・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6  (อ่าน 40474 ครั้ง)

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่8
ให้ผมช่วยบรรเทาความเครียดนะครับ



“ฟ้า ทำอะไรเสร็จแล้ว ขึ้นมาเตรียมเสื้อผ้าให้ทีนะ” คุณตรีบอกกับผมด้วยเสียงงัวเงีย พลางลุกออกจากเตียงเดินเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อธุระในยามเช้า

“ได้ครับ” ผมตอบรับด้วยความไม่ค่อยมั่นใจ

อีกหนึ่งหน้าที่หลังจากที่ผมกลายมาเป็นพ่อบ้านให้คุณตรีก็คือการปลุกเขาในตอนเช้า ผมไม่เคยเห็นคุณตรีตื่นก่อนผมมาอีกเลย นับตั้งแต่ที่ผมมาทำงานกับเขา คงเพราะไม่ต้องลงไปรออาหารเช้าจากผมเหมือนเมื่อก่อน

วันนี้เป็นวันที่สองที่คุณตรีออกไปทำงานอย่างจริงจัง เมื่อวานเขาไปทำงานเป็นวันแรก ผมค่อนข้างประหม่าเพราะไม่รู้ว่าผมจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง ก็ต้องรอให้คุณตรีเรียกให้มาช่วยเรื่องเครื่องแต่งกายของเขา มันก็ไม่ใช่งานที่ผมจำเป็นต้องทำโดยตรง แต่คุณตรีก็เรียกมาบอกว่าของแต่ละชิ้นอยู่ตรงไหน ใช้งานยังไง เก็บรักษายังไงแบบคร่าวๆ เผื่อในวันที่เร่งรีบ ผมจะได้ช่วยคุณตรีหาของเตรียมของได้ถูก

เอาเข้าจริงๆ ผมยังคงไม่เข้าใจและยังคงงงกับอุปกรณ์เครื่องแต่งกายของคุณตรีที่มีเยอะชิ้น ในชีวิตผมรู้จักแค่ เสื้อ กางเกง กางเกงชั้นใน เข็มขัด หมวก กระเป๋า รองเท้า ผมรู้แค่นี้ เรื่องเบสิกพื้นฐาน แต่กับคุณตรีแล้วไม่ใช่ มันมีแยกย่อยไปมากกว่านั้น เครื่องประดับของผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดว่ามันมี มันก็มี บอกเลยว่าความเป็นคุณตรีในเรื่องแฟชั่นทำเอาผมมึนตึบ

ปลุกคุณตรีในตอนเช้าแล้ว ผมก็ลงไปเตรียมเครื่องดื่มและผ้าขนหนูสำหรับใช้ออกกำลังกายให้คุณตรี หลังจากครั้งก่อนที่ทำพลาด ตอนนี้ถ้าเข้าบ้านมาแล้วผมจะจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศภายในห้องนั่งเล่นและห้องออกกำลังกายไว้ก่อนเลย จากนั้นค่อยขึ้นไปปลุกคุณตรี

ทำงานด้านล่างเสร็จ ผมก็ขึ้นไปจัดชุดให้คุณตรี ซึ่งผมไม่รู้ว่าผมจะทำมันได้ดีไหม ผมไม่มีความสามารถในเรื่องแฟชั่นสักเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงชุดสูททำงานเต็มยศ ผมยิ่งไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว

ห้องแต่งตัวของคุณตรี จะอยู่ด้านหน้าห้องน้ำ ผมยืนหมุนรอบตัวสามร้อยหกสิบองศา ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน

“ลองเปิดหาดูในอินเตอร์เน็ตก็คงได้มั้ง” ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบแทบเลตที่คุณตรีให้มาไว้ใช้ทำงานขึ้นมาเสิร์ชหาดูชุดทำงาน

อย่างแรก ก็คงต้องเลือกชุดสูทกับกางเกงให้เข้ากับเสื้อเชิ้ตตัวในสินะ

“เอาสีอะไรดีอ่ะ” แล้วก็ต้องมาคิดหนักกับเรื่องสีอีก

เมื่อวานคุณตรีใส่สีเทาไปแล้ว และวันนี้วันอังคาร จะให้สีชมพูตามวันก็คงไม่ใช่ แถมในตู้เสื้อผ้าของคุณตรีก็ไม่มีเสื้อผ้าที่เป็นสีชมพูสักชิ้น ถ้ามีก็คงน่าแปลกยิ่งกว่า

ผมลองไล่แบบชุดสูทของคุณตรีในตู้ดู ผมว่าสีน้ำแบบที่คุณตรีชอบสวย สีแดงเลือดหมูเข้มก็สวยดี แต่ผมคิดว่าวันนี้เอาเป็นสีน้ำเงินก่อนแล้วกัน ถ้าเขาซื้อมาไว้ในตู้ขนาดนี้ ก็คงต้องชอบมันนั่นแหละ

“ต่อมาก็เสื้อข้างใน”

ผมเอาชุดสูทออกมาแขวนไว้ที่ราวเตรียมชุด จากนั้นก็เดินไล่ไปดูเสื้อด้านใน ทันทีที่ปลายนิ้วได้สัมผัสกับเนื้อผ้า ความนุ่มลื่นชวนให้สบายผิว ถ้ามันไปอยู่บนตัวของคุณตรี ผิวของเขาคงจะรู้สึกสบายไปทั้งวัน แค่คิดผมก็รู้สึกดีแทนคุณตรีแล้ว

ดังนั้นผมจะเลือกเสื้อตัวนี้ แม้ว่าเสื้อทุกตัวของคุณตรีจะเป็นของชั้นดี ผ้านิ่มลื่นทุกตัว แต่ว่าสีฟ้าอ่อนแบบนี้เหมาะกับสีน้ำเงินเข้มที่สุดในสายตาของผม ต่อมาก็ในส่วนขอเนคไท

“อันนี้ยากแหะ”

ผมเลื่อนลิ้นชักเก็บเนคไทของคุณตรีออกมาดู เนคไทแต่ละเส้นจะถูกม้วนเก็บอย่างดีเป็นช่องๆ ผมไล่นิ้วดูเนคไททีละเส้นด้วยความตั้งใจ พลางมองไปที่ชุดเพื่อเปรียบเทียบ

“นี่ เส้นนี้” ผมคิดว่าผมเจอเส้นที่น่าจะเข้ากับชุดของคุณตรีได้ หากดูตัวอย่างจากในอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมว่าเนคไทสีฟ้าอ่อนโทนเดียวกับเสื้อด้านในนี้น่าจะเหมาะ มีลูกเล่นเป็นจุดสีน้ำเงินเข้ม เข้ากับชุดสูทด้านนอก พอลองเอาไปทาบกับชุดทั้งหมดที่เตรียมไว้ ก็ดูไม่แย่

“ผ้าเช็ดหน้า สีขาวก็น่าจะง่ายดี” ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาพับแล้วเสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อสูทด้านหน้า

“ฟ้า ทำอะไรอยู่” เสียงของคุณดังเข้ามาในห้องแต่งตัว ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“ตายห่า ใช้เวลานานเกือบชั่วโมงเลยเหรอวะเนี่ย” ผมบ่นกับตัวเอง แล้วพาดเนคไทเข้ากับชุด ก่อนจะรีบออกไปหาคุณตรี

“ครับคุณตรี ผมจัดชุดให้อยู่ครับ แต่ว่ายังจัดไม่เสร็จเลยครับ เหลือที่ติดกระดุมข้อแขน เข็มขัด แล้วก็ถุงเท้า” ผมบอกเขา ตัวเองก็ถึงได้รู้ว่ายังเหลืออีกหลายอย่างที่ยังไม่เสร็จ

“อืม ไม่เป็นไร ที่เหลือฉันทำเอง ค่อยๆหัดทำไป อีกหน่อยนายจะคล่องขึ้น”

“ครับ”

“ลงไปเตรียมอาหารเถอะ เดี๋ยวฉันจะอาบน้ำและแต่งตัว ถ้ามีอะไรให้ช่วยจะเรียก”

“ครับ แล้ววันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ผมลองสอบถามเขาดู ผมทำเป็นหลายเมนูมากขึ้น อย่างน้อยๆตอนนี้ก็สามารถทำโจ๊กอร่อยๆแบบในตลาดที่ผมชอบไปกินได้ ก็แอบไปถามสูตรแม่ค้าเขามา ดีที่ป้าแกเอ็นดูผม เลยไม่หวงสูตร ผมก็เลยได้เอามาทำให้คุณตรีทาน ซึ่งคุณตรีก็ดูจะชอบด้วย

“อะไรก็ได้ ทำมาเถอะ ของ่ายๆก็พอ วันนี้ฉันมีประชุมแต่เช้า”

“ได้ครับ”

เพิ่งจะไปทำงานได้วันเดียว คุณตรีก็มีประชุมแล้วเหรอ คนที่เขาทำงานระดับสูงๆ ชีวิตดูเคร่งเครียดอย่างบอกไม่ถูก เทียบกับผมแล้ว คุณตรีดูแก่กว่าผมไปสิบปี ไม่ใช่ที่หน้าตา แต่เป็นการใช้ชีวิต ผมอยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย แต่ก็รู้ว่าคงเป็นแบบนั้นได้ยาก ด้วยภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ ซึ่งผมประเมินไม่ได้ว่ามันมากขนาดไหน

ผมลงมาทำอาหารเช้าให้คุณตรี วันนี้ทำของง่ายๆ ที่ผมก็เคยทำเป็นอยู่แล้วอย่างแซนวิช จะพิเศษกว่าเดิมก็ตรงที่วัตถุดิบ เพราะเป็นของดีและเป็นของที่คุณตรีชอบ อย่างอกไก่ อะโวคาโด แครอท และมะเขือเทศ

อาหารเช้าอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคุณตรีก็คือกาแฟ อาทิตย์แรกผมโดนคุณตรีบ่นเรื่องทำกาแฟรสชาติไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ เพราะผมยังกะปริมาณและอุณหภูมิความร้อนของน้ำไม่ได้ แต่สองวันที่แล้ว คุณตรีดื่มกาแฟก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมคิดว่าตอนนี้ฝีมือการทำกาแฟของผมพอจะเข้าขั้นที่เขาพอใจ

“ฟ้า เสร็จหรือยัง” ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของคุณตรีวิ่งลงมาจากบ้าน ผมชะโงกหน้าไปดู เห็นคุณตรีรีบร้อน เนคไทของเขายังผูกไม่เรียบร้อยเลย

“เสร็จแล้วครับ คุณตรีนั่งรอที่โต๊ะได้เลย เดี๋ยวผมเอายกไปเสิร์ฟให้ครับ” ผมตะโกนบอกกับคุณตรี ก่อนจะเร่งมือจัดอาหารใส่ถาดแล้วยกไปให้คนที่ดูเหมือนว่าจะไปทำงานสาย

“คุณตรีทานไปก่อนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผม ขอผมยังทำไม่เสร็จ” ทุกวันคุณตรีบังคับให้ผมทานข้าวเช้าและข้าวเย็นเป็นเพื่อน แต่วันนี้ถ้าต้องให้เขารอผม เขาจะต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน

“อืม ไม่เป็นไร” คุณตรีลงมือทานมื้อเช้า ผมยืนมองเขา พิจารณาคุณตรีตั้งแต่ใบหน้าไปตามลำคอ ลงไปยังร่างกายของเขา ชุดที่เขาใส่เป็นชุดที่ผมเตรียมไว้ให้ เขาไม่เคยบอกว่าผมทำได้ดีหรือแย่ เขาแค่หยิบไปใส่เองทุกวัน แต่วันนี้ที่แสนจะเร่งรีบ เสื้อผ้าหน้าผมของเขาเลยดูไม่เนี๊ยบอย่างเคย แต่ถ้าคนไม่เคยเห็นความเนี๊ยบแบบฉบับปกติของคุณตรี ก็ยังต้องบอกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็ดูสมบูรณ์แบบสุดๆแล้ว

“ฟ้า”

“อ่ะ ครับ”

“ยืนทำอะไร ไปทำอาหารเช้ามากินสิ”

“อ่อ ครับๆ”

ผมมัวแต่ยืนเหม่อจ้องมองคุณตรีจนลืมไปเลยว่าตัวเองต้องไปทำอะไร

ผมรีบไปทำอาหารของตัวเอง ซึ่งก็ใช้เวลาแค่นิดเดียว เพราะส่วนผสมต่างๆก็เตรียมไว้ตั้งแต่ทำของคุณตรีแล้ว อาหารที่ผมกินก็เป็นอย่างเดียวกับที่ทำให้เขา จะได้ไม่ได้สิ้นเปลืองเวลาในการทำ

ผมทำอาหารเสร็จก็เดินไปนั่งทานกับคุณตรีที่โต๊ะ เขาทานเสร็จพอดี คุณตรีดื่มน้ำส้มจนหมดแก้ว แล้วรินน้ำส้มในเหยือกดื่มต่อเป็นแก้วที่สอง

“ฉันไปทำงานก่อนนะ มีอะไรก็โทรหาได้ตลอด” คุณตรีพูด เป็นประโยคที่เขาบอกกับผมเวลาที่เขาจะออกไปไหนมาไหน

“คุณตรีครับ เนคไทยังไม่เรียบร้อยเลยครับ” ผมเตือนก่อนที่เขาจะออกจากบ้าน คุณตรีกำลังสาละวนอยู่กับโทรศัพท์มือถือ

“มาช่วยจัดให้หน่อย” เขาบอก ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก่อนจะพูดสั่งงานกับใครสักคน คาดว่าน่าจะเป็นเลขาของเขา ตามที่ดูละครในโทรทัศน์ ผมว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้น

ผมขยับไปยืนตรงหน้าคุณตรี แล้วช่วยจับปกคอเสื้อ แล้วจัดการปลดเนคไทออกก่อนจะผูกให้ใหม่ โชคยังดีที่ผมมีพรสวรรค์ในด้านนี้ เวลาที่ผมผูกเนคไทไปสอบ อาจารย์ชอบชมว่าผมผูกสวยเป็นระเบียบดี คงเป็นงานอย่างแรกที่ผมสามารถทำได้ดีตั้งแต่ครั้งแรกเพื่อเขา

ระหว่างที่ผมผูกเนคไท ผมรู้สึกว่าโดนจ้อง ก็เลยชอนสายตามองด้านบน สายตาคมของเขากำลังจ้องผมอยู่ เสียงแววจากปลายสายดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่าเขากำลังต้องใจฟังคนที่เขาโทรหา หรือกำลังจดจ้องอยู่กับการผูกเนคไทของผมกันแน่

แต่จ้องกันแบบนี้ผมประหม่านะ แถมยังใจเต้นแรงอีกด้วย

“อืมๆ แค่นี้แหละ ผมกำลังจะออกจากบ้าน ไปถึงก็เตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมด้วย” ขนาดตอนเขาพูด เขายังไม่เลิกจ้องผมเลย

“เสร็จแล้วครับ” ผมบอกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยออกห่าง คุณตรีก้มมองเนคไทของตัวเอง แล้วริมฝีปากของเขาก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย

“ผูกสวยดีนิ งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หน้าที่ของนายคือผูกเนคไทให้ฉันทุกวัน ตานนี้นะ ฉันไปทำงานก่อนละ อยู่บ้านดีๆ” เขาขยี้หัวผมจนขึ้นฟู แล้วก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งค้างเติ่งกับความอารมณ์ดีของเขาที่เปลี่ยนไวจนตั้งตัวไม่ถูก ตอนคุยเรื่องงานยังเครียดอยู่เลย

“ผูกเนคไททุกวันอย่างนั้นเหรอ” ผมพึมพำ

ก็ไม่ยากหรอก แต่ไม่ง่ายต่อใจเลยจริงๆ




ผมใช้เวลาไม่นาน ก็ทำงานที่ทำเสร็จจนหมด เป็นแบบนี้ทุกวัน ช่วงบ่ายสามเป็นต้นไป ผมจะว่างมากถึงมากที่สุด แต่ผมก็ไม่ได้อู้งานนะ ผมใช้เวลาว่างในการหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับการดูแลคุณตรี ก็ได้แทปเลตที่เขาให้มาช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย แถมบ้านคุณตรียังมีอินเตอร์เน็ตฟรี หาข้อมูลอะไรก็เจออย่างรวดเร็ว

เวลาว่างช่วงนี้ ผมก็เอาไปลองทำอาหารบ้าง ฝึกมือไปเรื่อยๆ เพราะที่ยากที่สุดสำหรับผมก็คือการทำอาหาร ผมอยากทำให้ได้หลายๆอย่าง แต่ว่าหลายๆอย่างที่ว่าก็ต้องทำออกมาอร่อยด้วย ไม่งั้นก็เปล่าประโยชน์

จนกระทั่งตกเย็น ผมทำกับข้าวเย็นรอไว้ ถ้าวันไหนคุณตรีมีนัดออกไปกินข้าวข้างนอกเขาจะบอกก่อนล่วงหน้า แต่ถ้าไม่ ก็คือเขาจะกลับมากินข้าวที่บ้าน ซึ่งผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องนั่งกินเป็นเพื่อน

ตั้งแต่มาทำงานกับคุณตรี ผมประหยัดค่ากับข้าวไปเลย เพราะทั้งสามมื้อผมกินที่บ้านคุณตรี ไม่กินก็ไม่ได้ เจ้าของบ้านเขาบังคับ

เย็นนี้ผมทำกับข้าวรอไว้แล้วสามอย่าง รอเวลาแค่คุณตรีกลับมา ผมใช้เวลาช่วงห้าโมงเย็นออกไปยืนรถน้ำต้นไม้ บรรยากาศในสวยของคุณตรีร่มรื่นน่ามาผูกเปลนอน ไว้ว่างๆผมจะขอต้นไม้ต้นใหญ่ของคุณตรีสักต้นมาผูกเปล

เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาเรื่อยๆ ผมได้ยินแล้วก็รีบไปปิดน้ำ เอามือที่เปียกเช็ดกับกางเกง ก่อนจะออกเปิดประตูรอให้รถของคุณตรีขับเข้ามาในบ้าน

“สวัสดีครับน้าภาพ” ผมยกมือไหว้น้าคนขับรถของคุณตรี

“สวัสดีๆ” น้าเขายิ้มกว้าง เป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลา วันไหนที่ลุงเขามาล้างรถ ผมชอบได้ยินน้าเขาร้องเพลงลูกทุ่งคลอไปด้วย เสียงเพราะด้วยนะ
“ผมถือให้นะครับคุณตรี” ผมรีบเข้าไปรับเสื้อสูทของเขากับกระเป๋าใส่เอกสารมาถือ

“ขอบใจ วันนี้ผมคงไม่ออกไปไหนแล้วนะครับน้า น้ากลับไปพักผ่อนได้เลย”

“ขอบคุณครับคุณตรี”

“เข้าบ้านกับฟ้า” คุณตรีพูดกับผม แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน เขาเริ่มปลดเนคไทแล้วก็ปลดกระดุมแขนเสื้อ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา

ผมรีบเอาของไปเก็บไว้ในห้องคุณตรี แล้วลงมาเอาเครื่องดื่มเย็นๆที่ผมเตรียมเอาไว้มาเสิร์ฟให้คุณตรีดื่มแก้กระหาย จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น

“น้ำครับคุณตรี วันนี้เป็นน้ำทับทิมนะครับ” ผมบอก

“ขอบใจนะ ฟ้า ขอยาแก้ปวดหน่อยสิ” คุณตรีใช้นิ้วนวดที่ขมับ ผมมองใบหน้าที่ค่อนข้างตึงเครียดของเขาด้วยความสงสัย

“คุณตรีป่วยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมลองสอบถามดู พอมาสังเกตดูดีๆ หน้าของเขาค่อนข้างจะซีด

“เครียดเรื่องงานนิดหน่อย เลยปวดหัว กินยาแก้ปวดแล้วก็คงหาย”

“แน่ใจนะครับว่าไม่ได้มีอาการอย่างอื่นเพิ่ม”

“นายก็ตรวจให้ฉันสิ” เขายักคิ้วใส่ผม ไม่สบายแล้วยังจะทำเล่น

“ผมขออนุญาตนะครับ” ผมเอ่ยขอ ก่อนจะใช้ฝ่ามือแตะที่หน้าผากของเขา ตัวไม่ร้อน แสดงว่าไม่มีไข้

“มือเย็น” คุณตรีพูด

“ครับ ผมเป็นคนมือเย็น”

“ถ้าฉันเป็นไข้ จะใช้ฝ่ามือนายแทนผ้าชุบน้ำเย็นได้ไหม” เขาถามด้วยสีหน้าที่เหมือนจะจริงจัง

“มันจะใช้แทนกันได้ยังไงล่ะครับ มือผมไม่ได้เย็นเป็นน้ำแข็งสักหน่อย รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมจะไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้”

“มันก็เย็นสบายเหมือนกันแหละน่า” เขาบ่นเบาๆ ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้เขากิน

จากนั้นเขาก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมก็เตรียมตั้งโต๊ะอาหารเย็น คุณตรีจะกินข้าวเย็นตอนหกโมงโดยประมาณ ซึ่งพอกินข้าวและเก็บล้างเสร็จ งานของผมในวันนั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้น ผมก็กลับหอไปพักได้

“ฟ้า คืนนี้อยู่ล่วงเวลาหน่อยได้ไหม” คุณตรีที่อาบน้ำจนหอมฉุยเดินมานั่งที่โต๊ะทานข้าว

“คุณตรีมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ” ผมถาม

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก คืนนี้ฉันยังต้องทำงานอีกนาน เลยว่าจะให้อยู่ช่วยเวลาที่ต้องการอะไร”

“ได้ครับ ผมไม่มีอะไรต้องทำ การบ้านก็กับรายงานก็ทำเสร็จหมดแล้ว” ผมตอบ

“อืม ขอบใจ”

“ยินดีครับ”

นอกจากความสุขในการอยู่รับใช้เขาแล้ว อย่าลืมนะครับว่าเงินค่าจ้างล่วงเวลาก็เยอะมากๆเลย หากสามารถหาเงินเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นได้เยอะเท่าไหร่ มันก็จะเป็นผลดีสำหรับคนตัวคนเดียวอย่างผมมากเท่านั้น

“อันนี้อร่อย” เขาใช้ช้อนชี้ที่จานผัดหมูสับถั่วฝักยาวใส่ใบโหระพา

“อร่อยก็ทานเยอะๆนะครับ” ผมใช้ช้อนกลางตักกับข้าวให้เขา เขามองแล้วก็ตักข้าวพร้อมกับที่ผมตักให้เข้าปากกินไปเงียบๆ

“นายเองก็กินเยอะๆฟ้า ช่วงเวลาว่างๆไม่มีอะไรทำ ก็ไปใช้ห้องออกกำลังกายได้ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง” คุณตรีพูด แล้วก็เป็นฝ่ายตักกับข้าวมาให้ผมบ้าง

“ผมใช้ไม่เป็นหรอกครับ” เครื่องใหญ่ๆ ปุ่มกดเยอะแยะ ผมกลัวจะไปทำพัง

“ของแบบนี้มันต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น ไม่มีใครทำเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอกนะ”

“ครับ” มันก็จริงของเขา

“ไว้วันหยุด ฉันจะสอนก็แล้วกัน นายก็เตรียมชุดออกกำลังกายมาด้วย”

“ได้ครับ”

“นายใส่รองเท้าเบอร์อะไร”

“สี่สิบสองครับ”

“อืม เดี๋ยวฉันไปหยิบรองเท้าของฉันมาให้ ฝากเขาซื้อแต่เขาส่งไซส์มาให้ผิด นายก็เอาไปใช้แล้วกัน”

“จะดีเหรอครับคุณตรี ถ้าสั่งมาผิด ก็ส่งไปคืนเขาได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“ส่งไปไม่ได้แล้วล่ะ ฉันก็ซื้อคู่ใหม่มาแล้วคู่นั้นเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ ถ้านายไม่เอา ก็คงต้องทิ้ง”

ทิ้ง! ทิ้งอีกแล้วเหรอ

“คุณตรีครับ จะทิ้งได้ยังไง ของใหม่ขนาดนั้น” ผมพูดเสียงอ่อย ยอมใจกับความสุรุ่ยสุร่ายของเขาจริงๆ

“ก็มันไม่มีคนใช้นี่”

“...”

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะบังคับให้นายรับไปนะ แต่ของมันไม่ได้ใช้ เก็บไว้มันก็น่าเสียดาย เห็นเป็นไซส์นาย ฉันก็เลยยกให้”

“งั้นผมขอซื้อต่อได้ไหมครับ ถ้าให้ฟรีๆเลย ผมเกรงใจ”

“แน่ใจ” เขาเลิกคิ้วถาม รวบช้อนทานข้าวไว้กลางจาน หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดริมฝีปากก่อนจะดื่มน้ำตาม

“แน่ใจครับ ผมชอซื้อดีกว่าที่จะรับของๆเขาฟรี”

“สามหมื่นนะฟ้า”

“ห๊า”

อะไรนะ สามหมื่น!

“ทำไมมันแพงอย่างนี้อ่ะ รองเท้าผ้าใบของผมที่ใช้ก็ว่าแพงแล้วนะ ห้าร้อยเก้าสิบเก้า ผมซื้อมือสองมาจากตลาดนัด ตอนซื้อก็คิดแล้วคิดอีก แล้วรองเท้าที่คุณตรีซื้อมานี่อะไร สามหมื่น!

“คนละครึ่งทางแล้วกัน ฉันจะขายต่อให้ ในราคาคืนนี้ ที่นายจะอยู่ล่วงเวลาให้ฉัน” เขาเสนอทางออกให้ผม ที่ผมคิดว่า...มันก็โอเคสำหรับผมอยู่ ไม่ต้องได้ค่าล่วงเวลาก็ได้ แต่ไม่ใช่ต้องเสียเงินเดือนทั้งเดือนเพื่อรองเท้าหนึ่งคู่

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ผมตอบรับข้อเสนอ แล้วก็ลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างในครัว คุณตรีเดินตามมายืนมองผมทำงาน ผมหันไปมองเขาด้วยความสงสัย

“คุณตรีอยากได้อะไรไหมครับ” ผมถาม

“ฟ้า ไม่สบายใจเรื่องรองเท้าหรือเปล่า ฉันไม่ได้บังคับนะ ถ้านายไม่อยากได้ ก็ไม่เป็นไร”

ทำไมเขาถึงถามแบบนั้น ผมเผลอทำสีหน้าที่ไม่โอเคออกไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า

“ทำไมคุณตรีถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“ฉันรู้ว่าสำหรับนาย เงินทองมันหายาก ถ้าจะต้องมาเสียเงินหลักหมื่นเพราะรองเท้าหนึ่งคู่ มันก็คงมากเกินไป”

“แต่คุณตรีก็บอกว่าจะหักจากค่าล่วงเวลานิครับ ผมก็แค่ต้องอยู่ดึกกว่าเดิมแค่นั้นเอง ไม่ได้เสียอะไรสักหน่อย”

“...” เขาเงียบ เอาแต่จ้องหน้าผม ทำเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูด ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา อยากลองค้นหาสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ

“คุณตรีอย่าคิดมากเลยครับ ผมไม่ได้รู้สึกว่าโดนบังคับอะไร กลับกัน ถ้าคุณตรีให้ผมฟรีๆ ผมจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่า”

ผมคิดอย่างที่ตัวเองพูดจริงๆ ถ้าพูดถึงจำนวนเงินที่จะต้องหายไปจากการทำงานล่วงเวลา มันก็น่าเสียดายอยู่ แต่ค่าล่วงเวลาที่คุณตรีให้ก็เป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่ผมเคยได้หลายเท่า อีกอย่างถ้าไม่รวมค่าล่วงเวลา เงินเดือนและความสบายในการทำงานที่คุณตรีให้ผม ก็มากกว่าที่ผมทำงานรับส่งอาหารกับทำงานที่ร้านอาหารทั้งเดือนรวมกันเสียอีก ดังนั้นผมไม่คิดว่าการเสียเวลาแค่สามสี่ชั่วโมงของคืนนี้แลกกับรองเท้าผ้าใบดีๆสักคู่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร

“อย่าฝืนใจนะฟ้า ฉันไม่อยากให้เป็นคนที่ทำให้นายเดือดร้อน” เขาดูกังวลมากจริงๆ จนผมต้องแอบอมยิ้มในใจ

“ผมไม่เดือดร้อนหรอกครับ จริงๆนะ คุณตรีไม่ต้องกังวลเลยครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรดีๆให้ตัวเอง จ่ายค่าความสุขให้ตัวเองบ้างก็คงดี”

“มันจะดีกว่านี้ถ้านายรับไปเลย ยังไงฉันก็ไม่ได้ใช้ เก็บไว้ก็เสียของ”

“แบบนั้นไม่ดีหรอกครับ เพราะผมจะไม่สบายใจ”

“ก็ได้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าอะไรที่ฉันทำให้นายไม่สบายใจก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

ไม่ต้องเกรงใจได้ยังไง ถึงคุณตรีจะทำให้ผมไม่สบายใจ ผมก็ไม่บอกเขาหรอก ใครจะไปกล้า

“ครับ” แต่ก็ต้องรับคำไปเพื่อให้เขาสบายใจ คุณตรีมีเรื่องที่ต้องคิดต้องเครียดอีกเยอะ เขาไม่ควรที่จะต้องมาคิดมากเรื่องของผมอีกเรื่อง มันไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว

“ฉันขึ้นไปทำงานนะ ถ้าทำอะไรเสร็จแล้ว ฉันขอชาร้อนสักกาก็แล้วกัน”

“คุณตรีจะรับชาอะไรดีครับ”

ชาที่บ้านคุณตรีมีหลายแบบมาก ทั้งชาไทย ชาจีน และพวกชาต่างประเทศต่างๆ ผมยังไม่มีเวลาพอที่จะศึกษาเรื่องนี้ ปกติที่จะชงไปเสิร์ฟเขาก็พวกชาง่ายๆที่ตัวเองรู้อย่างชาเขียว ชามะลิพวกนี้

“เอาเป็นชาผลไม้ก็ได้ เลือกมาเลย”

“ได้ครับ เสร็จแล้วผมจะเอาขึ้นไปเสิร์ฟนะครับ”

“อืม ฝากด้วย”

หลังคุณตรีขึ้นไปทำงาน ผมก็เก็บล้างทำความสะอาดในครัว แล้วต้มน้ำเตรียมชงชาร้อนให้คุณตรี

“เอาชาอะไรดีนะ คุณตรีบอกว่าอยากดื่มชาผลไม้ แล้วจะเอารสอะไรดีล่ะ มีหลายรสซะด้วย” ผมหยิบกล่องชาออกมาดูทีละกล่อง แล้วก็เอามาดม ผมไม่เคยดื่มชาพวกนี้มาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง เลยเลือกกลิ่นที่ตัวเองคิดว่าน่าจะผ่อนคลายอย่างชาผลไม้รวม ผมคิดว่านะ มันเขียนว่า Mix fruits มันก็น่าจะรวมๆกัน กลิ่นก็หอมหวานอมเปรี้ยวดี ผมคิดว่าดื่มแล้วน่าจะสดชื่น

พอน้ำร้อนในกาต้มน้ำเดือดได้ที่ ผมก็ยกกาน้ำร้อนมารินใส่กาต้มชาอย่างช้าๆ เพื่อให้ความร้อนค่อยๆไหลผ่านซองชา น้ากุ้งบอกว่าทำแบบนี้จะได้กลิ่นหอมและรสชาติพอดี ไม่อ่อนและไม่เข้มจนเกินไป ผมไม่ใช่คนดื่มชาเป็น ก็แยกไม่ออกว่ามันจะดีกว่ากันยังไง แต่ขอแค่คุณตรีพอใจ ต่อให้มันดูเป็นงานที่ยากสำหรับผม ผมก็พร้อมที่จะศึกษา

“ขออนุญาตครับคุณตรี” ผมเคาะประตูหองทำงาน แล้วเปิดประตูเข้าไป คุณตรีที่กำลังหลับตานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานลืมตาขึ้น คิ้วของเขายังขมวดเป็นปมอยู่เลย

“มาแล้วเหรอ” เขาถาม

“เครียดเหรอครับ” ผมอยากรู้ว่างานเขามันมีปัญหาที่ตรงไหน ถึงทำให้เขาเครียดได้ขนาดนี้

“อืม งานมันวุ่นวายนิดหน่อย”

ผมว่าไม่น่าจะนิดหน่อยแล้วนะแบบนี้ ถ้ามองดีๆจะเห็นเลยว่าเส้นเลือดตรงขมับของคุณตรีปูดนูนขึ้นมาจนเห็นชัดเป็นเส้น

“จิบชาร้อนๆนะครับ จะได้สดชื่น” ผมรินน้ำชาใส่ถ้วยให้คุณตรี ก่อนจะออกไปเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาให้คุณตรีเช็ดหน้า

“ฟ้า มานวดขมับให้หน่อยสิ”

“ครับ?” ผมถามย้ำถึงความต้องการของเขาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจ

“นวดขมับให้หน่อย ปวดหัว”

คุณตรีอายุมากกว่าผมแค่นิดเดียว แต่เขาต้องเจอกับอะไรที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้ ความเครียดและความกดดันเหล่านี้น่ากลัวมากสำหรับผม

ผมเดินอ้อมไปด้านหลังเก้าอี้ของเขา คุณตรีทิ้งตัวเอนกับพนักเก้าอี้อีกครั้ง ผมเอ่ยขออนุญาตแล้วใช้ผ้าเย็นเช็ดไปตามใบหน้าของเขา จากนั้นก็เริ่มต้นนวดที่ขมับให้เขาอย่างเบามือ

ตอนเด็กๆผมเคยนวดให้ลุงชัย ลุงบอกว่าผมนวดเก่งนวดดีเหมือนไปเรียนมา ไม่รู้ว่าลุงแกล้งชมหรือเปล่า แต่ผมจะลองทำให้คุณตรีดู

ผมนวดให้เขาอยู่สักพัก เห็นสีหน้าเขาผ่อนคลายลงผมก็ระบายยิ้มบางๆด้วยความพอใจ

“สบายไหมครับ” ผมถาม

“อืม สบาย”

สบายก็ดีแล้ว

“ฟ้า”

“ครับ”

คุณตรีจับมือผมเหมือนให้หยุด แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ ดวงตาของเขาค่อยๆเปิดขึ้นแล้วจ้องตาผมทั้งๆที่ยังกลับหัวกลับหาง

มือของเขาที่กุมมือผมไว้ บีบกระชับให้แน่นขึ้นเล็กน้อย

“ขอบใจนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนฟังระรื่นหูจนผมแทบเคลิ้ม

ผมยิ้มให้เขา แล้วลองบีบมือเขากลับดูบ้าง

“ด้วยความยินดีครับ”

ผมบอกแล้วไง เพื่อเขา ผมเต็มใจทำให้ทุกอย่าง




........................................
สวัสดีค่ะ
ริริกลับมาแล้วนะคะ จะกลับมาลงนิยายต่อให้จนจบแล้ว
ขอโทษที่หายไปนาน แต่เราจะไม่หนีหายไปไหนอีกแล้ว
>_<








ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น้องฟ้าพัฒนาทักษะพ่อบ้านขึ้นเรื่อยๆ เก่งมากครับ :กอด1:
แหนะ คุณตรี เห็นนะคะว่าแอบหยอดน้องฟ้าเนียนๆ
 :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ดูแลคุณตรีเก่งขึ้นเรื่อยๆแน่นอนค้าบ

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่9
ผมไม่ชอบออกกำลังกาย แต่ผมชอบที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับคุณ



ถ้าผมบอกว่าคุณตรีก็เอาแต่ใจเก่งมาก และผมเองก็เป็นคนที่ดื้อเงียบ แบบที่ใครๆก็คงไม่รู้ แต่กับเขา ผมต้องยอมไปเสียทุกเรื่อง แต่บางทีก็มีความรู้สึกที่ไม่เข้าใจและงุนงงกับสิ่งที่เขาทำ

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ” คุณตรียืนกอดอกสั่งผมทันทีที่ผมเข้ามาปลุกเขาในห้องนอน วันนี้เขาตื่นก่อนที่ผมจะมา และเขาก็อยู่ในชุดพร้อมออกกำลังกายเรียบร้อย

“จะให้ผมเปลี่ยนตอนนี้เลยเหรอครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ ผมมาบ้านเขายังไม่ทันได้ทำงานอะไรเลยสักอย่างเดียว เขาก็จะให้ผมไปออกกำลังกายกับเขาแล้ว

“ใช่ ฉันบอกนายไปเมื่อวานแล้วนะ”

ใช่ เขาบอก แต่ผมลืม และก็ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนี้

“ผมลืมครับ ก็เลยไม่ได้เตรียมอะไรมา เอาไว้เป็นครั้ง...”

“ไม่ได้” คุณตรีพูดแทรกผมทันควัน

“อะไรครับ”

“เดี๋ยวฉันหาเสื้อผ้าให้” เขาพูด แล้วก็เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ผมยืนงงๆอยู่ข้างเตียงนอนของเขา

“ฟ้า มานี่สิ” แล้วเขาก็เรียกผมให้ไปหา

ผมเดินไปหาเขาในห้องแต่งตัว คุณตรีกำลังเปิดลิ้นชักเสื้อผ้าที่ผมไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่ง เพราะเสื้อผ้าส่วนมากของคุณตรีจะแขวนไว้ในตู้แขวน ไม่ค่อยเก็บในลิ้นชัก เพราะเสื้อผ้าทุกตัวจะต้องถูกรีดเอาไว้ เตรียมพร้อมให้ใช้งาน

“นี่เสื้อผ้าออกกำลังกาย ไปเปลี่ยน แล้วลงไปเจอฉันที่ห้องออกกำลังกาย เข้าใจไหม”

ผมรับเสื้อผ้าที่เขาส่งมาให้ด้วยความงุนงง พร้อมกับคลี่ชุดออกกำลังกายออกดู ก่อนจะหันไปมองตามหลังคุณตรีที่เดินออกไป ชุดที่เขาให้ผมเป็นไซส์ของผม ไม่ใช่ไซส์ของเขา หรือว่าจะเป็นชุดเก่าของคุณตรี แต่มันก็ยังดูใหม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น

ช่างเถอะ มันก็คงไม่ได้สำคัญอะไร อาจจะเป็นของเก่าของคุณตรีก็ได้ เขาเป็นคนที่ใช้ของแล้วค่อนข้างดูแลอย่างดี ของก็เลยดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบลงไปเตรียมเครื่องดื่มให้คุณตรี ไปถึงห้องออกกำลังกาย คุณตรีก็นำไปก่อนหน้าผมแล้ว เขากำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง พอหันมาเห็นผมก็กวักมือเรียก เขาหยุดเครื่องลู่วิ่ง แล้วเดินลงมาหาผม

“พร้อมแล้วใช่ไหม”

“ครับ นี่น้ำดื่มครับคุณตรี” ผมส่งแก้วน้ำเก็บความเย็นส่งให้เขา

“แล้วของนายอยู่ไหน”

“ครับ?”

“น้ำดื่มนายอยู่ไหน ไปเตรียมมา เวลาออกกำลังกายแล้วกระหายน้ำจะทำยังไง”

“อ่อ ครับ ผมจะไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ”

ผมเดินกลับไปหยิบขวดน้ำเปล่าในตู้เย็นมาหนึ่งขวด คุณตรีจะดื่มน้ำแร่ถ้าเป็นน้ำเปล่า ส่วนน้ำที่ใช้ทำกับข้าวจะเป็นน้ำกรองแล้วเท่านั้น ผมว่าจริงๆแล้วคุณตรีจะต้องไม่ใช่คนที่ร่างกายแข็งแรง เขาว่ากันว่าคนที่ดูแลตัวเองดีเกินไป ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคจะต่ำแล้วทำให้ป่วยง่าย

กลับมาที่ห้องออกกำลังกายคุณตรีก็สอนให้ผมวอร์มร่างกายให้พร้อม จะได้ไม่บาดเจ็บหรือระบมหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จ

“อยากเล่นเครื่องไหนก็เล่นเลย” คุณตรีบอกเมื่อเห็นว่าผมวอร์มร่างกายเสร็จแล้ว

“ผมเล่นไม่เป็นสักอันเลยครับ” ผมบอกเขาเสียงเบา รู้สึกเขินเล็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

“งั้นก็มาเริ่มจากลู่วิ่งดู” เขาจับข้อมือผมลากไปที่ลู่วิ่งที่เขาเพิ่งจะใช้งานไป

ผมมองมือของเขาที่กุมข้อมือของผมเอาไว้ มือเขาใหญ่มากจนสามารถกุมมือผมได้เกือบมิด และมือเขาก็นุ่มมากจนรู้สึกดี ต่างจากมือของผมที่ค่อนข้างจะสากกระด้างเพราะว่าทำงานมาตั้งแต่เล็ก

อะไรๆบนตัวเขาก็ดีไปหมด ช่างเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเสียจริง

“กดเปิดเครื่องตรงนี้ อันนี้ปรับระดับความชัน เหมือนวิ่งขึ้นเขา ส่วนปุ่มนี้ปรับระดับความเร็ว แรกๆก็เดินไปก่อน แล้วค่อยๆปรับให้มันเร็วขึ้นจนกระทั่งวิ่งได้ ปุ่มนี้เป็นตัวตั้งเวลา บนหน้าจอจะมีบอกว่าอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่เท่าไหร่ ใช้พลังงานไปแล้วกี่แคลอรี่ พอจะเข้าใจไหม”

“เอ่อ ครับ” คุณตรีอธิบายไม่ช้าไม่เร็ว แต่ว่าหัวสมองผมค่อนข้างช้ากับเรื่องที่ตัวเองไม่เคยทำ

“ลองดู มีอะไรก็เรียกฉัน เข้าใจไหม”

ทุกครั้งที่เขาอธิบายอะไรให้ผมฟัง เขาจะชอบทิ้งท้ายประโยคว่าเข้าใจไหม ฟังแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ แต่เหมือนเขาปฏิบัติต่อผมเป็นเด็กตัวเล็กๆที่กำลังหัดเรียนรู้โลก ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบฟัง ทั้งๆที่ผมก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว และความเป็นจริงผมก็กร้านโลกพอควร เพียงแต่ผมไม่แสดงออกว่าผมรู้เรื่องคาวโลกีย์อะไรในโลกนี้มาบ้าง

ในสลัมที่ผมเติบโตมา เรื่องต่ำตมโสมมผมเห็นมาหมด สิ่งเหล่านี้ก็คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ชีวิต ส่วนเราจะทำตัวให้เป็นคนแบบไหนมันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเราเลือกที่จะเป็น

“ขอบคุณครับคุณตรี” ผมถ่ายทอดความรู้สึกผ่านดวงตา มองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ ขอบคุณที่เขามักใส่ใจและห่วงใยคนนอกอย่างผม

“นายน่ะผอมเกินไป ทำงานหนักก็ต้องดูแลสุขภาพบ้าง เข้าใจไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”

“เข้าใจก็ดี ไม่ครบหนึ่งชั่วโมง ห้ามเลิก”

“ห๊า หนึ่งชั่วโมงเลยเหรอครับ” ผมไม่เคยออกกำลังกายแบบนี้นานๆ มันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอ

“หนึ่งชั่วโมง เกินได้ แต่ห้ามขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะหักเงินเดือนนาย”

“หักไปเลยก็ได้ครับ” ผมว่า ยังไงเงินเดือนผมก็เยอะกว่าที่ผมใช้อยู่แล้ว แต่คุณตรีเหมือนจะไม่พอใจ เขาถลึงตาใส่ผมพร้อมกับเม้มปากเหมือนอยากจะเข้ามาจับผมเขย่าหัว

“งั้นฉันเปลี่ยนใจ ถ้านายไม่ออกกำลังกายให้ครบหนึ่งชั่วโมง ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้นายอีกเท่าหนึ่ง”

“คุณตรี!” ผมเรียกเขาเสียงหลง ดูเหมือนว่าการทำให้ผมจนมุมได้จะเป็นความชอบใจอย่างหนึ่งของเขา

“ลองดูก็ได้ ฉันทำจริงอยู่แล้ว นายก็รู้” เขาเดินเข้ามาหยิกปลายจมูกผมหนึ่งทีแล้วก็เดินผิวปากไปที่เครื่องออกกำลังกายเครื่องอื่น

“จิ๊” ผมต้องดูเป็นคนไม่อยากได้เงินขนาดไหน เขาถึงคิดจะใช้วิธีนี้กับผม

แต่เขาก็คิดถูก ผมต้องทนออกกำลังกายให้ครบหนึ่งชั่วโมง ทั้งๆที่เหนื่อยแทบขาดใจ แต่คุณตรีก็คอยมาสอนวิธีที่ถูกต้องให้ผมตลอด ในที่สุดผมก็สามารถทำได้ครบเวลาตามคำสั่งของคุณตรี

“ไปอาบน้ำไป แล้วค่อยลงมาทำกับข้าว ห้องน้ำด้านนอกชั้นสองไปใช้ได้เลย”

“ครับ” ผมตอบรับด้วยเสียงที่ติดจะเหนื่อยหอบอย่างชัดเจน ต่างจากคุณตรีที่ดูสบายตัวไม่เหนื่อยไม่อะไร

“จะผ้าเช็ดตัวหรือข้าวของเครื่องใช้อะไร ก็ใช้ของฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณครับ”

“วันนี้อยากกินข้าวผัดกับน้ำซุปร้อนๆ ทำไว้ให้หน่อยนะ”

“ได้ครับคุณตรี ผมจะทำให้นะครับ” ผมรับคำในสภาพที่มึนๆเล็กน้อย

ผมและคุณตรีแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ผมใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาใส่ชุดเดิม แล้วลงไปเตรียมอาหารเช้าให้คุณตรีในแบบที่เขาต้องการ

“ฟ้า”

“ครับคุณตรี หิวแล้วเหรอครับ ผมยังเตรียมอาหารเช้าไม่เสร็จเลย”

“ใกล้เสร็จหรือยัง” เขาเดินมายืนอยู่ข้างๆผมหน้าเตา

“ใกล้แล้วครับ คุณตรีจะเอาอะไรเพิ่มไหมครับ” ผมถาม มือก็ผัดข้าวผัดรวมมิตรแบบที่เขาอยากกินให้ไปด้วย และดูเหมือนว่าหม้อน้ำซุปจะเดือดได้ที่ ผมวางตะหลิวในมือลง แล้วเบี่ยงไปเปิดหม้อน้ำซุปดู

 “ชิมหน่อย” เสียงคุณตรีดังขึ้นข้างหู ผมหันไปมองอย่างช้าๆ เขาอยู่ใกล้ผมมากจนรู้สึกใจสั่น

ตำแหน่งที่ผมยืน หน้าเคาน์เตอร์เตาไฟฟ้า ข้างหลังก็คุณตรี ขยับไปไหนก็ไม่ได้ กลัวว่าความใกล้ชิดในตอนนี้จะทำให้ผมเผลอแสดงอาการอะไรออกไป

ใจเย็นๆไว้สายฟ้า ห้ามออกอาการโดยเด็ดขาด

“คุณตรีถอยออกไปหน่อยสิครับ” ผมบอกเสียงเบา

“อะไร รังเกียจฉันหรือไง”

“เปล่านะครับ ก็คุณตรีจะชิมน้ำซุปไม่ใช่เหรอครับ มายืนติดมันก็ไม่สะดวกไงครับ” ผมบอกเหตุผลที่เพิ่งคิดได้กับเขา ไม่อยากให้เขาสงสัยหรือคิดว่าผมรังเกียจแบบที่เขาพูด คนแบบคุณตรีใครจะไปรังเกียจได้ลง

“อืม” คุณตรียอมก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ผมสบตาเขาได้แค่แปบเดียวก็ต้องหลบดวงตาสีดำสนิทที่เอาแต่มองจ้องมาที่ผม เพื่อหันเหความสนใจ ผมหันไปตักน้ำซุปใส่ถ้วยเล็ก แล้วเอาไปให้เขาชิม

“ลองชิมดูนะครับ ว่ารสชาติถูกใจหรือเปล่า”

ผมส่งถ้วยน้ำซุปให้เขา ผมต้มน้ำซุปตามสูตรที่ร้านข้าวมันไก่ในตลาดต้ม เอามาดัดแปลงนิดหน่อย ให้ผักเพิ่มใส่เห็ดหอมให้กลิ่นและรสชาติกลมกล่อมขึ้น คุณตรีรับถ้วยน้ำซุปไปชิม ผมก็รอลุ้นคำตอบจากเขา

“อร่อยไหมครับ” ผมถาม เพราะเขาตักชิมคำที่สองแล้วก็ไม่พูดอะไร

“อร่อย ทำทิ้งไว้ในตู้เย็นได้ไหม”

“ได้สิครับ แต่ให้ผมทำให้กินร้อนๆไม่ดีกว่าเหรอครับ”

“ก็ถ้านายจะอยู่กับฉันทั้งคืนน่ะนะ”

“...” ผมไม่เข้าใจในคำพูดของเขา

“ก็เวลากลางคืนที่ฉันหิว ฉันจะได้เอาออกมากินไง ที่จริงถ้านายยอมมาอยู่กับฉันที่นี่ตั้งแต่แรก ฉันก็คงไม่ต้องกินของอุ่นไมโครเวฟหรอก ยังไงของที่ทำเสร็จใหม่ๆมันก็อร่อยกว่าอยู่แล้ว”

เขาพูดซะผมรู้สึกผิดแทบไม่ทันเลย

“ก็ถ้าคุณตรีอยากกินของปรุงสุกใหม่ ก็โทรเรียกผมได้ตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะครับ ผมจะรีบบึ่งรถมอเตอร์ไซค์มาทำให้ทานเลย”

“พูดดีนะฟ้า ฉันทำจริงแล้วจะหนาว” คุณตรีเขกหัวผมที

“ผมก็จะมาจริงๆไงครับ”

“เฮ้อ ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็สิ้นเรื่อง ช่างเถอะ ตั้งโต๊ะได้แล้ว ฉันหิว”

“ได้ครับ คุณตรีไปนั่งรอที่โต๊ะได้เลยครับ เดี๋ยวผมยกไปให้”

“อืม เอาน้ำองุ่นนะฟ้า”

“ครับ ผมทำไว้ให้แล้ว”

ไม่รู้ว่าแก่ตัวไป คุณตรีจะเป็นโรคเบาหวานไหม เขากินหวานเก่งพอตัวเลย





เพราะวันนี้เป็นวันหยุด คุณตรีเลยไม่ต้องไปทำงานที่บริษัท แต่เขาก็ยังนั่งทำงานที่บ้าน วันนี้เขาใช้พื้นที่ในห้องนั่งเล่นแทนที่จะเป็นห้องทำงานด้านบน

ระหว่างที่เขานั่งทำงานของเขา ผมก็ทำงานของผม ผมคอยลอบมองคุณตรีอยู่เรื่อยๆ วันนี้เขาดูไม่เครียดเหมือนที่ผ่านมา คิดว่างานของเขาคงเป็นไปได้ด้วยดี เห็นแบบนี้ผมก็สบายใจ

แต่บางครั้งที่ผมหันไปมองเขา ก็สบตากับเขาเข้าอย่างจัง ผมต้องรีบเบนสายตาหลบ เพราะกลัวเขารู้ว่าผมแอบมอง

ผมทำอะไรเสร็จก็ตอนบ่ายสอง คุณตรีนั่งดูฟังเพลงพักผ่อนสายตาอยู่ที่โซฟา ปกติเวลานี้ผมจะหาอะไรทำไปเรื่อย หัดทำอาหารบ้าง ปลูกต้นไม้บ้าง แต่พอมีเขาอยู่ตรงนี้ ผมก็ไม่กล้าทำอะไร

“ฟ้าๆ มานี่หน่อย”

เสียงคุณตรีเรียกดังขึ้น ผมกำลังนั่งว่างๆก็เดินไปหาเขาทันที

“คุณตรีอยากได้อะไรไหมครับ” ผมพร้อมที่จะทำให้เขา

“นายไง มานั่งตรงนี้มา”

ผมเหรอ? กับที่นั่งข้างเขา

“ครับ?” ผมทวนถาม

“มานั่งนี่หน่อย” เขาตบโซฟาข้างๆให้ผมไปนั่ง

“เอ่อ ครับ” ผมเอามือตัวเองถูกับกางเกง แล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆคุณตรี เขาลดเสียงเพลงที่เปิดลงจนเหลือแค่เสียงที่คลอเบาๆ

“คุณตรีมีอะไรเหรอเปล่าครับ” ผมถาม คุณตรีขยับนั่งเอียงตัวหันหน้าเข้าหาผม

“ฉันอยากคุยกับนาย”

“คุยกับผม เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ใช่ ตั้งแต่เราเจอกันรอบนี้ ฉันยังไม่ได้คุยกับนายอย่างจริงจัง”

“อ่อ”

นั่นสินะ ส่วนมากก็แค่พูดคุยเรื่องในวันนั้นๆ เรื่องส่วนตัวอย่างอื่นก็แทบไม่เคยคุยกันเลย ผมเองก็ยุ่งอยู่กับการทำงานในส่วนของผม ยุ่งอยู่กับการดูแลเขาให้เต็มที่ อยากทำให้เหมือนที่น้ากุ้งดูแลคุณตรี ทุกวันนี้ผมยังทำได้ดีไม่ถึงครึ่งของน้ากุ้งเลยมั้ง แต่คุณตรีก็ไม่ได้บ่นอะไร มันทำให้ผมยิ่งเกรงใจ รับเงินมาก็เยอะ แต่ทำงานให้เขาได้ไม่ดีพออย่างที่ควรจะเป็น

“คุณตรีอยากคุยอะไรเหรอครับ”

“เรื่องของนาย” คุณตรีเปลี่ยนท่านั่งไขว่ห้าง เขาเป็นผู้ชายที่นั่งไขว่ห้างแล้วดูคุณชายสุดๆ แต่ความจริงเขาก็เป็นคุณชายอยู่แล้ว

“เรื่องของผมเหรอครับ ชีวิตผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ” ผมเป็นแค่คนจืดๆจางๆ ชีวิตไม่ได้มีสีสันอะไรให้น่าตื่นเต้นถึงขนาดที่จะต้องพูดถึง

“น่าสนใจหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับคนฟังไม่ใช่เหรอ”

“ครับ?” ผมไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด

“หึ เด็กโง่”

อ้าว ทำไมว่าผมโง่ละเนี่ย

“ผมไม่ได้โง่สักหน่อย”

“เอาเถอะ ฉันจำได้ว่านายเคยเล่าให้ฉันฟังว่านายอยู่ตัวคนเดียว ลุงที่เก็บนายมาเลี้ยงตายไปแล้ว ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังเสียใจอยู่ไหม”

ผมเคยเล่าให้เขาฟังครั้งแรกเมื่อผมมาทำงานกับเขา ตอนนั้นเขาเหมือนจะเศร้าเสียใจที่เขาต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่หลังโต เพราะพ่อกับแม่เขาต้องไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ ทำให้เขารู้สึกแย่ ผมก็เลยเล่าเรื่องของผมคร่าวๆให้เขาฟังว่าคุณตรียังดีที่ยังมีพ่อแม่ แม้ว่าจะอยู่ห่างกัน แต่ผมไม่มีทั้งพ่อและแม่ ไม่มีใครเลย ผมยังอยู่มาได้ คุณตรีก็ต้องเข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อได้เช่นกัน

“ไม่เสียใจแล้วแหละครับ ในโลกนี้มีใครเกิดมาแล้วไม่ตายบ้าง บางเวลาผมก็แค่คิดถึงลุงเท่านั้น” เพราะส่วนมากผมจะยุ่งจนไม่ได้คิดเรื่องอื่น

“เหงาไหมฟ้า”

เหงาไหมน่ะเหรอ

“เหงาสิครับ แต่ผมชินแล้ว” ผมตอบยิ้มๆ คุณตรีเงียบไป แล้วเอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถึงได้เอาแต่จ้องผมอยู่นานสองนา ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมช้าๆสองสามที

“คุณตรี”

สัมผัสนี้ อบอุ่นจัง ถ้าผมเป็นแมวคงอยากจะเอาหัวไปคลอเคลียที่มือให้เขาลูบหัวผมต่ออีกสักรอบสองรอบ

“นายเก่งมากรู้ตัวไหม” แล้วอยู่ๆเขาก็เอ่ยชมผม

“ผมไม่เก่งหรอกครับ แต่จะให้ทำยังไงได้ ถึงมีตัวคนเดียว ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป”

“นายเข้มแข็งกว่าฉันตอนเด็กๆอีกนะ ฉันที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว มันทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก”

“คุณตรีเหงาหรือครับ”

“แล้วมีใครบ้างที่อยู่คนเดียวแล้วไม่เหงา นายเองก็ยังบอกว่าเหงาเลยถูกไหม”

นั่นสินะ ก็คงเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครชอบอยู่คนเดียว

“ผมก็เหงาครับ เวลาที่เหนื่อยมากๆ แต่ส่วนมากผมจะยุ่งจนไม่มีเวลาให้เหงา พอล้มตัวลงนอน หัวถึงหมอนก็หลับเหมือนตาย”

“แล้วตอนนี้ยังเหนื่อยไหม”

“ไม่แล้วครับ ผมไม่ต้องทำงานหลายๆงานจนดึกจนดื่นเหมือนเมื่อก่อน”

“ดีแล้ว”

“แล้วคุณตรีเหนื่อยไหมครับ”

“เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ เหนื่อยใจมากกว่า” คุณตรีถอนหายใจแล้วตอบผม

ผมเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ไม่รู้ว่าควรออกความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรดี จะว่าไป...ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณตรีจริงๆนั่นแหละ ผมแทบไม่รู้อะไรเลย หากได้รู้เรื่องของเขาบ้าง อาจจะทำให้ผมทำงานรับใช้เขาได้ดีขึ้น

“ผมอาจจะไม่ฉลาด การศึกษาน้อย แต่ถ้าคุณตรีมีอะไรให้ผมช่วย ที่ผมสามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้ ก็บอกผมได้เลยนะครับ”

คุณตรีจ้องเข้ามาในดวงตาของผม แล้วค่อยๆเผยยิ้มบางๆ “ขอบคุณ”

“ผมพูดจริงๆนะ”

“ฉันรู้ ไว้ฉันจะบอกแล้วกัน แต่นายสัญญาแล้วนะ ว่าถ้าช่วยได้นายจะช่วย”

“ครับ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำครับ”

“ก็ดี อืม...แล้วหลังจากที่ฉันไปต่างประเทศ นายทำอะไร”

“ผมเหรอครับ ก็พอคุณตรีไป ผมก็ได้งานส่งข้าวตอนเช้ากับงานที่ร้านอาหารนั่นแหละครับ พอมีเงินผมก็ไปลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยเปิด ก็ทำงานแล้วก็เรียนไปด้วยจนตอนนี้อ่ะครับ”

“เรียนคณะอะไร ปีอะไรแล้ว”

“คณะมนุษยศาสตร์ปีสองครับ ตอนนี้ปิดเทอมอยู่”

“เคยคิดไหมว่าจบมาแล้วจะไปทำงานอะไร”

“ก็มีคิดๆไว้บ้างครับ พวกงานเกี่ยวกับสำนักพิมพ์ หรือไม่งานบริการ แต่ผมก็ยังไม่ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้ทำงานอะไร”

“อืม ค่อยๆดูไป อย่าลืมว่านายยังมีสัญญางานกับฉันอยู่”

ใช่สินะ สัญญาจ้างงานหฤโหด ที่บังคับให้ผมอยู่ที่งานด้วยสิบปี ผมเคยลองไปหาข้อมูลนะ เห็นว่าบางที่ก็สัญญาจ้างงานสองปีบ้าง สามปีบ้าง หรือที่ดูเยอะๆก็ห้าปี แต่สัญญาจ้างงานนานถึงสิบปีผมยังไม่เคยเห็นข้อมูล แต่ถึงจะรู้แบบนี้ ผมกลับรู้สึกสบายใจ อย่างน้อยๆในอีกสิบปีข้างหน้า ผมก็ยังมีงานทำ

แต่มีบางเรื่อง ที่ผมอยากจะถามเขา อยากรู้ว่าคำตอบของเขาจะเป็นยังไง

“คุณตรีครับ แล้วถ้าหากว่าผมเรียนจบ แล้วได้งานที่อยากทำ คุณตรีจะให้ผมไปทำไหมครับ”

ผมแค่ลองๆคิดไว้ แต่ไม่ได้จริงจัง ตอนนี้นอกจากทำงานให้เขา ดูแลเขาให้ดีที่สุด ผมก็ไม่ได้คิดจะไปทำอะไร แต่อนาคตมันไม่แน่ไม่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น คิดหาทางออกไว้บ้างก็ไม่เสียหาย

“ถ้าเป็นงานที่ดีแล้วนายอยากทำตามความฝันของตัวเอง ฉันจะไม่รั้งนายไว้”

ผมยิ้มกว้างในทันที ผมรู้ว่าเขาไม่ใจร้ายกับผมหรอก

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วเพื่อนล่ะ ฉันไม่เคยเห็นนายไปไหนมาไหนกับเพื่อนเลย”

“เพื่อนเหรอครับ ผมก็มีนะ เพื่อนที่ทำงานที่ร้านอาหารอ่ะครับชื่อแจ็ค แต่เขาก็ยุ่งๆ ก็มีส่งข้อความคุยกันบ้าง ว่างๆผมก็แวะไปหาเพื่อนที่ร้านน่ะครับ”

“ตอนที่ทำงานที่บ้านฉันเสร็จแล้วน่ะเหรอ”

“ครับ แต่ก็นานๆไปทีครับ”

“อืม ดีแล้ว เพื่อนไว้ใจได้ใช่ไหม”

ผมไม่รู้ว่าเขามองภาพของคนระดับล่างๆอย่างผมไว้ว่ายังไง แต่มันก็ไม่แปลกเพราะภาพลักษณ์ของคนระดับล่าง มักไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ดี

“เพื่อนคนนี้เป็นคนดีครับคุณตรี มีกินเหล้าสูบบุหรี่บ้าง แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรืออะไรที่ผิดกฎหมาย และแจ็คก็เป็นเพื่อนที่ดีครับ”

“อืม ถ้าอย่างนั้นฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก”

“ห่วงเหรอครับ”

คุณตรีเขาเป็นห่วงผมเหรอ

เอาอีกแล้ว หัวใจผมมันค่อยๆพองโตจนกลัวว่ามันจะกลายเป็นลูกโป่งแล้วแตกตัวออกเป็นเสี่ยงๆ

“ก็ใช่นะสิ ฉันเป็นห่วง”

เขาเป็นห่วงผมล่ะทุกคน

ผมดีใจ

“ผมเติบโตมาในสลัมครับ เจอเรื่องไม่ดีมาเยอะ เห็นเรื่องผิดกฎหมายมาหลายแบบ ทั้งเรื่องเหล้ายา มั่วสุม ลักขโมยของกันเป็นว่าเล่น ผู้หญิงก็ขายตัวแลกเงินแลกยาเสพติด ผมเห็นมาทุกอย่าง แต่ผมเลือกว่าจะไม่ทำแบบนั้น ผมถึงได้ออกมาจากตรงนั้นหลังจากที่ลุงชัยตาย หากวันไหนผมตัดสินใจที่จะเดินทางผิด นั่นคือผมคงคิดดีแล้วว่าผมต้องการสิ่งนั้น”

“ฟ้า อย่าทำแบบนั้น ห้ามคิดแบบนั้น” คุณตรีดุผมเสียงเข้ม ผมอมยิ้ม แต่เขาก็ดุอีก

“ยังจะมายิ้มอีก ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“คุณตรีครับ อย่าเพิ่งดุสิครับ”

“ก็ดูนายพูด”

“ก็เพราะว่าผมรู้ไงครับว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี ถ้าผมจะเสเพลผมก็เสเพลไปตั้งนานแล้วครับคุณตรี ผมถึงได้บอกว่าถ้าวันหนึ่งผมจะกลายเป็นคนไม่ดี นั่นคงเป็นเพราะผมเลือกเอง ไม่มีใครมาหลอกหรือชักจูงผมได้หรอกครับ”

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ชีวิตของเรา เราเป็นคนเลือกทุกอย่างให้ตัวเอง ถ้าผมไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมของคนชนชั้นล่างมาก่อน ผมคงไม่รู้จักความมืดดำของโลกใบนี้ และสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดีไม่ดี

“แต่ฟ้า นายลืมอะไรไปหรือเปล่า ต่อให้เก่งแค่ไหน หากวันไหนที่ใจนายหมดหวัง หรือเจอปัญหาจนท้อ คนเราก็ตัดสินใจพลาดกันได้ทั้งนั้น”

ผมคิดตามที่เขาพูด มันก็จริงที่ว่าถ้าคนเราไม่มีสติ การตัดสินใจก็จะบกพร่องตามไปด้วย

“ผมไม่รู้สิครับ ผมยังไม่เคยเจอปัญหาที่คิดว่าตัวเองไปต่อไม่ได้มั้ง ผมใช้ชีวิตเรียบง่าย หิวก็หาอาหารเข้าท้อง ไม่มีเงินก็ไปของานเขาทำ ตอนเด็กๆผมเก็บขยะเก็บขวดพลาสติกขาย หาเงินไปแลกอาหารแลกยาไปให้ลุงชัยกิน ถ้าคนเราไม่อายทำกิน ผมเชื่อว่าเราจะไม่มีวันอดตาย”

“ฟ้า” ชื่อของผมหลุดออกจากปากของเขาด้วยน้ำเสียงที่เบาโหวง ผมรู้ว่าถ้าคนอื่นได้ยิน ก็คงจะต้องรู้สึกสงสารผม ผมชินแล้วที่คนจะรู้สึกกับผมเช่นนี้

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณตรี อย่าสงสารผมเลย ผมไม่เคยรู้สึกแย่ที่ตัวเองมีชีวิตแบบนี้ แม้บางครั้งจะคิดว่าถ้าหากผมมีพ่อมีแม่ ชีวิตผมจะดีกว่านี้ไหม แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเลย”

เพราะสุดท้ายผมก็เกิดมาและมีชีวิตแบบนี้ ดีที่สุดคือการก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยขาของตัวเองทั้งสองข้าง

“เคยอยากอ่อนแอไหม” เขาถาม

“อ่อนแอเหรอครับ จริงๆถ้าลุงยังอยู่ ผมก็คงจะงอแงใส่ลุงเหมือนตอนเด็กๆ แล้วก็จะโดนลุงเขกหัวกลับมา แล้วบ่นว่า ลูกผู้ชายห้ามอ่อนแอ ห้ามร้องไห้ ต้องเข้มแข็ง อะไรแบบนั้นน่ะครับ”

คิดถึงลุงแล้ว ผมก็รู้สึกเสียดายไม่ได้ ถ้าลุงยังอยู่ ผมจะดูแลลุงไม่ให้ลำบาก

“แต่อยู่กับฉัน นายไม่ต้องเข้มแข็งตลอดก็ได้ มีปัญหาอะไร ไม่สบายใจก็บอกฉันได้ทุกเรื่อง”

“เหมือนกันนะครับ ถ้าคุณตรีมีเรื่องไม่สบายใจ ก็มาระบายกับผมได้ ผมอาจจะให้คำปรึกษาไม่ได้ แต่ว่า...ผมเป็นผู้ฟังที่ดีนะครับ”

“ขอบใจนะ”

เหมือนกับว่า ผมได้ขยับเข้าใกล้คุณตรีเพิ่มอีกนิด





 :katai3:

 

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องฟ้าเข้มแข็งมากที่เดินคนเดียวมาได้ถึงจุดนี้ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีคุณตรีเป็นที่พึ่งพิงได้ ถึงจะดูเหมือนว่ามีเจตนาแอบแฝงนิดๆ ก็เถอะ แบบว่าน่าจะเหงา เลยอยากมีเพื่อนน่ะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เอ็นดูน้องฟ้าเด็กดี น้องมีความคิดที่ดีมากเลย
ถ้าเหนื่อยมากๆลองไปงอแงกับคุณตรีหน่อยไหม  :impress2:

 :pig4:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ชีวิตของฟ้าผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาเยอะเหมือนกันนะ เรชื่นชมความคิดของฟ้ามากเลย คนเราจะดีหรือเลวมันก็อยู่ที่ตัวของเราเอง คนอื่นหรือสภาพแวดล้อมที่เราอยู่มันก็แค่องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเป็นคนดีหรือคนเลวแค่นั้น
ต่อไปฟ้าก็จะมีคุณตรีคอยให้งอแงใส่แล้วหรือเปล่านะ

ปล.ตอนรับการกลับมานะคะ ริริ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่10
ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย


เช้าวันจันทร์ผมตื่นแต่เช้าด้วยความสดชื่น รู้สึกอยากกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ ผมเลยแวะซื้อก่อนไปหาคุณตรี ไม่ลืมที่จะซื้อไปเผื่อเขาด้วย เผื่อว่าเขาสนใจอยากจะดื่ม

ผมชอบอากาศยามเช้า ชอบการขี่มอเตอร์ไซค์ช่วงหกโมงที่มีแสงแดดอ่อนๆ ลมพัดเย็นสบาย ที่ดีไปกว่านั้นคือ ระยะทางช่วงหมู่บ้านสุดท้ายของซอยตรงไปยังบ้านคุณตรี ไม่มีบ้านคนและต้นไม้ขึ้นร่มรื่นทั้งสองฝั่ง เวลาขับผ่านจะได้รับลมเย็นอ่อนๆและอากาศที่สดชื่นกว่าอากาศในถนนใหญ่ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ชาร์ตพลังงานก่อนไปทำงาน

“คุณตรีครับ วันนี้ผมซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากด้วยนะครับ” ผมบอกกับเขา หลังจากที่ปลุกเขาที่กำลังหลับใหล

“คิดว่าปลุกฉันได้ของกินได้?”

“ผมต้องใช้ของกินปลุกคุณตรีเหรอครับ ยังไงคุณตรีก็ตื่นเวลานี้เองเป็นปกติอยู่แล้ว”

ก็ไม่รู้ว่าจะต้องให้ผมมาปลุกทำไม

“เฮ้อ ฉันอยากนอนต่อ”

“อย่าบอกนะครับว่าคุณตรีรู้สึกขี้เกียจตื่น” ผมเดินไปเปิดม่าน รับแสงยามเช้า แล้วหันไปถามเขาแบบรู้ทัน ว่าคนอยากคุณตรีไม่มีทางขี้เกียจตื่นนอน

เขาเป็นคนตรงต่อเวลาขนาดไหนทำไมผมจะไม่รู้ จะมาทำเป็นไม่อยากลุกออกจากเตียง สีหน้าเขาตอนนี้ไม่มีความง่วงงุนแม้แต่นิดเดียว

“ฉันขี้เกียจไม่ได้หรือยังไง” เขาลุกขึ้นจากเตียงยืนบิดขี้เกียจโชว์หน้าของหกแพคขาวเนียน

“งั้นผมขี้เกียจออกกำลังกายด้วยได้ไหมครับ”

“ไม่ได้” เสียงเข้มเชียว ผมแอบเบ้หน้าใส่เขา

“ฉันจะไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า เจอกันที่ห้องออกกำลังกาย เข้าใจไหมฟ้า”

“เข้าใจครับ”

ผมค้อมตัวให้เขา แล้วเดินเข้าไปเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำให้คุณตรี ก่อนจะเดินลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกกำลังที่ห้องน้ำด้านล่าง เพื่อโดนคุณตรีทรมาทรกรรม ก่อนจะส่งเขาไปทำงานเหมือนทุกที




ช่วงสายของวันในขณะที่ผมกำลัง สาละวนอยู่กับการเก็บทำงานบ้านและงานสวน เสียงโทรศัพท์บ้านที่ไม่เคยดังก็ดังขึ้น ทีแรกผมคิดว่าตัวเองหูแว่ว แต่พอตั้งใจฟังว่าเสียงมาจากไหน ก็ต้องรีบวิ่งเข้ามาในบ้านเพื่อรับโทรศัพท์

“สวัสดีครับ บ้านคุณตรีครับ”

“ฟ้า”

หืม...เสียงนี้มัน

“ครับ คุณตรีเหรอครับ” ผมเหล่สายตาไปมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะรับรองที่ห้องนั่งเล่น

“ฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันโทรเข้ามือถือนายตั้งหลายรอบทำไมไม่รับสาย!” เสียงของคุณตรีโต้ตอบกลับมาอย่างร้อนรนและเจือไปด้วยความโมโห เพราะน้ำเสียงของเขาติดจะแข็งและห้วน

“ขอโทษครับคุณตรี พอดีผมออกไปทำความสะอาดสวนหลังบ้านแล้ววางมือถือไว้ในบ้าน ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ ขอโทษจริงๆ” ผมกลัวว่าเขาจะโกรธ

“ฟ้า” คุณตรีเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ดูจะสงบลงกว่าเดิม

“ครับคุณตรี มีอะไรให้ผมทำไหมครับ งานเร่งด่วนหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ห๊ะ เอ่อ ผมไม่เป็นอะไรครับ สบายดี”

“เห้อ” เสียงเขาถอนหายใจยาว นี่ผม...ทำอะไรให้เขาเหนื่อยใจหรือเปล่า

“ขอ...”

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทีหลังพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้นจะได้ติดต่อได้”

“ครับ ครับคุณตรี” ผมตอบรับแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คุณตรีพูดก็ตาม

ผมและเขา เราต่างคนต่างเงียบ ไม่รู้ว่าเขาโมโหที่ผมไม่รับสายจนลืมไปแล้วหรือยังว่าโทรมาหาผมเรื่องอะไร

“ไม่ทราบว่าคุณตรี มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ” ผมก็เลยต้องถามอีกรอบ

“อืม ฉันจะวานให้นายช่วยอะไรหน่อย”

“ว่ามาเลยครับคุณตรี”

“พอดีฉันลืมหยิบเอกสารการประชุมช่วงบ่ายมา รบกวนหยิบมาให้ที ให้น้าภาพพามาก็แล้วกัน”

“คุณตรีค่ะ คุณกรกตจะขอคุยเรื่องโปรเจคกลางปีน่ะค่ะ”

“แปบนะครับ ผมกำลังจะให้คนที่บ้านเอาเอกสารมาให้ รบกวนไปรับรองเขาแทนผมก่อนล่ะกัน”

“ได้ค่ะ”

“ฟ้า...รีบเอามาให้ทีนะ รบกวนหน่อย”

“ได้ครับคุณตรี ผมจะรีบเอาไปให้นะครับ”

“ฝากทีนะ”

ผมวางสายแล้วรีบเดินไปที่ห้องทำงานของคุณตรี บนโต๊ะทำงานของเขามีเอกสารวางอยู่หลายใบ ผมลองหยิบขึ้นมาดู ว่าจะใช่เอกสารที่คุณตรีต้องการหรือไม่ แต่เท่าที่หยิบดูแต่ละแผ่น บนกระดาษจะมีรูปวาดของเฟอร์นิเจอร์ในแบบต่างๆ นอกจากกระดาษกองนี้ก็ไม่มีอะไรอีก ดังนั้นผมจึงรวบรวมเอกสารทั้งหมดใส่เข้าแฟ้มเอกสารที่วางอยู่รวมกัน แล้วรีบลงไปหาน้าภาพ ให้เขาไปส่งผมที่บริษัทของคุณตรี

โชคดีที่ไม่ใช่ช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ทำให้รถไม่ติดระหว่างเดินทางไป ราวๆสี่สิบนาทีก็มาถึงออฟฟิศของคุณตรี ที่ดูแตกต่างจากจินตนาการของผมเอาไว้มากพอตัว

“ฟ้าเอาเอกสารเข้าไปให้คุณตรีนะ น้าจะจอดรถรอที่ลานจอดรถตรงนั้น” น้าภาพชี้ไปที่จุดจอดรถในร่มที่วางที่กั้นเอาไว้อย่างดีว่าเป็นที่จอดรถของท่านประธาน

เคยเห็นแต่ในละครทีวี ไม่คิดว่าชีวิตจริงก็มีอะไรแบบนี้ด้วย

“ครับน้า”

ผมลงจากรถแล้วก็เดินเข้าไปในอาคาร ที่ดูเหมือนจะเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์มากกว่าเป็นออฟฟิศทำงาน

ท่อนแขนของผมกอดแฟ้มเอกสารของคุณตรีเอาไว้แน่น มองซ้ายมองขวาสอดส่องดูว่าผมจะสามารถหาคุณตรีได้ที่ไหน

“มีอะไรให้ช่วยไหมคะน้อง” พี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นพนักงานขายเดินเข้ามาสอบถามผมพร้อมกับยิ้มให้

“เอ่อ คือผมมาหาคุณตรีน่ะครับ เอาเอกสารมาให้คุณเขา” ผมบอกแล้วพี่เขาก็ทำหน้างงๆ

“ฟ้า...”

แต่ก็ยังไม่ทันให้พี่เขาได้สงสัยอะไรในตัวผมมากไปกว่านี้ เสียงเรียกชื่อผมก็ดังขึ้น ผมหันไปมองก็พบกับคุณตรีที่กำลังเดินสาวเท้ายาวๆตรงมายังผม

ภาพลักษณ์ของคุณตรีในขณะนี้ดูเป็นผู้ชายทำงานที่ดูทั้งเท่และจริงจัง

ผมมองหน้าพี่ผู้หญิงที่มองผมกับคุณตรีสลับกันเหมือนสงสัย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาคุณตรี พร้อมกับยื่นเอกสารให้เขา

“คุณตรี รอนานไหมครับ ผมไม่รู้ว่าหยิบมาถูกหรือเปล่า แต่มันมีเอกสารพวกนี้อยู่บนโต๊ะ” ผมส่งเอกสารให้คุณตรี เขารับไปดูแล้วก็พยักหน้ายิ้ม

“ใช่ ขอบใจนะฟ้า”

“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับเลยนะครับ”

“เดี๋ยวฟ้า”

“ครับ?”

“รออยู่ที่นี่ก่อนสิ ไว้ค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”

“แต่ผมยังทำงานบ้านบางอย่างไม่เสร็จเลยนะครับ” ผมบอก อีกอย่างผมดูไม่เหมาะกับที่นี่ มีแต่คนดูเก่งดูดีเต็มไปหมด ผมไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน

“บ้านฉันไม่ได้สกปรกไม่ใช่เหรอ นายทำความสะอาดทุกวัน ไม่น่ามีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า” เขาแย้ง และก้มมองเวลาเหมือนว่าเขากำลังรีบ

“ครับ ถ้าคุณตรีอยากให้ผมอยู่ช่วยที่นี่ก็ได้ครับ” ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการให้ผมอยู่รอที่นี่ทำไม แต่ถ้าเขาต้องการผมก็ขัดไม่ได้

“โอเค ตอนนี้ฉันต้องรีบไปคุยงานกับลูกค้า น่าจะเสร็จประมาณเที่ยง นายเดินเล่นแถวๆนี้ไปก่อน จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ถ้าหิวหรืออยากกินน้ำกินขนม ก็สั่งได้เลย เดี๋ยวฉันให้คนมาคอยดูแลนาย”

“ไม่ต้องให้ใครมาดูแลผมหรอกครับ เดี๋ยวผมออกไปอยู่กับน้าภาพก็ได้”

“ฉันให้น้าภาพนั่งแท็กซี่กลับไปแล้ว”

“ห๊ะ” ผมร้องอุทานเสียงไม่ดังมากนัก แต่ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย

“ตามนี้นะฟ้า ฉันต้องรีบไปคุยงานกับลูกค้าแล้ว ระหว่างนี้ก็เดินเล่นแถวนี้ไปก่อนนะ”

“เอ่อะ...”

“เดี๋ยวจะมีคนมาหา ยืนรอตรงนี้” เขาชี้ที่ตรงที่ผมยืน ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินกลับไปยังทางที่เขาเดินมา

ผมเหมือนเด็กถูกทิ้งในที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย มองไปมีแต่พนักงาน และลูกค้าที่มาเลือกซื้อเลือกชมเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน แล้วผมล่ะมาทำอะไร

คุณตรีจะหลอกผมหรือเปล่า ที่บอกว่าน้าภาพกลับไปแล้ว ผมไม่เชื่อหรอก ไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ จะกลับไปไว้ขนาดนั้นได้ยังไง
 
ผมเดินออกจากตึกไปที่จอดรถ รถยนต์คันหรูที่ผมเพิ่งจะนั่งโดยสารมามันยังจอดอยู่ที่เดิม แต่ไม่มีวี่แววของน้าภาพเลย

“กลับไปแล้วจริงๆเหรอ” ผมยืนเกาหัวแกรกๆด้วยความสงสัย

“ฟ้า น้องฟ้าหรือเปล่าคะ” มีเสียงคนเรียกผมดังขึ้น ผมจึงหันไปมอง

ผู้หญิงคนนี้ หน้าคุ้นๆแหะ

“มาทำอะไรตรงนี้ค่ะ”

“ครับ?”

“อ่อ ลืมไป พี่ชื่อเอิงนะคะ เป็นเลขาของคุณตรี คุณเขาส่งพี่มาดูแลน้องฟ้าน่ะค่ะ”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ เพราะเท่าที่ดู พี่เขาดูอายุมากกว่าผม
 
“โอย ไม่ต้องยกมือไหว้หรอกจ๊ะ ไปเถอะเข้าข้างในกัน ข้างนอกนี้มันร้อน” พี่เอิงเข้ามาดึงแขนผมให้เดินตามเข้าไปในตัวอาคารอีกครั้ง

ผมอยากดึงมือออกแต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวเสียมารยาท แต่ก็ไม่ชินที่มีคนมาจูงมือเดิน ทำเหมือนผมเป็นเด็กที่เสี่ยงต่อการพลัดหลงเลยต้องระวังเอาไว้

“หิวไหมคะ อยากทานอะไรไหม ตรงนั้นจะมีร้านอาหารแล้วก็ร้านคาเฟ่นะจ๊ะ” พี่เอิงชี้ให้ผมดูร้านอาหารแล้วก็ร้านกาแฟที่ว่า แต่สายตาผมกลับจับจ้องไปที่เฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่วางเรียงราย

เราทุกคนมีความเพ้อฟัน และไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับผม ผมอยากมีบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียว และในบ้านก็ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เรียบง่ายสบายตา แบบมองไปทางไหนก็น่าอยู่ ผมอยากมีบ้านแบบนั้นเป็นของตัวเองสักหลัง ไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติฝันของผมจะเป็นจริงไหม

“น้องฟ้าคะ อยากไปเดินดูเหรอคะ” พี่เอิงคงจะเห็นว่าผมไม่ได้สนใจร้านอาหารที่เขาพยายามชี้ชวนให้ดู

“ครับ ฟ้าอยากเดินเล่นสักหน่อย พี่เอิงกลับไปทำงานก็ได้นะครับ เดี๋ยวฟ้าเดินดูรอคุณตรีเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณตรีให้พี่มาอยู่เป็นเพื่อนน้องฟ้า”

“แต่ผมอาจจะเดินนาน ผมเกรงใจ” และผมเป็นคนพูดไม่เก่ง กลัวว่าพี่เอิงเขาจะเบื่อเอาเปล่าๆ

“งั้นเอาอย่างนี้นะคะ พี่จะเดินไปคุยงานกับหัวหน้าฝ่ายขายทางด้านนู้น ถ้าน้องฟ้ามีอะไรให้พี่ช่วย เดินไปหาพี่ตรงนั้นนะคะ”

“ได้ครับ” ผมรีบตอบรับแล้วส่งยิ้มให้พี่เอิง เธอยิ้มตอบก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ที่อยู่ทางด้านซ้าย

ผมเริ่มเดินสำรวจชั้นแรกอย่างช้าๆ เหมือนชั้นนี้จะเป็นชั้นเกี่ยงกับห้องนั่งเล่น และจะมีจุดที่วางโชว์สินค้าลดราคาหรือสินค้าที่มีการจัดโปรโมชั่น ผมลองเดินไปดูโซฟาแต่ละตัวแล้วลองนั่ง บางตัวก็นุ่มมากๆ บางตัวก็แน่นแต่ยังนั่งสบาย จนมาเจอตัวที่ผมรู้สึกว่าถูกใจ ถ้ามีเงินผมอยากจะได้ตัวนี้ไปตั้งไว้ในห้อง

“สวยจัง” ผมเอามือลูบที่เก้าอี้อาร์มแชร์ไม้ที่บุด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนบริเวณตัวเก้าอี้และที่วางแขน ดูมีดีเทลระหว่างไม้สีอ่อนและตัวผ้าที่นุ่ม ผมลองหยิบป้ายราคาขึ้นมาดู แล้วก็ต้องอุทานเบาๆด้วยความตกใจ

“โคตรแพงเลย เก้าอี้ตัวเดียวเนี่ยนะ” ผมมองตัวเลขนั้นอีกครั้ง

‘29,000’

 แถมราคานี้คือลดลงมาจากราคาเต็ม 34,000 บาทแล้วด้วย ตัวแค่นี้เองนะ ถ้าเป็นโซฟายาวก็ว่าไปนั่ง ทำไมเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียวต้องราคาแพงถึงขนาดนี้

หลังจากที่ผมเห็นราคาของเก้าอี้ที่ถูกใจแล้ว ผมเลิกเดินดูเฟอร์นิเจอร์ต่างๆด้วยความสวยงามแล้วหันมาดูที่ราคาว่าจะมีตัวไหนที่แพงจนน่าสะพรึงกลัวอีกไหม

แล้วผมก็ได้คำตอบว่าอีกมาก!

สินค้ามากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคุณตรี เป็นสินค้าที่มีราคาสูงมากถึงมากที่สุด ผมไม่เถียงเลยว่าสินค้าแต่ละตัวแต่ละชนิดมีความสวยที่เป็นเอกลักษณ์แล้วก็น่าซื้อไปตัวไว้ที่บ้าน แต่ทว่าด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ กลุ่มคนที่ซื้อก็จะต้องเป็นกลุ่มคนที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้มากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นกว่าจะเก็บเงินซื้อสินค้าในนี้ได้สักชิ้น ก็คงต้องใช้เวลาเป็นปี

ผมเดินเล่นตั้งแต่ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นสาม ก่อนจะรู้สึกเมื่อยขาและหิวน้ำ เลยต้องเดินกลับลงไปที่ชั้นหนึ่งเพื่อไปหาซื้อน้ำดื่มแก้กระหาย ผมเดินหาร้านที่จะขายน้ำเปล่าขวดละสิบกว่าบาทอยู่นานก็หาไม่เจอ ผมไม่อยากเข้าไปกินร้านคาเฟ่เพราะมันแพง

ผมเลยเดินไปหาที่นั่งรอคุณตรีอย่างคนที่ไม่มีอะไรทำ ก็นั่งมองผู้คนที่มาเดินเลือกชมของไปเรื่อยๆ เบื่อๆก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นจนเวลาเกือบจะเที่ยงครึ่ง ผมก็เห็นคุณตรีเดินหน้านิ่งมาแต่ไกล

ดูเหมือนว่าคุณตรีจะเครียดอีกแล้ว

“หิวข้าว” เขาเดินมาแล้วก็พูดกับผมสองคำสั้นๆ

“คุณตรีอยากทานอะไรครับ แล้วปกติคุณตรีทานข้าวที่ไหน” ผมอยากรู้ว่าที่นี่จะมีโรงอาหารไหม แล้วพวกพนักงานเขาจะไปทานข้าวกลางวันกันที่ไหน ต้องแบบราคาถูกและอร่อย อย่างพวกร้านอาหารตามสั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ก็ร้านส้มตำ ถ้ากินตามร้านอาหารในนี้คงมีชีวิตอยู่ไม่พ้นเดือนแน่ๆ

“ก็กินร้านอาหารในนี้บ้าง ออกไปกินกับลูกค้าบ้าง ไม่ก็ให้คุณเอิงเขาสั่งจากข้างนอกมาส่งให้”

แต่ที่ผมคิดนั้น คุณตรีถือเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าคุณตรีเป็นถึงผู้บริหารบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ ถึงจะไม่ใช่เจ้าใหญ่แบบที่เห็นโฆษณาในโทรทัศน์ แต่ก็ไม่ได้ดูน้อยหน้าเลย อย่างน้อยๆก็เรื่องของราคาสินค้า

“ฟ้า นายอยากกินอะไร” คุณตรีมองซ้ายมองขวาแล้วก็หันมาถามผม

“ครับ? ผมเหรอ ผมยังไม่ค่อยหิวหรอกครับ” ผมตอบ

“เที่ยงกว่าแล้วจะไม่หิวได้ยังไง ฉันหิว นายก็ต้องหิว”

“ห๊า”

นี่มันตรรกะอะไรกัน

“จะกินที่นี่หรือออกไปกินข้างนอก บ่ายนี้ฉันไม่ค่อยมีงานอะไรแล้ว”

“อืม กินข้างนอกก็ได้มั้งครับ”

“โอเค งั้นออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน ระหว่างนี้นายก็คิดว่าอยากกินอะไร” คุณตรีตัดสินใจแล้วก็สะบัดมือเล็กน้อยให้ผมเดินตามเขาออกไปที่ลานจอดรถ

“คือผมไม่รู้ว่าแถวนี้มันมีอะไรให้กิน คุณตรีเลือกเถอะครับ”

“ฉันคิดไม่ออก”

“อ้าว”

“นายคิด ฉันกินอะไรก็ได้”

เหรอออออออ

ผมละอยากจะพูดลากเสียงให้ยาวพอๆกับระยะทางจากเชียงใหม่ไปยะลาเลยทีเดียว ถ้าคนอย่างคุณตรีกินง่าย ผมก็คงกินเนื้อควายได้แล้วล่ะครับ

“ระหว่างทางที่ฉันขับรถ นายก็คิดมาแล้วก็ว่าอยากกินอะไร”

ยากมาก เป็นโจทย์ที่ยากมากจริงๆสำหรับผม

แต่...ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้ ถ้าคุณตรีอยากให้ผมเลือก ผมก็จะเลือก

“คิดออกหรือยังฟ้า ว่าอยากกินอะไร” คุณตรีถามในขณะที่รถติดไฟแดง

“ก๋วยเตี๋ยวครับ” ผมตอบ สายตามองจ้องไปยังสิ่งที่ตัวเองพูด

“...”

“ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยว ร้านข้างหน้านั้นก็น่าจะอร่อยดีนะครับ ผมมาต่อแถวกินเยอะเลย” ผมชี้ชวนให้คุณตรีดี พลางลอบมองสีหน้าของเขาไปด้วย

“อืม เอาสิ” เขามองไปที่ร้านนิ่งๆ แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

“งั้นเที่ยงนี้เรากินที่นี่กันนะครับ”

“ตามใจนาย”

เขาไม่ทักท้วง และยอมตามใจผม แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะกลับบ้านมาแล้วท้องเสียก็ตาม

ขอโทษนะครับคุณตรี คราวหน้าผมจะไม่ชวนกินอาหารข้างทางอีกแล้ว

“ไปหาหมอไหมครับคุณตรี” ผมยกแก้วน้ำเกลือแร่ให้คุณตรีดื่ม หลังจากที่เขาเดินวนเข้าห้องน้ำแล้วสี่รอบ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็หายแล้ว”

“ผมขอโทษ”

“จะขอโทษทำไม ฉันแค่ท้องเสีย” เขาดื่มเกลือแร่เสร็จก็ส่งแก้วคืนให้ผม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา

“ผมขอโทษ” ผมพูดย้ำอีกครั้ง

“พูดอีกทีฉันจะตีนาย”

“...”

“ไม่ต้องทำหน้าสำนึกผิดหรอกน่า ไปเตรียมอาหารเย็นไป ของเมื่อกลางวันออกไปหมดตัวแล้ว หิว” เขาพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อนระโหยอย่างคนไม่มีแรง

“ข้าวต้มนะครับ คุณตรีน่าจะต้องทานอาหารอ่อนๆในตอนนี้”

“อืม นายทำอะไรฉันก็กินทั้งนั้นแหละ ทำมาเถอะ”

“ครับ” ผมลุกขึ้นยืน เตรียมเข้าไปทำอาหารเย็นในครัว

“ฟ้า”

“ครับคุณตรี” ผมหันไปหาเขา

“ฉันไม่ต้องไปหาหมอหรอก แต่ถ้านายอยากรับผิดชอบ คืนนี้ค้างที่นี่แล้วกัน เผื่ออาการฉันไม่ดีตอนดึก”

ค้างที่นี่งั้นเหรอ

ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ผมทำให้คุณตรีต้องป่วย ผมก็พร้อมที่จะรับผิดชอบเขาให้ดีที่สุด

“ครับ คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าคุณเอง”












 :katai5:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เอะอะก็จะให้น้องฟ้าค้างด้วยอย่างเดียวเลยนะคะคุณตรี

 :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มีข้ออ้างให้ค้างตลอด อยากรู้ว่าจะทำยังไงให้น้องมาอยู่ถาวรได้ 5555555555555

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อยากจะคิดว่านี่เป็นแผนการที่จะให้น้องฟ้ามานอนค้างที่บ้านจัง 555

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
แหมมมมมมมม แผนสูงงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ itsgonnabeme

  • It's me, not you.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 263
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คุณริริ~~~~
เป็นไงบ้างค้า

วันนี้มีโอกาสเลยแวะเวียนมาทักทายค่า
คิดถึงความละมุนของเรื่องนี้
คุณตรียังสบายดีไหมน้าาา

เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
ยังรออยู่น้าาาา

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่11
ผมทำคุณป่วยผมจะดูแลคุณให้ดี
[/b][/color]


   ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องนอนของชายร่างโตเหมือนจะเย็นมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยสัมผัส ผมมองไปยังตัวเลขบนเครื่องปรับอากาศแล้วก็ได้แต่กอดตัวเอง ห้องพักที่ผมอยู่เป็นห้องพัดลม ยกเว้นแอร์ในห้างกับในร้านอาหารที่ผมทำ ชีวิตผมก็ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความเย็นสุดขั้วแบบนี้ คุณตรีเขาอยู่ได้ยังไง

   “ยืนงงอะไรฟ้า”

   “ห๊ะ อ่อ เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ คุณตรีออกไปคุยงานที่ห้องทำงานหลังจากที่เขากินมื้อเย็นที่ผมทำให้ และอาบน้ำเรียบร้อยพร้อมเข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม ผมเองก็เช่นกัน

เสื้อผ้าชุดนอนที่ผมใส่อยู่ก็เป็นของผมเอง ที่กลับไปเอาที่ห้องพัก ทีแรกคุณตรีจะให้ผมใส่เสื้อผ้าของเขา แต่ว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสะดวก ไหนจะเรื่องของกางเกงชั้นในที่ผมอยากจะเปลี่ยนตัวใหม่มากกว่าใส่ตัวเก่าหรือปล่อยให้เจ้าฟ้าน้อยมันโล่งโจ้ง

“คุณตรีจะนอนเลยไหมครับ” ผมถาม ก่อนจะเดินถอยห่างออกจากเตียงมาประมาณสองก้าว เพื่อหลีกทางให้เจ้าของห้องขึ้นไปนอน

“จริงๆฉันไม่เคยนอนเร็วขนาดนี้” เขาเหลือบมองดูนาฬิกาเรือนใหญ่บนฝาผนังห้อง ที่บอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาทีในขณะนี้

ผมเข้าใจที่เขาพูด เพราะปกติผมเองก็นอนดึกดื่นเช่นกัน การจะนอนหัวค่ำได้ ถ้าไม่เหนื่อยเพลียมากจริงๆ ก็ต้องป่วยหรือไม่สบาย

“คุณตรียังปวดท้องอยู่ไหมครับ” ผมสอบถามอาการ คุณตรีทานยาไปแล้ว หลังจากช่วงบ่ายที่คุณตรีต้องเข้าห้องน้ำไปประมาณหกถึงเจ็ดรอบได้ ก็ดูเหมือนว่าอาการของเขาจะดีขึ้น แต่สีหน้ายังดูอ่อนแรง

“นิดหน่อย แต่ไม่มากเท่าเมื่อบ่าย”

“อยากได้เกลือแร่ไหมเพิ่มไหมครับ”

“ก็ดี”

“งั้นคุณตรีรอสักครู่นะครับ” ผมรีบลงไปชงเกลือแร่มาให้คุณตรี เพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไป
 
ผมกลับขึ้นมาที่ห้องนอนของคุณตรีอีกครั้งพร้อมกับเกลือแร่ในน้ำเย็น ความรู้สึกแรกที่เปิดประตูคือผมไม่อยากก้าวขาเข้าไปข้างในเลย มันหนาวมากๆ กลายเป็นว่าผมโหยหาความอบอุ่นที่ด้านนอกมากกว่า

“หนาวเหรอ” คุณตรีพูดขึ้นพลางใช้สายตาสำรวจร่างกายผมที่ห่อตัวด้วยความหนาว

“ครับ ที่ห้องผมมีแต่พัดลม มันไม่เย็นเท่านี้” ผมตอบเขา

“งั้นหรอ” เขารับแก้วเกลือแร่ไปดื่มช้าๆจนหมด

ริมฝีปากของเขาในขณะที่จรดกับปากแก้วดูชุ่มช่ำแวววาว ท่ามกลางความเงียบ แม้แต่เครื่องปรับอากาศก็ไม่ส่งเสียงใดๆให้ได้ยิน ทำให้ผมสามารถได้ยินเสียงดื่มน้ำของคุณตรีได้อย่างชัดเจน ฟังดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก ไหนจะภาพลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงนั่นอีก พอเป็นคุณตรีมันช่างดูดีเสียจริง

“จ้องขนาดนั้น จะกินฉันลงท้องเลยไหมฟ้า หิวเหรอ”

“ห๊า” เมื่อกี้เขาพูดอะไรนะ

“หึหึ”

“ผมไม่ได้หิวนะครับ แต่...”

เขาจ้องหน้าผมนิ่ง ใช้สายตากดดันประมาณว่าให้พูดต่อ

“ปกติเวลาสักห้าทุ่มผมจะกินบะหมี่ทุกคืน แล้วค่อยเริ่มอ่านหนังสือ ตอนนี้ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ” ผมบอกเขา ผมว่าทุกคนก็รู้ใช่ไหม ว่าการกินบะหมี่ร้อนๆตอนกลางคืนมันเป็นอะไรมีความสุขที่สุดและดีที่สุด

“เฮ้อ คนละหิวไหม” เขาบ่นอะไรสักอย่างพึมพำ

“อะไรนะครับ ผมไม่ได้ยิน”

“ดึกป่านนั้นยังจะกินอะไรอีก”

“ผมชินแล้วครับ ถ้าไม่ได้กินมันจะหิว หิวแล้วก็ต้องกิน”

“แล้วคืนนี้จะต้องกินไหม” เขาถาม ยื่นส่งแก้วเกลือแร่ที่ดื่มจนหมดแล้วให้ผม

“คงไม่อ่ะครับ”

“เสียงอ่อยเชียวนะ”

ผมไม่เถียงเพราะผมตอบเสียงเบาจริงๆ คืนนี้อาจจะเป็นคืนที่ทรมานสำหรับผมก็เป็นได้

ผมลงเอาแก้วไปเก็บล้างที่ข้างล่าง และตรวจสองว่างปิดไฟปิดสวิตช์ไฟเรียบร้อยดีแล้ว ก่อนที่จะขึ้นไปหาคุณตรีที่ห้องผมหยุดยืนอยู่ที่ประตูกระจกด้านข้างของตัวบ้าน ที่ติดกับสวนขนาดใหญ่ บรรยากาศบ้านคุณตรีตอนกลางคืนเหมือนไม่ได้อยู่ในเมืองกรุง ดูเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าสามารถเห็นดาวบนท้องฟ้าได้ชัดเจนเหมือนที่ผมยืนมองพระจันทร์ดวงโต บ้านหลังนี้คงเป็นสวรรค์เล็กๆบนดินนั่นเอง

หลังจากยืนดูบรรยากาศท้องฟ้าด้านนอกจนพอใจ ผมก็เดินกลับไปหาคุณตรีที่ห้องอีกครั้ง เขานั่งอ่านหนังสือเงียบๆบนเตียง

“คุณตรีจะให้ผมนอนที่ไหนครับ” ผมเอ่ยถามเขา

“นอนในห้องนี้ไง”

ผมกวาดสายตามองทั่วห้อง โซฟาที่อยู่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่น่าจะเป็นที่นอนของผมได้อย่างสบาย เพราะมันตัวใหญ่มาก หมอนอิงก็มี ขาดก็แต่ผ้าห่ม ถ้าผมต้องนอนในห้องนี้โดยไม่มีผ้าห่ม ผมจะต้องหนาวตายแน่ๆ

“คุณตรีครับ ผมขออนุญาตไปหยิบผ้าห่มอีกผืนได้ไหมครับ” หวังว่าคุณตรีคงไม่ใจร้ายกับผม ให้ผมนอนหนาวหรอกนะ

“ผ้าห่ม?” เขาขมวดหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แล้วเบนสายตาลงต่ำมองที่ผ้าห่มบนเตียงที่เขากึ่งนั่งกึ่งเอนทับอยู่

ผมว่าผมรู้ว่าคุณตรีกำลังคิดอะไรอยู่

“ผมจะไปนอนที่โซฟาครับ ห้องคุณตรีหนาวมาก ผมคงนอนไม่ได้ถ้าไม่มีผ้าห่ม”

“ทำไมต้องไปนอนที่โซฟา ก็มานอนบนเตียงกับฉันก็ได้นี่”

นอนกับคุณตรีบนเตียงเดียวกันเนี่ยนะ

“ได้ยังไงละครับ” ผมพูดเสียงอ่อย

“นายก็ไม่ใช่ผู้หญิงนี่ นอนเตียงเดียวกับฉันมีอะไรเสียหายหรือยังไง”

“มันไม่เหมาะสมนะครับ คุณตรีเป็นเจ้านาย ผมเป็นลูกจ้าง”

พอผมพูดจบ เขาก็มองหน้าผมนิ่งแล้วก็เงียบ สีหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ผมเลยไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ สิ่งที่คุณตรีทำคือการนั่งจ้องผมตาไม่กะพริบ ทำให้ผมรู้สึกประหม่า คล้ายกับว่าร่างกายทั้งร่างดูเกะกะอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางซะแบบนั้น

“ฉันไม่เคยมองนายเป็นลูกจ้าง” แล้วอยู่ๆเขาก็พูดขึ้น

ถ้าเขาไม่เคยมองผมเป็นลูกจ้าง แล้วเขามองผมเป็นอะไร

“นายอายุน้อยกว่าฉันแค่ปีเดียว นายสามารถเป็นเพื่อนเป็นน้องชายฉันได้”

“แต่ว่า...” ผมไม่กล้าเอาตัวไปทัดเทียมคุณตรีขนาดนั้นหรอกนะครับ

“เอาเถอะ ถ้าอยากนอนโซฟาก็ตามใจ เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าห่มมาให้” คุณตรีวางหนังสือไว้ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วค่อยๆก้าวลงจากเตียง ปกติเขาจะดูกระฉับกระเฉง แต่วันนี้เขาไม่ค่อยมีแรงเนื่องจากถ่ายหนักไปหลายรอบ

“ผมไปหยิบเองก็ได้ครับ คุณตรีนอนพักเถอะ” ผมรีบบอก ไม่อยากให้เขาใช้แรงขยับเขยื้อนร่างกาย

คุณตรีที่กำลังจะลุกออกจากเตียงทิ้งตัวเอนบนที่นอนอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงไปอ่านหนังสือต่อโดยไม่พูดอะไร ผมปลีกตัวไปที่ห้องเก็บเครื่องนอน เป็นห้องเล็กๆที่อยู่ติดกับห้องนอนของคุณตรี หรือจะเรียกว่าตู้เก็บของก็ได้ แต่มันฝังอยู่ในผนัง บ้านหลังนี้ออกแบบมาอย่างนี้มากๆ แบบสัดส่วนการใช้งานได้ละเอียดยิบ

ผมเลือกผ้าห่มผืนกลางที่ไม่ได้เข้าเซตกับเครื่องนอนชิ้นอื่นๆมาใช้งานแทน คาดว่าน่าจะไว้ใช้สำรองอยู่แล้ว

คืนนี้ผมเดินเข้าๆออกห้องคุณตรีกี่รอบแล้วนะ เดินบ่อยจนผมลืมที่จะเคาะประตูห้องก่อนเข้าไปเลย แล้วคุณตรีเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมเดินไปนั่งที่โซฟาเงียบๆ หยิบหมอนมาวางไว้ที่หัวนอน สายตาจับจ้องไปที่คุณตรี แล้วก็กอดผ้าห่มไว้อย่างไม่รู้จะทำอะไร

“ถ้าจ้องนานกว่านี้อีกนิด ฉันจะเก็บเงินแล้วนะฟ้า”

“เออะ คือผม...” ถ้าไม่ให้ผมมองเขา แล้วจะเรียกว่าผมมานั่งเฝ้าได้ยังไง

“ถ้าจะมานอนเฝ้าฉัน แต่ก็ไม่ต้องมองจ้องฉันขนาดนั้นก็ได้”

“ขอโทษครับ” ผมก้มหัวลงน้อยๆ

“ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็มานวดไหล่ให้หน่อย ฉันรู้สึกเมื่อยแถวๆต้นคอ”

“ครับ” ผมรับคำอย่างกระตือรือร้น มีอะไรทำก็ดีกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ

คุณตรีขยับเบี่ยงตัวออกจากหัวเตียงเล็กน้อย ผมเอ่ยขออนุญาตขึ้นไปบนเตียงของเขา แล้วค่อยๆคลานเข่าเข้าไปซ้อนด้านหลัง

มือที่ผมกำลังจะจับลงบนกล้ามเนื้อบ่าถูกแรงกระแทกเบาๆจากการที่เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นถอดเสื้อนอนออก  ผมมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของคุณตรี ผิวของเขาขาวเนียนแบบไร้ที่ติ

“นวดสิ คงไม่ใช่เอาแต่จ้องแผ่นหลังของฉันใช่ไหม”

“เปล่านะครับ!” ผมรีบแก้ตัว

“หึหึ เสียงสูงเชียวนะ” เขาหันมายิ้มล้อผม รอยยิ้มบางๆของเขาทำผมใจสั่นยิ่งกว่าแผ่นหลังของเขาเสียอีก

ไม่นะ ผมไม่ได้เป็นคนโรคจิตขนาดนั้น

“ผมจะนวดแล้วนะครับ” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แบบไม่ให้มีเสียง จากนั้นก็เริ่มลงมือบีบนวด กล้ามเนื้อหัวไหล่ของคุณตรีค่อนข้างแข็งและเกร็งแน่น ผมคลึงนิ้วโป้งลงน้ำหนักเพื่อรีดให้กล้ามเนื้อคลายตัว

ผมไม่ได้มีฝีมือการนวดที่เก่งกาจ แต่ก็พอที่จะนวดได้ เคยนวดให้ลุงตอนเด็กๆแล้วก็โดนบ่นว่าไม่มีแรง นวดเหมือนแมวเกา พอไปทำงานที่ร้านอาหาร จะมีพนักงานที่เป็นมือนวดของร้าน ผมเคยลองไปถามไปคุยกับป้าแกมา ป้าแกก็สอนทริกการนวดพวกคอ ไหล่ ฝ่ามือ แล้วก็เท้ามาเล็กน้อย

“นวดเก่งนี่”

“สบายไหมครับ”

“อืม”

“ผมเคยนวดให้คนเมาเหล้าที่ร้านด้วย ได้ทิปมาตั้งหลายบาท” อะไรที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ ผมก็พยายามเรียนรู้มาหมด เล็กๆน้อยๆก็ยังดี

“แล้ววันนี้อยากได้ทิปกี่บาท” คุณตรีเอามือขวาเอื้อมขึ้นมาจับมือซ้ายของผมที่กำลังนวดอยู่บนต้นคอ ผมหยุดมือ แล้วปล่อยให้คุณตรีกุมมือของผมเอาไว้

“ไม่เอาหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ผม อีกอย่างวันนี้ผมต้องชดใช้ที่ทำคุณตรีท้องเสีย”

“เป็นเด็กดีจังนะ”

ใช่แบบนั้นซะที่ไหนละครับ

“พอแล้วล่ะ ขอบใจมาก” คุณตรีขยับตัวหันหน้าเข้าไปผม แต่เขายังไม่ยอมปล่อยมือที่จับมือผมอยู่  เขาจับมือผมแบบหงายดูที่ฝ่ามือ แล้วใช้นิ้วโป้งลูบไล้บนฝ่ามือผม

“มือของผมไม่นิ่มเหมือนมือคุณตรีหรอกครับ” ผมบอกเขา เมื่อเขาเอาแต่มองก้อนเนื้อด้านๆตรงโคนนิ้วแต่ละนิ้ว

เขาใช้มือที่ว่างอีกมือ เอื้อมไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง แล้วหยิบหลอดยาอะไรสักอย่างออกมา จากนั้นเขาก็บีบเนื้อครีมสีขาวลงบนฝ่ามือผมก่อนจะเริ่มลูบไล้ กลิ่นหอมเย็นๆทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ในอีกทางคืออ่อนโยนบนฝ่ามือที่คุณตรีสัมผัสอยู่

ผมรู้สึกอุ่นวาบอยู่ในอก เหมือนร่างทั้งร่างมีน้ำหนักเบาจนแทบจะลอยได้

“ต่อไปนี้ นายใช้มือคู่นี้ทำงาน นายก็ต้องดูแลมันด้วย เข้าใจไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณตรี ผู้ชายเขาก็มือสากมือด้านด้วยกันทั้งนั้น เพื่อนผมที่เป็นผู้ชายก็มือด้านกันทุกคน” ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่างที่ควรจะดูแลมือให้นุ่ม ผมเป็นผู้ชายไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว

“ถ้านายขี้เกียจดูแล เดี๋ยวฉันดูแลให้ก็ได้” เขาพูดหลังจากที่ทาครีมที่มือของผมเสร็จ

ผมอยากถามว่าเขาจะดูแลมือให้ผมยังไง แต่ก็ไม่กล้าพูด ได้แต่กุมมือตัวเองแล้วถูไปมา ลื่นๆนุ่มๆดีเหมือนกันแหะ

“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก”

“อ่อ ครับ งั้นผมไปปิดไฟเลยนะครับ”

“อืม”

คุณตรีเปิดโคมไฟที่หัวเตียง แล้วทิ้งตัวลงนอน ผมช่วยคุณตรีจับผ้าห่มผืนหน้าขึ้นมาคลุมถึงช่วงอก แล้วเดินไปปิดไฟที่หน้าห้อง ก่อนจะเดินกลับมานอนที่โซฟา

โซฟาตัวนี้ไม่ได้นอนลำบากเลย สบายกว่าเตียงแข็งๆในห้องของผมเสียอีก ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมปิดจนถึงปลายจมูก เหลือไว้เพียงดวงตาเพื่อที่จะเงยหน้ามองคุณตรีที่นอนอยู่บนเตียง

ทันใดนั้นสายตาของผมก็สบเขากับดวงตาสีดำอันน่าหลงใหล ผมและเขามองจ้องตากันเงียบๆผ่านความมืดสลัว คุณตรีเพียงทำหน้านิ่งในขณะที่ผมฉีกยิ้มอยู่ใต้ผ้าห่ม ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา

“ฝันดีนะครับคุณตรี”

“ฝันดี นอนซะ”

“ครับ”

ผมยังคงมองเขา จนกระทั่งโคมไฟที่หัวเตียงดับลง และเปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลงจนสนิท ผมนอนมองอยู่อย่างนั้นผ่านความมืด ให้สมกับการมาเฝ้าดูอาการของเขา จนผ่านไปได้สักสิบนาที ความเย็นของเครื่องปรับอากาศและความนุ่มของโซฟากับผ้าห่ม ก็ค่อยๆกล่อมให้ผมหลับไปในที่สุด




ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

“ฟ้า”

“...”

“หลับสบายขนาดนั้นเลยหรือไง หรือปกติขี้เซาอย่างนี้อยู่แล้ว”

อืม...เหมือนมีเสียงอะไรดังอยู่ข้างหู ผมขยับร่างกายที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ รู้สึกดีจัง การนอนในห้องแอร์แล้วมีผ้าห่มหนาๆห่อตัวมันดีอย่างนี้นี่เอง

“...”

อากาศเย็น...แอร์

“ฮึก!”

ผมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจเล็กน้อย กำลังจะควานหาโทรศัพท์เพื่อมากดดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว แต่ทันทีที่ผมลืมตา จากที่ตัวกระเด้งขึ้นเพราะตกใจตื่น ก็ต้องทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงเพราะมีเงาดำสูงใหญ่ทาบทับตัวอยู่

“ตกใจอะไรฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่า”

“คะ คุณตรี” ผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามไรผม

ตกใจ ผมก็นึกว่าผีอำ เรื่องแบบนี้ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วแต่บุคคล แต่ว่าผมเคยโดนมาแล้ว ขยับร่างกายไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าใช้หรือไม่ใช่ แต่เคยไปได้ยินป้าในตลาดเขาพูดว่ามันคือผีอำ ที่เรานอนแล้วพี่จะมาทับร่าง ทำให้เราขยับร่างกายไม่ได้

“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมเหงื่อออก” คุณตรีลดตัวนั่งลงข้างโซฟา ยื่นมือมาสัมผัสที่แก้มและหน้าผากของผม    

ผมตั้งตัวไม่ถูก ทั้งความตกใจและความมึนงง

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่”

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“แน่ใจนะ”

“ครับ ผมแค่ตกใจตื่นเฉยๆ” ผมตอบ ก่อนจะค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดในห้องนอนคุณตรี ห้องของเขามืดมากๆจนทุกอย่างแทบจะเป็นสีดำสนิท

“หลับสบายไหม”

“ครับ ผมรับไม่รู้เรื่องเลย”

“ก็น่าจะอย่างนั้น ปกติแล้ว เวลานี้นายจะต้องมาปลุกฉัน แต่วันนี้ฉันเป็นคนปลุกนาย”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม เรื่องแค่นี้ ให้ฉันปลุกนายทุกวันยังได้”

“คุณตรีจะมาปลุกผมทำไมละครับ”

ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น อ่า หัวใจผมเต้นแรงชะมัด สลับกับรู้สึกหวิวๆในอก

“เอาเถอะ นายไปล้างหน้าอาบน้ำไป วันนี้ไม่ต้องเตรียมของในห้องน้ำให้ฉัน เสร็จแล้วไปเจอกันที่ห้องออกกำลังกายเวลาเดิม”

“แต่ผมเตรียมให้คุณตรีก่อนได้นะครับ ผมอาบน้ำแต่งตัวไม่นานอยู่แล้ว ยังไงก็ทันครับ”

“นายจะบอกว่าฉันอาบน้ำแต่งตัวช้า”

“ผมไม่ได้ว่าแบบนั้นนะครับ แต่ว่าผมอาบน้ำไวกว่าคุณตรีจริงๆ”

เขาเดินไปเปิดม่านให้แสงสว่างสาดเข้ามาในห้อง ไม่ว่าจะเวลาไหน ใบหน้าของเขาก็ดูดีไร้ที่ติ ทั้งดูเย็นชา แต่ก็ดูอบอุ่นในเวลาเดียวกัน

“เพราะนายอาบน้ำไม่สะอาดหรือเปล่า” เขาหันมาหลิ่วตาใส่ผม โปรยเสน่ห์ไปอีก

“เขาว่ากันว่า ถ้าจิตใจสะอาด น้ำไม่ต้องอาบก็ได้ครับ” ผมพูดประโยคที่เพื่อนผมมันชอบบอกกับผม เวลาที่มันกินเหล้าเมาแล้วชอบไม่อาบน้ำ พวกมันก็เอาประโยคนี้มาอ้างตลอด

 “งั้นเหรอ”

“ฮ่าๆๆ ใช่สิครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันต้องอาบน้ำให้นานกว่าเดิมสินะ”

“...”

เขาเดินเข้ามาประชิดตัวผม ก้มหน้าลงจนใบหน้าของเราเสมอกัน สายตาของเขามองสบตาผม แล้วค่อยๆเลื่อนลงต่ำเล็กน้อย สำรวจส่วนอื่นบนใบหน้าผม จนมาหยุดที่ริมฝีปาก แล้วผมก็รู้สึกประหม่าจนเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้

“เพราะว่าฉันจิตใจสกปรก หึหึ” เขาพูดเสียงแหบพร่าในลำคอ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วเดินผ่านผมไป

หมายความว่ายังไงที่ว่าจิตใจเขาสกปรก เขาก็ดู เป็นคนดีไม่ใช่เหรอ




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
คุณตรีกำลังอ้อยน้องอยู่เหรอค้า.  :hao3:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่12
ในเรื่องแย่ก็ยังมีคุณตรีเป็นเรื่องดีๆของผม




เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว แต่คุณตรียังไม่ถึงบ้าน อาหารที่ผมทำเตรียมไว้เป็นกับข้าวเย็นเริ่มจะเย็นชืด ปกติแล้วถ้าติดธุระ คุณตรีจะโทรมาบอก แต่วันนี้ไม่มีสายตรงจากคุณตรี ผมก็ไม่กล้าโทรไปรบกวน แม้ว่าคุณตรีจะให้เบอร์ติดต่อไว้ก็ตาม

ผมเดินออกไปดูที่หน้าประตูบ้าน บรรยากาศยังคงเงียบเชียบ ไร้วี่แววเสียงรถยนต์ที่คุ้นหูดังขึ้นในบริเวณ ผมจึงเดินกลับมานั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกครั้ง

ผมเป็นคนรับใช้แบบที่ไม่เหมือนคนรับใช้สักเท่าไหร่ ที่อื่นเขาคงไม่นั่งบนโซฟาของเจ้านาย แต่กับคุณตรีเขาไม่ยอมให้ผมนั่งพื้น เวลาผมนั่งพื้นทีไรเขารู้ทุกที แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ทำงานก็ตาม เรื่องนี้ทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อย

หรือว่า...เขาจะแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้าน

ผมมองซ้ายมองขวารอบตัวอย่างระแวดระวัง

ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพ้อเจ้อ เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้น ต้องเป็นรถของคุณตรีแน่ๆ ผมรีบวิ่งเข้าไปอุ่นอาหารเย็น เตรียมน้ำดื่มเอาไว้ รอจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์ดับลง ผมก็รีบวิ่งไปรับคุณตรีที่หน้าประตู

“อ้าว น้าภาพ คุณตรีละครับ” ผมถามเมื่อไม่เห็นคุณตรีในรถ มีแค่หน้าภาพที่ลงมา

“คุณเขาให้น้ากลับมาบอกเราก่อนว่าให้กินข้าวเลย ไม่ต้องรอ พอดีคุณตรีไปคุยเรื่องงานกับลูกค้าแล้วโทรศัพท์แบตหมด เลยให้หน้าขับรถกลับมาบอกเราก่อน”

“อ่อครับ” ผมพยักหน้าเป็นการเข้าใจ พร้อมกับรู้สึกอุ่นวาบในอกเมื่อคิดว่าคุณตรีอาจจะเป็นห่วงผมเลยให้น้าภาพมาแจ้งเรื่อง

“งั้นน้าไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปรอรับคุณเขากลับ”

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

“อืม น้าไปละ”

ผมกลับเข้าไปในครับอีกครั้ง มองอาหารเย็นที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว ผมตักอาหารส่วนหนึ่งในกล่องเก็บอาหารแล้วนำเข้าตู้เย็น เผื่อคุณตรีจะหิวตอนดึกเวลาที่ผมไม่อยู่ ส่วนที่เหลือผมนั่งกินเงียบๆคนเดียวจนหมด ก่อนจะเก็บล้างให้เรียบร้อย แล้วออกมานั่งรอคุณตรีที่โซฟา

ผมนั่งรอจนกระทั่งสี่ทุ่มคุณตรีก็ยังไม่กลับมาบ้าน ผมคิดว่าผมควรกลับห้องพักของผมได้แล้ว จึงได้ออกจากบ้านของคุณตรีขี่รถกลับห้องพัก

กลับมาถึงห้อง ก็อาบน้ำแล้วนอนอ่านหนังสือวรรณกรรมที่เดือนนี้ผมเพิ่งซื้อมาใหม่บนเตียง ผมนอนอ่านจนกระทั่งเที่ยงคืนท้องก็ร้องโหยหวนด้วยความหิวโหย

“เอาอีกแล้ว” ผมติดนิสัยกินตอนกลางคืนจนแก้ไม่ได้

ผมอดทนข่มความหิวของตัวเองต่ออีกหน่อย แต่ไม่พ้นสิบนาทีผมก็ทนไม่ไหว ต้องลุกออกจากเตียงไปที่มุมห้อง ที่มีชั้นวางของพวกของกิน จานข้าว หม้อหุงข้าววางอยู่ ผมรื้อตะกร้าหาบะหมี่ซอง แต่ผมกลับเจอแต่ถุงขนมห่อละห้าบาทแทน

“หมดเหรอวะ” ผมก็ลืมดูเลย ปกติผมจะซื้อบะหมี่ซองติดห้องไว้ไม่ให้ขาดตลอด สงสัยกินข้าวบ้านคุณตรีจนชิน จนลืมไปซื้อของกินมาติดห้องไว้

ผมเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ แล้วออกจากห้องไปหาซื้อของกินมาเลี้ยงพยาธิในท้อง มาถึงร้านสะดวกซื้อผมก็หยิบบะหมี่ซองหลากหลายรสลงตะกร้า ก่อนจะเดินไปหยิบไส้กรอกและน้ำอัดลมไปจ่ายเงิน

“ทั้งหมด 86 บาทค่ะ”

ผมหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ที่เหลือแบงก์ร้อยแบงก์เดียวจ่าย แล้วก็รับเงินทอนและถุงใส่ของมาถือเดินออกจากร้าน

ผมว่าผมต้องเดินไปกดเงินสักหน่อย เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือเงินแค่สิบสี่บาท เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วจะไม่มีเงินใช้

ผมเดินข้ามถนนไปหาตู้กดเงิน ธนาคารที่ผมใช้ไม่มีตู้กดเงินที่ร้านสะดวกซื้อ ผมเลยต้องเดินเลยไปอีกสองช่วงตึกถึงจะมีตู้ที่ผมกดเงินได้

แต่ระหว่างที่ผมยืนกดเงินอยู่ ผมรู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างหลัง ผมหันไปมอง ก็เจอผู้ชายผู้ชายสามคนยืนล้อมผมไว้ ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าจะโอเค ใจของผมเริ่มเต้นแรง เวลาเที่ยงคืนกว่าค่อนข้างมืดและเงียบสนิท และจุดที่ผมอยู่ก็ไม่ใช่บริเวณที่จะใกล้ร้านอาหารที่จะมีคนเดินผ่านไปมาจนเป็นที่สังเกต

ผมยืนนิ่งแทบไม่กล้าหายใจขณะยืนรอเงิน ผมปลอบตัวเองว่าคงไม่มีอะไร พวกเขาอาจจะมายืนรอกดเงินก็ได้ แต่ทันทีที่ช่องถอนเงินส่งเงินออกมา ผมรีบคว้าเงินแล้วเตรียมจะเดินหนี แต่ผมกลับทำไม่ได้อย่างที่คิด เมื่อหนึ่งในนั้นกระชากแขนผมไว้

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว มึงก็ส่งเงินมาให้กูซะ” คนที่จับแขนผมกดเสียงต่ำข่มขู่ ผมตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ มือที่กำเงินอยู่กำแน่น

ผมกดเงินออกมาห้าพันบาท กะไว้ว่ากดครั้งเดียวแล้วจะใช้ไปทั้งเดือน เงินห้าพันไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ผมไม่อยากส่งให้มันไป

ไวเท่าความคิด ผมใช้มือข้างที่ไม่ได้โดนจับกำหมัดต่อยไปที่จมูกของมัน แล้วบิดแขนที่ถูกจับไว้ให้หลุดออก ก่อนจะรีบวิ่งหนี แต่วิ่งหนีได้ไม่ทันเกินครึ่งถนน ผมก็ถูกกระชากคอเสื้อจนกระเด็นไปข้างหลัง ร่างผมกระแทกลงกับพื้นจนรู้สึกเจ็บไปทั้งแผ่นหลัง ก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บเสียดที่ช่องท้อง แล้วมือของผมถูกง้างออกและพวกมันได้เงินไปก่อนที่จะวิ่งหายไปในความมืด

ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก

ผมควรให้เงินมันไปแต่แรกใช่ไหม จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัวอย่างนี้ ถ้าผมรู้ว่ามันมีมีด ผมคงไม่ทำอะไรโง่ๆ

ก่อนที่สติของผมจะดับลง ผมเห็นแสงสว่างสาดจ้าอยู่เบื้องหน้า คงไม่ใช่ว่า...เทวดามารับผมขึ้นสวรรค์ใช่ไหม






“ผมบอกว่าวันนี้ผมไม่เข้าออฟฟิศไง”

“...”

“คุณเลื่อนประชุมออกไปก่อน ผมติดธุระ”

“...”

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องที่ผมต้องจัดการ คุณเป็นเลขาของผมคุณเอิง ผมรู้ว่าผมควรทำอะไร และคุณก็ควรทำตามที่ผมบอก เรื่องครอบครัวผม ผมจัดการเอง คุณแค่ทำในสิ่งที่ผมบอกก็พอ เลื่อนการประชุมและนัดลูกค้าออกไปก่อน”

เสียงใคร ทำไมคุ้นหูจัง

“เอกสารทั้งหมด ผมจะให้คนของผมเข้าไปเอาที่ออฟฟิศ คุณก็ฝากเขามาแค่นี้”

เสียงคุณตรีเหรอ หรือว่าเสียงเทวดาที่มาพาผมไปขึ้นสวรรค์

ถึงผมจะไม่ใช่คนดีมาก แต่ผมคิดว่าต่อให้ผมตายผมก็ไม่มีทางตกนรกหรอก อย่างน้อยๆในนรกก็น่าจะมีไฟที่ร้อนระอุ ไม่ใช่เย็นเยือกขนาดนี้

ไม่มีเสียงคนพูดแล้ว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมอง อยากรู้ว่าสวรรค์จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

อืม...สีขาวแบบนี้มันคุ้นตาจัง อันนั้นมันหลอดไฟหรือเปล่า ผมรู้สึกแปลกใจ เลยกวาดตามองรอบๆ แล้วก็เจอกับเทวดายืนหน้าเครียดมองโทรศัพท์อยู่

“คุณตรี” ผมเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา เขาหันฉับมามองผม ก่อนจะรีบถลาเข้ามาใกล้

“ฟ้า ฟื้นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”

“คุณตรี”

นี่ผมยังไม่ตายหรอกเหรอ?

ผมมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง แต่พอผงกหัวขยับตัว ก็ต้องร้องซี๊ดเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดที่ช่องท้อง จนต้องหยุดขยับตัวชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเจ็บ

“เจ็บแผลเหรอ นอนนิ่งๆ อย่าขยับตัว” เขาพูด แล้วก็จับชายเสื้อชุดคนไข้ทำท่าจะเลิกขึ้น ผมตกใจจับมือเขาเอาไว้ แต่พอขยับตัวก็เจ็บเสียดที่ช่องท้องอีกรอบ

“ก็บอกว่าอย่าขยับไง” เขาดุหน้านิ่ง แล้วก็จับมือผมออก แล้วเลิกชายเสื้อขึ้นจนเห็นผ้าก๊อซสีขาวพันปิดแผลรอบเอว ผมผงกหัวขึ้นมอง จุดเลือดสีแดงแต้มบนผ้าก๊อซจางๆ

คุณตรีจ้องแผลของผมหน้าเข้ม เขาไม่พูดอะไร เอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกพยาบาล ไม่นานนักพยาบาลก็เข้ามา พอเห็นว่าผมฟื้นแล้ว ก็ออกไปตามคุณหมอเข้ามาดูอาการของผม

“รบกวนญาตินั่งรอด้านนอกนะคะ” พยาบาลเลื่อนม่านปิดแล้วกันคุณตรีที่ทำท่าเหมือนจะเข้ามาดูการตรวจบาดแผลของหมอ

ผมนอนสะดุ้งเป็นพักๆระหว่างที่คุณหมอตรวจบาดแผล ผมผงกหัวขึ้นดูแผลที่หน้าท้อง หลังจากที่คุณหมอทำความสะอาดแผลเสร็จและเตรียมปิดผ้าปิดแผลแผ่นใหม่

“หมอเย็นสวยไหมล่ะ โชคดีนะที่มีดค่อนข้างคมเลยดีเดียว ปากแผลก็เลยไม่ช้ำมาก แถมมีดเล็กสั้น ไม่โดนจุดสำคัญอะไร ปากแผลไม่ฉีกขาดทำให้เย็บง่าย” คุณหมอพูดพลางยิ้ม ก่อนจะลงมือปิดแผลจนเรียบร้อย

สรุปแล้วผมโชคดีที่โจรใช้มีดที่คมพอ อย่างนั้นเหรอ?

“แต่ทางที่ดี การไม่เจ็บตัวดีที่สุด เพราะฉะนั้น ช่วงนี้จะขยับตัวก็ระมัดระวังนะครับ จนกว่าแผลจะหายดี ยังไงนอนดูอาการที่นี่สักสองสามคืน ให้แน่ใจว่าแผลไม่ได้อักเสบติดเชื้อ”

“นอนสองสามคืนเลยเหรอครับ” ผมถามเสียงพร่า ผมไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาล ยิ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดูท่าจะแพงด้วยแล้ว นอนคืนหนึ่งต้องใช้เงินกี่บาท

“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมครับหมอ” คุณตรีถามทันทีที่นางพยาบาลเปิดม่านออก

“ไม่ครับ ตอนนี้เหลือแค่ดูแลบาดแผล ถ้าไม่มีเลือดออกข้างในเพิ่ม แผลไม่ฉีกขาด ไม่นานแผลก็หายครับ”

“หมอแน่ใจนะครับ” ผมมองดูคุณตรีที่ยืนทำหน้ากดดันหมอ พูดเหมือนหมอจะไปโกหกเขา

“หมอแน่ใจสิครับ คุณเป็นพี่ชาย คงจะห่วงน้องชายมาก แต่หมอยืนยันเลย ถ้าคนไข้นอนนิ่งๆอยู่ที่โรงพยาบาลสักสามวัน แผลหายเร็วแน่นอนครับ”

“ขอบคุณครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอจะมาใหม่วันพรุ่งนี้นะครับ”

“ขอบคุณครับคุณหมอ” ผมยกมือไหว้คุณหมอ แต่กลับถูกคุณตรีเอ็ด เพราะผมผงกหัวขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บแผล

“ขยับตัวทำไม หมอก็บอกอยู่ว่าให้อยู่เฉยๆ”

“อ่า” มันเจ็บแผลก็จริง แต่ก็ไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้น

คุณหมอออกไปแล้ว เหลือคุณตรีที่ยังคงยืนทำหน้ายักษ์อยู่ข้างเตียง เขาจ้องหน้าผมนิ่ง นิ่งแล้วก็นิ่ง จนผมต้องหลบสายตา ก้มมองปมเสื้อที่ผูกอยู่ตรงหน้าอกแทน

ผมลองเหลือบตาขึ้นมอง แต่ก็ยังเจอกับสายตาของคุณตรีที่จ้องผมอย่างไม่ลดละ

“คุณตรีไม่ทำงานเหรอครับ” ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบชวนเขาคุย

“นั่นใช่สิ่งที่นายควรถามฉันงั้นเหรอ”

“...” ทำไมเขาถึงดุขนาดนี้ ผมทำอะไรผิด

“ผมขอโทษ” ผมก้มหน้าลงอีกรอบ รู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกเช่นนั้น ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้าง ผมไม่มีสิทธิ์ไปน้อยใจ

“สนใจแต่ตัวเองก็พอ เรื่องของฉันนายไม่ต้องกังวล เอาเรื่องที่นายถูกแทงมาดีกว่า เกิดอะไรขึ้น เล่ามาให้หมด”

วินาทีนี้ ความน้อยใจวิ่งหายไปไหนก็ไม่รู้ เหลือไว้แค่ความรู้สึกที่ว่าผมกำลังจะซวย อยู่ๆก็เหมือนจะมีความผิดติดตัว

“ว่าไงฟ้า” พอเห็นผมเอาแต่เงียบ คุณตรีก็ขยับเข้ามาใกล้ เขากางสองแขนท้าวกับเตียงคร่อมร่างผมไว้ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติโน้มเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจถี่กระชั้น

“ผม...คุณตรีถอยไปหน่อยสิครับ”

เขาเข้ามาใกล้แบบนี้ ผมจะกล้าพูดได้ยังไง

“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ออกไปทำอะไรข้างนอกดึกๆดื่นๆ จนถูกทำร้ายจนเจ็บเนื้อเจ็บตัว”

“ผมหิว ผมก็เลยออกไปหาซื้ออะไรกิน แต่เงินหมดผมก็เลยไปกดเงินที่ตู้ATM ผมไม่รู้ว่าพวกมันจะเข้ามาจี้ แล้วก็เอาเงินไป” ผมเล่าแบบย่อๆ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็มีเท่านี้จริงๆ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมาก จนผมเองก็ตั้งตัวไม่ทัน

“รู้ไหม ถ้าฉันไม่กำลังขับรถเข้าไปในซอยบ้านตอนนั้น จะเกิดอะไรขึ้น” คิ้วของคุณตรีขมวดแน่น แววตาของเขาที่จ้องผมอยู่สั่นไหวเหมือนเขากำลังเจ็บปวด เหมือนเขาเป็นคนที่เจ็บ

“ผมขอโทษ” ปากมันพูดออกไปเอง

“ขอโทษตัวเองเถอะฟ้า ไม่ต้องมาขอโทษฉัน”

“คุณตรี...”

“ที่นี้จะย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้านได้หรือยัง นายเคยพูดไว้ว่านายจะช่วยฉันแบ่งเบาภาระถ้านายทำได้ จำได้ไหม”

ผมฟังเขาแล้วพยักหน้า ผมจำได้


‘ผมอาจจะไม่ฉลาด การศึกษาน้อย แต่ถ้าคุณตรีมีอะไรให้ผมช่วย ที่ผมสามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้ ก็บอกผมได้เลยนะครับ’
‘ขอบคุณ’
‘ผมพูดจริงๆนะ’
‘ฉันรู้ ไว้ฉันจะบอกแล้วกัน แต่นายสัญญาแล้วนะ ว่าถ้าช่วยได้นายจะช่วย’
‘ครับ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำครับ’
 


“ย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้าน อย่าให้ฉันต้องคอยเป็นห่วงคอยพะวงอีก”

“...” ไม่ใช่ว่าจะลำบากใจอะไรหนักหนา แต่ว่า ผมแค่ไม่อยากหลงระเริงไปกับการได้ใกล้ชิดคนที่ตัวเองแอบรัก

“การอยู่กับฉันทำให้นายลำบากใจมากเหรอ”

ผมส่ายหน้าว่าไม่ใช่

“แล้วทำไมถึงต้องคิดมาก”

“ผมแค่กลัว”

“กลัวอะไร”

“ตอนที่ลุงตาย กว่าผมจะอยู่คนเดียวได้โดยไม่รู้สึกทรมานก็ใช้เวลาเป็นปีๆ ผมแค่ไม่อยากเคยชิน ถ้าวันหนึ่งผมต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีก...”

“ฉันจะไม่ทิ้งนายไปไหน ลืมสัญญางานไปแล้วเหรอ นายยังต้องทำงานกับฉันอีกตั้งสิบปีเชียวนะฟ้า”

“เอ่อ...” นั่นสิ

“ย้ายมาเถอะ นายจะได้ทำงานสะดวกด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลว่านายจะโดนทำร้ายแบบครั้งนี้อีก”

“ผมเป็นภาระให้คุณตรีหรือเปล่าครับ” เขาดูเหนื่อยล้าจากการทำงานทุกวัน ผมไม่อยากเป็นตัวยุ่งยากในชีวิตของเขา

“นายไม่เคยเป็นภาระ แต่ที่ทำเพราะฉันเป็นห่วง ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ”

“ครับ”

“เด็กดี” เขาลูบแก้มผม ใช้ฝ่ามือใหญ่ที่อุ่นร้อนแนบชิดแก้มผมไว้

เขาทำให้ใจผมสั่นและแอบหวั่นไหวกับความอ่อนโยนนี้





สามวันถัดจากนั้น ผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคุณตรีเป็นคนออก ส่วนเรื่องคนร้าย ได้ข่าวจากน้าภาพว่าถูกตำรวจจับเข้าคุก รอให้ผมไปชี้ตัวคนร้ายแล้วจากนั้นก็ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งก็ถือว่าคนทำผิดได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไปเป็นที่เรียบร้อย

กลับจากโรงพัก คุณตรีก็ขับรถมาจอดที่หน้าหอพักของผม เขาไม่ยอมให้ผมบิดพลิ้ว ยังไงวันนี้ผมก็ต้องขนของย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหญ่

“คุณตรีกลับไปรอที่บ้านก่อนก็ได้ครับ ผมคงใช้เวลาเก็บของราวๆครึ่งวันได้” เพราะไม่ได้เตรียมตัว ก็ต้องใช้ระยะเวลาในการแพ็คของ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วย แผลนายยังไม่หายดี จะเก็บของคนเดียวได้ยังไง” เขาลงจากรถตามมา

“แต่ห้องผมร้อนนะครับ คุณตรีไม่สบายตัวหรอก” ผมบอก เชื่อเถอะว่าเขาอยู่ในห้องผมได้ไม่เกินสิบนาทีหรอก

“ฉันทนได้ ช่วยกันเก็บจะได้เสร็จเร็ว”

“คุณตรีครับ” เขาดื้อเหลือเกิน

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อ เดินนำขึ้นไปที่ห้องเร็ว จะได้รีบเก็บของ” เขาสั่ง ผมเลยต้องจำใจ รับกล่องกระดาษเปล่ามาจากน้าภาพส่วนหนึ่ง แล้วเดินนำขึ้นห้องพัก คุณตรีทำท่าเหมือนจะขยับตัวมาแย่งของที่อยู่ในมือผม แต่ผมรีบเดินห่างออกมา

“ฟ้า ระวังแผลปริ”

ผมว่าเขาเป็นกังวลมากเกินไป

“เก็บเฉพาะของที่จำเป็นก็พอ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาไป”

ทรัพย์สินที่ผมไม่ในห้องไม่ได้เยอะมากขนาดนั้น ส่วนมากที่มีก็คือของที่ถือว่าจำเป็นในชีวิต บางอย่างจะให้ตัดใจทิ้ง ก็ทำใจยากพอควร

ผมหมุนซ้ายหมุนขวา ไม่รู้จะเริ่มเก็บจากตรงไหนดี ยิ่งมีสายตากดดันของคุณตรีคอยจ้อง ผมยิ่งประหม่า

“ไปนั่งพักไป เดี๋ยวฉันเก็บให้ จะเอาอะไรบ้าง” คุณตรีคว้ากล่องกระดาษใส่ของเตรียมจะทำอย่างที่พูด

“ไม่ได้ครับคุณตรี คุณตรีนั่นแหละที่ต้องนั่ง ของๆผม เดี๋ยวผมเก็บเอง”

“นายบาดเจ็บอยู่” เขาขมวดคิ้วอีกแล้ว

“แค่นิดหน่อยเองครับ ผมก็ไม่ได้ออกแรงอะไร”

“เฮ้อ งั้นก็อย่าก้ม เจ็บก็อย่าฝืน ถ้าฉันเห็นนายแสดงอาการเจ็บแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่ต้องเก็บของต่อ ทิ้งให้หมดแล้วฉันจะซื้อให้ใหม่ทุกอย่าง”

“อย่าทำแบบนั้นสิครับคุณตรี”    

“นายเลือกแบบนี้เองนะฟ้า”

“ครับๆ ผมจะเก็บของแบบไม่ให้ตัวเองเจ็บแผลแม้แต่นิดเดียว”

ผมลอบถอนหายใจ มันจะเป็นอย่างที่ผมพูดได้ยังไง ในเมื่อแค่ขยับนิดหน่อยก็เจ็บแล้ว แต่เพราะแผลมันยังไม่แห้งสนิทดี ต่อให้เป็นแค่แผลถลอก ถ้าขยับนิดขยับหน่อยยังเจ็บเลย

แต่คุณเขาสั่งมายังไงก็ต้องทำอย่างนั้น ผมขัดใจเขาไม่ได้หรอก

“แพ็คลงกล่องแล้วก็ให้น้าภาพยกลงไปใส่รถกระบะ ไม่ต้องยกเอง”

“ครับ” ผมยอมรับคำสั่งแต่โดยดี

“แล้วจะเก็บอะไรก่อน” คุณตรีถาม

“พวกหนังสือเรียนครับ” ผมชี้ไปที่โต๊ะหนังสือ

“นายไปเก็บเสื้อผ้าไป ตรงนี้ฉันเก็บให้”

“แต่...”

“เดี๋ยวนี้ฟ้า ไม่งั้นแม้แต่เสื้อผ้าฉันก็จะไปเก็บให้”

“คร้าบ...” (พ่อ)

ผมได้แต่ต่อท้ายอีกคำแค่ในใจ

ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วก็ขนเอาเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เสื้อผ้าผมก็มีไม่เยอะ ใช้เวลาเก็บไม่นานก็เสร็จ กล่องหนังสือกับเสื้อผ้าที่แพ็คเรียบร้อย น้าภาพช่วยยกลงไปไว้ที่รถ จะเหลือก็ตรงตู้สองชั้นเล็กๆที่ผมไว้วางกาต้มน้ำ หม้อหุงข้าว

“จะเอาไปทำไม ที่บ้านฉันก็มี” เขาบอก แล้วดึงของในมือผมออก

“แต่ถึงไม่เอาไป เราก็ต้องเอาของออกจากห้องอยู่ดี อีกอย่างผมเสียดาย มันอยู่กับผมมาตั้งนาน” จะให้ผมตัดใจทิ้งของที่ผมหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงได้ลงเหรอ

“แต่มันไม่จำเป็นแล้ว”

“จะให้เอาไปทิ้งเหรอครับ”

“ที่บ้านไม่มีที่เก็บของขนาดนั้น”

ผมรู้ คุณตรีชอบให้บ้านเรียบร้อย ไม่ชอบให้มีของเยอะจนรก

ผมยืนคิดหาทางออก ก่อนจะคิดถึงเพื่อนไม่กี่คนที่ผมมี ผมหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาแจ็ค บอกให้มันมาหาผมที่ห้อง พอมันรับสายผมก็รีบถามไถ่เรื่องที่ผมโดนแทง ดูท่าว่าคนจะรู้กันทั่วทั้งซอยแล้วมั้ง ต้องตัดบทให้มันรีบวางสายแล้วรีบมา

“ของในห้องน้ำไม่ต้องขนไปหรอก เดี๋ยวไปซื้อเอาใหม่”

“แต่มันเปลืองนะครับ”

“แค่สบู่กับยาสระผม จะเปลืองสักแค่ไหนกันเชียว”

“ครับๆ” ผมยอมแต่โดยดี เถียงไปก็ไม่ชนะ เวลาคุณตรีดื้อเขาก็ดื้อจนถึงที่สุด

ก๊อกๆๆ

ผมเดินไปเปิดประตูห้อง คนที่มาก็คือคนที่ผมโทรไปตาม แจ็คเข้าห้องผมมาได้ก็จับตัวผมหมุนไปหมุนมา

“มึงเป็นไงบ้างวะฟ้า หายดีแล้วเหรอ มึงโดนแทงตรงไหนมาให้กูดูสิ” มันทำท่าจะถลกเสื้อผมขึ้น แต่ผมรีบตะครุบเสื้อตัวเองเอาไว้

“มึงจะเปิดทำไมเนี่ย เดี๋ยวโดนแผลกู” ผมบอกมัน แผลยังไม่หายสนิทดี หมอแค่อนุญาตให้กลับบ้านได้แค่นั้น

“เออๆๆ กูลืมไป โทษที เจ็บมากใช่ป่ะวะ กูโดนมีดบาดกูยังร้องไห้เลย” แจ็คทำหน้าเหยเก

“เจ็บดิ แจ็ค นี่คุณตรี เจ้านายกู” ผมแนะนำให้แจ๊ครู้จัก เพื่อนผมเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าในห้องไม่ได้มีแค่ผมกับมัน มันรีบยกมือไหว้

“สวัสดีครับ ผมแจ็คนะครับ เป็นเพื่อนของไอ้ฟ้ามัน ตอนที่ทำงานที่ร้านอาหาร”

“สวัสดี” คุณตรีเอ่ยทักตอบนิ่งๆ

“ว่าแต่มึงโทรเรียกกูมาทำไมวะ จะพากูมาแนะนำตัวกับเจ้านายมึงเหรอ”

“เปล่า กูจะให้มึงมาดูว่า ของในห้องกู พวกโต๊ะเก้าอี้พวกนี้มึงจะเอาไปใช้ไหม ไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่ก็ยังพอใช้ได้ กูจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเจ้านายอ่ะ ของพวกนี้เลยต้องทิ้ง”

“อ่อ ได้ๆ กูเอาๆ อะไรที่มึงไม่เอาอ่ะ มึงก็ทิ้งไว้ให้กู มึงใช้ของถนอมจะตาย แต่หม้อหุงข้าวนี่อย่างแจ่มเลย ของที่ห้องกูพังพอดีเลย อย่างน้อยก็ไม่ต้องซื้อใหม่” มันรีบเดินไปสำรวจว่ามีอะไรที่มันสนใจบ้าง

“อืม วานมึงยกลงไปข้างล่างทีนะ”

“ขนขึ้นรถไปทีเดียว เดี๋ยวให้น้าภาพเอาไปส่งให้” คุณตรีบอก

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณครับเจ้านายไอ้ฟ้า”

พวกเราใช้เวลาร่วมสามชั่วโมงได้ ในการเคลียร์ของ ส่วนที่เหลือที่ไม่เอาจริงๆ คุณตรีเขาใช้วิธีที่เขาถนัด แม้ว่ามันจะขัดใจผมอยู่ก็ตาม ด้วยการเอาเงินจ้างเจ้าของห้องมาเคลียร์ขยะที่เหลือออก ผมละเสียดายเงิน นอกจากค่ามัดจำจะไม่ได้คืนแล้ว ยังต้องจ่ายเพิ่มอีกตั้งสองพันบาทค่าทำความสะอาดห้อง

แต่ผมจะทำอะไรได้ แค่เห็นคุณตรีเหงื่อออกทั้งตัว ใบหน้าขาวใสก็เห่อแดงเพราะความห้อง ผมก็ไม่กล้าที่จะรั้งให้เขาอยู่ในห้องเช่าของผมนานมากไปกว่านี้

ผมนั่งรถกลับบ้านมากับคุณตรี ส่วนน้าภาพขับรถกระบะไปส่งแจ็คที่หอเพื่อเอาของลง จากนั้นถึงจะค่อยเอาของๆผมกลับมาที่บ้านคุณตรี

“นับแต่นี้ต่อไป นายก็นอนที่ห้องนี้ ฉันยกให้เป็นห้องของนายนับแต่นี้เป็นต้นไป”

ยกให้เป็นห้องของผมเหรอ

คุณตรีเปิดประตูห้องรับแขกที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของคุณตรี เชื้อเชิญให้ผมเดินเข้าไปดูห้องใหม่ ผมเคยเข้ามาทำความสะอาดห้องนี้ครั้งหนึ่ง ทว่าทุกอย่างดูเปลี่ยนไปจากเดิม เฟอร์นิเจอร์เปลี่ยนใหม่หมดทุกอย่าง ดูสวยจนผมไม่คิดว่าจะมีวันที่ผมได้อยู่ห้องดีๆแบบนี้

“ฉันให้แผนกตกแต่งภายในที่บริษัทมาช่วยตกแต่งห้องให้ใหม่ ชอบไหม”

“ชอบครับ ห้องสวยมาก น่าอยู่มากๆครับ”

“ถ้าน่าอยู่ก็อยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่นอีกแล้ว”

ผมยิ้มรับ ขอบคุณนะครับ เจ้านายของผม



 







ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่13
คุณตรีอย่าดูแลผมดีสิครับ เดี๋ยวผมเคยตัว



คุณตรีบอกให้ผมพักผ่อน ไม่ให้ผมลงไปทำความสะอาดบ้านเพราะกลัวว่าจะทำให้แผลผมหายช้า ก็เถียงกันไปรอบหนึ่ง ผลจบลงที่ผมแพ้ให้กับคำขู่ของคุณตรีด้วยประโยคเดิมๆ

‘ถ้าลงไปทำงานบ้าน เดือนนี้ฉันจะจ่ายเงินเดือนเป็นสองเท่า’

บางทีผมน่าจะลองลงไปทำงานดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ผมไม่อยากรับเงินคุณตรีมามากเกินความจำเป็น ผมไม่อยากดูเป็นคนหน้าเงิน

ผมมองสำรวจห้องนอนใหม่ของตัวเอง เตียงนอนห้าฟุตสีขาว มีหมอนใบใหญ่และใบเล็กในโทนสีเทาฟ้าวางประดับเตียงสวยงามจนไม่กล้าจะทิ้งตัวลงนอน

ตรงพื้นปลายเตียงมีพรมขนาดเท่ากับความกว้างของเตียงวางอยู่ใต้เท้าผมในขณะนี้ เป็นลายถักทอพื้นเมืองดูสวยสะดุดตา ทำให้ห้องโทนขาวฟ้ามีสีสันลงตัว

เฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆอย่างพวกตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ ตู้ลิ้นชักใส่ของล้วนเป็นสีขาว มีต้นไม้ปลอมสีเขียวมาตัดความเรียบให้ดูสบายตา ห้องสวยมากจนผมไม่กล้าจะหยิบจับใช้งาน

ผมวางหุ่นยนต์ตัวเก่งของผมไว้ที่หัวเตียง ที่ระลึกเพียงชิ้นเดียวจากลุง ไม่พลาดที่จะนำของชิ้นนี้ติดตัวมาด้วย

“ลุงครับ ตอนนี้ฟ้าไม่ลำบากแล้วนะ” ผมพูดกับของเล่นเหมือนมันเป็นตัวแทนของลุง ที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเดียวดายมากนักในช่วงที่ผ่านมา

ผมนั่งเล่นอยู่ในห้องนอนที่สวยสะอาดตา พร้อมกับแอร์เย็นฉ่ำ ไม่นานตัวของผมก็ค่อยๆเอนลงนอนแล้วเผลอหลับตอนกลางวันโดยไม่ได้ตั้งใจ




ตกเย็น คุณตรีพาผมออกมาซื้อของใช้ส่วนตัวของผมที่ห้างสุดหรูย่านใจกลางเมือง ทีแรกผมบอกว่าซื้อในร้านสะดวกซื้อก็ได้ แต่คุณเขาว่าจะมาซื้อของใช้ของเขาด้วย ผมก็เลยไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น

เคยเห็นแต่เขาพูดๆกันว่าเด็กสยามนั้นโก้ เกิดมาจนอายุยี่สิบเอ็ดปี เพิ่งเคยเห็นเด็กสยามแบบที่เขาพูดๆกัน เด็กวัยรุ่นแถวนี้ เขาแต่งตัวดูดีกันจังเลย เหมือนหลุดออกมาจากในนิตยสารที่ผมเคยเห็นในร้านสะดวกซื้อ

“คุณตรีมาเดินที่นี่บ่อยเหรอครับ” ผมถามพลางมองซ้ายมองขวา ขาก็ก้าวตามคุณตรีติดๆ ผมไม่เคยมาเดินห้างที่ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่เดินตามคุณตรีให้ดีๆ คาดว่าผมอาจจะกลายเป็นเด็กพลัดหลง

“เปล่า จะมาเวลามาซื้อของ หรือไม่ก็มีนัดกับเพื่อนตอนเรียนมัธยม”

“ผมเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก มีแต่คนรวยๆเต็มไปหมดเลยครับ”

“นายคิดอย่างนั้นเหรอ” คุณตรีหันมาถาม ก่อนจะขวามือผมไปจับจูงให้เดิน

“เดินช้า เดี๋ยวก็หลง”

ผมมองมือคุณตรีที่จับมือผมไว้แน่น สายตาของคนรอบข้างเริ่มจับจ้องมาที่ผมกับคุณตรี ผมขืนมือออก แต่นอกจากจะไม่หลุดแล้ว คุณตรียังกระตุกมือผมให้เดินไปเสมอเทียบกับตัว

“คุณตรี ผมโตแล้ว ไม่ต้องจูงมือผมก็ได้”

“เดี๋ยวหลง”

“แต่คนเขามอง” ร่างกายของผมห่อเข้าหากันโดยอัตโนมัติ บางคนก็มองพวกผมด้วยความสนใจแล้วก็ซุบซิบอะไรกันสักอย่าง

“จะไปสนใจทำไม”

“ก็เขา...คุณตรีจะดูไม่ดีนะครับ”

“ยังไง” คุณตรีเดินช้าลงเพื่อให้ผมเดินตามทัน แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมือ

“พวกเขาจะเข้าใจผิดนะครับ ว่าคุณตรีเป็นเกย์” ไม่มีผู้ชายปกติที่ไหนเขาเดินจับมือผู้ชายด้วยกันหรอก หากไม่ใช่ผู้ชายที่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน

“แล้วยังไง เขาจะมองฉันเป็นยังไง มันสำคัญเหรอ”

“แต่มันทำให้คุณตรีดูไม่ดี”

“เป็นห่วงฉัน?” เขาหันมาจ้องหน้าผม

“เป็นห่วงสิครับ อีกอย่าง คุณตรีจับมือผมแบบนี้มันก็แปลกๆนิครับ ปกติผู้ชายเขาไม่เดินจับมือกันแบบนี้”

“แล้วถ้านายเป็นน้องชายฉัน ฉันจะจับมือน้องชายตัวเองเพราะกลัวเด็กหลงไม่ได้หรือไง”

พี่ชายน้องชายเนี่ยนะ...ผมได้แต่อึ้งกับคำพูดของคุณตรี

“แต่ผมไม่ใช่น้องสักหน่อย”

“ก็แค่พูด ไม่ได้บอกว่าจะให้เป็นจริงๆ”

นั่นสิ คนงานอย่างผม จะขึ้นไปเทียบชั้นเจ้านายได้ยังไง

“เป็นอย่างอื่นถึงจะเหมาะสมกว่า”

คุณตรีพูดถูกแล้ว ผมเลยพยายามที่จะดึงมือออก แต่แล้วก็เหมือนเดิม

“ถ้ายังจะดึงมือกลับ ฉันจะเปลี่ยนเป็นโอบแทน”

“อย่านะครับ” ผมรีบร้องห้าม เพราะกลัวว่าเขาจะทำจริง

“ทำเป็นรังเกียจกันไปได้”

“ผมไม่ได้รังเกียจสักหน่อย”

ใครจะไปกล้ารังเกียจคนที่ตัวเองชอบกัน

“ไม่รังเกียจก็เลิกดื้อดึงได้แล้ว”

ตลอดทางที่เดินไปยังโซนซูเปอร์มาร์เก็ต ก็มีแต่คนมองเราสองคน ผมเลยได้แต่ก้มหน้าดูพื้นมองแค่ทาง จะให้กระชากมือออกมาก็ไม่กล้าพอ และผมไม่กล้าปฏิเสธตัวเองว่าผมชอบที่เขาจับมือผมแบบนี้

เดินมาจนถึงโซนซูเปอร์มาร์เก็ตสุดหรู คุณตรีถึงได้ปล่อยมือ แล้วเปลี่ยนไปจับรถเข็นแทน

“เดี๋ยวผมเข็นให้ครับ” ผมกระแซะเข้าไปเบียดเขาเพื่อนที่จะยึดรถเข็นมาเจ็บเอง แต่คุณเอาแขนกันผมออก

“เดินเฉยๆ ไม่เจ็บแผลหรือไง ถึงจะมาออกแรงเข็นรถเข็น” เขาทำหน้าดุ

“แต่ผมเป็นคนใช้นิครับ คุณตรีเป็นเจ้านาย”

“นายไม่ใช่คนใช้”

“อ้าว”

“นายเป็นผู้ช่วยของฉัน เป็นพ่อบ้านของฉัน”

อ่า เหมือนจะดูดีกว่าคนใช้ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ผมว่ามันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ว่าจะคนใช้ พ่อบ้านหรือว่าผู้ช่วย ยังไงผมก็เป็นลูกน้องทำงานกินเงินเดือนของคุณตรีอยู่ดี

“รู้ไหม คำว่า butler ต่างกับคำว่า slave ยังไง” คุณตรีปรายตาตั้งคำถามกับผม แต่ทำเอาผมมึนตึ๊บ

อะไรเล่อๆแลฟๆนะ

“ฉันให้การบ้าน ไปหาความหมายมาว่า butler กับ slave ต่างกันยังไง”

ผมเอ๋อหนัก รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์การบ้านที่คุณตรีให้ไว้

บัดเล่อ...กับ...สะลาฟ

เอ๋? สลาฟนี่ใช่ไพ่หรือเปล่า ผมเคยเล่นกับเพื่อนอยู่นะ

“คุณตรีหมายถึงไพ่สลาฟเหรอครับ?” ผมถามทันทีที่คิดว่าตัวเองน่าจะคิดถูก

คุณตรีปรายตามองผม ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วเขกหัวผมหนึ่งที

“ใช่ที่ไหนล่ะ พรุ่งนี้ค่อยเอาคำตอบมาส่งฉัน ตอนนี้มาเลือกของใช้ของนายก่อน”

“อ่อ ครับ” ผมรีบเก็บโทรศัพท์มือถือหลังจากที่พิมพ์คำสองคำที่กลายมาเป็นการบ้านของผมเสร็จ จากนั้นก็กวาดสายตามองสิ่งรอบตัว

ตอนนี้ผมกับคุณตรีอยู่ที่ช่องที่มีพวกสบู่ยาสระผม ข้าวของที่นี่มีเยอะหลายยี่ห้อมากกว่าพวกห้างสรรพสินค้าธรรมดาอย่างพวกบิ๊กซีแล้วก็โลตัส ละลานตาจนผมตาลายเลือกไม่ถูก

ผมเดินหายี่ห้อที่ผมใช้ปกติ แต่มันไม่มีไซส์เล็กเลย มีแต่ไซส์ใหญ่

“หาอะไร”

“หาที่เป็นแบบไซส์เล็ก”

“แล้วทำไมต้องเอาเป็นไซส์เล็ก”

“ก็...” ไซส์ใหญ่มันแพงกว่า

“ของยังไงมันก็ต้องใช้ ซื้อไซส์เล็กใช้ไม่นานก็หมดไว เดี๋ยวก็ต้องมาซื้อใหม่ แถมยังทำให้เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่เอามาผลิตเป็นขวดพวกนี้อีก รู้ไหมว่าขยะมีมากขนาดไหนในตอนนี้”

คุณตรีทำผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

“ปกตินายใช้ยี่ห้อนี่เหรอฟ้า”

“ครับ” ผมยังคงนิ่งอึ้งมองจ้องหน้าคุณตรี จนเขารู้ตัว

“มองอะไร”

“คุณตรีเท่จังครับ” ผมพูดด้วยความปลาบปลื้ม

“อะไรที่ว่าเท่ เอายี่ห้อนี่นะ” เขาชูยาสระผมแล้วก็ครีมนวดผมให้ดูแวบหนึ่งก่อนจะวางมันลงในรถเข็น

“ผมไม่ใช่ครีมนวดครับ”

ผมหยิบออกแล้วก็เอาไปวางไว้ที่ชั้นตามเดิม คุณตรีไม่ได้ว่าอะไร แต่เข็นรถเข็นเดินไปตรงครีมอาบน้ำแทน ผมพยายามที่จะแทรกตัวเข้าไปเข็นรถเข็นเอง แต่ก็โดนแขนคุณตรีดันออกตลอด

ผมเดินนำหน้าไปหยิบสบู่ก้อนมาหนึ่งแพ็คที่มีทั้งหมดสี่ก้อน แล้ววางลงในรถเข็น

“ปกติไม่ได้ใช้ครีมอาบน้ำเหรอ”

“ครีมอาบน้ำมันแพงกว่านี้ครับ ปกติผมใช้แต่สบู่ก้อน ก้อนหนึ่งสิบกว่าบาทเอง”

“ฉันซื้อให้ นายเลือกเถอะ”

ผมส่ายหน้า “ผมไม่เคยใช้เลือกไม่เป็นหรอกครับ”

“งั้นฉันเลือกให้” คุณตรีหยิบขวดครีมอาบน้ำแล้วเปิดดมดูทีละขวด

“ไม่เอาหรอกครับ ผมใช้สบู่ก้อนแบบเดิมดีกว่า”

“กลิ่นนี้น่าจะเหมาะกับนายดี” คุณตรีพูดเองเออเองแล้วก็วางครีมอาบน้ำขวดใหญ่ลงในรถเข็น ผมไม่รู้จะห้ามยังไง แค่ครีมอาบน้ำขวดเดียวคงไม่เป็นอะไร เพราะถึงห้ามไปคุณตรีก็ไม่เคยฟัง

“อย่าคิดมากคิดว่าเป็นสวัสดิการจากนายจ้างก็แล้วกัน” อยู่ๆคุณตรีก็พูด หลังจากที่เลือกของใช้ของผมมาได้หลายอย่าง

“ขอบคุณนะครับแต่คุณตรีอย่าให้อะไรแบบนี้ผมบ่อยเลยนะครับ ผมไม่อยากเคยตัว”

“ทำไม”

“ถ้าไม่เคยมี มันไม่แย่เท่าเคยมีแต่วันนี้ต้องไม่มีหรอกนะครับ”

“อย่าห่วงเลยตอนนี้นายมีฉันแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล”

อะไรคือไม่ต้องกังวล ผมไม่รู้ว่าคุณตรีต้องการสื่อถึงอะไร แต่ว่า...ไม่มีอะไรที่คงอยู่ถาวร วันหนึ่งถ้าคุณตรีมีคนรักมีครอบครัว ผมเองก็ต้องมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง ถึงตอนนั้นต่อให้ผมจะสูญเสียสิ่งที่รักไปอีกครั้ง ผมก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวคนเดียว





ไม่น่าเชื่อว่า แค่ไปเดินเลือกของจะทำให้ผมรู้สึกระบมที่แผล แต่ผมก็ไม่ได้บอกคุณตรีเพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวล พอกลับมาถึงบ้านคุณตรีก็ให้ผมเข้าห้องมานอนพัก ผมกินยาแก้ปวดแก้อักเสบที่หมอให้ ก็จัดการตัวเองด้วยการเช็ดตัว ใจจริงผมอยากอาบน้ำ แต่ว่าหมอสั่งห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำโดยเด็กขาด จนกว่าจะถึงกำหนดตัดไหม อีกอย่างพอเป็นแผลที่ท้อง จะให้อาบน้ำโดยแผลไม่เปียกน้ำก็คงทำได้ยาก และวันนี้ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะคิดหาวิธี

ก๊อกๆๆ

ผมเหลือบตามองประตู แต่ขาก็ลุกเดินไปเปิดประตูให้ใครอีกคนที่เป็นเจ้าของบ้าน

“คุณตรีมีอะไรให้ผมทำหรือเปล่าครับ” ผมรีบถาม เผื่อว่าคุณตรีอยากจะได้อะไร วันนี้เหมือนคุณตรีต้องมาดูแลผมทั้งวัน ทั้งๆที่ผมเป็นคนรับใช้แท้ๆ

“ล้างแผลหรือยัง” คุณตรีดันประตูห้องผมให้เปิดออกกว้างจนพอที่ตัวโตๆของเขาจะลอดเข้ามา คุณตรีเดินไปหยิบถุงยาของผมที่วางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียง

“มาตรงนี้สิ” เขาเรียกผมให้เดินไปหา

“เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ” ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้ผมพูดให้แบบนั้น อาจเป็นเพราะผมรู้ในสิ่งที่เขาต้องการ

“ฉันจะช่วย”

เขารื้อถุงยาออกดูว่าหมอจ่ายอะไรให้บ้าง พอเห็นว่าผมยังนิ่ง เขาก็พยักพเยิดหน้าให้ผมถลกเสื้อขึ้น ผมเก็บความกระดากอายเอาไว้ แล้วค่อยๆดึงเสื้อขึ้น จนเห็นบริเวณแผลที่มีผ้าก๊อซ

คุณตรีก้มหน้าลงจะใบหน้าหล่อเหลาห่างจากหน้าท้องผมไม่สองคืบด้วยซ้ำ สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่พ่นออกมาจากจมูกโด่งแล้วกระทบเข้ากับผิวใต้ร่มผ้า

“โอ๊ะ” ผมสะดุ้ง เพราะรู้สึกเจ็บปนจั๊กจี้ตอนที่คุณตรีดึงเทปใสออกจากผิว

“เจ็บเหรอ” คุณตรีช้อนตาขึ้นมองด้วยความเป็นห่วง

แววตาของเขา...อัดแน่นไปด้วยความห่วงใยจนผมสะท้าน

“เปล่าครับ แค่จั๊กจี้” มันก็ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น

“นอนลงได้ไหม ทำไมถนัด”

“ครับ?”

“นอนลง”

“อ่อ ครับ” ผมเอนตัวนอนลง เวลาทิ้งตัวนอน หรือเกร็งตัวลุกขึ้น จะเป็นช่วงที่เจ็บที่สุด เพราะต้องเกร็งหน้าท้อง แต่ผมพยายามเก็บอาการ ไม่แสดงอาการเจ็บให้คุณตรีเห็น ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงมากไปกว่านี้

ผมนอนนิ่งๆให้คุณตรีล้างแผลและใส่ยาให้ เพราะโรงพยาบาลที่คุณตรีพาผมไปรักษาเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่แพงแสนแพง อุปกรณ์ในการทำแผลก็เลยล้ำหน้าทันสมัยไปมากกว่าที่ผมเคยได้สัมผัส จากปกติที่ต้องเจ็บเพราะผ้าก็อซแห้งติดกับแผล ทำให้เวลาดึงแผลถูกดึงรั้งไปด้วย แต่คราวนี้กลับไม่มีอาการแบบนั้นตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว

“เจ็บไหม” คุณตรีคอยถามผมเป็นระยะ

“ไม่ครับ ผ้าก็อซไม่ติดแผลก็เลยไม่เจ็บครับ”

“อืม เพราะใช้แผ่นตาข่ายรองผ้าก็อซติดแผลเอาไว้”

“ดีจังเลยนะครับ สมัยนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปมาก”

“พูดเหมือนนายเกิดมานานสักสี่สิบห้าสิบปี”

“ฮ่าๆๆๆ ก็ผมเพิ่งเคยรู้จักของแบบนี้นี่ครับ ปกติรู้จักแค่แอลกอฮอล์ล้างแผลกับเบตาดีน ผมไม่เคยใช้อุปกรณ์ทำแผลเยอะขนาดนี้หรอก”

“มันจะเหมือนเดิมอีกได้ยังไง นายอยู่กับฉันแล้ว ฉันจะดูแลนายเอง”

อีกแล้ว เขาพูดอีกแล้วว่าจะดูแลผม มันใช่ที่ไหน ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนดูแลเขา

แต่ตอนนี้ ผมควรรีบรักษาบาดแผลให้หายก่อน ไม่อย่างนั้นคุณตรีต้องห้ามไม่ให้ผมทำงานแน่ๆ

“แบมือมา” คุณตรีบอก เขาล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ครับ” ผมสงสัย แต่ก็แบมือตามที่เขาบอก จากนั้นคุณตรีก็บีบของเหลวจากหลอดนั้นใส่มือผม แล้วคว้ามือผมไปนวดคลึงจนกระทั่งเนื้อครีมหอมละมึนซึมซาบหายไปบนผิวหนัง

“เก็บเอาไว้ทา ต้องทาบ่อยๆ ยิ่งอยู่ห้องแอร์มือยิ่งแห้งง่าย”

“ครับ ขอบคุณนะครับ” ที่แท้ก็เป็นครีมทามือ ครั้งก่อนเขาก็ทาให้ผมเพราะว่าผมมือแข็งและด้านจากการทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ผมรับหลอดครีมเอาไว้ และคิดว่าคงต้องใช้มันบ่อยๆอย่างที่คุณตรีบอก เวลานวดให้เขาผิวของคุณตรีจะได้ไม่ระคายเคืองเพราะมือของผม

หลังจากทำแผลให้ผม คุณตรีก็ออกจากห้องนอนผมในช่วงเวลาสามทุ่ม เวลานี้ผมไม่รู้ว่าคุณตรีทำอะไร เพราะผมกลับห้องพักไปแล้ว และผมอยากหายเร็วๆก็เลยเลือกที่จะนอนพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายฝืนตัวได้เร็ว

แต่ตกกลางดึกราวๆตีหนึ่งผมรู้สึกคอแห้งหิวน้ำจนทนไม่ไหว ผมเลยต้องจำใจผืนลุกขึ้นจากเตียงแล้วลงไปหาน้ำกินที่ด้านล่าง

ทั้งที่เวลานี้ทั้งบ้านควรมืดสนิท แต่ที่ชั้นหนึ่งกลับมีแสงไฟสว่างตรงห้องนั่งเล่น ผมทิ้งน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุดไม่ให้เกิดเสียง เพราะนอกจากแสงไฟแล้ว ผมยังได้ยินเสียงใครบางคนพูดอีกด้วย

“ฉันก็กำลังคิดหาวิธีอยู่ ยังไงนี่มันก็ชีวิตฉัน ใช่ว่าคนที่บ้านจะบงการอะไรได้”

คุณตรีกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าประตูกระจก มองออกไปที่สวนด้านนอกของบ้าน ทำไมเวลานี้คุณตรีถึงยังไม่นอน แถมดูเหมือนว่าจะดื่มไวน์อยู่ด้วย

“ฉันไม่ใช่หมาจนตรอก ฉันจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าสิ่งที่ฉันเป็นและสิ่งที่ฉันเลือก มันไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่เขาว่า”

สิ่งที่คุณตรีพูดคืออะไร คล้ายกับว่าจะไม่ใช่ความนัยที่ดีนัก

“หึ จะส่งใครมาก็ได้ ฉันจะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นไม่กล้าเข้ามาในชีวิตฉันเป็นครั้งที่สอง”

และทำไมถึงดูเหมือนว่า คุณตรีไม่ใช่คนที่ใจดีอย่างที่เป็นอยู่ คุณตรีจะทำอะไรกับผู้หญิง คงไม่ใช่ทำเรื่องไม่ดีใช่ไหม

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ผมกลืนน้ำลายลงคอ จากที่คิดว่าจะดื่มน้ำ ผมตัดสินใจว่าจะอดทนคอแห้งไปจนถึงเช้า ดีกว่าเดินพ้นบันไดออกไปให้คุณตรีรู้ว่า ผมได้ยินอะไรที่ไม่ควรจะได้ยินเข้าเสียแล้ว






..........................
อะแฮ่ม สวัสดีค่ะ กลับมาต่อให้แล้วนะคะ ผ่านไปสองวัน วันนี้มาทักทายหน่อย
รอบนี้จะต่อให้ทุกวันจนจบเลยนะคะ รออ่านได้เลยค่ะ จะไม่ปล่อยให้ค้างอีกแล้ว
และก็ย้ำอีกครั้งนะคะ เรื่องนี้ฟีลกู้ด ถ้าจะมีดราม่าก็แค่2% เท่านั้นค่ะ
ความจริงก็ไม่รู้จะชอบกันไหม เรื่องมันไม่ได้หวือหวา แต่อยากแต่งอะไรที่อ่านแล้วรู้สึกเย็นสบาย
ตอนนี้เรื่องเครียดๆก็เยอะนะคะ อยากให้ได้คลายเครียดกับนิยายเรื่องนี้กัน
ขอบคุณคนที่ยังรออ่านนะคะ เรามาต่อกันให้จบเลยนะคะรอบนี้
ด้วยรัก
ริริ




ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คุณตรีเต๊าะเก่งมาก แต่เต๊าะอ้อมๆแบบนี้เมื่อไหร่น้องฟ้าจะรู้ตัวละคะ

 :pig4:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่14
คุณตรีขอเล่า



[ THREE ]

“ยังไงก็ขอบใจที่โทรมาถามไถ่ ไว้นายมาเมืองไทยเมื่อไหร่ ก็มาพักที่บ้านฉันได้ จะยอมสละเวลาพาไปเที่ยวก็แล้วกัน” ผมพูดกับคนปลายสาย เพื่อนของผม ‘วิล’ รู้จักและสนิทกันตอนที่ผมต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ เป็นคนที่รู้เรื่องของผมดีอีกคน หากไม่นับรวมเพื่อนสนิทคนไทยที่ผมมี

 “นายกล้าพูดคำว่าสละเวลางั้นเหรอ อย่าพูดเหมือนเวลาของนายมีค่ามากกว่าเพื่อนอย่างฉันเซ่”

“หึหึ”

“ไว้ว่างๆฉันจะไปเที่ยวที่บ้านของนายก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นก็อย่าลืมแนะนำให้ฉันรู้จักคนรักของนาย”

“ไม่ใช่คนรัก”

“ฮ่าๆๆ อ่อ ลืมไปนายยังไม่จีบเขา”

“ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ”

“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือไง”

“ช่างเถอะ”

“กล้าๆหน่อยเพื่อน เดี๋ยวก็โดนคาบไปกินก่อนหรอก”

“ไม่มีทาง” ผมละสายตาจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน หมุนตัวมองไปทางบันไดบ้าน ตีหนึ่งกว่าแล้ว ป่านนี้ฟ้าคงจะนอนหลับสบาย

“แค่นี้ก่อนละกัน ฉันต้องทำงานต่อแล้ว”

“อืม ไว้เจอกันตอนฉันไปเมืองไทย โชคดี”

“โชคดี”

ผมวางสายของวิล ยกแก้วไวน์แดงในมือขึ้นดื่มจนหมด ผมนั่งทำงานจนเลยเข้าวันใหม่ เพื่อนผมก็โทรมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ผมก็เลยคิดว่าควรถึงเวลาที่ต้องพักสำหรับวันนี้ เพราะมีแต่เรื่องเครียดๆ พอได้ระบายกับเพื่อน บวกกับได้ดื่มไวน์ดีๆก่อนนอน คืนนี้ผมน่าจะนอนหลับสนิทได้ไม่ยาก

ผมกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อที่จะพัก ก่อนจะเข้าห้องตัวเอง ผมถือวิสาสะเปิดประตูห้องของฟ้า เด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผมแค่ปีเดียว แต่ดูเด็กกว่าผมราวสักสี่ห้าปี ไม่รู้ว่าผมหน้าแก่เกินวัย หรือการเจริญเติบโตของฟ้ามันช้ากว่าที่ควรจะเป็นกันแน่

คนเจ็บนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่ม เหมือนจะหนาวถึงได้ห่มเกือบจะมิดหัว ผมไม่ได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทำเพียงแค่มองดูจากหน้าประตู จะได้ไม่เป็นการรบกวนคนป่วย

ผมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ยืนดูจนพอใจแล้วจึงปิดประตูให้เบาเสียงที่สุด ก่อนจะเดินกลับห้องของตัวเอง

‘ฟ้า’ คือคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีและสบายใจที่สุดที่จะอยู่ด้วย ผมรู้จักฟ้าเพราะเขามาสมัครเป็นพ่อบ้านให้ผมเมื่อสี่ปีที่แล้ว

เขาคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตมีความหมาย ทำให้ผมรู้ว่าผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวัง


เด็กผู้ชายตัวคนเดียว ที่ดิ้นรนทุกอย่างที่จะมีชีวิตรอดในทุกๆวัน ทั้งๆที่ฟ้าไม่มีอะไรแต่ก็ยังต่อสู้ ส่วนผมคือคนที่เหมือนจะมีมากกว่าเขาทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วมีก็เหมือนไม่มี ผมไม่มีอะไรที่ต่างจากฟ้าหากไม่นับเรื่องเงิน ดังนั้น เขาจึงทำให้ผมคิดได้ว่าทำไมผมถึงไม่ต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเองบ้าง เพราะอย่างนั้นผมจึงเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นคำขาดจากที่บ้าน ไม่อย่างนั้นผมคงโดนตัดออกจากตระกูลตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมัธยมศึกษาปีที่หกด้วยซ้ำ

หลังจากที่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมก็ใช้ฟ้าเป็นเหมือนแรงบันดาลใจจนกระทั่งเรียนจบ เอาจริงผมก็ไม่คิดว่าผมจะได้เจอฟ้าอีกครั้ง สี่ปีที่ผมไม่อยู่ที่ไทย ไม่เคยกลับมาและไม่ได้มีการติดต่อกับฟ้า ผมคิดว่าเขาอาจจะไปอยู่ที่อื่น เมืองไทยไม่ได้ใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็กถึงขนาดที่จะเดินสวนกับคนที่เราไม่ได้เจอกันถึงสี่ปี

แต่ใครจะรู้...แค่ผมกลับมาอยู่บ้านได้หนึ่งวัน เช้าวันต่อมาเบื้องบนก็ประทานเขากลับมาหาผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

นับแต่วินาทีแรกที่เจอเขาอีกครั้ง ผมก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ผมจะไม่ปล่อยเขาไปอีก ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ฟ้าจะต้องอยู่ในที่ที่ผมมองเห็นและเป็นที่พึ่งให้เขาได้




แก๊ก!

ผมสะดุ้งตื่นหลังจากที่ได้ยินเสียงเปิดประตู ไฟจากหน้าประตูห้องสาดเข้ามาเล็กน้อย ผมลืมตามองความเคลื่อนไหวในห้องด้วยความมึนงง เพราะเพิ่งจะหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง มีคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าห้องผมในเวลานี้

...ฟ้า...

แต่เด็กคนนี้บาดเจ็บเพราะถูกแทง พอตั้งสติได้เท่านั้น ผมก็ดีดตัวลุกขึ้นทันที ก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำ ที่ๆฟ้าจะเริ่มทำงานเป็นจุดแรก

“ทำอะไร”

“อ๊ะ คุณตรี ตื่นแล้วเหรอครับ”

ผมมองหน้าฟ้า ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูนาฬิกาดิจิตอลภายในห้องที่บอกเวลาตีห้าครึ่ง ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ฟ้าจะมาปลุกผมตอนตีห้า วันนี้ช้ากว่าเดิมครึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้คิดจะว่าอะไร เพราะใจจริงผมไม่ได้อยากให้ฟ้าลุกขึ้นมาทำหน้าที่อะไรทั้งๆที่บาดแผลยังไม่ทันหายดี

“ทำไมไม่นอนพัก” ผมยืนเท้าเอวถาม ฟ้าไม่ยอมมองผมเต็มสายตา ผมสังเกตดูหลายครั้ง ฟ้ามักจะหลบสายตาทุกครั้งเวลาที่ผมไม่ได้ใส่เสื้อ ผู้หญิงก็ไม่ใช่ ทำไมต้องทำเหมือนอายไม่กล้ามอง ผมว่าร่างกายผมก็ดูดีไม่น้อยนะ ผมเต็มใจโชว์ ทำไมเขาไม่เต็มใจมอง

“ผมนอนมาทั้งคืนแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่ได้ทำงานมาสี่วันแล้วนะครับ ยังไงวันนี้ก็ต้องทำ”

“ฉันอยากให้นายพักจนกว่าจะถึงวันไปตัดไหม” ผมบอกอย่างที่ใจคิด แต่ฟ้ากลับส่ายหน้า แล้วคว้าเอาตะกร้าผ้าขนหนูที่ผมใช้แล้วไปถือไว้

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมไม่สบายใจแต่คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะทำเท่าที่ตัวเองไหว”

ผมยืนชั่งใจ ถึงอยากจะค้าน แต่ฟ้าก็คงไม่ยอม เด็กคนนี้ดื้อ ดื้อจนบางทีอยากจะจับมาตีสักทีสองที แต่ก็ทำได้แค่คิด ผมไม่กล้าพอที่จะตีเขาหรอก

“อืม”

“คุณตรีใช้ห้องน้ำได้เลยนะครับ ผมจะลงไปเตรียมห้องฟิตเนสให้ อ่อ วันนี้คุณตรีจะไปทำงานที่บริษัทไหมครับ”

ฟ้าทำหน้าเหมือนลำบากใจ ก็แน่ล่ะ ช่วงที่ฟ้านอนโรงพยาบาลจนกระทั่งเมื่อวานที่ผมพาเขาไปขนของที่หอพักเพื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านของผมเต็มตัว ผมก็ยังไม่ได้เข้าบริษัทเลย พวกงานเอกสารที่ต้องเซ็นผมก็ให้คนขับรถขับเอาจากที่บริษัทมา เอกสารอะไรที่แค่ต้องอ่านก็ให้เลขาสแกนส่งมาให้ทางอีเมล

“อย่าหยุดงานเลยนะครับ”

“ฉันก็ไม่ได้จะหยุด”

“แต่คุณตรีไม่ยอมไปประชุมเพราะผม คือ ผมไม่ได้อยากจะแอบฟังตอนที่คุณตรีคุยกับน้าภาพเมื่อวานนะครับ แต่ผมอยู่ได้ หมอให้กลับบ้านแล้วก็หมายความว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

“...” ผมกำลังคิดว่า จะเอายังไงดี มันก็จริงอย่างที่ฟ้าว่า ผมอาจจะเป็นห่วงฟ้าเกินไป แต่จะมีใครรู้ความรู้สึกของผมในวินาทีที่เห็นฟ้านอนจมกองเลือดอยู่กลางถนนต่อหน้าต่อตาบ้าง เหมือนกับว่าผมถูกกระชากลมหายใจออกไป มันหายใจไม่ออก มันตื้อไปหมด

ถ้าฟ้าจากไป...สิ่งที่ผมทำมาและกำลังจะทำต่อจากนี้มันจะมีความหมายอะไร

ว่ากันว่าคนเราจะรู้ใจตัวเองเมื่อสิ่งนั้นกำลังจะหายไปจากชีวิตเรา ตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่าฟ้าเป็นคนที่พิเศษในชีวิตผม และผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นอีก

“โอเค ฉันจะไปทำงาน แต่นายก็ต้องสัญญาว่าจะไม่ทำงานหนักจนเกินไป ถ้าหากว่าแผลนายอักเสบขึ้นมาก่อนที่จะถึงวันนัดตัดไหม นายโดนฉันทำโทษแน่”

“สัญญาเลยครับ” ฟ้ายิ้มกว้างอย่างสดใส ผมชอบรอยยิ้มของฟ้า เหมือนยารักษาให้ผมไม่ต้องเจ็บปวด

“เย็นนี้ฉันจะกลับมาล้างแผลให้ ฉันดูออกแน่ๆว่านายทำตามสัญญาหรือเปล่า” ผมมองอย่างคาดโทษ

“รับทราบครับผม” ฟ้าทำหน้าและเสียงขึงขัง

ผมยกยิ้มมุมปาก แล้วเริ่มจัดการตัวเองหลังจากที่ฟ้าออกไปจากห้องนอน ไหนๆวันนี้ก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติจริงๆ ผมเลยเร่งรัดเวลาแล้วออกจากบ้านเร็วกว่าเดิมเกือบครึ่งชั่วโมง

ตอนที่ผมมาถึงที่ทำงานซึ่งเป็นทั้งออฟฟิศและเป็นทั้งร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ในตึกเดียวกัน เลขาของผมยังมาไม่ถึง ผมเริ่มเคลียร์งานในช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาที่ออฟฟิศแล้วก็เตรียมอ่านเอกสารสำหรับการประชุมในช่วงเช้า

“อ้าวคุณตรี วันนี้มาไวจังเลยนะคะ” คุณเอิงทักราวกับตกใจ

“ครับ ถ้าวันนี้ผมไม่มา คุณก็คงตามไปบ่นผมถึงที่บ้าน”

“ก็เอิงเป็นห่วง เดธไลน์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนะคะ คุณท่านก็ถามความคืบหน้ากับเอิงตลอด” คุณเอิงทำหน้าหนักใจ ซึ่งผมก็เข้าใจถึงเหตุผลนั้นดี

“เฮ้อ” ผมได้แต่ถอนหายใจ

“วันนี้น่าจะมีโปรเจคดีๆให้คุณตรีลองพิจารณานะคะ”

“เท่าที่ผมดู ยังไม่เห็นจะมีอันไหนเข้าท่า” ผมเปิดดูแฟ้มรายงานของแต่ละทีมที่นำเสนอโปรเจคกลางปี แต่มันก็เหมือนๆเดิม ที่ผมต้องการคืออะไรที่มันสะดุดตา

“แต่ยังไงภายในอาทิตย์หน้าคุณตรีก็ต้องเลือกแล้วนะคะ ว่าจะเอาโปรเจคไหน”

“ผมรู้ แต่คุณคิดว่าโปรเจคแต่ละอันที่จะนำเสนอในวันนี้ จะสามารถทำกำไรให้ผมได้จนหักลบกลบหนี้ที่ขาดทุนอย่างนั้นเหรอ คุณรู้ไหมว่ามันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”

“เอิงรู้ค่ะ คุณตรีคะ อันนี้ท่านประธานฝากมาให้ค่ะ” คุณเอิงส่งซองจดหมายให้ผม ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่ามันคืออะไร

“ยังไงผมก็ต้องไปใช่ไหม”

“ค่ะ”

ผมเปิดซองงานเลี้ยงดู งานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า งานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนรักของคุณแม่ มากกว่างานเลี้ยงวันเกิด เรื่องที่น้ำเน่าที่สุดก็คือพ่อแม่ผมอยากให้ผมคบหากับลูกสาวของเพื่อนตัวเอง เพราะครอบครัวนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับหินอ่อนและหินชนิดต่างๆ ขยายตลาดใหญ่โตครอบคลุมทั่วทั้งเอเชีย ถ้าได้ดองกับครอบครัวนี้ เอาธุรกิจสองธุรกิจมารวมกัน ก็จะมีแต่ได้กับได้ เพราะยังไงก็เป็นธุรกิจสองธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อกันโดยตรง

พ่อผมกดดันผมทุกทาง

“อืม เรื่องนั้นผมจัดการเอง คุณไปเตรียมตัวเถอะ อีกยี่สิบนาทีเจอกันที่ห้องประชุม” ผมบอก

“ได้ค่ะ”

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด หกโปรเจคที่นำเสนอในวันนี้ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยสักนิดเดียว แนวคิดซ้ำๆซากๆจำเจซะจนผมมองไม่ออกเลยว่า มันจะเป็นที่สนใจได้ยังไงหากนำออกมาวางขาย

และสุดท้ายก็เกิดการเถียงในที่ประชุมระหว่างผมกับกรรมการคนอื่น ผมได้แต่เดินหน้าตึงออกจากห้องประชุม เพราะผมเป็นแค่เด็กจบใหม่ เป็นลูกเจ้าของบริษัทแล้วยังไงไม่มีใครเห็นหัวคุณอยู่แล้ว

“คุณตรีคะ ใจเย็นๆก่อนนะคะ”

ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง คุณเอิงไม่ได้ตามเข้ามาพูดอะไร เพราะในเวลานี้เขาคงรู้ว่าผมอยากอยู่คนเดียว

ผมนั่งทำงานไปเงียบๆสักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรมาก่อนจะกดรับ

“ว่าไง”

“ไม่ว่าไงเพื่อน”

“จะโทรมากวนฉันเหรอไงเจมส์ ถ้าไม่มีงานมีการทำก็อย่ามากวนคนอื่น” ผมว่าวันนี้ผมหงุดหงิดสุดๆเลยล่ะ

“ไม่ได้จะกวนสักหน่อย เย็นนี้ว่างไหม ไปหาอะไรกินกัน”

“ไม่ว่าง” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด

“เห้ย ได้ยังไง เลิกงานแล้วทำไมจะไม่ว่าง เมียก็ไม่มี บ้านก็อยู่คนเดียว”

“ไม่ได้อยู่คนเดียว” พูดไปแล้วก็นึกถึงใครอีกคน ไม่รู้ว่าป่านนี้ทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าแอบทำงานบ้านโดยไม่พักล่ะ

“ห๊ะ อะไรคือไม่ได้อยู่คนเดียว”

“เห้อ ฟ้าไม่สบายอยู่ที่บ้าน” ผมตอบ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเจมส์มันก็ถามไม่หยุด ที่ไทยผมมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน คือทิศกับเจมส์ และคนที่พูดมากที่สุดก็คือเจมส์

“ใครคือฟ้า”

“จะรู้ให้ได้?”

“มันเป็นความลับมากหรือไง โรคชอบกั๊กนี่เลิกสักทีเถอะน่า นี่เพื่อนนะเว้ย”

“เด็กที่เคยเจอที่ร้านอาหาร” ผมตอบไปสั้นๆ แต่คำตอบของผมไม่เคยเพียงพอสำหรับเพื่อนที่ชอบสอดรู้สอดเห็น

“ไม่เคลียร์เลย แต่ไม่เป็นไร เด็กนายอยู่ที่บ้านใช่ไหม เจอกันตอนเย็นแล้วกัน”

“เจมส์ เฮ้ กูยังไม่ได้...”

สายถูกตัดไปแล้ว

ทำไมผมรู้สึกว่าชีวิตของผมมันวุ่นวายเหลือเกิน อยากกลับบ้านมันให้รู้แล้วรู้รอด อย่างน้อยที่นั่นก็มีรอยยิ้มที่ทำให้ผมหายเหนื่อย

หลังเลิกงานผมรีบตรงกลับบ้าน รู้สึกปวดหัวทุกวันจนต้องนอนหลับตาตลอดทาง ผมเป็นคนชอบความเป็นส่วนตัว แต่เพราะความเครียดทำให้ผมเลือกที่จะให้น้าภาพมาขับรถให้ เพื่อให้ชีวิตเหนื่อยน้อยลง

ทันทีที่ผมก้าวเท้าลงจากรถก็ได้ยินเสียงหัวเราะโวยวายกันอย่างสนุกสนาน ผมหลับตาแล้วสูดลมหายใจลึกเข้าปอด

ผมคิดไว้ว่าเจมส์กับทิศคงจะไม่ทำอย่างที่พูด และมันก็เป็นแค่สิ่งที่ผมคิดไปเองคนเดียว

“พวกมึงมาทำอะไรที่บ้านของกู บอกแล้วไงว่าไม่อนุญาต”

ผมรีบเดินเข้าไปหาฟ้า ที่กำลังยืนย่างอาหารทะเลแล้วของอย่างอื่น ผมมองสำรวจทั่วไปหน้า บนแก้มใสมีรอยดำเปื้อน ผมควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดออกให้ด้วยความไม่ชอบใจ

“ไอ้ทิศ ดูให้หน่อยสิว่ามีอะไรติดแก้มกูหรือเปล่า”

“เอ่อ คุณตรีครับ เดี๋ยวผมทำเอง”

“มายืนทำอะไรตรงนี้ พวกมันอยากกินก็ให้มันทำกินกันเอง” ผมบอกแล้วคว้าที่คีบอาหารมาถือ แต่ฟ้าก็แย่งกลับไป

“แต่มันเป็นหน้าที่ผม อีกอย่างแค่ยืนย่างเฉยๆเองครับ ไม่ได้ออกแรงอะไรเลย” ทำตาใสเข้าไปอีก ผมกราดมองเพื่อนตัวดีทั้งสองคนที่ยืนทำหน้าล้อเลียน

“แล้วเตาย่างใครเป็นคนยกมา”

“กูเองๆ รู้แล้วว่าน้องฟ้าโดนแทงมา ไม่ได้ใช้ให้ทำอะไรหนักๆหรอกน่า เลิกทำหน้ายักษ์ได้แล้วครับคุณตรี”

“ก็ดี คิดว่ามาวุ่นวายบ้านคนอื่นแล้วยังจะให้คนของเขาทำนู่นทำนี่ให้อีก”

“มึงนี่มันจริงๆเลยนะ” เจมส์ส่ายหน้าขำๆ

“ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปคุณชาย จะได้ลงมากินข้าว” ทิศบอกกับผม

“นั่นสิครับคุณตรี ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตาหน่อยนะครับ จะได้สดชื่น”

“มาช่วยฉันสิ” ผมดึงแขนฟ้าเข้าบ้าน ไม่สนใจเสียงผิวปากแซวของเพื่อนทั้งสองคน

ผมจับข้อมือของฟ้าแล้วพาเดินเข้าบ้าน ด้านนอกก็ปล่อยให้คนอื่นจัดการไป ผมพาฟ้าขึ้นมาที่ห้องนอนของผม วันนี้ผมเหนื่อยจริงๆจนอยากจะนอนพักมันซะเดี๋ยวนี้

“ให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ”

ผมนั่งลงที่โซฟาภายในห้องนอน รู้สึกปวดหัวและกระบอกตามาก

“สีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“ปวดหัว” ผมบอก ปรือตาขึ้นมองเด็กตรงหน้า ฟ้าผละไปที่ห้องน้ำก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าชุดน้ำ

“เช็ดหน้าหน่อยนะครับ เดี๋ยวลงไปทานข้าวและจะได้ทานยา”

“เช็ดให้หน่อย” ผมบอก พลางปลดเนคไทกับกระดุมคอเสื้อ ผมปลดยาวลงมาจบเกือบถึงช่วงหน้าท้อง เอนตัวพิงโซฟา ฟ้าเหมือนจะลังเล แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะทำ ผมยกยิ้มมุมปาก ผมรู้ว่าฟ้ากำลังเขิน

ถ้าจะถามผมว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อฟ้าเป็นแบบไหน ผมก็บอกเลยว่าผมชอบผมชอบคนๆนี้ ชอบรอยยิ้ม ชอบความสดใส ชอบการมองโลกในแง่ดีของฟ้า เขาดีที่เป็นแบบนี้ แต่มันก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยว่าจะถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ

“วันนี้ผมทำชามะนาวเอาไว้ให้ ดื่มแล้วน่าจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นนะครับ” ฟ้าใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดซับที่ตามใบหน้าให้ผมอย่างเบามือ

“ขอบใจนะ” ผมลืมตาแล้วก็จับมือฟ้าเอามาวางไว้ที่หน้าผากของผม

“ปวดหัวมากเหรอครับ”

“อืม ปวดมาก”

“ผมไม่รู้ว่าคุณตรีเครียดเรื่องอะไร แต่ขอให้แก้ปัญหาได้โดยเร็วนะครับ”

“ขอบใจนะ”

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมครับ จะได้ลงไปทานข้าวแล้วก็ทานยา”

“อืม ไปเลือกเสื้อผ้ามาให้หน่อยสิ ฉันว่าจะไปอาบน้ำเลย” ผมบอก รู้สึกตึงเครียดไปทั้งร่างกาย ผมอยากจะไปนวดผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่มีเวลา

ผมเข้าไปอาบน้ำไม่นาน ใช้เวลาเร็วกว่าทุกวันเพราะมีฟ้าและเพื่อนรออยู่ที่ด้านล่าง ออกมาก็พบกับชุดที่ฟ้าเลือกไว้ให้ เป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีน้ำตาลอ่อน กับเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อบางเบาใส่สบายตัว ผมยิ้มแล้วลงมือแต่งตัวก่อนจะลงไปข้างล่าง

เพลงจังหวะสนุกสนานถูกเปิดคลอไปกับช่วงบรรยากาศแดดร่มลมตก ฟ้าที่กำลังยืนหัวเราะกับเพื่อนของผมหันมาเห็นผมเข้าพอดี เขารีบวางที่คีบลงแล้ววิ่งเข้ามาในบ้าน ตรงไปทางห้องครัวก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำที่ใส่ชามะนาว

“ดื่มน้ำเย็นๆนะครับ จะได้สดชื่น”

“ขอบใจ”

ผมรับชามะนาวมาดื่ม รสชาติหอมหวานเย็นชื่นใจทำให้สดชื่นได้จริงๆ ผมชอบดื่มน้ำมีรสชาติ เพราะว่าเสพติดมาเป็นเวลานาน ความจริงจะเลิกก็ได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะทำมันเท่าไหร่ เพียงแต่ก็จะเลือกกินที่เป็นน้ำผลไม้คั้นสด หรือไม่ก็พวกที่ใช้ความหวานจากน้ำผึ้งหรือหญ้าหวานแทน แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ผมเสพติดไปแล้วยังไงก็ทำใจเลิกยาก

“คุณตรีออกไปนั่งทานข้าวกับเพื่อนๆเถอะครับ เดี๋ยวผมเตรียมยาให้”

“แล้วนายจะไม่กินข้าวหรือไง”

“ผมกินในครัวก็ได้ครับ”

“ไม่ได้” ผมพูดเน้นเสียงดุ แล้วใช้มือข้างที่ยังว่างคว้าแขนฟ้าให้เดินตามออกมา

“มาเร็วๆเลยเจ้าของบ้าน พวกกูหิวจะตายอยู่แล้ว”

“ก็กินกันไปสิ จะรอทำไม นั่งลงข้างฉัน บอกกี่รอบแล้วว่านายต้องนั่งร่วมโต๊ะกับฉัน”

“ครับๆๆ” ยังจะยิ้มหน้าทะเล้นอีก

ผมมองอาหารตรงหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหารทะเลย่าง ไก่บาร์บีคิว จำพวกของกินเล่น แต่ก็ยังมีจานข้าวผัดจานใหญ่วางอยู่ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าฟ้าเป็นคนทำ

ฟ้าหยิบทัพพีตักข้าวผัดใส่จานให้ผมสองทัพพี เขาเลื่อนถ้วยน้ำจิ้มมาให้ผมตรงหน้า เป็นน้ำจิ้มที่แตกต่างจากถ้วยอื่น

“ผมทำแยกให้ อันนี้ไม่เผ็ดมากครับ”

“ขอบใจ”

“ฟ้า อย่าไปเอาใจมันมากนัก เดี๋ยวก็เคยตัว” เจมส์พูด

“ไม่ได้หรอกครับ มันเป็นหน้าที่ผม” ฟ้าวางกุ้งเผาที่แกะเปลือกออกแล้วลงบนจานของผม

“ไม่ต้องดูแลฉันหรอก นายกินเถอะ”

แต่ถึงผมจะบอกอย่างนั้น แต่ฟ้าก็ยังคอยแกะกุ้งแกะปูวางให้ผมอย่างเนียนๆ เขาจะเว้นแกะให้ผมแล้วก็แกะกินเอง ผมถึงไม่ว่าอะไร เขาอยากทำผมก็ให้ทำ ในใจเต็มไปด้วยความอิ่มเอมที่มีดูแลเอาใจใส่แบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร แม้แต่คนในครอบครัว

“สรุปว่ายังไง กินอิ่มอารมณ์ดีแล้ว ก็ตอบคำถามเพื่อนได้แล้วนะครับคุณตรี”

พอทุกคนเริ่มอิ่ม การรับประทานอาหารก็เริ่มเชื่องช้าลง เหลือเพียงแค่นั่งจิบไวน์ขาวแก้มกับอาหารทะเลที่ยังเหลืออยู่ ฟ้าที่กินอิ่มก็ทยอยเอาจานเข้าไปล้าง โดยมีลูกมือเป็นทิศที่ผมสั่งให้ยกจานเข้าไปให้ เพราะไม่อยากให้ฟ้าออกแรงยกของ

“คำถามอะไร” ผมทำเป็นไม่รู้ว่าเพื่อนอยากรู้เรื่องอะไร

“ทำไมเด็กคนนั้นถึงมาอยู่กับมึงที่บ้านหลังนี้ได้ จำได้ว่าเจอกันที่ร้านอาหาร ทำไมวะ ติดใจถึงขนาดไปเอามาทำงานที่บ้านด้วยเลยเหรอ”

“...” ผมนั่งฟังเจมส์ตั้งคำถามใส่ผมเงียบๆ เบนสายตามองเข้าไปในบ้าน ผมสร้างบ้านให้เป็นกระจกโปร่งรอบตัวบ้าน แต่สามารถกดปิดเพื่อให้มันเป็นกระจกทึบได้หากต้องการความเป็นส่วนตัว

“หรือว่ามึงกับเด็กคนนั้นมีอะไรกัน”

“บ้าหรือไง คิดได้ยังไง” ผมถลึงตาใส่เพื่อนที่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เกิดฟ้ามาได้ยินจะทำยังไง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะทำหรอกนะ แต่ตอนนี้มันยังทำไม่ได้ต่างหาก

บ้าจริง เห้อ

“กูรู้รสนิยมทางเพศของมึงดีวะตรี อย่ามาเล่นลิ้น”

ดูมันพูด ถ้าผมจะเล่นลิ้นผมไม่เล่นกับมันหรอก จะอ้วก กับคนในบ้านก็ว่าไปอย่าง

“ยังไม่ได้มีอะไรกัน” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“อ่อ ยังไม่ถึงขั้นนั้นสินะ” เจมส์ยิ้มมุมปากล้อเลียน

“อืม”

“แล้วยังไง คือเด็กเขาก็มีใจให้หรือเปล่า” เจมส์โน้มตัวเข้ามากระซิบกระซาบ สายตาก็เหล่มองเข้าไปในบ้านเป็นระยะๆ ผมเองก็เผลอมองตาม

“ไม่รู้ ไม่ได้คาดหวังอะไร แค่อยากช่วยเหลือ กูรู้จักฟ้าตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่หก ฟ้ามาสมัครงานเป็นพ่อบ้านที่บ้าน อยู่ตัวคนเดียวไม่มีครอบครัว หางานทำส่งตัวเองเรียน พอกลับมาอีกครั้งกูก็เลยให้ฟ้ากลับมาช่วยงาน” ผมเล่าคร่าวๆ เลือกที่จะไม่บอกความจริงบางอย่าง
ความจริงที่ว่าผมรู้ว่าฟ้าก็อาจจะรู้สึกดีกับผม แต่ไม่บอกพวกมันหรอกครับ เดี๋ยวมันเอาไปแกล้งเด็ก แล้วคนที่จะซวยก็คือผม
“พรหมลิขิตเหรอวะ ห่างกันไปตั้งสี่ปีเนี่ยนะ”

“บ้านกูอยู่ในซอยนี้ ฟ้าก็อาศัยอยู่ในซอยนี้ มันมีอะไรที่เรียกว่าพรหมลิขิต”

“ก็พูดไปอย่างนั้น แล้วสรุปคือชอบไหม”

“จะถามไปทำไม”

“ก็อยากรู้”

“มึงคิดว่าไงล่ะ” ผมไม่ตอบ โยนกลับไปหันคนตั้งคำถามตอบเอง ซึ่งเพื่อนกันก็ดูกันออกครับ มันถึงได้ยิ้มกริ่มว่ารู้ทันผม

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่วะ” เสียงของทิศดังขัดบทสนทนาของผมกับเจมส์ ทำให้ต้องรีบหันไปดูว่าฟ้าตามมาด้วยหรือเปล่า แต่ไม่มี จึงทำให้ผมโล่งใจได้ว่าความลับยังไม่ได้ถูกเปิดเผย

“ไม่มีอะไร” ผมบอกปัด คนยิ่งรู้เยอะก็ยิ่งมากเรื่องมากความ

“ขนมหวานมาแล้วครับ” เสียงใสดังมาตามสายลม ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปแย่งถาดขนมหวานมาถือเอง พร้อมทั้งส่งสายตาดุดันไปให้เพื่อนที่เดินออกมาตัวเปล่า แทนที่จะช่วยคนบาดเจ็บถือถาดออกมา

“ไม่ต้องมองหน้ากูด้วยสายตาแบบนั้น น้องฟ้าเขาไม่ยอม บอกไม่หนักจะยกเอง”

“ไม่หนักจริงๆนะครับคุณตรี”

มันไม่หนักจริงๆนั่นแหละ แต่ผมไม่วางใจเท่าไหร่

ขนมที่ฟ้ายกมาเป็นสละลอยแก้ว ผมมองขนมสลับกับฟ้า ไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้เป็น แต่เหมือนฟ้าจะเข้าใจความคิดของผม เขาหัวเราะเบาๆพลางส่ายหน้า

“ผมไม่ได้เป็นคนทำหรอกครับ เพื่อนคุณตรีเขาซื้อมา ผมแค่แกะใส่ถ้วยเท่านั้น”

“อืม”

“คุณตรีครับ ทานของหวานเสร็จแล้วก็ทานยาด้วยนะครับ” ฟ้าส่งถ้วยยาถ้วยเล็กให้ผม เป็นยาแก้ปวดหัวที่ผมทานเป็นประจำ

“ขอบใจ”

“ปวดหัวอีกแล้วเหรอไง”

“ก็น่าจะชินได้แล้ว ชีวิตคุณชายเขามีวันไหนที่ไม่ปวดหัวด้วยเหรอ”

“แล้วเรื่องงานเป็นไงบ้าง ได้ตามเป้าของท่านคุณพ่อหรือยัง”

พอเพื่อนๆของผมถามเรื่องงาน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ยังไม่มีโปรเจคไหนได้เรื่องสักอัน”

“ปกติสินค้าใหม่กลางปีจะออกช่วงมิถุนายนไม่ใช่เหรอ นี่มีนาคมแล้วนะกูคิดว่ามึงเลือกโปรเจคสำหรับกลางปีนี้ได้แล้วซะอีก”

“คิดว่าที่กูเข้าไปทำมันราบรื่นหรือยังไง คนเก่าของพ่ออยู่เต็มบริษัทไปหมด คอยแต่จะแย้งและตรวจสอบว่ากูทำงานได้ไหม”

“เอาน่า นี่เป็นหนทางพิสูจน์ตัวเอง ยังไงรางวัลที่ได้มันก็คุ้มไม่ใช่หรือยังไง”

มันก็จริงอย่างที่ทิศว่า เดิมพันระหว่างผมกับพ่อ ถ้าผมชนะ ชีวิตของผมหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียที เพราะว่าผมไม่ชอบผู้หญิง และผมไม่เคยคิดจะปิดบัง เพราะความดื้อรั้นที่ผมมีทำให้ผมกล้าที่จะบอกกับที่บ้าน สุดท้ายผมก็โดนต่อต้าน และถูกลงโทษในหลายๆอย่าง การไปเรียนต่อต่างประเทศก็ส่วนหนึ่ง และการที่ผมได้รับคำสั่งให้กลับมาบริหารบริษัทขายเฟอร์นิเจอร์ที่กำลังขาดทุนอย่างหนักก็อีกส่วนหนึ่ง




‘แกจะไม่ใช้ชีวิตตามแบบที่ฉันขีดไว้ให้ แกก็ต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าแกมีความสามารถที่จะปีกกล้าขาแข็ง เข้าไปบริหารงานที่ King’s Luxury’

‘แต่ที่นั่นกำลังจะเจ๊ง’

‘ใช่ ในเมื่อแกบอกว่าแกโตพอที่จะคิดตัดสินใจดูแลชีวิตของตัวเองโดยไม่ฟังคำพูดของพ่อแม่ ก็แสดงให้เห็นสิว่าเป็นอย่างที่พูด เพราะถ้าทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าแกยังไม่เก่งพอที่จะเรียกร้อง’

‘แล้วถ้าผมทำได้’

‘พวกฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับการตัดสินใจในการใช้ชีวิตของแกอีก’

‘ตกลง ผมจะทำให้พ่อเห็นว่าผมดูแลตัวเองได้’



“ทำหน้าสนใจขนาดนั้นเลยหรือไงน้องฟ้า”

ผมหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของเจมส์

“แหะๆ ผมแค่งงน่ะครับ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ” ฟ้ายิ้มแหะๆเหมือนเด็กทำความผิดแล้วโดนจับได้ ผมไม่เคยพูดถึงปัญหาของผมให้ฟ้าฟัง ผมเป็นคนก่อ ผมไม่อยากให้เข้าต้องมารับรู้ไปด้วย อีกอย่างเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมไม่อยากเอาความมืดมนเข้าไปในชีวิตของฟ้า

“ฟ้าต้องดูแลเพื่อนพี่ดีๆล่ะ ช่วงนี้มันจะเครียดมากหน่อย ต้องออกไลน์สินค้าให้ได้กำไรเยอะ ไม่งั้นบริษัทมันเจ๊งแน่” ยังคงเป็นเจมส์ที่พูดเหมือนปากไม่มีหูรูด

“ฮึ่ม อย่าพูดมาก”

“ทำไมเจ๊งละครับ ผมว่าเฟอร์นิเจอร์ก็สวยดีน่าใช้ น่าจะขายได้อยู่แล้ว”

“หลายๆปัจจัยน่ะ” ผมตอบอ้อมแอ้ม หลบดวงตากลมใสที่มองผมด้วยความเป็นห่วง

“คุณตรีเก่งอยู่แล้วครับ ผมเชื่อว่ายังไงคุณตรีก็ต้องทำได้” แต่ครู่เดียวฟ้าก็กลับมายิ้มแย้มแล้วพูดให้กำลังใจผม

เป็นเด็กคนนี้อีกแล้ว ที่ไม่ว่ายังไงก็ชมว่าผมเก่งเสมอ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมไม่ได้เก่งอย่างที่เขาคิด แต่ผมจะทำให้ตัวเองเก่งอย่างที่คิดให้ได้


 :L2: :bye2:





ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่15
อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข ผมจะทำให้ทั้งหมด



‘ฟ้าต้องดูแลเพื่อนพี่ดีๆล่ะ ช่วงนี้มันจะเครียดมากหน่อย ต้องออกไลน์สินค้าให้ได้กำไรเยอะ ไม่งั้นบริษัทมันเจ๊งแน่’



ผมได้แต่คิดไม่ตกกับคำพูดของเพื่อนคุณตรี หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองวัน คุณตรีดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แถมยังทำงานจนหามรุ่งหามค่ำ เมื่อคืนก็นอนเกือบตีสามได้ ที่ผมรู้เพราะว่าลงไปดื่มน้ำแล้วเห็นคุณตรีออกมาจากห้องทำงาน

ผมอยากช่วยแบ่งเบาภาระคุณตรีได้มากกว่านี้ ผมพยายามดูแลทุกอย่าง เรื่องงานในบ้านผมทำให้สะอาดและหอมอยู่เสมอ ผมส่งข้อความคุยกับน้ากุ้งก็ได้เคล็ดลับเกี่ยวกับงานบ้านมากมายที่จะทำให้คุณตรีชอบใจ

เรื่องค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่างๆคุณตรีให้เป็นเงินสดเอาไว้อาทิตย์ละสามพันบาท อาทิตย์หนึ่งผมใช้ไม่เคยหมดเพราะค่ากับข้าวของคุณตรีที่พ่วงผมเข้าไปอีกคนมันไม่ได้ต้องใช้ปริมาณข้าวของอะไรมากมาย ผมเคยคืนเงินคุณตรีแต่คุณตรีก็ไม่รับคืน ผมก็ได้แต่เก็บหยอดกระปุกเอาไว้ ซึ่งมันไม่ใช่กระปุกหรอก มันเป็นขวดโหลใส่คุกกี้ที่คุณตรีแวะซื้อมาก่อนเข้าบ้าน พอขนมหมดผมก็เลยเก็บขวดโหลไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อ

ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมานั้น สองวันมานี้ผมพยายามคิดว่าจะทำยังไงที่จะช่วยให้คุณตรีอารมณ์ดีและมีความสุขมากขึ้น ผมพยายามที่จะฝึกทำอาหารให้ได้หลายอย่างมากยิ่งขึ้น จดรายการเมนูอาหารที่คุณตรีชอบทานจากข้อมูลที่น้ากุ้งได้ให้มา

นอกจากบะหมี่แล้วก็ยังมีผัดไทยที่คุณตรีชอบกิน ในตลาดมีเจ้าเด็ดเจ้าดังอยู่ รสชาติอร่อยมาก แต่ผมไปกินไม่บ่อยนักเพราะราคาค่อนข้างสูง ห่อหนึ่งหกสิบบาท ถ้าเป็นผัดไทยทะเลรวมก็แปดสิบ ราคาแพงกว่าเจ้าอื่นแต่รสชาติก็อร่อยกว่าเจ้าอื่น ต้องเป็นช่วงที่พิเศษจริงๆผมถึงจะซื้อมากินเพื่อเป็นการให้กำลังใจตัวเอง

วันนี้ผมก็เลยออกมาซื้อผัดไทยให้คุณตรีกินเป็นมื้อเย็น ตอนออกมาจากซอยเจอไอ้แจ๊คกำลังเดินสะลึมสะลือออกมาหาข้าวกินเช่นกัน ก็เลยเดินคุยเล่นกันมาจนถึงตลาด

 “มึงดูอิ่มเอิบขึ้นนะฟ้า ไปทำงานกับพี่คนนั้นมีความสุขดีจนกูอิจฉา”

“กินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดไหม” ผมว่าอย่างไม่จริงจังนัก แจ็ครีบกลืนลูกชิ้นทอด ของผมก็มีหนึ่งถุงในมือ เพราะร้านขายผัดไทยยังตั้งร้านไม่เสร็จ ก็เลยหาอะไรกินเล่นระหว่างรอ

“แหมะ พอไปทำงานได้ดิบได้ดี ก็ทำตัวเป็นผู้ดีเลยนะ”

“มึงโดนบ่นเรื่องนี้ตั้งแต่กูยังไม่เป็นผู้ดีนะ”

“ฮ่าๆๆ เออ มึงนี่นิสัยไม่เหมือนเด็กที่โตมาจากสลัม มีมารยาทผิดปกติ”

“กูแค่รับแต่สิ่งดีๆให้ชีวิต เวลาไปทำงานผู้ใหญ่เขาก็จะได้รักได้เอ็นดู”

“กูถึงได้โดนเฮียชาร์ปแกด่าทุกวันไง แกยังบ่นคิดถึงมึงเลยนะฟ้า ว่าขาดคนทำงานดีๆไปทั้งคน”

พูดถึงเฮียชาร์ปแล้ว ช่วงนี้ผมไม่ได้แวะเข้าไปหาแกเลย สงสัยต้องหาเวลาไปหาแกบ้าง ที่ผ่านเฮียแกดีกับผมจนพนักงานบางคนเอาผมไปว่าว่าเป็นลูกรัก

“ว่าแต่ เป็นไงมาไงมึงถึงไปทำงานกับพี่เขาได้ว่ะ เขาดูไม่ได้อายุเยอะ น่าจะห่างจากเราแค่ไม่กี่ปี”

“หนึ่งปี”

“ห๊ะ อายุแค่ยี่สิบสองเองเหรอวะ” แจ๊คมันทำหน้าตกใจ

“อืม”

“แต่มีเงินมาจ้างมึงเดือนเป็นหมื่นๆเนี่ยนะ เขาทำงานอะไรวะ หรือว่าบ้านรวยแต่กำเนิด ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ” แจ็คคิดไปต่างๆนานา

“คุณตรีเขามีธุรกิจเป็นของตัวเอง ที่บ้านก็น่าจะรวยด้วยแหละ แต่เห็นว่าช่วงนี้ธุรกิจคุณตรีมีปัญหา”

“เรื่องธรรมดาแหละ ช่วงนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยจะดี มันก็ต้องมีปัญหาบ้าง แล้วมึงจะทำหน้าหนักอกหนักใจไปทำไม”

“กูอยากช่วยเขาได้บ้าง แต่เรื่องงานเขากูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่”

“เขาทำธุรกิจอะไร”

“ขายเฟอร์นิเจอร์”

“อ่อ อืม” แจ๊คมันทำหน้าครุ่นคิด แต่ผมคิดว่าสมองอย่างมันคิดอะไรไม่ได้ออกหรอก ทำอือๆออๆไปอย่างนั้น

พอดีกับที่ร้านผัดไทยตั้งร้านเสร็จ ผมก็ได้เป็นคิวแรก ผมสั่งผัดไทยสามห่อ เอาไปเผื่อไว้ถ้าคุณตรีกินห่อหนึ่งแล้วไม่อิ่ม ผมเคยมีบทเรียนครั้งหนึ่งที่ซื้อราดหน้าไปสองถุงแต่ดันไม่พอ คุณตรีอยากกินแล้วผมทำไม่เป็น เลยต้องไปซื้อ ใครจะรู้ว่าคุณตรีชอบกินถุงเดียวไม่อิ่ม วันนั้นผมก็อาสาจะออกไปซื้อให้อีก แต่คุณตรีก็ไม่ยอม ครั้งนี้ผมเลยจะไม่ให้พลาดเหมือนครั้งก่อน

“แจ็ค กูจ่ายให้นะ” ผมบอกตอนที่กำลังจะจ่ายเงินทั้งของผมและของแจ็ค

“เห้ย ได้ไง เอาเงินเจ้านายมึงจ่ายเดี๋ยวเขาก็ว่าเอา” ดูมันคิดสิ ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง

“กูใช้เงินกูสิ ค่าเช่าห้องก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว กินกูกินกับคุณตรีเขา เดือนๆหนึ่งกูแทบไม่ต้องใช้จ่ายอะไร ถือว่ากูเลี้ยงแล้วกัน”

“เป็นมึงนี่ดีจริงๆ เออๆ ขอบใจนะ”

“อืม ช่วยๆกัน มึงก็ต้องเลี้ยงแม่เลี้ยงน้อง กูบอกให้เรียนต่อมึงก็ไม่เอา”

“กูจะเอาเงินเอาเวลาไหนไปเรียน บางทีกูก็แอบคิดนะ ว่าถ้ากูตัวคนเดียวก็คงใช้ชีวิตง่ายๆเหมือนมึง”

“ไอ้แจ๊ค!” ผมตวาดที่มันพูดแบบนั้น ทำไมถึงคิดเหมือนกับว่าคนที่บ้านเป็นภาระ ผมเตรียมจะด่ามัน แต่ว่ามันรีบเอามือมาปิดปากผม

“เออ ไม่ต้องด่ากู กูรู้เลยว่ามึงจะด่ากูว่าอะไร กูเลว แต่มันก็เป็นความคิดที่แวบเข้ามาตอนกูเหนื่อยกูท้อมากๆ แต่กูรักแม่และน้องของกูมาก กูไม่ทิ้งคนในครอบครัวกูหรอก” มันพูดจบก็ปล่อยมือออกจากปากผม

“มึงโชคดีที่ยังมีคนในครอบครัวมีบ้านให้กลับ อย่าเป็นอย่างกูเลย ที่หันไปข้างหลังแล้วไม่มีใครสักคน”

“มึงอย่าเศร้าดิ กูขอโทษ” มันทำหน้าสำนึกผิด

“ขอโทษกูทำไมกูโอเค” ผมทำใจได้นานแล้วที่จะต้องอยู่คนเดียว ถึงลุงจะไม่ได้อยู่กับผม แต่ผมก็เชื่อว่าลุงกำลังมองดูผมอยู่ เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่กล้าจะทำตัวไม่ดีเลย กลัวลุงมองลงมาแล้วจะเสียใจ

“ถ้ามึงมีปัญหาอะไรก็บอกกูนะแจ๊ค กูไปก่อน คุณตรีน่าจะใกล้ถึงบ้านแล้ว” ผมตัดบท เมื่อดูเวลาแล้วพบว่าจะห้าโมงครึ่งแล้ว

“เดี๋ยวๆวันอาทิตย์ว่างป่ะ ว่าจะชวนไปเดินตลาดเปิดท้ายตอนเย็น”

“อืม น่าจะได้มั้ง ไม่ใจ กูต้องขออนุญาตคุณตรีก่อน”

“ขอให้ได้นะ กูอยากไปเดินแต่ไม่มีเพื่อนไป”

“อืมๆ จะพยายาม ไงจะโทรบอก”

“ได้เลย ไว้เจอกัน”

ผมแยกกับแจ๊คที่ตลาด ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่ากลับบ้านของคุณตรี ผมขอคุณตรีเก็บรบคันนี้ไว้ คุณตรีเลยให้น้าภาพไปเอามาให้จากที่หอ ผมว่ามันสะดวกดีเวลาที่ออกมาซื้อของข้างนอก ก่อนจะเอามาส่งให้ที่บ้านคุณตรี น้าภาพเอามันไปเข้าร้านซ่อมทำนู่นทำนี้ โดยมีคุณตรีจ่ายให้ ผมโดนบ่นด้วยว่าไม่รู้จักระวังตรวจเช็กสภาพรถที่ขี่ เพราะเจอปัญหาหลายอย่าง ผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับคำดุไปอย่างไม่มีอะไรโต้เถียง

กลับมาถึงบ้านคุณตรีได้ไม่ถึงห้านาที เสียงรถยนต์ก็แล่นดังเข้ามาในรั้วบ้าน ผมรีบเดินไปจัดเตรียมน้ำส้มคั้นสดรินใส่แก้วแล้วเดินเอาไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่เดินหน้าเครียดเข้ามาในบ้าน

เขาเครียดอีกแล้ว ดูท่าว่าวันนี้งานก็คงจะไม่ราบรื่น

“วันนี้ทำอะไรกิน หิวมากเลย” คุณตรีทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟา เขารับน้ำส้มไปดื่มจนหมดแก้วรวดเดียว ก่อนจะเริ่มปลดกระดุมแขนเสื้อและเนคไท

“มีผัดไทยครับ เจ้าอร่อยในตลาด”

“ออกไปข้างนอกมาเหรอ” เขาหรี่ตามองผม

“ครับ แผลที่ท้องดีขึ้นมาแล้ว ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปแปบเดียวก็ถึง ในซอยนี้เองครับ ไม่ได้ไกลเลย” ผมสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมคุณตรีถึงได้ดูเป็นห่วงผมนัก แต่ผมก็รู้สึกดีมากกับความรู้สึกที่เขามีให้

“ดูแลตัวเองให้ดี”

“ครับ คุณตรีจะกินมื้อเย็นก่อนหรือจะขึ้นไปอาบน้ำก่อนครับ” วันนี้ถือเป็นวันแรกที่คุณตรีกลับมาแล้วบอกว่าหิว

“กินก่อนแล้วกัน”

“ครับ”

ผมเข้าครัวไปจัดมื้อเย็นใส่จากให้คุณตรี และเป็นไปตามคาด คุณตรีทานถึงสองห่อ ถือว่าครั้งนี้ผมทำการบ้านมาดี ไม่ปล่อยให้คุณตรีทานไม่อิ่มท้อง

จากนั้นคุณตรีก็แยกเข้าห้องนอนไปทำธุระส่วนตัว บอกว่าวันนี้จะทำงานต่อในห้องทำงาน พอผมย้ายมาอยู่กับคุณตรี ตารางการทำงานผมก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่ผมเลิกงานช่วงหกโมงหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ผมก็เหมือนกับทำงานตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะคุณตรีสั่งให้ทำ แต่ผมทำของผมเอง แม้ว่าคุณตรีจะย้ำว่าหลังหนึ่งทุ่ม ผมสามารถใช้เวลาส่วนตัวได้เลยโดยไม่ต้องมาดูแลงานบ้าน แต่ใครจะไปทำแบบนั้นได้ ผมมาอาศัยบ้านคุณตรีอยู่ กินอยู่ดีกว่าที่คนรับใช้ควรจะเป็น ถ้าไม่ได้หนักหนาทำได้ผมก็อยากจะทำ

สองทุ่มแล้วคุณตรียังคงอยู่ในห้องทำงาน ผมอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็ว่างจนรู้สึกเหงา ผมว่าชีวิตผมตอนนี้สบายจนเกินไป กลัวว่าจะเคยตัวเข้าสักวัน นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกคุณตรีเรื่องที่แจ็คช่วยผมไปเดินเที่ยวตลาดวันอาทิตย์ ถ้าไปบอกตอนนี้จะเป็นการรบกวนไหมนะ

ผมออกจากห้องนอนตัวเอง เดินไปที่ห้องทำงานของคุณตรีที่อยู่ติดกับห้องนอนของผม ผมเคาะประตูสองทีก่อนจะได้ยินเสียงคุณตรีเอ่ยอนุญาต

“ขอโทษที่รบกวนนะครับ” ผมบอกพลางสังเกตคุณตรีไปด้วย บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยแฟ้มงานมากมาย ไหนจะเศษกระดาษที่กระจัดกระจายเต็มโต๊ะ คุณตรีทำงานยุ่งทั้งกลางวันและกลางคืนจนผมคิดว่ามันมากเกินไปสำหรับเขาหรือเปล่า ยังไงพวกเราก็ถือว่าเป็นวัยรุ่นที่ควรได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่ต้องมาใช้ชีวิตเหมือนคนอายุสามสิบสี่สิบที่จมจ่ออยู่กับงาน

แต่ผมก็ได้แค่คิดละนะ ชีวิตคนเรามีภาระหน้าที่ที่ไม่เท่ากัน

“มีอะไรหรือเปล่าฟ้า” คุณตรีถาม เขาวางกระดาษในมือลง หมุนคอบิดซ้ายขวา เดาว่านาจะเมื่อยพอสมควร

“คุณตรีอยากได้ชาร้อนกับของว่างสักหน่อยไหมครับ” เดิมทีผมจะมาบอกเรื่องขอลาหยุดวันอาทิตย์ เป็นอันต้องละเอาไว้ก่อน แล้วเลือกที่จะดูแลเจ้านายของผมที่ตอนนี้ดูอ่อนล้าเต็มที

“อืม ก็ดีนะ ฉันรบกวนหรือเปล่า”

“ไม่ได้รบกวนเลยครับ ผมว่างมาก คุณตรีรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปทำมาให้”

“เดี๋ยวก่อน เอาถ้วยชามาสองถ้วยนะ ขอขนมเยอะหน่อย”

“ได้เลยครับ” ผมไม่ได้คิดอะไรมากกับคำขอ คิดว่าคุณตรีใช้พลังงานสมองไปค่อนข้างมาก น่าจะทำให้หิวบ่อยกว่าปกติ เพราะผมก็เป็นเวลาโหมอ่านหนังสือสอบ

ผมรีบลงไปจัดเตรียมชาร้อนและของว่างเป็นคุกกี้ธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพ ผมจดจำเอาจากยี่ห้อที่คุณตรีเคยซื้อมา แล้วก็เวลาไปซื้อของเขาบ้านผมก็พยายามเดินหาให้ได้ตามแบบที่คุณตรีชอบ งงบ้างหลงทิศหลงทางบ้าง แต่ผมว่ามันก็สนุกดี

เตรียมของไม่นานผมก็เอามาเสิร์ฟให้คุณตรี ถือว่าคิดไม่ผิดที่เข้ามาหาคุณตรีที่ห้องทำงาน ตอนนี้คุณตรีลุกออกจากกองเอกสารที่สูงเป็นภูเขา มานั่งจิบชาร้อนอยู่ตรงโต๊ะนั่งเล่น

“ฟ้า จุดเทียนหอมให้หน่อยสิ เลือกมากลิ่นหนึ่งตรงนั้น” คุณตรีชี้ไปที่ตู้ลิ้นชักสองชั้น ด้านบนมีถาดเหล็กเงาที่บรรจุแก้วเทียนหอมอยู่สี่แก้ว

“ให้ผมเลือกเหรอครับ” ผมไม่สันทัดเรื่องนี้ซะด้วย ชีวิตรู้จักแต่เทียนไขไหว้พระกับเทียนวันเกิด เทียนหอมพวกนี้เป็นพวกสิ่งของฟุ่มเฟือยสำหรับผม แต่สำหรับคุณตรีที่มีเงินมากพอ พวกกับความเครียดจากการทำงานที่มากตามไปด้วย ผมว่ามีของพวกนี้ไว้บรรเทาความเครียดก็ดูจะเข้าท่าอยู่ไม่น้อย

“ลองเปิดฝาแล้วดมดู”

ผมค่อยๆเดินไปดมเทียนหอมแต่ละอัน ชำเลืองตามองคุณตรีที่จ้องผมไม่วางตา จนผมทำหน้าไม่ถูก ดมจนครบสี่อันแล้วก็เลือกอันที่มีกลิ่นเย็นสบายคล้ายหมากฝรั่งรสมิ้นท์ ในถาดยังมีไม้ขีดกล่องสีดำ ชีวิตผมเคยเห็นแต่ไม้ขีดไฟตราพญานาค ไม่เคยเห็นไม้ขีดไฟที่กล่องสวยดูดีขนาดนี้

คุณตรีช่างเลือกใช้ของจริงๆ

“จุดเสร็จแล้วก็รบกวนหยิบแฟ้มสีน้ำตาลมาให้หน่อย แล้วนายมานั่งข้างๆฉันตรงนี้” ไม่พูดเปล่านะครับ มีการตบเบาะโซฟาข้างๆเข้าด้วย

ผมหยิบแฟ้มที่คุณตรีต้องการมาให้คุณตรี พร้อมกับนั่งลงข้างๆอย่างที่เขาบอก ผมนั่งเกร็งเล็กน้อยด้วยความเคยชิน กับคุณตรีไม่ว่าจะใกล้ชิดยังไงก็ไม่เคยชิน

คุณตรีรินชาใส่แก้วอีกใบที่ว่างแล้วยื่นมาตรงหน้าผม

“ดื่มด้วยกันสิ”

“ไม่ดีกว่าครับคุณตรี ผมไม่เคยดื่มอะไรแบบนี้” ผมรีบบอก แต่คุณตรีก็ไม่ยอมชักมือกลับ ทั้งยังจับมือผมให้ถือด้วยไว้อีก

“ไม่มีอะไรยากหรอกน่า อยู่กับฉันนายต้องพยายามปรับตัว นายเป็นผู้ช่วยฉันเรื่องแบบนี้ต้องเรียนรู้ไว้บ้าง เวลาใครไปใครมาจะได้ไม่เงอะงะ”

“อ่อ” ผมรับคำแบบงงๆ พลางคิดไปว่า ต่อให้มีแขกไปใครมาที่บ้านคุณตรี ผมก็ไม่คิดจะทำตัวเสมอเจ้านายอยู่แล้ว

“ดื่มสิ เดี๋ยวมันจะเย็น จะดื่มชาก็ต้องดื่มตอนร้อนๆ”

“ครับ” ผมลองจิบชาดู มีกลิ่นหอมหวานละมุน ดื่มแล้วรู้สึกชุ่มคอดี

ผมเลือกชาอะไรสักอย่างมา เป็นกล่องสีม่วง บนหน้ากล่องมีเป็นภาษาจีน ของพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ผมเลือกซื้อ เป็นคุณตรีที่ซื้อมา ผมก็สลับลงให้ไม่ได้ศึกษาอะไรมากนัก ถ้าเป็นของที่คุณตรีซื้อมา เลือกอันไหนคุณตรีก็ต้องชอบอยู่แล้ว

คุณตรีเริ่มเปิดแฟ้มดูอีกครั้ง มือขวาขายกถ้วยชาขึ้นจิบ ศีรษะของคุณตรีขยับหมุนซ้ายหมุนขวา ถ้าวันทั้งวันก้มหน้าอ่านเอกสารแบบนี้ตลอด เป็นผมผมก็คงปวดคอ

“ผมนวดให้ไหมครับ ที่ห้องผมมียานวดอยู่ แต่กลิ่นมันดูเป็นคุณตาไปสักหน่อย คุณตรีอยากลองไหมครับ แต่ว่าแก้ปวดกล้ามเนื้อดีเลยนะครับ” ผมลองเสนอดู

“เอาสิ”

ผมยิ้มให้ตัวเอง ผมดูแลคุณตรีแบบนี้ทุกวัน รู้สึกมีประโยชน์ที่ช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย

ผมนวดยาหม่องสมุนไพรให้คุณตรีในบริเวณช่วงบ่าและลำคอด้านหลัง ขนาดผมนวดไม่เป็นผมยังรู้สึกเลยว่ากล้ามเนื้อคุณตรีช่วงบ่าแข็งมาก ผมนวดไปเรื่อยๆ สายตาที่ไม่รู้จะจับจ้องที่ไหนเผลอมองแฟ้มงานในมือคุณตรีไปด้วย

บนกระดาษแต่ละแผ่นที่คุณตรีเปิดดูเป็นภาพออกแบบเฟอร์นิเจอร์แบบต่างๆ บางแผ่นเป็นภาพวาดดินสอระบายสี บางแผ่นเป็นภาพออกแบบเหมือนปริ้นออกมาจากคอมพิวเตอร์ หรือว่าภาพพวกนี้จะเป็นแบบเฟอร์นิเจอร์ที่คุณตรีเคยบ่นว่าไม่มีอะไรเข้าท่า แต่ผมมองว่ามันก็สวดดีนะ เหมือนที่ผมเห็นตามโฆษณาในทีวีหรือไม่ก็ในละครหลังข่าว

ผมนั่งมองคุณตรีดูงานไปด้วย มือก็บีบนวดไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ก่อนจะคิดได้ว่ายังไม่ได้พูดเรื่องที่อยากจะพูด

“คุณตรีครับ วันอาทิตย์นี้ ผมขอออกไปเที่ยวกับแจ็คได้ไหมครับ”

คุณตรีหยุดชะงักร่างกายไปสัมผัสได้ เขาเอียงคอหันมามองหน้าผม ทำให้ตอนนี้ระยะห่างของใบหน้าเราสองคนไม่ถึงคืบ

ใกล้เกินไปแล้ว

“จะไปซนที่ไหนอีก แผลยังไม่หายดีเลย” คุณตรีเอ็ด จากที่หันแค่คอ ตอนนี้หันมาทั้งตัวแล้ว ผมเลยต้องปล่อยมือออกจากบ่าแข็ง ลดตัวที่นั่งยืดบนเข่าลงไม่ให้ใบหน้าผมสูงกว่าคุณตรี

“แค่ไปเดินเล่นตลาดเปิดท้ายตอนเย็นครับ อยู่ใกล้ๆตรงถนนRนี่เอง”

คุณตรีเงียบไป ก่อนจะพยักหน้า

“เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” พูดจบก็หันกลับไปสนใจแฟ้มงานในมือต่อ

“คุณตรีไม่ต้องไปคอยดูแลผมหรอกครับ แผลผมไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

“ฉันต้องไปดูแลนายเหรอ  ถ้าฉันอยากไปเดินเล่นตลาดนั้นบ้างไม่ได้หรือยังไง”

เพล้ง!

ได้ยินเสียงของแตกไหมครับ ไม่ใช่แก้วชาแต่เป็นหน้าของผมเอง ก็จริงอย่างที่คุณตรีว่า ผมคิดไปได้ยังไงว่าคุณตรีจะไปดูแล แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ คุณตรีจะได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง

“ถ้าคุณตรีอยากไปก็ไปได้เลยครับ ที่ตลาดเปิดท้าย ของขายเยอะมาก ของกินอร่อยๆก็เยอะมาก ผมกับเพื่อนชอบเดินเล่นดูของแล้วก็หาอะไรกิน”

“อืม ช่วยแนะทำทีละกัน ฉันไม่ได้อยู่ที่ไทยมาสี่ปี ไม่ค่อยได้ไปเดินที่แบบนี้เท่าไหร่”

“ได้เลยครับ ผมจะเป็นไกด์ให้เอง”

“นวดต่อสิ กำลังสบาย”

“ครับๆ”

ผมจะบีบจะนวดจนกว่ากล้ามเนื้อของคุณตรีจะอ่อนตัวลงเลยคอยดู


ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld





ตลาดเปิดท้ายวันอาทิตย์เริ่มเปิดตั้งแต่ช่วงสี่โมงเย็น แต่จะคึกคักมากช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินหนึ่งทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน

คุณตรีขับรถพาผมและแจ็คมาที่ตลาดตามการบอกทางของผม แจ็คมันดูเกร็งๆเหมือนไม่ค่อยจะกล้าพูดกล้าคุยแบบปกติเพราะคุณตรีมาด้วย แต่ยังไงก็ไม่ได้หยุดความปากมากของมันได้

“ตรงนี้จะเป็นโซนอาหารครับ อยู่ด้านหน้าเลย ถัดไปจะเป็นพวกเสื้อผ้าและด้านในสุดจะเป็นพวกงานแฮนด์เมดมีพวกของตกแต่งบ้าน ผมว่าคุณตรีน่าจะลองเดินเข้าไปดูนะครับ มีของแต่งบ้านสวยๆเยอะเลย เผื่อว่าคุณตรีจะได้ไอเดียวเพิ่ม” ผมพูดแนะนำไปเรื่อยเปื่อย คุณตรีมองจ้องหน้าผมอย่างตั้งใจฟัง

“คุณตรีต้องลองเดินให้ทั่วครับ รับรองจะติดใจ” แจ็คสำทับอีกแรง

“ปกติฉันไม่ค่อยชอบมาเดินที่คนเยอะๆเท่าไหร่” คุณตรีมอง เขามองดูรอบตัวด้วยความสนใจ เรามาถึงตอนห้าโมง ร้านค้าก็เริ่มตั้งร้านมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

“จะเดินดูอะไรกันก่อนดี หรือว่าจะหาอะไรกินก่อน” แจ็คถาม มองผมกับคุณตรีสลับกันอย่างรอคำตอบ

“คุณตรีหิวไหมครับ หาอะไรกินก่อนไหม เดี๋ยวคนเยอะแล้วจะรอนาน”

“เดินไปกินไปก็ได้ ไม่ต้องนั่งหรอก ปกติก็ไม่ได้นั่งกินกันอยู่แล้วป่ะ” แจ็คพูดถึงสิ่งที่ผมและมันทำเป็นประจำเวลามา แต่วันนี้มีคุณตรีมาด้วย ผมก็ต้องดูความคิดเห็นของเขาก่อน

“คุณตรีว่ายังไงครับ ถ้าคุณตรีไม่ชอบเดินกิน ก็หาที่นั่งก็ได้นะครับ ตรงนู้นจะมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเป็นลานกว้างให้คนซื้อของไปนั่งกิน”

“ไม่เป็นไร เอาตามสบายเถอะ ฉันไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้น”

เหรอ...ผมอยากจะพูดคำนี้ดังๆ แต่ก็ได้แต่อมยิ้ม คุณตรีน่ะจอมเลือกจะตาย ถึงจะไม่ได้แสดงออกถึงความจุกจิก แต่เท่าที่ผมทำงานกับคุณตรีมาและจากคำบอกเล่าจากน้ากุ้ง คุณตรีนี่เรื่องเยอะใช่ได้ แต่ถ้าทำทุกอย่างถูกใจ คุณตรีก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมและแจ็คสนุกกับการเลือกซื้อของกิน บางอย่างก็ซื้อมาถุงเดียวแล้วก็แบ่งกันกิน คุณตรีก็ทานด้วยบ้างถ้ามีอันไหนที่เขาสนใจ ส่วนมากคุณตรีจะกินแต่ของจืดๆ อะไรที่เผ็ดหน่อยคุณตรีจะไม่กินเลย และมีอย่างหนึ่งที่คุณตรีดูจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะถึงกับเดินกลับไปซื้อเป็นรอบที่สอง ใครจะไปคิดว่าคุณตรีจะชอบกินไข่ปิ้งทรงเครื่อง

“ฟ้าทำแบบนี้เป็นไหม” คุณตรีกัดไข่ใบที่สี่เข้าปาก

“ทำไม่เป็นหรอกครับ ถ้าไข่ปิ้งธรรมดาก็ได้อยู่”

“หรอ แต่จริงๆกินมากมันก็ไม่ดีหรอก โซเดียมสูง แต่มันก็อร่อย”

“อร่อยก็ทานเยอะๆครับ” ผมยิ้มมีความสุขที่เห็นคุณตรีไม่เครียด

“ฉันไม่ใช่เด็ก” คุณตรีเล่ห์ตามองผม พลางแกะไข่อีกใบส่งมาให้ผมกิน

เรากินทั้งลูกชิ้น ทั้งปลาหมึกย่าง ไข่ปิ้งแล้วก็ยำรวมมิตรที่ซื้อใส่ถ้วยกระดาษแล้วเดินกินเอา พอคุณตรีไม่ได้ถือตัว แจ็คมันก็ชวนคุยนู่นนี่ไม่หยุดปาก คุณตรีเป็นฝ่ายฟังซะส่วนมาก

“กินเลอะ” คุณตรีชี้นิ้วมาที่ปากผม ผมแลบลิ้นเลียที่มุมปากเช็ดเอาคราบน้ำจิ้มลูกชิ้นทอดจนสะอาดเพราะมันมันไม่เหนียวที่มุมปากแล้ว แต่อยู่ๆนิ้วของคุณตรีก็เช็ดให้อีกรอบซ้ำตรงจุดเดิมที่ผมใช้ลิ้นเลีย

“คุณตรีครับ” ผมแทบจะร้องเสียงหลง แต่ก็ยังใช้เสียงที่เบา มองซ้ายมองขวาไม่มีใครสังเกต แจ็คเองก็เอาแต่เลือกกางเกงยีนส์มือสองเอาไปไว้ใส่ทำงาน

“ตกใจอะไร”

“ก็คุณตรีทำอะไรล่ะครับ มันสกปรกนะ” ผมใช้ลิ้นเลียมันก็ต้องมีน้ำลายผมติดแถวๆมุมปากนั่นแหละ แล้วคุณตรีใช้มือของเขาเช็ดที่ตรงนั้น เขาทำได้ยังไง

“สกปรกแล้วนายเลียทำไม”

“ก็มันปากผมนิ”

“แล้วปากนายสกปรก?”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ แต่มันมีน้ำลายผมไง คุณตรีไม่น่าเอามือมาเช็ด” ผมบ่นเสียงเบา คนรอบตัวเดินขวักไขว่ไปมา ผมและคุณตรีเลยต้องขยับมายืนชิดกันที่หน้าร้าน

“ฉันไม่ได้รังเกียจหรอกน่า คิดมาก” คุณตรีขยี้หัวผม

“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”

“หึ” คุณตรีก้มหน้าลงมาหัวเราะเบาๆใส่ผมเหมือนชอบใจ

“อยากได้อะไรไหม” คุณตรีถามผม

“ยังไม่รู้เลยครับ อยากเดินดูเรื่อยๆ คุณตรีเมื่อยหรือยังครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง คนเริ่มเยอะขึ้น ปากครั้งก็เห็นคุณตรีทำหน้าหงุดหงิดที่คนเดินมาเบียด ผมเห็นแล้วว่าเป็นพวกสาวๆที่ชอบเดินเข้ามาใกล้

“คุณตรีหล่อ สาวๆก็เลยอยากเข้าใกล้” ผมกระซิบบอก ไม่ว่าคุณตรีจะไปยืนหน้าร้านไหน ร้านนั้นจากไม่มีคนก็จะมีลูกค้าสาวๆแวะเวียนกันเข้ามาหยิบจับซื้อ

“แต่ฉันไม่ชอบ น่ารำคาญ”

“คุณตรีก็พูดตรงเกินไปครับ เดี๋ยวเขาได้ยิน”

“ช่างสิ ไปเถอะ เพื่อนนายซื้อของเสร็จแล้ว” คุณตรีทำท่าไม่ยี่หระ เขาโอบแขนรอบคอผมแล้วพาเดินออกจากร้าน ผมห่อตัวเองโดยอัตโนมัติ แจ็คมองมาที่ผมกับคุณตรีด้วยความสงสัย

“คุณตรีกลัวไอ้ฟ้ามันหลงหรือไงครับ” ดูมันพูดนะครับ ผมได้แต่ถลึงตาใส่มัน

“คงงั้น”

“อ้าว ทำไมคุณตรีเออออไปกับแจ๊คมันละครับ” แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะ เพียงแต่คุณตรีหัวเราะเบาๆ ส่วนไอ้แจ๊คมันหัวเราะล้อเลียนผม เพราะมันรู้ว่าผมชอบผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ที่ไม่รู้คือผมชอบคุณตรี

“คุณตรีเอาแขนออกเถอะครับ” ผมขอร้องเสียงเบา ใจผมรับไม่ไหว สั่นแรงจนรู้สึกได้

“กอดหน่อยไม่ได้เหรอ”

กอด...กอดหน่อยไม่ได้เหรอ

ให้ตายเถอะ ตอนนี้หูผมอื้อไปหมดแล้ว

“เดี๋ยวคนอื่นเขาเข้าใจผิดนะครับ” ผมอ้อมแอ้มไม่กล้ามองสบตาใครแล้วตอนนี้ ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ ปล่อยสายตาแบบไม่โฟกัสสิ่งใด

“เข้าใจผิดว่าอะไร” ตอนเขาพูด ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้กับใบหูของผมมากเสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ


‘เข้าใจว่าเราสองคนเป็นคู่เกย์’


“เปล่าครับ” ใครจะไปกล้าพูด

“หึหึ” แล้วทำไมต้องหัวเราะเจ้าเล่ห์แบบนั้น คุณตรีโยกตัวผมเบาๆเป็นการปลอบ แต่ก็ไม่ยอมปล่อย

เราเดินมาจนถึงโซนด้านใน ระหว่างทางผมได้เสื้อยืดลายการ์ตูนมาสองตัว คุณตรีเองก็ซื้อมาเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าคุณตรีเคยใช้ของตลาดนัดไหม เพราะเสื้อผ้าในตู้ของคุณตรีที่ผมสักเองหรือพวกชุดทำงานต้องนำไปส่งที่ร้านสักรีด ก็ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าเนื้อดีมียี่ห้อทั้งนั้น

“เฮ้ๆ ของแวะร้านนี้แปบนึง” แจ๊คกวักมือเรียกผมกับคุณตรีที่เดินตามหลัง

ร้านที่แจ๊คแวะเป็นร้านขายพวกหุ่นยนต์ ฟิกเกอร์ โมเดลตัวการ์ตูนต่างๆ มันชอบของพวกนี้ ชอบดูการ์ตูน ชอบเล่นเกม แต่ของเล่นพวกนี้ราคาค่อนข้างสูง ตัวละเป็นร้อยเป็นพันหรือแพงมากกว่านั้นก็มี เวลามาเดินเล่นที่นี่แจ๊คชอบเดินมาดูร้านนี้ประจำ

“ไปเดินดูอย่างอื่นกันก่อนก็ได้นะ ขออยู่ร้านนี้แปบนึง” แจ๊คมันแวะมาบ่อยจนพี่ที่ร้านจำมันได้ เหมือนกับว่าขอให้ดูได้จับๆลูบๆคลำๆก็พอแล้ว

“โอเค เดี๋ยวเดินกลับมาหา” ผมบอก ก่อนจะชักชวนคุณตรีให้เดินไปดูอย่างอื่น

ช่วงนี้เขารณรงค์ให้ใช้ถุงผ้ากัน ผมเดินเข้าไปดูร้านที่ขายถุงผ้าแล้วเลือกซื้อมาสองใบ ของผมหนึ่งใบและคุณตรีหนึ่งใบ คนออกเงินก็เป็นคุณตรี เพราะเขาไม่ยอมให้ผมออกเงินเลย ถ้าผมไปแอบแวบไปซื้อเอง

“ผมชอบมาเดินโซนนี้ ผมชอบพวกของแฮนด์เมค มันสวยเป็นเอกลักษณ์ดี”

“ก็ดูทำไม่น่ายาก”

ผมส่ายหน้า “ยากครับ ผมเคยลองเพนท์สีรองเท้าผ้าใบเอง ไม่สวยแบบที่เขาทำเลยครับ”

“ทำบ่อยๆเดี๋ยวทำได้”

“ตรงนั้นอะไร” คุณตรีชี้ชวนให้ผมดูร้านๆหนึ่ง ผมเองก็ไม่เคยเห็น น่าจะเป็นร้านมาเปิดใหม่”

“ไปดูกันไหมครับ”

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นร้านที่มาออกเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการทำจานถ้วยจากผักตบชวา เหมือนที่ผมเคยเห็นในข่าว

“ถ้วยจากใบผักตบชวาครับคุณตรี เอาไว้ใช้แทนพวกโฟมกับพลาสติก ลดขยะแล้วก็ลดโลกร้อน คุณตรีดูสิครับ คนให้ความสนใจกันเยอะมาก เดี๋ยวนี้หากใครทำอะไรที่เดี๋ยวกับเรื่องช่วยลดขยะ ลดการใช้พลังงาน คนก็จะให้ความสนใจแล้วก็สนับสนุน แบบว่าถ้าทำอะไรเพื่อเป็นการปกป้องโลกก็จะดูเท่ดูดี แต่จริงๆมันก็ดีแหละครับ ผมเคยดูวิดีโอในเฟสบุ๊คด้วยนะครับ ที่เขาไปเก็บขยะชายทะเลแล้วเอามาทำเป็นรองเท้า ดังไปทั่วโซเชียลเลยครับ พอดังคนก็แห่ไปช่วยเหลืออุดหนุน” ผมพูดเล่าไปเรื่อยตามสิ่งที่เคยรู้ได้ดูได้เห็นมา ผมเองก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ไปไหนมาไหนซื้อของก็ใช้ถุงผ้าเอา

“งั้นเหรอ” คุณตรียืนมองไปยังร้านค้าตรงหน้านิ่งงันเหมือนคนใช้ความคิด

จริงสิ ถ้าหากว่าคุณตรีทำเฟอร์นิเจอร์ที่มาจากของเหลือใช้ล่ะ คนอาจจะสนใจก็ได้ แต่ว่าจะใช้อะไรล่ะ ผมเองมันก็แค่กบในกะลา ความรู้ผมมีแค่หางอึ่ง อยู่ในโลกเล็กๆของตัวเองไม่ได้มีโอกาสออกไปดูโลกภายนอกเท่าไหร่ ผมจะพอช่วยอะไรได้บ้างไหมนะ

“คุณตรีคิดอะไรอยู่เหรอครับ” ผมลองถามดู เรายืนอยู่ตรงนี้มานานร่วมห้านาทีได้แล้ว คุณตรียืนมองด้วยความสนใจแต่ก็ไม่เดินเข้าไปดูใกล้ๆสักที

“กำลังคิดตามที่นายพูด”

“ที่ผมพูดเหรอครับ?”

“ใช่ นายว่าคนจะสนใจเหรอ ถ้าเราออกสินค้าจากสิ่งของพวกนี้ มันจะแค่เห่อไปเป็นพักๆหรือเปล่า” คุณตรีตั้งคำถามกับผม ผมก็คิดตามก่อนจะตอบ

“แต่มันก็ส่งผลดีต่อส่วนรวมนะครับ ถ้ากลายเป็นกระแสแล้วช่วงแรกๆคนก็คงให้ความสนใจเยอะ หลังจากนั้นอาจจะน้อยลงหน่อย อืม แต่ก็ยังถือว่าขายได้ใช่ไหมล่ะครับ”

“นั่นสินะ ฉันว่าฉันได้ไอเดียวแล้วละ แต่นายต้องช่วยฉันนะฟ้า”

“ห๊า ผมน่ะเหรอครับ ผมจะช่วยคุณตรีได้ยังไง ผมไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจอะไรเลย” ผมรีบแย้ง

“ช่วยสิ แค่นี้ก็ช่วยฉันได้มากแล้ว นายเป็นผู้ช่วยฉัน ต่อไปนายจะไม่ช่วยฉันหรือไง”

ทำไมผมฟังคุณตรีพูดแล้วผมงง

“สนใจไหม มาเป็นผู้ช่วยฉันทำโปรเจคนี้ ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้” ดูสิ่งที่คุณเขาเสนอมาสิครับ ผมอยากจะกลอกตามองบนเสียให้ได้

“ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่เรื่องเงินผมไม่เอานะครับ ถ้าคุณตรีให้ผมไม่ช่วยจริงๆด้วย”

“เดี๋ยวนี้กล้าต่อรองนะ”

“ผมพูดจริงนะครับ” ผมทำหน้านิ่งพูดเสียงเข้มให้ดูว่าผมจริงจัง

“ฮึ ก็ได้ แต่ฝากเอาไว้อย่างนะฟ้า”

ผมตั้งใจฟังในสิ่งที่คุณตรีจะพูด

“คราวหลังอย่าทำหน้าแบบนี้อีก ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด”

ผมไม่น่าตั้งใจฟังเลยจริงๆ เดินกลับไปหาไอ้แจ็คดีกว่า ผมเซ็งคนแถวนี้








 :mew1:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่16
คุณตรีกับครอบครัวของเขา



ฮัลโหลๆ สวัสดีครับ กระผมนายสายฟ้า วันนี้ผมไม่ได้ทำงานอยู่ที่บ้านนะครับ แต่ผมมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่ห้องทำงานของคุณตรี คุณตรีบอกว่าเขามีเวลาไม่มากแล้วสำหรับทำโปรเจคนี้ แต่ช่วงเช้าของวันจันทร์คุณตรีเขามีประชุม ก็เลยให้ผมมานั่งรอในห้องทำงานแทน

ห้องทำงานของคุณตรีจะอยู่ชั้นบนสุด ทั้งตึกจะมีสี่ชั้นครึ่ง ชั้นที่สี่เป็นชั้นสำนักงานแผนกต่างๆ ส่วนชั้นที่สี่ครึ่ง เป็นชั้นลอยด้านบนชั้นที่สี่ ด้านบนนี้จะเป็นห้องทำงานของคุณตรีแล้วก็ห้องประชุมใหญ่

ระหว่างที่นั่งรอ คุณตรีก็ให้การบ้านผมในการทำความรู้จักกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ให้อ่านประวัติของแบรนด์ King’s Luxury แล้วก็ให้ผมดูแฟ้มคอลเลคชั่นเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่รุ่นแรกๆมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน และอีกกองหนึ่งเป็นแฟ้มที่พนักงานในทีมออกแบบของบริษัททำขึ้นมาเสนอสำหรับเฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นหน้าที่กำลังจะเตรียมเปิดตัว

สิ่งที่คุณตรีสั่งเอาไว้ทำเอาผมมึนตึ้บ จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยว่าผมควรทำอะไรก่อนดี แต่ในเมื่อคุณตรีให้โอกาสผม อยากให้ผมช่วย ผมก็จะพยายามทำให้เต็มที่ แม้ไม่รู้ว่าคนอย่างผมจะช่วยอะไรได้

ผมนั่งดูแฟ้มต่างๆที่คุณตรีให้มา และผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่งก็คือ เฟอร์นิเจอร์ของบริษัทคุณตรีมีความสวยหรูหรา แต่ว่ามันมีแต่แบบเดินซ้ำๆ ยิ่งช่วงสามสี่ปีหลังมานี้ การออกแบบแทบไม่ต่างกันเลย และราคาก็สูงไม่ต่างกันด้วย มันเหมือนกับว่า ขาดความตื่นเต้นไปสักหน่อย

พอมาดูการออกแบบใหม่ที่คุณตรีต้องตัดสินใจเลือกสำหรับคอลเลคชั่นที่จะถึงนี้ ผมก็รู้สึกว่ามันก็ยังไม่หวือหวา แต่ถามว่าสวยไหมมันก็สวยดี แต่ยังไงราคามันก็แพงมากอยู่ดี แพงกว่าเจ้าอื่นที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน รูปแบบคล้ายๆกัน

ผมนั่งดูเอกสารไปเรื่อยๆ พลางใช้คอมพิวเตอร์ของคุณตรีดูข้อมูลของแบรนด์อื่นไปด้วย ก็ทำให้ผมพอจะมีความรู้กับเขาบ้าง จนกระทั่งสิบเอ็ดโมง คุณตรีก็เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมคุณเอิง

“ผมฝากสรุปการประชุมวันนี้ให้ผมที แล้วก็ร่างหัวข้อการประชุมสำหรับอาทิตย์หน้าให้ผมด้วย เรื่องที่ผมบอกให้แต่ละฝ่ายแต่ละแผนกไปทำ”

“ได้ค่ะ”

“แล้วก็ ฝากสั่งมื้อเที่ยงมาให้ผมทีนะ ฟ้าอยากกินอะไร” คุณตรีหันมาถามความเห็นผม

“ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรขาย”

“เอาเป็นชุดเบนโตะมาสองชุดก็ได้ครับ แล้วก็ชาเขียวสองขวดเหมือนเดิม”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวเอิงจัดการให้”

“ขอบคุณครับ”

คุณเอิงยิ้มให้ผมทีหนึ่ง ก่อนจะออกไปจัดการเรื่องที่คุณตรีสั่ง คุณตรีเดินมานั่งข้างๆผมตรงโซฟา เขากวาดสายตามองกองเอกสารบนโต๊ะกระจก

“เป็นไงบ้าง ทำการบ้านครบถ้วนไหม” คุณตรีถาม

“ปกติการบ้านต้องทำข้ามคืนนะครับ”

คุณตรีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ

“การบ้านรอบก่อนนายยังไม่ส่งฉันเลย ควรหักคะแนนดีไหม”

เอ๋??? การบ้านรอบก่อนงั้นเหรอ

“อ่า ผมลืมครับ” ผมไม่ลังเลที่จะสารภาพเลย ลืมจริงๆ คือเหมือนไม่ได้เอามาใส่ใจด้วยซ้ำ แต่ผมจำได้นะครับว่าผมจดเอาไว้ในโทรศัพท์

“หึหึ เด็กเกเร” เขามองค้อนผมเล็กน้อย ผมเลยยิ้มแฉ่งไปให้เป็นการขอโทษ

“ช่างเถอะ เอางานตอนนี้ก่อนดีกว่า นายคิดว่ายังไงถ้าดูจากข้อมูลที่ฉันให้อ่านแล้ว พอจะรู้ไหมว่าทำไมบริษัทนี้ถึงขาดทุนหลายปีติดต่อกัน” ท่าทางของตรีคุณตรีแล้วก็คำพูดในขณะนี้ดูเป็นทางการจนผมไม่กล้าล้อเล่น

“จริงๆสินค้าของบริษัทนี้ก็สวยดีนะครับ แต่ผมคิดว่าราคามันแพงไปหน่อย ไม่รู้เป็นเพราะว่าผมไม่ได้รวยหรือเปล่า แต่ผมว่ามันแพงไป ถ้าหากราคาต่ำกว่านี้อีกนิด ก็อาจจะทำให้คนซื้อตัดสินใจได้ง่าย”

“วัสดุที่ทางบริษัทใช้ เป็นวัสดุอย่างที่นำเข้าจากทางยุโรป การผลิตก็เป็นไปตามมาตรฐาน ต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะไม่มีทางเห็นจุดมีตำหนิบนงานที่ขายราคาเต็ม เพราะต้องการที่จะขายชนชั้นสูง งานจึงต้องดีและราคามันจึงแพงตามมา นั่นคือคอนเซ็ปของบริษัทนี้” คุณตรีอธิบายให้ผมทราบและทำความเข้าใจ

“ผมขอถามได้ไหมครับ บริษัทนี้เป็นของครอบครัวคุณตรี แล้วมันกำลังจะเจ๊งจริงๆเหรอครับ ถ้าทำกำไรไม่ได้จะทำอย่างไร” ผมเป็นกังวลเรื่องนี้ ลองคิดดูว่าถ้ามันเจ๊ง เท่ากับว่าครอบครัวของคุณตรีก็ต้องได้รับผลกระทบ คนที่เคยรวยแล้ววันหนึ่งไม่มีเท่าเดิม คุณตรีจะต้องทุกข์มากๆแน่

“ทำหน้าแบบนั้น เป็นห่วงฉันเหรอ” คุณตรีขยับตัวเข้ามาใกล้ พร้อมทั้งยื่นหน้าเข้ามา สายตาของเขาสะกดตรึงผมไว้ให้อยู่กับที่

“ต้องเป็นห่วงสิครับ ผมไม่อยากให้คุณตรีสูญเสียอะไร ความจนความลำบากมันไม่ตลกหรอกนะครับ”

เพราะผมผ่านมาก่อน กล้าพูดได้เลยว่าคุณตรีไม่มีทางรู้เรื่องนี้ดีไปกว่าผม บอกเลยว่าผมน่ะระดับโปรเฟสชั่นแนล ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง

“ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ธุรกิจนี้ไม่ใช่ธุรกิจอย่างเดียวที่ที่บ้านฉันทำ ธุรกิจหลักจะเป็นธุรกิจรับสร้างบ้านออกแบบตกแต่ง ช่วงแรกๆก็อยู่ที่เมืองไทยเนี่ยแหละ แต่พอหาลู่ทางไปเปิดบริษัทที่ต่างประเทศได้ พ่อฉันก็เลยอยากจะไปเติบโตที่ต่างประเทศมากกว่า ถึงได้ลงทุนย้ายบ้านไปอยู่ที่อังกฤษ ส่วนธุรกิจย่อยในไทยก็ยังมีอยู่สองสามธุรกิจ ส่วนมากก็เกี่ยวกับพวกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพวกญาติพี่น้องคนอื่นก็ดูแลไป ส่วนธุรกิจนี้มันทำผลกำไรไม่ได้มาหลายปีแล้ว และความจริงมีมติให้ปิดตัวธุรกิจภายในปีหน้าหากว่ายังคงสร้างผลกำไรไม่ได้”

“แล้วทำไมคุณตรีถึงมาบริหารที่นี่ล่ะครับ ในเมื่อมีแผนว่าจะปิดตัว”

“เพราะฉันทำข้อตกลงกับที่บ้านเอาไว้ ถ้าฉันทำให้ที่นี่มีกำไร แลกกับชีวิตที่เป็นอิสระ ถ้าฉันทำได้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายการใช้ชีวิตของฉัน” สีหน้าของคุณตรีตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ดูดุดันจนน่ากลัว ดูเคร่งเครียดกว่าเวลาพูดเรื่องงานเสียอีก มันมีอะไรที่ร้ายแรงหรือเปล่า

ผมได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไปตรงๆ เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องอ่อนไหว อีกอย่างผมไม่ได้สนิทไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของคุณตรี

“ไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ ไม่อยากรู้อะไรเลยหรือยังไง” แต่พอผมไม่ถาม คุณตรีกลับถามผมแทน แล้วความหมายที่เขาถามผมนี่มันยังไง เขาอยากให้ผมถามเรื่องครอบครัวของเขาอย่างนั้นเหรอ

“ผมไม่รู้ว่าควรถามไหม มันเป็นเรื่องส่วนตัว”

“ช่างเถอะ มาคุยเรื่องงานดีกว่า”

“ครับ” ทำไมเขาถึงนิ่งไปแบบนั้น หรือว่าผมทำอะไรผิด

“ปัญหาของตอนนี้ก็อยู่ที่ว่า เรายังเลือกแบบสินค้าที่จะขายคอลเลคชั่นหน้าไม่ได้ และที่วางกองอยู่ตรงนี้ ที่ทำเสนอไปแล้ว ฉันว่ามันยังใช้ไม่ได้ นายคิดว่ายังไงฟ้า”

“ถามผมเหรอ ผมคิดว่า มันก็ไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆ ถ้ายังทำแบบเดิม ราคาเท่าเดิม ผลลัพธ์ก็คงเหมือนเดิม”

“เก่งนี่ ขนาดนายยังดูออกเลยว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน บางทีที่นี่อาจจะล้าหลังเกินไป คนทำงานที่นี่ก็มีแต่พวกความคิดเดิมๆ ไม่พัฒนา ปัญหามันเลยแก้ไม่ได้สักที”

ผมไม่รู้จะออกความเห็นยังไง ผมไม่ใช่พนักงานของที่นี่ ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ก็ได้แต่รับฟังในสิ่งที่คุณตรีระบายออกมา อย่างน้อยผมก็เป็นผู้ฟังที่ดีคนหนึ่งเลย

“แล้วมีอะไรจะนำเสนอไหม หลังจากที่ได้เห็นข้อมูลพวกนี้แล้ว ลองคิดๆดูสิว่า ถ้านายเป็นนาย นายอยากจะขายสินค้ารูปแบบไหน”

“ให้ผมนำเสนอเหรอครับ” ความจริงผมก็คิดๆมาอยู่บ้างนะ แต่ไม่รู้ว่ามันจะเข้าท่าไหม กลัวพูดออกไปแล้วแล้วมันจะเป็นการขายขำเสียมากกว่า

“ลองดู มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าโปรเจคที่อยู่ตรงหน้านี่ละ”

เอาวะ ลองพูดดู ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

“ผมคิดว่า เราน่าจะไปสำรวจตลาดดูนะครับ แบบไปดูของคู่แข่งว่าเขาขายของอะไรยังไง แล้วก็ควรสำรวจตลาดลูกค้าด้วย ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนไม่ค่อยซื้อของฟุ่มเฟือย ถ้าจะซื้อของต้องซื้อที่ใช้งานได้ สวยและราคากำลังพอดี แบบนี้ดีไหมครับ เรามาทำเป็นแบบรุ่นพิเศษที่ให้ความหรูหราเหมือนเดิม แต่ราคาย่อมเยา วัสดุเราก็ใช้ของในไทย ต้นทุนจะได้ถูกลง แบบภาพลักษณ์เหมือนของแพง แต่ราคามิตรภาพ แบบนี้ดีไหมครับ” ผมพูดตามที่ได้คิดไว้ก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่รู้เรื่อง เพราะครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ผมเดินดูสินค้าแล้วก็รู้สึกว่าราคามันแพงมากจริงๆ อย่างที่บอกว่าผมมันจน ราคาของเกินหมื่นผมก็ขยาดจนขนลุกแล้วครับ เงินเดือนทั้งเดือนเลยนะครับ

คุณตรีฟังแล้วก็ไม่พูดอะไร เขาเอาแต่จ้องหน้าผมลูกเดียวก่อนจะระบายยิ้มเล็กน้อย

“เอ่อ คือผมพูดอะไรไม่ค่อยเข้าท่าใช่ไหมครับคุณตรี จริงๆผมก็ยังเรียนไม่จบ โลกก็แคบ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเป็นธรรมดา คุณตรีอย่าถือสาผมเลยนะครับ” ผมก้มหน้าลงต่ำอย่างรู้สึกอาย

“ฟ้า” คุณตรีเรียกชื่อผม มือของเขาเชยคางผมขึ้นให้เงยหน้า

“รู้ตัวไหมว่าเป็นคนเก่ง” อะไรนะ นี่เขาชมผมเหรอ

“อะไรกันครับ”

“ขอบคุณนะ กลายเป็นว่าฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหนมากกว่านายเสียอีก เรื่องแค่นี้ก็คิดเองไม่ได้”

“เดี๋ยวนะครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมคุยตรีพูดว่าตัวเองแบบนั้นล่ะครับ” ผมละล่ำละลัก ไม่เข้าใจว่าคุณตรีกำลังพูดเรื่องอะไร

“ฉันว่าฉันเกิดไอเดียแล้วล่ะ หลังจากทานข้าวเที่ยง เรามาแพลนงานกันดีกว่า อย่าลืมว่านายต้องช่วยฉันนะฟ้า” สายตาของคุณตรีในขณะนี้เหมือนเด็กที่มีความสุข สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหวัง ผมได้เห็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรจะให้ นอกจากเทหมดหน้าตัก

“ผมจะช่วยครับ จะช่วยคุณตรีทุกอย่างเลย”






เท่าที่รู้จักคุณตรีมา ผมว่าเขาก็เป็นคนที่ทุ่มเทกับงานมากพอตัว แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับบ้างานขนาดนี้ พอเขาบอกว่าเกิดไอเดีย เริ่มมีไฟในการทำงาน คุณตรีก็แทบไม่หยุดพักเลยตลอดอาทิตย์ เขาเอาความคิดของผมไปต่อยอดได้อย่างดีเยี่ยมไม่มีที่ติ

สองวันแรกคุณตรีเลือกที่จะเป็นคนไปสำรวจตลาดโดยมีผมพ่วงไปด้วย ส่วนคุณเอิงคุณตรีให้คอยประสานงานอยู่ที่ออฟฟิศ เหมือนว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่จะเป็นความลับ เราต้องออกแบบไลน์สินค้าที่จะเปิดตัวให้ทันเดดไลน์เข้าที่ประชุม ในวันนั้นคุณตรีจะให้คนๆหนึ่งนำเสนอผลงานนี้ร่วมกับทีมเก่าๆอีกครั้ง

หลังจากที่ไปสำรวจตลาดแล้ว ทางด้านการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าคุณเอิงก็เป็นคนจัดการหาคนและรวบรวมข้อมูล รวมไปถึงการสำรวจเทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ คุณตรีสนใจเรื่องของการช่วยลดขยะ คุณตรีศึกษาหาข้อมูลจนเลือกที่จะผลิตผ้าที่จะใช้ในเฟอร์นิเจอร์ต่างๆจากขวดพลาสติก โดยคุณตรีได้ให้คุณเอิงติดต่อกับทางชุมชล วัด โรงเรียน ให้ขายขวดพลาสติกให้เขา และเขาก็เอาไปส่งโรงงานรีไซเคิลเพื่อทอเป็นผืนผ้าไว้ในกับโซฟา หมอนอิง พรม และอื่นๆ

ผมเองก็ร่วมด้วยช่วยคุณตรี ผมไปกระจายข่าวในซอย พอจะรู้จักคนเก็บขยะขาย ผมก็ไปบอกให้เขาเก็บขยะมาขายคุณตรี โดยรวบๆไว้ พอถึงวันที่กำหนดจะทีรถมารับซื้อ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมดีใจเป็นอย่างมากที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และได้ช่วยเหลือโลก

บางทีเรื่องดีๆก็เกิดขึ้นได้จากสองมือของเรา

นอกจากนี้คุณตรีก็ยังให้ผมไปเรียนขับรถ เขาบอกว่าเผื่อวันไหนเราต้องออกนอกสถานที่กันอีกแล้วเขาเหนื่อยจนขับรถไม่ไหว ผมจะได้ช่วยเขาได้ ผมเห็นว่ามันคงจะเป็นประโยชน์ต่อคุณตรีก็เลยยอมไปเรียนตามที่คุณตรีสั่ง

ตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว คุณตรีคอยเล่าถึงความคืบหน้าให้ผมฟัง ตอนนี้งานก็เดินไปกว่าครึ่งทาง ผมดูรูปสินค้าแต่ละชิ้นที่ออกแบบแล้วก็ได้แต่ชื่นชม คราวนี้ไม่ได้มาในธีมลักซ์ชัวรี่ แต่มาในธีมรักษ์โลกแทน สีเขียวและสีทองแดงเป็นสีเอก ดูเหมือนสีน้ำตาลของต้นไม้และสีเขียวของใบไม้ ผมชอบไอเดียวนี้ และชอบการออกแบบของทีมงานที่คุณตรีจ้างมา

อ่อ คุณตรีไปเช่าชั้นที่สองของร้านกาแฟของน้องสาวคุณทิศ ทำเป็นออฟฟิศชั่วคราวของทีมนี้ด้วย คุณตรีแวะไปดูงานบ่อยๆ และลงมือทำด้วยตัวเอง ผมไม่ค่อยได้ไปที่นั่น เพราะผมยังมีงานบ้านที่ต้องทำ อีกอย่างคุณตรียังไม่อยากให้ผมใช้ร่างกายมากจนเกินไป เขากลัวแผลของผมปริแตก อาทิตย์หน้าก็ถึงกำหนดไปตัดไหมแล้ว ผมอยากให้ถึงวันนั้นไวๆ คุณตรีจะได้เลิกกังวลกับผมเสียที

ถึงงานจะเหนื่อยจะหนักแต่ก็ถือว่าทั้งอาทิตย์นี้คุณตรีแทบจะไม่เครียดหรือปวดหัวเลย จะมีก็แค่อาการเหนื่อยล้าเท่านั้น ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าโอเคดี

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมปล่อยให้คุณตรีนอนตื่นสาย ไม่เข้าไปรบกวนการนอนของคุณตรีในตอนตีห้าครึ่งเหมือนวันธรรมดา ก่อนนอนคุณตรีได้สั่งอาหารเช้าไว้

‘ฟ้า ตอนเช้าฉันอยากกินแซนวิช ทำให้กินหน่อยสิ’

ดังนั้นเช้าวันนี้ผมจึงทำแซนวิชให้คุณตรี และเป็นแซนวิชเพื่อสุขภาพ นึกไปถึงตอนนั้นที่ผมทำให้เขา ก่อนที่คุณตรีจะไปเรียนต่างประเทศ เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่ผมจะทำให้ได้ แล้วคุณตรีก็เต็มใจที่จะรับมันไว้

ในขณะที่ผมกำลังจัดเตรียมมื้อเช้า เสียงออดหน้าประตูรั้วก็ดังขึ้น ผมย่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบออกไปเปิดประตูดูว่ามีใครมาหาคุณตรี

พอผมเปิดประตูรั้วไม้ออก ก็เจอรถยนต์คันหรูจอดรอเตรียมขับเข้าไปในบ้าน ทันทีที่กระจกรถตรงที่นั่งด้านหลังลดต่ำลง ผมจึงได้เห็นว่าใครที่มา

‘พ่อ แม่’ ของคุณตรี

ผมรีบเปิดประตูออกกว้าง ให้รถเคลื่อนเข้าไปด้านใน ส่วนผมก็ยืนทำใจนิ่งอยู่กับที่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องรีบเข้าไปในบ้าน เพื่อหาน้ำหาท่ามาให้พ่อแม่ของคุณตรี

“หนูเป็นใครทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านของลูกชายฉัน” คุณแม่ของคุณตรีนั่งที่โซฟารับแขก แล้วก็เอ่ยถามผมทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าบ้าน

“สวัสดีครับ ผมเป็นพ่อบ้านที่นี่ครับ” ผมตอบคำถามแม่ของคุณตรี คุณพ่อของคุณตรียังคงเอาแต่จ้องผมนิ่ง หน้าตาของท่านดูดุจนผมไม่กล้ามอง ได้แต่เลี่ยงเดินไปเอาน้ำมาเสิร์ฟแทน

“แล้วเจ้าตรีไปไหน” คราวนี้คุณพ่อคุณตรีเป็นคนถาม

“อยู่บนห้องครับ รอสักครู่นะครับ ผมจะไปตามให้” ผมรีบบอกแล้วรีบสอยเท้าขึ้นไปปลุกคุณตรีบนห้อง

ผมเคาะประตูแล้วรอสักพัก แต่พอยังไม่มีการตอบรับจากเจ้าของห้อง ผมก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ คุณตรีก็ไม่เคยล็อคห้องนอนอีกเลย เขาอนุญาตให้ผมเข้านอกออกในได้ตามใจชอบ แต่ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ ผมจะเข้ามาก็แค่มาปลุกคุณตรีกับมาทำความสะอาดเท่านั้น

ห้องคุณตรียังคงมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากตัวเลขดิจิตอลบนนาฬิกาหัวเตียง ผมมองดูก้อนกลมๆใหญ่ๆบนเตียง ไม่บ่อยที่คุณตรีจะนอนตื่นสาย คงเพราะทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อคุณแม่ของเขามาหาและรออยู่ข้างล่าง ผมก็ไม่อยากจะปลุกให้ตื่น

“คุณตรีครับ” ผมยืนข้างเตียง แตะมือลงบนผ้าห่ม เพียงเสียงเรียกเบาๆคุณตรีก็ขยับตัว ผมเลยเดินไปเปิดผ้าม่านให้ห้องทั้งสว่าง

“ฟ้า ง่วง” คุณตรีพูดเสียงอู้อี้ น้ำเสียงติดจะอ้อนจนคนฟังอย่างผมตัวลอย

“ผมก็อยากให้คุณตรีนอนนะครับ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีมาหา” ผมบอก จากที่ทำหน้างัวเงีย ดวงตาของคุณตรีเบิกโพลง พร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งทันที หัวของเขายุ่งเหยิงแต่ยังคงดูดี ดูสมวัยกับวัยรุ่น และเหมือนเดิมคือคุณตรีไม่ใส่เสื้อนอน ผมควรจะชินกับภาพนี้ แต่ก็ไม่เคยชิน

“คุณตรีรีบไปอาบน้ำเถอะครับ”

“ไม่อยากลงไปเลย” คุณตรีทิ้งตัวนอนลงกับเตียงอีกครั้ง ทำสีหน้ายุ่งยากใจ ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณตรีและครอบครัวเป็นแบบไหน แต่เดาว่าน่าจะไม่ค่อยดี ทั้งเรื่องข้อเสนอที่บีบคั้นคนเป็นลูก และผมจำได้ว่าสี่ปีที่แล้ว คุณตรีก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว ทั้งที่มีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา มันไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรจะเป็น

“ยังไงก็ต้องลงไปนะครับ ถ้าคุณตรีไม่ลงไปผมก็ไม่กล้าอยู่ข้างล่างคนเดียว” ผมพูดตามตรง ผมเป็นคนที่เข้าหาผู้ใหญ่เป็น และผู้ใหญ่มักจะเอ็นดู แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับพ่อแม่ของคุณตรี แววตาและสีหน้าที่ดูเย่อหญิงทำให้รู้สึกขนลุกอยู่ตลอดเวลา

“โอเค ฉันจะรีบลงไป” คุณตรียอมลุกออกจากเตียงในที่สุด

ผมปล่อยให้คุณตรีทำธุระส่วนตัวข้างบน แล้วลงมารายงานผู้ใหญ่ทั้งสองว่าคุณตรีเพิ่งจะตื่นนอนและกำลังอาบน้ำอยู่

“คุณท่านทั้งสองจะรับอาหารเช้าพร้อมคุณตรีไหมครับ ผมจะได้เตรียมไว้ให้” ผมถามด้วยความนอบน้อม

“ไม่เป็นไรจ้ะ” คุณแม่ของคณตรีตอบสั้นๆ ผมพยักหน้าเล็กน้อยแล้วล่าถอยกลับเข้าไปอยู่ในครัว ผมกลับมาทำงานของผม โดยละเว้นพื้นที่ห้องนั่งเล่นเอาไว้ แล้วไปทำตรงส่วนอื่นแทน

ไม่นานคุณตรีก็ลงมา ผมยืนมองจากในครัว จะเก้าโมงเช้าแล้ว แต่คุณตรียังไม่ได้รับข้าวเช้าเลย คุณตรีมองมาทางผมก่อนจะหันกลับมาคุยกับพ่อแม่ ผมเลยเอาน้ำส้มคั้นสดไปให้คุณตรีดื่มลองท้องก่อน

ในระหว่างที่เดินเข้าไปเสิร์ฟน้ำและเดินออกมา ต่อให้ไม่ได้อยากจะสนใจฟังในสิ่งที่เจ้านายกำลังพูดกัน แต่ยังไงมันก็ได้ยิน ยิ่งคุณพ่อของคุณตรีเป็นคนที่มีน้ำเสียงทรงพลังด้วยแล้ว ยิ่งได้ยินชัดเจนจนรู้สึกไม่อยากอยู่ตรงนี้ มากไปกว่านั้นผมเป็นห่วงความรู้สึกของคุณตรีมากๆ เพราะขนาดผมเป็นคนนอกยังรู้สึกไม่ดี

“แกยังทำงานไม่เสร็จ ดังนั้นแกจะใช้ชีวิตตามอำเภอใจไม่ได้”

“ผมยังไม่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจสักหน่อย”

“ให้มันแน่”

“ผมแน่อยู่แล้วครับ คุณพ่อก็เตรียมใจไว้แล้วกัน ถึงเวลานั้นใครก็ห้ามผมไม่ได้”

“ไอ้ตรี!”

“พอๆเถอะค่ะ  มาถึงก็มาทะเลาะกัน วันนี้แม่จะมาพาเราไปเลือกชุดออกงาน”

“ผมโตแล้วนะแม่ ผมเตรียมเองได้”

“ไม่ได้ เพราะว่าแม่จะให้เราพาหนูดิวไปเลือกชุดด้วย”

“ผมไม่...”

“แกไม่มีสิทธ์ปฏิเสธ”

“ผมไม่เข้าใจ โตๆกันแล้วดูแลตัวเองกันไม่ได้หรือยังไง แค่ซื้อเสื้อผ้า ผมว่าผู้หญิงน่าจะมีความเก่งเรื่องนี้อยู่แล้วนะครับ จะต้องให้ผมไปเลือกให้อีกเหรอ”

“คุณดูลูกชายตัวดีของคุณพูดนะคุณหญิง ผมเบื่อระอาเต็มทนแล้ว”

ผมไม่คิดว่าคุณตรีจะหัวรั้นแบบนี้ จริงๆการเถียงพ่อแม่ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ผมก็เคยเถียงลุงเหมือนกันตอนที่ลุงกินเหล้าเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่อง

“แต่แม่อยากให้ลูกไปและนี่คือคำสั่ง ไปแต่งตัวให้ดูดีกว่านี้ เราจะไปรับน้องที่บ้าน แม่กับพ่อเราจะไปคุยเรื่องงานกับคุณนวลเขาที่บ้านโน้นด้วย”

“ยังไงผมก็ต้องไปใช่ไหม”

“ไม่มีสิทธ์ปฏิเสธจ๊ะ”

“โอเค แต่ผมของพาผู้ช่วยผมไปด้วยล่ะกัน จะได้ไปช่วยๆกันเลือก”

คุณตรีพูดจบก็ลุกขึ้น เขาสงสารตาเป็นความหมายให้ผมเดินตามขึ้นไปบนห้อง แต่ผมก็ยังยืนนิ่งเพราะไม่อยากเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้

“ฟ้า มานี่ ขึ้นไปเลือกเสื้อผ้าให้หน่อย หน้าที่ของนายนะอย่าลืม” พอผมไม่ไปคุณตรีก็พูดเสียงดุ และมันก็จริงอย่างที่คุณตรีว่ามันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วที่จะต้องเลือกเสื้อผ้าให้คุณตรี

“แกจะเอาคนทำงานบ้านไปด้วยทำไม” เสียงพ่อของคุณตรีดังไล่หลังมา

“ทำไมจะเอาไปด้วยไม่ได้ล่ะครับ เขาเป็นผู้ช่วยผม ถ้าผมจะให้เขาไปช่วยดูแลถือของ มันผิดตรงไหน”

โอย ผมอยากหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน




ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ถูกคุณตรีจับแต่งตัวแล้วพาขึ้นรถ โดยที่เขาไม่ฟังคำทัดทานจากคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายแม้แต่น้อย ยังดีที่ผมยังมีเวลาแวบเข้าไปเอาแซนด์วิชใส่กล่อง ตอนที่พ่อแม่ของคุณตรีเดินออกไปรอเราที่หน้าบ้าน

“คุณตรีครับ พาผมไปด้วยจะดีเหรอ” เท่าที่เห็นคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายไม่พอใจอย่างมาก

“นายไม่อยากไปกับฉันเหรอ” ทำไมคุณตรีชอบตั้งคำถามกลับแทนที่จะตอบคำถามผมนะ

“มันไม่ใช่แบบนั้น คุณตรีทำให้คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายเขาโกรธนะครับ ยังไงท่านทั้งสองก็เป็นพ่อเป็นแม่ ทำแบบนี้มันบาปนะครับ”

“นั่นสิ หึหึ ตายไปฉันต้องตกนรกแน่ๆ แต่ก่อนตกนรก ขอมีชีวิตที่มีความสุขก่อนละกันนะ” คุณตรียังพูดติดตลกอยู่ได้

ผมทำได้แค่แอบถอนหายใจ ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจคุณตรี ผมไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นอยู่แล้ว เพียงแค่ผมไม่ชอบอยู่ในบรรยากาศที่มันน่าอึดอัด อยู่ในจุดที่ตัวเราแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นน่าที่ของผม นั่นก็คือการดูแลคุณตรีให้ดีที่สุด

“คุณตรีครับ ทานแซนด์วิชหน่อยนะครับ สายมากแล้วเดี๋ยวจะปวดท้องเอา” ผมเปิดถุงผ้าหยิบกล่องแซนด์วิชออกมาเปิดฝา แล้วส่งให้คุณตรีหยิบ

“ป้อนหน่อย”

“ครับ?” จะให้ผมป้อมเหรอ

“ขับรถอยู่มันไม่ถนัด” เขาพูดหน้าตาเฉย

แม้ว่าจะลังเล แต่ผมก็ยอมหยิบแซนด์วิชแล้วป้อนให้ถึงปาก คุณตรีเหลือบมองแล้วก้มลงมากัดกินไปเรื่อยจนถึงคำสุดท้าย คุณตรีอ้าปากงับแซนด์วิชแล้วก็งับนิ้วผมไปด้วย ผมรีบชักมือกลับ มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจแต่ผมก็เขิน พยายามทำเป็นนิ่งแล้วหยิบแซนด์วิชอีกชั้นป้อนคุณตรี แล้วก็เป็นแบบเดิมที่คำสุดท้าย ผมหยิบมาทั้งหมดสี่ชิ้น คุณตรีกินไปอมยิ้มไป สงสัยว่าผมจะทำอะไร กินเสร็จผมก็เปิดขวดกาแฟดำแช่เย็นส่งให้คุณตรีดื่ม ตบท้ายด้วยน้ำส้มคั้นอีกขวดเป็นการล้างปาก

“ขอบใจนะ” คุณตรีเอ่ยกับผมหลังจากทานอาหารเช้าบนรถเสร็จ

“หน้าที่ผมนี่ครับ คุณตรีไม่ต้องขอบใจผมหรอก”

“แล้วก็ขอโทษด้วยที่พานายมา แต่ฉันอยากให้นายมาเป็นเพื่อน” คุณตรีหันพูดกับผม สื่อด้วยทั้งคำพูดแล้วก็สายตาว่าเขาเองก็ไม่ได้สบายใจที่ทำแบบนี้

“ไม่เป็นไรครับ” ถ้าการมีผมไปด้วยแล้วคุณตรีจะรู้สึกดีขึ้น ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ

คฤหาสน์เบื้องหน้าใหญ่โตเหมือนในละครหลังข่าว บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านมีฐานะมากขนาดไหน เท่าที่ผมได้ยินแบบไม่ตั้งใจ นี่น่าจะเป็นบ้านของเพื่อนคุณท่านทั้งสอง และที่คุณตรีต้องมาที่นี่เพื่อมารับใครสักคนที่ชื่อดิว

“ผมรอบนรถได้ไหมครับ” ผมบอกแทบจะเป็นการขอร้อง ผมเป็นใครก็ไม่รู้ มีฐานะเป็นแค่คนใช้ ถ้าจะให้เข้าไปข้างในคงไม่เหมาะสม

คุณตรีนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ายินยอม

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ดับรถแล้วกัน นั่งตากแอร์เย็นๆรอ ฉันจะรีบเข้าไปรีบออกมา”

“ครับ”

คุณตรีมองผมอย่างเป็นห่วง แล้วลงจากรถเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณตรีมองตรงมาไม่วางตา รอจนคุณตรีเดินเข้าไปใกล้จึงได้พากันหายเข้าไปในบ้าน

ทำไมผมถึงรู้สึกเป็นห่วงคุณตรีก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ข้างในนั้นก็มีบุคคลที่เป็นบุพการีของเขาอยู่ด้วย




.........................

เอาน่า พล็อตน้ำเน่าไปหน่อย แต่ก็คลาสสิกดีนะ (หรือเปล่า 55555)




ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่17
คุณตรีเขาแอบพาผู้หญิงเข้าบ้านครับ



ผมนั่งรออยู่ในรถประมาณครึ่งชั่วโมง คุณตรีก็เดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมคิดว่าคนนี้น่าจะคือคุณดิวที่คุณผู้หญิงบอก เธอเป็นผู้หญิงที่สวยสง่ามาก มองจากไกลๆก็ยังดูออก

ฉากแบบนี้ผมว่าผมคุ้นตา ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นที่คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีอยากให้แต่งงานกับลูกชายของตัวเองชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ มองจากมุมนี้ ผมว่าคนทั้งสองก็เหมาะสมกันดี ขนาดคนที่แอบรักอย่างผมยังรู้สึกได้

ผมไม่อยากรู้สึกแบบนี้ ถ้าวันหนึ่งคุณตรีจะมีคนรัก ผมก็คงได้แต่ยินดี แม้ว่าตัวเองคงจะเศร้ามากก็ตาม

ผมนั่งคิดอะไรเพลินเกินไป จนไม่รู้ว่าประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดออก คุณคนสวยชะงักพร้อมทำหน้าตกใจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นเรียบนิ่ง

“ลุกสิ นี่มันที่ฉัน”

“เอ่อ ครับๆ”

“ไม่ต้อง ฟ้านั่งลง คุณไปนั่งข้างหลังเถอะ ผมจะให้คนของผมช่วยดูทางให้” คุณตรีรีบขัด ผมที่ก้าวขาออกไปแล้วข้างหนึ่งต้องชะงัก ผมทำตัวไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรดี คุณคนสวยก็เอาแต่ยืนนิ่งแล้วใช้สายตากดดันผม

“คุณตรีครับ” ผมเรียกชื่อเขาเสียงอ่อย ผมยังไงอยู่ในรถ จึงไม่เห็นว่าคุณตรีทำสีหน้าอะไร เพียงแต่เห็นเขาเดินอ้อมหน้ารถมาทางผม แล้วเปิดประตูที่นั่งด้านหลังออก

“เชิญคุณดิวครับ”

“ตรีจะให้ดิวนั่งข้างหลังได้ยังไง แล้วเด็กคนนี้เป็นคนรับใช้ไม่ใช่เหรอ ให้เขาไปนั่งข้างหลังสิ ข้างหน้ามันที่นั่งเจ้านาย”

ฟังจากคำพูดคำจาแล้ว คงจะเป็นคุณหนูที่แสนเอาแต่ใจใช้ได้เลยครับ

“ถ้าคุณดิวไม่ขึ้น คุณดิวก็ต้องขับรถไปเองแล้วล่ะครับ ฟ้านั่งลง นี่คือคำสั่ง” คุณตรีพูดกับคุณดิวเสียงแข็ง แล้วหันมาดุผมที่ยังคงอยู่ในท่าทางพร้อมสละที่นั่ง ผมเลยจำใจหดเท้ากลับเข้ามาในรถตามเดิม

“ก็ได้ค่ะ” คุณดิวกระแทกเสียงใส่ก่อนจะยอมเข้าไปนั่งที่เบาะหลังแต่โดยดี

เมื่อตกลงกันได้(โดยไม่ค่อยดี) คุณตรีก็เดินอ้อมกลับไปนั่งประจำที่คนขับ เขาหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้บางๆ

ยิ้มออกแสดงว่าจะไม่ดุผมแล้วใช่หรือไม่

บรรยากาศบนรถถือว่าอึดอัดใช้ได้ เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงบนท้องถนน คุณดิวพยายามชวนคุณตรีคุย ซึ่งคุณตรีก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง จนคุณดิวยอมล่าถอยไปนั่งเงียบๆไม่ถามอะไรต่อ

เรามาถึงห้างกันก็ตอนเกือบจะใกล้เที่ยงแล้ว และเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ ทำให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่อันดับต้นๆของประเทศเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

“ทานข้าวกันก่อนไหมคะ ดิวหิวแล้ว” คุณดิวเดินเร่งฝีเท้าตีคู่กับคุณตรีทางด้านขวา ส่วนผมเดินตามหลังเล็กน้อย จะได้ไม่ดูว่าเดินเทียบเจ้านาย แต่เหมือนคุณตรีจะไม่เข้าใจในความต้องการของผม เขาหยุดเดินแล้วหันมามอง ก่อนจะคว้าแขนผมให้เดินขึ้นไปยืนเสมอกัน

“เดินตามไม่ทันเหรอ ฉันเดินเร็วไปใช่ไหม” เขาก้มหน้าลงมาถาม

“เปล่าครับ” ผมตอบเลี่ยง

“ว่าไงคะตรี ทานข้าวเที่ยงกันก่อนนะ ดิวอยากทานอาหารญี่ปุ่นค่ะ ไปทานกันนะคะ”

“ก็ได้ ฟ้าอยากทานอะไร” คุณตรีตอบรับคุณดิวสั้นๆ แล้วก็หันมาถามผมต่อ

“ตามใจคุณดิวก็ได้ครับ ผมทานอะไรก็ได้”

“อืม งั้นคุณก็นำทางละกันว่าจะกินร้านไหน”

“ค่ะ แต่ตรีจะให้คนรับใช้...”

“ฟ้าไม่ใช่คนรับใช้ เขาเป็นผู้ช่วยผม” คุณตรีพูดขัดเสียงแข็ง ผมละอยากเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ซะเหลือเกิน

“แต่ยังไงก็คือคนงานนะคะ บ้านดิวเราไม่นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคนงานค่ะ อย่าว่าฉันเลยนะ แต่ฉันว่ามันไม่เหมาะสมน่ะ” ประโยคหลังคุณดิวชะโงกหน้ามาบอกผม คำพูดของคุณดิวทำให้ผมรู้สึกว่าตัวของผมหดเล็กลง ผมยิ้มแห้งๆกลับไปพร้อมตอบรับอ้อมแอ้มในลำคอ

“แต่สำหรับบ้านผม ทุกคนเท่าเทียมกันครับ และถ้าคุณดิวไม่สบายใจ จะนั่งแยกโต๊ะกับเราก็ได้”

“อะไรนะคะ”

“สรุปจะทานร้านไหนครับ”

“ตรี คือ...”

“ถ้าไม่เลือกผมจะเลือกเอง” พูดจบคุณตรีก็ดึงแขนผมพาเดินเข้าร้านข้างหน้า ผมเงยหน้ามองป้ายร้าน เหมือนจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน เพราะมีรูปเมนูซูชิติดอยู่ด้านหน้า

“ตรีคะ รอดิวด้วยสิ” คุณดินรีบเดินตามเข้ามา คุณตรีแค่ปรายตามองเท่านั้น ผมเม้มปากแน่น บางทีคนเราก็มีข้อเสียเหมือนกัน ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ตัวผมเองก็เช่นกัน

“จะนั่งแยกโต๊ะไหมครับ” คุณตรีถามเมื่อคุณดิวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ส่วนผมนั่งข้างๆคุณตรี ผมอยากจะปรามการพูดของคุณตรีเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำได้

“ไม่ค่ะ ครั้งนี้ดิวจะไม่ถือสาก็แล้วกัน” 

“หึ มันคงจะไม่มีครั้งหน้าแล้วแหละครับ”

“ถ้าตรีพูดอย่างนั้นดิวก็สบายใจค่ะ” เธอยิ้มอย่างพอใจ แต่ก็แอบตวัดสายตามาจิกผมเป็นระยะ

โอเค มันจะไม่มีครั้งหน้าแล้วจริงๆใช่ไหม ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว รู้สึกตัวเองช่างเกะกะขวางหูขวางตาคนอื่นเหลือทน

“ขออนุญาตวางเมนูอาหารนะคะ อีกสักครู่จะมารับออเดอร์นะคะ” พนักงานหญิงส่งยิ้มกว้างให้พวกเรา และดูจะเขินเมื่อมองคุณตรี ผมเกือบหลุดอมยิ้ม เพราะพนักงานเสิร์ฟคนนี้ก็น่ารักดี อย่างว่าแหละครับ ใครๆก็ชอบคนหล่อ

“ตรีชอบทานอะไรคะ เดี๋ยวดิวสั่งให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณสั่งของคุณเถอะ  ของผมฟ้าจะเป็นคนสั่งให้”

“ไม่เอาค่ะ ดิวจะดูแลตรีเอง เธออยู่เฉยๆก็พอ วันนี้ฉันจะดูแลตรีเอง” คุณดิวนี่ดื้อรั้นพอสมควร แม้ว่าคุณตรีจะพูดจาไม่ค่อยดีขนาดไหน แต่เธอก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเป็นผม ผมคงร้องไห้กลับบ้านไปแล้ว

“อีกอย่างตรีไม่เห็นต้องเรียกดิวมาคุณเลย มันฟังดูห่างเหินเกินไป เรียกดิวเฉยๆก็พอค่ะ” คุณดิวพูดเสียงออดอ้อน ถ้าไม่ติดว่าผมเห็นเธอมีนิสัยที่ไม่ค่อยน่ารัก เธอคงเป็นผู้หญิงที่น่าคบหาไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือในฐานะคนรัก

อย่างที่บอกว่าคนเราก็ไม่ได้มีแค่ด้านดีๆ ถึงผมจะดูเหมือนไม่อะไร แต่ผมก็ไม่ได้พอใจในการเหยียดหยามที่เธอแสดงต่อผม

“คุณตรีไม่พูดอะไร เขาแค่นั่งเงียบๆดูเมนูอาหาร ก่อนจะยื่นมาแล้วพยักหน้าให้ผมเปิดดู”

ผมไม่ถนัดอาหารญี่ปุ่นเลย เคยกินก็แค่ซูชิคำละห้าบาท อย่างหรูก็สิบบาทที่ตลาดนัดเปิดท้าย แล้วก็มีวันนั้นที่คุณตรีสั่งชุดเบนโตะมาให้ผมกินที่ห้องทำงาน อันนั้นก็อร่อย

“อยากกินอันไหนอยากลองอันไหนก็สั่งมา” คุณตรีกระซิบบอกกับผม ผมก็เลยต้องคิดหนัก

โชคดีที่อาหารญี่ปุ่นไม่ใช่อาหารที่เข้าใจอยาก แค่มองภาพก็พอจะรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นพวกของทอด ปลาย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ลังเลที่จะสั่งก็คือเรื่องของราคา

เวลาต่อมาพนักงานก็เดินมารับออเดอร์ คุณดิวสั่งรัวแบบแทบไม่ต้องคิดไปสี่ห้าอย่าง ผมที่กำลังจะสั่งแทบจะต้องหุบปากฉับ คือผมว่าที่สั่งมามันก็เยอะแล้ว แต่พอคุณตรีเห็นว่าผมไม่ยอมสั่ง ก็เคาะนิ้วลงบนเมนู แล้วพูดสั่นๆว่าสั่งสิ ผมก็เลยสั่งเมนูที่คิดไว้แล้วไปเพิ่มอีกสามอย่าง พลางคิดในใจว่าจะกินกันหมดไหมนะ เพราะผู้หญิงไม่น่าจะกินเยอะ ไอ้ที่สั่งๆมาก็คงไม่พ้นผมกับคุณตรีที่ต้องการจัด

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด คุณดิวเขากินไปไม่กี่คำก็บอกว่าอิ่ม เมนูที่เขาสั่งก็กินอย่างละคำสองคำเท่านั้น แต่ก็คอยเอาใจด้วยการคีบอาหารให้คุณตรี แล้วคิดว่าคุณตรีจะทำยังไงล่ะครับ เท่าที่เขาแสดงออกก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ชอบคุณดิว ดังนั้นอาหารที่คุณดิวคีบให้คุณตรีไม่แตะเลยสักคำ ผมก็เลยเอามากินแทนเพราะว่าเสียดาย แม้ว่าจะมีสายตาไม่พอใจของคุณดิวคอยมองก็ตาม

กินข้าวเที่ยงเสร็จก็ถึงเวลาไปเดินดูเสื้อผ้า คุณดิวเข้ามาคล้องแขนคุณตรี แต่ก็ถูกคุณตรีจับมือออก ผมเห็นว่าเธอหน้าเสีย แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร เธอเพียงแค่เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้

“ตรีว่าชุดนี้สวยไหมคะ” คุณดิวถามคำถามนี้กับคุณตรีน่าจะเกินสิบรอบได้แล้ว และคำตอบของคุณตรีก็เหมือนเดิมทุกรอบ

“ไม่สวย”

“เหรอคะ แต่ดิวว่ามันก็สวยดี”

ผมละเหนื่อยจริงๆ

“ตรีก็ยังไม่เจอชุดที่ถูกใจเหรอคะ”

“ผมมีชุดแล้ว”

“ได้ยังไง คุณแม่ของตรีกับคุณแม่ของดิวอยากให้เราใส่ชุดเข้าคู่กันนะคะ” คุณดิวทำหน้างอ

“งั้นเหรอ” คุณตรีพูดหน้านิ่งไม่สื่ออารมณ์เหมือนจะกวนประสาทอีกฝ่ายมากกว่า ผมไม่เคยเจอมุมนี้ของคุณตรี และบอกตัวเองว่าดีแล้วที่ไม่โดนคุณตรีกวนใส่

“ถ้าตรีไม่ซื้อชุดที่เข้ากับชุดของดิว ดิวจะฟ้องคุณลุงกับคุณป้าแน่นอน” และดูเหมือนคุณดิวจะเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้วจริงๆ

“โอเค งั้นคุณก็เลือกของคุณไป ผมจะไปเลือกชุดของผม”

“เอ๊ะ ก็ดิวเพิ่งจะบอกว่าเราต้องซื้อชุดคู่”

“คุณจะใส่สูทผูกไทเหรอไง”

“ไม่ใช่ แต่อย่างน้อยสีกับเนื้อผ้ามันก็ต้องแบบเดียวกัน ดิวพามาตั้งหลายร้านที่เขามีชุดคู่ ตรีก็ไม่ยอมดูไม่ยอมสนใจ” คุณดิวทั้งบ่นทั้งโวยวายเสียยาวยืด คุณตรีก็เลยตัดบทด้วยการเดินไปหยิบชุดสูทสีเทาเข้ามาหนึ่งชุดแล้วส่งให้พนักงานขาย

“ผมเอาชุดนี้ไซส์แอลชุดหนึ่งครับ” คุณตรีส่งชุดให้พนักงานแล้วหันมาหาคุณดิว

“ผมได้ชุดแล้ว คุณก็เลือกให้มันเข้ากับชุดของผมก็แล้วกัน เสร็จแล้วผมจะได้ไปส่งคุณที่บ้าน ผมก็จะได้กลับพักผ่อน”

พอผมได้ยินแบบนี้ ก็ทำให้นึกได้ว่าคุณตรีคงจะเหนื่อยและเพลียมาก เพราะมัวแต่เดินตามและฟังคนสองคนฟาดฟันกันทางคำพูด ทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย

“ดิวไม่ชอบสีเทา” คุณดิวบ่นเสียงเบา

“คุณอย่าเรื่องมาก ผมไม่มีเวลามาเดินตามคุณเลือกชุดทั้งวัน” คุณตรีบ่นหน้าดุ ทำให้คุณดิวต้องจำใจเดินไปเลือกชุดสีเทามาชุดหนึ่ง แต่ก็ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงในการตัดสินใจ

กว่าจะไปส่งคุณดิวและกว่าจะขับรถกลับมาที่บ้านก็ล่วงเลยเวลาจนเกือบจะหกโมงเย็น เพราะว่าทางที่ย้อนไปย้อนมา แถมวันอาทิตย์ช่วงเย็นเป็นวันเวลาที่รถติดมาก เนื่องจากทุกคนพร้อมใจกันออกมาเดินเที่ยวตามห้างกับครอบครัว

“ชุดนี่ใช้วันไหนครับ ผมจะได้เอาไปส่งซัก” ผมถามเมื่อกลับมาถึงบ้าน

“ใช้วันไหนก็ไม่สำคัญ เพราะฉันจะไม่ใส่ชุดนี้” คุณตรีตอบ เขาทิ้งตัวลงลงกับโซฟาพลางบ่นเบาๆว่าเมื่อยเท้า

“ทำไมล่ะครับ ก็คุณดิวเขาบอกว่าคุณตรีจำเป็นต้องใส่ชุดคู่ไม่ใช่เหรอ” ที่จริงชุดสูทที่คุณตรีเลือกมาก็ดูสวยสง่าเหมาะกับคุณตรีดี คงเพราะคุณตรีรสนิยมดีอยู่แล้ว มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าชุดไหนดีชุดไหนไม่ดี

“เขาอยากให้ฉันใส่แล้วยังไง แค่ซื้อมาตัดปัญหาเท่านั้น นี่ฟ้า รู้หรือเปล่าว่าชุดคู่มีความหมายว่ายังไง”

“ก็พอทราบครับ หมายถึงว่าคนสองคนรักกันเป็นแฟนกัน”

“ซึ่งฉันกับเขาไม่ใช่ ดังนั้นฉันไม่มีความจำเป็นต้องใส่ชุดคู่”

“ครับ” มันเป็นเรื่องของคุณตรีนี่นา ผมจะไปยุ่งอะไรด้วยได้ ผมควรสนใจในสิ่งที่ตัวเองต้องทำดีกว่า

ผมเอาน้ำเสาวรสผสมน้ำผึ้งเย็นๆมาให้คุณตรีดื่มแก้กระหาย จากนั้นก็เข้าครัวไปต้มน้ำร้อนผสมน้ำธรรมดาให้กลายเป็นน้ำอุ่นใส่กะละมังใบเล็ก และยกไปหาคุณตรีที่นั่งดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย พอเห็นของในมือผมคุณตรีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อะไร”

“แช่เท้าในน้ำอุ่นสักหน่อยนะครับ เลือดลมจะได้เดิน น่าจะช่วยให้หายเมื่อยได้” ผมวางกะละมังลงตรงเท้าของคุณตรี

“ขอบใจนะ” คุณตรีถอดสลิปเปอร์ออกแล้วจุ่มเท้าลงไปแช่น้ำ แวบหนึ่งผมสังเกตเห็นคุณตรียิ้มด้วยความพึงพอใจ ผมก็ยิ้มตามที่รู้ว่าเขาชอบในสิ่งที่ผมทำให้

ระหว่างที่ปล่อยให้คุณตรีแช่เท้า ผมก็เข้าครัวไปเตรียมกับข้าวมื้อเย็น ผมจะทำแต่ของโปรดของเขา เวลาทานเขาจะได้มีความสุข




   
ในที่สุดก็มาถึงวันที่คุณตรีจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดคุณแม่ของคุณดิว เขาไม่ยอมใส่ชุดที่ซื้อมาจริงๆ และรอบนี้ผมก็ไม่ได้เป็นคนเลือกชุดให้เหมือนกับชุดทำงาน คุณตรีเขาจัดการของเขาเอง รู้อีกทีก็เดินหล่อมีออร่าลงมาจากบนบ้าน

“คุณตรีจะกลับดึกไหมครับ” ผมไม่เคยไปงานเลี้ยงพวกนี้ แต่เวลาทำงานร้านอาหารแล้วคนมากินเลี้ยงฉลองวันเกิด ก็อยู่กันจนดึกดื่นเที่ยงคืน

“ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าคงไม่ดึกมาก”

“คุณตรีให้ผมขับรถไปไหมครับ ถ้าดื่มกลับมาขากลับจะกลับยังไง” วันนี้น้าภาพไม่อยู่ เพราะเมียที่บ้านป่วยคุณตรีก็เลยให้น้าภาพเลิกงานกลับบ้านได้เลย

“ฉันกลับได้ ไม่ดื่มเยอะขนาดนั้นหรอก”

“แน่ใจนะครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง คุณตรียิ้มบางๆแล้วพยักหน้า

“ถ้านายขับรถไปให้ฉัน นายก็ต้องไปนั่งรอในรถหลายชั่วโมง ความจริงแล้วฉันก็อยากพานายไปที่งาน แต่ฉันรู้ว่ามันจะทำให้นายอึดอัด เพราะฉะนั้นอยู่บ้านเถอะ ฉันจะรีบกลับ”

“ก็ได้ครับ คุณตรีอย่าเมามาก ขากลับอย่าขับรถเร็วนะครับ ผมเป็นห่วง”

“อืม”

เย็นนี้ผมก็เลยต้องนั่งทานข้าวคนเดียว ผมพยายามไม่คิดอะไร แม้จะรู้สึกเหงาอยู่บ้างทั้งๆที่แต่ก่อนก็กินคนเดียว บางทีผมเริ่มจะเคยตัวเข้าแล้วจริงๆ

ผมนั่งรอคุณตรีที่โซฟาจนกระทั่งห้าทุ่ม คุณตรีก็ยังไม่กลับบ้าน ผมก็เลยขึ้นห้องไปนอน คุณตรีไม่ให้ผมนอนรอที่ห้องรับแขก เคยโดนดุไปทีผมก็ไม่กล้าอีกเลย เวลาคุณตรีดุมันไม่ได้สนุกหรอกนะครับ

ผมเผลอหลับไปแล้วตกใจตื่นตอนที่ได้ยินเสียงรถ ผมงัวเงียตื่นมาตั้งสติว่าจะลงไปดูดีไหม เพราะผมเองก็ง่วงมากจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่เพราะความเป็นห่วงที่อยู่ในใจลึกๆคอยปลุกผมให้รู้สึกตัวอยู่ตลอด ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นนั่งปรับสายตาอยู่บนเตียงชั่วครู่ แล้วจึงออกไปดูว่าคุณตรีถึงบ้านปลอดภัยดี

แต่พอผมเปิดประตูออกจากห้อง ก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งในชุดแปลกๆที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ชุดของเธอ เสื้อเชิ้ตผู้ชาย และผู้หญิงตรงหน้าก็คือคุณดิว

ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่เวลานี้ แถมยังอยู่ในเสื้อของคุณตรี

“อ้าว เธอก็อยู่ที่นี่เหรอ”

“ครับ” ผมพูดอะไรไม่ออกเลย ถ้าคุณดิวอยู่ที่นี่แล้วคุณตรีไปไหน

“คืนนี้ฉันจะมานอนกับตรี เธอก็ไปนอนเถอะ ช่วงเวลากลางคืนเราไม่ต้องการคนรับใช้หรอกนะ ยังไงคืนนี้ฉันจะอยู่ปรนนิบัติตรีเองทั้งคืน”

อยู่ปรนนิบัติคุณตรีเหรอ? หมายความว่ายังไง

จากที่กำลังง่วงๆ ตอนนี้แทบจะตื่นเต็มตา

“คุณตรีไม่ได้เมามากใช่ไหมครับ” ผมถาม

“เมามาก แต่ไม่ต้องห่วง มันเป็นหน้าที่คู่หมั้นอย่างฉันอยู่แล้วที่จะต้องดูแลเขา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น” เธอพูดกระแทกใส่หน้าผม แล้วก็เดินกลับไปที่ห้องของคุณตรี ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คิดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกยังไง

ข้างในห้องนั้นจะเป็นยังไง คุณตรีดูเหมือนจะไม่ชอบคุณดิวไม่ใช่เหรอแล้วทำไมพากลับมานอนค้างที่บ้าน แถมยังให้เธอเข้าไปในห้องนอนด้วย

พวกเขาจะมีอะไรกันหรือเปล่า

นี่ผมคิดอะไรอยู่ ถึงจะมีแล้วยังไง คุณตรีเป็นผู้ชายก็คงมีความต้องการเป็นธรรมดา และผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ยังไงวันหนึ่งเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิด ยังไงคุณตรีก็ต้องมีคนรักเป็นของตัวเอง ผมควรจะดีใจที่คุณตรีจะมีความรัก เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้ดีแล้วจริงๆเหรอ

ใช่...เพราะคุณดิวไม่ค่อยน่ารัก ผมเลยรู้สึกไม่ดีหากคุณตรีจะลงเอยกับเธอ ถ้าเป็นผู้หญิงดีๆสักคน ผมคงไม่รู้สึกเจ็บหน่วงในอกอย่างแน่นอน

ผมรู้สึกคอแห้งจากความตกใจ ก่อนจะกลับไปนอนก็เลยลงมากินน้ำ แล้วอยู่ๆไฟในห้องนั่งเล่นก็สว่างโร่ ผมสะดุ้งแล้วมองซ้ายมองขวาว่าใครเปิด

“คุณตรี” ผมครางเสียงเบาเรียกชื่อผู้ชายที่เดินอยู่กลางบ้าน

“ลงมากินน้ำเหรอ” คุณตรีหันมาถามผม

“ครับ”

แล้วก็เกิดความเงียบระหว่างเรา

สิ่งที่ผมคิดคือทำไมคุณตรีมาอยู่ตรงนี้ ส่วนคุณตรีผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“เจอนายก็ดีแล้ว ช่วยหน่อยสิ” คุณตรีพูดแล้วก็เดินกลับขึ้นไปข้างบน ผมก็เลยเดินตาม ไม่รู้ว่าเขาจะให้ผมช่วยอะไร แต่พอคุณตรีเดินมาที่หน้าห้องเขา ผมก็รีบคว้าแขนเขาเอาไว้

“เอ่อ คุณตรีครับ”

“หืม มีอะไร” คุณตรีเลิกคิ้วสงสัย

“คุณตรีจะให้ผมเข้าไปข้างในเหรอครับ คือข้างในนั้น คุณดิว” ผมพูดรัวจนแทบจับใจความคำพูดไม่ได้ รู้สึกลิ้นพันกันไปหมด

“เจอกันแล้วเหรอ” 

“ออครับ พอดีผมจะออกมาดูว่าคุณตรีถึงบ้านปลอดภัยไหม แล้วเจอเธอน่ะครับ”

“งั้นเหรอ”

“ผมคิดว่าคุณตรีจะใช้เวลาอยู่กับเธอซะอีก”

โอย อยากตบปากตัวเอง ผมถามอะไรออกไป

“ในหัวนี่คิดอะไรอยู่”

อย่าว่าแต่คุณตรีสงสัยเลย ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่

คุณตรีปล่อยมือที่จับลูกบิดออก แล้วหันมามองผมทั้งตัว

“ว่ายังไง” เขายังคงรบเร้าจะเอาคำตอบอะไรสักอย่าง”

“เปล่าครับ” ผมไม่บอกหรอกว่าตัวเองคิดอะไรอยู่

“หึ คิดว่าฉันพายัยนั่นมาเพื่อที่จะมีเซ็กส์กันอย่างนั้นเหรอ” คุณตรีโน้มใบหน้าลงมาพูดกระซิบข้างหูผม ผมผงะถอยหลังแต่ถูกมือหนายึดแขนเอาไว้

ถึงผมจะไม่พูดสิ่งที่ตัวเองคิด เขาก็เป็นคนพูดมันออกมาเอง

“ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นหรอก” เขายังคงพูดต่อในระยะห่างเท่าเดิม

“...” ผมได้แต่ยืนนิ่งๆ ลมหายใจร้อนที่เป่ารดอยู่ในใบหูทำเอาผมปั่นป่วนที่ช่วงท้อง

“ไม่ถามหน่อยเหรอว่าทำไม” เขาเชยหน้าผมขึ้นให้เราสบตากัน

“ทำไมครับ” เหมือนโดนมนต์สะกด ให้ถามอย่างทีเขาต้องการ

“ถุงยางหมด”

“...!!!”

เปลือกตาของผมขยายกว้างด้วยความอึ้ง คุณตรีเขา...พูดบ้าอะไรเนี่ย

“รู้ไหม ไม่มีถุงยางก็มีเซ็กส์ไม่ได้หรอกนะ” เขายังไม่คงหยุดพูดให้ผมได้อาย ถึงเราจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ผมคือผู้ชายที่คิดไม่ซื่อ ได้ยินไหมว่าผมคิดไม่ซื่อกันเขา

“คุณตรีรีบใช้ไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อให้” และผมคิดว่าผมคงจะเป็นบ้าไปแล้ว ขาดสติจนพูดอะไรไม่ทันคิด

“อะไรนะ”

ผมควรตบปากตัวเองสักร้อยรอบจริงๆ

“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้ากลับคำแบบหน้าด้านๆเลยล่ะ

“จะไปซื้อให้ฉันน่ะ รู้เหรอว่าฉันใส่ไซส์อะไร หรือจะลองจับดูก่อนไหมล่ะ จะได้ไปซื้อถูก” ไม่ทำเพียงแค่พูด คุณตรีดึงมือผมไปเหมือนจะให้จับส่วนนั้นของเขาจริงๆ

“ไม่ ไม่ครับ ไม่!” ใครจะไปรู้ ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

จากที่ทำหน้าล้อเลียนผม พริบตาเดียวคุณตรีก็ทำหน้าบึ้งตึงเหมือนโกรธ

“จำเอาไว้นะฟ้า ฉันไม่ใช่คนสำส่อน ฉันไม่นอนกับคนที่ไม่ใช่แฟน แล้วเรื่องถุงยาง ถ้าฉันจะทำฉันจะเป็นคนเตรียมเอง ถ้าฉันไม่ทำคนที่ถูกกอดจะต้องเป็นคนเตรียม ถ้านายไม่อยากเป็นคนนั้น อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีก”

“ครับ ขอโทษครับ” ผมตั้งตัวไม่ถูกเลยที่อยู่ๆก็ถูกดุ ผมยอมให้เขาหยอกล้อผมแรงๆก็ได้ ดีกว่าต้องโดนคุณตรีโกรธแบบนี้

“ถ้าเข้าใจก็ดี ทีนี้ก็เข้าไปช่วยฉันจัดการตัวปัญหาได้แล้ว ผู้หญิงนี่มันวุ่นวายจริงๆ”












ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ป้ะออกไปเซเว่นกันค่ะทั้งสองคน เตรียมพร้อม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด