พิมพ์หน้านี้ - Ugly boys ลูกเป็ดขี้เหร่ [[จิณณ์-เมฆ]] ตอนที่ 20 08/12/61 ((ตอนจบ))
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: thanatcha ที่ 20-11-2018 22:12:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ สรุปข้อสำคัญดังนี้ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม 5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ... ลูกเป็ดขี้เหร่ Intro
ไอ้ขี้เหร่...ผมเกลียดคำๆนี้ชะมัด ทำไม...คนรอบข้างถึงชอบยัดเยียดคำที่แสนทุเรศนี้ให้กับผม “เมฆมึงนี่มันไม่มีอะไรดีเลยนะ ตัวสูงเก้งก้างเสียงก็ใหญ่ตัวดำฟันเหยินเหงือกเยอะ ไม่มีความพอดีซักอย่างถามจริงๆเหอะเวลาออกไปเดินเสนอหน้านอกบ้านเนี่ยไม่อายหนังหน้าบ้างเหรอมึงนี่มันมั่นหน้าเกินไปป่ะ” นั่นคือคำพูดของน้องชายของผม...มันหล่อครับ หล่อราวเทพบุตร ผิวมันขาวจมูกมันโด่งเป็นสันเพราะพ่อมันเป็นลูกครึ่งมันเลยได้ส่วนผสมของความหน้าตาดีมารวมไว้บนใบหน้า ส่วนผมเพราะไม่เคยดูแลใส่ใจตัวเองเลย ผลก็ออกมาเหมือนที่มันพูดว่าผมนั่นแหล่ะ ทั้งๆที่ผมอายุ 22 แล้วแท้ๆแต่ไม่เคยมีแฟนเลย ส่วนน้องชายของผมมันเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่นจนบางครั้งผมแอบแช่งชักให้มันติดเอดส์ตายไปซะ ยังไม่รวมคำพูดจากใครหลายๆคนที่ทำให้ผมอยากจะเอาปี๊บคลุมหัวเดิน ถ้าเปรียบน้องชายของผมดั่งหงส์ขาว..ผมมันก็คงเป็นได้แค่เพียง ..ลูกเป็ดขี้เหร่.. ได้แค่นี้จริงๆ
ลูกเป็ดขี้เหร่..1 ท้องฟ้าตอนเกือบทุ่มเริ่มถูกความมืดโรยตัวปกคลุมผมเดินถือถุงขยะสีดำที่แม่สั่งให้เอาออกมาทิ้งวางลงในถังขยะไม่ไกลจากบ้าน ทุกเย็นถ้าผมกลับจากซ้อมบาสเสร็จผมต้องรีบกลับมาช่วยแม่ทำอาหารเย็น เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้อยากทำมันเหมือนเป็นงานของผู้หญิงแต่แม่เคยให้เหตุผลกับผมว่า “แม่มีแต่ลูกชายถ้าลูกๆไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย ทำไมงานบ้านผู้ชายต้องผลักภาระให้ผู้หญิงทำฝ่ายเดียวในเมื่อบ้านก็อยู่ด้วยกันกินด้วยกันใช้ด้วยกันทุกคน” ผมช่วยไม่ใช่เพราะเหตุผลเพียงแค่นั้นผมแค่อยากใช้เวลาอยู่กับแม่ให้นานๆ อาจจะดูเป็นลูกแหง่แต่ตั้งแต่ผมจำความได้แม่จะไม่ค่อยกอดหรือแสดงความรักอะไรกับผม ผมเองก็ไม่ถนัดที่จะแสดงความรักกับแม่เหมือนกันไม่เหมือนน้องชายของผมเจ้านั่นน่ะมันอ้อนเก่ง แค่มันทำยิ้มกว้างเข้าหาแม่มันชี้ดาวแม่ก็แทบจะเหมายานอาวกาศไปสอยดาวมาให้มัน ยิ่งพ่อ...ผมหมายถึงพ่อเลี้ยงของผมแต่เป็นพ่อแท้ๆของน้องชายน่ะไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ต่อให้ลูกชายเขาไปฆ่าคนตายมันก็จะยังเป็นเทวดาน้อยๆของพ่อเสมอ “ไงมึงเอาขยะมาทิ้งเหรอ...” ผมชะงักมือจากการมัดปากถุงให้เรียบร้อยตามกฏหมายที่กำหนดให้ทุกครัวเรือนต้องแยกขยะแต่ละประเภทและเก็บทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนทิ้ง มันเดินเอามือล้วงกระเป๋าเข้ามาหาผมก่อนจะเบะปากเดินสวนผมไปด้วยท่าทางกวนส้นทรีนซะเหลือเกิน “กูว่าความจริงมึงน่ะน่าจะมัดตัวเองรวมกับขยะเปียกพวกนี้ทิ้งพร้อมกันไปเลยนะอยู่ไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรพ่อก็ไม่มีแม่ก็รักกูมากกว่า” เสียงมันพูดข้างหูผมก่อนจะส่งเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมเจ็บจี๊ดในใจ “ไอ้หมอก!!” ผมเหวี่ยงถุงขยะลงถังแล้วปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อมันอย่างโมโห มันไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวผมแถมยังขยำคอเสื้อของผมกลับซะแน่น “ทำไมมึงจะทำอะไรกูฮ๊ะไอ้ลูกเป็ดขี้เหร่ มึงดูดิ๊คนทั้งบ้านเค้าหน้าตาดีๆกันทั้งนั้นมีมึงอยู่คนเดียวแหล่ะที่สารรูปดูไม่ได้ มึงรู้มั๊ยเวลาไปไหนกันทั้งบ้านกูไม่อยากให้มึงไปด้วยเลยกูอายที่จะต้องบอกใครๆว่ามึงเป็นพี่กูไอ้ลูกไม่มีพ่อ คนอื่นเขาเป็นหงส์แต่มึงอ่ะเป็นได้แค่ลูกเป็ด ทำไมโกรธเหรอ โกรธแล้วจะทำอะไรกูได้ จะต่อยกูเหรอ มึงกล้าเหรอ ระหว่างมึงกับกูถ้าเกิดมีเรื่องกันมึงก็คงจะรู้นะว่าพ่อกับแม่จะเข้าข้างใคร ไอ้เมฆมึงอย่าหาเรื่องเจ็บตัวเลยกูเตือนมึงด้วยความเคารพ” มันค่อยๆแกะมือผมพร้อมรอยยิ้มที่โคตรจะเย้ยหยันแล้วก็เป็นมันที่เป็นฝ่ายผลักผมอย่างแรงจนเกือบล้มดีที่ผมตั้งตัวทันผมจึงทำได้แค่เซไปชนถังขยะจนถุงขยะที่ผมยังผูกไม่แน่นดีร่วงลงมา น้ำเหม็นๆจากเศษขยะสดหกราดตั้งแต่ช่วงเอวของผมจนถึงเท้าพร้อมๆกับเสียงหัวเราะสะใจก็ดังขึ้น “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ มึงแม่งโคตรปัญญาอ่อนเลยหว่ะ ดูสิขนาดขยะมันยังรู้เลยว่าใครพวกเดียวกับมัน” ผมได้แต่สะบัดน้ำเหม็นๆที่เปื้อนมือด้วยอารมณ์ที่เสียสุดๆ ในเมื่อทำอะไรมันไม่ได้ที่สุดผมก็ง้างเท้าเตะเจ้าถังขยะไม่รักดีดังโครมใหญ่ก่อนจะเดินตามไอ้ตัวแสบเข้าบ้าน “อี๋....กลิ่นอะไรน่ะเมฆ” ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าบ้านแม่ก็ทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะทำหน้าเบ้ พ่อเลี้ยงของผมขมวดคิ้วฉับทันทีอย่างไม่พอใจ “ถุงขยะมันหล่นน้ำขยะเลยหกใส่นาะแม่” ผมตอบห้วนๆอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไปเลยรีบไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเดี๋ยวนี้เลยแล้วดูซิเดินย่ำเข้ามาในบ้านแบบนี้ได้ยังไงกันลูกคนนี้นี่ โอ๊ยเหม็นตลบเลย” แม่โบกมือไล่ผมก่อนจะเปิดประตูบ้านทิ้งไว้แล้วไปเอาผ้าชุบน้ำยาถูพื้นปนกับน้ำยาฆ่าเชื้อมาไล่ตามหลังผมมา ผมปิดประตูห้องก่อนจะรูดตัวลงนั่งกอดเข่ากับพื้น บางทีผมก็ไม่ได้อยากให้น้ำตามันไหลออกมาหรอกนะแต่ไอ้ความรู้สึกที่มีชื่อว่า “น้อยใจ” มันขับน้ำตาออกมาเอง ผมน้อยใจ..ทำไมพ่อกับแม่ผมต้องเลิกกัน ผมน้อยใจที่แม่รักน้องมากกว่า ผมน้อยใจที่พ่อเลี้ยงไม่รักผมเหมือนที่แสดงออกเวลาไปงานเลี้ยงหรือไปพบปะเพื่อนฝูงของเขา ผมน้อยใจที่น้องชายไม่เคารพผมเลยมันแทบจะไม่เคยเรียกผมว่า “พี่” เหมือนที่น้องคนอื่นเรียกพี่ชายเลย มันไม่เคยแสดงความภูมิใจเลยซักครั้งเวลาผมไปแข่งบาสชนะมา ผมน้อยใจพระเจ้าที่สร้างให้ผมเกิดมาเป็นลูกเป็ดในฝูงหงส์ ผมกอดเข่าตัวเองพลางซุกหน้านิ่งไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของผมแม้คนๆนั้นจะเป็นตัวผมเองก็ตามทีเถอะ... ในที่สุดผมก็ลงมาข้างล่างในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆเริ่มทานข้าวกันไปแล้วผมมองแม่ที่คีบไก่ชิ้นโตให้หมอกด้วยหัวใจห่อเหี่ยวเล็กๆ "อ้าวมาซักที หายเหม็นหรือยังเนี่ยไปนู่นเลยเข้าไปกินในครัวแม่จัดไว้ให้อีกชุดนึงแล้ว" ผมที่กำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้ถึงกับชะงักค้างมองหน้าแม่ราวกับว่าที่ผมได้ยินเมื่อครู่ผมแค่หูฝาด แต่แม่ก็ยังพยักหน้าเป็นการยืนยันคำพูด ผมลุกจากโต๊ะเดินเข้าไปในครัวเงียบๆ ทั้งๆที่บอกตัวเองว่าอย่าหันไปมองที่โต๊ะอาหารอีกแต่ตาไม่รักดีของผมมันก็ยังบังคับร่างกายให้หันไปมอง ครอบครัวสุขสันต์สามคนพ่อแม่ลูก ครอบครัวที่สมบูรณ์โดยไม่ต้องมีผม เป็นภาพที่ดีจริงๆเลยนะครับแม่ ดีจนน้ำตาของผมแทบจะไหลออกมาอีกรอบ บาสเกตบอลเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีคุณค่า ผมไม่ลังเลที่จะตอบรับคำสั่งจากโค้ชที่จะต้องอยู่ซ้อมจนมืด ที่นี่…สนามบาสเป็นที่เดียวที่ผมได้รับการยอมรับ ที่นี่...เป็นที่เดียวที่ผมได้รับรอยยิ้มที่จริงใจและคำชื่นชม มันทำให้ผมสามารถยิ้มได้กว้างที่สุด รอยยิ้มที่ผมแทบจะไม่เคยมีเลยเมื่ออยู่ในบ้าน การได้วิ่งและโลดแล่นไปทั่วสนามบาสมันเหมือนกับเทเลทับบี้วิ่งเล่นในทุ่งหญ้ายังไงยังงั้นเลย การกระโดดขึ้นไปชู๊ตบาสมันก็เหมือนผมกำลังกระโดดเพื่อคว้าดาวซักดวงแล้วทำไมผมจะไม่มีความสุขกับมัน ปรี๊ดดดดดดดดดดด...แต่เวลาแห่งความสุขมักจะมาไวไปไวเสมอ โค้ชเป่านกหวีดเรียกพวกเรามารวมตัวกันเพื่อบอกถึงจุดบกพร่องข้อดีและข้อเสียของแต่ละคนอีกราวๆ 10 นาทีก็ปล่อยให้พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำกลับบ้าน เป็นธรรมดาที่เมื่อใช้พลังงานไปเยอะท้องก็จะเริ่มหิว ผมรีบอาบน้ำแล้วโบกมือลาเพื่อนร่วมทีมก่อนจะสะพายกระเป๋าใบยุ่ยที่พ่อของผมส่งมาให้เมื่อหลายปีก่อนเป็นของขวัญวันเกิดแล้วออกมาจากโรงยิม วันนี้แม่กับพ่อต้องไปงานเลี้ยงอะไรซักอย่างแม่จึงบอกกับผมว่าให้หาอะไรกินก่อนเข้าบ้านเลยเพราะเลิกงานเสร็จพ่อกับแม่ก็จะตรงไปที่งานเลี้ยงทันที ผมเดินเลี้ยวซ้ายตรงมาเรื่อยๆเข้าเขตที่คนเริ่มพลุกพล่าน วัยรุ่นชายหญิงจูงมือซบไหล่เดินผ่านผมไปหลายคู่ก่อนจะเปิดประตูร้านเล็กๆร้านหนึ่งเข้าไปข้างใน มันเป็นร้านอาหารที่ผมชอบเข้าที่สุดเพราะมีเพื่อนต่างเพศคนหนึ่งของผมทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ ทันทีที่เสียงกระดิ่งดังขึ้นผู้หญิงตัวเล็กที่ง่วนอยู่กับการจัดเมนูหลังเค้าท์เตอร์ก็หันมามองผม เธอเป็นคนตัวเล็กสูงไม่น่าจะถึง 150 ซม. ด้วยซ้ำ หลายคนมักทักว่าเธอเป็นทอม ขนาดมีลูกค้าสาวๆมานั่งแช่รอจีบมันอยู่เป็นเดือนๆ “ไงวันนี้มาซะเย็นเลยนะแก” ปัดเด็กสาวจากเมืองเหนือมันหันมาพยักหน้าแล้วยักคิ้วบางๆให้กับผม ผมเหวี่ยงกระเป๋าลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงรับน้ำเย็นที่เจ้าปัดมันส่งมาให้กับผม “เหมือนเดิมป่ะ” เป็นอันรู้กันว่าผมกินไม่กี่อย่างส่วนมากถ้ามาก็กินอาหารเซตผมยักคิ้วให้มันไม่นานอาหารหอมฉุยก็ถูกวางลงตรงหน้า และไม่ทันที่ผมจะได้หยิบกินมันฝรั่งทอดชิ้นใหญ่ก็ถูกเซฟตัวเล็กยื่นมามาหยิบใส่ปากผมส่ายหน้าให้มันอย่างขำๆ “ตลอดอ่ะ” “ชิมหน่อยไม่ได้หรือไงเดี๋ยวนี้หวงเหรอ” มันย้อนถามผมด้วยท่าทางนักเลง ถึงเพื่อนผมคนนี้จะตัวเล็กแต่ใจมันนักเลงมาก และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เต็มใจจะเดินไปพร้อมกับผม “มีอะไรต้องไปทำอีกป่ะ” ปัดมันหันมาถามผมหลังจากเสิร์ฟอาหารให้กลุ่มนักเรียนหญิงที่เดินส่งเสียงดังลั่นร้านกลุ่มใหญ่ ผมยาวๆของมันชื้นไปด้วยเหงื่อผมส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะปากผมเคี้ยวมันบดจนไม่ว่างจะตอบมัน “เออ งั้นรอเดี๋ยว ใกล้เลิกงานแล้วเดี๋ยวไปส่งบ้าน” บางทีผมก็แปลกใจว่าตกลงผมหรือเจ้าปัดที่เป็นผู้ชาย หลังจากนั่งรอเกือบชั่วโมงเจ้าปัดที่หายไปหลังร้านพักใหญ่ๆก็สะพายเป้ที่ใหญ่ไม่สมส่วนกับตัวมันออกมา “ไปแก” มันว่าแค่นั้นก่อนจะเดินนำผมลิ่วๆออกมา ผมเห็นกระเป๋าเป้มันแล้วเกิดรำคาญลูกนัยน์ตาเลยดึงแบบไม่บอกไม่กล่าวจนไอ้ตัวเล็กมันปลิวตามมือของผมมาแทบจะทันที “โอ๊ย อะไรของแกคะคุณเมฆฆฆฆฆฆ” มันโวยครับแต่ก็ยอมปล่อยเป้ให้ผมสะพายแทนมันอยู่ดี เราเดินคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระจนมาถึงซอยบ้านของผม จริงๆจะเรียกว่าปัดเดินมาส่งผมก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะไอ้ตัวเล็กมันเดินต่อไปอีกไม่ถึงสามร้อยเมตรก็จะถึงห้องเช่าของมันแล้วก็เลยเป็นทางเดียวกันไปด้วยกันซะมากกว่า “โอ๊ะโอ.......นั่นอะไรน่ะ” เราสองคนชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนประหลาดใจซะเต็มประดา “เดี๋ยวนี้ลูกเป็ดมีแฟนด้วยเหรอ” ใช่ครับเจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครหรอกครับ หมอก น้องชายสุดที่รักของผมเอง และเช่นทุกครั้งที่เจอมันเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงที่เป็นท่าประจำที่มันทำเวลาออกนอกบ้าน อารมณ์ประมาณว่าก็ทำท่านี้แล้วหล่อมันเลยทำจนติดเป็นนิสัย หมอกแกล้งปรายตาแล้วยิ้มมุมปากราวกับภาพที่ผมกับปัดเดินมาด้วยกันเป็นเรื่องประหลาด “นี่เธอ นึกยังไงมาเดินกับมันเนี่ย” “หมอกนี่เพื่อนพี่อย่าเสียมารยาท” ผมเอ่ยปรามมันเสียงเรียบๆในขณะที่ปัดมันมองหน้าผมกับหมอกงงๆ “ฉันว่านะ....ขนาดตัวของเธอกับมันไม่น่าจะบาลานซ์กันนะ เอ๊ะหรือเรื่องส่วนสูงไม่เป็นอุปสรรค” มันหันไปพูดจาดูถูกใส่เพื่อนผม ปัดที่กำลังประเมินผลในสมองเงยหน้าขึ้นมามองผมสลับกับหมอกก่อนจะร้องออกมาว่า “อ๋อออออออออ” “หมอกทำไมพูดจาไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลย” ผมเหลือทนกับคำพูดแบบนี้ของน้องชาย มันกำลังดูถูกผู้หญิง ที่สำคัญผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้จักมันเลยซักนิด อาจจะเคยเห็นกันผ่านๆแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดแซวหรือหยอกกันและผมรู้ว่ามันตั้งใจพูดจาไม่ดีใส่เพื่อนผม “มึงหุบปากไปเลยไอ้ลูกเป็ดกูก็ไม่เห็นว่าอีนี่จะพูดอะไรเลย ฟังภาษาคนออกหรือเปล่าก็ไม่รู้” “ภาษาคนน่ะกูฟังออกแต่ถ้ามันออกมาจากปากหมากูต้องใช้เวลาตีความ” เป็นเรื่องจนได้ ไอ้ปัดมันกำมือแน่นก่อนจะตะเบ็งเสียงด่าหมอก น้องชายของผมมันทำท่าเลิกคิ้วกวนประสาท “มึงด่าใครปากหมา?” “ด่ามึงไง” สวนกลับทันใดเหมือนกัน “ขอโทษกูเดี๋ยวนี้ นี่กูเห็นว่าเป็นผู้หญิงนะไม่งั้นจะต่อยให้คว่ำเลย” “ทำไมต้องขอโทษ” ผมว่าหมอกมันกวนประสาทแล้วนะ แต่หน้าไอ้ตัวเล็กตอนนี้กวนประสาทเหมือนเอาหมอก 10 คนมารวมกันแล้วเขย่า ปัดยืนกอดอกเลยเงยหน้าถามหมอกด้วยน้ำเสียงติดจะเยาะ ผมจับไหล่มันบีบเบาๆเป็นเชิงขอโทษมันยักไหล่หนีแล้วยืนจ้องหน้าหมอกแบบไม่หลบตา “หึ...สิ้นคิดหรือไม่มีใครเอากันนะถึงตาต่ำมาคว้าไอ้ลูกเป็ดนี่ น่าสมเพช” เพี๊ยะ!!!!...ผมคิดว่าหลังจากวันนี้ผมคงต้องฝึกวิ่งและฝึกระบบประสาทสัมผัสให้มากกว่านี้ เพราะเพียงแค่จบคำพูดของหมอกสิ่งที่ผมเห็นก็คือไอ้ตัวเล็กที่ยืนเยื้องไปข้างหน้าของผมนิดหน่อยออกวิ่งแล้วกระโดดตบลงบนซีกหน้าของหมอกอย่างพอดีมือ จนน้องชายของผมถึงกับหน้าหันเซล้มลงก่อนที่ไอ้ปัดมันจะกระโจนไปฝากรอยดอกยางบนยอดอกของน้องผม ผมก็ปรี่ไปล็อคแขนทั้งสองข้างของมันเพื่อที่จะลากมันออกไปก่อนที่หมอกจะตั้งสติแล้วลุกมากระทืบเราสองคนได้ “ปล่อยกูไอ้เมฆกูจะไปกระทืบมัน” ยังไม่วายที่ไอ้ตัวเล็กมันจะสลัดขาสั้นๆเพื่อจะถีบน้องของผม “มึงรู้จักกูน้อยไปซะแล้ว รู้มั๊ยกูเป็นใคร นี่อีปัดผู้ฆ่าเสือด้วยมือเปล่ามาแล้ว อย่ามาปากดีกับกูอีกนะ แล้วจะสอนให้เอาบุญ เป็นน้องน่ะต้องหัดเคารพพี่ซะบ้างไอ้อกตัญญู” มันชี้หน้าทิ้งท้ายหมอกก่อนจะยอมเดินตามผมมาแต่โดยดี “ไม่น่าห้ามเลยนะแกน่ะ” หลังจากเดินกันมาเงียบๆได้ซักพักไอ้ตัวเล็กมันก็ต่อนต้นแขนผมเบาๆ “ถ้าไม่ห้ามป่านนี้แกเละไปแล้ว....แต่ฉันว่าท่ากระโดดตบแกคุ้นๆนะ” ผมหันไปแซวมันครับ ปัดหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ “นุสรา ต้อมคำไง รู้จักป่ะ” “ใครวะ?” ผมพยายามนึกตาม ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยติดตามข่าวสารบ้านเมืองซักเท่าไหร่ก็ก็รู้สึกคุ้นๆชื่ออยู่ว่าจะเป็นนักกีฬาหรือดาราซักคนนี่แหล่ะ “ซาร่าไง โหยเชยหว่ะ นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติ ฉันจำท่าตบมาจากซาร่าเวลากระโดดตบหน้าเน็ตอ่ะ” มันว่าก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ของมันไปถือไว้ “คราวหลังถ้าจะไปตบใครอีกบอกกันก่อนนะเว๊ย” “ทำไมเป็นห่วงเหรอไอ้ลูกชาย” “เปล่า...ฉันจะได้เตรียมลังไปให้แกปีนตบ” ผมแซวส่วนสูงของมันอีกครั้ง ไอ้ปัดมองค้อนผมก่อนจะว่า “เจ็บนะเนี่ย พูดงี้มาไฝว้กันป่ะ ขอหาอาวุธแป๊บ” “เออๆ ยอมๆ ไปเข้าบ้านไปได้แล้ว” ผมหัวเราะกับท่าคุ้ยเป้ของมันก่อนจะโบกมือไล่มันเข้าบ้านไป “เออๆ ขอบใจที่มาส่งนะกลับบ้านดีๆล่ะ” มันว่าก่อนจะโบกมือบ๊ายบายผม ผมหันหลังเดินกลับมาทางเดิมแล้วก็คิดหนักสำหรับเหตุการณ์เมื่อครู่... ยังไงซะวันนี้ต้องมีปัญหารอผมอยู่แน่ๆ...น่าขำนะครับ ทุกเย็นไม่มีใครรอผมกลับบ้านเลย มีอย่างเดียวที่รอผมอย่างซื่อสัตย์ก็คือปัญหา ผมควรซึ้งใจกับมันดีมั๊ยครับ?? ......................................................... อัพเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักจ้า
นี่คนในครอบครัว หรือ ขอทานว่ะ ใครก็ได้รับเมฆไปเลี้ยงดูที :katai4: :katai4: :katai4:
น่าติดตามค่ะ :mew2:
ลูกเป็ดขี้เหร่[:2:] เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของผมก็ยังคงเดิม ผมกลับจากส่งไอ้ปัดถึงบ้านก็พบกับหมอกนั่งเอาเท้าพาดลงบนโต๊ะกินข้าว ในมือของมันถือแผ่นเจลเย็นกำลังประคบปากอยู่ ท่าทางลูกตบหน้าเน็ตของเจ้าปัดคงจะแรงพอดูเพราะมุมปากของหมอกมีเลือดซึมอยู่ ผมเลี่ยงที่จะมีปัญหากับมันเตรียมจะเดินขึ้นห้องแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อมันพูดกับผม “พ่อกับแม่กลับมามึงโดนดีแน่” มันขู่ผมครับ ซึ่งผมก็ไม่ได้เถียงมัน ผมคิดว่ามันต้องทำจริงๆ มองเวลาเกือบสองทุ่มผมเดินกลับขึ้นห้องอาบน้ำทำรายงานเพื่อรอเวลาโดนพิพากษา และจำเลยอย่างผมไม่มีสิทธิ์ยื่นอุธรณ์ใดๆทั้งสิ้น ผมรอเวลาที่จะเรียนจบ เทอมนี้ก็เทอมสุดท้ายแล้วเมื่อผมทำงานผมก็จะแยกตัวออกไปเช่าห้องอยู่เอง ผมจะได้ไปพ้นจากใบบุญจอมปลอมของพ่อเลี้ยง ผมจะได้ไปมีชีวิตในสังคมที่เค้ายอมรับผมซักที ผมว่าสังคมไทยสมัยนี้นี้แปลกนะครับ ทุกคนมองรูปลักษณ์ภายนอก ให้ความสำคัญกับมันมากกว่าความดีงามในจิตใจ ให้ความสำคัญขนาดไหนน่ะเหรอครับ ก็มากขนาดที่ถ้าคุณหน้าตาไม่ดีหรือบางทีคุณอาจจะผอมแห้งแต่งตัวปอนๆยามที่คุณเดินใกล้ใครคนเหล่านั้นจะขยับหนีคุณโดยอัตโนมัติ มันก็จริงอยู่ที่ผมอยากเกิดมาดูดีกว่านี้ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าซักวันความดีในตัวผม((ที่ผมมั่นใจว่าผมมี)) จะช่วยทำให้ใครซักคนที่พระเจ้าประทานมาให้มองเห็นมันและรักผมในสิ่งที่ผมเป็น แต่คงไม่ใช่สำหรับคนในบ้านนี้ เพราะเพียงแค่ผมเก็บกระดาษรายงานชิ้นสุดท้ายเสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น ได้เวลาขึ้นตะแลงแกงรอการประหาร ผมยืนเต็มความสูงบิดขี้เกียจถอนหายใจหนักๆเรียกพลังให้กับตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตู และเพียงแค่บานประตูเปิดกว้าง ฝ่ามือหนาของพ่อเลี้ยงก็ประทับลงบนใบหน้าของผมอย่างพอดิบพอดีถึง 2 ทีซ้อน ผมถึงกับเซเข้าไปในห้องพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของพ่อที่เดินตามเข้ามารวมทั้งลูกชายผู้แสนจะกวนประสาทของเค้า “ไอ้เมฆ มึงให้อีหน้าไหนมาทำร้ายหมอก” “พ่อ....” “ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ มึงให้เพื่อนมึงมาทำร้ายน้องใช่มั้ย มึงเห็นคนอื่นดีกว่าน้องขนาดนี้เลยเหรอ” เขาใส่มาเป็นชุดครับ ด่าไม่ยั้งคำผรุสวาทหล่นเกลื่อนห้องพร้อมสีหน้าสะใจของหมอกที่ยืนกอดอกพิงโต๊ะเขียนหนังสือของผม ผมไม่รู้ว่ามันไปพูดกับพ่อว่ายังไงบ้าง ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะด่าผมว่ายังไง ผมไม่สนใจความเจ็บที่หน้าเลยซักนิด สายตาของผมมองหาแค่คนเดียว ผู้หญิงที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม “แม่...” ผมร้องเรียกเมื่อแม่เดินตามเข้ามาในห้องอีกคน ต่อให้คนทั้งโลกไม่เชื่อผมแต่ผมก็หวังแค่คนๆเดียวที่จะเชื่อ “ผมไม่ได้ทำ หมอกหาเรื่องลูกปัดก่อน” “เลิกโกหกซักทีเมฆ พ่อกับแม่กลับมาเหนื่อยๆอยากพักผ่อน ทำไมไม่เห็นใจกันบ้าง ปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายน้องแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ แม่รู้นะว่าเราอิจฉาน้อง อิจฉาที่น้องหน้าตาดีกว่ามีคนรักมากกว่าใช่มั้ย ไม่น่ารักเลยนะ คราวหลังถ้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีกแม่จะไม่พูดกับหมอกแล้วนะ โตแล้วนะเรียนจะจบอยู่แล้วทำไมยังทำนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอยู่ได้” ถ้าการที่ผมเซจากการโดนพ่อเลี้ยงตบยังไม่มากพอ ผมขอบอกตรงนี้เลยว่าผมทรุดลงแทบจะทันทีที่แม่เดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย พ่อเลี้ยงหันมาชี้หน้าใส่ผมก่อนจะเดินตามออกไป และมันไอ้ตัวแสบ มันทำท่าหัวเราะใส่ผมพลางชูนิ้วกลางให้ก่อนจะใช้เท้าเกี่ยวขอบประตูและดันปิดจนเกิดเสียงดังปังใหญ่ ผมทำอะไรผิด....ทำไมผมถึงไม่เป็นที่รักและต้องการของใครซักคน ผมเคยเขียนจดหมายไปหาพ่อ ขอไปอยู่กับพ่อ แต่พ่อก็ตอบกลับมาแค่ว่าพ่อมีครอบครัวใหม่มีลูกใหม่อีก 3 คน ไม่สะดวกที่จะรับผมเข้าไปเพิ่ม...ผมคงเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์เน่าๆที่ไม่มีใครต้องการสินะ จะต้องทำยังไงที่ผมจะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างบ้าง ไม่เคยเลยซักครั้งที่ความรู้สึกน้อยใจจะจางหายไป ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่ม ถ้ามันเป็นดอกเบี้ยในบัญชีเงินฝากป่านนี้ผมคงรวยไปแล้ว เสียงทีวีในห้องเช่าแคบๆดังแว่วๆให้หญิงสาวร่างเล็กที่หาญกล้ากระโดดตบหมอกต้องเร่งมือในการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 3 ห่อ ปัดรีบใช้ตะเกียบคนๆก่อนจะเทใส่ชามใบใหญ่ไม่วายคว้าถุงข้าวโพดคั่วที่แวะซื้อมาเมื่อวันก่อนติดมือมาด้วย รายการศัลยกรรมชื่อดังของเกาหลีที่ยังคงเป็นซีซั่น 2 หญิงสาวนั่งกินมาม่าไปดวงตากลมก็จับจ้องรายการด้วยความสนใจ ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆเหรอ แล้วศัลยกรรมจะเปลี่ยนลูกเป็ดขี้เหร่ให้กลายเป็นหงส์งามได้มั้ยนะ... เมื่อคิดได้ดังนั้นเพื่อนตัวแสบของเมฆก็ตรงไปคว้าโน๊ตบุ๊คมาเสิร์ซหาบางสิ่งบางอย่างด้วยความมุ่งมั่น จนเวลาผ่านไปนานรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้น “ต่อไปใครๆก็ต้องยอมรับแกแน่ๆเมฆ ฉันจะปั้นให้แกเป็นหงส์เอง” “น่า...นะพ่อนะ แค่ล้านสองล้านขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกพ่อ นะๆ ปัดต้องใช้จริงๆ” เสียงห้าวๆของคนตัวเล็กที่ใช้ไหล่กับหูเหน็บโทรศัพท์สองมือก็สาระวนกับการจัดร้านก่อนเปิดบริการลูกค้าพยายามออดอ้อนคนปลายสายเต็มที่ “ไอ้ลูกปัดเอ็งจะเอาไปทำอะไรต้องสองล้าน ปกติเอ็งขอทีนึงไม่เคยเกินสองหมื่น” ผู้เป็นพ่อที่นั่งดมยามีภรรยาคอยพัดวีอยู่ไม่ห่างตวาดแหวกลับมาแทบจะทันที เมื่อลูกสาวคนเล็กและเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ทำตัวราวกับโรบินฮู้ดบินไปอยู่จังหวัดนู้นทีจังหวัดนี้ทีอุตส่าห์โทรกลับมาให้พ่อแม่ได้ชื่นใจเอ่ยวัตถุประสงค์หลักแบบไม่ต้องเกริ่นนำให้เสียเวลา “ปัดจะพาเพื่อนไปศัลยกรรม” หญิงสาวตอบเหมือนตอบเรื่องกินข้าวหรือยัง กินแล้ว อารมณ์ประมาณนั้นจนผู้เป็นพ่อแทบทรุด “เดี๋ยวนะไอ้ลูกปัดเอ็งตอบพ่อมาใหม่ให้พ่อชื่นใจซิ๊ลูกว่าเอ็งจะเอาเงินตั้งสองล้าน ย้ำ สองล้านนะลูกไปทำอะไร?” ผู้เป็นพ่อยังหวังว่าสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่แค่หูฝาด ลูกปัดถอนหายใจพรืดอย่างถอนฉิว พ่อได้ยินแต่แกล้งหูมีปัญหาชั่วคราว “ปัดจะพาเพื่อนไปทำศัลยกรรม” “แล้วทำไมต้องเป็นเงินข้าด้วยละโว้ย เงินตั้งสองล้านเอาไปไถ่ชีวิตโคกระบือได้ทั้งฝูง เอ่อ สิบฝูงเลยเอ้า” “โห่ พ่อ..ทำไมไถ่ชีวิตวัวควายพ่อยังไถ่ได้ล่ะ ถ้าพ่อให้เงินปัดนะพ่อจะทำให้คนๆนึงมันมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นได้เลยนะ บ้านเราก็รวยเงินแค่นี้พ่อก็ถือว่าเดินไปเวทีมวยแล้วทำตังค์หล่นหายดิ่”เจ้าตัวเล็กคนลูกยังคงเถียงกลับผู้เป็นพ่อฉอดๆ จนได้ยินปลายสายถอนหายใจ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าผู้เป็นลูก พ่อกำลังเหนื่อยจะเถียง “ไหนเอ็งลองบอกเหตุผลดีๆซักข้อนึงให้พ่อฟังประกอบการตัดสินใจหน่อยซิ๊ว่าทำไมพ่อต้องเสียเงินสองล้านเพื่อใครที่ไหนก็ไม่รู้ด้วย” “เรื่องมันมีอยู่ว่า....” เรื่องราวของลูกเป็ดในฝูงหงส์ถูกถ่ายทอดออกไปให้ผู้เป็นพ่อรับฟัง ไม่จำเป็นต้องเติมแต่งปั้นเรื่องให้ดูน่าสงสารเลยเพราะชีวิตของเพื่อนที่บังเอิญเจอกันในสนามบาสมันรันทดจริงๆ เกือบยี่สิบนาทีเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นจากปลายสาย “ไอ้ลูกปัด” “หืม??” “พ่อส่งนักมวยในค่ายไปให้ซักสองคนเอามั้ย?” คำถามเรียบๆที่ทำให้เครื่องหมายคำถามเด้งออกจากหัวลูกปัดนับสิบอันดังขึ้น “ส่งมาทำไมอ่ะพ่อ?” “ฝากไปกระทืบไอ้หมาไอ้หมอกอะไรนั่นน้องเพื่อนเอ็งที” “ไม่ต้องหรอกพ่อ ปัดคนเดียวก็เอาอยู่อย่าลืมสิฉายาฆ่าเสือด้วยมือเปล่าไม่ได้ ได้มาง่ายๆนะ แล้วตกลงเรื่องตังค์ว่าไงอ่ะพ่อ ตังค์อ่ะตังค์” “ไม่เกินเที่ยงพรุ่งนี้เอ็งไปถอนได้เลย แต่มีข้อแม้ว่า...” น้ำเสียงขึงขังของพ่อทำให้ลูกปัดยืดตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “จบเรื่องเพื่อนของเอ็งแล้ว ต้องกลับมาดูแลค่ายมวย เลิกตะลอนทัวร์ซักที โอเคมั้ย?” “.....” “ว่าไง?” “โห่...พ่อ....” “ถ้าไม่ตกลงก็ไม่มีเงินเข้าบัญชี” “พ่ออ่ะ..” คนเป็นลูกเริ่มจะงอแงขึ้นมาบ้าง ลูกปัดชอบเที่ยว ชอบที่จะแบกเป้เรียนรู้ไปทั่วโลก การที่ต้องไปคุมโรงสีหรือค่ายมวยต้องอยู่กับสิ่งจำเจเดิมๆมันไม่ใช่แนวของปัด “ ว่าไงถ้าไม่ตกลงพ่อจะได้วางนะต้องพานักมวยไปขึ้นเวที” “ก็ได้ๆๆ แต่ขอเป็นลูกจ้างชั่วคราวนะ” “ได้..กลับมาค่อยมาคุยกันเรื่องสัญญาว่าจ้าง” ผมกวาดตามองหาไอ้เพื่อนตัวเล็ก แทบจะเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมมี ไอ้ปัดนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมายในสวนสนุกผมก้มหน้าหลบผู้คนเมื่อมันโบกไม้โบกมือให้ผม หลายคนมองตามสายตามันมาทำให้ผมรู้สึกประหม่า ผมกดปีกหมวกให้ปิดหน้าแต่ทันทีที่เดินถึงตัวมันไอ้ปัดก็ถอดหมวกจากหัวผมออก “ใส่ไมวะแดดไม่ร้อน” “เอาคืนมา” ผมแบมือขอหมวกจากไอ้ตัวเล็กหากแต่มันทำหูทวนลมเก็บใส่กระเป๋าเฉย “ไอ้ปัด” “เฮ้ย หิวน้ำหว่ะ ไปซื้อน้ำกินกัน” มันจูงมือผมเดินปะปนกับผู้คนไปร้านขายน้ำในสวนสนุก ผมแทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาใครเลย ไม่แม้แต่จะตอบคำถามของลูกปัดด้วยซ้ำว่าจะกินอะไร เวลาออกนอกบ้านผมมักจะใส่หมวกหรือไม่ก็ใส่หน้ากากอนามัย จนกระทั่งเอาฮู้ดขึ้นมาคลุมถึงแม้อากาศจะร้อนแค่ไหนก็ตาม การต้องโชว์หน้าสดแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่ทำ “เฮ้ยแก...มั่นใจในตัวเองหน่อยสิวะ” และเหมือนไอ้ปัดมันจะรู้ครับว่าผมคิดอะไรอยู่ มันเขย่งปลายเท้าเพื่อพี่จะกอดไหล่ผม…ดูจะลำบากเนอะ “ตามมาทางนี้มีอะไรจะคุยด้วย” ผมว่าวันนี้มันมาแปลกครับ ปกติมันจะต้องบ่นว่าหิวก่อนจะไปหาอะไรเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้อิ่มเข้าไว้ แต่วันนี้มันกินแค่น้ำขวดเดียว ผมเดินตามมันไปเรื่อยๆ เออ...แปลกจริงๆ ชวนมาสวนสนุก มาเพื่อซื้อน้ำแล้วลากผมเดินกลับมาทางซอยบ้านเรา “เมฆ..” “หืม?” “ถ้าวันหนึ่งหน้าตาแกดีขึ้นมาแกจะทำอะไรเป็นอย่างแรกวะ” “ถามอะไรตลกๆ” ผมว่ามันครับ อยู่ๆก็ตั้งคำถามติงต๊องอะไรออกมา มันหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “แกตอบไม่ตรงคำถามนะเว้ย ฉันถามแกก็ตอบกลับมาดิ่” เรากำลังเดินผ่านบ้านของผมครับ ผมอดที่จะเหลือบมองเข้าไปในบ้านไม่ได้ ตอนนี้ทั้งบ้านเงียบสนิทพ่อกับแม่ออกไปทำงาน ส่วนไอ้หมอกคงไปเรียน(มั้ง) “ถ้าฉันหน้าตาดีขึ้นมาฉันจะไปยืนคู่กับหมอกตรงหน้าแม่แล้วถามแม่ว่าตอนนี้แม่ภูมิใจในตัวฉันแล้วหรือยัง...ไม่รู้สินะ....ฉันแค่อยากให้แม่ภูมิใจที่มีลูกชายหน้าตาดีทั้งคู่” “อืม...” ลูกปัดมันพยักหน้าหงึกหงักครับ เราเดินกันมาเรื่อยๆจนหยุดที่ห้องเช่าของมัน “เข้ามาๆ มีอะไรจะคุยด้วย” มันกวักมือเรียกเมื่อผมทำหน้างงๆ ผมเดินตามไอ้ปัดเข้ามาในห้องเช่า ปกติผมแค่ยืนส่งมันหน้าบ้านเท่านั้น รู้จักกันมาเป็นปีไม่เคยเหยียบเข้ามาเลย ถึงจะไม่เป็นระเบียบมากนักแต่ก็ไม่ได้รกจนน่าเกลียด ผมวางเป้แล้วนั่งลงบนพื้นโล่งๆนั่นแหล่ะ ไอ้ปัดหายเข้าไปในห้องนอนแล้วหอบโน๊ตบุ๊คออกมา พิมพ์นู่นพิมพ์นี่ซักพักก็เปิดบางสิ่งบางอย่างให้ผมดู “รายการศัลยกรรม...ทำไม?” ผมดูไปซักพักก็หันมาถามมันด้วยความสงสัย จะให้ดูทำไมของมัน “เมฆ...ถ้าศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตแกได้ แกจะทำมั้ย?” มันถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมจ้องหน้ามันซักพัก นั่นสิ ถ้าศัลยกรรมแล้วผมดูดีขึ้น แม่รักผมมากขึ้น น้องชายไม่อายที่จะเดินกับผม ไม่อายที่จะบอกกับใครต่อใครว่าผมเป็นพี่ของมัน ผู้คนไม่มองด้วยสายตาดูแคลนไม่ต้องได้ยินเสียงหัวเราะเยาะและคำถากถาง ชีวิตของผมก็คงจะมีความสุขไม่น้อย “อย่าถามอะไรที่เป็นไปไม่ได้สิวะ ศัลยกรรมต้องใช้เงิน” นั่นแหละอย่างที่บอก ศัลยกรรมต้องใช้เงินไม่ใช่แค่เงินหลักหมื่นในบัญชีนะที่จะทำได้ แต่มันต้องใช้หลักแสนหลักล้าน “ถ้ามีคนออกเงินให้แก แกทำฟรีหมดแกจะทำมั้ยวะ” ผมว่าวันนี้ไอ้ปัดมันแปลกจริงๆแหล่ะ “ใครเค้าจะเอาเงินมาโปรยเล่น” “เออ แกตอบมาดิ่ว่าจะทำมั้ย” “ถ้ามีโอกาส....ถ้ามันทำให้ชีวิตฉันดีขึ้น ถ้ามันไม่ไปเดือดร้อนใคร ฉันก็จะทำ” ผมกำลังทำมันจริงๆเหรอ...ในสมองของผมตอนนี้มันเฝ้าย้ำเฝ้าถามแต่คำๆนี้ ในขณะเดียวกันผมแต่นั่งสั่นขาด้วยความตื่นเต้นจนไอ้ปัดมองหันมาตบหน้าขาให้กำลังใจผมหลายต่อหลายครั้ง เงินจำนวนนับล้านที่จะเนรมิตให้ผมเปลี่ยนเป็นคนใหม่โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ชีวิตที่จะกลายเป็นคนที่สามารถเดินเชิดหน้าในสังคมและแนะนำตัวกับใครๆได้ไม่อายว่า “สวัสดีครับผมชื่อภาคินัยนะครับ” มันกำลังจะเป็นจริงเหรอ ผมได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองอย่างไม่เชื่อ มองตามแผ่นหลังไอ้ตัวเล็กที่เดินไปพูดคุยอะไรซักอย่างกับพยาบาลที่หน้าเค้าท์ตอร์มองไปรอบๆไม่ได้มีผมแค่คนเดียวที่นั่งอยู่ที่นี่ ยังมีผู้หญิงและผู้ชายอีกหลายคนนั่งอยู่โดยแต่ละคนมีทีท่าแตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์ของทุกคนก็คงจะเหมือนผม “เมฆมานี่” เสียงไอ้ปัดที่เรียกผมทำให้ผมดึงตัวเองกลับมาผมหยิบกระเป๋าเป้ที่ข้างในใส่ชุดบาสลุกตามมันมา จากวันนั้นที่เราคุยกันก็สองเดือนกว่า ตอนนี้ผมเรียนจบแล้วมีเวลาพอที่จะมาทำศัลยกรรมและพักฟื้นผมจับมือไอ้ตัวเล็กที่ยื่นออกมารอรับ ผมรักมันครับเพื่อนแท้คนเดียวที่ผมมี “เชิญด้านในค่ะคุณหมอรออยู่แล้ว” เสียงพยาบาลสาวเปิดประตูออกมาผายมือให้เราสองคนเข้าไปในห้องตรวจ ในนั้นผมเห็นคุณหมอท่านหนึ่งหันหลังดูฟิล์มเอ็กเรย์ ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่ามันเป็นของผม ผมลืมเล่าไปว่าก่อนหน้านี้ผมถูกจับถ่างปากใส่อุปกรณ์ที่ทำให้ปากผมกว้างแล้วไปยืนอยู่หน้าเครื่องฉายเอ็กเรย์ ตอนนี้มันก็ปรากฏในจอทั้งภาพหน้าสด สามมิติ สี่มิตินู่นนี่นั่นเต็มไปหมด ผมกับไอ้ปัดนั่งรอคุณหมออยู่ชั่วครู่คุณหมอตัวเล็กในเสื้อกาวน์สีขาวก็หันมา คุณเคยรู้สึกมั้ยครับว่าคุณใช้ชีวิตอยู่ในโลกสีหม่นทึมเทามานานแต่อยู่ๆวันหนึ่งโลกของคุณก็สว่างบริ๊งค์ขึ้นมาเพียงเพราะรอยยิ้มของคนๆเดียว ตอนนี้ผมกำลังคิดอย่างนั้นครับ คุณหมอที่ผมคิดว่าคงจะแก่ ใส่แว่น มีอายุ พอหันมาพร้อมกับรอยยิ้มมันทำให้ผมอ้าปากค้างไปเลย รอยยิ้มสว่างจนหน้ากระจ่างกับดวงตาพราวระยิบ นางฟ้าในคราบผู้ชายชัดๆ “สวัสดีครับหมอชื่อหมอจิณณ์นะครับ” “ครับ...” ผมคงลืมวิธีการพูดและลืมมารยาทเบื้องต้นไปแล้วมารู้สึกตัวก็ต่อเมื่อมีศอกแหลมๆที่อุดมไปด้วยกระดูกของไอ้ปัดมาสะกิดสีข้างจึ๊กๆนั่นแหล่ะผมถึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วลื่นมือไปสัมผัสทักทายกับคุณหมอ “หมอตรวจดูโครงหน้าของคุณแล้ว และตอนนี้หมอได้เห็นตัวจริงของคุณแล้วหมอคิดว่าจริงๆแล้วคุณเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว รูปหน้ายาว ตัวสูงการรักษาที่หมอวางไว้ก็คืออาจจะใช้การฉีดโบท็อกซ์ ทำจมูกรูปหยดน้ำ ทำตาสองชั้นซักหน่อย บำรุงผิว ดัดฟัน....” ผมฟังโครงการของคุณหมออย่างไม่เข้าใจนัก ผมเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้วงั้นเหรอ ผมก็ส่องดูเบ้าหน้าในกระจกทุกวันทำไมผมไม่เคยเห็นมุมนั้นของตัวเองเลย “คุณหมอครับ” อยู่ๆความสงสัยก็ทำให้ผมพูดขัดคุณหมอคนน่ารักออกไป “ตัวคุณหมอน่ะ...ทำอะไรมาบ้างครับ?” “เห๋?...หมายถึงอะไรครับ?” “ผมหมายถึงทั้งหน้าคุณหมอทำอะไรมาบ้างแล้วครับทำไมคุณหมอน่ารักจัง” เออ...ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรชวนอ้วกแบบนั้นไปได้ยังไงแต่ผมเห็นไอ้ปัดทำตาโตหันมามองหน้าผมราวกับไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน ส่วนคุณหมอน่ะหน้าขาวๆก็แดงขึ้นน้อยๆ คุณหมอตัวเล็กอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าๆแล้วยื่นหน้ามาใกล้ผม ดวงตากลมใสแจ๋วของคุณหมอกำลังหัวเราะ “หน้าสดครับพ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิดไม่ได้ทำอะไรเลยไม่เชื่อลองจับดูก็ได้นะครับ” ผมไม่รู้ว่าผมขาดการยับยั้งชั่งใจและสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะพอรู้สึกตัวมือของผมก็กำลังสำรวจใบหน้าคุณหมอไปซะแล้ว ผมใช้ปลายนิ้วมือแตะแผ่วเบาที่คางไล่มาที่พวงแก้มนุ่มมือจนถึงสันจมูก ทุกอย่างไม่มีอะไรแปลกปลอมบ่งบอกว่าคุณหมอคนนี้หน้าตาดีโดยกำเนิด “เชื่อหรือยังครับ” ผมละมือจากหน้าคุณหมอเมื่อเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม คุณหมอยืดตัวนั่งหลังตรงอีกครั้งหลังจากนั้นแนวการรักษาก็ถูกถ่ายทอดให้ผมกับเจ้าปัดฟัง ในที่สุดผมกับเจ้าปัดก็ออกมาเดินซื้อของกินริมถนนดูนู่นดูนี่กันไป “พร้อมมั้ยแก” ไอ้ปัดมันแทะข้าวโพดต้มฝักเท่าต้นขาแมมมอธหันมาถามผม ผมยกชาเขียวปั่นขึ้นมาดูดก่อนจะถอนหายใจออกมา “ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะตกลงจ่ายเงินไปแล้วนี่” “อย่าทำหน้าลำบากใจแบบนั้นสิวะชีวิตใหม่นะเว้ย ชีวิตใหม่รอแกอยู่ข้างหน้า” “เงินตั้งมากมายฉันเกรงใจแกกับพ่อแกว่ะ” “นี่ ต่อมมารยาทไม่ต้องมามีตอนนี้ได้มั้ยก็บอกแล้วเงินนั่นน่ะพานักมวยไปต่อยครั้งสองครั้งก็ได้เงินแล้ว เอาเป็นว่าถ้าลำบากใจนะเว้ย ถ้าแกหล่อแบบโลกตะลึงหมาเหลียวหลังม้าเยี่ยวราดเมื่อไหร่ฉันจะส่งรูปแกไปให้พวกแมวมองมันดูเผื่อได้เข้าวงเกิงวงการฉันจองตำแหน่งผู้จัดการนะเว้ยหักค่าตัว 40% จนกว่าจะใช้หนี้หมดจากนั้น 30% โอเคป่ะ” “ไอ้บ้ายังไม่ทันจะรู้ผลเลยว่าจะหล่อจริงหรือเปล่าวางแผนไปไหนแล้ว อีกอย่างอย่างฉันเนี่ยนะจะเป็นดาราถ้าตัวประกอบล่ะพอว่าฉันไม่ได้หน้าตาดีแบบหมอจิณณ์นะ คนอะไรหน้าตาโคตรจิ้มลิ้มเลย” ผมอดจะหัวเราะออกมาน้อยๆยามที่คิดถึงหน้าคุณหมอตัวเล็กที่บอกกับผมว่าตัวเองอายุจะ 30 ปีแล้วนะ หน้าเด็กกว่าผม 10 ปีเถอะ “เออ...นี่ พูดถึงหมอจิณณ์แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าวันนี้แกพูดเหมือนจีบหมอเค้าเลย แบบฉันอ้าปากค้างเลยนะเว้ยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้พัฒนาจีบคนเป็น ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” “บ้า...จีบเจิบอะไรตอนไหน” ผมเอาแก้วชาเขียวโขกลงไปบนหน้าผากมันครับไอ้ปัดมันเอามือกุมหัวป้อยๆ “แหมๆ...ร้ายนะยะ เขินแล้วรุนแรงเหรอ เดี๋ยวฟ้องหมอจิณณ์นะว่าแกทำร้ายร่างกายฉันน่ะไอ้โย่ง” “เงียบแล้วแทะข้าวโพดของแกไปเลยไอ้เตี้ยพูดมากเนี่ยกินๆเข้าไป” ผมพยายามจับมือที่ถือฝักข้าวโพดของมันยัดปากแต่ไอ้ปัดมันยื้อตัวไว้ปากมันยังไม่วายแซว “แหม...เขิน...นี่ขนาดหน้าดำยังเห็นสีแดง เขินเหรอเนี่ย รักแรกพบเหรอวะ โหย แบบนี้ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานซักหน่อยว่านายภาคินัยหน้าแดงเพราะผู้ชายด้วยกัน ฮ่าๆๆๆๆ” เอาเป็นว่าตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ จะไปไหนน่ะเหรอ ผมจะไปไล่เตะไอ้เตี้ยที่วิ่งหนีรองเท้าเบอร์ 44 ของผมไปที่หัวโค้งนู่นแล้วน่ะสิ ................................................... #ลูกเป็ดขี้เหร่
สงสารเมฆจัง
ลูกเป็ดขี้เหร่[:3:] ผมกลับเข้าบ้านหลังจากเดินไปส่งไอ้ปัดแล้วนัดแนะเวลาสำหรับวันพรุ่งนี้ว่าเราจะไปทำอะไรกันบ้างก็ร่วมๆ 5 ทุ่ม ในบ้านไฟยังสว่างอยู่ ผมเปิดประตูเล็กเข้าไปก่อนจะจัดการล็อคให้เรียบร้อย เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้านก็พบว่า พ่อ แม่ และหมอกนั่งดูหนังที่ไปเช่ามาที่ห้องนั่งเล่น หมอกนอนหนุนตักแม่ส่วนพ่อเลี้ยงนอนราบกับพื้น “ไง...ทำไมกลับซะดึกซะดื่นล่ะเมฆ ออกไปหางานทำไมนานจังนี่เรียนจบมาเป็นเดือนแล้วนะ” แม่เริ่มประโยคทักทายผมทำให้ผมชะงักพ่อเลี้ยงทำเพียงปรายตามองไม่ได้พูดอะไร “ไปหางานทำที่ไหนล่ะแม่ ผมเห็นเดินควงสาวทั่วเมือง” “เหอะ...หน้าตาแบบนี้ยังมีหน้าไปติดสาวอีกเหรอวะ...ทำอะไรก็หัดเจียมตัวบ้างนะผู้หญิงนั่นหวังเกาะหรือเปล่า” “นั่นเพื่อนผมนะพ่ออีกอย่างเค้าเป็นผู้หญิงพูดจาควรให้เกียรติเค้าบ้าง” ผมโพล่งออกไปเมื่อเพื่อนเพียงคนเดียวของผมตกเป็นหัวข้อสนทนาในแบบที่จ้าตัวไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นอะไรเลย เพียงผมพูดจบประโยคพ่อเลี้ยงที่คงสถาปนาตัวเองเป็นแอนตี้แฟนเบอร์สองของผมก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นราวกับจะกระโจนมาขย้ำผม “เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งเหรอไอ้เมฆ ก่อนจะมาขึ้นเสียงเถียงฉันให้สำนึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดหัวแกมาตั้งแต่หกขวบบ้าง “คุณคะ...ใจเย็นเถอะค่ะ ลูกคงไม่ได้ตั้งใจจะเถียง เมฆขอโทษคุณพ่อซะ” ผมเบื่อประโยคนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ต้องกระทบกระทั่งกัน สุดท้ายแม่จะต้องพูดคำๆนี้ ขอโทษพ่อ ขอโทษน้อง ขอโทษแม่ ขอโทษเพื่อนบ้าน อีกหน่อยถ้าผมเดินเหยียบขาแมลงสาบแม่คงต้องให้ผมกราบขอโทษแมลงสาบด้วยแน่ๆ ทำไมผมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้วนะ “โตเป็นควายแล้วเรียนก็จบแล้วแทนที่จะช่วยกันทำงานแบ่งเบาภาระกลับเอาแต่ตะลอนๆ ตั้งแต่เกิดมาเคยคิดจะทำตัวให้มีค่ามั่งมั๊ยนอกจากทำตัวเป็นเศษสวะไปวันๆ” “พูดแบบนี้เกินไปหรือเปล่าพ่อ ผมไปทำอะไรให้ทำไมต้องหาเรื่องมาด่าได้ทุกวัน” คนเรามีขีดจำกัดในความอดทนใช่มั๊ยครับ ตอนนี้ขีดจำกัดผมมันลดลงไปเรื่อยๆ ทำไมผมไม่รู้สึกอยากเรียกผู้ชายตรงหน้านี้ว่าพ่ออีก ผมจ้องหน้าเขาที่กำลังค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อจะเข้าห้องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะขึ้นได้ถึง 5 ขั้นเลยความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นริ้วจี๊ดๆที่หัวและบริเวณหลังไหล่ตามด้วยเสียงหวีดร้องของแม่ “กรี๊ดดดดดดดด.....อย่าคุณอย่าทำลูก” “มันไม่ใช่ลูกกู” เสียงที่ได้ยินและความเจ็บที่ได้รับทำให้ผมหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นและทันทีที่หันไปหัวไม้กอล์ฟเบอร์ 1 ก็ฟาดเป้งเข้าที่ขมับซ้ายของผมอย่างจังๆ “โอ๊ย!!” ผมยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกเหมือนมีอะไรเปื้อนมือเป็นของเหลวหนืดๆทำให้ผมต้องแบมือออกดู ไม่ต้องเดาก็คงจะรู้นะครับว่าคนที่ถูกแม่ของผมดึงให้ถอยห่างผมปากก็พร่ำด่าด้วยสารพัดสัตว์และอวัยวะของสงวนในร่างกายทำผมหัวแตก “ไปเลยนะไอ้กาฝากไสหัวไปจากบ้านกู กูทนเลี้ยงไม่ไหวแล้วคนที่เป็นต้นเหตุให้ลูกกูเจ็บตัวแล้วยังกล้ามาเถียงกูฉอดๆ ออกไปเลยคนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่องเลวกว่าหมากูไม่เลี้ยงแล้ว” “พ่อครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับถ้าโกรธมากๆเดี๋ยวความดันขึ้นนะ” หมอกที่ยืนรอจังหวะประจบรีบเข้าไปดึงไม้กอล์ฟออกราวกับหวังดี ผมมองภาพนั้นพลางกัดฟันกรอด รอยยิ้มเยาะจากน้องชายเพียงคนเดียวทำเอาคลื่นความน้อยใจสั่นสะเทือนในกายผม “แม่บอกแล้วใช่มั๊ยเมฆว่าให้ขอโทษทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ด้วย” อีกครั้งที่คนที่แม่เลือกจะฟังไม่ใช่ผม ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าระหว่างเลือดบนหัวกับน้ำตาของผม อะไรมันจะมีมากกว่ากัน แม่ครับ..ผมเป็นลูกแท้ๆของแม่นะครับผมก็เป็นลูกคนหนึ่งของแม่เหมือนกัน แต่ทำไมไม่มีซักครั้งที่แม่จะปกป้องผมล่ะครับ ทำไมไม่เคยที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าสำหรับแม่แล้วผมมีค่า ผมปาดน้ำตาทิ้งด้วยมือเปื้อนเลือดที่พ่อเลี้ยงพร่ำพูดอยู่ตอนนี้ว่าเอาเลือดชั่วมันออกมาล้างตีนซะบ้าง เลือดในตัวของผมมันคงชั่วจริงๆสินะครับแม่ถึงไม่รักผมเลย ผมผลุนผลันลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งขึ้นห้องไป เสียงกร่นด่ายังคงตามหลังมา แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ผมกระชากประตูห้องเปิดก่อนจะกระแทกปิดมันแบบไม่คำนึงถึงมารยาท ปัง!!!! ทันที่ที่เข้ามาในห้องผมก็เปิดตู้แล้วรวบเสื้อผ้าเท่าที่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ของผมจะใส่ได้สมุดบัญชีธนาคาร บัตรเอทีเอ็มรวมทั้งเงินสดที่ผมมีถูกยัดใส่กระเป๋ามาด้วย พอกันที...กับที่ๆไม่มีใครต้องการผม พอกันที่กับบ้านที่ร้อนราวขุมนรก ผมเดินเร็วๆผ่านสามคนพ่อแม่ลูกนั้นออกจากบ้านคว้าจักรยานที่ผมเก็บเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมกระโดดคร่อมแล้วปั่นออกมาโดยไม่หันไปมองเสียงร้องเรียกของแม่อีกเลย ในเมื่อที่นี่ไม่ต้องการผม ผมก็จะไม่ขออยู่ ผมจะไม่มีทางกลับมาเหยียบบ้านนี้อีกเด็ดขาด จนกว่าวันหนึ่งที่ผมได้ดีแล้วทุกคนจะยอมรับยอมสยบให้กับผม ลูกเป็ดตัวนี้คงต้องออกจากฝูงนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าขนไม่ผลัดลอกใหม่เป็นขนหงส์ อย่ามาเรียกผมว่าภาคินัย ผมมองถนนซ้ายทีขวาที เที่ยงคืนกว่า...เลือดบนหัวของผมมันแห้งจนตกสะเก็ดไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมกำลังเคว้ง... ซ้ายคือทางไปห้องของไอ้ปัด ส่วนทางขวา...ผมไม่รู้อนาคต ผมยืนชั่งใจราวสิบนาทีก่อนจะเบนหัวรถไปทางขวา เวลาดึกขนาดนี้ผมไม่ควรไปหาไอ้ปัดมันหรอก มันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวอีกอย่างผมรบกวนมันมากพอแล้วผมปั่นจักรยานผ่านย่านชุมชนที่มีอาหารตั้งขายมากมายลัดเลาะไปจนถึงสวนสาธาณะเล็กๆเตะขาหยั่งจอดจักรยานไว้โคนต้นไม้ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นดินเป้าใบใหญ่ที่ใส่สมบัติทั้งหมดของผมหล่นตุ๊บลงข้างตัวผมชันเข่าขึ้นมาก่อนจะ.... “ฮืออออออออออออออออ” ผมรู้...เป็นผู้ชายไม่ควรมาร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบนี้ แต่มันถึงที่สุดของผมแล้วจริงๆ ผมไม่ได้ร้องไห้ให้ใครเห็น ผมแค่ร้องไห้กับตัวเอง ตามลำตัวแผ่นหลังหัวไหล่ของผมมันชา ผมไม่รู้ว่าเขาใช้ไม้กอล์ฟฟาดผมกี่ที ผมผิดเหรอที่ไม่ได้เกิดมาเป็นลูกของเค้า ผมผิดเหรอที่ผมแค่อยากพูดอะไรเพื่อเป็นการปกป้องตัวเองบ้าง ผมผิดตรงไหน “แม่ง ชีวิตแม่งก็เฮงซวยงี้แหล่ะ” ไม่ใช่เสียงผมนะครับ...เสียงใครวะ ผมเงยหน้าจากเข่าก่อนกวาดตามองไปรอบๆ ดึกขนาดนี้นอกจากผมแล้วยังมีใครมาอยู่ที่นี่อีก คงเป็นเพราะผมไม่ได้ดูให้ดีตอนที่เดินเข้ามาตอนนี้พอมองอ้อมไปอีกฝั่งของต้นไม้สิ่งแรกที่ผมเห็นคือกระป๋องเบียร์อย่างเกลื่อนอ่ะ ถึงแม้อาชีพที่บ้านจะไม่ใช่เกษตรกรแต่ตอนนี้จอบเสียมผมพร้อมแล้วนะ ต่อมเผือกของผมทำงานวิ๊งๆจนอดรนทนไม่ได้ชะโงกหน้าไปดูคนที่ตัดพ้อว่าชีวิตเฮงซวย ผมคิดว่าเสียงเค้าคุ้นๆนะ เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน และทันทีที่เห็นหน้าคนเมาปลิ้นลิ้นไก่สั้นที่เริ่มบ่นพึมพัมถึงสภาพดินฟ้าอากาศค่าเงินแปรปรวนไปจนถึง “คนเราแม่ง...ว่าคบผู้หญิงโดนหลอกแล้ว คบผู้ชายแม่งยังทิ้งกู ฟายเยอร์ แม่ง มึงยังไม่เคยชิมกูเลยเสือกบอกกูจืดชืด ทำไมอ่ะนมกูก็มีถึงจะแบนแล้วเค้าเรียกนมมั๊ยอ่ะ มาบอกว่าถ้าวันหนึ่งกูโกรธแล้วกูจะเอามีดเฉือดจู๋มึงขึ้นมามึงจะเอาอะไรใช้ คิดได้เนอะคนเรากูเป็นหมอนะไม่ใช่ฆาตกรโรคจิต เดี๋ยวจับฉีดฟอร์มาลีนแม่งเลยไอ้คว๊ายยยยย!!!” โลกกลมเกิ๊น คุณหมอจิณณ์!!” “เหยดดดดดดดดดดด....ผี!!!” ทันทีที่ผมเอ่ยเรียกชื่อหมอจิณณ์แพทย์ที่จะเป็นคนผ่าตัดให้ผม คนเมาที่ตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำก็หันมามองผมแล้วอุทานออกมาด้วยถ้อยคำระคายหูอย่างแรง ผมรู้สึกอยากจะเตะหมอขึ้นมาทันทีทันใด คุณหมอคนสวยคลานสี่ขาหนีตายอย่างตกใจสุดขีด “หมอนี่ผมเองครับ ภาคินัย” ผมแนะนำตัวหวังจะให้คนเมาจำได้ “ภาคินัยภาคิควายอารายที่ไหนไม่รู้จัก อย่าเข้ามานะโว๊ยถึงไม่มีพระแต่กูมีตีน หลอกกูเดี๋ยวกูเตะขาดสองท่อน รู้จักป่าวพี่จิณณ์แข้งทองอ่ะ” เป็นชุด...ผมเขยิบเข้าไปใกล้กับคุณหมอที่ง้างเท้ารอ จับขาแล้วออกแรงดึงเข้ามาใกล้ “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก.........ปล่อยนะโว๊ย แม่จ๋าช่วยจิณณ์ด้วยผีจับขาจิณณ์...” ครับ...พี่จิณณ์แข้งทอง ครับ พี่จิณณ์ไม่กลัวผีแต่พี่จิณณ์แหกปากร้องซะจนผมเห็นลิ้นไก่สั่นสะเทือนราวๆ 7.4 ริกเตอร์ “ชู่วววววววว...หมอครับ หมอ” ผมตะปบลงบนปากที่เอาแต่แหกปากราวคนเสียสติ หมอทำตาโตใส่ผมพยายามดีดดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากการจับกุมของผม คนอาร๊าย... เมื่อกลางวันยังชมว่าผมเบ้าหน้าดีมาแต่กำเนิด แต่ตอนนี้ตอนที่ครองสติไม่อยู่เอาแต่แหกปากร้องว่าผมเป็นผีอยู่นั่นแหล่ะ หมอตอแหลกันนี่หว่า นี่ผมเคืองจริงๆนะเนี่ย ดิ้นกันไปปล้ำกันมาซักพักหมอก็ตีมือผมพลางพยักหน้าผมเห็นหมอสงบลงไม่ดิ้นนั่งนิ่งจึงชั่งใจว่าควรจะเอามือออกจากปากหมอดีมั๊ย ในที่สุดผมก็ละมือออกมาแล้วรีบเขยิบให้พ้นวิถีแข้งทันที “หมอจำได้แล้ว คนไข้ของหมอนี่หว่า” หมอขยี้ตาไปมาก่อนจะร้องบอกออกมามันทำให้ผมยิ้มรับ “แล้วนี่มานั่งร้องไห้หาแม่อะไรตรงนี้เนี่ย เลือดเต็มหน้าเลยนึกว่าผีหลอก” หมอเอ่ยทักผมซะผมสะดุ้งผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอาวะเล่าให้คนเมาฟังพรุ่งนี้เช้ากคงจำอะไรไม่ได้หรอก “ชีวิตแม๊งก็งี้แหล่ะ เฮงซรวยยยยยยยยย” “เออ....โผมก๊อว่ายางง๊านแหล่ะ แม๊งทำดีแทบตายสุดท้ายได้รางวัลเป็นหัวไม้กอล์ฟ” “เออๆ...แม๊งนี่ถ้าหมออยู่ด้วยนะร๊าบรองจาเตะให้เอวเคล็ดเลยเป็นพ่อเลี้ยงมีเสดอารายมาตีวะ นี่แจ้งปวีณาจับได้เลยนะเนี่ยทำร้ายเด็กและซาตี ทามมายก่อนออกมาไม่ทำต้มฟักให้มันกินวะ” “ฟ๊ากอารายอ่ะหมอนี่ออกมาทันโดนกระทืบอีกรอบก๊อบุญแหล่วววว” “ฟ๊ากกกกกกกกยู๊วววววววววว งาย โง่ไปได้” “หมอแม่งโคตรเข้าใจโผมเลยน่ารักสัดๆ” “เอ้าโชนแก๊วววววววววว” ในมุมมืดของสวนสาธารณะเล็กๆ คุณหมอตัวเล็กที่เพิ่งถูกแฟนหนุ่มที่คบกันมาได้ 3 เดือนบอกเลิกกับเด็กหนุ่มที่หนีออกจากบ้านพร้อมจักรยานและกระเป๋าเป้ก็ยกกระป๋องเบียร์ที่ผลัดกันไปซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเป็นรอบที่ 3 กระป๋องเบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่าถูกโยนทิ้งเมื่อดื่มหมด “แล้วหมา...เอ๊ย...หมอมาทำอารายโตงนี้เนี่ย” “พูดแล้วมันเศร้าขอร้องไห้แพ๊บ” หมอคนสวยเบะปากก่อนจะส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กน้อยวัย 9 ขวบ หมดมาดคุณหมอวัย 29 ลงทันที เมฆประคองศีรษะทุยของคุณหมอคุณสวยให้มาซบไหล่ตัวเองก่อนตบไหล่ลูบไหล่ราวกับผุ้ใหญ่ปลอบใจเด็กน้อย “โอ๋เอ๋ ร้องไห้มากๆตาบวมน๊า ถ้าหยุดร้องเดี๋ยวพี่จะพาไปซิ่ง” “นี่...นายว่าหมอหล่อป่ะ หมอหน้าตาดีม๊ะ ดีสิเนอะก็เมื่อกลางวันนายยังชมว่าหมอน่ารัก แล้วดูดิ๊ หมอน่ารักขนาดนี้ ยังมีควายตัวโตๆทิ้งหมอได้ลงคอแม่งโคตรโง่เลย ทำไมอ่ะนมหมอก็มีเหมือนยัยผู้หญิงคนนั้น รูหมอก็มี ยัยนั่นมีจิ๋มหมอก็มีจู๋อ่ะ มันก็จอๆจ๋อๆเหมือนกันทำไมเค้าถึงเลือกยัยนั่นไม่เลือกหมออ่ะ แม๊ง ควายเผือก” คุณหมอคนสวยกระดกเบียร์อีกรอบก่อนจะโยนกระป๋องเปล่าทิ้งแล้วควานมือเข้าไปในถุงพลาสติก “อ่าวหมด...นี่นาย ป่ะ ไปต่อห้องหมอ ห้องหมอมีท้างเบียร์ท้างเหล้า ซัดให้หมดไปเล๊ย” จิณณ์ลุกขึ้นจากอ้อมกอดของคนตัวดำที่เริ่มจะคอพับคออ่อนเพราะความมึนจากแอลกอฮอล์ ปกติเมฆไม่ใช่คนดื่มจะมีกินบ้างพอเป็นพิธีแต่วันนี้ที่ยอมนั่งกินกับคุณหมอเพราะตัวเองก็มีเรื่องกลุ้มใจเหมือนกัน ที่สุดเมื่อหมอหนุ่มลากให้คนตัวหนักลุกคนตัวสูงก็เดินเซแซ่ดๆกวักมือเรียกให้หมอเดินตามตนมา “หมอมานี่ เดี๋ยวขับโรดปายโส่งงงงง” “โรดอารายอ่ะ” “บีเอ็ม” เมฆเรอเอากลิ่นระมุดออกมาก่อนจะตอบสั้นๆ “โห...รวยนี่หว่ามีบีเอ็มขับ รุ่นไหนอ่ะ หมอก็มี” “บีเอ็มเอ็กซ์” “หวา..........ทามมายโลกมันโคลงเคลงยางงี้หวา” เสียงคุณหมอคนสวยโวยวายเมื่อรู้สึกถึงความโคลงเคลงของรถที่นั่ง “หมอ หยับตูดหน่อยดิ๊เนี่ย เป้าหมอบังทางผมมองไม่เห็น” เมฆพยายามสอดส่ายตาเพื่อมองถนน บรรดารถยนต์ที่แล่นผ่านไปผ่านมาได้แต่บีบแตรเสียงดังใส่ “บีบหาพ่อมึงเหรอ เดี๋ยวๆเดี๋ยวเตะอัดกำแพง” คุณหมอคนสวยตะโกนด่าตามหลังรถเหล่านั้นไป ก็จะไม่ให้เขาบีบแตรด่าได้ยังไงในเมื่อจิณณ์เล่นนั่งบนส่วนหัวรถแถมหันหน้าเข้าหาเมฆ ในขณะที่คนปั่นก็โงนไปเงนมารถจักรยานจึงส่ายราวงูเลื้อย และเพียงไม่นาน โครม!!! “โอ๊ยยยยยยย” หมอหนุ่มที่ลงไปนอนกองกับพื้นโดนแฮนด์จักรยานจูบท้องกับเมฆที่กลิ้งลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่แถวคูน้ำข้างทางร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน คอนโดของจิณณ์อยู่ไม่ไกลแต่คนเมาดันรถล้มซะก่อน ปั่นกันมาได้ถึงขนาดนี้ถือว่าพระเจ้ายังเมตตาต่อสัตว์โลกตัวน้อยๆเหลือเกิน จิณณ์คลำข้อศอกตัวเองป้อยๆก่อนจะค่อยๆคลานมาหาเมฆที่ขยับตัวลุกขึ้น “หมอลืมไปเดี๋ยวนี้รัฐบาลเค้ามีโครงการเมาไม่ขับ” “ตลกแระ เมาไม่ขับแล้วกูจะกลับยางงาย” “กลับแบบนี้ไง” “หนึ่ง ซ๊อง หนึ่ง ซ๊อง หนึ่ง ซ๊อง ออกแรงหน่อยถึงแล้วๆ” เสียงคุณหมอที่นับจังหวะอย่างสม่ำเสมอดังจนยามที่แอบงีบสะดุ้งตื่น ภาพที่ยามวัยชราเห็นก็คือคุณหมอหนุ่มกับผู้ชายตัวสูงมีคราบเลือดติดเกรอะกรังบนซีกหน้าและเปรอะเปื้อนถึงไหล่เสื้อกำลัง “แบก” จักรยานคันใหญ่มาที่ลานจอดรถ พอถึงที่ว่างคุณหมอหนุ่มหน้าสวยกับผู้ชายตัวสูงผิวคล้ำก็โยนจักรยานโครมพลางเดินเซแซ่ดๆมาหายาม “ลู๊ง ฝากรถด้วยนะอย่าห้ายหายล่ะ นี่บีเอ็มเชียวน๊า บีเอ็มเอ็กซ์ ฮ่าๆๆๆๆ” ผมเดินตามคุณหมอขึ้นมายังห้องๆหนึ่ง ชั้นที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้อ่ะหมอพาผมแวะหลายชั้นจนแทบอ้วกในที่สุดคีย์การ์ดก็ถูกเสียบที่หน้าห้องๆหนึ่ง ไฟในห้องถูกเปิดสว่างก่อนที่เราทั้งคู่จะสลัดรองเท้าไปคนละทิศละทางหมอจิณณ์เดินไปที่ครัวเล็กๆก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบเหล้าเบียร์สารพัดออกมาแล้วกวักมือเรียกให้ผมไปช่วยแบกออกมาวางบนโต๊ะ เรานั่งข้างกันบนโซฟาสีแดงสด เราสองคนต่างคนต่างยกต่างคนต่างกินโดยไม่พูดอะไรกัน “ฮึก...” อยู่ๆเสียงสะอื้นเบาๆก็ดังมาให้ได้ยินผมหันขวับไปมองก็พบกับคุณหมอของผมกำลังร้องไห้ “เฮ๊ยหมอ ร้องไห้ทำไม” “หมอป่าวร้องน้ำตามันไหลเองอ่ะทำไงดี” หมอตอบผมพลางเช็ดน้ำตาป้อยๆ แต่สงสัยมือหมอจะไม่พอเช็ดหมอหันรีหันขวางก่อนจะหันมาทางผมแล้วยกชายเสื้อของผมขึ้นแล้ว.... ปื๊ดดดดดดดดดดดดดด..ฟุ๊ดฟิ๊ดๆ สั่งขี้มูกขนาดนี้คงไม่ต้องซักแล้วล่ะ โยนทิ้งแม๊งเลย “ทำไมเค้าทิ้งหมออ่ะหมอไม่ดีตรงไหนอ่ะ หมอตามใจเค้าทุกอย่างเลยนะเว๊ยแต่แบบแม่งทิ้งไปเพราะบอกว่าเราเข้ากันไม่ได้อยู่กับยัยนั่นแล้วเค้ามีความสุข อยู่กับหมอเค้ากลัวว่าวันหนึ่งถ้าทะเลาะกันเค้าจะโดนหมอฆ่าตัดตอ หมอเจ็บจังเลย มันเจ็บตรงนี้อ่ะ ฮึก” คุณหมอกระชากคอเสื้อของผมก่อนจะซบหน้าร้องไห้จนตัวโยนกายของคุณหมอสั่นเทาผมได้แต่กอดปลอบไว้อย่างนั้น ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าคนเราฉากหน้าดูมีความสุขมีชีวิตชีวาแท้จริงแล้วทุกคนมีเรื่องให้คิดให้ไม่สบายใจกันทั้งนั้น ผมเชยคางคุณหมอขึ้นมาจ้องดวงตาใสแป๋วที่คลอไปด้วยหยดน้ำ ริมฝีปากแดงสั่นระริก จมูกโด่งแดงก่ำจากการใช้หลังมือขยี้เวลาที่น้ำมูกมันมาทำให้คัดจมูก “ไหน....ใครมันบอกว่าคุณหมอจืดชืด....เดี๋ยวผมจะชิมเองว่าจริงๆแล้วคุณหมอจะจืดชืดหรือจัดจ้านกันแน่” แล้วโดยไม่รู้ตัวเหมือนริมฝีปากอิ่มจะเชิญชวนซะเหลือเกินผมค่อยๆเชยคางคุณหมอขึ้นแล้วโน้มหน้าของตัวเองลงไปเรื่อยๆ ช้าๆ จนกระทั่งภาพที่เห็นคือคุณหมอจิณณ์ค่อยๆปิดเปลือกตาลงและริมฝีปากของเราแนบสนิทติดกันราวกับถูกทาด้วยกาวตราช้าง...ริมฝีปากที่ตั้งใจจะแค่กดจูบลงไปเฉยๆ เพราะคนตัวสูงเองก็ด้อยประสบการณ์ แหง๋ล่ะเกิดมา 22 ปีไม่เคยมีแฟนกับเค้าซักคนนี่นา เมฆแตะปากลงบนปากนุ่มของคุณหมอหน้าหวานความนุ่มหยุ่นราวกับเจลลี่ทำให้เผลอส่งปลายลิ้นออกมาเลียที่กลีบปากเบาๆแต่นั่นกลับทำให้คุณหมอคนสวยเปิดปากจนปลายลิ้นสัมผัสกับซี่ฟันซี่เล็กที่เรียงระเบียบสวย หวานจัง...เมฆผละริมฝีปากออกมองภาพคนตัวเล็กที่ปรือตามองริมฝีปากอิ่มชื้นวาวด้วยน้ำลายจากปลายลิ้นของเขาดูยั่วยวนเมฆบดเบียดริมฝีปากของตัวเองลงไปอีกครั้ง ปลายนิ้วก็กรีดตามแนวกระดูกสันหลังของคนตัวเล็กจนร่างบางผวาเฮือกด้วยความรู้สึกร้อนแปลก อกบางเด้งขึ้นชิดกับอกแกร่งตวัดแขนโอบรอบลำคอกดให้ท้ายทอยของชายหนุ่มบดเบียดกับตัวเองมากขึ้น เมฆส่งปลายลิ้นดุนซี่ฟันเบาๆคุณหมอหนุ่มก็เปิดทางให้ความนุ่มหยุ่นมีกลิ่นแอลกอฮอล์นั้นเข้ามาสำรวจมากขึ้น ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวกับปลายลิ้นของคนตัวโตกว่าอย่างหยอกล้อก่อนจะกลายเป็ยจูบหนักหน่วงที่ผลัดกันบดคลึงดูดดึงฝ่ามือหนาเริ่มอยู่ไม่สุขเมื่ออารมณ์ดิบภายในกายเพิ่มมากขึ้นเมฆดันคุณหมอคนสวยให้นอนราบลงกับโซฟานุ่ม ฝ่ามือแกร่งลูบไล้เรือนกายของคุณหมอตามอารมณ์ที่ถูกธรรมชาตินำพา จิณณ์ปัดป่ายมือไปทั่วจนถูกโต๊ะที่มีขวดเบียร์ขวดเหล้าวางอยู่จนมันตกลงไปเกลื่อนพื้นยามที่ฝ่ามือหนาเลื่อนมาลูบไล้ยอดอกผ่านเนื้อผ้า “อื้อ...จับ..จับเลย มัน สะ...เสียวจัง” คุณหมอหน้าหวานจับมือที่กำลังจะป่ายไปทางอื่นให้มาจับที่หน้าอกตนอีกครั้ง เมฆยิ้มให้กับคนใต้ร่างก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อของคุณหมอแล้วถอดมันออกรวดเดียวจนหมด ผิวกายขาวละเอียดปรากฏต่อสายตาทำเอาคนเมาที่อายุน้อยกว่ากลืนน้ำลายดังเอื๊อก อยากสูงให้ดื่มนม...คิดได้ดังนั้นคนเมาก็เลื่อนใบหน้าของตัวเองลงมาที่อกขาวที่ประดับด้วยเม็ดทับทิมสีเนื้อก่อนจะตวัดปลายลิ้นชิมยอดอกที่แข็งชูชันตอบสนองทันทีที่ความชื้นเย็นวูบวาบตวัดผ่าน “อื้อ...ดูดเลย...” ทันที่ที่ได้รับคำอนุญาตเมฆก็ครอบครองยอดอกแบนราบนั้นทันที ขบเม้มกดจูบใช้ปลายลิ้นละเองอย่างด้อยประสบการณ์แต่ก็นำพาความเสียวซ่านพอให้คุณหมอคนสวยร่อนเอวไปมาเสียงครางหวานดังกระท่อนกระแท่นฝ่ามือนุ่มขยุ้มผมของเมฆจนแทบจะหลุดติดมือเพื่อระบายอารมณ์ “อ๊าห์!!!” คุณหมอคนสวยเชิดหน้าส่งเสียงครางลั่นเมื่อเมฆกัดและดึงหัวนมของตนก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ กายบางแดงระเรื่อด้วยแรงอารมณ์เป็นภาพที่สวยงามคนหนุ่มที่เลือดในกายเริ่มพุ่งพล่านลูบไล้ยอดอกที่แกงก่ำจากการกัดของตัวไล้เรื่อยจนถึงหน้าท้องแบนราบกดจูบที่สะดือหลุมงามก่อนจะค่อยๆปลดตะขอรูดซิปกางเกงของจิณณ์ออก ซึ่งหมอหนุ่มเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเมื่อร่างกายของตนเปล่าเปลือยจึงดึงเสื้อปลดกางเกงของเมฆออกจนล่อนจ้อนเช่นเดียวกับตน เสื้อผ้าถูกเหวี่ยงให้พ้นทางก่อนทั้งสองจะกลับมาแลกน้ำลายกันอีกรอบ มือหนาเลื่อนลงไปลูบแกนกายขนาดกำลังเหมาะมือจนหมอหนุ่มสะท้านก่อนที่ข้อมือที่ใช้ชู๊ตบาสทุกวันจะขยับรูดรั้งความแข็งตึงแน่นมือช้าๆจนคุณหมอตัวเล็กสูดปากด้วยความเสียวซ่าน “อ๊ะ....อื้อ...แรงอีกนิด เร็วหน่อย” เสียงร้องขอให้เพิ่มจังหวะและน้ำหนักมือทำให้เมฆเร่งสปีดมากขึ้น ความเสียวที่แล่นไปทั่วร่างทำให้ขาที่ชันกับพื้นโซฟากว้างขึ้นปลายเท้าจิกกับพื้นเบาะนุ่มสองมือขยุ้มทั้งหัวทั้งไหล่ของคนที่กำลังปรนเปรอตนเองอยู่จนเลือดซิบ ในที่สุดเมื่อถึงจุดสุดยอดร่างบางเกร็งก่อนจะพ่นน้ำขาวขุ่นออกมาเลอะหน้าท้องตัวเองและเมฆรวมทั้งมือแกร่งของชายหนุ่มก็เปรอะไปด้วยหยาดหยดของอารมณ์บางส่วนไหลไปถึงช่องทางสีสดที่ขมิบไปมาเพราะความต้องการที่มากกว่ามือ เมฆมองผลงานของตัวเองด้วยความพอใจคุณหมอคนสวยนอนอ่อนระทวยใต้ร่างเขาตัวแดงเป็นกุ้งผิวแก้มใสแดงก่ำริมฝีปากฉ่ำวาว แกนกายตั้งชันกระตุกหงึกหงักรวมทั้งช่องทางลับที่มีน้ำรักไหลเปรอะทำให้คนตัวสูงค่อยๆใช้ปลายนิ้วแหย่เข้าไป “อ๊ะ!!!” เสียงคุณหมอหนุ่มร้องอย่างตกใจที่มีสิ่งแปลกปลอมกำลังยุ่มย่ามกับประตูลับของตน ทันทีที่เปิดเปลือกตาคุณหมอหนุ่มกลับเห็นภาพของคนใจร้ายที่ทิ้งตัวเองไปซ้อนทับกับภาพของคนที่เพิ่งปรนเปรอความสุขให้กับคน “ถ้ากูจืดชืดก็อย่ามาฟันกูนะไอ้ควาย!!!” ผลั่ก!!! โครม!!!!! คร่อก!!! ฝ่าเท้าที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ถีบเต็มๆยอดอกของคนที่กำลังตั้งใจส่งนิ้วเข้าถ้ำจนคนตัวสูงกระเด็นออกไปจากตัวร่างสูงหงายหลังตามแรงถีบลงไปหัวฟาดกับขอบโต๊ะ โคตรซวยที่มันเป็นตรงมุมส่วนสามเหลี่ยมพอดี ทำให้คนเมาไม่มีสติก็กลายเป็นหมดสติทันที คุณหมอคนสวยลุกพรวดหยัดเท้ายืนบนพื้นโดยไม่ทันมองว่ามีบรรดาขวดเบียร์หล่นระเกะระกะอยู่ความลื่นของขวดทำให้จิณณ์ล้มก้นจ้ำเบ้า เคราะห์หามยามซวยทีมีขวดเบียร์บางขวดหล่นในแนวดิ่งจึงทำให้ก้นงามงอนกระแทกกับปากขวดจนเจ้าตัวร้องซี๊ดดดดดดด “โอ๊ย...ซี๊ดดดดดดด เจ็บตูดแม่ง” คุณหมอคว้าขวดเบียร์ที่เกือบแทงเข้าถ้ำตัวเองเขวี้ยงไปอีกทาง ร่างบางยันตัวลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก เห็นคนที่นอนสลบเป็นอดีตคนรักก็ง้างเท้าจะเตะ แต่เพราะดื่มไปเยอะสติสัมปชัญญะน้อยลงทำให้เสียหลักพอยกเท้าก็ล้มแผละลงบนอกแกร่งพอดีหัวกลมทุยก็โขกกับขอบโต๊ะมุมเดียวกับที่เมฆโดนความมึนแล่นจากหน้าผากสู่สมองคุณหมอหนุ่มตาลอยกรอกไปกรอกมาก่อนจะซบแผล่ะกับอกของเมฆสลบตามกันไปในทันที “เอิ๊กกกกก.......คร่อก!!!” .............................. โถ................สลบเหมือด
จังหวะซิทคอม
โอ๊ยยยยหมอ555555 :mew2:
อารายของพวกเจ้า !!
ตื่นมาต้องมีโวยวาย555
:a5:
:katai2-1: :katai2-1:
ป๊าด
ลูกเป็ดขี้เหร่[:4:] แสงที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างในยามบ่ายแก่ๆไม่ได้มีผลให้คนสองคนที่นอนเกยก่ายหาไออุ่นซึ่งกันและกันขยับตัวตื่นขึ้น แทนที่ความร้อนจะทำให้คนทั้งคู่ตื่นขึ้นมามันกลับทำให้ร่างทั้งสองร่างยิ่งอิงแอบแนบกันมากขึ้น “อื้ออออ” เสียงคุณหมอหน้าสวยครางออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อมีเสียงของเครื่องมือสื่อสารดังรบกวนการนอนมือขาวป่ายปัดมั่วไปหมดคุณหมอคนสวยปรือตาขึ้นกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนจะหลับตาลงอย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสงจ้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา โทรศัพท์ที่แผดเสียงยังคงนอนนิ่งห่างจากปลายเท้าไปจนสุดเหยียด “ช่างแม่งคนจะนอน” คุณหมอหน้าสวยเคี้ยวน้ำลายแจ่บๆใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายที่ไหลย้อยจากมุมปากลวกๆก่อนจะหลับตาพริ้มกอดคนใต้ร่าง “ว่าแต่กูเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” ความคิดหนึ่งวูบเข้ามาในสมองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าริงโทนโทรศัพท์ไม่ใช่เพลงเดิมที่ตัวเองใช้ “ช่างแม่ง สงสัยเผลอเปลี่ยนตอนเมา” ว่าแล้วคนที่ยังเมาค้างก็หลับตาลงอีกครั้งถอนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย “เจ็บหัวแม่ง” อดบ่นไม่ได้เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบๆที่หน้าผากแต่ก็ยังคงหลับตานิ่งอย่างคนพยายามที่จะหลับอีกครั้ง คร่อกกกกกกกกกกกก “หืม??” คุณหมอหนุ่มขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์เมื่อมีเสียงแปลกๆดังขึ้น “ใครกรนวะ....กูยังไม่ได้หลับ?” ความคิดที่ทำให้หมอจิณณ์ผงกหัวขึ้นมาดู แต่ยังไม่ทันจะกระจ่างอะไรมือของใครบางคนก็ลูบสะโพกตัวเองไปมา “เหยดดดดดด” ทันทีที่มองลงไปข้างใต้ร่างของตนหมอจิณณ์ก็ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่นจนคนที่ลูบบั้นท้ายเขาอยู่อย่างเพลินมือรู้สึกตัวตื่นขึ้น “ซี๊ดดดดดดด” เสียงซี๊ดปากก่อนจะคลำท้ายทอยตัวเองป้อยๆ ตามร่างกายปรากฏรอยเขียวๆม่วงๆจางบ้างเข้าบ้างแทบจะทั่วตัว “เฮ๊ย!!!” เสียงของคนทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกันเมื่อต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วนิ่งราวกับกำลังประเมินผลในสมองจากนั้นทั้งคู่ก็เด้งตัวออกจากกันราวกับถูกดีด จิณณ์ชี้หน้าคนไข้ของตัวเองก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่ยังเรียกสติได้ไม่เต็มดี “คุณมาอยู่ในห้องหมอได้ยังไง” “ผมไม่รู้ผมจำได้ว่าเจอคุณหมอเมาอยู่ที่สวนสาธารณะแถวบ้าน” “เดี๋ยวนะ แล้วคุณแก้ผ้าทำไม” คุณหมอหนุ่มเอ่ยถามเมื่อสังเกตได้ว่าเมฆไม่ได้ใส่เสื้อผ้า “หมอก็ไม่ได้ใส่เหมือนกัน” จิณณ์หลุบตามองร่างกายของตน เปลือยทั้งตัว...ตามร่างกายมีรอยช้ำสีแดง...ที่หน้าท้องและเรียวขามีคราบบางอย่างติดอยู่.. “เฮ๊ย!!!~”เป็นอีกครั้งที่คุณหมอหนุ่มอุทานคำนี้ จิณณ์ทะลึ่งพรวดลุกขึ้น เจ็บตูดด้วยอ่ะ....เหี้ยแล้ว...ชัดเลยแม่ง… ผลั่ก!!!! “มึงทำอะไรกู” ตีนไวกว่าปาก...คำๆนี้ผมเพิ่งรู้ซึ้งเมื่อฝ่าเท้าเรียวงามน่องขาวๆที่มีมัดกล้ามนั้นประเคนเข้ามาเต็มๆกลางอกผม คุณหมอที่แสนน่ารักสุภาพเมื่อวันก่อนหายไปไหน ผมอยากจะคราย หัวก็เจ็บ ตัวก็ปวด ต้องมานั่งเปลือย แถมตื่นมายังได้กินเท้าเป็นอาหารอีก…ผมผิดอะไร “ผมไม่รู้” “ไม่รู้แล้วนี่อะไร นี่รอยอะไร นี่คราบอะไร ใครทำถ้าไม่ใช่นาย” “ผมไม่รู้” “จะรู้อะไรมั่งเนี่ย ฉันเจ็บตูดนายนอนสบายอ่ะเหรอ” “ผมไม่รู้” “แล้วนี่เสื้อผ้ากูอยู่ไหนเนี่ย” “ผมไม่รู้” “โว๊ย....ถ้ายังพูดคำนี้อีกครั้งจะเตะให้กระเด็นเลย” “ผมไม่รู้” ผลั่ก!!!!...หมอเค้าเตะผมจริงๆด้วย ผมแค่หลุดปากตอบไป เราหันรีหันขวางไปทั่วห้องเพื่อหาชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเต็มห้อง “หมอครับนั่นกางเกงในของผม” ผมท้วงเมื่อคุณหมอจิณณ์ใช้เท้าหนีบกางเกงในที่ตกอยู่ไม่ไกลขึ้นคลี่สะบัดแล้วสอดขาเข้าไปข้างนึง “เอาคืนไป” คุณหมอเค้าคืนกางเกงในให้ผมด้วยการใช้ปลายเท้าสลัดมัมาให้ผมครับ แล้วแกก็สลัดแม่นเหลือเกินเมื่อลิงน้อยลอยหวือมาโปะบนหน้าของผม เป็นเวลาหลายนาทีที่เราควานหาเสื้อผ้าทั่วห้องรับแขกกว้างจนในที่สุดผมก็มานั่ง เจี๋ยมเจี้ยนบนโซฟานุ่มส่วนคุณหมอจิณณ์ยืนพิงผนังกระจกที่มองออกไปเห็นวิว ทั่วกรุงเทพ ในมือเรียวคีบบุหรี่ที่ถูกสูบไปครึ่งมวนแล้ว กลิ่นนิโคตินอบอวลโดยที่เจ้าตัวได้แต่ทอดสายตาไปข้าง นอกราวกับใช้ความคิดบ่อยครั้งที่มืออีกข้างยกขึ้นลูบก้นตัวเองเบาๆพลางทำสี หน้าปั้นยาก “เรื่องเมื่อคืนถึงฉันจะจำอะไรไม่ได้ ถึงมันจะเกิดขึ้นจากความเมา แต่ถ้านายเอาไปเล่าให้ใครฟังนายตายแน่เข้าใจมั๊ย” คุณหมอหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลครับ แกยิ้มให้ผมด้วย…แต่ในดวงตาของแกน่ะราวกับมีปืนที่กำลังขึ้นลำอยู่ข้างใน “เข้าใจมั๊ยครับที่หมอบอก” คุณหมอยังสำทับกลับมาอีกรอบเมื่อผมได้แต่นิ่งเงียบ เอื๊อก...ครับ...ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะค่อยๆพยักหน้ารับ “ครับ” จะไม่ให้รับคำได้ยังไงล่ะครับก็หนังหน้าของผม ร่างกายของผมน่ะยังต้องฝากไว้กับคุณหมอหน้าหวานคนนี้น่ะสิ เกิดไม่ทำตามที่หมอบอกแกผ่าหน้าผมให้เหมือนตัวกอลลั่มผมจะทำยังไงล่ะ แม่งชีวิตโคตรอันตรายเลย... เวลานี้ผมนั่งมองการกระทำของคุณหมออย่างไม่เข้าใจ...ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว ความจริงผมถูกคุณหมอจิณณ์ผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มเฉดหัวตั้งแต่บ่ายสามแล้ว ผมไม่มีที่ไป...ความรู้สึกมืดแปดด้านเข้ามารบกวนจิตใจของผม ผมไม่รู้จะไปทางไหนดี ครั้นจะให้ผมไปอาศัยนอนที่หอไอ้ปัดมันก็คงไม่เหมาะ ถึงจะแสบจะห้าวยังไงแต่ยังไงลูกปัดก็เป็นผู้หญิงถ้ามีผมเข้าไปอยู่ด้วยเสียงครหาย่อมตามมาแน่ๆ ปากคนยาวยิ่งกว่าปากกา เสียงเดียวอาจจะไม่ดังเท่าไหร่แต่ถ้าพวกปากลำโพงเอาไปลือกันปากต่อปากคนที่จะเดือดร้อนและเสียหายคือเพื่อนรักคนเดียวของผม จะให้ไปเช่าบ้านอยู่ถึงผมจะพอมีเงินออมอยู่บ้างแต่มันคงไม่พอสำหรับจ่ายค่ามัดจำบ้านหรอก ไอ้ที่มีอยู่ในบัญชีจะกินให้มันชนเดือนได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย ผมไม่ได้มีเงินฝากมากมาย แค่เจียดไปฝากได้เดือนละนิดละหน่อยเผื่ออยากได้อะไร คืนนี้และหลังจากนี้ผมคงไปอาศัยนอนตามสวนสาธารณะพร้อมๆกับออกหางานทำหรือไม่ถ้าวันไหนฝนตกผมคงต้องไปนอนที่วัดชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป...ผมถอนหายใจอย่างหงอยๆก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายในสมองก็ครุ่นคิดว่าผมจะไปไหนดี “คุณหมอครับผมไปแล้วนะครับ” ถึงแม้จะไม่มีทางออกยังไงแต่ผมก็ตัดใจโค้งคำนับให้หมอจิณณ์ก่อนจะยื่นมือไปจับลูกบิดประตู “เดี๋ยวก่อน...” ผมชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงคุณหมอร้องบอกอยู่ด้านหลัง “รอก่อน...เดี๋ยวทำแผลให้” คุณหมอว่าเพียงเท่านั้น ผมลังเลอยู่ครู่ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องตามเดิม หมอจิณณ์ที่ยืนอยู่หันหลังเดินไปตรงตู้ยาไม่นานอุปกรณ์ทำแผลแบบง่ายๆก็ถูกวางลงบนโต๊ะกระจก ขวดเบียร์ขวดเหล้าถูกกวาดออกไปก่อนที่คุณหมอจะสั่งให้ผมถอดเสื้อแล้วนั่งลงข้างๆกัน ถึงแม้บางที่จะมีแผลแต่เวลาที่คุณหมอแตะทิงเจอร์ลงมามันไม่ได้รุ้สึกเจ็บเลย มือคุณหมอเบามากผมนั่งมองใบหน้าหวานที่จ้องมองรอยบนตัวของผมอย่างตั้งใจไม่รู้ว่าหลุดยิ้มกับภาพน่ารักนั้นไปกี่ครั้ง “ไปโดนอะไรมา?” “โดนตีด้วยไม้กอล์ฟครับ” “ใครทำ?” “พ่อเลี้ยงครับ” “ทำไม?” บทสนทนาโต้ตอบของผมกับคุณหมอระหว่างที่แกบรรจงทำแผลให้ผมดวงตาใสแจ๋วจับจ้องรอยต่างๆยามแปะพลาสเตอร์ยาอย่างตั้งใจ ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้หมอฟังอย่างไม่ปิดบังยามนี้ผมก็แค่อยากระบายสิ่งที่คั่งค้างในใจมานาน....ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ความอยุติธรรมที่มีในครอบครัว “งั้นหมอว่าคุณก็ตัดสินใจถูกแล้วที่ออกมาเพราะถ้าขืนอยู่หมออาจได้อ่านข่าวคนไข้ของหมอก่อคดีฆาตกรรมแล้วมาทำศัลยกรรมหนีความผิด” ผมรู้ว่าคุณหมอแค่แซวผมเล่นบรรยากาศขุ่นมัวก่อนหน้านี้ค่อยๆจางไป ผมได้แต่จ้องหน้าคุณหมอนิ่ง “หมอครับ...” “หืม?” คุณหมอขานรับเบาๆ “เรื่องเมื่อคืนนี้ผมขอโทษนะครับ” ผมตัดสินใจเอ่ยคำขอโทษออกไป คุณหมอหยุดมือที่กำลังแปะพลาสเตอร์ยาตรงหางคิ้ว ดวงตากลมเสมองไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจหนักๆ “ช่างมันเถอะ ไม่ได้เสียหายอะไรยังไงหมอก็เป็นผู้ชาย อีกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุเราต่างคนต่างไม่ได้ตั้งใจหมอจะถือซะว่าระหว่างเราไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น” “ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณคุณหมอด้วยความซาบซึ้งใจ “หมอเองก็ต้องขอโทษที่ทำรุนแรงกับคุณแต่จะว่าไป...มันก็ไม่ได้เจ็บเท่าไหร่นะแสดงว่าคุณเองก็คงไม่ได้รุนแรงกับหมอ คิดว่าครั้งแรกจะเจ็บจนลุกไม่ขึ้นซะอีก” ท้ายประโยคเบาหวิวจนแทบจะจับใจความไม่ได้เหมือนคุณหมอจะพึมพำกับตัวเองซะมากกว่า ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงระเรื่อยามพูดประโยคหลังนั้นออกมา “ครั้งแรก...” ผมทวนคำของคุณหมอ...นี่แปลว่าผมเป็นคนพรากเวอร์จิ้นของคุณหมอหรือนี่? โครกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!....อยู่ๆเสียงของบางสิ่งบางอย่างก็ดังทำลายความเงียบผมหันไปมองต้นเสียงคุณหมอหัวเราะแห่ะๆพลางใช้มือลูบท้องไปมา “สงสัยจะหิว” คุณหมอหน้าสวยลุกจากพื้นเก็บอุปกรณ์ทำแผลก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นที่รกราวกับยัดขยะเข้าไปมากกว่าจะแช่ของที่กินได้ “บะหมี่แล้วกัน” เสียงทุ้มหวานเอ่ยเบาๆ ผมอดที่จะลุกตามไปดูไม่ได้ อันที่จริงผมเองก็หิวเหมือนกันก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็นวาน “นี่หมอจะทำอะไรครับ?” ผมร้องทักเมื่อคุณหมอแกะซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วใช้มือบุบมันก่อนจะล้วงเส้นบะหมี่แห้งๆนั้นส่งเข้าปาก “กินบะหมี่ไง” เสียงตอบกลับพลางเคี้ยวกร้วมๆไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลยซักนิด “ไม่ต้มเหรอครับ?” “ไม่อ่ะขี้เกียจเดี๋ยวมันก็ไปพองในท้อง” “ขี้เกียจหรือทำกับข้าวไม่เป็นครับ?” ผมถามออกไปอย่างสงสัย คุณหมอหันขวับมามองค้อนๆก่อนจะใช้เท้าดันประตูตู้เย็นปิดดังโครม ศัลยแพทย์....นพ.จิณณ์ ผู้ปฎิวัติภาพลักษณ์อันดีงามของแพทย์...ผมถือวิสาสะเปิดตู้เย็นที่เพิ่งโดนประทุษร้ายไปเมื่อครู่อีกครั้ง ยิ่งได้เห็นสภาพภายในตู้เย็นผมก็ได้แค่อ่อนใจ ใครสั่งใครสอนให้คุณหมอเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาแช่ในตู้เย็นกันครับ? แล้วนี่อะไร?...แฮมเบอร์เกอร์กินแล้วครึ่งนึงสภาพมันแปลกๆนะ ตัวเนื้อบดตรงกลางแข็งทื่อ ไม่มีผักให้เห็น มีเพียงคราบซอสมะเขือเทศกับมายองเนสที่จับตัวขึ้นทรงแข็งพอๆกับตัวเนื้อ ตัวขนมปังแข็งกระด้าง “หมอครับแฮมเบอร์เกอร์นี่ตั้งแต่วันไหนครับ” “เบอร์เกอร์อ่ะเหรอ...อืม...3 เดือนที่แล้วมั้ง นายจะกินก็ได้นะ” ดูเป็นคนมีน้ำใจดีครับ...นี่มันซากอารยะธรรมยุคเมโสโปเตเมียชัดๆ “หมอครับแล้วเค้กชาเขียวนี่ล่ะครับตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” “เอ....หมอไม่เคยกินเค้กชาเขียวนะหมอกินแต่เค้กเนยสด อ่อ สงสัยจะเป็นเค้กเนยสดอ่ะ ครึ่งปีแล้วมั้ง” แหม่ะ...ผมปล่อยเค้กก้อนนั้นร่วงหลุดมือครับ ไอ้เขียวๆดูฟุ้งๆนี่ราสินะ หมอจะแช่ไว้ทำไมครับ? ผมกวาดตามองสภาพตู้เย็นก่อนจะมองหาถังขยะ เสียงกุกกักทำให้คุณหมอหันมาสนใจ “ทำไรอ่ะ?” “ทิ้งขยะ” “ทิ้งทำไม?” คุณหมอเดินมาหยุดยืนด้านหลังผมผมหยิบของในตู้เย็นที่ส่วนมากเมื่อถามแล้วมันเป็นของที่กินไม่หมดก็ยัดใส่จนลืม “จะล้างตู้เย็นแล้วดูว่ามีอะไรเหลือพอจะกินได้มั่ง” หมอจิณณ์พนักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินจากไป...ไม่คิดจะช่วยเลยซักนิด ในที่สุดถังขยะ เอ๊ย ตู้เย็นรกๆก็สะอาดเรียบร้อยเหลือเพียงไข่ไก่ที่ยังกินได้แล้วก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำน้ำข้นอีกสองซอง ผมเช็ดเหงื่อที่หน้าผากในขณะที่คุณหมอเบื่อจะยืนดูหลบไปนอนหลับอยู่บนโซฟา เวลาเค้าหลับก็ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาดีนะครับ ปากแดงๆนั่นก็สวยจังเลย จมูกโด่งเชิดรั้นเหมือนคนเอาแต่ใจตัวเองนั่นก็สวย แล้วดูแพขนตาที่งอนน้อยๆนั่นอีกล่ะ ทำไมถึงเกิดมาเป็นผู้ชายกันน๊า น่าจะเกิดเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิงคงไม่โดนแฟนบอกเลิกหรอกเนอะ คร่อกกกกกกก... =..= อืม...อย่าสนใจเสียงกรนของคุณหมอเค้าเลยนะครับ คนอาร๊าย…มารยาทขัดกับหนังหน้าขั้นรุนแรง ผมโทรสั่งไก่ทอดชุดใหญ่จากร้านบริการส่งดิลิเวอรี่ ก่อนจะประจำเค้าท์เตอร์ในครัวผมมองวัตถุดิบที่เหลือก่อนจะจัดแจงเอาหม้อใบเล็กมาตั้งน้ำจนเดือด ใส่เส้นบะหมี่ลงไปปรุงรสแล้วตอกไข่ไก่ลงไปปิดหม้อก็พร้อมๆกับที่พนักงานส่งไก่กดกริ่งเอาของมาส่งพอดีผมเดินไปเปิดประตูก่อนจะรับไก่ทอดและโค้กขวดลิตรเซนต์รับจ่ายเงินแล้วนำมันมาวางบนโต๊ะก่อนจะผลุบเข้ามาในครัวหยิบแผ่นรองกันความร้อนจากก้นหม้อมาวางแล้วยกหม้อบะหมี่มาตั้งไว้ “หมอครับ...” ผมแตะมือลงบนต้นแขนคนหลับเบาๆ คุณหมอสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาเป็นภาพที่น่ารักครับ…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นเมียคนแรกของผม... “กลิ่นอะไรอ่ะหอมจัง” คุณหมองัวเงียก่อนจะเลื้อยลงมานั่งกับพื้นแล้วค่อยๆกระเถิบเข้าหาโต๊ะที่วางของกินอยู่ “มันมีของเหลืออยู่แค่นี้ที่กินได้ผมเลยต้มมาให้ครับแล้วก็สั่งไก่ทอดมาให้ด้วย” “ว๊าว น่ารักจังเลย ฉันกำลังอยากกินอยู่พอดี รู้มั๊ยครั้งสุดท้ายที่ได้กินมาม่าต้มแบบนี้น่ะสองปีที่แล้วที่แม่มาเยี่ยมแล้วทำให้ฉันกินเลยนะ” คุณหมอคว้าชามกับตะเกียบไปจากมือผมพลางคีบบะหมี่ร้อนๆเข้าปาก ทำไมภายใต้ท่าทางร่าเริงของคุณหมอผมกลับเห็นเงาบางอย่างอยู่ในแววตาของคุณหมอกันนะ เงาแห่งความเหงา...จริงๆแล้วคุณหมอเหงาใช่มั๊ยครับ? ผมยืนล้างจานที่เราสองคนกินกันจนเสร็จเรียบร้อยทุกใบในสมองผมก็เอาแต่คิดว่าผมจะกลับบ้านหรือจะไปหาห้องเช่าถูกๆอยู่ดี แล้วหลังจากนี้ล่ะผมจะทำอะไรต่อจนไม่รู้ว่าผมเผลอถอนหายใจไปกี่รอบ ทำไมหนทางมันถึงดูมืดมนไปหมดอยากกลับไปเป็นเด็กเจ็บสุดก็แค่ล้มเข่าถลอกยังมีแม่วิ่งมาถามว่าเจ็บมั๊ย? เป่าเบาๆที่เข่าให้ ไม่นานก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม ผมอยากหยุดเวลาไว้แค่นั้นจริงๆครับ เวลาที่มีแค่ผมกับแม่...ที่สุดผมก็เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนนอกหน้าต่างฟ้ามืดสายฝนตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา คงจะเป็นพายุผมมองคุณหมอที่เปิดประตูกระจกออกแล้วยืนสูบบุหรี่นิ่งอยู่หน้าระเบียง ต้องลากันแล้วสินะ... “คุณหมอครับผมไปก่อนนะครับ” อีกครั้งที่ผมกล่าวคำลากับคุณหมอ คุณหมอจิณณ์ยกบุหรี่ขึ้นอัดควันเข้าปอดหนักๆก่อนพ่นควันออกมาจากจมูกและปากแล้วโยนก้นบุหรี่ลงระเบียงจากนั้นจึงปิดประตูกระจก ผมหันหลังเดินไปที่ประตูจับลูกบิดอย่างกังวลใจกับหนทางข้างหน้า “ไม่ต้องไปหรอก คืนนี้ค้างที่นี่แหละไม่เห็นหรือไงว่าฝนมันตกขืนออกไปนายป่วยร่างกายอ่อนแอฉันไม่ผ่าตัดให้หรอกนะ” “แต่...” ผมจะเอ่ยท้วง ทำไมคุณหมอไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายอย่างนี้นะเราเพิ่งเจอกันแค่ 2 ครั้งเท่านั้นเองนะ เมื่อคืนเป็นการเจอกันครั้งที่สอง เมื่อคืนเป็นการมาห้องของคุณหมอครั้งแรก แล้วมันก็เกิดเรื่องเลยเถิดทำไมคุณหมอยังไม่รู้จักระวังตัว “มันจะดีหรือครับหมอ” “แล้วนายเห็นใครบอกว่าไม่ดีหรือยังล่ะ ไม่ต้องทำเป็นสาวน้อยหวาดระวังหนุ่มที่เจอกันในแชทหรอกเอากระเป๋าไปวางไว้มุมห้องนู่นก็ได้ เดี๋ยวนายนอนโซฟาส่วนฉันนอนในห้องฉันโอเคนะจบเลิกพูด” หมอโบกมือไล่ผมไปมุมห้องก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องนอนของหมอแล้วกลับมาพร้อมหอบหมอนและผ้านวมผืนใหญ่ออกมาด้วย ผมเดินเข้าไปรับมันมาจากคุณหมอก่อนจะวางลงบนโซฟาตัวใหญ่ หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ได้แต่แยกกันไปคนละมุม อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย...ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรกับบรรยากาศอึดอัดนี้เริ่มมองไปรอบๆห้อง มันรกครับตั้งแต่หน้าประตูยั้ยท้ายห้อง ผมเก็บของที่รกเกลื่อนกล่านนั้นไปเงียบๆ หาลังใบใหญ่มาใส่พวกนิตยสาร ทั้งเกี่ยวกับการแพทย์ ความสวยความงาม ดารา รวมทั้งหนังสือโป๊มีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง อืม เล่มนี้นางแบบนมอย่างบึ้มถ้าเอาเข็มเจาะสงสัยนมคงแตก โห...เล่มนี้นางแบบทาปากแดงแปร๊ดเอามือจับหน้าอกไว้ข้างนึงอีกข้างก็ยกนิ้วขึ้นมาดูดโคตรเซ็กซี่ ว๊าว! เล่มนี้อย่างแจ่มนางแบบนอนท่าเอ็มเลคโดยมีจีสตริงลูกไม้สีขาวติดกายเพียงตัวเดียว...โกนบ้างอะไรบ้างก็ดีนะ “เอามานั่งอ่านตรงนี้ก็ได้นะ เดี๋ยวจะเมื่อย” “ไม่เป็นไรๆตรงนี้ก็อ่านได้” “แหม..ตรงนั้นฝุ่นมันเยอะ” ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดวางหนังสือสำหรับผู้ชายลงก่อนจะหยิบหนังสือที่หน้าปกเป็นผู้ชายที่ใช้ใบไม้ใบใหญ่ปิดตรงนั้นของตัวเองดูแล้วท่าทางจะไม่ใหญ่เท่าไหร่ผมเบะปากก่อนจะโยนอย่างไม่ใยดี “หูย เล่มนี้อ่ะอย่างเด็ดโยนเป็นขยะไปได้” เสียงดังจากด้านหลังกระซิบอยู่ข้างหูในขณะที่ผมกำลังจะหยิบเล่มอื่นขึ้นมาดู เสียงใครวะ เฮือกกกกกกกก…ผมรีบโยนหนังสือในมือลงลังกระดาษทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ หมอจิณณ์ยืนเอามือไขว้หลังมองผมด้วยสีหน้าล้อเลียน “เฮ๊ย....ดูต่อก็ได้นะหมอเข้าใจว่าผู้ชายอะนะ ยิ่งยังอายุน้อยๆแบบนี้คงอยากรู้อยากเห็น ตามสบาย” “ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจจะดูหนังสือของหมอนะครับ” ผมรีบเก็บหนังสือเหล่านั้นจนเสร็จเสียงคุณหมอจิณณ์หัวเราะเบาๆอยู่ข้างหลัง ผมยกลังเข้าไปเก็บตรงซอกที่เป็นพื้นที่ว่างพอสมควรที่ผมเคลียร์ทั้งกระเป๋าใส่ไม้กอล์ฟ ไม้ถูพื้นรวมทั้งสารพัดสิ่งอย่างที่คุณหมอคงโยนส่งๆเข้าไปจนเรียบร้อย จากนั้นผมก็เอาเครื่องดูดฝุ่นออกมาดูดพื้น ผมว่าห้องหมอคงไม่เหงาหรอกโสโครกซะขนาดนี้ไรฝุ่นคงอยู่เป็นเพื่อนเต็มเลย “ทำไมหมอไม่จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดล่ะครับ” ผมรับน้ำเย็นๆที่หมอเอามายื่นให้พลางถามด้วยความสงสัยเต็มที่เพราะดูจากสภาพห้องแล้วหมอคงไม่มีแม่บ้านมาทำให้ “ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องน่ะ” กึก...ผมชะงักกับคำพูดและน้ำเสียงติดจะห้วนของคุณหมอจะว่าไปแล้วผมก็เป็นคนอื่นเหมือนกันสินะ ผมลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินไปเอาแก้วล้างที่ซิ้งค์ ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว “นี่ไปอาบน้ำซะสิสามทุ่มกว่าแล้วเดี๋ยวได้นอน พรุ่งนี้หมอเข้าเวรเช้า” หมอเดินมาหยุดข้างๆพลางสะกิดไหล่ผมลุกตามหมอที่กวักมือเรียกเข้ามาในห้อง แม้จะลังเลแต่เมื่อเข้ามาแล้วในห้องนอนของหมอไม่ได้รกเหมือนข้างนอก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นระเบียบดูจากผ้าปูที่นอนและผ้าห่มที่ยับย่นไม่มีการเก็บพับโต๊ะเครื่องแป้งของหมอทำผมตะลึง มันเต็มไปด้วยสารพัดครีม เซรั่ม โลชั่น จัดเรียงกันถึง 2 โต๊ะ “อ่ะ ใช้ผ้าขนหนูผืนนี้ก็แล้วกันหมอเพิ่งซื้อมาใหม่ยังไม่ได้ใช้ห้องน้ำอยู่ทางนู้น” หมอบอกกับผมพลางยื่นผ้าขนหนูสีแดงเลือดนกให้ผมก่อนจะเดินหายออกไปจากห้อง ผมจัดการชำระล้างคราบไคลที่หมักหมมมาตั้งแต่เมื่อวานสายน้ำเย็นช่วยทำให้ผมสดชื่นขึ้นเกือบ 20 นาทีที่ผมอาบน้ำที่สุดผมก็เดินออกมาด้วยการพันท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว... ผมลืมเอาเสื้อผ้าเข้าไปด้วย “พอเถอะคุณไม่ต้องพูดหรอกกลืนคำว่าขอโทษของคุณลงไปให้เหมือนน้ำลายบูดๆของคุณนั่นแหละ” ผมชะงักเท้าทันทีที่กำลังจะก้าวออกมาจากห้องนอนคุณหมอเมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นของหมอจิณณ์ “โธ่...ถึงผมจะไปคบกับแพทแต่ผมก็ยังรักคุณนะจิณณ์” เสียงทุ้มของใครอีกคนทำให้ผมแทบจะหดเกร็งร่างกายให้เล็กที่สุด ถ้าตอนนี้ผมเลือกจะเป็นตัวละครตัวใดได้ผมก็อยากขอเป็นโนบิตะที่มีโดราเอม่อนอยู่ข้างๆแล้วจะขอยืมไฟฉายย่อส่วนเพื่อย่อตัวเองให้ตัวเล็กเท่ามด “คุณมันพูดจาเห็นแก่ได้มากเลยนะ คุณมันทุเรศ ไสหัวออกไปจากห้องผมเลยแล้วไม่ต้องกลับมา” “โธ่..จิณณ์...ฟังผมก่อนสิคนดี ผมรักคุณนะ” ผมไม่ได้อยากเผือกเรื่องของชาวบ้านนะ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ร่างกายและใบหูบวกกับตาสองข้างของผมถึงไปแนบกับประตูห้องนอนของหมอซะแล้ว “ณพถ้าคุณรักผมจริงคุณคงไม่ไปมีใครอีกคนหรอก เลิกหลอกตัวเองเลิกหลอกผมซักที ผมเป็นหมอนะไม่ใช่หมา ผมมีความคิดเป็นของตัวเองผมไม่ใช่หมาที่ถึงแม้เจ้าของมันจะเลวแสนเลวเจ้าของมันจะไปรับหมาตัวใหม่มาเลี้ยงมันก็ยังกระดิกหางรับ พอกันทีในเมื่อคุณเลือกจะทิ้งผมก็อย่าเสนอหน้ากลับมาพูดคำว่ารักพล่อยๆอีก” ผมเห็นหมอจิณณ์ยืนกำมือแน่นผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณหมอคนเก่งของผมจะทำหน้าตาแบบไหน แต่ที่ผมเห็นก็คือผู้ชายคนนั้นเขาหล่อครับเขาดูดีมากๆ ถึงแม้ฟันของเขาจะเหยินหน่อยๆ แต่ผมมั่นใจว่าฟันผมเหยินกว่า... “หึ...คุณเองก็ดีนักนี่ผมบอกเลิกเมื่อวานวันนี้พาผู้ชายมากกซะแล้ว ทำไมล่ะ ตอนผมขอมีอะไรกับคุณ คุณอ้างนู่นอ้างนี่อ้างว่าไม่พร้อมแล้วนั่นอะไร...จิณณ์...ถ้าอยากนักหรืออยากประชดผมหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ” ผลั่ก!!! ผมว่าผมกำลังจะออกไปถีบไอ้เหยินนั่นแล้วนะ ผมว่าด้วยสกิลนักบาสของผมเร็วแล้วแต่มันยังเร็วไม่เท่าเท้าของคุณหมอจิณณ์ที่ประทับเน้นๆกลางอกของผู้ชายคนนั้น “อรรณพอย่าให้ผมต้องพูดซ้ำสอง ไสหัวออกไปจากห้องของผม อีกอย่างผมจะบอกให้เอาบุญ ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่หล่อแต่ลีลาเขาโคตรเด็ดเลยล่ะ ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกกันไปกี่รอบ” ............................ ตอบ...ไม่ได้โยกซักรอบ แกหลับหว่ะหมอ ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะ ขอบคุณคอมเม้นท์ด้วย แม้จะน้อยนิดก็ยังขอบคุณ แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ รักนะจุ๊บๆ
:z6: จัดเลยหมอ
มัน!!!!!
55555 หมออย่างอวด :z2:
หมอ.....อย่างแรงส์ :katai1:
แกคือหมอคนที่น่ารักๆใช่ไหม555
ลูกเป็ดขี้เหร่[:5:] ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ ผมขย่มจนลืมไปเลยว่าเมื่อคืนโยกไปกี่รอบ!!!! พระเจ้าช่วยกล้วยตกลงง่ามตีน!!!! นี่น่ะหรือคุณหมอหน้าใสที่ผมเจอเมื่อวาน ทำไมคุณหมอช่างกล้าที่จะพูดเรื่องในที่ลับเหตุการณ์ป๊าบป๊าบ ป๊าบ ของสองเราให้ไอ้เหยินนั่นมันฟังด้วยหน้าตาระรื่นขนาดนั้น…ภาคินัยจะเป็นลม “แล้วอีกอย่างนะผมเพิ่งรู้ตัวว่าเวลามีเซ็กส์น่ะผมชอบความรุนแรงขนาดไหน” เสียงคุณหมอว่าไปเรื่อยเรียวนิ้วก็กรีดมาบนรอยช้ำจากหัวไม้กอล์ฟที่พ่อเลี้ยงของผมฝากเอาไว้ให้ดูต่างหน้า “เวลาเขาจูบน่ะเร่าร้อนเหมือนกินโซดาไฟ” ห๊ะ!!! นั่นจูบกับคนหรือเป็ดโปรครับแต่ผมยังไม่ทันตั้งตัวอะไรทั้งสิ้นคุณหมอก็กระชากหน้าผมกันคอแทบหักให้หันไปมองตาคุณหมอแล้วริมฝีปากร้อนก็บดจูบลงมาราวฤษีบดยา โฮ๊ววววววววววววววว…ผมด้อยประสบการณ์ผมยังเป็นดอกไม้แรกแย้ม แต่ตอนนี้ดอกไม้แสนสวยกำลังถูกหนอนตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มกัดกินกลีบดอกพลางดูดเอาท่อนำน้ำหวานเหมือนหนอนกระหายน้ำคอแห้งเป็นผงราวกับไปกินต้มยำไก่บ้านใส่กัญชาสดมา “อื้อ....” ไม่ใช่เสียงหมอนะครับ เป็นเสียงของผมเองที่พยายามจะเอาหน้าออกมาจากปลาดูดกระจก แฮ่กๆๆ ผมโกยเอากากาศเข้าปอดยามที่คุณหมอละริมฝีปากออก “หึ...ก็สมกันดีคุณหมอไม่เต็มเต็งกับจรกาขอให้รักกันยาวๆยืดๆนะ หน้าตาก็ดีทำไมเอาไม่เลือกแบบนี้ผมไม่เข้าใจคุณเลยจิณณ์” “ก่อนคุณจะเจอกับผมหน้าตาคุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าเค้าเท่าไหร่นิ๊...” คุณหมอจิณณ์พูดอย่างไม่ยี่หร่ะ “คุณหยุดพูดไปเลยนะ” เสียงอรรณพตวาดกลับเมื่อคุณหมอพูดจบประโยคนั้น “ทำไมยอมรับอดีตของตัวเองไม่ได้เหรอก่อนคุณจะเจอผมนั่นคนหรือหมีควายตัวก็อ้วนหน้าสิวจมูกแฟ่บดั้งแหมบฟันเหยินเหมือนจานรถไถขาก็โก่งดูไม่ได้แล้วเป็นไงตอนนี้พอหล่อเข้าหน่อยดูถูกคนอื่นเหรอคุณมันไอ้ทุเรศหน้าตาดีขึ้นแต่จิตใจโสโครกเหมือนผ้าขี้ริ้วร่วงตกบนกองขี้หมาคนอะไรหน้าตาเหมือนหนังตีนลอกสันดานยังแย่อีก” “มันจะมากไปแล้วนะ” อรรณพกำลังโกรธ เออผมเชื่อแล้วว่าร่างเดิมของเค้าคงเป็นหมีควายจริงๆเพราะตอนนี้ร่างสั่นเทิ้มของเขาเหมือนหมีควายที่กำลังพองขนผมรวบเอวหมอจิณณ์ให้ขยับกายมาชิดกับอกผม เมียคนแรกของผมร่างบางกำลังสั่น หมอกลัวแต่หมอก็ยังทำหน้าระรื่นราวกับไม่เป็นอะไรจากสภาพของหมอเมื่อคืนหมอรักผู้ชายคนนี้มากแต่ตอนนี้หมอต้องงัดเอาคำพูดระคายหูออกมาด่าเค้า หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ คงเป็นคำนิยามของหมอในตอนนี้ “ออกไปซะไปจากชีวิตของผมให้เหมือนเมื่อวานที่คุณทิ้งผมแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก” น้ำเสียงเรียบสนิทนั้นเอ่ยกับอรรณพ เขากำหมัดแน่นมองเราทั้งคู่ด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะพ่นลมออกจากปากอย่างระบายอารมณ์ “หึ...ก็เท่านี้ล่ะ คนเอาแต่ใจอย่างคุณได้กะหลั่วๆแบบนี้ก็ถือว่าบุญแล้วล่ะผมให้ไม่เกินสองเดือนไอ้นี่ต้องทิ้งคุณแน่” “ผมไม่มีวันทิ้งหมอจิณณ์แน่ๆ คุณไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลเมียของผมให้ดีมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ตอนนี้คุณกลับไปได้แล้วผมจะทำธุระกับเมียผม” “ผมจบแพทย์จากเมืองนอกพอเรียนจบก็ทำงานที่นู่นปีกว่าก่อนตัดสินใจมาทำงานที่ไทยผมอยากทำให้คนที่ถูกดูถูกว่าขี้เหร่อัปลักษณ์ดูไม่ได้ ได้มีโอกาสเชิดหน้าในสังคมมั่ง คุณคงไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกของคนเป็นหมอด้านนี้น่ะเค้ารู้สึกกันยังไง เวลาที่คนไข้ของเราเปลี่ยนหน้าตาแล้วเขามีความสุขหัวใจของหมอก็เหมือนมีดอกไม้บานอยู่ในนั้นเวลาที่คนไข้ไหว้ขอบคุณเราที่เรามอบชีวิตใหม่ให้เค้ามันมีความสุขมากเลยนะ เพราะฉะนั้นในเวลางานผมจะเป็นนายแพทย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่พอเลิกงานปุ๊บถอดเสื้อกาวน์และหูฟังออกผมก็เป็นคนธรรมดาที่อยากมีชีวิตปกติผมเป็นคนแบบนี้ล่ะมันแปลกเหรอ หมอก็คนนะไม่ใช่สมมุติเทพอย่าวาดภาพของหมอสวยหรูกันนักเลย” ผมนอนฟังคุณหมอจิณณ์ที่ยึดเอาหมอนและโซฟาไปนอนพูดไปเรื่อยๆ ใช่ครับผมอาจคาดหวังในตัวคุณหมอมากเกินไปเมื่อในภาพลักษณ์แบบที่ผ่านมา ผมเคยคิดว่าหมอต้องมารยาทดีพูดจานุ่มนวลแต่หมอจิณณ์ไม่ใช่ จริงอยู่ที่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลหมอสุภาพยิ้มแย้ม แต่นั่นมันเป็นหน้าที่ พอเสร็จจากงานคุณหมอก็คือจิณณ์คนธรรมดาที่รักเป็นโกรธเป็นร้องไห้เป็นเสียใจเป็น ผมรู้เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมันยังคุกรุ่นในจิตใจคุณหมออยู่ “อรรณพน่ะเมื่อก่อนเค้าไม่ได้หล่อแบบปัจจุบันหรอกนะ เราเจอกันเมื่อปีที่แล้วเค้ามาหาหมอเล่าถึงความอัดอั้นที่ได้รับจากคนรอบข้าง หมอเลยรู้สึกว่าเอาสิ ช่วยเค้า ช่วยให้เค้าได้ยิ้มกว้างๆอย่างที่อยากจะยิ้ม มันคงเป็นคำสาปของศัลยกรรมเมื่อเราได้มาซึ่งหน้าตาที่งดงามจิตใจเราก็จะโลภไม่รู้จักพอ สัญญากับหมอได้มั๊ยว่าคุณจะทำมันแค่ครั้งเดียวแล้วคุณจะพอ” ท้ายประโยคหมอตั้งคำถามกับผม…ผมตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลย “ครับ ผมจะทำแค่ครั้งเดียว” เพราะถึงผมอยากจะทำหลายครั้งผมก็ไม่มีตังค์อยู่ดี... ปั๊ก!!!! “อะไรนะ มันทำกับแกขนาดนี้เลยเหรอ ไปไอ้เมฆแกลุกเลย หน๋อย รู้จักอีปัดผู้ฆ่าเสือด้วยมือเปล่าน้อยไปซะแล้วมึ๊ง” “เฮ๊ยลูกปัดแกใจเย็นก่อน” ผมลุกไปตะครุบตัวไอ้ปัดที่เดิกถกแขนเสื้อเตรียมออกไปบู๊กับครอบครัวผมแทบไม่ทัน “เย็นยังไงไหวแกยอมให้มันเอาไม้กอล์ฟฟาดกบาลแกแบบนี้ได้ยังไง บลาๆๆๆๆ” ยาวเหยียดราวกับนั่งฟังทอล์คโชว์ครับ ไอ้ลูกปัดมันจัดเต็มทั้งด่าน้องชายสุดที่รัก พ่อเลี้ยงที่แสนประเสริฐและกำลังทำท่าจะตำหนิถึงแม่ผมด้วยความลืมตัว “หยุดก่อนลูกปัดอย่าว่าแม่ของฉัน” ผมยกมือห้ามมันทันที่ที่มันเริ่มประโยคว่า “ฉันไม่เข้าใจแม่แกเลยจริงๆ” “แม่อาจจะดูรักฉันไม่เท่าน้องแต่ฉันเชื่อว่าแม่รักฉัน” “เฮ้อ...แกนี่ล่ะน๊าเมฆ” ลูกปัดมันกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนใจเรานั่งเท้าคางมองฝนที่ตกพำๆอย่างใช้ความคิด “อาทิตย์หน้าก็ผ่าตัดแล้วหวังว่าอะไรๆมันคงดีขึ้นเนอะ” ลูกปัดมันพูดออกมาเบาๆน่าแปลกที่ผู้หญิงตัวเล็กๆเวลาคิดจะทำอะไรกลับมีความเชื่อมั่นเต็มร้อย ต่างกับผมที่ตอนนี้ผมไม่เหลือความเชื่อมั่นอะไรในตัวเองเลยสงสัยอย่างแรกที่ผมควรจะทำมากกว่าการผ่าตัดศัลยกรรมก็คือ การสร้างศรัทธาให้กับตัวเอง...ใช่มั๊ยครับ กว่าผมจะแยกกับไอ้ลูกปัดก็เกือบๆ 6 โมงเย็น อากาศเริ่มเย็นลงอีกครั้งลมหนาวเริ่มพัดมาให้ได้ขนลุกเล่นผมปั่นจักรยานมาด้วยความเร็วไม่มากนัก เมื่อเช้าผมตื่นมาก็ไม่เจอคุณหมอแล้ว เจอแต่โน๊ตแผ่นเล็กติดไว้บนโต๊ะ “ผมออกไปทำงานก่อนนะหิวก็หาอะไรกินเอาไม่ต้องเกรงใจแล้วก็เรื่องที่พักถ้ายังหาไม่ได้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วกันเพื่อนคุณเป็นผู้หญิงไปพักด้วยกันอาจจะเสียหายจริงๆเหมือนที่บอก” คุณหมอเป็นคนใจดีเนอะครับ พายุที่เข้ามาเมื่อวานคงยังเหลือหางๆมันอยู่เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้ายังคงมีเมฆก้อนใหญ่และลมหนาวที่พัดมาเป็นระยะๆมีละอองฝนปนอยู่ คืนนี้คงตกหนักอีกรอบ ผมปั่นจักรยานจนมาถึงหน้าป้ายรถมล์ของโรงพยาบาลและก็พบภาพคุ้นตา “อ้าวหมอครับยังไม่กลับอีกเหรอครับ” คุณหมอจิณณ์นั่งกระดิกเท้าเล่นไอแพดอยู่ที่ป้ายรถเมล์มีหูฟังแนวฮิปฮอปครอบหูอยู่ คุณหมอแกน่ารักจริงๆนะครับท่าทางที่กลมกลืนไปกับบรรดาเด็กนักเรียนมัธยมปลาย “อ้าวมาได้ไงเนี่ย” หมอถอดหูฟังออกมาคล้องที่ต้นคอ “ผมไปหาห้องพักกับไปหาไอ้ปัดมาครับแล้วนี่หมอจะไปไหนครับ” “กลับห้องดิ่ แต่รถเมล์แน่นเลยรอจนกว่าจะเจอคันว่างๆ งั้นผมกลับกับคุณเลยแล้วกัน” หมอจิณณ์ว่าง่ายๆก่อนจะเก็บอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายลงกระเป๋าตวัดมันคล้องกับไหล่แล้วเดินปัดตูดมานั่งซ้อนท้ายจักรยานผมหน้าตาเฉย “หมอครับเบาะมันไม่นุ่มเจ็บตูดนะครับ” “ปั่นๆไปเหอะไม่ได้เจ็บอะไรเท่าไหร่หรอกน่า” คุณหมอพูดเสียงอู้อี้ ผมส่ายหน้าขำๆก่อนจะออกตัวปั่นจักรยานเราปั่นไปคุยไปส่วนมากจะเป็นคุณหมอชวนคุยซะมากกว่าเช่นที่บ้านทำอะไร เรียนจบอะไรมา นู่นนี่นั่น ส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวผมซะมากกว่า เสียงคุณหมอหัวเราะลั่นอย่างชอบใจเมื่อผมเล่าวีรกรรมของนางสาวลูกปัดมือตบลุ่มแม่น้ำปิงที่หาญกล้ากระโดดตบหมอกน้องชายที่สูงมากกว่า 180 ซม.ของผม “เพื่อนคุณแม่งโคตรเจ๋ง” ผมได้แต่ยิ้มกับเสียงหัวเราะของคุณหมอ ดูแกเป็นคนไม่คิดอะไรมากดีนะครับคุณหมอยังคงคุยเล่นกับผมได้แม้เราจะเพิ่งผ่านเรื่องอะไรๆด้วยกันมา...แม้ว่าเราเพิ่งจะรู้จักกัน “นี่คุณๆ แวะซุปเปอร์มั๊ย ผมสงสารคุณที่ต้องกินแต่ไข่กับบะหมี่” “หมอไม่ต้องหรอกครับผมกินอะไรก็ได้” ผมรีบท้วงคุณหมอเมื่อแกบอกยังงั้น ผมไม่อยากทำตัวเป็นภาระใครอีกต่อไปแล้ว เท่าที่รบกวนเจ้าปัดมันเรื่องเงินทำศัลยกรรม เท่าที่รบกวนคุณหมอเรื่องที่พัก แค่นี้ผมก็ใช้หนี้บุญคุณไม่หมดแล้ว “เฮ๊ย...อย่าโลกสวยดิ่ ผมซื้อไปให้คุณทำให้กินต่างหาก สารภาพตามตรงผมก็เบื่อมาม่าดิบแล้วเหมือนกัน” ผมกับคุณหมอเอารถมาจอดที่จอดจักรยานยนต์โดยคุณหมอลงไปกวนตีนคนเฝ้ารถแป๊บนึง “จอดไม่ได้ครับนี่ที่จอดจักรยานยนต์ครับ” “ก็นี่ไงจักรยาน” “นี่ที่จอดจักรยานยนต์ครับลานจอดจักรยานอยู่ด้านหลังครับ” “โหยจอดแป๊บเดียวเอง” “ไม่ได้ครับนี่ที่จอดจักรยานยนต์” ยามยังทำหน้าที่อย่างแข็งขันผมทำท่าจะเบนหัวรถไปจอดจักรยานอีกฟากนึงที่ห่างไปไม่มากแต่คุณหมอคว้ามือผมหมับจ้องหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “งั้นรอแป๊บ” คุณหมอบอกกับยามก่อนจะคุ้ยกระเป๋าของตัวเองหยิบปากกาเมจิกกับกระดาษเอสี่ขึ้นมาเขียนบางอย่างลงไปจากนั้นก็เอากาวสองหน้ามาติดที่กระดาษแล้วแปะป๊าบกับแฮนด์รถของผม “คราวนี้จอดได้แล้วนะ” คุณหมอบอกกับยามหน้าเฉยพลางดันตัวผมให้เข็นรถเข้าไปที่ลานจอด “จอดไม่ได้ครับจอดไม่ได้นี่มันลานเอาไว้จอดจักรยานยนต์ครับ” “ก็นี่ไงจักรยานยนต์” “ไม่ครับนี่จักรยาน” ยามก็ยังคงรักษาหน้าที่อย่างดีเยี่ยมจนผมสงสาร “นี่อะไร” คุณหมอเท้าสะเอวชี้มาที่จักรยานของผม ยามมองอย่าง งงๆ “ก็จักรยานไงครับ” “แล้วนี่อะไร” คุณหมอชี้ไปที่แผ่นกระดาษที่ปิดตรงแฮนด์รถของผม “ยนต์” “รวมกันเป็น?” “จักรยานยนต์” “งั้นเข้าไปจอดได้แล้วนะ” “ห๊ะ!!!” ผมกับลุงยามร้องออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินมุขโคตรควายของคุณหมอ นายแพทย์ศัลยแพทย์ฝีมือดีอาศัยจังหวะที่ผมกับลุงยามกำลังอึ้งเข็นรถจักรยาน(ยนต์)เจ้าไปจอดที่ลานจอดรถก่อนจะเอากุญแจมาล็อคล้อเสร็จสรรพแล้วดึงมือผมเข้าไปในซุปเปอร์ทันที ไม่คิดไม่ฝันว่าคนอายุเกือบ 30 จะกล้าเล่น ประตูหน้าซุปเปอร์ขนาดใหญ่เป็นระบบอัตโนมัติทำงานด้วยระบบเซนเซอร์ผู้คนเดินเข้าออกเป็นระยะเพราะเป็นเวลาเลิกงานคุณหมอปล่อยมือผมแล้วสั่งให้ผมยืนรอเพื่อทำอะไรบางอย่าง “นี่ หมอมีพลังพิเศษรู้มั๊ย?” “หืม?...อะไรนะครับ??” ผมถามหมออย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่าไหร่นัก” “หมอบอกว่าหมอมีพลังพิเศษสามารถบังคับสิ่งของได้ ดูนะหมอจะทำให้ดูเป็นบุญตา” คุณหมอจิณณ์บอกกับผมก่อนจะให้ผมถอยห่างจากประตูแล้วก็ “เรมิคูลู รามิคูลู เรารูลามิลู ประตูจงเปิด ย๊าห์!!!” คุณหมอวาดมือไปซ้ายที ขวาที พลางร่ายเวทย์มนตร์แล้วปล่อยพลังก้าวขาไปชิดประตู บานประตูก็เปิดทันที คุณหมอหันมายักคิ้วแผล่บให้ผมพลางยิ้มอย่างภูมิใจ “ไงล่ะหมอเจ๋งม๊ะ” ครับ...นี่ล่ะครับ…เมียคยแรกของผม เป็นหมอที่โคตรปัญยาอ่อนเลยเหอะ นี่คือผู้ชายอายุเกือบจะ 30 ปีแล้วจริงๆน่ะเหรอ ความมหัศจรรย์ของหมอยังไม่หมดเพียงเท่านั้นครับเมื่อเราไปหยิบรถเข็นคุณหมอก็จัดการปีนขึ้นไปยืนพลางปล่อยพลังเคลื่อนย้ายจักรวาลกับผมด้วยการ “ไปทางนู้น...ไปทางนี้...ไปทางนั้น...” นอกจากนั้นคุณหมอยังมีพลังเคลื่อนย้ายวัตถุด้วย “เมฆเอาไอ้นั่น...เมฆเอาไอ้นี่...ไม่ใช่ๆอันนั้นเอาไปเก็บเปลี่ยนเป็นเอาอันนู้น...ขนมอันนี้น่ากินไปหยิบมา” ครับ กว่าเราจะชอปปิ้งซื้อของกินข้าห้องเสร็จก็เกือบสองชั่วโมง ด้านนอกถนนเปียกแฉะฝนตกระหว่างที่เราเข้าไปซื้อของแม้แต่ตอนนี้มันก็ยังลงเม็ดซาๆอยู่ ผมหิ้วถุงของพะรุงพะรังมาใส่ตะกร้าหน้ารถที่มีลุงยามตีหน้ายักษ์ใส่เราเบาะรถเปียกโชกรวมทั้งเบาะที่เป็นเหล็กด้านท้ายด้วย “เบาะเปียกหมดเลย” คุณหมอบ่นเบาๆเมื่อเห็นว่าที่ๆตัวเองจะต้องนั่งมันเปียกโชกไปด้วยหยาดน้ำฝนแล้วกางเกงแสลคของคุณหมอก็เป็นสีขาวอีกต่างหาก เมื่อจัดการแขวนถุงทั้งหมดลงแล้วผมก็ใช้มือปาดเบาะรถก่อนจะนึกอะไรได้ ผมล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของผมออกมา ผมเห็นคุณหมอหลุดยิ้มดวงตาที่มองมาที่ผมนั้นแสนจะซาบซึ้ง ผมสะบัดผ้าเช็ดหน้าที่พับไว้ออกเป็นผืนใหญ่ก่อนที่จะ.... “ภาคินัยไอ้คนบ้า!!!” ผลั่ก....อูยยยยยย…ผมทำอะไรผิดครับ คุณหมอถีบผมลงไปคำนับฟ้าดินแล้วเดินสะบัดตูดหนีผมออกไปทำไม ผมก็แค่คลี่ผ้าเช็ดหน้า สะบัด แล้วเอาผ้าคลุมหัว…ก็ผมกลัวเป็นหวัดผมผิดอัลไล เมฆไม่เข้าใจ.... ภาคินัยเป็นผู้ชายที่... “โง่” ภาคินัยเป็นผู้ชายที่... “โคตรโง่” ภาคินัยเป็นผู้ชายที่... “เฮงซวย” ภาคินัยเป็นผู้ชายที่... “ซื่อบื้อ” ตกลงภาคินัยเป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่?... “โง่งี่เง่าซื่อบื้อเฮงซวยมากๆๆๆ” คุณหมอหนุ่มเดินตูดบิดออกมาจากเมฆที่นั่งเกาหัวแกร่กๆหลังจากตนเองส่งตีนไปจูบตูดบานๆของเมฆจนลงไปนั่งคุกเข่าคำนับฟ้าดิน ก็จะไม่ให้เสียเซลฟ์ได้ยังไงในเมื่อตอนที่เดินออกมาฝนมันตกพร่ำๆยายฉิมกำลังเก็บเห็ด...(หมอคะ ออกทะเลแล้วค่ะ...) ครับ...ผมจิณณ์ศัลยแพทย์ที่เบ้าหน้าดีมาแต่กำเนิดและเกิดที่เมกา จะไม่ให้ผมโมโหได้ยังไงล่ะครับก็ในเมื่อผมพยายามทำในหลายๆอย่างเพื่อให้ไอ้เด็กซื่อบื้อนั่นไม่รู้สึกเหงาหรืออ้างว้างเพราะเห็นว่าที่บ้านไม่ได้รับความอบอุ่น ถึงขนาดยอมทำตัวปัญญาอ่อนหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้เค้าได้มีรอยยิ้ม แล้วนี่อะไร...ออกมาฝนตกผมอุตส่าห์พูดอ่อยซะขนาดนั้นแล้วว่า “เบาะเปียกหมดเลย” มันไม่ใช่ประโยคบอกเล่าซักกะหน่อย แล้วดูกางเกงผมสีขาว แล้วถ้านั่งลงบนเบาะเปียกๆน่ะ วันนี้ผมใส่กางเกงในสีแดงผ้าขาวๆที่ไม่ได้หนามากเวลาโดนน้ำเปียกๆมันจะโชว์กางเกงลิงของผมมั๊ย วินาทีแรกที่ผมพูดเสร็จแล้วไอ้เด็กบ้านั่นมันล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าผมหลุดยิ้มออกมาอย่างซาบซึ้งใจว่าภาคินัยจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเบาะเปียกให้ผม วินาทีที่เขาคลี่ผ้าเช็ดหน้าสะบัดยิ่งซาบซึ้งหนักเข้าไปใหญ่เพราะผมคิดว่าอ๊า คลี่ผืนใหญ่เต็มผืนขนาดนั้นจะเอามาปูรองให้ผมนั่งทับสินะ ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้ หัวใจมันรู้สึกอุ่น รู้สึกดี ผมโคตรจะฟีลกู๊ดเลย แต่ความสุขของผมอยู่ได้แค่ 3 วินาที ไอ้เด็กบ้านั่นมันบังอาจทำความฟินของผมกระเจิงด้วยการเอาผ้านรกนั่นคลุมหัวหน้าตาเฉย ณ จุดนี้ผมเฟล ผมหน้าแตก ผมรู้สึกเสียหน้ามว๊ากกกกกกกก เวลาผมเสียเซลฟ์ผมต้องระบายออกด้วยการทำร้ายร่างกายคน และการที่ผมถีบให้เขาไปคำนับฟ้าดินทำความเคารพเง็กเซียนฮ่องเต้น่ะถือเป็นสิ่งดีงาม #หมอคิดว่ามันเป็นเรื่องราวดีๆนะ ผมถีบมันเพราะมันเป็นเด็กใจบาปทำให้คนแก่กว่ามีความหวังแล้วบดขยี้ด้วยหน้าตาโง่ๆนั่น กริ๊งๆ “คุณหมอครับ คุณหมอ” หึ...งอนอยู่...รีบมาง้อเลยนะไอ้บ้า “คุณหมอครับโกรธอะไรผมเหรอครับ” แหน่ะยังจะโง่ “คุณหมอครับขึ้นรถเถอะครับ” งอนอยู่ขอเล่นตัวแป๊บ “หมอครับ...” “หยุดเรียกซักทีแล้วจะไปตายที่ไหนก็ไปไอ้เด็กบ้า” ผมหันไปตวาดเจ้าเด็กโข่งที่ปั่นจักรยานมาตีคู่เรียกผมด้วยน้ำเสียงเว้าวอนซ้ำๆราวกับรำคาญแต่จริงๆในใจกำลังลิงโลดที่เด็กมันยังตามมาง้อ หน้าดำๆฟันเหยินๆของเด็กนั่นจ๋อยสนิทก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงอยขั้นสุด “งั้นไปเจอกันที่ห้องนะครับ” จากนั้นมันก็ปั่นจักรยานลับหายไปเลย...มันไปจริงเหรอวะ เฮ๊ย....ทิ้งกูจริงอ่ะ?...อ๊าวไอ้นี่....ผมชะเง้อมองคิดว่ามันจะแกล้งอำเล่นไปแอบตามมุมตึกหรืออะไรแต่ไม่มี นู๊น มันปั่นลับโค้งไปแล้วอ่ะ นี่มึงทิ้งกูจริงๆหรือนี่? ให้สามคำ...ไอ้-ควาย-นี่ แถมอีก 3 คำ…แม่ง-กวน-ตีน โห....นี่มันซื่อหรือมันโง่วะ จิณณ์อยากตายวายชีวาสมาก ณ จุดนี้ ผมว่าผมควรเพิ่มการรักษาไปอีก 1 คือการผ่าตัดสมองให้ฉลาดกว่านี้ นี่ถ้าง้อกูอีกหน่อยกูก็ใจอ่อนแล้วนะเนี่ย…ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!!! ผมปั่นจักรยานกลับมาจนถึงคอนโดของคุณหมอจิณณ์ที่โกรธผมเรื่องอะไรไม่รู้ โชคดีที่คุณหมอทิ้งกุญแจสำรองให้เมื่อเช้าผมหอบของพะรุงพะรังจนแทบจะคาบกลับมาที่ห้องจัดการเอาของสดแช่ตู้เย็น พวกบะหมี่เอาเก็บขึ้นชั้น ขนมเก็บใส่ตู้ใต้เค้าท์เตอร์ครัวก่อนจะเริ่มคิดว่าผมจะทำอะไรง้อคุณหมอดี ดูท่าทางแกจะโกรธผมจริงๆด้วยนะ ขนาดตามไปง้อยังไล่ให้ผมไปตาย ผมเอาหมูสามชั้นออกมาหั่น เตรียมเครื่องปรุงเตรียมผัก แช่น้ำไว้แล้วเอาข้าวออกมาหุง จากนั้นก็ทำผัดเปรี้ยวหวานหั่นแตงโมใส่กล่องแช่ตู้เย็นไว้ แกร่ก...เสียงประตูห้องเปิดพร้อมคุณหมอจิณณ์ที่ส่งสายตาพิฆาตมาให้ “เอ่อ...ผมหุงข้าวทำกับข้าวเสร็จแล้วนะครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ณ นาทีนี้ครับ “ไอ้คนใจบาป” 1 ดอกแบบงงๆ “จิตใจทำด้วยอะไร” 2 ดอกแบบยังไม่กระจ่าง “แกกล้าดียังไงทำให้ฉันหน้าแตกคิดว่าแกจะเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบาะรถเปียกๆให้ฉัน” อ่อ....งอนเรื่องนี้สินะ “แล้วกล้าดียังไงปั่นจักรยานทิ้งฉันไว้คนเดียว” อ่อ...โกรธเรื่องนี้สินะ “ก็ฝนมันตกผมกลัวไม่สบายนี่นา แล้วอีกอย่างทำไมผมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยอ่ะ” ผมพยายามจะอธิบายแต่ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบลูกเบสบอลในตระกร้าหวายก็ถูกเขวี้ยงมาโดนกบาลผมเต็มๆ “อ๊อ...ผมไม่สำคัญสินะเลยไม่จำเป็นต้องเสียสละผ้าเช็ดหน้าโง่ๆให้” “ย๊าห์!!....ผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น ผมจะบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเพราะในกระเป๋าของผมมีผ้าสำหรับเช็ดเบาะอยู่ผมกะว่าคลุมหัวเสร็จแล้วค่อยหยิบผ้าในกระเป๋ามาเช็ดเบาะให้คุณหมอแต่คุณหมอก็ถีบจนผมล้มแล้วเดินหนีออกมา” “อ่ะ...อ่อ...ยังงั้นเหรอ...แต่...แต่นายกล้าดียังไงปั่นจักรยานทิ้งฉัน” “อ่าว...ก็คุณหมอไล่ผมเอง แม่เคยบอกว่าถ้ากำลังหงุดหงิดให้ถอยออกมาก่อน ผมเลยรีบกลับมาทำอาหารให้คุณหมอทานไงครับจะได้อารมณ์ดีๆ” ผมอธิบายพลางทำใจกล้าเดินเข้าไปหาคุณหมอเรื่อยๆก่อนจะคว้ามือเรียวมากุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “ถ้าผมทำอะไรให้คุณหมอไม่พอใจผมขอโทษนะครับ คุณหมอไปอาบน้ำแล้วออกมาทานข้าวนะครับผมหั่นแตงโมแช่เย็นไว้รอแล้ว นะครับ” “ครั้งนี้จะยกโทษให้ก็ได้ แต่ฉันจะบอกอะไรไว้อย่างนะ บางเวลาคำว่าไปไกลๆเลยไป จะไปตายที่ไหนก็ไป ตัวคนพูดเองอาจจะกำลังอยากให้นายอยู่ใกล้ๆเขาก็ได้นะ มันไม่ใช่คำไล่เสมอไปบางครั้งคำว่าไปไกลๆอาจจะหมายถึงมาอยู่ใกล้ๆฉันนะต่างหากล่ะ” ..................................... อยากให้เขาอยู่ข้างๆก็บอกกันตรงๆก็ได้นี่คะหมออออออออ น่อวววววววววววววววววว
:laugh:
หมอเป็นคนตลก :L2: :pig4: :L1:
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
:impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
Ugly Boys...ลูกเป็ดขี้เหร่...7 ผมนั่งมองคุณหมอที่ค่อยๆโรยอาหารให้พวกปลาทองสีสวยช้าๆ เวลาหมอไม่พ่นคำด่า เวลาแกทำอะไรของแกไปเงียบๆผมก็ว่าแกก็น่ารักดี 1 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมได้เจอคุณหมอในอารมณ์หลากหลาย ทั้งอารมณ์เกรี้ยวกราดยามที่ผู้ชายคนนั้นโทรมาก่อกวน ทั้งอารมณ์นางฟ้ายามที่คนไข้โทรเข้ามาหาหรือบังเอิญเจอกันข้างนอกคุณหมอจะพูดคุยด้วยเป็นอย่างดีและคุณหมอไม่เคยเอาคนไข้คนนั้นมาพุดลับหลังหรือบ่นเลยซักครั้งที่บางทีเจอกันตอนคุณหมอกำลังกินข้าว หลายครั้งคุณหมอจะยืนพิงบานประตูกระจกสูบบุหรี่แล้วเหม่อมองไปภายนอกมองดูสายฝนที่โปรยปรายข้างนอก หมอคงกำลังคิดถึงผู้ชายคนนั้นสินะครับเพราะทุกครั้งที่หมอด่าเค้าหมอจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนขังตัวเองอยู่ในนั้นครั้งละนานๆแล้วออกมาพร้อมดวงตาที่แดงช้ำ หลายครั้งหมอก็เหมือนเด็กๆโดยเฉพาะเวลาที่ได้กินของถูกใจหมอบอกว่าไก่ทอดของผมน่ะอร่อยมากหมอจะกินได้ครั้งละเยอะๆแบบไม่กลัวอ้วน ผมเคยถามหมอว่าทำไมผมเห็นหมอกินสารพัดทำไมหมอไม่อ้วนเลย “กินเท่าไหนก็ออกกำลังกายเท่านั้น” “ผมก็ออกกำลังกายทำไมผมยังอ้วนอยู่เลย” “มันต้องรู้ว่าเราออกกำลังกายเพื่ออะไร หมอออกเพื่อสุขภาพ ออกเพื่อให้ตัวเองไม่อ้วนออกกำลังกายแบบมีขั้นตอน แต่คุณไม่ใช่ไงคุณออกกำลังกายก็จริงแต่มันไม่ได้ทุกส่วน สังเกตุดูขาคุณอย่างล่ำ” แล้วหมอก็อธิบายยาวเหยียดถึงหลักการคำนวนแคลลอรี่เอย ส่วนสูงกับน้ำหนักที่เหมาะสมกันเอย หลักการกินการออกกำลังเอย “เราสามารถออกกำลังกายได้ตลอดเวลาแหล่ะอย่างคุณทำงานบ้านให้หมอแบบนี้เดี๋ยวพอวันผ่าตัดคุณลองไปชั่งน้ำหนักดูมันต้องลดลงบ้างล่ะ เวลาดูทีวีหมอก็ไม่ได้นั่งกินขนมไปดูทีวีไปคุณก็เห็นนี่” ใช่ครับคุณหมอไม่เคยนั่งดูนอนดูทีวีเฉยๆเลยครับแต่จะมีลู่วิ่งมาวิ่งข้างหน้า จักรยานสำหรับออกกำลังกายเอย บางทีก็ยกดัมเบลอันเล็กๆสลับกันไปมาเอย น่าเอาเยี่ยงอย่าง “หมอครับ...” ผมตัดสินใจเรียกหมอที่นั่งทำปากจุ๊บๆเลียนแบบปลาทอง คุณหมอช้อนตาขึ้นมองผมผ่านตู้กระจกของปลาฟองอ็อกซิเจนทำให้ใบหน้าคุณหมอดูน่ารักเหมือนนางเงือกตัวน้อยๆท่ามกลางหมู่ปลาตัวอ้วนๆ “หืม?” แล้วดูดวงตากลมโตใสแป๋วนั่นอีก คุณหมอจิณณ์...น่ารักจนผมรู้สึกร้อนๆที่หน้านะครับ “หมอเคยมีความฝันมั๊ยครับ” “มีสิ...คนเราทุกคนมีความฝันด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ” คุณหมอเอากระป๋องอาหารปลาไปเก็บที่ก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาเดียวกับผม “คุณหมอเคยฝันอยากเป็นอะไรครับตอนเด็กๆน่ะ “ตอนเด็กหรือตอนนี้ความฝันของหมอก็ยังเป็นความฝันเดิม หมออยากเกิดเป็นหยดหมึกล่ะ” คุณหมอหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับความฝันของคุณหมอ “หยดหมึก?” “ใช่หมออยากเกิดเป็นหยดหมึก หยดหมึกวิเศษที่ไม่ว่าจะหยดไปทางไหนก็จะทำให้ที่ตรงนั้นมีแต่สิ่งสวยงาม หยดโดยใครก็ทำให้คนๆนั้นดูดีสวยหล่อโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม คุณรู้มั๊ยวันๆหนึ่งมีคนไข้เข้ามาขอรับการรักษาเยอะแค่ไหน ทุกคนมีปัญหาหลากหลาย บางกรณีก็น่าเห็นใจเขามาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย มาเพื่อหวังว่าการรักษาจะทำให้ชีวิตต่อไปของเขาดีขึ้นการกินอาหารไม่ลำบาก บางคนมาเพราะต้องการใช้หน้าตาในการประกอบอาชีพที่ชอบ บางคนก็แค่อยากทำ ทำเพื่อเอาชนะธรรมชาติ ยอมเจ็บตัวเพียงเพราะอยากดูดีในสังคมแค่นั้นเอง ถ้ามีหยดหมึกวิเศษจะได้ทำให้คนเหล่านี้สวยหล่อกันได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว แต่เมื่อทำไม่ได้ก็เลยเรียนหมอเพื่อสานฝันให้คนเหล่านี้ แต่น่าเสียดาย มีสิ่งหนึ่งที่หมอเสียใจก็คือคนไข้บางคนหมอไม่ได้เปลี่ยนแค่หน้าตาให้เขาแต่หมอกลับเปลี่ยนจิตใจให้เขาไปด้วย แล้วคุณล่ะมีความฝันอะไร” “ผมเหรอ...ผมแค่อยากให้มีคนรักผมเยอะๆ แค่นั้นแหล่ะครับ โดยเฉพาะคนในครอบครัวของผม ผมแค่อยากกินข้าวร่วมโต๊ะด้วยแบบสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวไม่ต้องไปนั่งกินในครัวคนเดียว ผมไม่อยากกินข้าวคนเดียว” “คุณคงเหงามากสินะเมฆ” คุณหมอตบลงบนหลังมือของผม ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่หันไปมองรอยยิ้มของคุณหมอ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ไม่รู้สึกเหงา อย่างน้อยผมก็มีคุณหมออยู่ด้วยตอนนี้ ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมอุ่นใจขนาดนี้ อีกไม่กี่วันผมก็จะเข้ารับการผ่าตัดแล้ว ต่อไปชีวิตของผมก็จะดีขึ้น...ใช่มั๊ยครับ “หมอครับ...หมอเชื่อในรักแรกพบมั๊ยครับ” ไม่รู้อะไรทำให้ผมถามออกไปแบบนั้น คุณหมอหัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะตอบคำถามของผม “หมอไม่เชื่อในเรื่องของรักแรกพบหรอก เป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเจอใครแล้วเฮ๊ยรักคนนี้จังเลยต้องเอามาเป็นแฟนให้ได้ หมอเชื่อในเรื่องของความผูกพันมากกว่าคนเราต้องเรียนรู้นิสัยกัน จากนั้นจึงจะรู้สึกพิเศษกับคนๆนั้น หมอเชื่อว่าคนที่รู้สึกว่าตัวเองเจอรักแรกพบนั้นน่ะจริงๆแล้วแค่รู้สึกชอบในหน้าตามากกว่า” ผมได้แต่ยืนแอบอยู่มุมกำแพงบ้านตรงข้ามกับบ้านของผม..พรุ่งนี้ผมก็จะผ่าตัดแล้ว ผมอยากจะเข้าห้องผ่าตัดโดยมีแม่ยืนอวยพรให้ผมอยู่หน้าห้องผ่าตัด แต่แม่คงไม่รู้หรอกว่าลูกเป็ดขี้เหร่ของแม่คนนี้จะทำอะไร แม่คงไม่แม้แต่จะสนใจเลยด้วยซ้ำว่าผมหายไปไหน สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้หมอกมันจะช่วยแม่ทำอาหารมั๊ยครับ มันช่วยแม่เอาขยะมาทิ้งข้างนอกหรือเปล่า แล้วห้องน้ำล่ะมันช่วยแม่ขัดมั๊ย มันจะรู้มั๊ยว่าแม่ปวดหลังอยู่บ่อยๆเวลานั่งลงขัดพื้นห้องน้ำน่ะ จานชามที่กินแล้ววางรอล้างเต็มซิ้งค์มันจะช่วยแม่มั๊ย ครืด...ผมรีบหลบหลังกำแพงทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน หัวใจผมเต้นแรงเมื่อเห้นว่าคนที่ออกมาจากบ้านคือแม่ของผมเอง ทำไมผมรู้สึกว่าแม่ของผมตัวเล็กลงล่ะครับแล้วนั่นแม่กำลังแบกถุงดำออกมา ถุงขยะ...ผมว่าผมได้รับคำตอบแล้วล่ะ งานบ้านทั้งหมดแม่ต้องทำเองใช่มั๊ยครับ ผมอยากเข้าไปหาแม่ อยากไปกอดแล้วพูดกับแม่ว่า แม่ครับผมขอโทษ แต่ผมผิดอะไร? ทำไมผมต้องขอโทษ? ผมยืนมองแม่ที่เปิดถังเพื่อเอาถุงขยะถุงใหญ่ทิ้งลงไป แม่จับแถวๆบั้นเอวเป็นท่าประจำยามแม่ปวดหลังก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ผมยืนมองบ้านอยู่อีกพักก่อนจะหันหลังเดินจากมา ผมบอกแล้วว่าผมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกถ้าผมยังไม่ได้ดี ผมจะลบคำสบประมาทที่ว่าผมไม่คู่ควรจะเป็นสมาชิกบ้านหลังนี้ให้เค้ารู้ว่าลูกชายคนโตของบ้านหลังนี้ อยู่สูงเกินกว่าพวกเค้าจะเอื้อมถึงจนตัวผมต้องเป็นฝ่ายลดตัวกลับมาหาเขาเองต่างหาก “พร้อมมั๊ย?” ผมมองคุณหมอจิณณ์ที่ก้มลงกระซิบถามผมเบาๆ ผมยิ้มรับคำถามของคุณหมอ ผมชอบจังเวลาที่คุณหมอส่งรอยยิ้มของนางฟ้ามาให้มันทำให้ความหวาดกลัวลึกๆในใจของผมเบาบางลงไป ข้างนอกนั้นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมกำลังนั่งรอผมอยู่ ข้างในนี้ทีมแพทย์และพยาบาล((ดูเหมือนเยอะ)) จริงๆมีอยู่ 4 คน กำลังเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงผมไปตลอดกาลอยู่ หมอจิณณ์เลื่อนมือมาบีบมือผมเพียงครู่ในตอนที่พยาบาลเผลอก่อนจะปล่อยออกเมื่อทุกอย่างพร้อม ไฟบนเพดานสว่างจ้าก่อนที่ผมจะถูกหน้ากากครอบปากและจมูก เสียงหมอและวิสัญญีแพทย์ขานปริมาณของยาสลบก่อนที่คุณหมอจิณณ์ที่ใช้แมสปิดปากและจมูกจะเดินมาใกล้ๆผม “สูดหายใจลึกๆนะ 1..2..3” ผมทำตามคุณหมออย่างว่าง่าย แล้วโลกทั้งโลกของผมก็ดับลงทันทีที่คุณหมอนับสาม ผมคงโลกสวยเกินไปจริงๆอย่างที่หมอจิณณ์บอกนั่นแหล่ะ ผมลืมนึกไปว่าโลกเรามีความเจ็บปวดรอคอยอยู่ข้างหน้าเสมอ และตอนนี้ผมกำลังเผชิญกับมันอยู่ “ไงแก เจ็บมากป่ะ” เสียงลูกปัดมันเอ่ยถามหลังจากผมลืมตาตื่นขึ้นผมพยักหน้าให้กับเจ้าเพื่อนตัวเล็กที่สถาปนาตัวเองเป็นญาติคนเดียวของผมเสร็จสรรพ ตอนนี้จมูกของผมได้แต่กลิ่นคาวเลือด คางของผมก็ปวดตุ่บๆ ไหนจะหน้าท้องที่เสียบแปลบๆแปลกๆ ตาผมก็เจ็บด้วย โอย....กว่าจะหล่อสงสัยผมจะร่างกายแตกแหลกสลายเป็นผุยผงก่อนซะมากกว่า “ไงคนเก่งฟื้นแล้วเหรอ” เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างโปร่งที่คุ้นตาตลอดเกือบสองสัปดาห์เดินยิ้มแต้เข้ามาคุณหมอจิณณ์ตอนนี้ใส่ชุดไปรเวทเรียบร้อยไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์แล้วคงออกเวรแล้วสินะ ลูกปัดมันขยับตัวถอยให้คุณหมอเข้ามานั่งข้างเตียง “เฮ๊ยแก...หิวหว่ะ เดี๋ยวลงไปหาอะไรกินก่อนนะ” ลูกปัดมันชี้โบ๊ชี้เบ๊ออกไปนอกประตูผมพยักหน้าให้มันเบาๆ ไอ้นี่ก็ขยันถามจัง มันเจ็บนะเฮ๊ย ลูกปัดหันมาถามคุณหมอจิณณ์ประมาณว่าจะกินอะไรมั๊ยซึ่งคุณหมอของผมก็ไม่ได้ปฎิเสธน้ำใจเล๊ย “อะไรก็ได้” คุณหมอตอบตามประสาคนกินง่ายอยู่ง่ายไอ้ปัดพยักหน้ารับก่อนจะปิดประตูเดินหายไป คุณหมอหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง “หมอทำตา ทำจมูก ทำคางกับดูดไขมันให้น่ะ ไม่เจ็บเนอะ เมฆของหมอเป็นคนเข้มแข็งใช่มั๊ย” อยู่ๆความรู้สึกเจ็บของผมก็เหมือนจะหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่า เมฆของหมอ คำๆนี้ทำไมพอฟังแล้วหัวใจมันรู้สึกพองจนจะทะลุออกจากอกจังเลยครับ หมอจัดการดูนู่นดูนี่สอบถามอาการของผม “คืนนี้หมอคงนอนไม่หลับ...” อยู่ๆหมอก็พูดขึ้นหลังจากเราเงียบกันมาได้ซักพัก “อยู่ๆก็รู้สึกกลัวที่จะต้องนอนคนเดียว” ผมกระดกหัวขึ้นมองคุณหมอที่เสไปมองอีกทาง “ความรู้สึกผูกพันนี่...ไม่ดีเลยเนอะ” ผมเจ็บแผลจนไม่อยากพูด อะไร...หรือผมกำลังมึนจนพุดอะไรไม่ออกก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีผมก็เลื่อนมือไปจับมือของคุณหมอบีบไว้ หมอจิณณ์หันมามองผมผมฝืนยิ้มให้หมอทั้งๆที่ใบหน้าตึงจนแทบจะปริ “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” หน้าคุณตอนนี้โคตรจี้เลยหว่ะ” อยู่ๆหมอจิณณ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะใช้มือที่เหลือควักโทรศัพท์ที่หน้าจอโสโครกมากออกมากดกล้องถ่ายรูปแล้วเอียงคอเอาหน้ามาใกล้ๆผม “ชูสองนิ้วด้วย พร้อมนะ 1...2..3” แช๊ะ!!! เอาเข้าไป... ผมกลายเป็นของเล่นแก้เบื่อให้คุณหมอไปซะแล้ว แช๊ะ... สนุกเค้าเลยล่ะสิ แช๊ะ... ก็ดีเหมือนกันนะ แช๊ะ... ทำท่าซารางเฮแม่งเลย แกร่ก... “เอ่อ...คุณหมอคะ ปัดซื้อข้าวมาฝากค่ะ” ลูกปัดที่มันเปิดประตูเข้ามาเจอท่าแอคล่าสุดของเราสองคนทำหน้างงๆก่อนจะชูถุงใส่ข้าวกล่องใหญ่มาให้คุณหมอดู หมอจิณณ์เก็บโทรศัพท์พร้อมกับดึงมือที่ผมจับอยู่ออกแล้วไปจัดการกับข้าวกล่องใหญ่ ผมได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ข้าวอย่างหอมเหอะแต่ผมยังกินไม่ได้ ช้ำป่ะให้ทาย “หิวเหรอแก” ลูกปัดมนเดินมาถามผม มันรู้ครับว่าปกติผมกินจุผมพยักหน้ารับ “อดทนนะเว๊ยพรุ่งนี้ก็กินข้าวได้แล้ว” “อือ” สามทุ่มกว่าในที่สุดคุณหมอก็คว้ากระเป๋าเป้หลังจากนั่งคุยกับลูกปัดอย่างออกรส น่าแปลกสองคนนี้ต่างเพศต่างอายุกันกลับนั่งคุยกันจ้อราวกับรู้จักกันมาซักสิบชาติ และเพราะหมอกับลูกปัดคุยกันถึงทำให้ผมรู้ว่าไอ้ลูกปัดมันเป็นเศรษฐีเมืองเหนือ ไอ้ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ถึงว่ามันกล้าเอาเงินสองล้านมาทุ่มให้กับเพื่อนอย่างผมโดยการทำหน้าชิลด์ๆ ส่วนร้านอาหารที่มันทำพาร์ทไทม์อยู่ก็เป็นของน้าสาวมัน มันไปทำเล่นๆแก้เซ็ง ถึงว่ามันสามารถหยุดได้ตามความพอใจ ไอ้นี่ก็อินดี้เกิ๊น “หมอกลับก่อนนะพรุ่งนี้เจอกันใหม่” ในที่สุดหมอก็เอ่ยคำลาผมกับลูกปัด ผมมองแผ่นหลังของหมอที่ลับหายไปยามบานประตูห้องพักฟื้น ไม่รู้ทำไมอยู่ๆหัวใจมันก็หวิวๆ ความรู้สึกใจหายมันเกิดขึ้นได้ยังไงผมก็ไม่เข้าใจตัวเองผมได้แต่มองคุณหมอเดินหายไปก่อนจะถอนหายใจออกมา สงสัยผมจะชินกับการเห็นคุณหมอก่อนนอนทุกวันซะแล้ว หมอครับ...คืนนี้ผมก็คง...จะนอนไม่หลับเหมือนกันแหล่ะครับ... “นี่...” นิ้วเล็กๆของไอ้ลูกปัดจิ้มลงบนต้นแขนของผมจึ๊กๆเรียกสายตาและสติของผมให้หันกลับมามองมัน “ชอบเขาล่ะสิ” “อื้อ...บ้า” ผมส่ายหน้ายิกๆปฎิเสธพลางแกล้งนอนหันหลังให้มันไอ้ลูกปัดมันหัวเราะแล้วเดินอ้อมมาหาผมอีกฝั่ง “บ้าอะไรล่ะสายตาแกตอนมองตามหมอไปนะละห้อยเหมือนลูกหมาถูกทิ้งเลย หมอเค้าน่ารักถ้าแกจะหลงรักเค้าก็ไม่แปลกหรอก ยังไงเสียระหว่างที่อาศัยห้องของหมอแกก็จับเขาทำเมียไปเลยสิ ดูท่าทางหมอเองก็คงชอบแกอยู่เหมือนกันนะ” นั่น...ดูแม่หญิงแห่งแดนล้านนาแนะนำหนุ่มเลือดมังกรอย่างผมเถอะ ผมส่งมะเหงกประเคยเหม่งมันไปซะทีนึงก่อนจะตวัดผ้าห่มคลุมจนมิดหัวเป็นการตัดบท ไอ้ปัดมันคงจะไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ผมแอบยิ้มอยู่คนเดียว แกจะไปรู้อะไรฉันจับหมอกดตั้งแต่คืนแรกที่ไปค้างด้วยกันแล๊ว อูย.......ซี๊ดดดดดด เจ็บแผล หมอครับ....ทำไมเราเพิ่งแยกกันแต่ผมก็คิดถึงหมอซะแล้วล่ะครับ ความรู้สึกนี่มันร้ายกาจจริงๆเลยนะครับ ทำยังไงดีความคิดถึงกำลังจะฆ่าผมให้ตายทั้งเป็นแล้วนะ ที่หมอบอกว่าคนเราจะรักกันได้ต้องรู้สึกผูกพันกันน่ะ ตอนนี้ผมรู้สึกผูกพันกับหมอแล้ว ต่อไปผมก็รักหมอได้ใช่มั๊ยครับ? ผมนั่งฟังคุณหมออธิบายวิธีดูแลตัวเองหลังจากได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ครับตอนนี้คุณหมออยู่ในหน้าที่ก็เลยต้องปฎิบัติภารกิจของตัวเองอย่างเคร่งครัด จริงๆผมอยากบอกคุณหมอว่าอธิบายคร่าวๆก็ได้เพราะถึงยังไงคุณหมอก็ต้องกลับไปเจอผมที่ห้องอยู่ดี ครับ...ผมยังคงอาศัยอยู่กับคุณหมอตามคำขอร้องของตัวหมอจิณณ์เองนั่นแหล่ะครับ “ยังไงระหว่างที่รักษาตัวอยู่กับหมอไปก่อนก็ได้” เย็นวันหนึ่งหลังจากแกออกจากเวรแกก็มานั่งเล่นที่ห้องพักผมเหมือนเช่นทุกวันแล้วแกก็พูดขึ้นขณะหย่อนองุ่น “ของเยี่ยม” ของผมที่ไอ้ปัดมันซื้อมาให้เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ “แต่จะดีเหรอครับผมเกรงใจคุณหมอ” “เฮ๊ยดีดิ่ ไม่ต้องเกรงใจแลกกับการทำงานบ้านแล้วก็อาหารให้หมอไงคุณไม่อยู่ผมกินมาม่าดิบอีกแล้ว ห้องเละอีกแล้ว” ครับ...ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนกันอยู่ในนั้นเสมอ คุณหมอเขียนใบสั่งยาด้วยลายมือเหมือนศิลาจารึกภาษาขอมผสมสก๊อยแล้วยื่นให้พยาบาลไอ้ปัดมันเดินตามคุณพยาบาลคนสวยที่ผมคิดว่าคงผ่านการโมดิฟายมาแล้วไปต้อยๆ “หมอครับ...” “หืม?” “ไม่ได้แกล้งผ่าจมูกของผมให้เป็นรูปตูดใช่มั๊ยครับ” ผมแกล้งกวนตีนหมอเล่นหลังจากเราอยู่ด้วยกันสองต่อสอง “กวนตีนแล้วครับ นี่หมออยู่ในหน้าที่อยู่นะอย่าให้องค์ลงเดี๋ยวคุณพยาบาลหน้าอกภูเขาไฟระเบิดจะตกใจ” “คนตะกี๊ผ่าอะไรมั่งครับ” ต่อมเผือกทำงาน “ทั้งตัว...หน้าอกนั่นหมอใส่ให้ใหญ่พิเศษเลยนะเวลาก้มมาถามอะไรทีนี่ใจสั่นเลย ยิ่งวันไหนนมสีแขนนี่นะฮู่วววววว” ครับ...นี่ล่ะครับ...เมียคนแรกของผม ปริ่มจนน้ำตาจะไหล “เมฆ...ป่ะ ได้ยาแล้ว” ไอ้ลูกปัดมาเดินมาเรียกผมที่นั่งรออยู่นอกห้องคุณหมผมโดนเนรเทศออกมาครับเพราะคุณหมอยังมีคนไข้ที่ต้องดูและอีกเยอะ ผมตกลงกับลูกปัดว่าเดี๋ยวเราจะกลับไปที่ห้องของคุณหมอเลย ลูกปัดมันพาผมมาส่งที่ห้องของคุณหมอที่มันตะลึงกับสกิลการทำลายล้างขั้นเทพของหมอคนสวย “นี่ห้องคนหรือกองขยะวะแก” ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางเกลื่อนบนโต๊ะกระจกหน้าทีวี ผ้าขนหนู เสื้อผ้า ชุดเตะบอลถูกโยนเกลื่อนเต็มห้อง “หมอจริงเหรอวะแกทำไมซกมกจนโลกตะลึง” “เออ จริง นี่ตอนกลางคืนเวลานอนน้ำลายยืดด้วยนะ” ผมตอบลูกปัดขำๆไอ้ตัวเล็กมันทำหน้าอึ้งจัดก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขันเต็มที่ “โห....เชื่อเลยหว่ะแกในโรงพยาบาลนั่นภาพมายาที่เห็นกับตานี่สิของจริง” ผมอยากจะขำกับไอ้ปัดมันนะครับถ้าไม่ติดว่าหน้าผมยังมีแผลตึงๆอยู่ ลูกปัดมันเดินสำรวจห้องอยู่พักนึงก่อนจะทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว “เดี๋ยวไปจ่ายตลาดให้เย็นนี้ฉลองกันดีกว่าหมอกลับมาจะได้มีอะไรกินด้วย” หลังจากที่ลูกปัดออกไปตลาดแล้วผมก็มองห้องที่เหมือนกองขยะย่อมๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกขำแทนที่จะอ่อนใจ ผมเริ่มเก็บของทีละชิ้นๆ เริ่มจัดการให้ห้องกลับมอยู่ในสภาพก่อนที่ผมจะไปผ่าตัด ถึงมันจะไม่ได้สะอาดเอี่ยมแต่ก็ยังดีกว่าสภาพเมื่อครู่ นับชั่วโมงไอ้ลูกปัดก็หอบของพะรุงพะรังเข้ามา เห็นตัวมันเล็กยังงี้แต่แรงมันดีครับมันเอาถุงของสดและพวกเครื่องปรุงต่างๆวางในครัว ผมไปช่วยมันจัดของพวกของสดที่ยังไม่ทำวันนี้เอาแช่ตู้เย็น ทันทีที่เปิดตู้เย็นผมก็พบกับอาหารสำเร็จรูปที่มีไว้ให้กับคนทำศัลยกรรมกินพวกอาหารอ่อนๆ โจ๊กนับสิบกล่อง หมอคงซื้อมาไว้ให้ผม... ไม่รู้ทำไมเพียงความใส่ใจเล็กๆน้อยๆกลับทำให้ผมรู้สึกดีจนเผลอยิ้มออกมา เราใช้เวลาในการเตรียมอาหารจนคุณหมอเลิกงานกลับมา คนหน้าหวานร้องว๊าวทันทีที่เปิดห้องมาแล้วได้กลิ่นอาหารคุณหมอปรี่มาหยิบเนื้อชิ้นบางที่ลูกปัดมันหั่นไว้รอ “หมอปัดทำเสือร้องไห้จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วหมอโอเคมั๊ย” ครับเมนูไทยประยุกต์ให้เข้ากับวัตถุดิบที่มี ไอ้ปัดมันนำเสนอเมนูเด็ดซึ่งหมอไม่ได้ตอบรับอะไรเพราะตอนนี้เคี้ยวเนื้อย่างตุ้ยๆอย่างถูกอกถูกใจกว่าปาร์ตี้ของเราจะจบลงก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มลูกปัดมันจัดการวางจานใบสุดท้ายที่ล้างเสร็จคว่ำเก็บ “หมอคะ เมฆ เดี๋ยวปัดกลับก่อนนะคะ” “เฮ๊ยเดี๋ยวหมอไปส่ง” คุณหมอคว้ากุญแจรถที่นานๆจะขับซักทีขึ้นมาถือ “ไม่เป็นไรคะเสียเวลาขับไปขับกลับเดี๋ยวปัดนั่งแท็กซี่กลับเอาดีกว่า” อย่างไอ้ปัดน่ะนะจะนั่งแท็กซี่เดี๋ยวพอลงไปมันก็ไต่รถเมล์ตามเดิมทำไมผมจะรู้ไม่ทันมัน มันพยายามเปิดโอกาสให้ผมอยู่กับหมอ “ให้หมอไปส่งดีกว่าเป็นผู้หญิง” หมอยังแสดงความมีน้ำใจด้วยใจจริง “หมอไม่ต้องห่วงปัดหรอก ปัดเป็นมวยใครจะกล้าทำอะไรปัดตบคว่ำแหล่ะ” “แต่...” “หมอครับ...ไอ้ปัดมันมีนุสราเป็นไอดอลครับปล่อยมันไปเถอะ” ผมขัดหมอเมื่อหมอยังยืนยันจะไปส่งๆด้วยการแย่งกุญแจรถมาถือไว้เองไอ้ปัดมันพยักหน้าขำๆแล้วคว้าเป้ชิ่งไปเลย เมื่ออยู่กันสองคนหมอก็หันมามองหน้าผม หมับ... ฝ่ามือเรียวลูบลงบนผ้าก็อซที่คางของผมอย่างเบามือ “เจ็บมั๊ย?....หมอทำให้คุณเจ็บหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนที่นานๆจะได้ยินเอ่ยถามผมออกมาผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับว่าจริงๆแล้วผมเจ็บแต่ทันทีที่ผมตั้งสติได้ริมฝีปากสีสดแสนนุ่มอุ่นก็ทาบทับกับจมูก ตา และคางของผมอย่างแผ่วเบา พลางเป่าลมอุ่นๆออกมาแล้วพูดว่า “เพี๊ยง....ไม่เจ็บแล้วเนอะ” คุณหมอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังปลอบใจเด็กน้อย ครับความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยบแล่นวาบเข้าสู่กลางใจของผม ผมอยากบอกหมอเหลือเกินว่า หมอครับ....กลิ่นเนื้อย่างจากปากหมอหอมดีนะครับ... ,.............. ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ #ลูกเป็ดขี้เหร่
หวังว่าแม่จะมีความนึกถึงและคิดถึงลูกคนนึงได้บ้างนะ
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คนเราจะนึกถึงกันก็ต่อเมื่อลำบาก แม่จะนึกถึงเมฆก็ตอนนี้แหละ..แต่ก็ไม่แน่ :ling3:
หมดกันความฟินนนนนนนนนนนน55555555555555555555 :o8: :sad4:
ขำกังมากกับคำว่ากลิ่นเนื้อย่าง 555555555555
หมอออออ :laugh: :mew5:
เนื้อย่างบอกรัก555
ลูกเป็ดขี้เหร่[:6:] ผมยังคงใช้ชีวิตตามปกติ มีบ้างทีผมคิดถึงแม่ผมก็จะแอบย่องไปดูซักครั้ง หลายครั้งที่ผมเกือบจะเผชิญหน้าจากหมอกแต่โชคดีที่ผมหลบทันทุกครั้ง พักหลังๆผมเห็นมันแต่งตัวแนวร็อคเกอร์ หมอกมันก็มีดีอย่างหนึ่งนะครับถึงมันจะนิสัยไม่ดี คบใครไม่เคยจริงจังแต่สิ่งหนึ่งที่มันมุ่งมั่นมากคือการเล่นดนตรี มันเก่งถึงขนาดได้เข้าร่วมวงที่ดังที่สุดในโรงเรียนเคยไปประกวดจนได้รางวัลมาแล้ว ผมจัดการแยกเสื้อ กางเกง และชั้นในของหมอจิณณ์แยกซัก ตอนนี้คุณหมอไม่อยู่ไปทำงาน เดี๋ยวช่วงเย็นผมก็ต้องเตรียมตัวไปวิ่งพร้อมคุณหมอ เป็นส่วนหนึ่งของการลดน้ำหนัก ทุกวันนี้ผมมีชีวิตวนเวียนอยู่ที่คอนโด โรงพยาบาล ฟิตเนส ซาวน่า ตอนนี้ผมดัดฟันแล้ว ยอมรับว่าอีเหล็กดัดฟันสีชมพูนี่เกะกะผมมาก แน่นอนว่าสีชมพู ผมไม่ได้เลือกเองคนที่เลือกคือหมอจิณณ์ครับ ผมไม่รู้ว่าวันนั้นผมทำหน้ายังไงรู้แต่ว่าเราสองคนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเรื่องเหล็กดัดฟัน “ของผม” “ผมจะเอาสีขาว” “ไม่เอาผมอยากได้สีเหลือง” “ผมให้เต็มที่ได้ที่สีดำ” “แต่สีเขียวตะไคร่น้ำนี่ก็สวยดี” “ไม่เอาอ่ะใส่แล้วเหมือนใบผักชีติดฟัน” “งั้นสีรุ้งเป็นไง” “หยุดคิดไปได้เลยผมไม่ใส่สีรุ้งเด็ดขาด” “งั้นสีแดงเอาม๊ะแรงดี จะถูกจะแพงเอาแดงไว้ก่อนอีกอย่างมองแล้วเหมือนเลือดแมนยูในกายหมอมันเดือดพล่าน” “ยิ้มทีควายคงไล่ขวิดผมนะครับ” “งั้นเอาสีฟ้ามั๊ยสวยดี” "ผมว่าสีเงินสวยกว่า" "ไม่เอามันจืดไปเอาสีส้มก็ได้" "ม่ะ..." เคร๊ง!!!!...เสียงโลหะกระทบกันผมกับหมอจิณณ์สะดุ้งเฮือกแล้วหันไปดูต้นเสียงพร้อมกันสองผัวเมียคู่หลุดโลกแทบจะกระโดดนั่งตักกันเมื่อหันไปเห็นทันตแพทย์สาวกำลังหน้ายักษ์ใส่ “เอ่อ...หมอว่าใส่สีชมพูก็น่ารักดีเนอะเมฆเนอะ” “ครับ ชมพูก็ชมพูครับ” นั่นแหล่ะครับเพราะความรักตัวกลัวตายตอนนี้ผมจึงมีเหล็กดัดฟันสีชอคกิ้งพิงค์ประดับอยู่ในปาก ช็อค...กลิ้ง...พริ้งงงงงงงงงงง เมฆอยากจะคราย ตอนนี้หน้าของผมไม่ต้องพันหนาเหมือนมัมมี่แล้วยังคงมีผ้าก็อซแปะอยู่ที่คางและดั้งจมูก น้ำหนักของผมลดลงไปหลายกิโลกรัมแล้วจากการออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักผมของผมเริ่มยาวจนมัดหางม้าได้ซึ่งมันก็กลายเป็นของเล่นของหมอจิณณ์ในยามแกเหงาหรือเวลาดูทีวีผมจะนั่งกับพื้นแล้วพิงโซฟาส่วนหมอจิณณ์จะนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบน ดูทีวีไป จกขนมกินไป ปลายนิ้วมือม้วนผมของผมไปเพลินแกเลยแหล่ะครับ บางครั้งดูบอลดึกแกก็หลับบนโซฟาส่วนผมก็หลับอยู่ข้างใต้ดูจะลำบากแต่ทำไมผมกลับรู้สึกมีความสุขก็ไม่รู้แม้บางทีจะถูกมดกัดเพราะบนเส้นผมมีเศษขนมติดอยู่ก็ตาม การได้ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับมีใครบางคนมานั่งมองหน้าเราหรือการที่เราตื่นก่อนแล้วได้มองหน้าเค้ามันก็ทำให้วันนั้นหัวใจพองฟูยิ้มได้ทั้งวันแม้จะเผลอเดินเหยียบขี้หมาก็ตาม คิดไปคิดมานี่ก็เข้าเดือนที่สี่แล้วที่ผมมาอยู่กับหมอจิณณ์เรื่องเงินที่ใช้จ่ายในแต่ละเดือนไม่ใช่ปัญหาเพราะลูกปัดมันเอาเงินที่เหลือจากการผ่าตัดโอนเข้าบัญชีให้ผมทุกเดือนไม่ได้มากแต่ก็ไม่น้อยจนต้องกระเบียดกระเสียน “อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยเพราะยังต้องลงทุนอีกเยอะ” ลูกปัดมันให้เหตุผลกับผมครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้ไอ้คำว่ายังต้องลงทุนอีกเยอะของมันน่ะคืออะไรผมเคยถามมันว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องเอาเงินมาลงทุนกับตัวผมมันเหมือนโยนกระสอบใส่เงินลงในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากไม่มีหวังที่จะงมคืนได้เลยแต่มันก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะตีไพ่ลงพื้น “ป๊อก 9!!!” “โห ไรวะ” เสียงหมอจิณณ์บ่นก่อนที่จะถูกลูกปัดรวบเงินหน้าตักตัวเองไป “นี่ไงก็เหมือนเล่นไพ่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าไพ่แต่ละครั้งจะได้อะไรแต่ก็อยากจะลองเพื่อความสะใจ ยิ่งลงทุนมากความเสี่ยงก็มากแต่ถ้าได้ตามที่หวังกำไรก็เยอะตามไปด้วยฉันแค่ต้องการความสะใจเวลาที่เห็นคนในครอบครัวแกเจอแกในสภาพใหม่เขาจะจำได้มั๊ยว่านี่คือลูกเป็ดขี้เหร่ของบ้าน ป๊อกแปด!!!” ครับ...นั่นแหล่ะครับไอ้ลูกปัดผู้กินไพ่เมียคนแรกของผมจนเงินเกลี้ยงกระเป๋า “วุ๊ย...นี่นั่งทับจู๋พญานาคหรือไงวะ” และเช่นกันหมอจิณณ์ก็จะยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิด “นี่ถ้าแพ้อีกตาจะมอบกิ๊ฟวอเชอร์เป็นบัตรเสริมนมฟรีให้แล้วนะ” “งั้นปัดเลิกล่ะไม่อยากโดนแกล้งผ่านมเล็กข้างใหญ่ข้าง ถ้าปัดนมตู้มนะใบเตยก็ใบเตยเหอะเจอลูกปัดเข้าไปจะแน่นอกไม่ออก” ผมได้แต่ขำกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไอ้ปัดกับหมอจิณณ์ดูจะเข้าขากันได้ดีราวกับคอหอยกับลูกกระเดือกหลายครั้งที่ลูกปัดหิ้วของกินมาทำกินที่ห้องในวันหยุดของหมอ วันไหนหมอไม่ว่างพาผมไปจัดการกับตัวเองลูกปัดก็จะมาพาไปเอง หลายครั้งที่เราสามคนนอนเรียงกันสามเตียงเพื่อขัดผิวทำนู่นทำนี่ “เหมือนพ่อแม่ลูกเลยเนอะ” บางครั้งหมอจิณณ์ก็จะพูดเปรยออกมา “ก็นี่ไงพ่อ” ชี้ที่ผม “นี่แม่” ชี้ที่ตัวหมอเอง “แล้วไอ้เปี๊ยกนี่คือลูกสาว เอ๊ะ หรือลูกชายหว่า” ไอ้ลูกปัดค้อนควั่กทุกครั้งที่โดนทักว่าเป็นลูกชายแต่หมอคงไม่รู้ว่าคำพูดของหมอทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ตลอดเลย หมออาจจะพูดแบบไม่คิดอะไรแต่ทุกคำที่หมอพูดผมคิดเสมอนะครับ ผมว่าหัวใจของคนเราน่ะแปลกที่สุดแล้ว ซับซ้อนที่สุดแล้ว ผมไม่รู้ว่าอาการที่รอคอยหมอกลับห้องทุกวันมันคืออะไร ผมไม่รู้ว่าอาการที่อยากกุมมือหมอเดินข้ามถนนคืออะไร ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากให้หมอกอดเอวผมแล้วซบหน้ากับแผ่นหลังของผมเวลาเราปั่นจักรยานออกไปข้างนอกกันคืออะไร ผมไม่รู้ว่าการที่ชอบจ้องมองหมอเวลาหมอเผลอคืออะไร หรือผมจะเป็นโรคจิตที่ชอบเห็นหมอยิ้ม หมอหงุดหงิด หมอนั่งคิดนู่นคิดนี่ หมอโกรธ ทุกสิ่ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้ผมมีความสุข ผมกำลังจะเป็นบ้าใช่มั๊ยครับที่เอาแต่คิดถึงหน้าหมออยู่บ่อยหรืออาการนี้คืออาการที่เค้าเรียกว่าตกหลุมรัก... ใช่มั๊ยครับ ใช่... ไม่ใช่.. ใช่... ไม่ใช่... โอ๊ยช่างมันเถอะคิดไปก็ปวดหัวเอาผ้าไปปั่นดีกว่าว่าแต่กางเกงในตัวนี้ของหมอ เป้าเหลืองหมดแล้วนะครับ มีขาดเป็นรูๆขุยๆด้วยอ่ะ หว๋า... ผมหยุดล้อจักรยานมองเข้าไปในสนามบาสที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งไม่ห่างจากคอนโดเท่าไรนัก ที่แฮนด์จักรยานมีถุงขนมและกับข้าวพะรุงพะรังตอนนี้บนหน้าของผมไม่มีผ้าก็อซแปะอยู่แล้วรอยแผลต่างๆจางจนแทบจะมองไม่เห็น หมอจิณณ์บอกว่า 6 เดือนทุกอย่างก็จะเข้าที่ราวกับของเหล่านั้นที่อยู่ในตัวผมเกิดมาจากธรรมชาติ คงมีกองถ่ายซีรี่ย์หรือไม่ก็หนังมาตั้งกองถ่ายที่นี้ บรรดาเด็กสาวๆส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเป็นระยะยามที่นักแสดงหนุ่มในชุดบาสสีขาวกำลังเดาะบอลเล่นกับพื้น น่าแปลกที่ดาราชายคนนั้นไม่เล่นกับแฟนคลับเลยเขาพยายามชู๊ตลูกลงแป้นแต่ทุกครั้งถ้ามันไม่ปัดจมูกก็จะกระเด้งโดนขอบบ้างหลุดออกนอกเส้นทางบ้างไม่ถึงบ้างซักพักผมเห็นเขาทุ่มลูกบาสลงพื้นอย่างแรงจนลูกบาสกระดอนมาทางผม หมับ.. เพราะเป็นอะไรที่คุ้นเคยกันดีผมจึงคว้าหมับด้วยมือเพียงข้างเดียว เสียงผู้ชายคนนั้นโวยวาย “ผมไม่เล่นฉากนี้ หาแสตนด์อินมาแสดงแทนผมได้เลย ก็รู้อยู่คนไม่ชอบเล่นบาสยังจะให้เล่นเองอยู่ได้ประสาทหรือเปล่า” "ดิวจ๊ะ ดิว โธ่...พี่ขอเถอะนะแสดงให้มันเสร็จไปเถอะ” “ไม่ ยังไงผมก็ไม่มีทางพยายามทำมันอีกแล้วไปหาตัวแสดงแทนมาเลยไม่งั้นวันนี้ก็เลิกกอง” เสียงดารารูปหล่อที่ยืนเท้าสะเอวจิบน้ำแร่แหกปากวีนปาวๆทำให้ทีมงานบางคนลอบเบะหน้าเบื่อใส่ “แล้วจนป่านนี้แล้วใครจะมาแสดงแทนให้ คนที่เคยใช้งานเค้าก็รับงานอื่นไปแล้ว” ชายร่างท้วมที่ใส่แว่นตาหนาบ่นอย่างหัวเสียเช่นดียวกับนักแสดงหนุ่ม “นั่นมันไม่ใช่ปัญหาของผมคุณเป็นผู้กำกับคุณก็ต้องหาทางออกเองสิ เอาใครซักคนก็ได้แถวนี้ที่เล่นบาสเป็นมาแสดงแทนผมแล้วค่อนโคลสอัพหน้าผมเอา” ผมฟังพวกเค้าเถียงกันแล้วส่ายหัวอย่างระอาใจ นี่สินะโลกมายาผมเห็นแม่ดูละครที่ดาราคนนี้แสดงอยู่บ่อยๆในจออย่างเทพบุตรนอกจอนี่มันหมอกสองดีๆนี่เอง “น้องๆ ขอลูกบาสคืนด้วย” เสียงสต๊าฟผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าบึ้งไม่ต่างกับผู้กำกับเรียกผม ผมหลุดจากความคิดมองลูกบาสในมือก่อนจะโยนคืนให้ด้วยมือข้างเดียว ผู้กำกับหันมามองทางผมก่อนจะก้มลงดูแผ่นกระดาษในมือ “ท่าทางเล่นบาสเป็นนะเราน่ะ” สต๊าฟคนเดิมพูดกับผมก่อนจะหมุนตัวกลับไปที่สนามดังเดิม ผมเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วก็เตรียมตัวจะปั่นจักรยานกลับคอนโดวันนี้คุณหมอบ่นอยากกินข้าวผัดกลับไปทำกับข้าวให้เมียกินดีกว่า “เฮ๊ย น้อง” เสียงผู้กำกับเรียกใครก็ไม่รู้ผมไม่ได้สนใจจัดแจงเอาสมอลทอล์คมาเสียบเพื่อจะฟังเพลง “เดี๋ยว ไอ้น้อง” เรียกใครหว่า? “น้องโว๊ย....มึงอ่ะ มึงไอ้ที่ปั่นจักรยานหยุดก๊อน!!!” ผมเบรคจักรจนหัวทิ่มก่อนจะหันไปมองผู้ชายร่างท้วมที่วิ่งตุ่บตั๊บตามผมมาพร้อมพี่สต๊าฟคนนั้น “มีอะไรครับ” ผมถามด้วยสีหน้างงๆ ผู้กำกับมองผมตั้งแต่เท้าจรดหัวแล้วตวัดตาจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง “น้องเล่นบาสเป็นใช่มั๊ย” ร่างท้วมใช้ส้นมือเท้าหน้าขาพลางหอบหายใจอย่างหนักเอ่ยถามผม ผมยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้นักแต่ก็พยักหน้าหงึกๆให้ “ช่วยพี่หน่อยไปชู๊ตบาสให้ทีเดี๋ยวให้ค่าเหนื่อย” พี่แกยิงเร็วใส่พลางดึงผมออกจากจักรยานจนสต๊าฟอีกคนต้องมารับไปแทนผม ผมโดนลากเข้าในซุ้มผ้าใบซุ้มหนึ่งที่มีนักแสดงหนุ่มนั่งมองมาพลางส่งยิ้มเหยียดให้ผม จากนั้นผมก็ถูกผ้าผืนหนึ่งคลุมตั้งแต่กระเดือกกระบอกฉัดน้ำถูกสเปรย์ใส่หัวผมจากนั้นก็ ฉับ!!! “เฮ๊ยพี่ทำไรอ่ะ” ผมผงะตัวหนีเมื่อพี่กระเทยร่างบางกว่าโอ่งมังกรนิดนึงดึงหนังยางรัดผมหัวคิตตี้ที่หมอจิณณ์ซื้อให้ผมออกแล้วใช่นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบผมของผมขึ้นก่อนจะตัดฉับแบบไม่ปรึกษาความสมัครใจของผม “ก็ตัดผมให้เป็นทรงเดียวกับคุณน้องดิวไงคะ” “ไหนบอกว่ามาชู๊ตบาสอย่างเดียวไง” “ก็ใช่ไงแต่เวลาถ่ายจากด้านหลังมันก็ต้องถ่ายทั้งตัวอ่ะถ้าเห็นผมทรงหางหมาของน้องมันก็ไม่ใช่ดิวสิค๊า” ผมยังไม่ทันจะเถียงอะไรก็โดนเจ๊โอ่งจับหันหน้าเข้ากระจกแล้วตัดผมของผมอีกครั้ง โธ่...อุตส่าห์ไว้ตั้งหลายเดือนไม่ยอมตัดเพราะหมอชอบเล่นก่อนนอนมาเสียทีให้กะเทยซะแล้ว ฮือ.... เมียจ๋าผัวขอโทษที่รักษาของเล่นของเมียไว้ไม่ได้ ผมนั่งนิ่งให้เจ๊แกตัดผมหลังจากนั่งขยุกขยิกจนเจ๊แกแกล้งเอาหวีสับหัวผมแรงๆไปทีนึง คนบ้าอะไรใจร้ายเหลือทน ในที่สุดพอถอดผ้าคลุมออกจากจากเซทผมให้เป็นทรงเดียวกับดิวดาราหนุ่มผมก็รู้สึกถึงความแปลกตาไปทันที ยังไม่ทันได้พิจารณาหนังหน้ามากนักเจ๊คนหนึ่งก็จับเก้าอี้ของผมหมุนเข้าหาตัวเธอจากนั้นก็ละเลงหน้าของผมด้วยเครื่องสำอางค์สารพัดชนิด “ว๊าว....หล่อพอจะเป็นพระเอกได้เลยนะเราน่ะ” เสียงพี่ช่างพูดหลังจากหมุนเก้าอี้ของผมให้หันหน้าเข้ากระจกเงาบานใหญ่ ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆมองเงาในกระจกด้วยความไม่แน่ใจ นั่นใครนะ? ผมเหรอ? นั่นผมจริงๆใช่มั๊ย? ผมขยี้ตาอีกครั้ง ผมจริงๆด้วยอ่ะ ทำไมหล่อขนาดนั้น? “ไงถึงกับตะลึงตึงตึงไปเลย หล่อล่ะสิ๊” หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วผมก็ถูกจับไปแต่งตัวด้วยชุดบาสแบบและสีเดียวกับของดิวผมมองตัวเองที่ยืนคู่กับดาราหนุ่มด้วยสีหน้าอึ้งๆ จากนั้นผมก็ถูกพาไปซักซ้อมว่าต้องทำท่าทางยังไง เล่นบาสด้วยท่าทางแบบไหนและต้องชู๊ตยังไง การถ่ายทำมีขลุกขลักบ้างเพราะผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องมุมกล้องบางครั้งแสงก็ไม่ได้เราถ่ายใหม่หลายรอบจนในที่สุดหลังจากถ่ายทำปรับเปลี่ยนมุมกล้องจัดท่าจัดทางกันจนเกือบสามชั่วโมงผมก็ชู๊ตบาสลูกสุดท้ายตามคำขอที่ว่าให้มันหมุนวนรอบแป้นแล้วค่อยหล่นลงมาได้ตามที่ผู้กำกับสั่ง ในที่สุด... เสียงที่กองถ่ายทุกคนรอคอยก็ดังขึ้น “คัท!!” ทีมงานกรูกันเข้ามาซับเหงื่อที่หน้าให้กับผม ผู้กำกับเดินเข้ามาตบไหล่ของผมปุๆแกยิ้มแต้ด้วยความพึงพอใจ “ขอบใจมากนะไอ้น้องที่ช่วยพี่วันนี้เดี๋ยวไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วรับเงินที่สวัสดิการคนนั้นนะแล้วนี่ นามบัตรของพี่ สนใจอยากเข้าวงการก็ติดต่อมาหรือไปหาตามที่อยู่นี้นะ ท่าทางเรามีแววนะฝึกการแสดงอีกนิดก็ใช้ได้ล่ะ” ผมโค้งขอบคุณผู้กำกับก่อนจะไปจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกลับมาเป็นชุดเดิมของผมจากนั้นเจ๊โอ่งก็มาลากผมไปรับซองเงินที่ในนั้นมีเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้หรอกผมเก็บมันใส่กระเป๋าก่อนจะโค้งลาทุกคน “แล้วเจอกันใหม่นะสุดหล่อ” เจ๊โอ่งกับนูน่าที่แต่งหน้าให้ผมโบกมือพลางส่งจูบให้ ผมส่งยิ้มให้เจ๊ทั้งสองก่อนจะปั่นจักรยานออกมา คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะครับ ผมกลับมาถึงคอนโดจัดการเอาของเข้าแช่ในตู้เย็นแล้วเตรียมตัวหุงข้าวเพื่อเตรียมไว้สำหรับทำข้าวผัดเย็นนี้ พลันผมก็นึกได้ว่าผมยัดซองเงินไว้ที่กระเป๋าหลัง ผมล้วงออกมามันหนาพอดู “คงไม่เยอะหรอกที่หนาๆนี่แบงค์ย่อยใช่มั๊ยล่ะ” ผมเอาซองเงินส่องกับหลอดไฟแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยจัดการแกะซองเงินออก แคว่ก!! คุณพระ แบงค์พันอเรียงกันอยู่ในนั้นผมค่อยๆนับเงินในซองรวมกันแล้วมีอยู่สามพันบาท ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ ผมนับใหม่อีกรอบเพื่อความแน่ใจ เท่าเดิม เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงของผม ผมคว้ากระเป๋าเป้เอาเงินยัดกลับเข้าไปก่อนจะออกจากคอนโดปั่นจักรยานไปที่ๆผมคุ้นเคย ผมกำลังปั่นจักรยานไปบ้าน ผมอยากจะมอบเงินก้อนแรกของผมให้กับแม่ เงินที่ได้มาจากลูกชายคนโตของบ้านแม่จะดีใจกับมันใช่มั๊ยครับ เกือบหกโมงเย็นผมก็ปั่นจักรยานมาถึงหน้าบ้านผมเตะขาตั้งลงกับพื้นก่อนจะรัวกดกริ่งซักพักผู้หญิงที่คุ้ยเคยของผมก็ออกมา ผมส่งยิ้มให้แม่ในขณะที่แม่จ้องหน้าผมคิ้วเรียวของแม่ขมวดมุ่นก่อนจะเดินมาหน้ารั้วแต่ยังไม่เปิด “มาหาใครคะ” ผมค่อยๆหุบยิ้มลงไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคคำถามของแม่ “ผม...ผมชื่อเก่งครับเป็นเพื่อนกับเมฆ เค้าวานให้ผมเอาเงินมาให้คุณแม่ครับ” ผมกลั้นน้ำตาที่กำลังจะเอ่อออกมาพลางกลั้นใจพูดประโยคโกหกคำโตให้แม่ของผม ทำไมแม่จำผมไม่ได้ล่ะครับ สายสัมพันธ์ของแม่ลูก แม่เป็นแม่ของผมแท้ๆทำไมกลับจำลูกตัวเองไม่ได้ล่ะครับ ผมกลั้นความน้อยใจก่อนจะยื่นซองเงินให้แม่ด้วยมืออันสั่นเทา “เงินอะไร เมฆไปทำงานอะไรหนีออกจากบ้านไปอย่างนั้นคงไม่พ้นไปแบกของส่งของหรอกมั้งเอากลับไปให้เค้าเถอะฉันไม่เอาหรอก” แม่ปัดมือที่ผมยื่นซองเงินให้ ผมคว้ามือของแม่ก่อนจะยัดซองเงินใส่มือแม่แล้วหันหลังเดินมาที่จักรยานทันที “เดี๋ยว...” ผมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงแม่เรียกแต่ไม่ได้หันกลับไปเพราะตอนนี้น้ำตาของผมมันไหลออกมาด้วยความน้อยใจซะแล้ว “ครับ?” “เค้าสบายดีมั๊ย อยู่สบายหรือเปล่า แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนอยู่กับใคร” “เค้าสบายดีครับตอนนี้พักอยู่กับเพื่อนอีกคนไม่ต้องห่วงเค้าหรอกครับ” “อย่างนั้นก็ดีฝากไปบอกเค้าด้วยว่า....อย่าไปสร้างความดือดร้อนให้ใครล่ะ” ผมแค่นยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะตอบรับแม่ออกไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว “ครับแล้วผมจะบอกเค้าให้ผมขอตัวนะครับ.....คุณป้า” ผมตัดสินใจออกมาจากตรงนั้น ที่ๆผมไม่มีตัวตน ที่ๆผมถูกคิดว่าไปอยู่ที่ไหนก็จะสร้างแต่ปัญหา ผมคงไม่คู่ควรกับบ้านหลังนี้จริงๆสินะครับ แม่ครับ...ผมรักแม่นะครับแล้วแม่ล่ะรักผมบ้างหรือเปล่า? “เมฆ....ไปไหนมาผมกลับมาไม่เจอคุณตกใจแทบแย่” ทันทีที่ผมเปิดประตูคอนโดเข้ามาเสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยถามขึ้นราวคนกำลังร้อนใจ ผมมองหน้าหมอที่ตอนนี้พร่าเบลอแทบไม่เป็นรูปร่าง เพียงแว๊บเดียวหมอก็ก้าวพรวดๆจากโซฟามาประชิดตัวผม ฝ่ามือแสนอบอุ่นของหมอแปะลงบนหัวของผมข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็จับมือผมไปบีบเบาๆ “เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” เสียงใสเอ่ยถามผม ผมได้แต่ส่ายหน้า “เด็กโง่ เป็นอะไรใครทำอะไรก็บอกหมอสิ นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะตอนนี้นายยังมีฉันนะ” ไม่รู้ว่าทำไมแค่ประโยคนั้นประโยคเดียวกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนคนที่เดินฝ่าพายุมาเนิ่นนานกลับพบกองไฟอุ่นอยู่ตรงหน้าผมมองหน้าคุณหมอที่ส่งยิ้มละมุนมาให้ผมก่อนจะเอ่ยปากออกไปด้วยประโยคประโยคหนึ่ง “หมอครับผมขอกอดหมอได้มั๊ยครับผมหนาวจังเลย” “มากกว่ากอดหมอก็ให้นายได้นะ” เพียงสิ้นประโยคหมอจิณณ์ก็เป็นฝ่ายสวมกอดผมไว้ซะเองใบหน้าหวานซุกอยู่ที่ไหล่ของผมสองมือของหมอประสานกันที่หลังเอวของผม ผมสวมกอดหมอไว้แน่น ในขณะที่หมอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับผมผมก็ค่อยๆโน้มหน้าเข้าหาหมอริมฝีปากเราใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆก่อนจะ... ติ๊งหน่อง....ติ๊งหน่อง!!!! ผลั่ก!!! หมอจิณณ์ผลักผมออกทันทีกับที่ประตูห้องถูกเปิดผลั่วะเข้ามาด้วยไอ้ลูกปัดที่วิ่งหน้ามันหัวกระเซิงเข้ามาก่อนจะรีบปิดประลงกลอนเรียบร้อย กระเป๋าเป้ใบเล็กถูกเหวี่ยงโครมก่อนมันจะหันหลังยืนพิงประตูห้องหอบแฮ่กๆ “หมอ...เมฆ...ขอปัดอาศัยอยู่ด้วยซักคืนสองคืนนะ” ผมกับหมอมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับอากัปกริยาและคำขอของลูกปัด “ปัดแกใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น” “ฉันจะถูกผู้หญิงที่เป็นลูกค้าที่ร้านจับทำผัว” “ห๊ะ!!!” ผมกับหมอร้องประสานเสียงกันในขณะที่ไอ้ลูกปัดมันพยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยันคำพูดของมัน “เอ่อ....” ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องของคุณหมอที่เราสองคนยืนเกาท้ายทอยด้วยสีหน้าเก้อๆมันเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆเหมือนจะอึดอัดแต่ระคนความขัดเขิน ครับ ตอนนี้เราต้องนอนห้องเดียวกันเพราะโซฟาที่ผมยึดเป็นเตียงนอนตลอดห้าเดือนถูกไอ้ลูกปัดที่ลี้ภัยทางการเมืองมาขออาศัยอยู่ยึดไปแล้ว เรื่องของเรื่องที่ลูกปัดต้องหอบผ้าผ่อนซึ่งก็คือเสื้อผ้าสำรองแค่สองชุดมาหาผมกับหมอที่ห้องก็เพราะมีเด็กสาวที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับผมมาขอคบด้วย “แรกๆชีก็มากินอาหารตามปกตินะ หลังๆมาทุกวันมีขนมมาฝากแต่ปัดไม่เคยกินเองหรอก หลังๆเริ่มขอเบอร์ บอกว่าวันหยุดไปเที่ยวกันมั๊ย หนักสุดอาทิตย์ที่ผ่านมามาพร่ำบอกว่าอยากคบกับปัด โอ๊ย ปัดเป็นผู้หญิงนะ ปล่อยชะนี่ตัวเล็กๆอย่างปัดสู่ธรรมชาติเถอะ” ไอ้ลูกปัดมันพูดไปก็จิ้มส้อมลงบนมะเขือเทศชิ้นใหญ่ส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย “ทำไมไม่ตบไปเลยล่ะ หนีแบบนี้เสียชื่อศิษย์นุสรามือเซทเน็ตระเบิดหมดนะ” “โห หมอคะ ถ้าเป็นผู้ชายปัดตบไปแล้วแต่นี่เป็นผู้หญิงปัดไม่ทำร้ายเด็กสตรีและคนชราแบบหมอหรอกค่ะ” “เบอร์น้องคนนั้นเบอระไรเหรอ” เสียงหมอจิณณ์เอ่ยถามไอ้ปัดด้วยน้ำเสียงตึงๆ “หมอจะเอาไปทำอะไรคะ” “โทรให้มารับแกไง กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าคนชราห๊ะยัยเตี้ย” “โอ๊ยหมอคะปัดขอโทษ” ลูกปัดรีบเกาะแขนหมอจิณณ์ทันทีที่ได้ยินคำนั้น ภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆทำตาปริบออดอ้อนคุณหมอน่าหวานตลกจนผมหัวเราะออกมา “ว่าแต่...เมฆ หมอว่าวันนี้คุณดูแปลกไปนะไปทำอะไรมากับทรงผม แล้วหน้าก็เหมือนแต่งมาด้วย” หมอจิณณ์หันมายิงคำถามใส่ผม ครับผมเล่าให้ทั้งหมอและลูกปัดฟังทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ รวมทั้งเงินที่ได้มานั้นผมเอาไปให้แม่และแม่จำผมไม่ได้ หมอจิณณ์ลุกจากเก้าอี้ของตัวเองมายืนตบไหล่ผมจากด้านหลังก่อนจะทำบางอย่างที่ผมไม่คาดคิด อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดผมจากด้านหลัง คุณหมอใช้คางเกยที่ไหล่ของผมแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรเนอะ...เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น เข้มแข็งเนอะ” ครับ แค่คำพูดแค่นี้กำลังใจของผมก็มาเป็นองเลยครับ ความเศร้าตอนปั่นจักรยานกลับมาที่นี่มลายหายไปเลย “จำไว้นะเมฆไม่ใช่ปัญหาของหมอแต่เมฆคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมาให้หมออย่าคิดมาก” เรานั่งคุยกันพักใหญ่ๆก็แยกย้ายกันเข้านอนตอนแรกหมอจะให้ลูกปัดเข้ามานอนในห้องแต่ไอ้ตัวเล็กมันปฎิเสธท่าเดียวเลยครับ “แค่ปัดมาอาศัยหมอก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว หมอกับเมฆเข้าไปนอนในห้องเถอะค่ะ ปัดตัวเล็กโซฟานี่ก็เกินพอ” ครับ ต่อให้ผมกับหมอจะขอให้มันเข้ามานอนในห้องยังไงไอ้ปัดมันก็ยืนยันคำเดิมครับว่ามันขอนอนโซฟา “ตอนกลางคืนปัดชอบหิวค่ะนอนใกล้ครัวนี่ล่ะดีสุดสำหรับปัดหมอกับเมฆนอนให้ห้องเถอะค่ะปัดเป็นคนมาขออาศัยจะให้เข้าไปนอนเตียงใหญ่ๆก็คงไม่ดี” “คือผมนอนที่พื้นนะครับ” ผมชี้ที่ว่างแคบๆข้างๆเตียงคุณหมอ “เฮ๊ย ซอกนั่นมันเล็กนิดเดียวเดี๋ยวนายจะเมื่อยนะ นอนบนเตียงด้วยกันนี่แหล่ะไม่เป็นไรหรอก” คุณหมอดึงผมให้ขึ้นมานั่งบนเตียงนอนหลังขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กพอจะนอนกันได้สองคนอย่างสบายๆ “รบกวนด้วยนะครับ” ผมเอ่ยบอกกับคุณหมออย่างเกรงใจเสียงคุณหมอหัวเราะเบาๆก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ต้องกลัวหรอกน่ารู้มั๊ยตอนนี้นายทำท่าเหมือนสาวน้อยโดนหลอกมานอนด้วยเลยนี่บอกอะไรให้นะ....” คุณหมอตาแป๋วเอ่ยทิ้งท้ายราว 10 วินาทีก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างๆใบหูให้ผมขนลุกซู่ว่า “หมอไม่ปล้ำนายหรอกนอกซะจากว่านายจะยอมหมอเอง” “หิวหว่ะ” ลูกปัดที่นอนกระสับกระส่ายมาซักระยะหนึ่งผุดลุกตลบผ้าห่มลงไปไว้ปลายเท้ามือเล็กกุมท้องตัวเองพลางยู่หน้าสายตาเหลือบมองนาฬิกาที่แปะอยู่บนฝาผนังเรือนใหญ่เกือบตีสองแล้วปกติเวาอยู่ที่ห้องจะต้องรองท้องด้วยข้าวโพดคั่ว 5 ห่อ แต่วันนี้หลังจบมื้ออาหารเย็นและนั่งคุยกันซักพักราวๆ 5 ทุ่มหล่อจิณณ์กับเมฆก็แยกเข้าไปนอนปิดห้องเงียบจนลูกปัดเคลิ้มหลับแต่น้ำย่อยในกระเพราะอาหารกลับเรียกให้ตื่นขึ้นซะนี่ หญิงสาวสลัดผ้าห่มตกลงข้างโซฟาก่อนจะเดินเพื่อจะตรงไปที่ครัวแต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านห้องหมอจิณณ์นั้นหญิงสาวก็ชะงักเท้าแทบจะทันที ใบหน้าทะเล้นขึ้นสีเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างภายในห้อง “อ๊า....เมฆ....อื้อ...แรงๆเลย...อ๊าง...หมอ...หว่ะ...ไหว...” “เอางั้นเหรอครับถ้าผมทำแรงหมอจะเจ็บนะครับ” “อื้อ...เอาแรงๆเลยหมอจะทน” “งั้นผมจะกดลงไปสุดแล้วนะครับ” “อื้อ...หมอพร้อมแล้ว...อ๊า!!!” “เห๊ย....ทำไรกันวะ..โห วัตถุไวไฟกับน้ำมันหรือไงเนี่ย แอ๊ยยยยยยยย” ลูกปัดที่ตอนแรกกะจะไปหาของกินในครัวหมุนตัวกลับไปที่โซฟาก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แต่ยังไม่วายเปิดผ้าห่มออกมาเงี่ยหูฟังเสียงในห้องที่ดังลอดมาแว่วๆ “โอ๊ย...เบาหน่อย..ร่ะ..แรงไปแล้ว...อ๊า” “อึ๋ยยยยยยยย.....หวาดเสียวโว๊ยยยยยย” อีกครั้งที่ลูกปัดหลับตาปี๋ดีดผ้าห่มขึ้นมคลุมตัวนอนบิดนอนเขินอยู่คนเดียวเมื่อสมองกำลังจินตนาการว่าภายในห้องกำลังเล่นกีฬาบันจี้จั๊มป์กันรุนแรงขนาดไหนแต่ความเป็นจริงภายในห้องนอนของหมอจิณณ์ก็คือ... ร่างบางของหมอจิณณ์ที่กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงกายบางขึ้นสีแดงเถือก ใกล้กันเมฆที่ยืนเต็มความสูงกำลังสาละวนกับการลงส้นบนต้นขา “ตรงนี้โดนมั๊ยครับคุณหมอ” “โอ๊ย....ซี๊ดดดด...นั่นแหล่ะโดนๆกดลงมาเลย” “แล้วตรงนี้ล่ะครับ” “โอ๊ย....ตรงนั้นก็ใช่เอาแรงๆเลยดีๆแบบนี้ล่ะชอบ” โถ.....ลูกปัดสาวน้อยผู้จมอยู่กับจินตนาการ ความจริงก็คือหมอจิณณ์นอนไม่หลับบ่นๆว่าปวดหลังกับปวดขาเมฆที่นอนอยู่ข้างๆเลยอาสาที่จะบีบนวดให้แต่หมอจิณณ์กลับบอกกับชายหนุ่มว่าขอหนักๆไปเลย ผลสรุปจึงอยู่ที่เมฆมายืนเหยียบขาและหลังให้หมอจิณณ์ หลังจากกิจกรรมที่มีซาวด์เอฟเฟคแสนหวาดเสียวจบลงล้างไม้ล้างมือกันเสร็จหมอกับเมฆก็ปิดไฟนอนหลับในที่สุด เกือบรุ่งเช้าร่างทั้งสองร่าก็แนบสนิทกันอีกครั้งเมื่ออากาศที่เย็นเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดูดให้ร่างกายของคนทั้งคู่ดึงดูดกันและกัน สุดท้ายร่างบางก็ซุกอยู่กับอกแกร่งผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป็นสุข ร่างสูงก็สวมกอดเอวคอดไว้อย่างทะนุถนอม เมฆหรี่ตาดูร่างบางในอ้อมกอดก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ............... บ้า แกอ่ะคิดมากกกกกกกกกกกกก
เป็นลูกหรือเด็กเก็บมาเลี้ยงอะทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนั้น
:ling1: :katai1: เราก็คิดมาก ขำอะ แต่อยากให้เขามีความสุขทั้งคู่ ลูกปัดก็น่ารัก
นวดให้กันก็อย่าพูดคำว่าเอาแรงๆสิปัดโถ่! :hao7:
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ไม่ใช่แค่ลูกปัด อิฉันก้อคริสม๊ากกกก555555555555 :-[ มะไหร่จะรู้ว่าพวกแกยังไม่ได้เปนผัวเมียกันเว้ยยยยยยยยยยย
ลูกเป็ดขี้เหร่[:8:] เช้านี้ก็ไม่ต่างกับวันอื่นๆผมตื่นก่อนคุณหมอที่สกิลการนอนดิ้นนั้นเต็มสิบคะแนนผมให้สิบจุดห้าพ่อเจ้าประคุณเล่นดิ้นจนเท้าหมุนครบ 360 องศา ตื่นเช้ามาแทนที่หมอจะนอนสวยๆอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของผมตามแบบที่ควรจะเป็นแต่เปล่าเลย นู่นหัวอยู่ปลายเท้าผมส่วนเท้าคุณหมอแทบจะแหย่เข้ามาในรูจมูกของผมอยู่แล้ว ผมจัดการปลุกคุณหมอที่วันนี้ต้องข้าเวรเช้า หมอตื่นมาด้วยทรงผมเซ้นต์เซย่าดวงตาบวมปรือเพราะเมื่อคืนนอนกันดึกมากท่าทางที่ยังไม่ตื่นดีเหมือนลูกหมาสัปหงกทำให้ผมต้องนั่งบนเข่าตัวเองก่อนจะจัดการใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือคลึงที่บริเวณขมับของหมอ “จูนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ผมคลึงไปพูดคำว่าจูนไปจนหมอหัวสั่นหัวคลอน “ตื่นแล้วๆ” หมอปัดมือผมออกก่อนจะเดินเกาตูดแกร่กๆคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป ผมจัดการจัดเตียงพับผ้าห่มก่อนจะออกมานอกห้องลูกปัดกำลังทำอะไรกุกกักในครัว กลิ่นหอมๆเดาได้ว่าคงเป็นข้าวต้มหมูที่มันชอบทำให้กินบ่อยๆแต่ของไอ้ปัดจะพิเศษตรงที่ว่ามันจะมีขิงสดซอยละเอียดขยำกับเกลือเป็นเครื่องเคียง “ตื่นเร็วจัง” มันทักผมด้วยคำทักทายแรกก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกแขวนนิ้วเล็กๆของมันก็ชี้ไปยังจานชามที่เตรียมไว้ “ฉันไม่รู้ว่าตอนเช้าหมอกินอะไรบ้างเลยต้นข้าวต้มด้วยแล้วก็ทำอาหารเช้าพวกไข่ดาวแฮมไส้กรอกไว้ให้หมอส่วนกาแฟเดี๋ยวแกชง แล้วกันนะฉันไม่รู้หมอแกกินรสไหน” “ฉันรับรองได้ว่าหมอฟาดทั้งชุดอาหารเช้าและข้าวต้ม” “หรือฉันควรลวกไข่ให้แกกับหมอด้วยดีวะ” ไอ้ลูกปัดมันทำท่าคิดก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังเขินอายและเสียวไส้กับอะไรซักอย่าง ผมมองมันอย่างขำๆกับท่าหลับตาร้องฮึ่ยแล้วสั่นหัวของมัน ยังไม่ทันที่จะคุยอะไรกับมันมากเสียงประตูห้องนอนก็เปิดออกพร้อมกับหมอจิณณ์ที่ทั้งตัวมีเพียงผ้าขนหนูสีแดงเลือดนกในปากคาบแปรงสีฟันหยดน้ำยังเกาะพราวหัวเปียกโชกไปด้วยน้ำคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ “เมฆกางเกงในตัวสีขาวของหมอไปไหนอ่ะ” “ตัวไหนครับสีขาวของหมอมีตั้งหลายตัว” “ของ CK อ่ะที่หมอใส่บ่อยๆมันไม่อยู่ในลิ้นชัก” “อ๋อตัวนั้นน่ะเองผมทิ้งไปแล้วครับเป้ามันเหลืองแถมขาดเป็นขุยแล้ว” “โหยทิ้งไมวะตัวนั้นใส่สบายจะตาย” คุณหมอทำหน้าเหวี่ยงๆผมก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องประตูห้องยังแง้มไว้เสียงบ่นพึมพำดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะเสียงรื้อลิ้นชักและตู้เสื้อผ้าตามสไตล์คนหาของไม่ค่อยเจอทำให้ผมละจากลูกปัดเดินเข้าไปหาคุณหมอ หมอจิณณ์หันมามองผมค้อนๆดูจากสายตาก็รู้ว่าคงงอนผมพอสมควร “เข้ามาทำไมออกไปเลยคนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” “จะเอาชุดไหนครับเดี๋ยวผมหาให้” ผมพูดเสียงอ่อนอย่างง้องอน “ไม่ต้องหาเองได้ทีหลังไม่ต้องมาซักให้ก็ได้นะถ้าจะเอาของคนอื่นเขาไปทิ้งแบบนั้นน่ะ” คุณหมอเดินหนีผมที่สาวเท้าเข้าไปหาผมไม่รู้จะทำยังไงเลยคว้าเอวเล็กนั่นไว้แล้วดึงร่างบางมาชิดอกกอดเอวไว้หลวมๆแล้วกดปลายคางลงบนลาดไหล่ขาวเนียน “ขอโทษครับผมไม่รู้ว่าคุณหมอจะชอบกางเกงในตัวนั้นผมใส่ถุงวางไว้ข้างนอกยังไม่ได้ทิ้งหรอกครับหมออย่าโกรธผมเลยนะเดี๋ยวผมไปหยิบมาให้” ผมเอ่ยอย่างง้องอนคุณหมอซึ่งก็ได้ผลหมอที่ทำท่าดึงดันขัดขืนหยุดการกระทำทันทีผมตัดสินใจละจากซอกคอหอมๆที่แอบดมกลิ่นไปนิดนึงก่อนจะเดินออกมานอกห้องหยิบถุงที่ใส่กางเกงในเจ้าปัญหาเดินกลับเข้าห้องไปโดยมีไอ้ลูกปัดที่ยืนตักข้าวต้มใส่ชามมองตามแบบแอบๆมอง ไอ้นี่ก็อีกคนทำไมวันนี้หน้าตามันแดงๆไม่สบายหรือเปล่าหว่า? “นี่ครับ...ว่าแต่มันเก่าแล้วขอบก็ย้วยๆแล้วทำไมยังใส่อยู่ล่ะครับ” “ตัวนี้แม่ซื้อให้ถึงไม่ใส่ก้ต้องเก็บไว้ดูต่างหน้าแม่” ตึ่งโป๊ะ!!! คำตอบของคุณหมอทำผมเงิบๆเล็กๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนที่มองกางเกงในแทนหน้าแม่เวลาคิดถึง หมอจิณณ์ของผมไม่ธรรมดาจริงๆ ผมใช้เวลาอีกราวๆ 15 นาทีในการเตรียมเสื้อผ้าให้คุณหมอที่ใจเย็นค่อยๆชโลมครีมทาผิวครีมบำรุงสารพัดยี่ห้อ เป็นเรื่องคุ้นชินสำหรับผมซะแล้วเมื่อเราออกมาด้านนอกอาหารก็พร้อมอยู่บนโต๊ะด้วยฝีมือเชฟสาวจากลุ่มแม่น้ำปิงหมอจิณณ์ตาโตร้องว๊าวก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ประจำที่แล้วคว้าชามข้าวต้มหอมกรุ่นไปไว้ตรงหน้า “หอมจังลูกปัดทำเองเหรอ” “ป่าวคะปัดขอโดราเอม่อนมา” ไอ้ปัดหันมาตอบหมอหน้าตายผมเห็นคุณหมอทำปากขมุขขมิบจับใจความได้ว่าเซี่ยอะไรซักอย่าง สงสัยหมอจะพูดคำว่า เซี่ย เซี่ย ที่แปลว่าขอบคุณตามภาษาจีนสินะครับ "ปวดตัวไปหมดเลย” เสียงหมอบ่นเบาๆตอนที่ซดข้าวต้มหมดชามแล้วเริ่มจัดการกับชุดอาหารเช้า “เมื่อคืนผมทำแรงไปเหรอครับ” ผมอดที่จะถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ หมอส่ายหน้าช้าๆ “ไม่หรอกสงสัยมันยังไม่คุ้นอ่ะเพิ่งครั้งแรกๆร่างกายคงยังปรับตัวไม่ทันหมอให้คุณทำแรงๆเช้าก็เลยระบมน่ะคราวหลังทำเบาๆกว่านี้หน่อยก็แล้วกันเนอะ” “งั้นก็ได้ครับเอาไว้คืนนี้ผมจะทำเบาๆนะครับ” แกร๊ง!!! “เฮ๊ย...แก ไม่สบายป่าววะลูกปัดทำไมหน้าแดงๆ” ผมกับหมอที่ตกใจเสียงช้อนหล่นหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าไอ้ลูกปัดนั่งมองเราสองคนอ้าปากหวอแถมหน้าก็แดงลามไปยั้นลำคอแล้ว ไอ้ปัดยกมือลูบหน้าก่อนจะโบกมือเหยงๆ “ม่ะ...ไม่มีอะไรไม่ได้ไม่สบาย ค่ะ..คือ...คืออะไรวะ..เอ่อ...คือขิงเว๊ย...เออ...ขิงมันเผ็ด...ร้อนน่ะ...ร้อนก็เลยหน้าแดงไม่มีอะไรจริงๆ” ไอ้ลูกปัดมันรีบพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน เออ ไอ้นี่แปลกขึ้นทุกวันสงสัยเจอผู้หญิงจีบบ่อยจนเบลอ “ถ้าไม่สบายบอกหมอได้นะเดี๋ยวเอายาธาตุให้กิน” หมอจิณณ์คาบขนมปังไว้ในปากก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู “อิ้อ...หมอไปทำงานก่อนนะเย็นๆเจอกัน” หมอยกกาแฟที่ผมชงให้กินรวดเดียวหมดก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น “หมอครับวันนี้จะขับรถไปเองหรือขึ้นรถเมล์ครับ” “ไปรถเมล์ดีกว่า” หมอจิณณ์เดินไปหยิบกระเป๋าใส่พวกเอกสารต่างๆพลางหยิบรองเท้าจากในตู้มาใส่ เหมือนว่าวันนี้หมอจะมีประชุมก็ลยแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติผมขยับไปจัดเนคไทด์ให้เข้าที่ “งั้นผมขับรถไปส่งมั้ยครับเผื่อรถเมล์คนแน่นแล้วตอนเย็นผมไปรับ” “อื้อเอางั้นก็ได้ ลูกปัดฝากบ้านด้วยนะ” “ได้ค่ะเดี๋ยวปัดดูบ้านให้” ไอ้ปัดมันรับคำพลางนั่งซดข้าวต้มของมันต่อไปผมหันมาพยักหน้าให้มันก่อนคว้ากุญแจรถของคุณหมอมาถือไว้แล้วแย่งเอากระเป๋าเอกสารมาถือไว้ซะเองหมอหันมาโบกมือบ๊ายบายไอ้ปัดก่อนจะเดินนำหน้าไปผมมองตามแผ่นหลังของคุณหมอที่วิ่งดุ๊กๆไปกดดัดกลิฟท์ไว้ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มขำๆกับท่าทางไม่ได้ดั่งใจเมื่อคุณหมอวิ่งมาไม่ทันริมฝีปากอิ่มยู่เข้าหากันอย่างขัดใจ อารมณ์นี้ให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังจะไปส่งลูกชายวัยห้าขวบเข้าอนุบาลเลยครับ ผมหักพวงมาลัยตบไฟเลี้ยวเข้าประตูทางเข้าของโรงพยาบาลก่อนพารถไปจอดด้านหน้าหมอจิณณ์ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วคว้ากระเป๋าก่อนยกมือบ๊ายบายผม “หมอครับ” ผมตะโกนเรียกหมอจิณณ์หันมามองหน้าผมด้วยดวงตาใสแจ๋วจนผมอดที่จะยิ้มให้ไม่ได้ “ตั้งใจทำงานนะครับแล้วเย็นนี้อยากทานอะไรครับ” “อื้อ..จะตั้งใจทำงานนะส่วนเย็นนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวเราค่อยไปคิดกันที่ซุปเปอร์นะ” “หมอครับ เย็นนี้นั่งรถเมล์กลับกันนะครับ” ผมบอกหมอก่อนจะยิ้มหล่อ((ผมมั่นใจว่าผมหล่อแล้ว))ให้หมออีกที หมอขมวดคิ้วทำหน้างงๆแต่ก็พยักหน้ารับก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าตัวโรงพยาบาลไปผมเห็นแกจัดท่าทางหน้าตาให้ดูมีมาดภูมิฐานสมกับที่เป็นหมอ ผมมองคุณหมอลับหายไปในลิฟท์แล้วจึงออกรถ เช้าขนาดนี้ผมไม่รู้จะไปที่ไหนเลยมุ่งตรงไปบ้าน... ครับผมขับรถกลับมาบ้านจอดรถชิดกำแพงบ้านฝั่งตรงข้ามหยิบแว่นตาดำของหมอที่มักทิ้งไว้ในรถมาสวมผมเคาะนิ้วเล่นพลางจ้องเข้าไปในตัวบ้านโชคดีที่รถติดฟิล์มดำเพราะฉะนั้นคนข้างนอกจึงมองเข้ามาไม่เห็นแต่ผมสามารถมองออกไปได้อย่างชัดเจน ประตูบ้านเปิดออกภายในบ้านมีการเคลื่อนไหว ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกก็เห็นไอ้ตัวแสบสะพายกีต้าร์ทำหน้าบึ้งออกมาโดยมีพ่อของมันตามออกมาดึงแขนลูกชายไว้ อาการนี้ไม่ต้องเดาก็รู้มันคงขออะไรพ่อมันซักอย่างแต่โดนขัดใจแน่ๆไอ้ตัวแสบมันสะบัดแขนออกก่อนจะเดินมาเปิดประตูรั้วเดินดุ่มออกมาแต่ชะงักเมื่อพ่อมันเรียก ซักพักแม่ผมก็เดินตามออกมาก่อนจะเอาเงินก้อนหนึ่งยัดใส่มือหมอก ก็คงจะขอเงินไปซื้ออะไรซักอย่างแล้วคงโดนแม่บ่น หมอกมันยักไหล่ใส่แม่แล้วหันหลังเดินจากมา มันคงคิดว่าอากัปกริยาที่มันเบะปากกระตุกยิ้มพ่อแม่คงไม่มีทางเห็นมือของมันก็กรีดธนบัติในมือด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องท่าทางที่พ่อแม่ไม่มีทางได้เห็นเพราะเวลาอยู่ในบ้านหมอกคือเทวดาตัวน้อยๆของพ่อแม่ ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็คือดีงาม คือเหมาะสม คือคู่ควร เทวดาของแม่...แต่ผมที่นั่งอยู่ตรงนี้กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน “ไอ้เด็กเลว!!” ผมอดที่จะสบถด่าไอ้น้องชายตัวดีไม่ได้ ครอบครัวเราไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้ บางเดือนเราต้องกินกับข้าวซ้ำๆกันหลายๆมื้อเพราะหมอกมักมีเรื่องมาขอเงินเพิ่มอยู่ประจำผมขับรถตามมันออกมาจนมันโบกแท็กซี่โชคดีที่วันนี้ตัดสินใจเอารถคุณหมอมาผมขับตามโดยทิ้งระยะห่างพอสมควรไม่ให้ถูกจับได้ว่ากำลังทำตัวเป็นพวกซาแซงของศิลปินในที่สุดรถก็มาหยุดอยู่ย่านชุมชนแออัดหมอกมันสะพายกีต้าร์เดินเข้าไปในนั้นผมตัดสินใจว่าจะตามไปดูว่ามันไปไหนขณะที่คิดว่าจะรีบตามไปรถคันหลังก็ตบแตรไล่เมื่อมองไปที่ไอ้ตัวแสบอีกทีมันก็หายไปแล้ว หึ...สลัม...จะมีอะไรมากไปกว่าพวกมั่วสุมกันล่ะ อีกไม่นานผมคงได้ข่าวว่าน้องชายเพียงคนเดียวถูกจับเพราะมามั่วสุมเล่นยากันที่นี่ ผมขับรถกลับคอนโดด้วยจิตใจที่สับสนแปลกๆ ใจหนึ่งผมก็เป็นห่วงมัน ยอมรับว่าลึกๆผมเองก็รักน้องนะ แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้มันถลำลึกลงไปเรื่อยๆ อยากให้มันทำให้พ่อแม่ผิดหวังเผื่อบางทีผมจะมีตัวตนละมีคุณค่ากับพ่อแม่ขึ้นมาบ้าง ผมกลับมาถึงคอนโดเกือบเที่ยงเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบว่าไอ้ปัดกำลังคุยโทรศัพท์พลางจดอะไรบางอย่างลงบนเศษกระดาษยิกๆจากนั้นมันก็กดวางสายแล้วปรี่เข้ามาหาผม “แก๊....” มันเดินมาเขย่ามือของผมเหมือนลิงไขลานผมมองหน้ามันงงๆ นานน๊านไอ้ลูกปัดมันจะเป็นแบบนี้ซักทีนึงและจะเป็นเฉพาะเวลาตื่นเต้นหรือดีใจกับอะไรซักอย่าง “อะไรของแกเนี่ยเตี้ย” ผมใช้ฝ่ามือจับหัวมันโยกไปมาอย่างเอ็นดูระคนกลั่นแล้งแค่มือเดียวก็พอแล้วสำหรับหัวที่เล็กกว่าลูกบาสของมันไอ้ปัดมันปัดมือของผมออกก่อนจะเฉลยสิ่งที่ทำให้อาการของมันเป็นแบบนี้ “ฉันลองโทรไปที่นามบัตรนี้อ่ะ แกรู้มั้ยเค้าเป็นผู้กำกับดังเชียวนะเว๊ยแล้วเค้ากำลังจะเปิดกล้องซีรี่ส์เรื่องใหม่เค้าสนใจให้แกไปเล่นเป็นน้องชายพระเอก ไปนะๆ” “ตลกแล้วฉันเนี่ยนะจะไปแสดงอะไรพรรค์นั้น” ผมผละออกจากไอ้ปัดก่อนจะเริ่มเก็บหนังสือบนโต๊ะ ผมคงลืมไปว่าสกิลการโน้มน้าวจิตใจคนของลูกปัดมันมีสูงแค่ไหน “ถ้าแกไปเป็นดาราแกก็จะมีเงินมีชื่อเสียงนะเว๊ย พอถึงวันหนึ่งถ้าฝีมือแกเข้าตาได้เป็นพระเอิงพระเอกวันนั้นแกก็จะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้า” “แกจะพาฉันไปประกวดเดอะสตาร์เหรอ” ผมถามขัดมันเมื่อมันเริ่มวาดแขนประกอบเพลงที่มันร้อง “อีบ้านี่เพลงของเอเอฟ...แกคิดดูนะเว๊ยถ้าแกไปทดสอบบทดูนะเว๊ยแล้วได้งานนี้มันก็เป็นบันไดขั้นแรกป่าววะที่จะทำให้แกมีงานมีเงินอีกหน่อยอาจจะมีชื่อเสียงพอถึงวันนั้นก็จะมีพร้อมทุกอย่างนะ โอกาสมันไม่ได้วิ่งชนแกตลอดนะเฮ๊ยเหมือนนามบัตรเนี่ยเค้าให้แกมา แต่แกดันเอามาวางไว้กับที่เขี่ยบุหรี่ แกจะอยู่กับหมอเขาโดยไม่มีง่นไม่มีรายได้ไม่ด้หรอกนะเฮ๊ยมีที่ไหนอยู่ให้เมียเลี้ยง” “มาเมิงมาเมียอะไรล่ะไอ้บ้านี่” ผมรีบแย้งทันที คนกำลังคิดตามดีๆดันตัดฟิลกันได้ “ไม่ต้องมาเฉไฉหรอก เมื่อคืนได้ยินนะว่าทำอะไรกัน ร้องครางกันดังซะขนาดนั้นผีบ้านผีเรือนตกใจหมดแล้ว” ไอ้ลูกปัดมันชี้นิ้วเล็กๆใส่หน้าผม ผมคิดตามเมื่อคืนผมทำอะไรกับหมอหว่า “แกได้เค้าแล้วแกก็ต้องเลี้ยงดูเค้าดิ่” ผมยังคงคิดตามสิ่งที่ลูกปัดพูดก่อนจะดีดหัวเหม่งมันไปซะทีนึง “โอ๊ย....ดีดทำไมเนี่ย” “เรียกสติ...แกกำลังคิดอะไรไปไกลเรื่องฉันกับหมอ” “ก็แกกับหมอได้กันแล้วไม่ใช่เหรอ ม่ะ...เมื่อคืนอ่ะ...เสียงดังออกมาข้างนอกเลยนะ” นั่น...ดูมันกระแดะทำหน้าแดงสิครับ ผมตบหน้าผากตัวเองจนเกิดเสียงพลางกรอกตาไปมา นี่สินะสาเหตุที่ทำให้เมื่อเช้ามันทำหน้าแปลกๆตอนผมกับหมอออกมากินข้าว “ไอ้คุณลูกปัดครับฟังกระผมให้ดีนะครับ...เมื่อคืนนี้....ฉันกับหมอไม่มีอะไรกัน...หยุดอย่าเพิ่งขยับปากเถียงฟังฉันให้จบก่อน” ผมชี้นิ้วดักมันทันทีที่มันขยับปากจะทักท้วงซึ่งมันก็ยอมหุบปากฉับพลางอมลมไว้ในปากอย่างขัดใจ “เสียงเมื่อคืนน่ะ...เออ..เสียงครางนั่นน่ะเป็นเพราะฉันนวดหลังให้หมอด้วยส้นเท้าของฉัน ฉันแค่เหยียบหลังกันโว๊ย เข้า-ใจ-มั้ย-ห๊า” ผมใช้ปลายนิ้วจิ้มหัวเหม่งของมันในขณะเน้นย้ำ 4 คำสุดท้าย “นวดหรือนาบเอาให้ดี” มันยังถามกลับมาด้วยคำถามชวนสำลักน้ำผมมองมันด้วยสีหน้าที่คงตลกน่ะเพราะมันหัวเราะก๊ากใหญ่เลย แม่หญิงแดนล้านนาน่ากลัวยิ่งนัก “นวดโว๊ย...ไม่ได้นาบ” “แล้วทำไมไม่นาบซะเลยหล่ะหมอเค้าก็มีใจขนาดนั้น สอยเลยดิ่ฉันสนับสนุน” มันยักคิ้วแผล่บด้วยสีหน้าทะเล้นแต่ผมนี่หน้าร้อนไปหมดแล้ว ดูเถอะ...ลูกปัด...แกเป็นผู้หญิงนะเฮ๊ย แอร๊ววววววววววว.....เมฆรับไม่ได้ เมฆอ่อนต่อโลกนะ..จริงๆก็อยากนาบอยู่หรอกแต่อาจจะโดนหมอเตะขาดสองท่อนเอาได้ โถ่ววววว.....จะให้พูดว่ายังไง “คุณหมอครับขอนาบหน่อย” ตายสถานเดียวอ่ะ ตายแบบไม่ต้องทำแผนประกอบคำรับสารภาพเลย หลังจากจัดการกับข้าวเที่ยงเก็บห้องที่ทำรกกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเสร็จอยู่ๆไอ้ลูกปัดน้อยคอยรักก็คว้าแขนผมหมับพร้อมทำสีหน้ามุ่งมั่นละม้ายคล้ายนายจัน หนวกเขี้ยว กำลังจะขี่ควายไปกู้กรุงศีอยุธยาคืนจากพม่ารามัญก็มิปาน ผมมองหน้ามันอย่าง งงๆ ในขณะที่มันก็หันมาแสยะยิ้มพร้อมทำเสียงมุ่งมั่นหนักๆใส่ผมว่า “ป่ะ แก” “ไปไหนวะ” “ไปหาอนาคตกัน” มันว่าแค่นั้นก่อนจะใช้มือเล็กๆของมันดึงข้อมือใหญ่ของผมแล้วออกแรงลากให้ลุกขึ้นจากโซฟา ในที่สุดผมก็มายืนเป็นหุ่นลองเสื้อให้ไอ้ปัดมันจับเสื้อตัวนู้นทาบกางเกงตัวนี้แนบบ้างก็ต้องเดินเข้าๆออกๆห้องลองเสื้อจนกว่ามันที่ยืนกอดอกท้าวคางยืนพินิจพิเคราะห์ผมจะกดหน้าหงึกหงักอย่างพอใจ บัตรเครดิตถูกยื่นให้พนักงานร้านแล้วร้านเล่าจนกระทั่งสองมือของผมพะรุงพะรังไปด้วยถุงกระดาษของร้านแบรนด์เนม ผมนี่แทบจะคาบเชือกรองเท้าจากร้านล่าสุดอยุ่แล้ว..เอาล่ะต่อไปร้านนี้ ผมมองตามมือมันไปอย่างเหนื่อยใจ ทำไมผ้หญิงถึงมีพลังในการชอปปิ้งล้นเหลือเช่นนี้ แต่ก็ต้องเลิกคิ้วสุงเป็นเชิงถามว่าจะให้ผมเข้าร้านเสริมสวยทำไม “เข้าไปเหอะน่า” มันว่าง่ายๆพลางดันหลังผมเข้าไป ซึ่งพนักงานในร้านก็รีบเข้ามาต้อนรับผมกับไอ้ลูกปัดเป็นอันดี ไอ้ลูกปัดอธิบายอะไรบางอย่างกับช่างที่เป็นสาวสองเพียงครู่ผมก็ถูกพาเข้าไปด้านหลังม่านที่มีลูกค้านอนเรียงกันอยู่ 2 เตียง ครับ ผมถูกสั่งให้นอนลงก่อนจะถูกผ้ายางคลุมคอไว้ สายน้ำเย็นถูกเปิดลงบนผมของผมก่อนที่แชมพูดกลิ่นหอมจะถูกชโลมจนทั่ว เออ…เพลินดีเหมือนกันว่ะ เออ....มีนวดด้วย อุ่ย...มีไชเข้ามาในหูด้วยแฮ๊ะ... ช่างสระผมของผมประมาณ 3 รอบที่สุดก็ถูกสั่งให้ลุกขึ้นออกมานั่งข้างนอก กลิ่นน้ำยาบางชนิดค่อนข้างฉุนลอยมาแตะจมูก จากนั้นผมก็เหมือนตุ๊กตาตัวน้อยที่ไร้หนทางต่อสู้ไอ้ครีมพวกนั้นมาแปะอยู่บนหัวของผม ผมถูกฟรอยด์อันใหญ่ๆแปะที่ผมแลดูตลกเหมือนคนสติไม่เต็มเต็งแล้วก็ถูกเอาพลาสติกใสๆมาพันรอบหัวราวกับผมไปผ่าตัดมะเร็งสมองมาจากนั้นก็ถูกเอามานั่งในหมวกของนักบินอวกาศมันร้อนและได้ยินเสียงน้ำเดือดดังปุดๆ ผมนั่งคอพับคออ่อนแล้วหลับไปในที่สุด ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานเท่าไหร่แล้วแต่มารู้สึกตัวตื่นตอนที่ช่างสะกิดไหล่ผมยิกๆพลางเรียกว่า “คุณน้องรูปหล่อฮร๊า ตื่นเถอะฮร๊า...ถ้าไม่ตื่นพี่จะยัดเยียดความเป็นสามีของพี่ให้คุณน้องเองนะฮร๊า” ณ จุดนี้ไม่ตื่นก็ต้องตื่นครับ พี่ช่างทำท่าขัดใจกระทืบเท้ามาเอาหมวกอบไอน้ำออกจากหัวผมก่อนจะถูกพาไปที่เตียงสระผมอีกรอบจากนั้นกระบวนการสระ ซอย เซตก็เกิดขึ้นตบท้ายด้วยการเมคอัพหน้าตาจนเกือบ 4 โมงเย็นผมก็ได้รับอนุญาตให้มองเงาตัวเองในกระจก ขุ่นพระหกตกลงในกระละมังกล้วยแขก…นั่นผมจริงๆเหรอ?? ผมอดที่จะยกมือขึ้นจับเส้นผมที่ตอนแรกเป็นสีดำสนิทแต่ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นสีบลอนด์ทอง ไฮไลท์ช่วยทำให้หน้าผมสว่างขึ้น ลูกปัดมันนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับเงาสะท้อนในกระจกให้กับผม “พรุ่งนี้ฉันจะพาแกไปแคสติ้ง” มันว่าราวกับรู้ว่าที่พาผมมาทำทุกสิ่งอย่างในวันนี้น่ะพื่ออะไร ดูมันเถอะ...คิดเร็วทำเร็วจนผมตามไม่ทัน “ป่ะแก เดี๋ยวฉันขนของไปรอแกที่ห้องนะส่วนแกก็ไปรับหมอตามที่สัญญาไว้” มันว่าหลังจากจ่ายเงินเป็นค่าทำผมเสร็จ ผมมองยอดเงินที่จ่ายไปวันนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ผมกำลังรู้สึกละอายใจ เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับต้องให้ผู้หญิงมาจ่ายเงินให้ ถ้าคนนอกมองว่าผมเป็นผู้ชายขายตัวล่ะจะทำยังไง? ลำพังตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนที่จะเสียหายคือเจ้าเปี๊ยกนี่น่ะสิ “ไม่ต้องคิดมากฉันจดใส่สมุดทุกบาททุกสตางค์มีงานทำเมื่อไหร่คืนมาพร้อมดอกเบี้ยด้วย” อีกครั้งที่อยู่ๆมันก็โพล่งออกมาราวอ่านใจได้ ผมมองมันอย่างอึ้งๆ แกชักจะรู้ใจฉันมากเกินไปแล้วนะ “ไม่ต้องมายืนทำหน้าหล่อใส่ฉันไปได้แล้วไปรับหมอ ไปช้าเดี๋ยวโดนด่านะ” ไอ้ลูกปัดมันเร่งให้ผมไปรับหมออีกครั้งผมมองนาฬิกาอีกเกือบชั่วโมงกว่าหมอจะเลิกงานกะเวลาและระยะทางแล้วผมว่าผมไปรถเมล์ดีกว่า ผมจัดการโบกแท็กซี่ให้ไอ้ปัดเสร็จแล้วจึงเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ความรู้สึกแปลกๆมันทำให้ผมต้องมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ ผู้หญิงสองสามคนจับกลุ่มกันมองมาที่ผมพลางกระซิบกระซาบกัน บางคนถึงกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผมอย่างไม่กลัวว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผม ผมได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาจมูกด้วยความรู้สึกเคอะเขินแต่สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือเสียงของเด็กสาวในชุดนักเรียนพยายามกลั้นเสียงกรี๊ดอย่างเต็มกำลัง เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันเนี่ย…ผมได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ยังงงได้ไม่เท่าไหร่รถเมล์สายที่ผมรอก็แล่นเข้ามาจอดป้าย ผมหันไปค้อมหลังพยักหน้าให้พวกเธอพลางส่งยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะก้าวขึ้นรถเมล์มา สิ่งที่ได้ยินก่อนที่ประตูจะปิดก็คือ “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด............เค้ายิ้มให้ฉันด้วยอ่ะ” “ใครบอกล่ะเค้ายิ้มให้ฉันตะหากล่ะ โอ๊ย...ถ้าบอกว่าเป็นดาราฉันก็เชื่อนะ หล่อมาก” เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมเอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนรถเมล์ในที่สุดผมก็ก้าวลงจากตัวรถหลังจากมันพาผมมาถึงหน้าโรงพยาบาล ในนั้นก็ยังคึกคักจากทั้งหมอและคนไข้ ผมเดินไปแผนกของหมอจิณณ์ด้วยความคุ้นเคยแวะทักทายหมอและพยาบาลบางคนที่คุ้นหน้ากันดีเพราะตลอดครึ่งปีมานี้เราเจอกันบ่อย บ่อยชนิดที่เรียกว่าบ่อยกว่าการเจอหน้าคนที่บ้าน และสิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากทักทายกันเสร็จคือ “ไปทำอะไรมาหล่อมากอ่ะ หล่อขึ้นเยอะเลย” ผมได้แต่ยิ้มรับไม่ได้ตอบอะไรมาก เอาความรู้สึกจริงๆตอนนี้ก้คือผมยังไม่คุ้นกับคำชมเหล่านั้นเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเกือบ 23 ปีของผมได้ยินและคุ้นชินกับคำพูดของหมอกว่าผมนั้นเป็นได้แค่ “ไอ้ลูกเป็ดขี้เหร่” เท่านั้นเอง คนไข้หน้าห้องตรวจของหมอไม่มีแล้วพยาบาลคงเคลียร์คิวจนเสร็จตอนนี้ผมแค่รอหมอออกเวรเท่านั้น แกร่ก...เสียงประตูเปิดทำให้ผมละสายตาจากหนังสือที่อ่าน เมื่อดวงตาผมสบกับสายตาของหมอจิณณ์ผมก็ส่งยิ้มไปให้ หมอจิณณ์ชะงักกับรอยยิ้มของผมก่อนที่จะปล่อยลูกบิดหลังจากเขยิบออกมาแล้ว “จำแทบไม่ได้แหน่ะ” ผมยิ้มรับกับท่าทางที่หมอค่อยๆเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าของผมฝ่ามือเรียวของหมอสอดเข้าไปในกลุ่มผมก่อนจะจับบังคับให้ผมเงยขึ้นสบตารอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ผมจนหัวใจของผมมันรู้สึกวูบวาบแปลกๆ “อย่าหล่อไปมากกว่านี้ได้มั้ย...” “ทำไมเหรอครับ” ผมถามหมออย่าง งงๆ “หมอหวง” ฉ่า.....อยู่ๆก็รู้สึกว่าหน้าของผมมันไหม้จนแดงไปหมดซึ่งหมอจิณณ์เองก็คงไม่ต่างกันผมลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้ามือของหมอมากุมไว้ “กลับบ้านเรากันเถอะครับ” “อื้อ...ไปสิ” หมอจิณณ์เดินตามผมมาอย่างว่าง่ายผมคว้าเอาสัมภาระต่างๆของหมอมาถือไว้ซะเอง มือเล็กๆของหมอนี่มันอุ่นจังเลยนะครับผมกระชับฝ่ามือของเราทั้งคู่ให้แน่นขึ้นเดินลงลิฟท์ออกมาภายนอก ป้ายรถเมล์ที่จะกลับบ้านต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งการจราจรตอนเย็นรถหนาแน่นผมจึงต้องยืนรอสัญญาณไฟเราสองคนไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งสัญญาณไฟบอกให้เราข้ามไปได้ บางสิ่งบางอย่างที่อัดแน่นในใจทำให้ผมตัดสินใจพุดออกไป “หมอครับ...” “หืม?” หมอหันมามองหน้าผมแบบงงๆเพราะผมไม่ยอมข้ามถนนไปซักทีในขณะที่คนอื่นๆรีบเร่งเดินแซงพวกเราไป “ผมว่าผมชอบหมอเข้าแล้วล่ะครับ ถ้ายังไงเราลองมาคบกันดูมั้ยครับ” เหมือนโลกจะหยุดนิ่งลงทันที ภาพรอบข้างราวกับถูกกดหยุดไว้เหลือแค่ผมกับหมอที่ยังขยับเขยื้อนหมอจิณณ์มองหน้าผมก่อนจะกดหน้าลงมองพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง ริมฝีปากอิ่มขยับยกยิ้มหวานให้กับผมก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง “ตอนนี้ก็ว่างๆอยู่พอดี” ผมมองหน้าหมอด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ หมอจิ๊ปากจนเกิดเสียงพลางบ่นพึมพำเบาๆ “โง่จริง...” ผมยิ่ง งง หนักเข้าไปใหญ่ แค่ขอคบกับหมอทำไมต้องโดนด่าด้วยล่ะครับ “ตอนนี้ว่างๆอยู่ก็ลองคบกันดูก็ได้ นี่รอให้พูดคำนี้มาเป็นเดือนๆแล้วนะเจ้าโง่” หมอว่าแค่นั้นก่อนจะสะบัดมือเดินหนีผมไปก่อน ผมประมวลคำพูดของหมอก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วรีบวิ่งตามหมอไป คว้ามือของหมอแล้วพาวิ่งข้ามฝั่งมาด้วยหัวใจเริงรื่นสุดๆ “เป็นแฟนกันแล้วนะ” ผมหันไปพูดยิ้มๆให้กับหมอซึ่งรายนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่แค่สายตาอ่อนโยนที่มองผมมันก็คือคำตอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะ ผม ภาคินัย อายุ 22 ปีกว่าๆ มีแฟนคนแรกแล้วนะครับ จุดพลุ... ..................... ตอนนี้ก็ว่างๆอยู่พอดี แต่ทำไมไม่เห็นมีใครมาขอไรต์คบ 555555555555555
รักกันเข้าใจกันนานๆนะ
อ่านตอนแรกไม่ทันจบเลยขอเม้นก่อน น้องเขาเป็นอะไรอะ เรางงมาก ไอ้เด็กเหี้ย แบบท้าเขาต่อยแล้วจบด้วยคำว่าจะฟ้องพ่อแม่ เอ๊ะ ปากเก่งจังไอ้หนู
ดีใจด้วยจ้าาาา
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เค้าคบกันแล้วววววววววววววววววววววววววววว :impress2: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
อยากมีโมเม้นโดนขอคบแบบนี้บ้างจังเลย อิจฉาาาาาา :ling1:
จุดพลุฉลองงงงง
ฉลองงงงงงงงง ต้องยอมรับว่าอย่างน้อยเมฆก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนดีๆอยู่ข้างๆ แถมตอนนี้โชคดีกว่าเดิมตรงได้แฟนดีเนี่ยแหละ
ลูกเป็ดขี้เหร่[:9:] “ไหนลองทำท่าทางสดใสซิ๊” เสียงผู้กำกับสั่งผม ผมกรอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ท่าทางสดใส ทำยังไงวะ ผมพยายามคิดทาทางว่าจะต้องทำยังไงถึงจะออกมาสดใสดูดีก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา แกร่กๆ...เสียงผู้กำกับเกาหัวจนรังแคกระจายเห็นแล้วอยากยื่นเฮดแอนด์โชเดอร์ให้ซักขวด “นั่นสดใสที่สุดแล้ว?” ผมหุบยิ้มห่อเหี่ยวทันทีในขณะที่ลูกปัดมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็ผมอุตส่าห์ฉีกยิ้มจนเหงือกปลิ้นแล้วคุณผู้กำกับยังไม่พอใจอีก การทดสอบหน้ากล้องบทชายหนุ่มผู้ร่าเริงนี่มันไม่ใช่ผมเลยให้ตายเถอะ “งั้นเอาใหม่ ลองทำอารมณ์เศร้าซิ แสดงด้านหดหู่ในจิตใจออกมาแล้วกลั่นออกมาเป็นน้ำตาทำให้เชื่อว่านายเศร้าจริงๆ” เหอะ...อยู่ๆจะให้ผมมาร้องไห้ใครจะทำได้ เรื่องเศร้าเหรอสำหรับผม “มึงมันไอ้ขยะเปียก” “ขอโทษพ่อซะสิ” “เมฆทำไมไม่ได้เรื่องเลยนะ ไม่เคยทำอะไรให้ได้ดั่งใจแม่ซักอย่าง” “ไอ้ลูกกาฝาก ลูกฉันก็ไม่ใช่ชอบทำให้หงุดหงิด” “ไอ้ลูกเป็ดขี้เหร่” เสียงคนในครอบครัวของผมดังซ้อนกันในหัวผมเซ็งแซ่ไปหมด ผมค่อยๆยกมือขึ้นขยุ้มกลุ่มผมของตัวเองก่อนจะค่อยๆไถลตัวกับกำแพงนั่งลงกับพื้นแล้วชันเข่าขึ้นมา ห้องทั้งห้องเงียบกริบมีเพียงเสียงในหัวของผมเท่านั้น ผมเจ็บ...เจ็บกับคำพูดเหล่านั้น เจ็บที่แม่ไม่ให้ความสำคัญกับผม เจ็บที่น้องชายเพียงคนเดียวไม่เคยให้ความเคารพ เจ็บที่พ่อเลี้ยงที่ผมเคารพรักเขาเหมือพ่อแท้ๆไม่ต้องการผม ผมเหมือนเศษขยะ สิ่งปฎิกูลที่ไม่มีใครต้องการ ไร้ค่า ทั้งๆที่ผมพยายามแล้ว พยายามเป็นลูกและพี่ชายที่ดีแต่เหมือนผมกำหินก้อนใหญ่ไว้ในมือพอผมโยนลงน้ำหินก้อนนั้นก็จมหายไป จะต้องให้ผมพยายามอีกมากขนาดไหน จะต้องให้ผมทำยังไงทุกคนถึงจะรับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว จะต้องทำยังไงผมถึงจะได้ไปนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวโดยไม่ต้องถูกแยกไปนั่งกินคนเดียวในครัว “คัท!!” ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ของผมเงยหน้าขึ้นมองคนในห้องอย่างตกใจ ผู้กำกับเดินมานั่งลงตบไหล่ผมปุ่ๆพลางยกยิ้มอย่างพอใจ “โอเค...นายผ่านการแคสติ้งล่ะบทน้องชายคนสุดท้องเป็นของนายนะเดี๋ยวเอาบทไปศึกษาแล้วอีกสองวันมาเซ็นต์สัญญาแล้วเดี๋ยวจะส่งไปเรียนการแสดงเพิ่มกำหนดเปิดกล้องอีก 2 เดือนเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ” ผมนั่งหน้าเหวอฟังที่ผู้กำกับพูดแล้วพยักหน้ารับอย่าง งงๆ พอทุกคนออกไปแล้วไอ้ลูกปัดก็วิ่งเตี้ยเข้ามาหาผม หน้ามันระรื่นราวกับเพิ่งดูเดี่ยว 20 ของพี่โน้สมาเชียวร่างเตี้ยจับมือผมเขย่าพลางกระโดดตุ่บตั๊บไปมา “แก๊...สำเร็จแล้วโว๊ย” ผมมองหน้ามันพร้อมกับประมวลคำพูดของผู้กำกับกับไอ้ลูกปัดก่อนจะทำตาโต หัวใจผมกำลังเต้นรัวเร็วรุนแรงราวกับจะหลุดออกมาจากออกจากนั้นก็ “เฮ๊!!!!!” แกร๊ง!!!! แก้วเบียร์ขนาดใหญ่สามใบถูกชนกันจนเกิดเสียงยามที่เนื้อแก้วกระทบกัน ผม หมอ ลูกปัดซื้อเบียร์มาฉลองกันแบบเต็มที่ กับแกล้มพร้อม เหล้าเบียร์พร้อม คนพร้อม พวกเราก็ลุยเต็มที่แบบไม่มีการหยุดสต๊อป “กินซะกินเยอะๆต่อไปเป็นดาราดังจะมานั่งกินแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ” หมอจิณณ์แฟนคนแรกพ่วงตำแหน่งเมียคนแรกของผมเอ่ยขึ้นก่อนจะเลื่อนจานของย่างต่างๆมาตรงหน้าผม “ทำไมอ่ะหมอ” ไอ้ลูกปัดที่มีฟองเบียร์ติดริมฝีปากบนเอ่ยถามอย่างสงสัย “ก็อีกหน่อยดังไงจะมีแฟนคลับตาม ไหนจะนักข่าวแม่ยกสารพัดต้องระวังตัวทุกย่างก้าวเงี๊ยะจะมานั่งดื่มนั่งชนกันแบบนี้คงไม่ได้” “โหย นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคตมากๆ” ไอ้ลูกปัดยังคงเถียงอย่างไม่ลดละ “อนาคตก็ต้องคิดเผื่อดิ่ชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยอาจจะไม่มีโอกาสได้มาน่งจิบเบียร์กันง่ายๆแบบนี้ก็ได้ ก็แฟนหมอทั้งหล่อทั้งนิสัยดีแบบนี้งานต้องชุกแน่ๆ พูดแล้วก็เขินขอถีบทีดิ่” หมอจิณณ์ขยับขาทำท่าจะถีบไอ้ปัดมันจริงๆจนไอ้เปี๊ยกที่กำลังกระดกเบียร์อยู่ต้องรีบร้องห้ามพลางเบี่ยงตัวหลบผมหัวเราะขำกับท่าทางตลกๆของสองคนนี้ เวลาล่วงไปเกือบเที่ยงคืนงานเลี้ยงของพวกเราก็เลิกราหมอจิณณ์เมาจนแก้มแดงส่วนลูกปัดมันบอกเหนื่อยและง่วงมกผมที่แค่มึนๆจึงเคลียร์โต๊ะจัดการหอบหมนกับผ้านวมมาให้มัน อากาศหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไอ้ปัดอาบน้ำเสร็จมันก็ซุกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้านวมเรียบร้อย ผมหันไปมองหมอที่นั่งซบหน้ากับโต๊ะก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอ็นดู คนตัวเล็กขดตัวน้อยๆเหมือนเด็กตัวจ้อยที่พร้อมจะกินนมนอน “หมอครับไปนอนกันเถอะครับ” ผมนั่งลงกระซิบชิดหูที่เย้นเฉียบของหมอ “อุ้มหน่อยเดินไม่ไหว” แหน่ะ...มีอ้อน ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะช้อนใต้ข้อพับขาอีกมือก็ช้อนใต้แผ่นหลังออกแรงยกร่างบางของหมอให้ขึ้นมาอยู่ในอ้อมอกหมอซุกหน้าเข้ากับอกของผมราวกับลูกนกซุกปีกแม่หาไออุ่น ผมหันหลังมาปิดประตูล็อคห้องเรียบร้อยตามความเคยชินหลังจากเราเข้ามาให้ห้องแล้วจัดการวางร่างของหมอลงบนเตียงนอนนุ่ม “อีกหน่อยเป็นดาราแล้วก็คงทิ้งหมอแน่ๆเลย” อยู่ๆเสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นหลังจากผมหันหลังเตรียมหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำผมชะงักกับคำพูดนั้นเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าหมอลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาแดงๆนั่นซะแล้ว “ผมจะทิ้งหมอได้ยังไงล่ะครับก็หมอน่ารักขนาดนี้น่ะ หื๊ม?” “ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะไม่ทิ้งกัน” เสียงอู้อี้นั่นยังคงเถียงดวงตาใสแป๋วจ้องมาที่ผมดูไม่มั่นใจจริงๆ ผมเดินไปหยุดใกล้กับหมอก่อนจะก้มหน้าไปชิดฝ่ามือของผมก็ประคองใบหน้าหวานนั้นไว้ริมฝีปากที่ผมจงใจจะส่งเข้าไปกระซิบชิดกับริมฝีปากของหมอเอ่ยบอกอย่างมั่นคง “หมอครับ..เมฆเป็นของหมอนะครับ” หมอหลบตาของผมใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ น่ารัก น่าหลงใหล เมฆจะไม่ทน ไม่ทนอีกต่อไป “หมอครับ..ขอนาบหน่อยได้มั้ยครับ” ... ..... ....... ........ “ก็เอาสิ” คำพูดก๋ากั่นที่เปล่งออกมาช่างสวนทางกับท่าทางของหมอจิณณ์ที่นั่งหน้าแดงก่ำพลางก้มมองมือของตัวเองที่เกาะกันไปพันกันมาอย่างไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหน เมฆค่อยๆก้าวเดินเข้าไปนั่งด้วยเข่าทั้งสองข้างของตนเองก่อนจะคว้ามือเรียวนั้นมากุมไว้ สายตาที่มองคุณหมอหน้าสวยถ่ายทอดความรักที่มีให้กันอย่างไม่คิดจะปิดบัง ปลายนิ้วอุ่นเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับตน แววไหววูบที่พัดผ่านเข้ามาแล้ววูบหายไปบ่งบอกว่าจริงๆแล้วคุณหมอหน้าสวยไม่ได้กล้าอย่างที่ปากพูดเลยซักนิด “กลัวเหรอครับ” เมฆอดที่จะกระเซ้าคนปากเก่งไม่ได้ หมอจิณณ์เสมองไปทางอื่นแต่คนเมาก็ยังคงปากเก่งไม่ลดละ “กะ..กลัวที่ไหน ที่สั่นเนี่ยสั่นสู้นะ” “จริงเหรอ” คนตัวสูงอายุน้อยกว่าเอ่ยถามราวกับสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องตลก หมอจิณณ์กดปากขมวดคิ้วฉับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเตรียมเถียงซึ่งก็เข้าทางกับคนที่ตั้งท่ารอรับอย่แล้วเพราะเพียงแค่งยหน้าจนริมฝีปากได้องศาความนุ่มหยุ่นอบอุ่นก็ทาบทับลงมาทันที ผมละเลียดกลีบปากที่หอมกลิ่นแอลกอฮอร์นั้นอย่างหลงใหลหมอจิณณ์ตอนแรกทำท่าเหมือนจะผลักผมออกราวลูกม้าพยศแต่พอตั้งหลักได้มือที่ผลักอกผมเบาๆก็เปลี่ยนเป็นกำเสื้อของผมแน่นก่อนจะปรับองศาให้เข้ารูปกับริมฝีปากของผม ถึงภาคปฎิบัติของผมจะติดลบแต่ทฤษฎีผมแน่นปั่กเพราะก็นะ ผมเองก็เป็นผู้ชายนี่นา ก็ต้องผ่านตากับพวกหนังจรรโลงสังคมพวกนี้มาบ้าง ผมกดจูบทีกลีบปากอิ่มนั้นเน้นๆย้ำๆก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปทักทายกับอวัยวะส่วนเดียวกันของคุณหมอ อ่า....ผมจำได้ว่าคราวที่แล้วผมก็จูบหมอแบบนี้ล่ะ เราสองคนต่างช่วงชิมความหอมหวานซึ่งกันและกันอยู่เป็นนานหมอจิณณ์เลื่อนมือที่กำเสื้อขงผมเปลี่ยนมาเป็นคล้องรอบลำคอแทนผมดันร่างบางให้นอนราบลงบนเตียงนอนนุ่มร่างของผมก็แทรกเข้าไปตรงกลางหว่างขาที่ตั้งฉากรออย่างถนัดถนี่ เสื้อผ้าของเราถูกผลัดกันปลดเปลื้องทีละชิ้น รสจูบจากนุ่มนวลกลายเป็นร้อนแรงขึ้นทุกที ฝ่ามือของเราต่างบีบเฟ้นร่างกายป่ายปัดไปทั่วราวกับจะสำรวจซึ่งกันและกัน ปลายลิ้นของผมลากไปทั่วร่างทั้งริมฝีปาก พวงแก้มอิ่ม เปลือกตา ต้นคอ แวะทำรอยตรงไหปลาร้าสวยจนมาถึงยอดอกที่เริ่มชูชันด้วยแรงกระตุ้นร่างบางของหมอจิณณ์บิดเร่ายามผมละเลงลิ้นกับหัวนมที่แข็งตึงสู้ลิ้น เอวบางร่อนขึ้นเป็นระยะยามที่ผมแกล้งขบฟันสลับซ้ายขวาจนน้ำลายใสยืดออกจากปาก เสียงที่ดังออกมาจากหมอจิณณ์ไม่ใช่เสียงบ่นด่าแบบทุกครั้งแต่กลับเป็นเสียงครางเบาๆอย่างเสียวซ่าน สองขาคล้ายจะไร้เรี่ยวแรงปลายเท้าจิกเกร็งกับที่นอนสองมือขยุ้มผมของผมเสียจนเจ็บหนังหัวไปหมดผมแวะทักทายสะดือบุ๋มก่อนจะไล้เรื่อยไปถึงจิณณ์น้อยที่ผงกหัวทักทายผมกลับยามใช้มือลูบหัวของเด็กดีเบาๆแต่ลู่ใหญ่กลับครางซี๊ดซะนี่ “อ๊ะ...อ๊า...อย่า...” เสียงร้องห้ามยามผมส่งลิ้นไปชิมส่วนปลายแดงก่ำแต่การกระทำของคุณหมอกลับสวนทางกับคำพูดเมื่อมือเรียวที่ขยุ้มกลุ่มผมของผมอยู่กับกดหัวของผมให้เข้าใกล้กับจิณณ์น้อยก่อนที่ผมจะครอบรูปปากรับเด็กดีเข้ามาไว้ในโพรงปากอุ่นก่อนจะขยับปากขึ้นลงตามความต้องการของคุณหมอที่คุมจังหวะให้สอดประสานกับผม ไม่วายแวะหยอกเล่นกับลูกองุ่นกลมสองลูกนั้น ทั้งนิ่มทั้งอุ่นผมดูดแรงๆจนคุณหมอสะดุ้งเฮือกกดหน้าของผมลงมาอีกอย่างแรงจนผมต้องส่งปลายลิ้นไปทักทายกับปากทางสีอ่อนที่กำลังขมิบรัวอย่างเชิญชวน “เมฆอย่า...” อีกครั้งที่คำห้ามของหมอดูจะไร้น้ำหนักผมส่งปลายลิ้นชิมความแปลกใหม่จนมันชื้นแฉะคราวนี้ก็อยากข้าไปสำรวจปากถ้ำดูซักหน่อย ผมค่อยๆใช้ปลายนิ้วกดแทรกเข้าไป คุณหมอสะดุ้งเฮือกหากแต่ก็ยอมผ่อนคลายตามที่ผมบอก “อ๊ะ...อื้อ...ดี” เสียงเอ่ยชมออกมายามที่ผมแทรกนิ้วที่สองเข้าไป ก้นกลมลอยขึ้นจากเตียงพลางขยับบั้นเอวรับกับปลายนิ้วของผม ร่างบางสั่นสะท้านยามที่ผมเร่งความเร็ว เสียงครางหวานดังระงมแต่จู่ๆหมอก็ผงกหัวขึ้นมาพลางร้องสั่งสียงดัง “หย่ะ...หยุดก่อน...” ผมที่กำลังปลุกความเป็นชายในตัวเองอยู่ชะงักกับคำขอที่นอนอ่อนระทวยใต้ร่างผมหยุดกึกทันที “เอานิ้วออกก่อน” เสียงหวานที่เจือสั่นเล็กๆร้องสั่งผม ใบหน้าหวานเหยเก ถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมอขอนักแต่ผมเลือกที่จะตามใจหมอมากกว่า ทันทีที่ผมชักนิ้วออกจากช่องทางรักที่พร้อมสำหรับการรวมร่างแล้วสิ่งๆนี้ก็ดังขึ้น... ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!! พลังทวินแคม 16 วาล์วจากตูดหมออัดใส่หน้าผมด้วยความเร็วลม 18 กม./ชั่วโมง กลิ่นไม่มีก็จริงแต่ผมก็กลันหายใจจนลมอุ่นๆนั้นผ่านหน้าไปให้ได้รับรู้ว่าสิ่งที่หมอขอคืออะไร ให้สามคำ... หด ห่อ เหี่ยว “โทษทีอ่ะ คือหมอเป็นพวกมีอะไรมาวนเวียนที่ตูดไม่ได้พาลจะขี้ทุกที” เสียงคุณหมอเอ่ยบอกแผ่วเบา ผมส่ายหน้าให้กับความตรงไปตรงมาของคุณหมอ ผมถอนหายใจบาๆนึกเอ็นดูกับคนที่พยายามจะหุบขาของตัวเองเพื่อต้นขาปิดบังจิณณ์น้อยจากสายตาของผม “มา...ต่อเถอะ หมอพร้อมแล้วนะ” ในที่สุดเมื่อเห็นผมนิ่งไปหมอก็จัดการอ้าขาพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งเล่นของตัวเองไปด้วย ภาพแบบนี้หาดูยากครับผมจ้องการกระทำของคุณหมอไม่วางตาจนรู้สึกว่าเมฆน้อยของผมพร้อมเข้าไปสำรวจถ้ำลึกลับอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนเดิมจนกระทั่งผมค่อยๆกดแกนกายเข้าไปช้าๆ คุณหมอเชิดหน้าสูงหางตาปริ่มไปด้วยน้ำใสผมกดจูบซับน้ำตาก่อนจะกวาดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากเบี่ยงเบนความสนใจให้คุณหมอคลายความเจ็บลงไปฝ่ามือก็ขยำก้นนิ่มพลางแบะออกเพื่อแทรกกายเข้าไปจนสุด กดแช่แล้วจูบสูบวิญญาณจนรู้สึกว่าผนังอุ่นที่บีบรัดเมฆน้อยคลายลงจึงลองขยับดูหน่อยแม้จะยังฝืดอยู่บ้างแต่ก็พอจะดึงออกแล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่ ผมกัดฟันกรอดพยายามระงับสติที่กำลังพุ่งพล่านด้วยแรงอารมณ์ทั้งๆที่อยากจะกระแทกแรงๆแต่เห็นอาการกัดปากผ่อนลมหายใจของหมอก็พาลทำให้สงสารต้องอดทนขยับกายอย่างใจเย็นจนกระทั่งอาการเกร็งของคุณหมอลดลงแทนที่เสียงร้องอย่างเจ็บปวดกลายเป็นเสียงครางหวานแม้ส่วนปลายแข็งของผมกดเข้าไปถูกจุดจนหมอสะดุ้งกอดผมแน่นปลายเล็บก็จิกลงบนแผ่นหลังของผม ฟันซี่เล็กขบลงบนไหล่ของผมอย่างลืมตัว ผมลองสาวกายขึ้นก่อนจะกดย้ำลงไปจุดเดิมให้แน่ใจแล้วก็เช่นเดิมร่างบางสะดุ้งสุดตัวครางเสียงดังลั่นอย่างลืมอายเบียดกายจนแนบสนิทกับตัวผมจนไม่มีที่ว่างให้แมลงสาบหรือไรฝุ่นลอดผ่าน ดวงตาที่เคยกลมโตใสแป๋วบัดนี้หลับตาปี๋จนเห็นตีนกาสามขีดที่หางตา “หมอครับผมรักหมอนะครับ เมฆเป็นของหมอคนเดียวนะครับ” “อ๊า...ผมก็รัก..รักคุณนะ” เสียงตอบกลับคำรักของผมที่เอ่ยกระซิบเสียงกระเส่าที่ริมหูของผมทำให้หัวใจอุ่นวาบ ผมขยับสะโพกเร็วขึ้นจนร่างบางโยกคลอนตามจังหวะที่ผมเป็นคนคุมเกมส์ จากท่าธรรมดาปรับเปลี่ยนเป็นตอนนี้ผมนอนซ้อนทางด้านหลังของหมอดันเข่าให้ลอยขึ้นพร้อมกับตอกแกนกายเข้าไปหนักๆถี่รัว เสียงร้องสั่งดังขึ้นเป็นระยะยามผมเร่งจังหวะ “อ๊ะ...เจ็บจังเมฆเบาหน่อยได้มั้ย อื้อ...แน่น...อา....ดีจังเลยเมฆ ผ่อนแรง...อ๊า...หน่อยนั่นแหล่ะดีมาก อ๊า....” “อ๊ะ....แรงๆ ตรงนั้นย้ำลงไปอีกได้มั้ย อา....นั่นล่ะใช่สุดยอดเลย” ผมขยับสะโพกโยกกับหมอด้วยอารมณ์หลากหลาย สุขสมที่ได้เป็นเจ้าของร่างกายนี้อย่างสมบูรณ์และมีสติสัมปัชชัญญะครบถ้วน ความเสียวที่แล่นมาจนถึงช่วงปลายสุดทำให้ผมหลับตาเชิดหน้ากัดปากจนรู้สึกเจ็บก่อนที่ผมจะเร่งจังหวะถี่ยิบสองมือประสานกันแน่นผมกระซิบชิดริมหูแดงที่ซึมชื้นด้วยเหงื่อที่เกิดจากกิจกรรมเข้าจังหวะของเรา “ผมรักหมอนะครับ เมฆรักจิณณ์นะครับ ไปพร้อมกันนะ” “อ่ะอื้อ...หมอจะ...ไม่ไหวแล้วนะ” ผมเร่งจังหวะยามที่ร่างบางของเมียคนสวยของผมเริ่มตอดถี่แรงขึ้นมือข้างหนึ่งก็ช่วยรูดรั้งแกนกายอันน่ารักของคุณหมอจนกระทั่งร่างบางกระตุกเกร็งเสียงหวานครางหวีดก่อนจะนอนหอบในขณะที่ผมก็ส่งเสียงครางต่ำพลางปล่อยของเหลวออกมาจนคุณหมอสะดุ้งวาบอีกครั้ง ผมกดจูบที่ขมับชื้นเหงื่ออย่างรักใคร่ คราวนี้เซ็กส์ครั้งนี้ผมมีสติเกือบเต็มร้อย รับรู้ว่ามันหวานละมุนระคนร้อนแรงแค่ไหน คุณหมอน่ารักแค่ไหนยามเอ่ยคำรักให้หัวใจของผมได้รู้สึกดี ผมลูบสะโพกกลมเบาๆไปมาก่อนจะเริ่มเล็มใบหูของหมอเล่นอีกครั้ง หมอจิณณ์หันมายิ้มให้ผม ให้ตายสิปากแดงๆแบบนี้มันยั่วกันชัดๆก่อนที่คุณหมอจะทันตั้งตัวอะไรผมก็ขึ้นคร่อมอีกรอบพลางซุกหน้ากับซอกคอหอมอย่างหมั่นเขี้ยวเต็มที่ “อ๊า...เด็กบ้า....อย่าเพิ่งสิยังไม่หายเหนื่อยเลยนะ” เสียงหมอร้องประท้วงแต่ผมหาสนไม่ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนักนะครับคุณเมียของผม หึหึหึ ด้านนอกบนโซฟาตัวใหญ่ร่างบางที่นอนขดตัวคลุมโปงอยู่สลัดผ้านวมออกจากหน้า สีหน้างัวเงียอารมณ์เสียสุดๆ “โหย...นวดกันอีกแล้วสิเนี่ย แก่แล้วก็เงี้ยล่ะ” ลูกปัดส่ายหน้าก่อนจะคลุมโปงหลับไปอย่างไม่สนใจเสียงครางระงมที่ดังลอดออกมา ก็แค่นวดล่ะว๊าไม่ได้นาบซักหน่อยลูกปัดไม่ตื่นเต้นแล้วแหล่ะ การได้ตื่นนอนในตอนสายของอีกวันหลังผ่านกิจกรรมร้อนเมื่อคืนแล้วพบกับคุณหมอคนสวยนอนคว่ำหน้ากอดหมอนสีขาวใบโตที่ตามแผ่นหลังและส่วนต่างๆของร่างการขึ้นรอยจ้ำสีแดงมันทำให้ผมอดเผยยิ้มออกมาไม่ได้ กดจูบที่ไหล่ขาวเนียน ลูบลงบนสะโพกเบาๆ ผ้าห่มสีแดงสดพาดทับหมิ่นเหม่อยู่ที่สะโพกที่ผมรู้ดีว่าในนั้นก็ไม่มีอะไรติดกายอยู่เลยเพราะผมลอกคราบออกไปตั้งแต่เมื่อคืน เสียงถอนหายใจอย่างคนรำคาญเวลาถูกรบกวนการนอนทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะตัดใจลุกขึ้นจากเตียงเดินเปลือยเปล่าเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย เกือบ 20 นาทีที่ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเมื่อออกมาก็พบว่าหมอจิณณ์นอนตะแคงมองมาทางผมเหมือนรอคอยอยู่ ผมส่งยิ้มที่คิดว่าโคตรหล่อไปให้แต่ปฎิกริยาที่ได้รับกลับมาก็คือ ปุ.... เต็มหน้าผมเลยครับ นิตสารเล่มเล็กๆถูกเขวี้ยงมาใส่ผมโชคดีที่มันเป็นหนังสือเล่มบางๆปกอ่อนผมจึงไม่เจ็บ “หมอ...” “ไอ้เมฆ!!!” เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ทำไมหมอเรียกเมฆแบบนี้ เมฆกลัวนะครับ แล้วสายตาที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนั่นอีกล่ะ ผมผงะถอยหลังไปสามก้าวเหมือนคนที่กำลังจะตั้งหลักในขณะที่หมอค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น ท่าทางของหมอเหมือนซอมบี้ที่เพิ่งฟื้นคืนชีพมันดูเงอะงะแปลกๆ ซักพักหมอก็ค่อยๆวางเท้าลงบนพื้นพร้อมเสียงร้องและใบหน้าเหยเก “อูย.....” “หมอเป็นอะไรครับ นอนทับแขนเหน็บกินเหรอครับ” “เหน็บบ้านป้าแกสิ...บอกมานะทำไมมีอะไรกันครั้งนี้แล้วฉันเจ็บฉันระบมฉันปวดร้าวไปทั้งตัวเลยแกทำอีท่าไหนห๊ะ!!” เสียงคุณหมอหวีดแหวดังประมาณหกสิบเดซิเบลทำให้เมฆผู้อ่อนต่อโลกอย่างผมกลัว ทำอีท่าไหนเหรอ?? ใครจะไปจำได้รู้แค่ว่าเมื่อคืนก็หลายท่าอยู่กว่าจะหมดแรงได้นอน หมอเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาผม ตลกอ่ะ ตัวแดงเป็นจ้ำ ตูดก็บิด แถมเดินกระเผลกแปลกๆ เหมือนซอมบี้จริงๆนะเฮ๊ย “ฮ่ะ..ฮะ.. ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ที่สุดผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่โดยลืมไปว่าหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่ง ผั่วะ!!! ถึงขั้นน้ำตาเล็ด ไม่ได้ขำจนน้ำตาเล็ดนะครับแต่เพราะรู้สึกเหมือนตอนนี้กระโหลกของผมจะร้าวด้วยฝ่ามือสยบมารของหมอที่ฟาดลงมาเต็มๆกบาลทำให้ผมหยุดหัวเราะแบบชะงักงัน ตบหัวแบบนี้เดี๋ยวฉี่รดที่นอนนะหมอไม่รู้หรือไงกำลังจะอ้าปากตัดพ้อก็พอดีกับที่เงยหน้ามือตบกำลังเบะปากปล่อยน้ำตาให้ร่วงริน “หมอครับ..ร้องไห้ทำไม...โกรธผมเหรอครับ” ผมรีบเข้าไปประคองหมอที่ยืนปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาโดยไม่แม้แต่จะสนใจยกมือขึ้นเช็ด “เจ็บ...เจ็บจริงๆนะ...ยิ่งขยับตัวยิ่งเจ็บ” เสียงหมอพูดเบาๆแต่ดังเข้ามาชัดเจนในหูผมจนทำให้ผมรู้สึกผิด รับรู้ได้ เข้าใจได้ว่าตอนนี้หมอคงจะปวดเมื่อยเนื้อตัวและคงมีไข้เพราะตัวหมอร้อนรุมๆ ผมกอดหมอที่เบี่ยงตัวหลบผมไว้อย่างหลวมๆ “เจ็บมากมั้ยครับ...เมฆขอโทษนะ...ผมขอโทษนะครับหมอไหนบอกมาซิว่าเจ็บตรงไหนมั่งอ่ะ หื๊ม?” เพราะอยู่ด้วยกันมาครึ่งค่อนปีทำให้ผมรู้ว่าหมอแพ้คนพูดจาหวานๆเพราะๆ ยิ่งละมุนแบบนี้แล้วหมอจะยิ่งอ่อนให้ทำให้ผมปรับใช้โทนเสียงอ่อนๆพลางเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ “เจ็บ...เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย...ฮึก...ตรงนี้ก็เจ็บ” หมอชี้ไปที่ริมฝีปากบวมเจ่อของตัวเอง “ตรงนี้ก็ด้วย” ซองคอขาวที่มีรอยแดงจากการขบเม้มของผมถูกชี้จุด “ตรงนี้ก็เจ็บ” ไหล่เนียนถูกชี้จุด “ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ตรงนี้ก็ด้วย” ทั่วร่างกายถูกชี้ราวกับจะฟ้อง “ก้นก็เจ็บ นายทำหมอเจ็บระบมไปทั้งตัวเลยนะ” น้ำเสียงตัดพ้อดวงตาที่ตวัดมองอย่างไม่พอใจถูกส่งมาให้ผม “ข้างในนี้ก็รู้สึกไม่สบายตัวด้วย” วืด “อ๊ะ” ทันทีที่ผมช้อนตัวคุณหมอขึ้นอุ้มวงแขนเรียวก็ตวัดคล้องคอผมโดยอัติโนมัติ “นี่ จะทำอะไร” “พาหมอไปอาบน้ำไงครับจะได้สบายตัว” ผมว่าเพียงแค่นั้นก่อนจะอุ้มร่างบางของเมียป้ายแดงเข้าไปในห้องน้ำ” ด้านนอกลูกปัดที่ตื่นขึ้นมาได้ซักพักกำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหารแล้วมานั่งรอข้าวสุกที่โซฟาหน้าทีวี “อ๊ะ...หมอนั่งนิ่งๆสิครับขยับแบบนี้ผมจะทนไม่ไหวเอานะ” “ก็มันเมื่อยนี่” “อ๊ะ...อา....” เสียงที่ดังลอดออกมาจากในห้องทำให้ลูกปัดส่ายหัว “เออ...ตื่นมานวดกันแต่เช้าเลยเว้ย แบบนี้ต้องพาไปวัดโพธิ์นวดแผนโบราณท่าจะดี ให้เมฆมันนวดจะหายมั้ยมีแต่ปวดหนักกว่าเดิมอ่ะดิ่” ...................................
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ลูกปัดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด นี่มานช่วงเวลาต้องฟินสิคระะะะะ55555555555555 ในที่สุดก้อเมียคนแรกไม่มะโนละนะ :-[ :-[ :-[
โถ ลูกปัด5555
:m20:
:-[
ลูกเป็ดขี้เหร่[:10:] ผมคลี่บทละครซีนต่อไปที่ทีมงานกำลังเซตฉากช่างแต่งหน้าทำผมต่างวิ่งกันให้วุ่นซับหน้าเติมแป้งทาลิปยีผมให้ยุ่งๆ เพราะมัวแต่ตั้งใจในการอ่านบทอยู่เลยทำให้เจ๊ช่างทำผมใช้หวีสับหัวซะทีนึง “นี่พ่อคุณพ่อมหาจำเริญพ่อคนรวยแคลเซี่ยมถ้าไม่ยืนถ่างขาก็ช่วยนั่งหน่อยเถอะเจ๊ทำผมให้ไม่ถึงจริงๆ” ผมหลุดจากบทละครมองลงมาระดับอกเจ๊ร่างเล็กที่มีความสูงแค่ราวนมยืนทำหน้ายักษ์ใส่ เอื้อมสุดสอยมือเจ๊แกก็อยู่แค่หน้าผาก ผมหลุดหัวเราะเบาๆอย่างเขินๆในการลืมทุกสิ่งอย่างรอบกาย บทน้องชายคนเล็กที่เก็บกดและมีปัญหากับพี่ชายคนโตที่รับบทโดยพราะเอกชื่อดังทำให้ผมค้นพบว่าจริงๆแล้วผมชอบที่จะแสดงไปตามบทบาทที่ได้รับ ตอนนี้เวลาออกไปข้างนอกเริ่มมีคนจำผมได้บ้างแล้วเพราะละครออนแอร์ได้สามตอนแล้ว คืนแรกที่ออนแอร์ผมต้องมาปาร์ตี้นั่งดูพร้อมกันกับคนในกอง ผมต้องแกล้งทำเป็นตื่นเต้นสนุกสนานให้พี่ๆทีมงานและเหล่านักแสดงเห็น แต่จริงๆแล้วผมน่ะอยากกลับไปนอนหนุนตักให้คุณหมอลูบผมพูดคุยกันไปดูกันไปมากกว่า ผมรักการแสดง ผมรักบรรยากาศในกองถ่ายที่มีแต่คนมารุมล้อมให้ความใส่ใจ บรรยากาศที่ผมมีความสำคัญแบบที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนเมื่ออยู่ที่บ้าน เหมือนผมจะหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งยามที่ผู้กำกับนับให้สัญญาณ ผมนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนที่แก้วชาเขียวจะถูกยื่นให้ ลูกปัดที่ลาออกจากงานผันตัวมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมนั่นเอง หลังจากเรียนการแสดงเกือบสามเดือนละครจำนวน 30 ตอนก็เปิดกล้อง เวลาที่ผมได้เจอหมอจิณณ์บิดเบี้ยวไปหมดบางครั้งผมต้องออกกองตั้งแต่เช้ามืดหมอยังไม่ตื่น บางวันกองเลิกเกือบสว่างหมอหลับไปแล้วพอผมตื่นมาตอนสายหมอก็ไปทำงาน หลายครั้งผมสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะมีอะไรเย็นๆมาแปะหน้าก็พบว่าหมอเอาแผ่นมาร์คหน้าและพวกครีมบำรุงผิวมาทาให้ เคยถึงขั้นกอดกันแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาก็มี “พักนี้นายไม่มีเวลาให้หมอเลยนะ” หลายครั้งคำๆนี้ถูกส่งออกมาราวตัดพ้อแล้วหัวกลมก็ถูไถไปมากับอกผมราวลูกแมวช่างอ้อน “ผมขอโทษครับช่วงนี้เปิดกล้องแล้วเป็นเรื่องแรกของผมด้วยผมอยากทำให้ดีเค้าจะได้จ้างผมบ่อยๆจะได้มีเงินไปให้แม่พาหมอไปเที่ยว เรายังไม่เคยไปเที่ยวไกลๆกันเลยใช่มั๊ยครับหมอคิดไว้ยังครับว่าอยากไปเที่ยวไหนพอผมว่างผมจะพาหมอไปเลย” นั่นคือคำถามที่หมอบอกขอคิดดูก่อน ถึงหมอจะขี้งอน อารมณ์ร้อนแต่หมอก็ไม่เคยงอแงเรื่องการทำงานของผมไม่เคยโทรเชคว่าจะกลับกี่โมงมีแต่เวลาว่างหมอจะส่งข้อความมาบอกให้ผมสู้ๆ แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับกำลังใจของผม “เออนี่แก บริษัท xx โทรมาแล้วนะเว้ยแกจะเอาไงเรื่องเซ็นสัญญา” ลูกปัดมันพูดถึงเรื่องที่ค่ายเพลงและต้นสังกัดดังของดาราหลายคนทาบทามให้ผมเข้าไปเป็นดาราในสังกัด ผมไหวไหล่ “ยังไม่ได้คิดเลยว่ะ แกว่าไงอ่ะ” ผมไม่ได้คิดเรื่องที่จะเข้าสังกัดไหนทั้งนั้นความจริงเป็นดาราอิสระก็ดีอยากรับก็รับไม่อยากรับก็ไม่ต้งรับได้ข่าวมาว่าค่ายนี้ชอบรับงานให้ดาราหนักแต่ก็ดังทุกคน ดูอย่างพระเอกละครเรื่องที่ผมเล่นสิดังระดับเอเซียเลย “ฉันว่ามันก็เป็นโอกาสที่ดีนะอีกอย่างได้มืออาชีพจัดการตารางงานให้อาจจะดีกว่าที่ฉันทำ” ครับลูกปัดมันพูดถูกครับ ผมได้คุยแบบคร่าวๆมาบ้างแล้วที่ผมยังลังเลคือถ้าเซ็นสัญญากับบริษัทแล้วทางนั้นจะส่งผู้จัดการส่วนตัวมาให้แทนลูกปัด “แล้วแกล่ะวะปัด” “อีกไม่นานฉันก็ต้องกลับไปคุมโรงสี เปลี่ยนซะตอนนี้มันเป็นผลดีกับแกนะ” ผมคิดตามที่ลูกปัดมันพูดครับ ตอนนี้พ่อของมันโทรมาเร่งให้ปัดกลับไปอยู่บ้านแทบจะทุกวัน เป็นเพราะผมแม่โรบินฮู๊ดสาวจึงจำต้องฝืนใจกลับไปอยู่ในที่ๆตัวเองพยายามหนีตลอดเวลา “ถ้าไม่กลับพ่อส่งพี่ๆฉันมาลากกลับชัวร์” มันบ่นอุบครับ หลังจากนั้นเราก็นั่งกันเงียบผมอ่านบทมันดูคิวงานที่รับไว้อีกสองสามงานเป็นงานถ่ายนิตยสารกับโฆษณาสินค้าอีกสองงาน ความเงียบปกคลุมเราสองคนท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในกองถ่าย “เออ!!” เฮือก!!! เหยดดดดดดดดดดดด......ไอ้เตี้ยนี่ อยู่ๆก็เออ ออกมาซะดังคนกำลังเพลินๆตกใจหมด ผมเงยหน้ามองมันหน้าตาคงเหรอหรามันถึงหลุดหัวเราะก๊ากซะงั้น “เอาดีๆ อะไรของแกไอ้บ้าตกใจหมด” “แก...ลืมอะไรไปป่ะ?” “อะไร มีงานต่อเหรอวันนี้” ผมถามกลับลูกปัดที่ทำตาวิ๊บวับ “มีแน่” “เฮ๊ยงานไรวะ?” ผมว่าวันนี้มีถ่ายละครอย่างเดียวนะนี่เหลือซีนสุดท้ายก็ได้กลับบ้านนอนแล้ว สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้วอากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทุกที “วันนี้วันเกิดแกไงไอ้บ้าแกต้องรีบกลับไปฉลองกับหมอ” “หืม??” ผมเบิกตากว้าง 6 พย. ให้ตายสิ วันนี้วันเกิดผมนี่นา เออหว่ะ ใช่จริงๆด้วย “เออ...ลืมสนิทเลยหว่ะว่าเคยมีวันเกิด” “เฮ๊ย...วันนี้วันดีนะเว้ย อย่าดราม่าดิ่” ไอ้ปัดมันคงรู้ล่ะครับว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมคิดถึงครอบครัวของผม ผมคิดถึงแม่ บ้านอื่นเวลาถึงวันเกิดอาจจะมีของขวัญ มีฉลองเป่าเค้ก แต่สำหรับผม เค้กก้อนสุดท้ายตอนผมอายุ 6 ขวบ หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้เป่าเทียนอีกเลยตั้งแต่มีหมอกเกิดขึ้นมาบนโลก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกมอบให้เด็กคนนั้นหมด ทั้งพ่อแม่ ทั้งความรัก ให้หมดจนไม่เหลือถึงผม “อย่าเศร้าดิ่แก แกยังมีฉันเป็นเพื่อนนะเว้ย ที่สำคัญปีนี้แกมีกำลังใจชิ้นใหญ่รออยู่นะ หมอโทรมาเมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าถ่ายเสร็จให้รีบกลับคอนโด หมอเตรียมของขวัญไว้ให้ จริงสินะ...ถึงผมจะห่างหายจากของขวัญวันเกิดไปนานจนลืมแต่ปีนี้มันพิเศษ ผมมีเพื่อนที่ดีมีคนรักที่น่ารัก “อ่ะ...” กล่องของขวัญเล็กๆถูกยื่นมาตรงหน้า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ยะ มีความสุขมากๆ” “อะไรอ่ะ” ผมรับกล่องมาเขย่าเบาๆ “นาฬิกาว่ะ” “อ๊าว...ไอ้นี่ก็ตอบง่ายๆ ทำไมไม่เล่นตัวหน่อยวะแบบไม่บอกไปเปิดดูเอง” “อ๊าว ถ้าอยากเซอร์ไพร์ทแล้วจะถามทำหอกอะไรล่ะ” มันส่งค้อนกลับมาครับ คันเท้ายิกๆ “เมฆ เข้าฉาก” ผมที่กำลังจะทำการประทุษร้ายลูกปัดทางความคิดต้องรีบลุกขึ้นเมื่อทีมงานเดินมาตาม หลังจากนั้นผมก็ลืมเรื่องส่วนตัวไปซะสิ้นตั้งอกตั้งใจทำงานในส่วนของตัวเอง ซีนนี้เป็นซีนอารมณ์ที่ผมต้องโต้เถียงกับพี่ชายแล้วมีแม่มาคอยห้าม เป็นซีนที่ผมรู้สึกอิน เหมือนผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในตัวพี่ชายและผมกำลังเป็นหมอก ติดที่ว่าบทแม่ในละครนั้นเข้าข้างพี่ชาย ต่างจากชีวิตจริงของผมที่แม่เอาแต่เข้าข้างลูกชายคนเล็ก น้ำตาแห่งความน้อยใจของผมค่อยๆไหลตอนที่ฝ่ามือของแม่ตบกระทบผิวแก้ม นักแสดงหญิงไม่ได้ตบโดนจริงแค่มุมกล้องแต่ไดอะลอคที่ต้องพูดต่างหากที่ทำผมสะเทือนใจ “แกมันลูกสารเลวเกิดมาไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจเลยซักครั้งสร้างแต่ภาระก่อแต่ปัญหาแกไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้เลยจริงๆ” อินเนอร์ที่ดาราหญิงส่งมาให้ทำให้ผมอินกับการแสดงตอนนี้จริงๆ ทุกสิ่งเงียบสนิทเหลือเพียงผมพี่ชายและแม่ในบทที่ส่งอารมณ์กันสุดๆ “คัท!!” ในที่สุดเสียงผู้กำกับก็สั่งคัทดาราหญิงท่านนั้นรวบตัวผมไปกอด ร่างกายของผมสั่นเทาอย่างคนที่ยังอินกับบทไม่หาย “ไม่เป็นไรแล้วนะ โอ๋ๆหนุ่มน้อยของแม่เลิกร้องไห้นะ” อบอุ่นจังครับ อ้อมกอดของคุณแม่ในบททำให้ผมสวมกอดเธอไว้หลวมๆพลางหลับตาปล่อยน้ำตาให้ไหล “ขอผมกอดอีกแป๊บนะครับ คุณเหมือนแม่ผมจังเลย” ผมพูดข้างๆหูเธอ เธอไม่ได้ว่าอะไรเพียงหัวเราะและกระชับอ้อมกอดพลางลูบหลังของผมไปมาเบาๆอย่างอ่อนโยน พรึ่บ!!! อยู่ๆไฟในห้องก็ดับพรึ่บลงผมผละอ้อมกอดออกจากคุณน้านักแสดงหญิงท่านนั้นก่อนที่ทั้งห้องจะสว่างนวลด้วยแสงเทียนที่ปักลงบนหน้าเค้ก เสียงเพลงอวยพรวันเกิดดังขึ้นพร้อมจังหวะการปรบมือ นางเอกของเรื่องเป็นคนประคองถาดเค้กมาพี่เอ้ที่รับบทพระเอกบอกให้ผมหลับตาอธิฐาน ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการอธิฐานในวันเกิดเลยแต่เปลือกตาของผมก็ค่อยๆปิดลง พร้อมกับเสียงภาวนาในใจของผมก็ดังขึ้น “ขอให้ผมมีความสุขนับจากวันนี้ไปเป็นดาวที่เจิดจรัสมีแต่คนรักขอให้แม่รักผมมากกว่าน้องบ้างซักครั้งในชีวิตขอให้ผมประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเยอะๆ” ผมลืมตาพร้อมกับเป่าเทียนบนเค้กก้อนนั้น กว่าจะลาทุกคนออกมาได้ก็เกือบห้าทุ่มลูกปัดโบกแท็กซี่กลับไปแล้ว มันกลับไปนอนหอได้เกือบสามเดือนแล้วหลังจากรู้ว่าไอ้เสียงแปลกๆในห้องไม่ได้เกิดมาจากการนวดเพราะคุณหมอดันหลุดปากด่าผมตอนกำลังกินข้าวเรื่องที่ผมชอบทำรอยบนตัวหมอ มันเขินผมกับหมอไปซะหลายวันเชียวแหละ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังไขกุญแจรถ “ถึงไหนแล้ว?” “กำลังจะกลับครับ” “อื้อ รีบกลับมานะ” “ครับเดี๋ยวจะตรงดิ่งไปที่ห้องเลยครับ” ผมขับรถยนต์ที่เก็บเงินซื้อรถมือสองมาได้ 1 คันกลับคอนโดใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงผมก็เสียบคีย์การ์ดเข้ากับประตู ทั้งห้องเงียบสนิทไฟถูกปิดแต่มีเทียนปักบนพื้นเป็นทางเดินเข้าไปสู่ประตูห้อง กล่องของขวัญหลากขนาดถูกวางไว้รอบห้องมีกระดานเล็กๆตั้งอยู่ ถ้าคิดว่าของขวัญกล่องอื่นสำคัญก็เลือกเปิดซักกล่องแต่ถ้าคิดว่าไม่ตามทางเข้ามาจะมีของขวัญกล่องใหญ่รออยู่ ผมอ่านข้อความบนกระดานอดอมยิ้มกับความขี้เล่นของคนที่เตรียมของขวัญวันเกิดของผมไม่ได้ผมโยนกล่องของขวัญกล่องหนึ่งที่เก็บขึ้นมาดูทิ้งแล้วค่อยๆเป่าเทียนทีละเล่มจนถึงเล่มสุดท้ายหน้าประตูห้อง ไม่ใช่อะไรกลัวเผลอวางทิ้งไว้แล้วไฟจะไหม้ห้องเอา เมื่อเปิดประตูเข้าไปไฟในห้องที่ให้ความสว่างมีเพียงโคมไฟที่หัวเตียงเท่านั้น ไร้เงาคุณหมอคนสวยแต่บนเตียงกลับมีกล่องใบใหญ่วางอยู่ที่สำคัญมันขยุกขยิกได้ ผมส่ายหัวกับความช่างคิดของเมียคนสวยก่อนจะค่อยๆนั่งบนเข่าของตัวเองแล้วคลานเข้าหากล่องใบยักษ์อย่างแผ่วเบา “ของขวัญกล่องนี้ของผมใช่มั๊ยเอ่ย?...” ไม่มีเสียงตอบกลับมีเพียงกล่องใบโตขยับนิดหน่อย ผมค่อยๆเปิดฝากล่องที่ปิดไว้ลวกๆออกมันหล่นแผละออกทั้งสี่ด้านแทบจะทันทีที่ผมเปิดออก ในนั้นเผยร่างบางขาวนวลเนียนนั่งกอดเข่าช้อนตาขึ้นมองผมด้วยดวงตากลมโต ร่างบางสั่นรวมทั้งริมฝีปากที่สั่นระริกด้วยความหนาว แอร์ถูกเปิดไว้เย็นเฉียบราวอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ แต่เมียของผมกลับใช้เพียงริบบิ้นแดงพันตัวไว้แล้วผูกเป็นโบว์ที่คอระหง... “ก่ะ...ก่ะ...แกะ...ของขวัญสิ” ปากสั่นระริกเอ่ยบอก คงหนาวมากสินะครับไม่รู้ว่ามานั่งขดแบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว ผมประคองร่างบางที่นั่งกอดเข่าหนาวสั่นให้มาอยู่ระดับเดียวกันก่อนกดจูบลงบนหน้าผากมน “ขอบคุณนะครับสำหรับของขวัญวันเกิด ผมชอบมากเลย มันเป็นของที่มีค่าที่สุดแล้วสำหรับผม” มือหนาแตะเอวเล็กของร่างบางที่สั่นสะท้านยามผิวเนื้อแตะกันก่อนจะรั้งเข้าหาตัวก่อนก้มลงตวัดปลายลิ้นรับปลายริบบิ้นสีแดงเข้ามาไว้ในปากฟันคมกัดปลายผ้าแล้วค่อยๆดึงจนปมที่ผูกโบว์ไว้คลายออก ริบบิ้นผ้าผืนยาวเมื่อคลายปมแล้วถูกปล่อยออกจากปากหยักความลื่นของเนื้อผ้าจึงทำให้ส่วนอื่นที่ถูกพันซ้ำๆกันคลายตัวออก ผิวกายขาวผ่องปรากฏสู่สายตา ราวกับตุ๊กตาเซรามิค สวย...ดึงดูด... มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นประคองใบหน้าหล่อเอาไว้พลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ปากหยักได้รูป “สุขสันต์วันเกิดนะเมฆของหมอ” เพียงสิ้นคำอวยพรริมฝีปากอิ่มของหมอที่ผมชอบละเลียดชิมความหอมหวานก็ทาบทับลงมากับปากของผมอย่างเชิญชวน เห็นทีคืนนี้ผมคงต้องเปิดของขวัญทั้งคืนซะแล้วล่ะครับ ผมกวาดกล่องใบโตบนเตียงให้ตกลงข้างๆก่อนจะค่อยๆผลักหมอคนงามนามจิณณ์ให้นอนราบลงบนเตียง มือของผมก็เอื้อมมาดึงเชือกที่ใช้เปิดปิดสวิซต์ไฟให้ดับลง คืนนี้ผมต้องขอตัวชิมของขวัญก่อนนะครับ ผมมีความสุขมากๆในคืนนี้ แม้จะไม่มีเค้กจากหมอให้กินแต่ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมหากินเอาแถวนี้ได้ เส้นๆดำๆคล้ายๆกันคงพอแทนกันได้ ฝันดีนะครับ...ฮริ๊งค์!! >////< หลังจากเรี่ยวแรงถูกสูบจากกิจกรรมแกะของขวัญสูบวิญญาณทำเอาเราสองคนนอนสลบจนเย็นของอีกวัน ที่สุดก็ต้องยอมแพ้ความหิวผมกับหมอตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว โชคดีที่หมอไม่มีเวรในวันนี้และผมไม่มีคิวถ่ายเราจึงตัดสินใจไปเดินเห้างแถวบ้านกะว่าดูของอะไรต่อมิอไรหาของกินอาจจะพากันไปดูหนังซักรอบค่อยกลับห้อง บรรยากาศจอแจเหมือนปกติที่เราเคยมาที่ไม่เหมือนคือเริ่มมีคนมองผมเสียงที่ได้ยินผ่านๆหูคือ “หล่อจัง” แค่ประโยคสั้นน่าแปลกที่มันกลับทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างพอใจ “นั่นดารานี่” เสียงใครหลายๆคนดังต่อกันเป็นทอดๆจิณณ์ที่จับมืออยู่กับเมฆมองสบสายตากับผู้หญิงเหล่านั้น ผู้คนเริ่มเบียดเสียดกันเข้ามาเมื่อเสียงพูดบอกต่อกันปากต่อปากดังขึ้นเรื่อยๆ จากที่เดินได้สบายๆกลับตีวงล้อมเข้ามาจนแคบ เสียงกรี๊ดดังขึ้นแทบจะทันทีที่มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหาญกล้าเอ่ยปากถามเมฆตรงๆ “พี่ใช่พี่เมฆจากละครเรื่องพี่ชายหรือเปล่าคะ” “ใช่ครับ” และทันทีที่ประโยคสั้นๆประโยคนั้นถูกตอบกลับเสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มพร้อมกลุ่มคนที่เบียดกันเข้ามา มือที่เกาะกุมกันค่อยๆคลายออกจากกันจนในที่สุดจิณณ์ก็ถูกเบียดออกมาอยู่ด้านนอก ความอุ่นที่ฝ่ามือยงคงมีอยู่ ทั้งๆที่คิดว่าจะจับกันไว้ให้ถึงที่สุดแต่พอมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยื่นกระดาษและปากกาให้กับเมฆชายหนุ่มก็ปล่อยมือจิณณ์ไปรับมันทันที คุณหมอหน้าหวานยืนรออยู่นอกวงเป็นนานแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยเมื่อผู้คนต่างวิ่งมาขอถ่ายรูปขอลายเซ็นมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนมากมายต่างรุมล้อมเมฆจนไม่เหลือที่ว่างให้คุณหมอหน้าสวยแทรกเข้าไปเลยในที่สุด เสียงจอแจเมื่อครู่ก็หายไปเมื่อจิณณ์ตัดสินใจเดินจากมาทิ้งให้เมฆอยู่กับบรรดาแฟนคลับเพียงลำพัง มิวายหันไปดูเผื่อคนตัวสูงจะเดินตาม แต่ก็เปล่าเลย.. เค้ายังคงอยู่กลางฝูงชน เป็นดาวที่กำลังส่องแสงทอประกายอยู่ตรงนั้น ผมแจกลายเซนให้บรรดาแฟนคลับที่กรูกันเข้ามา บนหน้าของผมปรากฏรอยยิ้มแจกจ่ายให้อย่างทั่วถึงทุกคน เหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นราวๆ 5-10 นาทีแต่พอผมหันกลับไปมองหาหมอจิณณ์ ผมก็พบเจอกับความว่างเปล่า ไม่เป็นไรหรอกคุณหมอไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยที่ไปก่อนคงเพราะจะเปิดโอกาสให้ผมได้พบปะพูดคุยกับแฟนๆสินะ สัญญาการเป็นนักแสดงในสังกัดxxเป็นเวลา 5 ปี ถูกจรดลายปากกาเซนต์ชื่อยอมรับในที่สุด ข้อตกลงที่ว่าจะมีละครอย่างน้อยปีละ 2 เรื่องและการเดินแบบอีกทั้งรับงานโฆษณาภายใต้การตัดสินใจของบริษัท รวมทั้งเอ็มวี และงานนอกค่ายที่บริษัทจะรับให้ ปีหนึ่งๆผมจะมีเงินไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท “เดี๋ยวอีกสองวันจะส่งผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่มาคุยด้วยนะ ทำความรู้จักกันไว้เวลาทำงานจะได้ราบรื่น แล้วก็เตรียมขนของด้วยล่ะทางบริษัทเตรียมหอพักไว้ให้” ผมก้มหัวรับคำท่านประธานที่เดินทางมานั่งคุยกับผมด้วยตัวเอง “ผมต้องย้ายที่อยู่?” ผมถามอย่าง งงๆ “ใช่ เพื่อความสะดวกในการทำงานของนักแสดงในสังกัด เราจะจัดที่พักให้อยู่ในช่วงปีแรกๆ หลักจากอะไรๆอยู่ตัวแล้วคุณจะซื้อบ้านหรือคอนโดอยู่เองก็เรื่องของคุณ” ผมถือซองเอกสารออกมาข้างนอก ลูกปัดนั่งรอผมอยู่มันยิ้มให้ผม อดใจหายน้อยๆไม่ได้ คลุกคลีตีโมงกินอยู่ลำบากบ้างสุขสบายด้วยกันมาเป็นปี ต่อไปนี้มันจะกลับไปเป็นแค่เพื่อนสนิทของผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ของผมจะมีนิสัยยังไง จะดุ จะเข้มงวด หรืออารีย์เหมือนลูกปัดมันมั้ย “เรียบร้อยแล้วเนอะ” มันว่าเบาๆใบหน้าของมันยังคงประดับรอยยิ้ม ผมไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไหนเข้มแข็งแบบมัน ผมรู้จริงๆแล้วลูกปัดเองก็ใจหาย อีกไม่กี่วันมันก็ต้องกลับบ้าน ถึงวันนั้นผมคงจะเหงา แต่ตอนนี้ผมต้องกลับไปหาคุณหมอก่อน ไปบอกข่าวที่ว่าผมต้องย้ายออกจากคอนโดแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าผลมันจะเป็นยังไงได้แต่หวังว่าคุณหมอคงเข้าใจหน้าที่การงานของผม คนเราต้องโต ต้องเจริญก้าวหน้า ผมกำลังเดินตามหาแสงสว่างนั้นและผมเชื่อว่าหมอจิณณ์จะเข้าใจผม จะรับรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันคือการตามหาความฝันและความเจริญก้าวหน้า มันจะเป็นสะพานที่จะให้ผมเหยียบขึ้นไปยืนบนพื้นที่ที่สูงขึ้นให้แม่ของผมเห็นตัวตนของ ภาคินัย ดาราดังผู้ทอแสงเจิดจรัส ผมเพิ่งเข้าใจคำว่า “กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องปล่อย” ก็ในวันนี้เอง กระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบถูกวางไว้กลางห้อง ร่างสูงที่อยู่ด้วยกันมานานนับปีหันหน้ากลับมาหาผม ผมได้แต่ส่งยิ้มให้เขากลับไปเมื่อเมฆรวบร่างของผมเข้าไปกอด ผมถอนหายใจก่อนจะเลื่อนแขนขึ้นกอดรอบไหล่กว้างของเค้าไว้ คนนิสัยไม่ดี... มาทำให้ผมชินกับการนอนด้วยกันแล้วก็จะมาทิ้งกันไป “ผมจะแวะมาหาบ่อยๆนะครับ” รั้งเค้าไว้สิ บอกเค้าว่าอย่าไป ผมพร่ำบอกตัวเองซำๆนับร้อยรอบขณะที่เขาดันกายผมออกห่าง ดวงตาคมของเขา ส่วนที่ผมชอบที่สุดในร่างกายของเค้าจ้องมองผมอยู่ด้วยสายตาที่อ่านได้ว่าเค้าเองก็ไม่อยากไปจากผม “อื้อ...โชคดีนะ คงไปหาที่คอนโด...ไม่ได้สินะ” อยากจะตบปากตัวเองด้วยรองเท้าเบอร์ 44 ของเมฆที่ไม่มีฉุดมีรั้งเค้าไว้เลย นายเป็นอะไรไปน่ะจิณณ์ ทำไมไม่ขอร้องให้เค้าอยู่กับนาย ทำไมไม่รั้งไม่ให้เค้าไป “ผมก็อยากให้หมอไปกับผมนะครับแต่คิดว่าที่นั่นพวกแฟนคลับแล้วก็นักข่าวคงไปซุ่มกันอยู่ อาจจะตามศิลปินคนอื่นแต่ถ้าได้ภาพของเราก็คงไม่ใช่เรื่องดี” “หมอรู้” “ผมจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องวันเว้นวันนะครับ” “อื้อ...” “อย่าทานมาม่าดิบอีกนะครับถ้าผมโทรมาหมอยังไม่ได้กินข้าวผมจะทำโทษให้ลุกจากเตียงไม่ขึ้นเลยนะ” “รู้แล้วน่าอย่ามาทะลึ่ง” ผมแกล้งดุไอ้เด็กร่างโย่งที่ยืนยิ้มโชว์เหมงือกตรงหน้าก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาลูบใบหน้าเรียวที่ผมทำให้กับมือ จริงๆเค้าไม่ใช่คนขี้เหร่อะไรเลยเพียงแต่ขาดการดูแลและความมั่นใจในตัวเอง ผมก็แค่ปรับปรุงนิดหน่อยแล้วเรียกเค้าว่าสุดหล่อของหมอบ่อยๆให้เค้ามั่นใจขึ้นมา ตอนนี้สุดหล่อของผมผลัดขนจากลูกเป็ดเป็นหงส์ขาวที่สง่างามแล้วผมก็ต้องปล่อยเค้าไป ไปในที่มีแต่คนประเภทเดียวกับเค้า ชีวิตของภาคินัยจะต้องพุ่งขึ้นสูง สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้น...เหมือนต้นถั่วของแจ็คที่ค่อยๆแทงยอดขึ้นสู่ฟากฟ้า ผมจะไม่มีทางดึงเค้าให้ตกต่ำเด็ดขาด ผมยืดตัวขึ้นด้วยปลายเท้าก่อนจะค่อยๆประทับรอยจูบลงบนเปลือกตาของเขาทั้งสองข้าง ถ่ายทอดพลังให้กับเขา ถ่ายทอดความเข้มแข็งให้กับเด็กน้อยที่หัวใจแสนเปราะบางคนนี้ก่อนจะกลับมายืนด้วยสองเท้าปกติ เค้ามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำแต่ริมฝีปากที่ผมชอบกดจูบย้ำๆเวลาตื่นนอนก็มีรอยยิ้มน้อยๆประดับอยู่ “หมอสร้างเกราะป้องกันภัยให้นายแล้วนะ โชคดีนะ” ผมเอ่ยลาเค้าอย่างตัดใจเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเมฆดังมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว เมฆหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือพร้อมๆกับที่ลูกปัดแวะมาพอดี ที่สุด... ห้องที่เคยคิดว่าแคบก็กว้างขึ้นอย่างประหลาดหลังแผ่นหลังของเมฆลับหายไป ที่สุดคนที่คิดว่าตัวเองสามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างผมก็ใช้ผนังห้องช่วยพยุงร่างกายที่เรียวขาเกิดอ่อนล้ากระทันหัน หัวใจของผมมันวูบโหวงเหมือนใจจะขาด ทำไมกับแค่เค้าย้ายไปอยู่หอผมกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังจะเดินออกไปจากผม นี่ผมกำลังฟุ้งซ่านและใกล้จะเป็นบ้าไปใช่มั้ย? เหงาจัง....เค้าเพิ่งจากไปแค่สิบนาที แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหงาและอ้างว้างอย่างนี้ล่ะ ความรู้สึกแบบนี้ไม่อยากได้เลย...ไม่อยากได้เลยจริงๆ ผมเลี้ยวรถขึ้นมาที่ชั้น 9 ของคอนโดใจกลางเมืองที่เส้นทางคมนาคมสะดวกสบาย ถือว่าเป็นทำเลที่ดีเพราะถนนแถวนี้ไปสถานีโทรทัศน์ต่างๆได้อย่างสบายด้วยเส้นทางแต่ละทางเชื่อมต่อกันราวใยแมงมุมผมกับลูกปัดช่วยกันยกกระเป๋าออกจากหลังรถแล้วเข็นไปยังห้องที่ระบุไว้ในแผ่นกระดาษ ลูกปัดยังคงมาทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวของผมเป็นวันสุดท้ายมันกวาดตามองเลขห้องก่อนจะเดินลิ่วนำไปอย่างนิสัยคนที่คล่องตัวสูง ผมกดกริ่งหน้าห้องเพราะรู้ว่ามีคนรออยู่ก่อนแล้ว และทันทีที่ประตูถูกเปิดออกผมก็พบกับใครคนหนึ่ง ที่เอ่ยทักผมว่า... “สวัสดีฉันชื่อศิโรจน์เป็นผู้จัดการคนใหม่ของคุณนะ” ................................. ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ คุณหมอกับลูกเป็ดมีขายในอีบุ๊คนะคะดูได้ในปักหมุดทวิตเตอร์ @il_LoVe_li
อย่าม่าเลยนะ :hao5: :hao5: หวังว่าเมฆจะไม่หลงลืมหมอนะ เฮ้ออออ
เมฆฆฆฆฆฆฆฆฆ แกอย่าลืมหมอนะรู้มั้ยยยยยยยยยยยย :katai4: ถ้าแกเปลี่ยนไป ฉันจะทุบแกเองงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :angry2:
เมฆคงลืมไปว่าแสงอ่ะถ้ายิ่งส่องสว่างมากๆมันจะกลืนทุกสิ่งรอบตัวหายไปหมด ลงพนันเลยว่าน้องจะลืมตัวแน่นอน
ลูกเป็ดขี้เหร่[:11:] เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ จิณณ์ลดโทรศัพท์เครื่องแพงที่เพิ่งไปซื้อใหม่คู่กับเมฆมาเมื่อหลายเดือนก่อนลง ลมหายใจถูกถอนทิ้งอย่างเหนื่อยหน่ายนิ้วเรียวไล้ลงบนแผ่นกระดาษหนังสือพิมพ์ประเภทกอซซิปดาราหัวยักษ์ที่พาดข่าวว่า เมฆกับผู้จัดการส่วนตัวสวีทหวานกลางร้านอาหารหรูภาพเหมือนเซลก้าที่ชัดเกินระดับ HD เมฆกับผู้จัดการส่วนตัวที่จิณณ์เคยได้ยินเสียงร้องเร่งเมฆแว่วๆทุกครั้งเวลาที่เขาโทรไปหาเมฆ ศิโรจน์.. “บ้าน่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน” เอาส้นมือทุบหัวตัวเองพลางเดินหันหลังให้ร้านหนังสือที่ยืนจ้องมาร่วมสิบนาที “ต้องเชื่อใจดิ่ ต้องเชื่อใจกัน” ปากบอกกับตัวเองย้ำๆ ก็แค่หลอกให้ตัวเองสบายใจกับข่าวที่ได้ยินผ่านๆหู กับภาพที่ได้เห็นผ่านๆตา แต่ทั้งๆที่คิดว่าจะไม่คิดมากในสมองกลับเห็นแต่รูปนั้นวนเวียนซ้ำๆในสมอง หมอจิณณ์เดินดูของเข้าห้องอีกเกือบชั่วโมงก็หิ้วเพียงถุงเล็กๆที่บรรจุอาหารสำเร็จรูปเพียงถุงเดียวแล้วเดินกลับมายังรถที่จอดทิ้งไว้เสียงสัญญาณปลดล็อคดังขึ้นคุณหมอหน้าหวานเปิดประตูรถทันทีที่ประตูเปิด ผลั่ก!! “โอ๊ย!! อะไรเนี่ย” ร่างบางหน้าทิ่มไปกับเบาะก่อนที่ก้นจะถูกดันจนหกลายเป็นผลักให้เข้าเข้ายังเบาะอีกฝั่ง” “เร็วๆ” “อะ..อะไร” คุณหมอที่ยัง งง กับเหตุการณ์ตรงหน้าเอ่ยถามปากสั่น “โจรเหรอ จะขโมยรถเหรอ ไม่ได้นะรถคันนี้กว่าจะซื้อได้ฉันต้องพนันบอลแมนยูลูกพ่อไปตั้งกี่ครั้งไม่รู้หรือไงอยู่ๆจะมาเอาไปง่ายๆแบบนี้ไม่ยอมนะโว๊ย” “หุบปาก ไม่ได้จะขโมยรถแค่ขออาศัยออกจากที่นี่เท่านั้นกุญแจอยู่ไหน เอากุญแจมา” มือหนาของเด็กหนุ่มปากแดงแก้มป่องตะปบค้นตามตัวหมอจิณณ์ คุณหมอคนสวยได้แต่ปัดป้องปากกำลังจะอ้าด่าก็พอดีกับสายตาเหลือบมองใบหน้าหล่อที่กำลังตื่นตระหนกและด้านนอกไม่ไกลมีกลุ่มคนกำลังวิ่งมาทางนี้ “ได้โปรดถ้าคุณไม่ช่วยผมตายแน่” น้ำเสียงร้อนรนผสมกับสีหน้ากังวนและท่าทางร้อนใจของเด็กหนุ่มทำให้หมอจิณณ์ตัดสินใจยื่นกุญแจรถให้กับเด็กหนุ่มหน้าคุ้นคนนั้นทันที่ได้ลูกกุฐแจถูกไขรถบีเอ็มคันหรูก็แล่นฝ่ากลางกลุ่มคนที่วิ่งตามมาสายตาคมถอดแบบใครบางคนที่คุ้นเคยทำให้หมอจิณณ์มองอย่างไม่วางตา “มองอะไร” เสียงห้าวถามเมื่อหันมาเห็นสายตาตำหนิกลายๆของคนที่นั่งเบาะข้าง “ไปทำอะไรมาพวกนั้นถึงไล่ตาม” “ไม่เกี่ยวกับคุณ” “จะไม่เกี่ยวได้ยังไงก็ในเมื่อนายขึ้นมาบนรถฉัน ขับรถฉันหนีพวกมันถ้าเกิดมันจำทะเบียนรถได้ตามมากระทืบฉันทีหลังฉันจะทำยังไงล่ะ” “ไม่ต้องกลัวหรอกน่ามันไม่ตามมาแล้ว ผมก็แค่ไปขัดแข้งขัดขามันนิดๆหน่อยๆมันเลยส่งคนมากระทืบ” “แล้วจะให้ฉันแน่ใจได้ยังไง นี่อย่ามาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยังงี้นะ นายเป็นใครทำไมฉันคุ้นหน้า นี่เราเคยเจอกันป่ะถามจริง” “โฮ๊ะมุขจีบมุขนี้โคตรเก่าเลย” “ไอ้เด็กบ้านี่ใครจีบนาย” เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กที่บังอาจมาปล้นรถต่อหน้าต่อตาก็ดูไม่ได้มีพิษสงอะไรหมอจิณณ์ก้เงื้อมือจะตี เด็กหนุ่มรีบเบี่ยงตัวหลบ “อย่านะเดี๋ยวบีเอ็มคันสวยไปจูบตูดชาวบ้านนะ” ที่สุดหมอจิณณ์ก็ได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ “เป็นหมอเหรอ” ชายหนุ่มแปลกหน้าแต่คุ้นๆในสมองเอ่ยถามสายตาของเขามองป้ายที่หมอจิณณ์ห้อยไว้หน้ารถ “อ่านป้ายขนาดนั้นไม่ต้องถามก็ได้มั๊ง?” “ก็ถามตามมารยาท” “งั้นก็ตอบตามมารยาทว่าใช่มีไรม๊ะ” “เป็นคนจีนเหรอชื่อแปลกๆ” “อือ” “บ้านอยู่ไหน” “เมกา” “ไม่ใช่หมายถึงบ้านพักที่ไทยเนี่ยอยู่ไหนผมจะได้ขับไปส่งถูก” “ฉันว่านายควรจะหักพวงมาลัยเข้าข้างทางแล้วย้ายก้นงามๆของนายลงจากรถฉันไปได้แล้วนะไอ้พวกนั้นคงไม่ตามมาแล้วแหล่ะ” “คนอะไรเป็นหมอต้องมีมนุษยธรรมสิไล่คนกำลังตกทุกข์ได้ยากแบบนี้หัวจิตหัวใจทำด้วยอะไรกันครับ” เสียงเจ้าเด็กร่างยักษ์ว่าจนทำให้หมอจิณณ์ถึงกับหันไปมองมันแบบอึ้งๆ คือ...กูจะเอารถคืน คือกูจะกลับบ้าน คือกูผิดช่ะ? “เออ...คุณหมอชื่อจิณณ์ใช่มั๊ยครับ ผมยังไม่แนะนำตัวเลย ผมชื่อ” Rrrrrrrrr ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้เอ่ยแนะนำชื่อตัวเองคุณหมอหนุ่มก็ยกมือขึ้นหยุดคำพูดก่อนจะชี้ไปที่โทรศัพท์ว่าขอรับโทรศัพท์ก่อน รอยยิ้มหวานปรากฏทันทีที่มองชื่อคนโทรเข้า ปากบอกพิกัดคอนโดของตนเองกับสารถีจำเป็นยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงปรับสีหน้าและอารมณ์ก่อนจะกดสายรับโทรศัพท์จากคนที่รอคอยมาหลายวัน “หืม...ว่าไง” “โทรหาเหรอครับ” “อื้อแต่นายปิดเครื่อง” “ผมติดถ่ายโฆษณาน่ะครับตอนนี้เสร็จได้ซักพักแล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่” “หมอกำลังจะกลับห้อง” “งั้นอีก 10 นาทีเจอกันนะครับผมใกล้ถึงคอนโดแล้วได้ซื้ออะไรเข้ามาหรือเปล่าครับ” “เปล่าหมอมีแค่ข้าวกล่องกล่องเดียว” “โชคดีนะครับที่ลูกปัดมันรอบคอบมันพาแวะเข้าตลาดซื้อของไปทำกินกัน” “ดีเลยอยากกินข้าวฝีมือลูกปัดไม่ได้กินนานชักคิดถึงแล้วเมฆจะค้างมั๊ยคืนนี้?” เสียงสนทนาของหมอจิณณ์ที่ตอนแรกเหมือนจะผ่านหูเด็กหนุ่มที่หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามาในตัวคอนโดหันไปมองคนนั่งข้างด้วยสายตาแปลกๆก่อนรอยยิ้มจะผุดที่มุมปากเล็กๆ เพราะชื่อที่คุ้นเคยถึงสองชื่อจากปากของคุณหมอทำให้มั่นใจว่าไม่ผิดแน่...เมฆกับลูกปัด “อื้อหมอถึงคอนโดแล้วมีเพื่อนมาด้วยไม่เป็นไรเนอะเดี๋ยวเค้าก็คงจะกลับเพิ่งรู้จักกันวันนี้” “งั้นชวนเค้ากินข้าวกับเราก็ได้ครับลูกปัดซื้อของมาเยอะแยะเลย” “เอางั้นเหรอ อื้อก็ได้ตามใจนาย” “งั้นแค่นี้ก่อนนะครับใกล้ถึงแล้วเดี๋ยวเจอกันที่ห้อง” “อื้อ” หมอจิณณ์กดตัดสายก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแล้วเปิดประตูรถออกมายืนรอจนเด็กหนุ่มออกจากรถแล้วยื่นกุญแจรถให้ “นี่ แฟนหมอชวนกินข้าวเย็นด้วย” “ดีจังผมกำลังหิวอยู่พอดี ว่าแต่แฟนหมอชื่ออะไรเหรอครับ” “ชื่อเมฆ ไม่อยากจะอวดนะเค้าเป็นดาราด้วยนะกำลังดังเชียวเห็นป้ายโฆษณาใหญ่ๆนั่นมั๊ย” หมอจิณณ์ชี้ไปยังตึกตรงข้ามที่มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ติดอยู่ที่หน้าตึกเป็นชายหนุ่มในชุดดำกับมือถือรุ่นใหม่ ใบหน้าหล่อหมดจรดกับรอยยิ้มน่าค้นหาทำให้เด็กหนุ่มเพ่งมองราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง “เออว่าแต่นายชื่ออะไรน่ะเดี๋ยวแฟนหมอมาจะได้แนะนำถูก” “ผมน่ะเหรอครับ...” รอยยิ้มร้ายกดที่มุมปากก่อนที่ชายหนุ่มจะตวัดตากลมขึ้นมองใบหน้าหวานของคุณหมอหน้าสวย “หมอก...ผมชื่อหมอกครับ” ผมกับลูกปัดช่วยกันขนของกินต่างๆขึ้นลิฟท์มาเราคุยกันระหว่างรอลิฟท์ขึ้นถึงชั้นที่ต้องการ เพราะไม่ได้เจอกันนานร่วมเดือนทำให้ผมกับมันมีเรื่องเล่าให้กันฟังมากมายลูกปัดมันบอกว่ามันขอพ่อเลื่อนเวลากลับบ้านให้สองเดือนเพราะญาติของมันที่เป็นเจ้าของร้านอาหารหาคนมาแทนลูกปัดไม่ได้ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะดูแล้วไอ้ตัวเล็กมันคงรักอิสระสองเดือนนี้คงเหมือนต่อลมหายใจให้มันได้อีกหลายเฮือก เสียงเตือนของสัญญาณในลิฟท์ว่าถึงชั้นที่เราต้องการแล้วทำให้เราหยุดคุยแล้วเดินออกมามุ่งตรงมายังห้องของหมอผมกดกริ่งแล้วก็ไม่ต้องรอนานเมื่อประตูไม้ถูกเปิดออกพร้อมใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของหมอจิณณ์ นี่ถ้ามาคนเดียวหมอคงกระโดดกอดผมเหมือนเด็กๆ แต่วันนี้หมอทำได้แค่ยิ้มกว้างจนเห็นตีนกาสามขีดแล้วหันไปทักทายลูกปัดช่วยถือถุงจากมือลูกปัดมาไว้ที่ตัวเอง “ทำไมถึงช้าล่ะไหนบอกว่าใกล้ถึงแล้วตอนที่โทรมา” หมอยู่ปากก่อนจะหมุนตัวหิ้วถุงนำพวกผมเข้ามาในห้อง “ก็เห็นคนบางคนบ่นในทวิตว่าอยากกินเป็ดย่างเยาวราชเห็นว่ายังไม่เย็นมากเลยวิ่งลงไปต่อแถวร้านประจำน่ะครับ” ผมตอบตามจริง ก็เมื่อสองวันก่อนหมอเมนชั่นมางอแงว่าอยากกินเป็ดย่างพอขับรถผ่านร้านที่เป็นรถเข็นแต่เป็ดเพียบคนยืนต่อแถวรอนับสิบคนผมเลยหักพวงมาลัยรถแล้ววิ่งลงไปต่อแถวโดยไม่ลืมใส่แว่นตาดำใช้หน้ากากอนามัยปิดปากแล้วใส่หมวกอีกที กว่าจะได้เป็ดย่างกลิ่นหอมเครื่องเทศสีสวยสามตัว…ไม่ผิดหรอกครับว่าสามตัว ก็เฉพาะไอ้ปัดกับหมอก็ซัดกันคนละตัวแล้ว สองคนนี้เคยทำสถิติสองคนซัดเป็ด 7 ตัวมาแล้วในคราวที่มีแข่งฟุตบอลลีก กินไปเชียร์บอลไปจิบเบียร์ไปตั้งแต่หัวค่ำยั้นเช้าอีกวันผมก็วิ่งซื้อเป็ด 3 รอบเลยล่ะ “แล้วเพื่อนหมอล่ะครับ” ผมกวาดตาดูรอบห้องก็ไปรากฏสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนใหม่ของหมอ มีเพียงถุงเท้าเตะบอลที่คงจะถูกสลัดลวกๆตามแบบฉบับหมอจิณณ์นอนเน่าอยู่ตรงตะกร้าหน้าชั้นเก็บรองเท้าหมอจิณณ์เหมือนจะอ่านสายตาผมออกก็ทำทีเป็นเดินไปใกล้ๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วเท้าคีบมันแล้วดีดลงตะกร้าพลางยิ้มแห้งๆให้มาซะทีนึง “พอดีว่าในตู้เย็นไม่มีเครื่องดื่มอะไรเลยหมอเลยให้เค้าลงไปซื้อให้ที่ร้านสะดวกซื้อน่ะ” ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะดึงข้อมือหมอ “ปัดทำไปก่อนนะขอตัวแป๊บ” ผมตะโกนบอกลูกปัดที่สาละวนกับการรื้อของในถุงออกมาทำนู่นทำนี่ด้วยความคุ้นเคยประดุจเป็นครัวบ้านมันเอง ไอ้ตัวเล็กมันพยักหน้าตอบก่อนจะโยนหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ลงซิ้งค์ล้างจานด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ผมดึงหมอเข้ามาในห้องจัดการปิดประตูแล้วหันมารวบร่างคุณหมอคนสวยของผมมากอดจูบจนกลายเป็นฟัดแรงๆด้วยความคิดถึงซึ่งคุณหมอเองก็วาดแขนโอบรอบคอของผมพลางกดท้ายทอยรับจูบของผมอย่างโหยหาเช่นกัน ใบหน้าของเราแนบชิดชนิดไรฝุ่นก็ลอดผ่านไม่ได้ ลมหายใจของเราผสานแทบเป็นจังหวะเดียวกัน “คิดถึงนะครับ” ผมระซิบแผ่วเบาชิดริมหูของคุณหมอแม้ไม่มีเสียงตอบกลับจากคุณภรรยาของผมแต่ผมก็พอจะเดาออกจากสีแดงที่ลามเห่อขึ้นมาถึงใบหูอดไม่ได้ที่จะขบเม้มเบาๆอย่างหยอกล้อ รู้งี้มาคนเดียวก็ดีล่ะผมอยากกินหมอมากกว่าสุกี้หรือเป็ดย่างซะอีก แต่ขณะที่ผมจะชิมความหวานจากริมฝีปากอิ่มอีกครั้งเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น หมอผละจากผมทันทีทั้งๆที่ปากเราจะแตะกันอยู่แล้วเชียว “สงสัยเจ้าเด็กนั่นจะมาแล้วเราออกไปช่วยลูกปัดเตรียมของกันเถอะ” ผมเดินตามหมอออกมาจากห้องขยับเสื้อผ้าที่ยับจากการเสียดสีกันเมื่อครู่ลูกปัดที่ถือกระบวยอันใหญ่เตรียมจะเดินไปที่ประตูจนผมต้องยกมือห้ามแล้วเดินไปเปิดซะเอง แอ๊ดดดดดดดด... “หมอครับผมซื้อมาได้แต่พวกน้ำอัดลมกับน้ำผลไม้ครับอายุยังไม่ถึง 18 พนักงานไม่ขายให้....” กึก...เคยมีความรู้สึกนี้มั๊ยครับความรู้สึกที่ว่าคุณกำลังวิ่งอยู่ดีๆก็เหมือนมีใครมากดปุ่มปิดการควบคุมของร่างกาย ผมจ้องตากับไอ้เด็กที่ทำหน้าระรื่นยื่นถุงใส่น้ำอัดลมถุงใหญ่นิ่ง…เนิ่นนาน ภาพของผมกับ”มัน”ตอนนี้เหมือนในละครที่พระเอกกับตัวร้ายยืนจ้องหน้ากันแล้วกล้องก็หมุนเราสองคนเป็นวงกลม ลูกปัดมันคงสัมผัสความแปลกที่เกิดขึ้นได้จึงไม่แลกที่ผมจะได้ยินเสียงกระบวยที่มันถือหล่นลงพื้นต่อจากนั้น ผมดูท่าทีของหมอกที่มีต่อผม มันยังคงจ้องตานิ่งคุณหมอเดินเข้ามาหาเราสองคนผมจึงยื่นมาไปคว้าถุงจากมือหมอกมาถือก่อนจะหันหลังให้มัน มันคงจะจำผมไม่ได้…ผมผ่อนลมหายใจพยายามเรียกสติที่กระเจิงไปตอนเห็นหน้ามันครั้งแรกแล้วเดินหันหลังกลับมาในห้องเสียงมันเดินตามมาก่อนที่มือของมันจะจับไหล่ของผมรั้งให้เซเข้าหามัน ลูกปัดรีบเดินเข้ามายืนข้างผมพร้อมๆกับหมอจิณณ์ที่ยังดูงงๆกับเหตุการณ์ตอนนี้ ผมหันหลังไปมองอย่างไม่พอใจ…แต่ทันทีที่ผมหันไปไอ้เด็กเลวก็กระตุกยิ้มชั่วๆที่มุมปากก่อนจะพูดคำๆนี้ออกมา “ไงไอ้ลูกเป็ด...ไม่ได้เจอกันนานไปชุบตัวซะจำไม่ได้เลยนะ” “หมอกมึง!!” ผลั่วะ!!!! “โอ๊ย!!!” มันร้องครับพลางกุมหัวเอาไว้ แล้วนั่งยองๆกับพื้น สายตาของมันส่งไปมองลูกปัดกับหมอด้วยสีหน้าเคืองๆ “ยัยเตี้ยหมอนี่มาตีทำไม” ลูกปัดมันเท้าสะเอวฉับอีกมือนึงก็ใช้กระบวยตักน้ำซุปชี้หน้าไอ้เด็กเลวเหยงๆ “ยัง แกยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าฉันเอากระบวยฟาดกบาลแกทำไม” “ฉันตบกระโหลกเด็กปากเสียผิดตรงไหน” หมอจิณณ์ที่ยืนเคียงข้างพลางใช้ฝ่ามือลูบแขนให้ผมใจเย็นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หมอกมันทำเสียงเหอะในลำคอก่อนจะยืดกายขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวมายืนชิดพวกเราทั้งสามคนจากนั้นมันก็ยื่นมือมากำปกเสื้อของผมแล้วกระชากตัวผมเข้าไปหาตัวมัน “ทำไม ผมเรียกคนขี้เหร่มันผิดตรงไหน มึงน่ะนะต่อให้ลอกคราบยังไงมึงก็ยังป็นลูกเป็ดขี้เหร่ของกูวันยันค่ำ” คนเราจะมีความอดทนได้มากขนาดไหนผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าวันนี้ความอดทนของผมมันสิ้นสุดลงพร้อมกับมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวผม สิ่งที่ผมไม่เคยทำเลยตั้งแต่เกิดมา ตุ่บ!! “อั่ก!!” คงเป็นเพราะผมยอมมันมากเกินไป ตามใจมันมากเกินไป ตั้งแต่มันเกิดมาไม่เคยมีซักครั้งที่ผมจะตีผิวอ่อนๆขาวๆของมัน มันถึงโตมาแล้วเป็นเด็กเลวขนาดนี้ วันนี้ผมควรแสดงแสนยานุภาพของความเป็นพี่ ผมปล่อยหมัดตรงเข้าที่มุมปากของมันจนมือของมันที่จับคอเสื้อของผมอยู่หลุดตามแรงเซล้มไปทางด้านหลัง ด้วยขนาดตัวของมันที่ไม่ได้เล็กไปกว่าผมทำให้ตะกร้าใส่ถุงเท้าของชั้นวางรองเท้าพังทันที่ที่มันล้มลงไปทับ “มึงกล้าต่อยกูเหรอถ้าแม่รู้” “ที่นี่ไม่ใช่บ้านมึงอย่ามาขู่กู” ผมเอ่ยตอบมันอย่างเฉยชาเห็นเลือดที่มุมปากของมันก็อดใจหล่นวูบไม่ได้ตั้งแต่มันเกิดมาเกือบ 18 ปี ผมไม่เคยตีมันซักแปะแต่วันนี้ผมต่อยมันจนเลือดออกเลยนะผมหันหลังกะว่าจะเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องแต่ทันทีที่เผลอตัวหมอกกใช้ความไวลุกขึ้นมากระชากผมแล้วต่อยเข้ามาเต็มข้างแก้มผมทันที…หน้าผมชาทั้งแถบ “เพราะมึงมันเป็นแบบนี้ไงเมฆ เพราะมึงมันขี้ขลาดมีอะไรมึงก็เอาแต่หันหลังหนีไม่เคยเป็นตัวอย่างที่ดีให้กูเลยซักครั้งมีปัญหาอะไรมึงก็เอาแต่รอความช่วยเหลือจากคนอื่นกูอายรู้มั๊ยที่มีพี่แบบมึง มึงเคยมั๊ยที่จะปกป้องตัวเอง เคยมียที่จะปกป้องกู ไม่เคยเลยมึงเอาแต่รอให้คนอื่นดูแลมึง” “แล้วมึงคิดว่ากูอยากมีน้องสันดานเลวๆแบบมึงนักเหรอ มึงจะเกิดมาทำไมเกิดมาเพื่อแย่งทุกอย่างไปจากกู แย่งความรักจากแม่แย่งแม่ไปจากกูมึงแย่งกูไปทุกอย่างเลยมึงรู้ตัวมั๊ย มึงมันได้มากเกินไปแต่ก็ไม่รู้จักพอ กูเป็นพี่มึงนะเป็นพี่ที่ช่วยแม่เลี้ยงมึงมาตั้งแต่มึงเกิดเคยซักครั้งมั๊ยที่จะเรียกกูว่าพี่เคยแสดงออกซักครั้งมั๊ยว่ามึงเคารพกูหมอกไม่เคยเลยไม่เคยซักครั้ง กูก็ออกมาแล้วไง ออกมาจากชีวิตมึง ชีวิตแม่ ชีวิตพ่อมึงแล้วมึงจะเอาอะไรอีก มึงเข้ามาในชีวิตกูกับหมอทำไม” ผมโกรธจนกระโจนเข้าหามันเราตะลุมบอนกันซัดกันคนละสี่ห้าหมัดในขณะที่ลูกปัดทิ้งกระบวยเข้ามาช่วยดึงผมออกหมอจิณณ์ที่ตั้งหลักได้ก็ดึงหมอกออกก่อนที่ห้องจะเละไปกว่านี้ “ลูกปัดเอาเมฆไปนั่งในครัว ส่วนนายมานี่” หมอจิณณ์ดึงแขนหมอกเข้าไปในห้องนอน ผมแทบจะกระโจนตามไปหมอกล้าดียังไงเอามันเข้าไปในห้องนอนของเราแต่ก่อนที่ผมจะทำแบบนั้นลูกปัดมันก็ดึงผมไว้ “เมฆ..เมฆ หยุด ฟังหมอสิมานั่งให้ใจเย็นตรงนี้ก่อน อย่าถ้าแกไม่ฟังฉันจะเอากระบวยตบให้สติกลับตอนนี้เลยนะ” นั่นแหล่ะผมถึงยอมนั่งลงบนเก้าอี้ในครัวแบบไม่เต็มใจ ลูกปัดมันเอากะละมังใส่ผักใบใหญ่มาวางลงตรงหน้า “เด็ดผักสงบสติอารมณ์ไปแก” “ยังมีอารมณ์กินอีกเหรอวะ ฉันไม่เข้าใจหมอไปเจอไปรู้จักกับมันได้ยังไง” “ซื้อมาแล้วจะทิ้งหรือไง” ผมจ้องหน้าลูกปัดที่ยักไหล่ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่รุนแรงอะไร “นี่เดี๋ยวมานะ” ลูกปัดมันว่าก่อนหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาถือ “ไปไหน” “ซื้อเบียร์วันนี้คงมีเรื่องเคลียร์กันยาว ไหนๆก็มาชุมนุมกันแล้วนี่ฉันว่าแกกับมันควรเปิดอกคุยกันนะจากที่ฟังมันพูดเมื่อกี๊ฉันว่าฉันพอเข้าใจหมอกนะ” ลูกปัดมันว่าทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยให้ผมนั่งจมอยู่กับดะละมังผักใบใหญ่ ผมได้แต่ถอนใจแล้วมองไปที่ประตูห้องนอนที่ยังคงปิดเงียบ “ตอนผมหกขวบผมเคยถูกเด็กในห้องแกล้งจนเป็นแผลหมอเชื่อมั๊ยถ้าเป็นพี่คนอื่นจะต้องเข้ามาดูน้องแล้วจัดการกับไอ้เด็กเกเรคนนั้นแต่เมฆมันไม่ใช่ มันดุว่าผมเซ่อยอมให้คนอื่นรังแก พอสิบขวบผมขอให้มันสอนผมเล่นบาสแต่มันก็ไม่เคยสนใจเอาแต่ไปขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อน หมอมีพี่น้องมั่งมั๊ยครับ” หมอกที่นั่งอยู่ที่ขอบเตียงนอนเงยหน้าที่มีรอยฟกช้ำขึ้นมองคุณหมอหน้าสวยที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง หมอจิณณ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ “หมอรู้มั๊ยครับ ผมน่ะอยากมีพี่ชายที่เป็นฮีโร่ อยากมีพี่ชายที่เป็นแบบอย่างแต่เมฆมันไม่ใช่แบบนั้นเลยเวลาที่มีเด็กเกเรมาหาเรื่องผมก็อยากให้เค้าออกโรงปกป้องแต่เมฆทำแค่ก้มหัวให้กับเด็กพวกนั้นแล้วบอกขอโทษนะถ้าฉันกับน้องทำให้พวกนายไม่พอใจ” หมอกแค่นยิ้มยามนึกถึงวัยเด็ก วัยเด็กที่มีพี่ชายอายุ 12-13 ปี พี่ชายที่ตนคิดว่าเมฆตัวสูงจัง เมฆคงจะต่อยเด็กพวกนี้ได้ เมฆจะต้องปกป้องเขาได้ แต่ไม่เลย..พี่ชายของเขาทำพียงก้มหัวขอโทษทุกคน ขอโทษเด็กเกเร…ขอโทษพ่อแม่…หรือแม้แต่ยอมขอโทษหมอกยามที่โดนแม่ดุ ความศรัทธาในตัวพี่ชายค่อยๆลดลงเรื่อยๆ…เรื่อยๆ…จนในที่สุด “พอผมโตขึ้นผมเลยรู้สึกว่าเมฆมันไม่ได้ทำตัวให้น่าเคารพน่านับถือ เมฆมันไม่ได้โตไปกว่าผมเลย แทนที่มันจะปกป้องผมได้ผมกลับคิดว่าต้องเป็นผมนี่แหล่ะที่ต้องปกป้องมัน น่าตลกมั๊ยหมอในขณะที่มันคิดว่าแม่รักผมมากกว่ามัน แต่เอาเข้าจริงๆแล้วแม่รักมันมากเลยรู้มั๊ย ทำไมไม่เป็นเด็กว่าง่ายแบบพี่เค้าล่ะหมอก ทำไมไม่ดูเมฆเป็นตัวอย่างล่ะ ทำไมไม่ทำตัวให้ดีเหมือนพี่เค้าล่ะ อะไรก็เหมือนพี่ๆ เก่งเหรอ เพื่อนเมฆเหรอ แม่เค้าจำมันได้ตั้งแต่แรกแล้วแต่เค้าเห็นว่ามันก็ดูสุขสบายดี อยู่ข้างนอกมันดูดีกว่าอยู่ในบ้านแม่เลยต้องแกล้งจำมันไม่ได้แล้วบอกมันว่าอย่าสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เค้าห่วงกลัวว่าถ้ามันกลับไปบ้านพ่อจะตีมันอีก เค้าตัดหนังสือพิมพ์แปะทำแฟ้มผลงาน ตัดข่าวมันเก็บไว้เป็นเล่มๆเลยนะหมอ ทำไมล่ะ ผมแค่อยากมีพี่ที่เป็นฮีโร่เป็นแบบอย่างให้ผมได้ ผมแค่กระตุ้นมันผมผิดตรงไหน” “ผิดสิ...ที่นายทำมันผิด ผิดมากรู้มั๊ย ทำไมอยากได้พี่แบบนั้นไม่บอกเค้าไปตรงๆล่ะ บอกเค้าไปสิว่าเราต้องการอะไร นายรู้มั๊ยแรกๆน่ะเมฆเค้าซึมเศร้ามากเลยนะ เค้าเคว้งถึงขนาดไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหน จะเริ่มต้นยังไง เค้าเอาแต่คิดว่าที่บ้านไม่มีใครต้องการเค้า น้องชายคนเดียวของเค้าก็ไม่เคยให้ความเคารพ คุณรู้มั๊ยพวกคุณโชคดีเท่าไหร่ที่มีพี่มีน้อง แทนที่จะรักกันไว้กลับมาทะเลาะกัน หมอเชื่อนะว่าถ้าคุณขอโทษเค้าพูดกับเค้าดีๆ คุณสองคนจะเป็นพี่น้องที่รักกันมาก แล้วนี่นะหมอจะบอกให้ไปต่อยหน้าเค้าแบบนั้นไม่ดีเลยนะ ถึงหมอจะไม่ได้ทำอะไรให้เค้ามากแต่มันก็มีผลกระทบกับงานของเค้านะ คุณเองก็คงรู้แล้วว่าพี่คุณเป็นดาราดังขนาดไหนในตอนนี้ ทำไมไม่ปรับความเข้าใจแล้วคุยกันดีๆล่ะ” หมอจิณณ์พยายามตะล่อม เขาเห็นความดื้อรั้นที่ถอดแบบกันมาทุกกระเบียดจากหมอก…เหมือนเมฆ ผิดแต่ว่าเมฆน่ะดื้อเงียบดูเหมือนหัวอ่อนแต่จริงๆแล้วรั้นที่สุดส่วนหมอกน่ะดื้อรั้นเปิดเผยแสดงความต้องการออกมาโดยไม่ลังเล ปากบอกว่าไม่ชอบพี่ชายแต่ความคิดน่ะเหมือนกันเดี๊ยะ เมฆก็คิดว่าแม่กับน้องไม่รักหมอกเองก็คิดว่าเมฆคงไม่รักตัวเองเหมือนกัน “นี่...เรื่องที่ว่าพี่ชายนายไม่ยอมปกป้องนายน่ะ หมอคิดว่า การยอมลงให้กับคนอื่นไม่ได้หมายความว่าขี้ขลาด แต่เป็นวิธีของคนฉลาดที่ยอมอะลุ่มอะล่วยยอมเสียเชิงเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมามากกว่า คุณลองคิดนะถ้าวันนั้นพี่ชายคุณต่อยเด็กคนนั้นอะไรจะตามมา” หมอกนิ่งไปดูก็รู้ว่ากำลังคิดตามที่หมอพูด “เด็กคนนั้นก็จะกลับมาแกล้งผมอีก” “ถูก...แล้วพอเมฆขอโทษคนพวกนั้นไปคุณโดนแกล้งอีกมั๊ย?” “ไม่ครับ..” “เห็นมั๊ย?...พี่ชายคุณมีวิธีคิดอีกแบบการใช้กำลังไม่ได้แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างหรอกนะมันต้องใช้นี่ด้วย...” หมอจิณณ์ใช้ปลายนิ้วเคาะที่ขมับตัวเอง “สมอง...” “ใช่...แล้วตอนนี้หมอกลองใช้สมองคิดดูซิ๊ว่าหลังจากออกไปจากห้องนอนของหมอแล้วหมอกจะทำอะไรต่อไป?” มื่อเห็นว่าหมอกยังนิ่งหมอจิณณ์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกทำเพียงลุกขึ้นยืนก่อนจะยักไหล่เป็นเชิงบอกให้หมอกลุกแล้วเดินตามตนเองออกมาจากห้องซะที “ป่ะ...ไปกัน ออกไปกินข้าวกันดีกว่า ป่านนี้ลูกปัดคงทำใกล้เสร็จแล้ว” “ผมว่าผมกลับ...” “กิน” หมอกยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกหมอจิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำเป็นเชิงบังคับ ลูกปัดใช้ถุงมือกันความร้อนยกหม้อต้มน้ำซุปขึ้นวางบนเตาไฟฟ้า ควันหอมฉุยทำให้หมอกแอบกลืนน้ำลายมองบรรดาผักและเนื้อสัตว์ เต้าหู้และเป็ดย่างจานใหญ่ที่ถูกสับวางเรียงอย่างสวยงามอึ้งๆ จานแบ่งถูกยื่นมาให้จากผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในห้องก่อนที่ตะเกียบจะถูกยื่นให้จากหมอจิณณ์ “เมฆเอาผักใส่เลยน้ำเดือดแล้ว หมอกช่วยกันด้วยเลย” หมอจิณณ์วางตะกร้าผักที่สะเด็ดน้ำและจัดเรียงไว้อย่างสวยงามให้คู่พี่น้องที่นั่งกันคนละฝั่งโต๊ะ ลูกปัดเหลือบมองหน้าหมอที่เงยมายักคิ้วแผล่บให้อย่างรู้กัน จริงๆพี่น้องคู่นี้มันก็รักกันแหล่ะเพียงแต่ทิฐิเยอะทั้งคู่…ก็แค่ทำตัวเป็นกาวใจมันไม่น่าจะยากอะไรเนอะ... ก็หวังว่าจะไม่ยากหรอก.... ......................................................... มันก็เป็นแค่เพียงภาพลวงหลอกตา ที่เธอสร้างขึ้นมาให้ฉันตายใจ....
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แล้วบรรยากาศในบ้านที่ผ่านๆมาล่ะ มันเคยมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้รู้ว่าแม่รักและปกป้องเมฆบ้าง
อืม.. เราว่าเขียนให้ตัวละครหมอกดูไม่ซับซ้อนอ่ะ ตอนนี้มาเขียนว่าอยากให้พี่ปกป้องงั้นงี้โง้น มันเชื่อไม่ลง ด่าพี่ ทำร้ายพี่ หาเรื่องพี่ขนาดนั้น จะมาบอกว่ารักพี่ เหมือนหนังคนละเรื่อง
หวังว่าหมอกมันคงไม่ละคร กูว่าละ อิผจก มันไม่น่าไว้ใจจจจจจจจจจจจจจ ทำไมเมฆต้องเปนข่าวกะมันด้วย
สู้ๆนะพี่น้องคู่นี้
เด็กงอแงนี่เอง :z2:
ลูกเป็ดขี้เหร่[:12:] ตีสามสิบห้านาทีเสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะ ความจริงเวลาขนาดนี้ถ้าไม่หลับไปแล้วก็ต้องกำลังกดเมียอันเป็นที่รักที่ช่วงนี้นานๆถึงจะได้เจอกันซักทีอยู่ใช่มั๊ย แล้วอะไรคือการที่ผมต้องมานอนมองหน้ากับคุณหมอจิณณ์โดยมีไอ้เด็กยักษ์นอนเมาหลับกั้นกลางระหว่างเราด้วย ไม่ผิดหรอกครับ...ตอนนี้บนเตียงนอนของเรามีเด็กโย่งหมอกนอนหลับพริ้มราวทารกคั่นกลางระหว่างผมกับหมออยู่เรื่องของเรื่องคือมันดื่มไปเยอะจนเมาในขณะที่ลูกปัดมันขอกลับแต่หมอกมันเพียบแปล้คุณหมอเลยตัดสินใจให้มันค้างด้วย นี่ก็ไว้ใจคนง่ายซะเหลือเกิน ยังไม่ได้เคลียร์เลยนะเรื่องที่รับมันขึ้นรถโดยไม่รู้ว่ามันเป็นใครเนี่ย จากนั้นเราก็หามหมอกมาไว้ในห้องกะจะให้มันนอนพื้นที่ไหนได้พอมันเห็นเตียงเท่านั้นแหล่ะมันก็ทิ้งตัวลงนอนกลางเตียงทันที สวรรค์ล่มต่อหน้าต่อตา...ผมพยายามดึงมันออก ทั้งดึง ทั้งออกแรงถีบแต่คือสกิลการเกาะเตียงของมันเหนียวมากจนผมได้แต่ยืนเท้าสะเอวหอบอยู่ข้างๆเตียงมองมันที่นอนหลับตาพริ้มอย่างเคืองๆ ส่วนหมอจิณณ์ได้แต่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งจากนั้นจึงได้แยกย้ายกันอาบน้ำนอน “เหมือนมีลูกเลยเนอะ” อยู่ๆเสียงหมอก็ดังแทรกความมืดลางๆของห้อง “อืม” ผมได้แต่ขานรับเบาๆแล้วเอื้อมมือไปจับมือหมอไว้ผ่านลำตัวของหมอก ภาพนี้มันเหมือนผมกำลังกอดน้องชายไว้ ตั้งแต่หมอกโตพอจะจำความได้ผมก็ไม่ได้กอดมันอีกเลย นานกี่ปีแล้วนะที่ผมไม่เคยสัมผัสน้องด้วยความรู้สึกดีๆเลย ผมละเลยปล่อยปะมันไปหรือเปล่า ไอ้เด็กที่เอาแต่ร้องเรียก เมฆ เมฆ มันโตมากขนาดนี้เชียวเหรอ “คิดอะไรอยู่?” หมอจิณณ์กระชับมือของเราให้จับกันแน่นขึ้น…อุ่นขึ้น “คิดถึงมันตอนเด็กๆครับ ตอนหมอกมันเกิดตัวมันขาวๆกลมๆ ตอนเด็กๆมันอ้วนกว่านี้ชอบเล่นสัตว์แปลกๆ มันน่ารัก...แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราสองคนห่างกันเรื่อยๆจนเหมือนมันเกลียดผม” “พี่น้องก็อย่างนี้แหล่ะมีช่วงที่สนิทกันมากกับห่างกันมากหมอว่านายสองคนถ้าเปิดอกคุยกันอะไรๆอาจจะดีขึ้นนะ หมอกเองก็ดูอ่อนให้แล้ว” “ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง...ไม่รู้สิครับคงเป็นเพราะเราห่างกันมานานอายุเราก็ต่างกันการเลี้ยงดูก็ต่างกันพ่อกับแม่ตามใจมันมากคงเป็นเพราะมันเองก็ยังเล็กเด็กกว่าผมเกือบ 7 ปี ผมไม่ได้ไม่รักน้องนะ ผม...รักมันเท่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะรักน้องได้แต่การแสดงออกของผมอาจจะไม่ดีพอแล้วหมอกเองมันก็เอาแต่ใจ บางทีผมอาจจะอิจฉาที่มันได้รับความรักมากเกินไปจากพ่อแม่จากทุกๆคนเหมือนสิ่งดีๆไปรวมอยู่ที่มันจนหมด หมดจนไม่เหลือถึงผม” “เหลือสิ...ยังมีความรักของหมออยู่นะหมอไม่แบ่งให้ใครหรอกมันเป็นของนายคนเดียวเลยนะ” “พูดแบบนี้มาทำกันมั๊ยครับ” ผมอดที่จะหื่นใส่หมอไม่ได้ทั้งที่จริงๆในใจกำลังปลื้มกับคำพูดของคุณหมอ ผมเชื่อว่าหมอรักผมจริงเหมือนที่พูด คำพูดของหมอจิณณ์สัมผัสได้ว่ามันเป็นของจริงหมอไม่จำเป็นต้องโกหกผมอยู่แล้ว แต่นั่นทำให้ผมถูกหยิกที่มือทันที “บ้าเหรอน้องนอนอยู่ด้วยจะมาเทิงมาทำอะไรล่ะ” “โถ่...หมออ่ะไม่เจอตั้งหลายวันอยากทำกับเมียจะแย่อยู่แล้วนะ” ผมแกล้งส่งเสียงอ้อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้คุณหมอกำลังนอนหน้าแดงอยู่แน่ๆ “เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันไหนๆก็ได้หยุดตั้งสองวัน” “พูดจริงนะครับ” ผมแกล้งเอี้ยวตัวไปจ้องตาผ่านความมืดสลัวของตัวห้อง แม้จะมองเห็นรางๆแต่ผมกลับเห็นดวงตาใสแจ๋วของคุณหมอชัดเจน เหมือนดาวที่สุกสกาวกลางคืนอันมืดสนิท “จริงสิ จะเล่นทายากท่าพิสดารหรือเบสิคใต้เตียงบนโต๊ะริมระเบียงอ่างอาบน้ำหมอจะยอมตามใจเลย” เสียงคุณหมอว่าอู้อี้เพราะเอาหน้าซุกกับหมอนนุ่มจนผมต้องแกล้งแซะขึ้นมาให้ได้เขินเล่น “งั้นมาโป๊ะๆปากสัญญากันก่อน” ผมแกล้งโน้มตัวผ่านหมอกที่กรนน้อยๆเข้าไปใกล้หมอจิณณ์มากขึ้น…มากขึ้น…มากขึ้น…มากขึ้น…ก่อนที่ปากของเราจะ.... “โอ๊ยยยยยยย......อึดอัดโว๊ย!!” เสียงไอ้เด็กนรกมันโวยวายพลางขยับตัวยุกยิกแขนขายาวเก้งก้างของมันกางพาดเราสองคนไว้คนละฝั่งทำให้เราสองคนต้องหลุดจากวงโคจรของกันและกัน ผมหงุดหงิดจนอดไม่ได้ทีจะถีบเข้าที่สะโพกของไอ้ตัวขัดลาภซะหนึ่งที เสียงหมอจิณณ์หัวเราะเบาๆผ่านความมืด “ไม่ต้องมาหัวเราะดีเลยรอพรุ่งนี้ก่อนจะเอาให้ลุกไม่ขึ้น” “กลัวคนปากดีแถวนี้จะไม่มีแรงทำมากกว่า” คุณหมอปากเก่งแลบลิ้นใส่เมฆที่เอาแต่นอนอมยิ้มก่อนจะต่างคนต่างปิดเปลือกตานอนโดยไม่รู้เลยว่าคนที่เมาหลับกลายมาเป็นก้างชิ้นใหญ่แอบยิ้มในความมืด “นี่นมกินซะจะได้โตทันพี่” คุณหมอจัดการเทนมจืดแก้วโตวางไว้ให้หมอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปช่วยเมฆที่ผัดข้าวในกะทะใบใหญ่อย่างขมักเขม่น กว่าทั้งสามคนจะตื่นนอนก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงเมฆรับหน้าที่ทำอาหารเช้าส่วนหมอจิณณ์เก็บขวดเบียร์ขวดเครื่องดื่มและเศษขยะไปทิ้งจนเสร็จมีเพียงหมอกที่นั่งรอราวคุณชายอยู่คนเดียวซึ่งเมฆเองก็ไม่อยากจะเรียกให้ช่วยเพราะรู้ดีว่าถึงหมอกจะมาช่วยก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร รังแต่จะเกะกะซะเปล่าๆเพราะไอ้ตัวดีมันทำกับข้าวไม่เป็นเอาซะเลย ไม่นานข้าวผัดหอมฉุยควันโชยกรุ่นก็ถูกยกมาเสิร์ฟหมอกที่ยังดูเขินๆกับสถานภาพปัจจุบันตักข้าวเข้าปากเงียบๆในขณะที่หมอเปิดทีวีเสียงดังดูรายการตลกส่วนเมฆนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เชคข่าวตัวเอง Rrrrr เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นเมฆเหลือบตามองก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อชื่อของคนที่โทรเข้ามาคือศิโรจน์ ผู้จัดการส่วนตัว แปลก..ปกติถ้าเป็นวันหยุดเดย์จะรู้ดีว่าเขาต้องทุ่มเวลาให้กับครอบครัว หมอเหลือบตามองหนเผมแว๊บหนึ่งด้วยสายตาสงสัยเพราะเห็นว่าผมไม่รับซักที “ครับพี่” ในที่สุดผมก็กดรับแล้วหรอกเสียงลงไป “มาที่คอนโดด่วนเลย” น้ำเสียงติดหงุดหงิดร้องบอกกับผม “วันนี้วันหยุดของผมนะพี่” ผมท้วงออกไปอย่างไม่ชอบใจเสียงถอนหายใจหนักๆดังขึ้นก่อนน้ำเสียงห้วนๆจะตอบกลับมา “บริษัทเครื่องสำอางค์ยักษ์ใหญ่ที่ดาราเกือบทั้งวงการอยากป็นพรีเซนเตอร์ให้เค้าเพิ่งจะติดต่อมาว่าอยากได้นายไปร่วมงานเลือกเอาว่าจะนอนกกเมียแล้วไม่ได้อะไรกับมาหาพี่แล้วนายเงินเป็นสิบๆล้านดี” ณ จุดนี้ผมกดวางสายแล้วมองหน้าหมอก “ใกล้อิ่มหรือยังเดี๋ยวจะไปส่ง” มันเงยหน้าจากจานข้าวมามองผมก่อนจะพยักหน้า “หมอครับคงต้องไปเลย” “อ่าวทำไมล่ะ” หมอวางช้อนแล้วหันมามองผมด้วยดวงตาเศร้า อย่ามองอย่างนี้สิครับขอผมไปเมคมันนี่ก่อนเพื่ออนาคตของสองเรา “พอดีบริษัทเครื่องสำอางค์ติดต่อมากระทันหันน่ะครับผมอยากได้งานของแบรนด์นี้มานานขอผมทำนะครับ” “เดี๋ยวไปหยิบกุญแจรถให้นะ” คุณหมอไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงเลื่อนเก้าอี้แล้วพาตัวเองหายข้าไปในห้อง หมอของผมน่ารักมั๊ยล่ะครับไม่มีงอแงฉุดรั้งหรือดึงดันมีแต่สนับสนุนผม น่ารักจริงๆเลย ภายในห้องนอนหมอจิณณ์ที่บอกกับคนรักว่าจะเข้ามาหยิบกุญแจให้ก็ทรุดนั่งลงบนเตียงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงราวกับคนอ่อนแรง ทำไมต้องโทรตามวันนี้ด้วย เมฆเพิ่งจะอยู่กับเค้าไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่นัดคุยวันอื่นก็ได้ทำไมศิโรจน์ไม่ทำ ถึงแม้ไม่อยากจะคิดมาก ถึงแม้ไม่อยากจะมองโลกในแง่ร้ายแต่วันนี้หมอจิณณ์ก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองไม่เข้มแข็งพอจะหลอกตัวเองว่าไม่หึงไม่หวงไม่ห่วง เพราะจะให้พูดตามจริงแล้วหมอจิณณ์หึงเมฆกับศิโรจน์มากๆ เพราะจะให้พูดตามจริงแล้วหมอจิณณ์หวงเมฆไม่อยากให้ใครมาวอแวเกาะแกะโดยเฉพาะศิโรจน์ เพราะจะให้พูดตามจริงแล้วหมอจิณณ์ห่วงเมฆมากกลัวจะโดนใครใช้ความใสซื่อมาหลอกเหยียบหัวเมฆเพื่อก้าวขึ้นสู่สะพานดาว ต้องเชื่อใจอีกซักเท่าไหร่ถึงจะไม่เป็นทุกข์ แค่ที่พยายามทำเหมือนเชื่อใจทุกวันนี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ไม่อยากทำตัวงี่เง่าเพราะกลัวเมฆจะรำคาญใจไม่อยากโทรตามจิกตามเช้คพราะกลัวเมฆจะมองว่าไม่น่ารัก พยายามบอกตัวเองให้เชื่อใจเมฆแต่แล้วไงล่ะ สุดท้ายก็อดหวั่นไหวไม่ได้ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ากุญแจรถและกระเป๋าสตางค์มาถือไว้ปรับสีหน้าให้สดใสแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะกินข้าวยื่นของทั้งสองสิ่งให้คนรักด้วยความรู้สึกหวิวแปลกๆแต่ก็สลัดออกไปทันทีเมื่อเมฆเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแบบที่หมอจิณณ์บอกว่ามันเป็นยิ้มที่ไร้เดียงสา “จะไปกันเลยเหรอ” ที่สุดหลังจากข้าวหมดจานเมฆก็ขยับตัวลุกขึ้นพร้อมๆกับหมอกที่สะพายเป้เรียบร้อย “ครับเดี๋ยวต้องไปส่งหมอกก่อนแล้วแวะไปคอนโดเตรียมตัวไปคุยงาน” “แล้วจะกลับมานี่มั๊ย?” “ยังไม่ตอบได้มั๊ยครับ” แทนที่จะได้คำตอบกลับมาหมอจิณณ์กลับได้คำถามเป็นคำตอบซะงั้นคนตัวเล็กแกล้งยิ้มสดใสแล้วโบกมือบ๊ายบายยามที่สองพี่น้องเดินออกไปจากห้องก่อนจะหยุดมือไว้ระดับแผ่นหลังที่เคลื่อนไปข้างหน้าของเมฆ หมอจิณณ์เองก็ไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร เราเหมือนอยู่ใกล้กันแค่ลมหายใจกั้น แต่จริงๆแล้วตอนนี้ในหัวใจของหมอกลับรู้สึกว่าเราห่างกันไปเรื่อยๆเมื่อก่อนจะไปไหนมาไหนก็สามารถเล่นหัวหยอกเอินกันได้ไม่มีใครมองแต่เดี๋ยวนี้จะออกไปข้างนอกแต่ละครั้งต้องพรางตัวแล้วพรางตัวอีกหรือไม่ก็ต่างคนต่างเดินแล้วไปเจอกันที่จุดหมาย ตกลงเราเป็นอะไรกันไปแล้ว แฟนกันหรือแค่แฟนคลับเหมือนคนอื่นๆ “ฉันยังสำคัญกับนายอยู่มั๊ยเมฆ...” ร่างสูงหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางการจราจรยามบ่ายค่อนข้างหนาแน่นแดดจัดยามบ่ายทำให้หมอกเบ้หน้า เขาเกลียดความร้อนเกลียดแสงแดดมันทำให้เขาแสบตาเด็กหนุ่มขยับตัวปลดเข็มขัดนิรภัยหลังจากนั่งอมน้ำลายจนเกือบจะบูดมาตลอดทาง คนไม่เคยพูดดีกันมาตั้งแต่แรกจะมาให้เริ่มพูดก่อนมันก็ตลกอีกอย่างเมฆก็คุยโทรศัพท์กับผู้จัดการส่วนตัวเกือบตลอดทาง รถยนต์คันนี้หรูใช่เล่นออดี้รุ่นใหม่ราคาแพงไม่คิดว่าไอ้ลูกเป็ดที่เค้าค่อนว่ามาหลายปีจะโด่งดังเป็นพลุแตกโฆษณาวิ่งชนเท่าที่นับๆตอนนี้ที่ได้ยินก็ 5 ตัวเข้าไปแล้ว ถ้าถ่ายโฆษณาผ้าอนามัยได้ก็คงจะรับแล้วมั้ง “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกหลังจากหมอกลงไปจากรถแล้ว แว่นตากันแดดแบรนด์เนมสีดำดีไซน์สวยถูกยื่นให้ “แดดมันแรงใส่ซะตาแกแพ้แสง” คนเป็นพี่ว่าเรียบๆ หมอกเสมองไปทางอื่นก่อนจะหยิบแว่นมาสวม “เดี๋ยว” คนเป็นพี่ยังเรียกไว้อีกครั้งก่อนจะล้วงกระเป๋าเงินออกมานับเงินแล้วยื่นให้ “ไม่ค่อยได้พกเงินสดฝากเงินนี่ให้แม่ครึ่งนึงอีกครึ่งยกให้แก” “ไม่เอาหรอกไม่จำเป็น” หมอกจะส่งเงินคืนให้แต่เมฆกลับพ่นลมออกจากปาก “อยากได้กีต้าร์ตัวใหม่ไม่ใช่เหรอถือว่าฉันสมทบทุน ไว้ว่างๆค่อยไปดูกันก็แล้วกัน ฉ่ะ...เอ่อ...พี่ไปก่อนฝากบอกแม่ด้วยว่าคิดถึง” เมฆออกรถไปแล้ว ทิ้งน้องชายให้ยืนกำเงินอยู่ลำพังบนฟุตบาท ทันทีที่รถยนต์สีขาวลับตาหมอกก็ยกเงินก้อนนั้นขึ้นมาดูก่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับจะผุดขึ้น ดวงตาวาววับตวัดมองถนนที่คราคร่ำด้วยรถมากมาย “หึ...แค่เล่นละครนิดๆหน่อยๆก็หลงเชื่อซะแล้วเหรอ พวกแกนี่มันโง่ๆๆ โง่กันหมดทุกคนเลยจริงๆ” เด็กหนุ่มเอาเงินใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะผิวปากหวือเดินไปคนละทิศกับซอยบ้านตัวเอง โง่... ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเมฆก็ยังคงโง่กว่าหมอกตลอด แค่ทำหน้าตาเหมือนคนสำนึกผิดเมฆก็นึกว่าเขากลับตัวกลับใจ ไหนจะได้แรงสนับสนุนจากคุณหมอพี่สะใภ้แล้วเมฆมันก็เออออไปตลอดทุกรายการ โคตรตลกเลยที่เมื่อคืนชายหมอกแกล้งเมาเพื่อเป็นก้างขวางคอระหว่างคนทั้งคู่ หมอกได้ยินทุกอย่างที่ทั้งสองคนคุยกันและแกล้งโวยวายตอนที่ปากของทั้งคู่กำลังจะประกบกันอยู่แล้ว…สำนึกผิดเหรอ?? คนอย่างหมอกจำเป็นต้องสำนึกผิดด้วยเรื่องอะไร?? ไม่มีทางซะล่ะเพราะคนอย่างขาเกิดมาเพื่อเป็นคนชี้ว่าอันไหนคือถูกและอันไหนคือผิด “รวยนักใช่มั๊ยคอยดูนะฉันจะไถตังค์แกจนหมดตัวเลยไอ้เมฆ อยากได้นักเหรอความรักน่ะ ขอโทษด้วยนะถ้ามึงจะต้องจ่ายแพงหน่อย” ผมจอดรถแล้วหยิบข้าวของอีกสองสามชิ้นล็อครถเสร็จก็เดินเข้าตัวคอนโดที่มี รปภ.ทำความเคารพยื่นเครื่องดื่มบำรุงกำลังให้แกไปสองขวดกับขนมขบเคี้ยวถุงใหญ่เป็นอะไรที่ผมทำจนชินอยู่แล้วเพราะแกค่อนข้างเป็นคนเอาการเอางานและดูแลรถให้ผมดีมาก อ่อ...แกเป็นแฟนคลับของผมด้วยนะ ช่วงที่มาอยู่แรกๆแกเคยเอาสมุดเล่มเล็กๆกับรูปโปสเตอร์ที่ทางผู้จัดละครทำออกมาแจกแฟนคลับเอามาขอให้ผมเซ็นต์ให้แกบอกว่าทั้งบ้านชอบผมมากโดยเฉพาะลูกสาวของแกที่นอนป่วยเดินไม่ได้อยู่กับบ้าน ผมเห็นว่ารูปมันยับแล้วก็เลยบอกให้แกรอแล้วขึ้นไปเอารูปบนห้องมาให้ใหญ่เท่าฝาบ้านแล้วขับรถพาแกเอารูปไปเก็บเซนต์ให้ต่อหน้าลูกสาวของแกแล้วถ่ายรูปร่วมแล้วถึงกลับมา หลังจากวันนั้นแกดูจงรักภักดีกับผมมากขึ้นไปอีก 7.8 ริกเตอร์ “ไหนว่าวันหยุดไงครับคุณแล้วทำไมกลับมาคอนโด” เห็นมั๊ยผมบอกแล้วว่าแกเป็นแฟนบอยตัวย “คุณขี้บ่นเขารับงานด่วนมาให้น่ะครับผมไปก่อนนะลุงเดี๋ยวคุณขี้บ่นสวดสามชั่วโมงไม่ซ้ำคำ” ครับ...คุณขี้บ่นเป็นสรรพนามที่ลุงยามเรียกพี่เดย์ลับหลังครับ เป็นที่รู้กันดีว่าพี่แกขี้บ่นมากขนาดไหนลุงยามแกเลยมอบชื่อนี้ให้พี่เดย์ด้วยความเต็มใจ “กว่าจะมาได้นะไม่รู้หรือไงว่าต้องมาเตรียมตัวก่อนเวลาชั่วโมงเดียวจะพอมั๊ยทำไมไม่กระตือรือร้นเลยล่ะเมฆไหนพูดนักพูดหนาไงว่าอยากได้งานนี้แล้วดูซิ๊พี่โทรตามนายตั้งแต่ยังไม่เที่ยงมัวเอ้อระเหยที่ไหนมาจนบ่ายสองหัดมีความรับผิดชอบกับงานหน่อยสิทำไมต้องให้พี่คอยบ่นคอยจ้ำจี้จ้ำไชนายตลอดเวลาเลยฮ๊ะ” เพียงแค่ผมไขประตูเข้ามาสิ่งที่ต้อนรับผมเป็นอันดับแรกคือค้อนวงใหญ่ อย่างที่สองคือเสียงบ่นแบบนันสตอป ผมถอนหายใจแล้วกรอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายรอฟังพี่แกบ่นจนจบแล้วก็แกล้งยกนาฬิกาขึ้นดู “ตอนนี้ผมเสียเวลาฟังพี่บ่นไปอีก 5 นาที” พี่เดย์ตวัดตามาค้อนแบบจิกๆให้ผมซะหนึ่งทีก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้มาให้ผม “เปลี่ยนซะจะได้รีบไปซะทีนัดคุยงานกับเค้าตอนบ่ายสามป่านนี้ยังไม่เสด็จกันเลย” “เสียเวลาไปอีก 2 นาที” “เมฆ!! พี่ไม่ตลกกับนายนะ” พี่เดย์หันมาแหวผมครับผมแกล้งยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่ายอมแพ้ก่อนจะรับเสื้อผ้าในมือพี่เค้าแล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง สิบนาทีต่อมาผมในเสื้อเชิ๊ตขาวกับยีนส์เข้ารูปสีซีดก็ออกมายืนเป็นเด็กอนุบาลให้พี่เดย์เชคความเรียบร้อยเป็นขั้นตอนสุดท้าย “โอเคแล้วไปได้” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ถึงบ่ายสามดีเราก็เข้ามานั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่พี่เดย์จองไว้เมื่อเที่ยงอีกสิบนาทีต่อมาตัวแทนจากบริษัทเครื่องสำอางค์ก็ตามเข้ามาแต่ที่ทำให้ผมกับพี่เดย์ตกใจคือท่านประธานใหญ่ของบริษัทตามมาด้วยทำเอาลุกขึ้นทำความเคารพแทบไม่ทัน การพูดจาในขั้นแรกของเราผ่านไปด้วยดีเป็นอันตกลงว่าทางบริษัทเครื่องสำอางค์จะจ้างผมเป็นพรีเซนเตอร์อย่างต่อเนื่องโฆษณาที่จะถ่ายจะทำเป็นซีรี่ส์ 4 ตัว กับงานโชว์ตัวอีกตลอด 1 ปี เงินกำลังจะไหลมา กำลังจะไหลมา เพราะเม็ดเงินที่ผมกำลังจะได้ค่อนข้างมหาศาลมื่อท่านประธานเอ่ยปากชวนไปงานฉลองวันเกิดลูกสาวท่านผมกับพี่เดย์จึงตกลงทันทีอย่างไม่รีรอ เราขอตัวกลับมาอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดอีกครั้งก็ยังพอมีเวลาอีกซักชั่วโมงผมโทรหาหมอจิณณ์แล้วเล่าเรื่องวันนี้ให้หมอฟังหมอแสดงความดีใจกับผมแล้วเล่านู่นเล่านี้ว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้างตบท้ายด้วยคำว่าคิดถึงเมื่อได้ยินพี่เดย์ร้องเตือนว่าควรจะไปที่ผับได้แล้ว “เมฆ...” “ครับ?” “อย่าดื่มเยอะล่ะ” “รับทราบครับ” ผมวางสายจากหมอจิณณ์แล้วคว้ากุญแจรถเดินตามพี่เดย์ที่วันนี้แต่งตัวได้เปรี้ยวมากเถอะ เสื้อกล้ามคว้านลึกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนปิดทับด้วยแจ็คเกตลายขาวดำบนหัวมีหมวดที่ใส่ปัดๆ…ก็น่ารักดี ส่วนตัวผมพี่เดย์เลือกเสื้อเชิ๊ตสีดำให้ท่าทางพี่แกจะกะขนาดตัวผมผิดก็มันแน่นตึงจนนมผมปริเชียวล่ะ หายใจทีกระดุมแทบระเบิดหลุดออกมา เรามาถึงผับราวๆสามทุ่มบรรยากาศคึกคักเห็นพวกดาราไอดอลและเซเลปคุ้นหน้าคุ้นตากันหลายคนผมกับพี่เดย์ที่แวะหาซื้อของขวัญติดมือกันมาคนละกล่องเข้าไปทักทายเจ้าของงาน บรรยากาศสนุกดีครับเดินไปทางไหนก็เจอแต่คนรู้จัก รุ่นพี่ในวงการเจอคนหนึ่งก็ยกแก้วกันทีหนึ่ง “เดินดีๆสิเมฆตัวนายหนักมากเลยรู้มั๊ย” เดย์เอ็ดเมฆที่ตัวเองประคองมาตามทางเดินเมื่อชายหนุ่มที่ดื่มไม่เก่งนักเมาแปล้เพราะโดนรุ่นพี่ในวงการบังคับให้ยกไปซะทุกคนดาราดาวรุ่งหนุ่มถึงกับคอพับคออ่อนหลังจากเจ้าของงานตัดเค้กเสร็จเดย์จึงขอตัวพาเด็กโย่งกลับซะที “เกรงใจเค้ายังโดนเค้าแกล้ง ทำไมไม่ฉลาดเลยแกล้งจิบๆไปก็ได้” เดย์ล้วงคีย์การ์ดขึ้นมาปลดล็อคห้อง “หื๊ม??...ทำไมวันนี้คุณหมอขี้บ่นจังบ่นเสียงเหมือนนกมาร้องในหัวจิ๊บๆๆๆๆเลย” ร่างสูงปรือตามองคนที่ประคองตัวเองอยู่ เดย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย…ไม่ชอบเลยเวลาที่เมฆพูดถึงคนรัก ไม่ชอบฟังไม่อยากเห็นรูปไม่อยากได้ยินชื่อหรืออะไรทั้งนั้นที่เกี่ยวกับหมอจิณณ์ แต่ก็ได้ยินทุกวัน...เดย์ประคองเมฆเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของดาราหนุ่ม คอนโดนี้มีสองห้องนอนซึ่งห้องใหญ่เป็นของเมฆส่วนอีกห้องที่เล็กกว่ากันนิดหน่อยเป็นของเขาเองส่วนมากเดย์จะมาอาศัยนอนต่อเมื่อมีงานที่ต้องไปตั้งแต่เช้าหรืองานที่ต้องไปต่างประเทศ “ตัวหนักมากเลยนะเราน่ะ” บ่นอุบเมื่อรู้สึกล้าที่ไหล่ประคองคนเมาตัวอ่อนปวกเปียกมาที่เตียงก่อนจะพยุงให้ค่อยๆเอนตัวลงบนที่นอนแต่เพราะขนาดตัวที่ต่างกันรวมทั้งน้ำหนักที่ถ่วงทำให้แทนที่เมฆจะร่วงลงที่นอนคนเดียวก็กลายเป็นเดย์เสียหลักล้มลงไปด้วย “หืม...นี่ใครกันล่ะเอ่ย เมียผมใช่มั๊ยเนี่ย” คนเมาที่กำลังจะเคลิ้มหลับเมื่อมีอะไรหล่นมากระแทกหน้าอกก็ลืมตามองขึ้น ทำไมหมอจิณณ์มี 1...2...3...4...5...6...7...กี่คนกันล่ะเนี่ยหน้าก็เบลอๆด้วย…คนเมาพยายามเขม้นมองใบหน้าที่ห่างจากตัวเองแค่คืบ “ทำๆกันมั๊ย?” อยู่ๆคนเมาก็ยกมือขึ้นประคองหน้าของเดย์ที่ขมวดคิ้วอย่าง งงๆ “อะไร?” “แบบนี้ไง” ว่าจบก็ประกบปากลงบนกลีบปากนุ่มทันที ตอนแรกก็ตกใจกับการจู่โจมนั้นแต่พอตั้งตัวได้ศิโรจน์ก็ตอบโต้กลับด้วยความดุเดือดไม่แพ้กัน เขาชอบเมฆ..ชอบความหล่อเหลาของเมฆ…ชอบความนิสัยดีของเมฆ…ชอบดวงตาซื่อๆของเมฆ…แล้วมันจะผิดอะไรถ้าจะยอมมีอะไรด้วย ด้วยความเต็มใจ แม้จะเป็นแค่ตัวแทนของใครบางคน แล้วไงล่ะ??..ใครจะสน??..เสื้อกล้ามถูกถอดออกโยนลงข้างเตียงพร้อมๆกับมือขาวค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของเมฆทีละเม็ด เสียงโทรศัพท์มือถือของเมฆดังขึ้นแต่ไม่มีใครสนใจจะมองมัน บนเตียงกลายเป็นสมรภูมิรบที่แสนดุเดือด “ยังไม่กลับอีกเหรอ??” หมอจิณณ์ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงมองนาฬิกาเกือบตีสามก็ต้องตัดใจวางโทรศัพท์ลงบนหัวเตียงแล้วกับไฟล้มตัวลงนอน ซักพักก็เอาผ้าห่มลงแล้วดึงหมอนที่เมฆใช้หนุนนอนไปกอด ระบายยิ้มจางๆเมื่อได้กลิ่นแชมพูปนกลิ่นเฉพาะตัวของเมฆกดจูบแผ่วเบาที่หมอนใบโตกระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะหลับตาลงในที่สุด ..........................................
ถ้านี่เป็นพี่หมอบอกเลยว่าเลิก! เลิกเท่านั้น :m31:
:เฮ้อ:
รวดเดียว 12 ตอน สนุกดีแหะ เออน่าติดตาม เม้นท์รวบยอด เมฆต้องทบทวนหลายอย่าง ก็เข้าใจว่าอยากเด่น ส่องสว่าง ให้ใครมองเห็นตัวตน แต่สุดท้ายแล้วอะไรคือสิ่งที่สุขจริงๆ ย้อนกลับไปมองสิ่งที่เจอมาควรให้ค่าแค่ไหน ใครคือคนที่ดึงขึ้นมา จะตอนแทนด้วยฆ่าความเชื่อใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไปอย่างนั้นหรือ ถึงแม้จะไม่รู้ตัว แต่แล้วไงซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อีกคนระแวง ที่เคยพูดไว้อยากให้มองถึงจิตใจไม่ได้มองรูปลักษณ์ แล้วใครกันที่เห็นมาแต่ต้นพร้อมยอมรับ อย่าลืมจุดนี้ไป //สุดท้ายหมอต้องเข้มแข็ง อยู่ได้ถ้าตัองห่างกัน ความผิดหวังทำให้เฉยชาและปล่อยวาง แม้เสียใจแต่ต้องอยู่ได้ รักตัวเองนะหมอ เพราะเมฆควรได้รับบทเรียนจากสิ่งที่เพิ่งเกิดไป ไม่ระวังตัว อาจจะนำพามาให้หมอเสียใจจากคนๆนี้ใครจะรู้หากเขาอยากได้ขึ้นมามากกว่านี้ ระราน ความยุ่งยากตามมา ลำพังแค่นี้ก็แทบไม่มีเวลาให้กันแล้ว ปกปิด เลี่ยงแฟนคลับ บลาๆ และจากการต้องการความรักปลอมๆจากครอบครัว ไม่รักษารักที่แท้จริงเท่าที่ควร การกระทำสำคัญกว่าคำพูด รักนะพูดง่าย //อยากรู้จะเป็นยังไงต่อ ขอรอตอนต่อไปค่ะ สนุกๆ โอๆ โอเคเลย ผ่านๆ ชอบๆ มาต่อๆค่ะ อิอิ ^^
คนโง่ก็คือคนโง่ :seng2ped:
เฮ้ออออ เมฆ ลอกคราบลูกเป็ดแล้วก็ช่วยฉลาดขึ้นหน่อยเถ๊อะะะะะะะะะะ :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
นั่นไงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :m16: กุว่าละ คิดผิดที่ไหน :m31: อิเมฆฆฆฆฆฆฆ มึงทำหมอเสียจายยยยยยยยยยยยยยยยยย :katai1: ถ้าเปลี่ยนหน้าละมันโง่กว่าเดิมนะ กลับไปเปนลูกเป็ดขี้เหร่เถอะ กอดหมออออ :o12:
ลูกเป็ดขี้เหร่[:13:] อ่า...ปวดหัวจัง... เมฆกุมหัวตัวเองเอาไว้ อาการปวดหัวจากการเมาค้างทำให้เขารู้สึกตัวตื่นในเที่ยงของอีกวัน แต่กระนั้นความขี้เกียจก็ยังมีผลทำให้ไม่ลืมตามาสู้แสงหรืออะไรทั้งนั้น นอนผ่อนลมหายใจซักครู่ถึงรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่เพียงลำพังความอุ่นซ่านข้างกายทำให้อดที่จะกดยิ้มไม่ได้ สงสัยจะเมาแล้วขับรถกลับมานอนกับหมอ ขอกอดให้เต็มแขนหน่อยเถอะคืนก่อนดันมีมารมาขวาง ร่างสูงพาดท่อนแขนกับเอวเล็กของคนที่นอนตะแคงหันหลังให้ และด้วยความเคยชินอีกเช่นกันเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ใส่เสื้อผ้าและตัวเองก็เปลือยเช่นกันเจ้าตัวจึงกดยิ้มอย่างชอบใจ เมื่อคืนทำๆกันสินะถึงว่าตื่นมาเพลียๆตัวเบาๆคล้ายจะลอยได้ มือซุกซนเริ่มอยู่ไม่สุขหวังจะแกล้งให้คนในอ้อมกอดรู้สึกตัวตื่นแล้วลุกมาทุบตนแบบทุกครั้ง ฝ่ามือร้อนจึงลูบหน้าท้องแบนราบเล่นผิวครัดตึงกว่าปกติทำให้เบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ “ไปเล่นกีฬามาอีกแล้วใช่มั้ยครับเนี่ยตัวแข็งอีกแล้ว” กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วขยับเข้าไปชิดกับร่างเปลือยของอีกฝ่ายก่อนจะป่ายปัดฝ่ามือขึ้นมาที่หน้าอกแบนเรียบลูบคลำบีบเฟ้นเล่นอย่างเพลินมือ ริมฝีปากอุ่นก็พรมจูบที่ลาดไหล่ขาวเนียนย้ำๆซ้ำๆพลางขบเม้มทำรอยจางๆเล่นอย่างคนขี้แกล้งจนในที่สุดร่างในอ้อมกอดก็เริ่มขยับตัว “อื้อ...” เสียงครางประท้วงของคนในอ้อมกอดฟังดูแหบพร่าจนเสียงแปลกไปจากเดิม เมฆขมวดคิ้วก่อนจะปล่อยความสงสัยผ่านเลยไปยังคงหลับหูหลับตาระดมพรมจูบมือซนก็เริ่มเลื่อนกลับลงมาข้างล่างอีกครั้งจนคนในอ้อมแขนรู้สึกตัวคว้ามือใหญ่ไว้ทันก่อนที่จะจับอะไรต่อมิอะไรใต้สะดือ “พอ...พอแล้ว ไม่ไหวแล้วนะ นายทำพี่ช้ำไปทั้งตัวแล้วนะ” “หือ??...เฮ้ย!!!....พี่!!!....มาอยู่บนเตียงผมได้ยังไงเนี่ย??” ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดของคนที่ตัวเองกอดเมฆก็ทะลึ่งพรวดพลางผลักคนในอ้อมแขนออกราวกับโอบของร้อนไว้เต็มแขน ศิโรจน์ที่ไม่ทันได้ตั้งหลักถึงกับกลิ้งหล่นลงข้างเตียงในขณะที่เมฆรวบผ้าห่มขึ้นมาปิดกายไว้ “โอ้ย...ทำบ้าอะไรของนายน่ะเมฆพี่เจ็บนะ!!!” ช็อก!!! ผมกำลังช็อกอยู่... นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ยแล้วพี่เดย์ทำไมต้องแก้ผ้า แล้วพี่เดย์มาอยู่ในห้องของผมได้ยังไง แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง โอ๊ย...ผมปวดหัวจนแทบระเบิดขยับตัวไปนั่งชิดหัวเตียงเมื่อพี่เดย์ค่อยๆคลานเข้ามาหยุดตรงหน้าผม “จะอะไรล่ะนายปล้ำพี่นะเมื่อคืน” “เฮ้ย!! ไม่จริงอ่ะ” “จริงสิ นายบอกว่ามาทำๆกันมั้ยแล้วนายก็จูบพี่อย่างนี้” สงสัยพี่เดย์กลัวว่าผมจะไม่เชื่อในขั้นตอนครับพี่เค้าเลยประกบปากผมแถมดูดดังจ๊วบก่อนจะผละออก ดูดวงตาของพี่เค้าสิมันระยิบระยับดาวล้านดวงอย่างน่ากลัว “พี่ไม่ใช่คนเริ่มนะนายต่างหากที่เป็นคนเริ่ม” “แต่ผมเมา” “ผู้ชายมันก็อ้างอย่างนี้ทุกคนแหละ ใช่สิ นายได้พี่แล้วนี่จะพูดยังไงก็ได้สินะ มักง่ายในกามแล้วปัดความรับผิดชอบหน้าด้านๆเลยสินะ” ท้ายน้ำเสียงมันสั่นเครือจนใจผมหล่น หางตาของพี่เดย์มีน้ำตาปริ่มออกมาก่อนที่พี่เค้าจะเบือนหน้ากระพริบตาปริบๆไล่ให้น้ำตาหายไปจากนั้นพี่เดย์ก็หันหลังนั่งกอดเข้าให้ผมไม่พูดไม่จาอะไร บรรยากาศตอนนี้มันอึดอัดแปลกๆ ผมได้แต่ยกมือเสยผมตัวเองอย่างทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าหมอรู้ผมจะทำยังไง ถ้าหมอจิณณ์รู้ผมจะอธิบายแบบไหนให้หมอเข้าใจ ถ้าหมอรู้....เมฆตายแน่ “นายอาจจะพูดได้ว่านายเมานายไม่ได้ตั้งใจ แล้วยังไงล่ะพี่ก็เสียให้นายไปแล้ว นายมันเอาแต่ใจเห็นแก่ตัว จริงอยู่ที่พี่เป็นผู้ชายคงไม่เสียหายอะไรแต่เคยคิดถึงใจพี่บ้างมั้ยว่าพี่จะรู้สึกยังไงที่นายพูดออกมาแค่ว่านายเมา แค่เมาจะทำตัวมักง่ายแบบนี้ได้เหรอเมฆ” เสียงพี่เดย์อู้อี้ออกมาจากการซบหน้ากับเข่า อาการนี้สินะที่เขารียกน้ำตาเช็ดหัวเข่า ผมหยุดหมกมุ่นกับความคิดของตัวเองแล้วมองพี่เดย์ให้ต็มตาอีกครั้ง ร่างเปลือยเปล่าที่นั่งขาวโพลนอยู่ตรงหน้าสั่นน้อยๆด้วยแรงสะอื้น ตามตัวมีรอยแดงกระจายไปทั่ว ผมชอบทำรอยครับ ผมชอบที่จะทำรอยบนตัวหมอจิณณ์เวลาเมคเลิฟกันแต่ก็ไม่คิดเลยว่าผมจะกล้าทำรอยพวกนี้บนตัวคนอื่นที่ไม่ใช่เมียของผม “ผม..” “ไม่ต้องมารับผิดชอบพี่ก็ได้ เพราะสิ่งที่ทำลงไปส่วนหนึ่งก็มาจากความเต็มใจของพี่เองนายไม่ต้องรักพี่ก็ได้แค่สงสารกันบ้างก็พออย่างน้อยพี่ก็เป็นเมียคนหนึ่งของนายเหมือนกัน” พี่เดย์หันมาแตะที่ปลายเท้าของผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน่าสงสาร น้ำตาหยดใสเม็ดโตค่อยๆร่วงหล่นลงมา ริมฝีปากแจมูกแดงไปหมด นี่ผมทำอะไรลงไปกัน แค่เห็นน้ำตาของพี่เดย์คนที่เข้มแข็งเอาจริงเอาจังกับงานคอยเข้มงวดกับผมมาตลอดใจก็อ่อนยวบลงแทบจะทันที ผมค่อยๆส่งปลายนิ้วไปกรีดน้ำตาบนผิวแก้มของพี่เดย์ออก ถอนหายใจด้วยความหนักใจก่อนจะดึงตัวพี่เขามากอดอย่างเก้ๆกังๆ “ขอโทษนะครับพี่ถ้าผมพูดจาไม่ดีออกไปผมแค่กำลังกลัว ถ้าหมอจิณณ์รู้ผมจะอธิบายกับหมอว่ายังไง” ผมลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นเบาๆราวกับกำลังปลอบเด็กน้อย พี่เดย์เงยหน้าช้อนตาขึ้นมองสบตาผม ดวงตาพราวฉ่ำน้ำนั้นจ้องเป๋งก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมอ้าปากค้างว่า “ก็อย่าบอกให้เขารู้สิ เรื่องของเราอย่าบอกหมอจิณณ์แค่เธอเมตตาพี่บ้างก็พอ อีกอย่างเวลานายต้องการจะได้ไม่ต้องช่วยตัวเองเหมือนที่ผ่านๆมาไงล่ะเพราะพี่ช่วยนายได้นะ” มือที่กอดเอวผมไว้เลื่อนขึ้นมาคล้องคอผมแทบจะทันทีใบหน้าหวานก็ขยับมาจ้องหน้าผมในระดับเดียวกันก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะทาบทับและฉกชิงลมหายใจของผมไปแล้วดันร่างของผมให้นอนราบกับพื้นเตียง นั่นสินะมันจะไปยากอะไร...ก็แค่อย่าบอกให้หมอจิณณ์รู้ ผมไม่พูด...พี่เดย์ไม่พูด..แค่นี้ก็จบ ง่ายๆดีออก “น้องเมฆนี่หล่อนะคะ แต่ถ้าปีกจมูกเข้าไปอีกนิด คางแหลมอีกหน่อย ตาสองชั้นมากกว่านี้จะเพอร์เฟคมาก” ผมนั่งฟังพี่ช่างแต่งหน้าพูดถึงรูปหน้าของผมไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรก็ตามประสาช่างแต่งหน้าที่ชอบวิจารณ์ใบหน้าดารา แต่พอได้ยินหลายๆรอบเข้าผมก็อดที่จะมองกระจกที่สะท้อนเงาหน้าของตัวเองไม่ได้... นั่นสินะ ถ้าเอาปีกจมูกเข้าไปอีกนิด ยกหางตาขึ้นอีกหน่อย ทำคางให้ยาวกว่านี้คงจะหล่อขึ้น “ไม่!!!...เท่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้มันคือดีอยู่แล้วหมอไม่เห็นประโยชน์ที่นายจะมาทำอะไรเพิ่มเลยนะเมฆไปเอาความคิดบ้าๆนี่มาจากไหน” หมอจิณณ์ใช้เท้ายันพื้นแล้วหมุนเก้าอี้หันหลังหนีทันทีในขณะที่เมฆก็ตีสีหน้ายุ่งใส่แบบไม่ปิดบัง “ทำไมล่ะครับหมอกะอีแค่เสริมอีกนิดเดียวทำไมจะทำไม่ได้” “ก็เพราะคุณดีอยู่แล้วยังไงล่ะครับคุณภาคินัย ตอนนี้มันดีอยู่แล้วถ้าทำใหม่หมอไม่รับประกันว่ามันจะออกมาดีกว่านี้หรือแย่ลง...เมฆหมอถามจริงๆอะไรดลใจให้อยากทำเพิ่ม ก็ไหนเคยสัญญากับหมอแล้วไงว่าจะไม่ทำอะไรพิ่ม” “ผมทำเพื่อหน้าที่การงานของผมหมอจะไม่ทำให้ผมหมอพูดมาคำเดียวเลย” “ใช่ฉันไม่อยากทำให้นาย มันดีแล้วมันพอแล้วถ้านายทำมากๆแก้ไขหน้าตามคำพูดคนอื่น อีกหน่อยเชื่อเถอะว่าหน้าของนายจะพังแน่ๆ” “สรุปคือหมอจะไม่ทำให้ผมจริงๆใช่มั้ยครับ” เมฆกดเสียงต่ำจ้องแผ่นหลังของหมอจิณณ์นิ่ง จิณณ์กัดปากแน่น ไม่ชอบเมฆที่เป็นแบบนี้เลย ก็ไหนสัญญากันไว้แล้วว่าจะไม่ทำอะไรเพิ่มยังไงล่ะ “หมอครับ” ตัดสินใจเรียกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกครั้งแต่หมอก็ยังคงนิ่งเมฆถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เพิ่งรู้สึกว่าหมองี่เง่าก็วันนี้เองร่างสูงผุดลุกขึ้นในที่สุด “ก็ได้...ถ้าหมอไม่ทำให้ผมก็ได้...แบบนี้ก็ได้ผมจะไปหาหมอคนอื่นเอง” “ไม่นะ!!!” สุดท้ายก็กลายเป็นหมอจิณณ์ที่ต้องวิ่งมาสวมกอดคนรักจากทางด้านหลังใบหน้าฝังกับแผ่นหลังที่เคยกอดแล้วอบอุ่น แต่ทำไมวันนี้มันเย็นชืดแท้ล่ะ ทำไม...ไม่รับรู้ถึงความอบอุ่นที่เคยมีให้กันเลย “ปล่อยผมจะกลับไปนอนคอนโด วันนี้เราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง” “โธ่...เมฆ ก็หมอบอกแล้วไงหมอมีเหตุผลนะ อีกอย่างนายมีงานตลอดแบบนี้ถ้าผ่านายต้องพักนะ ต้องหยุดงานนะนายจำไม่ได้เหรอ เอาอย่างนี้มั้ยเดี๋ยวหมอฉีดโบท็อกซ์ให้ง่ายกว่าผ่าตัดอีก” หมอเสนอทางเลือกใหม่ให้กับเมฆ ร่างสูงนิ่งคิดก่อนจะหันกลับมาหาหมอจิณณ์ใหม่ คนตัวเล็กกว่าที่ไม่คยอ่อนไหวขนาดนี้ตาแดงๆคล้ายจะร้องไห้แต่ไม่ได้มีน้ำตาอะไรมีเพียงใบหน้าที่เศร้า ดวงตากลมใสก็ช้อนมองคนที่ก้มหน้าจ้องตัวเองอยู่ “อย่าทำเลยนะหมอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้นายแล้วนะเมฆ อย่าไปทำอะไรเพิ่ม” น้ำเสียงอ้อนวอนนั้นทำให้เมฆยิ้ม ยิ้มที่เกิดจากการแสดงทางสีหน้าไม่ใช่ยิ้มที่เกิดออกมาจากใจ รอยยิ้มถูกเผยออกมาเพียงครู่ก่อนที่มือเรียวจะยกขึ้นมาเชยคางจิณณ์ไว้ สายตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหวานที่ถึงจะมีแววหวั่นไหวแต่ไม่ได้หลบสายตาดุนั้นแต่อย่างใด “สิ่งที่ดีที่สุดที่หมอให้ผมมาผมแค่รู้สึกว่ายังไม่พอมันน่าจะดีได้มากกว่านี้” ไปแล้ว.... ในที่สุดเมฆก็เดินหันหลังออกไปจากคอนโดหลังจากแกะมือของหมอที่กอดเอวไว้ออก หมดแรง...ไม่มีแรงแม้แต่จะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนสุดท้ายจึงได้แต่นั่งหมดแรงหมดกำลังใจอยู่หน้าประตูมือเรียวกำเข้าหากันจนขยุ้มพรมนุ่ม นับเป็นครั้งแรกถ้าไม่รวมกับตอนที่เมฆปั่นจักรยานทิ้งเขาตอนไปซุปเปอร์มาร์เก็ตครั้งนั้นที่เมฆเดินหันหลังทิ้งหมอไว้ข้างหลัง หัวใจเหมือนจะเต้นช้าลงเมื่อรับรู้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป เมฆไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว วงการมายาทำให้เขาปลี่ยนไป ใช่เหรอ?? ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าที่คนรักของตัวเองเปลี่ยนไปมากขนาดนี้มันเป็นเพราะหลงแสงสีหรือจริงๆแล้วเค้าเก็บกลั้นสันดานนี้ไว้ในห้วงที่ลึกที่สุดในหัวใจกันแน่ จิณณ์นั่งคิดเรื่องของเมฆวกไปวนมาจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนมาหยุดยืนตรงหน้าตัวเอง “หมอครับ...มานั่งนับฝุ่นอะไรหน้าห้องครับ” ชายหนุ่มทำหน้าบ้องแบ๊วเอ่ยถามในขณะที่ย่อตัวนั่งให้ความสูงตัวเองไล่เลี่ยกับคุณหมอ “หมอก” บรรยากาศในกองถ่ายโฆษณาเครื่องสำอางค์ของบริษัทยักษ์วันนี้คึกคักพราะมีดาราสาวดาวรุ่งมาร่วมงานด้วย ศิโรจน์นั่งมองการทำงานด้วยความไม่ชอบใจนักช่างภาพถ่ายภาพนิ่งเสียงชัตเตอร์ดังเรื่อยๆเป็นจังหวะพร้อมๆกับที่พระเอกนางเอกซีรี่ส์ก็เปลี่ยนท่าทางไปเรื่อยๆตามคำสั่งเช่นกัน หน้าตาของเมฆจากที่หล่ออยู่แล้วหลังจากหมอฉีดโบท็อกซ์ให้ชายหนุ่มก็ยิ่งหล่อมากขึ้นไปอีก หล่อจนน่าหลงใหล... เสียงชัตเตอร์ยังคำดังต่อไปการทำงานดำเนินไปเรื่อยๆพร้อมๆกับความหงุดหงิดของเดย์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน บางรูปกอดกับโอบเอวแนบชิดทำให้คนมองอยู่ด้านนอกเริ่มขุ่นใจขึ้นเรื่อยๆ ศิโรจน์รู้ว่าตัวเองกำลังหึง แล้วอีนางเอกนั่นน่ะจะอ่อยไปไหน นมแทบจะฝังลงในแขนของเมฆอยู่แล้ว นี่ถ้าไม่กลัวเป็นข่าวจนต้องสงบจิตสงบใจตัวเองไว้คงกระโจนไปตบด้วยฝักสะตอแล้ว ทำส่งสายตาหวานเชื่อมนึกว่าไม่รู้หรือไงว่าในใจคงคิดจะงาบผัวเขาไปทั้งตัว Rrrrrr เดย์สะดุ้งด้วยความตกใจ จิ๊ปากด้วยความหงุดหงิดมองเบอร์ที่โชว์หน้าจอเมื่อเห็นว่าเป็นใครโทรเข้ามาก็ทำเป็นเมินไม่สน โทรศัพท์ของเมฆยังคงดังอย่างต่อเนื่องแม้สายจะตัดไปแล้วก็ยังคงโทรเข้ามาใหม่อีกหลายครั้งจนผู้จัดการหน้าหวานทนไม่ไหว เดย์คว้าโทรศัพท์ของเมฆแล้วเดินออกมาข้างนอก “ฮัลโหล” กระแทกเสียงเข้าไปหลังกดรับ “เอ่อ...ขอสายเมฆหน่อยครับคุณผู้จัดการ” เสียงที่กรอกเข้ามาในสายทำให้ศิโรจน์เบะปากอย่างหมั่นไส้ “เมฆทำงานอยู่คุณไม่รู้หรือไง นี่ผมจะบอกอะไรให้นะว่าถ้าเค้าไม่โทรไปคุณก็อย่าโทรมาเลยมันเสียเวลาทำงานของเค้า ไม่สิจริงๆคุณไม่ควรโทรมาเลยด้วยซ้ำถ้าเกิดนักข่าวรู้ว่าเค้ามีแฟนจะต้องเจอกับอะไรบ้างมีผลดีผลเสียยังไงคุณรู้บ้างมั้ย ไม่ส่งไม่เสริมก็อย่ามาถ่วงความเจริญเขาสิครับคุณ” เพราะหงุดหงิดต้องการหาที่ระบายอยู่แล้วเดย์เลยจัดชุดใหญ่ใส่คุณหมอฉอดๆ ปลายสายเงียบเสียงไปจนต้องเอาโทรศัพท์ออกมาดู ยังไม่ได้วางคงกำลังอึ้ง เดย์ยิ้มเยาะให้โทรศัพท์ “ผมไม่คิดนะครับว่าการที่แฟนกันโทรหากันมันจะมีผลกระทบอะไรถ้าเค้าไม่ว่างรับผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรแต่ผมคิดว่าการที่คุณมาหยาบคายใส่ผมไม่ใช่เรื่องสมควร” ที่สุดปลายสายก็กล่าวตำหนิกลับมา เดย์กำโทรศัพท์แน่น หมอจิณณ์แสดงตัวชัดเจนว่าเป็นแฟนกับเมฆเหรอ กล้าที่จะพูดกับเดย์แบบนี้เหรอคุณผู้จัดการหน้าหวานยิ้มเย็นก่อนจะกรอกเสียงกลับไปด้วยดวงตาวาววับ “ถ้าการที่คุณนอนอ้าขาให้เขาเอาคุณเรียกตัวเองว่าแฟน...อย่างนั้นผมก็พูดได้ว่าผมเป็นแฟนเขาเหมือนกัน” ปลายสายวางไปแล้ว.. มือเรียวที่กำลังสั่นเทาปล่อยโทรศัพท์ให้ร่วงหล่นอย่างไม่ใยดี ประโยคสุดท้ายของศิโรจน์คืออะไรนะ?? ทำไมตอนนี้สมองของจิณณ์มันตื้อไปหมดล่ะ “ถ้าการที่คุณนอนอ้าขาให้เขาเอาคุณเรียกตัวเองว่าแฟน...อย่างนั้นผมก็พูดได้ว่าผมเป็นแฟนเขาเหมือนกัน” หมายความว่ายังไง?? หมายความว่าทั้งสองคนมีอะไรกันแล้วเหรอ?? เมฆ...นอกใจหมอใช่มั้ย??...ใช่หรือเปล่า?? “น่าหมอนะ มาเหอะมาดูพวกผมรับจ๊อบงานแรกนะ” หผมกลอกตามองฝ้าเพดานมองนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบทุ่มนึงแล้ว หมอกมันก็โทรมาชวนผมไปเที่ยวที่ผับเปิดใหม่ที่เจ้าตัวได้งานเป็นนักดนตรีกับเพื่อนๆ ตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันก็เกือบสองเดือนแล้วที่รู้จักกันเด็กโย่งหมั่นแวะเวียนมาหาไม่ได้ขาด จำได้ว่าหลังจากวันที่มานอนที่ห้องอีกสองวันต่อมาไอ้เด็กกวนประสาทนี่ก็ไปหาเขาที่โรงพยาบาลในตอนเย็นที่หมอกำลังเก็บของเพื่อเตรียมกลับบ้าน “คุณหมอคะคือคุณคนนี้ขอพบคุณหมอน่ะค่ะ” พยาบาลสาวอกอึ๋มเดินเข้ามาบอกด้วยสีหน้าปุเลี่ยนๆเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็สะดุดกับฟันเรียงเป็นเม็ดข้าวโพดลอยเด่นอยู่ตรงหน้า “เฮ้ย...มาได้ไง” ผมผงะหนีเล็กด้วยด้วยความตกใจแต่นั่นยิ่งทำให้ไอ้เด็กหูกางยิ่งฉีกยิ้มมากขึ้น “ผมนั่งรถเมล์มามันเป็นสายที่ผ่านไปโรงเรียนได้” ดูมันตอบ “หมอหมายถึงมาทำไม มาเพื่ออะไรมีธุระอะไร...” ผมยิงคำถามชุดเดียวจบมันทำท่าหรอกตาคิดตามผมเดี๊ยะๆ ผมชิงชี้หน้าแล้วเอ่ยเสียงหนัก “หมอไม่รับผ่าตัดหูกางหรอกนะ ส่วนถ้าจะจัดฟันเชิญแผนกทันตกรรม” “หยาบคายนะครับคุณพี่สะใภ้ ผมแค่จะมาขอเบอร์เมฆ” มันว่าแค่นั้นครับผมเลยล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมเปิดหาเบอร์เมฆให้กับหมอกแต่แพ๊บเดียวแบบไม่ทันตั้งตัว โทรศัพท์ของผมก็ไปอยู่ในมือหนาๆของมันซะแล้ว ผมคว้าจะเอาคืนมันก็หันมาทำหน้าหล่อใส่แล้วพูดว่า “เดี๋ยวผมหาเองหมอเก็บของเถอะครับไม่อยากรบกวน” “นี่ขนาดไม่อยากรบกวนนะ ถ้ารบกวนขึ้นมาจะเป็นยังไงเนี่ย” ผมว่ามันไม่จริงไม่จังนักหมอกมันนั่งสไลด์หน้าจอไปเรื่อยจนกระทั่งเสียงเพลงร็อคแสบแก้วหูก็ดังขึ้นจนผมสะดุ้ง “นี่เบอร์ผมนะครับไปล่ะ” “อ่าวเฮ้ย” ผมมองตามไอ้เด็กโย่งที่แบกกีต้าร์เดินออกไปแบบไม่เหลี่ยวหลัวแล้วหยบโทรศัพท์มามองหน้าจออย่างงงๆ “หมอก” แหม...เซฟชื่อให้กูเสร็จสรรพ ถุย.... “นะครับหมอนะๆ ถือว่ามาให้กำลังใจน้องนุ่งนะ” “แต่พรุ่งนี้หมอมีเคสตอนแปดโมงเช้านะ” “โธ่เที่ยงคืนกลับก็ได้นะ หมอไม่ต้องอยู่จนร้านเลิกก็ได้ นะถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ไปดูลูกดูหลานนะ พ่อแม่ผมเค้าไม่ไปอยู่แล้วนะครับหมอ” มันอ้อนครับ ผมลืมบอกไปหรืเปล่าว่าไอ้เด็กนี่บทจะทำตัวน่ารักก็เหมือนลูกหมาเล็กๆขี้ประจบวิ่งดักหน้าดักหลังจนอ่อนใจ จริงๆแล้วผมไม่อยากไปไหนทั้งนั้นตั้งแต่วางโทรศัพท์ไปเมื่อช่วงบ่าย คำพูดของศิโรจน์ยังติดอยู่ในสมอ แปลกที่ผมยังคงทำงานได้ตามปกติ แปลกที่ผมไม่ฟูมฟายโวยวายเหมือนตอนที่อกหักจากอรรณพดูเหมือนผมจะสงบได้มากกว่าที่คิด ผมเคยคิดว่าถ้าเมฆนอกใจผม ผมคงอาละวาดทำลายข้าวของแล้วออกไปเมาหัวราน้ำแบบที่เคยทำ แต่ใจผมกลับนิ่ง นิ่งจนผมกลัวตัวเอง หรือผมด้านชาเกินกว่าจะเสียใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่เสียใจนะ ผมเสียใจมาก ผมเจ็บมาก ช้ำมาก ผมอยากร้องไห้แต่น้ำตามันไม่ไหล หัวใจผมมันนิ่งในอกผมมันตื้อจนผมกลัวตัวเอง “อือ...ไปก็ได้ ตกลงไม่เกินเที่ยงคืนนะ” “เยส!!...เดี๋ยวซักสองทุ่มผมกับไอ้อาทิตย์ไปรับนะครับ” มันไม่รอให้ผมตอบรับหรือปฎิเสธหรอกครับไอ้เด็กโย่งเนี่ยพอมันพูดเสร็จมันก็กดตัดสาย ผมเอาคางหนุนแขนตัวเองแล้วหมุนรูบิคเล่น มันช่วยทำให้ผมใจเย็นขึ้น ผมคงรักเมฆมากเกินจะโวยวายล่ะ ตั้งแต่คบกับเขามาเข้าปีที่สองผมใจเย็นลงโผงผางน้อยลง ความรักนำพาให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งมากขึ้นผมกำลังใช้ความพยายามในการควบคุมตัวเอง ผมจะไม่โวยวายอะไรจะรอให้เค้ามาสารภาพผิดกับผมเอง ผมเชื่อว่าเมฆยังเป็นคนเดิม...ก็แค่ความเชื่อของผมเอง ผมนั่งท่ามกลางความมืดคิดถึงแต่เรื่องของเราสองคนโดยไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดไฟ มองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่เห็นเลือนลางจากแสงของหลอดไฟดวงเล็กๆตรงระเบียงห้องทุ่มครึ่ง ((ต่อด้านล่าง))
ผมวางรูบิคที่แก้ไม่เสร็จลงบนโต๊ะแล้วเดินลากเท้าเข้าห้องจัดการอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ๊ตสีแดงปลดกระดุมสองเม็ดกับกางเกงยีนส์สีซีดหยิบแว่นตาสีชาขึ้นมาใส่พรมน้ำหอมเสร็จก็ออกมานั่งรอหมอกตรงที่เดิมไม่นานเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมเลือกรองเท้าบู๊ทหุ้มข้อสีดำออกมาใส่ก่อนจะเปิดประตูรับหมอกที่ยืนทำหน้าระรื่นอยู่หน้าประตู วันนี้เด็กโย่งมันดูแปลกตาครับอายไลน์เนอร์สีเข้มพร้อมเมคอัพแนวพั้งค์ร้อคพร้อมกับเสื้อกล้ามสีดำลายหัวกระโหลกแขนกุดที่แขนเสื้อผ่าลึกจนเห็นหน้าอกและหน้าท้องคล้ายๆกับของเทาแตกต่างตรงที่ของเทาเล่นสีด้วยดำแดงส่วนจองหมอกเล่นสีดำขาวทำให้หมอกดูเท่ห์เช่นเดียวกับเทาที่หมอกแนะนำว่าเป็นเพื่อนร่วมวงโค้งคำนับผมพลางทำตาโตแล้วอุทานออกมา “ว้าว...จะว่าสวยก็สวยจะว่าหล่อก็หล่ออย่างที่แกบอกจริงๆด้วยว่ะ” “ไปเถอะช้าเดี๋ยวตกงานนะ” ผมแก้เก้อด้วยการชวนเด็กทั้งสองออกจากคอนโด ไม่ถึงชั่วโมงเราก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าผับที่ค่อนข้างจะดูไฮโซไฟหลากสีประดับประดาที่น่าแปลกคือทางเข้ามีลูกโป่งหลากสีสันผูกตามซุ้มเหล็กที่มีต้นไม้เกาะสวยงาม “วันนี้เห็นว่ามีดารามาเลี้ยงฉลองปิดกล้องน่ะครับเขาจองห้องวีไอพีด้านบนไว้ พวกเรานั่งข้างล่างเนอะกินบรรยากาศ” หมอกมันว่าแค่นั้นผมก็พยักหน้ารับส่งๆไปผมมองการตกแต่งที่ค่อนข้างหรูพอสมควรโซนที่เป็นโต๊ะเก้าอี้ที่เป็นชุดโซฟาอยู่ท้ายๆบริเวณห้องกั้นเป็นห้องไม่เล็กไม่ใหญ่เพื่อแยกกับโต๊ะอื่นอย่างเป็นสัดส่วน บนเวทีมีเครื่องดนตรีกับเครื่องมิกซ์เพลงอยู่พร้อมด้านหน้าเวทีทำเป็นลานโล่งๆคงเอาไว้ให้นักเที่ยวออกสเตป ด้านหนึ่งเป็นบาร์เครื่องดื่มที่มีบาร์เทนเดอร์กำลังผสมเครื่องดื่มด้วยลีลาคล่องแคล่วน่าดูมีเก้าอี้ทรงสูงจัดตั้งอย่างเป็นระเบียบ เลยมาหน่อยเป็นโต๊ะทรงโมเดิร์นสีขาว ผมเดินตามหมอกและอาทิตย์มาจนถึงข้างเวทีหมอกชี้ให้ผมนั่งลงที่โต๊ะก่อนที่มันจะวิ่งไปทักทายคนที่ผมคิดว่าเป็นผู้จัดการร้าน “เดี๋ยววงอื่นจะขึ้นก่อนผมขึ้นตอน 5 ทุ่มนะครับ งั้นเราสั่งอะไรมากินเล่นกันก่อนดีกว่าเนอะ” ผมได้แต่พยักหน้ารับ คือเอาง่ายๆตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นควายไม่ว่าใครจะจูงไปทางไหนผมก็เดินไปแบบแกนๆ เอาเหอะจะพาไปลงนรกขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็ไปผมไม่มีแก่ใจจะพูดจะคุยอะไรทั้งนั้น เราสั่งเหล้ามากลมนึงดีกรีแรงพอใช้โซดาแล้วก็กับแกล้มกินเล่นอีก 2-3 อย่าง นั่งฟังวงดนตรีเล่นกันช้าบ้างเร็วบ้างอย่าถามนะว่าร้องเพลงอะไรบ้างผมไม่ได้ฟัง ผมนั่งหมุนแก้วเหล้าแล้วยกเรื่อยๆในขณะที่หมอกกับอาทิตย์ชวนคุยรื่องนั้นเรื่องนี้ สายตาของผมก็กวาดมองไปรอบๆเห็นพวกกองถ่ายที่มาเลี้ยงปิดกล้องเดินขึ้นเดินเดินลงส่วนของวีไอพีด้านบน ดาราหลายคนก็คุ้นหน้าเพราะตั้งแต่เมฆเข้าวงการจากคนที่สนใจแต่ตารางบอลและถ่ายทอดสดบอลก็เปลี่ยนมาเป็นดูรายการดูซีรี่ส์ต่างๆที่เมฆร่วมแสดงหรือเป็นแขกรับเชิญ ห้าทุ่ม...ในที่สุดหมอกกับอาทิตย์ที่กินไปหลายแก้วก็ยกขึ้นเมื่อถึงคิวตัวเองขึ้นแสดง เด็กหนุ่มสองคนขึ้นไปบนเวที ลองเสียงของกีต้าร์กับดูลิสต์เพลงกับไผ่อัพของทางร้านราวๆ 5 นาที หมอกก็เอ่ยทักทายบรรดาแขกของร้าน เสียงกรี๊ดจากนักเที่ยวสาวดังพอสมควรหมอจิณณ์นั่งดูการแสดงที่มีเสน่ห์และทรงพลังของหมอกกับอาทิตย์ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้น “เก่ง” อดชมไม่ได้เมื่อทำนองเพลงกรีดพลิ้วจนน่าขนลุก ไม่คิดว่าเด็กที่ดูเอ๋อๆจะมีฝีมือขนาดนี้ หมอจิณณ์ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบพลางตบมือตามจังหวะเพลง พลันสายตาก็เหลือบมองไปทางบันไดห้องวีไอพีโดยบังเอิญ ร่างขาวพร้อมผมยาวสีสว่างของดาราชายดาวรุ่งที่กำลังโด่งดังก้าวเดินลงมาแบบเซๆ ซักพักก็มีผู้ชายตัวสูงใส่แว่นตากับหมวกปิดไปครึ่งหน้าตามลงมาประคอง ความคุ้นชินคุ้นตาทำให้ต้องเขม้นมอง ไอดอลชายตัวเล็กลูบใบหน้าที่โผล่จากหมวกพลางหัวเราะใส่กันแล้วเดินประคองไปทางห้องน้ำชาย ไม่ผิดแน่... ต่อให้คลุมทั้งหัวหมอจิณณ์ก็จำได้ว่านั่นน่ะ “เมฆ!!” ร่างกายนำสมองผมลุกพรวดเดินตามไปทิศทางเดียวกับที่ทั้งคู่เดินไปทันที ห้องน้ำชายเงียบสนิทไม่มีนักเที่ยวเข้ามาใช้งานแต่ประตูห้องๆหนึ่งปิดสนิท เค้าเข้ามากันสองคนแต่มีห้องน้ำถูกใช้แค่ห้องเดียว ผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้ เสียงบางอย่างดังเล็ดลอดออกมา เสียงจูบ... “ใจเย็นสิครับพี่ผมไม่หนีไปไหนหรอก” เสียงทุ้มของเด็กผู้ชายคนนั้นดังออกมาแผ่วๆ ผมยกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นที่กำลังมาจุกที่คอหอยสายตาของผมมองเงาสะท้อนบนพื้นห้องน้ำที่เงางับ มันมองเห็นลางๆว่าคนสองคนกำลังจับจูบลูบคลำกันอยู่ สองขาของผมพาตัวเองเข้ามาในห้องน้ำห้องติดกัน เสียงร่างกายของพวกเขาสัมผัสกับผนังห้องน้ำพร้อมเสียงครางเบาๆอย่างสุขสม ผมรู้แล้วว่าจริงๆผมไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย ทั้งๆที่ตอนที่ศิโรจน์พูดไม่ดีใส่ผม ผมไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาซักหยด แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถมองเงาสะท้อนบนพื้นได้แล้ว เพราะน้ำตาของผมมันไหลหยดออกมาไม่ขาดสาย หัวใจของผมมันร้าว ร้าวจนที่สุดก็เหมือนมันแตกสลายลงไปซะแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วว่าเขาเข้ามาทำอะไรกันในห้องน้ำนั้น เสียงรูดซิปกางเกงแม้จะทำเพียงแผ่วเบาแต่ผมกลับได้ยินราวกับมันกรีดเข้ามาในสมองของผม “รอแป๊บนะครับเดี๋ยวผมใส่ให้พี่เอง”เสียงเด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ยเบาๆ “เร็วๆนะพี่จะทนไม่ไหวแล้ว” เสียงทุ้มห้าวๆตามแบบฉบับของเมฆดังขึ้น เสียงแหบพร่าของเขาที่เคยกระซิบรักกันทุกครั้งเวลาที่ทำรักกัน ตอนนี้เขาใช้พูดกับคนอื่น เจ็บมั้ยจิณณ์ ได้ยินกับหูได้เห็นกับตาแบบนี้ หัวใจยังเต้นอยู่ก็ถือว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์ “อ๊ะ..” ผมก้มลงมองบางสิ่งบางอย่างที่กลิ้งมาหยุดที่ปลายเท้า ถุงยางอนามัย โลกจะตลกกับผมเกินไปหรือเปล่า ให้ผมได้รับรู้แน่ชัดไปซะทุกทางโดยไม่ต้องมโน “ขอโทษนะฮะ ช่วยเก็บให้หน่อย” มือเรียวขาวของเด็กคนนั้นแบลอดมาตรงช่องว่างด้านล่าง ผมค่อยๆก้มลงเก็บถุงยางอันนั้นขึ้นมาด้วยมืออันเทา เบื้องบนกำลังทดสอบพลังใจของผมอยู่ใช่มั้ยครับ มือเรียวนั้นกระดิกไปมาสองสามรอบผมค่อยๆวางถุงยางอันนั้นใส่มือเด็กหนุ่มก่อนจะปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นสุดความสามารถ...ที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย ผมหลับตาลงเมื่อได้ยินเสียงครางเครือเล็ดลอดออกมาจากคนทั้งคู่ ผนังห้องน้ำสั่นจนรู้สึกได้ เสียงร้องขอให้เบาแรงบ้างเร่งความเร็วบ้างดังพร่ำตลอดเกือบสิบนาที เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังมาเป็นระยะไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จง่ายๆ ผมนั่งฟังเสียงของเขาสองคนไปเหมือนคนเป็นโรคจิต นั่งฟังสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวด ผู้ชายของผมกับใครก็ไม่รู้ทำเรื่องน่าอายกันข้างๆผม “หมอครับหมอ...หมออยู่ในนี้หรือเปล่าครับ” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหมอกร้องเรียกหน้าห้องน้ำเหมือนๆกับที่ห้องข้างๆก็เงียบเสียงกิจกรรมนั้นลง ผมรีบปาดน้ำตาคิดแค่ว่าจะต้องรีบออกไปก่อนที่สองคนนั้นจะออกมาเจอ “เมฆ นายอยู่ในนี้ใช่มั้ยมีคนบอกว่านายมาเข้าห้องน้ำกับเร็น” ผมหยุดกิจกรรมเข้าจังหวะกับเร็นเด็กปั้นคนใหม่ของค่าย เราสองคนมองหน้ากันด้วยสายตาตื่นตระหนก จริงๆผมหยุดทุกอย่างตั้งแต่ได้ยินเสียงของหมอกแล้ว มันอยู่ในนี้ผมรู้ตั้งแต่เดินตามเร็นลงมาแล้ว ผมเห็นมันอยู่บนเวทีแต่ที่ผมไม่รู้ก็คือมีหมอมาด้วย มันคงไม่รู้จักหมอคนอื่นหรอกนอกจากหมอจิณณ์ของผม อะไรที่คับพองอยู่ในช่องทางอ่อนนุ่มของเด็กน้อยผมบลอนด์ปากแดงไรผมชื้นเหงื่อค่อยๆคืนสภาพก่อนที่มันจะหลุดออกมาเองโดยอัตโนมัติ เสียงประตูห้องข้างๆที่เร็นทำถุงยางหลุดมือเปิดออก “ไปกันเถอะหมอก” “อ๊ะ...คุณหมอบังเอิญจังเลยนะครับ” นั่นไงเสียงเมียทั้งคู่ของผมทักทายกันซะแล้วผมรีบรูดซิปกางเกงแล้วเปิดออกมาเพื่อความมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินน่ะมันใช่หรือไม่ใช่ ทันทีที่ประตูเปิดก็พบกับร่างขาวในเชิ้ตดำกำลังหันมามองผมที่เปิดประตูออกมาเร็นเองก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินมามองบุคคลในที่นี้อยู่ข้างหลังของผม “อ๊ะคุณผู้จัดการเดย์สวัสดีครับ” จะมามีมารยาทอะไรตอนนี้ ตอนนี้เลือดในตัวของผมมันจับตัวแข็งเป็นก้อนไปหมดแล้ว ผมเดาไม่ออกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหมอจิณณ์พี่เดย์และหมอกต่างมองผมด้วยสายตาหลากหลาย “หมายความว่ายังไงเมฆ? เธอเข้าไปทำอะไรกับเด็กนั่นในห้องน้ำ” เป็นพี่เดย์ที่เปิดประเด็นฮอตในขณะที่หมอจิณณ์มองผมด้วยสายตา....ว่างเปล่า ดวงตาหวานฉ่ำน้ำ ผมรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่ห้องข้างๆ...คนที่เก็บถุงยางให้ผมกับเร็นไม่ใช่ใครแน่ๆ “หมอครับ...” “ว่าไงเมฆพี่ถามว่าเธอเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำกับเร็น” “โธ่...พี่ เราสองคนแค่เข้ามาทำอะไรกันสนุกๆน่าซีเรียสไปได้” ครับ...เร็นครับ อยู่เงียบๆก็ได้นะครับ ณ จุดนี้ “แกหุบปากไปเลยนะ...อ่อ...นี่คงสมรู้ร่วมคิดกันสินะ ตัวเองเอาผัวไว้ไม่อยู่เลยให้คนอื่นมาล่อจะได้เลิกยุ่งกับฉัน นี่เหรอคนเป็นหมอเค้าคิดกัน ต่ำ” พี่เดย์หันไปต่อว่าหมอจิณณ์ที่ยังคงมีสีหน้า....นิ่งจัด นิ่งมาก... นิ่งจนน่ากลัว “คุณจะโวยวายทำไมครับคุณเดย์ขนาดผมเป็นคนเก็บถุงยางให้เขาผมยังไม่พูดอะไรซักคำผมเป็นแฟนเค้าแท้ๆผมยังไม่ว่าอะไรเลยคุณเป็นแค่ผู้จัดการส่วนตัวจะมาโวยวายทำไมผมขอตัวนะพรุ่งนี้ผมมีผ่าตัดตอนเช้า” หมอจิณณ์หันไปเหน็บพี่เดย์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะตวัดสายตามาทางผมกับเร็นที่ยังทำหน้าตาใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้ถึงหายนะของชีวิตผมเลยแม้แต่น้อย “นายสองคนก็เหมือนกันถ้าอยากนักก็พากันไปเปิดโรงแรมนอนซะสิมาทำอะไรในที่สาธารณะแบบนี้” หมอจิณณ์พูดแค่นั้นก็เดินจนกลายเป็นวิ่งหายไปพร้อมกับหมอกที่หันมามองหน้าผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นผมคิดอะไรบ้างรู้แต่ว่าพอรู้ตัวผมก็วิ่งตามหมอจิณณ์ออกมาถึงหน้าผับจับแขนเขาไว้แต่หมอก็สะบัดทิ้งอย่างไม่ใยดีก่อนจะวิ่งข้ามฝั่งไปเรียกแท็กซี่ “อาทิตย์มึงขับรถกลับไปเลยกูจะไปกับหมอ” เสียงหมอกมันสั่งเด็กผู้ชายผิวคล้ำคนหนึ่งซึ่งมันก็พยักหน้ารับหมอกวิ่งตัดหน้ารถตามหมอจิณณ์ไปผมเองก็กำลังจะกระโจนตามไปตารถบรรทุกคันใหญ่ก็บีบแตรไล่ก่อนจะผ่านฉิวไปอย่างรวดเร็ว พอรถว่างผมก็ตัดสินใจวิ่งตัดหน้ารถยนต์อีกคันพร้อมๆกับเสียงโครมดังขึ้น ไม่ใช่ผม... ผมหันไปดูก็พบว่าพี่เดย์ลอยละลิ่วก่อนหล่นลงบนพื้นถนน ผมละล้าละลังก่อนจะวิ่งกลับมาหาพี่เดย์ช้อนร่างอ่อนปวกเปียกนั้นขึ้นอุ้มก่อนจะพาขึ้นรถพื่อนำส่งโรงพยาบาล “หมอครับ...” ผมหันไปตามเสียงเรียกของหมอก ลมเย็นของแม่น้ำช่วยทำให้ผมสงบลง ผมไม่ได้ร้องไห้แล้ว ผมไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น ผมไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นผมจิกเล็บลงบนฝ่ามือของผมจนมันชา “หมอครับคิดว่าผมเป็นต้นไม้ก็ได้นะครับ” หมอกมันพูดกับผม “ถ้าหมออยากระบายก็ร้องออกมาเถอะครับผมจะปิดหูปิดตาแต่จะไม่ไปไหน” เท่านั้นแหละครับทำนบน้ำตาที่พยายามเก็บมันไว้ก็พังทลายทันที “ฮือออออออออออออออออออ.....ท่ะ....ทำไม...ทำไมเป็นแบบนี้...หมอไม่ดีตรงไหน...ฮึก...หมอ...ต้องทำยังไง....พี่ชายของนาย...ฮึก...ถึงจะกลับมา...ต้องทำยังไง...ต้องทำแบบไหน...บอกหมอหน่อยจะได้มั้ย....” ผมใช้อกเสื้อของหมอกเป็นที่เช็ดน้ำตา ผมใช้หน้าอกของหมอกเป็นที่ระบายอารมณ์ด้วยการทุบลงไปย้ำๆ ผมเจ็บ.. ผมแค่อยากให้หมอกรู้ว่าตอนนี้ผมเจ็บมากขนาดไหน ผมไม่อยากรับรู้อะไรเลย ไม่อยากรับรู้ว่าเมฆไปมีอะไรๆกับใครๆลับหลังผม ไม่อยากรับรู้ว่าเขาเป็นคนรักของผม ไม่อยากรับรู้ว่าเขาก็เป็นคนรักกับเดย์เหมือนกัน ไม่อยากจะรับรู้ว่าเขาเที่ยวทำตัวมักง่ายรักสนุกกับใครบ้าง ทั้งๆที่ผมควรใจกว้างแต่สุดท้ายหัวใจผมก็เท่านี้มันไม่สามารถกว้างไปกว่านี้แล้ว ผมก็แค่คนใจแคบ ใจแคบที่มีเขาเพียงคนเดียวก็เต็มหัวใจซะแล้ว .............................................................
บอกได้คำเดียวว่าเมฆโคตรรรรรรเหี้ย ขึ้นเลย ขึ้นเลยยยย! :m31: // เลิกเหอะหมอ ปล่อยไป สมควรละที่ไม่มีใคร
นี่สินะ ทำไมเมฆถึงไม่ควรได้รับความรักจากใคร
หึหึ!! ตอนนี้เมฆจะยังไงไม่สนใจแล้วในสายตา จะทำอะไรเชิญ รอดูแต่หมอนี้ละ จะยัง............... เมื่อไหร่จะหันกลับมารักตัวเอง อย่าคิดบ้าๆนะหมอ เข้มแข็งไว้ หมอทำดีแล้ว อะไรที่ทำให้ทุกข์ใจตัดออกไป ไม่คู่ควรและไม่สมควรได้รับมันจริงๆ
:z6:
ไม่ใช่แค่หน้าตาเมฆหรอกที่ทำให้ไม่ควรได้รับความรักแต่มันเป็นที่นิสัยและสันดารมากกว่า ภายนอกเปลี่ยนได้แต่ภายในมันไม่มีวันเปลี่ยน ที่จริงเมฆคงเป็นคนแบบนี้อยู่แล้วแค่หน้าตาดีเลยมีคนเข้ามา เบื่อคนเลว
กอดหมอจินนนนนนน :o12: :o12: :o12: :o12: :กอด1: อิเมฆต่อไปนี้ไม่ต้องมาเข้าใกล้หมอเลยนะ สันดานเสียมากกกกกก นี่เอะใจตั้งแต่แรกละ เรียกหมอว่าเมียคนแรก หนอยยยยยยยยยยย :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: ที่แท้มันมีเมียหลายคน อิดอกกกกกกกกกกก
ลูกเป็ดขี้เหร่[:14:] ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมยึดหมอกเป็นที่พักใจในตอนนี้ ลมหนาวที่พัดมาทำให้ผมได้สติ แม้จะไม่ได้หนาวมากมายแต่ก็พอให้ได้ตึงๆผิว ยิ่งช่วงดึกน้ำค้างลงยิ่งทำให้ผมหนาวจับขั้วหัวใจ... เด็กหมอกมันทำตัวเป็นต้นไม้จริงๆ ตลอดเวลาที่ผมระบายออกมามันนิ่งเงียบราวกับไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ ได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเท่านั้น ผมดึงศีรษะตัวเองออกจากการซบอกของหมอกยืดตัวตรงกำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อดีก็พอดีกับที่มือหนาแตะลงที่ข้างแก้มเบาๆผมช้อนตามองหมอกเงียบๆนิ้วเรียวค่อยๆเช็ดน้ำตาให้ผมใบหน้าหล่อไม่ผิดจากคนเป็นพี่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับผม คนพี่ทำผมเสียน้ำตาแต่คนน้องกลับเช็ดน้ำตานั้นให้ด้วยความอ่อนโยน “หมอครับ...” เสียงทุ้มๆของเด็กที่มีท่าทางอายๆเอ่ยเรียกผม หมอกเสมองไปทางอื่นชั่วครู่แล้วจึงจ้องตาผม “ถ้าพี่มันไม่ดี หมอลองคบกับผมดูมั้ยครับ?” ผมอึ้ง.... ผมรู้สึกว่าตอนนี้สมองของผมมันช้าลงจนประมวลผลอะไรไม่ได้อีกแล้วผมได้แต่นั่งมองใบหน้าของหมอกที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมได้แต่ซึมซับความอบอุ่นจากฝ่ามือที่ลูบแก้มผมก่อนจะประคองหน้าของผมไว้ “ไม่...อย่าทำอย่างนี้หมอก” ผมเบือนหน้าหนีทันก่อนที่ริมฝีปากของหมอกจะแตะกับปากของผมเพียงเสี้ยววินาที หมอกมองผมอย่างไม่เข้าใจ “ฉันเห็นนายเป็นน้องนะหมอกอย่าทำให้ฉันกลับไปรู้สึกว่างเปล่ากับนายอีกเลย” “ทำไมล่ะครับหมอ หรือเพราะผมเด็กกว่า” “มันไม่เกี่ยวกันหรอกหมอก มันเกี่ยวกับใจฉันเอง ฉันรักเมฆ รักแบบที่ไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจไม่อยากทรยศความรักที่ฉันมีต่อเขา ฉันไม่สามารถรับใครเข้ามาในหัวใจของฉันได้อีกแล้ว” “ทั้งๆที่มันมีคนอื่นน่ะเหรอครับ” “ใช่ ทั้งๆที่เค้ามีคนอื่น” “ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะหมอ หมอจะทนกับคนที่มันไม่เห็นค่าในตัวหมอทำไมเลิกกับมันแล้วมาคบกับผมเถอะ” “ยังไม่เคยรักใครจริงๆสินะหมอก...” ผมเอามือวางลงบนหัวของหมอกพลางจับโยกเบาๆ ส่งยิ้มให้ทั้งที่ฝืดเฝือเต็มทน “ถ้านายรักใครซักคนมันไม่ใช่เรื่องต้องทนเลย....ฉันกลับดีกว่าพรุ่งนี้ต้องทำงาน นายเองก็กลับบ้านดีๆนะ” ผมลุกขึ้นหลังจากคิดว่าพูดไปหมอกคงไม่เข้าใจคงต้องให้ถึงเวลาที่เค้ามีความรักกับใครซักคน หมับ!! “ผมไปส่งเอง” “เฮ้ยไม่ต้องหมอกลับเองได้นายกลับไปนอนเถอะพรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ” ผมโบกมือไล่หมอกแต่เด็กนั่นมันจับมือผมแน่น “ไปเถอะ ผมไปส่งเอง” แล้วคนที่หัวใจกำลังอ่อนแออย่างผมจะทำอะไรได้ล่ะ ตอนนี้ผมไม่มีพลังจะสู้รบปรบมือกับใครทั้งนั้น ผมเหนื่อย ผมอยากกลับไปนอนแล้ว ผมเลยปล่อยให้หมอกกุมมือพาเดินมาเรียกรถเพื่อกลับคอนโด ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่คงเป็นเพราะถนนเริ่มจะโล่งผมกับหมอกก็มายืนอยู่ข้างหน้าคอนโดของผมแล้วแม้จะบอกกับเจ้าโย่งว่าไม่จำเป็นต้องลงมาส่งแต่หมอกก็มีเหตุผลให้กับผมว่า “อยากส่งหมอจนถึงหน้าห้องผมจะได้วางใจว่าหมอจะไม่ออกไปเดินเร่ร่อนที่ไหน” “ประสาท” แม้จะกร่นว่าไปแต่ผมก็ยอมให้หมอกเดินขึ้นมาส่ง มือของหมอกไม่ปล่อยมือของผมเลย มันอบอุ่นนะในวันที่ผมกำลังหนาว มันก็ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้อย่างประหลาด “กลับมาแล้วสินะ...” ผมสะดุ้งเฮือกพลางปล่อยมือหมอกโดยอัตโนมัติ หน้าประตูห้องเผยให้เห็นร่างสูงของเมฆยืนกอดอกพิงประตูอยู่ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ดวงตาคมที่เคยอ่อนโยนตอนนี้กลับแข็งตึงก่อนที่จะสาวเท้าเข้ามาคว้ามือผมที่เพิ่งปล่อยจากมือหมอก “ผมมารอหมอเป็นชั่วโมงแล้วหมอไปไหนมาครับ” คำพูดแม้จะสุภาพแต่ทว่ากระชากห้วนหมอกมาคว้ามืออีกข้างของผมดึงไว้ “หมอกมึงกลับบ้านไป” “มึงอย่าทำอะไรหมอ” “กูจะทำอะไรหมอได้หมอเค้าเป็นเมียของกูมึงน่ะกลับบ้านไป ขอบใจที่ช่วยดูแลเมียของกูให้ตอนที่กูไม่ว่าง” “ไม่ว่างเพราะไปเอากับคนอื่นอยู่น่ะเหรอ” เด็กหมอกแกล้งหัวเราะเสียงต่ำแต่เมฆกลับทำท่าจะกระโจนใส่น้องจนผมต้องดึงไว้ “หมอกกลับไปเถอะขอบใจมากที่อยู่เป็นเพื่อน” ถ้าจะต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่งแน่นอนคนที่ผมเลือกที่จะอยู่ด้วยคือเมฆ หมอกดึงดันอยู่ครู่แต่ก็ยอมถอยกลับไปผมถูกเมฆดึงเข้าไปในห้องทันทีที่มือถูกหมอกปล่อย “ไปไหนมาหมอไปไหนกับมันมาตั้งนาน” เมฆเหวี่ยงผมเข้ามาในห้องก่อนจะใช้เท้าปิดประตูอย่างหยาบคาย ผมหยัดกายลุกขึ้นส่งสายตามองเขาอย่างตัดพ้อ “ขอโทษครับหมอผมขอโทษ” เมฆเดินมาประคองผมหลังจากที่ผมหันหลังให้เขาทำท่าจะเดินเข้าห้อง เขาคงลืมไปว่าคนที่ควรทำกริยาหยาบคายใส่ควรเป็นผมไม่ใช่เขา “หมออย่าหันหลังให้ผมแบบนี้” ทันทีที่ผมหันหลังให้เขาเตรียมจะเข้าห้องเขาก็กระชากมือของผมไว้ ผมเหนื่อย...เหนื่อยจริงๆนะ วันนี้ผมเจอกับอะไรที่มันหนักมากพอแล้ว แล้วเขาจะมาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายไม่ตอบอะไรเขาตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดอะไรกับเขาทั้งนั้น ขอได้มั้ยเวลาที่ผมอยู่ในอารมณ์นี้ปล่อยผมอยู่เงียบๆแต่เมฆคงลืมไปแล้วว่าผมมีนิสัยยังไงเมื่อผมบิดมือพยายามหนีจากการเกาะกุมของเขา เขาก็ยิ่งดึงยิ่งรั้ง “จะเอาอะไรอีกภาคินัย คุณจะเอาอะไรกับผมอีกไม่ทราบ” ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้เลยไอ้อาการพูดไปน้ำตาไหลไป ผมไม่ใช่หญิงสาวอ่อนแอบอบบางถึงจะมาทำตัวอ่อนแอซ้ำซากแต่ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมเหนื่อยผมล้าผมท้อเกินกว่าจะสู้รบปรบมือกับจิตใจตัวเองแล้ว ปล่อยให้มันไหลออกมาให้หมดเลยก็แล้วกัน “หมออย่างี่เง่าสิครับ!!” ถ้าการที่ผมรักเค้ามากไปจนมันกลั่นความเสียใจทั้งหมดออกมาเป็นน้ำตาคือความงี่เง่า...ผมก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆนั่นแหละ ผมงี่เง่าที่ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ตั้งความหวังว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปเขาจะเป็นภาคินัยที่ขาวบริสุทธิ์เฉกเช่นครั้งแรกที่เราได้รู้จักกัน.. ถ้าการที่ผมรักเค้าจนวางทุกอย่างไว้ในกำมือเค้าคือความงี่เง่า...ผมก็คงงี่เง่าจริงๆที่คิดว่าความรักจะพันธนาการเราไว้ด้วยกันชั่วนิจนิรันดร์ ผมคงอ่านนิยายมากไป โลกของผมคงสวยมากเกินไปจนลืมนึกไปว่านี่คือชีวิตจริงไม่ใช่ฟิคชั่นหรือนิยายประโลมโลก ผมค่อยๆหันมาหาเขาด้วยดวงตาพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตา น้ำตาของคนงี่เง่าไร้ค่ายิ่งกว่าซากผ้าขี้ริ้วเน่าๆผมใช้ฝ่ามือที่เย็นชืดของผมลูบใบหน้าหล่อเหลาของเขาเบาๆ ปากของผมสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ไล่ฝ่ามือตามกรอบหน้าคมสันของเขา ดวงตาเรียวที่ใช้มองคนอื่นนอกจากผมรวมถึงสันจมูกโด่งให้ใช้สูดดมกลิ่นกายของคนอื่นนอกจากผม ริมฝีปากนุ่มของเขาที่ใช้จูบกับคนอื่น โครงประกอบในใบหน้าของเขาที่ผมทำให้เขา เพื่อให้เขาเอาไปใช้กับคนอื่น... เจ็บดีมั้ยล่ะจิณณ์ “หมอจำได้นะ...” ผมกลืนก้อนสะอื้นเข้าไปในอกก่อนจะเปิดปากพูดออกมาอย่างยากเย็นหลังจากเมฆจับมือผมที่ลูบหน้าเขาอีกครั้งผมแช่มือไว้อยู่อย่างนั้นนิ่งๆ “หมอจำได้ว่าหมอเปลี่ยนแค่ใบหน้าให้คุณ...หมอไม่ได้ผ่าตัดเปลี่ยนนิสัยให้นะ...แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะเมฆ...อะไรมันทำให้คุณเปลี่ยนไป สิ่งแวดล้อม แสงสี หรือสันดานเดิมที่คุณฝังมันไว้?” ทันทีที่ผมพูดจบเมฆก็ปัดมือผมออกจากหน้าของเขาทันที ผมแค่นยิ้มให้เขา ยิ้มที่เกิดจากความเสียใจ ผมไม่อยากจะทะเลาะกับเขาเลยไม่อยากทำตัวเหมือนพวกขี้หึงจนขาดเหตุผล แต่คำว่างี่เง่าของเขาเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายจริงๆ เขาไปมีใครผมรู้ผมยังอภัยได้แม้หัวใจของผมมันจะยับเยินเหมือนโดนเขาและใครคนนั้นมาเหยียบขยี้จนมันบอบช้ำและแหลกสลายก็ตาม เขาจะไปทำประเจิดประเจ้อที่ไหนกับใครต่อหน้าผม ผมก็พร้อมจะเงียบ...ถ้ามันเป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราวของเขาแค่บอกผมดีๆ ผมก็ยอม...แม้จะต้องกลับมานอนร้องไห้เงียบๆคนเดียวก็ตาม “หมอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?” “หมอก็หมายความตามที่พูด ทำไมล่ะเมฆมันเกิดอะไรขึ้นกับนายทำไมเวลาแค่ไม่เท่าไหร่นายถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ล่ะเมฆคนที่แสนดีอ่อนโยนใสซื่อของหมอหายไปไหนแล้ว รู้มั้ยตอนนี้น่ะ นายเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับหมอ” “นี่หมอกำลังด่าผมอยู่?...ผมเปลี่ยนไปตรงไหนผมก็ยังเป็นคนเดิม เอา...ขอโทษที่ผมไปมีอะไรกับคนอื่นก็แล้วไงมันก็แค่เล่นๆขำๆสนุกๆหมอจะคิดมากทำไมเพราะยังไงผมก็ไม่ได้ทิ้งหมอไปไหนซักหน่อย เมื่อก่อนหมอไม่งี่เง่าขนาดนี้นะครับ” “เมื่อก่อนหมอไม่งี่เง่าเพราะว่านายไม่ได้ทำตัวแบบนี้ไง ไหนล่ะคนที่เคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้หมอเสียใจ หมอเจ็บจะตายอยู่แล้ว นายรู้มั้ยว่าตอนนี้นายไม่ต่างจากอรรณพเลยเผลอๆนายจะแย่กว่าเค้าซะอีกตรงที่ว่าหมอรักนายหมดใจแต่นายกลับไม่ได้เป็นเหมือนหมอ งี่เง่าเหรอ...ถ้าหมองี่เง่างั้นเราก็เลิกกันเถอะ” ผมหันหลังให้เค้ากลับเข้าห้องโดยไม่รอฟังที่เค้าอ้าปากจะพูดล้มตัวลงที่นอน พรุ่งนี้ผมต้องทำงาน พรุ่งนี้ผมต้องผ่าตัดตั้งแต่เช้า ผมควรพักผ่อน ผมเบี่ยงตัวหนีอ้อมกอดของเขาได้ยินเสียงพร่ำบอกว่าไม่เลิกอย่าเป็นแบบนี้อย่าทำแบบนี้ ผมยกมืออุดหูไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ผมควรหลับ หลับเพื่อพักผ่อนแล้วไปรับผิดชอบงานของตัวเอง ทันทีที่หน้าของเมฆโผล่เข้ามาในสายตาผมก็หลับตาลงทันที ขอปิดหูปิดตาปิดใจไม่รับรู้อะไรอีกแล้วในตอนนี้ผมเหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน สัมผัสจากอ้อมแขนแกร่งที่ยึดกอดผมไว้ค่อยๆคลายออก มันหนาวขึ้นมาในทันที หนาวราวกับผมกำลังนอนบนแท่นน้ำแข็งยักษ์หนาวจนร้าวเข้าไปในกระดูกปวดชาแล่นเข้ามาถึงหัวใจ ไม่มีเสียงประตูปิดหรืออะไรทั้งนั้นมีเพียงเสียงถอนหายใจกับการขยับกายบนที่นอนเท่านั้นผมค่อยๆหันไปมองที่นอนข้างๆ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปีที่เราสองคนปล่อยให้ที่ว่างบนที่นอนห่างกันขนาดนี้ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปีที่เราสองคน...หันหลังให้กัน ผมเอามือที่อุดหูตัวเองออกเปลี่ยนมาเป็นกอดตัวเองแทน กอดตัวเองแน่นๆเพื่อหวังว่าอ้อมกอดนี้ที่เคยทรยศตัวเองไปกอดคนใจร้ายข้างๆจะทำให้ผมอบอุ่นขึ้นมาบ้าง กอดแน่นๆอย่างรู้สึกว่าอยากจะรักตัวเองให้มากๆ กอดตัวเองแน่นๆหลังจากละเลยไปกอดคนอื่นซะนาน ผมไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตอนไหนแต่ก็สะดุ้งตื่นตอนที่นาฬิกาปลุกแผดเสียงตอนหกโมงเช้า ผมเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบากผ้านวมผืนใหญ่คลุมกายผมไว้ทำให้ผมนึกได้รีบหันกลับไปมองที่นอนข้างๆ ไม่มีแล้ว... เขาไม่ได้นอนอยู่ข้างๆผมแล้ว... ที่นอนว่างเปล่าและเมื่อใช้ฝ่ามือลูบมันเย็นชืด... ผมกระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่ทำท่าจะคลอออกมา ไม่เอาแล้วไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว ผมหมอจิณณ์ไม่ใช่คนที่จะมาร้องไห้ฟูมฟายอ่อนแอมากมายหรอกนะ ไม่เลยจริงๆ... ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปจัดการกับตัวเองออกมาแต่งตัวก็ต้องชะงักเมื่อชุดทำงานถูกจัดเข้าชุดกันแขวนไว้หน้าตู้ใช้ปลายนิ้วลูบมันเพียงแผ่วเบาความรู้สึกไหววูบในหัวใจตีตื้นขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าขึ้นมากอดก่อนจะปล่อยมันลงพื้นอย่างไม่ใยดีแล้วเปิดตู้หยิบชุดใหม่ขึ้นมาสวมแทน เดินออกมาข้างนอกกะจะดื่มกาแฟซักแก้วก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารเช้าวางไว้ผมเดินไปหยุดมองมีโน๊ตใบเล็กๆเขียนไว้ ผมเตรียมเสื้อผ้ากับอาหารไว้ให้นะครับเรื่องของเรารอให้อารมณ์เย็นกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกันนะครับ ผมมีกองตอน 7 โมง เลยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ให้ผมยังรักหมอเหมือนเดิมนะครับ จาก...ภาคินัยของหมอ ผมมองโพสต์อิทใบนั้นด้วยความรู้สึกว่างเปล่า...ถอนหายใจออกมาก่อนจะหยิบจานอาหารเช้าที่เย็นชืดนั้นเข้าครัวใช้เท้าเหยียบที่เปิดถังขยะแล้วเททั้งอาหารและนมรวมทั้งโพสต์อิทใบนั้นทิ้งก่อนจะปิดไฟแล้วคว้ากุญแจรถออกจากห้องไป... เจ็บแล้วจำคือคน...เจ็บแล้วทนคือควาย ตอนนี้ผมกำลังพิจารณาตัวเองอยู่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นควาย... กว่าผมจะผ่าตัดเสร็จก็เกือบบ่ายโมง เคสนี้เป็นเคสใหญ่จริงๆเพราะคนไข้ทำเกือบจะทั้งตัวมีปัญหานิดหน่อยตอนที่เราพยายามจะขยับกรามของเธอเพื่อช่วยให้ฟันบนและล่างของเธอสมมาตรกันแต่เราก็ผ่านมันไปได้ ผมเปลี่ยนชุดผ่าตัดมาเป็นชุดทำงานเรียบร้อยตั้งใจว่าจะไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ทซักหน่อยแต่ทันทีที่ออกมาจากห้องพักไมค์โครโฟนก็จ่อที่ปากของผมหลายตัวจนผมตกใจไหนจะกล้องกับแสงแฟลซที่สว่างแบบไม่ทันตั้งตัว “อ่ะ...อะไรกันเนี่ย?” “คุณหมอคะ คุณใช่คนที่อยู่ในรูปนี้หรือเปล่าคะ” “คุณหมอมีความสัมพันธ์ยังไงกับคุณเมฆคะ” “แล้วจริงหรือเปล่าคะที่ว่าคุณหมอเป็นคนทำศัลยกรรมให้กับดาราหนุ่มท่านนี้คะ” “แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นในผับXXครับ” สารพัดคำถามที่ดังเหมือนนกกระจอกแตกรังทำเอาผมตกใจบรรดาหมอและพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ด้วย ผมพยายามตั้งสติก่อนรับหนังสือพิมพ์ประเภทกอซซิปมาดูเป็นรูปตอนที่เมฆกำลังยื้อผมไว้ที่หน้าห้องน้ำ คงมีนักข่าวซักคนถ่ายไว้ นักข่าวที่ถูกเชิญมางานเลี้ยงปิดกล้องของกองถ่าย ผมลืมไปซะสนิท... ผมสูดหายใจลึกๆพยายามเรียกสติแล้วโปรยยิ้มให้กับนักข่าวทุกคนพลางใช้นิ้วชี้ขึ้นมาแตะปากตัวเองแล้วทำเสียง ชู่วววว... ได้ผลทุกคนยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นหินเสียงดังจอกแจกหายไป “ผมชื่อหมอจิณณ์นะครับ สำหรับคำถามที่ถามว่าผมกับคุณเมฆมีความสัมพันธ์กันแบบไหนผมขอตอบแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับว่าผมกับเขาเป็นเพียงคนรู้จักกันครับ” ถามว่าเจ็บมั้ยที่ต้องพูดคำนี้ ผมเจ็บมาก แต่ตอนนี้มีเพียงแค่รอยยิ้มอ่อนโยนเท่านั้นที่ผมปั้นได้ ผมต้องบอกกับตัวเองว่า.. จิณณ์คนเก่ง ยิ้มไว้นะแม้ในใจจะอยากร้องไห้แค่ไหนก็ตามกับคำว่าเป็นแค่คนรู้จักกัน เป็นแค่คนอื่นไปแล้ว...ต้องทนยอมรับความจริงในข้อนี้ “ส่วนเรื่องเมื่อคืนผู้ชายในรูปเป็นผมจริงๆครับเราบังเอิญเจอกันในผับแล้วพอดีผมกำลังจะกลับ” “แต่ในรูปดูเหมือนกำลังยื้อยุดกันอยู่นะคะ” นักข่าวสาวเธอทำหน้าที่ของเธออย่างดีเยี่ยมโดยการพูดแทรกเข้ามาทันทีผมยิ้มให้เธอในขณะที่สมองกำลังคิดอย่างหนักว่าจะตอบอะไรเธอดี “ก็พอดีแท็กซี่ที่ให้น้องอีกคนไปเรียกมาแล้วนี่ครับขืนชักช้าอาจจะโดนด่าทีนี้เมฆเค้าก็ยังอยากให้อยู่สนุกกันต่อแต่ผมต้องขอตัวไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้นครับเราเป็นแค่คนรู้จักกันผมยังรู้จักเพื่อนของเมฆด้วยนะครับ ลูกปัดที่เคยเป็นผู้จัดการส่วนตัวกับเมฆตอนเข้าวงการใหม่ๆ” “แล้วเรื่องทำศัลยกรรมล่ะคะจริงหรือเปล่าคะ” “เรื่องนี้ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ” “พูดแบบนี้เท่ากับคุณหมอยอมรับนะคะ” “ผมพูดตรงไหนให้เข้าใจว่ายอมรับล่ะครับ ผมเป็นหมอนะครับไม่ว่าเค้าจะทำหรือไม่ทำคนเป็นหมอไม่ควรเอาข้อมูลมาเผยแพร่อยู่แล้วมันเป็นจรรยาบรรณแพทย์ครับคุณต้องไปถามเจ้าตัวเค้าเองว่าทำหรือเปล่าหมอไม่สามารถตอบในข้อนี้ได้จริงๆ” “ไหนๆคุณหมอก็บอกว่ารู้จักกับเมฆแล้วถ้าคุณหมอปฏิเสธว่าไม่มีความสมพันธ์ใดใดกับเมฆแล้วคุณหมอพอจะทราบความสัมพันธ์ของเมฆกับคุณศิโรจน์ผู้จัดการส่วนตัวมั้ยคะ” ผมยิ้มอีกครั้ง...ยิ้มทั้งๆที่จริงๆผมกำลังจะยืนไม่ไหวแล้วนะ เมื่อไหร่นักข่าวพวกนี้จะไปๆกันซะที... ทำไมต้องมาถามเรื่องของคนๆนั้นกับผม “หมอไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ครับแล้วก็ขอตัวได้มั้ยครับ หมอเพิ่งผ่าตัดใหญ่เสร็จ เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัดกำลังจะไปหาข้าวทานหลังจากไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืนหมอหิวมากเลยนะครับ มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับพวกเค้าหมอไม่สามารถตอบได้แล้วจริงๆขอตัวนะครับ” ผมเดินแหวกดงนักข่าวออกมาเดินผ่านคนไข้หมอและพยาบาลหลายคนพอคิดว่าพ้นแล้วลับตาแล้วผมก็เบนเข็มจากฟู๊ดคอร์ทเป็นดาดฟ้าของโรงพยาบาลเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวที่เป็นเขตเอาไว้ให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ ซองบุหรี่ถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงทั้งๆที่คิดไว้ว่าจะไม่สูบอีกแต่วันนี้ผมต้องการสารจากนิโคตินเพื่อคลายเครียด นั่งปล่อยอารมณ์มองท้องฟ้า มองนก มองรถราบนถนน อัดควันเข้าปอดแล้วพ่นควันขาวออกจากโพรงปากและจมูกดียังไม่ทันถึงครึ่งมวนดีโทรศัพท์ในกระเป๋าของผมก็สั่นผมเอาออกมาดูก็พบกับเบอร์แปลกๆคีบบหรี่ไว้กับนิ้วก่อนจะรับสาย “สวัสดีครับหมอจิณณ์พูดสายครับ” “สวัสดีครับผมโทรมาจากสถานีตำรวจนะครับคุณเป็นผู้ปกครองของหมอกกับอาทิตย์หรือเปล่าครับ” ถึงแม้จะงงๆกับตำแหน่งผู้ปกครองแต่ผมก็อึกอักตอบรับไปซะแล้ว “หมอกกับอาทิตย์ให้ผมโทรมาแจ้งให้คุณมาประกันตัวนะครับ” “ไม่ทราบว่าโดนจับข้อหาอะไรครับ” หลังจากถามรายละเอียดกันเรียบร้อยผมจึงถามสาเหตุที่ไอ้เด็กบ้าสองตัวนั้นโดนจับ “ทะเลาะวิวาทครับ” “โอเคครับผมจะไปเดี๋ยวนี้” ผมปาบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้หลังจากวางสายแล้วผลุนผลันออกจากโรงพยาบาลทั้งชุดกาวน์ไม่ต้องเสียเวลาแวะไปเอาประเป๋าเงินหรือกุญแจรถเพราะผมพกติดตัวไว้อยู่แล้ว ผมรีบจนลืมไปว่าภายในโรงพยาบาลน่ะยังมีนักข่าวหลงเหลืออยู่ ผมรีบจนลืมมองว่ามีรถบางคันขับตามผมมาอย่างกระชั้นชิด ผมรีบจนลืมไปจริงๆว่าควรจะระวังตัวมากกว่านี้ ........................................... สงสารหมอจัง ปัญหาประเดประดังกันเข้ามา หัวใจหมอก็ใหญ่เท่ากำปั้น แต่ปัญหาถาโถมเท่าขุนเขา แล้วหมอจะทนไหวมั้ยนะ #ทีมหมอ ยกมือ
ทีมหมอ เทเมฆเลย อยู่คนเดียวสบายใจกว่านะ
:hao3: :hao3: :hao3:
เทเมฆเลย อย่าแคร์ เป็นคนแบบนี้ถึงไม่มีคนรักไง ฟฟฟ :z6:
แบนอิเมฆยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแบบไม่มีกำหนดเลยยยยยยยยย อิดอกกกกกกกกก :angry2:
"เจ็บแล้วจำคือคน...เจ็บแล้วทนคือควาย" จำคำพูดตัวเองไว้ดีๆนะหมอ แล้วอะไรทำไมต้องมาวุ่นวายกับคนบ้านนี้หาปัญหามาให้ไม่หยุดหย่อน หมอควรได้พักป่ะ ทั้งกายและใจ มันใช่ม่ะ วิ่งแก้ปัญหาให้คนอื่น ไม่อยากให้วุ่ยวายกับคนบ้านนี้เลย ดูกลายเป็นหนูวิ่งในกล่องเหมือนเป็นของเล่นของพี่น้องคู่นี้ โดนปั่นซะ ซัง+เซ็งกะบ๊วย!!!!! ฟัค เลิกๆ หัวร้อน หมอทำดีที่สุดแล้ว ตัดเนื้อร้ายออกไป ชีวิตจะสบายขึ้นเยอะ!! เบื่อก็คือเบื่อม่ะ หมดpassionก็คือหมดpassionป่ะ อย่ามาพูดว่ารักแต่มาบอกเอากับคนอื่นขำๆ ยังหาว่างี่เราเง่าอีก โอวววววโนวว!!! บอกก็ไม่ได้ทิ้งไปนี้ เอากับคนอื่นเล่นๆแต่ก็กลับมาไง เห็นหมอเป็นของตายมากมายอะ ถุยยยยย!!! อย่าหมออย่า อย่าใจอ่อน เลิกก็คือเลิกนะ จำให้ขึ้นใจ รักจอมปลอม ขอโทษปลอกเปลือกมาก ไม่ได้สำนึกจากใจจริงเลย *เบ้ปาก* ได้ยินคำว่ารักของเมฆนี้คือขนลุก ไม่คู่ควรมาก อินจร้าอินเว่อร์ 55555
"เจ็บแล้วจำคือคน...เจ็บแล้วทนคือควาย" จำคำพูดตัวเองไว้ดีๆนะหมอ แล้วอะไรทำไมต้องมาวุ่นวายกับคนบ้านนี้หาปัญหามาให้ไม่หยุดหย่อน หมอควรได้พักป่ะ ทั้งกายและใจ มันใช่ม่ะ วิ่งแก้ปัญหาให้คนอื่น ไม่อยากให้วุ่ยวายกับคนบ้านนี้เลย ดูกลายเป็นหนูวิ่งในกล่องเหมือนเป็นของเล่นของพี่น้องคู่นี้ โดนปั่นซะ ซัง+เซ็งกะบ๊วย!!!!! ฟัค เลิกๆ หัวร้อน หมอทำดีที่สุดแล้ว ตัดเนื้อร้ายออกไป ชีวิตจะสบายขึ้นเยอะ!! เบื่อก็คือเบื่อม่ะ หมดpassionก็คือหมดpassionป่ะ อย่ามาพูดว่ารักแต่มาบอกเอากับคนอื่นขำๆ ยังหาว่างี่เราเง่าอีก โอวววววโนวว!!! บอกก็ไม่ได้ทิ้งไปนี้ เอากับคนอื่นเล่นๆแต่ก็กลับมาไง เห็นหมอเป็นของตายมากมายอะ ถุยยยยย!!! อย่าหมออย่า อย่าใจอ่อน เลิกก็คือเลิกนะ จำให้ขึ้นใจ รักจอมปลอม ขอโทษปลอกเปลือกมาก ไม่ได้สำนึกจากใจจริงเลย *เบ้ปาก* ได้ยินคำว่ารักของเมฆนี้คือขนลุก ไม่คู่ควรมาก อินจร้าอินเว่อร์ 55555 คือต้องอินเบอร์นี้เลยหรือทีมหมอจริงๆนะรอบนี้ พอกันทีสองพี่น้องเวร :fire: :angry2:
ลูกเป็ดขี้เหร่[:15:] กว่าผมจัดการเรื่องประกันตัวหมอกกับอาทิตย์เสร็จก็เกือบสี่โมงเย็นแล้วไอ้เด็กสองคนหน้าตาเขียวคล้ำจากรอยช้ำอาทิตย์คิ้วแตกแก้มเป็นสีช้ำปื้นใหญ่ส่วนหมอกหัวหัวยุ่งมุมปากมีเลือดซิบในขณะที่คู่อริมีสภาพไม่ต่างกันสอบถามคือมองหน้ากันแล้วหมอกก็ถามเค้าไปด้วยถ้อยคำน่ารักๆตามแบบฉบับโย่งว่า “หน้ากูเหมือนหน้าชู้แม่มึงเหรอจ้องอยู่ได้ไอ้สัด” ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษผู้ปกครองของเด็กอีกฝั่งที่ทำท่าจะเอาเรื่องไม่หยุด ผมเหนื่อยผมหิวผมเพลียผมอยากพักแล้วนี่คืออะไร?? ทำไมปัญหาทุกอย่างมาประเดประดัง หมอกไม่อยากให้พ่อแม่รู้ว่าตัวเองเกเรนอกบ้าน ส่วนอาทิตย์เป็นเด็กห้าวมากหาญกล้ามาจากปักษ์ใต้เพื่อมาตามหาฝันที่เมืองหลวง ผมเซ็นชื่อประกันตัวเด็กสองคนเสร็จก็ยืนรอตำรวจไปไขกุญแจห้องขังเด็กสองคนเดินหน้าเซียวๆมาหาผมหมอกอ้าปากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะฟังอะไรจึงยกมือห้ามก่อนจะลูบหน้าตัวเองพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นน้องมันยังเด็ก พยายามบอกกับตัวเองว่าสมัยผมเป็นวัยรุ่นก็เลือดร้อนแบบนี้ ผมอยากจะด่านะอยากจะตบให้ขี้หูไหล แต่ถ้าทำไปแล้วได้อะไรล่ะผมเจ็บมือเด็กทั้งสองเจ็บตัวเผลอๆจะเจ็บใจซะมากกว่า ผมไม่คิดว่าการตบตีหรือด่าประจานให้เด็กอับอายในที่สาธารณะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีผมเชื่อว่าหมอกกับอาทิตย์ยังสามารถสอนได้ควรรีบดัดซะตอนนี้ก่อนที่ไม้อ่อนจะกลายเป็นแม้แก่เกินดัด แต่ขอสอนวันอื่นก็แล้วกันวันนี้ผมไม่มีอารมณ์ใดใดทั้งสิ้น แค่เรื่องตัวเองก็หนักจะแย่อยู่แล้วถ้าต้องรับภาระดูแลสันดานลูกหลานชาวบ้านตอนนี้รับรองหมอกกับอาทิตย์อาจพิการได้ “กลับเถอะหมอเหนื่อยเต็มทีอยากพัก” ผมบอกกับเด็กๆด้วยน้ำสียงตึงๆก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินนำมา หมดเรื่องหมดราวซักทีผมจะได้กลับไปนอนแช่น้ำหาข้าวหาปลากินแล้วกินยานอนหลับซักสองเม็ดนอนพักยาวๆปิดตาปิดสมองปิดใจไม่รับรู้อะไร แต่สงสัยพระเจ้ายังเล่นตลกกับผมไม่พอเพราะเมื่อก้าวขาออกจากโรงพักก็มีเทปอันหนึ่งมาจ่อปากพร้อมๆกับแฟลซที่สาดไม่ยั้งผมรีบเอาเสื้อกาวน์ที่ถือติดมือมาคลุมหัวเด็กทั้งสองคนไว้ “คุณหมอจิณณ์คุยกันหน่อยมั้ยครับ” นักข่าวหัวล้านคาบบุหรี่ไว้ที่มุมปากเอ่ยทักกับหมอจิณณ์ “ขอโทษนะครับผมคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวขอทางด้วยหมอเหนื่อยอยากกลับไปพักแล้ว” “แค่นิดเดียวเองครับ” “คุณไม่เข้าใจคำว่าหมอเหนื่อยเหรอครับนี่มันสิทธิส่วนบุคคลของหมอนะครับ” “เมื่อคืนบังเอิญผมปวดฉี่ก็เลยจะไปเข้าห้องน้ำพอดีได้ยินคนข้างในพูดกันเรื่องถุงยาง ไม่ทราบว่าคุณหมอพอจะทราบมั้ยครับว่าถุงยางอะไร” ผมหยุดกึกจากการเดินโอบเด็กทั้งสองคนก่อนหันไปทางนักข่าวแก่ที่ยืนคาบบุหรี่ยักคิ้วอย่างกวนส้นตีน คิดว่าเจ๋งเหรอไอ้ขุนช้าง คิดว่าแน่นักใช่มั้ย ผมอยากจะกระแทกหน้ามันด้วยรองเท้าหนังเงาวับของผมถ้าไม่ติดว่าขืนผมทำลงไปอาจเป็นเรื่องใหญ่และมีผลกระทบต่อเมฆมันได้ลงไปนอนหมอบตรงนี้แน่ๆ “ไม่ทราบครับผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นขอโทษนะครับแต่หมอขอตัวจริง” วันนี้ผมพูดคำๆนี้ไปกี่รอบแล้ว หมอเหนื่อย ขอโทษ หมออยากพัก มีลูกสอนลูกมีหลานสอนหลานอย่ามาทำอาชีพนี้เพราะเป็นอาชีพที่น่ารำคาญที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา “ผมได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนะครับคุณหมอจะให้ผมเขียนข่าวว่าอะไรดี ดาราหนุ่มแอบเล่นเสียวในห้องน้ำท่ามกลางเมียหลวงและเมียน้อย? เอ๊ะ หรือยังไงดีครับคุณหมอช่วยคิดหน่อย” ผมถอนหายใจหนักๆก่อนจะทำหน้าไร้อารมณ์ใส่ไอ้แก่นี่ปล่อยไหล่เด็กทั้งสองคนในดูแลก่อนจะเอ่ยเรียบๆใส่ “ถ้ามีหลักฐานก็เอาสิครับ รูปถ่าย คลิปเสียง เอาเลยเต็มที่ผมมั่นใจว่าไม่มีใช่มั้ย? ถ้าคุณเขียนข่าวลอยๆหมอจะจ้างทนายยื่นฟ้องคุณและสำนักพิมพ์นะครับ นี่แหนะจะบอกอะไรให้” ผมแกล้งยื่นหน้าไปกระซิบข้างๆหูของนักข่าวแก่ “คนไข้ของหมอน่ะมีทั้งตำรวจ ทนาย อัยการ ดารา รวมทั้งพวกมือปืนนักฆ่าที่มาเปลี่ยนหน้าหนีคดีนะครับ แค่โทรจึ๊กเดียว..จึ๊กเดียวจริงๆ” ผมกดยิ้มร้ายใส่ในขณะที่ไอ้เหม่งมันทำหน้าอึ้งๆอาศัยจังหวะนั้นโอบเจ้าเด็กจอมสร้างปัญหาต้อนขึ้นรถแล้วขับออกมาอย่างไวราวไบรอัน โอคอนเนอร์ “กินข้าวก่อนแล้วกันนะ” ผมว่ากับเด็กๆที่ตอนนี้นั่งตัวลีบผิดมาดร็อกเกอร์ดูโอ้ขึ้นมาทันทีทันใด “หมอครับ” เป็นอาทิตย์ที่เอ่ยเรียกผมด้วยน้ำเสียงโคตรงุ้งงิ้ง “หืม?” “หมอรู้จักมือปืนจริงๆเหรอครับ” “อ่าฮ๊ะ” “แล้วในหัวมีแบบแว้บๆอยากจ้างไปยิงพี่เมฆมั่งมั้ยครับ...คือผมรู้เรื่องเมื่อคืนหมดแล้ว” ผมตวัดสายตามองไอ้เด็กโย่งที่ทำตาเหลือกใส่อาทิตย์ทันที “นายนี่นะ...ไม่หรอกฉันไม่ใช่พวกโรคจิตนะที่เวลาผิดหวังแล้วจะจ้างคนไปฆ่าอีกอย่างฉันรักพี่ชายนายจริงๆนะรักจนทำร้ายไม่ลงน่ะ” “พี่แม่งโง่ ไอ้คนชื่อเดย์นั่นน่ะไม่เห็นจะน่ารักเลย” “เค้าอาจจะมีอะไรเด็ดก็ได้” “ไล่นายลงจากรถตอนนี้ทันมั้ยอาทิตย์” ผมพูดขณะที่หักพวงมาลัยเข้ามาในคอนโด “ไม่ทันแล้วครับถึงแล้วนี่” “เดี๋ยวขึ้นไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับ” “งั้นเดี๋ยวผมทำอาหารเป็นการขอบคุณแล้วก็ไถ่โทษ” ผมหันไปมองอาทิตย์อย่างอึ้งๆ “ทำเป็น?” “นี่ใครอย่างน้อยผมก็ต้มน้ำชงมาม่าเป็น” จบข่าว... “แบบนั้นหมอก็ทำเองได้นะ” ผมไขห้องให้เด็กๆเข้ามาก่อนจะปลีกตัวไปอาบน้ำอาบท่า ความเย็นจากสายน้ำทำให้ผมสดชื่นมากขึ้นอารมณ์กรุ่นๆตั้งแต่เมื่อบ่ายเริ่มเย็นลงเมื่อออกมาข้างนอกชามมาม่าก็พร้อมเรียบร้อยแล้วเด็กสองคนนั่งคุยกันเบาๆเมื่อเห็นผมเดินออกมาก็ทำเป็นนั่งยืดตัวตรง "ไม่กินไปเลยล่ะรอทำไม" "ไม่ได้หรอกครับมันเสียมารยาท" "ยังมีอีกเหรอมารยาทน่ะ" ผมแกล้งเย้าหมอกกับอาทิตย์เจ้าเด็กหน้าดำมันทำงอแงจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเปิดชามบะหมี่ออกก็พบว่ามันดีกว่าที่คิดไว้บะหมี่อืดกำลังดีมีไข่ผักและเนื้อสัตว์รวมทั้งไส้กรอกและแฮมเหลือๆในตู้เย็นใส่ดูน่าทาน "มันดีกว่าที่คิดนะเนี่ย" ผมเผลอพูดชมให้อาทิตย์ "ผมอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เด็กแค่บะหมี่น่ะจิ๊บๆ ผมทำอาหารเป็นหลายอย่างนะ" "แค่พูดเชื่อไม่ได้หรอกว่างๆต้องมาทำให้หมอกิน" "ได้ทุกเมื่อครับ" ผมสาวเส้นบะหมี่เข้าปากเรื่อยๆจนหมดเมื่ออิ่มท้องแล้วก็กะว่าจะกินยานอน "คืนนี้ค้างก็ได้นะ" ผมบอกกับเจ้าสองแสบที่นั่งดูบอลกันอยู่ "แต่ต้องเงียบๆหน่อยนะหมอขอนอนหน่อยแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ดูจบแล้วปิดทีวีชักปลั๊กออกด้วยล่ะถ้าหิวอะไรตอนดึกก็โทรสั่งเอานะหมอใส่เงินไว้บนโหลหลังตู้เย็นหยิบใช้ได้เลย" "คร๊าบบบบบบ" เจ้าสองแสบลากเสียงยาวพร้อมทำท่าตะเบ๊ะ ผมยิ้มให้มันทั้งคู่ก่อนจะปิดประตูห้องแล้วไปล้างหน้าแปรงฟันกินยานอนหลับที่วางไว้บนหัวเตียงแล้วซุกตัวลงบนที่นอนก่อนจะปิดเปลือกตาแล้วหลับไปในที่สุด ได้พักซักทีเหนื่อยเหลือเกิน.. “ตกลงความสัมพันธ์ของคุณกับคุณเมฆคืออะไรครับมีอะไรมากกว่าผู้จัดการส่วนตัวกับดาราหรือเปล่า” ศิโรจน์ที่นั่งพิงพนักเตียงในห้องผู้ป่วยส่งยิ้มอ่อนๆให้กับนักข่าวที่มาทำข่าว สภาพไม่ได้แย่นักตอนที่โดนรถชนไหล่เขากระแทกพื้นหัวแตกนิดหน่อยตอนนี้จึงต้องใส่เผือกไว้ “ผมอยู่กับเขาตลอดเวลาน้ำหยดลงหินทุกวันอ่ะเนอะ” เดย์ตอบราวกับมันเป็นเรื่องตลกพลางแกล้งก้มหน้าอมยิ้มราวกับเอียงอายซะเต็มประดา นักข่าวต่างฮือฮากับคำตอบที่สามารถอาไปขยายความตามความพอใจและมโนของตัวเอง “แล้วเหตุการณ์เมื่อคืนคืออะไรครับที่คุณเมฆวิ่งตามคุณหมอคนนั้นไปเราไปถามทางนู้นแล้วเขาปฏิเสธว่าไม่ใช่คนพิเศษของคุณเมฆ” “จะใช่ได้ยังไงล่ะครับก็คนพิเศษนอนป่วยอยู่นี่ทั้งคน” “ทำไมพี่ให้ข่าวแบบนี้ล่ะพี่ก็รู้ว่าระหว่างเราแค่เล่นๆผมมีหมออยู่แล้วอีกอย่างตอนนี้ผมง้อเค้าอยู่ถ้าเขาเห็นข่าวนี้ผมจะทำยังไงพี่คิดมั่งป่ะ” ผมโยนหนังสือพิมพ์ที่อัพเดทเกี่ยวกับข่าวดาราใส่พี่เดย์ที่นั่งตักอาหารจากโต๊ะเมโยกินหน้าระรื่น “ยังไง อะไรคือเล่นๆ ได้ข่าวว่าหมอเค้าไม่เอานายแล้วไม่ใช่เหรอวันนั้นยังโวยวายอยู่เลยว่าเค้าขอเลิกในเมื่อเธอว่างพี่ก็มีสิทธิ์เปิดเผยความสัมพันธ์สิ จะได้คบกันเปิดเผยไปเลยนายจะได้ไม่ไปยุ่งกับใครอีก” ผมมองพี่เดย์ที่ทำท่าเป็นทองไม่รู้ร้อนก่อนจะส่ายหัวให้กับความขี้ตู่ของเขา ผมไม่เคยคิดจะจริงจังกับพี่เดย์เลยซักนิดแล้วนี่คืออะไรเที่ยวไปประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผม จะยึดผมเป็นสมบัติของเขาคนเดียวซะอย่างนั้น ผมไม่มีทางคว้าคนแบบนี้มาเป็นเมียผมหรอก “ผมจะบอกอะไรพี่อย่างหนึ่งนะพี่เดย์ ผมไม่จำเป็นต้องคิดหรือต้องเลือกเลยว่าผมเอาใครเพราะในใจของผมมีเพียงหมอจิณณ์คนเดียวเท่านั้นพี่รวมทั้งคนอื่นๆที่ผ่านมาก็แค่คบไว้แก้อยากเวลาที่ไม่อยู่กับหมอเท่านั้น ขอให้เข้าใจไว้นะครับ” “เมฆ!!” ผมไม่หยุดรอฟังหรอกนะว่าพี่เดย์ด่าอะไรผมอีกผมเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยหูแว่วเสียงโลหะกระทบพื้น เหมือนผีบ้าแบบนี้ใครจะอยากได้มาทำเมีย ผมไม่ยอมโง่ซ้ำสองหรอกแค่โง่เล่นสนุกกับเขาก็ถือว่าเกินพอแล้ว ตี 2 ครึ่ง ผมค่อยๆไขกุญแจห้องเบาๆ ไฟในห้องตรงครัวเปิดอยู่ส่วนอื่นๆมืดสนิทผมอาศัยแสงจากไฟในครัวเดินเข้ามาให้ห้อง เสียงกรนแถวๆโซฟาทำให้ผมเดินไปดูซากมนุษย์สองคน คนหนึ่งจำได้ดีไอ้เจ้าหมอกน้องชายผมเองนอนอยู่บนโซฟาขาข้างหนึ่งห้อยลงมาแหมะบนอกของเด็กอีกคนที่นอนละเมอเป็นภาษาใต้ได้ยินไม่ถนัดฟังดังซี่ๆอี้ๆอะไรซักอย่าง มันมาอยู่นี่ได้ไง?? หลับสนิท ผมละความสนใจจากเด็กสองคนก่อนจะใช้กุญแจสำรองไขเข้าไปให้ห้องนอน บนเตียงขนาดใหญ่มีร่างของหมอจิณณ์นอนหลับพริ้มไฟหัวเตียงส่องละมุนทำให้หมอดูเหมือนเด็กน้อยกำลังหลับฝันดี ผมค่อยๆย่องไปนั่งข้างเตียง แก้วน้ำและถ้วยยาเล็กๆวางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงคงกินยานอนหลับก่อนนอนอีกแล้วสินะ หมอมักใช้มันเวลาที่ต้องการนอนยาวๆหรือมีเรื่องเครียดจนนอนไม่หลับ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผมนุ่มที่ปรกใบหน้าทัดหูเบาๆ หมอน่ารัก... แต่บางทีการอยู่กับอะไรเดิมๆชีวิตมันก็จำเจ ผมไม่ได้นอกใจหมอนะผมแค่นอกกายไปหาความรักจากคนอื่นๆ ความรักที่ผมไม่เคยได้มาตลอด 20 กว่าปีก่อนจะมาเจอหมอ ผมขอเวลาสนุกสนานกับชีวิตหน่อยเดียวไม่ได้เหรอครับหมอ สุดท้ายเมื่อผมอิ่มผมพอใจแล้วผมก็จะกลับมาเป็นลูกเป็ดของหมอตามเดิมแค่ตอนนี้ผมขอเวลาสนุก หมอควรจะเข้าใจผม..ไม่สิหมอต้องเข้าใจผมสิ ผมก้มลงหอมแก้มนุ่มเบาๆ กลิ่นแป้งเด็กที่หมอชอบทาก่อนนอนทำให้ผมกดจมูกลงไปอีกรอบก่อนจะเปลี่ยนเป็นฟัดแรงๆ นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้มีอะไรกันเลยเพราะตารางงานที่แสนจะยุ่งของผม แถมพอมีโอกาสในตอนนั้นหมอกก็กลับมาเป็นก้างซะนี่ผมจึงมีเพียงพี่เดย์เป็นเครื่องระบายอารมณ์ใคร่ในบางครั้งบางคราว พี่เดย์ก็สนุกดีนะเสียแต่ว่าพักหลังๆชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมจนน่ารำคาญ ผมย้ายเป้าหมายจากแก้มเป็นริมฝีปากนุ่มบดจูบอย่างคนหิวกระหายบีบปากหมอจิณณ์ที่ยังคงหลับอยู่ในเปิดออกก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปกวาดต้อนความหวานเริ่มจากแนวฟันก่อนจะย้ายตัวเองจากข้างเตียงขึ้นมานอนคร่อมทับตัวหมอโดยการใช้แขนดันตัวเองไว้ไม่ให้ทับหมอไปทั้งตัวมืออีกข้างก็ปลดกระดุมชุดนอนสีแดงลายแมนยูของหมอออกทีละเม็ด ทีละเม็ด ก่อนจะลูบลงบนผิวขาวเนียนไล่เรื่อยไปจนถึงหน้าอกขยี้ปลายนิ้วลงไปอย่างหยาบกร้าน ผมยังคงจูบหมอจิณณ์อย่างหิวกระหายอยู่อย่างนั้น จูบให้สมกับที่คิดถึง แม้จะมีอะไรกับใครๆ แต่เวลาจูบผมกลับไม่เคยรู้สึกดีเหมือนที่จูบหมอ หมอจิณณ์เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัดพลางหันหน้าหนีแต่ผมก็ล็อกไว้ไม่ให้ขยับได้ ผมยังไม่อิ่มกับจูบนี้ ผมยังไม่พอ เสียงอึกอักในลำคอพร้อมกับมือที่เริ่มปัดป่ายแล้วผลักไหล่ผมเบาๆทำให้ผมผละออก ปากบวมเจ่อของหมอเผยอเอาอากาศเข้าปอด สาบเสื้อที่แหวกจนเห็นหน้าอกเนียนไหววูบขึ้นลงราวกับคนหอบยิ่งดูเซ็กซี่ ผมหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจกับอาการนี้ของหมอ มันทำให้เลือดในกายของผมร้อนพล่านเส้นประสาทตื่นตัวโดยไม่ต้องมีความร่วมมือใดใดทั้งสิ้นจากคนใต้ร่าง แค่นอนนิ่งๆผมก็มีอารมณ์ได้ ความรู้สึกตื่นเต้นก่อตัวขึ้นมาจนผมหมดความยับยั้งชั่งใจจากที่คิดว่าแค่จูบอย่างเดียวแต่ตอนนี้ผมต้องการมากกว่านั้น หมอยังคงไม่ยอมตื่นท่าทางยาที่กินคงแรงพอดูผมกดจูบลงไปบนกลีบปากบวมช้ำนั้นอีกครั้งอย่างไม่รู้อิ่มจัดการถอดเสื้อผ้าตัวเองโยนไปอย่างไม่สนทิศทางแล้วยกตัวหมอขึ้นมานั่งคร่อมซ้อนบนตักของผมก่อนจะปลดเสื้อนอนออกแล้วจึงจัดการกับกางเกงที่ตอนนี้ดูจะเกะกะเสียเหลือเกิน ลักหลับเมีย... น่าสนุกดีนะ อื้อ....ทำไมผมรู้สึกอึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออก ผมฝันร้ายฝันว่ามีใครก็มารู้นั่งคร่อมผมไว้ใช้กำลังกดข้อมือของผมตรึงไว้กับพื้นเตียงแล้วปล้ำจูบผม มันยาวนานจนผมรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย มันทรมานเหมือนคนจะจมน้ำ ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะปัดป้องตัวเองทำได้เพียงแต่ผลักเขาด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ราวกลับผมปีนออกจากขุมนรกได้ทันหลังจากร่างนั้นผละออกไปผมหอบเอาอากาศเข้าปอด ปีศาจร้ายตนนั้นส่งเสียงหัวเราะจากที่ไหนซักที่ ผมขดตัวเมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่ปะทะกับผิวกายความหาหมอนข้างเพื่อกอดหวังว่ามันจะทุเลาความหนาวเหน็บนั้นลงได้ ผมกำลังกอดอะไร? ทำไมมันอุ่น อุ่นจนผมต้องซุกตัวเข้าหาไออุ่นนั้น “อ๊ะ...อะ...อะไรน่ะ” อยู่ๆความเจ็บก็สอดแทรกเข้ามาในร่างกายผม ผมสะลึมสะลือลืมตาขึ้นก็พบว่าดวงตายังปรับแสงอะไรไม่ได้ ได้ยินเพียงเสียงครางต่ำพร้อมกับช่วงล่างของใครคนนั้นที่พยายามสอดแทรกเข้ามาในตัวของผม ผมเจ็บ เจ็บจนน้ำตาไหล แขนของผมกอดไหล่กว้างของใครซักคนเล็บของผมจิกลงบนไหล่ของเขาอย่างหาที่ระบายความเจ็บที่ได้รับ “อย่านะ..ใคร?” “ชู่ววววววววว....หมอ...ผมเอง” น้ำเสียงที่กระซิบพลางครางต่ำที่ข้างหูยามที่ตัวตนของเขาสอดแทรกเข้ามาจนสุดทำให้ผมหยุดการดิ้นรนทุกอย่าง อีกแล้ว...ผมร้องไห้อีกแล้ว ผมอยากพักไม่ใช่อยากโดนกระทำแบบนี้ ผมไม่เต็มใจ “เอาออกเถอะ...ขอร้อง” “อะไรกันครับ ผมคิดถึงหมอนะครับ อยากทำกับหมอเป็นเดือนๆแล้วหมอไม่เห็นใจผมหน่อยเหรอ” เห็นใจเขาเหรอ?? ตอนนี้ผมอยากให้เขาเห็นใจผมมากกว่า เขาไม่รับรู้เลยเหรอว่าตัวของผมรุมๆอาการของคนกำลังเป็นไข้บอกชัดขนาดนี้เขาไม่สังเกตเลยเหรอ “เมฆ ขอร้องล่ะ หยุดเถอะ หมอเพลียจริงๆ” ผมพยายามอ้อนวอนเขาเมื่อเขาเริ่มขยับกาย ผมไม่พร้อมจริงๆที่จะต้องมีอะไรกับเขาในสภาพร่างกายแบบนี้ ยานอนหลับทำให้เปลือกตาของผมหนักอึ้งทั้งๆที่ร่างกายของผมน่ะมันตื่นแล้ว “หยุดไม่ได้แล้วครับมาถึงขั้นนี้แล้ว” เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกอย่างเห็นแก่ตัว ผมเอียงกายหนีริมฝีปากอุ่นร้อนที่พยายามซุกไซร้มาบนซอกคอของผมก่อนจะผลักไหล่ของเขาแรงๆ “เมฆ หมอบอกให้นายหยุดไงไม่เห็นใจกันบ้างเหรอ” น้ำเสียงผมตวาดลั่น มันสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด ถ้าเขามีหัวใจอยู่บ้างก็น่าจะหยุดสินะ ผมเจ็บ...เจ็บเพราะมันไร้การเบิกทางใดใด ผมเจ็บ เจ็บเพราะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาด้วยเลย ผมเจ็บ...เจ็บที่คำร้องขอของผมมันดังไม่ถึงหัวใจของเขา เพราะแทนที่เขาจะหยุด เมฆกลับขยับตัวแรงขึ้นเร็วขึ้นจนผมหมดเรี่ยวแรงปลายเท้าของผมที่อยู่ด้านหลังเขาค่อยๆจิกลงบนพื้นที่นอนเพื่อสะกดกลั้นความเจ็บไว้ แขนของผมก็โอบรัดไหล่กว้างของเขา เปลือกตาของผมปิดลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นสาย ผมทรมานกับทุกสัมผัสที่เขามอบให้ เซ็กส์ที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง ผมกัดลงบนไหล่กว้างของเขาเมื่อความรู้สึกทรมานเพิ่มมากขึ้นทุกที ไม่มีเสียงร้องครางอย่างสุขสมเหมือนเช่นทุกที มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ เมื่อไหร่มันจะจบสิ้นกันนะ เขากำลังข่มขืนผมอยู่... จบสิ้นซักทีเถอะ...สงสารผมบ้าง.... ใครกันนะใครกันที่ผลักผมตกจากสรวงสรรค์ลงมายังขุมนรกขุมที่ลึกที่สุดนี้ เขารังแกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากของเขาก็พร่ำพ่นคำรักโสโครกตลอดเวลา “ผมรักหมอ...ผมต้องการหมอคนเดียว” ทุกครั้งที่เขาพูดก็เหมือนเขาค่อยๆเอามีดกรีดหัวใจของผมจนเป็นแผลเหวอะหวะ ทุกสัมผัสของเขาเหมือนเอาหนามแหลมทิ่มแทงลงมาบนร่างกายของผมจนมันแสบร้าวไปทั้งตัว สติของผมดับลงหลังจากเขากระตุกกายในรอบที่สาม... ฟ้าใกล้สางแล้ว....แต่ความรักที่ผมมีต่อเขากลับกำลังมืดดับลง.... ดับลงพร้อมรอยแผลในใจที่เขาสร้างไว้กับผมในคืนนี้ ไม่มีอีกแล้วภาคินัยคนดีของหมอ มีเพียงคนแปลกหน้าที่ล้มตัวลงนอนเคียงข้างผม อ้อมกอดที่เคยอบอุ่นตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว มันหนาวราวกับถูกโอบล้อมด้วยภูเขาน้ำแข็ง ผมรักเขาแล้วเขาล่ะเคยรักผมจริงๆบ้างมั้ย? ถ้าผมมีพรวิเศษจากนางฟ้า ผมไม่ขอถึง 3 ข้อหรอก ผมขอเพียงข้อเดียว... ถ้าผมได้รับพรวิเศษจากนางฟ้าผมอยากย้อนเวลาไปในวันที่หัวใจบอกว่ารักเขา กลับไปเพื่อแก้ไขความรู้สึกของตัวเอง แล้วให้พรตัวเองว่า ขออย่าให้ผมตกหลุมรักคนๆนี้อีกเลย 11 โมง ผมนั่งพลิกแคตตาลอคกีตาร์รูปทรงต่างๆในขณะที่หมอกและอาทิตย์เพื่อนของมันเดินเลือกกีต้าร์ในร้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ใกล้วันเกิดของผมและหมอกแล้ว ผมไม่ได้ให้ของขวัญน้องมาหลายปีแล้ว พอดีกับที่เมื่อเช้าผมตื่นอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเปิดประตูออกมาก็เจอกับไอ้สองหน่อกำลังง่วนกับการเตรียมหาอะไรกัน เด็กสองคนมีสีหน้างงๆที่เห็นผมโดยเฉพาะหมอกมันทำหน้าเหมือนเห็นผี ผมจัดการเข้าครัวต้มข้าวต้มไว้ให้หมอ รู้สึกเหมือนหมอจะตัวรุมๆ เหลือบตามองสารรูปน้องกับเพื่อนแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “ไปทำอะไรกันมา” “สะดุดตีนหมานิดหน่อย” หมอกมันยักไหล่มือกุมแก้วโกโก้ร้อนไว้ก่อนจะยกดื่ม ส่วนเด็กที่ชื่ออาทิตย์ไม่ค่อยพูดอะไรเอาแต่แอบเหลือบตามองเมื่อผมเตรียมข้าวต้มเสร็จเข้าไปดูหมอจิณณ์ที่ยังนอนขดตัวในกองผ้าห่มแล้วก็คิดว่าคงไม่ยอมตื่นง่ายๆจึงหยิบกุญแจรถและกระเป๋าเงินออกมา “หมอกชวนเพื่อนไป” เพราะเพิ่งรู้จักกันเลยทำให้ผมค่อนข้างเขินที่จะพูดกับเจ้าเด็กที่มีดวงตาเหมือนหมาจิ้งจอกนั่น เลยต้องบอกให้หมอกชวนเพื่อนมันมาด้วย ไอ้ตัวแสบของผมมันก็หันมาถามทันควันเหมือนกัน “ไปไหน” “อยากได้กีต้าร์ใหม่ไม่ใช่เหรอ ตัวที่มีมันเก่าแล้วนี่จะพาไปซื้อ ชวนเพื่อนไปช่วยเลือก” ผมว่าเรียบๆ นานๆให้ของขวัญน้องซักที เพราะว่าเมื่อคืนถึงหมอจะดื้อกับผมแต่หมอก็ทำให้ผมอารมณ์ดี เดี๋ยวซื้อเสื้อให้ซักตัว ดอกไม้ซักช่อ ของกินอร่อยๆก็หายโกรธแล้ว “พี่มีงบให้เท่าไหร่” เสียงหมอกมันถามมาจากมุมหนึ่งของห้องที่มีกีต้าร์โปร่งแขวนเรียงไว้สวยงามในมือถือกีต้าร์ตัวหนึ่งสีออกครีมเบจๆวันนี้หมอกมันเอาแว่นมาใส่ด้วยดูคล้ายๆเด็กเรียน แล้วดูสายตาเป็นประกายของมันสิดูท่าทางจะดีใจ “อยากได้ตัวไหนก็หยิบมาเถอะ” ผมว่า “งั้นขอสองตัวได้มั้ย” มันต่อรอง “ทำไมต้องสองตัว” “กีต้าร์ไฟฟ้าตรงนั้นก็น่าโดน” มันชี้ไปมุมกีต้าร์ไฟฟ้าด้วยดวงตามีความหวัง อ่อ ผมลืมบอกไปใช่มั้ยครับ หมอกมันขอให้ผมพาไปออดิชั่นที่ค่ายครับแต่ผมแบ่งรับแบ่งสู้ หมอกควรพยายามด้วยตัวเองก่อนไม่ใช่ให้ผมพาไป แบบนี้มันก็เหมือนน้องใช้เส้นผมเพื่อตะกายดาว “ก็เอาสิ อาทิตย์อยากได้ตัวไหนก็ลือกไปตัวหนึ่งพี่ซื้อให้” ผมเบนสายตาไปหาเจ้าเด็กถุงใต้ตาคล้ำมันรีบโบกมือปฎิเสธทันที “ไม่เป็นไรครับพี่ตัวหนึ่งไม่ใช่บาทสองบาทผมใช้ตัวเก่าได้ครับ” “เอาไปเถอะพี่ซื้อให้ชอบตัวไหนก็หยิบเอา” ผมตัดบทง่ายๆ “เฮ้ยมึงเอาเหอะของมึงมันเก่าแล้วนะเก่ากว่าของกูอีกพี่กูซื้อให้ก็รับๆไปเถอะ” เสียงหมอกมันเอ็ดเพื่อนมันหันไปดูเจ้าเด็กสองคนมันเลือกตัวนู้นลองเสียงตัวนี้แล้วก็รู้สึกดี ได้ทำหน้าที่พี่มันดีอย่างนี้นี่เองแม้จะต้องแลกด้วยเงินนับแสนก็ตาม แหม...มันจัดเต็มจัดหนักกันจริงๆ กีต้าร์ 3 ตัว โปร่ง 1 ไฟฟ้า 2 ไหนจะไอ้แท่นดำๆนั่นที่มันบอกว่าเอาไว้เสียบกับกีต้าร์อีก เต็มที่กับชีวิตมาก เล่นซะครบชุดเลย ปวดหัว...ผมขยับตัวอย่างยากลำบากแขนขาของผมมันอ่อนแรงไปหมดส่งลิ้นออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งจนเป็นขุย ในปากของผมมันขมไปหมด ความรู้สึกไม่สบายตัวทำให้ผมขมวดคิ้วบางสิ่งบางอย่างที่ยังคั่งค้างภายในร่างกายของผมมันไหลออกมาเปรอะโคนขาอ่อน ท้องน้อยของผมก็จุกเสียดไปหมด ผมไม่โอเคเลยสำหรับวันนี้โชคดีที่เป็นวันหยุดผมผ่อนลมหายใจนอนหลับตานิ่งๆอยู่ซักระยะก่อนจะลืมตาขึ้นมองไปตรงที่ว่างข้างตัว อีกแล้วกับเช้าที่ตื่นมาแล้วไม่เจอเขา ผมหยัดตัวขึ้นเพื่อไปอาบน้ำชำระคราบไคลที่หมักหมมบนตัวและจัดการกับบางสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ภายใน ที่นอนยับย่นมีคราบเลือดเปรอะอยู่ คงไหลตอนที่เขาแทรกกายเข้ามาในตัวผม ผมเดินเข้ามาในห้องน้ำหน้ากระจกตรงอ่างล้างหน้ามีแปรงสีฟันบีบยาสีฟันวางไว้ให้พร้อมแล้วถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรู้สึกดี รู้สึกดีที่เขาดูแลเอาใจใส่แต่ตอนนี้ความอบอุ่นนั้นมันเลือนหายไปแล้วความหนาวเหน็บจนเจ็บแสบที่ผิวไปถึงหัวใจมันมาแทนที่ ตามตัวของผมมีรอยคิสมาร์กเต็มไปหมด เขาชอบทำรอย...ชอบที่จะแสดงความเป็นเจ้าของด้วยรอยพวกนี้ผมใช้ปลายนิ้วลูบมันก่อนจะจิกเล็บลงบนผิวเนื้อพยายามเกาหวังจะให้มันหายไปใช้เล็บครูดจนเป็นแผลถลอก อีกแล้ว น้ำตาของผมไหลอีกแล้ว ผมอ่อนแอ อ่อนแอเกินไป หมอจิณณ์ที่เข้มแข็งถูกความรักทำลายจนกลายเป็นเพียงกวางน้อยที่อ่อนแอ กวางน้อยตัวนี้อ่อนแอเหลือเกินนายพรานใจร้ายใช้ธนูอาบยาพิษยิงเข้ามาปักที่กลางหัวใจ ตอนนี้ผมต้องการใครซักคนที่มารับฟังผม รับฟังว่าผมรู้สึกอย่างไร ผมจัดการอาบน้ำโดยไม่สนใจจะใช้เครื่องทำน้ำอุ่นแม้น้ำจากฝักบัวจะเย็นราวกับถูกเข็มนับล้านเล่มทิ่มตำแต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น จัดการเอาสิ่งที่คั่งค้างในตัวออกก่อนจะออกมาแต่งตัวแล้วออกมาข้างนอก กวาดตามองรอบห้องไม่มีใครอยู่แล้ว มีโน๊ตวางไว้บนโต๊ะเอาที่เขี่ยบุหรี่ทับไว้ใจความง่ายๆว่าเขาทำข้าวต้มไว้ให้ผมส่วนตัวเขาจะไปส่งหมอกกับอาทิตย์ เหลือบมองนาฬิกาเกือบบ่ายสามแล้วผมอ่อนแรงเกินกว่าจะอวดเก่งตอนนี้แม้แต่ต้มบะหมี่ผมก็ยังทำไม่ได้เลย ผมปวดหัว ผมเจ็บตัว ผมลากขาไปตักข้าวมานั่งกินเงียบๆ ข้าวคำน้ำตาคำอร่อยดีเนอะ ยังดีที่เค้ายังกรุณาทำอาหารทิ้งไว้ให้ผมกินกันตาย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างชั่งใจว่าควรโทรดีมั้ย ในที่สุดผมก็ตัดสินใจโทรออกหลังจากวางๆหยิบๆอยู่หลายครั้ง ผมต่อสาย รอสายเพียงไม่นานเลย “ฮัลโหลคุณแม่โทรมาคิดถึงลูกปัดล่ะสิ๊” ปลายสายเอ่ยทักด้วยน้ำสียงสดใสแต่กลับทำให้ความเข้มแข้งที่เหลืออยู่น้อยนิดของผมพังทลาย ผมกรอกเสียงกลับไปด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ลูกปัด..ลูกปัด...ฮืออออ” “หมอ...หมอคะ หมอเป็นอะไร!!!” “ลูกปัดช่วยหมอด้วย” ....................................................................... สวสารหมอจังเลยยยยยยยยยยยยยยยยย TT__________TT
:mew2: :mew2: :mew2:
ตัดเมฆน้อยให้เป็ดกินเล้ยยยย
หมอของเค้าไม่ควรมาเจอคนอย่างอิเมฆทำร้ายจิตใจ :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: ลูกปัดมาจัดการเลยยยยยยยยยยยยยยย เอาให้ไม่พิการก้อเลี้ยงไม่โตไปเลย :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
สถานการณ์แบบนี้ต้องเรียกลาบอส! แต่ขอพระเอกใหม่ด้วยจะดีมากค่ะ :ling1:
ชักจะน่าเบื่อซะแล้วสิ :bye2:
อีกแล้ววว เจ็บอีกแล้ว อ่อนแอและทนไปให้พอ จะรอว่าได้นานแค่ไหน เอาให้สุด!! โอเคละ หัวข้อเรื่องนี้คือ จิณณ์-เมฆ เพราะงั้นมันคงจบลงที่สองคนนี้ ไม่มีใหม่ งั้นคงต้องรอดูว่าเหตุผลจะมากน้อยเพียงไหน พอจะยอมรับได้ไหมกับสิ่งที่ทำมา ก็นะจิตใจคนเมื่อเคยขาดมันกะจะเว้าๆแหว่งๆยังคิดไม่ได้และหลงทางไปบ้างมากน้อยแล้วแต่ โอเคพยายามจะเข้าใจ มันก็ใช่ว่าจะคิดได้ทุกคนเสมอไป จะรอดูแล้วกันต่อจากนี้ แต่ใจจริงก็อยากให้ทุรนทุราย แทบกระอักเลือดตายเมื่อขาดเขาถึงจะสาสมกับสิ่งที่หมอจิณณ์เจอ โหดไปไหมวะกู 5555555 คือปกติถ้าแนวมีอุปสรรคไม่ว่า แต่ถ้าหมดpassionกันคือต้องเลิกเลยไงด้วยนิสัยส่วนตัว แต่ถ้าจะกลับมาต้องดูความสมเหตุสมผล จะยังอ่านต่ออยู่ รอดูว่าจะทำไงต่อจากนี้ ตอนก่อนคือหัวร้อนสุด ตอนนี้คือเริ่มทำใจละ ไม่อะไรละ บอกหมอปล่อยวางๆ แต่กูนี้ละเริ่มปล่อยวางละแม่ง หรอ????? 55555555 เพราะกลัวเดี๋ยวกลายเป็นหมาที่แท้ทรู บอกเขาเลิกๆอย่างเดียว 555555 //แต่งเก่ง แต่งซะอิน ดีแล้วค่ะดี ต้องแบบนี้แต่งให้คนอินในตัวละคร รอตอนหน้าเลยค่า
ลูกเป็ดขี้เหร่[:16:] “พ่อ” สาวน้อยลูกปัดเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในโรงยิมที่เอาไว้ให้นักมวยซ้อมมวยกันยังมีนักมวยอีกนับสิบคนรวมทั้งพี่ชายทั้งสี่อีกทั้งครูฝึกที่ส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น เทรนเนอร์กำลังสอนต่อมวยกับตัวกลั่นของค่ายอยู่ พ่อว่าไอ้นี่มันนักมวยเงินล้าน พ่อของลูกปัดยืนดูด้วยความพึงพอใจจนไม่ได้สนใจฟังเสียงลูกสาวคนเล็กที่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สีซีด “พ่อ” “เอซ!!” ตั่บ!!! “เฮ๊!!!” “พ่อ” เอซ!! ตุ่บ!! “เฮ๊!!!” “เออดีมากยังงั้น” “พ่อ” เอซ! ตั่บ!! “เฮ๊!!!” นี่รุ่งนครนอนตะแคงกวนตีนลูกปัดช่ายปร๊ะ?? ลูกปัดเท้าสะเอวฉับอย่างหงุดหงิดเมื่อทุกครั้งที่ตัวเองเรียกผู้เป็นพ่อนักมวยบนสังเวียนก็เตะอั่ก พร้อมทำเสียงเอซ เอซ ขัดจังหวะตามด้วยคำชมอย่างพึงพอใจของพ่อแทบจะทุกครั้ง “พ่อ” “หื๊อ” ได้ผลเมื่อคราวนี้พ่อได้ยินแต่ก็ไม่ได้ละสายตาออกจากเวทีแต่อย่างใด นี่ปัดกำลังโมโหนะ นี่พ่อจะไฝว้กับปัดช่ายปร๊า... โอเค เรียกให้หันมาฟังดีๆพ่อไม่สนใจงั้นปัดบอกตรงนี้ก็แล้วกัน “ปัดขอลางานนะ” “อะไรน๊า พูดดังๆสิเฮ้ย พ่อไม่ได้ยิน” พ่อ...นี่ปัดรีบนะ...ปัดรีบมาก “ปัดบอกว่าปัดลางานนะ” ลูกปัดตะโกนแข่งกับเสียงเชียร์มวย “ลางาน ลาไปไหน” พ่อได้ยินแว่วๆว่าลูกปัดขอลางาน พ่อได้ยินแล้วนะ “ไปกรุงเทพ” “ห๊า...อะไรน๊ะ ดังๆสิเฮ้ย...เอ้อ...มันต้องยังงั้นเตะก้านคอเลย” “ปัดขอลาไปกรุงเทพนะ” นี่ปัดเริ่มเจ็บคอแล้วนะ พ่อเข้าใจป่ะว่าปัดต้องถนอมเสียงไว้อ่ะถ้าเสียงแหบเป็นเป็ดปัดจะด่าคนไม่รู้เรื่อง “อะไรนะ... ไปนานมั้ย...” “ไปครึ่งปีนะจ๊ะ” ลูกปัดแกล้งพูดประโยคนี้เบาๆ เริ่มเห็นประโยชน์ของการมีคนเยอะๆ นี่ลูกปัดมาขออนุญาตพ่อแล้วนะจ๊ะ นะจ๊ะ พ่อด่าปัดตอนหลังไม่ได้แล้วนะจ๊ะ “เออจะไปเก็บดอกจำปีก็ไป จะไปไหนก็ไปเหอะแค่นี้ทำไมต้องมาลาด้วยวะไอ้ลูกคนนี้นี่" งั้นปัดโกอินเตอร์แล้วนะจ๊ะพ่อ ลูกปัดจะไปเผยแพร่ศิลปะมวยไทยที่พระนครนะจ๊ะ นะจ๊ะ สาวตัวเล็กเดินไปหยิบนวมที่แขวนไว้ตรงผนังลองใส่แล้วต่อยหมัดตัวเองเบาๆ นี่ปัดขึ้นมากนะ นี่ขึ้นสุดๆเลย พอวางสายจากหมอจิณณ์ปัดก็บึ่งมาหาพ่อเลย ตอนนี้เที่ยงแล้วไหนจะนั่งรถไปสนามบินอีก นี่โคตรไม่ทันใจ มีอย่างที่ไหนปัดออกเงินให้เมฆไปทำหน้าไปศัลยกรรมเปลี่ยนลูกเป็ดให้เป็นเทพบุตรไหงได้เหี้ยมาตัวหนึ่งล่ะ ปัดไม่ได้อยากให้เงินเมฆไปศัลยกรรมสันดานนะจ๊ะ แล้วทำไมเมฆเป็นคนแบบนี้ เมฆบังอาจทรยศความไว้ใจ ความเชื่อใจ ความศรัทธาในการเป็นคนดีโดนสันดานไม่อิงเบ้าหน้า เป็นความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ คอยดูนะเจอเมื่อไหร่แม่จะด่าให้ลืมชาติกำเนิดเชียว นี่ถ้าความโกรธช่วยทำให้ตัวสูงขึ้นตอนนี้ปัดคงสุงซัก190 แล้วนะ นี่แค่คิดว่าต้องสตาร์ทตัวเพื่อกระโดดตบปัดก็เหนื่อยแล้ว แต่ไม่เป็นไรจ่ะ ปัดสามารถอยู่แล้ว นี่ใคร?? ลูกปัดผู้ฆ่าเสือด้วยมือเปล่านะจ๊ะ มีดพร้าอีโต้ปืนไม่ต้องจ้าเก็บไปได้เลย ศิษย์เอกนุสรา ต้อมคำมาแล้วววว เมฆบังอาจทำเรื่องเลวร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยแบบนี้ได้ยังไง ว่าแอบเล่นชู้กับผู้จัดการส่วนตัวเลวแล้วการที่มาข่มขืนหมอจิณณ์ที่ปัดรักประดุจแม่(?) อีกคนนี่ถือเป็นความเลวระดับแพลตตินั่มนะจ๊ะ ไปกรุงเทพคราวนี้อาจมีศพคู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ... มีอย่างที่ไหนหมอจิณณ์คนแมนอิมพอร์ตจากเมกาน่ะนิสัยแมนขนาดนั้นยังต้องโทรมาร้องห่มร้องไห้ระบายความอัดอั้นให้ปัดฟัง หมอไม่กล้าโทรไปหาแม่ หมอไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง แต่ถ้าไม่ระบายออกมาหมอก็อึดอัด ปัดดีใจที่หมอเลือกจะเล่าให้ปัดฟัง ทั้งเหตุการณ์ต่างๆและความเจ็บช้ำที่มีอยู่ในใจ ปัดได้แต่บอกหมอว่าให้กินยาแล้วพักผ่อนซะไม่เกินเย็นนี้ปัดจะคัมแบคเสตจมีอุปกรณ์เชียร์คือนวมหนึ่งคู่ เอ๊ะ! หรือมือเพียวๆดี... “พี่เข้าบ้านสิ” สุดท้ายผมก็มานั่งเคาะพวงมาลัยรถอย่างชั่งใจหน้าบ้านอาทิตย์กับหมอกช่วยกันยกกีตาร์และอุปกรณ์ที่ซื้อมาทั้งหมดเข้าบ้าน อาทิตย์ขอตัวกลับไปก่อนหลังขนของที่ซื้อมาเสร็จแล้ว มันมีทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์เครื่องประดับสำหรับแม่ เสื้อผ้าอีกสองสามชุดแล้วก็พวกเครื่องดื่มบำรุงกำลังกับกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าเงินใบใหม่ของพ่อ หมอกมันโทรมาบอกแม่แล้วว่าผมจะมาส่ง ผมไม่รู้หรอกนะว่าแม่จะดีใจหรือเปล่า เหลือบมองช่อดอกไม้ช่อใหญ่ข้างๆตัวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถุงอาหารที่ซื้อเตรียมไว้ให้หมออยู่ท้ายรถ หมอกมันออกมาเคาะกระจกรถแล้วคะยั้นคะยออีกรอบ ผมตัดสินใจดับเครื่องใส่เบรกมือแล้วเปิดประตูออกไป ลมเย็นพัดมาให้สะท้านเล่น กะจะกลับไปกินข้าวเย็นกับหมอแต่พอเห็นแม่เดินมาหยุดยืนมองที่หน้าประตูแล้วความคิดนั้นก็หายไป ผมค่อยๆเดินเข้าบ้านราวกับต้องมนต์สะกดของแม่ แม่เงยหน้าขึ้นมองผมในดวงตามีน้ำใสๆคลออยู่มือเรียวเล็กยกขึ้นลูบหน้าผมแผ่วเบา “แม่ขอโทษนะเมฆ...” น้ำเสียงของแม่เครือจนใจผมกระตุกวูบ “ผมหิวแล้ว...แม่มีอะไรกินมั่งครับ” ผมไม่ต้องการฟังหรือรับรู้เรื่องเลวร้ายที่ผ่านมา...ผมตัดบทด้วยการบอกว่าหิว แม่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆแล้วเดินนำเข้าบ้าน บนโต๊ะอาหารมีกับข้าววางเรียงเต็มไปหมด ที่สำคัญหัวโต๊ะมีเค้านั่งอยู่แล้ว ผมชะงักไป...ยังจำวันนั้นได้ไม่รู้ลืมรสชาติของไม้กอล์ฟมันตรึงเข้าไปในสมองจนสลัดไม่ออกซะแล้ว “นั่งสิ...” “เดี๋ยวผมแยกไปกินในครัวก็ได้นะแม่” บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันทีหรือผมจะหันหลังกลับ ผมจะแยกไปกินในครัวจริงๆนะแต่แม่ก็จับแขนผมรั้งไว้ “กินด้วยกันนี่แหละเมฆจะแยกไปกินในครัวทำไม” “ถ้าแกยังโกรธเรื่องที่แล้วๆมาฉันก็ขอโทษนะเมฆ” ผมอาจจะเป็นคนโง่ใช่มั้ยครับที่พอแค่เค้าพูดคำว่าขอโทษออกมาผมก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆแม่ ครอบครัวที่ผมรอคอยมาสองปี...การกินข้าวร่วมโต๊ะกับคนในครอบครัวที่ผมใฝ่ฝัน...วันนี้ผมได้รับมันแล้ว แม่ตักอาหารให้ผมไม่ได้ขาด เราพูดคุยกันมากมายส่วนมากเป็นเรื่องที่ผมทำศัลยกรรม งานในวงการ สุดท้ายจบลงที่ผมกำลังรับผ้านวมผืนใหญ่จากมือแม่ที่หอบมาให้ผมในห้องเดิมของผม “เมฆ..” แมเรียกผมไว้หลังจากผมหันหลังจะเข้าห้อง “ครับ..” "แม่ไม่เคยไม่รักเมฆนะ แต่ที่ผ่านมาที่แม่สอนให้เมฆยอมน้อง ยอมพ่อ เพราะเราอาศัยเค้าอยู่ แม่อยากให้เมฆเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนอยากให้พ่อรักเมฆเอ็นดูเมฆ อีกอย่างที่แม่ปล่อยปละละเลยเมฆเพราะแม่เชื่อว่าเมฆสามารถเอาตัวรอดได้ไม่เหมือนน้อง เมฆเข้าใจแม่ใช่มั้ย” “ครับ..” ผมตอบสั้นๆไม่ได้หันไปมองแม่ ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของแม่อยู่ “แล้วก็...วันนั้นน่ะวันที่เมฆเอาเงินมาให้ ทำไมแม่จะจำลูกตัวเองไม่ได้ล่ะ ลูกแม่ทั้งคนนะ ลูกชายของแม่ แต่แม่เห็นว่าลูกมีทางไปที่ดีกว่าการกลับมาอยู่ในบ้านแม่ถึงต้องพูดแบบนั้นแม่ขอโทษนะ” ผู้หญิงเป็นเพศที่น่ากลัวนะครับโดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นแม่ เพราะเพียงแค่จบประโยคนั้นผมก็ทิ้งผ้าห่มแล้วรวบตัวแม่มากอดซะแล้ว ผมเข้าใจแล้วครับแม่ ผมเข้าใจแล้ว แม่ลูบแผ่นหลังของผมเบาๆไปมาปากก็พร่ำพูดคำที่ทำให้ผมน้ำตารื้น “ลูกชายของแม่...ลูกชายของแม่...ของแม่คนเดียว” ผมสะดุ้งตื่นเอาตอนเกือบตี 4 ห้องมืดมิดอาการไข้ไม่ทุเลาแต่ก็มึนหัวน้อยลงคงเป็นเพราะผมกินยาก่อนนอน กวาดตามองผ่านความมืดแล้วก็ได้แต่สมเพชตัวเอง ทำไมนะทั้งๆที่บอกกับตัวเองว่าจะเลิกคาดหวังเลิกรักเค้าแล้วแท้ๆแต่ทันทีที่ลืมตากลับกวาดตามองหาเขาก่อน ยังหวังลึกๆว่าจะเจอเค้านอนกอดผม ยังหวังอยู่ลึกๆว่าลืมตาตื่นขึ้นมาเขาจะนอนตะแคงจ้องหน้าผมอยู่ ยังหวังลึกๆว่าลืมตาตื่นขึ้นมาจะเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของเขา แต่จริงๆแล้วมีเพียงห้องที่ว่างเปล่า อีกครั้งที่ผมเผลอลูบลงบนผิวเตียงข้างกายทั้งๆที่ควรจะชินแล้วกับการไม่มีเขา แต่สิ่งที่ผมตัดสินใจยิ่งทำให้การตัดใจยากขึ้นเป็นล้านเท่า จริงอยู่ที่คนรักกันควรรับได้ทุกอย่างที่เขาเป็น แต่ผมรับกับมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไปของเขาไม่ได้จริงๆ ผมคงยึดติดมากเกินไปว่าคนเราจะไม่มีทางเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ผมอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไป อาจเป็นเพราะผมเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นพ่อแม่ของผมปลูกฝังแต่ทัศนคติที่ดีให้ผม ผมเกิดมาเป็นลูกชายคนเดียวแน่นอนครอบครัวของผมต้องคาดหวังกับตัวผมค่อนข้างมากโดยเฉพาะอาม่าของผม ผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของผมมากที่สุด อาม่าสั่งให้ไปซ้ายผมก็ต้องไปซ้ายโดยที่ห้ามแตกแถวเด็ดขาด ทุกคนมอบแต่สิ่งดีๆให้กับผม ผมเกิดมา 30 ปีกับสภาพแวดล้อมที่ดีครอบครัวที่อบอุ่น ผมไม่เคยขาดความรักเพราะฉะนั้นผมไม่รู้หรอกว่าอาการโหยหาความรักจนเกินความพอดีของเมฆมันคืออะไร ผมรู้แค่ว่าเขาเจ็บปวดกับสถาบันครอบครัว เขาเจ็บปวดกับการถูกดูถูกเหยียดหยาม เขาอ้างว้าง... ผมก็แค่...โอบกอดเขาไว้ให้แน่นที่สุด เนิ่นนานที่สุด แต่ตอนนี้ผมแค่คลายอ้อมกอดลงเพราะเขามีคนพร้อมจะโอบกอดเขามากมาย...ผมคนนี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป อากาศด้านนอกยังคงเย็นขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นหนึ่งในไม่กี่ปีที่กรุงเทพจะได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ ป่านนี้เขาจะไปนอนอุ่นอยู่ในอ้อมอกใครนะ ศิโรจน์... เร็นรุ่นน้องคนนั้น ดาราสาวๆสวยๆซักคน หรือหนุ่มน้อยหน้าใสเอวบางร่างเล็กกันนะ คนเรานี่ก็แปลกนะครับอะไรที่คิดแล้วทำให้ตัวเองไม่สบายใจก็ยิ่งคิด อะไรที่นึกภาพแล้วหัวใจเจ็บช้ำก็ยิ่งไปนึกถึงให้มันตอกย้ำลงมา ตอกลงมา...ตอกจนแทบกระอักเลือดออกมาเลย อีกไม่กี่ชั่วโมงลูกปัดถึงจะมา...ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ยที่ตัดสินใจโทรไปเล่าให้ลูกปัดฟัง ผมแค่อยากระบายให้ใครซักคนที่พร้อมจะเข้าใจเรา ผมแค่อยากมีใครซักคนคอยปลอบใจ ใครซักคนที่จะเข้าข้างผม... “หมออออออออ” ผมมองฝ่าฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่ในดอนเมืองดวงตามองต่ำลงจากระดับคนปกตินิดหนึ่ง ผู้หญิงตัวเล็กเดินราวหุ่นยนต์มาหา... ลูกปัดมันสะพายเป้ใบใหญ่ใบหนึ่ง ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ตัวเก่ง “คิดถึงงงง” ผมรับเป้จากไหล่ลูกปัดมันหนักอึ้งลูกปัดมันพยายามจะแย่งคืนผมถอดเสื้อวอร์มที่ผมใส่มาคลุมให้มันเพราะเสื้อมันบางเหลือเกิน “เสื้ออุ่นจัดเลยไข้ยังไม่ดีขึ้นเหรอคะ” “อือ...ดันตื่นมาตอนตี 3 กว่าแล้วก็นอนไม่หลับ จริงๆปัดไม่ต้องมาก็ได้นะเกรงใจไหนจะค่าตั๋วเครื่องบินอีกเดี๋ยวหมอคืนให้นะ” “เฮ้ยไม่เป็นไรหมอบ้านปัดรวยนี่ถ้าไอเป็นเพชรเป็นทองได้คงไอไปแล้ว” ผมหันไปค้อนให้กับลูกปัดไปซะทีหนึ่ง จ่ะ...แม่เศรษฐีค่ายมวย “แล้ว...” “เค้าหายไปตั้งแต่เมื่อวานแหละไม่ได้กลับมานอนที่ห้องคงไปค้างกับใครซักคน” “หมอ...ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวปัดจัดการเอง ตบก่อนเคลียร์ทีหลัง” ผมตั้งใจว่าจะรีบกลับคอนโดมาหาหมอตั้งแต่เช้าแต่ปรากฏว่าพอเดินลงมาข้างล่างแม่กับพ่อกำลังช่วยกันจัดโต๊ะอาหารอยู่ หมอกออกไปก่อนหน้าผมแล้วแม่บอกว่าหมอกจะไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนซึ่งก็คงเป็นอาทิตย์นั่นแหละ ตามประสาคนเห่อของใหม่อยากลองของ แม้ใจจะอยากปฏิเสธมื้อเช้าขนาดไหนแต่พอเห็นสายตามีความหวังของแม่มันก็เหมือนมนต์สะกดให้ผมค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้พลางยื่นมือไปรับชามข้าวต้มที่แม่ยื่นมาให้ เราทานข้าวกันไปเงียบๆ แอบมองนาฬิกาเป็นครั้งคราวอย่างกระวนกระวายใจ ป่านนี้หมอของผมจะหายไข้หรือยังนะ ทานข้าวที่เตรียมไว้ให้หรือเปล่า “หมอกนี่ออกนอกบ้านได้ทุกวันชักจะเหลวใหล” แม่เอ่ยปากบ่นเจ้าน้องชานตัวดีที่วันๆถ้าอยู่บ้านไม่เล่นเกมส์ นอน ก็นั่งดีดกีต้าร์ เขียนเพลงเล่นทั้งวัน “มันไปเล่นบ้านเพื่อนเห็นว่าแถวบ้านเพื่อนมีห้องซ้อม บ้านเรามันคับแคบแล้วคงไม่สะดวกที่จะพากันมาเล่นที่บ้าน” “แต่ออกไปทุกวันแบบนี้ก็น่าเป็นห่วง หมอกยิ่งชอบไปมีเรื่องอยู่ด้วย แล้วคุณดูหน้าลูกสิฟกช้ำดำเขียวมาแบบนั้นต้องไปก่อเรื่องก่อราวมาอีกแน่ๆ” “จะทำยังไงได้ล่ะ” “แม่ว่าพ่อเอาเงินที่เราเก็บไปซื้อบ้านใหม่เถอะ ส่วนที่ขาดก็ไปขอกู้ธนาคารเอา” “ไม่เอาล่ะไม่อยากเป็นหนี้เป็นสินตอนแก่กว่าจะผ่อนบ้านหมดแก่หง่อมกันพอดี” ผมนั่งฟังพ่อกับแม่พูดเรื่องบ้านกันอีกพักอย่างเงียบๆ นั่นสิ...ผมว่าบ้านเรามันเล็กไปแล้วจริงๆ ถ้ามันใหญ่กว่านี้ มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่านี้ มีห้องซ้อมดนตรีให้หมอก มีสนามหญ้าปลูกต้นไม้สวยๆให้แม่ก็คงจะดี ผมช่วยแม่เก็บโต๊ะหลังจากเรากินเสร็จพ่อแยกตัวกลับขึ้นไปข้างบนเปิดทีวีดูข่าวแม่ยังคงง่วนอยู่กับการล้างถ้วยล้างชาม ผมพยายามจะเข้าไปช่วยแล้วแต่แม่ก็ไล่ให้ออกมานั่งเล่น ผมกวาดตามองรอบบ้านหลังเล็กๆที่อยู่มาตั้งแต่หกขวบอย่างประเมินบางอย่างคร่าวๆในใจ ถ้าซื้อบ้านใหม่เงินในบัญชีของผมจะลดลงไปเยอะมั้ยนะ... ไม่สิ...มันจะพอมั้ยนะ?? ที่สุดก่อนที่จะถูกรั้งตัวให้กินอาหารเที่ยงผมก็ลาแม่กลับอ้างว่ามีธุระต้องทำต่อ ช่อดอกไม้ยังคงสดอยู่ผมหยิบมันจากแจกันใบใหญ่มุมห้องเปิดกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรที่มีอยู่ในนั้นทั้งหมดยื่นให้แม่ “เอาไว้ใช้นะครับซื้อเสื้อผ้าสวยๆของกินดีๆนะครับแล้วผมมีคิวว่างเมื่อไหร่จะมารับไปหาดูบ้านใหม่กัน” ผมพูดแค่นั้นก็เดินออกมาหยิบรองเท้าจากตู้ใส่รองเท้ามาใส่ แม่เดินเร็วๆตามผมมาดวงตาโตอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังตื่นเต้น “เมื่อกี๊เมฆพูดว่ายังไงนะแม่ฟังไม่ถนัด” “ผมว่าไว้ว่างๆจะมารับไปดูบ้านนะครับ ระหว่างนี้ผมจะให้พี่เดย์ผู้จัดการส่วนตัวของผมหาให้ไปพลางๆก่อน” “แต่เมฆ...ไม่ต้องก็ได้ลูก พ่อกับแม่ก็บ่นกันไปอย่างนั้นเอง” “ไม่เป็นไรหรอกครับผมคิดจะซื้ออยู่แล้วด้วยยังไงถ้าได้แบบบ้านผมจะส่งมาให้นะครับผมไปก่อนนะครับแม่” ผมขยับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกอดแม่ไปหนึ่งทีหอมซ้ายหอมขวาแล้วเตรียมเดินออกจากบ้าน จุ๊...จุ๊...จุ๊ ตั่บ... “เหี้ย!!” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจิ้งจกตัวหนึ่งอยู่ๆก็ร้องขึ้นมาแถมยังหล่นแหมะลงมาต่อหน้าต่อตา “จิ้งจกทักโบราณบอกว่าอย่าเพิ่งให้คนโดนทักออกจากบ้านไม่งั้นจะเกิดโชคร้าย” “ไร้สาระน่าแม่” “เขาเชื่อกันมาแบบนี้ลูกก็ฟังหน่อยนะ” ผมปฏิเสธข้อเสนอของแม่พลางบอกแม่ว่าให้ดูแลตัวเองบ้างแล้วก็ก้าวเท้าออกมาจากบ้าน จิ้งจกทัก...จะมีเคราะห์เหรอ ไร้สาระน่ะ แล้วนี่ตาขวาผมเป็นอะไรเนี่ยกระตุกยึกยักอยู่ได้... รู้สึกเช้านี้อะไรๆสำหรับผมดูจะติดขัดไปซะหมดก็พอออกจากบ้านแล้วหน้าซอยบ้านดันปิดถนนขุดท่อผมต้องกลับรถขับอ้อมไปอีกทาง ติดไฟแดงไปซะเกือบ 10 แยก คือเขียวอยู่หลัดๆพอผมจะผ่านเหลืองแล้วก็แดงซะอย่างนั้น แถมรถยังติดอีกเป็นชั่วโมงเพราะเกิดอุบัติเหตุรถชนกันตำรวจต้องเคลียร์ทางรถก็แน่น บังเอิ๊น....บังเอิญ ผมวนหาที่จอดรถในคอนโดแปลกที่วันนี้ลานจอดรถที่เห็นว่ากว้างขวางมาตลอดกับแน่นขนัดด้วยรถยนต์หลากสีกว่าจะหาได้นี่เล่นเอาหงุดหงิด หยิบช่อดอกไม้ที่คอเริ่มตกเล็กน้อยกับถุงอาหารที่แวะซื้อมาใหม่มีกล่องเสื้อกันหนาวที่เลือกมาให้หมอจิณณ์ด้วยเฉพาะมาถือไว้ ที่ลืมไม่ได้คือกล่องบุกำมะหยี่เล็กๆข้างในบรรจุแหวนเกลี้ยงๆวงหนึ่งแต่เป็นแหวนทองคำขาวแบบเดียวกับที่ผมห้อยคอไว้((ถ้าไม่ได้ไปถ่ายซีรี่ส์หรือถ่ายรายการอะไรผมก็เอามาสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายไว้ในบางครั้ง)) ล็อกรถแล้วก็เดินเข้าตัวตึก พยายามคิดคำง้อที่ดูจะไม่ทำให้หมออารมณ์เสียตรงไปที่ลิฟท์ “ขอโทษครับลิฟท์เสียครับ” “ห๊ะ??” “เมื่อเช้ามันค้างครับตอนนี้ช่างกำลังเช็คดูอยู่รบกวนใช้บันไดนะครับ” ครับ...วันนี้วันดีเป็นศรีวัน พระสุริยันเรืองรองผ่องศรี... ลิ้นห้อยครับ... ณ จุดนี้ ห้องหมออยู่ชั้น 7 Rrrrrr… เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้นเมื่อล้วงดูด้วยความทุลักทุเลาก็ต้องกรอกตาทำหน้าเบื่อ พี่เดย์โทรมา คือตอนนี้เป็นช่วงพักผ่อนของผมละครถ่ายจบแล้วผมจึงขอเวลาเที่ยวเล่นเดือนหนึ่งเพื่อจะมาง้อหมอ แล้วนี่อะไรโทรมาแบบนี้จะยัดงานป้อนงานแทรกตารางให้ผมอีกเหรอ ถึงไม่อยากรับสายแต่สุดท้าย “ครับ” “อยู่ไหน” “ห้องหมอครับ” “อืม...แค่นี้แหละ” แค่นี้แหล่ะจริงๆนะครับ พี่เดย์พูดแค่นั้นแล้วก็ตัดสายไป รอบนี้มาแปลกแฮะไม่เซ้าซี้...ปกติจะต้องบ่นนั่นบ่นนี่ยาวยืดจนผมต้องแกล้งทำสายหลุดไปก็หลายหน ผมค่อยๆเดินขึ้นบันไดทางหนีไฟ รู้สึกอยากตบตัวเองที่หอบซื้อของมาซะเยอะใช้เวลาเกือบ 15 นาทีก็มายืนหอบแฮ่กอยู่หน้าห้อง ควานหากุญแจสำรองแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ ลืมไว้ในรถ... ตัดสินใจเคาะประตู เงี่ยหูฟังเสียงขลุกขลักในห้องแสดงว่าหมอไม่ได้ไปไหน สูดหายใจลึกๆเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง ก็พอจะรู้ตัวแหละว่าทำไม่ดีไว้กับหมอ ก็ผมอยากทำๆกันนะกับหมอนี่ครับเลยคุมสติตัวเองไม่อยู่ พยายามลองยิ้มว่ายิ้มแบบไหนหมอจะใจอ่อน ยกมือขึ้นอังปากพ่นลมหายใจเพื่อเทสกลิ่นปาก อ๊า...ชุ่มคอ...ชื่นใจ...เหมือนยืนอยู่ในน้ำตก... กริ๊ก...เสียงล็อกในห้องถูกปลดก่อนประตูจะเปิด ผมรีบฉีกยิ้มเต็มที่แต่!!! หวา.....ต้นคอของผมถูกกระชากอย่างแรงจนผมหน้าทิ่มเข้ามาในห้องของที่ถือมาหล่นระนาว อั่ก!!! แอ่ก!!! จุกครับ ณ จุดนี้ ว็อท แฮ๊พเพ่น???? เกิดอะไรขึ้น....ผมนั่งจุกได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกดึงคอเสื้อให้ยืนขึ้นก่อนหมัดขวาของใครซักคนจะอัดเข้ามาเต็มๆท้องของผม หรือจะมีโจรบุกเข้ามาฆ่าข่มขืนหมอของผมคิดได้ดังนั้นผมเลยเหวี่ยงแขนออกไปมั่วๆแต่ก็โดนปัดหมัดทิ้งจากนั้นผมก็ร่วงไปอยู่กับพื้นอีกรอบเพราะหมัดลุ่นๆเสยปลายคางของผมจนหน้าชาร้าวไปทั้งแถบ “โอ้ย” “หมัดนี้ให้กับการทรยศความเชื่อใจของหมอ” เสียงใครวะ คุ้นๆ ผมสะบัดหน้าไล่ความมึนงก่อนจะลุกขึ้นยืนเซๆพยายามตั้งสติแต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะพอลุกก็เจอมอญยันหลักเข้าให้จนกระเด็นหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นอีกรอบ “ไอ้ปัด” “เออ กูเอง” ผมไอแห้งๆออกมาความจุกเจ็บจนบรรยายไม่ถูก มันเรื่องอะไรกันที่ไอ้เพื่อนตัวเล็กของผม ที่ตอนนี้ควรจะนั่งนับกระสอบข้าวในโรงสีมาโผล่ในห้องเมียผม แล้วดูมันสิ ใส่นวมสีแดง คิดว่าเป็นใคร?? ลูกศิษย์บัวขาวเหรอ ผมไม่ทันคิดอะไรได้มากไอ้ตัวเล็กมันก็ปรี่เข้าหาผม... ผมมองหาตัวช่วยรีบกระเสือกกระสนไปที่โซฟาคว้าหมอนอิงใบใหญ่มาป้องกันหมัดเท้าเข่าศอกที่ประเคนเข้ามาไม่ขาดสาย เอ็งเป็นวัวบ้าหรือไง จ๊ากกกกกกก “หมอ...หมอครับหมอช่วยผมด้วย” ผมวิ่งไปรอบห้องพลางร้องเรียกตัวช่วยไอ้ลูกปัดมันถอดนวมเขวี้ยงใส่หัวผมเสียงดังปั่กก่อนใช้นิ้วเล็กๆชี้หน้าผมตามันขวางราวกับโด๊ปยาเกินขนาด “มึงยังมีหน้าเรียกให้เขามาช่วยมึงอีกเหรอไอ้เมฆ เสียแรงนะที่กูออกเงินให้มึงไปทำหน้า มึงทรยศความศรัทธาความเชื่อใจที่กูมีต่อมึงแบบนี้ได้ยังไง มึงทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจหมอที่รับมึงมาอยู่ด้วย รักมึงดูแลมึงเอาใจใส่มึงแบบนี้ได้ยังไง คนไทยน่ะถือคติอย่างหนึ่งมึงรู้มั้ย...เขาถือว่าแค่ข้าวจานเดียวก็มีบุญคุณใครลืมคุณคนนั้นมันคือคนเนรคุณ แล้วนี่นอกจากมึงจะเนรคุณแล้วมึงยังเลว มักมากในกาม ความรักที่มึงชอบพูดว่าไม่เคยได้น่ะ ตอนนี้มึงก็ได้แล้วไงยังจะเอาอะไรอีกรู้ตัวมั่งหรือเปล่าว่ามึงมันกลายเป็นบ่อทรายไปแล้วถมเท่าไหร่เติมเท่าไหร่ก็ซึมหายไปหมด ได้จนไม่รู้จะได้ยังไงทำไมยังไม่พอใจ มีหน้ามาเรียกขอให้หมอช่วยมึงกำลังจะเสียเขาไปแล้วไอ้ควายรู้ไว้ด้วย แหมพูดแล้วขึ้น นั่นจะไปไหน” ผมที่พุ่งตัวจะเข้าไปในห้องนอนถูกสกัดด้วยการดึงปลายเท้าไว้แล้วแข้งเล็กๆแต่น้ำหนักไม่เบาก็ฟาดตั่บลงมาบนต้นขา เสียงไอ้ลูกปัดขานท่าดังแว่วๆ “เถรกวาดลาน!!” ฉันรู้แล้วว่าแกเป็นลูกสาวเจ้าของค่ายมวย...แต่นี่ห้องหมอนะไม่ใช่สังเวียนแล้วฉันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแกนะ คือจริงๆผมก็สู้ได้แหละแต่คือลูกปัดมันเป็นผู้หญิงผมทำร้ายผู้หญิงไม่ลง ร้าวตั้งแต่ปลาขาถึงโคนไข่ เจ็บจนต้องทรุดตัวลงไปกองกับพื้นอีกรอบ ฉันไปทำอะไรให้แก๊ ลูกปัดใจร้าย... “ทำไมทำแบบนี้ฮะเมฆ ฉันสู้ยอมแลกอิสระของฉันเพื่อให้แกได้มีชีวิตใหม่ แล้วทำไมแกถึงเปลี่ยนไป” มันพูดไปเสียงก็สั่นขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของมันวาวด้วยน้ำใสที่ปริ่มๆขอบตา “ฉันเปลี่ยนไปตรงไหน ฉันก็เป็นคนเดิม เพียงแต่ว่าฉันแค่ขอเวลาสนุกนิดหน่อยทำไมหมอไม่เข้าใจฉันล่ะ อ๋อ นี่คงโทรไปฟ้องกันสินะ หมอ..หมออยู่ไหน ทำไมไม่ออกมาดูล่ะว่าผัวตัวเองโดนทำร้ายขนาดไหน แกก็เหมือนกันลูกปัดเงินของแกฉันก็คืนไปหมดแล้วนะแกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำแบบนี้กับฉัน อีกอย่างหมอเขายังไม่ห้ามไม่ว่าอะไรฉันเลยแล้วแกมายุ่งทำไม” ณ จุดนี้ปัดปรี๊ดมากนะจ๊ะ นะจ๊ะ ดูมันพูดออกมาสิที่ปัดพูดไปตั้งยืดยาวเมฆไม่ได้สำนึกเลยใช่มั้ยจ๊ะ คือคำพูดของปัดมันเจาะกะโหลกหนาๆไม่เข้าหรือเมฆเลวเกินเยียวยาแล้วจ๊ะ กว่าจะกล่อมให้หมอยอมนั่งอยู่ในห้องนอนไม่ให้ออกมาได้ก็ตั้งนาน ขอเวลาหมอ 15 นาทีในการสั่งสอนเพราะปัดคิดว่าเมฆยังหลงเหลือสามัญสำนึกอยู่บ้างแต่เปล่าเลย ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มันครอบงำเมฆหมดแล้วใช่มั้ย ปัดเสียใจเกิดมาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาน้ำตาคลอกับเพื่อน เมฆเห็นปัดนิ่งไปก็กดยิ้มกวนบาทามาให้ปัด เมฆคงคิดว่ามันจบแล้วล่ะสินะ เมฆก้าวเท้าเบี่ยงทิศไปที่ประตูห้องนอนอีกแล้ว อย่าหมายนะจ๊ะ นะจ๊ะ ต่อไปนี้ห้องหมอคือเขตหวงห้ามสำหรับลูกเป็ดใจทราม ปัดรีบใส่เกียร์หมาเข้าหาเมฆดึงมือเมฆไว้ ไม่ใช่ฉากในเอ็มวีนะจ๊ะ อะไรแบบนั้นมันหมดไปแล้วปัดก็แค่ดึงมือเมฆไว้พอเมฆหันมาปัดก็แค่ถอยหลังให้ได้จังหวะ จากนั้นก็ “ย๊ากกกกกกกกกกกก” ผลั่ว!! แอ๊ด!! ผลั่ก!! “เมฆ///เมฆ!!” สองสียงประสานกันในจังหวะที่ปัดกำลังขานท่า “บาทาลูบพักตร์!!” จ้า...ปัดถีบขึ้นไปเต็มๆคางเมฆเลยจ้า เมฆกรอกตาไปมาก่อนจะทำตาลอยๆแล้วร่วงลงสลบกับพื้นห้องราวนกปีกหักพร้อมๆกับประตูห้องนอนกับประตูห้องของหมอถูกเปิดออก ในห้องนอนหมอจิณณ์อ้าปากค้างก่อนจะพุ่งมาช้อนหัวเมฆประคองกอดไว้แนบอก ส่วนหน้าประตูศิโรจน์ในสภาพคล้องเผือกอ่อนไว้ที่แขนข้างขวามองภาพในห้องก่อนจะตวัดตาดุใส่ปัด “อีทอมบ้าแกทำอะไรเมฆ” “เล่นตี่จับมั้ง มาก็ดีนะคุณผู้จัดการ” ปัดย่างสามขุมเข้าหาเดย์นะจ๊ะ เสียดายหน้านี้หน้าหนาวทุเรียนไม่มี... แต่ไม่ต้องก็ได้จ้าปัดสามารถอยู่แล้ว...เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นานร่างของเดย์ก็กระเด็นไปนอนหลับพริ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับไอ้เพื่อนเลว…อย่างศิโรจน์นี่ต้องจัดคอมโบ้เซตชุดใหญ่แถมสลัดนะจ๊ะ แต่ที่แปลกกว่าที่อื่นคือน้ำสลัดที่เสิร์ฟให้มันเป็นสีแดงเกิดมาจากส่วนผสมของเลือดจากปากล้วนๆจ้า หมอจิณณ์เม้มปากจ้องสลับระหว่างเมฆกับเดย์ก่อนจะวางเมฆลงบนพรมห้องแล้วหายเข้าไปในห้องนอนก่อนจะกลับออกมาพร้อมกระเป๋าเงินและกุญแจรถ “คือ...พาเค้าไปโรงพยาบาลเถอะ” นี่สินะ...ที่เขาบอกกันว่าถึงเลวก็รักนะจะเป็นยังไงก็รักนะ หมอประคองเมฆอย่างทุลักทุเลในขณะที่ปัดลากศิโรจน์ออกมานอกห้อง “เดี๋ยวหมอ...ลิฟท์เสียนิ๊” “ป่านนี้เสร็จแล้วมั้งก็รายนั้นขึ้นมาไม่มีเหงื่อซักหยด” “หมอ...ขอโทษนะที่ทำรุนแรงแต่ได้ยินแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ” “หมอคงว่าอะไรไม่ได้หรอกแต่ลูกปัดจัดเซตสุดท้ายซะเน้นๆไม่รู้คางที่ทำไว้จะกระทบกระเทือนหรือเปล่า” นี่สินะ.... ก็คนมันรักน่ะสินะ เค้าทำให้เจ็บช้ำน้ำใจก็ยังอุตส่าห์เป็นห่วงเค้า โถ...หมอของปัด เห็นแบบนี้แล้วอยากจัดคอมโบ้เซตใส่อิสองตัวที่ยังสลบอีกซักรอบ พูดแล้วของขึ้น ปัดเลยปล่อยนังเดย์ให้ร่วงลงพื้นแม่งเลย “อุ๊ย...ขุ่นพร๊ะ!!!...หลุดมือ...ขอโทษค่ะ” เกิดมาไม่เคยทำหน้าตาและน้ำเสียงตอแหลแบบนี้มาก่อน วันนี้เป็นครั้งแรก....รางวัลออสการ์ต้องเป็นของลูกปัดมือตบลุ่มแม่น้ำปิงชัวร์ ............................ ใกล้จบแล้ว อย่ารำคาญกันเลยนะเธอจ๋า
รำคาญผู้จัดการอ่ะ มีสิทธิไรมาห้องหมอ เกลียดดดดดดดดดดดดดดด :z6:
น้ำคำขอวพ่อเลี้ยงกับแม่ ฟังดูตอแหลมากๆเลย
ในที่สุดดดด คิดถึงปัดมากเอาจริง มันต้องโดนหน่อยแล้วล่ะเลวขนาดนี้ :katai4:
เกลียดพ่อแม่อิเมฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆ เกลียดมากกกกกกกกก ดูหลอกลวงอะ เกริ่นทำไมเรื่องบ้าน หนอยยยยยยยย อิเมฆ แกต้องไม่โง่นะ บุญคุณเลือกตอบแทนได้ ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยเงินเสมอไป ลูกปัดเอาพวกมันให้พิการไปเลยนะ ทั้งอิเมฆและอิผจกแรดเรียกพ่อ ไม่อยากให้หมอคู่กะคนแบบนี้เลย หมอคนดีของเค้าาาาาาาา
ลูกเป็ดขี้เหร่[:17:] เจ็บ...ผมขยับตัวก่อนจะร้องออกมาเบาๆเมื่อความเจ็บร้าวจากซี่โครงแล่นเข้าประสาท ผมไปโดนอะไรมานะ พยายามคิด คิด แล้วก็คิด.. “ฟื้นแล้วๆ” เสียงใสคุ้นหูดังอยู่ใกล้ๆผมลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าหวานพร้อมดวงตาใสแป๋วราวกับลูกกวางน้อยน่ารัก กวางน้อยของผม... “หมอปัดออกไปรอข้างนอกนะคะมีอะไรก็เรียกนะปัดพร้อมรบตลอด 24 ชม.” ไอ้ปัดมันไม่มองหน้าผมเลยซักนิดมันว่าจบก็เดินออกจากประตูไปเลย “หมอ...ผมเจ็บจังเลย” ผมคว้ามือหมอมาแนบแก้มแล้วพูดอ้อนๆใส่ นาทีนี้ขออ้อนเมียไว้ก่อนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยเคลียร์กัน จำได้แล้วว่าโดนอะไรมา ตีนไอ้ลูกปัดเต็มๆเน้นๆ หมอกัดปากพลางดึงมือออกแต่มีเหรอที่ผมจะยอมผมยังยึดมือหมอไว้แน่น ผมไม่ยอมปล่อยให้หมอปล่อยมือจากผมไปแน่ ผมจะไม่ยอมเสียอะไรไปทั้งนั้น “หมอครับผมขอโทษ” ผมส่งสายตาเศร้าไปให้หมอหลุบตามองผมพลางเม้มปากแน่นเข้าไปอีก ดวงตาไหวระริกนั่นแทบทำให้ผมเกือบจะลุกขึ้นไปกดจูบซับน้ำตาเสียแต่ว่าผมยังเจ็บซี่โครงอยู่ “...” ไม่มีคำพูดอะไรออกปากปากที่ยังเม้มสนิทจนเป็นสีซีดนั้นผมเลื่อนมือหมอออกจากแก้มก่อนจะพรมจูบลงบนเรียวนิ้วทีละนิ้วช้าๆ “ผมขอโทษ” จุ๊บ... “ผมขอโทษ” จุ๊บ... “ผมขอโทษนะครับหมอ” จุ๊บ... “ผม...” “พอเถอะ..” หมอชักมือออกโชคดีที่ผมไวกว่าถึงแม้การเคลื่อนไหวของผมจะทำให้เจ็บซี่โครงมากขึ้นไปอีกแต่ผมก็ไวพอที่จะดึงมือหมอให้หมอหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “นายจะขอโทษหมอเรื่่องอะไรมั่งล่ะ” ในเมื่อดึงยังไงก็ดึงไม่ออกหมอจึงปล่อยมือของตัวเองไว้ในอุ้งมือของผมนิ่งแล้วถามผมด้วยน้ำเสียงเย็นชา เย็นชาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทุกๆเรื่องเลย หมอรู้มั้ยครับเมื่อวานซืนผมหายไปไหนมา...ผมพาน้องไปซื้อกีต้าร์มาแล้วเลยแวะไปบ้าน ตอนนี้ผมปรับความเข้าใจกับพ่อแม่แล้วนะครับผมได้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับพ่อแม่แล้วก็น้องแบบที่ผมฝันแล้วนะครับหมอดีใจกับผมหรือเปล่า ไว้ว่างๆเราไปบ้านของผมกันนะครับผมจะแนะนำให้ครอบครัวของผมรู้จักกับหมอ” “ไม่ต้องหรอกพ่อแม่นายน่ะหมอเจอท่านแล้ว ระหว่างที่นายสลบหมอบอกหมอกให้มาเฝ้านายหมอกเลยพาพ่อกับแม่มาด้วย ตอนนี้นายก็ได้ในสิ่งที่ฝันมานานแล้ว ทั้งเรื่องครอบครัว หน้าที่การงาน นายมีคนที่รักนายอยู่เต็มไปหมดแล้วเพราะฉะนั้น..” อีกครั้งที่หมอค่อยๆดึงมือของตัวเองออก “เลิกดึงรั้งฉันไว้กับความเห็นกับตัวของนายซักที” ผมดึงมือของผมออกจากเมฆอย่างเร็วตัดสินใจเอ่ยคำว่าเลิกกันทั้งที่น้ำตากำลังจะไหล มันเจ็บ เจ็บเหมือนโดนน้ำกรดกัดลงมาในหัวใจของผม เคยสงสัยเหมือนกันว่าในชีวิตเราน่ะจะสามารถรักใครจนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกบ้างมั้ย ถ้ารักมากแล้วต้องเลิกกันมันจะขาดใจตายเหมือนในซีรี่ส์กับเพลงที่ได้ดูบ่อยๆมั้ย? ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอาการเหมือนใจจะขาดตายซะตั้งแต่คำว่าเลิกกันยังไม่หลุดออกจากปากเลยด้วยซ้ำ ผมหันหลังจะเดินหนีเค้าและทันทีก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากด้านหลังพร้อมๆกับแรงกอดรัดที่เอวของผม ไหล่ของผมก็ถูกกดจากปลายคางและถูกพรมจูบด้วยริมฝีปากอุ่นของเขา เขาไม่สนใจเลยว่าเข็มที่แทงน้ำเกลือไว้จะทำให้เลือดของเขาไหลจนเปรอะเสื้อผ้า ผมกุมข้อมือของเขาไว้ด้วยความเป็นห่วงแต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยทำเพียงจับไว้นิ่ง ผมจะใจอ่อนไม่ได้เพราะถ้าผมใจอ่อนเราก็จะกลับไปอยู่วังวนเดิมๆอีก ผมไม่อยากร้องไห้เหมือนสาวน้อยอกหักอีกแล้วถึงแม้ว่าผมจะเป็นเมียเค้าแต่ผมก็แมนพอ “อย่าไปเลยครับหมอ ได้โปรดอย่าทิ้งผมไป ผมต้องการหมอนะครับ ผมขอโทษ ผมขอโทษกับสิ่งที่ผมทำลงไปยกโทษให้ผมด้วยนะครับหมอ อย่าทิ้งผม” “จะรั้งผมไว้ทำไม ตอนนี้คุณก็ได้ครบแล้วไงคุณเมฆ คุณจะเอาอะไรกับผมอีก” ผมตัดสินใจใช้คำพูดเย็นชากับเขา มือของผมก็แกะมือเขาออกจากเอวผมแต่มันก็เหมือนปมนั่นแหละ ยิ่งแกะยิ่งพันกันยุ่งเหยิงผมแกะเขารั้ง จะรั้งผมไว้ทำไม.. ต้องการความรักงั้นเหรอ ก็ได้แล้วไง ได้จนล้นแล้ว แก้วใบที่เติมน้ำของเขามันล้นจนผมไม่สามารถจะเติมอะไรเข้าไปได้อีกแล้ว “พอเถอะ...ปล่อยผมไปเถอะ” ที่สุดผมก็ห้ามไอ้น้ำตาไม่รักดีไว้ไม่ได้ ผมแพ้มันปล่อยให้มันไหลออกมาแต่แทนที่เค้าจะปล่อยเค้ากับยิ่งกอดผมแน่นขึ้นไปอีก ตอนนี้เมฆไม่ต่างอะไรกับเด็กชายตัวเล็กๆที่กำลังหวงของเลยซักนิด แม้จะมีของเล่นใหม่เข้ามาแต่ของเล่นเก่าที่ดำคล้ำและผุพังอย่างผมเขาก็ไม่ยอมทิ้ง สองมือของเขาเล่นเพลินกับของเล่นใหม่แต่กลับใช้เท้าเหยียบผมไว้กันหมาหรือคนเก็บขยะมาคาบมากวาดทิ้ง ไร้ค่าแล้วแต่ก็ยังจะหวง ปล่อยผมไปตามทางซักที “อย่าไป” ปล่อยผมเถอะ “ได้โปรด” ช่วยปล่อยผม “อย่าทิ้งผมไป” จะรั้งผมไว้ทำไม “ผมรักหมอ” คำพูดหลอกลวง “รักหมอที่สุด” จริงเหรอ…ผมกำลังจะใจอ่อนอีกแล้วสินะ มือที่พยายามแกะมือของเขาหยุดลง หันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาสับสน ผมกำลังสับสนตัวเอง ผมกำลังพ่ายแพ้หัวใจตัวเองอีกแล้ว สายตาที่เขามองผม ริมฝีปากที่พรมจูบลงมาบนหน้าและริมฝีปากของผมทำให้หัวใจที่คิดว่าเข้มแข็งกำลังละลายเหมือนเทียนที่ถูกจุดด้วยคำว่ารักของเขา “คนอื่นผมแค่เล่นๆเองนะครับ” “ปล่อยซักที พอซักที จะไปตายที่ไหนก็ไป” ผมผลักเขาออกเหมือนคนที่กำลังควักหัวใจตัวเองโยนลงพื้น พอซักที...เจ็บพอแล้ว ผมวิ่งหนีออกจากห้องผ่านลูกปัดที่ลุกพรวดทันที เสียงเค้าเรียกตามหลังแต่ผมไม่ได้สนใจจะหยุด พอแล้ว...เราเล่นสนุกกับความรู้สึกของตัวเองมาพอแล้ว ความรักของเราก็เหมือนว่าว เมื่อมันติดลมบนแล้วผมก็ไม่จำเป็นต้องบังคับสายป่านอีกต่อไป ปล่อยให้มันติดลมบนแล้วต่างคนต่างอยู่ให้เป็นที่เป็นทางซะเถอะ ผมวิ่งหนีเขา...ร่างกายของเราห่างกันเรื่อยๆ ผมทิ้งหัวใจของผมไปแล้ว...ผมทิ้งครึ่งหนึ่งของชีวิตของผมไปกับเขาแล้ว ทิ้งลงแทบเท้าของเขาให้เขาขยี้เล่น พอทีเถอะนะจิณณ์ต่อไปนี้อย่าร้องไห้อีก เข้าใจมั้ยไอ้น้ำตาบ้า ไหลแค่วันนี้นะแล้วพรุ่งนี้อย่าออกมาเยี่ยมกันอีกล่ะ ขอผมอ่อนแอแค่วันนี้วันสุดท้ายแล้วพรุ่งนี้ผม.... ผม.... ผม... “ฮือออออออออออ” ผมทรุดตัวลงบนบันไดหนีไฟแล้วรูดตัวลงกับผนังเย็นเชียวซบหน้าลงบนเข่าของตัวเอง ร้องไห้ออกมาอย่างเหลือกลั้น ไม่เป็นไรนะ ถึงไม่มีใครเช็ดน้ำตาให้นายเหมือนคราวที่อกหักคราวนั้นแต่นายยังมีหัวเข่าและแขนเสื้อของตัวเองนะ ไม่เป็นไร...จิณณ์เก่งอยู่แล้ว ฮึก...เก่งอยู่แล้ว...ฮือ...เก่ง...ฮึก...ที่สุด ปัดได้แต่ถอนหายใจเมื่อหมอเปิดประตูออกมาหน้าหมอแดงก่ำตาของหมอก็ร่ำๆจะมีน้ำตาไหลออกมาอยู่รอมร่อ สีหน้าของหมอไม่ดีเลยหมอเดินเร็วๆจนกลายเป็นวิ่งไปที่บันไดหนีไฟ ปัดขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินเปิดประตูเข้าไปในห้อง บนพื้นมีหยดเลือด บนเตียงมีร่างสูงของเมฆนั่งคอตกหูตูบอยู่ เลือดไหลออกจากหลังมือของมันเพราะเข็มน้ำเกลือที่แทงไว้หลุด จริงๆควรเอาเลือดชั่วในหัวมันออกด้วยนะจ๊ะ นะจ๊ะ ปัดเดินเข้าไปใกล้ๆมัน เมฆมันเงยหน้ามองปัดตามันแดงก่ำ สภาพสีหน้าและแววตาไม่ต่างจากคนที่เพิ่งวิ่งลับหายไปเลยซักนิด ต่างคนต่างรักต่างคนต่างเจ็บ ผิดที่ว่าเพื่อนของปัดมันเปลี่ยนไป ทำไมจะไม่ได้ยินล่ะสิ่งที่มันพูดกับหมอน่ะ “คนอื่นแค่เล่นๆงั้นเหรอวะเมฆ...แกเห็นคนอื่นเป็นเรื่องเล่นๆแต่หมอเขาจริงจังนะเฮ้ย เค้ารักแกแบบไม่เผื่อใจไว้รักใครแล้วแล้วทำไมแกทำยังงี้วะ” ปัดว่ามันด้วยสีหน้านิ่งๆ เดินไปที่โต๊ะเมโยที่วางสำรับอาหารไว้ มือหยิบถาดขึ้นมาตีนก็เหยียบถังขยะให้มันเปิดออกแล้วค่อยๆเทอาหารเหล่านั้นลงถังขยะไป “อย่าแดกมันเลยข้าวอ่ะ โง่แบบนี้แดกนี่ก็แล้วกัน” ปัดวางถาดอาหารลงที่เดิมก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้แล้วเขวี้ยงของที่เตรียมมาใส่หน้ามัน “พอกันทีไอ้เพื่อนเฮงซวยเลือกเอาแล้วกันว่าจะกินอะไรระหว่างหญ้ากับฟางข้าว คนเหี้ยอะไรข้าวเขามีไว้ให้กินเม็ดมึงกลับแดกแดกฟาง.....ไอ้ควาย!!!” สามอาทิตย์แล้วที่ผมใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไปทำงาน ดูบอลตามลานเบียร์ ออกไปหาอะไรอร่อยๆกินกับลูกปัด บางครั้งก็มีไอ้เด็กโย่งมากวนตีนทั้งที่โรงพยาบาลกับที่คอนโด ทำไปทำมา ผม ลูกปัด หมอก และอาทิตย์ ก็กลายเป็นกลุ่มที่หัวหกก้นขวิดไปด้วยกันซะงั้น สามคนนี้ผลัดกันแวะเวียนมาทำให้ชีวิตของผมไม่เงียบจนเกินไป สัปดาห์แรกๆเมฆยังคงแวะเวียนมาทำให้หัวใจของผมสั่นไหว แต่ผมก็เลือกที่จะไม่เปิดประตูรับเค้าเข้ามา เปลี่ยนรหัสเข้าห้องใหม่ เอาของๆเขาฝากลูกปัดไปคืน รูปทุกบานของเขาถูกเก็บใส่ลังแล้วซุกเข้าใต้เตียง ผมเข้มแข็ง ผมร้องไห้ในช่วงสัปดาห์แรกทุกคืน แทบจะตลอดเวลาที่อยู่คนเดียวเลยก็ว่าได้แต่สุดท้ายแล้วผมก็ปาดน้ำตาทิ้งแล้วเชิดหน้าขึ้น คนเราจะมัวมาอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ชีวิตเราต้องเดินต่อไป ผมจะเชิดหน้าจะสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ผมจะต้องอยู่ได้เหมือนเมื่อก่อน อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว อยู่ได้โดยไม่ต้องมีเขา แต่มันก็ยากเหลือเกินที่ผมจะลืมเขาเพราะไม่ว่าไปทางไหนก็จะพบกับโฆษณาของเขาในทีวี ข่าวของเขาในหนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ตามทางด่วนหรือแม้แต่ตึกใหญ่ๆก็มีแต่รูปเขาเต็มไปหมด ไอ้โอปปาติกะ... ผมละสายตาจากป้ายโฆษณาหันมาสนใจท้องถนน ไอ้ดำ... ไอ้อ้วน ไอ้ฟันเหยิน ไอ้เหงือกเยอะ ไอ้เงิง ไอ้บ้า ด่าแม่ง.. เหี้ย.. ผมขับรถเข้ามาจอดบริเวณลานกว้างที่ถูกเติมเต็มด้วยซุ้มอาหารพวกปิ้งย่างต่างๆ บนเวทีมีวงดนตรีขึ้นไปผลัดกันแสดง คริสต์มาเทศกาลแห่งความรื่นเริงบรรดาผู้คนต่างจับจองโต๊ะจนเกือบเต็มพื้นที่ผมกวาดตามองหากลุ่มลูกปัด หมอก และอาทิตย์ไม่นานก็เห็นผู้หญิงตัวเตี้ยกระโดดเหยงๆโบกไม้โบกมืออยู่เกือบกึ่งกลางลาน ผมโบกมือตอบเป็นสัญญาณว่ามองเห็นพวกเค้าแล้ว หมอกกับอาทิตย์ลุกขึ้นจัดเก้าอี้ให้ผม ต่อมมารยาททำงานผิดปกติหรือไงวะ ปกติพวกมันแทบจะตบหัวทักทายผมด้วยซ้ำ “โอ้ย..โอ้ย” อยู่ๆไอ้เจ้าอาทิตย์ก็ยกมือกุมหัวใจทำตัวงอก่องอขิงแหกปากร้องดังลั่น “เป็นไรของมึงไอ้อาทิตย์ หมอกที่นั่งลงแล้วจับแขนอาทิตย์พลางถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจกับอาการของเพื่อน “วันนี้หมอทำผมดำแบบว่าศรรักมันปักอกดังปึ๊กอ่ะ โคตรจะโมเง่ย์อว๊า” “หยุดตอแหลก่อนที่ส้นตีนจะปักหน้านะครับ” ผมรับแก้วจากลูกปัดที่รินเบียร์เกือบเต็มแล้วชี้หน้าอาทิตย์ ซึ่งแน่นอนฝ่ายสนับสนุนอย่างหมอกโห่ร้องเป่าปากทับถมเพื่อนทันที อาทิตย์ทำปากขมุบขมิบก่อนจะยกแก้วเบียร์ตามพวกผมแล้วชนแก้วกันดังเกร๊ง ผมแค่อยากหนีจากอะไรเดิมๆ ผมสีบลอนด์สว่างที่เขาบอกว่าชอบนักชอบหนาผมก็ไปย้อมให้ดำอีกครั้ง ถึงจะยังไม่คุ้นชินกับมันแต่พอเห็นอาทิตย์แซวแบบนี้ก็อดจะรู้สึกดีไม่ได้ น่าแปลกที่เด็กพวกนี้กลับทำให้ชีวิตของผมไม่เงียบจนเกินไป ลูกปัดเองก็เทียวเวียนไปเวียนมาหาผมที่คอนโดจนผมต้องบอกว่าไม่ต้องห่วงหมอสบายดี ผมต้องรีบเข้มแข็งก่อนที่คนอื่นจะหัวหมุนเพราะความเป็นห่วงผมไปมากกว่านี้ จิบเบียร์ไปกินกับแกล้มไปคุยกันไปนั่งดูหมอกกวนตีนลูกปัดไปก็ทำให้ผมยิ้มได้ ตอนนี้ผมดีขึ้นมากแล้วถ้าเทียบกับวันแรกๆ ลูกปัดเล่าเรื่องที่พ่อโทรมาบ่นว่าทำไมไปกินหมูย่างเกาหลีนานจัง ทำไมไม่กลับบ้าน “ปัดก็บอกว่าปัดมากรุงเทพไม่ได้ไปกินหมูย่างเกาหลีซักหน่อย” ลูกปัดยกเบียร์ขึ้นซดก่อนจะใช้หลังมือปาดฟองเบียร์ที่ริมฝีปากเอ่ยเล่าถึงอารมณ์ของผู้เป็นพ่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจใดใด “แล้วพ่อเจ๊ว่าไง” “พ่อก็บอกว่านังมหาจำเริญกลับมาเดี๋ยวนี้นะ” “แล้ว?” คราวนี้ผมเป็นคนถามบ้าง ลูกปัดหยิบหมูทอดที่หั่นเป็นเส้นๆเข้าปาก “ปัดบอกกลับไม่ได้ปัดลาพ่อมาครึ่งปี พ่อบอกว่าได้ยินว่าจะไปเก็บดอกจำปี” โถ...แม่คุณ เล่าได้ชิลด์มาก... “ปวดฉี่ว่ะ” ผมลุกขึ้นเซนิดๆเพราะยกกันไปหลายเหยือก สาบานว่ายังไม่เมายังมีสติดีแม้จะไม่เต็มร้อยหมอกมันเห็นดังนั้นก็กระเดือกลูกชิ้นปลาทอดชิ้นใหญ่ลงคอก่อนจะรีบลุกพรึ่บตามผมมา “เฮ้ยไม่ต้องๆ” ผมโบกมือห้ามเมื่อมันขยับมายืนข้างๆ “ไปด้วย” “บอกว่าไม่ต้องไงแค่นี้ไปเองได้” ผมผลักไอ้เด็กดื้อเบาๆให้หลบทางแต่มันก็ยังเดินตามมา “เอ๊ะไอ้นี่” “ผมก็ปวดเหมือนกันโว๊ว” มันทำค้อนประหลักประเหลือก น่ารักตายล่ะ แล้วดูซิ๊ ปากแดงๆ หูกางๆ แก้มขึ้นสีระเรื่อ เสือกเล่นเพลงร็อก ผมพยักหน้าอย่างขอไปทีคือตอนนี้ปวดฉี่อ่ะ ผมกับมันเดินหลีกผู้คนมาจนถึงห้องน้ำ คนค่อนขางเยอะ อย่างว่าล่ะอากาศหนาวขนาดนี้ลานเบียร์เป็นศูนย์รวมผู้คนอยู่แล้ว “หมอ...” อยู่ๆไอ้คนที่ยืนประจำการจัดการกับตัวเองข้างๆก็เอ่ยเรียกผม “อะไร” ผมที่ยืนฉี่อย่างสบายอารมณ์ถามกลับ “ไม่คิดจะคบใครใหม่เหรอ” “ถามทำไม” “ก็เห็นว่านานแล้ว” “นานบ้าอะไรยังไม่ได้เดือนเลย” “ผมว่าหมอเสียใจมาพอแล้วนะ” ผมสะบัดหัวก่อนจะรูปซิบเก็บอาวุธแล้วเดินมาล้างมือ หมอกมันก็เดินตามผมมาติดๆ ไม่ชอบใจเท่าไหร่กับการวอแวของหมอกแบบนี้ “นายยังไม่เคยมีความรักก็พูดได้สิ คนเราไม่ได้ลืมกันง่ายๆภายในเวลาไม่ถึงเดือนหรอกนะ” ผมล้างมือเสร็จก็คว้ากระดาษทิชชู่มาเช็ดมือ เตรียมเดินหนีมันแต่หมอกก็ยกแขนขึ้นกันผมแทบจะทันทีเหมือนกัน “ไม่เอาน่าหมอเรื่องที่ผ่านไปแล้วเป็นแค่อดีตนะมันไม่เจ็บไม่ปวดหรอก” หมอกมันใช้แขนกักตัวผมไว้กับกำแพงผมจ้องหน้ามันที่แสยะยิ้มกวนส้นตีนมาให้ก่อนจะยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าให้ไปทีหนึ่งจากนั้นก็ ...ผลั๊วะ!!! “โอ๊ย....หมอตีหัวผมทำไม??” “ไม่เอาน่าหมอกมันก็แค่อดีต” “แต่ผมยังเจ็บอยู่เลยอดีตของหมอเนี่ย” มันเถียงส่งสายตาเคืองๆมาให้ “ก็เหมือนความรู้สึกของหมอตอนนี้แหละ นี่จะบอกอะไรให้นะ ถ้าเราเลิกกับใครซักคนแล้วสามารถทำใจได้อย่างรวดเร็วน่ะมันไม่ใช่ความรักหรอก มันก็แค่ความหลง เลิกแล้วก็เลิกกันจบแล้วก็จบกันแต่สำหรับหมอกับเมฆมันไม่ใช่ หมอรักเค้า แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรัก เพราะฉะนั้นอย่าพยายามดึงหมอออกจากอดีต ปล่อยหมอให้อยู่แบบนี้เถอะ เมื่อถึงเวลาที่สมควรหมอจะทำใจได้เองไม่ต้องเป็นห่วง” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนจะจับแขนมันลงแล้วเดินผ่านหมอกออกมาใช่อดีตสำหรับใครบางคนอาจจะไม่เจ็บแต่ถ้าแผลมันยังไม่ตกสะเก็ดแค่คิดขึ้นมาน้ำตาก็รื้นขึ้นมาได้.. ผมยังคงเจ็บอยู่และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหาย “ไม่มีปัญหาอะไรแล้วครับแต่ระหว่างนี้อาจจะมีอาการเสียวที่คางแปล๊บๆนะครับ ถ้ามีอาการปวดก็ทานยาที่หมอให้นะครับ” ผมเอ่ยขอบคุณหมอที่ทำการรักษาผม ใจหนึ่งก็ดีใจแต่อีกใจหนางก็อดกังวลไม่ได้ หลังจากพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกไม่กี่วันผมก็กลับมาพักฟื้นที่ห้อง พี่เดย์ที่ยังเผือกอ่อนก็ถือวิสาสะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันกับผม นักข่าวพยายามมาสัมภาษณ์เราว่าเกิดอะไรขึ้นโชคดีที่ต้นสังกัดของผมออกมาจัดการเรื่องข่าวให้ “ทางเราแค่อยากหาหอพักใหม่เพราะที่เก่ามันค่อนข้างจะคับแคบ ทีนี้วันที่เมฆกับคุณเดย์ไปดูสถานที่ลิฟท์เสียทั้งคู่ลยเดินขึ้นบันไดแล้วพากันลื่นพลัดตกลงมาครับ” จบข่าว ดาราดังกับผู้จัดการส่วนตัวกลิ้งตกบันไดคางเดาะ หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วสถานะของผมกับพี่เดย์ก็อึมครึมเป็นอย่างมาก ผมโกรธ...พี่เดย์จงใจไปหาเรื่องหมอที่คอนโดแต่กลับเจอแม่ไม้มวยไทยของไอ้ปัดสกัดจนสลบเหมือดทางต้นสังกัดมาจัดการเรื่องรักษาตัวของพี่เดย์กันให้ห่างจากตัวผมไปแทบจะสุดมุมห้อง ก็เป็นการตัดสินใจที่ดีเพราะผมเองก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเขาในตอนนั้น ความรู้สึกที่หน้ายังไม่อยากจะมองตีตื้นขึ้นมาอยู่ที่กระเดือก แค่หมอบอกเลิกผม ผมก็หงุดหงิดจนแทบจะบ้า ทันทีที่ร่างกายดีขึ้นผมก็หอบหน้าเขียวๆเยินๆของผมไปหาหมอจิณณ์ที่โรงพยาบาล ผมไปยืนรอจนขาแข็งจนหมอเลิกงาน ท่ามกลางผู้คนมากมายหมอก็เดินปะปนมากับบุรุษและสตรีชุดขาวคนอื่นๆ หมอโดดเด่นที่สุดหรือเปล่าผมไม่กล้าพูด แต่สำหรับผมแล้วภาพที่เห็นคนอื่นๆคือภาพเบลอแต่กลับชัดที่หมอคนเดียว ผมเดินไปดักหมอตรงประตูทางเข้า หมอจ้องหน้าผมด้วยดวงตาไหววูบก่อนจะปรับเป็นเรียบนิ่งแทบจะทันที รอยยิ้มที่หมอส่งให้กับใครต่อใครถูกเก็บกลับเข้าไปทันทีที่เจอผม หมอขยับเท้าซ้ายเพื่อหลบผม ผมก็ก้าวเท้าขวาขยับสกัด พอหมอก้าวเท้าขวาเพื่อเบี่ยงไปอีกทางผมก็ก้าวเท้าซ้ายกันไว้ ทำแบบนี้กันราวๆ 4-5 ครั้ง หมอก็มองหน้าผม “หลบ” “ไม่” “กรุณาหลีกทางด้วยครับผมอยากกลับบ้าน” “ผมมารับหมอแล้วไงครับ” ผมฉวยมือของหมอไว้แต่หมอก็บิดมือตัวเองออกในทันทีเหมือนกัน “โธ่ หมอครับ ผมก็ขอโทษแล้วไงครับ” ผมเดินตามตื้อหมอเมื่อหมอเบี่ยงตัวหนีผมออกมาจนได้ “เก็บคำขอโทษมักง่ายของคุณกลับไปเถอะ ผมไม่ต้องการที่จะคุยกับคุณอีกต่อไปแล้ว” “ไม่เอาน่าหมอครับ โตๆกันแล้วอย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้สิครับ” ได้ผลครับหมอหยุดเดินแล้วหันมามองผม “เมื่อไหร่จะเลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลซักทีถ้ายังคิดไม่ได้ก็อย่ามาให้เห็นหน้า รำคาญ” หมอพูดเรียบๆแต่ทำไมผมเจ็บจัง ผมพยายามที่จะตามตื้อง้องอนหมอเป็นอาทิตย์ ทั้งตามไปที่ห้อง ยืนรอนานหลายชั่วโมงเพราะหมอเปลี่ยนรหัสที่ล็อกห้องแต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับคือการกระแทกประตูปิดใส่หน้า หนักสุดคือวันหนึ่งลูกปัดก็นั่งแท็กซี่มาหาที่คอนโด พอผมเปิดประตูรับมันก็โยนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใส่ผม “หมอฝากให้เอามาคืนแก” ผมจนปัญญาแล้วจริงๆนะ คราวนี้หมอใจแข็งเหลือเกิน ผมอยากจะไปง้อหมอทุกวันอยู่หรอกนะแต่ว่าตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญต้องทำซะก่อนเพราะบ่ายวันหนึ่งพี่เดย์ก็เดินเข้ามาโยนแบบบ้านให้ผม “บ้านที่ให้หาให้ได้แล้วนะ” หลังจากนั้นผมก็วิ่งวุ่นกับการไปดูบ้านที่พี่เดย์หามาให้ เป็นบ้านจัดสรรที่มีพื้นที่กว้างพอสมควร บ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นสีขาวมีสนามหญ้าหน้าบ้าน ค่อนข้างทิ้งระยะห่างจากเพื่อนบ้านพอสมควรแม่ของผมเดินสำรวจบ้านสีหน้ามีรอยยิ้มปรากฏเป็นระยะๆ ดูก็รู้ว่าแม่พึงพอใจมาก และผมแลกค่าพึงพอใจของแม่ด้วยเงินค่อนบัญชีของผม “ขอบใจมากนะลูก ขอบใจที่ช่วยให้ฝันของพ่อกับแม่เป็นจริง” แม่กอดผมแน่นเมื่อผมเซ็นชื่อเป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์ ผมมอบโฉนดให้แม่ที่รับไปด้วยมืออันสั่นเทา “ไว้ผมว่างๆเราค่อยไปโอนเป็นชื่อแม่นะครับ” “ความจริงเมื่อกี๊เมฆให้แม่เซ็นเป็นชื่อแม่ก็ได้นะจะได้ไม่ต้องยุ่งยากเทียวไปเทียวมาที่สำนักงานเขต” “เป็นชื่อผมก่อนนั่นแหละดีครับเขาลดราคาให้พิเศษถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่มีชื่อเสียงเขาคิดอีกราคาที่แพงกว่านี้ครับ” ผมอธิบายให้แม่ฟังถึงสาเหตุที่ยังไม่สามารถโอนบ้านให้เป็นชื่อแม่ได้ก่อนจะไอออกมาติดๆกัน “เป็นอะไรไม่สบายเหรอ” “นิดหน่อยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมีงานผมส่งพ่อกับแม่แค่นี้นะครับ” ผมหักพวงมาลัยจอดรถที่หน้ารั้วบ้านพ่อกับแม่พากันลงแม่ยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มผมแล้วอวยพรให้ผมขับรถกลับดีๆ ทันทีที่รถยนต์คันแพงของเมฆลับหายไปรอยยิ้มของคนที่ได้ชื่อว่าพ่อก็จางหายแทบจะทันที “ควายมันก็เป็นควายวันยันค่ำ รอให้โฉนดเป็นชื่อเธอก่อนเถอะ” คนเป็นสามีกระชากโฉนดในมือภรรยาไปทันที “โธ่....คุณค่ะ นั่นก็ลูกของฉันเหมือนกันนะคะ แค่ทุกวันนี้ต้องหลอกเอาเงินลูกทีละเยอะๆฉันก็รู้สึกไม่ดีจะแย่อยู่แล้วนะ” “นั่นมันลูกเธอไม่ใช่ลูกฉันรีบๆทำให้มันโอนบ้านเป็นของเธอเร็วๆฉันเหม็นขี้หน้ามันจะแย่อยู่แล้ว” คนเป็นสามีหมุนตัวกลับเข้าบ้านไป แม่ของเมฆได้แต่มองตามทางที่รถของลูกชายเพิ่งลับหายไป “แม่ขอโทษนะลูก...ขอโทษ” อีกครั้งที่ผมต้องแอดมิทเข้ามานอนมองหยดน้ำเกลือที่โรงพยาบาล ไข้หวัดใหญ่เล่นงานเสียจนผมป่วยงอมแงม บรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยตอนนี้มันเงียบเหงา พี่เดย์โดนสั่งห้ามไม่ให้มาเฝ้าไข้ผม แม่ของผมก็ต้องไปทำงาน มีเพียงหมอกที่ยังแวะมาบ้างแต่ก็ไม่ได้บ่อย ตอนนี้หมอกมันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วมันว่ายุ่งๆเรื่องการเตรียมตัวอยู่ซึ่งผมก็เข้าใจแม่จ้างพยาบาลพิเศษไว้ดูแลผม เหงาจัง... เวลาป่วยแบบนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนลูกปัดกับหมอจะมานั่งจองที่นั่งข้างเตียงคนละฝั่ง ห้องจะไม่เงียบขนาดนี้ ผมกดรีโมทปิดรายการทีวีพวกเกมส์โชว์วาไรตี้ต่างๆอย่างเบื่อหน่าย คิดถึงหมอจัง ป่านนี้จะหายโกรธผมหรือยังนะ หมอจะรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ผมนอนป่วยอยู่ จะได้เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์หรือเปล่านะที่ผมวูบคากองถ่ายจนต้องหามส่งโรงพยาบาลกระทันหันน่ะ แล้วถ้ารู้ข่าวแล้วหมอจะเป็นห่วงผมหรือเปล่าครับ ตอนนี้หมอทำอะไรอยู่ ไม่เจอหน้าหมอมาเกือบเดือนแล้วผมคิดถึงหมอจังเลยครับ “เออน่าฝากหน่อยสิ” ผมดึงแขนไอ้เด็กโย่งที่ทำหน้ามุ่ยไม่ชอบใจหันหลังหนี ท่าทางเหมือนเคะน้อยๆกำลังงอน น่าถีบมากกว่าน่ารัก แต่ผมถีบมันตอนนี้ไม่ได้ไงประเด็นมันอยู่ที่นี่ล่ะ หมอกมันปรายตามามองผมพลางสะบัดหน้าพรืดจนแว่นสายตากรอบหนาแทบจะกระเด็น “ไม่” เน้นเสียงหนักแน่นเกินไปป่ะ “โธ่...ช่วยหมอหน่อยนะ นะ หมอกคนดี๊คนดี” ผมยังคงดึงชายเสื้อมันจึ๊กๆในขณะที่อาทิตย์ที่นั่งเกากีต้าร์อยู่ไม่ไกลส่ายหน้าเอือมๆ มันคงจะรำคาญล่ะเพราะผมตามตื้อหมอกมันมาจะครึ่งชั่วโมงล่ะ “ทำไมผมต้องทำตามคำขอร้องของหมอด้วยล่ะ” “เพราะหมอกเป็นเด็กดีไง นะ ช่วยเอายาไปให้เมฆที” ผมพยายามยัดยาห่อใหญ่ใส่มือหมอก ผมเห็นข่าวเขา ถึงแม้จะบอกกับตัวเองว่าอย่าสนใจ เราตัดขาดกันแล้วแต่หัวใจเจ้ากรรมมันสั่งงานไปยังประสาทของผม กว่าจะรู้ตัวก็ซื้อยาหอบใหญ่ให้เขาซะแล้ว ผมยังคงใช้สกิลการอ้อนขั้นแอดว๊านซ์กับหมอกต่อไปจนในที่สุด “เฮ้อ....ก็ได้ๆ เดี๋ยวผมเอายาไปให้พี่มันเอง” “เย้...หมอกน่ารักที่สุดเลย” ผมร้องออกมาอย่างดีใจ “อ่ะแฮ่มๆๆ” แต่ต้องชะงักเพราะเสียงกระแอมขัดจังหวะของเจ้าเด็กแพนด้าหน้าป่วย “เป็นไร??...ส้นเท้าติดคอเหรอ” ผมหันไปถามอาทิตย์ด้วยสีหน้าใสซื่อ “จัดว่าแรง” อาทิตย์มันตอบกลับมาพลางแกล้งค้อนจนหน้าคว่ำ น่ารักตายล่ะ ทำท่าเหมือนซอมบี้โดนแมลงสาบแทะ .......................................
มีพ่อแม่แบบนี้ขอไม่มีดีกว่า โคตรแย่ แม่ก็ไม่ทำไรเลย น่ารังเกียจมากก :seng2ped:
:katai1: :katai1: :katai1:
:เฮ้อ:
นั่นไง อิพ่อ อิแม่ หางจิ้งจอกแก่โผล่แล้วจ้าาาาาาา สงสัยไม่อยากอยู่รอวันเข้าวัดเข้าวา :hao3: อิลูกเป็ดมะไหร่มึงจิสำนึกคะ หมอก้อแสนดีขนาดนี้ โดนทำให้เจ็บช้ำก้อยังหวังดีกะมึงเสมอ :heaven
เมฆอย่าโง่ไปมากกว่านี้เลย เฮ้อ เมื่อไรจะรู้ตัวว่าที่บ้านทำดีด้วยเพราะเงินเนี่ย
เอาตรงๆพ่อแม่เมฆจัดว่าเฮี่ย โดยเฉพาะแม่ ถ้ารักลูกจริงทำไมถึงยังยอมทน มาหลอกลูกแบบนี้ไม่ต้องมาขอโทษแล้วจ้า น่ารังเกียจที่สุด เมฆก็ยังไม่มีความสำนึกได้ใดๆแม้แต่น้อย หมอรักแกขนาดไหน อดทนรอขนาดไหนแต่แกยังไปนอกกายเค้า หน้าด้านหน้าทนสุดๆนังเมฆ สงสารหมอ ทีมหมอ รักหมอ :hao5: :hao5: :hao5:
ด่าหน่อยเถอะ ความโง่แบบนี้มันส่งกันมาจากแม่สูลูกเหรอ นั่นลูกนะ ยังทำกับลูกแบบนี้
ลูกเป็ดขี้เหร่[:18] “ฮือ....” มือเรียวของเด็กผู้ชายตาตี่ผิวขาวปากแดงกำลังบรรจงตัดรูปของดาราหนุ่มที่กำลังโด่งดังขั้นสุดก่อนจะยกขึ้นเช็ดขี้มูกที่ไหลมาปริ่มๆริมฝีปากลวกๆแล้วกลับไปตั้งใจตัดรูปอีกครั้ง เสียงร้องไห้เบาๆกับดวงตาแดงๆของเด็กน้อยวัย 17 ปีทำให้พี่เลี้ยงต้องชะโงกหน้าขึ้นมาจากโต๊ะรีดผ้า “คุณอาโปเป็นอะไรคร๊า” พี่เลี้ยงสาวประเภทสองเอ่ยถามเมื่อเริ่มรำคาญเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังมาร่วมชั่วโมงแล้ว เครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายถูกจับแขวนอย่างเป็นระเบียบ “พี่เมฆขวัญใจของอาโปป่วยล่ะ” “ป่วย เป็นอะไรคะ แล้วตายแล้วหรือไงคุณอาโปถึงมานั่งร้องไห้แบบนี้” “บ้าสิ....” เสียงใสแหวใส่พลางหันไปส่งค้อนวงเบ้อเริ่มใส่ผู้เป็นพี่เลี้ยง “ตีปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะมาแช่งพี่เมฆของอาโปได้ยังไง” ธนากรค้อนควั่กปากคว่ำอย่างไม่ชอบใจ พี่เจสซี่จะมาแช่งพี่เมฆขวัญใจของอาโปไม่ได้นะ “เค้าแค่เป็นไข้หวัดใหญ่ จะมาเติงมาตายได้ไงล่ะ “ คนตัวอวบว่าก่อนจะบรรจงแปะกาวลงบนรูปแล้วแปะลงสมุดที่จัดทำซะสวยงาม “แล้วนั่นเห็นนั่งทำตั้งนานอะไรเหรอคะ” “อ่อ เนี่ยเหรอ อาโปทำสมุดอัลบั้มรวมรูปผลงานต่างๆข่าวงานอีเว้นท์ที่พี่เค้าไปอ่ะกะจะเอาไปฝากพยาบาลมอบให้พี่เมฆที่โรงพยาบาล” “เค้าจะรับเหรอคะ” “รับไม่รับอาโปก็ไม่รู้แหละอาโปแค่อยากทำให้ดาราในดวงใจเฉยๆ ถ้าเค้าจะทิ้งหรือจะอะไรอาโปไม่ได้สนใจหรอกอาโปแค่อยากทำให้แค่นั้นแหล่ะทำเป็นกำลังใจให้พี่เค้าว่าเนี่ยยังมีติ่งตัวเล็กๆคอยเป็นกำลังใจให้เค้าอยู่ ก็เหมือนเวลาพี่เจสซี่เขียนจดหมายหาปอยฝ้ายโอปป้าแหล่ะมีความสุขมั๊ยล่ะ” “โอ๊ยยยยยยยย..ม่วนซื่นสุดๆฮร๊า” สวัสดีครับผมชื่อธนากรครับ ปีนี้พอเปิดเทอมผมก็จะเป็นนักเรียน ม.ปลายปีสุดท้ายแล้วล่ะครับ ครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากแค่พอมีพอกินป๊ากับม้าขายยาครับ แหน่ะ ไม่ใช้ค้ายาเสพติดนะ ท่านสองคนเป็นเภสัชกรครับส่วนพี่ชายของผมแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วเมื่อต้นปีตอนนี้บ้านเราจึงมีคนอยู่กันครึกครื้นเพราะพี่สะใภ้ต้องแต่งเข้าบ้านมาช่วยกันประกอบธุรกิจขายยา ส่วนผมเป็นลูกคนเล็กพ่อกับแม่บอกไว้แล้วถ้าไม่เรียนเภสัชก็ต้องเรียนหมอเพื่อสานต่อกิจการของครอบครัว แต่ผมไม่ชอบเลย ผมเบื่อกลิ่นยาเต็มที ตั้งแต่ลืมตาอุแว้ๆขึ้นมาผมก็เจอกับสารพัดยา เอาแค่ว่าแค่ได้กลิ่นก็บอกได้แล้วว่าชื่อยาอะไรใช้รักษาอาการไหน กิจการร้านขายยาของที่บ้านของผมค่อนข้างรุ่งเรืองครับพ่อกับแม่เลยไม่มีเวลาเลี้ยงผมจึงจ้างพี่เลี้ยงชาวอีสานมาคอยดูแลผม พี่เจสซี่หรือชื่อจริงคือประจักษ์เลี้งผมมาตั้งแต่ 2 ขวบ จนตอนนี้จะ 18 อยู่แล้ว เรียกกันว่าผมกินปลาร้าบ่อยกว่าขนมเทียน ซัดส้มตำมากกว่าซาลาเปาและฟังเพลงหมอลำมากกว่าเพลงป๊อป แต่ถึงแม้ผมจะมีเมฆโอปป้าเป็นขวัญใจยังไงก็ตามผมก็มีผู้ชายที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่อยู่ ม.ต้นแล้วนะครับ ที่ยอมเข้าชมรมดนตรียอมโดนดุโดนด่าก็เพราะผมอยากจะเห็นหน้าพี่เค้าทุกวัน สงสัยไอ้คำว่าหรือผู้หญิงนั้นชอบคนเลวคงจะจริง เพราะถึงแม้ผมจะไม่ใช่ผู้หญิงผมยังตกหลุมรักแบดบอยตัวพ่อของโรงเรียนชนิดที่เรียกว่าถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คิดแล้วใจหาย ปีนี้พี่หมอกกับพี่อาทิตย์มือกีต้าร์สะท้านโลกันต์ขวัญใจของผมก็เรียนจบแล้วด้วยสิ ว่าแล้วก็วางมือจากอัลบั้มรวมผลงานของเมฆโอปป้าแล้วไปนั่งเขียนฟิคหมอกอาทิตย์ต่อดีกว่า จะมีใครรู้บ้างว่าอาโปใช้การเขียนฟิคชั่นทำร้ายพี่หมอกเป็นการแก้แค้นที่ตลอดเวลาที่เฝ้าแอบรักแอบคิดถึงแอบมองมา 2-3 ปี พี่หมอกเอาแต่ทำร้ายร่างกายกด((อยากโดนกด)) ขี่((อยากโดนขี่ ขอแบบคลานเข่านะ)) ข่ม((ขมขื่นมาเลยฮะอาโปพร้อม ถึงขาอาโปจะสั้นแต่ท่ายากของอาโปจัดว่าเด็ดนะฮะ)) เหง มาตลอด พี่หมอกชอบตวาดใส่อาโป เอาไม้กลองเขวี้ยงอาโปเวลาไม่พอใจที่อาโปเก็บเครื่องดนตรีช้า ชอบเรียกอาโปว่าไอ้เตี้ย พี่หมอกรับของขวัญจากอาโป กินของที่อาโปซื้อให้แต่พี่หมอกไม่เคยจำชื่ออาโปได้ซักที แทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอาโปมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ คนอะไรหูกางแล้วยังใจร้าย...แต่หัวใจเจ้ากรรมของอาโปก็บอกแต่ว่า ชอบ... ชอบพี่หมอก.. “แม่ง อย่าให้รู้นะว่าอิ่หมาน้อย 69 นี่คือใคร” หมอกกดปิดหน้าฟิคชั่นคู่หมอกอาทิตย์ลงอย่างหัวเสีย อาทิตย์ที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆส่งสายตาอ้อนๆมาให้ “พี่หมอกฮะ ตรงนี้ของผมมันร่ำร้องอยากให้พี่สัมผัสมันอยู่นะฮะ” อาทิตย์แกล้งส่งสายตายั่วยวนมาให้พลางกัดปากขยิบตาทิ้งท้ายอย่างเซ็กซี่ พูดและทำตามบทของตัวเองในฟิคเป๊ะๆ “รอส้นตีนกระผมไปสัมผัสสิครับ” หมอกไม่พูดเปล่ายังทำท่าจะยกเท้าถีบจริงๆจนคนผิวคล้ำกว่าต้องยกมือห้าม ก็รู้กันอยู่ตีนหมอกไม่ใช่นุ่นสัมผัสแล้วจะได้เบาสบายส่วนตีนอาทิตย์ก็ไม่ใช่เม็ดทรายอัดเข้ามาถึงขั้นลำไส้เรียงตัว โดนทีนึงถึงขั้นจุกไป 7 วัน ก็ไม่รู้มาคบกันเป็นเพื่อนกันได้ยังไง ทั้งๆที่เมื่อก่อนตีกันไม่เว้นแต่ละวัน หมอกเป็นประเภทมองหน้าแล้วของขึ้น ส่วนอาทิตย์ก็เป็นประเภทชอบมองหน้าด้วยสายตากวนส้น ซัดปากกันมาเกือบปี อยู่ดีๆวันหนึ่งกำลังยกพวกตีกันตำรวจก็โผล่เข้ามา จำได้ว่าตอนนั้นอาทิตย์ดึงมือหมอกให้วิ่งหนีตำรวจมาด้วยกันทั้งๆที่กำลังปล่อยหมัดใส่กันแท้ๆ พอตำรวจไปแล้วหันมามองหน้ากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะใส่กัน จากที่เป็นศัตรูกันก็เปลี่ยนมาเป็นมิตร ยิ่งชอบดนตรีเหมือนก็เลยจูนเข้าหากันได้ง่ายขึ้น “นี่กูรอไอ้เมฆมันหายป่วยอยู่นะเนี่ยไม่รู้จะป่วยอะไรนักหนาแม่ง เดี๋ยวเป็นนั่นเดี๋ยวเป็นนี่เมื่อไหร่จะด้ไปออดิชั่นซักที” หมอกลงไปนั่งบนโซฟาแล้วใช้เท้าเขี่ยอาทิตย์ให้เขยิบไปอาทิตย์จิ๊ปากส่งสายตาขุ่นให้อย่างไม่ชอบใจแต่ก้ยอมขยับให้แต่โดยดี “คนมันจะป่วยแม่งห้ามกันได้เหรอ กูว่าพี่มึงมันก็น่าสงสารนะดูแล้วเค้าก็รักมึงรักพ่อแม่มึงดีอยู่นี่” “มันคลั่งไงโหยหาความรักห่าเหวอะไรไม่รู้ นี่พ่อกูหลอกเอาบ้านได้แล้วหลังหนึ่งกูขอให้มันทำห้องซ้อมดนตรีให้แม่งก็ทำโง่จริงๆ” “มึงไม่คิดจะรักจะเคารพพี่มึงมั่งเหรอวะ เอาตรงๆนะเท่าที่กูดูมึงไม่ต้องหลอกขอเงินไม่ต้องหลอกขอนู่นนี่นั่น เอ่ยปากขอเค้าดีๆพี่มึงก็ให้นะ” “มึงมันจะไปรู้อะไร ขอดีๆมันก็ไม่สนุกสิได้ทีนึงก็น้อยหลอกขอตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยได้เป็นกอบเป็นกำจะตาย อีกอย่างนึงนะถ้าแม่งไม่หลอกให้ซื้อบ้านซื้อนู่นนี่นั่นให้นะเดี๋ยวไอ้ผู้จัดการของมันขอไปโดยอ้างสิทธิว่าเป็นเมียมันหมดตัวขึ้นมาทำไงล่ะ นอนเกาพุงรออยู่ดีๆหมาคาบไปซะแล้ว พี่กูยิ่งโง่ๆอยู่” “น่าสงสารเนอะพี่มึงเนี่ยเสียทั้งเงิน เสียทั้งเพื่อน เสียทั้งเมีย นี่ถ้ารู้ว่าถูกพ่อแม่หลอกคงเสียความรู้สึกแล้วก็เสียใจ” “มึงอย่าคิดมากดิ่ บ้านที่มันซื้อให้แม่อ่ะยังไงถ้ามันหมดตูดไม่มีใครไม่เหลืออะไรกูจะกันห้องเก็บของให้มันนอนก็แล้วกันนะ อย่างน้อยก็ยงมีที่ซุกหัวนอน” “จากใจนะเว๊ยไอ้หมอก มึงนี่โตครเหี้ยเลย” “ขอบใจที่ชม” หมอกนั่งฮัมเพลงเกากีต้าร์ที่พี่ชาย “สุดที่รัก” ซื้อให้อย่างสบายอารมณ์ หลอกกินเงินพี่ไปวันๆงั้นเหรอ แล้วไงอ่ะ นี่หมอกทำเพื่ออนาคตของเมฆเลยนะ เรื่องอะไรจะให้เมฆเอาเงินไปให้คนอื่นใช้ล่ะ สู้เอามาหมดกับคนในบ้านให้น้องให้นุ่งให้พ่อ((ของเขา))กับแม่ใช้ยังจะดีกว่า ใครใช้ให้อยากได้ความรักมากมายนักล่ะ เมฆแม่งโง่ โง่ที่คิดว่าทุกคนจะรักมันจริง โง่ที่เอาเงินซื้อความรักใช้เงินซื้อความสุขจอมปลอม เมฆโง่ที่หลงระเริงไปกับวงการมายา หลงระเริงไปกับเพศรส เมฆโง่ที่ทิ้งขว้างคนที่รักเมฆแบบไม่หวังสิ่งใดตอบแทนไป จริงๆหมอกก็ไม่ได้รักได้ชอบหมอจิณณ์เท่าไหร่หรอกก็แค่ขอคบเล่นๆ แต่มาคิดๆดูถ้าเขาจีบหมอติดเมฆคงจะทรมานน่าดู คนอย่างมันไม่กล้าแย่งของๆเขาอยู่แล้วล่ะแล้วช่วงนี้คือหมอน่ารักขึ้นยิ่งดูยิ่งเพลิน บางทีนะ บางทีตอนนี้หมอกอาจจะชอบหมอขึ้นมาจริงๆแล้วก็ได้ แค่คิดก็สนุกแล้ว หมอกแค่อยากรู้ว่าดาราดังที่มีคนรักมากมายน่ะพอถึงที่สุดแล้วจะมีใครรักและคอยยืนเคียงข้างซักกี่คนกัน “ขอโทษนะคะทางต้นสังกัดไม่อนุญาตให้แฟนคลับเข้าเยี่ยมหรือฝากของให้กับคุณเมฆค่ะ” นางพยาบาลวัยกลางคนเอ่ยบอกอาโปที่หอบสมุดตัดแปะรูปภาพรวมผลงานรวมทั้งถุงขนมของกินหอบใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ หล่อนเข้าใจโลกของแฟนคลับดีเด็กพวกนี้ไม่ได้มีเจตนาจะมารบกวนการพักผ่อนของเมฆที่มาก็ด้วยความรักล้วนๆ บางคนเข้าใจที่อธิบายก็ลาจากไปพร้อมคำขอโทษและขอบคุณ ส่วนบางคนชักสีหน้าไม่พอใจพลางทำท่าฟึดฟัดรวมทั้งแอบด่าและด่าต่อหน้าพยาบาลก็มี แต่อาโปเลือกที่จะยกมือไหว้แล้วเอ่ยขอบคุณรวมทั้งกล่าวคำขอโทษที่มารบกวนการทำงานของพยาบาลเด็กน้อยมองกองของฝากที่แฟนคลับบางคนวางทิ้งไว้เพราะหวังว่าทางเจ้าหน้าที่อาจจะเก็บไปให้เมฆแล้วมองของในมือตัวเอง เรื่องอะไรจะเอาของไปวางโดยไม่รู้ชะตากรรมแบบนั้นล่ะ อาโปไม่ยอมหรอกนะ เด็กน้อยถอนหายใจหงอยๆ มองดูนาฬิกาก็เพิ่งจะ 10 โมงเช้า กว่าจะถึงเวลานัดกับเพื่อนไปดูหนังก็อีกเกือบสามชั่วโมง หรือจะย้อนกลับเอาไปเก็บที่บ้านดี แต่มันก็วนไปย้อนมาเปลืองเงินค่ารถอีก “หรือจะโทรให้พี่เจสซี่มาเอากลับไปดี” อาโปคิดไม่ตกกับหอบของฝากของตัวเอง อันที่จริงก็พอรู้มาบ้างล่ะว่าต้นสังกัดของเมฆไม่รับของฝากจากแฟนคลับด้วยเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของศิลปินแต่อาโปก็ยังจะเสี่ยงลองเอามาดู แล้วก็อดมอบให้พี่เมฆจริงๆด้วย อาโปตัดสินใจไปหาที่นั่งพัก อากาศหนาวของเดือนธันวาคมทำให้เด็กน้อยไปซื้อชอคโกแลตร้อนๆแก้วหนึ่งแล้วเดินออกไปข้างนอก สวนสาธารณะที่มีลมเย็นพัดเอื่อยๆให้ความรู้สึกกึ่งเทพนิยาย ตรงศาลาริมน้ำมีร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนอยู่เสื้อผ้าหนาสีเข้มที่อยู่บนร่างกายไม่ได้ช่วยกลบออร่าในตัวชายหนุ่มแต่อย่างใด อาโปประคองแก้วชอคโกแลตจรดริมฝีปากด้วยมืออันสั่นเทา สั่นจนน่ากลัว “พี่เมฆ...งือ....” แดรกแก้วด้วยความขวยเขินไปด้วยจะได้มั้ย อาโปกัดปากแก้วกระดาษเพื่อระงับเสียงกรีดร้องที่ร่ำร้องจะตะโกนออกไปให้เมฆโอปป้าซารางเงย์ของอาโปให้ได้ยิน แบบว่ายังไงล่ะ ความดีใจมันแน่นอกถ้าไม่รีบยกออกอกพองๆของอาโปคงจะระเบิด ไม่ได้ๆ ถ้าอาโปกรี๊ดพี่เมฆตกใจกระโจนลงน้ำว่ายข้ามไปอีกฝั่งอาโปอดเจอมายไอดอลระยะประชิด อาโปจะอดเอาไปคุยให้พี่เจสซี่ฟังว่าเจอพี่เมฆเชียวนะ ควักกระจกลายคิตตี้สีชมพูออกมาเชคเสื้อผ้าหน้าผมอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ อืม...ยังเป๊ะ ปรับสีหน้าอีกนิดพี่เมฆจะได้ไม่คิดว่าเราปริ่มจนออกนอกหน้า โอเคสวยเด้ง ยกจั๊กแร้ขึ้นมาดมเชคสภาพกลิ่น เริ่ด....ต่อให้พี่หมอกเอาหน้ามาซุกก็จะบอกว่าหอมเหมือนอาบด้วยน้ำโรยดอกมะลิทั้งดง ซดช็อกโกแลตเรียกกำลังใจอีกฮวบเหมือนลำยองซดยาดอง ยกซดรอบเดียวหมดแก้วโยนแก้วกระดาษที่ปากแก้วยุ่ยจากการกัดแก้เขินลงถังขยะปัดผมหน้าม้าลงมาปรกหน้าอีกนิดเพื่อความโมเอ้แล้วตัดสินใจเดินไปหาพี่เมฆ เหมือนภาพในฟิคที่เขียนเลยอ่ะ ร่างอวบค่อยๆก้าวเท้าช้าๆเข้าไปหาเจ้าชายที่ยืนเอามือไขว้หลังอย่างสง่า ดวงเนตรดำขลับจดจ้องรูปสลักเบื้องหน้าด้วยแววระยิบระยับหวาน “ข่ะ...ขอ” “แค่กๆๆๆๆๆ” ฟิลหายเลยฮะในตอนนี้ กำลังจะเอ่ยขอความรัก...ไม่ใช่ กำลังจะเอ่ยขอโทษพี่เมฆก็หลุดมาดด้วยการงอตัวกำมือป้องปากไอผ่านผ้าปิดจมูกหน้าดำหน้าแดงเลยฮะ อาโปก็เลยยืนเก้ๆกังๆจนพี่เมฆหยุดไอแล้วเงหน้าขึ้นมามองอาโปที่ยืนกอดแฟ้มอัลบั้มมองพี่เมฆด้วยสายตาห่วงใย ถ้าไอแทนได้ก็จะไอให้นะฮะ แต่ตอนนี้น้องอาโปกำลังจะเป็นลมฮะ ก็พี่เมฆเล่นจ้องน้องอาโปซะจนรู้สึกเหมือนกำลังจะตั้งท้องลูกคนแรกกับพี่เมฆแล้วอ่ะ แล้วอาการเลิกคิ้วเอียงคอนิดๆนั่นคือร่ะ?? พี่เมฆอ่อยอาโปเหรอฮะ ถึงอาโปจะปลื้มพี่เมฆก็อย่าคิดว่าอาโปจะง่ายนะฮะเพราะพี่เมฆ คิดถูกแล้ว “คือ...ใช่พี่เมฆหรือเปล่าฮะ?” ตัดสินใจถามออกไปทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ต่อให้พี่เมฆเอาถุงปุ๋ยตราเรือใบไวกิ้งครอบหัวอาโปก็จำได้อ่ะ อาโปชอบพี่เมฆมาตั้งแต่ ม.3 ทำไมจะจำไม่ได้ “ครับ” รอแป๊บได้มั้ยครับ พี่เมฆรอน้องอาโปแป๊บได้มั้ย ขอวิ่งเข้าดงไม้ข้างๆไปหลบกรี๊ดก่อนได้มั๊ย พี่เมฆตอบรับอาโปด้วยอ่ะ อยากจะกระทืบพื้นกรีดร้องแต่พี่เจสซี่สอนมาว่ากุลสตรีที่ดีต้องไม่แสดงกริยาแร่ดเกินความจำเป็นต่อหน้าผู้ชาย โง๊ยยยยยยยยยยย......เขินขั้นข่วนพื้นเลยพ่อเอ๊ยแม่เอ๊ย ถ้าอาโปท้องได้พ่อแม่ก็ไม่ต้องสืบให้เหนื่อยนะฮะว่าท้องกับใคร ใสใสไว้ แอ๊บแบ๊วไว้ “......” “......” คือไร??? อาการนี้คือไร?? การที่พี่เมฆเอียงคอน้อยๆยืนมองอาโปดวงตาเป็นประกายคือไร?? จะพรากพรหมจรรย์ทางสายตาเหรอฮะ แล้วการที่อาโปยืนนิ่งเหมือนถูกสะกดคือระ?? น้ำตาไหลเข้าปากจนเค็มคือระ?? นี่อาโปปลื้มใจขนาดร้องไห้เลยเหรอ “ว๊า...พี่ทำอะไรให้เด็กน้อยไม่พอใจหรือเปล่าครับดูซิ๊ร้องไห้เลย” โง๊ยยยยยยยยยยยย... ณ จุดนี้อยากหยิบสมุดขึ้นมาจดพลอตฟิค “นี่ฮะอาโปทำมาให้พี่ อาโปนั่งตัดรูปสะสมข่าวเองเลยตั้งแต่พี่เข้าวงการแรกๆเลยนะฮะ มีภาพที่พี่แสดงแทนพี่โอมด้วยนะฮะ” อาโปค่อยๆเปิดหนังสือภาพให้พี่เมฆดูแล้วชี้ไปยังรูปที่พี่เมฆแต่งตัวเหมือนโอมดาราหนุ่มที่ดังสุดๆ((แต่อาโปว่าพี่เมฆดังกว่า)) “อืม...ตอนนั้นพี่ปั่นจักรยานกลับจากตลาดล่ะ” คือระ?? มันใช่เรื่องมั๊ยที่พี่เมฆจะเอียงตัวเอียงหน้ามาใกล้อาโปเพื่อดูรูปตัวเองเนี่ย จะขยี้พรหมจรรย์ทางกายสัมผัสอีกรอบช๊ะปร๊า นิ่งไว้น้องอาโปนิ่งไว้...แม้หัวใจจะเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ตัดสินใจยื่นอัลบั้มภาพให้พี่เมฆ “อาโปทำมาให้พี่ฮะ จริงๆมีแฟนคลับอีกหลายคนเลยที่อยากมอบของขวัญให้พี่ ตอนที่รู้ข่าวว่าพี่ตกบันไดอยากจะมาเยี่ยมแทบแย่แต่แม่ไม่ให้มาเพราะติดสอบแต่ตอนนี้ว่างแล้วฮะ แล้วก็นี่ขนม” อาโปหยิบถุงเกือบสิบใบใส่มือพี่เมฆอย่างดีใจ อย่างน้อยที่ทำมาก็ไม่สูญเปล่าอาโปได้เจอพี่เมฆได้นั่งใกล้ได้ใช้โอโซน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซค์ร่วมกันแล้ว อาโปพอใจแล้ว “กินได้หรือเปล่ามียาพิษมั้ย” พี่เมฆยกถุงขึ้นมาดูพลางทำหน้าล้อเลียนเหมือนว่ากลัวขนมในถุงจะเคลือบยาพิษไว้ คือถ้าเป็นคนอื่นอาโปจะคิดว่ากวนตีนแต่พอเป็นพี่เมฆปุ๊บอาโปจะถือว่านี่คือสิ่งดีงาม “โธ่....อาโปรักพี่เมฆจะตายอาโปจะวางยาพี่เมฆทำไมล่ะฮะ กินได้อร่อยด้วยไม่เชื่ออาโปกินให้ดู” อาโปฉวยถุงๆหนึ่งจากมือพี่เมฆพลางหยิบกล่องชอคโกแลตออกมาแกะส่งเข้าปากเคี้ยวให้พี่เมฆดู “พี่ล้อเล่น ขอบคุณมากนะครับสำหรับของฝาก ไม่คิดนะว่าจะมีแฟนคลับตัวกลมๆมาเยี่ยมกันไม่คิดว่าจะติดตามกันมาตั้งแต่เพิ่งเข้าวงการ” “โหย...ข้างหน้าโรงพยาบาลยังมีอีกเพียบเลยฮะแต่ต้นสังกัดของพี่เขาไม่ให้ฝากของนี่ตอนแรกอาโปกะจะให้พี่เลี้ยงมาเอากลับแล้วไปดูหนังต่อกับเพื่อนแต่โชคดีเจอพี่ซะก่อน พี่รู้มั้ยเพื่อนๆอาโปที่เป็นติ่งพี่เหมือนกันน่ะร้องไห้จะเป็นจะตายที่เห็นข่าวว่าพี่น็อคกลางกองถ่าย คนรักพี่เยอะแยะเลยนะฮะพี่ต้องรีบหายไวๆนะอาโปจะรอผลงานเรื่องต่อๆไปของพี่” อาโปไม่รู้หรอกนะว่าทำไมพี่เมฆมีปฎิกริยาเหมือนไม่ค่อยชื่อตอนที่บอกว่ามีคนรักพี่เมฆเยอะแยะ อาโปแค่อยากพูดความในใจที่ติ่งคนหนึ่งจะพูดกับดาราที่ตัวเองชื่นชอบได้ เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงก็มีคนมาตามพี่เมฆแน่นอนว่าอาโปถูกดุจากผู้ชายหน้าหวานๆมีลักยิ้มบุ๋มๆคนนั้น คนที่แขนพันเผือกไว้ “ไม่เป็นไรหรอกพี่เดย์ผมเป็นคนชวนน้องเค้าคุยเองแหละ...น้อง...อาโปใช่มั๊ย เดี๋ยวพี่คงต้องขึ้นห้องแล้วหนีคุณพยาบาลมานั่งเล่น ขอบคุณสำหรับของฝากและ...ความรักนะครับพี่ดีใจมากๆ กลับบ้านดีๆดูแลสุขภาพด้วยนะเดี๋ยวจะป่วยเหมือนพี่” อาโปได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็งเมื่อพี่เมฆโน้มตัวมาข้างหน้าพลางวางฝ่ามือลงบนหัวของอาโปแล้วโยกไปมาเหมือนพี่ชายใจดีเล่นกับน้อง แบบว่าปลื้ม...แบบว่าจะร้องไห้อ่ะ พี่เมฆไปแล้วเดินตามหลังพี่หน้าหวานตาดุคนนั้นไปแล้ว แต่พี่เมฆทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้กับอาโป สิ่งที่ชาตินี้อาโปจะไม่มีวนลืมเลย สิ่งๆนั้นเรียกว่า.. ความประทับใจ... ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นราวๆ 5 ทุ่ม วันนี้ผมกลับมานอนที่บ้านหลังจากที่หมออนุญาตให้กลับมาฟักฟื้นได้ แม่แนะว่าผมควรกลับมาอยู่ที่บ้านแทนที่จะไปอยู่คอนโดคนเดียวไม่มีใครดูแลเพราะพี่เดย์ถูกย้ายไปทำแผนกอื่นในบริษัทชั่วคราวระหว่างที่รักษาแขนที่หัก ผมมองเหยือกน้ำหัวเตียงมันเหลือน้ำก้นเหยือกเพียงน้อยนิดผมหย่อนปลายเท้าลงบนพื้นพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่ถูกไข้ขโมยไปเป็นอาทิตย์ลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเหยือกน้ำเพื่อลงไปเติมข้างล่าง แสงไฟเพียงสลัวจากในครัวกับเสียงพูดคุยทำให้รู้ว่าคนในบ้านยังไม่นอน “เมื่อไหร่มันจะโอนบ้านให้เธอซักทีฉันเบื่อที่จะต้องรอคอยแล้วนะ” เสียงพ่อที่ดังออกมาน้ำเสียงตึงห้วนทำให้ผมชะงักเท้าที่จะก้าวเข้าไปร่วมวงสนทนานั้น “โธ่คุณคะ ลูกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเองนะคะ” เสียงแม่เอ่ยแย้งแต่แฝงความเกรงใจอยู่ในที่ “เดี๋ยวติดงานเดี๋ยวป่วยเดี๋ยวเป็นนั่นเป็นนี่อยู่นั่นแหละ เห็นมันมาเสนอหน้าในบ้านฉันก็ขัดหูขัดตาจะแย่อยู่แล้ว ตะล่อมให้มันรีบโอนเป็นชื่อเธอซักทีฉันจะได้ให้เธอโอนต่อให้หมอกมัน จบเรื่องจบราวจะได้บอกมันว่าอย่าเสนอหน้ามาเผยอในบ้านอีก” “แต่คุณค่ะนี่มันบ้านที่เมฆเป็นคนซื้อนะคะ มันเป็นน้ำพักน้ำแรงของลูกฉันว่า...” “เธอมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้ารักมันจริงเธอคงไม่ร่วมมือกับฉันเล่นละครตบตามันด้วยหรอก ตัวมันเป็นดาราหาเงินง่ายเงินไม่กี่ล้านน่ะมันหาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้ แต่หมอกน่ะมันยังเด็กอีกนานกว่าจะมีงานมีเงินของตัวเอง มันเป็นพี่จะซื้อบ้านซื้อรถให้น้องซักหลังซักคันทำไมจะทำไม่ได้” ชัดเจน....พ่อกับแม่...ร่วมมือกัน...หลอกผมเหรอครับ ความรักที่มอบให้กับผมในเวลาเดือนกว่าๆนี่คือหลอกผมกันใช่มั้ยครับ หัวใจของผมมันเต้นตุบราวกับจะฟ้องว่าทุกวันนี้ผมเป็นควายให้เขาสนตะพายเท่านั้นเอง เพล๊ง!!! ผมเขวี้ยงเหยือกน้ำลงใกล้ๆกับไอ้พ่อเลี้ยงชั่วก่อนจะหันหลังวิ่งขึ้นห้องหยิบกุญแจรถแล้ววิ่งสวนแม่ที่วิ่งตามมาหน้าตาตื่น “เมฆ ฟังแม่ก่อนเมฆเดี๋ยว...” ผมปัดมือแม่ทิ้งอย่างไม่ใยดีเดินสวนเขาที่ยืนอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้ายก่อนจะหยุดหันมาพูดกับเขา “ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมตาสว่างซักที ขอบคุณที่แกล้งแสดงว่ารักควายตัวนี้เหมือนลูก บ้านหลังนี้เป็นของผม ถ้าไม่เกรงใจก็อยู่ไปเรื่อยๆนะครับ ส่วนโฉนดผมจะไม่โอนให้ใครทั้งนั้น ใครอยู่ก็ถือเป็นผู้อาศัยทั้งหมดถ้าทำให้ผมไม่พอใจผมจะเฉดหัวออกจากบ้านให้หมดทุกคนเลยจำไว้” “ไอ้เมฆมึง” ผมไม่สนใจเสียงโครมครามในบ้านกดรีโมทเปิดรั้วก่อนจะขึ้นรถสตาร์ทแล้วขับออกจากบ้านทันที ผม...ร้องไห้ นี่เหรอความรักที่ผมโหยหา ผมคิดว่าครอบครัวจะเป็นที่ๆเดียวที่มีความรักให้ผมอย่างจริงใจ แต่แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ คนที่ผมเคารพให้ความรักนับถือว่าเป็นพ่อวางแผนปอกลอกเงินของผมไปให้ลูกของตัวเอง นั่นยังไม่เจ็บเท่าแม่แท้ๆของผมสมรู้ร่วมคิดรวมหัวกันหลอกผม ผมเป็นลูกของแม่นะครับเป็นลูกชายแท้ๆของแม่ แม่ทำกับผมลงคอได้ยังไง ไหนล่ะความรักความหวังดีที่แม่บอกผม แม่รู้มั้ยสิ่งที่แม่ทำกับผมในครั้งนี้เหมือนแม่ใช้เหล็กแหลมทิ่มลงมาที่หัวใจของผมค่อยๆแทงลงมาแล้วงัดเส้นเลือดจนขาดสะบั้น แม่ทำลายความเชื่อใจและความศรัทธาของผมไปจนหมดสิ้นแล้ว... ทำไมความสุขอยู่กับผมเพียงเดี๋ยวเดียวแล้วก็บินจากไปราวกับมายา ผมไม่รู้จะไปที่ไหน สมองมันสั่งให้บังคับรถแล้วพาตัวเองมาหยุดที่นี่อีกแล้ว บานประตูห้องของหมอปิดสนิท มันเที่ยงคืนกว่าแล้วผมขับรถออกมาโดยลืมใส่เสื้อตัวนอก แม้แต่รองเท้าผมก็ลืมใส่ ผมยกมือขึ้นเคาะห้องหมอ...แล้วยืนรอ น้ำตาของผมก็ยังคงไหล เสียงเคลื่อนไหวในห้องบ่งบอกว่าหมอเดินมาที่ประตูแล้ว และหมอก็คงจะส่องตาแมวดูแล้วว่าใครมาเคาะห้องตอนดึกๆ แกร่ก... ประตูถูกเปิดออกและทันทีที่ผมเห็นร่างบอบบางในชุดบอลแมนยูตัวเก่งของหมอ ผมก็กลับไปเป็นเด็กชายเมฆอีกครั้ง “หมอครับหมอ...ฮือ.....” ผมคุกเข่าลงกอดเอวหมอซุกหน้ากับหน้าท้องของหมอแล้วร้องไห้อย่างไม่อายใคร หมอยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรแต่หมอใช้ฝ่ามือของหมอลูบผมของผมเบาๆถ่ายทอดความอบอุ่นมาให้กับผม ขอกอดแบบนี้ซักพักนะครับ ผมเหนื่อยเหลือเกิน.. ผมวิ่งตามความรักมากเกินไปจนหมดพลังแล้วในตอนนี้... อย่าเพิ่งผลักไสผมเหมือนที่คนในครอบครัวของผมทำกับผมเลยนะครับ ผมไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ผมไล้มือตามกรอบหน้าคมสันของเขา.. จ้องมองใบหน้ายามหลับของเขาผ่านความมืด.. เมฆหลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยาและไข้ที่กลับมาเล่นงานอีกครั้ง ตัวของเขาอุ่นจัดตอนที่โผลงกอดเอวผมพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นราวเด็กน้อยที่กำลังเสียขวัญ ผมยืนนิ่งให้เขาซุกกายร้องไห้กับผม ปกติเมฆไม่ใช่คนจะมาร้องไห้ฟูมฟายอะไรแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมาเขาพร่ำพูดแต่ว่าเขาไม่เหลือใครแล้ว เกือบสิบนาทีที่ผมืนนิ่งราวกับถูกตะปูตรึงผมจึงกล้าที่จะดึงตัวของเขาขึ้นยืน เขาเล่าเหตุการณ์ที่ได้เจอมาด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ดวงตาฉ่ำน้ำของเขาโรยแสงเหลือเกินในตอนนี้ บางครั้งกลับเข้มขึ้นด้วยแรงอารมณ์ยามนึกถึงพ่อเลี้ยงแสนเลวของเขา เขาผิดหวัง เขาเสียใจ และเขาหมดศรัทธาในสถาบันครอบครัว เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถแสดงความเห็นอะไรได้เพราะยังไงตอนนี้ผมเองก็เป็นแค่เพียงคนนอก สิ่งที่ทำได้คือลูบหลังเขา บีบมือเค้าเบาๆ ผมยังอยู่ตรงนี้นะ ยังรอคุณอยู่ที่ตรงนี้นะ ผมเป็นเหมือนหมาที่ถูกเจ้าของทิ้งขว้าง ทำได้เพียงรอเขากลับมามอบความรัก ให้อาหารบ้างบางเวลาเท่านั้น หมาที่โง่..โง่เพราะคิดว่าเจ้าของยังรักยังเอ็นดูกับมัน แค่เห็นน้ำตาของเขาผมก็แทบจะร้องไห้ตามอยู่แล้ว ยิ่งสายตาเหมือนเขาสำนึกผิดได้นั่นยิ่งทำให้ใจที่คิดว่ามันแข็งแรงขึ้นมาได้บ้าง ความมั่นใจนั้นถูกทำลายลงในทันทีที่ริมฝีปากของเขาเอื้อนเอ่ยคำว่า “ที่ผ่านมาผมขอโทษนะครับหมอ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ขอโทษจากใจจริงๆ” “ไม่เป็นไรแล้วนะ เข้าห้องเถอะ?” แล้วก็กลายเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายจูงมือของเขาเข้ามาในห้อง แล้วก็เป็นผมเองที่ผสมน้ำอุ่นมาล้างเท้าให้กับเขาเพราะตัวของเขาเย็นเฉียบ แล้วก็เป็นผมเองที่ดึงเขาเข้ามานอนกอด แล้วก็เป็นผมเองที่ใจอ่อน... เป็นผมเองที่รับเขากลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ผมประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากอุ่นจัดของเขา ผมรัก รักเขามากมายเหลือเกิน ไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่คิดถึงเขา 1 วัน มี 86,400 วินาที ผมใช้เวลาในการคิดถึงเค้าไปซะ 86,399 วินาที เหลือไว้คิดถึงเรื่องของตัวเองเพียงแค่ 1 วินาที ผมนี่เป็นเอามากเนอะ เป็นเอามากที่รับเค้าเข้ามามีอิทธิพลในหัวใจมากเกินไป มากจนละเลยตัวเอง มากจนผมลืมไปว่าตัวผมเองก็มีค่า ผมไม่ได้ลืมหรอกนะความเจ็บช้ำที่ได้รับมาตลอดเวลาหลายเดือน ก็อย่างที่เคยบอกไปกับหมอกว่าแผลของผมมันยังสดเหลือเกิน แต่วันนี้ผมขอ ขอแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเช้าที่ผมจะสามารถกอดเขาไว้ได้ให้มากที่สด นานที่สุดเท่าที่ใจจะต้องการ ก่อนที่ผลสุดท้ายความสัมพันธ์ของเราก็จะเป็นแค่คนเคยรักกัน ผม...ใจอ่อนในวันนี้เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้หัวใจได้เข้มแข็งในวันข้างหน้า ตอนนี้เค้าแค่เคว้งคว้าง พอเขาตั้งหลักได้ มีคนรักเขามากมายเหลือเกิน ผมไม่อยากต้องไปรบรากับใครอีกแล้ว ผมเลื่อนตัวลงนอนข้างๆเขาหนุนหัวกับมือตัวเองจ้องมองเสี้ยวหน้าของเขาผ่านความมืดไม่แม้แต่จะอยากกระพริบตา ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมกำลังนอนมองอยู่นี้จะเป็นเพียงภาพมายาเพียงแค่กระพริบตาร่างของเขาก็จะสลายกลายเป็นละอองสีรุ้งแล้วปลิวไปตามสายลม ไม่แม้แต่จะกล้าหายใจแรงกลัวเขาจะรำคาญ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเปลี่ยนท่ากลัวเขาจะรู้สึกตัวแล้วจากผมไปก่อนเวลาอันสมควร กลัวไปซะทุกอย่าง จริงๆแล้วผม....ไม่ได้เข้มแข็งอะไรอย่างที่ปากเก่งออกไปเลยซักนิดผมยังคงรักเขาหมดหัวใจ ............................................... ไม่รู้จะสงสารใครก่อนดี...
ถ้าเราเป็นเมฆคงไล่ออกไปให้หมด เอาโฉนดคืนทันที บายยยยยยยย พ่อแม่เฮงซวย :z6:
เริ่มฉลาดสักทีนะ
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เปนไงอิเมฆตอนแกมีทุกอย่างแกทิ้งหมอ ทำดีกับทุกคนยกเว้นหมอ สุดท้ายโดนคนพวกนั้นทำร้ายมาก้อกลับมาหาหมอ งืออออออออ ไม่อยากให้หมอกลับไปหาอิเมฆเลยยยยยย คนดีๆแบบหมอสมควรเจอเรื่องแบบนี้หรอถามจีงงงงงงงงงงงงงงงงงง :heaven
เปนไงอิเมฆตอนแกมีทุกอย่างแกทิ้งหมอ ทำดีกับทุกคนยกเว้นหมอ สุดท้ายโดนคนพวกนั้นทำร้ายมาก้อกลับมาหาหมอ งืออออออออ ไม่อยากให้หมอกลับไปหาอิเมฆเลยยยยยย คนดีๆแบบหมอสมควรเจอเรื่องแบบนี้หรอถามจีงงงงงงงงงงงงงงงงงง :heaven เมฆเป็นคนดีไมได้หลงอะไรในวงการหรอกแต่ที่ทำไปเพราะประชดอิผจก.ที่ถูกย้ายไปนี่แหละและที่ให้เงินไอ้เด็กเชี่ยหมอกเพราะเมฆอยากให้ทุกคนในครอบครัวยอมรับในตัวเมฆแต่น้องมันก็ไม่รักดีแถมพ่อชั่วๆแม่ที่ไม่กล้าทำอะไรเผื่อปกป้องลูกมันก็จริงนะที่เมฆอยากเลี้ยงพ่อแม่ทำตามหน้าที่ของลูกคนนึงในสังคมแต่ถ้าพ่อเลี้ยงหรือแม่แท้ๆกับน้องเวรทำตัวแบบนี้เมฆทำแบบนี้ถือว่าใจดีมากแล้วนะเป็นเราหักดับโหดๆไม่ใจดีแล้ว
เมฆผิดที่คิดออยากจะได้รักชั่วคราว ลืมรักแท้ที่หมอมอบให้ หลงวนกับครอบครัวที่คิดแต่จะเอาผลประโยชน์จากตัวเอง
ลูกเป็ดขี้เหร่[:19:] ผมก้มหน้ารับคำทักทายจากบรรดาหมอและพยาบาลที่ทักทายยามผมเดินผ่านรวมทั้งคนไข้ที่มารับการรักษาและมาตามที่หมอนัด จิตใจของผมวันนี้ไม่ปกติเอาเสียลยหลังจากสั่งให้ใครบางคนช่วยเดินออกไปจากชีวิตของผม แน่นอนเขาพยายามดึงรั้งผมไว้ จะด้วยรักผมจริงๆหรือเพราะตอนนี้เขาไม่เหลือใครแล้วก็ตามแต่ แต่ผมบอกแล้วผมจะเป็นจิณณ์คนโง่จนถึงเช้านี้เท่านั้น หลังจากเค้าลืมตาตื่นขึ้นมาเรื่องระหว่างเราคือจบ...จบจริงๆ “หมอครับหมอ...ได้โปรดให้โอกาสผมอีกซักครั้งได้มั้ยครับ ผมสัญญาว่าผมจะหยุดทุกอย่าง ผมจะเลิกกับพี่เดย์ ผมจะไม่ไปยุ่งกับใครอีก นะครับ ได้โปรดยกโทษให้ผม” “ขอโทษนะ หมอคงให้คุณแบบที่คุณขอไม่ได้หรอก เราจบกันเถอะนะ ตอนนี้คุณไม่ใช่ลูกเป็ดของหมออีกต่อไปแล้ว คุณกลายเป็นหงส์สูงส่งเกินกว่าที่หมอจะเอื้อมถึงแล้ว ตอนนี้หมอจับต้องคุณได้แค่เศษขนที่คุณสลัดหลุดเท่านั้นเอง” “โธ่หมอครับ ผมยังเป็นคนเดิมนะครับ ผมขอโทษที่ผมนอกลู่นอกทางไป ผมสาบานเลยว่าหลังจากนี้ผมจะซื่อสัตย์กับหมอคนเดียว หมออย่าบอกเลิกกับผมอีกเลยนะครับ เราไปเที่ยวกันมั้ยครับไปที่ไกลๆไปเมืองนอกไปไหนก็ได้ที่หมออยากไปผมพาหมอไปได้นะครับตอนนี้ผมมีทุกอย่างแล้วชื่อเสียงเงินทอง ถ้าหมอทิ้งผม ผมจะกลายเป็นคนไม่มีอะไรในทันทีเพราะสำหรับผมแล้วหมอมีค่าที่สุด อย่าทิ้งผมไปเลยนะครับ นะครับหมอ” “นี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” ผมหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ชื่อเสียง เงินทอง ทรัพย์สิน มันจะสำคัญอะไรถ้ามีสิ่งนั้นแล้วแต่เขาเปลี่ยนไป “ไปซะ หมอไม่ได้อยากได้อะไรจากคุณเลยซักนิด สิ่งที่หมอต้องการน่ะคุณให้ไม่ได้หรอก” “ก็แล้วหมออยากได้อะไรล่ะครับ ผมจะรีบหามาให้เลย” เขาก็ยังคงไม่ข้าใจสิ่งที่ผมพูดอยู่ดี ยิ่งมองเค้าผมก็ยิ่งเหนื่อยใจ ยิ่งเห็นสายตาที่คาดหวังของเค้าผมก็เหมือนจะหมดแรง “เอาลูกเป็ดขี้เหร่คนเดิมของหมอกลับมาได้มั้ยล่ะ” เขานิ่ง.... ผมนิ่ง.... เราต่างคนต่างนิ่งทำเพียงส่งสายตามองกันผ่านความเงียบ สายตาของเขาดูสับสนกับสิ่งที่ผมขอ ส่วนสายตาของผม ผมพยายามกลั้นอาการที่ปะทุอยู่ข้างใน พอกันทีกับความรู้สึกที่มีให้กัน ถ้าเขากลับมาเป็นคนเดิมไม่ได้ผมจะเป็นฝ่ายหยุดมันเอง “ถ้าจะไปแล้วก็ปิดไฟล็อกห้องให้ด้วยนะ” ผมพูดขณะเดินผ่านเขาไป เมฆปล่อยมือให้ตกข้างลำตัวมองผมเดินออกนอกห้อง ไม่ฉุด ไม่รั้ง ไม่ขอร้องอีกต่อไป ผมไม่มีน้ำตาจะไหลแล้วล่ะ เขาควรมีเวลาทบทวนตัวเอง ขอแค่เมฆคนเดิมกลับมา ผมจะไม่ขออะไรแล้วจริงๆ “โธ่อาม่าครับผมก็รักอาม่าเหมือนเดิมอย่างอนสิครับ” ผมกรอกสายทำน้ำเสียงออดอ้อนผ่านเครื่องมือสื่อสาร อาม่าที่อยู่กับครอบครัวคนอื่นๆจของผมที่อเมริกาโทรทางไกลมา คนแก่งอนน่ะง้อยากยิ่งกว่าสาวๆงอน ผมเอาดินสอวาดรูปเล่นระหว่างคุยกับคุณนายเธอล่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นอาม่าผมก็กลัวหัวหดแล้ว ไหนจะน้ำเสียงประชดประชันเย็นชานั่นอีก “ใช่ซิ๊ ตอนนี้อาม่ามันแก่แล้วนี่ นมเหี่ยวๆที่ลื้อเคยดูดเล่นมันไม่มีความหมายแล้วนิ๊” 1 ดอก “แก้มของอาม่ามันก็เหี่ยวก็ย่นจูบก็ไม่หอมแล้วล่ะเผลอหอมแรงเหนียงยานเข้าจมูกตามไปด้วยลื้อจะหายใจไม่ออกซะเปล่าๆ” ดอกที่ 2 “อาม่าคิดถึงอาจิงมากรู้มั๊ย มัวแต่ไปรักคนอื่นจนลืมอีแก่คนนี้แล้วสินะมันน่าน้อยใจจริงๆ เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนตอนนี้ไอ้นั่นเท่าฝ่าตีนแล้วอาม่าคนนี้ก็หมดความสำคัญแล้วสินะถึงไม่กลับมาหาอาม่าเลยจะสองปีแล้วนะ” ดอกที่ 3 อัดมาเน้นๆ “ต้องรอกลับมาจุดธูปหน้าโลงอาม่าก่อนหรือไงห๊ะอาจิงเอ๊ย” ดอกที่ 4 “โธ่ อาม่าครับ ผมจะไปรักใครมากกว่าอาม่าได้ยังไงล่ะครับ” “ไม่ต้องมาทำปากหวานหรอก ถ้ารักอาม่าก็กลับมาอยู่กับอาม่าซี่ ไปอยู่ทำไมไกลหูไกลตา” “ผมทำงานนี่ครับอาม่า” “ก็กลับมาทำบ้านเราสิอาม่าคิดถึงจะแย่แล้วนะ” อาม่าเริ่มทำเสียงสั่นเครือใส่ผม แน่นอนล่ะผมเป็นหลานรักเพียงคนเดียวของอาม่า ตั้งแต่คบกับเมฆผมก็ไม่เคยได้กลับไปอเมริกาอีกเลย รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ละเลยอาม่าไป ทั้งๆที่คนๆนี้มีความรักมอบให้ผมอย่างเหลือเฝือแต่ผมกลับมองข้าม สำหรับผม ถ้ากลับไปอยู่บ้านตอนนี้ คอยดูแลอาม่ายามแก่เฒ่าอาจจะเป็นทางเลือกที่ดี ไปอยู่ให้ไกลจากเขาหัวใจของผมอาจจะแข็งแรงขึ้น ผมกัดปากอย่างใช้ความคิด ......... “โอเคครับอาม่า ผมจะกลับไปหาอาม่านะครับ แล้วเจอกันนะ จิณณ์รักอาม่านะ” “เทค!!!” เสียงผู้กำกับตะโกนดังลั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวพร้อมๆกับเสียงถอนหายใจของพระเอกหนุ่มที่มีสีหน้ามุ่ยสุดฤทธิ์ดังขึ้น “คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ยเมฆ แค่ซีนง่ายๆนี่ล่อไปจะ 10 เทคแล้วนะ ทำความเข้าใจกับบทก่อนมาทำงานหรือเปล่าเนี่ย” “ผมขอโทษครับ” “แค่ขอโทษมันไม่ช่วยให้งานเดินหรอกนะตั้งใจหน่อยสิ อย่าเป็นตัวถ่วงทีมงานคนอื่นเค้า นี่มันไม่ใช่งานของคุณคนเดียวนะเมฆยังมีทีมงานอีกหลายคนที่ต้องทำงานร่วมด้วยถ้าคุณช้าคนอื่นก็พลอยช้าไปด้วย” ผู้กำกับเท้าเอวก่อนจะส่ายหัวยิกๆกับความไม่ได้ดั่งใจของเมฆ แค่ฉากง่ายๆแค่ต้องแสดงอารมณ์เขินต่อหน้าผู้หญิงที่ชอบซีนสั้นๆแต่เมฆกลับเทคแล้วเทคอีกผิดมาตราฐานที่เคยทำไว้อย่างสิ้นเชิง นางเอกสาวปลีกตัวออกไปนั่งให้ช่างแต่หน้าเติมแป้ง อากาศก็หนาวเพราะลมแรงพระเอกก็ดันมาเล่นห่วยแต่ก็ต้องฝืนยิ้มให้เมื่อเมฆเดินผ่าน “เป็นบ้าอะไรของนายห๊ะ” เดย์ที่ถอดเฝือกอ่อนและกลับมารับตำแหน่งเดิมเดินตามมาตะคอกใส่เมฆที่ยืนเอามือยันราวระเบียงดูวิวด้านนอกอย่างหัวเสีย เกือบอาทิต์ที่ผ่านมามาตราฐานการทำงานของเมฆลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมฆดูเหม่อลอย ดูไม่มีสมาธิในการทำงานจนถูกผู้กำกับตำหนิหลายครั้งพลอยทำให้เขาถูกตำหนิไปด้วย “ผมไม่ได้อยากพลาดหรอกนะแต่ผมเค้นอารมณ์ไม่ออกพี่จะให้ผมทำยังไงล่ะ” เมฆหันหลังพิงริมระเบียงพลางเสยผมอย่างขัดใจ ใครจะไปมีอารมณ์ทำงานแม่ก็พยายามที่จะโทรมาหา หมอกก็ขอเงินอยู่เรื่อยๆล่าสุดไปมีเรื่องต้องประกันตัวเขาก็ส่งเดย์ให้ไปจัดการให้ ไหนจะหมอจิณณ์ที่หลบหน้าไม่ยอมพูดจาทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ จะให้ทำยังไง ก็บอกแล้วว่าจะเลิกจะหยุดแล้วทำไมหมอยังไม่ยอมยกโทษให้ “แม่ง..งี่เง่า...งี่เง่ากันทุกคนเลย” ที่สุดคนตัวสูงก็สบถออกมาอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปตวาดใส่หน้าเดย์ที่ยืนตัวเกร็งด้วยความตกใจ “อะไรของนายเนี่ยไปโมโหใครแล้วมาลงกับพี่แบบนี้ได้ยังไง เป็นบ้าไปแล้วเหรอ” เดย์ตรงไปผลักอกเมฆรัวๆหลายๆครั้งพลางกร่นด่าอย่างอารมณ์เสีย “นายไม่ตั้งใจทำงานก็ต้องโดนด่าป่ะ นายโดนด่าพี่ก็ต้องโดนด้วยป่ะ นายต้องรับผิดชอบหน้าที่ของนายสิ” “เวลาแบบนี้มันใช่เรื่องมั้ยที่พี่จะมาโทษนั่นโทษนี่ผมแทนที่จะให้กำลังใจกันไม่มีเลยพี่เอาแต่สั่งให้ผมทำนู่นทำนี่ผมเป็นคนนะไม่ใช่เครื่องจักรเหนื่อยเป็นมีอารมณ์เป็น พี่นี่มันไม่ได้ครึ่งของหมอจิณณ์เลยจริงๆ” “นายมีสิทธิ์อะไรที่เอาฉันไปเปรียบเทียบกับมันห๊ะเมฆ” ศิโรจน์ที่ได้ฟังคำพูดดูถูกตัวเองถึงกับพุ่งมารัวกำปั้นใส่หน้าอกของเมฆอย่างโมโห ลืมไปสนิทว่าแขนตัวเองยังไม่หายดี เมฆยืนให้เดย์ทุบระยะหนึ่งก่อนจะรวบมือนั้นแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาลุกโพลนราวกับมีไฟกองใหญ่อยู่ในนั้น มันเรื่องอะไรเอาเขาไปเปรียบกับคนอย่างจิณณ์ คนแบบนั้นมีอะไรมาสู้เขาได้ ขนาดเมฆที่เป็นที่หมายปองของใครหลายๆคน เมฆที่มีจิณณ์เป็นเจ้าของอยู่แล้วเขายังแย่งมาได้ แล้วมันเรื่องอะไรเอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนไร้น้ำยาแบบนั้น “เลิกทำตัวเหมือนหมาบ้าซักทีพี่รู้มั้ยว่ามันยิ่งทำให้พี่ดูน่าเกลียดมากขึ้นเป็นล้านเท่า ผมจะบอกอะไรให้นะเวลาผมเหนื่อยผมท้อผมอารมณ์ไม่ดี หมอเขาจะจับมือผมไว้ กอดผม ปลอบผม ไม่เป็นไรนะเมฆเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเมฆของหมอเก่งอยู่แล้วใช่มั๊ย ส่วนพี่แค่ผมพลาดนิดเดียวพี่ก็เอาแต่ด่าๆๆๆ ทีนี้รู้หรือยังว่าพี่กับหมอต่างกันตรงไหน สำหรับหมอผมคือความรัก สำหรับพี่ผมคือความลุ่มหลง ใช่หรือเปล่า พี่ไปคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ที่จริงแล้วพี่ไม่ได้รักผมหรอก พี่แค่หลง หลงรูปร่างหลงชื่อเสียงของผมแค่นั้นเอง” ผมผละจากพี่เดย์มานั่งให้พี่ช่างแต่งหน้าเติมแปงเซตผมอีกรอบพยายามรวบรวมสมาธินั่งหลับตาเงียบๆสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ผมต้องทำได้ พยายามตัดเรื่องกวนใจทุกอย่างออกไปจากสมอง ตอนนี้ผมควรโฟกัสเรื่องงานก่อนที่ทุกอย่างมันจะรวนจนเสียระบบไปมากกว่านี้นั่งรอช่างเทคนิคจัดแสงจัดฉากอีกพักผมก็ถูกผู้กำกับเรียกไปเข้าฉาก ครั้งนี้ผมไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ผมนึกถึงช่วงแรกที่จีบหมอใหม่ๆ ความรู้สึกเขินทุกครั้งที่ลอบมองหน้าหมอแล้วถูกหมอจับได้ผุดเข้ามาในสมอง จำได้ว่าเราเคยมองตากันตอนแย่งกันคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก วันที่อากาศสดใสเราเดินเคียงคู่กัน หลังมือของเราชนกันหลายต่อหลายครั้งทำให้หัวใจของผมพองโตได้เสมอ ยังจำได้ถึงความรู้สึกแรกที่ทำใจกล้าคว้ามือของหมอไปกุมไว้ มันทั้งอบอุ่นและหอมหวาน หัวใจมันพองราวกับลูกโป่งอัดก๊าซ แทบจะลอยขึ้นสรวงสวรรค์ ไปดูหนังในโรงด้วยกันครั้งแรกหมอหลับตั้งแต่ 5 นาทีแรกหัวกลมๆของหมอค่อยๆเอนมาซบไหล่ผม ดอกไม้ดอกแรกที่ผมให้หมอมันไม่ใช่ดอกไม้ราคาแพง ไม่ใช่ดอกไม้จัดช่อสวยหรูหรือกุหลาบสั่งตรงจากเมืองนอกมันเป็นเพียงดอกหญ้าดอกเล็กๆที่ขึ้นอยู่ตรงซอกตึกแตกๆ ผมวิ่งไปเด็ดก่อนจะยื่นมันให้กับหมอทื่อๆ หมอทำเพียงมองหน้าผมก่อนจะรับไปถือไว้แล้วพูดคำว่า “ไอ้บ้า” แค่นั้นแล้วก็เดินหนีไป ผมมาพบว่ามันถูกนำไปเคลือบแล้วทับไว้ในสมุดเล่มหนาที่หมอใช้จดนั่นจดนี่ ไม่เคยทิ้งเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมให้หมอล้วนแต่เป็นของเล็กๆน้อยๆ แต่หมอก็เก็บไว้ราวกับมันเป็นของมีค่า “เก็บไว้เหงาๆหรือคิดถึงกันจะได้นั่งดูว่าไอ้อันนี้ให้เนื่องจากโอกาสอะไรหรือเราอยู่ในอารมณ์ไหนตอนนั้น” เป็นเหตุผลง่ายๆของหมอที่พอนึกถึงก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาได้ “คัท..โอเคผ่าน” เสียงผู้กำกับทำให้ผมหลุดจากภวังค์ก่อนจะก้มหัวขอบคุณทีมงานทุกคน วันนี้เท่ากับผมหมดซีนแล้ว ผมแยกตัวออกมาเก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า พี่เดย์ที่นั่งกอดอกอยู่มุมหนึ่งของห้องส่งค้อนมาให้ผมซึ่งผมเองไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ผมเบื่อกับนิสัยแย่ๆของพี่เดย์เต็มที “ไม่คิดจะชวนกลับเลยหรือไง” ทันทีที่ผมคว้ากุญแจรถเดินออกมาด้านนอกสถานที่ถ่ายทำพี่เดย์ก็วิ่งมาคว้าไหล่ของผมไว้ “ปล่อย” ผมสะบัดไหล่ออกอย่างไม่ยี่หระแต่พี่เดย์ยังตามมาคว้ามือของผมไว้อีก “เธอต้องให้พี่กลับด้วยนะ พี่ไม่ได้เอารถมาเธอก็รู้” “โบกแท็กซี่กลับเอาก็แล้วกันผมมีธุระต้องทำต่อ” ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำมันเย็นชาและโหดร้ายสำหรับพี่เดย์ แต่ตอนนี้ใครจะสนล่ะ ทนได้ก็ทนไป ทนไม่ได้ก็เลิกยุ่งกับผมซักที “เมฆ เดี๋ยวสิ” พี่เดย์ยังคงตามตื้อไม่เลิกผมหันไปถอนหายใจใส่ก่อนจะตวาดเสียงดังด้วยคำพูดสั้นๆแต่สามารถสะกดให้พี่เดย์หยุดนิ่งได้ราวต้องมนต์สะกด “รำคาญ!!!” “ไม่ไปไม่ได้เหรอครับหมอ” ผมละสายตาจากฟุตบอลทีมโปรดมามองหน้าหมอกที่นั่งบนพื้นส่งสายตาเหมือนหมากำลังจะถูกเจ้าของทิ้งมาให้ ลูกปัดเดินออกจากครัวยกกับแกล้มมาวางแล้วกลับเข้าไปใหม่ อาทิตย์ที่ไม่ได้สนใจอะไรขยับตัวเข้ามาหยิบเนื้อทอดกินหน้าตาเฉยเลยโดนลูกปัดที่หยิบยำอะไรซักอย่างรสชาติเผ็ดเปรี้ยวถึงใจแกล้มกับเบียร์อร่อยพอดีๆเขกหัวไปซะทีนึง “ตะกละ” “ผมแค่ชิมนะเจ๊” “ว่าไงครับไม่ไปไม่ได้เหรอ” “อย่ามาเซ้าซี้น่า” ผมว่าเข้าให้เมื่อหมอกยังงอแงไม่เลิก มันก็งอแงมาตั้งแต่รู้ว่าผมจะกลับอเมริกาแล้วล่ะ จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว แต่จะแวะเมืองจีนไปเยี่ยมบรรดาญาติๆก่อนของฝากก็ซื้อครบแล้วอาอึ้ม อาอี๊ เหล่ากงเหล่าม่าอาเจ๊กอาแปะอาโกวอากู๋ ไม่มีขาดตกบกพร่องมีแต่ผมนี่ล่ะที่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้อยากไป ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว อยากให้คนที่รั้งผมไว้เป็นเขาไม่ใช่หมอกแต่พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์พอหนักๆเข้าผมเลยถีบขาไอ้เด็กโย่งไปซะทีนึงเป็นการปรามว่าอย่ามาเยอะ “โธ่หมออ่ะ” ยัง มันยังไม่หยุดเกาะแข้งเกาะขาแล้วทำหน้าจ๋อย ผมยื่นมือไปยีผมของมันเล่นอย่างเอ็นดูอดหัวเราะขำกับการทำหน้าหุบปากคว่ำของมันไม่ได้ “เป็นไรของนายเนี่ย ตุ๊ดเหรอ” “ตุ๊ดอะไรออกจะแมนขนาดนี้ ผมเกิดมาเพื่อเป็นคนเสียบนะหมอไม่ได้เกิดมาเพื่อถูกเสียบเหมือนคนบางคนหรอก” หมอกมันจีบปากจีบคอตอบด้วยท่าทางกวนส้นเท้าสุดๆ “ปากดีไม่ต้องกินมันล่ะตีนไก่กินตีนกูไปก่อนดีมั้ย” ผมแกล้งว่าพลางส่งเท้าไปหามันจริงๆหมอกรีบผลักออกพลางทำหน้าขยาด ลูกปัดหยิบกับแกล้มอย่างสุดท้ายมาวางพลางตีมืออาทิตย์ที่ยื่นไปหยิบกินทั้งๆที่ของยังวางไม่ถึงโต๊ะเลยด้วยซ้ำ “กินเยอะๆล่ะเดี๋ยวพอหมอไปแล้วคงไม่ได้มานั่งสุมหัวกันแบบนี้” ลูกปัดรินเบียร์ใส่แก้วเติมให้ผม บอกตรงๆว่าไปก็ใจหายนะ ผมรักในมิตรภาพของทุกคน รักทั้งลูกปัดที่เป็นเพื่อนที่ดี รักหมอกที่มันทำตัวให้ผมหัวเราะได้ในเวลาที่ชีวิตดูอึมครึมแบบนี้ รวมทั้งอาทิตย์ด้วย ใบหน้าซื่อๆพร้อมกับท่าทางเรียกร้องความสนใจของมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีน้องชายเพิ่ม ต้องจากกันแล้ว อีกแค่สองวัน เศร้าจัง แต่อย่างว่าล่ะ ชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้าจะมัวมาจมกับความหลังมันก็ใช่เรื่อง ผมรักเค้า...และยังรอให้เค้ากลับมาเป็นลูกเป็ดขี้เหร่แสนซื่อตัวเดิม แต่ผมก็รักและเกรงกลัวอาม่ามากกว่าจะขัดใจท่าน เมฆเหมือนไม้แก่ดัดยากแต่อาม่าของผมท่านเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วถ้าจะต้องเลือกแน่นอนผมต้องเลือกอาม่าของผมอย่างไม่มีข้อยกเว้น “ถ้าหมอไปผมคงคิดถึงหมอ” “อย่ามาเว่อร์อีเมล์ก็มี เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็ทักมาดิ่ นีกลับบ้านนะไม่ได้ไปตายซักหน่อย กินๆเข้าไปเถอะพูดมากน่ารำคาญจริงๆเชียว” “หมอครับอย่าเห็นความรักของคนที่จริงใจอย่างผมเป็นเรื่องน่ารำคาญสิครับ ใจร้ายจัง มีคนรักดีกว่ามีคนเมินนะครับ” “ฉันรู้แล้วน่า” ผมตัดบทด้วยการยกเบียร์ขึ้นดื่ม ฟุตบอลนัดนี้ทีมโปรดของผมแพ้เราช่วยกันเก็บของเคลียร์โต๊ะเสร็จตอนตี 3 กว่าๆ ลูกปัดขอตัวกลับเพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าร้านตอนสายๆ ส่วนหมอกกับอาทิตย์นอนเลื้อยอยู่บนพรมผมจึงบอกให้เด็กทั้งคู่ไปยกผ้าห่มกับหมอนมาปูนอนเอา ตัวผมนั่งกอดหมอนดูซีรี่ส์ที่เอามารีรันรอบดึกใหม่ต่อไม่นานก็ได้ยินเสียงกรนจากอาทิตย์ส่วนหมอกนอนมองหน้าผมนิ่งไม่ได้พูดอะไร “หมอก...” ผมเอ่ยรียกเด็กโย่งในความมืดซึ่งมันก็ขยับตัวเป็นการบอกนัยๆว่ามันรับรู้การเรียกขานของผม “เย็นตีนจัง ขอเอาตีนซุกอกเสื้อหน่อยได้มั้ย?” มันทำท่าผงะก่อนจะร้องโว๊วววว ผมทำเพียงหัวเราะหึหึ ชอบใจที่ได้แกล้งมัน ตายังคงจับจ้องซีรี่ส์ในทีวีอยู่ มันเป็นซีรี่ส์ที่เมฆเล่น เนื้อเรื่องค่อนข้างเศร้า พระเอกกำลังตามหานางเอกที่หนีไปฝรั่งเศส น้ำตาของผมไหลออกมาเมื่อคนทั้งคู่ตามหากันจนเจอพระเอกสารภาพรักกับนางเอกสัญญาว่าจะรักเธอชั่วนิรันดร์ ซักพักความรู้สึกอุ่นที่ฝ่าเท้าทำให้ผมก้มลงไปมองหมอกจับเท้าทั้งสองข้างของผมเข้าไปซุกที่อกเสื้อของมันจริงๆแถมเอาผ้าห่มคลุมให้อีกต่างหาก “เห็นว่าจะไปแล้วหรอกนะ” มันว่ายิ้มๆจับเท้าของผมไว้แน่นเมื่อผมทำท่าจะชักเท้ากลับ ผมไม่ได้พูดอะไรทำเพียงยิ้มทั้งน้ำตาให้กับคนที่ปิดเปลือกตาไปแล้ว ขอบใจนะน้องชาย... ............................................... ตอนหน้าจบค่ะ
จะจบแล้วหรอออ ใจหายเบาๆ :mew6:
เมฆหลงไปกับแสงสีจริงๆ
อิผจกนี่มันน่าจะตายๆไปตั้งแต่โดนรถชน เสียดายอิฉันไม่ได้เปนคนขับ :katai1: ไม่งั้นไม่รอดมาแร่ดจนถึงตอนนี้หรอกกกกกกกกกกกกกกก เพราะนี่คือออออออออ องครักษ์พิทักษ์หมออออออออออ :laugh: ทำไมอิลูกเป็ดไม่พยายามอะไรเพื่อหมอบ้างอะ ยังไปยุ่งกะอิผจกอยู่ได้ มันตัวปัญหาอะ รำคาญ :เฮ้อ:
ลูกเป็ดขี้เหร่[:20:] พรุ่งนี้หมอจะเดินทางไปปักกิ่งแล้วแต่ยังมีควายตัวหนึ่งเดินกินลมชมหญ้าที่ปลายทุ่งลูกปัดควรจะทำยังไงกับมันดีจ๊ะ?? 1 คำถาม สองตัวเลือก ข้อแรกชี้ทางสว่างให้ควายน้อย กับตัวเลือกที่สองปล่อยมันโง่เดินชมทุ่งกับอีกาแก้มบุ๋มต่อไป แต่เอาจริงๆนะพื้นฐานสันดานเดิมของเมฆมันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ศิโรจน์อาจเอาน้ำมันพรายราดตั้งแต่หัวจรดเท้าอะไรประมาณนั้น จ้องเอาผ้าถุงครอบหัวของจะได้เสื่อม...ปัดล้อเล่นนะจ๊ะ นะจ๊ะ นี่ปัดคิดมาตลอดวันเลยนะว่าจะทำยังไงดีเอาเข้าจริงก็ไม่อยากให้สองคนนี้เลิกกันหรอกดูก็รู้ว่าต่างคนต่างยังรักกันมาก ตลอดเดือนมานี้ปัดตามข่าวเมฆไม่มีข่าวซุบซิบกับดารานักร้องคนอื่นๆเลยมีแต่ข่าวเกี่ยวกับเรื่องงานรูปที่เห็นจากสื่อก็เหมือนเมฆจะกันคุณผู้จัดการลักยิ้มหลุมอุกาบาศออกจากวงโคจรของชีวิตด้วยคือมันห่างไกลไม่ใกล้ชิดเหมือนเมื่อก่อน คิดสิปัด คิดๆๆๆๆๆ อยากจะให้สองคนนี้ลงเอยกันแบบไหน ทุกวันนี้หมอจิณณ์เหมือนซากกวางเดินได้ยิ้มแย้มไม่สุดปากหัวเราะไม่สุดเสียงตีนกาแทบจะไม่ผุดมาให้เห็นเหมือนยามมีความสุขเลยกลายเป็นคนทำตัวซังกะตายไปวันๆ ส่วนเมฆน่ะเหรอไม่มาหาหมออีกเลยคงกลัวจะโดนไล่อีก ข้อนี้บ่งบอกได้เลยว่ามันยังหลงเหลือความซื่อปนเซ่อถ้าถูกไล่แล้วจะไม่กล้ามาให้เขาเห็นหน้าคงทำได้แค่เพียงแอบมองเขาจากที่ไกลๆชัวร์ปัดมั่นใจ แล้วมันเรื่องอะไรที่คนรักกันมากขนาดนี้จะต้องแยกร้างห่างไกลกันล่ะจ๊ะ นั่นสิ ปัดว่าปัดมีคำตอบให้กับเรื่องนี้แล้วนะ คิดได้ดังนั้นปัดก็เลยหยิบมือถือที่วางไว้ในตู้อบออกมากดเบอร์ของเมฆภาวนาให้มันยังใช้เบอร์เดิมอยู่ซึ่งก็ได้ผลรอสัญญาณไม่นานปลายสายก็มีคนรับ “ฮัล...” “ไปตามเมฆมาพูดสาย” ปัดไม่รอให้คนทางนั้นพูดจบประโยคเพราะจำน้ำเสียงได้ตั้งแต่ฮัลแล้วโหลจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป “ใครโทรมาไม่ทราบ” “คุณรู้อยู่แล้วน่าศิโรจน์หรือจะต้องโดนอีกซักหมัดสองหมัดเรียกความจำ” “เมฆทำงานอยู่” “งานอะไร” “อีเว้นท์เครื่องสำอางค์ที่ห้าง xx” “บอกมันเรื่องสำคัญถ้าว่างแล้วช่วยโทรกลับด้วย” “ผมไม่จำเป็นต้องให้ดาราในความดูแลของผมโทรกลับไปหาคุณ” “ก็เอาดิ่จะให้โทรกลับหรือจะให้ฉันไปหาคุณก็เลือกเอานะ อ่อ...จะบอกอะไรไว้ให้นะ หน้าตาคุณก็ไม่ได้จัดว่าแย่อะไรหาคนใหม่ง่ายกว่านะฉันดูแล้วเมฆมันก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณเกินกว่าคู่นอนธรรมดานะอย่ามานั่งกินน้ำใต้ศอกชาวบ้านเค้าอยู่เลยทำลายความรักความไว้ใจของคนที่รักกันมันบาปนะคะ” ปัดจิกไปด้วยคำพูดน่ารักๆ?? แต่ทางนั้นไม่น่ารักกลับมาเลยเขาวางสายใส่ปัดแบบไม่ร่ำไม่ลา แล้วใครจะสน ปัดให้เวลา 15 นาทีถ้าไม่โทรกลับปัดจะบุกห้างซึ่งมันไม่ได้ไกลจากที่ทำงานเท่าไหร่นั่งรถเมล์ไป 6 ป้ายก็ถึง ปัดจัดการเคลียร์งานในร้านเอาบิลไปวางไว้ให้เจ้าของร้านที่เป็นญาติกันเสร็จก็ตัดสินใจคว้าเป้เดินออกมาเพื่อรอรถเมล์เลย เรื่องนี้ปัดช้าไม่ได้นะเอาดีๆ เพราะถ้าช้าไปสองคนยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันมันคงเป็นเรื่องที่ปัดคงเสียใจและเสียดายที่คู่ขวัญอันดับหนึ่งของปัดต้องเลิกกันแล้วปล่อยให้ไอ้เด็กหูกางมาทำคะแนนตีตื้นแบบทุกวันนี้ ปัดเดินเลี้ยวโค้งเพื่อมุ่งตรงไปที่ป้ายรถเมล์ผู้คนยังไม่พลุกพล่านเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงานยืนรอไม่นานก็เห็นรถเมล์สายที่ต้องการกำลังจะเคลื่อนมาจอดที่ป้าย ปัดใช้ความระมัดระวังในการเดินเพราะน้ำจากรถดับเพลิงที่ใช้รดน้ำค้นไม้ที่ยังหลงเหลือความเฉอะแฉะทำให้พื้นลื่นรอจนเด็กสาว 3-4 คนกับคนแก่ขึ้นไปก่อนปัดจึงก้าวเท้าขึ้นไปแต่ทว่าก้าวได้แค่ข้างเดียวเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น... “ลูกปัดออนนี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.................รอจินนี่ด้วยค๊า” ขนหัวลุกร่างกายเย็นวาบตั้งแค่โคนผมจรดปลายเท้าเป็นยังไงปัดคงบรรยายออกมาได้ไม่หมด แต่ตอนนี้ปัดเหมือนผู้โดยสารของเรือไททานิคที่ตะเกียกตะกายหนีตายจากทะเลที่รายล้อมด้วยก้อนน้ำแข็งขึ้นไปบนรถเมล์ และผลของความรีบร้อน ผลของการมองไปข้างหลังเห็นเด็กสาวแต่งตัวด้วยเสื้อสีบานเย็นกระโปรงเหลืองรองเท้าเขียวกรีดอายไลนเนอร์หนาเท่าฝ่ามือก็ทำให้ปัด... “ว้ายยยยยยยยยยยย ลูกปัดออนนี่ขาเป็นยังไงบ้างคะตายแล้วเลือดๆๆๆๆๆ” เสียงจินนี่ตะโกนโวยวายโหวกเหวกพร้อมๆกับโชเฟอร์รถเมล์และผู้หญิงที่อยู่เบาะหน้ารีบพุ่งมาประคองปัดที่ก้าวพลาดเหยียบบันไดรถแค่ปลายเท้าลื่นคางฟาดกับบันไดรถให้นั่งตรงเก้าอี้ในป้ายปัดยกมือบอกว่าไม่เป็นไรๆขอบคุณค่ะจนคนพวกนั้นจากไปมีจินนี่มานั่งประคองสีหน้าสำนึกผิดเต็มขั้น ปัดที่กำลังนั่งมึนยกมือขึ้นจับคางตัวเองอะไรเหนียวๆหนืดๆที่ปลายนิ้วทำให้ต้องก้มลงดู “คางแตก...” ปัดจะเป็นลม เอิ๊กกกกกกกกกกกก เป็นลมเลยแล้วกัน.... ผมกลับถึงห้องตอนเกือบตี 4 หลังเสร็จจากงานอีเว้นท์แล้วผมกับพี่เดย์ก็ต้องรีบบึ่งไปกองถ่ายทันทีกว่าจะถ่ายเสร็จของวันนี้ก็เกือบตี 3 เราแวะกินข้าวกันเสร็จแล้วถึงพากันกลับห้องพรุ่งนี้บ่ายผมยังมีงานต่ออีก อ่า... ผมเหนื่อยจัง... ทุกวันนี้เงินในบัญชีของผมก็มีพอสมควรแล้วจากการหาเพิ่มหลังจากเอาไปทุ่มซื้อบ้านเพื่อหวังว่าบั้นปลายชีวิตผมจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นสิ่งจอมปลอมความรักจากครอบครัวสถาบันที่แข็งแกร่งที่สุดกลับเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถเชื่อถือได้ หลังจากวันนั้นวันที่ผมเดินออกมาจากชีวิตหมอตามที่หมอต้องการผมก็รับงานแบบที่เรียกว่าใช้ชีวิตยิ่งกว่าเครื่องจักรเพื่อที่ผมจะได้ไม่ว่างฟุ้งซ่านคิดถึงหมอกับหาเงินสร้างอนาคตที่มีผมเพียงคนเดียวในโลก ถ้าไม่มีหมอจิณณ์ผมก็ไม่คิดจะสร้างอนาคตกับใครอีกต่อไป ผมพยายามไม่ไปแอบมองหมอแถวคอนโดหรือโรงพยาบาลอีกแต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกินไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่ผมว่างแม้จะง่วงแสนง่วงเหนื่อยแสนเหนื่อยแค่ไหนผมก็จะต้องไปนั่งจิบกาแฟติดกระจกตรงมุมที่สามารถมองทางเข้าออกคอนโดได้ หรือแม้แต่ทนนั่งให้แดดสาดใส่เอาหนังสือพิมพ์ปิดหน้านั่งรอดูหมอเลิกงานที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม เหมือนพวกโรคจิตแต่พอได้เห็นว่าหมอมีท่าทางสีหน้าดีขึ้นแม้ใจผมจะเจ็บแต่ผมก็ต้องยอม หมอมีลูกปัด หมอก และอาทิตย์คอยอยู่เคียงข้างคอยประคับประคองจิตใจ ในขณะที่ผมไม่มีใครเลย... ผมล้มตัวลงนอนหลับตายามนึกถึงเสียงหัวเราะของหมอ “เมฆของหมอเก่งที่สุดเลย” คำพูดที่หมอมักบอกกับผมประจำยามที่ผมเหนื่อยผมล้าดังขึ้นทุกครั้งเวลาที่ผมจะนอน เมื่อก่อนผมมักจะเผลอยิ้มออกมาแต่ทุกวันนี้เวลาที่ผมนึกถึงคำๆนี้น้ำตาของผมกลับไหลออกมาแทน “เมฆไม่เก่งแล้วล่ะครับหมอ ไม่เก่งแล้ว" Rrrrrrrrrrr ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงโทรศัพท์หัวเตียงกรีดเสียงดังขึ้นติดจะหงุดหงิดเมื่อมองนาฬิกาเรือนใหญ่เพิ่งจะ 11 โมง หยิบขึ้นมาดูกะจะด่าซักหน่อยที่โทรมากวนเวลานอนของผมแต่พอเห็นชื่อข้างหน้าจอแล้วก็กดรับแทบไม่ทัน “ลูกปัด...” “ทำไมแกไม่โทรกลับฉันห๊ะไอ้โง่” เสียงปลายสายแหวใส่จนผมที่ยังงัวเงียขี้ตาสะดุ้งก่อนจะเบี่ยงหน้าหนีเสียงแหวๆนั่น “โทรกลับ? แกโทรมาหาฉันเหรอ” “ก็เออน่ะสิ นี่ทำบ้าอะไรอยู่รีบเลยนะ ฉันไม่ได้ทำเพื่อแกหรอกนะจะบอกให้แต่ตอนนี้หมออยู่สนามบินแล้วเครื่องออกตอนบ่ายโมงโอกาสสุดท้ายของแกแล้วนะเมฆ เลือกเอาว่าจะเอาหมอหรือเอาไอ้ผู้จัดการนิสัยแย่นั่น” ลูกปัดมันพูดอะไรต่อผมก็ไม่ได้ฟังแล้วสมองของผมได้ยินแต่คำว่าหมอจะกลับอเมริกา...ผมคว้าเสื้อยืดที่พนักเก้าอี้ใส่กางเกงก็ยังเป็นกางเกงนอนขายาวคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าเงินได้ก็วิ่งออกมาทันทีแต่ต้องชะงักเมื่อพี่เดย์พุ่งมาขวางไว้ “จะไปไหน” “หลบ” ผมไม่ได้สนใจคนๆนี้และจะไม่สนใจอีกต่อไปผมเหวี่ยงเขาออกจากตัวและหลังจากนี้พี่เดย์จะถูกผมเหวี่ยงออกจากชีวิตแน่นอนออกวิ่งลงบันไดมาเพราะลิฟท์ไม่ทันใจผม หมอ...ได้โปรดรอผมก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไป อย่าทิ้งผมไป ลูกเป็ดขี้เหร่ที่หมอต้องการคืออะไรตอนนี้ผมรู้แล้ว หมอไม่ได้อยากเป็นคนที่ผมรักที่สุดแต่หมอต้องการเมฆที่รักหมอจิณณ์เพียงคนเดียว หมอไม่ได้ต้องการเมฆที่เป็นพระเอกเป็นดาราดังแต่หมอต้องการเพียงเมฆผู้ชายธรรมดาที่มีความซื่อปนโง่ ผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย.. ผมยังคงเป็นเมฆคนเดิมของหมอนะครับ ได้โปรดรอผม..ให้โอกาสผม แล้วผมจะกลับไปเป็นคนเดิม ผมจะเลิกวิ่งหาความรักจอมปลอมแล้วรับแค่ความรักของหมอเพียงคนเดียว ผมจะไม่เรียกร้องความสนใจจากใครผมจะเรียกร้องแค่หมอคนเดียว ผมจะหยุดทุกอย่าง ไม่เป็นแล้วก็ได้ดารา ให้ผมออกจากวงการก็ได้ ขอแค่หมอไม่ทิ้งผมไป อย่าทิ้งผมไป... ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าถึงจอดรถที่ลานจอดรถของสนามบินแทบจะไม่ได้ล็อกรถด้วยซ้ำผมก็พุ่งตัวออกจากตัวรถ ผมลืมไปด้วยซ้ำว่าผมไม่ได้ใส่รองเท้าออกมาจากห้อง อีกแล้ว...เวลาผมรีบผมมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ผมวิ่งเข้ามาด้านในสายตามองหาไฟล์บินของหมอจิณณ์ว่าอยู่ตรงไหนก่อนจะวิ่งตรงไปเกทที่ต้องการค่อนข้างจะไกลแต่ผมไม่ได้สนใจตอนนี้สนใจแค่หมอจิณณ์เท่านั้น ผมกวาดสายตามองหาคนของหัวใจในขณะที่ผู้ดายสารหลายคนเริ่มมองมาที่ผมบ้างก็ซุบซิบกันบ้างก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป บางคนพูดออกมาว่าผมคงกำลังถ่ายละคร ใช่ผมกำลังถ่ายละคร ฉากสำคัญซะด้วยสิ ถ้าฉากนี้ไม่ผ่านชีวิตของผมคงหาความสุขไม่ได้หลังจากนี้ “โอ้ย....เลิกกวนตีนซักทีได้มั้ย” เสียงคุ้นหูดังมาจากมุมหนึ่งผมหันขวับไปมองทันทีในมุมริมกระจกภาพของผู้ชายหน้าหวานกำลังล็อกคอเด็กตัวโย่งสองคนพลางจับให้หัวของสองคนนั่นกระแทกกัน เสียงร้องโอดโอยผสมกับเสียงหัวเราะอย่างสะใจนั่น ไม่ใช่ใครเลย.. คนที่ผมกำลังตามหา ผมสาวเท้าเข้าไปหาเขา ใกล้เข้าไป.. ใกล้เข้าไป.. พร้อมๆกับที่หมอปล่อยเด็กสองคนนั่น มองเลยไปลูกปัดกำลังนั่งกดมือถืออยู่พร้อมๆกับมือถือของผมก็สั่นขึ้น “พี่..” หมอกที่หันมาเห็นผมก่อนเอ่ยเรียกเบาๆทำให้คนอื่นๆพลอยหันมามองผมด้วย “หมอ...” ผมเอ่ยเรียกหมอเหมือนคนละเมอ รอยยิ้มบนใบหน้าของหมอเมื่อครู่จางอย่างรวดเร็วเหมือนคลื่นของทะเลที่ซัดเข้าฝั่งเพียงครู่ก็สลายตัว “ได้โปรด...อย่าทิ้งผมไปได้มั้ยครับ...” ผมร้องขอด้วยน้ำเสียงของผู้ชายที่หมดท่า หมดแล้วจริงๆ ผมอาจจะมีศักดิ์ศรีกับใครต่อใครแต่กับหมอผมวาง...วางลงซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างกับหมอไม่มีอะไรที่ผมให้ไม่ได้ ในวันที่ผมไม่เหลือใครหมอเปิดประตูรับผมโดยไม่รังเกียจ ในวันที่ผมมีชื่อเสียงหมอจิณณ์ยอมหลบอยู่ในมุมมืดเฝ้าดูการเจริญเติบโตของผมด้วยใจที่ยินดี ในยามที่ผมอ่อนล้าคนที่อยู่เคียงข้างผมก็ยังคงเป็นหมอ หมอกทำท่าเหมือนจะเดินมายืนเคียงข้างหมอจิณณ์ที่ยังคงยืนจ้องหน้าเมฆอยู่ผู้คนเริ่มรายล้อมเข้ามาลูกปัดที่รอท่าอยู่แล้วจับแขนหมอกไว้เด็กหนุ่มหันไปมองอย่างไม่พอใจแต่ก็ต้องสงบลงเมื่อลูกปัดจ้องหน้าเขาไม่ได้ละไปไหนพลางส่ายหน้าช้าๆ แค่มองตาก็รู้ว่าลูกปัดจะสื่ออะไร คนที่ต้องยืนเคียงข้างหมอจิณณ์ไม่ใช่เขา พื้นที่ข้างกายของหมอจิณณ์เป็นของมัน.. มันที่มองหมอด้วยสายตาอ้อนวอน มือของหมอเลื่อนมาบีบกันอย่างไม่รู้ตัวคู่นั้นก็ไม่ใช่เค้าที่มีสิทธิ์มอบความอบอุ่นให้เพราะหมอรอเพียงความอบอุ่นจากมันที่กำลังปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาราวเด็กน้อยขี้แยที่กำลังจะสูญเสียของรัก หมอกที่ทำท่าจะดึงดันดึงแขนออกก็ปล่อยมือให้ตกลงข้างตัวทันที “เจ๊..ผมแพ้แล้วล่ะ” ที่สุดหมอกก็เอ่ยออกมาเบาๆแล้วทรุดลงนั่งใกล้ลูกปัดที่นั่งลูบผ้าก๊อซที่คางตัวเองเล่น ยังดีที่มันเลือกถูก “ร้องไห้ทำไม...” อีกครั้งที่น้ำเสียงอ่อนโยนที่ทอดถามผมมา นั่นทำให้คนที่กำลังสับสนไปซะทุกอย่างและหวาดกลัวไปซะทุกสิ่งอย่างผมปล่อยโฮอย่างสุดกลั้นผมโผเข้ากอดหมอจิณณ์ไว้อย่างหวงแหน ตอนนี้จะให้ผมทำอะไรก็ได้ที่จะรั้งหมอไว้ไม่ให้ไปจากผม “อย่าหนีผมไป...ได้โปรดอย่าทิ้งผมไป อย่าทิ้งลูกเป็ดตัวนี้ที่ไม่มีฝูงให้หลงทางอยู่คนเดียวเลยนะครับ” “มีเหตุผลอะไรที่หมอต้องอยู่กับคุณล่ะในเมื่อมีคนอื่นที่เค้าพร้อมจะอยู่กับคุณแล้ว” เสียงของหมอจิณณ์สั่นเครือเมื่อเอ่ยประโยคหลัง ผมส่ายหัวทันทีอย่างไม่ยอมรับคำพูดนั้น “ไม่ ผมไม่มีใครอีกแล้วผมจะมีแค่หมอ แค่หมอคนเดียว ผมสัญญาว่าต่อไปนี้ผมจะไม่เหลวใหลจะมั่นคงต่อหมอ นะครับให้โอกาสผมนะ” “ให้โอกาสเหรอ หมอเคยให้โอกาสคุณซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งที่คุณเหยียบสัญญาที่คุณให้หมอแล้วหลังจากนี้หมอจะเชื่อใจได้ยังไงว่าถ้าหมอกลับไปคบกับคุณ คุณจะไม่ทำลายมันอีกภาคินัย...คุณกล้าบอกใครต่อใครมั้ยล่ะว่าหมอเป็นอะไรสำหรับคุณ” “สำหรับผม...” ผมหยุดพูดก่อนจะดันตัวหมอออกไปอีกนิดเพื่อให้หมอได้เห็นดวงตาของผม ดวงตาไม่โกหกใครเหมือนวาจา... ผมจ้องหน้าหมอถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆที่มีในใจก่อนจะกวาดสายตามองผู้คนที่เริ่มมามุงดูกันมากมายนับร้อยคนก่อนจะหันกลับมามองหน้าหมอที่ยังคงจ้องหน้าผมเพื่อรอคำตอบของผมอยู่ “สำหรับผมหมอคือ...ลมหายใจ” “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด” “สำหรับผมหมอคือ...ชีวิต” “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด” “สำหรับผมหมอคือ....อากาศ” “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” “สำหรับผมหมอคือโลกทั้งใบของผม” “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด” “สำหรับผมหมอคือหัวใจของผมได้โปรดกลับมาหาผมนะครับ” สิ้นคำพูดของผมเสียงกรี๊ดของผู้ที่ล้อมพวกเราอยู่ก็กรี๊ดลั่นยิ่งกว่าเดิม หมอจิณณ์ยกมือปาดน้ำตาของตัวเองหันไปมองผู้คนที่ถ่ายทั้งรูปทั้งคลิปของพวกเราก่อนพวงแก้มอิ่มจะแดงเรื่อขึ้นน้อยๆ หมอหันกลับมามองหน้าผม ริมฝีปากสวยของหมอค่อยๆยกยิ้มขึ้นเมื่อผมร้องไห้มากขึ้นกว่าเดิม ผมสะอึกสะอื้นอย่างไม่อายใครยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาและน้ำมูกป้อยๆส่วนอีกมือก็จับข้อมือหมอไว้ไม่ยอมปล่อย “เด็กโง่...กลับมาเป็นคนเดิมแล้วใช่มั้ย? ทำไมรู้ตัวช้าจัง...” “อย่าไปนะครับ...” ผมยังคงอ้อนวอนซ้ำๆแทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าหมอพูดอะไร หูอื้อตาลายไปหมด “ไม่กลับไม่ได้หรอก...ยังไงหมอก็ต้องไป หมอดีใจนะที่นายกลับมาเป็นเมฆคนโง่คนเดิม...” หมอจิณณ์คงเกลียดผมแล้วจริงๆสินะ สมน้ำหน้าแล้วล่ะกับสิ่งที่ผมได้รับในวันนี้ผมคงพยายามไม่มากพอหรือไม่หมอก็คงหมดความเชื่อมั่นในตัวผมไปแล้วสินะ... สมควรแล้วสินะกับการที่ผมปล่อยให้หมออยู่เพียงลำพังแล้วไปสนุกกับคนอื่น ผมอาจจะเป็นคนหน้าด้านที่ถึงได้ยินแบบนั้นก็ยังจะหวัง ผมสบตาหมออีกครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ผมจะเหนี่ยวรั้งหมอไว้ ครั้งสุดท้ายที่ผมจะพูดคำๆนี้ “ผมรักหมอนะครับ อย่าไปจากผมได้มั้ย...ไม่มีหมอผมอยู่ไม่ได้จริงๆ” “แต่ถ้าหมอไม่ไปอาม่าตีหัวหมอแตกแน่ๆเลย เผลอๆอาจถูกตัดออกจากกองมรดกกลายเป็นหมอถังแตกก็ได้นะ ปล่อยให้หมอกลับไปไหวบรรพบุรุษช่วงเทศกาลตรุษจีนซักสองอาทิตย์เถอะนะ” ที่สุดหมอก็ไม่ให้อภัยผมสินะ หืม?? เดี๋ยวนะ?? “กลับไปทำอะไรนะครับ” ผมหยุดมือที่กำลังปาดขี้มูกที่กำลังจะย้อยเข้าปาก หมอจิณณ์หัวเราะเสียงใสก่อนจะยกมือขึ้นยีผมของผมเล่นจนฟู “ไหว้บรรพบุรุษช่วงตรุษจีนน่ะ” “ไปกี่วันนะครับ” “สองอาทิตย์” “อ่าว...ไหนไอ้ปัดบอกหมอจะกลับปักกิ่งแล้วไปอเมริกาต่อเลย” “อือหื๊อ...” “ผมก็นึกว่าหมอจะไปแล้วไปเลย ตกลงแค่พักร้อน?” “อ่าฮ๊ะ จะว่ายังงั้นก็ได้” “หมอ...ยกโทษให้ผมแล้วใช่มั้ยครับ??” “ยกโทษให้ตั้งแต่หันไปเห็นคนบ้าเดินเท้าเปล่ามาหาแล้ว” หมอว่ายิ้มๆก่อนจะกดตาลงมองเท้าของผม หมอยกโทษให้ผมแล้ว?? หมอยกโทษให้ผมแล้วนะ.. ผมรวบตัวหมอเข้ามากอดอย่างดีใจเสียงร้องไห้เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ ตอนนี้ผมบอกได้คำเดียวว่าผมโล่งใจที่สุดหมอไม่ได้ขัดขืนดันตัวออกเหมือนทุกทีทำเพียงกอดตอบแล้วลูบหลังผมเหมือนผู้ใหญ่ปลอบใจเด็ก “ยกโทษให้ผม ผมขอโทษ ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำตัวอย่างนั้นอีกแล้ว ผมมันโง่ที่หลงไปกับแสงสี ผมมันโง่ที่หาความรักโง่ๆโดยลืมไปว่าจริงๆแล้วมีความรักที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดจากหมอ ผมขอโทษ ผมมันไม่ดีเอง ขอโทษนะครับเรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ” “อือ...ไม่โกรธแล้วแต่...” หมอทิ้งระยะคำพูดไว้ก่อนจะดันตัวผมออกบ้าง “ต่อไปนี้ถ้าจะคบกัน นายต้องจีบหมอใหม่ เริ่มตั้งแต่ 0 ใหม่อีกครั้ง” หืม?? เริ่มจีบกันใหม่?? ผมมองหน้าหมอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามซึ่งหมอคงเดาออก “ทำไมต้องเริ่มใหม่ นายอยากถามหมอแบบนี้ใช่มั้ย??” ผมพยักหน้ารับ “เพราะเราเริ่มกันเร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ทันศึกษานิสัยใจคอกันแบบจริงจังชีวิตคู่ของเราถึงพังแบบที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆที่เราเจอทำให้หมอรู้ว่ายังมีอีกหลายมุมที่เราสองคนต่างไม่รู้จักกัน ต่อไปนี้เรามาใช้เวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกันไปด้วยกันนายจะโอเคมั้ย” เริ่มเรียนรู้กันและกันใหม่... “ได้ครับ ต่อไปผมกับหมอจะเรียนรู้ซึ่งกันและกันใหม่” “แต่ต้องเร่งทำคะแนนหน่อยนะเพราะหมอกก็น่าสนใจดี” หมอเขย่งเท้ามากระซิบผมทำให้ผมหันไปมองหมอกทันทีไอ้เด็กหูกางน้องชายตัวดีของผมทำตาโตใส่ราวกับจะถามว่ามีอะไร หมอยกนาฬิกาขึ้นดูเป็นสัญญาณว่าหมอต้องเข้าไปข้างในแล้ว ผมจับมือของหมอไว้ทั้งสองข้าง “กลับมาหาผมเร็วๆนะครับ” “ระยะเวลาที่หมอไม่อยู่เคลียร์ตัวเองซะนะ คาดว่าวันนี้คงมีข่าวใหญ่แน่ๆ กล้องแบบนั้นนักข่าวใช่ป่ะ” หมอจิณณ์บุ้ยปากไปด้านหนึ่งกล้องบันทึกเทปของรายการกอสซิปดารารายการหนึ่งกำลังถ่ายพวกเราอยู่ “ใครจะสน” ผมว่าก่อนจะโอบไหล่หมอไว้แล้วหันหน้าเข้าหาผู้คนที่มุงเราอยู่ “คนนี้แฟนผมครับ...ไม่สิ ตอนนี้ผมจีบเขาอยู่ครับ เอาใจช่วยให้คุณหมอใจอ่อนกับผมเร็วๆนะครับ” อ่ะ... กรี๊ดกันคอแตกอีกรอบ... เครื่องบินที่มีคนรักของผมอยู่ในนั้นจากไปแล้วเหลือเพียงพวกเราที่ยังนั่งโง่ๆกันอยู่ผมหันรีหันขวางก่อนจะหันกลับมาหาลูกปัด หมอก และอาทิตย์ที่นั่งเงียบกันมาตลอด “กว่าจะหายโง่ได้เนอะ นึกว่าต้องหักงวงไอยราซะก่อน” “ขอบใจแกมากนะเว้ยถ้าไม่ได้แกฉันคงกลายเป็นไอ้โง่ที่เสียเมียตัวเองไป” “ใครเมียแกหมอเค้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าต้องเริ่มใหม่” “เออ..ลูกปัด” “อะไร” “ขอบใจนะสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา” “ไม่เป็นไรเพื่อนกันนี่หว่า แต่ฉันว่าแกกลับห้องแกไปก่อนเหอะสภาพนี้กล้าออกมาได้ยังไงวะ” “ก็คนมันรีบกลัวมาไม่ทัน” “ไปเหอะแยกย้ายไปจัดการเรื่องของตัวเองกัน” ลูกปัดมันว่ายังงั้นก่อนจะส่งยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่จริงใจของผู้หญิงตัวเล็กตีนหนักมันเต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและความหวังดีที่มีให้กันเสมอตลอดเวลาหลายปี เพื่อนแท้เพียงคนเดียวที่คบกับผมโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เสื้อตัวใหญ่ถูกสวมลงบนไหล่ของผม หมอกมันส่งยิ้มเนือยๆให้ผม “เห็นสภาพแล้วอุบาทว์ใส่ไปเหอะ” มันว่าง่ายๆ นี่คือสมาชิกในบ้านคนเดียวใช่มั้ยที่ยังคงพอจะมีความห่วงใยผมบ้าง ผมยื่นกระเป๋าเงินให้หมอก หลายวันแล้วที่น้องไม่ได้มาขอเงินผมคราวนี้หมอกมันดันมือผมกลับมา “ไม่เอา ที่ให้มายังพอมี กลับไปพักเถอะแล้วค่อยคุยกันวันหลัง” ผมเคาะนิ้วไปกับจังหวะเพลงที่เปิดในรถขับมันไปด้วยความเร็วไม่มากนักอดยิ้มให้กับลมกับฟ้าไม่ได้หลังจากตระเวนส่งลูกปัดและน้องผมก็มุ่งหน้ากลับคอนโดเพื่อเตรียมตัวทำงานต่อในช่วงบ่ายๆมองป้ายโฆษณาที่มีรูปผมเด่นหรา เมื่อก่อนผมบ้าคลั่งวิ่งหาความรักแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ตอนนี้ผมหยุดแล้วล่ะ ผมมีที่ๆจะฝากชีวิต อนาคต และหัวใจไว้แล้วต่อไปนี้ผมจะหยุด ต่อให้ใครไม่รักก็ช่าง ต่อให้ใครไม่สนใจผมก็ไม่สนขอแค่มีหมอจิณณ์อยู่เคียงข้างผมก็พอ บนโลกนี้มีผู้คนมากมายการได้มาพบมาเจอกันมันคือพรหมลิขิตการที่มีคนๆหนึ่งจากคนนับร้อยนับพันมารักเราแบบไม่ต้องการอะไรจากเราถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ลูกเป็ดขี้เหร่?? คำๆนี้สำหรับผมมันไม่ได้หมายความถึงคนที่หน้าตารูปร่างขี้เหร่แต่อย่างใด ลูกเป็ดขี้เหร่ในความคิดของผมคือไม่ว่าใครก็ตามจะหน้าตาสวยหล่อหรืออัปลักษณ์ถ้ามีจิตใจที่ไม่ดีโลภเห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่นทำทุกอย่างเพื่อจะตักตวงความสุขและผลประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่คิดถึงจิตใจของใคร ทำทุกวิถีทางเพื่อตัวเอง นั่นคือลูกเป็ดขี้เหร่ที่แท้จริง ขี้เหร่จากจิตใจ ซึ่งผมหลงไปอยู่ในคนกลุ่มนั้น ตอนนี้ผมคิดได้แล้วผมจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีก ผมจะหนีจากคำว่าลูกเป็ดขี้เหร่แล้วกลายเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งด้วยความดีงาม อาจจะไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำให้คนที่ผมรักและรักผมต้องผิดหวังเสียใจอีก หลังจากนี้ได้โปรดเอาใจช่วยความรักของผมกับหมอจิณณ์ด้วยนะครับ ผมรักพวกคุณ..ได้โปรดสนับสนุนความรักของพวกเราและก้าวเดินไปพร้อมๆกันดูต้นรักที่จะค่อยๆผลิดอกออกผลของเราด้วยนะครับ บาย... THE END จบแล้วววววววววววววววววววววววว ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนถึงตอนจบนะคะ สองคนนี้่จะไปโผล่ในตอนของหมอกต่อนะคะ โปรดรอติดตามนะคะ
:pig4: :pig4: :pig4:
อิฉันยังหมั่นไส้อิลูกเป็ดอยู่เจ้าค่ะ :hao3:
เรื่องของพ่อแม่นี่จะไปเคลียร์ในเรื่องของหมอกมั้ยคะ? แอบอยากรู้ 5555 :katai2-1:
ยังคาใจกะอีพ่ออีแม่อ่ะ แล้วน้องมันอีก ไม่เห็นจะได้ผลอะไรบ้างหรือ :a5:
แค่เนี้ย ? เอิ่ม เหอะๆ
ง่ะบนจะจบก็จบง่าย ๆ เลยหรอออออ
มันง่ายไป มันไม่สาสมกับที่หมอเจ็บ!!!
…… ชอบหมอจิณณ์ใจแข็ง มีลูกฮึบ ตัวเองมีดีพอที่จะไปตีโพยตีพายหรืองอนง้อใคร เมฆหลงกับแสงสีไปช่วงนึง ให้ต้องมีบทแสดงความจริงใจกับหมอให้ชัดเจน มีเพื่อนแท้อย่างลูกปัด ที่หาไม่ได้ หรือมีสักหนึ่งในล้านคนแบบนี้ แล้วหมอกละ กลับใจได้ในตอนท้ายละหรือ จบแบบต้องมีตอนต่ออ่ะ. หรือว่ามีเรื่องหมอกต่ออีกเรื่อง งั้นรอ รอนะ :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: …
กว่าจะรู้ตัว เกือบสายไปแล้ว ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
เกือบสายเกินไป
แค้นใจกับเมฆมาก อ่านแล้วของขึ้น อยากเข้าไปกระโดดสกายคิกจริงๆ สงสารพี่หมอจริงๆ มีตอนพิเศษมั้ยนะ ขอบคุณคนแต่งนะ
อยากให้จบแบบแบดเอนเลย..โมโหเมฆมาก :katai1: :m16: แบบหมอสบัด เชิ่ดสวย ๆ กลับเมกาไปเจอหลัวฝรั่ง ส่วนเมฆนอนร้องไห้ไม่เหลือใครต้องกลับมากอดตัวเอง..ไรงี้ :m31: เพราะทุกย่างมันง่ายกับเมฆเกินไป :angry2: นี่ถ้าหมอกเป็นคนดีก็อยากเชียร์หมอกนะ..แต่ :hao4:
:pig4:
คาใจเรื่องพ่อเลี้ยงกับแม่อ่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
สะท้อนความหลงระเริงและความเห็นแก่ตัวของคนได้ดีมากเลยค่ะ สนุกมาก
โงยยยยยยตอนแรกๆที่จีบกันน่ารักมาก ดีมาก แต่พอมีดราม่ามาเราใจแกว่งเลย แง้ สงสารหมอ แล้วก้สงสารเมฆ คนเราพลาดไปแล้วกลับตัวได้ก้ดี :ling2:
แค่เปิดเรื่องมาก็น่าสนใจแล้วววววว แล้วเราก็ต้องรีบไปอ่านนน ณ บัดนาว :mew1: :mew1: :mew1:
:mew1:
เรารู้สึกเหมือนเรื่องมันจบดื้อๆ หลายๆปม เช่นเรื่องพ่อแม่จะไปเฉลยในเรื่องต่อใช่ไหมคะ
เปิดมาแบบมีปม แต่มีแสงสว่าง แต่ท้ายเรื่องนี้มัน... ไม่เคยเกลียดพระเอกเรื่องไหนจริงจังขนาดนี้ อ่านไปถอนหายใจไป เมฆไม่ได้เลวด้วยสันดาร แต่ที่หลงระเริง มันเลวเกินไปว่ะ เข้าใจว่าโดนมาเยอะ แต่ไม่ต้องทำแบ!^@%@&(@ (ขึ้น ๆ 555+) แต่ถ้าชีวิตจริงคงประมาณนี้ละมั้ง?!?
สนุกดีแต่อยากให้แบดเอ้น เข้าใตเมฆในระดับนึงนะ คือพ่อแม่เนี่ยเหมือนโลกแรกๆของเราเลย เมฆมันก็เซนซิทีฟเนาะ แต่ส่านางไม่ดีพอกับหมอไง สงสารหมอ หมอควรเหมาะกับคนอื่น
:pig4:
เรื่องสนุกมากจ้ามีทุกอารมณ์ ชอบที่สุดลูกปัด!
เกลียดพระเอกมากอ่ะบอกเลย แล้วจบไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ เรื่องพ่อแม่ ตัดดจบฉับ
ขอบคุณมากครับ แต่มาตอนอีกนิดก็ดีน้าาาาาา :pig4: :pig4: :pig2: