BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))  (อ่าน 29284 ครั้ง)

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

**********************************************




Boy in luv




นิยายเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากแฟนฟิคของผู้เขียนนะคะ



#คนแมนคินเซ็ท







    เคยรู้สึกเกลียดใครตั้งแต่แรกพบมั้ยครับ

 

ผมนี่แหล่ะคือคนประเภทนั้น ผมหมุนคอไปมากระชับไม้ในมือแน่น ลมหายใจถูกถอนออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ด้านข้างของผมสองคนเป็นเพื่อนฝาแฝด จิน จีน ถัดไปคือไอ้อิ้งค์ ไอ้ย้ง ไอ้ยิม ท้ายสุดคือไอ้วีที่จริงๆพวกผมไม่อยากให้มันมาร่วมวงด้วยเท่าไหร่ เพราะมันตัวเล็กที่สุดในกลุ่มพวกเรานั่นแหละ

 

ตรงหน้าของผมก็มีจำนวนคนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ส่วนมากก็คุ้นๆหน้ากันดีอยู่แล้ว หน้าสุดนั่นที่หน้าตาเจ๊กๆชื่อไอ้คิน ข้างๆมันคือไอ้แดน ไอ้แพท ไอ้แพร ไอ้ว่าน ไอ้ตัวใหญ่ๆนั่นชื่อไอ้เด่นพี่ของไอ้แดน ปิดท้ายด้วยไอ้อ้นที่ตัวเล็กพอกับไอ้วีฝั่งผม

 

                “มึงจะเอาไง”ผมตะโกนถามไอ้คินที่ยืนถือไม้ทีประจันหน้ากับผม มันถ่มน้ำลายลงบนพื้นยกไม้ทีชี้หน้าพวกผม

 

                “กูบอกพวกมึงแล้วว่าอย่าให้กูเจอพวกมึงเสนอหน้าในเมืองไงไม่งั้นกูไม่เอาพวกมึงไว้แน่”

 

                “พ่อมึงซื้อเมืองไว้เหรอหวงแท้ไอ้สัด จังหวัดนี้ใครจะไปไหนก็ได้ต้องขออนุญาตมึงเหรอ”ผมเถียงมันอย่างไม่กลัวเกรง ไม่หลบสายตา มีอย่างที่ไหนมากำหนดพื้นที่ไม่ให้คนนั้นคนนี้ไปที่นั่นที่นี่

 

ผมมีสิทธิ์ที่จะไปที่ไหนก็ได้ในประเทศนี้นี่หว่า แต่ดูท่าทางมันจะไม่ชอบใจคำตอบผมเท่าไหร่ เพราะหน้าที่บึ้งของมันยิ่งบึ้งเข้าไปใหญ่

 

                “กูถือว่าพวกกุเตือนมึงแล้วนะ แต่ในเมื่อมึงเข้ามาให้พวกกูตีถึงที่งั้นกูก็ไม่เกรงใจล่ะ”ทันทีที่ไอ้คินพูดจบ เราทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องรีรอสัญญาณอะไร เราต่างฝ่ายต่างวิ่งปรี่เข้าหาฝ่ายตรงข้ามโดยที่ผมวิ่งเข้าไปปะทะไอ้คินก่อนคนแรก ส่วนใครจะสู้กับใครตอนนี้ผมไม่มีเวลาหันไปมอง ผมหวดไม้ในมือใส่คนตรงหน้าถือว่ามันโชคดีมากที่หลบได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปดแล้วมันก็เหวี่ยงไม้ทีในมือของมันลงเต็มๆกลางหลังของผม

 

เจ็บชิบหายเลยไอ้เหี้ย...

 

ผมกัดฟันข่มความเจ็บก่อนจะหมุดตัวฟาดหมัดใส่ใบหน้าของมัน คราวนี้ไม่มีทางพลาดเป้า มันเซไปตามความแรงของหมัด ผมกระตุกยิ้มใส่มันก่อนจะกระโดดถีบลงไปที่กลางอกของมัน มันถอยหลังหลบทันเท้าของผมจึงแปะโดนมันแค่ถากๆ

 

พวกเราต่างชุลมุนแลกหมัดกัน บางครั้งผมก็พลาดพลั้งโดนทั้งหมัดทั้งตีนมัน บางทีมันก็โดนหมัดโดนตีนผมกลับเช่นกัน ซักพักเสียงนกหวีดก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าปาร์ตี้ครั้งนี้จบลงแล้ว พวกเราต่างแยกย้ายกันไปยังมอเตอร์ไซค์ของตัวเองพลางขับกลับบ้านใครบ้านมัน

 

                “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง เจอกันคราวหน้ากูเอาเลือดหัวมึงออกแน่” ผมไม่วายตะโกนท้าทายมันอีกรอบหลังจากไอ้จินกระโดดขึ้นคร่อมรถของผมเรียบร้อยแล้วพวกเราก็บิดออกจากหลังตลาดที่มีเรื่องกันเมื่อกี๊ ดูสภาพแต่ละคนบอกได้เลยว่าพวกผมก็แซ่บนะครับ #ดูไม่จืด








........................................

ฝากเนื้อฝากตัวและฝากพี่คินไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ :z6:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 03:58:57 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 1
«ตอบ #1 เมื่อ08-11-2018 21:48:58 »


Boy in luv #1



            “ไหนหมาตัวไหนมันบอกวะว่าเรียนจัดสวนไม่ต้องเรียนเลข ไอ้สัด ตั้งแต่เรียนมากูเรียนเลขมากกว่าทั้งชีวิตที่เคยเรียนมาอีกไอ้เหี้ยเอ๊ย”เสียงไอ้จีนโวยวายเมื่อเรากำลังนั่งทำโจทย์วิชาสถิติที่อาจารย์ธงชัยสั่งให้ทำด้วยชีทหนาเตอะ ไอ้วีส่งยิ้มแห้งๆให้ไปเพราะประโยคนั้นแหล่ะที่มันเป็นคนพูดเอง

 

ไม่รู้มันไปเอาความคิดผิดๆนั่นมาจากไหน

 

                “กูแม่งแดกขนมดอกจอกของห้องอุตจนปวดกรามไปหมดแล้ว”ไอ้อิ้งค์บ่นพลางทำท่าขยับกรามไปด้วย

 

เออ อันนี้ผมเห็นด้วยกับมัน ก็อาจารย์บอกให้ห้องอุตสาหกรรมอาหารจดสถิติด้วยการให้แบ่งกลุ่มทำขนมด้วยสูตรสามสูตรแล้วดูว่าคนกินชอบแบบไหนมากที่สุด เท่ากับขนมดอกจอกก็ต้องทำสามสูตร แล้วมันดันมีสูตรหนึ่งที่แข็งมาก แข็งชนิดที่ว่าอาจทำให้ฟันคนแตกได้

 

                “มึงทำเป็นบ่น วันก่อนพวกไอ้สร้างเอาถั่วเคลือบมาให้กูแดก ไอ้สัด นึกว่าแดกก้อนหิน แข็งจนกูแทบจะเอาไปทำหนังสติ๊กยิงนก”ผมหันไปบ่นกับไอ้อิงค์ ถ้าไม่ติดว่าพวกห้องอุตทำสถิติผมก็จะคิดว่าพวกมันวางแผนฆาตกรรมผมอยู่ ขนมแต่ละอย่างที่ทำมาให้กินสามารถฆ่าคุณได้

 

ในที่สุดชั่วโมงสถิติที่แสนน่าเบื่อหน่ายก็จบลง พวกเรารีบเก็บข้าวของก่อนจะตะโกนถามกันว่ามื้อกลางวันจะกินอะไรดี

 

                “ออกไปแดกเตี๋ยวร้านพี่รินกันดีกว่า เบื่อกับข้าวร้านป้าเพ็ญ คนเยอะเหี้ยๆขี้เกียจรอ”เป็นไอ้จีนอีกนั่นแหล่ะที่เสนอ ซึ่งพวกผมก็เห็นจริงตามมันว่า โรงอาหารของวิทยาลัยเราไม่ได้กว้างมากมีร้านขายข้าวแค่ 3 ร้าน ส่วนมากเป็นเด็ก ปวส.1-2 ที่อยู่หอนอกเท่านั้นที่กิน เพราะ ปวช.1-3 และ ปวส.บางคนที่อยู่หอในจะไปกินข้าวที่โรงอาหารเด็กหอที่แยกไปอยู่อีกที่ใกล้แปลงผักอาจารย์นวล พวกผมเคยไปมั่วนิ่มกินข้าวที่นั่นพักหนึ่งแล้วก็ลงความเห็นว่าซื้อกินเองดีกว่า

 

ถ้าไอ้พวกหอในไม่ใช่เต่าก็คงเป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่าย เพราะในหนึ่งอาทิตย์เมนูหอในจะมีแกงเทโพที่อุดมไปด้วยผักบุ้งซะ 4-5 วัน เลยทีเดียว แต่อย่างว่าแหละ เพราะมันเป็นข้าวฟรีที่กินแล้วไม่เสียเงินทั้งสามมื้อและเด็กส่วนมากที่เรียนที่นี่ก็เป็นเด็กที่ฐานะค่อนข้างยากจน การมีข้าวให้กินฟรีก็ดีกว่าต้องเสียเงินมื้อละ 30-40 บาท

 

ผมรอไอ้จินส่งชีทเสร็จก็ขับรถพามันนำไปร้านพี่รินที่อยู่ห่างจากวิทยาลัยไปราวๆครึ่งกิโล

 

          “เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อสดน้ำตกพิเศษ 2 บะหมี่แห้งเพิ่มลูกชิ้นพิเศษ 1 เล็กน้ำใสไม่ใส่ผัก 1 เล็กชิ้นสดน้ำตกใส่ถั่วงอกดิบ 1 ของผมเอาเส้นใหญ่โฟพิเศษ”จัดการสั่งเมนูให้ไอ้พวกนั้นตามเมนูไม่นานก๋วยเตี๋ยวยังไม่ทันเสิร์ฟไอ้จีนที่มีไอ้วีซ้อนท้าย ไอ้อิงค์ที่พ่วงไอ้ย้งมาด้วย ส่วนไอ้ยิมฉายเดี่ยวก็ตามมาสมทบก๋วยเตี๋ยวสารพัดเมนูที่พวกเราสั่งก็มาเสิร์ฟและแน่นอนพวกเราไม่เคยจบที่ชามเดียว แต่ละคนเบิ้ล  2-3 ชาม ตลอด บางครั้งก็ต้องใช้ตะเกียบตีมือไอ้วีที่ชอบทำตัวเป็นจอมโจรขโมยลูกชิ้น มันคีบของคนนู้นทีคนนี้ทีไปจนชามมันเต็มไปด้วยลูกชิ้น

 

                “อย่าแดกเยอะนะมึงคาบบ่ายของอาจารย์สุทธิทั้งบ่ายเดี๋ยวแม่งก็ง่วงอีก”ไอ้จินเอ่ยทักเมื่อผมกำลังจะอ้าปากสั่งก๋วยเตี๋ยวชามที่ 4

 

                “เออ แม่ง ถ้าไม่ใช่อาจารย์กูจะนึกว่าเป็นพระมหาปลอมตัวมาสอนได้ง่วงมาก”ไอ้ย้งเอ่ยนินทาอาจารย์ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับมัน อาจารย์สุทธิเป็นผู้ชายตัวเล็กๆท่าทางใจดี เวลาสอนอาจารย์จะใช้น้ำเสียงนุ่มๆสอนแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ เทอมที่แล้วผมมีประเด็นกับอาจารย์เพราะความนุ่มทุ้มของน้ำเสียงและคาบเรียนของอาจารย์มักจะลากยาว 3 ชั่วโมงของตอนบ่าย ชอปที่เราเรียนวิชาช่างสำรวจนั้นติดภูเขาและมีลมเย็นพัดเอื่อยๆตลอดทั้งวัน

 

บรรยากาศดี น้ำเสียงอาจารย์ดี ลมพัดเย็นดี

 

ใช่ครับ ดีทุกอย่าง

 

ใช่ครับ

 

กูหลับ...

 

หลับแม่งทุกคาบจนเรียนไม่รู้เรื่อง ค่าอลิเวคูณอะไรบวกอะไรแม่งไม่เข้าสมองผมเลยซักนิด พอถึงเวลาสอบผมไม่เข้าใจเลยครับ ค่าสูงต่างอะไรบวกอะไรคูณอะไรได้อะไรผมไม่เข้าใจเลยซักนิด สรุปวิชานั้นผมส่งกระดาษเปล่าพร้อมกับวาดรูปหน้ายิ้มให้อาจารย์ไป

 

เช้าของอีกวันผมก็โดนอาจารย์เรียกครับ

 

                “เศรษฐพงศ์ คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”อาจารย์ตั้งคำถามที่ทำให้ผมงงแดกทันที่ที่ตูดของผมหย่อนลงบนเก้าอี้ตรงข้ามอาจารย์

 

                “ครับ?”ผมส่งคำถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ

 

                “คุณไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า? ผมทำอะไรให้คุณโกรธเคืองมั้ย?”

 

                “ไม่นี่ครับ อาจารย์ไม่ได้ทำอะไรผมเลย”

 

                “แล้วทำไมคุณไม่ยอมทำข้อสอบของผมเลยซักข้อ”อาจารย์เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและสายตาที่แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจนผมต้องเกาจมูกแก้เก้อ

 

                “อาจารย์ไม่ได้ทำอะไรให้ผมไม่พอใจหรอกครับ ผมโง่เอง ผมแค่ไม่เข้าใจโจทย์ ผมทำไม่ได้”

 

                “ผมออกข้อสอบยากไปเหรอ?” อาจารย์ยังไม่ลดละที่จะตั้งคำถามกับผม

 

                “ไม่ใช่ครับ ข้อสอบอาจารย์ไม่ยาก เพื่อนๆบางคนก็ทำได้ แต่ผมหลับในห้องเรียนตลอดเลยตามไม่ทันเองครับ”

 

                “ถ้างั้นผมจะให้โอกาสคุณแก้ตัว ไปติวมาครึ่งวันนี้แล้วบ่ายคุณมาสอบกับผมใหม่” นั่นแหละฮะ อาจารย์สุทธิผู้แสนจะใจดีของพวกเรา เพราะการให้โอกาสของอาจารย์ในครั้งนั้นทำให้ครึ่งวันเช้าพวกหัวกะทิของห้องเช่นคู่รักคนแคระอย่างไอ้ปัดกับเนยมาติวเข้มให้ผม

 

พอไม่หลับและได้รับการติวขั้นสูงมันก็ทำให้ผมรู้ว่าการคำนวณพื้นที่ไม่ได้ยากเลยถ้าผมไม่หลับถ้าผมตั้งใจเรียนผมก็ทำได้ และวิชานั้นผมก็ได้เกรด 3.5 มาครองอย่างไม่ยากเย็น

 

                “งั้นเดี๋ยวแวะร้านค้าซื้อบ๊วยไปกินด้วยดีกว่ากูว่าหลับชัวร์”ไอ้จีนเสนอแนะซึ่งเราก็เห็นด้วย หลังจากจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวพวกเราก็ขับรถกลับมาทางวิทยาลัยแวะร้านค้ากระดกกาแฟกระป๋องกันคนละกระป๋อง เอ็มร้อยห้าสิบอีกคนละขวดแล้วดึงบ๊วยสารพัดชนิดกำๆแล้วไปจ่ายตังค์

 

                “จินแดกติมป่าว”ไอ้จีนที่เดินไปเปิดตู้ไอติมหันไปถามน้องแฝดของมัน ไอ้จินพยักหน้ารับไอติมรสสตอเบอรี่ก็ถูกโยนมาให้ซึ่งมันก็รับได้เหมาะเหม็ง

 

ไอ้แฝดคู่นี้มันเป็นคู่บ้าพลังครับไอ้จีนแฝดพี่นั่นหน้าหวานใครไม่รู้คิดว่ามันเป็นตุ๊ดเคยมีคนแกล้งมาแซวมันสมัยเรียนมัธยมแซวไม่พอขยำตูดมันด้วยผลสรุปรุ่นพี่คนนั้นคิ้วแตกเย็บไปสามเข็มแถมโดนไอ้จินแฝดน้องที่ผิวเข้มกว่ากระทืบยอดอกไปอีก 1 ที โทษฐานมาลวนลามพี่แฝดของมัน

 

แต่ถึงไอ้จินจะบ้าพลังแต่มันยังมีมุมมุมิของมันอยู่มันชอบกินนมสตอเบอร์รี่ ไอ้ติมสตอเบอร์รี่ เค้กสตอร์บอร์รี่ ทุกอย่างที่เป็นสตอร์เบอร์รี่นั่นแหล่ะ ส่วนไอ้จีนจะชอบพวกรสกาแฟนิสัยก็จะห่ามกว่าไอ้จินเยอะ ไอ้จีนนะมันสายไฝว้ส่วนไอ้จินเป็นกองกำลังเสริม ไอ้จีนเป็นคนใจร้อนแต่ไอ้จินมันเป็นคนใจเย็น ที่ตลกก็คือไอ้จีนขับมอร์ไซค์เป็นแต่ไอ้จินขับไม่เป็นและมันก็ไม่ค่อยยอมพ่วงน้องแฝดของมันผมเลยต้องเป็นคนขับรถให้ไอ้จินแทนตลอดมันให้เหตุผลว่าถ้าเกิดไปเจอโจทย์ไล่ตีหรือถ้ามันไปรถล้มตายที่ไหนน้องแฝดมันจะได้ไม่ต้องมาเจ็บมาตายพร้อมมันด้วย  ส่วนไอ้จินปั่นจักรยานเป็นแต่เสือกขับมอร์ไซค์ไม่เป็น แต่ไอ้จีนดันปั่นจักรยานไม่เป็นซะอย่างนั้นเคยถามมันว่าทำไมไม่หัด

 

                “กูเคยหัดเว้ย แล้วปู่กูกลับมาพอดีเรียกกูเสียงดังกูตกใจเลยบิดเข้าดงกระถิน หลังจากวันนั้นกูเลยไม่หัดอีกเลย”ไอ้จินมันให้เหตุผล

 

                “แล้วมึงล่ะไอ้จีนทำไมปั่นจักรยานไม่เป็น”

 

                “กูเคยหัดแล้วไอ้สัด ตอน ป.2 กูเอาจักรยานย่ามาหัดขึ้นถนนแล้วด้วย แต่อีขวัญวัวบ้านตาเบิ้มหลุดมาจากไหนไม่รู้อีเหี้ย วิ่งไล่กวดกูกูปั่นหนีแล้วไปแหกโค้งเข้าดงมะขามเทศ หนามตำกุทั้งตัวเลย อีวัวเหี้ยนึกถึงแล้วยังแค้น”ไอ้จีนเล่าอย่างมีอารมณ์ ผม ไอ้อิ้งค์ ไอ้วี ไอ้ย้ง ไอ้ยิม ต่างระเบิดเสียงหัวเราะใส่มันกันเต็มที่

 

เรามานั่งที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นมะขามรอเวลาเข้าเรียนเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆจับกลุ่มคุยกัน บางคนก็นั่งลอกงานวิชาของอาจารย์ท่านอื่นไปด้วยส่วนพวกผมทำเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเลยไม่ต้องเร่งรีบอะไร

 

                “เซ็ท งาน อกท.เธอจะลงแข่งจัดสวนหย่อมมั้ย?” เนยรองหัวหน้าห้องที่เป็นคนช่วยติวให้ผมเดินมาถาม งาน อกท.คืองานที่เด็กเกษตรจะแข่งขันทักษะวิชาชีพต่างๆกับต่างสถาบัน เราจัดกันเป็น 3 ระดับ คือระดับหน่วย แข่งกันเองในวิทยาลัย ระดับภาค คือเอาคนชนะระดับหน่วยไปแข่งกับวิทยาลัยอื่นในระดับภาค และถ้าติด 1 ใน 3 ของระดับภาค ก็จะได้ไปแข่งระดับชาติ ตอนนี้อาจารย์เริ่มหาตัวแทนระดับหน่วยเพื่อคัดไประดับชาติกันแล้ว

 

                “พวกมึงใครจะลงสวนหย่อมกับกูมั่ง”ผมหันไปถามพวกเพื่อนๆ

 

                “กูกับไอ้ย้งลง”ไอ้อิ้งค์เอ่ยตอบรับ ผมเลยหันไปพยักหน้าให้กับเนย

 

                “เออ ตามนี้เลยเนย”

 

                แล้วคนอื่นๆละมีใครจะลงอะไรมั้ย?”

 

                “เราลงจัดดอกไม้สด”ไอ้วีตอบรับคำถามของเนย แน่ล่ะว่ามันต้องลงทักษะนี้และคงไม่มีใครกล้าแย่งเพราะบ้านมันเปิดร้านจัดดอกไม้ ทักษะแน่นจนแทบไม่ต้องติว

 

                “เรา จีน จิน ลงทักษะช่างสำรวจ”ยิมเอ่ยตอบเนยที่จดชื่อเพื่อนๆทีละคน

 

                “โอเคกลุ่มช่างครบล่ะ พวกเธอก็ซ้อมๆกันบ้างนะถึงจะแข่งในวิทยาลัยก็อย่าให้เสียชื่อกวาดรางวัลมาให้หมดล่ะ”

 

                “แล้วเนยลงอะไรอ่ะ?”จีนเอ่ยถามด้วยสายตาระยิบระยับ มันชอบเนยพวกผมรู้ดี เนยเป็นผู้หญิงพูดจาน่ารักนิสัยดีอ่อนหวานเรียนเก่งและสนิทกับเพื่อนทุกคน

 

                “เนยลงประกวดธิดา อกท. กับแข่งสวนขวดน่ะ อย่าลืมไปเชียร์นะ”

 

                “โหยจะไปได้ยังไง แข่งพร้อมกันหมด แต่เนยชนะอยู่แล้วแหล่ะ แต่ประกวดธิดานี่เชียร์รอฟังเสียงเชียร์ได้เลย”

 

                “ขอบใจ เราไปถามเพื่อนคนอื่นๆต่อนะ เหลือสวนถาดกับสวนตู้กระจกบอลน่าจะลงสวนตู้กระจกส่วนปัดน่าจะสวนถาด เออเข้าห้องได้แล้วออกดังแล้ว”เยแยกไปหาพวกไอ้บอลกับไอ้ปัด พวกผมมองนาฬิกาก็พากันย้ายตูดเข้ามานั่งในชอป และทันทีที่อาจารย์เริ่มสอน หนังตาของพวกผมก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ...









 

 

                                “เซ็ทศุกร์นี้กลับบ้านได้มั้ยลูก”ผมเดินเลี่ยงออกมาจากวงเหล้าที่เราเปิดกันในหอไอ้ยิมสวมอีแตะช้างดาวที่น่าจะเป็นของไอ้จีนเดินแยกออกมาคุยด้านนอก

 

                “แม่อยากให้เซ็ทมาทำความรู้จักกับครอบครัวทางนี้บ้างเซ็ทจะเลี่ยงตลอดไปไม่ได้ลูกก็รู้”ผมขมวดคิ้วจนมันแทบจะผูกกันเป็นโบว์

 

                “ผมรู้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับครอบครัวคนอื่น แม่คิดว่าถ้าผมไปแล้วเจอกับไอ้เหี้ยคินผมกับมันจะไม่ตีกันตาย”

 

                “ไม่เรียกพี่เค้าอย่างนั้นสิลูก ก็แค่มากินข้าว”แม่ยังคงขอร้องผมอยู่ ผมจุดบุหรี่ขึ้นสูบอัดควันฉุนๆเข้าปอดก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักให้สมกับความหนักใจที่อัดแน่นอยู่ภายใน

 

                “ก็ได้แม่วันศุกร์เซ็ทจะกลับบ้าน”ผมคุยกับแม่อีกไม่กี่คำก็วางสาย ลมเย็นๆพัดมาให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างนั่งปล่อยใจคิดถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมา

 

ผมกับไอ้คินตีกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ครึ่งปีหรือมากกว่านั้น เราเริ่มเขม่นกันตั้งแต่ที่พ่อของมันกับแม่ของผมพาเราไปกินข้าวที่แพอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว แม้บรรยากาศจะดี อาหารจะอร่อยแต่ตอนนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจรวมทั้งความเกลียดชังที่ส่งผ่านจากแววตาภายใต้ขอบตาคล้ำๆของมัน

 

ผมเองก็ตกใจที่อยู่ๆก็ถูกแม่พาไปรู้จักแฟนใหม่ลุงคณิตเป็นเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในตัวเมืองผู้ชายตัวสูงผิวขาวดูก็รู้ว่ามีเชื้อสายจีนเป็นคนใจดี ผมไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนในละครทีวีน้ำเน่าที่จะต้องกีดกันความรักของแม่ ถึงแม้ผมจะอายุ 18 แต่ผมก็เข้าใจว่าไม่มีอะไรจะคงอยู่ตลอดไป ความรักที่แม่มีต่อพ่อก็เช่นกัน

 

เพราะพ่อผมเสียไปนานแล้ว ตั้งแต่ผมเรียนอนุบาล ยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ไม่เคยลืมแม้จะจะพยายามลบมันออกจากใจแต่กลับจำได้ตลอดเวลา

 

ผมเป็นคนทำให้พ่อตายเอง เพราะคืนนั้นผมเป็นคนรบเร้าให้พ่อพาไปซื้อขนมที่เซเว่น เราสองคนพ่อลูกขับรถกะบะออกจากบ้านไปแม้ว่าแม่จะห้ามเพราะเห็นว่ามันเกือบจะห้าทุ่มแล้วแต่พ่อก็ยังเลือกที่จะตามใจผม ผมจำไม่ได้หรอกว่าวันนั้นซื้อขนมอะไรมาบ้างแต่ระหว่างทางที่ขับกลับผมทำของเล่นหล่นไปใต้เท้าพ่อ พ่อเลยก้มจะเก็บให้ จังหวะที่เงยหน้าขึ้นมา รถของเราก็ประสานงากับสิบล้อที่เร่งเครื่องตัดหน้ารถของผม โลกของผมกับพ่อสั่นสะเทือน พ่อกดตัวผมลงกับพื้นรถแล้วทุกอย่างมันก็ดับไป

 

ดับไปพร้อมกับที่พ่อไม่ตื่นตลอดกาล ผมฟื้นในรถนั่นแหละได้ยินเสียงคนพูดกันมากมายแต่จับเป็นคำไม่ได้ ผมแหงนหน้ามองพ่อพ่อถูกอัดก็อปปี้กับพวงมาลัย ทั้งจมูกและปากของพ่อมีเลือดไหลออกมา  จำได้แค่ว่าผมพยายามร้องเรียกพ่อ เพราะเสียงของผมที่ดังออกมาคนด้านนอกถึงรู้ว่าผมยังคงมีชีวิต การช่วยเหลือผมถูกทำอย่างเร่งด่วนได้ยินเสียงใครบางคนบอกว่าให้เอาเด็กออกมาก่อน ผมถูกช่วยออกมาพร้อมๆกับที่พวกเค้าดึงร่างของพ่อผมออกไปได้

 

                “ไม่หายใจ”ตอนนั้นผมไม่เข้าใจคำนี้มากนักผมนอนมองพ่อถูกกู้ภัยปั๊มหัวใจก่อนที่จะสลบไปอีกครั้ง

 

กว่าจะเข้าใจว่าพ่อตายแล้วก็ตอนที่พ่อไม่กลับมาหาผมอีกเลย  พ่อของผมทิ้งสมบัติไว้ให้เป็นที่ดินแปลงหนึ่งแถวหนองหญ้าปลูกไม้ประดับเต็มพื้นที่กับร้านขายต้นไม้ในเมืองพ่อของผมรับออกแบบจัดสวนกับขายต้นไม้ แม่พยายามประคับประคองกิจการของพ่อเสมอมาแต่เพราะไม่มีความรู้อะไรสุดท้ายก็เหลือแค่ขายต้นไม้อย่างเดียวไม่ได้รับออกแบบจัดสวนอีก ผมจึงตั้งใจที่จะฟื้นฟูกิจการของพ่อกลับมาอีกครั้ง ผมถึงเลือกเรียนที่นี่ เป็นวิทยาลัยที่อยู่ทางบ้านเดิมของพ่อแม้จะไม่โด่งดังแต่เป็นที่เดียวที่เปิดคณะเทคโนโลยีภูมิทัศน์ เมื่อก่อนผมก็ขับรถไปกลับระหว่างบ้านกับวิทยาลัยทุกวัน แต่หลังจากวันนั้นที่เราไปกินข้าวกับครอบครัวลุงคณิตระหว่างที่ผมขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำไอ้คินก็เดินตามมา

 

           “คิดว่าจะมาเกาะพ่อกูกินก็ฝันเอานะ”ผมหันไปมองไอ้คนที่มันตัวสูงกว่าผมนิดหน่อยอย่างไม่เข้าใจคำพูดนั้น

 

           “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ จนๆแบบนี้หาผัวรวยแบบพ่อกูนี่จะพูดว่าไม่หวังอะไรสินะ เหอะ”มันแค่นยิ้มทำเสียงขึ้นจมูก ส่วนผมน่ะเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว มันดูถูกแม่ของผม ผมกระชากคอเสื้อของมันตอนที่มันยังไม่ทันตั้งตัว

 

         “อย่ามาพูดพล่อยๆอย่ามาดูถูกแม่กู พ่อมึงจะรวยวิเศษวิโสมาจากไหนกูไม่รู้ แต่แม่กูไม่เคยคิดเกาะใครกิน”มันยิ้มเหยียดให้กับคำพูดของผมก่อนจะกระชากมือผมออก

 

           “กูจะคอยดู”มันหันหลังกลับไปปั้นหน้าบูดๆที่โต๊ะตามเดิม และวินาทีนั้นคำว่าเป็นมิตรระหว่างผมกับมันก็ถูกพับเก็บเตะลงโถส้วมทันที

 

อีกสองเดือนต่อมาแม่กับลุงคณิตก็แต่งงานกันแม้ญาติๆบางคนของลุงจะไม่ชอบแม่หาว่าแม่ของผมจะเข้าไปเกาะลุงกินผมก็อดทนแม่เอาแต่ยิ้มรับกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต เราย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของลุงคณิตหลังจากงานแต่งแม่ ทั้งๆที่ผมบอกว่าผมอยู่บ้านเดิมได้แต่ลุงกลับให้เหตุผลว่าผมคือลูกชายคนหนึ่งของลุงแล้วยังไงก็อยากให้อยู่ด้วยกันบวกกับสายตาขอร้องของแม่ทำให้ผมจำใจต้องแบกกระเป๋าเข้าบ้านอคาเดมี่ไปแบบเอเอฟ

 

บ้านของลุงเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่มาก ใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าทั้งหลังจะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูก เข้ามาในห้องรับแขกที่ดูจะหรูหราสุดเพราะเป็นห้องขนาดใหญ่ทีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

 

                “เวลาแขกไปใครมามันเป็นหน้าเป็นตา”ลุงแกให้เหตุผลอย่างนั้น การอยู่ในบ้านหลังนั้นไม่ได้อึดอัดอะไรมาก ลุงเป็นคนดี ใจดี นิสัยดี น่าเสียดายที่ไอ้คินไม่เคยรับส่วนดีๆของพ่อมันเข้ามาในตัวบ้างเลย เพราะมันทำทุกอย่างที่จะยั่วโมโหผม ทั้งคำพูดและการกระทำ ซวยสุดๆคงเป็นเพราะห้องนอนผมกับมันอยู่ติดกัน บางคืนนอนๆอยู่ก็จะได้ยินเสียงอะไรซักอย่างกระทบกำแพง  ครับ ไอ้สันดานคินมันแกล้งโยนลูกบาสใส่กำแพงห้องให้ผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน

 

บางวันไปเรียนกลับมาพอเปิดประตูห้องมา หนังสือหนังหาเสื้อผ้าของผมเละกระจายเกลื่อนห้องด้วยฝีมือมัน ไอ้เหี้ยคินเอากุญแจสำรองมาไขเพื่อแกล้งผมโดยเฉพาะ หนักสุดคงเป็นตอนผมขับรถเข้าบ้านมันก็ขับรถยนต์ของมันพุ่งชนผมจนเฟรมรถผมแตก ตัวผมขาเจ็บไปหลายวัน พอแม่กับลุงถามมันก็บอกว่าอุบัติเหตุมันไม่เห็นว่าผมกำลังจะเข้าบ้าน

 

แต่สิ่งที่ทำให้ผมกับมันแตกหักก็คือวันที่ผมกับพวกเพื่อนๆไปเดินเล่นที่ห้างแล้วเดินสวนกับกลุ่มมัน แม้ผมกับมันจะเมินใส่กันราวกับไม่รู้จักแต่ไอ้วีดันเดินไปชนไอ้เด่น น้ำเป๊บซี่รีฟิวที่กดมาจากเคเอฟซีราดใส่เต็มเสื้อชอปของไอ้เด่น ไอ้วีที่ทำหน้าเหรอหราคงกำลังอึ้งกลับโดนไอ้เด่นผลักซะจนกระเด็น

 

เพื่อนผมตัวเล็กนิดเดียว เล็กกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก ส่วนไอ้เหี้ยนั่นตัวยังกับตอหม้อสะพานข้ามแม่น้ำแควเล่นผลักซะเต็มแรงจนไอ้วีล้มตูดจ้ำเบ้าไปกับพื้น ไอ้จีนไม่รอช้าเปิดงานก่อนใครเพื่อนด้วยการกระโดดถีบไอ้เด่นที่บังอาจมาทำเพื่อนรักมัน นั่นแหละครับเพื่อนช่วยเพื่อนพอมีคนเปิดก็ต้องมีคนร่วม พวกผมปะทะกับพวกมันกลางห้างแล้วไอ้คินที่คงรอโอกาสมานานก็ปรี่เข้ามาต่อยผม

 

นั่นคือการตีกันครั้งแรกของพวกผมกับพวกมัน

 

หลังจากนั้นเจอกันเมื่อไหร่อย่างเบาหน่อยก็คือด่ากันไปด่ากันมา ปลอดคนหน่อยก็ตีกันเลือดตกยางออกมานับครั้งไม่ถ้วน หนักสุดที่ผมตีกับไอ้คินคือผมพลั้งมือฟาดมันแขนเดาะไปสองเดือนต้องเข้าเฝือก กลับถึงบ้านก็เจอกับการกลั่นแกล้งสารพัดจนในที่สุดผมก็ลากกระเป๋าออกจากบ้านเอเอฟมาเช้าหอแถววิทยาลัยอยู่กับไอ้พวกนี้แทนโดยให้เหตุผลกับแม่และลุงว่า

 

                “ที่นี่ไกลกว่าบ้านหลังเก่าผมต้องไปเรียนทุกเช้าอยู่หอสะดวกกว่า”

 

 

                “ไอ้เซ็ทคุยกับแม่มึงเสร็จแล้วทำไมไม่เข้าไปแดกเหล้าต่อวะเดี๋ยวไอ้จีนก็แดกหมด”ไอ้ย้งที่คงเห็นว่าผมหายไปนานออกมาตาม ผมชูบุหรี่ที่คีบไว้ให้มันดูมันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ

 

                “ขอกูมวน”ผมยื่นซองบุหรี่ให้มัน มันรับไปเคาะให้ก้นบุหรี่โผล่ขึ้นมาแล้วคาบไว้ในปากไฟแชคราคาถูกสว่างวาบแล้วถูกจ่อลงบนปลายมวน

 

                “ศุกร์นี้เลิกเรียนกูต้องกลับบ้านนะ”

 

                “มึงก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน กูว่ามันแกล้งมึงอีกแน่ๆ”

 

                “กูไม่ยอมให้มันแกล้งกูฝ่ายเดียวหรอก”

 

                “ไม่ไหวมึงก็โทรมาแล้วกันพวกกูบิดรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก”

 

                “มึงจะบ้าเหรอจะไปตีมันที่บ้านพ่อมันเลยเหรอ”ผมแกล้งหยอกไอ้ย้ง

 

                “ส้นตีนสิพ่อมันจะได้แจ้งตำรวจไปลากกูเข้าคุกสิ”มันผลักหัวผมเบาๆ

 

                “แล้วแม่งพ่อมันกับป๊ากูเสือกเป็นเพื่อนกันอีก เวลาเจอกันตามงานเลี้ยงกูต้องแกล้งปั้นหน้ายิ้มให้ไอ้เหี้ยคินโคตรตลก”นั่นแหล่ะครับ ความอีรุงตุงนังของพวกเรา พ่อคนนั้นเป็นเพื่อนพ่อคนนี้อย่างเช่นพ่อไอ้คินกับพ่อไอ้ย้ง แม่คนนั้นรู้จักกับแม่คนนี้ ไอ้ย้งอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนจะปาก้นกรองลงพื้นใช้เท้าเขี่ยแล้วชวนผมกลับเข้าไปในหอ

 


วันศุกร์และวันหยุดที่จะถึงนี้จะเป็นยังไงก็ช่างแม่งตอนนี้ขอตัวไปแดกเหล้าก่อนนะครับ



..........................................



อกท.ย่อมาจากองค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

(Future Farmers of Thailand) คือองค์การวิชาชีพเกษตร เป็นองค์การของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาเกษตร ผู้ซึ่งจะเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ของประเทศไทย องค์การนี้นำรูปแบบมาจากองค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (FFA.) อกท. เป็นองค์การที่ดำเนินภายในและระหว่างวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมงที่จัดตั้งกระจายอยู่ทั่วประเทศแทบทุกจังหวัด

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 2
«ตอบ #2 เมื่อ09-11-2018 19:55:07 »




#BOY IN LUV

#คนแมนคินเซ็ท

  เศรษฐพงศ์ :: Say

 

 

บ่ายสามผมเลิกเรียนคาบสุดท้าย จัดการตามงานที่อาจารย์สั่งจากไอ้ปัดแฟนเนยเสร็จก็เก็บแบบใส่กระบอก สะพายทั้งกระบอกใส่แปลนและกระเป๋าเป้ฝากไว้ให้ไอ้จินสะพายกลับหอผมไม่จำเป็นต้องเอากลับไปบ้านด้วยกะว่ากินข้าวเสร็จถ้าไม่ดึกเกินไปก็จะขับรถกลับหอเลย โบกมือลาไอ้พวกเพื่อนๆที่อวยพรให้ผมโชคดีแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายในบ้าน

 

ใช่ครับ วันนี้วันศุกร์ วันที่แม่นัดผมกลับไปกินข้าว เมื่อตอนเที่ยงแม่โทรมาย้ำอีกรอบ ผมจำใจรับคำอย่างแกนๆ อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทำให้ผมต้องรีบบิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับมาที่บ้าน ใช้เวลาเดินทางราว 20 นาที โชคไม่ดีตรงที่ว่าระหว่างขึ้นเขาปูนฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาห่าใหญ่รถของผมก็เข้ามาจอดในโรงรถข้างบ้าน บ้านเงียบสงบล็อคกุญแจไว้เป็นสัญญาณที่ดีว่าในตอนนี้ไม่มีใครอยู่รวมทั้งไอ้เหี้ยคินด้วย ผมไขกุญแจเดินเข้าไปในตัวบ้าน ความเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านบ่งบอกว่าแม่บ้านที่ลุงจ้างเป็นรายวันให้เข้ามาทำความสะอาดทุก 2-3 วัน มาทำหน้าที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ผมเปิดประตูห้องนอนของผมไม่ลืมที่จะกดล็อคตามวามเคยชินโต๊ะดราฟยังคงเป็นระเบียบ อุปกรณ์การเรียนรวมทั้งเสื้อผ้าของผมยังอยู่ดีแสดงว่าไอ้คินคงไม่ได้เข้ามาวุ่นวายก่อกวนอะไรอีกนับตั้งแต่ผมออกจากบ้านไปแม้จะกลับมาบ้างเป็

นครั้งคราวเวลาที่ลุงหรือแม่นัดกินข้าว ผมถอดเสื้อผ้าเปียกใส่ตะกร้าแล้วเข้าไปอาบน้ำตอนนี้ยังไม่สี่โมงเย็นกว่าแม่จะโทรมาตามก็คงจะเย็นๆเกือบค่ำเพราะกว่าจะปิดร้านก็หลังหกโมงผมยังมีเวลาอีกราวๆ 2 ชั่วโมงดังนั้นพออาบน้ำเสร็จผมก็จัดแจงใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด ปิดม่านให้มืดแม้บรรยากาศภายนอกจะมืดครึ้มเพราะสายฝนที่กระหน่ำลงมาแบบมืดฟ้ามัวดินแล้วก็ตามเถอะ เปิดแอร์ปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนหลังจากที่แทบไม่ได้นอนมาสองวันเพราะรายงานวิชาการออกแบบดูดพลังไปมากโข ตั้งนาฬิกาปลุกในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า ปิดเปลือกตาที่แสนเหนื่อยล้าลงไม่นานผมก็เข้าสู่นิทราแสนสุข

 

                อึดอัด...

 

ไม่สบายตัว...

 

ความรู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออกนี้คืออะไร ผมกำลังฝันหรือว่าผีอำ ผมพยายามจะขยับตัวแต่ร่างกายกลับขยับไม่ได้ ความหนักอึ้งที่ทับตัวผมอยู่ทำให้ผมต้องเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ผมยังนอนไม่เต็มอิ่ม ในห้องมืดสนิทเพราะผมปิดไฟก่อนนอน มีเพียงแสงวาบๆจากฟ้าแลบด้านนอกเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าอันคุ้นเคย

 

ใบหน้าที่เรียบตึงอยู่ตลอดเวลาที่พบเจอ ริมฝีปากของมันเหยียดยิ้มใส่ผม

 

“ไอ้เหี้ยคิน!!!”ผมเรียกชื่อมันด้วยเสียงอันดัง พยายามจะหยัดกายลุกขึ้นแต่ไอ้สัดนี่แม่งมันนั่งคร่อมทับอกผมอยู่เข่าสองข้างของมันทับแขนของผมจนขยับไม่ได้ เสียงมันหัวเราะ หึหึ อย่างสะใจยามที่ผมไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

 

                “มึงเข้ามาห้องกูทำไมไอ้สัด ลุกออกไปจากตัวกูเดี๋ยวนี้ไอ้เหี้ย”ผมตะโกนด่าใส่มันที่ไม่ยอมขยับไปไหน

 

                “มึงมันไอ้หมาลอบกัด ไม่กล้าสู้กันซึ่งๆหน้าเหรอถึงมาทำกูตอนหลับเนี่ยไอ้หน้าด้าน”ผมพยายามขยับตัวเพื่อให้ไอ้คินหล่นลงไปจากตัวของผมเสียที แต่เหมือนยิ่งดิ้นมันยิ่งกดแรงมามากขึ้นกว่าเดิม แขนผมชาเพราะเลือดไม่เดินแสดงว่ามันทับผมมาซักพักแล้วแน่ๆ ในเมื่อดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดสิ่งเดียวที่เป็นอาวุธของผมได้ในตอนนี้ก็คือขาทั้งสองข้างผมรวบรวมแรงตวัดขาขึ้นมาคล้องคอมัน มันผงะด้วยความตกใจผมใช้แรงขาทั้งหมดที่มีโน้มตัวมันจนมันหงายหลัง แน่นอนคนอย่างเศรษฐพงศ์ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือผมรีบลุกขึ้นคร่อมใช้ฝ่ามือบีบลงไปบนคอมันทันที และเช่นเดียวกันคนอย่างไอ้คินมันคงไม่ยอมพลาดท่าผมง่ายๆมันสวนหมัดใส่ผมโชคดีที่ผมไหวตัวทันใช้มืออีกข้างรับหมัดของมัน ไอ้คินจึงเปลี่ยนจากต่อยเป็นคว้าหมับเข้าที่คอของผมแทน แถมไอ้เหี้ยบีบผมแรงราวกับตั้งใจทำให้ตายทั้งๆที่ผมแค่บีบมันไม่ถึงครึ่งของแรงที่มี มันอาศัยจังหวะที่ผมปล่อยมือจากคอมันเพื่อแกะมือที่แข็งราวคีมเหล็กเหวี่ยงผมลงจากเตียงแถมยังกระโจนลงมาเงื้อเท้าขึ้นสูงหวังจะกระทืบยอกอกของผม แน่นอนผมคงไม่นอนโง่ให้มันกระทืบเล่นผมกลิ้งตัวหลบได้ทันก่อนตีนของมันจะประทับลงมา  โชคดีอีกอย่างคือในนี้มันห้องของผมในขณะที่มันอาศัยแสงเลือนลางเพื่อเข้ามาทำร้ายผมผมก็ถลาไปที่โต๊ะดราฟก่อนจะหยิบกล่องใส่ไม้สเกลมาถือไว้แล้วฟาดใส่มันทันที มันยกแขนขึ้นมาบังไว้ในขณะที่ผมก็ฟาดไม่ยั้ง มันเดินตามไล่ตีผมไปรอบห้อง ถ้าเปิดไฟผมคงเห็นสภาพห้องที่เรียกได้ว่าพังพินาศแน่ๆ เพราะไม่ว่าอะไรที่อยู่ใกล้มือกลายมาเป็นอาวุธให้ผมกับมันใช้ฟาดฟันกันได้เสมอ แต่อาวุธคู่มือของผมยังคงเป็นไม้สเกลคู่ชีพพอมันตั้งหลักได้ก็กระชากไม้สเกลออกจากมือผมแล้วสวนหมัดเข้าเต็มๆแก้มผมทันที กลิ่นคาวปนกลิ่นสนิมอบอวลในกระพุ้งแก้ม ผมถุยน้ำลายปนเลือดใส่หน้ามันก่อนที่มันจะกระโจนใส่ผมอีกครั้งเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหนังสือข้างเตียงขึ้นดูก่อนจะยกมือห้ามมันที่เดินตามมาจะเอาเรื่องผม

 

                “พ่อมึงโทรมา”นั่นแหล่ะสงครามระหว่างผมกับมันเป็นอันยุติพร้อมรอยฟกช้ำตามร่างกายพอหอมปากหอมคอ

 

                “ครับลุง”และเมื่อผมกรอกเสียงตอบกลับปลายสายไอ้คินก็เดินปึงปังออกจากห้องผมไปในทันที

 

เจ็บชิบหายเลย...ปากกูเนี่ยไอ้สัด

 

               

 

                เพราะฝนที่ตกหนักตกแบบไม่ลืมหูลืมตาทำให้ลุงคณิตโทรมาบอกให้ผมออกไปร้านอาหารพร้อมไอ้คินทำให้ตอนนี้เราทั้งคู่ต้องมายืนประจันหน้ากันอีกครั้งหลังจากแยกกันไป ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วโดยการหยิบเสื้อสีชมพูอ่อนที่แม่ซื้อให้มาใส่กับกางเกงยีนส์เข่าขาดตัวเก่ง ส่วนไอ้คินน่ะเหรอ จัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งกางเกงยีนส์ยี่ห้อดัง เสื้อเชิ้ตลายทางสีฟ้าขาว ผมถูกเซตมาอย่างดี

 

                “ไปแดกข้าวแค่นี้มึงต้องแต่งตัวเต็มขนาดนี้เลยเหรอ สะเหล่อ”ผมอดที่จะพูดจาค่อนขอดมันไม่ได้ มันปลายตามองผมพร้อมเบะปากใส่ด้วยท่าทางและสายตาเหยียดๆของมัน

 

                “ใครจะไปเหมือนมึงล่ะชุดนอนชุดเที่ยวชุดเดียวกัน แต่งตัวเหมือนขอทาน”น้ำเสียงต่ำๆของมันน่ะเวลาด่าผมที่ไรเหมือนเพิ่มกิมมิคความเหยียดไปอีก 100 เท่า

 

                “พรุ่งนี้กูคงต้องเอารถไปล้างซักสองรอบ”มันพูดลอยๆหลังจากผมเข้ามานั่งในรถมันแล้ว ไอ้คินมองกระจกหลังไปถอยรถไปผมก็เบะปากใส่มันไป พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นไอ้แดงลูกรักมีบางอย่างผิดปกติไป

 

รถของผม...กระจกขวาหัก...

 

ไอ้สัดคิน  แค้นนี้ชำระ 10 ปี ก็ยังไม่สาย

 

ผมเก็บความคั่งแค้นไว้ในใจ ไม่มีหมาตัวไหนทำหรอกครับ มันนี่แหล่ะ ไอ้เรื่องทำลายข้าวของ((ของกู))เนี่ย ถนัดนักไอ้เหี้ย

 

 

คณิน:: say

 

ผมเหลือบมองใบหน้าที่ฉาบด้วยผิวสีน้ำผึ้งของไอ้เซ็ทที่ตอนนี้คงโกรธจนหน้าดำหน้าแดงเมื่อเห็นอีแดงลูกรักของมันกระจกหลุดไปข้าง มือของมันจิกกับหน้าขาแน่นแสดงว่ามันกำลังระงับสติอารมณ์อยู่ ผมไม่ได้ทำอะไรมากเลยนะ แค่เอาแป๊บเหล็กฟาดกระจกรถมันไปเบาๆเพื่อทดสอบคุณภาพ หูขวาของอีแดงลูกรักมันก็กระเด็นหลุดในทีเดียว   มันไม่พูดไม่ด่าอะไรออกมาซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะผมเองก็ไม่อยากตีกับมันบนรถหรอก เดี๋ยวพลาดพลั้งลูกรักของผมเป็นรอยขึ้นมาคงไม่ดีแน่  อันที่จริงผมไม่ได้คาดคิดหรอกว่าจะเจอมันที่บ้าน ผมแค่จะแวะมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พอเห็นอีแดงลูกรักของมันจอดที่โรงรถกะแค่ว่าจะแวะไปกวนตีนมันเล่นนิดๆหน่อยๆพอให้เป็นสีสันของชีวิต แต่พอเข้าบ้านไปบ้านกลับเงียบกริบ ห้องของมันไร้เสียงเพลงผิดปกติเวลาที่มันกลับบ้าน มันจะชอบเปิดเพลงแม้จะไม่ดังมากแต่ก็ได้ยินออกมาแผ่วๆด้านนอก ลองหมุนลูกบิดแต่ก็เปิดไม่ได้

 

มันหลับ...ผมไม่รอช้ายอมเสียเวลาเดินลงไปหยิบกุญแจสำรองข้างล่างแล้วไขเข้าไปในห้องของมัน โชคดีที่แสงสว่างยังพอมีให้เห็น

 

ไม่เคยมีใครสอนมันเหรอว่าห้ามนอนช่วงโพล้เพล้ ช่วงผีตากผ้าอ้อม ไม่งั้นผีจะอำ

 

ผมก้าวขึ้นเตียงของมันมองร่างเหยียดยาวที่หลับสนิทดูไร้พิษภัยของมันอย่างช่างใจว่าจะแกล้งมันยังไงดี ตอนมันหลับก็ดูไม่กวนตีนดี จริงๆมันเป็นคนค่อนข้างนิ่งเลยด้วยซ้ำ ถ้ารู้จักกันก่อนหน้านี้ก่อนที่แม่ของมันจะมาจับพ่อของผมทำผัวผมกับมันอาจเป็นเพื่อนกันก็ได้

 

ผมเกลียดมันสองแม่ลูก บ้านที่เคยมีแค่พ่อกับผม บ้านที่เงียบสงบกลับต้องมีใครไม่รู้มาอาศัยอยู่ด้วย

 

คนหนึ่งนอนทับที่แม่ของผม  เมื่อก่อนพ่อกับแม่ของผมรักกันมาก รักจนผมคิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งพ่อจะมีคนอื่นมาแทนที่แม่ของผม

 

แม่จากไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง ผมกับพ่อเศร้าและเสียใจมาก ปกติเวลาที่พ่อไปทำงานกลับดึกผมก็มีแค่แม่เท่านั้นที่คอยดูแล พอแม่จากไปพ่อเสียศูนย์ไปพักใหญ่ส่วนผมเองก็เคว้งคว้าง เด็กอายุ 14 ที่เพิ่งข้ามผ่านวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นอย่างผมเคว้งคว้าง บรรดาญาติๆทั้งทางพ่อทางแม่แย่งกันเลี้ยงดูผม เพราะว่าสมบัติส่วนตัวของแม่นั้นก็มีเยอะ ตระกูลของแม่เป็นเศรษฐีที่ดิน มีที่ดินรวมๆกันหลายร้อยไร่กระจายตามจังหวัดต่างๆ  ญาติทางพ่อก็บอกว่าสิทธิ์เลี้ยงดูผมต้องเป็นของพ่อ และแน่นอนผมเลือกที่จะอยู่กับพ่อ เพราะอย่างน้อยพ่อคงไม่คิดจะฮุบสมบัติที่แม่ยกให้ผมแน่นอน

 

เราอยู่กันมาได้อย่างสุขสงบจนกระทั่งพ่อเดินมาบอกกับผมว่าพ่อจะแต่งงานใหม่กับแม่หม้ายขายต้นไม้จนๆคนหนึ่ง

 

ผมลงทุนขับรถไปแอบดู หน้าตาก็กลางๆไม่ได้ขี้เหร่แต่ก็ไม่ได้สวยเหมือนแม่ของผม ร้านขายต้นไม้เล็กๆนั่นก็ไม่ขายดิบขายดีอะไร หน้าร้านเปิดเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง

 

ไม่มีอะไรเทียบเคียงแม่ของผมได้เลย มีเพียงใบหน้าฉาบรอยยิ้มแทบจะตลอดเวลานั่นแหล่ะ

 

มาแต่ตัวจริงๆพ่วงลูกติดตัวเท่าควายมาด้วย 1 คน

 

ผมช่างใจอยู่พักหนึ่งตอนแรกกะจะทุบท้องมันให้มันจุกแต่ไม่เอาดีกว่าผมยังไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงอย่างนั้นผมแค่อยากแกล้งให้มันกลัวเฉยๆ คิดได้ดังนั้นผมเลยก้าวขาคร่อมร่างมันก่อนจะนั่งทับตัวด้านบนของมันใช้เข่ากดแขนทั้งสองข้างของมันไว้

 

มันยังคงหลับไม่ขยับเขยื้อนทำให้ผมรู้เกี่ยวกับมันอีกข้อว่าไอ้เซ็ทเป็นคนหลับลึกมาก แต่ผมก็เป็นคนมีความอดทนพอ ผ่านไปราว 15-20 นาที นั่นแหล่ะมันถึงเริ่มขยับตัว ฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้วมีเพียงแสงจากฟ้าแลบที่สาดเข้ามาให้ได้มองเห็น มันขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ มือสองข้างของมันพยายามยกแต่ก็ยกไม่ขึ้นทันทีที่มันลืมตาขึ้นสบตากับผม ผมก็ส่งเสียงหัวเราะเย็นๆใส่มัน แล้วก็นั่นแหล่ะ เราตีกันทั้งๆที่ผมกะจะแค่ไปยั่วประสาทมันเล่น

 

ผมเป็นคนไม่ออมแรงหมัดสุดท้ายจึงฟาดปากมันไปเต็มๆ ตอนนี้มันอาจจะยังไม่มีรอยอะไรเพียงแค่แดงๆ นั่นก็ถือเป็นข้อดีเพราะพ่อผมกับแม่มันจะได้ไม่สงสัย

 

ในที่สุดผมก็ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของร้านอาหารพนักงานรีบวิ่งมากางร่มให้ผมกับมัน เราเดินเร็วๆเข้าไปด้านในด้ยินเสียงมันเอ่ยขอบคุณพนักงานที่กางร่มให้

 

เฮ๊อะ ทำเป็นมารยาทดี นั่นมันหน้าที่คนพวกนั้นป่าววะ ทำไมต้องขอบคุณ ผมไม่สนใจจะรอมันก้าวยาวๆเข้าไปในร้านกวาดสายตามองหาพ่อของผมแล้วก็พบว่าพ่อนั่งอยู่โต๊ะด้านในสุดติดหน้าต่างที่เป็นฝ้าขาวด้วยความเย็นของเม็ดฝนด้านนอก ผมพยักหน้ารับเมื่อพ่อยกมือให้ผม

 

                “มาช้าจังคิน”พ่อเอ่ยทักหลังจากผมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามพ่อและแม่ของไอ้เซ็ท ผมตอบไปแค่ว่าถนนลื่นไม่อยากขับเร็ว  น้าลดาหยิบจานกับข้อนส้อมของผมไปจัดการใช้ทิชชู่เช็ดแล้วส่งคืนกลับมา สายตาของเขาก็มองไปทางเข้าที่ไอ้เซ็ทเดินตามทิ้งห่างผมมา รอยยิ้มหวานส่งให้ลูกชายของเธอเหมือนที่เธอส่งยิ้มให้ผมแต่ผมทำเมินไปนั่นแหล่ะ

 

ไอ้เซ็ทยกมือไหว้พ่อผมกับแม่มันแล้วนั่งลงเก้าอี้ข้างผม เช่นเดียวกับที่ทำให้ผมแม่ของมันหยิบจานกับช้อนของมันไปเช็ดแล้วส่งคืนมาให้

 

      มื้ออาหารมื้อนั้นผ่านไปแบบไม่ยากเย็นอะไร พ่อถามผมกับมันเกี่ยวกับเรื่องเรียนของผมตอนนี้แค่ทำโปรเจ็คเตรียมจบเพราะฝึกงานไปเมื่อเทอมที่แล้ว ส่วนไอ้เซ็ทมันกำลังจะลงแข่งจัดสวนงานอะไรซักอย่างซึ่งผมไม่รู้จัก มันบอกว่าถ้าผ่านระดับภาคที่ต้องไปแข่งที่ราชบุรีแล้วก็จะได้ไปแข่งระดับชาติที่ลพบุรีต่อ  ผมเผลอหันไปมองหน้ามันด้วยสายตาดูถูกเต็มที่อย่างไม่ปิดบัง

 

หน้าอย่างมันคงตกรอบตั้งแต่ระดับภาคแล้วแหล่ะ

 

“ไปเมื่อไหร่บอกลุงนะ เบี้ยเลี้ยงไม่น่าจะพอกิน”ผมหันไปมองหน้าพ่อที่พูดแบบนั้น

 

ทำไม เบี้ยเลี้ยงมันไม่พอแล้วพ่อจะทำไม จะให้เงินมันไปเหรอ ผมไม่ได้ถามออกไปหรอกแต่พ่อน่าจะรู้สายตาที่ผมส่งไปให้

 

“พอครับลุง เค้าก็ให้เยอะอยู่นะครับ 3 วัน 500 เงินส่วนตัวก็พอมีไม่อดตายแน่ๆ”มันพูดพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะนั่งดู นอนดู ตะแคงดู ก็มองว่าเสแสร้ง

 

ดี...อย่าให้เดือดร้อนเงินพ่อกู

 

“เซ็ทเดี๋ยวกลับพร้อมคินไปเลยนะ ลุงกับแม่จะแวะไปเอาของที่ร้านก่อนแล้วจะกลับดึกๆ”

 

“ผมไปรอก็ได้ครับ”มันยื่นข้อเสนอเมื่อมันขอกลับพร้อมพ่อผม พ่อส่ายหน้าพลางโบกมือไล่

 

“ไปกับคินก่อนเลย ลุงแวะนานเดี่ยวเซ็ทจะเบื่อ พูดจบพ่อก็ออกรถไปเลยทิ้งให้มันยืนเอ๋ออยู่คนเดียว ผมไม่รอให้มันคิดอะไรผมเดินมาที่รถพลางสตาร์ทรถ กะจะทิ้งแม่งให้กลับเองแต่ไอ้เวรนี่ก็ไวทายาดวิ่งมาขึ้นรถได้ทัน

 

“อย่าหวังว่ามึงจะทิ้งกูได้”มันหันมายักคิ้วให้ผมทีหนึ่งแล้วนั่งหันหน้ามองข้างทางตลอดจนถึงบ้าน พอรถจอดสนิทมันก็ลงจากรถแถมปิดประตูรถดังปังใหญ่

 

“ไอ้เหี้ยนี่”ผมสบถออกมาอย่างหงุดหงิด ครั้งสุดท้ายที่ไอ้แดนนั่งรถผมแล้วปิดเสียงดังมันแดกตีนผมไปทีหนึ่ง

 

ผมน่ะหวงรถยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดซะอีก  ผมเดินเข้าบ้านและตรงขึ้นห้องนอนเลย คืนนี้พอแค่นี้แล้วกัน แขนที่โดนมันตีเริ่มเจ็บหน่อยๆล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีว่าจะแกล้งอะไรมันดี

 

ผมตื่นขึ้นมาตอนใกล้จะ 11 โมง เพราะท้องร้อง ห้องสว่างด้วยแสงแดดที่ส่องมาตามหน้าต่าง จัดการทำธุระส่วนตัวแล้วลงมาข้างล่าง แม่บ้านที่พ่อจ้างมาพอเห็นผมก็ถามว่าจะกินข้าวเลยมั้ย ผมพยักหน้าพลางเดินแคะขี้ตาออกไปที่โรงรถจะไปเอาสายชาร์ตที่ลืมไว้ในรถแล้วผมก็ตื่นเต็มตาทันทีเมื่อสภาพกระจกรถ BMW  แสนรักของผมมันห้อยร่องแร่งราวกับจะขาดใจ

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท!!!”

 

 


 



......................



เค้าหยอกกันน่ารักดีนะคะ 555555555555



ตีกันๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao3:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 3
«ตอบ #3 เมื่อ10-11-2018 13:21:33 »

Boy in luv 3
#คนแมนคินเซ็ท



เศรษฐพงศ์::
 

 

กว่าผมจะเอารถออกจากอู่ก็เกือบบ่าย ผมรีบขับกลับไปที่หอเพื่อรอไอ้ยิมที่กลับไปเอากะบะที่บ้านมาขนต้นไม้ที่พวกเราปลูกไว้ ทุกบ่ายวันเสาร์พวกผมจะเอาไม้กระถางเล็กๆไปวางขายที่ถนนคนเดินตรงหน้าเมือง เพราะเป็นไม้กระจุ๊กกระจิ๊กบวกกับที่ในกลุ่มก็มีตัวเรียกแขกอยู่เลยทำให้พ่อขายได้ไม่ขี้เหร่อะไร ผมกับไอ้วีจัดกระบองเพชรต้นจิ๋วลงในถาดแพ็คอย่างดีก่อนจะไปนับพวกไม้ใบที่มีชื่อมงคลทั้งหลายแหล่ ส่วนไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งกำลังนั่งแพ็คพวกปุ๋ยใส่ซองพลาสติกหลากขนาดหลายราคา  ไอ้จีนกับไอ้จินเตรียมพวกดินปลูกกับกรวดเล็กๆรวมทั้งกระถางแพ็คใส่ตะกร้าอย่างดี ได้ยินเสียงมันเถียงกันเป็นระยะๆ

 

บ่ายโมงครึ่งไอ้ยิมก็ขับรถกะบะของพ่อมันเข้ามาจอดหน้าหอพวกผมช่วยกันขนของขึ้นรถกว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง เรายกขโยงกันกระโดดขึ้นรถ ผมเลือกที่จะนั่งด้านหลังรวมกับพวกไอ้อิ้งค์สองแฝดจีนจินไอ้ย้งแล้วให้ไอ้วีไปนั่งหน้า  บอกตามตรงผมไม่ค่อยชอบนั่งรถกะบะเท่าไหร่ตั้งแต่รอดจากอุบัติเหตุคราวนั้นเลี่ยงได้ก็ขอนั่งท้ายนี่แหล่ะสบายใจดี พวกเราใช้เวลาเดินทางราว 15 นาทีก็ถึงล็อคที่ขายของ จัดการเอาตระกร้าและไม้กระดานที่เตรียมมาเรียงต่อกันทำเป็นชั้นวางต้นไม้โดยเอากระบองเพชรและแคคตัสเรียงด้านหน้าเรียกลูกค้า

 

สาวๆสมัยนี้ชอบซื้อไปปลูกเพราะความน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มของมัน ถัดขึ้นมาเป็นพวกไม้ใบไม้มงคลที่พวกคนมีอายุชอบซื้อไปปลูกหวังให้ต้นไม้ช่วยเรียกโชคเรียกลาภตามความเชื่อโบราณคร่ำครึ  ผมมองฟ้าแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้

 

            “จะรอดมั้ยวะมึง”ไอ้จีนที่เหมือนจะกังวลเช่นเดียวกับผมมายืนเท้าสะเอวมองฟ้า

 

            “รอดดิ่วะ ไม่ตกหรอก”ไอ้อิ้งค์ตบไหล่พวกผมก่อนจะเดินหายไปทางโซนของกินด้านหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 3

 

            “มึงวันนี้กูอยู่ไม่ดึกนะเดี๋ยวหกโมงแม่จะมารับ”ไอ้วีที่จัดร้านเสร็จเรียบร้อยเอ่ยปากบอกพวกผมที่นั่งซัดข้าวก่องกันอยู่ริมรั้วโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด สองแฝดยกมือรวมทั้งไอ้ย้งกับไอ้อิ้งค์ด้วย เท่ากับเหลือผมคนเดียวที่จะกลับไปนอนที่หอ

 

            “อ่าว เหลือไอ้เซ็ทคนเดียวเลยทีนี้ ทำไงอ่ะ พ่อกูจะใช้รถตอนสี่ทุ่มด้วย”ไอ้ยิมทำหน้าลำบากใจเมื่อมันต้องเอารถกลับไปคืนพ่อที่จะออกต่างจังหวัดกะทันหันคืนนี้

 

            “เฮ้ยไม่เป็นไรมึงกลับบ้านเลยเดี๋ยวก็เรียกวินไปส่ง”

 

            “ใครจะไปให้มึงทางไปหอเราพอมืดแล้วเปลี่ยนวินไม่ค่อยไปหรอก”

 

          “มึงกลับไปนอนบ้านอีกซักคืนไม่ดีเหรอวะพรุ่งนี้เดี๋ยวกูแวะไปรับกลับหอตอนเย็นๆ”ไอ้ยิมมันหันมาพูดกับผมสีหน้าและแววตามันบอกชัดเลยว่าห่วงผมมาก เพราะทางกลับหอของผมน่ะต้องข้ามไปฝั่งหนองหญ้า ระหว่างทางเป็นป่าและถนนที่ตัดกลางขึ้นภูเขาทั้งมืดและเปลี่ยวการขับรถกลับคนเดียวสำหรับผู้ชายอาจจะไม่น่ากลัวเพราะเป็นตำบลที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 12 ก.ม. แต่ถ้ากลับคนเดียวในตอนดึกก็น่ากลัวอยู่มาก

 

แต่ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าทางเปลี่ยวก็คือการต้องกลับไปนอนบ้านในคืนนี้  ป่านนี้ไอ้เหี้ยคินคงวางแผน 108 วิธี ฆ่าผมอยู่แน่ๆ

 

ถึงผมจะแข็งแรงแต่การต้องสู้รบปรบมือกับไอ้คินที่แรงควายขนาดนั้นมันก็เหนื่อยอยู่มากโขแถมเจ็บตัวอีกต่างหาก แต่ครั้นจะให้เพื่อนขับรถไปส่งทั้งๆที่พ่อมันจะรีบใช้รถก็ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายผมจำต้องพยักหน้าให้พวกมันสบายใจไป เดี๋ยวไอ้คินค่อยว่ากันทีหลัง เคราะห์หามยามดีมันอาจจะไม่กลับบ้าน ผมโทรหาแม่นัดให้แม่มารับตอนสามทุ่มครึ่งแม่บ่นมาเล็กน้อยที่ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดไม่ยอมบอกก่อนจะวางสายไป

 

คืนนี้ต้นไม้ก็ยังคงขายดีเช่นไอ้อิ้งค์เป็นคนคอยเรียกลูกค้าซึ่งส่วนมากจะเป็นสาวๆ แม้ว่าหูตามันจะแพรวพราวและมีลูกล่อลูกชนแต่มันก็ไม่เคยใช้คำที่ส่อไปในเชิงชู้สาว อิ้งค์เป็นคนฉลาดเวลาจะเลือกใช้คำพูดกับใคร ไอ้วีเป็นคนคอยเก็บเงินและทำบัญชีส่วนสองแฝดแยกกลับไปตอนที่พ่อกับแม่มันแวะมารับพร้อมหิ้วขนมหอบใหญ่มาให้เรากินเล่นไปด้วย พอสามทุ่มเราก็ช่วยกันเก็บแพ็คต้นมืที่เหลือใส่กล่องใส่ถาดตามเดิมเพราะเดี๋ยวไอ้ยิมต้องขับกลับบ้านมันตามที่นัดกับพ่อมันไว้

 

            “ยิมให้กูไปช่วยขนลงป่าววะ”ผมถามมันเมื่อเราขนต้นไม้ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว

 

            “เฮ๊ยไม่ต้องเดี๋ยวกูให้ลูกจ้างช่วยยกลง”มันโบกมือปฎิเสธนั่นแหล่ะเราถึงแยกย้ายกันโดยที่ไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งติดรถมันไปด้วยเพราะเป็นทางผ่านบ้านของพวกมัน ส่วนวีแม่มารับกลับไปแล้ว ผมเดินไปดูพวกขนมและอาหารตามร้านต่างๆเพื่อรอแม่มารับ พอสามทุ่มครึ่งแม่ก็โทรมาหาพอดีผมถึงได้แบกถุงของกินที่หิ้วจนข้อเขียวขึ้นรถไป

 

            “ซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะเซ็ท”ลุงคณิตเอ่ยถามเมื่อเห็นถุงพะรุงพะรังที่ผมวางไว้ข้างตัว

 

            “พวกของกินเล่นน่ะครับซื้อมาฝากลุงกับแม่ด้วย”

 

            “แล้วไม่ได้ซื้อมาฝากพี่คินด้วยเหรอลูกเห็นพี่เค้าถามหาเมื่อเที่ยง”แม่หันมาถามผมด้วยสีหน้าตำหนิ ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความฝืดเฝือเต็มที

 

ไอ้คินถามหาผมคงไม่ได้ถามหาด้วยความพิศวาสเป็นแน่มันคงกะจะเล่นงานที่ผมไปตีกระจกรถมันแตกนั่นแหล่ะ

 

ก็มึงทำรถกูก่อนป่าววะ

 

แรงมาแรงกลับไม่โกง

 

            “โธ่แม่ก็ซื้อมากินด้วยกันทั้งบ้านแหล่ะ”ผมตัดบทกับคำถามของแม่ อันที่จริงผมไม่ได้นึกถึงมันเลยซักนิดแต่จะให้บอกว่าผมไม่มีวันเสียเงินซื้อของกินไปฝากคนอย่างมันให้เสียมือก็สงสารลุงคณิตเค้า

 

ทำไมลุงต้องเป็นคนดีสวนทางกับสันดานลูกชายด้วยครับ ผมอยากจะด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนก็ไม่ได้อีกเพราะผมเชื่อว่าลุงสอนมันมาดีแล้วแต่คนสมองหมาปัญญาควายอย่างมันน่ะไม่จดไม่จำหลักธรรมคำสอนความดีที่ลุงมีคงไม่เจาะกะโหลกหนาๆของมันแน่ๆ

 

หลังจากที่เรากลับถึงบ้านผมหอบถุงของกินที่ซื้อมาลงจากรถ รู้สึกอากาศมันสดชื่นบริสุทธิ์ก็ตอนที่ไม่เห็นรถของไอ้คินจอดอยู่ในโรงรถเนี่ยล่ะ มันคงไปนอนหอเพื่อนหรือไม่ก็กลับเกือบเช้าตามปกติเพราะมันต้องทำโปรเจคจบ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องดี ผมเดินเข้าบ้านอย่างสบายอารมณ์ถามลุงกับแม่ว่าจะกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่แวะซื้อมาเพิ่มอีกมั้ย ลุงขอแค่น้ำเต้าหู้ส่วนปาท่องโก๋หนักท้องไปจึงไม่เอา แม่เองก็กินแค่น้ำเต้าหู้เหมือนกัน ผมเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้วมาเสิร์ฟให้ลุงกับแม่ที่นั่งรออยู่แล้วจัดการเทน้ำเต้าหู้หวานกลางๆใส่สาคูใส่ชาม ยกถุงปาท่องโก๋มาวางเพราะใส่จานไปก็เปื้อนเปล่าๆยังไงเดี๋ยวมันก็หมดอยู่ดี ผมจัดแจงฉีกปาท่องโก๋แช่ลงไปในน้ำเต้าหู้เพราะผมชอบกินเวลาตัวแป้งของปาท่องโก๋อมน้ำเวลากัดมันจะมันๆหวานๆฉ่ำๆโคตรจะฟิน

 

            “กินอะไรกันน่ะ ขอผมกินด้วยสิ” อยู่ๆก็มีเสียงทุ้มๆดังอยู่ด้านหลังพร้อมกับร่างของไอ้คินที่ผมคิดว่ามันไม่อยู่บ้านกำลังยืนจับพนักเก้าอี้ของผมอยู่ มันโน้มหน้าเข้ามามองในชามของผมก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบปาท่องโก๋ตรงหน้าของผมขึ้นมากิน

 

            “กินน้ำเต้าหู้น่ะ ถ้าจะกินก็ไปเทมา นั่นของเซ็ทเค้าแกจะไปแย่งน้องทำไม”ลุงคณิตบุ้ยปากเข้าไปในครัวที่ยังคงมีน้ำเต้าหู้อีกถุงวางไว้

 

รู้งี้แกะแดกซะให้หมดก็ดี

 

            “เทให้หน่อย”อ่ะไอ้สัดนี่ อยู่ๆก็จับไหล่ผมแล้วบีบเป็นเชิงบังคับว่าผมควรจะทำตามที่มันสั่ง

 

            “เทเองดิ่”ผมไม่สนใจคำขอของมันตักน้ำเต้าหู้เข้าปากอย่างไม่ใยดี รีบๆกินรีบๆชิ่งขึ้นห้องดีกว่า

 

            “เอ๊ะเซ็ทนี่ ก็ไปทำให้พี่เค้าหน่อย ยังไงก็ตั้งใจซื้อมาฝากอยู่แล้วนี่นา”ผมอยากจะถอนหายใจให้ดังไปยั้นดาวอังคารเมื่อแม่กลับไปเข้าข้างไอ้คินซะดื้อๆอย่างนั้น เพราะเกรงใจลุงผมเลยจำใจต้องลุกขึ้นยืนแต่ก็ยังไปไหนไม่ได้เมื่อไอ้ควายคินมันไม่ยอมขยับ

 

            “หลบดิ่จะแด่ะ....เอ่อ จะกินมั้ย จะไปเทให้” นั่นแหล่ะมันถึงยอมปล่อยมือจากพนักเก้าอี้แล้วถอยไปยืนข้างๆแทน     



          “จะใส่แก้วหรือใส่ชาม”ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้ห้วนเพราะอย่างน้อยก็ยังเกรงใจลุง เรื่องความขัดแย้งบาดหมางควรจะรู้แค่ผมกับมันสองคน

 

            “กินแบบมึง”มันตอบกลับมาเรียบๆ เพราะหันหลังให้ลุงกับแม่อยู่ผมจึงถลึงตากัดฟันพูดกับมัน

 

            “รอแป๊บนะเดี๋ยวไปเทมาให้((แดก))”มันไม่ได้ตอบกลับอะไรมาอีกทำเพียงเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างๆของผมแล้วนั่งลง

 

            “เออ พ่อไม่เห็นรถของเราไปไหนซะล่ะ?” เสียงลุงคณิตถามหารถของมันทำเอาตัวผมชาวูบ กระจกบานนั้นกี่ตังค์นะ

 

            “เด็กเหี้ยที่ไหนไม่รู้มันขับรถชนกระจกหลุดเลยเอาเข้าอู่อ่ะ รออะหลั่ย”

 

อ่อ เด็กเหี้ยคนนั้นคือนายานา นายานา กูเองครับ

 

          “แล้วจับตัวได้หรือเปล่า”

 

            “จับไม่ได้หรอกป๊า แต่ถ้าจับได้ต้องตีให้แขนหัก”









หลังจากจัดการกับน้ำเต้าหู้ที่ไอ้คินมันกวนตีนผมด้วยการแย่งปาท่องโก๋ไป 7 ตัวในจำนวน 10 ตัว ที่ผมซื้อมาเสร็จหน้าที่การเก็บล้างก็ยังคงเป็นของผม ไอ้คินเหมือนมันพอใจที่ได้หลอกด่าผม ได้แย่งปาท่องโก๋ของผม ตบท้ายด้วยข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ผมตั้งใจจะเอาขึ้นไปกินบนห้องอีก มึงจะทำตัวเป็นศัตรูกับกูได้ทุกเรื่องแบบนี้จริงๆใช่มั้ยแดกทุกอย่างของกูเกินครึ่งทั้งนั้นเลย

 

ผมเก็บแก้วกับชามของทั้งผมและมันไปล้างเอาผ้ามาเช็ดโต๊ะตรวจตราจนเรียบร้อยแล้วก็ปิดไฟเตรียมขึ้นนอนได้ยินเสียงทีวีลอดออกมาจากในห้องมันน่าจะกำลังดูถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกของต่างประเทศอยู่ ปกติผมก็ดูนะเวลาอยู่หอกับเพื่อนๆแต่ไม่ได้ติดอะไร ในห้องของผมไม่มีทีวีเพราะผมถือว่าห้องนอนเอาไว้นอนถ้ามีรายการอะไรที่อยากดูจริงๆผมจะดูจากข้างล่างให้จบแล้วค่อยกลับขึ้นมานอนสภาพห้องของผมยังคงอยู่แบบเมื่อวาน ข้าวของที่โดนขว้างปาเป็นอาวุธกระจัดกระจายเกลื่อน ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะค่อยๆจัดห้องใหม่ ของอะไรที่พังจนใช้ไม่ได้ก็รวบรวมใส่ถุงเตรียมแอบเอาไปทิ้งพรุ่งนี้ หนังสือที่ถูกเขวี้ยงบางเล่มปกหลุดบางหน้าขาดผมก็เอาเทปใสมาแปะให้มันยังใช้งานใช้การได้ตามเดิม ผมไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยที่อะไรพังนิดหน่อยก็จะทิ้งแล้วซื้อใหม่ไม่เหมือนไอ้จอมล้างผลาญนั่นหรอกผมเคยเห็นแม้กระทั่งมันเขวี้ยงโทรศัพท์เครื่องแพงใส่แม่บ้านที่ทำห้องให้มันไม่ถูกใจจนพังกระจาย

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงเป็นคนก้าวร้าวแบบนั้น จะว่าเพราะมันขาดแม่แต่ผมก็ขาดพ่อเหมือนกัน แถมมันขาดแม่ตอนอายุ 14 ถือว่าโตพอรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ส่วนผมพ่อตายตอน 5-6 ขวบ คนที่ควรมีปัญหาน่าจะเป็นผมป่าววะ มันจะทำตัวมีปัญหาแบบนี้กับทุกคนมั้ยผมก็ไม่รู้แต่ที่รู้ๆคือไม่ว่าใครจะไปจะมาที่บ้านมันก็ดึงหน้าใส่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพี่ป้าน้าอาฝั่งพ่อฝั่งแม่มันยกเว้นอากงอาม่าที่มันจะยิ้มแย้มเข้าใส่ตลอด ไอ้คินคือหลานรักของกงกับม่าแล้วก็ตากับยาย มันจะกลายร่างเป็นลูกหมาขี้อ้อนทันที ไอ้คินมันเป็นคนติดหรูครับเสื้อผ้าตามตลาดนัดถูกๆหรือของก็อปไม่มียี่ห้อมันไม่เคยซื้อใส่หรอกของๆมันต้องแบรนด์เนมทุกอย่าง รถที่มันขับนั่นมันซื้อเมื่อปีที่แล้วราคาน่าขนลุกเกือบสี่ล้าน  ผมไม่รู้สึกถึงความจำเป็นต้องใช้อะไรแพงขนาดนั้น  อีแดงของผมยังผ่อนอยู่เลย เสื้อผ้าข้าวของๆผมไม่ติดแบรนด์คือมีอะไรก็ใส่ถูกใจตัวไหนก็ซื้อผมเอาเงินไปทุ่มกับอุปกรณ์การเรียนซะมากกว่าเพราะของที่ใช้ล้วนแต่ราคาสูงทั้งนั้น ที่วิทยาลัยของผมมีของให้นักศึกษายืมใช้น้อยมาก ยังไงผมก็กะจะยึดเป็นอาชีพอยู่แล้วก็ลงทุนซื้อใช้เองดีกว่า กว่าผมจะเก็บห้องเสร็จก็เกือบตีหนึ่ง นั่งทบทวนบทเรียนไปหูก็ได้ยินเสียงบอลในห้องมันไปจนตีสองกว่าผมก็ถอดแว่นแล้วก็เข้านอน เป็นอันจบวันที่เหมือนจะสงบลงไปได้

 

พรุ่งนี้ผมคงต้องเอาผ้าลงไปซักล่ะผ้าที่เปียกฝนจากเมื่อวานเริ่มส่งกลิ่นอับแล้ว

 

ผมตื่นนอนตอนเช้ามืดเพราะแม่เข้ามาหาในห้องขณะที่ผมหลับ แรงยวบข้างเตียงพร้อมกลิ่นน้ำหอมอันคุ้นชินทำให้ผมงัวเงียบิดขี้เกียจแล้วกอดเอวแม่ให้แม่ขยับเข้าหาตัวอีกหน่อย ผมกับแม่สนิทกันมาก มากขนาดว่าสามารถกอดหอมหรือจุ๊บแม่ในที่สาธารณะได้ผมไม่เคยอายเวลาเพื่อนๆแซวว่าทำตัวติดแม่เป็นลูกแหง่ อะไรที่แม่ทำแล้วมีความสุขผมไม่เคยห้ามและไม่เคยมองว่าแม่ทำผิด เพราะแม่เลี้ยงผมมาเพียงลำพังตั้งแต่พ่อเสีย แม่ทุ่มเทความรักและความเอาใจใส่ให้ผมมามากแล้ว ผมถอนหายใจให้จมูกโล่งเพราะยังนอนไม่เต็มอิ่มผมจึงไม่ได้พูดอะไรทำเพียงกอดเอวแม่ไว้หลวมๆ

 

            “เดี๋ยวแม่ออกไปทำงานกับลุงก่อน เซ็ทตื่นแล้วลงไปกินข้าวนะลูกแม่ต้มข้าวต้มกุ้งที่หนูชอบไว้ให้ รู้เรื่องมั้ยเนี่ยเด็กขี้เซา”แม่ใช้นิ้วจิ้มแก้มผมเบาๆ ผมรวบมือแม่ไว้แล้วจุ๊บลงบนหลังมือของแม่พยักหน้ารับทั้งที่ตายังลืมไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ แม่ขยับตัวแล้วจูบลงบนแก้มของผม

 

            “งั้นแม่ไปล่ะ อย่าทะเลาะกับพี่คินเค้านะลูก อะไรยอมได้ก็ยอมๆเค้าไป แม่เอาเงินใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ให้ห้าพันนะลูก ขาดเหลืออะไรโทรมาบอกแม่จะโอนให้”ผมพยักหน้ารับคำของแม่ไม่ได้ตอบรับอะไร แม่ออกไปแล้วผมจึงนอนต่อแล้วตื่นมาในตอนสาย ผมจำที่แม่บอกได้ทุกประโยค แม่ใส่เงินไว้ให้ห้าพัน แม่ทำข้าวต้มกุ้งไว้ให้ แค่นั้นเนอะๆ อันอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่จำ

 

ผมยืนแยกผ้าขาวกับผ้าสีออกจากกันรวมทั้งแยกเสื้อกับกางเกงไม่ซักปนกันก่อนจะยกตะกร้าออกจากห้องก็เห็นไอ้คินโหวกเหวกโวยวายกับเด็กที่มาทำงานบ้านแต่เช้า จับใจความได้ว่าเด็กเอารองเท้ามันไปขัดแต่ขัดอีท่าไหนไม่รู้แทนที่จะเงาว๊าบดันทำเป็นรอย

 

            “ทีหลังถ้าทำไม่เป็นก็ไม่ต้องทำ โง่ มีที่ไหนขัดรองเท้ากูเป็นรอย คู่หนึ่งกี่พันมึงรู้มั่งป่าววะมึงเอาแปรงเหี้ยอะไรขัดแปรงลวดหรือไง” แล้วอีรองเท้าส้นตีนคู่นั้นก็ลอยหวือผ่านหน้าผมที่เปิดประตูออกมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

 

            “แค่รองเท้าคู่เดียว เด็กมันไม่รู้จะหักเงินหรืออะไรก็พูดกับเขาดีๆสิวะ มึงจะด่าเขาทำไม ค่าของคนมันน้อยกว่ารองเท้ามึงหรือไง”ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปยุ่ง ก็เด็กลูกจ้างหน้าใหม่นี่กำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่ ไอ้ห่าคินก็ทำตาโปนราวกับจะส่งไฟนรกเผาเด็กให้ตาคาบันไดซะแบบนั้นบอกตามตรงผมสงสาร

 

“รองเท้าน่ะมันซื้อใหม่ได้ แต่ความรู้สึกของคนเสียแล้วมันซ่อมไม่ได้ เขาไม่รู้มึงก็บอกเขาดีๆสิวะ”

 

“แล้วมึงมาเสือกอะไรด้วย”อ่ะ ไอ้สัดนี่เปลี่ยนเป้าหมายจากลูกจ้างมาใส่กูแทนแล้วสินะ ผมเบะปากใส่มันอย่างเบื่อๆ พูดกับกำแพงยังคุยง่ายกว่าคุยกับคนอย่างมัน ผมหันหลังจะเดินลงบันไดแต่ไอ้คินมันนึกยังไงไม่รู้มาตะปบไหล่ของผมไว้

 

            “กูถามว่ามึงมาเสือกอะไรด้วย”มันยังคงถามย้ำคำนั้น

 

            “กูไม่ได้อยากเสือกหรอก แต่มึงคิดดูมั่งนั่นอ่ะผู้หญิงจะทำผิดยังไงมึงก็พูดดีๆกับเขาหน่อย”ผมมองตามันที่ราบเรียบจนเดาอารมณ์ไม่ออกรู้แต่ว่าคิ้วมันขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์

 

 



            “หัดอ่อนโยนกับคนอื่นมั่งเถอะมึงน่ะ”ผมสะบัดไหล่ออกจากมือไอ้คินด้วยความรำคาญ

 

            “กูไม่ใช่แลคตาซิต”มันว่ากลับมาเสียงเรียบ แลคตาซิตคืออะไรวะเกิดมากูเคยแดกแต่แลคตาซอย  เอ๊ะหรือจะเป็นชื่อยี่ห้อน้ำยากลั้วปากวะ

 

            “เอาไว้กลั้วปากเหรอ?”ผมเอ่ยถามมันด้วยความสงสัย วูบหนึ่งผมเห็นเหมือนมันทำจมูกบานมุมปากมันกระตุกเหมือนจะยิ้มแต่มันก็เก็บสีหน้านั้นของมันไปอย่างรวดเร็ว

 

            “แลคตาซิตบ้านมึงเอาไว้กลั้วปากเหรอไอ้ควาย”มันว่าแค่นั้นก่อนจะผลักไหล่ผมจนแทบตกบันไดแล้วเดินตัวปลิวลงไปข้างล่าง

 

อ่ะไอ้เหี้ยกลับมาเฉลยกูก่อนว่าตกลงมันเอาไว้ทำอะไรวะล้างหน้าอ่อ?

 

 

            คณิน::

 

ผมเดินลงมาจากข้างบนบ้านอย่างหัวเสีย ลูกจ้างต่างด้าวที่แม่ไอ้เซ็ทรับมาทำงานได้ไม่กี่วันทำรองเท้าหนังของผมเป็นรอยด้วยความโง่ มันขัดยังไงของมันรองเท้าของผมถึงได้เป็นรอย แม้จะไม่ใช่รอยใหญ่เป็นเพียงเส้นเล็กๆ แต่ผมชอบความสมบูรณ์แบบ อดหัวเสียไม่ได้ที่ไอ้ลูกเลี้ยงของพ่อทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแม่สาวต่างด้าวนั่น ผมกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เด็กลูกจ้างตัวต้นเหตุที่ทำผมอารมณ์เสียเดินเอาข้าวต้มมาเสิร์ฟอย่างกล้าๆกลัวๆ ผมตวัดสายตามองอีกครั้งเด็กนั่นก็วางชามฉึ่บแล้ววิ่งหนีไปหลังบ้านไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็นอีก ซึ่งก็ดี ผมกินข้าวต้มตรงหน้าแม้ใจจะขุ่นมัวแต่รสมืออันดีของเมียพ่อก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

 

ต้องยอมรับข้อหนึ่งคือน้าลดาทำกับข้าวอร่อย รสไม่จัดและไม่จืดจนเกินไป อร่อยกว่าที่แม่บ้านทำทิ้งไว้ให้ ผมกินข้าวต้มหมดชามก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทเดินเข้ามาผมไม่อยากทะเลาะอะไรกับมันตอนนี้วันหยุดก็อยากพักผ่อนแบบไม่มีอะไรมากวนสมองบ้างเลยกะว่าจะไปทำโมเดลบ้านต่อที่ห้องด้านหลัง

 

ราวชั่วโมงหนึ่งที่ผมตั้งใจทำโมเดลที่เป็นโครงงานของผมผมก็วางมือเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เสียงเครื่องซักผ้าดังครืดๆผมเห็นตะกร้าผ้าไอ้เซ็ทวางทิ้งไว้ พวกเสื้อผ้าขาวและผ้าสีอ่อนถูกแขวนไว้ที่นอกลานซักล้าง ผมเดินไปหยุดหน้าเครื่องซักผ้าอยู่ๆปากของผมมันก็กระตุกยิ้มเอง

 

แหม...ช่วยมันซักผ้าหน่อยก็ดีเนอะ

 

ผ้าสีซะด้วยคราบคงเยอะน่าดู

 

คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบขวดไฮเตอร์ขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนจะเปิดฝาเครื่องซักผ้าที่กำลังทำงานอยู่ แล้วเทไฮเตอร์ลงไปทั้งหมดที่มีอยู่เกือบครึ่งขวด

 

ไม่ต้องซาบซึ้งในความมีน้ำใจของกูหรอกนะไอ้เซ็ท

 

ผมโยนขวดไฮเตอร์ทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำตามความตั้งใจเดิม

 


เรียกไอ้แดนมารับออกไปหาอะไรกินที่ห้างดีกว่า สบายใจล่ะ

 

 ........................................



พี่คินเรียกน้องด้วยความเอ็นดูดีนะคะ น่ารักมุ้งมิ้งเชียว จ้างคนพี่ซักผ้าได้นะคะ รับประกันความพินาศ

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 4
«ตอบ #4 เมื่อ11-11-2018 18:00:38 »

Boy in luv

#คนแมนคินเซ็ท


 เศรษฐพงศ์::

 

ผมกำลังระงับความโกรธไม่ให้ไปลงกับข้าวของรอบๆตัว ผ้าสีที่ผมซักทิ้งไว้เป็นด่างเป็นดวงทุกตัวทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมันก็ยังปกติอยู่แท้ๆ มองรอบๆหาต้นเหตุก็พบขวดไฮเตอร์นอนกลิ้งเค้เร่อยู่มุมหนึ่งไม่ไกลกันนัก

 

ไม่ต้องสืบให้เปลืองสมองเลยว่าใครทำเพราะผมคงไม่บ้าเอาน้ำยาซักผ้าขาวใส่ลงไปแน่ๆ เช่นเดียวกับเด็กที่มาทำงานบ้านก็คงไม่โง่พอที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน

 

ผมเบื่อการกลั่นแกล้งให้ข้าวของเสียหายแบบนี้เต็มที ผมเอาเสื้อผ้าที่เสียหายใส่ตะกร้าแล้วเดินขึ้นไปหยุดที่หน้าห้องไอ้คิน เคาะประตูบานที่ผมไม่เคยคิดจะเดินเลยมาแตะต้องให้เสนียดติดมือนั้นอย่างโกรธจัด

 

เงียบไร้เสียงตอบรับ

 

                “น้องเซ็ทจะเอาอะไรคะ คุณคินออกไปกับเพื่อนแล้วค่ะ” เสียงแม่บ้านเอ่ยถามเมื่อผมทุบประตูห้องไอ้คินแรงขึ้น

 

อ่อ ทำความผิดเสร็จแล้วชิ่งเหรอไอ้สัด ผมเกาหัวอย่างหงุดหงิด

 

ได้มึงเอางี้ใช่ป่ะ

 

                “พี่เรียมผมขอกุญแจสำรองห้องไอ้...เอ่อ พี่คินหน่อย”ผมร้องขอแม่บ้านที่รับคำอย่างว่าง่าย ไม่นานกุญแจสำรองห้องไอ้คินก็มาอยู่ในมือผม

 

ผมไขเข้าไปในห้องของมัน  ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านนี้ผมไม่เคยเฉียดใกล้กับห้องมันไม่เคยได้เห็นภายในห้องของมันเลยนี่เป็นครั้งแรก ห้องของมันตกแต่งด้วยโทนสีเทาดูดีมากเลยครับ ก็สมกับรสนิยมของมัน มีโต๊ะดราฟเหมือนห้องของผม ห้องมันเป็นระเบียบเรียบร้อยมีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่แบบบิลอินอยู่ติดกับห้องน้ำผมไม่รอช้าสาวเท้าเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าของมันทันที

 

เสื้อผ้าของมันแยกขาวดำชุดนักศึกษาชุดนอน เสื้อกางเกงแยกเป็นระเบียบมากจนน่าแปลกใจ อ่อ แม่บ้านทำให้แหล่ะผมลืมไป ผมกระชากเสื้อผ้าของมันออกมาส่วนหนึ่งไม่เว้นแม้แต่อีเสื้อกุชชี่ตัวละหกหมื่นที่มันรักนักรักหนาเว้นชุดนักศึกษาจากนั้นก็เอามากองๆไว้กับพื้นห้องกระทืบๆจนพอใจแล้วผมก็ควักไฮเตอร์ที่มีอีกขวดออกมาก่อนจะเทจนชุ่มเสื้อผ้ากองนั้นของมัน จัดการโยนผ้าหมาดๆของผมที่มันทำพังจนกระจายเต็มห้องแล้วกระแทกประตูปิดดังปังใหญ่

 

ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หน้าตาของผมจะเป็นยังไง รู้แค่ว่าผมแค่นยิ้มด้วยความสะใจ

 

แต่ยังหรอกความคุกรุ่นในใจของผมมันยังไม่หายไปผมเดินไปที่ห้องด้านหลังที่มันเอาไว้ทำงานส่งอาจารย์ โมเดลแสนสวยที่มันตั้งอกตั้งใจต่อมาทั้งอาทิตย์ตั้งตระหง่านผมไม่รอช้าชื่นชมความสวยงามนั้นด้วยดวงตาที่ลุกโชนด้วยไฟอาฆาต

 

ในเมื่ออยู่กันดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องดีแม่งแล้ว

 

ผมกระทืบตีนลงไปบนหลังคาโมเดลแล้วขยี้ๆจนหนำใจเตะรถของเล่นที่จอดอยู่สองคันจนกระเด็น

 

อ่าห์  อารมณ์ค่อยเย็นขึ้นมาหน่อยแล้ว ก่อนออกจากห้องนี้ไปผมไม่วายหันหลังไปเตะตัวบ้านที่ยังไม่พังอีกที

 

โอเค กูสบายใจล่ะ

 

                “ยิม มึงมารับกูกลับหอตอนนี้เลยได้มั้ย มาเร็วๆ” ผมรีบต่อสายหาไอ้ยิมเมื่อทำลายข้าวของของไอ้คินจนแหลกคาตีน

 

ตอนนี้ถึงเวลาชิ่งแล้วไอ้สัด  ขืนอยู่ถ้าไอ้คินกลับมาคงได้ตีกันบ้านแตกแน่ๆ

 

 

                คณิณ::

 

ผมกลับถึงบ้านตอนทุ่มกว่าหลังจากนัดพวกไอ้แดนไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ห้างแถววิทยาลัย เลือกกลับให้มืดๆหน่อยจะได้ไม่เจอหน้าไอเซ็ท พอทำลงไปแล้วนึกไปนึกมาผมก็รู้สึกว่าเล่นแรงไปหน่อยแต่ทำไงได้ล่ะ ตอนนั้นผมแค่อยากแกล้งมัน ถ้ามันจะเรียกร้องค่าเสียหายผมก็โยนเงินให้มันไปหาซื้อเสื้อผ้าดีๆใส่ได้ถือว่าเจ๊ากันไป

 

บ้านทั้งหลังเงียบสนิทซึ่งผมก็ชินแล้วกว่าพ่อจะกลับมาก็ 3-4 ทุ่ม นั่นแหล่ะ ผมวิ่งขึ้นห้องด้วยจังหวะช้าๆห้องไอ้เซ็ทเงียบกริบตามปกติที่มันไม่อยู่ ผมไขกุญแจเปิดเข้าไปในห้อง

 

กึ่ก...กลิ่นเหม็นๆของอะไรบางอย่างลอยเข้ามากระทบโสตประสาท กลลิ่นเหมือนน้ำยาอะไรซักอย่าง ผมรีบเปิดสวิตซ์ไฟในห้องและเมื่อกวาดสายตามองเข้าไปเส้นประสาททั้งหมดของผมก็เต้นตุบ

 

นี่มันเหี้ยอะไร?

 

เสื้อผ้าไอ้เซ็ทกระจายเกลื่อนเต็มห้อง ไม่พอยังมีเสื้อผ้าที่คุ้นตากองใหญ่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าของผม ผมรีบสาวเท้าเข้าไปดูหยิบเสื้อตัวโปรดขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท ทำเกินไปมั้ยไอ้สัด”ผมน้ำตาแทบร่วงเมื่อกุชชี่ตัวละหกหมื่นกว่าที่เพิ่งซื้อมาไม่นานบัดนี้ลายสดสวยบนเนื้อผ้ากลับถูกไฮเตอร์กัดจนเป็นด่างดวงรวมไปถึงเสื้อผ้าตัวอื่นๆในกองด้วย

 

ไอ้เหี้ยเซ็ทเอาคืนผมได้เจ็บแสบมากถึงมากที่สุด ทั้งกองรวมกันนี่กี่แสน!!

 

ผมที่โกรธจนมือสั่นทำได้เพียงเขวี้ยงเสื้อในมือทิ้งแล้วยืนขึ้นเตะกองผ้าระบายอารมณ์ ผมนั่งสงบสติอารมณ์ที่คุกรุ่นเพราะตามไปกระทืบมันไม่ได้ อารมณ์ค่อยเย็นลงเมื่อนั่งนิ่งๆได้ซัก 20 นาที

 

รอชำระแค้นตอนมันกลับมาก็ยังไม่สาย คิดได้ดังนั้นผมก็จำใจต้องเก็บเสื้อผ้าพวกนั้นใส่ถุงดำรวมทั้งผ้าของไอ้เซ็ทที่มันคงเอามาโยนใส่ห้องผมระบายแค้นด้วย

 

เสร็จเรียบร้อยแบบลวกๆผมก็อาบน้ำ เรียบร้อยก็คว้ากล้องขึ้นมาจะไปถ่ายรูปโมเดลที่ผมเพิ่งทำเสร็จเพื่ออวดเพื่อนๆในกลุ่ม งานที่ต้องส่งพุธนี้ผมทำเสร็จเร็วกว่าเพื่อนในกลุ่ม ป่านนี้พวกมันคงกำลังกลับไปต่อกันตาเหลือกแน่ๆ ผมเดินไปห้องทำงานอย่างไม่เร่งรีบนักเพื่อนบางคนส่งรูปโมเดลที่มันเพิ่งทำเสร็จสดๆร้อนๆมาอวด บอกได้เลยของผมน่ะเจ๋งที่สุดแล้ว ผมเลี้ยวเข้าประตูห้องมาเปิดไฟในห้องให้สว่างพลันสายตาของผมก็พบกับเศษซากอะไรบางอย่าง

 

ซากของอะไรบางอย่างที่ว่ากองพังยับเยินอยู่ตรงจุดที่ผมตั้งโมเดลไว้

 

มือผมสั่นมากกว่าตอนเห็นกองเสื้อผ้าในห้องเมื่อชั่วโมงก่อน

 

ผมโกรธจนรู้สึกว่าหน้าของผมมันเปลี่ยนไปมาระหว่างซีดกับสีแดง

 

โมเดลกู!!!

 

โมเดลกู!!!!

 

โมเดลของกู!!!

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ทมึงไม่ตายดีแน่ไอ้เด็กเหี้ย!!!”

 

 

 

                เศรษฐพงษ์::

 

                “ฮั๊ดเช้ยยยยยยยย!!!!”

 

ใครบ่นหากูวะ จามไม่หยุดเบย









 

 

                คณิตและลดากลับเข้าบ้านตอนเกือบห้าทุ่ม เพราะวันนี้ต้องไปกินเลี้ยงงานแต่งของคู่ค้าทำให้กลับมาช้ากว่าปกติ แต่ชายวัยกลางคนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถยนต์และมอเตอร์ไซค์อีก 2-3 คัน จอดเรียงกันในโรงรถ

 

                “รถเพื่อนเจ้าคินมัน”คณิตเอ่ยบอกภรรยาเพราะจำรถยนต์ของแดนกับเด่นได้ ผู้เป็นภารยาพยักหน้ารับก่อนจะขอตัวขึ้นไปอาบน้ำบนห้อง คณิตแยกเดินไปห้องด้านหลังที่คินใช้เป็นห้องสำหรับทำงานส่งอาจารย์ ในนั้นบรรดาเพื่อนๆของคินอยู่กันครบต่างคนต่างขมักเขม้นกับการตัดโมเดลจนไม่มีใครรับรู้ถึงการมาของเจ้าของบ้าน  ในขณะที่คินกำลังประกอบโมเดลด้วยใบหน้าบึ้งตึงขั้นสุด

 

                “ทำอะไรกันหนุ่มๆ”คณิตเอ่ยทัก บรรดาเพื่อนๆของคินต่างวางงานในมือแล้วยกมือไหว้พ่อของเพื่อน คินละสายตาจากโมเดลที่ต้องเริ่มทำใหม่ทั้งหมดมองพ่อพยักหน้าให้เป็นการทักทายแล้วก้มลงประกอบโมเดลต่อปไม่ได้พูดจาอะไรกับคนเป็นพ่ออีก

 

                “ทำไมประกอบใหม่ล่ะคิน วันก่อนพ่อเห็นเราต่อไฟอะไรเรียบร้อยจวนเสร็จแล้วนี่”

 

                “อันนั้นมันพังไปแล้วพ่อ”ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

                “อ่าว ทำไมพังล่ะ “คนเป็นพ่อเมื่อได้ยินคำตอบของลูกชายก็แสดงความเป็นห่วงทันที คินถอนหายใจขบฟันจนสันกรามนูน

 

                “ช่างมันเถอะพ่อ พังก็คือพังอย่าไปสนใจเลยว่ามันพังยังไง กลับมาดึกๆพ่อไปนอนก่อนเถอะแล้วคืนนี้ไอ้พวกนี้ค้างนี่นะ”

 

                “อืมๆ ยังไงก็อย่านอนดึกนักนะพรุ่งนี้มีเรียนเช้านี่ แล้วก็เด็กๆถ้าอยากกินอะไรก็หาในตู้เย็นเอามาอุ่นเอานะ น้าเค้าทำอาหารแช่ไว้หลายอย่างอยู่” พวกเพื่อนๆของคินต่างรับคำคนเป็นพ่อ คณิตจึงแยกกลับขึ้นไปนอนพักผ่อน

 

                “ทำไมมึงไปบอกพ่อมึงไปวะว่าน้องมึงทำ”แพรที่นั่งตัดโมเดลใกล้คินที่สุดเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

                “เออนั่นสิ เรื่องใหญ่แบบนี้ไอ้เด็กนั่นมันควรโดนด่านะ ไอ้เหี้ยจะทำลายอะไรก็ทำไปเสือกมาทำอุปกรณ์การเรียน”แพทเอ่ยต่ออย่างหัวเสีย เพราะต้องมาช่วยคินทำให้เขาต้องยกเลิกนัดกับแฟนสาว

 

                “ไอ้เด่นบ่นกูชิบหายเลยที่กูเอารถมา”แดนกล่าวต่ออย่างหงุดหงิด

 

“ก่อนอื่นนะ ไอ้เหี้ยเซ็ทไม่ใช่น้องกู กูไม่มีทางนับญาติกับคนอย่างมัน”คินตอบกลับอย่างหัวเสีย เนี่ยเพียงแค่ได้ยินชื่อของมันหนังหัวก็ตึงปานโดนดึงทึ้ง

 

อยากจะตามไปกระทืบมันที่หอแต่ติดว่าเขาต้องรีบทำโมเดลตัวใหม่ ต้องไหว้วานบรรดาเพื่อนๆที่ทำโมเดลเสร็จแล้วให้มาช่วยโดยเมื่อเสร็จแล้วคินต้องเสียเงินเลี้ยงเหล้าไอ้พวกนี้แบบชุดใหญ่

 

                “ที่กูไม่บอกพ่อ เพราะกูจะกระทืบมันเอง ไอ้เด็กเหี้ย”คินตอบกลับด้วยความหมายมั่นปั้นมือ ยังไงเรื่องนี้เขาไม่มีทางยอมให้เซ็ทมาทำลายโมเดลของเขาแล้วจะลอยนวลไปได้ง่ายๆเหมือนกระจกรถแน่ๆ

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

                “กูไม่เข้าใจ”ผมหันไปมองไอ้จีนที่เหงื่อซึมเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากนักศึกษาคนอื่นๆที่ยืนกระจายกันไป

 

                “เราแม่งเรียนภูมิทัศน์จริงๆใช่ป่าววะ”

 

                “เออ มึงเรียนภูมิทัศน์ ส่วนกูเรียนสัตว์”ไอ้ปิ๊กห้องสัตว์เอ่ยตอบไอ้จีน

 

                “กูเรียนคณะอุต”ไอ้สร้างเจ้าของถั่วเคลือบพิฆาตตอบกลับมา

 

                “เออ ไอ้สัด เราแม่งต่างเรียนคนละคณะ ต่างสาขา กูข้องใจว่าแล้วทำไมเราต้องมาถางอีหญ้าเหี้ยในดงอ้อยวิทยาลัยด้วยกันด้วย แม่งไม่มาก็ติด 0 วิชา อกท.”ไอ้จีนใช้จอบดายหญ้าในร่องอ้อยด้วยอารมณ์โคตรครุกรุ่น แรงมันตอนนี้เหมือนหมูบ้ามันถางเอาถางเอาจนพวกผมกลัว

 

                “อาจารย์แม่ง สั่งๆแล้วก็ไปนู้น นั่งในร่ม ไม่ยุติธรรม”ไอ้ยิมกลายเป็นลูกขุนพลอยพยักไปกับไอ้จีนด้วย

 

บ่ายวันพุธที่ร้อนระอุ พวกผมในเสื้อยืดสกรีนคำว่า กาญจนบุรี หน้ากระเป๋าปักสัญลักษณ์ อกท. กำลังถากหญ้าในดงอ้อยที่พอโดนฝนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนก็พากันโตไว๊ไว

 

รู้สึกว่าหญ้ายังโตไวกว่าอนาคตของพวกผมอีก

 

                “เซ็ทแล้วศุกร์นี้มึงกลับบ้านป่าววะ”ไอ้อิ้งค์หันมาถามผมขณะที่เดินไปกินน้ำในกระติก

 

                “กลับให้โง่สิ จ้างให้กูก็ไม่กลับ กูจะสิงอยู่ที่หอนี่แหล่ะ”ผมตอบมันแบบไม่ต้องคิดเลยครับ ผมกะว่าจะไม่กลับบ้านซักระยะ ขืนกลับไปตอนนี้ไอ้คินต้องกำลังวางแผนเล่นงานผมอยู่แน่ๆ รอให้คดีระหว่างผมกับมันผ่านไปซํกเดือนก่อนค่อยกลับไป

 

                “แล้วถ้าแม่มึงโทรมาตามล่ะ”

 

                “กูก็จะบอกแม่ว่าอาจารย์สั่งให้อยู่ซ้อมจัดสวนไปแข่งภาค”

 

                “อ่าวแล้วถ้าแม่มึงไปสั่งดอกไม้ร้านแม่กูแล้วเจอกูทำไงเขาก็ต้องถามกูป่าววะว่าทำไมกูไม่อยู่ทำงานกับมึง”ไอ้วีมันเอ่ยถามด้วยสีหน้ายุ่งๆ

 

                “มึงก็บอกแม่กูไปว่าร้านแม่มึงอุปกรณ์ครบง่ายต่อการแข่งจัดดอกไม้สดของมึง” เห็นมั้ยผมเป็นคนรอบคอบหาทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว

 

เอาจริงๆหลังจากกลับมาสงบสติอารมณ์ที่หอแล้วใจผมก็เย็นลง แล้วก็เริ่มเกิดสำนึกว่าคราวนี้ผมตอกกลับมาแรงเกินไป  แค่เอาไฮเตอร์ไปเทใส่เสื้อผ้าตัวแพงของมันก็มากพอแล้วยังไปทำลายโมเดลมชองมันอีก

 

ถ้ามันโกรธจัดจนเอาปืนมายิงเอามีดมาจ้วงผมก็ไม่เห็นว่ามันทำผิดอ่ะเพราะถ้างานของผมโดนใครมาทำแบบนั้นผมก็คงโกรธจัดเหมือนกัน

 

ถ้าจำไม่ผิดวันนี้คือวันที่มันต้องส่งงานด้วยใช่ป่าววะ ได้ยินมันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนมันตอนที่มันออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง

 

แต่ทำไงได้ล่ะ ผมทำลงไปแล้ว แม้จะรู้สึกผิดแต่ผมไม่มีทางไปขอโทษมันแน่ๆ

 

ความผิดครั้งนี้ถ้าจะถามว่าใครเป็นฝ่ายผิดก็ต้องบอกว่าไอ้คินนั่นแหล่ะผิด ถ้ามันอยู่แบบต่างคนต่างอยู่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ในที่สุด สี่โมงเย็น วิชา อกท.ของเราก็สิ้นสุด พวกผมแบกสภาพตัวชื้นชุ่มไปด้วยเหงื่อกลับมาที่ตึกพืชเพื่อเอากระเป๋าที่ทิ้งไว้

 

                “มึงกูอยากกินหมูกะทะหว่ะ”อยู่ๆไอ้จินแฝดน้องก็พูดขึ้นมา

 

                “ควายแถวนี้มีที่ไหนล่ะ จะทำเองกูก็ขี้เกียจเก็บล้าง”ไอ้ย้งผลักหัวไอ้จินที่อยู่ๆมาอยากกินหมูกระทะอะไรเอาตอนนี้

 

                “มึงอย่ามาทำน้อวงกู”ไอ้จีนผู้มีท่อนขาล่ำบึ้กปานเสาเข็มตวัดตีนถีบไอ้ย้งที่บังอาจมาทำร้ายแฝดน้องของมัน

 

                “ก็กูอยากอ่ะ ตอนกลับบ้านแม่พาพวกกูไปหาอากงอาม่าไม่ได้แดกอะไรเลยนอกจากหมี่ซั่วกับไก่ต้ม”

 

                “เออกูก็อยากอยู่นะ ไปกันมั้ย?”ไอ้วีพลอยเห็นดีเห็นงามไปกับไอ้สองแฝด

 

                “ถ้าจะกินก็ต้องเข้าเมืองป่าววะ”ผมถามอย่างลังเล

 

                “เออดิ่ไปกินแถวเทคนิคก็ได้”ไอ้อิ้งค์เสนอ

 

                “ส้นตีน ร้านมีเยอะแยะเสือกจะไปอะไรแถวนั้น”ผมด่าไอ้อิ้งค์ กูยิ่งจะเลี่ยงๆเทคนิคมึงยังเสือกจะไปแดกแถวนั้นอีก ถ้าเจอไอ้เหี้ยคินขึ้นมาทำไง

 

                “เออ โทดทีกูลืมไปว่ามึงหลบหน้าพี่มึงอยู่”ไอ้อิ้งค์ว่าก่อนจะเด้งตัวหลบตีนผมที่ตวัดจะถีบมันพอดี

 

                “มันไม่ใช่พี่กู!!”

 

                “พอๆพวกมึงอย่าเพิ่งกัดกัน ตกลงเอาไงไปไม่ไป”ไอ้วีรีบห้ามทัพเมื่อผมทำท่าจะไล่เตะไอ้อิ้งค์

 

                “ออไปก็ไป แต่ไปร้านอื่นกูไม่อยากเสี่ยงเจอมันตอนนี้ แทนที่จะได้แดกหมูกระทะอาจจะได้แดกลาบเลือดแทน”พวกผมเก็บของเสร็จก็พากันกลับหอเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าห้าโมงกว่าเราก็พร้อมสำหรับการยกขโยงเข้าเมือง ผมเลี่ยงที่จะไม่ไปร้านแถววิทยาลัยไอ้คินแต่เปลี่ยนมาร้านที่ไปทางสะพานข้ามแม่น้ำแควแทน ผมเคยมาร้านนี้กันหลายครั้งแล้วของเยอะพอๆกับร้านที่ไอ้อิ้งค์เสนอ เมื่อมาถึงเราไม่รอช้าที่จะกระจายตัวกันไปตักอาหารเตาปิ้งย่างถูกสั่งมาสองชุดเพราะเตาเดียวคงไม่พอพวกผมกิน ไอ้จินดูมีความสุขกับกองกุ้งที่มันไปคีบมา ผมคีบหมูสามชั้นวางบนกระทะรอจนมันแห้งกรอบจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดบอกเลยว่าโคตรเด็ด แมงกะพรุนจุ่มในน้ำซุปเดือดๆแล้วจิ้มน้ำจิ้มก็ฟินมาก จิบเบียร์เย็นๆไปด้วยทำให้ความเหนื่อยล้าจากการถางหญ้าเมื่อช่วงบ่ายคลายลงไปมาก บอลลีกในทีวีจอยักษ์ที่ทางร้านเปิดทำให้พวกเรากินไปคุยไปดูไปอย่างออกรส อากาศอบอ้าวเมื่อตอนบ่ายเย้นลงเล็กน้อยไม่อึดอัดจนเกินไป

 

 

 

 

 

 

                “โอ๊ะโอ...ไอ้คิน ดูซิ๊ เราเจอใครกันเอ่ย?”







......................................................



พี่คินจะโกรธน้องก็ไม่ได้นะคะ พี่ทำน้องก่อน



ส่วนน้องเซ็ทลูกไม่มีใครบ่นถึงค่ะ พี่เค้าเรียกด้วยความคิดถึง



ไหนๆก็มาแล้วกินหมูกะทะกับน้องมั้ยคะพี่คิน



กระหนุงกระหนิง กระหนุงกระหนิงดีจริง

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 4
«ตอบ #5 เมื่อ12-11-2018 22:07:37 »

Boy in luv
#คนแมนคินเซ็ท


เศรษฐพงศ์::


พรหมลิขิต ขีดเขี่ย ให้เหี้ยเดิน
เหี้ยก็เพลิน เดินตาม ไม่สงสัย
เหี้ยกับเหี้ย เจอกัน ก็บรรลัย
เหี้ยหนึ่งตาย เหี้ยหนึ่งอยู่ ดูฟ้าดิน

 

ครับ สงสัยคราวนี้จะเป็นเหี้ยเซ็ทนี่ล่ะครับที่ตาย  พวกผมหันไปมองตามเสียงที่ได้ยินด้านหลัง หมูสามชั้นที่เพิ่งย่างเกรียมแบบที่ผมชอบถึงขั้นร่วงจากตะเกียบ

 

ครบเลยครับ  ครบแก็งค์เลยครับ  พวกไอ้คิน  มากันครบองค์ประชุม

 

 

ผมไม่รู้จะเรียกพรหมลิขิตหรือเรียกว่าซวยดี  ดูเถอะอุตส่าห์หนีมันไม่ไปกินแถววิทยาลัยของมัน พวกมันยังดั้นด้นมาแดกร้านนี้โอ้โหเศรษฐพงศ์น้ำตาแทบร่วง

 

แล้วดูหน้ามันสิ  จากปกติก็บึ้งตึงอยู่แล้วตอนนี้บึ้งหนักกว่าทุกทีที่ตีกัน

 

คินมีอะไรไปคุยกันข้างน่อ...อ๊อก!!!” โดยไม่ทันตั้งตัวไอ้คินที่ยืนหน้าบูดเป็นตูดลิงที่ตรงนั้นก็กระโดดมาถีบหลังผมที่นั่งอยู่ตรงนี้ ตะเกิ่งตะเกียบในมือผมกระเด็นหวือ หมูสามชั้นของผมกระจาย และนั่นเหมือนเป็นสัญญาณเปิดงาน เพราะพวกผมจับจองพื้นที่ใกล้กับจุดตักอาหาร ตอนนี้กุ้งเอย หอยเอย แมงดาทะเลเอย หมึกเอยกลายเป็นอาวุธของพวกเราทั้งสั่งฝ่าย ท่ามกลางเสียงหวีดร้องและการเข้ามาห้ามปรามแยกพวกเราทั้งสองฝ่ายไม่ให้สร้างความวุ่นวายในร้าน ลูกค้าต่างทยอยหนีออกจากร้าน

 

“ไอ้คินมึงใจเย็นฟังกูอธิบายก่อน”ผมพยายามใช้น้ำเสียงดีๆกับมันเมื่อมันตะครุบคอเสื้อของผมเอาไว้

 

“กูยังต้องฟังอะไรอีก มึงทำเสื้อผ้ากูคืนกูไม่ว่าแต่มึงพังงานของกู มึงมันเหี้ย”ไอ้คินเหวี่ยงหมัดใส่แก้มผมเต็มๆ เจ็บจนสมองแทบเบลอเลย  ผมพยายามหลบเลี่ยงการทำร้ายของมัน เอาจริงๆผมผิด ผมพร้อมจะขอโทษมันนะ แต่เหมือนไอ้คินมันจะไม่ต้องการอย่างนั้น แม้ว่าผมพยายามจะอธิบายแค่ไหนก็ดูเหมือนว่ามันก็มีความพยายามเหวี่ยงหมัดมาหยุดคำพูดของผมซะทุกครั้ง ในที่สุดผมก็หมดความอดทน ในเมื่อเหตุผลมันใช้ไม่ได้ผลผมก็ใช้กำลังตัดสินกับมัน  ผมกับไอ้คินผลัดกันรุกผลัดกันรับแบบไม่มีใครยอมใคร เพื่อนๆของผมก็มะรุมมะตุ้มอยู่กับกองอาหารที่กลายเป็นอาวุธจำเป็น

 

 

“หยุ๊ดดดดดดด.......”เสียงผู้จัดการร้านร้องห้ามพวกเรา แต่พี่ครับพอเครื่องฟิตแล้วมันก็ยากจะหยุด พวกผมขว้างปาข้าวของรวมทั้งตะลุมบอนกันแบบไม่มีใครยอมใคร  เหลือบตาเห็นไอ้จีนรับหมัดจากไอ้แดนแทนไอ้จิน ตัวผมเองก็หลบหมัดไอ้คินได้อย่างเส้นยาแพดงผ่าแปด แต่ เก้า สิบ สิบเอ็ด โดนกูเต็มๆเลยครับท่านผู้ชม กว่า 10-20 นาที ที่เราตะลุมบอนกัน ในที่สุด

 

เอ๊ะ แสงอะไรแว๊บๆ

 

อาจจะมียูเอฟโอ...

 

หรืออาจจะเป็นแสงจากกระสือ

 

            “ชิบหาย ตำรวจมา!!!”เสียงไอ้อิ้งค์ตะโกนมาดังลั่น ผมที่กำลังบีบคอไอ้คินถึงกับชะงักกึก

 

            “เหี้ย  ซวยแล้ว”

 

ใช่ครับซวยแล้ว โดยไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัวเสียงดังกริ๊กพร้อมกับโลหะเย็นๆก็คล้อวงปั๊บเข้ากับข้อมือของผมกับไอ้คินคนละข้าง

 

อ่ะไอ้สัด เนื้อคู่หนังคู่กระดูกคู่กับกูไปอีก

 

เราทุกคนโดนพี่ๆตำรวจเข้าชาร์จแบบสายฟ้าแล่บ แบบที่ยังไม่ทันคิดหนีก็โดนสั่งให้นั่งคุกเข่ากับพื้นเรียงกันเป็นหน้ากระดานไปซะแล้ว ตำรวจสองนายไปตรวจสอบความเสียหาย ส่วนหนึ่งไปสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ

 

            “เหี้ย ถ้าป๊ากูรู้ป๊ากูตีหัวแตกแน่”เสียงไอ้ยิมที่นั่งใกล้ผมกระซิบ

 

            “ใจเย็นมึงปกติกูเห็นป๊ามึงใจดี”

 

            “ไอ้เหี้ย ป๊ากูสร้างภาพ”

 

สุดท้ายพวกเราเลยได้เดินทางไปทัศนศึกษาด้วยรถกะบะตราโล่  ตอนนี้ทุกคนตึงเครียดกันมาก ไอ้ปากเก่งๆ ปากดีๆปานนักโต้วาทีตอนนี้เงียบกริบโคฟเว่อร์นางพิกุลทองกันไปหมด  พวกผมถูกพาไปทำประวัติ  สอบถามเบอร์โทรผู้ปกครองก่อนจะถูกพาไปพักผ่อนตามอัธยาศัยในห้องพักรับรองที่มีลูกกรงล้อมรอบ

 

เกิดมาผมเพิ่งเคยเข้าคุก

 

แม่ครับอย่าลืมข้าวผัดกับโอเลี้ยงมาเยี่ยมผมนะครับ

 

ใช่เวลามาตลกป่ะ??  ไอ้คินกับพวกมันแยกกันไปนั่งมุมหนึ่ง  พวกมันพูดคุยกันเบาๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ส่วนพวกผมเองก็ไม่ต่างจากมันเท่าไหร่  ไอ้วีทำท่าจะร้องไห้จนพวกผมต้องกอดปลอบมัน

 

“วีมึงอย่าร้องไห้”ไอ้ยิมขยี้หัวไอ้วีเบาๆ

 

“กูไม่อยากให้แม่มาเห็นกูสภาพแบบนี้ กูกลัวแม่กูผิดหวัง”

 

“ครั้งนี้เราไม่ผิดนะเว้ยไอ้เหี้ยนั่นเริ่มก่อน”ไอ้จีนที่นั่งเอามือเป่าถูๆแล้วอังกบาลไอ้จินที่โนเป็นลูกมะกรูดหันมาพูดเสียงไม่เบาเลยซักนิด แน่นอนไอ้ฝั่งนู้นหันมามองพวกผมพลางชูนิ้วกลางให้

 

“จะเอาอีกใช่มั้ยไอ้สัด กูอยู่ของพวกกูดีๆเข้ามาหาเรื่องจนเป็นปัญหาอ่ะ”

 

“มึงเงียบไปเลยไอ้หน้าตุ๊ด”เสียงไอ้แพทเอ่ยตอบกลับมา ไอ้จินก็ไวทายาดมันถอดรองเท้าเขวี้ยงใส่หัวไอ้แพททันที

 

“อย่ามาว่าพี่กูไอ้ปากห้อย ไอ้เปรต ไอ้เสียงเหมือนควายออกลูก”ยังจำวีรกรรมของไอ้จินที่กระทืบยอดอกคนที่มาว่าแฝดพี่มันเป็นตุ๊ดได้มั้ยครับ

 

ตอนนี้ไอ้แพทอาจจะกำลังได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้เมื่อไอ้จินลุกขึ้นทำท่าจะปรี่เข้าไปกระทืบไอ้แพทจริงๆ

 

พี่ข้าใครอย่าแตะ แตะได้ถ้าไม่กลัวปากแตกนั่นคือคติของมัน

 

“เงียบๆกันหน่อยอยากอยู่ยาวหรือไงเสียงร้อยเวรที่อยู่หน้าห้องขังดังเข้ามาเหมือนกรรมการมวยพวกผมรั้งไอ้จินไว้พามันกลับมานั่งสงบสติอารมณ์

 

“จินมึงใจเย็นเดี๋ยวก็โดนอีกกระทงหรอก”

 

“ก็มันว่าพี่กู”

 

“เออกูเห็นแต่ตอนนี้มึงต้องใจเย็นๆก่อนโว๊ย”พวกผมพยายามกล่อมให้มันเย็นลงได้ในที่สุด

 

“จิรนนท์ จิระนันท์ ผู้ปกครองมาประกันตัวแล้ว” ในที่สุดแม่ของไอ้สองแฝดก็มาประกันตัวลูกแฝด มันสองคนหันมามองพวกผมเหมือนว่ายังไม่อยากออกไปก่อนพวกผม

 

“พวกมึงไปกันก่อนไม่ต้องห่วงพวกกู”นั่นแหล่ะมันสองคนถึงได้ยอมออกไป เสียงแม่ของมันดุดังลั่น น่าจะมาแบบโมโหสุดขีด  พวกเรานั่งเงียบๆกันซักพักเสียงเรียกชื่อ โอบนิธิ(ไอ้อิ้งค์) ยงศกร(ไอ้ยิม) ยงวิสุทธิ์(ไอ้ย้ง) มันสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั่นแหล่ะ แม่ๆมันน่าจะรอมาด้วยกัน วีรดนัยคือชื่อถัดไป หูของผมยังได้ยินเสียงเรียกชื่อของไอ้ฝั่งนู้น จนในที่สุดเพื่อนของผมกับเพื่อนของไอ้คินก็ทยอยออกจากห้องขังไปกันหมด เหลือแค่ผมกับมัน

 

“........”

 

“........”

 

เงียบเหงาวังเวงจุงเบย  จากตอนที่เพื่อนยังอยู่ก็ยังคุยกันไม่ให้น้ำลายบูดได้แต่ตอนนี้เหลือผมกับมันนั่งอยู่คนละมุม  เราสองคนต่างก็นั่งกอดเข่าเจ้าจุกรอลุงกับแม่มารับ ในที่สุดประตูห้องขังก็เปิดออก ชื่อของผมกับมันถูกเรียกพร้อมกัน

 

 

จากตอนแรกที่รอคอยตอนนี้พอถึงเวลาที่ตัวเองได้รับการประกันตัวใจของผมกลับหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหิน

 

ผมไม่อยากให้แม่ต้องมาผิดหวังในตัวผมเลยซักนิด  เราสองคนไปเซ็นต์เอกสารต่างๆ ฟังคุณตำรวจให้โอวาทพร้อมกับเสียงของลุงที่เอ่ยขอโทษเจ้าของร้านเป็นร้อยๆครั้งด้วยหวใจที่ละอายสุดชีวิต

 

ลุงยื่นซองใส่เงินค่าเสียหายที่เตรียมมาให้กับเจ้าของร้านหมูกระทะ  มองจากสายตาคร่าวๆยังไงก็เกินสองหมื่น

 

มองแม่ที่นั่งเงียบข้างลุงแล้วผมก็อยากจะลงไปกราบแทบเท้าแม่  แม่ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมาเหมือนแม่คนอื่น  แต่สายตาที่แม่มองมามันทำให้ผมรู้ว่าแม่นั้นทุกข์ใจขนาดไหน

 

“ไปลูกกลับบ้านกัน”เมื่อลุงจัดการปัญหาทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็หันมาเรียกผมสองคนให้ลุกตามไปที่รถ  ผมสองคนเดินตามลุงกับแม่มาที่รถโดยไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากพวกเราทั้งสี่คน ผมกับไอ้คินเข้ามานั่งที่เบาะหลัง หันหน้ามองข้างทางโดยไม่ได้หันมามองกันอีก ลุงกับแม่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเลยซักคน บรรยากาศอึดอัดโอบล้อมเราทั้งหมด

 

“ลุงครับ แม่ครับ  ผมขอโทษที่ทำให้ต้องเดือดร้อนนะครับ”ในที่สุดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรผมจึงเอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจออกไป ผมยกมือไหว้ขอโทษลุงกับแม่อย่างสำนึกผิดจริงๆ

 

“อืม ค่อยพูดกัน”เสียงลุงตอบกลับมาเป็นการตัดบทสนทนา

 

ผมอยากให้ลุงกับแม่ด่าผม ตีผมเหมือนแม่ของเพื่อนๆดีกว่าเงียบกันไปหมดแบบนี้ มันยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจของผมเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณไปอีก

 

ไม่ชอบความรู้สึกอย่างนี้เลยซักนิด

 

 

 

 

ตอนเข้าผมตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน มึนหัวและเจ็บแผลที่มุมปากนิดหน่อย ตามตัวก็ระบมนิดๆแต่ผมก็ทนได้  ผมเก็บที่นอนพับผ้าห่มแล้วเดินลากเท้าลงมาข้างล่าง  กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากในครัว เมื่อเดินตามกลิ่นเข้าไปแม่ของผมก็กำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหาร  ผมเดินเข้าไปสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง จูบแก้มแม่ไปสองฟอดใหญ่  แม่เบี่ยงตัวหนีก่อนจะทำทีเป็นสนใจกับข้าวในหม้อต่อไป เศรษฐพงศ์คนนก 2017

 

“แม่”ผมลองใจกล้าหน้าด้านเรียกแม่ แต่ปฎิกริยาที่ได้รับก็คือแม่ยังทำเมินเฉยราวกับผมเป็นอากาศธาตุ  แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะยอมแพ้ ผมเข้าไปนัวเนียวอแวแม่อีกครั้ง

 

ผมรู้ดีว่าความผิดเมื่อคืนมันค่อนข้างใหญ่ แต่ถ้าผมทำผิดมากๆผมก็อยากให้แม่ดุด่าผมมากกว่าเมินเฉยแบบนี้ มันเหมือนว่าผมนั้นเกินเยียวยาจนแม่ไม่สามารถพูดอะไรตรงๆกับผมได้อีกต่อไป

 

“แม่โกรธผมแม่ก็ดุผมสิครับ”

 

“ออกไป แม่ทำกับข้าวอยู่อย่ามาเกะกะ”นอกจากแม่จะไม่สนใจที่ผมพูดแล้วแม่ยังไล่ผมอีกต่างหาก

 

“เซ็ททำผิดไปแล้วเซ็ทขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวังแต่แม่อย่าโกรธเซ็ทนานเลยนะ เขาบอกว่าถ้าโกรธนานเดี๋ยวหน้าเหี่ยวแก่ก่อนวัยน๊า เนี่ยแม่ของเซ็ทส้วยสวยตัวก็ห๊อมหอมถ้าเหี่ยวไปเสียดายแย่เลย”ผมยังคงกอดแม่อยู่เหมือนลูกหมาที่เฝ้าคลอเคลียเจ้าของ  แม่ถอนหายใจก่อนจะปิดแก๊สแล้วหันมาหาผม  แม่ยกมือขึ้นประคองหน้าของผมไว้ก่อนใช้ปลายนิ้วเกลี่ยตรงจุดที่เป็นรอยช้ำ

 

“แต่เล็กจนโตตั้งแต่ที่พ่อของเซ็ทเสียไปแม่เลี้ยงดูลูกทะนุถนอมคำน้อยก็ไม่เคยพูดให้ลูกต้องเสียใจ ตีซักแปะก็ไม่เคย แม่เลี้ยงลูกดีมากพอหรือยังครับ”

 

“ดีสิครับแม่เลี้ยงเซ็ทให้โตมาได้อย่างดีเลยครับ”

 

“ในเมื่อแม่เลี้ยงลูกมาอย่างดีไม่เคยทำให้ลูกต้องเจ็บแล้วทำไมลูกถึงเอาตัวเองไปทะเลาะต่อยตีกับพี่เค้าล่ะลูก”

 

“แม่ เซ็ทไม่ได้อยากทะเลาะกับมัน...”ผมชะงักปากเมื่อแม่ตวัดสายตามองผมอย่างไม่ชอบใจกับสรรพนามที่ผมใช้เรียกไอ้คิน

 

“เซ็ทไม่ได้อยากทะเลาะกับพี่มันนะแม่ แม่เลี้ยงเซ็ทมาแม่น่าจะรู้ว่าเซ็ทไม่ทำใครก่อน พูดไปก็เหมือนแก้ตัวแต่ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ทะเลาะกันให้แม่รู้ไว้ว่าเซ็ทแค่ป้องกันตัวเอง”

 

“แต่มันมีวิธีหลีกเลี่ยงไม่ใช่เหรอลูก”

 

“เซ็ทพยายามเลี่ยงแล้วแม่ แต่ครั้งนี้เซ็ทโกรธจนขาดสติไปหน่อยก็เลยเอาคืนแรงไปแต่เซ็ทขอโทษมันแล้วคินมันไม่ยอมเรื่องก็เลยเลยเถิดไปจนถึงโรงพัก”

 

“มันก็เสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย  ลุงเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น  มันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอลูกที่จะคุยกันดีๆ เคยลองคุยกับพี่เค้าหรือยังว่าอย่าทำอะไรเซ็ท” ผมถอนหายใจอย่างหนักใจ

 

ไม่...ผมไม่เคยพูดกับไอ้คินเรื่องการกลั่นแกล้งไร้สาระ มันแรงมาผมก็แรงกลับ มันทำอะไรมาผมก็ทำกลับไป  เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้

 

ผมถือคติตาต่อตาฟันต่อฟัน

 

“ตอบแม่ได้มั้ยลูกเคยพูดกับพี่เค้าไปตรงๆบ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่เค้าทำลูกไม่ชอบ”

 

“ไม่เคย  แต่แม่ ถึงพูดไปมันก็ไม่ฟังหรอก เจอกันทีไรด่ากันทุกที”

 

“แล้วต้องอยู่ร่วมกันแบบนี้มีปัญหากันจะมีความสุขได้ยังไง ยอมลงให้พี่เค้าได้มั้ยลูก เขาทำอะไรมาก็ไม่ต้องไปตอบโต้ นานๆไปเดี๋ยวเค้าก็เบื่อไปเอง”

 

“คนอย่างมันมีแต่จะย่ามใจสิแม่”

 

“ลองดูก่อนนะลูกนะไม่เห็นแก่แม่ก็เห็นแก่ลุงณิตเค้าหน่อย อายุเค้ามากแล้วแม่ไม่อยากให้ลุงเค้าเครียด แค่ทำงานทุกวันนี้ก็เหนื่อยจะย่แล้ว อย่าให้ลุงเค้าต้องมาเหนื่อยกับเรื่องในบ้านเลยนะลูกนะ”ผมเงียบไปไม่ได้ตอบรับแม่

 

ในใจของผมมีแต่คำค้านเต็มจนล้น

 

ทำไมผมต้องยอมลงให้กับมัน  ทำไมแม่ต้องให้ผมยอมตลอด

 

“แม่รู้ว่าเซ็ทไม่ชอบใจ แต่ที่แม่ขอให้เซ็ทยอมแม่ไม่ได้ให้เซ็ทรู้สึกว่าเซ็ทแพ้เค้า เรายอมไม่ได้หมายความว่าเราแพ้ เราควบคุมสติตัวเองได้นั่นแปลว่าเราชนะอารมณ์ตัวเอง  ทำให้แม่ได้มั้ยลูก”

 

“เซ็ทไม่รับปากนะแม่ แต่เซ็ทจะพยายามไม่ตอบโต้มันก็แล้วกัน”

 

“ได้ลูก ทำเท่าที่ทำได้แต่ขอให้พยายามดูก่อน แล้วเดี๋ยวทานข้าวเสร็จเซ็ทค่อยไปขอโทษลุงเค้าอีกครั้งนะ”

 

“ได้ครับ”ผมตอบรับคำพูดของแม่ก่อนจะช่วยแม่หยิบจับในครัวจนแม่ทำกับข้าวเสร็จ ผมเก็บล้างอุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อยแล้วก็ช่วยแม่ยกอาหารไปวางบนโต๊ะ เกือบ 9 โมงแล้ว วันนี้เป็นวันที่แม่กับลุงคณิตไปทำงานสายที่สุดเสียงเปิดประตูห้องดังพร้อมกันด้านบนทำให้รู้ว่าลุงคณิตกับไอ้คินตื่นและเตรียมพร้อมลงมากินข้าวแล้ว

 

เราสี่คนกินข้าวกันไปเงียบๆมีเพียงเสียงพูดคุยของลุงกับแม่เกี่ยวกับงานเป็นบางครั้ง จนกระทั่งลุงอิ่มเรียบร้อยแล้วก็หันไปพูดกับไอ้คิน

 

“เอ้อ คิน เดี๋ยวขับรถพาเซ็ทไปเอารถที่ร้านหมูกระทะด้วยนะ”

 

“ทำไมไม่ให้มันโบกวินไปเองล่ะพ่อ”ไอ้คินตอบพ่อของมันแบบไม่มองหน้า มันก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากในขณะที่ผมนั่งข้างแม่ตวัดตามองมันแวบเดียวก็หันมาสนใจข้าวในจานต่อราวกับมีหน้าพี่อั้ม พัชราภาโปรยยิ้มให้ผมอยู่ในนั้น

 

“อย่าทำตัวงี่เง่านะคิน  เรื่องเมื่อคืนเราเป็นคนเริ่มก่อน รถน้องจอดทิ้งไว้ที่ร้านเราก็ต้องรับผิดชอบความผิดของตัวเองบ้าง พ่อไม่ดุไม่ว่าก็เพราะเห็นว่าคินโตแล้วทำอะไรลงไปก็ต้องมีสำนึกบ้างว่าอะไรผิดอะไรถูก ดีเท่าไหร่แล้วที่เรื่องนี้ไม่กระทบถึงวิทยาลัยไม่งั้นจะโดนทัณฑ์บนหรือเปล่าก็ไม่รู้”

 

“แต่มันทำโมเดลคินพังนะพ่อ ใครไม่โกรธก็บ้าแล้ว”ไอ้คินโยนขี้มาทางผม

 

“จริงเหรอเซ็ท? ลูกทำโมเดลพี่เค้าพังจริงๆเหรอ”ลุงหันมาถามผม

 

“จริงครับ ผมเป็นคนพังโมเดลของคินเองครับ”

 

“ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ”ลุงถามผมด้วยสีหน้าค่อนข้างผิดหวัง

 

“เราดูไม่น่าเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนั้น”

 

“ผมแค่โกรธที่โดนคินแกล้งก็เลยไปพังโมเดลจนพังครับ แต่ผมพยายามขอโทษแล้ว”

 

“ขอโทษแล้วงานกูกลับมาดีเหมือนเดิมได้ป่าวล่ะ  ถ้ากูไม่มีพวกไอ้แดนไอ้แพทมาช่วยมึงคิดว่ากูจะมีงานไปส่งอาจารย์มั้ย มึงจะตีกระจกรถกู จะพังเสื้อผ้ากู กูไม่ว่าแต่มึงจะมาทำลายงานของกูแบบนี้ไม่ได้”

 

“มึงก็เลิกหาเรื่องแกล้งกูสิ ครั้งนี้กูทำเกินไปกูก็ขอโทษมึงแล้วไง ถ้าเมื่อคืนมึงฟังกูแล้วมาเคลียร์กันดีๆมันก็ไม่มีปัญหาหรอก”ผมหันกลับไปเถียงมัน แม่พยายามดึงแขนลูบหลังผมอย่างปรามๆ

 

“นี่มึงจะโทษว่าเป็นความผิดของกูเหรอ”ไอ้คินลุกขึ้นยืนชี้หน้าผม

 

“พอๆ นี่ต่อหน้าพ่อนะคิน ทำไมไม่รู้จักโต เรื่องที่คินกับเซ็ททะเลาะกันพ่อรู้ตลอดแต่ที่ไม่พูดอะไรเพราะคิดว่าเด็กผู้ชายทะเลาะกันมันก็ต้องมีบ้าง แต่ทะเลาะกันจนถึงขั้นไปนั่งรอให้พ่อประกันตัวแบบนี้มันใช้ไม่ได้ พ่ออายแค่ไหนรู้มั้ยตอนที่ไปบอกว่าเด็กสองคนในห้องขังนั่นน่ะเป็นลูกพ่อกับแม่ทั้งสองคน พี่น้องตีกันเองรู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

 

“ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่ใช่น้องผม”ไอ้คินเถียงพ่อมันคอเป็นเอ็น กูก็อยากตะโกนแบบมึงเหมือนกันว่ามึงก็ไม่ใช่พี่กูเหมือนกัน แต่สิ่งที่ผมทำคือนั่งเงียบๆ

 

ก็พอจะรู้สันดานมันอยู่หรอกว่าไอ้คินมันเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แต่ไม่คิดว่ามันจะกล้าเถียงพ่อมันฉอดๆขนาดนี้

 

“เอาล่ะๆ คุณพอเถอะค่ะ คินจ๊ะ ที่น้องทำลงไปน้าต้องขอโทษแทนน้องด้วยนะจ๊ะ ต่อไปน้าจะคอยเตือนเซ็ทไม่ให้ทะเลาะกับคินอีกแบบนี้ดีมั้ย จะได้ไม่ต้องตีกันอีก”

 

“ได้แบบนั้นก็ดี”ไอ้คินพูดกับแม่ผมด้วยน้ำเสียงจองหองจนน่าจะเอาส้นตีนตบปากซักที

 

“พูดกับน้าลดาให้มันดีๆหน่อยคิน”

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าให้ถึงกับต้องบังคับใจกันเลยคุณ”เนี่ย แม่ของผมนี่โคตรนางเอกละครช่อง 7 เลย แสนดีอะไรขนาดนี้

 

“ตกลงตามนั้นนะคินพาเซ็ทกลับไปเอารถที่ร้าน พ่อสั่งกระเช้าไว้แล้ว เข้าไปขอโทษเจ้าของร้านเค้าอีกที พูดกับเขาให้ดีๆลดอีโก้ลงบ้างมันไม่เสียศักดิ์ศรีหรอก ผิดก็ต้องยอมรับผิด ผิดก็ต้องรู้สำนึกแล้วแก้ไข นั่นถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายที่แท้จริง เข้าใจมั้ย” ลุงกวาดสายตามองทั้งผมและไอ้คิน ผมรีบรับปากลุงทันทีแต่ไอ้คินมันมองไปทางอื่นซะงั้น

 


เออ กูเข้าใจคนเดียวก็ได้ ไอ้สันขวาน  เห็นแก่ความดีของพ่อมึงหรอกนะ







.........................



อ่าว ดราม่าเช๊ย!!!



ไม่ครับ คินไม่เคยผิดครับ



น่าเอาไม้ดีดปากพี่เค้านะคะ









ไม้หน้าสาม

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 5
«ตอบ #6 เมื่อ13-11-2018 18:40:47 »

Boy in luv

#คนแมนคินเซ็ท




เศรษฐพงศ์::
 

แอบมองเธออยู่นะจ๊ะแต่เธอไม่รู้บ้างเลย

แอบส่งตีนให้นิดนิดแต่ดูเธอช่างเฉยเมย

เอาหละเตรียมใจไว้หน่อยมันจะหัวก้อยต้องเสี่ยงตีน

Yeah Yeah Yeah


คนน่ารักก็เยอะนะที่เดินอยู่ทั่วๆไป

แต่คนหล่อล่อตีนกูมีแค่มึงเพียงแค่คนเดียว

เอาหละเตรียมใจไว้เถอะเราคงไอ้แดกตีนกันในอีกซักวัน

Yeah Yeah Yeah


เหมือนว่าฉันนั้นเคว้งคว้างลอยไปตามแรงตีน

ยังคงแจกตีนไม่ห่างไม่ร้างไม่ลา

เพราะไม่รู้ว่าเค้านั้นในใจแอบคิดแผนฆ่ากูหรือไม่

ยังคงกังวลไม่แน่ใจในคำตอบนั้น

เพราะยังไงก็ต้องเสี่ยง(ตีน)ไม่รักก็ต้องเสี่ยง(ตีน)

Come on Come on Come on Come on Sonteen

ให้ส้นตีนของกูทักทายเบาๆที่หน้าของมึง


Sonteen Fortune Cookie

มาลุ้นดูสิอาจจะเจอส้นตีนที่ยังรออยู่

ตีน ตีน ตีน

เผื่อจะดีลองวัดกันดู

เสี่ยงตีนแต่คงต้องยิ้มต้องสู้กันไป

 

 

ผมนั่งร้องเพลงที่คิดเนื้อขึ้นมาใหม่บรรยากาศบนรถเงียบเพลงที่วิทยุเปิดก็คิขุเสียเหลือเกิน จากคุกกี้เสี่ยงทายก็กลายเป็นคุกกี้เสี่ยงตีนไป ในขณะที่ไอ้คินก็ทำหน้าเป็นจวักขับรถไปร้านหมูกะทะ  ผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยตั้งแต่บนโต๊ะอาหาร

 

คนเกลียดขี้หน้ากันอยู่ๆจะมาให้เปิดบทสนทนาระหว่างทางคงไม่ถูกนัก

 

กลัวพูดไปจะด่ากันเสียมากกว่า  ในที่สุดหลังจากทนนั่งน้ำลายบูดมาหลายนาทีไอ้คินก็เลี้ยวรถเข้ามาที่ลานจอดรถของร้านหมูกระทะสังเวียนการต่อสู้แม่ไม้มวยหมู่ของพวกเราเมื่อวาน พนักงานต่างกำลังเตรียมอาหารกันอยู่อย่างขมักเขม่น

 

นึกแล้วเสียดายหมูสามชั้นเตานั้นชิบหาย

 

ไอ้คินจอดรถแล้วหันมามองผมที่กำลังปลดเข็ดขัดนิรภัย

 

            “ยกกระเช้าลงไปด้วย”มันสั่งผมก่อนจะลงจากรถ  ผมขยับปากอวยพรมันแบบไม่ให้มีเสียง

 

            ไอ้เหี้ยใช้กูเป็นขี้ข้าเลย”ถึงผมจะบ่นแต่สุดท้ายผมก็ลงมาเปิดประตูหลังหยิบกระเช้าใบใหญ่ที่มูลค่าหลายพันมาถือไว้  ไอ้คินรีรอไม่ยอมเดินเข้าไปซักที

 

            “มึงรอไรอ่ะ?”ผมหันไปถามมันเมื่อไม่เห็นว่ามันจะเดินซักที

 

“มึงนำเข้าไปก่อน”

 

อ่อไอ้สัดโยนขี้มาให้กูซะงั้น

 

อาการแบบนี้แถวบ้านเรียกว่า

 

“ป๊อดเหรอ?”ผมยักคิ้วข้างเดียวเป็นเชิงท้าทายมัน ไอ้คินเตะหินก้อนเล็กๆที่ปลายเท้าของมันก่อนจะเดินชนไหล่ผมนำเข้าไปในร้าน

 

“หึ...ยั่วง่ายชิบหาย”เอาจริงๆผมนี่แหล่ะที่ป๊อด  ใจนี่ฝ่อยิ่งกว่าถั่วเม็ดลีบๆอีกเลยต้องยั่วให้มันนำเข้าไป

 

บรรดาพนักงานในร้านเมื่อเห็นผมสองคนก็จ้องตาไม่กระพริบ

 

“ผมมาหาเจ้าของร้าน”ไอ้คินบอกกับพนักงานที่ดูจะเป็นหัวหน้า พี่คนนั้นเดินไปหลังร้านแป๊บหนึ่ง พี่เจ้าของร้านที่เจอกันเมื่อคืนที่รงพักก็เดินตามออกมา พวกผมรีบยกมือไหว้

 

“วันนี้ผมแวะเอากระเช้ามามอบให้แล้วก็จะมาขอโทษที่ผมกับ...เอ่อ...กับน้องชายมาทะเลาะกันในร้านของพี่เมื่อคืนทำให้ร้านเกิดความเสียหาย ยังไงพี่กรุณาช่วยรับคำขอโทษจากเราสองคนด้วยนะครับ”ผมถึงกับหูผึ่งกับสรรพนามที่ไอ้คินเรียกผม แต่ยังไม่ทันได้ตะลึงอะไรมากไอ้คินก็ใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของผมให้รีบยื่นกระเช้าให้พี่เจ้าของร้านพลางยกมือไหว้ขอโทษพี่เค้าตามไอ้คินที่กลายร่างเป็นหนุ่มมารยาทงามประจำเมืองกาญจน์ไปซะอย่างนั้น

 

“ไม่เป็นไรไอ้หนุ่ม เห็นแก่พ่อเราที่รับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดเมื่อคืน พ่อบอกเราเป็นพี่น้องกันโกรธกันนิดหน่อย นี่ขนาดนิดหน่อยล่อซะร้านพี่เกือบพัง ยังไงเป็นพี่น้องกันโกรธอะไรกันก็คุยกันดีๆโตแล้วอย่าใช้อารมณ์เยอะใช้เหตุผลให้มากๆนะไอ้หนุ่ม อีกหน่อยไปทำงานร่วมกับคนอื่นหัวร้อนง่ายมีแต่พังกับพัง”ผมยืนฟังการบรรยายพิเศษของเจ้าของร้านหมูกระทะด้วยท่าทางนอบน้อม

 

“ยังไงผมกับ...เอ่อ..พี่ชายต้องขอขอบคุณที่ให้อภัยพวกเรานะครับ งั้นเดี๋ยวพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับจะรีบกลับไปให้ทันเรียนตอนบ่าย” ผมรีบตัดบทเมื่อพี่เค้าทำท่าจะร่ายยาวอีกรอบ พี่เจ้าของร้านอวยพรให้เราโชคดีผมรีบจับแขนไอ้คินให้เดินออกมาจากร้าน พอถึงรถก็ปล่อยแบบไม่ใยดี

 

กลับถึงหอจะเอาแอลกอฮอล์ล้างมือ

 

ยี๊

 

“มึงกับกูแยกกันตรงนี้แล้วกัน”ผมเดินไปหาไอ้แดงลูกรัก  ไอ้คินชูนิ้วกลางให้ผมก่อนจะขึ้นรถขับออกไป

 

แหม...นี่ถ้าไม่ติว่าอยู่ในร้านหมูกระทะที่เพิ่งก่อเรื่องพ่อจะเดินไปกระโดดถีบซักที

 

 

 

คณิณ::

 

ผมขับรถออกจากร้านหมูกระทะ เหลือบตามองกระจกหลังก็เห็นไอ้เซ็ทขับอีแดงลูกรักของมันตามหลังมาก่อนจะแยกเข้าสะพานสุดใจไป

 

ผมกระตุกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ตลกหน้ามันตอนที่ผมเรียกมันว่าน้องชาย หน้ามันเหวออย่างเห็นได้ชัดแถมยังทำจมูกบานอีกต่างหาก

 

แม้เมื่อคืนผมจะตีกับมันแต่เมื่อเช้าผมตื่นเร็วกว่าปกติ  ผมได้กลิ่นหอมของอาหารแต่ก็ไม่ได้จะสนใจอะไรถ้าไม่บังเอิญได้ยินมันคุยกับแม่ของมัน

 

ทัศนคติของน้าลดาเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกดีเล็กน้อย เขาไม่ได้สอนให้ไอ้เซ็ทสู้ผม แต่เขาสอนให้มันรู้จักยอมถอยให้ผม ซึ่งนั่นมันดีมาก มันแสดงให้รู้ว่าน้าลดารู้จักสอนให้ลูกชายของเขาเจียมตัว และคำพูดของน้าลดาที่พูดออกมานั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับพ่อของผมมากแค่ไหน

 

ผมเคยเป็นที่หนึ่งในบ้านมาตลอด เหล่าพี่ป้าน้าอาทั้งฝ่ายแม่ฝ่ายพ่อเอาอกเอาใจผมปานเจ้าชายน้อยมาตั้งแต่แม่ตาย

 

สิ่งที่ดีที่สุดมักจะเป็นของผม ไม่สิ สิ่งที่ดีที่สุดตกเป็นของผมก่อนใครตลอดนอกจากว่าผมจะเบื่อแล้วใช้เท้าเขี่ยให้ใครรับต่อนั่นมันอีกเรื่อง

 

แต่อย่าคิดนะว่าแค่คำพูดไม่กี่ประโยคนั่นจะทำให้ผมใจอ่อนลง  อย่างน้อยช่วงนี้ผมจะพยายามไม่หาเรื่องมันไปก่อนซักระยะหนึ่งก็แล้วกัน แค่เรื่องเมื่อคืนผมก็ทำให้พ่อผิดหวังไปมากโข อีกอย่างตอนนี้ผมมีสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญมากกว่ามาคอยหาเรื่องแกล้งไอ้เซ็ทนั่นคือผมต้องทำปัญหาพิเศษเพื่อเตรียมจบ

 

อาจจะเหงานิดหน่อยแต่หลังจากผมเคลียร์งานเสร็จแล้วรับรองไอ้เซ็ทน่วมแน่

 

ผมยังมีอะไรอยากจะแกล้งมันอีกตั้งเยอะแยะเลย







            เศรษฐพงศ์;;

 

ผมขับไอ้แดงกลับมาที่หอเพื่อแต่งตัวไปเรียนคาบบ่าย เป็นอันว่าผมเสียเวลาเรียนคาบเช้าไปเต็มๆ วันนี้อาจารย์นัดพวกผมไปซ้อมจัดสวนหย่อมเพื่อไปแข่ง อกท.ภาคที่ราชบุรี  เอาสมุดกับกล่องดินสอที่ข้างในอัดแน่นด้วยปากกาเขียนแบบสารพัดเบอร์เรียบร้อยแล้ว เซ็คใบหน้าอีกที มีรอยเขียวๆม่วงราวบลูเบอรี่ขึ้นรานิดหน่อย  หอทั้งแถบเงียบกริบแปลว่าถ้าไอ้พวกนั้นยังไม่กลับก็คงไปเรียนแล้ว แต่ให้เดามันคงรีบชิ่งไม่อยู่ฟังพ่อแม่ด่ากับบ้านแน่ๆ เจ็บหรือปวดเมื่อยเนื้อตัวแค่ไหนพวกมันก็จะกระเสือกกระสนกลับมาหอแล้วอ้างว่ามีเรียนแน่ๆ

 

ผมขับรถเข้าวิทยาลัยไม่ลืมจอดแวะเอาเอ็ม 150 ให้ลุงศักดิ์ยามที่สนิทกันขวดนึง ช่วงบ่ายมีชั่วโมงการจัดสวนของอาจารย์บุตรที่สวนหิน ผมขับรถผ่านชอปช่าง หอชาย คณะสัตว์ บรรยากาศดีจนอดที่จะสูดหายใจลึกๆเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติให้เต็มปอด

 

อ่ะ ไอ้สัด กลิ่นขี้หมู

 

ผมสบถอย่างหัวเสียนิดหน่อยเมื่อลืมไปว่าขับผ่านคอกหมูของคณะสัตว์ศาสตร์อยู่ เมื่อถึงสวนหินหรือชื่อเต็มก็คือสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ก็ลัดเข้าไปยังส่วนของเรือนเพาะชำ บริเวณโดยรอยก็พบกับเพื่อนๆในห้องนั่งกันอยู่ตรงนั้นตรงนี้ประปรายกระจายไปทั่ว ใบไผ่กำลังเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง ต้นไม้บนภูเขาหลังโรงเพาะชำของเรากำลังผลัดใบ  วิทยาลัยของผมมีเนื้อที่สองพันกว่าไร่ครอบคลุมภูเขาเตี้ยๆ 2-3 ลูก เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีให้กับพวกเรา เมื่อปลายฤดูร้อนผ่านไปหน้าฝนมาเยือนเห็ดโคนดอกใหญ่กลายเป็นอาหารอันเลิศรส คือมันอร่อยด้วยตัวมันเอง เอาไปหั่นบางๆต้มกับมาม่า จากมาม่าซองละหกบาทก็กลายเป็นมาม่าจากสรวงสวรรค์ไปในทันที

 

            “ไงมึง เป็นไงมั่ง”ไอ้จีนที่กำลังใช้เท้าเดาะกระดาษที่มันเอาปั้นๆเป็นก้อนกลมๆกับไอ้จินหันมาถามผม

 

            “ไม่ไง แม่ดุนิดหน่อย ค่าเสียหายลุงจ่ายให้ เมื่อเช้าเอากระเช้าไปขอโทษเจ้าของร้านเรื่องก็เลยจบ โชคดีที่ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาหรือชอปไปเลยไม่กระทบถึงวิทยาลัย”

 

            “เออ ดีที่ไม่โดนอะไรมาก กูสองคนกลับบ้านไปโดนแม่ตีไอ้จินโดนสองทีก็โดนสาม”

 

            “เอ่า ทำไมมึงโดนมากกว่าไอ้จินล่ะ”ผมถามอย่างแปลกใจที่แม่มันตีลูกไม่เท่ากัน

 

            “แม่บอกกูเป็นพี่นำน้องไปทำเรื่องเสี่ยงอันตราย  ไอ้สัดเกิดก่อนสามนาทีภาระโคตรยิ่งใหญ่”ไอ้จีนพูดจบก็ตวัดตีนเตะก้อนกระดาษใส่หัวไอ้จิน แล้วไอ้สองแฝดก็ไล่เตะกัน

 

            “เซ็ทๆ”ในขณะที่พวกผมกำลังนั่งหัวเราะไอ้สองแฝดเนยหัวหน้าห้องที่เป็นตัวแทนประกวดธิดา อกท.ของวิทยาลัยก็เดินมาหาผม  ผมหันไปมองด้วยสายตามีคำถาม

 

            “มีไรอ่ะเนย?”

 

            “คือตอนประกวดความสามารถพิเศษเนยจะเต้นลีลาศเซ็ทมาเป็นคู่เต้นให้เนยได้มั้ย”

 

            “เราเนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะคนเยอะ อาย เต้นกับไอ้ปัดดิ่”ผมโบ้ยให้เนยไปเต้นรำกับไอ้ปัดแฟนเนยนั่นแหล่ะ

 

            “ปัดตัวไม่สูงน่ะ ตัวเท่าเราเลย เราอยากได้แบบลุคเจ้าหญิงเจ้าชายในนิยายให้คนดูเคลิ้มไปเลยเซ็ทสูงหน้าตาก็ดีด้วย นะ ช่วยเราหน่อย เพื่อวิทยาลัยของเรา”

 

            “ไอ้จีนก็เต้นเป็นเนยเต้นกับไอ้จีนดีมั้ย”ผมหาตัวช่วย จริงอยู่ว่าผมเต้นลีลาศเป็นแต่จะให้ไปเต้นท่ามกลางสายตาคนเป็นพันผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด

 

            “จีนหน้าหวานอ่ะ ขืนไปเต้นคู่เราเค้าจะนึกว่าคู่เบี้ยนอ่ะสิ่ แทนที่เนยจะได้ตำแหน่งจีนคงได้แทนอ่ะ นะเซ็ทช่วยเราหน่อยนะ”

 

            “แต่เราต้องซ้อมจัดสวนหย่อมนะ”ผมยังหาทางบ่ายเบี่ยง

 

            “ก็ซ้อมระหว่างรอเปลี่ยนคาบกับพักเที่ยงก็ได้ เซ็ทเต้นเป็นอยู่แล้วไม่น่ายากอะไร แค่เต้นให้เข้าขากันก็พอ”เนยยังพยายามรบเร้าผม ซึ่งผมหมดหนทางจะปฏิเสธเมื่อมองสายตาเนยที่ส่งมาอย่างขอร้อง

 

            “อือ...ก็ได้ๆ”ในที่สุดผมก็จำใจรับปากเนยไป จะทำไงได้ล่ะ เนยมันก็เพื่อน ตอนที่ผมส่งกระดาษเปล่าวิชาคำนวณพื้นที่ก็ได้เนยช่วยติวหลักสูตรเร่งรัดให้ คราวนี้มันขอก็ต้องช่วยมันหน่อย พวกผมนั่งเล่นกันอีกพักเสียงรถของอาจารย์บุตรก็ดังใกล้เข้ามาเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพัก

 

คาบนี้พวกเราเรียนการจัดสวนตู้กระจกโดยแบ่งกันเป็นกลุ่มๆละ 4 คน  พวกผมไม่มีปัญหาอะไรกับการต้องแยกกลุ่มกันทำงานอยู่แล้ว อาจารย์เป็นคนกระจายกลุ่มให้ เราใช้เวลทั้งคาบบ่าย 3 ชั่วโมงในการเรียนรู้การออกแบบ การใช้ต้นไม้ให้เหมาะกับสวนตู้กระจก การดูแลรักษา ท้ายคาบเป็นการตรวจสวนตู้กระจก อาจารย์บุตรเป็นคนที่วิจารย์และให้คำแนะนำได้ดี  ใครทำอะไรมากไปหรือน้อยไป บกพร่องตรงไหนอาจารย์จะบอกกับเราตรงจุดนั้นๆว่าควรแก้ไขอย่างไร ซึ่งผมชอบเรียนกับแกครับ

 

            “เออ ไอ้กลุ่มสวนหย่อม 5 โมงเย็นห้ามเลทนะโว้ย จะให้ช่วยกันเดินสายไฟติดสปอร์ตไลท์ ส่วนเนย วี ซ้อมในบ้าน” ผม ไอ้ย้ง ไอ้อิ้งค์ตอบรับอาจารย์โดยพร้อมเพรียงกัน พวกเราทำความเคารพอาจารย์หลังหมดคาบแล้วช่วยกันยกตู้กระจกที่จัดสวนเสร็จไปไว้ในรียงเพาะชำ ทำความสะอาดบริเวรที่เรียนเรียบร้อยแล้วก็ไปล้างไม้ล้างมือแล้วพากันขับรถออกนอกวิทยาลัยไปตลาดนัดที่อยู่ไกลออกไป 2-3 กม. หาซื้อกับข้าวง่ายๆ ไอ้ยิมมันไม่ได้มาด้วยกลับหอไปก่อนเพื่อไปหุงข้าวรอ

 

เราจัดการกับมื้อเย็นที่เราเรียกว่ามื้อรองท้องด้วยความรวดเร็ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เก่าๆหน่อยเพราะกลุ่มผมต้องคลุกขี้ดินกันมากกว่าคนอื่น

 

            “ไอ้วี มึงเอายาทากันยุงไปด้วย กลางคืนยุงแม่งเยอะ”

 

            “เออๆ กูมีสเปร์ตะไคร้หอม เดี๋ยวพกไป”มันว่าก่อนจะรวบรวมจานชามออกไปนั่งล้างหลังบ้านโดยมีไอ้จินไปช่วย

 

            “วีมึงไม่ต้องล้างหรอกเดี๋ยวพวกกูล้างให้”ไอ้จีนตะโกนบอก  พวกผมนั่งคุยกันได้พักหนึ่งเมื่อเห็นว่าใกล้ห้าโมงก็พากันกลับเข้าไปในวิทยาลัยอีกครั้ง บ้านพักของอาจารย์บุตรอยู่ไม่ไกลจากสวนหินนัก เป็นบ้านพักอาจารย์สองชั้นก่ออิฐถือปูน มีเรือนเพาะชำขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวบ้าน อาจารย์ปลูกพวกไม้ประดับขายเป็นอาชีพเสริม บ้านอาจารย์มักจะไม่เคยขาดนักศึกษา พวกเด็กกะเหรี่ยงที่หารายได้พิเศษมักจะมาของานอาจารย์ทำทุกวันหยุด

 

เมื่อพวกผมไปถึงก็เข้าไปทักทายอาจารย์นวลที่เป็นภรรยาของอาจารย์บุตร เนยมาถึงได้ซักพักแล้วเพราะอยู่หอใน ไอ้วีเข้าไปดูอุปกรณ์ที่อาจารย์วางกองๆไว้ให้ไม่เป็นระเบียบนัก ส่วนพวกผมสามคนก็ช่วยอาจารย์กับพี่ๆที่เป็นพนักงานในวิทยาลัยจัดเตรียมสปอร์ตไลท์ที่จะใช้ส่องสว่างให้เราตอนซ้อม ไม่นานก็เสร็จ พวกผมถูกอาจารย์เรียกไปทำความเข้าใจกับกฎกติกาการแข่งขัน

 

            “ในกลุ่มนี้ใครเขียนแบบเก่งสุด เป๊ะสุด”อาจารย์เอ่ยถามพวกเราที่นั่งฟังการอธิบายรูปแบบสวนที่จะจัดคร่าวๆ เรื่องเล่นใหญ่ไว้ใจเราครับ วิทยาลัยผมไม่เคยจัดแบบไม้เบาๆสบายๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน อาจารย์จะให้เราจัดแบบสวนหย่อมที่มีศาลาไว้นั่งเล่นท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้า ไม่พอ ศาลาที่ว่าต้องล้อมรอบด้วยระแนงไม้ ที่มีต้นไม้เกาะพันห้อยตัวลงมาอ่อนช้อยและมุมศาลาต้องมีผ้าม่านผู้ไว้เพื่อความสวยงาม มีอ่างน้ำไหล

 

ครับ  เหล่านั้นที่พูดมาเราต้อองจัดมันให้เสร็จตั้งแต่เตรียมดินเตรียมต้นไม้จนกระทั่งเก็บรายละเอียด รวมทั้งเขียนแบบด้วยภายในเวลา 4 ชั่วโมง

 

ครับ ทั้งหมดต้องเสร็จแบบจริงๆก่อนหมดเวลาอย่างน้อย 20 นาทีเพื่อเก็บรายละเอียด

 

            “ถ้าในพวกผมสามคนไอ้เซ็ทเก่งสุดครับ ส่วนผมประเมินราคาได้”ไอ้ย้งตอบอาจารย์

 

            “โอเคงั้นเศรษฐพงศ์เธอรับหน้าที่เขียนแบบ ส่วนยงวิสุทธิ์เธอประเมินราคา โอบนิธิเธอช่วยยงวิสุทธิ์ตรวจทานห้ามลืมอะไรโดยเด็ดขาดเพราะกรรมการจะเก็บคะแนนทั้งหมด พอส่งแบบเสร็จต้องรีบไปลงมือจัดสวนในที่ของตัวเองทันที ที่ให้มาซ้อมเพราะเวลามันจำกัดยิ่งเธอขยันซ้อมความชำนาญก็จะเพิ่มมากขึ้น วันนี้คงไม่ได้ซ้อมอะไรมากเอาแบบที่ครูเขียนคร่าวๆให้ไปดูแล้วลองเขียนแบบสเกล 1:100 มาให้ครูดู เดี๋ยวช่วยกันเตรียมพื้นที่สำหรับซ้อมตามขนาดที่กำหนดนะ พอเตรียมพื้นที่แล้วพรุ่งนี้ค่อยเตรียมอุปกรณ์โอเคมั้ย”พวกเรารับคำอาจารย์ ผมรับกระดาษที่อาจารย์ร่างแบบคร่าวๆมาใส่กระเป๋าก่อนจะแบกจอบคนละด้ามไปขุดดินหน้าบ้านอาจารย์

 

            “ไอ้สัดดินแม่งแข็งจนจอบแทบเด้งฟาดหน้ากู”ไอ้อิ้งค์บ่นอุบเมื่อเราเหวี่ยงจอบลงดินเสียงดังตั่บ

 

ด้วยสภาพดินติดภูเขาแน่นอนครับ ไอ้เหี้ย หินทั้งนั้นเลย ผมขุดดินเตรียมแปลงจัดสวนกันจนเกือบสองทุ่ม มือเมือแทบพังในที่สุดไอ้วีก็เดินมาบอกให้พวกเราเก็บของเพื่อกลับไปพัก

 

            “เด็กๆ พรุ่งนี้ห้ามเลทนะ”อาจารย์ไม่วายตะโกนมาสำทับพวกเรา

 

            “คร๊าบ”พวกผมรับคำอย่างหนักแน่น

 

            “เดี๋ยวพวกมึงกลับไปก่อนเลยกูขับรถไปส่งเนยที่หน้าหอแล้วตามไป”ผมหันไปบอกไอ้อิ้งค์กับไอ้วีให้กลับไปก่อน ส่วนไอ้ย้งจะเก็บของรอ ผมต้องไปส่งเนยก่อนเพราะหอหญิงอยู่ห่างจากบ้านอาจารย์กิโลกว่าๆ ไม่นานผมก็กลับมารับไอ้ย้งแล้วกลับหอ

 

สรุปคืนนั้นหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายรวดเดียวยั้นเช้า

 


เหนื่อยสัด




..................


ไม่เม้นท์ก็จะลง 5555555555555555555555

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Boy in luv

#คนแมนคินเซ็ท






หงุดหงิด คณิณหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมพักนี้เขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดนัก  อาจจะเป็นเพราะการทำปัญหาพิเศษเครียด แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร แม้จะยากแม้จะโดนอาจารย์สั่งแก้งานจนต้นฉบับมีแต่รอยขีดเขียนเขาก็เชื่อว่าเดี๋ยวมันก็จะสมบูรณ์แบบได้เอง กระดาษดราฟถูกกระชากทิ้งออกจากทีสไลด์แผ่นแล้วแผ่นเล่า

 

ไม่ได้ดั่งใจไปซะทุกสิ่งอย่าง

 

                “แม่ง”ที่สุดคณิณก็ลุกจากโต๊ะเขียนแบบหยิบซองบุหรี่ที่วางไว้โต๊ะข้างเตียงแล้วเปิดประตูระเบียงออกไปนั่งสูบบุหรี่ข้างนอก  มองลงไปที่สวนหน้าบ้านต้นไม้ร่มรื่นผิดจากเมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่เพียงลำพังกับพ่อ ทุกวันหยุดเขามักจะเห็นไอ้เด็กนั่นมันก้มๆเงยรดน้ำพรวนดินถอนหญ้าใส่ปุ๋ยเล็มใบไม้แห้ง บางทีก็เห็นมันขนเอาต้นไม้มาปลูกตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไอ้เด็กนั่นมีหัวด้านการจัดสวนอยู่ไม่น้อย

 

แต่ตอนนี้ภาพชินตานั้นหายไปร่วมสองอาทิตย์แล้ว  เศรษฐพงศ์ไม่กลับมานอนบ้านอีกเลยนับจากวันนั้น นี่มันโกรธเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ

 

คณิณเอาความหงุดหงิดไปลงกับบุหรี่นอกราคาแพงเด็กหนุ่มอัดควันเข้าปอดแบบไม่กลัวมะเร็งจะถามหา นั่งมองพระอาทิตย์สีส้มค่อยๆถูกภูเขาลูกใหญ่กลืนหายไป เมื่อสูบบุหรี่จนพอใจแล้วถูงได้เดินกลับเข้าห้องไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่

 

ทั้งเหนื่อย ทั้งเบื่อ แถมยังรู้สึกเหงาแบบแปลกๆ  คณิณปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า เขาวาดแปลนมาหลายวันแล้วมีบางจุดที่บกพร่องเขาก็แก้จนกว่าจะพอใจไหล่ทั้งสองข้างปวดราวกับมีใครมานั่งทับเพราะความอ่อนเพลียที่สะสมมานานนับสัปดาห์

 

คณิณรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักภายในห้องนอนข้างๆรอยยิ้มที่มุมปากกระตุกขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเองเลยซักนิด คณิณลุกขึ้นนั่งบิดคอไล่ความเมื่อขบก่อนจะย่องออกจากห้อง  ประตูห้องนอนของเศรษฐพงศ์เปิดไว้คณิณเดินไปยืนหน้าประตูก็ต้องพบกับความผิดหวัง

 

                “อ้าวคิน ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่า?”ลดาหันไปมองหน้าประตูห้องเมื่อรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นลูกเลี้ยงจอมเหวี่ยงที่เธอพยายามทำดีด้วยมาตลอด

 

หล่อนเชื่อว่าคณิณไม่ใช่เด็กเลวร้ายอะไรที่ดื้อที่หัวแข็งแบบทุกวันนี้เพราะมีแต่คนรุมรักรุมเอาใจเมื่อก่อนคินเติบโตมาได้จากการไปอยู่บ้านนู้นทีบ้านนี้ทีจนกระทั่งขึ้นชั้น ปวช.โตพอจะดูแลตัวเองได้จึงได้กลับมาอยู่กับพ่ออย่างถาวร แต่ความยุ่งอยู่กับงานทำให้คณิตไม่มีเวลาอยู่กับลูกมากนัก คินโตมาได้เพราะเงินที่พ่อปรนเปรอให้ อยากได้อะไรขอแค่เอ่ยปากบอกพ่อก็จะสนองให้ไม่เคยขาด

 

ข้อนี้หากหล่อนเป็นแม่ของคินหล่อนก็อยากจะดุสามีเหลือเกินว่าคณิตแก้ปัญหาด้วยวิธีตื้นๆ เขาคิดว่าเงินแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่คณิตอาจจะลืมไปว่าความเหงาความว้าเหว่ในใจของเด็กที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นก็น่ากลัวเกินกว่าอำนาจเงินจะประทานให้ได้

 

คินกลายเป็นเด็กหยาบกระด้างส่วนหนึ่งก็ต้องโทษการอบรมเลี้ยงดูของบรรดาอากงอาม่าที่ตามใจหลานชายกำพร้าจนเสียเด็ก

 

                “หาไรอ่ะ?”คินไม่ได้ตอบคำถามเธอแต่กลับตั้งคำถามกลับ

 

                “เซ็ทโทรมาบอกให้น้าเอาหนังสือการจัดสวนเบื้องต้นกับพวกนิตยสารบ้านและสวนไปให้น่ะค่ะ พอดีน้องซ้อมจัดสวนที่บ้านอาจารย์มาเอาเองไม่ได้”ลดาตอบคำถามก่อนจะรื้อตามลิ้นชัก

 

                “หลบ หาให้ เคยเห็นมันเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า”คณิณว่าพลางถือวิสาสะเดินเข้ามาเปิดตู้เสื้อผ้าของเศรษฐพงศ์ ชั้นด้านบนมีหนังสือวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ หนังสือที่เศรษฐพงศ์ต้องซื้อใหม่ยกชุดเพราะของเดิมเขาเป็นคนเอามาเผาเล่นนั่นเอง

 

                “ขอบใจมากเลยนะจ๊ะ ว่าแต่คินทานข้าวหรือยัง น้าทำกับข้าวแบ่งไว้ให้แล้วนะเดี๋ยวน้าจะเอาของกินไปฝากน้องที่วิทยาลัยคินทานได้เลยนะคะไม่ต้องรอ”

 

                “แล้วไม่ไปงานเลี้ยงกับพ่อเหรอ?”คณิณจำได้ว่าวันนี้พ่อต้องไปงานแต่งลูกของคู่ค้าคนสำคัญ

 

                “น้องจะรีบใช้น่ะค่ะ โทรมาบ่นด้วยว่าไม่มีเวลาออกไปหาซื้ออะไรกินเลย เบื่อกับข้าวแถวนั้น สงสารน้องไม่อยากให้อด”

 

                “งั้นน้าไปกับพ่อเถอะเดี๋ยวผมเอาของไปให้มันเอง”

 

ลดาว่าคณิณอาจจะกำลังเมาขี้ตาแน่ๆ

 

                “เอ่อ จะดีเหรอคะ?”

 

                “เอาตามนี้แหล่ะ ให้พ่อไปคนเดียวคนนู้นคนนี้มาชวนดื่มเดี๋ยวเมาขับรถกลับบ้านไม่ไหว”คณิณว่าพลางฉวยหนังสือในมือของลดามาถือไว้

 

                “แต่งตัวแป๊บ จะฝากอะไรให้มันก็เอามาเตรียมไว้”คณิณว่าจบก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปเมื่อลงมาด้านล่างขนมนมเนยที่คนเป็นแม่เตรียมไว้ให้ลูกชายก็ถูกนำมาวางรวมไว้บนโต๊ะ

 

                “ถุงนี้เป็นแกงส้มหน่อไม้ดองนะคะบอกน้องว่าถ้ายังไม่กินให้แช่ตู้เย็นไว้จะกินค่อยเอาออกมาอุ่น แล้วพวกนี้เป็นหมูฝอยน้องอยากกิน ไก่รวนหมูหวานกับเนื้อแดดเดียวกินได้นานไม่ต้องแช่ตู้ น้าทำไว้เยอะแบ่งเพื่อนๆกิน พวกขนมนี้ด้วย”





 

                คณิณ::

 

ผมมองบรรดาอาหารคาวหวานที่น้าลดาเตรียมไว้ให้ไอ้เซ็ทด้วยความทึ่งจัด ผู้หญิงตัวเล็กๆสามารถเตรียมของมากมายขนาดนี้ได้ยังไง นี่เตรียมให้ลูกกินหรือจะเอาไปเลี้ยงเด็กกำพร้าตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากันแน่ ปริมาณมันโคตรเยอะเลย

 

                “น้องกินจุน่ะค่ะ ยิ่งเวลาเหนื่อยหรือหิวจะกินเยอะกว่าปกติ เพื่อนๆน้องก็ซ้อมหนักกันทุกคน”และเหมือนน้าลดาจะอ่านความคิดผ่านสายตาของผมออกเจ้าตัวเลยแก้ต่างแทนลูกชายสุดที่รักให้ ผมพยักหน้ารับก่อนจะรวบถุงสารพัดถุงมาถือโดยน้าลดาก็หิ้วบางส่วนตามมา ท้ายรถถูกเปิดบรรดาของกินถูกลำเลียงมาใส่จนเต็ม

 

                “แล้วก็ถ้าน้องพูดจาให้โมโหคินช่วยใจเย็นๆนะคะ อย่าถือสาน้องเลย”



 

                “ผมเอาของไปให้มันไม่ได้จะไปชวนทะเลาะ น้ารีบไปหาพ่อเถอะ”ผมว่าก่อนจะเปิดประตูรถให้น้าลดาขึ้นไปนั่ง ผมแวะส่งน้าลดาไปที่งานเลี้ยงก่อนแล้วถึงวกกลับมาในเมือง แวะจอดที่ตลาดโต้รุ่งซื้อของกินเล่นเพิ่มอีก 4-5 อย่าง แล้วมุ่งหน้าไปที่หอของไอ้เซ็ท ผมขับรถขึ้นมาบนสะพานสมเด็จพระสังฆราช เลี้ยวขวาทางโรงเรียนศึกษาพิเศษผ่านสุสานทหารสัมพันธมิตรตรงเขาช่องไก่ อีกที่ๆไม่ใช่ในตัวเมืองขับไปเรื่อยๆจนถึงเขาปูน พอพ้นเขาปูนไฟฟ้าที่เคยส่องสว่างกลับมืดลงเรื่อยๆทางขึ้นเขาปูนนั้นยิ่งน่ากลัวเพราะเป็นทางที่ตัดกลางถูเขาสองข้างทางเป็นป่าด้านบนเป็นวัดที่สร้างเมรุไว้หน้าวัดพอขับขึ้นมาเหมือนเรากำลังมุ่งหน้าเขาเมรุแปลกๆ



 

แล้วคิดดูไอ้เซ็ทเคยขับรถไปกลับตอนดึกๆด้วยอีแดงของมัน ไม่กลัวโดนดักปล้นเหรอวะ สองข้างทางมีแต่ป่าขนาดนี้ ผมขับมาอีกราวๆ 15 นาทีก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าหอของมัน เห็นพวกมันกำลังนั่งเหมือนหมาหอบอยู่หน้าหอผมแกล้งสาดไฟสูงใส่มัน ไอ้เซ็ทยกมือขึ้นบังสายตาก่อนจะเพ่งมองมาที่รถของผม คิ้วมันขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เป็นภาพที่ผมชอบที่จะเห็น เมื่อมันแน่ใจแล้วว่ารถที่จอดด้านหน้าคือรถของผมมันก็เดินปรี่มาเคาะกระจกข้างผม ผมลดกระจกลงโดยไม่มองหน้ามัน

 

 

                “มาทำเหี้ยอะไร?”



 

                “เอาข้าวมาเลี้ยงหมาเห็นว่าหิวโซ อยู่ท้ายรถ”ผมตอบกลับไปก่อนจะเปิดท้ายรถให้มัน



 

                “ไอ้ส้นตีน ทำไมแม่กูไม่มาเอง”



 

                “จะแดกไม่แดกถ้าไม่ขนลงกูกลับแล้วนะ”





 

                “แดก!!”













 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

                หงุดหงิด

 

เซ็ง กินข้าวฝืดคอ

 

 

15 นาทีที่แล้ว

 

                “อ่าว พวกกูขนของเสร็จแล้วมึงกลับไปได้ล่ะ” ผมปิดท้ายรถมันเมื่อพวกเรามาช่วยกันขนของที่แม่ฝากมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไอ้คินโน้มตัวเข้าไปในรถก่อนจะหยิบหนังสือหนาๆ 4-5 เล่ม ที่บอกให้แม่เอามาให้ยื่นให้ผม

 

                “กูอุตส่าห์ขับรถเอาของมาให้มึง”อยู่ๆมันก็พูดลอยๆออกมา

 

                “ห๊ะ??”ผมหันไปร้องห๊ะใส่มัน

 

                “ไกลชิบหาย เปลี่ยวก็เปลี่ยว”

 

                “จะสื่ออะไรของมึง?”

 

                “ตั้งแต่เที่ยงข้าวก็ยังไม่ได้แดก”

 

                “อ๊าวมึงก็รีบๆกลับไปแดกที่บ้านสิ”

 

                “กูคงเป็นลมก่อนถึงบ้าน”

 

                “มึงถึกอย่างกับควายไม่เป็นลมง่ายๆหรอกกูรู้”

 

                “ที่บ้านไม่มีอะไรแดกแล้วแม่มึงเล่นตักมาไม่เหลือให้กูแดกเลย”

 

                “มึงก็ไปซื้อกินดิ่”

 

                “ดึกป่านนี้ใครจะมาขายให้”

 

                “มาม่าก็มีมึงก็แดกๆไปก่อน”

 

                “คนเราน่ะมารยาทไม่มีไม่เท่าไหร่แต่ไม่มีน้ำใจนี่มึงคนไทยป่าววะ”

 

                “อ่ะไอ้สัดจะแดกก็ตามมารำคาญทำเป็นอ้างนู่นอ้างนี่”

 

นั่นแหล่ะครับผมจำใจต้องยอมให้แขกไม่ได้รับเชิญและไม่คิดจะเชิญให้เข้ามาในห้องของผม ไอ้ยิม ไอ้ย้ง ไอ้วี ไอ้อิ้งค์ สองแฝดที่กำลังกุลีกุจอเตรียมกับข้าวถึงกับมองอย่างไม่เข้าใจ

 

                “ไอ้เซ็ทมึงให้มันเข้ามาทำไมวะ?”เป็นไอ้ยิมที่กำลังตักข้าวแจกเอ่ยถาม ไอ้คินปรายตามองอย่างไม่สนใจ

 

                “เออ ให้มันแดกด้วยที่บ้านไม่มีกับข้าวเหลืออยู่แล้วมันบอกว่าแม่ตักมาให้กูหมด”ผมอธิบายให้เพื่อนฟังคร่าวๆก่อนจะนั่งจุมปุกลงกับพื้นที่มีกับข้าวรายล้อม

 

                “อ่าว ไม่นั่งอ่ะ ลืมเอาตูดมาเหรอ?”ผมกันไปถามไอ้คนที่ยืนคอแข็งไม่ยอมนั่งลงมาซักที

 

                “นี่พวกมึงนั่งกินข้าวกับพื้นเหรอ ไหนโต๊ะวางอาหารล่ะ?”มันเอ่ยถามราวกับเจอสิงมหัศจรรย์ของโลก

 

                “โอ๊ย คุณชายมาจากไหนวะ ใครๆเขาก็นั่งแดกข้าวกับพื้นกันทั้งนั้นนี่หอไม่ใช่ภัตตาคารถึงจะต้องมีโต๊ะหรูๆ”ไอ้จีนเอ่ยออกมาอย่างรำคาญ

 

                “เออ พวกกูก็นั่งแดกข้าวกันแบบนี้ทุกวันไม่เห็นตาย แดกได้ก็แดก แดกไม่ได้ก็กลับบ้านไป”ไอ้อิ้งค์สวนขึ้นราวคอหอยกับลูกกระเดือก ไม่ถึงอึดใจไอ้คินก็นั่งปุกลงข้างๆผม

 

                “ขยับหน่อยสิวะ กูอึดอัด” ผมบอกพวกเพื่อนๆให้ขยายวงเมื่อขาของพวกผมเกยจนแทบจะขี่กัน

 

                “จะขยับห่าอะไรหอแม่งแคบแค่นี้ กูจะขึ้นไปนั่งตักไอ้ย้งอยู่แล้ว”ไอ้วีมันบ่นเมื่อวงของพวกเราขยายใหญ่จนสุดพื้นที่แล้ว

 

                “งั้นนั่งตามยาวมั้ย”ผมเสนอ

 

                “ตามยาวห่าอะไรตักกับข้าวไม่ถนัด”ไอ้ย้งว่า

 

                “เอาเหอะรีบๆแดก จะห้าทุ่มอยู่แล้วยังไม่ได้แดกซักที กูทั้งหิวทั้งง่วงแล้ว”ไอ้จีนมันตัดบท จานข้าวถูกแจกจ่ายให้พวกเราทุกคนรวมทั้งไอ้กาฝากนี่ด้วย

 

                “มึงมีน้ำมั้ย”ไอ้คินที่นั่งข้างผมเอ่ยถาม ผมหันไปมองมันหน้าเน่อมันแดงจัดยั้นลำคอ ปากเจ่อแดงไปหมด มันสูดปากทำหน้าแย่มาก

 

                “เป็นไร?”

 

                “แกงส้มแม่มึงเผ็ดมาก”มันว่าพลางพยักหน้าไปที่แกงส้ม

 

                “อ่ะไอ้สัดแดกเผ็ดไม่ได้แล้วจะแดกทำไม เดือดร้อนกูอีก ไอ้วีมึงนั่งติดตู้เย็นหยิบน้ำให้มันขวดดิ๊”

 

                “อ่ะ ภาระกูอีก”ไอ้วีค้อนขวับมาให้ไม่รู้ว่าค้อนผมหรือค้อนไอ้เหี้ยคินที่นั่งเก็กหน้าเต็มที่ไม่ให้แสดงความเผ็ดออกมา ผมก็ลืมไปว่ามันกินเผ็ดไม่ได้ อารมณ์ดีใจที่ได้กินแกงส้มหน่อไม้ดองฝีมือแม่เลยลืมทันไปซะสนิทเพราะผมชอบอาหารรสจัดยิ่งแกงส้มกินแกล้มกับปลาเค็มทอดนี่อร่อยจนวูบอ่ะ จมูกผมบานจนเพื่อนๆแซวเลย กว่าจะรู้ว่ามันแดกแกงส้มไปแล้วก็ตอนที่มันเรียกนี่แหล่ะ มันรับขวดน้ำที่วียื่นมาให้อย่างลืมฟอร์มเปิดขวดได้ก็กรอกอั่กๆเข้าปาก

 

                “เอ้าแดกนี่”ผมโยนหมูหวานใส่จานให้มัน

 

                “กินไม่ได้ก็อย่าฝืนกินปวดท้องขี้แตกขึ้นมาจะมาโทษแม่กูว่าทำให้มึงป่วย”ผมตักไก่รวน หมูทอดใส่จานให้มัน มันนั่งกินข้าวต่ออย่างเงียบๆส่วนพวกผมนั่งคุยกันเรื่องแข่งที่ราชบุรี จนกระทั่งพวกเราอิ่มข้าวมันยกน้ำขวดที่ผมกินเหลือกระดกตบท้ายส่วนน้ำของมันน่ะแดกหมดตั้งแต่ที่เผ็ดแกงส้มแล้ว

 

                “อิ่มแล้วก็กลับไปได้แล้วกูจะนอนแล้ว เหนื่อย”ผมไล่มันอย่างไม่อ้อมค้อม ไอ้คินมันลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปโดยไม่อิดออดอีก

 

เออสงสัยแม่งหิวจริงแดกเสร็จแล้วไปเลย

 

                “กูว่าไอ้เหี้ยนี่แม่งเมา”ไอ้จีนว่าหลังจากท้ายรถของไอ้คินออกพ้นบริเวณหอไป

 

                “นั่นสิ ทุกทีเจอหน้ากันต้องหาเรื่องด่าหาเรื่องทะเลาะกับมึงวันนี้มานั่งแดกข้าวด้วยกันเฉย”

 

                “มันกลัวพวกเราป่าววะแบบมาคนเดียวไม่กล้าเปรี้ยวตีนไรเงี๊ยะ”ไอ้ย้งมันสันนิษฐาน

 

                “กูว่าไม่หรอก เราก็เคยเจอมันเวลามันไปห้างคนเดียวมันยังด่าพวกเราอยู่เลยกูว่าแม่งกินยาลืมเขย่าขวด อาจจะปวดท้องเลยจะกินยาธาตุแต่เสือกหยิบกรัมมอคโซนมากิน”

 

                “พวกมึงเลิกพูดถึงมันเหอะไปอาบน้ำอาบท่านอนเถอะรุ่งนี้มีเรียนเช้า ร่างกูจะสลายแทนพี่ตูนที่วิ่งจากใต้ไปเหนืออีก”ผมตัดบทพวกมันที่เริ่มออกอ่าวไทยไปเรื่อยๆ

 

                “เออๆแยกๆห้องใครห้องมัน”นั่นแหล่ะพวกเราถึงได้แยกย้ายกันไปนอนห้องตัวเอง

 

 

                คณิณ::

 

ผมกลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่มครึ่งพ่อกับน้าลดายังคงไม่ถึงบ้าน ผมเดินผ่านห้องครัว บรรดากับข้าวสารพัดอย่างถูกใส่จานวางไว้มีฝาชีครอบเพราะน้าลดาคิดว่าผมจะรีบกลับมากิน ผมหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะเดินเหวี่ยงกุญแจรถเล่นขึ้นห้องไป

 

อาบน้ำอาบท่าจนรู้สึกสดชื่นผมก็มานั่งประจำโต๊ะเขียนแบบแล้วเริ่มวาดแบบต่อ น่าแปลกที่ตอนนี้สมองผมลื่นมากเขียนได้คล่องราวกับไอ้กระดาษดราฟที่ปาทิ้งไว้เกลื่อนห้องไม่ใช่เรื่องจริง พ่อกับน้าลดากลับมาถึงบ้านตอนเที่ยงคืนกว่า เสียงคุยกันเบาๆผ่านห้องของผมไปแล้วก็เงียบสนิทในเวลาไม่นานเป็นอันว่าพ่อผมกลับบ้านอย่างปลอดภัยและเข้านอนแล้ว ผมนั่งทำงานถึงตีสามก็เป็นอันเลิก แปรงฟันอีกรอบทาครีมก่อนนอนแล้วก็หลับรวดเดียวยั้นเช้า เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมงัวเงียตื่น มองนาฬิกาแล้วให้หงุดหงิดเล็กน้อย

 

7 โมงครึ่ง ไม่ควรเป็นเวลาที่ผมตื่นผมเดินขยี้ผมไปเปิดประตูห้อง น้าลดายืนยิ้มเจื่อนๆอยู่หน้าห้อง

 

                “ยังไม่ตื่นเหรอคะ น้าขอโทษด้วยแต่น้าเห็นว่ากับข้าวบนโต๊ะไม่พร่องลงเลยคินไม่ได้กินข้าวเหรอคะ น้ามาตามลงไปกินข้าวพร้อมพ่อน่ะ”

 

                “แป๊บนะขอล้างหน้าก่อนบอกพ่อให้กินไปก่อนเลยไม่ต้องรอ”

 

                “ได้ค่ะ ว่าแต่ทำไมไม่ทานข้าวล่ะคะ น้าเก็บแต่ของไม่เผ็ดไว้ให้หรือไม่ชอบ”

 

                “ไปกินที่หอกับไอ้เซ็ทก็อร่อยดี”ผมว่าก่อนจะปิดประตูห้องใส่หน้าน้าลดา



............................................

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2


ตอนที่ 8


                คณิณ::

 

ผมขับรถเข้ามาจอดแล้วรีบเดินฝ่าแดดที่ร้อนปานขุมนรกไปที่คณะ พวกไอ้แดนนั่งคุยกันบ้างก็นั่งดูแบบที่เขียนไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปัญหาพิเศษนี่มันปัญหาพิเศษสมชื่อจริงๆครับ

 

                “ไงมึง เมื่อคืนไปไหนมาวะ กูไปที่บ้านแม่งไม่มีใครอยู่โทรไปก็ไม่รับโทรศัพท์มีไว้ทำไมวะ”

 

                “มีไว้ให้หมาถาม”ผมตอบอย่างไม่ใส่นัก ไอ้แดนชูนิ้วกลางให้ผมเป็นรางวัลที่ตอบคำถามได้ดี

 

                “แล้วตกลงเมื่อคืนมึงไปไหนมากูจะเอาเล่มไปให้ดูแม่งไม่มีใครอยู่บ้านเลย”

 

                “ไม่เสือกดิ่”เป็นอีกครั้งที่ไอ้แดนชูนิ้วกลางให้ผม ผมนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์แบมือรับเล่มที่ไอ้แดนมันเอาไปรับผิดชอบตรวจดูเทียบกับเล่มที่แล้ว

 

                “กูว่าโอเคแล้ว ตรงที่อาจารย์สั่งแก้ก็แก้หมดแล้ว เดี๋ยวบ่ายๆค่อยเอาไปให้แกดู”ผมยื่นกระบอกแบบให้ไอ้แดน คาบเช้าไม่มีอะไรมากตอนเที่ยงเราจึงยกขโมงกันไปหาอะไรกินที่ห้างใกล้วิทยาลัยเป็นห้างใหม่เปิดได้ไม่กี่ปี

 

                “วันนี้กูอยากว่ายทวนน้ำ”ไอ้แพรมันว่าก่อนทำท่ากระดุ๊กกระดิ๊ก

 

                “เหี้ยอะไรของมึง?”ไอ้แพทมันถามกลับอย่างสงสัย

 

                “นอกจากสูงมึงมีอะไรดีมั่งไอ้แพท ความโง่เนี่ยเอามาเยอะๆไอ้แพรมันเอานิ้วจิ้มหน้าไอ้แพท ใจจริงมันคงอยากจิ้มหน้าผากแต่ไอ้แพทก็เสือกสูงเกิน ผมว่าผมสูงแล้วมันสูงกว่าผมอีก

 

                “มึงจะแดกแซลมอนว่างั้น?”ผมหันไปถามไอ้แพร

 

                “เออ นี่ ดูคุณคณิณเป็นตัวอย่าง หล่อแล้วฉลาดสมเป็นสมบัติของชาติ นอกจากหล่อ รวย แล้วยังฉลาด”

 

                “อ่ะ อวย อวยเหมือนเป็นเมียไอ้คินเลยนะมึง”

 

                “ถ้าเป็นเมียมันแล้วก็ได้สมบัติครึ่งหนึ่งของมันกูก็ยอม”

 

                “มึงถามกูยังว่ากูอยากได้มึงมั้ย?”ผมผลักหัวไอ้แพรที่ทำหน้าระรื่น ที่สุดเราก็เลือกที่จะตามใจมันเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น อาหารเรียงรายเต็มโต๊ะถูกสวาปามโดยผู้ชาย 5 คน ก็หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว

 

                “เออไอ้ว่านงานมึงอ่ะเสร็จยัง อย่าให้ช้านะเดี๋ยวไม่ผ่านขึ้นมาจะหนาว”ไอ้แพทหันไปถามไอ้ว่านที่นั่งเล็มผักในจานที่เหลือกิน

 

                “เออน่า ไม่ต้องห่วงกูหรอก”

 

                “ไม่ห่วงได้ไง มึงแม่งชอบดองงาน จริงๆมึงทำแปลนให้เสร็จ เนี่ยเดี๋ยวพวกกูว่างไปช่วยทำเล่ม”ไอ้แพรเสนอ เพราะไอ้ว่านไอ้คู่กับคนนอกกลุ่ม แล้วมันกับคู่ของมันเป็นคนเอื่อยเฉื่อยทั้งคู่ทำให้พวกผมห่วงมันที่สุด

 

                “เออๆกูก็ทำแบบอยู่ ส่วนไอ้เตอร์ทำเล่ม”

 

                “แล้วมึงขอดูบ้างหรือเปล่าว่ามันทำถึงไหนแล้ว เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวอย่าทำเป็นเล่นนะมึง ไม่จบเอานะ เดี๋ยวต้องส่งเกรดขอโควตาเข้ามหาลัยด้วย กูอยากให้มึงไปกับพวกกูนะเว้ย”

 

                “เบื่อหน้ากูบ้างก็ได้ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ม.ต้น”มันว่าอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนทำให้พวกผมนี่คันตีนยึกๆ ขณะที่กำลังด่ามันเหมือนพ่ออบรมลูกชายสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นช็อปสีเทาอมฟ้าคุ้นๆตาเดินผ่านไป

 

                                “พวกมึงเดี๋ยวกูมา”

 

 

คณิณไม่รอให้เพื่อนๆถามร่างสูงปากระดาษทิชชู่ทิ้งลงบนโต๊ะแล้วสาวเท้าออกจากร้านไปทันที ดวงตาคมกวาดมองไปยังทิศทางที่เห็นใครบางคนแวบๆเมื่อครู่ ไม่นานบรรดาเด็กหนุ่มในชอปสีเทาอมฟ้าก็ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง คณิณกระตุกยิ้มเมื่อเจอร่างของคนที่คุ้นเคยกำลังก้มๆเงยๆเลือกของในร้านทุกอย่าง 60 บาท อยู่ แต่คราวนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มของเศรษฐพงศ์เท่านั้นยังมีนักศึกษาที่ใส่ชอปสีเขียวและชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นอาจารย์ กลุ่มของเศรษฐพงศ์เดินตามอาจารย์ไปตลอดจนคณิณไม่มีโอกาสได้เข้าไปหาเรื่องเศรษฐพงศ์ได้เลย

 

“ฝากไว้ก่อนเถอะ”คณิณหมุนตัวกลับไปทางเดิม

 

วันนี้ทางไม่สะดวกอีกอย่างเขาใส่ชอปของวิทยาลัย ถ้าเข้าไปหาเรื่องตอนนี้มีแต่เสียกับเสีย

 

“มึงไปไหนมาวะ?”แดนธรรมถามเมื่อคณิณกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม

 

“เยี่ยว”

 

“อ๊าวไปไม่บอก”จิณณวัตรร้องใส่คณิณเสียงสูง อันที่จริงเจ้าตัวก็ปวดฉี่อยู่แล้วแต่ยังห่วงกินอยู่กะว่าจะชวนเพื่อนๆไปเข้าหลังจ่ายเงินเสร็จแล้วแท้ๆแต่คณิณดันหนีไปเข้าห้องน้ำคนเดียวซะนี่

 

“มึงจะตามไปประคองเจี๊ยวกูหรือไง?”

 

“แหม!!! ไอ้ยิ่งใหญ่!!! กูแค่จะไปเยี่ยวด้วย”

 

“ถึงมึงอยากจับกูก็ไม่ให้มึงจับหรอก”เป็นอีกครั้งที่คณิณได้นิ้วกลางเป็นรางวัลแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ พวกเขาคบกันมานานจนเกินกว่าจะมาใส่ใจคำด่าเล็กๆน้อยๆพวกนี้แล้ว เมื่ออาหารบนโต๊ะหมดลงคณิณก็เรียกพนักงานมาคิดเงิน เป็นปกติที่ชายหนุ่มจะเป็นคนออกเงินจ่ายก่อนแล้วค่อยมาหารกันทีหลัง หลังออกจากร้านแล้ว

 

แม้จะเสียดายที่เจอเศรษฐพงศ์แล้วแตไม่สามารถเข้าไปพูดจาหาเรื่องเหมือนที่เคยทำได้แต่คณิณกลับรู้สึกอารมณ์ดีจนทำให้การเรียนคาบบ่ายไม่รู้สึกน่าเบื่ออีกต่อไป

 

เขาเองก็บอกความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะตลอดปีกว่าที่ผ่านมาเขาแกล้งไอ้เด็กนั่นจนติดเป็นนิสัย แค่นึกแผนแกล้งให้มันโกรธเขาก็สนุกแล้วแม้ว่าผลลัพท์เป็นเขาเองที่เสียหายมากกว่าแต่คณิณก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย

 

เขามีเงินเหลือกินเหลือใช้จนคิดว่าอย่างน้อยสิ่งที่เสียไปในช่วงนี้แค่ซื้อประสบการณ์ให้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น หากอายุมากไปกว่านี้ก็คงมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ได้แล้ว

 

“เย็นนี้ไปบ้านมึงหรือบ้านกู?”แดนธรรมหามาถามคณิณที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าเป้หลังคาบบ่ายอันน่าเบื่อจบลง

 

“บ้านกู”

 

 







คณิณ::

 

ผมขับรถนำไอ้แดนมุ่งกลับมาที่บ้าน พลันสายตาก็มองเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังขมักเขม้นกับการประกอบอะไรซักอย่างที่สนามหน้าบ้าน

 

ไอ้แดนขับรถมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน สายตามันจับจ้องไปที่ไอ้กลุ่มๆก้อนๆพวกนั้นเช่นเดียวกับผม

 

“ไอ้คินน้องชายสุดที่รักมึงมาว่ะ”

 

“น้องพ่อมึงสิ”ผมหันไปด่ามัน แต่ไม่รู้ทำไมมุมปากของผมมันกลับกระตุกยิ้มเองซะอย่างนั้น

 

สาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากจะยิ้มเลยซักนิด









 

คณิณเดินผ่านพวกของเศรษฐพงศ์ราวกับคนพวกนั้นเป็นอากาศธาตุ แดนธรรมเองเมื่อเห็นเพื่อนไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกของเศรษฐพงศ์อีก แม้ว่าจิรนันท์จะหันมาเบะปากใส่ก็ตาม สองหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน บนโต๊ะมีกระติกน้ำแข็งวางอยู่

 

                “มึงขึ้นไปก่อนเดี๋ยวกูตามไป”คณิณหันไปบอกแดนธรรมที่เดินตามหลังมาติดๆก่อนจะยื่นกุญแจห้องไปให้แดนธรรมรับแล้วเดินขึ้นห้องของคณิณไปอย่างคุ้นชิน บ้านหลังนี้พวกเขาทั้งกลุ่มเข้านอกออกในมาตั้งแต่อยู่ ม.ต้นแล้ว

 

คณิณเดินเขาม้าในครัวก่อนจะกวาดตาหาของบางอย่างกระติกน้ำร้อนถูกเสียบทิ้งไว้ เมื่อเจอของที่ต้องการแล้วรอยยิ้มร้ายก็ผุดขึ้นทันที

 

               

เศรษฐพงศ์::

 

ตอนนี้พวกผมมารวมตัวกันที่บ้านหลังจากแยกกับอาจารย์ เรากำลังช่วยกันต่อระแนงไม้ที่จะเอาไว้ประดับในสวนหย่อมที่ผมจะไปแข่ง ไอ้จีนกับไอ้จินช่วยกันทาสี ไอ้อิ้งค์กำลังใช้เชือกพันประดับปลายเสาไม้ไอ้ย้งกับผมช่วยกันตอกตะปู อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวเดาว่าอีกวันสองวันฝนคงตกลงมาแน่ๆ

 

                “หิวน้ำหว่ะ ไอ้เซ็ทไปยกน้ำให้กินหน่อย”ไอ้จีนหันมาสั่งผม แก้มมันแดงปลั่ง อากาศร้อนทำให้มันหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ผมวางค้อนในมือ ลงแล้วเดินกลับเข้ามาในบ้านผมกระพือคอเสื้อไปมาไล่อากาศร้อน คอแห้งผากราวกับกินทรายเข้าไป ผมเปิดกระติกน้ำก่อนใช้แก้วพลาสติกที่คว่ำอยู่บนฝากระติกจ้วงน้ำมาเต็มแล้วดื่มอย่างหิวกระหาย

 

พรวด!!!!

 

ผมพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปอึกใหญ่ราวช้างพ่นน้ำ  เสียงหัวเราะดังจากข้างบนบ้าน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นปลายเสื้อชอปแว๊บๆแล้วตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องดังปังใหญ่

 

“ไอ้เหี้ยคิน!!!!”ผมตะโกนเรียกไอ้ตัวการณ์ที่ทำให้ผมถึงขั้นกับไอค่อกแค่กในตอนนี้

 

แม่ง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนผมแดกน้ำที่นำเข้ามาจากทะเลทั่วทั้งโลก

 

ไอ้สันดาน นิดๆหน่อยๆ ก็เอาอ่ะ ในหัวมันนี่คงมีแต่เรื่องที่ว่าจะแกล้งผมยังไงแน่ๆ

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท น้ำน่ะกูแดกวันนี้นะ ไม่ได้แดกพรุ่งนี้ นี่มึงไปโพงน้ำจากบ่อบาดาลหรือไงถึงนานแท้”เสียงไอ้จีนตะโกนเข้ามาในบ้าน ผมสบถอย่างหัวเสียก่อนจะหิ้วกระติกน้ำเข้าไปเททิ้งที่ซิ้งค์ล้างจาน  บนโต๊ะในครัวมีถุงเกลือป่นวางอยู่นับสิบถุง

 

ไอ้คนเลว ไอ้สันดานไม่ดี ไอ้ชั่ว ผมกร่นด่ามันซ้ำๆในขณะที่ล้างกระติก โชคดีที่น้ำแข็งยูนิตยังเหลืออีกถุง ผมทุบแล้วเทมันลงไป น้ำเป๊ปซี่ขวดลิตรที่ซื้อมาแช่ติดตู้ไว้ประจำเพราะผมติดน้ำอัดลมถูกเทลงไปก่อนจะหิ้วไปให้ไอ้พวกที่ทำงานอยู่ข้างนอก

 

                “ใช้ให้ไปเอาน้ำแค่นี้หายไปเป็นชาติ”ไอ้จีนมันบ่นไม่เลิก มันน่าหิ้วน้ำเกลือกระติกเมื่อกี๊มาให้แดกจริงๆ พอเห็นกระติกน้ำก็เหมือนอุปทานหมู เพื่อนๆของผมกรูกันเข้ามาไอ้จีนแม้จะหิวแค่ไหนมันก็เสียสละตักน้ำให้ไอ้จินกินก่อน ผมไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของมันสองคนจริงๆ บางทีก็ตีกันแทบตาย อย่างวันก่อนไอ้จีนนึกคึกอย่างเป็นนักบอล ไอ้จินมันเก่งบอลอยู่แล้วเลยสอนให้ พอโหม่งที ก็แหกปากร้องว่าเจ็บ พอไอ้แฝดน้องโยนบอลให้ใช้อกรับก็บ่นว่าจุก ทีเด็ดคือไอ้จินนึกยังไงไม่รู้เตะบอลป๊าบ เข้ากลางเป้าไอ้จีนถึงขั้นจุกจนตัวงอ จุกจนต้องร้องขอชีวิต พอหายจุกหายเจ็บกล่องดวงใจไม่บุบสลายไอ้จินที่ยืนหัวเราะร่าก็ต้องเป็นฝ่ายวิ่งหนีลูกเตะพายุหมูแทนครับ คุณอ่านไม่ผิดครับ ลูกเตะพายุหมูจริงๆ ไอ้แฝดสองคนนี่มันแข่งกันตัวตันครับ บ้าพลังทั้งคู่ด้วย

 

                “แม่กูบอกว่าเย็นนี้ให้อยู่รอกินข้าว แม่จะกลับมาทำกับข้าวให้กิน เดี๋ยวก็คงใกล้มาแล้ว”ผมบอกกับเพื่อนๆ ไอ้พวกนี้แหกปากร้องเฮดังลั่นอย่างกับเชียร์บอล ไม่นานรถยนต์ของแม่ก็แล่นเข้ามาในบ้าน

 

                “เอ้าหนุ่มๆมาช่วยแม่ยกของลงหน่อยเร็ว ใครว่างพอจะวางมือได้มาช่วยแม่ทำกับข้าวซักคนสองคนจะดีมาก”แม่กวักมือเรียกให้พวกผมไปขนของท้ายรถลง

 

                “งั้นเดี๋ยวให้จินช่วยก็ได้แม่”ไอ้จินรับอาสาส่วนอีกคนคงเป็นใครไม่ได้นอกจากผม ในบรรดาพวกเราก็มีแค่ผม ไอ้จิน ไอ้วี ที่พอจะทำกับข้าวเป็น เสียดายที่วันนี้ไอ้ยิมต้องไปช่วยอาจารย์ลงต้นไม้ ไอ้ยิมมันเก่งเรื่องทำกับข้าว บรรดาอาหารสดถูกวางลงบนโต๊ะในครัว ดีนะที่ผมเก็บถุงเกลือทิ้งไปเรียบร้อยแล้วแม่จึงไม่รู้ว่าไอ้ลูกเลี้ยงคนดีของแม่มันแกล้งดาวพระศุกร์อีกแล้วค่ะคุณแม่ขา

 

ผมจัดการล้างผักตามที่แม่สั่ง ผ้ากันเปื้อนถูกยื่นให้ผมกับไอ้จิน ส่วนคนอื่นๆยังคงทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อไป

 

                “แม่ทำแกงป่าซักชามได้ป่าว เซ็ทอยากกินแกงป่า”ผมเสนอเมนูพิเศษให้แม่เมื่อเห็นว่ากับข้าวที่แม่ทำมีแต่จืดๆ แกงจืดเต้าหู้อ่อนหมูสับ ไข่เจียว ผัดผักรวมมิตร แถมมีหมูทอดของโปรดไอ้คินอีกจานเบ้อเริ่ม

 

                “เดี๋ยวแม่ดูมะเขือเหลืองกับกะเพราก่อนนะลูกว่ามีมั้ย” แม่วางมือจากการปรุงต้มจืดแล้วรื้อของในตู้เย็น

 

                “โอเค เดี๋ยวแม่ทำให้นะ ว่าแต่เพื่อนๆกินเผ็ดได้ใช่มั้ย?”

 

                “กินได้แม่ ใส่ไปเลยพวกผมจกส้มตำปูปลาร้าพริกสิบเม็ดแทบทุกวัน”ไอ้จินมันตอบกลับหน้าระรื่น ในที่สุดอาหารหลายอย่างก็ถูกทยอยมาวางบนโต๊ะพอดีกับที่รถของลุงแล่นกลับมาจอดในบ้าน

 

                “วันนี้ลุงเขากลับเร็วน่ะ เห็นบอกดีใจเซ็ทกลับบ้านไม่ได้เจอนานลุงเขาคิดถึง”แม่บอกผมอย่างอารมณ์ดีพลางเดินไปรับลุงที่หน้าบ้าน พวกเพื่อนๆผมต่างยกมือไหว้ลุงอย่างมีมารยาท

 

                “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะคุณแล้วค่อยมาทานข้าว อาหารเพิ่งเสร็จยังร้อนๆ”

 

                “แล้วนี่คินกลับมาแล้วใช่มั้ยเห็นรถจอดอยู่”

 

                “กลับมาแล้วครับ มากับเพื่อน”ผมตอบคำถามเมื่อลุงหันมาถามผม

 

                “งั้นเดี๋ยวเซ็ทช่วยไปตามคินมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทีเถอะ เรียกเพื่อนๆเข้ามาได้เลยกินหลายๆคนสนุกดี”ลุงวานให้ผมไปตามไอ้เหี้ยคิน ผมนี่อยากจะแย้งลุงแต่แม่ก็หันมาพยักหน้าให้ผม

 

                “ก็ได้ครับ”ที่สุดผมก็ต้องยอมรับปากอย่างเสียมิได้ ผมลากขาอันแสนหนักอึ้งขึ้นมาหยุดยืนที่หน้าห้องของมัน เสียงมันกับไอ้แดนคุยกัน น่าจะเกี่ยวกับรื่องเรียนเพราะดูมีสาระดังออกมาแว่วๆ ผมใช้มือเคาะประตูห้องอันที่จริงอยากใช้ตีนซักพักประตูห้องของมันก็เปิด ไอ้คินทำสีหน้าเรียบนิ่งราวกับรำคาญผมเสียเต็มประดา

 

                “มีไร?”

 

                “แดกข้าว!!”ผมพูดจบก็ไม่รอคำตอบเดินลงส้นตึงๆลงมาข้างล่าง

 

                “เซ็ตไปเตรียมแก้วเตรียมน้ำมาวางบนโต๊ะทีลูก เอ้าเด็กๆนั่งเลยจ้า”แม่กวักมือเรียกพวกเพื่อนๆของผมที่ล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยให้มานั่งเรียงกันที่โต๊ะ

 

                “กูไม่นั่งตรงนี้”ไอ้จีนโวยวายเมื่อเก้าอี้ที่เหลือเป็นของมันซึ่งเป็นที่นั่งติดกับไอ้แดน ฝ่ายนั้นทำหน้าเหมือนจะถามว่านั่งข้างกูแล้วมันเป็นยังไง

 

                “ไอ้ย้งมึงแลกที่นั่งกับกู”ไอ้จีนหันไปเรียกไอ้ย้งที่นั่งริมสุด

 

                “ไม่เอา กูก็ไม่อยากนั่งใกล้มัน”

 

                “งั้นไอ้อิ้งค์มึงมา”มันยังไม่เลิกหาเหยื่อ

 

                “จะแดกมั้ยข้าว?”ไอ้คินเอ่ยถามอย่างรำคาญก่อนที่มันจะลุกขึ้นยืน

 

                “ไอ้แดนมึงมานั่งที่กู ส่วนมึงไอ้อ้วนไปนั่งที่ไอ้เซ็ท ไอ้เซ็ทมึงมานั่งนี่ จะได้จบๆปัญหาไปเร็วๆก่อนพ่อกูกับแม่มึงจะมา”ผมที่กำลังรินน้ำแจกเพื่อนๆถึงกับชักสีหน้าทันที

 

ทำไมกูต้องไปนั่งใกล้มึงด้วยอ่ะ?

 

                “เออไอ้เซ็ทมึงไปนั่งคั่นมันไว้ กูไม่อยากจะอยู่ใกล้มัน”ไอ้จีนรีบเออออห่อหมกไปกับไอ้คิน

 

                “เออๆกูนั่งก็ได้ รอกูแป๊บน้ำหมด”น้ำในเหยื่อกหมดก่อนที่จะถึงแก้วของไอ้คินผมถือเหยือกน้ำติดมือเข้าครัว ก่อนความคิดบางอย่างจะแวบเข้ามาในหัว ผมเดินกลับไปที่โต๊ะก่อนจะหยิบแก้วของไอ้คินกับไอ้แดนขึ้นมา

 

                “เทใส่แก้วมาเลยแล้วกันจะได้ไม่ต้องวางเหยือกเกะกะ”ไม่นานผมก็วางแก้วน้ำให้ไอ้แดนกับไอ้คิน ลุงที่ล้างหน้าล้างตาลงมาจากห้องก็มานั่งประจำที่ๆหัวโต๊ะพลางเชื้อเชิญให้พวกผมลงมือกินข้าวได้เลย พวกเรากินไปตอบคำถามของลุงไป ลุงถามเรื่องการแข่งขของพวกผมเช่นใครแข่งอะไรทำอะไรบ้างแล้วก็หันไปถามเรื่องงานคู่ของไอ้คินกับไอ้แดน ผมก็เพลิดเพลินกับแกงป่ารสเด็ด อารามรีบกินจนเกินไปทำให้ผมสำลัก ผมคว้าแก้วน้ำใกล้มือขึ้นมาดื่มก่อนจะรีบตะครุบปากของตัวเองไว้

 

                “อ่าวเป็นอะไรเหรอลูก?” แม่ถามเมื่อเห็นผมทำตาเหลือก ผมรีบลุกจากเก้าอี้มองหน้าไอ้คินที่ส่งยิ้มจนเหงือกบานมาให้ผม

 

                “สำลักเหรอ กินน้ำเยอะๆสิ แหมเย็นเจี๊ยบจนแก้วขึ้นไอชื่นใจน่าดู”ผมรีบยกมือเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะรีบพุ่งไปห้องน้ำแล้วคายทั้งข้าวทั้งน้ำที่เค็มปี๋ลงในโถส้วม

 

                “ไอ้เหี้นคิน แอบเปลี่ยนแก้วกูตอนไหนวะไอ้สัดเอ้ย”

 

คุณเคยได้ยินคำพระคำนี้มั้ยครับ  ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

 

ผมแค่จะแก้แค้นที่ไอ้คินเอาน้ำเกลือใส่กระติกน้ำให้ผมกิน ผมแค่ผสมน้ำเกลือในแก้วให้มัน แล้วมันรู้ทันได้ยังไงวะ??

 

 

 


 

 

 

 

                ......................



โอ๊ะโอ น้องกลับบ้าน



น้องกลับบ้าน



น้องกลับบ้านนนนนนนนน





ดับเบิ้ลคิล!!



ยกนี้คนพี่ชนะแบบใสสะอาดอิอิ

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

Boy in luv 9



เศรษฐพงศ์::             
 

 

หลังอาหารมื้อเย็นก็เป็นเวลาทุ่มกว่า รถของวิทยาลัยก็ยังไม่มารับเราซักที ผมโทรไปเช็คกับอาจารย์ก็ได้ความว่ารถที่จะมารับเสีย

 

            “อ่าว ไอ้ห่าต้องรีบกลับไปทำรายงานด้วยป่าววะ”ไอ้จีนบ่นอุบหลังจากรู้ว่ารถที่มารับพวกเราเสียละอาจจะต้องซ่อมนาน

 

            “จะต้องกลับคืนนี้เลยเหรอลูก?”แม่ถามผมเมื่อเห็นพวกเราเริ่มออกอาการหงุดหงิด

 

            “ใช่แม่ มีรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้เช้า พวกเซ็ทยังทำไม่เสร็จเลย ซ้อมหนักทุกวัน”

 

            “ทำไงดี วันนี้แม่กับลุงเอารถกลับมาแค่คันเดียว”แม่มีสีหน้ากังวล

 

            “ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวให้พวกไอ้ยิมมารับ”

 

            “ป่านนี้มันยังซ้อมไม่เสร็จหรอกพวกไอ้ยิมเลิกสามทุ่ม”

 

            “เออ แล้วลุงแม่งแทนที่รถเสียจะโทรมาบอกก่อนนี่ถ้ามึงไม่โทรไปไม่รอแหง่กเลยเหรอวะ?”ไอ้จินที่ปกติอารมณ์เย็นกว่าแฝดพี่มันโวยวายขึ้นมาบ้าง

 

รายงานวิชานี้เป็นรายงานของอาจารย์เดชที่ค่อนข้างจะลำเอียงกับกลุ่มผมเล็กน้อย((มาก)) ถ้าไม่ส่งถึงขั้นเกรอเหลือ 0 ได้ง่ายๆ ยืนยันจากเทอมที่แล้วที่ผมลืมส่งงานแค่งานเดียวจาก 3.5 เหลือ 0 แบบสวยๆกลมๆ

 

            “ลุก”อยู่ๆไอ้คินที่ดินมาจากไหนก็ไม่รู้ก็มาบอกให้ผมลุก

 

            “เก้าอี้มีเยอะแยะมึง...เอ่อ  พี่ก็เลือกนั่งซักตัวดิ่”ผมรีบเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกไอ้คินทันควันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลุงยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้

 

            “กูให้พวกมึงลุก กูกับไอ้แดนจะไปส่ง”

 

            “หืม?” เสียงไอ้แดนร้องหื๊มแบบแปลกใจก่อนจะตอบรับ

 

            “เออ จะไปส่ง รีบๆลุกกูก็มีงานทำเหมือนกัน”

 

 

            คณิณ::

 

ผมยังคงวางสีหน้าบึ้งตึงจนเมื่อยคิ้วตามเดิม ไอ้แดนที่เหมือนจะเข้าใจอะไรง่ายรีบรับลูกต่อจากผมแบบแทบไม่ต้องคิดอะไรมาก ไอ้เด็กพวกนั้นมองหน้ากันพลางใช้สายตาสื่อสารกันเงียบๆ

 

ไอ้สองแฝดนั้นจ้องไอ้เซ็ทเขม็งประมาณว่า

 

            “กูไม่ไปกับพวกมัน”

 

            “เอาไง จะรีบไปทำรายงานไม่ใช่เหรอ ไม่ไปกูกับไอ้แดนจะได้ไป”ผมหันไปกดดันพวกมัน

 

            “เซ็ทกับเพื่อนๆก็ให้พี่เค้าไปส่งเถอะลูก รถของวิทยาลัยจะเสร็จเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ดีกว่ารอแบบไม่มีจุดหมายแบบนี้”แม่ของมันสนับสนุนข้อเสนอของผม

 

            “ก็ได้”ที่สุดมันก็ยอมตกลง ผมเดินนำพวกมันมาที่รถ พวกมันเดินตามมาแบบอิดออด

 

            “ใครจะไปคันไหนบ้างอ่ะ”ผมหหันไปถามเพื่อนๆ

 

            “กูไม่อยากไปซักคัน”เสียงไอ้แฝดตัวอ้วนๆขาวๆมันพูด ไอ้จีนใช่มั้ย เพราะไอ้ตัวคล้ำกว่าชื่อไอ้จิน

 

            “กูก็ไม่อยากไปมั้ยล่ะ”ไอ้เซ็ทหันไปโวยวายกับเพื่อนมัน ผมกับไอ้แดนกดปลดล็อครถพวกมันก็ยังเถียงกันไม่จบ

 

            “ไอ้แดนมึงเอาไอ้สองแฝนกับไอ้คนนั้นไปนะ ไอ้เซ็ทมึงมากับกูไอ้ย้งมึงมาคันนี้”ผมจัดแจงแบ่งคนให้แยกไปคนละคัน

 

            “ทำไมกูต้องเอาไอ้แฝดนรกนี่ไปด้วยวะ”ไอ้แดนถามผมอย่างประท้วง

 

            “มันพูดมากกูหนวกหู”

 

            “ไอ้เหี้ย”ไอ้จีนอวยพรอวยชัยให้ผม ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ

 

            “เออ มึง ทนๆนั่งไปเหอะ กูอยากกลับไปทำรายงานแล้ว เดี๋ยวเดชแดกหัว”ในที่สุดหลังจากเถียงกันอีกสองสามคำไอ้คนชื่ออิ้งค์ก็ตัดปัญหา

 

            “มึงมานั่งหน้ากับกูไอ้สองแฝดนรกไปนั่งหลังแล้วเงียบๆด้วย มึงพูดมากกูรำคาญเดี๋ยวเสียสมาธิขับรถไอ้แดนจัดที่นั่งให้คันของมันเสร็จสรรพ ส่วนไอ้เซ็ทเดินไปเปิดประตูหลังเตรียมเข้าไปนั่งกับไอ้ย้ง ผมมองมันอย่างเคืองๆ

 

            “มึงมานั่งหน้ากับกูไอ้เซ็ทกูไม่ใช่คนขับรถของมึงนะไอ้เหี้ย”

 

            “อ่าวกูอยากนั่งกับเพื่อนกู”มันเถียงครับ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อถอนความหงุดหงิด

 

ทำไมไอ้เด็กเหี้ยนี่มันต้องดื้อต้องต่อต้านผมไปทุกสิ่งอย่าง ผมกระแทกประตูฝั่งตัวเองปิดก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งมันแล้วลากมันออกมา

 

            “โอ๊ยไอ้เหี้ยคิน อะไรของมึงเนี่ย”มันโวยวายขืนตัวจะไม่ยอมมานั่งหน้าจนผมต้องชี้หน้าคาดโทษมันอีกคน

 

            “ถ้ามึงไม่ยอมนั่งเฉยๆคืนนี้มึงก็ไม่ต้องกลับ”

 

            “ไอ้เซ็ทมึงก็นั่งๆไปเถอะ กูอยากกลับหอแล้ว”ไอ้ย้งมันบีบไหล่ไอ้เซ็ทไว้ทำให้ไอ้เด็กเวรนั่นยอมนั่งนิ่งๆได้ซักที

 

            “มึงนี่ก็พิลึกคนนะไอ้คิน เกลียดกูจะเป็นจะตายแต่เสือกมาวอแวกูจัง”

 

 

 

คณิณที่กำลังสตาร์ทรถถึงกับชะงักกึกกับคำพูดประโยคนั้นของเศรษฐพงศ์ เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าเลือกที่จะเมินหน้าหนีเขาไปอีกทางแบบที่ชอบทำเวลาจำใจต้องนั่งรถไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมา

 

นั่นสิ...ทั้งๆที่เขาเกลียดแสนเกลียดไอ้เกเลวตรงหน้านี่แต่เวลามันหายไปเขาก็หงุดหงิด  พอมันกลับมาเขาก็ดีใจ  ดีใจในที่นี้ก็เหมือนเสือที่เจอเหยื่อเหมือนแมววัยเปรียวที่ชอบตบเหยื่อให้วิ่งไปทางนู้นทีวิ่งไปทางนี้ทีจนหัวหมุน

 

            “ใครบอกมึงว่ากูวอแวมึง ที่กูไปส่งก็เพราะพวกมึงคุยกันเสียงดังถ้ายังไม่กลับเดี๋ยวพ่อกูก็นั่งแหกขี้ตาอยู่คุยด้วยแทนที่พ่อกูกับแม่มึงจะได้พักผ่อน”

 

            “อ่อ ทำตัวเป็นลูกกตัญญูว่างั้น”

 

            “แล้วมึงคิดว่ากูทำไปทำไม คิดว่ากูชอบมึงเหรอ”คณิณแกล้งหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ยงวิสุทธิ์นั่งทำตัวให้ลีบที่สุด

 

            “นึกซะว่ากูเป็นไรฝุ่นไปก็แล้วกันนะ”เด็กหนุ่มที่นั่งคนเดียวที่เบาะหลังคิดในใจ

 

            “แล้วมึงชอบกูป่าววะ”เศรษฐพงศ์ผู้ไม่เคยยอมลดราวาศอกให้หันกลับไปถามอย่างคนอวดดี

 

            “กูเกลียดมึงยังกับอะไรดี คิดว่ากูจะชอบมึงลงมั้ยล่ะ” ทั้งๆที่พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินเต็มสองหูเศรษฐพงศ์ก็รู้สึกจุกๆในอก

 

ทำไมวะ ทั้งๆที่เขาทำดีทุกอย่างแล้ว ไม่เคยหาเรื่องคนปากหมานี่ก่อนเลยซํกครั้งแต่เขายังคงได้รับความเกลียดชังอย่างสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

ไม่ต้องมาชอบหรือมาญาติดีกันก็ได้ แค่อย่ามาหาเรื่องกันของง่ายๆแค่นี้คณิณยังทำไม่ได้ซักนิด

 

            “เงียบทำไม? ไม่ปากดีเถียงกูต่อเหรอ”

 

            “ไม่ล่ะ เปลืองน้ำลาย กูไม่อยากพูดกับคนที่เกลียดกูและกูก็เกลียดมึงเหมือนกัน”

 

ตอนแรกคณิณคิดพียงแค่จะพูดให้เศรษฐพงศ์โกรธแต่ตอนนี้กลายเป็นตัวเขาเองที่โกรธจนควันแทบจะออกหูอยู่แล้ว ร่างสูงรีบขับรถไปหอของเศรษฐพงศ์ อีก 20 นาทีต่อมารถยนต์คันหรูก็มาจอดหน้าหอ ยงวิสุทธิ์กับเศรษฐพงศ์เปิดประตูรถลงมาโดยไม่หันไปขอบคุณคนที่มาส่งซักคำ ส่วนคณิณเองก็ออกรถไปอย่างรวดเร็วจนแดนธรรมที่เพิ่งจะตามมาติดๆได้แต่บ่นตามหลัง

 

            “ขับรถอะไรของมึงเนี่ย ขับอย่างกับเหาะ” ชายหนุ่มจอดรถให้สองแฝดและโอบนิธิลง จิรนนันท์กับจิรนนท์เดินเข้าหอไปโดยไม่คิดจะเอ่ยคำขอบคุณ โอบนิธิที่กำลังจะเดินตามไปวกกลับมาเปิดประตูรถแล้วโน้มตัวลงมาพูดกับเขาเป็นประโยคแรก

 

            “ขอบใจ” จากนั้นประตูรถก็ปิดลงอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงที่เดินตามสองแฝดกลับเข้าหอไป

 

            “ตอนไม่ตีกันมันก็ดีนี่หว่า ทำไมไอ้คินชอบยุให้พวกกูตีกับพวกมึงแท้วะ กูงง”









 

 

 

            หลังจากวันที่ไปทำระแนงไม้ที่บ้านแล้วอีกสองวันต่อมาเศรษฐพงศ์กับพาเพื่อนๆไปขนของกลับมาไว้ที่วิทยาลัย โชคดีที่วันนั้นคณิณไม่อยู่บ้านอาจจะเพราะมีตารางเรียนมันเลยทำให้เศรษฐพงศ์ไม่ต้องมาอารมณ์เสียจากการถูกกลั่นแกล้งหรือปะทะคารมกัน เมื่อขึ้นมาเอาของบนห้องก็ไม่มีร่องรอยของการรื้อค้นหรือมีสิ่งใดบุบสลายมันเลยทำให้เด็กหนุ่มอารมณ์ดีไปทั้งวัน

 

อาจจะเป็นเพราะคณิณกำลังคร่ำเคร่งกับการส่งปัญญาพิเศษช่วงโค้งสุดท้ายก่อนพรีเซ้นต์จึงทำให้ไม่มีเวลามากลั่นแกล้งเขา เด็กหนุ่มเอาของที่ขนมาไปเก็บไว้ที่บ้านอาจารย์ก่อนจะกลับมาที่อาคารอเนกประสงค์ที่เนยรออยู่ก่อนแล้ว การซ้อมลีลาศถูกจัดขึ้นทุกวันช่วงคาบว่างหรือช่วงพักเที่ยง มีอาจารย์มาคอยดูแลบ้างเป็นครั้งคราว ที่ที่มาทุกวันไม่เคยขาดคือปฐพีแฟนหนุ่มของเนย

 

ก่อนการเริ่มซ้อมจะเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนเศรษฐพงศ์พูดกับปฐพีว่า

 

            “ห้ามมาหึงอะไรปัญญาอ่อนกับกูนะมึง”

 

            “เออน่าเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรน่า”

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

วันแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าสวนทางกับฝีมือของทีมทั้งสามคนที่ชำนาญขึ้นเรื่อยๆสองอาทิตย์ก่อนแข่งการจับเวลาของอาจารย์บอกจำนวนเวลาที่เขาใช้น้อยกว่าที่ผ่านๆมา

 

            “ดีมาก เนี่ยวันนี้พวกเธอใช้เวลาทั้งหมดในการจัดสวนแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง วันแข่งจริงเอาให้ได้อย่างนี้นะ แล้วเดี๋ยวก่อนวันแข่งซัก 3 วันครูจะพาไปซื้อต้นไม้ที่จตุจักรกับบ้านอาจารย์วสุ”พวกผมยิ้มกันอย่างดีใจ เวลาเกือบสองเดือนที่ซ้อมกันมามันไม่เสียเปล่าเลยซักนิด ในที่สุดวันนี้เราก็ได้กลับหอเร็วกว่าเดิมเกือบชั่วโมง

 

            “พวกมึงๆ รอก่อน” ไอ้จีนร้องเรียกขณะที่เรากำลังจะขับอ้อมเสากั้นรั้ว

 

            “อะไรวะ”ไอ้ยิมที่เบรกรถกะทันหันเพราะเสียงเรียกของไอ้จีนหันไปถามอย่างหงุดหงิด คือถ้าแม่งเรียกช้ากว่านี้สองวิไอ้ยิมชนแผงกั้นแน่ๆ

 

            “แวะแป๊บกูจะไปไหว้พระพิรุณ”พวกผมหันรถวกไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นที่ปะทับของพระพิรุณสิ่งศักดิ์ของพวกเราชาวเกษตร

 

            “อารมณ์ไหนของมึงวะ?”ผมหันไปถามไอ้จีนที่กำลังนั่งคุกเข่ายกมือพนมแล้วทำปากขมุบขมิบ มันหันมามองตาเขียวประมาณว่าผมกำลังกวนใจมันที่กำลังสวดคาถาใส่พระพิรุณ

 

            “กูมาบนท่านขอให้พวกเราติดอันดับไป อกท.ชาติกันทุกคน”หลังจากมันบริกรรมคาถาของมันไปซักพักมันก็ยกมือไหว้เหนือหัวทีหนึ่งแล้วหันมาตอบพวกผม พวกเรารีบยกมือไหว้ลาท่าน((ซึ่งก็ไม่รู้จะลาทำไม))แล้วขับรถกลับหอ ไม่ได้ติดใจสงสัยถามไถ่ว่ามันบนอะไรไว้บ้าง  ก็คงไม่พ้นผลไม้ หัวหมู ไข่ต้มแบบเบสิคๆทั่วๆไปนั่นแหล่ะ

 

ผมกลับมาถึงหอก็จัดการรวบรวมเสื้อผ้าใส่แล้ว วันนี้ไหนๆก็พอจะมีเวลาก็เลยเอาผ้าในตะกร้าไปปั่นหน้าหอ หยิบโทรศัพท์ไปกะว่าจะนั่งเล่นเกมส์ระหว่างรอผ้าเพราะขี้เกียจเดินไปเดินมา ระหว่างที่กำลังจะเข้าเกมส์อยู่ๆก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา เป็นเบอร์ไม่คุ้นเคย ผมกดรับแล้วเสียงที่ได้ยินมาครั้งแรกคือเสียงผู้หญิงร้องไห้ ผมรีบดึงโทรศัพท์มาดูเผื่อเป็นคนรู้จักแต่ก็ยังไม่คุ้นเบอร์อยู่ดี

 

            “ฮึก....ไม่เลิกกันได้มั้ย?”ปลายสายเอ่ยประโยดถัดมาหลังจากเสียงสะอื้นครั้งแรก

 

            “เอิร์นทำอะไรผิดอ่ะ ทำไมถึงบอกเลิกเอิร์น เอิร์นเสียใจนะ ถ้าไม่มีปุ้มเอิร์นอยู่ไม่ได้หรอก เอิร์นไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้วเหมือนกัน”ปลายสายยังคงไม่รู้ตัวว่าอาจจะกำลังต่อสายผิด

 

            “เอ่อ...ขอโทษนะครับ โทรผิดหรือเปล่าครับ?”ในที่สุดผมก็ตัดสินใจตอบกลับทางฝั่งนั้น เสียงสะอื้นชะงักไปก่อนที่เสียงอู้อี้ของผู้หญิงคนเดิมจะตอบกลับมา

 

            “ขอโทษนะคะ...ฮึก...ไม่ทันดูให้ดี”

 

            “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ใจเย็นๆนะครับ อย่าคิดสั้นซะล่ะ”ผมอดไม่ได้ที่จะปลอบเธอ ท่าทางจะอกหักแล้วไอ้ประโยคที่ว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีอีกฝ่ายนี่อยากจะขอซื้อแล้วเตะลงแม่น้ำแควน้อยไปเลย

 

 

 

 

            “เรา...เราคิดอะไรไม่ออกแล้ว เรางง เราทำอะไรผิดเหรอทำไมเขามาบอกเลิกเราล่ะ”เหมือนคนปลายสายจะหาที่ระบาย หญิงสาวไม่ได้วางสายอย่างที่ควรจะทำแต่กลับตั้งคำถามกลับมา เศรษฐพงศ์มีสีหน้าลำบากใจ เกิดมา 18 ปี เขาเองยังไม่เคยมีความรักซักครั้ง อยู่ๆก็ถูกใครที่ไหนไม่รู้มาตั้งคำถามปลายเปิดแบบนี้ก็เล่นเอาเขาไปไม่เป็นเหมือนกัน  ไอ้ครั้นจะตัดสายทิ้งก็ดูจะใจร้ายเกินไป เด็กหนุ่มนั่งฟังหญิงสาวคนนั้นระบายเรื่องความรักปนเสียงสะอื้น

 

            “ก็ถ้าเขาไม่รักแล้วหมดใจแล้วจะยื้อไว้ทำไมล่ะ”ที่สุดหลังจากทนฟังความคร่ำครวญประเด็นคืออีกฝ่ายทิ้งไปเพราะรักไม่เท่าเดิมและเจอคนใหม่ที่คิดว่ารักมากกว่า คนที่เหนี่ยวรั้งไว้กลับเป็นเธอที่ไม่ยอมตัดใจ

 

            “เลิกกับเขามานานยังอ่ะ?”

 

            “เราไม่ได้เลิกนะ”ปลายสายส่งเสียงเถียงกลับมา

 

            “หมายถึงห่างกันไปนานยัง”

 

            “เกือบเดือนแล้ว”

 

            “มันก็นานอยู่นะ ทำไมทำใจไม่ได้ซักทีล่ะ”

 

            “พูดแบบนี้แสดงว่าเซ็ทยังไม่เคยมีแฟนใช่มั้ยล่ะ” เมื่อคุยกันนานนับชั่วโมงแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวกันแล้วสรรพนามที่เรียกกันก็เริ่มเปลี่ยนไป อันที่จริงเศรษฐพงศ์ไม่ถนัดที่จะเป็นที่ปรึกษาให้ใครแต่ก็นั่งคุยยาวกับเอิร์นจนผ้าซักเสร็จ

 

คำถามที่เอิร์นถามกลับมาทำให้เศรษฐพงศ์ส่งเสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับไป

 

            “นึกแล้วเชียว รอเซ็ทรักใครซักคนเซ็ทจะรู้ว่าการเลิกรักใครซักคนน่ะยากกว่าทำเกรดให้ได้เอหมดซะอีก”

 

            “ขนาดนั้นเชียว?”เศรษฐพงศ์แกล้งถามเสียงสูง

 

            “เซ็ทนี่คุยสนุกดีเนอะ”อารดาหัวเราะเสียงใสเมื่อหล่อนรู้ดีว่าคำถามนั้นเศรษฐพงศ์เย้าเธอเล่น

 

            “หายเศร้าบ้างหรือยัง?”

 

            “อื้ม ก็ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยรับฟังคนเวิ่นเว้อ”

 

            “เฮ้ย ไม่เป็นไร เราไม่ชอบเห็นใครร้องไห้ แล้วนี่สบายใจแล้วใช่มั้ย?”เศรษฐพงศ์ยังอดห่วงไม่ได้ แม้จะเพิ่งได้คุยกันแต่เขากลับรู้สึกห่วงใยเพื่อนใหม่คนนี้ ฟังจากน้ำเสียงและทัศนคติของอารดาเศรษฐพงศ์รู้สึกได้ว่าเธอเป็นคนดี เขาไม่อยากให้คนดีๆคนหนึ่งต้องมาเศร้าโศรกเพราะความรักจากคนที่ไม่จริงใจ

 

            “ก็ดีขึ้นตามที่บอกนั่นแหล่ะ จะให้ดีขึ้นเลยแบบปุบปับก็ไม่ได้หรอกจริงมั้ย คบกับเค้ามาตั้ง 4 ปี”

 

            “ก็ค่อยๆทำใจไปแล้วกัน แล้วอย่าคิดสั้นอีกล่ะ”

 

            “เป็นห่วงเราเหรอ?”

 

            “อื้ม เป็นห่วงสิ”

 

            “เซ็ทน่ารักจังใครได้เซ็ทเป็นแฟนคงจะโชคดีมากแน่ๆ ทั้งนิสัยดี คุยสนุก เป็นห่วงเป้นใยคนอื่น ขนาดเราเพิ่งจะรู้จักเพราะโทรผิดยังอยู่คุยเป็นเพื่อนเลย ยังไงเดี๋ยวเราวางก่อนนะ เมทมาตามไปกินข้าวแล้ว”

 

            “อื้ม กินข้าวให้อร่อย”เศรษฐพงศ์ตอบรับ

 

            “เอ้อ เซ็ท”อารดาที่กล่าวลาไปแล้วส่งเสียงเรียกเด็กหนุ่มอีกครั้ง

 

            “หืม?”

 

            “วันหลังเราโทรมาเล่นกับเซ็ทอีกได้มั้ย?”

 

            “ได้สิ โทรมาเล่นได้ เป็นเพื่อนกันแล้วนี่เนอะ”

 

            “อื้มๆ ขอบใจนะ เราไปก่อนไว้คุยกันใหม่นะ”

 

            “เคๆ ไว้คุยกัน”เศรษฐพงศ์วางสายจากเพื่อนใหม่ รอยยิ้มเล็กๆจุดที่มุมปากเด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อเสียงเรียกชื่อดังมาจากหน้าหอ

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

            “อ้าวเฮ๊ย นั่นไปซักผ้าหรือไปทอผ้าวะไอ้ห่าจะสองชั่วโมงแล้วไม่แดกข้าวหรือไง พวกกูรอจนแหงกแล้วเนี่ยคุณชายเศรษฐพงศ์” ไอ้จีนยืนท้าวสะเอวแหกปากเรียกผมเหยงๆที่หน้าหอ ผมมองนาฬิกาถึงได้รู้ว่าวันนี้ผมคุยโทรศัพท์กับคนไม่รู้จักตั้งเกือบสองชั่วโมง มันผิดวิสัยของผมมาก ผมเป็นคนไม่ชอบคุยโทรศัพท์นานแต่วันนี้ผมกลับคุยจนลืมเวลาไปเลย

 

            “เออๆ กำลังไป”ผมรีบตอบรับแล้วรีบเดินไปเอาผ้ามาใส่ตะกร้า ไอ้ห้าตัวบ่นผมเสียงขรมเพราะมันหิ้วท้องรอกินข้าวพร้อมผมด้วย

 

            “คุยโทรศัพท์กับใครวะ กูเห็นมึงคุยนานมาก”

 

            “ไม่เสือกสิครับ”ผมสะบัดผ้าใส่ไม้แขวนหันไปตอบไอ้ย้ง

 

วันเวลาผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ เหลืออีกไม่กี่วันพวกผมต้องไปแข่งที่ราชบุรีแล้ว การซ้อมของพวกเราอยู่ตัวแล้วอีก 2 วันพวกผมจะเข้าไปซื้อต้นไม้ที่กรุงเทพหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทั้งการเรียนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ งานที่ต้องส่งอาจารย์ฉกชิงเวลานอนของพวกเราไปเกินครึ่งขนาดแฝดจีนจินที่โหวกเหวกโวยวายยังเงียบไปสนิทตา

 

ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตคือทุกวันเอิร์นจะโทรมาคุยเล่นกับผม ความสัมพันธ์ของเราพัฒนาไปเรื่อยๆ แม้จะเพิ่งคุยกันแค่อาทิตย์กว่าๆแต่เรากลับสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ข้อมูลส่วนตัวที่ลึกขึ้นถูกแลกเปลี่ยนกัน เอิร์นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยหนึ่งในขอนแก่น และเอิร์นอายุมากกว่าผม 1 ปี เราคุยกันเรื่อยๆทุกวัน ความรู้สึกบางอย่างก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นในจิตใจของผม ทุกวันเอิร์นจะโทรมาหาผมคอยเล่านู่นเล่านี่ให้ฟังและชื่อของคนชื่อปุ้มก็ค่อยๆหายไปจนในที่สุดก็เหลือเพียงเรื่องของผมกับเอิร์นเท่านั้น

 

            “อาจารย์สั่งงานเหมือนแก้แค้นที่สมัยก่อนตัวเองก็โดนสั่งให้ทำแบบนี้”ขนาดไอ้ยิมที่ไม่ค่อยจะนินทาอาจารย์ยังบ่น

 

            “ซ้อมก็ต้องซ้อม งานก็ต้องส่ง ไหนอาจารย์บอกว่าจะช่วยไงวะ”

 

            “นี่ไง ช่วยสั่งงานมึงเยอะแยะ”ไอ้วีหันไปหยอกใส่ไอ้ยิม

 

            “แบบนี้ไม่ต้องช่วยกูก็ได้ ซึ้งน้ำตาจะไหลเลยไอ้สัด”

 

            “มึงบ่นไปแล้วงานมึงเดินมั้ย?”ไอ้ย้งหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของมัน

 

            “ไม่เดินแต่กูโล่งที่ได้บ่น”

 

            “หัดทำตัวแบบไอ้เซ็ทมันมั่งสิ อาจารย์สั่งงานอะไรมาก็ยิ้มหวานอย่างเดียว ช่วงนี้พี่รินผสมกัญชาในน้ำก๋วยเตี๋ยวหรือไงวะเพื่อนเราดูอารมณ์ดีตาหวานทุกวันเลย”

 

            “ทำตัวเหมือนคนมีความรัก”

 

อ่ะ แซ็วกูกันเข้าไปไอ้พวกเหี้ย

 

ความรักคืออะไรเหรอ? ผมยัวงไม่รู้จักเลย

 


ถ้าความรักคือการรอคอยโทรศัพท์จากใครซักคน ถ้าความรักคือการดีใจเวลาที่เขาคนนั้นโทรหา ถ้าความรักคือการเอาแต่นึกถึงเสียงหวานใส ถ้าความรักคือการไม่อยากวางสายเลย ถ้าทั้งหมดนั่นคือความรัก ผมเองก็อาจจะกำลังมีความรักอย่างที่เพื่อนๆแซ็วก็เป็นได้







.....................



หัวใจใครบางคนกำลังจะเป็นสีจมปู อิ๊อ๊าง



เรื่องปากเสียไว้ใจคิน

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Boy in luv 10


วันหยุดสุดสัปดาห์นี้เศรษฐพงศ์กลับมานอนที่บ้านเพราะอาจารย์ไม่ซ้อมแล้ว วันมะรืนเขาก็ต้องเดินทางไปแข่งที่ราชบุรีแล้ว เศรษฐพงศ์ขับไอ้แดงเข้ามาจอด บ้านทั้งบ้านเงียบกริบเหลือเพียงแม่บ้านที่ยังคงทำงานบ้านอยู่ยังไม่ได้กลับออกไป

 

เศรษฐพงศ์เดินไปตรวจตราบรรดาต้นไม้ที่เขาจัดไว้ในสวน ไล่เก็บใบเน่าใบแห้งออก หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เน่าและต้นไม้จะติดเชื้อทำให้ตายได้ เด็กหนุ่มรดน้ำจนชุ่มแล้วไปผสมยาป้องกันโรคใบไหม้ ป้องกันแมลงต่างๆแล้วใส่ฟ็อกกี้มาไล่ฉีดตรงจุดที่เริ่มถูกเชื้อโรครบกวน บางต้นเกินเยียวยาก็ต้องตัดทิ้งจนตะวันตกดินนั่นแหล่ะเด็กหนุ่มถึงล้างไม้ล้างมือเข้าบ้าน

 

คงอีกนานกว่าแม่จะกลับ เศรษฐพงศ์ตรงขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบนของตนเองอาบน้ำชำระเหงื่อไคลเรียบร้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานแรมเดือนทำให้เด็กหนุ่มหลับสนิทแทบจะทันที

 

สามทุ่มคณิณขับรถเข้ามาจอดในบ้าน สายตาก็สะดุดกับมอเตอร์ไซค์ของเศรษฐพงศ์  ตั้งแต่วันนั้นที่ไปส่งเด็กนั่นที่หอมันก็ไม่กลับมานอนที่บ้านอีกเลย

 

เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรในห้องของเด็กนั่นอีก ปัญหาพิเศษและแบบที่ต้องแก้อีกรอบสูบเวลาเขาไปจนหมด คณิณหอบแบบลงจากรถ ในบ้านก็ยังเป็นเหมือนเช่นทุกวัน บ้านหลังใหญ่มีแต่เฟอร์นิเจอร์หรู แม้จะไม่ชอบใจนักแต่คณิณก็รู้ดีว่าในอนาคตเขาก็คงเป็นเหมือนพ่อ คือมีบ้านไว้นอนจริงๆไม่ได้มีบ้านไว้อยู่กับครอบครัว

 

หากในอนาคตเขาแต่งงานมีลูก ลูกของเขาก็จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านหลังใหญ่นี้ ชายหนุ่มสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง   ขายาวก้าวขึ้นชั้นสองเพื่ออาบน้ำพักผ่อนแต่กลับหยุดยืนนิ่งที่หน้าห้องของเศรษฐพงศ์ ความรู้สึกบางอย่างตีรวนอยู่ในอก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม้จะเกลียดเศรษฐพงศ์เหมือนที่บอกกับตัวเองมาตลอดเกือบสองปี แต่พอเห็นว่าอีกคนกลับมาบ้านในใจเขากลับยินดี

 

อาจจะเป็นเพราะเขาจะได้แกล้งให้เด็กนั่นโกรธ

 

คณิณชอบเวลาเศรษฐพงศ์โกรธมันเหมือนกับว่าเขาทำให้ไอ้เด็กที่ทำตัวดีมีมารยาทน๊อตหลุดได้

 

เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในห้องก็พบว่ามันเงียบกริบ

 

เศรษฐพงศ์รักการนอน เด็กนั่นนอนได้ตลอดและนอนได้ครั้งละนาน ๆ เสมอ คณิณก้าวเท้าออกจากหน้าห้องของเศรษฐพงศ์ตอนแรกก็คิดจะเข้าไปแกล้ง แต่เห็นว่าเด็กนั่นซ้อมหนักมาร่วมสองเดือนครั้งนี้เขาจะปล่อยไปก่อนแล้วกัน เพราะเขาเองก็เหนื่อยจากการโหมทำปัญหาพิเศษ เพราะอยากทำให้มันเสร็จเร็วๆกลุ่มของคณิณทำเร็วสุดในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่บางคนยังเอาแต่เตร่ดเตร่ไร้สาระไปวันๆ

 

ถ้าทำตัวไร้จุดหมายอย่างนั้นแล้วจะเรียนไปทำไม

 

ชายหนุ่มเปิดประตูห้องแล้วใช้เท้าปิด วางแปลนและหนังสือเรียนลงบนโต๊ะหนังสือก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนหลังใหญ่ ดวงตาคมจ้องมองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย

 

เหนื่อย

 

อยากจะปิดเปลือกตานอนแต่ทว่าท้องกลับร้องประท้วง ตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีข้าวตกถึงท้องเลยซักเม็ด ชายหนุ่มถอนหายใจฝืนลุกขึ้นนั่ง พ่อกับน้าลดาก็ยังไม่กลับนั่นแปลว่าคงจะไม่มีกับข้าวอะไรไว้ให้กินแน่ๆ คณิณเดินลงมาข้างล่างตรวจตราดูว่าพอจะมีอะไรกินได้มั้ย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เคยมีติคครัวบัดนี้กลับว่างเปล่า ซองสุดท้ายเขาเพิ่งกินมันไปเมื่อคืนวาน ในหม้อข้าวมีข้าวอยู่แต่ไม่มีกับข้าว ชายหนุ่มหงุดหงิดพอสมควร เดินไปที่ตู้เก็บกุญแจก็หยิบเอาดอกประจำที่คุ้นชินขึ้นมาก่อนจะไปหยุดที่หน้าประตูห้องของเศรษฐพงศ์แล้วไขเข้าไปอย่างไม่ลังเล ภายในห้องมีเพียงแสงจากโคมไฟหัวเตียงที่เจ้าของห้องปรับไว้เพียงสลัวๆ  เศรษฐพงศ์นอนกอดหมอนข้างหลับสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ

 

หล่อ...เศรษฐพงษ์เป็นเด็กที่จัดว่าหล่อเวลาอยู่แบบนิ่งๆข้อนี้คณิณยอมรับ แต่เวลาเด็กนี่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงเขาเหมือนลูกแมวผอมๆที่เอาแต่พองขนขู่เขาแง้วๆตลอดเวลา

 

ถ้ามันยอมลงให้กับเขาซักนิดอาจจะไม่ต้องมีเรื่องชกต่อยกันให้ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย แต่ไอ้เด็กนี่แค่ครั้งแรกที่เขาเข้าไปหาเรื่องมันก็สวนกลับเขามาอย่างเจ็บแสบแล้วเช่นเดียวกับที่เขาทำ ไม่ว่าจะแกล้งอะไรมัน มันก็เอาคืนเขาอย่างสาสมทุกทีไป

 

คณิณไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าตัวเองนั้นยื่นมือไปลูบแก้มของเศรษฐพงศ์ตอนไหน ปลายนิ้วสัมผัสแผ่วเบาแต่กลับรู้สึกได้ถึงความนุ่มลื่นมือ อาจจะเป็นเพราะเพิ่งผ่านวัยเด็กมาได้ไม่นานแก้มของเศรษฐพงศ์ยังนุ่มอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเด็กนี่ดูแลรักษาผิวดีเขาก็ไม่รู้ เขาลากปลายนิ้วไปแตะที่เปลือกตาปิดสนิทนั้น ในเวลาปกติเศรษฐพงศ์มักใช้สายตาคู่นี้มองเขาอย่างเกลียดชังเสมอ เขาไม่สามารถมาจับเนื้อต้องตัวไอ้เด็กนี่ได้นอกจากตอนเหวี่ยงหมัดใส่กัน ไล้ปลายนิ้วมาที่จมูกโด่งรั้นนั้นและกว่าจะรู้ตัวปลายนิ้วก็เลื่อนมาแตะที่ริมฝีปากนุ่มเหมือนเยลลี่นั้น มันทั้งนุ่ม ทั้งอุ่นจนเผลอใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบาๆ

 

น่าจูบ...อยู่ๆความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเตียงค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปหาคนที่หลับสนิทนั้นอย่างช้าๆ

 

นี่เรากำลังทำอะไรอยู่...

 

 

 

 คณิณ::

 

 

ผมชะงักมือที่กำลังเกลี่ยปากของไอ้เซ็ทเล่นดึงตัวกลับมาเมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้มันแปลกๆ  ความรู้สึกบางอย่างตีรวนขึ้นมาในจิตใจ ผมไม่ควรมานั่งพิจารณารูปร่างหน้าตามันแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ปากเนิ่งปากนุ่มอะไร ไอ้เด็กปากหมานี่มีแต่พ่นคำร้ายๆตอบกลับผมมาให้ได้เจ็บใจโมโหอยู่เสมอ ผมลุกขึ้นยืนที่ข้างเตียงมันอีกครั้ง ขับไล่ความรู้สึกแปลกๆที่เริ่มเข้ามาเกาะกินใจผมอย่างช้าๆมาระยะหนึ่งแล้ว

 

                “ไอ้เซ็ท”ผมส่งเสียงเรียกมันเบาๆ  นิ่งสนิทไม่มีทีท่าจะขยับ

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท”ผมเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น แต่มันทำเพียงพลิกตัวไปอีกข้าง  ผมเดินไปเปิดไฟในห้องของมันจนสว่างจ้า แล้วเรียกชื่อมันอีกครั้ง

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท”แถมคำสร้อยนำหน้าให้ด้วย คราวนี้มันค่อยๆขยับตัวงัวเงียลุกขึ้นมานั่งหยีตา

 

                “เฮ๊ย!!! มึงเข้ามาห้องกูทำไม?”มันสะดุ้งเมื่อเห็นผมยืนหน้าตึงอยู่ข้างเตียงของมัน

 

                “ลุก”ผมไม่ตอบคำถามของมันแต่กลับสั่งมันแทน

 

                “ลุกไปไหน กูจะนอน”มันไม่พูดเปล่ายังล้มตัวลงไปนอนเอาหมอนข้างอุดหน้าอุดตาปิดหูหนีผมซะอย่างนั้น

 

                “ลุก ไปทำกับข้าวให้กูกินหน่อย กูหิวข้าว”ผมดึงหมอนข้างที่มันพยายามยื้อออก

 

                “มึงก็ไปทำกินเองสิวะมาใช้กูทำไมไอ้เหี้ย กูจะนอนกูง่วง”

 

                “ถ้ากูทำเป็นกูคงไม่มาตามมึงหรอก มึงจะลุกไม่ลุก นี่มันสามทุ่มกว่าแล้วมึงไม่หิวหรือไง”ผมไม่ยามแพ้ยังพยายามดึงตัวมันขึ้นมา มันขืนตัวไว้ก่อนจะนอนคว่ำหนีผม

 

ได้ มึงเอางี้ใช่ป่ะ ผมเริ่มโมโหที่มันไม่ยอมทำตามคำสั่งผม ไวเท่าความคิด ผมกระโดดขึ้นเตียงมันแล้วนั่งทับตัวของมันไว้ทันที มันดิ้นขลุกขลักอย่างไม่ยอมแพ้ผม แต่ผมที่คร่อมทับตัวมันอยู่แรงเยอะกว่าผมกดหัวมันให้แนบกับหมอน

 

                “ไอ้เอี้ยอ่อยอูอ๊ะ”เสียงมันอู้อี้

 

                “มึงจะลุกไม่ลุก”ผมยังไม่ปล่อยมันในทันทีแต่ผ่อนแรงกดลงเล็กน้อยก่อนที่มันจะหายใจไม่ออกตายไปซะก่อน

 

                “ปล่อยกูไอ้เหี้ยคิน “ เมื่อเงยหน้าออกจากหมอนมันก็โกยอากาศเข้าปอดแล้วเอี้ยวหน้ามาด่าผม

 

                “มึงจะลงไปทำกับข้าวให้กูกินได้ยัง”

 

                “เออ แม่ง ลุกดิ่ไอ้เหี้ย”ที่สุดมันก็ต้องยอม ผมลุกออกจากตัวมันพลางกระโดดลงจากเตียงเพราะผมรู้ดีว่าถ้ามันเป็นอิสระเมื่อไหร่มันต้องถีบผมแน่ และก็เป็นดังคาด เมื่อมันหลุดจากตัวผมมันก็พลิกตัวพลางถีบเท้ามาทางผม แต่ว๊ายๆ ไม่ได้แดกกูหรอกไอ้เหี้ยเซ็ทเอ๋ย

 

ตุ่บ

 

                “โอ๊ยไอ้เหี้ย”ผมตะโกนด่าเมื่อมันโยนหมอนมาอัดหน้าผม ผมปาหมอนคืนมันที่นั่งทำตาเขียวปั๊ดมาให้

 

                “เร็วๆกูหิวจนจะกินมึงได้ทั้งตัวแล้ว”

 

                “แดกตีนกูนี่”

 

 

 

 

หลังจากประทะคารมกันเรียบร้อยในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็มายืนตีไข่อย่างหัวเสียอยู่ในครัว เด็กหนุ่มตั้งน้ำมันจนร้อนจัดแล้วเทไข่ที่ปรุงเรียบร้อยลงไป กลิ่นหอมของไข่เจียวทำให้คณิณที่นั่งรออยู่อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มร้องประท้วง เศรษฐพงศ์ตักไข่ที่เจียวจนเหลืองสวยข้นฟูน่าทานใส่จาน

 

                “พริกหรือมะเขือ”

 

                “มะเขือ”เศรษฐพงศ์หยิบขวดซอสมะเขือเทศมาบีบลงบนไข่เจียวก่อนจะเอาไปวางตรงหน้าคณิณ  เด็กหนุ่มหันกลับไปเปิดปลากระป๋องใส่จาน ซอยพริก หอมแดง ใบผักชีฝรั่ง แตงกวา ต้นหอมผักชี ตะไคร้ ใบมะกรูดซอยฝอย บีบมะนาวแล้วเหยาะน้ำปลานิดหน่อยก็ได้ยำปลากระป๋องเพิ่มมาอีกจาน จัดการคลุกส่วนผสมให้เข้ากันแล้วเอามาวางบนโต๊ะที่คณิณตักข้าวไว้รอแล้ว

 

                “หิวนักก็แดกๆเข้าไปสิ”นั่นแหล่ะไอ้คนที่เข้าไปรบกวนเวลานอนของเขาถึงได้ลงมือกินข้าวพร้อมกับเขาแถมไม่บ่นอะไรออกมาซักคำ

               





                 "แล้ววันนี้เอิร์นกินข้าวกับอะไรเหรอ"คณิณที่นั่งเขียนแบบอยู่ถึงกับเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเสียงของคนห้องข้างพูดคุยกับใครซักคน ที่สำคัญชื่อเอิร์นนั่น...



ผู้หญิง?



ปกติด้วยนิสัยของชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ชอบใส่ใจเรื่องของชาวบ้านเท่าไหร่นัก แต่เสียงพูดคุยที่ดังมาเรื่อยๆทำให้คณิณวางปากกาเขียนแบบลงแล้วค่อยๆเปิดมุ้งลวดออกไปนั่งที่ระเบียง



        "คืนนี้ดาวสวยนะเอิร์น เอิร์นออกมาดูสิ"เสียงของเศรษฐพงศ์ยังคงพูดคุยดังมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง คณิณเผลอมองดวงดาวบนฟ้า เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วท้องฟ้าจึงปลอดโปร่งดาวดวงเล็กๆระยิบระยับพราวเต็มฟ้าไร้เมฆบัง





          "ดาวสวยแต่เราว่าเอิร์นสวยกว่า มองดาวแล้วคิดถึงเอิร์น"คนที่แอบฟังทำท่าจะอ้วกกับประโยคเลี่ยนๆนั้น ตวัดตามองดาวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ อยู่ๆคณิณก็รู้สึกเกลียดดวงดาวบนท้องฟ้าไปซะอย่างนั้น





เอิร์นแอนอะไรนี่คือใคร? เพื่อนในห้องหรืออะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะใช่เพื่อน





ไอ้เด็กนี่กำลังมีแฟน?





มีตอนไหนวะ  มีได้ยังไง  ใครจะมาชอบคนอย่างมัน?





คณิณนั่งคิดนั่นคิดนี่ในหัวจนตอนนี้เริ่มรู้สึกหัวร้อนแปลกๆ  ยิ่งฟังยิ่งชัดเจนว่าเศรษฐพงศ์กำลังจีบยันผู้หญิงที่ชื่อเอิร์นอะไรนี่อยู่แน่ๆ





          "ทำไมเราต้องอยู่ไกลกันด้วยเนอะ ถ้าอยู่ใกล้ๆเซ็จจะไปหาเอิร์น"





คณิณ::





อ๋อ...ไม่ใช่เพื่อนในห้อง





          "ขอนแก่นไปยังไงเครื่องบินหรือรถทัวร์"





อ่ะ โง่อีก มันไปได้ทุกทางป่าววะ





          "เอิร์นรอเซ็ทเรียนจบก่อนนะเซ็ทจะไปหาเอิร์น"





กูขอแช่งให้มึงติดปัญหาพิเศษ





          "เซ็ทคิดถึงเอิร์นนะแล้วเอิร์นล่ะคิดถึงเซ็ทหรือเปล่า?"





แหม...กูจะอ้วก ไปรักกันไกลๆไป๊ รำคาญ!!!





          "เดี๋ยวมะรืนเซ็ทเข้ากรุงเทพ  อือ  ใช่ ซื้อต้นไม้กับอาจารย์นั่นแหล่ะ เดี๋ยวถ้าเจออะไรสวยเซ็ทจะซื้อส่งไปให้นะ"





อ่ะ  รวยอีก  เป็นสายเปย์เหรอมึงอ่ะ รวยนักหรือไง?





          "ไม่รบกวนหรอก เงินเซ็ทหามาเองไม่ใช่เงินของลุงกับแม่ ใช่ ที่เซ็ทเคยเล่าให้ฟังไง ก็ที่เซ็ทไปขายต้นไม้กับเพื่อนที่ถนนคนเดิน ก็ขายดีนะ"





อ๋อ...มีรายได้เสริมไว้กูจะไปดูว่ามึงขายดีอย่างที่โม้ไว้มั้ย



กว่าผมจะรู้ตัวว่านั่งใส่ใจมันก็ตอนที่ได้ยินเสียงมันปิดประตูห้องแล้ว ส่วนตัวผมก็นั่งบริจาคเลือดให้ยุงไปพอสมควรเพราะว่าจบไม่ได้





สภากาชาดไทยต้องมอบเหรียญให้ผมอ่ะนี่พูดเลย





ความหงุดหงิดแล่นริ้วเข้ามาในหัวจนผมไม่สามารถเขียนแบบต่อไปได้แม้จะพยายามดึงสมาธิเพ่งไปกับแบบแค่ไหนก็ตามที





ทำไมผมต้องหงุดหงิดกับอีแค่ไอ้เด็กเหี้ยนั่นมันมีแฟนด้วย





หรือเป็นเพราะว่าผมยังโสดยังไม่ได้คบใครมันเลยทำให้ผมรู้สึกเสียหน้า





แต่ก็ไม่นี่...ผู้หญิงมาอ่อยผมก็ตั้งเยอะแต่ผมไม่ใส่ใจเองเท่านั้น อาจจะมีบ้างที่ไปสนุกกันแต่พอจบแล้วก็จบไป  ผมเป็นคนระวังตัวมากพอสมควร เพราะฉะนั้นไร้รูปไร้คลิปไร้ร่องรอยใดใดแน่นอน





ผมเขวี้ยงปากกาเขียนแบบทิ้ง





ไม่เทิงไม่ทำแม่งแล้วไม่มีอารมณ์





ผมรู้สึกตัวตื่นตอนเช้าเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น  เคาะดังเหมือนจะพังห้องของผมมีแค่มันคนเดียวแหล่ะ ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูอย่างไม่รีบร้อนก็เจอมันยืนหน้างออยู่หน้าห้อง





          "เคาะทำเหี้ยอะไร?"





          "นี่มึงนอนหรือซ้อมตายไอ้สัด"มันพ่นคำไม่น่าฟังออกมาตั้งแต่เช้าด้วยน้ำเสียงกระซิบเดาว่าพ่อผมกับแม่ของมันคงใช้ให้มันมาตามผมลงไปกินข้าว นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วผมพาลอารมณ์เสียเห็นหน้ามันแล้วรู้สึกโกรธแบบแปลกๆ





ไอ้เด็กเวรอายุเพิ่งจะ 18  ริอาจจะมีเมีย ข้ามหน้าข้ามตากูเกินไปแล้ว((ถึงผมจะมีเซ็กส์ครั้งแรกตอน 15 นั่นถือเป็นข้อยกเว้น))





          "นี่!!! มึงได้ยินที่กูพูดมั้ย?"ผมหลุดจากภวังค์เมื่อมันยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ ปากแดงของมันขยับขึ้นลงไม่หยุดอยู่ตรงหน้าของผม  กลิ่นน้ำหอมของมันลอยเตะจมูกของผมจนรู้สึกมึน รู้ตัวอีกทีผมก็คว้าเอาต้นคอของมันแล้วดึงเข้ามาใกล้ตัวก่อนจะกดปากของผมลงบนปากของมันที่กำลังโวยวายด่า





มันหยุดนิ่งดวงตาเบิกกว้างผมเองก็หยุดนิ่งจ้องเข้าไปในตาของมันแล้วกดจูบให้แนบแน่นขึ้น ตัวของมันสั่นราวกับถูกไฟช๊อต ไม่นานมันก็ตั้งสติได้สองมือของมันออกแรงผลักจนผมเซถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง ไอ้เซ็ทตามเข้ามาก่อนจะฟาดหมัดเปรี้ยงเข้าที่แก้มของผม ตาของมันเขียวปั๊ดอย่างโกรธจัด





          "ทำเหี้ยอะไรของมึง  เล่นเหี้ยอะไรของมึง แกล้งแบบนี้กูไม่สนุกด้วยหรอกนะไอ้สัด"ผมที่เซไปตามแรงต่อยใช้ปลายนิ้วแตะมุมปากเบาๆ





แน่นอนครับไอ้เซ็ทเป็นเด็กแรงเยอะ ยิ่งเมื่อครู่มันคงทั้งโกรธทั้งตกใจหมัดของมันจึงหนักกว่าปกติ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้สวนกลับไป มันไม่รอให้ผมตอบอะไรกลับไปด้วยซ้ำหันหลังเดินลงส้นตึงๆลงไปข้างล่างทันที





เออ...ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนั้นทำไม





ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในหัวของผมมันคิดอะไรอยู่อาจจะเป็นช่วงฮอร์โมนพลุ่งพล่าน หรืออาจจะเป็นเพราะปากของมันลอยยั่วผมเอง





ก็แค่หาวิธีปิดปากไม่ให้มันบ่นผมได้อีกก็แค่นั้น





ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นรู้อย่างเดียวว่าเวลาเอาปากแตะกับปากของมันน่ะนุ่มกว่าตอนที่ผมใช้นิ้วลูบเมื่อคืนซะอีก





อีกสิบนาทีต่อมาผมก็เดินลงมาข้างล่าง พ่อเริ่มกินข้าวไปก่อนแล้วส่วนไอ้เซ็ทมันก็นั่งใกล้แม่มันเหมือนเดิม มันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยซ้ำทำเพียงเขี่ยข้าวในจานไปมาผิดปกติของมันที่ชอบมากเวลากินข้าว กินเร็วกินไวไว้ใจมันได้  น้าลดาเรียกให้ผมนั่งลงทานข้าวทันทีที่เห็นผม





แม้ว่ามุมปากของผมจะเจ็บจากหมัดของมันแต่ข้าวมื้อเช้าก็อร่อยถูกปากดี





เศรษฐพงศ์::





ผมนั่งมองหน้าไอ้คนที่ชักจะเล่นอะไรเหิมเกริมขึ้นทุกวันด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างชัดเจน สัมผัสน่าขยะแขยงยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดภาพที่มันจูบผมลอยเข้ามาในหัวเป็นพักๆอย่างยากที่จะสลัดออก





ทั้งๆที่แสดงออกชัดเจนว่าเกลียดผมมากมายขนาดไหนแตามันยังเลือกที่จะแกล้งผมด้วยวิธีทุเรศๆนี่มันน่าต่อยให้ดรามโยกไปเลย





จูบแรกของกูไม่ควรที่จะเสียให้คนใจหมาอย่างมึงเลยซักนิด





มึงมันไอ้คนเหี้ยไอ้คนฉวยโอกาสถ้ารู้ว่ามันจะทำแบบนั้นผมจะรีบยกตีนให้มันจูบแทนที่จะเป็นปากของผม





เกลียดจนอยากจะยกถ้วยต้มจืดสาดหน้ามัน





สำนึกความผิดของตัวเองบ้างมั้ยยังมีหน้ามากินข้าวไปยิ้มไปอีก ไอ้ควาย!!!;



......................................






หิวไหม ทานอะไรมาหรือยัง 555555555555555555



เม้นท์ซักนิดจิตแจ่มใส หัวใจไรเตอร์สดรื่นชื่นบาน อิ๊อ๊าง

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

Boy in luv 11

เพราะวันนี้สองสามีภรรยาวัยกลางคน เพิ่งมีเวลาได้พักผ่อนใช้วันหยุดอยู่กับบ้านพร้อมลูกๆทำให้คณิตบ่นอยากกินราดหน้ายอดผัก แต่เพราะวัตถุดิบหลักที่มีในบ้านไม่พอหน้าที่หลักในการซื้อของจึงตกเป็นของเศรษฐพงศ์


          "คินไปกับเซ็ทสิจะได้ช่วยกันถือของ"คนเป็นพ่อที่สังเกตเห็นความบึ้งตึงของคนเด็กกว่าโยนไม้ให้ลูกชาย


ถึงแม้ว่าคณิตจะไม่ได้อยู่คลุกคลีกับลูกแต่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงของลูกชาย  หลังเหตุการณ์ระเบิดภูเขาเผาร้านหมูกะทะตามแบบฉบับอาฉลองแล้วคณินดูมีท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้คำพูดคำจาจะน่าเอาไม้หน้าสามฟาดปากแต่ก็ไม่ได้หาเรื่องด่าเศรษฐพงศ์อย่างที่เคยทำ


วันนี้ก็เช่นกัน ตลอดทั้งเช้าจนถึงตอนนี้ที่คนเป็นลูกนั่งโขกหมากฮอสเป็นเพื่อนเขาคณินกับเศรษฐพงศ์ยังไม่ปริปากพูดกันซักประโยคเดียว


          "ไม่เป็นไรครับลุงผมไปคนเดียวสะดวกกว่า"เศรษฐพงศ์รีบปฏิเสธข้อเสนอของคณิตทันที หากแต่ว่าไอ้คนที่เขาพยายามไม่มองหน้ากลับลุกพรวดโดยไม่อิดออด


          "จะไปซื้อของก็รีบมาอย่าลีลา"เศรษฐพงศ์ถอนหายใจพรืดอย่างหงุดหงิดใจ  จำใจต้องเดินไปรับใบจดรายการที่ต้องซื้อเข้าบ้านตามที่แม่สั่ง


          "โหแม่ ซื้อเยอะขนาดนี้เลยเหรอ"รายการยาวเหยียดทำให้เศรษฐพงศ์ตาเหลือก คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใสตีแขนลูกชายเบากับรีแอคชั่นแสนโอเวอร์นั้น


          "ก็ของสดมันหมดพอดีซื้อไว้ทำมื้ออื่นๆด้วย"หล่อนยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ลูกชาย ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเพิ่มเสียงบีบแตรรถเร่งจากคณินก็ดังขึ้น


          "ไปเร็วๆลูกอย่าให้พี่เขารอนาน"เศรษฐพงศ์ถอนหายใจพรืดอย่างเบื่อหน่าย


ให้ตายเถอะ  อยากจะหนีหน้ายังไงก็ไม่พ้นสินะ




          เศรษฐพงศ์::


ผมลากเดินลากเท้าไปขึ้นรถที่ไอ้คินมันสตาร์ทรอ  หน้าของมันบูดบึ้งราวม้าหมากรุก ทันทีที่ผมขึ้นมานั่งบนรถยังไม่ทันปิดประตูดีด้วยซ้ำไอ้เหี้ยคินก็กระชากรถออกทันที



          "จะรีบไปตายโหงที่ไหน!!"  ผมหันหน้าไปตวาดมันด้วยเสียงอันดังจนแม้แต่ขี้หูของผมเองยังสั่นระริก


        "พูดได้แล้วเหรอนึกว่าถูกกูจูบปิดปากจนพูดอะไรไม่ออก"มันพ่นคำแสลงหูใส่ผมทันทีเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง


          "มึงเลิกพูดเรื่องทุเรศแบบนี้ซักทีเถอะ กูขยะแขยง"


          "แต่กูชอบนะ"อยู่ๆมันก็สวนกลับมาด้วยคำที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง


          "กูรู้วิธีที่จะทำให้มึงหุบปากได้โดยไม่ต้องใช้กำลังได้แล้ว"


          "ลองมึงมายุ่งกับกูอีกสิกูเอาเลือดหัวมึงออกแน่"


          "นี่มึงท้ากู?"


          "กูไม่ได้ท้า กูพูดจริง"




          คณิน::


ผมตบไฟเลี้ยวแล้วหักรถเข้าข้างทางทันที ก่อนที่ไอ้เซ็ทจะตั้งตัวผมก็กดล็อคประตูรถแล้วข้ามเบาะไปนั่งคร่อมมันทันที ยื่นมือไปปรับเบาะจนตัวมันเอนไปด้านหลัง  เพราะขาที่ยาวของมันติดกับคอนโซลรถทำให้มันขยับไม่สะดวกมันรีบยกมือขึ้นผลักผมแต่ผมก็ตรึงมือมันไว้ได้ทัน


คิดว่าตัวเองแรงเยอะคนเดียวหรือไง


แรงกูก็เยอะเหมือนกัน


          "จะทำเหี้ยอะไร มึงกลับไปนั่งที่มึงเลยไอ้สัด"


          "กูเพิ่งบอกมึงไปใช่มั้ยว่ากูรู้วิธีปิดปากไม่ให้มึงพูดมากแล้วมึงยังจะท้าทายกู กูก็จะทำตามที่พูดไง"


          "ออกไปจากตัวกูไอ้เหี้ย กูไม่เล่น"


          "กูก็ไม่เคยเล่นกับมึงอยู่แล้วนี่"ผมมองมันด้วยสายตามาดร้ายมันเองก็ไม่เคยลดราวาศอกยอมลงใหัผมเลยซักนิด  ปากแดงๆเนี่ยคอยพ่นคำด่าระคายหูกลับมาได้ตลอดเวลา


ผมอยากปราบพยศให้มันรู้ว่าใครกันที่มันควรจะเกรงกลัว


ใครกันที่มันควรจะยอมลงให้


ผมไม่เปิดโอกาสให้มันอ้าปากด่าซ้ำสิ่งที่ผมทำคือการตะโบมจูบลงไปบนปากของมัน


แต่ครั้งนี้มันไม่ง่ายเลย  ไอ้เซ็ททั้งด่าทัังสะบัดหน้าหนีไปทุกทิศทุกทางที่ตัวมันจะทำได้


แต่นั่นถือเป็นกำไรชีวิตของผมในเมื่อมันหลบผมก็พรมจูบทั่วทั้งแก้ม ซอกคอ  ผมจูบมันทุกทึ่เท่าที่จะจูบไดัในที่สุดมันก็หนีผมไม่พ้นเมื่อปากของผมกับมันแตะกันผมก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ ผมบีบคางมันล็อคไว้ไม่ให้มันหันหนี ไอ้เซ็ทเม้มปากแน่นแขนข้างที่เป็นอิสระก็ทั้งทุบทั้งตีผมอย่างไม่ออมแรง


แล้วใครสนกันล่ะ  ผมสนใจไอ้ปากแดงๆที่เม้มสนิทนี่ต่างหากใบหน้าที่แสดงความรังเกียจเขาอย่างชัดเจนนี่ต่างหากล่ะ ผมบีบกรามมันอย่างไม่ออมมือจนปากมันเผยอ แน่นอนผมที่เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้มากกว่ามันย่อมหาทางสอดลิ้นเข้าไปในปากของมันได้อยู่แล้ว

ผมจะทำให้มันรู้ว่าจูบของจริงน่ะเป็นยังไง


ปลายลิ้นของผมกวาดต้อนรุกไล่ลิ้นของมันที่พยายามต่อต้านพลางหลบหนี  ผมทั้งจูบทั้งดูดจนเกิดเสียง  แรงที่มันให้ผลักผมค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ น้ำลายใส่ไหลออกจากมุมปากผมใช้ปลายลิ้นจัดการจนมันหายไป


มองใบหน้าแดงจัดที่โกยเอาอากาศเข้าปาก ริมฝีปากแดงของมันบวมเจ่อเล็กน้อย ผมกระตุกยิ้มเยาะมันก่อนจะกลับมานั่งประจำที่จัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่แล้วขับรถมุ่งตรงไปตลาดสด ส่วนไอ้เซ็ทนิ่งเงียบไปตลอดทาง มันหันหน้าออกไปมองข้างทางมือของมันกำแน่นจนเห็นเส้นเลือด มันคงแค้นผมน่าดูและคงเกลียดผมสุดหัวใจ


แต่ใครจะสนล่ะ  ผมเองก็เกลียดมันเหมือนกัน


ไอ้เด็กกระจอกแม้แต่จูบยังทำไม่เป็นแต่ริอาจจะมีแฟน


ผมแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก  ไม่รู้มโนไปเองหรือผมรู้สึกจริงกันแน่ว่าเหมือนมีความหวานติดอยู่ที่ปลายลิ้น


ทั้งที่ผมควรจะรังเกียจที่ต้องมาจูบกับผู้ชายเหมือนกันแต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยซักนิด


ผมชอบจูบที่โดนต่อต้านมันทำให้ผมอยากเอาชนะมันไปเรื่อยๆ


คนอย่างมันไม่มีทางชนะผมได้หรอก


ถ้ามันคิดจะสู้มันก็ต้องแพ้แบบนี้ตลอดไป





          ไม่นานเราสองคนก็มาถึงตลาดสดผมก็หาที่จอดก่อนถึงตลาดพอสมควรเพราะในตลาดพื้นที่คับแคบไม่สามารถจอดรถได้  ไอ้เซ็ทออกจากรถไปแถมปิดประตูเสียงดังปังจนรถสะเทือน  แต่ไม่เป็นไรวันนี้ผมอารมณ์ดีจากการได้กำไรเล็กๆน้อยๆไปแล้ว จัดการล็อครถก็เดินตามมันเข้าไปในตลาดมันแวะเขียงหมู เห็นมันพลิกชิ้นนั้นชิ้นนี้ก่อนจะชี้หมูก้อนขนาดกลางก้อนหนึ่ง เมื่อได้ยินราคาผมก็ยื่นเงินให้แม่ค้า


          "ไม่ต้องแม่ให้เงินมา"น้ำเสียงห้วนของมันดังขึ้นโดยไม่หันมามองผมซักนิด  ผมไม่สนยังคงบอกให้แม่ค้ารับเงินจากผมไป  เมื่อได้เงินทอนผมก็รีบตามมันไปแผงขายอาหารทะเล  มันซื้อกุ้งกับหมึกอย่างละโลผมยื่นเงินจ่ายให้อีก  คราวนี้มันหันมาทำตาเขียวใส่แต่ผมก็ยักคิ้วใส่มัน ไอ้เซ็ทรับถุงมาถือแล้วเดินทิ้งผมไปแผงผัก บรรดาผักที่แม่ของมันสั่งถูกมันเลือกทีละอย่างด้วยความรอบคอบซึ่งผมดูแล้วอันไหนก็เหมือนกันมันจะเลือกทำไมเยอะแยะ


          "มึงก็หยิบๆไปสิเลือกทำไม"ที่สุดผมก็ทนรำคาญไม่ไหวเมื่อมันเอาแต่พลิกผักคะน้าส่องตั้งแต่ยอดยันโคนต้นผมขยุ้มผักคะน้ากองใหญ่ให้แม่ค้ามันรีบตะครุบกลับ


          "เยอะขนาดนี้มึงจะผัดแดกทั้งหมู่บ้านหรือไงไอ้สัด"มันวางกองคะน้าไว้ที่เดิมยังคงเลือกของอย่างใจเย็นบรรดาถุงหมูกับหมึกกุ้งดูจะเกะกะมันไม่น้อยผมเห็นแล้วรำคาญจึงดึงมาถือไว้เองมันไม่ได้ว่าอะไรผ่านไปราว 15 นาทีบรรดาผักที่มันเลือกก็ถูกทยอยใส่ถุงผมหยิบเอาถุงส่วนใหญ่มาถือไว้เองแล้วเดินตามมันไปแวะแผงขายเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นที่สุดท้าย


          "หิวน้ำ"ผมส่งเสียงเรียกมันเมื่ออากาศอบอ้าวทำให้ผมคอแห้ง มันหันมามองด้วยสายตาเป็นคำถาม



          "แล้วไง?"


          "มาซื้อน้ำให้กูแดกหน่อย"มันถอนหายใจก่อนจะเดินมาสั่งน้ำให้ผม


          "ป้าครับเอาสไปร์ทแก้วนึงครับ"ผมแอบยิ้มนิดๆเมื่อมันสั่งเครื่องดื่มที่ผมชอบกิน มันจ่ายตังค์แล้วยื่นแก้วมาให้ผม


          "อ่ะ ไม่ถือแดกล่ะ"มันยังคงทำเสียงหงุดหงิดใส่ผมไม่หยุด  ผมยกถุงของพะรุงพะรังหนักอึ้งให้มันดูเป็นคำตอบมันสบถออกมาเบาก่อนจะยื่นแก้วจนแทบจะกระแทกหน้าของผม  ผมงับหลอดดูดน้ำด้วยความพอใจ


อุตส่าห์ยอมหนักได้การปรนนิบัติแบบนี้ก็ถือว่าคุ้ม


ผมลอบมองสองแม่ลูกที่กำลังสาละวนกับการเตรียมวัตถุดิบทำราดหน้าเป็นมื้อกลางวันของพวกเราอยู่ ในมือก็กดเกมส์ไปด้วย เสียงไอ้แดนด่าที่ผมแทบไม่ขยับไปช่วยทีมเลยด้วย


ไอ้เซ็ทกำลังตั้งอกตั้งใจลอกเปลือกแก่ของคะน้าพลางหั่นเฉียงไปตามที่แม่ของมันสั่ง มันแยกก้านกับใบออกไว้คนละฝั่งกันพอเสร็จมันก็จัดการหมักหมูที่แม่มันหั่นไว้ให้ ท่าทางของมันถึงจะไม่ได้แคล่วคล่องเหมือนแม่ของมันแต่ก็ไม่ได้ขัดตา ไม่นานราดหน้ายอดผักหมูหมักก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะอาหารไอ้เซ็ทมันเป็นคนตักเสิร์ฟผมเดินไปล้างมือล้างไม้ในห้องน้ำแล้วจึงกลับมานั่งประจำที่


ผมมองราดหน้าในจานนิ่งไม่ได้ขยับมือขึ้นมาตักกินเป็นน้าลดาที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ


          "อ้าว คิน ไม่ทานเหรอลูก"


          "ผมไม่กินก้านคะน้า"ผมตอบกลับเสียงเรียบ สายตามองก้านคะน้าหั่นบางในจานด้วยดวงตาว่างเปล่า


ผมไม่ใช่คนกินยากอะไรผมแค่ไม่กินเผ็ด ไม่กินหนังเป็ดหนังไก่หนังหมูหนังปลา เนื้อหมูต้องไม่ติดมัน ผมไม่กินก้านคะน้าเพราะมันเหม็นเขียว ผมไม่กินมะระ ไม่กินน้ำพริกใส่แมงดา ไม่กินขนมใส่กะทิ เมล่อน แตงไทย แคนตาลูป ผมไม่กิน เห็นมั้ยผมเป็นคนง่ายๆ


          "เอ้อ ลุงก็ลืมบอกไปว่าคินมันไม่กินก้านคะน้า"พ่อผมสำทับความกินง่ายอยู่ง่ายของผม


อันที่จริงตอนเด็กๆผมก็เคยกินนะไอ้ก้านคะน้าเนี่ยผมชอบกินผัดคะน้าปลาเค็มแต่พ่อพาไปกินข้าวต้มโต้รุ่งร้านหนึ่งปรากฏว่าคนผัดไม่ได้แยกผัดก้านก่อนค่อยผัดใบตามผัแคะน้าปลาเค็มจานนั้นจึงเหม็นเขียวมาก


          "เซ็ทตักก้านออกให้พี่เค้าหน่อยสิลูก"น้าลดาหันไปบอกไอ้เซ็ทที่นั่งก้มหน้าก้มตากินราวตายอดตายอยากมาจากไหน


ผมว่าผมเริ่มชอบน้าลดาแล้วล่ะ




     เศรษฐพงศ์ชะงักมือที่กำลังกวาดราดหน้าเข้าปาก  เด็กหนุ่มจ้องหน้าคณินราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  ถ้าอยู่กันเพียงลำพังเศรษฐพงศ์รับรองได้ว่าเขาจะเทราดหน้าร้อนจานนี้ราดหัวคณินแน่ๆ


สารพัดความเรื่องมาก สารพัดที่จะหาเรื่องมาทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ


แอบกร่นด่าโชคชะตา


ทำไมเขาไม่เกิดก่อนคณิน  เพราะอายุที่น้อยกว่าแม่จึงชอบสั่งให้เขาดูแลปรนนิบัติไอ้เด็กโข่งนี่


โตกว่าควายแล้วยังดูแลตัวเองไม่ได้


ไม่กินก็แค่ตักออกมันจะไปยากเย็นอะไรนักหนาวะ


           "แกโตแล้วนะคินทำไมไม่หัดทำเอง"คณิตที่รู้สึกว่าลดาจะตามใจลูกชายของตนเองเกินไปเอ่ยเอ็ดลูกชาย เขารู้สึกเห็นใจเศรษฐพงศ์ไม่น้อยที่ต้องตกเป็นลูกไล่ให้กับลูกชายแสนเอาแต่ใจของเขา


          "ไม่ได้พ่อ กลิ่นเหม็นเขียวมันลอยเข้าจมูก"คณินหันไปตอบพ่อตามตรง เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเหม็นจริงหรือจิตใต้สำนึกมันสั่งให้เขาหลอกตัวเองว่าเหม็นแต่เมื่อไหร่ที่เห็นก้านคะน้าในอาหารเขาก็รู้สึกคลื่นไส้แทบจะทันที





เศรษฐพงศ์ตักก้านคะน้าออกจากจานของคณินมาใส่ในจานของตัวเองจนหมดแล้ววางจานคืนให้จากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับคณินอีกเลย  เด็กหนุ่มทำราวกับว่าไม่มีคณินอยู่ในที่นี้


หลังจากอิ่มแล้วเศรษฐพงศ์ก็ช่วยแม่เก็บจานชามไปล้าง คณินเห็นไอ้เด็กนั่นยืนล้างจานกับแม่แล้วหยอกล้อแม่ไปด้วย เสียงหัวเราะนุ่มทุ้มดังแว่วมาเป็นระยะ


ถ้าแม่ของเขายังอยู่บ้านก็คงจะมีเสียงหัวเราะแบบนี้เหมือนกัน


          "คิน ทำดีกับน้าลดากับเซ็ทบ้างเถอะ  เขาดีแสนดีขนาดไหนแกก็เห็นแล้วนี่"คณินหันไปมองพ่อที่เดินมานั่งเก้าอี้ใกล้เขา


          "ทุกวันนี้ผมยังทำไม่ดีด้วยอีกเหรอ?"


          "แกทำตัวห่างเหินเหลือเกิน น้าลดาเขาก็รักก็เอ็นดูเหมือนแกเป็นลูกเขา มีใครบนโลกบ้างสอนลูกตัวเองให้ยอมลูกเลี้ยง  บอกตรงๆพ่อสงสารเซ็ท"


          "สงสาร? มันมีอะไรน่าสงสารเหรอพ่อ?"


          "เด็กผู้ชายทุกคนน่ะอีโก้สูง แกเองก็น่าจะเข้าใจ แต่เซ็ทยอมทำตามแม่สั่งถึงจะไม่เต็มใจแกก็ช่วยดีกับน้องมันบ้าง"


          "ให้มันยอมผมได้ตลอดเถอะแล้วผมจะรับพิจารณา"คณินเลือกที่จะเดินทิ้งบทสนทนากับพ่อขึ้นห้องไปเขียนแบบที่ค้างไว้  ช่วงบ่ายสามเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น คณินเห็นเศรษฐพงศ์วิ่งตัวกลมๆไปที่ประตูบรรดาเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ยกมือไหว้แม่ของเพื่อนพลางส่งเสียงทักทายกันเซ็งแซ่  คณินเห็นเศรษฐพงศ์กระโดดขึ้นกะบะหลังที่มีตะกร้าต้นไม้วางเรียงราย  เมื่อเศรษฐพงศ์ตบข้างรถคนขับก็ถอยรถแล้วขับออกไป  คณินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิตจัดการนัดแนะพวกเพื่อนเพื่อไปสังสรรค์เย็นนี้


อยู่ๆก็อยากไปเดินเล่นถนนคนเดินซะอย่างนั้น




          เศรษฐพงศ์::


พวกผมจัดการเรียงต้นไม้ที่เตรียมมาขึ้นชั้นที่ประกอบง่ายๆจากก้อนอิฐและไม้กระดานเรียบร้อยก่อนห้าโมงเย็นนิดหน่อย พอเสร็จไอ้อิ้งค์ก็ไม่รีรอที่จะเดินไปซื้อลูกชิ้นร้านโปรดของมันทันที


ไอ้วีเริ่มเรียกลูกค้าของมันด้วยน้ำเสียงสดใสวันนี้แฝดนรกไม่ได้มาด้วยเพราะแม่มันรับไปทำธุระตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้ยิมกับไอ้ย้งนั่งทำรายงานบนฟุตบาธหลังร้าน  ผมหยิบเก้าอี้มานั่งเอ่ยทักทายลูกค้าประจำที่แวะเวียนมาไม่ขาดสาย


หากจะให้เข้าข้างตัวเองส่วนหนึ่งที่ลูกค้าเข้าร้านของผมไม่ขาดสายและเป็นพวกผู้หญิงวัยรุ่นนั้นก็เพราะหน้าตาของพวกผมนี่แหล่ะ ผมบรรจงเอาต้นไม้ใส่ถุงใก้ลูกค้าแนะนำวิธีดูแลจนลูกค้าเข้าใจผมจึงเดินไปซื้อน้ำมะพร้าวกิน


พลันสายตาของผมก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง โดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่หน้าตาและความสูง มีผู้หญิงเกาะแขนคนในกลุ่มนั้นมาอีก 2-3 คน ที่สะดุดตาสุดคงหนีไม่พ้นไอ้คนที่ทำใบหน้าเรียบเฉยแขนของมันมีผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาจัดว่าสวยเกาะตามมา


          "คิน ดูสิต้นไม้น่ารักจังเลย"ผมที่นั่งดูดน้ำมะพร้าวทำไม่รู้ไม่ชี้จำเป็นต้องเดินไปต้อนรับลูกค้า  ผู้หญิงคนนั้นดึงมือไอ้คินให้เดินตามเข้าไปเลือกต้นไม้ในร้าน ไอ้ยิมกับไอ้ย้งเงยหน้าขึ้นมองผมผมส่ายหน้าให้มันเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร  ไอ้อิ้งค์กับไอ้วีมองกลุ่มของไอ้คินไม่วางตาไม่มีใครไว้วางใจไอ้พวกนี้ทั้งนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้พวกเราระวังตัว


          "คินว่าโบว์ซื้อไปเลี้ยงแล้วจะรอดมั้ยอ่ะ"


          "ไม่รู้สิ รอดมั้ง"สาบานว่านั่นมึงพูดกับแฟน? ทั้งน้ำเสียงเฉยเมินนั้น ทั้งท่าทางเย็นชานั้นถ้าผมเป็นน้องโบว์รักสีดำนั่นคงไม่เอามันทำผัวแน่นอน


นั่นแฟนหรือตอไม้วะ โคตรไร้อารมณ์


        "งั้นคินซื้อให้โบว์หน่อยนะ น๊าๆ"ผู้หญิงคนนั้นเขย่าแขนไอ้คินอย่างออดอ้อนไอ้คินถอนหายใจอย่างรำคาญมันพยักหน้าส่งๆไป

น้องโบว์รักสีดำรับกระดี๊กระด๊าเลือกต้นไม้โดยที่ไอ้คินดึงให้เดินตามเรื่อยไป  บรรดาเพื่อนของมันก็อยู่ตรงมุมนั้นมีมุมนี้



ไอ้คินมันเริ่มเดินเตร่รอบร้านของผมระหว่างรอแฟนของมัน


          "เฮ้ย!!!!"


โครม!!!! อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากไอ้คินตามมาด้วยชั้นวางต้นไม้ของผมโดนปลายตีนของมันเกี่ยวจนแหกจากกันบรรดาต้นไม้ของผมล้มระเนระนาด


ผมเขวี้ยงแก้วน้ำทิ้งก่อนจะถลาไปดันชั้นสูงที่ทำท่าจะล้มใส่มันไว้ได้ทัน เสียงกระถางต้นไม้หล่นดังเปรื่องปร่างไอ้คินหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยไอ้ยิมไอ้ย้งรีบโดดเข้ามาล้อมมันไว้ ไอ้วีรีบไปเก็บกระถางต้นไม้ที่หล่นระเนระนาดส่วนไอ้อิ้งค์เดินไปกันเพื่อนไอ้คินไม่ให้เดินเข้ามา


ผมมองหน้าไอ้คนที่พังร้านของผมด้วยสายตาที่บอกความเบื่อหน่ายในสันดานของมันเต็มทน


          "มันเป็นอุบัติเหตุกูไม่ได้ตั้งใจ"


          "มึงพาเพื่อนของมึงออกไปจากร้านกูเลย"ผมไม่สนใจฟังคำแก้ตัวของมัน


คนอย่างมันน่ะเหรอจะไม่ตั้งใจ


ผมเชื่อว่ามันน่ะวางแผนมาอย่างดีแล้วด้วยซ้ำมองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าแม่งแกล้ง


          "ยังจะยืนทำเหี้ยอะไรอยู่อีก ออกไปกูจะเก็บของ"ผมหันไปไล่มันอีกครั้งมันยืนลังเลทำท่าจะพูดอะไรซักอย่างแต่ผมเลือกที่จะเมินใส่มันแล้วผลักชั้นให้ตั้งขึ้นไปตามเดิมมันทำท่าจะมาช่วยผมดันผมหันไปตวาดใส่มันด้วยเสียงอันดัง


           "ออกไป!!!"




         คณิน::


ผมชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปช่วยมันดันชั้นเมื่อมันหนมาตวาดใส่ผม



สารภาพตามตรงด้วยความสัตย์จริงว่าครั้งนี้มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆผมแค่จะเดินดูนู่นดูนี่ฆ่าเวลาแต่ปลายเท้าดันไปเกี่ยวเอาอิฐที่พวกมันใช้วางเป็นฐาน  บอกตามตรงมันใช้วัสดุที่แย่มากแล้วความซวยก็คือเสือกเป็นผมที่ไปเดินเตะชั้นของมันจนเสียหลักไปดึงเอาชั้นสูงข้างเพื่อประคองตัวไม่ให้ล้ม


ผมรู้สึกเสียหน้าที่ถูกมันตวาดใส่ต่อหน้าผู้หญิงที่ผมควงมาด้วย


แต่ความรู้สึกหน่วงในใจนี่มันคืออะไรผมกลับไม่เข้าใจตัวเองเลยซักนิด


แค่รู้สึกไม่ชอบให้มันไล่ผม...แค่นั้นล่ะมั้ง






          "ไงมึงเป็นไรเนี่ยทำหน้าเหมือนหมาโดนเจ้าของทิ้ง"แดนธรรมเอ่ยแซวคณินที่ยกแก้วเหล้าดื่มอย่างไม่สนใจใครแม้กระทั่งหญิงสาวที่นั่งบดเบียดร่างกายจนแทบจะสิงเขาอยู่+แล้ว คณินยื่นแก้วให้พชรพลชงเหล้าให้ตนเองอีกครั้ง


          "วันนี้มึงแดกดุมาก เดี๋ยวก็เมาหรอกมึง"ปากบ่นแต่มือก็ชงเหล้าให้ไม่ขาด


          "กูไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งมันเลยนะเว้ย"คนที่ยกไปหลายแก้วเริ่มมีน้ำเสียงอ้อแอ้


          "มึงก็ช่างมันเถอะอย่าไปคิดมาก"อานุพนธิ์ยื่นแก้วมาชนกับคณินพูดให้คณินไม่ต้องคิดมาก


          "มันแม่งไล่กูเหมือนหมา"


          "แล้วมึงจะไปแคร์ทำไมวะ  ปกติก็ตีกันชิบหายวันนี้มันไม่ต่อยมึงกลับมากูว่าโคตรแปลก"แดนธรรมตั้งคำถามอย่างไม่เข้าใจกับปฏิกิริยาของเพื่อนที่ปกติเจอเศรษฐพงศ์เมื่อไหร่เป็นต้องได้ฟาดปากกันเมื่อนั้น


          "เออ นั่นสิ พักนี้มึงแปลกไปนะไอ้คินปกติเจอน้องมึงได้ที่ไหนวะฟาดกันหัวร้างข้างแตก"


          "ทำไมวะแปลกตรงไหน  กูก็แค่เบื่อ"


          "ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้ป่าววะ"


          "แบบนี้แบบไหนวะ?"


          "ปกติมึงไม่ใช่คนที่จะปล่อยเหยื่อง่ายๆไง"แดนธรรมเอ่ยตอบอย่างคนที่รู้จักนิสัยของเพื่อนดี


คณินกระดกเหล้าเข้าปากมุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย


           "กูแค่เบื่อต่อยตีกับมันกูมีวิธีอื่นจัดการกับมันแล้ว"





      รถยนต์คันหรูขับเข้ามาจอดในโรงจอดรถ บ้านทั้งบ้านเงียบกริบมีเพียงแสงไฟส่องสว่าง  คณินเดินเซๆเข้ามาในบ้าน นาฬิกาเรือนใหญ่บอกเวลาตีสามกว่าๆ ชายหนุ่มไต่ราวบันไดขึ้นไปข้างบน ร่างสูงหยุดยืนหน้าห้องของคนเด็กกว่าก่อนจะล้วงเอากุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ไขมันเข้าไปอย่างเงียบกริบ


ภายในห้องมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างจากไฟที่สนามหญ้าส่งเข้ามาให้เห็นภายในห้องอย่างเลือนลาง  คณินลากเท้าเข้ามาที่เตียงนอนขนาด 5 ฟุต ที่มีร่างสูงของคนเด็กกว่านอนหลับสนิทอยู่บนนั้น  ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนข้างร่างที่หลับสนิทก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในผ้านวมผืนหนารวบร่างของเศรษฐพงศ์มากอดก่อนจะพิจารณาใบหน้าของคนหลับ


ตากลมๆนี่อ่ะเหรอที่คอยใช้มองเขาอย่างเกลียดชัง


ปากแดงๆนี่น่ะเหรอที่ตวาดไล่เขาเมื่อเย็น


          "ปากดี...มึงมันเด็กปากดี"ใช้ปลายนิ้วแตะลงบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา


เสียใจรู้มั้ย?


คนเด็กกว่าจะรู้บ้างมั้ยว่าเมื่อหัวค่ำที่เศรษฐพงศ์ไล่เขา เขาเสียใจจนเอาความหงุดหงิดไปลงกับเพื่อนสาว แต่มันกลับหยุดกลางทางเมื่อคณินเอาแต่คิดถึงหน้าของคนตรงหน้าในตอนนี้ ชายหนุ่มพาตัวเองกลับมาบ้านหลังจากถูกโบว์ด่าที่ทำให้เธออารมณ์ค้าง


          "มึงมันใจร้ายชิบหายเลยไอ้เซ็ท"คำกล่าวโทษถูกเปล่งออกมาในความมืดก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะหาเศษหาเลยกับคนที่หลับลึก 


ริมฝีปากอุ่นค่อยๆละเลียดชิมความหอมหวานจากกลีบปากนุ่มทีละนิด ปลายลิ้นค่อยๆแตะลงเบาๆราวกับกำลังชิมวิปครีมแสนอร่อย  รสจูบแสนนุ่มนวลค่อยดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ลมหายใจที่เจือกลิ่นเหล้าจางๆรินรดใส่คนหลับ คณินกดจูบซ้ำๆลงบนริมฝีปากนุ่นั้นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นจูบที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยคณินกระชับอ้อมกอดที่รั้งร่างของเศรษฐพงศ์ไว้ให้ร่างกายได้แนบสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม  ความปรารถนาบางอย่างตีตื้นขึ้นมาในหัวใจ


ต้องการมากกว่านี้


เขาต้องการมากกว่ารสจูบ  ปลายลิ้นสอดเข้าไปสำรวจโพรงปากของเศรษฐพงค์อย่างชำนาญดูดดึงลิ้นลื่นของอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจ   ฝ่ามือหนาลูบสะโพกกลมของคนที่เริ่มขยับตัวอย่างคนที่นอนไม่สบายตัว  เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังจะจมน้ำ ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างทำให้ร่างกายรู้สึกวาบหวามแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันทั้งรู้สึกดีและทรมานไปพร้อมกัน  เด็กหนุ่มค่อยเปิดเปลือกตาขึ้น

เขารู้สึกตัวตื่นแล้วแต่ก็ยังมึนเบลอคล้ายล่องลอยอยู่ในความฝัน  ความรู้สึกอุ่นชื้นที่ริมฝีปาก  เสียงจูบแสนน่าอาย และมีมือใครบางคนกำลังฟอนเฟ้นไปทั่วร่างของเขาทำให้เศรษฐพงศ์ตัวชา  เด็กหนุ่มยกแขนกอดร่างโปร่งของคนที่กำลังมัวเมาระดมจูบเขาไว้หลวมๆลูบผ่ามือผ่านเสื้อเนื้อดีราวกับโอนอ่อนตามสัมผัสหวิวนั้น มือเรียบลูบมาเรื่อยๆถึงเอวสอบของร่างที่ผอมบางกว่าเขาก่อนจะเลื่อนลงไปสัมผัสความหนานูนตึงตัวของบางสิ่งบางอย่างกลางหว่างขานั้น คณินส่งเสียงครางเบาๆเมื่อเศรษฐพงศ์ลูบฝ่ามือลงบนแกนกายเขาเบาๆ  ชายหนุ่มส่งยิ้มผ่านความมืดก่อนจะดูดปากบวมเจ่อนั้นแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว ความนุ่มนวลแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนเมื่อเศรษฐพงศ์เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นหลังจากกอบกุมจนเต็มไม้เต็มมือแล้วจากนั้นก็



          "อ๊าก!!!!!!!!!" เสียงทุ้มแหกปากร้องก่อนจะนอนตัวงอกุมเป้าของตัวเอง



          "กูจะบีบให้ไข่แตกเลยไอ้สัด เมาแล้วหื่นใช่มั้ยไอ้เหี้ย ตายซะเถอะ!!!"


บอกได้คำเดียวว่าจุกจนต้องร้องขอชีวิต


จุกจนหน้าดำหน้าแดง


บอกได้คำเดียวว่าที่แข็งก็แฟ่บในทันที


ใครก็ได้ช่วยคินด้วย!!!!                   






.................


สมน้ำหน้าเค้านะคะ เมาแล้วหื่นก็ต้องเจอแบบนี้แหล่ะค่า


เป็นง่อยอ่อพี่คิน  หนักจริงหรือมารยา

คนบว้าาาา


คนเลว


คนผีทะเล

คนฉวยโอกาส

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



          คณิน::


ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนบ่ายแก่ๆ อาการปวดหัวแล่นเข้ามาทำงานอย่างทันท่วงทีเมื่อผมมีสติ ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงสำรวจตัวตนของตัวเองก็พบว่าผมยังคงอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมชุดเดียวกับเมื่อวาน


ผมคงเมามากจนไม่ได้สติกลับมาแน่ๆ  ขับรถมาถึงบ้านได้ยังไงผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน ผมขยับตัวเพื่อลงจากเตียงจะไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นซักหน่อย ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ทันทีที่ขยับตัวความเจ็บแปล๊บก็จู่โจมคินน้อยของผม ผมลองขยับอีกทีด้วยความไม่มั่นใจ


แปล๊บๆ


ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย  ทำไมมันเจ็บ?


ผมไปเล่นท่ายากอะไรกับใครมาหรือเปล่า? จำได้นิดๆว่าเกือบทำกับโบว์แต่ก็ไม่ได้ทำแล้วมันเจ็บได้ไงวะ ผมคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำทันทีที่ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดผมก็สำรวจสิ่งสำคัญของผมบอลใบน้อยของผมมีรอยช้ำหรือว่าผมไปเดินเมาแล้วชนอะไรมาวะ


ช่างแม่งเดี๋ยวทายาซักหน่อยคงหาย  ไม่เป็นไรนะลูกนะเดี๋ยวพ่อโอ๋หนูเองเดี๋ยวก็ใช้งานได้ตามเดิมแล้ว  ผมลูบมือลงเบาๆกับคินน้อยพลางเอ่ยปลอบใจ  นี่ถ้าใครมาเห็นผมกำลังปลอบเจี๊ยวตัวเองคงเอาไปล้อยั้นลูกบวชแน่ๆ


ทำไงได้ล่ะ  โลกนี้มีคณินแค่คนเดียว  คินน้อยที่แสนทรงพลังนี่ก็มีอันเดียวเหมือนกันผมก็ต้องทะนุถนอมมันให้มากๆคุณว่าจริงมั้ย


ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวราวๆ 20 นาทีก็เดินลงมาหาอะไรกินข้างล่าง บ้านเงียบกริบบ่งบอกว่าตอนนี้ผมอยู่คนเดียวอีกแล้ว ไอ้เซ็ทคงกลับหอมันไปแล้วผมตื่นไม่ทันแกล้งมันหรือมันจงใจที่จะไม่อยู่เจอผมก็ไม่รู้  มันคงจะโกรธที่ผมทำร้านของมันพัง ผมจัดการยัดข้าวกับต้มจืดเต้าหู้อ่อนลงท้อง ขึ้นไปหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์คว้ากุญแจรถแล้วขับออกจากบ้านมาจนถึงร้านขายไม้ของพ่อ  ลูกน้องในร้านต่างพากันทักทายผม ผมหยิบแมสขึ้นมาใส่เพราะฝุ่นโคตรเยอะเกินไปทักทายอาของผมที่มาช่วยพ่อดูแลร้านนี้โดยเฉพาะ

        "โกว คินขอไม้อัดยางหน่อยสิ เอาซัก 10 แผ่นให้คนไปส่งที่บ้านให้ด้วยคินเอาบีเอ็มมาขนไปเองไม่ได้"


          "แล้วคินเอาไปทำอะไรเยอะแยะ" อาโกวตะโกนสั่งไม้กับลูกน้องแล้วหันมาตั้งคำถากับผมที่กำลังเลือกเหล็กฉากกับพวกไม้เหลี่ยมอยู่ใกล้ๆ


          "คินจะทำงานส่งอาจารย์น่ะ"ตอแหลครับ ผมตอแหลใส่อาโกวด้วยใบหน้าใสซื่อ อาโกวร้องอ๋อเบาๆอย่างรับรู้แล้วหันไปสั่งลูกน้องให้ขนของขึ้นรถกะบะของร้านไปส่งที่บ้าน ผมยกมือไหว้ลาอาโกวแล้วขับนำกลับมาก่อน ไม่นานรถส่งของก็ตามมาผมสั่งให้คนงานขนของเข้าไปไว้ในห้องทำงานของผม



          ผมมองกองวัสดุแล้วไลน์เรียกให้เพื่อนที่พอจะมีเวลาว่างให้มาช่วยผมทำงาน พวกมันเรียกค่าจ้างนิดหน่อย ผมไม่เสียค่าวัสดุแต่ต้องเสียค่าแรงพวกมันเนี่ยโคตรไม่คุ้มเลย  ใครก็เรียกกลุ่มเราว่า ชส.แดกดุ  ชั่วโมงถัดมาไอ้แดนก็มาถึงพร้อมไอ้อ้นกับไอ้แพรส่วนไอ้แพทมันขับมอไซค์ตามมาทีหลัง


         "ไหนครับ ไม่ทราบว่าเสี่ยคินจะใช้ให้พวกผมทำอะไรครับ"ไอ้แพทที่หน้าระรื่นเข้ามาตอนที่พวกผมเริ่มงานกันไปได้ระยะหนึ่งเอ่ยถาม


          "มึงไปช่วยไอ้แดนใส่ไม้คั่นไป"ผมที่กำลังวัดไม้ให้ไอ้อ้นตัดพยักหน้าไปทางไอ้แดน ไอ้แพทถอดเสื้อเชิ๊ตตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามก็เข้าไปช่วยไอ้แดน


          "เออ เจ๋งดีว่ะ"ไอ้แพรเอ่ยปากชมเมื่อชั้นตัวแรกเสร็จผมลองประกอบเข้าแล้วถอดออกมันสะดวกสบายในการขนย้ายมากรวมทั้งการประกอบก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ผมใส่ลูกเล่นด้วยการทำให้มันเล่นระดับแบบขั้นบันไดเพื่อที่จะให้มันโชว์สินค้าได้และไม่ต้องเปลืองพื้นที่ 


          "ว่าแต่มึงทำไปทำไมวะ?"ไอ้แดนเอ่ยถามหลังจากยกน้ำขึ้นดื่ม ผมยักไหล่ไม่ยอมตอบ


          "หรือทำไถ่โทษให้น้องมึงที่ไปพังร้านมันเมื่อคืน?"อยู่ๆไอ้ห่าอ้นก็พูดขึ้นมา บรรดาไอ้พวกที่เหลือก็หูผึ่งขึ้นมาทันที


          "ยังไงครับคุณคณินยังไงกันเอ่ย?"ไอ้แพรทำสีหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มแสนกวนตีน


          "ไถ่โทษเหี้ยอะไรกูแค่สมเพชเวทนาความอนาถาของร้านมัน"


          "หราเพื่อหรา"ไอ้แพทลอยหน้าลอยตาทำลิ้นเปลี้ยใส่ผม


          "จะแดกมั้ยเหล้าอ่ะถ้าจะแดกก็เก็บของแล้วขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวบนห้องกูได้แล้วพูดมากรำคาญ"ผมเดินหนีพวกมันออกจากห้องอย่างหัวเสีย


ไถ่โทษบ้าบออะไรผมทำอะไรผิด?







         เศรษฐพงศ์::


ผมกลับมาถึงหอเร็วกว่าปกติ  เพิ่งจะสิบโมงหอเงียบสนิทเพราะเพื่อนของผมมันยังไม่กลับมา  ผมเปิดพัดลมไล่ความร้อนแล้วล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า  อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเองไม่ได้  ภาพน่ารังเกียจตามมารบกวนจิตใจ  สัมผัสน่าขยะแขยงคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนทำให้ใบหน้าของผมร้อนผ่าว


ผมไม่รู้ว่าไอ้คินมันคิดอะไรอยู่  ตอนแรกก็แค่รู้สึกมันแปลกไปไม่หาเรื่องทะเลาะต่อยตีกับผมแม้ว่าจะยังหาเรื่องกลั่นแกล้งบ้างพอหอมปากหอมคอ  จูบครั้งแรกผมก็ยังคิดว่ามันคงแกล้งเล่นเหมือนเดิม จูบครั้งที่สอง ผมก็ยังคิดว่ามันแค่สั่งสอนผมที่ผมยังไปปากดีกับมัน  แต่จูบเมื่อคืนมันไม่ใช่...มันไม่มีเหตุผลเลยซักนิด  ถ้าผมตื่นไม่ทันหรือถ้าผมเคลิ้มไปกับอารมณ์ตามประสาวัยรุ่นที่มีความอยากรู้อยากลองอะไรจะเกิดขึ้น  ที่ผมไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือตัวของไอ้คินที่บอกเกลียดผมตลอดเวลาแต่ก็เอาตัวเองเข้ามาข้องเกี่ยวกับผมเหลือเกิน  บอกตรงๆบางทีผมก็ตามความคิดของมันไม่ทัน


ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือมันไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ  ผู้ชายที่ไหนจะมาจูบผู้ชายด้วยกันวะผมไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อยที่จะไปเร้าอารมณ์ทางเพศใครได้  และผมไม่ใช่เกย์ด้วย  ไอ้คินเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะชอบเพศเดียวกัน  แล้วมันมาทำกับผมแบบนั้นทำไม  ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงอยากจะข่มตานอนแต่ก็นอนไม่หลับแม้ว่าเมื่อคืนหลังจากที่ผมบีบไข่มันจนลงไปนอนร้องโอดโอยผมก็ใช้เข่ากระทุ้งตามไปอีก 1 ที แล้วหิ้วปีกมันกลับไปนอนในห้องของมันจากนั้นผมก็นอนไม่หลับอีกเลย


ภาพมันวนซ้ำในสมองจนผมหงุดหงิด  ยกฝ่ามือขึ้นมาถูลงบนปากจนรู้สึกเจ็บ


จะทำให้กูเกลียดไปอีกนานแค่ไหนกันวะ  คิดแล้วก็หงุดหงิด ผมระบายอารม์ด้วยการหยิบหมอนข้างมารัวกำปั้นใส่ติ๊ต่างว่าเป็นหน้าไอ้คินจนรู้สึกดีขึ้นถึงได้เคลิ้มหลับไปในที่สุด


เสียงพูดคุยกันด้านนอกปลูกให้ผมตื่นขึ้นตอนบ่ายสามกว่าผมบิดคอไล่ความเมื่อยขบเดินไปเปิดประตูตามเสียงเคาะเรียกของไอ้วี


          "ไรมึง"ผมเกาหัวจนผมยุ่งเมื่อเปิดประตูให้ไอ้วีเรียบร้อยแล้วไม่ได้สนใจมันอีกแต่เตรียมตัวนอนอีกรอบ


          "จะสี่โมงเย็นแล้วมึงยังจะนอนอีกเหรอ  ลุกๆแม่กูฝากขนมมาให้"ไอ้วีมันไม่ยอมให้ผมได้นอนต่อมันดึงแชนจนผมต้องลุกตามที่มันบอกถุงขนมสอดไส้ถูกยื่นมาให้ถุงใหญ่


ผมรีบคว้ามาไว้กับตัก เป็นที่รู้กันดีว่าแม่ไอ้วีนั้นขึ้นชื่อเรื่องขนมไทยขนาดไหนผมเอ่ยปากขอบคุณมันพลางแกะขนมเข้าปากความหอมมันเค็มนิดๆผสมกับไส้มะพร้าวผัดรสหวานให้ความกลมกล่อม ผมแกะขนมสอดไส้ใส่ปากห่อแล้วห่อเล่า นี่ถ้าเป็นไอ้คินมันคงจะนั่งกอดอกรอให้ผมเขี่ยเอาส่วนที่เป็นแป้งผสมกะทิออกแน่ๆเพราะมันไม่กินกะทิมันจะเลือกกินแต่ส่วนที่เป็นแป้งบางๆกับไส้ด้านใน



อ่าว...


แล้วนี่กูจะไปคิดถึง...เฮ้ย...นึกถึงมันทำไมวะ



หมดอารมณ์แดกเลย



ผมวางถุงขนมที่กินไปเกินครึ่งลงเมื่อดันไปนึกถึงไอ้คนที่ทำให้อารมณ์เสียมาตลอดทั้งวัน  เดินออกไปช่วยพวกไอ้ยิมเอาต้นไม้ลงจากท้ายกะบะ


          "ดีนะเมื่อคืนที่หล่นไม่เสียหายจนถึงกับปลูกซ่อมไม่ได้"ไอ้ย้งมันแยกต้นที่หล่นออกจากถาดมาเรียงไว้เพื่อนเตรียมปลูกซ่อม


          "ไอ้เซ็ทเมื่อคืนกูว่ามันไม่ได้ตั้งใจว่ะ"ไอ้ยิมที่เดินถือตะกร้าใส่กระถางพูดกับผม


          "คนอย่างมันแกล้งกูมาตลอดจะมีคำว่าไม่ตั้งใจอยู่ในหัวเหรอวะ"


          "กูว่าเมื่อคืนอุบัติเหตุจริงๆมึง กูมองมันอยู่ มันเดินๆแล้วสะดุดตีนมันเลยไปเกี่ยวกับไม้กระดานทีนี้มันจะล้มมันเลยจับชั้นวางของเลยหล่นหน้ามันโคตรเหวอเลยมึง"


          "จริงดิ่?"


          "เออ จริง ถ้ามันแกล้งมันพังร้านเราโต้งๆเลยไม่ง่ายกว่าเหรอวะปกติมันทำอะไรก็ทำตรงๆอยู่แล้วแล้วเมื่อคืนตอนมึงไล่มันหน้ามันอย่างสลดอ่ะ"


          "ก็กูโมโห ยังไงมันก็ผิด เดินประสาอะไรของเสียหายมันไม่ได้มารับผิดชอบให้"


          "ก็แค่เปลี่ยนดินนิดหน่อยเองมึง  มึงก็ไม่ต้องไปอะไรกับมันมากนักหรอก  กูว่าเป็นแบบนี้ก็ดีนะ"


          "ยังไง?"ผมหันไปถามไอ้ยิมอย่างแปลกใจ


          "ก็พักหลังๆมานี่พวกเราไม่ได้ตีกับพวกมันเลยนะหลังจากหมูกะทะ ปกติเจอกันที่ไหนตีกันที่นั่น บอกตรงๆนะกูก็ไม่เข้าใจทำไมพวกมึงจงเกลียดจงชังกันได้ขนาดนี้  พอไม่ตีกันกูก็ไม่ต้องระแวงว่าจะต้องเข้าไปสำนึกตนในคุกตอนไหนอีกขอเป็นประสบการณ์ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายไป"


          "กูขอโทษนะเว้ยที่ทำให้พวกมึงต้องมาเดือดร้อนกับปัญหางี่เง่าระหว่างกูกับมัน"ผมเอ่ยขอโทษออกมาจากใจจริง  ยังรู้สึกผิดไม่หายที่ลากเพื่อนๆเข้ามาวังวลการทะเลาะของเขากับไอ้คิน


          "ต่อไปกูจะพยายามไม่หัวร้อนง่ายแบบนี้อีกก็แล้วกันนะ"


          "เออ  ทำได้ก็ดี ไม่ได้ดีกับพวกกูแต่ดีกับตัวมึงเอง  โดนต่อยมาแต่ละที ฟันแทบโยก"


          "ถ้าแตกแอนตาซินแจก 500 นะมึง"ผมแซวมันเมื่อมันบ่นจบ มันเอาหินก้อนเล็กไปมาใส่ผมที่ผมบังอาจไปกวนตีนมัน  พวกเราช่วยกันเปลี่ยนดินให้ต้นไม้อย่างเร่งรีบในที่สุดก็เสร็จตอนห้าโมงกว่า  พวกผมอาบน้ำอาบท่าแล้วถึงได้ขับรถไปหาอะไรกินแถวนี้พอเย็นแล้วก็หาของกินยากดังนั้นกับข้าวที่ทางบ้านทำมาให้จึงมีความหมายมากๆเสียดายวันนี้ผมรีบชิ่งออกมาเพราะไม่อยากเจอหน้าไอ้คินทำให้แม่ไม่มีเวลาทำกับข้าวให้ผม



          "อย่ากินรสจัดเกินนะมึงพรุ่งนี้เข้ากรุงเทพคนขับแม่งไม่แวะปั๊ม"ไอ้ยิมเอ่ยเตือนเมื่อพวกเรานั่งดูเมนูอาหารตามสั่งง่ายๆ


          "กูอิจฉาพวกมึงได้ไปกรุงเทพส่วนพวกกูสามคนต้องอยู่เตรียมของไปราชบุรี"ไอ้อิ้งค์บ่นอุบผมแกล้งตบไหล่มันเบาๆอย่างปลอบใจ


          "โอ๋ๆ ไม่เศร้านะเดี๋ยวเฮียซื้อหนมมาฝาก"


          "พวกแต้มบุญน้อยก็อย่างนี้แหละ บอกแล้วให้ทำบุญเยอะไป"ไอ้วีหันไปเบะปากใส่ไอ้อิ้งค์กับสองแฝด บอกเลยว่าท่าทางนั้นต้องได้รางวัลออสการ์


          "ว่าแต่เซ็ทมึงไม่สบายป่าววะดูซึมๆ"


          "ป่าว...กูสบายดี"ผมบอกปัดก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวไป  ไอ้วีไม่ได้มาเซ้าซี้อะไรอีกซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องดีทำให้กินข้าวได้คล่องคอขึ้นมาหน่อย


          หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็มานั่งจัดการรีดชุดนักศึกษาไว้พอเสร็จก็เตรียมตัวเข้านอน เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นผมกดคุยกับเอิร์นที่ทักมา

          "ไอ้เหี้ย"การแจ้งเตือนที่เด้งแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของผมกับเอิร์นทำให้ผมหัวเสียไม่น้อยผมรีบกดเข้าไปตอบกลับมันทันทีด้วยความหัวร้อน


          "ไอ้หน้าส้นตีน"ผมปิดเน็ตแล้วล้มตัวนอนทันทีด้วยความหงุดหงิด






เช้าอันวุ่ยวายเสียงตะโกนด่าโหวกเหวกดังมาจากห้องน้ำ ไม่นานเศรษฐพงศ์ ยงศกร ยงวิสุทธิ์ วีรดนัยก็เดินหน้าบูดออกมาจากห้องน้ำ


          "ไอ้เหี้ย ใครเอาไลป้อนเอฟมาใส่ในขวดยาสระผมวะ"หลังจากแต่งตัวเสร็จออกมารอเพื่อนหน้าหอเศรษฐพงศ์ก็บ่นอุบ


          "อ้าว มึงก็โดนเหรอ กูก็โดน"ยงวิสุทธิ์กำลังใส่เข็มขัดหันมาบอกอย่างหงุดหงิด



          "กูสองคนก็โดน"


          "ไอ้เหี้ยอิ้งค์กับแฝดนรกแน่ๆไม่เชื่อลองถามในไลน์" เศรษฐพงศ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ สบถอย่างขำๆเมื่อโอบนิธิกับสองแฝดสารภาพว่าเป็นคนเอาน้ำยาล้างจานมาเปลี่ยนใส่ขวดยาสระผมในห้องของเพื่อนๆ


          "หัวกูยังมีกลิ่นมะนาวอยู่เลย"ยงศกรจับปลายผมพยายามสูดกลิ่น


          "ไปกินข้าวกันก่อนมั้ยอีกครึ่งชั่วโมงรถถึงมารับ"วีรดนัยยกนาฬิกาขึ้นมาดูเพิ่งจะ 7 โมง 20 ยังพอมีเวลาหาอะไรรองท้องเพื่อนอีกสามคนต่างเห็นด้วย  เพราะคนขับรถคนนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องการไม่แวะระหว่างทาง เด็กๆทั้งสี่คนเคลื่อนทัพไปสั่งข้าวผัดกินเพราะจะได้ทำทีเดียว เมื่อได้อาหารทุกคนก็ทำตัวราวเครื่องจักรคือรีบกินข้าวจนหมดจานภายในเวลาอันรวดเร็ว


          "มึงๆ ซื้อหนมไปกินบนรถด้วย กูจะซื้อบ๊วยเผื่อเมารถ"วีรดนัยส่งเสียงสั่งเพื่อนๆในขณะที่ตัวเองยืนเลือกบ๊วยสารพัดแบบอยู่


          "บุหรี่ไม่ต้องนะมึง ใส่ชอปวิทยาลัยไปมันดูไม่ดี"เศรษฐพงศ์ร้องค้านเมื่อยงศกรทำท่าจะก้มลงไปเลือกบุหรี่  ร่างสูงชะงักมือเมื่อคิดตามที่เพื่อนบอก ชายหนุ่มเลือกที่จะฟังเศรษฐพงศ์ อย่างน้อยเขาก็รักชื่อเสียงของสถาบันมากกว่าความต้องกทรของตนเองคงจะไม่ดีแน่ถ้าใครมาเห็นพวกเขาสูบบุหรี่ในขณะที่สวมเครื่องแบบสถาบัน


ก่อนแปดนาฬิกาเพียงไม่กี่นาทีรถหกล้อทาสีน้ำตาลข้างตัวรถมีชื่อและตราสถาบันเด่นหราก็มาจอดหน้าหอและบีบแตรเรียก เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปที่รถยกมือไหว้อาจารย์และคนขับรถก่อนจะปีนขึ้นบนรถอย่างคล่องแคล่ว  พอรถเคลื่อนตัวยงวิสุทธิ์ก็เอาเปลยวนมาผูกระหว่างโครงรถทั้งสองด้าน เพื่อนที่เหลือต่างก็ทำตามไม่แพ้กัน เรื่องอะไรจะนั่งให้เมื่อยเขาเสียเวลาอันมีค่าในยามเช้าเพราะต้องตื่นมาเตรียมตัวไวการนั่งรถนิ่งๆจึงเป็นกำไร ไม่นานดักแด้ยักษ์สี่ตัวก็หลับสนิทและตื่นขึ้นไล่เลี่ยกันเมื่อใกล้ถึงตลาดนัดสวนจตุจักร ทั้งสี่คนเก็บอุปกรณ์การนอนแล้วซุกๆไว้ใต้เบาะนั่ง จัดแต่งเสื้อผ้าและทรงผมก่อนจะโดดลงมายืนรวมกัน อาจารย์พาพวกเขาเข้าร้านนู้นออกร้านนี้เลือกซื้อทั้งไม้ต้นเล็กเช่นปีกแมลงสาบ โปร่งฟ้า เฟิร์น มอสที่ขายเป็นถาดๆ ถาดหินอ่อนสำหรับใช้แข่งจัดสสนถาดรวมทั้งกิ่งไม้อันสวยๆ ตุ๊กตาและของกระจุกกระจิกสำหรับจัดสวนขวด สวนถาด สวนตู้กระจก ตลอดเวลาในการเลือกซื้อเหมือนพวกเขากำลังเล่นเกมส์โชว์ เพราะไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่ต้องการต้นไม้เหล่านี้  วิทยาลัยอื่นก็ต้องการเช่นเดียวกันเพราะฉะนั้นตอนที่พวกเขากำลังรออาจารย์เลือกต้นไม้อยู่ อาจารย์ของวิทยาลัยอื่นก็พานักศึกษามาเลือกซื้อต้นไม้เช่นเดียวกัน  พวกเศรษฐพงศ์ต้องยกมือไหว้อาจารย์ทุกคนที่เข้ามาทักทายอาจารย์ของเขาอยู่เนืองๆ ของที่ถืออยู่ก็หนักขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน อากาศก็ร้อนอบอ้าวมันทำให้กลุ่มเด็กหนุ่มแอบหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย  แต่เด็กไปทั้งสี่คนก็เก็บอาการได้อย่างแนบเนียน เศรษฐพงศ์กับวงวิสุทธิ์ลองสังเกตุนักศึกษาต่างสถาบันที่แข่งจัดสวนหย่อมเหมือนกัน จนกระทั่งบ่ายการเลือกซื้อต้นไม้ที่จตุจักรก็จบสิ้นลง อาจารย์สั่งคนขับรถมุ่งหน้าไปบ้านอาจารย์วิรัชที่เคยสอนอาจารย์ของพวกเขาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา ทั้งหมดแวะกินข้าวกลางวันกันตอนบ่ายกว่า แทบไม่มีใครเอ่ยปากพูดคุยกันเลยเพราะต่างคนต่างหิวจัดหลังจากอิ่มแล้วก็เดินทางต่อจนถึงจุดหมาย สถานที่ๆมาห่างไกลจากคำว่าสวนมากเพราะด้านหน้าถูกตกแต่งอย่างสวยงามเป็นทั้งร้านอาหารและสถานที่จัดงานเลี้ยง มีต้นไม้ประดับประดาร่มรื่น อาจารย์พานักศึกษาอ้อมไปอีกด้านเพื่อไปหาอาจารย์วิรัช ทั้งสองท่านทักทายกันด้วยความสนิทสนมเศรษฐพงศ์เคยเห็นอาจารย์วิรัชจากหนังสือเกี่ยวกับต้นไม้หลายเล่ม ตลอดทั้งบ่ายเด็กสี่คนวิ่งกันหัวหมุนเพราะถูกสั่งให้หยิบต้นไม้ต้นนู้นต้นนี้ไม่ได้หยุด  เหนื่อยจนเหมือนร่างจะแหลก ในที่สุดหลังจากผ่านสี่โมงเย็นต้นไม้ที่ห่อใบเรียบร้อยก็ถูกลำเลียงขึ้นรถจนเสร็จ เข้าไปไหว้ลาเจ้าของสวนพวกเขาจึงได้เดินทางกลับวิทยาลัย


เศรษฐพงศ์หมดแรงจนหลับแบบไม่สนใจอะไร  ไม่สนแม้กระทั่งแรงสั่นจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง


          เอาล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน"อาจารย์เอ่ยลาเด็กๆเมื่อมาจอดรถส่งเด็กทั้งสี่คนลงหน้าหอเรียบร้อยตอนเกือบสองทุ่ม โทรศัพท์สั่นไม่หยุดทำให้เศรษฐพงศ์ต้องหยิบขึ้นมาดูเพราะคิดว่าเอิร์นทักมาหา แต่พอดูหน้าจอแล้วก็ถอนหายใจพรืดใหญ่ตัดสินใจเปิดอ่านแม้จะไม่เต็มใจ




          คณิน:


ผมจ้องมองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด  ผมทักไลน์ไปหาไอ้เด็กเหี้ยนั้นตั้งแต่ห้าโมงกว่า  มันไม่อ่านไม่ตอบผมเลยซักครั้งจนกระทั่งเกือบสองทุ่มมันถึงตอบผมกลับมา  ผมมองชั้นไม้ที่ต่อให้มันกะจะบอกให้มันรีบมาขนๆไปแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวมันจะไปแข่งแล้วคงไม่มีเวลามาเอาไป


"มึงจะไปแข่งวันไหน"จึงเป็นคำถามที่ผมพิมพ์ลงไป  แน่นอนว่าคนอย่างไอ้เซ็ทไม่มีทางที่จะตอบคำถามของผมดีๆโดยไม่โดนด่า  มันพยายามบ่ายเบี่ยงและจะนอนท่าเดียวจนผมต้องบอกว่าแค่มันบอกมามันจะไปนอนหรือไปตายที่ไหนก็ไป


        "วันพฤหัส"นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับ ผมด่ามันส่งท้ายและมันตอบกลับมาคำเดิมเหมือนทุกครั้งที่ผมส่งไปด่ามัน ผมกดเข้ากรุ๊ปไลน์ไอ้พวกเพื่อนๆว่าวันพฤหัสผมมีเรียนหรือมีสอบอะไรมั้ย คำตอบที่ได้ทำให้ผมอารมณ์ดีไม่น้อย  วันพฤหัสผมสามารถโดดเรียนได้


ราชบุรีก็ไม่ได้ไกลอะไรเยอะขับรถชั่วโมงหนึ่งก็ถึง


รู้สึกอยากขับรถเล่นจังเลย






..............


อยากนั่งรถไปเที่ยวกับพี่คินจุงเบย

พี่น้องเขาบอกฝันดีกันอย่างนุ่มนวล


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



B
E
R
L
I
N
?  Faded Red Hand Blue Bow Heart





          บริเวณหน้าตึกอำนวยการในตอนหกโมงเช้าคราคร่ำไปด้วยนักศึกษาที่ใส่ชุด อกท.หน่วย ทุกคนยืนแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง อาจารย์เดชอาจารย์ที่ปรึกษากิจการ อกท.เดินแจกเบี้ยเลี้ยงให้กับตัวแทนที่เข้าร่วมแข่งขันทุกคน


          "3 วัน ให้ 500 กูหายใจทีเงินก็ปลิวหายแล้ว"ยงศกรบ่นอุบเมื่อเห็นจำนวนเงินในมือ


          "เอาน่ามึง มีให้ก็บุญแล้วก็รู้อยู่วิทยาลัยเรางบน้อย"วีรดนัยพับเงินเก็บใส่กระเป๋า บรรดานักศึกษาทยอยกันขึ้นรถหกล้อจนเต็ม ขณะที่กลุ่มของเศรษฐพงศ์จะปีนขึ้นรถเสียงบีบแตรก็ดังขึ้น รถกะบะโฟท์วีลของอาจารย์บุตรแล่นมาจอดจ่อท้ายรถหกล้อ


           "ภูมิทัศน์พวกจัดสวนไปกับครู"อาจารย์ส่งเสียงเรียกกลุ่มของเศรษฐพงศ์ ทำให้ตอนนี้พวกเขาต้องแยกเป็นสองกลุ่ม โอบนิธิ เศรษฐพงศ์ วีรดนัย กับยงวิสุทธิ์ นวิดา ต้องเดินมาขึ้นรถอาจารย์


          "เนยกับวีไปนั่งหน้ากับอาจารย์นะ"เศรษฐพงศ์เปิดประตูรถให้วีรดัยกับนวิดาหรือเนยเข้าไปนั่งในรถ


          "เอ้าเฮ้ย แคปหลังยังนั่งได้อีกเข้ามานั่งในรถด้วยกันนี่แหล่ะ"อาจารย์ส่งเสียงเรียกอีกครั้งเมื่อคนที่เหลือเตรียมไปนั่งกะบะด้านหลัง


          "ไอ้ย้งมึงไป กูนั่งกับไอ้เซ็ทข้างหลังเอง"โอบนิธิดันให้ยงวิสุทธิ์เข้าไปนั่งกับวีรดนัย เพื่อนทุกคนรู้ดีว่าเศรษฐพงศ์ไม่ชอบนั่งในรถกะบะ ภาพเหตุการณ์วันที่เสียพ่อไปแม้พยายามจะฝังกลบเข้าไปให้ลึกที่สุดของก้นบึ้งหัวใจแต่ความกลัวฝังใจของเศรษฐพงศ์ไม่เคยจางหายหรือลบเลือนไปไหน


ทั้งสองคนมานั่งท้ายกะบะอาจารย์ก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ราชบุรีทันทีเศรษฐพงศ์หายใจไม่ทั่วท้องเลยซักนิดเหงื่อออกเต็มสองมือของเขาเมื่ออาจารย์ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง


เด็กหนุ่มพยายามสูดหายใจลึกเพื่อลดความกลัวในใจ



ไม่ชอบ


เศรษฐพงศ์ไม่ชอบนั่งรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูงแบบนี้  ยิ่งอาจารย์เพิ่มความเร็วความกระอักกระอ่วนยิ่งตีตื้นจากช่วงท้องสู่ลำคอเขาอยากจะอาเจียนแต่ก็ต้องกลั้นไว้ ไม่อยากแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็น


          "มึงไหวมั้ยวะเซ็ท"โอบนิธิที่สังเกตอาการของเพื่อนเอ่ยถาม เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบเป็นคำพูดทำเพียงพยักหน้ารับ แม้มือจะเย็นเฉียบเหงื่อไหลจากขมับลงมาจนถึงคอก็ยังไม่ยอมปริปากบ่นให้ตัวเองต้องมาเป็นภาระของเพื่อน


          "ไม่ไหวมึงต้องบอกกูนะมึงพกยาดมมาป่าว"คราวนี้คนที่นั่งหน้าซีดส่ายหน้า  เขาไม่คิดว่าอาจารย์จะแวะมารับนี่นาจึงไม่ได้เตรียมมา อันที่จริงใช่ว่าเขาจะนั่งรถกะบะไม่ได้ เขานั่งได้เพียงแต่อย่าขับเร็ว


แต่สำหรับรถอาจารย์นั้นอย่าเรียกขับเลยให้เรียกเหาะจะเหมาะกว่า




          เศรษฐพงศ์::


     ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่วิทยาลัยที่ราชบุรีผมภาวนาให้อาจารย์หยุดรถซักที  อาจารย์นำรถมาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆกับซุ้มของวิทยาลัยพอรถจอดสนิทผม็พุ่งตัวราวสิงโตเข้าตะครุบเหยื่อพอถึงโคนต้นไม้ผมก็อ้วกแตกครับ


          "อะไรวะเมารถเหรอ"อาจารย์เอ่ยถามผมเมื่อผมยังอ้วกไม่หยุดไอ้อิ้งค์มันตามมาลูบหลังให้ผม


          "ไงเดี๋ยวพวกเธอไปหาอะไรกินแล้วเดินดูงานรอบๆนะซัก 10 โมงมาเจอครูที่นี่"อาจารย์หันมานัดแนะจนพวกผมรับคำแล้วก็แยกไป บรรดาเพื่อนๆต่างรีบเดินมาหาผมด้วยความเป็นห่วง


          "เซ็ทมึงไหวป่าววะหน้ามึงอย่างซีด"ไอ้วีใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเช็ดเหงื่อที่ขมับ ผมยื่นมือไปรับยาดมจากเนยมาอัดเข้าปอดหนักๆ


          "กูนึกว่าวิญญาณกูจะออกจากร่างแล้วตอนอาจารย์ตีโค้งหักศอก ขับเหมือนรถแข่ง"ผมทำหน้าสยองเมื่อคิดถึงตอนที่อาจารย์เลี้ยวรถด้วยความเร็วสูงจนผมกับไอ้อิ้งค์ถึงขั้นกลิ้งเป็นลูกขนุนเเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

          "ไปหาข้าวกินกันเผื่อดีขึ้น"ไอ้ย้งเสนอซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย พวกผมสี่คนแยกกับเนยที่ต้องไปช่วยทำซุ้มเดินตัดสนามตรงไหนอีกฝั่งที่เป็นโซนร้านอาหาร


          "เทียบกับวิทยาลัยเราของเขาเล็กไปเลย"ไอ้อิ้งค์กวาดตาไปรอบๆเพราะชินกับพื้นที่ของวิทยาลัยตัวเองที่ราชบุรีนี้ใหญ่ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำพวกผมสี่คนเลือกเข้าร้านอาหารตามสั่งสั่งข้าวคนละจานกับน้ำอัดลมคนละขวด ไอ้ยิมไอ้จีนกับไอ้จินยังมาไม่ถึงคงอีกซักพักใหญ่ เมื่อทานข้าวจนอิ่มแล้วไอ้วีก็ชวนไปดูการแข่งขันต่างๆที่เริ่มไปก่อนหน้านี้


          "วีมึงแข่งกี่โมง"ไอ้อิ้งค์หันไปถามไอ้วีตอนที่เรามาหยุดดูทักษะจัดตู้ปลา


          "กูแข่งบ่ายสาม"


          "ไม่ต้องตื่นเต้นนะมึง เดี๋ยวพวกกูไปเชียร์"


          "เออ พวกมึงก็สู้ๆนะกูจะไปยืนดูใกล้ๆเลย"


           "เสียดายพวกกูไปเชียร์ไอ้ยิมกับไอ้แฝดไม่ได้เสือกแข่งเวลาเดียวกัน"


           "เดี๋ยวกูวิ่งสลับไปมาเชียร์พวกมึงเอง พอมันผ่านตรงมึงๆค่อยทักพวกมันก็ได้"ไอ้วีรับอาสาในการเชียร์พวกเราที่แข่งพร้อมกัน


          "เดี๋ยวมึงได้วิ่งตับแล่บ แดดก็ร้อนชิบหาย"ผมเงยหน้ามองแดดตอนแปดโมงเช้าอย่างหงุดหงิด เพราะพวกผมต้องแข่งกลางแจ้งอีแดดนรกนี่จะทำให้เราเหนื่อยกว่าปกติ


           "ตื่นเต้นเหมือนกันว่ะ"อยู่ๆไอ้ย้งก็พูดออกมาเบาๆ  ใช่ครับเราทุกคนตื่นเต้นกันจนนอนไม่หลับเพราะนี่คือการแข่งขันสายวิชาชีพระดับภาคครั้งแรกของเรา ถ้าเราชนะติด 1 ใน 3 มันก็เหมือนมีใบเบิกทางให้อนาคตเราง่ายกว่าคนอื่น


          "เราทำได้"ผมตบไหล่ไอ้ย้งที่เริ่แสดงอาการตื่นเต้นจนสังเกตได้ เราเดินสำรวจบริเวณโดยรอบแล้วไปจบที่ซุ้มนิทรรศการพอเก้าโมงกว่าพวกเราก็กลับไปรออาจารย์ตามที่นัดไว้ พวกไอ้ยิมไอ้จีนไอ้จินมารออยู่ก่อนหน้าแล้ว


          "เอาล่ะมาครบแล้วเดี๋ยวเราไปลงทะเบียนกัน ทำให้เต็มที่ ทำให้ได้เหมือนตอนซ้อม ตรวจตราให้ละเอียดรอบคอบ อย่าลืมอะไร อย่าเสียสมาธิไม่ต้องไปมองทีมอื่นเข้าใจมั้ยทำส่วนของตัวเองให้ดีก็พอ"

         "ครับ"พวกเรารับคำอาจารย์ อาจารย์เดินมาลูบผมของผมแล้วโคลงหัวผมเล่นรอยยิ้มแสนอบอุ่นถูกมอบให้ ความอุ่นใจแล่นเข้ามาในอกของผม ความประหม่าความตื่นเต้นลดลงเพียงแค่สำผัสอ่อนโยนที่เหมือนพ่อคนหนึ่งมอบให้กับลูกของเขา


           "ฝากด้วยนะเซ็ท"


           "ครับ ผมกับเพื่อนๆจะชนะ"


           "ดีงั้นไปกัน"พวกเราเดินตามอาจารย์มาลงชื่อที่กองอำนวยการ ผมหันไปมองทีมช่างสำรวจของไอ้ยิมกับสองแฝดยกกำปั้นให้พวกมันปากก็ขยับเป็นคำว่าสู้ๆ และแน่นอนพวกมันก็ส่งพลังใจกลับมาด้วยเช่นกัน


ผมนั่งประจำที่ที่โต๊ะเขียนแบบรอบรรดากรรมการซึ่งก็คืออาจารย์จากวิทยาลัยต่างไปตรวจเช็ครายชื่อผู้แข่ง เหงื่อออกเต็มสองมือของผมผมรีบถูมันออกพยายามสูดหายใจลึกเรียกสติให้ตัวเอง ผมหลับตาพลางนับเลขในใจเพื่อให้จิตใจสงบลงเป็นวิธีที่ผมใช้ประจำจนได้ยินเสียงกรรมการบอกให้เตรียมตัวนั่นแหล่ะผมถึงลืมตาขึ้น


แต่...


เอ๊ะ!!??...


ในบรรดาคนที่มาดูการแข่งขัน


สายตาของผมสะดุดกับร่างของใครบางคน  ใครคนนั้นสวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวสีแดง สวมหมวกและใส่แมสปิดบังใบหน้าไว้


ด้วยส่วนสูงที่พุ่งกว่าคนอื่น ไหนจะผิวขาวๆนั่นอีกสายตาที่มองจ้องมาที่ผมไม่หลบตาไปไหน


คือต่อให้เห็นแค่เงาผมก็จำได้อ่ะ


           "ไอ้เหี้ยคิน!!!"


มันมาทำไมวะ แล้วแต่งตัวแบบนี้มึงเช็คสภาพอากาศมามั่งมั้ยไอ้ควาย!!!!  เป็นลมตายอย่ามาร้องให้กูช่วยเชียวไอ้เหี้ย




     ในที่สุดช่วงเวลาของการแข่งขันก็เริ่มขึ้นหลังหัวหน้ากรรมการเปล่งคำว่าเริ่มการแข่งขัน จับเวลา ผมเริ่มวาดแบบตามที่ซ้อมมานานนับเดือนอย่างใจเย็น  ผมพยายามบอกตัวเองว่าให้เพ่งสมาธิกับงานที่กำลังทำตรงหน้าอย่าวอกแวกแม้จะมีใครบางคนมายืนจ้องให้รำคาญใจ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแข่งขันที่ผมมาในฐานะตัวแทนของวิทยาลัยของผม  เหลือบมองไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งที่ช่วยกันทำใบประเมิณราคา มือของไอ้อิ้งก็เขียนชื่อรายการส่วนมือของไอ้ยิ้งนั้นกดเครื่องคิดเลขรัวเร็วคล่องแคล่วสมกับที่บ้านเปิดร้านขายวัสดุอุปกรณ์จับเงินจับทองมาตั้งแต่เด็กๆ


ความเคร่งเครียดกดดันคล้ายจะลอยอบอวลในอากาศแต่ผมกลับชอบบรรยากาศแบบนี้ ความรู้สึกอยากเอาชนะพุ่งพล่านจนในที่สุดการตรวจตราแบบรอบสุดท้ายก็จบลงผมวางปากกาแล้วนั่งรอไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งที่ตรวจใบประเมินราคารอบที่ร้อยได้ เรายังไม่สามารถลุกจากตรงนี้เพื่อไปหยิบอุปกรณ์จัดสวนได้จนกว่าจะครบ 1 ชั่วโมง คราวนี้ผมจึงมีเวลากวาดตามองรอบๆ ไอ้คินไม่ได้อยู่ตรงที่เดิมแล้วแต่นู่น มันไปยืนทำห่าอะไรกลางแดดตรงที่ผมจะต้องไปจัดสวน  ผมเห็นมันกระพือเสื้อไล่ความร้อนแล้วอยากจะเขวี้ยงแก้วน้ำจากมือไอ้วีใส่หัวมันซะจริงๆ


     "เริ่มการจัดสวนภาคปฎิบัติ"หลังจากได้ยินสัญญาณนี้พวกเราสามคนก็วิ่งครับ เพราะว่าทางนี้ไม่ได้จัดอุปกรณ์ให้เป็นสัดส่วนเราจึงต้องไปแย่งกันเองครับ นี่อีกนิดจะนึกว่าตัวเองอยู่เขต 12 ล่ะ ไอ้วีมาส่งเสียงเชียร์ดังเย้วๆใกล้ๆทำให้ผมฮึกเหิมราวจะไปออกศึก


เราเริ่มงานกันอย่างเร่งรีบแต่เป็นระบบการเตรียมดินคือขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุดไหนจะต้องขุดหลุมเพื่อฝังอ่างรองน้ำพุไอ้อิ้งค์รับหน้าที่ตรงส่วนนั้น ผมสงสารมันนะครับเพราะดินที่ราชบุรีก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าดินที่บ้านอาจารย์เลย แต่มันก็ไม่ปริปากบ่นตั้งหน้าตั้งตาขุดเพียงไม่นานมันก็สามารถฝังอ่างลงไปต่อท่อและสายไฟขึ้นมาใช้ตะแกรงปิดแล้วโรยหินทับลงไป ส่วนผมกับไอ้ย้งก็เริ่มประกอบศาลา วางพื้นไม้ เมื่อไอ้อิ้งค์จัดการกับน้ำพุเสร็จมันจึงเข้ามาช่วยพวกผมวางต้นไม้ เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที จาก 1 ชั่วโมงสู่ชั่วโมงที่สอง พวกเราเริ่มเก็บรายละเอียด ผูดผ้าม่านขาวตามเสาทุกต้นของศาลา วางเก้าอี้ไอ้อิ้งค์เปิดมอร์เตอร์ให้น้ำพุทำงาน เราเก็บรายละเอียดของต้นไม้ กวาดดินที่เลอะเทอะ เช็คความเรียบร้อยอีกครั้งในที่สุดมันก็จบในเวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที  พวกเรามองหน่วยอื่นๆก็อดภูมิใจไม่ได้ งานของเรามากกว่า ยากกว่า และเยอะกว่า ผู้คนเริ่มมาถ่ายรูปสวนของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ผมอดไม่ได้ที่จะมองหาไอ้แฟชั่นนิสต้าผิดที่ผิดทางอีกครั้ง คราวนี้เห็นมันกำลังยกมือถือเครื่องละสามหมื่นกว่าของมันถ่ายรูปตรงนู้นตรงนี้


แหม...ทำฟอร์มไอ้สัด อยากถ่ายรูปสวนกูก็มาถ่ายสิ


     "พวกมึงมีลุ้นแน่ๆกูมั่นใจ ของพวกมึงโคตรสวย"ไอ้วีมากระซิบกระซาบใกล้ๆผม ซึ่งผมก็ไม่เถียง ถ้าไม่ได้นี่ให้ถีบหน้าเลย หันไปมองอาจารย์บุตรท่านก็ยิ้มให้กับพวกเราด้วยดวงตาเป็นประกาย มันคือประกายของความภาคภูมิใจและความสุข นิ้วโป้งถูกยกให้พวกเรา  เสียงบอกหมดเวลาดังขึ้น พวกเรายืนรอให้กรรมการมาตรวจไล่มาเรื่อยๆ การพรีเซ้นต์สวนของพวกเราผมยกหน้าที่ให้ไอ้อิ้งค์ที่นำเสนอเก่่ง มันอธิบายคอนเซปสวนได้อย่างไหลลื่นน้ำเสียงน่าฟัง กรรมการตรวจแบบโดยการวัดอย่างละเอียดและเทียบกับของจริงที่จัด เราถอนหายใจอย่างโล่งอก  เมื่อการตรวจแบบเสร็จสิ้นผมทั้งสามคนก็นั่งลงกับพื้นหญ้าในทันที

   

          "จบแล้วมึง จบแล้ว"ผมรำพึงเบาๆ ที่เหนื่อยที่ทุ่มเทมาตลอดสองเดือนจบลงแล้วพร้อมความรู้สึกโล่งไปหมด ต่อไปนี้ไม่ต้องไปซ้อมอีกแล้ว


          "เหนื่อยชิบหายเลยมึง"


          "เออ หิวน้ำเหี้ยๆ"ผมบ่นเมื่อความรู้สึกคอแห้งเหมือนกลืนทรายร้อนๆกำลังเข้าเล่นงานพวกเรา


          "เอ๊ย"ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมีอะไรบางอย่างถูกโยนใส่ลงมาในตักเมื่อมองดูก็พบว่าเป็นถุงพลาสติกที่ด้านในมีน้ำเปล่า 3 ขวดเย็นเจี๊ยบ ส่วนไอ้คนโยนมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ลอยหน้าลอยตามองไปทางอื่น


          "ไม่แดก"ผมว่าก่อนจะโยนถุงน้ำทั้งถุงใส่มัน น้ำสามขวดหล่นตุบลงบนพื้นหญ้า


          "อ๊าวไอ้นี่ ปฎิเสธไม่ถามเพื่อนถามฝูง"ไอ้อิ้งค์มันว่าก่อนตบหัวผมดังป้าบแล้วหยิบถุงน้ำมาเปิดกินกับไอ้ย้งหน้าตาเฉย"


          "มาทำเหี้ยอะไร"


          "กูแค่บังเอิญขับรถผ่านมาทางนี้เลยแวะมาดูน้ำหน้าคนขี้คุยซักหน่อยว่าจะเก่งจริงมั้ย"


          "แหม...มึงบังเอิญผ่านมาไกลจัง เมืองกาญจน์กับราชบุรี"เสียงไอ้อิ้งค์เอ่ยมาลอยๆ  ผมจ้องหน้าไอ้คินอย่างคาดคั้น


          "หรือมึงจะมาแกล้งทำลายสวนกู?"


          "กูก็ไม่เหี้ยขนาดนั้นป่ะ กูบอกว่าบังเอิญผ่านมาก็บังเอิญผ่านมาสิ"มันเริ่มขึ้นเสียงใส่ผมเมื่อผมยังทำสีหน้าไม่เชื่อคำพูดของมัน ซึ่งก็เออ กูไม่เชื่อไง อย่ามาตอแหล โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่


          "นี่มึงเสร็จหรือยัง"มันหันมาตวัดเสียงถาม


          "เสือกไรด้วยอ่ะ?"


          "กูหิวข้าวไปกินข้าวเป็นเพื่อนกูหน่อย"


          "ไม่มีตีนเหรอ?"


          "มี"


          "งั้นเดินไปแดกเองสิ นู่นอ่ะไอ้สัดจะแดกอะไรก็ไปซื้อ"ผมชี้ๆนิ้วไปทางโซนอาหาร


          "จะให้กูไปคนเดียวได้ยังไงมีแต่ใครก็ไม่รู้"มันกวาดตาไปรอบๆด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


แม่งเที่ยวไปมองชาวบ้านเขาแบบนั้นเดี๋ยวแทนที่จะได้กินข้าวคงได้กินตีนแทน แล้วเนี่ยไม่รู้กี่ตีนต่อกี่ตีน


          "พวกมึงไปกินข้าวกันมั้ย?"ผมหันไปหาไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้ง


          "กูกินอะไรไม่ไหวแล้วตอนนี้ ตื้อจนจะอ้วกแล้ว กินอะไรไม่ลง"


          "กูก็เหมือนกัน เหนื่อยชิบหายเลยมึงไปกับมันเถอะ"ไอ้มดทอระยิดทั้งสองมันโบกไม้โบกมือไล่ผม


          "แม่งจะมาทำไมให้เป็นภาระกูเนี่ย"ผมบ่นอุบก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำมันมาโดยไม่รอมันเลยซักนิด


          "เลือก จะแดกอะไร"ผมหันไปกระแทกเสียงใส่มัน


          "อะไรก็ได้"


          "งั้นแดกก๋วยเตี๋ยว"


          "ปรุงไม่เป็น"


          "งั้นแดกอาหารตามสั่ง"


          "ท่าทางร้านไม่ค่อยสะอาด


          "ขนมจีน"


          "คนเยอะ"


          "แล้วมึงจะแดกอะไร?"


          "อะไรก็ได้"


          "โว้ย!!! ไอ้เหี้ย ระบุมาซักอย่าง ไอ้นั่นก็ไม่แดกไอ้นี่ก็ไม่เอา แดกอะไร!!"ผมหันไปด่ามันเมื่อเสนออะไรให้ไปมันก็มีข้ออ้างมาปฏิเสธได้ตลอด


          "มึงเลือกมาเลยแล้วกัน"มันเลือกที่จะปัดการตัดสินใจมาให้ผมอีกครั้ง


          "งั้นแดเกข้าวขาหมูกูต้องการพลังงานผมไม่รอให้มันปธิเสธก็ลงไปนั่งฉึ่บบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง มันจำใจต้องเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับผม


          "ป้าครับเอาข้าวขาหมูสอง จานหนึ่งเอาเนื้อๆคะน้าเอาแต่ใบไม่เอาก้าน อีกจานเอาพิเศษเนื้อหนังคากิใส่ไข่ โค้กกลาง 1 ขวด สไปร์ทกลาง 1 ขวด น้ำแข็งเปล่าสองครับ"ผมตะโกนสั่งอาหารรวดเดียวจบเมื่อหันหน้ามาก็เห็นไอ้คินจ้องมาที่หน้าผม ตามันราวรูปพระจันทร์เสี้ยวราวกับว่ามันกำลังฉีกยิ้มให้ผมอยู่


     คณิณ::


ผมฟังมันสั่งข้าวด้วยความมั่นใจก็อดจะลอบยิ้มไม่ได้ ทั้งๆที่ผมไม่ได้บอกมันเลยด้วยซ้ำว่าผมกินอะไรแบบไหนแต่มันกลับสั่งให้ผมได้อย่างถูกต้องแม่นยำ


อย่างน้อยก็แสดงว่ามันใส่ใจผม  ระยะเวลากว่าสองปีที่มันถูกแม่มันปลูกฝังให้ยอมอ่อนข้อให้ผมอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือมันจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของผมได้ ไม่นานข้าวขาหมูหน้าตาน่ากินก็ถูกน้ำมาเสิร์ฟ ไอ้เซ็ทดึุงจานข้าวของผมไปไว้ตรงหน้ามันก่อนที่มันจะใช้ช้อนส้อมไล่เลาะพังผืดมันๆที่ยังติดเนื้อหมูมานิดหน่อยออกใส่จานมัน ก้านคะน้าชิ้นเล็กๆก็ถูกเลือกออกไปด้วย ไข่แดงถูกตักออกไปใส่จานมันเพราะผมไม่ชอบกินไข่แดงผมไม่ชอบกลิ่นคาวของมันนอกจากไข่เจียวอันนั้นผมกินได้


บ้าจริง


ทำยังไงดี ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย


          "จะแดกมั้ยข้าว ถ้าจะแดกก็ถอดแมสออกไอ้ควาย"มันเงยหน้ามาด่าผมอีกรอบแล้วเลื่อนจานข้าวคืนมาให้ผม ผมรีบปั้นหน้าขรึมก่อนจะถอดแมสแล้วเริ่มลงมือกินข้าว



ขาหมูร้านนี้หว๊านหวานจังเลยครับท่านผู้ชม








.................


ยี๊ ขิง ข่า ตะไคร้ ลำไย!!!


         





         

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
หลังจากกินข้าวตอนบ่ายสองกว่าๆอิ่มคณิณก็เดินตามเศรษฐพงศ์ที่หันหลังมาไล่อยู่เป็นระยะต้อยๆ

 

 

ชายหนุ่มรู้สึกขบขันก็ท่าทางเหมือนลูกหมาที่เขี้ยวเพิ่งจะขึ้นแล้วทำกร่างไล่แง๊บไล่กัดคางหมาใหญ่ของเศรษฐพงศ์ยิ่งนัก

 

 

            “กลับบ้านมึงไปไป๊ จะมาเดินตามเป็นหมาตามเกวียนทำไม”คนเด็กกว่าหันไปไล่รอบที่ร้อย เศรษฐพงศ์เพิ่งรู้วันนี้นี่เองว่านอกจากคณิณจะชอบกวนอารมณ์แล้วคนตัวสูงกว่ายังดื้อด้านและดื้อดึงเป็นที่หนึ่ง เขาเอ่ยปากไล่จนเหนื่อยใจ ร่างสูงก้าวฉับๆเพื่อทิ้งระยะห่างจากคนพี่ สายตาสอดส่ายหาเพื่อนๆเพื่อที่จะไปเชียร์วีรดนัยที่กำลังจะลงแข่งทักษะการจัดดอกไม้

 

 

หลังจากมองหาอยู่ชั่วขณะจีรนันท์ก็กระโดดเหย๋งๆโบกมือเป็นสัญญาณ เศรษฐพงศ์รีบเดินลัดสนามเข้ามายังเต็นท์แข่งขันที่กรรมการเอาเชือกฟางโง่ๆมากั้นพื้นที่ไว้ วีรดนัยนั่งประจำโต๊ะของตัวเองเรียบร้อย ร่างบางดูนิ่งสงบผิดกับตัวจริงที่ปกติเป็นเด็กไฮเปอร์

 

 

            “เพชรบุรีแม่งน่ากลัวคนนั้นแชมป์เก่า”จีรนนท์แฝดคนน้องที่ยืนกอดอกยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบคางราวกับขงเบ้งกระซิบบอกโดยไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา

 

            “มึงว่าไอ้วีมีสิทธิ์จะชนะป่าววะ พวกนั้นแม่ง ปวส.2 หมดเลย”

 

            “น่ากลัวมากเลยเหรอ?”เสียงทุ้มเอ่ยถามกลับไป

 

            “เออดิ่พวกแม่งมีประสบการณ์มึงก็น่าจะรู้มันเจนสนามกันหมดแล้วมีแต่เพื่อนเราอ่ะที่มือใหม่”

 

            “กูว่ากูไม่รู้อ่ะ แล้วไอ้กุ้งแห้งนั่นก็ไม่ใช่เพื่อนกู” จิรนนท์โคลงศีรษะอย่างแปลกใจเมื่อรู้สึกว่าเนื้อเสียงของเศรษฐพงศ์แปลกๆไปเด็กหนุ่มแฝดคนน้องหันมามองคู่สนทนาของตัวเองก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนสนิทกลับกลายเป็นคณิณที่ยืนทำหน้านิ่ง

 

            “ไอ้ชิบหายไม่ใช่ไอ้เซ็ทก็ไม่บอก”จิรนนท์มูฟตัวเองหนีคณิณที่ยืนกอดอกมองนิ่งๆ ส่วนตัวเศรษฐพงศ์ยืนคุยกับโอบนิธิและยงวิสุทธิ์อยู่ถัดไป  เมื่อสัญาญการแข่งขันเริ่มขึ้นเพื่อนๆต่างส่งกำลังใจให้วีรดนัยบางครั้งก็หันมาวิจารณ์งานทีมนู้นทีมนี้กันเป็นระยะๆเบาๆ คณิณต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีความสามารถ ผู้เข้าแข่งขันเองก็มุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาไปแข่งที่วิทยาลัยเหมือนกัน

 

 “เฮ๊ยมึง กรรมการเริ่มเดินที่สวนแล้วหว่ะ”ยงวิสุทธิ์บอกกับเศรษฐพงศ์ที่ยืนดูเพื่อนจัดดอกไม้อยู่

 

            “ผลออกแล้วเหรอวะ ไปดูกันเลยมั๊ยเศรษฐพงศ์เก็บความตื่นเต้นไว้ไม่มิดชะเง้อคอไปดูตรงบริเวณสนามแข่งสวนหย่อม

 

            “เออไปๆ ทิ้งไอ้วีไว้แป๊บหนึ่งเดี๋ยวค่อยกลับมา”หลังจากตกลงกันเสร็จสรรพภายในสองวินาทียงศกรก็ทำมือทำไม้ให้วีรดนัยที่เงยหน้าขึ้นมามองพอดีดูว่าจะไปดูผลการแข่งขัน วีรดนัยทำท่าตื่นเต้นก่อนจะโบกไม้โบกมือให้เพื่อนรีบไป 6 หนุ่ม+ตัวแถมอีก 1 คน เคลื่อนขบวนกันตรงไปยังหน้าสวนของตัวเอง ในใจของเศรษฐพงศ์มีทั้งความหวังและความกังวล เพราะกรรมการแต่ละคนรสนิยมไม่เหมือนกัน สวนที่ว่าสวยของเขาอาจจะมีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ แล้วกรรมการมี 5 คน ถ้าชอบสวนสไตล์อื่นซัก 3 คน เขาก็จบการแข่งขันแล้ว

 

            “กลัวเหี้ยอะไรถ้ามึงทำเต็มที่แล้ว”อยู่ๆคนที่เดินเยื้องอยู่ข้างหลังก็พูดลอยๆออกมาให้ได้ยิน แม้จะเพียงแผ่วเบาแต่เศรษฐพงศ์ก็ได้ยินอย่างชัดเจน เศรษฐพงศ์หันไปมองคณิณซึ่งยังคงทำหน้านิ่งไม่มองตอบกลับ คำพูดนั้นแม้มันจะไม่ได้เพราะหรือสุภาพแต่มันก็ทำให้เศรษฐพงศ์รู้สึกดีขึ้น

 

ใช่ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเพราะวันนี้เขาทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ความทุ่มเทของเขามันแสดงผลงานอยู่ตรงหน้า แปลนเขียนแบบมีบางสิ่งบางอย่างแปะทับอยู่

 

            “ที่ 1 หว่ะมึง!!!”เสียงโอบนิธิตะโกนดังลั่นก่อนเสียงเฮจะดังขึ้น เศรษฐพงศ์รีบวิ่งไปดูป้ายประกาศอันดับที่แปะทับไว้บนแปลนที่เขาเขียน เด็กหนุ่มกระโดดโลดเต้นกับบรรดาเพื่อนๆ

 

            “ถ่ายรูปมึงถ่ายรูปๆ”เสียงยงวิสุทธิ์เอ่ยเรียกเพื่อนๆมาถ่ายรูป

 

            “ถ่ายพวกมึงก่อน”จีรนันท์ผลักทีมสวนหย่อมไปยืนด้านหน้าก่อนจะยกกล้องขึ้นมาเก็บรูปเพื่อนนับสิบรูป แล้วก็ทยอยกันวิ่งเข้าวิ่งออกเก๊กท่าตรงมุมนั้นมุมนี้อย่างสนุกสนาน คณิณมองใบหน้าของเศรษฐพงศ์ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกับกลุ่มเพื่อน เศรษฐพงศ์ยิ้มแย้มพูดคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน มือถือเครื่องแพงถูกยกขึ้นมาเก็บรูปก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าอย่างแนบเนียน

 

            “ไปๆกลับไปเชียร์ไอ้วีกัน”เมื่อถ่ายรูปจนจุใจแล้วเด็กๆทั้งหมดก็ยกกลุ่มกลับไปเชียร์วีรดนัยที่เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการแข่ง วีรดนัยชะเง้อคอมองหาเพื่อนอยู่ตลอดเวลาก็ทำสีหน้าตื่นเต้นเป็นคำถาม เศรษฐพงศ์ยกนิ้วชี้ให้ดูจนเพื่อนตัวเล็กกระทืบเท้ากลั้นเสียงกรี๊ดไว้

 

            “ตั้งใจๆ”เศรษฐพงศ์ทำปากกให้วีรดนัยหันไปตั้งใจกับการจัดดอกไม้ต่อไปจนเมื่อหมดเวลาการแข่งขันทุกคนก็มารวมตัวกันอีกครั้ง

 

            “มึง ทำไมยังไม่กลับอีกเนี่ยจะมาเดินตามพวกกูทำไม”เศรษฐพงศ์หันไปถามคนที่โคฟเวอร์เหาฉลามตามติดเขามาตั้งแต่บ่ายสองจนตอนนี้จะทุ่มแล้วคณิณก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ

 

            “แล้วมึงกลับยังไง?”คนพี่ส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เศรษฐพงศ์ปรายตามองพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาอึดอัดที่คณิณมาคอยตามติดแบบนี้ เพื่อนๆเองก็อึดอัดเหมือนกัน จะคุยเล่นอะไรกันแต่ละทีก็ต้องเหลือบมองตัวแถมที่ติดสอยห้อยตามมาตลอด เกิดเดดแอร์ขึ้นในวงสนทนาหลายต่อหลายครั้งแต่คณิณก็ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน

 

หน้าด้านหน้าทนจริงๆคนเรา

 

            “กูรอกลับกับอาจารย์”

 

            “อาจารย์มึงกลับกี่โมง?”

 

            “ไม่รู้สามสี่ทุ่มมั้ง”

 

 

คณิณ::

 

ผมฟังตอบตอบแบบส่งๆของมันแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ 3-4 ทุ่ม กว่าจะถึงเมืองกาญจน์ก็ 5 ทุ่ม กว่ามันจะได้นอนได้พักจะกี่ทุ่มกี่ยาม ท่าทางมันเองก็เหนื่อยเหมือนดอกไม้ที่โดนลมโดนแดดจนกลีบจะร่วงอยู่แล้วแต่ยังทำตัวดีดไปช่วยงานซุ้ม ผมกวาดตามองหาอาจารย์ของมัน ผมจำได้คนที่พาพวกมันไปแข่งจัดสวนเมื่อเจอเป้าหมายผมเองก็ไม่รอช้า

 

            “อาจารย์ครับสวัสดีครับ”ผมถอดแมสออกแล้วเดินไปทักทายอาจารย์ของไอ้เซ็ท ไอ้เด็กเหี้ยมันถลึงตาใส่ผมก่อนจะวิ่งมายืนข้างๆ

 

            “มึงจะทำอะไร”มันกระซิบเสียงเบาในขณะที่อาจารย์ของมันหันมามองผมแล้วรับไหว้อย่าง งงๆ

 

            “อ่า มีอะไรหรือเปล่าเศรษฐพงศ์”

 

            “ไม่มะ...”

 

            “ผมจะขออนุญาตพาเศรษฐพงศ์กลับก่อนครับ”ผมรีบพูดแทรกขณะที่ไอ้เซ็ทเตรียมจะปฏิเสธ อาจารย์ของมันมองหน้าผมอย่าง งงๆ

 

            “ผมเป็นพี่ชายของเซ็ทครับ อยู่บ้านเดียวกัน พอดีจะกลับแล้วเลยอยากพาน้องกลับไปด้วยกันเลย”มันทำตาเหลือกใส่ผมเมื่อผมโมเมเอาเองโดยไม่ถามความสมัครใจของมัน

 

“แต่เมื่อเช้าเศรษฐพงศ์มากับครูนะครูก็ต้องเอาเด็กกลับไปเองสิ”

 

“เศรษฐพงศ์กลัวการนั่งรถกะบะครับ ผมเลยขอพาน้องกลับเองจะดีกว่า

 

“อ้าว จริงเหรอ ครูไม่รู้เลย ถึงว่าเมื่อเช้าถึงได้เมารถ”อาจารย์มีสีหน้ารู้สึกผิด พอดีกับที่มีนักเรียนทำของหล่นเสียงดังโครมใหญ่อาจารย์จึงหันไปดุเด็กคนนั้นที่ทำงานไม่ระวังมันใช้โอกาสที่อาจารย์หันไปสั่งงานเด็กหยิกเอวผมเต็มแรงจนผมหน้าเบ้

 

            “ใครจะกลับกับมึง”มันเพิ่มแรงบิดจนผมต้องเขย่งเท้าเพื่อผ่อนแรงของมันแล้วพออาจารย์หันมามันก็ส่งยิ้มแหยๆไปให้อาจารย์ของมันมือก็ปล่อยออกจากเอวของผมอย่างรวดเร็ว

 

            “ตกลงผมพาน้องกลับไปด้วยเลยได้มั้ยครับนี่ก็มืดแล้ว”

 

            “ได้สิ เศรษฐพงศ์เธอกลับไปก่อนได้เลยทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้เธอมาช่วง บ่ายสามก็ได้เพราะเนยมันประกวดตอนสองทุ่ม อย่าลืมชุดสูทที่จะใส่แสดงล่ะ”

 

ชุดสูท??

 

แสดงอะไรอ่ะ??

 

สองทุ่มเหรอ??

 

มันรับคำอาจารย์ด้วยสีหน้าตูมๆเหมือนลูกหมาที่โดนแย่งกระดูกปลอม ผมรีบยกมือไหว้ของคุณอาจารย์ของมัน อาจารย์แยกกลับไปจัดซุ้มแล้วแต่มันไม่มีทีท่าว่าจะขยับ

 

            “ไปกลับ”ผมดึงมือมันให้เดินตามเมื่อมันทำตัวเป็นคนโดนหินถ่วงขา และแน่นอนไอ้เซ็ทไม่เคยทำตามคำสั่งของผมแบบดีๆ มันสะบัดมือออกจากการจับของผมและผมก็ไวกว่าที่มันคิดเพราะคราวนี้ผมกึ่งจูงกึ่งลากมันไปจนถึงรถกดหัวดันมันจนเข้าไปนั่งฟึดฟัดได้สำเร็จ มันนั่งบ่นพึมพำด่าผมไม่ยอมหยุด ผมตัดรำคาญด้วยการเปิดเพลงฟังกลบเสียงของมันแล้วเริ่มออกดรถมุ่งหน้ากลับเมืองกาญจน์

 





คอยห้ามใจทีไรมันก็ยาก ทนไม่ไหว
ทุกครั้งที่เราใกล้ชิดกัน ฉันเพ้อฝันไปถึงไหน

อย่าไปอยู่ใกล้เธอ เตือนหัวใจตัวเอง
อย่ามัวฝันถึงเธอ แล้วฉันจะทำได้ไหม
อย่าคอยส่งยิ้มให้เธอ เธอคงไม่สนใจฉันสักนิดเลย

แล้วฉันจะฝืน ฝืนหัวใจตัวเองได้ไหม
แล้วฉันจะฝืนความรู้สึกของฉันได้ยังไง
ไม่อาจจะฝืนความรักที่มันเอ่อล้น
ฉันนั้นต้องฝืนทนกล้ำกลืน
อยู่กับความขื่นขม ที่เธอมองว่าฉันไม่มีตัวตน
ถึงจะยากเย็นเพียงใด ฉันก็คงต้องฝืนต่อไป

อย่าไปอยู่ใกล้เธอ เตือนหัวใจตัวเอง
อย่ามัวฝันถึงเธอ แล้วฉันจะทำได้ไหม
อย่าคอยส่งยิ้มให้เธอ เธอคงไม่สนใจฉันสักนิดเลย

แล้วฉันจะฝืน ฝืนหัวใจตัวเองได้ไหม
แล้วฉันจะฝืนความรู้สึกของฉันได้ยังไง
ไม่อาจจะฝืนความรักที่มันเอ่อล้น
ฉันนั้นต้องฝืนทนกล้ำกลืน
อยู่กับความขื่นขม ที่เธอมองว่าฉันไม่มีตัวตน
ถึงจะยากเย็นเพียงใด ต่อให้ฉันต้องทำอย่างไร
ฉันต้องทำให้ได้ ฉันต้องฝืนหยุดรักเธอ

แล้วฉันจะฝืน ฝืนหัวใจตัวเองได้ไหม
แล้วจะฝืนความรู้สึกของฉันได้ยังไง
ไม่อาจจะฝืนความรักที่มันเอ่อล้น
ฉันนั้นต้องฝืนทนกล้ำกลืน
อยู่กับความขื่นขม ที่เธอมองว่าฉันไม่มีตัวตน
ถึงจะยากเย็นเพียงใด ฉันก็คงต้องฝืนต่อไป

ถึงจะยากเย็นเพียงใด ฉันก็คงต้องฝืนต่อไป
แล้วฉันจะฝืนได้ไหม
ฉันนั้นต้องฝืนต่อไป
 

ผมขับรถด้วยความเร็วไม่มากนักเมื่อหันไปมองไอ้คนปากดีก็พบว่ามันนั่งหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว เหนื่อยแสนเหนื่อย ง่วงแสนง่วง แต่ก็ยังทำอวดเก่ง ผมส่ายหน้าให้กับท่าทางเหมือนลูกไก่คอหักนั่นก่อนจะจอดรถข้างทาง ท่าทางจะเหนื่อยจัดมันหลับสนิท แขนสองข้างของมันกอดอกไว้ป้องกันความเย็นของแอร์ที่ผมเปิดไว้ค่อนข้างหนาว ผมเอื้อมตัวไปกดปรับระดับเบาะรถให้เอนไปด้านหลังมันจะได้นอนได้สบายตัวขึ้น นึกได้ว่าไอ้แพรเคยเอาหมอนรองคอมาลืมทิ้งไว้ที่เบาะหลังเมื่อวันก่อนและแน่นอนมันยังคงอยู่ที่เดิม ผมค่อยๆประคองคอของมันให้ยกขึ้นแล้วสอดหมอนเข้าไปที่คอของมัน ถอดแจ็คเก็ตของผมคลุมตัวมันและหรี่แอร์ลงเล็กน้อย ที่ทำไปทั้งหมดเนี่ย สมเพชนะไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ







 

 

            สามทุ่มผมก็ขับรถเข้าตัวเมืองกาญจน์ วนรถหาที่จอดแถวตลาดโต้รุ่งเพื่อหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรให้กินแน่ๆ ไอ้เซ็ทลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงผมเปิดประตูรถ หน้าตามันงงๆเมื่อผมดึงเอาเสื้อแจ็คเก็ตของผมคืนมาสวมทับเสื้อกล้ามสีขาวที่ผมใส่ไว้ด้านใน

 

            “ถึงแล้วเหรอวะ?” มันยังคงจูนสมองกลับมาได้ไม่เต็มร้อยกวาดตามองไปรอบๆเจอแต่รถเข็นขายอาหาร

 

            “เออ ลงมา ไม่แดกข้าวหรือไง”ผมกลัดกระดุมเสื้อเสร็จก็หันหลังเตรียมเดินทิ้งมันไอ้เซ็ทเหมือนจะจูนสมองได้แล้วก็รีบลงจากรถ ผมกดล็อคแล้วเดินไปร้านประจำเป็นร้านอาหารตามสั่งที่รสชาติดี มันตามมานั่งโดยไม่ปริปากพูดอะไร

 

            “กินอะไรก็สั่ง”ผมเหลือบตามองมันที่นั่งทำหน้านิ่งเลื่อนเมนูอีกใบให้มัน มันกวาดตาดูครู่เดียวก่อนจะเลื่อนคืน

 

            “สั่งข้าวราดมาเลยก็ได้”มันตอบกลับส่งๆ ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

 

            “กูจะกินกับข้าวเป็นจานๆ”

 

            “เปลือง มีอะไรก็กินๆไปเถอะ กูไม่ค่อยหิว”มันเงยหน้ามาเอ็ดผมซะงั้น

 

            “มีตังค์ไงเลยจะกินกับเป็นอย่างๆ สั่งมาของมึงเอาอะไร”

 

            “ต้มยำรวมมิตรน้ำข้น!!”

 

            “มึงจะตวาดทำไมเนี่ยเดี๋ยวป้าเขาตกใจ”ผมเอ็ดมันกลับมั่งเมื่อมันเสียงดังใส่ผม ร้านนี้ผมค่อนข้างสนิทกับป้าเพราะเวลาไม่รู้จะกินอะไรหลังทำงานเสร็จก็จะยกขโยงกันมากินที่นี่

 

            “ป้าเอาต้มยำทะเลรวมมิตรน้ำข้นหม้อหนึ่ง แล้วก็ทอดมันปลากราย ต้มจืดเต้าหู้อ่อน หมูทอดกระเทียมพริกไทย ข้าวโถหนึ่ง โค้กขวด สไปร์ทขวด แข็ง 2” ผมสั่งอาหารรวดเดียว เรานั่งกันเงียบๆไม่มีบทสนทนาอะไร ไอ้เซ็ทเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์เป็นพักๆแต่ก็ไม่ได้กดตอบอะไรกลับไป ประมาณ 20 นาที กับข้าวก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมมองหม้อต้มยำของมันที่เดือดพล่านๆ และคนที่นั่งหยิ่งมาตั้งนานก็ไม่รอให้ผมกล่าวเปิดงาน พออาหารวางปุ๊บอาวุธในมือของมันก็จ้วงแบบไม่ต้องเอ่ยอนุญาต

 

สภาพของคนไม่ค่อยหิวเป็นอย่างนี้นี่เอง

 

            “ไม่กินล่ะ หรือกินข้าวแบบศาลพระภูมิต้องเอาธูปมาจุดเรียก”มีข้อหนึ่งที่ผมต้องยอมรับก็คือไอ้เซ็ทมันสรรหาคำมาด่าผมได้ตลอดเวลาเหมือนกับผมที่หาทางแกล้งมันได้ตลอดเช่นกัน ผมตักหมูทอดกระเทียมพริกไทยกินอย่างไม่รีบร้อน แค่เห็นมันยัดเอาๆผมก็รู้สึกอิ่มแทนแล้ว

 

ผมยกแก้วสไปร์ทขึ้นดื่มจนหมดแก้วเมื่อลองชิมต้มยำด้วยความอยากรู้ว่าอร่อยแค่ไหน ปกติเวลามากับเพื่อนๆเราจะสั่งสองหม้อคทอแบบเผ็ดกับไม่เผ็ด คือใส่พริกแค่เม็ดเดียว แต่ของไอ้เซ็ทคือป้าแกก็ทำแบบปกติแหล่ะ แต่ผมกินเผ็ดไม่ได้เลยลองไปแค่คำเดียวผมก็สำลักความเผ็ดความฉุนของพริกขี้หนูจนหน้าดำหน้าแดง

 

            “กินเผ็ดไม่ได้แล้วมึงจะกินทำไม”มันส่งเสียงบ่นผมอีกครั้งพลางยื่นกระดาษทิชชู่ให้ผมเช็ดปาก

 

แสบร้อนปากไปหมด มันกินเข้าไปได้ยังไงวะ

 

            “กูเห็นมึงกินเอร่ดอร่อยกูเลยอยากลองชิมบ้าง”

 

            “อะไรถ้ามึงทำไม่ได้มึงก็ไม่ต้องพยายามหรอก ทำแล้วเดือดร้อนตัวเองเดือดร้อนคนอื่นอย่าทำ”มันยื่นแก้วน้ำของมันให้กับผม ผมรับมาดื่มดับความเผ็ดไม่ได้โต้เถียงอะไรกลับไป

 

สิ่งที่มันพูดมันมีส่วนถูกและผมเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ต่อปากต่อคำกับมัน ไอ้เซ็ทคุ้ยๆกระเป๋าของมันแล้วเดินตรงไปเซเว่น ผมงงว่ามันจะไปซื้ออะไรซักพักมันก็เดินกลับมาพร้อมนมจืดขวดใหญ่มันวางนมลงตรงหน้าผมไม่พูดไม่จาก้มหน้าก้มตากินข้าวที่เหลือต่อ

 

            “อะไร?”ผมแกล้งถามหยั่งเชิง

 

            “ไม่รู้จักนมเหรอ โตมาขนาดนี้ได้ยังไงโง่จัง” อีกครั้งที่มันเงยหน้าขึ้นมาด่าผม

 

            “แดกไปซะนมมันช่วยให้หายเผ็ด”มันว่าจบก็ไม่สนใจผมอีก ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำหน้าขรึมตามเดิมเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมองแล้วคว้าขวดนมไปเปิดฝาแล้ววางกลับมาให้ผม

 

            “แดกซะ มานั่งเผ็ดให้กูรำคาญ”ผมยกนมขึ้นดื่มโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งเออ มันได้ผลหว่ะ ผมหายเผ็ดได้ในไม่กี่นาทีต่อมาและไอ้เซ็ทก็สวาปามกับข้าวเกลี้ยงจนแทบจะเลียจาน ผมเรียกป้ามาคิดเงิน ค่าอาหารสามร้อยกว่าบาทไอ้เซ็ทยื่นแบงค์ร้อยมาให้ผม 2 ใบ ผมไม่สนใจเงินที่มันพยายามยัดใส่มือให้

 

            “เอาไปสิวะหารกัน กูกินเยอะกว่ามึงกูให้สองร้อย”มันว่าก่อนจะยัดเงินใส่มือผมอีกรอบ ผมจับมือมันดึงเข้าหาตัวก่อนจะยัดเงินกลับคืนมัน

 

            “มึงจ่ายให้กูแล้วด้วยนมขวดนี้ พอ”ผมยกขวดนมโคลงๆให้มันดูก่อนจะลุกเดินนำมันกลับมาที่รถ ไอ้เซ็ทมันไม่ได้พูดอะไรอีกซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดี ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ดีก็ไม่อยากให้มันพูดอะไรให้หงุดหงิดใจอีก ผมขับรถอีกเกือบ 20 นาที ก็กลับถึงบ้าน ไอ้เซ็ทเดินตัวปลิวกลับเข้าห้องของมัน ส่วนผมก็กลับเข้าห้องของผมซํกพักผมก็ได้ยินเสียงมันคุยโทรศัพท์ แน่นอนคงเป็นใครไปไม่ได้

 

เสียงเรียกชื่อชัดเจน น้ำเสียงเริงร่าขนาดนั้น

 

คนทื่ชื่อเอิร์น ถึงแม้ไม่อยากฟังแต่หูกลับได้ยินเสียงสนทนาแว่วๆดังมาแสดงว่าไอ้เซ็ทออกมาคุยที่ระเบียงแบบที่มันชอบทำ ราวๆครึ่งชั่วโมงเสียงพพูดคุยก็เงียบเสียงลงไปผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนไลน์ไปหามัน

 

แน่นอนมันด่าผมกลับมาอีกครั้ง แต่ผมไม่แคร์หรอก ที่รู้ๆยังไงซะพรุ่งนี้มันก็ต้องไปกับผมอยู่ดี  ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องหงุดหงิดเวลาได้ยินไอ้เซ็ทคุยกับแฟนมัน ผมรำคาญคำพูดดีๆที่มันมีให้กับยัยผู้หญิงคนนั้น ผมรำคาญเวลามันพูดว่ามันจะไปหาผู้หญิงคนนั้นถึงขอนแก่น ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่เวลาได้ยินมันพูดว่ามันจะพยายามเรียนให้ได้เกรดเยอะๆแล้วขอโควตาไปเรียนที่ขอนแก่น

 

ผมเกลียดอนาคตที่มันวาดหวังไว้กับผู้หญิงคนนั้น

 

เกลียดชิบหาย

 

ไม่ชอบใจมากๆ

 

 

            เศรษฐพงศ์::

 

ตอนนี้ผมหงุดหงิดปนตื่นเต้นมากๆ ผมนั่งให้อาจารย์แต่งหน้าให้ คืนนี้เนยจะขึ้นประกวดธิดา อกท.ระดับภาค เพื่อนของผมอยู่ในชุดสีขาวตัดเย็บด้วยลูกไม้สวยสมตัวส่วนผมอยู่ในชุดสูทสีดำผมถูกจัดแต่งจนเรียบแปล้ราวคุณชายจุฑาเทพ ผมไม่รู้หรอกว่าแบบไหนเรียกว่าหล่อ รู้แค่ว่าตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องแต่งหน้านี่บรรดาตัวแทนประกวดจากวิทยาลัยต่างๆพากันมาขอถ่ายรูปกับผมไม่ได้หยุดจนอาจารย์ต้องเรียกมาเติมแป้ง

 

            “เนย อย่าตื่นเต้น” เสียงไอ้จีนที่กำลังใช้กระดาษพัดๆให้เนยเอ่ยปลอบ ถึงผมจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำข้ามหน้าข้ามตาของเพื่อนแต่ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรหักหน้ามันตอนนี้

 

รู้ทั้งรู้ว่าเนยเป็นแฟนไอ้ปัดแต่จีนมันก็ยังทำราวกับว่าเนยเป็นสาวโสดไม่มีใคร แม้จะเคยเตือนกันหลายครั้งแต่มันก็ทำตีมึน

 

            “เนยไม่ตื่นเต้นหรอก แต่กังวลมากกว่า กลัวทำได้ไม่ดี”

 

            “ถ้าทำพลาดก็โทษไอ้เซ็ท”มันหันมาโบ้ยความผิดให้ผม

 

            “ส้นตีนสิ ทำไมโยนความผิดมาให้กู”

 

            “สำหรับกูเนยไม่เคยผิดเว้ย”มันลอยหน้าลอยตาใส่ก่อนหันไปพัดให้เนยอีกครั้ง

 

            “มีใครเห็นปัดมั่งอ่ะ เนยไม่เจอปัดเลย”

 

            “อาจารย์ให้มันไปคุยซุ้มน่ะ เดี๋ยวตอนประกวดมันคงแว่บๆมา”ผมตอบคำถามเนยที่ถามหาแฟน ไอ้จีนหน้าขรึมลงไปถนัดตาแต่ก็เพียงไม่นานมันก็กลับมาคุยเล่นต่อได้อีก

 

สองทุ่มกว่าก็ได้เวลาแสดงความสามารถพิเศษ ทันทีที่บนเวทีส่งสัญญาณ ผมก็เดินขึ้นเวทีอีกฝั่งหนึ่งค่อยๆก้าวไปหาเนย โค้งให้เนยก่อนจะส่งมือไปให้ จากนั้นเราสองคนก็โลดแล่นอยู่บนเวทีตามจังหวะที่ซ้อมมา  การแสดงของเราสองคนคล้ายจะสะกดคนดูให้หยุดนิ่ง เสียงพูดคุยเงียบหายไป โลกทั้งโลกคล้ายมีเพียงเราสองคน จนกระทั่งเพลงหยุดลง ผมจับมือเนยโค้งให้คนดู แน่นอน หน้าเวที มีทั้งบรรดาเพื่อนๆผมที่ส่งเสียงเชียร์ดังลั่น และถัดไปไม่ไกล ไอ้คินนั่งจ้องหน้าผมนิ่งด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก

 

ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างบอกให้ผมหลบตามัน อากาศคงร้อนจนทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวไปด้วย เมื่อการแสดงจบลงผมก็กลับเข้าไปหลังเวที ถ่ายรูปกับเพื่อนๆและเนยอีกครั้ง ปลายตามองเห็นไอ้คินยืนเก้ๆกังๆอยู่

 

            “เซ็ท พี่ชายเซ็ทมาน่ะ”เนยที่หันไปเห็นไอ้คินก็จำได้ทันที

 

            “มาถ่ายรูปด้วยกันมั้ยคะพี่เซ็ท”ด้วยความมนุษย์สัมพันธ์ดีเว่อร์ของเนย เสียงใสๆก็เอ่ยเรียกไอ้คินทันที แน่นอนว่ามันไม่ได้เดินมาหาแต่เป็นเนยนั่นแหล่ะที่เดินไปดึงแขนไอ้เซ็ทเข้ามาหาผม

 

            “เดี๋ยวเนยถ่ายรูปคู่พี่น้องให้นะ เอาโทรศัพทำพี่มาได้เลย” เนยแบมือขอทรศัพท์ที่ไอ้คินถืออยู่ มันยืนให้ด้วยหน้าตานิ่งแสนนิ่ง

 

            “ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิเซ็ทถ่ายรูปครอบครัวทั้งที”เนยละสายตาจากหน้าจอโทณศัพท์พลางทำมือให้ผมกับไอ้คินยืนชิดกันอีกนิดผมขยับตามที่เนยบอกแบบตัดรำคาญ

 

            “อ่ะ เสร็จแล้ว”เนยยื่นโทรศัพท์คืนไอ้คินก่อนจะขอตัวแยกไปเพื่อเตรียมตัวในรอบต่อไป

 

            “มึงเสร็จยัง”

 

            “เสร็จแล้ว เดี๋ยวกูจะไปเปลี่ยนชุด มึงออกไปรอข้างนอก ในนี้ไม่ให้คนนอกเข้า”ผมพยักหน้าให้มันเดินกลับไปทางเดิมก่อนจะแยกไปถอดชุดสูทแล้วใส่เสื้อยืดกับชอปตามเดิม

 

            “ไอ้เซ็ททางนี้ๆ” เมื่อผมออกมาด้านนอกพวกไอ้อิ้งค์ก็โบกมือเรียกผมเดินผ่านไอ้คินไปนั่งเก้าอี้ที่ไอ้ย้งมันเอาของวางครั่นไว้ พวกเรานั่งเชียร์เนยประกวดจนจบ เนยได้อันดับ 3 ไม่ใช่ไม่สวยหรือไม่มีความสามารถเพียงแต่ความสูงของเนยนั้นด้อยกว่าคนอื่น แต่ยังไงเนยก็ได้ไปแข่งระดับชาติกับพวกผมอยู่ดี

 

            “พวกมึงกลับยังไงกันวะ”ผมหันไปถามพวกไอ้อิ้งค์ทันทีอย่างหาคนจะอาศัยกลับด้วย

 

            “กูเอามอไซค์มากัน เนี่ย ครบคู่พอดีมึงก็กลับๆไอ้คินเหอะ ดึกแล้วด้วย”ไอ้ยิมมันตอบกลับปิดความหวังที่จะอาศัยพวกมันติดรถกลับไปด้วยทันที

 

            “ทำหน้าเป็นตูดเลยมึง นั่งรถยนต์สบายๆอ่ะดีแล้ว ขามาพวกกูนั่งจนเหน็บแดกตูด พรุ่งนี้ปิดงานแล้วเราไม่ต้องมาก็ได้มึงก็นอนพักอยู่บ้านนั่นแหล่ะ”

 

            “เออๆ แล้วเย็นโทรมานะไปเจอกันที่งานสะพานเลยแล้วกัน”ผมนัดแนะกับเพื่อนถึงโปรแกรมเที่ยวคืนวันพรุ่งนี้ พวกมันตอบรับแล้วพากันแยกไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ผมหอบชุดสูทเดินตามไอ้คินกลับมาที่รถเงียบๆ

 

            “ถ้ามึงง่วงก็นอนไปก่อนเดี๋ยวถึงกูปลุก”มันออกรถแล้วหันมาพูดกับผม ผมค่อยๆปิดเปลือกตาลงด้วยความเคยชินแล้วก็หลับไปในที่สุด

 

            “มึงเต้นเก่งนะ กูชอบ..”เสียงสุดท้ายคล้ายดังมาจากที่อันไกลแสนไกลดังมาให้ได้ยินแว่วๆแล้วผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย







..............................

ชอบอะไรทำไมมี ..

พี่ไม่คิดอะไรบอกเลยว่าพี่ไม่คิดอะไร พี่ไม่คิดอะไรกับเธอเลยซักนิดนึง

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
งี้ดดดด น่ารัก มุ้งมิ้งๆ

แมนๆคุยกันครัชสุดๆ

แต่ต่อไปจะดราม่ามั้ยไม่รู่ ฮืออออ

รอติดตามค้าบบบ

 :pig4: o13

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2


     คณินตื่นนอนในตอนเช้า ชายหนุ่มแต่งตัวด้วยชุดกีฬาก่อนจะเริ่มออกวิ่งไปนอกบ้าน เป็นปกติที่ถ้าเขาว่างเขาก็จะออกกำลังกาย  วันนี้วันเสาร์ไม่มีเรียนแต่เดี๋ยวเขาจะออกไปช่วยว่านแก้ปัญหาพิเศษที่ถูกอาจารย์ตีกลับมาอีกรอบ พุธนี้ก็ต้องพรีเซ้นท์งานแล้ว ถ้าผ่านก็เท่ากับว่าเขาจบชั้น ปวส.2 เป็นที่แน่นอน

ความตึงเครียดนานนับเดือนๆกำลังจะจบลง คณินวิ่งไปเรื่อยๆจนรอบหมูบ้านแล้วจึงวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน สายตาเหลือบไปเห็นเศรษฐพงศ์กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ร่างสูงโปร่งของเศรษฐพงศ์เดินหน้าถอยหลังตามจังหวะการเอื้อมมือรดน้ำยังต้นไม้ทั้งใกล้และไกล บ้างก็ก้มๆเงยๆเมื่อเจอวัชพืชให้ต้องกำจัด คณินเดินขึ้นห้องด้วยท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจก่อนจะสาวเท้าก้าวไปแย้มม่านในห้องนอนดูกิจวัตรที่เศรษฐพงศ์ทำบ่อยๆยามกลับมาอยู่บ้าน

เมื่อก่อนเขารู้สึกขัดหูขัดตารวมทั้งขัดใจยามเห็นเด็กในกรอบสายตาใช้ชีวิตในบ้าน ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการเห็นหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งหลงเข้ามาวิ่งพล่านในบ้าน มันน่ารังเกียจและน่ารำคาญ แต่วันนี้ความรู้สึกเกลียดชังเหมือนจะค่อยๆถูกบางสิ่งบางอย่างค่อยๆชะล้างจนเริ่มพังทลาย คณินไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่รู้สึกอยากทำร้ายร่างกาย ไม่รู้สึกอยากตีเศรษฐพงศ์แรงๆแบบเมื่อก่อน

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่รอคอยวันศุกร์ให้มาถึงไวๆ แต่ถ้าศุกร์ไหนไม่มีรถอีแดงจอดอยู่ในโรงรถจิตใจของคณินก็จะขุ่นราวกับน้ำที่ถูกกวนจนเป็นโคลน

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สนใจเรื่องราวของเด็กนั่น

หลังจากตีกันจนถึงขั้นเข้าโรงพัก หลังจากนั้นเศรษฐพงศ์ไม่กลับบ้าน

บ้านทั้งบ้านมันก็เงียบเหงาจนสัมผัสได้

แม้จะบอกตัวเองว่าชินแล้วกับการต้องอยู่บ้านคนเดียวตั้งแต่ที่แม่เสียชีวิตไป แต่พอมีสองแม่ลูกก้าวเข้ามาในชีวิตบ้านมันมีชีวิตชีวาขึ้น ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว

และกว่าจะรู้ตัวคณินก็เอาแต่มองหาและเอาตัวไปใกล้ชิดกับเศรษฐพงศ์ไปซะแล้ว แม้ว่าปฏิกริยาตอบกลับของคนเด็กกว่าจะมาในทางลบทั้งด่าทั้งเหน็บแนมแต่แปลกที่คณินกลับไม่รู้สึกเกลียดหรือโกรธเหมือนเมื่อก่อน

หลายครั้งที่เพื่อนๆเอ่ยแซวว่าคณินชอบเศรษฐพงศ์ เขาทำได้เพียงกล่าวบ่ายเบี่ยงหนักข้อก็คือด่ากลับและก็ไม่เคยมาคิดหาเหตุผลเรื่องความรู้สึกของตัวเอง ยังคงปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างเรื่อยๆแบบนี้

คณินลองถามตัวเองในบางครั้งว่าตัวเองนั้นรู้สึกยังไงกับคนที่ก้มๆเงยๆรดน้ำพรวนดินกอมะลิลาด้านล่างที่ส่งกลิ่นหอมเกือบตลอดเวลานั้น

คณินก็ตอบได้ในตอนนี้แค่ว่าเขาไม่ได้เกลียดมันเท่าแต่ก่อนแล้ว แต่ถามว่าชอบมั้ย ข้อนี้คณินตอบตัวเองไม่ได้ ทั้งๆที่เขาเองเป็นคนชัดเจนคนหนึ่งไม่ว่าจะอารมณ์ไหน รัก หรือเกลียดมักจะแสดงออกด้วยความซื่อตรง แต่เศรษฐพงศ์ทำให้การตัดสินทางอารมณ์ของเขาไขว้เขว  ทั้งๆที่ก็ผ่านการมีความรักมาหลายครั้งแล้วแต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่คณินรู้สึกเสียความมั่นใจมากที่สุด

จริงๆส่วนลึกของจิตใจเขาอาจจะไม่ยอมรับใจตัวเองก็ได้ว่าตนเองรู้สึกยังไงกับคนที่สะกดจิตตัวเองมานานนับปีว่าเกลียดนักเกลียดหนา

คล้ายการโยนก้อนหินลงน้ำผลที่ได้คือเกิดระลอกคลื่นชั่วขณะแล้วจางหายจนนิ่งสนิทไปในที่สุด

คณินไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าสองวันที่ผ่านมาเขาจะขับรถไปกลับเมืองกาญจน์กับราชบุรีทำไม รู้แค่ว่าอยากไปดู อยากไปเห็นหน้า อยากไปหา แต่ถ้าถามว่าไปเพื่ออะไร เขาไม่รู้คำตอบที่ได้คือแค่อยากไป ทั้งๆที่ปกติเขาเป็นคนไม่มีความอดทนที่จะรอคอยอะไร แต่เขาก็ยอมอดทนยืนรอจนกว่าเศรษฐพงศ์จะแข่ง ทั้งๆที่ปกติเขาเป็นคนขี้ร้อนมากแต่สองวันมานี้เขายอมยืนตากแดดกลางแจ้งเพื่อจะดูเศรษฐพงศ์แข่งแบบใกล้ๆ คณินอาจจะเป็นคนเรียนเก่ง ฉลาด และทันคน แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่งี่เง่าคนหนึ่งเข้ามารบกวนจิตใจ

ไหนจะเรื่องที่เศรษฐพงศ์กำลังคบหากับผู้หญิงคนนั้นอีก ทั้งๆที่ไม่ว่าเศรษฐพงศ์จะมีแฟนหรือคบหากับใครนั้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเด็กนั่น แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเศรษฐพงศ์คุยโทรศัพท์กับเอิร์น คณินก็รู้สึกอารมณ์เสียทุกที

ทั้งๆที่เอิร์นไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย ไม่รู้จักและไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาเลยด้วยซ้ำแต่คณินก็เกิดความไม่ชอบขี้หน้า((แม้จะไม่เคยเห็นแม้แต่รูปถ่าย)) ช่วงนี้เขาเลยพาลเกลียดคนชื่อเอิร์นทุกคนบนโลกไปด้วย คณินรู้สึกว่าผู้หญิงชื่อนี้ต้องเป็นคนน่ารำคาญมากแน่ๆ  บ่อยครั้งอยากจะตะโกนแทรกเวลาเศรษฐพงศ์พูดคุยด้วยถ้อยคำหวานๆใส่แฟนสาวแต่ชายหนุ่มก็ต้องสะกดกลั้นตัวเองไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น  ไม่ได้กลัวเศรษฐพงศ์ด่ากลับมาแต่เขากลัวว่าถ้าเศรษฐพงศ์รู้ว่าเขาแอบฟังเด็กนั่นจะไม่ออกมาคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงอีกต่างหากเขาจึงต้องเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้

หลังๆมานี้คณินจึงไม่ได้คิดแผนแกล้งเศรษฐพงศ์เลยเพราะเอาแต่แช่งชักหักกระดูกขอให้เศรษฐพงศ์กับเอิร์นเลิกคุยกันเร็วๆ

ไม่ได้คิดอะไรนะ แค่รำคาญเฉยๆ

นอกจากเรื่องเรียนแล้วเขาไม่เคยต้องมาคิดอะไรมากมายขนาดนี้เลย แล้วเศรษฐพงศ์เป็นใครมาทำให้เขาใช้สมองคิดเรื่อยเปื่อยให้เปลืองพื้นที่

หลังจากอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคลเสร็จคณินก็แต่งตัวเพื่อเตรียมไปบ้านของจิณณวัตร ชายหนุ่มเดินออกมาหยุดที่หน้าห้องของเศรษฐพงศ์ก่อนจะเอาโพสต์อิทแปะป้าบลงไปแล้วสับเท้าก้าวยาวๆขึ้นรถขับออกไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของแม่บ้านที่ถามว่าเขาจะไม่กินข้าวเช้าหรอกเหรอ

คือตอนนี้เขาขอไปไหนก็ได้จนกว่าเศรษฐพงศ์จะได้เห็นโพสต์อิทแผ่นนั้นอ่ะ


 

                เศรษฐพงศ์จัดการเก็บสายยางจนเรียบร้อยโกยใบไม้กับต้นหญ้าที่ถอนออกมากองไว้ใส่ตะเข่งเรียบร้อยแล้วก็ล้างไม้ล้างมือเดินเข้าบ้าน กลิ่นกับข้าวหอมฟุ้งฝีมือแม่ลอยมาให้ได้ทำจมูกฟุดฟิด เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในครัวแล้วสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง จมูกโด่งกดลงบนแก้มแม่แรงๆสูดความหอมหวานจนดังฟอดใหญ่ คนเป็นแม่แกล้งตีลงบนมือลูกชายที่ฉวยหมูทอดชิ้นใหญ่เข้าปาก

                “รดน้ำต้นไม้เสร็จแล้วเหรอลูก”

                “เสร็จแล้วแม่ งวดนี้หญ้าขึ้นเยอะ สงสัยได้น้ำได้ฝนดี โตจะสูงกว่าต้นไม้ปลูกซะอีก”

                “งั้นเซ็ทไปอาบน้ำก่อนไปลูกออกแรงแต่เช้าตัวเหม็นเหงื่อ เสร็จแล้วจะได้ลงมาทานข้าว”

                “โอเคครับ เดี๋ยวเซ็ทลงมาช่วยจัดโต๊ะ วันนี้คงกินข้าวคล่องคอเห็นไอ้คินขับรถออกไปแล้ว”

                “ขี้แซะใหญ่แล้วนะเราน่ะ ไปไป๊ เหม็น”คนเป็นแม่แกล้งว่าลูกชายที่ยืนจ้องหมูในจานอีกชิ้น เศรษฐพงศ์ทำท่าจะเอื้อมมือหยิบเข้าปากอีกซักชิ้นแต่โดนแม่เงื้อตะหลิวใส่เลยต้องยกมือยอมแพ้แล้ววิ่งปรู๊ดขึ้นบันไดไป เศรษฐพงศ์ที่กำลังจะเปิดประตูห้องชะงักกับโพสต์อิทใบเล็กๆที่แปะอยู่หน้าห้อง มือเรียวหยิบออกมาอ่านเนื้อความแค่ไม่กี่ประโยคแต่กลับทำให้เด็กหนุ่มหลุดรอยยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว

            “กูต่อชั้นวางต้นไม้ไว้ให้มึงวางไว้ในห้องเก็บของ ขอโทษที่ทำร้านมึงพัง”

ตั้งแต่อยู่บ้านนี้มาสองปี โดนคณินกลั่นแกล้งมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน นี่คือครั้งแรกที่คณินขอโทษเขา เด็กหนุ่มเก็บโพสต์อิทเข้าห้อง

เดี๋ยวคงต้องเอาไปเคลือบแล้วใส่กรอบอย่างดี เก็บไว้ดูชั่วลูกชั่วหลานว่าไอ้คนสันดานเสียแบบคณิน  ไลลิขิตสกุล ขอโทษ เศรษฐพงศ์ วงศ์บริสุทธิ์ คนนี้

โลกต้องจารึกไว้นี่พูดเลย

 

                หลังกินข้าวเช้าเสร็จคณิตกับแม่ของเศรษฐพงศ์ก็ออกไปหาลูกค้า เศรษฐพงศ์จึงมีเวลาว่างมากพอจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของคณิน เข้ามาครั้งสุดท้ายก็นั่นแหล่ะ วันที่เข้ามากระทืบโมเดลของคณินจนแหลกคาเท้า เศรษฐพงศ์มองหาชั้นไม้ที่คณินบอกก็พบว่ามันวางพิงผนังอยู่มุมหนึ่ง เด็กหนุ่มมองแผ่นไม้ที่ไม่น่าจะใช่ชั้นไม้ที่คณินบอก ติดจะหงุดหงิดเพราะคิดว่าโดนหลอกอีกแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไลน์หาคณิน ต่อว่าเรื่องที่ให้ตนเองเข้ามาดูซากกองไม้ แต่คณินก็ตอบกลับมาอธิบายวิธีการประกอบและเมื่อเศรษฐพงศ์ทำตามที่คณินบอก ชั้นไม้ 3 ชั้นก็ปรากฏสู่สายตา

                “เจ๋งสัด” แม้ไม่อยากจะชมแต่ก็ต้องยอมรับว่าชั้นแบบถอดได้ของมันดีมากๆ ด้านล่างฐานรองกว้างและใหญ่ที่สุดเวลาวางกระถางก็จะถ่วงไม่ให้ล้มแถมถอดออกเก็บและขนย้ายง่าย

                “นิสัยเหี้ยแต่ไอเดียดี”ถ้าจะนิยามคำชมให้กับคนที่ชอบกวนประสาทตนเองอยู่เสมอก็คงจะเป็นคำนี้ เศรษฐพงศ์ถอดชั้นไม้แล้ววางเรียงตามเดิมยังไงวันนี้เขากับเพื่อนๆก็ไม่ได้ไปเปิดร้านเดี๋ยวค่อยเอารถพ่อของยงศกรมาขนไปไว้ที่หอวันหลัง เพราะว่าเข้าสู่ช่วงที่มีงานปีประจำจังหวัดนั่นก็คืองานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควตลาดนัดต่างๆจะเงียบเหงารวมทั้งถนนคนเดินก็ด้วยพวกของเศรษฐพงศ์จึงตกลงกันว่าจะหยุดจนกว่างานสะพานจะหมดแล้วนัดเจอกันที่งานในเย็นวันนี้เพื่อเที่ยวเล่นปลดปล่อยจากการตรากตรำซ้อมแข่งมานานเกือบสามเดือนที่ผ่านมา

                เศรษฐพงศ์ใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายด้วยการนั่งๆนอนๆคุยกับเอิร์นและเคลิ้มหลับไปตอนบ่ายสาม หนังสือเรียนที่นอนท่องอยู่บนเปลญวณที่เอามาผูกใต้ต้นมะม่วงคลุมไว้ที่หน้า จนเกือบหกโมงเย็นนั่นแหล่ะเด็กหนุ่มถึงรู้สึกตัวตื่นเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น

                “โหล...”เศรษฐพงศ์กรอกเสียงลงไปเมื่อกดรับสายจากยงศกรเรียบร้อยแล้ว

                “มึงจะให้พวกกูไปเจอตรงไหนกี่โมง”

                “เจอกันทางเข้าข้างหน้าเลยก็ได้มึง”

                “ติดถนนใหญ่อ่ะนะ”

                “เออ ไปยืนรอๆกันแถวนั้นค่อยเข้าไปพร้อมกัน”

                “แล้วจะไปเจอกันกี่โมง”เสียงปลายสายถามเวลานัดแนะกลับมาอีกครั้งเศรษฐพงศ์ยกนาฬิากาขึ้นดู

                “ทุ่มนึงเจอกันกูขออาบน้ำแต่งตัวก่อนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้เพิ่งตื่น”เมื่อตกลงนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยเศรษฐพงษ์ก็ลงจากเปลเก็บหนงสือที่อ่านได้ไม่ถึงครึ่งเล่มเสียด้วยซ้ำเข้าบ้าน อาบน้ำแต่งตัวคุยแชทกับเอิร์นรายงานว่าตัวเองกำลังจะไปไหนเสร็จก็คว้ากุญแจรถขับออกจากบ้านไปตอนหกโมงครึ่ง

 
                คณิน::

                ผมวนรถเพื่อหาที่จอดรถอันแสนคับคั่งราวกับว่ารถทุกคันในจังหวัดมุ่งหน้ามาที่งานสะพานนี้ ผู้คนขวักไขว่เดินกันจนเบียดแน่นไปหมดเพราะเป็นวันหยุดด้วยปริมาณคนมหาศาลที่เดินไหลกันไปเรื่อยๆทำเอาผมย่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก

                “เสี่ยๆตรงนั้นว่างจอดได้”ไอ้ว่านที่นั่งอยู่เบาะหลังมันนั่งกอดเบาะของผมเพื่อช่วยดูล็อคว่างรีบตบไหล่ผมพลางชี้ไปที่ช่องว่างช่องหนึ่งผมหมุนพวงมาลัยเข้าไปจอด ก่อนที่ผม ไอ้ว่าน ไอ้แพท กับไอ้แพรจะลงมาจากรถ

                “ไอ้แดนกับไอ้อ้นมันมาถึงแล้วใช่ป่าววะ”ผมล็อครถแล้วหันไปถามเพื่อนที่เดินตามกันออกมา หลังจากจ่ายค่าที่จอดรถแล้วพวกเราก็เริ่มเดินเข้างานโดยการซื้อบัตรผ่านประตู

                “มันบอกรอแถวๆช้อนไข่กาชาด”ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนที่พวกเราจะค่อยๆเดินไหลตามฝูงชนมหาศาลไปเรื่อยๆเพื่อไปเจอกับไอ้แดนไอ้อ้นที่ซุ้มของกาขาด บรรดาผู้คนต่างเดินเข้าออกที่ซุ้มนี้ไม่ขาดสายเพราะมีของรางวัลมากมายหลอกล่อคนที่โลภอยากได้ของดีๆจะเสียซักกี่พันกี่ร้อยก็ไม่สนใจทั้งที่ถ้ามานับมูลค่าของๆที่ช้อนมาได้ มาม่า 6 บาท เงี้ย มันคุ้มกันมั้ย

คำตอบสำหรับผมคือก็ไม่ แต่พอไอ้แพรกับไอ้ว่านแบมือขอเงินแบงค์ 500 ในกระเป๋าของผมก็ปลิวไปอยู่ในมือมันสองคนแบบง่ายๆ

                “ถือว่าทำบุญ”เป็นเหตุผลง่ายๆที่ทำให้เราดูหล่อขึ้น

ช้อนเหมือนจะสะสมแต้มบุญไว้หล่อยั้นชาติหน้า

                “เดือนนี้กูรอดตายล่ะ มีมาม่าตุนเต็มเลย”ไอ้ว่านหอบถุงมาม่าเดินมาอวดพวกผมที่ทำหน้าระอาใจ

                “ความจริงถ้ามึงเอา 500 ของกูไปซื้อยกลังมึงจะกินได้ 2 เดือน”

                “น่า มึงก็ ทำบุญๆ”มันหันมาโบกไม้โบกมือแบบให้ผมทำใจหยวนๆไป

                “แล้วนี่ไปไหนต่อ”

                “กูอยากดูคอนเสิร์ต”ไอ้แพทมันว่า

                “วันนี้ใครมาวะ?”ไอ้แดนที่วันนี้มาพร้อมพี่เด่นที่กลับมาเยี่ยมบ้านหันไปถามชื่อศิลปิน

                “ลองกอง หอยฝังเพชร”

                “สาบานว่านั่นชื่อศิลปิน?”ผมหันกลับไปมองไอ้แพทอย่างไม่เชื่อหู นักร้องที่ไหนวะชื่อส่อไปในทางลามกขนาดนั้น

                “ว้ายเสี่ย มึงไปอยู่ไหนมา น้องลองกองออกจะดัง”ไอ้ว่านหันมาทำหน้าอ้อล้อพร้อมกับส่งเสียงเยาะเย้ยผมแหลมปรี๊ด

                “ร้องเพลงอะไรวะทำไมกูไม่รู้จัก”

                “ผู้สาวขาลาย”

                “ท่าทางจะไม่ทาครีมบำรุง”

                “เพลงเขาดังทั่วบ้านทั่วเมืองมึงอ่ะเชยไอ้คิน พี่เด่นมันยังรู้จักเลย”ไอ้แดนช่วยยืนยันอีกเสียงว่าน้องลองกองนี่ดังจริง

                “ใช่ เวลากูดูบันทึกการแสดงสดของน้องเค้ามือกูเลอะเปลืองทิชชู่ตลอดเลย”พี่เด่นมันรับมุกของไอ้แดน

                “นั่นพี่มึงก็จังไรไปแล้วไอ้เหี้ย”ผมชูนิ้วกลางให้กับคำพูดสื่อไปในทางลามกนั่น หลังจากซื้อนู่นซื้อนี่กินจนมาถึงบริเวณหน้าสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่มีรั้วสังกะสีล้อมสูงกว่าหัวเพื่อบังสายตาจากคนด้านนอกหางตาผมก็เหลือบเห็นเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในสถานที่จัดคอนเสิร์ต

เห็นจากด้านหลังยังจำได้เลย

                “ตกลงใครจะดูมั่งเอาเงินไปซื้อตั๋วสิ”ผมหยิบแบงค์พันยื่นให้ไอ้แดนรีบรับแล้วมุ่งตรงไปซื้อตั๋วทันที มันรอเงินทอนก็หอบตั๋ว 7 ใบมาแจกพวกเรา พวกเราเดินเข้ามาด้านในลานคอนเสิร์ตที่เป็นลานโล่งๆไม่มีเก้าอี้ คือต้องยืนดูอย่างเดียว จำนวนคนมีเยอะจนน่าตกใจ แสดงว่าน้องลองกองละมุดมังคุดลำไยอะไรนี่ดังจริง ผมพยายามกวาดสายตามองหากลุ่มไอ้เซ็ทแต่เพราะปริมาณคนที่เยอะมากแถมยังค่อนข้างมืดจึงหาไม่เจอ

เวลายิ่งผ่านไปก่อนการแสดงเริ่มผู้คนก็เริ่มทยอยเข้ามา ดูจากสายตาแล้วจะเป็นวัยรุ่นผู้ชายซะมากกว่า บางคนก็เมากรึ่ม บางกลุ่มก็แหกปากเสียงดังพูดคุยกนข้ามหัวคนอื่นๆ  ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก เห็นหลายคนใส่เสื้อช็อปของสถาบันการศึกษาต่างๆเข้ามาแล้วนึกตำหนิในใจ ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อก่อนมางานแบบนี้วะ  ยืนเมื่อจนรู้สึกเหนื่อยในที่สุดเสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มขึ้น เสียงโห่ร้องของบรรดาชายหนุ่มกึกก้องเมื่อร่างสะโอดสะองของนักร้องสาวในชุดสีทองปิดล่างนิดปิดบนหน่อยย่างกรายออกมา สียงเพลงยอดฮิตของน้องลองกองดังขึ้นพร้อมเสียงโห่แซ็วเป่าปากของคนด้านล่างเวที บ้างก็เต้นวาดลวดลายกันมันเกินเบอร์  ซํกพักผมก็สังเกตว่าด้านหน้าเวทีวงคนดูเริ่มกระจายตัว

                “ตีกันหรือไงวะ”ไอ้แพทมันชะเง้อพลางเขย่งเท้ามอง เสียงนักร้องสาวพูดออกไมค์ให้ใจเย็นๆ ผมร้อนใจขึ้นมาทันที

ไอ้เซ็ทอยู่ตรงไหน ถ้าพวกมันอยู่หน้าเวทีอาจจะเจอลูกหลง วงที่ตีกันเริ่มมั่วเข้าไปใหญ่เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกันเพิ่มขึ้น ด้วยจำนวนคน อีกครั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้มีการตะลุมบอนเกิดคลื่น คลื่นมนุษย์ที่รักตัวกลัวตายเริ่มดันและเบียดบ้างก็วิ่งหนีกันออกมา

                “ไอ้คิน หนีก่อนเผื่อพวกแม่งยิงกัน”

                “พวกมึง พวกไอ้เซ็ทอยู่ในนี้ หามันก่อน”ผมตะโกนบอกเพื่อนๆเมื่อพวกมึนพยายามดึงมือผมให้หนีออกจากคอนเสิร์ต ผู้คนนับพันเริ่มแตกตื่นโกลาหล ผมสะบัดมือเพื่อนก่อนวิ่งสวนผู้คนเข้าไป สายตาพยายามมองหาหน้าของไอ้เด็กน่ารำคาญนั้น ผมผลักผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาทางผมให้พ้นทาง ผู้ชายตัวเล็กคุ้นตาคนหนึ่งกับไอ้แฝดน้องวิ่งสวนผมออกมา ผมรีบคว้าแขนมันไว้ในขณะที่ไอ้แฝดคนพี่ปล่อยหมัดใส่ใครซักคนที่จะเข้ามาทำร้ายน้องแฝดและไอ้วี

                “วี ไอ้เซ็ทอยู่ไหน”ผมตะโกนถามเมื่อวีเอาแต่ทำท่าจะวิ่งอย่างเดียว มันรีบเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงของผม

                “มันกำลังจะออกมาแต่ไอ้ย้งโดนลูกหลงเลยวิ่งกลับไปช่วยตรงนู้นน่ะ มึงไปช่วยมันที”

คณินร้อนใจในทันที่ที่รับรู้ว่าเศรษฐพงศ์ติดอยู่ในวงที่ตีกันนั้น ชายหนุ่มปล่อยมือวีรดนัยก่อนจะวิ่งฝ่าเข้าไป เพราะรูปร่างของเศรษฐพงศ์กับเพื่อนค่อนข้างโดดเด่นเมื่อเข้ามาอยู่ใกล้ๆทำให้สังเกตหาได้ไม่ยาก ร่างสูงโปรงเอี้ยวตัวหลบหมัดของผู้ชายผอมแห้งคนหนึ่งแล้วกระชากมือยงวิสุทธิ์ให้ออกจากวงล้อมไปพร้อมกับยงศกร คณินรีบวิ่งเข้าไปกระโดดถีบกลางลำตัวของใครซักคนที่จะเข้ามาทำร้ายเศรษฐพงศ์ด้านหลัง

                “ไอ้คิน มึงมาไงเนี่ย”

                “อย่าเพิ่งพูดมากหนีก่อนไอ้สัด มาตีกับเค้าได้ไง” คณินไม่รอช้าหลังจากเหวี่ยงหมัดใส่ผู้ชายที่ตนเพิ่งจะกระโดดถีบไปก็คว้ามือของเศรษฐพงศ์วิ่งออกมา แม้จะเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะจำนวนคนที่ขวางทางอยู่ค่อนข้างมากแถมคนที่ตีกันก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรเหวี่ยงไม้เหวี่ยงหมัดมั่วไปหมดจึงทำให้เขาทั้งคู่ไม่สามารถวิ่งหนีได้ดั่งใจนึกทำได้เพียงก้าวเร็วๆเพื่อให้พ้นไปจากตรงนี้  โชคดีที่ยงศกรกับยงวิสุทธิ์แยกไปอีกทางหนึ่งแล้วเศรษฐพงศ์จึงไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังมากนัก วัยรุ่นหลายคนวิ่งผ่านพวกเขาไปพลางหันไปส่งเสียงด่าทอท้าทายคนที่ตามมาจากด้านหลังเป็นการยั่วยุ
                “เก่งนักใช่มั้ยมึง”อยู่ๆก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง  ด้วยสัญชาติญาณ คณินหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นว่าอะไรเป็นอะไรคณินก็เอาตัวเข้าบังร่างของเศรษฐพงศ์ไว้ในทันที

ปัง!!!!

เศรษฐพงศ์ที่กำลัง งงๆว่าคณินจะมาสวมกอดตนจากด้านหลังทำไมล้มลงกับพื้นเมื่อร่างหนาของคณินกระตุกแล้วโถมแรงใส่เขา เสียงปังดังลั่นเมื่อครู่พร้อมกลิ่นดินปืนทำให้เด็กหนุ่มใจหายวาบ เศรษฐพงศ์หันหลังกลับไปดูก็พบว่าคณินจ้องมองมาที่ตน หัวคิ้วคู่นั้นขมวดจนแทบจะผูกโบว์ได้

                “เสียงอะไรวะ?”ถามออกไปอย่างคนที่ยังไม่หายตกใจ

                “มึงไม่เป็นไรใช่มั้ย?”คณินเอ่ยถามคนตรงหน้าสายตาสำรวจร่างกายของเศรษฐพงศ์แล้วก็ส่งยิ้มอย่างพอใจที่ไม่พบร่องรอยหรือความบุบสลายบนผิวกายของเศรษฐพงศ์อยู่ๆคณินก็ทรุดลงซบกับอกของคนเป็นน้อง เศรษฐพงศ์ตกใจกับอากัปกริยานั้น รีบใช้มือตบลงบนหลังคณินเพราะคิดว่าคนพี่แกล้งทำแต่ความชื้นหนืดที่ติดมือตามมาทำให้เศรษฐพงศ์ตัวชาวาบ

อยากจะบอกกับตัวเองว่ามันแค่เหงื่อ แต่เมื่อยกมือขึ้นมาดูสีแดงฉานที่ติดมือมาเป็นคำตอบได้ดีว่า

                “คิน มึงโดนยิง”

                “เออ กูรู้แล้ว”คนพี่ที่พยายามข่มความเจ็บตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

                “มึงลุกไหวมั้ย ไปโรงพยาบาลกัน”เศรษฐพงศ์พยายามประคองคณินให้ลุกขึ้นยืน คณินทำตามอย่างว่าง่ายแต่พลันร่างสูงก็ล้มลงไปอีก เขาเสียเลือดมากจนหน้ามืด เศรษฐพงศ์รีบประคองร่างที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่นั้นไว้ก่อนจะสั่งให้คณินเกาะหลังของตัวเองไว้ ร่างโปร่งออกแรงแบกร่างสูงของคนที่ซบหน้าลงกับซอกคอตนวิ่งออกไปด้านนอก บรรยากาศโดยรอบวุ่นวายเพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และ อปภร.เริ่มเข้ามาคุมพื้นที่ ภาพวัยรุ่นหลายคนถูกจับไปนั่งกองรวมกันบนรถห้องขังทำให้เศรษฐพงศ์ต้องเบือนหน้าหนี

                “ไอ้คิน!!!”เสียงเพื่อนๆของคณินร้องเรียกเมื่อเห็นเศรษฐพงศ์แบกคณินขี่หลังออกมา ใบหน้าหล่อเหลาที่ปกติขาวจนแทบจะเรืองแสงตอนนี้ซีดเผือด เปลือกตาปิดสนิท บรรดาเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ที่ยืนรอรวมกลุ่มกับพวกของแดนธรรมกรูกันเข้ามาจะช่วย

                “หลบไป ใครเอารถยนต์มาบ้าง”เศรษฐพงศ์เอี้ยวตัวหลบคนที่จะเข้ามายุ่งกับคณินใบหน้าหล่อเครียดขึงสายตาสื่อให้รับรู้ว่าตนเองนั้นห่วงคนที่กำลังแบกมากแค่ไหน

                “กูเอามา มึงตามมาทางนี้”เด่นคุณรีบเดินนำเศรษฐพงศ์ไปที่ลานจอดรถ

                “พี่เคลียร์ทางให้ทีมีคนโดนยิง”เศรษฐพงศ์ร้องบอกคนที่รับฝากรถให้ช่วยเคลียร์ทางให้โล่งเพื่อที่พวกเขาจะได้ออกไปได้ง่ายที่สุด

                “ไอ้ยิมมึงขับรถกูกลับที ส่วนมึงไอ้สูงๆน่ะขับรถไอ้คินกลับไปด้วย”เศรษฐพงศ์ประคองศีรษะของคณินให้หนุนลงบนตักของตัวเองก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงโยนกุญแจรถให้พชรพล เด่นคุณปิดประตูรถให้ก่อนจะขึ้นมาประจำตำแหน่งคนขับรถโดยมีแดนธรรมนั่งหน้าคู่มาด้วย  เศรษฐพงศ์ใช้ปลายนิ้วลูบลงบนผิวแก้มของคณิน กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อเห็นคณินปิดเปลือกตาสนิทไม่ได้จ้องมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองแบบเมื่อก่อน

ความรู้สึกใจหายแล่นเข้าจู่โจมอย่างน่ากลัว

                “มึง  อย่าตายนะไอ้เหี้ย ตื่นมาทะเลาะกับกูต่อก่อนนะไอ้คิน ห้ามตายนะ”


...............................



อย่าตายนะพ่อพระเอกของช้อย



ปล.เคยเข้าไปดูคอนในงานสะพานและเจอคนตีกันจริงๆ โชคดีที่ดูอยู่ตรงกลางๆบวกกับสกิลนักวิ่งทีมชาติเลยรอดออกมาได้ เป็นการดูคอนที่เร้าใจที่สุดในชีวิต

วันศุกร์นี้เปิดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคววันแรกนะคะ ใครอยากมาเที่ยวชมมาได้เล้ยยยยยย

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2


                               เด่นคุณขับรถพาร่างโชกเลือดของคณิณมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล แม้จะมีเอกชนที่ใกล้ที่สุดแต่คนเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มไม่แน่ใจว่าที่นั่นจะมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบถ้วนมั้ยเขาจึงยอมเสี่ยงที่จะขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด เหลือบมองเบาะหลังเศรษฐพงษ์พลิกร่างของคณินให้ตะแคงเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตที่ใส่ตัวนอกถูกถอดออกแล้วปิดลงบนปากแผล เลือดสีแดงฉานไหลออกมามากจนเศรษฐพงศ์รู้สึกใจเสีย  ตั้งแต่อยู่ร่วมบ้านกันมา ใช้ชีวิตอยู่ในวงโคจรของกันและกันมาสองปีไม่มีครั้งไหนเลยที่คณิณจะนิ่งสนิทได้เช่นวันนี้

 

ให้ลืมตามาด่า

 

ให้ตื่นขึ้นมาหาเรื่องแกล้งเขา

 

ให้ฟื้นขึ้นมาท้าตีท้าต่อยก็ยังดีกว่านอนหน้าซีดเผือดไม่ได้สติแบบตอนนี้

 

ไม่ชินเลยกับความรู้สึกหวิวๆในใจแบบนี้

 

มันไม่มีเหตุผลเลยซักนิดที่คณิณจะต้องมาปกป้องเขาจากกระสุนปืน

 

โง่...คณิณนั้นโง่นัก

 

ทั้งๆที่เกลียดกันจะตายจะเอาตัวเองมารับกระสุนแทนเขาทำไม

 

                “ฟื้นขึ้นมาเร็วๆนะ ฟื้นมาให้กูด่า”

 

เด่นคุณเลี้ยวรถมาจอดหน้าตึก OPD ชายหนุ่มและแดนธรรมเปิดประตูรถขอความช่วยเหลือจากเวรเปล

 

                “พี่ครับมีคนโดนยิงมา” แดนธรรมเปิดประตูตอนหลังเศรษฐพงศ์ประคองร่างของคณิณเพื่อส่งให้กับเวรเปล ทุกคนต่างเร่งรีบเข็นร่างอ่อนปวกเปียกของคณิณนำไปที่ห้องฉุกเฉิน เศรษฐพงศ์เข้าช่วยโดยไม่ยอมละทิ้งไปไหน ไม่ห่างกันแดนธรรมเองก็ตามมาติดๆ

 

                “ญาติรอข้างนอกนะคะ”พยาบาลหันมาบอกอย่างสุภาพ เศรษฐพงศ์หอบหายใจอย่างหนักเด็กหนุ่มก้มลงมองสองมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน กลิ่นคาวคละคลุ้งจนรู้สึกเวียนหัว

 

แดนธรรมเงยหน้าจากโทรศัพท์ที่กดรายงานสถานการณ์ให้เพื่อนๆที่กำลังตามมาเมื่อไห้ยินเสียงเหมือนของหนักหล่นลงพื้น ทันทีที่เงยหน้ามองก็เห็นร่างของเศรษฐพงศ์ร่วงลงกับพื้น

 

                “เฮ้ย!!!”ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะเข้าไปหิ้วปีกร่างที่นั่งสั่นอยู่กับพื้น

 

                “มึงเป็นอะไรวะ ไหวมั้ย”แดนธรรมประคองร่างที่สั่นเทาของเศรษฐพงศ์แต่คนเด็กกว่ากลับยกมือห้าม ร่างกายสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ใช้มือสองข้างของตัวเองลูบเลือดบนฝ่ามือไปมา

 

                “มึงใจเย็นๆนะ ไอ้คินมันหนังหนาจะตายมันไม่ตายง่ายๆหรอก”

 

                “ถ้าหนังหนา...”เศรษฐพงศ์เงยหน้ามองแดนธรรม ดวงตาที่เคยมองพวกเขาด้วยสายตาแกร่งกล้ามาตลอดบัดนี้เต็มไปด้วยน้ำใสคลอหน่วย

 

                “ถ้าหนังมันหนาจริงอย่างที่มึงพูด แล้วทำไมไอ้คนนั้นถึงยิงมันเข้าล่ะ?” เด่นคุณนั่งลงบนเข่าของตัวเอง เขาเดินมาทันเห็นเศรษฐพงศ์ทิ้งตัวลงกับพื้นชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาก่อนจะคว้ามือของเศรษฐพงศ์มาเช็ดเลือดที่มือนั้นออกโดยไม่พูดอะไร

 

                “ไม่ทราบว่าใครเป็นญาติคนไข้ที่โดนยิงคะ”พยาบาลที่อยู่ในห้องฉุกเฉินออกมาร้องถามหาญาติคนไข้ เศรษฐพงศ์รีบสะบัดมือที่เด่นคุณกำลังเช็ดเลือดให้ออกแล้วลุกขึ้นไปหาพยาบาลคนนั้น

 

                “ผมครับ ผมเป็นญาติคนไข้”

 

                “คือเดี๋ยวหมอต้องผ่าตัดด่วนรบกวนญาติไปทำประวัติคนไข้ให้ด้วยนะคะ”พยาบาลสาวอธิบายขั้นตอนต่างๆให้เศรษฐพงศ์ก็พอดีกับที่คณิตกับลดามาถึงโรงพยาบาลพอดี เรื่องการกรอกประวัติจึงเป็นหน้าที่ของคณิตไป ลดาคว้าตัวลูกชายไปกอดทันทีที่เจอหน้า

 

                “แม่...แม่ครับ”

 

                “ใจเย็นๆ พี่เค้าไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อแม่”

 

หลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่างๆรวมทั้งการจองห้องพิเศษเรียบร้อยทั้งหมดก็ตามพนักงานเปลที่เข็นร่างของคณิณไปห้องผ่าตัด เพื่อนๆของคณิณเริ่มทยอยมาถึงรวมทั้งเพื่อนของเศรษฐพงศ์ด้วย กลุ่มคนสิบกว่าชีวิตต่างนั่งเงียบไร้เสียงพูดคุย

 

                “พ่อว่าเด็กๆกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้นหมอบอกว่ากระสุนไม่ถูกจุดสำคัญผ่าออกก็ปลอดภัยแล้ว”หลังจากรอกันมาร่วมชั่วโมงคณิตจึงบอกให้เด็กๆแยกย้ายกันกลับบ้านไปก่อน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าคณิณจะถูกส่งตัวออกมาเมื่อไหร่ เด็กๆมีท่าทางลังเลเพราะเขาเองก็เป็นห่วงเพื่อน บรรดาเพื่อนของเศรษฐพงศ์ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนด้วย เพราะระหว่างนั่งรอก็ได้ฟังที่เด่นคุณเล่าให้เศรษฐพงศ์ฟังว่าที่คณิณกลับเข้าไปก็เพราะจะเข้าไปตามเศรษฐพงศ์ออกมา

 

ในที่สุดเด็กทั้งหมดก็ตัดสินใจกลับเพราะอยู่กลุ่มใหญ่ค่อนข้างจะเกะกะดังนั้นทุกคนจึงไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองคนและบอกลาคนเด็กสุดที่นั่งคอตกอยู่หน้าห้องไม่พูดไม่จาอะไร

 

มันไม่มีเหตุผลเลยซักนิดที่คณิณจะกลับเข้าไปตามหาเขา  ทั้งๆที่เกลียดกันยิ่งกว่าอะไรแต่ทำไมถึงเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง จากการบอกเล่าของเพื่อนๆคนเจ็บแล้วพวกเขาอยู่เกือบท้ายเวทีด้วยซ้ำ แต่กลุ่มของเศรษฐพงศ์อยู่เกือบหน้าเวทีเลยจับพลัดจับพลูโดนลูกหลงไปด้วย

 

ถ้าคณิณไม่กลับเข้าไปหาเขาคณิณก็ไม่ต้องมาเจ็บแบบนี้

 

ไม่สิ

 

จริงๆ...

 

ถ้าคณิณไม่เอาตัวเองเข้ามาบังตัวเขาไว้คนที่อยู่ในห้องผ่าตัดตอนนี้ก็คือเขาเอง ที่เขาได้มานั่งอยู่รอดปลอดภัยตรงนี้ในขณะที่ไอ้คนปากดีตอนนี้อยู่ในห้องนั้นเพราะคณิณปกป้องเขา

 

ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกคณิณถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปนอนในห้องพิเศษ ใบหน้าซีดขาวหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาสลบ พยาบาลเข้ามาจัดการใส่ชุดคนป่วยของโรงพยาบาลให้ เช็คความเรียบร้อยของน้ำเกลือและสายให้เลือดอีกครั้งก่อนจะออกไป

 

                “แม่กับลุงกลับไปพักผ่อนเถอะครับเดี๋ยวเซ็ทเฝ้าให้เอง กว่าจะฟื้นดีคงพรุ่งนี้”เศรษฐพงศ์บอกกับคณิตที่ยืนลูบผมของลูกชายคนเดียวอยู่ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่คณิณเจ็บป่วยคนเป็นพ่อกลับดูแก่ลงไปถนัดตา

 

                “ลุงอยากเฝ้าคิน”

 

                “เชื่อผมเถอะครับ โซฟามันแคบลุงกลับไปนอนพักที่บ้านแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาดีกว่าครับ เดี๋ยวถ้าพี่มันฟื้นผมจะโทรบอก”

 

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ยังไงลุงฝากเซ็ทดูพี่ด้วยนะ”ที่สุดคณิตก็จำยอม

 

“ลุงครับ”เศรษฐพงศ์เอ่ยเรียกพ่อเลี้ยงด้วยน้ำเสียงลังเล

 

“ว่าไง?”

 

“ผมขอเฝ้าคินเองนะครับ พรุ่งนี้วันหยุด ส่วนวันธรรมดาผมจะมาเฝ้าตอนเย็นๆหลังเลิกเรียน”

 

“เอางั้นเหรอ มันจะหนักเกินไปหรือเปล่าเซ็ทก็ต้องเรียน”

 

“ไม่ครับไม่หนักเลย ช่วงนี้ไม่ได้มีงานอะไรมากไม่ได้ซ้อมแล้ว”เศรษฐพงศ์รีบตอบอย่างเต็มใจ อย่างน้อยเขาเองก็อยากทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนคณิณที่ช่วยชีวิตเขาบ้าง ความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจคล้ายแผ่นน้ำแข็งที่จับตัวหน้าในช่องฟรีซหากเขาไม่ทำอะไรเพื่อคณิณบ้างความรู้สึกผิดก็ไม่มีทางหายออกไปซักที

 

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่เอาเสื้อผ้าของใช้มาให้นะลูก”ลดาเข้าไปลูบหลังลูกชายอีกครั้ง

 

“ครับ”เด็กหนุ่มกอดลาแม่ก่อนจะเดินไปส่งสองสามีภรรยาที่หน้าประตูเมื่อคนทั้งคู่ไปแล้วเด็กหนุ่มก็เดินกลับมาที่เตียงคนป่วย คณิณหลับสนิท

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมมองร่างที่หลับสนิทบนเตียงคนไข้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง นี่มันไม่ใช่ไอ้คินที่ผมรู้จักเลยซักนิด

 

ไอ้คินตัวจริงต้องปากดีด่าผมได้ตลอดเวลา

 

ไอ้คินตัวจริงต้องยียวนกวนส้นตีนได้แม้ว่าผมจะอยู่นิ่งๆ

 

แต่คนๆนี้ที่หลับตานิ่งหน้าตาไร้สีเลือดนี่คือใครกัน??

 

ผมยื่นมือเข้าไปลูบกลุ่มผมที่ปรกหน้าปรกตามันเบาๆ

 

สงสารมัน...ปกติตีกันหนักสุดก็แค่แขนหัก แต่นี่มันถูกยิงเลยนะเว้ย มันเจ็บตัวคราวนี้ไม่ได้เกิดจากการที่มันตีกับผม แต่มันเจ็บตัวคราวนี้เพราะมันปกป้องผม

 

“มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”ผมไม่เข้าใจมันจริงๆ ผมเลื่อนมือมาลูบใบหน้าของมัน น่าแปลกที่ปกตินอกจากหมัดแล้วผมก็ไม่เคยสัมผัสใบหน้าของมันใกล้ๆแบบนี้เลย ผิวของมันนุ่มลื่นไม่เหมาะกับการเป็นผิวผู้ชายเลยซักนิด ใช้ปลายนิ้วเขี่ยขนตายาวหนาเป็นแพของมันเบาๆขนตาที่เหมือนกวางดาว...

 

“รีบๆตื่นมากวนตีนกูนะอย่านอนนานเดี๋ยวรากงอก”ผมเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงมองสายน้ำเกลือที่โยงมาหยุดที่ข้อมือของมันแล้วก็ได้แต่คว้ามือของมันมากุมไว้เบาๆ

 

“ถ้ามึงตื่นมากูจะพูดดีๆกับมึงจะไม่กวนตีนมึง กูสัญญา”

 

 

((ต่อด้านล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
เกือบตีสามร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงเริ่มขยับตัว คณิณทำหน้าตาเหยเกเมื่อความเจ็บปวดแล่นปล๊าบตรงสะบัก ลืมตามองห้องที่สว่างด้วยแสงไฟแล้วก็ได้แต่หลับตาหนีแสงจ้านั่นอีกครั้ง ยกมือจะลูบหน้าตัวเองก็พบว่ามันถูกกุมไว้ด้วยมืออุ่นๆของใครอีกคน คณิณขมวดคิ้วก่อนเปิดเปลือกตาอีกครั้ง คราวนี้เขามองตามมือที่กุมมือตัวเองไว้ก็พบว่านิ้วอูมๆนิ่มๆนั้นเป็นของเศรษฐพงศ์ที่นั่งฟุบหน้าหลับสนิทอยู่ข้างเตียง

 

อยากจะสะบัดออกแต่ความอบอุ่นที่กุมไว้ก็คล้ายกับแม่เหล็กที่ดูดไว้ด้วยแรงดูดมาหาศาล

 

นอนมองหน้านั้นนิ่งๆก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อเศรษฐพงศ์นอนฟุบหันมาทางเขา แก้มที่ถูกเบียดย้อยจนมองดูน่ารัก...

 

บ้าๆ...

 

ใครน่ารัก...

 

หน้าตาก็โคตรขี้เหร่เลยเอาตรงไหนมาน่ารัก

 

ในใจของชายหนุ่มตีรวนกันจนน่าโมโห ใจหนึ่งก็บอกว่าเกลียดแต่อีกใจดันไปมองว่ามันน่ารัก ตัวสูงยังกะเปตรดันมองว่านารักไปได้ยังไง นอนปากห้อยน้ำลายแทบจะหยดแล้วเอาตรงไหนมาน่ารักวะ คณิณรีบหลับตาลงแกล้งทำเหมือนว่ายังหลับอยู่ทันทีที่เศรษฐพงศ์ขยับตัว พยายามห้าใจไม่ให้เต้นแรงเพื่อรอดูว่าเศรษฐพงศ์จะทำอะไรต่อ ความอุ่นที่มือยังคงไม่จางหายไปไหนแต่บนหน้าผากกลับมีความอุ่นเพิ่ม

 

“มีไข้ด้วยเหรอวะ”เสียงพึมพำเบาๆดังขึ้นก่อนที่ฝ่ามือจะถูกปล่อยให้ว่างเปล่าตามที่ควรจะเป็น

 

เสียดาย...คือความรู้สึกที่ผุดเข้ามาในใจของคณิณตอนนี้ เสียงน้ำไหลเบาๆในห้องน้ำทำให้ต้องแอบหรี่ตามอง เศรษฐพงศ์ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำใบเล็ก ผ้าขนหนูผืนบางถูกแช่ลงในน้ำแล้วบิดจนหมาดก่อนจะถูกเช็ดลงบนใบหน้าที่ยังซีดอยู่

 

“นี่หมอเค้าให้ยาสลบหรือฟอร์มาลีนกับมึงกันแน่วะ หลับนานชิบหาย”เสียงบ่นงุ้งงิ้งเบาๆทำเอาคณิณเกือบหลุดหัวเราะ เศรษฐพงศ์ยังคงเช็ดตัวเขาต่อไปจนเสร็จผ้าห่มถูกขยับเข้าคลุมร่างของเขาไว้จนเรียบร้อยแล้วจึงเอากะละมังน้ำไปล้างเก็บ เด็กหนุ่มเดินกลับมาดูคณิณอีกครั้งแล้วจึงเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา

 

เศรษฐพงศ์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็ตอนได้ยินเสียงพูดคุยกันใกล้ๆเมื่อลืมตาก็เห็นคนป่วยกำลังคุยกับพยาบาลอยู่ วูบแรกนั้นเค้าหลุดยิ้มออกมาอย่างดีใจแต่พอรู้สึกตัวก็ปั้นหน้าให้นิ่งที่สุดแล้วลุกขึ้นมายืนข้างๆพยาบาลสาว

 

“เดี๋ยวสายๆคุณหมอจะมาดูอาการนะคะ ตอนนี้ให้ยาแก้ปวดแล้วอาจจะปวดๆตึงๆแผลหน่อยถ้ามีอะไรก็กดออดเรียกพยาบาลนะคะ”พยาบาลท่าทางใจดีออกไปแล้วพร้อมอุปกรณ์ทำแผลและฉีดยา คนป่วยบนเตียงปรายตามองคนที่เพิ่งตื่นหัวฟูด้วยสายตาเอือมๆ

 

“นี่มานอนเฝ้าไข้หรือมานอนพักตากอากาศ”น้ำเสียงมึนตึงถูกส่งให้คนที่ขยี้ตาอยู่ปลายเตียง

 

“ปากดีแบบนี้แสดงว่าไม่ตายแล้วสินะไอ้สัด”คำทักทายยามเช้าถูกตอบกลับไป คนป่วยยักไหล่ก่อนจะเบ้หน้าเมื่อความเจ็บแล่นปล๊าบเข้าจู่โจม

 

“เป็นไรมึงเจ็บเหรอ”เศรษฐพงศ์รีบเดินเข้าไปจับแขนคนป่วย

 

ไอ้สัดเอ๊ย เหมือนไฟช๊อตเลย คณิณสะดุ้งเมื่อฝ่ามือของเศรษฐพงศ์บีบมาที่แขน ความรู้สึกราวถูกไฟฟ้าช๊อตนั่นคืออะไรกันวะ มันอึนๆ เบลอๆ แต่ก็ไม่อยากให้ปล่อยออก

 

“เออสิ โดนยิงนะไม่ได่เข็มทิ่ม”คนป่วยบ่นอุบขยับตัวทำท่าจะลงจากเตียง เศรษฐพงศ์มองอย่างไม่เข้าใจ

 

“อ่าว เฮ้ยๆ นั่นมึงจะไปไหน แผลมึงยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอวะ”รีบเดินไปประคองเมื่อคณิณเซลงจากเตียง

 

“กูปวดเยี่ยวมั้ยล่ะ “คนป่วยเบี่ยงตัวออกจากการประคองเอื้อมมือจะหยิบเสาน้ำเกลือแต่ก็ต้องหยุดกึกโดยไม่วายจะวางฟอร์มทำหน้านิ่ง

 

เจ็บชิบหาย

 

“อ่ะ อวดเก่งไอ้สัด เดี้ยงแล้วไม่เจียม”เศรษฐพงศ์เอ่ยด่าเมื่อเห็นคนอวดดีทำเป็นเก่งแต่ต้องดึงหน้าสุดชีวิตก่อนจะคว้าเสาน้ำเกลือไว้ซะเอง

 

“ไปสิ จะเข็นไปให้”ว่าจบก็แตะแขนแล้วประคองคนเจ็บปลดขวดน้ำเกลือและถุงเลือดที่ใกล้หมดยกสูงแล้วเดินประคองพาคนเจ็บเข้าห้องน้ำไป ทันทีที่เอาคนเจ็บมายืนตรงโถได้แล้วเศรษฐพงศ์ก็เตรียมจะออกไปรอข้างนอกเด็กหนุ่มเอาขวดน้ำเกลือและถุงเลือดแขวนไว้กับที่แขวนในห้องน้ำ

 

“แขนกูเจ็บช่วยประคองจู๋กูทีได้มั้ย”

 

“ส้นตีนเหอะไอ้เหี้ย!!”สาบานได้ว่าถ้าคณิณไม่เจ็บอยู่เขาจะเตะให้ไข่แตกเลย

 

“มึงนี่น่าโดนยิงปากมากกว่าที่สะบักนะไอ้สันดาน”คณิณส่งเสียงหัวเราะหึหึเมื่อคนน้องเดินออกไปด้านนอกแล้วยังส่งเสียงบ่นให้ได้ยิน คนเจ็บทำธุรัส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็ร้องเรียกเศรษฐพงศ์เข้ามาในห้องน้ำ

 

“อยากแปรงฟัน”บอกความต้องการอีกอย่าง

 

“ดีนะเมื่อคืนกูลงไปซื้อยาสีฟันแปรงสีฟันไว้แล้ว”พูดเหมือนบอกเล่าแล้วก็แกะแปรงสีฟันออกจากกล่องบีบยาสีฟันให้เอาแก้วรองน้ำให้เสร็จสรรพ

 

“แปรงเองได้ใช่มั้ย?”

 

“ได้ดิ่”คนป่วยใช้มือซ้ายข้างที่ไม่เจ็บรับแปรงสีฟันมาจัดการตัวเองจนเรียบร้อยล้างหน้าล้างตาเสร็จก็กลับมานั่งที่เตียง

 

“เดี๋ยวสายๆลุงกับแม่ก็คงมา”เศรษฐพงศ์ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆซับน้ำออกจากหน้าให้คณิณก่อนจะเปิดแป้งเด็กมาเทใส่มือถูจนแป้งละเอียดติดฝ่ามือแล้วทำท่าเม้มปากให้คณิณทำตามราวกับทาแป้งให้เด็กๆ เศรษฐพงศ์ทาแป้งให้คณิณจนหน้าซีดๆขาวผ่องหยิบหวีมาหวีผมให้จนเรียบแปล้

 

“ไอ้สัด เหมือนเด็กอนุบาลเพิ่งตื่นนอน ฮ่าๆๆๆ”

 

“สนุก สนุกมาก สนุกมากเลยมั้ย”คนป่วยคว้าแก้วพลาสติกใหล้มือเขวี้ยงใส่เศรษฐพงศ์เบาๆ

 

“อ๊ะๆ น้องคินไม่เขินนะครับ มาๆเดี๋ยวพี่เซ็ทป้อนกล้วยบด”

 

“กวนตีนไอ้เหี้ย!!!”









 

 

หลังจากปะทะฝีปากกันในช่วงเช้าตรู่ไปแล้วตอนนี้คณิณก็ได้แต่นั่งทำหน้าเมื่อยกล่าวขอบคุณบรรดาลูกค้าและคู่ค้าของพ่อที่หอบเอากระเช้ามาเยี่ยม มีตั้งแต่รังนก ผลไม้ ขนม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง นมสดสารพัดชนิด ชายหนุ่มเผลอยกมือไหว้จนเจ็บแผลไปก็หลายหน บนพื้น โต๊ะ โซฟาเต็มไปด้วยตะกร้าเยี่ยม พ่อและลดามาหาตั้งแต่ 9 โมง ลดาทำข้าวต้มมาให้แต่เศรษฐพงศ์บอกว่าคณิณกินไปแล้วตั้งแต่ 8 โมงกว่าๆตามที่โรงพยาบาลจัดมาให้เพราะฉะนั้นข้าวต้มหม้อนั้นจึงถูกกวาดลงกระเพาะคนเฝ้าแทน เศรษฐพงศ์อาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนชุดที่แม่นำมาให้แล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเขาคอยดูแลคนป่วยเล็กๆน้อยๆเช่นหยิบของ เปิดทีวี หรี่แอร์ ตามแต่คนป่วยจะเอ่ยปาก

 

“พ่อ คินเหนื่อยแล้วนะ”คนเป็นลูกหันไปบอกกับผู้เป็นพ่อหลังแขกกลุ่มล่าสุดออกไปจากห้อง มองบรรดากระเช้าของเยี่ยมแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

 

ใครจะไปกินหมดวะ

 

“โอเคเดี๋ยวพ่อจะบอคนที่จะมาเยี่ยมว่าขอให้คินพักผ่อนก่อน แล้วก็เดี๋ยวบ่ายพ่อกับน้าลดาต้องเข้ากรุงเทพไปกินเลี้ยง เซ็ทอยู่กับคินได้ใช่มั้ย?”

 

“ได้ครับ แล้วนี่กลับกันกี่โมงอ่ะครับ”

 

“กลับพรุ่งนี้เย็นๆน่ะ เพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าไปดูของที่บริษัทใหญ่ คินพรุ่งนี้อยู่คนเดียวได้มั้ย ถ้าไม่ได้พ่อจะให้พี่เรียมมาอยู่เฝ้า”คณิตหันไปถามคณิณที่นั่งเปลี่ยนช่องทีวีอยู่บนเตียง

 

“ไม่ต้องให้ใครมาเฝ้าทั้งนั้นหรอกพ่อ ผมรำคาญพี่เรียม ทำอะไรช้าไม่ได้ดังใจ”คนป่วยตอบอย่างเอาแต่ใจ

 

“แต่คินยังเจ็บอยู่นะ”

 

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมหยุดเรียนมาดูให้ก็ได้ครับ”เศรษฐพงศ์รับอาสาที่จะดูแลคนเจ็บให้ทั้งๆที่ตัวเองก็มีเรียน

 

“แต่เซ็ทมีเรียนมันจะดีเหรอขาดเรียนน่ะ”

 

“พอดีช่วงนี้อาจารย์ให้เคลียร์งานที่ค้างไว้ก่อนไปแข่งครับ ผมไม่เคยขาดเรียนขาดซักวันสองวันไม่เป็นไรเดี๋ยวให้พวกไอ้ยิมเก็บเลคเชอร์ให้ได้ครับ”

 

“อืม เอางั้นก็ได้ แล้วอยู่กันดีๆล่ะอย่าตีกัน”ปลายประโยคเอ่ยแซ็วคนเป็นลูกที่นอนหน้าบูดอยู่บนเตียงกับลูกลี้ยงด้วยน้ำเสียงติดจะขำขันแบบคนอารมณ์ดี

 

ช่วงบ่ายหลังจากพ่อแม่ออกเดินทางแล้วห้องทั้งห้องก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เศรษฐพงศ์นั่งปั่นรายงานเล่มหนาที่อาจารย์สั่งให้เขียนด้วยมืออยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างคณิณนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาไปได้ซํกพักหนึ่งแล้วอยู่ๆคนป่วยก็ตื่นขึ้นมาลืมตามองคนน้องที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับรายงาน

 

“มึง”ส่งเสียงเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้สังเกตถึงการตื่นนอนของเขา เศรษฐพงศ์วางปากกาแล้วรีบมาที่เตียง

 

“เป็นไรมึง เจ็บแผลมั้ย หรืออยากเข้าห้องน้ำ?”

 

“เปล่าๆ กูหิวน่ะ”คนป่วยบอกเสียงอ่อย

 

“หิว? มึงเพิ่งกินข้าวไปตอน 11 โมง”

 

“เออ กูหิว ข้าวโรงบาลน้อยแถมไม่อร่อยกูกินไปไม่กี่คำ มึงไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้กูกินที”

 

“เอางั้นเหรอวะ มึงอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย?”

 

“เออ กูไม่ใช่เด็กสามขวบ ไปๆ ซื้อให้กูหน่อย อยากกินสไปร์ทด้วย”

 

“เอาเส้นอะไร?”

 

“เส้นเล็กหมูเพิ่มลูกชิ้น”

 

“ รอกูแป๊บเดี๋ยวมา” เศรษฐพงศ์คว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไปหาซื้อก๋วยเตี๋ยวให้คณิณ  เด็กหนุ่มเดินออกมานอกโรงพยาบาลเลี้ยวไปทางรงเรียนเทศบาลใกล้ๆ เขาจำได้ว่าแถวนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ โชคดดีที่คณิณไม่ร้องกินตอนเที่ยงๆ เพราะร้านนี้ลูกค้าเยอะมาก ขนาดตอนนี้บ่ายกว่าๆแล้วคนก็ยังเยอะพอสมควร เด็กหนุ่มสั่งก๋วยเตี๋ยว 2 ถุงแล้วนั่งรอจนได้ตามต้องการก็เดินฝ่าแดดร้อนระอุท่ามกลางเดือนธันวาคมที่ควรจะหนาวกลับโรงพยาบาล เมื่อกลับเข้ามาให้ห้องก็กางแขนรับไอเย็นจากแอร์ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

 

 

“จะยืนโพสต์อีกนานมั้ยกูหิว”เสียงคนป่วยร้องประท้วงออกมาเมื่อเห็นท่าทางเวอร์วังนั้นของเศรษฐพงศ์ เด็กหนุ่มแทบอยากจะเขวี้ยงถุงก๋วยเตี๋ยวอัดหน้า นอนกระดิกเท้ารอในห้องแอร์สบายๆจะไปรับรู้อะไรกับอีแดดนรกนั่น ตวัดสายตามองค้อนไปทีหนึ่งก่อนจะแกะก๋วยเตี๋ยวใส่ชามให้ นึกชมในความฉลาดของตัวเองที่ขอซื้อตะเกียบของร้านมาด้วยเพราะในห้องนี้ไม่มีช่อนส้อมอะไรไว้ให้เลยที่แม่เอามาให้มีเพียงช้อนสั้น 2-3 คนเท่านั้น โต๊ะเมโยถูกเลื่อนคร่อมเตียงคนป่วยเศรษฐพงศ์ปรับเตียงให้ตั้งขึ้นใช้หมอนรองหลังให้อย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าคณิณจะเผลอพิงจนกกระทบกับแผลผ่าตัดด้านหลัง

 

แล้วปัญหาใหม่ก็ตามมา เพราะร่างกายด้านขวาเจ็บคณิณจึงใช้ได้เพียงข้างซ้าย แน่นอนเขาไม่ถนัด การกินก๋วยเตี๋ยวด้วยตะเกียบกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขาไปเสียแล้ว เส้นที่ลื่นบวกกับตะเกียบพลาสติกยาวเมื่อคีบขึ้นมาก็หลุดหล่นกลับลงไปในชามให้หัวเสีย เศรษฐพงศ์สะดุ้งเมื่ออยู่ๆคนป่วยก็กระแทกตะเกียบกับช้อนลงชามแล้วล้มตัวลงนอนตะแคงข้างใส่ซะอย่างนั้น

 

“อ่าว เป็นไรไม่กินแล้วเหรอ?”ละสายตาจากหนังเก่าๆในทีวีมาถามคนป่วย

 

“ไม่แดกแล้ว!!!”คนป่วยตะคอกเสียงใส่พลางขยับตัวนอนตะแคงมากกว่าเดิม

 

“ทำไม กูอุตส่าห์เดินตากแดดไปซื้อตั้งไกลนะมึง”

 

“กูรำคาญตัวเอง แค่จะแดกก๋วยเตี๋ยวแค่นี้ยังทำไม่ได้ดั่งใจเลยไอ้เหี้ย”คนป่วยพูดอย่างหงุดหงิดตอนนี้คณิณเหมือนเด็กสามขวบที่กำลังหงุดหงิดความไม่ได้ดั่งใจต่างๆของตัวเอง เขาไม่เคยต้องล้มหมอนนอนเสื่อเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงขั้นดูแลตัวเองไม่ได้ มันน่ารำคาญใจที่คนคล่องแคล่วอย่างเขาต้องมานอนเป็นผัก แผลก็ปวด ร่างกายก็ใช้งานไม่ได้ดั่งใจ กับข้าวโรงพยาบาลก็ไม่อร่อย มีแต่เรื่องให้หงุดหงิดจนปวดหัว เสียงเลื่อนโต๊ะเมโยออกไปแต่คณิณก็ไม่ได้สนใจยังคงนอนมองผนังที่ว่างเปล่าอย่างเงียบๆ

 

“หันมานั่งดีๆ”เศรษฐพงศ์บอกกกับคนป่วยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าที่เคยแต่คณิณยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

 

“บอกให้หันมาดีๆไง”ย้ำอีกครั้งแต่ผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิมร่างสูงในชุดคนป่วยไม่ไหวติง

 

“จะแดกมั้ยเนี่ยจะป้อน”เศรษฐพงศ์อยากจะทุบไอ้คนเอาแต่ใจที่ตอนนี้พลิกตัวกลับมานั่งดีๆอย่างที่บอกแทบจะทันที

 

“โตเป็นควายแล้วงอแงเป็นเด็กๆเลยไอ้สัด”ปากบ่นแต่ก็คีบเส้นก๋วยเตี๋ยววางลงบนช้อนแล้วยื่นไปจ่อปากคนพี่ คณิณอดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้กับบริการนี้ลักยิ้มบนแก้มซ้ายบุ๋มจนเศรษฐพงศ์อยากจะเอานิ้วจิ้มด้วยความหมั่นไส้

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เศรษฐพงศ์รู้สึกอยากตีคณิณให้ปากแตกเพราะผ่านมาร่วมสิบนาทีแล้วก๋วยเตี๋ยวชามนี้ก็ยังกินไม่หมด คนป่วยเอาแต่ค่อยๆเคี้ยวอย่างช้าๆ เหนื่อยใจราวป้อนข้าวเด็ก

 

“มึงกินเร็วๆหน่อยไม่ได้เหรอวะ”

 

“กูจะกินช้าๆแบบนี้มึงจะทำไม ไม่เคยอ่านที่ สสส.บอกเหรอว่าให้เคี้ยวข้าว 30 ครั้ง ต่อ 1 คำอ่ะไอ้โง่”คนป่วยหันมาเถียงคอเป็นเอ็น

 

“งั้นมึงก็ให้ สสส.พ่อมึงมาป้อนแล้วกันไอ้เหี้ย รำคาญ เคี้ยวเอื้องเป็นควายเลย”เศรษฐพงศ์วางชามลงบนโต๊ะข้างเตียงด้วยความหงุดหงุดทำท่าจะผละไปก็พอดีกับที่คณิณใช้มือข้างซ้ายจับข้อมือของเศรษฐพงศ์ไว้

 

“เฮ้ย มึงอ่ะ จะป้อนก็ป้อนให้เสร็จสิวะ เนี่ยกูยังไม่อิ่มเลย”

 

“แดกเอง!!!”คนเป็นน้องกระแทกเสียงใส่อย่างหงุดหงิด

 

“นะ ป้อนคินหน่อยนะเซ็ท นะ”น้ำเสียงออดอ้อนพร้อมสรรพนามที่เปลี่ยนไปทำเอาเศรษฐพงศ์เกือบขาอ่อน ใบหน้าร้อนผ่าวยามหันไปมองคนป่วยที่ทำตาใสแป๋วใส่

 

ไอ้เหี้ย

 

ไอ้เหี้ย

 

ไอ้คินมันมีโหมดนี้ด้วยเหรอวะ

 

ตายกูตาย

 

ใครสั่งใครสอนให้แม่งอ้อนแบบนี้วะไอ้เหี้ย

 

พัง  พังหมดเลยฟอร์มกูเนี่ย

 

สุดท้ายเศรษฐพงศ์ก็ต้องมานั่งป้อนอาหารให้ลูกนกปีกหักจนหมดชามอยู่ดี







.................................



ลูกนกปีกหักเขาก็อ้อนเป็นอะไรเป็น แต่ว่าเป็นแฟนอ่อ มาเอิ้งมาอ้อน ยี๊ ลำไย


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
คณิน::
 
            “ไงมึงไอ้คนเหล็ก” เสียงทักทายทุ้มๆดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องเปิดเข้ามา ไอ้แพทยื่นหน้าเข้ามาสำรวจก่อนจะตามด้วยไอ้แพร ไอ้อ้น ไอ้ว่าน ไอ้แดน ปิดท้ายด้วยพี่โด่ง ผมขยับลุกขึ้นนั่งทันทีที่เพื่อนๆโผล่หัวเข้ามาในตอนเกือบสี่โมงเย็น ไอ้เซ็ทหลบหอบเอารายงานที่มันนั่งป่นอยู่บนโซฟาไปเขียนต่อที่โต๊ะริมหน้าต่างเงียบๆ
 
            “หน้าตาผ่องใสไม่ตายแล้วสินะ”ไอ้แพรแกล้งลูบหน้าผมเบาๆ
 
            “มาทำเหี้ยอะไรกัน”ผมแกล้งถาม ไอ้ว่านกับไอ้อ้นไม่สนใจที่จะตอบคำถามผมมันหันไปให้ความสนใจกับกระเช้าเยี่ยมแทน เมื่อได้ของที่พอใจแล้วไอ้ว่านกับไอ้อ้นก็แกะกินทันทีโดยไม่ขออนุญาตผมเลยซักคำ
 
            “มึงสองคนมาทำอะไรวะ?”ผมถามไอ้สองตัวที่ยัดกล้วยหอมเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
 
            “เยี่ยมมึงไงเพื่อนรัก”
 
            “ไหนของเยี่ยม?”
 
            “เอาไปทำเหี้ยอะไรกูเอาแค่ความรักความห่วงใยมาฝากมึงก็พอแล้ว”
 
แถหน้าด้านๆ
 
            “แล้วนี่มึงกินอะไรหรือยังวะ แขนเจ็บแบบนี้กินถนัดมั้ย”ไอ้แดนแตะๆไหล่ผมพลางพลิกดูหลังผมเบาๆ
 
            “กินแล้ว กินได้สบายมากกูไม่ได้ตักเอง”ผมพูดพลางเลื่อนสายตาไปมองไอ้คนที่คงไม่ได้สนใจฟังที่พวกผมคุยกันมันเสียบหูฟังฟังเพลงไปทำรายงานไปตั้งแต่ป้อนข้าวผมเสร็จแล้ว
 
          “ไม่ต้องเรียกกูแล้วนะถ้าไม่จำเป็นกูต้องปั่นรายงาน 3 เล่มเนี่ยไอ้เหี้ย”
 
            “แดน พุธนี้พรีเซ้นท์งานทำไงดีวะ กูมาเจ็บแบบนี้หมอยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล”ผมหันไปพูดกับไอ้แดนที่เริ่มหาของกินจากกระเช้าเยี่ยมของผมตามไอ้พวกนั้นไปอีกคน
 
            “เหลือแค่พรีเซ้นท์คือกูคนเดียวก็ไหวมั้งมึง เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูไปคุยกับอาจารย์อีกที”มันยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
 
            “แต่ส่วนของกูมึงจะจำไหวเหรอวะ”ผมยังกังวลเรื่องนี้อยู่ด้วยเนื้อหาที่ผมต้องอธิบายคือส่วนของแปลน
 
            “กูว่ากูไหว จากที่ซ้อมมากูก็พอจะจำส่วนของมึงได้ เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูหอบแบบมาลองพรีเซ้นต์ให้มึงดูถ้าตรงไหนไม่โอเคมึงก็เสริมให้กูก็ได้”
 
            “ฟังคนเรียนเก่งเค้าคุยกันแล้วปวดหัว”ไอ้ว่านมันกระแนะกระแหนก่อนจะลุกเดินไปเปิดตู้เย็น
 
            “โอ๊ะ องุ่น” มันตาลุกวาวเมื่อเห็นองุ่นราคาแพงจานใหญ่แช่ไว้ในตู้เย็น
 
            “วางไว้ที่เดิม”ผมบอกมันสียงเรียบเมื่อไอ้ว่านบังอาจยื่นมือไปหยิบจานองุ่นขึ้นมาถือ
 
            “ไมอ่ะเสี่ย มึงหวงกินอ่อ?”มันหันมาถามด้วยสายตาตัดพ้อ
 
            “ในกระเช้าเยอะแยะไปล้างแดกเอง”
 
            “แต่อันนี้มันแช่เย็นนะเสี่ย”
 
            “จานนั้นไม่ได้”ผมยังยืนยันคำเดิม ออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อไอ้ว่านทำท่าดื้อดึง ผมรู้ว่ามันแกล้งแต่ความหงุดหงิดกลับปิดไม่มิดไปซะอย่างนั้น
 
            “ไหนบอกซิทำไมกินไม่ได้”
 
            “จานนั้นของไอ้เซ็ทมันห้ามยุ่ง วางเก็บกลับไปที่เดิม”ผมพูดจบก็ถูกสายตา 6 คู่มองกลับมา
 
            “น่อออออออ......หวงน้อออ”
 
            “น่อออออออ.....ห้ามยุ่งของน้องเค้าน่อออออออ”
 
            “น่อออออออ....”
 
            “น่อที่หน้าพวกมึงไอ้เหี้ย ของแดกเยอะแยะจะแดกอะไรก็แดกไป”ผมคว้าแก้วน้ำเตรียมจะเขวี้ยงก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทหันมาพอดี มันเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมถือแก้วน้ำไว้ มืออูมๆของมันที่โคตรนุ่มตอนที่มันจับมือผมเมื่อคืนปลดหูฟังออกจากหู
 
            “มึงหิวน้ำเหรอ” มือที่กำลังจะเขวี้ยงแก้วใส่เพื่อนตกลงข้างตัวทันทีราวกับไม่มีแรง
 
            “เออ หิวน้ำ”ผมทำท่าไอให้ดูสมจริงนิดหน่อยไอ้เซ็ทลุกจากเก้าอี้เดินมาหยิบแก้วไปรินน้ำแล้วเสียบหลอดให้ผมดื่ม ผมมองสายตาเพื่อนๆที่จ้องเขม็ง พี่เด่นทำปากขมุบขมิบให้ผมอ่าน
 
            “ตอแหล”ผมดื่มน้ำที่ไอ้เซ็ทป้อนจนหมดครึ่งแก้วนั้น พอมันป้อนผมเสร็จก็ยัดหูฟังใส่หูแล้วกลับไปนั่งทำรายงานตามเดิมตัดขาดพวกผมออกจากโลกของมันอย่างสิ้นเชิง แล้วแม่งเปิดดังจนเสียงเพลงลอดออกมาจากหูฟังให้ได้ยินแว่วๆ
 
            “เหม็นโว้ยเหม็น”ไอ้อ้นทำท่าปัดจมูกไปมา
 
            “เหม็นอะไรน๊า”คราวนี้ไอ้ว่านทำจมูกฟุดฟิด
 
            “เหม็นความรักไงไอ้พวกโง่”ไอ้แพทตบหัวไอ้คอหอยกับลูกกระเดือกสองตัวก่อนจะลอยหน้าลอยตามาพูดใกล้ๆผม ผมสะบัดปลายเท้าใส่มันโชคดีที่มันหลบได้อย่างฉิวเฉียด
 
            “แหม เขินแรงนะไอ้สัด หน้าเบ้เจ็บสิ สมน้ำหน้า” มันเยาะเย้ยผมที่เอามือจับไหล่เบ้หน้าก่อนจะแหกปากหัวเราะอย่างสนุกสนาน
 
นี่สินะเพื่อนแท้ เพื่อนต้องล้อเลียนเพื่อนถากถางเพื่อนจนกว่าจะพอใจสินะ
 
ไอ้พวกชั่ว  พวกมันมาคุยเล่นกับผมจนถึงสี่โมงกว่าๆก็พากันกลับเพราะบางคนยังต้องเคลียร์งานที่อาจารย์สั่ง
 
พยาบาลเข้ามาฉีดยากับวัดไข้ก่อนจะหันไปบอกกับไอ้เซ็ทว่า
 
            “เดี๋ยวเช็ดตัวให้คนไข้ได้นะคะ”ไอ้เซ็ทรับคำอย่างว่าง่าย หลังจากพยาบาลตรวจนั่นตรวจนี่วัดไข้วัดความดันเสร็จแล้วไอ้เซ็ทก็เอาน้ำใส่กะละมังมาวางไว้ข้างเตียง ไม่ลืมที่จะรูดม่านปิดเผื่อมีใครเข้ามาเยี่ยม
 
            “เช็ดตัว”มันว่าพลางค่อยๆดึงสายเชือกที่ผูกเสื้อออกถอดเสื้อลอดสายน้ำเกลือออกจนเรียบร้อยแล้วจัดการเช็ดตัวให้ผมตั้งแต่หน้าจนถึงช่วงท้องแล้วก็เช็ดขา ผมรู้สึกปวดแผลนิดหน่อยตอนขยับตัว ไม่นานมันก็เช็ดตัวให้ผมเสร็จ เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกนำมาวางไว้ก่อนที่มันจะเริ่มใส่เสื้อให้ผมจนเรียบร้อย
 
            “เดี๋ยวมึง”ผมเรียกมันไว้เมื่อมันทำท่าจะเอากะละมังน้ำกับกางเกงที่ยังไม่ได้ผลัดให้ผมไปเก็บ
 
            “อะไร”มันทำหน้าเหวี่ยงใส่ผม
 
            “มึงยังไม่ได้เปลี่ยนกางเกงให้กูมั้ยล่ะจะเน่าแล้วเนี่ย”ผมร้องท้วงมันเมื่อตอนนี้ผมยังใส่กางเกงตัวเดิม ไอ้นี่ตอนเช็ดตัวก็ข้ามบางส่วนไปนี่ยังจะใจดำไม่เปลี่ยนกางเกงให้ผมอีก
 
            “ไม่ได้เปื้อนอะไรก็ใส่ๆตัวเดิมไปนั่นแหละ”มันว่าอย่างไม่ให้ความสำคัญกับสุขลักษณะอนามัยของผม
 
            “ไม่ได้ กูไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำมันสกปรก กูนอนไม่หลับหรอกแบบนี้อ่ะ”ผมยังคงไม่ยอม คราวนี้ไม่มีทางยอมแน่ๆ
 
            “โอ๊ย มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ”มันขึ้นเสียงใส่ผมอย่างหงุดหงิด ผมชักสีหน้าใส่มันทันที
 
            “ถ้ากูไม่ไปช่วยมึงจนตัวเองต้องมาเจ็บตัวกูก็ไม่ต้องพึ่งมึงหรอก ถ้ามึงไม่เต็มใจทำก็ไปเรียกพยาบาลมาแล้วมึงกลับบ้านไป”ผมพูดกับมันด้วยน้ำเสียงที่ตึงยิ่งกว่าหน้า ไอ้เซ็ทชะงักไปหน้ามันเจื่อนอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ มันเอากะละมังน้ำเข้าไปเก็บในห้องน้ำแล้วถือกางเกงตัวใหม่มาหยุดที่ผม
 
            “ที่กูทำเนี่ยเพราะมึงเจ็บตัวเพื่อกูทั้งๆที่กูไม่ได้ต้องการหรอกนะ”มันบ่นเบาๆก่อนจะค่อยๆถอดกางเกงตัวที่ผมใส่ออก แก้มกับหูมันแดงนิดๆ ตาของมันเสมองไปทางอื่นก่อนจะสวมกางเกงตัวใหม่ให้อย่างรวดเร็ว มันรูดม่านเปิดตามเดิมไม่นานอาหารเย็นก็ถูกนำเข้ามาให้ไอ้เซ็ททำหน้าที่หยิบจับบริการผมเหมือนที่ทำมา 2 มื้อ คราวนี้เป็นข้าวสวยกับกับข้าว 2 อย่างผมตักกินเองได้ด้วยมือซ้ายของผม เสียดายนิดหน่อยน่าจะเป็นอาหารเส้นๆอีกเนอะจะได้กินลำบากๆหน่อย
 
เอ๊ะ...
 
 
ผมจัดการกับอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้ด้วยความจำใจ มันไม่ถูกปากผมเลยซักนิดกินได้ไม่กี่คำผมก็วางช้อนลง ไอ้เซ็ทมองผมด้วยสายตาตำหนิที่เห็นข้าวเหลือเต็มถาด
 
            “ข้าวทุกจานอาหารทุกอย่างอย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่าสงสารบรรดาเด็กตาดำๆ”มันท่องประโยคคุ้นหูออกมาราวกับจะประชดก่อนจะจัดการเลื่อนโต๊ะเมโยกับถาดอาหารออกไปวางข้างเตียง ผมไม่ได้ตอบโต้มันเพราะยังเคืองๆมันอยู่กับเรื่องเมื่อเย็นเมื่อพยาบาลเข้ามาจัดยาหลังอาหารให้กับฉีดยาแก้อักเสบในที่สุดผมก็เคลิ้มหลับไป
 
 
ผมรู้สึกตัวตื่นตอนสองทุ่มกว่าๆ ไอ้เซ็ทนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา มันหัวเราะเบาๆเมื่อหนังที่ดูตลกบนตักของมันมีจานองุ่นจานใหญ่ที่ผมพิทักษ์ไว้ให้มันเมื่อตอนบ่ายวางอยู่ มือนุ่มๆของมันก็ส่งองุ่นเข้าปากเคี้ยวช้าๆลูกแล้วลูกเล่า
 
            “กินมั่งดิ่วะ”ผมร้องบอกมันเมื่อมันไม่หันมาสนใจผมซักที ไอ้เซ็ทหันมามองผมก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาผมอย่างว่าง่าย สายตามันก็จดจ่ออยู่กับหนังเรื่องดังที่ค่อนข้างเก่าแล้ว มันยื่นจานองุ่นให้ผมแต่ผมยังคงนิ่งไม่ขยับตัว
 
            “อ่าว หยิบกินดิ่”มันหันมาบอกกับผม
 
            “ป้อนหน่อย”คราวนี้มันละสายตาจากทีวีมามองผมด้วยสายตาขุ่นๆ
 
            “ปวดแผลไม่อยากขยับ”ผมบอกมันตามจริง มันยื่นหลังมือมาอังที่หน้าผากของผม
 
            “ตัวมึงร้อนๆว่ะ เรียกพยาบาลมั้ย?”มันวางจานองุ่นลงบนโต๊ะข้างเตียง ผมส่ายหน้าปฎิเสธ
 
            “ไม่เอา ตอนนี้กูหิว มึงป้อนกูหน่อย”
 
            “กินนมมั้ยเดี๋ยวกูหยิบให้”
 
            “ไม่เอากูจะกินองุ่นกับมึง”มันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
 
            “เออๆ กูป้อนให้ก็ได้”มันปลิดผลองุ่นออกจากพวงก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากของผม
 
            “ปอกเปลือกด้วย”
 
            “องุ่นบ้านมึงแดกต้องปอกเปลือก เขาแดกกันทั้งเปลือกมั้ย?”มันแหวใส่ผมอีกรอบ
 
            “ก็ตอนแม่กูอยู่ แม่ก็ปอกเปลือกให้กู แม่บอกว่าเปลือกมันยาฆ่าแมลงเยอะ”อันนี้ผมไม่ได้ตอแหลจริงๆนะครับ ตอนแม่ของผมยังอยู่ท่านจะค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วป้อนให้ผมกินทีละลูก ตั้งแต่แม่เสียผมก็ไม่เคยซื้อกินเองอีกเลย ถึงแม้ในบ้านมีวางไว้ผมก็ไม่กิน มีบางครั้งที่น้าลดาว่างแกก็จะนั่งปอกเปลือกใส่กล่องทัพเพอร์แวร์แช่ตู้เย็นไว้ให้ นั่นแหละผมถึงได้กิน
 
มันถอนหายใจเบาๆ สายตาที่มันมองมาที่ผมดูอ่อนลงไปมากโขจากนั้นมันจึงค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วยื่นใส่ปากให้ผม พอผมงับองุ่นเข้าปากมันก็ส่งอีกลูกเข้าปากตัวเองทำแบบนี้สลับกันผมถามเนื้อหาหนังจากมันเมื่อมีฉากที่ไม่เข้าใจ บางฉากก็ด่าตัวละครบางฉากก็หัวเราะประสานเสียงไปกับมัน องุ่นลูกแล้วลูกเล่าถูกป้อนเข้าปากของผมกับมันสลับกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งองุ่นหมดจานและหนังก็จบเรื่องพอดี
 
ผมแอบยิ้มบางๆ องุ่นที่รสชาติหวานอยู่แล้วพอมันปอกให้กินกลับหวานมากกว่าเดิม
 
สงสัยกว่าจะหายเจ็บคงได้เบาหวานเป็นของแถมแน่ๆ



 
            คณินนอนมองคนที่ซุกกายกับผ้าห่มผืนบางร่างโปร่งของเศรษฐพงศ์นอนราบยาวกับโซฟาตัวยาวมุมห้องไม่ห่างจากเตียงของเขาแพขนตาหนาเหมือนลูกกวางยามกระพริบตาส่งให้ดวงตากลมโตนั้นหวานขึ้น สันจมูกโด่งรับกับโครงหน้าที่มีสันกรามชัดเจน ริมฝีปากอิ่มนั้นคณินจำได้ดีว่ามันนุ่มหยุ่นเหมือนเยลลี่รสชาติดีราคาแพงขนาดไหน
 
            “มึงแม่งมาทำอะไรกับใจกูวะไอ้เซ็ทไอ้เด็กเหี้ย”คนป่วยพึมพำเบาๆก่อนจะปิดเปลือกตาลง
 
 
   เช้าวันใหม่กิจวัตรประจำวันก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ช่วงสายหมอมาตรวจและพูดคุยเกี่ยวกับอาการของเขา ชายหนุ่มอาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานสองสัปดาห์นั่นเป็นคำพูดที่น่าเบื่อที่สุดในโลก คณินเบื่อทุกอย่างที่เป็นโรงพยาบาล เบื่ออาหารจืดๆ เบื่อพยาบาลที่เดินเข้าออก เบื่อที่ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนตามที่อยากไปแต่อย่างน้อยคณินก็ไม่เบื่อที่มีเศรษฐพงศ์เดินไปเดินมาวนเวียนอยู่ในห้อง เป็นสิ่งๆเดียวที่ทำให้คณินยังพอมีอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เศรษฐพงศ์จะหายออกไปจากห้องก็ตอนที่เขากินข้าวกินยาเสร็จแล้วเด็กหนุ่มถึงจะลงไปหาอะไรง่ายๆที่ร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาลและจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดเพราะคณินบอกว่าไม่อยากอยู่ในห้องพักคนเดียว  รายงานสามเล่มถูกทำเสร็จเรียบร้อยเอาในตอนบ่าย สีหน้าของคณินดีขึ้นแล้วไม่ได้ซีดเหมือนเมื่อวานซึ่งนั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย การอยู่ร่วมกันในห้องพิเศษนี้ไม่ได้อึดอัดตามที่คิดเอาไว้ในตอนแรก นอกจากด่ากันลับฝีปากกันเล็กๆน้อยให้พอหอมปากหอมคอแล้วคณินก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือดูถูกเขาแบบเมื่อก่อนแล้ว
 
เศรษฐพงศ์รู้สึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้คณินไม่ทำความรู้จักกับเขาแบบในตอนนี้ เสียดายเวลาร่วมสองปีที่ทะเลาะต่อยตีกันจนความรู้สึกในใจกลายเป็นเกลียดกันไปในที่สุด ถ้าไม่เอาแต่ทะเลาะกันสองปีที่ผ่านมาเขาและคณินอาจจะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ดูได้จากเมื่อวานที่เพื่อนๆของคณินมาพวกเขาดูรักใคร่กลมเกลียวกันดีแม้จะมีแกล้งกันบ้าง ถึงเขาจะเสียบหูฟังแต่ก็แอบมองอยู่เป็นระยะ คณินยิ้มกว้างหัวเราะเสียงดังเมื่ออยู่กับเพื่อน ดูแล้วไม่ได้ต่างจากตอนที่เศรษฐพงศ์อยู่กับเพื่อนเลย
 
ตัดความกวนประสาทและเอาแต่ใจออกไปคณินก็คือเด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ธรรมดาๆคนหนึ่ง
 
แล้วทำไมมันชอบกวนตีนเขาแท้วะ
 
ระหว่างวันยังคงมีเพื่อนๆของพ่อแวะมาเยี่ยมเยือนคณินอยู่เรื่อยๆ แม้เด็กหนุ่มจะเบื่อแสนเบื่อขนาดไหนเขาก็ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มต้อนรับคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าเป็นมิตร คณินโตพอที่จะรู้ว่าคนเหล่านี้คือผลประโยชน์และรายได้ที่เขาจะมีในอนาคต เด็กหนุ่มรู้จักใช้คำพูดคำจาให้ผู้ใหญ่เอ็นดูแต่ก็ไม่ได้ใสซื่อจนดูตามไม่ทัน ตกบ่ายนั่นแหละถึงได้พักอย่างจริงๆจังๆ เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังออกมาจากคนสองคนพร้อมกัน เศรษฐพงศ์เองก็เหนื่อยไม่แพ้คณิน เด็กหนุ่มเหนื่อยกับการกลายเป็นที่จับจ้องและตอบคำถามน่าเบื่อซ้ำๆเพียงเพราะเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของคณิตสายตาดูถูกเลยถูกส่งมาให้อย่างไม่คิดจะปิด
 
ทำดีกับเขาไปก็ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน ยังดีที่มีบางคนยังคงหลงเหลือคำว่ามารยาททักทายเขาอย่างห่างเหินแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายนัก เศรษฐพงศ์จัดการห่มผ้าให้กับคนป่วยที่หลับไปอีกรอบจ้องมองใบหน้าหล่อสะอาดนั้นแล้วก็ยื่นมือไปลูบผมคนป่วยเบาๆ
 
ความรู้สึกสงสารแล่นเข้ามาในใจของเศรษฐพงศ์คล้ายๆหมอกในยามเช้ามันก่อตัวอย่างช้าๆ
 
คณินคือสะพานที่คนเหล่านั้นใช้เดินเพื่อเขเหาผลประโยชน์ และเช่นกัน คณินคือสะพานที่พ่อก้าวข้ามไปตักตวงจากคนพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ บรรดากระเช้าของฝากต่างมีนามบัตรบริษัทตัวเองติดไว้เด่นหรา
 
โลกของผู้ใหญ่มันน่ากลัว ผลประโยชน์ทำให้มองข้ามหัวใจอันบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งไปตั้งแต่ต้น จะมีใครซักคนมั้ยที่มาเยี่ยมคณินอย่างจริงใจนอกจากกลุ่มเพื่อน คำตอบคือไม่มี ยิ่งพอรู้ว่าคณิตไม่ได้อยู่กับลูกชายคนเหล่านั้นมาฝากเนื้อฝากตัวแล้วก็จากไป เศรษฐพงศ์อยากจะเอาป้ายห้ามเยี่ยมไปติดให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีสิทธิ์มากมายขนาดนั้น เด็กหนุ่มใช้ช่วงเวลาที่คนป่วยหลับแกะเอาผลไม้พวกแอปเปิ้ล ฝรั่ง องุ่นไปล้างแล้วปอกเปลือกแช่เย็นไว้ หลังจากได้อยู่ด้วยกันมา 2 วันเศรษฐพงศ์รับรู้อีกอย่างว่าคณินกินผลไม้ต้องปอกเปลือกทุกชนิด แม้แต่ส้มก็ต้องลอกใยออก ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยเห็นคนป่วยกินผลไม้เพียงเพราะว่าไม่มีใครเตรียมไว้ให้
 
คณินถูกแม่เลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน ลูกชายของเธอจะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด สะอาดที่สุด ปลอดภัยที่สุด ส่วนคณิตเลี้ยงลูกอย่างผู้ชายเลี้ยงไม่มีความละเอียดอ่อนบ่อยครั้งเต็มไปด้วยความละเลยปล่อยปละ ไม่แปลกถ้าคณินจะมีนิสัยหยาบกระด้างในบางครั้ง เศรษฐพงศ์ปอกผลไม้เรียงใส่กล่องอย่างตั้งใจ แยกชนิดแล้วแช่ตู้เย็นก่อนจะคว้ากุญแจรถออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มขับออกมาไกลจนถึงตลาดเรดซิตี้เพื่อหาข้าวไว้กินตอนเย็น ขนมกินเล่น ลูกชิ้น ไส้กรอกย่างถูกสั่งมาในปริมาณที่พอกินกัน 2-3 คน เพราะจำได้ว่าเย็นนี้แดนธรรมจะหอบปัญหาพิเศษมาซ้อมพรีเซ้นท์กับคณิน แวะซื้อข้าว 3 กล่องทุกกล่องสั่งพิเศษทั้งหมด ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทยนั้นของคณินเพราะคนตัวสูงกินเผ็ดไม่ได้แถมแผลก็ยังใหม่จะสั่งข้าวผัดก็มีไข่เป็นส่วนผสมเศรษฐพงศ์ไม่อยากให้กินเพราะกลัวแผลจะหายช้า เขาจำได้ว่ายายเคยสอนว่าถ้าเป็นแผลแล้วกินไข่จะหายช้าและแผลเป็นจะชัด ผิวของคณินไม่ควรต้องมามีแผลเป็นน่าเกลียดเพราะเขาเลยด้วยซ้ำ ส่วนข้าวผัดกะเพราอีก 2 กล่อง สำหรับเขาและแดนธรรม เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้วเศรษฐพงศ์ก็ขับรถกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คนป่วยยังคงหลับอยู่อาจจะด้วยความเพลียหรือฤทธิ์ยาเศรษฐพงศ์ก็ไม่รู้ วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วเดินมาหยุดข้างเตียง ยื่นมือไปแตะผิวแก้มนั้นเบาๆก็พบว่าไข้ของคนป่วยลดลงแล้วตัวไม่ร้อนรุมๆแบบเมื่อคืนแต่ตอนจะชักมือออกคนป่วยกลับจับมือของเขาไว้แล้วซุกแก้มราวกับลูกแมวขี้อ้อน คณินไม่ได้พูดอะไรออกมานั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้ว่าคนตัวสูงแค่ละเมอหรืออาจจะกำลังฝันหวานถึงใครซักคน ริมฝีปากที่ชอบพ่นคำพูดร้ายกาจนั้นยิ้มบางๆราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลับฝันดีและเขาเองก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทำลายความฝันนั้นของใครจึงปล่อยให้คณินยึดมือของตัวเองไว้อย่างนั้น ร่างโปร่งนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองคนป่วยจนความง่วงเข้าควบคุมเขาไปอีกคน
 
            แดนธรรมมาหาคณินตอนเลิกเรียนเมื่อเปิดห้องเข้าไปก็พบคนป่วยและคนเฝ้านอนหลับโดยคนเฝ้านั่งหลับอยู่ข้างๆเตียงมือของเศรษฐพงศ์ถูกคณินกุมไว้โดยมีใบหน้าซบลงไปอีกที
 
ไอ้คนปากแข็งเอ้ย หลงเขาหัวปักหัวปำแต่ดันไม่รู้ตัว แดนธรรมไม่ปล่อยโมเม้นท์นี้ให้พลาดไปอย่างเปล่าประโยชน์ร่างสูงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปก่อนส่งให้เพื่อนๆดูในกรุ๊ปไลน์ ข้อความกระแนะกระแหนถูกส่งกลับมาราวกับหางว่าว ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆกับข้อความของเพื่อนๆก่อนจะแกล้งเดินออกไปจากห้องแล้วเคาะประตู เศรษฐพงศ์สะดุ้งๆน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงเคาะเด็กหนุ่มลืมตาตื่นพลางดึงมือออกจากมือคณินเช็ดหน้าเช็ดตายืนขึ้นบิดขี้เกียจก็พอดีกับที่แดนธรรมเปิดประตูเข้ามาพอดี
 
            “หลับเหรอ?”ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วแต่แกล้งถามเพื่อความเนียน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ
 
            “หลับนานยัง?”
 
            “ตั้งแต่บ่ายสาม วันนี้คนมาเยี่ยมเยอะเมื่อคืนไข้ขึ้นหมอให้ยาแล้วก็หลับเลย จะปลุกมั้ย?”
 
            “ไม่เป็นไรให้มันนอนไปก่อน รอได้ แล้วนี่มึงกินอะไรยัง?”แดนธรรมเอ่ยถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงๆพวกเขาเองไม่ได้เกลียดพวกของเศรษฐพงศ์ ที่ผ่านๆมาเขาแค่เป็นพวกเพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ
 
            “กูกินไปแล้วเมื่อบ่าย เออ กูซื้อข้าวมาเผื่อมึงด้วยนะถ้าหิวก็กินได้เลย”เศรษฐพงศ์ชี้ๆไปยังกองของกินที่วางไว้ แดนธรรมพยักหน้ารับเอ่ยขอบใจเบาๆ
 
            “มึงอยู่เป็นเพื่อนมันก่อนได้มั้ยกูขอกลับบ้านหน่อย พรุ่งนี้กูมีเรียนจะกลับไปเอาชุดนักศึกษา”
 
            “เออได้ๆมึงไปเถอะ”
 
            “ถ้าข้าวเย็นมามึงบอกให้มันกินเยอะๆหน่อยนะ ข้าวในกล่องอย่าเพิ่งให้มันกิน แล้วก็ถ้ามันไม่อิ่มเอาผลไม้ในตู้เย็นให้มันกินล้างปากนะ”เศรษฐพงศ์สั่งสำทับเมื่อแดนธรรมพยักหน้ารับเด็กหนุ่มจึงคว้าเป้สะพายหลังออกจากห้องไป ราวๆ 20 นาทีพยาบาลก็เข้ามาวัดไข้แล้วให้ยาก่อนข้าวคณินถึงได้รู้สึกตัวตื่น สายตาคมกวาดตามองหาคนเฝ้าแต่ก็พบเพียงแดนธรรมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว
 
            “ไอ้เซ็ทล่ะ”
 
            “แหม ตื่นมาก็ถามหาเลยนะ เป็นอะไรกับเค้าอ่ะ”เก็บโทรศัพท์พลางเอ่ยแซวเสียงเรียบแต่ดวงตาของแดนธรรมนั้นเป็นประกายอย่างนึกสนุก
 
            “ไม่เสือกดิ่”คนป่วยบริภาษกลับอย่างชินปาก
 
            “กูว่าไอ้เซ็ทมันน่ารักดีว่ะ ดูสิมันซื้อของกินมาเตรียมไว้รอกู กูถามจริงๆนะไอ้คินมึงชอบมันป่าววะ”แดนธรรมแกล้งหยั่งเชิง เค้ารู้ว่าคณินน่ะเป็นพวกปากแข็งชนิดว่าเอาคีมมาง้างก็ไม่ออก
 
            “ชอบเหี้ยอะไร”
 
            “ก็ดี ถ้ามึงไม่ชอบกูว่าจะจีบแม่ง น่ารักดี”
 
            “อย่ามายุ่งกับมัน”คณินเอ่ยเสียงตึงหัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้
 
            “มึงเอาสิทธิ์อะไรมาห้ามกูวะ ในเมื่อมึงไม่ชอบกูมีสิทธิ์จะจีบมันป่าววะ กูถือคติไม่ยุ่งกับคนที่เพื่อนชอบมึงก็รู้กูถึงได้ถามมึงก่อนถ้ามึงชอบมันกูจะได้ถอย”แดนธรรมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่สายตาขี้เล่นกลับดูจริงจัง เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มอยู่แล้วถ้าเพื่อนคนใดคนหนึ่งไปชอบใครคนที่เหลือจะไม่จีบแข่งเด็ดขาด คณินมองแดนธรรมด้วยสายตาอ่านไม่ออกก่อนน้ำเสียงทุ้มจะเอ่ยชัดทุกถ้อยคำ
 
            “เออ กูชอบมัน พอใจมึงยัง?”





ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกดีครับ มาแบบยาวๆ  :mew1:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

            หงุดหงิด ไม่มีคำไหนนิยามสภาวะอารมณ์ของคณินในตอนนี้ได้มากกว่าคำว่าหงุดหงิด มือซ้ายกดรีโมทเปลี่ยนช่องอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะกดปิดเมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจ  เหลือบตามองนาฬิกาที่ติดอบู่บนผนังแล้วอารมณ์ยิ่งขุ่นมากกว่าเดิม
 
ทำไมเวลามันเดินช้าแท้วะ นี่เพิ่งจะบ่ายกว่าเอง
 
คณินหยิบโทรศัพท์มากดหาเบอร์ที่ต้องการก่อนจะกดโทรออก รอสายไม่กี่อึดใจปลายสายก็ตอบรับ
 
                “โทรมาทำไมกูกำลังจะเข้าเรียน”
 
                “มึงเลิกเรียนกี่โมง?”น้ำเสียงเอาแต่ใจเอ่ยถามออกไปอย่างหหงุดหงิดสุดๆ
 
                “บ่ายสามครึ่ง ทำไมมึงมีอะไร”
 
                “กูเบื่อ”
 
                “เบื่อก็ดูหนัง”
 
                “ไม่มีเหี้ยอะไรน่าดูเลย”
 
                “งั้นนอนไป”
 
                “กูนอนมาหลายวันแล้วมั้ยล่ะ มึงรีบเรียนรีบกลับมาเร็วๆเลย กูหิวด้วยเนี่ย”
 
                “แล้วเมื่อกลางวันมึงแดกข้าวหรือเปล่า”
 
                “กูกินแต่มันไม่อร่อย”
 
                “มึงมันเรื่องมาก ถ้าหิวก็ให้พี่เรียมไปซื้อมาให้สิ”
 
                “กูไล่กลับบ้านไปตั้งแต่เที่ยงแล้ว รำคาญ”
 
                “มึงก็เป็นซะอย่างนี้ไอ้เหี้ย หัดอดทนอะไรซะบ้างทำไมชอบเอาแต่ใจ”
 
                “แล้วมึงจะกลับมาเมื่อไหร่”
 
                “ก็เลิกเรียนไง มึงนี่งอแงจังไอ้สัด”
 
                “กลับมาเร็วๆนะกูรออยู่”
 
                “รอกู?”
 
                “รอให้มึงซื้อข้าวให้กูแดกไอ้เหี้ย”
 
 
คณิน::
 
ผมวางสายจากไอ้เซ็ทด้วยความหงุดหงิด เหลือบตามองนาฬิกาอีกรอบอย่างไม่มีอะไรทำ วันนี้ไอ้เซ็ทไปเรียนตามปกติของมัน ผมจึงถูกทิ้งไว้กับพี่เรียมที่น้าลดาขับรถพามาส่งตั้งแต่เมื่อเช้า
 
ผมหงุดหงิด ผมรำคาญ พี่เรียมเอาแต่ถามนู่นถามนี่และเอาอกเอาใจผมจนดูโอเว่อร์ กับข้าวที่โรงพยาบาลก็ไม่ถูกปาก ไม่มีคนปอกองุ่นให้กินด้วย ไม่มีตัวสูงๆขายาวๆเดินไปเดินมามันก็จะเหงาๆหน่อย
 
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นที่สารภาพกับไอ้แดนไปตอนนี้ก็อาทิตย์กว่ามาแล้วไอ้แดนยังคงรักษาคำพูดที่สัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครได้อย่างดีเยี่ยม การพรีเซ้นท์งานของเราสองคนก็ผ่าน เมื่อวันก่อนอาจารย์ที่ปรึกษาที่มาเยี่ยมผมพร้อมเพื่อนในคณะอีก 3-4 คน ผมคุยไลน์กับไอ้แดนโดยการแชทแยกระบายความหงุดหงิดที่มีใส่มันแบบไม่ยั้ง มันแซวผมกลับมาพอหอมปากหอมคอ
 
                “ถ้ามึงชอบมันมึงก็หัดอ่อนโยนกับมันซะบ้าง เอาแต่ปากหมาใส่ใครจะไปชอบวะ”
 
ผมสบายใจที่จะคุยกับมัน ไอ้แดนบอกให้ผมทำตัวดีๆพูดดีๆกับไอ้เซ็ท แต่ผมกับมันด่ากันมาตั้งแต่แรกการจะมาพูดดีๆใส่กันด้วยภาษาดอกไม้เป็นเรื่องยากและผมก็คิดว่าผมเป็นตัวของตัวเองแบบนี้น่ะดีแล้ว
 
ตอนนี้ผมก็แค่ได้แต่ชอบมัน คนแอบชอบก็ต้องแอบชอบไปวันยันค่ำ ผมไม่ลืมว่าไอ้เซ็ทมันมีคนคุยด้วยแล้ว ตอนกลางคืนก่อนนอนมันก็ยังโทรคุยหรือไม่ก็ไลน์คุยกับผู้หญิงคนนั้นตลอด
 
ผมได้แต่ภาวนาแช่งให้มันเลิกกันแม้ว่าผมจะไม่มีโอกาสได้บอกชอบมันแต่ผมก็ไม่อยากให้มันไปชอบใครเหมือนกัน
 
อยากจะแช่งวันละ 100 รอบ แค่เห็นมันยิ้มให้โทรศัพท์เวลาที่คุยกับผู้หญิงคนนั้น แทนตัวเองว่าเซ็ทอย่างนั้นเซ็ทอย่างนี้ เสียงหัวเราะสดใสที่ไม่เคยมีให้ผม แค่นี้ผมก็อิจฉาจนของทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมองแทบจะมอดไหม้อยู่แล้ว
 
ผมต้องบนกับอะไรวัดไหนเหรอมันถึงจะเลิกกัน เดี๋ยวจะบนด้วยหัวหมู 10 หัว ไก่ต้ม 10 ตัว ไข่ต้ม 100 ฟองเลยเอ้า
 
 
                เศรษฐพงศ์เหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นระยะ เกือบบ่ายสามแล้วตอนนี้ไอ้คนป่วยมันจะนอนหิวอยู่หรือเปล่านะ แผลที่หลังดีขึ้นมากและแห้งแล้วเพราะควบคุมอาหารของแสลงไม่ได้ให้กินเลย  นั่งฟังอาจารย์สอนไปก็ง่วงไป บรรดาเพื่อนๆก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ อาจารย์ยังคงเส้นคงวาเรื่องน้ำเสียงนุ่มละมุนประดุจชรินทร์ นันทนาคร ยังไงก็ยังงั้น
 
                “เอาล่ะ เดี๋ยวคราวหน้าจะให้ลงมือปฏิบัติดูนะ เริ่มจากงานฮาร์ดสเคปพื้นฐานครูจะให้พวกเธอทำลานนั่งอ่านหนังสือหน้าช็อปเพราะฉะนั้นพวกเธอต้องผสมปูนเอง เทพื้นเอง เข้าใจมั้ย” อาจารย์หันมาสั่งงานของคาบหน้าซึ่งก็คือพรุ่งนี้ นักศึกษารับคำตามที่อาจารย์บอก
 
เป็นปกติธรรมดาอยู่แล้วที่เด็กภูมิทัศน์จะต้องเรียนการที่งานฮาร์ดสเคปเริ่มตั้งแต่การเทปูน การต่อไฟ การเชื่อมเหล็กไปตามลำดับ และไม่มีการแบ่งแยกผู้ชายผู้หญิง อาจารย์สอนการผสมปูนไปอีกราวๆครึ่งชั่วโมงก็สั่งเลิกคลาส เศรษฐพงศ์รีบเก็บของใส่กระเป๋าเป้ทันที
 
                “ไอ้เซ็ท รีบไปไหนวะ”ยงวิสุทธิ์เอ่ยถามเมื่อเห็นเศรษฐพงศ์ยกนาฬิกาขึ้นดู
 
                “จะรีบไปดูไอ้คิน ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง”
 
                “อะไรวะ นี่มันก็ไม่ได้เจ็บอะไรแล้วไม่ใช่เหรอทำไมมึงยังต้องไปเฝ้ามันอีกวะ มึงขับรถไปกลับวิทลัยกับโรงบาลมาจะสองอาทิตย์แล้วนะเว้ย”วีรดนัยเอ่ยท้วง
 
                “ไม่เป็นไรหรอกมันเจ็บก็เพราะช่วยกู พวกมึงก็อย่าไปอะไรกับมันเลย”
 
                “กูว่ามันอ้อนมึงแปลกๆมีอย่างที่ไหนวะรัวไลน์มาทั้งวัน ไม่อ่านก็โทรตาม”
 
                “มันอยู่โรงบาลคนเดียวมันก็เหงาอ่ะสิ”
 
                “มึงดูเข้าข้างมันจังวะ”จีรนันท์จ้องหน้าเพื่อนที่ปิดกระเป๋าเป้
 
                “ลองเป็นมึงนอนอยู่โรงพยาบาลคนเดียวสิจีน มึงก็ต้องบ่นแบบมัน นอกจากกูมันก็แทบไม่มีใครแล้ว”เศรษฐพงศ์เอ่ยเสียงเรียบสบตาเพื่อนไม่ได้หลบตา จีรนันท์ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่า กูก็ไม่ได้ว่าอะไร
 
เศรษฐพงศ์รู้ดีว่าคณินน่ะเหงาแค่ไหน คณิตเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาอยู่กับลูกมากนักยิ่งใกล้ปลายปีต้องรีบเคลียร์ยอดเคลียร์งบลุงกับแม่ของเขาแทบไม่ได้หยุด ญาติๆของคณินเองก็มีงานที่ต้องสะสางเช่นกัน จะมีมาหาบ่อยหน่อยก็คืออากงอาม่าที่มาเกือบทุกวันตอนเย็นๆที่ลูกคนใดคนหนึ่งว่างมาส่ง สารพัดอาหารบำรุงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนถูกนำมาเยี่ยมไม่ได้ขาด แต่คณินกลับไม่ค่อยกินของเหล่านั้นเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นไก่ดำตุ๋นยาจีนแสนแพงใช้เวลาและการพิถีพิถันในการเคี่ยวการตุ๋นแค่ไหนชายหนุ่มก็ทำเพียงซดน้ำซุบเล็กๆน้อยๆนอกนั้นกลายเป็นเศรษฐพงศ์นั่นแหล่ะที่ต้องกินแทน คณินชอบกินก๋วยเตี๋ยวหรือไม่ก็ข้าวต้มกุ้งมากกว่าแต่เขาก็ยังไม่ให้คณินกินอาหารทะเลข้าวต้มที่ซื้อให้กินจึงเป็นข้าวต้มหมูไม่ใส่ขิงซอย
 
เศรษฐพงศ์ส่งจิรนนท์ลงที่หน้าหอก่อนพยักหน้าลาเพื่อนๆ ขับรถเข้าเมืองด้วยความเร็วพอสมควรกลับบ้านจัดการบอกให้พี่เรียมที่ถูกคณินไล่กลับต้มข้าวต้มให้แล้วตัวเองก็ขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปโรงพยาบาลในตอนเย็น
 
เสียงโทรศัพท์ดังลั่นห้องตอนที่เขากำลังเตรียมกระดาษรายงานใส่กระเป๋า กรอกตามองบนนิดหนึ่งก่อนจะกดรับ
 
                “เลิกเรียนนานล้วทำไมมึงยังมาไม่ถึงโรงบาลอีกไอ้เหี้ยเซ็ท”
 
                “กูกลับมาเตรียมข้าวต้มไปให้หมามันกิน”
 
                “มาเร็วๆ กูเบื่อ”เสียงคนป่วยงอแงมาในสาย
 
                “เออ เดี๋ยวกูไป เอาอะไรอีกมั้ย”
 
                “เอามึง แค่มึงก็พอ” เศรษฐพงศ์แทบทำโทรศัพท์ร่วงออกจากมือกับคำพูดชวนคิดนั่น แก้มฟูเกิดริ้วแดงจางๆก่อนจะลามถึงใบหูในไม่กี่วินาที
 
                “ไอ้เหี้ย”สบถตอบกลับไปแต่ก็ได้เสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา
 
                “มึงมาเร็วๆ พยาบาลเข้ามาฉีดยากูเสร็จแล้ว ข้าวก็ไม่อร่อย กูเหนียวตัวอยากเช็ดตัวแล้ว”
 
                “เออๆ รู้แล้ว อีก 20 นาทีถึง เร่งกูจัง ซักวันคนที่นอนโรงบาลคงเป็นกูอ่ะไอ้เหี้ย”
 
                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเฝ้ามึงเอง”
 
                “กูคงกระดูกหักตายถ้ามึงเป็นคนเฝ้า”
 
                “แหมไอ้สัดกูก็มีมุมอ่อนโยนมั้ยล่ะ อย่าพูดมาก มาไวๆ กูหิวไส้จะขาดแล้ว เออ แวะซื้อน้ำเต้าหู้มาแดกด้วยเอาปาท่องโก๋ 5 ตัว”
 
                “โอเค ได้ แดกเก่งนะมึงน่ะ จะลงพุงอยู่แล้วไม่รู้ตัวมั่งหรือไง”
 
                “แน๊....ไอ้คนฉวยโอกาส แอบมาลวนลามกูจนรู้เลยสินะว่ากูลงพุง”คนป่วยส่งเสียงล้อเลียนมาตามสายจนเศรษฐพงศ์หาคำเถียงแทบไม่ถูก
 
                “โธ่ ไอ้สัด ก็กูเป็นคนเช็ดตัวมึงลืมไปแล้วเหรอไอ้ส้นตีน!!”


 
                พรุ่งนี้มึงต้องไปเรียนป่าว”คณินเอ่ยถามเศรษฐพงศ์ที่กำลังล้างชามอยู่ในห้องน้ำ เด็กหนุ่มสะบัดน้ำออกจากชามก่อนเอามาคว่ำบนโต๊ะ
 
                “พรุ่งนี้วันเสาร์มั้ย?”
 
                “ดี กูอยากโกนหนวด หน้ากูเหมือนโจรแล้วเนี่ย”คณินยกมือลูบคางตัวเอง ตอหนวดเขียวเริ่มสีเข้มเพราะไม่ได้โกนมาหลายวัน ปกติเขาไม่เคยปล่อยให้หน้าตัวเองรก เป็นอีกอย่างที่สร้างความหงุดหงิด
 
                “ที่พูดนี่?”เศรษฐพงศ์ปลายตาหยั่งเชิง
 
                “เออ ไง ให้มึงโกนหนวดให้กูเนี่ย”
 
                “กูทำทุกอย่างให้มึงแล้วเหลือแค่เป็นเมียมึงเนี่ย”คนเป็นน้องแหวใส่แบบไม่คิดอะไรแต่ไอ้คนป่วยกลับยิ้มกริ่มพลางพูดประโยคที่เศรษฐพงศ์อยากจะทุบให้กระอักเลือด
 
                “แล้วอยากทำให้มันครบหรือเปล่าล่ะ กูพร้อมนะ”คนป่วยทำหน้าทะเล้นจึงได้รางวัลเป็นนิ้วกลางส่งมารัวๆจากเศรษฐพงศ์
 
แล้วคนหน้าด้านอย่างคณินมีหรือจะสะทกสะท้าน
 
ตอบเลยว่าไม่
 
 
เช้าวันเสาร์หลังจากพยาบาลวัดไข้ ความดันและให้ยาเรียบร้อยแล้วเศรษฐพงษ์ก็เดินนำคณินเข้ามาในห้องน้ำ ร่างโปร่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมมีดโกนและโฟมคณินหันไปปิดประตูห้องน้ำจนเรียบร้อยก็ยืนทำหน้าตาแป้นแร้นรอเศรษฐพงศ์ด้วยความสงบ ปลายนิ้วนุ่มค่อยๆบรรจงป้ายครีมโกนหนวดอย่างตั้งใจ
 
                “อยู่นิ่งๆนะมึง กูไม่เคยโกนหนวดให้ใครมีดปาดคอขาดอย่ามาโทษกูนะ”
 
                “นั่นมีดโกนไอ้สัดไม่ใช่ปังตอ”
 
                “กูพูดเผื่อไว้มั้ยล่ะ เงยหน้า”คณินเงยหน้าตามที่ปลายนิ้วของเศรษฐพงศ์ดันขึ้น ฝ่ามืออุ่นประคองต้นคอของคณินไว้ล็อกไม่ให้ศีรษะขยับเขยื้อนได้ก่อนจะค่อยๆบรรจงโกนหนวดด้วยความตั้งใจ คณินมองใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจร้อนรินรดกันและกัน จ้องมองริมฝีปากอิ่มที่บางทั้งเม้มเข้าหากันด้วยความตั้งใจในสิ่งที่ทำ ขนตายาวกระพริบเป็นจังหวะ
 
น่าหลงใหล...
 
คณินจ้องมองริมฝีปากของเศรษฐพงศ์ไม่วางตาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สังเกตความนิ่งเงียบผิดปกตินั้นเลยจนกระทั่งปลายคางถูกจับเพียงแผ่วเบา ร่างโปร่ช้อนสายตาขึ้นสบตาคนป่วยที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว...
 
                “จะทำอะไร?”เอ่ยถามเสียงเย็น มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข อยากจะผลักแต่ก็กลัวคณินจะเจ็บจึงได้เพียงจ้องตากลับอย่างไม่ยอมแพ้
 
คณินไม่ได้ตอบแต่ทว่ากลับไล้ปลายนิ้วจากปลายคางมาสัมผัสริมฝีปากอุ่นนุ่มนั้นเบาๆ ความรู้สึกแปลกๆแล่นเข้าจู่โจมคนทั้งคู่แบบไม่ทันตั้งตัว
 
อยากผลักไสแต่กลับทำไม่ลง อยากเดินหนีแต่เท้ากลับไม่ยอมก้าวออกไปไหน อยากกร่นด่าแต่เหมือนเสียงที่มีทั้งหมดถูกกักขังไว้และกลืนหายเข้าไปในลำคอ
 
เหมือนเวลาหยุดหมุน คณินทำเพียงขยับกายเข้าใกล้ เสียงหัวใจเต้นดังจนได้ยินชัดเศรษฐพงศ์ทำเพียงยืนนิ่งจ้องตาตอบกลับก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลงช้าๆเมื่อใบหน้าของคณินเคลื่อนเข้ามาใกล้ ริมฝีปากถูกสัมผัสเบาๆแล้วผละออก เศรษฐพงศ์ลืมตาขึ้นมองก็พบว่าตัวเองนั้นพลาดไปถนัดตาเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ความนุ่มหยุ่นคล้ายเยลลี่ที่ชอบกินละเลียดที่ริมฝีปากของเขาราวกับว่าคณินกำลังทดสอบความหอมหวานนั้นอย่างเชื่องช้า มันไม่ตระกรุมตะกรามแบบสองครั้งนั้นหากแต่เต็มไปด้วยความละเมียดละไมละมุนคล้ายกับว่าคณินกำลังละเลียดชิมเค้กแสนอร่อย ราวบัตเตอร์ครีมเนื้อละเอียดที่ไม่หวานจนแสบไส้แต่หวานกลางๆช่วยให้อยากอาหารมากขึ้น ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นประคองศีรษะของคนน้องไว้ก่อนปรับองศาให้ริมฝีปากของตนเองแนบแน่นมากยิ่งขึ้น
 
หัวใจของเศรษฐพงศ์เต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะร่างบางถูกดันให้ถอยไปจนติดอ่างล้างหน้าและโดยไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำสองแขนก็ยกขึ้นกอดเอวคณินไว้หลวมๆยามที่ริมฝีปากล่างถูกกลืนกินดูดดึงจนเกิดเสียงน่าอาย ลิ้นชิ้นถูกส่งออกมาทักทายราวเชื้อเชิญให้คนอ่อนประสบการณ์ตกบ่วงที่ขุดไว้หลอกล่อ ซึ่งแน่นอนมันได้ผล เศรษฐพงศ์ยอมเปิดปากต้อนรับเพื่อนบ้านด้วยความเผลอไผลนั่นยิ่งทำให้ห้วงอารมณ์ดำดึ่งสู่หลุมที่ลึกที่สุดที่คณินขุดไว้ เกลียวลิ้นถูกกวาดต้อนจนสิ้นหนทางหนี ได้แต่โต้ตอบด้วยความไร้เดียงสา
 
น่ารัก...
 
ความไร้เดียงสาที่ดูโง่งมนี้ช่างแสนน่ารักจนอยากจะเอาเปรียบให้มากขึ้น ช่วงชิงให้มากขึ้น ดูดกลืนน้ำหวานเลิศรสให้มากขึ้นจนจากความนุ่มนวลอ่อนโยนกลับกลายเป็นความวาบหวามจนแข้งขาอ่อน ยามเมื่อลมหายใจใกล้หมดเศรษฐพงศ์ได้แต่ครางอือในลำคอ คณินถอนจูบอย่างเสียดายมองใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดของคนที่ยังทำตาลอยๆคล้ายกำลังเมานั้นหอบหายใจจนอกบางกระเพื่อม คนเป็นพี่ใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆบนกลีบปากแดงช้ำนั้นอย่างอ่อนโยนแต่ก่อนที่จะขโมยจูบคนตรงหน้าต่อ ฝ่ามือของเศรษฐพงศ์ก็ดันอกของเขาไว้ สายตาเลื่อนลอยเมื่อครู่กลับมาเป็นเศรษฐพงศ์คนเดิมอีกครั้ง
 
                “อย่า...”มือเรียวค่อยๆกำอกเสื้อของคณินไว้ ร่างสูงส่งสายตาเป็นคำถามว่าทำไมไปให้
 
ทั้งๆที่เมื่อกี๊เศรษฐพงศ์ก็ตอบสนองเขาดีมากแท้ๆทำไมถึงห้ามไม่ให้ทำต่อ
 
                “กูไม่รู้หรอกนะว่าที่มึงทำไปเพราะอยากแกล้งหรือเผลอไป กูไม่รู้ว่าเพราะมึงต้องนอนโรงพยาบาลนอนทำให้มึงมีอารมณ์ แต่กูเป็นผู้ชาย”
 
                “กูก็ผู้ชาย”
 
                “ใช่มึงก็ผู้ชาย แต่มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอวะที่มึงเอาความต้องการของมึงมาลงที่กู กูไม่ใช่เครื่องระบายความใคร่ของใคร ถ้ามึงอยากมากมึงก็จัดการตัวเองซะเดี๋ยวกูออกไปรอข้างนอก”
 
                “มันไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบไอ้เซ็ท กูไม่ได้ทำเพราะอยากตามแบบผู้ชาย”
 
                “แล้วมึงทำไปทำไมวะ?”เศรษฐพงศ์มองคณินด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจเลยซักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบแล้วเหตุการณ์เมื่อครู่นี้คืออะไร
 
เศรษฐพงศ์จะคิดซะว่าแค่อารมณ์มันพาไปเช่นกับที่อารมณ์ของเขาที่คล้อยตามไปแล้วไม่ห้ามใจตัวเองเมื่อครู่
 
                “กูชอบมึง...”ตัดสินใจพูดคำๆนั้นออกใป ใบหน้าของคณินพลันเห่อร้อนขึ้นมาจนตอนนี้มันแดงยิ่งกว่าหน้าของเศรษฐพงศ์เมื่อครู่เสียอีก ความเห่อร้อนครอบคลุมไปถึงใบหูและลำคอ
 
                “มึงแค่เหงา เพราะตอนนี้มีแค่กูอยู่กับมึงมันไม่ใช่ความชอบหรอก มึงอาจจะรู้สึกดีกับกูเหมือนที่มึงรู้สึกดีกับไอ้แดนกับพวกเพื่อนๆมของมึง”เศรษฐพงศ์พยายามหาเหตุผลมาหักล้างการกระทำของคณิน
 
ตีกันมาจะสองปีอยู่ดีๆจะมาเปลี่ยนความรู้สึกในช่วงเวลาไม่กี่วันได้ยังไง
 
                “กูไม่เคยจูบพวกไอ้แดนนะ”
 
                “.........”
 
                “มึงไม่รู้เหรอว่าเพื่อนกันเขาไม่จูบกัน ถ้าจูบกันมันก็เกินเพื่อนไปแล้ว และก็ไม่ได้เหงาเพียงแค่เวลาไม่กี่วัน กูชอบมึงมาซักพักแล้ว ตั้งแต่ก่อนมึงไปแข่งจัดสวน...” คณินหยุดพูดเมื่อเศรษฐพงศ์หันหน้าหนี ริมฝีปากที่เขาชื่นชอบ ริมฝีปากที่เขาเสพติดนั้นเม้มเข้าหากันราวคนไม่มั่นใจ
 
                “อย่าพยายามเลย กูมีคนที่ชอบแล้ว ขอบใจแล้วกันสำหรับความรู้สึกที่มึงมีให้กู ต่อไปนี้ก็เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันเถอะ กูคงให้มึงมากกว่านี้ไม่ได้ ขอโทษนะ”เศรษฐพงศ์เบี่ยงตัวเดินออกจากห้องน้ำไปเหลือทิ้งไว้เพียงคณินให้ยืนมองเงาตัวเองในกระจก คำพูดเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มแค่นยิ้มออกมาบางๆอย่างสมเพชตัวเอง
 
อกหักทั้งๆที่เพิ่งเริ่มเลยเหรอวะ...
 
 
 
                หลังจากพักรักษาและทำกายภาพบำบัดอยู่ในโรงพยาบาลร่วมเดือนในที่สุดคณินก็สามารถกลับบ้านได้ ชายหนุ่มไปเรียนตามปกติโดยที่เพื่อนๆผลัดกันมารับในช่วงที่ยังใช้แขนขวาไม่ถนัด  เด็กหนุ่มยังคงวอแวเศรษฐพงศ์บ้างบางโอกาส แม้ว่าหลังเหตุการณ์วันนั้นพวกเขาจะยังทำตัวเหมือนปกติ ทะเลาะกัน ด่ากัน แต่มันก็เหมือนมีเส้นบางๆกั้นอยู่ ยาวที่เขาก้าวเข้าหาเศรษฐพงศ์จะถอยหนึ่งก้าวเสมอ  คณินวุ่นวายกับการเตรียมเอกสารเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ยื่นโควต้าไปแล้วติดยกกลุ่มจนไม่มีเวลามาวอแวกับเศรษฐพงศ์เท่าไหร่นัก อีกทั้งพวกเขายังต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบปลายภาคเศรษฐพงศ์กลับไปอยู่หอกับเพื่อนๆตามเดิม ยังคงเรียนหนักเหมือนเดิมเขาไม่คิดเลยว่าแค่ปี 1 จะต้องเรียนหนักขนาดนี้ การกลับบ้านไม่สามารถทำได้ถี่แบบที่ผ่านมาทั้งงานกลุ่มงานเดี่ยวสุมกันมาจนเด็กหนุ่มแทบไม่มีเวลาหายใจ
 
                “อาจารย์สั่งงานเหมือนเก็บกดที่สมัยเป็นนักศึกษาก็โดนสั่งงานแบบนี้”โอบนิธิบ่นอุบขณะลงแสงและเงาให้แปลน
 
                “เดชแม่งเหมือนแกล้ง สั่งแต่งานชิ้นใหญ่ๆกูจะเอาตีนขึ้นมาเขียนแล้วเนี่ยสองมือแม่งไม่พอ”จีรนันท์เอามือทึ้งผมตัวเองเมื่อตัวเองลงสีพลาดไปจุดหนึ่ง
 
                “โอ๊ยไอ้เหี้ย ทำใหม่!!”
 
                “จีนมึงใจเย็นสิวะ”แฝดน้องเรียกสติแฝดพี่ที่รนจนมือสั่น ยิ่งเส้นตายใกล้เข้ามาเท่าไหร่เด็กๆยิ่งเหมือนคนสติแตก
 
                “ไหนใครมันบอกวะว่าให้ช่วยวิทยาลัยแล้วครูจะช่วยพวกเธอ แม่งตอแหลชัดๆ”บรรดานักศึกษาในคณะต่างเร่งมือทำงานของตนโดยแทบจะไม่พูดไม่จากันเลย ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องเขียนแบบอย่างช้าๆ จนกระทั่งเศรษฐพงศ์ค่อยๆฮัมเพลงขึ้นมาเบาๆ
 
**ลมเพลมพัด ร้องขับขานเป็นลำนำ
ว่าพี่นี้เป็นคนจรมาจากดินแดน ด้ามขวาน
มาหาความรักแม่คนงาม
 
บรรดาเพื่อนๆเมื่อได้ยินเพลงนี้ต่างก็ร่วมกันร้องประสานเสียงขึ้นมาทีละคนสองคน

* แค่อยากให้เจ้ารับรู้
เพียงอยากให้เจ้ารับฟัง
แค่อยากให้เจ้ารับรู้
เพียงอยากให้เจ้ารับฟัง
 
จนกระทั่งในที่สุดเสียงเพลงก็ดังกระหึ่มห้องเขียนแบบเพราะเพลงนี้เปรียบเสมือนเพลงแทนใจของเด็กช่างทุกคน
 

พี่สร้างศิลปะ ศิลป์ ศิลป์ ศิลป์ ศิลปะ
เนื้อตัวมอมแมมผมยาวรุงรัง จะเดินไปไหน
ไร้คนสนใจ

ซ้ำ (*)

ลมเพลมผวนหวนให้คิดคำนึง ถึงบท
เพลงแห่งความฝัน ให้ตัวเจ้าด้วยใจหวัง
เกินกว่าตัวฉันจะพรรณนา

ซ้ำ (*)

*** ลมเพลมพัดใช่โกหก
บทเพลงขับขานที่ยาวไกล
และสดุดีความจน
 
ซ้ำ (*)

ซ้ำ (**, *, ***, *)
 
 
                “น้ำตากูจะไหลจริงๆแล้วเนี่ย”วีรดนัยทำท่าปาดน้ำตา ความเหนื่อยล้าสะสมมามากมายเหลือเกินพวกเขาต้องเคลียร์งานให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้เพื่อเตรียมตัวสอบปลายภาคในอาทิตย์หน้า เศรษฐพงศ์สะดุ้งเมื่อริงโทรโทรศัพท์ดังขึ้นเด็กหนุ่มวางปากกาเขียนแบบลงก่อนจะกดรับ
 
                “มึงไม่กลับบ้านเหรอวะ”เสียงปลายสายของคนเจ้าอารมณ์ดังลั่นทันทีเมื่อเขากดรับ เศรษฐพงศ์เบ้หน้าเอาหูออกห่างก่อนจะแนบกลับเข้าไปใหม่
 
                “มึงจะแหกปากทำเหี้ยอะไรหูก็แทบแตก”
 
                “แม่มึงบ่นคิดถึง จะกลับมั้ยหรือหาทางกลับไม่เจอแล้ว” คนเป็นพี่โวยวายผ่านสาย หลังจากถูกยิงคณินพูดคุยกับลดามากขึ้น เด็กหนุ่มค่อยๆยอมรับในตัวแม่เลี้ยงทีละน้อยจนตอนนี้สามารถพูดคุยด้วยได้แม้บางครั้งจะเขินๆอยู่บ้าง นั่นกลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะตามเศรษฐพงศ์กลับบ้านได้
 
                “กูเขียนแบบส่งเดชยังไม่เสร็จเลย ส่งจันทร์นี้”เศรษฐพงศ์ตอบเสียงเหมือนจะร้องไห้ เขายังเหลือแปลนสวนและงานฮาร์ดเสคปอีก 3 ชิ้นที่ต้องทำจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
 
                “กลับมา”คณินยังคงร้องบอกอย่างเอาแต่ใจ
 
                “ก็กูบอกว่า...”
 
                “เดี๋ยวกูช่วยทำ”น้ำเสียงเรียบตึงตอบสวนกลับมาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
 
นั่นแหล่ะ สรุปเย็นวันนั้นเศรษฐพงศ์ก็ขับอีแดงกลับบ้านพร้อมกับกระบอกใส่แบบสะพายไว้ด้านหลัง



....................................


โถ....แห้ว....รับโดเนทแห้วให้พี่คินซัก 3 ตะเข่ง พร้อมน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในซัก 3 โอ่งค่ะ

น้องไม่รักว่าเศร้าแล้ว น้องมีคนที่ชอบแล้วยิ่งเศร้ากว่า

เชิญย้ายใจตัวเองไปอยู่ในพราเธอร์โซนค่ะ สวัสดี


ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
งือออออ พี่คินจะไปเรียนไกลจากน้องมั้ยยย แล้วทำไมน้องเซ็ทไม่ยอมรับเสียงหัวใจตัวเองเลยน้ออออ

รอตอนต่อไปปปปน้าาาา

 :-[

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
 เศรษฐพงศ์::

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ ผมแอบมองเสี้ยวหน้าของไอ้คินที่กำลังขะมักเขม้นกับการวาดแบบให้ผมอย่างไม่อยากเชื่อ

 

ก็รู้ว่ามันเรียนช่าง แต่ไม่คิดว่าฝีมือการเขียนแบบของมันจะเฉียบขนาดนี้

 

ย้อนไปเมื่อตอนเย็นหลังจากที่ผมกลับมาถึงบ้านไอ้คินก็รออยู่ก่อนแล้ว แขนขวาของมันใช้งานได้เป็นปกติแต่ยังมีเสียวๆตึงๆอยู่บ้างซึ่งมันจะหายในไม่ช้านี้ถ้ามันขยันทำกายภาพบำบัดตามที่หมอบอก หลังจากอาบน้ำอาบท่าไอ้คินก็มาเคาะประตูห้องของผม

 

                “มาช่วยกูยกโต๊ะดราฟ”มันว่าเสียงเรียบๆก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในห้องของมัน เป็นครั้งที่สองหลังจากผมเข้ามาทำลายข้าวของของมันคราวนั้น ห้องของมันยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม โต๊ะดราฟของมันสะอาดเอี่ยมผิดกับของผมที่ผมมักจะจดตัวเลขบางครั้งก็วาดรูปเล่นลงไป มันใช้แขนซ้ายข้างเดียวยกทำหน้าเบ้นิดหน่อยตอนออกแรงครั้งแรก เราช่วยกันยกมาในห้องของผม จัดวางให้ใกล้ๆกัน  มันเริ่มถามรายละเอียดงานที่ผมต้องทำ ส่วนของตัวอาคารและงาน Perspective (ภาพทัศนีภาพแบบสามมิติ คือมองแล้วเหมือนของจริง ไอ้คินรับอาสาเป็นคนวาดเอง

 

ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าทำงานเร็วอย่างเป็นระบบ ทำงานแบบมืออาชีพก็วันนี้เอง ไอ้คินจัดการแบบแบบ  Bird eye view เสร็จก็ส่งแบบแผ่นนั้นให้ผม มันใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ เหลือแค่ผมลงต้นไม้ก็เรียบร้อยแล้วมันก็ถามรายละเอียดและแบบร่างคร่าวๆของผมไปเขียนเปอร์สเปคทีฟต่อ ตอนนี้ผ่านมาสองชั่วโมงไอ้คินกำลังลงสี

 

มัน...สวยมากๆ

 

ละเอียดยิบราวกับมานั่งใจใจว่าผมต้องการอะไรแบบไหน บนโต๊ะดราฟของมันมีรูปต้นไม้ของจริงที่ผมเอาให้มันดูแปะไว้ เวลาไม่ถึงสามช่วโมงงานของผมเสร็จไป 2 ชิ้น ทั้งๆที่ถ้าผมทำเองอาจใช้เวลาไม่ต่ำว่า 5-6 ชั่วโมงแน่ๆ

 

                “นั่งจ้องหน้ากูก็ไม่ช่วยให้งานมึงเสร็จ”มันเอ่ยเรียบๆขณะที่กำลังลงสีของต้นไม้อยู่

 

                “เคยมีใครชมมึงป่าววะ ว่ามึงโคตรเจ๋งเลย” ไอ้คินยักไหล่อย่างไม่สนใจ

 

                “กูฟังจนเบื่อแล้ว”

 

                “ถ่อมตัวบ้างก็ได้”ผมว่าอย่างหมั่นไส้

 

                “ถ้ามันคือเรื่องจริงก็ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวอ่ะ”

 

          “เกลียดความมั่นหน้าของมึงมาก”ผมยกเท้าถีบขามันไปทีหนึ่ง มันหันมาถลึงตาใส่ก่อนจะเหวี่ยงแขนขวาไปมาเบาๆ

 

                “เมื่อยเหรอ มึงพักแขนบ้างก็ได้”ผมบอกกับมันอย่างเป็นห่วง

 

ใช่ครับผมเป็นห่วงมัน ยังไงตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับมันก็เหมือนเพื่อนกันไปแล้ว มันต้องเจ็บตัว แขนมันต้องใช้งานใช้การไม่สะดวกก็เพราะผม มันยังมีน้ำใจมาช่วยผมเขียนแบบอีกในฐานะเพื่อนมันเป็นเพื่อนที่ดี 100% ผมไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนๆของมันจะรักมันมาก  เสียงรัวไลน์ของผมดังขึ้นจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู การโอดครวญของเพื่อนๆทำเอาผมทั้งสงสารแต่ก็ขำไปด้วย

 

ไอ้จีนทำแบบพังเป็นแผ่นที่ 5  พลอยทำให้ไอ้จินแฝดน้องผู้แสนจะใจเย็นสติแตกตามไปด้วย

 

ไอ้ยิมบอกว่าปีหน้าจะลาออก 555555555555

 

ส่วนไอ้ย้งโอดครวญว่าตาตี่ๆของมันจะปิดอยู่แล้ว

 

ไอ้อิ้งค์บอกว่ามันจะแอบไปตัดสายเบรคของเดชโทษฐานสั่งงานโหด

 

ไอ้วียิ่งไม่ต้องพูดถึงเห็นไอ้อิ้งค์บอกว่าหลบไปนั่งกอดเข่าร้องไห้มุมห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

                “ขำอะไรของมึง ไม่รีบทำเหรอ?” ไอ้คนที่นั่งลงสีข้างๆหันมาถามเมื่อเห็นผมนั่งไถโทรศัพท์แล้วหัวเราะขำ

 

                “ขำพวกไอ้อิ้งค์ จะตายคาห้องเขียนแบบแล้ว”

 

                “พวกมันก็ยังทำไม่เสร็จ?”

 

                “ใช่ ไอ้จีนแย่สุด มันเป็นคนทำอะไรรีบๆแล้วรน ตอนนี้แบบพังไป 5 แผ่นแล้ว”

 

                “ให้เพื่อนกูช่วยมั้ย?”ผมหันไปมองหน้าไอ้คินอย่างไม่เชื่อหู

 

                “คือมึง เมื่อก่อนตีกันจะตาย”

 

                “นั่นมันเมื่อก่อนมั้ยไอ้สัด เดี๋ยวนี้ไม่ได้ตีกันแล้ว มึงกับกูยังคุยกันได้ กูว่าเพื่อนกูกับเพื่อนมึงก็น่าจะคุยกันได้อยู่”

 

                “หมาสองฝูงอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”ผมว่าคติธรรมคำพังเพยให้มันฟัง ไอ้คินกรอกตามองบนก่อนจะยื่นมือมาดีดกระโหลกผมแรงๆ 1 ที

 

                “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ไอ้เหี้ย มึงตกวิชาภาษาไทยป่าวเนี่ย”

 

                “อ่าวเหรอ ซอรี่ๆ สงสัยกูอดนอนมากเลยมึน”ผมลูบหน้าผากป้อยๆพลางส่งยิ้มแห้งๆให้มัน

 

                “ลองถามพวกมันดูว่าจะให้ช่วยมั้ย ช่วงนี้พวกกูว่างพอจะสงเคราะห์ให้ได้”

 

                “อื้อหือ ใช้คำพูดคำจาได้เหี้ยมาก แต่รอแป๊บ”ผมเบะปากใส่มันเมื่อมันใช้คำได้น่าเอาตีนลูบปากเสียเหลือเกิน ส่วนไอ้คินก็วางมือจากงานหยิบโทรศัพท์มากดไลน์ยิกๆพอกันกับผม

 

ไอ้พวกเพื่อนๆของผมโวยวายกับข้อเสนอกันซักพักหนึ่ง เพราะอดีตของพวกเราไม่น่ารักเท่าไหร่นัก คือเจอกันด่ากันตีกัน อยู่ๆจะมาให้พวกไอ้คินช่วยมันเหมือนเสียศักดิ์ศรีแปลกๆ ผมถ่ายรูปแบบที่ไอ้คินเขียนให้พวกมันดูซักพักไลน์ของผมก็เด้งรัวขึ้นมาทันที

 

                “เอา พวกกูให้พวกมันช่วยก็ได้ ไอ้เหี้ยงานละเอียดสัด”ไอ้จีนเป็นคนแรกที่ไลน์ตอบกลับมาผมคุยกับพวกมันอีกพักก็วางโทรศัพท์ลง

 

                “ว่าไง?”ไอ้คินเอ่ยถามขณะที่ยังไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอ

 

                “โอเค แต่จะไปเขียนกันยังไงวะ?”

 

                “ก็ให้พวกไอ้แดนไปช่วยเพื่อนมึงที่วิทยาลัย โต๊ะดราฟมีพอหรือเปล่า”

 

                “กูว่าไม่เวิร์ค เดี๋ยวเดชเห็น ไหนจะเพื่อนคนอื่นอีก”

 

                “งั้นก็เอากะบะไปขนโต๊ะดราฟพวกมึงไปบ้านเพื่อนกู มันมีโต๊ะดราฟกันทุกคนป่าว?”

 

                “ก็มีของใครของมันคนละตัวนะ แต่มันจะดีเหรอวะ?”

 

                “เพื่อนกูโอเคนะ “

 

                “แล้วจะแบ่งกันยังไงว่าใครคู่ใคร?”ผมยังคิดปัญหาไม่ตก

 

                “จับฉลากแม่ง ง่ายดี แต่กูว่านาทีนี้ใครคู่ใครก็ได้อ่ะกูว่า  งานพวกมึงเยอะสัดๆ อัดงานแบบนี้ได้ไงวะไม่สงสารเด็ก”

 

                “งั้นเดี๋ยวกูจับเองว่าใครจะได้คู่กับใคร”ผมเสนอมันก่อนจะทำรายชื่อของเพื่อนแต่ละฝั่ง คือกลุ่มแม่งมี 7 คนเท่ากันอีก รายชื่อ 12 รายชื่อแบ่งแยกคนละฝั่ง ผมจับชื่อเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมาแล้วก็จับชื่อเพื่อนฝั่งไอ้คินขึ้นมา ไอ้อิ้งค์ได้คู่กับไอ้แดน ไอ้ยิมได้คู่กับไอ้อ้น ไอ้ย้งได้คู่กับไอ้คนชื่อว่าน ส่วนไอ้จีนได้คู่กับคนชื่อแพร ไอ้จินได้คู่กับคนชื่อแพท ไอ้วีได้รุ่นพี่ของไอ้คินที่เป็นคนขับรถพาไปส่งโรงพยาบาลชื่อพี่เด่น ผมไลน์ไปบอกเพื่อนๆของผม ส่วนไอ้คินก็ไลน์ไปบอกเพื่อนๆของมัน ทั้งหมดจึงได้ข้อสรุปว่าจะไปรับเพื่อนๆของผมตอน 6 โมงเช้า แล้วจะตระเวนไปขนโต๊ะดราฟไปบ้านของแต่ละคน

 

ดูเป็นงานที่แสนจะยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน

 

 

คณิณ::

 

ผมมองไอ้เซ็ทที่เริ่มตาปรือ ปากกาเขียนแบบร่วงออกจากมือของมัน แว่นตาถูกขยับเมื่อเจ้าตัวทำท่าบิดคอไล่ความง่วง เกือบตี 1 แล้ว งานของมันก็ยังไม่เสร็จ

 

                “มึงไปนอนก่อนไป”ผมดึงปากกาออกจากมือของมันเมื่อมันดื้อดึงจะเขียนต่อ

 

                “งานกูยังไม่เสร็จเลย”

 

                “ไอ้เซ็ทมึงไม่สามารถทำแบบ 7 ชิ้นเสร็จได้ในวันเดียว”ผมเอ่ยปากดุมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง มันยังคงดื้อดึงที่จะทำ

 

                “ถ้ามึงทำต่อ ร่างกายมึงจะไม่ไหว ตามึงจะล้าแทนที่งานจะเสร็จ มือมึงจะเขียนเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ลงในแบบ มึงจะได้ทำใหม่หมด”

 

                “อือๆ งั้นกูไปพักสายตาแป๊บหนึ่งเดี่ยวตื่นมาเขียนต่อ มึงก็ไปนอนได้แล้วนะเว้ย อากาศหนาวชิบหายเลย”มันบ่นพลางยกมือลูบแขนเบาๆ แว่นสายตาของมันถูกถอดออกเมื่อมันเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาห่มจนคลุมอก ไม่นานเสียงลมหายใจของมันก็สม่ำเสมอ ผมหันกลับไปลงสีแบบต่อจนกระทั่งเสร็จตอนเกือบตีสาม นวดแขนเบาๆด้วยความเมื่อยล้าสะสมก่อนจะเดินไปปิดไฟ ผมเดินโดยอาศัยแสงเลือนลางจากโคมไฟสนามหญ้าค่อยๆแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มอุ่นจากอุณหภูมิของร่างกายไอ้เซ็ท มันหลับสนิทโดยไม่กระดิกตัวเลยซักนิด พอเข้าใจได้เพราะมันทำรายงานและเขียนแบบโดยแทบไม่ได้พักเลย 3 วันแล้ว ผมค่อยๆลูบแก้มนุ่มๆของมันเบาๆก่อนจะเลื่อนมาลูบริมฝีปากนุ่มๆที่ผมชอบ

 

ไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจ

 

หลังจากเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้นผมต้องกดใจตัวเองไว้ว่าอย่าล่วงเกินมันอีกถ้าไม่อยากให้มันถอยห่างจากผมไปมากกว่านี้

 

ผมค่อยๆจรดริมฝีปากลงบนนิ้วที่แตะริมฝีปากมันอยู่

 

ไม่กล้าแม้แต่จะจูบลงไปบนปากตรงๆ  ผมดึงร่างที่ขดคุดคู้เพราะความหนาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และเหมือนมันจะค้นพบความอบอุ่นที่โอบรัดมันไว้ ไอ้เซ็ทค่อยๆซุกกายเข้าใกล้ผมมากขึ้น ผมกอดมันไว้ด้วยหัวใจที่เต็มตื้น จูบลงบนกลุ่มผมนุ่มของมันเบาๆพยายามบอกหัวใจว่าอย่าเต้นแรงและดังนักเดี๋ยวมันตื่นแล้วจะผลักไสผมแบบที่ชอบทำ

 

นี่คงเป็นโอกาสครั้งเดียวที่ผมจะทำอะไรตามใจตัวเองได้ อีกไม่นานผมก็ต้องย้ายออกไปอยู่หอแล้วเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ และตัวมันก็ต้องไปฝึกงาน 3 เดือน เมื่อขึ้นชั้น ปวส.2 คงจะไม่ได้เจอมันบ่อยๆอีกแล้ว เวลาของผมกับมันค่อยๆถูกภาระและหน้าที่รวมทั้งความห่างไกลดึงให้ห่างกันเรื่อยๆ

 

ขอค่าจ้างเป็นกำไรเล็กๆน้อยๆแค่นี้จะได้มั้ย

 

มึงคงไม่ว่าอะไรกูนะไอ้เซ็ท

 

แค่นี้กูก็รักมึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

 

กูจะทำยังไงกับใจของกูดี


ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
 

                “ทำหน้าเหมือนปวดขี้”ผมเอ่ยแซ็วมันเบาๆเมื่อหัวคิ้วมันขมวดเข้าหากันมากขึ้น

 

                “กูกำลังคิด”

 

                “ว่า?”

 

                “เหมือนกูเอาเปรียบเพื่อนๆในห้องคนอื่นๆที่เขาทำงานกันเอง อีกอย่างถ้าได้เกรดมากูก็ไม่สามารถภูมิใจได้เต็มที่เพราะงานของกูครึ่งหนึ่งมีมึงช่วย”

 

                “แต่งานทั้งหมดมาจากความคิดถึง แบบที่กูวาดมันก็แค่ 1%  กูดีใจนะที่มีโอกาสได้เป็นหนึ่งในความสำเร็จของมึง”

 

                “แค่กๆ”ไอ้เซ็ทสำลักกาแฟที่กำลังกินอยู่ โชคดีที่มันเอามืออุดปากแล้วหันไปทางอื่นพอดีกาแฟเลยไม่โดนพ่นใส่แปลนบนโต๊ะดราฟ ผมรีบดึงทิชชู่ไปเช็ดปากเช็ดมือให้มัน มันวางแก้วกาแฟแล้วแย่งเอาทิชชู่ในมือผมไปเช็ดเองแก้มมันขึ้นสีแดงระเรื่อ ปากงุ้ยๆของมันบ่นอะไรมุบมิบที่ผมฟังไม่ได้ยิน ขนตายาวๆของมันก็กระพริบขึ้นลงจนดูน่ารัก น่ารักมากๆจนใจผมแกว่ง

 

ไอ้เหี้ยนี่ มาน่ารักน่าเอาทำห่าอะไรแต่เช้าวะ

 

                “กะ..กูไปห้องน้ำก่อนนะ”ผมตะกุกตะกักบอกกับมันก่อนจะรีบก้าวยาวๆกลับห้องของตัวเอง

 

ผมต้องเอาความร้อนรุ่มพลุ่งพล่านออกจากตัวก่อนที่มันจะอัดแน่นจนมันน่าหงุดหงิดไปมากกว่านี้

 

 

 

                หลังจากผมไปปลดปล่อยความเป็นตัวคินเรียบร้อยความง่วงงุนก็พลอยหายไปด้วย ไม่นานเสียงบีบแตรหน้าบ้านก็ดังขึ้น ไอ้แดนมากับพี่เด่น มีไอ้ว่านกับไอ้แพรนั่งหลัง ส่วนอีกคันไอ้อ้นเอาวีโก้ของมันมามีไอ้แพทนั่งคู่มาข้างหน้า

 

                “ไอ้แดนมึงขับนำไปเลยเดี๋ยวกูเอารถกูตามไปกับไอ้เซ็ท”ผมตะโกนบอกไอ้แดนซึ่งมันพยักหน้ารับ ผมเดินนำไอ้เซ็ทไปที่บีเอ็มของผม ไอ้เซ็ทเดินไปเปิดประตูรั้วพวกไอ้แดนออกรถนำไปก่อนเมื่อผมนำรถออกมาไอ้เซ็ทก็จัดการปิดประตูแล้วมานั่งหน้าคู่กับผม ผมขับรถไปอย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศยามเช้าดีจนสมองปลอดโปร่ง

 

                “มึงๆ แวะซื้อข้าวตักบาตรกัน”ไอ้เซ็ทร้องบอกเมื่อเราขับผ่านโค้งประปา พระสงฆ์และเณรหลายรูปเดินบิณฑบาตกันเป็นแถว ผมตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อแวะซื้อข้าวและกับข้าวเป็นถุงๆที่แม่ค้าทำมาขายคนรอใส่บาตร ลมหนาวยะเยือกพัดวูบมาให้ขนลุกเล่น ผมยืนด้านหลังไอ้เซ็ทเล็กน้อยรอให้มันใส่ข้าวและกับข้าวลงไป ส่วนผมใส่น้ำและดอกไม้ทีหลังจนครบทุกรูป เราไหว้พระอธิฐานผลบุญที่ทำวันนี้ให้พ่อและแม่ผู้ล่วงลับก่อนจะพากันขับรถตามพวกไอ้แดนไป  บรรยากาศข้างทางในตอนเช้าดีจนอยากจะเก็บภาพนี้ไว้ในใจนานๆ

 

สองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หมอกบางๆลอยคละคลุ้งปกคลุมยอดเขาและถนน คล้ายกำลังขับเข้าไปสู้สรวงสรรค์ สวยงามจนดูลวงหลอก  ดูเข้าถึงง่ายแต่กลับเข้าใจยาก

 

เข้าใจยากเหมือนจิตใจของไอ้เซ็ท

 

ที่ผ่านมามันทำเหมือนระหว่างเราไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ดวงตาที่มันมองผมนิ่งสนิทจนเดาไม่ถูกว่าตอนนี้มันรู้สึกกับผมอย่างไร แต่การกระทำของมันไม่มีท่าทีรังเกียจหรือโกรธชังผมแล้ว

 

จริงๆผมอยากให้มันชัดเจนไปเลย

 

ถ้ามันไม่ชอบผม ผมก็อยากให้มันแสดงออกมาให้ผมรู้เลยว่าที่เป็นอยู่ของเรานั้นมันไม่โอเค

 

แต่มันกลับไม่ทำอย่างนั้น มันยังใช้ชีวิตและปฎิบัติกับผมราวกับที่ผ่านมาผมไม่เคยบอกว่าชอบมัน

 

คล้ายให้ความหวังแต่ก็ไม่ไปต่อและผมเองก็ใจไม่แข็งพอที่จะถอยออกไปเอง

 

ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยซักนิดว่ามาชอบมันได้ยังไงทั้งๆที่เมื่อก่อนผมเกลียดแสนเกลียดมันแต่พอวันหนึ่งมันหายไปผมกลับคอยแต่ชะเง้อหามันทุกเย็นวันศุกร์

 

ตอนมันอยู่ในบ้านก็รำคาญ พอมันไม่มาดันนึกถึงมันจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร พอไม่เห็นหน้าผมเอาแต่หงุดหงิด

 

ไม่โอเคเลยซักนิดแต่ต้องปั้นหน้าว่าผมไม่เป็นไร

 

ผมตบไฟเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าหอมัน เพื่อนๆของเราสองคนนั่งรอเราที่โต๊ะม้านั่งนั่งเล่นหน้าหอของมัน

 

                “แหม ขับตามๆกันมาอยู่ๆไหงเสี่ยทิ้งห่างไปได้ล่ะครับ”ไอ้ว่านเอ่ยแซ็วผมทันทีที่เราลงจากรถ

 

                “เสือก”ผมเอ่ยคำสั้นๆ

 

                “อ่ะ กูได้รับศีลรับพรแต่เช้าเลย”

 

                “กูว่าไปกันได้แล้วรีบทำจะได้เสร็จๆ”ไอ้แพทอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนจะพ่นควันออกมาแล้วทิ้งก้นกรองลงพื้น ใช้เท้าเขี่ยจนไฟดับ เสียงไอ้แฝดคนน้องไอโขลกพลางใช้มือปัดควันไปมา ไอ้แฝดพี่ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำด่ามาให้ไอ้แพทก่อนที่แต่ละคนจะกระโดดขึ้นท้ายกะบะ

 

                “ไอ้วีกับไอ้จินมึงเข้าไปนั่งในรถ อากาศมันหนาว”แฝดพี่มันสั่งน้องกับเพื่อนมัน ซึ่งไอ้สองคนก็ทำตามอย่างว่าง่าย พวกผมขับรถเข้าเมืองอีกครั้งโดยตกลงกันว่าบ้านใครบ้านมันให้แยกกันไปเลยผมจะกลับไปช่วยไอ้เซ็ทให้มันเสร็จๆอีกครั้ง ดังนั้นเราจึงขับรถแยกกันที่แยกวัดเหนือ ผมจอดแวะกินโจ๊กตรงหลังป่าช้าอังกฤษ เรากินกันคนละ 2 ชาม เพราะโจ๊กให้น้อย ไอ้เซ็ทตักขิงในชามของผมไปใส่ชามตัวเอง เราใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน ผมกับมันเริ่มเขียนแบบกันอีกครั้ง จนในที่สุดบ่ายสองแปลนทั้งหมดก็เสร็จลง ไอ้เซ็ทถึงขั้นลงไปหงายตัวนอนบนที่นอนอย่างหมดแรงผมใช้ความเนียนลงไปนอนแผ่คู่กับมัน หลับตาอย่างเหนื่อยล้าเช่นเดียวกันมันที่คงจะเหนื่อยจนลืมนึกไปว่าตอนนี้เรานอนบนเตียงเดียวกัน  ไม่นานเปลือกตาของผมก็หนักอึ้งด้วยความเหนื่อยล้าจากการไม่ได้พักมาเลยตลอดทั้งคืน

 

 

 

           คณิณขยับตัวตื่นในตอนเกือบห้าโมงเย็น สายตาคมหลุบมองคนที่หลับอยู่ในอ้อมกอด แขนของเศรษฐพงศ์กอดเอวสอบของเขาไว้อย่างหลวมๆ

 

มากอดกันได้ไงวะ? ชายหนุ่มอดยิ้มให้กับใบหน้างุ้ยๆนั่นไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบเบาๆก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนในอ้อมกอด เศรษฐพงศ์ขยับตัวเล็กน้อยคณิณรีบนอนนิ่งๆหลับตาราวกับว่าตัวเองยังไม่ตื่นเอามือออกจากตัวของเศรษฐพงศ์กอดอกตัวเองไว้หลวมๆทำเหมือนกับว่าตนเป็นฝ่ายโดนคนเด็กกว่ากอดอยู่ฝ่ายเดียว

 

เศรษฐพงศ์ถอนหายใจยาวเมื่อรู้สึกตัวตื่น เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นก็พบกับอกของคณิณ เมื่อมองสำรวจดูก็พบว่าตัวเองนอนกอดคนตรงหน้าแน่น เศรษฐพงศ์สะดุ้งจนตัวโยนร่างสั่นสะท้านราวโดนไฟช๊อตเด็กหนุ่มกุมใจตัวเองก่อนจะดึงมือตัวเองออกมาแล้วลุกขึ้นยืน

 

บ้าชิบ

 

ไปนอนกอดมันตอนไหนวะ

 

เศรษฐพงศ์ทำไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าตลอด 2 ชั่วโมงที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้แตะตัวของคณิณเลยซักนิด เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ คณิณค่อยๆหรี่ตาขึ้นมองเมื่อเห็นคนที่เด็กกว่าเข้าห้องน้ำไปแล้วรอยยิ้มกว้างแสนสดใสกว่าพระอาทิตย์ตอนเที่ยงก็เผยออกมาอย่างหุบไม่อยู่ ดวงตาที่ชอบมองจิกทุกสิ่งอย่างโค้งจนเป็นสระอิ

 

ไอ้สัด

 

ท่าเขินมันเมื่อกี๊โคตรน่ารักเลยไอ้เหี้ย

 

อยากได้

 

อยากได้มากๆ

 

อยากได้สัดๆ

 

ปล้ำเลยดีมั้ย

 

โอ้ย...

 

ทำไงดีวะกูเนี่ย!!!

 

 

                หลังจากจัดการล้างหนาล้างตาทำธุระส่วนตัวเสร็จเมื่อออกมาจากห้องน้ำเศรษฐพงศ์ก็พบว่าคณิณตื่นนอนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มนั่งหัวยุ่งอยู่ปลายเตียง

 

                “ไปล้างหน้าสิมึง”

 

                “ใช้ห้องน้ำห้องมึงนะ เดี๋ยวไปหาข้าวแดกกันกูหิวแล้ว”เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ เขาเองก็หิวเหมือนกัน โจ๊ก 2 ชาม สลายเป็นสสารไปนานแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คไลน์กลุ่มแล้วก็ได้แต่ขำเพื่อนๆแต่ละคนที่บ่นกันมายาวยืด

 

ยงวิสุทธิ์บ่นยาวที่สุดในกลุ่มทั้งที่จริงๆแล้วเขาคิดว่าจีรนันท์จะเป็นฝ่ายขี้วีน ไม่กี่นาทีต่อมาคณิณก็ออกมาจากห้องน้ำร่างสูงดูมีสีหน้าสดใสขึ้นกว่าตอนตื่น ผมยุ่งๆถูกหวีอย่างดี

 

                “ป่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนเด็กกว่า ไม่นานคณิณก็ขับรถมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ชายหนุ่มขับรถจอดตามที่พนักงานของแพอาหารติดกับสะพานข้ามแม่น้ำแควโบกให้ เศรษฐพงศ์เคยเห็นแพอาหารริมน้ำหลังนี้แต่ไม่เคยแวะมากินซักครั้ง เด็กหนุ่มเดินตามคณิณลงบันไดชันสู่ด้านล่างที่มีแพ  2 หลังติดกัน คณิณเดินนำไปเลือกที่นั่งริมสุดที่สามารถมองเห็นตัวสะพานข้ามแม่น้ำแควได้ชัดที่สุด ด้านบนสะพานนักท่องเที่ยวเดินเล่นกันบ้างก็ถ่ายรูปบ้างก็ยืนชมวิวตรงจุดพัก พนักงานเสิร์ฟนำเมนูมาให้

 

                “สั่งเลยมึงจะกินอะไรก็สั่ง”

 

                “ท่าทางมึงจะมาบ่อยงั้นมึงสั่งเถอะกูกินได้ทุกอย่าง” เศรษฐพงศ์มองเมนูละลานตาตรงหน้าก่อนจะดันคืนให้คณิณ ชายหนุ่มเปิดเมนูดูพลิกไปพลิกมา 2-3 ครั้ง

 

                “เอาห่อหมกทะเลในลูกมะพร้าวอ่อน ทอดมันกุ้ง ต้มยำเห็ดโคน  ปูหลน  ยำรวมมิตรไม่เผ็ด ไก่ทอดสมุนไพร ผัดผักรวมมิตรแล้วก็ข้าวโถหนึ่ง เอาโค้กลิตร 1 ขวดครับ”เศรษฐพงศ์มองคณิณที่สั่งอาหารแบบน้ำไหลไฟดับ เมื่อพนักงานเสร์ฟเก็บเมนูเดินไปแล้วเศรษฐพงศ์ก็ส่งเสียงดุใส่คณิณในทันที

 

                “มึง มึงลืมไปป่าววะว่าเรามากันสองคน มึงสั่งเหมือนจะเอาไปเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน”

 

                “กูเชื่อในศักยภาพของมึงว่ามึงสามารถกินหมด”

 

                “กูไม่ใช่ชูชกมั้ยล่ะ”คนน้องส่งเสียงแหวใส่อย่างลืมตัวก่อนจะหุบปากฉับเมื่อพนักงานเอาน้ำมาเสิร์ฟ ไม่นานเศรษฐพงศ์ก็ลืมเรื่องที่เถียงกันเมื่อครู่ เด็กหนุ่มหันไปมองวิวทิวทัศน์รอบๆ ลมเย็นพัดมาปะทะผิวหน้าให้รู้สึกสดชื่น ผิวน้ำไหวเป็นคลื่นตามแรงลม เสียงหวูดรถไฟดังมาให้ได้ยินผู้คนบนสะพานต่างพากันเดินเข้าจุดพักด้านข้าง รถไฟล่องรอบสุดท้ายค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาบนสะพาน พระอาทิตย์สีส้มทอแสงโรยอ่อนรับกับผิวน้ำเบื้องล่างเป็นภาพที่สวยติดตาตรึงใจจนเด็กหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ เด็กน้อยบนรถไฟโบกมือทักทายเศรษฐพงศ์เผลอตัวโบกมือกลับก่อนจะหัวเราะเบาๆด้วยความขำกับสิ่งที่ตัวเองทำ ราวๆ 15-20 นาที อาหารที่สั่งไว้ก็ค่อยๆทยอยนำมาเสิร์ฟ คณิณและเศรษฐพงศ์ลงมือรับประทานอาหารไปคุยกันไปเรื่องสัพเพเหระ โคมไฟสีส้มนวลถูกเปิดหลังจากความมืดเริ่มโรยตัว เสียงไวโอลีนแสนหวานค่อยๆดังขึ้น นักดนตรีเดินมาหยุดเล่นที่โต๊ะของเด็กหนุ่มทั้งคู่ เพลงทำนองคุ้นหูหวานแว่วดังถูกเล่นจนจบ คณิณหยิบธนบัตรใบละ 100 มอบให้กับนักดนตรีเป็นรางวัล

 

มื้ออาหารแสนอร่อยกับบรรยากาศดีๆดำเนินไปเรื่อยๆ

 

คณิณอยากให้มันหยุดอยู่ตรงนี้ ตรงที่เศรษฐพงศ์มอบรอยยิ้มให้กับเขาเพียงคนเดียวโดยไมมีใครมากั้นกลาง

 


อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันแม้รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ก็ตาม




ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2




            บรรยากาศการรับประทานอาหารยามเย็นจบลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ของเศรษฐพงศ์ดังขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังกินผลไม้ล้างปากในเมนูสุดท้าย  คณิณวางส้อมลงกับจานทันทีเมื่อได้ยินเศรษฐพงศ์เรียกชื่อเอิร์น ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้พลางมองเหม่อไปยังสายน้ำเบื้องหน้า พยายามไม่สนใจบทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำหวานของเศรษฐพงศ์กับอารดา แต่กลับจำได้ทุกถ้อยคำ ยิ่งตอกย้ำลงไปว่าเศรษฐพงศ์ไม่ได้มีใจให้เขาซักนิดเดียว

 

ใจของคณิณตอนนี้ไม่ต่างจากลูกบอลที่เหมือนจะสำคัญแต่สุดท้ายเศรษฐพงศ์ก็เตะเขาออกไปไกลตัว พยายามเท่าไหร่สุดท้ายก็ถูกเขี่ยทิ้ง





 

            “อื้อ เซ็ทออกมากินข้าวกับพี่ชายน่ะ แล้วเอิร์นล่ะกินอะไรแล้วหรือยัง”

 

            “คิดถึงสิ เซ็ทคิดถึงเอิร์นมากๆ”

 

            “อยากไปหาเอิร์นแล้ว ไม่รอเรียนจบได้มั้ยอ่ะ”

 

        “หนาวแล้วถ้าผ้าห่มไม่อุ่นพอเดี๋ยวเซ้ทไปกอดเอิร์นก็ได้นะ”

 

               “กอดๆเอิร์นนะครับ”

 

 

 

แต่ละประโยคที่ด้ยินเหมือนฟ้าที่สดใสค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา และจากสีเทากลายเป็นสีดำสนิท ดวงตาขี้เล่นของคณิณกลับมาเป็นดวงตาของคณิณคนเดิมที่ไร้แววพราวระยิบคล้ายมีดวงดาวอยู่ในนั้น

 

ใจของคณิณก็เช่นกัน จากที่เหมือนจะพองฟูกลับค่อยๆแฟ่บลงทีละน้อยคล้ายลูกโป่งที่อัดก๊าซมาจนเต็มปริแล้วเมื่อวันเวลาผ่านไปก็ค่อยๆแฟ่บลงจนไม่เหลือก๊าซอยู่ในนั้นแล้ว

 

ในที่สุดหลังจากเศรษฐพงศ์วางส้อมในมือลงคณิณก็เรียกพนักงานมาเก็บเงิน ธนบัตรใบละพันบาทสองใบถูกวางลงบนถาดก่อนที่เจ้าตัวจะลุกเดินออกไปโดยไม่คิดรอเงินทอนหลายร้อยบาทที่เหลือซักนิด เศรษฐพงศ์รีบเดินตามร่างสูงที่ไม่พูดไม่จาต่างจากตอนแรกที่มาชนิดที่เรียกว่าจากหน้ามือพลิกเป็นหลังมืออย่างสังเกตได้

 

บรรยากาศบนรถเงียบจนเศรษฐพงศ์อึดอัด คนเด็กกว่าลอบถอนหายใจเบาๆ คณิณขับรถด้วยความเร็วค่อนข้างมากจนเศรษฐพงศ์เผลอจิกเบาะด้วยความหวาดเสียว ในที่สุดก็เป็นคนเด็กกว่าที่ทนความอึดอัดใจนี้ไม่ไหว

 

            “มึง....มึงโกรธอะไรกูป่าววะ”



 

 

          คณิณ::

 

ผมหักพวงมาลัยเข้าข้างทางทันทีที่ประโยคคำถามของไอ้เซ็ทจบลง ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ของผมอยู่แล้วทำให้ผมทุบลงบนพวงมาลัยรถซ้ำๆหลายๆครั้งอย่างระบายอารมณ์แล้วฟุบหน้าลงไปเพื่อระงับอารมณ์โกรธ อารมณ์อิจฉาในใจ

 

            “กูไปทำอะไรให้มึงไม่พอใจเหรอวะ”

 

คำถามโง่ๆของมันถูกส่งมาอีกครั้ง ผมเหยียดตัวที่ฟุบลงบนพวงมาลัยขึ้นนั่งตัวตรงอีกครั้ง หันไปมองหน้ามันที่มองผมด้วยสายตาคาดคั้น

 

            “ที่ผ่านมามีซักนิดมั้ยที่มึงรู้สึกดีๆกับกู”ผมตัดสินใจถามคำถามที่เคยคิดไว้ว่าจะไม่ปริปากพูดแบบนี้ออกไป ไอ้เซ็ทมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีดวงตากลมของมันเปลี่ยนเป็นนิ่งสนิทราวผืนน้ำยามไร้คลื่นลม

 

            “เคยบ้างมั้ยซักเสี้ยววินาทีที่มึงจะคิดถึงกู?"



            "........"

 

“ หรือมีแค่กูที่คิดถึงมึงอยู่ฝ่ายเดียว?”



"........"

 

“ มึงบอกกูหน่อยว่ามีซักนิดมั้ยที่จะมีกูอยู่ในใจของมึง”

 

 

 

            “ไม่มี...”น้ำเสียงราบเรียบของมัน สายตาว่างเปล่าของมันทำให้ใจของผมสะท้านเหมือนถูกก้อนน้ำแข็งที่ค่อยๆก่อตัวจนแช่แข็งหัวใจของผมจนเหน็บหนาว ไอ้เซ็ทถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถ

 

            “กูคิดว่าเราสองคนคุยกันเรื่องนี้รู้เรื่องแล้วซะอีกนะ”หลังจากปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมเรามานานหลายนาทีในที่สุดมันก็เปิดปากพูดออกมา

 

            “กูคิดว่ามึงตัดใจได้แล้ว กูไม่มีทางรักมึงแบบนั้นได้ ที่กูให้มึงได้ก็คือเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกัน แต่ถ้ามากกว่านั้นกูคงต้องบอกมึงให้ชัดๆเลยว่าไม่มีทาง”

 

 

 

          คณิณพยายามกล้ำกลืนความปวดร้าวที่แล่นเข้าจู่โจมก้อนเนื้อในอก ฝ่ามือกำแน่นอย่างระงับอารมณ์โกรธที่ก่อตัวหนาราวกับควันพิษ เศรษฐพงศ์ปล่อยให้ความเงียบกลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง เขาไม่อยากให้เรื่องนี้มันค้างคาในใจของทั้งฝ่ายอีกต่อไปแล้ว ถ้าคณิณไม่ตัดใจเขาจะเป็นคนจบความสัมพันธ์แบบนี้เอง

 

เขาไม่มีทางนอกใจอารดา

 

และเขาไม่เคยคิดอะไรกับคณิณเกินเลยไปกว่าเพื่อนหรือพี่น้องเลยซักนิด

 

เขาอาจจะผิดที่ไม่เด็ดขาดแต่แรกปล่อยให้คณิณมีความหวังเพียงเพราะคิดว่าหลังจากเหตุการณ์วันนั้นแล้วคณิณจะตัดใจได้

 

แต่เปล่าเลย...คณิณไม่เคยคิดที่จะตัดใจจากเขาเลยซักนิด

 

เศรษฐพงษ์ไม่รู้หรอกว่าคณิณมาชอบตัวเองด้วยเหตุผลอะไร แต่เหมือนคณิณจะดำดิ่งกับห้วงความรู้สึกนี้มากเกินไปจนอยากจะผูกมัดตัวเขา ซึ่งเด็กหนุ่มไม่ต้องการแบบนี้

 

            “กูไม่ได้อยากเป็นพี่เป็นน้องกับมึงตั้งแต่แรกแล้วป่าววะ”

 

            “ถ้าเป็นพี่เป็นน้องกันไม่ได้ก็ไม่ต้องคุยกัน”

 

            “ไม่เอา!!” คณิณรวบตัวของเศรษฐพงศ์มากอดอย่างหวงแหน

 

            “ไม่เอาแบบนี้”น้ำเสียงที่เคยแข็งกระด้างกลับอ่อนลงอย่างเว้าวอน

 

            “แล้วมึงจะเอายังไง พี่น้องมึงก็ไม่อยากเป็น ตอนนี้แม้แต่ความเป็นเพื่อนกูก็เริ่มคิดว่ามันยากแล้ว”

 

            “แบ่งใจมาให้กูซักนิดไม่ได้เลยเหรอวะ กูชอบมึงจริงๆนะ”คณิณกระชับอ้อมกอดร่างโปร่งบางที่ขืนตัวไว้อย่างหวงแหน เศรษฐพงศ์ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าเด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบหลังคณิณราวปลอบโยนเด็กเล็กๆที่กำลังร้องไห้งอแงยามไม่ได้สิ่งที่ถูกใจ

 

            “ถ้าเราต้องรับรักทุกคนบนโลก โลกนี้คงไม่มีคนอกหัก แต่จะมีแต่คนคบซ้อนเต็มไปหมด กูคบกับเอิร์นก็เพราะกูรักเอิร์นจริงๆ แล้วถ้ากูต้องมาคบกับมึงนั่นมันคงไม่ใช่ความรัก มันคงเป็นความสงสาร แบบนี้มันจะดีกับตัวมึงเหรอวะ ตัดใจจากกูต่อจากนี้ทำเป็นไม่รู้จักกันหรือกลับไปเกลียดกันแบบเดิมก็ได้ กูจะยอมรับการตัดสินใจของมึงและมึงควรเคารพการตัดสินใจของกูด้วย”

 

            “ยังไงก็ไม่ได้ใช่มั้ยวะเรื่องของกูกับมึงไม่มีทางไปต่อได้จริงๆเหรอวะ”รู้ว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจะเป็นยังไงแต่คณิณก็ยังเลือกที่จะถามกลับไปอีกครั้ง หลอกตัวเองอีกครั้งว่าเศรษฐพงศ์อาจจะมีช่วงเวลาที่ลังเลใจบ้างซักนิดหนึ่ง

 

            “ไม่ได้ เลิกหวังเถอะ ต่อจากนี้ไปกูจะถอยห่างจากมึงเอง อีกหน่อยมึงไปเรียนที่นู่นมึงจะได้เจอคนดีๆมึงอาจจะรักใครซักคน ถึงเวลานั้นมึงจะลืมกูได้เอง ตัดใจจากกูซะ นะ มึงเชื่อกูเถอะคิน” ร่างสูงแค่นยิ้มขื่นๆให้กับตัวเอง ก่อนจะคลายอ้อมแขนที่โอบรัดร่างของเศรษฐพงศ์ไว้

 

ตัดใจ...

 

สองคำสั้นๆแค่นี้เองแต่ทำไมพอได้ฟังมันออกจากปากของเศรษฐพงศ์คนที่ขาดใจคือเขาเอง  คณิณจับพวงมาลัยแล้วออกรถราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันทีที่รถเข้ามาจอดในโรงรถเศรษฐพงศ์ก็เปิดประตูออกแล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้านทันที คนโตกว่าไม่ได้เดินตามไปวอแวเช่นทุกครั้ง คณิณทำเพียงออกรถไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาอยากไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องก็ใกล้เศรษฐพงศ์อีก เขาอยากทบทวนความรู้สึกของตัวเอง อยากจะหนีหน้าใครต่อใครด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง คนมีมากมายไม่ไปตกหลุมรัก มีคนเยอะแยะที่อยากเข้าหาเขาใจจะจาดแล้วทำไมเขาต้องมาชอบไอ้เด็กนี่ด้วย

 

  คล้อยหลังได้ไม่นานเศรษฐพงศ์ก็ขับไอ้แดงมอเตอร์ไซค์คู่ใจพร้อมกระบอกแปลนและกระเป๋าเสื้อผ้าออกไปเช่นกัน

 

คงจะไม่กลับบ้านซักระยะหนึ่งจนกว่าจะสอบเสร็จเพราะเขาไม่อยากอยู่ใกล้กับคณิณในเวลาแบบนี้

 

ปล่อยให้ความห่างทิ้งระยะให้คณิณได้ทบทวนความสัมพันธ์ไปก่อน เดี๋ยวอะไรๆมันคงจะดีขึ้นเอง...

 

เศรษฐพงศ์จะไม่ทำตัวให้ความหวังคณิณอีกต่อไป ไม่รักก็คือไม่รัก และไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ

 

แต่ทำไมพอคิดแบบนั้นแล้วใจกลับรู้สึกหวิวๆแปลกๆ

 

มันคล้ายๆว่าจะใจหาย...ทำไมหัวใจของเขากลับรู้สึกเหมือนโดนบีบรัดจนรู้สึกอึดอัดไปหมดแบบนี้นะ





 

 

                “มึงไหวป่าววะไอ้คิน”แดนธรรมยื่นมือไปยึดแก้วเหล้าที่คณิณเตรียมจะส่งเข้าปากอีกครั้ง แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกราวน้ำเปล่า ดวงตาคมติดแววดุอยู่ตลอดเวลานั้นเหมือนมีหยาดน้ำคลออยู่ คณิณใช้ความพยายามอย่างมากที่จะห้ามไม่ให้มันไหลออกมา

 

เจ็บจนหัวใจชา

 

คณิณดึงมือตัวเองออกจากแดนธรรมด้วยความดื้อดึงแล้วยกเหล้าเข้าปากรวดเดียวจนหมดแก้ว

 

            “พอเถอะมึง พรุ่งนี้มีเรียนนะไอ้เหี้ย”แดนธรรมดึงขวดโซดาที่เพื่อนเทพรวดๆลงแก้วออกจากมือคณิณ  ก็พอจะรู้อยู่ว่าคณิณเป็นคนดื้อด้านแค่ไหน แต่ครั้งนี้ดูจะปลอบยากเต็มที  เด็กหนุ่มที่ยังคงครองสติได้ดีกวักมือเรียกบริกรเพื่อคิดเงินรอจนคณิณยกเหล้าที่เหลือซัดอั่กๆจนเกือบหมดนั่นแหล่ะบิลค่าเหล้าถึงจะมา ชายหนุ่มหยิบเงินวางลงถาดยกมือเชิงบอกว่าไม่ต้องทอนก่อนจะหิ้วปีกร่างที่บางกว่าตนเองมากโขโซซัดโซเซจนมาถึงรถ

 

            “เข้าไปไอ้เหี้ย”จับหัวเพื่อนตัวสูงยัดเข้าไปในรถแล้วอ้อมมานั่งที่คนขับ แดนธรรมรีบคว้าร่างของคณิณที่ทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถไปอีกรอบ อยากจะจับหัวโขกกับกระจกให้มันหลับไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็สงสารไอ้เพื่อนหน้าหมาที่ขับรถไปรับเขาออกจากบ้านตอนสองทุ่มพร้อมดวงตาแดงก่ำนั่น ดีว่าโอบนิธิที่มาทำงานที่บ้านเขากลับไปแล้วพร้อมวีรดนัย ไม่งั้นสองคนนั่นต้องแปลกใจแน่ๆว่าทำไมถึงทิ้งเศรษฐพงศ์มา

 

คำพูดของความตัดพ้อน้อยใจพรุ่งพรูราวกับกระแสน้ำแสนเชี่ยวกราก

 

            “กูยอมลงให้กับมันขนาดนี้แล้วมันยังไม่แลกูซักนิด”

 

            “ทำเหมือนใจของกูไม่มีค่า”

 

            “กูอยู่ใกล้มันแค่นี้แต่ตามันมองหาแต่คนที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยไอ้เหี้ย”

 

            “ผู้หญิงชื่อเอิร์นแม่งมีอะไรดีวะ หน้าตาก็ไม่เคยเห็นแต่เสือกมัดใจไอ้เด็กเหี้ยนี่ได้”

 

            “ผู้หญิงคนนั้นจะมาดีมาร้ายอะไรยังไงก็ไม่รู้ทำไมมันถึงรักเขาขนาดนั้นวะ”

 

            “กูต้องทำดีขนาดไหนมันถึงจะชอบกูบ้างวะ ซักนิดก็ยังดี”

 

            “กูแม่งหลงมันจะตายห่าอยู่แล้ว รักมันมากจนบางครั้งก็เหมือนจะหายใจไม่ออก กูจะทำยังไงดี”

 

            “ฮึก...”แดนธรรมถึงกับชะลอรถเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ  เหลือบมองคณิณก็เห็นคนเมาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาลวกๆ

 

มันไม่เคยรักใคร...

 

ข้อนี้เพื่อนๆรู้ดี ที่ผ่านมาแม้จะควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าแต่คนเหล่านั้นไม่เคยได้รับความรักจากคณิณเลยซักคน เหมือนควงเพื่อสนุกวันไนท์แสตนด์พอเสร็จก็แยกย้าย ไม่ผูกมัดไม่ผูกพันถ้าติดใจก็อาจจะมีเจอกันซ้ำ 2-3 ครั้ง

 

เศรษฐพงศ์คือรักแรกของคณิณก็ว่าได้

 

แน่นอนสำหรับเศรษฐพงศ์น่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องค่อนข้างจะเหลือเชื่อไปซักหน่อยเพราะที่ผ่านมาคณิณไม่เคยทำดีด้วยซักครั้ง  ตัวแดนธรรมเองก็แปลกใจ เพราะที่ผ่านมาคณิณไม่เคยมองผู้ชายคนไหน เพื่อนของเขาไม่ใช่เกย์นั่นคือสิ่งที่มั่นใจกันมาตลอด กลุ่มของเขาไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน เขาคิดว่าคณิณนั้นแพ้ความดีของเศรษฐพงศ์โดยไม่รู้ตัว นอกจากนั้นความใกล้ชิดก็มีส่วนให้เพื่อนของเขาเผลอใจรักเด็กนั่นในที่สุด

 

คณิณไม่เคยดูเสียศูนย์ขนาดนี้ เขาไม่เคยต้องมาเสียน้ำตาให้กับใคร และนี่คือครั้งแรก  ในตอนนี้คณิณเหมือนเด็กที่สูญเสียของเล่นชิ้นโปรดไปมีทั้งความเจ็บใจและเสียใจปนเปอยู่ในนั้น

 

คนที่เคยหยิ่งและทรนงในตัวเองอย่างคณิณการที่ยอมลงให้เศรษฐพงศ์ได้ถึงขนาดนี้ ถ้าจะใช้คำว่าลดตัวก็ไม่ได้ดูเกินความจริงไปเลยซักนิด

 

ในฐานะของความเป็นเพื่อนแน่นอนเขาแอบนึกเคืองเด็กนั่นที่ทำให้เพื่อนของเขาเสียใจ แต่ในฐานะคนนอกสิ่งที่เศรษฐพงศ์ทำไม่ได้ผิดเลยซักนิด การรักและซื่อสัตย์ต่อคนที่ตนเองรักนั่นเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง ไม่รู้จะปลอบเพื่อนยังไงชายหนุ่มทำได้เพี่ยงยื่นมือไปยีหัวคนเมาที่พยายามเช็ดน้ำตาออกจากหน้าเงียบๆ คณิณเบี่ยงหัวหลบพลางปัดมือของแดนธรรมออกอย่างไม่ชอบใจ

 

           " ถ้าใครมาเห็นมึงตอนนี้คงหัวเราะเยาะ พี่คินคนที่หยิ่งๆมานั่งร้องไห้เหมือนลูกหมาถูกทิ้งแบบนี้ไม่คูลเลย”

 

            “รักเขามากขนาดนี้เลยเหรอวะ”เอ่ยถามด้วยเสียงที่อ่อนลงเมื่อคณิณทิ้งตัวลงเอนพิงเบาะรถ

 

            “รักสิ...ตอนแรกกูคิดว่ากูแกล้งมันเพราะกูเกลียด แต่พอมันหายไปกูก็เหงา กูอยากแกล้งมันไปเรื่อยๆเวลามันโกรธแม่งโคตรน่ารักเลย กว่าจะรู้ตัวกูก็ไม่อยากให้มันไปไหนเลย ไม่ว่าจะราชบุรี ไม่ว่าจะเป็นที่หอของมันก็ก็ไม่อยากให้อยู่”

 

            “มึงไม่เคยเป็นขนาดนี้เลยนะไอ้คิน ถึงกูจะเป็นเพื่อนมึง แต่กูว่าที่ไอ้เซ็ทมันพูดก็ถูกของมัน มึงลองมองกลับกันสิวะ สมมติว่ามันคบกับมึงอยู่แล้วเอิร์นอะไรนั่นมาขอให้ไอ้เซ็ทแอบคบซ้อนเป็นมึงๆจะยอมแบ่งคนรักให้ใครมั้ย?”

 

            “ไม่!! ถ้ามันเป็นของกูใครก็ห้ามมายุ่งกับมัน มันก็ห้ามไปคุยกับใคร!!”คณิณหันมามองแดนธรรมตาเขียวด้วยความไม่พอใจ

 

            “น่ะ...เป็นมึงๆก็ไม่ยอม แล้วมึงยังไปขอให้มันมาคบกับมึงทั้งๆที่มันรักกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ ถ้ากูบอกอะไรมึงๆจะฟังกูมั้ย?”แดนธรรมมองปฎิกริยาตอบกลับของคณิณ ชายหนุ่มไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธร่างสูงนั่งนิ่งดวงตาไหววูบไปมาเล็กน้อยก่อนจะนิ่งสนิท

 

ในกลุ่มของเขาคณิณอาจจะเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มด้วยบุคลิคเหมือนองค์ชายน้ำแข็งนั้นแต่จริงๆแล้วคณิณก็แค่ไอ้ตี๋น้อยๆของอากงอาม่าเป็นน้องน้อยที่พี่ๆในกลุ่มที่แก่เดือนกว่าต้องคอยดูแลเอาอกเอาใจนั่นแหล่ะ

 

            “มึงต้องเปลี่ยนตัวเองซะใหม่ มึงไล่ตามไอ้เซ็ทมันมากเกินไป แสดงออกว่ายอมลงให้มันมากเกินไป แสดงออกว่าอยากได้มันมากเกินไปจนตอนนี้มึงแม่งโคตรของตาย ต่อไปนี้กูขอให้มึงทำตัวเว้นระยะห่างกับไอ้เซ็ทไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปพูดไปแหย่มัน มันจะคบใครก็ปล่อยมันไม่ต้องไปอ้อนวอนขอความรักจากมันแล้ว  ถ้ามึงรักมันอยากได้มันจริงๆมึงต้องรู้จักที่จะรอ”

 

            “รอ?..รออะไรวะ?”

 

            “มึงเคยบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าตั้งแต่ที่มึงเห็นมันคุยกับผู้หญิงคนนั้นน่ะมันไม่เคยวีดีโอคอลกันเลย ผู้หญิงคนนั้นหลบเลี่ยงที่จะเจอหน้ากับไอ้เซ็ทมาตลอด มึงว่ามันไม่แปลกเหรอวะ?”แดนนธรรมหันไปจ้องตาเพื่อนเป็นเครื่องหมายคำถาม คณิณคิดไปถึงเวลาที่เศรษฐพงศ์คุยกับอารดา

 

ใช่ ทั้งสองคนแชทไลน์กัน คอลกัน แต่ไม่เคยเปิดวีดีโอคอลเลยซักครั้ง เวลาเศรษฐพงศ์ของวีดีโอคอลอารดาจะบ่ายเบี่ยงเสมอ

 

            “คนรักกันชอบกันที่ไหนจะไม่อยากเห็นหน้ากันวะกูถามหน่อย ขนาดมึงยังกระเสือกกระสนไปเฝ้าเค้ายั้นราชบุรี ไอ้เซ็ทเองก็อยากจะไปหาผู้หญิงคนนั้นจะแย่”

 

            “จะย้ำทำเหี้ยอะไรเนี่ย”คนเมาตะคอกเสียงใส่เมื่อได้ยินประโยคแสลงใจ

 

            “กูว่าผู้หญิงคนนี้แปลก กูอยากให้มึงใจเย็น ระหว่างนี้มึงไปใช้ชีวิตของมึงปล่อยให้มันใช้ชีวิตของมัน พอถึงวันหนึ่งถ้าเป็นไปตามที่กูเดา มึงจะมีโอกาสได้ไอ้เซ็ทสูงมาก”

 

            “มึงคิดว่ามันจะเลิกกันเหรอ?”

 

            “ใช่ กูว่ามันจะเลิกกันแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นมึงเลิกนอยด์ เลิกพร่ำเพ้อ ทำตัวเองให้มีความสุข มึงเป็นเสือ ไม่ใช่หมา เจ็บก็ไปเลียแผลเงียบๆ อย่าหอน กูรำคาญ”

 

            “ไอ้เหี้ยแดน!!”แดนธรรมถึงกลับสะดุ้งเมื่ออยู่ๆคณิณก็แหกปากเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่นรถ

 

            “เหี้ยไรของมึงจะตะโกนทำไมกูตกใจ โอ๊ยไอ้เหี้ยใจกูกระตุกวูบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระถังซัมจั๋งช่วยกูด้วย”ชายหนุ่มเอามือกุมใจพลางเรียกขวัญที่กระเจิงของตัวเองให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

 

            “กูขอบใจมึงมากไอ้สัด เนี่ย มาแล้วๆ”

 

            “อะไรของมึง? อะไรมา?  ”แดนธรรมมองหน้าคณิณที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปจากหมาหงอยกลายเป็นสิงโตหนุ่มภายในชั่วพริบตา

 

            “ความฮึกเหิมไงไอ้สัด  เนี่ย กำลังใจกูมาแล้ว ได้ มึงรักกันนักใช่มั้ย ไปรักกันให้จุกอกเลย กูจะรอแดกอยู่ในพุ่มไม้เอง ถึงเวลากูจะแดกตั้งแต่หัวยั้นตีนไม่ให้หนีกูไปได้เลยไอ้เด็กเหี้ย” แดนธรรมมองหน้าตาและท่าทางมุ่งมั่นของคณิณแล้วก็ได้แต่ภาวนาขอให้เพื่อนของเขาไม่เป็นบ้าเพราะความรักมันจุกอกตายไปซะก่อน

 

แต่เห็นคณิณกลับมาฮึกเหิมได้แบบนี้เขาก็ค่อยเบาใจ

 

อย่างน้อยมันเป็นบ้าก็ดีกว่ามันร้องไห้ล่ะวะ

 

ฟูมฟายสัด

 


น่ามคาน...





.........................................



วรั๊ย......แห้ว!!





ไปลูก ไปสู้ รุกมากเขาไม่ชอบเราต้องเปลี่ยนแผน  แค่นี้เอง สู้เค้า รอย่างอดทนนะลูกนะ อาจจะซัก 10-20 ปี เดี๋ยวน้องคงใจอ่อน 55555555555555555









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2018 18:39:18 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
อ่านแล้วชอบอ่ะ ขำ  รอแดกในพุ่มไม้  คือพี่เป็นตัวอะรัยคะ 55555

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

            คณิน::

 

            “ไงมึงไอ้คนเหล็ก” เสียงทักทายทุ้มๆดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องเปิดเข้ามา ไอ้แพทยื่นหน้าเข้ามาสำรวจก่อนจะตามด้วยไอ้แพร ไอ้อ้น ไอ้ว่าน ไอ้แดน ปิดท้ายด้วยพี่โด่ง ผมขยับลุกขึ้นนั่งทันทีที่เพื่อนๆโผล่หัวเข้ามาในตอนเกือบสี่โมงเย็น ไอ้เซ็ทหลบหอบเอารายงานที่มันนั่งป่นอยู่บนโซฟาไปเขียนต่อที่โต๊ะริมหน้าต่างเงียบๆ

 

            “หน้าตาผ่องใสไม่ตายแล้วสินะ”ไอ้แพรแกล้งลูบหน้าผมเบาๆ

 

            “มาทำเหี้ยอะไรกัน”ผมแกล้งถาม ไอ้ว่านกับไอ้อ้นไม่สนใจที่จะตอบคำถามผมมันหันไปให้ความสนใจกับกระเช้าเยี่ยมแทน เมื่อได้ของที่พอใจแล้วไอ้ว่านกับไอ้อ้นก็แกะกินทันทีโดยไม่ขออนุญาตผมเลยซักคำ

 

            “มึงสองคนมาทำอะไรวะ?”ผมถามไอ้สองตัวที่ยัดกล้วยหอมเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย

 

            “เยี่ยมมึงไงเพื่อนรัก”

 

            “ไหนของเยี่ยม?”

 

            “เอาไปทำเหี้ยอะไรกูเอาแค่ความรักความห่วงใยมาฝากมึงก็พอแล้ว”

 

แถหน้าด้านๆ

 

            “แล้วนี่มึงกินอะไรหรือยังวะ แขนเจ็บแบบนี้กินถนัดมั้ย”ไอ้แดนแตะๆไหล่ผมพลางพลิกดูหลังผมเบาๆ

 

            “กินแล้ว กินได้สบายมากกูไม่ได้ตักเอง”ผมพูดพลางเลื่อนสายตาไปมองไอ้คนที่คงไม่ได้สนใจฟังที่พวกผมคุยกันมันเสียบหูฟังฟังเพลงไปทำรายงานไปตั้งแต่ป้อนข้าวผมเสร็จแล้ว

 

          “ไม่ต้องเรียกกูแล้วนะถ้าไม่จำเป็นกูต้องปั่นรายงาน 3 เล่มเนี่ยไอ้เหี้ย”

 

            “แดน พุธนี้พรีเซ้นท์งานทำไงดีวะ กูมาเจ็บแบบนี้หมอยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล”ผมหันไปพูดกับไอ้แดนที่เริ่มหาของกินจากกระเช้าเยี่ยมของผมตามไอ้พวกนั้นไปอีกคน

 

            “เหลือแค่พรีเซ้นท์คือกูคนเดียวก็ไหวมั้งมึง เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูไปคุยกับอาจารย์อีกที”มันยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

 

            “แต่ส่วนของกูมึงจะจำไหวเหรอวะ”ผมยังกังวลเรื่องนี้อยู่ด้วยเนื้อหาที่ผมต้องอธิบายคือส่วนของแปลน

 

            “กูว่ากูไหว จากที่ซ้อมมากูก็พอจะจำส่วนของมึงได้ เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูหอบแบบมาลองพรีเซ้นต์ให้มึงดูถ้าตรงไหนไม่โอเคมึงก็เสริมให้กูก็ได้”

 

            “ฟังคนเรียนเก่งเค้าคุยกันแล้วปวดหัว”ไอ้ว่านมันกระแนะกระแหนก่อนจะลุกเดินไปเปิดตู้เย็น

 

            “โอ๊ะ องุ่น” มันตาลุกวาวเมื่อเห็นองุ่นราคาแพงจานใหญ่แช่ไว้ในตู้เย็น

 

            “วางไว้ที่เดิม”ผมบอกมันสียงเรียบเมื่อไอ้ว่านบังอาจยื่นมือไปหยิบจานองุ่นขึ้นมาถือ

 

            “ไมอ่ะเสี่ย มึงหวงกินอ่อ?”มันหันมาถามด้วยสายตาตัดพ้อ

 

            “ในกระเช้าเยอะแยะไปล้างแดกเอง”

 

            “แต่อันนี้มันแช่เย็นนะเสี่ย”

 

            “จานนั้นไม่ได้”ผมยังยืนยันคำเดิม ออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อไอ้ว่านทำท่าดื้อดึง ผมรู้ว่ามันแกล้งแต่ความหงุดหงิดกลับปิดไม่มิดไปซะอย่างนั้น

 

            “ไหนบอกซิทำไมกินไม่ได้”

 

            “จานนั้นของไอ้เซ็ทมันห้ามยุ่ง วางเก็บกลับไปที่เดิม”ผมพูดจบก็ถูกสายตา 6 คู่มองกลับมา

 

            “น่อออออออ......หวงน้อออ”

 

            “น่อออออออ.....ห้ามยุ่งของน้องเค้าน่อออออออ”

 

            “น่อออออออ....”

 

            “น่อที่หน้าพวกมึงไอ้เหี้ย ของแดกเยอะแยะจะแดกอะไรก็แดกไป”ผมคว้าแก้วน้ำเตรียมจะเขวี้ยงก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทหันมาพอดี มันเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมถือแก้วน้ำไว้ มืออูมๆของมันที่โคตรนุ่มตอนที่มันจับมือผมเมื่อคืนปลดหูฟังออกจากหู

 

            “มึงหิวน้ำเหรอ” มือที่กำลังจะเขวี้ยงแก้วใส่เพื่อนตกลงข้างตัวทันทีราวกับไม่มีแรง

 

            “เออ หิวน้ำ”ผมทำท่าไอให้ดูสมจริงนิดหน่อยไอ้เซ็ทลุกจากเก้าอี้เดินมาหยิบแก้วไปรินน้ำแล้วเสียบหลอดให้ผมดื่ม ผมมองสายตาเพื่อนๆที่จ้องเขม็ง พี่เด่นทำปากขมุบขมิบให้ผมอ่าน

 

            “ตอแหล”ผมดื่มน้ำที่ไอ้เซ็ทป้อนจนหมดครึ่งแก้วนั้น พอมันป้อนผมเสร็จก็ยัดหูฟังใส่หูแล้วกลับไปนั่งทำรายงานตามเดิมตัดขาดพวกผมออกจากโลกของมันอย่างสิ้นเชิง แล้วแม่งเปิดดังจนเสียงเพลงลอดออกมาจากหูฟังให้ได้ยินแว่วๆ

 

            “เหม็นโว้ยเหม็น”ไอ้อ้นทำท่าปัดจมูกไปมา

 

            “เหม็นอะไรน๊า”คราวนี้ไอ้ว่านทำจมูกฟุดฟิด

 

            “เหม็นความรักไงไอ้พวกโง่”ไอ้แพทตบหัวไอ้คอหอยกับลูกกระเดือกสองตัวก่อนจะลอยหน้าลอยตามาพูดใกล้ๆผม ผมสะบัดปลายเท้าใส่มันโชคดีที่มันหลบได้อย่างฉิวเฉียด

 

            “แหม เขินแรงนะไอ้สัด หน้าเบ้เจ็บสิ สมน้ำหน้า” มันเยาะเย้ยผมที่เอามือจับไหล่เบ้หน้าก่อนจะแหกปากหัวเราะอย่างสนุกสนาน

 

นี่สินะเพื่อนแท้ เพื่อนต้องล้อเลียนเพื่อนถากถางเพื่อนจนกว่าจะพอใจสินะ

 

ไอ้พวกชั่ว  พวกมันมาคุยเล่นกับผมจนถึงสี่โมงกว่าๆก็พากันกลับเพราะบางคนยังต้องเคลียร์งานที่อาจารย์สั่ง

 

พยาบาลเข้ามาฉีดยากับวัดไข้ก่อนจะหันไปบอกกับไอ้เซ็ทว่า

 

            “เดี๋ยวเช็ดตัวให้คนไข้ได้นะคะ”ไอ้เซ็ทรับคำอย่างว่าง่าย หลังจากพยาบาลตรวจนั่นตรวจนี่วัดไข้วัดความดันเสร็จแล้วไอ้เซ็ทก็เอาน้ำใส่กะละมังมาวางไว้ข้างเตียง ไม่ลืมที่จะรูดม่านปิดเผื่อมีใครเข้ามาเยี่ยม

 

            “เช็ดตัว”มันว่าพลางค่อยๆดึงสายเชือกที่ผูกเสื้อออกถอดเสื้อลอดสายน้ำเกลือออกจนเรียบร้อยแล้วจัดการเช็ดตัวให้ผมตั้งแต่หน้าจนถึงช่วงท้องแล้วก็เช็ดขา ผมรู้สึกปวดแผลนิดหน่อยตอนขยับตัว ไม่นานมันก็เช็ดตัวให้ผมเสร็จ เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกนำมาวางไว้ก่อนที่มันจะเริ่มใส่เสื้อให้ผมจนเรียบร้อย

 

            “เดี๋ยวมึง”ผมเรียกมันไว้เมื่อมันทำท่าจะเอากะละมังน้ำกับกางเกงที่ยังไม่ได้ผลัดให้ผมไปเก็บ

 

            “อะไร”มันทำหน้าเหวี่ยงใส่ผม

 

            “มึงยังไม่ได้เปลี่ยนกางเกงให้กูมั้ยล่ะจะเน่าแล้วเนี่ย”ผมร้องท้วงมันเมื่อตอนนี้ผมยังใส่กางเกงตัวเดิม ไอ้นี่ตอนเช็ดตัวก็ข้ามบางส่วนไปนี่ยังจะใจดำไม่เปลี่ยนกางเกงให้ผมอีก

 

            “ไม่ได้เปื้อนอะไรก็ใส่ๆตัวเดิมไปนั่นแหละ”มันว่าอย่างไม่ให้ความสำคัญกับสุขลักษณะอนามัยของผม

 

            “ไม่ได้ กูไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำมันสกปรก กูนอนไม่หลับหรอกแบบนี้อ่ะ”ผมยังคงไม่ยอม คราวนี้ไม่มีทางยอมแน่ๆ

 

            “โอ๊ย มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ”มันขึ้นเสียงใส่ผมอย่างหงุดหงิด ผมชักสีหน้าใส่มันทันที

 

            “ถ้ากูไม่ไปช่วยมึงจนตัวเองต้องมาเจ็บตัวกูก็ไม่ต้องพึ่งมึงหรอก ถ้ามึงไม่เต็มใจทำก็ไปเรียกพยาบาลมาแล้วมึงกลับบ้านไป”ผมพูดกับมันด้วยน้ำเสียงที่ตึงยิ่งกว่าหน้า ไอ้เซ็ทชะงักไปหน้ามันเจื่อนอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ มันเอากะละมังน้ำเข้าไปเก็บในห้องน้ำแล้วถือกางเกงตัวใหม่มาหยุดที่ผม

 

            “ที่กูทำเนี่ยเพราะมึงเจ็บตัวเพื่อกูทั้งๆที่กูไม่ได้ต้องการหรอกนะ”มันบ่นเบาๆก่อนจะค่อยๆถอดกางเกงตัวที่ผมใส่ออก แก้มกับหูมันแดงนิดๆ ตาของมันเสมองไปทางอื่นก่อนจะสวมกางเกงตัวใหม่ให้อย่างรวดเร็ว มันรูดม่านเปิดตามเดิมไม่นานอาหารเย็นก็ถูกนำเข้ามาให้ไอ้เซ็ททำหน้าที่หยิบจับบริการผมเหมือนที่ทำมา 2 มื้อ คราวนี้เป็นข้าวสวยกับกับข้าว 2 อย่างผมตักกินเองได้ด้วยมือซ้ายของผม เสียดายนิดหน่อยน่าจะเป็นอาหารเส้นๆอีกเนอะจะได้กินลำบากๆหน่อย

 

เอ๊ะ...

 

 

ผมจัดการกับอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้ด้วยความจำใจ มันไม่ถูกปากผมเลยซักนิดกินได้ไม่กี่คำผมก็วางช้อนลง ไอ้เซ็ทมองผมด้วยสายตาตำหนิที่เห็นข้าวเหลือเต็มถาด

 

            “ข้าวทุกจานอาหารทุกอย่างอย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่าสงสารบรรดาเด็กตาดำๆ”มันท่องประโยคคุ้นหูออกมาราวกับจะประชดก่อนจะจัดการเลื่อนโต๊ะเมโยกับถาดอาหารออกไปวางข้างเตียง ผมไม่ได้ตอบโต้มันเพราะยังเคืองๆมันอยู่กับเรื่องเมื่อเย็นเมื่อพยาบาลเข้ามาจัดยาหลังอาหารให้กับฉีดยาแก้อักเสบในที่สุดผมก็เคลิ้มหลับไป

 

 

ผมรู้สึกตัวตื่นตอนสองทุ่มกว่าๆ ไอ้เซ็ทนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา มันหัวเราะเบาๆเมื่อหนังที่ดูตลกบนตักของมันมีจานองุ่นจานใหญ่ที่ผมพิทักษ์ไว้ให้มันเมื่อตอนบ่ายวางอยู่ มือนุ่มๆของมันก็ส่งองุ่นเข้าปากเคี้ยวช้าๆลูกแล้วลูกเล่า

 

            “กินมั่งดิ่วะ”ผมร้องบอกมันเมื่อมันไม่หันมาสนใจผมซักที ไอ้เซ็ทหันมามองผมก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาผมอย่างว่าง่าย สายตามันก็จดจ่ออยู่กับหนังเรื่องดังที่ค่อนข้างเก่าแล้ว มันยื่นจานองุ่นให้ผมแต่ผมยังคงนิ่งไม่ขยับตัว

 

            “อ่าว หยิบกินดิ่”มันหันมาบอกกับผม

 

            “ป้อนหน่อย”คราวนี้มันละสายตาจากทีวีมามองผมด้วยสายตาขุ่นๆ

 

            “ปวดแผลไม่อยากขยับ”ผมบอกมันตามจริง มันยื่นหลังมือมาอังที่หน้าผากของผม

 

            “ตัวมึงร้อนๆว่ะ เรียกพยาบาลมั้ย?”มันวางจานองุ่นลงบนโต๊ะข้างเตียง ผมส่ายหน้าปฎิเสธ

 

            “ไม่เอา ตอนนี้กูหิว มึงป้อนกูหน่อย”

 

            “กินนมมั้ยเดี๋ยวกูหยิบให้”

 

            “ไม่เอากูจะกินองุ่นกับมึง”มันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง

 

            “เออๆ กูป้อนให้ก็ได้”มันปลิดผลองุ่นออกจากพวงก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากของผม

 

            “ปอกเปลือกด้วย”

 

            “องุ่นบ้านมึงแดกต้องปอกเปลือก เขาแดกกันทั้งเปลือกมั้ย?”มันแหวใส่ผมอีกรอบ

 

            “ก็ตอนแม่กูอยู่ แม่ก็ปอกเปลือกให้กู แม่บอกว่าเปลือกมันยาฆ่าแมลงเยอะ”อันนี้ผมไม่ได้ตอแหลจริงๆนะครับ ตอนแม่ของผมยังอยู่ท่านจะค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วป้อนให้ผมกินทีละลูก ตั้งแต่แม่เสียผมก็ไม่เคยซื้อกินเองอีกเลย ถึงแม้ในบ้านมีวางไว้ผมก็ไม่กิน มีบางครั้งที่น้าลดาว่างแกก็จะนั่งปอกเปลือกใส่กล่องทัพเพอร์แวร์แช่ตู้เย็นไว้ให้ นั่นแหละผมถึงได้กิน

 

มันถอนหายใจเบาๆ สายตาที่มันมองมาที่ผมดูอ่อนลงไปมากโขจากนั้นมันจึงค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วยื่นใส่ปากให้ผม พอผมงับองุ่นเข้าปากมันก็ส่งอีกลูกเข้าปากตัวเองทำแบบนี้สลับกันผมถามเนื้อหาหนังจากมันเมื่อมีฉากที่ไม่เข้าใจ บางฉากก็ด่าตัวละครบางฉากก็หัวเราะประสานเสียงไปกับมัน องุ่นลูกแล้วลูกเล่าถูกป้อนเข้าปากของผมกับมันสลับกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งองุ่นหมดจานและหนังก็จบเรื่องพอดี

 

ผมแอบยิ้มบางๆ องุ่นที่รสชาติหวานอยู่แล้วพอมันปอกให้กินกลับหวานมากกว่าเดิม

 

สงสัยกว่าจะหายเจ็บคงได้เบาหวานเป็นของแถมแน่ๆ

 

 

 

 

            คณินนอนมองคนที่ซุกกายกับผ้าห่มผืนบางร่างโปร่งของเศรษฐพงศ์นอนราบยาวกับโซฟาตัวยาวมุมห้องไม่ห่างจากเตียงของเขาแพขนตาหนาเหมือนลูกกวางยามกระพริบตาส่งให้ดวงตากลมโตนั้นหวานขึ้น สันจมูกโด่งรับกับโครงหน้าที่มีสันกรามชัดเจน ริมฝีปากอิ่มนั้นคณินจำได้ดีว่ามันนุ่มหยุ่นเหมือนเยลลี่รสชาติดีราคาแพงขนาดไหน

 

            “มึงแม่งมาทำอะไรกับใจกูวะไอ้เซ็ทไอ้เด็กเหี้ย”คนป่วยพึมพำเบาๆก่อนจะปิดเปลือกตาลง

 

 

            เช้าวันใหม่กิจวัตรประจำวันก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ช่วงสายหมอมาตรวจและพูดคุยเกี่ยวกับอาการของเขา ชายหนุ่มอาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานสองสัปดาห์นั่นเป็นคำพูดที่น่าเบื่อที่สุดในโลก คณินเบื่อทุกอย่างที่เป็นโรงพยาบาล เบื่ออาหารจืดๆ เบื่อพยาบาลที่เดินเข้าออก เบื่อที่ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนตามที่อยากไปแต่อย่างน้อยคณินก็ไม่เบื่อที่มีเศรษฐพงศ์เดินไปเดินมาวนเวียนอยู่ในห้อง เป็นสิ่งๆเดียวที่ทำให้คณินยังพอมีอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เศรษฐพงศ์จะหายออกไปจากห้องก็ตอนที่เขากินข้าวกินยาเสร็จแล้วเด็กหนุ่มถึงจะลงไปหาอะไรง่ายๆที่ร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาลและจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดเพราะคณินบอกว่าไม่อยากอยู่ในห้องพักคนเดียว  รายงานสามเล่มถูกทำเสร็จเรียบร้อยเอาในตอนบ่าย สีหน้าของคณินดีขึ้นแล้วไม่ได้ซีดเหมือนเมื่อวานซึ่งนั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย การอยู่ร่วมกันในห้องพิเศษนี้ไม่ได้อึดอัดตามที่คิดเอาไว้ในตอนแรก นอกจากด่ากันลับฝีปากกันเล็กๆน้อยให้พอหอมปากหอมคอแล้วคณินก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือดูถูกเขาแบบเมื่อก่อนแล้ว

 

เศรษฐพงศ์รู้สึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้คณินไม่ทำความรู้จักกับเขาแบบในตอนนี้ เสียดายเวลาร่วมสองปีที่ทะเลาะต่อยตีกันจนความรู้สึกในใจกลายเป็นเกลียดกันไปในที่สุด ถ้าไม่เอาแต่ทะเลาะกันสองปีที่ผ่านมาเขาและคณินอาจจะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ดูได้จากเมื่อวานที่เพื่อนๆของคณินมาพวกเขาดูรักใคร่กลมเกลียวกันดีแม้จะมีแกล้งกันบ้าง ถึงเขาจะเสียบหูฟังแต่ก็แอบมองอยู่เป็นระยะ คณินยิ้มกว้างหัวเราะเสียงดังเมื่ออยู่กับเพื่อน ดูแล้วไม่ได้ต่างจากตอนที่เศรษฐพงศ์อยู่กับเพื่อนเลย

 

ตัดความกวนประสาทและเอาแต่ใจออกไปคณินก็คือเด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ธรรมดาๆคนหนึ่ง

 

แล้วทำไมมันชอบกวนตีนเขาแท้วะ

 

ระหว่างวันยังคงมีเพื่อนๆของพ่อแวะมาเยี่ยมเยือนคณินอยู่เรื่อยๆ แม้เด็กหนุ่มจะเบื่อแสนเบื่อขนาดไหนเขาก็ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มต้อนรับคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าเป็นมิตร คณินโตพอที่จะรู้ว่าคนเหล่านี้คือผลประโยชน์และรายได้ที่เขาจะมีในอนาคต เด็กหนุ่มรู้จักใช้คำพูดคำจาให้ผู้ใหญ่เอ็นดูแต่ก็ไม่ได้ใสซื่อจนดูตามไม่ทัน ตกบ่ายนั่นแหละถึงได้พักอย่างจริงๆจังๆ เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังออกมาจากคนสองคนพร้อมกัน เศรษฐพงศ์เองก็เหนื่อยไม่แพ้คณิน เด็กหนุ่มเหนื่อยกับการกลายเป็นที่จับจ้องและตอบคำถามน่าเบื่อซ้ำๆเพียงเพราะเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของคณิตสายตาดูถูกเลยถูกส่งมาให้อย่างไม่คิดจะปิด

 

ทำดีกับเขาไปก็ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน ยังดีที่มีบางคนยังคงหลงเหลือคำว่ามารยาททักทายเขาอย่างห่างเหินแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายนัก เศรษฐพงศ์จัดการห่มผ้าให้กับคนป่วยที่หลับไปอีกรอบจ้องมองใบหน้าหล่อสะอาดนั้นแล้วก็ยื่นมือไปลูบผมคนป่วยเบาๆ

 

ความรู้สึกสงสารแล่นเข้ามาในใจของเศรษฐพงศ์คล้ายๆหมอกในยามเช้ามันก่อตัวอย่างช้าๆ

 

คณินคือสะพานที่คนเหล่านั้นใช้เดินเพื่อเขเหาผลประโยชน์ และเช่นกัน คณินคือสะพานที่พ่อก้าวข้ามไปตักตวงจากคนพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ บรรดากระเช้าของฝากต่างมีนามบัตรบริษัทตัวเองติดไว้เด่นหรา

 

โลกของผู้ใหญ่มันน่ากลัว ผลประโยชน์ทำให้มองข้ามหัวใจอันบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งไปตั้งแต่ต้น จะมีใครซักคนมั้ยที่มาเยี่ยมคณินอย่างจริงใจนอกจากกลุ่มเพื่อน คำตอบคือไม่มี ยิ่งพอรู้ว่าคณิตไม่ได้อยู่กับลูกชายคนเหล่านั้นมาฝากเนื้อฝากตัวแล้วก็จากไป เศรษฐพงศ์อยากจะเอาป้ายห้ามเยี่ยมไปติดให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีสิทธิ์มากมายขนาดนั้น เด็กหนุ่มใช้ช่วงเวลาที่คนป่วยหลับแกะเอาผลไม้พวกแอปเปิ้ล ฝรั่ง องุ่นไปล้างแล้วปอกเปลือกแช่เย็นไว้ หลังจากได้อยู่ด้วยกันมา 2 วันเศรษฐพงศ์รับรู้อีกอย่างว่าคณินกินผลไม้ต้องปอกเปลือกทุกชนิด แม้แต่ส้มก็ต้องลอกใยออก ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยเห็นคนป่วยกินผลไม้เพียงเพราะว่าไม่มีใครเตรียมไว้ให้

 

คณินถูกแม่เลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน ลูกชายของเธอจะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด สะอาดที่สุด ปลอดภัยที่สุด ส่วนคณิตเลี้ยงลูกอย่างผู้ชายเลี้ยงไม่มีความละเอียดอ่อนบ่อยครั้งเต็มไปด้วยความละเลยปล่อยปละ ไม่แปลกถ้าคณินจะมีนิสัยหยาบกระด้างในบางครั้ง เศรษฐพงศ์ปอกผลไม้เรียงใส่กล่องอย่างตั้งใจ แยกชนิดแล้วแช่ตู้เย็นก่อนจะคว้ากุญแจรถออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มขับออกมาไกลจนถึงตลาดเรดซิตี้เพื่อหาข้าวไว้กินตอนเย็น ขนมกินเล่น ลูกชิ้น ไส้กรอกย่างถูกสั่งมาในปริมาณที่พอกินกัน 2-3 คน เพราะจำได้ว่าเย็นนี้แดนธรรมจะหอบปัญหาพิเศษมาซ้อมพรีเซ้นท์กับคณิน แวะซื้อข้าว 3 กล่องทุกกล่องสั่งพิเศษทั้งหมด ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทยนั้นของคณินเพราะคนตัวสูงกินเผ็ดไม่ได้แถมแผลก็ยังใหม่จะสั่งข้าวผัดก็มีไข่เป็นส่วนผสมเศรษฐพงศ์ไม่อยากให้กินเพราะกลัวแผลจะหายช้า เขาจำได้ว่ายายเคยสอนว่าถ้าเป็นแผลแล้วกินไข่จะหายช้าและแผลเป็นจะชัด ผิวของคณินไม่ควรต้องมามีแผลเป็นน่าเกลียดเพราะเขาเลยด้วยซ้ำ ส่วนข้าวผัดกะเพราอีก 2 กล่อง สำหรับเขาและแดนธรรม เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้วเศรษฐพงศ์ก็ขับรถกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คนป่วยยังคงหลับอยู่อาจจะด้วยความเพลียหรือฤทธิ์ยาเศรษฐพงศ์ก็ไม่รู้ วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วเดินมาหยุดข้างเตียง ยื่นมือไปแตะผิวแก้มนั้นเบาๆก็พบว่าไข้ของคนป่วยลดลงแล้วตัวไม่ร้อนรุมๆแบบเมื่อคืนแต่ตอนจะชักมือออกคนป่วยกลับจับมือของเขาไว้แล้วซุกแก้มราวกับลูกแมวขี้อ้อน คณินไม่ได้พูดอะไรออกมานั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้ว่าคนตัวสูงแค่ละเมอหรืออาจจะกำลังฝันหวานถึงใครซักคน ริมฝีปากที่ชอบพ่นคำพูดร้ายกาจนั้นยิ้มบางๆราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลับฝันดีและเขาเองก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทำลายความฝันนั้นของใครจึงปล่อยให้คณินยึดมือของตัวเองไว้อย่างนั้น ร่างโปร่งนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองคนป่วยจนความง่วงเข้าควบคุมเขาไปอีกคน

 

            แดนธรรมมาหาคณินตอนเลิกเรียนเมื่อเปิดห้องเข้าไปก็พบคนป่วยและคนเฝ้านอนหลับโดยคนเฝ้านั่งหลับอยู่ข้างๆเตียงมือของเศรษฐพงศ์ถูกคณินกุมไว้โดยมีใบหน้าซบลงไปอีกที

 

ไอ้คนปากแข็งเอ้ย หลงเขาหัวปักหัวปำแต่ดันไม่รู้ตัว แดนธรรมไม่ปล่อยโมเม้นท์นี้ให้พลาดไปอย่างเปล่าประโยชน์ร่างสูงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปก่อนส่งให้เพื่อนๆดูในกรุ๊ปไลน์ ข้อความกระแนะกระแหนถูกส่งกลับมาราวกับหางว่าว ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆกับข้อความของเพื่อนๆก่อนจะแกล้งเดินออกไปจากห้องแล้วเคาะประตู เศรษฐพงศ์สะดุ้งๆน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงเคาะเด็กหนุ่มลืมตาตื่นพลางดึงมือออกจากมือคณินเช็ดหน้าเช็ดตายืนขึ้นบิดขี้เกียจก็พอดีกับที่แดนธรรมเปิดประตูเข้ามาพอดี

 

            “หลับเหรอ?”ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วแต่แกล้งถามเพื่อความเนียน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ

 

            “หลับนานยัง?”

 

            “ตั้งแต่บ่ายสาม วันนี้คนมาเยี่ยมเยอะเมื่อคืนไข้ขึ้นหมอให้ยาแล้วก็หลับเลย จะปลุกมั้ย?”

 

            “ไม่เป็นไรให้มันนอนไปก่อน รอได้ แล้วนี่มึงกินอะไรยัง?”แดนธรรมเอ่ยถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงๆพวกเขาเองไม่ได้เกลียดพวกของเศรษฐพงศ์ ที่ผ่านๆมาเขาแค่เป็นพวกเพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ

 

            “กูกินไปแล้วเมื่อบ่าย เออ กูซื้อข้าวมาเผื่อมึงด้วยนะถ้าหิวก็กินได้เลย”เศรษฐพงศ์ชี้ๆไปยังกองของกินที่วางไว้ แดนธรรมพยักหน้ารับเอ่ยขอบใจเบาๆ

 

            “มึงอยู่เป็นเพื่อนมันก่อนได้มั้ยกูขอกลับบ้านหน่อย พรุ่งนี้กูมีเรียนจะกลับไปเอาชุดนักศึกษา”

 

            “เออได้ๆมึงไปเถอะ”

 

            “ถ้าข้าวเย็นมามึงบอกให้มันกินเยอะๆหน่อยนะ ข้าวในกล่องอย่าเพิ่งให้มันกิน แล้วก็ถ้ามันไม่อิ่มเอาผลไม้ในตู้เย็นให้มันกินล้างปากนะ”เศรษฐพงศ์สั่งสำทับเมื่อแดนธรรมพยักหน้ารับเด็กหนุ่มจึงคว้าเป้สะพายหลังออกจากห้องไป ราวๆ 20 นาทีพยาบาลก็เข้ามาวัดไข้แล้วให้ยาก่อนข้าวคณินถึงได้รู้สึกตัวตื่น สายตาคมกวาดตามองหาคนเฝ้าแต่ก็พบเพียงแดนธรรมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว

 

            “ไอ้เซ็ทล่ะ”

 

            “แหม ตื่นมาก็ถามหาเลยนะ เป็นอะไรกับเค้าอ่ะ”เก็บโทรศัพท์พลางเอ่ยแซวเสียงเรียบแต่ดวงตาของแดนธรรมนั้นเป็นประกายอย่างนึกสนุก

 

            “ไม่เสือกดิ่”คนป่วยบริภาษกลับอย่างชินปาก

 

            “กูว่าไอ้เซ็ทมันน่ารักดีว่ะ ดูสิมันซื้อของกินมาเตรียมไว้รอกู กูถามจริงๆนะไอ้คินมึงชอบมันป่าววะ”แดนธรรมแกล้งหยั่งเชิง เค้ารู้ว่าคณินน่ะเป็นพวกปากแข็งชนิดว่าเอาคีมมาง้างก็ไม่ออก

 

            “ชอบเหี้ยอะไร”

 

            “ก็ดี ถ้ามึงไม่ชอบกูว่าจะจีบแม่ง น่ารักดี”

 

            “อย่ามายุ่งกับมัน”คณินเอ่ยเสียงตึงหัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้

 

            “มึงเอาสิทธิ์อะไรมาห้ามกูวะ ในเมื่อมึงไม่ชอบกูมีสิทธิ์จะจีบมันป่าววะ กูถือคติไม่ยุ่งกับคนที่เพื่อนชอบมึงก็รู้กูถึงได้ถามมึงก่อนถ้ามึงชอบมันกูจะได้ถอย”แดนธรรมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่สายตาขี้เล่นกลับดูจริงจัง เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มอยู่แล้วถ้าเพื่อนคนใดคนหนึ่งไปชอบใครคนที่เหลือจะไม่จีบแข่งเด็ดขาด คณินมองแดนธรรมด้วยสายตาอ่านไม่ออกก่อนน้ำเสียงทุ้มจะเอ่ยชัดทุกถ้อยคำ

 

            “เออ กูชอบมัน พอใจมึงยัง?”

 

 

 

 

......................

10 แต้มให้แดนธรรมค่ะ



อากีล่าเราจะทำดีที่สุด เฮ๊!!!



ช่วงไหนอ้อนได้ก็ตักตวงไว้เยอะๆ เดี๋ยวหายก็ไม่ได้อ้อนแล้ว



ปล.มันมีจริงๆนะคนที่กินองุ่นต้องปอกเปลือกน่ะ พี่คินไม่ได้ดัดจริต



ปกติคือถ้าต้องปอกเองพี่คินถือคติแดกยากก็ไม่แดกแม่งแล้ว 55555555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด