3
“ไหน.....เรื่องมันเป็นยังไง เล่าซิ” “โธ่ เรื่องมันไม่มีอะไรเลยครับ คุณภาสกรเขาก็แค่ไปส่งภัทรเฉย ๆ”
“พี่ไม่เชื่ออะ เล่ามาเลยนะภัทร ถือว่าเห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องของเรา” พี่นัทว่าต่อพร้อมกับจ้องภัทรอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ ทำเอาคนเป็นน้องเล็กในแผนกถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
เชื่อแล้วว่าคุณภาสกรฮอตในหมู่พนักงานบริษัท ไม่ต้องบรรยายให้มากความ เพราะทันทีที่ภัทรก้าวเท้าเข้ามาถึงแผนก พี่ ๆ ก็เข้ามารุมถามกันใหญ่ หลัก ๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องการที่คุณภาสกร ผู้บริหารระดับสูงอาสาไปส่งเขาถึงที่บ้าน
“จะให้ภัทรเล่าอะไรล่ะครับ พวกพี่ก็เห็น ๆ กันอยู่นี่นา คุณภาสกรเขาเห็นว่าภัทรกลับทางเดียวกับเขา เลยอาสาไปส่งก็แค่นั้นเอง” ภัทรว่า เขายังคงเป็นผู้ร้ายปากแข็งไม่พูดความจริงออกไป เพราะรู้ว่ามันอาจเป็นผลร้ายมากกว่าดี ไม่ใช่ภาพพจน์ของคุณภาสกรแต่รวมไปถึงหน้าที่การงานของเขาด้วย ดังนั้นภัทรจะไม่มีทางหลุดปากบอกใครเด็ดขาดว่าเมื่อคืนนี้เราไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
“มีแค่นั้นแน่นะ” พี่นัทถามอีกครั้ง
“แน่นอนครับ เขาก็ดูแลพนักงานทุกคนนั่นแหละครับ อีกอย่างผมไม่มีรถส่วนตัวด้วย เขาก็เลยไปส่งเฉย ๆ” ภัทรว่า รู้หรอกว่าตัวเองเป็นคนโกหกไม่เก่งจึงแสร้งจัดข้าวของเอกสารบนโต๊ะ แทนที่จะสบตากับคู่สนทนาอย่างที่ควรจะเป็น
“โอเค พี่เชื่อก็ได้ เฮ้อ....แต่พี่เสียดาย ตอนอยู่ร้านคาราโอเกะภัทรน่าจะไลน์บอกพี่สักนิดก็ยังดีอะ พี่จะได้คีพลุกต่อหน้าคุณภาสกรสักนิดนึง”
“ผมขอโทษครับ แต่เมื่อคืนคุณภาสกรเขานั่งข้างผมจริง ๆ ลำพังจะยกน้ำขึ้นมาดื่ม เขายังจ้องเลย” ภัทรว่า เขาไม่ได้เติมแต่งแต่อย่างไร แต่คุณภาสกรแทบจะจ้องทุกการกระทำของภัทรจริง ๆ
“ช่างมันเถอะ งั้นก็ตั้งใจทำงานแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปแผนกอื่นก่อน”
“ครับ” ดีที่พี่นัทไม่ได้ซักไซ้อะไรมากกว่านี้ ภัทรจึงไม่ต้องเดือดร้อนสร้างเรื่องโกหกเติมแต่งไปเรื่อย ๆ
ตั้งแต่เมื่อคืน เขายังไม่ได้นอนเลยจนกระทั่งตอนนี้ แม้คุณภาสกรจะบอกว่าไม่ต้องลำบากไปส่งที่รถ ให้นอนพักผ่อนเอาแรงเสียเถอะ แต่คนที่เกือบจะได้เสียกัน ใครจะไปหลับลง แค่ภัทรหลับตา ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปก็ผุดขึ้นมาในความคิดทันที
แม้แต่ตอนนี้ภัทรยังอดโทษตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ยังคงกลัวว่าคุณภาสกรตีความหาว่าภัทรรังเกียจคุณเขาอยู่ ทั้ง ๆ ที่ความจริงจะไม่ใช่อย่างนั้นก็เถอะ ภัทรก็แค่เป็นห่วงความปลอยภัยของตัวเองเท่านั้น
ธนภัทรพยายามสลัดความคิดอันฟุ้งซ่านของตัวเองออกจากหัว หลังจากนี้ไปใช่ว่าเขาจะเจอคุณภาสกรบ่อย ๆ เสียหน่อย หากคุณเขาไม่ค่อยเข้าบริษัทบ่อยตามที่พี่นัทเคยบอกเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าจะเข้าทีก็ต่อเมื่อมีการประชุมหรือไม่ก็มีเอกสารที่ต้องอนุมัติด้วยตัวเอง
หลังจากนี้ไปเราอาจเจอกันด้วยความบังเอิญ ซึ่งอาจเป็นนาน ๆ ทีครั้งหรือไม่...เมื่อคืนอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันก็ได้ จากที่คำนวณแล้วคุณภาสกรคงเข้าบริษัทเดือนละไม่ถึงสิบห้าครั้ง
ภัทรไม่ได้หวังสูงอยากสานต่อความสัมพันธ์กับคุณเขา เพียงเพราะเรื่องเมื่อคืนมันเกินกว่าหน้าที่ของพนักงานและเจ้านาย แต่พออะไรที่เกือบได้แล้วไม่ได้ มันย่อมค้างคาใจเป็นธรรมดา แม้อยากจะเลิกใส่ใจแล้ว แต่สมองก็ดันคิดอยู่เรื่อย ร่างกายวอนอยากจะเสียตัวให้คุณเขาให้มันจบ ๆ
ภัทรกลับมาใส่ใจงานตรงหน้าอีกครั้ง ในขณะเดียวกันสมองของเขาก็คิดเรื่องอื่นไปด้วย หลัก ๆ ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องคุณเขาอีกอยู่ดี กลายเป็นว่าทั้งวันมานี้ แม้คุณภาสกรจะไม่มาให้เห็นหน้า แต่อีกฝ่ายก็ยังสามารถครอบครองพื้นที่ความคิดของภัทรได้อยู่ดี
ภัทรทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองออกจากแผนกเป็นคนสุดท้าย เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เพื่อพบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นไม่ขาดไม่เกิน ภัทรทำงานล่วงเวลามาได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว ปีนี้เขาสมควรได้รับตำแหน่งพนักงานดีเด่นด้วยซ้ำ
ดวงตาเรียวกวาดสายตารอบโต๊ะตัวเองเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหยิบเสื้อสูทและกระเป๋าทำงานออกจากแผนกไปโดยไม่ลืมที่จะแวะปิดหลอดไฟเพื่อประหยัดพลังงานให้กับบริษัท
ทำงานเพลิน ๆ ก็สามารถทำให้ภัทรรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวได้ เขายกมือข้างหนึ่งนวดหลังคอตัวเองเบา ๆ ขณะที่เดินตรงดิ่งไปยังลิฟต์เตรียมจะลงชั้นข้างล่าง แทบทั้งชั้นเหมือนเหลือแค่ภัทรอยู่คนเดียว เขาก็เพิ่งรู้ว่าพนักงานที่นี่กลับบ้านตรงเวลากัน
รอเพียงไม่นานลิฟต์ก็มาถึงชั้นของเขา แทนที่ภัทรจะเข้าไปทันทีที่ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างในนั้นและในเวลาเดียวกัน ภัทรก็ตระหนักได้ว่าตัวเองมาลิฟต์ผิดตัว เพราะลิฟต์นี้มีไว้ให้ผู้บริหารใช้เท่านั้น
“ขอโทษครับ!” เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังใช้ลิฟต์ผิดตัว ธนภัทรก็รีบเอ่ยขอโทษขอโพยอีกฝ่ายในทันที ก่อนจะผงกหัวทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายแล้วตั้งท่าจะเดินหนี ไม่มีความกล้าแม้แต่จะสบตาคุณเขา
“เดี๋ยวสิ คุณภัทร!” คุณภาสกรไม่ว่าเปล่าแต่ยังรั้งภัทรไว้ด้วยกันจับข้อมือ เพียงแค่ร่างกายเราสัมผัสกัน ภัทรก็รู้สึกร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก
“ค—ครับ?” ภัทรขานรับ ในจังหวะเดียวกันคุณภาสกรก็รีบผละออกจากข้อมือเขา
“มาด้วยกันเถอะ....ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อคุณภาสกรเมตตาให้เราใช้ลิฟต์ร่วมกัน ภัทรจึงผงกหัวและเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่ว ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ตัวเดียวกันกับคุณภาสกร
ความอึดอัดปกคลุมอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครชวนคุย เหมือนเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นแค่ความฝันเท่านั้น ซึ่งภัทรเองก็เข้าใจเหตุผลนั้นดี จะให้ทำท่าสนิทสนมกันเหมือนอย่างเมื่อคืนที่เกือบได้เสียกัน แต่ต้องมาพลาดท่าเพราะไม่มีตัวป้องกันก็คงไม่ใช่เรื่อง
คุณภาสกรลงชั้นใต้ดิน ส่วนภัทรลงชั้นหนึ่ง อีกฝ่ายยืนอยู่ข้างหลัง เอาแผ่นหลังพิงลิฟต์ ส่วนภัทรยืนอยู่หน้าประตูมือข้างหนึ่งถือเสื้อสูทและมืออีกข้างก็กำสายกระเป๋าทำงานไว้แน่น ภัทรรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองตัวเลขที่ระบุชั้นลิฟต์ ภาวนาให้รีบถึงชั้นล่างเร็ว ๆ
“ทำไมถึงกลับบ้านช้ากว่าคนอื่นล่ะครับ ตามปกติคุณต้องเลิกบ่ายสามไม่ใช่เหรอ” ก่อนที่ลิฟต์จะนำพาเราไปถึงชั้นล่าง คุณภาสกรก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“พอดีผมเหลืองานที่ต้องสะสางอีกนิดหน่อยครับเลยอยู่ต่อทำจนเสร็จดีกว่า” ภัทรตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองคุณเขา
“หัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบคุณไม่ได้บอกเหรอครับ ทางบริษัทไม่มีนโยบายให้พนักงานล่วงเวลา” คุณภาสกรเอ่ยถามต่อ น้ำเสียงคล้ายจะดุภัทร
“บอกครับ....แต่ผมลืม” ภัทรโกหก
“ครับ....ทีหลังอย่าทำงานล่วงเวลาอีกนะครับ ไม่งั้นแผนกคุณอาจโดนหักคะแนนได้”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ” ภัทรขานรับอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมเราอีกครั้ง ตึกนี้มีทั้งหมดสิบหกชั้นตอนนี้เพิ่งมาถึงชั้นที่แปด เหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งกว่าจะถึงชั้นล่าง
“เมื่อคืน....คุณหลับสบายดีไหมครับ” ก่อนที่ลิฟต์จะนำพาเราทั้งคู่ไปถึงชั้นล่างด้วยกัน คุณภาสกรก็เอ่ยปากถามภัทรอีกครั้ง
“ครับ หลับสบายดี”
“แล้วคุณได้บอก.....”
“ไม่ครับ ผมไม่ได้เล่าให้ใครฟัง” ไม่ต้องรอให้คุณภาสกรพูดจบประโยคดี ภัทรสามารถตอบได้ทันที....มันเป็นเรื่องธรรมดา คนระดับนี้ต้องเป็นห่วงภาพลักษณ์ตัวเองอยู่แล้ว
“ผมไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองหรอกนะครับ แต่ผมเป็นห่วงความปลอดภัยคุณ” คุณเขาว่า บอกจุดประสงค์ของตัวเองให้พนักงานตัวเล็กได้รับรู้
“ผมเข้าใจครับ” ภัทรตอบเสียงแผ่ว ในบริษัทมีคนหลายร้อยพ่อพันแม่ที่ต้องทำงานด้วยกัน ต้องมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป และรวมไปถึงคนขี้อิจฉากลัวคนอื่นได้ดีกว่า มันไม่ใช่เรื่องดี หากจะแสดงออกว่าสนิทสนมกับผู้บริหารเป็นการส่วนตัว
จังหวะที่ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก ภัทรแทบจะพุ่งออกจากลิฟต์ในทันที แต่คุณภาสกรก็ไม่ปล่อยให้เขากลับบ้านง่าย ๆ อีกนั่นแหละ
“ เดี๋ยวสิ ภัทร!” คุณเขาตะโกนเรียกชื่อภัทรเสียงดัง นั่นทำให้เจ้าของชื่อต้องหยุดเดินครู่หนึ่ง
“......”
“วันนี้ให้ผมไปส่งคุณอีกนะครับ”
เพราะคำขอของคุณภาสกรถึงทำให้ภัทรได้มานั่งข้างคนขับเช่นนี้ เหมือนเหตุการณ์ฉายวนอีกครั้ง แต่บรรยากาศกลับแตกต่างจากครั้งแรก ความอึดอัดระหว่างเราที่เคยก่อตัวขึ้นอยู่บ่อยครั้งวันนี้กลับไม่มี แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้ชวนกันพูดคุย ต่างฝ่ายต่างเงียบ คุณภาสกรทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปอย่างเงียบ ๆ ส่วนภัทรก็มองข้างทางไปเรื่อย
“นี่ก็ค่ำแล้ว คุณกินข้าวเย็นหรือยังครับ” หลังพ้นช่วงรถติดมาได้ คุณภาสกรก็เอ่ยถามภัทรพร้อมกับชำเลืองมองกระจกข้าง ๆ ไปด้วย
“ยังเลยครับ” ภัทรว่า อยากจะตอบต่อว่าอีกฝ่ายก็เพิ่งเห็นนี่ว่าภัทรเพิ่งเลิกงานเมื่อกี้เอง จะเอาเวลาที่ไหนกินข้าว แต่สุดท้ายธนภัทรก็เลือกที่จะเงียบและตอบไปแค่นั้น
“งั้นเราแวะทานของอร่อย ๆ กินก่อนที่จะไปส่งคุณดีกว่า ผมก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
“ครับ?” คราวนี้ภัทรหันไปมองหน้าคุณเขาด้วยความงุนงง
“ผมรู้จักร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง ย่านวงเวียนใหญ่ เป็นร้านอาหารโปรดของครอบครัวผม อร่อย ราคาไม่แพงด้วยอยากให้คุณลอง”
แทนที่คุณภาสกรจะขยายความหรือพูดอะไรให้เป็นกิจจะลักษณะ แต่กลับตีมึนแล้วเล่าเรื่องร้านอาหารแทน เท่านั้นยังไม่พอ นอกจากคุณเขาจะไม่ถามความสมัครใจของภัทรเลยสักนิด ยังเปลี่ยนเลนรถอย่างถือวิสาสะอีกต่างหาก แทนที่จะมุ่งหน้าไปยังทางกลับบ้านภัทร กลับพาขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำ มุ่งตรงไปย่านวงเวียนใหญ่อย่างที่คุณเขาว่าแทน
“นี่เราจะไปกินข้าวกันเหรอครับ?”
“ใช่ครับ ผมกำลังพาคุณภัทรไปทานข้าว” คุณภาสกรตอบเสียงซื่อ
ในเวลาเพียงไม่นานเราก็เดินทางมาถึงวงเวียนใหญ่จนได้ แม้คุณภาสกรจะพูดเองเออเองสำหรับเรื่องการแวะกินข้าวครั้งนี้ แต่ภัทรไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดออกมาแต่อย่างใด เพราะเขารู้ว่าการแสดงออกเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ารัก อีกทั้งนี่คือความต้องการของคุณเขา ใครจะกล้าขัดคำสั่ง
เพราะนอกจากชื่อและตำแหน่งในบริษัท เราก็ไม่รู้จักเรื่องส่วนตัวของกันเลย ทำให้ภัทรอดทึ่งไม่ได้ที่คุณภาสกรพาแวะกินร้านข้างทางแทนที่จะเดินเข้าร้านหรูอย่างที่คิดไว้
ภัทรไม่ได้รังเกียจอาหารข้างทางที่จอดขายตามริมริมฟุตบาธ มันเป็นร้านธรรมดาระดับชนชั้นอย่างเขา แต่ที่ภัทรอึ้งก็เพราะไม่คิดว่าระดับคุณภาสกรกินร้านตามริมฟุตบาธเช่นนี้ ใคร ๆ เขาก็รู้ว่าคุณเขามีเงินเป็นพันล้าน จะกินร้านหรูแค่ไหนก็ย่อมได้
“ร้านนี้แหละครับ อาหารอร่อยมาก คุณภัทรนั่งก่อนสิ....เดี๋ยวผมเดินไปสั่งเมนูแป๊บหนึ่ง” คุณภาสกรว่าพร้อมกับพยักพเยิดให้ภัทรนั่งเก้าอี้เฝ้าโต๊ะที่ว่าง ๆ ไว้ก่อน แล้วคุณเขาก็เดินไปสั่งเมนูกับแม่ค้าที่กำลังปรุงอาหารอยู่หน้าเตาอย่างชำนาญการ
“ไม่ยักจะรู้นะครับว่าคุณภาสกรจะกินร้านข้างทางด้วย” หลังจากที่คุณเขากลับมานั่งที่โต๊ะ ระหว่างรอให้อาหารมาเสิร์ฟ ภัทรก็ชวนคุณเขาคุย
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็คุณรวย.....ระดับคุณกินร้านภัตตาคารหรู ๆ ได้สบาย ๆ” ธนภัทรว่าอย่างซื่อตรง
“แต่คนรวยก็คนนะครับ”
“.......”
“ถ้าร้านทำสะอาดและอร่อยทำไมผมจะกินไม่ได้ล่ะ” คุณภาสกรชี้แจงด้วยเหตุผล
“ก็ผมเคยเห็นในละคร คนรวย ๆ ต้องกินร้านหรู ๆ อาหารถูกปรุงโดยเชฟชื่อดัง...”
“นั่นคือในละคร แต่ผมคือคนในชีวิตจริง”
“....ขอโทษครับ” ภัทรเอ่ยขอโทษอย่างไม่ลังเล หลังรู้ตัวว่าตัวเองกำลังมองคุณเขาในทางที่ไม่ดี มองว่าคุณภาสกรเป็นพวกผู้ดีตีนแดง ทั้ง ๆ ที่คุณภาสกรติดดินขนาดนี้
“จะขอโทษทำไมล่ะครับ ดีเสียอีก เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น” คุณภาสกรว่า ใบหน้าหล่อ ๆ ของคุณเขายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นเดิม ไม่ได้แสดงออกถึงความหงุดหงิดที่เห็นภัทรมองตัวเองในแง่ลบเลยแม้แต่นิด
“แล้วคุณภาสกรมาทานที่นี่บ่อยหรือครับ” ภัทรเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไม่บ่อยหรอกครับ นาน ๆ ทีมาครั้ง ส่วนใหญ่จะวานให้แม่บ้านซื้อเข้าไปมากกว่า” เราพูดคุยกันอีกสองสามประโยค อาหารก็มาเสิร์ฟพอดี
ร้านที่คุณภาสกรพามากิน ไม่ใช่ร้านอาหารตามสั่ง แต่เป็นร้านที่ขายหลายเมนู เมนูที่ดูขึ้นชื่อของทางร้านมากที่สุด น่าจะเป็นกุ้งอบวุ้นเส้น คุณเขาหายไปสั่งเมนูกับแม่ค้าแป๊บเดียว แต่อาหารมาเสิร์ฟแทบล้นโต๊ะ มีทั้งกุ้งอบวุ้นเส้น หอยแมลงภู่อบใบโหระพา ต้มยำรวมทะเลและปูผัดผงกะหรี่
“สั่งมาเยอะจังเลยครับ” ภัทรว่า หลังอาหารที่คุณเขาสั่งได้มาเสิร์ฟจนครบแล้ว มันเยอะจนเขาไม่แน่ใจว่าลำพังแค่เราสองคนจะกินกันหมดไหม
“ก็อยากให้คุณได้ลองกินไงครับ อร่อยจริง ๆ นะ” คุณภาสกรไม่ว่าเปล่า แต่ยังใจดีตักกุ้งอบวุ้นเส้น อาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระเอกของทางร้านให้ภัทรอีกด้วย
“ขอบคุณครับ”
ระหว่างทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน คุณภาสกรดูแลภัทรดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการตักอาหารให้ชิมหรือรินน้ำใส่แก้วให้อยู่บ่อยครั้ง ทำเอาคนที่อาศัยติดรถกลับบ้านด้วย เกรงใจจนไม่รู้จะเกรงใจยังไงแล้ว คุณภาสกรดูแลภัทรดีมากราวกับอีกฝ่ายเป็นหุ้นส่วนร้านอาหารแห่งนี้ด้วยซ้ำ
“ไม่เอาครับ ผมจ่ายเอง” ภัทรรีบคว้ากระเป๋าตังค์และปฏิเสธความหวังดีของคุณภาสกรในทันที หลังเห็นว่าคุณเขาทำท่าจะเลี้ยงอาหารมื้อนี้
“ผมเลี้ยงครับ”
“ไม่ได้นะครับ แค่พามาทานข้าวผมก็เกรงใจแล้ว” ภัทรว่า ยังยืนกรานที่จะรับผิดชอบค่าอาหารร่วมกับคุณภาสกรให้ได้
“งั้น....ถ้าคุณภัทรอยากจะรับผิดชอบค่าอาหารร่วมกัน ไว้เลี้ยงผมตอนทานของหวานก็ได้ครับ ข้ามฝั่งไปจะมีร้านทับทิมกรอบเจ้าดังอยู่” คุณภาสกรเสนอทางออกให้
“ค่าทับทิมกรอบอย่างมากก็ไม่เกินห้าสิบบาทต่อถ้วย แต่มื้อนี้ขั้นต่ำน่าจะเป็นพันเลยนะครับ” ธนภัทรยังคงเถียง เพราะยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบผู้เป็นเจ้านายอยู่ ของหวานอย่างมากสุดก็คงกินได้ไม่เกินสามถ้วยแน่ มูลค่าของหวานสามถ้วยยังไม่ได้ครึ่งของราคาอาหารมื้อนี้เลยด้วยซ้ำ
“แต่ผมเป็นเจ้านายนะครับ จะให้คุณมาแชร์ค่าอาหารทั้ง ๆ ผมลากคุณมาด้วยก็คงไม่เหมาะเท่าไรเหมือนกัน” คุณภาสกรเองก็ไม่ยอม
“......”
“งั้นตกลงตามนี้นะ”
สุดท้ายภัทรก็ต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงของหวานแทน เพราะคุณภาสกรไม่สะดวกใจที่จะให้เขาช่วยออกค่าอาหารคาวจริง ๆ
หลังจากออกจากร้านอาหารเสร็จ เราก็เดินข้ามสะพานลอย เดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงร้านที่คุณเขากล่าวถึง เราแวะเข้าร้านทับทิมกรอบเจ้าดังที่เปิดขายอยู่วงเวียนใหญ่
ทั้งภัทรและคุณเขา เราใจตรงกัน สั่งรวมมิตรมาคนละถ้วย ในถ้วยที่สั่งไปจะมีทั้งทับทิมกรอบ แห้วสวรรค์และซ่าหริ่มรวมอยู่ในถ้วยเดียว เรากินไปคนละหนึ่งถ้วย เอาพอให้หอมปากหอมคอ ราคาต่อถ้วยประมาณสี่สิบบาท ถือว่าไม่ถูกและแพงจนเกินไป
“วันนี้ขอบคุณมากนะครับ ร้านที่คุณพาไปอาหารอร่อยมาก วันหลังผมจะได้พาหลานไปกินอีก” ภัทรเอ่ยขอบคุณคุณภาสกร หลังรถหรูมาจอดสนิทที่หน้าบ้านของเขาแล้ว
“ถ้าจะพาหลานไปก็บอกผมได้ เดี๋ยวผมพาไปเอง ไปเองเปลืองค่ารถเปล่า ๆ”
“งั้นถ้ามีครั้งหน้า ผมต้องเป็นเจ้ามือนะครับ” ภัทรต่อรอง
“ก็ได้ครับ ตามใจคุณ”
“......”
“คุณภัทรครับ....จะเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าผมจะขอเบอร์คุณเอาไว้” คุณภาสกรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก คล้ายว่ากลัวจะถูกปฏิเสธ
“ได้สิครับ” เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายขอไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ภัทรจึงให้เบอร์คุณเขาอย่างไม่ลังเล เราพิรี้พิไรอยู่ในรถนานสองนาน จริง ๆ ภัทรควรจะขอตัวเข้าบ้านได้แล้ว เพราะหลานอยู่บ้านคนเดียว แต่เขากลับไม่อยากรีบลง เพราะบรรยากาศบนนี้กำลังดีได้ที่
“ภัทรครับ.....”
“ครับ?” ภัทรขานรับในทันทีที่ได้ยินว่าคุณเขาขานชื่อ
“จะเป็นอะไรไหม ถ้าผม.....ผมขอจูบคุณอีก” ตอนแรกเหมือนคุณภาสกรจะลังเล แต่สุดท้ายก็พูดอย่างตรงไปตรงมา คราวนี้ธนภัทรถึงกับเงียบ เดาใจคุณภาสกรไม่ถูก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คำขอของคุณเขา มันกำลังทำให้ใบหน้าภัทรร้อนฉ่าไปหมด
“คุณภาสกรไม่คิดว่า มันเกินขอบเขตของเจ้านายลูกน้องไปหน่อยเหรอครับ” นานนับนาทีกว่าภัทรจะตอบ
“นอกเวลางาน เราไม่ใช่เจ้านายลูกน้องกันหรอกนะครับ”
“แต่ตอนที่อยู่ร้านอาหาร คุณเพิ่งอ้างเรื่องเจ้านาย ลูกน้องไปเองนะครับ” ภัทรแย้ง
“.......”
“อีกอย่าง....นอกเวลางานของคุณภาสกรนี่ รวมไปถึงเรื่องเมื่อคืนหรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ ไม่มีเจ้านายลูกน้องที่ไหนเขาจูบกันหรอก” เมื่อธนภัทรเอ่ยถามอย่างซื่อตรง คุณภาสกรก็ตอบตรง ๆ เช่นกัน แม้มันจะดูแรง หวือหวาไปเสียหน่อย เพราะเราเพิ่งรู้จักกันเพียงระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่กลับถูกใจคนฟังอย่างภัทรหนักหนา เพราะจะได้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง แต่เราคิดตรงกันต่างหาก
เมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของความสัมพันธ์นี้แล้ว ภัทรก็ไม่รีรอที่จะมอบในสิ่งที่คุณเขาขอมา เพราะภัทรเองก็อยากสัมผัสความรู้สึกแบบเมื่อคืนเช่นกัน เรื่องลีลาปล่อยให้เป็นกิริยาของนางเอกหลังข่าวเถอะ เพราะในชีวิตจริงถ้ามัวอ้อยอิ่งก็คงไม่ทันการ
ภัทรเอียงหน้าเล็กน้อย เพื่อให้เราจูบกันได้ถนัดถนี่ขึ้น เราจูบกันเพียงไม่นาน เรียกว่าเอาปากแนบปากน่าจะใช่กว่า เพราะไม่มีการรุกล้ำอะไรที่มากกว่านั้น
“จูบผมอีก....แล้วเรียกชื่อผมที” ผละออกจากกันได้ไม่ถึงนาที คุณภาสกรก็ร้องขอจูบอีกครั้ง อีกฝ่ายสั่งการพร้อมหลับตาพริ้มรอรับจูบหวาน ๆ จากธนภัทรอย่างเป็นเด็กดี
“ภาสกร แปลว่า ดวงอาทิตย์ ชื่อเล่นผม....ชื่ออาทิตย์” คุณเขาว่า หวังจะได้ยินเสียงหวาน ๆ เรียกชื่อเล่นตัวเองให้ชื่นใจสักหน
“คุณอาทิตย์” ภัทรไม่ได้ใสซื่อ เขากระซิบชื่อข้างใบหูผู้เป็นเจ้านายด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับขบใบหูคุณเขาด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะเลื่อนตำแหน่งไปประกบปากคุณเขาอีกครั้งอย่างไม่อิดออด
แม้จะเป็นจูบที่บางเบาไม่ได้รุกล้ำดูเร่าร้อนพร้อมจะสานต่อเหมือนกับเมื่อคืน แต่แปลกที่ภัทรรู้สึกร้อนวูบวาบตรงบริเวณแก้มและใบหู เหมือนเราเพิ่งผ่านจูบแบบดูดดื่มมาหมาด ๆ มันทำให้เขาใจสั่น
“พอใจคุณอาทิตย์หรือยังครับ” ธนภัทรเอ่ยถาม หลังผละจากจูบรอบที่สอง
“พอใจ....พอใจมากครับ”
“.......”
“นี่จะสามทุ่มแล้ว คุณเข้าบ้านเถอะ ฝันดีนะครับ” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการก็รีบปล่อยตัวธนภัทรเข้าบ้านในทันที
“ฝันดีเช่นกันครับ....คุณอาทิตย์”
เมื่อภัทรได้ให้สิ่งที่คุณเขาขอไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะนั่งอยู่บนรถต่อ เขายิ่งรู้สึกดี เพราะเมื่อหันหลังแล้วมองกลับไป ก็ได้เห็นคุณอาทิตย์มองตามด้วยสายตาเว้าวอน เราส่งยิ้มให้กันเล็กน้อย ก่อนที่อีกฝ่ายเลื่อนสายตาไปมองตู้ซองจดหมายที่ระบุบ้านเลขที่ของเขาเอาไว้
________________________________
#ภูมิแพ้ลูกไม้
ขอบคุณมากๆค่ะ ขอให้อ่านแล้วมีความสุขนะคะ,พาพา