BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))  (อ่าน 27768 ครั้ง)

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 49






          คณิน::

 

เช้านี้ต่างไปจากทุกวันเมื่อไอ้เซ็ทไม่ได้ลุกขึ้นมาเตรียมข้าวกล่องให้ผมผมตื่นเพราะนาฬิกาปลุกที่เรามักจะตั้งไว้ตอนตี 5 จริงๆไอ้เซ็ทมันตั้งเพื่อปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นมาหุงหาข้าวเช้าสำหรับเราทั้งคู่ก่อนออกไปทำงานกับเตรียมมื้อกลางวันสำหรับมันแอละผม แต่พอผมลืมตาตื่นก็เห็นมันนอนคว่ำหน้าหลับตาพริ้ม ดูท่าจะเพลียน่าดูเพราะเมื่อคืนผมกวนมันซะหนัก

 

            “ตื่นแล้วเหรอ” มันลืมตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียทำท่าจะขยับตัวลุกหากแต่ผมลูบหัวมันเบาๆแล้วรับอาสาสำหรับการทำอาหารในเช้าวันนี้

 

            “นอนต่อเถอะ เดี๋ยวกูหุงข้าวทำกับข้าวเอง”มันพยักหน้ารับพลางกระชับหมอนใบใหญ่ที่หนุนให้แนบกับใบหน้ามากขึ้น ผมลุกจากเตียงเดินตัวเปลือยเปล่าไปคว้าเอาผ้าขนหนูแล้วเข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน เห็นรอยที่ต้นคอเป็นสีเข้มแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้

 

ปกติไอ้เซ็ทเป็นคนที่ไม่ชอบทำรอยและไม่ชอบให้ผมทำรอยกับตัวมัน  มันให้เหตุผลว่ารอยพวกนี้ถ้าทำในร่มผ้าก็ไม่เท่าไหร่แต่ถ้าทำในจุดที่อาจจะมีคนมองเห็นมันแสดงถึงความไม่รับผิดชอบในตัวเอง ไม่ใช่รอยที่น่าอวดเหมือนรอยที่ทำเพื่อประจานตัวเองให้คนที่เห็นว่าเราเพิ่งไปมีเซ็กส์มา

 

แต่คราวนี้มันคงเหลืออดจริงๆ

 

ขนาดเจนมันยังเล่นซะหงายนับประสาอะไรกับป้าแอ๋ว

 

ผมชอบที่มันแสดงความหึงหวงผมแบบนี้ มันทำให้ผมรู้ว่าไอ้เซ็ทรักและหวงผมมากขนาดไหน แถมหึงทีไรผมได้กำไรเต็มๆ ผมจัดการอาบน้ำจนเสร็จแล้วนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมา อากาศเย็นจากแอร์ไม่ได้ทำให้ผมสะทกสะท้านอะไรนัก คงเป็นเพราะผมชินแต่ไอ้คนบนเตียงตอนนี้เอาผ้านวมไปพันตัวขดราวกับดักแด้ ผมเดินออกมาด้านนอกตรงไปยังส่วนครัวเล็กๆที่เราใช้โต๊ะตัวยาวกั้นไว้จากห้องรับแขกจัดแจงหุงข้าวพอตั้งข้าวเสร็จผมก็ไปเปิดทีวีดูข่าวรอ ราวๆหกโมงกว่าเสียงกุกกักในห้องนอนก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าไอ้เซ็ทตื่นและกำลังเตรียมตัวอาบน้ำ พอข้าวเด้งผมก็เจียวไข่ ครั้งนี้มันฟูสวยหลังจากผมลองเจียวมา 2-3 ครั้ง ผมค่อนข้างจะพอใจกับผลงานครั้งนี้ เสร็จแล้วก็เอาไส้กรอกที่ซื้อไว้มาทอดเป็นอันเสร็จ ไอ้เซ็ทเดินลากเท้าเข้ามาในครัวหลังจากนั้นราว 15 นาที มันชะโงกหน้ามองกับข้าวบนโต๊ะแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

 

            “ใช้ได้ ไข่ไม่ด้านแล้ว ไปแต่งตัวไปเดี่ยวกูตักข้าวรอ”มันดันหลังผมให้กลับไปแต่งตัวในห้อง เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสีเดียวกันรวมทั้งถุงเท้าวางพาดไว้บนเตียง ผมใช้เวลาแต่งตัวไม่นานแต่เซ็ตผมนานจนมันเดินเข้ามาตาม

 

            “หล่อแล้วครับคุณคณิน จะหล่อไปให้ใครดูออกมากินข้าวได้แล้ว”มันเดินมาปลดกระดุมเม็ดบนออกผมมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ

 

            “แบบนี้เท่ห์กว่า วันนี้อยากให้มึงดูเป็นแบดบอย ให้คนที่เห็นมึงอยากได้มึงมันอยากได้จนตัวสั่นแต่ทำอะไรไม่ได้”เราสองคนจ้องตากันก่อนจะกระตุกยิ้มให้อย่างรู้กัน

 

มื้อเช้าเรียบง่ายจบลงง่ายๆ เซ็ทล้างจานเสร็จเราก็ออกไปทำงานโดยที่ผมขับรถไปส่งมัน วันนี้มันบอกให้ผมออกไปหาข้าวข้างนอกกิน มันเมื่อยตัวไม่มีกแก่จิตแก่ใจจะเตรียมให้ซึ่งผมก็โอเค ความผิดเป็นเพราะผมจับมันแหกแข้งแหกขาเล่นกายกรรมเองก็ต้องน้อมรับ ผมเข้ามาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานนิดหน่อย ทักทายพี่ๆในแผนกก่อนจะฟังว่าวันนี้หน้าที่ของผมคืออะไร ก่อนเริ่มงาน 10 นาทีพี่แอ๋วกับพี่นิดก็เข้ามาประจำที่ของตน เรามองตากันนิดหน่อยผมไม่ได้เป็นคนหลบตาหากแต่เป็นพี่แอ๋วที่ทำเป็นหันไปคุยกับพี่นิด ผมกระตุกยิ้มที่มุมปากใส่เจ้าหล่อนไปทีหนึ่ง

 

พี่แอ๋วอาจจะรู้สึกอายหรือเสียหน้า หรืออาจจะถอยเพื่อตั้งหลัก แต่ใจของผมอยากให้แกเลิกยุ่งกับผม เราต่างคนต่างทำงานโดยที่พี่แอ๋วยังไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร จนมีงานจุดหนึ่งที่ผมต้องไปถามแก ผมจึงได้เดินไปที่โต๊ะของพี่แอ๋วกางแบบให้แกดู

 

            “พี่แอ๋วครับ ช่วยดูตรงนี้ให้ผมหน่อย เหมือนสเป็คมันจะผิด”ผมแสร้งโน้มตัวลงไปเคาะตรงจุดที่ผิด พี่แอ๋วช้อนตาขึ้นมาก่อนจะหยุดสายตาไว้ตรงต้นคอของผม

 

แน่นอน ผมจงใจปลดกระดุมและแกล้งกระพือปกเสื้อ พี่แอ๋วมองเห็นรอยนั่นอยู่แล้วล่ะ

 

            “เอ่อ..เดี๋ยวพี่ดูให้นะ”แกว่าไม่เต็มเสียงนักแล้วหลบตาไปทางอื่น ผมไม่เซ้าซี้ ภารกิจเอารอยที่ต้นคอไปให้พี่แอ๋วดูตามที่ไอ้เซ็ทสั่งสำเร็จแล้วผมก็กลับมานั่งทำงานจนกระทั่งได้เวลาพักเที่ยงผมหยิบกระเป๋าเงินเดินตามพวกพี่ๆออกมาด้านนอกเพื่อไปกินข้าวกลางวัน แต่แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดกับใครคนหนึ่งที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางของมันสบายๆพอมันเห็นผมมันก็เดินตรงเข้ามา

 

            “มาได้ไงวะ?”ผมถามมันอย่างแปลกใจ

 

            “พอดีพี่มิ่งให้กูออกไปไซต์งานแถวนี้ พักกลางวันเลยแวะมากินข้าวกับมึง”มันยิ้มเสแสร้งให้กับผมแต่สายตามันน่ะกวาดมองไปทางด้านหลังที่มีพวกพี่ๆทยอยเดินตามกันมา และแน่นอน หนึ่งในนั้นมีพี่แอ๋ว

 

ผมว่าผมร้ายแล้วนะ แต่ไอ้เซ็ทน่ะร้ายยิ่งกว่าผมซะอีก

 

มันกะจะถอนรากถอนโคนคนที่เข้ามายุ่งกับผมทีเดียวจบเลยล่ะ

 

ผมพาไอ้เซ็ทไปร้านอาหารตามสั่งที่พี่แอ๋วมาทุกวัน เพราะแถวนี้มีบริษัทหลายบริษัทดังนั้นช่วงกลางวันลูกค้าจึงเยอะเราได้โต๊ะด้านในสั่งอาหารเสร็จพี่แอ๋วกับพี่นิดก็เดินเข้ามาไม่ผิดจากที่ผมคิดไว้เลยซักนิด สองสาวเดินไปจดรายการอาหารที่จะกินก่อนจะกวาดตามองหาโต๊ะ

 

            “พี่นิดพี่แอ๋ว นั่งกับผมก็ได้ครับ”ผมแกล้งทำตัวมีน้ำใจเอ่ยปากเชิญสาวๆทั้งสองคนนั่งโต๊ะเดียวกันผม พี่นิดเอ่ยขอบคุณผมแล้วหย่อนก้นลงนั่งอย่างคนไม่คิดอะไรพี่แอ๋วจึงจำต้องนั่งตาม

           

            “ขอบใจนะจ๊ะคิน วันนี้คนเยอะจริง ว่าแต่วันนี้ทำไมออกมากินข้าวข้างนอกล่ะจ๊ะทุกทีเห็นนั่งกินข้าวกล่องที่แฟนทำให้นี่นา แล้วพ่อรูปหล่อคนนี้ใครจ๊ะ เพื่อนเหรอ?”พี่นิดเอ่ยถามอย่างคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ผมหันไปมองหน้าไอ้เซ็ทนิดหนึ่งก่อนจะแนะนำให้ทั้งสามคนได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ

 

            “เซ็ท นี่พี่นิด ส่วนคนนี้พี่แอ๋วที่เล่าให้ฟัง”มันยกมือขึ้นสวัสดีพี่ๆทั้งสองคนหากแต่จ้องหน้าพี่แอ๋วแล้วยิ้มน้อยๆ

 

            “พี่นี่เอง สวัสดีครับ”มันเอ่ยทักทาย

 

            “ผมชื่อเซ็ทครับ เป็นคนทำข้าวกล่องให้คิน ขอบคุณที่ช่วยดูแลแฟนผมให้นะครับ พี่ใจดีมากๆเลย”มันส่งยิ้มหวานใสซื่อให้กับพี่แอ๋วกับพี่นิด ในขณะที่พี่แอ๋วหน้าหดเหลือสองนิ้ว พี่นิดมีสีหน้าอึ้งๆกับสิ่งที่ได้ยินแต่ผมในตอนนี้หน้าบานเหมือนบัวกระด้งก็มิปาน

 

ครับ...นี่ใคร น้องเซ็ทแฟนพี่คินไง รักมากด้วยไม่ยอมให้ใครมาแย่งหรอก ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ









 

 

 

            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความอึดอัดเพราะหลังจากที่เศรษฐพงศ์แนะนำตัวทั้งสี่คนก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ นอกจากรอยยิ้มใสซื่อของเศรษฐพงศ์แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกจนกระทั่งข้าวเปล่าและกับข้าวซึ่งประกอบด้วยแกงจืดเต้าหู้หมูสับกับหมูทอดกระทียมพริกไทยที่เศรษฐพงศ์เป็นคนสั่งมาเสิร์ฟทั้งสองคนก็มีท่าทีรีรอ

 

ด้วยเพราะเป็นผู้อ่อนอาวุโสกว่าทำให้ไม่กล้าที่จะลงมือทานข้าวก่อนจนนิดาที่ทนอึดอัดมาซักครู่ต้องเอ่ยบอกให้เด็กทั้งสองคนกินข้าวไปก่อน

 

            “กินเลยๆ ไม่ต้องรอพวกพี่ อีกเดี๋ยวคงได้แล้ว”

 

            “ไม่เป็นไรครับ รอทานพร้อมกันดีกว่า ดีซะอีกจะได้แชร์กับข้าวกัน กินรวมกันหลายคนอร่อยดี”เศรษฐพงศ์ส่งยิ้มจริงใจให้กับสองสาว อีก 10 นาทีต่อมากับข้าวที่นิดาและอรอุมาสั่งก็มาเสิร์ฟ เป็นผัดกะเพราคะน้าหมูกรอบง่ายๆเพียงจานเดียว ทั้งสี่คนเริ่มลงมือทานข้าว อรอุมามองเศรษฐพงศ์ที่ดูแลคณินเป็นอย่างดีชนิดมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแล้วรู้สึกหมั่นไส้ ยิ่งเป็นเศรษฐพงศ์คอยตักกับข้าวให้คณินความรู้สึกอยากเอาชนะก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจ จนในที่สุดหล่อนก็ตัดสินใจตักผัดคะน้าหมูกรอบใส่จานให้กับคณิน

 

            “น้องคินลองทานนี่หน่อยสิจ๊ะ อร่อยนะคะ”คณินมองคะน้ากับหมูกรอบในจานด้วยสายตาว่างเปล่า การทานข้าวของคนทั้งสี่ชะงักลงเมื่อเศรษฐพงศ์เป็นฝ่ายตักคะน้าหมูกรอบที่อรอุมาตักให้คณินไปกองไว้ในจานรองแกงจืด เด็กหนุ่มส่งยิ้มเย็นๆให้กับอรอุมา ดวงตาใจดีใสซื่อเมื่อครู่บัดนี้เรียบสนิท

 

            “พี่แอ๋วอาจจะยังไม่ทราบ คือคินเค้าไม่ทานก้านคะน้า ไม่ทานหมูติดมัน ยิ่งหมูกรอบยิ่งไม่ทานเลยครับ ที่สำคัญคินทานเผ็ดไม่ได้ ถ้าทานอาหารเผ็ดเขาจะปวดท้องแล้วก็ป่วย อ่อ ที่สำคัญที่สุดคือเราควรใช้ช้อนกลางในการตักอาหารนะครับเพราะเราไม่รู้ว่าน้ำลายของเรามีเชื้อโรคอะไรบ้างเรื่องของสุขลักษณะอนามัยสำคัญมากเลยนะครับ สมัยนี้ไม่รู้มีเชื้อโรคสกปรกๆอะไรบ้าง พี่แอ๋วทานของพี่แอ๋วไปเถอะครับ แฟนของผม ผมดูแลเองได้ ป้าครับ ขอข้าวเปล่าอีกจานครับ คิน เปลี่ยนจานข้าว จานนี้มันสกปรกแล้วไม่ต้องกินหรอก”เศรษฐพงศ์ดึงจานข้าวออกจากตรงหน้าของคณินแล้ววางไว้มุมโต๊ะ

 

เป็นอีกครั้งที่อรอุมารู้สึกหน้าชาเหมือนโดนตบ หล่อนกำช้อนส้อมแน่นก่อนจะรวบวางแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม

 

            “อ้าว พี่แอ๋วอิ่มแล้วเหรอครับ กับข้าวยังเหลืออีกเยอะแยะเลยไม่ทานอีกเหรอครับ?”เศรษฐพงศ์แสร้งทำเป็นเชื้อเชิญอย่างหวังดีแต่ตอนนี้ในลำคอของอรอุมามันตีบตันเสียแล้ว หญิงสาวตวัดสายตามองหน้าเศรษฐพงศ์และโดยไม่มีใครจะทันเห็นเศรษฐพงศ์กระตุกยิ้มเหยียดใส่อรอุมา

 

คล้ายลมพัดผ่าน

 

ผ่านมาแล้วผ่านไป

 

            ไม่ล่ะค่ะ พี่กินไม่ลงแล้ว รู้สึกคลื่นไส้ขอตัวก่อนนะคะ ในนี้มันร้อน นิดแกจะไปพร้อมกับฉันมั้ย?”อรอุมาแก้เก้อเมื่อคณินไม่ได้พูดรั้งหล่อนไว้อีกคนด้วยการหันไปชวนนิดา

 

แต่คราวนี้ต้องหน้าม้านอีกครั้งเมื่อเพื่อนสนิทตอบปฏิเสธอย่างไม่ใยดี

 

            “แกไปก่อนเลยฉันยังกินไม่อิ่ม”

 

            “ตามใจ”หล่อนกระแทกเสียงใส่เพื่อนก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินฉับๆออกไปจากร้านโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย นิดาส่ายหน้าระอาใจกับพฤติกรรมของเพื่อน

 

            “แอ๋วมันไปทำอะไรล้ำเส้นหรือเปล่าจ๊ะ”หล่อนหันไปถามเศรษฐพงศ์ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เด็กหนุ่มมองเห็นความจริงใจกับสายตาของนิดาจึงยิ้มรับ

 

            “ก็นิดหน่อยครับ”

 

            “ลองน้องบุกมาถึงนี่คงไม่หน่อย อันที่จริงพี่เตือนแอ๋วมันแล้วแต่มันดื้อ คิดว่าเดี๋ยวก็คงเลิกไปเองพี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะจ๊ะ มีคนใหม่ๆมาเลยสนใจเดี๋ยวพอคินกลับไปแล้วนางก็เลิกบ้าไปเอง”

 

            “ขอบคุณพี่นิดที่เข้าใจนะครับ”

 

            “ยังไงเดี๋ยวพี่จะเตือนมันอีกที น้องสบายใจได้นะ แต่เรื่องที่แฟนคินเป็นผู้ชายนี่เหนือความคาดหมายจริงๆ ถ้าไม่เห็นกับตานี่พี่ไม่เชื่อเลยนะ”

 

มื้ออาหารกลางวันจบลงอย่างเรียบง่าย เศรษฐพงศ์เดินมาส่งคณินที่หน้าบริษัท อากาศที่ร้อนจัดทำให้เหงื่อไหลจนเข้าตาของคณิน ชายหนุ่มหยุดขยี้ตาด้วยความเคยชินหากแต่คนน้องที่เดินคู่กันมารีบจับมือของคณินไว้แล้วจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าของตนเองมาซับเหงื่อที่ตาให้ด้วยความเบามือปากก็บ่นไปด้วย

 

            “มึงนี่น๊า ผ้าเช็ดหน้ากูก็เตรียมไว้ให้ทำไมไม่เอามาด้วย เอามือขยี้แบบนี้เชื้อโรคทั้งนั้น อยากตาแดงตาอักเสบตาบอดหรือไงวะ ถ้าตาบอดกูไม่เลี้ยงนะ โยนขันให้ใบหนึ่งเลย”

 

            “ได้กูแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นซิ๊?”

 

            “เออ ไป เข้าบริษัทมึงไปได้แล้ว กูจะรีบกลับไปทำงานเหมือนกัน เดี๋ยวกลับไปไม่ทันหัวหน้าแดกหัวกูอีก”เศรษฐพงศ์ยัดผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋ากางเกงให้คณินแล้วผลักคนพี่ให้หันไปทางบริษัท โบกมือล่ำลากันจนเศรษฐพงศ์ขับรถออกไปจนลับตาคณินจึงเดินเข้ามาในตัวตึก ผ่านโต๊ะพนักงานที่นั่งคุยกันตามโต๊ะพลันก็มีคนพูดให้เจ้าตัวได้ยินซึ่งๆหน้า

 

            “เฮ้ออออ...เป็นดีเสียดายแต๊ว่าป้อจายงามๆจ๊ะอี้บ่น่ามีผัวเหียก่อน เสียดายแต๊ๆ”

 

            “หันตั๋วเข้มๆตี้แต๊ก่เป็นพวกไม้ป่าเดียวกั๋น”

 

            “จะไปยุ่งกับมันเน้อ เสียวฮู้ขี้หมด”

 

คณินตวัดสายตามองกลุ่มคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ กลุ่มชายหญิงทั้งสามคนหุบปากในทันที คณินส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมน่ารังเกียจนั้น

 

ไอ้เซ็ทนะไอ้เซ็ท มาไม่ถึงชั่วโมงทำเอาคนที่เห็นคิดว่าเขาเป็นเมียมันไปเสียแล้ว

 

ใครเป็นผัวใครเป็นเมียมันจะมาตัดสินกันจากการดูแลเทคแคร์ไม่ได้หรอกโว้ย

 

ของแบบนี้น่ะ

 


เขาตัดสินกันตอนอยู่บนเตียงต่างหากเล่า ไอ้โง่...





 

 

            เช้าวันอาทิตย์เป็นวันหยุด เศรษฐพงศ์ปล่อยให้คณินนอนหลับต่อไปโดยที่ตนเองตื่นมาเตรียมอาหารในช่วงสาย จัดการเอาผ้าลงปั่นแล้วจึงหยิบโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสัญญาณจนสายตัดแม่ก็ไม่รับ เศรษฐพงศ์กดโทรไปใหม่อีกครั้งก็ยังเป็นเช่นเดิม

 

แม่ไม่รับ

 

            “หรือติดธุระอยู่?”มองนาฬิกาเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ปกติแม่จะรับสายตลอดแต่หลังๆมานี่ แม่ติดธุระบ้าง ไม่ว่างบ้าง บ่อยครั้งที่แม่ไม่รับสายแต่จะโทรกลับมาหลังจากนั้น เด็กหนุ่มเดินไปหยิบกล่องพัสดุใบใหญ่ที่ซื้อไว้ออกมา เอาแผ่นบับเบิ้ลมาห่อโหลท้อดองและของกินที่ซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อนเริ่มห่อมันอย่างตั้งใจทีละชิ้นจนครบแล้วจึงลำเลียงใส่ลงไปในกล่องที่บุด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ที่โดนย่อยเป็นฝอย ปิดกล่องจ่าหน้ากล่องเสร็จสรรพก็เลื่อนไปไว้มุมห้อง เกือบ 11 โมงก็เดินกลับเข้าไปในห้องค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงใกล้ๆคณินใช้มือแตะแผ่นหลังของคนรักเบาๆ

 

เศรษฐพงศ์ไม่ชอบการแกล้งให้คนหลับตกใจตื่น เด็กหนุ่มเชื่อว่าการถูกปลุกด้วยกริยาและน้ำเสียงที่ดีจะทำให้คนโดนปลุกอารมณ์ดีไปทั้งวัน

 

            “คิน...ตื่นได้แล้ว 11 โมงแล้ว ลุกมากินข้าวก่อนมา”คณินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะหันมารวมเอวบางแล้วใช้ตักของเศรษฐพงศ์เป็นหมอน กดจูบลงบนหน้าท้องบางของคนน้องสูดดมความหอมของกลิ่นตัวที่ผสมปนเปกับกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มถูไถจมูกไปมาจนพอใจถึงได้ยอมอยู่เฉยๆ เศรษฐพงศ์อดที่จะยิ้มเอ็นดูท่าทางช่างอ้อนของคณินไม่ได้ ร่างบางลูบกลุ่มผมนิ่มมือของคนพี่เบาๆซึ่งคณินก็ยอมให้น้องลูบคลำได้ตามแต่ใจปรารถนาไม่มีอิดออดหรือต่อต้านเลยซักนิด

 

เวลาตื่นเหมือนลูกแมวเชื่องๆ

 

แต่เวลามีเซ็กส์กลับกลายร่างเป็นแมวป่า

 

ทั้งดุร้ายและปราดเปรียว

 

เศรษฐพงศ์รีบสลัดความคิดลามกที่วกเข้าเรื่องใต้สะดือออกในทันที อยากจะตบกะโหลกตัวเองที่ใจดันไพล่ไปคิดเรื่องลามกเสียได้

 

เข้าข่ายหมกมุ่นแล้วนะ สบถด่าตัวเองในใจ

 

            “ลุกได้แล้ว หิวข้าวแล้ว”บอกกับคนพี่พลางลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆซึ่งคณินก็ไม่อิดออดขอเวลาเขาลุกไปจัดการตัวเองแล้วกลับออกมาด้วยสีหน้าสดชื่นเดินตามเศรษฐพงศ์ออกมาด้านนอกก็สะดุดตากับกลิ่งพัสดุกล่องใหญ่ก่อนใครเพื่อน

 

            “แพ็คเสร็จแล้วเหรอ”

 

            “อือ ว่างๆอยู่เลยนั่งแพ็ค ของบ้านอาม่าทั้งสองคนก็เขียนระบุไว้แล้วถ้าอยากส่งอะไรเพิ่มคิ่ยว่ากันวันหลัง”

 

            “คราวหลังรอทำพร้อมกันก็ได้”

 

            “ก็กูว่างไงเลยนั่งทำเรื่อยๆไม่ได้หนักหนาอะไร”

 

            “แต่ทำด้วยกันมันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”คณินรับชามข้าวต้มหมูที่เศรษฐพงศ์ยื่นให้มาวาง เศรษฐพงศ์มองหน้าคณินแล้วจึงพยักหน้ารับ

 

มันก็จริงแบบที่คณินว่านั่นแหละ

 

ทำคนเดียวเสร็จเร็วก็จริง

 


แต่ถ้าทำสองคนอาจจะเสร็จช้าหน่อยแต่ก็มีเวลาได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น...ไม่ใช่เหรอ?





....................................



เออ ของแบบนี้ต้องดูกันตอนเล่นกายกรรมเว้ย จรัม!!



หิวมั้ยทานอะไรมาหรือยัง



เอิ้ววววววววววววววววววว


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 50








                คณินเหลือบมองนาฬิกาเป็นรอบที่ 7 เกือบจะหกโมงเย็นแล้วงานก็ไม่มีทีท่าจะเสร็จ ไลน์ไปบอกเศรษฐพงศ์แล้วว่าโดนหัวหน้าใช้ให้แก้แบบจนป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จซักที ฝนครึ้มมาตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายจนตอนนี้เริ่มลงเม็ดหนาขึ้นทุกที

 

เศรษฐพงศ์ไม่มีรถและเขาไม่ยอมให้เด็กนั่นซ้อนท้ายมิ่งกมลกลับหอเด็กขาด เขาขอร้องให้คนเด็กกว่ารอเขา

 

จนในที่สุดหกโมงครึ่งงานที่ต้องแก้ก็เสร็จ คณินไม่มองหน้าใครเลยยกมือไหว้ลาเสร็จก็จ้ำอ้าวออกมาที่รถ ฝนลงเม็ดหน้าจนเจ็บหน้าแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ใช้เวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริษัทที่เศรษฐพงศ์ฝึกงาน คณินหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ของคนน้อง

 

ไม่ติด...

 

คณินกดโทรหาเศรษฐพงศ์อีกรอบก็ยังไม่ติด ชายหนุ่มขมวดคิ้วจนใบหน้าหล่อบูดบึ้งไปหมด  ตัดสินใจดับเครื่องยนต์รถคว้าร่มที่เจ้าตัวโยนทิ้งไว้เบาะหลังตั้งแต่เมื่อเช้าที่เศรษฐพงศ์ยื่นให้เพราะเห็นว่าฟ้าครึ้มมาตั้งแต่เช้า เดินเข้าไปในสำนักงานเล็กๆของเศรษฐพงศ์ ในนั้นไม่มีใครอยู่เลยซักคน

 

                “อ้าว คุณ มาหาใครคะ”แม่บ้านที่กำลังถูพื้นร้องถามเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า

 

                “ผมมารับน้องชายกลับบ้านครับแต่โทรหาไม่ติดเลยจะเข้ามาตาม”

 

                “น้องชื่ออะไรคะ?”

 

                “เซ็ทครับ”

 

                “อ้อ น้องเซ็ทเหรอจ้าว นู่นแหละ หลังตึกพวกหนุ่มๆไปช่วยบอนต้นไม้อยู่นู่นแหละน้องเซ็ทก็อยู่ด้วย”แม่บ้านวัยกลางคนชี้ไปทางด้างหลังตึก คิ้วของคณินยิ่งขมวดหนักยิ่งกว่าเดอม

 

บอนต้นไม้กลางฝนงี้เนี่ยนะ ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกจากสำนักงานของเศรษฐพงศ์ทันที เมื่อเดินเลาะตัวตึกมาด้านหลังที่ถูกจัดให้เป็นสวนปลูกไม้ประดับก็เห็นคนงานกำลังช่วยกันประคองต้นปาล์มขนาดใหญ่ที่ถูกเครนดึงขึ้นจนลอยจากพื้นให้ค่อยๆนอนลงบนตัวรถได้อย่างปลอดภัย บริเวณรากถูกห่อหุ้มด้วยถุงปุ๋ยขนาดใหญ่ที่เย็บติดกับและพันด้วยเชือกฟางจนแน่นหนา

 

                คณิน :

 

ผมเพ่งตามองผ่านม่านน้ำฝนที่ตกหนักไปยังกลุ่มคนนับสิบคนนั่น ได้ยินเสียงโล้งเล้งตามช่วยกันมัดต้นไม้ก็เห็นไอ้ตัวดียืนอยู่ที่ท้ายรถใกล้กันมีเหาฉลามที่ตามติดยิ่งกว่าเจ้ากรรมนายเวรของไอ้เซ็ทอยู่หนึ่งตัว

 

ไอ้มิ่งกมล

 

กูถามจริง นี่มึงเป็นคนหรือแม่ซื้อกันครับไอ้เหี้ย มีไอ้เซ็ทที่ไหนมีไอ้มิ่งที่นั่น ผมเดินดุ่มๆเข้าไปหาไอ้เซ็ท มันทำท่างงๆเมื่อฝนตรงที่มันยืนอยู่หายไปก่อนจะหันมามองที่ผม

 

                “อ้าว มาเมื่อไหร่”

 

                “กูมาซักพักแล้ว แล้วนี่ทำไมมึงออกมาตากฝน?”ไอ้เซ็ทไม่ได้ตอบคำถามผมแต่กลับหันไปแนะนำผมกับเพื่อนร่วมงานของมันแทนตามมารยาท

 

                “พี่ๆครับ นี่คินพี่ชายผมครับ”ผมจำต้องทักทายพี่ที่ทำงานของมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ อ็เซ็ทเอ่ยลากับพี่ๆที่ทำงานของมันอีกพักพวกนั้นแยกย้ายกันไปเหลือเพียงไอ้มิ่งที่ยังคงยืนไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆไอ้เซ็ท ผมขยับร่มออกให้พ้นหัวมันอย่างแนบเนียน

 

เสือกนัก สาระแนมาพึ่งใบบุญร่มกู กูกางให้เมียกูไม่ได้กางให้มึงไอ้โง่

 

                “แล้วนี่มึงตามมาตรงนี้ทำไมเนี่ย กระหม่อมยิ่งบางๆอยู่โดนละอองฝนหน่อยเดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี”ไอ้เซ็ทดึงความสนใจของผมออกจากไอ้มิ่งด้วยการใช้มือของมันเช็ดละอองฝนที่หน้าของผมให้

 

                “ก็กูโทรหามึงไม่ติดกูเป็นห่วงเข้าไปถามข้างในเขาบอกว่ามึงอยู่นี่”

 

                “พอดีจะเอาต้นไม้ไปลงที่รีสอร์ทแล้วคนไม่พอ ฝนก็เสือกตกหนักพวกกูเลยมาช่วยกันบอนต้นไม้ให้มันเสร็จ”

 

                “นี่ก็เสร็จแล้วกลับเลยสิรอไร”

 

                “คือ...รถพี่มิ่งเสีย”มันพูดอย่างลังเล ผมกรอกตาอย่างไม่ออมมารยาท

 

                “แล้ว?”ไอ้เซ็ททำหน้ากระอักกระอ่วน

 

มันรู้ดีว่าผมโคตรไม่ชอบไอ้มิ่ง

 

และมันรู้ดีว่าผมหึงมันกับไอ้มิ่งมากขนาดไหน แค่มันยอมตามไอ้มิ่งมาทำงานที่นี่แล้วผมไม่อาละวาดผมก็ว่าผมอดทนมากเกินพอแล้วนะ

 

                “ให้พี่มิ่งกลับๆเราด้วยได้มั้ยวะ”

 

                “เซ็ท ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่กลับเอง”ไอ้มิ่งรีบทำทีเป็นบอกปฏิเสธไอ้เซ็ทแทบจะทันที ดูก็รู้ว่าแม่งตอแหล ถ้ามึงจะเดินกลับเองมึงไปตั้งนานแล้วไม่ยืนหัวโด่อยู่อย่างนี้หรอก ผมมองตาไอ้เซ็ท ซึ่งแน่นอนมันไม่ยอมหลบตาผม รู้ทั้งรู้ว่าผมหึงจะตายอยู่แล้วแต่มันยังคงยืนยันเจตนาเดิม

 

แม่ง

 

ผมหันหลังจะเดินออกมาแต่ไอ้เซ็ทกลับจับต้นแขนของผมไว้แน่น

 

                “จะไปไหน?”

 

                “ก็ไปรอมึงกับเพื่อนมึงที่รถไง เร็วๆก็เหนียวตัวจะแย่แล้ว”ผมยัดร่มใส่มือของมันแล้วเดินกลับมาที่รถอย่างหงุดหงิดไม่นานไอ้เซ็ทก็ตามมาที่รถโดยมีไอ้มิ่งทำสีหน้าไม่สบายใจมาด้วย

 

                “ไม่ต้องคิดมากหรอกพี่ คินมันก็เป็นคนหน้าบึ้งอย่างนี้แหละ พี่จะเดินกลับยังไงตั้งเกือบสิบกิโลมาด้วยกันนี่แหละ”มันผลักไอ้มิ่งเข้ามาที่เบาะหลังผมตวัดสายตามองมันผ่านกระจกหลัง

 

เราสบตากันคล้ายมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบระหว่างสายตาของเรา

 

                “รบกวนด้วยนะคิน”อยากจะตอบว่าไม่เต็มใจก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทเข้ามานั่งคู่ด้านหน้าพอดี มันหุบร่มพลางสะบัดให้สะเด็ดน้ำ

 

                “ฝนตกแรงมากเลยนะเนี่ย”ผมถอนหายใจให้กับการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมันก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่เบาะหลังแล้วหยิบผ้าขนหนูเช็ดหัวผืนเล็กโยนโปะให้มัน ตลอดทางเรานั่งกันเงียบๆไม่ได้พูดคุยอะไรกันมีเพียงไอ้เซ็ทหันไปคุยกับไอ้มิ่ง ส่วนมากจะเป็นเรื่องงานของพวกมัน หอของไอ้มิ่งถึงก่อนหอของผมกับไอ้เซ็ทแต่ว่าอยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้าซอยไปอีกหนึ่งกิโลเมตรกว่าๆ ตัวตึกค่อนข้างเก่า น่าจะเป็นหอพักราคาถูก ผู้พลุกพล่านมากกว่าหอที่ผมกับไอ้เซ็ทเช่าอยู่ ทันทีที่รถของผมจอดหน้าตึกหมาแก่ๆ 2-3 ตัวก็เดินออกมาส่งเสียงเห่า

 

                “เออ พี่มิ่ง แล้วพรุ่งนี้ไปทำงานยังไงอ่ะ”

 

                “ยังไม่รู้เลยอาจจะยืมรถเพื่อนไป”

 

                “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมแวะมารับ”

 

                “เฮ้ย ไม่เป็นไร เกรงใจคิน”ไอ้มิ่งรีบปฏิเสธทันทีที่เห็นคิวผมกระตุกอีกรอบ

 

                “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทางผ่านอยู่แล้วเนอะคินเนอะ”

 

เนอะแนะเหี้ยไร ไม่ต้องหันมาทำตาใสแจ๋วใส่กูไอ้เหี้ย

 

                “เออ พรุ่งนี้เจ็ดโมงครึ่งออกมารอก็แล้วกัน”ผมจำใจต้องหันไปพูดกับมันอย่างเสียไม่ได้เมื่อไอ้เซ็ทกุมหลังมือของผมไว้แล้วบีบเบาๆ

 

เรากลับถึงหอในเวลาอีก 10 นาทีต่อมา ไอ้เซ็ทเดินโหย่งปลายเท้าเข้ามาในห้องนอนตามหลังด้วยผมเองมันเปิดตู้เสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ ผมก้าวยาวๆตามมันเข้าไปทันที ไอ้เซ็ทตกใจเมื่อผมเอามือดันประตูห้องน้ำไว้

 

                “ไม่เล่นโว้ย จะอาบน้ำ หนาวจะแย่แล้ว”ผมก็ไม่ได้เล่นซักหน่อย ผมใช้แรงดันประตูห้องน้ำจนแทรกตัวเข้าไปได้แล้วเหวี่ยงไอ้เซ็ทเข้าไปจนชนกับผนังห้องน้ำ มันหน้าเบ้เพราะความเจ็บ

 

ผมรู้ ว่ามันเจ็บ ผมรู้ดี แต่ตอนนี้ผมขอทำโทษไอ้เด็กที่ขัดคำสั่งทุกอย่างของผม

 

                “กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้มึงอยู่ใกล้ไอ้เหี้ยมิ่ง จะต้องให้กูบอกอีกซักกี่ครั้งว่ากูหึงมึงกับมัน หึงจนแทบจะแดกหัวมึงสองคนได้อยู่แล้ว”


 
“ปล่อยกู”เศรษฐพงศ์ทำเสียงดุใส่คณินที่หน้าบึ้งหน้าตึงถึงขีดสุด เขารู้ดีว่าคณินไม่พอใจที่เขาชวนมิ่งกมลกลับมาด้วย แต่นั่นมันเป้นเรื่องของน้ำใจและความมีมนุษยธรรม ฝนตกหนักขนาดนี้แถมไอ้มอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมของรุ่นพี่ก็ดันมาตายสนิทสตาร์ทเท่าไหร่ก็สตาร์ทไม่ติด จะให้เขาใจจืดใจดำปล่อยมิ่งกมลไว้ลำพังก็ไม่ใช่ที่ มหาวิทยาลัยสอนให้พี่น้องรักกัน และเขาก็มองว่ามิ่งกมลเป็นพี่ชายที่สนิทด้วย แต่คณินไม่ได้คิดอย่างนั้น เสื้อยืดตัวบางถูกรวบก่อนจะดึงออกจากตัวแม้เศรษฐพงศ์จะพยายามสู้แต่เพราะความโมโหที่ยังคงค้างคาในใจของคณินยังคงคุกรุ่นอยู่


เอากันตามตรง เมื่อก่อนเวลามีเรื่องต่อยตีกัน ถ้าคณินโกรธถึงขีดสุดเศรษฐพงศ์จะเสียเปรียบอยู่นิดหน่อย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ริมฝีปากร้ายกาจที่เคยพ่นคำด่าเมื่อหลายปีที่แล้วกำลังตะโบมปล้นจูบเขาอยู่ มือหนาก็ไม่ยอมเว้นว่างให้เปล่าประโยชน์ไล่ปลดเข็มขัดก่อนจะล้วงเข้าในภายใต้กางเกงยีนส์สีเข้มของเศรษฐพงศ์อย่างถือสิทธิ์ แผ่นหลังบางเสียดสีกับผนังที่ปูกระเบื้องเย็นเฉียบแม้จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม


แต่ผู้ชายน่ะ เวลาถูกปลุกเร้าตรงส่วนอ่อนไหวสุดท้ายก็โอนอ่อนอยู่ดี จากที่ปฏิเสธจูบแสนจาบจ้วงก็กลายเป็นจูบตอบจนเกิดเสียงกางเกงถูกร่นลงไปกองที่เข่าชั้นในก็ถูกปลดเปลื้องออกไปเช่นกัน แท่งเนื้อที่อ่อนนุ่มกลับค่อยๆแข็งตัวขึ้นยามที่ข้อมือแกร่งขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ


“กูหึงมึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แต่ทำไมกูถึงไม่อาละวาดรู้มั้ย เพราะกูน่ะเชื่อใจมึง แต่กูก็ห้ามไม่ให้ตัวกูโมโหไม่ได้ เพราะว่ากูไม่เชื่อใจมัน”คณินงับฟันคมลงบนไหล่ของเศรษฐพงศ์อย่างทำโทษ ความเจ็บแล่นปลาบสู่ผิวเนื้อจนเศรษฐพงศ์สูดปากแล้วกลั้นเสียงร้องที่สับสนปนเปว่าตนเองจะร้องเพราะความเจ็บที่ไหล่หรือความเสียวที่ถูกปลุกเร้าตรงจุดนั้นดี


“จะให้กูทำยังไงกับมึงดีวะเซ็ท ทำไมมึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้ กูอยากจะทุบมึงให้เหมือนสมัยก่อนนักไอ้เด็กเหี้ย”


“แล้ว...อ่า...ทำไมไม่ทุบกูล่ะ...อื้อ...”เศรษฐพงศ์เอ่ยถามเป็นเป็นคำ เบ้หน้าด้วยความเจ็บเมื่อคณินจับตนเองให้หันหลังนาบกับกำแพงห้องน้ำ ได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีตามด้วยร่างกายอุ่นๆของคณินที่ไร้เสื้อผ้าเรียบร้อยตามมาทาบทับซ้อนอยู่ด้านหลัง

 
“มึงก็รู้ทำไมกูถึงไม่ทุบมึง แล้วมึงก็ฉลาดเหลือเกินไอ้เซ็ท ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเพราะกูรักมึงกูถึงไม่กล้าทำ แต่วันนี้มึงดื้อกับกูเกินไป กูไม่อยากฉีกหน้ามึงแต่มึงก็ไม่ไว้หน้ากูเหมือนกัน มึงมันดื้อ ดื้อเหลือเกินเซ็ท”คณิซ้อนแขนเกี่ยวรั้งข้อพับขาข้างขวาของเศรษฐพงศ์ให้ลอยสูงขึ้นกดจูบลงบนซอกคออุ่นก่อนที่เศรษฐพงศ์จะส่งเสียงร้องเมื่อคณินพยายามสอดตัวตนของตนเองเข้ามาโดยไม่เบิกทางเลยซักนิด


“อ๊า....เจ็บ...คิน กูเจ็บ”


“เจ็บซะบ้างจะได้รู้ว่าคราวหลังอย่าดื้อกับกู”คณินสวนเอวเข้าไปจนมิดความยาว ช่องทางอุ่นตอดรัดรัวแรงอย่างต่อต้านหากแต่มืออีกข้างก็ทำหน้าที่ปลุกเร้าส่วนหน้าของคนน้องอย่างดีเยี่ยม เมื่อร่างกายของเศรษฐพงศ์ปรับตัวกับขนาดของคณินได้ชายหนุ่มก็ขยับตัวได้คล่องขึ้น เศรษฐพงศ์กำมือกับกำแพงเย็นเฉียบยามช่องทางด้านหลังถูกรุกรานอย่างเอาแต่ใจ


รู้ว่าคณินน่ะขี้หึงแต่เศรษฐพงศ์ไม่คิดว่าเขาจะโดนทำโทษเพราะความมีน้ำใจ คณินอาจจะโกรธที่เขาออกหน้าแทนมิ่งกมลทุกอย่าง แต่ก็แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากกลั้นเสียงน่าอายที่เกือบหลุดออกมายามตัวตนของคณินสัมผัสถูกจุดที่ทำให้ชาไปทั้งร่าง


คณินรู้จักร่างกายของเขามากกว่าตัวของเศรษฐพงศ์ซะอีก


รู้ว่าต้องเล้าโลมตรงไหนคนน้องถึงจะโอนอ่อน


รู้ว่าต้องสัมผัสตรงจุดไหนความพยศทั้งหลายของเศรษฐพงศ์จะหายไป


รู้ว่าต้องย้ำที่ตรงไหนถึงจะปราบคนน้องให้ราบคาบได้


และตอนนี้ก็เช่นกัน เรียวขาถูกวางให้เจ้าตัวได้ยืนได้เต็มสองเท้า เพราะท่าทางที่กำลังทำกันอยู่นี้ทั้งแน่นและลึก ความเจ็บจางลงไปมากแล้วแต่ใช่ว่าไม่รู้สึก ไม่บ่อยนักที่คณินจะทรมานตนด้วยท่านี้แข้งขาที่เคยแข็งแกร่งพลันอ่อนยวบยามลิ้นร้อนแลบเลียลงมาที่ใบหูก่อนจะขบเม้มเบาๆจนขนอ่อนบนกายลูกซู่ เอวบางถูกรวบประคองไว้ไม่ให้ล้ม คณินเปิดน้ำอุ่นรินรดตัวเขาทั้งคู่ กลางกายขยับสอดประสานกันจนเป็นจังหวะที่รับส่งกันอย่างพร้อมเพียง ที่สุดเสียงร้องที่พยายามกลั้นไว้ก็ถูกปลดปล่อยยามคณินเน้นกายย้ำๆเข้าจุดเดิมความรู้สึกพุ่งขึ้นถึงขีดสุดราวรถไฟเหาะที่ทะยานสู่ช่วงที่สูงที่สุดก่อนใบหน้าจะเชิดขึ้นเมื่อห้วงอารมณืทั้งหลายถูกปลดปล่อยจนพุ่งปะทะกำแพงเย็นเฉียบแล้วไหลไปตามน้ำ คณินขยับตัวเข้าออกอีกราวๆหนึ่งนาทีก่อนจะปลดปล่อยธารอุ่นเข้าไปจนเต็มและล้นออกมาจากช่องทางที่ยังคงตอดรับตัวตนเอขาเป็นระยะ ยามที่ถอนแกนกายออกเศรษฐพงศ์ก็แทบจะร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น ลมหายใจของทั้งคู่ร้อนผ่าวราวน้ำที่กำลังจะเดือด เสียงหอบสะท้านดังคลอเคลียกันยามที่คณินโถมตัวมากอดร่างบางของน้องไว้ ปลายคางวางลงบนลาดไหล่ของน้องที่ยังคงปรากฏรอยฟันของคนพี่อยู่ คณินกระซิบที่ข้างหูของน้องด้วยน้ำเสียงเรียบตึง


“กูรักมึง รักมึงมากๆนะเซ็ท อย่าทำให้กูหึงบ่อย ความอดทนกูไม่ได้มีมากขนาดนั้น”


“กูรู้แล้วน่า หายบ้าได้ยัง ถ้าหายแล้วก็ปล่อย กูจะเอาลูกมึงออกจากตัวเนี่ย ไอ้สัด ถุงยางก็ไม่ใส่”


“มากูช่วย”ทำท่าจะใช้นิ้วควานเข้าไปด้านในของน้องหากต่เศรษฐพงศ์หันกายกลับมาแล้วผลักอกคนพี่ออก


“รีบอาบน้ำของมึงแล้วรีบออกไปเลยไอ้สันดาน กูทำเองได้”คณินทำท่ายอมแพ้เมื่อเห็นคนน้องทำตาเขียวปั๊ดใส่ ชายหนุ่มอาบน้ำชะระร่างกายตัวเองพลางมองคนน้องที่จัดการเอาส่วนที่คั่งค้างของตัวเองออกอย่างเงียบๆ


“เซ็ท”


“อะไร?”เศรษฐพงศ์ถามโดยไม่ได้มองหน้าคณินที่กำลังกระตุกยิ้มอย่างชอบใจอยู่เลยซักนิด


“เอาสดก็ดีเหมือนกันนะ กูชอบ”


“อาบเสร็จก็ออกไปเลยไอ้เหี้ย รำค๊าน!!!”




 

          คณิน::

 

ผมสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกที่ไอ้เซ็ทตั้งไว้ตอนตีห้ากรีดเสียงร้องผ่านความเงียบ ไอ้เซ็ทยังยังซูกตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ได้กุลีกุจอลุกขึ้นเหมือนทุกวันกลับกลายเป็นผมที่ตื่นขึ้นอย่างง่ายๆ ผมเอื้อมมือไปแตะแขนมันที่โผลพ้นเนื้อผ้าแล้วสะดุ้งโหยง

 

ตัวของมันร้อนยังกับไฟ ผมตื่นเต็มตา รีบใช้หลังมืออังหน้าผากของมันอย่างร้อนใจ

 

            “เซ็ท มึงไม่สบายเหรอ เป็นไงมั่ง”

 

            “กุหนาว”มันตอบกลับมาแบบเพ้อๆ ผมไม่รู้ว่ามันมีสติสัมปัชชัญญะครบถ้วนหรือเปล่าด้วยซ้ำ

 

            “มึงไม่สบาย เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้นะไข้จะได้ลด”ปกติไอ้เซ็ทเป็นคนร่างกายแข็งแรง การที่มันจะเจ็บไข้ได้ป่วยซักครั้งนั่นจึงเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผม ผมจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มันจนเสร็จ ไอ้เซ็ทบ่นหนาวเป็นพักๆ ปรือตามองผมราวกับคนที่กำลังมึนๆ

 

          “วันนี้ลางานเดี๋ยวสายๆกูจะพามึงไปหาหมอ”ผมจัดการตบลงบนอกมันเบาๆหลังจากจับมันทาแป้งแต่งตัวเสร็จ

 

            “มึง...”

 

            “หืม?”ผมตอบรับคำเรียกด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของมัน

 

            “อยากกินโจ๊กหมู ใส่ขิงซอยเยอะๆ”ผมหลุดขำออกมาพรืดใหญ่เมื่อไอ้คนป่วยยังห่วงปากท้องของตัวเองก่อนจะหุบยิ้มทันทีเหมือนต้นไมยราพที่ถูกเขี่ยด้วยปลายตีนเมื่อมันพูดประโยคถัดมา

 

            “แล้วอย่าลืมแวะไปรับพี่มิ่งด้วยนะ”

 

            “เออ รู้แล้ว  ห่วงมันจริงนะ”ผมกระแทกกะละมังน้ำกับผ้าขนหนูลงบนอ่างล้างหน้า

 

            “มานี่...”ไอ้คนป่วยที่หน้าซีดหน้าเซียวกวักมือเรียกผม ผมพยายามที่จะไม่กระแทกกระทั้นแล้วนะ แต่เสียงเท้าที่ลงกับพื้นห้องก็ดังตึงๆอยู่ดี

 

            “เราคุยเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอวะ คุยกันจนกูป่วยเนี่ย”

 

อ่าว โยนความผิดมาให้ผมหน้าด้านๆซะอย่างนั้นแหละคนเรา แต่ก็มีส่วนถูกนิดหนึ่ง

 

            “คนเราอ่ะ รับปากเขาไว้แล้ว ถ้าไม่ทำตามที่พูดนี่หมาเลยนะ มึงยอมเหรอ”

 

            “มึงมันเก่ง เซ็ท เรื่องเล่นกับใจคนนี่ล่ะเก่งนัก กูจะเอาอะไรมาเถียงมึงได้ล่ะ นอนเถอะเดี๋ยวกูกลับมา”ผมกดจูบลงบนปากซีดนั้นหนักๆก่อนจะคว้ากุญแจรถที่หัวเตียง ผมขับรถมารับไอ้มิ่งที่หน้าหอพักของมัน ไอ้มิ่งเปิดประตูหลัง

 

            “มานั่งเบาะหน้า กูไม่ใช่คนขับรถของมึงว่ะพี่”ไอ้มิ่งสตั๊นท์ไปแพ๊บนึงแล้วมันถึงได้ปิดประตูหลังเปิดมานั่งเบาะหน้าข้างผม

 

            “เซ็ทไม่มาเหรอ”

 

            “มันป่วย วานลางานให้มันด้วย”

 

 

มิ่งกมลฟังเสียงเครื่องยนต์รถที่ดังเบาๆ คณินไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกทำเพียงตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปตามทางที่คุ้นเคยเรื่อยๆ ชายหนุ่มสังเกตว่าเช้านี้คณินขับรถเร็วกว่าเมื่อวานพอสมควร ความเงียบที่โอบรัดทำให้บรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัดจนมิ่งกมลต้องกระแอมไอเบาๆ

 

            “ฝึกงานเป็นยังไงบ้าง ดีมั้ย”สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ต้องเอ่ยปากชวนคุย หากแต่คณินก็ยังเฉยราวกับจะไม่ได้ยิน

 

            “อาหารการกินๆได้หรือเปล่า เห็นเซ็ทบอกว่าคินกินเผ็ดไม่ได้”

 

            “พูดถึงไอ้เซ็ทขึ้นมาก็ดี ไหนๆก็ได้อยู่กันลำพังโดยไม่มีไอ้เซ็ทแล้ว พี่รู้ใช่มั้ยว่าผมกับไอ้เซ็ทไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ”คณินหันไปมองหน้ามิ่งกมล คนแก่กว่าพยักหน้าหงึกๆ

 

            “รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าคินกับเซ็ทคบกัน”คณินกระตุกยิ้มอย่างพอใจในคำตอบ

 

            “เซ็ทมันบอกเหรอ”

 

            “เปล่า พี่รู้ได้เอง รู้ตั้งแต่คินแท็กเซ็ทในเฟสบุ๊คแล้ว”

 

            “รู้ แต่พี่ก็ยังจะเข้ามาเกาะแกะเมียผมเนี่ยนะ?”

 

            “เกาะแกะ? พี่ไปเกาะแกะอะไรเซ็ทเหรอ?”

 

            “อย่ามาทำยอกย้อนไปหน่อยเลย ผมรู้ว่าพี่คิดยังไงกับไอ้เซ็ท”คณินทำเสียงขึ้นจมูกราวกับกำลังเยาะเย้ยมิ่งกมลในที ชายหนุ่มสูงวัยกว่าส่ายหน้าเบาๆ

 

ก็พอรู้มาอยู่บ้างว่าคณินเป็นคำเอาแต่ใจและหวงเศรษฐพงศ์มากๆ

 

แต่ก็ไม่คิดว่าจะเด็กขนาดนี้

 

            “ถ้าการที่พี่กับเซ็ทอยู่ใกล้ชิดกันทุกวันนั่นเรียกว่าการเกาะแกะก็คงเป็นอย่างนั้น แต่พี่กับเซ็ทไม่มีอะไรกันจริงๆ”

 

            “จะปฏิเสธว่างั้นทั้งๆที่สายตาที่พี่มองมันน่ะแสดงออกว่าอยากได้มากขนาดไหนน่ะนะ”

 

            “พี่ยอมรับว่าพี่ชอบเซ็ท”คณินเบรกรถทันทีจนหัวทิ่ม หันไปมองหน้ามิ่งกมลพลางตะครุบคอเสื้อของชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างเอาเรื่อง

 

            “แต่พี่ก็รู้ผิดชอบชั่วดีพอที่จะไม่หน้าด้านแย่งของๆใคร ยิ่งกับเซ็ทแล้วด้วยรายนั้นน่ะไม่เคยมองใครด้วยสายตาแบบที่มองคินเลยนะ เขามองแค่นายไม่รู้เลยเหรอ เลิกหวงเลิกหึงเถอะยังไงเซ็ทก็ไม่มีทางมาชอบพี่หรอก”

 

            “งั้นพี่ก็ควรเลิกชอบแฟนผมซักที ผมหึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

 

            แล้วจะหึงไปทำไมล่ะ ให้พี่เลิกชอบเซ็ทมันก็คงเลิกไม่ได้ง่ายๆ แต่พี่รับรอง พี่ไม่มีวันแย่งแฟนใคร ทุกวันนี้พี่เอ็นดูเซ็ทในฐานะรุ่นน้องที่ทำงานเก่ง นิสัยดี ความชอบของคนเรามันมีหลายแบบนะคิน เลิกคิดมากเรื่องพี่กับเซ็ทซักที มันจะไม่มีวันนั้นพี่จะไม่แย่งของๆใคร”

 

            “ให้มันได้อย่างที่ปากพูดเถอะ”คณินปล่อยคอเสื้อของมิ่งกมลออกหลังจากจ้องตากันมาพักใหญ่

 

เขาอาจจะยังไม่เชื่อเต็มร้อยว่ามิ่งกมลจะทำได้อย่างที่ปากพูดแต่ดวงตาแน่วแน่ที่มิ่งกมลมองตอบมันมีความจริงใจเกินกว่าที่เขาจะทำตัวงี่เง่า

 

            “แล้วนี่ฝึกงานเสร็จเดือนหน้าใช่มั้ย?”

 

            “อืม”

 

            “ฝึกเสร็จก็ต้องกลับไปกรุงเทพไม่ห่วงเซ็ทแย่เหรอ”

 

            “ห่วงสิทำไมจะไม่ห่วง ไอ้เซ้ทน่ะไม่ค่อยดูแลตัวเองจะบินมาหามันบ่อยๆก็ไม่ได้ แม่งขี้งกบอกเปลืองค่าเครื่อง”

 

            “จะคอยดูให้ก็แล้วกัน”

 

            ไหวังดีหรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง?”

 

            “หวังดีจริงๆ มีอะไรจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ แต่ในมอคงต้องให้เพื่อนๆช่วยดูนะพี่จบมาทำงานแล้ว”

 

            “เรื่องเมื่อกี๊ขอโทษด้วยแล้วกัน”

 

            “เฮ้ย มันไม่เป็นไรเลย คนเรามันเข้าใจผิดกันได้ พี่ดีใจนะที่คินมาเคลียร์กันตรงๆกับพี่ แล้วคราวหลังก็ไม่ต้องประชดด้วยการขับรถเฉียวรถพี่อีกล่ะ นี่คงซ่อมอีกหลายวัน”คณินเงียบไปก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ บรรยากาศบนรถไม่ได้อึดอัดแบบตอนแรกแล้ว มิ่งกมลบอกให้คณินจอดส่งตัวเองที่ถนนด้านนอกจะได้ไม่ต้องถอยไปถอยมาให้วุ่นวาย ชายหนุ่มออกรถมุ่งตรงไปยังตลาดที่มีโจ๊กเจ้าประจำของเศรษฐพงศ์

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมาชายหนุ่มก็กลับมาถึงห้อง คนป่วยยังคงนอนซมไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง คณินแกะโจ๊กใส่ชามเทผักและขิงอย่างที่เศรษฐพงศ์ชอบใส่ถ้วย แกะยาที่ซื้อมาและน้ำเปล่าจนพร้อมจึงยกไปที่เตียง

 

            “เซ็ท มึงลุกมากินข้าวไหวมั้ย?”

 

            “กูปวดหัวไม่มีแรง”

 

            งั้นมึงพิงหัวเตียงนะ เดี๋ยวกูป้อน นอนกินเดี๋ยวสำลัก”คณินประคองคนป่วยให้นั่งหนุนหมอนที่หัวเตียง โจ๊กอุ่นๆถูกป้อนให้คนน้องอย่างไม่เร่งรีบ เศรษฐพงศ์ทำท่าเหมือนจะอ้วกออกมาตลอดเวลาจนกินได้ครึ่งชามก็ฝืนไม่ไหว

 

            “พอ ไม่เอาแล้ว อยากนอน”ไม่พูดเปล่าเศรษฐพงศ์ก็ไหลตัวเองลงนอนกับเตียงทันที

 

            “กินยาก่อน”

 

            ไม่เอา ไม่อยากกิน อยากนอน”

 

            “อย่าดื้อสิวะไม่กินยาจะหายป่วยได้ยังไง ไอ้เซ็ท ยังอีก ลุกขึ้นมากินยาก่อน หรือจะต้องให้ป้อน”คณินพยายามพลิกร่างอ่อนปวกเปียกของเศรษฐพงศ์ให้หันกลับมาหากแต่คนป่วยกลับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหูปิดหน้าซะอย่างนั้น

 

            “โอเค ไม่กินก็ไม่กิน”คนพี่ทำท่ายอมแพ้จนเศรษพงศืยอมเอาผ้าออกจากใบหน้า แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างบางก็ถูกพลิกกลับไปนอนหงายก่อนที่ริมฝีปากอุ่นของคณินจะทาบทับลงมา คณินใช้มือบีบกรามของเศรษฐพงศ์จนคนน้องเปิดปากของเหลวถูกส่งเข้ามาพร้อมยาสองเม็ดที่เริ่มละลาย ปลายลิ้นดุนดันจนเกือบสำลักจำต้องกลืนยาลงคอ

 

            “แค่กๆ”เศรษฐพงศ์ผลักหน้าของคณินออกก่อนจะไอโขลก สีหน้าของคนที่เพิ่งจะป้อนยาทางปากให้กับคนป่วยเหยเกก่อนจะตะเบ็งเสียงใส่กันโดยไม่ได้นัดกหมาย

 

            “ขมชิบหายเลยไอ้เหี้ย!!”

 

ทำไมไม่โรแมนติกอย่างในละครเลยวะ!!!!




........................................................




เรื่องจริงมันไม่หอมหวานแบบในละครหรอกพี่มึ้งงงงงงงงง






อิ๊อิ๊าง

มาเอาเสิงเอาสดอะไรล่ะพี่คิน คนบว้าาาาา

เม้นท์ด้วย

ไม่เม้นท์งอน

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 51





            คณินไม่คิดเลยว่าการดูแลคนป่วยจะเหนื่อยขนาดนี้ เศรษฐพงศ์นอนซมไปสามวันเนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เขาพาไปหาหมอตั้งแต่ช่วงบ่ายๆของวันแรกเพราะไม่ว่าจะเช็ดตัวยังไงไข้ก็ไม่ลด กลัวไอ้เด็กมันจะช็อกตายเสียเหลือเกินเพราะไข้ขึ้นสูงแตะ 40
 
ในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ได้ลิ้มรสชาติของการนอนซมให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล ตลอดระยะเวลาหลายวันที่เศรษฐพงศ์ป่วยคณินแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับแทนคนป่วย เขาหงุดหงิดที่ลางานได้เพียงสามวันเพื่อมาดูแลเศรษฐพงศ์วันที่เหลือคณินจึงใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการจ้างพยาบาลพิเศษ
 
และแน่นอนคณินแทบจะหูดับเมื่อเศรษฐพงศ์ที่ฟื้นไข้ในวันที่ห้าด่าเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวเป็ดเทศ
 
            “มึงเลิกบ่นซักทีเถอะ”คณินหันไปทำปากงุ้ยใส่คนป่วยอย่างไม่ชอบใจ
 
            “แม่กูยังไม่บ่นเท่ามึงเลย”
 
แน่ล่ะสิก็แม่มึงชิงตายไปก่อนถ้าเขาเห็นมึงใช้เงินสิ้นเปลืองแบบนี้กูรับรองได้ว่าเขาไม่บ่นอย่างเดียวแต่เขาจะเฉาะกบาลมึงแน่ เศรษฐพงศ์ได้แต่เถียงในใจก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้เป็นการตัดบทสนทนาที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่างอน
 
อาการงอนของเศรษฐพงศ์ไม่ใช่การฮึดฮัดประชดประชันหรือพูดมากอย่างที่ผู้หญิงชอบทำกัน แต่อาการนอนหันหลังไม่พูดไม่จากอดอกนิ่งนั่นแหละคือการงอนเต็มรูปแบบ คณินลอบถอนหายใจเบาๆไม่ให้เศรษฐพงศ์ได้ยิน ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าของเศรษฐพงศ์ซึ่งคนเด็กกว่าไม่ได้หันหนีหรือแกล้งหลับเหมือนที่นางเอกละครหลังข่าวชอบทำกัน เขายังคงลืมตาแล้ะจ้องกลับโดยไม่หลบหรือหนีไปทางอื่น คณินดึงมือคนน้องไปกุมไว้แล้วเริ่มต้นอธิบายอย่างใจเย็น
 
          “อย่าคิดมากเรื่องจ้างพยาบาล มันไม่ได้แพงเลยถ้าเทียบกับความปลอดภัยของมึง ถ้าไม่มีคนอยู่ดูแลมึงกูคงไปทำงานไม่ได้หรอก กูห่วงมึงจะตายอยู่แล้วมึงรู้มั้ย ตั้งแต่รู้จักกันมามีแค่กูที่ป่วยบ่อย มึงไม่เคยป่วยให้กูเห็นเลยซักครั้ง งกกับอะไรมึงงกไปเถอะแต่กับเรื่องของสุขภาพกูขอไว้ซักเรื่องนะเซ็ท”
 
            “กูก็ไม่ได้อะไร กูแค่รู้สึกว่ากูแข็งแรงพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว”
 
            “มึงยังไม่หายเซ็ท”คณินท้วงกลับทันที เศรษฐพงศ์จ้องตาคนรักก่อนจะยอมพยักหน้า
 
            “โอเค กูยอมมึง”เศรษฐพงศ์ส่งยิ้มให้กับคณิน เขางี่เง่าเองเรื่องที่คณินจ้างพยาบาลมา เขาแค่คิดว่าตัวเองสามารถดูแลตัวเองได้แล้วในวันที่ดีขึ้นแต่คณินไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ยิ่งมองตากันเศรษฐพงศ์ก็ยิ่งรู้ว่าคณินรักและเป็นห่วงตนเองมากขนาดไหน
 
ในขณะที่เขาคิดง่ายๆว่าแค่นอนเฉยๆไม่ต้องยุ่งยากอะไรก็ได้แต่คณินคิดมากไปกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวเคยสุญเสียแม่ในตอนที่โตเป็นวัยรุ่นแล้วจึงเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียอย่างถ่องแท้มากกว่าเขาที่แทบจำอะไรไม่ได้เลยว่าพ่อต้องเจ็บปวดหรือทรมานมากแค่ไหนในวันที่ตาย ฝ่ามือร้อนผ่าวของคนป่วยบีบกระชับตอบอย่างอ่อนโยน
 
บางทีเขาอาจจะตีกรอบให้คณินมากเกินไปเรื่องการใช้เงินทั้งที่จริงๆแล้วคณินก็ใช้อย่างที่เคยใช้ทุกสิ่งที่จ่ายนั่นอาจจะคือความจำเป็นในความคิดของคนที่โตกว่าและเศรษฐพงศ์ควรจะเคารพการตัดสินใจของคณิน ยิ่งสายตาที่ฉายชัดถึงความรักความเป็นห่วงยิ่งทำให้พูดอะไรไม่ออก
 
อะไรที่ยอมได้ก็คงต้องยอมกันไปและตนเองควรจะอ่อนแอให้คณินได้ปกป้องบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อที่คนเป็นพี่จะได้ภูมิใจว่าเขาสามารถรับผิดชอบและดูแลชีวิตของใครซักคนได้ด้วยตัวเองแล้ว
 
ไม่ใช่แต่คณินที่เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเศรษฐพงศ์ ตัวของเศรษฐพงศ์เองก็เรียนรู้ที่จะอะลุ่มอะล่วยเขาเองก็รู้ว่าบางครั้งก็ตึงจนเกินไปโชคดีที่ว่าคณินเองก็ยอมโอนอ่อนตามทุกหน มันจึงไม่มีปัญหา แต่เศรษฐพงศ์เองก็คิดถึงการใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว
 
ไม่มีใครจะยอมได้ตลอดเวลา ถ้าถึงวันหนึ่งที่คณินไม่ยอมและเขาเองก็เคยชินกับการถูกตามใจมาเสมอนั่นแปลว่าความรักของเขาต้องมีปัญหาแน่ๆ
 
เศรษฐพงศ์นอนที่โรงพยาบาลอีกสองวันหมอก็ให้กลับบ้านได้ ทันทีที่ร่างกายฟื้นตัววันรุ่งขึ้นเจ้าตัวก็ลุกขึ้นมาปฎิบัติตัวเหมือนเช่นทุกครั้งคือตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อหุงข้าวทำกับข้าวและแพ็คใส่กล่องให้คณินพกไปกินที่ทำงาน  เศรษฐพงศ์ได้คุยกับแม่หละงจากนั้นอีกสองวัน เด็กหนุ่มโล่งใจไปเปราะหนึ่งเมื่อแม่บอกว่าที่ไม่ค่อยได้โทรหาหรือรับสายเป็นเพราะโทรศัพท์พังต้องส่งซ่อม
 
            “แล้วเซ็ตจะกลับบ้านเมื่อไหร่ลูก”
 
            “ก็หลังฝึกงานเสร็จซักอาทิตย์หนึ่งแหละแม่ เซ้ทต้องจัดการธุระที่มอก่อนเสร็จแล้วถึงจะไป”
 
            “จะมาเมื่อไหร่ก็โทรบอกแม่นะจะได้ทำกับข้าวไว้รอ”
 
            “ได้ครับ อยากกินไก่รวนฝีมือแม่จะแย่แล้ว พวกไอ้อิ้งก็บ่นว่าคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ใจจะขาด”
 
            “ถ้าคิดถึงก็รีบกลับมา ว่าแต่เซ็ทจะกลับมาพร้อมพี่เค้าเลยมั้ยลูก”
 
            “ก็พร้อมแหละคินมันบอกรอกลับพร้อมกันจะได้ไม่เปลืองค่ารถ”ลดาหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนั้น
 
            “เดี๋ยวนี้หัดประหยัดแล้วเหรอ ปกติเห็นจ่ายแบบไม่ต้องคิด”
 
            “ผมล้างสมองมันเองแหละแม่ เอ้อ แม่ครับแค่นี้ก่อนนะเซ็ทจะไปทำงานแล้วแม่ดูแลตัวเองดีๆนะครับ”
 
            “จ้าลูก คิดถึงลูกนะ”
 
            “เซ้ทก็คิดถึงแม่ รักแม่นะครับ”
 
            “รักลูกเหมือนกัน” เศรษฐพงศ์วางสายจากแม่เรียบร้อยก็ตักข้าวใส่จานแล้วเดินเข้าไปปลุกคณินที่ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง
 
เป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นชิน
 
ในที่สุดการฝึกงานวันสุดท้ายของคณินก็มาถึง พี่ๆต่างลงขันกันเพื่อเลี้ยงอำลาน้องใหม่เมื่อสามเดือนก่อน บรรยากาศเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา คณินเดินออกมานอกร้านก็พบกับอรอุมาที่ห่างจากการมาวอแวตนหลังจากเปิดตัวเศรษฐพงศ์ ชายหนุ่มเดินไปหาหญิงสาวรุ่นพี่
 
            “พี่แอ๋วครับ”
 
            “คะ? น้องคินมีอะไรคะ”
 
            “ผมแค่อยากจะมาขอโทษพี่น่ะครับ ไหนๆก็จะไปแล้วอยากให้มีความทรงจำดีๆเก็บไว้ ถ้าผมทำอะไรให้พี่รู้สึกไม่ดีผมขอโทษด้วยนะครับ”คณินยกมือไหว้หญิงรุ่นพี่ อรอุมาเองไม่ทันได้ตั้งตัวกับการมาเอ่ยปากขอโทษของคณินครั้งนี้ หญิงสาวยอมรับในใจว่าตนเองรู้สึกเคืองอยู่ไม่น้อย หลิอนรู้สึกเหมือนโดนเด็กสองคนรุมตบให้อาย แต่พอคณินเข้ามาขอโทษแบบนี้แล้ว อรอุมาเองก็ได้คิดว่า คณินทำอะไรผิด เด็กคนนี้ชัดเจนมาตลอดว่าไม่ได้คิดอะไรกับหล่อน เป็นหล่อนเองที่หลงรูปหลงฐานะเงินทองของชายหนุ่มจนหน้ามืดคิดรวยทางลัด
 
ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายใจ อรอุมารับไหว้คณินในทันที
 
            “พี่สิต้องขอโทษน้องที่ทำตัวรุ่มร่ามไม่เหมาะสม พี่ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว ต่อไปนี้ก็ขอให้คินเรียนจบสมที่ตั้งใจนะคะ”
 
            “ขอบคุณมากครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ”อรอุมาพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย คณินโบกมือให้หล่อนก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป
 
เขาสบายใจที่อย่างน้อยก็ได้มีความรู้สึกที่ดีก่อนจากลา
 
คณินไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีวันเดินไปขอโทษเพราะเขาจะคิดเพียงแค่ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เขาเรียนรู้ที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของตนเองและเมื่อได้เอ่ยปากขอโทษไปแล้วคนที่สบายใจก็คือเขาเอง
 
 
            อีกสองวันต่อมาเศรษฐพงศ์ก็เสร็จสิ้นการฝึกงานวันรุ่งขึ้นหน้าหอพักของทั้งคู่จึงเต็มไปด้วยบรรดาเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์และคณินที่ตามมาสมทบและพักโรงแรมในเมืองตั้งแต่เมื่อคืน แดนธรรมและอานุพนธิ์เอารถมาเองคนละคัน
 
            “อ้าว ใครจะไปกระบะกับไอ้แดน แบ่งไปเลยสามคน”
 
            กูกับไอ้แพรไป”แพทขานรับทันที
 
            ไอ้อิ้งค์มึงมากับกูด้วย”แดนธรรมกวักมือเรียกโอบนิธิที่ยืนคุยกับสองแฝด
 
            ทำไมกูต้องไปกับมึงวะ”
 
            “ควาย มึงรู้ทางแต่กูไม่ชำนาญเกิดหลงหรือขับรถตกเขาตายโหงทำไง”
 
            กูก็ไม่ได้ชำนาญป่ะ”
 
            “แต่มึงเคยไป”
 
            “เรื่องมากจังแม่ง กูกะจะนั่งไปกับเพื่อนกูซักหน่อย งี้กูจะคุยกับใครอ่ะ”อิ้งคืบ่นอุบใส่แดนทำที่ทำตาหยีฟันเหยินใส่
 
            งั้นไอ้แพรมึงไปคันไอ้สองแฝดแล้วเอาไอ้ย้งมานั่งกับมึง”
 
            ชิบหายกูได้หูแตกกันพอดี”คราวนี้แพรเป็นฝ่ายบ่นเมื่อตัวเองถูกดีดไปนั่งคันเดียวกับสองแฝด ยงวิสุทธิ์ถูกเรียกให้มานั่งคันเดียวกับแดนธรรม โอบนิธิเปิดประตูหลังเพื่อเตรียมจะเข้าไปนั่งแต่แดนธรรมกลับเบรกไว้ซะก่อน
 
            “มึงมานั่งหน้า”
 
            “กูจะนั่งหลัง”
 
            “แล้วใครจะดูทางให้กู”
 
            “มึงจะเลิกเถียงกันได้ยัง เอาไงเร็วๆกูร้อน”กลายเป็นพชรพลที่เอ่ยปากด่าแดนธรรมและโอบนิธิที่ยังเถียงกันไม่หยุดซักที ที่สุดโอบนิธิก็ได้มานั่งหน้าตึงอยู่เบาะหน้าโดยที่ยงวิสุทธิ์และพชรพลนั่งอยู่เบาะหลัง เมื่อจัดขบวนกันเสร็จทั้งหมดจึงได้ขับรถม่งหน้าสู่จังหวัดเชียงรายเพื่อไปพักผ่อนบนภูชี้ฟ้า ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มไปจนถึงเขตเมืองที่ค่อนข้างจะแห้งแล้งของเชียงรายพวกเขาแวะกินข้าวกลางวันกันแถวๆวัดร่องขุ่นก่อนจะเข้าไปเที่ยวชมในวัดแล้วจึงมุ่งหน้าขึ้นสู่ภูชี้ฟ้า หลายครั้งที่หยุดรถข้างทางแล้วลงไปยืนหน้ากระดานฉี่แข่งกันในแนวป่าด้วยความคึกคะนอง เสียงพูดคุยและโห่แซวดังขึ้นยามรถเร่งเครื่องสู่ภูสูง ทิวเขาทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา ยิ่งใกล้ค่ำควันไฟสีขาวลอยฟุ้งตามจุดที่เป็นที่พักอาศัยของผู้คนทั้งสองฝั่ง รีสอร์ทและโฮมสเตย์มากมายรายทางดีที่ว่านี่ไม่ใช่หน้าหนาวดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงไม่เยอะมีพอให้เห็นบ้างแต่ไม่หนาตา เกือบค่ำทั้งหมดก็ขึ้นมาถึงบ้านพักที่มิ่งกมลจจองไว้โดยที่ชายหนุ่มเดินทางมาถึงล่วงหน้าแล้ว  บ้านพักหลังใหญ่มีสองห้องมีที่นอนและผ้าห่มเตรียมไว้ให้ คณินจูงมือเศรษฐพงศ์ให้มาด้วยกันแล้วเลือกที่นอนริมในสุดวางกระเป๋าเรียบร้อย เสียงเพื่อนๆทะเลาะกันเรื่องว่าใครจะนอนห้องไหนเพราะเศรษฐพงศ์ถูกดึงไปนอนกับคณินแล้ว เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงให้วิธีจับฉลากเพราะทั้งคณินและเศรษฐพงศ์อยากให้เพื่อนๆได้นอนแบบคละๆกันไป  มิ่งกมลได้นอนห้องเดียวกับคณินและเศรษฐพงศ์โดยมีว่าน แฝดจินคนน้อง ยิม อ้น แพร นอนห้องเดียวกัน ส่วนที่เหลือ แพท ย้ง  แดน อิ้งค์ วี แฝดจีนคนพี่ที่โวยวายอยากนอนกับแฝดน้องนอนด้วยกันอีกห้องหนึ่ง อาหารที่ซื้อมาพร้อมเครื่องดื่มสุรามึนเมาน้ำแข็งถังใหญ่ถูกจัดเตรียม กองไฟขนาดย่อมถูกจุดขึ้นเพื่อเรียกบรรยากาศการตั้งแคมป์
 
            “พี่มิ่ง เหล้าหน่อยมั้ยพี่”ยิมส่งเหล้าที่เพิ่งชงให้รุ่นพี่ที่นั่งทำตัวกลมกลืนกับรุ่นน้อง ชายหนุ่มผิวขาวจัดเจ้าของพื้นที่รับแก้วเหล้ามาถือพลางหมุนมันไปมาในมือ มองเศรษฐพงศ์ที่จิบเหล้าแก้วเดียวกับคณินพลางคุยกันเบาๆด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความอาลัยอาวรณ์ที่เจ้าตัวพยายามเก็บมันแล้วแต่ไม่มิด ยงศกรตบไหล่รุ่นพี่อย่างเห็นใจ แต่เรื่องความรักมันห้ามหรือบังคับใจกันไม่ได้ และตั้งแต่ที่คณินกับเศรษฐพงศ์คบกันปัญหาต่อยตีระหว่างสองกลุ่มก็ยุติตามไปด้วย การที่เพื่อนของเขามีความสุขหลังจากที่เจ็บหนักจากอารดาต่อให้เมื่อก่อนจะเหม็นขี้หน้าพวกของคณินมากขนาดไหนแต่สุดท้ายเพราะคนๆนั้นเป็นคนที่เศรษฐพงศ์รักพวกเขาจึงยอมสงบศึก
 
หากตอนนั้นมิ่งกมลมาเจอเศรษฐพงศ์ในวันที่เร็วกว่านี้เขาก็อยากจะเชียร์ให้เศรษฐพงศ์ลองเปิดใจให้รุ่นพี่นิสัยดีคนนี้ดู
 
แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้
 
เป็นไปไม่ได้ทั้งเรื่องเวลาและความรู้สึกของเศรษฐพงศ์เพราะตอนนี้เพื่อนของเขาน่ะรักคณินหมดทั้งใจไปแล้ว

หากมิ่งกมลไม่รีบตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้รังแต่จะเจ็บลึกไปเรื่อยๆ ไม่มีใครช่วยได้แม้แต่ตัวเขาเองที่รู้สึกเห็นใจรุ่นพี่คนนี้อยู่ไม่น้อย




((ต่อด้านล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

 
 
            หลังจากดื่มกินได้พักใหญ่ทุกคนก็ตกลงที่จะแยกย้ายไปอาบน้ำ เมื่ออาบกันเสร็จเรียบร้อยหลายคนก็นอนเล่นโทรศัพท์หากแต่พชรพลกลับเอาผ้าห่มมากางที่กลางห้องหยิบไพ่ป๊อกออกมาจากกระเป๋า เพียงเท่านั้นโดยไม่ต้องอัญเชิญบรรดาเพื่อนที่รู้ใจก็มานั่งล้อมวงกันหน้าสลอน
 
            “ไอ้ว่านมึงไปเรียกไอ้คินกับพวกห้องนู้นมาดิ๊”แพรใช้ว่านที่กำลังค้นหาเศษตังค์ในกระเป๋าให้มาร่วมวงพลางหันไปชวนเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ ไม่นานคณินก็เดินมาพร้อมกระเป๋าเงินมีเศรษฐพงศ์ตามมาด้วย มิ่งกมลก็ถูกลากให้มาร่วมวงเช่นกัน ทั้งหมดล้อมวงแล้วเริ่มวางเงิน
 
            “ขั้นต่ำสิบบาทนะโว้ยใครจนกลับไปนอน”แพทที่สถาปนาตนเองเป็นเจ้ามือประกาศ พวกเพื่อนๆเริ่มวางเงินลงตรงหน้าของตัวเอง คณินเปิดกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรสีแดงออกมาวาง
 
            “กูชอบความใจป้ำของมึงว่ะเพื่อน”
 
            “พอดีรวยน่ะ ใช้เศษเหรียญไม่เป็น”คณินรับบุหรี่ที่อ้นส่งให้มาคาบไว้ที่ปากอัดควันจนเต็มปอดแล้วส่งต่อให้เศรษฐพงศ์
 
            “ทำไรกันวะ”เศรษฐพงศ์กระซิบถามเมื่อแพทเริ่มแจกไพ่ให้คนละสองใบ
 
            “ป๊อกเด้ง มึงไม่เคยเล่นเหรอ?”หันไปถามคนข้างๆที่เศรษฐพงศ์เองก็ส่ายหน้า คณินหยิบไพ่ขึ้นมาดูแล้วฟาดลงตรงหน้า
 
            “เก้าเด้ง”
 
            “ไอ้เหี้ย เปลี่ยนเป็นเกลียดมึงได้มั้ย เจ้า ป๊อกแปดเอ้าพวกมึงไม่ต้องลุ้นแล้ว วางๆ”เสียงเพื่อนร่วมวงโวยวาย เสียงเศษเหรียญกระทบกัน หลายครั้งที่คณินเสียคนที่หน้าตูมที่สุดคือเศรษฐพงศ์ ยิ่งตาไหนที่แพทได้สองเด้งแบงค์ร้อยของคณินก็ต้องคูณเข้าไปแต่ส่วนมากคณินจะมือขึ้นหน้าตาของเศรษฐพงศ์จึงผกผันตามตัวเลขบนไพ่ ในขณะที่สีหน้าของเจ้ามือหมองลงเรื่อยๆ
 
            “ไอ้เหี้ยคิน วันนี้มึงพกอะไรมา ปกติโดนแดกตลอดวันนี้เสือกมือขึ้นเฉยเลย นี่กูเรียกมึงมาเชือดนะไม่ใช่ให้มาเด้งเอาๆแบบนี้”
 
            “พกเมียมาด้วย”คณินตอบเสียงเรียบในขณะที่เศรษฐพงศ์กำลังอัดบุหรี่เข้าปอด เมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับสำลักพร้อมเสียงห่าฮาเป่าปากจากเพื่อนๆ

           "พกเมียมาด้วยเหรอ พกเมียมาด้วยเหรอเนี่ย พกเมียมาด้วยเหรอแหมมาแค่นี้ด้วยพกเมียมาด้วยยยยยยยยยย"
 
 
          เศรษฐพงศ์::
 
ไอ้ชิบหาย พกเดิงพกดวงอะไรก็ว่าไปเสือกบอกว่าพกเมียไอ้เหี้ย
 
เรื่องโพซิชั่นกูก็อยากให้มันคลุมเครือแบบนี้ตลอดไปไม่ใช่ไปประกาศโต้งๆ
 
ผมจิ้มก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยก่อนจะทุบลงบนหลังไอ้คินอย่างไม่ยั้ง พวกเพื่อนๆของผมทำสีหน้าเจ็บปวดในขณะที่เพื่อนของไอ้คินกำลังโห่ฮาเหมือนหมาบ้า ส่วนตัวคนพูดประโยคหน้าด้านฟาดไพ่สองใบลงตรงหน้าอีกครั้ง
 
            “ป๊อกเก้า”มันว่าพลางหันมาฉีกยิ้มให้ผม
 
ผมเคือง เคืองมากเลย มันก็จริงอยู่ที่เพื่อนๆก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าผมกับมันน่ะเกินจากคำว่าแฟนไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่การที่ต้องมาเปิดเผยหรือพูดออกไปโต้งๆแบบนี้ผมก็ยังมีความรู้สึกอาย
 
            “ยิ้มหน่อยน่า เดี๋ยวตังค์ที่ได้ให้มึงหมดเลย”มันกระซิบกับผมเบาๆแต่สิ่งที่มันพูดนั้นอิมแพคอารีน่ามาก ผมหายโกรธแทบจะในทันที
 
            “โอเค”ผมเริ่มจะเชื่อคำพูดที่มันเคยบอกแล้วว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยเงิน หลังจากที่ผมกับมันสงบศึกกันผมนั่งดูมันเล่นไพ่อีก 4-5 ตาไอ้แพทเจ้ามือที่หมดตูดก็ประกาศเลิกเล่น เวลาล่วงเลยมาจนเที่ยงคืนกว่าๆวงไพ่เฉพาะกิจจคงเป็นอันเลิกรา ไอ้คินทำตามที่มันพูดคือโกยเงินที่อยู่ตรงหน้ามันให้ผมเก็บ ผมนับเหรียญและแบงค์ที่วางอยู่อย่างละเอียดก็พบว่ามันมากเกือบๆสองพัน
 
โอ้โห...รู้แล้วทำไมคนถึงติดการพนัน เพราะเวลาได้นี่แม่งก็ได้โคตรเยอะ ไอ้คินยังมีเงินอยู่ครบทุกบาท ส่วนผมก็ได้ค่าขนมไปเก็บแบบขำๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผมเก็บเงินเสร้จก็นั่งคุยกับเพื่อนๆอีกพักก่อนที่จะถูกไอ้คินส่งเสียงเรียกให้เข้านอนได้แล้วผมจำต้องเดินกลับไปห้องตัวเอง ในห้องมีเพียงไฟด้านนอกที่ส่องแสงเพียงสลัว ไอ้คินขยับผ้าห่มให้ผมสอดตัวเข้าไป ผมเว้นระยะห่างจากมันเล็กน้อยหากแต่มันหรือจะยอม แขนแกร่งรั้งเอวของผมให้เข้าไปแนบชิดกับมัน ผมเปิดปากเตรียมจะด่าก็พอดีที่มันฉวยจังหวะนั้นกดจูบลงมาบนปากผม ความกลัวว่าคนที่นอนอยู่ใกล้ๆทั้งเพื่อนผมและเพื่อนมันรวมทั้งพี่มิ่งจะเห็นทำให้ผมดิ้นเพื่อจะผลักมันออก ไอ้คินตวัดผ้าห่มคลุมตัวเราทั้งคู่ก่อนจะกระซิบเบาๆ
 
            “ถ้ามึงไม่ดิ้นก็ไม่มีใครสนใจหรอก ขอจูบนิดเดียวนะ”ผมแลบลิ้นออกมาแตะริมฝีปากอย่างชั่งใจแต่ไอ้คินกลับเหมาเอาว่าการเงียบของผมคือคำอนุญาต เป็นอีกครั้งที่เราจูบกัน แม้จะจูบกันออกบ่อยแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เรามีคนอื่นนอนอยู่รายรอบ เสียงจูบดังเป็นระยะ รสชาติและกลินของเหล้าและบุหรี่ที่ยังคงหลงเหลือที่เรียวลิ้นของพวกเราทำให้จูบครั้งนี้ดูเย้ายวนไม่ใช่น้อย คำว่านิดเดียวของไอ้คินยาวนานเกือบสามนาที มันจูบมันดูดมันฟัดจนพอใจนั่นแหละถึงยอมปล่อย แต่อย่าคิดว่ามันจะปล่อยให้ผมนอนได้อย่างสงบๆนะ มันเลิกจูบแล้วก็จริงแต่ก็กอดผมจนผมซบกับอกของมันแน่นไม่ยอมปล่อยความเพลียจากการเดินทาง ความมึนเมาจากแอลกอฮอล์และจูบเมื่อครู่ รวมทั้งความง่วงทำให้ผมผล็อยหลับไปในที่สุด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงทุ่มของมันกระซิบอยู่ข้างๆหู แสงไฟในห้องสว่างจ้าเมื่อลืมตาก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง เสียงเพื่อนๆพูดคุยกันดังให้ได้ยิน ผมสะดุ้งลุกขึ้นพรวด เพื่อนๆและคนในห้องที่ตื่นแล้วกำลังเตรียมตัว สงสัยเมื่อคืนผมคงดื่มมากไปหน่อยเลยนอนเพลินจนลืมไปซะสนิทว่าตีสี่ครึ่งเราจะเริ่มเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดภูชี้ฟ้า
 
เรื่องนั้นช่างแม่ง ตอนนี้ผมต้องเฉดตัวออกจากสายตานับสิบคู่พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของไอ้พวกเหี้ยนี่ก่อน
 
แม่งมันต้องเห็นหมดแล้วแน่ๆว่าผมกับไอ้คินนอนกอดจนแทบจะรวมร่างกันอยู่แล้ว
 
ผมไม่พูดไม่จาเดินไปคุ้ยหายาสีฟันแปรงสีฟันแล้วเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวได้ยินเสียงไอ้อ้นแซวไอ้คินเบาๆเรื่องนอนกอดกับเสียงจูบเมื่อคืน
 
แม่ง คอยดูคืนนี้กูจะหนีไปนอนกับไอ้อิ้งค์!!
 
 
เรานั่งรถกระบะที่พี่มิ่งขับจนถึงตีนเขา เด็กชาวเขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดประจำเผ่าดูน่ารักหลายคนเดินไปมา เราแวะกินกาแฟที่เพิงตีนเขากันซักครู่ อากาศตอนนี้เย็นแบบตึงๆผิวเมื่อพร้อมกันหมดทุกคนแล้วเราก็เริ่มเดินเรียงกันขึ้นไปด้านบน จากตอนแรกก็เดินเกาะกลุ่มกันดีแต่พอระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงหอบหายใจด้วยความเหนื่อย แม้ผมเองจะออกกำลังกายมาบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่ายิ่งเดินสูงขึ้นมาเท่าไหร่ความเหนื่อยก็ทบทวี จนตอนนี้เสียงเพื่อนๆเริ่มทยอยหายไป บ้างก็นำหน้าขึ้นไปด้วยความบ้าพลังเช่นไอ้แดนกับไอ้อิ้งค์ที่เถียงกันไปตลอดทาง ตามด้วยไอ้สองแฝดที่ท้าแข่งกันว่าใครขึ้นถึงก่อนคนนั้นชนะ ไอ้ยิมกับไอ้ย้งไม่พูดไม่จาอะไรเดินไปพร้อมพวกไอ้แพรากับไอ้แพท ตามมาด้วยตัวผมกับไอ้คิน ส่วนที่เหลือรั้งท้ายจนตอนนี้มองลงไปก็ไม่เจอกันแล้ว
 
            “คิน พักก่อนกูเหนื่อย”ผมบอกกับไอ้คินที่ยังรักษาลมหายใจของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม มันหันมามองผมที่เท้าเอวหอบจนตัวโยนแล้วยิ้มเยาะ
 
            “อ่อนว่ะ”
 
            “ใครจะไปฟิตอย่างมึงล่ะ”ผมด่ากลับ
 
            “ก็กูบริหารช่วงล่างบ่อยเลยฟิต”มันว่ายิ้มๆ ผมหันรีหันขวางก่อนจะคว้าก้อนดินก้อนเล็กๆเขวี้ยงใส่มัน
 
            “พูดจาหน้าด้านหัดรู้จักอายมั่ง”
 
            “อายทำไมมีแค่มึงกับกู”
 
            “อายเจ้าป่าเจ้าเขาสิ มึงไม่อายแต่กูอาย”ผมหย่อนตูดลงนั่งบนหินก้อนใหญ่ ใช้มือกระพือเสื้อให้ลมเย็นๆช่วยคลายเหนื่อย ไอ้คินก็นั่งลงบนหินก้อนเดียวกัน
 
            “อากาศดีเนอะ”
 
            “อืม”ผมตอบรับมันเบาๆ ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ดาวบนฟ้าส่งประกายพร่างพราวระยิบระยับ
 
            “ดาวก็สวย”ผมว่าก่อนจะเผลอยิ้มออกมา
 
            “แต่ไอ้ดาวหางของกูสว่างที่สุด”ผมหันไปมองมันที่ยิ้มแฉ่งทันทีที่ผมพูดจบ
 
            “อยากจูบมึงว่ะ มึงแม่ง...”
 
            “กูสาบานได้ถ้ามึงจูบกู กูจะถีบมึงให้กลิ้งตกเขาไปเลย”ผมรีบแบรกความคิดของมันทันที ไอ้คินทำหน้าเสียดายฟน่อยๆ เรานักพักกันราวสิบนาทีไอ้พวกชุดหลังก็ส่งเสียงตามมาให้ได้ยินแว่วๆ ไอ้คินรีบลุกขึ้นทันทีก่อนจะจับมือผมดึงให้ลุกตาม
 
            “ไปกันเถอะ อยากเดินกับมึงแค่สองคน”ผมขำกับท่าทางก้าวฉับๆของมัน มือเราสองคนกุมผสานกันไว้ไม่ได้ปล่อย มันทั้งอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย
 
น่าแปลกที่เมื่อก่อนไอ้คินคือตัวอันตรายที่สุดสำหรับผม แต่มาตอนนี้ แค่มีมันอยู่ใกล้ๆผมก็ไม่เคยกลัวอะไรเลยไม่ว่าทางข้างหน้าจะยากลำบากแค่ไหนผมก็รู้ว่ามันจะไม่ปล่อยผมให้เผชิญกับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเพียงลำพัง ในที่สุดหลังจากถูกเด็กชาวเขาเดินน็อครอบไปสามรอบถ้วนเราสองคนก็ขึ้นมายืนบนจุดชมวิว นักท่องเที่ยวหลายคนกำลังโพสต์ท่าตรงป้ายชื่อ ผมกับไอ้คินเดินไปมองวิวด้านล่าง อีกฝั่งหนึ่งมีแสงไฟกระจายตามทิวป่า ควันไฟลอยอ้อยอิ่งเย้ายวนกลมกลนกับทิวหมอกจางๆ เราอดที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้ไม่ได้ ไอ้ย้งจ่ายเงินให้กับสาวน้อยชาวเขาแก้มยุ้ยอายุราวๆ 6-7 ขวบ 2-3 คนแล้วเรียกพวกเราเข้าไปถ่ายรูปหมู่เมื่อกลุ่มหลังมาถึง ในที่สุดสิ่งที่เราดั้นด้นเดินขึ้นมาด้วยความยากลำบากก็มาถึง แสงสีทองค่อยๆโผล่ขึ้นมาฉาบไล้กลุ่มเมฆหมอกอย่างช้าๆจนกระทั้งกลืนกินทั่วผืนฟ้าความสวยงามตามธรรมชาติสะกดให้ผมจ้องมองอย่างไม่รู้เบื่อ ผมอิจฉาชาวบ้านแถวนี้เหลือเกินที่ได้เฝ้ามองธรรมชาติแสนสวยนี่ได้ทุกเมื่อที่อยากดู
 
สวยจนแทบลืมหายใจ ถ้ามาหน้าหนาวมันจะสวยมากกว่านี้ไหมนะ ผมโยนความเหนื่อยล้าจากการเดินทางการงานและความเครียดในสมองทิ้งไปเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ คนข้างๆของผมค่อยๆสอดปลายนิ้วเข้ามา เรากุมมือกันอย่างเงียบๆ เราต่างมีรอยยิ้มที่รู้กันเฉพาะแค่สองคนให้กับภาพตรงหน้า เรารอจนพระอาทิตย์ขึ้นจนเต็มฟ้าแล้วจึงเดินลงมาตามทางเดิม จัดการกับอาหารเช้าที่คลับเฮ้าส์ที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ เป็นข้าวต้มง่ายๆที่มีเครื่องเคียงใส่จานไว้ 5-6 อย่าง ไอ้คินผู้กินยากมองผักหน้าตาแปลกๆในจานแล้วตัดสินใจกินแค่กาแฟกับขนมปังปิ้งสองแผ่นรองท้องเพราะยังไงเดี๋ยวช่วงสายเราก็จะกลับเข้าตัวเมืองเพื่อไปเที่ยวที่อื่นต่อ  หลังจากทำการคืนบ้านพักและเก็บของเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้เราขับกลับมาที่เชียงใหม่เพื่อพักในโรงแรมอีกหนึ่งคืน เราไปหาซื้อของฝากและเที่ยวรวมทั้งไปหาข้าวกลางวันค่อนไปทางบ่ายเสร็จก็กลับไปนอนเอาแรงเพื่อที่จะไปเที่ยวไนท์บาร์ซ่าในตอนกลางคืน
 
ตกตอนกลางคืนเราแยกกันเดินตามอัธยาศัยผมกับไอ้คินเลือกซื้อผ้าสวยๆเพื่อไปฝากแม่รวมทั้งศิลปะท้องถิ่นพวกงานไม้อันเล็กๆไปฝากพ่อ แวะเป็นแบบวาดรูปคู่กันอึดใจใหญ่ ซื้อของกินเดินกินเล่นๆจนถึงเวลานัดก็กลับมารวมกันอีกครั้ง เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านดังก่อนจะกลับที่พัก กลุ่มผมไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนักเพราะอยู่มานานเป็นปี อะไรที่เคยตื่นตาตื่นใจมันหมดไปตั้งแต่เดือนแรกๆแล้วดังนั้นพวกเราจึงมีถุงของกินเล่นติดไม้ติดมือกันมาคนละถุงสองถุงต่างจากพวกบ้านนอกที่เพิ่งมา มันซื้อกันเหมือนชีวิตนี้จะไม่ช็อปปิ้งอีกแล้ว เราแยกย้ายกันเข้านอนเพื่อออกเดินทางกลับกาญจน์ในวันพรุ่งนี้ โปรแกรมของเราคือหิวที่ไหนแวะกินที่นั่นถ้าผ่านสถานที่ท่องเที่ยวก็แวะถึงบ้านกี่ทุ่มกี่ยามช่างหัวมัน ผมเอาผ้าทอลายสวยที่ซื้อไปฝากแม่เก็บใส่กระเป๋าแล้วจึงอาบน้ำเข้านอน ไอ้คินยังคงเป็นเด็กขาดความอบอุ่นได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย มันหันมากอดและซุกผมราวลูกนกตัวน้อยๆ
 
            “ฝันดี”มันยืดตัวขึ้นมาจูบผม อยากจะแหวะกับความโรแมนติกอยู่หรอกแต่อีปากเวนเสือกยิ้มไม่หุบนี่สิ
 
            อือ ฝันดี”
 
แม่ง...กูก็เลี่ยนพอกันให้ตายเถอะ


.....................................

เดินคนเดียวมันเหนื่อยไง

เดินด้วยกันไปได้ไกล

ฝึกงานเสร็จแล้ว

หมายถึงต้องแยกกันแล้ว

เรื่องราวหลังจากนี้คงต้องให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้พี่คินน้องเซ้ทกันเยอะๆเลยนะคะ

ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น ทุกคู่ไม่ว่าเพศไหนย่อมเจออุปสรรคอยู่แล้วไม่มากก็น้อยเนอะ

ตักตวงความสุขนี้ให้เต็มที่นะเบ่เบ๋
 
 
 
 


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 52







            หลังออกเดินทางจากเชียงใหม่ในช่วงสายในที่สุดคณินและเศรษฐพงศ์ก็มาถึงบ้านในช่วงพลบค่ำ ลดารีบออกมารอลูกชายทันทีที่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน เศรษฐพงศ์อ้าแขนรอรับแม่ทันทีที่ลงจากรถ ลดาสวมกอดลูกชายด้วยความคิดถึง
 
            “แม่ผอมลงหรือเปล่าครับเนี่ย”เศรษฐพงศ์ดันผู้เป็นแม่ออกจากตัวพลางส่งสายตาสำรวจ
 
            “ช่วงนี้แม่ไดเอทน่ะ”ลดาตอบอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหันไปยิ้มให้คณินที่ยกมือไหว้สวัสดี
 
            “พ่อเค้ารออยู่ในบ้านน่ะ ลูกจะอาบน้ำอาบท่าก่อนค่อยมากินข้าวหรือจะกินก่อนดีจ๊ะ”
 
            “ขออาบน้ำก่อนดีกว่าครับ”คณินตอบ
 
            “งั้นไปอาบน้ำเถอะจ้าเดี่ยวน่าอุ่นกับข้าวรอ เซ็ทก็ไปอาบน้ำไปลูก”หล่อนดันหลังลูกชายให้เดินเข้าไปในบ้าน แม่บ้านช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปด้านบนแล้ว สองหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อพูดคุยทักทายกันนิดหน่อยจึงแยกขึ้นไปอาบน้ำ
 
            “โห แม่ ทำอะไรเยอะแยะครับเนี่ย”เศรษฐพงศ์ที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยลงมาก่อนคณินร้องถามอย่างตื่นเต้น ดวงตากลมวาวด้วยความเบิกบานใจเมื่อเห็นแกงป่าของโปรดวางเด่นเป็นสง่า
 
            “แม่คิดว่าลูกๆคงคิดถึงกับข้าวบ้าน อยู่นู่นมีแต่อาหารเหนือคงหากับข้าวบ้านเรายาก”
 
            “มันก็พอมีบ้างแหละแม่แต่รสชาติไม่เหมือนของบ้านเรา”เศรษฐพงศ์ตักข้าวใส่จานให้คณิตและลดารวมทั้งของตัวเองกับคณิน ไม่นานร่างสูงหอมฟุ้งก็เดินลงมาสมทบ
 
            “นึกว่าจะอาบให้ตัวลอกไปเลย”อดไม่ได้ที่จะหันไปแขวะคนพี่
 
            “นี่กูก็รีบที่สุดแล้วมั้ยล่ะเห็นพ่อกับน้ารออยู่”คณินหันไปเถียงฉอดๆอย่างไม่ยอมกัน คณิตมองดูลูกๆเถียงกันด้วยสีหน้ามีความสุข
 
            “เออคิน พรุ่งนี้เข้าไปหาก๋งกับม่าสิ แกบ่นคิดถึงจะให้พาไปหาที่เชียงใหม่หลายรอบแล้ว”คณิตเอ่ยบอกกับลูกชาย
 
            “ก็ว่าจะไปอยู่แหละป๊า แต่ขอสายๆหน่อยแล้วกัน ตอนเช้าจะพาไอ้เซ็ทไปวัด”คณินตักไก่รวนที่เศรษฐพงศ์ตักให้ใส่ปาก
 
            “เฮ้ยมึงไปหาก๋งกับม่าเถอะเดี๋ยวกูไปไหว้พ่อคนเดียวได้”
 
            “ได้ไงกูจะเอามึงไปด้วยถ้ากูไปคนเดียวใครจะช่วยก็ยกของ”
 
            “โถ้...ไอ้สัด”เศรษฐพงศ์หลุดปากด่าคณินที่เอาแต่หัวเราะจนตาหยี ลดาฟาดเผี๊ยะลงบนต้นแขนลูกที่ด่าคนพี่เสียงดังจนเศรษฐพงศ์แกล้งทำเสียงร้องโอดครวญราวกับเจ็บจนแขนหลุด
 
            “แม่ ตีเซ็ททำไมอ่ะ เจ็บนะ”
 
            “ก็ไปด่าพี่เค้าทำไมล่ะ”
 
            “อ๊าว ก็ดูมันดิ่แม่กวนตีนเซ็ทอ่ะ โอ้ย!!”ส่งเสียงร้องอีกครั้งเมื่อแม่ตีลงมาอีกรอบ
 
            “เกรงใจลุงเค้าบ้าง เด็กคนนี้นี่”ลดาเอ็ดลูกชายที่ยังคงใช้คำพูดไม่ดีใส่คณินหากแต่คณิตกลับหัวเราะก๊ากให้กับท่าทางของเด็กทั้งคู่
 
            “ไม่เป็นไรหรอกแม่ เด็กผู้ชายก็คุยกันแบบนี้แหละ”คณิตออกปากเข้าข้างลูกเลี้ยง มื้ออาหารค่ำผ่านไปอย่างอบอุ่นสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระส่วนมากจะเป็นเรื่องการฝึกงานที่ทั้งคู่ได้ทำมา
 
            “พรุ่งนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยลูก ทั้งเซ็ททั้งคินเลย”
 
            “เซ็ทอยากกินข้าวต้มกุ้งใส่ขิงเยอะๆ”
 
            “ผมยังไงก็ได้ เอาข้าวต้มกุ้งแบบไอ้เซ็ทว่าก็แล้วกัน”คณินเห็นดีเห็นงามกับเศรษฐพงศ์ด้วย
 
            “ใครทำก็ไม่อร่อยเท่าแม่ทำ ขนาดเซ็ททำตามแม่รสมือยังได้ไม่เหมือนแม่เลย คิดถึงกับข้าวบ้านเราจะแย่”เศรษฐพงศ์กอดเอวแม่พลางซบลงบนไหล่งุ้งงิ้งๆกับแม่ราวเด็กน้อย เป็นมุมที่ไม่ค่อยเผยให้เห็นมากนัก
 
ตัดความเข้มแข็งที่เจ้าตัวพยายามสร้างภาพขึ้นมาตลอดเศรษฐพงศ์ก็คือไอ้เด็กช่างอ้อนของแม่นั่นเอง ทั้งหมดนั่งคุยกันจนสามทุ่มลดากับคณิตก็แยกขึ้นไปนอน คณินที่นั่งดูบอลอยุ่กับเศรษฐพงศ์ลุกขึ้นยืนพลางดึงแขนคนน้องให้ลุกตามขึ้นมาด้วย
 
            “ป่ะ ไปกัน”เศรษฐพงศืมองหน้าคณินเลิ่กลั่ก
 
อะไรของมันวะ อยู่ๆก็ลากออกมาที่รถ
 
            “ไปไหน ดึกป่านนี้แล้ว”
 
            “ไปกินหนมหวานร้านโฉม มึงบ่นอยากกินไม่ใช่เหรอ”
 
 
เศรษฐพงศ์::
 
เรามาถึงป้อม สห.กันตอนสามทุ่มครึ่ง ไอ้คินเอารถไปจดตรงซอนธนาคารแล้วเราพากันเดินมาที่ร้านขนมหวาน โชคดีที่วันนี้พี่เขายังอยู่ บ่อยครั้งที่ผมเคยมาช่วงนี้แล้วขนมหมดเลยอดกิน เราเดินไปจองโต๊ะที่เหลืออยู่ตัวเดียวไอ้คินทำหน้าที่เดินไปต่อแถวรอสั่ง เมื่อสั่งเสร็จมันจึงเดินกลับมานั่งรอ ไม่นานขนมหวานของเราก็มาเสิร์ฟ ผมใช้ช้อนสับเกล็ดน้ำแข็งที่โม่ละเอียดยิบอย่างอารมณ์ดี
 
            “อ้าว มึงสั่งรวมมิตรแบบกูทำไม มึงไม่กินกะทินี่”ผมร้องถามมันอย่างแปลกใจเมื่อเห็นในชามของไอ้คินเป็นรวมมิตร มีเผือกและทับทิมกรอบเหมือนของผมเดี๊ยะๆ
 
            “อยากกินเหมือนมึง”
 
            “แต่มันกะทิมั้ยล่ะ”
 
            “ไม่เห็นจะยาก”มันยักไหล่พลางใช้ช้อนควานตักเอาเนื้อขนมขึ้นมาที่ปากชามจัดการตะแคงช้อนให้กะทิไหลออกไปจนหมด
 
            “จริงๆกูก็พอจะกินได้ แต่ที่กูไม่กินเพราะตอนเด็กๆกูเคยกินทับทิมกรอบแล้วร้านนั้นกะทิบูด ทีนี้พอกินขนมที่ใส่กะทิคอกูก็ไม่ยอมรับอาหารเข้าไปมันไม่ยอมกลืน แต่ถ้าช้อนกินแต่เนื้อก็โอเคกินได้”
 
            “มึงนี่เป็นเด็กที่เจอแต่ของกินที่ทำให้ประสบการณ์แย่เนอะ”
 
“แต่พอโตมากูเจอมึงอะไรที่แย่ๆก็หายไปหมดเลย”
 
อ่ะไอ้สัด มันใช่เวลามาหยอดกูมั้ยเนี่ย
 
ขนมร้านนี้จืดไปเลยไอ้เหี้ย
 
 
            ผมลงมาช่วยแม่ทำข้าวต้มตั้งแต่ตีห้า แม่ดุที่ผมไม่ยอมนอนต่อแต่อุตส่าห์ตตื่นมาช่วย ผมหอมแก้มแม่เบาๆทั้งซ้ายขวาก่อนจะรับอาสาเอากุ้งมาปอกเปลือกผ่าหลังเตรียมไว้ให้ เพราะผมกับไอ้คินชอบกินกุ้งมากแม่เลยให้ล้างทั้งกิโลเลย กะว่ากินหมดตัวผมกับมันจะกลายเป็นสีส้มเหมือนกุ้งแน่ๆ ขิงอ่อนถูกซอยโดยที่แม่เอาไปขยำเกลือให้คลายความเผ็ด ผมตัดพ้อแม่เรื่องที่แม่ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ของผมเลยในพักหลังๆ

          "งานแม่ยุ่งน่ะช่วงนี้ ลุงเขาก็ยุ่งๆอยู่กับหอพักของคินใกล้เสร็จแล้วเลยต้องแบ่งเวลาไปคุมงานอยู่บ่อยๆ"

          "ผมก็นึกว่าแม่เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรือว่าอะไรโทรมาไม่รับเลย คราวหลังต่อให้ยุ่งแค่ไหนถ้าแม่ว่างแม่ต้องโทรหาเซ็ทนะ อยู่ไกลกันห่วงแค่ไหนจะมาดูก็ไม่ได้"ผมบ่นแม่น้อยๆ ซึ่งแม่ก็ยิ้มแล้วตัดบทอย่างดื้อๆ

          "จ้าๆ แม่รู้แล้ว ลูกคนนี้นี่ไม่เจอกันปีครึ่งปีขี้บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย เอาล่ะๆเดี๋ยวแม่ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานก่อนเห็นลุงบอกว่าเดี่ยวจะออกไปวิ่งกับน้องคินเซ็ทจะไปทำอะไรก็ไปทำก่อนไป"

 เจ็ดโมงลุงกับไอ้คินก็เดินลงมาด้านล่าง เตรียมตัวออกไปวิ่งจ้อกกิ้งแบบที่มันชอบทำสมัยก่อน ส่วนผมก็ออกไปรดน้ำต้นไม้ตัดแต่งกิ่ง ต้นไม้หลายต้นโทรมลงไปเยอะเพราะขาดการดูแลอย่างต่อเนื่อง ผมตัดใบเน่าใบเหลืองที่จะแพร่เชื้อไปหาต้นอื่นออก เข้าไปผสมยาเอามาฉีด ใส่ปุ๋ยกล้วยไม้ให้ลุงจนเสร็จ พอแปดโมงแม่ซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาเรียกให้ผมเข้าไปล้างไม้ล้างมือเพื่อกินข้าว เกือบๆ 9 โมงแม่กับลุงก็ออกไปทำงานผมขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงมาข้างล่าง ไอ้คินที่นั่งรออยู่แล้วก็ลุกเดินนำผมมาที่รถ
 
            “แวะตลาดก่อนใช่ป่ะ”
 
            “อือ จะไปซื้อกระป๋องสังฆทานก่อน”เราแวะเข้ามาในตลาดจัดแจงซื้อกระป๋องสังฆทานเสร็จก็ตรงไปที่วัด ภายในวัดยังคงสงบร่มรื่นเหมือนเดิมไก่แจ้ตัวเล็กๆส่งเสียงขัน ลมเย็นพัดโชยมาจากริมน้ำยิ่งทำให้วัดร่มรื่นมากยิ่งขึ้น เราพากันเข้าไปติดต่อพระเพื่อถวายสังฆทานเสร็จแล้วก็แวะไปหาพ่อที่เจดีย์ ผมไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากเอาผลไม้และขนมที่พ่อชอบมาใส่จานเปลี่ยนน้ำในแก้วและปักดอกไม้ใส่แจกัน ผมปัดเศษดินเศษหญ้าที่ปลิวมาตรงฐานออก
 
ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงมองรูปที่ติดอยู่หน้าเจดีย์ของพ่อเงียบๆถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาผ่านดวงตา ไอ้คินขยับมาใกล้ผมกุมมือผมไว้
 
ความอุ่นใจแผ่ซ่านจนขอบตาร้อนผ่าว เรากระชับมือกันไร้เสียงพูดคุยมีเพียงความอบอุ่นที่ฝ่ามือสื่อสารกัน
 
            “พ่อครับ พ่อไม่ต้องห่วงผมเลยนะครับ ผมมีคนที่ดีดูแลผมแล้ว”ผมบอกกับพ่อในใจ
 
แค่มีไอ้คินอยู่ด้วยทุกอย่างในชีวิตของผมก็จะดี
 
มันคือความอบอุ่นในวันที่ผมรู้สึกหนาว
 
มันคือสายน้ำเย็นในวันที่ผมร้อน
 
มันคือความรักที่เข้ามาเติมเต็มในใจของผมในวันที่ผมรู้สึกขาด
 
ผมดีใจที่เรารักกันแม้ที่ผ่านมาจุดเริ่มต้นมันจะไม่ค่อยดีนัก
 
ไอ้คินกลายเป็นคนสำคัญ คนที่ผมขาดไม่ได้
 
ผมนึกวันที่ไม่มีมันมาเอาแต่ใจใส่ไม่ได้แล้ว
 
นึกไม่ออกเลยจริงๆ





 
 
            ตกบ่ายไอ้คินขับรถพาผมไปหาอาม่าฝั่งพ่อของมันก่อน เราช่วยกันยกของฝากจากเชียงใหม่เข้าไปในบ้านไอ้คินหลานรักของอาม่าถูกกอดพลางจูบแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง ผมวางของฝากลงบนดต๊ะที่อี๊ของไอ้คินชี้นิ้วบอกแล้วจึงยกมือไหว้ผู้ใหญ่ในบ้านของมันทุกคน อาม่าเมินเฉยกับผมเหมือนเช่นทุกครั้งส่วนอี๊ของไอ้คินรับไหว้ผมอย่างแกนๆ มันพาผมเข้าไปนั่งร่วมวงสนทนาด้วย
 
เหงาปากเลยสัด
 
น้ำลายจะบูดแล้วเนี่ย
 
ไม่รู้จะพากูมาทำม๊าย
 
ผมแทบจะเข้าไปคุยกับลูกน้ำยุงลายที่อ่างบัวหน้าบ้านของอาม่าไอ้คินเลย คถามมากมายถูกเอ่ยถามไอ้คินไม่ได้ขาดไอ้คินพยายามพรีเซ้นต์ผมให้กับครอบครัวของมันซึ่งผมรู้ดีว่าเหมือนการปาบอลอัดกำแพงที่แข็งแกร่ง ผมอึดอัดใจเหลือเกินแต่ก็จำต้องนั่งตั้งหน้าตั้งตาฟังเพราะไม่รู้ว่าไอ้คินจะโยนขี้มาตรงประโยคไหน
 
            “แล้วไปอยู่นู่นมีแฟนหรือป่าว ทำไมไม่เห็นพาสาวๆมาให้อาม่าดูตัวมั่งเลยอาคิน”ไอ้คินกับผมสะดุ้งทันทีมันหันมามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มหวานใส่อาม่าของมัน
 
            “จริงๆคินก็เจอคนนั้นแล้วนะอาม่า”ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อไอ้คินพูดประโยคนั้นจบ
 
บ้านอาม่าก็ไม่ร้อนทำไมเหงื่อกูไหลพลั่กๆเลยวะ
 
อาม่าเลิกคิ้วบางๆอย่างตื่นเต้น
 
            “จริงซี่?? ใครทำไมไม่พามาให้อาม่าดูตัวมั่งอาคินนี่นะ”อาม่าตีลงบนต้นแขนมันเบาๆอย่างตื่นเต้นก่อนจะพุ่งเป้าหมายใหม่มาที่ผมทันที
 
            “ว่าไง อาเซ็กลื้อก็เคยเห็นแฟนอาคินใช่มั้ย?”อ่ะ กู ขื่อเซ็กไปแล้ว
 
            “เอ่อ”ผมอ้ำอึ้ง จะให้ตอบว่าอะไรได้วะ
 
            “ม่า อย่าไปถามมันเลย บางทีอาม่าอาจจะเคยเจอคนๆนั้นแล้วก็ได้นะครับ”
 
มีตุ่มกดโกรธมั้ยครับ กดบล็อกแม่งเลยก็ได้ไอ้ห่านี่
 
ผมนั่งตูดไม่ติดพื้นเก้าอี้นักเพราะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิต
 
ถ้าอาม่ารู้ว่าแฟนไอ้คินเป็นผมจะไม่หัวใจวายตายเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นผมต้องบาปมากแน่ๆ
 
            “รออีกหน่อยแล้วกันนะม่า แต่ผมรับรองได้ว่าคนๆนั้นน่ะดีกับคินจริงๆ ดูแลคินดีสอนให้คินรู้จักประหยัดอดออมไม่ให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย เวลาไม่สบายก็คอยดูแล แถมทำกับข้าวอร่อยด้วย”
 
            “ได้ยินแบบนี้ม่าก็ดีใจ เลือกเมียทั้งทีเอาที่มาช่วยกันทำมาหากินดูแลบ้านช่องครอบครัวของเราได้ ไว้ก็รีบๆพามานะอาม่าอยากเห็นหน้าหลานสะใภ้”ไอ้คินหันมาฉีกยิ้มจนตาขีดใส่ผมในขณะที่ฝ่ามือของผมเย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เราใช้เวลาในการพูดคุย จริงๆใช้คำว่าเราก็ไม่ถูกเพราะส่วนมากจะเป็นไอ้คินกับญาติพี่น้องมันคุยกันมากกว่าจนเกือบบ่ายสามก็ย้ายมาเยี่ยมอาม่าฝั่งแม่มันบ้าง ยังดีที่อย่างน้อยอาม่าฝั่งนี้ก็เป็นมิตรและยิ้มแย้มมากกว่า ผมนั่งมองไอ้คินที่นอนหนุนตักอาม่าของมันพลางอ้าปากรับส้มหวานๆที่อาม่าปอกใส่ปากป้อนให้มันด้วยมืออันสั่นเทาแล้วอดยิ้มตามไม่ได้
 
ผมไม่เคยได้นอนอ้อนปู่ย่าตายายแบบนี้เลย
 
เราสองแม่ลูกเหมือนคนที่ไร้ญาติขาดมิตร พอพ่อตายแม่ก็เหมือนถูกดีดออกจากวงศ์ตระกูลทางบ้านพ่อ ปู่กับย่าจะเอาผมไว้หากแต่แม่ไม่ยอม ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมกับบ้านฝั่งพ่อก็ไม่สนิทกัน ญาติฝั่งแม่ก็ไม่เคยติดต่อกันเลย
 
ไอ้คินกลายเป็นเด็กชายตัวน้อยๆที่นอนเล่านู่นเล่านี่ให้อาม่ามันฟัง
 
ผมอดที่จะอบอุ่นใจกับความรักที่ญาติผู้ใหญ่ของมันมอบให้ไม่ได้
 
            “ค่าเทอมจะต้องจ่ายเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกอาม้านะลูกเดี๋ยวให้แปะเขาโอนให้อาม่าบอกมันในตอนที่เราเตรียมตัวกลับไอ้คินหอมแก้มอาม่ามันฟอดใหญ่จนแก้มเหี่ยวแทบติดจมูกมันตามมาตามแรงหอม
 
เพราะเป็นครอบครัวคนจีนดังนั้นทั้งสองบ้านใช้ระบบกงสีบ้านทั้งสองฝั่งของไอ้คินนั้นตกลงร่วมกันเลี้ยงดูมันด้วยการแบ่งกันจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆของไอ้คิน อาม่าฝั่งพ่อจ่ายค่าใช้จ่ายจิปาถะพวกค่าน้ำค่าไฟค่าเช่าห้อง ส่วนอาม่าฝั่งแม่จ่ายค่าน้ำมันรถค่ากินค่าอยู่รวมทั้งค่าเทอมที่มันยังได้ต่างหากจากพ่อมันทุกเดือน
 
ไอ้คินมีเงินใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายตั้งแต่ยังเด็กดังนั้นเมื่อเงินได้มาอย่างง่ายๆมันจึงไม่เคยวางแผนการใช้เงินเลย ที่ผ่านมาเสื้อผ้าของใช้ที่ไม่จำเป็นจึงเต็มห้อง บางตัวซื้อมามันยังไม่ได้เอาออกจากถุงด้วยซ้ำ
 
เรากลับเข้าบ้านมาในตอนเย็นแม่บ้านทำกับข้าวเตรียมไว้แล้ว ไอ้คินแยกขึ้นไปคุยงานที่ต้องทำรูปเล่มส่งอาจารย์ในตอนเปิดเทอม ผมปลีกตัวขึ้นไปอาบน้ำแล้วนั่งเช็คงานในคอมจนกระทั่งได้ยินเสียงรถของลุงกับแม่จึงได้ปิดคอมแล้วเดินลงมาหาแม่
 
            “เซ็ทกินข้าวหรือยังลูก”แม่เอ่ยถามยามที่ผมเดินไปเกาะแขนราวกับลูกลิง ผมส่ายหน้าพลางเอามือลูบท้องเบาๆเพื่ออ้อนแม่ว่าผมหิวแล้ว
 
            “โอเคๆ รอแม่แป๊บนะขอขึ้นไปล้างหน้าล้างตาก่อน เซ็ทก็ไปนั่งคุยกับลุงเขาก่อนก็ได้”ผมทำตามที่แม่บอกโดยผละไปนั่งคุยกับลุงคณิต ลุงถามผมเรื่องกำหนดจ่ายค่าเทอมถามถึงหอใหม่ที่ย้ายเข้าไปอยู่ช่วงที่ไอ้คินไปฝึกงาน
 
            “เซ็ทอยู่หอเดิมนั่นแหละดีแล้วค่าหอไม่ได้แพงอะไรด้วย ย้ายไปย้ายมาเหนื่อยเปล่าๆยังไงก็เหลืออีกแค่เทอมเดียว ลุงว่าเปิดเทอมใหม่ลุงจะให้เงินเดือนเซ้ทเพิ่มจะได้ซื้ออะไรที่อยากซื้อได้โดยไม่ต้องประหยัด”
 
            “อย่าเลยครับลุง ที่ให้ทุกเดือนก็มีเหลือ”ผมรีบปฏิเสธน้ำใจของลุงทันที ลำพังที่ลุงให้เป็นเงินเดือนทุกเดือนก็มากพอที่ผมจะสุรุ่ยสุร่ายได้เพราะลุงให้ผมเท่าๆกับที่ให้ไอ้คิน ขืนลุงให้เพิ่มผมคงไม่กล้าใช้ มีเงินเยอะเดี่ยวเครียดตายห่า
 
ขออยู่แบบจนๆนี่แหลพดีที่สุดจะใช้จะจ่ายอะไรจะได้ระวังไม่มือเติบเกินตัว
 
 
            หลังมื้ออาหารเย็นอันเรียบง่ายจบลงทั้งสีคนนั่งพูดคุยพลางกินของหวานตบท้ายราวสามทุ่มครึ่งคณิตกับลดาก็กลับขึ้นห้องนอนไป เศรษฐพงศ์ทำหน้าที่เช็คความเรียบร้อยของกลอนประตูและปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ตามที่เคยทำมาตลอดหลายปีแล้วจึงเดินขึ้นห้องพร้อมคณิน ยังไม่ทันได้เข้าห้องตัวเองข้อมือก็ถูกคนพี่กระชากให้ถลาตามเข้ามาในห้อง แผ่นหลังปะทะกับกำแพงเย็นเฉียบก่อนจะถูกกักไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแกร่งทันที
 
            “วันนี้ที่บ้านอาม่า มึงไม่สบายใจใช่มั้ยเซ็ท”คณินเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาในใจทันที
 
เศรษฐพงศ์ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรก้จริง แต่ดวงตาของคนเด็กกว่ามันหม่นจนเขาเห็นได้ชัด
 
เศรษฐพงศ์เป็นคนแคร์ความรู้สึกคนอื่น
 
เศรษฐพงศ์ปราณีทุกคนยกเว้นตัวเองดังนั้นสิ่งที่อาม่าพูด
 
เด็ดนี่เก็บมาคิดมากแน่ๆ เพียงแต่ไม่ยอมปริปากเอ่ยคำใดใดออกมาให้เขาต้องเป็นทุกข์
 
            “มึงเชื่อใจกูใช่มั้ยเซ็ท มึงเชื่อใจว่ากูจะพามึงก้าวผ่านปัญหาทุกอย่างออกไปได้ใช่มั้ย”
 
            “กูไม่มั่นใจเลยคิน...”คณินมีสีหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่ได้รับคำตอบ
 
            “กูยังทำให้มึงมั่นใจไม่ได้อีกเหรอวะเซ็ท”
 
            “ไม่ใช่นะ...ไม่ใช่อย่างนั้น กูแค่กลัวอาม่าของมึงเขาจะเสียใจ”
 
            “แค่มึงมั่นใจในตัวกูเซ็ท แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง ทุกอย่างต้องใช้เวลามึงรอกูได้มั้ย?”ไคณินลูบแก้มสีน้ำผึ้งของเศรษฐพงศ์ด้วยความอ่อนโยน ดวงตากลมจ้องสบด้วยความหวั่นไหว
 
เขาไม่มั่นใจอะไรกับความรักที่เกิดขึ้นเลย แต่เมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคณินแล้วเศรษฐพงศ์ก็พยักหน้า คณินเลื่อนปลายนิ้วไปประคองท้ายทอยของน้องไว้ก่อนจะดึงรั้งให้ขยับมาใกล้แล้วประกบริมฝีปากอุ่นลงไปแนบชิด ถ่ายทอดความรักให้อย่างนุ่มนวดมัวเมาให้เศรษฐพงศ์หลงใหลไปกับความหอมหวานนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าประตูห้องนอนที่ลืมล็อคไว้เปิดออก
 
คณิตมองภาพลูกชายทั้งสองกำลังแลกจูบกันด้วยหัวใจที่บีบรัดจนปวดไปหมด
 
            “นี่มันอะไรกัน?”
 
            “...”



.............................................

พ่อเห็นแล้ว พ่อเห็นแล้ว พ่อเห็นแล้ววววววววว

ทำไงดี

แค่มีกันในทุกๆวันมันก็ดีที่สุดแล้วจริงๆ

หนมหวานร้านโฉมอร่อยและให้เยอะมากกกกกกกกกกก



ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 53







          เลือดในกายของคณินและเศรษฐพงศ์เย็นวาบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า สีหน้าราบเรียวไร้ความรู้สึกของคณิตนั้นทำให้เด็กหนุ่มสองคนตัวชาดอก
 
            “ลุง”
 
            “ป๊า”
 
เศรษฐพงศืรีบผลักคณินที่ยังกักร่างของเขาไว้ออกก่อนจะยืนตัวลีบเหมือนเด็กที่แอบกินขนมแล้วถูกคุณครูจับได้ สองมือกำชายเสื้อของตัวเองแน่นอย่างกดดัน
 
            “เซ็ท กลับห้องไปส่วนคินมาคุยกับป๊าที่ห้องทำงาน”คณิตเอ่ยคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบตึง น้ำเสียงที่ไม่เคยพูดกับลูกเลี้ยงแบบนี้มาก่อน เศรษฐพงศ์สบตาคณิตที่จ้องมาแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ
 
คณิตกำลังผิดหวังในตัวเขา เศรษฐพงศ์ยกมือขึ้นไหว้ ริมฝีปากสั่นเอื้อนเอ่ยคำขอโทษด้วยเสียงอันสั่นเครือ
 
            “ลุงครับผมขอโทษ”
 
            “กลับห้องของเธอไป”คณิตไม่อยู่ในอารมณ์จะมาตอบรับเหมือนเมื่อก่อน
 
            “ลุงผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”ชายวัยกลางคนตวัดสายตามองลูกเลี้ยงก่อนจะเดินนำออกไป พร้อมๆกับเศรษฐพงศ์ที่ปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมาอย่างหมดแรง
 
            “มึงกลับห้องไปก่อนนะเซ็ท กูสัญญาว่าทุกอย่างจะโอเค”คณินลูบข้างแก้มของน้องอย่างใจเย็นทั้งๆที่ภายในใจของตนเองนั้นก็กลัวแสนกลัว
 
สายตาที่พ่อมองมาเมื่อครู่นั้นมันเต็มไปด้วยความผิดหวัง วูบหนึ่งคณินเห็นแววของความโกรธเจืออยู่ เศรษฐพงศ์รั้งชายเสื้อของคณินไว้
 
อยากจะพูดว่ากูขอไปด้วยแต่สิ่งที่ทำได้คือมองหน้าคณินนิ่ง คณินจึงจูงมือเศรษฐพงศ์ไปส่งที่ห้องนอน แม้ที่ผ่านมาเศรษฐพงศ์จะทำตัวเข้มแข็งขนาดไหนแต่เขารู้ดีว่าลึกๆในใจเศรษฐพงศ์นั้นอ่อนไหวและคิดมากเพียงใด เศรษฐพงศ์กลัวการทำให้คนอื่นผิดหวัง กลัวการไม่เป็นที่รัก กลัวเสียทุกอย่างที่มีในชีวิตไป ดังนั้นกว่าที่เขาจะเข้ามาอยู่ในใจของเศรษฐพงศ์ได้จึงใช้เวลานาน
 
เขาคบกันบนเส้นของความไม่แน่นอน  แม้เศรษฐพงศ์จะไม่พูดเขาก็รู้ว่าเด็กตรงหน้ากลัวจะถูกจับได้มากแค่ไหน แม้จะเคยคิดว่าอยากจะบอกกับพ่อเรื่องความรักของตนเองกับคนน้องในไม่ช้านี้
 
แต่การที่พ่อมาจับได้ด้วยตาตัวเองทำให้ความมั่นใจต่างๆของเขาลดฮวบจนแทบไม่เหลือ
 
เขาไม่รู้ว่าความรักและเมตตาที่พ่อมีให้กับเศรษฐพงศ์จะมีมากพอที่จะอภัยและยอมรับให้เศรษฐพงศ์เป็นมากกว่าลูกเลี้ยงมั้ย
 
และเขาก็ไม่มั่นใจว่าพ่อที่เคยตามใจเขาทุกอย่างจะยอมตามใจเขาอีกครั้งกับเรื่องนี้หรือไม่
 
เขาไม่แน่ใจอะไรเลยแต่เขาก็แสดงออกไม่ได้
 
เพราะตอนนี้  เวลานี้  คนที่กลัวมากกว่าเขาคือเด็กที่ทำตัวเข้มแข็งมาตลอดตรงหน้านี้
 
            “อย่าออกมาจนกว่าจะเช้ามึงเข้าใจมั้ย ทุกอย่างจะต้องโอเคมึงเชื่อใจกูมั้ยเซ็ท”เศรษฐพงศ์จำต้องพยักหน้ารับ แม้ในใจตอนนี้ร้อนรนยิ่งกว่าไฟ เขาไม่มั่นใจอะไรเลยซักนิด ไม่มั่นใจกับอะไรซักอย่าง คณินกดจูบลงบนหน้าผากของคนน้องเร็วๆแล้วผละออก ร่างสูงเดินตรงไปห้องทำงานของพ่อ
 
แต่ละย่างก้าวเชื่องช้าและไม่มั่นคงเอาเสียเลย
 
ภายในห้องทำงานของคณิตเย็นเฉียบ ไม่ใช่เย็นเพราะแอร์หากแต่เย็นเพราะบรรยากาศระหว่างสองพ่อลูก คณิตในยามนี้หน้าตาเคร่งเครียดกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา
 
            “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”คณิตไม่ได้รอให้ลูกชายนั่งลงตรงหน้าชายวัยกลางคนเอ่ยคำถามที่คั้นออกจากลำคออย่างยากเย็น
 
            “พ่อถามว่าระหว่างคินกับเซ็ทมันตั้งแต่เมื่อไหร่”
 
            “2 จะ 3 ปีแล้วครับ”
 
            “ทำไมล่ะคิน ทำไมถึงมาคบผู้ชายด้วยกันเองทั้งๆที่เมื่อก่อนคินจะควงผู้หญิงกี่คนป๊าไม่เคยว่าแล้วทำไมถึงต้องเป็นผู้ชายโดยเฉพาะเป็นเซ็ท ลูกแค่อยากแกล้งน้องใช่มั้ย?”
 
            “ไม่ครับป๊า ผมกับไอ้เซ็ทเรารักกันจริงๆ”คณินตอบผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
 
            “ผู้ชายกับผู้ชายมันจะไปรักกันได้ยังไง”
 
            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะป๊า มองข้ามเรื่องเพศผมกับมันรักกันจริงๆนะป๊า ไหนเมื่อก่อนป๊าอยากให้เราสองคนรักกันไงครับ”
 
            “แต่พ่อไม่ได้หมายความให้ลูกสองคนรักกันแบบนี้ คิน ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของป๊า เป็นคนสืบสกุลคนเดียวของป๊านะ ทำแบบนี้ไม่ละอายใจต่อบรรพบุรุษบ้างหรือไง”
 
            “แต่ป๊าครับ บรรพบุรุษตายกันไปนานแล้วนะครับที่อยู่กันตอนนี้คือพวกเรา”
 
            “อย่าพูดแบบนี้ อย่าเห็นแก่ตัวแบบนี้ ลูกก็รู้ดีวิปริตผิดเพศถ้าคนอื่นรู้ป๊าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
 
            “ป๊าแคร์คำพูดคนอื่นมากกว่าความสุขของผมเหรอครับ ไหนตอนแม่ตายป๊าบอกจะให้ทุกอย่างที่ผมต้องการ นี่ไง ตอนนี้ทรัพย์สินเงินทองอะไรผมไม่ได้อยากได้แล้วผมอยากใช้ชีวิตร่วมกับไอ้เซ็ท”
 
            “คนอย่างคินน่ะเหรอไม่มีเงินไม่ได้ คินใช้เงินมือเติบรักความสะดวกสบายใช้แต่ของแพงๆ ให้ไปกัดก้อนเกลือกินกันสองคนไม่ถึงเดือนก็ถอดใจแล้ว ทุกวันนี้ยังขอเงินป๊าใช้อยู่เลยแล้วแบบนี้คินจะไปดูแลใครได้ ตัวของคินเองคินยังดูแลไม่ได้เลย เลิกกันซะถือว่าป๊าขอ”คณิตยื่นคำขาดให้ลูกชายด้วยน้ำเสียงหมางเมิน
 
            “ผมไม่เลิก”คณินจ้องหน้าพ่อเอ่ยคำพูดที่ทำให้คณิตรู้สึกโกรธ เมื่อก่อนเขาอาจจะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะรักลูกชายมากแต่คราวนี้เขาจะไม่มีทางยอม
 
            “อย่ามาดื้อกับป๊านะคิน  ป๊าไม่ได้ขอร้องให้คินกับเซ็ทเลิกกัน แต่ป๊าสั่ง”
 
            “ผมขอไม่ทำตาม ผมไม่เห็นว่าความรักของเราสองคนมันจะผิดอะไรเลย อย่ามาดูถูกเราสองคน ต่อให้ป๊าไม่ให้เงินผมใช้ซักบาทผมก็จะไม่ขอร้องอ้อนวอน ผมขออย่างเดียวให้ผมกับไอ้เซ็ทได้คบกัน ถ้าเราจะเลิกก็ขอให้เราเลิกเพราะเราหมดรักกันไม่ใช่เพราะความไม่เหมาะสมที่คนอื่นมาตัดสิน”
 
            “ถ้าอยากจะลองดีกับป๊าก็เอา ป๊าจะตัดเงินเดือนของคิน กับอาม่าป๊าก็คงต้องบอกความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ค่าเทอมค่าหอพักก็หาเอาเองแล้วกัน คินโตแล้วนี่หาเลี้ยงตัวเองได้แล้วก็พิสูจน์ให้ป๊าเห็นแล้วกันว่าจะเอาตัวเองรอดได้โดยไม่ต้องใช้เงินพ่อแม่ญาติๆ”คณิตยื่นคำขาดให้กับลูก
 
คนอย่างคณินน่ะทนความลำบากได้ไม่นานหรอก ถ้าเขาตัดงบทุกอย่างที่คณินเคยได้ยังไงเดี๋ยวลูกชายก็จะมาขอร้องอ้อนวอนเขาเองแหละ คณินจ้องใบหน้าเรียบเฉยของผู้เป็นพ่อก่อนจะพรวดพราดเดินออกจากห้องทำงานของพ่อไปแล้วกลับมาพร้อมกับบัตรเครดิตบัตรเอทีเอ็มต่างๆที่ตนเองถือครองอยู่รวมทั้งสมุดธนาคารที่เก็บเงินฝากถุงใส่ทองที่อาม่าและบรรดาญาติผู้ใหญ่เคยให้ตามงานสำคัญต่างๆที่เก็บไว้ในห้องมากองไว้ตรงหน้าพ่อ
 
            “ผมจะพิสูจน์ให้พ่อดูเองว่าผมจะอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินจากทางบ้าน ผมกับไอ้เซ็ทจะทำให้พ่อเห็นว่าเราจะพากันไปในทางที่ดี ตารถผมไม่คืนให้นะครับ”พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวออกจากห้องทำงานของผู้เป็นพ่อไป ร่างสูงเดินเลยห้องของตัวเองมาที่ห้องของเศรษฐพงศ์เคาะเบาๆหากแต่เศรษฐพงศ์ไม่เปิด เขาไม่ได้เซ้าซี้ที่จะเรียกให้น้องออกมาคุยด้วย ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องเปิดโทรศัพท์แล้วพิมพ์ข้อความไปหาเศรษฐพงศ์
 
            “เซ็ท มึงเชื่อใจกูนะไม่ว่ายังไงกูก็จะอยู่กับมึง”ข้อความอ่านแล้วปรากฏที่หน้าจอหากแต่เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
 
รุ่งเช้าบรรยากาศในบ้านเป็นไปด้วยความกระอักกระอ่วน ลดาที่รู้เรื่องจากสามีแล้วตั้งแต่เมื่อคืนมีน้ำตาคลอดตาอยู่ตลอดเวลา หล่อนหลบหน้าลูกชายโดยการปฏิเสธไม่ให้เศรษฐพงศ์เข้ามาช่วยในครัวเหมือนเช่นทุกครั้ง หล่อนเดินหนีลูกเพราะไม่อยากจะคุยในตอนนี้แต่เศรษฐพงศ์นั้นไม่อยากให้แม่หมางเมินกับตน เด็กหนุ่มทนไม่ไหวในที่สุดสวมกอดแม่จากด้านหลังรั้งแม่ไว้ให้อยู่กับตน
 
            “แม่ครับ เซ็ทขอโทษ”น้ำเสียงสั่นเครือของลูกทำเอาใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบ เศรษฐพงศ์กระชับอ้อมกอดของตนเองแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าแม่จะหายไป
 
            “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะลูก ทำไม”
 
            “ผมขอโทษครับ แต่แม่ครับ เรารักกันจริงๆ”
 
            “ผู้ชายกับผู้ชายมันจะไปรักกันได้ยังไงล่ะลูกเอ้ย ตัดใจเลิกกันไม่ได้เหรอลูก แม่สงสารลุง ลุงเค้าดีกับเรามากๆเลยนะเซ็ท นี่เหรอสิ่งที่เราตอบแทนความดีของเขา ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้มันก็ยังไม่สายเกินนะเซ็ท มันเป็นไปไม่ได้เลยไหนจะญาติๆของคินเค้าอีก เขาไม่มีทางยอมรับแน่ๆ วันนี้ลุงเขาจะไปคุยเรื่องนี้กับพวกอาม่าลูกกำลังจะทำให้พี่เค้าลำบากนะลูก คิดดูให้ดีๆ”
 
คณินลงมาที่โต๊ะอาหารตามเวลาปกติเช่นทุกวัน ความเงียบปกคลุมไปทั่วบ้าน คณิตและลดาต่างนั่งเงียบไม่ได้เอ่ยทักทายเด็กหนุ่มเหมือนเช่นทุกครั้ง คณินมองหาเศรษฐพงศ์แต่กลับไร้เงาคนน้อง
 
            “เซ็ทไปไหนครับน้าลดา”
 
แคร๊ง!! เสียงรวบช้อนส้อมกระแทกกับจานพร้อมกับคณิตที่ลุกออกไปในทันทีโดยที่เพิ่งจะกินข้าวไปไม่กี่คำ ลดาไม่ได้ตอบคำถามของลูกเลี้ยงทำเพียงวิ่งตามสามีพลางลูบแขนปลอบใจไปจนถึงรถ เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
 
ไม่ชินเลยซักนิดกับบรรยากาศแย่ๆแบบนี้
 
คณินเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องของเศรษฐพงศ์แต่ไร้เสียงตอบรับอีกเช่นเคยตัดสินใจหมุนลูกบิดก็พบว่าไม่ได้ล็อคไว้
 
ภายในห้องว่างเปล่าไร้เงาของเศรษฐพงศ์ ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นกองไม้แขนเสื้อและกระเป๋าเดินทางที่วางไว้ข้างตู้เสื้อผ้าหายไป ไวเท่าความคิดขายาวก้าวพรวดๆไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ภายในเหลือเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้น ใจของคณินหายวูบลงแทบจะทันที ร่างสูงรีบเดินกลับห้องของตัวเองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของคนน้อง
 
เศรษฐพงศ์มองเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอก่อนจะกดตัดสาย เด็กหนุ่มกระชับแว่นตาสีดำที่ใส่พรางตาที่บวมจากการร้องไห้อย่างหนักกับแม่เมื่อตอนเช้ามืด เศรษฐพงศ์ตัดสินใจเก็บของเพื่อกลับเชียงใหม่โดยให้แม่มาส่งที่สถานีรถไฟในตอนเช้าหลังจากคุยกับแม่จบ

เขาถอยเอง  ถ้าหากเรื่องที่เกิดขึ้นต้องสร้างปัญหาให้กับใครต่อใครคนที่ควรจากมาคือเศรษฐพงศ์เอง
 
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะถอยแม้ว่าจะรักคณินมากแค่ไหนเขาก็จะไม่เห็นแก่ตัวรั้งคณินไว้กับตัวให้ชายหนุ่มต้องลำบาก เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆหากแต่โทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง
 
และยังคงเป็นคณินเช่นเดิม เศรษฐพงศ์สูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มปอดก่อนจะกดรับ
 
            “เซ็ท มึงไปไหนทำไมมึงไม่บอกกู”
 
            “คิน พอเถอะ”
 
เศรษฐพงศ์::
 
            “เซ็ท มึงไปไหนทำไมมึงไม่บอกกู”
 
            “คิน พอเถอะ”ผมกรอกเสียงเข้าไปในสาย พยายามอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้มันสั่น
 
ผมพอแล้ว ยอมแพ้แล้วกับเรื่องของเราสองคน หากแต่ไอ้คินไม่ใช่
 
            “ไหนมึงบอกว่าจะเชื่อใจกูไง”กูเชื่อใจมึง เชื่อเต็มร้อยว่ามึงรักกู แต่กูไม่อยากให้มึงต้องมาลำบากเพราะกู
 
            “กูขอเชื่อใจตัวเอง มึงเลิกยื้อแล้วกลับไปใช้ชีวิตดีๆของมึงเถอะคิน”กูเลือกทางที่ดีให้มึงแล้วคิน อย่ามาลำบากเพราะกูเลย
 
            “กูไม่ไป กูรักมึง ขอแค่มึงเชื่อใจในตัวกูเองเซ็ท แค่มึงเชื่อใจกูแล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน กูจะไปคุยกับอาม่าคุยกับพ่อเอง”
 
            “มึงก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ เขาไม่ยอมหรอกพอเถอะ เรื่องของเรามันมาสุดทางแล้ว”
 
            “ไม่ มันยังไม่สุดทางซักหน่อย กูเชื่อว่าถ้าเราอธิบายกับพวกเขาดีๆเขาก็เข้าใจเรา”
 
"เราเลิกกันเถอะคิน กูว่ากูฝันดีมานานพอแล้ว สุดท้ายฝันดีแค่ไหนก็ต้องตื่น"ผมพูดคำนั้นออกมาอย่างยากเย็นกลั้นก้อนสะอื้นที่ตีรื้นขึ้นมาบนอก ตอนที่เอิร์นบอกเลิกผมยังไม่เจ็บเท่านี้เลย
 
แต่ตอนนี้ผมกลับเจ็บแทบขาดใจ
 
"ทำไมเราไม่พยายามสู้ดูซักครั้งล่ะไอ้เซ็ท”ไอ้คินเองน้ำเสียงของมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมเลย ออกจะดูแย่กว่าผมด้วยซ้ำ ผมฝืนพูดคำพูดร้ายๆออกไปเพื่อหวังให้มันตัดใจจากเรื่องของเราซะ
 
"ก็เพราะความรักไม่ได้มีแค่มึงกับกู มึงมีพ่อมีญาติที่ต้องแคร์"
 
"เหมือนที่ผ่านมากูพยายามอยู่คนเดียว มึงไม่พยายามที่จะรักษากูไว้เลยเซ็ท"เสียงมันสะอื้น ผมยกมือขึ้นมาจับหัวใจที่เจ็บปวดของผมไว้ เราต่างคนต่างร้องไห้ให้กับการตัดสินใจของผม
 
            “พอเถอะนะคิน ไม่ต้องตามกูมากูยังไม่กลับเชียงใหม่ มึงกลับไปใช้ชีวิตให้ดีแบบที่มึงควรจะได้เถอะคิน”
 
            “ไม่ ถึงมึงจะทิ้งกู ถึงมึงจะไม่สู้แต่กูจะสู้ ต่อให้มึงเลิกรักกูกูก็จะตามจีบมึงใหม่ กูจะไม่ยอมเสียมึงไป ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่เอาใครอีกแล้ว มึงคอยดูว่ากูจะทำให้ป๊าใจอ่อนยอมรับเรื่องของเราได้มั้ย กูไม่เคยกลัวความลำบาก กูกลัวแค่ชีวิตของกูไม่มีมึง”ผมปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นกดตัดสายของมันทิ้ง
 
ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งผมจะมาทำตัวสาวน้อยร้องไห้เพราะความรักที่เป็นไปไม่ได้
 
ผมยอมรับว่าการมีมันอยู่ในชีวิตเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา
 
แต่การที่มันมีผมอยู่ในชีวิตกลับเป็นฝันร้ายที่มันต้องเจอผมคงทนดูมันลำบากไม่ได้
 
ผมเลือกทางที่ดีที่สุดให้ทุกคนแล้ว ลุงกับแม่ก็จะได้ไม่กระอักกระอ่วนใจในเรื่องของผมกับมัน ไอ้คินเองก็ไม่ต้องลำบากเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ครอบครัวของมันก็จะไม่ถูกใครนินทาว่ามีหลายชายเป็นเกย์
 
มันดีแล้ว
 
ดีสำหรับทุกคนแล้วจริงๆ




 
            คณินถูกอาม่าทั้งสองเรียกพบในบ่ายวันนั้น อากงและอาม่ารวมทั้งคณิตและลดานั่งกันอยู่ที่บ้านอาม่าฝั่งพ่อ อาม่าทั้งสองที่รักหลานชายปานดวงใจบัดนี้หน้าตาซีดเซียวไร้สีเลือด
 
คณินเหมือนกำลังเดินเข้าสู่ลานประหาร เศรษฐพงศ์ทิ้งเขาไปแล้วแค่นี้เขาก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว และเป็นเช่นที่คิดไว้ บรรดาญาติผู้ใหญ่ต่างพากันบ่นและด่าเขากับเศรษฐพงศ์
 
            “ลื้อมันอกตัญญูต่อตัวเองต่อวงศ์ตระกูล มีอย่างที่ไหนแทนที่จะเป็นผู้สืบทอดสกุลกลับไปรักกับผู้ชาย ลื้อก็เหมือนกันอาลาดาแทนที่จะสั่งสอนลูกไม่ให้เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วแต่ก็ไม่ทำ”
 
            “อย่าว่าน้าลดาเลยครับ ผมเป็นฝ่ายไปตามจีบตามตื้อเซ็ทเอง”
 
            “ลื้อไม่ต้องมาออกรับแทนเลยนะ ถึงว่า วันนั้นถามหาแฟนทำเป็นนั่งอ้ำอึ้งกัน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น แบบนี้อาม่าจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอแม่ลื้อที่โลกนู้น ลื้ออยากให้อาม่าตายไวใช่มั้ยอาคินถึงได้ทำตัวแบบนี้”อาม่าตีอกชกตัวจนคณินอยากจะเข้าไปห้ามหากแต่สายตาทุกคนที่มองมาทำให้เขาจำต้องยืนอยู่ที่เดิม ลดากลายเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนผิดในเรื่องนี้ทั้งๆที่เธอไม่ได้รู้เห็นเลยซักครั้ง แม่ของเศรษฐพงศ์เอาแต่ยกมือไหว้ขอโทษแทนลูกชายโดยไม่โต้เถียง คณินมองภาพนั้นด้วยความสะเทือนใจ
 
ความรักของเขากับเศรษฐพงศ์ทำให้คนเป็นแม่กลายเป็นสนามอารมณ์ของญาติๆเขาแทนตัวลูกที่หนีจากเขาไปแล้ว
 
            “พอซักที น้าลดาไม่ผิด ไม่มีใครผิดทั้งนั้น ถ้าจะมีคนผิดมันก็คือผมเองที่ไปตามจีบลูกเขาเป็นปีๆจนไอ้เซ็ทมันใจอ่อน ผมผิดเอง จะลงโทษอะไรก็มาลงที่ผมอย่าไปลงที่น้าลดา”
 
            “ลื้อคิดว่าลื้อโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งพอจะบินด้วยแขนขาของตัวเองได้แล้วสินะเลยไม่เห็นหัวอากงอาม่า ความรักที่อาม่ามีให้มันไม่ซึมเข้าไปในสมองของลื้อเลยใช่มั้ยอาคิน ตั้งแต่แม่ลื้อตายไปคนที่คอยรักคอยโอ๋ลื้อก็มีแค่พวกม่าๆสองคน ตอนนี้มีความรักก็ไม่เห็นหัวม่าแล้วถ้าอย่างนั้นก็ดี ต่อไปนี้อาม่าจะไม่ให้เงินลื้อแม้แต่สตางค์แดงเดียว”คณินมองอาม่าที่ยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาโวยวายโล้งเล้งก่อนจะสูดลมหายใจจนเกิดเสียง
 
            “แค่นี้ใช่มั้ยครับ ถ้าหมดเรื่องจะพูดแล้วผมขอตัว”คณินยกมือไหว้ทุกคนที่อยู่ในบ้านก่อนจะขับรถออกมาทิ้งอาม่าที่ร้องไห้ไขว่คว้าหาหลานไว้เบื้องหลัง
 
เขาจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้นับจากนี้ คณินกลับมาที่บ้านแล้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแบกขึ้นรถเพื่อกลับกรุงเทพ กดโทรศัพท์หาแดนธรรมเพื่อเล่าเรื่องราวคร่าวๆที่เกิดขึ้น
 
            “กูว่ากูต้องย้ายที่อยู่ก่อน พวกมึงพอจะมาช่วยกูได้มั้ย ตอนนี้กูมีเงินติดตัวแค่สองหมื่นกว่ากูคงอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้ว”
 
            “งั้นลองมาดูหอที่พวกกูอยู่มั้ยวะหรือมึงมาอยู่กับกูก็ได้”แดนธรรมยื่นข้อเสนอ
 
            ไม่เป็นไร มึงอยู่กับพี่ดินกูไปอยุ่อีกคนจะเกะกะเปล่าๆ”คณินเอ่ยปฎิเสธน้ำใจที่แดนธรรมหยิบยื่นให้
 
            “เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันกูขอขับรถก่อน”
 
            “เออ มึงอย่าคิดมากนะ กูเชื่อว่าเดี๋ยวพอไอ้เซ็ทมันสบายใจมันก็กลับมาหามึงเอง มึงสองคนรักกันจะตายกูเชื่อว่ามันไม่มีทางทิ้งมึงได้ลงหรอก มันอาจจะกำลังถอยไปตั้งหลัก”
 
คณินกลับมาถึงคอนโดในตอนเย็น เพื่อนๆบอกว่าจะมาสมทบกับเขาในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าจะเพิ่งกลับไปอยู่บ้านกันได้ไม่กี่วันแต่ก็ยอมโดนแม่ด่าเพื่อรวมพลกันมาช่วยคณิน ชายหนุ่มโทรหาเศรษฐพงศ์นับสิบสายหากแต่หลังจากตัดสายทิ้งนับครั้งไม่ถ้วนในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ปิดเครื่อง
 
คณินนอนก่ายหน้าผากหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ ถ้าหากเศรษฐพงศ์สู้ร่วมกับเขา คณินเชื่อว่าความดีของเศรษฐพงศ์จะทำให้ผู้ใหญ่เห็นใจในความรักที่ทั้งสองมีให้ต่อกันและกันอย่างจริงใจ
 
แต่นี่กลายเป็นว่าเศรษฐพงศ์ยังไม่ได้เริ่มต่อสู้ไปพร้อมกับเขาเลยซักนิด
 
เขาถูกลอยแพจนเคว้งคว้างไปหมด เด็กหนุ่มนอนลืมตามองเพดานจนถึงเช้า เขาโทรหาเศรษฐพงศ์อีกครั้ง
 
และเช่นเดิม เศรษฐพงศ์ปิดเครื่อง คณินพิมพ์ข้อความสั้นๆทิ้งไว้ในไลน์โดยไม่มีการกดอ่าน
 
            “เซ็ท กูคิดถึงมึง”
 
 ((ต่อด้านล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

            เศรษฐพงศ์นั่งทอดสายตามองทิวทัศน์ข้างทางอย่างเหม่อลอย เป้ใบใหญ่วางพิงไว้ข้างๆ มิ่งกมลอดที่จะแอบมองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังรถของเขาไม่ได้ เมื่อวานเศรษฐพงศ์โทรหาเขาขอให้มารับ เมื่อเจอกันที่สถานีขนส่งเศรษฐพงศ์ที่เคยสดใสในวันนั้นบัดนี้มีเพียงร่องรอยของความหมองเศร้าที่สะท้อนออกมาจากดวงตา
 
            “ขอผมอยู่ด้วยซักพักนะพี่”เพราะมิ่งกมลถูกส่งมาคุมงานที่รีสอร์ทเลยทำให้ได้กลับมาอยู่บ้านที่เชียงราย เศรษฐพงศ์ที่ยังไม่พร้อมจะอยู่ในห้องที่ยังมีร่องรอยและกลิ่นน้ำหอมของคณินจึงตัดสินในเดินทางมาหารุ่นพี่คนสนิทที่นี่
 
เขาอยากหนีจากเรื่องต่างๆรวมทั้งเพื่อนๆที่น่าจะรู้เรื่องปัญหาของเขากับคณินแล้ว อยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาคนเดียวซักพัก และเขานึกถึงใครไม่ออกนอกจากมิ่งกมล
 
            “พออยู่ได้มั้ยเซ็ท”มิ่งกมลพารุ่นน้องที่เคยแอบรักมาดูห้องพักภายในบ้านหลังไม่ใหญ่ของเขา ด้านหลังมองไปเห็นวิวสวยที่เป็นหน้าผา เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ สีหน้าที่อิดโรยจากการเดินทางไกลดูดีขึ้น
 
            “เดี๋ยวเซ็ทนอนพักก่อนนะหน้าเราซีดมาก ตื่นมาแล้วพี่จะพาไปกินข้าว”
 
            “ขอบคุณมากครับ”เศรษฐพงศ์ยกมือไหว้รุ่นพี่ที่สนิท
 
            “ถ้าเบื่อเดี๋ยวตอนเย็นพี่พาไปภูชี้ดาวไปดูพระอาทิตย์ตกดิน จำได้ว่าเซ็ทชอบดูดาวเรากลับกันช้าหน่อยจะได้นั่งดูดาวกันซักพักดีมั้ย”
 
            “เอางั้นก็ได้ครับ”
 
            “งั้นเซ็ทไปนอนเถอะเดี๋ยวพี่ขอตัวทำงานซักแป๊บ”มิ่งกมลตัดบทเมื่อเศรษฐพงศ์ดูไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขาเท่าไหร่นัก
 
            “ภายในห้องพักที่มิ่งกมลจัดให้มีเพียงเตียงหลังเล็กตั้งอยู่ริมในสุดติดกับหน้าต่างที่มีผ้าทอมือพื้นเมืองแขวนเป็นผ้าม่านง่ายๆ ด้านนอกติดกับวิวที่เป็นหน้าผาเล็กๆมีบ้านคนกระจายเต็มพื้นที่ เด็กชาวเขาวิ่งเล่นกันที่ลานดินกว้างด้านล่าง เศรษฐพงศ์เตรียมเสื้อผ้าอุปกรณ์อาบน้ำแล้วออกไปถามหาห้องน้ำจากมิ่งกมล
 
            “อยู่ข้างล่างน่ะห้องหนึ่งเป็นห้องอาบน้ำห้องหนึ่งเป็นห้องส้วมนะ”
 
            “อ่อครับ”หลังจากอาบน้ำอาบท่าจนสบายตัวและสดชื่นขึ้นเศรษฐพงศ์ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง แม้จะพยายามข่มตานอนแค่ไหนแต่เรื่องที่เพิ่งผ่านมาก็รบกวนจิตใจจนนอนไม่หลับ เศรษฐพงศ์ตัดสินใจเปิดโทรศัพท์ และทันทีที่มีสัญญาณเน็ต ไลน์ของเขาก็เด้ง โดยไม่ต้องเปิดดูข้อความจากคณินที่ส่งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก็ปรากฏสู่สายตา
 
ในอกของเศรษฐพงศ์เหมือนมีคลื่นยักษ์ถาโถม มือเรียวยกขึ้นมากลั้นเสียงสะอื้น น้ำตาไหลรินจากหางตาอย่างห้ามไม่อยู่
 
            “เซ็ท กูคิดถึงมึง”
 
          “กูก็คิดถึงมึง”เสียงสะอื้นเอ่ยตอบข้อความของคนรัก ในใจของเศรษฐพงศ์เอาแต่คิดว่าตอนนี้คณินจะเป็นอย่างไร จะทะเลาะกับพ่ออยู่มั้ย อาม่าทั้งสองบ้านจะว่าอะไรคณินหรือเปล่า
 
ห่วงจนอยากจะไปหา แต่คำว่าอย่าทำตัวเป็นภาระของลุงที่แม่บอกไว้ก็ยังรั้งเขาให้อยู่ตรงนี้  แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่ถืออยู่ทำเอาเศรษฐพงศ์สะดุ้ง หน้าจอปรากฏชื่อของคณินเด่นหรา เศรษฐพงศ์ชั่งใจว่าตนเองควรจะรับสายดีมั้ยแต่ปลายนิ้วนั้นก็นำสองไปแล้ว ร่างโปร่งแนบโทรศัพท์กับหู น้ำเสียงของคณินร้อนรนจนน่าสงสาร
 
            “เซ็ท มึงปิดโทรศัพท์ทำไม มึงรู้มั้ยกูห่วงมึงแทบแย่ ตอนนี้กูกลับมากรุงเทพแล้วนะ กูไปคุยกับอาม่ามาแล้ว”
 
            “เหรอ..”เพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร และในใจตอนนี้ก็กลัวคำพูดที่คณินจะพูดต่อไปจึงทำเพียงแค่เอ่ยคำถามสั้นๆหากคณินกลับดีใจที่เศรษฐพงศ์ไม่ได้เฉยเมยกับตนอย่างที่คิด ชายหนุ่มมีกำลังใจขึ้นมาอีกนิดที่จะพูด
 
            “ใช่ กูคุยกับพวกเขาแล้ว กูจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าต่อให้กูไม่มีเงินจากพวกเขากูก็อยู่ได้ มึงไม่ได้มาเกาะกูกินไม่ได้มาคบกูเพราะหวังเงิน ต่อให้ไม่มีเงินกูกับมึงก็ยังจะรักกัน”
 
            “อย่ามาลำบากเพื่อกูเลยคิน มึงกลับไปขอโทษพ่อกับอาม่ามึงเถอะ”เศรษฐพงศ์พูดตัดความฝันของคณิน ปลายสายเงียบไปจนเศรษฐพงศ์รู้สึกใจหาย
 
          “ทำไมมึงใจร้ายกับกูแบบนี้วะเซ็ท
 
            "ความรักมันไม่ใช่เรื่องของคนสองคนแล้วว่ะคินมันมีญาติพี่น้องพ่อแม่ครอบครัวของเราด้วย กูไม่อยากให้พวกเขาต้องมาผิดหวังต้องมาทุกข์กับพวกเราด้วย เราเลิกกันเถอะ"เป็นอีกครั้งที่เศรษฐพงศ์พูดคำว่าเลิกกันทั้งน้ำตา เราสองคนต่างเจ็บปวด คณินเจ็บตัวเขาเองก็เจ็บ แต่การยื้อไว้มันก็แค่การซื้อเวลาเพื่อให้ได้รักกันไปวันๆ พอถึงจุดหนึ่งเมื่อความรักมันถึงทางตัน ยังไงก็ต้องเลิกกันอยู่ดี
 
 
            "มึงอย่ายอมแพ้ง่ายๆสิ อย่าปล่อยมือกู”คณินเอ่ยคำอ้อนวอนอีกครั้ง
 
 
            “กูยังไม่คิดจะยอมแพ้เลย มึงต้องเชื่อใจกูนะ กูจะทำให้ทุกคนยอมรับว่าความรักของมึงกับกูไม่ใช่เรื่องฉาบฉวยไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบ ขอเพียงมึงเชื่อใจกู รอกู อย่าทิ้งกู นะเซ็ทนะ กูรักมึงจริงๆ"
 
 
"กูก็รักมึง รักมึงมากๆเหมือนกันคิน...แต่พอเถอะกูยอมแพ้แล้ว"เศรษฐพงศ์ไม่รอฟังคำอ้อนวอนของคณินอีก เด็กหนุ่มตัดสายและปิดโทรศัพท์เก็บไว้ใต้หมอน
 
เขาอ่อนแอ นอนปล่อยน้ำตาให้ไหลจนเปียกหมอน
 
ความรักของเขามันถึงทางตันแล้ว...
 
 
เวลาล่วงเลยไปนานนับชั่วโมงเศรษฐพงศ์ก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ เด็กหนุ่มนอนร้องไห้เงียบๆ จนสิบโมงกว่าเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เศรษฐพงศ์ใช้หลังมือปาดน้ำตาออกเงียบๆก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วเดินไปเปิดประตู
 
มิ่งกมลนิ่งไปกับสภาพของรุ่นน้องคนสนิท แม้จะอยากถามแต่เขาก็เลือกที่จะเงียบ
 
            “ไปกินข้าวกัน พี่มีน้ำพริกหนุ่มกับเจียวไข่ไว้ให้กินได้มั้ย”
 
            “กินได้ครับ”เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับแล้วเดินตามมิ่งกมลมาเงียบๆ รุ่นพี่หนุ่มตักข้าวให้กับรุ่นน้อง บนโต๊ะมีน้ำพริกและผักสดผักต้ม ไข่เจียวนุ่มฟูเหลือน่าทานและปลาทอดตัวใหญ่ เด็กหนุ่มกินอะไรไม่ลงซักเท่าไหร่ มือที่ถือช้อนสั้นเขี่ยข้าวไปมาอย่างคนที่มีความคิดรบกวนจิตใจ
 
            “กินให้มีแรงแล้วมีอะไรต้องคิดค่อยคิดทีหลัง”คนเป็นพี่บอกกับรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เศรษฐพงศ์ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มองตารุ่นพี่ริมฝีปากก็เบะลงทีละนิด
 
            “พี่..”น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยเรียก
 
เศรษฐพงศ์กำลังจะไม่ไหว เขาไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลยซักนิด น้ำตาไหลออกมาราวทำนบแตก
 
            “ผมเลิกกับไอ้คินแล้วนะ”เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันก่อนถูกเล่าให้มิ่งกมลฟังอย่างไม่ปิดบัง ตอนนี้เด็กหนุ่มต้องการเพียงใครซักคนที่คอยรับฟังเขา มิ่งกมลฟังทุกถ้อยคำโดยไม่เอ่ยขัดด้วยความเข้าใจ ทันทีที่เล่าจบเศรษฐพงศ์ก็ยกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ที่นั่ง ร่างบางสั่นไหวจนน่าสงสาร มิ่งกมลทำเพียงลุกไปยืนข้างๆแล้วลูบศีรษะอย่างปลอบโยน
 
            “ตัวก็แค่นี้ แบกอะไรนักหนาล่ะเซ็ทเอ้ย”เพียงจบประโยค มิ่งกมลก็กลายเป็นที่ซับน้ำตาให้กับเศรษฐพงศ์ที่สวมกอดเขาไว้แน่นราวเด็กที่กำลังหลงทาง เสื้อยืดสีเทาที่เขาใส่เปียกเป็นวงเพราะรุ่นน้องใช้มันแทนผ้าเช็ดหน้า แม้จะเคยคิดอยากแช่งให้ทั้งสองคนนี้เลิกกัน แต่เมื่อเห็นความเศร้าที่เศรษฐพงศ์มีเขาก็รู้สึกว่าถ้าเด็กสองคนนี้ยังคบกันและรักกันแล้วทำให้เศรษฐพงศ์ยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนที่ผ่านๆมาได้ มันก็คงจะดี
 
สรุปแล้วสุดท้ายเย็นนั้นมิ่งกมลก็ไม่ได้พาเศรษฐพงศ์ไปดูพระอาทิตย์ตกดินตามที่บอกไว้เพราะสภาพจิตใจของเศรษฐพงศ์ไม่พร้อมที่จะออกไปไหน รุ่นน้องหนุ่มร้องขอเขาก่อนเข้านอนว่าอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้าเหมือนคราวก่อน ดังนั้นทั้งสองคนจึงนัดแนะเพื่อจะออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด มิ่งกมลมาเคาะประตูปลุกเศรษฐพงศ์ในเช้ามืดวันต่อมาซึ่งเด็กหนุ่มก็ขานรับในทันที เศรษฐพงศ์ในชุดพร้อมเดินทางดวงตาอ่อนโรยแสดงว่าเจ้าตัวนั้นนอนไม่หลับ ทั้งสองคนดื่มกาแฟคนละแก้ว สูบบุหรี่คนละมวนจากนั้นจึงเริ่มเดินทาง ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสถานที่ตั้งของภูชี้ฟ้า
 
วันนี้ก็ยังเหมือนมันวันวานที่มากับคณิน และเพราะเริ่มเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว นักท่องเที่ยวเริ่มหนาตา เศรษฐพงศ์สูดลมหายใจจนเต็มปอดแล้วเดินตามมิ่งกมลไปเงียบๆ
 
            “พี่มิ่ง พี่เดินนำขึ้นไปได้เลยนะครับ ผมอยากเดินคิดอะไรไปเรื่อยๆ”เขาร้องบอกกับรุ่นพี่ที่เดินรออยุ่ด้านหน้า มิ่งกมลพยักหน้าให้อย่างเข้าใจก่อนจะเร่งความเร็วนำขึ้นไปทิ้งระยะห่างให้พอเห็นหลังกันลิบๆ ร่างโปร่งก้าวขาย่ำเท้าขึ้นดอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ความกดอากาศที่ทำให้หายใจลำบากเริ่มสร้างความเหนื่อยล้าให้เศรษฐพงศ์
 
ในวันนี้ วันที่ต้องเดินเพียงลำพังเขาเหนื่อยจนหายใจไม่ทัน
 
ไม่เหมือนกับวันนั้นเลย วันที่เขาเดินเคียงข้างไปกับคณินจับมือเดินกันไปพูดคุยกันไปเหนื่อยก็พัก ถึงจุดที่เคยแวะถ่ายรูปด้วยกัน น้ำตาก็ไหลออกมา ในมโนภาพเขาเห็นคณินกวักมือเรียกเพื่อจะถ่ายรูปคู่เผลอยิ้มทั้งน้ำตาให้กับรอยยิ้มสดใสของคนในความคิดแต่พอนึกถึงความเป็นจริงตอนนี้เขาไม่มีใคร
 
เศรษฐพงศ์เพิ่งจะรู้ว่าการเดินคนเดียวมันเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ จะหยุดกลางทางก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ดี เขาไม่สามารถทิ้งคนที่เดินนำไปข้างหน้าเพราะความอ่อนแอและเห็นแก่ตัวได้
 
แล้วคณินล่ะ? อยู่ๆในหัวก็ผุดคำถามนี้ขึ้นมา
 
การที่เขาปล่อยให้คณินเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ปล่อยให้คณินรับหน้ากับคำถามจากพ่อแม่พี่น้องอย่างเดียวดายนั้นยุติธรรมแล้วเหรอ
 
ป่านนี้คณินจะเป็นยังไง จะรู้สึกยังไง จะกินอิ่มนอนหลับหรือจะกินไม่ได้นอนไม่หลับดั่งเช่นเขามั้ย
 
แน่นอน คำตอบที่ได้เขารู้ดี
 
รู้ว่าคณินไม่สามารถข่มตานอนได้เหมือนเขา ไม่สามารถฝืนกลืนอาหารลงคอได้เช่นเดียวกัน
 
เขาทิ้งให้คณินผจญความเดียวดายอย่างขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว
 
ทำไมเขาไม่ลองสู้กับคณินให้สมกับความรักที่คณินมีให้
 
เศรษฐพงศ์เคยคิดมาเสมอว่าตัวเองนั้นเข้มแข็ง วันนี้เขารู้แล้ว คนที่ดูไม่เอาไหนอย่างคณินต่างหากที่เข้มแข็งและพร้อมจะต่อสู้เพื่อประคองความรักของเราสองคน แล้วเขาก็ใจร้ายกับคณินเหลือเกิน
 
เศรษฐพงศ์ออกแรงเฮือกสุดท้ายเมื่อเห็นมิ่งกมลโบกมือให้เมื่อถึงยอดภู พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นของฟ้า ทุกคนต่างตั้งตารอเพื่อจะชมความงดงามของธรรมชาติ
 
            “เห็นแก่ตัวบ้างก็ได้”อยู่ๆมิ่งกมลก็เอ่ยบอกกับเขา
 
            “อะไรที่แบกไว้น่ะโยนๆมันทิ้งไปซะบ้าง สงสารคนรอเขาก็มีความหวัง ถ้ารักกันจริงก็กลับไปพิสูจน์ให้เขาเห็นสิว่าเราก็ทำได้ เราจะเป็นคนรักที่พากันไปสู่จุดที่สูงขึ้นไม่ได้จะไปฉุดลูกหลานเขาให้ลงสู่ที่ต่ำ”
 
            “พี่...เมื่อกี๊ที่ผมเดินมาน่ะผมคิดอะไรอย่างหนึ่งได้”เศรษฐพงศ์คลี่ยิ้มให้กับท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ดวงไฟตามบ้านจากฝั่งลาวค่อยๆหม่นแสงริบหรี่ลงพร้อมๆกับแสงสีมส้มแดงที่เริ่มปรากฏสู่สายตา
 
            “ผมเข้าใจแล้วว่าการเดินเพียงลำพัง มันทั้งเหงาและน่ากลัว ป่านนี้ไอ้คินก็คงกำลังกลัวอยู่แต่มันไม่พูดว่ามันกลัวเลยซักนิด มันพร่ำบอกกับผมว่ามันจะสู้ ผมไม่อยากให้มันต้องเดินเพียงลำพัง ไม่อยากให้มันต้องเหงาอีกแล้ว”เศรษฐพงศ์หันไปส่งยิ้มให้กับมิ่งกมล
 
 
 
 
          “ผมจะสู้ไปพร้อมกับไอ้คิน ผมจะไม่ทำตัวขี้ขลาดหนีความจริงอีกแล้ว”
 


.................................................



เอิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววว

ไปสู้กับพี่เค้านะลูก ป่านนี้นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วม้างงงงงงงงงง เมียทิ้งงงงงงงงงงงงงงง555555555555555555555555


ดีสำหรับทุกคนแต่ไม่ดีสำหรับใจตัวเองเลย

ปราณีทุกคนยกเว้นปราณีกับตัวเองเอาความผิดทุกอย่างมาไว้กับตัวตลอด


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 54

 หลังจากกลับจากภูชี้ฟ้าเศรษฐพงศ์ก็เก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบเดิม ข้อความไลน์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คณินไม่ได้พิมพ์มาอ้อนวอนเขาอีกแล้ว แต่ส่งลิ้งค์วีดีโอในยูทูปมาให้ เศรษฐพงศ์เสียบหูฟังแล้วกดเข้าไปดู เสียงเพลงและเนื้อหาที่ได้ฟังทำเอาก้อนสะอื้นตีขึ้นมารวมกันอยู่ที่ในอก

 

ฉันได้ยินเสียงเธอ

ถามผู้คนมากมาย

รักต้องเป็นเช่นไร

วันนี้เธอบอกว่าเธอตอบไม่ได้เลย


ถ้อยคำหลอกลวงที่ใครต่อใคร

คอยแต่งเติมเรื่องจริงของรักไป

อาจทำให้ใจเธอหวั่นไหว

ขอเธออย่ากลัวรักคือสิ่งใด

รู้สึกแล้วก็เป็นเรื่องของใจ

เชื่อใจตัวเองซักครั้ง


อย่างความรักที่สั่งให้ฉันมีเธอ

ให้ฉันมีแค่เพียงแต่เธอเท่านั้น

เป็นเหตุผลหนึ่งเดียวที่ขอยืนยัน

คือฉันรักเธอ


ไม่มีเงื่อนไขใด

ไม่มีใครนิยาม

หรือกฎเกณฑ์ที่ต้องตาม

ยามที่เธอลองให้รักบอกหัวใจตัวเอง


ถ้อยคำหลอกลวงที่ใครต่อใคร

คอยแต่งเติมเรื่องจริงของรักไป

อาจทำให้ใจเธอหวั่นไหว

ขอเธออย่ากลัวรักคือสิ่งใด

รู้สึกแล้วก็เป็นเรื่องของใจ

เชื่อใจตัวเองซักครั้ง..

 

 

            “เชื่อใจกูอีกซักครั้งได้มั้ยเซ็ท”ข้อความที่คณินพิมพ์มาอีกครั้งปรากฏขึ้น เศรษฐพงศพยักหน้าให้กับหน้าจอโดยที่ไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับไป

 

 

            เศรษฐพงศ์ยืนมองประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ในซอยลึกห่างจากถนนใหญ่เกือบหนึ่งกิโลเมตรที่เป็นบ้านอาม่าของคณิน เด็กหนุ่มถูฝ่ามือกับขากางเกงตัวเองอย่างประหม่า หลังจากตัดสินใจว่าตนเองจะกลับมาร่วมกับสู้กับคณินแล้วเศรษฐพงศ์ก็ทำใหนสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำคือการให้มิ่งกมลไปส่งตัวเองที่สนามบินแล้วบินกลับมาที่กรุงเทพ เด็กหนุ่มที่เคยตระหนี่เรื่องเงินยอมเสียเงินหลักพันเพราะความใจร้อน แล้วนั่งรถทัวร์กลับมาเมืองกาญจน์ เศรษฐพงศ์ไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านของคณิตแต่ไปอาศัยบ้านของยงศกรเพราะเจ้าตัวยังไม่กล้าสู้หน้ากับคณิต

 

มือเรียวกดกริ่งจนกระทั่งแม่บ้านที่ถือตะกร้าออกมาด้วยมองเขาอย่างแปลกใจ

 

            “อ้าว น้องเซ็ทลูกคุณลดาใช่มั้ยคะ”ป้าแม่บ้านทักทายเขาด้วยหล่อนคับคล้ายคับคราว่าจะจำเศรษฐพงศ์ได้ เด็กหนุ่มยกมือไหว้หล่อนก่อนจะแจ้งจุดประสงค์ที่มาวันนี้

 

            “ผมมาหาอากงอาม่าน่ะครับไม่ทราบว่าวันนี้ท่านอยู่บ้านมั้ยครับ”

 

            “อยู่ค่ะ น้องเซ็ทเข้ามาก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวป้าฝากดูอากงอาม่าทีนะคะป้าจะออกไปซ้อกับข้าวพอดีคุณหยกไม่อยู่ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนแกเลย”ป้าแม่บ้านเปิดประตูเล็กให้เศรษฐพงศ์เข้ามาก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้าน

 

            “อาม่าคะน้องเซ็ทมาหาค่ะ”ป้าแม่บ้านย่อตัวออกไปจากห้องเพื่อไปตลาด อาม่ากับอากงที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นดึงสีหน้าตึงขึ้นมาทันที อาม่าหงส์ที่เคยดูใจดีบัดนี้ตีหน้าบึ้งขึ้นทันที ความรู้สึกเกลียดเพราะเข้าใจว่าเศรษฐพงศ์มาหลอกล่อให้หลานชายของตัวเองลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นยอมที่จะไม่รับเงินจากกงสี ยอมคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยให้โดยไม่อ้อนวอนร้องขอผิดกับหลานชายคนโตที่เคยตามใจอาม่าทุกอย่าง หล่อนทั้งรักทั้งตามใจคณินจนถึงป่านนี้พอเศรษฐพงศ์ก้าวเข้ามาในชีวิตคณินก็ต่อต้านหล่อนทันที

 

            “มาทำไม”อาม่าตวาดกลับทันทีที่เศรษฐพงศ์ยกมือไหว้ อากงลูบแขนอาม่าเตือนให้ใจเย็นๆ เศรษฐพงศ์นั่งลงคุกเข่าต่อหน้าคนชราทั้งสองก่อนจะพนมมือไหว้และกราบลงแทบเท้าของอากงอาม่า อากงยังคงนิ่งไม่ได้มีปฏิกริยาตอบโต้แต่อาม่าหันเท้าหนีอย่างรังเกียจทันที

 

            “ผมมาขอโทษที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวาย”

 

            “ในเมื่อลื้อรู้แล้วว่าเรื่องมันวุ่นวายลื้อก็เลิกมายุ่งวุ่นวายกับหลานชายของอั๊วะซักที ลื้อรู้มั้ยตั้งแต่เกิดเรื่องอาคินก็ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่อีกเลย ครอบครัวจะชิบหายกันหมดแล้วมองหน้ากันจะไม่ติดแล้วก็เพราะการกระทำโง่ๆของลื้อ”

 

            “แต่ผมกับคินรักกันนะครับ”

 

            “ลื้ออย่ามาพูดจาซี้ซั้ว ผู้ชายกับผู้ชาย แค่คิดอกอั้วะก็จะแตกตายอยู่แล้ว มันจะมารักกันได้ยังไง เลิกกันซะจะเอาเท่าไหร่ลื้อบอกมาเลยอั้วะจะให้”

 

            “ผมกับคินรักกันด้วยใจจริงครับ ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อจะมาขอโอกาสคบกับเขา ผมอยากพิสูจน์ตัวเองให้อากงอาม่าเห็นว่าถึงเราจะเป็นผู้ชายแต่เราก็จะพากันไปได้ดีได้”

 

            “เฮ๊อะ...น้ำหน้าอย่างลื้อน่ะเหรอจะพาหลานอั้วะไปได้ดี ไม่เกินสองเดือนก็พากันไปอดตายแล้ว”อาม่าทำเสียงขึ้นจมูกอย่างดูถูก

 

กับอีแค่เด็กจนๆลูกติดของลูกสะใภ้ของหล่อน หล่อนไม่จำเป็นต้องให้ความเมตตาเอ็นดูเลยซักนิด

 

มีแต่ตัวเอาอะไรมามั่นใจว่าจะพาหลานชายของหล่อนไปได้ดีกันเหรอ



สันดานจับคนรวยนี่คงเป็นเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกสินะ

 

คณินน่ะกินก็ยากอยู่ก็ยากไม่เกินเดือนเดี๋ยวก็วิ่งแจ้นมาขอโทษหล่อน แล้วเรื่องอะไรหล่อนจะต้องอนุญาตให้หลายชายมีคู่ที่วิปริตผิดเพศด้วยล่ะ



อาม่าเหยียดยิ้มอย่างดูถูกปล่อยให้ทั้งบ้านเงียบด้วยการสะบัดหน้าหนึ ส่วนอากงเองก็มองเศรษฐพงศ์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จริงอยู่ที่เขาค่อนข้างจะถูกใจนิสัยใจคอของเด็กคนนี้หากแต่การที่หลายชายที่นับเป็นตั่วซุงของบ้านต้องมาคบกับเด็กคนนี้ เขาเองก็รับไม่ได้เช่นกัน



หลานชายคนโตของตระกูลก็ควรจะทำหน้าที่สืบทอดกิจการและมีทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล



แต่นี่กลับมาคบผู้ชายด้วยกัน



เขาทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ



ทั้งสามคนปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่กดดันตัวเองอย่างช้าๆจนกระทั่งเป็นอาม่าเองที่ทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากไล่ลูกติดของสะใภ้ใหญ่ให้ออกจากบ้านของหล่อนเสียที

 

            “หมดธุระแล้วลื้อก็ออกไปจากบ้านอั้วะซักที รำคาญหน้าเต็มที”เศรษฐพงศ์มองหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะจำใจลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ลา อาม่าไม่มองเขาเลยด้วยซ้ำมีเพียงอากงที่มองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออก เศรษฐพงศ์เดินคอตกออกมานอกบ้านอย่างช้าๆและใช้ความคิด อย่างน้อยเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว ถ้าจะต้องเลิกกันก็ควรเป็นเพราะเขาทั้งสองคนไปกันไม่รอดเองไม่ใช่เพราะถูกสั่งให้เลิก

 

            “ช่วยด้วย  ช่วยด้วย!!!”อยู่ๆเสียงอากงก็ดังออกมาจากในตัวบ้านอย่างร้อนรน เศรษฐพงศ์หันขวับกลับไปยังตัวบ้าน เท้าไวกว่าความคิดเด็กหนุ่มรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านทันที ภาพที่เห็นคืออากงที่กำลังประคองอาม่าซึ่งนอนสลบอยู่ตรงหน้าครัว แก้วน้ำหล่นแตกกระจายน้ำในแก้วเจิ่งนอง เศรษฐพงศ์รีบไปประคองอาม่าแทนอากงด้วยความตกใจ

 

            “เกิดอะไรขึ้นครับอากง”

 

            “อาหงส์อีเป็นลมแล้วล้มลงไปหัวอีลงพื้น”เศรษฐพงศ์เอามือตัวเองขึ้นมาดูเมื่อรู้สึกถึงของเหลวที่หนืดกว่าน้ำ โลหิตสีแดงติดมากับมือของเด็กหนุ่ม เศรษฐพงศ์รีบพลิกดูก็พบว่าอาม่ามีแผลแตกที่ศีรษะ

 

            “อากงครับ อากงมีเบอร์ติดต่ออี๊หยกมั้ยครับ”เศรษฐพงศ์ถามหาช่องทางที่จะติดต่อกับคนในบ้านได้ อากงทำท่านึกแต่เพราะความชราภาพแล้วทำให้นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เศรษฐพงศ์คลำหาโทรศัพท์ของตัวเองก็พบว่าตัวเองลืมเอาติดตัวมาด้วยเพราะความรีบร้อนและใจลอย อาม่าอ้าปากงับลมหายใจเข้าปอดหากแต่กลับไม่ลืมตาฟื้นขึ้นมา เด็กหนุ่มละล้าละลังก่อนจะค่อยๆตั้งสติวางอาม่าลงกับพื้นแล้วมองหาโทรศัพท์บ้าน เศรษฐพงศ์โทรเบอร์สำหรับแจ้งเหตุฉุกเฉินแต่เพราะซอยเข้ามาในบ้านนั้นอยู่ลึกและต้องเลี้ยวหลายแยกการมาถึงของเจ้าหน้าที่จึงล่าช้า เด็กหนุ่มจึงบอกว่าตนจะแบกอาม่าออกไปรอหน้าปากซอย เศรษฐพงศ์ตัดสินใจเอาอาม่าขึ้นหลังตัวเอง

 

            “อากงครับ อากงรออยู่ที่นี่นะครับเดี๋ยวผมจะแบกอาม่าไปรอรถพยาบาลที่หน้าปากซอย”เด็กหนุ่มแบกร่วงท้วมของอาม่าวิ่งออกไปทันที อากาศที่ร้อนทำให้เหงื่อซึม เศรษฐพงศ์วิ่งไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น เพราะคณินรักอาม่ามากเขาก็จะรักและปกป้องชีวิตของหญิงชรานี้ไว้ให้ได้ด้วยเช่นกัน เสียงอาม่าร้องอือเบาๆที่ข้างหูทำให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

 

            “อาคิน...”

 

            “อาม่าทำใจดีๆไว้นะครับ รถพยาบาลมาถึงแล้วนะครับ”เศรษฐพงศ์ร้องบอกกับหญิงชราด้วยความดีใจ

 

            “อาคินของม่า...ม่าเจ็บ”

 

            “แข็งใจไว้นะครับ เดี๋ยวหมอก็ช่วยอาม่านะครับนั่นไงรถมาแล้ว” เศรษฐพงศ์ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้มันบ้าหรือว่ามันอันตรายแค่ไหน เขาแทบไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำ กว่า 20 นาทีที่วิ่งฝ่าแดดร้อนในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงรถพยาบาลที่ดังมาใกล้ เศรษฐพงศ์โบกมือเรียกทันทีที่ตัวรถแล่นมาใกล้ ยามที่อาม่าถูกนำตัวลงจากหลังของเศรษบพงศ์เด็กหนุ่มถึงกับทรุดลงไปนั่งบนพื้นซีเมนต์ร้อนๆด้วยความเหนื่อยหอบ

 

อาม่าหงศ์ถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วพาขึ้นรถฉุกเฉินโดยมีเศรษฐพงศ์ตามขึ้นไปด้วย เมื่อถึงโรงพยาบาลเด็กหนุ่มก็โทรหาแม่แจ้งข่าวของอาม่าไม่นานหลังจากนั้นบรรดาลูกหลานของอาม่ารวมทั้งคณิตและลดาก็มาถึง ทันทีที่เห็นลูกชาย ลดาที่ดูซูบซีดกว่าเมื่อหลายวันก่อนก็โผเข้ากอดลูกชายทันที หล่อนกอดลูกชายร้องไห้เงียบๆซึ่งเศรษฐพงศ์ก็กอดร่างบอบบางของแม่และลูบหลังปลอบเธอเบาๆโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

            “เซ็ท ลุงขอบใจมากนะที่ช่วยพาอาม่ามาหาหมอ”

 

            “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ”เกิดอาการประหม่าขึ้นมาทันทีทั้งที่ถ้าหากเป็นในตอนปกติเศรษฐพงศ์ไม่เคยรู้สึกว่าคณิตเป็นคนน่ากลัวอะไรเท่าไหร่ เด็กหนุ่มเก็บอาการประหม่าไว้ไม่อยู่จึงนั่งเขย่าขาและถูมือไปมาอย่างไม่รู้ตัว

 

            “ตรงนี้อึดอัดเราไปหาที่คุยกันหน่อยมั้ย?”คนอาวุโสกว่าเอ่ยปากชวน เศรษฐพงศ์มองหน้าแม่อย่างขอคำปรึกษา ลดาพยักหน้าให้ลูกน้อยๆคณิตเห็นดังนั้นจึงเดินนำเศรษฐพงศ์ออกมา คนแก่กว่าเดินมายังจุดอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ มือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัยเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาเพราะสมัยหนุ่มกรำงานหนักเคาะปลายมวนบุหรี่ออกมาก่อนจะยื่นให้คนเด็กกว่า เศรษฐพงศ์ไม่กล้าปฏิเสธจำต้องรับมาคาบก่อนที่ไลท์เตอรืราคาแพงจะถูกจุดแล้วจ่อปลายเปลวไฟที่ปลายมวนให้เด็ดหนุ่มก่อนที่คณิตจะจุดสูบเองบ้าง

 

ผู้ชายต่างวัยยืนอัดควันสีเทาเข้าปอดอย่างเงียบๆ เศรษฐพงศ์เผลอถอนหายใจอย่างอัดอั้น อดนึกถึงคณินที่บอกว่าเข้าไปคุยกับอากงอาม่าไม่ได้

 

วันนั้นคณินก็คงกดดันเหมือนเขาในตอนนี้เช่นกัน

 

            “เลิกกันได้มั้ย”เศรษฐพงศ์กลืนควันสีเทาลงคอก่อนจะพ่นมันออกมาผ่านโพรงจมูก

 

เขาคิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงคณิตก็จะไม่จบเรื่องนี้ถ้าผลลัพท์ที่ได้ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ

 

            “ถ้าเรียนจบแล้วอยากไปเรียนต่อเมืองนอกลุงจะส่งให้เรียนเอง”

 

            “ผมทิ้งไอ้คินไม่ได้หรอกครับลุง”เป็นครั้งแรกที่เศรษฐพงศ์เอ่ยปฏิเสธสิ่งที่คณิตขอ ชายวัยกลางคนแทบจะขยำบุหรี่ในมือให้แหลกด้วยอารมณ์ที่กดดันอยู่ภายใน

 

เขาคิดว่าถ้าหากพูดกับเศรษฐพงศ์เด็กหัวอ่อนที่เชื่อฟังทั้งเขาและลดาจะตอบตกลง ซึ่งแนวโน้มจากที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้น

 

แต่เด็กที่เชื่อฟังทุกสิ่งทุกอย่างในวันนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

            “คิดให้ดีนะเซ็ท เซ็ทเองก็เป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ คินเองก็เหมือนกัน ต่อไปใครจะสืบทอดวงศ์ตระกูล ทางบ้านเซ็ทอาจไม่ซีเรียสเรื่องนี้แต่บ้านลุงถือ”

 

            “ลุงครับ ได้โปรดให้โอกาสเราคบกันเถอะครับ ถ้าหากเราจะเลิกกันก็ขอให้เราเลิกกันเพราะเราไม่ได้รักกันแล้วดีกว่าครับ ลุงก็รู้จักไอ้คินดีว่ามันเป็นคนดื้อ ลุงให้เราคบกันไปก่อนได้มั้ยครับถ้าวันหนึ่งคินมันหมดรักผม ผมจะไปเอง ส่วนตัวผมคงไม่เลิกรักมันง่ายๆ”

 

            “ทั้งๆที่รู้ว่าขืนคบกันต่อไปตัวเองจะลำบากก็ยอมน่ะเหรอ เซ็ทอย่าให้ลุงต้องบีบเซ็ทเหมือนที่ลุงบีบคินเลยนะ ทำอะไรให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ เธอยังเรียนไม่จบถ้าทางบ้านไม่ซัพพอร์ตเรื่องเงินเวลาอีกหลายเดือนต่อจากนี้เธอจะอยู่กันยังไง”คณิตเอาเรื่องเงินขึ้นมาขู่อีกครั้ง เศรษฐพงศ์อัดบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะบี้ก้นกรองของมันกับทรายในกระบะ

 

            “ลุงครับ ลุงรู้มั้ยเมื่อวันก่อนไอ้คินโทรหาผมแล้วมันพูดว่ายังไง”เด็กหนุ่มส่งยิ้มอ่อนๆให้กับคนเป็นพ่อเลี้ยง ดวงตาเปล่งประกายของความสุขฉายชัดจนคนมองรู้สึกได้

 

            “ไอ้คินบอกว่ามันไม่ได้กลัวความลำบาก แต่มันกลัวชีวิตของมันไม่มีผม เพราะฉะนั้นผมเองก็จะไม่กลัวความลำบากเหมือนกัน ต่อให้เลือดตาแทบกระเด็นผมก็ทนได้เพราะชีวิตของผมน่ะก็ขาดมันไม่ได้เหมือนกัน”เศรษฐพงศ์หันหลังให้กับคณิตทันที ร่างโปร่งเดินจากมาพร้อมกับรอยยิ้มอย่างคนที่โล่งใจที่ได้พยายามเพื่อเรื่องของตนเองกับคณินจากก้าวย่างที่เชื่องช้าก็เร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง เขาจะไม่หนีอีกต่อไปและตอนนี้เขาจะไปตามหาหัวใจที่ทำหลุดลอยไปเมื่อวันก่อน

 

            คณินนอนมองเพดานห้องที่ว่างเปล่า

 

3 วันแล้วที่ติดต่อเศรษฐพงศ์ไม่ได้ ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเพราะเป็นคนเจ้าสำอางบัดนี้เขียวครึ้มจากหนวดเคราที่เจ้าตัวไม่อยู่ในอารมณ์จะโกนหรือทำความสะอาดเหมือนเช่นเมื่อก่อน บนพื้นรกเลอะเทอะด้วยคราบเบียร์ที่คณินเมาหลับคากองกระป๋องเบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า

 

ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่ารวมทั้งอดนอน

 

เขาไม่อยากจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว

 

ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากตายไปซะเผื่อเศรษฐพงศ์จะกลับมาหาเขา แม้จะเป็นเพียงการกลับมาเพื่อเผาศพเขาก็ตามที

 

เสียงกริ่งดังขึ้นอยู่หลายครั้งกว่าคณินจะรู้สึกตัวว่ามีคนมาหา ร่างสูงค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

 

เหลือมองดูนาฬิกาเกือบห้าทุ่มแล้ว

 

อาจจะเป็นแดนธรรมที่มักจะแวะเอาข้าวมาฝากเพราะคณินไม่ออกไปหาซื้ออาหารกินเลยนอกจากลงไปซื้อเบียร์ที่เซ้ว่นฝั่งตรงข้าม

 

คณินเหยียดกายลุกขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะลากเท้าเดินโซเซไปเปิดประตูโดยไม่ได้สนใจจะส่องตาแมวดู

((ต่อด้านล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
 

ทันทีที่ประตูเปิด ภาพของคนด้านนอกที่ยืนน้ำตาคลอทำเอาคณินแทบหยุดหายใจ ชายหนุ่มกำลังประมวลผลว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นคือเรื่องจริงหรือเขาแค่เมาจนตาฝาดมองเห็นภาพลวงตาหากแต่น้ำเสียงของคนที่เรียกชื่อเขาดึงสติให้กลับมานั้นทำให้รู้ว่าที่เป็นอยู่นั้นคือเรื่องจริง

 

เขาไม่ได้ฝัน

 

            คิน...”เมื่อรู้แล้วว่านั่นคือเรื่องจริงและเด็กคนนั้นโผเข้ามาสวมกอดเขาไว้ คณินก็ร้องไห้โฮพลางทุบลงบนหลังบางนั้นอย่างคนน้อยใจเต็มที่

 

            “มึงทิ้งกูเซ็ท”

 

ทุบลงไปบนแผ่นหลังอย่างกล่าวโทษ

 

            “มึงทิ้งกู!!”

 

ทุบลงไปอีกทีอย่างต้องการให้คนที่ยิ่งถูกทุบยิ่งสวมกอดเขาแน่นขึ้น

 

            “ไอ้เด็กเหี้ย มึงทิ้งกู มึงปล่อยมือกู”

 

            “กูกอดมึงแน่นแล้วหรือยัง แน่นพอแล้วหรือยังคิน กูกลับมาหามึงแล้วต่อไปกูสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมึงไว้ลำพังอีกแล้ว มึงยกโทษให้กูนะ นะคิน คินยกโทษให้เซ็ทนะ”เศรษฐพงศ์อ้อนวอนคนพี่ที่ทิ้งแขนลงข้างตัว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดตอบเขา ไหล่ของคนเด็กกว่าเปียกชุ่มจากหยาดน้ำที่ไหลออกจาสองตาของคนพี่

 

            “อย่าทิ้งกูอีกนะ กูเหมือนจะตาย อย่าทิ้งกูอีก”

 

            “ไม่ทิ้งแล้วกูสัญญา”

 

สัญญาด้วยหัวใจที่มี

 

            “กูกลับมาหามึงครั้งนี้กูเดิมพันหมดหน้าตักกูแล้วนะคิน มาสู้ไปด้วยกันนะ”

 

            “ครับ”ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะกระชับอ้อมกอดร่างบางไว้อย่างหวงแหน

 

คณินจะไม่มีวันปล่อยมือจากเศรษฐพงศ์เด็กขาดและต่อจากนี้ไปเขาจะพิสูจน์ให้พ่อและอาม่าเห็นว่าเขาจะไปได้ดีด้วยลำแข้งของตัวเอง

 

แก้วแหวนเงินทองมากมายไม่สามารถแทนที่เศรษฐพงศ์ได้เลย

 

ถ้าไม่มีคนๆนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย

 

ไม่มีค่าเลยซักนิด











 

 

            คณินหลับตาลงยามที่เศรษฐพงศ์ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นโปะลงมาบนหน้าชายหนุ่มขยับหัวที่หนุนตักให้เข้าที่มากขึ้น มือเรียวลูบลงบนผ้าเบาๆจนหายอุ่นจึงใช้ครีมสำหรับโกนหนวดชโลมลงบนผิวหน้าของคณินจากนั้นจึงลงโฟมแล้วบรรจงใช้มีดโกนค่อยๆโกนหนวดที่เขียวครึ้มของคณินอย่างตั้งใจ ไม่นานใบหน้าที่รกครึ้มก็เกลี้ยงเกลา เศรษฐพงศ์เอาอุปกรณ์กลับไปเก็บในห้องน้ำโดยมีคณินเดินตามติดราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยให้คลาดจากสายตาเพียงเสี้ยววินาทีเศรษฐพงศ์จะหายไป เอวบางถูกรวบจับไว้ก่อนจะถูกยกให้ลอยขึ้นไปนั่งขนขอบอ่างล้างหน้า แขนเรียวคล้องคอคนพี่ไว้อย่างรู้ใจก่อนจะป้อนจูบหวานงอนง้อพะเน้าพะนอเพราะรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด เสียงจูบเฉอะแฉะและเชื่องช้าก่อนที่จะผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง เศรษฐพงศ์จ้องหน้าคณินไม่ได้ละสายตาไปไหน ริมฝีปากอิ่มเอื้อนเอ่ยคำที่พร่ำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่านับสิบๆหนตั้งแต่พบหน้ากัน

 

            “ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”คณินส่งยิ้มให้กับน้องอย่างเข้าใจ

 

เขารู้ว่าเศรษฐพงศ์เป็นคนขี้กลัว โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นจะเกี่ยวกับความเปราะบางของครอบครัว ดันนั้นการตัดสินใจที่จะเลิกกับเขาจึงเป็นทางเลือกแรกที่คนน้องตัดสินใจเพราะคิดว่ามันจะประคับประคองความเป็นครอบครัวของเราได้ คำว่าไม่เป็นไรถูกเอ่ยออกจากปากของคณินอีกครั้งก่อนที่ร่างกายจะดึงดูดเข้าหากันตามกลไกของอารมณ์และหัวใจ

 

รุ่งเช้าทั้งสองคนตื่นขึ้นมาเก็บของใส่ลังเพื่อรอพวกเพื่อนๆของคณินมารับไปอยู่หอใหม่ คณินมองรอบห้องที่อยู่มานานนับปีอย่างเสียดาย เขาไม่สามารถดันทุรังอยู่ต่อที่นี่ได้เพราะตอนนี้เงินของเขาหลังจากจ่ายมัดจำค่าเช่าห้องใหม่ก็เหลือเพียงหมื่นกว่าบาท อ้น แพร และแพทมาด้วยกันโดยเอารถกระบะมาส่วนแดนธรรมกับเด่นคุณแพทและว่านตามมาสมทบพร้อมข้าวปลาอาหาร ใช้เวลาขนของแค่ 2 เที่ยวก็หมดเพราะมีเพียงอุปกรณ์การเรียนและคลังเสื้อผ้าของคณิน หอใหม่พื้นที่พอๆกับหอพักของคณินและเศรษฐพงศ์ที่เชียงใหม่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็มีเตียง ตู้เสื้อผ้า แอร์ และโต๊ะเขียนหนังสือตามปกติหอพัก ชั้นที่คณินอยู่คือชั้น 7 ส่วนพวกเพื่อนๆพักอยู่ชั้นห้า เพื่อนๆต่างพากันกลับห้องในตอนห้าโมงดังนั้นเศรษฐพงศ์จึงชวนคณินไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของใช้จำเป็นเข้าห้อง จุดแรกที่เศรษฐพงศ์พาไปเดินคือโซนขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เศรษฐพงศ์เลือกหม้อหุงข้าวใบไม่ใหญ่มากและราคาไม่แพงใส่รถเข็น โชคดีที่คณินหุงข้าวและทำอาหารง่ายๆเป็นแล้วจากการอยู่กับเขาที่เชียงใหม่ เครื่องปรุงรสต่างๆถูกหยิบใส่ คณินหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่รถเข็นซึ่งเศรษฐพงศ์ไม่เห็นด้วย

 

 

 

      “มันไม่ได้อิ่มจริงป่าววะ แล้วโซเดียมก็เยอะ มึงกินทีไรหน้าบวมทุกที สารอาหารอะไรก็ไม่มี”

 

      “มึงก็รู้งานที่กูต้องทำส่งอาจารย์แม่งเยอะจะตายถ้ากูไม่มีเวลาหุงข้าวล่ะจะกินอะไรซื้อติดๆไว้ก็ได้”

 

      “งั้นก็ได้แต่มึงห้ามกินบ่อยเข้าใจมั้ย เดี๋ยวได้ขาดสารอาหารตายห่า นี่ก็ซีดจนไม่รู้จะซ๊ดยังไงแล้ว”

 

      “เป็นห่วงพูดแบบนี้นะ”คณินแกล้งยื่นหน้ามากระซิบข้างๆหูน้องเมื่อเศรษฐพงศ์ตั้งท่าจะบ่นอีกยาวยืด คนน้องหุบปากฉับแล้วเดินนำหนีไปทันที

 

สมุดเล่มเล็กถูกนำมาจดรายจ่ายในวันนี้อย่างละเอียด

 

      “ปกติค่าน้ำมันมึงใช้เดือนละเท่าไหร่?”

 

      “ก็สามสี่พันนะ”

 

      “มึงไปกลับกรุงเทพยะลาทุกวันหรือไงไอ้เหี้ยทำไมแพงแท้”

 

      “ก็ขับกลับบ้านมั่งอะไรมั่ง แหมมึงก้อ”

 

      “ไม่ต้องมาเกิ้งมาก้อ กูกำหนดให้มึงค่าน้ำมันเดือนละสามพันห้ามเกินนี้โอเคมั้ย”เศรษฐพงศ์ไม่รอให้คณินได้ตอบเด็กหนึ่มจดรายละเอียดลงในสมุดทันที

 

      “ค่าเช่าหอเดือนละ 4000 ค่าน้ำค่าไฟตีว่ารวมๆแล้ว 6000”คนน้องคำนวณรายจ่ายเงียบๆคนเดียว ทั้งค่าน้ำมันรถ ค่าเช่าห้องค่ากินอยู่ในแต่ละวันของคณินต้องใช้เงินราวๆเดือนละเกือบสองหมื่นบาท เงินเก็บของเศรษฐพงศ์มีพอสมควรทั้งที่แม่และคณิตให้แต่ละเดือนที่เขาใช้ไม่หมด เงินจากที่เคยรวมกันขายต้นไม้กับเพื่อนๆรวมทั้งเงินที่รับเขียนแบบเล่นๆ เขายังมีเงินที่เวลาคณินซื้ออะไรให้เจ้าตัวก็เอาใส่บัญชีตามจำนวนเงินนั้นก็มีหลักแสน

 

      “ค่าเทอมมึงจ่ายเมื่อไหร่?”

 

      “อาทิตย์หน้า”

 

      “ค่าใช้จ่ายของมึงกูจะโอนให้เป็นรายเดือนนะถ้ามันขาดเหลือหรือต้องใช้อะไรเพิ่มมึงโทรบอกกูนะคิน”คณินมีสีหน้าไม่สบายใจทันที เขารู้สึกว่าเขาเป็นพี่และเป็นสามีเขาควรเป็นคนที่ซัพพอร์ตคนรักมากกว่ามารับการดูแลจากเศรษฐพงศ์ คนน้องเห็นคนพี่หน้านิ่วคิ้วขมวดก็นึกรู้ทันที สมุดเล่มเล็กถูกวางลงก่อนที่จะเอื้อมมือมากุมมือของคณินไว้

 

      “อย่าคิดมากสิมึง เป็นแฟนกันเวลาคนหนึ่งลำบากก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่ช่วยมึงจะให้กูไปช่วยใคร เรามาทำให้พวกผู้ใหญ่เห็นกันว่าเราก็ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มาทำให้เขาเห็นกันเถอะว่าถึงจะลำบากแค่ไหนเราก็จะไม่ทิ้งกัน”

 

 

 

เศรษฐพงศ์อยู่จัดการเรื่องของคณินจนเรียบร้อยและอยู่เป็นเพื่อนคนพี่อีก  2 วันก็ได้เวลาที่ตัวเองต้องกลับเชียงใหม่เช่นกัน คราวนี้เด็กหนุ่มใช้บริการรถไฟตามเดิมเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย คณินขับรถมาส่งและอยู่รอจนรถไฟลับสายตาจึงได้ขับรถกลับมาห้อง

 

อีกครั้งที่ความเหงาเข้ามาโอบล้อมจนอึดอัด ชายหนุ่มคว้าหมอนที่น้องใช้หนุนมากอดแนบอก สูดดมกลิ่นแชมพูจางๆที่น้องใช้จนเต็มปอดก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นซองกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ คณินลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบซองนั้นมาเปิดดู ด้านในมีเงินอยู่หนึ่งหมื่นบาทกับกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือหวัดๆที่ทำเอาคณินเกือบร้องไห้

 

            “สู้ๆนะมึง กูเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้ คินของกูน่ะเจ๋งที่สุดแล้ว กูอาจจะไม่ค่อยพูดคำนี้มากแต่กูได้แสดงให้มึงเห็นไปจนหมดแล้วว่ากูรักมึงมากขนาดไหน กูรักมึงนะคิน รักมากๆ อดทนแล้วเราจะผ่านไปด้วยกัน สู้ๆ”คณินพับจดหมายฉบับนั้นเก็บใส่กระเป๋าเงินแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความไลน์หาเศรษฐพงศ์

 

          " กูก็รักมึงมากๆเหมือนกัน”

 

           

 

เศรษฐพงศ์::

         

 

          ผมกลับมาถึงเชียงใหม่ในวันรุ่งขึ้นเมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็โทรหาพี่เอกที่เป็นเจ้าของสถานที่ฝึกงานทันที  ผมของานจากพี่เอกถ้ามีงานเขียนแบบหรืออะไรก็ได้ที่หาคนทำแทนให้บอกผมเพราะผมต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ

 

ผมไม่อยากให้ไอ้คินอยู่แบบอดๆ มันน่ะป่วยง่ายแถมเรียนหนัก เทอมสุดท้ายแล้วแต่งานของมันน่าจะไม่ได้ลดลงหรอก แล้วผมก็ได้งานมาทันที 2 ชิ้น ผมเริ่มทำงานเลยเพื่อที่จะได้เสร็จเร็วๆแต่ผมก็ใส่ใจรายละเอียดไม่ได้ทำลวกๆเพื่อให้เสร็จๆไป ไอ้คินโทรมาอวดว่าวันนี้มันเจียวไข่ไม่ด้านแล้ว เหมือนผมเห็นลูกชายโตขึ้นเรื่อยๆจากที่หุงข้าวสวยเป็นข้าวต้มตอนนี้มันหุงข้าวกินเองทอดไข่ได้เองแล้ว ส่วนกับข้าวอื่นๆผมบอกให้มันซื้อแกงถุงมากินเอา

 

แค่ค่าเทอมของเราสองคนก็ทำเอาผมแทบจุกมองตัวเลขที่หายไปจากบัญชีแล้วจะเป็นลม แต่ไม่เป็นไรหรอกไม่ตายก็หาใหม่ได้แต่ถ้าไอ้คินตายผมคงหาผัวใหม่แบบมันไม่ได้แล้ว

 

เอาวะ สู้โว้ยยยยยยยยยยยย

 

กูต้องรอด!!!!!!!

 

 

 

ในที่สุดวันเปิดเทอมก็มาถึงคณินวิ่งวุ่นตั้งแต่ต้นเทอม งานที่อาจารย์สั่งสูบพลังของเขาจนแทบทรุดใครบอกว่าเรียนปีสุดท้ายเดี๋ยวก็สบายแล้ว ดูพวกเขาสิแทบจะตายคากองงาน เพื่อนๆของเขาสภาพอ่อนระโหยโรยแรงไม่ต่างกันเลยซักนิด เสร็จงานหนึ่งก็ต่อด้วยงานหนึ่ง เขาไม่ได้คุยกับพ่อและคนที่บ้านอีกเลยนับจากวันนั้น เหมือนความสัมพันธ์ของคณินและพ่อจะห่างออกจากกันเรื่อยๆจนกระทั่งเดือนแรกผ่านไปอย่างเชื่องช้า อยุ่ๆวันหนึ่งเสียงโทรศัพท์ของคณินก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างแปกลใจเมื่อเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ใช่เบอร์ของพ่อหรือบรรดาอาม่าทั้งสองบ้านหากแต่เป็นเบอร์ของลดา คณินตัดสินใจกดรับ

 

            “ครับ”

 

            “น้องคิน สบายดีมั้ยลูก”น้ำเสียงแผ่วเบาของลดาที่ถามมาทำเอาใจของคณินแกว่งไปเล็กน้อย

 

นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินใครพูดจาถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขนาดนี้

 

            “อาทิตย์นี้คินมีวันหยุดมั้ยคะ”

 

            “ก็มีครับ”

 

            “กลับมาคุยกับน้าได้มั้ยคะ เรื่องเซ็ทกับคิน”

 

            “ได้ครับ เดี๋ยววันเสาร์นี้ผมกลับไปแต่ขอไม่เข้าบ้านนะครับเรานัดคุยกันข้างนอกแทนได้มั้ย”

 

            “ได้ค่ะ น้าก็จะนัดคินมาคุยที่โรงพยาบาล”คณินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินสถานที่ๆลดานัด

 

            “ทำไมนัดที่โรงพยาบาลล่ะครับ? ใครเป็นอะไร?”

 

            “รอวันเสาร์มาแล้วน้าจะบอกนะคะ มาถึงโรงพยาบาลน้องคินโทรหาน้าแล้วกันเดี๋ยวน้าบอกชั้นกับห้องให้ แค่นี้ก่อนนะคะ น้าติดธุระ”ลดากดตัดสายไปปล่อยคณินให้จมอยู่กับความสงสัยเกี่ยวกับว่าใครป่วยจนรู้สึกหงุดหงิด

 

หรือว่าพ่อของเขาจะป่วย ความเป็นห่วงพ่อพุ่งสูงอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้พ่อจะขัดขวางความรักระหว่างเขากับเศรษฐพงศ์แต่คณินก็ไม่ได้อยากให้พ่อต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วย ชายหนุ่มอยากจะเร่งเวลาให้ถึงวันเสาร์เร็วๆอยากจะโทรไปหาพ่อหากแต่ศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ก็ทำให้ไม่ได้กดโทรออกไปซักที เด็กหนุ่มปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยถึงพ่อจะป่วยแต่ก็มีลดาคอยดูแลอยู่ไม่ห่างคงไม่น่าห่วงอะไร และถ้าพ่อป่วยหนักจริงลดาคงบอกเขาแล้ว

 

ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง คณินเคลียร์งานส่วนของตัวเองเสร็จในตอนเที่ยงจึงขับรถกลับกาญจน?และถึงตัวเมืองตอนบ่ายสามชายหนุ่มขับรถเข้ามาวนหาที่จอดในโรงพยาบาลเมื่อได้ที่จอดเรียบร้อยจึงโทรหาลดาทันที

 

            “ขึ้นมาชั้น 7 นะคะ ห้อง 14”คณินรับคำก่อนจะวางสาย ร่างสูงเดินเข้ามาด้านในกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 7 ที่เป็นโซนห้องพิเศษเดินหาห้องที่ 14 ไม่นานก็พบ เด็กหนุ่มเคาะเบาๆเสียงอนุญาตจากลดาดังขึ้น เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในภาพที่คณินเห็นทำเอาเด็กหนุ่มยืนอึ้งไปทันที ดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มค่อยๆเอ่อด้วยหยาดน้ำตาทันที

 


            “มาถึงเร็วจังเลยค่ะ น้าเตรียมตัวไม่ทันเลย”



.....................................



เราชอบเพลงนี้มาก ตอนที่ได้ยินครั้งแรกนี่แบบเฮ้ย มันตรงกับพลอตที่เราวางไว้มาก เซ็ทมักจะฟังคนอื่นมากกว่าฟังหัวใจตัวเอง ในขณะที่คินเลือกที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเองมากกว่ากฏเกณฑ์ของสังคม



เราอยากให้เซ็ทกล้าที่จะเดินบนเส้นทางที่เปิดเผยกับทุกคนได้ว่าเซ็ทกับคินรักกัน



อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วช่วยเป็นกำลังใจให้เด็กสองคนนี้ข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายแหล่นี้ด้วยนะคะ



เรารักพี่คินกับน้องเซ็ทมากเหลือเกิน



และก็คิดว่าคนอ่านเองก็รักเด็กสองคนนี้เช่นกัน

 

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 55





            ภาพของลดาที่คณินเห็นครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อนคือหญิงวัยกลางคนที่ยังดูสาวและอ่อนกว่าวัย ผิวไม่ได้ขาวจัดแบบแม่ของเขาแต่ว่านวลตา และสีผิวนั้นก็ถ่ายทอดมาที่เศรษฐพงศ์แบบเต็มๆ
 
แต่หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงคนป่วยในตอนนี้ราวกับคนละคน
 
ลดาผอมลงมากจากที่เจอกันเมื่อเดือนก่อน ผอมจนไม่คิดว่าจะผอมได้ขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ใบหน้าที่เคยสวยบัดนี้กร้านและมีริ้วรอย
 
มันเกิดอะไรขึ้น?
 
            “นั่งก่อนสิคะ”ลดาชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ข้างตัว บนหลังมือมีสายน้ำเหลือเจาะอยู่ คณินก้าวเข้ามานั่งใกล้ๆแล้วมองหญิงสาวด้วยสายตาที่ส่งคำถาม
 
            มะเร็งน่ะค่ะ”หล่อนตอบราวกับว่าที่ป่วยอยู่นี้เป็นแค่หวัดเดี๋ยวก็หาย คณินใจกระตุกวูบ ฝ่ามือชื้นด้วยเหงื่อ
 
ลดาป่วยหนักขนาดนี้คงจะไม่ใช่ระยะเริ่มต้นแล้ว แต่ทำไมทั้งลดาและป๊าของเขาถึงได้ปิดเงียบมาก
 
            “แล้วไอ้เซ็ท...”
 
            “อย่าบอกเซ็ทนะคะ”ชายหนุ่มขมวดคิ้วจนเป็นปมทันทีที่ได้ยินคำขอ ในหัวมีแต่คำว่าทำไมจนแสดงออกมาผ่านแววตาให้ลดาได้รับรู้
 
            “น้าไม่อยากให้เซ็ทต้องรับรู้แล้วมาห่วงจนเสียการเรียน เด็กคนนั้นน่ะคินก็น่าจะรู้นิสัยเค้าดี เทอมสุดท้ายแล้วน้าอยากให้เซ็ทมีสมาธิในการเรียนมากกว่าคอยกังวลเกี่ยวกับน้า”
 
            “แต่น้าป่วยขนาดนี้คิดว่าจะปิดมันได้นานขนาดไหนกันครับ”คณินถามอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่คิดว่าการปกปิดเศรษฐพงศ์จะเป็นทางเลือกที่ดีแต่ลดากลับทำเพียงยิ้มเนือยๆ
 
            “น้าปิดน้องมาได้เป็นปีปิดอีกแค่เดือนสองเดือนไม่ได้ยากอะไร”
 
            “แสดงว่าตอนที่เซ็ทโทรหาแล้วน้าไม่รับ?”
 
            “ค่ะ น้าอยู่โรงพยาบาลฉายแสงเลยรับโทรศัพท์น้องไม่ได้ เราอย่าคุยเรื่องของน้าเลยค่ะ ที่น้าให้คินมาหาวันนี้เพราะน้าอยากรู้เรื่องของคินกับเซ็ทว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงมากกว่า”
 
            คณิน::
 
ผมรู้ดีว่าน้าลดาหมายความว่ายังไง มันออกจะเป็นเรื่องน่าอายนิดหน่อยที่ต้องมานั่งบอกกับเขาว่าผมกับลูกชายเขารักกันได้ยังไงทั้งๆที่ตอนแรกกัดกันแทบเป็นแทบตาย
 
ผมจะไม่เล่าตามจริงก็ได้ แต่พอมองร่างซูบซีดบนเตียงที่มองหน้าผมอย่างรอคอยมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดถ้าจะปิดบังหรือสร้างเรื่องโกหกเพื่อให้มันผ่านๆไป
 
เอาจริงๆการยอมรับว่าจีบไอ้เซ็ทก่อนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร และในเมื่อผมตั้งใจจะคบกับมันผมก็ควรจะเปิดใจกับน้าลดาซักที
 
            “ผมจีบไอ้เซ็ทก่อนครับ ผมเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมดเอง”เมื่อประโยคแรกถูกเอ่ยออกไปเรื่องราวที่ผ่านมาของเราก็ถูกเล่าออกมาอย่างไม่ยากเย็น จะยากนิดหน่อยก็ตรงที่ผมต้องเรียบเรียงและกลั่นกรองคำพูดทุกคำของตัวเอง รวมทั้งเรื่องบนเตียงที่ผมพูดข้ามไปไม่ลงรายละเอียด น้าลดาพยักหน้ารับรู้เมื่อผมพูดจบจนถึงบทสรุปวันที่พ่อมาเจอ
 
            “คินตอบคำถามน้าข้อหนึ่งได้มั้ยคะ”น้าลดาจ้องหน้าผม ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มประดับอยู่เป็นนิจบัดนี้เรียบนิ่ง ผมเผลอกำมือกับขากางเกงของตัวเอง อยู่ๆใจก็เต้นรัวขึ้นมาเสียดื้อๆ
 
น้าลดาจะสั่งให้ผมกับไอ้เซ็ทเลิกกันอีกคนมั้ย
 
แล้วไอ้เซ็ทน่ะรักและเชื่อฟังแม่มาก แค่เพียงน้าลดาพูดคำเดียวไอ้เซ็ทเป็นได้ทิ้งผมอีกรอบแน่ๆและคราวนี้คงหมดหนทางกลับมารักกันอีกแล้ว
 
            “อะไรครับ?”
 
            “คินรักลูกน้าจริงๆหรือว่าแค่ความรู้สึกชั่ววูบคะ”ผมมองหน้าน้าลดาก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
 
จะให้พูดครั้งแรก ครั้งที่สิบ ครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่ล้านประโยคนี้ก็เป็นประโยคที่ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องโกหกหรือฝืนใจที่จะพูดมันออกมาเลย
 
            “ผมรักมันจริงๆครับ รักหมดหัวใจเลย”
 
            “ได้ยินแบบนี้น้าก็วางใจ ถ้าน้าเป็นอะไรไป คินช่วยดูแลน้องแทนน้าได้มั้ยคะ นอกจากน้าแล้วเซ็ทก็ไม่เหลือใครที่จะพึ่งพิงได้อีกเลย”ผมใจหายวูบเมื่อน้าลดาคว้ามือผมไปกุมและบีบเบาๆ ตั้งแต่อยู่ร่วมบ้านกันมานี่เป็นการแตะตัวกันครั้งแรก ดวงตาของน้าลดาที่มองมาที่ผมนั้นมีความหวังอันล้นปรี่
 
หวังของคนเป็นแม่ที่อยากจะมีใครซักคนคอยปกป้องลูกน้อยของตัวเองได้ ผมใช้มืออีกข้างที่เหลือซ้อนทับมือน้าลดาไว้แล้วตบลงบนหลังมือซูบนั้น
 
ดวงตาที่ผมมองน้าลดาคือดวงตายามที่ผมตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างให้ดีที่สุด
 
            “ผมสัญญาว่าผมจะดูแลมันให้ดีที่สุด”
 
หลังจากวันนั้นระหว่างผมกับน้าลดาก็เหมือนปลดล็อคในใจ เรามักจะโทรคุยกันส่วนมากก็เป็นเรื่องของไอ้เซ็ท น้าลดามักจะพูดเสมอว่าเป็นห่วงมัน ส่วนผมโดยมากจะฟ้องว่าวันนี้ไอ้เซ็ทบ่นหรือด่าอะไรไปบ้าง
 
งานที่อาจารย์สั่งยังคงดุเดือดไม่เปลี่ยนแปลง ไอ้ว่าน ไอ้แพร ไอ้แพทสภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ ค่าอุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็มากขึ้นแต่ฐานะการเงินของผมไม่มั่นคงเอาเสียเลย ผมไม่อยากใช้เงินไอ้เซ็ทมากนัก มันเองก็มีรายได้เล็กๆน้อยๆจากการรับจ้างเขียนแบบแต่ตัวมันเองก็ใกล้จบแล้วเช่นเดียวกับผมช่วงหลังนี้มันแทบไม่ได้นอนเพราะงานนอกก็ต้องทำงานในก็ห้ามเสีย
 
            “เป็นไรมึง”ไอ้แดนที่เหมือนจะรู้ว่าผมมีเรื่องกลุ้มใจเดินมานั่งข้างๆ ผมถอนหายใจอย่างหนักอกรับบุหรี่ที่ไอ้แดนยื่นให้มาสูบ
 
            “เงินกูจะหมด”
 
            “มึงก็บอกไอ้เซ็ทสิวะ กูเห็นมันบอกมึงตลอดว่าถ้าเงินหมดให้บอก”
 
            “กูจะไปขอมันพร่ำเพรื่อได้ไงวะ แค่นี้กูก็อายมันจะแย่แล้วต้องคอยแบมือขอเงินมัน”ผมอัดบุหรี่เข้าปอดแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ
 
            “มึงอ่ะชอบคิดมาก ไอ้เซ็ทมันไม่ได้บ่นอะไรไม่ใช่เหรอวะ เงินมันก็พอมี นึกถึงตอนมึงเปย์มันมั่งสิมึงก็ไม่เคยเสียดายกูว่ามันเองก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก มันยังถามกูบ่อยๆเลยว่ามึงเงินหมดยังเพราะมึงแม่งไม่ค่อยบอกมัน”
 
            “มึงไม่รู้อะไร ไอ้เซ็ทอ่ะมันเป็นคนประหยัดมันมีความสุขเวลาที่ยอดเงินฝากเพิ่มขึ้นทุกเดือนแต่นี่สองเดือนแล้วที่ยอดเงินมันลด กูสงสารมัน เหมือนกูพรากความสุขเล็กๆน้อยๆของมันมา”
 
            “แต่กูว่าตอนนี้มันน่าจะมีความสุขกับการได้ดูแลมึงนะ”ผมมองหน้าไอ้แดนอย่างไม่เข้าใจ
 
            “ก็ได้ดูแลคนที่รักน่ะมันเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว”
 
ครับ ประโยคนี้ของอ้เหี้ยแดนทำเอาผมตายไปเลย
 
มึงแม่ง...
 
แต่ความรู้สึกดีกินไม่อิ่ม ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหลือเงินในกระเป๋าไม่ถึงห้าร้อยกับเวลาสองอาทิตย์กว่าที่ไอ้เซ็ทจะโอนมาให้ในเดือนถัดไป ผมตื่นมาในเช้าวันอาทิตย์เพราะท้องร้อง เดินเข้ามาในครัวเหลือข้าวติดก้นถังนิดหน่อย ของสดไข่ไก่หมดไปตั้งแต่เมื่อวานซืน จริงๆเงินควรจะใช้ได้จนถึงสิ้นเดือนแต่หลังจากรู้ว่าน้าลดาป่วยและแกเองก็ไม่มีใครผมจึงแอบขับรถไปเยี่ยมแกทุกวันหยุด เลือกเวลาที่ป๊าไปทำงานพอป๊าใกล้เลิกงานผมก็กลับ ดังนั้นค่าน้ำมันรถจึงพุ่งสูงกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนเงินที่ใช้เติมน้ำมันส่วนเกินนี้ผมดึงมาจากค่ากินที่ไอ้เซ็ทกันไว้ให้ จริงๆน้าลดายื่นเงินให้ผมทุกรอบแต่ผมไม่รับ
 
ผมก็มีศักดิ์ศรีของผม
 
จะดูแลลูกเขาแต่ดันรับเงินของเขามันก็ไม่ใช่ป่าววะ
 
สุดท้ายก็มานั่งอด
 
ผมกำชับไอ้แดนกับเพื่อนๆไม่ให้บอกไอ้เซ็ทว่าอาทิตย์หลังๆมานี้ผมกินข้าววันละมื้อ เช้า กลางวันอาศัยกินน้ำกับแกล้งทำเป็นลืมๆไปแล้วมากินมื้อเย็นรวบยอดเอาทีเดียว เพื่อนๆจะเลี้ยงข้าวผม แต่ผมก็ปฏิเสธไป
 
ไม่มีใครมาเลี้ยงเราได้ทุกมื้อและผมควรช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด
 
ผมเปิดตู้ที่ใช้เก็บบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไอ้เซ็ทย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้ผมกินเพราะผมกินแล้วบวมบางทีก็ปวดท้องแต่วันนี้ผมหิวมากจริงๆ ผมจัดการหุงข้าวที่เหลืออยู่ก้นถังแล้วพอข้าวเด้งก็ต้มมาม่ามานั่งกินเงียบๆ ยังไม่ทันจะอิ่มเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น หน้าจอโชว์ชื่อของไอ้เซ็ทหราเล่นเอาผมสะดุ้งเฮือกเปิดขวดน้ำกินแก้คอแห้งไปอึกใหญ่
 
            “รับช้า”มันว่าเมื่อผมกดรับโทรศัพท์
 
            “ก็รับแล้วมั้ยล่ะ”ผมยอกย้อนใส่มัน เสียงมันร้อง หึ ในลำคอก่อนคำถามเบสิคจะเริ่มขึ้น
 
            “แล้วทำอะไรอยู่ กินข้าวแล้วหรือยัง?”ผมรีบกลืนมาม่าลงคอจนเกือบสำลัก
 
            “กินอยู่”
 
            “กินกับอะไร?”
 
            “ต้มจืดหมูสับ”
 
ผมไม่ได้ตอแหลนะ ก็ที่กินอยู่คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับ ไอ้เซ็ทร้องอ่อเบาๆ
 
            “เงินใกล้หมดยังมึงมีพอใช้มั้ย?”
 
            “ยังมีอยู่มึงไม่ต้องห่วง”ผมบอกเพื่อให้มันสบายใจ
 
            “ถ้าเงินหมดมึงต้องรีบบอกกูนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองอด”
 
            “กูรู้น่า แล้วนี่มึงกินข้าวยัง?”
 
            “กูกำลังจะไป เพิ่งทำงานกลุ่มเสร็จ ว่าจะไปกินข้าวซอยร้านที่มึงบอกว่าอร่อย” น้ำลายกูไหลเลยสัด
 
            “เออดี กินเยอะๆจะได้โตไวๆ”ผมแกล้งหยอกมัน
 
            “นี่กูก็โตทันมึงแล้วเถอะสูงกว่าแค่สามเซ็นต์อย่ามาขิงใส่กู”ผมหัวเราะให้กับคำด่าของมัน เดี่ยวนี้แม่งมีศัพท์แปลกๆมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ
 
            “เออ เดี๋ยวกูขับรถก่อน เย็นนี้ถ้าไม่เลิกช้าจะโทรหา”
 
            “ขับดีๆ”ผมบอกกับมันเหมือนทุกวัน ไม่ต้องสงสัยนะครับว่ามันเอารถที่ไหนขับก็วันที่มันหนีผมไปมันเอาอีแดงขึ้นรถไฟไปด้วย ผมวางสายจากไอ้เซ็ทแล้วนั่งมองมาม่าที่อืดไปครึ่งชาม
 
ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยต้องมานั่งกินอะไรแบบนี้เลย และไม่เคยคิดว่าจะต้องมากินของพวกนี้ด้วย ผมถอนหายใจให้กับชีวิตที่ตกอับของตัวเอง
 
ถ้าแม่ยังอยู่ก็คงดีกว่านี้
 
แม่ที่รักและตามใจผมทุกอย่างแม่ที่คอยฟังเวลาผมพูดไม่ใช่เอาแต่บังคับ
 
ผมมองสภาพห้องแล้วถอนหายใจออกมา คิดหาทางที่จะหาเงินเพิ่ม
 
ตัดเรื่องรับจ๊อบเขียนแบบไปได้เลยแค่งานที่อาจารย์สั่งก็แทบจะทับหัวตายอยู่แล้วเดี๋ยวผมก็ต้องไปทำงานกลุ่มที่ห้องไอ้แดน
 
ผมจะทำยังไงกับการชักหน้าไม่ถึงหลังดี ผมไม่อยากยืมเงินเพื่อนแม้พวกมันจะยินดีให้ผมยืมก็ตามแต่ผมอยู่แบบไม่มีเงินไม่ได้ค่าอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้ซ้อรวมทั้งค่ากินแต่ละวันเป็นสิ่งที่ต้องหามาจ่าย
 
ผมจะไม่ยอมซมซานไปเอ่ยปากขอเงินป๊าอีกเด็ดขาด
 
ผมอยากให้เขาเห็นว่าต่อให้ไม่มีเงินของเขากับอาม่าผมก็จะอยู่ได้
 
            ไอ้แดนเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของผม มันหิ้วข้าวและขนมมาฝากเพื่อนทุกคนพิเศษที่มันซื้อขนมกับนมมาให้ผมโดยเฉพาะโดวยการแวะมาให้ผมที่ห้อง ไข่ไก่ 1 แผงถูกล้างแล้วแช่ตู้เย็น ข้าวสาร 1 ถุง แม้ผมจะรู้สึกอายแต่ตอนนี้จำต้องรับน้ำใจของมันไว้เมื่อคนให้พูดเชิงบังคับ
 
            “ถ้ามึงเห็นกูเป็นเพื่อนก็ห้ามปฏิเสธ เมื่อก่อนมึงเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าพวกกูหมดไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แค่ข้าวกับไข่ทำไมกูจะเลี้ยงมึงไม่ได้”
 
            “กูขอบใจมึงว่ะแดน แต่กูหาทางหาเงินอยู่ กูคงไม่ให้มึงซื้อมาให้กูจนเรียนจบหรอก”
 
            “จะไปยากอะไรวะ เสื้อผ้ารองเท้าของมึงน่ะ เอาไปขายมือสองก็ได้เงินป่าววะ ในเฟซบุ๊คมันมีกลุ่มของแบรนด์เนมพวกนี้ที่ซื้อขายแบบมือสอง กูว่ามึงก็เอาตัวที่มึงไม่ได้ใส่หรือไม่ค่อยได้ใช้ไปขายน่าจะได้เยอะ เพื่อนในคลาสก็มี ถ้ามึงไม่กล้าขายเดี่ยวพวกกูประกาศให้ ยังไงกูว่าก็ขายได้”ไอ้แดนแนะนำทางสว่างให้กับผม ซึ่งนั่นทำให้ผมตาโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
แดนเพื่อนรัก กูรักมึงชิบหายเลยว่ะ"


 
            เช้าวันรุ่งขึ้นไอ้เซ็ทโทรหาผมตั้งแต่ยังไม่ 9 โมงดี ผมค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยแม้ว่าเพิ่งจะได้นอนตอนเจ็ดโมงเช้าแต่พอเป็นสายของมันผมก็รีบรับโดยไม่อิดออด
 
            “ว่าไงมึง”ผมกรอกเสียงแหบๆเข้าไปในสาย อาการนอนไม่พอทำให้ร่างกายของผมคล้ายจะไม่สบาย ทั้งคัดจมูกและคอแห้ง
 
            “มึงกินมาม่ากับข้าวเหรอ?”
 
ชิบหาย!!! ไอ้เซ็ทรู้ได้ไงวะ ผมเลิ่กลั่กเลยอ่ะ ยิ่งเลิ่กลั่กกว่าเดิมตรงที่สัญญาณวีดีโอคอลดังขึ้น ไอ้เซ็ทมันน่ากลัวมาก ผมไม่รับได้มั้ยวะ
 
คงไม่ได้สินะ สุดท้ายต้องกดรับ
 
แล้วไอ้เหี้ยเอ้ย หน้ากูบวมเนี่ย
 
            “สัด”มันพ่นลมออกจากปากทันทีที่เห็นหน้าของผม สภาพตอนนี้คือหน้าบวม ขอบตาบวมและปากเจ่อหน่อยๆ เป็นอาการที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ผมกินมาม่า
 
            “มึงโกหกกูทำไมวะคิน”ผมหลบตาไอ้เซ็ทที่จ้องผมเขม็ง อยู่ความรู้สึกเหมือนโดนแม่ดุตอนสิบขวบก็กลับเข้ามาในความคิด ครั้งนั้นผมติดขนมกินเล่นพวกขนมซองมากจนไม่ยอมกินข้าว แม่จึงมีกฏว่าห้ามไม่ให้ผมกินเกินวันละสิบบาทเพราะขนมพวกนั้นมีโซเดียมเยอะ ผมกินทีไรหน้าบวมตาบวมทุกทีแต่ก็ยังกิน เมื่อถูกหักดิบจากของที่ชอบมากๆผมจึงใช้วิธีขโมยตอนแม่ไม่อยู่
 
มันเคยได้ผลมาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งที่แม่ออกจากบ้านผมก็ปีนขึ้นบนเค้าท์เตอร์ในครัวแล้วหยิบขนมที่แม่ซ่อนไว้บนสุดหลังตู้มาแกะกิน
 
ผมกินไปเล่นเกมส์ไปจนไม่ได้สังเกตรอบๆตัว และความลับไม่มีในโลกเมื่อแม่วกกลับมาบ้านเพราะลืมของผมจึงถูกจับได้คาหนังคาเขา แม่ไม่ได้ดุผมอย่างที่บ้านอื่นทำกัน แม่แค่จับผมมายืนคุยกันต่อหน้า จ้องตาแล้วถามว่าขนมนั่นมันอร่อยจนผมต้องผิดสัญญากับแม่เลยเหรอ แม่เสียใจที่ผมไม่รักษาคำพูด มองข้ามความห่วงใยของแม่
 
 
            “ทำไมคินถึงรักษาสัญญาที่ให้กับแม่ไม่ได้ครับ”คำพูดเชิงตัดพ้อของแม่ในวันนั้นทำให้เด็กอายุสิบขวบอย่างผมสะท้านเข้ามาในอก สายตาที่แม่มองมาที่ผมด้วยความรักใคร่มาตลอดมีแววน้อยใจอยู่ลึกๆ
 
            “ที่แม่ห้ามก็เพื่อตัวคินทั้งนั้น”
 
            “ที่กูห้ามก็เพื่อตัวมึงทั้งนั้นนะคิน แล้วดูดิ่พอมึงกินมาม่าตัวมึงก็บวม ทำไมมีอะไรมึงไม่ยอมบอกกูวะเงินหมดทำไมไม่บอกมึงปล่อยให้ตัวเองอดเพื่ออะไร”ผมดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ใบหน้าของไอ้เซ็ทตึงขนาดเอาเหรียญปาใส่หน้าก็เด้งออกอ่ะ ผมยิ้มให้กับคนปลายสายเพราะประโยคที่มันพูดเหมือนของแม่ผมไม่มีผิด
 
            “เซ็ทกูรักมึงว่ะ”ไอ้เซ็ทที่กำลังบ่นยืดยาวชะงักไปก่อนจะด่ากลับมาอีกรอบ
 
            “มันใช่เวลามาบอกรักมั้ยล่ะไอ้เหี้ย”ผมยิ้มให้กับมันที่ดูก็รู้ว่าทั้งโกรธทั้งเขิน
 
            “ขอโทษนะ คราวหลังจะไม่โกหกอีกแล้ว”
 
            “มึงก็พูดอย่างนี้ทุกที กูบอกแล้วใช่มั้ยเงินหมดให้บอกอย่าปล่อยให้ตัวเองอด เงินกูมีพอให้มึงใช้อย่างไม่ลำบากจนกว่าจะเรียนจบอ่ะ”
 
            “เดือนนี้กูขอมึงเกินงบไปเป็นหมื่นแล้วเลยไม่อยากขออีก”
 
            “แต่ที่มึงขอเกินมันจำเป็นป่ะ โปรเจคของมึงต้องทำมั้ย เดี๋ยวกูโอนให้สามพันถ้าไม่พอก็บอก กูแม่งหงุดหงิดมึงรู้ป่ะ เป็นแฟนกันแท้ๆแต่พอมึงลำบากมึงไม่ยอมบอกกูให้กูรู้จากคนอื่นมันใช้ได้เหรอวะ มีอะไรทำไมไม่บอกกันให้กูรู้ทีหลังมันเจ็บนะเว้ย”มันบ่นเป็นหมีกินผึ้งงุ้งงิ้งอีกพักใหญ่ไม่วายกำชับว่าห้ามผมกินมาม่าอีกจึงได้วางสายไป อีกประมาณ 5 นาทีข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินเข้าบัญชีก็ปรากฏขึ้น
 
อ่า...ผมผลาญเงินมันอีกสามพันสินะ
 
 
            ตั้งแต่เกิดมาเกือบ 23 ปี คณินไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาทำอะไรแบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าโทรศัพท์ที่กำลังเริ่มไลฟ์สดในห้องขายของมือสองแบรนด์เนมที่มียอดสมาชิกให้ห้องหลักแสนคน อาการเก้ๆกังๆด้วยความกระดากอายทำให้แดนธรรมต้องใช้เท้าเขี่ยกระตุ้นให้คณินพูดอะไรซักอย่างเมื่อมีผู่คนเริ่มเข้าชมการไลฟ์สดนี้หลายคน
 
            “เอ่อ...สวัสดีครับ”คณินทักทายคนดูโดยที่ในใจคิดอยู่ว่าทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ แทบจะเบ้ปากใส่ข้อความทักทายแรกจากผู้หญิงที่ใช้รูปโปรไฟล์เป็นชุดนักศึกษารัดติ้วจนเห็นร่องอก
 
            “หล่อจังเลยค่ะ”
 
คณิน::
 
เออ กูรู้ว่ากูหล่อ
 
ใครๆก็พูดแบบนี้ล่ะ ฟังจนเบื่อแล้ว
 
ผมละความสนใจจากคอมเม้นท์ไร้สาระนั้นก่อนจะรับเสื้อที่ไอ้แดนส่งมาให้
 
เหี้ยแดน!!! นี่ Louis Vuitton x Supreme กู๊!!!
 
ผมแทบจะเอาเสื้อตัวโปรดเขวี้ยงหน้าไอ้แดนแต่มันถลึงตาตี่ๆใส่ผม
 
            “ขายไป ตั้งแต่ซื้อมากูเห็นมึงใส่หนเดียว”
 
            “แต่ตัวนี้กูซื้อมาเกือบสี่หมื่น!!”ผมเถียงมันโดยลืมไปเลยว่าตอนนี้ผมไลฟ์สดอยู่
 
            “จะกี่หมื่นมึงก็ต้องขาย”มันว่าพลางยัดเสื้อใส่มือผมกลับมาอีกรอบ
 
            “จะเสียดายทำไมไอ้ควาย มึงซื้อมาสองตัว”อ่อ ผมลืมไปว่าผมซื้อเสื้อรุ่นนี้มาสองตัว ตั้งใจจะให้ไอ้เซ็ทตัวหนึ่ง แต่พอมันเห็นสีแดงแปร๊ดของเสื้อมันก็เอาแต่ส่ายหัวท่าเดียว
 
            “แดงขนาดนี้ใส่ออกนอกบ้านควายได้ไล่ขวิด”
 
ผมจำต้องหันกลับมาที่หน้าจออีกครั้ง อย่าถามหารอยยิ้มจากผมเลย การต้องงัดของรักของหวงมาขายก็เหมือนลูกเราถูกส่งไปออกเรือนตามหัวเมืองไม่รู้ว่าคนที่ได้ไปจะถนอมมันเหมือนที่ผมให้การดูแลเอาใจใส่ราวกับไข่ในหินมั้ย
 
            “เปิดประมูลไปเลยเริ่มที่ห้าพัน”ไอ้แดนมันสั่งผม ผมอยากจะยกนิ้วกลางให้มันรัวๆ ตัวละตั้งเกือบสี่หมื่นเสือกให้กูเปิดที่ห้าพัน ยอดคนที่เข้ามาดูไลฟ์ที่ส่วนมากผมจะเงียบและหันไปตบตีกับไอ้แดนเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยคนหลังจากไอ้แดนทยอยเอาเสื้อผ้าข้าวของๆผมมาแขวนโชว์ด้านหลัง ในที่สุดผมก็เปิดประมูลเสื้อตัวแรกด้วยราคาห้าพันและทำใจล่วงหน้าว่ามันก็คงได้ไม่เหิน 6-7 พันบาท แต่ปรากฏว่าเสื้อตัวนั้นถูกประมูลไปด้วยราคาหมื่นกว่าบาท ผมตาโตเท่าไข่ห่านกับจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีมาหลังจากคนประมูลมากที่สุดได้ไป ไอ้แดนทำหน้าที่ตอบอินบ็อกซ์และจดชื่อที่อยู่สำหรับส่งพัสดุ
 
เมื่อได้เงินก้อนแรกผมยอมรับเลยครับว่าโลภ
 
ไม่น่าเชื่อว่าห้องสำหรับซื้อขายของมืองสองจะมีคนที่มีกำลังซื้อได้มากขนาดนี้ ผมตัดสินใจขายเสื้ออีกตัวและคราวนี้มันได้ราคาไม่มากนักเพราะเป็นเสื้อยืดธรรมดาๆ ผมเอาพวกกระเป๋าเงิน เข็มขัดออกมาขายอีก 2-3 เส้น พูดคุยกับลูกค้าบ้างแม้จะไม่ค่อยมากนักแต่เงินที่เข้าบัญชีทำให้ผมอารมณ์ดีคุยขิงข่าได้เรื่อยๆคนซื้อที่เริ่มจำชื่อได้หลายคนก็เหมือนรู้จักกันมานานทั้งๆที่มึงกับกูเพิ่งคุยกันตะกี๊ มีแซวบ้าง หยอดบ้าง ระหว่างที่กำลังขายของอยู่นั้นพลันก็มีคอมเม้นท์หนึ่งที่ทำให้ผมยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหู
 
            “พ่อค้าเท่าไหร่ครับ”ผมเพิ่งเห็นว่าไอ้เซ็ทเข้ามาดูไลฟ์ของผมด้วย น่าจะเข้ามาตอนที่ผมลุกไปหยิบของแล้วดูผมอยู่เงียบๆ พอมีคนมาหยอดผมเยอะๆเข้าเลยแสดงตัวบ้าง ผมยิ้มแล้วมองกล้องราวกับว่ากำลังจ้องตาของมันอยู่
 
            “ก็ได้ไปตั้งนานแล้วนี่ครับ จะอยากได้อะไรอีก”
 
ครับ แล้วผมก็ปิดไลฟ์หลังจากนั้นพร้อมกล้วยหนึ่งลูกจากไอ้เซ็ทเป็นการทิ้งท้าย


....................................................

ห้องพี่ว่าง ข้าวสารมี ไข่ไก่พร้อมนะคะพี่คิน
 
 
 
 
 


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 56



            คณิตมองร่างซูบผอมที่หายใจรวยรินบนเตียงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนที่มีเรื่องหนักอก ปัญหาทุกอย่างประเดประดังหนักอึ้งจนชายวัยกลางคนดูแก่ลงไปอีกสิบปี
 
เรื่องความรักร่วมเพศของลูกชายและลูกเลี้ยงยังคาราคาซังเพราะเด็กสองคนไม่ยอมปล่อยมือกัน ตอนแรกเขาประเมินสถานการณ์ว่าคณินคงจะทนความลำบากได้ไม่เกินเดือนก็คงจะวิ่งโร่มาขอโทษและขอเงินพ่อกับอาม่าใช้
 
แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น
 
ลูกชายผู้รักสบายของเขาย้ายออกจากคอนโดหรูที่เจ้าตัวชอบนักหนาไปเช่าหอพักอยู่ด้วยขนาดห้องที่แคบ ลูกชายที่กินหรูอยู่สบายเพิ่งไลฟ์สดการทำต้มจืดเต้าหู้อ่อนเสร็จไปเมื่อครู่โดยอวดว่าแฟนเป็นคนสอนให้ ภาพลูกชายคดข้าวใส่จานมานั่งกินหน้ากล้องคุยกับคนที่มาคอมเม้ท์เป็นภาพที่คณิตไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น
 
คณินไม่เคยต้องหยิบจับไม้กวาด ไม่เคยต้องเข้าครัวทำกับข้าวบัดนี้ลูกชายของตนหุงข้าวกินเองทำกับข้าวได้เป็นเรื่องเป็นราว ค่าเทอมหลักหมื่นค่ากินอยู่ค่าใช้จ่ายที่คณินใช้ทุกวันนี้เป็นเงินของเศรษฐพงศ์ทั้งสิ้น
 
เขารู้มาจากหลานๆว่าคณินเคยไลฟ์สดขายเสื้อผ้าของใช้ของตัวเอง วันนั้นเขาคิดว่าเงินของเศรษฐพงศ์คงหมดแล้ว เด็กสองคนกำลังจะถังแตกแต่กลับไม่ใช่เลย ตอนนี้คณินกลับทำรายได้จากการไลฟ์สดขายของได้ค่อนข้างดี อาทิตย์หนึ่งลูกชายจะมาไลฟ์ซักครั้ง ล่าสุดเขารู้มาว่าคณินไปรับรองเท้ามือสองมาขายกับเพื่อนๆ ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลารวมทั้งเพื่อนๆที่แวะเวียนมาเป็นตัวเรียกแขกก็ทำให้คณินมีเงินใช้เป็นกอบเป็นกำ รองเท้าถูกนำมาโชว์คู่แล้วคู่เล่ามีเพื่อนๆช่วยคัดแยกของลูกค้าให้ ถึงแม้คณินจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากนัก พูดแค่ชื่อยี่ห้อและขนาดไซส์บวกกับหน้านิ่งๆ แต่นั่นกลับเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่ง หลังจากไลฟ์ขายของมาซักระยะบรรดาลูกค้าจะรู้ได้ในทันทีถ้าพ่อค้าเล่นกล้องหูตาแพรวพราวหรือยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดงๆเมื่อไหร่นั่นแปลว่า “ตัวจริง” เขามา มันก็มีบ้างที่ช่วงแรกๆจะมีลูกค้าผู้ชายหลายคนคะนองปากพูดเหยียดบ้างก็ด่าแล้วจากไปแต่พักหลังๆนี้แทบจะไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่พ่อค้ามีแฟนเป็นผู้ชาย กลับกันจากตอนแรกที่คณิตคิดว่าเมื่อคนซื้อรู้ว่าพ่อค้าคบผู้ชายด้วยกันคงหายไปแต่ตอนนี้เวลาคณินไลฟ์สดจะมีคนดูหลักพันตลอด ขายของกี่รอบก็มีแต่คนแย่งกันซื้อ เป็นอันรู้กันว่ารอยยิ้มของพ่อค้าน่ะมีไว้ให้ “ตัวจริง” กับตอนที่ยอดขายดีเท่านั้น
 
คณินไม่ต้องการความช่วยเหลือจากทางบ้านอีกต่อไปแล้ว
 
วันก่อนเขาได้คุยกับอาม่าของคณิน สองอาม่ามีท่าทีเป็นทุกข์ ด้วยเพราะคณินเป็นหลานรัก หลานคนโปรด การบีบให้หลานพบกับความลำบากเพื่อเลิกกับเศรษฐพงศ์คนที่เป็นทุกข์และกังวลใจที่สุดก็คืออาม่าทั้งสองบ้าน หลายครั้งเปรยๆบ่นๆว่าคิดถึงหลานอยากคุยอยากได้ยินเสียงแต่ก็ยังรับไม่ได้กับความผิดธรรมชาติที่หลานชายมี เรื่องลูกยังไม่ทันแก้ปัญหา เรื่องภรรยาป่วยก็เข้ามาดึงให้เขากลับมาให้เวลากับลดา
 
คณิตรู้ตั้งแต่แรกที่เริ่มชอบพอลดาแล้วว่าหญิงหม้ายมีโรคประจำตัวที่อาจทำให้ถึงกับชีวิต แรกๆตอนที่เทียวไล้เทียวขื่อลดาปฏิเสธเขานับครั้งไม่ถ้วน เขาเกือบถอดใจไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นเจอลดาปวดท้องจนหน้าซีดแล้วพาส่งโรงพยาบาล
 
            “ให้ผมดูแลคุณและลูกได้มั้ย?”ในเย็นวันนั้นเขาตัดสินใจขอเธอแต่งงานหลังจากทราบว่าลดาป่วยเป็นมะเร็ง คณิตรู้ดีว่าลดาห่วงความรู้สึกของลูก เศรษฐพงศ์เป็นเด็กดี เขาเชื่อว่าถ้าเป็นความสุขของแม่เด็กคนนั้นจะไม่ขัดข้อง มีแต่ลดาที่บอกกับเขาว่าไม่อยากเป็นภาระให้คณิตต้องมาดูแล และไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่
 
เขาอยากใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่จิตใจดีคนนี้
 
ในที่สุดลดาก็ตกลงที่จะแต่งงานกับเขา เพราะวัยที่มากแล้วงานแต่งงานจึงมีเพียงยกน้ำชากับญาติผู้ใหญ่และกินเลี้ยงเล็กๆ หลังจากย้ายเข้าบ้านไม่นานเพราะปัญหากระทบกระทั่งของเศรษฐพงศ์กับคณินทำให้ลูกเลี้ยงของเขาย้ายไปอยู่หอพักเดือนหนึ่งจะกลับบ้านซักหนดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ลดาจะรักษาตัวโดยไม่ให้ลูกชายรู้
 
เขาไม่ได้เห็นด้วยนักกับการปิดบังความจริงกับลูกแต่ลดากลับเลือกที่จะปิด
 
“เซ็ทไม่มีใครแล้ว ฉันอยากให้แกเรียนได้อย่างสบายใจไม่ต้องคอยเป็นห่วงแม่” โชคดีที่การรักษาในตอนนั้นได้ผล เนื้อร้ายถูกทำลาย เขาและลดาดีใจที่สุดก็พอดีกับที่เศรษฐพงศ์ไปฝึกงาน
 
ทุกอย่างสงบราบเรียบมาตลอดจนกระทั่งหลังจากที่เศรษฐพงศ์สอบเทอมสุดท้ายหลังปีหนึ่ง
 
อาการปวดท้องที่ห่างหายไปปีกว่าเริ่มกลับมาเล่นงานลดาอีกครั้ง
 
มันกลับมา...แท้จริงแล้วมันไม่ได้หายไปไหน แค่เร้นกายอย่างเงียบเชียบและกัดกินลำไส้ของภรรยาเขาอย่างตะกรุมตะกราม
 
กว่าจะรู้ตัวทุกอย่างก็สายเกินไป
 
            “บอกลูกเถอะ ถ้าแกรู้ทีหลังแกจะเสียใจ”
 
            “รอให้ลูกสอบก่อนนะคะ”ลดาอ้อนวอนสามีให้ปิดเป็นความลับ
 
อีกนิดเดียวเศรษฐพงศ์ก็จะสอบเทอมสุดท้ายแล้ว...หล่อนจะอดทนรอจนกว่าจะถึงวันนั้น
 
            “ลูกอาจจะอยากดูแลคุณ อยากจะพูดจาปลอบใจคุณ การปิดแกมาตลอดหลายปีมันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอลดา”
 
            “ฉันไม่อยากให้เซ็ทต้องมาคอยห่วงหน้าพะวงหลัง เด็กนั่นน่ะเอาแต่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ถ้ารู้ว่าฉันป่วยหนักไม่ต้องเดาเลย เซ็ทจะดร็อปเรียนเพื่อมาดูแลฉันแน่ๆ ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้วก็ขอตายแบบไม่ถ่วงลูกจะดีกว่า”
 
            “รู้มั้ยเซ็ทเหมือนใคร เขาถอดแบบคุณมาไม่มีผิดเลย เห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเอง”เขาหัวเราะน้อยๆเมื่อนึกถึงลูกเลี้ยงที่นิสัยดีมาตลอด
 
            “ถ้าเขาไม่ดื้อดึงมันคงดีกว่านี้”คณิตเปรยออกมาอย่างเสียดาย
 
เขาเสียดายเด็กดีๆแบบเศรษฐพงศ์ เขาไม่อยากมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับเด็กดีคนนั้นเลยซักนิด
 
คณิตยังยึดติดกับระบอบความคิดของคนยุคเก่า
 
หากแต่ลดาไม่ใช่
 
            “ปล่อยให้เขาสองคนได้รักกันเถอะนะคะ อย่าไปแยกเขาจากกันเลย”ลดาเอ่ยร้องอ้อนวอนกับผู้เป็นสามี หล่อนสงสารลูก สงสารคณินที่ต้องทนกัดฟันฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกัน คณินผู้แสนเย่อหยิ่งในวันนั้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน กลายเป็นคนที่คอยแวะเวียนมาเยี่ยมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แม้การมาแต่ละครั้งถุงใต้ตาของชายหนุ่มจะดำคล้ำมากขึ้นทุกทีก็ตาม
 
            “ตัดเรื่องสังคมมันก็แค่เด็กสองคนที่รักกัน”หล่อนหว่านล้อม
 
            “ตอนนั้นน่ะที่คุณพาฉันไปแนะนำกับคินว่าจะแต่งงานด้วย ถ้าหากคินขอไม่ให้คุณแต่งฉันเชื่อว่าคุณเองก็ต้องเห็นแก่ลูก แต่น้องคินน่ะ นอกจากท่าทางฮึดฮัดก็ไม่เคยขอไม่ให้คุณแต่งกับฉันไม่ใช่เหรอคะ นั่นแปลว่าแกเคารพการตัดสินใจและเห็นแก่ความสุขของคุณ ฉันว่าเราพอเถอะนะ เลิกเมินเฉยเลิกกีดกันพวกแกเสียที”
 
            “เรื่องนี้ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องแล้วแต่ม้า”
 
            “ฉันเชื่อนะคะว่าวันหนึ่งแม่คุณกับอาม่าบ้านนู้นต้องใจอ่อน ตัวคุณเองนั่นแหละที่ควรจะปล่อยวาง อย่าไปพรากความรักของเขาเลยนะคะ”คืนนั้นลดาไม่ได้รับคำตอบจากสามี มีเพียงความเงียบที่โอบล้อมไว้อย่างน่าอึดอัด และหลังจากวันนั้นเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คณิตไม่อยากเอ่ยถึง ส่วนลดาก็ไม่ปริปากพูดเพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่หล่อนพอจะทำได้คือแอบโอนเงินให้ลูกชายอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งสองวันมานี้อาการของลดาไม่ค่อยดีคณิตจึงได้มาคอยเฝ้าภรรยาอย่างใกล้ชิด

บางสิ่งบา่งอย่างที่แสร้งทำเป็นลืมเลือนไปถูกนำกลับมาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง

คิดวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
 
“มึงควรพักบ้างนะคิน มึงไม่ได้นอนมาสามคืนแล้ว”เศรษฐพงศ์เอ่ยขอคณินอย่างอ่อนใจเมื่อคณินบอกว่าจะไปคัดรองเท้าที่บ้านพ่อค้าคนกลางทั้งๆที่ไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว โปรเจคที่คณินทำกับเพื่อนๆนั้นมีรายละเอียดมากอีกทั้งระยะเวลาที่อาจารย์กำหนดค่อนข้างสั้นทำให้งานที่ทำแทบจะลุกเป็นไฟ แทนที่มีเวลาหยุดคณินจะนอนแต่ไอ้คนดื้อด้านนั่นกลับดึงดันที่จะไปเลือกรองเท้ามาขาย
 
เศรษฐพงศ์จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คณินงกเงินได้ขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวไม่อยากขายของๆตัวเอง พอไปเห็นใครไลฟ์ขายรองเท้ามือสองเจ้าตัวจึงสนใจนักหนา แม้ว่าจะต้องเสี่ยงต้องยอมตื่นแต่เช้าเพื่อไปคัดรองเท้าก็ไม่บ่น
 
            “เงินทั้งนั้นมึง โปรเจคกูใช้เงินเยอะ ขาดรายได้ตรงนี้ไปก็เสียดาย”
 
            “แต่สุขภาพมึงสำคัญกว่ามั้ยวะคิน วันนี้ไม่ต้องไปหรอก ขาดเท่าไหร่ก็มาเอาที่กู”
 
            “แล้วถ้ากูจะบอกว่าไม่ได้อยากเอาเงินแต่อยากเอามึง มึงจะให้มั้ย?”แกล้งกดเสียงต่ำหวังหยอกเย้าคนเป็นแฟน
 
และแน่นอน คนขี้เขินแบบเศรษฐพงศ์น่ะ ยั่วง่ายจะตาย
 
            “เอากะตีนกูนี่ ไอ้คนลามก!!”


 
 
 
เศรษฐพงศ์::
 
ในที่สุดฤดูกาลสอบปลายภาคของเราก็ใกล้เข้ามา ผมส่งเล่มรายงานต่างๆที่อาจารย์ให้ทำรวมทั้งวิทยานิพนธิ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเริ่มไม่มีวิชาเรียนกันแล้วเข้าสู่โหมดติวหนังสือยอย่างจริงจัง ไอ้คินเองก็มีพรีเซ้นท์งานชิ้นสุดท้ายที่ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจและแรงเงินในวันนี้ พวกผมจับจองโต๊ะตัวริมสุดในห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ
 
อ่าน
 
อ่าน
 
อ่าน
 
แล้วก็อ่านเหมือนชีวิตนี้จะไม่ได้อ่านมันอีกแล้ว เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งเย็นพวกเราจึงออกไปหาข้าวกินแล้วเคลื่อนพลไปที่ห้องของไอ้ยิมไอ้ย้งเพื่อติวกันต่อ มีเพื่อนในคณะอีกสองคนที่หัวไม่ค่อยดีมาขอติวด้วยซึ่งเราก็ยินดี
 
มหาวิทยาลัยของเราถือคติเพื่อนไม่ทิ้งกัน ต่อให้เพื่อนคนนั้นจะหัวอ่อนแค่ไหนก็จะเข็นกันไปจนได้รับปริญญาพร้อมกันทั้งคณะ
 
ช่วงนี้ไอ้คินก็ห่างจากการไลฟ์สดขายรองเท้ากับของมือสองของมันไปเพราะใกล้สอบเหมือนกัน เหมือนเป็นข้อตกลงระหว่างกันว่าไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหน ลำบากยังไงผลการเรียนของเราต้องไม่ตกยิ่งไอ้คินเป็นคนที่เรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไรถ้าเกรดตกเพราะมาคบกับผมข้อตำหนิที่ผู้ใหญ่มีให้กับความรักของเราก็จะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการที่ผมไม่โทรไปหามันหรือการที่มันไม่มีเวลาโทรมาหาผมในช่วงที่เราติวกันนี้ก็ไม่ทำให้เรางอแงใส่กัน
 
อาทิตย์หน้าผมก็จะสอบแล้ว หลังจากนั้นก็จะได้กลับไปเจอกันได้อยู่ด้วยกันให้หายคิดถึงสมกับที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนเสียที
 
 
            ในขณะที่เศรษฐพงศ์กำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสืออยู่กลางดึกคืนนั้นลดาก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล หญิงสาวมีอาการปวดท้องร่วมกับอาเจียนตั้งแต่ช่วงเย็นเมื่อคณิตกลับมาถึงบ้านนอกจากอาการปวดท้องไม่ทุเลาลงลดายังหน้ามืดหมดสติไปทำให้ต้องรีบส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินโดยด่วน
 
            “ญาติต้องทำใจนะครับ”วินาทีที่หมอบอกกับคณิตชายวัยกลางคนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น
 
เขากำลังจะสูญเสียคู่ชีวิตไปเป็นคนที่สอง
 
ลดากำลังยื้อตัวเองอยู่เขารู้ดี อาการของหล่อนย่ำแย่มาตั้งแต่เมื่อ 2 วันก่อน พร่ำอ้อนวอนให้หล่อนไม่เป็นอะไร หล่อนส่งยิ้มที่แสนเหนื่อยล้าแต่ทว่าอ่อนโยนให้กับเขา
 
            “ยังไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ อยากรอเซ็ท รอให้ลูกสอบเสร็จก่อนถึงจะวางใจไปได้”
 
            “อย่าพูดแบบนี้สิ จะไปไหนอยู่ด้วยกันนี่แหละ”คณิตกดจูบลงบนหน้าผากซูบตอบของภรรยา เขากลั้นความทุกข์ตรมไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ ลดายังคงสวยที่สุดเสมอสำหรับเขาไม่ว่าสภาพร่างกายจะทรุดโทรมร่วงโรยจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
 
            “มันเป็นสัจธรรม ทุกคนไม่มีใครหนีพ้น”ลดาทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก็หลับไป
 
คณินทราบข่าวการแอดมิทของลดา 3 วันหลังจากนั้น แม้จะอยากบอกเศรษฐพงศ์แค่ไหนแต่ชายหนุ่มจำต้องเคารพการตัดสินใจของลดา หลังสอบเสร็จในวันแรกเขาบึ่งรถกลับมาเยี่ยมลดาที่กาญจน์ นับเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของสองพ่อลูกหลังจากเหตุการณ์ที่บ้านอาม่า แม้จะมีท่าทางประดักประเดิดแต่คณิตในยามนี้ไม่มีแรงจะถือทิฐิอะไรนัก เขานั่งเฝ้าภรรยาไม่ได้หลับตานอนเลยจนถึงรุ่งเช้า แม้จะไม่มีการพูดคุยอะไรกัน แต่กาแฟร้อนก็ถูกยื่นให้กับผู้เป็นพ่อพร้อมโจ๊ก 1 ถุงแล้วชายหนุ่มก็ขับรถกลับกรุงเทพเพื่อเตรียมสอบในช่วงบ่าย
 
ลดาถือว่ามีความอดทนอย่างดีเยี่ยม
 
หล่อนยื้อเวลาของตัวเองจนข้ามผ่าน 1 อาทิตย์ คณินที่สอบตัวสุดท้ายเสร็จรีบขับรถกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ใบหน้าของพ่อซีดลงทุกที สีหน้าอมทุกข์นั้นบ่งบอกว่าเขาต้องทรมานใจกับการเผชิญหน้ากับความสูญเสียซ้ำซากนี้มากแค่ไหน แม่เลี้ยงของเขาส่งยิ้มมาให้ในทันที
 
            “เซ็ทสอบเสร็จยังคะ”หล่อนถามเขาทุกครั้งที่เจอหน้า
 
            “วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วครับ เซ็ทสอบเสร็จผมจะรีบเรียกให้กลับมา”
 
            “น้า...กลัวจะไม่ทัน”
 
            “ทันสิครับ รอก่อน รอไอ้เซ็ทก่อนนะครับ”
 
            “ไม่อยากไปเลย แต่ไม่ไหวแล้ว...”คณินกัดกรามแน่นเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของคนป่วย มือของเขาถูกลดากุมไว้ทุกครั้งที่เจอราวกับหล่อนยึดเขาเป็นตัวแทนของเศรษฐพงศ์
 
            “ห่วงเซ็ท หมดน้าไปเสียคนน้องก็ไม่มีใคร”
 
            “มีผมไงครับ น้าลดาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลมันเองผมสัญญา”
 
คณิน::
 
            ผมบอกกับน้าลดาว่าผมจะดูแลไอ้เซ็ทเอง ดูเหมือนคนป่วยจะสบายใจขึ้น แต่ความสบายใจของพวกเราก็อยู่ได้ไม่นาน ตกบ่ายวันนั้นน้าลดาทรุดหนักจนต้องเข็นเข้าห้องไอซียู ผมต่อสายถึงไอ้เซ็ททันทีที่คิดว่ามันคงสอบเสร็จแล้ว ไอ้เซ็ทรับสายผมในครั้งที่สองที่ต่อสายถึง น้ำเสียงใสเอ่ยทักผมเหมือนที่ทำเป็นประจำแต่วันนี้ผมไม่มีเวลาเล่นกับมัน
 
            “เซ็ท ไปสนามบินซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด”ผมบอกมันทันทีโดยไม่ได้ทักทายมันเหมือนเช่นทุกครั้ง ไอ้เซ็ทเองก็ดูเหมือนจะจับสังเกตได้ว่าน้ำเสียงที่ผมบอกกับมันจริงจังกว่าที่เคยมันเงียบไปก่อนจะเอ่ยถามผมอย่างไม่เข้าใจ
 
            “ทำไม เกิดอะไรขึ้น?”
 
            “แม่มึงอยู่ในไอซียู มึงต้องรีบมาก่อนจะไม่ทัน จองเที่ยวที่เร็วที่สุดลงสุวรรณภูมิ กูกำลังขับรถไปรับมึง”ผมรู้ไอ้เซ็ทกำลังสับสน และจากคำพูดของผมเด็กฉลาดอย่างมันตีความหมายได้ไม่ยาก มันระเบิดคำถามว่าแม่กูเป็นอะไรซ้ำแล้วซ้ำอีกจนผมต้องบอกให้มันตั้งสติแล้วทำตามที่ผมบอก ได้ยินเสียงไอ้ยิมกับไอ้อิ้งค์เรียกชื่อมันก่อนที่น้ำเสียงในโทรศัพท์จะเปลี่ยนไป
 
            “มึงช่วยบอกรายละเอียดกูที ไอ้เซ็ทมันสั่นไปหมดแล้ว”เสียงไอ้ยิมเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
 
ในกลุ่มมันเป็นคนที่มีสติดีที่สุดแล้ว ผมเล่าให้มันฟังอย่างคร่าวๆ
 
           " มึงนี่นะ ก็ช่วยแม่มันปิดได้ตั้งนาน ขับรถดีๆ เดี๋ยวกูไปกับมันเอง”
 
            “โอเค”ผมวางสายลง เบาใจลงมาหน่อยที่ไอ้เซ็ทไม่ต้องเดินทางเพียงลำพังกับอารมณ์แบบตอนนี้ ครึ่งชั่วโมงต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในขณะที่ผมขับรถถึงท่ามะกา
 
            “ว่าไง”ผมรู้ว่าคงไม่ใช่ไอ้เซ็ทแน่ที่โทรมา
 
            “ได้ไฟล์บินทุ่มกว่า ถึงนู่นเกือบสามทุ่ม”
 
            “โอเค ถึงแล้วโทรหากู ตอนนี้กูอยู่ท่ามะกา แล้วไอ้เซ็ทเป็นไงบ้าง”อดถามถึงไอ้เด็กมันไม่ได้ ผมรู้แหละว่าตอนนี้มันคงรู้สึกแย่ ทั้งกลัวทั้งห่วงรวมทั้งอาจจะทั้งโกรธ
 
            “โอเคขึ้นแล้ว สงบแล้ว”
 
            “กูฝากมึงดูมันด้วยนะ แค่นี้ก่อนกูขับรถ”ผมตัดสายไอ้ยิมแล้วตั้งใจขับรถไปจนถึงกรุงเทพ เอาเข้าจริงจากที่คิดว่าคงจะต้องมานั่งแกร่วรอด้วยสภาพการจราจรทำให้ผมไปถึงสนามบินไล่เลี่ยกับที่เครื่องลง ไอ้เซ็ทเดินหน้าเครียดออกมาตามหลังด้วยไอ้ยิมที่มาแต่ตัวไม่มีกระเป๋าอะไรกันมาเลย ตาของไอ้เซ็ทบวมเป่งบ่งบอกว่ามันผ่านการร้องไห้มาผมจับมือมันแล้วจูงมาจนถึงรถ
 
ไม่มีใครพูดจากัน แม้แต่ไอ้ยิมก็นั่งเงียบ ผมขับรถออกจากสนามบินมุ่งตรงกลับมากาญจน์อีกครั้ง
 
และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไอ้เซ็ทพูดกับผมว่า
 
            “มึงขับให้เร็วกว่านี้หน่อยได้มั้ย กูอยากไปหาแม่เร็วๆ”
 
เรากลับมาถึงโรงพยาบาลในเวลาเกือบตีหนึ่ง ไอ้เซ็ทไม่ยอมให้ผมแวะพามันกับไอ้ยิมกินอะไรรองท้องเลยผมจึงยิงยาวจนถึงกาญจน์ แม้จะเป็นเวลาดึกแล้ว หมดเวลาเยี่ยม แต่ผมก็ยังพามันเดินมาที่ห้องพิเศษของน้าลดา
 
แสงสลัวจากไฟตรงบริเวณหัวเตียงส่องออกมาจากกระจกบานเล็กที่ประตู ผมค่อยๆหมุนลูกบิดเดินนำไอ้เซ็ทเข้าไป
 
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำใจผมหล่นวูบ พ่อของผมนั่งอยู่ที่ข้างเตียงแบบที่แกมักจะนั่งประจำ บนเตียงมีร่างบอบบางของน้าลดานอนนิ่งสงบ
 
มันจะไม่อะไรเลยซักนิดถ้าร่างนั้นไม่ได้ถูกผ้าขาวคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
 
ไอ้เซ็ทยืนตัวแข็งอยู่ที่ประตูก่อนที่พ่อของผมจะเรียกมันเพื่อดึงสติให้มันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
 
ผมรู้ดีว่าความรู้สึกยามเห็นร่างที่ไร้ลมหายใจของแม่มันเจ็บปวดขนาดไหน ผมรู้ดีเพราะผมเคยผ่านมันมาแล้ว
 
            “เซ็ท มากราบแม่เสียสิ”ไอ้เซ็ทค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปหาแม่ของมันทีละก้าว ปลายเท้าที่ย่างก้าวเข้าหาร่างที่ไร้ลมหายใจของผู้เป็นแม่นั้นผมรู้ดีว่าต้องรวบรวมความเข้มแข็งมากแค่ไหนเพื่อที่จะยอมรับความจริงว่าแม่ไม่อยู่กับเราแล้ว มือของมันสั่นจนน่าสงสารยามค่อยๆดึงผ้าที่คลุมหน้าแม่มันออก
 
            “แม่ไม่ชอบนอนคลุมโปงครับ แม่บอกว่าอึดอัด”ผมกัดปากกลั้นความรู้สึกสงสารยามไอ้เซ็ทกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อใบหน้าซูบตอบไร้สีเลือดและไร้ลมหายใจของน้าลดาโผล่พ้นขอบผ้า
 
            “แม่ครับ แม่...แม่ครับ”มันเขย่าแขนแม่มันเบาๆ ร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
น้าลดาไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มอ่อนหวานให้กับมัน
 
เขารอมันไม่ไหว...
 
            “อย่าให้น้ำตาโดนตัวแม่ เขาจะเป็นห่วง”เสียงของพ่อร้องบอกยามเห็นหยาดน้ำพร่างพราวออกจากดวงตาของมัน ไอ้เซ็ทยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดลวกๆ มันจ้องหน้าของแม่มันนิ่งก่อนจะเอ่ยขอกับพวกเราที่เหลือ
 
            “ขอผมอยู่กับแม่ลำพังได้มั้ยครับ”พ่อของผมไม่ได้พูดอะไร ท่านทำเพียงลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณของน้าลดาก่อนจะเดินนำออกมาด้านนอก ไอ้ยิมเดินตามออกมาเป็นคนที่สอง ส่วนผมมองไอ้เซ็ทอย่างเป็นห่วงแต่ก็ไม่ขัดใจมันยอมเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย ผมไม่ได้ไปไหนทำเพียงยืนรออยู่หลังบานประตู ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้โฮของมันดังออกมาแว่วๆถึงด้านนอก
 
เสียงร้องไห้ของมันกรีดลึกเข้ามาถึงหัวใจของผม มันบีบรัดจนอึดอัดไปหมด
 
ผมรู้ว่ามันเสียใจมากขนาดไหน ตอนนี้ในใจของมันจะรู้สึกอ้างว้างและเหน็บหนาวมากเพียงใด ผมรู้
 
ผมรู้ทั้งหมดเพราะผมเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้มาแล้ว
 
ไอ้เซ็ทกำลังรู้สึกสูญเสียและไม่มั่นคง หัวใจของมันกำลังถูกกัดกร่อนด้วยคลื่นความเสียใจที่ถาโถมจนขาดวิ่น
 
ไม่มีอะไรในชีวิตเราที่มั่นคงและจีรังยั่งยืนเลยซักนิด ผมปล่อยให้มันได้อยู่กับแม่ของมันอีกซักพักจึงค่อยๆแง้มประตูเข้าไป
 
ภาพที่เห็นคือไอ้เซ็ทที่ก้มลงกราบแทบเท้ากอดและจูบปลายเท้าของผู้เป็นแม่ซ้ำๆ คำขอโทษที่มาไม่ทันดูใจและไม่ได้ทำหน้าที่ลูกที่จะต้องดูแลแม่ยามเจ็บป่วยพรั่งพรูอย่างน่าสงสาร ผมเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆก่อนจะวางมือลงบนหัวของมัน
 
ไม่ได้เอ่ยปลอบ
 
ไม่ได้ดึงมากอด
 
ทำเพียงลูบผมของมันอย่างอ่อนโยน แม้ภายในใจจะมีคำพูดมากมายนับล้านคำแต่ผมก็ปล่อยให้ความเงียบที่แสนเศร้านั้นโอบล้อมเราทั้งสองคนเอาไว้
 
ผมรู้ว่ามันรู้ว่าผมคิดอะไร
 
ไม่เป็นไรนะเซ็ท
 
กูจะอยู่เคียงข้างมึงเอง
 
มึงยังมีกูอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะเซ็ท

....................................

การกระทำสำคัญกว่าคำพูด
 
 


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 57

 



            วันรุ่งขึ้นทั้งคณิตและเศรษฐพงศ์ก็วิ่งวุ่นอยู่กับการเดินเรืองเอกสารใบมรณะบัตรและการจองศาลาตั้งศพ เศรษฐพงศ์เอาสมุดจดเบอร์โทรญาติพี่น้องที่ยังเหลือแล้วโทรไปแจ้งข่าวรายบุคคล แม้ไม่รู้ว่าเขาจะอยากมามั้ยแต่ก็แจ้งให้ทราบไว้เฉยๆ คณินทำหน้าที่ขับรถพาเศรษฐพงศ์ไปซื้อของใช้ในงานศพ พวกเพื่อนๆมาช่วยจัดเก้าอี้และจัดสวนหน้าโลงศพจนสวยงาม กุหลาบขาวนับพันดอกถูกจัดเป็นช่อแล้วประดับตกแต่งจนทั่วงาน
 
กุหลาบขาวที่แม่ชอบ...
 
เป็นการทำเพื่อแม่ครั้งสุดท้าย
 
พิธีรดน้ำศพถูกจัดขึ้นตอนสี่โมงเย็น ญาติๆทั้งข้างพ่อและข้างแม่ของเศรษฐพงศ์ที่ยังพอมีมิตรจิตมิตรใจมาร่วมงานสิบกว่าคน ต่างเข้ามาแสดงความเสียใจกับหลานชาย
 
            “หลังจากนี้จะเอาไงเซ็ท ไปอยู่กับย่ามั้ย”หญิงชราที่มีเรือนผมขาวโพลนมวยเป็นวงอยู่ตรงท้ายทอยแตะแขนเด็กหนุ่มพลางเอ่ยถามคำถามที่ทำให้คณินใจกระตุก
 
            “แม่เราเขาตายแล้วเราก็กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว จะอยู่บ้านเขาย่าว่าไม่ดี เรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอไปอยู่กับย่าก็ได้ ลุงป้าน้าอาเราก็ยังมี ที่ทางของพ่อก็ยังอยู่”
 
            “ผมขอคิดดูก่อนครับ ยังไงหลังเสร็จงานก็ยังต้องกลับไปเคลียร์งานที่เชียงใหม่อีกซักพัก”เศรษฐพงศ์ยกมือไหว้ย่าของตนเองก่อนจะขอตัวไปยืนต้อนรับแขกคนอื่นคู่กับคณิต
 
แขกส่วนมากที่มาร่วมงานต่างถือพวงหรีดมามอบให้จนตอนนี้ศาลาตั้งศพของลดาเต็มไปด้วยหรีดดอกไม้นับร้อยอัน คณินและเพื่อนๆช่วยดูแลอำนวยความสะดวกให้กับแขกที่เริ่มทยอยเข้ามาในศาลาสวดศพจนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ไม่พอ
 
1 ทุ่มตรง รถยนต์คันคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอด
 
            “คิน ไปรับอาม่าเข้ามาหน่อย”เสียงคณิตร้องบอกกับลูกชาย คณินชะงักไป นับเป็นประโยคแรกที่เขากับพ่อได้พูดคุยกันนอกเหนือจากการสั่งซื้อของในตอนสาย คณินถูมือของตัวเองอย่างประหม่า ก่อนจะเดินเคียงคู่คณิตและเศรษฐพงศ์ไปที่รถยนต์ทั้งสองคัน คณิตแยกไปประคองมารดาของตนเองโดยให้คณินไปรับอาม่าฝั่งแม่  ประตูท้ายรถเปิดออก อี๊หยกประคองอากงลงมาก่อนคณินเอื้อมมือไปเปิดประตูด้านที่เหลือ เด็กหนุ่มทั้งสองยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน หญิงชราเงยหน้าขึ้นจ้องหลานชาย ดวงตาโรยแสงนั้นไหววูบ ความอิ่มเอมใจแล่นเข้าเล่นงานจนเกือบโผกอดหลานชายคนโปรดไว้ยามที่ชายหนุ่มประคองอาม่าลงจากรถโดยมีเศรษฐพงศ์ก้าวเข้ามาช่วยเมื่ออาม่าเซเล็กน้อย
 
            “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ?”เศรษฐพงศ์ปล่อยมือตนเองที่จับแขนอาม่าไว้แล้วถอยออกอย่างเจียมตัว
 
            “ไม่เป็นไร ขอบใจลื้อมาก แล้วก็เสียใจด้วยเรื่องแม่”น้ำเสียงแม้จะยังคงมีแววดุแต่บัดนี้ไม่ได้แข็งกร้าวอย่างเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว
 
            “ขอบคุณครับ ยืนตรงนี้นานเดี๋ยวอาม่าจะเมื่อย เราเข้าไปข้างในกันเถอะครับพระจะสวดแล้ว”เศรษฐพงศ์ผายมือเข้าไปในงาน
 
พิธีกรรมทางศาสนาเริ่มต้นขึ้น เศรษฐพงศ์เดินไปเคาะโลงเบาๆตอนพระเริ่มต้นสวด
 
            “แม่ครับ ฟังพระด้วยกันนะครับแม่”
 
 
คณิน::
 
ผมมองไอ้เซ็ทที่นั่งพนมมือฟังพระด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
 
มันไม่ได้ร้องไห้เหมือนเมื่อคืนแล้ว หลังจากหยุดร้องก็เหมือนมันจะเรียกสติตัวเองกลับมา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ เราต้องจองศาลาตั้งศพ เราต้องจัดการเรื่องโลงศพ ไหนจะทำเรื่องใบมรณะบัตรอีก ช่วงบ่ายของวันเราถึงได้พาร่างของน้าลดามาวัดโดยการนิมนต์พระมาเชิญดวงวิญญาณ
 
ไอ้เซ็ทยังคงสงบนิ่งแม้แต่ตอนรดน้ำศพมันก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย
 
ผมได้ยินญาติๆของมันบางคนซุบซิบกัน
 
            “ใจดำขนาดไหนแม่ตายไม่มีน้ำตาซักหยด”
 
พวกคุณจะไปรู้อะไร คุณไม่ได้อยู่ในชีวิตของมันมาตั้งแต่ต้นจะมาตัดสินกับการที่ไม่เห็นมันร้องไห้ก็เหมาไปว่ามันไม่รักแม่อย่างนี้เหรอ
 
บางทีคนที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาเพราะมันท่วมอยู่ในอกต่างหากล่ะ
 
พวกเพื่อนๆของผมมาถึงกาญจน์ในตอนเช้าส่วนเพื่อนไอ้เซ็ทมาถึงในตอนบ่ายและมาช่วยจัดเตรียมสถานที่
 
            “เซ็ท...”ผมร้องเรียกมันตอนที่มันออกมาเช็คจำนวนแก้วที่จะใช้ในงาน
 
            “มึงนอนหน่อยมั้ย ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้นอนเลย”ผมปัดผมที่ปรกระใบหน้ามันออกให้
 
            “ไม่ง่วง”มันตอบสั้นๆก่อนจะไปให้ความสนใจกับจำนวนแก้วอีกครั้ง
 
ผมรู้ว่ามันเคืองผมที่ผมปิดบังเรื่องแม่ของมันป่วย
 
เป็นผมๆก็โกรธ
 
ในความเป็นลูกย่อมอยากอยู่เป็นกำลังใจให้แม่ในยามเจ็บไข้ แต่มันกลับไม่มีโอกาสนั้น เราต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ
 
ถึงไอ้เซ็ทจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายแต่ดวงตาของมันบ่งบอกอย่างแจ่มชัดว่ามันเสียใจกับความสูญเสียครั้งนี้มากแค่ไหน
 
ยิ่งตอนย่าของมันเอ่ยปากชวนมันไปอยู่ด้วย ผมเห็นความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้น
 
ผมไม่ยอมให้มันไปหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ว่ามันจะตัดสินใจแบบไหนผมก็จะรั้งมันไว้อยู่กับผม ในที่สุดวันเผาก็มาถึง ไอ้เซ็ทมาวัดตั้งแต่ตีสี่เพื่อปลงผมบวชหน้าไฟให้กับน้าลดาโดยมีไอ้ยิม ไอ้อิ้งค์ ไอ้จีนบวชเป็นเพื่อนและมีลูกหลานญาติน้าลดาที่เป็นเด็กอีก 2 คนบวชด้วย หกโมงครึ่งเณรเซ็ทก็ครองจีวร ใบหน้าเรียบเฉยนั้นสงบนิ่ง ก้าวตามพระผู้ใหญ่มาฉันท์เช้า ผมประเคนภัตตราหารให้กับเณรอย่างสำรวม
 
เราไม่ได้คุยกันเลยเพราะเมื่อสวดเสร็จเณรก็ไปรวมกันที่มุมหนึ่งมีญาติๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยโผล่มาเยี่ยมเยือนนั่งคุยอยู่ด้วย
 
ส่วนมากจะถามเณรเรื่องทรัพย์สินของน้าลดา ซึ่งเณรก็ใช้ความนิ่งเฉยเป็นคำตอบ
 
บ่ายสองพระขึ้นแสดงธรรมก่อนเผาพูดถึงค่าน้ำนมและพระคุณของแม่ ผมเห็นเณรแอบปาดน้ำตาทิ้งเป็นระยะ
 
ความทุกข์ความเศร้าที่มีไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป มันสะท้อนออกมาทางสายตาจนผมอยากจะไปกอดเขาไว้ แต่ผมทำไม่ได้ ในตอนนี้ผมทำได้แค่เพียงทำหน้าที่ดูแลแขกดูแลงานให้ผ่านไปได้ด้วยดีแทนเณรให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนพ่อของผมก็ดูแลแขกผู้ใหญ่

พ่อของผมในวันนี้ดูอิดโรย
 
พ่อเองก็แทบไม่ได้นอน
 
ยิ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ร่างของน้าลดาจะอยู่บนโลกใบนี้แววตาของพ่อผมยิ่งเศร้าสร้อย
 
ในที่สุดการเทศนาธรรมะก็จบลงเข้าสู่พิธีเผาศพ เณรเป็นคนจูงสายสินจญ์นำอยู่ด้านหน้า ผมถือกระถางธูปในขณะที่พ่อถือรูปของน้าลดา เสียงปี่พาทย์บรรเลงยิ่งสร้างความเศร้าให้เข้ามาเล่นงานจิตใจของเราอย่างร้ายกาจ
 
แต่ละก้าวที่เดินภาพเหตุการณ์ต่างๆวนเวียนเข้ามาเป็นฉากๆราวกับภาพยนตร์ที่ฉายฉากย้อนอดีต
 
ไม่มีอีกแล้วคนที่คอนรวนหมูเค็มรวนไก่เค็มคอยทำกับข้าวให้พวกเรากิน
 
ไม่มีอีกแล้วคนที่คอยบอกกับเณรเซ็ทไม่ให้ต่อปากต่อคำเถียงผม
 
ไม่มีอีกแล้วคนที่คอยบอกว่าจะเป็นกำลังใจให้ผมกับเณรผ่านพ้นช่วงเวลาของการวัดใจ
 
น้าลดาจากไปชั่วนิรันดร์
 
ผมยังไม่เคยพูดกับน้าลดาเลยซักครั้งว่าผมขอบคุณเขามากเพียงไหนที่คลอดเณรออกมาให้มาเป็นที่รักของผม
 
ผมยังไม่เคยขอบคุณเขาอย่างจริงจังเลยที่ยอมให้ผมกับเณรคบกัน
 
ผมเอาแต่คิดว่าเมื่อทุกอย่างมันลงตัวผมกับเณรเซ็ทเรียนจบ ฐานะการงานมั่นคงผมจะดูแลเขาให้เหมือนกับแม่แท้ๆของผม
 
แต่ผมไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
 
ผมมองพิธีการผ่านไปจนกระทั่งสัปเหร่อเรียกญาติขึ้นไปบอกลาผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย เณรเซ็ทก็ขึ้นไปด้วย เรามองร่างของน้าลดาด้วยความรู้สึกอาลัย ผมเห็นพ่อดวงตาแดงก่ำ ในขณะที่เณรก็กัดกรามตัวเองจนขึ้นสัน ผมยื่นมือไปกุมมือพ่อไว้แล้วบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
 
ถึงแม้เราจะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมาก่อนยังไงแต่ตอนนี้คนที่จะให้กำลังใจซึ่งกันและกันได้ก็มีเพียงเรา
 
พ่อต้องพบกับเหตุการณ์นี้อีกแล้ว การต้องส่งคนที่รักเข้าเตาเผาไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจให้ชินได้ง่ายๆผมรู้ เณรยังคงยืนมองร่างที่ดำคล้ำของน้าลดาอย่างสงบจนกระทั่งสัปเหร่อเลื่อนโลงเข้าเตาเผา ผมยกมือไหว้ลาน้าลดาเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่อยากจะพูดผมก็พูดในใจไปแล้ว
 
ควันสีเทาดำค่อยๆพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าน้าลดาจากไปทิ้งเหลือไว้เพียงความดีที่เคยสร้าง พ่อของผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาในที่สุด ผมทำได้เพียงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้พ่อเบาๆ
 
หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้วผมก็เอากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของพวกเณรไปรอเณรๆสึก พวกเพื่อนๆของไอ้เซ็ทบอกลาในตอนพลบค่ำ หลังจากเราเคลียร์สถานที่และเก็บเช็คของคืนวัดเรียบร้อยแล้ว  ส่วนผมกับพ่อและไอ้เซ็ทก็มุ่งหน้ากลับบ้าน พรุ่งนี้เราต้องไปเก็บอัฐิในตอนเช้า เราแยกย้ายกันขึ้นไปพักผ่อน ไม่มีใครมีแก่จิตแก่ใจจะกินข้าว ไอ้เซ็ทไขกุญแจเข้าไปในห้องของตัวเองแต่ผมเอามือกันไว้ก่อนที่มันจะปิดประตูลง
 
            “เซ็ท กูไม่ล็อกห้องนะ ถ้ามึงอยู่คนเดียวไม่ไหว...”
 
            “กูอยู่ได้ มึงไปพักเถอะ กูอยากอยู่คนเดียว”ผมไม่ดื้อรั้นอะไรทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ผมเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองอาบน้ำอาบท่าให้พ่อคลายความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวัน อดไม่ได้ที่จะเดินไปเงี่ยหูฟังข้างๆผนังห้อง
 
มันเงียบไม่มีเสียงกุกกักอะไร มันคงเหนื่อยจนหลับหรืออาจจะนั่งนึกถึงแม่มันอย่างเงียบๆ แม้ผมเป็นห่วงมันเพียงใด แต่ผมก็ต้องเคารพพื้นที่ส่วนตัวที่มันขอ ในที่สุดเพราะความเหนื่อยล้าผมก็เผลอหลับไป
 
ผมรู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงลั่นเบาๆของบานประตู ภายในห้องของผมปิดไฟหากแต่แสงจากไฟทางเดินกลับส่องให้เห็นร่างของไอ้เซ็ทที่หัวเหม่งกำลังกอดหมอนใบใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงขยับตัวไปนอนอยู่ตรงริมเตียงคลี่ผ้าห่มของผมออกแล้วตบที่นอนเบาๆ ไอ้เซ็ทเดินเข้ามาแล้วแทรกกายเข้ามานอนในผืนผ้าห่ม ผมรวบร่างของมันมากอดแนบอก รับรู้ได้ถึงความสั่นเทาของร่างกาย
 
            “ร้องออกมาเถอะ มึงไม่ต้องกลั้นมันไว้หรอก ร้องไห้สมกับที่มึงเสียใจ กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง”ผมลูบหัวมันเบาๆและคำพูดนั้นเหมือนค้อนปอนด์ที่ไปทุบเอากำแพงที่มันสร้างขึ้นมาปิดกั้นความรู้สึกตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาให้แหลกสลายลง ไอ้เซ็ทสวมกอดผมแน่นขึ้น ซุกหน้ากับอกของผมจนรับรู้ได้ถึงความอุ่นของหยาดน้ำตา นิ้วของมันจิกลงบนหลังของผมอย่างอัดอั้นก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นคำพูดที่แสนน่าสงสาร
 
            “ฮึก....แม่กุตายแล้ว คิน แม่กูตายแล้ว...กูไม่เหลือใครแล้ว”มันพร่ำพูดประโยคเดิมซ้ำๆอย่างสะอึกสะอื้นผมกระชับอ้อมกอดมันมากขึ้น สะกดกลั้นน้ำตาที่พาลจะไหล
 
            “กูไง...มึงยังมีกูอยู่ทั้งคนไงเซ็ท กูอยู่กับมึงตลอด มึงก็อยู่กับกูนะ อย่าทิ้งกูไป นะเซ็ท กูรักมึงมากมึงรู้ใช่มั้ย”ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของผมมันน่าเชื่อถือแค่ไหนสำหรับไอ้เซ็ท แต่สำหรับผม คำพูดที่พูดออกไป ผมจะรักษามันไว้ชั่วชีวิต
 
 
คณิตหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งๆที่ตั้งใจจะมาพูดกับเศรษฐพงศ์ถึงการใช้ชีวิตหลังจากนี้ แต่เมื่อเห็นลูกชายกำลังปลอบคนน้องที่เสียขวัญเขาก็ยอมล่าถอยไปก่อน  ปล่อยให้ลูกทั้งสองคนปลอบใจกันและกัน




เศรษฐพงศ์มองห่อผ้าที่เก็บอัฐิของแม่ด้วยสายตาว่างเปล่า
 
ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว เมื่อคืนเขาได้ร้องไห้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ไปกับอ้อมอกของคณินแล้ว เด็กหนุ่มประคองพานที่ใส่อัฐิของแม่อย่างระมัดระวัง คณินเอื้อมมือมากุมมือของคนรักไว้แล้วบีบเบาๆอย่างปลอบใจ

ไม่มีเสียงพูดคุย คณิตทำหน้าที่ขับรถพาลูกๆทั้งสองกลับบ้าน ความเงียบยังคงทำหน้าที่ได้อย่างน่าอึดอัด ไม่มีใครพูดคุยกัน บ้านที่ปกติก็เงียบสงบอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อขาดดอกไม้แสนสวยของบ้านอย่างลดาก็ยิ่งเงียบเหงามากขึ้นกว่าเดิม
 
            “เซ็ทเอาอัฐิแม่ไปวางแล้วมาคุยกับลุงหน่อย”คณิตเอ่ยบอกกับลูกเลี้ยงเมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้ว คณินรีบก้าวมายืนเคียงข้างกับเศรษฐพงศ์อย่างปกป้องทันที
 
            “คุยอะไร? ป๊าจะคุยอะไรกับมันผมขออยู่ฟังด้วย"คณินบอกเจตนารมณ์ของตนเองอย่างแน่วแน่  เขาจะไม่ปล่อยให้เศรษฐพงศ์ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องของเราเพียงลำพังอีกแล้ว
 
ตอนนี้เศรษฐพงศ์เปราะบางมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จิตใจของเศรษฐพงศ์ตอนนี้เปราะบางยิ่งกว่าฟองสบู่ เพียงแค่ลมพัดเบาๆก็อาจจะแตกได้ เขาไม่อยากให้คนรักต้องพบเจอกับคำพูดที่กระจิตใจอีกแล้ว

เศรษฐพงศ์ร้องไห้มามากพอแล้ว  ยิ่งเห็นน้ำตาที่ไหลหลั่งเมื่อคืนเขาก็รู้สึกผิดเหลือเกิน  ผิดที่ยอมรับปากลดาไม่ปริปากบอกเรื่องอาการเจ็บป่วยจนเศรษฐพงศ์กลับมาดูใจไม่ทัน

แค่นี้ก็ชดเชยให้กับดวงใจที่ร้าวรานของเศรษฐพงศ์ไม่ไหวแล้ว ถ้าพ่อของเขาเอ่ยปากไล่หรือขอให้หยุดความสัมพันธ์กับเขาอีกเศรษฐพงศ์คงไม่สามารถยืนขึ้นมาได้ด้วยลำแข้งของตัวเองอีก
 
            “ป๊าจะคุยกับเซ็ทไม่ใช่กับคิน”คณิตตอบกลับลูกชายด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทหากแต่คณินก็จ้องตาผู้เป็นพ่อกลับอย่างไม่ลดละ
 
            “ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมกับไอ้เซ็ทผมก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ด้วย”คณินยืนยันคำพูดของตนอย่างหนักแน่นไม่พอยังฉวยมือของเศรษฐพงศ์มากุมไว้แน่น
 
ไม่ปล่อย...เขาจะไม่มีวันปล่อยมือให้เศรษฐพงศ์ต้องไปพบเจอกับเรื่องราวต่างๆตามลำพังอีกแล้ว
 
ในที่สุดคณิตก็ยอมแพ้ ชายสูงวัยเดินนำลูกทั้งสองขึ้นไปยังห้องทำงาน
 
คณินรับรู้ได้ว่าเศรษฐพงศ์กำลังสั่น ฝ่ามือที่กุมไว้เย็นราวกับเลือดได้แห้งเหือดออกไปจากตัวจนหมดสิ้น ทุกก้าวที่ย่างเดินอย่างเชื่องช้านั้นราวกับว่ากำลังเดินขึ้นตะแลงแกงเพื่อรอการพิพากษาประหารชีวิต
 
เศรษฐพงศ์ที่เคยแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งในยามนี้ช่างน่าสงสาร เหมือนลูกนกที่พลัดตกร่วงจากรังยามพายุรุนแรงโหมพัด
 
น่าเวทนานักที่ลูกนกตัวนี้ขาดทั้งพ่อและไร้ทั้งแม่ที่จะคอยประคับประคองโอบอุ้ม
 
            “ไม่ต้องกลัว กูจะอยู่ข้างมึงเอง”
 
            เศรษฐพงศ์::
 
ผมมองหน้าไอ้คินที่เอ่ยกับผมเบาๆแต่ทว่าคำพูดของมันกลับทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ
 
ความอุ่นจากอุ้งมือของมันแล่นวาบเข้าสู่หัวใจจนอุ่นไปทั้งร่าง สายตาของมันที่มองตรงมาที่ผมไม่ลอกแลกและมั่นคงผมส่งยิ้มให้มันก่อนจะสูดหายใจจนเต็มปอดอย่างที่ไม่ได้ทำมาตลอดอาทิตย์
 
เราสองคนก้าวเข้าไปในห้องทำงานของลุงคณิตด้วยย่างก้าวที่มั่นคงขึ้นจากเดิม
 
            “นั่งก่อนสิ”ลุงพยักหน้าให้เราสองคนนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เราสองคนนั่งลงและปล่อยให้ความเงียบมีอิทธิพลเหนือเราอีกครั้ง
 
การเผชิญหน้ากันเพื่อพูดอะไรซักอย่างที่เดาว่าคงไม่พ้นเรื่องการใช้ชีวิตหลังจากไม่มีแม่อยู่แล้วรวมทั้งการใช้ชีวิตที่ผมอาจจะถูกผลักให้ห่างกับไอ้คินช่างน่าอึดอัด
 
ผมรู้สึกเครียดจนอยากจะอ้วกออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป ท้องของผมเริ่มรู้สึกปวดมวนอย่างห้ามไม่อยู่ซึ่งเป็นเรื่องปกติเวลาที่ผมเครียดมากๆ
 
            “เซ็ทเรียนจบแล้วหลังจากนี้อยากทำอะไร?”ลุงเอ่ยถามผมหลังจากหันไปหยิบอะไรบางอย่างออกมา
 
ผมไม่รู้
 
ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ต้องทำอะไร
 
ผมไม่รู้อนาคตของตัวเองเลย
 
ในหัวของผมมันว่างเปล่าไปหมด
 
ในหัวผมคิดสะระตะไปหมด  หลังจากนี้ผมต้องกลับมหาลัยก่อนไปจัดการเรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องจบเรื่องหอ แล้วก็คงต้องเริ่มหางานทำจากนั้นก็คงต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้
 
ดูเหมือนผมมีเรื่องต้องทำเต็มไปหมดจนไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน
 
            “คงต้องย้ายออกไปเช่าหออยู่ก่อนครับ”ผมตอบไปตามตรง ยังไงเสียตอนนี้ผมก็ไม่เกี่ยวข้องกับลุงแล้วเพราะแม่ของผมตายแล้วความสัมพันธ์ต่างๆก็จบลง ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับลุงแบบไอ้คินก็ต้องไป
 
            “กูไม่ให้มึงไป”ไอ้คินรีบหันมาตวาดใส่ผมทันที มือของมันเกาะแขนผมไว้ราวกับกลัวว่าผมจะออกไปจากตรงนี้ ณ ตอนนี้
 
            “ถ้าป๊าจะไล่มันออกไปอยู่ที่อื่นผมก็จะออกไปเหมือนกัน”ผมตกใจที่ไอ้คินหันไปพูดกับพ่อของมันแบบนั้น
 
อย่าทำอะไรแบบนี้เพื่อผมเลย ผมเห็นถึงสายตาเจ็บปวดที่ลุงมองมัน  ผมไม่โกรธลุงเลยซักนิดที่พยายามจะแยกเราออกจากกัน  คนเป็นพ่อแม่ไม่มีใครหวังร้ายกับลูก ลุงแค่รักไอ้คินจนไม่อยากให้มันเจอกับเรื่องมัวหมอง
 
เท่าที่ผ่านมาก็ถือว่าลุงเมตตาและเอ็นดูผมมากเกินพอแล้ว
 
            “ป๊าพูดเหรอว่าจะให้เซ็ทย้ายออกไป”ผมกับไอ้คินชะงักกับคำพูดเรียบๆของลุง สายตาของลุงที่มองมาที่ผมยังคงเหมือนเมื่อวันวาน
 
ยังคงอบอุ่นและใจดีเพียงแต่ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาอาจจะทำให้สายตานี้หายไปบ้างแต่วันนี้ผมมั่นใจว่าลุงยังคงเอ็นดูผมอยู่
 
            “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ เรียนจบแล้วจัดการอะไรเรียบร้อยแล้วถ้าอยากจะเปิดเนิร์สทำต้นไม้ลุงจะช่วย”
 
            “แต่ผมไม่ใช่ลูกหลานของลุงนะครับ คนอื่นจะมองว่ายังไง”
 
            “แต่สำหรับลุงเซ็ทคือลูกอีกคนของลุง เป็นคนในครอบครัวของลุง”ผมกัดฟันกลั้นน้ำตาเมื่อได้ยินคำพูดของลุง
 
เป็นเกียริตมากแค่ไหนนะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของคนดีๆแบบลุงคณิต
 
แต่นั่นแหละ
 
ครอบครัวนี้ไม่ได้มีแค่ลุง ยังมีบรรดาอากงอาม่าและญาติผู้ใหญ่อีกหลายคนที่ไม่ได้ยอมรับผม
 
ผมเรียนรู้แล้วว่าการจะเข้าไปเป็นสมาชิกในครอบครัวใครซักคนมันต้องผ่านการยอมรับจากสมาชิกในครอบครัวของเขา
 
ผมสอบผ่านลุงกับไอ้คินแต่ผมสอบตกหลุดลุ่ยกับญาติผู้ใหญ่ของไอ้คิน แล้วผมจะมีหน้าซุกหัวนอนในบ้านหลังนี้อีกได้ยังไง
 
ผมไม่มีข้ออ้างในการอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว
 
            “ผมขอบคุณลุงมากนะครับที่เมตตาผม ถ้าลุงยังห่วงว่าผมจะออกไปอยู่ด้วยตัวเองได้ยังไงเรื่องนั้นลุงไม่ต้องห่วงผมเลยนะครับ  ผมโตแล้วรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้แล้วครับ ที่ผ่านมาผมขอบคุณลุงมากๆที่เอ็นดูผมมาตลอดผมขอเวลาอีกหน่อยจัดการเรื่องร้อยวันแม่เสร็จผมจะไปเอง”
 
 ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นอยู่ด้วยกันนี่แหละ”
 
            “แต่ผมไม่รู้จะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรในเมื่อแม่ของผมก็ตายไปแล้ว”
 
             ในฐานะแฟนของคินก็ได้”


...................................




ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนอวสาน




            คณิน::
 
ผมนั่งมองบรรยากาศบนโต๊ะอาหารด้วยหัวใจที่พองฟู  ป๊าและญาติๆคนอื่นนั่งล้อมวงบรรดาน้องๆลูกอาอี๊อากู๋นั่งกันอีกโต๊ะหนึ่งส่งเสียงเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวจนอี๊ต้องเอ็ดให้เบาเสียงหน่อย โชคดีที่เราจองห้องวีไอพีไว้จึงไม่รบกวนลูกค้าคนอื่นที่มาใช้บริการ ผมนั่งข้างอาม่าข้างพ่อคั่นกลางด้วยไอ้เซ็ทที่ได้แต่ค้อมหัวทุกครั้งที่อาม่าทั้งสองบ้างต่างพากันตักอาหารใส่จานให้มัน
 
บรรยากาศที่ผมกับมันไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้  ตำแหน่งหลานรักของผมสั่นคลอนหลังจากพวกเราปรับความเข้าใจกัน ไอ้เซ็ทค่อยๆเปลี่ยนใจคนแก่ทั้งสองบ้านอย่างช้าๆด้วยความดีและความเอาใจใส่ของมัน
 
หลังจากคืนนั้นที่พ่อบอกให้ไอ้เซ็ทอยู่บ้านเราต่อด้วยฐานะแฟนของผมทำให้เรารู้ว่าการฟันฝ่าอุปสรรคของเราทั้งสองคนได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านแล้วเพราะการที่พ่อเอ่ยปากพูดแบบนั้นแปลว่าอาม่าทั้งสองบ้านของผมเองก็ยินยอมแล้วเช่นกัน  ผมกับไอ้เซ็ทมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ไอ้เซ็ทจะลุกขึ้นแล้วเดินไปคุกเข้าตรงหน้าพ่อของผมแล้วกราบลงบนเท้าของป๊าน้ำตาของมันไหลอาบแก้มด้วยความซึ้งและตื้นตันใจ ซึ่งผมเองก็ทำแบบเดียวกับมัน  ความรู้สึกของเราเหมือนยกภูเขาที่แบกไว้นานหลายเดือนแล้วโยนทิ้งไปมันทั้งโล่งทั้งยินดี การนัดเจอกันครั้งแรกระหว่างผมกับไอ้เซ็ทและอาม่าทั้งสองบ้านในครั้งแรกดูกระอักกระอ่วนอยู่พอสมควร อาม่าทั้งสองคนของผมยังคงทำหน้าปั้นยากยามเห็นเรานั่งจับมือกัน
 
            “ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกัน จะคบกันก็ดูแลกันดีๆอาม่าไม่ห้ามแล้ว”นั่นแหละเป็นประโยคที่ปลดล็อกทุกอย่างที่กัดกินใจของพวกเรามานานหลายเดือน เราปรับความเข้าใจกันโดยที่อาม่าบอกว่าจริงๆคิดไว้ว่าแบบผมไม่เกินครึ่งเดือนก็จะกลับมาหาอาม่าแล้วแต่เดือนหนึ่งผ่านไปผมยังอยู่ได้อย่างสบายจนรู้จักทำงานบ้านเอง หาเงินใช้เองนั่นเป็นเพราะไอ้เซ็ทดูแลผม เปลี่ยนแปลงผมไปในทางที่ดีขึ้น ทุกการกระทำของพวกเราอยู่ในสายตาของพวกเขาตลอด ความดีที่ไอ้เซ็ททำค่อยๆละลายทิฐิต่างๆให้สลายลง อาม่าและป๊ายอมรับไอ้เซ็ทได้ในที่สุด
 
หลังจากที่เราสองคนกลับไปจัดการเรื่องในมหาลัยจนเสร็จในทื่สุดเราก็ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ผมกับไอ้เซ็ทยังคงแยกห้องนอนกันเพราะเกรงใจป๊า จริงอยู่ที่ว่าป๊ายอมรับเราสองคนที่จะคบหากันแบบแฟนแต่ใช่ว่าเขาจะรับได้ทุกอย่างเราจึงค่อยเป็นค่อยไปตามที่อาม่าบอก ไอ้เซ็ททำหน้าที่ทุกอย่างเหมือนตอนน้าลดายังมีชีวิตอยู่ไม่ผิดเพี้ยน ดูแลเรื่องอาหารการกินเรื่องภายในบ้านไม่มีขาดตกบกพร่อง รวมทั้งเป็นคนพาอาม่าอากงไปหาหมอตามนัดทุกครั้งพอเสร็จแล้วจึงขับอีแดงไปที่อพาร์ทเม้นท์ของผมอยู่ทำงานคอยดูแลความเรียบร้อยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าไอ้แซ็ทจัดสวนด้านหน้าอย่างสวยงามสมกับที่เรียนมา ส่วนผมเข้าไปช่วยป๊าทำงานที่ร้านอย่างเต็มตัว เราสองคนค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ เรียนรู้ซึ่งกันและกันในทุกๆวัน คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เติมเต็มส่วนที่ขาดให้แก่กัน ผมสามารถบอกใครต่อใครได้อย่างเต็มปากว่าชีวิตนี้ผมจะไม่มีใครอีกแล้วเพราะผมมีแค่ไอ้เซ็ทคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
 
            “ลุงครับพรุ่งนี้ต้องไปตรวจสุขภาพนะครับ”ไอ้เซ็ทบอกกับพ่อของผมในตอนเช้าหลังจากวางกับข้าวลงบนโต๊ะเป็นจานสุดท้าย พ่อของผมทำหน้ายุ่งราวกับเด็กที่กินยาขมเข้าไป
 
            “ไม่ต้องตรวจก็ได้”ป๊าก็เหมือนคนแก่ที่เริ่มงอแงไม่ยอมไปตรวจสุขภาพแต่ไอ้เซ็ทส่ายหน้าทำเสียงแข็ง
 
            ไต้องไปครับ แค่ตรวจสุขภาพเองจะได้รู้ว่าป่วยมั้ยไม่ป่วยก็ดีไปถ้าป่วยจะได้รีบรักษา”ไอ้เซ็ทตักข้าววางให้พวกเราพร้อมกับบอกเหตุผลที่ทำให้ป๊าผมยอมจำนน
 
            “ผมไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว”
 
 
1 ปีต่อมา
 
            “ไอ้ยิมมึงตามไอ้วีกับไอ้จีนมาดิ๊ ไปเสนอหน้าอะไรกับคณะบริหาร สาระแนนัก”เศรษฐพงศ์บ่นอุบเมื่อเพื่อนสองคนไปถ่ายรูปกับสาวๆคณะบริหารคนแล้วคนเล่ากว่าจะรวมก๊วนกันได้ก็ใช้เวลาพอสมควร ทั้งหมดรวมหมู่ถ่ายรูปคู่กับปริญญาบัตรที่เพิ่งได้รับมาสดๆร้อนๆ บรรดาบัณฑิตใหม่เดินกันให้วุ่น บรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ญาติพี่น้องแสดงสีหน้าแห่งความสุขฉายชัดเต็มดวงหน้า หลังจากถ่ายรูปหมู่แล้วก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูปกับพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง เศรษฐพงศ์เดินกลับมาตรงจุดที่คณิตและคณินรวมทั้งอาม่าทั้งสองบ้านที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงเชียงใหม่
 
            “อาเซ็กมานี่อาม่ามีของจาห้าย”อาม่ากิมเลี้ยงกวักมือเรียกบัณฑิตป้ายแดงที่เพิ่งเดินกลับมาถึงใต้ร่มไม้ที่อาม่าและคณิตนั่งอยู่ เซ็ทย่อตัวลงตามมืออามาที่บอก
 
เจ้าตัวอดนึกในใจไม่ได้ว่าตัวเองคล้ายจะเหมือนหมาเข้าไปทุกวันเพราะสามารถเรียนรู้ภาษากายของอาม่าทั้งสองได้
 
ถุงผ้าสีแดงติดโลโก้สีทองของห้างหองใหญ่ในตัวเมืองเด่นหราอาม่ากิมเลี้ยงสวมสร้อยทองเส้นใหญ่ให้กับเศรษฐพงศ์ เด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
 
เขาเห็นคณินก็มีทองเส้นเท่านิ้วก้อยแบบนี้หลายเส้นจากตอนที่ชายหนุ่มได้สมบัติส่วนตัวคืนมา แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้ด้วยเหมือนกัน
 
            “อาม่าให้”
 
            “แต่อาม่าครับมันมากเกินไปผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ”เศรษฐพงศ์ทำท่าจะถอดคืนหากแต่อาม่ากลับยึดมือของเด้กหนุ่มไว้
 
            “ผู้ใหญ่ให้ของปฏิเสธ เสียน้ำใจ อาม่าจะเสียใจ เก็บไว้ทำทุนถ้าวันใดวันหนึ่งจำเป็นต้องใช้ก็เอาไปขายได้เลยอาม่าไม่ว่า ถือว่าเป็นของขวัญที่เรียนจบมาช่วยงานอาคินกับคณิต อีกอย่างอาม่าอยากรับขวัญหลานสะใภ้”
 
            “อาม่าครับ พูดอะไรน่ะ”เศรษฐพงศ์ทำตาโตก่อนจะหันมองไปรอบๆ แก้มขึ้นสีแดงเรื้ออย่างน่าดู เด็กหนุ่มเกาหัวแก้เขินหากแต่มุมปากกลับยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
 
สะเพิ้งสะใภ้อะไรล่ะ
 
เป็นผู้ชายต้องเรียกหลานเขยสิ
 
            “ดูๆ แก้มแดงเหมือนตูดลิง เขินเหรอ คบกันมาขนาดนี้ลื้อยังจะเขินอารายอีกอาเซ็ก”เศรษฐพงศ์หลุดขำกับคำพูดคำจาของอาม่าหงส์ เพราะอาม่าทั้งสองออกเสียงภาษาไทยไม่ชัดนักดังนั้นชื่อของเศรษฐพงศ์จากเซ็ทก็กลายเป็นอาเซ็ก แรกๆก็ไม่คุ้นหูแถมเวลาถูกเรียกข้างนอกก็จะรู้สึกอายนิดๆแต่ตอนนี้เขาชินเสียแล้ว

ชื่อเซ็กก็น่ารักดี
 
            “มานี่มา มาหาอาม่า”หลังจากรับทองจากแอนตาซินกิมเลี้ยงแล้วอาม่าหงส์ก็เรียกให้เศรษฐพงศ์ขยับไปหา มือเหี่ยวย่นของหญิงชราล้วงเข้าไปในถุงใบใหญ่ที่อี๊หยกถืออยู่ พวงมาลัยแบงค์พันยาวเหยียดถูกดึงขึ้นมาก่อนจะสวมลงบนคอของเศรษฐพงศ์จนเกิดเสียงโห่ร้องฮือฮาจากเพื่อนร่วมคณะ
 
            “โห อาม่าครับ อีกนิดเพื่อนๆจะเรียกผมว่าสายันณ์แล้วนะครับ” เศรษฐพงศ์พูดกระเซ้าอาม่า เขากราบลงบนตักของอาม่าทั้งสองก่อนจะกวาดสายตามองหาคณินที่ยังไม่เห็นตัวเลยหลังจากแยกกันก่อนที่เขาจะเข้าหอประชุม
 
            “คินไปไหนครับลุง”
 
            “ไปเอาของที่รถน่ะเดี๋ยวก็คงมา”
 
 
เศรษฐพงศ์::
 
ผมนั่งรอไอ้คินอีกราวๆ 5 นาทีมันก็เดินฝ่าเปลวแดดมาพร้อมกับถุงใบใหญ่แบนๆ ในใจกะไว้ว่าถ้ามันซื้ออะไรสิ้นเปลืองมาให้ผมจะด่ามันทีหลังกับช่อกุหลาบแดงช่อใหญ่ขนาดที่มันต้องใช้แขนข้างหนึ่งกระเดียดมากับสะเอวของมันแต่พอมันเดินมาถึงแก้มของมันแดงปลั่งเพราะไอร้อน เหงื่อซึมที่ไรผมเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ต่อหน้าผู้ใหญ่ผมทำอะไรไม่ได้มากนอกจากยื่นผ้าเช็ดหน้าให้มันซับเหงื่อตัวเองแล้วจึงยื่นแก้วน้ำของตัวเองให้มันซึ่งไอ้คินก็ไม่ปฏิเสธรับไปดูดจนเกือบหมด มันหยิบมงกุฎดอกไม้มาสวมให้ผมก่อนจะยิ้มจนตาหยีอย่างชอบใจ ทั้งๆที่ผมไม่ชอบเลยซักนิด มันดูสาวน้อยมากๆ เขินสายตาคนรอบข้างด้วย จะเอาออกมันก็ยึดมือไว้สุดท้ายจึงต้องเลยตามเลยแล้วแก้เขินด้วยการตั้งคำถามใส่มัน
 
            “ไปไหนมาวะ”
 
            “ไปเอาของมาให้มึง”มันตอบเรียบๆก่อนจะยื่นถุงผ้าใบใหญ่มาให้ ผมรับมาอย่างแปลกใจปนไม่ไว้วางใจ
 
            “ของอะไรวะ”ผมหยิบของด้านในออกมาดู แบนๆแบบนี้คงจะเป็นกรอบรูปอาจจะไปจ้างใครมาวาดรูปล้อเลียนแต่เมื่อเปิดห่อออกมาพลันความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลก็แทบจะเอ่อล้นออกมาเป็นน้ำตา
 
ใบหน้าของผู้หญิงอันเป็นที่รักของผมเผยให้เห็น ผมช้อนตาขึ้นมองไอ้คิน  รู้สึกหายใจลำบากขึ้นนิดหน่อยเพราะเริ่มคัดจมูก
 
สงสัยผมจะเป็นหวัดแดดเสียแล้วสิ
 
            “กูคิดว่ามึงคงอยากถ่ายรูปกับแม่เลยเอามาด้วย”มันตอบผมในขณะที่สายตาของมันก็มองแค่ผมมันวางมือล
งบนผมของผมเบาๆราวกับผู้ใหญ่กำลังปลอบเด็กที่ขี้แย ผมส่งยิ้มให้มัน  เป็นรอยยิ้มที่แทนคำขอบคุณ
 
ไอ้คินรู้ใจของผมมากกว่าผมที่รู้ใจตัวเองเสียอีก ผมแค่เคยเปรยๆไว้ว่าผมเสียดายที่แม่ไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จอีกขั้นของผม เราไม่มีรูปรับปริญญาด้วยกันเลย
 
ไอ้คินดึงมือผมฉุดให้ลุกขึ้น
 
            “ไปถ่ายรูปที่หน้าคณะมึงกัน”ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ตอนนี้มันจะลากผมไปไหนก็ไปหมดแหละ จิตใจของผมตอนนี้เปราะบางมาก
 
เปราะบางจากความดีความเอาใจใส่ของมัน ไอ้คินหันไปบอกลุงกับอาม่าว่าจะพาผมไปถ่ายรูปกับแม่แป๊บหนึ่งเดี๋ยวกลับมา
 
ผมประคองกรอบรูปของแม่กับช่อกุหลาบแดงแสนสวยที่ไอ้คินมอบให้ไว้เสมออก  ขยับท่าทางตามคำสั่งของไอ้คิน แต่ดูเหมือนมันยังไม่พอใจ มันละตาจากเลนส์กล้องแล้วพูดกับผมเบาๆ
 
            “วางช่อดอกไม้ลงก่อนแล้วก็ทำหน้าให้มีความสุขหน่อยสินะ ทำเหมือนน้าลดายืนอยู่ข้างมึงยิ้มกับความสำเร็จของมึง มึงเป็นความภาคภูมิใจของแม่มึงนะ จะยิ้มเหมือนกลัวเหงือกแห้งแบบนี้ได้เหรอวะ”ผมฟังคำแนะนำจากมันก่อนจะก้มดูรูปแม่อีกครั้ง ผู้หญิงในกรอบยังคงยิ้มหวานพิมพ์ใจเฉกเช่นวันวานไม่เปลี่ยนแปลง
 
หากแม่ยังอยู่ วันนี้คงเป็นอีกวันที่แม่จะได้ยิ้มแฉ่งจนแก้มฟูแน่ๆ วันนี้แม่จะใส่ชุดสีอะไรนะ น่าจะเป็นสีชมพูอ่อนตามแบบที่แม่ชอบ แต่งหน้าเบาๆ แม่คงไปทำผมที่ร้านเพื่อจะได้มาถ่ายรูปคู่กับผมสวยๆเหมือนตอนกินเลี้ยงอำลาอาลัยสมัยเรียนจบมัธยมปลาย ผมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเงยหน้ามองกล้อง ใบหน้าของผมค่อยๆระบายรอยยิ้มจนในที่สุดไอ้คินก็ยิ้มตอบอย่างพึงพอใจ มันยกกล้องขึ้นมาอีกครั้งและคาดว่ามันคงถ่ายไปหลายรูป พอไอ้คินลดกล้องลงผมกะว่าจะเดินไปขอดูรูปแต่ไอ้คินกลับร้องเรียกคนที่ยืนอยู่แถวนั้นให้ช่วยถ่ายรูปให้เราสองคนหน่อยมันไม่ได้ให้กล้องโปรกับเขาแต่ควักเอามือถือของมันยื่นให้กับคนนั้นพูดคุยกันนิดหน่อยมันก็เดินตรงมาหาผม  รูปของแม่ถูกนำไปวางพิงไว้หินก้อนหนึ่งก่อนที่ไอ้คินจะหยิบช่อกุหลาบมาถือไว้ คนที่ไอ้คินวานให้ถ่ายรูปให้เริ่มจับภาพของเราสองคนตั้งแต่ตอนนั้น ท่าทางหลากหลายอริยาบทของไอ้คินทำให้ผมทั้งเขินทั้งโมโห มีอย่างที่ไหนอยู่ๆก็เลือกคุกเข่าแล้วยื่นช่อดอกไม้มาให้
 
ผมอยากจะด่ามันแต่ติดตรงที่กำลังทำหน้าไม่ถูก จะโกรธหรือจะเขินดี ผมคว้าช่อกุหลาบแล้วง้างขึ้นสูงทำท่าจะฟาดมันแต่สุดท้ายก็ทำไม่ลงทำได้เพียงดึงคอเสื้อของมันให้เจ้าตัวลุกขึ้นมาถ่ายรูปกับผมดีๆ เราถูกเก็บภาพชนิดที่เรียกว่าจับภาพทุกวินาทีจนพอใจไอ้คินจึงเดินไปรับโทรศัพท์เราเอ่ยขอบคุณเขาแล้วเดินกลับไปหาผู้ใหญ่ที่นั่งรอกันอยู่
 
            “เดี๋ยวเซ็ทไปบอกพวกไอ้ยิมก่อนนะครับว่าจะกลับแล้ว”ผมเดินตามหากลุ่มเพื่อนที่นั่งกันอยู่ไม่ไกลบอกร่ำลาและสวัสดีลาพ่อแม่ของพวกมันก่อนจะแยกกลับ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่วันซ้อมใหญ่ถูกพรั่งพรูเป็นลมหายใจหนักหน่วง
 
            “เหนื่อยล่ะสิมึง”
 
            “อือ กูรู้แล้ววันที่มึงรับปริญญาทำไมมึงงอแง แม่งเหนื่อยมาก”ผมบ่นกระปอดกระแปด ไอ้คินปรับแอร์ให้เย็นลงในขณะที่ผมถอดครุยพาดไว้ที่เบาะหลัง ปลดกระดุมที่คอออกสองเม็ดกระพือลมเพื่อคลายร้อน เราขับรถตามรถของลุงคณิตกับอาม่าทั้งสองบ้านออกมาด้านนอกเพื่อตรงไปยังร้านอาหารที่จองไว้ในช่วงเย็น ถนนหนทางยังคงคราคร่ำไปด้วยรถรามากมาย ผมมองวิวทิวทัศน์ที่ค่อยๆสลับผ่านด้วยดวงตาเลื่อนลอย
 
จบสิ้นลงแล้วชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอันมีค่าของผม
 
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าทำให้เราลืมสนใจกว่าจะรู้ตัวผมก็เรียนจบและรับปริญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
จบสิ้นแล้วสำหรับชีวิตวัยรุ่น ตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่วัยทำงานโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว อยู่ๆผมก็รู้สึกหนาวขึ้นจับขั้วหัวใจ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ไวถึงเพียงนี้ ผมอาจจะไม่ใช่คนละเอียดรอบคอบนัก ผมกลัวว่าวันหนึ่งผมจะเผลอเรอทำอะไรพลาดไป วันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง โลกของผู้ใหญ่จะน่ากลัวมากมั้ยนะ ผมไม่รู้เลย ใจของผมสั่นขึ้นน้อยๆเมื่อคิดถึงว่าหากวันหนึ่งผมต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคที่ใหญ่หลวงมากกว่าที่เคยเจอผมจะผ่านมันไปได้มั้ย
 
ไอ้คินค่อยๆสอดปลายนิ้วมากุมมือของผมไว้ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากฝ่ามือแล่นเข้าสู่หัวใจจนรู้สึกถึงความรักที่มันมีให้ผมจนเอ่อล้น
 
เราไม่ได้พูดอะไรกัน มันไม่ได้พูดประโยคเลี่ยนๆแบบที่เคยเห็นในละคร
 
แต่เพียงแค่ฝ่ามือมันที่กุมเข้ามาบีบกระชับเบาๆในตอนที่หัวใจผมรู้สึกเหน็ดหนาว
 
ผมก็รู้แล้วว่าผมจะไม่มีทางเดินฝ่าหนทางมืดมิดนั้นเพียงลำพัง
 
ผมจะมีไอ้คินร่วมเดินเคียงข้างไปจนสุดทาง

มันจะไม่มีทางทิ้งผมให้เคว้งคว้างแน่นอน
 
ผมมั่นใจ...

จบบริบูรณ์
 








....................................................


ตัดสินใจลงจนจบเพราะรู้สึกว่าตัวเองป่วยและอาจจะต้องแอดมิท เวลาโรคกำเริบทีหนึ่งแอดมิททีหนึ่งจะค่อนข้างนานเป็นอาทิตย์เลยลงจนจบเลยดีกว่าคนอ่านจะได้ไม่ต้องรอ

สำหรับผู้อ่านท่านใดที่เม้นท์ให้ตลอดเราขอขอบคุณมากๆนะคะ เราอ่านทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ

สำหรับคนที่แวะเข้ามาอ่านเราก็ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจกับนิยายจากมือใหม่อย่างเรานะคะ

หวังว่าซักวันหนึ่งจะเม้นท์ให้เราบ้างซักเรื่องหนึ่งในวันที่ฝีมือเราถึง

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาทำความรู้จักกับพี่คินน้องเซ็ทนะคะ

สวัสดีค่ะ

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
จบได้ซึ้งปนเศร้า

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
จบแบบเราน้ำตาแตก....ขอบคุณนะครับ สำหรับนิยายดีๆๆๆ ขอให้หายป่วยไวๆๆๆๆครับ

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หมั่นความข้าวใหม่ปลามันมากๆ :hao6:

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เรื่องผ่านมาเยอะจริงๆแต่ก็ผ่านมาได้  :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
จบได้ดีและสมบูรณ์มาก

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไม่ได้แวะมา 2 วันจบแล้ว บอกเลยน้ำตาแตกค๊า...
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะสนุกมากรอติดตามเรื่องใหม่มีแล้วกระชิบบอกด้วยรอจ้้า :L2: :pig4: :pig4:
ขอให้คนแต่งหายไวๆเป็นกำลังให้ :กอด1:

ออฟไลน์ satiara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านจบทีเดียวยาวๆตอนหกโมง
เป็นเรื่องราวดีๆที่ช่วยให้มีความสุขค่ะ
ขอบคุณที่พาเด็กๆมาให้รู้จักนะคะ
แล้วก็สู้ๆกับทุกเรื่องนะ อาการป่วยก็ขอให้ดีขึ้นไวๆ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ (=

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rodoubles

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มีอะไรมากมายที่อยากพิมพ์ออกมา แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยค่ะ เราเป็นคนที่อ่านนิยายยากมากๆ มีหลายเรื่องที่พล็อตน่าสนใจแต่ภาษาไม่สวยเราก็อ่านได้แค่ตอนเริ่มต้น มีหลายเรื่องที่ภาษาสวยมากแต่บรรยายเวิ่นเว้อน้ำเยอะแต่เนื้อน้อย เราก็อ่านได้แค่ครึ่งทาง และก็มีหลายเรื่องอีกเช่นกันที่ตัวละครเป็นแมรี่ซูที่ดูเก่งไปหมดทุกอย่างเกินมนุษย์​มนาคนธรรมดาจนดูเว่อร์ แต่ทุกอย่างกลับไม่มีในเรื่องนี้เลยค่ะ สารภาพว่าเป็นเรื่องแรกเลยที่ดีต่อใจมากแต่เรากลับอ่านไปหยุดไป ไม่เหมือนเรื่องอื่นที่เราชอบแล้วอ่านแบบวันช็อต อ่านทีเดียวจบในหนึ่งวัน เพราะเป็นเรื่องที่เราอ่านแล้วค่อยๆ ซึมซับกับความรู้สึกนึกคิดของตัวละครแต่ละตัวไปช้าๆ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเหมือนเราดูหนังที่มีหลายๆ ภาคอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ อ่านจบหนึ่งตอนเหมือนเราโตขึ้นพร้อมกับตัวละครไปด้วย เป็นความรู้สึกแปลกใหม่มากเลยค่ะ เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับฟิคเรื่องไหนมาก่อนเลย แล้วที่เราชอบมากคือความเป็นปุถุชน​คนธรรมดาของตัวละครทุกตัว พี่คินรวยก็คือรวยจากการที่บ้านมีธุรกิจแบบปกติธรรมดาไม่ใช่รวยเว่อวังอลังการเป็นเจ้าของบริษัทอะไรเหมือนคนอื่น รถที่ขับก็คือบีเอ็มซึ่งหาได้น้อยมากจากนิยายเรื่องอื่นที่ต้องขับสปอร์ต​คันหรูงี้ แถมไม่ได้ใช้ความรวยของตัวเองไปข่มไปกดใคร รวยแบบรู้กันในบรรดาคนสนิท คือเรารักตรงนี้มาก เพราะในชีวิตจริงคนที่รวยจริงๆ เขาไม่ค่อยมาอวดกันว่ารวย แล้วความรู้สึกนึกคิดของตัวละครทั้งด้านดีและไม่ดี มีเหตุผลมารองรับทั้งหมด ไม่มีการกระทำไหนที่้เกิดขึ้นโดนไม่มีเหตุผล เป็นเรื่องแรกอีกเช่นกันที่เราอ่านแล้วไม่อุทานว่า "เอ๊ะ!? อิหยังวะ" งี้ ทุกอย่างมันกลมกล่อมลงตัวไปหมดจนไม่รู้จะอวยยังไงให้สาแก่ใจของอิช่อยคนนี้ มีครบทุกอารมณ์จริงๆ จนอยากกราบคนแต่ง ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณที่สร้างนิยายดีๆ แบบนี้ขึ้นมา การได้อ่านนิยายดีๆ สักเรื่องนึงเหมือนต่อชีวิตของเราไปได้อีกหลายปีเลย อุแง.. จะรอติดตามเรื่องต่อๆ ไปนะคะ ขอแค่คนแต่งไม่ต้องกดดัน เพราะเราก็จะไม่คาดหวังเช่นกัน เราจะทำแค่รอนิยายของคุณ เราเชื่อว่าคุณจะทำมันออกมาได้ดีและเป็นที่รู้จักมากขึ้น นิยายาของคุณจะเป็นที่รักเหมือนอย่างที่เรารักแน่นอนค่ะ นิยายดีขนาดนี้ ฮือออ รักนะคะะะะ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ pkjoe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณมากนะครับสำหรับนิยายดีๆ

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไม่อยากให้จบเลย อยากอ่านต่อไปอีกนานๆ ชอบคู่นี้มาก ขอบคุณนะไรท์ที่เขียนเรื่องนี้มาให้รู้สึกดี รักษาตัวดีๆนะไรท์ อยากให้แข็งแรงๆ มาเขียนงานดีๆให้เราได้อ่านกัน

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
น้ำตาไหลพรากเลย ขอบคุณที่แต่งคินและเซ็ท ครบทุกรสชาด แต่ช่วงท้ายเราร้องไห้หนักมาก

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
เป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยค่ะ ฮือออออออออออออ อ่านีวดเดียว น้ำตาไหลเป็นลิตเลยค่ะ

ออฟไลน์ Nattarat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นิยายเรื่องนี้บรรยายได้ดีจริงๆค่ะ ขอบคุณนะค่ะ อยากให้มีตอนพิเศษเพิ่มค่ะ

ออฟไลน์ CRMMIIMII

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านรวดเดียวเลย ตอนใกล้จบร้องไห้หนักมาก พรุ่งนี้ตาบวมแน่ๆ5555

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น้ำตานองฉากสุดท้าย

ออฟไลน์ Charmy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เรื่องนี้ครบทุกอารมณ์จริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด