BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))  (อ่าน 27663 ครั้ง)

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เนี่ย มังต้องอย่างนี้ พี่คิณอ่ะต้องใจแข็งบ้าง

เซ็ทมันต้องซมซานกลับมาหาแน่นวล

รอออออออนะค้าาาา  :bye2:

ปล. ตอนล่าสุดเหมือนลงซ้ำรึเปล่าคะ

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
อุแง...ไม่ซ้ำนะคะ
เนี่ย มังต้องอย่างนี้ พี่คิณอ่ะต้องใจแข็งบ้าง

เซ็ทมันต้องซมซานกลับมาหาแน่นวล

รอออออออนะค้าาาา  :bye2:

ปล. ตอนล่าสุดเหมือนลงซ้ำรึเปล่าคะ

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

                คณิน::

 

ผมลืมตาตื่นในตอนเช้า เสียงพูดคุยดังแว่วๆจากด้านล่างที่เป็นสวนหย่อมที่เราเอาไว้นั่งเล่นหรือจัดเลี้ยงสังสรรค์กันในบางโอกาส เสียงที่คุ้นเคยดังมาให้ผมใจเต้นแรงเล่นเสียอย่างนั้น

 

เสียงหัวเราะของไอ้เซ็ท อีกเสียงหนึ่งที่พูดคุยกับมันก็คือน้าลดา วันนี้คงไม่มีงานที่ต้องรีบไปตอนเช้าน้าลดาถึงได้มีเวลามานั่งเล่นพูดคุยกับลูกชายได้ ผมเดินไปแอบแง้มม่านดูเห็นมันนั่งกินสาคูไส้หมูอยู่ แก้มมันตุ่ยเป็นก้อนเหมือนหนูแฮมสเตอร์ยามที่ยัดสาคูไส้หมูไปทั้งลูก

 

น่ารักชิบหายเลย

 

น่ารักจนเลือดกำเดาเกือบไหล

 

แก้มฟูๆของมันที่นุ่มกว่าใคร ปากงุ้ยๆของมันยามเคี้ยวตุ้ยๆนั่นก็นิ่มตรึงใจ

 

ความรักทำไมมันทรมานขนาดนี้นะ อยากพูดคุย อยากได้รับเสียงหัวเราะนั้นแต่สิ่งที่ทำได้คือแอบมอง เข้าใกล้มาไปก็โดนถอยห่าง อยู่ไกลๆก็ทรมาน เจ็บจนต้องยกมือขึ้นมากุมอกซ้ายไว้

 

เจ็บจนตัวงอ

 

ผมหมกตัวเองอยู่ในห้องจนเกือบเที่ยง ปฏิเสธการลงไปกินข้าวร่วมโต๊ะในตอนเช้าด้วยข้ออ้างว่าง่วงอยากนอน เมื่อลงมาข้างล่าง น้าลดากำลังเตรียมอาหารกลางวันอยู่ และแน่นอนไอ้เซ็ทกับพี่เรียมเป็นลูกมือ

 

                “อ้าวคิน จะไปไหนคะ ไม่อยู่กินกลางวันเหรอลูก วันนี้น้าทำขนมเบื้องญวนเห็นคินบอกอยากกินนี่นา”ผมชะงักกับเสียงร้องทักของน้าลดา ส่งยิ้มพลางส่ายหน้าให้

 

                “ไม่ล่ะครับ น้าลดาทานกับป๊าเลยคินจะออกไปธุระกับพวกไอ้แดน”

 

                “เสียดายจัง นานๆจะว่างอยู่บ้านได้ งั้นไปเถอะค่ะ ขับรถดีๆนะ”น้าลดาบ่นเสียดายที่ผมไม่อยู่กินขนมเบื้องญวณกับแกอีกสองสามคำกับไอ้เซ็ทซึ่งผมก็ไม่ได้อยู่ฟังรีบขับรถออกมาก่อน

 

และแน่นอนผมคงไปไหนไม่ได้นอกจากบ้านไอ้แดน ผมใช้เวลาขลุกอยู่ที่บ้านไอ้แดนหลายชั่วโมง ไม่ได้ทำอะไรมากแค่นั่งๆนอนๆ ดูหนัง เล่นเกมส์ ช่วยมันจัดกระเป๋าที่จะย้ายไปอยู่หอที่กรุงเทพ ไอ้แดนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยมีพี่เด่นช่วย มันจะย้ายไปอยู่กับพี่เด่น ส่วนผมติดต่อเช่าคอนโดใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยไว้แล้วเหลือแค่รอย้ายเข้า พวกไอ้แพร ไอ้ว่าน ไอ้แพท ไอ้อ้นตกลงแชร์ห้องกันใกล้ๆกับคอนโดของผม ป๊าบอกว่าถ้าชอบป๊าจะซื้อให้แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นั่นถาวรอยู่จนถึงเรียนจบก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ ผมนอนดูหนัง นอนคุยกับไอ้แดนด้วยเรื่องสัพเพเหระ แน่นอนเรื่องไอ้เซ็ทเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา  ความอัดอั้นต่างๆถูกระบายให้ไอ้แดนฟัง

 

แน่นอนคนเจ้าแผนการณ์อย่างไอ้แดนสามารถให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อผมได้  อย่างน้อยถึงมันจะลำบากใจแต่คำพูดดีๆของมันก็ช่วยเยียวยาจิตใจอันอ่อนล้าของผมให้พอมีแรงฮึดขึ้นมาได้บ้าง

 

บางทีผมก็คิดนะว่าผมควรพอ

 

มันไม่มีทีท่าว่าจะมีใจให้ผมเลยซักนิดแล้วผมจะยื้อความรู้สึกนี้ไว้ทำไม

 

ไม่แน่ถ้าไปเรียนที่กรุงเทพ ต้องห่างกับมัน หัวใจของผมอาจจะเยียวยาตัวเองฟื้นฟูความรู้สึกตัวเองให้ดีขึ้นมาได้

 

บางทีผมอาจจะเลิกรักเลิกชอบมันได้ในไม่ช้า  หวังว่าถึงตอนนั้นใจของผมคงจะยังไม่พังมากไปกว่านี้แล้ว

 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมนอนมองนาฬิกาที่ผนัง สองทุ่มกว่าแล้วไอ้คินยังไม่กลับมา  ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่ามันพยายามหลบหน้าผมหรือว่ายังไง  แต่ตอนนี้เหมือนผมจะมั่นใจหน่อยๆล่ะ

 

ใช่ ไอ้คินหลบหน้าผม

 

ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดี แต่การที่ต้องอยู่ในบ้านด้วยกันแล้วลุงมาจับสังเกตได้ว่าผมกับมันตึงๆกันอยู่อันนี้ก็ไม่เวิร์คแฮะ  ผมนอนคุยไลน์กับเพื่อนๆเรื่อยเปื่อยจนเกือบสามทุ่ม เสียงรถยนต์ก็มาจอดหน้าบ้าน

 

แน่นอนเสียงคุ้นหูนี่ไม่ใช่รถใครหรอก ผมรีบวิ่งไปแอบดูตรงหน้าต่าง ไอ้คินลงมาเปิดประตูรั้วด้วยตัวเอง หน้าตาบึ้งๆของมันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนผมหลุดขำ

 

คนอะไรชอบทำหน้าเหมือนมีขี้ติดปลายจมูกอยู่ตลอดเวลา มันขับรถเข้ามาในบ้าน วกกลับไปปิดประตูอีกรอบไม่นานเสียงเปิดประตูและปิดลงก็ดังจากห้องของมัน

 

มันขึ้นห้องมาเร็วอย่างนี้แสดงว่าไม่กินข้าวที่แม่ครอบไว้ให้ในครัว  ผมเดินลงไปข้างล่างเปิดตู้เย็นแล้วเอาไส้ขนมเบื้องญวนออกมาอุ่น  เอาไข่ที่แม่ทำไว้ให้เวฟนิดหน่อยให้พออุ่นแล้วห่อไส้ที่เตรียมไว้ จัดจานแบบที่คิดว่าน่ากินที่สุดตักอาจาดใส่ถ้วยเล็กๆแล้วถือขึ้นมาด้านบน

 

                “คินเค้าเปรยๆว่าอยากกินขนมเบื้องญวนมาหลายวันแล้ว บอกว่าตอนเด็กๆแม่ทำให้กิน หลังแม่เสียก็แทบจะไม่ได้กินอีกเลย เคยไปซื้อกินแต่ไม่อร่อยแม่เลยจะทำให้ไหนๆก็อยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตาแต่เจ้าตัวดันมีธุระซะนี่ ขนมเบื้องของแม่เลยเป็นหม้ายเลย” ผมฟังแม่บ่นด้วยเสียงงุ้งงิ้งตามแบบของแม่ ก่อนจะขอให้แม่ทำเผื่อไว้อีกชุด

 

                “ทำไว้ทำไมล่ะลูก?”

 

                “เซ็ทเอาไว้กินตอนกลางคืนน่ะแม่เผื่อหิว”ผมตอบแม่พลางส่งยิ้มการค้าไปให้อีกทีหนึ่ง แม่ไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงผัดไส้แล้วทอดไข่ให้ใหม่ บอกวิธีการอุ่นให้ผมเรียบร้อย  ตกเย็นผมก็อยู่บ้านเพียงคนเดียวเพราะลุงกับแม่ออกไปงานเลี้ยงที่โรงแรม

 

ผมเดินมาหยุดหน้าห้องของไอ้คิน หยุดคิดอย่างช่างใจนิดหนึ่ง

 

แบบนี้มันจะดีมั้ยวะ

 

ทำแบบนี้จะไปให้ความหวังมันอีกหรือเปล่า

 

ถ้าตอนนี้ไอ้คินมันกำลังตัดใจจากผมอยู่การที่มันหมางเมินใส่ผมแบบนี้ก็ดีแล้วนี่ แล้วผมจะมาห่วงความรู้สึก ห่วงตัวมัน เอาตัวเข้ามาใกล้ชิดกับมันอีกทำไม แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นผมเองเหรอที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างเราเข้ามาหามันเอง

 

คิดได้ดังนั้นผมมองขนมเบื้องญวนในมือถอนหายใจเบาๆ

 

ขอโทษน๊า สงสัยฉันคงต้องกินแกเองตามที่บอกแม่แล้วล่ะ

 

ผมก้าวขาเตรียมจะกลับห้องก็พอดีกับประตูห้องของไอ้คินเปิดออกมา...

 

 

 

คณินเหลือบตามองเศรษฐพงศ์ที่ยืนหน้าตาตื่นท่าทางเก้ๆกังๆนั้นดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังลนลาน ในมือมีจานขนมเบื้องญวนชิ้นใหญ่ถืออยู่

 

                “มีอะไร?”น้ำเสียงเย็นชาหมางเมินถูกส่งไปให้ เจ้าของเสียงกลั้นใจทำเข้มแทบตายเพื่อรักษาภาพขรึมของตัวเองไว้ แม้ในใจจะเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ดูก็รู้ว่าคนเป็นน้องเอาของที่ถือมาให้เขา  อยากจะยิ้มให้เหงือกแห้งแทบแย่แต่ก็ต้องดึงหน้าไว้

 

คลามดาวน์คณินเอ็งต้องฮึ๊บไว้ คลามดาวน์นาววววว

 

                “เอ่อ..คือ...กู...”เศรษฐพงศ์หลุบตามองเท้าตัวเองต่ำพูดจาตะกุกตะกักราวกับคนที่ลืมวิธีการพูด

 

                “ถ้าไม่มีอะไรก็ช่วยหลบด้วยกูจะลงไปกินข้าว”คณินยังคงส่งน้ำเสียงเรียบสนิทไปให้ ทำท่าจะเดินเลยผ่านคนน้องไปจนเศรษฐพงศ์ต้องคว้าต้นแขนไว้  คณินมองมืออูมๆที่จับแขนตัวเองไว้ ในใจราวกับมีสล็อตออกมาเต้นระบำเริงรื่นนับล้านตัว

 

แม่ครับไอ้เซ็ทจับแขนผม มันแตะเนื้อต้องตัวผมแบบนี้ผิดผีมั้ยครับ แง้ มารับผิดชอบกูเลยไอ้สัด  อย่า อย่ายิ้มนะไอ้เหี้ยคินมึงต้องคีพลุค คลามดาวน์ คลามดาวน์นะไอ้คิน

 

                “เดี๋ยวสิ...”เศรษฐพงศ์รั้งต้นแขนของอีกฝ่ายเมื่อคณินจะดึงออก

 

                “กูเก็บไว้ให้มึง เห็นแม่บอกมึงอยากกิน”

 

                ไม่จำเป็นป่าววะ”

 

                “จำเป็นสิ กินก็อยากให้ได้กินด้วยกันทั้งบ้านมึงรีบกินนะกูเพิ่งอุ่นมาให้ยังร้อนๆอยู่ กูไปล่ะ” เศรษฐพงศ์ยัดจานใส่มือคณินก่อนจะหมุนตัวก้าวฉับๆกลับห้องของตัวเองไป  คณินมองจานขนมเบื้องญวนชิ้นใหญ่ในมือก่อนที่ริมฝีปากจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ  ชายหนุ่มรีบประคองจานเข้าห้องล็อคประตูอย่างดีพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปคู่กับจานขนมเบื้องญวนไปประมาณร้อยกว่ารูป ส่งรัวๆไปให้แดนธรรมจนเพื่อนคนสนิทโทรมาด่าจนหูแทบชา

 

                “พอแล้วไอ้สัดคินปลื้มขนาดนี้อย่าแดกเลยถ้าแดกไปแล้วก็อย่าขี้เก็บไว้กราบเถอะไอ้สัดแค่ขนมเบื้องญวนจานเดียวทำยังกะเค้ายอมให้เยไอ้เหี้ย”

 

 

 

 

 

 

          คณินเอาข้าวของที่เตรียมจะเอาไปใช้ที่กรุงเทพมาวางลงบนเตียงพลางตรวจเช็คสิ่งที่ยังขาด ชายหนุ่มเปิดประตูห้องทิ้งไว้เพื่อให้แม่บ้านมาทยอยขนไปใส่รถ ลดาเดินมาดูเผื่อคณินจะมีอะไรให้ช่วย ชายหนุ่มเอ่ยปฎิเสธน้ำใจนั้นของแม่เลี้ยงด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีอะไรมากแล้วที่เหลือก็แค่แบกข้าวของพวกนี้ไปใส่รถ

 

            “งั้นเดี๋ยวน้าเรียกเซ็ทมาช่วยยกนะคะ”

 

            “ไม่เป็นไรครับน้า เดี๋ยวผมยกลงไปเองดีกว่า”คณินรีบร้องห้ามเมื่อลดาบอกว่าจะไปตามลูกชายให้มาช่วยยกของ

 

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะอีกอย่างแขนคินเวลายกของหนักจะเสียวแปล๊บๆไม่ใช่เหรอคะ ให้เซ็ทช่วยยกนั่นแหละค่ะ”ลดาสรุปเสร็จสรรพด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่คณินโดนยิงมาหล่อนก็รู้สึกขอบคุณที่เด็กหนุ่มช่วยชีวิตลูกของหล่อนไว้ เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆไม่ถือเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง คนเป็นแม่ก้าวเร็วๆไปหยุดหน้าห้องลูกชายที่ยังคงเงียบกริบก่อนเคาะประตูเบาๆ รอไม่นานเศรษฐพงศ์ก็เปิดประตูออกมา

 

            “มีอะไรครับแม่?”ชายหนุ่มสวมแว่นสายตาแสดงว่ากำลังอ่านหนังสือหรือไม่ก็เล่นคอมพ์ เศรษฐพงศ์อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตลายสก๊อตสีแดงกับกางเกงยีนส์เข้ารูปเผยช่วงขาเรียวยาวเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในช่วงบ่ายนี้

 

            “เซ็ทไปช่วยพี่คินยกกระเป๋าทีลูก แขนพี่เค้าไม่ค่อยดี เดี๋ยวแม่จะลงไปดูเรื่องของกินที่จะเอาไปไว้ที่คอนโดพี่เค้าข้างล่าง ไม่รู้เด็กๆเตรียมเสร็จยัง”

 

            “อ่อ ครับๆ เดี๋ยวเซ็ทไปช่วยเอง”เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย มองไปที่ห้องของคณินก็เห็นเงาร่างของเจ้าของห้องเดินไปเดินมาผ่านบานประตูนั้น เศรษฐพงศ์ขยับแว่นให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปยืนพิงกรอบประตูห้องของคนที่แก่กว่า คณินทำเพียงปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อราวกับไม่มีเศรษฐพงศ์อยู่ในสายตา

 

            "มีอะไรให้ช่วยมั้ย?”เมื่อทนความอึดอัดไม่ไหวสุดท้ายคนเป็นน้องก็เอ่ยปากก่อน เศรษฐพงศ์หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อคณินยังคงไม่สนใจเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องนอนของคนพี่ เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าคณินนั้นช่างงี่เง่ากวนใจเขาเสียเหลือเกิน ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าๆที่กลับมาอยู่บ้านคณินสร้างกำแพงแข็งแกร่งใส่ทุกคนไม่เพียงแต่เขาที่โดน กำแพงนั้นเหมือนจะปิดกั้นทุกคนในบ้านไม่ให้เข้ามาถึงรวมทั้งพ่อของเจ้าตัวด้วย บรรยากาศในบ้านมันแย่ลงไปมากจากที่มันดีขึ้นมากๆหลังที่คณินโดนยิง

 

และแน่นอน คนที่ทำให้มันแย่ลงไปคือเขาเอง

 

เขาไม่รู้หรอกว่าคณินจะรู้สึกแย่มากแค่ไหนกับคำพูดวันนั้น แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

 

ไม่ดีเลย

 

ไม่ชอบแบบนี้เลยซักนิด

 

เศรษฐพงศ์ปิดประตูห้องของคณินแล้วกดล็อค

 

เขาอยากเคลียร์เรื่องนี้ให้มันรู้เรื่อง  อย่างน้อยก็ไม่อยากให้คณินทำท่าทางเย็นชาใส่คนในบ้านก่อนจะไป

 

            “ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย?”เอ่ยคำถามออกไปโดยที่ไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะถึงคณิณจะไม่คุยแต่เศรษฐพงศ์ก็จะพูด เขาคิดมาหลายวันแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

            “ระหว่างกูกับมึงยังมีอะไรต้องคุย?”คณินหันมาตั้งคำถามกลับก่อนจะแค่นยิ้มเมื่อเศรษฐพงศ์เงียบไป

 

            “มึงอย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ยวะคิน”

 

            “แบบนี้...แบบนี้คือแบบไหนวะ”

 

            “ก็มึงเล่นไม่พูดไม่จากับใครเลย มึงไม่เห็นเหรอบรรยากาศในบ้านมันอึดอัดไปหมด ทั้งกับกู กับลุง กับแม่กู หรือลูกจ้างในบ้านอ่ะ มึงกลับมาคุยมาพูดกับพวกเค้าเหมือนตอนออกจากโรงพยาบาลไม่ได้เหรอวะ แบบนั้นอ่ะมันดีมากๆเลยนะเว้ย”

 

            “หึ...”คณินแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆราวกับสิ่งที่ได้ยินคือเรื่องตลก หมุนกายหาคนเด็กกว่าที่ยืนอยู่กลางห้อง สายตาคมจ้องใบหน้าที่ยืนมองเขาอยู่ไม่วางตา

 

            “มึงต้องการอะไรจากกูอีก? มึงบอกให้กูกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทำเหมือนเกลียดกันไปเลยก็ได้ แล้วตอนนี้มึงมาขอให้กูทำตัวเหมือนตอนหลังออกจากโรงพยาบาล มึงโง่จริงๆหรือมึงแกล้งโง่กันแน่ไอ้เซ็ท หลังออกจากโรงพยาบาลคือกูชอบมึงไปแล้ว”

 

            “กูไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่กูพูดวันนั้นกูอยากให้มึงทำกับกูแค่คนเดียว มึงแม่งงี่เง่าว่ะ”เศรษฐพงศ์ยีผมตัวเองอย่างหงุดหงิด คณินตวัดสายตากลับมามองคนน้องอีกครั้ง

 

รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวขายาวก็ก้าวพรวดๆมือแกร่งคว้าคอของเศรษฐพงศ์ดันจนเด็กหนุ่มถอยไปติดกับกำแพงมืออีกข้างของคณินทาบกับกำแพงไว้กักคนเด็กกว่าไว้ในอาณัติโดยสมบูรณ์ ใบหน้าหล่อห่างจากเศรษฐพงศ์ไม่ถึงคืบ น้ำเสียงทุ้มกดต่ำอย่างคนพยายามข่มกลั้นอารมณ์หลากหลายที่ตีรวนอยู่ในหัวใจ

 

เขาควรรู้สึกยังไง ดีใจ เสียใจ โกรธ  เขาตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าควรอยู่ในอารมณ์แบบไหนกับเด็กคนนี้

 

            “มึงบอกกูมาหน่อยว่ามึงจะเอายังไงกันแน่ มึงบอกให้กูถอยห่างจากมึง เลิกยุ่งกับมึงกูก็ทำให้แล้ว แล้วนี่มึงจะเอายังไงกับกูอีก มึงจะเล่นอะไรกับใจกูกันแน่วะ กูพยายามที่สุดแล้วนะแต่มึงก็ยังมายุ่งวุ่นวายกับกู กูถามมึงจริงๆเถอะมึงทำแบบนี้ทำไม ปล่อยกูอยู่ของกูเงียบๆไปสิวะ มาเล่นอะไรกับใจกู มึงทำแบบนี้เหมือนมึงให้ความหวังกูแล้วก็ถีบกูตกเหวซ้ำๆแบบนั้นใจก็พัง บ่อยขนาดนั้นมันรับไม่ไหวหรอกนะไอ้เหี้ย”

 

            “กูไม่ได้อยากให้มึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่กูก็ไม่ได้อยากให้มึงมาชอบกู มึงก็รู้มันเป็นไปไม่ไ...”น้ำเสียงถูกกลืนหายเมื่อริมฝีปากอุ่นถูกประกบอย่างกะทันหัน เศรษฐพงศ์เบิกตากว้างด้วยความตกใจคณินกดริมฝีปากแน่บแน่นบนกลีบปากอิ่มเนิ่นนานไร้การล่วงล้ำ สายตาคมเหลือบขึ้นสบตาคนเด็กกว่า ภายใต้กรอบแว่นหนาสีดำดวงตาของเศรษฐพงศ์สั่นไหวราวกับคนไม่มั่นใจตัวเอง เศรษฐพงศ์ไม่ได้ผลักเขา ไม่ได้ขัดขืนเด็กหนุ่มเพียงตกตะลึงกับการกระทำนั้นของคณิน ร่างสูงถอนจูบออกจากริมฝีปากอิ่มอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะประกบจูบลงไปใหม่อีกครั้ง เศรษฐพงศ์กำลังสับสนว่าทำไมเขาไม่ผลักคณินออก ทำไมไม่ขัดขืน แถมยังเงยหน้ารับจูบของอีกฝ่ายอีกต่างหาก ลมหายใจร้อนที่รินรดแลกเปลี่ยนกันยืนยันได้ดีว่าเขาไม่ได้ฝันฝ่ามือหนาของคณินที่ประคองใบหน้าของเขาอยู่มันอุ่นจนใจหวิว กลีบปากถูกดูดดึงจนเกิดเสียง จมูกโด่งของคณิคลอเคลียอยู่กับจมูกของเขา คณินรั้งเอวของเศรษฐพงศ์เข้ามาชิดส่งเรียวลิ้นเข้าไปกวาดต้อนความหวานจากโพรงปากคนเด็กกว่าอย่างย่ามใจ

 

หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะวายตายไปเสียก่อน

 

แต่ไม่เป็นไรหรอกถึงเขาจะต้องตายก็จะเอาไปคุยตั้งแต่นรกขุมที่ลึกที่สุดจนดังไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ว่าเขาได้จูบคนตรงหน้านี้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขัดขืนเลยซักนิด

 

คณินถอนจูบจากริมฝีปากของเศรษฐพงศ์ ใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากอิ่มที่ยังคงเผยอน้อยๆนั้นเบาๆ

 

            “ถ้าไม่อยากให้กูรักก็อย่ามาให้ความหวังกันอีก กว่ากูจะทำใจให้ไม่พูดไม่มองไม่สนใจมึงได้กูใช้เวลาตั้งนาน แต่พอมึงมาทำดีกับกูกูก็เก็บเอาไปนอนดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลังคนเดียว มึงทำให้กูเสียความเป็นตัวของตัวเองมามากเกินไปแล้ว ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับกูก็ทำเหมือนที่มึงบอกกับกูนั่นแหละ ต่างคนต่างอยู่ มึงก็ไปมีความสุขกับแฟนของมึง แต่กูอยากบอกกับมึงว่าอย่ามาห้ามไม่ให้กูรักมึงอีกเพราะนี่มันใจกูความรู้สึกของกูไม่เกี่ยวกับมึง เพราะฉะนั้นกูจะไม่เลิกรักมึงแต่อยากให้มึงฟังกูพูดหน่อย ถ้าวันไหนเลิกรักกับเค้าแล้วให้มองกลับมากูยังอยู่ อยู่ตรงนี้จะได้มั้ย? ถ้าที่ผ่านมามึงไม่คิดอะไรก็ช่างมันแต่ต่อจากนี้ให้จำไว้ว่ามึงยังมีกูที่รอมึงอยู่ที่เดิมแค่มึงหันกลับมาก็เจอ”

 

            “อย่าหวังสิวะ กูแค่อยากให้เราเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกัน...”

 

            “มึงไม่เข้าใจเหรอวะ กูไม่ได้มองมึงเป็นน้องมาตั้งแต่แรกแล้ว และกูก็ไม่ได้วางมึงไว้ในฐานะเพื่อนแบบพวกไอ้แดน มึงพิเศษกว่านั้นแต่กูก็ก้าวไปไม่ถึงมึงซักที ทำไมวะ มึงเปิดใจมองกูบ้างไม่ได้เหรอ กูไม่ได้จะแย่งมึงจากเขาแค่มึงอย่าผลักไสกู”

 

            “มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ เราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ โลกสร้างผู้ชายให้คู่กับผู้หญิงนะเว้ย”

 

            “โลกไม่ได้สร้างผู้ชายให้คู่กับผู้หญิงซักหน่อยไอ้โง่ โลกแค่สร้างให้คนสองคนรักกัน”

 

            “แต่กูไม่ได้รักมึง”เศรษฐพงศ์เอ่ยประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

 

มันไม่ได้หนักแน่นเหมือนเมื่อเดือนก่อนอีกต่อไปแล้ว คณินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้า

 

            “กูรู้แล้ว กูรู้แล้วว่ามึงไม่ได้รักกู กูรู้แล้วไม่ต้องย้ำบ่อย”

 

            “แต่กูก็ไม่ได้เกลียดมึง ไม่ได้อยากให้มึงเย็นชาใส่กูไม่พูดกับกู กูอยากให้มึงคุยกับกู เอาแต่ใจใส่กูแบบเมื่อก่อนก็ได้ ด่ากู ตีกูแบบเมื่อก่อนก็ได้ กูก็ไม่รู้กูต้องการเหี้ยอะไรจากมึงกันแน่ หรือเพราะกูไม่เคยมีพี่มีน้องพอมึงหายไปกูก็เหงา กูจะทำยังไงดีวะ กูไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกูเป็นแบบนี้ไอ้เหี้ยเอ้ย” เศรษฐพงศ์ระบายความหงุดหงิดลงในคำพูดนั้นก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ

 

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร มันคล้ายกับเวลาที่เอิร์นหายไปไม่ตอบไลน์ ไม่โทรหาหรือโทรไปไม่รับ ทั้งรอคอยและหงุดหงิด แต่คือคณินไม่ใช่คนรักของเขาไงมันก็เลยสับสนว่าตกลงความรู้สึกนี้คืออะไร คณินรวบตัวคนน้องมากอดจนจมอก รอยยิ้มขื่นๆถูกระบายบนใบหน้า ปากยิ้มแต่ดวงตากลับเศร้าจนน่าสงสาร

 

            “คิดถึงไง มึงคิดถึงกู เหมือนกับที่กูคิดถึงมึง เพราะฉะนั้นอย่าห้ามไม่ให้กูรักมึง มึงเองก็อย่าให้ความหวังกู อยากให้กูกลับไปคุยเล่นแบบเดิมกูก็ทำให้ได้กูก็อึดอัดเหมือนกันที่เราต้องเป็นแบบนี้ ถือเป็นความผิดของกูก็แล้วกันที่แม่งไม่ห้ามใจตัวเอง มึงรู้มั้ยว่ามึงทั้งเก่งทั้งใจร้ายเลยไอ้เด็กเหี้ย มาทำใจกูให้พังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนตอนนี้กูซ่อมใจตัวเองเก่งแล้วนะ"



           "กู...ขอโทษ"



               "ไม่ต้องขอโทษกูหรอก มึงไม่ได้บังคับให้กูไปรักมึง กูมันเสือกไปรักมึงเอง กูยอมเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกับมึงก็ได้ แต่อย่าบังคับให้กูเลิกรู้สึกดีๆกับมึงเลย กูไม่เคยรักใคร นอกจากพ่อแม่อากงอาม่าแล้วกูก็รักแค่มึง  กูเฝ้าถามตัวเองตลอดว่ากูรักมึงที่ตรงไหน กูสรุปไม่ได้กูรู้แค่ว่าพอเป็นมึงอะไรๆมันก็ดีกับใจกูไปหมด เพราะฉะนั้นมึงอย่ามาห้ามความสุขเล็กๆน้อยๆของกูเลยจะได้มั้ยวะ"



               "อืม...ถ้ามึงเหนื่อยตอนไหนก็เลิกชอบกูไปได้เลยนะ กูจะไม่ด่าไม่ล้อเลียนมึง"ที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ยกมือขึ้นมาลูบหลังคณิณเบาๆ



สงสาร...นี่คือความรู้สึกที่เศรษฐพงศ์มีให้กับคณินในตอนนี้



หวงแหน...ไม่อยากเสียความรู้สึกดีๆแบบนี้ไป



คณินหลับตาซึมซับความอ่อนโยนครั้งนี้ของเศรษฐพงศ์ไว้ราวกับจะสลักไว้ในตราตรึงในหัวใจ เสียงเคาะประตูทำให้คนทั้งคู่แยกกายออกจากกัน เศรษฐพงศ์ขยับไปยืนตรงกระเป่าเดินทางใบใหญ่ในขณะที่คณินเดินไปเปิดประตูห้อง



               "เด็กๆจัดกระเป๋ากันเสร็จหรือยังลูก พ่อจะออกเดินทางแล้วเดี๋ยวถึงเย็นรถติดนะคะ"



               "เสร็จแล้วครับแม่กำลังจะลงไป"เศรษฐพงศ์ฉวยกระเป่าเดินทางใบใหญ่มาถือก่อนจะลากผ่านหน้าคณินไป  ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะปิดห้องแล้วเดินตามลงไปด้านล่าง เศรษฐพงศ์เอากระเป๋าใส่ท้ายรถกะบะที่คณิตติดเครื่องรอยู่



               "เดี๋ยวเซ็ทไปนั่งเป็นเพื่อนคินนะ"คณิตเอ่ยปากบอกลูกเลี้ยง ก่อนจะเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง เศรษฐพงศ์ยิ้มรับก่อนจะเดินไปหาคณินที่รถของคนเป็นพี่ คณิตขับกะบะนำไปก่อนตามด้วยคณินที่ขับรถตัวเองไป



เจ้าของรถอารมณ์ดีจนถึงขนาดเปิดเพลงแล้วร้องตามเบาๆ บรรยากาศอึดอัดคล้ายจะค่อยๆสลายไป



คณินบอกกับใจตัวเองว่าถึงแม้เศรษฐพงศ์จะไม่ให้ความหวังแต่เหตุการณ์วันนี้เขายังพอมีหวัง



หวังแม้จะมีหวังแค่ 0.01 % ก็ยังดี



หวังเหมือนคนโง่ แต่ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ไปหวังบนหัวใครนี่หว่า





 ................................



ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2


 




                คณินใช้ปลายนิ้วเรียวสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด คิ้วเรียวขมวดมุ่นหน้าจอปรากฏแอพพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊ค

 

อัพเดทล่าสุดของเศรษฐพงศ์คือเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว

 

                “ชาติหนึ่งอัพทีหรือไงวะไอ้ห่า”สบถออกมาอย่างหงุดหงิด ก็เข้าใจว่าเศรษฐพงศ์ไม่ใช่คนติดโซเชียลแบบเด็กวัยรุ่นทั่วๆไปแต่ใครจะคิดว่าเด็กนั่นจะอัพเดทชีวิตปีละไม่ถึง 10 หน

 

เขาไล่เซฟรูปของเศรษฐพงศ์ที่เจ้าตัวเคยโพสต์ไว้จนไม่มีอะไรจะเซฟแล้ว

 

                “ไปส่องเฟซเพื่อนมันก็ได้วะ”มือไวเท่าความคิด คณินกดดูรายชื่อเพื่อนของเศรษฐพงศ์ซึ่งเจ้าตัวแอดอยู่แค่ไม่กี่คนมันจึงหาได้ไม่ยาก หงุดหงิดนิดหน่อยที่ยงศกรตั้งค่าส่วนตัวเขาจึงเข้าไปส่องของคนอื่นๆ สองแฝดก็ให้คนเข้าดูได้เฉพาะเพื่อน

 

                “ไอ้พวกเวรไม่คิดจะอวดชีวิตส่วนตัวให้ชาวโลกเขาดูมั่งหรือไง ไอ้พวกโลวเทค”ปากบ่นอุบแต่ก็ยังไล่กดเข้าไปดูในรายชื่อเพื่อนคนอื่นๆ แล้วก็พบว่าวีรดนัยนั้นไม่ได้ล็อคแอค รอยยิ้มสมใจผุดพรายขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั้น

 

ปาร์ตี้หมูกระทะหลังจากครั้งล่าสุดไม่ทันได้กินอิ่ม ฉลองก่อนที่จะไม่ได้กินไปอีก 3 เดือน สวัสดีเทศกาลฝึกงาน

 

โพสต์ล่าสุดของวีรดนัยเช็คอินที่ร้านหมูกระทะที่ครั้งล่าสุดพวกเขาไปเหมาร้านด้วยการตีกันเมื่อหลายเดือนก่อน คณินกวาดสายตามองก็พบว่าเศรษฐพงศ์โพสต์ท่าด้วยการใช้ตะเกียบคีบหมูสามชั้นย่างพลางอ้าปากกว้างทำท่าราวกับกำลังจะกินหมูชิ้นนั้น

 

                “น่าเกลียดชิบหาย อ้าปากกว้างเหมือนจะแดกหมูได้ทั้งตัว”ปากบ่นแต่ก็หลุดหัวเราะขำมือก็ไวกว่าความคิดกดเซฟอย่างไว แต่ละภาพที่วีรดนัยโพสต์ไว้มีการคอมเม้นท์อย่างสนุกสนาน แน่นอนเศรษฐพงศ์คือ 1 ในคอมเม้นท์นั้น คณินนั่งอ่านตัวอักษรสั้นๆนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะชดเชยความคิดถึงตลอดระยะเวลา 2 อาทิตย์กว่าที่ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพ แม้จะไม่เหงาเพราะเพื่อนๆก็มาอยู่ละแวกเดียวกันทั้งกลุ่มพบเจอกันทุกวันแต่เพื่อนๆทั้ง 5 คนไม่สามารถแทนความคิดถึงที่คณินมีต่อคนเด็กกว่าได้เลย หลังจากที่พ่อกับลดารวมทั้งเศรษฐพงศ์มาส่งเขาที่กรุงเทพทั้งสามคนค้างคืนด้วยคืนหนึ่งโดยคณินให้พ่อกับลดานอนในห้องนอนใหญ่ส่วนตัวเองออกมานอนที่ห้องรับแขกกับเศรษฐพงศ์ คืนนั้นคณินไม่ได้นอนทั้งคืนชายหนุ่มเอาแต่นอนจ้องหน้าคนเด็กกว่าที่หลับพริ้มแบบไม่สนใจโลกจนถึงเช้า

 

มองราวกับจะจดจำให้ใบหน้าของคนที่นอนหลับสนิทข้างๆนี่บันทึกเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจ

 

เศรษฐพงศ์มีขนตายาวหนาเป็นแพสวย สันจมูกโด่งได้รูปนั้นรับกับริมฝีปากอิ่ม แก้มเนียนฟูนุ่มราวมาชเมลโล่ ทุกส่วนของใบหน้าของคนเด็กกว่านั้นติดตรึงที่ปลายลิ้น ความนุ่มหยุ่นประทับใจทุกครั้งที่ริมฝีปากได้สัมผัส กว่าจะรู้ตัวแสงอาทิตย์ก็ค่อยๆทอแสงสีอ่อนเข้ามาทางผ้าม่าน เวลาแห่งความสุขของคณินก็จบลงชายหนุ่มแสร้งหลับตายามที่ประตูห้องนอนเปิดออก ลดาตื่นมาเตรียมอาหารเช้าและคณินก็เคลิ้มหลับไปตอนนั้นเอง

 

                หลังจากการพูดคุยกันก่อนเดินทางบรรยากาศเหมือนจะดีขึ้นแต่คณินก็รู้ว่ามันไม่ได้ดีมากกว่าเดิมเท่าไหร่ แม้ว่าเขาจะหยุดทำหน้าบึ้งตึงและพูดคุยกับพ่อและลดามากขึ้นแต่กับคนเด็กกว่าก็กลายเป็นว่าคนทั้งคู่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกัน บรรยากาศอึมครึมจนกระทั่งสมาชิกในครอบครัวทั้งสามคนเดินทางกลับเมืองกาญจน์ หลังจากนั้นงานอดิเรกของคณินก็คือตามดูเฟสและอัพเดทไลน์ของเศรษฐพงศ์แต่กลับไม่กล้าที่จะไลน์ไปหาคนเด็กกว่าแล้วก็มานั่งหัวร้อนเองแบบนี้



ผมคิดถึงไอ้เซ็ท...

 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาอย่างไม่ขาดสายจากบรรดาเพื่อนร่วมห้องของผม เราทุกคนใส่ชอปสีเทาอมฟ้าประจำระดับชั้น ปวส. ตอนนี้ผมอยู่ชั้นปีที่ 2 แล้ว และแน่นอนเทศกาลแห่งการฝึกงานก็เวียนมาถึงซักที

 

ตื่นเต้นและกังวลคงไม่เว่อร์ไปสำหรับความรู้สึกนี้ พวกเราโอดครวญอยากจะฝึกในวิทยาลัยมากกว่าแต่อาจารย์กลับบอกว่าอยากให้นักศึกษาไปฝึกกับสถานประกอบการขนาดใหญ่มากกว่าฝึกในวิทยาลัยที่มีแต่คนกันเอง

 

                “แม่กูแทบจะขับรถไปส่งเองแล้วอ่ะ ก่อนออกจากบ้านนี่แพ็คกระเป๋าให้กูเหมือนกูจะหนีออกนอกประเทศแบบนักการเมือง”ไอ้ยิมบ่นอุบหลังวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่น่าจะยัดแน่นด้วยเสื้อผ้าหยูกยาและของใช้ทั้งจำเป็นและเกินความจำเป็น

 

                “พ่อกูบอกว่าถ้ามันไม่สะดวกสบายก็ขอให้บอกเดี๋ยวพ่อจะซื้อสนามกอล์ฟนั้นมาบริหารเอง”ไอ้อิ้งค์มันคุยโวจนได้รับเสียงด่าและส้นตีนจากเพื่อนๆถ้วนหน้า เรานั่งรออาจารย์จนถึง 9 โมงเช้า อาจารย์มาเช็คชื่อและสั่งให้พวกเราขนของขึ้นรถหกล้อที่ใช้ไว้รับส่งนักศึกษาจนเสร็จแล้วจึงเริ่มเดินทางโดยใช้เส้นทางไปทางด่านมะขามเตี้ยแล้วเข้าท่าม่วงใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ช.ม รถก็เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าประตูสนามกอล์ฟ อาจารย์ลงไปคุยกับ รปภ.ที่ป้อมเพื่อถามทางก่อนที่จะกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง ประตูรั้วถูกเปิดผ่านให้พวกเราได้เข้าไปด้านใน ถนนในสนามกอล์ฟคดเคี้ยวทอดยาวข้างทางประดับประดาด้วยต้นหางนกยูงขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา บนกรีนปรากฎภาพของแขกที่กำลังตีกอล์ฟรวมถึงบรรดาแคดดี้ที่แบกถุงกอล์ฟตามนายขวักไขว่ รถเลี้ยวผ่านบึงน้ำขนาดใหญ่ริมแนวเขา นกเป็ดน้ำฝูงใหญ่บินจากฝั่งลงสู่ฝืนน้ำด้วยท่วงท่าแสนน่ารัก

 

                “ผัดเผ็ดเป็ดน้ำ”เสียงไอ้จีนลอยมาผมหันไปมองมันไอ้สองแฝดจ้องฝูงเป็ดน้ำไม่วางตาไอ้จีนถึงขั้นแลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางกลืนน้ำลายดังเอื้อกใหญ่

 

                “เป็ดย่างเกลือ”ไอ้จินเอ่ยต่อจากแฝดพี่

 

                “โถ้ ไอ้เหี้ย ไอ้คนใจบาป”ผมอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงด่าไอ้แฝดใจบาปที่คิดจะกินสิ่งมีชีวิตแสนน่ารักฝูงนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้พอสมควร

 

                “ใหญ่ชิบหายเลยว่ะ”

 

                “งานคงเยอะน่าดู”

 

รถพาเราเข้ามาลึกเรื่อยๆ สนามกอล์ฟกว้างใหญ่มีศาลานั่งพักอยู่ตามจุดต่างๆ มีอาหารและเครื่องดื่มบริการ บรรดารถกอล์ฟขับผ่านไปผ่านมาให้เห็นมากพอๆกับรถอีแต๋นไม่กี่นาทีต่อมาเราก็มาถึงหน้าคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ อาจารย์พาเราเดินเข้าไปในห้องอาหารของคลับเฮ้าส์ที่นั่นมีผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาดุยืนรอรับเราอยู่พร้อมผู้ชายผิวขาวที่ดูท่าทางหน้าตาคงอายุราวๆ 30 ต้นๆ อาจารย์บุญธรรมและอาจารย์เดชตรงเข้าไปสวัสดีทักทายรวมทั้งพวกเราที่ยกมือไหว้พี่ทั้งสองคนอย่างรู้มารยาท

 

                “สวัสดีนักศึกษาทุกคนนะ พี่ชื่อพี่ต๋องเป็นผู้จัดการของที่นี่ ส่วนคนนี้ชื่อพี่โอเป็นฝ่ายบุคคล เอาล่ะมานั่งกันก่อนแล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน”พี่ต๋องที่หน้าดุๆเอ่ยทักทายพวกเราด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงเป็นกันเองขัดกับหน้าดุๆของเขาพวกเราค่อยหายใจทั่วท้องก่อนจะเลือกที่นั่งที่เป็นเหมือนโต๊ะอาหารยาวตัวใหญ่นั่งได้ 20 คนพอดี

 

รายละเอียดการฝึกงานคร่าวๆถูกถ่ายทอดให้เราฟังโดยเราจะมีหอพัก 2 หลัง ห่างกันราว 50 เมตร แยกเป็นของหญิงและชายไม่พักรวมกัน อาหารการกินทางสนามกอล์ฟผูกปิ่นโตให้พวกเราไปกินที่ร้านหน้าหอได้เลยทางร้านจะจัดเมนูให้เราในแต่ละมื้อแต่ละวันเองหรือถ้าอยากกินอะไรพิเศษขอให้บอกล่วงหน้า  การเดินทางมาทำงานจะมีรถมารับส่งจากหอจนถึงคลับเฮ้าส์ซึ่งถือว่าสะดวกสบายพอสมควร ราวเที่ยงอาจารย์ก็กลับออกไปคงเหลือพวกเราที่ถูกเอามาส่งที่หอพักด้านหน้าใกล้ทางเข้าวันแรกของพวกเราคือการย้ายเข้าหอและพักผ่อนตามอัธยาศัย ผมแบกกระเป๋าเข้าบ้านเอเอฟ ภายในไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเป็นห้องแถว 4 ห้อง เราได้ห้องริมสุด ตัวห้องเป็นห้องโล่งๆมุมในสุดมีเบาะปูนอนบางๆทับซ้อนกันอยู่ตามจำนวนคน เครื่องนอนถูกวางไว้ให้อย่างเป็นระเบียบมีห้องน้ำภายใน 1 ห้อง แต่ถ้าไม่พอใกล้หอหญิงจะมีห้องน้ำรวมอีก 5 ห้อง ด้านหน้าหอหญิงเป็นสนามหญ้ากว้างไว้ให้พวกเราเตะบอลหรือเล่นกีฬาได้ พวกผมเริ่มจัดระเบียบห้องนอนใครนอนตรงไหน เกือบบ่ายพี่ต๋องก็ขับรถกอล์ฟมาหาพวกเราแล้วพาไปร้านข้าวตามที่บอก พวกเราไปกราบสวัสดีฝากเนื้อฝากตัวและได้ฝากท้องกับอาหารมื้อแรกที่ร้านเจ๊แก้วในตอนนั้นเอง

 

หลังจากอิ่มหนำสำราญรสชาติอาหารถูกปากจนเราชมกันไม่หยุดปากพวกเราก็กลับเข้ามานอนเล่นในหอ โชคดีที่ไอ้ยิมมันมองการณ์ไกลหอบเอาเครื่องเล่นซีดีและลำโพงมาด้วยเราจึงไม่ขาดเสียงเพลงผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไลน์หาเอิร์นรายงานว่าผมมาถึงที่ฝึกงานแล้ว ไร้การตอบกลับซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าเอิร์นน่าจะเรียนอยู่ ผมโทรไปหาแม่รายงานแม่เช่นเดียวกัน แม่ถามถึงความเป็นอยู่เมื่อรู้ว่าผมไม่ได้ลำบากแม่ก็สบายใจและบอกว่าถ้าวันไหนว่างแม่จะทำกับข้าวมาเยี่ยมพวกผม

 

วันที่ 1 ของการมาฝึกงาน เอิร์นไม่อ่านและไม่ตอบไลน์ผม นั่นทำให้ผมเศร้าเล็กน้อย

 

ผมคิดถึงเอิร์น...











 

                คณิน::

 

ช่วงเวลาเปิดเทอมในรั้วมหาวิทยาลัยของผมการรับน้องเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อน่ารำคาญที่สุด ทุกเลิกเรียนต้องเข้ากิจกรรม

 

ผมเกลียดการโดนบังคับ การนั่งโง่ๆฟังรุ่นพี่ที่บางคนก็รุ่นเดียวกันพล่ามยืดยาว การต้องออกไปเต้นเป็นลิงเป็นค่างด้วยท่าบ้าๆบอๆ

 

ตั้งแต่รับน้องมาผมวิ่งเยอะกว่าระยะทางที่ผมเคยวิ่งมาตลอด 19 ปี ซะอีก โชคดีอย่างคือปกติผมออกกำลังกายอยู่แล้วร่างกายจึงไม่ล้าแต่ไอ้แพรกับไอ้ว่านทำท่าเหมือนจะตายให้ได้

 

นี่กูมาเรียนนะไม่ได้มาฝึก ร.ด

 

หลังการรับน้องสิ้นสุดลงพวกเราทยอยกันเดินออกมาจากห้องเชียร์ ท้องร้องระงมเพราะความหิวทำให้พวกเรา 6 คน เคลื่อนกำลังพลไปหน้า ม. ที่มีร้านอาหารตามสั่งตั้งอยู่ เมนูง่ายๆถูกสั่งมาแม้ว่าจะไม่อร่อยเท่าที่เมืองกาญจน์แต่ในสถานการณ์ที่หิวจัดพวกเราก็ซัดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที  กระพือคอเสื้อขับไล่ความร้อนอบอ้าวอย่างหงุดหงิด

 

                “กินเสร็จแล้วกูกลับก่อนนะ ร้อนชิบหายเลยไอ้สัด”ผมวางเงินไว้เป็นค่าอาหารก่อนจะก้าวฉับๆกลับไปที่รถ เพื่อนๆโบกมือลาผมโดยที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นมาเพราะมันจะไปหาขนมกินกันต่อ เพียงไม่นานผมก็กลับถึงคอนโด เปิดแอร์รอไว้แล้วเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายล้างคราบเหงื่อไคลที่หมักหมมมาทั้งวัน สายน้ำเย็นทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย ปล่อยให้สายน้ำเย็นริดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่พบเจอมาทั้งวันถึงได้คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันเอวไว้เพียงหลวมๆ  ผมเดินไปหยิบรีโมทกดฟังเพลงหรี่ไฟให้สลัวแล้วมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนนุ่ม คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดูนั่นดูนี่ตามปกติแล้วก็ได้แต่เด้งตัวขึ้นนั่ง

 

ไอ้เซ็ทอัพเดทรูปในเฟซบุ๊ค ในภาพเป็นตัวมันไปนั่งกอดเข่าอยู่ข้างหน้าต่างห้องราวกับกำลังงอนใครซักคนอยู่ เมื่ออ่านแคปชั่นผมแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง

 

            “งอนแฟน แฟนไม่รับโทรศัพท์ มาง้อเลย ถ้าง้อภายในคืนนี้แถมจุ๊บฟรี 2 จุ๊บ”

 

เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน.... เลิกกัน

 

ผมภาวนาคำนี้เป็นร้อยเป็นพันคำในใจ  แม้จะรู้ดีว่าถ้าหากสองคนนั้นเลิกกันจริงๆไอ้เซ็ทจะต้องเสียใจมากแต่ไม่เป็นไรผมนี่แหละจะเป็นคนคอยอยู่ข้างๆปลอบใจและดามใจมันเอง  ผมกดออกจากเฟซบุ๊คก่อนจะเข้าไลน์ ชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าจะพิมพ์ข้อความลงไปในแชทของผมกับไอ้เซ็ทดีมั้ย

 

วันสุดท้ายที่คุยไลน์กับมันก็เกือบสองเดือนแล้ว

 

ไม่รู้ว่าป่านนี้มันคุยกับเอิร์นแล้วหรือยัง

 

จะมีเวลามาตอบไลน์ผมมั้ย

 

ผมไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง ที่รู้ตอนนี้คือผมไม่อยากให้มันรู้สึกโดดเดี่ยวหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งไว้คนเดียวในตอนนี้

 

แต่ในที่สุดผมก็ทำได้แค่เพียงโยนโทรศัพท์ลงบนพื้นที่ว่างใกล้ๆตัว  ไม่กล้าที่จะโทรไปหรือทักทายไปเพราะถ้าตอนนี้มันคุยกับเอิร์นอยู่ผมก็หมาอีกตามเคย

 

 







                เศรษฐพงษ์นอนจ้องหน้าจอโทรศัพท์นิ่งนานก่อนจะถอนหายใจอย่างหงุดหงิด

 

                “ป่านนี้เค้านอนแล้วมั้ง มึงก็เลิกรอแล้วนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปปลูกต้นไม้ที่หลุม 18 เขาไม่ตอบก็คือไม่ตอบมึงรอไปก็ไม่มีประโยชน์”โอบนิธิดึงโทรศัพท์ออกจากมือเพื่อน เขาเองก็หงุดหงิดที่เศรษฐพงศ์เอาแต่รอโทรศัพท์หรือรอการตอบไลน์จากเอิร์น อยากจะตีเพื่อนตัวบางแรงๆวันละหลายๆครั้ง

 

เศรษฐพงศ์ทำตัวเหมือนหมาเชื่องๆที่รอเจ้าของโยนเศษอาหารให้ ยามเขาเรียกชื่อก็รีบกระดิกหางหูลู่ไปหาเขา ยามเขาหายไปก็เอาแต่เซื่องซึม

 

โอบนิธิไม่เข้าใจนักหรอกว่าเศรษฐพงศ์จะรักอะไรผู้หญิงที่ชื่อเอิร์นนักหนาหน้าตาจริงๆก็ไม่เคยเห็นแถมบ่ายเบี่ยงที่จะวีดีโอคอลกับเศรษฐพงศ์ทุกครั้ง

 

รักกันประสาอะไร

 

เหมือนมาให้ความหวังเพื่อนเขาโดยไม่มีหลักประกันอะไรได้เลยว่าจะคบกันไปยืดยาวจริงๆ เศรษฐพงศ์ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งกอดเข่ามองพระจันทร์อยู่ข้างหน้าต่าง เป็นการสงบสติอารมณ์ที่มักจะทำบ่อยๆยามเขาอารมณ์ไม่ดี เขาไม่คิดหรอกว่าโอบนิธิวุ่นวาย รู้ว่าเพื่อนหวังดีถึงได้พูดเตือนกันแต่ตอนนี้เศรษฐพงศ์ไม่อยู่ในอารมณ์จะฟังใครสอนหรือบ่นทั้งนั้น

 

ขออยู่เงียบๆกับตัวเองดีกว่า

 

และเพราะคบหากันมานานเพื่อนๆจึงไม่มีใครเข้ามายุ่งกับเขาทำเพียงปล่อยให้เศรษฐพงศ์นั่งเงียบๆอยู่ตรงนั้นแต่ไม่วายที่แฝดพี่จะหยิบโทรศัพท์ของเศรษฐพงศ์มาถ่ายรูปของเจ้าตัวไว้แล้วอัพเฟซบุ๊คติดแคปชั่นให้เสร็จสรรพโดยที่เจ้าของเฟซไม่รู้ตัวเลยซักนิด

 

 

                “วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากนะเด็กๆ ก็ปรับปรุงภูมิทัศน์ที่หลุม 18 เดี๋ยวส่งตัวแทนเพื่อนไปเลือกต้นไม้ที่โรงเพาะชำแล้วก็ขนใส่อีแต๋นไปนะ”หลังจากตอกบัตรเข้างานและมายืนรวมกับพนักงานประจำของสนามกอล์ฟแล้วพี่ต๋องผู้จัดการก็มากระจายงานให้กับคนงานของตัวเองก่อนจึงมาสั่งงานนักศึกษาเมื่อได้รับงานแล้วเศรษฐพงศ์กับปัดก็แบ่งงานให้กับเพื่อนๆทันที

 

                “ไอ้ยิมกับไอ้โอบขับอีแต๋นเป็นมึงไปเบิกรถมาสองคัน ส่วนพวกผู้หญิงมาช่วยกันขนต้นไม้ก่อน ไอ้จีนมึงพาพวกผู้ชายไปเตรียมดินรอกูกับไอ้ปัดจะไปเลือกต้นไม้”เมื่อแบ่งงานกันเรียบร้อยแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปหยิบจอบหยิบพลั่วตะเข่งสำหรับเก็บเศษหญ้า เศรษฐพงศ์ได้รับอนุญาตให้ใช้รถกอล์ฟได้เด็กหนุ่มจึงไปขับมารับปัดไปโรงเพาะชำเล็กๆของสนามกอล์ฟ เลือกต้นไม้ที่ทนแดดเพราะมันจะถูกปลูกกลางแจ้งที่แดดจัดไม่นานเสียงรถอีแต๋นก็แล่นเข้ามาพวกผู้หญิงโดดลงมายงศกรกับโอบนิธิโดดตามลงมาสมทบแล้วทยอยลำเลียงต้นไม้ 4-5 ชนิด โดยที่เศรษฐพงศ์เลือกที่มีสีสันสะดุดตาต่างกันใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ได้ต้นไม้เต็มคันรถ

 

                “ไอ้ยิมมึงเอาปูนขาวไปยัง?”เอ่ยถามหาปูนขาวจากยงศกรซึ่งรายนั้นกำลังควงสายพานหน้ารถเพื่อสตาร์ทอยู่หันมาส่ายหน้าให้

 

                “เออเดี๋ยวกูแวะไปเอาเองมึงขับไปก่อน”เศรษฐพงศ์ขับรถกอล์ฟออกไปที่ห้องเก็บของหยิบปูนขาวใส่ท้ายรถแล้วขับตัดสนามหลุมต่างๆลัดเลาะไปจนถึงหลุม 18 ที่จีรนันท์กับจิรนนท์เกณฑ์บรรดาเพื่อนๆขุดดินรอ กระดาษเอสี่ถูกวาดเป็นแปลนง่ายๆว่าจะเอาต้นไม้ชนิดไหนลงตรงไหน เด็กๆทั้ง 16 คนเริ่มงานอย่างเป็นระบบโดยมีคนงานของสนามกอล์ฟแวะมาด้อมๆมองๆอยู่เรื่อยๆด้วยความสนใจ หลังจากผ่านไปจนกระทั่งเที่ยงเด็กๆจึงปีบขึ้นอีแต๋นออกไปกินข้าวที่ร้านเจ๊แก้ว อาหาร 3 อย่างถูกตั้งเป็นสองสำรับรอเด็กๆอยู่ก่อนแล้ว พวกของเศรษฐพงศ์เข้าไปช่วยหยิบจับจานชามแก้วน้ำด้วยตัวเอง หลังจากลงมือกินมื้อเที่ยงจนหมดไปอย่างรวดเร็วยังพอมีเวลาเหลือก่อนจะเริ่มงานในตอนบ่ายพวกเขาจึงตกลงที่จะไปนอนพักเอาแรงให้หายเพลียแดดยังไม่ทันได้เคลิ้มหลับเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูเศรษฐพงศ์ก็ยิ้มออก

 

                “ฮัลโหลเอิร์น”

 

                “เซ็ทกินข้าวยัง”

 

                “อื้อเพิ่งกินเสร็จ เอิร์นเรียนหนักเหรอไม่เห็นอ่านไลน์เลย”

 

                “อื้อเรียนหนักเอิร์นก็จะไปฝึกงานแล้วเหมือนกัน อีกอย่างโทรศัพท์เอิร์นพังเพิ่งซื้อใหม่พอได้เครื่องก็โทรหาเซ็ทก่อนเลย”เศรษฐพงศ์ถึงกับยิ้มออกเมื่อได้ฟังเหตุผลของเอิร์นความขุ่นมัวในใจถูกปัดเป่าออกไปราวหมอกควันหนาที่ทำให้อึดอัดมาหลายวันสลายไปยามที่พระอาทิตย์ขึ้น

 

                “เซ็ทนึกว่าเอิร์นเบื่อเซ็ทแล้วซะอีก”

 

                “คิดไปเอง เอิร์นจะเบื่อเซ็ทได้ยังไงล่ะ”น้ำเสียงหวานกลั้วเสียงหัวเราะมาเบาๆทำให้เศรษฐพงษ์ยิ้มได้ สัญญาณสายเรียกซ้อนดังขึ้นเศรษฐพงศ์ขอให้เอิร์นรอเมื่อดูรายชื่อก็พบว่าเป็นคณินโทรมาเศรษฐพงศ์ปล่อยเบลอเมินใส่สายของคนแก่กว่า ในตอนนี้เขาอยากคุยกับอารดาให้สมกับความคิดถึงที่มีมาหลายวันมากกว่า สายเรียกซ้อนยังคงติดอยู่อีก 2-3 ครั้งก่อนจะเงียบหายไป

 

                “เซ็ทคิดถึงเอิร์นนะแล้วเอิร์นคิดถึงเซ็ทมั้ย?”

 

                “เอิร์นคุยกับใครจะไปได้หรือยัง”

 

“เพื่อนน่ะ ไปแล้วๆรอก่อน”เสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในสายเป็นเสียงของผู้หญิงเอ่ยเรียกเอิร์นด้วยน้ำเสียงห้วนๆ  หญิงสาวหันไปตอบรับโดยไม่ได้ตอบกลับคำถามของเศรษฐพงศ์เหมือนเช่นเคย

 

                “เซ็ทเดี๋ยวเอิร์นวางก่อนนะเพื่อนมาตามแล้ว ตั้งใจทำงานนะ”ไม่มีคำบอกลาและไม่รอให้เศรษฐพงศ์บอกลาเช่นกันอารดาก็วางสายไป เศรษฐพงศ์ถอนหายใจรอบที่ล้านของวัน ความหงุดหงิดเกิดขึ้นราวกับมีใครมากวนตะกอนให้ขุ่นเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะหงุดหงิดเรื่องอะไร เหลืออีก 10 กว่านาทีจะได้เวลาเริ่มงานในช่วงบ่ายเศรษฐพงศ์โยนโทรศัพท์ไว้บนหมอนก่อนจะเดินออกไปสมทบกับพวกเพื่อนๆที่เตรียมตัวขึ้นรถกลับไปทำงานต่อ คล้อยหลังไม่นานสายเรียกเข้าจากคณินก็สว่างวาบที่หน้าจออีกครั้งจนกระทั่งดับไปในที่สุด

 

 

คณินกดตัดสายที่โทรหาเศรษฐพงศ์ ใบหน้าหล่ององ้ำจนคิ้วขมวด

 

                “ไง ไม่รับสายเหรอวะ”แดนธรรมที่มานั่งเล่นในห้องของคณินเอ่ยถาม ซึ่งคนตัวขาวก็พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร

 

                “เหนื่อยป่าววะ วิ่งตามเขาแบบนี้ แม่งจุดหมายก็ไม่มีเส้นชัยก็ไม่เจอ”แดนธรรมเอ่ยถามคนที่เลี่ยงไปยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียง คณินอัดควันสีขาวเข้าปอดก่อนจะพ่นออกมาช้าๆ ดวงตาคมมองเหม่อไปด้านหน้าโดยไม่ได้โฟกัสกับสิ่งใดเป็นพิเศษ ปล่อยให้ความเงียบกับกลุ่มควันโอบล้อมชั่วอึดใจ

 

                “เหนื่อยสิวะ เหนื่อยจนกูรู้สึกอยากจะพอ”

 

                “แล้วทำไมมึงไม่หยุดวะ เป็นกูถ้ามันไม่รักไม่ชอบมึงกูคงถอยนานแล้วโลกนี้มีคนเยอะแยะมันต้องมีซักคนสิวะที่รักมึง”

 

                “ก็เพราะกูรักแค่มันไงกูไม่ได้รักคนอื่น ไม่เป็นไรกูรอได้ มึงเป็นคนบอกให้กูรอเองไม่ใช่เหรอวะ?”

 

                “กูสงสารมึงไอ้เหี้ย มึงไม่เคยต้องวิ่งตามใครขนาดนี้ แล้วดูท่าทางน้องมึงมันก็ไม่ได้รักไม่ได้สนใจมึงเลยนะ”

 

                “ใครบอกมึงกูว่าถ้ามันเลิกกันกูก็มีหวังนะ วันที่ขนของย้ายมานี่มันเข้ามาคุยกับกูขอให้กูอย่ามึนอย่าเมินมัน กูยังจูบมันอยู่เลยมันไม่ได้ขัดขืนไม่ด่ากูซักคำ”

 

                “มันอาจจะแค่สับสนก็ได้ กูอยากให้มึงลองมองคนอื่นดูบ้าง ถ้ามันไม่เลิกกันมึงก็รอแบบเปล่าประโยชน์เลยนะ”

 

                “ไม่เป็นไรไอ้แดน ปล่อยกูเถอะกูเหนื่อยเมื่อไหร่เดี๋ยวกูหยุดเอง ตอนนี้กูยังไม่เหนื่อยมึงก็เป็นกำลังใจให้กูก็แล้วกัน”คณิณอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งแล้วขยี้ก้นกรองด้วยเท้า

 

แม้จะตอบแดนธรรมไปแบบนั้นแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทนรอแบบไม่มีจุดหมายแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่

 

อาจจะเป็นเดือน เป็นปี เป็นสิบปี

 

แต่ถ้าถึงวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่าไม่อยากรอหรือวันที่เศรษฐพงศ์แต่งงานมีครอบครัวเขาก็คงจะพอและหยุดไปเอง

 


แต่ตอนนี้ขอรอแบบนี้ไปก่อนถึงจะดูเหมือนคนโง่ก็ตามทีเถอะ







.........................................


ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เซ็ทเอ๋ยหวังว่าจะรู้ใจตัวเองตอนที่ยังไม่สายนะ

สนุกค่ะตีกันไปต่อยกันมารักกันเฉย

เป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



เศรษฐพงศ์::

 

 

                “กูเชื่อแล้วว่าเมืองกาญจน์มีลักษณะเป็นแอ่งกะทะ”เสียงไอ้ย้งแหกปากตัดพ้อสภาพภุมิอากาศของบ้านเรายามที่แสงอาทิตย์ตอนบ่ายสามไม่ได้ปราณีพวกเราที่ทำงานอยู่ข้างหลุม 18 เลย แสงแดดจ้าแผดเผาจนหน้าแทบไหม้ พวกเรายังคงลงต้นไม้ตามแบบ น่าแปลกหลังจากได้คุยโทรศัพท์จากเอิร์นแล้วอารมณ์ของผมก็ดีขึ้นจนสามารถตลกไปกับคำบ่นราวหมีกินผึ้งของไอ้ย้งได้ เหมือนพอมีเอิร์นเข้ามาในชีวิตอะไรๆก็ดีไปหมดสำหรับผม

 

                “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยิ้มกับลมกับแล้งก็ได้นะมึง”ไอ้อิ้งค์ผลักหัวของผมทั้งๆที่มือของมันยังมีขี้ดินติดอยู่

 

แต่ไม่เป็นไร กูอารมณ์ดีกูจะม่ายโกด

 

                “เสือก”เอ่ยตอบกลับมันไปเบาๆ

 

                “แน๊ หยาบคาย กับเพื่อนกับฝูงนี่คุณเศรษฐพงศ์ทำไมหยาบคายจังเลยครับ ต้องทำยังไงถึงจะนุ่มนวลกับเพื่อนบ้าง”

 

                “ไปเปลี่ยนชื่อเป็นเอิร์นสิแล้วกูจะอ่อนโยนให้”

 

                “โอ้ย!!! รำคาญ!!!”คราวนี้เป็นเสียงไอ้วีที่พูดใส่หน้าผมพลางเบะปากทำท่าราวเอือมระอาเต็มที ผมหัวเราะใส่มันจนตาหยี แน่นอนว่าผมไม่โกรธไอ้วีอีกเช่นกัน บรรยากาศการทำงานในครึ่งบ่ายทำไมมันสนุกจังนะ จะให้ปลูกต้นไม้ครบทั้ง 18 หลุมก็ยังได้เลยนี่พูดจริงๆ ในที่สุดหลังจากตากแดดหน้าดำกันมาตั้งแต่เช้างานของพวกเราก็เสร็จสิ้นในตอนสี่โมงเย็นนิดๆ เราเคลียร์ขยะเก็บอุปกรณ์ขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งเล่นกันอยู่รมสนาม ทิวต้นสนไหวลู่ยามลมพัดมา น้ำในสระกลายเป็นระลอกคลื่นบางๆ พวกเราบางคนหยอกเล่นกันตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย เสียงหัวเราะและเสียงกรีดร้องของบรรดาสาวๆดังขึ้น เมื่อหันไปดูก็พบว่าแฝดนรกกำลังวิ่งไว้จับอะไรซักอย่างอยู่อย่างสนุกสนานพอจับได้ก็วิ่งเข้าในส่เพื่อนผู้หญิง เมื่อเพ่งมองถึงได้เห็นว่า

 

ในมือของไอ้จีน...มีงูดิ้นกระแด่วๆอยู่

 

ส่วนในมือของไอ้จิน...มีกิ้งก่า

 

                “โอ้ย ไอ้แฝดเหี้ย เล่นอะไรแผลงๆอีกแล้ว”ไอ้วีโวยวายก่อนจะวิ่งมาหลบข้างหลังผมด้วยสีหน้าตื่นๆ ไอ้สองแฝดวิ่งไล่เอางูกับกิ้งก่าหลอกเพื่อนๆด้วยความสนุกสนาน ส่วนไอ้ยิมกับไอ้ย้งไปก้มๆเงยๆอยู่แถวริมบึงน้ำเก็บอะไรซักอย่างใส่ถุงพลาสติกคนละลูก

 

                “ไอ้ยิมไอ้ย้งมึงทำอะไร?”ผมตะโกนถามเมื่อเห็นว่ามันก้มๆเงยๆมาซักพักแล้ว

 

                “ลูกกอล์ฟ พี่แคดดี้บอกว่าเอาไปขายได้ถุงละ 20”เพื่อนๆหลายคนพอได้ยินดังนั้นก็เริ่มเบนเข็มไปที่บึงน้ำกันบ้าง

 

                “ระวังไอ้เข้ขึ้นมาคาบลงไปแดกนะ”ผมส่ายหน้าใส่พวกเพื่อนๆที่เริ่มแย่งกันเก็บลูกกอล์ฟ ไม่นานไอ้ยิมกับไอ้ย้งก็กลับมาพร้อมลูกกอล์ฟเกือบ 50 ลูก

 

                “ลองผ่าดูมั้ยวะว่าข้างในมีอะไร”ไอ้วีเสนอ

 

                “เออ ลองดูก็ได้ เลือกลูกที่ยี่ห้อไม่เหมือนกัน เอาพร้าสับ”ผมเห็นด้วยกับไอ้วีหลังจากนั้นพวกเราก็ช่วยกันคัดลูกกอล์ฟคละยี่ห้อ ไอ้ยิมกับไอ้อิ้งค์รับหน้าที่ผ่า แน่นอนว่าลูกกอล์ฟแข็งมาก แต่ละยี่ห้อวัสดุข้างในสีสันต่างกัน บางชนิดเนื้อเนียนบางชนิดก็ดูหยาบ เมื่อผ่าครบหมดทุกลูกแล้วก็รวบรวมใส่ถุงไปทิ้ง

 

                “ไม่หนุกเลย มือแทบหัก”ไอ้ยิมบ่นอุบ หลังจากเล่นสนุกกันจนเวลา 5 โมงพวกเราก็กลับไปหน้าคลับเฮ้าส์เพื่อไปตอกบัตรเลิกงาน ผมขับรถกอล์ฟกลับไปเก็บที่ก่อนจะรีบวิ่งมาขึ้นท้ายกะบะกลับหอพัก  กิจวัตรประจำวันของพวกเราก็ยังคงซ้ำๆเดิมๆ ทำงาน เลิก กินข้าว นั่งเล่น และนอน

 

และเย็นนี้เป็นอีกวันที่เอิร์นไม่อ่านและไม่ตอบไลน์ของผม...

 

 

                คณิน::

               

                “ไอ้คินพรุ่งนี้มึงจะกลับกาญจน์เหรอวะ?”ไอ้ว่านเอ่ยถามผมเมื่อได้ยินผมคุยโทรศัพท์กับป๊า

 

                “เออ”ผมตอบรับส่งๆก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วเหล้าจากไอ้แดนที่ชงส่งมาให้

 

                “กลับไปทำไมวะ?”ไอ้ว่านที่เพิ่งจะตักพล่ากุ้งเข้าปากเอ่ยถาม ผมทอดสายตามองนักดนตรีที่เล่นเพลงเบาๆอย่างเมินคำถามเพื่อน จิบเหล้าที่ชงเข้มอย่างรู้ใจของไอ้แดนปล่อยใจไปกับบรรยากาศเบาๆไปเรื่อยๆ

 

เพราะพรุ่งนี้มีเรียนบ่ายเราจึงแวะมาสังสรรค์กันได้ การได้ดื่มทำให้ผมเอาใจออกห่างจากการตามติดชีวิตของใครบางคนทางนู้นได้

 

                “มึงจะไปถามอะไรมันนักหนาวะ มีเหล้าฟรีให้แดกก็แดกๆไปเถอะ”ไอ้แพทเขวี้ยงถั่วเม็ดใหญ่ใส่หน้าผากไอ้ว่านด้วยสีหน้าเอือมระอา

 

                “ก็กูเป็นคนใส่ใจเพื่อน”

 

                “ใส่ใจหรือเสือกเอาดีๆ”ไอ้แพรเงยหน้าจากเอ็นไก่ทอดขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูก็รู้ว่าจงใจกวนส้นตีน

 

                “เสือก”ผมต่อประโยคให้มันด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  พวกเรายกแก้วชนกันแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างไม่มีใครยอมใคร เกือบห้าทุ่มผมก็เริ่มมึนๆ ตอนนี้ในโต๊ะของเราไม่ได้มีแค่พวกผมแล้ว ผู้หญิง 5 คนมาแจมที่โต๊ะจับคู่เพื่อนๆผมจนครบ ถ้าจะให้เดาคืนนี้คงไม่กลับห้องอาจจะไปต่อที่โรงแรมใดโรงแรมหนึ่งแถวๆนี้ ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบอย่างไม่สนใจ แต่ไม่นานก็มีผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งเดินมาหาผม ในมือถือเครื่องดื่มสำหรับผู้หญิงมาด้วย ผมเมินสายตาและรอยยิ้มนั้นแต่ทว่าเจ้าหล่อนกลับเดินมาหยุดข้างหน้าผม เรียวขาขาวผ่องที่โผล่พ้นกระโปรงเข้ารูปสีดำสูงเลยเข่าเกินคืบทำให้ผมต้องตวัดสายตาขึ้นมอง

 

                “นั่งด้วยได้มั้ยคะ”น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยถามผม ผมมองบรรดาเพื่อนๆที่ตอนนี้เริ่มไม่สนใจโลกรอบตัวแล้วก็ได้แต่พยักหน้าแกนๆ ผู้หญิงคนนั้นทรุดตัวลงนั่งข้างผม ต้นขาเรียวนั้นเบียดกับต้นขาของผม แก้วเครื่องดื่มสีสวยถูกยื่นมาตรงหน้า

 

                “เราชื่อลูกแก้วนะยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”ผมมองหน้าลูกแก้วก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนแก้วกับเธอ

 

                “คิน ชื่อคิน”

 

 

                ภายในคอนโดหรูของคณิณประตูห้องถูกเปิดออกก่อนร่างของชายหญิงสองคนจะนัวเนียกันอย่างไม่มีใครยอมใครเข้ามา รองเท้าส้นสูงถูกสลัดออกอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง ริมฝีปากดูดดึงกันจนเกิดเสียง ชุดเดรสสีดำแขนเสื้อหลุดร่วงลงมาจนไม่เป็นทรง มือเรียวของคณิณสอดลึกเข้าไปในกระโปรงสั้นกุดบีบเค้นต้นขาขาวนั้นอย่างมัวเมา หญิงสาวจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตราคาแพงของคณิณออกอย่างรวดเร็วก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปให้พ้นทางราวกับนั่นคือสิ่งที่แสนจะเกะกะ คณิณดันร่างเพรียวระหงให้ล้มลงบนโซฟาหนังในห้องนั่งเล่นก่อนจะขึ้นคร่อมร่างบางนั้นกักไม่ให้เจ้าหล่อนหนีไปไหน ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเยอะทำให้คณิณเมาจนแทบไม่เหลือสติ ร่างสูงปลดเข็มขัดกางเกงออกก่อนจะตะโบมจูบลงบนกลีบปากเคลือบสีสวยนั้นราวหิวกระหาย สองมือไม่ได้ปล่อยให้ว่างบีบขยำก้อนเนื้อนุ่มอีกมือก็ลูบไล้ต้นขาขาวขึ้นมาจนถึงขอบชั้นในลูกไม้ตัวเล็ก ค่อยๆเกี่ยวมันลงมาโดยที่หญิงสาวก็ขยับบั้นท้ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

 

ริมฝีปากอุ่นกดจูบและดูดดึงกลีบปากอิ่มนั้นราวหิวกระหาย ดวงตาปรือจ้องหน้าคนใต้ร่างด้วยสายตาพร่าเลือน จากใบหน้าสะสวยของหญิงสาวกลับค่อยๆบิดเบี้ยว คณิณพยายามสะบัดหน้าเพื่อปรับโฟกัส ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับกลายเปลี่ยนเป็นใครอีกคน

 

เศรษฐพงศ์จ้องหน้าเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง คณิณสะบัดหัวอีกครั้ง มือที่บีบขยำก้อนเนื้อและลูบไล้กลางตัวของใครอีกคนหยุดนิ่ง

 

                “ไอ้เซ็ท?”เศรษฐพงศ์ใช้แขนคล้องคอคณิณดึงตัวขึ้นมากดจูบอย่างร้องขอ คณิณหัวใจเต้นแรงกับภาพที่เห็นตรงหน้า

 

อย่างเศรษฐพงศ์นี่น่ะเหรอจะมาจูบเขาก่อน ชายหนุ่มเบือนหน้าหลบก่อนจะเพ่งมองคนใต้ร่างอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เศรษฐพงศ์แต่เป็นหญิงสาวที่ปรือตามองเขาอย่างเชื้อเชิญ สติที่ขาดหายกลับเข้ามาอีกครั้ง คณิณรีบผละตัวออกจากหญิงสาว

 

                “คินคะ ทำไมล่ะ ทำไมไม่ต่อล่ะคะ”ลูกแก้วรีบวิ่งมาเกาะแขนเขาไว้ หญิงสาวอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยใช้หน้าอกอวบอิ่มถูไถต้นแขนของคณิณอย่างปลุกเร้า

 

                “ขอโทษนะ เธอกลับไปเถอะเราคงทำไม่ได้แล้ว”คณิณหันไปบอกผู้หญิงที่เขาขาดสติหิ้วกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

 

                “ทำไมล่ะ เมื่อกี๊ยังดีอยู่เลยนะ แก้วทำอะไรให้คินโกรธหรือเปล่าบอกแก้วได้นะ หรือคินอยากนอนนิ่งๆก็ได้เดี๋ยวแก้วทำให้เอง เอามั้ยอ่า”

 

                “ไม่เอา เธอกลับไปเถอะ เราไม่มีอารมณ์แล้ว”

 

                “ทำไมอ่ะ คินเป็นคนพาเรามาเองนะแล้วจะมาไล่แบบนี้ได้ไงอ่ะ”ลูกแก้วขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจเมื่อคณิณแกะมือที่คล้องแขนไว้แน่นของเจ้าหล่อนออก

 

                “เราเมาน่ะ แต่ตอนนี้เราหายเมาแล้ว ขอโทษด้วยนะ เธอกลับไปเถอะ เรามีคนที่ชอบแล้วไม่อยากนอกใจเขา”

 

                “เฮงซวย เธอมันผู้ชายเฮงซวย”ลูกแก้วผลักแขนของคณิณออกอย่างหัวเสีย หญิงสาวแต่งตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินไปเก็บรองเท้าที่สลัดทิ้งไปไม่ถึงสิบนาทีก่อนมาใส่ หันมามองค้อนชายหนุ่มเจ้าของห้องที่ตอนแรกเห็นรถที่ขับก็ตาโตยิ่งพอมาเห็นคอนโดยิ่งลิงโลดใจคิดว่าตัวเองคงตกถังข้าวสารแน่แล้ว

 

แต่ดูสิ หล่อนไม่เคยพลาดเหยื่อ แต่ไอ้คนหน้าหล่อๆหยิ่งๆนี่กลับทำให้หล่อนค้างเติ่งไปซะอย่างนั้น

 

                “กลับเองนะเราไม่ไปส่ง”ชายหนุ่มเอ่ยลาด้วยประโยคที่ทำให้เจ้าหล่อนยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ นิ้วกลางถูกส่งให้ก่อนที่จะเดินกระแทกเท้าพลางปิดประตูดังปังสนั่นจากไป คณิณยกมือขึ้นลูบหน้าพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

เกือบไปแล้ว

 

เกือบทำอะไรเกินเลยไปแล้ว ชายหนุ่มมองเป้ากางเกงที่นูนเด่นขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

 

ยังไงซะก็ต้องปลดปล่อยออกมาไม่งั้นคงนอนไม่หลับ ชายหนุ่มถอดกางเกงออกเปิดฝักบัวรดตัวดวงตาคู่สวยหลับตาลง จินตนาการภาพใครบางคนในสมองก่อนจะค่อยๆขยับข้อมือตัวเองช้าๆ

 

                “อ่า...”เสียงครางเบาๆดังขึ้น ภาพของเศรษฐพงศ์ที่ส่งยิ้มมาให้ ร่างกายเปลือยเปล่าที่ขยับไปมาในอริยาบทต่างๆยิ่งส่งให้คณิณเร่งข้อมือเร็วขึ้น

 

เร็วขึ้น

 

และเร็วขึ้นเรื่อยๆ

 

เร็วจนในที่สุดมวลความรู้สึกที่มีก็แล่นปราดเข้าสู่ปลายทางก่อนจะกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำขาวขุ่น เสียงหอบหายใจดังสะท้านก้องห้องน้ำ แข้งขาแทบอ่อนในขณะที่ยังขยับข้อมือช้าๆอีก 3-4 ครั้งเพื่อรีดเอาทุกหยาดหยดที่ยังคั่งค้างออกมา ใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหูและต้นคอ คณิณปล่อยตัวเองให้ยืนใต้ฝักบัวอีกพักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำแล้วแต่งตัวเข้านอนไปพร้อมมโนภาพว่าตัวเองนอนกอดเศรษฐพงศ์อยู่ในอ้อมแขน ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งที่กอดอยู่ก็เป็นแค่เพียงหมอนข้างเท่านั้น









                เช้าวันนี้ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินเหมือนเช่นทุกวัน หลังจากกินข้าวเช้าเด็กฝึกงานก็เดินทางมาตอกบัตร รับมอบหมายงานที่จะต้องทำในวันนี้

 

                “เอาล่ะวันนี้พี่จะให้พวกเธอไปตัดกิ่งหางนกยูงฝรั่งนะ มันระเกะระกะเวลารถทัวร์เข้ามากิ่งมันฟาดหลังคารถ ดูให้มันพ้นหลังคารถตัดตั้งแต่ทางเข้าๆมาเลยนะ จะใช้เวลากี่วัน”

 

                “ไม่เกิน 3 วันครับ”ผมตอบอย่างมั่นใจเพราะงานไม่ได้ยากอะไร พี่ต๋องพยักหน้าเข้าใจและอนุญาตให้เราเบิกรถอีแต๋นมาใช้ได้ 2 คัน พร้อมให้คนงานอีกกลุ่มหนึ่งมาช่วย

 

                “เดี๋ยวพวกผู้หญิงอยู่ข้างล่างนะ คอยเก็บกิ่งไม้ที่ตัดแล้วใส่รถ”ผมบอกกับเพื่อนผู้หญิงที่มีกันอยู่ 9 คน ก่อนจะแจกจ่ายงานให้พวกเพื่อน ๆ เราเริ่มงานกันด้วยความขะมักเขม้น ไอ้สองแฝดปีนขึ้นไปต้นเดียวกันด้วยความคล่องแคล่ว มันเหน็บมีดอีโต้ไว้ที่ขอบกางเกง แขนก็คล้องเลื่อยตัดกิ่งไว้ ตัวผมก็เช่นกัน

 

                “น้องๆ ทำกันช้าๆหน่อยก็ได้”เสียงคนงานของสนรามกอล์ฟเอ่ยบอกกับพวกเราเมื่อเราตัดมาได้เกิน 10 ต้นแล้ว ผมมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ทำไมถึงให้ตัดช้าๆในเมื่อถ้าทำเสร็จเร็วจะได้ไปทำงานอื่นต่อ

 

                “คือพวกน้องบ้าพลังกันเกินไปอ่ะ ทำๆเล่นๆมั่งก็ไม่มีใครว่าหรอก”

 

                “งี้งานมันก็เดินช้าดิ่พี่”ผมท้วงอย่างไม่เห็นด้วย

 

                “ช้าก็ช่างมัน นี่น้องรู้ป่ะตัดกิ่งเนี่ยปกติพี่ทำกันเป็นเดือนถึงจะเสร็จน้องไปบอกผู้จัดการได้ไงว่าสามวันเสร็จ”

 

                “บ้าเหรอพี่ ทำไมทำช้าขนาดนั้นสามวันผมก็ว่านานไป”ผมเถียงใจขาดดิ้นกับระยะเวลาการทำงานตามที่พี่เค้าว่า

 

                “น้องจะทำให้พวกพี่ลำบากหลังน้องกลับไปแล้วรู้หรือเปล่า?”พี่คนดูเป็นหัวโจกยังคงกล่าวโทษเราอย่างไร้สาเหตุ

 

ผมไม่เข้าใจหรอกนะว่าการที่พวกผมตั้งใจทำงานมันจะไปกระทบกับอนาคตของพวกเขายังไง แต่การที่ผมมาฝึกงานที่นี่การตั้งใจทำงานและปฏิบัติงานตามคำสั่งได้อย่างเป็นระบบมีระเบียบและมีประสิทธิภาพนั่นจะทำให้สถานประกอบการพอใจมันจะเป็นผลดีกับรุ่นน้องรุ่นต่อๆไปที่จะต้องมาฝึกงาน อีกอย่างสิ่งที่เขาตั้งใจทำนี้มันก็เป็นหน้าเป็นตาให้วิทยาลัยด้วยว่าสอนพวกผมมาดีผมยังจำวันแรกที่พี่ต๋องพาไปนะนำกับพี่ๆฝ่ายประสานงานได้ รายนั้นพูดถึงเด็กฝึกงานจากวิทยาลัยหนึ่งได้ดี

 

ถ้าผมเป็นเด็กกลุ่มนั้นมาได้ยินคงหน้าชาเหมือนโดนตบด้วยเท้าแน่ๆ

 

                “ถ้าน้องทำได้เร็วมันจะเป็นมาตรฐานที่ผู้จัดการจะเอามาใช้กับพวกพี่ งานในนี้เยอะจะตายแต่ละงานหนักๆทั้งนั้นอ่ะจะรีบทำไปทำไม”

 

                “ถ้าพี่กลัวงานหนักกลัวลำบากทำไมไม่ลาออกไปอยู่บ้านอ่ะ จะมาทำให้มันเหนื่อยทำไม”เสียงไอ้จีนตะโกนถาม ผมคิดว่ามันเองก็คงคิดเหมือนผม

 

เรารักสถาบัน

 

เราจะรักษาหน้าตาของสถาบันเราไว้ ไม่ยอมให้ความขี้เกียจของใครบางคนมาทำให้ชื่อเสียงมันมัวหมองลง

 

                “พี่พูดอะไรก็ฟังๆกันหน่อย”

 

                “เอาเป็นว่าผมรับทราบครับ แค่นี้นะผมจะทำงานต่อ”ผมเอ่ยตัดบทเมื่อพี่เมฆดูท่าจะไม่จบซักที ผมมองหน้าสองแฝดส่ายหน้าเบาๆไม่ให้มันต่อความยาวสาวความยืด

 

จากนั้นเราทั้งหมดก็เร่งสปีดกันยิ่งกว่าเดิม

 

ใช่ครับผมฟังแต่ผมไม่จำเป็นต้องทำตาม นั่นก็สร้างความไม่พอใจเล็กๆให้กับคนงานในนั้นเล็กน้อย

 

ช่วงเที่ยงหลังจากกลับหอมาล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วพวกเรราก็ตรงดิ่งไปร้านเจ๊แก้วทันที เพราะเสียเหงื่อกับออกแรงไปมากเมื่อมาถึงช่วยเจ๊แก้วยกกับข้าวกับปลาเสร็จเราก็จ้วงกันแบบไม่มีใครมองหน้าใคร ข้าวถูกขอเพิ่มจนเจ๊แก้วเอ่ยแซวแม้แต่กลุ่มผู้หญิงที่ว่ากินไม่เยอะวันนี้ยังกินได้มากกว่าปกติ เมื่อล้างถ้วยล้างชามเสร็จแล้วผมก็แยกตัวไปนั่งใต้ต้นสนห่างจากหอเพื่อโทรหาเอิร์น สายถูกตัดไป 2 ครั้ง ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนที่จะหัวใจฟูขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเอิร์นโทรกลับมาหาผมเอง ผมรีบกดรับกรอกเสียงทักทายลงไปในทันที

 

                “ฮัลโหลเอิร์น เมื่อกี้ทำไมตั...”











 

                “เซ็ท ต่อไปนี้ไม่ต้องโทรหาเอิร์นแล้วนะ”









ผมหุบปากลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเอิร์น



ผมทำอะไรให้เอิร์นโกรธหรือเปล่า?

 

                “เอิร์นเป็นอะไรอ่ะ? เซ็ทโทรไปกวนตอนเอิร์นเรียนอยู่เหรอ”

 

                “ไม่ใช่ เซ็ทไม่ได้กวนอะไรเอิร์น แต่เอิร์นอยากจะบอกเซ็ทว่าต่อไปนี้เราเลิกคุยกันเถอะนะ”

 

                “เซ็ทไม่เข้าใจ...มันเกิดอะไรระหว่างเราอ่ะเอิร์น”ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโรยแรงแบบสุดๆ

 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ผมไม่เข้าใจ คำพูดของเอิร์นเหมือนมีใครซักคนมากระชากหัวใจของผมจนมันโหวงวูบราวกับหัวใจจะหยุดเต้น

 

ผมทำอะไรให้เอิร์นไม่พอใจ

 

เราทะเลาะกันเหรอ?คำตอบคือไม่ เราไม่เคยทะเลาะหรือพูดจาไม่ดีใส่กันเลยซักครั้ง เราต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทุกครั้งที่พูดคุยจะเต็มไปด้วยความห่วงใยซึ่งกันและกันเสมอ

 

                “เอิร์นคุยกับเซ็ทต่อไปไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเอิร์นขอบคุณเซ็ทนะที่อยู่เป็นเพื่อกันมาตลอด”

 

                “เอิร์นครับ เซ็ทขอเหตุผลจริงๆได้มั้ย เซ็ทไม่เข้าใจเซ็ทเป็นแฟนเอิร์นไม่ใช่เหรอ?”

 

                “ไม่ เราไม่เคยเป็นแฟนกัน เอิร์นขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ ที่ผ่านมาเอิร์นคิดว่าเราน่าจะไปด้วยกันได้ เซ็ทเป็นคนดี เป็นคนที่เอิร์นคุยด้วยแล้วสบายใจ เอิร์นคิดว่าวันหนึ่งเอิร์นคงรักเซ็ทได้เหมือนที่เอิร์นรักพี่ปุ้ม จนกระทั่งพี่ปุ้มกลับมาหาเอิร์น เอิร์นก็คงลังเลว่าระหว่างเซ็ทกับพี่ปุ้มเอิร์นชอบใครมากกว่ากัน เอิร์นชอบเซ็ทนะแต่เอิร์นลืมพี่ปุ้มไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นเอิร์นเลยรู้สึกว่าเอิร์นไม่ควรจะคุยกับเซ็ทแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว เอิร์นคืนดีกับพี่ปุ้มแล้ว”

 

 

 

                เศรษฐพงศ์ไม่เคยรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มเหมือนเช่นวันนี้เลย เด็กหนุ่มนั่งฟังสิ่งที่อารดาพูดด้วยหัวใจที่เจ็บจนชา

 

ที่ผ่านมาอารดาเห็นเขาเป็นแค่คนคั่นเวลา?

 

ที่ผ่านมาอารดาไม่เคยลืมแฟนเก่าที่ทำให้เจ้าหล่อนเจ็บช้ำน้ำใจเลย

 

ที่ผ่านมาอารดาไม่เคยเห็นคุณค่าของคนที่นั่งรับฟังความทุกข์ใจของตนเองเลย

 

มีแต่เขา

 

เขาเองที่ให้ใจกับหญิงสาวเสียงหวานคนนี้ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้า

 

โดนเพื่อนๆด่าก็หลายครั้งเรื่องที่เขารักอารดาแบบหัวปักหัวปำ

 

โอบนิธิเคยถามเขาเสมอว่าทำไมเขาถึงรักผู้หญิงคนนี้นักทั้งๆที่ได้ยินแค่เสียงเห็นแค่รูปโปรไฟล์ในไลน์ รักแม้จะไม่เคยเห็นหน้าจริงๆด้วยซ้ำ

 

ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา อารดาเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับเขา

 

ไม่ว่าจะเรียนหนักจนท้อมากมายขนาดไหนอารดาจะคอยให้กำลังใจบอกให้เขาสู้ๆและตั้งใจเรียนเพื่ออนาคต

 

ไม่ว่าเขาจะเหงามากแค่ไหนบ่นเรื่องแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้เหมือนเมื่อก่อนอารดาเป็นคนปลอบใจเขาว่าเพราะแม่กำลังสร้างรากฐานให้เขาไว้ใช้ในอนาคตบอกให้เขาเชื่อใจและมั่นใจในตัวแม่

 

ไม่ว่ากี่ครั้งที่ทะเลาะกับคณิณทั้งหนักและเบาอารดาจะเป็นคนบอกให้เขาใจเย็นรู้จักปล่อยวางและให้อภัย

 

ในจักรวาลมีดวงดาวมากมายแต่อารดาเป็นเสมือนโลกทั้งใบของเศรษฐพงศ์

 

เด็กหนุ่มไม่เคยมีความรัก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเป็นคนขี้กลัว

 

กลัวความสูญเสียกลัวตัวเองจะเสียใจหากต้องสูญเสียความรักไป

 

เศรษฐพงศ์ไม่เคยจินตนาการความรู้สึกของการอกหักเลยซักครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเฝ้าระวังตัวระวังใจไม่ให้เผลอไผลไปรักใครได้ง่ายๆจนกระทั่งเจออารดา

 

                “ถ้าเอิร์นไม่เคยรักเซ็ทเลยเอิร์นจะมาคุยกับเซ้ททำไม?”น้ำเสียงที่พยายามห้ามไม่ให้สั่นถูกส่งกลับไป เสียงสะอื้นเบาๆจากปลายสายยิ่งบีบหัวใจของเศรษฐพงศ์ให้เจ็บ

 

                “มาทำให้เซ็ทรักเอิร์นทำไมในเมื่อเอิร์นไม่เคยรักเซ็ทเลย”พยายามกระพริบตาเพื่อไล่ความผ่าวร้อนที่กระบอกตา สายตาเริ่มพร่าเลือนลงไปทุกที

 

                “แบบนี้สินะเพราะแบบนี้สินะทุกครั้งที่เซ็ทบอกว่ารักบอกว่าคิดถึงเอิร์นๆถึงปล่อยเบลอเซ็ทมาตลอด เอิร์นไม่สงสารเซ็ทเหรอ เซ็ทให้ใจเอิร์นไปหมดแล้วนะ ให้จนไม่เหลือให้ใครเลยทำไมเอิร์นใจร้าย”

 

                “เอิร์นขอโทษ  นี่ไงเอิร์นกำลังทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง เซ็ทยังเด็กยังต้องเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิตอีกมากไม่นานเซ็ทก็จะลืมเอิร์นได้เอง”

 

                “มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกเอิร์น เซ็ทไม่ใช่คนที่จะลืมอะไรได้ง่ายๆหรอกนะ เอิร์นบอกเซ็ทหน่อยได้มั้ยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

                “....”

 

                “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขากลับมา?”

 

                “เขาไม่เคยไปไหนหรอกเซ็ท พี่ปุ้มเป็นรูมเมทกับเอิร์นเอง”

 

                “....”

 

                “เอิร์นขอโทษนะเซ็ท อย่าร้องไห้อย่าเสียใจกับคนไม่ดีอย่างเอิร์นเลย ต่อไปนี้เซ็ทไม่ต้องโทรมาไม่ต้องทักไลน์เอิร์นมาแล้วนะ เอิร์นไม่อยากมีปัญหากับแฟนแล้ว พี่ปุ้มเค้าไม่พอใจที่เอิร์นคุยกับเซ็ท เอิร์นไปก่อนนะเซ็ทดูแลตัวเองด้วยนะคะ”

 

สัญญาณจากปลายสายตัดไปแล้ว...เศรษฐพงศ์นั่งนิ่งราวกับกำลังทบทวนว่าเมื่อครู่สิ่งที่ได้ยินมันเกิดขึ้นจริงๆเหรอ เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล

 

อย่าอ่อนแอ

 

บอกกับใจตัวเองที่หวิวๆเหมือนจะเป็นลมนั้นให้อดทนไว้ ก็แค่โดนบอกเลิกกลางอากาศเองเว้ย มึงต้องทนได้สิวะไอ้เซ็ท

 

เสียงเรียกดังมาจากทางหอบอกเวลาว่าเขาต้องกลับไปทำงานต่อแล้วเด็กหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าด้วยความแศร้าซึม

 

ใบหน้าที่ระบายรอยยิ้มตั้งแต่บ่ายเมื่อวานตอนนี้กลับไร้สีเลือดอีกทั้งบึ้งตึงเครียดขรึมจนเพื่อนๆรู้สึกได้ จีรนันท์ทำท่าจะเอ่ยปากถามแต่ก็ถูกโอบนิธิดึงบ่าห้ามไว้ ตลอดระยะทางที่จะเข้าสนามกอล์ฟเศรษฐพงศ์สร้างพื้นที่ส่วนตัวให้ตัวเองโดยไม่พูดคุยกับใครไปตลอดทาง

 

ไม่ใช่อยากจะทำแบบนี้เพียงแต่ว่าถ้าเขาพูดไปกลัวความรู้สึกที่อัดอยู่ข้างในจะล้นทะลักออกมา

 

ถ้าเขาพูดอะไรไปในตอนนี้เขาคงร้องไห้

 

ความทุกข์ความผิดหวังความเสียใจมันอัดอั้นอยู่ในอกเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะประทุ

 

ตอนนี้สิ่งที่เศรษฐพงศ์ต้องการคือขออยู่เงียบๆกับตัวเองโดยที่ไม่มีใครก้าวเข้ามาวุ่นวายในส่วนนี้

 

ตลอดช่วงบ่ายนั้นเศรษฐพงศ์ทำงานเร็วกว่าตอนเช้าจังหวะการฟันกิ่งไม้หนักหน่วงรุนแรงเกรี้ยวกราดและไม่พูดคุยกับใครเลย

 

เพื่อนๆทั้ง 6 คนไม่มีใครเข้าหน้าเด็กหนุ่มติดซักคน

 

รู้แค่ว่าเศรษฐพงศ์อารมณ์ไม่ดีแต่ไม่รู้ว่าไม่ดีเพราะเรื่องอะไร







 

ตกเย็นหลังเลิกงานเศรษฐพงศ์อาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินไปนั่งอยู่หน้าป้อมยามโดยไม่บอกไม่กล่าวเพื่อๆ ชายหนุ่มไปขอผู้จัดการสนามกอล์ฟที่มีธุระเข้าตัวเองติดรถไปด้วย ยื่นใบลาหยุด 1 วันโดยอ้างว่าที่บ้านมีธระต้องไปร่วมเมื่อถึงตัวเมืองเศรษฐพงศ์ก็ลงจากรถแล้วเดินไปเรื่อยเปื่อยจากท่ารถเรื่อยๆลัดเลาะเส้นตลาดสดจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่โค้งปะปายามพลบค่ำแสงสีถูกประดับประดาหลากหลายด้วยโคมไฟหลากสีเสียงเพลงดังกระหึ่มแข่งขันประชันกันจากร้านรวงข้างทาง เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในร้านกึ่งผับร้านหนึ่งก่อนจะเริ่มสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มานั่งดื่มโดยไม่สนใจใคร

 

ดื่มให้มันลืมความเจ็บปวด

 

หวังให้เหล้าช่วยชะล้างความหม่นหมองในหัวใจแค่ซักช่วงเวลาหนึ่งก็ยังดี

 

ขอเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้แค่วันเดียวแล้วพรุ่งนี้เขาจะเยียวยาตัวเอง

 


สัญญว่าพรุ่งนี้จะดีขึ้น...







.................................


ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คิมจะกลับมาปลอบมั้ย ในที่สุดคำแช่งของคิมก็เป็นจริงเขาเลิกกันแล้วเขาเลิกคุยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 19:53:18 โดย Nung66669 »

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คือพีคที่สุคือเอิร์นกับเป็นแฟนกลับรูมเมทตัวเอง...
สงสารน้องสุดแต่อิคินนี่รีบกลับมาเลยนะก่อนน้องเปลี่ยนใจ

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
นั่นเชื่อเพื่อนมั่งเถอะเซ็ท

เป็นพี่คินนี่เหนื่อยเนอะ เห้ออออ


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Boy in luv #25



คณิณขับรถเข้าเขตจังหวัดกาญจนบุรีในตอนเกือบสองทุ่ม การจราจรในเย็นวันศุกร์แม้ไม่ติดขัดแต่ก็ไม่คล่องตัวนัก ชายหนุ่มเบนรถเข้าสู่เขตหนองตากยาเพื่อมุ่งหน้าไปสู่สนามกอล์ฟที่เศรษฐพงศ์ฝึกงานอยู่ ของกินของฝากที่ชายหนุ่มแวะซื้อรายทางตั้งแต่กรุงเทพ นครปฐม ราชบุรี จนกระทั่งถึงเมืองกาญจน์วางอยู่ท้ายรถมากมายหลายถุง  เขาเลือกซื้อแต่ของที่เศรษฐพงศ์ชอบกิน ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะทั้งหมดนั่นหรือไม่ที่คนเด็กกว่าชอบแต่นี่คือสิ่งที่เห็นเศรษฐพงศ์กินบ่อยๆ

 

            “ขอโทษนะครับพวกเด็กฝึกงานพักกันอยู่ตรงไหนครับ”คณิณลดกระจกรถถามยามที่นั่งเฝ้าป้อมหน้าสนามกอล์ฟ

 

            “เด็กเกษตรเหรอมีอะไรหรือเปล่าคุณ”

 

            “ใช่ครับไม่ทราบว่าพักแถวไหนผมเป็นพี่ของเศรษฐพงศ์เพิ่งกลับจากกรุงเทพเลยแวะเอาของกินมาฝากน้อง”

 

            “อ้อ พี่ของเซ็ทเหรอครับ ขับเข้าไปเห็นซอยตรงนั้นเลี้ยวเข้าไปเลยครับอยู่ห้องแรก”คณิณเอ่ยขอบคุณพลางยื่นถุงขนมให้ยามไปถุงหนึ่งก่อนจะเลี้ยวรถไปตามที่ยามบอก บริเวณหน้าหอกลุ่มนักศึกษาล้อมวงกันดีดกีต้าร์ร้องเพลงอย่างสนุกสนานมีทั้งที่คุ้นหน้าคือกลุ่มเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ที่นั่งร่วมวงแต่ท่าทางไม่ได้สนุกตามเพื่อนเท่าไหร่นักและที่ไม่คุ้นหน้าอีกเกือบสิบคน ทั้งหมดชะเง้อมองดูรถที่แล่นเข้ามาจอด คณิณเปิดประตูรถก่อนกวักมือเรียกโอบนิธิและยงศกรที่เดินมามองใกล้ๆ

 

            “มึง ไอ้อิ้งค์ไอ้ยิมมาช่วยขนของท้ายรถลงหน่อยกูซื้อมาฝาก”คณิณเปิดท้ายรถเผยให้เห็นของกินอัดแน่น

 

            “พี่มึงไม่ซื้อข้าวสารมาซักกระสอบด้วยเลยล่ะถ้าจะซื้อมาเยอะขนาดนี้”โอบนิธิว่าแดกเข้าให้ 1 ดอกเมื่อเห็นถุงของกินของใช้ที่อัดแน่นแถมคณิณยังเปิดประตูเบาะหลังเป็นเชิงบอกว่าในนี้ยังมีอีก

 

            “ไอ้เซ็ทล่ะ?”เอ่ยถามหาคนที่อยากเห็นหน้าในขณะที่พวกวีรดนัย สองแฝด ยงศวิสุทธิ์และเพื่อนๆผู้ชายอีก 2-3 คนมาช่วยขนของจนเสร็จ

 

            “มันติดรถพี่ต๋องเข้าเมืองไปตั้งแต่เลิกงานแล้ว”

 

            “อ่าว ไปทำไมวะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”คณิณขมวดคิ้วอย่างสงสัย

 

            “กูก็ไม่รู้นะ แต่ตอนบ่ายอ่ะมันดูอารมณ์ไม่ดีพวกกูเข้าหน้ามันไม่ติดซักคนมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้กูโทรไปสายจะไหม้แล้วแม่งยังไม่รับสายเลย ถ้าให้เดาคงเป็นเรื่องแฟนมันอ่ะ เห็นคุยโทรศัพท์พักใหญ่แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันจากนั้นก็อย่างที่บอก”โอบนิธิรีบรายงานพฤติกรรมของเพื่อนให้คณิณฟัง เอาจริงๆพวกเขาเป็นห่วงเศรษฐพงศ์ จะไปตามก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครมีรถกันเลยซักคนสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงพยายามไลน์หา แต่เศรษฐพงศ์ทำเพียงแค่อ่านแต่ไม่ตอบ โทรหาก็ตัดสายทิ้ง

 

            “เหมือนมันทะเลาะกับเอิร์น”คราวนี้เป็นวีรดนัยที่ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมา คณิณโทรกลับไปที่บ้านเจอแม่บ้านรับโทรศัพท์จึงแกล้งถามว่ามีใครอยู่บ้านอีกมั้ยปรากฏว่ายังไม่มีใครกลับไปที่บ้านเลยซักคนชายหนุ่มเร่งให้เด็กๆที่เหลือเอาของลงจากรถให้หมดไวๆ

 

คณิณขับรถเข้าตัวเมืองด้วยจิตใจที่คล้ายมีไฟมาสุม เขารู้สึกห่วงคนเด็กกว่าที่ขาดการติดต่อจากเพื่อนๆ ชายหนุ่มกดโทรหานับร้อยสาย...แน่นอน เศรษฐพงศ์ไม่รับ  ผิดปกตินิสัยของเศรษฐพงศ์มากเพราะปกติไม่ว่าจะโกรธหรือเกลียดกันยังไงถ้าคนที่บ้านโทรหาเด็กนั่นไม่เคยเมินสายเลยซักครั้ง  อยากไปให้ถึงตัวเมืองไวๆ

 

 

เศรษฐพงศ์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มราวน้ำเปล่าตั้งแต่หัวค่ำ ดวงตาฉ่ำน้ำปรือปรอยมองชาวต่างชาติที่แวะเวียนเข้ามาดื่มกันในบาร์แห่งนี้ด้วยความอิจฉา

 

คู่รักแลกจูบกันอย่างไม่ปิดบัง

 

ใจของเขาเจ็บ คล้ายกับมีเข็มมาทิ่มแทง

 

เหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำมาจนเต็มอยู่ๆก็มีใครไม่รู้เอาเข็มมาทิ่มจนเกิดรอยรั่ว น้ำที่บรรจุด้านในค่อยๆไหลออกตามรูที่ถูกแทงจนพรุน

 

เจ็บจังเลย

 

ทำไมมันทรมานอย่างนี้นะ

 

เหมือนจะหายใจไม่ออก

 

หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยดวงตาที่พร่าเลือน สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมินทุกสายที่โทรเข้ามาเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งเข้าปากกลืนหายไปราวกับมันระเหย  ข้อความมากมายถูกส่งไปหาอารดา ขอร้องให้ฝ่ายหญิงทบทวนเรื่องราวใหม่

 

ในที่สุด อารดาก็บลอคไลน์เขา

 

เศรษฐพงศ์ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเท่าวันนี้มาก่อน  เพราะความเมาทำให้เศรษฐพงศ์ละทิ้งซึ่งสติและความคิดที่เคยโตเป็นผู้ใหญ่เอาไว้เบื้องหลัง

 

ตอนนี้

 

ขณะนี้

 

เวลานี้

 

เขาอยากจะเป็นคนเอาแต่ใจ เศรษฐพงศ์ใช้สมองอันพร่าเลือนกดเบอร์พื่อโทรหาอารดาอีกครั้ง คราวนี้ปลายสายกดรับ เด็กหนุ่มรีบระล่ำระลักอ้อนวอนขอร้องไม่ให้อารดาตัดสายทิ้ง

 

            “เอิร์น เอิร์นอย่าเพิ่งวางนะ เซ็ทขอโทษ ถึงเซ็ทจะไม่รู้ว่าเซ็ททำผิดตรงไหนแต่เอิร์นอย่าเลิกกับเซ็ทเลยนะ เซ็ทสัญญาว่าเซ็ทจะไม่ทำให้เอิร์นเสียใจเหมือนอย่างที่เค้าทำ เอิร์นอย่ากลับไปคบกับเค้าเลยนะ เซ็ทชอบเอิร์น ชอบเอิร์นมากจริงๆนะ”

 

            “มึงอยู่ไหน?”ปลายสายเอ่ยถามด้วยน้ำเรียบเรียบนิ่ง นิ่งจนน่ากลัว เศรษฐพงศ์นิ่งฟังอย่างใช้ความคิด น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยแม้ว่าจะเมาก็ยังคงจำได้

 

เขาโทรผิด...

 

            “กูถามว่ามึงอยู่ที่ไหนไอ้เซ็ท?”คำถามคำเดิมยังคงย้ำอีกครั้ง

 

            “ไม่ต้องมายุ่งกับกู”เศรษฐพงศ์ตัดสายพลางสั่งเหล้าเพิ่มอีกแก้ว

 

คณิณโยนโทรศัพท์ไว้บนเบาะข้างๆอย่างหัวเสียพยายามคิดว่าเศรษฐพงศ์จะไปกินเหล้าที่ไหนได้ น้ำเสียงยานคางอย่างนั้นแปลว่าเมาเต็มที่แล้ว ดูเอาเถอะขนาดสติไม่ครบยังเมินเขาเหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง น่าตลกที่เขาเป็นห่วงไอ้เด็กบ้านี่แทบแย่  คณิณพยายามทบทวนว่าตนเองได้ยินเสียงอะไรบ้างในขณะที่ฟังเศรษฐพงศ์คร่ำครวญถึงความรักที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น

 

เสียงเพลงที่ดัง เสียงพูดคุยรอบกาย เสียงชาวต่างชาติ...ในเมืองกาญจน์ตรงไหนที่ฝรั่งชอบไปดื่มกันนะ...

 

โค้งประปา?

 

คณิณขับรถมุ่งตรงไปสู่เส้นโค้งประปา ชายหนุ่มเลือกเอารถไปจอดในซอยใกล้ๆกับที่ทำการปะปาเพราะถนนเส้นนี้ตอนกลางคืนคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชอบมาดื่ม เพราะเป็นถนนเส้นเล็กๆอีกทั้งปริมาณคนและปริมาณรถที่ใช้สัญจรไปมามีมากจึงทำให้เส้นนี้รถติดพอสมควร  คณิณเดินมุ่งหน้าข้ามมาอีกฝั่งของถนนที่ประกอบด้วยบาร์ชั้นล่างไปจนถึงชั้นกลาง บรรดาสาวๆที่คอยเรียกลูกค้าส่งเสียงโห่แซวยามชายหนุ่มตัวขาวหน้าตาหล่อเหลาในชุดนักศึกษาเดินผ่านคณิณไม่ได้สนใจพวกหล่อนเหล่านั้นเลย สายตาคมสอดส่ายมองหาคนเด็กกว่า เดินไปไกลราวๆ 500 เมตร ในร้านที่เต็มไปด้วยนักดื่ม เศรษฐพงศ์นั่งอยู่บนโต๊ะยาวหน้าร้านเด็กหนุ่มกำลังยกมือสั่งเหล้าแก้วใหม่ ใบหน้าที่มีแก้มฟูๆขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาปรือเยิ้ม ข้างกายมีผู้ชายต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่พยายามชวนคุย คณิณไม่รอช้าสองเท้าก้าวยาวๆเข้าไปหาคนน้องทันที

 

            “เซ็ทกลับบ้าน”ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มยังถือวิสาสะดึงแขนคนน้องให้ลุกขึ้น แต่เศรษฐพงศ์กลับขืนตัวไว้พลางใช้มืออีกข้างปัดแขนเขาอย่างไม่ใยดี

 

            “อย่ามายุ่ง จะไปไหนก็ไปกูจะกินเหล้า”เด็กหนุ่มหยิบแก้วเหล้าที่พนักงานเพิ่งเอามาเสิร์ฟแต่ยังไม่ทันได้ยกดื่มคณิณก็แย่งไปจากมือแล้วเทเหล้าทิ้งลงพื้น ชายหนุ่มควักเงินจ่ายค่าเหล้าแก้วนั้นก่อนจะออกแรงดึงคนน้องให้เดินตามมา เศรษฐพงศ์แทบจะปลิวถลาตามแรงดึงของคนแก่กว่า เมื่อต้องก้าวเร็วกึ่งเดินกึ่งวิ่งก็รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องโก่งคออ้วกออกมา คณิณลูบหลังเด็กหนุ่มเบาๆจนเศรษฐพงศ์อาเจียนออกจนหมด

 

            “เดินไหวมั้ย?”เอ่ยถามเด็กที่ดวงตาปรือจนแทบจะปิด ใบหน้าซีดมีเหงื่อผุดจนน่าสงสาร เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับเบะหน้าขึ้นเรื่อยๆ อาการพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ถูกทำลายลงเพราะฤทธิ์เหล้า ความเศร้าเสียใจที่ถาโถมกลั่นออกมาเป็นน้ำตาและเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นราวเด็กน้อยที่ถูกแย่งของเล่นชิ้นโปรดไป เศรษฐพงศ์ร้องไห้ น้ำตาของคนเป็นน้องไหลเป็นสาย

 

นั่นมันทำให้ใจของคณิณเจ็บ

 

เศรษฐพงศ์ยังเด็กเกินไปที่จะรับมือกับความผิดหวังและความเจ็บปวดจากการไม่สมหวังในความรัก

 

            “มานี่เถอะ มึงเดินไม่ไหวหรอก ขี่คอกูเดี๋ยวจะแบกเอง”

 

            “กูเจ็บ...ฮึก...”คนเมายังคงไม่ทำตามที่เขาบอกแต่กลับเอ่ยประโยคที่ทำให้คณิณต้องกัดฟันแน่น ชายหนุ่มจัดการเอาเศรษฐพงศ์ขึ้นหลังได้สำเร็จ เสียงคนเมายังคงคร่ำครวญชิดใบหู เสียงร้องไห้บาดเข้าไปในใจของคนฟัง เต็มไปด้วยความเศร้าและความผิดหวัง คำถามซ้ำๆพร่ำถามออกมาว่าตัวเขาไม่ดีตรงไหนทำไมถึงไม่รักเขาทำไมยังไปรักคนที่เคยทิ้งไป

 

“กูรู้ว่าการไม่เป็นที่รักมันรู้สึกยังไง กูรู้ตั้งแต่ที่เริ่มรักมึง กูเข้าใจความรู้สึกของมึงดีเลยล่ะไอ้เด็กโง่เอ้ย”

คณิณแบกเศรษฐพงศ์มาจนถึงรถ ร่างสูงวางคนเป็นน้องลงบนเบาะรถอย่างแผ่วเบาที่สุดจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพแล้วจึงอ้อมมานั่งประจำที่คนขับ มองคนเมาที่ยังคงพร่ำเพ้อไม่ได้สรรพก่อนจะคิดหนัก

 

เขาควรพาเศรษฐพงศ์ที่เมาแอ๋กลับบ้านหรือควรพาไปเปิดโรงแรมนอนดี เพราะถ้ากลับบ้านลดาจะต้องเป็นห่วงลูกชายมากแน่ๆ

 

เศรษฐพงศ์คงยังไม่อยากให้ใครรูว่าตัวเองอกหัก

 

เด็กคนนี้คาดหวังและมองอนาคตที่มีอารดาไว้สูงมากแต่ตอนนี้ความรักความหวังมันพังลงอย่างไม่เป็นท่าคงต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาแผลใจที่ถูกอารดาทำไว้จนใหญ่เป็นรูรั่วนี้ซักระยะ

 

คิดได้ดังนั้นคณิณจึงขับรถเข้ามาในซอย โชคดีที่มีรีสอร์ทเปิดใหม่อยู่ในซอยคณิณจึงตัดสินใจพาเศรษฐพงศ์เปิดห้องที่นี่ ร่างสูงประคองคนเมาเข้ามาในห้องสำเร็จอย่างทุลักทุเล ทิ้งร่างของเศรษฐพงศ์ลงบนเตียงนอนนุ่มหลังใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน เท้าเอวมองคนเมาที่เอาแต่ร้องไห้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

 

น่าแปลกที่เขาแช่งให้คนทั้งคู่เลิกกันมาตลอด แต่พอเห็นเศรษฐพงศ์ที่มีสภาพแบบนี้ใจของเขาก็เจ็บแทนคนน้อง

 

ไม่อยากให้คนๆนี้ต้องเสียใจกับอะไรแบบนี้เลยซักนิด

 

            “เป็นอะไร จะอ้วกเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อเศรษฐพงศ์เด้งตัวลุกขึ้นนั่งเอามือปิดปากตัวเองไว้ เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะโก่งคออาเจียนออกมาพร้อมๆกับที่คณิณที่หันรีหันขวางหาถังขยะแต่ก็ไม่เจอไวเท่าความคิดคณิณยื่นมือออกมารองรับเศษอาเจียนของคนน้อง ของเหลวอุณหภูมิอุ่นคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้าผสมกลิ่นเปรี้ยวๆถูกคณิณค่อยๆประคองไปทิ้งในโถส้วม ชายหนุ่มล้างมือและล้างตัวที่ถูกอ้วกกระเด็นใส่ก่อนจะเอาน้ำใส่กะละมังใบเล็กกลับมาเช็ดตัวให้คนเป็นน้อง

 

ร่างสูงนั่งลงบนขอบเตียงที่ว่างประคองร่างอ่อนปวกเปียกของคนเมามาไว้ในอ้อมกอดแล้วค่อยๆถอดเสื้อยืดออกให้พ้นตัววางร่างบอบบางของเศรษฐพงศ์ลงตามเดิมแล้วค่อยๆเอาผ้าเช็ดตามเนื้อตามตัวของคนเมา  พยายามข่มใจยามที่เศรษฐพงศ์เอาแต่อ้อนวอนขอความรักความเห็นใจจากเด็กคนนั้นจนคณิณรู้สึกหงุดหงิด ผ้าชุบน้ำถูกลูบไล้บนตัวของเศรษฐพงศ์ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด

 

หมับ..

 

อยู่ๆคนที่เมาจนครองสติตัวเองไม่อยู่ก็จับข้อมือข้างที่เขากำลังเช็ดตัวให้เด็กหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นนั่งฝ่ามืออุ่นถูกจับให้มาแนบแก้มของตน

 

            “เซ็ทรักเอิร์นนะครับ”คนเมาว่าเสียงเจือสะอื้น

 

ไม่อยากฟังแล้ว

 

ไม่อยากฟังคำพูดที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บช้ำ

 

“กลับมาหาเซ็....อื้อ!!...”







 

 

คณิณ::

 

ผมปิดเสียงร่ำร้องพร่ำเพ้อด้วยการรั้งต้นคอของมันมาประกบจูบ ไอ้เซ็ทไม่ได้ปัดป้องขัดขืนแต่ก็ไม่ได้ตอบรับ มันนั่งนิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างเงียบๆไร้เสียงพร่ำเพ้อเหมือนก่อนหน้านี้ ผมกดจูบลงไปซ้ำๆย้ำๆอย่างเชื่องช้าก่อนจะผละออกมาใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากของมันอย่างช้าๆและแผ่วเบา

 

เลิกพูดซักที เลิกพูดถึงคนอื่นคนที่ทำให้มึงต้องมานอนร้องไห้แบบนี้ซักที

 

มึงเจ็บ ใจกูก็เจ็บ เจ็บเพราะมึงร้องไห้ให้เขาคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของมึง

 

คนดีๆแบบมึงไม่ควรต้องมาโดนทำร้ายจิตใจด้วยเรื่องแบบนี้

 

            “อย่าร้อง...กูจะทนไม่ไหวแล้วนะ”ผมดึงมันมากอดพลางลูบแผ่นหลังที่ยิ่งปลอบยิ่งสั่นระริก

 

            “เขาไม่รักมึงก็ปล่อยเขาไป กูอยู่ตรงนี้อยู่กับมึงทั้งคนมึงไม่เห็นเหรอ?”ทั้งๆที่เป็นคนบอกไม่ให้มันร้องเองแท้ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับอยากจะร้องไห้เสียเอง

 

            “กูไม่ได้รักมึง...กูไม่ได้รักมึงเข้าใจป่ะ?”ผมหลุดรอยยิ้มขื่นๆให้กับคำพูดของคนเมา

 

ดูเอาเถอะขนาดไม่มีสติมันยังไม่ลืมความรู้สึกของตัวเอง

 

            “มึงแม่งใจร้ายชิบหายเลย  น่าทิ้งให้อยู่คนเดียวนักไอ้เหี้ย” ผมผลักหัวคนเมาจนร่างโงนเงนของมันหงายหลังลงบนที่นอนไอ้เซ็ทคว้าคอเสื้อของผมไว้จนตัวของผมพลอยล้มลงไปด้วย ลมหายใจของเราห่างกันไม่ถึงคืบ ริมฝีปากแดงๆของมันลอยยั่วอยู่ตรงหน้า ผิวแก้มของมันขึ้นสีเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์มันเลื่อนมือของมันที่จับคอเสื้อของผมมาคล้องรอบลำคอของผม ดวงตาปรือปรอยของมันยังคงมีน้ำตาไหลไม่ขาดสาย

 

ความเจ็บช้ำของมันคงมีมากจนล้นอก

 

            “ไม่เอา อย่าทิ้งกู มึงชอบกูจริงๆเหรอ?  อยากได้กูมั้ย  ถ้าอยากได้กูจะให้”ไอ้เซ็ทเอ่ยถามราวกับไม่เชื่อว่าความรู้สึกที่ผมมีให้มันคือเรื่องจริง มันค่อยๆดันตัวขึ้นมาก่อนจะเป็นฝ่ายกดจูบลงมาบนริมฝีปากของผมมือที่คล้องคอของผมไว้ก็ออกแรงดึงให้ผมโน้มหามันมากขึ้น ไอ้เซ็ทนอนราบลงกับเตียงอีกครั้งเรียกร้องจูบจากผมมากขึ้น กกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งมากับลมหายใจ รสขมปร่าเคลือบลิ้นของมันที่ผมเผลอดูดดึงเกี่ยวพันทำเอาผมแทบจะมึนตามมัน

 

ในใจของผมราวกับมีแมลงนับล้านๆตัวบินวนมันไม่ได้วูบวาบหวามไหวแต่มันกลับเจ็บจี๊ดๆเพราะแมลงเหล่านั้นกกำลังกัดกร่อนหัวใจของผมอย่างช้าๆ

 

จูบของเรา จูบที่มันเริ่มมีทั้งรสขมและรสหวานเจือปนกันอยู่ ฝ่ามือของผมเริ่มลูบไล้ลงบนร่างกายส่วนต่างๆของมัน ท่อนบนเปลือยเปล่าล่อลวงตาราวกับดอกไม้สีสวยที่กำลังไหวลู่ลมล่อแมลงให้บินเข้าไปดูดดึงแอ่งน้ำหวาน  ผมกดจูบปลายคางสูดดมความหอมหวานที่ลำคอไล้เลียชิมผิวผ่องตรงแนวไหปลาร้าอย่าตะกละตะกลาม ยอดอกเม็ดเล็กๆลอยเด่นอยู่ตรงหน้ายั่วยวนจนสติแทบจะกระเจิง ผมเลื่อนตัวขึ้นไปกดจูบลงบนปากอิ่มของมันอีกครั้ง

 

น้ำตาของมันยังไม่หยุดไหล

 

ถ้าจูบกันแล้วมีความสุขต้องไม่ร้องไห้สิ

 

นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่??

 

ในขณะที่ไอ้เซ็ทเอ่ยเชิญชวนผม นั่นเป็นเพราะมันเมาไม่มีสติ

 

แล้วผมล่ะ? แน่นอนสติสัมปัชชัญญะของผมยังคงครบถ้วนผมสามารถปฏิเสธมันได้

 

ผมไม่ควรฉวยโอกาสตอนที่จิตใจของมันเปราะบางบอบช้ำเพื่อความสุขของตัวเองเลยซักนิด ใจคนเจ็บต้องการเพียงแค่ใครซักคนมาเติมเต็มเยียวยาความเจ็บปวดที่ได้รับ

 

นั่นมันไม่ใช่เพราะความรัก ในตอนนี้สำหรับไอ้เซ็ทที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่านั้นมันแค่จะหาใครซักคนที่เห็นคุณค่าในตัวมันซึ่งบังเอิญว่าในตอนนี้ข้างกายของมันคือผม

 

เมื่อสร่างเมามันอาจจะปล่อยเลยตามเลยหรือไม่ก็คงเกลียดผมไปเลย

 

ผมไม่ต้องการแบบนั้น

 

ผมอยากให้มันเปิดใจให้ผมเพราะเห็นถึงความดีของผมไม่ใช่ยอมคบยอมนอนด้วยกันให้มันจบๆเพราะว่าเห็นใจผมหรือทำไปเพื่อประชดใคร

 

มันมีค่ากว่านั้น มีค่าเกินกว่าที่จะทำให้ทั้งกายและใจของมันต้องแปดเปื้อน

 

ผมถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เช็ดคราบน้ำสีใสที่เคลือบริมฝีปากของมันอย่างแสนเสียดายกอดมันไว้จนใบหน้าของมันแนบลงบนอกผม

 

            “นอนนะเด็กดี กูจะกอดมึงไว้เอง ไม่ต้องร้องแล้วนะกูเห็นแล้วปวดใจ”ผมลูบหัวมันเบาๆราวผู้ใหญ่ที่กำลังปลอบเด็กน้อยให้เข้าสู่นิทรา มันกำมือกับขอบกางเกงของผมแน่น น้ำอุ่นๆซึมอยู่บนแผงอกของผม เสียงสะอื้นยังคงดังไปอีกซักพัก ไหล่กับแผ่นหลังของมันสั่นสะท้านแล้วค่อยๆสงบลง

 


สาบานได้เลยว่าถ้าเอิร์นเป็นผู้ชายผมจะเหมาเครื่องบินตามไปกระทืบให้ตายคาตีนยั้นขอนแก่นเลยโทษฐานที่ทำให้ไอ้เซ็ทของผมต้องร้องไห้







แสงแดดยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีทึบเศรษฐพงศ์เริ่มขยับตัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน อาการปวดศีรษะเข้าจู่โจมทันทีที่รู้สึกตัว เด็กหนุ่มหลับๆตื่นๆแทบจะทั้งคืนอาการเมาสร่างลงไปแล้วที่คงเหลือไว้ในตอนนี้คล้ายจะทำโทษที่เขาทำร้ายตัวเองด้วยการกินเหล้าหนักทั้งๆที่ปกติถ้ามีสังสรรค์กับเพื่อนๆก็แค่จิบๆแบบเลี้ยงแก้วไม่เกิน 2-3 แก้วผสมจางจนแทบไม่รู้รสเหล้าเลยด้วยซ้ำ ไม่ก็ผสมโค้กจิบๆพอหวานลิ้น ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นก็พบว่าใครบางคนยืนกอดอกมองเขาอยู่ เศรษฐพงศ์กระพริบตาเพื่อปรับโฟกัสเพราะคิดว่าตาฝาดแต่เมื่อลืมตาขึ้นมองก็ยังคงเป็นคนๆเดิม

 

            “ตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำอาบท่า”คนพี่ที่ยืนกอดอกมองคนน้องมาซักพักเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะยื่นวิตามินซีแบบขวดที่ซื้อมาจากเซเว่นละน้ำเปล่าให้ทั้งขวด

 

            “กินไปเยอะๆ หิวหรือยัง กูไม่รู้ว่ามึงจะตื่นกี่โมงเลยไม่ได้ซื้อโจ้กให้แต่กูซื้อโจ๊กคัพไว้ เดี๋ยวอาบน้ำอาบท่าก่อนกูจะต้มให้ เสื้อผ้าใส่ของกูไปก่อนมึงอ้วกรดชุดตัวเองเมื่อคืน” คณิณส่งเสื้อผ้าของตัวเองที่ติดรถมาด้วยให้เศรษฐพงศ์

 

            “ปวดหัว”คนน้องบ่นออกมาเบาๆพลางสะบัดหัวไปมา

 

           “กินเข้าไปสิที่ให้น่ะ มันแก้แฮ้งก์”

 

          “กูเมามากเลยเหรอวะ?”เปิดขวดวิตามินกระดกเข้าปากพลางถามคำถามที่คณิณรู้สึกว่าโง่พอๆกับถามว่าสบายดีมั้ยอะไรแนวๆนั้น

 

          “จำได้หรือเปล่าล่ะว่ามาที่นี่ได้ยังไง อ้วกใส่กูไปกี่รอบ อ้วกจนกูหาถังขยะไม่เจอจนต้องเอามือกูรองอ้วกให้มึงน่ะ”

 

           “กูทำอะไรน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”คนที่เพิ่งสร่างเมาเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

 

          “มึงทำยิ่งไปกว่านั้นอีกไอ้เซ็ท”คนพี่เอ่ยตอบก่อนจะหันหลังไปแกะฝาปิดโจ้กคัพที่ซื้อมาจากเซเว่นกดน้ำร้อนใส่แล้วคนจนเข้ากันดีเดินกลับมาหาเศรษฐพงศ์แล้วยื่นให้ซึ่งรายนั้นเพราะตั้งแต่เย็นวานยังไม่ได้กินข้าวซักคำก็รับไปอย่างไม่ลังเลอิดออด

 

           “กูทำอะไรไปมั่งอ่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”เป่าโจ๊กก่อนตักเข้าปาก ความร้อนช่วยทำให้คล่องคอและรู้สึกดีขึ้นจนต้องรีบตักกินอีกคำ

 

          “อยากรู้จริงๆ?”คนพี่ถามพลางทำหน้าจริงจัง

 

          “เออ บอกหน่อยกูทำอะไรน่าเกลียดไปมั่งวะ แม่ง ดีนะไม่มีใครมาเห็นสภาพกูตอนนั้นมันต้องน่าเกลียดมากแน่ๆเลย”

 

          “มึงร้องไห้คร่ำครวญ อ้อนวอน พร่ำเพ้อ น่ารำคาญมากไอ้เหี้ย เมาเหมือนหมาหมดสภาพแถมไอ้ฝรั่งนี่นั่งข้างๆมึงจ้องมึงตาเป็นมันถ้ากูไปไม่ทันมันคงหิ้วมึงไปแดกแล้ว”

 

           “เออๆ กูขอบใจมึงก็แล้วกัน”คนน้องเอ่ยขอบใจส่งๆยังไม่ละความสนใจไปจากถ้วยโจ๊ก

 

           “มันมีมากกว่านั้นอีกนะ”

 

           “ห๊ะ!!! มีอีกเหรอวะ?”

 

           “เออ มีอีก มึงถามกูว่ากูอยากได้มึงมั้ย ถ้าอยากได้มึงจะให้กูเอา”

 

พรวดดดดดดดดด!!!!

 

โจ๊กที่เพิ่งตักเข้าปากถึงกับพุ่งออกทั้งทางปากและทางจมูกเมื่อได้ยินประโยคล่าสุด เศรษฐพงศ์ไอโขลกจนหน้าดำหน้าแดง

 

          “ไอ้เหี้ยมึงโกหก กูไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก อย่ามาตอแหล”คณิณเบะปากใส่คนที่ส่งค้อนมาให้ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดปากเช็ดจมูกให้

 

          “มึงจะคิดว่ากูตอแหลก็ช่าง แต่บุญเท่าไหร่แล้วที่คนมาเจอมึงคือกู บุญเท่าไหร่แล้วที่กูไม่เอาเปรียบมึง ทีหลังแดกเหล้าไม่เก่งก็อย่าแดกกูไม่ใช่ GPS จะได้ตามหามึงเจอตลอดเวลา มึงมีปัญหาอะไรมึงบอกกูได้ หรือถ้าไม่อยากบอกกูเพื่อนๆมึงก็มี พวกมันเป็นห่วงมึงชิบหายเลย ไลน์มาก็ไม่ตอบโทรมาก็ไม่รับ ถึงเมื่อก่อนกูจะเหี้ยกับมึงมาเยอะแต่กูน่ะ...”เศรษฐพงศ์ช้อนตาขึ้นมองคนที่ยืนอยู่เหนือกว่าตนเอง คณิณใช้ปลายนิ้วเกลี่ยถุงใต้ตาที่บวมจนเห็นได้ชัดของคนน้องอย่างแผ่วเบา

 

           “ไม่อยากเห็นมึงร้องไห้เลย มึงแม่งโคตรน่าสงสาร กูเองก็แม่งเสือกปลอบใจใครไม่เก่ง”

 

          “.......”

 

          “ถ้าเขาไม่รักมึงก็ต้องเข้มแข็งรู้มั้ย?”

 

          “.........”

 

          “ถ้าเขาทำมึงเจ็บ มึงก็เลิกรักเค้าเถอะ”

 

          “............”

 

          “ตอนที่มึงร้องไห้น่ะ เค้าไม่มารับรู้กับมึงหรอกนะ แต่คนที่เห็นมึงร้องไห้สะอึกสะอื้นน่ะคือกู ใจกูเจ็บยิ่งกว่ามึงอีก อยากปกป้องมึงแต่กูก็ทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย”

 

           “............”

 

           “ถ้าเขาเป็นโลกทั้งใบของมึง งั้นกูเป็นดาวหางก็ได้ถ้ามันจะทำให้มึงหันมามองกูบ้างซักนาทีก็ยังดี”คณิณจ้องลึกเข้าไปในลูกแก้วสีน้ำตาลที่จ้องเขาเขม็ง ดวงตาของเศรษฐพงศ์ไหววูบน้ำใสคลอหน่วยก่อนที่เจ้าของดวงตาคู่โศกนั้นจะกระพริบไล่มันออกไปในทันที

 

           “ขอบใจมึงนะ แต่ตอนนี้กูคงเปิดใจให้ใครไม่ได้จริงๆ”

 

           “กูก็ไม่ได้หวังให้มึงมาชอบกูแบบปุบปับอยู่แล้ว”คณิณส่งยิ้มชืดๆให้กับเศรษฐพงศ์  เขารู้คำตอบของคนน้องอยู่แล้วว่าจะตอบมาในแนวไหน

 

ทำใจรอบที่ล้านแล้วล่ะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงสุดท้ายก็ยังไม่ชินอยู่ดี ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆก่อนจะหันหลังให้คนน้อง เศรษฐพงศ์มองแผ่นหลังกว้างนั้นก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาให้คนพี่ต้องหันกลับมามองด้วยหัวใจที่พองโต

 

 

 

            “กูอาจจะยังไม่ชอบมึงตอนนี้...แต่ช่วยอยู่เป็นดาวหางให้กูก่อนได้มั้ยวะ?”


 



................................................



ดางหางในที่นี้ก็คือดาวตก แต่ดาวหางจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่นานๆจะมีซักครั้งหนึ่ง อาจจะหลัก 10 หลัก 100 ปี เป็นดาวที่ใครๆต่างก็เฝ้าดู พี่คินก็อยากให้ซักครั้งหนึ่งที่น้องเซ็ทจะเห็นความสำคัญของเขาบ้าง แม้ว่าความรู้สึกนั้นจะมีและหายไปเพียงชั่วพริบตาก็ตาม ถึงแม้ว่าเซ็ทอาจจะภาวนายามดาวตกขอให้เอิร์นกลับมาก็ช่างมัน


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Mizunoe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอโห รวดเดียวยาวๆ
ตอนดีกันน่ารักมากกกก
ส่วนมาถึงตอนนี้.....เอาใจช่วยทั้งคู่เลยนะคะ
ของคุณคนแต่งด้วยค่ะ รายละเอียดอย่างแน่น

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สู้ๆนะคิมน้องมันยังเจ็บอยู่ค่อยๆปลอบค่อยเอาใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2019 23:11:01 โดย Nung66669 »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2


ตอนที่ 26

 “มันไม่สบายป่าววะ”

 

                “นั่นสิ ตั้งแต่กลับมาแม่งทำตัวแปลกๆ”

 

                “คนเหี้ยอะไรตัดโมไปยิ้มไปท่าจะบ้า”

 

                “อารมณ์ดีเว่อร์แบบผิดปกติ”

 

                “มันแอบไปปุ๊นกัญชามาป่าววะ”

 

คณิณทำหูทวนลมกับเสียงซุบซิบนินทาระยะเผาขนของบรรดาเพื่อนๆที่นั่งตัดโมใกล้ๆกัน

 

ไม่โกรธ

 

ไม่ด่า

 

ไม่สน

 

เพราะคณิณอารมณ์ดี๊ดีย์นี่พูดเลย ในใจตอนนี้เหมือนมีกองทัพสล๊อตมาเต้นดิสนี่ย์ออนไอซ์ให้ดูด้วยเพลงเลสอิทโก เลทอิ๊สโก๊ววววววของเอลซ่า

 

ต่อให้พวกมันเอาตีนมาลูบหน้าตอนนี้ก็ไม่โกรธ คณิณตั้งหน้าตั้งตาตัดโมไปเงียบๆ บางครั้งก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

                “มึงเป็นแบบนี้กูกลัวนะไอ้เหี้ย”ที่สุดแดนธรรมก็ยื่นเท้าไปถีบเข่าของคณิณเบาๆ

 

                “อะไร? กูเป็นอะไร กูก็ปกติ”คณิณหันมาทำหน้าเหรอหรา

 

                “ปกติกับผีสิ ตั้งแต่มึงกลับมามึงเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่งหัวเราะหึหึอยู่คนเดียว ไปโดนตัวไหนมาไหนบอกกูซิ๊”แดนธรรมวางงานในมือของตัวเองลงพลางจ้องหน้าเพื่อนสนิทด้วยความคาดคั้นและจริงจัง คณิณหลบตาหันหนีไปอีกทางก็ต้องสะดุ้งเมื่อพชรพล จักรภัทร จิณณวัตร และอานุพนธิ์นั่งจ้องตาเขม็งอยู่

 

                “อะไรของพวกมึงเนี่ยกูไม่มีอะไรจริงจริ้งงง”คณิณหลบตาทำเสียงสูงจนเพื่อนๆเบะปากใส่

 

                “เสี่ย มีใครเคยบอกป่ะว่ามึงตอแหลไม่เนียน”

 

                “ก็กูไม่มีอะไรจริงๆ แค่อารมณ์ดีพวกมึงไม่ชอบเหรอ”

 

                “ก็แล้วแต่นะ แต่มึงช่วยหยุดหัวเราะหึหึซักทีกูหลอนไอ้เหี้ย ตั้งแต่นั่งทำงานมามึงหัวเราะไปเป็นร้อยรอบแล้ว กูนึกว่ามึงไปเยี่ยวรดจอมปลวกมาเลยโดนผีเข้า”จักรภัทรว่าก่อนจะเลิกให้ความสนใจเพื่อนสนิท ตอนนี้ที่น่าสนใจกว่าชีวิตชาวบ้านก็คืองานตรงหน้านี้มากกว่า

 

                “สั่งงานเหมือนกูเรียนปริญญาเอก”จิณณวัตรบ่นอุบ

 

                “มืออันแสนอ่อนนุ่มของกูด้านกว่าหน้ามึงแล้วไอ้เหี้ยว่าน”พชรพลยกมือขึ้นมาแตะๆด้วยท่าทางแสนดัดจริต

 

                “บ่นอยู่นั่นแหล่ะไอ้สัดที่โตกตัวเองไม่ยักบ่นว่ามือจะด้าน”อานุพนธิ์เขวี้ยงเศษโมเดลใส่เพื่อนที่บ่นหนักกว่าใครเพื่อน

 

                “เลิกเถียงกันซักที แล้วนี่ไม่คิดจะไปหาข้าวแดกกันเหรอกูหิวแล้วเนี่ย”แดนธรรมยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา บ่ายสามกว่าเข้าไปแล้วนอกจากกาแฟกับปาท่องโก๋เมื่อตอน 7 โมงเช้าก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย

 

                “ไปกินที่หน้ามอมั้ยเดี๋ยวกูเลี้ยง”คนอารมณ์ดีขันอาสาที่จะเลี้ยงเพื่อนทั้ง 5 คน

 

                “เลี้ยงทั้งทีเลี้ยงปิ้งย่างหรืออาหารแพงๆไม่ได้เหรอวะ มึงนี่ทำตัวไม่สมกับเป็นคนรวยเลยไอ้ห่า แดกแต่ของพื้นๆ”พชรพลค่อนขอดคณิณ

 

                “มึงดูงานที่กองสุมหัวมึงด้วยไอ้แพทรีบแดกรีบกลับมาทำงาน เอาไง ตกลงจะไปไม่ไป ไม่ไปกูไปแล้วนะ”คนอาสาเป็นเจ้ามือวางชิ้นส่วนโมเดลที่เพิ่งจะตัดเสร็จลงก่อนลุกขึ้นยืนปัดเศษผงออกจากกางเกงอย่างลวกๆก่อนจะช่วยดึงแขนแดนธรรมให้ลุกขึ้น

 

                “เดี๋ยวพวกมึงจับคู่กันไปนะ ไอ้แดนมากับกู”

 

                “อ๊าวเสี่ย หนูก็อยากนั่งรถแอร์เย็นๆเหมือนกันนะ ทำไมต้องไอ้แดนด้วย”จิณณวัตรเอ่ยท้วงอย่างงอนๆพลางทำปากคว่ำ



               " ถ้าจะให้กูเลี้ยงอย่าเรื่องมาก ถ้ามารถกูจ่ายเอง”

 

                “อ่ะ ไอ้อ้นกูไปกับมึงนะ ได้ข่าวว่าปาดเบาะมาใหม่อยากสัมผัสบรรยากาศลื่นปรื๊ด ลื่นปรื๊ด”

 

                “เปลี่ยนสีไวกว่ากิ้งก่าก็มึงนี่แหล่ะ”อานุพนธิ์ด่าเพื่อนแก้มบวมที่กระโดดหมับมาสิงเขาทันที

 

         “ไปถึงสั่งข้าวผัดกุ้งคะน้าใส่แต่ใบไม่เอาก้านให้กูด้วย ไอ้แดนมึงเอาอะไร”คณิณหันมาถามแดนธรรม

 

                “กูเอาราดหน้าหมี่กรอบหมูไม่ใส่ของทะเลทุกอย่างเอาก้านคะน้าของไอ้คินมาใส่ให้กูก็ได้”

 

                “โอเคตามนั้น”

 

                “ให้กูเดาการที่มึงเอากูมาด้วยน่าจะมีเรื่องมาเล่า”แดนธรรมที่เดินตามคณิณมาที่ลานจอดรถเปิดประเด็นทันที

 

                “และเรื่องที่จะเล่าคือเรื่องที่ทำให้มึงอารมณ์ดีเหมือนผีเข้า”

 

                “มึงนี่แม่กว่าหมอหยอยอีก”

 

                “และถ้าให้กูเดาเกี่ยวกับไอ้เซ็ท”

 

                “กูว่ามึงเปิดเว็บดูหมอมั้ย พวกดูลายตีนอะไรแบบนี้ท่าทางจะรุ่ง”

 

                “ถ้าอยากจะเล่าก็รีบเล่าเดี๋ยวถึงร้านเจอไอ้พวกนั้นมึงก็จะต้องเก็บไว้ในใจคนเดียวนั่งเป็นบ้าเป็นหลังคนเดียว”แดนธรรมรีบดักทางก่อนที่คณิณจะพาออกทะเลไปมากกว่านี้

 

                “ไอ้เซ็ทมันเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วนะ กูเป็นคนไปหิ้วมันออกมาจากบาร์เอง อยู่ดูแลมันทั้งสองวันเลย ตอนแรกที่ไปเจอมันเมาเหมือนหมาเลย ร้องไห้น่าสงสารชิบหาย”

 

                “แล้วมึงทำไง?”

 

                “กูก็แบกมันไปเปิดห้อง”

 

                “เยกันยัง?”แดนธรรมเอ่ยถามด้วยหน้าตาเรียบเฉยแต่คนที่กำลังออกรถแทบจะยกเท้าขึ้นถีบ

 

                “ส้นตีนสิ สถานการณ์แบบนั้นใครจะเอาลง มันทั้งร้องไห้ทั้งอ้วกแตก เหมือนมันผิดหวังมันเสียใจมันเลยถามกูว่ากูอยากเอามันมั้ยมันจะให้”คราวนี้แดนธรรมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่รู้จักเศรษฐพงศ์มาเด็กนั่นน่ะไว้ตัวจะตายแถมยังแมนชายแท้ๆอีกต่างหาก

 

                “นั่นแหล่ะ กูก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนกูก็คนธรรมดา ตอนแรกก็เกือบไปแต่เหมือนสำนึกฝ่ายดีของกูมันมากระชากหนังหัวกูกลับมาเว้ย กูคิดว่าถ้ากูฉวยโอกาสมันตอนนั้นกูได้มัน กูมีความสุข แล้วตัวไอ้เซ็ทล่ะถ้าสร่างเมามันจะเสียใจมั้ย มันจะรู้สึกแย่หรือเปล่า แม้ว่ามันจะเป็นคนเสนอให้กูเองก็ตามเถอะ กูทำมันไม่ลงหรอก”

 

                “มึงแม่ง โคตรพระเอกเลยหว่ะ โคตรคนดี ดีแบบไม่น่าเชื่อว่า 2 ปีก่อน มึงจะกวนตีนหาเรื่องน้องมันชิบหาย”

 

                “กูจะถือเป็นคำชมนะ ทุกวันนี้กูก็ยังคิดเลยว่าเมื่อก่อนกูโดนเหี้ยอะไรบังตาอยู่วะถึงมองไม่เห็นความดีของมัน พอมาตอนนี้มันก็เลยเอาคืนกู ตอนมันตื่นขึ้นมา มันทำเหมือนตัวมันไม่เป็นอะไร ไม่ร้องไห้ฟูมฟายกูให้อาบน้ำมันก็อาบให้กินโจ๊กมันก็กิน ซึ่งนั่นแหล่ะมึงก็รู้ปกติมันดื้อกับกูจะตาย กุรู้มันไม่โอเคแต่มันทำฟร์ม กูเลยขอโอกาสมันอีกครั้ง ให้กูเป็นเหี้ยอะไรก็ได้เป็นดาวหางที่มันจะสนใจมองกูบ้างซักแป๊บหนึ่งก็ยังดีมึงรู้มั้ยมันพูดกับกูว่ายังไง”คณิณหันไปยิ้มให้แดนธรรมก่อนจะหมุนพวงมาลัยเข้าจอดริมฟุตบาธเมื่อมาถึงหน้าร้าน

 

                “มันบอกกับกูว่าตอนนี้มันคงยังรักใครไม่ได้ แต่มันขอให้กูอยู่เป็นดาวหางให้มันก่อน”

 

                “เชี่ย...โคตรโรแมนติกเลยสัด นี่สินะมึงถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้าได้ขนาดนี้”

 

                “เออสิ มันไม่ปฏิเสธกูแบบเมื่อก่อนกูก็พอใจแล้ว”

 

                “แล้วมึงไม่มองกลับกันมั่งเหรอวะ มันพูดเหมือนให้ความหวังกับมึงแล้วถ้าวันหนึ่งมันเจอคนอื่นที่ชอบมากกว่ามึงมันจะทิ้งมึง”แดนธรรมตั้งคำถามที่คณิณเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน ชายหนุ่มนิ่งไปเพียงอึดใจก่อนจะหันไปสบตากับคนถาม

 

                “ไม่หรอก เจ็บครั้งนี้ไอ้เซ็ทจะตั้งกำแพงสูงมาก มันจะไม่เปิดใจให้ใครได้ง่ายๆอีกแล้วกูรู้จักมันดี ตอนนี้คนที่เข้าใจมันมากที่สุดก็คือกู กูจะใช้โอกาสนี้ทำดีๆกับมันให้มันเห็นว่ากูรักมันจริงและจะไม่มีวันทำให้มันเสียใจ กูไม่ได้คาดคั้นให้มันมาชอบกูปุบปับ กูพามันไปกินข้าวไปให้อาหารปลา พามันไปเที่ยวที่ใกล้ๆ อย่างน้อยให้มันยุ่งๆทั้งวันจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านกูว่ามันก็คงคิดอะไรได้บ้างแหล่ะ กูแค่รอเวลาอย่างที่มึงบอก อยู่เป็นดาวหางให้มันตามที่มันขอ”

 

                “ถ้ามึงมีความสุขกับสถานะนี้งั้นกูก็เอาใจช่วยมึงก็แล้วกัน ป่ะ ลงไปกันเถอะพวกไอ้อ้นมองเขม็งแล้ว”แดนธรรมเปิดประตูรถเดินนำเข้าไปในร้านในขณะที่คณิณเองก็กดโทรศัพท์ยิกๆตามมาติดๆ

 

                “กูนึกว่าจะต้องส่งราชทูตกับเสลี่ยงหลวงของเจ้านางอนัญทิพย์ไปรับพวกมึงสองคนซะแล้ว คุยเหี้ยไรกันน๊านนาน”จักรภัทรเอ่ยปากถามไอ้เพื่อนสองคนที่เดินมาที่โต๊ะแบบไม่รีบไม่ร้อนเอาเสียเลย คณิณเก็บโทรศัพท์ก่อนนั่งประจำที่อาหารที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟแทบจะทันทีเด็กหนุ่มทั้ง 6 คนพูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย ส่วนมากจะเป็นเรื่องวิชาเรียน งานที่ต้องส่งหลังจากกินอิ่มคณิณก็เป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนั้นตามที่รับปากเพื่อนไว้ แดนธรรมเอ่ยเรียกเพื่อนที่ยังคงนั่งเอ้อระเหยอยู่ในร้านให้กลับไปทำงานที่ค้างคาไว้

 

                “ไปๆไอ้เหี้ย ตัดโมวนไป คืนนี้แม่งก็คงไม่ได้นอนอีกตามเคย”











 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

1 สัปดาห์แล้วที่เอิร์นได้หายไปจากชีวิตของผมแต่กลับมีใครอีกคนเข้ามาแทนที่

 

จริงๆเรียกว่าแทนที่ก็ไม่ถูก ไอ้คินมันอยู่ใกล้ตัวผมมาตั้งนานแล้วแต่ผมไม่เห็นคุณค่าความรักที่มันมีให้กับผมเองน่าแปลกที่พอมาคิดทบทวนอะไรในตอนนี้แล้วผมก็ได้แต่หัวเราะเยาะความโง่เขลาของตัวเอง

 

ในขณะที่ผมบอกรักเอิร์นทุกครั้งที่มีโอกาสเอิร์นกลับเมินคำพูดของผมแต่กลายเป็นไอ้คินที่พูดคำนั้นกับผมแทน

 

ในขณะที่ผมอยากเจอเอิร์น วาดฝันอนาคตร่วมกับเอิร์น แต่อนาคตของเอิร์นไม่มีผมในนั้นกลายเป็นว่าผมไปมีตัวตนในอนาคตของไอ้คินแทน สิ่งที่น่าตลกอีกอย่างก็คือในวันที่ผมมีความสุขที่สุดผมมีเอิร์นอยู่ในความสุขนั้นแต่ในวันที่ผมมีความทุกข์ที่สุดคนที่คอยอยู่เคียงข้างผมกลับเป็นไอ้คิน

 

หลังจากที่ผมอาบน้ำอาบท่าเสร็จผมใส่เสื้อผ้าที่ไอ้คินเตรียมให้ ไอ้คินพาผมออกจากห้องพักแล้วขับรถพาผมแวะที่วัดใต้เราสองคนเข้าไปไหว้พระทำบุญเสร็จเรียบร้อยก็แวะไปนั่งกินกาแฟสดริมน้ำที่วัดเปิดไว้ใหม่ ลมเย็นๆริมแม่น้ำทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น เรานั่งเล่นกันพักหนึ่งไอ้คินก็ชวนผมไปให้อาหารปลา ผมมองปลาที่ขึ้นมาแย่งกันกินอาหารเม็ดที่เราโยนลงไปแล้วอดขำไม่ได้

 

ทั้งๆที่ก็มีคนแวะเวียนมาเลี้ยงทั้งวันแต่มันก็ทำเหมือนนี่คืออาหารมื้อแรกของวันไอ้คินบ่นอุบเรื่องกลิ่นอาหารปลาที่ติดมือตามสไตล์คุณชายเจ้าสำอางค์จนผมต้องพามันไปล้างมือในห้องน้ำ และพอเข้ามาในห้องน้ำมันก็บ่นยิ่งกว่าเดิมเพราะคนใช้เยอะแล้วทำให้ห้องน้ำสกปรก สุดท้ายผมก็ต้องจับมือมันมาล้างน้ำซะเองนั่นแหล่ะมันถึงได้หยุดบ่น

 

                “บ่นห่าอะไรนักหนาแค่มาล้างมือ เดี๋ยวกลับขึ้นรถกูเห็นมึงมีทิชชู่เปียกก็ค่อยเอามาเช็ดอีกที”ผมถูมือให้มันไปก็บ่นไปพอเงยหน้ามองก็เห็นมันยิ้มกรุ้มกริ่มแบบน่าจับหัวจุ่มน้ำมาก ผมปล่อยมือมันทันทีที่ล้างเสร็จ เกือบเที่ยงมันก็พาผมมากินชาบูที่หลังห้างแถว บขส.

 

                “มึงนั่งนี่แหล่ะเดี๋ยวกูไปตักของเอง”มันบอกให้ผมนั่งที่โต๊ะส่วนตัวมันเดินไปยืนหน้าโซนบุฟเฟต์ท่าทางของมันเหมือนกำลังคิดว่าควรจะตักหรือหบิยอะไรมาดี ส่วนผมทำหน้าที่ติ๊กพวกเนื้อกับหมูรวมไปถึงอาหารทะเล

 

                “ไหนดูดิ๊หยิบอะไรมา”ผมชะเง้อมองจานที่มันตักของมามีแมงกะพรุน เต้าหู้ไข่  หมูสับ ลูกชิ้นกุ้ง ส่วนจานผักมีผักกาดขาว เห็นออรินจิ เห็ดเข็มทอง แครอทและข้าวโพดอ่อน

 

                “คือกูไม่รู้ว่ามึงชอบกินอะไรเลยหยิบมาแค่นี้”

 

                “เออ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนมากกูก็กินแนวๆนี้แหล่ะแต่กูไม่ชอบลูกชิ้นกุ้ง ปูอัดก็ไม่ชอบ”

 

                “เออ ไม่ชอบอะไรมึงก็บอกกูแล้วกัน กูจะได้จำไว้”

 

                “กูเดินไปตักเองก็ได้ป่าววะ”ผมเงยหน้าไปพูดกับมันหลังจากเทผักใส่หม้อไปเรียบร้อยแล้ว

 

                “กูอยากทำความรู้จักมึงบ้างว่ามึงชอบอะไรไม่ชอบอะไร ที่ผ่านมามึงทำให้กูมาตลอด ต่อไปกูอยากดูแลมึงบ้าง”มึงคีบแมงกะพรุนที่เอาไปแกว่งๆในน้ำซุปใส่ถ้วยให้ผม ส่วนผมก็สั่งน้ำจิ้มเด็กมาเผื่อมันถ้วยหนึ่ง พนักงานเสิร์ฟมองหน้ามันแล้วอมยิ้มสุดๆเพราะผมเลื่อนถ้วยน้ำจิ้มนั้นให้มันต่อหน้าพนักงานเป็นการแกล้งมัน

 

                “กวนตีน”มันทำท่าเหมือนจะเอาตะเกียบตีหัวผมแต่ก็ไม่ได้ทำ ผมหัวเราะให้กับท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของมัน

 

                “แดกๆเข้าไป”ผมตักชาบูใส่ถ้วยให้มันแล้วจัดการกับของๆตัวเอง ในชามของผมอัดแน่นไปด้วยหมู เนื้อปลาหมึก กุ้งสารพัดที่ไอ้คินคีบมาให้

 

                “กูตักเองก็ได้มั้ย มึงเล่นกวาดมาทั้งหม้อให้กูตอนไหนเนี่ย”

 

                “ทีมึงยังตักให้กูเลย เจ๊ากัน แดกเข้าไปเยอะๆ เวลามึงแดกมึงจะมีฟีโรโมนของความสุข” ผมขำพรืดกับคำพูดของมัน

 

                “สารหลั่งความสุขนั่นเอ็นโดรฟินมั้ยไอ้โง่”มันหัวเราะใส่ผมเสียงแหลมพลางตบมือแปะๆอย่างชอบอกชอบใจเหงือกแดงๆของมันส่องประกายยิ่งกว่าพระอาทิตย์ด้านนอกจนทำให้ผมพลอยหัวเราะตามมันไปด้วย

 

                “กูนึกว่ามึงจะไม่แก้แล้วไอ้เหี้ย ฉลาดเหมือนกันนะเรา”มันว่าพลางยื่นนิ้วมาเกาคางผมเบาๆ

 

                “ไอ้ส้นตีนแดกๆเข้าไปเลย รำคาญ”

 

ผมต้องยอมรับเลยว่าตลอดทั้งวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผมอกหักการที่มีไอ้คินอยู่ด้วยมันทำให้ผมแทบไม่มีเวลาเหงาหรือคิดมากเรื่องของเอิร์น มันพาผมไปกินข้าว ไปเที่ยว ไปเดินซื้อของ ผมได้เห็นไอ้คินในอีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาเลยตลอดสองปี

 

ไอ้คินเป็นคนหัวเราะง่ายพอๆกับความหัวร้อนง่าย

 

ไอ้คินเป็นคนขี้สงสารคนที่ด้อยกว่าเช่นถ้ามีคนแก่เดินมาขอเงินแม้จะเป็นมิจฉาชีพมันก็ยังควักเงินให้เค้า

 

                “เค้าแก่แล้วบางทีการมีเงินติดกระเป๋าก็อาจจะเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของคนแก่”

 

ไอ้คินเป็นคนตลกหน้าตายมากบางทีมันพูดด้วยสีหน้านิ่งๆแต่พอคิดตามกลับขำชิบหายผมหัวเราะจนท้องแข็งในหลายๆรอบต่อวัน

 

ไอ้คินชอบฟังเพลง เวลามันขับรถมันจะเปิดเพลงฟังและร้องตามคลอไปด้วย

 

ไอ้คินร้องเพลงได้ห่วยแตกมากจนผมต้องร้องกลบและกลายเป็นว่าผมกับมันร้องเพลงด้วยกันไปตลอดทาง

 

ไอ้คินเป็นคนชอบสกินชิพ

 

เวลานอนไอ้คินติดหมอนข้างแต่เพราะว่าผมก็ชอบกอดหมอนข้างเช่นกันมันจึงเสียสละให้ผมแต่พอตื่นมาในตอนเช้าผมก็พบว่ามันนอนกอดผมไว้ซะอย่างนั้น...ไอ้คนฉวยโอกาส

 

เช้าวันอาทิตย์ไอ้คินชวนผมออกไปใส่บาตรแล้วขับรถยิงยาวเข้าไทรโยคมันพาผมไปเที่ยวที่ไทรโยคน้อยมื้อเช้าควบเที่ยงของเราก็คืออาหารง่ายๆที่ร้านมากมายหน้าน้ำตก บริเวณโดยรอบของน้ำตกคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวไอ้คินเรียกผมให้เดินตามมันขึ้นไปด้านบนเดินตามทางเล็กๆขึ้นไปราวๆ 1 กม.ก็พบว่าด้านบนพอมีนักท่องเที่ยวอยู่บ้างแต่ไม่เยอะเท่าด้านล่าง

 

                “ข้างบนเป็นตาน้ำ คนไม่ค่อยรู้ก็เลยยังไม่ค่อยมีใครขึ้นมา เมื่อก่อนคนน้อยกว่านี้ นี่น่าจะมีคนรู้เยอะแล้ว”มันหันมาอธิบายกับผมเบาๆ ผมใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแต่ไอ้คินกลับดันหัวผมออกก่อนที่มันจะลูบผมหน้าของผมขึ้นแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของมันซับลงมาเบาๆ

 

                “มึงเช็ดแบบนั้นสกปรกเดี๋ยวสิวขึ้น”ผมเบี่ยงหน้าออกสะบัดผมให้เข้าที่

 

                “อย่าทำอะไรแบบนี้บ่อยสิวะ”ผมเอ็ดมันเบาๆสายตามองซ้ายขวาเพื่อเช็คว่าเมื่อกี๊มีใครสนใจมองเราสองคนมั้ยโชคดีที่ไม่มีใครมองมาที่เรา

 

                “ผู้ชายที่ไหนเขามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้กัน”

 

                “ผู้ชายที่ชื่อคณิณไง หล่อด้วย รวยด้วย”มันตอบกลับหน้าตาเฉย

 

                “โถ้  ไอ้เหี้ย มีโอกาสไม่ได้ต้องอวยตัวเอง”ผมด่าก่อนจะเดินหนีมันไปนั่งบนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจเอากลิ่นเย็นๆของน้ำและกลิ่นดินชุ่มชื้นเขาปอดอย่างรู้สึกสบายใจ  เหมือนธรรมชาติจะช่วยบำบัดความเหนื่อยล้าและหนักอึ้งออกไปจากใจได้พอสมควร เสียงน้ำไหล สายลมเอื่อยๆที่พัดมาเป็นระยะ ต้นไม้ใหญ่น้อยสีเขียวขจีทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ  ไอ้คินมานั่งข้างๆไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาให้ผมรำคาญหู ผมหลับตาใช้หูฟังเสียงต่างๆรอบข้างพลันฝ่ามือของผมก็อุ่นขึ้น นิ้วเรียวของมันสอดประสานกับนิ้วมือของผม มันกระชับเบาๆ

 

                “กูอยู่ใกล้ๆมึงนะ จะอยู่ใกล้ๆมึงตลอดไป กูจะไม่เดินตามมึงที่ข้างหลังแล้วนะ กูไม่อยากให้มึงเดินอยู่ข้างหน้าลำพังอีกแล้ว กูจะเดินข้างๆมึง เวลามึงเหงามึงจะได้ไม่รู้สึกเคว้งคว้างไม่ต้องคอยมองหาใคร”ไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงผมรู้แค่ว่าผมคลี่ยิ้มอ่อนๆออกไปแต่น้ำตาของผมมันดันไหล

 

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกเศร้าหรือว่าผมมีความสุขกันแน่ ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยซักนิด

 

 

                “เซ็ท มึงโอเคแน่นะ ถ้ามึงยังไม่โอเคไปพักก่อนก็ได้ เหลือนิดเดียวที่เหลือพวกกูทำได้”ไอ้ยิมถามผมที่ริดกิ่งหางนกยูงฝรั่งกิ่งใหญ่เบาๆ เพื่อนๆต่างเข้ามาแสดงความห่วงใยที่ผมหายไปสองวัน

 

เรื่องของผมกับเอิร์นผมคิดว่าเพื่อนๆของผมคงรู้แล้วโดยไม่ต้องถามกับผมเลยซักคำ ทันทีที่ไอ้คินมาส่งผมในช่วงพลบค่ำของวันอาทิตย์ผมหอบของฝากที่ไอ้คินแวะซื้อหน้าน้ำตกไล่มาจนถึงท่าเสาให้เพื่อนๆ พอเข้ามาถึงห้องก็ได้รู้ว่าเมื่อวันศุกร์ไอ้คินแวะมาหาผม ขนมและของกินยังเต็มห้องมีบางส่วนถูกเปิดกินไปบ้างแล้ว

 

ไม่มีใครถามว่าเกิดอะไรขึ้น และแน่นอนผมไม่ได้อยากบอกกับใคร

 

ผมสมเพชตัวเองที่ก่อนหน้านั้นที่เพื่อนๆคอยเตือนคอยดึงสติของผมเรื่องเอิร์นผมไม่เคยเชื่อไม่คิดจะฟังคำเตือนของพวกมัน แต่มาตอนนี้พวกมันกลับเห็นอกเห็นใจผมคอยดูแลห่วงใยจนผมรู้สึกว่าในเมื่อมีคนห่วงผมมากมายผมก็ไม่ควรเศร้าอะไรมากมายอีก

 

อย่างน้อยช่วงที่ได้คุยกับเอิร์นมันก็เป็นช่วงเวลาดีๆ  เป็นความรักอันงดงามเพราะฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะลืมเอิร์นที่ทำให้ผมเจ็บช้ำแต่จะเก็บเอาความดีของเอิร์นไว้ในความทรงจำตลอดไป

 

ชีวิตยังต้องเดินต่อไป

 

                “กูไม่ได้เจ็บมือกูเจ็บที่ใจ มึงไม่ต้องมาโอ๋กูกันนักหรอกไอ้เหี้ย เนี่ยกูปกติดีทุกอย่าง”ผมตอบมันแถมฟันกิ่งไม้ฉับๆให้มันเห็นว่าเนี่ยผมโอเคจริงๆ

 

                “เออ มึงโอเคกูก็ดีใจ ไอ้คินแม่งโคตรห่วงมึงอ่ะ มันไลน์มาถามกูว่ามึงกินข้าวหรือเปล่า มึงเหม่อมั้ย มึงเศร้าหรือเปล่า”ไอ้อิ้งค์เดินเข้ามาสมทบพลางบ่นงุ้งงิ้ง

 

                “นี่มึงไปแลกไลน์กันตอนไหนวะ?”ผมหันไปถามมันอย่าง งงๆ

 

                “อ่อ ก็ตอนที่พวกมันมาช่วยเขียนแบบไง กูกับไอ้แดนแลกไลน์กันไอ้คินมันไปขอไลน์กูกับไอ้แดนอีกที”

 

                “แล้วทำไมมันไม่ทักมาคุยกับกูเองวะ ไลน์กูนี่นิ่งสนิทเลย ไอ้เหี้ยนี่ทำตัวแปลก”

 

                “มันไม่ทักมามึงก็ทักไปหามันสิ”ไอ้ยิมบอกกับผม

 

                “กูไม่รู้จะทักอะไรมันหว่ะ”

 

                “ถามมันก็ได้แดกข้าวยังอะไรก็ทักไป มันดูแลมึงมาตั้งสองวันมึงก็แสดงความห่วงใยมันหน่อย”

 

นั่นแหล่ะหลังจากนั้นผมก็ทักไปถามมันตอนเกือบบ่ายสามว่ามันกินข้าวหรือยังซึ่งไอ้คินตอบมาอย่างไวแถมรายงานด้วยว่ากำลังจะไปกินข้าวหลังจากนั่งตัดโมมาตั้งแต่เช้ารายงานถึงขนาดว่าสั่งข้าวผัดกุ้งร้านหน้ามอไม่อร่อยหรอกแค่กินให้ท้องไม่หิว

 

คือมึงตอบแค่กินแล้วหรือยังไม่กินก็พอมั้ยรายงานยซะยังกะเป็นเมียกูเลยไอ้ขี้เว่อร์

 


ไอ้ดาวหางของผม...



หลังจากวันนั้นการรับส่งไลน์ของผมกับมันก็มีทุกวันไม่รู้มันไปสรรหาคำถามกากๆเกรียนที่ไหนมาถามผมได้ทุกวัน



แต่ก็ดีนะ อย่างน้อยคำถามโง่ๆขำบ้างแป้กบ้างของมันก็ทำให้ผมค่อยๆคิดถึงเอิร์นน้อยลงเรื่อยๆ







......................................

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 27


“โห่ พวกมึงอ่ะ นะๆ อาทิตย์หน้าฝึกงานเสร็จแล้วไปกัน” เศรษฐพงศ์ร้องงอแงใส่เพื่อนๆที่เร่งสปีดเดินหนีแบบพยายามไม่หันมามองน้องเล็กของกลุ่มอย่างเขาเลยซักนิด

 

มีอย่างที่ไหนล่ะ มาชวนเพื่อนๆไปเที่ยวที่อยุธยา ตอนแรกนึกว่าจะชวนไปไหว้เพิ้งไหว้พระ ที่ไหนได้ มันจะชวนพวกเขาไปกินกุ้งแม่น้ำเผา ถ้าโลละ 300-400 แบบกุ้งเลี้ยงจะไม่ว่าเลย

 

            “กุ้งเหี้ยอะไรโลละ 2200 เลี้ยงด้วยทองบริสุทธิ์หรือไงอีเหี้ย”แฝดพี่หันมากรีดร้องใส่เศรษฐพงศ์

 

            “ก็ของมันหายากก็ต้องแพงป่าววะแล้วมึงดูดิ่ในรีวิวตัวใหญ่เท่าฝ่ามือมันใช่ไซส์เล็กๆแบบของบ้านเราอ่ะ มึงดูมันที่หัวมันสิ”

 

            “กูเสียดายเงินโลหนึ่งแม่งจะได้ซักกี่ตัววะคือกระเพาะหลุมดำอย่างพวกเราอ่ะแม่งต้องมีสิบโลอย่างต่ำ ไม่เอาๆ”คราวนี้วีรดนัยเป็นฝ่ายโวยวายแทน

 

            “แค่มึงคนเดียวก็กินไป 5 โลแล้วมั้งไอ้เซ็ท ไม่ต้องมาทำแอ๊ะแอ๋ พวกกูไม่ใจอ่อน”โอบนิธิหันมาดับฝันเศรษฐพงศ์ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินหนีไป

 

            “พวกมึงแม่งไม่เข้าใจ มึงไม่เคยอยากกินอะไรมากๆจนจะร้องไห้เหรอวะ?”

 

            “กูเคยนะเซ็ท”แฝดน้องหันมาตบบ่าเพื่อนที่ตัวสูงกว่า

 

            “แต่พอนึกถึงเงินในกระเป๋ากูก็หักใจได้”จิรนนท์ว่าจบก็หันหลังเดินทิ้งไปอีกคน ยงศกรกับยงวิสุทธิ์ที่มีฐานะดีกว่าเพื่อนในกลุ่มก็ส่งยิ้มแห้งให้

 

            “บ้านกูรวยก็จริงแต่เงินนั้นของพ่อแม่ไม่ใช่ของกู ลาก่อย”

 

            พวกมึงแม่ง ไม่เข้าใจกู ไม่รักกู ไม่สงสารกู ไอ้เพื่อนเหี้ย”เศรษฐพงศ์ตะโกนด่าตามหลังเพื่อนๆไป โอบนิธิยกมือขึ้นปัดอากาศประมาณว่าเรื่องของมึงจะตัดพ้อเบอร์ไหนก็เรื่องของมึงเถอะเพื่อน

 

การฝึกงานของนักศึกษาคณะพืชศาสตร์สาขาเทคโนโลยีภูมิทัศน์ดำเนินไปจนเกือบจะสิ้นสุดระยะเวลาแล้ว เสียงชื่นชมในความขยันและตั้งใจทำงานของเด็กๆถูกส่งตรงไปให้กับหัวหน้าภาคที่วิทยาลัย

 

เศรษฐพงศ์เองแม้ว่าช่วงเดือนกว่าที่ผ่านมาจะเจอมรสุมชีวิตรักแต่เด็กหนุ่มไม่เคยเอามาทำให้เรื่องส่วนตัวมีผลกระทบกับงานอีกเลย เด็กหนุ่มตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ๆได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลัง ความสำพันธ์กับคนงานก็ค่อยๆดีขึ้นเมื่อพวกเขาเปิดใจคุยกันได้ทำงานด้วยกันบ่อยๆ แม้ว่าคนงานบางคนจะยังอคติอยู่บ้างแต่คนที่เข้าใจก็จะช่วยปรามเพื่อนร่วมงานให้

 

            “เด็กมันก็ทำหน้าที่ของมัน เราเองก็อย่าทำตัวให้อายเด็ก”ลุงเปี๊ยะที่เป็นหัวหน้าคนงานแก่ๆบอกกับลูกน้องซึ่งก็เป็นลูกๆหลานๆรวมทั้งคนรู้จักกันในวันที่ช่วยกันโค่นต้นไม้ต้นยักษ์บริเวณหน้าโรงแรม

 

หลังจากเหตุการณ์ที่เอิร์นบอกเลิกเศรษฐพงศ์ผ่านมาได้เกือบสองเดือนความคิดถึงก็ยังคงมีอยู่แต่ก็ไม่ได้ทรมานเหมือนครั้งแรกๆ เวลาว่างๆยังแอบเอาแชทไลน์ในอดีตมาอ่าน แต่เขาก็ไม่ได้ว่างมากมายหรือเหงามากนักเพราะบรรดาเพื่อนๆแม้จะไม่ได้ปลอบใจด้วยคำพูดหวานเลี่ยนแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่ลำพัง ยามว่างชวนไปเตะบอล เล่นบาสในสนามของสนามกอล์ฟ บางทีก็ไปนั่งดูทีวีร้านเจ๊แก้ว สอนการบ้านลูกๆเจ๊ที่เป็นสาวสามใบเถา ว่างก็มานั่งพูดคุย และเหมือนว่ายงศกรกับจิรนนท์จะแอบปลูกต้นรักกับเด็กสาวบ้านนี้เข้าซะแล้ว เศรษฐพงศ์อดคิดไม่ได้ว่าถ้าลูกสาวคนเล็กไม่ใช่เด็ก ม.1 อาจจะโดนเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเค้าจองก็ได้ ยงศกรคุยกับลูกสาวคนโตของเจ๊ที่เรียนปี 2 มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดซึ่งก็อายุเท่ากัน ส่วนจิรนนท์แฝดน้องก็คุยกับลูกสาวคนกลางที่เรียนชั้น ม.5 โรงเรียนดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนๆก็ลงความเห็นว่าก็ดูเหมาะสมน่ารักดี เพราะพี่สาวคนโตเรียนบริหารมินิสัยน่ารักตัวเล็กๆขาวๆ รูปร่างสูงโปร่ง ส่วนคนน้องก็เป็นเด็กเรียบร้อยชอบเข้ามาช่วยแม่ทำกับข้าวซึ่งนิสัยไปด้วยกันได้กับไอ้จินที่ถนัดงานครัวพอตัว เวลาสองคนคุยกันเรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดก็จะเป็นเรื่องของอาหารการกินรวมทั้งสูตรอาหารต่างๆ เรื่องนี้เป็นที่โห่แซวของเพื่อนๆ ไอ้แฝดพี่ซึมไปพักหนึ่งช่วงที่แฝดน้องมีความรัก

 

“จินมึงทิ้งกู”แฝดพี่ตัดพ้อแฝดน้องในวันหนึ่งที่จิรนนท์ไปขอแพรวาเป็นแฟน ซึ่งเด็กสาวก็ตอบตกลง

           

“ไอ้ยิมมึงก็ทิ้งกู”ยงวิสุทธิ์แกล้งตัดพ้อยงศกรที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเมื่อรายนั้นก็ยอมรับว่ามัดหมี่คนพี่ก็ตกลงคบด้วยเช่นกัน

 

“คู่พวกมึงนี่แบบ คนพี่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่ชิบหาย คนน้องก็เรียบร้อยชิบหาย แล้วไอ้จินก็ขี้อายแบบนี้ก็นึกภาพมันขอจับมือน้องไม่ได้เลย”โอบนิธิเอ่ยแซวเพื่อนเมื่อทั้งสองคนยอมรับว่าคบกันแล้วกับสองพี่น้อง

 

“กูว่าคงเขินกันไปเขินกันมาจนไม่ได้จับ”จีรนันท์แซวแฝดน้องที่นั่งยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเสน่ห์

 

“ยังไงก็ลูกเค้ามีพ่อมีแม่ อย่าทำอะไรไม่เหมาะก็แล้วกันนะมึง อีกอย่างแพรวายังเด็กเพิ่งจะ ม.5 คุกนะมึง”

 

“กูจะไปทำอะไรน้องเค้าได้ ตอนนี้มองหน้ากันตรงๆยังเขินเลย”

 

“กูกับหมี่ก็เรื่อยๆคุยกันแบบคนโตๆแล้ว หมี่เองก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากด้วย”

 

“มึงก็มีไอ้ยิม ในบรรดาพวกเราทั้งหมดมึงมีความเป็นผู้ใหญ่สุด ให้คำปรึกษาเพื่อนๆได้ดีสุด ยังไงก็คบๆดูๆกันไปก่อน อายุยังน้อยอย่าเพิ่งรีบร้อนวู่วาม”เศรษฐพงศ์ให้คำปรึกษากับเพื่อน

 

อย่ารีบร้อนวู่วามรักจนหมดใจ เผื่อวันหนึ่งไปกันไม่ได้จะได้ไม่เจ็บจนแทบกระอักแบบกู

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในคืนวันเสาร์หลังจากอาบน้ำอาบท่านั่งเล่นกันพักหนึ่งผมก็แยกตัวกลับเข้ามาเตรียมนอน หน้าจอขึ้นชื่อและรูปของไอ้คิน((มันเป็นคนสาระแนเอาโทรศัพท์ของผมไปตั้งค่าเอง)) ผมกดรับแทบจะทันที

 

“ว่าไงมึง”

 

“ออกมา”เสียงมันสั่งเรียบๆ

 

“ห๊ะ? อะไรของมึง?”

 

“กูอยู่หน้าหอมึงแล้ว ออกมา” ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนก่อนจะเดินไปชะโงกหน้ามองที่หน้าหอ และแน่นอนครับ บีเอ็มคันสีดำแสนคุ้นตาราคาสี่ล้านนิดๆของมันจอดอยู่

 

“มึงมาทำไม”ผมถามมันกลับไปในโทรศัพท์

 

“ว่าจะไปเที่ยวอยุธยาเลยจะพามึงไปด้วย ออกมาเร็วๆ สื้อผ้าไม่ต้องของกูมี”

 

“ใครจะไปกับมึง?”

 

“กูว่าเที่ยงๆจะไปนั่งกินข้าวริมน้ำกินกุ้งแม่น้ำเผาซัก 2-3 โล ตามประสาคนรวย”

 

“รอกูแป๊บ กูหยิบของก่อน”

 

“ที่รีบนี่อยากไปกับกู?”

 

“ป่าว กูอยากแดกกุ้ง ไอ้เหี้ย รอแป๊บๆ กำลังออกไป”ผมรีบหยิบเสื้อวอร์มมาใส่ก่อนจะลนลานสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่า พวกไอ้ยิมหันมาถามว่าผมจะไปไหนทั้งๆที่พวกมันก็เห็นรถไอ้คินแถมกลางวงที่นั่งเล่นกันก็เต็มไปด้วยถุงขนมและของกินมากมาย

 

ไอ้พวกขายวิญญาณให้ของกินพวกนี้กลายเป็นเพื่อนกับไอ้คินไปแล้ว

 

“กูไปธุระ พรุ่งนี้กลับ”

 

“เดี๋ยวนี้ธุระเยอะเน้อ”

 

“นั่นสิ คนอะไรมีธุระไปทำกันได้ทุกอาทิตย์ๆ”

 

“คราวนี้สงสัยด่วนมากเพื่อนกูแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลย”

 

“อ่ะ จะไปก็รีบไป พ่อมึงคิ้วขมวดอีกแล้วไอ้สัดถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเอาส้นตีนคลึงให้”

 

“อ่าวเดี๋ยวนี้ทำไมไม่คลึงล่ะ”

 

“คลึงไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นว่าที่เพื่อนเขย”

 

“เขยที่หน้ามึงสิ”ผมยกปลายเท้าทำทีจะเตะปากไอ้ย้งกับไอ้สองแฝดที่แซ็วผมสนุกปาก เสียงแตรรถดังสั้นๆขึ้นครั้งหนึ่งผมจึงต้องผละจากกลุ่มเพื่อนแล้วก้าวยาวๆมาหามัน

 

“บีบทำไม”

 

“ช้า”มันบ่นเบาๆก่อนจะออกรถ

 

“นึกยังไงไปอยุธยาวะ

 

“เห็นหมามันบ่นว่าอยากกินกุ้งเผาเลยจะพาไปกิน” ผมเลิกคิ้วสูงกับคำตอบของมัน

 

นี่มันขับรถจากกรุงเทพมารับผมเพราะผมอยากกินกุ้งเผาเนี่ยนะ

 

แต่เอ๊ะ...

 

“มึงรู้ได้ไงว่ากูอยากกินกุ้งเผา?”

 

“กูรู้ทุกเรื่องแหละที่เกี่ยวกับมึง”มันว่าก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวขึ้นถนนใหญ่

 

“หลับไปก่อนก็ได้นะ กูว่าจะขับยาวไปเลยเดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก”

 

“ห๊ะ?? อย่าบอกนะว่ามึงจะตีรถเข้าอยุธยาเลย”

 

“อือ มึงนอนไปเลยก็ได้ นั่งรถนานๆมึงเมารถนี่”ผมมองหน้ามันด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ตื้อในอก

 

เป็นอีกครั้งที่ไอ้คินขับรถมาหาผม เพียงเพราะผมบ่นอยากกินอะไรซักอย่าง หรือเพียงเพราะผมบ่นว่าอยากได้ของอะไรซักชิ้น จากลาดกระบังตีรถมาหาผมถึงท่าม่วงระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ แล้วมันเองก็มีเรียนบางครั้งก็มาทั้งชุดนักศึกษาเช่นตอนนี้

 

ใจหนึ่งก็รู้สึกดี ความรู้สึกนี้มันก่อตัวขึ้นทีละน้อยจนตอนนี้มันมากขึ้นทุกวัน

 

ไม่มีอีกแล้วไอ้คินจอมงี่เง่าที่หาเรื่องทะเลาะกับผมได้ตลอดเวลา คินเวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ผมไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

 

เหมือนในตัวมันมีละอองของความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมา

 

“มึงไม่ต้องเอาใจกูขนาดนี้ก็ได้นะ บางทีก็รู้สึกว่ากูเป็นภาระมึง กูบ่นไปยังงั้นเดี๋ยวพอผ่านไปเดี๋ยวกูก็ลืมเอง”

 

“ไม่เป็นไรหรอกกูว่างๆอยู่พอดี อีกอย่างครบกำหนดไปเก็บค่าเช่าที่ของแม่ที่อยุธยาด้วย ก็เลยพามึงไปกินกุ้งดีกว่า”

 

“อ่ะ พรุ่งนี้รวยโดยไม่ต้องถูกหวยว่างั้น?”

 

“ก็ได้พอกินกุ้งซัก 10 กิโล บังเอิญรวยช่วยไม่ได้”

 

“ปากดีพรุ่งนี้จะสูบให้ซีดเลยมึง”

 

“สูบกู? ถ้าสูบกูคืนนี้เลยก็ได้นะ กูพร้อม”ไอ้เหี้ยคินยื่นหน้ามาพูดกระซิบใกล้ๆหูของผมตอนที่เราติดไฟแดงพอดี สายตามันเป็นประกายม๊อบแม๊บๆราวกับมีกาแลคซี่ลอยอยู่ในนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันผุดพรายเต็มดวงหน้า

 

“กูหมายถึงกุ้งมั้ยล่ะไอ้เหี้ย ลามก สัปดนไอ้คนเลว”ผมใช้มือผลักหน้ามันออกไปแรงๆ ไอ้คินส่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจที่กวนตีนผมสำเร็จ ผมยื่นมือไปหยิบมือถือของมันด้วยความเคยชิน กดเลือกเพลงในเพลย์ลิสต์ของมัน เพลงเดิมๆที่เราเคยฟังทุกครั้งยามเดินทางถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เครื่องเสียงชั้นดีที่มันติดตั้งยิ่งทำให้เพลงเพราะขึ้นกว่าที่ฟังผ่านโทรศัพท์ตรงๆ เราร่วมร้องเพลงคลอเบาๆสลับพูดคุยไปด้วยกัน เรื่องราวชีวิตในแต่ละวันถูกบอกเล่าแลกเปลี่ยน บางครั้งก็ถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ แล้วเราก็วนลูปกลับมาร้องเพลงเดียวกันอีกครั้ง

 

บางทีชีวิตก็ไม่ได้ต้องการอะไรหวือหวา แค่มีเพื่อนร่วมทางดีๆซักคนก็พอ

 

((ต่อด้านล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ของมันไปเรื่อยๆแล้วไอ้คินก็แย่งมือถือมันกลับไป

 

“อะไรวะ เล่นแค่นี้หวงเหรอวะ?”

 

“กูจะเปิดเพลงนี้ให้มึง”มันว่าก่อนจะกดเลื่อนหาเพลงที่มันต้องการ ทำนองเพลงดังขึ้นในไม่กี่วินาทีต่อมา ผมนั่งฟังเงียบๆ ไอ้คินร้องคลอตามบางช่วงบางตอนก็หันมามองหน้าผมร้องไปยิ้มไปเหมือนคนบ้า

 

 

แต่ว่า...

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้ยิ้ม

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรหน้าผมถึงได้ร้อน

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรหัวใจของผมถึงได้พองฟูขนาดนี้

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรจริงๆ

 



เริ่มจากแค่เป็นคนรู้จัก
แล้วก็กลายเป็นคนรู้ใจ
ชอบที่เธอเป็นเธอ ไม่ต้องแต่งเติมอะไร
ชอบที่เราเป็นเรา เมื่ออยู่ข้างเค้า

จะดูแลเธอไปจนตาย เคียงข้างจนวันสุดท้าย
ที่ฉันคนนี้ยังหายใจอยู่
ให้เธอรู้มีเธอคนเดียว ที่ฉันรักหมดใจ
ถ้าเธอให้สัญญาด้วยหัวใจ
ข้อเดียวเพียงเท่านี้ได้หรือไม่..อย่าเปลี่ยนไป

มันมากกว่ารักที่เธอได้ให้ฉันมา
อยากใช้เวลา ที่เหลืออีกครึ่งทางเพื่อเธอ
หากเธอเดินไม่ไหว ฉันจะอุ้มเธอเดินไป
หากเธอล้มจะมีฉันคอยกอดไว้

จะดูแลเธอไปจนตาย เคียงข้างจนวันสุดท้าย
ที่ฉันคนนี้ยังหายใจอยู่
ให้เธอรู้มีเธอคนเดียว ที่ฉันรักหมดใจ
ถ้าเธอให้สัญญาด้วยหัวใจ
ข้อเดียวเพียงเท่านี้ได้หรือไม่..อย่าเปลี่ยนไป

จะดูแลเธอไปจนตาย เคียงข้างจนวันสุดท้าย
ที่ฉันคนนี้ยังหายใจอยู่
อยากจะบอกให้ฟังทุกวัน จากหัวใจของฉัน
ก็เพราะมันยากกว่าจะรักกัน
และเพราะว่าชีวิตนี้มันสั้น..ว่าฉันรักเธอ

ตลอดไปนะ ( ตลอดไปนะ )
ไม่มีวันเปลี่ยน ( ไม่มีวันเปลี่ยน )
อยากจะพูด อยากจะพูด ว่าฉันรัก รักทุกๆวัน

รักเธอ..ก็เพราะมันยากกว่าจะรักกัน
และเพราะว่าชีวิตนี้มันสั้น
จะรักเธอตลอดไป





 









 

 

คณิณ::

 

ผมขับรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่งในอยุธยาเที่ยงคืนกว่าเกือบตีหนึ่งรอบข้างเงียบสงบรวมทั้งไอ้เซ็ทที่หลับไม่รู้เรื่องตั้งแต่ขับเข้าเขตสุพรรณบุรี ผมมองมันที่หลับไม่รู้เรื่องว่ารถมันจอดตั้งนานแล้ว แต่ก็พอจะเข้าใจเพราะมันบอกว่าวันนี้พวกมันไปขุดหลุมปลูกต้นไม้หลังโรงแรมมาเหนื่อยมาก ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้มันหลับสนิท ผมเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าปรกตามันอยู่เบาๆ แพขนตาของมันเป็นสิ่งที่ผมชอบมองมาก เหมือนเกิดมาเพื่อมีขนตาน่ารักน่าเอ็นดู ยามลืมตาเวลากระพริบก็น่ารัก ยามหลับขนตาเรียงตัวสนิทกับกรอบตาก็น่าเอ็นดู

 

นี่ผมหลงแม้กระทั่งขนตามันเลยเหรอวะ

 

แล้วแบบคุณเข้าใจป่าววะเกือบสองเดือนมานี่ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้เซ็ทคืบหน้าขึ้นแบบดีมากๆ ไลน์หามันก็ตอบ โทรหามันก็รับ มารับมันก็มาด้วย ผมยอมเหนื่อยเพื่อที่จะขับรถมากาญจน์หลังเลิกเรียนฝ่ารถติดนรกเพื่อที่จะมีเวลาได้อยู่กับมันในวันหยุดอันแสนสั้นก็เหมือนว่าผมได้เติมพลังจากการเรียนอันแสนเหนื่อยล้าแล้ว ผมลูบแก้มนิ่มของมันก่อนจะโน้มตัวลงไปกดจูบที่แพขนตาของมันเบาๆ

 

บางครั้งผมก็คิดว่าร่างกายของไอ้เซ็ทมีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งกว่าสารเสพติดประเภทกล่อมประสาท

 

เพราะถ้าคุณจูบอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าของมันแล้วล่ะก็มันจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น

 

ตอนนี้ก็เช่นกัน  กลิ่นสบู่จางๆที่ติดตัวมันกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มของมันคล้ายฟีโรโมนที่ยิ่งสูดดมยิ่งดึงดูดผมเลื่อนริมฝีปากลงมาจูบที่ปลายจมูกรั้นๆของมันรับรู้ถึงลมหายใจอันอุ่นร้อนที่รินรดซึ่งกันและกันผละจากปลายจมูกแล้วมองสิ่งที่ดึงดูดใจมากกว่านั้นริมฝีปากอิ่มๆที่เวลาปกติมักจะเถียงผมฉอดๆและเช่นเดิม ผมไม่เคยหักห้ามใจให้ทอดทิ้งมันไปได้เลยซักครั้งที่มีโอกาส ผมกดจูบลงไปเพียงแผ่วเบาแตะย้ำๆซ้ำๆโดยไม่มีการรุกล้ำใดใด ภายในรถเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงและดังของผมสอดประสานกับหัวใจของมัน....ที่เต้นดังไม่แพ้กัน

 

ไอ้เซ็ทตื่นแล้ว...แต่ยังคงแกล้งหลับอยู่  ผมหลุดยิ้มขำกับมันที่นอนหลับตานิ่ง

 

โกหกไม่เนียนเลยนะมึงไอ้สันดาน

 

ผมผละจูบจากมันอย่างอ้อยอิ่งและเสียดายใบหน้าของมันแดงก่ำจนน่าสงสาร ผมแกล้งนั่งนิ่งๆซักพักแล้วค่อยเรียกมันเมื่อหน้ามันเริ่มหายแดงแล้ว

 

“ตื่นได้แล้วมึงถึงแล้ว”มันแกล้งงัวเงียตื่นขึ้นมาราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

“ถ...ถึงแล้วเหรอ” ถึงตั้งแต่กูจูบมึงแล้วมั้ยล่ะ

 

“อือ..ป่ะ ลง”ผมรับคำมันราวกับที่ผ่านมาไม่ได้ล่วงเกินอะไรมันซักนิด เดินย้อนไปท้ายรถหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ผมเตรียมใส่ท้ายรถไว้ตลอดขึ้นมาหิ้ว ไปจัดการเปิดห้องพักและเหมือนโชคเข้าข้างเมื่อห้องที่เหลือเป็นห้องแบบเตียงเดี่ยว เราสองคนตามพนักงานขึ้นมาจนถึงห้องพักของเราที่อยู่บนชั้น 4 ไอ้เซ็ทเดินตัวปลิวเข้าไปหาเตียงนอนก่อนเป็นอันดับแรก

 

“จะอาบน้ำอีกรอบมั้ย?”ผมถามมันในขณะที่ยกเท้าขึ้นมาเพื่อถอดถุงเท้า

 

“กูอาบมาแล้วมึงไปอาบเถอะกูง่วงอยากนอน”มันว่าตาปรือๆก่อนจะหันไปคว้าหมอนข้างมานอนกอดเฉย ผมไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเคยชินซะแล้วที่เวลาไปเปิดห้องพักด้วยกันมันจะยึดหมอนข้างไปกอดไปก่ายเพราะยังไงเสียเดี๋ยวผมก็กอดมันอยู่ดี

 

นี่กลายเป็นอีกความเคยชินอีกอย่างหนึ่งของเราสองคน ยังจำได้ว่าช่วงแรกๆนั้นเวลามันตื่นมาเจอผมนอนกอดมันอยู่มันจะโวยวาย ถีบผมแทบตกเตียงยังเคยมาแล้วแต่หลังจากผ่านไป 2 ครั้งมันก็เลิกโวยวายแล้วนอนนิ่งๆให้ผมกอดจนกว่าผมจะตื่น บางครั้งผมน่ะตื่นก่อนมันซะอีกแต่ก็แกล้งหลับตาไว้เฉยๆได้ยินเสียงมันด่าผมเบาๆก็บ่อยแต่มันก็ยังปล่อยให้ผมกอดมันอยู่อย่างนั้น พักหลังๆเวลาผมพามันไปเที่ยวหรือนอนค้างที่ไหนผมก็จะกลายเป็นคนตื่นสายไปโดยปริยาย

 

หลังจากออกมาจากห้องน้ำไอ้ตัวดีก็หลับไปแล้ว  สังเกตได้จากลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอนั่น ไอ้เซ็ทเป็นคนหลับง่ายไม่ว่าจะไปพักที่ไหนถ้ามันง่วงหัวถึงหมอนไม่เกิน 5 นาที มันก็หลับแล้ว ผมถอดชุดคลุมอาบน้ำออกไปแขวนผึ่งไว้ที่ราวเตี้ยๆหน้าห้องน้ำ หยิบเสื้อยืดสีขาวที่ใช้ใส่นอนประจำมาใส่ ทาครีมกันผิวแห้งซักพักแล้วจึงเดินไปปิดไฟจากนั้นค่อยๆนอนลงบนเตียงที่ว่างดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเราทั้งสองคนไว้ หัวเราะขำกับการที่มันกอดยึดหมอนข้างไว้คนเดียวมันหนุนปลายด้านบนของหมอนข้างไว้จนแก้มเบียด ผมปิดไฟจากโคมหัวเตียงเป็นอันดับสุดท้ายก่อนจะดึงตัวไอ้เซ็ทมากอด นอนมองหน้าของมันที่ห่างจากผมไม่ถึงคืบผ่านความมืด ดูเอาเถอะแม้ในห้องจะมืดแต่พอนอนมองมันไปเรื่อยๆหน้ามันกับกระจ่างชัดขึ้นมาซะอย่างนั้น

 

“ฝันดีนะไอ้เด็กเหี้ย”

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นผมกับไอ้เซ็ทตื่นขึ้นมาในตอนเกือบ 8 โมง ลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมตามคำคะยั้นคะยอของไอ้เซ็ทเพราะเรามีคูปองจากการเปิดห้องคือบุฟเฟต์อาหารเช้าฟรี ผมกินเพียงกาแฟแก้วหนึ่งกับพวกขนมปังทาเนย เบคอน 2 ชิ้น และไข่ดาว 1 ฟอง ส่วนไอ้เซ็ทนั้น...

 

“มึงกินเหมือนสูบ”ผมบ่นมันในขณะที่มันยกน้ำส้มคั้นขึ้นดื่มหลังจากจัดการข้าวต้มปลาไปถ้วยใหญ่ อาหารหลายอย่างวางบนโต๊ะและถูกมันกวาดเข้าท้องจนเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที

 

“นี่กูแค่ชิมๆนะ”

 

“อีกนิดโรงแรมเขาก็จะเจ๊งแล้ว”

 

“บ่นไปได้ไอ้ห่า ค่าห้องก็ตั้งแพงกูแค่ช่วยทำให้เงินที่จ่ายไปของมึงเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด”มันอ้างหน้าตาเฉยก่อนจะยัดเบค่อนชิ้นที่ 5 เข้าปาก

 

“แดกยังไงให้เลอะเทอะ”ผมใช้นิ้วปาดเอาซอสมะเขือเทศออกจากมุมปากของคนตะกละ แล้วเช็ดมือกับกระดาษทิชชู่

 

แหน่ะ...หวังอะไรกันอยู่ครับ?

 

หวังว่าผมจะเลียนิ้วที่ปาดซอสให้มันเหมือนพวกนิยายตลาดๆใช่มั้ยครับ

 

ไม่เอาอ่ะ

 

มุกเกร่อ คนอย่างคณิณไม่ทำ

 

วรั๊ย!!!

 

หลังจากปล่อยให้ไอ้เซ็ทเพลิดเพลินกับอาหารเช้าไปอีกซักพักเราสองคนก็กลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมเดินทาง  ไอ้เซ็ทแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตลายทางสีฟ้าขาวเหมือนกันกับผม

 

คัพเพอร์สุดๆ อิอิ

 

“ทำไมเสื้อแม่งเหมือนกันวะ?”มันหันมาถามเมื่อเห็นผมออกมาจากในห้องน้ำด้วยเสื้อแบบเดียวกับมัน

 

“กูซื้อตอนมีโปรซื้อ 1 แถม 1”ผมโกหกครับ จริงๆตั้งใจซื้อมาใส่คู่กับมัน เราจัดการเก็บของลงกระเป๋าสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกนิดก็ลงมาคืนห้องพัก ผมขับรถพามันมุ่งหน้าไปเก็บค่าเช่าที่ อันที่จริงไม่ต้องมาเองก็ได้เพราะยังไงโดยปกติพวกคนที่เช่าที่จะโอนเงินเข้าธนาคารอยู่แล้วเป็นประจำทุกปี แต่เมื่อ 2 วันก่อนผมโทรมาบอกว่าจะมาเองจุดประสงค์หลักของผมก็คือจะพาไอ้เซ็ทมากินกุ้งแม่น้ำตามที่มันอยาก พวกไอ้อิ้งค์มาโวยวายใส่กลุ่มผมว่าไอ้เซ็ทงอแงมากทำตัวเหมือนพายุหมูบ้าเวลาไม่ได้ดั่งใจที่เพื่อนๆไม่ยอมตกลงมากับมัน ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมพามันมาจอดหน้าบ้านเรือนไทยเก่าๆหลังหนึ่ง

 

ผมหยิบสมุดบัญชีเล่มหนาขึ้นมาอธิบายให้ไอ้เซ็ทฟังว่าบ้านนี้ช่ออะไร เช่าที่กี่ไร่ ค่าเช่ากี่บาทถ้าได้รับเงินมาแล้วให้ไอ้เซ็ทลงบันทึกไว้ให้ละเอียด

 

 ลุงเจ้าของบ้านที่ใส่กางเกงเลสีกรมท่าไม่สวมเสื้อผิวคร้ามแดดบนบ่ามีผ้าขาวม้าเก่าๆพาดอยู่รีบออกมาดูเราสองคน ผมลงจากรถแล้วยกมือสวัสดี

 

“หวัดดีลุงอ่วม ผมมาเก็บค่าเช่าที่ครับ”

 

“รอเดี๋ยวๆ เดี๋ยวขึ้นไปเอาเงินให้”ลุงว่าก่อนจะหายขึ้นไปบนบ้าน ธนบัตรใบละพันบาทหลายใบถูกส่งมาให้ผมและผมก็ส่งต่อไปให้ไอ้เซ็ท มันจัดการเก็บเงินเข้ากระเป๋าสะพายที่ผมยื่นให้มัน มือก็จดรายละเอียดตามที่ผมสอน ลุงอ่วมชวนผมคุยอีกเล็กน้อยผมก็ขอตัวกลับออกมาเพราะยังต้องไปเก็บอีกหลายคน

 

ผมไล่เก็บค่าเช่าที่มาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงบ้านของลุงพงศ์ รายนี้ขึ้นชื่อเรื่องการขอผัดผ่อนค่าเช่า โอนช้าเป็นนิจ

 

และครั้งนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่ผมบอกว่ามาเก็บค่าเช่า ลุงพงศ์ก็อ้างนู่นอ้างนี่จนผมรำคาญ เวลาตอนนี้ก็บ่ายกว่าเข้าไปแล้ว

 

“ลุงขอผลัดไปก่อนไม่ได้เหรอ เนี่ยน้ำก็ท่วมนาล่มลุงแทบไม่ได้เงินเลย”

 

“อันนั้นมันเป็นปัญหาของลุงไม่ใช่ปัญหาของผม ลุงก็รู้ดีว่าทุกวันที่เท่านี้เดือนนี้ของทุกปีลุงต้องจ่ายค่าเช่าทำไมลุงไม่กันเงินเก็บไว้ทุกเดือนไม่ใช่รอเงินก้อนไว้ให้ผมล่ะครับ”

 

“ก็กันแล้วแต่พอทำนาแต่ละทีมันก็ต้องใช้ทุน”

 

“เริ่องนั้นผมไม่สนใจถึงเวลาจ่ายลุงก็ต้องจ่ายครับ”

 

“ขอผลัดไปก่อนไม่ได้เหรอ”

 

“ไม่ได้ครับ ผมไม่ได้ขับรถมาจากกรุงเทพเพื่อกลับไปมือเปล่าครับ”

 

“แต่...”

 

“ลุงรู้มั้ยครับ ที่ดินตรงนี้มีคนมาขอซื้อผมหลายเจ้ามากแต่ละคนให้ราคาดีๆทั้งนั้นเพราะที่มันสวยติดถนนใหญ่ใกล้แม่น้ำทำเลดี ถ้าผมขายน่ะผมจะมีเงินก้อนมาวางกองข้างหน้ากี่สิบกี่ร้อยล้าน ลุงคงเดาไม่ออกใช่มั้ยครับ”ผมเอ่ยคำขู่ที่พวกคนเช่าที่กลัวมาก ซึ่งสิ่งที่ผมพูดมันไม่ได้เกินความจริงเลยซักนิด ลุงพงศ์หน้าถอดสีก่อนจะฟึดฟัดขึ้นไปบนบ้านแล้วกลับลงมาพร้อมเงิน ผมยื่นให้ไอ้เซ็ทรับไปจัดการ

 

“อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะลุง แต่สัญญามันว่าไว้ยังไงผมก็ทำตามนั้นคนอื่นเขายังไม่ค้างลุงก็ไม่ควรค้าง ยังไงของปีนี้ลุงก็เริ่มเก็บไว้แต่เนิ่นๆเลยนะครับเราจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะหรือผิดใจกันอีก”

 

ผมกลับขึ้นรถโดยที่ไอ้เซ็ทยังไม่ลืมที่จะหันไปไหว้ลาลุงพงศ์ มันนั่งเงียบมาตลอดทางบนตักยังมีสมุดบัญชีวางอยู่

 

“เป็นไรมึง”ผมเอ่ยถามหลังจากมันไม่พูดไม่จาอะไร

 

“คือเมื่อกี้มึงน่ากลัว”

 

“โอ้ย มึงจะมากลัวเหี้ยอะไรกูตอนนี้วะ”ผมหัวเราะขำมัน ตีกันแทบตายมันไม่เคยกลัวผมเลยซักนิด มากลัวอะไรตอนผมทวงค่าเช่าที่

 

“ก็เวลามึงใช้เหตุผมมันดูมีรังสีอำมหิต”

 

“กูก็แสดงไปงั้นแหล่ะ จริงๆกูกลัวลุงเขาเอาลูกซองมาเป่าแทบตาย แต่ถ้าไม่เข้มใส่ลุงแกก็จะผัดผ่อนไปเรื่อยมันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู กูไม่อยากไปอะไรกับแกมากคนเก่าคนแก่เช่าที่แม่กูมานาน”

 

“นี่มึงต้องเก็บค่าเช่าแบบนี้ทุกปีเลยเหรอวะ?”

 

“ก็ทุกปีนะ แต่ละที่ค่าเช่าก็ไม่เท่ากัน ปีหนึ่งก็ได้หลายตังค์อยู่ แม่กูเขาชอบซื้อที่ดินทิ้งไว้ไปเจอตรงไหนสวยๆก็ซื้อเก็บไว้วันหนึ่งถนนหลวงตัดผ่านราคาจากไร่ละไม่กี่หมื่นก็ขึ้นมาไร่นึงเป็นล้านๆ จะทิ้งไว้ก็ไม่มีประโยชน์แกเลยปล่อยให้เช่ากินค่าเช่าไปเป็นปีๆ”

 

“แม่มึงนี่ฉลาดเนอะ”

 

“เค้าฉลาดกันทั้งบ้านอ่ะ อากงอาม่ากูหัวการค้าแล้วก็สอนลูกๆให้มีหัวด้านการลงทุนเหมือนแก กูก็แค่เก็บเกี่ยวดอกผลที่แม่กูสร้างไว้”

 

“แล้วแบบนี้เมื่อก่อนมึงมาเก็บเองแบบนี้ป่าววะ”

 

“ไม่อ่ะ เมื่อก่อนเจ๊กเพ้งมาเก็บให้ แต่ตอนหลังก็ให้โอนเข้าบัญชีกู”

 

“อ่าวแล้วไมวันนี้มาเก็บเอง”

 

“กูอยากให้มึงเห็นว่าถ้ามึงคบกับกูมึงต้องทำอะไรบ้าง อย่างแรกคือบริหารเงินให้กู”ผมหันไปพุดกับมันหน้าตาเฉย ไอ้เซ็ทโยนกระเป๋าเงินมาให้ผมทันที

 

“ใครจะไปคบกับมึง เอาเงินมึงคืนไปเลย”

 

“แน๊ๆ เขินก็บอก”

 

“เขินอะไร มึงอย่ามามั่ว ชอบพูดจาไร้สาระ”มันหันมาเถียงผมฉอดๆตามสไตล์ ผมไม่สนใจหักพวงมาลัยเข้ามาจอดหน้าร้านอาหารที่เป็นแพติดริมน้ำ

 

“ลง แดกข้าวกัน หิว”ผมเดินนำมันลงมาจากรถ

 

“เอากระเป๋าตังค์ลงมาด้วย”หันกลับไปสั่งมันให้หยิบกระเป๋าใบที่มันโยนใส่ผมมันทำตามแม้ปากจะขมุบขมิบบ่นอะไรของมันเบาๆ รอจนมันออกมาจากรถแล้วจึงกดล็อคผมเดินนำไอ้เซ็ทเข้ามาในร้าน พนักงานเดินมาทักทายพลางพาเราเดินมานั่งริมในสุดติดแม่น้ำ ลมเย็นช่วยให้ความร้อนอบอ้าวบรรเทาลงบ้าง เมนูถูกส่งมาให้เราสองคนเลือกดู

 

“เอากุ้งเผาไซส์ใหญ่ 2 กิโลนะครับ แล้วก็ปลากะพงราดซอสน้ำปลา ปลาหมึกผัดไข่เค็ม กุ้งทอดเกลือ ข้าว 1 โถ แล้วก็เอาน้ำโค้กครับ” ผมสั่งอาหารหลังจากปรึกษากันว่าจะกินอะไร ไอ้เซ็ทนั่งมองบรรยากาศรอบๆด้วยสีหน้ามีความสุข ลมเย็นๆพัดจนผมของมันพลิ้วปรกหน้า

 

“ปิดเทอมมึงไปเที่ยวที่หอกูมั้ยเซ็ท”ผมเอ่ยปากชวนมันไปที่หอของผม ปิดเทอมของผมมันไม่มีจริงโปรเจกต์งานแทบจะทับพวกผมตาย และผมคงไม่ได้กลับบ้าน

 

“ทำไมกูต้องไปอ่ะ กูอยู่บ้านกับลุงกับแม่ดีกว่า”

 

“กูอยากให้มึงไป กูคงไม่ได้กลับบ้าน งานกูเยอะมาก”

 

“แต่...”

 

“นะ ไปเที่ยวห้องกู ไปอยู่กับกูซักอาทิตย์ วันไหนว่างกูจะพามึงไปกินอาหารเกาหลี ที่กรุงเทพร้านอาหารเยอะมากมึงต้องชอบแน่ๆ”

 

“นี่มึงคิดจะเอาของกินมาล่อลวงกูใช่มั้ยวะ”

 

“กูแค่อยากมีเวลาอยู่กับมึงบ้าง เผื่อเราอยู่ด้วยกันมึงจะพิจารณากูได้มากกว่านี้”

 

“ขอกูคิดดูก่อนก็แล้วกัน”มันไม่ตอบรับแต่ไม่ปฏิเสธคำชวนของผม เรานั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระอีกซักพักอาหารก็ทยอยเอามาเสิร์ฟ ไอ้เซ็ทดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงของที่มันอยากกินก็ถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ขนาดเท่าฝ่ามือย่างบนเตาถ่านร้อนๆกลิ่นหอมเตะจมูกมาแต่ไกล สองมือของมันถูกนำมาสั่นเหนืออกท่าทางเหมือนเด็กได้ของที่ถูกใจนี่แม่งโคตรน่ารักเลยไอ้เหี้ย แล้วเสียงงุ๊งงิ้งของมันที่พูดกับมันกุ้งสีส้มสดนั่นผมล่ะอยากจะอัดวีดีโอไว้ดูเล่น

 

“มึงดูสิ มึงดู๊ โอ้ย มันกุ้ง ไอ้เหี้ย ตัวเท่าฝ่ามือ แล้วแบบมึงดูชั้นเนื้อมันสิ โอ้ยน้ำตากูจะไหล”ไอ้เซ็ทใช้ส้อมค่อยๆดึงเนื้อกุ้งออกจากเปลือกก่อนที่จะวางใส่จานให้ผม

 

“มึงกินๆ อ่ะกูตักให้”ผมมองการกระทำของมันก่อนจะส่งยิ้มให้มัน ดูเถอะมันดีใจจนตาเป็นประกายที่ได้กินของที่อยากกินขนาดนี้แต่ยังตักให้ผมก่อน จากนั้นมันก็จัดการกุ้งที่เหลืออีกครึ่งใส่จานมันเองน้ำจิ้มถูกตักไปใส่ก่อนที่มันจะอ้าปากกว้างแล้วยัดกุ้งเข้าปากทั้งชิ้น

 

ถ้าเป็นคนอื่นผมจะด่าว่าตะกละ  แต่พอเป็นมันปุ๊บโอ้ยอีเหี้ยน่ารักขึ้นมาทันทีเลย

 

“แง้ เนื้อเด้งมาก หวานมาก สดมาก อยากให้แม่ได้มากินด้วย อร่อยโคตรๆ”มันกินไปพูดไปหยิบเปลือกกุ้งตรงส่วนหัวที่ยังมีมันกุ้งหลงเหลืออยู่เอาข้าวสวยคลุกๆแล้วตักเข้าปากอย่างคนเจริญอาหาร คือแค่ดูมันกินผมก็อิ่มแล้วอ่ะ ผมขำที่มันได้กินของอร่อยทีไรมันมักจะพูดเสมอว่าอยากให้แม่ได้มากินด้วย มันต้องรักแม่ของมันมากแค่ไหนนะ

 

คงมากพอๆกับที่ผมรักแม่ของผมสินะ

 

อ่า..แม่ครับ ขอบคุณสำหรับค่าอาหารมื้อนี้นะครับ

 

ผมก็อยากให้แม่ได้กินของอร่อยอย่างนี้เหมือนกัน ผมจะใช้ชีวิตที่แม่ให้กำเนิดมาอย่างดีเลยครับ

 


เริ่มด้วยมีแฟนดีๆแบบไอ้เซ็ท แม่ว่าดีมั้ยครับ







..............................


ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากมีความรู้สึก กองทัพสล๊อตออกมาเต้นดิสนีย์ออนไอซ์บ้างอะ  หลังๆมานี่ทำคะแนนตลอดเลยนะคิน อ่านเรื่องแล้วนึกตามเลยเพราะเป็นคนชอบเที่ยว ทั้งเมืองกาญจน์ ทั้งอยุธยา

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
พอคณินได้ตั้งสติ มีจังหวะทำคะแนนแล้วท้อปฟอร์มมากๆค่ะ
เอาใจช่วยให้น้องเขาใจอ่อนเร็วๆทุกตอนเลย

ปล.อ่านตอนนี้แล้วอยากกินกุ้งเผามาก จินตนาการภาพตามแล้วยิ่งทรมาน

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 28


      “ไอ้เซ็ทรถล้ม”ข้อความแจ้งเตือนไลน์จากยงศกรเด้งขึ้นหน้าจอโทรศัพท์ของคณิณในช่วงสายของวันอังคาร คณิณที่นั่งเรียนอยู่ถึงกับนั่งไม่ติด ชายหนุ่มหุนหันออกจากห้องเรียนโดยไม่รีรอที่จะคิดอะไรทั้งนั้นในใจของเขากรุ่นโกรธจนควันแทบจะออกหู

 

มันรถล้มได้ยังไงวะ ทั้งๆที่มันไม่ได้เอาอีแดงไปที่ฝึกงานซักหน่อย

 

ชายหนุ่มเดินหน้าบึ้งไม่พูดไม่จากับใครแม้เพื่อนต่างคณะจะตะโกนทักทายแต่คณิณเหมือนจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ตอนนี้บอกเลยว่าหูอื้อตาลายมาก อยากจะรู้ว่าอีรถเหี้ยคันนั้นมันของใครจะกระทืบให้พังแล้วโปรยเงินให้เจ้าของมันไปซื้อคันใหม่

 

รถที่บังอาจทำไอ้เซ็ทเจ็บตัวไม่ควรมีสภาพอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป คณิณพูดเลย

 

เกือบสามชั่วโมงบีเอ็มคันแพงก็มาจอดหน้าหอของเศรษฐพงศ์ คณิณถือวิสาสะเดินไปเปิดประตูหอที่แง้มๆอยู่ เศรษฐพงศ์นอนหลับอยู่มุมในสุดของห้อง พัดลมตัวใหญ่เปิดจ่อ ขาข้างหนึ่งถูกพาดกับโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยที่มีผ้าขนหนูวางซ้อนไว้อีกชั้นหนึ่ง

 

สายตาคมกวาดมองร่างของเศรษฐพงศ์ก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ไม่มีแผลใหญ่ มีเพียงรอยถลอกตรงแขน ที่หัวเข่ามีแผลที่ยังสดๆอยู่ ชายหนุ่มนั่งลงบนฟูกแข็งๆที่เศรษฐพงศ์นอนอยู่

 

นี่เหรอวะคุณภาพเด็กฝึกงาน คือมันควรดีกว่านี้ป่าววะ คณิณยื่นมือไปแตะเบาๆที่หน้าผากของเศรษฐพงศ์ ไอร้อนผะผ่าวบ่งบอกว่าคนน้องมีไข้ กวาดตาสำรวจรอบข้างพบขวดน้ำและซองยาพาราวางอยู่คาดว่าคนเด็กกว่าคงกินมันแล้วนอนหลับ

 

                “ทำไมไม่ระวังตัวเองวะมึงนี่แม่ง”น้ำเสียงไม่ดังแต่ก็ไม่ได้เบานั้นปลุกคนที่หลับไม่สนิทเพราะเจ็บข้อเท้าลืมตาตื่นขึ้น

 

บ้าจริง...ทำไมในฝันของเขามีคณิณอยู่ด้วยนะ หรือเพราะช่วงนี้ใช้ชีวิตโดยมีคณิณอยู่ด้วยตลอดเลยคิดถึงนะ?  เศรษฐพงศ์หลับตาลงอีกครั้งเพราะคิดว่าตัวเองตาฝาด

 

                “มึงลุกเดินไหวมั้ย ไปหาหมอกัน”คราวนี้เศรษฐพงศ์ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที

 

ไม่ใช่ความฝันแล้วแบบนี้ เด็กหนุ่มหันไปมองไอ้คนที่นั่งข้างๆในชุดนักศึกษา

 

เดี๋ยวนะ มึงมาได้ไงวะ ไหนว่าวันนี้มีเรียนทั้งวัน

 

                “ไอ้คิน?”

 

                “เออ กูจำชื่อกูได้ ลุกเร็วกูจะพาไปหาหมอ”คนเจ็บไม่ได้ทำตามที่คณิณบอก เรียกง่ายๆว่าไม่ให้ความร่วมมือเลยซักนิด เศรษฐพงศ์ยังคงนอนนิ่งดวงตากลมมองเพดานเขม็งราวกับมันมีอะไรน่าสนใจมากกว่าคนที่นั่งข้างๆซะอย่างนั้น

 

                “มึงแม่ง โดดเรียนมาทำไมวะ?”เศรษฐพงศ์กำลังหงุดหงิด ปกติคณิณขับรถจากลาดกระบังมารับเขาทุกเย็นวันเสาร์เขาก็กลัวว่าอีกคนจะเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว แต่วันนี้ วันอังคารที่ตารางเรียนของคนพี่เต็มทั้งวัน การมาปรากฏตัวในตอนนี้หมายความว่าคณิณโดเรียนมา

 

ไม่ชอบ

 

ไม่ชอบแบบนี้

 

                “กูไม่อยากให้มึงโดดเรียน มึงต้องตั้งใจเรียนสิวะไม่ใช่เอะอะก็มาหากู”

 

                “.......”

 

                “มึงโตแล้วนะเว้ยไอ้คิน มึงต้องรู้จักแยกแยะอะไรก่อนอะไรหลังอะไรสำคัญ”

 

                “ก็มึงไงสำคัญที่สุดสำหรับกู”คณิณตอบกลับในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น แต่คนน้องกลับหันมาค้อนจนตาคว่ำ

 

                “กูไม่ซึ้งหรอกนะกับคำพูดแบบนี้อ่ะ คบกันกูก็อยากพากันเจริญป่าววะ ไม่ใช่พอคบกันปุ๊บชีวิตตกต่ำปั๊บ รวยแต่โง่กูก็ไม่เอาหรอกนะ”







 

คณิณ::

 

เอ๊ะ....เอ๊ะ...เอ...ไม่ใช่เพลงเอของก๊อตเซเว่น แต่เป็นเสียงอุทานในใจของผม

 

เอ๊ะๆๆๆๆๆๆ

 

เมื่อกี๊ไอ้เซ็ทพูดว่าอะไรนะ???

 

คบกัน...ขีดเส้นใต้รัวๆด้วยปากกาแดงขนาด 0.3 ว่าคบกันแล้ว

 

                “ยิ้มห่าอะไรกูด่ามึงอยู่เนี่ยไม่ได้ยินหรอไง”ดูเหมือนไอ้คนที่หลุดพูดคำบางคำออกมายังไม่รู้ตัว ปากงุ้ยๆของมันยังคงบ่นผมไม่หยุด ผมเอาหูทวนลมฟังว่ามันร้องเพลงให้ฟังไป บางครั้งก็เออออบอกกับมากลับไปว่ารู้แล้วๆ

 

                “บ่นเป็นแม่กูตอนยังไม่ตายเลย”ผมว่ากลับมันไป ไอ้เซ็ทถอนหายใจพรืดใหญ่

 

                “แล้วมึงเป็นไงมั่งเนี่ย เจ็บตรงไหนมั่ง?”

 

                “ก็ไม่เจ็บตรงไหน ปวดข้อเท้ากับเข่าเฉยๆ”มันใช้มือจับลงไปบนขาข้างขวาที่มีแผลอยู่ที่เข่า

 

                “กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บตัวเลย...”ผมใช้ปลายนิ้วแตะลงเบาๆตรงข้อเท้าของมัน ไอ้เซ็ทลืมตัวหดขาหนีก่อนจะซี๊ดปากแสดงความเจ็บออกมา

 

                “ทำเป็นพูดดี เมื่อก่อนหมาตัวไหนมันไล่กัดกูไม่เว้นแต่ละวัน”ไอ้คนเจ็บมันไม่วายขุดเรื่องในอดีตขึ้นมาแขวะผม

 

                “ก็นั่นมันเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้กูกลายเป็นหมาเชื่องๆของมึงแล้วไง”

 

                “ไหนขอมือซิ๊”มันยื่นมือแบมาข้างหน้าผมซึ่งผมเองก็รับมุกมันโดยการยื่นมือไปวางลงบนฝ่ามือของมัน ไอ้เซ็ทหัวเราะชอบใจ

 

                “ไปเถอะมึง ลุก ไปหาหมอกัน”ผมถือโอกาสดึงมือมันให้มันลุกขึ้นยืนตามผม

 

                “โอ้ย!!!”เสียงมันร้องขึ้นมาทันทีที่ทรงตัวขึ้นยืน มันทรุดตัวลงไปนั่งอีกครั้ง หน้าตามันตอนนี้บ่งบอกชัดเจนว่ามันเจ็บข้อเท้ามากแค่ไหน

 

                “มึงเจ็บขนาดนี้แล้วยังจะโกหกว่าไม่เจ็บอีกเหรอไอ้เด็กเหี้ยนี่”ผมจับข้อเท้ามันพลิกดู ข้อเท้าของมันเริ่มบวมอย่างเห็นได้ชัด

 

                “เจ็บขนาดนี้แล้วยังจะโกหก เด็กไม่ดี”ผมว่ามันอีกรอบไอ้เซ็ทเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่มันก็ยังมิวายปากดี

 

                “ตีกับมึงเมื่อก่อนเจ็บกว่านี้อีก แค่นี้ไม่ตายหรอก”

 

                “แล้วนี่มึงเดินไหวมั้ย มึงเอารถใครเขามาขับให้ล้มวะ”ผมประคองมันให้ลุกขึ้นยืนโอบเอวบางๆของมันไว้เป็นหลักยึดไม่ให้มันต้องลงน้ำหนักที่ข้อเท้ามากจนเกินไป

 

                “เมื่อเช้าฝนตกถนนลื่นกูลืมไม่สเกลเลยยืมรถพี่ที่ทำงานออกมาเอา มันมีโค้งหักศอกอยู่กูเลยเสียหลักรถล้มพุ่งไปฟาดกับหลักกิโล ขากูยังเจ็บอยู่เลย”

 

                “อีถนนเหี้ยเส้นนั้นมันราคาเท่าไหร่ กูจะซื้อแล้วทุบทิ้ง”

 

                “มึงรู้ตัวป่าวว่ามึงเป็นคนอวดรวยได้น่ากระโดดเตะปากมาก”

 

                “ก่อนเตะปากกูเดินเองให้ได้ก่อนเถอะไอ้เป๋ โอ้ย!!” ผมเด้งเอวทันทีเมื่อไอ้เซ็ทมันหยิกแรงๆเข้าที่เอวของผม

 

ไอ้เด็กเหี้ยนี่ตีนเจ็บแต่มือไวทายาด ผมประคองตัวผอมๆที่เดินขโยกเขยกมานั่งในรถ จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้มันจนเรียบร้อยถึงได้กลับมานั่งประจำที่คนขับ

 

                “เข้าไปที่คลับเฮ้าส์ก่อน” มันหันมาร้องสั่งผม ผมหันไปมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ

 

                “กูต้องไปลางานกับเขาก่อน จะหายไปโดยพละการได้ยังไง”

 

                “ก็มึงเจ็บ เขาก็รู้”

 

                “มันเป็นมารยาทป่าววะมึง อีกอย่างมะรืนก็หมดระยะฝึกงานแล้ว กูทำรถพี่ในนั้นพัง...”

 

                “โอเคๆ บอกทางมาแล้วกัน”

 

                “ตรงเข้าไปเลยไม่มีทางแยก”ผมขับรถตรงเข้าไปในสนามกอล์ฟตามบัญชาของเด็กขาเป๋ บรรยากาศทางเข้าร่มรื่นดีจนกระทั่งขับมาจนถึงโค้งอันตรายที่มันว่า รอยถลอกของผิวถนน หลักกิโลที่พังยับ เศษซากบางส่วนของรถมอเตอร์ไซค์กระจัดกระจาย พื้นหญ้าเป็นแนวลู่ ผมหันไปมองมันอย่างไม่เชื่อสายตาว่ามันจะเจ็บเพียงแค่นี้

 

                “เหี้ย รอยมันอลังการมากเลยนะ มึงเจ็บหัวมั้ย เลือกคั่งในสมองหรือเปล่า หรือซี่โครงหัก ช้ำในอะไรแบบยังไม่ออกอาการมั้ย”ผมหันหน้าไปถามมันทันที ไอ้เซ็ทผลักหัวผมอย่างแรงพลางหัวเราะลั่น

 

                “มึงแม่งโอเว่อร์แอคติ้งมากไอ้สัด กูไม่เป็นไรจริงๆ พอล้มแล้วรถก็เหวี่ยงกูลงข้างทางขากูก็ฟาดกับหลักกิโลนั่นแหล่ะ แล้วทีนี้เว้ย หญ้ามันลื่นกูเลยไถลลงไป มึงเห็นตอกระถินนั่นมั้ย นั่นน่ะ ถ้ากูเบี่ยงตัวหลบไม่ทันป่านนี้คงได้ทำศพอ่ะ เจ็บแค่นี้คือโชคดีมาก”ผมขับรถไปฟังมันเล่านู่นเล่านี่ไปแป๊บเดี๋ยวก็พารถมาจอดหน้าคลับเฮ้าส์ ที่นั่นบรรดาเพื่อนๆของมันกฎลังก้มๆเงยๆปลูกต้นไม้อยู่ ไอ้เซ็ทเปิดกระจกเรียกไอ้อิงค์ที่อยู่ใกล้สุด

 

                “อิ้งค์ๆ”

 

                “อ้าว มึง เป็นไงมั่ง เจ็บตรงไหนปวดตรงไหนป่าววะ”ไอ้อิ้งค์และเพื่อนๆของมันรีบกรูกันมาสอบถามอาการ เซ็ทมันส่ายหน้าปฏิเสธพลางบอกให้เพื่อนช่วยประคองมันลงจากรถเพื่อไปพบผู้จัดการ ผมอ้าปากจะร้องห้ามแต่ว่าพอดีกับที่คนที่ชื่อพี่ต๋องผู้จัดการสนามกอล์ฟออกมาจากด้านในที่เป็นสำนักงานพอดีไอ้เซ็ทยกมือไหว้พี่ผู้จัดการพร้อมๆกับผมที่ก็ไหว้ตามมันไปด้วย พี่ต๋องรับไหว้เราสองคนก่อนจะเกาะประตูรถโน้มหน้าเข้ามาคุยกับมันอย่างเป็นกันเอง

 

                “ว่าไง เป็นไงมั่งไอ้เสือ”

 

                “ผมจะมาลางานไปหาหมอครับพี่”

 

                “เป็นมากมั้ยล่ะเรา พี่ไปดูที่โค้งสภาพแบบไม่น่ารอด จริงๆเอารถทางสนามไปส่งก็ได้นะ”

 

                “ไม่เป็นไรครับพอดีพี่ชายผมมารับแล้ว ก็เลยมาบอกพี่ก่อน ข้อเท้าผมเหมือนจะมีปัญหา”

 

                “ไปเลยๆ ลายาวจนจบฝึกงานเลยก็ได้ งานก็ไม่มีอะไรแล้ว”

 

                “เดี๋ยวก็คงกลับมานอนที่หอครับ เกรงใจเพื่อนๆ อีกอย่างต้องมาคุยเรื่องค่าเสียหายเรื่องรถกับพี่สิด้วย”

 

                “เห็นสิเค้าเอาเข้าอู่แล้วเย็นนี้คงรู้ราคาค่าซ่อม แย่หน่อยนะ”พี่ต๋องตบไหล่มันเบาๆสองสามที คุยกันอีกนิดหน่อยก็ขอตัวไปทำงาน

 

                “มึงไม่เป็นอะไรแน่นะไอ้เซ็ท”ไอ้สองแฝดถามผมด้วยความห่วงใย

 

                “เออกูไม่เป็นอะไร พวกมึงไปทำงานต่อเถอะ วางต้นไม้ตามแบบที่กูเขียนไว้นะตรงไหนไม่เข้าใจถามไอ้ยิมดูมันรู้ เดี๋ยวเย็นๆกูกลับมา”หลังจากที่มันสั่งงานเพื่อนอีกนิดหน่อยเราสองคนก็ได้ฤกษ์ขับรถเข้ามาในเมือง ปกติเวลาไม่สบายที่บ้านจะมีคลินิคที่มาหาเป็นประจำอยู่แล้ว ตอนที่โดนมันเอาไม้สเกลฟาดจนแขนเดาะผมก็มาหาหมอท่านนี้เป็นหมอที่เก่งเกี่ยวกับกระดูกโดยตรง

 

ผมนั่งรอไอ้เซ็ทเข้าไปเอ็กเรย์ข้อเท้าพักใหญ่ๆพยาบาลก็เข็นมันออกมาผมตามเข้าไปฟังอาการของมันในห้องตรวจ

 

                “โดยรวมไม่เป็นอะไรมาก มีการอักเสบตรงเอ็นร้อยหวายช่วงนี้ก็งดลงน้ำหนักที่เท้าขวาไปก่อน ส่วนที่ฟกช้ำเดี๋ยวหมอให้ยาไปทานกับยาทานะ”ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่งที่มันไม่เป็นอะไรมาก

 

เพราะหากเป็นมากกว่านี้คงรับไม่ไหวแน่ๆ

 

ผมพามันแวะกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารระหว่างทางกลับ การดูแลมันไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรออกจะได้กำไรนิดหน่อยด้วยซ้ำ ตัวมันนุ่มนิ่มกว่าที่คิด เมื่อก่อนตอนต่อยตีกันผมไม่มีเวลาได้สำรวจร่างกายอะไรมันหรอก แต่ตอนนี้เอวคอดๆของมันที่ผมสัมผัสอยู่ไม่ได้ต่างไปจากเอวของผู้หญิงเลย แขนของมันแม้ไม่นุ่มนิ่มแต่ก็ไม่ได้ครัดแกร่งแบบผู้ชายล่ำๆ ไหนจะกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ติดตามเสื้อผ้ามันอีก

 

อ๊า ฟิน...

 

                “ทำหน้าเคลิบเคลิ้มอะไรของมึง คิดอะไรลามกอยู่หรือเปล่า”ผมดึงสติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงทักจากมัน ตอนนี้ผมพามันมานั่งในรถแล้วขาของมันถูกพันด้วยผ้ายืดที่เอาไว้พยุงข้อเท้า บริเวณลานจอดรถเงียบสงบไม่มีใครผ่านมาทางนี้เลย  หน้าของผมห่างจากหน้าของมันไม่ถึงสองคืบ

 

ความรู้สึกบางอย่างแม่งตื้นเข้ามาในหัวใจแล่นปรู๊ดมาที่สะดือจนรู้สึกโหวงๆ

 

                “มึง...”ผมกลืนน้ำลายลงคอราวกับคนที่วิ่งผ่านทะเลทรายจนคอแห้งผากแล้วมาเจอกับซาฮาร่าที่เต็มไปด้วยน้ำสีใสสะอาด

 

                “อ...อะไร?”

 

                “จูบได้มั้ย?...”ผมจ้องริมฝีปากของมันนิ่ง ไอ้เซ็ททำหน้าตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ

 

                “ไม่...”มันเอ่ยปฏิเสธผมด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

 

                “ไม่มีใครเคยสอนมึงเหรอวะ ว่าเวลาจะปฏิเสธอะไรใครก็พูดให้มันหนักแน่นหน่อย ไม่งั้นผลลัพท์มันจะไม่ตรงกับที่มึงบอก”ผมไม่รอให้มันปฏิเสธอีกครั้งริมฝีปากของมันนุ่มหยุนคล้ายเยลลี่ไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด ไอ้เซ็ทคล้ายจะดึงหัวหนีแต่ผมก็ใช้มือข้างหนึ่งล็อคไว้ อีกข้างก็ประคองปลายคางของมันให้เชิดหน้าขึ้นรับจูบจากผม

 

ผมค่อยๆดูดดึงริมฝีปากล่างของมันช้าๆ ละเมียดละไมคล้ายกำลังชิมครีมจากเค้กรสโปรด

 

ไม่ว่าจะจูบมันกี่ครั้งรสหวานจากกลีบปากของมันก็ยังคงทำให้ผมติดใจอยู่เสมอ ผมเอียงปรับมุมให้จูบของเราแนบสนิทกันมากขึ้น ไอ้เซ็ทหยุดดึงหัวหนีมือของมันที่วางไว้ข้างตัวยกขึ้นมากอดเอวของผมไว้ฝ่ามือทั้งสองข้างของมันขยำเสื้อของผมจนยับย่น

 

คราวนี้จูบของผมเป็นเหมือนจูบของคนที่ละโมบโลภมาก ผมดูดริมฝีปากล่างของมันอีกครั้งจนเกิดเสียงก่อนจะถอนจูบออกมามองหน้ามัน

 

ไอ้เซ็ทใบหน้าแดงก่ำ แดงจนน่าสงสาร ดวงตาของมันปรือเยิ้มบ่งบอกว่ามันกำลังเมาจูบที่ผมมอบให้

 

น่ารักพร้อมๆกับน่ารังแก

 

ผมไม่ปล่อยให้มันมีสติไปมากกว่านี้บดเบียดริมฝีปากเข้าไปใหม่อีกครั้ง คราวนี้ไอ้เซ็ทครางอือในลำคอเมื่อผมสอดลิ้นเข้าไปกวาดต้อนลิ้นเล็กของมัน

 

หวาน...หวานกว่าจูบครั้งไหนๆที่เคยจูบมา

 

ลึกล้ำดื่มด่ำหอมหวานเหมือนต้องมนต์สะกดหลงเข้าไปในดงไม้หอม

 

ตักตวงอย่างละโมบ ดูดกลืนราวเจอแอ่งน้ำหวานเลิศรส

 

ไม่นานไอ้เซ้ทก็ตอบสนอง มันเลิกพลิกลิ้นหนีหันมาเกี่ยวกระหวัดตอบโต้อย่างไร้เดียงสา

 

แม่มันต้องเลี้ยงลูกมาอย่างใสสะอาดขนาดไหนกันนะ ขนาดจูบยังดูไม่ประสาขนาดนี้ ผมเกี่ยวพันดูดดึงเรียวลิ้นของมันราวกับกำลังเล่นกับก้านเชอร์รี่ หวังจะผูกให้มันเป็นปมแต่ก็ต้องถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่งเมื่อไอ้เซ็ทเริ่มจะหายใจไม่ทัน

 

                “มึงหวานชิบหายเลยหว่ะเซ็ท กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ย”ผมใช้ปลายนิ้วเช็ดริมฝีปากที่เจ่อบวมน้อยๆของมัน ไอ้เซ็ทคล้ายได้สติมันกระพริบตาปริบๆก่อนจะหันหน้าหนีผมไปอีกทาง ไร้เสียงโวยวาย ไร้เสียงด่า มีเพียงใบหน้าและสีผิวของมันที่ยังคงแดงเรื่ออย่างน่ารัก มันซุกหน้ากับเบาะรถไม่มองมาทางผมเลยซักนิด น่ารักชิบหายเลยอ่ะ อากัปกริยาแบบนี้แสดงให้รู้ได้ในทันทีเลยว่ามันกำลังเขินผม

 

มันไม่ปฏิเสธผมนี่ถือเป็นสัญญาณอันดีมากๆเลยอ่ะ

 

อยากจะวิ่งให้ทั่วเมืองกาญจน์แข่งกับโครงการก้าวคนละก้าวของพี่ตูนแล้วตะโกนดังๆว่า

 

อยากได้

 

อยากได้

 

อยากได้มากๆ

 

อยากได้สุดๆ

 

อยากได้ชิบหายเลยโอ้ยยยย

 

พี่ตูนวิ่งเพื่อหาเงินช่วยโรงพยาบาลแต่ผมจะวิ่งเพื่ออวดว่าที่เมียในอนาคตของผม

 

อยากจะจับมันปั้นเป็นก้อนกลมๆแล้วจับแดกแม่งทั้งตัวจริงๆไอ้ห่าเอ้ย!!!









 

 

 เศรษฐพงศ์::

 

ผมทำอะไรลงไป? อยู่ๆร่างกายก็ตอบสนองกับสัมผัสนั้นของไอ้คินไปแบบง่ายๆ

 

มันรู้สึกดีแบบแปลกๆ แต่ผมก็รู้สึกกระดากอายด้วยใจหนึ่งก็อยากตอบสนองมันให้มากกว่านั้น แต่อีกใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธมัน  ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงกับใจตัวเองดี

 

ไอ้คินเวอร์ชั่นนี้มันดี ดีมากๆ ดีจนปฏิเสธไม่ลง

 

แต่อีกใจหนึ่ง

 

เราเป็นผู้ชาย สิ่งที่ทำอยู่มันสมควรจริงหรือเปล่า แม้ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนี้จะจางบางลงไปมากแล้ว แต่พอมันแวบเข้ามาในหัวผมก็อดที่จะรู้สึกอายไม่ได้

 

ผมไม่เคยจูบกับใครเพราะฉะนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเวลาจูบกันมันต้องรู้สึกยังไง แต่ตอนที่ไอ้คินจูบผมครั้งแรกความรู้สึกแรกคือตกใจและขยะแขยงแต่หลังจากเลิกกับเอิร์น ผมยอมรับว่าตอนแรกรั้งมันไว้ขอให้มันอยู่ใกล้ๆเพราะตอนนั้นผมเคว้งคว้าง ผมแค่ต้องการใครซักคนคอยอยู่ข้างๆปลอบใจผม ไม่ต้องใช้คำพูดดีๆหรอกแค่บอกว่าจะไม่ทิ้งไปไหนผมก็อุ่นใจแล้ว

 

จนกระทั่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมสนิทกับมันไปไหนมาไหนกับมันคุยโทรศัพท์กันทุกวัน

 

และแน่นอน ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าไอ้คินหาเศษหาเลยกับผมทุกครั้งที่ผมหลับ

 

แต่ผมกลับนอนนิ่งให้มันจูบ

 

คล้ายจะเสพติด...ไม่ตีไม่ด่ามันกลับไปเช่นตอนนี้

 

ผมหันหน้าหนีมันเพราะไม่อาจทนสู้สายตาที่มองมาอย่างกรุ้มกริ่มนั้นได้

 

ตอนนี้ดาวหางคล้ายจะกลายเป็นดาวเหนือ

 

จากที่ไม่เคยส่องแสงสว่างไสวแต่ตอนนี้กลับกระจ่างชัดทั้งในสายตาและความทรงจำ

 

            “เขินเหรอ?”มันลูบผมของผมด้วยฝ่ามืออุ่นๆของมัน ผมแกล้งหลับตาเพื่อตัดบทสนทนาของมัน

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตอบกลับไปว่าเขินพ่อง  แต่ตอนนี้ถ้ามุดตัวเข้าไปในเบาะรถได้ผมคงทำไปแล้ว

 

            “หุบปากแล้วขับรถไปเลยมึง เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่”

 

            “แล้วชอบป่าวล่ะ?” ยัง มันยังไม่หยุดแถมหันมายิ้มกวนส้นตีนใส่อีก

 

            “รำค๊าน!!”

 

            “แต่ว่า...”ไอ้คินมันยังไม่ยอมหยุดพูด แถมหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ

 

            “เมื่อไหร่จะยอมให้เอาล่ะ รออยู่นะ”

 

            “โอ้ยไอ้เหี้ยนี่ เงียบไปเลยนะ ฝันไปเถอะชาติหน้าตอนบ่ายๆนู่นแหล่ะ”

 

            “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำบุญกันชาติหน้าจะได้เกิดมาเจอกัน”

 

            “โอ้ย!!! กูไม่คุยกับมึงแล้ว ไอ้ลามก” ผมหันหน้าหนีมันมาทางหน้าต่างรถทันที  แล้วอีปากเหี้ยนี่ก็เป็นอะไรเนี่ย มึงจะยิ้มทำไม หุบยิ้มสิ เดี๋ยวมันเห็นก็ล้อเอาอีกหรอก

 

            “มีใครเคยบอกมึงมั้นเซ็ท?...”

 

อะไรอีกล่ะ...คราวนี้จะกวนตีนอะไรกูอีก

 

            “ว่าเวลามึงแอบยิ้มอ่ะ มึงน่าร๊ากน่ารัก โทษนะ กระจกรถกูใสมาก พอดีล้างบ่อย”ไม่พูดเปล่ามันยังเอื้อมมือมาบีบแก้มผมอีกด้วย ผมผลักมือมันทิ้งอย่างไม่ใยดี

 

          “ไอ้สัด!!!”

 

            แม่!!! เซ็ทอยากกลับบ้าน!!!!

 

 

((ต่อข้างล่าง))
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2019 23:13:08 โดย thanatcha »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
เกือบสองทุ่มในที่สุดรถของคณิณก็เข้ามาจอดที่หน้าหอ พวกของโอบนิธิรีบเข้าไปรับเพื่อนแฝดพี่เข้าประคองซ้ายแฝดน้องเข้าประคองขวาหิ้วปีกราวเศรษฐพงศ์เจ็บหนักนักหนา คนเจ็บพยายามห้ามกับการเทคแคร์แสนโอเวอร์ของเพื่อนๆแต่ก็ระอาใจเกินกว่าจะเอ่ยห้าม

 

จริงๆก็ซาบซึ้งที่เพื่อนๆเป็นห่วงเป็นใยตนเองมากขนาดนี้

 

            “เซ็ททำไมมึงหาหมอนานจัง มึงเป็นอะไรมากหรือเปล่าวะ”ยงวิสุทธิ์คุกเข่าลงพลางจับข้อเท้าเพื่อนพลิกไปพลิกมาเพื่อเช็คสภาพ

 

          “กูไม่ได้เป็นอะไรมาก พอดีหมอเค้าเข้าคลินิกตอนห้าโมงเย็นเลยต้องรอ”

 

            “แล้วมึงกินข้าวมายัง มึงหิวข้าวป่าวเดี๋ยวกูไปบอกเจ๊แก้วให้ทำข้าวให้มึงสองคนกินดีมั้ย”วีรดนัยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงแถมยังเผื่อแผ่ความเป็นห่วงมาถึงคณิณที่ถือถุงยาตามมาด้วย

 

            “กินมาแล้ว คินพาแวะกินก่อนกลับ”คนเจ็บเอ่ยตอบเพื่อนๆ

 

            “แล้วนี่เอาไงอ่ะมึง จะกลับไปนอนบ้านหรือกลับลาดกระบังเลย?”ยงศกรหันมาถามคนที่ยืนเก้ๆกังๆข้างๆ คณิณมองหน้าเศรษฐพงศ์ รอยความห่วงใยปรากฏในดวงตาอย่างปิดไม่มิด

 

            “มันก็มืดแล้วนะเว้ย ให้มันค้างที่หอพวกเราก็ได้”โอบนิธิออกความเห็น

 

            “แต่..”คนป่วยเอ่ยปากจะท้วงแต่คนเป็นเพื่อนกลับหันไปหาเศรษฐพงศ์แทน

 

            “พรุ่งนี้มึงมีเรียนหรือเปล่า กูว่าพรุ่งนี้ไอ้เซ็ทแม่งต้องระบมพวกกูต้องไปทำงานไม่มีใครอยู่ดูมันด้วย”

 

            “ไม่มี กูว่างยาวถึงวันศุกร์”

 

            “เออดีงั้นมึงค้างนี่แหล่ะพวกกูจะได้ฝากมึงดูไอ้เซ็ทด้วย พรุ่งนี้มึงพามันกลับบ้านได้เลยพี่ต๋องโทรไปบอกที่วิทยาลัยแล้วอาจารย์อนุญาตให้มันกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้”

 

            “งั้นมึงรอแป๊บ เดี๋ยวกูจัดที่นอนให้ ฝนทำท่าจะตกแล้วจะได้รีบเข้าห้อง”วีรดนัยแยกตัวกลับเข้าไปในห้อง โชคดีที่ยังมีเบาะสำรองกับเครื่องนอนเหลืออยู่ เพื่อนๆทุกคนต่างกุลีกุจอกันเข้าไปช่วย

 

            ห้ามทำลามกกับกูนะ”คนป่วยหันไปทำตาเขียวใส่คนที่มานั่งข้างๆ

 

            “อะไร กูยังไม่ได้คิดจะทำเลยนะ”

 

            “มึงมันไว้ใจไม่ได้”

 

            “บ้า มึงเนี่ยมองโลกในแง่ร้าย กูเคยไปทำลามกอะไรใส่มึง?”

 

            “ก็มึงอ่ะชอบแอบจูบกู...เชี่ย!!”คนเจ็บรีบยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป คณิณฉีกยิ้มกว้างพลางยกนิ้วชี้หน้าคนที่กำลังหน้าแดงลามไปถึงลำคออีกครั้ง

 

            “แหน่ะๆ รู้ด้วยว่าโดนแอบจูบแต่ก็ไม่เคยจะห้าม ติดใจล่ะสิ”พูดยังไม่ทันขาดคำคณิณก็มีอันกระเด็นตกแคร่ที่นั่งลงไปจุมปุ๊กกับพื้นดิน

 

            “แหม  เขินรุนแรงนะเรา”ปัดฝุ่นออกจากตูดก่อนจะใจกล้าหน้าด้านกลับไปนั่งข้างๆคนเจ็บที่หน้าแดงแจ๋อีกครั้ง

 

เศรษฐพงศ์อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้วนึกโมโหที่ไอ้คนหน้าด้านไม่ยอมหยุดที่จะพูดให้เขาเขินซักที  เขินจนไม่กกล้าหันไปมองหน้าคนที่นั่งข้างๆเลยซักนิด  คณิณมองท่าทางตลกๆนั้นอย่างชอบอกชอบใจ

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่มีซะหรอกที่มันจะมานั่งเขินเขาแบบนี้  ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้ามองดาวแต่ฝ่ามือค่อยๆเคลื่อนมากอบกุมมือของคนน้อง เศรษฐพงศ์หันมามองพยายามดึงมือออกเพราะกลัวว่าเพื่อนๆที่วุ่นวายกับการเก็บกวาดห้องจะออกมาเจอแต่คณิณกลับยึดไว้แน่น

 

            “อยู่แบบนี้ซักแป๊บหนึ่งสิ”น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขออย่างเว้าวอน

 

            “เซ็ท...”เสียงเรียกแผ่วเบานั้นทำให้เศรษฐพงศ์ต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ เมื่อหันไปมองหน้าคนพี่แล้วก็พบว่าคณิณจ้องหน้าตนอยู่ด้วยสายตาจริงจังและจริงใจ

 

            “กูชอบมึงจริงๆนะ”

 

            “เออ...กูรู้แล้วน่า”เศรษฐพงศ์แหงนหน้าขึ้นรับลมเย็นที่พัดไอฝนปะปนมาด้วย

 

            “ที่กูบอกชอบมึงตอนนี้กูก็อยากได้คำตอบจากมึงเหมือนกัน ว่ามึงชอบกูมั่งหรือเปล่า?”เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ในทันที เศรษฐพงศ์ไม่แม้แต่จะปริปากพูดตอบอะไรกลับไป คณิณกระชับมือที่กอบกุมมือเรียบของเศรษฐพงศ์อีกครั้ง ก้อนความน้อยใจแล่นจุกขึ้นมาในอก

 

            “ทุกวันนี้กูก็หวังมาตลอดนะ ว่าที่ผ่านมามึงคงจะรู้สึกดีๆกับกูบ้าง กูคิดถูกใช่มั้ยวะ? ตอนแรกกูกะจะรอให้มึงลืมเขาให้ได้สนิทก่อน แต่ที่ผ่านมาของเราสองคนมันดีจนกูเผลอคิดไปเองว่ามึงคงรู้สึกชอบกูขึ้นมาบ้างแล้ว มึงช่วยตอบกูทีได้มั้ยวะ ว่าที่กูคิดน่ะ มันผิดหรือถูก”เศรษฐพงศ์เหมือนกำลังจะจมน้ำ เด็กหนุ่มตอบความรู้สึกที่มีต่อคณิณในตอนนี้ไม่ได้ จริงอยู่ว่าแผลของเขามันไม่ได้เจ็บปวดแบบตอนแรกแล้ว แต่มันก็ยังไม่หายดี

 

อีกอย่างระหว่างเขากับคณิณมันกลายเป็นความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียกมาได้ร่วมสองเดือนและเขาเองก็มีความสุขกับปัจจุบันที่เป็นอยู่แบบนี้

 

ก่อนที่เศรษฐพงศ์จะเข้าตาจนจากคำถามของคณิณโอบนิธิก็ส่งเสียงเรียกออกมาจากในหอ

 

            “ไอ้คินมึงประคองมันเข้ามาได้แล้วพวกกูจัดที่นอนให้มึงเสร็จแล้ว”ราวกับระฆังช่วยชีวิต คณิณมองหน้าคนที่เมินเฉยกับคำถามของเขาก่อนจะถอนหายใจช้าๆ จำต้องประคองคนเจ็บเข้าไปในหอโดยไม่ได้พูดได้จาอะไรกันอีก

 

            “เอาเสื้อผ้ามาหรือเปล่า”เศรษฐพงศ์เอ่ยถามคนที่กำลังเตรียมตัวอาบน้ำ

 

            “เอาของกูไปใส่ก่อนก็ได้ แขวนอยู่นั่นอ่ะ”เศรษฐพงศ์ชี้ไปที่ราวตากผ้าที่ขึงด้วยลวดแบบง่ายๆ คณิณเดินไปเลือกกางเกงบอลกับเสื้อยืดบางๆเพื่อใส่สำหรับนอนก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำหลังจากรับตะกร้าใส่สบู่ ยาสระผมที่เศรษฐพงศ์ยื่นให้

 

            “มึงงอนอะไรกันอีกหรือเปล่าวะ ทำไมมันดูตึงๆ”ยงศกรมานั่งข้างๆเศรษฐพงศ์แล้วเอ่ยถามคนน้องที่นั่งทำหน้านิ่งพิงหมอน เช่นกันกับคณิณคือเศรษฐพงศ์เองก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นเดียวกับเศรษฐพงศ์

 

            “ป่าว ไม่ได้งอนอะไรกัน กูจะไปงอนอะไรมันได้วะ”

 

            “กูก็ไม่ได้ถามว่ามึงงอนอะไรมัน เพราะดูจากท่าทางแล้วมันงอนมึงชัวร์”

 

            “เออ แม่ง เมนส์มามั้ง”เศรษฐพงศ์ตัดบทพลางเลื่อนตัวลงนอนอย่างหงุดหงิด

 

มางอนอะไรกูล่ะ แค่ยังตอบคำถามไม่ได้เนี่ยนะ ประสาท

 

คณิณออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าไฟในห้องถูกปิดลงแล้วอาศัยแสงสว่างจากในห้องน้ำที่โอบนิธิบอกไว้ว่าให้เปิดทิ้งไว้เป็นแสงสว่างพอให้เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนที่นอนว่างติดกำแพงที่เศรษฐพงศ์ขยับไว้ให้ส่วนตัวคนเจ็บนอนถัดจากเขา ร่างโปร่งนอนนิ่งราวกับหลับสนิท วูบหนึ่งคณิณอยากจะทุบลงไปบนอกของเศรษฐพงศ์แรง

 

อยากจะรู้นักตัวแม่งก็บางแค่นี้ทำไมใจแข็งนักวะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์แล้วส่งข้อความบางอย่างไปหาแดนธรรม

 

คณิณ:

กูเหนื่อย

แด่นแด๊น ทาสแมว:

เหนื่อยก็กลับมา

คณิณ:

อืม บางทีกูก็ควรพอ

เหมือนกูพยายามอยู่ฝ่ายเดียว

ทำเหมือนมีใจให้กูพอกูถามแม่งก็ไม่ตอบ

กูแม่งสมเพชตัวเอง

แด่นแด๊น ทาสแมว:

แล้วถ้ามันตอบกลับมาแล้วไม่ตรงใจมึงล่ะมึงจะทำไง

ถ้ามึงถามมันมึงก็ต้องเตรียมใจกับคำตอบที่จพได้ด้วย

คณิณ:

อืม

กูนอนล่ะ

 

คณิณเก็บโทรศัพท์วางไว้บนหัวนอน หลับตาลงเพื่อข่มความหงุดหงิดโดยมี่รู้เลยซักนิดว่าเศรษฐพงศ์ที่นอนอยู่ข้างๆแอบลืมตามองอย่างคาดหวังก่อนจะกร่นด่าตัวเองในใจ

 

มึงรออะไรอยู่วะไอ้เซ็ท มันโกรธมึงแล้วมันคงจะกอดมึงเหมือนทุกทีหรอกนะไอ้โง่

 

 

            เศรษฐพงศ์::

 

ผมตื่นเช้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่หน้าหอ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นไอ้คินอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มันเดินไปเปิดประตูคนที่มาเคาะห้องคือพี่สิเจ้าของรถที่ผมเอาไปล้ม ผมยกมือไหว้ก่อนจะเชิญพี่สิให้เข้ามาด้านใน

 

            “คือพี่ทราบว่าน้องเซ็ทจะกลับบ้านวันนี้ ก็เลยจะมาคุยเรื่องค่าซ่อมรถ”

 

            “อ่อครับ ผมขอโทษด้วยนะพี่ ทำรถพี่พังลำบากแย่”

 

            “ไม่ลำบากอะไรพี่ติดรถพี่เมฆมาทำงานได้ ส่วนนี่เป็นบิลค่าซ่อมรถทั้งหมด” พี่สิยื่นแผ่นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหยาบๆมาให้ผม ผมกวาดตามองรายการนับสิบที่จะต้องซ่อมแล้วได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

 

            “คืออะไหล่ของแท้มันแพง”พี่สิเหมือนจะเห็นว่าผมหน้าซีดกับราคาค่าซ่อม

 

            “นี่ร้านเค้าลดให้แล้วนะ”

 

            “เอามาดูซิ”ไอ้คินแย่งบิลดูก่อนจะขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นโบว์

 

            “ราคาขนาดนี้ดาวน์ใหม่ได้คันหนึ่งเลยนะครับ”มันหันไปพูดกับพี่สิด้วยน้ำเสียงตึงๆจนผมต้องแย่งบิลในมือมันกลับมาถือไว้

 

            คือพี่สิครับรอให้ผมกลับบ้านก่อนได้มั้ยเดี๋ยวผมโอนเงินมาให้ตอนนี้ในตัวผมเงินสดไม่พอ”ไอ้คินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงินที่หัวนอน กระชากบิลในมือไปดูอีกที

 

            “ 7580 บาท”มันทวนราคาในบิลก่อนจะนับเงินในกระเป๋ายื่นให้พี่สิ

 

            “ผมชดเชยให้หมื่นหนึ่งไหนๆก็ซ่อมขนาดนั้นแล้วก็เปลี่ยนเบาะ เปลี่ยนไฟเลี้ยวไฟท้ายทำสีให้มันครบทั้งคันไปเลยนะครับ”ผมอยากจะหันไปด่าไอ้คินที่พูดจาไม่ดี แต่พี่สิกลับรับเงินจากมือมันด้วยท่าทางดีอกดีใจความรู้สึกผิดที่ทำรถเขาพังก็แทบจะปลิวไปตามสายลม พี่สิแสดงความเป็นห่วงเป็นใยผมอีก 2-3 คำ ก้ลากลับ บรยากาศระหว่างผมกับมันกลับมาอึมครึมอีกครั้ง

 

            “อันไหนของๆมึงบ้างจะได้ขนกลับไป”มันหันมาถามผมเรียบๆผิดจากเมื่อวานที่ยังทำท่าระริกระรี้

 

            “ทิ้งไว้นี่แหล่ะเดี๋ยวให้พวกไอ้อิ้งค์ขนไปไว้ที่หอ”ผมตอบมันด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นกัน ออกจะหงุดหงิดที่มันกลับมาทำมึนตึงใส่

 

ง้อกูตื้อกูอีกหน่อยก็ไม่ได้

 

ไอ้โง่

 

มันเก็บข้าวของของมันซึ่งก็คือเสื้อผ้าชุดที่ใส่เมื่อวานไปใส่รถก่อนจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

 

            “ลุกไหวมั้ย? เพื่อนมึงบอกว่าให้ล็อคห้องได้เลย”

 

            ไม่ไหว...เจ็บ”ตอแหลครับ ผมไม่ได้เจ็บขนาดนั้น เพียงแต่ผม...แค่อยากได้รับสัมผัสจากมันเหมือนที่เคย ไอ้คินเดินมาประคองผมเหมือนเมื่อวานเพื่อพาไปขึ้นรถ ผมหันไปมองหอพักกวาดตามองสถานที่ฝึกงานที่กินอยู่หลับนอนคลุกคลีมาตลอดสามเดือนอย่างใจหายไอ้คินคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม ใบหน้าของมันห่างออกไปเพียงไม่กี่เซ็นต์แต่มันกลับไม่หันมามองผมเลย ตลอดระยะทางไม่มีบทสนทนาเหมือนที่ผ่านมา

 

ใจของผมก็รู้สึกห่อเหี่ยวเพิ่มมากขึ้นทุกที

 

จนกระทั่งถึงบ้าน มันก็ยังคงมาประคองผมขึ้นมาบนห้อง จัดการเอาหมอนข้างมารองข้อเท้าให้ผม

 

            “เดี๋ยวกูจะโทรบอกแม่มึงให้นะ ยากูวางไว้บนโต๊ะอย่าลืมกินให้ตรงเวลา”มันหันมาสั่งผมก่อนจะหันหลังเตรียมกลับออกไป ผมตัดสินใจเรียกมันไว้

 

            “เดี๋ยวมึง...”มันหันกลับมามองผมด้วยสายตาราบเรียบ

 

            “ไม่เป็นอย่างนี้ได้มั้ยวะ”

 

            “งั้นมึงก็ตอบกูมาสิว่าตอนนี้มึงกับกูเป็นอะไรกัน มึงรู้สึกยังไงกับกู ตกลงเราเป็นอะไรกัน?”ผมเม้มปากเข้าหากันอีกครั้งเมื่อมันยังย้ำคำถามที่ถามค้างไว้เมื่อคืน

 

ผมใช้ความคิดมากมายในการหาคำตอบ สุดท้ายสิ่งที่ออกมาจากปากของผมก็ทำให้มันหัวเราะขื่นๆแล้วหมุนตัวออกจากห้องไป

 

            “กูไม่รู้...”

 

 

            กว่าสองอาทิตย์แล้วที่คณิณไม่ได้กลับบ้านนับตั้งแต่วันที่ไปส่งคนน้องกลับบ้าน คำตอบที่เศรษฐพงศ์ตอบเขามันทำให้เขาหงุดหงิดและเสียความรู้สึก ชายหนุ่มตีรถกลับกรุงเทพทันที หลังจากนั้นคณิณก็ไม่ไลน์หารวมทั้งไม่โทรหาคนน้องอีก บรรดากองกำลังเสริมอย่างพวกเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์แวะเวียนมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ แต่คณิณเลือกที่จะไม่ตอบใครเลย

 

ทำไมวะ ทั้งๆที่เขาชัดเจนกับเศรษฐพงศ์ขนาดนั้นแล้วแต่เศรษฐพงศ์กลับไม่มั่นใจในตัวเองและตัวเขาเลยซักนิด

 

เหมือนเขาโยนหินลงน้ำเกิดเพียงรอยกระเพื่อมเพียงชั่วครู่แล้วจางหายไป

 

เศรษฐพงศ์เหมือนโจทย์แคลคูลัสที่เขาแก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้

 

           
            “เพราะมึงใกล้มันมากเกินไปมันเลยชินกับการมีมึงอยู่ข้างตัว”แดนธรรมเคยพูดกับเขาเมื่อหลายวันก่อน

 

            “ถ้ามันชอบมึง เดี๋ยวมันก็เข้าหามึงเอง”

 

            “แต่กูเหนื่อยแล้ว”

 

            “เพราะมึงพยายามมากเกินไป พยายามอยู่ฝ่ายเดียวไงมึงถึงเหนื่อย ความรักอ่ะ ถ้าคนพยายามคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสุดท้ายคนที่ทำมากกว่ามันจะท้อ”เขาไม่ได้เชื่อคำของแดนธรรมนักหรอก เขาแค่รู้สึกว่าอยากจะลองดึงใจกลบมาซ่อมตัวเองอีกครั้ง รวมกับการสอบปลายภาคทำให้เขาต้องเบนความสนใจมาที่การเรียนก่อนจนกระทั่งสอบเสร็จ

 

            “เสี่ยไปฉลองห้องมึงนะ”จิณณวัตรเสนอสถานที่การเลี้ยงฉลอง คณิณพยักหน้าส่งๆนั่นแหล่ะ บรรดาเหล้ายาปลาปิ้งกับแกล้มทั้งหลายจึงถูกลำเลียงมาที่คอนโดของคณิณในตอนบ่ายสามกว่าๆ เครื่องเสียงชั้นดีถูกเปิดเพลงสากลยอดฮิตตามแบบสมัยนิยม แก้วเหล้าถูกวางลงกลางวง กลับแกล้มถูกเทใส่จานอันไหนอยู่ในกล่องก็เปิดฝากล่องวางลงกับพื้น กระติกน้ำแข็งถูกเติมจนเกือบเต็ม

 

            “เอ้าชน!!”แก้ว 6 ใบถูกแตะกันเพื่อเริ่มการฉลอง คณิณจิบเหล้าที่ชงเข้มไปอึกหนึ่งก็ต้องวางแก้วลงเมื่อโทรศัพท์เครื่องแพงดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูก็แทบสำลักเหล้าเพราะชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคือชื่อของคนที่เขาพยายามหนีมาตลอดสองอาทิตย์

 

เอาไงดีวะ

 

รับ....ไม่รับ...รับ...ไม่รับ...

 

            “ฮัลโหล”อ๊าวอีเหี้ย รับตอนไหนวะ กร่นด่าตัวเองในใจ

 

            “คือ...”ปลายสายทำเสียงอึกอักก่อนจะเงียบไป

 

            “ลงรถที่สายใต้แล้วต้องไปยังไงต่อ?”คำถามที่ทำให้คณิณงงถูกถามออกมา

 

            “มึงหมายถึงอะไร? มึงเข้ากรุงเทพเหรอแล้วจะไปไหน?

 

 

 

 

 

            “มาหาแฟน...แฟนงอนไม่ยอมโทรหาสองอาทิตย์แล้ว ตกลง...กูต้องไปคอนโดมึงยังไง? ถ้าไม่ตอบกูนั่งรถกลับเมืองกาญจน์แล้วนะ”

 

 

 

 

            “มึงรอกูอยู่นั่นนั่งแดกเคเอฟซีรอก็ได้เดี๋ยวกูขับรถไปรับ ห้ามกลับนะไอ้เหี้ยเซ็ท ห้ามกลับเด็ดขาด” คณิณระล่ำระลักบอกปลายสาย ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนๆเห็นคือไอ้หล่อประจำกลุ่มยิ้มจนปากแทบจะฉีกวิ่งวุ่นรอบห้องแต่งตัวด้วยความรีบร้อนก่อนจะมาหยุดหน้าประตู

 

            “พวกมึงเก็บของกลับห้องมึงไปเลย เก็บให้เกลี้ยงเลยนะ”

 

            “อะไรของมึงวะเสี่ย?”จิณณวัตรมองท่าทางของเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ

 

            “กลับห้องพวกมึงไปไปแดกห้องไอ้แพรก็ได้ วันนี้กูมีคนจะฉลองด้วยแล้ว ไปล่ะ ล็อคห้องให้กูด้วยไอ้สัด” คณิณไม่รอตอบคำถามของเพื่อนๆ ร่างสูงแทบจะกระโดดจากชั้นสิบลงไปที่ลานจอดรถติดแต่ว่ากลัวตายก่อนไปรับ “แฟน”ที่รออยู่ที่ท่ารถนะสิ



ขอมิวสิคหน่อย สล็อตในใจอยากออกมาเต้นจังหวะรุมบ้า



แวะร้านทำป้ายสั่งทำป้ายไวนิลซักสิบเมตรสกรีนคำว่าเศรษฐพงศ์แฟนคณิณได้มั้ย ฮิฮิ







......................





อะไรนะ ใครเป็นแฟนใคร??



อ่อ เศรษฐพงศ์แฟนคณิณไงล่ะ







น่ามคาน เอะอะจูบๆ ปากน้องจะเปื่อยหมดแล้ว



แล้วคนน้องอ่ะ ไปกอดเอวมันทำม๊าย หนูต้องหวงเนื้อหวงตัวสิลู๊กกกก  อะไรที่ได้ยากๆมันเร้าใจดี ต้องใช้จริตสิลูกไม่มีก็ต้องสร้าง เดี๋ยวคูมแม่ตีเลย แมนๆลูก จูบมาก็กระชากมาจูบกลับไม่โกง #เดี๋ยวๆ




ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
น้องเปิดใจแล้วอิตาคนพี่อย่าทำร้ายจิตใจน้องอีกเชียวนะเดี๋ยวจะหาบรรดาเจเจ้ไม่เตือน  :angry2:

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สล็อตออกมาเต้นระบำอีกแล้ว

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :mc3: :mc3: อย่างนี้มันต้องฉลอง เขาเป็น"แฟน"กันแล้ว :mc2: :mc2:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 29


   เศรษฐพงศ์กำลังรู้สึกว่าการตัดสินใจมาง้อคณิณที่กรุงเทพเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์

 

เพราะการไม่มีคณิณมาคอยวอแวกวนใจกว่าสองสัปดาห์ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มพิจารณาความรู้สึกของหัวใจตัวเอง

 

เศรษฐพงศ์เหงาเวลาที่ไม่มีคณิณมาคอยกวนใจ เศรษฐพงศ์หงุดหงิดทุกครั้งเวลามองโทรศัพท์แต่ไร้สายเรียกเข้าของคณิณ อารมณ์ขึ้นๆลงๆของเด็กหนุ่มถูกเผื่อแผ่ไปยังบรรดาเพื่อนๆจนโดนเพื่อนบ่นไปหลายครั้ง แม้ใจอยากจะโทรหาคณิณก่อนมากแค่ไหน แต่เศรษฐพงศ์ก็ยังคงมั่นในว่าเดี๋ยวคณิณก็จะเป็นฝ่ายโทรหาเขาเองแบบทุกครั้ง

 

จนกระทั่งผ่านไป 1 อาทิตย์ คณิณก็ไม่โทรกลับมา

 

วันเสาร์ที่เคยเจอกันทุกอาทิตย์ก็ไร้เงาคณิณ

 

ไลน์ที่เคยส่งข้อความมากวนประสาทเศรษฐพงศ์ก็อ่านข้อความเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาจนจำได้ขึ้นใจ

 

แล้วเศรษฐพงศ์ก็รู้ได้ในตอนนั้นแหล่ะว่าการที่ชีวิตขาดคณิณไปมันเหงามากแค่ไหน

 

ตอนแรกเศรษฐพงศ์มั่นใจอยู่เสมอว่าไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าตัวเองจะทำตัวงี่เง่าไม่ชัดเจนซักแค่ไหนยังไงคณิณก็จะยอมได้

 

เศรษฐพงศ์ลืมคิดไปว่าคนเรามีขีดจำกัด เมื่อวันที่คณิณหายไปจากชีวิตมันไม่ใช่แค่ความเหงา แต่มันมีความรู้สึกที่พิเศษลึกซึ้งมากกว่านั้น

 

อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงหัวเราะของอีกคนหนึ่ง

 

ความรู้สึกนั้นทวีคูณมากขึ้นทุกวันจนกระทั่งเศรษฐพงศ์ก็ให้คำตอบอาการของตัวเองได้ว่า

 

                “คิดถึง”เสียงหอบกระเส่าของคณิณดังขึ้นเรียกสติที่เริ่มกระเจิดกระเจิงของเศรษฐพงศ์ให้กลับมา เด็กหนุ่มเอียงคอให้คนพี่ได้ฝังจมูกโด่งลงบนซอกคอของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ริมฝีปากบวมเจ่อจากการถูกกดจูบและดูดดึงซ้ำแล้วซ้ำอีก ดวงตาปรือปรอยฉ่ำน้ำด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เริ่มก่อตัวมวนวนอยู่ที่ช่องท้องน้อย รอยระเรื่อสีแดงจางๆถูกแต่งแต้มจนทั่วลำคอแขนสองข้างถูกตรึงกับกำแพงเย็นเฉียบในขณะที่คณิณเอาแต่ฟัดเขาไปทั่วใบหน้าลำคอจนถึงแผงอก

 

                “ค...คิน..หยุดก่อน”เสียงสั่นร้องขอคนที่จับตัวเองฟัดตั้งแต่ปิดประตูห้องแล้ว แต่คณิณเหมือนกำลังเมากลิ่นของคนน้อง

 

ตรงนั้นก็หอม ตรงนี้ก็หอม หอมจนอยากจะจับแก้ผ้าแล้วดมทั้งตัว แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากกลืนกินไปทั้งตัวได้ยังไง คณิณใช้จมูกฟัดซอกคออุ่นๆของเศรษฐพงศ์อย่างหมั่นเขี้ยว

 

                “คิน ไอ้คิน พอก่อน นะ กูเหนื่อย ขอพักก่อนได้มั้ย”

 

                “พูดกับกูเพราะๆก่อนสิ แล้วจะปล่อย”คณิณเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาคนน้องที่ตัวแดงเป็นกุ้งด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เศรษฐพงศ์อยากจะต่อยให้ตาแตกแต่ติดที่ว่าคณิณกดแขนเขาไว้แน่นหนาจนแทบจะขยับไม่ได้  เด็กหนุ่มหุบปากสนิทเป็นเชิงค้านคำขอของคนพี่

 

บ้าบอ...จะให้มาพูดเพริ้งพูดเพราะอะไรตอนนี้ กระดากปากชิบหาย หลบสายตาที่จ้องจนผิวหน้าแทบจะมอดไหม้เสไปมองตู้เก็บรองเท้าแทนที่จะมองหน้าคนพี่

 

                “ว่าไงครับ เซ็ทจะพูดเพราะๆกับพี่ได้มั้ยครับ หื๊ม?”

 

พ่อง!!! มาทำเสียงอ่อนเสียงละมุนแทนตัวเองว่าพี่แบบนี้ได้ยังไงวะ รุนแรงกับใจมากอ่ะพูดเลย เศรษฐพงศ์รู้สึกหวิวๆคล้ายตัวเองจะเป็นลมซะให้ได้ คนเขินยิ่งเขินเข้าไปใหญ่

 

                “ไม่”แต่นั่นแหล่ะ เศรษฐพงศ์ก็ยังคงเป็นเศรษฐพงศ์อยู่วันยันค่ำ

 

                “ดื้อหว่ะ”คนพี่เอ่ยว่าคนน้องที่เม้มปากแน่นอย่างไม่จริงจัง

 

                “รู้มั้ยเด็กดื้อเด็กปากหนักต้องเจออะไร?”เศรษฐพงศ์ตกใจสุดขีดเมื่อคณิณก้มตัวลงใช้ไหล่ดันเอวเขาจนลำตัวพาดกับไหล่กว้างของคนพี่ ปลายเท้าลอยหวือพ้นพื้นห้อง ทั้งๆที่ขนาดร่างกายของเศรษฐพงศ์ไม่ได้ต่างจากคณิณเท่าไหร่นัก แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คณิณมีกำลังเหนือกว่าเขาจนตามไม่ทันซะอย่างนั้น

 

                “ทำอะไรของมึงเนี่ย ปล่อยกูนะ กูไม่อยู่กับมึงแล้วกูจะกลับบ้าน”ใช้ฝ่ามือที่เพิ่งได้รับอิสรภาพทุบลงไปบนแผ่นหลังของคณิณไม่นานร่างทั้งร่างก็ถูกโยนลงบนเตียงนอนหลังใหญ่และก่อนที่จะพลิกตัวหนีได้ทันคณิณก็ตามขึ้นมาคร่อมร่างบางๆของคนน้องไว้ราวเสือที่เข้าตะครุบลูกกวางตัวน้อย

 

                “เด็กดีไม่ดื้อ เด็กดื้อไม่ดี เด็กดื้อถูกตี...รู้มั้ย หื๊ม? กูจะลงโทษมึงโทษฐานที่มึงแม่งใจร้ายทำกูเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก กูจะตีมึงด้วยปากให้ปากมึงระบมจนกินข้าวไม่อร่อยเลยไอ้เด็กเหี้ย”คณิณโน้มใบหน้าลงไปกดจูบพลางขยี้เบาๆจนเศรษฐพงศ์จั๊กจี้ เด็กหนุ่มใช้มือดันไหล่คนหน้าด้านที่ปล้ำจูบเบาๆไม่จริงจังนักเมื่อคนพี่เปลี่ยนมาเป็นจูบที่ค่อยๆลึกล้ำขึ้นไม่ได้ทีเล่นทีหยอกแบบเมื่อซักครู่ ริมฝีปากอุ่นค่อยๆกดจูบดูดดึงไปทั่วปากอิ่มของคนน้องอย่างเอาแต่ใจ จากที่แค่แตะๆกลับค่อยๆเพิ่มความคิดถึงความโหยหาใส่ลงไปในรสจูบนั้น เศรษฐพงศ์เผลอเผยอริมฝีปากเมื่อคณิณไซร้เบาๆอย่างออดอ้อน

 

                “คิดถึง”ปากพร่ำพูดแต่คำว่าคิดถึงซ้ำๆจนคนฟังใจกระตุก มือที่เกาะไหล่กว้างไว้ก็เปลี่ยนมาคล้องคอไว้แบบไม่รู้ตัว คณิณกดจูบย้ำๆแบบที่ชอบทำกับเศรษฐพงศ์บ่อยๆเพราะรู้ดีว่าต้องจูบยังไงเศรษฐพงศ์ถึงจะยอมโอนอ่อน ดูดดึงกลีบปากทั้งบนและล่างอย่างโหยหา คลื่นความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบจากริมฝีปากกระจายไปทั่วตัวจนรู้สึกขนลุก มือหนาลูบเบาๆตรงเอวบางของคนเป็นน้อง เศรษฐพงศ์รู้สึกใจโหวงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งคราที่ลิ้นชื้นสอดเข้าไปกวาดต้อนเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของตัวเองข่องท้องก็รู้สึกวูบโหวงจนต้องเกร็งตัว

 

                “อือ...”เสียงครางเบาๆดังออกมาจากลำคอ เศรษฐพงศ์ตอบรับจูบที่เริ่มดุดันขึ้นเรื่อยๆของคณิณอย่างไม่รู้ตัว ปลายลิ้นโรมรันหลอกล่อจนคนด้อยประสบการณ์เวียนหัว แต่ก็อยากจะเอาชนะในคราเดียวกับ ปลายนิ้วที่คล้องคอไว้ก็เลื่อนมาสอดขยุ้มกลุ่มผมบริเวณท้ายทอยอย่างไม่รู้ตัว คณิณประคองหลังคนน้องให้ลอยขึ้นมารับจูบตัวเองได้มากขึ้น ดูดกลืนดื่มด่ำกับน้ำหวานเลิศรสที่ตักตวงอย่างไม่รู้เบื่อจนเศรษฐพงศ์ขยำกลุ่มผมตนเองแรงยิ่งขึ้นเพราะหายใจไม่ทันนั่นแหล่ะ คณิณถึงถอนจูบและฟัดแก้มพองๆนั้นอย่างแสนเสียดาย ยกฝ่ามือขึ้นมาเกลี่ยริมฝีปากบวมเจ่อของคนน้องที่เผยอหอบหายใจเล็กๆนั้นอย่างหลงใหล

 

               " กูอยากจะกินมึงทั้งตัวเลยว่ะเซ็ท ทำไงดี กูไม่ปล่อยมึงไปให้ใครแล้วนะต่อไปนี้น่ะ มึงเป็นคนพูดเองนะว่ากูเป็นแฟนมึง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ต่อให้โกรธกันหรือไม่พอใจอะไร กูจะไม่หนีมึง หรือถึงมึงโกรธอยากจะหนีกูยังไงมึงก็หนีไม่พ้นเข้าใจมั้ย?”

 

                “......”คนที่นอนจ้องใต้ร่างด้วยดวงตาแป๋วนั้นไม่ตอบอะไรกลับมา นั่นยิ่งทำให้คณิณอยากจะแกล้ง ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะจูบลงไปอีกครั้งแต่คราวนี้เศรษฐพงศ์รีบผลักอกแกร่งนั้นไว้ ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดจนลามไปถึงใบหูและลำคอที่โผล่พ้นเสื้อที่ยับย่นเพราะร่างกายที่ถูกริมฝีปากแทะโลมเมื่อซักครู่

 

                “พอก่อนได้มั้ยคิน  เซ็ทเหนื่อย นะครับ เซ็ทอยากนอนเนี่ยเซ็ทสอบเสร็จก็ขึ้นรถมาหาคินเลยน๊า ถ้าไม่ยอมเซ็ทจะงอแงแล้วด้วย”น้ำเสียงออดอ้อนพร้อมสายตาเว้าวอนที่พยายามทำให้ดีที่สุด  ออดอ้อนที่สุดถูกส่งออกไปอย่างขัดเขินแต่กลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อคนฟังสตั๊นท์ไปในทันที

 

                “แม่งเอ้ย มึงมันร้าย ไอ้เซ็ท มึงร้ายกาจมาก”

 

ยกที่ 1 เศรษฐพงศ์ชนะน็อค เพราะคณิณสบถออกมาเบาๆก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นยืนข้างเตียงราวคนสติหลุด

 

                “มึงนอนไปเลยนะ กูไปเข้าห้องน้ำก่อน”คนพี่ยีหัวอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านก่อนจะคว้ากล่องทิชชู่ติดมือเข้าไปในห้องน้ำด้วย เสียงบานประตูปิดปัง ไม่นานเสียงบางอย่างที่หลุดลอดออกมาก็ทำให้เศรษฐพงศ์ที่นอนแผ่หราอยู่บนเตียงถึงกับหน้าแดงแปร๊ดด้วยความอายทันที

 

                “เซ็ท....อ่า....เซ็ท...”

 

เขาก็ผู้ชาย ทำไมจะไม่รู้ว่าเสียงที่ดังออกมาน่ะไอ้คนลามกกำลังทำอะไรกับตัวเองอยู่ เศรษฐพงศ์คว้าเอาหมอนใบโตขึ้นมาปิดหน้าปิดหูหนีเสียงครางกระเส่านั่นในทันที

 

                “ไอ้บ้า...ไอ้ลามก”

 

 

ฮือ...แม่ครับ เซ็ทจะรอดปลอดภัยตลอดปิดเทอมนี้ใช่มั้ยครับแม่

 

หนีกลับบ้านทันมั้ยวะ??









 

            “เสร็จหรือยัง มันสายแล้วนะ”คณิณรีบจัดทรงผมเมื่อเสียงคนรอด้านนอกเริ่มจะขุ่นอย่างหงุดหงิด เศรษฐพงศ์มาอยู่กับเขาได้สองวันแล้ว เมื่อวานเขาพาคนน้องไปท่องสยามมาเพราะเศรษฐพงศ์ไม่เคยไป พาตระเวนกินอาหารทั้งเกาหลี และญี่ปุ่นจนแทบจะร้องไฮ้ แต่กว่าจะหมดวันกับสยามคณิณก็โดนคนน้องด่าจนหูชาเพราะทั้งคู่ตัดสินใจใช้บริการรถสาธารณะเช่นแอร์พอร์ตลิ้งค์จากนั้นคณิณก็พาน้องมาต่อบีทีเอสที่พญาไทเพื่อต่อรถไปสยาม ขาไปราบรื่นจนคณิณกระหยิ่มยิ้มย่อง ตัวเขาเองไม่ค่อยได้ใช้บริการรถสาธารณะเท่าไหร่นักเพราะชายหนุ่มชอบที่จะขับรถไปไหนมาไหนเองมากกว่า

 

            “อยากนั่งรถไฟฟ้า”แค่ประโยคเดียวคณิณก็โยนกุญแจรถทิ้งไว้ที่โต๊ะข้างเตียงนอนแล้วพาคนน้องดั้นด้นมาถึงสยามแหล่งรวมวัยรุ่น หลังจากพาน้องกินนู่นกินนี่คณิณก็เสนอ

 

            “ไปไหว้พระพรหม พระพิฆเณศวรกับพระตรีมูรติที่เซนทรัลเวิลด์กันมั้ย?”

 

            “เอาดิ่”เศรษฐพงศ์ตอบรับทันที เพราะยังไงซะเด็กที่เรียนศิลปะยังไงก็เคารพพระพิฆเณศวรกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย คณิณจึงพาน้องเดินขึ้นสกายวอร์ค เด็กหนุ่มทั้งสองไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม คนพี่อธิฐานเกี่ยวกับเรื่องความรักยาวเหยียดจนคนน้องบ่นว่าจะขอพรอะไรนักหนา

เสร็จจากการตรงนั้นแล้วบริเวณลานใกล้ๆมีซุ้มขายอาหารและคอนเสิร์ตจากค่ายดังค่ายหนึ่ง แม้จะเป็นงานเก
บค่าเข้าชมแต่ก็มีจอให้ดูด้านนอก เศรษฐพงศ์หยุดดูด้วยความสนใจราวๆครึ่งชั่วโมงคณิณก็ชวนเข้าไปเดินเล่นด้านใน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่คณิณโดนด่า เพราะชายหนุ่มพาเศรษฐพงศ์เดินหลงในเซนทรัลเวิลด์...

 

            “คราวหลังไม่ต้องพามาแล้วนะ เดินบ้าเดินบออะไรหลงกลับมาแต่ที่เดิม”เสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งดังขึ้นไม่หยุดปากเมื่อเขาพาเศรษฐพงศ์เดินวนในห้างเกือบสองชั่วโมงก็ยังหาร้านที่ต้องการไม่เจอ ถุงนับสิบใบที่หิ้วอยู่ก็เหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆจนข้อนิ้วเริ่มเขียว นั่นแหล่ะถึงได้ตกลงจะเดินทางกลับ

 

และคณิณก็ทำพลาดเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มพาเศรษฐพงศ์ไปต่อแถวเพื่อแลกเหรียญ

 

            “ไม่มีบัตรแรบบิทเหรอ?”เศรษฐพงศ์เคยเห็นในเน็ตว่าคนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนมากจะใช้บัตรแรบบิท คณิณทำหน้างงๆ มันเอาไว้ทำอะไรวะ?

 

            “ไม่เท่ห์เลย...”เสียงบ่นมุบมิบเบาๆดังแว่วๆมา

 

ไหน อีบัตรเหี้ยนั่นมันขายตรงไหน ใบละเท่าไหร่ เดี๋ยวกูซื้อ 100 ใบเลย จะได้รู้ว่ากูเนี่ยโคตรเท่ห์โคตรคูลเหมาะจะเป็นผัวมึงได้เนี่ย!!!

 

คณิณได้แต่คิดในใจเพราะถ้าพูดออกไปคงโดนคนตรงหน้าที่ทำหน้าผิดหวังเล็กๆที่เขาไม่มีบัตรแรบบิทต่อยปากแตก

 

            “คือเซ็ทบัตรนั่นมันไว้ให้คนที่เขาใช้รถไฟฟ้าบ่อยๆใช้เว้ย อย่างกูไม่ค่อยได้ขึ้นก็ไม่จำเป็น”

 

            “แต่กูอยากได้เป็นที่ระลึก”เศรษฐพงศ์พูดอย่างเสียดาย สายตามองคนที่ถือบัตรแรบบิทด้วยดวงตาละห้อย

 

ก็ที่เมืองกาญจน์มันไม่มีนี่หว่า

 

ที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ยิ้มจนหน้าบานเมื่อในมือมีบัตรแรบบิทวางแหม่ะโดยคนที่เดินไปซื้อมาให้

 

            “พอใจยัง”คนพี่หันมาถามอย่างเอือมๆ อยากได้อะไรไม่อยากเสือกมาอยากได้บัตรแรบบิท เห้อมมมมมม

 

            “อื้อ...”เศรษฐพงศ์พยักหน้ารัวๆเหมือนเด็กที่ได้ของที่ถูกใจ

 

โอเค กูยอม ยอมแล้วทูนหัวอยากได้สีอื่นเพิ่มมั้ยเดี๋ยวกูเปย์เอง

 

สายตาคมจ้องมองชื่อสถานีที่ค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ หัวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันโดยคนที่ยืนสไลด์โทรศัพท์ไม่ทันได้สังเกต

 

            “ไอ้คิน...”

 

            “หืม?”

 

            “เรากำลังจะไปไหนกัน?”

 

            “กลับบ้านไง”

 

            “เราต้องลงสถานีไหนเหรอ?”

 

            “ก็พญาไทไง”

 

            “แต่นี่มันวงเวียนใหญ่?”



            “ห๊ะ!!”คณิณเงยหน้าจากโทรศัพท์ทันทีที่ได้ยินชื่อสถานี

 

            “มึงพากูหลงเหรอ?

 

ชิบหาย...เขาพาไอ้เซ็ทขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่ง

 

ไม่ได้ๆ จะบอกมันว่าพาหลงไม่ได้

 

            “ไม่ใช่เว้ย คือมันต้องต่อรถ”ตอแหลไปก่อน พอประตูเปิดคณิณก็ฉวยข้อมือของคนน้องแล้วลากลงทันที ชายหนุ่มลากน้องมาหยุดที่อีกฝั่งเพื่อรอรถขบวนถัดไป

 

เศรษฐพงศ์จ้องรายชื่อสถานีตาไม่กระพริบ

 

นั่นไง มันย้อนกลับเพื่อมุ่งหน้าไปพญาไทตามแบบขามาเป๊ะๆ แล้วยังจะตอแหลว่าไม่ได้พาหลง กะจะอ้าปากด่าก็พอดีกับที่รถไฟฟ้ามาถึงสยามอีกครั้ง คณิณไม่พูดไม่จาเหมือนๆกับคนบนรถส่วนมากที่พอประตูเปิดปุ๊บก็กรูกันวิ่งไปขึ้นรถฝั่งตรงข้าม เศรษฐพงศ์ถูกดึงมือให้วิ่งตามมาด้วยเช่นกัน

 

            “ยังไง?”หันไปถามไอ้คนที่ยิ้มแห้ง

 

            “นี่ไง มาต่อรถ”

 

            “เอาความจริง”

 

            “พาขึ้นผิดฝั่ง แห่ะๆ”

 

            “มึงนี่แม่ง...จริงๆเล้ย!!!”

 

 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมนั่งรอไอ้คินแต่งตัวจนรู้สึกหงุดหงิด คือแค่จะไปเที่ยวสวนสนุกทำไมต้องแต่งตัวนาน ผมใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็เป็นอันจบแล้ว คือเราควรรีบออกแต่เช้าป่าววะจะได้มีเวลาเล่นเครื่องเล่นได้นานๆ หลังจากคำว่าแป๊บหนึ่งของมันผ่านไปราว 10 นาที ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ไอ้คินออกมาในชุดเสื้อผ้าที่แบบว่า





     “จะไปเดินแบบที่ไหนเหรอ?”ผมอดที่จะแซะมันไม่ได้ ก็ไอ้คินแม่งเล่นใส่เดนิม แจ็คเก็ตราคาเบาๆแค่ 62,000 บาท กับกางเกงยีนส์ Giorgio Armani ผมจำได้เพราะมันเพิ่งพาผมเข้าไปซื้อเมื่อวาน ซึ่งทั้งเสื้อและกางเกงราคารวมกันทำเอาผมแทบเป็นลม ยังไม่รวมรองเท้าที่มันเลือกมาใส่ในวันนี้ยี่ห้อ LOUIS VUITTON





“ไปสวนสนุกแค่นี้มึงแต่งตัวเรือนแสน...”

 

 

“ออกจากบ้านทั้งทีก็ต้องดูดีเล็กน้อย”มันโยนกระเป๋าเป้มาให้ผมสะพาย คือแทบไม่อยากจับกลัวทำของมันเสียหายราคาแสนสองอาจทำมาจากหนังไดโนเสาร์  จำได้ว่าหลังจากเดินเข้าชอปแบรนด์เนมที่พารากอนเมื่อวานผมถามมันว่าทำไมต้องซื้อแต่ของแพงๆดีๆมียี่ห้อด้วย ผมเสียดายเงิน

 

 

            “ของมันต้องมี พี่สู่ขวัญสอนไว้”มันตอบออกมาหน้าตาเฉย ผมนี่ถึงกับอึ้งแดกไปแป๊บหนึ่งก่อนที่มันจะหัวเราะก๊ากใหญ่ ไอ้คินยื่นมือมาลูบหัวของผมหัวเราะจนตาปิด

 

 

            “ของแบรนด์เนมอ่ะ วัสดุที่เขาเอามาทำขายอ่ะมันดี ใส่ได้นานใช้ได้ทน  กูซื้อทีหนึ่งก็ใส่ได้เป็นปีๆ อีกอย่างถ้าเบื่อแล้วพอเป็นของแบรนด์เนมมันจะมีคุณค่าในตัวมันเอง เราเก็บรักษาดูแลให้สภาพมันดีอยู่เสมอวันหนึ่งก็เอามาขายต่อได้โดยราคายังไม่ตกมากนัก”ผมฟังมันอธิบายแล้วก็ได้แต่แหม...เบาๆในใจ

 

 

อย่างมึงคงขายล่ะเห็นตู้เสื้อผ้าขยับขยายมาอีก 2 หลัง หลังจากมาส่งมันเข้าหอคราวที่แล้ว

 

 

 

เรามาถึงสวนสนุกตอนเกือบ 11 โมง หลังจากซื้อบัตรเรียบร้อยแล้วไอ้คินก็พาผมเข้ามาด้านใน ผู้คนต่างพากันพาลูกหลานมาเที่ยวกันหนาตาอาจจะเป็นเพราะเป็นวันหยุดปิดเทอมด้วย ผมเดินตามไอ้คินเข้ามาด้านในเครื่องเล่นหลายอย่างละลานตาจนอดตื่นเต้นไม่ได้

 

 

            “อยากเล่นอะไร?”ไอ้คินยืนอ่านรายละเอียดในบัตร เราซื้อแบบวีไอพีมาราคาแพงกว่าบัตรธรรมดาที่สามารถเล่นเครื่องเล่นได้อย่างละรอบแต่ที่ไอ้คินซื้อมาคือเราสามารถเล่นกี่รอบก็ได้ ผมหันไปมองตามเสียงกรี๊ดด้านหลังก่อนจะชี้ให้ไอ้คินดู

 

 

            “มึงๆ เล่นอันนั้น”

 

 

คณิณ:

 

ผมหันหน้ามองสิ่งที่ไอ้เซ็ทชี้ยิกๆ ภาพกลุ่มคนที่ถูกตรึงติดกับที่นั่งถูกเฮริเคนหมุนไปหมุนมาปรากฏชัดในกรอบสายตา

 

 

ชิบหาย...อย่างแรกมึงก็ชี้อีนี่เลยเหรอไอ้เซ็ท ไม่คิดจะนั่งรถเฟิงรถไฟชมวิวให้อุ่นใจก่อนหรือไงวะ

 

 

            “เล่นอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ มึงเล่นครั้งแรกเดี่ยวก็อ้วกแตกหรอก เวียนหัวจะตาย”ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงหว่านล้อม เนี่ยผมห่วงมันจริงๆนะ

 

 

            “ไม่เอา กูจะเล่นอันนี้ นะๆ เล่นอันนี้ก่อน”

 

 

            “เดี๋ยวถ้าอ้วกแตกอ้วกแตนขึ้นมากูไม่เดินด้วยนา เกิดกลัวจนกรี๊ดแตกขึ้นมานี่อายเขา”

 

 

            “เออน่ากูไม่อ้วกหรอก”มันรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ สุดท้ายผมก็ต้องยอมตามใจมันอยู่ดี เราถูกล็อคด้วยระบบรักษาความปลอดภัยของเครื่องเล่น   ไอ้เซ็ทหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูประหว่างที่เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนจะรีบเก็บล็อคใส่กระเป๋าอย่างดี และทันทีที่เครื่องเล่นทำงาน

 

 

            “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!”

 

 

            “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!”

 

 

            “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!”

 

 

เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นแบบไล่ระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ผมหัวหมุนราวกับตัวเองกลายเป็นลูกข่าง เหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ในที่สุดมันก็จบลง  เสียงหัวเราะลั่นด้วยความสะใจก็ดังขึ้น ในตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ตอบโต้ใดใดทั้งนั้น ขาของผมสั่นพั่บๆราวกับเป็นพาร์กินสัน

 

 

            “ไหนหมาตัวไหนมันบอกกูไม่ให้กรี๊ดไง แต่เท่าที่กูเห็นมึงกรี๊ดดังกว่าน้องผู้หญิงข้างหลังอีกไอ้เหี้ย ฮ่าๆๆๆๆๆ”

 

 

อ่ะ ทับถมกูเข้าไป มึงมีความสุขกูก็ดีใจ

 

 

ผมนั่งพักได้ไม่กี่นาทีไอ้เด็กเวรข้างๆก็เริ่มสะกิดผมยิกๆอีกแล้ว

 

 

นี่ถ้าเปลี่ยนสถานที่จากสวนสนุกเป็นบนเตียงนอนเด้งๆของผมได้ก็คงจะดี

 

 

            “มึง เล่นอันนั้นกัน ดูไม่น่าเวียนหัวเท่าไหร่”ผมมองตามนิ้วเรียวๆที่ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปด้านหลัง เรือยักษ์ถูกเหวียงไปมา

 

 

เออ เข้าท่า อันนี้ดูไม่น่ากลัว  ผมเลือกที่จะตามใจมันด้วยการไปต่อแถวเพื่อขึ้นเล่นไวกิ้ง ไอ้เซ็ทดูกระตือรือร้นจนผมอดเอ็นดูไม่ได้ รอบนี้มีเด็กๆมาเล่นด้วยหลายคนผู้ปกครองส่วนมากจะเป็นคุณพ่อขึ้นมาดูแลลูกๆของตนเอง ในที่สุดตัวเรือก็ค่อยๆถูกเหวี่ยงไปมา

 

 

สูงขึ้น...สูงขึ้น...สูงขึ้น...จนกระทั่งมันเหวี่ยงจนตัวผมเป็นระนาบไปกับพื้นด้านล่าง

 

 

แรงขึ้น...เร็วขึ้น...จนรู้สึกมวนในช่องท้อง

 

 

ยิ่งไวกิ้งเหวี่ยงแรงเท่าไหร่ เสียยงกรี๊ดของผมก็ดังมากขึ้นเท่านั้น

 

 

เมื่อไหร่จะหมดรอบวะ...ได้โปรดหยุดซักที   นะๆขอร้อง  ช่วยหมดรอบซักทีเถอะอีเหี้ย

 

 

จะไม่ไหวแล้วนะ....ฮึบไว้คณิณฮึ๊บไว้  มึงจะอ้วกไม่ได้ อายเค้า  กลืนมันเข้าไปอีก้อนที่มาจุกที่คอยหอย  กลืนมันลงไปเดี๋ยวนี้ กลืนมันลงไป นั่นแหล่ะ มึงทำดีแล้วคณิณ มึงทำดีมาก

 

 

ได้โปรด หยุดซักที...อ่าๆ จะหยุดแล้วใช่มั้ย ใช่ไม่ใช่ ใช่เถอะ หยุดเถอะ หยุดก่อนที่กูจะอ้วกรดหัวอีเด็กข้างหน้านั่น...

 

 

ในที่สุด ช่วงเวลานรกแตกสำหรับผมก็หมดสิ้นลง ผมแทบจะคลานลงมาจากไวกิ้งก่อนจะพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงไปหาถังขยะโก่งคออ้วกเอาข้าวเช้าที่แวะกินก่อนมาทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ไอ้เซ็ทเดินมาช่วยลูบหลังผมเบาๆก่อนจะยื่นขวดน้ำให้ผมกลั้วปาก

 

 

กูเข้าใจความรู้สึกของเด็กเล็กที่หลับเวลาโดนไกวเปลแล้ว

 

 

ถ้าเด็กมันพูดได้ เด็กมันอาจจะบอกแม่มันว่าที่กูหลับกูไม่ได้ง่วงกูแค่เวียนหัวเว้ยแม่  ก็เป็นได้

 

 

ในที่สุดหลังจากที่ไอ้เซ็ทพาผมเล่นเครื่องนู้นเครื่องนี้จนผมอ้วกแตกและกรี๊ดจนคอแห้งเราก็มานั่งเล่นตรงทะเลสาป สายลมเย็นๆที่เข้ามาปะทะหน้าช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นผมมองภาพคู่รักที่ถีบจักรยานน้ำด้วยกันหลายคู่ก็หันไปมองหน้าไอ้เซ็ท แต่ว่า อ่ะ...อ้าว

 

 

ไอ้เซ็ทหายไปไหนวะ  กวาดตามองรอบๆก็พบว่ามันเดินไปกับเด็กผู้ชายน่าจะซักประมาณ ป.6 มันพาเด็กเดินไปต่อแถวซื้อบัตรเล่นจักรยานน้ำแล้วลงเรือเป็ดไปกับไอ้เด็กนั่น

 

 

อะไรวะ ทำไมไปไหนไม่บอก แล้วนั่นมึงไปเล่นกับไอ้เด็กเวรนั่นทำไม ทีของแบบนี้ล่ะไม่ชวนกูเล่น

 

 

ไวเท่าความคิดผมก้าวพรวดๆไปซื้อตั๋วเล่นมั่งกะว่าจะถีบเป็ดตามมัน

 

 

            “คนเดียวเหรอคะ?”พนักงานฉีกบัตรส่งให้ผม ผมพยักหน้ารับก่อนจะก้าวพรวดๆขึ้นบนเรือลำหนึ่ง ไอ้เซ็ทกับเด็กนั่นพากันถีบเป็ดไปจนถึงกลางทะเลสาบแล้ว ผมใส่สปีดเต็มที่หวังจะตามมัน แต่เหมือนไอ้เซ็ทจะไม่ได้รับรู้การแล่นเรือของผมเลย เพราะเมื่อผมถีบมาจนถึงพวกมัน ไอ้เซ็ทกับเด็กนั่นก็ถีบกลับเข้าฝั่งไปแล้ว

 

 

อ่า...แล้วนี่กูจะกลับยังไง เลี้ยวยังไงวะ ต้องหันหัวแบบไหน คืออีตอนปั่นมาผมก็ปั่นทางตรงตลอดไงจนมันมาถึงกลางสระ ผมพยายามมองหาพวงมาลัย เผื่อมันจะใช้บังคับแบบรถยนต์ แต่คือมันไม่มีไง

 

 

ชิบหายล่ะ...เกิดมากูก็เพิ่งเคยถีบมั๊ยอีเรือเหี้ยนี่ ผมยังคงปั่นไปเรื่อยๆพลางขยับตูดเบี่ยงตัวเผื่อมันจะใช้ระบบเซนเซอร์ แต่เรือก็ไปข้างหน้าอย่างเดียวเลยหว่ะ จนตอนนี้เรือของผมโดดออกมาจากคนอื่นแล้ว

 

 

แม่จ๋า  ช่วยคินด้วย จะทำยังไงดี  ผมเห็นไอ้เซ็ทเริ่มมองหาผมทางนู้นทีทางนี้ทีแล้วด้วยอ่ะ

 

 

หรือจะร้องให้คนช่วยดีวะ แล้วนั่นมึงจะไปไหนไอ้เซ็ท  หยุดอยู่ตรงนั้นเลย กูกำลังหาทางกลับฝั่งไปหามึงอยู่  ผมร่ำร้องในใจเมื่อไอ้เซ็ททำท่าจะเดินออกไปจากบริเวณนี้  สติจะแตกเพราะอีเรือเหี้ยนี่มันไม่วกกลับซักที มันต้องมีวิธีสิวะ!!!

 

 


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ผมลองปั่นถอยหลัง คราวนี้มันได้ผล เรือของผมแล่นแบบถอยหลังฝ่าเข้าไปในดงเรือเป็ดของคนอื่น  ผมยกแว่นดำขึ้นมาสวมพรางใบหน้า ก่อนเก๊กท่าเหมือนว่ากำลังสบายๆกับการเล่นเรือ  คู่รักหนุ่มสาวพากันชี้มาที่ผมที่หาญกล้ามาปั่นเรือเป็ดคนเดียวสายตาของผมสำรวจว่าคนพวกนั้นบังคับทิศทางของเรือยังไงก็พอว่ามันมีคันบังคับอยู่ด้านข้าง

 

 

อ๊าว  อีเหี้ย  มึงนี่ก็ไม่ร้องบอกกูเลยนะว่ามีมึงอยู่ตรงนี้  ผมลองโยกมันดูพร้อมกับปั่นมาข้างหน้าอีกรอบ  อ่อ...โยกซ้ายหันซ้าย โยกขวาหันขวา

 

 

พอเริ่มจับทิศทางได้ผมก็บังคับเรือให้กลับเข้าฝั่ง  ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน ไอ้เซ็ทก็มายืนเท้าสะเอวตาเขียวปั๊ดอยู่ริมฝั่ง

 

 

            “ไปไหนไม่บอกไอ้เหี้ย!!!”

 

 

            “มึงนั่นแหล่ะ ไปเล่นไม่บอก แล้วไปกับใครก็ไม่รู้แม่ง”ผมเถียงกลับมันอย่างหัวเสีย ขาแม่งล้าไปหมดแล้วเนี่ยยังมีหน้ามาดุกูอีก

 

 

            “ก็น้องเค้าอยากเล่นแต่พ่อแม่ไม่เล่นด้วยก็เลยมาชวนกู กูขอโทษมึงก็แล้วกัน ใครจะรู้ว่ามึงจะบ้าปั่นตามไปวะ”ผมทำตาอ้อนๆมาใส่ผมอีกแล้วเนี่ย

 

แล้วกูจะโกรธไหวมั้ยล่ะ  สุดท้ายก็ได้แต่จับหัวของมันโคลงไปมาอย่างไม่จริงจังนัก

 

 

            “แล้วนี่อยากเล่นอะไรต่อมั้ย?”ผมเอ่ยถามมันหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู เกือบสี่โมงเย็นแล้วที่เราขลุกอยู่ที่นี่  ไอ้เซ็ททำท่าคิดหนัก

 

 

            “ชิงช้าสวรรค์”

 

 

            “งั้นกูมีที่ๆดีกว่านี้ ไปกัน”

 

 

ผมคิดว่าผมตัดสินใจไม่ผิดเลยที่พาไอ้เซ็ทมาที่นี่ มันแสดงความตื่นเต้นทันทีที่เห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ผมขับรถวนหาที่จอดก่อนจะพามันเดินเข้ามาด้านใน ตอนนี้ห้าโมงกว่าหลังจากมื้อเช้าง่ายๆเราสองคนยังไม่ได้กินอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอันดังนั้นผมจึงพาไอ้เซ็ทไปกินอาหารญี่ปุ่นที่มีร้านอยู่ในนั้น แอบเห็นไอ้เซ็ทพลิกเมนูไปมาแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อผมสั่งอาหารไปหลายอย่างเรียบร้อยแล้วพอพนักงานคล้อยหลังไปไอ้เซ็ทก็บ่นทันที

 

 

            “แพงชิบหายเลย”

 

 

            “เออ น่า  กินๆไปเถอะ”ผมตัดบทก่อนที่มันจะบ่นไปมากกว่านี้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการกินอาหารที่สั่งมาหลังจากนั้นผมก็พาไอ้เซ็ทไปซื้อตั๋วเพื่อขึ้นชิงช้าสวรรค์ไอ้เซ็ทดูตื่นเต้นเพราะมันไม่เคยขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน  แต่ผมน่ะเฉยๆเพราะเคยไปนั่งที่ญี่ปุ่นมาแล้ว ไว้ค่อยพามันไปก็แล้วกัน  เรายืนรอคิวไม่นานก็ได้ขึ้นไปนั่งในกระเช้า พนักงานเข้ามาตรวจตั๋วพร้อมกับอธิบายการใช้ปุ่มฉุกเฉินเผื่อมีอะไรเสร็จ จากนั้นกระเช้าก็ค่อยๆลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ไอ้เซ็ทเกาะกระจกมองอย่างชอบใจ แสงของท้องฟ้ายามโพล้เพล้เล่นสีจนเหมือนภาพวาด ทั้งสีแดง ม่วง ส้ม ชมพูที่แต่งแต้มบนท้องฟ้าทำให้บรรยากาศโคตรจะโรแมนติก แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องด้านล่างส่องประกายระยิบระยับราวดวงดาวบนท้องฟ้า ไอ้เซ็ทเอาแต่พูดคำว่าสวยมากๆไม่หยุดปาก แต่ผมว่าตอนนี้สิ่งที่สวยที่สุดก็คือตัวของมันเองนั่นแหล่ะ ทุกการกระทำทุกอากัปกริยาของมันผมเฝ้ามองอย่างตั้งใจ ผมยื่นมือไปจับมือข้างซ้ายของมันไว้ไอ้เซ็ทไม่ได้ดึงออกในขณะที่ผมสอดประสานนิ้วของผมกับมันไว้ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมเราด้วยบรรยากาศสวยๆกับชิงช้าสวรรค์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ

 

 

เ          ศรษฐพงศ์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง วันนี้เขาใช้พลังจนแทบจะหมดหลอด คณิณที่ตามมาทีหลังก็ทิ้งตัวลงนอนคว่ำพาดกับลำตัวบอบบางของคนน้องอย่างหมดแรงยิ่งกว่ากอดเอวบางนั้นไว้หลวมๆ  ก่อนกลับเขาพาเศรษฐพงศ์ไปเล่นโกคาร์ท ปิดท้ายด้วยม้าหมุนซึ่งเป็นเครื่องเล่นเดียวที่คณิณมีความสุขที่สุดเพราะมันไม่หวาดเสียวไม่ต้องกรีดร้องและไม่ต้องอ้วก  สองทุ่มกว่าก็ฝ่ารถติดกลับมาคอนโด เศรษฐพงศ์ขยับตัวอย่างอึดอัด คณิณเหลือบตามองเอวที่โผล่พ้นชายเสื้อยามที่เศรษฐพงศ์ขยับตัวหนีเขาก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

 

            “นอนดีๆสิวะ ทับทำไมเนี่ยหนัก”คนน้องผลักหัวคนพี่ออกจนคณิณต้องยอมแพ้เคลื่อนตัวมานอนเคียงข้างกันอย่างว่าง่าย ทั้งสองคนปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมไว้อีกครั้ง

 

            “เซ็ท...วันนี้กูเหนื่อยจัง”

 

 

            “อือฮึ...ก็น่าเหนื่อยอยู่หรอกมึงต้องขับรถ แถมวันนี้อ้วกแตกอ้วกแตนไปอีกตั้งหลายรอบ อ่อนจังว่ะ”คนน้องเอ่ยล้อเลียนคนพี่ด้วยน้ำเสียงขบขัน คณิณพลอยหัวเราะตามไปด้วย

 

 

เขายอมอ่อนถ้านั่นมันทำให้เศรษฐพงศ์หัวเราะได้

 

 

            “จับมือได้มั้ยวะ?”อยู่ๆคณิณก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงอมยิ้มน้อยๆ คณิณถือว่านั่นเป็นคำอนุญาต ชายหนุ่มยื่นมือไปจับมือของเศรษฐพงศ์ที่ประสานกันหลวมๆอยู่ที่หน้าท้อง

 

            “กอดได้มั้ย”เมื่อเห็นว่าคนน้องไม่ปฏิเสธคำขอแรก คำขอที่สองจึงตามมา เพราะห้องมันเงียบคณิณจึงได้ยินเสียงเต้นของหัวใจคนถูกขอหลังจากวาดอ้อมแขนกอดกายบางนั้นไว้

 

 

เศรษฐพงศ์หัวใจเต้นแรงมากและยอมนอนนิ่งๆให้เขากอด

 

 

คณิณรั้งร่างบางให้หันหน้าเข้ามาหาเขาที่นอนตะแคงข้างอยู่เลื่อนปลายนิ้วมาดันคางมนให้เงยขึ้น เศรษฐพงศ์สบตาคณิณนิ่ง รอยยิ้มจากใบหน้าหล่อเหลาทำให้ตาของเศรษฐพงศ์พร่าราวกับคนสายตาสั้น

 

            “จูบได้มั้ย?”เป็นอีกครั้งที่คณิณถือว่าความเงียบเป็นคำอนุญาต เศรษฐพงศ์หลับตาลงเป็นคำตอบและเปิดโอกาสให้คณิณกดจูบลงมาอย่างถือสิทธิ์ครอบครอง ริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมคณิณกดไหล่ของเศรษฐพงศ์ให้นอนราบลงไปก่อนจะค่อยๆขยับกายขึ้นคร่อมร่างบางของน้องไว้ ฝ่ามือหนาลูบไล้ช่วงเอวคอดก่อนจะเลื่อนขึ้นมาลูบหน้าท้องแบนราบนั้นแผ่วเบา เบี่ยงเบนความสนใจด้วยเกลียวลิ้นที่กวาดตั้งแต่แนวแหงือกและฟันซี่เล็กๆน่ารักนั้นเปิดทางขอให้คนน้องรับเรียวลิ้นเข้าไปสำรวจด้านในกวาดต้อนช่วงชิมจนใจหวิวกว่าจะรู้สึกตัว ปลายนิ้วแสนร้ายกาจก็สะกิดเล่นกับเม็ดทับทิมเล็กๆที่อกข้างซ้ายจนเศรษฐพงศ์ครางอื้ออึงด้วยความรู้สึกหวามไหว

 

ร้ายกาจเกินไปแล้ว คณิณร้ายกาจจนเขาตามไม่ทัน เมื่อจับมือข้างที่กำลังเขี่ยยอดอกตัวเองเล่นอย่างเพลินมือเศรษฐพงศ์ก็รู้สึกถึงมืออีกข้างที่ค่อยๆปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของตัวเองอยู่ครั้นจะส่งมือลงไปห้ามปรามคณิณกลับจับมือของเขาไว้แล้วดึงให้มือของเขาไปสัมผัสกับกลางกายที่เริ่มดันตัวภายใต้กางเกงยีนส์ราคาแพงนั้นพลางบังคับให้เขาขยับมือลูบเบาๆ

 

เศรษฐพงศ์อายจนหน้าแทบไหม้ แม้ใจจะอยากดึงมือออกแต่สุดท้ายก็ยอมทำตามการชักนำของคนพี่อยู่ดี

 

 

สมองเริ่มพร่าเลือนเมื่อคณิณมอบจูบที่แสนล้ำลึกจนปลุกอารมณ์บางอย่างในกายของเขาให้โลดทะยานออกมา จากตอนแรกแค่จูบตอบเบาๆตอนนี้กลายเป็นว่าคนสองคนผลัดกันแลกจูบจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย ขอบปากเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำลาย คณิณยืดตัวขึ้นนั่งก่อนจะสอดมือเข้าไปในตัวเสื้อยืดตัวโคร่งของคนน้องแล้วรวบมันขึ้นถอดออกจากตัวของเศรษฐพงศ์ด้วยความรวดเร็ว แจ็คเก็ตหนังและเสื้อยืดราคาแพงของตัวเองก็ถูกถอดออกแล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ใยดีจากนั้นก็กดจูบลงบนลำคอสีน้ำผึ้งของคนน้องที่ยืดตัวตามขึ้นมารับจูบหวามนั้นด้วยความเต็มใจ...

 

 

คณิณกำลังชักจูงเศรษฐพงศ์ให้ก้าวข้ามความสัมพันธ์ที่ผ่านมาและเศรษฐพงศ์ก็ก้าวตามเข้ามาด้วยความเต็มใจ...



รู้ทั้งรู้ว่าถ้าก้าวข้ามจุดนี้ไปแล้วจะย้อนกลับไม่ได้แต่เศรษฐพงศ์กลับเต็มใจที่จะทำตามที่คณิณชักพา





ไปสิ...จะพาไปนรกหรือสรรค์ก็พาไปเลย...เค้าจะเชื่อฟังเอง


 

.......................................................


ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น้องตามไปแล้วก็อย่าทิ้งน้องนะคิน

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 30



   เศรษฐพงศ์ผวาเฮือกยามที่คณิณพรมจูบจากริมฝีปากพวงแก้มทั้งสองข้างขบเม้มที่ติ่งหูเบาๆพลางเป่าลมอุ่นๆจนต้องย่นคอหนี ความรู้สึกแปลกตีตื้นจากช่องท้องลงไปยังส่วนกลางกายจนรู้สึกปวดแปลกๆ ยิ่งคณิณป้อนจูบให้มากเท่าไหร่ความรู้สึกที่ก่อตัวยิ่งชัดมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มไม่เคยทำแบบนี้กับใคร

คณิณคือคนที่มอบจูบแรกให้กับเขา

คณิณคือคนที่ฝากรอยรักสีระเรื่อให้เขาเป็นคนแรก

เศรษฐพงศ์ไม่เคยทำแบบนี้กับใครถึงจะอายุ 19 ปีแล้วก็ตามที แม้ที่ผ่านมาจะมีอารมณ์ทางเพศตามประสาเด็กผู้ชายแต่เต็มที่เขาก็แค่ใช้มือช่วยตัวเอง แต่อีกนั่นแหล่ะก็ไม่ได้ทำบ่อยนัก

แนวซี่โครงหดเกร็งยามฝ่ามือร้อนลูบไล้จนกระทั่งยอดอกสีน้ำตาลอ่อนถูกครอบครองด้วยริมฝีปาก เศรษฐพงศ์ยืดตัวเผลอแอ่นอกรับด้วยความเสียวซ่าน สองมือเหมือนไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกตอนนี้ดี ทั้งผลักไหล่กว้างของคนพี่ออกแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็รั้งลำคอแกร่งให้สัมผัสเข้ามาได้แนบแน่นมากขึ้น คณิณใช้ริมฝีปากครอบครองเม็ดทับทิมเม็ดเล็กไว้ปลายลิ้นทำหน้าที่ได้อย่างร้ายกาจ ความชื้นแฉะบวกกับการขยับลิ้นรวมทั้งมืออีกข้างก็สะกิดเขี่ยยอดอกข้างที่เหลือทำให้เศรษฐพงศ์ครางฮือ เด็กหนุ่มถูกคนพี่ผลักให้นอนราบลงกับพื้นเตียงอีกครั้ง คณิณแทรกตัวนั่งลงตรงกลางหว่างขาของน้องก่อนจะใช้เข่าทั้งสองข้างดันขาให้คนน้องตั้งฉากขึ้น ปรนเปรอป้อนจูบสลับขบเม้มให้อารมณ์คนน้องกระเจิดกระเจิง ค่อยๆเลื่อนริมฝีปากกดจูบจากลำคอเรื่อยลงมาที่ยอดอกขบเม้มสลับกันไปมาจนกายน้องแอ่นไม่ติดพื้น สองมือดึงขยำผ้าปูเตียงจนยับย่น คณิณกดจูบไล่ลงมาที่หน้าท้องแบนราบ

   “หอมจังเลย หวานไปหมดทั้งตัวจริงๆด้วย”สายตาคมตวัดขึ้นมองหน้าน้องที่หลับตาปี๋ยามที่เขาตวัดปลายลิ้นวนรอบแอ่งสะดือบุ๋มก่อนจะลากปลายลิ้นลงมาหยุดตรงขอบกางเกงยีนส์ตัวเก่งคนพี่ใช้มือปลดกระดุมกางเกงออกก่อนจะใช้ฟันกัดหัวซิบค่อยๆเลื่อนลง เศรษฐพงศ์หดเกร็งหน้าท้องยามเผลอลืมตาขึ้นสบกับคนพี่ที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว ริ้วแดงจางๆปรากฏบนใบหน้ารอบที่ร้อย อยากจะหลบตาแต่ก็อยากรู้ว่าคณิณจะทำอะไรต่อไป ดังนั้นคนน้องจึงยังคงไม่ละสายตาไปไหน

อวดดีจริงๆเลยไอ้เด็กคนนี้ ในเมื่ออยากเล่นกับไฟเขาก็จะเผาให้มอดไหม้เอง

กางเกงยีนส์ค่อยๆถูกรั้งออกไปจากร่างกายก่อนจะถูกโยนไปตรงไหนซักที่ของมุมห้องอย่างไม่ใยดี คณิณจ้องเรียวขาที่คนน้องพยายามหุบเข้าหากันด้วยดวงตาที่พร่า

ภายนอกร่มผ้าผิวของเศรษฐพงศ์เป็นผิวสีน้ำผึ้งไม่คล้ำแต่ก็ไม่ได้ขาวจัดแบบผิวของเขาเป็นสีผิวที่นวลตาให้ความรู้สึกมีละอองความเย็นผุดออกมาจากผิวแต่พอไร้ผ้าไร้ผ่อนผิวใต้ร่มผ้าก็ขาวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

   “มองอะไรเล่า”คนน้องส่งเสียงเอ็ดเมื่อคณิณเอาแต่จ้องอันเดอร์แวร์สีขาวตาไม่กระพริบ เศรษฐพงศ์ชูมือไปข้างหน้าราวเด็กเล็กๆที่เรียกร้องกอดอบอุ่นจากคนเป็นแม่ คนพี่หัวเราะน้อยๆกับท่าทางช่างอ้อนที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีวาสนาได้เห็น

   “จูบ...จูบหน่อย”คำร้องขอถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับมีหรือที่คณิณจะไม่สนองตอบ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวขึ้นมากดจูบแรงๆที่ริมฝีปากบวมเจ่อ กัดเบาๆให้น้องเปิดปากรับลิ้นของเขาเข้าไป ตอนนี้เศรษฐพงศ์จูบเก่งขึ้นแล้วน้องจูบตอบเขาได้แบบไม่เคอะเขินเหมือนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าจัดได้ว่าเป็นเด็กหัวไวคนหนึ่งไม่ว่าจะสอนอะไรไปเศรษฐพงศ์สามารภจำมันและทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ คณิณถอนจูบออกมาก่อนจะกดจูบลงบนข้างแก้มที่มีขี้แมงวันเม็ดเล็กประดับอยู่ โอบกอดไหล่ของคนเด็กกว่าไว้ ลูบไล้ผิวเนียนอย่างเบามือ ค่อยๆพรมจูบลงบนทุกสัดส่วนของร่างกายน้อง เศรษฐพงศ์ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ยามที่คณิณเคลื่อนตัวลงไปด้านล่างอีกครั้ง ความร้อนแล่นปลาบขึ้นสู่ใบหน้าเมื่อคนพี่ใช้ฟันกัดขอบกางเกงในสีขาวของเขาแล้วค่อยๆดึงมันลงจนเห็นไรขน

   “อื้อ...”ส่งเสียงร้องเมื่อคณิณใช้ปลายเล็บข่วนเบาๆที่หน้าท้องความเสียวซ่านแล่นวาบจนต้องขยับสะโพกขึ้นเปิดทางให้คณิณดึงกางเกงในออกจากปลายเท้าได้สำเร็จ สองมือถูกนำมาปิดส่วนน่าอายโดยอัตโนมัติ คณิณใช้ปากคาบกางเกงในสีขาวจนถอดออกจากปลายเท้าของน้องได้สำเร็จก่อนจะค่อยๆพรมจูบจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงต้นขาอ่อน กดจูบดูดดึงทำรอยก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองสิ่งที่เศรษฐพงศ์ปิดอยู่ แม้คนน้องจะพยายามบีบขาเข้ามายังไงก็ไม่มีผล

   “อย่ามอง!!”นอกจากคณิณจะไม่ฟังแล้ว คนพี่ยังดึงมือคนน้องออกอีกต่างหาก เศรษฐพงศ์รู้สึกร้อนราวกับนอนแก้ผ้ากลางแดดจ้า สะดุ้งจนตัวโยนเมื่อความอุ่นและชื้นแฉะเข้าครอบครอง

   “อ๊า...ย...อย่า..”ร้องห้ามด้วยเสียงเบาหวิว จิกเท้ากับพื้นที่นอนนุ่มเชิดหน้าขึ้นสูงหอบเอาอากาศเข้าปอดทางปากเมื่อคณิณวนลิ้นที่ส่วนปลาย กดจูบตั้งแต่ปลายถึงโคนแล้วใช้ปากครอบเข้าไปใหม่ มือแกร่งช่วยรูดรั้งเบาๆ

เขาไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร ไม่เคยผ่านการมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน ที่ผ่านมาคณิณอาจจะมีเซ็กส์กับผู้หญิงมาหลายคนแต่ไม่เคยมีซักครั้งที่จะมาทำแบบนี้ให้ใคร

มันทั้งแปลกใหม่และตื่นเต้น รวมไปทั้งรู้สึกดียามได้ยินเสียงร้องครางของคนน้องนี่ตอนนี้แทบจะครองสติตัวเองไม่ได้

เนื้อตัวของน้องสั่นอย่างน่าสงสาร ยิ่งเขาลงลิ้นดูดแรงๆหรือแม้แต่แกล้งขบเบาๆตรงส่วนปลายเศรษฐพงศ์จะสะดุ้งเฮือกพลางส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษายิ่งทำให้กลางกายของเขาปวดหนึบ

ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้กับใครมาก่อน คณิณค่อยๆถอดกางเกงของตัวเองออกอย่างเชื่องช้า เศรษฐพงศ์ไม่ทันได้สังเกตคนพี่เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้สมองของเขาพร่าเลือนไปหมดไม่ว่าคณิณจะจับตรงไหน จะลูบตรงไหนก็เหมือนมีเปลวเพลิงร้อนแรงเผาไหม้ไปซะทุกที่ ยิ่งคนตรงหน้าปรนเปรอเขามากเท่าไหร่ เสียงร้องก็ถูกปล่อยออกมามากเท่านั้น หยาดน้ำใสปริ่มที่หางตา คณิณถอนริมฝีปากของมาจากกลางกายของเศรษฐพงศ์ จูบซับลงเบาๆบนแก้มที่ขึ้นสีเรื่อ

   “ทำไมตัวมึงสั่นจัง กลัวเหรอ”เอ่ยถามเสียงพร่ามือก็ยังไม่หยุดรูดรั้งเบาๆกระตุ้นอารมณ์คนน้องให้กระเจิดกระเจิง

   “อือ...ฮึก...อา..กลัว...กลัวสิ”เอ่ยรับอย่างสิ้นความอาย เขากลัวจริงๆนั่นแหล่ะ ดูจากการกระทำแล้วท่าทางคนที่ต้องยอมเจ็บตัวก็คงจะเป็นเขาเอง คณิณมีความเป็นผู้นำและเชี่ยวชาญมากจนเศรษฐพงศ์ต้านทานไม่ไหว เด็กหนุ่มรู้ดีว่าการคบกันแบบนี้มันก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งยอมลดศักดิ์ศรีและยอมเสียสละ คณิณกดจูบลงบนริมฝีปากของเศรษฐพงศ์แรงๆอีกครั้ง ลูบผมคนเด็กกว่าอย่างปลอบโยน

   “ไม่ต้องกลัวนะ กูจะอ่อนโยนกับมึงเอง”เชยคางน้องให้เงยขึ้นมาสบตาตนเองตรงๆเพราะน้องเอาแต่หลบไม่ยอมจ้องหน้ากันตรงๆซักที คณิณอยากให้น้องรู้ว่าเขาจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากแค่ไหน เศรษฐพงศ์ช้อนตาขึ้นสบภาพคนน้องที่กัดปากล่าวงเบาๆทำเอาสติของคณิณกระเจิดกระเจิงแม้เศรษฐพงศ์จะไม่รู้ตัวก็ตามทีว่าท่าทางแบบนั้นมันช่างอ้อนและยั่วยวนในคราเดียวกัน

ไม่ทน คณิณจะไม่ทนอีกต่อไป!!

   “ขอได้มั้ย...ได้มั้ยครับ”กระซิบถามชิดริมหูมือก็ปรนเปรอด้านล่างไม่หยุดจนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมลที่อัดแน่นของเศรษฐพงศ์แล่นริ้วจากช่องท้องสู่กลางกาย เด็กน้อยร้องครางไม่เป็นภาษา สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คำถามที่ดังเข้ามาไม่เข้าหัวเลยซักนิด หน้าขาสั่นพับราวกับถูกไฟช๊อต คณิณเร่งมือให้เร็วกว่าเดิมจนคนน้องกรีดร้องออกมา เรือนผมปรกหน้าพลิ้วไปตามแรงสั่น

   “อื้อ...”เอ่ยปากตอบรับก่อนที่ร่างกายจะกระตุกเกร็งยามธารน้ำไหลทะลักออกมาจนเปรอะหน้าท้อง คณิณเลื่อนกายลงไปกดจูบส่วนน่ารักสีชมพูเข้มที่อยู่ในมือ ใช้ปลายลิ้นเลียคราบขาวเข้าไปกลืนกินจนเศรษฐพงศ์ที่นอนมองอยู่ต้องเอาหน้าซุกหมอนหนีภาพน่าอายนั้น

และโดยไม่ทันตั้งตัว คณิณก็ใช้ปลายนิ้วที่ชุ่มไปด้วยคราบขาวของเศรษฐพงศ์แหย่เข้าไปในช่องจีบเพื่อหวังเปิดทางเศรษฐพงศ์สะดุ้งเฮือกและโดยไม่ทันคิด



ผลั่ก!!!!


“อั่ก!!!”

ร่างของคณิณกระเด็นหวือตกลงไปนอนเอ้งแม้งด้านล่างเตียงแบบที่เจ้าตัวยังงงว่าลงมานอนที่นี่ได้ยังไง คล้ายกำลังโบยบินขึ้นสวรรค์แล้วอยู่ๆก็ถูกกระชากลงมา มิหนำซ้ำหัวเขายังฟาดกับพื้นจนมึน ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นไปดูบนเตียงก็พบว่าเศรษฐพงศ์คลานเข่าอยู่บนนั้นพลางเรียกชื่อเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

   “คิน...คิน มึงเป็นไรมั้ยอ่ะ กูขอโทษ กูตกใจ กูไม่ได้ตั้งใจจะถีบมึงนะตีนกูมันลั่นไปเอง”คณิณยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรก่อนที่ห้องจะหมุนจนเวียนหัวราวกับว่าเขากลับไปล่นอีไวกิ้งนรกนั่นอีกร้อยรอบจากนั้นชายหนุ่มก็สลบเหมือดในทันที



สวรรค์ล่มคาตา....



((ต่อข้างล่าง))
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2019 00:23:20 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

                เศรษฐพงศ์::

 

ผมเพิ่งรู้ว่าเวลาไอ้คินโกรธหรืองอนน่ะมันง้อยากอย่างนี้นี่เอง  คราวนี้บรรยากาศมันแตกต่างจากคราวที่แล้วที่ผมลงทุนเดินทางมาหามันถึงกรุงเทพ  หลังจากผมถีบมันตกเตียงหัวฟาดพื้นไอ้คินก็สลบไปแป๊บหนึ่ง ผมจัดการเช็ดคราบที่หน้าท้องของตัวเองที่ไอ้คินมันทำไว้ให้สวมกางเกงลวกๆแล้วแบกคนพี่กลับขึ้นมานอนที่เตียง หัวมันแตกด้วยแปลว่าตอนฟาดกับพื้นคงแรงน่าดู เ





ศรษฐพงศ์จัดการทำแผลให้คณิณ โชคดีที่แผลไม่ได้ใหญ่มากนักแค่มีเลือดซึมๆ

 

โถ้วววว...พ่อคนหัวอ่อน แอนตาซินจะแจกกี่พันเนี่ย

 

 

 

 

เกือบสิบนาทีร่างสูงที่นอนสลบก็ฟื้น

 

ตะกี๊มันเกิดอะไรขึ้นนะ

 

ขณะที่เขากำลังขะมักเขม้นกับการกินไอศกรีมสตอเบอร์รี่สอดไว้วานิลาอยู่นั้น เขาทำการเตรียมการเพื่อที่เศรษฐพงศ์จะได้ไม่เจ็บ ยังไม่ทันจะแหย่เข้าไปลึกเลยด้วยซ้ำ แค่ข้อเดียวเท่านั้นเขาก็ถูกเศรษฐพงศ์ถีบซะลอยละล่องประดุจผู้คุมวิญญาณกับเศษผ้าเน่าๆ ตอนนั้นอ่ะคินน้อยพร้อมรบแล้วอ่ะ คือพยักหน้าสู้ศึกพร้อมบุกทะลวงฟันแล้วอ่ะ

 

แล้วดูที่เศรษฐพงศ์ทำกับเขาสิ

 

คณิณรู้สึกเหมือนตัวเองโดนโกงทั้งๆที่เขาปรนเปรอให้จนคนน้องเสร็จคามือไปรอบหนึ่งแล้วแต่เขาน่ะต้องทนอึดอัดจนตอนนี้แม้ว่ามันจะหดตัวกลับสู่สภาพเดิมแล้วแต่เขาก็ยังอึดอัดอยู่เลย ชายหนุ่มค่อยๆลุกจากเตียงนอนสูดลมเข้าปากเมื่อรู้สึกปวดตุบๆที่ศีรษะ

 

                “ฟื้นแล้วเหรอ”เศรษฐพงศ์หันมาตามเสียงประตูห้องที่เปิดออก มือเรียวกดรีโมทเพื่อปิดทีวี คณิณไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเมินมองไปที่ครัว เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาเทดื่มรวดเดียวแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง จัดการคว้าผ้าขนหนูเพื่อเข้าไปอาบน้ำและอาจจะต้องจัดการกับสิ่งที่ยังค้างคาอยู่จนภายในร้อนรุ่ม เศรษฐพงศ์ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

นอกจากเมื่อก่อนที่โดนเมินแล้วหลังจากคณิณจีบเขาก็มีครั้งที่แล้วแหล่ะที่คณิณไม่พูดกับเขา แล้ววันนี้ยังมามีคดีเกิดใหม่ขึ้นอีก

 

ก็จะให้ทำยังไงล่ะตัดขาทิ้งเลยมั้ย

 

ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า

 

เศรษฐพงศ์นั่งรอให้คณิณอาบน้ำเสร็จ กะจะขอโทษ แต่คราวนี้คณิณใช้เวลาในห้องน้ำนานเกินชั่วโมงแล้ว เพราะตะลอนเที่ยวมาตลอดทั้งวันที่สุดคนที่มานอนรอที่เตียงก็ปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งลงในตอนเกือบเที่ยงคืน

 

เศรษฐพงศ์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนสายเพราะเสียงพูดคุยที่ดังแว่วเข้ามาจากห้องนั่งเล่น เด็กหนุ่มขยี้ตามองพื้นที่ข้างๆ

 

ไร้เงาของคณิณ แต่ได้ยินเสียงหัวเราะของใครบางคนเข้ามาแทน

 

เสียงแหลมเล็กที่ฟังก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง เหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงเพิ่งจะ 9 โมง เช้านิดๆ เด็กหนุ่มจัดการเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว มองร่อยรอยสีแดงที่เข้มขึ้นตามร่างกายตนเองแล้วก็อดที่จะหน้าร้อนไม่ได้ คณิณทำรอยบนร่างกายของเขาไปทั่วตั้งแต่ลำคอ ไหปลาร้า ลาดไหล่ แผงอก ที่หน้าท้องก็มี ที่น่าอายมากที่สุดก็คือต้นขาก็มีอยู่ 2-3 รอย เศรษฐพงศ์รีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะเปิดประตูห้องนอนออกมา คณิณทำเพียงปรายตามองเล็กน้อยก่อนหันกลับไปคุยกับเพื่อนผู้หญิงต่อ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทาย เศรษฐพงศ์ได้แต่ยิ้มแหยๆส่งกลับไปก่อนจะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในครัว เสียงพูดคุยและหัวเราะยังคงดังเข้ามาให้ได้ยิน และเพราะครัวเป็นส่วนเปิดโล่งมีเพียงโต๊ะตัวใหญ่วางกั้นไว้จึงทำให้เศรษฐพงศ์เห็นทุกอย่างในห้องนั่งเล่น เศรษฐพงศ์ขมวดคิ้วให้กับภาพที่เห็น แขกของคณิณวันนี้คือผู้หญิงผิวขาวผมยาวหน้าตาสะสวยรูปร่างดีใส่เสื้อคอวีสีขาวหน้าอกหน้าใจครัดแน่นจนแทบจะปริออกจากเสื้อ ยามก้มเนินเนื้อออกมาล่อสายตาให้จ้องมองได้ไม่ยาก บนโต๊ะมีกระดาษวางอยู่กระจัดกระจาย จากการเงี่ยหูฟังสองคนทำงานกลุ่มร่วมกันและวันนี้คณิณนัดให้เพื่อนสาวมาทำงานที่ห้อง

 

แล้วเนี่ย...เหมือนคณิณลืมเขาไปเลย เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับตัวเองเป็นส่วนเกินยามที่สองคนนั้นใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เศรษฐพงศ์หยิบหม้อหุงข้าวมาจัดการหุงข้าวเพื่อเป็นมื้อเช้า คุ้ยของสดในตู้เย็นออกมาเพื่อทำกับข้าว หมูทอดกระเทียมพริกไทยส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้อง

 

                “หอมจัง เพื่อนคินท่าทางจะทำกับข้าวเก่งเนอะ”เสียงหญิงสาวเอ่ยชมมาให้ได้ยินเศรษฐพงศ์ทำหูทวนลมไม่มีเสียงตอบรับของคณิณ รายนั้นยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน ต้มจืดเต้าหู้หมูสับถูกทำเป็นเมนูต่อมา

 

เศรษฐพงศ์เป็นคนกินอาหารรสจัดแต่วันนี้เขาเลือกทำแต่อาหารรสอ่อนๆแบบที่คณิณชอบ

 

ไม่ได้ง้อนะ

 

ไม่ได้ง้อซักนิดเดียว

 

                “กินข้าว”เมื่ออาหารทุกอย่างเสร็จหมดทุกอย่างแล้วเศรษฐพงศ์ก็จัดโต๊ะ จานข้าวสามใบถูกวางลงพร้อมกับแก้วน้ำ คณิณเหลือบตาขึ้นมองคนน้องแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากเรียกให้เจนลุกขึ้นมากินข้าวด้วยกัน หญิงสาวชะโงกหน้าดูอาหารง่ายๆบนโต๊ะ มีไข่เจียวตามมาเสิร์ฟพร้อมพริกน้ำปลาถ้วยเล็กอีกถ้วย

 

                “โห กับข้าวน่ากินจังเลยค่ะ”เจนเงยหน้าขึ้นมาชมคนทำกับข้าวก่อนจะหันไปเอ่ยขอบคุณคณิณที่เลื่อนเก้าอี้ให้

 

ฝืดคอ...เป็นอาหารมื้อที่ฝืดคอที่สุดเท่าที่เคยกินร่วมกับคณิณมา รายนั้นเอาแต่พูดคุยกับเพื่อนและแทบไม่มองมาที่เขาเลย

 

ความน้อยใจแล่นขึ้นมาจุกจนแทบจะกลืนข้าวไม่ลงสุดท้ายคนที่เคยกินจุก็กินข้าวได้เพียงครึ่งจานก็ลุกเดินไปเทข้าวทิ้งลงถังขยะวางจานทิ้งไว้ในซิ้งค์

 

                “อ้าว เซ็ทอิ่มแล้วเหรอ กินไปนิดเดียวเอง”กลายเป็นเจนที่เอ่ยทักเมื่อเด็กหนุ่มลุกจากโต๊ะในขณะที่คณิณยังคงนั่งกินข้าวด้วยท่าทางนิ่งๆ

 

                “อิ่มแล้วครับ ขอตัวก่อน กินเสร็จวางทิ้งไว้เดี๋ยวเราออกมาเก็บล้างให้เอง”พูดจบเศรษฐพงศ์ก็เดินกลับเข้าห้องนอนไปเลย คณิณได้แต่หันไปมองตามประตูที่เพิ่งปิดจนเกิดเสียงนั้นด้วยสีหน้าอ่านยาก

 

 

                คณิณ::

 

วันนี้ทั้งวันผมได้เห็นหน้าไอ้เซ็ทแค่ตอนที่มันออกมากินข้าวเมื่อเช้า หลังจากนั้นมันก็หายเข้าไปในห้องไม่ออกมาอีกเลย จนกระทั่งบ่ายสองกว่าๆเจนก็กลับไป เจนเป็นเพื่อนในคณะงานชิ้นใหม่ผมถูกอาจารย์จับให้คู่กับเจน และเพราะห้องของเจนมีรูมเมทอยู่กันอีก 3 คน ผมเลยให้เธอมาทำงานกับผมที่ห้อง วันนี้เพราะมีไอ้เซ็ทอยู่ด้วยผมจึงไม่ได้เรียกเพื่อนๆคนอื่นมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะยังไงก็ถือว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยยังไงเจนก็จะไม่ถูกนินทา

 

ผมไม่ได้อยากจะมึนตึงกับไอ้เซ็ทนะ เพียงแต่อยากให้มันรู้ว่าผมงอนมัน

 

ผมแค่อยากให้มันง้อ แต่จังหวะมันไม่ได้ ผมไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่กับมันเพียงลำพังเลย แถมตอนนี้ไอ้ตัวดีก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง  ผมยึดโซฟาหน้าทีวีเป็นที่นอนเล่นหยิบไอแพดออกมาเปิดหนังดูฆ่าเวลา เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอน เพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็นั่งสงบสติอารมณ์ดับความร้อนรุ่มที่กลางลำตัวอีกเป็นชั่วโมง พอออกมาจากห้องน้ำไอ้ตัวดีก็หลับไปแล้ว ผมห่มผ้าให้มัน กอดมันเหมือนที่เคยทำทุกคืนแต่ไอ้เซ็ทก็ไม่ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มันยังคงหลับลึก อาจจะเป็นเพราะผมได้สูบพลังของมันออกมาหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงทำได้แค่เพียงโอบกอดมันไว้จากด้านหลังแล้วกดจูบเบาๆลงที่หลังคอของมัน นอนมองมันหลับ ไปเรื่อยๆ มันขยับตัวหันหน้ากวาดมือหาหมอนข้างเมื่อไม่เจอมันจึงคว้าร่างของผมเข้าไปกอดแบบที่ทำอยู่ทุกครั้งซุกหน้าถูไถหาความอุ่น แค่นั้นก็ทำเอาผมตาค้างไปทั้งคืนจนไม่ได้นอนแล้ว

 

ผมรู้สึกตัวตื่นหลังจากเผลอหลับในตอนที่รู้สึกว่ามีอะไรมาแตะที่ริมฝีปาก เมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นไอ้เด็กขี้โกงนั่งคร่อมผมและกำลังกดจูบลงมาบนปากของผมย้ำๆ สายตาของมันจ้องมองผมไม่หลบไปไหน

 

                “ดีกันนะ”มันว่าเสียงเบาแล้วกดจูบลงมาใหม่

 

ผมนอนเฉยไม่ตอบสนองไอ้เด็กขี้โกงนั่น ก่อนที่มันจะกดจูบลงมาอีกครั้งเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ผมกดรับเมื่อเห็นหน้าจอว่าใครโทรมา

 

                “ว่าไงเจน”ไอ้เซ็ทชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อของปลายสาย ผมทำทีเป็นไม่สนใจมัน เจนโทรมาถามบางจุดของแบบที่ยังต้องแก้อีกนิดหน่อย ผมแกล้งพูดหยอกล้อกับเจน ดูก็รู้ว่าไอ้เซ็ทมันหึงเพราะเมื่อเช้าผมตักกับข้าวให้เจนมันก็กำจนช้อนส้อมแทบงอ

 


ผมไม่คาดคิดหรอกว่าการแกล้งคุยหวานๆกับเจนจะทำให้ไอ้เซ็ทมีปฎิกริยาบางอย่างเกิดขึ้น กว่าจะรู้ตัวมือของไอ้เซ็ทก็ล้วงเข้าไปในกางเกงของผมซะแล้ว...




ผมยังทำทีเป็นไม่สนใจมันเพราะอยากจะรู้ว่าไอ้เด็กแสบนี่จะทำยังไงต่อไป มือของมันค้างไว้ที่ขอบกางเกง ปรายตามองผมเล็กน้อย ผมยังคงคุยโทรศัพท์กับเจนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแถมยังเปิดลำโพงให้มันได้ยินอีกต่างหาก

   “แล้วพรุ่งนี้คินว่างมั้ยไปไหนหรือเปล่า”

   “พรุ่งนี้เหรอ?...”ผมแกล้งทำเป็นคิดก่อนจะตวัดสายตามองหน้ามันที่จ้องเขม็ง

   “อืม...เหมือนจะว่ะ...อ๊ะ...”คำว่าว่างถูกกลืนลงไปในลำคอแทบไม่ทันเมื่อไอ้เซ็ทคว้าเอาตัวตนใต้ร่มผ้าของผมไว้เต็มมือ ใบหน้าของมันแดงจัดยามที่ค่อยๆขยับข้อมือ

   “หืม?? คิดว่าอะไรนะ?”เจนถามกลับเมื่อรูปประโยคมันไม่เต็ม ผมมองหน้าไอ้เซ็ทอย่างท้าทายมันค่อยๆดึงกางเกงของผมลงด้วยสีหน้าอวดดีอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผมก็ขยับเปิดทางให้มันถอดกางเกงออกจากปลายขาได้แบบง่ายๆ((อ่อยอยู่ไม่รู้หรอกเพราะกูไม่บอก))

   “เดี๋ยวขอนึก...แฮ่ก...ก...ก่อนนะว่า...อื้อ...ว่างมั้ย”ผมตอบกลับเจนด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อไอ้เซ็ทกดจูบลงบนส่วนปลายไล่เรื่อยขึ้นไปจนถึงโคน ความรู้สึกขนลุกแล่นปลาบตั้งแต่หนังหัวจนถึงปลายเท้า

   “ว่าแต่เจนมีอะไรเหรอ?” ผมเอ่ยถามเป็นเชิงอ่อยเหยื่อ ไอ้เซ็ทจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ คิ้วมันขมวดมุ่นก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นมาช้าๆพรมจูบตั้งแต่ใต้สะดือไล่ขึ้นมาเลื่อนเสื้อของผมขึ้นทีละนิด ทีละนิด

จุ๊บ...มันจงใจจูบให้เกิดเสียง ขบเม้มที่หน้าท้องของผมทีละจุดๆ ฝากรอยสีแดงไว้จนทั่ว ตอนนี้ความรู้สึกเดียวของผมคือตื่นเต้น ไอ้เซ็ททำตัวเลียนแบบผมทุกอย่างที่ผมทำเมื่อคืน ตีตราความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวผมกระจายทั่วพื้นที่ ทั้งเจ็บทั้งเสียวในคราวเดียวกัน รู้สึกดีอีกต่างหากกับการง้อแบบนี้ของมัน และออกจะชอบใจเล็กน้อยเมื่อทันทั้งง้อทั้งหึงผมแบบนี้

เด็กน้อเด็ก ไอ้เซ็ทเหมือนเด็กที่กำลังยื้อแย่งหุ่นยนต์ตัวโปรดกลับมาด้วยการทำทุกวิถีทางที่จะแสดงความเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวได้

   “เจนว่าจะเอาแปลนไปให้ดูอีกครั้ง เหมือนเสามันลอยโดดออกมาจากภาพเกิน”

   “อ๊ะ...อื้ม...อ่อ ด่ะ...ได้สิ...”ผมสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อไอ้เซ็ทถกเสื้อของผมขึ้นจนแลยราวนม ริมฝีปากของมันครอบครองตุ่มเล็กๆที่อกของผม ตวัดลิ้นรัวเร็วจนผมแอ่นอกรับมันทั้งดูดทั้งขบเม้มจนประจุความรู้สึกทุกอย่างไปรวมกันที่คินน้อยของผม ไอ้เซ็ทขยับมือเร็วขึ้นจนผมเผลอครางใส่โทรศัพท์

   “เอ่อ...คินทำอะไรอยู่เหรอ ทำไมเสียงแปลกๆ”

   “ป..เปล่า”

   “ฟัดกับแฟนอยู่ครับ แค่นี้ก่อนนะ”ไอ้เซ็ทยืดตัวขึ้นมาพูดใส่โทรศัพท์มองหน้าผมด้วยสีหน้าอวดดีไม่เปลี่ยน กดยิ้มใส่จนผมอยากจะจับมันฟาดแรงๆกับความใจกล้านี้

   “ห๊ะ...อ่อ...อื้ม ได้ๆ งั้นเจนวางแล้วนะคินก็ไปทำอะไรๆให้มันเสร็จๆเถอะ”

   “อ๊ะ...อื้อ เดี๋ยวเสร็จแล้วโทรไปนะ”ผมเผลอเด้งเอวใส่เมื่อไอ้เซ็ทมันใช้ปากครอบลงไปที่กลางกายของผม กดตัดสายด้วยมืออันสั่นเทา นี่มันเล่นอะไรของมันเนี่ย ผมผงกหัวมองไอ้เด็กที่กำลังขยับปากเข้าออกกับส่วนนั้นของผม

ไอ้เซ็ทเหมือนเด็กที่กำลังกัดกินไส้กรอกพลางเลียซอสที่ไหลไปตามความยาวด้วยสีหน้าเอรดอร่อย ผมกำมือแน่นก่อนจะทนไม่ไหวต้องส่งไปจับหัวของมันให้ขยับจังหวะตามความต้องการของผม

   “อวดเก่ง...มึงมัน..อ๊ะ..ร้าย”ผมต่อว่ามันไม่จริงไม่จังนัก เชิดหน้าสูดอากาศเข้าปากยามมันแกล้งใช้ฟันขบลงมาบนส่วนปลายเบาๆ ลิ้นร้อนของมันหมุนวนจนผมเด้งเอวสวนเข้าปากมันอย่างแรง มันมองผมด้วยสายตาคาดโทษ ข้างขอบปากมีหยาดน้ำลายไหลเปรอะออกมา ไอ้เซ็ททั้งดูดทั้งใช้ลิ้นจนผมเริ่มตาพร่า ความเสียวจี๊ดจากท้องน้อยแล่นปราดเข้าสู้แกนกายจนผมต้องดึงหัวมันออก

   “จะออกแล้ว..”ผมบอกกับมันที่เพิ่มความเร็วในการขยับรูปปากเพื่อให้มันถอยออก

แต่เหมือนว่าวันนี้ไอ้เซ็ทจะดื้อกว่าปกติ นอกจากไม่ทำตามแล้วมันยังเร่งจังหวะทั้งปากทั้งมือเร็วขึ้นแรงขึ้นจนในที่สุดความอดทนของผมก็จบลง ของเหลวอุ่นๆถูกปล่อยพุ่งเข้าไปในปากของมัน ไอ้เซ็ทสำลักไอโขลกพลางใช้มือปาดข้างแก้มที่หยาดหยดบางส่วนพุ่งกระฉูดใส่

โคตรเอ็กซ์เลย ปากแดงๆ ดวงตาปริ่มน้ำของมันเป็นภาพที่ปลุกอารมณ์ได้เป็นอย่างดี มันกลืนของเหลวสีขาวนั้นเข้าไปด้วยสีหน้าแปลกๆ ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าต้นคอของมันแล้วดึงเข้ามาจูบหนักๆ

ไอ้เซ็ทไม่ได้ขัดขืน มันจูบตอบผมแบบที่ผู้ใหญ่สองคนจะทำกัน ลึกล้ำ ดื่มด่ำ ร้อนแรง และลึกซึ้ง มันสอดมือเข้ามาใต้เสื้อของผมแล้วดึงปลายเสื้อออกจากตัวผมในคราวเดียว

จากนั้นมันก็เป็นฝ่ายถอดเสื้อของตัวเองเหวี่ยงทิ้งออกไป

กางเกงบอลที่มันชอบใส่ถูกเหวี่ยงลงข้างโซฟาอย่างไม่ใยดี

ไอ้เด็กขี้ยั่วไม่ใส่กางเกงในออกมาจากห้องเหรอเนี่ย

นี่คิดมาดีแล้วใช่มั้ยวะ

แม่ง

ผมรั้งสะโพกของมันเข้ามาจนมันนั่งคร่อมใช้ขาโอบเอวของผมไว้มันโอบรอบลอคอของผมไว้อย่างรู้งาน

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือไอ้เซ็ทชอบเวลาผมจูบ

เวลานอนไอ้เซ็ทชอบให้ผมกอด

เราต่างเสพติดในสัมผัสของกันและกัน ผมกดจูบแรงๆที่ข้างแก้ม ตอหนวดไม่ได้ทำให้อารมณ์ลดหาย ยามมันจูบกลับทำให้ความรู้สึกที่มีตื่นเต้นและตื่นตัวมากขึ้น ผมไล่จูบลงมาจนถึงต้นคอไอ้เซ็ทเปิดทางให้ผมได้ฝังจมูกลงไปใกล้ขึ้น ดูดเม้มจนไอ้ตัวดีครางฮือก่อนจะประทับจูบลงบนรอยเดิมตรงไหปลาร้าสวยของมัน

   “รอยจางไปนะ”ผมตวัดสายตาบอกกับมันก่อนจะกัดแรงๆเป็นการทำโทษเด็กดื้อไอ้เซ็ทร้องเบาๆแต่กลับแอ่นตัวเข้าหาผมมากขึ้น ปลายเล็บข่วนหลังของผมจนรู้สึกแสบแต่ผมกลับชอบ

ข่วนมาเลย เอาให้หลังขาดเลยก็ได้ อ่า...ฟิน

ผมผลักมันให้นอนราบลงไปกับโซฟาไอ้เซ็ทไม่ลืมที่จะรั้งตัวผมตามลงไปด้วย

จับมันฟัดจนหนำใจเรียกเรียกหัวเราะยามที่ผมปัดจมูกลงบนหน้าท้องแบนราบของมันอย่างหมั่นเขี้ยว จากนั้นผมก็เลื่อนลงไปหยอกล้อกดจูบกับแกนกายของมันที่ตื่นตัวอย่างรวดเร็ว เสียงครางอื้ออึงดังตามมาเมื่อผมทำวิธีเดียวกับที่มันทำกับผม

   “อย่า...อย่ากัดสิ”มันผลักหน้าผากผมเบาๆเมื่อผมแกล้งกัดเบาๆจนร่างของมันผวาเฮือกไม่นานร่างของมันก็เกร็งกระตุกพลางปล่อยทุกหยาดหยดเข้ามาในปากของผม ผมกลืนมันลงไปราวกับเจอของอร่อย ไอ้เซ็ทหอบหายใจถี่ผมเขี่ยที่ช่องทางด้านหลังมันเบาๆเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน

ยังเจ็บหัวอยู่เลย เกิดแหย่เข้าไปแล้วมันตีนลั่นอีกวันนี้เลือดคงคั่งในสมอง

   “ขอได้มั้ย...เซ็ท คินขอได้มั้ย”ผมคลอเคลียอยู่ที่อกของมันเอ่ยขอเบาๆ ปลายนิ้วก็หมุนวนรอบรอยจีบที่เต้นตุบสู้มือ

   “ไม่พร้อม...ยังไม่พร้อม”มันตอบกลับมาด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น ใช้ฝ่ามือปิดหน้าด้วยความอาย

ผมเข้าใจมันนะ

ที่ผ่านมามันเป็นเด็กแมนๆลุยๆ การจะมีเซ็กส์แล้วเป็นฝ่ายถูกกระทำอาจจะต้องใช้เวลาทำใจ

แม้มันจะมีอารมณ์มากเท่าไหร่แต่ความกลัวทำให้มันไม่เปิดทางให้ผมแถมมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ค่อนข้างจะรุนแรง

ใจของมันน่ะพร้อมแล้วแต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนองเสียอย่างนั้น มันจึงปกป้องตัวเองด้วยการถีบผมเมื่อวาน ผมอยากครอบครองมันแต่ผมก้รักมันเกินกว่าที่จะเห็นแก่ตัวเอาแต่ความสุขของตัวเอง

“งั้นข้างนอกก็ได้ นะ...คินไม่ไหวแล้วจริงๆ ทำข้างนอกก็ได้”

“ไม่ใส่เข้าไปใช่เปล่า?”มันเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

“อื้อ ไม่ใส่”ผมตอบย้ำให้มันมั่นใจ ไอ้เซ็ทหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ผมกดจูบลงบนขี้แมงวันเล็กๆข้างมุมปากของมันก่อนจะดันสองขาของมันขึ้นตั้งฉากแล้วกดให้แนบชิด ใช้มือปลุกแกนกายให้ขยายขึ้นแล้วสอดแทรกเข้าไปที่ต้นขาทั้งสองข้างที่ประกบอยู่ของมัน

ไอ้เซ็ทมองการกระทำของผมด้วยใบหน้าที่แดงจัด ผมขยับเอวเข้าออกเป็นจังหวะในขณะที่ไอ้เซ็ทเองก็พยายามหุบขาเพื่อให้ต้นขาบีบรัดตัวตนของผมได้แน่นขึ้น ลมหายใจของผมติดขัดยามที่แรงอารมณ์ภายในพลุ่งพล่าน

แม้ไม่ได้ใส่เข้าไปในตัวของมันแต่ขอแค่เป็นร่างกายของมันไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนผมก็ชอบ ไอ้เซ็ทใช้มือช่วยตรงส่วนที่โผล่ทะลุหน้าขาของมัน ไม่นานนักผมก็เร่งจังหวะเมื่อความเสียวเริ่มเล่นงานผมจนตาพร่า ผมสวนเอวเข้าออกรัวเร็วถี่ยิบก่อนที่จะเงยคอครางเสียต่ำสะโพกกดแรงและหนักอยู่สองสามครั้งหยาดน้ำสีขาวก็กระฉูดจนเต็มหน้าท้องแผงอกเลยไปจนถึงปลายคางของไอ้เซ็ทมันคลายต้นขาออกจากกันก่อนจะรับร่างของผมที่ทรุดลงไปนอนแนบอกมันลมหายใจของผมหอบถี่ไอ้เซ็ทลูบหัวผมเบาๆราวกับจะบอกให้ผมค่อยๆผ่อนคลาย


     “เมื่อวานขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ”มันพูดในขณะที่ยังใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมของผมเล่น

 

                “ไม่ได้โกรธ”ผมตอบกลับมันด้วยความจริง

 

                “แต่ก็งอนกู”

 

                “อือ..ยอมรับว่างอน”

 

                “รอกูหน่อยนะ วันไหนกูพร้อมกูจะเป็นคนเริ่มเอง”

 

                “อย่ามาพูดให้ความหวังแบบนี้สิวะ มึงนี่แม่ง รู้ตัวมั้ยว่าขี้อ่อย”ผมลูบเอวมันเบาๆ

 

                “เอาจริงๆถึงมึงไม่ให้กูก็ไม่ได้ดึงดันที่จะเอามึงหรอกนะ ถ้ามึงไม่พร้อมหรือทำใจไม่ได้ แค่ได้กอดมึงตอนนอน จูบมึงได้โดยที่มึงไม่รังเกียจกูก็พอใจแล้ว ขอแค่มึงไม่ทิ้งกูไปไหนจะให้ทำอะไรก็ยอม”

 

                “ขนาดนั้นเชียว ก็ปกติเห็นมึงมือปลาหมึกตลอดกูก็นึกว่าในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่า”

 

                “กูชอบจูบมึง ชอบสัมผัสตัวมึงก็เพราะกูรักมึงไงเซ็ท กูอยากได้มึงก็จริงแต่กูจะไม่ฝืนใจมึง เพราะถ้าคิดแต่จะเอากันอย่างเดียวกูถือว่านั่นมันไม่ใช่ความรักแต่เป็นความใคร่ มึงไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์ทางเพศของกู แต่มึงคือความรัก เป็นความสุขของกู”

 

                “ขอบคุณนะที่มึงเข้าใจกู...ขอเวลากูหน่อย...กูจะค่อยๆเรียนรู้ มึงก็สอนกูหน่อยนะ กูไม่เคยกับเรื่องพวกนี้จริงๆ กูสัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ดี เป็นนักเรียนที่ดีของมึง”มันกอดผมไว้แนบอกจนแน่นผมขำกับคำพูดของมัน

 

                “ถ้าให้เกรดมึงคงได้เกรดเอ ก็ทำกูเสร็จไปซะสองรอบขนาดนี้ นักเรียนดีเด่น”

 

                “หุบปากไปเลยไอ้เหี้ย พูดแล้วอายกูไปอาบน้ำดีกว่า”มันว่าพลางผลักตัวผมออกก่อนจะลุกขึ้นกวาดเสื้อผ้าติดตัวไปด้วย ผมลุกแล้ววิ่งตามมันไปติดๆ

 

                “อาบด้วย”ท่าทางวันนี้ไอ้เซ็ทอาจจะได้เอสามตัวนะผมว่า...

 


 













...........................







ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
พี่คินคนดี

พี่คินคนรวย

พี่คินของเรา อุ่ย ไม่ใช่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด