เสียงซี๊ดปากก่อนจะคลำท้ายทอยตัวเองป้อยๆ ตามร่างกายปรากฏรอยเขียวๆม่วงๆจางบ้างเข้าบ้างแทบจะทั่วตัว


“เฮ๊ย!!!” เสียงของคนทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกันเมื่อต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วนิ่งราวกับกำลังประเมินผลในสมองจากนั้นทั้งคู่ก็เด้งตัวออกจากกันราวกับถูกดีด จิณณ์ชี้หน้าคนไข้ของตัวเองก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่ยังเรียกสติได้ไม่เต็มดี


“คุณมาอยู่ในห้องหมอได้ยังไง”


“ผมไม่รู้ผมจำได้ว่าเจอคุณหมอเมาอยู่ที่สวนสาธารณะแถวบ้าน”


“เดี๋ยวนะ แล้วคุณแก้ผ้าทำไม” คุณหมอหนุ่มเอ่ยถามเมื่อสังเกตได้ว่าเมฆไม่ได้ใส่เสื้อผ้า


“หมอก็ไม่ได้ใส่เหมือนกัน” จิณณ์หลุบตามองร่างกายของตน เปลือยทั้งตัว...ตามร่างกายมีรอยช้ำสีแดง...ที่หน้าท้องและเรียวขามีคราบบางอย่างติดอยู่..


“เฮ๊ย!!!~”เป็นอีกครั้งที่คุณหมอหนุ่มอุทานคำนี้ จิณณ์ทะลึ่งพรวดลุกขึ้น เจ็บตูดด้วยอ่ะ....เหี้ยแล้ว...ชัดเลยแม่ง…





ผลั่ก!!!!




“มึงทำอะไรกู” ตีนไวกว่าปาก...คำๆนี้ผมเพิ่งรู้ซึ้งเมื่อฝ่าเท้าเรียวงามน่องขาวๆที่มีมัดกล้ามนั้นประเคนเข้ามาเต็มๆกลางอกผม


คุณหมอที่แสนน่ารักสุภาพเมื่อวันก่อนหายไปไหน  ผมอยากจะคราย  หัวก็เจ็บ  ตัวก็ปวด  ต้องมานั่งเปลือย  แถมตื่นมายังได้กินเท้าเป็นอาหารอีก…ผมผิดอะไร


“ผมไม่รู้”


“ไม่รู้แล้วนี่อะไร นี่รอยอะไร นี่คราบอะไร ใครทำถ้าไม่ใช่นาย”


“ผมไม่รู้”


“จะรู้อะไรมั่งเนี่ย  ฉันเจ็บตูดนายนอนสบายอ่ะเหรอ”


“ผมไม่รู้”


“แล้วนี่เสื้อผ้ากูอยู่ไหนเนี่ย”


“ผมไม่รู้”


“โว๊ย....ถ้ายังพูดคำนี้อีกครั้งจะเตะให้กระเด็นเลย”


“ผมไม่รู้”


ผลั่ก!!!!...หมอเค้าเตะผมจริงๆด้วย  ผมแค่หลุดปากตอบไป  เราหันรีหันขวางไปทั่วห้องเพื่อหาชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเต็มห้อง


“หมอครับนั่นกางเกงในของผม” ผมท้วงเมื่อคุณหมอจิณณ์ใช้เท้าหนีบกางเกงในที่ตกอยู่ไม่ไกลขึ้นคลี่สะบัดแล้วสอดขาเข้าไปข้างนึง


“เอาคืนไป” คุณหมอเค้าคืนกางเกงในให้ผมด้วยการใช้ปลายเท้าสลัดมัมาให้ผมครับ แล้วแกก็สลัดแม่นเหลือเกินเมื่อลิงน้อยลอยหวือมาโปะบนหน้าของผม


เป็นเวลาหลายนาทีที่เราควานหาเสื้อผ้าทั่วห้องรับแขกกว้างจนในที่สุดผมก็มานั่ง เจี๋ยมเจี้ยนบนโซฟานุ่มส่วนคุณหมอจิณณ์ยืนพิงผนังกระจกที่มองออกไปเห็นวิว ทั่วกรุงเทพ ในมือเรียวคีบบุหรี่ที่ถูกสูบไปครึ่งมวนแล้ว


กลิ่นนิโคตินอบอวลโดยที่เจ้าตัวได้แต่ทอดสายตาไปข้าง นอกราวกับใช้ความคิดบ่อยครั้งที่มืออีกข้างยกขึ้นลูบก้นตัวเองเบาๆพลางทำสี หน้าปั้นยาก


“เรื่องเมื่อคืนถึงฉันจะจำอะไรไม่ได้ ถึงมันจะเกิดขึ้นจากความเมา แต่ถ้านายเอาไปเล่าให้ใครฟังนายตายแน่เข้าใจมั๊ย” คุณหมอหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลครับ แกยิ้มให้ผมด้วย…แต่ในดวงตาของแกน่ะราวกับมีปืนที่กำลังขึ้นลำอยู่ข้างใน


“เข้าใจมั๊ยครับที่หมอบอก” คุณหมอยังสำทับกลับมาอีกรอบเมื่อผมได้แต่นิ่งเงียบ เอื๊อก...ครับ...ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะค่อยๆพยักหน้ารับ


“ครับ” จะไม่ให้รับคำได้ยังไงล่ะครับก็หนังหน้าของผม ร่างกายของผมน่ะยังต้องฝากไว้กับคุณหมอหน้าหวานคนนี้น่ะสิ เกิดไม่ทำตามที่หมอบอกแกผ่าหน้าผมให้เหมือนตัวกอลลั่มผมจะทำยังไงล่ะ แม่งชีวิตโคตรอันตรายเลย...


เวลานี้ผมนั่งมองการกระทำของคุณหมออย่างไม่เข้าใจ...ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว  ความจริงผมถูกคุณหมอจิณณ์ผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มเฉดหัวตั้งแต่บ่ายสามแล้ว


ผมไม่มีที่ไป...ความรู้สึกมืดแปดด้านเข้ามารบกวนจิตใจของผม ผมไม่รู้จะไปทางไหนดี  ครั้นจะให้ผมไปอาศัยนอนที่หอไอ้ปัดมันก็คงไม่เหมาะ


ถึงจะแสบจะห้าวยังไงแต่ยังไงลูกปัดก็เป็นผู้หญิงถ้ามีผมเข้าไปอยู่ด้วยเสียงครหาย่อมตามมาแน่ๆ  ปากคนยาวยิ่งกว่าปากกา  เสียงเดียวอาจจะไม่ดังเท่าไหร่แต่ถ้าพวกปากลำโพงเอาไปลือกันปากต่อปากคนที่จะเดือดร้อนและเสียหายคือเพื่อนรักคนเดียวของผม


จะให้ไปเช่าบ้านอยู่ถึงผมจะพอมีเงินออมอยู่บ้างแต่มันคงไม่พอสำหรับจ่ายค่ามัดจำบ้านหรอก  ไอ้ที่มีอยู่ในบัญชีจะกินให้มันชนเดือนได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย  ผมไม่ได้มีเงินฝากมากมาย  แค่เจียดไปฝากได้เดือนละนิดละหน่อยเผื่ออยากได้อะไร


คืนนี้และหลังจากนี้ผมคงไปอาศัยนอนตามสวนสาธารณะพร้อมๆกับออกหางานทำหรือไม่ถ้าวันไหนฝนตกผมคงต้องไปนอนที่วัดชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป...ผมถอนหายใจอย่างหงอยๆก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายในสมองก็ครุ่นคิดว่าผมจะไปไหนดี


“คุณหมอครับผมไปแล้วนะครับ” ถึงแม้จะไม่มีทางออกยังไงแต่ผมก็ตัดใจโค้งคำนับให้หมอจิณณ์ก่อนจะยื่นมือไปจับลูกบิดประตู


“เดี๋ยวก่อน...” ผมชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงคุณหมอร้องบอกอยู่ด้านหลัง


“รอก่อน...เดี๋ยวทำแผลให้” คุณหมอว่าเพียงเท่านั้น ผมลังเลอยู่ครู่ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องตามเดิม หมอจิณณ์ที่ยืนอยู่หันหลังเดินไปตรงตู้ยาไม่นานอุปกรณ์ทำแผลแบบง่ายๆก็ถูกวางลงบนโต๊ะกระจก ขวดเบียร์ขวดเหล้าถูกกวาดออกไปก่อนที่คุณหมอจะสั่งให้ผมถอดเสื้อแล้วนั่งลงข้างๆกัน


ถึงแม้บางที่จะมีแผลแต่เวลาที่คุณหมอแตะทิงเจอร์ลงมามันไม่ได้รุ้สึกเจ็บเลย  มือคุณหมอเบามากผมนั่งมองใบหน้าหวานที่จ้องมองรอยบนตัวของผมอย่างตั้งใจไม่รู้ว่าหลุดยิ้มกับภาพน่ารักนั้นไปกี่ครั้ง


“ไปโดนอะไรมา?”


“โดนตีด้วยไม้กอล์ฟครับ”


“ใครทำ?”


“พ่อเลี้ยงครับ”


“ทำไม?” บทสนทนาโต้ตอบของผมกับคุณหมอระหว่างที่แกบรรจงทำแผลให้ผมดวงตาใสแจ๋วจับจ้องรอยต่างๆยามแปะพลาสเตอร์ยาอย่างตั้งใจ


ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้หมอฟังอย่างไม่ปิดบังยามนี้ผมก็แค่อยากระบายสิ่งที่คั่งค้างในใจมานาน....ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ความอยุติธรรมที่มีในครอบครัว


“งั้นหมอว่าคุณก็ตัดสินใจถูกแล้วที่ออกมาเพราะถ้าขืนอยู่หมออาจได้อ่านข่าวคนไข้ของหมอก่อคดีฆาตกรรมแล้วมาทำศัลยกรรมหนีความผิด” ผมรู้ว่าคุณหมอแค่แซวผมเล่นบรรยากาศขุ่นมัวก่อนหน้านี้ค่อยๆจางไป ผมได้แต่จ้องหน้าคุณหมอนิ่ง


“หมอครับ...”


“หืม?” คุณหมอขานรับเบาๆ


“เรื่องเมื่อคืนนี้ผมขอโทษนะครับ” ผมตัดสินใจเอ่ยคำขอโทษออกไป คุณหมอหยุดมือที่กำลังแปะพลาสเตอร์ยาตรงหางคิ้ว ดวงตากลมเสมองไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจหนักๆ


“ช่างมันเถอะ ไม่ได้เสียหายอะไรยังไงหมอก็เป็นผู้ชาย อีกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุเราต่างคนต่างไม่ได้ตั้งใจหมอจะถือซะว่าระหว่างเราไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น”


“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณคุณหมอด้วยความซาบซึ้งใจ


“หมอเองก็ต้องขอโทษที่ทำรุนแรงกับคุณแต่จะว่าไป...มันก็ไม่ได้เจ็บเท่าไหร่นะแสดงว่าคุณเองก็คงไม่ได้รุนแรงกับหมอ คิดว่าครั้งแรกจะเจ็บจนลุกไม่ขึ้นซะอีก” ท้ายประโยคเบาหวิวจนแทบจะจับใจความไม่ได้เหมือนคุณหมอจะพึมพำกับตัวเองซะมากกว่า ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงระเรื่อยามพูดประโยคหลังนั้นออกมา


“ครั้งแรก...” ผมทวนคำของคุณหมอ...นี่แปลว่าผมเป็นคนพรากเวอร์จิ้นของคุณหมอหรือนี่?


โครกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!....อยู่ๆเสียงของบางสิ่งบางอย่างก็ดังทำลายความเงียบผมหันไปมองต้นเสียงคุณหมอหัวเราะแห่ะๆพลางใช้มือลูบท้องไปมา


“สงสัยจะหิว” คุณหมอหน้าสวยลุกจากพื้นเก็บอุปกรณ์ทำแผลก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นที่รกราวกับยัดขยะเข้าไปมากกว่าจะแช่ของที่กินได้


“บะหมี่แล้วกัน” เสียงทุ้มหวานเอ่ยเบาๆ ผมอดที่จะลุกตามไปดูไม่ได้ อันที่จริงผมเองก็หิวเหมือนกันก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็นวาน


“นี่หมอจะทำอะไรครับ?” ผมร้องทักเมื่อคุณหมอแกะซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วใช้มือบุบมันก่อนจะล้วงเส้นบะหมี่แห้งๆนั้นส่งเข้าปาก


“กินบะหมี่ไง” เสียงตอบกลับพลางเคี้ยวกร้วมๆไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลยซักนิด


“ไม่ต้มเหรอครับ?”


“ไม่อ่ะขี้เกียจเดี๋ยวมันก็ไปพองในท้อง”


“ขี้เกียจหรือทำกับข้าวไม่เป็นครับ?”  ผมถามออกไปอย่างสงสัย  คุณหมอหันขวับมามองค้อนๆก่อนจะใช้เท้าดันประตูตู้เย็นปิดดังโครม


ศัลยแพทย์....นพ.จิณณ์  ผู้ปฎิวัติภาพลักษณ์อันดีงามของแพทย์...ผมถือวิสาสะเปิดตู้เย็นที่เพิ่งโดนประทุษร้ายไปเมื่อครู่อีกครั้ง ยิ่งได้เห็นสภาพภายในตู้เย็นผมก็ได้แค่อ่อนใจ  ใครสั่งใครสอนให้คุณหมอเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาแช่ในตู้เย็นกันครับ?


แล้วนี่อะไร?...แฮมเบอร์เกอร์กินแล้วครึ่งนึงสภาพมันแปลกๆนะ ตัวเนื้อบดตรงกลางแข็งทื่อ  ไม่มีผักให้เห็น มีเพียงคราบซอสมะเขือเทศกับมายองเนสที่จับตัวขึ้นทรงแข็งพอๆกับตัวเนื้อ  ตัวขนมปังแข็งกระด้าง


“หมอครับแฮมเบอร์เกอร์นี่ตั้งแต่วันไหนครับ”


“เบอร์เกอร์อ่ะเหรอ...อืม...3 เดือนที่แล้วมั้ง นายจะกินก็ได้นะ” ดูเป็นคนมีน้ำใจดีครับ...นี่มันซากอารยะธรรมยุคเมโสโปเตเมียชัดๆ


“หมอครับแล้วเค้กชาเขียวนี่ล่ะครับตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”


“เอ....หมอไม่เคยกินเค้กชาเขียวนะหมอกินแต่เค้กเนยสด  อ่อ สงสัยจะเป็นเค้กเนยสดอ่ะ  ครึ่งปีแล้วมั้ง”


แหม่ะ...ผมปล่อยเค้กก้อนนั้นร่วงหลุดมือครับ  ไอ้เขียวๆดูฟุ้งๆนี่ราสินะ หมอจะแช่ไว้ทำไมครับ?  ผมกวาดตามองสภาพตู้เย็นก่อนจะมองหาถังขยะ  เสียงกุกกักทำให้คุณหมอหันมาสนใจ


“ทำไรอ่ะ?”


“ทิ้งขยะ”


“ทิ้งทำไม?”  คุณหมอเดินมาหยุดยืนด้านหลังผมผมหยิบของในตู้เย็นที่ส่วนมากเมื่อถามแล้วมันเป็นของที่กินไม่หมดก็ยัดใส่จนลืม


“จะล้างตู้เย็นแล้วดูว่ามีอะไรเหลือพอจะกินได้มั่ง” หมอจิณณ์พนักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินจากไป...ไม่คิดจะช่วยเลยซักนิด ในที่สุดถังขยะ เอ๊ย ตู้เย็นรกๆก็สะอาดเรียบร้อยเหลือเพียงไข่ไก่ที่ยังกินได้แล้วก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำน้ำข้นอีกสองซอง


ผมเช็ดเหงื่อที่หน้าผากในขณะที่คุณหมอเบื่อจะยืนดูหลบไปนอนหลับอยู่บนโซฟา  เวลาเค้าหลับก็ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาดีนะครับ  ปากแดงๆนั่นก็สวยจังเลย  จมูกโด่งเชิดรั้นเหมือนคนเอาแต่ใจตัวเองนั่นก็สวย  แล้วดูแพขนตาที่งอนน้อยๆนั่นอีกล่ะ ทำไมถึงเกิดมาเป็นผู้ชายกันน๊า  น่าจะเกิดเป็นผู้หญิง  ถ้าเป็นผู้หญิงคงไม่โดนแฟนบอกเลิกหรอกเนอะ


คร่อกกกกกกก... =..= 



อืม...อย่าสนใจเสียงกรนของคุณหมอเค้าเลยนะครับ คนอาร๊าย…มารยาทขัดกับหนังหน้าขั้นรุนแรง


ผมโทรสั่งไก่ทอดชุดใหญ่จากร้านบริการส่งดิลิเวอรี่  ก่อนจะประจำเค้าท์เตอร์ในครัวผมมองวัตถุดิบที่เหลือก่อนจะจัดแจงเอาหม้อใบเล็กมาตั้งน้ำจนเดือด  ใส่เส้นบะหมี่ลงไปปรุงรสแล้วตอกไข่ไก่ลงไปปิดหม้อก็พร้อมๆกับที่พนักงานส่งไก่กดกริ่งเอาของมาส่งพอดีผมเดินไปเปิดประตูก่อนจะรับไก่ทอดและโค้กขวดลิตรเซนต์รับจ่ายเงินแล้วนำมันมาวางบนโต๊ะก่อนจะผลุบเข้ามาในครัวหยิบแผ่นรองกันความร้อนจากก้นหม้อมาวางแล้วยกหม้อบะหมี่มาตั้งไว้


“หมอครับ...”  ผมแตะมือลงบนต้นแขนคนหลับเบาๆ  คุณหมอสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาเป็นภาพที่น่ารักครับ…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นเมียคนแรกของผม...


“กลิ่นอะไรอ่ะหอมจัง” คุณหมองัวเงียก่อนจะเลื้อยลงมานั่งกับพื้นแล้วค่อยๆกระเถิบเข้าหาโต๊ะที่วางของกินอยู่


“มันมีของเหลืออยู่แค่นี้ที่กินได้ผมเลยต้มมาให้ครับแล้วก็สั่งไก่ทอดมาให้ด้วย”


“ว๊าว  น่ารักจังเลย  ฉันกำลังอยากกินอยู่พอดี  รู้มั๊ยครั้งสุดท้ายที่ได้กินมาม่าต้มแบบนี้น่ะสองปีที่แล้วที่แม่มาเยี่ยมแล้วทำให้ฉันกินเลยนะ”  คุณหมอคว้าชามกับตะเกียบไปจากมือผมพลางคีบบะหมี่ร้อนๆเข้าปาก  ทำไมภายใต้ท่าทางร่าเริงของคุณหมอผมกลับเห็นเงาบางอย่างอยู่ในแววตาของคุณหมอกันนะ เงาแห่งความเหงา...จริงๆแล้วคุณหมอเหงาใช่มั๊ยครับ?


ผมยืนล้างจานที่เราสองคนกินกันจนเสร็จเรียบร้อยทุกใบในสมองผมก็เอาแต่คิดว่าผมจะกลับบ้านหรือจะไปหาห้องเช่าถูกๆอยู่ดี  แล้วหลังจากนี้ล่ะผมจะทำอะไรต่อจนไม่รู้ว่าผมเผลอถอนหายใจไปกี่รอบ


ทำไมหนทางมันถึงดูมืดมนไปหมดอยากกลับไปเป็นเด็กเจ็บสุดก็แค่ล้มเข่าถลอกยังมีแม่วิ่งมาถามว่าเจ็บมั๊ย?  เป่าเบาๆที่เข่าให้  ไม่นานก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม ผมอยากหยุดเวลาไว้แค่นั้นจริงๆครับ


เวลาที่มีแค่ผมกับแม่...ที่สุดผมก็เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนนอกหน้าต่างฟ้ามืดสายฝนตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา คงจะเป็นพายุผมมองคุณหมอที่เปิดประตูกระจกออกแล้วยืนสูบบุหรี่นิ่งอยู่หน้าระเบียง ต้องลากันแล้วสินะ...


“คุณหมอครับผมไปก่อนนะครับ” อีกครั้งที่ผมกล่าวคำลากับคุณหมอ คุณหมอจิณณ์ยกบุหรี่ขึ้นอัดควันเข้าปอดหนักๆก่อนพ่นควันออกมาจากจมูกและปากแล้วโยนก้นบุหรี่ลงระเบียงจากนั้นจึงปิดประตูกระจก ผมหันหลังเดินไปที่ประตูจับลูกบิดอย่างกังวลใจกับหนทางข้างหน้า


“ไม่ต้องไปหรอก คืนนี้ค้างที่นี่แหละไม่เห็นหรือไงว่าฝนมันตกขืนออกไปนายป่วยร่างกายอ่อนแอฉันไม่ผ่าตัดให้หรอกนะ”


“แต่...”  ผมจะเอ่ยท้วง ทำไมคุณหมอไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายอย่างนี้นะเราเพิ่งเจอกันแค่ 2 ครั้งเท่านั้นเองนะ เมื่อคืนเป็นการเจอกันครั้งที่สอง  เมื่อคืนเป็นการมาห้องของคุณหมอครั้งแรก  แล้วมันก็เกิดเรื่องเลยเถิดทำไมคุณหมอยังไม่รู้จักระวังตัว


“มันจะดีหรือครับหมอ”


“แล้วนายเห็นใครบอกว่าไม่ดีหรือยังล่ะ ไม่ต้องทำเป็นสาวน้อยหวาดระวังหนุ่มที่เจอกันในแชทหรอกเอากระเป๋าไปวางไว้มุมห้องนู่นก็ได้ เดี๋ยวนายนอนโซฟาส่วนฉันนอนในห้องฉันโอเคนะจบเลิกพูด” หมอโบกมือไล่ผมไปมุมห้องก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องนอนของหมอแล้วกลับมาพร้อมหอบหมอนและผ้านวมผืนใหญ่ออกมาด้วย ผมเดินเข้าไปรับมันมาจากคุณหมอก่อนจะวางลงบนโซฟาตัวใหญ่


หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ได้แต่แยกกันไปคนละมุม  อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย...ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรกับบรรยากาศอึดอัดนี้เริ่มมองไปรอบๆห้อง


มันรกครับตั้งแต่หน้าประตูยั้ยท้ายห้อง  ผมเก็บของที่รกเกลื่อนกล่านนั้นไปเงียบๆ  หาลังใบใหญ่มาใส่พวกนิตยสาร ทั้งเกี่ยวกับการแพทย์ ความสวยความงาม ดารา รวมทั้งหนังสือโป๊มีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง


อืม เล่มนี้นางแบบนมอย่างบึ้มถ้าเอาเข็มเจาะสงสัยนมคงแตก โห...เล่มนี้นางแบบทาปากแดงแปร๊ดเอามือจับหน้าอกไว้ข้างนึงอีกข้างก็ยกนิ้วขึ้นมาดูดโคตรเซ็กซี่


ว๊าว! เล่มนี้อย่างแจ่มนางแบบนอนท่าเอ็มเลคโดยมีจีสตริงลูกไม้สีขาวติดกายเพียงตัวเดียว...โกนบ้างอะไรบ้างก็ดีนะ


“เอามานั่งอ่านตรงนี้ก็ได้นะ เดี๋ยวจะเมื่อย”


“ไม่เป็นไรๆตรงนี้ก็อ่านได้”


“แหม..ตรงนั้นฝุ่นมันเยอะ” ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดวางหนังสือสำหรับผู้ชายลงก่อนจะหยิบหนังสือที่หน้าปกเป็นผู้ชายที่ใช้ใบไม้ใบใหญ่ปิดตรงนั้นของตัวเองดูแล้วท่าทางจะไม่ใหญ่เท่าไหร่ผมเบะปากก่อนจะโยนอย่างไม่ใยดี


“หูย เล่มนี้อ่ะอย่างเด็ดโยนเป็นขยะไปได้” เสียงดังจากด้านหลังกระซิบอยู่ข้างหูในขณะที่ผมกำลังจะหยิบเล่มอื่นขึ้นมาดู


เสียงใครวะ


เฮือกกกกกกกก…ผมรีบโยนหนังสือในมือลงลังกระดาษทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ หมอจิณณ์ยืนเอามือไขว้หลังมองผมด้วยสีหน้าล้อเลียน


“เฮ๊ย....ดูต่อก็ได้นะหมอเข้าใจว่าผู้ชายอะนะ ยิ่งยังอายุน้อยๆแบบนี้คงอยากรู้อยากเห็น ตามสบาย”


“ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจจะดูหนังสือของหมอนะครับ” ผมรีบเก็บหนังสือเหล่านั้นจนเสร็จเสียงคุณหมอจิณณ์หัวเราะเบาๆอยู่ข้างหลัง ผมยกลังเข้าไปเก็บตรงซอกที่เป็นพื้นที่ว่างพอสมควรที่ผมเคลียร์ทั้งกระเป๋าใส่ไม้กอล์ฟ ไม้ถูพื้นรวมทั้งสารพัดสิ่งอย่างที่คุณหมอคงโยนส่งๆเข้าไปจนเรียบร้อย จากนั้นผมก็เอาเครื่องดูดฝุ่นออกมาดูดพื้น ผมว่าห้องหมอคงไม่เหงาหรอกโสโครกซะขนาดนี้ไรฝุ่นคงอยู่เป็นเพื่อนเต็มเลย


“ทำไมหมอไม่จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดล่ะครับ” ผมรับน้ำเย็นๆที่หมอเอามายื่นให้พลางถามด้วยความสงสัยเต็มที่เพราะดูจากสภาพห้องแล้วหมอคงไม่มีแม่บ้านมาทำให้


“ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องน่ะ”


กึก...ผมชะงักกับคำพูดและน้ำเสียงติดจะห้วนของคุณหมอจะว่าไปแล้วผมก็เป็นคนอื่นเหมือนกันสินะ  ผมลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินไปเอาแก้วล้างที่ซิ้งค์  ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว


“นี่ไปอาบน้ำซะสิสามทุ่มกว่าแล้วเดี๋ยวได้นอน พรุ่งนี้หมอเข้าเวรเช้า” หมอเดินมาหยุดข้างๆพลางสะกิดไหล่ผมลุกตามหมอที่กวักมือเรียกเข้ามาในห้อง


แม้จะลังเลแต่เมื่อเข้ามาแล้วในห้องนอนของหมอไม่ได้รกเหมือนข้างนอก  แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นระเบียบดูจากผ้าปูที่นอนและผ้าห่มที่ยับย่นไม่มีการเก็บพับโต๊ะเครื่องแป้งของหมอทำผมตะลึง มันเต็มไปด้วยสารพัดครีม เซรั่ม โลชั่น จัดเรียงกันถึง 2 โต๊ะ


“อ่ะ ใช้ผ้าขนหนูผืนนี้ก็แล้วกันหมอเพิ่งซื้อมาใหม่ยังไม่ได้ใช้ห้องน้ำอยู่ทางนู้น” หมอบอกกับผมพลางยื่นผ้าขนหนูสีแดงเลือดนกให้ผมก่อนจะเดินหายออกไปจากห้อง


ผมจัดการชำระล้างคราบไคลที่หมักหมมมาตั้งแต่เมื่อวานสายน้ำเย็นช่วยทำให้ผมสดชื่นขึ้นเกือบ 20 นาทีที่ผมอาบน้ำที่สุดผมก็เดินออกมาด้วยการพันท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว... ผมลืมเอาเสื้อผ้าเข้าไปด้วย






“พอเถอะคุณไม่ต้องพูดหรอกกลืนคำว่าขอโทษของคุณลงไปให้เหมือนน้ำลายบูดๆของคุณนั่นแหละ” ผมชะงักเท้าทันทีที่กำลังจะก้าวออกมาจากห้องนอนคุณหมอเมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นของหมอจิณณ์


“โธ่...ถึงผมจะไปคบกับแพทแต่ผมก็ยังรักคุณนะจิณณ์” เสียงทุ้มของใครอีกคนทำให้ผมแทบจะหดเกร็งร่างกายให้เล็กที่สุด


ถ้าตอนนี้ผมเลือกจะเป็นตัวละครตัวใดได้ผมก็อยากขอเป็นโนบิตะที่มีโดราเอม่อนอยู่ข้างๆแล้วจะขอยืมไฟฉายย่อส่วนเพื่อย่อตัวเองให้ตัวเล็กเท่ามด


“คุณมันพูดจาเห็นแก่ได้มากเลยนะ คุณมันทุเรศ ไสหัวออกไปจากห้องผมเลยแล้วไม่ต้องกลับมา”


“โธ่..จิณณ์...ฟังผมก่อนสิคนดี  ผมรักคุณนะ”  ผมไม่ได้อยากเผือกเรื่องของชาวบ้านนะ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ร่างกายและใบหูบวกกับตาสองข้างของผมถึงไปแนบกับประตูห้องนอนของหมอซะแล้ว


“ณพถ้าคุณรักผมจริงคุณคงไม่ไปมีใครอีกคนหรอก เลิกหลอกตัวเองเลิกหลอกผมซักที ผมเป็นหมอนะไม่ใช่หมา ผมมีความคิดเป็นของตัวเองผมไม่ใช่หมาที่ถึงแม้เจ้าของมันจะเลวแสนเลวเจ้าของมันจะไปรับหมาตัวใหม่มาเลี้ยงมันก็ยังกระดิกหางรับ พอกันทีในเมื่อคุณเลือกจะทิ้งผมก็อย่าเสนอหน้ากลับมาพูดคำว่ารักพล่อยๆอีก” ผมเห็นหมอจิณณ์ยืนกำมือแน่นผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณหมอคนเก่งของผมจะทำหน้าตาแบบไหน แต่ที่ผมเห็นก็คือผู้ชายคนนั้นเขาหล่อครับเขาดูดีมากๆ ถึงแม้ฟันของเขาจะเหยินหน่อยๆ แต่ผมมั่นใจว่าฟันผมเหยินกว่า...


“หึ...คุณเองก็ดีนักนี่ผมบอกเลิกเมื่อวานวันนี้พาผู้ชายมากกซะแล้ว ทำไมล่ะ ตอนผมขอมีอะไรกับคุณ คุณอ้างนู่นอ้างนี่อ้างว่าไม่พร้อมแล้วนั่นอะไร...จิณณ์...ถ้าอยากนักหรืออยากประชดผมหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ”


ผลั่ก!!!


ผมว่าผมกำลังจะออกไปถีบไอ้เหยินนั่นแล้วนะ  ผมว่าด้วยสกิลนักบาสของผมเร็วแล้วแต่มันยังเร็วไม่เท่าเท้าของคุณหมอจิณณ์ที่ประทับเน้นๆกลางอกของผู้ชายคนนั้น


“อรรณพอย่าให้ผมต้องพูดซ้ำสอง ไสหัวออกไปจากห้องของผม อีกอย่างผมจะบอกให้เอาบุญ ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่หล่อแต่ลีลาเขาโคตรเด็ดเลยล่ะ ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกกันไปกี่รอบ”






............................



ตอบ...ไม่ได้โยกซักรอบ แกหลับหว่ะหมอ


ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะ
ขอบคุณคอมเม้นท์ด้วย แม้จะน้อยนิดก็ยังขอบคุณ
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ
รักนะจุ๊บๆ


 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :z6:

จัดเลยหมอ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
55555 หมออย่างอวด  :z2:

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
หมอ.....อย่างแรงส์  :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แกคือหมอคนที่น่ารักๆใช่ไหม555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ลูกเป็ดขี้เหร่[:5:]



ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ


ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ


ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ


ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ!!!!


พระเจ้าช่วยกล้วยตกลงง่ามตีน!!!!  นี่น่ะหรือคุณหมอหน้าใสที่ผมเจอเมื่อวาน


ทำไมคุณหมอช่างกล้าที่จะพูดเรื่องในที่ลับเหตุการณ์ป๊าบป๊าบ ป๊าบ ของสองเราให้ไอ้เหยินนั่นมันฟังด้วยหน้าตาระรื่นขนาดนั้น…ภาคินัยจะเป็นลม


“แล้วอีกอย่างนะผมเพิ่งรู้ตัวว่าเวลามีเซ็กส์น่ะผมชอบความรุนแรงขนาดไหน” เสียงคุณหมอว่าไปเรื่อยเรียวนิ้วก็กรีดมาบนรอยช้ำจากหัวไม้กอล์ฟที่พ่อเลี้ยงของผมฝากเอาไว้ให้ดูต่างหน้า


“เวลาเขาจูบน่ะเร่าร้อนเหมือนกินโซดาไฟ”


ห๊ะ!!!  นั่นจูบกับคนหรือเป็ดโปรครับแต่ผมยังไม่ทันตั้งตัวอะไรทั้งสิ้นคุณหมอก็กระชากหน้าผมกันคอแทบหักให้หันไปมองตาคุณหมอแล้วริมฝีปากร้อนก็บดจูบลงมาราวฤษีบดยา


โฮ๊ววววววววววววววว…ผมด้อยประสบการณ์ผมยังเป็นดอกไม้แรกแย้ม แต่ตอนนี้ดอกไม้แสนสวยกำลังถูกหนอนตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มกัดกินกลีบดอกพลางดูดเอาท่อนำน้ำหวานเหมือนหนอนกระหายน้ำคอแห้งเป็นผงราวกับไปกินต้มยำไก่บ้านใส่กัญชาสดมา


“อื้อ....”  ไม่ใช่เสียงหมอนะครับ  เป็นเสียงของผมเองที่พยายามจะเอาหน้าออกมาจากปลาดูดกระจก


แฮ่กๆๆ  ผมโกยเอากากาศเข้าปอดยามที่คุณหมอละริมฝีปากออก


“หึ...ก็สมกันดีคุณหมอไม่เต็มเต็งกับจรกาขอให้รักกันยาวๆยืดๆนะ หน้าตาก็ดีทำไมเอาไม่เลือกแบบนี้ผมไม่เข้าใจคุณเลยจิณณ์”


“ก่อนคุณจะเจอกับผมหน้าตาคุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าเค้าเท่าไหร่นิ๊...” คุณหมอจิณณ์พูดอย่างไม่ยี่หร่ะ


“คุณหยุดพูดไปเลยนะ” เสียงอรรณพตวาดกลับเมื่อคุณหมอพูดจบประโยคนั้น


“ทำไมยอมรับอดีตของตัวเองไม่ได้เหรอก่อนคุณจะเจอผมนั่นคนหรือหมีควายตัวก็อ้วนหน้าสิวจมูกแฟ่บดั้งแหมบฟันเหยินเหมือนจานรถไถขาก็โก่งดูไม่ได้แล้วเป็นไงตอนนี้พอหล่อเข้าหน่อยดูถูกคนอื่นเหรอคุณมันไอ้ทุเรศหน้าตาดีขึ้นแต่จิตใจโสโครกเหมือนผ้าขี้ริ้วร่วงตกบนกองขี้หมาคนอะไรหน้าตาเหมือนหนังตีนลอกสันดานยังแย่อีก”


“มันจะมากไปแล้วนะ” อรรณพกำลังโกรธ


เออผมเชื่อแล้วว่าร่างเดิมของเค้าคงเป็นหมีควายจริงๆเพราะตอนนี้ร่างสั่นเทิ้มของเขาเหมือนหมีควายที่กำลังพองขนผมรวบเอวหมอจิณณ์ให้ขยับกายมาชิดกับอกผม เมียคนแรกของผมร่างบางกำลังสั่น


หมอกลัวแต่หมอก็ยังทำหน้าระรื่นราวกับไม่เป็นอะไรจากสภาพของหมอเมื่อคืนหมอรักผู้ชายคนนี้มากแต่ตอนนี้หมอต้องงัดเอาคำพูดระคายหูออกมาด่าเค้า หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ  คงเป็นคำนิยามของหมอในตอนนี้


“ออกไปซะไปจากชีวิตของผมให้เหมือนเมื่อวานที่คุณทิ้งผมแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก” น้ำเสียงเรียบสนิทนั้นเอ่ยกับอรรณพ เขากำหมัดแน่นมองเราทั้งคู่ด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะพ่นลมออกจากปากอย่างระบายอารมณ์


“หึ...ก็เท่านี้ล่ะ คนเอาแต่ใจอย่างคุณได้กะหลั่วๆแบบนี้ก็ถือว่าบุญแล้วล่ะผมให้ไม่เกินสองเดือนไอ้นี่ต้องทิ้งคุณแน่”


“ผมไม่มีวันทิ้งหมอจิณณ์แน่ๆ คุณไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลเมียของผมให้ดีมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ตอนนี้คุณกลับไปได้แล้วผมจะทำธุระกับเมียผม”


“ผมจบแพทย์จากเมืองนอกพอเรียนจบก็ทำงานที่นู่นปีกว่าก่อนตัดสินใจมาทำงานที่ไทยผมอยากทำให้คนที่ถูกดูถูกว่าขี้เหร่อัปลักษณ์ดูไม่ได้ ได้มีโอกาสเชิดหน้าในสังคมมั่ง  คุณคงไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกของคนเป็นหมอด้านนี้น่ะเค้ารู้สึกกันยังไง  เวลาที่คนไข้ของเราเปลี่ยนหน้าตาแล้วเขามีความสุขหัวใจของหมอก็เหมือนมีดอกไม้บานอยู่ในนั้นเวลาที่คนไข้ไหว้ขอบคุณเราที่เรามอบชีวิตใหม่ให้เค้ามันมีความสุขมากเลยนะ  เพราะฉะนั้นในเวลางานผมจะเป็นนายแพทย์ที่สมบูรณ์แบบ  แต่พอเลิกงานปุ๊บถอดเสื้อกาวน์และหูฟังออกผมก็เป็นคนธรรมดาที่อยากมีชีวิตปกติผมเป็นคนแบบนี้ล่ะมันแปลกเหรอ  หมอก็คนนะไม่ใช่สมมุติเทพอย่าวาดภาพของหมอสวยหรูกันนักเลย”  ผมนอนฟังคุณหมอจิณณ์ที่ยึดเอาหมอนและโซฟาไปนอนพูดไปเรื่อยๆ


ใช่ครับผมอาจคาดหวังในตัวคุณหมอมากเกินไปเมื่อในภาพลักษณ์แบบที่ผ่านมา ผมเคยคิดว่าหมอต้องมารยาทดีพูดจานุ่มนวลแต่หมอจิณณ์ไม่ใช่ จริงอยู่ที่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลหมอสุภาพยิ้มแย้ม แต่นั่นมันเป็นหน้าที่  พอเสร็จจากงานคุณหมอก็คือจิณณ์คนธรรมดาที่รักเป็นโกรธเป็นร้องไห้เป็นเสียใจเป็น ผมรู้เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมันยังคุกรุ่นในจิตใจคุณหมออยู่


“อรรณพน่ะเมื่อก่อนเค้าไม่ได้หล่อแบบปัจจุบันหรอกนะ เราเจอกันเมื่อปีที่แล้วเค้ามาหาหมอเล่าถึงความอัดอั้นที่ได้รับจากคนรอบข้าง หมอเลยรู้สึกว่าเอาสิ ช่วยเค้า ช่วยให้เค้าได้ยิ้มกว้างๆอย่างที่อยากจะยิ้ม มันคงเป็นคำสาปของศัลยกรรมเมื่อเราได้มาซึ่งหน้าตาที่งดงามจิตใจเราก็จะโลภไม่รู้จักพอ สัญญากับหมอได้มั๊ยว่าคุณจะทำมันแค่ครั้งเดียวแล้วคุณจะพอ” ท้ายประโยคหมอตั้งคำถามกับผม…ผมตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลย


“ครับ ผมจะทำแค่ครั้งเดียว”


เพราะถึงผมอยากจะทำหลายครั้งผมก็ไม่มีตังค์อยู่ดี...







ปั๊ก!!!!


“อะไรนะ มันทำกับแกขนาดนี้เลยเหรอ ไปไอ้เมฆแกลุกเลย  หน๋อย  รู้จักอีปัดผู้ฆ่าเสือด้วยมือเปล่าน้อยไปซะแล้วมึ๊ง”


“เฮ๊ยลูกปัดแกใจเย็นก่อน” ผมลุกไปตะครุบตัวไอ้ปัดที่เดิกถกแขนเสื้อเตรียมออกไปบู๊กับครอบครัวผมแทบไม่ทัน


“เย็นยังไงไหวแกยอมให้มันเอาไม้กอล์ฟฟาดกบาลแกแบบนี้ได้ยังไง บลาๆๆๆๆ” ยาวเหยียดราวกับนั่งฟังทอล์คโชว์ครับ ไอ้ลูกปัดมันจัดเต็มทั้งด่าน้องชายสุดที่รัก พ่อเลี้ยงที่แสนประเสริฐและกำลังทำท่าจะตำหนิถึงแม่ผมด้วยความลืมตัว


“หยุดก่อนลูกปัดอย่าว่าแม่ของฉัน” ผมยกมือห้ามมันทันที่ที่มันเริ่มประโยคว่า


“ฉันไม่เข้าใจแม่แกเลยจริงๆ”


“แม่อาจจะดูรักฉันไม่เท่าน้องแต่ฉันเชื่อว่าแม่รักฉัน”


“เฮ้อ...แกนี่ล่ะน๊าเมฆ” ลูกปัดมันกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนใจเรานั่งเท้าคางมองฝนที่ตกพำๆอย่างใช้ความคิด


“อาทิตย์หน้าก็ผ่าตัดแล้วหวังว่าอะไรๆมันคงดีขึ้นเนอะ” ลูกปัดมันพูดออกมาเบาๆน่าแปลกที่ผู้หญิงตัวเล็กๆเวลาคิดจะทำอะไรกลับมีความเชื่อมั่นเต็มร้อย ต่างกับผมที่ตอนนี้ผมไม่เหลือความเชื่อมั่นอะไรในตัวเองเลยสงสัยอย่างแรกที่ผมควรจะทำมากกว่าการผ่าตัดศัลยกรรมก็คือ การสร้างศรัทธาให้กับตัวเอง...ใช่มั๊ยครับ


กว่าผมจะแยกกับไอ้ลูกปัดก็เกือบๆ 6 โมงเย็น  อากาศเริ่มเย็นลงอีกครั้งลมหนาวเริ่มพัดมาให้ได้ขนลุกเล่นผมปั่นจักรยานมาด้วยความเร็วไม่มากนัก  เมื่อเช้าผมตื่นมาก็ไม่เจอคุณหมอแล้ว  เจอแต่โน๊ตแผ่นเล็กติดไว้บนโต๊ะ


“ผมออกไปทำงานก่อนนะหิวก็หาอะไรกินเอาไม่ต้องเกรงใจแล้วก็เรื่องที่พักถ้ายังหาไม่ได้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วกันเพื่อนคุณเป็นผู้หญิงไปพักด้วยกันอาจจะเสียหายจริงๆเหมือนที่บอก” คุณหมอเป็นคนใจดีเนอะครับ พายุที่เข้ามาเมื่อวานคงยังเหลือหางๆมันอยู่เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้ายังคงมีเมฆก้อนใหญ่และลมหนาวที่พัดมาเป็นระยะๆมีละอองฝนปนอยู่


คืนนี้คงตกหนักอีกรอบ  ผมปั่นจักรยานจนมาถึงหน้าป้ายรถมล์ของโรงพยาบาลและก็พบภาพคุ้นตา


“อ้าวหมอครับยังไม่กลับอีกเหรอครับ” คุณหมอจิณณ์นั่งกระดิกเท้าเล่นไอแพดอยู่ที่ป้ายรถเมล์มีหูฟังแนวฮิปฮอปครอบหูอยู่ คุณหมอแกน่ารักจริงๆนะครับท่าทางที่กลมกลืนไปกับบรรดาเด็กนักเรียนมัธยมปลาย


“อ้าวมาได้ไงเนี่ย” หมอถอดหูฟังออกมาคล้องที่ต้นคอ


“ผมไปหาห้องพักกับไปหาไอ้ปัดมาครับแล้วนี่หมอจะไปไหนครับ”


“กลับห้องดิ่ แต่รถเมล์แน่นเลยรอจนกว่าจะเจอคันว่างๆ งั้นผมกลับกับคุณเลยแล้วกัน” หมอจิณณ์ว่าง่ายๆก่อนจะเก็บอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายลงกระเป๋าตวัดมันคล้องกับไหล่แล้วเดินปัดตูดมานั่งซ้อนท้ายจักรยานผมหน้าตาเฉย


“หมอครับเบาะมันไม่นุ่มเจ็บตูดนะครับ”


“ปั่นๆไปเหอะไม่ได้เจ็บอะไรเท่าไหร่หรอกน่า” คุณหมอพูดเสียงอู้อี้ ผมส่ายหน้าขำๆก่อนจะออกตัวปั่นจักรยานเราปั่นไปคุยไปส่วนมากจะเป็นคุณหมอชวนคุยซะมากกว่าเช่นที่บ้านทำอะไร เรียนจบอะไรมา นู่นนี่นั่น ส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวผมซะมากกว่า เสียงคุณหมอหัวเราะลั่นอย่างชอบใจเมื่อผมเล่าวีรกรรมของนางสาวลูกปัดมือตบลุ่มแม่น้ำปิงที่หาญกล้ากระโดดตบหมอกน้องชายที่สูงมากกว่า 180 ซม.ของผม


“เพื่อนคุณแม่งโคตรเจ๋ง” ผมได้แต่ยิ้มกับเสียงหัวเราะของคุณหมอ ดูแกเป็นคนไม่คิดอะไรมากดีนะครับคุณหมอยังคงคุยเล่นกับผมได้แม้เราจะเพิ่งผ่านเรื่องอะไรๆด้วยกันมา...แม้ว่าเราเพิ่งจะรู้จักกัน


“นี่คุณๆ แวะซุปเปอร์มั๊ย ผมสงสารคุณที่ต้องกินแต่ไข่กับบะหมี่”


“หมอไม่ต้องหรอกครับผมกินอะไรก็ได้” ผมรีบท้วงคุณหมอเมื่อแกบอกยังงั้น ผมไม่อยากทำตัวเป็นภาระใครอีกต่อไปแล้ว


เท่าที่รบกวนเจ้าปัดมันเรื่องเงินทำศัลยกรรม


เท่าที่รบกวนคุณหมอเรื่องที่พัก


แค่นี้ผมก็ใช้หนี้บุญคุณไม่หมดแล้ว


“เฮ๊ย...อย่าโลกสวยดิ่ ผมซื้อไปให้คุณทำให้กินต่างหาก สารภาพตามตรงผมก็เบื่อมาม่าดิบแล้วเหมือนกัน” ผมกับคุณหมอเอารถมาจอดที่จอดจักรยานยนต์โดยคุณหมอลงไปกวนตีนคนเฝ้ารถแป๊บนึง


“จอดไม่ได้ครับนี่ที่จอดจักรยานยนต์ครับ”


“ก็นี่ไงจักรยาน”


“นี่ที่จอดจักรยานยนต์ครับลานจอดจักรยานอยู่ด้านหลังครับ”


“โหยจอดแป๊บเดียวเอง”


“ไม่ได้ครับนี่ที่จอดจักรยานยนต์” ยามยังทำหน้าที่อย่างแข็งขันผมทำท่าจะเบนหัวรถไปจอดจักรยานอีกฟากนึงที่ห่างไปไม่มากแต่คุณหมอคว้ามือผมหมับจ้องหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง


“งั้นรอแป๊บ” คุณหมอบอกกับยามก่อนจะคุ้ยกระเป๋าของตัวเองหยิบปากกาเมจิกกับกระดาษเอสี่ขึ้นมาเขียนบางอย่างลงไปจากนั้นก็เอากาวสองหน้ามาติดที่กระดาษแล้วแปะป๊าบกับแฮนด์รถของผม


“คราวนี้จอดได้แล้วนะ” คุณหมอบอกกับยามหน้าเฉยพลางดันตัวผมให้เข็นรถเข้าไปที่ลานจอด


“จอดไม่ได้ครับจอดไม่ได้นี่มันลานเอาไว้จอดจักรยานยนต์ครับ”


“ก็นี่ไงจักรยานยนต์”


“ไม่ครับนี่จักรยาน” ยามก็ยังคงรักษาหน้าที่อย่างดีเยี่ยมจนผมสงสาร


“นี่อะไร” คุณหมอเท้าสะเอวชี้มาที่จักรยานของผม ยามมองอย่าง งงๆ


“ก็จักรยานไงครับ”


“แล้วนี่อะไร” คุณหมอชี้ไปที่แผ่นกระดาษที่ปิดตรงแฮนด์รถของผม


“ยนต์”


“รวมกันเป็น?”


“จักรยานยนต์”


“งั้นเข้าไปจอดได้แล้วนะ”


“ห๊ะ!!!” ผมกับลุงยามร้องออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินมุขโคตรควายของคุณหมอ นายแพทย์ศัลยแพทย์ฝีมือดีอาศัยจังหวะที่ผมกับลุงยามกำลังอึ้งเข็นรถจักรยาน(ยนต์)เจ้าไปจอดที่ลานจอดรถก่อนจะเอากุญแจมาล็อคล้อเสร็จสรรพแล้วดึงมือผมเข้าไปในซุปเปอร์ทันที ไม่คิดไม่ฝันว่าคนอายุเกือบ 30  จะกล้าเล่น


ประตูหน้าซุปเปอร์ขนาดใหญ่เป็นระบบอัตโนมัติทำงานด้วยระบบเซนเซอร์ผู้คนเดินเข้าออกเป็นระยะเพราะเป็นเวลาเลิกงานคุณหมอปล่อยมือผมแล้วสั่งให้ผมยืนรอเพื่อทำอะไรบางอย่าง


“นี่ หมอมีพลังพิเศษรู้มั๊ย?”


“หืม?...อะไรนะครับ??” ผมถามหมออย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่าไหร่นัก”


“หมอบอกว่าหมอมีพลังพิเศษสามารถบังคับสิ่งของได้  ดูนะหมอจะทำให้ดูเป็นบุญตา” คุณหมอจิณณ์บอกกับผมก่อนจะให้ผมถอยห่างจากประตูแล้วก็


“เรมิคูลู รามิคูลู เรารูลามิลู ประตูจงเปิด ย๊าห์!!!” คุณหมอวาดมือไปซ้ายที ขวาที  พลางร่ายเวทย์มนตร์แล้วปล่อยพลังก้าวขาไปชิดประตู  บานประตูก็เปิดทันที  คุณหมอหันมายักคิ้วแผล่บให้ผมพลางยิ้มอย่างภูมิใจ


“ไงล่ะหมอเจ๋งม๊ะ” ครับ...นี่ล่ะครับ…เมียคยแรกของผม เป็นหมอที่โคตรปัญยาอ่อนเลยเหอะ นี่คือผู้ชายอายุเกือบจะ 30 ปีแล้วจริงๆน่ะเหรอ


ความมหัศจรรย์ของหมอยังไม่หมดเพียงเท่านั้นครับเมื่อเราไปหยิบรถเข็นคุณหมอก็จัดการปีนขึ้นไปยืนพลางปล่อยพลังเคลื่อนย้ายจักรวาลกับผมด้วยการ


“ไปทางนู้น...ไปทางนี้...ไปทางนั้น...” นอกจากนั้นคุณหมอยังมีพลังเคลื่อนย้ายวัตถุด้วย


“เมฆเอาไอ้นั่น...เมฆเอาไอ้นี่...ไม่ใช่ๆอันนั้นเอาไปเก็บเปลี่ยนเป็นเอาอันนู้น...ขนมอันนี้น่ากินไปหยิบมา” ครับ กว่าเราจะชอปปิ้งซื้อของกินข้าห้องเสร็จก็เกือบสองชั่วโมง


ด้านนอกถนนเปียกแฉะฝนตกระหว่างที่เราเข้าไปซื้อของแม้แต่ตอนนี้มันก็ยังลงเม็ดซาๆอยู่ ผมหิ้วถุงของพะรุงพะรังมาใส่ตะกร้าหน้ารถที่มีลุงยามตีหน้ายักษ์ใส่เราเบาะรถเปียกโชกรวมทั้งเบาะที่เป็นเหล็กด้านท้ายด้วย


“เบาะเปียกหมดเลย” คุณหมอบ่นเบาๆเมื่อเห็นว่าที่ๆตัวเองจะต้องนั่งมันเปียกโชกไปด้วยหยาดน้ำฝนแล้วกางเกงแสลคของคุณหมอก็เป็นสีขาวอีกต่างหาก


เมื่อจัดการแขวนถุงทั้งหมดลงแล้วผมก็ใช้มือปาดเบาะรถก่อนจะนึกอะไรได้ ผมล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของผมออกมา  ผมเห็นคุณหมอหลุดยิ้มดวงตาที่มองมาที่ผมนั้นแสนจะซาบซึ้ง ผมสะบัดผ้าเช็ดหน้าที่พับไว้ออกเป็นผืนใหญ่ก่อนที่จะ....


“ภาคินัยไอ้คนบ้า!!!”


ผลั่ก....อูยยยยยย…ผมทำอะไรผิดครับ คุณหมอถีบผมลงไปคำนับฟ้าดินแล้วเดินสะบัดตูดหนีผมออกไปทำไม ผมก็แค่คลี่ผ้าเช็ดหน้า สะบัด แล้วเอาผ้าคลุมหัว…ก็ผมกลัวเป็นหวัดผมผิดอัลไล เมฆไม่เข้าใจ.... ภาคินัยเป็นผู้ชายที่...


“โง่”


ภาคินัยเป็นผู้ชายที่...


“โคตรโง่”


ภาคินัยเป็นผู้ชายที่...


“เฮงซวย”


ภาคินัยเป็นผู้ชายที่...


“ซื่อบื้อ”


ตกลงภาคินัยเป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่?...


“โง่งี่เง่าซื่อบื้อเฮงซวยมากๆๆๆ” คุณหมอหนุ่มเดินตูดบิดออกมาจากเมฆที่นั่งเกาหัวแกร่กๆหลังจากตนเองส่งตีนไปจูบตูดบานๆของเมฆจนลงไปนั่งคุกเข่าคำนับฟ้าดิน ก็จะไม่ให้เสียเซลฟ์ได้ยังไงในเมื่อตอนที่เดินออกมาฝนมันตกพร่ำๆยายฉิมกำลังเก็บเห็ด...(หมอคะ ออกทะเลแล้วค่ะ...)


ครับ...ผมจิณณ์ศัลยแพทย์ที่เบ้าหน้าดีมาแต่กำเนิดและเกิดที่เมกา จะไม่ให้ผมโมโหได้ยังไงล่ะครับก็ในเมื่อผมพยายามทำในหลายๆอย่างเพื่อให้ไอ้เด็กซื่อบื้อนั่นไม่รู้สึกเหงาหรืออ้างว้างเพราะเห็นว่าที่บ้านไม่ได้รับความอบอุ่น ถึงขนาดยอมทำตัวปัญญาอ่อนหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้เค้าได้มีรอยยิ้ม แล้วนี่อะไร...ออกมาฝนตกผมอุตส่าห์พูดอ่อยซะขนาดนั้นแล้วว่า


“เบาะเปียกหมดเลย” มันไม่ใช่ประโยคบอกเล่าซักกะหน่อย แล้วดูกางเกงผมสีขาว แล้วถ้านั่งลงบนเบาะเปียกๆน่ะ วันนี้ผมใส่กางเกงในสีแดงผ้าขาวๆที่ไม่ได้หนามากเวลาโดนน้ำเปียกๆมันจะโชว์กางเกงลิงของผมมั๊ย


วินาทีแรกที่ผมพูดเสร็จแล้วไอ้เด็กบ้านั่นมันล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าผมหลุดยิ้มออกมาอย่างซาบซึ้งใจว่าภาคินัยจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเบาะเปียกให้ผม


วินาทีที่เขาคลี่ผ้าเช็ดหน้าสะบัดยิ่งซาบซึ้งหนักเข้าไปใหญ่เพราะผมคิดว่าอ๊า  คลี่ผืนใหญ่เต็มผืนขนาดนั้นจะเอามาปูรองให้ผมนั่งทับสินะ  ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้ หัวใจมันรู้สึกอุ่น  รู้สึกดี  ผมโคตรจะฟีลกู๊ดเลย แต่ความสุขของผมอยู่ได้แค่ 3 วินาที ไอ้เด็กบ้านั่นมันบังอาจทำความฟินของผมกระเจิงด้วยการเอาผ้านรกนั่นคลุมหัวหน้าตาเฉย


ณ  จุดนี้ผมเฟล  ผมหน้าแตก  ผมรู้สึกเสียหน้ามว๊ากกกกกกกก เวลาผมเสียเซลฟ์ผมต้องระบายออกด้วยการทำร้ายร่างกายคน และการที่ผมถีบให้เขาไปคำนับฟ้าดินทำความเคารพเง็กเซียนฮ่องเต้น่ะถือเป็นสิ่งดีงาม


#หมอคิดว่ามันเป็นเรื่องราวดีๆนะ ผมถีบมันเพราะมันเป็นเด็กใจบาปทำให้คนแก่กว่ามีความหวังแล้วบดขยี้ด้วยหน้าตาโง่ๆนั่น


กริ๊งๆ


“คุณหมอครับ คุณหมอ” หึ...งอนอยู่...รีบมาง้อเลยนะไอ้บ้า


“คุณหมอครับโกรธอะไรผมเหรอครับ” แหน่ะยังจะโง่


“คุณหมอครับขึ้นรถเถอะครับ” งอนอยู่ขอเล่นตัวแป๊บ


“หมอครับ...”


“หยุดเรียกซักทีแล้วจะไปตายที่ไหนก็ไปไอ้เด็กบ้า” ผมหันไปตวาดเจ้าเด็กโข่งที่ปั่นจักรยานมาตีคู่เรียกผมด้วยน้ำเสียงเว้าวอนซ้ำๆราวกับรำคาญแต่จริงๆในใจกำลังลิงโลดที่เด็กมันยังตามมาง้อ หน้าดำๆฟันเหยินๆของเด็กนั่นจ๋อยสนิทก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงอยขั้นสุด


“งั้นไปเจอกันที่ห้องนะครับ” จากนั้นมันก็ปั่นจักรยานลับหายไปเลย...มันไปจริงเหรอวะ


เฮ๊ย....ทิ้งกูจริงอ่ะ?...อ๊าวไอ้นี่....ผมชะเง้อมองคิดว่ามันจะแกล้งอำเล่นไปแอบตามมุมตึกหรืออะไรแต่ไม่มี  นู๊น  มันปั่นลับโค้งไปแล้วอ่ะ  นี่มึงทิ้งกูจริงๆหรือนี่?


ให้สามคำ...ไอ้-ควาย-นี่ แถมอีก 3 คำ…แม่ง-กวน-ตีน


โห....นี่มันซื่อหรือมันโง่วะ  จิณณ์อยากตายวายชีวาสมาก ณ จุดนี้  ผมว่าผมควรเพิ่มการรักษาไปอีก 1 คือการผ่าตัดสมองให้ฉลาดกว่านี้ นี่ถ้าง้อกูอีกหน่อยกูก็ใจอ่อนแล้วนะเนี่ย…ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!!!


ผมปั่นจักรยานกลับมาจนถึงคอนโดของคุณหมอจิณณ์ที่โกรธผมเรื่องอะไรไม่รู้  โชคดีที่คุณหมอทิ้งกุญแจสำรองให้เมื่อเช้าผมหอบของพะรุงพะรังจนแทบจะคาบกลับมาที่ห้องจัดการเอาของสดแช่ตู้เย็น  พวกบะหมี่เอาเก็บขึ้นชั้น  ขนมเก็บใส่ตู้ใต้เค้าท์เตอร์ครัวก่อนจะเริ่มคิดว่าผมจะทำอะไรง้อคุณหมอดี


ดูท่าทางแกจะโกรธผมจริงๆด้วยนะ  ขนาดตามไปง้อยังไล่ให้ผมไปตาย  ผมเอาหมูสามชั้นออกมาหั่น  เตรียมเครื่องปรุงเตรียมผัก  แช่น้ำไว้แล้วเอาข้าวออกมาหุง  จากนั้นก็ทำผัดเปรี้ยวหวานหั่นแตงโมใส่กล่องแช่ตู้เย็นไว้


แกร่ก...เสียงประตูห้องเปิดพร้อมคุณหมอจิณณ์ที่ส่งสายตาพิฆาตมาให้


“เอ่อ...ผมหุงข้าวทำกับข้าวเสร็จแล้วนะครับ”  ผมไม่รู้จะพูดอะไร ณ นาทีนี้ครับ


“ไอ้คนใจบาป”  1 ดอกแบบงงๆ


“จิตใจทำด้วยอะไร”  2 ดอกแบบยังไม่กระจ่าง


“แกกล้าดียังไงทำให้ฉันหน้าแตกคิดว่าแกจะเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบาะรถเปียกๆให้ฉัน” อ่อ....งอนเรื่องนี้สินะ


“แล้วกล้าดียังไงปั่นจักรยานทิ้งฉันไว้คนเดียว”


อ่อ...โกรธเรื่องนี้สินะ


“ก็ฝนมันตกผมกลัวไม่สบายนี่นา แล้วอีกอย่างทำไมผมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยอ่ะ” ผมพยายามจะอธิบายแต่ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบลูกเบสบอลในตระกร้าหวายก็ถูกเขวี้ยงมาโดนกบาลผมเต็มๆ


“อ๊อ...ผมไม่สำคัญสินะเลยไม่จำเป็นต้องเสียสละผ้าเช็ดหน้าโง่ๆให้”


“ย๊าห์!!....ผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น  ผมจะบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเพราะในกระเป๋าของผมมีผ้าสำหรับเช็ดเบาะอยู่ผมกะว่าคลุมหัวเสร็จแล้วค่อยหยิบผ้าในกระเป๋ามาเช็ดเบาะให้คุณหมอแต่คุณหมอก็ถีบจนผมล้มแล้วเดินหนีออกมา”


“อ่ะ...อ่อ...ยังงั้นเหรอ...แต่...แต่นายกล้าดียังไงปั่นจักรยานทิ้งฉัน”


“อ่าว...ก็คุณหมอไล่ผมเอง  แม่เคยบอกว่าถ้ากำลังหงุดหงิดให้ถอยออกมาก่อน ผมเลยรีบกลับมาทำอาหารให้คุณหมอทานไงครับจะได้อารมณ์ดีๆ”  ผมอธิบายพลางทำใจกล้าเดินเข้าไปหาคุณหมอเรื่อยๆก่อนจะคว้ามือเรียวมากุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง


“ถ้าผมทำอะไรให้คุณหมอไม่พอใจผมขอโทษนะครับ คุณหมอไปอาบน้ำแล้วออกมาทานข้าวนะครับผมหั่นแตงโมแช่เย็นไว้รอแล้ว นะครับ”


“ครั้งนี้จะยกโทษให้ก็ได้ แต่ฉันจะบอกอะไรไว้อย่างนะ บางเวลาคำว่าไปไกลๆเลยไป จะไปตายที่ไหนก็ไป ตัวคนพูดเองอาจจะกำลังอยากให้นายอยู่ใกล้ๆเขาก็ได้นะ มันไม่ใช่คำไล่เสมอไปบางครั้งคำว่าไปไกลๆอาจจะหมายถึงมาอยู่ใกล้ๆฉันนะต่างหากล่ะ”




.....................................

อยากให้เขาอยู่ข้างๆก็บอกกันตรงๆก็ได้นี่คะหมออออออออ

น่อวววววววววววววววววว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2018 12:00:45 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
หมอเป็นคนตลก

 :L2: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ nooluk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

Ugly Boys...ลูกเป็ดขี้เหร่...7

 
ผมนั่งมองคุณหมอที่ค่อยๆโรยอาหารให้พวกปลาทองสีสวยช้าๆ เวลาหมอไม่พ่นคำด่า  เวลาแกทำอะไรของแกไปเงียบๆผมก็ว่าแกก็น่ารักดี 
 
1  อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมได้เจอคุณหมอในอารมณ์หลากหลาย ทั้งอารมณ์เกรี้ยวกราดยามที่ผู้ชายคนนั้นโทรมาก่อกวน ทั้งอารมณ์นางฟ้ายามที่คนไข้โทรเข้ามาหาหรือบังเอิญเจอกันข้างนอกคุณหมอจะพูดคุยด้วยเป็นอย่างดีและคุณหมอไม่เคยเอาคนไข้คนนั้นมาพุดลับหลังหรือบ่นเลยซักครั้งที่บางทีเจอกันตอนคุณหมอกำลังกินข้าว
หลายครั้งคุณหมอจะยืนพิงบานประตูกระจกสูบบุหรี่แล้วเหม่อมองไปภายนอกมองดูสายฝนที่โปรยปรายข้างนอก หมอคงกำลังคิดถึงผู้ชายคนนั้นสินะครับเพราะทุกครั้งที่หมอด่าเค้าหมอจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนขังตัวเองอยู่ในนั้นครั้งละนานๆแล้วออกมาพร้อมดวงตาที่แดงช้ำ

 
หลายครั้งหมอก็เหมือนเด็กๆโดยเฉพาะเวลาที่ได้กินของถูกใจหมอบอกว่าไก่ทอดของผมน่ะอร่อยมากหมอจะกินได้ครั้งละเยอะๆแบบไม่กลัวอ้วน ผมเคยถามหมอว่าทำไมผมเห็นหมอกินสารพัดทำไมหมอไม่อ้วนเลย

 
“กินเท่าไหนก็ออกกำลังกายเท่านั้น”

 
“ผมก็ออกกำลังกายทำไมผมยังอ้วนอยู่เลย”

 
“มันต้องรู้ว่าเราออกกำลังกายเพื่ออะไร หมอออกเพื่อสุขภาพ ออกเพื่อให้ตัวเองไม่อ้วนออกกำลังกายแบบมีขั้นตอน แต่คุณไม่ใช่ไงคุณออกกำลังกายก็จริงแต่มันไม่ได้ทุกส่วน สังเกตุดูขาคุณอย่างล่ำ” แล้วหมอก็อธิบายยาวเหยียดถึงหลักการคำนวนแคลลอรี่เอย ส่วนสูงกับน้ำหนักที่เหมาะสมกันเอย หลักการกินการออกกำลังเอย

 
“เราสามารถออกกำลังกายได้ตลอดเวลาแหล่ะอย่างคุณทำงานบ้านให้หมอแบบนี้เดี๋ยวพอวันผ่าตัดคุณลองไปชั่งน้ำหนักดูมันต้องลดลงบ้างล่ะ เวลาดูทีวีหมอก็ไม่ได้นั่งกินขนมไปดูทีวีไปคุณก็เห็นนี่” ใช่ครับคุณหมอไม่เคยนั่งดูนอนดูทีวีเฉยๆเลยครับแต่จะมีลู่วิ่งมาวิ่งข้างหน้า จักรยานสำหรับออกกำลังกายเอย บางทีก็ยกดัมเบลอันเล็กๆสลับกันไปมาเอย น่าเอาเยี่ยงอย่าง

 
“หมอครับ...” ผมตัดสินใจเรียกหมอที่นั่งทำปากจุ๊บๆเลียนแบบปลาทอง คุณหมอช้อนตาขึ้นมองผมผ่านตู้กระจกของปลาฟองอ็อกซิเจนทำให้ใบหน้าคุณหมอดูน่ารักเหมือนนางเงือกตัวน้อยๆท่ามกลางหมู่ปลาตัวอ้วนๆ

 
“หืม?”  แล้วดูดวงตากลมโตใสแป๋วนั่นอีก คุณหมอจิณณ์...น่ารักจนผมรู้สึกร้อนๆที่หน้านะครับ

 
“หมอเคยมีความฝันมั๊ยครับ”

 
“มีสิ...คนเราทุกคนมีความฝันด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ” คุณหมอเอากระป๋องอาหารปลาไปเก็บที่ก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาเดียวกับผม
“คุณหมอเคยฝันอยากเป็นอะไรครับตอนเด็กๆน่ะ

 
“ตอนเด็กหรือตอนนี้ความฝันของหมอก็ยังเป็นความฝันเดิม หมออยากเกิดเป็นหยดหมึกล่ะ” คุณหมอหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับความฝันของคุณหมอ

 
“หยดหมึก?”

 
“ใช่หมออยากเกิดเป็นหยดหมึก  หยดหมึกวิเศษที่ไม่ว่าจะหยดไปทางไหนก็จะทำให้ที่ตรงนั้นมีแต่สิ่งสวยงาม  หยดโดยใครก็ทำให้คนๆนั้นดูดีสวยหล่อโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม  คุณรู้มั๊ยวันๆหนึ่งมีคนไข้เข้ามาขอรับการรักษาเยอะแค่ไหน  ทุกคนมีปัญหาหลากหลาย  บางกรณีก็น่าเห็นใจเขามาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย  มาเพื่อหวังว่าการรักษาจะทำให้ชีวิตต่อไปของเขาดีขึ้นการกินอาหารไม่ลำบาก  บางคนมาเพราะต้องการใช้หน้าตาในการประกอบอาชีพที่ชอบ  บางคนก็แค่อยากทำ  ทำเพื่อเอาชนะธรรมชาติ  ยอมเจ็บตัวเพียงเพราะอยากดูดีในสังคมแค่นั้นเอง  ถ้ามีหยดหมึกวิเศษจะได้ทำให้คนเหล่านี้สวยหล่อกันได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว  แต่เมื่อทำไม่ได้ก็เลยเรียนหมอเพื่อสานฝันให้คนเหล่านี้  แต่น่าเสียดาย  มีสิ่งหนึ่งที่หมอเสียใจก็คือคนไข้บางคนหมอไม่ได้เปลี่ยนแค่หน้าตาให้เขาแต่หมอกลับเปลี่ยนจิตใจให้เขาไปด้วย  แล้วคุณล่ะมีความฝันอะไร”

 
“ผมเหรอ...ผมแค่อยากให้มีคนรักผมเยอะๆ แค่นั้นแหล่ะครับ โดยเฉพาะคนในครอบครัวของผม ผมแค่อยากกินข้าวร่วมโต๊ะด้วยแบบสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวไม่ต้องไปนั่งกินในครัวคนเดียว ผมไม่อยากกินข้าวคนเดียว”

 
“คุณคงเหงามากสินะเมฆ” คุณหมอตบลงบนหลังมือของผม ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่หันไปมองรอยยิ้มของคุณหมอ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ไม่รู้สึกเหงา อย่างน้อยผมก็มีคุณหมออยู่ด้วยตอนนี้ ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมอุ่นใจขนาดนี้ อีกไม่กี่วันผมก็จะเข้ารับการผ่าตัดแล้ว ต่อไปชีวิตของผมก็จะดีขึ้น...ใช่มั๊ยครับ

 
“หมอครับ...หมอเชื่อในรักแรกพบมั๊ยครับ” ไม่รู้อะไรทำให้ผมถามออกไปแบบนั้น คุณหมอหัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะตอบคำถามของผม

 
“หมอไม่เชื่อในเรื่องของรักแรกพบหรอก เป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเจอใครแล้วเฮ๊ยรักคนนี้จังเลยต้องเอามาเป็นแฟนให้ได้ หมอเชื่อในเรื่องของความผูกพันมากกว่าคนเราต้องเรียนรู้นิสัยกัน จากนั้นจึงจะรู้สึกพิเศษกับคนๆนั้น หมอเชื่อว่าคนที่รู้สึกว่าตัวเองเจอรักแรกพบนั้นน่ะจริงๆแล้วแค่รู้สึกชอบในหน้าตามากกว่า”





 
ผมได้แต่ยืนแอบอยู่มุมกำแพงบ้านตรงข้ามกับบ้านของผม..พรุ่งนี้ผมก็จะผ่าตัดแล้ว  ผมอยากจะเข้าห้องผ่าตัดโดยมีแม่ยืนอวยพรให้ผมอยู่หน้าห้องผ่าตัด แต่แม่คงไม่รู้หรอกว่าลูกเป็ดขี้เหร่ของแม่คนนี้จะทำอะไร แม่คงไม่แม้แต่จะสนใจเลยด้วยซ้ำว่าผมหายไปไหน


 
สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้หมอกมันจะช่วยแม่ทำอาหารมั๊ยครับ มันช่วยแม่เอาขยะมาทิ้งข้างนอกหรือเปล่า แล้วห้องน้ำล่ะมันช่วยแม่ขัดมั๊ย  มันจะรู้มั๊ยว่าแม่ปวดหลังอยู่บ่อยๆเวลานั่งลงขัดพื้นห้องน้ำน่ะ จานชามที่กินแล้ววางรอล้างเต็มซิ้งค์มันจะช่วยแม่มั๊ย

 
ครืด...ผมรีบหลบหลังกำแพงทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน หัวใจผมเต้นแรงเมื่อเห้นว่าคนที่ออกมาจากบ้านคือแม่ของผมเอง  ทำไมผมรู้สึกว่าแม่ของผมตัวเล็กลงล่ะครับแล้วนั่นแม่กำลังแบกถุงดำออกมา
ถุงขยะ...ผมว่าผมได้รับคำตอบแล้วล่ะ  งานบ้านทั้งหมดแม่ต้องทำเองใช่มั๊ยครับ  ผมอยากเข้าไปหาแม่  อยากไปกอดแล้วพูดกับแม่ว่า  แม่ครับผมขอโทษ  แต่ผมผิดอะไร?  ทำไมผมต้องขอโทษ?  ผมยืนมองแม่ที่เปิดถังเพื่อเอาถุงขยะถุงใหญ่ทิ้งลงไป  แม่จับแถวๆบั้นเอวเป็นท่าประจำยามแม่ปวดหลังก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ผมยืนมองบ้านอยู่อีกพักก่อนจะหันหลังเดินจากมา

 
ผมบอกแล้วว่าผมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกถ้าผมยังไม่ได้ดี ผมจะลบคำสบประมาทที่ว่าผมไม่คู่ควรจะเป็นสมาชิกบ้านหลังนี้ให้เค้ารู้ว่าลูกชายคนโตของบ้านหลังนี้  อยู่สูงเกินกว่าพวกเค้าจะเอื้อมถึงจนตัวผมต้องเป็นฝ่ายลดตัวกลับมาหาเขาเองต่างหาก

 
“พร้อมมั๊ย?” ผมมองคุณหมอจิณณ์ที่ก้มลงกระซิบถามผมเบาๆ  ผมยิ้มรับคำถามของคุณหมอ  ผมชอบจังเวลาที่คุณหมอส่งรอยยิ้มของนางฟ้ามาให้มันทำให้ความหวาดกลัวลึกๆในใจของผมเบาบางลงไป
ข้างนอกนั้นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมกำลังนั่งรอผมอยู่ ข้างในนี้ทีมแพทย์และพยาบาล((ดูเหมือนเยอะ)) จริงๆมีอยู่ 4 คน  กำลังเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงผมไปตลอดกาลอยู่  หมอจิณณ์เลื่อนมือมาบีบมือผมเพียงครู่ในตอนที่พยาบาลเผลอก่อนจะปล่อยออกเมื่อทุกอย่างพร้อม

 
ไฟบนเพดานสว่างจ้าก่อนที่ผมจะถูกหน้ากากครอบปากและจมูก  เสียงหมอและวิสัญญีแพทย์ขานปริมาณของยาสลบก่อนที่คุณหมอจิณณ์ที่ใช้แมสปิดปากและจมูกจะเดินมาใกล้ๆผม

 
“สูดหายใจลึกๆนะ 1..2..3”

 
ผมทำตามคุณหมออย่างว่าง่าย แล้วโลกทั้งโลกของผมก็ดับลงทันทีที่คุณหมอนับสาม

 
ผมคงโลกสวยเกินไปจริงๆอย่างที่หมอจิณณ์บอกนั่นแหล่ะ  ผมลืมนึกไปว่าโลกเรามีความเจ็บปวดรอคอยอยู่ข้างหน้าเสมอ  และตอนนี้ผมกำลังเผชิญกับมันอยู่

 
“ไงแก เจ็บมากป่ะ” เสียงลูกปัดมันเอ่ยถามหลังจากผมลืมตาตื่นขึ้นผมพยักหน้าให้กับเจ้าเพื่อนตัวเล็กที่สถาปนาตัวเองเป็นญาติคนเดียวของผมเสร็จสรรพ ตอนนี้จมูกของผมได้แต่กลิ่นคาวเลือด คางของผมก็ปวดตุ่บๆ ไหนจะหน้าท้องที่เสียบแปลบๆแปลกๆ ตาผมก็เจ็บด้วย
โอย....กว่าจะหล่อสงสัยผมจะร่างกายแตกแหลกสลายเป็นผุยผงก่อนซะมากกว่า

 
“ไงคนเก่งฟื้นแล้วเหรอ” เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างโปร่งที่คุ้นตาตลอดเกือบสองสัปดาห์เดินยิ้มแต้เข้ามาคุณหมอจิณณ์ตอนนี้ใส่ชุดไปรเวทเรียบร้อยไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์แล้วคงออกเวรแล้วสินะ ลูกปัดมันขยับตัวถอยให้คุณหมอเข้ามานั่งข้างเตียง

 
“เฮ๊ยแก...หิวหว่ะ เดี๋ยวลงไปหาอะไรกินก่อนนะ” ลูกปัดมันชี้โบ๊ชี้เบ๊ออกไปนอกประตูผมพยักหน้าให้มันเบาๆ ไอ้นี่ก็ขยันถามจัง มันเจ็บนะเฮ๊ย ลูกปัดหันมาถามคุณหมอจิณณ์ประมาณว่าจะกินอะไรมั๊ยซึ่งคุณหมอของผมก็ไม่ได้ปฎิเสธน้ำใจเล๊ย

 
“อะไรก็ได้” คุณหมอตอบตามประสาคนกินง่ายอยู่ง่ายไอ้ปัดพยักหน้ารับก่อนจะปิดประตูเดินหายไป คุณหมอหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง
“หมอทำตา ทำจมูก ทำคางกับดูดไขมันให้น่ะ ไม่เจ็บเนอะ เมฆของหมอเป็นคนเข้มแข็งใช่มั๊ย” อยู่ๆความรู้สึกเจ็บของผมก็เหมือนจะหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่า เมฆของหมอ คำๆนี้ทำไมพอฟังแล้วหัวใจมันรู้สึกพองจนจะทะลุออกจากอกจังเลยครับ หมอจัดการดูนู่นดูนี่สอบถามอาการของผม

 
“คืนนี้หมอคงนอนไม่หลับ...” อยู่ๆหมอก็พูดขึ้นหลังจากเราเงียบกันมาได้ซักพัก

 
“อยู่ๆก็รู้สึกกลัวที่จะต้องนอนคนเดียว” ผมกระดกหัวขึ้นมองคุณหมอที่เสไปมองอีกทาง

 
“ความรู้สึกผูกพันนี่...ไม่ดีเลยเนอะ” ผมเจ็บแผลจนไม่อยากพูด


อะไร...หรือผมกำลังมึนจนพุดอะไรไม่ออกก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีผมก็เลื่อนมือไปจับมือของคุณหมอบีบไว้ หมอจิณณ์หันมามองผมผมฝืนยิ้มให้หมอทั้งๆที่ใบหน้าตึงจนแทบจะปริ

 
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” หน้าคุณตอนนี้โคตรจี้เลยหว่ะ” อยู่ๆหมอจิณณ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะใช้มือที่เหลือควักโทรศัพท์ที่หน้าจอโสโครกมากออกมากดกล้องถ่ายรูปแล้วเอียงคอเอาหน้ามาใกล้ๆผม

 
“ชูสองนิ้วด้วย  พร้อมนะ 1...2..3”

 
แช๊ะ!!!

 
เอาเข้าไป... ผมกลายเป็นของเล่นแก้เบื่อให้คุณหมอไปซะแล้ว

 
แช๊ะ...

 
สนุกเค้าเลยล่ะสิ

 
แช๊ะ...

 
ก็ดีเหมือนกันนะ

 
แช๊ะ...

 
ทำท่าซารางเฮแม่งเลย

 
แกร่ก...

 
“เอ่อ...คุณหมอคะ ปัดซื้อข้าวมาฝากค่ะ” ลูกปัดที่มันเปิดประตูเข้ามาเจอท่าแอคล่าสุดของเราสองคนทำหน้างงๆก่อนจะชูถุงใส่ข้าวกล่องใหญ่มาให้คุณหมอดู หมอจิณณ์เก็บโทรศัพท์พร้อมกับดึงมือที่ผมจับอยู่ออกแล้วไปจัดการกับข้าวกล่องใหญ่ ผมได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ข้าวอย่างหอมเหอะแต่ผมยังกินไม่ได้ ช้ำป่ะให้ทาย


“หิวเหรอแก” ลูกปัดมนเดินมาถามผม มันรู้ครับว่าปกติผมกินจุผมพยักหน้ารับ

 
“อดทนนะเว๊ยพรุ่งนี้ก็กินข้าวได้แล้ว”

 
“อือ”

 
สามทุ่มกว่าในที่สุดคุณหมอก็คว้ากระเป๋าเป้หลังจากนั่งคุยกับลูกปัดอย่างออกรส  น่าแปลกสองคนนี้ต่างเพศต่างอายุกันกลับนั่งคุยกันจ้อราวกับรู้จักกันมาซักสิบชาติ  และเพราะหมอกับลูกปัดคุยกันถึงทำให้ผมรู้ว่าไอ้ลูกปัดมันเป็นเศรษฐีเมืองเหนือ ไอ้ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
ถึงว่ามันกล้าเอาเงินสองล้านมาทุ่มให้กับเพื่อนอย่างผมโดยการทำหน้าชิลด์ๆ  ส่วนร้านอาหารที่มันทำพาร์ทไทม์อยู่ก็เป็นของน้าสาวมัน มันไปทำเล่นๆแก้เซ็ง  ถึงว่ามันสามารถหยุดได้ตามความพอใจ ไอ้นี่ก็อินดี้เกิ๊น

 
“หมอกลับก่อนนะพรุ่งนี้เจอกันใหม่” ในที่สุดหมอก็เอ่ยคำลาผมกับลูกปัด ผมมองแผ่นหลังของหมอที่ลับหายไปยามบานประตูห้องพักฟื้น
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆหัวใจมันก็หวิวๆ  ความรู้สึกใจหายมันเกิดขึ้นได้ยังไงผมก็ไม่เข้าใจตัวเองผมได้แต่มองคุณหมอเดินหายไปก่อนจะถอนหายใจออกมา สงสัยผมจะชินกับการเห็นคุณหมอก่อนนอนทุกวันซะแล้ว
หมอครับ...คืนนี้ผมก็คง...จะนอนไม่หลับเหมือนกันแหล่ะครับ...

 
“นี่...” นิ้วเล็กๆของไอ้ลูกปัดจิ้มลงบนต้นแขนของผมจึ๊กๆเรียกสายตาและสติของผมให้หันกลับมามองมัน

 
“ชอบเขาล่ะสิ”

 
“อื้อ...บ้า” ผมส่ายหน้ายิกๆปฎิเสธพลางแกล้งนอนหันหลังให้มันไอ้ลูกปัดมันหัวเราะแล้วเดินอ้อมมาหาผมอีกฝั่ง

 
“บ้าอะไรล่ะสายตาแกตอนมองตามหมอไปนะละห้อยเหมือนลูกหมาถูกทิ้งเลย หมอเค้าน่ารักถ้าแกจะหลงรักเค้าก็ไม่แปลกหรอก ยังไงเสียระหว่างที่อาศัยห้องของหมอแกก็จับเขาทำเมียไปเลยสิ ดูท่าทางหมอเองก็คงชอบแกอยู่เหมือนกันนะ”

 
นั่น...ดูแม่หญิงแห่งแดนล้านนาแนะนำหนุ่มเลือดมังกรอย่างผมเถอะ  ผมส่งมะเหงกประเคยเหม่งมันไปซะทีนึงก่อนจะตวัดผ้าห่มคลุมจนมิดหัวเป็นการตัดบท ไอ้ปัดมันคงจะไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ผมแอบยิ้มอยู่คนเดียว แกจะไปรู้อะไรฉันจับหมอกดตั้งแต่คืนแรกที่ไปค้างด้วยกันแล๊ว

 
อูย.......ซี๊ดดดดดด

 
เจ็บแผล หมอครับ....ทำไมเราเพิ่งแยกกันแต่ผมก็คิดถึงหมอซะแล้วล่ะครับ ความรู้สึกนี่มันร้ายกาจจริงๆเลยนะครับ ทำยังไงดีความคิดถึงกำลังจะฆ่าผมให้ตายทั้งเป็นแล้วนะ ที่หมอบอกว่าคนเราจะรักกันได้ต้องรู้สึกผูกพันกันน่ะ ตอนนี้ผมรู้สึกผูกพันกับหมอแล้ว  ต่อไปผมก็รักหมอได้ใช่มั๊ยครับ?




 
ผมนั่งฟังคุณหมออธิบายวิธีดูแลตัวเองหลังจากได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้  ครับตอนนี้คุณหมออยู่ในหน้าที่ก็เลยต้องปฎิบัติภารกิจของตัวเองอย่างเคร่งครัด

 
จริงๆผมอยากบอกคุณหมอว่าอธิบายคร่าวๆก็ได้เพราะถึงยังไงคุณหมอก็ต้องกลับไปเจอผมที่ห้องอยู่ดี ครับ...ผมยังคงอาศัยอยู่กับคุณหมอตามคำขอร้องของตัวหมอจิณณ์เองนั่นแหล่ะครับ

 
“ยังไงระหว่างที่รักษาตัวอยู่กับหมอไปก่อนก็ได้” เย็นวันหนึ่งหลังจากแกออกจากเวรแกก็มานั่งเล่นที่ห้องพักผมเหมือนเช่นทุกวันแล้วแกก็พูดขึ้นขณะหย่อนองุ่น “ของเยี่ยม” ของผมที่ไอ้ปัดมันซื้อมาให้เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

 
“แต่จะดีเหรอครับผมเกรงใจคุณหมอ”

 
“เฮ๊ยดีดิ่ ไม่ต้องเกรงใจแลกกับการทำงานบ้านแล้วก็อาหารให้หมอไงคุณไม่อยู่ผมกินมาม่าดิบอีกแล้ว ห้องเละอีกแล้ว”
ครับ...ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนกันอยู่ในนั้นเสมอ
คุณหมอเขียนใบสั่งยาด้วยลายมือเหมือนศิลาจารึกภาษาขอมผสมสก๊อยแล้วยื่นให้พยาบาลไอ้ปัดมันเดินตามคุณพยาบาลคนสวยที่ผมคิดว่าคงผ่านการโมดิฟายมาแล้วไปต้อยๆ

 
“หมอครับ...”

 
“หืม?”

 
“ไม่ได้แกล้งผ่าจมูกของผมให้เป็นรูปตูดใช่มั๊ยครับ” ผมแกล้งกวนตีนหมอเล่นหลังจากเราอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

 
“กวนตีนแล้วครับ นี่หมออยู่ในหน้าที่อยู่นะอย่าให้องค์ลงเดี๋ยวคุณพยาบาลหน้าอกภูเขาไฟระเบิดจะตกใจ”

 
“คนตะกี๊ผ่าอะไรมั่งครับ” ต่อมเผือกทำงาน

 
“ทั้งตัว...หน้าอกนั่นหมอใส่ให้ใหญ่พิเศษเลยนะเวลาก้มมาถามอะไรทีนี่ใจสั่นเลย ยิ่งวันไหนนมสีแขนนี่นะฮู่วววววว” ครับ...นี่ล่ะครับ...เมียคนแรกของผม ปริ่มจนน้ำตาจะไหล

 
“เมฆ...ป่ะ ได้ยาแล้ว” ไอ้ลูกปัดมาเดินมาเรียกผมที่นั่งรออยู่นอกห้องคุณหมผมโดนเนรเทศออกมาครับเพราะคุณหมอยังมีคนไข้ที่ต้องดูและอีกเยอะ 

 
ผมตกลงกับลูกปัดว่าเดี๋ยวเราจะกลับไปที่ห้องของคุณหมอเลย  ลูกปัดมันพาผมมาส่งที่ห้องของคุณหมอที่มันตะลึงกับสกิลการทำลายล้างขั้นเทพของหมอคนสวย

 
“นี่ห้องคนหรือกองขยะวะแก” ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางเกลื่อนบนโต๊ะกระจกหน้าทีวี ผ้าขนหนู เสื้อผ้า ชุดเตะบอลถูกโยนเกลื่อนเต็มห้อง
“หมอจริงเหรอวะแกทำไมซกมกจนโลกตะลึง”

 
“เออ จริง นี่ตอนกลางคืนเวลานอนน้ำลายยืดด้วยนะ” ผมตอบลูกปัดขำๆไอ้ตัวเล็กมันทำหน้าอึ้งจัดก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขันเต็มที่

 
“โห....เชื่อเลยหว่ะแกในโรงพยาบาลนั่นภาพมายาที่เห็นกับตานี่สิของจริง” ผมอยากจะขำกับไอ้ปัดมันนะครับถ้าไม่ติดว่าหน้าผมยังมีแผลตึงๆอยู่ ลูกปัดมันเดินสำรวจห้องอยู่พักนึงก่อนจะทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวไปจ่ายตลาดให้เย็นนี้ฉลองกันดีกว่าหมอกลับมาจะได้มีอะไรกินด้วย” หลังจากที่ลูกปัดออกไปตลาดแล้วผมก็มองห้องที่เหมือนกองขยะย่อมๆ

 
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกขำแทนที่จะอ่อนใจ  ผมเริ่มเก็บของทีละชิ้นๆ  เริ่มจัดการให้ห้องกลับมอยู่ในสภาพก่อนที่ผมจะไปผ่าตัด ถึงมันจะไม่ได้สะอาดเอี่ยมแต่ก็ยังดีกว่าสภาพเมื่อครู่

 
นับชั่วโมงไอ้ลูกปัดก็หอบของพะรุงพะรังเข้ามา เห็นตัวมันเล็กยังงี้แต่แรงมันดีครับมันเอาถุงของสดและพวกเครื่องปรุงต่างๆวางในครัว  ผมไปช่วยมันจัดของพวกของสดที่ยังไม่ทำวันนี้เอาแช่ตู้เย็น

 
ทันทีที่เปิดตู้เย็นผมก็พบกับอาหารสำเร็จรูปที่มีไว้ให้กับคนทำศัลยกรรมกินพวกอาหารอ่อนๆ  โจ๊กนับสิบกล่อง หมอคงซื้อมาไว้ให้ผม...

 
ไม่รู้ทำไมเพียงความใส่ใจเล็กๆน้อยๆกลับทำให้ผมรู้สึกดีจนเผลอยิ้มออกมา เราใช้เวลาในการเตรียมอาหารจนคุณหมอเลิกงานกลับมา คนหน้าหวานร้องว๊าวทันทีที่เปิดห้องมาแล้วได้กลิ่นอาหารคุณหมอปรี่มาหยิบเนื้อชิ้นบางที่ลูกปัดมันหั่นไว้รอ

 
“หมอปัดทำเสือร้องไห้จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วหมอโอเคมั๊ย” ครับเมนูไทยประยุกต์ให้เข้ากับวัตถุดิบที่มี ไอ้ปัดมันนำเสนอเมนูเด็ดซึ่งหมอไม่ได้ตอบรับอะไรเพราะตอนนี้เคี้ยวเนื้อย่างตุ้ยๆอย่างถูกอกถูกใจกว่าปาร์ตี้ของเราจะจบลงก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มลูกปัดมันจัดการวางจานใบสุดท้ายที่ล้างเสร็จคว่ำเก็บ

 
“หมอคะ เมฆ เดี๋ยวปัดกลับก่อนนะคะ”

 
“เฮ๊ยเดี๋ยวหมอไปส่ง” คุณหมอคว้ากุญแจรถที่นานๆจะขับซักทีขึ้นมาถือ

 
“ไม่เป็นไรคะเสียเวลาขับไปขับกลับเดี๋ยวปัดนั่งแท็กซี่กลับเอาดีกว่า”
อย่างไอ้ปัดน่ะนะจะนั่งแท็กซี่เดี๋ยวพอลงไปมันก็ไต่รถเมล์ตามเดิมทำไมผมจะรู้ไม่ทันมัน มันพยายามเปิดโอกาสให้ผมอยู่กับหมอ
“ให้หมอไปส่งดีกว่าเป็นผู้หญิง” หมอยังแสดงความมีน้ำใจด้วยใจจริง
“หมอไม่ต้องห่วงปัดหรอก ปัดเป็นมวยใครจะกล้าทำอะไรปัดตบคว่ำแหล่ะ”

 
“แต่...”

 
“หมอครับ...ไอ้ปัดมันมีนุสราเป็นไอดอลครับปล่อยมันไปเถอะ” ผมขัดหมอเมื่อหมอยังยืนยันจะไปส่งๆด้วยการแย่งกุญแจรถมาถือไว้เองไอ้ปัดมันพยักหน้าขำๆแล้วคว้าเป้ชิ่งไปเลย เมื่ออยู่กันสองคนหมอก็หันมามองหน้าผม

 
หมับ...

 
ฝ่ามือเรียวลูบลงบนผ้าก็อซที่คางของผมอย่างเบามือ

 
“เจ็บมั๊ย?....หมอทำให้คุณเจ็บหรือเปล่า”  น้ำเสียงอ่อนโยนที่นานๆจะได้ยินเอ่ยถามผมออกมาผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับว่าจริงๆแล้วผมเจ็บแต่ทันทีที่ผมตั้งสติได้ริมฝีปากสีสดแสนนุ่มอุ่นก็ทาบทับกับจมูก  ตา และคางของผมอย่างแผ่วเบา  พลางเป่าลมอุ่นๆออกมาแล้วพูดว่า
“เพี๊ยง....ไม่เจ็บแล้วเนอะ” คุณหมอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังปลอบใจเด็กน้อย ครับความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยบแล่นวาบเข้าสู่กลางใจของผม ผมอยากบอกหมอเหลือเกินว่า หมอครับ....กลิ่นเนื้อย่างจากปากหมอหอมดีนะครับ...







,..............


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ

#ลูกเป็ดขี้เหร่

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หวังว่าแม่จะมีความนึกถึงและคิดถึงลูกคนนึงได้บ้างนะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
คนเราจะนึกถึงกันก็ต่อเมื่อลำบาก แม่จะนึกถึงเมฆก็ตอนนี้แหละ..แต่ก็ไม่แน่
 :ling3:

ออฟไลน์ nooluk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หมดกันความฟินนนนนนนนนนนน55555555555555555555 :o8: :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด