Ugly boys ลูกเป็ดขี้เหร่ [[จิณณ์-เมฆ]] ตอนที่ 20 08/12/61 ((ตอนจบ))
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Ugly boys ลูกเป็ดขี้เหร่ [[จิณณ์-เมฆ]] ตอนที่ 20 08/12/61 ((ตอนจบ))  (อ่าน 37474 ครั้ง)

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ขำกังมากกับคำว่ากลิ่นเนื้อย่าง  555555555555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
หมอออออ :laugh: :mew5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เนื้อย่างบอกรัก555

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ลูกเป็ดขี้เหร่[:6:]


 
ผมยังคงใช้ชีวิตตามปกติ  มีบ้างทีผมคิดถึงแม่ผมก็จะแอบย่องไปดูซักครั้ง  หลายครั้งที่ผมเกือบจะเผชิญหน้าจากหมอกแต่โชคดีที่ผมหลบทันทุกครั้ง  พักหลังๆผมเห็นมันแต่งตัวแนวร็อคเกอร์

 
หมอกมันก็มีดีอย่างหนึ่งนะครับถึงมันจะนิสัยไม่ดี คบใครไม่เคยจริงจังแต่สิ่งหนึ่งที่มันมุ่งมั่นมากคือการเล่นดนตรี  มันเก่งถึงขนาดได้เข้าร่วมวงที่ดังที่สุดในโรงเรียนเคยไปประกวดจนได้รางวัลมาแล้ว

 
ผมจัดการแยกเสื้อ กางเกง และชั้นในของหมอจิณณ์แยกซัก  ตอนนี้คุณหมอไม่อยู่ไปทำงาน  เดี๋ยวช่วงเย็นผมก็ต้องเตรียมตัวไปวิ่งพร้อมคุณหมอ  เป็นส่วนหนึ่งของการลดน้ำหนัก  ทุกวันนี้ผมมีชีวิตวนเวียนอยู่ที่คอนโด โรงพยาบาล ฟิตเนส ซาวน่า  ตอนนี้ผมดัดฟันแล้ว


 ยอมรับว่าอีเหล็กดัดฟันสีชมพูนี่เกะกะผมมาก  แน่นอนว่าสีชมพู ผมไม่ได้เลือกเองคนที่เลือกคือหมอจิณณ์ครับ ผมไม่รู้ว่าวันนั้นผมทำหน้ายังไงรู้แต่ว่าเราสองคนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเรื่องเหล็กดัดฟัน

 
“ของผม”

 
“ผมจะเอาสีขาว”

 
“ไม่เอาผมอยากได้สีเหลือง”

 
“ผมให้เต็มที่ได้ที่สีดำ”

 
“แต่สีเขียวตะไคร่น้ำนี่ก็สวยดี”

 
“ไม่เอาอ่ะใส่แล้วเหมือนใบผักชีติดฟัน”

 
“งั้นสีรุ้งเป็นไง”

 
“หยุดคิดไปได้เลยผมไม่ใส่สีรุ้งเด็ดขาด”

 
“งั้นสีแดงเอาม๊ะแรงดี จะถูกจะแพงเอาแดงไว้ก่อนอีกอย่างมองแล้วเหมือนเลือดแมนยูในกายหมอมันเดือดพล่าน”

 
“ยิ้มทีควายคงไล่ขวิดผมนะครับ”

 
“งั้นเอาสีฟ้ามั๊ยสวยดี”

 
"ผมว่าสีเงินสวยกว่า"

 
"ไม่เอามันจืดไปเอาสีส้มก็ได้"

 
"ม่ะ..."

 
เคร๊ง!!!!...เสียงโลหะกระทบกันผมกับหมอจิณณ์สะดุ้งเฮือกแล้วหันไปดูต้นเสียงพร้อมกันสองผัวเมียคู่หลุดโลกแทบจะกระโดดนั่งตักกันเมื่อหันไปเห็นทันตแพทย์สาวกำลังหน้ายักษ์ใส่

 
“เอ่อ...หมอว่าใส่สีชมพูก็น่ารักดีเนอะเมฆเนอะ”

 
“ครับ  ชมพูก็ชมพูครับ”  นั่นแหล่ะครับเพราะความรักตัวกลัวตายตอนนี้ผมจึงมีเหล็กดัดฟันสีชอคกิ้งพิงค์ประดับอยู่ในปาก

 
ช็อค...กลิ้ง...พริ้งงงงงงงงงงง

 
เมฆอยากจะคราย




 
ตอนนี้หน้าของผมไม่ต้องพันหนาเหมือนมัมมี่แล้วยังคงมีผ้าก็อซแปะอยู่ที่คางและดั้งจมูก  น้ำหนักของผมลดลงไปหลายกิโลกรัมแล้วจากการออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักผมของผมเริ่มยาวจนมัดหางม้าได้ซึ่งมันก็กลายเป็นของเล่นของหมอจิณณ์ในยามแกเหงาหรือเวลาดูทีวีผมจะนั่งกับพื้นแล้วพิงโซฟาส่วนหมอจิณณ์จะนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบน 

 
ดูทีวีไป  จกขนมกินไป  ปลายนิ้วมือม้วนผมของผมไปเพลินแกเลยแหล่ะครับ  บางครั้งดูบอลดึกแกก็หลับบนโซฟาส่วนผมก็หลับอยู่ข้างใต้ดูจะลำบากแต่ทำไมผมกลับรู้สึกมีความสุขก็ไม่รู้แม้บางทีจะถูกมดกัดเพราะบนเส้นผมมีเศษขนมติดอยู่ก็ตาม

 
การได้ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับมีใครบางคนมานั่งมองหน้าเราหรือการที่เราตื่นก่อนแล้วได้มองหน้าเค้ามันก็ทำให้วันนั้นหัวใจพองฟูยิ้มได้ทั้งวันแม้จะเผลอเดินเหยียบขี้หมาก็ตาม

 
คิดไปคิดมานี่ก็เข้าเดือนที่สี่แล้วที่ผมมาอยู่กับหมอจิณณ์เรื่องเงินที่ใช้จ่ายในแต่ละเดือนไม่ใช่ปัญหาเพราะลูกปัดมันเอาเงินที่เหลือจากการผ่าตัดโอนเข้าบัญชีให้ผมทุกเดือนไม่ได้มากแต่ก็ไม่น้อยจนต้องกระเบียดกระเสียน

 
“อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยเพราะยังต้องลงทุนอีกเยอะ”  ลูกปัดมันให้เหตุผลกับผมครับ  ซึ่งผมก็ไม่รู้ไอ้คำว่ายังต้องลงทุนอีกเยอะของมันน่ะคืออะไรผมเคยถามมันว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องเอาเงินมาลงทุนกับตัวผมมันเหมือนโยนกระสอบใส่เงินลงในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากไม่มีหวังที่จะงมคืนได้เลยแต่มันก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะตีไพ่ลงพื้น

 
“ป๊อก 9!!!”

 
“โห  ไรวะ”  เสียงหมอจิณณ์บ่นก่อนที่จะถูกลูกปัดรวบเงินหน้าตักตัวเองไป

 
“นี่ไงก็เหมือนเล่นไพ่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าไพ่แต่ละครั้งจะได้อะไรแต่ก็อยากจะลองเพื่อความสะใจ ยิ่งลงทุนมากความเสี่ยงก็มากแต่ถ้าได้ตามที่หวังกำไรก็เยอะตามไปด้วยฉันแค่ต้องการความสะใจเวลาที่เห็นคนในครอบครัวแกเจอแกในสภาพใหม่เขาจะจำได้มั๊ยว่านี่คือลูกเป็ดขี้เหร่ของบ้าน ป๊อกแปด!!!”

 
ครับ...นั่นแหล่ะครับไอ้ลูกปัดผู้กินไพ่เมียคนแรกของผมจนเงินเกลี้ยงกระเป๋า

 
“วุ๊ย...นี่นั่งทับจู๋พญานาคหรือไงวะ” และเช่นกันหมอจิณณ์ก็จะยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิด

 
“นี่ถ้าแพ้อีกตาจะมอบกิ๊ฟวอเชอร์เป็นบัตรเสริมนมฟรีให้แล้วนะ”

 
“งั้นปัดเลิกล่ะไม่อยากโดนแกล้งผ่านมเล็กข้างใหญ่ข้าง  ถ้าปัดนมตู้มนะใบเตยก็ใบเตยเหอะเจอลูกปัดเข้าไปจะแน่นอกไม่ออก”

 
ผมได้แต่ขำกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไอ้ปัดกับหมอจิณณ์ดูจะเข้าขากันได้ดีราวกับคอหอยกับลูกกระเดือกหลายครั้งที่ลูกปัดหิ้วของกินมาทำกินที่ห้องในวันหยุดของหมอ  วันไหนหมอไม่ว่างพาผมไปจัดการกับตัวเองลูกปัดก็จะมาพาไปเอง  หลายครั้งที่เราสามคนนอนเรียงกันสามเตียงเพื่อขัดผิวทำนู่นทำนี่

 
“เหมือนพ่อแม่ลูกเลยเนอะ” บางครั้งหมอจิณณ์ก็จะพูดเปรยออกมา
“ก็นี่ไงพ่อ” ชี้ที่ผม

 
“นี่แม่” ชี้ที่ตัวหมอเอง

 
“แล้วไอ้เปี๊ยกนี่คือลูกสาว เอ๊ะ หรือลูกชายหว่า” ไอ้ลูกปัดค้อนควั่กทุกครั้งที่โดนทักว่าเป็นลูกชายแต่หมอคงไม่รู้ว่าคำพูดของหมอทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ตลอดเลย หมออาจจะพูดแบบไม่คิดอะไรแต่ทุกคำที่หมอพูดผมคิดเสมอนะครับ

 
ผมว่าหัวใจของคนเราน่ะแปลกที่สุดแล้ว  ซับซ้อนที่สุดแล้ว  ผมไม่รู้ว่าอาการที่รอคอยหมอกลับห้องทุกวันมันคืออะไร

 
ผมไม่รู้ว่าอาการที่อยากกุมมือหมอเดินข้ามถนนคืออะไร ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากให้หมอกอดเอวผมแล้วซบหน้ากับแผ่นหลังของผมเวลาเราปั่นจักรยานออกไปข้างนอกกันคืออะไร ผมไม่รู้ว่าการที่ชอบจ้องมองหมอเวลาหมอเผลอคืออะไร หรือผมจะเป็นโรคจิตที่ชอบเห็นหมอยิ้ม  หมอหงุดหงิด  หมอนั่งคิดนู่นคิดนี่  หมอโกรธ  ทุกสิ่ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้ผมมีความสุข

 
ผมกำลังจะเป็นบ้าใช่มั๊ยครับที่เอาแต่คิดถึงหน้าหมออยู่บ่อยหรืออาการนี้คืออาการที่เค้าเรียกว่าตกหลุมรัก... ใช่มั๊ยครับ

 
ใช่...

 
ไม่ใช่..

 
ใช่...

 
ไม่ใช่...

 
โอ๊ยช่างมันเถอะคิดไปก็ปวดหัวเอาผ้าไปปั่นดีกว่าว่าแต่กางเกงในตัวนี้ของหมอ เป้าเหลืองหมดแล้วนะครับ  มีขาดเป็นรูๆขุยๆด้วยอ่ะ หว๋า...
ผมหยุดล้อจักรยานมองเข้าไปในสนามบาสที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งไม่ห่างจากคอนโดเท่าไรนัก  ที่แฮนด์จักรยานมีถุงขนมและกับข้าวพะรุงพะรังตอนนี้บนหน้าของผมไม่มีผ้าก็อซแปะอยู่แล้วรอยแผลต่างๆจางจนแทบจะมองไม่เห็น  หมอจิณณ์บอกว่า 6 เดือนทุกอย่างก็จะเข้าที่ราวกับของเหล่านั้นที่อยู่ในตัวผมเกิดมาจากธรรมชาติ
คงมีกองถ่ายซีรี่ย์หรือไม่ก็หนังมาตั้งกองถ่ายที่นี้  บรรดาเด็กสาวๆส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเป็นระยะยามที่นักแสดงหนุ่มในชุดบาสสีขาวกำลังเดาะบอลเล่นกับพื้น

 
น่าแปลกที่ดาราชายคนนั้นไม่เล่นกับแฟนคลับเลยเขาพยายามชู๊ตลูกลงแป้นแต่ทุกครั้งถ้ามันไม่ปัดจมูกก็จะกระเด้งโดนขอบบ้างหลุดออกนอกเส้นทางบ้างไม่ถึงบ้างซักพักผมเห็นเขาทุ่มลูกบาสลงพื้นอย่างแรงจนลูกบาสกระดอนมาทางผม

 
หมับ..

 
เพราะเป็นอะไรที่คุ้นเคยกันดีผมจึงคว้าหมับด้วยมือเพียงข้างเดียว เสียงผู้ชายคนนั้นโวยวาย

 
“ผมไม่เล่นฉากนี้ หาแสตนด์อินมาแสดงแทนผมได้เลย ก็รู้อยู่คนไม่ชอบเล่นบาสยังจะให้เล่นเองอยู่ได้ประสาทหรือเปล่า”

 
"ดิวจ๊ะ ดิว  โธ่...พี่ขอเถอะนะแสดงให้มันเสร็จไปเถอะ”

 
“ไม่ ยังไงผมก็ไม่มีทางพยายามทำมันอีกแล้วไปหาตัวแสดงแทนมาเลยไม่งั้นวันนี้ก็เลิกกอง” เสียงดารารูปหล่อที่ยืนเท้าสะเอวจิบน้ำแร่แหกปากวีนปาวๆทำให้ทีมงานบางคนลอบเบะหน้าเบื่อใส่

 
“แล้วจนป่านนี้แล้วใครจะมาแสดงแทนให้ คนที่เคยใช้งานเค้าก็รับงานอื่นไปแล้ว” ชายร่างท้วมที่ใส่แว่นตาหนาบ่นอย่างหัวเสียเช่นดียวกับนักแสดงหนุ่ม

 
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหาของผมคุณเป็นผู้กำกับคุณก็ต้องหาทางออกเองสิ เอาใครซักคนก็ได้แถวนี้ที่เล่นบาสเป็นมาแสดงแทนผมแล้วค่อนโคลสอัพหน้าผมเอา” ผมฟังพวกเค้าเถียงกันแล้วส่ายหัวอย่างระอาใจ
นี่สินะโลกมายาผมเห็นแม่ดูละครที่ดาราคนนี้แสดงอยู่บ่อยๆในจออย่างเทพบุตรนอกจอนี่มันหมอกสองดีๆนี่เอง

 
“น้องๆ ขอลูกบาสคืนด้วย” เสียงสต๊าฟผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าบึ้งไม่ต่างกับผู้กำกับเรียกผม ผมหลุดจากความคิดมองลูกบาสในมือก่อนจะโยนคืนให้ด้วยมือข้างเดียว ผู้กำกับหันมามองทางผมก่อนจะก้มลงดูแผ่นกระดาษในมือ

 
“ท่าทางเล่นบาสเป็นนะเราน่ะ” สต๊าฟคนเดิมพูดกับผมก่อนจะหมุนตัวกลับไปที่สนามดังเดิม ผมเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วก็เตรียมตัวจะปั่นจักรยานกลับคอนโดวันนี้คุณหมอบ่นอยากกินข้าวผัดกลับไปทำกับข้าวให้เมียกินดีกว่า

 
“เฮ๊ย น้อง” เสียงผู้กำกับเรียกใครก็ไม่รู้ผมไม่ได้สนใจจัดแจงเอาสมอลทอล์คมาเสียบเพื่อจะฟังเพลง

 
“เดี๋ยว ไอ้น้อง” เรียกใครหว่า?

 
“น้องโว๊ย....มึงอ่ะ มึงไอ้ที่ปั่นจักรยานหยุดก๊อน!!!”  ผมเบรคจักรจนหัวทิ่มก่อนจะหันไปมองผู้ชายร่างท้วมที่วิ่งตุ่บตั๊บตามผมมาพร้อมพี่สต๊าฟคนนั้น

 
“มีอะไรครับ” ผมถามด้วยสีหน้างงๆ ผู้กำกับมองผมตั้งแต่เท้าจรดหัวแล้วตวัดตาจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง

 
“น้องเล่นบาสเป็นใช่มั๊ย” ร่างท้วมใช้ส้นมือเท้าหน้าขาพลางหอบหายใจอย่างหนักเอ่ยถามผม ผมยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้นักแต่ก็พยักหน้าหงึกๆให้

 
“ช่วยพี่หน่อยไปชู๊ตบาสให้ทีเดี๋ยวให้ค่าเหนื่อย” พี่แกยิงเร็วใส่พลางดึงผมออกจากจักรยานจนสต๊าฟอีกคนต้องมารับไปแทนผม ผมโดนลากเข้าในซุ้มผ้าใบซุ้มหนึ่งที่มีนักแสดงหนุ่มนั่งมองมาพลางส่งยิ้มเหยียดให้ผม จากนั้นผมก็ถูกผ้าผืนหนึ่งคลุมตั้งแต่กระเดือกกระบอกฉัดน้ำถูกสเปรย์ใส่หัวผมจากนั้นก็

 
ฉับ!!!

 
“เฮ๊ยพี่ทำไรอ่ะ” ผมผงะตัวหนีเมื่อพี่กระเทยร่างบางกว่าโอ่งมังกรนิดนึงดึงหนังยางรัดผมหัวคิตตี้ที่หมอจิณณ์ซื้อให้ผมออกแล้วใช่นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบผมของผมขึ้นก่อนจะตัดฉับแบบไม่ปรึกษาความสมัครใจของผม

 
“ก็ตัดผมให้เป็นทรงเดียวกับคุณน้องดิวไงคะ”

 
“ไหนบอกว่ามาชู๊ตบาสอย่างเดียวไง”

 
“ก็ใช่ไงแต่เวลาถ่ายจากด้านหลังมันก็ต้องถ่ายทั้งตัวอ่ะถ้าเห็นผมทรงหางหมาของน้องมันก็ไม่ใช่ดิวสิค๊า” ผมยังไม่ทันจะเถียงอะไรก็โดนเจ๊โอ่งจับหันหน้าเข้ากระจกแล้วตัดผมของผมอีกครั้ง

 
โธ่...อุตส่าห์ไว้ตั้งหลายเดือนไม่ยอมตัดเพราะหมอชอบเล่นก่อนนอนมาเสียทีให้กะเทยซะแล้ว ฮือ.... เมียจ๋าผัวขอโทษที่รักษาของเล่นของเมียไว้ไม่ได้

 
ผมนั่งนิ่งให้เจ๊แกตัดผมหลังจากนั่งขยุกขยิกจนเจ๊แกแกล้งเอาหวีสับหัวผมแรงๆไปทีนึง คนบ้าอะไรใจร้ายเหลือทน  ในที่สุดพอถอดผ้าคลุมออกจากจากเซทผมให้เป็นทรงเดียวกับดิวดาราหนุ่มผมก็รู้สึกถึงความแปลกตาไปทันที ยังไม่ทันได้พิจารณาหนังหน้ามากนักเจ๊คนหนึ่งก็จับเก้าอี้ของผมหมุนเข้าหาตัวเธอจากนั้นก็ละเลงหน้าของผมด้วยเครื่องสำอางค์สารพัดชนิด

 
“ว๊าว....หล่อพอจะเป็นพระเอกได้เลยนะเราน่ะ” เสียงพี่ช่างพูดหลังจากหมุนเก้าอี้ของผมให้หันหน้าเข้ากระจกเงาบานใหญ่ ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆมองเงาในกระจกด้วยความไม่แน่ใจ

 
นั่นใครนะ?

 
ผมเหรอ?

 
นั่นผมจริงๆใช่มั๊ย?

 
ผมขยี้ตาอีกครั้ง

 
ผมจริงๆด้วยอ่ะ  ทำไมหล่อขนาดนั้น?

 
“ไงถึงกับตะลึงตึงตึงไปเลย หล่อล่ะสิ๊”

 
หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วผมก็ถูกจับไปแต่งตัวด้วยชุดบาสแบบและสีเดียวกับของดิวผมมองตัวเองที่ยืนคู่กับดาราหนุ่มด้วยสีหน้าอึ้งๆ จากนั้นผมก็ถูกพาไปซักซ้อมว่าต้องทำท่าทางยังไง  เล่นบาสด้วยท่าทางแบบไหนและต้องชู๊ตยังไง

 
การถ่ายทำมีขลุกขลักบ้างเพราะผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องมุมกล้องบางครั้งแสงก็ไม่ได้เราถ่ายใหม่หลายรอบจนในที่สุดหลังจากถ่ายทำปรับเปลี่ยนมุมกล้องจัดท่าจัดทางกันจนเกือบสามชั่วโมงผมก็ชู๊ตบาสลูกสุดท้ายตามคำขอที่ว่าให้มันหมุนวนรอบแป้นแล้วค่อยหล่นลงมาได้ตามที่ผู้กำกับสั่ง ในที่สุด... เสียงที่กองถ่ายทุกคนรอคอยก็ดังขึ้น

 
“คัท!!” ทีมงานกรูกันเข้ามาซับเหงื่อที่หน้าให้กับผม ผู้กำกับเดินเข้ามาตบไหล่ของผมปุๆแกยิ้มแต้ด้วยความพึงพอใจ

 
“ขอบใจมากนะไอ้น้องที่ช่วยพี่วันนี้เดี๋ยวไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วรับเงินที่สวัสดิการคนนั้นนะแล้วนี่ นามบัตรของพี่ สนใจอยากเข้าวงการก็ติดต่อมาหรือไปหาตามที่อยู่นี้นะ ท่าทางเรามีแววนะฝึกการแสดงอีกนิดก็ใช้ได้ล่ะ”

 
ผมโค้งขอบคุณผู้กำกับก่อนจะไปจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกลับมาเป็นชุดเดิมของผมจากนั้นเจ๊โอ่งก็มาลากผมไปรับซองเงินที่ในนั้นมีเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้หรอกผมเก็บมันใส่กระเป๋าก่อนจะโค้งลาทุกคน
“แล้วเจอกันใหม่นะสุดหล่อ” เจ๊โอ่งกับนูน่าที่แต่งหน้าให้ผมโบกมือพลางส่งจูบให้ ผมส่งยิ้มให้เจ๊ทั้งสองก่อนจะปั่นจักรยานออกมา คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะครับ

 
ผมกลับมาถึงคอนโดจัดการเอาของเข้าแช่ในตู้เย็นแล้วเตรียมตัวหุงข้าวเพื่อเตรียมไว้สำหรับทำข้าวผัดเย็นนี้ พลันผมก็นึกได้ว่าผมยัดซองเงินไว้ที่กระเป๋าหลัง  ผมล้วงออกมามันหนาพอดู

 
“คงไม่เยอะหรอกที่หนาๆนี่แบงค์ย่อยใช่มั๊ยล่ะ” ผมเอาซองเงินส่องกับหลอดไฟแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยจัดการแกะซองเงินออก

 
แคว่ก!!

 
คุณพระ
แบงค์พันอเรียงกันอยู่ในนั้นผมค่อยๆนับเงินในซองรวมกันแล้วมีอยู่สามพันบาท ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ ผมนับใหม่อีกรอบเพื่อความแน่ใจ  เท่าเดิม เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงของผม

 
ผมคว้ากระเป๋าเป้เอาเงินยัดกลับเข้าไปก่อนจะออกจากคอนโดปั่นจักรยานไปที่ๆผมคุ้นเคย ผมกำลังปั่นจักรยานไปบ้าน ผมอยากจะมอบเงินก้อนแรกของผมให้กับแม่ เงินที่ได้มาจากลูกชายคนโตของบ้านแม่จะดีใจกับมันใช่มั๊ยครับ

 
เกือบหกโมงเย็นผมก็ปั่นจักรยานมาถึงหน้าบ้านผมเตะขาตั้งลงกับพื้นก่อนจะรัวกดกริ่งซักพักผู้หญิงที่คุ้ยเคยของผมก็ออกมา  ผมส่งยิ้มให้แม่ในขณะที่แม่จ้องหน้าผมคิ้วเรียวของแม่ขมวดมุ่นก่อนจะเดินมาหน้ารั้วแต่ยังไม่เปิด

 
“มาหาใครคะ” ผมค่อยๆหุบยิ้มลงไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคคำถามของแม่

 
“ผม...ผมชื่อเก่งครับเป็นเพื่อนกับเมฆ เค้าวานให้ผมเอาเงินมาให้คุณแม่ครับ” ผมกลั้นน้ำตาที่กำลังจะเอ่อออกมาพลางกลั้นใจพูดประโยคโกหกคำโตให้แม่ของผม

 
ทำไมแม่จำผมไม่ได้ล่ะครับ

 
สายสัมพันธ์ของแม่ลูก  แม่เป็นแม่ของผมแท้ๆทำไมกลับจำลูกตัวเองไม่ได้ล่ะครับ ผมกลั้นความน้อยใจก่อนจะยื่นซองเงินให้แม่ด้วยมืออันสั่นเทา

 
“เงินอะไร เมฆไปทำงานอะไรหนีออกจากบ้านไปอย่างนั้นคงไม่พ้นไปแบกของส่งของหรอกมั้งเอากลับไปให้เค้าเถอะฉันไม่เอาหรอก” แม่ปัดมือที่ผมยื่นซองเงินให้ ผมคว้ามือของแม่ก่อนจะยัดซองเงินใส่มือแม่แล้วหันหลังเดินมาที่จักรยานทันที

 
“เดี๋ยว...” ผมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงแม่เรียกแต่ไม่ได้หันกลับไปเพราะตอนนี้น้ำตาของผมมันไหลออกมาด้วยความน้อยใจซะแล้ว

 
“ครับ?”

 
“เค้าสบายดีมั๊ย อยู่สบายหรือเปล่า แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนอยู่กับใคร”

 
“เค้าสบายดีครับตอนนี้พักอยู่กับเพื่อนอีกคนไม่ต้องห่วงเค้าหรอกครับ”

 
“อย่างนั้นก็ดีฝากไปบอกเค้าด้วยว่า....อย่าไปสร้างความดือดร้อนให้ใครล่ะ” ผมแค่นยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะตอบรับแม่ออกไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว

 
“ครับแล้วผมจะบอกเค้าให้ผมขอตัวนะครับ.....คุณป้า” ผมตัดสินใจออกมาจากตรงนั้น ที่ๆผมไม่มีตัวตน ที่ๆผมถูกคิดว่าไปอยู่ที่ไหนก็จะสร้างแต่ปัญหา ผมคงไม่คู่ควรกับบ้านหลังนี้จริงๆสินะครับ

 
แม่ครับ...ผมรักแม่นะครับแล้วแม่ล่ะรักผมบ้างหรือเปล่า?

 
“เมฆ....ไปไหนมาผมกลับมาไม่เจอคุณตกใจแทบแย่” ทันทีที่ผมเปิดประตูคอนโดเข้ามาเสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยถามขึ้นราวคนกำลังร้อนใจ ผมมองหน้าหมอที่ตอนนี้พร่าเบลอแทบไม่เป็นรูปร่าง

 
เพียงแว๊บเดียวหมอก็ก้าวพรวดๆจากโซฟามาประชิดตัวผม  ฝ่ามือแสนอบอุ่นของหมอแปะลงบนหัวของผมข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างก็จับมือผมไปบีบเบาๆ

 
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” เสียงใสเอ่ยถามผม ผมได้แต่ส่ายหน้า
“เด็กโง่ เป็นอะไรใครทำอะไรก็บอกหมอสิ นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะตอนนี้นายยังมีฉันนะ”

 
ไม่รู้ว่าทำไมแค่ประโยคนั้นประโยคเดียวกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนคนที่เดินฝ่าพายุมาเนิ่นนานกลับพบกองไฟอุ่นอยู่ตรงหน้าผมมองหน้าคุณหมอที่ส่งยิ้มละมุนมาให้ผมก่อนจะเอ่ยปากออกไปด้วยประโยคประโยคหนึ่ง

 
“หมอครับผมขอกอดหมอได้มั๊ยครับผมหนาวจังเลย”

 
“มากกว่ากอดหมอก็ให้นายได้นะ” เพียงสิ้นประโยคหมอจิณณ์ก็เป็นฝ่ายสวมกอดผมไว้ซะเองใบหน้าหวานซุกอยู่ที่ไหล่ของผมสองมือของหมอประสานกันที่หลังเอวของผม ผมสวมกอดหมอไว้แน่น ในขณะที่หมอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับผมผมก็ค่อยๆโน้มหน้าเข้าหาหมอริมฝีปากเราใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆก่อนจะ...

 
ติ๊งหน่อง....ติ๊งหน่อง!!!!

 
ผลั่ก!!!

 
หมอจิณณ์ผลักผมออกทันทีกับที่ประตูห้องถูกเปิดผลั่วะเข้ามาด้วยไอ้ลูกปัดที่วิ่งหน้ามันหัวกระเซิงเข้ามาก่อนจะรีบปิดประลงกลอนเรียบร้อย  กระเป๋าเป้ใบเล็กถูกเหวี่ยงโครมก่อนมันจะหันหลังยืนพิงประตูห้องหอบแฮ่กๆ

 
“หมอ...เมฆ...ขอปัดอาศัยอยู่ด้วยซักคืนสองคืนนะ”

 
ผมกับหมอมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับอากัปกริยาและคำขอของลูกปัด

 
“ปัดแกใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น”

 
“ฉันจะถูกผู้หญิงที่เป็นลูกค้าที่ร้านจับทำผัว”

 
“ห๊ะ!!!”  ผมกับหมอร้องประสานเสียงกันในขณะที่ไอ้ลูกปัดมันพยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยันคำพูดของมัน

 
“เอ่อ....” ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องของคุณหมอที่เราสองคนยืนเกาท้ายทอยด้วยสีหน้าเก้อๆมันเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆเหมือนจะอึดอัดแต่ระคนความขัดเขิน

 
ครับ  ตอนนี้เราต้องนอนห้องเดียวกันเพราะโซฟาที่ผมยึดเป็นเตียงนอนตลอดห้าเดือนถูกไอ้ลูกปัดที่ลี้ภัยทางการเมืองมาขออาศัยอยู่ยึดไปแล้ว

 
เรื่องของเรื่องที่ลูกปัดต้องหอบผ้าผ่อนซึ่งก็คือเสื้อผ้าสำรองแค่สองชุดมาหาผมกับหมอที่ห้องก็เพราะมีเด็กสาวที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับผมมาขอคบด้วย

 
“แรกๆชีก็มากินอาหารตามปกตินะ หลังๆมาทุกวันมีขนมมาฝากแต่ปัดไม่เคยกินเองหรอก หลังๆเริ่มขอเบอร์ บอกว่าวันหยุดไปเที่ยวกันมั๊ย หนักสุดอาทิตย์ที่ผ่านมามาพร่ำบอกว่าอยากคบกับปัด โอ๊ย ปัดเป็นผู้หญิงนะ ปล่อยชะนี่ตัวเล็กๆอย่างปัดสู่ธรรมชาติเถอะ” ไอ้ลูกปัดมันพูดไปก็จิ้มส้อมลงบนมะเขือเทศชิ้นใหญ่ส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย

 
“ทำไมไม่ตบไปเลยล่ะ หนีแบบนี้เสียชื่อศิษย์นุสรามือเซทเน็ตระเบิดหมดนะ”

 
“โห  หมอคะ  ถ้าเป็นผู้ชายปัดตบไปแล้วแต่นี่เป็นผู้หญิงปัดไม่ทำร้ายเด็กสตรีและคนชราแบบหมอหรอกค่ะ”

 
“เบอร์น้องคนนั้นเบอระไรเหรอ” เสียงหมอจิณณ์เอ่ยถามไอ้ปัดด้วยน้ำเสียงตึงๆ

 
“หมอจะเอาไปทำอะไรคะ”

 
“โทรให้มารับแกไง กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าคนชราห๊ะยัยเตี้ย”

 
“โอ๊ยหมอคะปัดขอโทษ” ลูกปัดรีบเกาะแขนหมอจิณณ์ทันทีที่ได้ยินคำนั้น ภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆทำตาปริบออดอ้อนคุณหมอน่าหวานตลกจนผมหัวเราะออกมา

 
“ว่าแต่...เมฆ หมอว่าวันนี้คุณดูแปลกไปนะไปทำอะไรมากับทรงผม แล้วหน้าก็เหมือนแต่งมาด้วย” หมอจิณณ์หันมายิงคำถามใส่ผม
ครับผมเล่าให้ทั้งหมอและลูกปัดฟังทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้  รวมทั้งเงินที่ได้มานั้นผมเอาไปให้แม่และแม่จำผมไม่ได้

 
หมอจิณณ์ลุกจากเก้าอี้ของตัวเองมายืนตบไหล่ผมจากด้านหลังก่อนจะทำบางอย่างที่ผมไม่คาดคิด อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดผมจากด้านหลัง คุณหมอใช้คางเกยที่ไหล่ของผมแล้วพูดว่า

 
“ไม่เป็นไรเนอะ...เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น เข้มแข็งเนอะ”

 
ครับ  แค่คำพูดแค่นี้กำลังใจของผมก็มาเป็นองเลยครับ ความเศร้าตอนปั่นจักรยานกลับมาที่นี่มลายหายไปเลย

 
“จำไว้นะเมฆไม่ใช่ปัญหาของหมอแต่เมฆคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมาให้หมออย่าคิดมาก”

 
เรานั่งคุยกันพักใหญ่ๆก็แยกย้ายกันเข้านอนตอนแรกหมอจะให้ลูกปัดเข้ามานอนในห้องแต่ไอ้ตัวเล็กมันปฎิเสธท่าเดียวเลยครับ
“แค่ปัดมาอาศัยหมอก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว หมอกับเมฆเข้าไปนอนในห้องเถอะค่ะ ปัดตัวเล็กโซฟานี่ก็เกินพอ” ครับ ต่อให้ผมกับหมอจะขอให้มันเข้ามานอนในห้องยังไงไอ้ปัดมันก็ยืนยันคำเดิมครับว่ามันขอนอนโซฟา

 
“ตอนกลางคืนปัดชอบหิวค่ะนอนใกล้ครัวนี่ล่ะดีสุดสำหรับปัดหมอกับเมฆนอนให้ห้องเถอะค่ะปัดเป็นคนมาขออาศัยจะให้เข้าไปนอนเตียงใหญ่ๆก็คงไม่ดี”

 
“คือผมนอนที่พื้นนะครับ” ผมชี้ที่ว่างแคบๆข้างๆเตียงคุณหมอ
“เฮ๊ย ซอกนั่นมันเล็กนิดเดียวเดี๋ยวนายจะเมื่อยนะ นอนบนเตียงด้วยกันนี่แหล่ะไม่เป็นไรหรอก” คุณหมอดึงผมให้ขึ้นมานั่งบนเตียงนอนหลังขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กพอจะนอนกันได้สองคนอย่างสบายๆ
“รบกวนด้วยนะครับ” ผมเอ่ยบอกกับคุณหมออย่างเกรงใจเสียงคุณหมอหัวเราะเบาๆก่อนจะส่ายหน้า

 
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่ารู้มั๊ยตอนนี้นายทำท่าเหมือนสาวน้อยโดนหลอกมานอนด้วยเลยนี่บอกอะไรให้นะ....” คุณหมอตาแป๋วเอ่ยทิ้งท้ายราว 10 วินาทีก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างๆใบหูให้ผมขนลุกซู่ว่า

 
“หมอไม่ปล้ำนายหรอกนอกซะจากว่านายจะยอมหมอเอง”

 
“หิวหว่ะ”  ลูกปัดที่นอนกระสับกระส่ายมาซักระยะหนึ่งผุดลุกตลบผ้าห่มลงไปไว้ปลายเท้ามือเล็กกุมท้องตัวเองพลางยู่หน้าสายตาเหลือบมองนาฬิกาที่แปะอยู่บนฝาผนังเรือนใหญ่เกือบตีสองแล้วปกติเวาอยู่ที่ห้องจะต้องรองท้องด้วยข้าวโพดคั่ว 5 ห่อ  แต่วันนี้หลังจบมื้ออาหารเย็นและนั่งคุยกันซักพักราวๆ 5 ทุ่มหล่อจิณณ์กับเมฆก็แยกเข้าไปนอนปิดห้องเงียบจนลูกปัดเคลิ้มหลับแต่น้ำย่อยในกระเพราะอาหารกลับเรียกให้ตื่นขึ้นซะนี่

 
หญิงสาวสลัดผ้าห่มตกลงข้างโซฟาก่อนจะเดินเพื่อจะตรงไปที่ครัวแต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านห้องหมอจิณณ์นั้นหญิงสาวก็ชะงักเท้าแทบจะทันที  ใบหน้าทะเล้นขึ้นสีเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างภายในห้อง

 
“อ๊า....เมฆ....อื้อ...แรงๆเลย...อ๊าง...หมอ...หว่ะ...ไหว...”

 
“เอางั้นเหรอครับถ้าผมทำแรงหมอจะเจ็บนะครับ”

 
“อื้อ...เอาแรงๆเลยหมอจะทน”

 
“งั้นผมจะกดลงไปสุดแล้วนะครับ”

 
“อื้อ...หมอพร้อมแล้ว...อ๊า!!!”

 
“เห๊ย....ทำไรกันวะ..โห  วัตถุไวไฟกับน้ำมันหรือไงเนี่ย  แอ๊ยยยยยยยย” ลูกปัดที่ตอนแรกกะจะไปหาของกินในครัวหมุนตัวกลับไปที่โซฟาก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แต่ยังไม่วายเปิดผ้าห่มออกมาเงี่ยหูฟังเสียงในห้องที่ดังลอดมาแว่วๆ

 
“โอ๊ย...เบาหน่อย..ร่ะ..แรงไปแล้ว...อ๊า”

 
“อึ๋ยยยยยยยย.....หวาดเสียวโว๊ยยยยยย” อีกครั้งที่ลูกปัดหลับตาปี๋ดีดผ้าห่มขึ้นมคลุมตัวนอนบิดนอนเขินอยู่คนเดียวเมื่อสมองกำลังจินตนาการว่าภายในห้องกำลังเล่นกีฬาบันจี้จั๊มป์กันรุนแรงขนาดไหนแต่ความเป็นจริงภายในห้องนอนของหมอจิณณ์ก็คือ...




 
ร่างบางของหมอจิณณ์ที่กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงกายบางขึ้นสีแดงเถือก  ใกล้กันเมฆที่ยืนเต็มความสูงกำลังสาละวนกับการลงส้นบนต้นขา

 
“ตรงนี้โดนมั๊ยครับคุณหมอ”

 
“โอ๊ย....ซี๊ดดดด...นั่นแหล่ะโดนๆกดลงมาเลย”

 
“แล้วตรงนี้ล่ะครับ”

 
“โอ๊ย....ตรงนั้นก็ใช่เอาแรงๆเลยดีๆแบบนี้ล่ะชอบ”

 
โถ.....ลูกปัดสาวน้อยผู้จมอยู่กับจินตนาการ

 
ความจริงก็คือหมอจิณณ์นอนไม่หลับบ่นๆว่าปวดหลังกับปวดขาเมฆที่นอนอยู่ข้างๆเลยอาสาที่จะบีบนวดให้แต่หมอจิณณ์กลับบอกกับชายหนุ่มว่าขอหนักๆไปเลย ผลสรุปจึงอยู่ที่เมฆมายืนเหยียบขาและหลังให้หมอจิณณ์ หลังจากกิจกรรมที่มีซาวด์เอฟเฟคแสนหวาดเสียวจบลงล้างไม้ล้างมือกันเสร็จหมอกับเมฆก็ปิดไฟนอนหลับในที่สุด

 
เกือบรุ่งเช้าร่างทั้งสองร่าก็แนบสนิทกันอีกครั้งเมื่ออากาศที่เย็นเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดูดให้ร่างกายของคนทั้งคู่ดึงดูดกันและกัน สุดท้ายร่างบางก็ซุกอยู่กับอกแกร่งผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป็นสุข  ร่างสูงก็สวมกอดเอวคอดไว้อย่างทะนุถนอม เมฆหรี่ตาดูร่างบางในอ้อมกอดก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง






...............

บ้า  แกอ่ะคิดมากกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เป็นลูกหรือเด็กเก็บมาเลี้ยงอะทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนั้น

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :ling1: :katai1:

เราก็คิดมาก
ขำอะ
แต่อยากให้เขามีความสุขทั้งคู่ ลูกปัดก็น่ารัก

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
นวดให้กันก็อย่าพูดคำว่าเอาแรงๆสิปัดโถ่!  :hao7:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ nooluk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่ใช่แค่ลูกปัด อิฉันก้อคริสม๊ากกกก555555555555 :-[
มะไหร่จะรู้ว่าพวกแกยังไม่ได้เปนผัวเมียกันเว้ยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2




ลูกเป็ดขี้เหร่[:8:]

 
เช้านี้ก็ไม่ต่างกับวันอื่นๆผมตื่นก่อนคุณหมอที่สกิลการนอนดิ้นนั้นเต็มสิบคะแนนผมให้สิบจุดห้าพ่อเจ้าประคุณเล่นดิ้นจนเท้าหมุนครบ 360 องศา  ตื่นเช้ามาแทนที่หมอจะนอนสวยๆอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของผมตามแบบที่ควรจะเป็นแต่เปล่าเลย  นู่นหัวอยู่ปลายเท้าผมส่วนเท้าคุณหมอแทบจะแหย่เข้ามาในรูจมูกของผมอยู่แล้ว  ผมจัดการปลุกคุณหมอที่วันนี้ต้องข้าเวรเช้า  หมอตื่นมาด้วยทรงผมเซ้นต์เซย่าดวงตาบวมปรือเพราะเมื่อคืนนอนกันดึกมากท่าทางที่ยังไม่ตื่นดีเหมือนลูกหมาสัปหงกทำให้ผมต้องนั่งบนเข่าตัวเองก่อนจะจัดการใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือคลึงที่บริเวณขมับของหมอ


 
“จูนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”  ผมคลึงไปพูดคำว่าจูนไปจนหมอหัวสั่นหัวคลอน


 
“ตื่นแล้วๆ”  หมอปัดมือผมออกก่อนจะเดินเกาตูดแกร่กๆคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป  ผมจัดการจัดเตียงพับผ้าห่มก่อนจะออกมานอกห้องลูกปัดกำลังทำอะไรกุกกักในครัว  กลิ่นหอมๆเดาได้ว่าคงเป็นข้าวต้มหมูที่มันชอบทำให้กินบ่อยๆแต่ของไอ้ปัดจะพิเศษตรงที่ว่ามันจะมีขิงสดซอยละเอียดขยำกับเกลือเป็นเครื่องเคียง


 
“ตื่นเร็วจัง”  มันทักผมด้วยคำทักทายแรกก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกแขวนนิ้วเล็กๆของมันก็ชี้ไปยังจานชามที่เตรียมไว้


 
“ฉันไม่รู้ว่าตอนเช้าหมอกินอะไรบ้างเลยต้นข้าวต้มด้วยแล้วก็ทำอาหารเช้าพวกไข่ดาวแฮมไส้กรอกไว้ให้หมอส่วนกาแฟเดี๋ยวแกชง


แล้วกันนะฉันไม่รู้หมอแกกินรสไหน”


 
“ฉันรับรองได้ว่าหมอฟาดทั้งชุดอาหารเช้าและข้าวต้ม”


 
“หรือฉันควรลวกไข่ให้แกกับหมอด้วยดีวะ”  ไอ้ลูกปัดมันทำท่าคิดก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังเขินอายและเสียวไส้กับอะไรซักอย่าง  ผมมองมันอย่างขำๆกับท่าหลับตาร้องฮึ่ยแล้วสั่นหัวของมัน  ยังไม่ทันที่จะคุยอะไรกับมันมากเสียงประตูห้องนอนก็เปิดออกพร้อมกับหมอจิณณ์ที่ทั้งตัวมีเพียงผ้าขนหนูสีแดงเลือดนกในปากคาบแปรงสีฟันหยดน้ำยังเกาะพราวหัวเปียกโชกไปด้วยน้ำคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ


 
“เมฆกางเกงในตัวสีขาวของหมอไปไหนอ่ะ”


 
“ตัวไหนครับสีขาวของหมอมีตั้งหลายตัว”


 
“ของ CK อ่ะที่หมอใส่บ่อยๆมันไม่อยู่ในลิ้นชัก”


 
“อ๋อตัวนั้นน่ะเองผมทิ้งไปแล้วครับเป้ามันเหลืองแถมขาดเป็นขุยแล้ว”
“โหยทิ้งไมวะตัวนั้นใส่สบายจะตาย”  คุณหมอทำหน้าเหวี่ยงๆผมก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องประตูห้องยังแง้มไว้เสียงบ่นพึมพำดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะเสียงรื้อลิ้นชักและตู้เสื้อผ้าตามสไตล์คนหาของไม่ค่อยเจอทำให้ผมละจากลูกปัดเดินเข้าไปหาคุณหมอ หมอจิณณ์หันมามองผมค้อนๆดูจากสายตาก็รู้ว่าคงงอนผมพอสมควร


 
“เข้ามาทำไมออกไปเลยคนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”


 
“จะเอาชุดไหนครับเดี๋ยวผมหาให้”  ผมพูดเสียงอ่อนอย่างง้องอน
“ไม่ต้องหาเองได้ทีหลังไม่ต้องมาซักให้ก็ได้นะถ้าจะเอาของคนอื่นเขาไปทิ้งแบบนั้นน่ะ”  คุณหมอเดินหนีผมที่สาวเท้าเข้าไปหาผมไม่รู้จะทำยังไงเลยคว้าเอวเล็กนั่นไว้แล้วดึงร่างบางมาชิดอกกอดเอวไว้หลวมๆแล้วกดปลายคางลงบนลาดไหล่ขาวเนียน


 
“ขอโทษครับผมไม่รู้ว่าคุณหมอจะชอบกางเกงในตัวนั้นผมใส่ถุงวางไว้ข้างนอกยังไม่ได้ทิ้งหรอกครับหมออย่าโกรธผมเลยนะเดี๋ยวผมไปหยิบมาให้”  ผมเอ่ยอย่างง้องอนคุณหมอซึ่งก็ได้ผลหมอที่ทำท่าดึงดันขัดขืนหยุดการกระทำทันทีผมตัดสินใจละจากซอกคอหอมๆที่แอบดมกลิ่นไปนิดนึงก่อนจะเดินออกมานอกห้องหยิบถุงที่ใส่กางเกงในเจ้าปัญหาเดินกลับเข้าห้องไปโดยมีไอ้ลูกปัดที่ยืนตักข้าวต้มใส่ชามมองตามแบบแอบๆมอง


 
ไอ้นี่ก็อีกคนทำไมวันนี้หน้าตามันแดงๆไม่สบายหรือเปล่าหว่า?


 
“นี่ครับ...ว่าแต่มันเก่าแล้วขอบก็ย้วยๆแล้วทำไมยังใส่อยู่ล่ะครับ”


 
“ตัวนี้แม่ซื้อให้ถึงไม่ใส่ก้ต้องเก็บไว้ดูต่างหน้าแม่”


 
ตึ่งโป๊ะ!!!  คำตอบของคุณหมอทำผมเงิบๆเล็กๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนที่มองกางเกงในแทนหน้าแม่เวลาคิดถึง


 
หมอจิณณ์ของผมไม่ธรรมดาจริงๆ  ผมใช้เวลาอีกราวๆ  15  นาทีในการเตรียมเสื้อผ้าให้คุณหมอที่ใจเย็นค่อยๆชโลมครีมทาผิวครีมบำรุงสารพัดยี่ห้อ  เป็นเรื่องคุ้นชินสำหรับผมซะแล้วเมื่อเราออกมาด้านนอกอาหารก็พร้อมอยู่บนโต๊ะด้วยฝีมือเชฟสาวจากลุ่มแม่น้ำปิงหมอจิณณ์ตาโตร้องว๊าวก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ประจำที่แล้วคว้าชามข้าวต้มหอมกรุ่นไปไว้ตรงหน้า


 
“หอมจังลูกปัดทำเองเหรอ”


 
“ป่าวคะปัดขอโดราเอม่อนมา”  ไอ้ปัดหันมาตอบหมอหน้าตายผมเห็นคุณหมอทำปากขมุขขมิบจับใจความได้ว่าเซี่ยอะไรซักอย่าง
สงสัยหมอจะพูดคำว่า เซี่ย เซี่ย ที่แปลว่าขอบคุณตามภาษาจีนสินะครับ


 
"ปวดตัวไปหมดเลย”  เสียงหมอบ่นเบาๆตอนที่ซดข้าวต้มหมดชามแล้วเริ่มจัดการกับชุดอาหารเช้า


 
“เมื่อคืนผมทำแรงไปเหรอครับ”  ผมอดที่จะถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้  หมอส่ายหน้าช้าๆ


 
“ไม่หรอกสงสัยมันยังไม่คุ้นอ่ะเพิ่งครั้งแรกๆร่างกายคงยังปรับตัวไม่ทันหมอให้คุณทำแรงๆเช้าก็เลยระบมน่ะคราวหลังทำเบาๆกว่านี้หน่อยก็แล้วกันเนอะ”


 
“งั้นก็ได้ครับเอาไว้คืนนี้ผมจะทำเบาๆนะครับ”


 
แกร๊ง!!!


 
“เฮ๊ย...แก  ไม่สบายป่าววะลูกปัดทำไมหน้าแดงๆ”  ผมกับหมอที่ตกใจเสียงช้อนหล่นหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าไอ้ลูกปัดนั่งมองเราสองคนอ้าปากหวอแถมหน้าก็แดงลามไปยั้นลำคอแล้ว  ไอ้ปัดยกมือลูบหน้าก่อนจะโบกมือเหยงๆ


 
“ม่ะ...ไม่มีอะไรไม่ได้ไม่สบาย  ค่ะ..คือ...คืออะไรวะ..เอ่อ...คือขิงเว๊ย...เออ...ขิงมันเผ็ด...ร้อนน่ะ...ร้อนก็เลยหน้าแดงไม่มีอะไรจริงๆ”  ไอ้ลูกปัดมันรีบพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน


 
เออ  ไอ้นี่แปลกขึ้นทุกวันสงสัยเจอผู้หญิงจีบบ่อยจนเบลอ


 
“ถ้าไม่สบายบอกหมอได้นะเดี๋ยวเอายาธาตุให้กิน”  หมอจิณณ์คาบขนมปังไว้ในปากก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู


 
“อิ้อ...หมอไปทำงานก่อนนะเย็นๆเจอกัน”  หมอยกกาแฟที่ผมชงให้กินรวดเดียวหมดก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น


 
“หมอครับวันนี้จะขับรถไปเองหรือขึ้นรถเมล์ครับ”
“ไปรถเมล์ดีกว่า”  หมอจิณณ์เดินไปหยิบกระเป๋าใส่พวกเอกสารต่างๆพลางหยิบรองเท้าจากในตู้มาใส่  เหมือนว่าวันนี้หมอจะมีประชุมก็ลยแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติผมขยับไปจัดเนคไทด์ให้เข้าที่
“งั้นผมขับรถไปส่งมั้ยครับเผื่อรถเมล์คนแน่นแล้วตอนเย็นผมไปรับ”


 
“อื้อเอางั้นก็ได้  ลูกปัดฝากบ้านด้วยนะ”


 
“ได้ค่ะเดี๋ยวปัดดูบ้านให้”  ไอ้ปัดมันรับคำพลางนั่งซดข้าวต้มของมันต่อไปผมหันมาพยักหน้าให้มันก่อนคว้ากุญแจรถของคุณหมอมาถือไว้แล้วแย่งเอากระเป๋าเอกสารมาถือไว้ซะเองหมอหันมาโบกมือบ๊ายบายไอ้ปัดก่อนจะเดินนำหน้าไปผมมองตามแผ่นหลังของคุณหมอที่วิ่งดุ๊กๆไปกดดัดกลิฟท์ไว้ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มขำๆกับท่าทางไม่ได้ดั่งใจเมื่อคุณหมอวิ่งมาไม่ทันริมฝีปากอิ่มยู่เข้าหากันอย่างขัดใจ อารมณ์นี้ให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังจะไปส่งลูกชายวัยห้าขวบเข้าอนุบาลเลยครับ


 
ผมหักพวงมาลัยตบไฟเลี้ยวเข้าประตูทางเข้าของโรงพยาบาลก่อนพารถไปจอดด้านหน้าหมอจิณณ์ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วคว้ากระเป๋าก่อนยกมือบ๊ายบายผม


 
“หมอครับ”  ผมตะโกนเรียกหมอจิณณ์หันมามองหน้าผมด้วยดวงตาใสแจ๋วจนผมอดที่จะยิ้มให้ไม่ได้


 
“ตั้งใจทำงานนะครับแล้วเย็นนี้อยากทานอะไรครับ”
“อื้อ..จะตั้งใจทำงานนะส่วนเย็นนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวเราค่อยไปคิดกันที่ซุปเปอร์นะ”


 
“หมอครับ  เย็นนี้นั่งรถเมล์กลับกันนะครับ”  ผมบอกหมอก่อนจะยิ้มหล่อ((ผมมั่นใจว่าผมหล่อแล้ว))ให้หมออีกที  หมอขมวดคิ้วทำหน้างงๆแต่ก็พยักหน้ารับก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าตัวโรงพยาบาลไปผมเห็นแกจัดท่าทางหน้าตาให้ดูมีมาดภูมิฐานสมกับที่เป็นหมอ  ผมมองคุณหมอลับหายไปในลิฟท์แล้วจึงออกรถ  เช้าขนาดนี้ผมไม่รู้จะไปที่ไหนเลยมุ่งตรงไปบ้าน...




 
ครับผมขับรถกลับมาบ้านจอดรถชิดกำแพงบ้านฝั่งตรงข้ามหยิบแว่นตาดำของหมอที่มักทิ้งไว้ในรถมาสวมผมเคาะนิ้วเล่นพลางจ้องเข้าไปในตัวบ้านโชคดีที่รถติดฟิล์มดำเพราะฉะนั้นคนข้างนอกจึงมองเข้ามาไม่เห็นแต่ผมสามารถมองออกไปได้อย่างชัดเจน ประตูบ้านเปิดออกภายในบ้านมีการเคลื่อนไหว


 
ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกก็เห็นไอ้ตัวแสบสะพายกีต้าร์ทำหน้าบึ้งออกมาโดยมีพ่อของมันตามออกมาดึงแขนลูกชายไว้  อาการนี้ไม่ต้องเดาก็รู้มันคงขออะไรพ่อมันซักอย่างแต่โดนขัดใจแน่ๆไอ้ตัวแสบมันสะบัดแขนออกก่อนจะเดินมาเปิดประตูรั้วเดินดุ่มออกมาแต่ชะงักเมื่อพ่อมันเรียก  ซักพักแม่ผมก็เดินตามออกมาก่อนจะเอาเงินก้อนหนึ่งยัดใส่มือหมอก


 
ก็คงจะขอเงินไปซื้ออะไรซักอย่างแล้วคงโดนแม่บ่น  หมอกมันยักไหล่ใส่แม่แล้วหันหลังเดินจากมา


 
มันคงคิดว่าอากัปกริยาที่มันเบะปากกระตุกยิ้มพ่อแม่คงไม่มีทางเห็นมือของมันก็กรีดธนบัติในมือด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องท่าทางที่พ่อแม่ไม่มีทางได้เห็นเพราะเวลาอยู่ในบ้านหมอกคือเทวดาตัวน้อยๆของพ่อแม่


 
ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็คือดีงาม  คือเหมาะสม  คือคู่ควร เทวดาของแม่...แต่ผมที่นั่งอยู่ตรงนี้กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 
“ไอ้เด็กเลว!!”  ผมอดที่จะสบถด่าไอ้น้องชายตัวดีไม่ได้ ครอบครัวเราไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้


 
บางเดือนเราต้องกินกับข้าวซ้ำๆกันหลายๆมื้อเพราะหมอกมักมีเรื่องมาขอเงินเพิ่มอยู่ประจำผมขับรถตามมันออกมาจนมันโบกแท็กซี่โชคดีที่วันนี้ตัดสินใจเอารถคุณหมอมาผมขับตามโดยทิ้งระยะห่างพอสมควรไม่ให้ถูกจับได้ว่ากำลังทำตัวเป็นพวกซาแซงของศิลปินในที่สุดรถก็มาหยุดอยู่ย่านชุมชนแออัดหมอกมันสะพายกีต้าร์เดินเข้าไปในนั้นผมตัดสินใจว่าจะตามไปดูว่ามันไปไหนขณะที่คิดว่าจะรีบตามไปรถคันหลังก็ตบแตรไล่เมื่อมองไปที่ไอ้ตัวแสบอีกทีมันก็หายไปแล้ว


 
หึ...สลัม...จะมีอะไรมากไปกว่าพวกมั่วสุมกันล่ะ  อีกไม่นานผมคงได้ข่าวว่าน้องชายเพียงคนเดียวถูกจับเพราะมามั่วสุมเล่นยากันที่นี่


 
ผมขับรถกลับคอนโดด้วยจิตใจที่สับสนแปลกๆ ใจหนึ่งผมก็เป็นห่วงมัน  ยอมรับว่าลึกๆผมเองก็รักน้องนะ แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้มันถลำลึกลงไปเรื่อยๆ  อยากให้มันทำให้พ่อแม่ผิดหวังเผื่อบางทีผมจะมีตัวตนละมีคุณค่ากับพ่อแม่ขึ้นมาบ้าง


 
ผมกลับมาถึงคอนโดเกือบเที่ยงเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบว่าไอ้ปัดกำลังคุยโทรศัพท์พลางจดอะไรบางอย่างลงบนเศษกระดาษยิกๆจากนั้นมันก็กดวางสายแล้วปรี่เข้ามาหาผม


 
“แก๊....”  มันเดินมาเขย่ามือของผมเหมือนลิงไขลานผมมองหน้ามันงงๆ
นานน๊านไอ้ลูกปัดมันจะเป็นแบบนี้ซักทีนึงและจะเป็นเฉพาะเวลาตื่นเต้นหรือดีใจกับอะไรซักอย่าง


 
“อะไรของแกเนี่ยเตี้ย” ผมใช้ฝ่ามือจับหัวมันโยกไปมาอย่างเอ็นดูระคนกลั่นแล้งแค่มือเดียวก็พอแล้วสำหรับหัวที่เล็กกว่าลูกบาสของมันไอ้ปัดมันปัดมือของผมออกก่อนจะเฉลยสิ่งที่ทำให้อาการของมันเป็นแบบนี้


 
“ฉันลองโทรไปที่นามบัตรนี้อ่ะ  แกรู้มั้ยเค้าเป็นผู้กำกับดังเชียวนะเว๊ยแล้วเค้ากำลังจะเปิดกล้องซีรี่ส์เรื่องใหม่เค้าสนใจให้แกไปเล่นเป็นน้องชายพระเอก  ไปนะๆ”


 
“ตลกแล้วฉันเนี่ยนะจะไปแสดงอะไรพรรค์นั้น”  ผมผละออกจากไอ้ปัดก่อนจะเริ่มเก็บหนังสือบนโต๊ะ ผมคงลืมไปว่าสกิลการโน้มน้าวจิตใจคนของลูกปัดมันมีสูงแค่ไหน


 
“ถ้าแกไปเป็นดาราแกก็จะมีเงินมีชื่อเสียงนะเว๊ย พอถึงวันหนึ่งถ้าฝีมือแกเข้าตาได้เป็นพระเอิงพระเอกวันนั้นแกก็จะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้า”

 
“แกจะพาฉันไปประกวดเดอะสตาร์เหรอ”  ผมถามขัดมันเมื่อมันเริ่มวาดแขนประกอบเพลงที่มันร้อง


 
“อีบ้านี่เพลงของเอเอฟ...แกคิดดูนะเว๊ยถ้าแกไปทดสอบบทดูนะเว๊ยแล้วได้งานนี้มันก็เป็นบันไดขั้นแรกป่าววะที่จะทำให้แกมีงานมีเงินอีกหน่อยอาจจะมีชื่อเสียงพอถึงวันนั้นก็จะมีพร้อมทุกอย่างนะ  โอกาสมันไม่ได้วิ่งชนแกตลอดนะเฮ๊ยเหมือนนามบัตรเนี่ยเค้าให้แกมา  แต่แกดันเอามาวางไว้กับที่เขี่ยบุหรี่  แกจะอยู่กับหมอเขาโดยไม่มีง่นไม่มีรายได้ไม่ด้หรอกนะเฮ๊ยมีที่ไหนอยู่ให้เมียเลี้ยง”


 
“มาเมิงมาเมียอะไรล่ะไอ้บ้านี่”  ผมรีบแย้งทันที  คนกำลังคิดตามดีๆดันตัดฟิลกันได้


 
“ไม่ต้องมาเฉไฉหรอก  เมื่อคืนได้ยินนะว่าทำอะไรกัน  ร้องครางกันดังซะขนาดนั้นผีบ้านผีเรือนตกใจหมดแล้ว”  ไอ้ลูกปัดมันชี้นิ้วเล็กๆใส่หน้าผม ผมคิดตามเมื่อคืนผมทำอะไรกับหมอหว่า
“แกได้เค้าแล้วแกก็ต้องเลี้ยงดูเค้าดิ่”


 
ผมยังคงคิดตามสิ่งที่ลูกปัดพูดก่อนจะดีดหัวเหม่งมันไปซะทีนึง
“โอ๊ย....ดีดทำไมเนี่ย”


 
“เรียกสติ...แกกำลังคิดอะไรไปไกลเรื่องฉันกับหมอ”
“ก็แกกับหมอได้กันแล้วไม่ใช่เหรอ  ม่ะ...เมื่อคืนอ่ะ...เสียงดังออกมาข้างนอกเลยนะ”


 
นั่น...ดูมันกระแดะทำหน้าแดงสิครับ  ผมตบหน้าผากตัวเองจนเกิดเสียงพลางกรอกตาไปมา นี่สินะสาเหตุที่ทำให้เมื่อเช้ามันทำหน้าแปลกๆตอนผมกับหมอออกมากินข้าว


 
“ไอ้คุณลูกปัดครับฟังกระผมให้ดีนะครับ...เมื่อคืนนี้....ฉันกับหมอไม่มีอะไรกัน...หยุดอย่าเพิ่งขยับปากเถียงฟังฉันให้จบก่อน”  ผมชี้นิ้วดักมันทันทีที่มันขยับปากจะทักท้วงซึ่งมันก็ยอมหุบปากฉับพลางอมลมไว้ในปากอย่างขัดใจ


 
“เสียงเมื่อคืนน่ะ...เออ..เสียงครางนั่นน่ะเป็นเพราะฉันนวดหลังให้หมอด้วยส้นเท้าของฉัน  ฉันแค่เหยียบหลังกันโว๊ย เข้า-ใจ-มั้ย-ห๊า”   ผมใช้ปลายนิ้วจิ้มหัวเหม่งของมันในขณะเน้นย้ำ 4 คำสุดท้าย
“นวดหรือนาบเอาให้ดี”  มันยังถามกลับมาด้วยคำถามชวนสำลักน้ำผมมองมันด้วยสีหน้าที่คงตลกน่ะเพราะมันหัวเราะก๊ากใหญ่เลย  แม่หญิงแดนล้านนาน่ากลัวยิ่งนัก

 
“นวดโว๊ย...ไม่ได้นาบ”


 
“แล้วทำไมไม่นาบซะเลยหล่ะหมอเค้าก็มีใจขนาดนั้น  สอยเลยดิ่ฉันสนับสนุน”  มันยักคิ้วแผล่บด้วยสีหน้าทะเล้นแต่ผมนี่หน้าร้อนไปหมดแล้ว  ดูเถอะ...ลูกปัด...แกเป็นผู้หญิงนะเฮ๊ย  แอร๊ววววววววววว.....เมฆรับไม่ได้


 
เมฆอ่อนต่อโลกนะ..จริงๆก็อยากนาบอยู่หรอกแต่อาจจะโดนหมอเตะขาดสองท่อนเอาได้


 
โถ่ววววว.....จะให้พูดว่ายังไง


 
“คุณหมอครับขอนาบหน่อย”  ตายสถานเดียวอ่ะ  ตายแบบไม่ต้องทำแผนประกอบคำรับสารภาพเลย


 
หลังจากจัดการกับข้าวเที่ยงเก็บห้องที่ทำรกกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเสร็จอยู่ๆไอ้ลูกปัดน้อยคอยรักก็คว้าแขนผมหมับพร้อมทำสีหน้ามุ่งมั่นละม้ายคล้ายนายจัน หนวกเขี้ยว กำลังจะขี่ควายไปกู้กรุงศีอยุธยาคืนจากพม่ารามัญก็มิปาน


 
ผมมองหน้ามันอย่าง งงๆ  ในขณะที่มันก็หันมาแสยะยิ้มพร้อมทำเสียงมุ่งมั่นหนักๆใส่ผมว่า


 
“ป่ะ แก”


 
“ไปไหนวะ”


 
“ไปหาอนาคตกัน”  มันว่าแค่นั้นก่อนจะใช้มือเล็กๆของมันดึงข้อมือใหญ่ของผมแล้วออกแรงลากให้ลุกขึ้นจากโซฟา


 
ในที่สุดผมก็มายืนเป็นหุ่นลองเสื้อให้ไอ้ปัดมันจับเสื้อตัวนู้นทาบกางเกงตัวนี้แนบบ้างก็ต้องเดินเข้าๆออกๆห้องลองเสื้อจนกว่ามันที่ยืนกอดอกท้าวคางยืนพินิจพิเคราะห์ผมจะกดหน้าหงึกหงักอย่างพอใจ  บัตรเครดิตถูกยื่นให้พนักงานร้านแล้วร้านเล่าจนกระทั่งสองมือของผมพะรุงพะรังไปด้วยถุงกระดาษของร้านแบรนด์เนม  ผมนี่แทบจะคาบเชือกรองเท้าจากร้านล่าสุดอยุ่แล้ว..เอาล่ะต่อไปร้านนี้ ผมมองตามมือมันไปอย่างเหนื่อยใจ

 
ทำไมผ้หญิงถึงมีพลังในการชอปปิ้งล้นเหลือเช่นนี้  แต่ก็ต้องเลิกคิ้วสุงเป็นเชิงถามว่าจะให้ผมเข้าร้านเสริมสวยทำไม


 
“เข้าไปเหอะน่า”  มันว่าง่ายๆพลางดันหลังผมเข้าไป  ซึ่งพนักงานในร้านก็รีบเข้ามาต้อนรับผมกับไอ้ลูกปัดเป็นอันดี  ไอ้ลูกปัดอธิบายอะไรบางอย่างกับช่างที่เป็นสาวสองเพียงครู่ผมก็ถูกพาเข้าไปด้านหลังม่านที่มีลูกค้านอนเรียงกันอยู่ 2 เตียง  ครับ  ผมถูกสั่งให้นอนลงก่อนจะถูกผ้ายางคลุมคอไว้  สายน้ำเย็นถูกเปิดลงบนผมของผมก่อนที่แชมพูดกลิ่นหอมจะถูกชโลมจนทั่ว

 
เออ…เพลินดีเหมือนกันว่ะ


 
เออ....มีนวดด้วย


 
อุ่ย...มีไชเข้ามาในหูด้วยแฮ๊ะ...


 
ช่างสระผมของผมประมาณ 3 รอบที่สุดก็ถูกสั่งให้ลุกขึ้นออกมานั่งข้างนอก  กลิ่นน้ำยาบางชนิดค่อนข้างฉุนลอยมาแตะจมูก  จากนั้นผมก็เหมือนตุ๊กตาตัวน้อยที่ไร้หนทางต่อสู้ไอ้ครีมพวกนั้นมาแปะอยู่บนหัวของผม  ผมถูกฟรอยด์อันใหญ่ๆแปะที่ผมแลดูตลกเหมือนคนสติไม่เต็มเต็งแล้วก็ถูกเอาพลาสติกใสๆมาพันรอบหัวราวกับผมไปผ่าตัดมะเร็งสมองมาจากนั้นก็ถูกเอามานั่งในหมวกของนักบินอวกาศมันร้อนและได้ยินเสียงน้ำเดือดดังปุดๆ  ผมนั่งคอพับคออ่อนแล้วหลับไปในที่สุด


 
ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานเท่าไหร่แล้วแต่มารู้สึกตัวตื่นตอนที่ช่างสะกิดไหล่ผมยิกๆพลางเรียกว่า


 
“คุณน้องรูปหล่อฮร๊า  ตื่นเถอะฮร๊า...ถ้าไม่ตื่นพี่จะยัดเยียดความเป็นสามีของพี่ให้คุณน้องเองนะฮร๊า”


 
ณ จุดนี้ไม่ตื่นก็ต้องตื่นครับ  พี่ช่างทำท่าขัดใจกระทืบเท้ามาเอาหมวกอบไอน้ำออกจากหัวผมก่อนจะถูกพาไปที่เตียงสระผมอีกรอบจากนั้นกระบวนการสระ ซอย เซตก็เกิดขึ้นตบท้ายด้วยการเมคอัพหน้าตาจนเกือบ 4 โมงเย็นผมก็ได้รับอนุญาตให้มองเงาตัวเองในกระจก ขุ่นพระหกตกลงในกระละมังกล้วยแขก…นั่นผมจริงๆเหรอ??

 
ผมอดที่จะยกมือขึ้นจับเส้นผมที่ตอนแรกเป็นสีดำสนิทแต่ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นสีบลอนด์ทอง  ไฮไลท์ช่วยทำให้หน้าผมสว่างขึ้น  ลูกปัดมันนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับเงาสะท้อนในกระจกให้กับผม


 
“พรุ่งนี้ฉันจะพาแกไปแคสติ้ง”  มันว่าราวกับรู้ว่าที่พาผมมาทำทุกสิ่งอย่างในวันนี้น่ะพื่ออะไร ดูมันเถอะ...คิดเร็วทำเร็วจนผมตามไม่ทัน


 
“ป่ะแก  เดี๋ยวฉันขนของไปรอแกที่ห้องนะส่วนแกก็ไปรับหมอตามที่สัญญาไว้”  มันว่าหลังจากจ่ายเงินเป็นค่าทำผมเสร็จ  ผมมองยอดเงินที่จ่ายไปวันนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ


 
ผมกำลังรู้สึกละอายใจ  เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับต้องให้ผู้หญิงมาจ่ายเงินให้  ถ้าคนนอกมองว่าผมเป็นผู้ชายขายตัวล่ะจะทำยังไง? ลำพังตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก  แต่คนที่จะเสียหายคือเจ้าเปี๊ยกนี่น่ะสิ


 
“ไม่ต้องคิดมากฉันจดใส่สมุดทุกบาททุกสตางค์มีงานทำเมื่อไหร่คืนมาพร้อมดอกเบี้ยด้วย”  อีกครั้งที่อยู่ๆมันก็โพล่งออกมาราวอ่านใจได้  ผมมองมันอย่างอึ้งๆ  แกชักจะรู้ใจฉันมากเกินไปแล้วนะ


 
“ไม่ต้องมายืนทำหน้าหล่อใส่ฉันไปได้แล้วไปรับหมอ  ไปช้าเดี๋ยวโดนด่านะ”  ไอ้ลูกปัดมันเร่งให้ผมไปรับหมออีกครั้งผมมองนาฬิกาอีกเกือบชั่วโมงกว่าหมอจะเลิกงานกะเวลาและระยะทางแล้วผมว่าผมไปรถเมล์ดีกว่า  ผมจัดการโบกแท็กซี่ให้ไอ้ปัดเสร็จแล้วจึงเดินไปที่ป้ายรถเมล์
ความรู้สึกแปลกๆมันทำให้ผมต้องมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ ผู้หญิงสองสามคนจับกลุ่มกันมองมาที่ผมพลางกระซิบกระซาบกัน  บางคนถึงกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผมอย่างไม่กลัวว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผม


 
ผมได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาจมูกด้วยความรู้สึกเคอะเขินแต่สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือเสียงของเด็กสาวในชุดนักเรียนพยายามกลั้นเสียงกรี๊ดอย่างเต็มกำลัง


 
เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันเนี่ย…ผมได้แต่คิดแล้วก็สงสัย  แต่ยังงงได้ไม่เท่าไหร่รถเมล์สายที่ผมรอก็แล่นเข้ามาจอดป้าย  ผมหันไปค้อมหลังพยักหน้าให้พวกเธอพลางส่งยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะก้าวขึ้นรถเมล์มา  สิ่งที่ได้ยินก่อนที่ประตูจะปิดก็คือ


 
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด............เค้ายิ้มให้ฉันด้วยอ่ะ”


 
“ใครบอกล่ะเค้ายิ้มให้ฉันตะหากล่ะ  โอ๊ย...ถ้าบอกว่าเป็นดาราฉันก็เชื่อนะ  หล่อมาก”


 
เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมเอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนรถเมล์ในที่สุดผมก็ก้าวลงจากตัวรถหลังจากมันพาผมมาถึงหน้าโรงพยาบาล
ในนั้นก็ยังคึกคักจากทั้งหมอและคนไข้  ผมเดินไปแผนกของหมอจิณณ์ด้วยความคุ้นเคยแวะทักทายหมอและพยาบาลบางคนที่คุ้นหน้ากันดีเพราะตลอดครึ่งปีมานี้เราเจอกันบ่อย


 
บ่อยชนิดที่เรียกว่าบ่อยกว่าการเจอหน้าคนที่บ้าน   และสิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากทักทายกันเสร็จคือ


 
“ไปทำอะไรมาหล่อมากอ่ะ  หล่อขึ้นเยอะเลย”  ผมได้แต่ยิ้มรับไม่ได้ตอบอะไรมาก  เอาความรู้สึกจริงๆตอนนี้ก้คือผมยังไม่คุ้นกับคำชมเหล่านั้นเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเกือบ 23 ปีของผมได้ยินและคุ้นชินกับคำพูดของหมอกว่าผมนั้นเป็นได้แค่ “ไอ้ลูกเป็ดขี้เหร่”  เท่านั้นเอง
คนไข้หน้าห้องตรวจของหมอไม่มีแล้วพยาบาลคงเคลียร์คิวจนเสร็จตอนนี้ผมแค่รอหมอออกเวรเท่านั้น


 
แกร่ก...เสียงประตูเปิดทำให้ผมละสายตาจากหนังสือที่อ่าน เมื่อดวงตาผมสบกับสายตาของหมอจิณณ์ผมก็ส่งยิ้มไปให้  หมอจิณณ์ชะงักกับรอยยิ้มของผมก่อนที่จะปล่อยลูกบิดหลังจากเขยิบออกมาแล้ว


 
“จำแทบไม่ได้แหน่ะ”  ผมยิ้มรับกับท่าทางที่หมอค่อยๆเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าของผมฝ่ามือเรียวของหมอสอดเข้าไปในกลุ่มผมก่อนจะจับบังคับให้ผมเงยขึ้นสบตารอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ผมจนหัวใจของผมมันรู้สึกวูบวาบแปลกๆ


 
“อย่าหล่อไปมากกว่านี้ได้มั้ย...”


 
“ทำไมเหรอครับ”  ผมถามหมออย่าง งงๆ
“หมอหวง”


 
ฉ่า.....อยู่ๆก็รู้สึกว่าหน้าของผมมันไหม้จนแดงไปหมดซึ่งหมอจิณณ์เองก็คงไม่ต่างกันผมลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้ามือของหมอมากุมไว้


 
“กลับบ้านเรากันเถอะครับ”


 
“อื้อ...ไปสิ”  หมอจิณณ์เดินตามผมมาอย่างว่าง่ายผมคว้าเอาสัมภาระต่างๆของหมอมาถือไว้ซะเอง


 
มือเล็กๆของหมอนี่มันอุ่นจังเลยนะครับผมกระชับฝ่ามือของเราทั้งคู่ให้แน่นขึ้นเดินลงลิฟท์ออกมาภายนอก


 
ป้ายรถเมล์ที่จะกลับบ้านต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งการจราจรตอนเย็นรถหนาแน่นผมจึงต้องยืนรอสัญญาณไฟเราสองคนไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งสัญญาณไฟบอกให้เราข้ามไปได้ บางสิ่งบางอย่างที่อัดแน่นในใจทำให้ผมตัดสินใจพุดออกไป

 
“หมอครับ...”


 
“หืม?”  หมอหันมามองหน้าผมแบบงงๆเพราะผมไม่ยอมข้ามถนนไปซักทีในขณะที่คนอื่นๆรีบเร่งเดินแซงพวกเราไป


 
“ผมว่าผมชอบหมอเข้าแล้วล่ะครับ  ถ้ายังไงเราลองมาคบกันดูมั้ยครับ”  เหมือนโลกจะหยุดนิ่งลงทันที  ภาพรอบข้างราวกับถูกกดหยุดไว้เหลือแค่ผมกับหมอที่ยังขยับเขยื้อนหมอจิณณ์มองหน้าผมก่อนจะกดหน้าลงมองพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง  ริมฝีปากอิ่มขยับยกยิ้มหวานให้กับผมก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง


 
“ตอนนี้ก็ว่างๆอยู่พอดี”  ผมมองหน้าหมอด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ  หมอจิ๊ปากจนเกิดเสียงพลางบ่นพึมพำเบาๆ


 
“โง่จริง...”  ผมยิ่ง งง หนักเข้าไปใหญ่  แค่ขอคบกับหมอทำไมต้องโดนด่าด้วยล่ะครับ


 
“ตอนนี้ว่างๆอยู่ก็ลองคบกันดูก็ได้  นี่รอให้พูดคำนี้มาเป็นเดือนๆแล้วนะเจ้าโง่”  หมอว่าแค่นั้นก่อนจะสะบัดมือเดินหนีผมไปก่อน  ผมประมวลคำพูดของหมอก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วรีบวิ่งตามหมอไป  คว้ามือของหมอแล้วพาวิ่งข้ามฝั่งมาด้วยหัวใจเริงรื่นสุดๆ


 
“เป็นแฟนกันแล้วนะ”  ผมหันไปพูดยิ้มๆให้กับหมอซึ่งรายนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่แค่สายตาอ่อนโยนที่มองผมมันก็คือคำตอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะ


 
ผม ภาคินัย  อายุ 22 ปีกว่าๆ มีแฟนคนแรกแล้วนะครับ
จุดพลุ...






.....................


ตอนนี้ก็ว่างๆอยู่พอดี แต่ทำไมไม่เห็นมีใครมาขอไรต์คบ 555555555555555



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รักกันเข้าใจกันนานๆนะ

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ่านตอนแรกไม่ทันจบเลยขอเม้นก่อน น้องเขาเป็นอะไรอะ เรางงมาก ไอ้เด็กเหี้ย แบบท้าเขาต่อยแล้วจบด้วยคำว่าจะฟ้องพ่อแม่ เอ๊ะ ปากเก่งจังไอ้หนู

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ดีใจด้วยจ้าาาา

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ nooluk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เค้าคบกันแล้วววววววววววววววววววววววววววว :impress2: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อยากมีโมเม้นโดนขอคบแบบนี้บ้างจังเลย อิจฉาาาาาา  :ling1:

ออฟไลน์ MinorMa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
จุดพลุฉลองงงงง

ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ฉลองงงงงงงงง ต้องยอมรับว่าอย่างน้อยเมฆก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนดีๆอยู่ข้างๆ แถมตอนนี้โชคดีกว่าเดิมตรงได้แฟนดีเนี่ยแหละ

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ลูกเป็ดขี้เหร่[:9:]


 
“ไหนลองทำท่าทางสดใสซิ๊” เสียงผู้กำกับสั่งผม ผมกรอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ท่าทางสดใส ทำยังไงวะ ผมพยายามคิดทาทางว่าจะต้องทำยังไงถึงจะออกมาสดใสดูดีก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
แกร่กๆ...เสียงผู้กำกับเกาหัวจนรังแคกระจายเห็นแล้วอยากยื่นเฮดแอนด์โชเดอร์ให้ซักขวด


 
“นั่นสดใสที่สุดแล้ว?” ผมหุบยิ้มห่อเหี่ยวทันทีในขณะที่ลูกปัดมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็ผมอุตส่าห์ฉีกยิ้มจนเหงือกปลิ้นแล้วคุณผู้กำกับยังไม่พอใจอีก การทดสอบหน้ากล้องบทชายหนุ่มผู้ร่าเริงนี่มันไม่ใช่ผมเลยให้ตายเถอะ


 
“งั้นเอาใหม่ ลองทำอารมณ์เศร้าซิ แสดงด้านหดหู่ในจิตใจออกมาแล้วกลั่นออกมาเป็นน้ำตาทำให้เชื่อว่านายเศร้าจริงๆ”


 
เหอะ...อยู่ๆจะให้ผมมาร้องไห้ใครจะทำได้ เรื่องเศร้าเหรอสำหรับผม


 
“มึงมันไอ้ขยะเปียก”


 
“ขอโทษพ่อซะสิ”


 
“เมฆทำไมไม่ได้เรื่องเลยนะ ไม่เคยทำอะไรให้ได้ดั่งใจแม่ซักอย่าง”


 
“ไอ้ลูกกาฝาก ลูกฉันก็ไม่ใช่ชอบทำให้หงุดหงิด”


 
“ไอ้ลูกเป็ดขี้เหร่”


 
เสียงคนในครอบครัวของผมดังซ้อนกันในหัวผมเซ็งแซ่ไปหมด  ผมค่อยๆยกมือขึ้นขยุ้มกลุ่มผมของตัวเองก่อนจะค่อยๆไถลตัวกับกำแพงนั่งลงกับพื้นแล้วชันเข่าขึ้นมา


 
ห้องทั้งห้องเงียบกริบมีเพียงเสียงในหัวของผมเท่านั้น ผมเจ็บ...เจ็บกับคำพูดเหล่านั้น เจ็บที่แม่ไม่ให้ความสำคัญกับผม เจ็บที่น้องชายเพียงคนเดียวไม่เคยให้ความเคารพ เจ็บที่พ่อเลี้ยงที่ผมเคารพรักเขาเหมือพ่อแท้ๆไม่ต้องการผม  ผมเหมือนเศษขยะ  สิ่งปฎิกูลที่ไม่มีใครต้องการ ไร้ค่า  ทั้งๆที่ผมพยายามแล้ว  พยายามเป็นลูกและพี่ชายที่ดีแต่เหมือนผมกำหินก้อนใหญ่ไว้ในมือพอผมโยนลงน้ำหินก้อนนั้นก็จมหายไป


 
จะต้องให้ผมพยายามอีกมากขนาดไหน  จะต้องให้ผมทำยังไงทุกคนถึงจะรับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว จะต้องทำยังไงผมถึงจะได้ไปนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวโดยไม่ต้องถูกแยกไปนั่งกินคนเดียวในครัว


 
“คัท!!”  ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ของผมเงยหน้าขึ้นมองคนในห้องอย่างตกใจ  ผู้กำกับเดินมานั่งลงตบไหล่ผมปุ่ๆพลางยกยิ้มอย่างพอใจ
“โอเค...นายผ่านการแคสติ้งล่ะบทน้องชายคนสุดท้องเป็นของนายนะเดี๋ยวเอาบทไปศึกษาแล้วอีกสองวันมาเซ็นต์สัญญาแล้วเดี๋ยวจะส่งไปเรียนการแสดงเพิ่มกำหนดเปิดกล้องอีก 2 เดือนเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ” ผมนั่งหน้าเหวอฟังที่ผู้กำกับพูดแล้วพยักหน้ารับอย่าง งงๆ พอทุกคนออกไปแล้วไอ้ลูกปัดก็วิ่งเตี้ยเข้ามาหาผม หน้ามันระรื่นราวกับเพิ่งดูเดี่ยว 20 ของพี่โน้สมาเชียวร่างเตี้ยจับมือผมเขย่าพลางกระโดดตุ่บตั๊บไปมา


 
“แก๊...สำเร็จแล้วโว๊ย” ผมมองหน้ามันพร้อมกับประมวลคำพูดของผู้กำกับกับไอ้ลูกปัดก่อนจะทำตาโต หัวใจผมกำลังเต้นรัวเร็วรุนแรงราวกับจะหลุดออกมาจากออกจากนั้นก็




 
“เฮ๊!!!!!”


 
แกร๊ง!!!!


 
แก้วเบียร์ขนาดใหญ่สามใบถูกชนกันจนเกิดเสียงยามที่เนื้อแก้วกระทบกัน  ผม  หมอ  ลูกปัดซื้อเบียร์มาฉลองกันแบบเต็มที่ กับแกล้มพร้อม เหล้าเบียร์พร้อม คนพร้อม พวกเราก็ลุยเต็มที่แบบไม่มีการหยุดสต๊อป


 
“กินซะกินเยอะๆต่อไปเป็นดาราดังจะมานั่งกินแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ” หมอจิณณ์แฟนคนแรกพ่วงตำแหน่งเมียคนแรกของผมเอ่ยขึ้นก่อนจะเลื่อนจานของย่างต่างๆมาตรงหน้าผม


 
“ทำไมอ่ะหมอ” ไอ้ลูกปัดที่มีฟองเบียร์ติดริมฝีปากบนเอ่ยถามอย่างสงสัย


 
“ก็อีกหน่อยดังไงจะมีแฟนคลับตาม ไหนจะนักข่าวแม่ยกสารพัดต้องระวังตัวทุกย่างก้าวเงี๊ยะจะมานั่งดื่มนั่งชนกันแบบนี้คงไม่ได้”


 
“โหย นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคตมากๆ” ไอ้ลูกปัดยังคงเถียงอย่างไม่ลดละ


 
“อนาคตก็ต้องคิดเผื่อดิ่ชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยอาจจะไม่มีโอกาสได้มาน่งจิบเบียร์กันง่ายๆแบบนี้ก็ได้ ก็แฟนหมอทั้งหล่อทั้งนิสัยดีแบบนี้งานต้องชุกแน่ๆ พูดแล้วก็เขินขอถีบทีดิ่” หมอจิณณ์ขยับขาทำท่าจะถีบไอ้ปัดมันจริงๆจนไอ้เปี๊ยกที่กำลังกระดกเบียร์อยู่ต้องรีบร้องห้ามพลางเบี่ยงตัวหลบผมหัวเราะขำกับท่าทางตลกๆของสองคนนี้


 
เวลาล่วงไปเกือบเที่ยงคืนงานเลี้ยงของพวกเราก็เลิกราหมอจิณณ์เมาจนแก้มแดงส่วนลูกปัดมันบอกเหนื่อยและง่วงมกผมที่แค่มึนๆจึงเคลียร์โต๊ะจัดการหอบหมนกับผ้านวมมาให้มัน  อากาศหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อไอ้ปัดอาบน้ำเสร็จมันก็ซุกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้านวมเรียบร้อย


 
ผมหันไปมองหมอที่นั่งซบหน้ากับโต๊ะก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอ็นดู  คนตัวเล็กขดตัวน้อยๆเหมือนเด็กตัวจ้อยที่พร้อมจะกินนมนอน
“หมอครับไปนอนกันเถอะครับ”  ผมนั่งลงกระซิบชิดหูที่เย้นเฉียบของหมอ


 
“อุ้มหน่อยเดินไม่ไหว”


 
แหน่ะ...มีอ้อน  ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะช้อนใต้ข้อพับขาอีกมือก็ช้อนใต้แผ่นหลังออกแรงยกร่างบางของหมอให้ขึ้นมาอยู่ในอ้อมอกหมอซุกหน้าเข้ากับอกของผมราวกับลูกนกซุกปีกแม่หาไออุ่น
ผมหันหลังมาปิดประตูล็อคห้องเรียบร้อยตามความเคยชินหลังจากเราเข้ามาให้ห้องแล้วจัดการวางร่างของหมอลงบนเตียงนอนนุ่ม


 
“อีกหน่อยเป็นดาราแล้วก็คงทิ้งหมอแน่ๆเลย” อยู่ๆเสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นหลังจากผมหันหลังเตรียมหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำผมชะงักกับคำพูดนั้นเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าหมอลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาแดงๆนั่นซะแล้ว
“ผมจะทิ้งหมอได้ยังไงล่ะครับก็หมอน่ารักขนาดนี้น่ะ หื๊ม?”


 
“ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะไม่ทิ้งกัน” เสียงอู้อี้นั่นยังคงเถียงดวงตาใสแป๋วจ้องมาที่ผมดูไม่มั่นใจจริงๆ ผมเดินไปหยุดใกล้กับหมอก่อนจะก้มหน้าไปชิดฝ่ามือของผมก็ประคองใบหน้าหวานนั้นไว้ริมฝีปากที่ผมจงใจจะส่งเข้าไปกระซิบชิดกับริมฝีปากของหมอเอ่ยบอกอย่างมั่นคง


 
“หมอครับ..เมฆเป็นของหมอนะครับ” หมอหลบตาของผมใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ

 
น่ารัก


 
น่าหลงใหล


 
เมฆจะไม่ทน


 
ไม่ทนอีกต่อไป


 
“หมอครับ..ขอนาบหน่อยได้มั้ยครับ”


 
...


 
.....

 
.......


 
........


 
“ก็เอาสิ”


 
คำพูดก๋ากั่นที่เปล่งออกมาช่างสวนทางกับท่าทางของหมอจิณณ์ที่นั่งหน้าแดงก่ำพลางก้มมองมือของตัวเองที่เกาะกันไปพันกันมาอย่างไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหน  เมฆค่อยๆก้าวเดินเข้าไปนั่งด้วยเข่าทั้งสองข้างของตนเองก่อนจะคว้ามือเรียวนั้นมากุมไว้


 
สายตาที่มองคุณหมอหน้าสวยถ่ายทอดความรักที่มีให้กันอย่างไม่คิดจะปิดบัง  ปลายนิ้วอุ่นเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับตน แววไหววูบที่พัดผ่านเข้ามาแล้ววูบหายไปบ่งบอกว่าจริงๆแล้วคุณหมอหน้าสวยไม่ได้กล้าอย่างที่ปากพูดเลยซักนิด


 
“กลัวเหรอครับ” เมฆอดที่จะกระเซ้าคนปากเก่งไม่ได้ หมอจิณณ์เสมองไปทางอื่นแต่คนเมาก็ยังคงปากเก่งไม่ลดละ


 
“กะ..กลัวที่ไหน  ที่สั่นเนี่ยสั่นสู้นะ”


 
“จริงเหรอ” คนตัวสูงอายุน้อยกว่าเอ่ยถามราวกับสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องตลก หมอจิณณ์กดปากขมวดคิ้วฉับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเตรียมเถียงซึ่งก็เข้าทางกับคนที่ตั้งท่ารอรับอย่แล้วเพราะเพียงแค่งยหน้าจนริมฝีปากได้องศาความนุ่มหยุ่นอบอุ่นก็ทาบทับลงมาทันที


 
ผมละเลียดกลีบปากที่หอมกลิ่นแอลกอฮอร์นั้นอย่างหลงใหลหมอจิณณ์ตอนแรกทำท่าเหมือนจะผลักผมออกราวลูกม้าพยศแต่พอตั้งหลักได้มือที่ผลักอกผมเบาๆก็เปลี่ยนเป็นกำเสื้อของผมแน่นก่อนจะปรับองศาให้เข้ารูปกับริมฝีปากของผม


 
ถึงภาคปฎิบัติของผมจะติดลบแต่ทฤษฎีผมแน่นปั่กเพราะก็นะ  ผมเองก็เป็นผู้ชายนี่นา  ก็ต้องผ่านตากับพวกหนังจรรโลงสังคมพวกนี้มาบ้าง  ผมกดจูบทีกลีบปากอิ่มนั้นเน้นๆย้ำๆก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปทักทายกับอวัยวะส่วนเดียวกันของคุณหมอ


 
อ่า....ผมจำได้ว่าคราวที่แล้วผมก็จูบหมอแบบนี้ล่ะ




เราสองคนต่างช่วงชิมความหอมหวานซึ่งกันและกันอยู่เป็นนานหมอจิณณ์เลื่อนมือที่กำเสื้อขงผมเปลี่ยนมาเป็นคล้องรอบลำคอแทนผมดันร่างบางให้นอนราบลงบนเตียงนอนนุ่มร่างของผมก็แทรกเข้าไปตรงกลางหว่างขาที่ตั้งฉากรออย่างถนัดถนี่
เสื้อผ้าของเราถูกผลัดกันปลดเปลื้องทีละชิ้น รสจูบจากนุ่มนวลกลายเป็นร้อนแรงขึ้นทุกที
ฝ่ามือของเราต่างบีบเฟ้นร่างกายป่ายปัดไปทั่วราวกับจะสำรวจซึ่งกันและกัน ปลายลิ้นของผมลากไปทั่วร่างทั้งริมฝีปาก พวงแก้มอิ่ม เปลือกตา ต้นคอ แวะทำรอยตรงไหปลาร้าสวยจนมาถึงยอดอกที่เริ่มชูชันด้วยแรงกระตุ้นร่างบางของหมอจิณณ์บิดเร่ายามผมละเลงลิ้นกับหัวนมที่แข็งตึงสู้ลิ้น
เอวบางร่อนขึ้นเป็นระยะยามที่ผมแกล้งขบฟันสลับซ้ายขวาจนน้ำลายใสยืดออกจากปาก เสียงที่ดังออกมาจากหมอจิณณ์ไม่ใช่เสียงบ่นด่าแบบทุกครั้งแต่กลับเป็นเสียงครางเบาๆอย่างเสียวซ่าน สองขาคล้ายจะไร้เรี่ยวแรงปลายเท้าจิกเกร็งกับที่นอนสองมือขยุ้มผมของผมเสียจนเจ็บหนังหัวไปหมดผมแวะทักทายสะดือบุ๋มก่อนจะไล้เรื่อยไปถึงจิณณ์น้อยที่ผงกหัวทักทายผมกลับยามใช้มือลูบหัวของเด็กดีเบาๆแต่ลู่ใหญ่กลับครางซี๊ดซะนี่
“อ๊ะ...อ๊า...อย่า...” เสียงร้องห้ามยามผมส่งลิ้นไปชิมส่วนปลายแดงก่ำแต่การกระทำของคุณหมอกลับสวนทางกับคำพูดเมื่อมือเรียวที่ขยุ้มกลุ่มผมของผมอยู่กับกดหัวของผมให้เข้าใกล้กับจิณณ์น้อยก่อนที่ผมจะครอบรูปปากรับเด็กดีเข้ามาไว้ในโพรงปากอุ่นก่อนจะขยับปากขึ้นลงตามความต้องการของคุณหมอที่คุมจังหวะให้สอดประสานกับผม ไม่วายแวะหยอกเล่นกับลูกองุ่นกลมสองลูกนั้น ทั้งนิ่มทั้งอุ่นผมดูดแรงๆจนคุณหมอสะดุ้งเฮือกกดหน้าของผมลงมาอีกอย่างแรงจนผมต้องส่งปลายลิ้นไปทักทายกับปากทางสีอ่อนที่กำลังขมิบรัวอย่างเชิญชวน
“เมฆอย่า...” อีกครั้งที่คำห้ามของหมอดูจะไร้น้ำหนักผมส่งปลายลิ้นชิมความแปลกใหม่จนมันชื้นแฉะคราวนี้ก็อยากข้าไปสำรวจปากถ้ำดูซักหน่อย ผมค่อยๆใช้ปลายนิ้วกดแทรกเข้าไป คุณหมอสะดุ้งเฮือกหากแต่ก็ยอมผ่อนคลายตามที่ผมบอก
“อ๊ะ...อื้อ...ดี” เสียงเอ่ยชมออกมายามที่ผมแทรกนิ้วที่สองเข้าไป ก้นกลมลอยขึ้นจากเตียงพลางขยับบั้นเอวรับกับปลายนิ้วของผม ร่างบางสั่นสะท้านยามที่ผมเร่งความเร็ว เสียงครางหวานดังระงมแต่จู่ๆหมอก็ผงกหัวขึ้นมาพลางร้องสั่งสียงดัง
“หย่ะ...หยุดก่อน...” ผมที่กำลังปลุกความเป็นชายในตัวเองอยู่ชะงักกับคำขอที่นอนอ่อนระทวยใต้ร่างผมหยุดกึกทันที
“เอานิ้วออกก่อน” เสียงหวานที่เจือสั่นเล็กๆร้องสั่งผม ใบหน้าหวานเหยเก ถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมอขอนักแต่ผมเลือกที่จะตามใจหมอมากกว่า ทันทีที่ผมชักนิ้วออกจากช่องทางรักที่พร้อมสำหรับการรวมร่างแล้วสิ่งๆนี้ก็ดังขึ้น...
ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!! พลังทวินแคม 16 วาล์วจากตูดหมออัดใส่หน้าผมด้วยความเร็วลม 18 กม./ชั่วโมง กลิ่นไม่มีก็จริงแต่ผมก็กลันหายใจจนลมอุ่นๆนั้นผ่านหน้าไปให้ได้รับรู้ว่าสิ่งที่หมอขอคืออะไร
ให้สามคำ... หด ห่อ เหี่ยว
“โทษทีอ่ะ คือหมอเป็นพวกมีอะไรมาวนเวียนที่ตูดไม่ได้พาลจะขี้ทุกที” เสียงคุณหมอเอ่ยบอกแผ่วเบา ผมส่ายหน้าให้กับความตรงไปตรงมาของคุณหมอ ผมถอนหายใจบาๆนึกเอ็นดูกับคนที่พยายามจะหุบขาของตัวเองเพื่อต้นขาปิดบังจิณณ์น้อยจากสายตาของผม
“มา...ต่อเถอะ หมอพร้อมแล้วนะ” ในที่สุดเมื่อเห็นผมนิ่งไปหมอก็จัดการอ้าขาพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งเล่นของตัวเองไปด้วย ภาพแบบนี้หาดูยากครับผมจ้องการกระทำของคุณหมอไม่วางตาจนรู้สึกว่าเมฆน้อยของผมพร้อมเข้าไปสำรวจถ้ำลึกลับอีกครั้ง
ทุกอย่างเหมือนเดิมจนกระทั่งผมค่อยๆกดแกนกายเข้าไปช้าๆ คุณหมอเชิดหน้าสูงหางตาปริ่มไปด้วยน้ำใสผมกดจูบซับน้ำตาก่อนจะกวาดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากเบี่ยงเบนความสนใจให้คุณหมอคลายความเจ็บลงไปฝ่ามือก็ขยำก้นนิ่มพลางแบะออกเพื่อแทรกกายเข้าไปจนสุด กดแช่แล้วจูบสูบวิญญาณจนรู้สึกว่าผนังอุ่นที่บีบรัดเมฆน้อยคลายลงจึงลองขยับดูหน่อยแม้จะยังฝืดอยู่บ้างแต่ก็พอจะดึงออกแล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่
ผมกัดฟันกรอดพยายามระงับสติที่กำลังพุ่งพล่านด้วยแรงอารมณ์ทั้งๆที่อยากจะกระแทกแรงๆแต่เห็นอาการกัดปากผ่อนลมหายใจของหมอก็พาลทำให้สงสารต้องอดทนขยับกายอย่างใจเย็นจนกระทั่งอาการเกร็งของคุณหมอลดลงแทนที่เสียงร้องอย่างเจ็บปวดกลายเป็นเสียงครางหวานแม้ส่วนปลายแข็งของผมกดเข้าไปถูกจุดจนหมอสะดุ้งกอดผมแน่นปลายเล็บก็จิกลงบนแผ่นหลังของผม ฟันซี่เล็กขบลงบนไหล่ของผมอย่างลืมตัว ผมลองสาวกายขึ้นก่อนจะกดย้ำลงไปจุดเดิมให้แน่ใจแล้วก็เช่นเดิมร่างบางสะดุ้งสุดตัวครางเสียงดังลั่นอย่างลืมอายเบียดกายจนแนบสนิทกับตัวผมจนไม่มีที่ว่างให้แมลงสาบหรือไรฝุ่นลอดผ่าน ดวงตาที่เคยกลมโตใสแป๋วบัดนี้หลับตาปี๋จนเห็นตีนกาสามขีดที่หางตา
“หมอครับผมรักหมอนะครับ เมฆเป็นของหมอคนเดียวนะครับ”
“อ๊า...ผมก็รัก..รักคุณนะ” เสียงตอบกลับคำรักของผมที่เอ่ยกระซิบเสียงกระเส่าที่ริมหูของผมทำให้หัวใจอุ่นวาบ ผมขยับสะโพกเร็วขึ้นจนร่างบางโยกคลอนตามจังหวะที่ผมเป็นคนคุมเกมส์ จากท่าธรรมดาปรับเปลี่ยนเป็นตอนนี้ผมนอนซ้อนทางด้านหลังของหมอดันเข่าให้ลอยขึ้นพร้อมกับตอกแกนกายเข้าไปหนักๆถี่รัว เสียงร้องสั่งดังขึ้นเป็นระยะยามผมเร่งจังหวะ
“อ๊ะ...เจ็บจังเมฆเบาหน่อยได้มั้ย อื้อ...แน่น...อา....ดีจังเลยเมฆ ผ่อนแรง...อ๊า...หน่อยนั่นแหล่ะดีมาก อ๊า....”
“อ๊ะ....แรงๆ ตรงนั้นย้ำลงไปอีกได้มั้ย อา....นั่นล่ะใช่สุดยอดเลย” ผมขยับสะโพกโยกกับหมอด้วยอารมณ์หลากหลาย สุขสมที่ได้เป็นเจ้าของร่างกายนี้อย่างสมบูรณ์และมีสติสัมปัชชัญญะครบถ้วน ความเสียวที่แล่นมาจนถึงช่วงปลายสุดทำให้ผมหลับตาเชิดหน้ากัดปากจนรู้สึกเจ็บก่อนที่ผมจะเร่งจังหวะถี่ยิบสองมือประสานกันแน่นผมกระซิบชิดริมหูแดงที่ซึมชื้นด้วยเหงื่อที่เกิดจากกิจกรรมเข้าจังหวะของเรา
“ผมรักหมอนะครับ เมฆรักจิณณ์นะครับ ไปพร้อมกันนะ”
“อ่ะอื้อ...หมอจะ...ไม่ไหวแล้วนะ” ผมเร่งจังหวะยามที่ร่างบางของเมียคนสวยของผมเริ่มตอดถี่แรงขึ้นมือข้างหนึ่งก็ช่วยรูดรั้งแกนกายอันน่ารักของคุณหมอจนกระทั่งร่างบางกระตุกเกร็งเสียงหวานครางหวีดก่อนจะนอนหอบในขณะที่ผมก็ส่งเสียงครางต่ำพลางปล่อยของเหลวออกมาจนคุณหมอสะดุ้งวาบอีกครั้ง ผมกดจูบที่ขมับชื้นเหงื่ออย่างรักใคร่ คราวนี้เซ็กส์ครั้งนี้ผมมีสติเกือบเต็มร้อย รับรู้ว่ามันหวานละมุนระคนร้อนแรงแค่ไหน คุณหมอน่ารักแค่ไหนยามเอ่ยคำรักให้หัวใจของผมได้รู้สึกดี
ผมลูบสะโพกกลมเบาๆไปมาก่อนจะเริ่มเล็มใบหูของหมอเล่นอีกครั้ง หมอจิณณ์หันมายิ้มให้ผม ให้ตายสิปากแดงๆแบบนี้มันยั่วกันชัดๆก่อนที่คุณหมอจะทันตั้งตัวอะไรผมก็ขึ้นคร่อมอีกรอบพลางซุกหน้ากับซอกคอหอมอย่างหมั่นเขี้ยวเต็มที่
“อ๊า...เด็กบ้า....อย่าเพิ่งสิยังไม่หายเหนื่อยเลยนะ” เสียงหมอร้องประท้วงแต่ผมหาสนไม่ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนักนะครับคุณเมียของผม หึหึหึ
ด้านนอกบนโซฟาตัวใหญ่ร่างบางที่นอนขดตัวคลุมโปงอยู่สลัดผ้านวมออกจากหน้า สีหน้างัวเงียอารมณ์เสียสุดๆ “โหย...นวดกันอีกแล้วสิเนี่ย แก่แล้วก็เงี้ยล่ะ”
ลูกปัดส่ายหน้าก่อนจะคลุมโปงหลับไปอย่างไม่สนใจเสียงครางระงมที่ดังลอดออกมา ก็แค่นวดล่ะว๊าไม่ได้นาบซักหน่อยลูกปัดไม่ตื่นเต้นแล้วแหล่ะ การได้ตื่นนอนในตอนสายของอีกวันหลังผ่านกิจกรรมร้อนเมื่อคืนแล้วพบกับคุณหมอคนสวยนอนคว่ำหน้ากอดหมอนสีขาวใบโตที่ตามแผ่นหลังและส่วนต่างๆของร่างการขึ้นรอยจ้ำสีแดงมันทำให้ผมอดเผยยิ้มออกมาไม่ได้ กดจูบที่ไหล่ขาวเนียน ลูบลงบนสะโพกเบาๆ ผ้าห่มสีแดงสดพาดทับหมิ่นเหม่อยู่ที่สะโพกที่ผมรู้ดีว่าในนั้นก็ไม่มีอะไรติดกายอยู่เลยเพราะผมลอกคราบออกไปตั้งแต่เมื่อคืน
เสียงถอนหายใจอย่างคนรำคาญเวลาถูกรบกวนการนอนทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะตัดใจลุกขึ้นจากเตียงเดินเปลือยเปล่าเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย เกือบ 20 นาทีที่ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเมื่อออกมาก็พบว่าหมอจิณณ์นอนตะแคงมองมาทางผมเหมือนรอคอยอยู่ ผมส่งยิ้มที่คิดว่าโคตรหล่อไปให้แต่ปฎิกริยาที่ได้รับกลับมาก็คือ
ปุ.... เต็มหน้าผมเลยครับ นิตสารเล่มเล็กๆถูกเขวี้ยงมาใส่ผมโชคดีที่มันเป็นหนังสือเล่มบางๆปกอ่อนผมจึงไม่เจ็บ
“หมอ...”
“ไอ้เมฆ!!!”
เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ทำไมหมอเรียกเมฆแบบนี้ เมฆกลัวนะครับ

แล้วสายตาที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนั่นอีกล่ะ ผมผงะถอยหลังไปสามก้าวเหมือนคนที่กำลังจะตั้งหลักในขณะที่หมอค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น ท่าทางของหมอเหมือนซอมบี้ที่เพิ่งฟื้นคืนชีพมันดูเงอะงะแปลกๆ ซักพักหมอก็ค่อยๆวางเท้าลงบนพื้นพร้อมเสียงร้องและใบหน้าเหยเก

“อูย.....”
“หมอเป็นอะไรครับ นอนทับแขนเหน็บกินเหรอครับ”
“เหน็บบ้านป้าแกสิ...บอกมานะทำไมมีอะไรกันครั้งนี้แล้วฉันเจ็บฉันระบมฉันปวดร้าวไปทั้งตัวเลยแกทำอีท่าไหนห๊ะ!!” เสียงคุณหมอหวีดแหวดังประมาณหกสิบเดซิเบลทำให้เมฆผู้อ่อนต่อโลกอย่างผมกลัว
ทำอีท่าไหนเหรอ??
ใครจะไปจำได้รู้แค่ว่าเมื่อคืนก็หลายท่าอยู่กว่าจะหมดแรงได้นอน หมอเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาผม ตลกอ่ะ ตัวแดงเป็นจ้ำ ตูดก็บิด แถมเดินกระเผลกแปลกๆ เหมือนซอมบี้จริงๆนะเฮ๊ย
“ฮ่ะ..ฮะ.. ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ที่สุดผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่โดยลืมไปว่าหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่ง
ผั่วะ!!!
ถึงขั้นน้ำตาเล็ด  ไม่ได้ขำจนน้ำตาเล็ดนะครับแต่เพราะรู้สึกเหมือนตอนนี้กระโหลกของผมจะร้าวด้วยฝ่ามือสยบมารของหมอที่ฟาดลงมาเต็มๆกบาลทำให้ผมหยุดหัวเราะแบบชะงักงัน
ตบหัวแบบนี้เดี๋ยวฉี่รดที่นอนนะหมอไม่รู้หรือไงกำลังจะอ้าปากตัดพ้อก็พอดีกับที่เงยหน้ามือตบกำลังเบะปากปล่อยน้ำตาให้ร่วงริน
“หมอครับ..ร้องไห้ทำไม...โกรธผมเหรอครับ” ผมรีบเข้าไปประคองหมอที่ยืนปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาโดยไม่แม้แต่จะสนใจยกมือขึ้นเช็ด
“เจ็บ...เจ็บจริงๆนะ...ยิ่งขยับตัวยิ่งเจ็บ” เสียงหมอพูดเบาๆแต่ดังเข้ามาชัดเจนในหูผมจนทำให้ผมรู้สึกผิด รับรู้ได้ เข้าใจได้ว่าตอนนี้หมอคงจะปวดเมื่อยเนื้อตัวและคงมีไข้เพราะตัวหมอร้อนรุมๆ ผมกอดหมอที่เบี่ยงตัวหลบผมไว้อย่างหลวมๆ
“เจ็บมากมั้ยครับ...เมฆขอโทษนะ...ผมขอโทษนะครับหมอไหนบอกมาซิว่าเจ็บตรงไหนมั่งอ่ะ หื๊ม?”
เพราะอยู่ด้วยกันมาครึ่งค่อนปีทำให้ผมรู้ว่าหมอแพ้คนพูดจาหวานๆเพราะๆ ยิ่งละมุนแบบนี้แล้วหมอจะยิ่งอ่อนให้ทำให้ผมปรับใช้โทนเสียงอ่อนๆพลางเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
“เจ็บ...เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย...ฮึก...ตรงนี้ก็เจ็บ” หมอชี้ไปที่ริมฝีปากบวมเจ่อของตัวเอง
“ตรงนี้ก็ด้วย” ซองคอขาวที่มีรอยแดงจากการขบเม้มของผมถูกชี้จุด
“ตรงนี้ก็เจ็บ” ไหล่เนียนถูกชี้จุด
“ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ตรงนี้ก็ด้วย” ทั่วร่างกายถูกชี้ราวกับจะฟ้อง
“ก้นก็เจ็บ นายทำหมอเจ็บระบมไปทั้งตัวเลยนะ” น้ำเสียงตัดพ้อดวงตาที่ตวัดมองอย่างไม่พอใจถูกส่งมาให้ผม
“ข้างในนี้ก็รู้สึกไม่สบายตัวด้วย”
วืด
“อ๊ะ” ทันทีที่ผมช้อนตัวคุณหมอขึ้นอุ้มวงแขนเรียวก็ตวัดคล้องคอผมโดยอัติโนมัติ
“นี่ จะทำอะไร”
“พาหมอไปอาบน้ำไงครับจะได้สบายตัว” ผมว่าเพียงแค่นั้นก่อนจะอุ้มร่างบางของเมียป้ายแดงเข้าไปในห้องน้ำ”
ด้านนอกลูกปัดที่ตื่นขึ้นมาได้ซักพักกำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหารแล้วมานั่งรอข้าวสุกที่โซฟาหน้าทีวี
“อ๊ะ...หมอนั่งนิ่งๆสิครับขยับแบบนี้ผมจะทนไม่ไหวเอานะ”
“ก็มันเมื่อยนี่”
“อ๊ะ...อา....”
เสียงที่ดังลอดออกมาจากในห้องทำให้ลูกปัดส่ายหัว
“เออ...ตื่นมานวดกันแต่เช้าเลยเว้ย แบบนี้ต้องพาไปวัดโพธิ์นวดแผนโบราณท่าจะดี ให้เมฆมันนวดจะหายมั้ยมีแต่ปวดหนักกว่าเดิมอ่ะดิ่”
 
 



...................................


ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nooluk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ลูกปัดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
นี่มานช่วงเวลาต้องฟินสิคระะะะะ55555555555555
ในที่สุดก้อเมียคนแรกไม่มะโนละนะ :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โถ ลูกปัด5555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ลูกเป็ดขี้เหร่[:10:]


ผมคลี่บทละครซีนต่อไปที่ทีมงานกำลังเซตฉากช่างแต่งหน้าทำผมต่างวิ่งกันให้วุ่นซับหน้าเติมแป้งทาลิปยีผมให้ยุ่งๆ เพราะมัวแต่ตั้งใจในการอ่านบทอยู่เลยทำให้เจ๊ช่างทำผมใช้หวีสับหัวซะทีนึง

“นี่พ่อคุณพ่อมหาจำเริญพ่อคนรวยแคลเซี่ยมถ้าไม่ยืนถ่างขาก็ช่วยนั่งหน่อยเถอะเจ๊ทำผมให้ไม่ถึงจริงๆ” ผมหลุดจากบทละครมองลงมาระดับอกเจ๊ร่างเล็กที่มีความสูงแค่ราวนมยืนทำหน้ายักษ์ใส่

เอื้อมสุดสอยมือเจ๊แกก็อยู่แค่หน้าผาก  ผมหลุดหัวเราะเบาๆอย่างเขินๆในการลืมทุกสิ่งอย่างรอบกาย

บทน้องชายคนเล็กที่เก็บกดและมีปัญหากับพี่ชายคนโตที่รับบทโดยพราะเอกชื่อดังทำให้ผมค้นพบว่าจริงๆแล้วผมชอบที่จะแสดงไปตามบทบาทที่ได้รับ

ตอนนี้เวลาออกไปข้างนอกเริ่มมีคนจำผมได้บ้างแล้วเพราะละครออนแอร์ได้สามตอนแล้ว คืนแรกที่ออนแอร์ผมต้องมาปาร์ตี้นั่งดูพร้อมกันกับคนในกอง ผมต้องแกล้งทำเป็นตื่นเต้นสนุกสนานให้พี่ๆทีมงานและเหล่านักแสดงเห็น แต่จริงๆแล้วผมน่ะอยากกลับไปนอนหนุนตักให้คุณหมอลูบผมพูดคุยกันไปดูกันไปมากกว่า

ผมรักการแสดง ผมรักบรรยากาศในกองถ่ายที่มีแต่คนมารุมล้อมให้ความใส่ใจ บรรยากาศที่ผมมีความสำคัญแบบที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนเมื่ออยู่ที่บ้าน เหมือนผมจะหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งยามที่ผู้กำกับนับให้สัญญาณ  ผมนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนที่แก้วชาเขียวจะถูกยื่นให้

ลูกปัดที่ลาออกจากงานผันตัวมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมนั่นเอง หลังจากเรียนการแสดงเกือบสามเดือนละครจำนวน 30 ตอนก็เปิดกล้อง

เวลาที่ผมได้เจอหมอจิณณ์บิดเบี้ยวไปหมดบางครั้งผมต้องออกกองตั้งแต่เช้ามืดหมอยังไม่ตื่น  บางวันกองเลิกเกือบสว่างหมอหลับไปแล้วพอผมตื่นมาตอนสายหมอก็ไปทำงาน  หลายครั้งผมสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะมีอะไรเย็นๆมาแปะหน้าก็พบว่าหมอเอาแผ่นมาร์คหน้าและพวกครีมบำรุงผิวมาทาให้ เคยถึงขั้นกอดกันแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาก็มี

“พักนี้นายไม่มีเวลาให้หมอเลยนะ” หลายครั้งคำๆนี้ถูกส่งออกมาราวตัดพ้อแล้วหัวกลมก็ถูไถไปมากับอกผมราวลูกแมวช่างอ้อน

“ผมขอโทษครับช่วงนี้เปิดกล้องแล้วเป็นเรื่องแรกของผมด้วยผมอยากทำให้ดีเค้าจะได้จ้างผมบ่อยๆจะได้มีเงินไปให้แม่พาหมอไปเที่ยว เรายังไม่เคยไปเที่ยวไกลๆกันเลยใช่มั๊ยครับหมอคิดไว้ยังครับว่าอยากไปเที่ยวไหนพอผมว่างผมจะพาหมอไปเลย” นั่นคือคำถามที่หมอบอกขอคิดดูก่อน

ถึงหมอจะขี้งอน  อารมณ์ร้อนแต่หมอก็ไม่เคยงอแงเรื่องการทำงานของผมไม่เคยโทรเชคว่าจะกลับกี่โมงมีแต่เวลาว่างหมอจะส่งข้อความมาบอกให้ผมสู้ๆ แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับกำลังใจของผม

“เออนี่แก บริษัท xx โทรมาแล้วนะเว้ยแกจะเอาไงเรื่องเซ็นสัญญา” ลูกปัดมันพูดถึงเรื่องที่ค่ายเพลงและต้นสังกัดดังของดาราหลายคนทาบทามให้ผมเข้าไปเป็นดาราในสังกัด ผมไหวไหล่

“ยังไม่ได้คิดเลยว่ะ แกว่าไงอ่ะ” ผมไม่ได้คิดเรื่องที่จะเข้าสังกัดไหนทั้งนั้นความจริงเป็นดาราอิสระก็ดีอยากรับก็รับไม่อยากรับก็ไม่ต้งรับได้ข่าวมาว่าค่ายนี้ชอบรับงานให้ดาราหนักแต่ก็ดังทุกคน ดูอย่างพระเอกละครเรื่องที่ผมเล่นสิดังระดับเอเซียเลย

“ฉันว่ามันก็เป็นโอกาสที่ดีนะอีกอย่างได้มืออาชีพจัดการตารางงานให้อาจจะดีกว่าที่ฉันทำ”

ครับลูกปัดมันพูดถูกครับ  ผมได้คุยแบบคร่าวๆมาบ้างแล้วที่ผมยังลังเลคือถ้าเซ็นสัญญากับบริษัทแล้วทางนั้นจะส่งผู้จัดการส่วนตัวมาให้แทนลูกปัด

“แล้วแกล่ะวะปัด”

“อีกไม่นานฉันก็ต้องกลับไปคุมโรงสี เปลี่ยนซะตอนนี้มันเป็นผลดีกับแกนะ” ผมคิดตามที่ลูกปัดมันพูดครับ ตอนนี้พ่อของมันโทรมาเร่งให้ปัดกลับไปอยู่บ้านแทบจะทุกวัน เป็นเพราะผมแม่โรบินฮู๊ดสาวจึงจำต้องฝืนใจกลับไปอยู่ในที่ๆตัวเองพยายามหนีตลอดเวลา

“ถ้าไม่กลับพ่อส่งพี่ๆฉันมาลากกลับชัวร์” มันบ่นอุบครับ หลังจากนั้นเราก็นั่งกันเงียบผมอ่านบทมันดูคิวงานที่รับไว้อีกสองสามงานเป็นงานถ่ายนิตยสารกับโฆษณาสินค้าอีกสองงาน ความเงียบปกคลุมเราสองคนท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในกองถ่าย

“เออ!!”

เฮือก!!!

เหยดดดดดดดดดดดด......ไอ้เตี้ยนี่  อยู่ๆก็เออ ออกมาซะดังคนกำลังเพลินๆตกใจหมด ผมเงยหน้ามองมันหน้าตาคงเหรอหรามันถึงหลุดหัวเราะก๊ากซะงั้น

“เอาดีๆ  อะไรของแกไอ้บ้าตกใจหมด”

“แก...ลืมอะไรไปป่ะ?”

“อะไร  มีงานต่อเหรอวันนี้”  ผมถามกลับลูกปัดที่ทำตาวิ๊บวับ

“มีแน่”

“เฮ๊ยงานไรวะ?”

ผมว่าวันนี้มีถ่ายละครอย่างเดียวนะนี่เหลือซีนสุดท้ายก็ได้กลับบ้านนอนแล้ว สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้วอากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทุกที

“วันนี้วันเกิดแกไงไอ้บ้าแกต้องรีบกลับไปฉลองกับหมอ”

“หืม??”  ผมเบิกตากว้าง

6 พย.  ให้ตายสิ วันนี้วันเกิดผมนี่นา เออหว่ะ  ใช่จริงๆด้วย

“เออ...ลืมสนิทเลยหว่ะว่าเคยมีวันเกิด”

“เฮ๊ย...วันนี้วันดีนะเว้ย อย่าดราม่าดิ่” ไอ้ปัดมันคงรู้ล่ะครับว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมคิดถึงครอบครัวของผม

ผมคิดถึงแม่

บ้านอื่นเวลาถึงวันเกิดอาจจะมีของขวัญ  มีฉลองเป่าเค้ก แต่สำหรับผม  เค้กก้อนสุดท้ายตอนผมอายุ 6 ขวบ หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้เป่าเทียนอีกเลยตั้งแต่มีหมอกเกิดขึ้นมาบนโลก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกมอบให้เด็กคนนั้นหมด ทั้งพ่อแม่ ทั้งความรัก  ให้หมดจนไม่เหลือถึงผม

“อย่าเศร้าดิ่แก แกยังมีฉันเป็นเพื่อนนะเว้ย ที่สำคัญปีนี้แกมีกำลังใจชิ้นใหญ่รออยู่นะ หมอโทรมาเมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าถ่ายเสร็จให้รีบกลับคอนโด หมอเตรียมของขวัญไว้ให้

จริงสินะ...ถึงผมจะห่างหายจากของขวัญวันเกิดไปนานจนลืมแต่ปีนี้มันพิเศษ  ผมมีเพื่อนที่ดีมีคนรักที่น่ารัก

“อ่ะ...” กล่องของขวัญเล็กๆถูกยื่นมาตรงหน้า

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ยะ  มีความสุขมากๆ”

“อะไรอ่ะ”  ผมรับกล่องมาเขย่าเบาๆ

“นาฬิกาว่ะ”

“อ๊าว...ไอ้นี่ก็ตอบง่ายๆ ทำไมไม่เล่นตัวหน่อยวะแบบไม่บอกไปเปิดดูเอง”

“อ๊าว ถ้าอยากเซอร์ไพร์ทแล้วจะถามทำหอกอะไรล่ะ” มันส่งค้อนกลับมาครับ คันเท้ายิกๆ

“เมฆ เข้าฉาก” ผมที่กำลังจะทำการประทุษร้ายลูกปัดทางความคิดต้องรีบลุกขึ้นเมื่อทีมงานเดินมาตาม หลังจากนั้นผมก็ลืมเรื่องส่วนตัวไปซะสิ้นตั้งอกตั้งใจทำงานในส่วนของตัวเอง

ซีนนี้เป็นซีนอารมณ์ที่ผมต้องโต้เถียงกับพี่ชายแล้วมีแม่มาคอยห้าม เป็นซีนที่ผมรู้สึกอิน เหมือนผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในตัวพี่ชายและผมกำลังเป็นหมอก ติดที่ว่าบทแม่ในละครนั้นเข้าข้างพี่ชาย ต่างจากชีวิตจริงของผมที่แม่เอาแต่เข้าข้างลูกชายคนเล็ก น้ำตาแห่งความน้อยใจของผมค่อยๆไหลตอนที่ฝ่ามือของแม่ตบกระทบผิวแก้ม นักแสดงหญิงไม่ได้ตบโดนจริงแค่มุมกล้องแต่ไดอะลอคที่ต้องพูดต่างหากที่ทำผมสะเทือนใจ

“แกมันลูกสารเลวเกิดมาไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจเลยซักครั้งสร้างแต่ภาระก่อแต่ปัญหาแกไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้เลยจริงๆ”

อินเนอร์ที่ดาราหญิงส่งมาให้ทำให้ผมอินกับการแสดงตอนนี้จริงๆ ทุกสิ่งเงียบสนิทเหลือเพียงผมพี่ชายและแม่ในบทที่ส่งอารมณ์กันสุดๆ

“คัท!!”  ในที่สุดเสียงผู้กำกับก็สั่งคัทดาราหญิงท่านนั้นรวบตัวผมไปกอด ร่างกายของผมสั่นเทาอย่างคนที่ยังอินกับบทไม่หาย

“ไม่เป็นไรแล้วนะ โอ๋ๆหนุ่มน้อยของแม่เลิกร้องไห้นะ”

อบอุ่นจังครับ  อ้อมกอดของคุณแม่ในบททำให้ผมสวมกอดเธอไว้หลวมๆพลางหลับตาปล่อยน้ำตาให้ไหล

“ขอผมกอดอีกแป๊บนะครับ คุณเหมือนแม่ผมจังเลย” ผมพูดข้างๆหูเธอ เธอไม่ได้ว่าอะไรเพียงหัวเราะและกระชับอ้อมกอดพลางลูบหลังของผมไปมาเบาๆอย่างอ่อนโยน

พรึ่บ!!!

อยู่ๆไฟในห้องก็ดับพรึ่บลงผมผละอ้อมกอดออกจากคุณน้านักแสดงหญิงท่านนั้นก่อนที่ทั้งห้องจะสว่างนวลด้วยแสงเทียนที่ปักลงบนหน้าเค้ก เสียงเพลงอวยพรวันเกิดดังขึ้นพร้อมจังหวะการปรบมือ  นางเอกของเรื่องเป็นคนประคองถาดเค้กมาพี่เอ้ที่รับบทพระเอกบอกให้ผมหลับตาอธิฐาน

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการอธิฐานในวันเกิดเลยแต่เปลือกตาของผมก็ค่อยๆปิดลง พร้อมกับเสียงภาวนาในใจของผมก็ดังขึ้น

“ขอให้ผมมีความสุขนับจากวันนี้ไปเป็นดาวที่เจิดจรัสมีแต่คนรักขอให้แม่รักผมมากกว่าน้องบ้างซักครั้งในชีวิตขอให้ผมประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเยอะๆ” ผมลืมตาพร้อมกับเป่าเทียนบนเค้กก้อนนั้น

กว่าจะลาทุกคนออกมาได้ก็เกือบห้าทุ่มลูกปัดโบกแท็กซี่กลับไปแล้ว  มันกลับไปนอนหอได้เกือบสามเดือนแล้วหลังจากรู้ว่าไอ้เสียงแปลกๆในห้องไม่ได้เกิดมาจากการนวดเพราะคุณหมอดันหลุดปากด่าผมตอนกำลังกินข้าวเรื่องที่ผมชอบทำรอยบนตัวหมอ มันเขินผมกับหมอไปซะหลายวันเชียวแหละ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังไขกุญแจรถ

“ถึงไหนแล้ว?”

“กำลังจะกลับครับ”

“อื้อ  รีบกลับมานะ”

“ครับเดี๋ยวจะตรงดิ่งไปที่ห้องเลยครับ”

ผมขับรถยนต์ที่เก็บเงินซื้อรถมือสองมาได้ 1 คันกลับคอนโดใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงผมก็เสียบคีย์การ์ดเข้ากับประตู

ทั้งห้องเงียบสนิทไฟถูกปิดแต่มีเทียนปักบนพื้นเป็นทางเดินเข้าไปสู่ประตูห้อง  กล่องของขวัญหลากขนาดถูกวางไว้รอบห้องมีกระดานเล็กๆตั้งอยู่

ถ้าคิดว่าของขวัญกล่องอื่นสำคัญก็เลือกเปิดซักกล่องแต่ถ้าคิดว่าไม่ตามทางเข้ามาจะมีของขวัญกล่องใหญ่รออยู่

ผมอ่านข้อความบนกระดานอดอมยิ้มกับความขี้เล่นของคนที่เตรียมของขวัญวันเกิดของผมไม่ได้ผมโยนกล่องของขวัญกล่องหนึ่งที่เก็บขึ้นมาดูทิ้งแล้วค่อยๆเป่าเทียนทีละเล่มจนถึงเล่มสุดท้ายหน้าประตูห้อง ไม่ใช่อะไรกลัวเผลอวางทิ้งไว้แล้วไฟจะไหม้ห้องเอา

เมื่อเปิดประตูเข้าไปไฟในห้องที่ให้ความสว่างมีเพียงโคมไฟที่หัวเตียงเท่านั้น  ไร้เงาคุณหมอคนสวยแต่บนเตียงกลับมีกล่องใบใหญ่วางอยู่ที่สำคัญมันขยุกขยิกได้ ผมส่ายหัวกับความช่างคิดของเมียคนสวยก่อนจะค่อยๆนั่งบนเข่าของตัวเองแล้วคลานเข้าหากล่องใบยักษ์อย่างแผ่วเบา

“ของขวัญกล่องนี้ของผมใช่มั๊ยเอ่ย?...”  ไม่มีเสียงตอบกลับมีเพียงกล่องใบโตขยับนิดหน่อย  ผมค่อยๆเปิดฝากล่องที่ปิดไว้ลวกๆออกมันหล่นแผละออกทั้งสี่ด้านแทบจะทันทีที่ผมเปิดออก ในนั้นเผยร่างบางขาวนวลเนียนนั่งกอดเข่าช้อนตาขึ้นมองผมด้วยดวงตากลมโต

ร่างบางสั่นรวมทั้งริมฝีปากที่สั่นระริกด้วยความหนาว แอร์ถูกเปิดไว้เย็นเฉียบราวอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ แต่เมียของผมกลับใช้เพียงริบบิ้นแดงพันตัวไว้แล้วผูกเป็นโบว์ที่คอระหง...

“ก่ะ...ก่ะ...แกะ...ของขวัญสิ” ปากสั่นระริกเอ่ยบอก คงหนาวมากสินะครับไม่รู้ว่ามานั่งขดแบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว ผมประคองร่างบางที่นั่งกอดเข่าหนาวสั่นให้มาอยู่ระดับเดียวกันก่อนกดจูบลงบนหน้าผากมน

“ขอบคุณนะครับสำหรับของขวัญวันเกิด  ผมชอบมากเลย  มันเป็นของที่มีค่าที่สุดแล้วสำหรับผม”

มือหนาแตะเอวเล็กของร่างบางที่สั่นสะท้านยามผิวเนื้อแตะกันก่อนจะรั้งเข้าหาตัวก่อนก้มลงตวัดปลายลิ้นรับปลายริบบิ้นสีแดงเข้ามาไว้ในปากฟันคมกัดปลายผ้าแล้วค่อยๆดึงจนปมที่ผูกโบว์ไว้คลายออก  ริบบิ้นผ้าผืนยาวเมื่อคลายปมแล้วถูกปล่อยออกจากปากหยักความลื่นของเนื้อผ้าจึงทำให้ส่วนอื่นที่ถูกพันซ้ำๆกันคลายตัวออก ผิวกายขาวผ่องปรากฏสู่สายตา ราวกับตุ๊กตาเซรามิค

สวย...ดึงดูด...

มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นประคองใบหน้าหล่อเอาไว้พลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ปากหยักได้รูป

“สุขสันต์วันเกิดนะเมฆของหมอ”

เพียงสิ้นคำอวยพรริมฝีปากอิ่มของหมอที่ผมชอบละเลียดชิมความหอมหวานก็ทาบทับลงมากับปากของผมอย่างเชิญชวน เห็นทีคืนนี้ผมคงต้องเปิดของขวัญทั้งคืนซะแล้วล่ะครับ

ผมกวาดกล่องใบโตบนเตียงให้ตกลงข้างๆก่อนจะค่อยๆผลักหมอคนงามนามจิณณ์ให้นอนราบลงบนเตียง  มือของผมก็เอื้อมมาดึงเชือกที่ใช้เปิดปิดสวิซต์ไฟให้ดับลง

คืนนี้ผมต้องขอตัวชิมของขวัญก่อนนะครับ ผมมีความสุขมากๆในคืนนี้ แม้จะไม่มีเค้กจากหมอให้กินแต่ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมหากินเอาแถวนี้ได้ เส้นๆดำๆคล้ายๆกันคงพอแทนกันได้ ฝันดีนะครับ...ฮริ๊งค์!! >////<

หลังจากเรี่ยวแรงถูกสูบจากกิจกรรมแกะของขวัญสูบวิญญาณทำเอาเราสองคนนอนสลบจนเย็นของอีกวัน ที่สุดก็ต้องยอมแพ้ความหิวผมกับหมอตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว

โชคดีที่หมอไม่มีเวรในวันนี้และผมไม่มีคิวถ่ายเราจึงตัดสินใจไปเดินเห้างแถวบ้านกะว่าดูของอะไรต่อมิอไรหาของกินอาจจะพากันไปดูหนังซักรอบค่อยกลับห้อง

บรรยากาศจอแจเหมือนปกติที่เราเคยมาที่ไม่เหมือนคือเริ่มมีคนมองผมเสียงที่ได้ยินผ่านๆหูคือ

“หล่อจัง”

แค่ประโยคสั้นน่าแปลกที่มันกลับทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างพอใจ

“นั่นดารานี่” เสียงใครหลายๆคนดังต่อกันเป็นทอดๆจิณณ์ที่จับมืออยู่กับเมฆมองสบสายตากับผู้หญิงเหล่านั้น

ผู้คนเริ่มเบียดเสียดกันเข้ามาเมื่อเสียงพูดบอกต่อกันปากต่อปากดังขึ้นเรื่อยๆ จากที่เดินได้สบายๆกลับตีวงล้อมเข้ามาจนแคบ เสียงกรี๊ดดังขึ้นแทบจะทันทีที่มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหาญกล้าเอ่ยปากถามเมฆตรงๆ

“พี่ใช่พี่เมฆจากละครเรื่องพี่ชายหรือเปล่าคะ”

“ใช่ครับ” และทันทีที่ประโยคสั้นๆประโยคนั้นถูกตอบกลับเสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มพร้อมกลุ่มคนที่เบียดกันเข้ามา

มือที่เกาะกุมกันค่อยๆคลายออกจากกันจนในที่สุดจิณณ์ก็ถูกเบียดออกมาอยู่ด้านนอก ความอุ่นที่ฝ่ามือยงคงมีอยู่ ทั้งๆที่คิดว่าจะจับกันไว้ให้ถึงที่สุดแต่พอมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยื่นกระดาษและปากกาให้กับเมฆชายหนุ่มก็ปล่อยมือจิณณ์ไปรับมันทันที

คุณหมอหน้าหวานยืนรออยู่นอกวงเป็นนานแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยเมื่อผู้คนต่างวิ่งมาขอถ่ายรูปขอลายเซ็นมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนมากมายต่างรุมล้อมเมฆจนไม่เหลือที่ว่างให้คุณหมอหน้าสวยแทรกเข้าไปเลยในที่สุด

เสียงจอแจเมื่อครู่ก็หายไปเมื่อจิณณ์ตัดสินใจเดินจากมาทิ้งให้เมฆอยู่กับบรรดาแฟนคลับเพียงลำพัง มิวายหันไปดูเผื่อคนตัวสูงจะเดินตาม แต่ก็เปล่าเลย.. เค้ายังคงอยู่กลางฝูงชน เป็นดาวที่กำลังส่องแสงทอประกายอยู่ตรงนั้น



ผมแจกลายเซนให้บรรดาแฟนคลับที่กรูกันเข้ามา บนหน้าของผมปรากฏรอยยิ้มแจกจ่ายให้อย่างทั่วถึงทุกคน เหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นราวๆ 5-10 นาทีแต่พอผมหันกลับไปมองหาหมอจิณณ์ ผมก็พบเจอกับความว่างเปล่า ไม่เป็นไรหรอกคุณหมอไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยที่ไปก่อนคงเพราะจะเปิดโอกาสให้ผมได้พบปะพูดคุยกับแฟนๆสินะ



สัญญาการเป็นนักแสดงในสังกัดxxเป็นเวลา 5 ปี ถูกจรดลายปากกาเซนต์ชื่อยอมรับในที่สุด

ข้อตกลงที่ว่าจะมีละครอย่างน้อยปีละ 2 เรื่องและการเดินแบบอีกทั้งรับงานโฆษณาภายใต้การตัดสินใจของบริษัท  รวมทั้งเอ็มวี  และงานนอกค่ายที่บริษัทจะรับให้ ปีหนึ่งๆผมจะมีเงินไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท

“เดี๋ยวอีกสองวันจะส่งผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่มาคุยด้วยนะ ทำความรู้จักกันไว้เวลาทำงานจะได้ราบรื่น แล้วก็เตรียมขนของด้วยล่ะทางบริษัทเตรียมหอพักไว้ให้” ผมก้มหัวรับคำท่านประธานที่เดินทางมานั่งคุยกับผมด้วยตัวเอง

“ผมต้องย้ายที่อยู่?” ผมถามอย่าง งงๆ

“ใช่ เพื่อความสะดวกในการทำงานของนักแสดงในสังกัด เราจะจัดที่พักให้อยู่ในช่วงปีแรกๆ หลักจากอะไรๆอยู่ตัวแล้วคุณจะซื้อบ้านหรือคอนโดอยู่เองก็เรื่องของคุณ”

ผมถือซองเอกสารออกมาข้างนอก  ลูกปัดนั่งรอผมอยู่มันยิ้มให้ผม อดใจหายน้อยๆไม่ได้  คลุกคลีตีโมงกินอยู่ลำบากบ้างสุขสบายด้วยกันมาเป็นปี ต่อไปนี้มันจะกลับไปเป็นแค่เพื่อนสนิทของผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ของผมจะมีนิสัยยังไง จะดุ  จะเข้มงวด หรืออารีย์เหมือนลูกปัดมันมั้ย

“เรียบร้อยแล้วเนอะ” มันว่าเบาๆใบหน้าของมันยังคงประดับรอยยิ้ม

ผมไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไหนเข้มแข็งแบบมัน ผมรู้จริงๆแล้วลูกปัดเองก็ใจหาย  อีกไม่กี่วันมันก็ต้องกลับบ้าน  ถึงวันนั้นผมคงจะเหงา แต่ตอนนี้ผมต้องกลับไปหาคุณหมอก่อน ไปบอกข่าวที่ว่าผมต้องย้ายออกจากคอนโดแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าผลมันจะเป็นยังไงได้แต่หวังว่าคุณหมอคงเข้าใจหน้าที่การงานของผม คนเราต้องโต ต้องเจริญก้าวหน้า

ผมกำลังเดินตามหาแสงสว่างนั้นและผมเชื่อว่าหมอจิณณ์จะเข้าใจผม  จะรับรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันคือการตามหาความฝันและความเจริญก้าวหน้า มันจะเป็นสะพานที่จะให้ผมเหยียบขึ้นไปยืนบนพื้นที่ที่สูงขึ้นให้แม่ของผมเห็นตัวตนของ ภาคินัย  ดาราดังผู้ทอแสงเจิดจรัส



ผมเพิ่งเข้าใจคำว่า “กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องปล่อย” ก็ในวันนี้เอง กระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบถูกวางไว้กลางห้อง

ร่างสูงที่อยู่ด้วยกันมานานนับปีหันหน้ากลับมาหาผม  ผมได้แต่ส่งยิ้มให้เขากลับไปเมื่อเมฆรวบร่างของผมเข้าไปกอด ผมถอนหายใจก่อนจะเลื่อนแขนขึ้นกอดรอบไหล่กว้างของเค้าไว้

คนนิสัยไม่ดี... มาทำให้ผมชินกับการนอนด้วยกันแล้วก็จะมาทิ้งกันไป

“ผมจะแวะมาหาบ่อยๆนะครับ”

รั้งเค้าไว้สิ  บอกเค้าว่าอย่าไป

ผมพร่ำบอกตัวเองซำๆนับร้อยรอบขณะที่เขาดันกายผมออกห่าง ดวงตาคมของเขา  ส่วนที่ผมชอบที่สุดในร่างกายของเค้าจ้องมองผมอยู่ด้วยสายตาที่อ่านได้ว่าเค้าเองก็ไม่อยากไปจากผม

“อื้อ...โชคดีนะ คงไปหาที่คอนโด...ไม่ได้สินะ”

อยากจะตบปากตัวเองด้วยรองเท้าเบอร์ 44 ของเมฆที่ไม่มีฉุดมีรั้งเค้าไว้เลย นายเป็นอะไรไปน่ะจิณณ์  ทำไมไม่ขอร้องให้เค้าอยู่กับนาย ทำไมไม่รั้งไม่ให้เค้าไป

“ผมก็อยากให้หมอไปกับผมนะครับแต่คิดว่าที่นั่นพวกแฟนคลับแล้วก็นักข่าวคงไปซุ่มกันอยู่ อาจจะตามศิลปินคนอื่นแต่ถ้าได้ภาพของเราก็คงไม่ใช่เรื่องดี”

“หมอรู้”

“ผมจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องวันเว้นวันนะครับ”

“อื้อ...”

“อย่าทานมาม่าดิบอีกนะครับถ้าผมโทรมาหมอยังไม่ได้กินข้าวผมจะทำโทษให้ลุกจากเตียงไม่ขึ้นเลยนะ”

“รู้แล้วน่าอย่ามาทะลึ่ง” ผมแกล้งดุไอ้เด็กร่างโย่งที่ยืนยิ้มโชว์เหมงือกตรงหน้าก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาลูบใบหน้าเรียวที่ผมทำให้กับมือ จริงๆเค้าไม่ใช่คนขี้เหร่อะไรเลยเพียงแต่ขาดการดูแลและความมั่นใจในตัวเอง ผมก็แค่ปรับปรุงนิดหน่อยแล้วเรียกเค้าว่าสุดหล่อของหมอบ่อยๆให้เค้ามั่นใจขึ้นมา

ตอนนี้สุดหล่อของผมผลัดขนจากลูกเป็ดเป็นหงส์ขาวที่สง่างามแล้วผมก็ต้องปล่อยเค้าไป ไปในที่มีแต่คนประเภทเดียวกับเค้า ชีวิตของภาคินัยจะต้องพุ่งขึ้นสูง สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้น...เหมือนต้นถั่วของแจ็คที่ค่อยๆแทงยอดขึ้นสู่ฟากฟ้า ผมจะไม่มีทางดึงเค้าให้ตกต่ำเด็ดขาด

ผมยืดตัวขึ้นด้วยปลายเท้าก่อนจะค่อยๆประทับรอยจูบลงบนเปลือกตาของเขาทั้งสองข้าง ถ่ายทอดพลังให้กับเขา  ถ่ายทอดความเข้มแข็งให้กับเด็กน้อยที่หัวใจแสนเปราะบางคนนี้ก่อนจะกลับมายืนด้วยสองเท้าปกติ เค้ามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำแต่ริมฝีปากที่ผมชอบกดจูบย้ำๆเวลาตื่นนอนก็มีรอยยิ้มน้อยๆประดับอยู่

“หมอสร้างเกราะป้องกันภัยให้นายแล้วนะ  โชคดีนะ”  ผมเอ่ยลาเค้าอย่างตัดใจเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเมฆดังมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว เมฆหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือพร้อมๆกับที่ลูกปัดแวะมาพอดี

ที่สุด... ห้องที่เคยคิดว่าแคบก็กว้างขึ้นอย่างประหลาดหลังแผ่นหลังของเมฆลับหายไป ที่สุดคนที่คิดว่าตัวเองสามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างผมก็ใช้ผนังห้องช่วยพยุงร่างกายที่เรียวขาเกิดอ่อนล้ากระทันหัน หัวใจของผมมันวูบโหวงเหมือนใจจะขาด ทำไมกับแค่เค้าย้ายไปอยู่หอผมกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังจะเดินออกไปจากผม นี่ผมกำลังฟุ้งซ่านและใกล้จะเป็นบ้าไปใช่มั้ย?

เหงาจัง....เค้าเพิ่งจากไปแค่สิบนาที  แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหงาและอ้างว้างอย่างนี้ล่ะ ความรู้สึกแบบนี้ไม่อยากได้เลย...ไม่อยากได้เลยจริงๆ



ผมเลี้ยวรถขึ้นมาที่ชั้น 9 ของคอนโดใจกลางเมืองที่เส้นทางคมนาคมสะดวกสบาย ถือว่าเป็นทำเลที่ดีเพราะถนนแถวนี้ไปสถานีโทรทัศน์ต่างๆได้อย่างสบายด้วยเส้นทางแต่ละทางเชื่อมต่อกันราวใยแมงมุมผมกับลูกปัดช่วยกันยกกระเป๋าออกจากหลังรถแล้วเข็นไปยังห้องที่ระบุไว้ในแผ่นกระดาษ

ลูกปัดยังคงมาทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวของผมเป็นวันสุดท้ายมันกวาดตามองเลขห้องก่อนจะเดินลิ่วนำไปอย่างนิสัยคนที่คล่องตัวสูง ผมกดกริ่งหน้าห้องเพราะรู้ว่ามีคนรออยู่ก่อนแล้ว และทันทีที่ประตูถูกเปิดออกผมก็พบกับใครคนหนึ่ง ที่เอ่ยทักผมว่า...



“สวัสดีฉันชื่อศิโรจน์เป็นผู้จัดการคนใหม่ของคุณนะ”

 


 .................................

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ

คุณหมอกับลูกเป็ดมีขายในอีบุ๊คนะคะดูได้ในปักหมุดทวิตเตอร์ @il_LoVe_li
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2018 00:55:45 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อย่าม่าเลยนะ  :hao5: :hao5:
หวังว่าเมฆจะไม่หลงลืมหมอนะ เฮ้ออออ

ออฟไลน์ nooluk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เมฆฆฆฆฆฆฆฆฆ แกอย่าลืมหมอนะรู้มั้ยยยยยยยยยยยย  :katai4:
ถ้าแกเปลี่ยนไป ฉันจะทุบแกเองงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :angry2:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เมฆคงลืมไปว่าแสงอ่ะถ้ายิ่งส่องสว่างมากๆมันจะกลืนทุกสิ่งรอบตัวหายไปหมด ลงพนันเลยว่าน้องจะลืมตัวแน่นอน

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ลูกเป็ดขี้เหร่[:11:]


เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้


จิณณ์ลดโทรศัพท์เครื่องแพงที่เพิ่งไปซื้อใหม่คู่กับเมฆมาเมื่อหลายเดือนก่อนลง  ลมหายใจถูกถอนทิ้งอย่างเหนื่อยหน่ายนิ้วเรียวไล้ลงบนแผ่นกระดาษหนังสือพิมพ์ประเภทกอซซิปดาราหัวยักษ์ที่พาดข่าวว่า


เมฆกับผู้จัดการส่วนตัวสวีทหวานกลางร้านอาหารหรูภาพเหมือนเซลก้าที่ชัดเกินระดับ HD เมฆกับผู้จัดการส่วนตัวที่จิณณ์เคยได้ยินเสียงร้องเร่งเมฆแว่วๆทุกครั้งเวลาที่เขาโทรไปหาเมฆ


ศิโรจน์..


“บ้าน่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน”  เอาส้นมือทุบหัวตัวเองพลางเดินหันหลังให้ร้านหนังสือที่ยืนจ้องมาร่วมสิบนาที


“ต้องเชื่อใจดิ่  ต้องเชื่อใจกัน”  ปากบอกกับตัวเองย้ำๆ  ก็แค่หลอกให้ตัวเองสบายใจกับข่าวที่ได้ยินผ่านๆหู  กับภาพที่ได้เห็นผ่านๆตา  แต่ทั้งๆที่คิดว่าจะไม่คิดมากในสมองกลับเห็นแต่รูปนั้นวนเวียนซ้ำๆในสมอง


หมอจิณณ์เดินดูของเข้าห้องอีกเกือบชั่วโมงก็หิ้วเพียงถุงเล็กๆที่บรรจุอาหารสำเร็จรูปเพียงถุงเดียวแล้วเดินกลับมายังรถที่จอดทิ้งไว้เสียงสัญญาณปลดล็อคดังขึ้นคุณหมอหน้าหวานเปิดประตูรถทันทีที่ประตูเปิด


ผลั่ก!!


“โอ๊ย!!  อะไรเนี่ย”  ร่างบางหน้าทิ่มไปกับเบาะก่อนที่ก้นจะถูกดันจนหกลายเป็นผลักให้เข้าเข้ายังเบาะอีกฝั่ง”


“เร็วๆ”


“อะ..อะไร”  คุณหมอที่ยัง งง กับเหตุการณ์ตรงหน้าเอ่ยถามปากสั่น


“โจรเหรอ  จะขโมยรถเหรอ  ไม่ได้นะรถคันนี้กว่าจะซื้อได้ฉันต้องพนันบอลแมนยูลูกพ่อไปตั้งกี่ครั้งไม่รู้หรือไงอยู่ๆจะมาเอาไปง่ายๆแบบนี้ไม่ยอมนะโว๊ย”


“หุบปาก  ไม่ได้จะขโมยรถแค่ขออาศัยออกจากที่นี่เท่านั้นกุญแจอยู่ไหน เอากุญแจมา”  มือหนาของเด็กหนุ่มปากแดงแก้มป่องตะปบค้นตามตัวหมอจิณณ์  คุณหมอคนสวยได้แต่ปัดป้องปากกำลังจะอ้าด่าก็พอดีกับสายตาเหลือบมองใบหน้าหล่อที่กำลังตื่นตระหนกและด้านนอกไม่ไกลมีกลุ่มคนกำลังวิ่งมาทางนี้


“ได้โปรดถ้าคุณไม่ช่วยผมตายแน่”  น้ำเสียงร้อนรนผสมกับสีหน้ากังวนและท่าทางร้อนใจของเด็กหนุ่มทำให้หมอจิณณ์ตัดสินใจยื่นกุญแจรถให้กับเด็กหนุ่มหน้าคุ้นคนนั้นทันที่ได้ลูกกุฐแจถูกไขรถบีเอ็มคันหรูก็แล่นฝ่ากลางกลุ่มคนที่วิ่งตามมาสายตาคมถอดแบบใครบางคนที่คุ้นเคยทำให้หมอจิณณ์มองอย่างไม่วางตา


“มองอะไร”  เสียงห้าวถามเมื่อหันมาเห็นสายตาตำหนิกลายๆของคนที่นั่งเบาะข้าง


“ไปทำอะไรมาพวกนั้นถึงไล่ตาม”


“ไม่เกี่ยวกับคุณ”


“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงก็ในเมื่อนายขึ้นมาบนรถฉัน  ขับรถฉันหนีพวกมันถ้าเกิดมันจำทะเบียนรถได้ตามมากระทืบฉันทีหลังฉันจะทำยังไงล่ะ”


“ไม่ต้องกลัวหรอกน่ามันไม่ตามมาแล้ว  ผมก็แค่ไปขัดแข้งขัดขามันนิดๆหน่อยๆมันเลยส่งคนมากระทืบ”


“แล้วจะให้ฉันแน่ใจได้ยังไง  นี่อย่ามาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยังงี้นะ  นายเป็นใครทำไมฉันคุ้นหน้า  นี่เราเคยเจอกันป่ะถามจริง”


“โฮ๊ะมุขจีบมุขนี้โคตรเก่าเลย”


“ไอ้เด็กบ้านี่ใครจีบนาย”  เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กที่บังอาจมาปล้นรถต่อหน้าต่อตาก็ดูไม่ได้มีพิษสงอะไรหมอจิณณ์ก้เงื้อมือจะตี  เด็กหนุ่มรีบเบี่ยงตัวหลบ


“อย่านะเดี๋ยวบีเอ็มคันสวยไปจูบตูดชาวบ้านนะ” ที่สุดหมอจิณณ์ก็ได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ


“เป็นหมอเหรอ”  ชายหนุ่มแปลกหน้าแต่คุ้นๆในสมองเอ่ยถามสายตาของเขามองป้ายที่หมอจิณณ์ห้อยไว้หน้ารถ


“อ่านป้ายขนาดนั้นไม่ต้องถามก็ได้มั๊ง?”


“ก็ถามตามมารยาท”


“งั้นก็ตอบตามมารยาทว่าใช่มีไรม๊ะ”


“เป็นคนจีนเหรอชื่อแปลกๆ”


“อือ”


“บ้านอยู่ไหน”


“เมกา”


“ไม่ใช่หมายถึงบ้านพักที่ไทยเนี่ยอยู่ไหนผมจะได้ขับไปส่งถูก”


“ฉันว่านายควรจะหักพวงมาลัยเข้าข้างทางแล้วย้ายก้นงามๆของนายลงจากรถฉันไปได้แล้วนะไอ้พวกนั้นคงไม่ตามมาแล้วแหล่ะ”


“คนอะไรเป็นหมอต้องมีมนุษยธรรมสิไล่คนกำลังตกทุกข์ได้ยากแบบนี้หัวจิตหัวใจทำด้วยอะไรกันครับ”  เสียงเจ้าเด็กร่างยักษ์ว่าจนทำให้หมอจิณณ์ถึงกับหันไปมองมันแบบอึ้งๆ


คือ...กูจะเอารถคืน


คือกูจะกลับบ้าน


คือกูผิดช่ะ?


“เออ...คุณหมอชื่อจิณณ์ใช่มั๊ยครับ  ผมยังไม่แนะนำตัวเลย ผมชื่อ”


Rrrrrrrrr


ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้เอ่ยแนะนำชื่อตัวเองคุณหมอหนุ่มก็ยกมือขึ้นหยุดคำพูดก่อนจะชี้ไปที่โทรศัพท์ว่าขอรับโทรศัพท์ก่อน  รอยยิ้มหวานปรากฏทันทีที่มองชื่อคนโทรเข้า  ปากบอกพิกัดคอนโดของตนเองกับสารถีจำเป็นยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงปรับสีหน้าและอารมณ์ก่อนจะกดสายรับโทรศัพท์จากคนที่รอคอยมาหลายวัน


“หืม...ว่าไง”


“โทรหาเหรอครับ”


“อื้อแต่นายปิดเครื่อง”


“ผมติดถ่ายโฆษณาน่ะครับตอนนี้เสร็จได้ซักพักแล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่”


“หมอกำลังจะกลับห้อง”


“งั้นอีก 10 นาทีเจอกันนะครับผมใกล้ถึงคอนโดแล้วได้ซื้ออะไรเข้ามาหรือเปล่าครับ”


“เปล่าหมอมีแค่ข้าวกล่องกล่องเดียว”


“โชคดีนะครับที่ลูกปัดมันรอบคอบมันพาแวะเข้าตลาดซื้อของไปทำกินกัน”


“ดีเลยอยากกินข้าวฝีมือลูกปัดไม่ได้กินนานชักคิดถึงแล้วเมฆจะค้างมั๊ยคืนนี้?”  เสียงสนทนาของหมอจิณณ์ที่ตอนแรกเหมือนจะผ่านหูเด็กหนุ่มที่หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามาในตัวคอนโดหันไปมองคนนั่งข้างด้วยสายตาแปลกๆก่อนรอยยิ้มจะผุดที่มุมปากเล็กๆ เพราะชื่อที่คุ้นเคยถึงสองชื่อจากปากของคุณหมอทำให้มั่นใจว่าไม่ผิดแน่...เมฆกับลูกปัด


“อื้อหมอถึงคอนโดแล้วมีเพื่อนมาด้วยไม่เป็นไรเนอะเดี๋ยวเค้าก็คงจะกลับเพิ่งรู้จักกันวันนี้”


“งั้นชวนเค้ากินข้าวกับเราก็ได้ครับลูกปัดซื้อของมาเยอะแยะเลย”


“เอางั้นเหรอ  อื้อก็ได้ตามใจนาย”


“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับใกล้ถึงแล้วเดี๋ยวเจอกันที่ห้อง”


“อื้อ”  หมอจิณณ์กดตัดสายก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแล้วเปิดประตูรถออกมายืนรอจนเด็กหนุ่มออกจากรถแล้วยื่นกุญแจรถให้


“นี่  แฟนหมอชวนกินข้าวเย็นด้วย”


“ดีจังผมกำลังหิวอยู่พอดี  ว่าแต่แฟนหมอชื่ออะไรเหรอครับ”


“ชื่อเมฆ  ไม่อยากจะอวดนะเค้าเป็นดาราด้วยนะกำลังดังเชียวเห็นป้ายโฆษณาใหญ่ๆนั่นมั๊ย”  หมอจิณณ์ชี้ไปยังตึกตรงข้ามที่มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ติดอยู่ที่หน้าตึกเป็นชายหนุ่มในชุดดำกับมือถือรุ่นใหม่


ใบหน้าหล่อหมดจรดกับรอยยิ้มน่าค้นหาทำให้เด็กหนุ่มเพ่งมองราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง


“เออว่าแต่นายชื่ออะไรน่ะเดี๋ยวแฟนหมอมาจะได้แนะนำถูก”


“ผมน่ะเหรอครับ...”  รอยยิ้มร้ายกดที่มุมปากก่อนที่ชายหนุ่มจะตวัดตากลมขึ้นมองใบหน้าหวานของคุณหมอหน้าสวย


“หมอก...ผมชื่อหมอกครับ”






ผมกับลูกปัดช่วยกันขนของกินต่างๆขึ้นลิฟท์มาเราคุยกันระหว่างรอลิฟท์ขึ้นถึงชั้นที่ต้องการ  เพราะไม่ได้เจอกันนานร่วมเดือนทำให้ผมกับมันมีเรื่องเล่าให้กันฟังมากมายลูกปัดมันบอกว่ามันขอพ่อเลื่อนเวลากลับบ้านให้สองเดือนเพราะญาติของมันที่เป็นเจ้าของร้านอาหารหาคนมาแทนลูกปัดไม่ได้ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะดูแล้วไอ้ตัวเล็กมันคงรักอิสระสองเดือนนี้คงเหมือนต่อลมหายใจให้มันได้อีกหลายเฮือก


เสียงเตือนของสัญญาณในลิฟท์ว่าถึงชั้นที่เราต้องการแล้วทำให้เราหยุดคุยแล้วเดินออกมามุ่งตรงมายังห้องของหมอผมกดกริ่งแล้วก็ไม่ต้องรอนานเมื่อประตูไม้ถูกเปิดออกพร้อมใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของหมอจิณณ์


นี่ถ้ามาคนเดียวหมอคงกระโดดกอดผมเหมือนเด็กๆ  แต่วันนี้หมอทำได้แค่ยิ้มกว้างจนเห็นตีนกาสามขีดแล้วหันไปทักทายลูกปัดช่วยถือถุงจากมือลูกปัดมาไว้ที่ตัวเอง


“ทำไมถึงช้าล่ะไหนบอกว่าใกล้ถึงแล้วตอนที่โทรมา”  หมอยู่ปากก่อนจะหมุนตัวหิ้วถุงนำพวกผมเข้ามาในห้อง


“ก็เห็นคนบางคนบ่นในทวิตว่าอยากกินเป็ดย่างเยาวราชเห็นว่ายังไม่เย็นมากเลยวิ่งลงไปต่อแถวร้านประจำน่ะครับ”  ผมตอบตามจริง  ก็เมื่อสองวันก่อนหมอเมนชั่นมางอแงว่าอยากกินเป็ดย่างพอขับรถผ่านร้านที่เป็นรถเข็นแต่เป็ดเพียบคนยืนต่อแถวรอนับสิบคนผมเลยหักพวงมาลัยรถแล้ววิ่งลงไปต่อแถวโดยไม่ลืมใส่แว่นตาดำใช้หน้ากากอนามัยปิดปากแล้วใส่หมวกอีกที


กว่าจะได้เป็ดย่างกลิ่นหอมเครื่องเทศสีสวยสามตัว…ไม่ผิดหรอกครับว่าสามตัว


ก็เฉพาะไอ้ปัดกับหมอก็ซัดกันคนละตัวแล้ว  สองคนนี้เคยทำสถิติสองคนซัดเป็ด 7 ตัวมาแล้วในคราวที่มีแข่งฟุตบอลลีก  กินไปเชียร์บอลไปจิบเบียร์ไปตั้งแต่หัวค่ำยั้นเช้าอีกวันผมก็วิ่งซื้อเป็ด  3 รอบเลยล่ะ


“แล้วเพื่อนหมอล่ะครับ”  ผมกวาดตาดูรอบห้องก็ไปรากฏสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนใหม่ของหมอ  มีเพียงถุงเท้าเตะบอลที่คงจะถูกสลัดลวกๆตามแบบฉบับหมอจิณณ์นอนเน่าอยู่ตรงตะกร้าหน้าชั้นเก็บรองเท้าหมอจิณณ์เหมือนจะอ่านสายตาผมออกก็ทำทีเป็นเดินไปใกล้ๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วเท้าคีบมันแล้วดีดลงตะกร้าพลางยิ้มแห้งๆให้มาซะทีนึง


“พอดีว่าในตู้เย็นไม่มีเครื่องดื่มอะไรเลยหมอเลยให้เค้าลงไปซื้อให้ที่ร้านสะดวกซื้อน่ะ”  ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะดึงข้อมือหมอ


“ปัดทำไปก่อนนะขอตัวแป๊บ”  ผมตะโกนบอกลูกปัดที่สาละวนกับการรื้อของในถุงออกมาทำนู่นทำนี่ด้วยความคุ้นเคยประดุจเป็นครัวบ้านมันเอง ไอ้ตัวเล็กมันพยักหน้าตอบก่อนจะโยนหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ลงซิ้งค์ล้างจานด้วยท่าทางทะมัดทะแมง


ผมดึงหมอเข้ามาในห้องจัดการปิดประตูแล้วหันมารวบร่างคุณหมอคนสวยของผมมากอดจูบจนกลายเป็นฟัดแรงๆด้วยความคิดถึงซึ่งคุณหมอเองก็วาดแขนโอบรอบคอของผมพลางกดท้ายทอยรับจูบของผมอย่างโหยหาเช่นกัน ใบหน้าของเราแนบชิดชนิดไรฝุ่นก็ลอดผ่านไม่ได้  ลมหายใจของเราผสานแทบเป็นจังหวะเดียวกัน


“คิดถึงนะครับ”  ผมระซิบแผ่วเบาชิดริมหูของคุณหมอแม้ไม่มีเสียงตอบกลับจากคุณภรรยาของผมแต่ผมก็พอจะเดาออกจากสีแดงที่ลามเห่อขึ้นมาถึงใบหูอดไม่ได้ที่จะขบเม้มเบาๆอย่างหยอกล้อ


รู้งี้มาคนเดียวก็ดีล่ะผมอยากกินหมอมากกว่าสุกี้หรือเป็ดย่างซะอีก  แต่ขณะที่ผมจะชิมความหวานจากริมฝีปากอิ่มอีกครั้งเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น  หมอผละจากผมทันทีทั้งๆที่ปากเราจะแตะกันอยู่แล้วเชียว


“สงสัยเจ้าเด็กนั่นจะมาแล้วเราออกไปช่วยลูกปัดเตรียมของกันเถอะ”  ผมเดินตามหมอออกมาจากห้องขยับเสื้อผ้าที่ยับจากการเสียดสีกันเมื่อครู่ลูกปัดที่ถือกระบวยอันใหญ่เตรียมจะเดินไปที่ประตูจนผมต้องยกมือห้ามแล้วเดินไปเปิดซะเอง


แอ๊ดดดดดดดด...


“หมอครับผมซื้อมาได้แต่พวกน้ำอัดลมกับน้ำผลไม้ครับอายุยังไม่ถึง 18  พนักงานไม่ขายให้....”


กึก...เคยมีความรู้สึกนี้มั๊ยครับความรู้สึกที่ว่าคุณกำลังวิ่งอยู่ดีๆก็เหมือนมีใครมากดปุ่มปิดการควบคุมของร่างกาย ผมจ้องตากับไอ้เด็กที่ทำหน้าระรื่นยื่นถุงใส่น้ำอัดลมถุงใหญ่นิ่ง…เนิ่นนาน


ภาพของผมกับ”มัน”ตอนนี้เหมือนในละครที่พระเอกกับตัวร้ายยืนจ้องหน้ากันแล้วกล้องก็หมุนเราสองคนเป็นวงกลม


ลูกปัดมันคงสัมผัสความแปลกที่เกิดขึ้นได้จึงไม่แลกที่ผมจะได้ยินเสียงกระบวยที่มันถือหล่นลงพื้นต่อจากนั้น


ผมดูท่าทีของหมอกที่มีต่อผม  มันยังคงจ้องตานิ่งคุณหมอเดินเข้ามาหาเราสองคนผมจึงยื่นมาไปคว้าถุงจากมือหมอกมาถือก่อนจะหันหลังให้มัน


มันคงจะจำผมไม่ได้…ผมผ่อนลมหายใจพยายามเรียกสติที่กระเจิงไปตอนเห็นหน้ามันครั้งแรกแล้วเดินหันหลังกลับมาในห้องเสียงมันเดินตามมาก่อนที่มือของมันจะจับไหล่ของผมรั้งให้เซเข้าหามัน  ลูกปัดรีบเดินเข้ามายืนข้างผมพร้อมๆกับหมอจิณณ์ที่ยังดูงงๆกับเหตุการณ์ตอนนี้


ผมหันหลังไปมองอย่างไม่พอใจ…แต่ทันทีที่ผมหันไปไอ้เด็กเลวก็กระตุกยิ้มชั่วๆที่มุมปากก่อนจะพูดคำๆนี้ออกมา


“ไงไอ้ลูกเป็ด...ไม่ได้เจอกันนานไปชุบตัวซะจำไม่ได้เลยนะ”


“หมอกมึง!!”


ผลั่วะ!!!!


“โอ๊ย!!!”  มันร้องครับพลางกุมหัวเอาไว้ แล้วนั่งยองๆกับพื้น สายตาของมันส่งไปมองลูกปัดกับหมอด้วยสีหน้าเคืองๆ


“ยัยเตี้ยหมอนี่มาตีทำไม”  ลูกปัดมันเท้าสะเอวฉับอีกมือนึงก็ใช้กระบวยตักน้ำซุปชี้หน้าไอ้เด็กเลวเหยงๆ


“ยัง  แกยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าฉันเอากระบวยฟาดกบาลแกทำไม”


“ฉันตบกระโหลกเด็กปากเสียผิดตรงไหน”  หมอจิณณ์ที่ยืนเคียงข้างพลางใช้ฝ่ามือลูบแขนให้ผมใจเย็นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


หมอกมันทำเสียงเหอะในลำคอก่อนจะยืดกายขึ้นยืนเต็มความสูง  ก้าวมายืนชิดพวกเราทั้งสามคนจากนั้นมันก็ยื่นมือมากำปกเสื้อของผมแล้วกระชากตัวผมเข้าไปหาตัวมัน


“ทำไม  ผมเรียกคนขี้เหร่มันผิดตรงไหน  มึงน่ะนะต่อให้ลอกคราบยังไงมึงก็ยังป็นลูกเป็ดขี้เหร่ของกูวันยันค่ำ”  คนเราจะมีความอดทนได้มากขนาดไหนผมไม่รู้  ผมรู้แค่ว่าวันนี้ความอดทนของผมมันสิ้นสุดลงพร้อมกับมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวผม  สิ่งที่ผมไม่เคยทำเลยตั้งแต่เกิดมา


ตุ่บ!!


“อั่ก!!”  คงเป็นเพราะผมยอมมันมากเกินไป  ตามใจมันมากเกินไป  ตั้งแต่มันเกิดมาไม่เคยมีซักครั้งที่ผมจะตีผิวอ่อนๆขาวๆของมัน  มันถึงโตมาแล้วเป็นเด็กเลวขนาดนี้


วันนี้ผมควรแสดงแสนยานุภาพของความเป็นพี่  ผมปล่อยหมัดตรงเข้าที่มุมปากของมันจนมือของมันที่จับคอเสื้อของผมอยู่หลุดตามแรงเซล้มไปทางด้านหลัง ด้วยขนาดตัวของมันที่ไม่ได้เล็กไปกว่าผมทำให้ตะกร้าใส่ถุงเท้าของชั้นวางรองเท้าพังทันที่ที่มันล้มลงไปทับ


“มึงกล้าต่อยกูเหรอถ้าแม่รู้”


“ที่นี่ไม่ใช่บ้านมึงอย่ามาขู่กู”  ผมเอ่ยตอบมันอย่างเฉยชาเห็นเลือดที่มุมปากของมันก็อดใจหล่นวูบไม่ได้ตั้งแต่มันเกิดมาเกือบ 18 ปี ผมไม่เคยตีมันซักแปะแต่วันนี้ผมต่อยมันจนเลือดออกเลยนะผมหันหลังกะว่าจะเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องแต่ทันทีที่เผลอตัวหมอกกใช้ความไวลุกขึ้นมากระชากผมแล้วต่อยเข้ามาเต็มข้างแก้มผมทันที…หน้าผมชาทั้งแถบ


“เพราะมึงมันเป็นแบบนี้ไงเมฆ  เพราะมึงมันขี้ขลาดมีอะไรมึงก็เอาแต่หันหลังหนีไม่เคยเป็นตัวอย่างที่ดีให้กูเลยซักครั้งมีปัญหาอะไรมึงก็เอาแต่รอความช่วยเหลือจากคนอื่นกูอายรู้มั๊ยที่มีพี่แบบมึง  มึงเคยมั๊ยที่จะปกป้องตัวเอง  เคยมียที่จะปกป้องกู  ไม่เคยเลยมึงเอาแต่รอให้คนอื่นดูแลมึง”


“แล้วมึงคิดว่ากูอยากมีน้องสันดานเลวๆแบบมึงนักเหรอ มึงจะเกิดมาทำไมเกิดมาเพื่อแย่งทุกอย่างไปจากกู  แย่งความรักจากแม่แย่งแม่ไปจากกูมึงแย่งกูไปทุกอย่างเลยมึงรู้ตัวมั๊ย  มึงมันได้มากเกินไปแต่ก็ไม่รู้จักพอ  กูเป็นพี่มึงนะเป็นพี่ที่ช่วยแม่เลี้ยงมึงมาตั้งแต่มึงเกิดเคยซักครั้งมั๊ยที่จะเรียกกูว่าพี่เคยแสดงออกซักครั้งมั๊ยว่ามึงเคารพกูหมอกไม่เคยเลยไม่เคยซักครั้ง  กูก็ออกมาแล้วไง ออกมาจากชีวิตมึง  ชีวิตแม่ ชีวิตพ่อมึงแล้วมึงจะเอาอะไรอีก  มึงเข้ามาในชีวิตกูกับหมอทำไม”


ผมโกรธจนกระโจนเข้าหามันเราตะลุมบอนกันซัดกันคนละสี่ห้าหมัดในขณะที่ลูกปัดทิ้งกระบวยเข้ามาช่วยดึงผมออกหมอจิณณ์ที่ตั้งหลักได้ก็ดึงหมอกออกก่อนที่ห้องจะเละไปกว่านี้


“ลูกปัดเอาเมฆไปนั่งในครัว  ส่วนนายมานี่”  หมอจิณณ์ดึงแขนหมอกเข้าไปในห้องนอน  ผมแทบจะกระโจนตามไปหมอกล้าดียังไงเอามันเข้าไปในห้องนอนของเราแต่ก่อนที่ผมจะทำแบบนั้นลูกปัดมันก็ดึงผมไว้


“เมฆ..เมฆ  หยุด  ฟังหมอสิมานั่งให้ใจเย็นตรงนี้ก่อน  อย่าถ้าแกไม่ฟังฉันจะเอากระบวยตบให้สติกลับตอนนี้เลยนะ”  นั่นแหล่ะผมถึงยอมนั่งลงบนเก้าอี้ในครัวแบบไม่เต็มใจ  ลูกปัดมันเอากะละมังใส่ผักใบใหญ่มาวางลงตรงหน้า


“เด็ดผักสงบสติอารมณ์ไปแก”


“ยังมีอารมณ์กินอีกเหรอวะ  ฉันไม่เข้าใจหมอไปเจอไปรู้จักกับมันได้ยังไง”


“ซื้อมาแล้วจะทิ้งหรือไง”  ผมจ้องหน้าลูกปัดที่ยักไหล่ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่รุนแรงอะไร


“นี่เดี๋ยวมานะ”  ลูกปัดมันว่าก่อนหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาถือ


“ไปไหน”


“ซื้อเบียร์วันนี้คงมีเรื่องเคลียร์กันยาว  ไหนๆก็มาชุมนุมกันแล้วนี่ฉันว่าแกกับมันควรเปิดอกคุยกันนะจากที่ฟังมันพูดเมื่อกี๊ฉันว่าฉันพอเข้าใจหมอกนะ”  ลูกปัดมันว่าทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยให้ผมนั่งจมอยู่กับดะละมังผักใบใหญ่  ผมได้แต่ถอนใจแล้วมองไปที่ประตูห้องนอนที่ยังคงปิดเงียบ


“ตอนผมหกขวบผมเคยถูกเด็กในห้องแกล้งจนเป็นแผลหมอเชื่อมั๊ยถ้าเป็นพี่คนอื่นจะต้องเข้ามาดูน้องแล้วจัดการกับไอ้เด็กเกเรคนนั้นแต่เมฆมันไม่ใช่  มันดุว่าผมเซ่อยอมให้คนอื่นรังแก  พอสิบขวบผมขอให้มันสอนผมเล่นบาสแต่มันก็ไม่เคยสนใจเอาแต่ไปขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อน  หมอมีพี่น้องมั่งมั๊ยครับ”  หมอกที่นั่งอยู่ที่ขอบเตียงนอนเงยหน้าที่มีรอยฟกช้ำขึ้นมองคุณหมอหน้าสวยที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง หมอจิณณ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ


“หมอรู้มั๊ยครับ  ผมน่ะอยากมีพี่ชายที่เป็นฮีโร่  อยากมีพี่ชายที่เป็นแบบอย่างแต่เมฆมันไม่ใช่แบบนั้นเลยเวลาที่มีเด็กเกเรมาหาเรื่องผมก็อยากให้เค้าออกโรงปกป้องแต่เมฆทำแค่ก้มหัวให้กับเด็กพวกนั้นแล้วบอกขอโทษนะถ้าฉันกับน้องทำให้พวกนายไม่พอใจ”  หมอกแค่นยิ้มยามนึกถึงวัยเด็ก


วัยเด็กที่มีพี่ชายอายุ 12-13 ปี  พี่ชายที่ตนคิดว่าเมฆตัวสูงจัง  เมฆคงจะต่อยเด็กพวกนี้ได้  เมฆจะต้องปกป้องเขาได้ แต่ไม่เลย..พี่ชายของเขาทำพียงก้มหัวขอโทษทุกคน


ขอโทษเด็กเกเร…ขอโทษพ่อแม่…หรือแม้แต่ยอมขอโทษหมอกยามที่โดนแม่ดุ ความศรัทธาในตัวพี่ชายค่อยๆลดลงเรื่อยๆ…เรื่อยๆ…จนในที่สุด


“พอผมโตขึ้นผมเลยรู้สึกว่าเมฆมันไม่ได้ทำตัวให้น่าเคารพน่านับถือ  เมฆมันไม่ได้โตไปกว่าผมเลย  แทนที่มันจะปกป้องผมได้ผมกลับคิดว่าต้องเป็นผมนี่แหล่ะที่ต้องปกป้องมัน  น่าตลกมั๊ยหมอในขณะที่มันคิดว่าแม่รักผมมากกว่ามัน  แต่เอาเข้าจริงๆแล้วแม่รักมันมากเลยรู้มั๊ย  ทำไมไม่เป็นเด็กว่าง่ายแบบพี่เค้าล่ะหมอก  ทำไมไม่ดูเมฆเป็นตัวอย่างล่ะ  ทำไมไม่ทำตัวให้ดีเหมือนพี่เค้าล่ะ  อะไรก็เหมือนพี่ๆ เก่งเหรอ  เพื่อนเมฆเหรอ  แม่เค้าจำมันได้ตั้งแต่แรกแล้วแต่เค้าเห็นว่ามันก็ดูสุขสบายดี  อยู่ข้างนอกมันดูดีกว่าอยู่ในบ้านแม่เลยต้องแกล้งจำมันไม่ได้แล้วบอกมันว่าอย่าสร้างความเดือดร้อนให้ใคร  เค้าห่วงกลัวว่าถ้ามันกลับไปบ้านพ่อจะตีมันอีก  เค้าตัดหนังสือพิมพ์แปะทำแฟ้มผลงาน  ตัดข่าวมันเก็บไว้เป็นเล่มๆเลยนะหมอ  ทำไมล่ะ ผมแค่อยากมีพี่ที่เป็นฮีโร่เป็นแบบอย่างให้ผมได้ ผมแค่กระตุ้นมันผมผิดตรงไหน”


“ผิดสิ...ที่นายทำมันผิด  ผิดมากรู้มั๊ย  ทำไมอยากได้พี่แบบนั้นไม่บอกเค้าไปตรงๆล่ะ  บอกเค้าไปสิว่าเราต้องการอะไร  นายรู้มั๊ยแรกๆน่ะเมฆเค้าซึมเศร้ามากเลยนะ  เค้าเคว้งถึงขนาดไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหน  จะเริ่มต้นยังไง  เค้าเอาแต่คิดว่าที่บ้านไม่มีใครต้องการเค้า  น้องชายคนเดียวของเค้าก็ไม่เคยให้ความเคารพ  คุณรู้มั๊ยพวกคุณโชคดีเท่าไหร่ที่มีพี่มีน้อง  แทนที่จะรักกันไว้กลับมาทะเลาะกัน  หมอเชื่อนะว่าถ้าคุณขอโทษเค้าพูดกับเค้าดีๆ  คุณสองคนจะเป็นพี่น้องที่รักกันมาก  แล้วนี่นะหมอจะบอกให้ไปต่อยหน้าเค้าแบบนั้นไม่ดีเลยนะ  ถึงหมอจะไม่ได้ทำอะไรให้เค้ามากแต่มันก็มีผลกระทบกับงานของเค้านะ  คุณเองก็คงรู้แล้วว่าพี่คุณเป็นดาราดังขนาดไหนในตอนนี้  ทำไมไม่ปรับความเข้าใจแล้วคุยกันดีๆล่ะ”


หมอจิณณ์พยายามตะล่อม  เขาเห็นความดื้อรั้นที่ถอดแบบกันมาทุกกระเบียดจากหมอก…เหมือนเมฆ


ผิดแต่ว่าเมฆน่ะดื้อเงียบดูเหมือนหัวอ่อนแต่จริงๆแล้วรั้นที่สุดส่วนหมอกน่ะดื้อรั้นเปิดเผยแสดงความต้องการออกมาโดยไม่ลังเล  ปากบอกว่าไม่ชอบพี่ชายแต่ความคิดน่ะเหมือนกันเดี๊ยะ


เมฆก็คิดว่าแม่กับน้องไม่รักหมอกเองก็คิดว่าเมฆคงไม่รักตัวเองเหมือนกัน


“นี่...เรื่องที่ว่าพี่ชายนายไม่ยอมปกป้องนายน่ะ  หมอคิดว่า  การยอมลงให้กับคนอื่นไม่ได้หมายความว่าขี้ขลาด  แต่เป็นวิธีของคนฉลาดที่ยอมอะลุ่มอะล่วยยอมเสียเชิงเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมามากกว่า  คุณลองคิดนะถ้าวันนั้นพี่ชายคุณต่อยเด็กคนนั้นอะไรจะตามมา” หมอกนิ่งไปดูก็รู้ว่ากำลังคิดตามที่หมอพูด


“เด็กคนนั้นก็จะกลับมาแกล้งผมอีก”  “ถูก...แล้วพอเมฆขอโทษคนพวกนั้นไปคุณโดนแกล้งอีกมั๊ย?”


“ไม่ครับ..”


“เห็นมั๊ย?...พี่ชายคุณมีวิธีคิดอีกแบบการใช้กำลังไม่ได้แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างหรอกนะมันต้องใช้นี่ด้วย...”  หมอจิณณ์ใช้ปลายนิ้วเคาะที่ขมับตัวเอง


“สมอง...”


“ใช่...แล้วตอนนี้หมอกลองใช้สมองคิดดูซิ๊ว่าหลังจากออกไปจากห้องนอนของหมอแล้วหมอกจะทำอะไรต่อไป?”  มื่อเห็นว่าหมอกยังนิ่งหมอจิณณ์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกทำเพียงลุกขึ้นยืนก่อนจะยักไหล่เป็นเชิงบอกให้หมอกลุกแล้วเดินตามตนเองออกมาจากห้องซะที


“ป่ะ...ไปกัน  ออกไปกินข้าวกันดีกว่า  ป่านนี้ลูกปัดคงทำใกล้เสร็จแล้ว”


“ผมว่าผมกลับ...”


“กิน”  หมอกยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกหมอจิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำเป็นเชิงบังคับ


ลูกปัดใช้ถุงมือกันความร้อนยกหม้อต้มน้ำซุปขึ้นวางบนเตาไฟฟ้า  ควันหอมฉุยทำให้หมอกแอบกลืนน้ำลายมองบรรดาผักและเนื้อสัตว์  เต้าหู้และเป็ดย่างจานใหญ่ที่ถูกสับวางเรียงอย่างสวยงามอึ้งๆ  จานแบ่งถูกยื่นมาให้จากผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในห้องก่อนที่ตะเกียบจะถูกยื่นให้จากหมอจิณณ์


“เมฆเอาผักใส่เลยน้ำเดือดแล้ว  หมอกช่วยกันด้วยเลย”  หมอจิณณ์วางตะกร้าผักที่สะเด็ดน้ำและจัดเรียงไว้อย่างสวยงามให้คู่พี่น้องที่นั่งกันคนละฝั่งโต๊ะ  ลูกปัดเหลือบมองหน้าหมอที่เงยมายักคิ้วแผล่บให้อย่างรู้กัน


จริงๆพี่น้องคู่นี้มันก็รักกันแหล่ะเพียงแต่ทิฐิเยอะทั้งคู่…ก็แค่ทำตัวเป็นกาวใจมันไม่น่าจะยากอะไรเนอะ... ก็หวังว่าจะไม่ยากหรอก....








.........................................................

มันก็เป็นแค่เพียงภาพลวงหลอกตา ที่เธอสร้างขึ้นมาให้ฉันตายใจ....



 

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด