2
นายใช่ไหมที่เมื่อคืนน้องฉันไปนอนด้วย
---------------------------------
Long Part
เจ็บ!
เจ็บเหมือนใครเอาไม้มาทุบหัวทุบตัว ทั้งที่ได้นอนพักอย่างที่อยากทำแล้ว ตื่นมาก็น่าจะกระปรี้กระเปร่าแต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่มีแรง ขนาดแค่หายใจก็ยังเหนื่อยหอบ
ต้องใช้เวลาปรับตัวพักใหญ่กว่าผมจะชินกับสภาพร่างกายของตัวเอง เปิดตาที่หรี่ลงเพราะแสงจ้าเกินไปตอนที่ลืมตาขึ้นมาครั้งแรกมองไปรอบๆ ห้อง
ห้อง? ไม่ใช่กลางถนนที่จำขึ้นมาได้ว่าก่อนจะหลับไปเหมือนรถจะล้มอยู่ข้างทาง
“ฟื้นแล้วเหรอ อยู่นิ่งๆ น่ะ เดี๋ยวกูไปเรียกพยาบาลให้”
“เฮีย...”
สีหน้าและท่าทางร้อนใจแบบที่ผมไม่เคยเห็นของเฮียเสือที่ลุกพรวดจากเก้าอี้ข้างเตียงมาจับเนื้อจับตัวถามผมไม่ชินสักนิด ได้แต่กะพริบตามองหน้าเหมือนสมองไม่สั่งการอยู่อย่างนั้นจนเฮียแกจะวิ่งออกจากห้องไปตามนางพยาบาลมาจริงๆ ผมถึงเรียกแกไว้ก่อน
“ว่าไง เจ็บตรงไหน หรือหิวน้ำ”
เฮียเสือชะงักเหลียวมามองมือผมที่จับแขนไว้ ไม่ได้ตั้งท่าจะวิ่งออกไปเหมือนเมื่อกี้อีกแล้ว ผมส่ายหน้ากวาดตามองไปรอบๆ เตียงที่นอนอยู่ในอาณาเขตผ้ากั้นปิดทั้งสามด้านที่ไม่ได้กั้นเสียงจอแจรอบตัวได้เลย
“ที่นี่...โรงพยาบาล?”
“เออ โรงพยาบาล ดีแค่ไหนแล้วที่มีคนไปเจออยู่ข้างทาง ไม่งั้นเลือดคงไหลออกหมดตัวตายเป็นผีข้างถนนไปแล้ว ทำอะไรให้มันรู้จักคิดมั้งสิวะ คราวหลังถ้าไม่ไหวก็จอดรถรอ กูจะไปรับมึงเอง”
“คราวหลังผมจะทำแบบนั้น แล้วเฮียมาได้ไง”
ไม่รู้ทำไมคำพูดของอีกฝ่ายถึงทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันมีความห่วงใยซ่อนอยู่ แต่คนปากร้ายอย่างเฮียเสือน่ะนะ อืม บางทีผมอาจจะหัวกระแทกจนมองและฟังผิดไป
พอผมเปลี่ยนคำถาม เฮียแกก็ทำท่าฮึดฮัดเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดอะไร ชี้ที่มือซ้ายที่พันผ้าพันแผลไว้จากข้อมือถึงข้อศอกผม
“ก็เขียนเบอร์โทรกูติดไว้ที่ตัวไม่ใช่เหรอ”
“อ้อ พอดีผมรีบจนลืมเอาของติดตัวออกมาน่ะ โชคดีชะมัดเลยที่เขียนเบอร์เฮียไว้ ไม่งั้นผมคงเป็นผู้ป่วยอนาถาไม่มีญาติมานั่งเฝ้า ขอบคุณนะเฮีย”
การตื่นมาเจอใครสักคนนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงในวันที่เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้ผมยิ้มออก
“อยากเล่าไหม”
ผมว่าผมเก็บความรู้สึกเก่งแล้วพยายามยิ้มคูณสองเข้าไปแล้วนะ แต่เฮียเสือดันหน้าเครียดถามเสียงจริงจังจนผมฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหว
“ก็อย่างที่บอก...ผมแค่โดนทิ้ง เจ็บเหมือนมดกัดนิดเดียวเดี๋ยวๆ ก็หาย”
“หลง มึงยังมีกู ยังมีครอบครัวที่ห่วงมึงอยู่นะ”
มือใหญ่วางลงบนหัวผมโยกเบาๆ แต่อุ่นไปถึงหัวใจ
ก็เพราะผมรู้ว่ารอบๆ ตัวยังมีคนที่รักและห่วงใยอยู่ ผมถึงได้พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สติแตกจนเกินไป แต่สุดท้ายก็ดันไม่ประมาณตัววูบไปจนได้
แถมตั้งแต่ตื่นมา เฮียเสือที่ปกติไม่ค่อยจะสนใจอะไรยังทำท่าทางกับสีหน้าเครียดใส่ซะจนผมไม่ชิน ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี นอกจากขอบคุณออกไปซ้ำๆ
“ผมรู้ ขอบคุณนะเฮีย”
“พอ เลิกทำท่าเกรงใจได้แล้ว นอนนิ่งๆ จะไปตามหมอมาดู แล้วจะทำเรื่องขอย้ายไปห้องพิเศษด้วย อาจจะนานหน่อย อยากกินน้ำอยากเข้าห้องน้ำก่อนไหมจะได้จัดให้”
เฮียแกแปลกไปจริงๆ หรือว่าคนที่หัวกระแทกพื้นจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว?
“ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องนอนค้างโรงพยาบาลหรอก ขอนอนพักอีกงีบ เดี๋ยวเย็นๆ ก็ทำเรื่องขอออกได้เลย”
ผมขมวดคิ้วพยายามไม่สนใจท่าทางแปลกๆ ที่ไม่ค่อยจะชินของเฮียเสือ หันไปมองนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลาบ่ายสาม แล้วเหลือบมองมองซ้ายที่พันผ้าขอตัวเอง มือขวาโยงสายเลือดกับน้ำเกลือที่ยังลดไปไม่เท่าไหร่ แล้วตัดสินใจยกมือซ้ายที่เจ็บจับผ้าปิดแผลที่หน้าผากตัวเอง
มิน่าทำไมถึงเจ็บเหมือนโดนทุบ ที่แท้หัวก็แตกนี่เอง
แต่นอกจากหน้าผากกับแขนซ้ายที่ดูจะเจ็บหนักกว่าส่วนอื่น ผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเจ็บหนักอะไรจนถึงขั้นต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล แผลภายนอกพวกนี้ไม่กี่วันก็หาย
“ไม่ได้! ยังไงก็ต้องนอนดูอาการไปก่อนคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ถ้าไม่เป็นไรค่อยกลับไปพักที่ไร่ ไม่งั้นก็รอกูโทรบอกบ้านมึงได้เลย”
เพิ่งจะพูดจบ มือซ้ายที่แตะแผลตรงหน้าผากก็ถูกเฮียเสือกระชากไว้จนเจ็บ ผมนิ่วหน้ามองคนที่อยู่ๆ ก็ทำเสียงดุปั้นหน้าเข้มชวนขยาดอย่างงงๆ แค่นี้ก็ต้องขู่กันด้วย
ถามว่ากลัวไหม กลัวครับ...กลัวที่บ้านรู้ใจจะขาด
กว่าจะอ้อนขอเจ้าเพื่อนยากมาขี่ได้ ผมต้องผ่านด่านโหดหินมาแค่ไหน ใครจะรู้ดีเท่าตัวเอง ถ้าครั้งนี้ป๊ากับม๊ารู้ว่าผมไม่ระวังรถล้ม ชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้แตะมอเตอร์ไซค์อีกเลย
“นอนเล่นสักคืนก็ได้ เฮียคงไม่ได้จะโทรบอกที่บ้านผมจริงๆ ใช่ไหม”
“ไม่ แต่ถ้าพูดไม่รู้เลยก็ไม่แน่”
“ผมพูดรู้เรื่องนะเฮีย รับรองจะนอนนิ่งๆ ไม่ดื้อไม่ซน”
ผมละเกลียดท่าทางกอดอกยิ้มแบบเป็นต่อนั้นชะมัด แต่ทำไงได้ถูกกำจุดอ่อนไว้ในมือก็ได้แต่ต้องยิ้มประจบส่งสายตาวิ้งๆ ให้เท่านั้น
“ดี งั้นก็หลับตาพัก เดี๋ยวจะไปตามหมอมาดูอาการ”
โยกหัวอีกแล้ว? ทำไมเจอกันรอบนี้ เฮียแกขยันโยกหัวผมนักนะ แต่เดี๋ยว...
“รถ! โอ๊ย” ทะลึ่งตัวลุกพรวดเพราะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองสภาพสะบักสะบอมขนาดนี้ เจ้าเพื่อนยากของผมจะสภาพขนาดไหน
แต่สังขารไม่ให้ ลุกแบบไม่ดูสภาพตัวเอง ทั้งหัวทั้งแขนพร้อมใจกันเจ็บขึ้นมาจนแทบจะกลิ้งตกเตียง ดีที่เฮียเสือพุ่งมาพยุงตัวไว้ได้ทัน
หน้าจะใกล้กันไปไหน ใกล้จนลมหายใจร้อนๆ เป่าหัว ผมเหลือบมองสีหน้าห่วงใยแปลกๆ ของเฮียยังไม่ลืมว่าที่ลุกขึ้นมาเจ็บเพราะเมื่อกี้ห่วงอะไรอยู่
“เฮีย รถผมคง...ไม่เป็นไรมากใช่เปล่า”
ผลั่ก!
ถามแค่นี้ต้องตบหัวกันด้วย ผมสูดปาดสะเทือนไปถึงแผลที่หน้าผาก แต่ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ตอนนี้ผมยังอยู่ในมือของเฮียแกอยู่ พูดมากเดี๋ยวจะเจ็บตัวฟรี
“เอาตัวเองให้รอดก่อน รถเสียมันซ่อมได้ แต่ถ้าตกเตียงไปหัวฟาดฟื้นตาย อย่าว่าจะได้ขี่อีก มึงรอเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่แถวนี้เถอะ”
เหมือนโดนตบหัวแล้วกระทืบซ้ำ โดนโบกไปทีหนึ่งไม่พอ ยังโดนแช่งซะอีก ยังดีที่คนปากร้ายไม่ได้โยนตัวผมกลับลงไปบนเตียงอย่างที่นึกกลัว แต่ช่วยพยุงผมกลับลงนอนอย่างดีก่อนจะส่งสายตาดุใส่แล้วเปิดม่านไว้ด้านหนึ่งแล้วเดินออกไป
ม่านที่เปิดทำให้ผมเห็นว่าจริงๆ รอบตัวที่ถูกปิดกั้นไว้อยู่ในห้องพักรวมที่เต็มไปด้วยคนป่วยและญาติวุ่นวายกันไปหมด
อาจเพราะเสียงเอะอะจนเกินไป หัวสมองผมเลยไม่มีสมาธิฟุ้งซ่านอย่างที่คิด หรือจริงๆ แล้ว อาจเป็นตัวผมเองมากกว่าที่ไม่ยังอยากไปนึกถึงเรื่องที่เป็นสาเหตุให้ต้องมานอนหมดสภาพอยู่ที่นี่
ผมควรหลับ หลับมากๆ จะได้หายเร็วๆ หัวใจเจ็บจะเป็นจะตายไปแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ควรปล่อยร่างกายให้ย่ำแย่ตาม
แล้วผมก็หลับไปจริงๆ หลับถึงขั้นที่หมอเข้ามาตรวจไม่รู้ตัว ถูกบุรุษพยาบาลย้ายจากห้องพักรวมมาห้องพักพิเศษก็ยังหลับยาวจนมาสะดุ้งตื่นเพราะถูกเฮียเสือปลุกให้ลุกมากินข้าวกินยาแล้วผมก็นอนพักต่อ
---------------------------
คืนนั้นทั้งคืน ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาหรือเพราะคืนก่อนผมไม่ได้นอน พอหลับตาก็หลับยาวจนเช้าถึงได้รบเร้าเฮียเสือให้พาออกจากโรงพยาบาลได้
“เฮียขับรถยนต์เป็นด้วยเหรอ ผมไม่เห็นเคยรู้เลย”
โดนพยุงออกจากโรงพยาบาลมายัดนั่งเบาะข้างคนขับ ผมขยับหมวกที่สวมปิดแผลบนหน้าผากขึ้นกวาดตามองสำรวจไปทั่วรถ
รถคันนี้ก็เหมือนเจ้าของ เรียบหรูและแพงมากกกกกกกกกก แต่ผมไม่เคยเห็นเฮียมันขับเลย นอกจากมอเตอร์ไซค์ลูกรักรุ่นเดียวกับผม
“มึงจะต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับกูเลยรึไง ก็แค่ตั้งแต่ได้มาก็จอดทิ้งไว้ในโรงรถตลอด รอบนี้ถ้ามึงไม่เจ็บกูคงไม่เอาออกมาขับ”
“เราเข้าไปห้องฉุกเฉินอีกรอบไหมเฮีย” เฮียแกดีจนผมเริ่มกลัวแล้วจริงๆ
“ไปทำไม หรือว่าเกิดเจ็บตรงไหนขึ้นมา ก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลก็...”
“ไม่ใช่ผม เฮียต่างหาก เมื่อวานไปกินอะไรแปลกๆ มารึเปล่า เฮียใจดีกับผมจนขนลุก” ไม่ใช่แค่พูด ยังจับเหนื่อยจับตัวทำท่าจะลากผมกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ
ผมขืนตัวส่ายหน้า ชี้มือไปที่เฮียเสือที่ชะงักปล่อยมือ ถลึงตาดุใส่แถมทำท่าจะโบกหัวผมซะอีก
ผมรีบดึงหมวกออก ถลกแจ็กเกตที่เหมือนจะครูดไปกับถนนจนขาดเป็นทางเปิดให้เห็นแผล ยิ้มประจบ แล้วเฮียแกก็ไม่ตีคนเจ็บจริงๆ แต่ปิดประตูดังปังจนรถสะเทือน ก่อนอ้อมไปขึ้นนั่งประจำที่คนขับขับรถแล่นออกจากโรงพยาบาลช้ายิ่งกว่าเต่า
ยังไงมอเตอร์ไซค์ก็ซิ่งสะใจกว่ารถยนต์เยอะ
“เฮีย แล้วรถผมล่ะ”
“ส่งเข้าอู่ไปแล้ว”
“พาผมไปดูก่อนได้ไหม ไม่เห็นกับตาตัวเอง ผมไม่วางใจเลย” ปวดใจยิ่งกว่าถูกแฟนทิ้งก็เจ้าเพื่อนยากนี่ล่ะที่ไม่รู้พังตรงไหนบ้าง
เฮียเสือไม่ได้ตอบอะไร แต่หักพวงมาลัยเลี้ยวรถกลับไปอีกทาง ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์อู่ใหญ่เครื่องไม้เครื่องมือครบครัน
ผมลืมเจ็บพุ่งเข้าไปหาเจ้าเพื่อนยากที่จอดอยู่ด้านในสุด ลูบคลำแฮนด์ที่บิดกับล้อรถที่เบี้ยว ปวดใจจนน้ำตาแทบไหล
“อีกนานไหมครับกว่าจะซ่อมเสร็จ” ผมถามเฮียเสือที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง
“ได้คิวซ่อมอาทิตย์หน้า ที่นี่ใหญ่สุดเครื่องมือครบสุดในจังหวัดแล้ว คิวซ่อมเลยเยอะหน่อย”
“ค่าซ่อมแพงรึเปล่าเฮีย” ผมเหลียวมองคนงานสามสี่คนที่ซ่อมรถอยู่ใกล้ๆ กระซิบถามเสียงเบา
เงินเก็บพอมีอยู่บ้าง ปัญหาคือทั้งเนื้อทั้งตัวมีแบงก์ร้อยยับๆ ติดกระเป๋าอยู่แบงก์เดียว ตังส์กับบัตรเอทีเอ็มอยู่ในห้องน้ำริน ถ้าจะให้ผมกลับไปเอาตอนนี้ยอมไม่ซ่อมรถดีกว่า
“น่าจะไม่กี่พัน ทำไมลูกคุณหนูอย่างมึงกลัวไม่มีจ่ายรึไง”
“ผมมีอยู่ แต่กระเป๋าตังส์ไม่ได้อยู่กับตัว ผมยืมเฮียก่อนได้ไหม”
“ได้ แต่คิดดอกเป็น...”
เฮียเสือไม่ได้พูดต่อ แต่มองผมหัวจรดเท้า มองจนหนังหัวชาต้องกระโดดถอยหลังยกมือปิดอก ร้องลั่นจนคนเหลียวมองกันทั้งอู่
“สภาพผมแบบนี้ เฮียยังจะเอาผมอีกเหรอ”
เคร้ง!
เหมือนผมได้ยินเสียงประแจหล่นพื้น ตามมาด้วยเสียงไอแค่กๆ เหมือนคนสำลักน้ำ ผมไม่ได้หันไปมองแต่ยังปิดอกป้องกันความบริสุทธิ์ของตัวเองสุดฤทธิ์
“เอาพ่อง พูดให้มันดีๆ”
ท่าทางกัดฟันกรอดเหมือนจะกินหัวผมของเฮียมันน่าดูไม่หยอก ผมกลั้นขำสุดฤทธิ์แต่ยังอยากกวนตีนต่อ
“ก็เอาผมเป็นแบบไง ถึงจะเปลือยแค่อก ผมก็หวงตัวนะ”
คราวนี้มีเสียงระบายลมหายใจดังมารอบด้านจากพวกคนงานที่เหมือนจะกางหูรอฟังอยู่ ที่ชัดสุดคือเสียงหัวเราะลั่นจากด้านหลัง ผมเหลียวไปดูเลยได้เห็นพี่ช่างหน้าหล่อพอๆ กับนายแบบเจ้าของเสียงสำลักกาแฟ
ในมือพี่ช่างยังมีกาแฟคาอยู่ เสื้อมีรอยเปื้อนคราบกาแฟ แต่พี่มันยังจ้องพวกเราไม่วางตา หัวเราะเหมือนเกิดมาทั้งชาติไม่เคยได้หัวเราะมาก่อน
“กูเข้าใจแล้ว ทำไมมึงถึงกำชับให้ดูแลรถมันนี่เป็นพิเศษ แม่ง...เหมือนไอ้เด็กนั่นเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด”
“ไปพูดถึงมันทำไม หุบปากไปเลยพี่ผา”
ก่อนหน้านี้เฮียเสือเหมือนไม่ได้โกรธจริงจังอะไรมากกับคำพูดผม แต่พอคำว่า ‘ไอ้เด็กนั่นเมื่อหลายปีก่อน’ หลุดออกมาจากปากพี่ช่างก็เหมือนจะโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ
ผมขมวดคิ้วหันไปมองเฮียเสือก็เห็นสีหน้าหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียด เลยพอจะเดาได้ว่าผมคงไปเหมือน ‘ไอ้เด็กนั่น’ เข้า เฮียแกเลยดูแลดีเป็นพิเศษ อาจประมาณว่าเห็นเป็นตัวแทนอะไรทำนองนั่นมั้ง
ผมค่อยโล่งใจกับอาการแปลกๆ ของเฮียแกหน่อย
“เออ ไม่พูดแล้ว ว่าแต่มึงชื่ออะไร” พี่ช่างหันมาถามผมเสียงกลั้วหัวเราะ ผมว่าพี่ช่างคนนี้หัวเราะได้อร่อยสุดแล้ว
“หลงครับ”
“เออเว้ย สมัยนี้ยังมีคนตั้งชื่อลูกแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ หลงแบบ...บุญหลงอะไรแบบนี้ป่ะ”
“หลงที่แปลว่ามังกรครับพี่ มังกรที่สะบัดหางทีหนึ่งก็ฟาดคนที่ล้อชื่อมันตายได้เลยครับ”
ผมยิ้มกว้างบอก พี่ช่างไม่ยักโกรธแต่หัวเราะลั่นออกมาอีก ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมา ท่าทางพี่แกจะดีดน่าดู
“เออ กวนตีนดีจริงๆ งั้นเดี๋ยวกูจะลองฟาดหางใส่รถมึงดูมั้งนะ ไม่รู้จะทนมือทนตีนรึเปล่า”
“พี่ช่างครับ บุญหลงผิดไปแล้วครับ พี่ช่างเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างงงงง อย่าถือสาบุญหลงเลยนะครับ”
เรื่องอื่นล้อเล่นได้ เรื่องรถอย่าได้เอามาข่มขู่ ยอมยกธงขาวให้เลย
“มึงนี่อยู่เป็นว่ะ”
พี่มันตบหลังผมจนสะเทือนไปถึงแผล เผลอนิ่วหน้าจนเฮียเสือขยับเข้ามาคว้าตัวออกห่าง
“มันเจ็บอยู่”
“เฮ้ย โทษทีไม่รู้ว่าหวง เฮ้ย ไม่รู้ว่าเจ็บอยู่”
หน้าพี่ช่างยังยิ้มแต่เป็นยิ้มกวนประสาทสุดๆ ผมว่าพี่แม่งไม่ใช่แค่หัวเราะอร่อยอย่างเดียว ยังกวนตีนสุดในสามโลกด้วย ผมไม่คุยด้วยแล้ว เจ็บตัวไม่พออาจจะปวดประสาทตามด้วย
“เฮียผมเจ็บแผล ขอไปรอที่รถนะ พี่ช่างผมไปก่อนนะ”
ยกมือไหว้ไปทีหนึ่ง เห็นแก่ไหว้นี้เผื่อพี่ช่างจะซ่อมรถผมดีขึ้นมาหน่อย
“แล้วโทรศัพท์น่ะ เปิดได้แล้ว เมื่อคืนมึงไม่กลับไร่ทั้งคืนพี่มึงโทรมาพ่นไฟใส่ร้านกูไปรอบหนึ่งแล้ว ก่อนกลับไร่เตรียมแก้ตัวไว้ให้ดีเถอะมึง”
เพิ่งเดินมาได้ไม่กี่ก้าว ผมเลยได้ยินประโยคนั้นชัด แต่ก็ไม่ได้หันไป เดินไปเปิดประตูนั่งรอ ไม่ถึงสิบนาทีเฮียเสือก็เดินตามมาขึ้นนั่งฝั่งคนขับสตาร์ทรถขับออกจากร้าน
“คราวนี้กลับไร่ ไม่แวะที่ไหนแล้วนะ”
“อืม” ผมพยักหน้าตอบรับ เหลือบมองหน้าขรึมๆ ของเฮียเสืออยู่พักหนึ่งถึงทำใจกล้าถามขึ้น “เมื่อคืนเฮียไม่ได้บอกที่บ้านเหรอว่ามาเฝ้าผม ที่บ้านจะด่ารึเปล่า”
“กูก็โตแล้วไหม เคยไม่กลับตั้งกี่คืน แค่คืนเดียวพี่ผามันก็พูดเว่อร์ไป มึงอย่าไปฟังมันมาก”
“จริงดิ แต่ทำไมหน้าเฮียดูกังวลจัง ไม่ใช่พี่ชายเฮียรอพ่นไฟใส่อยู่ที่ไร่หรอกนะ”
“เรื่องนั้นกูจัดการได้ เป็นคนเจ็บก็หลับพักสายตาไปเถอะมึง พูดมาก”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรอีก แต่อยากให้เฮียเสือส่องกระจกดูหน้าตัวเองตอนนี้จริงๆ คนที่ไม่เคยจะกังวลหรือกลัวอะไรทำหน้าเครียดเป็นกังวลเหมือนโลกกำลังใกล้จะแตกอยู่แล้ว
แต่เอาเถอะ ในฐานะที่เฮียแกมาเฝ้าผมทั้งคืน ผมจะพยายามช่วยอธิบายก็แล้วกัน พี่ชายเฮียแกคงไม่พ่นไฟใส่คนที่เพิ่งเจอหน้ากันแถมยังเป็นคนเจ็บหรอกมั้ง...นะ
--------------------------------------------------
ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงจากตัวเมืองรถก็แล่นเข้าเขตไร่ชากว้างสุดลูกหูลูกตา ตลอดสองข้างทางปลูกชาลดหลั่นกัน และเต็มไปด้วยคนงานแบกตะกร้าสานเก็บใบชาตลอดทาง
ผมเหลียวซ้ายมองขวาตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศสวยๆ วิวงามๆ จนรถแล่นผ่านถนนใกล้รีสอร์ตในไร่ที่มองจากตรงนี้ขึ้นไปน่าจะตั้งอยู่มุมสูงที่สามารถเห็นไร่ชาได้ทั่ว ขนาดไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวลานจอดข้างล่ายังมีรถจอดเต็มลาน เห็นแบบนี้แล้วผมเหลือบไปมองคนขับที่สนใจแต่ถนนด้วยความอิจฉา
“ไร่เฮียโคตรสวย ถ้ามีที่นั่งเล่นนอนเล่นชิลๆ แบบนี้นะ ให้ตายผมก็ไม่ไปเรียนไกลถึงกรุงเทพ”
“พูดมาก”
เฮียแกด่าผมคำหนึ่งก็ไม่พูดต่อ ขับรถไปเรื่อยจนจอดหน้าบ้านสไตล์โมเดิร์นท้ายไร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตั้งอยู่ติดน้ำ มีระเบียงยื่นออกไป โคตรสวยพอๆ กับส่วนอื่นของไร่
“ไป ลงรถ” เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบตัว เฮียเสือลงจากรถมาเปิดประตูดึงแขนผมให้ตามไปเปิดประตูบ้าน ผมถึงเพิ่งจะรู้ตัว
“ผมไม่ต้องไปจริงๆ เหรอ” ผมถามย้ำไปอีกครั้ง มาถึงบ้านคนอื่นแต่ไม่ได้ไปไหว้ญาติผู้ใหญ่เขามันรู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง เข้าไปนอนพักได้เลย เตียงในห้องกูยกให้”
“ผมนอนโซฟาได้”
“อย่าเรื่องมาก มึงยังติดดอกกูอยู่”
“เรื่องดอกนี่เฮียเอาจริงเหรอ”
ผมถอยออกห่างยกมือขึ้นปิดอกตัวเอง
“จริง กูรอโอกาสนี้มานานแล้ว ร่างกายมึงถ้าใช้ไม่คุ้มตอนนี้จะไปใช้ตอนไหน เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ”
เฮียมันหัวเราะชั่วร้าย มองจ้องเนื้อตัวผมไม่กะพริบ มองจนขนลุกเพราะผมรู้ว่าที่มันมองผ่านทะลุเข้าไปในเสื้อผ้าไม่ใช้เนื้อหนังแต่เป็นซี่โครงข้างในล้วนๆ
“ผมยังเจ็บอยู่นะ”
“เออ กูยังไม่ได้จะเอาตอนนี้สักหน่อย”
“เฮีย พูดให้มันดีๆ” เสียงเรียกออกจะเพี้ยนไปเกือบจะเป็นเห้อยู่แล้ว
“มึงถามเองไม่ใช่เหรอว่ากูจะเอามึงจริงๆ ไหม”
“ไปเลยเฮีย ไปให้พี่ชายเฮียพ่นไฟใส่ให้ไหม้เกรียมไปทั้งตัวเลย”
ยังได้ยินเสียงหัวเราะกวนประสาทตามหลังมาก่อนรถจะแล่นออกจากบ้าน ผมเหลียวไปมองแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านใน
บ้านเป็นปูนเปลือยทั้งด้านนอกด้านใน เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นปูนฉาบขึ้นมาทั้งมุมรับแขก ชั้นวางทีวีและตู้หนังสือ เรียกได้ว่าเครื่องเรือนใหญ่ๆ ก่อปูนขึ้นมาแล้วขัดมันล้วนๆ ยังดีที่นอกจากรูปวาดสีสันสดใสในกรอบไม้ติดประดับตามผนังยังมีกระถางต้นไม้ใบเขียวในตะกร้าสานวางไว้ตามมุมห้อง ห้องโถงกึ่งห้องรับแขกกึ่งห้องทำงานเลยดูไม่แห้งแล้งเกินไป
มองเลยไปโซนด้านหลังเหมือนจะมีห้องอยู่สองห้องปิดประตูไว้ทั้งคู่ ผมไม่คิดจะเข้าไปนอนพักในห้องทั้งที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เลยเดินเลยมุมโซฟาไปฝั่งตรงข้ามที่ตั้งโต๊ะทำงาน วางคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไว้ติดหน้าต่างบานใหญ่ ทอดสายตามองออกไปจะเห็นวิวสะพานไม้ยื่นไปกลางสระน้ำ
มุมสวนตรงระเบียงหน้าบ้านสวยแล้ว มุมนี้ยิ่งสวยและสบายตายิ่งกว่า
“สุดยอด อิจฉาเฮียโคตรๆ ได้โตมาในไร่บรรยากาศสวยแบบนี้”
ผมเดินเข้าไปที่มุมโต๊ะทำงาน มองวิวนอกหน้าต่างอยู่หน้าถึงถอนสายตากลับมาเหลือบมองรูปถ่ายวางตั้งอยู่ในกรอบหลายรูป
รูปแรกที่หยิบขึ้นมาดูน่าจะเป็นรูปถ่ายครอบครัว อีกรูปเป็นรูปเดี่ยว ส่วนรูปสุดท้ายเฮียแกถ่ายกับผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่ง หน้าตาคล้ายกันแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน แต่พี่ชายเฮียหน้าตาคมเข้มผิวคร้ามแดดยิ่งกว่า โดยเฉพาะแววตาดุและเข้มงวดที่ดูโคตรมีอำนาจที่มองตอบมา
แค่ดูรูปผมก็รู้แล้วว่าทำไมเฮียเสือถึงได้กังวลนัก ผมยิ้มแตะๆ ในรูปบอกไปเบาๆ “พี่ชาย พ่นไฟใส่เฮียเอาให้ไหม้เกรียมไปเลยเถอะ กวนประสาทนัก”
“ฉันเป็นคน ไม่พ่นไฟใส่ใคร”
เชรี้ย!
เคร้ง!
ตัวพ่นไฟ เอ้ย...คุณพี่ชายอยู่ๆ ก็โผล่มาข้างหลัง ทำเอาผมมือไม้อ่อนสะดุ้งโหยงทำรูปหลุดมือ นึกว่าหายตัวออกมาจากรูป
ดีที่เป็นกรอบรูปไม่แตก ไม่งั้นได้ทำลายข้าวของบ้านคนอื่นแน่ๆ ผมยืนงงกะพริบตาเงยหน้ามองคนที่น่าจะสูงกว่าประมาณยี่สิบเซน เหมือนกับเฮียเสือสุดๆ สำเนาถูกต้องแบบไม่ต้องถามเลยว่าพี่ใคร
“สะ...สวัสดีครับ” ยืนทำตัวไม่ถูกเพราะตกใจ กำลังจะยกมือไหว้ก็ถูกถามขึ้นด้วยคำถามแปร่งๆ หูที่ไม่รู้ว่าไม่ถูกต้องตรงไหน
“นายใช่ไหมที่เมื่อคืนน้องฉันไปนอนด้วย”
“ครับ” พอได้สติผมพยักหน้าตอบรัวๆ ยกมือไหว้แล้วรีบก้มลงไปเก็บรูปที่ตกพื้น อยู่ๆ มือก็โดนกระชากแรงจนเซเข้าไปหาตัว ถึงจะเป็นมือขวาที่ไม่เจ็บก็สะเทือนไปทั้งตัว ผมนิ่วหน้ามองตอบตาดุๆ ที่มองมา
“มันจ่ายให้กี่บาท”
จ่าย? หรือพี่แกจะหมายถึงค่าโรงพยาบาลกับค่ารถ
“ยังไม่รู้ครับ ผมต้องอยู่รอจนถึงอาทิตย์หน้าถึงจะรู้ว่าเฮียเสือต้องเหมาจ่ายทั้งหมดกี่บาท” แล้วเดี๋ยวผมค่อยใช้หนี้เฮียแกทีเดียว เรื่องนี้ผมไม่ได้พูดออกไป ไว้คุยกับเฮียเสือน่าจะรู้เรื่องกว่า
“เหมามานอนด้วยหนึ่งอาทิตย์คงร้อนเงินมากล่ะสิ”
“ครับ” ถึงจะน่าอายแต่มันก็เรื่องจริง ผมถอนใจพยักหน้ารับ
แทนที่พี่แกจะปล่อย ดันกระชากตัวผมเข้าไปจนชนกับอกแข็งๆ เข้าอย่างจัง ผมยืนงงจ้องหน้าหล่อแบบเถื่อนๆ นั้นนิ่ง
มือขวาถูกจับไว้ มือซ้ายใช้ไม่ถนัดยังถูกยึดจับเอวไว้แน่น ท่านี่มันอะไรวะเนี่ย
“ปล่อยผม!”
“ฉันจะจ่ายให้สองเท่า แล้วรีบไสหัวออกไปให้พ้นจากไร่ฉันตั้งแต่วันนี้เลย”
พี่มันยื่นหน้าเข้ามาบอกใกล้หู ผมผละถอยห่างแต่ไปไหนไม่ได้ไกลเพราะติดมือที่ยังกอดเอวไว้ ก็ยังงงอยู่ดี ผมไปทำอะไรให้พี่เฮียเสือไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งเจอหน้ากันถึงได้ไล่ส่งแบบนี้
“เพราะอะไร”
“อะไร?”
“ผมไปทำอะไรให้ คุณถึงไม่ชอบหน้าผมทั้งที่เราเพิ่งเจอกัน”
“ยังต้องถาม”
มันผลักผมออกแรงจนเสียหลักล้มคว่ำลงไปกับพื้น แขนซ้ายดันไปฟาดถูกขอบเก้าอี้เข้า ผมสูดปากข่มความเจ็บ หันไปจ้องหน้าพี่มันเขม็ง เริ่มนับหนึ่งไปถึงหลักพันไม่ให้พุ่งไปไฟว์กับคนพูดจาไม่รู้เรื่อง
“ก็คนไม่รู้ก็ต้องถามไหม คุณตอบมาให้เคลียร์ๆ เลยดีกว่า อย่ามาพูดๆ หยุดๆ น่าหงุดหงิดชะมัด”
ประโยคหลังผมไม่พูดเสียงดังไป ยังไงอีกฝ่ายก็ญาติผู้ให้ของลุงรหัสผม ขืนมีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ ผมจะมาทำให้ลำบากใจซะเปล่าๆ
ถ้าไม่ใช่พี่เฮียเสือนะ รอบนี้ผมจะต่อยคนเป็นครั้งแรกจริงๆ ด้วยให้ตายเถอะ
“เด็กไซด์ไลน์ขายตัวแลกเงินอย่างนาย มีสิทธิหงุดหงิดใส่พี่ชายคนที่จ่ายเงินปรนเปรอให้ด้วยเหรอ ต่อให้ทำมากกว่าผลักล้มก็ไม่มีสิทธิมีปากมีเสียง”
ผมงงจนทำอะไรไม่ถูก คำว่า ‘เด็กไซด์ไลน์’ ดังก้องอยู่ในหัว พอจับต้นชนปลายถูกว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจผิดคิดลุกขึ้นอธิบาย คนตัวใหญ่ก็พุ่งมาผลักผมที่นั่งเอ๋ออยู่ล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น
“โอ๊ย! อะไรวะ” โดนผลักไม่พอ พี่มันยังพุ่งมานั่งคร่อมขา ใช้มือยึดจับแขนสองข้างผมที่เริ่มดิ้นบีบซะแผลที่ถูกพันไว้ตรงแขนซ้ายเจ็บจี๊ดขึ้นมา
“จะทำมากกว่าผลักแล้วจะจ่ายเพิ่มให้ไง อยากได้เงินไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องรออาทิตย์หนึ่ง จบนี่ก็เอาเงินแล้วไปให้พ้น!”
“ไม่อยากได้เงินเว้ย ปล่อย...โอ๊ย!”
ยังไม่ทันอธิบาย มันก็ก้มลงมากัดคอผมแรงจนรู้สึกได้ว่าเลือดซึมออกมาจากคอ พี่ของเฮียเสือเป็นหมาชัดๆ หมาบ้าที่ฟัดคนไม่เลือก!
นาทีนี้ไม่สนแล้วว่าพี่ใครพ่อใคร ไม่สนด้วยว่าจะเจ็บแขนเจ็บหัวแค่ไหน พอพี่มันเริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าออกจากตัวผมจนแจ็กเกตโดนโยนทิ้งไปจากตัว ผมดิ้นสุดแรงอาศัยจังหวะที่มันชะงักมองผ้าพันแผลที่แขนซ้ายกับผ้าปิดแผลถลอกตามเนื้อตัว แล้วหยุดมองแผลที่หน้าผากที่หมวกหลุดไปเพราะออกแรงดิ้น ผลักมันล้มออกห่าง
แต่ก่อนหมัดที่กำไว้จะพุ่งไปซัดหน้ามัน เหมือนเห็นคำว่า ‘ญาติผู้ใหญ่ลุงรหัส’ ลอยขึ้นมาแปะบนหน้าไอ้พี่หมาบ้าผมชะงัก “โธ่เว้ย!” สุดท้ายก็ต่อยลงไปไม่ได้ ลุกขึ้นนั่งกัดฟันกรอดอธิบายเสียงเข้ม
“คุณเข้าใจผิด ผมเป็นหลานรหัสที่มหาวิทยาลัยของเฮียเสือ เมื่อวานรถคว่ำเฮียเลยไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาล ไม่ได้ขายตัวอะไรทั้งนั้นล่ะ ที่ว่าร้อนเงินเพราะผมยืมเงินเฮียเสือจ่ายค่ารักษากับค่าซ่อมรถที่จะได้อาทิตย์หน้า”
“แล้วที่พูดว่า ‘เฮียจะเอาผมจริงๆ เหรอ’ ล่ะ หรือจะปฏิเสธว่าเมื่อกี้ตอนที่อยู่หน้าบ้าน พวกนายไม่ได้คุยเรื่องนี้กัน” พี่มันชะงักไปเหมือนลังเล มองหน้าผมแล้วมองแผลตามเนื้อตัว
โว้ย ได้ยินเรื่องล้อเล่นแล้วเอามาคิดจริง แบบนี้ถ้าปฏิเสธไปจะเข้าใจเรื่องล้อเล่นของวัยรุ่นไหมเนี่ย
“ทำไม ถึงกับพูดไม่ออก?”
ก็มันไม่ใช่ความจริงไง จะพูดออกได้ไงเล่า
ผมเหนื่อยใจจริงๆ ที่จะพูดกับคนพูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะทำยังไงให้เชื่อ ได้แต่ลุกขึ้นถอดเสื้อยืดที่ใส่ทิ้งลงกับพื้น แล้วเตรียมจะถอดกางเกงตาม
“จะทำอะไร!”
“ก็พิสูจน์ให้เห็นกับตาไปเลยไง ถ้าเมื่อคืนผมขายตัวให้เฮียเสือจริง มันจะไม่เหลือร่องรอยอะไรเลยรึไง นอกจากแผลรถล้มพวกนี้”
คนที่ลุกตามขึ้นมายืนมองตวาดถามผมชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ไม่คิดจะหยุด
นาทีนี้พูดกับคนบ้าก็ต้องบ้ากว่าแล้วล่ะ ผมถอดกางเกงยีนออกจนเหลือบ็อกเซอร์กับกางเกงใน ตั้งใจจะถอดไปเรื่อยๆ ให้หมดตัวไปเลย ถ้าพี่มันกล้าดูรูตูดผม ผมก็จะถอดหันให้มันดูจริงๆ เรื่องจะได้จบๆ ไป
__________________________
เวลาผู้ชายคุยกันไม่รู้เรื่องก็ถอดเสื้อตีกันแบบแมนๆ ไปเลย...หลงกล่าวไว้ >///<
--------------------------------------------------
เวลาผู้ชายคุยกันไม่รู้เรื่องก็ถอดเสื้อตีกันแบบแมนๆ ไปเลย...หลงหลงกล่าวไว้
ความกับมือไวของเฮียเหนือเลเวลอ่อนกว่าพี่ชายเยอะ ^ ^
#เขตเด็กหลง