14
บางสิ่งที่หายไป
-----------------------------
บางครั้งโลกก็กลมเกลี้ยงจนเหวี่ยงใครต่อใครที่ไม่คิดว่าจะได้เจอให้มาเจอกันอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เหมือนอย่างการที่ผมเจอน้ำรินกับไอ้พี่บาสนั่น
ภาพน้ำรินร้องไห้ฟูมฟายพยายามขืนตัวไม่ให้ถูกลากเข้าคลินิกทำแท้งมันทำให้ผมเลือดขึ้นหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าพุ่งออกจากรถที่กำลังแล่นไปได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไปยืนอยู่ตรงหน้าสองคนนั้นแล้ว
“ริน”
“หลง!”
ดูเหมือนน้ำรินก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าตัวเองจะมาพบผมในสภาพนี้ หลังหายตกใจก็พยายามหลบหน้า แต่ไอ้คนที่ยังยึดจับมือน้ำรินไม่ปล่อยดันเป็นฝ่ายทนไม่ได้ถามขึ้น
“ไอ้นี่ใคร”
“พะ...เพื่อน” น้ำรินตอบเสียงสั่น
“เพื่อนหรือผัวเก่า หรือว่าพ่อของลูกในท้อง”
ปากหมาๆ พ่นคำหมาๆ ออกมาท่าทางดูถูกอย่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี
“จะพูดอะไรให้เกียรติผู้หญิงด้วย”
“เรื่องของผัวเมีย ยุ่งอะไรด้วย” มันปล่อยมือน้ำรินผลักอกผมจนเซไปหลายก้าว
“อย่าพี่บาส” น้ำรินผวาเข้ามาห้ามมันไว้ ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพราก
“ห้ามทำไม หรือยังอาลัยอาวรณ์มันอยู่ หรือจริงๆ แล้วเด็กในท้องเป็นลูกมันที่เอามาโยนให้พี่ ถ้าอย่างนั้นมึงก็รับผิดชอบพาเข้าไปทำแท้งเลย กูไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว
“หน้าตัวเมีย ไหนมึงลองพูดอีกที...กูบอกให้พูด!”
เพราะคำพูดของมันทำให้ผมเลือดขึ้นหน้า กำหมัดซัดเข้าปากครึ่งจมูกครึ่งของมันไปสุดแรง ทั้งที่ในชีวิตนี้ไม่เคยชกต่อยกับใครมาก่อน แต่กับไอ้บาสนี่ ผมแทบอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือ
เคยมีคนบอกว่าผู้หญิงมักชอบผู้ชายเลวๆ ตอนที่เลิกกับน้ำริน มีบ้างที่ผมแอบคิดว่าผู้ชายแบบไหนที่น้ำรินนอกใจผมไปมีอะไรด้วยจนท้อง พอมาเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่านี่มันเลวเกินมาตรฐานไปเยอะจนไม่น่าจะเรียกว่าคนแล้ว
“หลง พอแล้วรินขอ”
กระทืบไอ้คนปากดีที่จะลุกมาสู้ยังไม่กล้ายังไม่หน่ำใจ น้ำรินก็ร้องไห้ฟูมฟายผวาเข้ามารั้งตัวผม แทบจะยกมือไหว้ขอร้องอยู่แล้ว
ภาพน้ำรินในใจผมพังทลายไม่เหลือชิ้นดี ผมแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือยัยเด็กห้องสามที่เคยยิ้มสวยของผม
หลังๆ ถึงเธอจะเหม่อลอย ถึงจะเหมือนมีใครในใจและพยายามฝืนยิ้ม ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะต้องร้องไห้มากมายขนาดนี้
“ทำไมต้องขอร้องแทนมัน ทำไมต้องยอมมัน รินเป็นแม่เด็กนะ ถ้าพ่อเลวๆ มันไม่ยอมรับทำไมไม่บอกเรา เราไม่ได้ปล่อยมือจากรินเพื่อให้รินมาอยู่กับผู้ชายเหี้ยๆ ที่คิดจะฆ่าได้แม้แต่ลูกตัวเองนะ”
“หลง” แววตาที่น้ำรินมองผมสั่นไหว ผมอาจคิดมากไปแต่เหมือนผมเห็นความเสียใจอยู่ในนั้น
“กูถึงได้บอกไงว่าอีนี่มันร่าน มันคบกับมึงแล้วยังมานอนกับกู แล้วจะให้กูแน่ใจได้ยังไงว่าเด็กเป็นลูกกู มึงเองก็เถอะ มึงแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นลูกกูหรือลูกเมิง ไม่แน่นอกจากพวกเราแล้วมันก็อาจจะไปนอนกับใคร...”
“ไอ้เหี้ย”
ปากหมาๆ ของมันผมทนฟังไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากให้น้ำรินได้ฟังด้วยเหมือนกัน ผมจะฆ่ามัน...ฆ่ามันให้ตายเหมือนหมาข้างถนน
เพราะคิดแบบนั้นเลยพุ่งเข้าไปซัดมันอีกรอบจนได้ยินเสียงร้องของน้ำรินที่เซล้ม และเสียงเฮียเสือที่ร้องห้ามขึ้นดังลั่น
“โอ๊ย”
“หลงพอก่อน น้ำรินแย่แล้ว”
“ริน!”
นั่นล่ะผมถึงได้รู้ตัวว่าโมโหมากไปจนลืมว่าน้ำรินกำลังท้อง เห็นเธอนิ่วหน้ากุมท้องท่าทางเจ็บก็กลับไปอุ้มตัวเธอขึ้น ในช่วงเวลานี้คนที่ผมนึกถึงเป็นคนแรกก็คือพี่สิงห์ที่เหมือนยืนอึ้งมองผมอยู่นานแล้ว
“พี่สิงห์พาผมกับรินไปส่งที่โรงพยาบาลที”
ผมชะงักตอนที่เห็นแววตาของคนที่ตัวเองร้องเรียก แล้วยิ่งสะดุดใจตอนที่พี่สิงห์ยื่นส่งกุญแจรถให้เฮียเสือ
“เสือ นายพาไปที”
ตอนที่อุ้มน้ำรินวิ่งผ่านพี่สิงห์ ผมนึกอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ถูกเสียงร้องของน้ำรินทำจนนึกไม่ออก ได้แต่นึกขอโทษพี่สิงห์อยู่ในใจ
ถึงอย่างนั้นภาพเดียวที่ติดอยู่สายตาค้างคาอยู่ในใจตลอดช่วงเวลาที่พาน้ำรินส่งโรงพยาบาลก็คือแววตาคู่หม่นของพี่สิงห์
---
“หลงกลับไปเถอะ แล้วอย่ามายุ่งกับรินอีก”
รอจนหมอดูอาการของน้ำรินที่ไม่เป็นอะไรมาก แล้วให้ยาบำรุงกับกำชับเรื่องการดูแลครรภ์นานถึงครึ่งชั่วโมง พี่เสือก็พาน้ำรินมาส่งที่ห้อง
พอถึงห้องน้ำรินก็ขยับหนีไม่ให้ผมช่วยประคองอีก เธอเลี่ยงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวบอกผมเสียงสั่น
“จะไม่ให้เรายุ่งกับรินได้ยังไง ถึงเราสองคนจะเลิกกันแล้ว เราก็ยังนับรินเป็นเพื่อนอยู่ เวลาเห็นเพื่อนเดือดร้อนแล้วไม่ให้ยุ่ง เราทำไม่ได้หรอก”
ผมบอกไปอย่างที่ใจคิด เพิ่งรู้สึกตัวว่าการกลับมาเจอน้ำรินในครั้งนี้ หัวใจผมไม่ได้เจ็บปวดเท่าเดิมแล้ว เพราะเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของพี่สิงห์ที่ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง
“รินขอร้อง ต่อให้ห่วงแบบเพื่อนก็ไม่ต้อง รินไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองโง่ที่ทิ้งคนดีๆ อย่างหลงไปคบกับผู้ชายเลวๆ แบบนั้น”
เป็นหนึ่งวันที่น้ำรินร้องไห้มากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แววตาที่มองมาบอกชัดถึงความเสียใจเสียดายชัดเจนมากจนไม่ต้องคาดเดา
“ริน เราไม่ได้ดีขนาดนั้น”
“แต่ก็ดีกว่าไอ้พี่บาสที่บังคับให้รินไปทำแท้ง รินไม่รู้จะทำยังไงกับเด็กในท้องดี หลง รินไม่อยากเอาเขาออก แต่ถ้าไม่เอาออก อนาคตของรินก็จะไม่มีเหมือนกัน”
น้ำรินพรั่งพรูความคิดในใจออกมาเป็นหยาดน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนที่หาทางออกไม่เจอ
“ให้หลงเป็นพ่อเด็กไหม”
เพราะคิดดีแล้วถึงพูดออกไป ผมเป็นผู้ชายไม่เสียหายอะไรสักอย่าง ต่อให้ต้องคุกเข่าขอขมาพ่อแม่น้ำริน ถ้าเทียบกับที่แลกกับการเก็บเด็กไว้ได้ ผมยอม
“ไอ้หลง!”
แต่คนข้างหลังที่เงียบฟังมานานกลับไม่ยอม เฮียเสือร้องลั่นลุกมากระชากตัวผมที่คุกเข่าอยู่หน้าน้ำริน ตวาดลั่นแล้วเริ่มต้นเทศน์ยาว
“การยอมรับเป็นพ่อเด็กไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี เด็กในท้องน้ำรินอาจจะรักษาไว้ได้ถ้าพ่อแม่น้ำรินให้มึงรับผิดชอบเขา แต่ความรู้สึกพวก...น้องกลับไปเหมือนเดิมได้จริงๆ เหรอ คิดว่าจะสร้างครอบครัวอบอุ่นขึ้นมาทั้งที่ทุกอย่างมันพังไปหมดแล้วเนี่ยนะ ทำแบบนี้ต่อให้เด็กเกิดมามันก็เกิดมาแบบเด็กมีปัญหาอยู่ดี
พี่ไม่ได้สนับสนุนการทำแท้งนะเว้ย แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ อย่ามาตัดสินใจกันเอาเองแบบเด็กๆ โทรไปปรึกษาผู้ใหญ่ซะ ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่ไม่รักและไม่พร้อมเข้าใจลูก ถึงแรกๆ จะโกรธแทบตายแต่ไม่มีทางที่จะไม่สนใจ เชื่อพี่เถอะ น้ำริน โทรหาพ่อกับแม่น้องซะ”
“รินจะโทรหาพ่อกับแม่”
น้ำรินเงียบไปสักพักแล้วก็พยักหน้าทั้งที่ยังร้องไห้ไม่หยุด เฮียเสือลากตัวผมถอยออกมาที่ระเบียงห้องเอให้เวลาน้ำรินได้คุยได้สะดวก
“โอ๊ย ตบผมทำไมเฮีย”
ใครจะไปคิดว่าพอโดนลากออกมาได้นิดเดียว ผมก็โดนตบจนหัวสะเทือน
“ตบให้เขามึงร่วงไง จะเป็นคนดีก็ให้มันมีขอบเขต คิดอะไรไม่เข้าท่า” ท่าทางเฮียเหมือนอยากจะตบผมอีกรอบ
“ผมเป็นผู้ชายไม่เสียหายหนิ แต่รินเป็นผู้หญิง จะผ่านเรื่องแบบนี้ไปคนเดียวได้ยังไง”
ผมงึมงำบอก ต่อให้ต้องเลือกอีกครั้ง ผมก็จะยังอาสาเป็นพ่อเด็กอยู่ดี
“กูล่ะเกลียดจริงๆ เลย ไอ้คนที่ดีจนเหมือนโง่อย่างมึงเนี่ย” เฮียกระซิบกระซาบด่าเบาๆ คาดว่าถ้าอยู่กันสองคน ผมคงโดนตวาดไปนานแล้ว
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนส่งให้ ไม่คิดจะพูดหรือแก้ตัวอะไรอีก นอกจากแอบมองน้ำรินที่โทรคุยกับที่บ้านไปด้วยร้องไห้ไปด้วยเงียบๆ
คำที่ได้ผมได้ยินบ่อยที่สุดตลอดการสนทนานั้นนอกจากคำขอโทษแล้ว ก็มีคำปฏิเสธว่าไม่ใช่อยู่หลายครั้ง คล้ายกับมีชื่อผมพ่วงเข้าไปด้วย แต่น้ำรินปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนี้ ทำให้ผมรู้ว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับความช่วยเหลือจากผม
รออยู่กว่าครึ่งชั่วโมงน้ำรินถึงได้วางสายเดินตรงมาหาผมกับเฮียเสือ
“หลง รินคุยกับที่บ้านแล้ว พ่อกับแม่จะมารับรินกลับบ้านวันนี้เลย รินคงต้องดรอปเรียนแลกกับเอาลูกไว้ ไม่มีอะไรที่หลงต้องห่วงแล้ว หลงกลับไปเถอะ”
ครั้งนี้น้ำรินไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว ถึงตาจะแดงก่ำก็ยิ้มเศร้าบอกผม
“รินอยู่คนเดียวได้เหรอ ให้หลงอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพ่อกับแม่จะมาถึงไหม”
ผมทำเมินสายตาเหมือนจะด่าของเฮียเสือ จะให้ปล่อยน้ำรินทิ้งไว้คนเดียวผมอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ
“ไม่ต้องอยู่หรอก ยิ่งหลงดีกับรินมากเท่าไหร่ รินยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเอง พี่เขาพูดถูก...หลงดีเกินไปสำหรับริน ดีจนรินรู้สึกว่าตัวเองโง่ที่ไม่เลือกหลง หลงกลับไปเถอะนะ”
ดูเหมือนต่อให้เฮียเสือพยายามกระซิบด่าผมยังไง น้ำรินก็ยังได้ยินอยู่ดี
“เรากลับก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรต้องโทรหาเราได้นะ เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ดูแลตัวเองกับลูกดีๆ ด้วย”
ใจจริงผมอยากจะดึงเธอเข้ามากอดให้กำลังใจ แต่เพราะคำพูดประโยคก่อนหน้าทำให้ผมแค่เอื้อมมือไปโยกหัวเธอเบาๆ ยิ้มบอกอย่างที่ใจคิด
“หลง” แค่มือสัมผัสโดนหัว น้ำรินก็โผเข้ามากอดผมไว้แน่น ร้องไห้โฮออกมาอีกครั้งจนผมตกใจกอดเธอไว้แน่น ส่วนเฮียเสือก็ส่ายหน้าเดินเลี่ยงออกจากห้องไป
“ริน”
“รินโคตรโง่เลยที่ทิ้งหลงแล้วไปเลือกไอ้เหี้ยนั้น รินมันโง่ๆๆๆ”
น้ำรินร้องไห้ฟูมฟายซุกหน้ากับอกผมที่ทำอะไรไม่ถูก ได้แค่ตบไหล่ปลอบเบาๆ จนเสียงร้องไห้ค่อยๆ เงียบลง
ผมรับรู้ได้ถึงแรงกอดสุดท้ายของน้ำริน ก่อนเธอจะปล่อยมือผละถอยออกห่างยิ้มให้ทั้งน้ำตา
“ขอบคุณนะหลง โชคดี
“อืม ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”
ผมยิ้มบอกแล้วกลั้นใจเดินออกจากห้องมา ถือว่าเป็นการร่ำลากันที่จบด้วยดีกว่าครั้งก่อนที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้
“ไง คงไม่ใช่รับเป็นพ่อเด็กอีกรอบนะมึง”
เฮียเสือกอดอกยืนรอประชดอยู่นอกห้อง
“ผมโดนตบจนเขาร่วงไปแล้ว เขางอกไม่ทันหรอกเฮีย เลยไม่ได้รับ”
“ดีขึ้นแล้วสิถึงกวนตีนกูได้”
“ก็ดีกว่าครั้งก่อน” ผมตอบแล้วเริ่มเดินออกห่างมาจากห้องน้ำริน
เฮียเสือไม่ได้พูดอะไรอีก เราสองคนเดินตามกันไปขึ้นรถก็พอดีกับที่ผมโทรหาเพื่อนสนิทอีกคนที่มาเรียนที่นี่พร้อมน้ำรินแต่คนละคณะ ฝากฝังน้ำรินกับฝ่ายนั้นที่รับปากว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพ่อแม่น้ำรินจะมาถึง แล้ววางสาย ก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
“กูล่ะเหนื่อยใจแทนพี่กูจริงๆ มึงมันเด็กดีเกิน อยู่ห่างจากพี่สิงห์ไม่รู้จะไปตกหลุมผู้หญิงที่ไหนอีก”
เฮียเสือบ่นแล้วสตาร์ทรถขับออกถนนใหญ่
“แล้วพี่สิงห์จะกลับไร่ยังไง เราต้องไปรับไหม”
พอถูกทำให้นึกถึงคนที่ไม่ยอมตามมาด้วย ผมก็ถามเสียงอ่อย รู้สึกผิดยังไงไม่รู้
“ตอนนี้เพิ่งจะมานึกถึง ปานนี้พี่กูน้อยใจกระโดดให้รถชนตายไปแล้วมั้ง”
“โห เฮีย อย่าประชดดิ ยิ่งใจคอไม่ดีอยู่”
“เออๆ กลับไปแล้วเว้ย แต่เรื่องง้อมึงไปง้อกันเอาเอง เห็นตัวใหญ่แบบนั้นบอกเลยพี่กูขี้ใจน้อยโคตรๆ”
ยัง...ยังจะขู่ ตอนนี้ใจคอไม่ดีไปหมดแล้ว
กลับถึงไร่ผมก็ว่าจะไปเคลียร์กับพี่สิงห์เรื่องน้ำรินอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่เจอคนที่อยากเจอที่เรือนใหญ่ ปั่นจักรยานไปหาในไร่ก็ไม่เจอ เลยกะว่ามื้อเย็นถ้ากลับมาค่อยหาโอกาสคุย
ใครจะไปคิดว่าพอตกเย็นมาไร่นู่นจะส่งข่าวมาว่าพี่นางลูกสาวป้านีเจ็บท้องคลอด คนทั้งไร่เลยแตกตื่นกันไปหมด ผมทันเห็นพี่สิงห์วิ่งกลับขึ้นเรือนมาพาป้านีขึ้นรถขับออกจากไร่พร้อมเฮียเสือแวบเดียว
แล้วสิงห์ตัวใหญ่ก็เหมือนจะหายเงียบไปจากโลกของผมตั้งแต่วันนั้น
---
ผ่านไปสามวันผมถึงเริ่มรู้ตัวว่าสิงห์ขี้ใจน้อยกำลังหลบหน้าอยู่โดยการใช้เรื่องไปเยี่ยมพี่นางเป็นข้ออ้าง เพราะแค่วันเดียวเฮียเสือก็กลับมานั่งกระดิกเท้าอยู่ที่เรือนเล็กท้ายไร่แล้ว แต่อีกคนกลับหายเงียบไป
ถึงอย่างนั้น...เช้ามายังมีนมอุ่นกับขนมปังปิ้งวางรอที่โต๊ะหน้าห้อง อาหารทั้งสามมื้อก็ยังเป็นกับข้าวที่ผมชอบ และก่อนนอนยังมีนมช็อกโกแลตอุ่นๆ วางรออยู่ตรงหัวเตียง
ส่วนกุญแจรถที่เฮียเสือวานให้คนที่อู่ขับมาส่งในวันเกิดเรื่องก็ยังโดยยึด จอดล่อตาล่อใจแต่ขี่ไม่ได้อยู่ที่โรงรถ ข้างๆ กันมีจักรยานเสือหมอบพร้อมอุปกรณ์เซฟตี้ใหม่เอี่ยมจอดให้ผมใช้ขี่ไปเที่ยวในไร่
มันก็เลยมีแค่คนที่ไม่ได้เจอ แต่ทุกอย่างก็ยังเต็มไว้อย่างใส่ใจเหมือนเดิมจนผมจะโกรธก็โกรธไม่ลง ได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านใจอยู่คนเดียว
พอหงุดหงิดมากเข้าก็คว้าไอโฟนที่เฮียเสือไม่ยอมรับไปส่งคืน กดเบอร์ที่มีแค่เบอร์เดียวในเครื่องโทรออก
[อืม]
เสียงรอสายดังอยู่ตึ๊ดเดียวก็มีคนกดรับ ปลายสายขานตอบกลับมาเสียงเบามาก แต่ผมที่เพิ่งได้ยินเสียงพี่สิงห์เป็นครั้งแรกในรอบสามวันกลับหัวใจเต้นรัวหนักมาก
“ทำไมหลบหน้าผม”
[พี่คิดว่าหลงอยากได้เวลาทบทวนหัวใจตัวเองมากกว่านี้]
“คิดไปเองทั้งนั้น มีอะไรไม่พอใจทำไมไม่บอกไม่ถามผมตรงๆ”
[พี่เองก็คงต้องการเวลาเหมือนกัน]
“ได้ งั้นคิดออกก็โทรหาผมแล้วกัน”
[เสียงอะไร?]
“ไม่มีอะไร” ผมวาดตัวลงจากหลังเจ้าเพื่อนยากที่ลองใช้กุญแจสำรองที่เก็บติดกระเป๋าสะพายไว้สตาร์ทเครื่อง ไม่คิดว่าพี่สิงห์จะหูดีขนาดได้ยินผ่านโทรศัพท์แล้วเกิดเอะใจขึ้นมา
[หลง ตอนนี้อยู่ไหน แอบเอารถใครไปขี่]
“ผมเบื่อ จะออกไปขี่รถเที่ยวสักพัก หัวโล่งแล้วจะกลับมาเอง”
[หลง...หลง!]
ไม่รอให้ปลายสายห้าม ผมก็กดตัดสาย เก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกง ใส่หมวกกันน็อกแล้วพารถพุ่งออกจากลานจอด
ความรู้สึกเวลาได้กลับมาสัมผัสความเร็วกับสายลมอีกครั้งมันดีแบบนี้นี่เอง หัวโล่งกว่าตอนเพิ่งอกหักจากน้ำรินใหม่ๆ เยอะเลย
อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่บนเรือนใหญ่ไปวันๆ จะช่วยหยิบจับอะไร คนในบ้านก็ทำท่าทางเกรงใจไปหมด แถมแฟนหมาดๆ อย่างพี่สิงห์ก็หายเงียบไปเฉยๆ
ถือว่าวันนี้ปล่อยผีแล้วกัน ซิ่งไปทัวร์ในตัวเมืองสักเที่ยวค่อยกลับ
-----------------------
#เสียใจด้วยพี่สิงห์ น้องไม่ง้ออ่ะ 555
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจนะคะ แล้วก็ขอบคุณคนที่ตามไปอุดหนุนด้วย ยังไม่กล้าแจ้งข่าวกลัวผิดกฎ
เพิ่งอัพตอนพิเศษเพิ่มเข้าไป อีกวันสองวันรอตรวจสอบผ่าน ในชั้นหนังสือน่าจะอัพเดทให้ ^ ^