ลูกเป็ดขี้เหร่[:6:]
ผมยังคงใช้ชีวิตตามปกติ มีบ้างทีผมคิดถึงแม่ผมก็จะแอบย่องไปดูซักครั้ง หลายครั้งที่ผมเกือบจะเผชิญหน้าจากหมอกแต่โชคดีที่ผมหลบทันทุกครั้ง พักหลังๆผมเห็นมันแต่งตัวแนวร็อคเกอร์
หมอกมันก็มีดีอย่างหนึ่งนะครับถึงมันจะนิสัยไม่ดี คบใครไม่เคยจริงจังแต่สิ่งหนึ่งที่มันมุ่งมั่นมากคือการเล่นดนตรี มันเก่งถึงขนาดได้เข้าร่วมวงที่ดังที่สุดในโรงเรียนเคยไปประกวดจนได้รางวัลมาแล้ว
ผมจัดการแยกเสื้อ กางเกง และชั้นในของหมอจิณณ์แยกซัก ตอนนี้คุณหมอไม่อยู่ไปทำงาน เดี๋ยวช่วงเย็นผมก็ต้องเตรียมตัวไปวิ่งพร้อมคุณหมอ เป็นส่วนหนึ่งของการลดน้ำหนัก ทุกวันนี้ผมมีชีวิตวนเวียนอยู่ที่คอนโด โรงพยาบาล ฟิตเนส ซาวน่า ตอนนี้ผมดัดฟันแล้ว
ยอมรับว่าอีเหล็กดัดฟันสีชมพูนี่เกะกะผมมาก แน่นอนว่าสีชมพู ผมไม่ได้เลือกเองคนที่เลือกคือหมอจิณณ์ครับ ผมไม่รู้ว่าวันนั้นผมทำหน้ายังไงรู้แต่ว่าเราสองคนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเรื่องเหล็กดัดฟัน
“ของผม”
“ผมจะเอาสีขาว”
“ไม่เอาผมอยากได้สีเหลือง”
“ผมให้เต็มที่ได้ที่สีดำ”
“แต่สีเขียวตะไคร่น้ำนี่ก็สวยดี”
“ไม่เอาอ่ะใส่แล้วเหมือนใบผักชีติดฟัน”
“งั้นสีรุ้งเป็นไง”
“หยุดคิดไปได้เลยผมไม่ใส่สีรุ้งเด็ดขาด”
“งั้นสีแดงเอาม๊ะแรงดี จะถูกจะแพงเอาแดงไว้ก่อนอีกอย่างมองแล้วเหมือนเลือดแมนยูในกายหมอมันเดือดพล่าน”
“ยิ้มทีควายคงไล่ขวิดผมนะครับ”
“งั้นเอาสีฟ้ามั๊ยสวยดี”
"ผมว่าสีเงินสวยกว่า"
"ไม่เอามันจืดไปเอาสีส้มก็ได้"
"ม่ะ..."
เคร๊ง!!!!...เสียงโลหะกระทบกันผมกับหมอจิณณ์สะดุ้งเฮือกแล้วหันไปดูต้นเสียงพร้อมกันสองผัวเมียคู่หลุดโลกแทบจะกระโดดนั่งตักกันเมื่อหันไปเห็นทันตแพทย์สาวกำลังหน้ายักษ์ใส่
“เอ่อ...หมอว่าใส่สีชมพูก็น่ารักดีเนอะเมฆเนอะ”
“ครับ ชมพูก็ชมพูครับ” นั่นแหล่ะครับเพราะความรักตัวกลัวตายตอนนี้ผมจึงมีเหล็กดัดฟันสีชอคกิ้งพิงค์ประดับอยู่ในปาก
ช็อค...กลิ้ง...พริ้งงงงงงงงงงง
เมฆอยากจะคราย
ตอนนี้หน้าของผมไม่ต้องพันหนาเหมือนมัมมี่แล้วยังคงมีผ้าก็อซแปะอยู่ที่คางและดั้งจมูก น้ำหนักของผมลดลงไปหลายกิโลกรัมแล้วจากการออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักผมของผมเริ่มยาวจนมัดหางม้าได้ซึ่งมันก็กลายเป็นของเล่นของหมอจิณณ์ในยามแกเหงาหรือเวลาดูทีวีผมจะนั่งกับพื้นแล้วพิงโซฟาส่วนหมอจิณณ์จะนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบน
ดูทีวีไป จกขนมกินไป ปลายนิ้วมือม้วนผมของผมไปเพลินแกเลยแหล่ะครับ บางครั้งดูบอลดึกแกก็หลับบนโซฟาส่วนผมก็หลับอยู่ข้างใต้ดูจะลำบากแต่ทำไมผมกลับรู้สึกมีความสุขก็ไม่รู้แม้บางทีจะถูกมดกัดเพราะบนเส้นผมมีเศษขนมติดอยู่ก็ตาม
การได้ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับมีใครบางคนมานั่งมองหน้าเราหรือการที่เราตื่นก่อนแล้วได้มองหน้าเค้ามันก็ทำให้วันนั้นหัวใจพองฟูยิ้มได้ทั้งวันแม้จะเผลอเดินเหยียบขี้หมาก็ตาม
คิดไปคิดมานี่ก็เข้าเดือนที่สี่แล้วที่ผมมาอยู่กับหมอจิณณ์เรื่องเงินที่ใช้จ่ายในแต่ละเดือนไม่ใช่ปัญหาเพราะลูกปัดมันเอาเงินที่เหลือจากการผ่าตัดโอนเข้าบัญชีให้ผมทุกเดือนไม่ได้มากแต่ก็ไม่น้อยจนต้องกระเบียดกระเสียน
“อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยเพราะยังต้องลงทุนอีกเยอะ” ลูกปัดมันให้เหตุผลกับผมครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้ไอ้คำว่ายังต้องลงทุนอีกเยอะของมันน่ะคืออะไรผมเคยถามมันว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องเอาเงินมาลงทุนกับตัวผมมันเหมือนโยนกระสอบใส่เงินลงในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากไม่มีหวังที่จะงมคืนได้เลยแต่มันก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะตีไพ่ลงพื้น
“ป๊อก 9!!!”
“โห ไรวะ” เสียงหมอจิณณ์บ่นก่อนที่จะถูกลูกปัดรวบเงินหน้าตักตัวเองไป
“นี่ไงก็เหมือนเล่นไพ่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าไพ่แต่ละครั้งจะได้อะไรแต่ก็อยากจะลองเพื่อความสะใจ ยิ่งลงทุนมากความเสี่ยงก็มากแต่ถ้าได้ตามที่หวังกำไรก็เยอะตามไปด้วยฉันแค่ต้องการความสะใจเวลาที่เห็นคนในครอบครัวแกเจอแกในสภาพใหม่เขาจะจำได้มั๊ยว่านี่คือลูกเป็ดขี้เหร่ของบ้าน ป๊อกแปด!!!”
ครับ...นั่นแหล่ะครับไอ้ลูกปัดผู้กินไพ่เมียคนแรกของผมจนเงินเกลี้ยงกระเป๋า
“วุ๊ย...นี่นั่งทับจู๋พญานาคหรือไงวะ” และเช่นกันหมอจิณณ์ก็จะยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิด
“นี่ถ้าแพ้อีกตาจะมอบกิ๊ฟวอเชอร์เป็นบัตรเสริมนมฟรีให้แล้วนะ”
“งั้นปัดเลิกล่ะไม่อยากโดนแกล้งผ่านมเล็กข้างใหญ่ข้าง ถ้าปัดนมตู้มนะใบเตยก็ใบเตยเหอะเจอลูกปัดเข้าไปจะแน่นอกไม่ออก”
ผมได้แต่ขำกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไอ้ปัดกับหมอจิณณ์ดูจะเข้าขากันได้ดีราวกับคอหอยกับลูกกระเดือกหลายครั้งที่ลูกปัดหิ้วของกินมาทำกินที่ห้องในวันหยุดของหมอ วันไหนหมอไม่ว่างพาผมไปจัดการกับตัวเองลูกปัดก็จะมาพาไปเอง หลายครั้งที่เราสามคนนอนเรียงกันสามเตียงเพื่อขัดผิวทำนู่นทำนี่
“เหมือนพ่อแม่ลูกเลยเนอะ” บางครั้งหมอจิณณ์ก็จะพูดเปรยออกมา
“ก็นี่ไงพ่อ” ชี้ที่ผม
“นี่แม่” ชี้ที่ตัวหมอเอง
“แล้วไอ้เปี๊ยกนี่คือลูกสาว เอ๊ะ หรือลูกชายหว่า” ไอ้ลูกปัดค้อนควั่กทุกครั้งที่โดนทักว่าเป็นลูกชายแต่หมอคงไม่รู้ว่าคำพูดของหมอทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ตลอดเลย หมออาจจะพูดแบบไม่คิดอะไรแต่ทุกคำที่หมอพูดผมคิดเสมอนะครับ
ผมว่าหัวใจของคนเราน่ะแปลกที่สุดแล้ว ซับซ้อนที่สุดแล้ว ผมไม่รู้ว่าอาการที่รอคอยหมอกลับห้องทุกวันมันคืออะไร
ผมไม่รู้ว่าอาการที่อยากกุมมือหมอเดินข้ามถนนคืออะไร ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากให้หมอกอดเอวผมแล้วซบหน้ากับแผ่นหลังของผมเวลาเราปั่นจักรยานออกไปข้างนอกกันคืออะไร ผมไม่รู้ว่าการที่ชอบจ้องมองหมอเวลาหมอเผลอคืออะไร หรือผมจะเป็นโรคจิตที่ชอบเห็นหมอยิ้ม หมอหงุดหงิด หมอนั่งคิดนู่นคิดนี่ หมอโกรธ ทุกสิ่ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้ผมมีความสุข
ผมกำลังจะเป็นบ้าใช่มั๊ยครับที่เอาแต่คิดถึงหน้าหมออยู่บ่อยหรืออาการนี้คืออาการที่เค้าเรียกว่าตกหลุมรัก... ใช่มั๊ยครับ
ใช่...
ไม่ใช่..
ใช่...
ไม่ใช่...
โอ๊ยช่างมันเถอะคิดไปก็ปวดหัวเอาผ้าไปปั่นดีกว่าว่าแต่กางเกงในตัวนี้ของหมอ เป้าเหลืองหมดแล้วนะครับ มีขาดเป็นรูๆขุยๆด้วยอ่ะ หว๋า...
ผมหยุดล้อจักรยานมองเข้าไปในสนามบาสที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งไม่ห่างจากคอนโดเท่าไรนัก ที่แฮนด์จักรยานมีถุงขนมและกับข้าวพะรุงพะรังตอนนี้บนหน้าของผมไม่มีผ้าก็อซแปะอยู่แล้วรอยแผลต่างๆจางจนแทบจะมองไม่เห็น หมอจิณณ์บอกว่า 6 เดือนทุกอย่างก็จะเข้าที่ราวกับของเหล่านั้นที่อยู่ในตัวผมเกิดมาจากธรรมชาติ
คงมีกองถ่ายซีรี่ย์หรือไม่ก็หนังมาตั้งกองถ่ายที่นี้ บรรดาเด็กสาวๆส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเป็นระยะยามที่นักแสดงหนุ่มในชุดบาสสีขาวกำลังเดาะบอลเล่นกับพื้น
น่าแปลกที่ดาราชายคนนั้นไม่เล่นกับแฟนคลับเลยเขาพยายามชู๊ตลูกลงแป้นแต่ทุกครั้งถ้ามันไม่ปัดจมูกก็จะกระเด้งโดนขอบบ้างหลุดออกนอกเส้นทางบ้างไม่ถึงบ้างซักพักผมเห็นเขาทุ่มลูกบาสลงพื้นอย่างแรงจนลูกบาสกระดอนมาทางผม
หมับ..
เพราะเป็นอะไรที่คุ้นเคยกันดีผมจึงคว้าหมับด้วยมือเพียงข้างเดียว เสียงผู้ชายคนนั้นโวยวาย
“ผมไม่เล่นฉากนี้ หาแสตนด์อินมาแสดงแทนผมได้เลย ก็รู้อยู่คนไม่ชอบเล่นบาสยังจะให้เล่นเองอยู่ได้ประสาทหรือเปล่า”
"ดิวจ๊ะ ดิว โธ่...พี่ขอเถอะนะแสดงให้มันเสร็จไปเถอะ”
“ไม่ ยังไงผมก็ไม่มีทางพยายามทำมันอีกแล้วไปหาตัวแสดงแทนมาเลยไม่งั้นวันนี้ก็เลิกกอง” เสียงดารารูปหล่อที่ยืนเท้าสะเอวจิบน้ำแร่แหกปากวีนปาวๆทำให้ทีมงานบางคนลอบเบะหน้าเบื่อใส่
“แล้วจนป่านนี้แล้วใครจะมาแสดงแทนให้ คนที่เคยใช้งานเค้าก็รับงานอื่นไปแล้ว” ชายร่างท้วมที่ใส่แว่นตาหนาบ่นอย่างหัวเสียเช่นดียวกับนักแสดงหนุ่ม
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหาของผมคุณเป็นผู้กำกับคุณก็ต้องหาทางออกเองสิ เอาใครซักคนก็ได้แถวนี้ที่เล่นบาสเป็นมาแสดงแทนผมแล้วค่อนโคลสอัพหน้าผมเอา” ผมฟังพวกเค้าเถียงกันแล้วส่ายหัวอย่างระอาใจ
นี่สินะโลกมายาผมเห็นแม่ดูละครที่ดาราคนนี้แสดงอยู่บ่อยๆในจออย่างเทพบุตรนอกจอนี่มันหมอกสองดีๆนี่เอง
“น้องๆ ขอลูกบาสคืนด้วย” เสียงสต๊าฟผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าบึ้งไม่ต่างกับผู้กำกับเรียกผม ผมหลุดจากความคิดมองลูกบาสในมือก่อนจะโยนคืนให้ด้วยมือข้างเดียว ผู้กำกับหันมามองทางผมก่อนจะก้มลงดูแผ่นกระดาษในมือ
“ท่าทางเล่นบาสเป็นนะเราน่ะ” สต๊าฟคนเดิมพูดกับผมก่อนจะหมุนตัวกลับไปที่สนามดังเดิม ผมเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วก็เตรียมตัวจะปั่นจักรยานกลับคอนโดวันนี้คุณหมอบ่นอยากกินข้าวผัดกลับไปทำกับข้าวให้เมียกินดีกว่า
“เฮ๊ย น้อง” เสียงผู้กำกับเรียกใครก็ไม่รู้ผมไม่ได้สนใจจัดแจงเอาสมอลทอล์คมาเสียบเพื่อจะฟังเพลง
“เดี๋ยว ไอ้น้อง” เรียกใครหว่า?
“น้องโว๊ย....มึงอ่ะ มึงไอ้ที่ปั่นจักรยานหยุดก๊อน!!!” ผมเบรคจักรจนหัวทิ่มก่อนจะหันไปมองผู้ชายร่างท้วมที่วิ่งตุ่บตั๊บตามผมมาพร้อมพี่สต๊าฟคนนั้น
“มีอะไรครับ” ผมถามด้วยสีหน้างงๆ ผู้กำกับมองผมตั้งแต่เท้าจรดหัวแล้วตวัดตาจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง
“น้องเล่นบาสเป็นใช่มั๊ย” ร่างท้วมใช้ส้นมือเท้าหน้าขาพลางหอบหายใจอย่างหนักเอ่ยถามผม ผมยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้นักแต่ก็พยักหน้าหงึกๆให้
“ช่วยพี่หน่อยไปชู๊ตบาสให้ทีเดี๋ยวให้ค่าเหนื่อย” พี่แกยิงเร็วใส่พลางดึงผมออกจากจักรยานจนสต๊าฟอีกคนต้องมารับไปแทนผม ผมโดนลากเข้าในซุ้มผ้าใบซุ้มหนึ่งที่มีนักแสดงหนุ่มนั่งมองมาพลางส่งยิ้มเหยียดให้ผม จากนั้นผมก็ถูกผ้าผืนหนึ่งคลุมตั้งแต่กระเดือกกระบอกฉัดน้ำถูกสเปรย์ใส่หัวผมจากนั้นก็
ฉับ!!!
“เฮ๊ยพี่ทำไรอ่ะ” ผมผงะตัวหนีเมื่อพี่กระเทยร่างบางกว่าโอ่งมังกรนิดนึงดึงหนังยางรัดผมหัวคิตตี้ที่หมอจิณณ์ซื้อให้ผมออกแล้วใช่นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบผมของผมขึ้นก่อนจะตัดฉับแบบไม่ปรึกษาความสมัครใจของผม
“ก็ตัดผมให้เป็นทรงเดียวกับคุณน้องดิวไงคะ”
“ไหนบอกว่ามาชู๊ตบาสอย่างเดียวไง”
“ก็ใช่ไงแต่เวลาถ่ายจากด้านหลังมันก็ต้องถ่ายทั้งตัวอ่ะถ้าเห็นผมทรงหางหมาของน้องมันก็ไม่ใช่ดิวสิค๊า” ผมยังไม่ทันจะเถียงอะไรก็โดนเจ๊โอ่งจับหันหน้าเข้ากระจกแล้วตัดผมของผมอีกครั้ง
โธ่...อุตส่าห์ไว้ตั้งหลายเดือนไม่ยอมตัดเพราะหมอชอบเล่นก่อนนอนมาเสียทีให้กะเทยซะแล้ว ฮือ.... เมียจ๋าผัวขอโทษที่รักษาของเล่นของเมียไว้ไม่ได้
ผมนั่งนิ่งให้เจ๊แกตัดผมหลังจากนั่งขยุกขยิกจนเจ๊แกแกล้งเอาหวีสับหัวผมแรงๆไปทีนึง คนบ้าอะไรใจร้ายเหลือทน ในที่สุดพอถอดผ้าคลุมออกจากจากเซทผมให้เป็นทรงเดียวกับดิวดาราหนุ่มผมก็รู้สึกถึงความแปลกตาไปทันที ยังไม่ทันได้พิจารณาหนังหน้ามากนักเจ๊คนหนึ่งก็จับเก้าอี้ของผมหมุนเข้าหาตัวเธอจากนั้นก็ละเลงหน้าของผมด้วยเครื่องสำอางค์สารพัดชนิด
“ว๊าว....หล่อพอจะเป็นพระเอกได้เลยนะเราน่ะ” เสียงพี่ช่างพูดหลังจากหมุนเก้าอี้ของผมให้หันหน้าเข้ากระจกเงาบานใหญ่ ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆมองเงาในกระจกด้วยความไม่แน่ใจ
นั่นใครนะ?
ผมเหรอ?
นั่นผมจริงๆใช่มั๊ย?
ผมขยี้ตาอีกครั้ง
ผมจริงๆด้วยอ่ะ ทำไมหล่อขนาดนั้น?
“ไงถึงกับตะลึงตึงตึงไปเลย หล่อล่ะสิ๊”
หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วผมก็ถูกจับไปแต่งตัวด้วยชุดบาสแบบและสีเดียวกับของดิวผมมองตัวเองที่ยืนคู่กับดาราหนุ่มด้วยสีหน้าอึ้งๆ จากนั้นผมก็ถูกพาไปซักซ้อมว่าต้องทำท่าทางยังไง เล่นบาสด้วยท่าทางแบบไหนและต้องชู๊ตยังไง
การถ่ายทำมีขลุกขลักบ้างเพราะผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องมุมกล้องบางครั้งแสงก็ไม่ได้เราถ่ายใหม่หลายรอบจนในที่สุดหลังจากถ่ายทำปรับเปลี่ยนมุมกล้องจัดท่าจัดทางกันจนเกือบสามชั่วโมงผมก็ชู๊ตบาสลูกสุดท้ายตามคำขอที่ว่าให้มันหมุนวนรอบแป้นแล้วค่อยหล่นลงมาได้ตามที่ผู้กำกับสั่ง ในที่สุด... เสียงที่กองถ่ายทุกคนรอคอยก็ดังขึ้น
“คัท!!” ทีมงานกรูกันเข้ามาซับเหงื่อที่หน้าให้กับผม ผู้กำกับเดินเข้ามาตบไหล่ของผมปุๆแกยิ้มแต้ด้วยความพึงพอใจ
“ขอบใจมากนะไอ้น้องที่ช่วยพี่วันนี้เดี๋ยวไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วรับเงินที่สวัสดิการคนนั้นนะแล้วนี่ นามบัตรของพี่ สนใจอยากเข้าวงการก็ติดต่อมาหรือไปหาตามที่อยู่นี้นะ ท่าทางเรามีแววนะฝึกการแสดงอีกนิดก็ใช้ได้ล่ะ”
ผมโค้งขอบคุณผู้กำกับก่อนจะไปจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกลับมาเป็นชุดเดิมของผมจากนั้นเจ๊โอ่งก็มาลากผมไปรับซองเงินที่ในนั้นมีเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้หรอกผมเก็บมันใส่กระเป๋าก่อนจะโค้งลาทุกคน
“แล้วเจอกันใหม่นะสุดหล่อ” เจ๊โอ่งกับนูน่าที่แต่งหน้าให้ผมโบกมือพลางส่งจูบให้ ผมส่งยิ้มให้เจ๊ทั้งสองก่อนจะปั่นจักรยานออกมา คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะครับ
ผมกลับมาถึงคอนโดจัดการเอาของเข้าแช่ในตู้เย็นแล้วเตรียมตัวหุงข้าวเพื่อเตรียมไว้สำหรับทำข้าวผัดเย็นนี้ พลันผมก็นึกได้ว่าผมยัดซองเงินไว้ที่กระเป๋าหลัง ผมล้วงออกมามันหนาพอดู
“คงไม่เยอะหรอกที่หนาๆนี่แบงค์ย่อยใช่มั๊ยล่ะ” ผมเอาซองเงินส่องกับหลอดไฟแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยจัดการแกะซองเงินออก
แคว่ก!!
คุณพระ
แบงค์พันอเรียงกันอยู่ในนั้นผมค่อยๆนับเงินในซองรวมกันแล้วมีอยู่สามพันบาท ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ ผมนับใหม่อีกรอบเพื่อความแน่ใจ เท่าเดิม เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงของผม
ผมคว้ากระเป๋าเป้เอาเงินยัดกลับเข้าไปก่อนจะออกจากคอนโดปั่นจักรยานไปที่ๆผมคุ้นเคย ผมกำลังปั่นจักรยานไปบ้าน ผมอยากจะมอบเงินก้อนแรกของผมให้กับแม่ เงินที่ได้มาจากลูกชายคนโตของบ้านแม่จะดีใจกับมันใช่มั๊ยครับ
เกือบหกโมงเย็นผมก็ปั่นจักรยานมาถึงหน้าบ้านผมเตะขาตั้งลงกับพื้นก่อนจะรัวกดกริ่งซักพักผู้หญิงที่คุ้ยเคยของผมก็ออกมา ผมส่งยิ้มให้แม่ในขณะที่แม่จ้องหน้าผมคิ้วเรียวของแม่ขมวดมุ่นก่อนจะเดินมาหน้ารั้วแต่ยังไม่เปิด
“มาหาใครคะ” ผมค่อยๆหุบยิ้มลงไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคคำถามของแม่
“ผม...ผมชื่อเก่งครับเป็นเพื่อนกับเมฆ เค้าวานให้ผมเอาเงินมาให้คุณแม่ครับ” ผมกลั้นน้ำตาที่กำลังจะเอ่อออกมาพลางกลั้นใจพูดประโยคโกหกคำโตให้แม่ของผม
ทำไมแม่จำผมไม่ได้ล่ะครับ
สายสัมพันธ์ของแม่ลูก แม่เป็นแม่ของผมแท้ๆทำไมกลับจำลูกตัวเองไม่ได้ล่ะครับ ผมกลั้นความน้อยใจก่อนจะยื่นซองเงินให้แม่ด้วยมืออันสั่นเทา
“เงินอะไร เมฆไปทำงานอะไรหนีออกจากบ้านไปอย่างนั้นคงไม่พ้นไปแบกของส่งของหรอกมั้งเอากลับไปให้เค้าเถอะฉันไม่เอาหรอก” แม่ปัดมือที่ผมยื่นซองเงินให้ ผมคว้ามือของแม่ก่อนจะยัดซองเงินใส่มือแม่แล้วหันหลังเดินมาที่จักรยานทันที
“เดี๋ยว...” ผมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงแม่เรียกแต่ไม่ได้หันกลับไปเพราะตอนนี้น้ำตาของผมมันไหลออกมาด้วยความน้อยใจซะแล้ว
“ครับ?”
“เค้าสบายดีมั๊ย อยู่สบายหรือเปล่า แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนอยู่กับใคร”
“เค้าสบายดีครับตอนนี้พักอยู่กับเพื่อนอีกคนไม่ต้องห่วงเค้าหรอกครับ”
“อย่างนั้นก็ดีฝากไปบอกเค้าด้วยว่า....อย่าไปสร้างความดือดร้อนให้ใครล่ะ” ผมแค่นยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะตอบรับแม่ออกไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
“ครับแล้วผมจะบอกเค้าให้ผมขอตัวนะครับ.....คุณป้า” ผมตัดสินใจออกมาจากตรงนั้น ที่ๆผมไม่มีตัวตน ที่ๆผมถูกคิดว่าไปอยู่ที่ไหนก็จะสร้างแต่ปัญหา ผมคงไม่คู่ควรกับบ้านหลังนี้จริงๆสินะครับ
แม่ครับ...ผมรักแม่นะครับแล้วแม่ล่ะรักผมบ้างหรือเปล่า?
“เมฆ....ไปไหนมาผมกลับมาไม่เจอคุณตกใจแทบแย่” ทันทีที่ผมเปิดประตูคอนโดเข้ามาเสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยถามขึ้นราวคนกำลังร้อนใจ ผมมองหน้าหมอที่ตอนนี้พร่าเบลอแทบไม่เป็นรูปร่าง
เพียงแว๊บเดียวหมอก็ก้าวพรวดๆจากโซฟามาประชิดตัวผม ฝ่ามือแสนอบอุ่นของหมอแปะลงบนหัวของผมข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็จับมือผมไปบีบเบาๆ
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” เสียงใสเอ่ยถามผม ผมได้แต่ส่ายหน้า
“เด็กโง่ เป็นอะไรใครทำอะไรก็บอกหมอสิ นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะตอนนี้นายยังมีฉันนะ”
ไม่รู้ว่าทำไมแค่ประโยคนั้นประโยคเดียวกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนคนที่เดินฝ่าพายุมาเนิ่นนานกลับพบกองไฟอุ่นอยู่ตรงหน้าผมมองหน้าคุณหมอที่ส่งยิ้มละมุนมาให้ผมก่อนจะเอ่ยปากออกไปด้วยประโยคประโยคหนึ่ง
“หมอครับผมขอกอดหมอได้มั๊ยครับผมหนาวจังเลย”
“มากกว่ากอดหมอก็ให้นายได้นะ” เพียงสิ้นประโยคหมอจิณณ์ก็เป็นฝ่ายสวมกอดผมไว้ซะเองใบหน้าหวานซุกอยู่ที่ไหล่ของผมสองมือของหมอประสานกันที่หลังเอวของผม ผมสวมกอดหมอไว้แน่น ในขณะที่หมอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับผมผมก็ค่อยๆโน้มหน้าเข้าหาหมอริมฝีปากเราใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆก่อนจะ...
ติ๊งหน่อง....ติ๊งหน่อง!!!!
ผลั่ก!!!
หมอจิณณ์ผลักผมออกทันทีกับที่ประตูห้องถูกเปิดผลั่วะเข้ามาด้วยไอ้ลูกปัดที่วิ่งหน้ามันหัวกระเซิงเข้ามาก่อนจะรีบปิดประลงกลอนเรียบร้อย กระเป๋าเป้ใบเล็กถูกเหวี่ยงโครมก่อนมันจะหันหลังยืนพิงประตูห้องหอบแฮ่กๆ
“หมอ...เมฆ...ขอปัดอาศัยอยู่ด้วยซักคืนสองคืนนะ”
ผมกับหมอมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับอากัปกริยาและคำขอของลูกปัด
“ปัดแกใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันจะถูกผู้หญิงที่เป็นลูกค้าที่ร้านจับทำผัว”
“ห๊ะ!!!” ผมกับหมอร้องประสานเสียงกันในขณะที่ไอ้ลูกปัดมันพยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยันคำพูดของมัน
“เอ่อ....” ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องของคุณหมอที่เราสองคนยืนเกาท้ายทอยด้วยสีหน้าเก้อๆมันเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆเหมือนจะอึดอัดแต่ระคนความขัดเขิน
ครับ ตอนนี้เราต้องนอนห้องเดียวกันเพราะโซฟาที่ผมยึดเป็นเตียงนอนตลอดห้าเดือนถูกไอ้ลูกปัดที่ลี้ภัยทางการเมืองมาขออาศัยอยู่ยึดไปแล้ว
เรื่องของเรื่องที่ลูกปัดต้องหอบผ้าผ่อนซึ่งก็คือเสื้อผ้าสำรองแค่สองชุดมาหาผมกับหมอที่ห้องก็เพราะมีเด็กสาวที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับผมมาขอคบด้วย
“แรกๆชีก็มากินอาหารตามปกตินะ หลังๆมาทุกวันมีขนมมาฝากแต่ปัดไม่เคยกินเองหรอก หลังๆเริ่มขอเบอร์ บอกว่าวันหยุดไปเที่ยวกันมั๊ย หนักสุดอาทิตย์ที่ผ่านมามาพร่ำบอกว่าอยากคบกับปัด โอ๊ย ปัดเป็นผู้หญิงนะ ปล่อยชะนี่ตัวเล็กๆอย่างปัดสู่ธรรมชาติเถอะ” ไอ้ลูกปัดมันพูดไปก็จิ้มส้อมลงบนมะเขือเทศชิ้นใหญ่ส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย
“ทำไมไม่ตบไปเลยล่ะ หนีแบบนี้เสียชื่อศิษย์นุสรามือเซทเน็ตระเบิดหมดนะ”
“โห หมอคะ ถ้าเป็นผู้ชายปัดตบไปแล้วแต่นี่เป็นผู้หญิงปัดไม่ทำร้ายเด็กสตรีและคนชราแบบหมอหรอกค่ะ”
“เบอร์น้องคนนั้นเบอระไรเหรอ” เสียงหมอจิณณ์เอ่ยถามไอ้ปัดด้วยน้ำเสียงตึงๆ
“หมอจะเอาไปทำอะไรคะ”
“โทรให้มารับแกไง กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าคนชราห๊ะยัยเตี้ย”
“โอ๊ยหมอคะปัดขอโทษ” ลูกปัดรีบเกาะแขนหมอจิณณ์ทันทีที่ได้ยินคำนั้น ภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆทำตาปริบออดอ้อนคุณหมอน่าหวานตลกจนผมหัวเราะออกมา
“ว่าแต่...เมฆ หมอว่าวันนี้คุณดูแปลกไปนะไปทำอะไรมากับทรงผม แล้วหน้าก็เหมือนแต่งมาด้วย” หมอจิณณ์หันมายิงคำถามใส่ผม
ครับผมเล่าให้ทั้งหมอและลูกปัดฟังทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ รวมทั้งเงินที่ได้มานั้นผมเอาไปให้แม่และแม่จำผมไม่ได้
หมอจิณณ์ลุกจากเก้าอี้ของตัวเองมายืนตบไหล่ผมจากด้านหลังก่อนจะทำบางอย่างที่ผมไม่คาดคิด อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดผมจากด้านหลัง คุณหมอใช้คางเกยที่ไหล่ของผมแล้วพูดว่า
“ไม่เป็นไรเนอะ...เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น เข้มแข็งเนอะ”
ครับ แค่คำพูดแค่นี้กำลังใจของผมก็มาเป็นองเลยครับ ความเศร้าตอนปั่นจักรยานกลับมาที่นี่มลายหายไปเลย
“จำไว้นะเมฆไม่ใช่ปัญหาของหมอแต่เมฆคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมาให้หมออย่าคิดมาก”
เรานั่งคุยกันพักใหญ่ๆก็แยกย้ายกันเข้านอนตอนแรกหมอจะให้ลูกปัดเข้ามานอนในห้องแต่ไอ้ตัวเล็กมันปฎิเสธท่าเดียวเลยครับ
“แค่ปัดมาอาศัยหมอก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว หมอกับเมฆเข้าไปนอนในห้องเถอะค่ะ ปัดตัวเล็กโซฟานี่ก็เกินพอ” ครับ ต่อให้ผมกับหมอจะขอให้มันเข้ามานอนในห้องยังไงไอ้ปัดมันก็ยืนยันคำเดิมครับว่ามันขอนอนโซฟา
“ตอนกลางคืนปัดชอบหิวค่ะนอนใกล้ครัวนี่ล่ะดีสุดสำหรับปัดหมอกับเมฆนอนให้ห้องเถอะค่ะปัดเป็นคนมาขออาศัยจะให้เข้าไปนอนเตียงใหญ่ๆก็คงไม่ดี”
“คือผมนอนที่พื้นนะครับ” ผมชี้ที่ว่างแคบๆข้างๆเตียงคุณหมอ
“เฮ๊ย ซอกนั่นมันเล็กนิดเดียวเดี๋ยวนายจะเมื่อยนะ นอนบนเตียงด้วยกันนี่แหล่ะไม่เป็นไรหรอก” คุณหมอดึงผมให้ขึ้นมานั่งบนเตียงนอนหลังขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กพอจะนอนกันได้สองคนอย่างสบายๆ
“รบกวนด้วยนะครับ” ผมเอ่ยบอกกับคุณหมออย่างเกรงใจเสียงคุณหมอหัวเราะเบาๆก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่ารู้มั๊ยตอนนี้นายทำท่าเหมือนสาวน้อยโดนหลอกมานอนด้วยเลยนี่บอกอะไรให้นะ....” คุณหมอตาแป๋วเอ่ยทิ้งท้ายราว 10 วินาทีก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างๆใบหูให้ผมขนลุกซู่ว่า
“หมอไม่ปล้ำนายหรอกนอกซะจากว่านายจะยอมหมอเอง”
“หิวหว่ะ” ลูกปัดที่นอนกระสับกระส่ายมาซักระยะหนึ่งผุดลุกตลบผ้าห่มลงไปไว้ปลายเท้ามือเล็กกุมท้องตัวเองพลางยู่หน้าสายตาเหลือบมองนาฬิกาที่แปะอยู่บนฝาผนังเรือนใหญ่เกือบตีสองแล้วปกติเวาอยู่ที่ห้องจะต้องรองท้องด้วยข้าวโพดคั่ว 5 ห่อ แต่วันนี้หลังจบมื้ออาหารเย็นและนั่งคุยกันซักพักราวๆ 5 ทุ่มหล่อจิณณ์กับเมฆก็แยกเข้าไปนอนปิดห้องเงียบจนลูกปัดเคลิ้มหลับแต่น้ำย่อยในกระเพราะอาหารกลับเรียกให้ตื่นขึ้นซะนี่
หญิงสาวสลัดผ้าห่มตกลงข้างโซฟาก่อนจะเดินเพื่อจะตรงไปที่ครัวแต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านห้องหมอจิณณ์นั้นหญิงสาวก็ชะงักเท้าแทบจะทันที ใบหน้าทะเล้นขึ้นสีเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างภายในห้อง
“อ๊า....เมฆ....อื้อ...แรงๆเลย...อ๊าง...หมอ...หว่ะ...ไหว...”
“เอางั้นเหรอครับถ้าผมทำแรงหมอจะเจ็บนะครับ”
“อื้อ...เอาแรงๆเลยหมอจะทน”
“งั้นผมจะกดลงไปสุดแล้วนะครับ”
“อื้อ...หมอพร้อมแล้ว...อ๊า!!!”
“เห๊ย....ทำไรกันวะ..โห วัตถุไวไฟกับน้ำมันหรือไงเนี่ย แอ๊ยยยยยยยย” ลูกปัดที่ตอนแรกกะจะไปหาของกินในครัวหมุนตัวกลับไปที่โซฟาก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แต่ยังไม่วายเปิดผ้าห่มออกมาเงี่ยหูฟังเสียงในห้องที่ดังลอดมาแว่วๆ
“โอ๊ย...เบาหน่อย..ร่ะ..แรงไปแล้ว...อ๊า”
“อึ๋ยยยยยยยย.....หวาดเสียวโว๊ยยยยยย” อีกครั้งที่ลูกปัดหลับตาปี๋ดีดผ้าห่มขึ้นมคลุมตัวนอนบิดนอนเขินอยู่คนเดียวเมื่อสมองกำลังจินตนาการว่าภายในห้องกำลังเล่นกีฬาบันจี้จั๊มป์กันรุนแรงขนาดไหนแต่ความเป็นจริงภายในห้องนอนของหมอจิณณ์ก็คือ...
ร่างบางของหมอจิณณ์ที่กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงกายบางขึ้นสีแดงเถือก ใกล้กันเมฆที่ยืนเต็มความสูงกำลังสาละวนกับการลงส้นบนต้นขา
“ตรงนี้โดนมั๊ยครับคุณหมอ”
“โอ๊ย....ซี๊ดดดด...นั่นแหล่ะโดนๆกดลงมาเลย”
“แล้วตรงนี้ล่ะครับ”
“โอ๊ย....ตรงนั้นก็ใช่เอาแรงๆเลยดีๆแบบนี้ล่ะชอบ”
โถ.....ลูกปัดสาวน้อยผู้จมอยู่กับจินตนาการ
ความจริงก็คือหมอจิณณ์นอนไม่หลับบ่นๆว่าปวดหลังกับปวดขาเมฆที่นอนอยู่ข้างๆเลยอาสาที่จะบีบนวดให้แต่หมอจิณณ์กลับบอกกับชายหนุ่มว่าขอหนักๆไปเลย ผลสรุปจึงอยู่ที่เมฆมายืนเหยียบขาและหลังให้หมอจิณณ์ หลังจากกิจกรรมที่มีซาวด์เอฟเฟคแสนหวาดเสียวจบลงล้างไม้ล้างมือกันเสร็จหมอกับเมฆก็ปิดไฟนอนหลับในที่สุด
เกือบรุ่งเช้าร่างทั้งสองร่าก็แนบสนิทกันอีกครั้งเมื่ออากาศที่เย็นเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดูดให้ร่างกายของคนทั้งคู่ดึงดูดกันและกัน สุดท้ายร่างบางก็ซุกอยู่กับอกแกร่งผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป็นสุข ร่างสูงก็สวมกอดเอวคอดไว้อย่างทะนุถนอม เมฆหรี่ตาดูร่างบางในอ้อมกอดก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
...............
บ้า แกอ่ะคิดมากกกกกกกกกกกกก