・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6  (อ่าน 40443 ครั้ง)

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่18
เห็นคุณเศร้า ผมก็ทรมานที่หัวใจ





เรื่องเมื่อคืนเป็นผมที่เข้าใจผิดไปเอง แต่เพราะคุณดิวเธอพูดแบบนั้น ก็เลยคิดว่าตอนคุณตรีไปงานเลี้ยงอาจจะได้เห็นด้านดีๆของเธอ เลยพาเธอกลับมาที่บ้าน ให้เธอได้ดูแล แต่ที่ไหนได้

ผมนี่มันทั้งโง่ทั้งบื้อจนเกินคำบรรยาย

หลังจากที่คุณตรีเปิดประตูห้องนอน ผมถึงได้เห็นว่าความจริงมันคืออะไร ร่างของผู้หญิงนอนสลบอยู่บนพื้น คุณตรีให้ผมช่วยพยุงเธอลงไปข้างล่าง ให้เธอนอนที่โซฟา ผมแอบเห็นรอยแดงช้ำที่หลังคอจึงถามคุณตรีว่าเกิดอะไรขึ้น คุณตรีก็เลยยอมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง สรุปง่ายก็คือว่า

คุณตรีไปที่งานเลี้ยง ตอนจะกลับคุณดิวก็ขอกลับด้วย ไม่รู้ว่าไปพูดอะไรกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณตรี ท่านทั้งสองคนก็เลยมาบังคับให้คุณตรีพาคุณดิวกลับมานอนที่บ้านด้วย เนื่องจากเป็นวันสำคัญคุณพ่อคุณแม่ของคุณดิวก็เลยจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่โรงแรมที่จัดงาน ที่บ้านไม่มีคนอยู่ และคุณดิวรู้สึกเมานิดหน่อยไม่อยากกลับไปอยู่บ้านคนเดียว เขาไม่มีทางเลือกเพราะก็ทะเลาะกับบุพการีทั้งสองไปหนึ่งรอบก่อนจะกลับมาที่บ้าน อันนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณดิวถึงได้มานอนที่บ้านคุณตรี

ต่อมาคือคุณตรีกลับมาบ้าน ก็บอกให้คุณดิวนอนที่โซฟา ให้อาบน้ำที่ห้องอาบน้ำด้านนอกบนชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องน้ำที่ผมใช้ประจำในขณะนี้ และตอนที่ผมเห็นเธออยู่แถวๆหน้าห้องนอน ก็เพราะว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เสื้อผ้าไม่ได้เตรียมมาคุณตรีก็เลยสละเสื้อผ้าให้ ซึ่งตอนนี้เสื้อผ้าชุดนั้นลงไปอยู่ในถังขยะเรียบร้อยด้วยฝีมือของเจ้าของ

แต่เพราะคุณตรีเคยชินที่จะไม่นอนล็อกห้องตั้งแต่ที่ผมมาทำงานที่นี่ ทำให้คุณดิวสามารถเข้าไปในห้องนอนของคุณตรีในขณะที่คุณตรีกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ พอออกมาแล้วเจอกับคุณดิวเข้าก็เลยมีการยื้อยุดกันนิดหน่อย พอผมถามว่าทำไมคุณดิวถึงมีรอยช้ำที่คอ คุณตรีก็แค่ตอบหน้าตาเฉยว่า


‘ช่วยไม่ได้ที่จะต้องลงไม้ลงมือให้หยุด ในเมื่อยัยนั่นอยากมาลวนลามฉัน’


ผมเพิ่งจะรู้ว่าคุณตรีช่างรักนวลสงวนตัวเหลือเกิน กับผู้ชายตัวโตๆอย่างคุณตรี ยังสามารถใช้คำว่าลวนลามได้เหรอ

ตื่นเช้ามาคุณตรีก็ให้น้าภาพขับรถไปส่งคุณดิวที่บ้านแต่เช้า ชนิดที่ว่าต้องจับยัดขึ้นรถกันเลยทีเดียว เพราะเธอไม่ยอมกลับ แล้วก็โวยวายร้องห่มร้องไห้ว่าคุณตรีลงไม้ลงมือกับเธอ เธอว่าจะไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีด้วย

ถึงผมจะเป็นคนนอก ก็ยังมองออกเลยว่าเรื่องนี้คงยุ่งยากกว่าที่คิด

ดีนะที่ผมไม่ได้เกิดมารูปหล่อพ่อรวย เลยไม่ต้องปวดหัวแบบคุณตรี ฮ่าๆๆๆ
   
“ยืนยิ้มอะไร เลือกเนคไทได้หรือยัง”

“อ่ะ ขอโทษครับ ผมเหม่อไปหน่อย” ผมหันไปยิ้มแห้ง ก่อนจะมองสำรวจเสื้อผ้าคุณตรีอีกที แล้วหันมาเลือกเนคไทให้เข้ากับชุดสูท พอเลือกได้ผมก็เดินเข้าไปช่วยคุณตรีผูกเนคไท หน้าที่ที่คุณตรียกมาให้วันตั้งแต่วันแรกๆที่ผมมาทำงาน

แม้ว่าจะทำทุกวัน แต่ผมก็ยังคงเขินเวลาที่สายตาของเขาก้มลงมองการกระทำของผมแบบไม่วางตา

“นายก็ไปเตรียมตัวเถอะ วันนี้เราไปกินอาหารเช้ากันที่ร้านก็ได้”

“ครับ”

ร้านที่ว่าก็คือร้านกาแฟของน้องสาวคุณทิศ ชื่อคุณทิวา แถมร้านกาแฟก็ไม่ได้ไกลจากตึกบริษัทของคุณตรีด้วย ทำให้คุณตรีสามารถแวบเข้ามาคุยงานและปรึกษาหารือกับทีมที่ตั้งขึ้นมาเป็นพิเศษได้อย่างสะดวกสบาย

ผมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คุณตรีซื้อให้ เขาบอกให้คิดซะว่าเป็นชุดยูนิฟอร์มสำหรับทำงาน แต่จริงๆมันก็คือกางเกงยีนส์ขายาวแล้วก็เสื้อเชิ้ตสีต่างๆ ก็ไปเดินเลือกซื้อนานพอดูเพราะต้องหาร้านที่ราคาถูก เพราะผมไม่อยากซื้อพวกร้านประจำของคุณตรี มันแพงเกินตัวผมไปหน่อย

เราออกจากบ้านขับรถมาถึงร้านก็เจ็ดโมงครึ่ง คุณตรีโทรมาสั่งอาหารเอาไว้ มาถึงก็สามารถนั่งทานได้เลย ทานข้าวเช้าเสร็จคุณตรีก็เข้าบริษัทไปประชุมในตอนเช้า พาทีมออกแบบไปด้วยสองคน เห็นว่าวันนี้จะมีการนำเสนองานอีกรอบ ส่วนผมก็อยู่ที่ร้านผมก็ช่วยหยิบจับแล้วก็ออกความเห็นบ้างเล็กน้อย เวลาพี่เขาถามว่าอันนี้ส่วนกว่าหรืออันนี้สวยกว่า หรือบางทีก็โทรสอบถามเรื่องราคาวัสดุตามแต่ที่พี่เขาจะบอกว่าให้ผมทำอะไร

เหมือนผมได้มาทำงานจริงๆ ได้ประสบการณ์แล้วก็ได้ความรู้ใหม่ๆ ผมจึงชอบที่จะออกมากับคุณตรี

จนเวลาเที่ยงครึ่งพี่สองคนที่ไปกับคุณตรีก็กลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมมองหาคุณตรี แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเดินตามมา

“คุณตรีล่ะครับพี่ไก่” ผมถาม

“ยังอยู่ที่บริษัทน่ะ มีเรื่องนิดหน่อย” พี่ไก่พูดหน้าเครียด แล้วก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานร่วมกับคนอื่น

“นำเสนองานเป็นไงบ้างวะ” พี่จิ๋วที่ตัวไม่จิ๋วถามด้วยความตื่นเต้น ผมเองก็อยากรู้

“ทำไมทำหน้ากันอย่างนั้นวะ เหมือนไม่ดีใจ ยังไงงานเรามันก็ต้องผ่านป่ะ เพราะคุณตรีเป็นคิดงานนี้ และเขาคือคนตัดสินใจเลือกงาน” พี่แม็กพูดขึ้น คนอื่นๆที่เหลือก็พยักหน้าว่าเห็นด้วย

“มันก็ควรต้องเป็นอย่างนั้น แต่วันนี้ท่านประธานใหญ่มานั่งฟังด้วย และเขาจับผิดเราได้ว่าคุณตรีไม่ได้ใช้ทีมในบริษัท” พี่อาร์ม คนที่ไปนำเสนองานกับพี่ไก่แล้วก็คุณตรีพูดไขข้อข้องใจให้ทุกคนรู้ และมันก็พลอยทำให้ทุกคนมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น

“แล้วยังไงต่อวะ งานเราจะไม่ผ่านเหรอ”

“ก็ไม่เชิง คุณตรีให้พวกกูกลับมาก่อน เขาบอกเขาจะคุยกับพ่อเขาเอง”

“แต่พวกเราก็มีชื่อในบริษัทแล้วหรือเปล่าวะ”

“ก็เพราะชื่อพวกเราเข้าพร้อมกันเป็นพนักงานใหม่หมดเลยไง แถมเข้าไปแบบเด็กเส้น มันเลยกลายเป็นข้อครหา”

“แล้วยังไงวะ พวกเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีฝีมือ อีกอย่างคนคิดคอนเซ็ป คนตัดสินใจเลือกแบบ มันก็ประธานบริษัทไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่ แต่คนถือหุ้นสูงสุด แล้วก็มีอำนาจหลังม่านจริงๆมันคือพ่อเขาไง”

“คืออะไรวะ ครอบครัวตีกันเองงั้นเหรอ”

“ไม่รู้วะ กูภาวนาขอให้คุณตรีเขาคุยกับพ่อเขาได้ งานมันจะได้ผ่านไปราบรื่น”

ผมฟังพวกพี่เขาคุยถกเถียงกันด้วยในที่หนักอึ้ง คิดถึงคนที่ต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวคนเดียว ผมพอจะรู้ว่าคุณตรีและคุณพ่อของเขาไม่ลงรอยกัน จากการปะทะคารมกันตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย แต่รอยร้าวที่มากกว่านั้นผมไม่รู้ แต่ยังไงคุณตรีก็เป็นลูกชายไม่ใช่เหรอ จำเป็นต้องใจร้ายกับเขามากขนาดนี้ด้วยเหรอ


‘คิดยังไงผมก็ไม่เข้าใจ’
‘แกยังทำงานไม่เสร็จ ดังนั้นแกจะใช้ชีวิตตามอำเภอใจไม่ได้’
‘ผมยังไม่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจสักหน่อย’
‘ให้มันแน่’
‘ผมแน่อยู่แล้วครับ คุณพ่อก็เตรียมใจไว้แล้วกัน ถึงเวลานั้นใครก็ห้ามผมไม่ได้’



ผมนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างครอบครัวเจ้านายของผมในวันที่ต้องไปรับคุณดิวออกไปซื้อเสื้อผ้าใส่ไปงาน ผมชักอยากจะรู้แล้วว่าความขัดแย้งของพวกเราคืออะไร แล้วทำไมคุณตรีถึงอยากได้ชีวิตอิสระ แล้วถ้างานนี้ไม่สำเร็จ ชีวิตของคุณตรีจะเป็นแบบไหน แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุข

ผมอยากให้คุณตรีมีความสุข ผมเชียร์อยากให้เขาทำงานนี้สำเร็จ ไม่รู้ว่าเลือกข้างถูกหรือไม่ แต่ผมไม่อยากให้คุณตรีต้องเป็นทุกข์เลย

ถึงผมจะไม่เคยเจอพ่อแม่ของตัวเอง แต่ผมมีลุงชัย ลุงขี้เมาที่เก็บผมมาเลี้ยง ลุงเป็นคนห่ามๆ พูดจากระโชกโฮกฮาก ติดจะหยาบคายเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงลุงจะดุจะด่าผม แต่ก็พูดไปด้วยความเอ็นดูไม่คิดอะไร เหมือนด่าไปเพราะติดปาก เพราะแววตาของลุงยังคงเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ต่อให้ผมไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของลุง แต่สายตาของลุงก็ยังอ่อนโยน

ไม่เหมือนกับแววตาของคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชาย โดยเฉพาะคุณพ่อของคุณตรี แววตาของเขามีแต่ความโกรธและความไม่พอใจ ไม่ยอมรับ ผมไม่เคยเห็นแววตาของความรักที่จะใช้มองคนเป็นลูก

ผมเปล่าอคติเพียงเพราะผมรักคุณตรี แต่ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ ผมรู้สึกได้ถึงช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสามคน พ่อ แม่ และลูกชาย

กลายเป็นว่าช่วงบ่ายเราแทบจะหยุดทำงาน ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ได้แต่รอคอยการกลับมาของคุณตรี ผมส่งข้อความไปหาเขาทางไลน์ แต่ว่าคุณตรียังไม่อ่านและไม่ตอบ

ยังไงเขาก็ต้องมา เพราะผมต้องกลับบ้านพร้อมกับคุณตรี เพียงแต่ทุกนาทีที่รอมันช่างทรมาน

สี่โมงเย็นกว่าคุณตรีถึงได้กลับเข้ามาในร้านกาแฟ ทุกคนที่กำลังรอลุกขึ้นยืนพร้อมกันอัตโนมัติ

ผมสำรวจคุณตรีทางสายตาคร่าวๆ เขายังคงดูดี แต่ทุกครั้งเขาจะมีสีหน้าที่สบายใจกว่านี้นับตั้งแต่ที่คิดออกว่าจะออกสินค้ารูปแบบไหน

“คุณตรีครับ” พี่อาร์มเป็นคนถามคำถามที่ทุกคนในที่นี้อยากรู้

คุณตรีมองทุกคนก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบเสียงหนักแน่น

“เราจะใช้ทีมของเราและรูปแบบสินค้าที่เราออกแบบสำหรับคอลเลคชั่นนี้ นี่คือการตัดสินใจสูงสุด และเราจะเริ่มงานจริงตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย”

หมายความว่า...ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีใช่ไหม?

“เย้ จริงเหรอครับคุณตรี”

“คุณตรีอย่าหลอกพวกผมนะครับ ผมเครียดมากเลยตอนออกมาก่อน”

“อืม ฉันไม่โกหกหรอก วันนี้กลับไปพักผ่อนกันได้ พรุ่งนี้เราจะย้ายเข้าไปทำในบริษัทเต็มตัวแล้ว เตรียมตัวกันให้พร้อม เรากำลังทำงานแข่งกับเวลาอยู่”

“ได้ครับ งานนี้พวกผมจะทำให้เต็มที่เลย”

“อืม ขอบใจ”

ดีจังเลย เห็นทุกคนยิ้มได้แบบนี้ผมก็มีความสุข แต่ว่า...ทั้งๆที่ก็เป็นข่าวดี ทำไมคุณตรีถึงทำเหมือนไม่ดีใจ

ผมเดินตามคุณตรีกลับมาที่รถ ยังไม่ทันได้ออกเดินทางกลับบ้าน โทรศัพท์ของคุณตรีก็ดังขึ้น ผมเหลือบมองอย่างไม่ทันระวัง ก็เลยเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา

‘พ่อ’

คุณตรีมองสายเรียกเข้าอย่างชั่งใจ แต่ในที่สุดเขาก็กดรับก่อนที่สายจะตัด

“ผมไม่อยากไป ผมอยากกลับบ้านไปพักผ่อน ผมทำอะไร ผู้หญิงแบบนั้นพ่อว่าดีแล้วเหรอ ผมไม่ได้ตกลงเรื่องนั้นด้วย”

ทะเลาะกับบ้านอีกแล้วเหรอ

“โอเค ผมจะไป แต่ผมขอพาฟ้ากลับไปส่งที่บ้านก่อน ถ้ารอไม่ได้ พ่อจะให้ผู้ช่วยผมร่วมโต๊ะอาหารด้วยไหมล่ะ หึ ครับ ได้ครับ”

คุณตรีหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้ว่าคุณผู้ชายเรียกให้คุณตรีไปหาที่ไหน แต่ผมว่าดื้อรั้นไปก็คงไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพ่อ

ผมแตะที่แขนของคุณตรีเบาๆอยากให้เขาใจเย็นลง เขาหันมามอง ผมส่งยิ้มให้พลางขยับปากพูดว่าให้ใจเย็น ผมไปรอได้ ผมรู้ว่าคุณตรีไม่อยากยอม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงยอมตกลงที่จะไป แล้วออกรถด้วยความเร็ว ราวกับว่าต้องการระบายอารมณ์ไปกับคันเร่ง

สถานที่ที่คุณตรีขับรถเข้ามา เป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง รถจอดสนิทแต่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ คุณตรีนั่งมองตรงไปข้างหน้า ซึ่งเป็นประตูทางเข้าร้านอาหาร นิ้วชี้เคาะบนพวงมาลัยเป็นจังหวะคล้ายกำลังใช้ความคิด ราวห้านาทีเขาถึงได้หันมาพูดกับผม

“ฉันจะเข้าไปข้างใน แต่จะรีบเคลียร์แล้วรีบออกมา นายนั่งรอฉันในรถละกัน”

“ได้ครับ คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์รอ” ผมบอกให้เขาสบายใจ

“ฉันไม่อยากเข้าไป” เขาพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้าลง เห็นเขาเป็นแบบนี้ผมก็ไม่สบายใจ

“แค่ทานข้าวกับที่บ้านเองนะครับ ไม่มีอะไรหรอก ผมจะรอตรงนี้”

คุณตรีถอนหายใจยาว และเขาไม่สามารถยื้อไปมากกว่านี้ได้ เพราะว่าสายเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง และคนที่โทรมาก็คือครอบครัวของคุณตรีที่กำลังรอให้เขาเข้าไปในร้าน

“เดี๋ยวผมเข้าไป” คุณตรีกดรับสายแล้วตอบสั้นๆ

“ไปเถอะครับ ไม่ว่าเรื่องอะไร คุณตรีจะผ่านมันไปได้” ผมพยายามที่จะให้กำลังใจเขา ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน

“ขอบใจ” คุณตรีใช้สายตาสื่อความหมายของคำที่พูด

“สู้ๆนะครับ” ผมทำท่ากำมือขึ้นทั้งสองข้างให้กำลังใจ และมันก็ทำให้คุณตรีหลุดยิ้มออกมาได้แม้เพียงเล็กน้อย

“ฉันจะรีบกลับมา” คุณตรีลูบหัวผมแล้วเปิดประตูลงจากรถ แต่เดี๋ยวนะ เขาลืมอะไรไปหรือเปล่า

“เดี๋ยวครับคุณตรี ไม่ดับเครื่องเหรอครับ” ผมถามเพราะเขายังสตาร์ทเครื่องไว้อยู่

“ถ้าดับเครื่องนายจะอยู่ยังไง เดี๋ยวก็หายใจไม่ออก”

อ่อ อย่างนี้นี่เอง ผมยิ้มให้คุณตรีก่อนจะตอบ

“เปิดกระจกเอาก็ได้ครับ ตรงนี้ร่มมากเพราะจอดใต้ต้นไม้ แถมมีลมด้วย ไม่ร้อนหรอกครับ แต่สตาร์ทรถทิ้งไว้มันเปลืองน้ำมัน เปลืองทรัพยากรนะครับคุณตรี แถมยังทำให้โลกร้อนด้วย”

“โอเคๆ ถ้าจะร่ายยาวขนาดนี้” คุณตรียอมกลับมาดับเครื่องยนต์ แล้วส่งกุญแจรถมาให้ผมถือ

ผมจัดการลดกระจกฝั่งผมลง แล้วก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แต่สายตาก็คอยจะมองที่ประตูทางเข้าร้าน ผมไม่ได้หวังให้คุณตรีออกมาเร็ว มาทานข้าวกับครอบครัวก็ต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากๆ แต่ที่ผมมองเพราะผมเป็นห่วงคุณตรี ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างคุณตรีกับคุณพ่อคุณแม่ราบรื่น ผมก็คงจะวางใจ

อีกอย่างวันนี้ยังมีปัญหาเรื่องงานเข้ามาเป็นความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจะหวานชื่นรื่นรมย์

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีพนักงานในร้านเดินมาที่รถ ตอนนี้ผมเปิดกระจกรถฝั่งคนขับด้วย เพื่อที่จะได้มองหน้าร้านได้ถนัด

“ขอโทษนะคะ พอดีลูกค้าในร้านเขาให้เอามาส่งที่รถคันนี้ค่ะ แล้วฝากบอกว่าให้ทานรองท้อง” พนักงานของร้านส่งถุงกระดาษมาให้ ผมขยับตัวเอื้อมไปรับมาดู

“ขอบคุณนะครับ”

“ยินดีค่ะ” แล้วเธอก็เดินกลับเข้าไปในร้าน

ผมหยิบกล่องกระดาษออกมาจากถุงแล้วเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน พอเห็นของก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างแล้วมองไปที่ประตูหน้าร้านอีกครั้ง

มีทั้งขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา มีก้อนหมูที่มีไข่แดงเค็มอยู่ด้านบน ซื้อมาให้ขนาดนี้แล้วบอกว่าให้กินลองท้อง ผมว่ากินหมดนี่ท้องผมต้องป่องและอิ่มไปยันเช้า

ผมเปิดประตูรถออกไปนั่งทานอาหารที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ คุณตรีช่างเป็นคนรอบคอบ นอกจากอาหารแล้วยังสั่งเครื่องดื่มมาให้ผมด้วย ผมกินไปได้ครึ่งกล่องก็รู้สึกอิ่มมากจนกินต่อไม่ไหว คงต้องเอากลับไปแช่ตู้เย็นแล้วพรุ่งนี้ค่อยเอามาอุ่นร้อนกินอีกที

พอได้ออกมานั่งด้านนอก ก็รู้สึกสบายกว่านั่งในรถ ผมนั่งมองผู้คนไปเพลินๆจนกระทั่งได้ยินเสียงคนตะโกนโวยวาย เสียงนั้นช่างคุ้นหูจะขนลุกด้วยความสยอง

“ไอ้ตรี แกหยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงของคุณผู้ชายดังคำรามอยู่ที่หน้าร้าน คุณตรีที่กำลังเดินมุ่งหน้ามาที่ลดหยุดชะงัก คุณท่านเลยสาวเท้าเข้าหาด้วยความเร็ว และต่อจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก

เพี๊ยะ!!!

“คุณพี่! ตรี!”

“คุณตรี!” เสียงนี้เป็นเสียงผม ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจที่เห็นคุณตรีถูกคุณท่านตบเข้าที่หน้า ผมอยากเดินเข้าไปใกล้ แต่มีบางอย่างดึงขาของผมไว้ คำว่าคนนอกคือคำที่ทำให้ผมได้แต่ยืนมองจากตรงนี้ หัวใจของผมเต้นเร็วและบีบตัวแน่นด้วยความกลัว

ทำไมคุณท่านต้องตบคุณตรี เขาต้องเจ็บมากแน่ๆ

“พ่อตบผมเหรอ ทำไมครับพ่อยอมรับผมไม่ได้ รังเกียจมากนักหรือไง”

“ใช่ ฉันรังเกียจ ทำไมแกต้องทำตัวผิดปกติด้วยห๊ะ”

“คุณพี่คะ พอแล้ว”

“หึ ผมไม่ได้ผิดปกติ และผมจะบอกพ่ออีกครั้ง ว่าผมจะไม่หมั้นไม่แต่งงานอะไรกับผู้หญิงคนนี้หรือคนไหนๆ ไม่ต้องเอามาประเคนให้ผมถึงเตียง เพราะต่อให้ผู้หญิงพวกนั้นแก้ผ้าต่อหน้าผม ไอ้นั่นของผมมันก็ไม่ตั้ง รู้ไว้ด้วย ผมไม่มีทางรู้สึกกับผู้หญิงเพราะว่าผมชอบผู้ชาย พ่อได้ยินไหม ว่าผมชอบผู้ชายและรังเกียจผู้หญิง และไม่ว่าพ่อจะส่งผมให้ไปรักษากับหมอที่ไหน พ่อก็จะไม่มีวันได้ในสิ่งที่พ่อต้องการ”

“ไอ้ตรี มันจะมากเกินไปแล้วนะ ฉันเป็นพ่อแก แกต้องฟังคำสั่งฉัน”

“พ่อก็รู้ว่าพ่อบังคับผมไม่ได้”

คุณตรีพูดจบก็เดินกลับมาที่รถ เขาเหมือนจะชะงักตอนเห็นผมยืนมองอยู่ แต่แล้วเขาก็ทำหน้านิ่งแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ผมได้สติก็รีบวิ่งไปขึ้นรถทันทีก่อนที่รถคุณตรีจะออกตัว

เสียงทะเลาะของคุณตรีกับคุณท่านยังคงดังก้องอยู่ในหัวของผมทุกคำ ยิ่งภายในรถเงียบมากขนาดนั้น เสียงนั้นก็เหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆ


‘ผมจะไม่หมั้นไม่แต่งงานอะไรกับผู้หญิงคนนี้ หรือคนไหนๆ ไม่ต้องเอามาประเคนให้ผมถึงเตียง เพราะต่อให้ผู้หญิงพวกนั้นแก้ผ้าต่อหน้าผม ไอ้นั่นของผมมันก็ไม่ตั้ง รู้ไว้ด้วย ผมไม่มีทางรู้สึกกลับผู้หญิง เพราะว่าผมชอบผู้ชาย พ่อได้ยินไหม ว่าผมชอบผู้ชายและรังเกียจผู้หญิง’


คุณตรีชอบผู้ชายเหรอ?

ผมแอบลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคุณตรี มุมปากของเขาแตะและมีรอยเลือดซึม แสดงว่าคุณท่านมือหนักไม่ใช่ย่อย ตบแค่ทีเดียวสามารถทำให้เลือดออกปากได้ และนอกจากบาดแผลภายนอกแล้ว บาดแผลภายในของเขาคงจะเหวอะหวะพอตัว

คุณตรีนิ่งเงียบเกินไปจนน่ากลัว มือทั้งของข้างของเขากำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดบนมือปูดโปน ผมไม่กล้าขยับตัวหรือหายใจแรง เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการทำให้คุณตรีสติแตกไปมากกว่าเดิม

เมื่อขับรถมาถึงบ้านคุณตรีก็เดินเข้าบ้านแล้วเดินขึ้นห้องไปเลย ผมได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง โดยที่ไม่กล้าร้องเรียกก็หรือรั้งเอาไว้ ก็ได้แต่ปล่อยให้คุณตรีใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

เวลาผ่านไปจนสองทุ่มคุณตรีก็ยังไม่ออกมาจากห้อง ผมอดทนเก็บความเป็นห่วงไว้ไม่ไหว ก็เลยหยิบกล่องยาแล้วเดินขึ้นไปเคาะประตูหน้าห้องนอนของคุณตรี

“คุณตรีครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ ผมจะไปทำแผลให้”

“...”

ผมลองเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงภายใน แต่ทุกอย่างเงียบเชียบ ผมเคาะประตูห้องอีกครั้ง แต่ก็ยังเหมือนเดิม ผมเลยลองบิดลูกบิดประตูดู และเหมือนเช่นทุกครั้งที่คุณตรีจะไม่ล็อกห้อง

ห้องนอนของคุณตรีมืดสนิท ผมเปิดไฟให้ห้องทั้งห้องสว่าง แล้วกวาดสายตามองหาเจ้าของห้องแต่ก็ไม่เจอ ผมจึงเดินลึกเข้าไปจนถึงประตูบานเลื่อนตรงระเบียง

คนร่างสูงยืนหันหลังอยู่ตรงหน้า เบื้องหน้าคือแสงไฟจากพวกตึกสูง วันนี้ท้องฟ้าเปิดทำให้เห็นพระจันทร์ดวงกลมโต ผมวางกล่องยาไว้ที่โต๊ะกระจก แล้วเดินไปหาคุณตรีที่ระเบียง

“คุณตรีครับ”

เขาหันมาตามเสียงเรียกของผม สีหน้าของคุณตรียังคงดูเคร่งเครียดและดูอ่อนล้า

“มานี่สิ” เขาเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้

“ผมขอโทษนะครับที่เข้ามาโดยพลการ แต่เพราะผมเป็นห่วง แล้วก็จะมาทำแผลให้ด้วย” ผมช้อนสายตาขึ้นมองแผลที่มุมปากของคุณตรี เหมือนเขาจะยังไม่ได้จัดการอะไรกับตัวเองสักอย่าง เสื้อผ้าชุดเดิม และแผลก็ยังมีรอยคราบเลือดอยู่เหมือนเดิม

“ผิดหวังไหม แล้วก็รังเกียจฉันหรือเปล่า คิดว่านายคงได้ยินในสิ่งที่พ่อฉันพูดหมดแล้ว” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ซึ่งผมไม่เข้าใจว่ามันเพราะอะไร

“ครับผมได้ยิน แต่ผมไม่ได้รังเกียจนะครับ ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย”

เพราะผมเองก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“พูดหลอกให้ฉันไม่คิดมากหรือเปล่า ถ้านายไม่โอเคก็บอกฉันได้นะ ฉันไม่อยากทำให้นายอึดอัด” คุณตรีมองผมด้วยความเห็นใจ

“ผมไม่ได้หลอกคุณตรีนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจจริงๆ ไม่ว่าคุณตรีจะเป็นยังไง จะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย คุณตรีก็คือคุณตรี เป็นเจ้านายและเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผม” ผมบอกไปตามที่คิดที่รู้สึก

“งั้นเหรอ”

“คุณตรีอย่าคิดมากนะครับ” คำปลอบโยนของผมคงเป็นแค่คำปลอบโยนโง่ๆ แต่ผมก็อยากพูดอะไรสักอย่างเพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้น

“ฟ้า” คุณตรีเรียกชื่อผม

“ครับ”

“ขออะไรอย่างได้ไหม” เสียงพูดของเขาเบาลงจนเหมือนคนไม่มั่นใจ ผมขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นแล้วยิ้มให้เขา

“ได้สิครับ คุณตรีอยากได้อะไร ผมให้ได้ผมจะให้”

“ขอกอดหน่อยได้ไหม”

“...!”

ขอกอดอย่างนั้นเหรอ

“ได้ไหมฟ้า”

ผมพูดไปแล้ว ว่าถ้าผมให้ได้ผมจะให้ ให้เขาทุกอย่างแม้กระทั่งหัวใจ

“ได้สิครับ”

ผมอ้าแขนออก แล้วให้คุณตรีขยับตัวเข้ามากอดผม เขากอดผมแน่นมาก ใบหน้าของเขาซบลงที่ไหล่ผม ซุกหน้ากับซอกคอผมนิ่ง แขนทั้งสองข้างของเขากว้างมากจนโอบกอดผมได้ทั้งตัว ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยและผมสัมผัสได้ถึงความชื้นที่บ่า

เขาร้องไห้

ปัญหาที่แย่ที่สุดสำหรับใครหลายๆคนคงเป็นปัญหาครอบครัว การที่ครอบครัวไม่ยอมรับในสิ่งที่เป็น การที่ครอบครัวรังเกียจในตัวตนของคุณ ต่อให้คนที่โดนกระทำไม่ใช่ผม แต่ผมก็ยังรู้ว่ามันสามารถสร้างความเจ็บปวดได้มากมายขนาดไหน

“ผมจะอยู่ข้างคุณตรี ไม่ว่าคุณตรีจะเป็นยังไง คุณตรีก็คือคนสำคัญของผมนะครับ คุณตรีมีค่าสำหรับผมเสมอ” เพราะเป็นกังวลมาก เลยทำให้ผมพูดความในใจบางอย่างออกไป แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของความรู้สึกที่ผมมีต่อเขา

คืนนี้ผมจะใช้สองแขนเล็กๆของผมโอบกอดแล้วก็ปกป้องผู้ชายตัวโตคนนี้ไว้เอง



...........

มาร่วมด้วยช่วยกันกอดปลอบคุณตรีไปด้วยกันค่ะ
 :o12:


ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่19
นี่ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า




หลังจากปล่อยให้คุณตรีมีช่วงเวลาที่อ่อนแอไม่นาน เขาก็ปล่อยตัวผมแล้วเอ่ยขอบคุณ จากนั้นผมก็บอกให้เขาไปอาบน้ำผมจะได้ทำแผลให้

“แสบไหมครับ” ผมถามเมื่อเห็นเขายังคงนิ่งเมื่อผมเอาแอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผล

“นิดหน่อย”

“คุณพ่อคุณตรีคงมือหนักมากใช่ไหมครับ” ลองคิดว่าถ้าผมเป็นคนโดนตบ คงไม่ได้แค่ปากแตก แต่คงจะหน้าเบี้ยวไปเลย

“หนักมาก ความจริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันโดนหรอกนะ แต่จะกี่ครั้งก็ไม่ชิน”

มือที่กำลังทำแผลให้คนเจ็บนิ่งค้างเพราะใจของผมที่กระตุกวูบ ผมรู้สึกเห็นใจไม่รู้ว่าคุณตรีทำได้ยัง พูดสิ่งที่ชวนให้เจ็บปวดทั้งที่สีหน้าและแววตายังคงนิ่งเฉย

“ทำไมครับ ทำไมคุณท่านต้องตีคุณตรีด้วย”

ผมรู้สึกเจ็บแทนจนรู้สึกอยากจะร้องไห้ ผมไม่เคยถูกลุงตีแบบนี้ ตีที่เหมือนกับระบายอารมณ์ ลุงจะตีแค่ตอนที่ผมซน ก้านมะยมคืออาวุธที่ลุงใช้ลงโทษผม แต่ก็แค่เจ็บแบบแสบๆคันๆเท่านั้น ไม่เคยต้องเลือดตกยางออกแบบที่คุณตรีโดน

“ทำโทษแหละมั้ง”

“แต่ผมว่ามันเกินไป” ผมอยากจะโกรธแทน โกรธมากๆ โกรธที่สุด

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” คุณตรียกมือลูบแก้มผม แต่ไม่นานก็ชักมือกลับอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษนะ”

ผมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้รังเกียจ”

ถ้ารังเกียจก็คงไม่พาตัวเองมาอยู่ใกล้ๆแบบนี้

“ทำแผลเสร็จหรือยัง” คุณตรีถาม เขามือเอาแตะๆที่แผลที่ผมเพิ่งทายาลงไป

“อย่าไปโดนสิครับ ขอผมติดปลาสเตอร์ยาก่อน” ผมดุเล็กน้อย ดึงมือเขาออกห่างจากใบหน้า แล้วใช้ปลาสเตอร์ยาแผ่นเล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัสแปะทับลงไป

“เสร็จแล้วครับ วันสองวันก็น่าจะหาย” ผมเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงกล่อง พรุ่งนี้น่าจะยังต้องใช้อีก ผมเลยเอาไปวางบนตู้ลิ้นชักภายในห้อง

“ฟ้า ฉันหิว ทำอะไรง่ายๆให้กินหน่อยสิ”

“หิวเหรอครับ” เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้คุณตรีก็เพิ่งทานข้าวเย็นไปไม่ใช่เหรอ

“เมื่อเย็นฉันไม่ค่อยได้กินอะไรน่ะ กินไม่ลง แต่ตอนนี้หิวแล้ว”

“อ่อ ครับ แล้วคุณตรีอยากทานอะไร ผมจะได้ลงไปทำให้”

“ปกติดึกๆแบบนี้นายกินอะไร”

“ผมเหรอ ถ้าเป็นตอนที่ยังอยู่ที่หอ ผมก็กินบะหมี่ซองครับ อร่อยแถมประหยัด ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะกินบะหมี่ซองอร่อยเท่าตอนกลางคืนอีกแล้ว”

“แค่บะหมี่ซองเนี่ยนะ งั้นก็ลงไปทำให้กินหน่อยสิ อยากรู้ว่าจะอร่อยสักแค่ไหน”

“รับรองเลยครับว่าคุณตรีจะต้องติดใจ”

ผมไม่รู้ว่าเขาจะชอบไหม แต่ก็รีบลงไปเข้าครัวเพื่อทำอาหารญี่ปุ่นแบบราคาย่อมเยาให้คุณตรีได้ลอง โดยมีผู้ชมอย่างคุณตรีคอยมองผมตลอดเวลาที่หยิบจับงานครัว

“คุณตรีอยากทานรสอะไร”

“ต้มยำกุ้งก็ได้”

“ทานได้เหรอครับ มันเผ็ดนะ” ผมถามย้ำ

“อยากลองดู นายชอบกินรสนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ผมชอบทานเผ็ด”

“ทำมาเถอะ ฉันทานได้ นายก็ทำเผื่อตัวเองด้วย กินด้วยกันนะ”

“ได้ครับ” ผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว สำหรับผมการได้กินบะหมี่ซองคือสวรรค์เลย ยิ่งถ้าได้ใส่ไข่ใส่ผักสักหน่อยยิ่งอร่อยขึ้นเป็นเท่าตัว สำหรับผมแล้วถึงอยากจะเบื่อก็เบื่อไม่ได้ เพราะมันก็เป็นอาหารที่ทำให้อยู่รอดมาได้ ก็ต้องขอบคุณมันละนะที่บนโลกใบนี้ยังมีอาหารราคาถูกให้คนยากคนจนแบบผมกินประทังชีวิต

ผมใช้บะหมี่สามซอง ใส่กุ้ง ใส่ปลาหมึกแล้วก็ใส่เนื้อปูแกะเป็นชิ้น มีไข่และผักเพื่อเพิ่มสารอาหาร ทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้คุณตรีได้กินอาหารที่มีประโยชน์

ผมตักแบ่งใส่ถ้วยสองถ้วย แล้วยกไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่โต๊ะอาหารตอนกำลังร้อนๆ เขามองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ทั้งๆที่มันก็แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

หลุดภาพหนุ่มนักธุรกิจ กลายเป็นแค่ผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง

“ผมลดเครื่องปรุงลงหน่อย จะได้ไม่เผ็ดมาก”

คุณตรีใช้ตะเกียบคีบเส้นขึ้นมาเป่าแล้วก็เอาเข้าปากคำโต คุณตรีเป็นคนชอบกินบะหมี่น้ำที่เป็นเส้นบะหมี่สด อาหารตรงหน้าก็คงถือเป็นประเภทเดียวกัน ใช้แทนกันได้ เขาก็เลยกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่พูดไม่จา

“อิ่มไหมครับ” ผมถามเมื่อเขาทานเสร็จ จนแม้แต่น้ำซุปก็แทบไม่เหลือ

“อิ่มมาก ปกติฉันไม่ค่อยกินของหนักเวลานี้ คงต้องนั่งย่อยสักพัก”

“ออกไปนั่งเล่นข้างนอกกันไหมครับ อากาศดี”

“เอาสิ นายไปนั่งรอข้างนอกก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”

ด้านนอกที่ว่าคือชานระเบียงตรงประตูด้านข้างของบ้าน ซึ่งติดกับสวนที่เรานั่งทานอาหารกันข้างนอกวันที่เพื่อนคุณตรีมา ตรงนั้นจะมีเก้าอี้นั่งเอนหลังแบบเก้าอี้ชายหาด ทั่วทุกมุมบ้านของคุณตรี จะมีจุดให้นั่งพักผ่อนอยู่ทั่วไปหมด เหมือนไว้เปลี่ยนบรรยากาศในการนั่งพักผ่อน

คุณตรีเดินกลับมานั่งเก้าอี้ตัวข้างๆพร้อมกับกระป๋องเบียร์สี่กระป๋อง เขาส่งมาให้ผมหนึ่งกระป๋อง ยักคิ้วเป็นการเชื้อเชิญให้ผมดื่มเมื่อเห็นว่าผมนิ่งไม่ยอมรับไปสักที

“ทำไมวันนี้ถึงดื่มเบียร์ละครับ” ผมถามด้วยความสงสัย ถึงจะมีเบียร์ติดตู้เย็น แต่ผมไม่ค่อยจะเห็นคุณตรีหยิบออกมาดื่ม

“อยากดื่ม จะได้นอนหลับสบาย” เขาตอบ นิ้วมือเรียวเปิดฝากระป๋องเบียร์เสียงดังแกร๊ก ตามมาด้วยเสียงซ่าจากสิ่งที่อยู่ด้านใน ผมก็เลยเปิดของตัวเองบ้าง

“ที่ฉันไม่ค่อยดื่ม เพราะมันทำให้มีพุง”

“เพราะต้องรักษาหุ่นเหรอครับ คุณตรีหล่ออยู่แล้ว ดื่มนิดดื่มหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”

“แล้วนายล่ะ ปกติดื่มไหม”

“ผมเหรอครับ ไม่ค่อยหรอก มันเปลืองเงิน อีกอย่างผมไม่อยากเป็นเหมือนลุงที่ตายเพราะเหล้า”

ความทรงจำของน้ำเมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมดื่มบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อต้องเข้าสังคม อย่างเช่นเวลาที่เฮียชาร์ปแกเลี้ยงลูกจ้างในร้าน หรือกินเลี้ยงวันเกิดของไอ้แจ็คมันก็จะชวนผมไปกินด้วย ผมก็กินแก้วสองแก้วพอเป็นพิธี

คุณตรีดื่มเบียร์หมดกระป๋องแรกก็ต่อกระป๋องที่สอง เขาดื่มเงียบๆ ทอดสายตามองพระจันทร์เบื้องหน้า เขาคงมีเรื่องที่ต้องคิดมากมายเต็มไปหมด ส่วนผมก็เกิดคำถามที่ว่า ผมจะสามารถช่วยอะไรเขาได้มากกว่านี้ไหม

“คุณตรี ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการก้าวก่ายเกินไปหรือเปล่า แต่หากคุณตรีอยากระบาย ผมก็พร้อมจะเป็นผู้ฟังที่ดี”

เรื่องที่ผมอยากถามก็คือเรื่องครอบครัวของคุณตรี ยิ่งรับรู้ผมยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยผ่าน

“เรื่องครอบครัวของฉันเหรอ” คุณตรีเดาใจผมถูก หรือว่าเขาจับสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของผมได้

“ครับ แต่ถ้าคุณตรีไม่สะดวกใจ...”

“เล่าได้”

ไม่เป็นไรนะครับ

ผมยิ้มเขินเล็กน้อย เพราะตัวเองยังพูดไม่ทันจบประโยค ปากก็เลยกลายเป็นอ้าพะงาบๆ ผมรอให้คุณตรีเล่า มองจดจ้องเขาอย่างรอคอย คุณตรีเห็นดังนั้นก็เลยใช้กระป๋องเบียร์เย็นๆกระป๋องที่สามแตะเข้าที่แก้มของผม

“ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวนักธุรกิจตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า หายใจเข้าออกเป็นธุรกิจ ทุกอย่างคือเงิน ทุกอย่างคือหน้าตาและเกียรติยศ ทุกคนจะต้องเดินตามเส้นทางที่พ่อแม่เป็นคนขีดเส้นไว้ พ่อฉันทำตามที่ปู่บอกทุกอย่าง ไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไร เรื่องเรียน เรื่องงาน แม้กระทั่งเรื่องคู่ครอง”

เล่ามาถึงตรงนี้ คุณตรีก็กระดกเบียร์กระป๋องที่สามอึกใหญ่ ผมไม่อยากห้ามเขา แม้ว่าจะไม่อยากให้เขาดื่มเยอะ แต่ผมว่าวันนี้ผมควรต้องปล่อยให้เขาได้ระบาย ไม่ว่าเขาจะมีอาการยังไง คืนนี้ผมจะอยู่ดูแลเขาเอง

“คุณแม่ของคุณตรีคือผู้ใหญ่หาให้เหรอครับ”

“ใช่ คำว่าอยู่ๆกันไปก็รักกันเอง พ่อกับแม่ฉันเป็นแบบนั้น”

“มันเกิดขึ้นได้จริงเหรอครับ”

“ฉันไม่รู้ แต่พวกเขาก็อยู่กันมาได้ เพราะพ่อฉันเป็นลูกที่ดีเยี่ยม ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ส่วนแม่ของฉันก็ไม่กล้าที่จะขัดอากงกับอาม่า เพราะเป็นลูกคนจีน”

ถ้าว่ามาแบบนี้ก็เข้าใจได้ สมัยก่อนนี่เนาะ ผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าทำอะไรที่มันนอกลู่นอกทาง

“พอมีลูก พ่อและแม่ของฉันก็อยากให้ลูกๆทำตามที่ตัวเองต้องการ เพราะมองว่าการที่ตัวเองทำตามพ่อแม่แล้วสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ ดังนั้นลูกที่ดีที่อยากเจริญรุ่งเรืองต้องใช้ชีวิตแบบที่พ่อแม่ต้องการ”

“แต่คุณตรีไม่ได้เป็นแบบที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการเหรอครับ พวกท่านถึงได้โมโห” พอพูดมาถึงตรงนี้ผมว่าผมพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ไม่ยาก

“ถูกต้อง ฉันไม่ได้อยากเรียนบริหาร และพี่ชายของฉันก็ดูจะเป็นลูกที่ดี ไม่ว่าพ่อจะให้ทำอะไรพี่ชายของฉันก็ไม่เคยขัด ซึ่งต่างกับฉันที่เกเรมาตั้งแต่เด็ก ทั้งบ้านมีแค่คุณย่าเท่านั้นที่เข้าใจฉัน แต่เสียงเสียงเดียวจะสู้เสียงคนหมู่มากได้ยังไง ทุกคนหาว่าคุณย่าให้ท้ายฉันให้ฉันเกเร แต่ฉันแค่มีความฝันเป็นของตัวเอง” ตอนคุณตรีพูดถึงคุณย่า คุณตรีดูมีความสุข

“คุณตรีมีความฝันอะไรเหรอครับ”

“พูดไปแล้วอาจจะฟังดูตลก ฉันอยากเป็นเชฟ”

“เชฟ?” ผมเบนหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันใช่เหรอ ผมไม่ค่อยเห็นคุณตรีเข้าครัวเลยนะ ผมคิดว่าเขาแค่เป็นคนเลือกกินมากๆก็เท่านั้น ไม่คิดว่าจะถึงกับอยากเป็นคนทำอาหาร

“แปลกใจใช่ไหม”

“ผมไม่เคยเห็นคุณตรีทำอาหารเท่าไหร่”

“เพราะฉันกลัว กลัวว่าถ้าทำจะกักเก็บความอยากของตัวเองเอาไว้ไม่ไหว ฉันก็เลยเลือกที่จะหันหลังให้กับมัน”

ผมไม่ได้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ไม่เคยคิดฝันว่าตัวเองโตขึ้นมาจะเป็นอะไร ผมแค่ฝันว่าผมจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ และขอให้มีใครสักคนที่จะอยู่กับผมโดยไม่ทิ้งกันไปไหนไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม

“ฉันเกเรหนักขึ้นตอนอยู่มัธยมปลาย ยิ่งพ่อมารู้ว่าฉันชอบผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิง ฉันก็ถูกพ่อตีและด่าว่า เขาพาฉันไปรักษากับจิตแพทย์ มันน่าขำ ฉันไม่ใช่ลูกที่ดีหรอกนะฟ้า ฉันทำให้พ่อแม่เสียใจ ยิ่งถูกสั่งฉันก็ยิ่งต่อต้านและแข็งข้อ ฉันแค่อยากใช้ชีวิตของฉัน ฉันควรมีสิทธิ์ได้เลือกว่าตัวเองจะมีชีวิตแบบไหน”

“...” ผมเงียบให้เขาได้พูดความอึดอัดออกมา ผมไม่เคยต้องเจอความกดดันอย่างที่เขาเจอ จึงไม่สามารถตัดสินว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี

“บ้านหลังนี้คือที่ดินของย่า ตอนมัธยมปลายปีที่ห้าคือปีที่ฉันทะเลาะกับที่บ้านหนักสุด ฉันทำให้พ่อโมโหแม้ว่าตัวเองจะต้องขึ้นโรงพัก และย่าทนเห็นบ้านลุกเป็นไฟไม่ได้ ย่าก็เลยให้ฉันมาอยู่ที่นี่ รู้ไหมฟ้า  ถึงมันจะเหงา ถึงจะโดดเดี่ยว แต่มันก็ดีกว่าที่จะต้องได้รับสายตารังเกียจจากคนที่ทำให้เราเกิดมา” คุณตรีเสียงสั่น ผมมองออกว่าเขาพยายามข่มน้ำตาเอาไว้

“รู้อะไรไหม ฉันโตมาด้วยพี่เลี้ยง นานๆครั้งจะได้เห็นหน้าพ่อแม่ เจอกันที่ก็มีแต่คำสั่งว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ยิ่งพอรู้ว่าฉันไม่ชอบผู้ชาย พ่อฉันก็สรรหาพี่เลี้ยงเป็นผู้หญิง ไม่สนว่ามันจะดูน่าเกลียดแค่ไหนที่ทำเหมือนอยากให้ลูกตัวเองได้กับพี่เลี้ยงทั้งๆที่ฉันเพิ่งจะอายุแค่สิบหกสิบเจ็ด”

ผมฟังแล้วก็ได้แต่ตกใจ พวกท่านต้องทำกับคุณตรีขนาดนี้เลยเหรอ

“ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าฉันเป็นลูกอกตัญญู แต่ฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ในเมื่อฉันเป็นแบบที่พวกเขายอมรับไม่ได้ เขาก็ควรปล่อยฉันไป”

“คุณตรี”

“และต่อให้ฉันทำเลวมากกว่านี้ ฉันก็ยังคงเป็นคนของตระกูลโอฬารทวีสินอยู่ดี ในเมื่อไม่มีทางเลือก ก็ต้องหาหนทางให้ตัวเองมีอิสรภาพมากที่สุด”

“เรื่องงานที่บริษัทเหรอครับ” ผมจำได้ถึงข้อตกลงเรื่องอิสรภาพของคุณตรีที่เคยพูด

“ใช่ เริ่มตั้งแต่ที่ฉันต้องไปเรียนที่อังกฤษ แล้วก็กลับมาบริหารงานที่ King’s Luxury ที่กำลังจะเจ๊งให้ฟื้นคืนกลับมา เพราะฉันมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากดูแลและรับผิดชอบ และชีวิตอิสระคือสิ่งที่ฉันต้องการ ดังนั้นการเดิมพันครั้งนี้มันคือทั้งหมดของชีวิตฉัน”

คุณตรีหันกลับมามองสบตาผม ทุกคำพูดของเขาหนักแน่นและทรงพลัง จนทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาเอาจริง และเขาจะต้องทำมันให้ได้อย่างที่ใจเขาต้องการ

“ถ้าคุณตรีทำได้ มันจะเป็นยังไง คือ ผมหมายถึงว่า คุณตรีจะถูกตัดออกจากครอบครัวเลยเหรอครับ” ผมแค่สงสัยว่ามันจะเหมือนประโยคทำนองว่าตัดพ่อตัดลูกอะไรแบบนี้หรือเปล่า

“คงจะอย่างนั้นมั้ง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงวันนั้นคนที่ตัดสินใจก็คือพ่อ ว่าจะตัดฉันออกจากตระกูล หรือยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็นให้ได้”

“คุณตรี ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย ผมอยากให้คุณตรีมีครอบครัวอยู่กับพ่อแม่”

การต้องอยู่โดยไม่มีครอบครัวให้หันหลังกลับไปมอง มันเป็นความโดดเดี่ยวที่ทรมาน ในทุกๆวันเราจะใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย

“ฉันยังมีนายไง” คุณตรีวางมือลงบนศีรษะของผม แยกเบาๆเหมือนเขาเอ็นดู

“แต่ผมไม่ใช่...” ครอบครัวคุณ

“ถ้าฉันถูกพ่อแม่ทิ้งแล้ว นายก็ไม่อยากให้ฉันเป็นครอบครัวของนายเหรอ” คุณตรีทำหน้าเหมือนเสียใจ

“ไม่ใช่นะครับ แต่มีพ่อแม่มันก็ดีกว่าอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้แตกหักกันไปเลย”

“ฟ้า”

“เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา วันหนึ่งครอบครัวของคุณตรีจะต้องยอมรับคุณตรีได้แน่นอน”

“แต่ถ้าไม่มีวันนั้น นายต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันเข้าใจไหม”

“ครับ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตรีเอง”





หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองวันแล้ว เมื่อวานคุณตรีไม่ได้ไปทำงาน เพราะเขาดื่มเบียร์เข้าไปเพิ่มจนทำให้ตอนเช้าตื่นไม่ไหว บวกกับพักผ่อนน้อยมาหลายวันเลยทำให้หลับลึก ผมทำได้แค่รับสายจากคุณเอิงแล้วบอกว่าคุณตรีไม่สบาย น่าจะต้องหยุดพักหนึ่งวัน ทางคุณเอิงก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่านัดต่างๆจะเลื่อนออกไปให้

พอมาวันนี้คุณตรีก็กลับไปทำงานตามปกติ วันนี้ผมไม่ได้ออกไปด้วย เพราะต้องอยู่ทำความสะอาดบ้านและออกไปซื้อของเข้าบ้าน แต่ตอนกลับมาถึงบ้านผมเห็นมีรถคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าบ้าน

ผมลงจากรถแท็กซี่ แล้วขนของออกจากรถวางกองไว้แถวๆริมรั้วก่อนเนื่องจากรถคันที่ว่าขวางทางจนผมไม่สามารถเปิดประตูแล้วขนของเอาเข้าไปไว้ในบ้าน ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้คนขับรถแท็กซี่เสียเวลา

ผมจ่ายเงินค่ารถแล้วคนขับก็ถอยรถออกไป ผมเดินอ้อมมาทางประตูฝั่งคนขับ เห็นเงาคนที่อยู่ในรถรางๆเหมือนจะเป็นผู้หญิง พอผมก้มมองกระจกรถก็เลื่อนลง

“คุณดิว”

“เปิดประตูรั้วสิ ยืนบื้ออยู่ได้” เธอออกคำสั่ง ผมได้แต่ยืนงงเพราะไม่รู้ว่าเธอมาทำไม คุณดิวไม่ใช่เพื่อนของคุณตรีจะมาหาที่บ้านได้โดยไม่ต้องขออนุญาต และคุณตรีก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าชื่นชอบให้คุณดิวเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขา

“คือ...คุณตรีไม่อยู่บ้านนะครับคุณดิว คุณตรีอยู่ที่บริษัท”

ผมยังคงยืนบื้ออย่างที่เขาด่า แต่ผมคิดว่าไม่ควรให้เขาเข้าไป แม้จะรู้ว่าถ้าเขาอยากเข้าผมก็ห้ามไม่ได้ด้วยฐานะของผม อีกทั้งคุณดิวคือคนที่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายอยากได้เป็นลูกสะใภ้

“ฉันรู้ ฉันไม่ได้มาหาเขาหรอก ฉันมาหานาย ทีนี้จะเปิดประตูได้หรือยัง”

มาหาผมเนี่ยนะ มาทำอะไร ผมอดไม่ได้เลยที่จะคิดถึงเรื่องไม่ดี  ผมไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็ต้องเปิดประตูให้เขาเข้ามาในบ้านของคุณตรี ผมแค่ขนของเข้ามาในบ้านแล้วก็กองเอาไว้ในครัวทั้งอย่างนั้น รีบออกมารับแขกให้มันจบๆ เขาจะได้รีบกลับไปเร็วๆ แต่ก่อนที่ผมจะไปคุย ผมได้ส่งข้อความไปบอกคุณตรีแล้วว่าคุณดิวมาพบผมที่บ้าน คุณตรียังไม่ตอบคงเพราะติดงาน ตอนนี้ผมก็ต้องรับมือด้วยตัวเองไปก่อน

“น้ำครับ” ผมวางแก้วน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ

“ใช่น้ำแร่หรือเปล่า ฉันไม่ดื่มน้ำกรองหรือน้ำธรรมดานะ” น้ำเสียงของเธอช่างเย้ยหยิ่งรับกับใบหน้าเชิดๆได้เป็นอย่างดี

“น้ำแร่ครับ คุณตรีก็ดื่มน้ำแร่เหมือนกัน”

“ก็ดี”

“ครับ”

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไร เพราะพวกเขามีเงินจะเลือกกินยังไงก็ได้ และเท่าที่ผมหาข้อมูลมา น้ำแร่ก็ดีกว่าน้ำธรรมดาในเรื่องของแร่ธาตุจากธรรมชาติ คือถ้ามีเงินแล้วกินน้ำแร่มันก็ดี แต่ถ้าไม่มีเงินแล้วกินน้ำธรรมดาก็ไม่ได้ต่างอะไร

“แล้วที่คุณดิวมาหาผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวตามความเคยชิน คนที่ไม่ชินด้วยก็คือแขกที่ทำหน้าตาตกใจ

“นายมานั่งเสมอฉันได้ยังไง เป็นแค่คนรับใช้” เธอแว๊ดเสียงใส่ผมทันที

“เอ่อ คือคุณตรีไม่ให้ผมนั่งพื้นครับ เป็นคำสั่งของคุณตรี ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ผมบอกเหตุผล ซึ่งมันทำให้เธอฟึดฟัดไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“เหอะ ออกจะเกินไปหน่อยนะ ที่เจ้านายอย่างเขาให้ความสนใจนายมากเป็นพิเศษ มากเกินความจำเป็น นายไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”

“คุณตรีเป็นคนใจดีครับ” ผมตอบตามที่คิด สำหรับผมคุณตรีเป็นคนดี ถึงเขาจะรวยแต่ก็ไม่ได้แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ

“นายแน่ใจเหรอว่าเขาแค่เป็นคนใจดี แต่จริงๆแล้วทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง” เธอหรี่ตามองผมหน้าเจ้าเล่ห์เหมือนรู้อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ ตัวผมเป็นแค่เด็กจนๆ ไม่มีผลประโยชน์อะไรหรอกครับ”

“โนวๆ มีสิ มีแน่ๆ” เธอส่ายนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าผม

“ฉันว่านายน่าจะรู้ว่าฉันอยู่ในฐานะไหน และมันน่าโมโหมากๆที่คนที่ฉันจะต้องแต่งงานด้วยเป็นพวกผู้ชายผิดเพศ รู้ไว้ซะด้วย ว่าเจ้านายของนายน่ะ กำลังจะเป็นสมภารกินไก่วัด! น่าขยะแขยงที่สุด”

ผมนั่งตกตะลึงเมื่อเธอสาดอารมณ์ใส่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว สมองผมประมวลผลอย่างเชื่องช้ากับสิ่งที่เธอพูด

อะไรคือสมภารกินไก่วัด

“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่ผมบอกได้เลยว่าผมรู้เรื่องที่คุณตรีมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน และผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร ยังไงเขาก็เป็นเจ้านายของผมครับ ส่วนเรื่องของคุณผมขอไม่ยุ่งเกี่ยวนะครับ ผมเป็นแค่คนนอก” ผมไม่ชอบเลยที่เขาพูดถึงคุณตรีเหมือนดูถูก ผิดเพศแล้วยังไง คุณตรีของผมมีค่ามากกว่าเรื่องรสนิยมทางเพศ

ใครจะว่าว่าผมเข้าข้างเขาเพราะผมชอบเขาก็ได้ แต่ตอนนี้มีแค่ผมเท่านั้นที่จะปกป้องความรู้สึกของคุณตรีได้ และผมต้องทำให้เต็มที่

“เธอพูดได้เพราะว่าเธอยังไม่รู้ว่า เจ้านายที่ชอบพวกไม้ป่าเดียวกันนั่น กำลังเล็งจะงาบเธออยู่ อ่ะๆๆ เธออย่าคิดจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ ฉันสังเกตมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ต่อให้ไม่ชอบฉันไม่สนใจฉัน ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคนใช้อย่างนายดีเกินความจำเป็น ถ้าไม่บอกว่าเป็นแค่ลูกน้อง ใครก็คิดว่านายสองคนเป็นแฟนกัน เจ้านายลูกน้องเนี่ยต้องจับมือถือแขนกันเหรอ ต้องทำตัวติดกันขนาดนั้น หรือแม้แต่เป็นห่วงว่านายจะหิวข้าว ทั้งๆที่จริงแล้วนายก็แค่คนงาน ใช่ไหม เมื่อวันที่เขาไปทานข้าวกับครอบครัว เขาสั่งอาหารให้ไปส่งนายที่รออยู่ที่รถไม่ใช่เหรอ ลองคิดว่าถ้าวันนั้นไม่ใช่นาย แต่เป็นคนขับรถของเขา ตรีจะดูแลคนขับรถเหมือนที่ดูแลนายหรือเปล่า ว่ายังไง มันแปลกใช่ไหม นายไม่คิดอย่างนั้นเหรอ ต่อให้เป็นเพื่อนผู้ชายที่สนิทกันมากๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องดูแลเอาอกเอาใจกันดีจนน่าสะอิดสะเอียนนะว่าไหม”

“...”

ไม่รู้ว่าคุณดิวเถอะพูดยาวไปหรือสมองผมทำงานช้า ผมว่าผมไม่เข้าใจเรื่องที่เข้าพูด มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง

“พูดไม่ออกเลยเหรอ ฉันน่ะต่อให้สนใจผู้ชายคนนั้น ทั้งฐานะและรูปร่างหน้าตา แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะมีสามีที่สามารถนอนกับผู้ชายด้วยกันได้ และผู้ชายคนนั้นก็อาจจะเป็นแค่คนใช้ในบ้าน”

“ผมกับคุณตรีเราไม่ได้มีอะไรกัน!” ผมเผลอตัวเสียงดังใส่ เธอแววตาลุกวาวแต่ก็ไม่ได้โมโหอะไรมากนัก

“อ่อเหรอ เพราะว่านายยังไม่รู้ไง นายควรขอบคุณที่ฉันมาบอก ลองคิดดูนะ นายจะต้องอยู่กับเจ้านายที่คิดจะงาบนายอยู่ตลอดเวลาเหรอ”

“คุณตรีไม่ชอบผมหรอก”

มันเป็นไปไม่ได้

“เธอมองสายตาเขาไม่ออกเหรอ โง่เหมือนกันนะ ฉันว่าสายตาที่เขามองนายมันไม่ธรรมดานะ คิดว่าคุณลุงกับคุณป้าก็คงดูออก”

เดี๋ยวนะ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพ่อแม่ของคุณตรี

“คุณหมายความว่ายังไง”

“ที่ฉันจะพูดก็คือ ถ้าคุณลุงคุณป้ารู้เรื่องที่ตรีชอบเด็กรับใช้ในบ้านตัวเอง มันจะเป็นยังไง ลองคิดดูสิ” เธอแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ

“คุณต้องการอะไร คุณใส่ร้ายคุณตรีทำไม” ผมแทบเก็บอาการโกรธไว้ไม่ไหว ที่เขามาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่มันเป็นการใส่ร้ายผู้มีพระคุณของผมอย่างร้ายแรง

“ฉันน่ะเหรอใส่ร้าย คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายใคร ฉันเป็นคนตรงๆ รักก็บอกรัก เกลียดก็บอกเกลียด ที่ฉันพูดก็เพราะฉันแค่สงสารนายเท่านั้น คิดดีๆนะ ถ้านายยังทำงานอยู่กับเขา ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งนายจะตกอยู่ในกำมือของเขา ต้องโดนผู้ชายด้วยกันข่มเหงทางเพศ นายคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น อีกด้าน ถ้าพ่อแม่ตรีรู้เรื่องนาย นายจะได้อยู่ทำงานที่นี่อยากสุขสบายเหรอ นายคิดว่าคุณลุงคุณป้าจะปล่อยให้นายลอยนวลโดยไม่คิดจะทำอะไรกับนายเลยหรือยังไง ฉันบอกได้เลยว่าพวกท่านทำได้มากกว่าที่นายคิด ครอบครัวนี้ไม่ชอบเรื่องการเสียหน้าเป็นที่สุด และนายไม่ใช่ข้อยกเว้นแน่นอน ถ้าความลับแตกนายและตรีเดือดร้อนกันทั้งคู่แน่นอน”

ที่พูดมานี่สงสารผมจริงๆเหรอ ผมไม่คิดว่าเธอจะหวังดีกับผมอย่างที่เธอพูด มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ แต่มันไม่มีเรื่องอย่างที่คุณดิวพูดหรอกครับ ผมกับคุณตรีเราไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากเจ้านายและลูกน้อง และคุณตรีก็ไม่ได้ชอบผม”

“เธอจะบอกว่าเธอไม่เชื่อฉัน?”

“ผมไม่เชื่อครับ” แม้ว่าผมจะใจเต้นกับเรื่องหลอกลวงที่คุณดิวว่ามา แต่ผมก็มีสติรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องจริงไปได้

“ก็ตามใจ ฉันถือว่าฉันมาเตือน เพราะไม่อยากให้เธอเดือดร้อนเพราะผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง และบอกเอาไว้เลยว่าฉันจะเอาคืนให้สาสมที่กับการที่เขากล้าแหกหน้าฉัน แต่ถ้าเธอจะยอมโง่จนวันหนึ่งต่อให้กลับตัวกลับใจก็คงไม่ทัน สมัยนี้งานมันหายากนะ ถ้าหากว่าประวัติเธอถูกขึ้นบัญชีดำขึ้นมาล่ะก็มันก็ช่วยไม่ได้”

เธอคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นคล้องบนบ่าแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้าและแววตาของเธอดูมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูดจนผมนึกกลัวว่าเธอจะทำให้คุณตรีเดือดร้อน

คุณดิวเธอไปแล้ว เหลือแค่ผมที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมกับจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สมองก็คอยแต่จะคิดว่าเธอเอาอะไรมามั่นใจว่าคุณตรีชอบผม แล้วถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากไปมากกว่านี้ไหม

จริงๆผมไม่ควรคิดมากเพราะผมไม่อยากเชื่อว่าคุณตรีจะคิดแบบนั้นกับผม คนอย่างคุณตรีหาผู้ชายชาติตระกูลดีๆ หน้าตาดีๆที่ชอบผู้ชายเหมือนกันได้ไม่ยาก มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะมาชอบเด็กปอนๆอย่างผม

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ มันจะเป็นได้เหรอ คุณตรีเนี่ยนะชอบผม คำพูดทิ้งท้ายของคุณดิวยังคงดังก้องอยู่ในหัวผมไม่หยุด


‘ถอยตอนนี้ยังทันนะ ก่อนที่นายจะกลายเป็นเมียเจ้านาย แล้วก็จบอนาคตตัวเองไปพร้อมๆกัน’


ไม่จริงหรอก มันจะต้องไม่เกิดขึ้น คุณดิวคิดมากไปเอง ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

คุณดิวคิดไปเองทั้งนั้น คุณตรีไม่มีทางชอบคนอย่างผม

ไม่มีทาง...มั้ง




...................
เราขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง อยากได้ฉาก18+ เหรอจ๊ะ รอไปก่อนนะ ช้าหน่อยแต่เดี๋ยวก็มี...มั้ง 555555


ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่20
ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี


ผมเพิ่งรู้ตัวว่าทำพลาดครั้งใหญ่กับการส่งข้อความไปหาคุณตรีว่าคุณดิวมาที่บ้านเพื่อพบผม ถ้าผมรู้ว่าคุณดิวจะพูดเรื่องอะไร ผมคงจะไม่ส่งข้อความไปหาคุณตรี แล้วปล่อยเรื่องนี้ให้หายเข้ากลีบเมฆไปแทน เหมือนสายลมที่พัดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เมื่อคุณตรีรู้เรื่องแล้ว สิ่งที่เขาต้องการมากๆในตอนนี้ก็คือคำตอบ

“ว่ายังไงฟ้า ดิวมาที่นี่ทำไม” เขาถามน้ำเสียงเครียดและจริงจังตั้งแต่เข้ากลับมาบ้าน

เพราะผมมัวแต่คิดเวิ่นเว้อ จนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองส่งข้อความไปหาคุณตรี และเมื่อเขากลับมาผมควรจะเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว จะเรียกว่าเป็นคำโกหกก็ได้ อย่างน้อยมันน่าจะดีกว่าพูดความจริงออกไป

แต่แล้วยังไง ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้นเพราะมัวแต่จมจ่ออยู่กับความคิดอันแสนจะไร้สาระ มารู้ตัวอีกทีคุณตรีก็เข้าประชิดตัวแล้ว

“คือ ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าจะบอกความจริงยังไง จะให้บอกเหรอคุณดิวพูดว่าเขาชอบผม รู้สึกกระด้างที่จะพูดชะมัด

คุณตรีจ้องผมเขม็ง เขาค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ ทำให้ผมต้องเดินถอยหลัง ถ้าเขายังไล่ต้อนอยู่แบบนี้ อีกไม่นานผมต้องจนมุม เพราะด้านหลังของผมเป็นเคาน์เตอร์บาร์หน้าครัว

“เดี๋ยวนี้หัดโกหกเหรอฟ้า หืม”

ทำไมเขาดูออก ผมไม่เนียนขนาดนั้นเลยเหรอ

“ผมเปล่านะ” เราต้องยืนหยัดไว้ครับ แต่ขาของเราก็ต้องก้าวถอยหลังหนี จนในที่สุดก็มาถึงทางตัน คุณตรีใช้แขนทั้งสองข้างวางท้าวกับเคาน์เตอร์บาร์กักตัวผมไว้

“เปล่าอะไร” เขาก้มหน้าลงมาใกล้ ใช้น้ำเสียงกระซิบที่น่ากลัว

“คุณตรี ถอยไปหน่อยครับ” ใกล้ขนาดนี้ ผมหัวใจวายขึ้นมาทำไง

‘ถ้าไม่บอกว่าเป็นแค่ลูกน้อง ใครก็คิดว่านายสองคนเป็นแฟนกัน เจ้านายลูกน้องเนี่ยต้องจับมือถือแขนกันเหรอ ต้องทำตัวติดกันขนาดนั้น’

หรือมันจะเป็นความจริง

ผมแทบจะกลั้นลมหายใจ ไม่กล้าสบตาเขา รู้อยู่ว่าเขากำลังจ้องปฏิกิริยาของผม มันทำให้ผมเกร็งไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก

“บอกฉันมาว่าดิวมาทำอะไร คงไม่ได้แค่มาเฉยๆแน่นอน นายเองก็ส่งข้อความไปบอกฉันว่าเขามาหานาย มันต้องมีจุดประสงค์นะว่าไหม”

คิดสิฟ้า คิดสิว่าจะอ้างอะไรดี ถึงเหตุผลว่าคุณดิวมาทำไมแล้วทำให้คุณตรีเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

แต่ผมมันก็แค่คนโง่ๆคนหนึ่ง ที่คิดไม่ออกว่าจะโกหกว่าอะไรดี ยิ่งในช่วงที่กำลังถูกกดดันยิ่งคิดไม่ออก

“เม้มปากทำไม ไม่อยากบอกขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผมสะดุ้งเมื่อนิ้วโป้งของเขาลูบริมฝีปากของผม เขาลูบเบาๆให้ผมคลายริมฝีปากออกจากกัน เป็นสัมผัสที่นุ่มนวลมากกว่าจะบังคับ

“มันไม่มีอะไรหรอกครับ คุณเขาก็แค่โมโหที่รู้ว่าคุณตรีชอบผู้ชาย ก็เลย...มาบ่น”

ใช่ อันนี้ผมไม่ได้โกหกนะครับ คุณดิวเธอบ่นจริงๆ บ่นยาวเหยียดด้วย

“เพิ่งรู้ว่านายสนิทกับดิวจนถึงขนาดมาบ่นให้ฟังได้”

“ไม่ได้สนิทนะครับ” ผมรีบพูดเกินไป และเผลอขยับสายตาขึ้นไปมองตาเข้าด้วย เหมือนทำผิดพลาดอีกครั้งที่สบตาเขา สายตาที่จับจ้องมามันทะลุทะลวงจนผมตัวสั่น

“บอกมาเถอะฟ้า นายไม่บอกฉันก็รู้ ฉันแค่อยากฟังจากปากนาย” เขาพูดอย่างเป็นต่อ นอกจากจะต้อนผมทางร่างกายแล้ว ก็ยังต้อนผมให้เผยความลับทางคำพูดและสายตาอีก

“คุณตรีครับ” ผมไม่อยากพูด

“นายคิดว่าสิ่งที่ดิวพูดเป็นเรื่องจริงไหม”

ผมตาโตเมื่อได้ยินคำถามของผู้ชายตรงหน้า เขารู้จริงๆเหรอ รู้ได้ยังไง ผมกวาดสายตามองไปรอบบ้าน แอบคิดว่าในบ้านหลังนี้มีเครื่องดักฟังหรือเปล่า

“ดูทำท่าเข้า ระแวงว่าฉันจะทำอะไรแปลกๆหรือยังไง”

“คุณตรีรู้จริงเหรอครับ” ไม่น่ามั้ง ทำไมเขาทำท่ามั่นใจเหมือนว่าตัวเองรู้

“คิดว่ายังไงล่ะ”

ผมส่ายหน้า คิดไม่ออกจริงๆ และเริ่มไม่อยากคิดแล้วด้วย

“เห้อ เอาเถอะ ถ้านายไม่อยากพูด ฉันจะเป็นคนพูดเอง เธอมาบอกนายใช่ไหมว่าฉันชอบนาย ฉันพูดถูกไหม”

สรุปคือเขารู้ เป็นไปได้ยังไง

“คะ คุณตรี...รู้ได้ยังไงครับ”

“ฉันต้องบอกเหรอว่ารู้ได้ยังไง ในเมื่อฉันถามอะไรนาย นายยังไม่บอกฉันเลย” แล้วทำไมเขาต้องทำน้ำเสียงแข็งเหมือนไม่พอใจด้วย แต่ไม่ถึงขนาดโกรธ ไม่อยากคิดหรอกว่าเขากำลังงอน มันออกจะเกินไปสักหน่อย

“ก็ผม...”

“ก็ผมอะไร”

“ก็ผมไม่กล้าพูดนิครับ” ในเมื่อเขารู้ความจริง ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบัง

“ทำไมจะต้องไม่กล้าพูด”

“ก็มัน...”

เขิน

“ฉันเพิ่งรู้ว่านายเป็นโรคพูดติดอ่าง” เขายิ้มล้อเลียน ผมว่าคุณตรีต้องไม่สบายแน่ๆ ทำไมเขาถึงอารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารวดเร็วอย่างนี้

“ไม่ใช่นะครับ”

“ไม่ใช่ได้ยังไง นายเอาแต่พูด ก็ผม ก็มัน อึกๆอักๆอยู่อย่างเดียว”

ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วอยากจะร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ ผมกำลังโดนเขาแกล้ง รู้เลยว่าเขาแกล้งแน่ๆ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาที่พราวระยิบระยับ แถมยังขยับเข้ามาใกล้จนตัวเราจะติดกันอยู่แล้ว

“คุณตรีอย่าเข้ามาใกล้ขนาดนี้สิครับ” ผมพูดเสียงเบา

“ทำไม รังเกียจเหรอ” เอาอีกแล้ว เขาถามคำถามนี้อีกแล้ว

“เปล่าครับ” แล้วผมก็พูดไปหลายครั้งแล้วด้วยว่าผมไม่เคยรังเกียจ

“แล้วสรุปนายคิดยังไงกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นบอก” เขายังไงคงลืมเรื่องนี้

“ผมว่ามันไม่จริงหรอกครับ คุณตรีเหรอจะชอบผม ผมว่าคุณดิวคิดมากไป ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน แต่คนฟังไม่ขำด้วย

“เอ่อ คุณตรี ไม่ได้ชอบผมใช่ไหมครับ” พูดเองก็บีบหัวใจเอง ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองแอบคาดหวังให้มันเป็นความจริง พอเห็นเขานิ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผมก็คิดถูกที่ว่าเขาคงไม่มีทางชอบผมหรอก

คุณตรีเขาอยู่สูงเกินกว่าที่จะมาชอบคนอย่างผม

“แล้วถ้าฉันบอกว่าชอบล่ะ นายจะไปจากฉันไหม จะทิ้งฉันไปหรือเปล่า” เขาใช้น้ำเสียงตัดพ้อถาม ซึ่งผมหูอื้อไปหมดแล้ว ประโยคเมื่อกี้มันหมายความว่าเขาชอบผมอย่างนั้นเหรอ

“คุณตรี”

“ถ้าฉันชอบนาย นายจะรังเกียจฉันใช่ไหม”

“ไม่!” ผมมีปฏิกิริยาเร็วเสมอกับคำถามนี้ของเขา

“แต่นายก็คงไม่ชอบให้ผู้ชายด้วยกันมาชอบใช่ไหม”

“คือ ผม...” ไม่ใช่ผมไม่ชอบ แต่ผมไม่เคยคาดหวังให้มันเป็นอย่างนั้น เพราะคุณตรีอยู่สูงเกินเอื้อม

“โอเค ฉันเข้าใจ ขอโทษทีที่ทำให้อึดอัด” คุณตรีพูดเสียงแหบแห้ง แล้วปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระอย่างรวดเร็ว

ผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อมองคุณตรีเดินห่างออกไปแล้วหายขึ้นไปบนบ้าน ผมยกมือลูบหน้าตัวเองแล้วเอามาจับที่หน้าอก หัวใจผมเต้นแรงมาก แรงจนคิดว่ามันจะกระเด็นออกมาด้านนอก ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อปรับสภาพจิตใจให้คงที่

คุณตรีชอบผม...อย่างนั้นเหรอ

มันเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย

ผมมองไปทางบันได น้ำเสียงสุดท้ายที่เขาพูดยังติดอยู่ที่หู มันอ่อนระโหยเหมือนคนไม่มีแรง เหมือนเขากำลังเสียใจ แล้วมันเพราะอะไรล่ะ หรือเขาจะคิดว่าผมรังเกียจเขาจริงๆ ทั้งๆที่ผมก็ตอบไปหลายครั้งแล้วว่าผมไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็ถามมันหลายครั้งมากคล้ายคนที่ไร้ความมั่นใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เหมือนไม่ใช่คุณตรี เขาออกจะเป็นคนมั่นใจในตัวเองด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเขาเป็นแบบนั้น

ผมไม่ได้ขึ้นไปตาม แต่เลือกที่จะเข้าครัวเตรียมอาหารเย็นให้คุณตรีแทน ผมทำต้มจืดเต้าหู้ไข่ใส่สาหร่าย แล้วก็มีปลานิลแดดเดียวทอด อาหารรสชาติอ่อนๆแต่อร่อยแบบที่คุณตรีโปรดปราน สองเมนูนี้ถ้าผมทำทีไรคุณตรีต้องขอเบิ้ลถึงสามจานเลยทีเดียว ผมทำเพื่อเอาใจเขาโดยเฉพาะ เพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก

แต่ผมนั่งรอด้านล่างจนเลยเวลาอาหารเย็น คุณตรีขึ้นไปบนห้องแล้วก็หายไปเลย ทุกทีที่เขากลับมาจากที่ทำงาน คุณตรีจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมานั่งเล่นด้านล่างเพื่อรอทานอาหารเย็น
 
ตอนนี้ก็ทุ่มหนึ่งแล้ว เขาก็ยังไม่ลงมา ผมตัดสินใจขึ้นไปตาม ผมเคาะประตูห้องทำงานเผื่อว่าเขาจะนั่งทำงานอยู่ในนั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอแต่ความว่างเปล่า

ถ้าไม่ใช่ห้องทำงาน ก็เหลือแค่ห้องนอน

ผมเดินไปเคาะประตูห้องนอน แต่ก็เหมือนเดิม คนที่อยู่ข้างในไม่ตอบรับอะไร ผมจึงบิดลูกบิดประตูเพราะคิดว่ามันจะเปิดออกได้เหมือนทุกที แต่ผมคิดผิด คุณตรีล็อกห้อง ทั้งๆที่เขาไม่เคยล็อกเลยตั้งแต่ผมย้ายเข้ามาอยู่

“คุณตรีครับ ได้เวลาทานข้าวเย็นแล้วนะครับ” ผมเคาะประตูแล้วส่งเสียงเรียกเขาอีกรอบ แล้วก็มีแต่ความเงียบตามเคย

เขาเป็นอะไรหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นกังวล

“คุณตรีครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย”

แกร๊ก

“คุณตรี” ผมเรียกชื่อเขาทันทีด้วยความดีใจ ที่เขายอมเปิดประตูให้ผม แต่ทุกคำพูดต้องชะงักลง เมื่อเห็นว่าคุณตรีอยู่ในชุดหล่อที่เหมือนพร้อมจะออกไปข้างนอก

คุณตรีไม่พูดอะไร แต่เดินผ่านผมไป จังหวะนั้นคล้ายมีลมที่เย็นยะเยือกพัดผ่านร่างผมไป สร้างความหนาวเหน็บเสียดร่างอย่างบอกไม่ถูก

เขาโกรธผมเหรอ

“คุณตรีจะไปไหนครับ ผมทำกับข้าวเย็นไว้แล้ว”

“ฉันจะออกไปข้างนอก นายกินเลย” คุณตรีพูดโดยไม่มองหน้าผม มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะมองไม่ออกว่ามันไม่ปกติ

ความห่างเหินนี้มันคืออะไร

“คุณตรีจะกลับดึกไหมครับ”

เขาชะงักฝีเท่าที่กำลังจะก้าวออกจากบ้าน แล้วเอียงตัวหันมามองผมแวบหนึ่ง ผมอ่านสายตาเขาไม่ออก แต่มันว่างเปล่าเสียใจจนหาย

“อาจจะไม่กลับ นอนเลยก็ได้ไม่ต้องรอ”

อะไรคือไม่กลับ ถ้าไม่กลับบ้านแล้วคุณตรีจะไปนอนที่ไหน

ผมไม่ได้ถามอะไรอีก ยืนเป็นใบ้บื้ออยู่ที่เดิมจนแสงไฟท้ายรถคุณตรีเคลื่อนออกจากรั้วหน้าบ้านไป คุณตรีโกรธผมอย่างนั้นเหรอ

ผมควรทำยังไงดี ตอนนี้ผมเครียดไปหมดแล้ว

‘แล้วถ้าฉันบอกว่าชอบล่ะ นายจะไปจากฉันไหม จะทิ้งฉันไปหรือเปล่า’

ผมไม่ได้จะทิ้งเขา แต่เขาต่างหากที่ทิ้งผม

ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกโลภละโมบอยากได้บางสิ่งบางอย่างจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าเราเกิดความคาดหวังแล้วสิ่งนั้นมันไม่เป็นไปตามที่หวังผมจะต้องเสียใจแล้วก็ทุกข์ทรมาน

ตอนนี้ผมกำลังเป็นแบบนั้น ผมดันไปหลงระเริงกับสิ่งที่คุณดิวบอก จนส่วนลึกในจิตใจเกิดความคาดหวังขึ้นมา ใครบ้างที่รักใครแล้วไม่อยากให้เขารักตอบ

ที่ผมทำเหมือนไม่อยากให้เรื่องที่คุณตรีชอบผมเป็นเรื่องจริง เพราะผมกลัวการสูญเสีย ผมกลัวว่าวันหนึ่งผมจะเสียเขาไป แล้วผมไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ผมบอกแล้วว่าผมอยู่ในฐานะไหนก็ได้ ต่อให้เป็นแค่คนรับใช้เขาไปจนตาย แต่นั่นก็หมายความว่าผมได้มีเขาอยู่ข้างกาย ได้เห็น ได้ดูแลเขาอย่างที่ผมต้องการ

ขอแค่ยังมีเขาในชีวิตแค่นั้น ผมไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้
ผมเครียดจนต้องโทรไปหาแจ็ค เพราะไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร มีแค่แจ็คคนเดียวที่รู้จักคุณตรี แล้วรู้ว่าผมชอบผู้ชาย

“ว่าไงมึง กูทำงานอยู่” แจ็คมันดูรีบเร่งคงเพราะทำงานอยู่ ผมก็ลืมไปเสียสนิท

“โทษที มึงทำงานเถอะ ขอโทษที่โทรมารบกวน”

“มึงมีอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงมึงดูไม่ดีเลย”

“อืม มีเรื่องนิดหน่อย แต่เดี๋ยวรอมึงเลิกงานก็ได้” ช่วงหัวค่ำที่ร้านคนเยอะ เพราะลูกค้าเลิกงานมาก็มาหาอาหารเย็นทานกัน ไม่แปลกที่แจ็คมันจะมีน้ำเสียงที่ดูรีบร้อน

“เรื่องใหญ่ไหม รอได้ใช่ไหมมึง”

“อืม ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากหรอก” มั้ง...ก็แค่ปัญหาหัวใจ

“เออๆ ถ้ามีช่วงพักเดี๋ยวกูโทรหา”

“อืม ขอบใจนะ”

ผมวางแล้วแล้วก็เดินออกไปดูที่นอกรั้วบ้าน ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ด้านนอกก็ว่างเปล่าไม่มีรถของคุณตรี เขาคงออกไปข้างนอกแล้วจริงๆ เวลากลางคืนแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกไปที่ไหน

ถึงเขาจะพูดว่าคืนนี้อาจจะกลับไม่กลับ แต่ผมก็ยังรอ ออกไปเดินดูแถวหน้ารั้วบ้านบ้าง เผื่อว่าผมจะเห็นรถเขาขับเข้ามา จนแล้วจนรอดก็ไม่มีรถสักคันขับเข้ามา ผมนั่งรอจนสี่ทุ่มกว่า และก่อนที่ผมจะว้าวุ่นใจไปมากกว่านี้ แจ็คก็โทรกลับมา

“ขอโทษทีนะมึง วันนี้ที่ร้านยุ่งมาก กูเพิ่งจะได้พัก”

“แล้วมึงกินข้าวแล้วเหรอ”

“กินแล้ว แล้วมึงมีเรื่องอะไร”

“คือกูมีเรื่องอยากจะปรึกษา” ผมก็ไม่รู้ว่าควรเล่าดีไหม แต่มันอึดอัดไปหมด

“เรื่องอะไร”

“เรื่องคุณตรี คือ แบบว่า คือ”

“จะคืออีกนานไหม กูมีเวลาพักแปบเดียว ไม่อย่างนั้นมึงไปคิดมาให้ดีว่าจะพูดอะไร สักตีหนึ่งกูจะโทรไปใหม่”

“เห้ย เดี๋ยว” ผมรีบเรียกมันไว้ ใครจะไปทนรอจนถึงตอนนั้นได้ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไง

“สรุปมึงจะเอายังไงฟ้า”

“เออๆ กูเล่าแล้ว กูแค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน”

“ตรงไหนก็ได้ สั้นๆ ตรงเข้าประเด็นมาเลย”

“คุณตรีเขาบอกว่าชอบกู”

“อ่อ คุณตรีเขาชอบมึง แค่นี้”

“...”

“...”

แล้วมันก็เงียบไป ผมได้แต่เม้มปากแน่น

“มึงพูดว่ายังไงนะ” แจ๊คเหมือนจะตั้งสติได้แล้ว มันจึงถามกลับมา

“กูบอกว่าคุณตรีเขาพูดว่าเขาชอบกู มึงคิดว่าไง”

“เอาจริงๆกูก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่ก็ตกใจนิดหน่อย”

“ทำไมมึงถึงไม่แปลกใจ” ผมถามด้วยความสงสัย แจ็คมันเจอคุณตรีแค่สองครั้งเท่านั้น ทำไมมันถึงพูดเหมือนรู้อะไรมา

“กูจะแปลกใจทำไม กูก็แอบคิดเล่นๆว่าเขาชอบมึง ก็ตอนไปตลาดเปิดท้ายอ่ะ เดินตัวติดมึงไม่ห่าง สายตาที่มองมึงก็โคตรจะหวานโคตรจะเอ็นดู มันเกินกว่าเจ้านายลูกน้อง เฮียชาร์ปเอ็นดูมึงขนาดไหนก็ยังไม่โอ๋มึงเท่านี้เลย จะกินอะไร อยากได้อะไร ระวังนะเดี๋ยวเดินชน แถมยังเดินกอดคอมึงอีก มึงคิดว่าผู้ชายปกติดีๆเขาทำกับเหรอ คิดสิไอ้หนู คิดสิคิด”

ผมถึงกับพูดไม่ออก ผมไม่เคยสังเกต และแม้ว่าคุณตรีจะทำแบบนั้นจริงๆ ช่วงเวลานั้นผมคงมีความสุขจนไม่ทันได้คิดอะไร

“แล้วกูควรทำยังไงดี” ผมคงต้องยอมรับแล้วว่าคุณตรีเขาชอบผม แต่ชอบเมื่อไหร่ ชอบได้ยังไงอันนี้ผมไม่รู้

“มึงต้องทำอะไร มึงก็ชอบผู้ชายไม่เหรอ มึงชอบเขาไหมล่ะ ชอบเขาก็คบ ไม่ชอบก็บอกเขาไปว่ามึงไม่ได้ชอบเขาแบบที่เขาชอบมึง”

“แจ็ค”

“อะไร”

“กูชอบคุณตรี” ผมสารภาพออกไปตรงๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมต้องการที่ปรึกษามาช่วยแก้ไขปัญหาหนักอก

“เอ้า มึงก็ชอบเขาแล้วมันเป็นปัญหาที่ตรงไหนวะกูงง” แจ๊คมันพูดเสียงเหวี่ยง

“มึงไม่เข้าใจหรอกไอ้แจ๊ค”

“มึงพูดมา กูไม่เข้าใจตรงไหน”

“ก็คุณตรีเขาสูงเกินกว่ากู เหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดอ่ะ มึงเข้าใจกูไหม กูไม่อาจเอื้อมหรอก” ผมพูดเสียงเบาแผ่ว

“แม้ว่าดอกฟ้าจะโน้มตัวลงมาหามึงทั้งตัวแล้วเนี่ยนะ มึงบ้าเปล่าเนี่ยฟ้า โอยกูละปวดหัวกับมึง”

“กูรู้สึกว่ากูไม่คู่ควร”

“มึงจะคิดมากทำไม คนที่เขาควรคิดมากว่ามึงเหมาะสมกับเขาไหมเขายังไม่คิดเลย มึงเล่นตัวเหรอ ยังจะกล้าเล่นตัวอีกนะ หน้าตาก็ไม่ดีแถมยังจนอีก มึงยังกล้าไปหักอกเขาเหรอ”

“ก็เปล่า” ไม่ได้จะไปหักอกคุณตรีสักหน่อย ใครจะไปกล้า

“เชื่อว่ามึงปฏิเสธเขา ถึงได้มานั่งเครียด”

“ก็บอกว่าเปล่าไง คือกูไม่ได้พูดอะไร ก็กูไม่รู้จะทำตัวยังไงเนี่ย กูไม่กล้าบอกเขาว่ากูก็ชอบเขา จริงๆกูรักเขาด้วยซ้ำ”

ก็คือว่า...ตอนนั้นผมไม่กล้าพูดไง แบบ เอ่อ ผมคงจะติดอ่างอย่างที่คุณตรีบอก แต่ถ้าเขายืนรอให้ผม เออๆ อาๆ อีกนิดหนึ่ง เขาอาจจะได้ฟังผมบอกความในใจ จะได้ไม่เข้าใจผมผิด

โอย ยิ่งคิดยิ่งเครียด อยากตบปากตัวเองจริงๆ ติดอ่างเก่ง

“กูปวดหัวจริงๆนะเนี่ย เดี๋ยวกูต้องกลับไปทำงานละ มึงฟังกูให้ดีนะไอ้ฟ้า ชีวิตคนเรามันสั้น จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อะไรที่เป็นความสุขก็รีบคว้าเอาไว้ ถ้าเขาชอบมึงแล้วมึงไม่เอาเขา เขาก็ต้องเสียใจ มึงอยากให้คนที่มึงรักเสียใจเหรอ ต่อให้คบกันไปแล้วไปกันไม่รอด ก็ยังดีกว่ายังไม่ได้ลอง ลองให้รู้ว่าไม่รอด จะได้ไม่ต้องนึกเสียใจภายหลัง มึงคิดดูดีๆ กูวางล่ะ มีไรโทรมา เฮียจะแดกหัวกูแล้ว”

ปิ๊บ!

แจ็คร่ายผมเสียยาวแล้วก็ตัดสายไปเสียดื้อๆ ทิ้งไว้แค่คำพูดของมันที่ดังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหัวของผม

แล้วผมต้องทำยังไง บอกคุณตรีไปเลยเหรอว่าผมเองก็ชอบเขา เรามาคบกันเหรอ อย่างนี้อ่ะนะ ไหนจะเรื่องที่บ้านคุณตรีอีก ถ้าพ่อแม่ของคุณตรีรู้มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ โอย ผมเครียด!




CATER TO YOU
ตอนที่21
เด็กดื้อต้องถูกต้อนให้จนมุม


[THREE]

“แล้วมึงก็ไปแกล้งน้องมันเนี่ยนะ” ไอ้ทิศมันมองผมเหมือนเป็นผู้ร้ายหลังจากที่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้มันฟัง ก่อนจะออกมาหาพวกมันตามที่นัดกันเอาไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยง

“ก็เด็กมันดื้อ” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม

“น้องมันดื้อหรือมึงร้าย เอาดีๆ” เจมส์มันว่า

“มึงจะรู้อะไร ฟ้าน่ะดื้อเงียบสุดๆ”

นึกไปถึงตอนที่ดื้อแพ่งไม่ยอมปริปากบอกว่าดิวมาพูดอะไร ปกติค่อนข้างจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะถามจะขู่ยังไงก็ไม่ยอมปริปากบอก กลายเป็นคนที่ต้องเป็นคนพูดมันออกมาเอง

ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่าดิวพูดว่าอะไร นั่นก็เพราะผมบึ่งรถกลับมาที่บ้านทันทีหลังจากที่ฟ้าส่งข้อความมาบอก ผมจอดไว้ด้านนอกแล้วเดินเข้ามาในบ้านเพื่อไม่ให้คนข้างในรู้ว่าผมกลับมา ผมมาไม่ทันฟังช่วงแรกๆ แต่ช่วงหลังผมได้ยินชัดเจน ผมรอจนกระทั่งดิวกลับไป เห็นฟ้าเอาแต่นั่งเหม่อลอย บ้างก็ทำหน้าเหมือนจะยิ้ม บ้างก็ทำหน้าเหมือนคนเครียด ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เลยให้เวลาเขาสักหน่อย ก่อนที่จะเดินออกไปเอารถแล้วขับกลับเข้ามาในบ้าน

ที่ผ่านมาผมพอจะรู้ว่าฟ้าก็อาจจะมีใจให้ผม เขาอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองหลุดแสดงอาการออกมาบ่อยครั้ง เขาจะเขินและไม่กล้าสบตาเวลาที่ผมเข้าไปใกล้ ใจเขาเต้นแรงเสมอเวลาที่ผมสัมผัสโดนตัวเขา และฟ้าก็ไม่เคยปฏิเสธ เวลาเผลอเขามักจะทอดสายตามองมาที่ผม สายตาของเขาบอกผมอย่างโจ่งแจ้งว่าเจ้าตัวคิดอะไร จะมีเพียงตัวฟ้าเองที่ไม่รู้ แล้วคิดว่าตัวเองเก็บอาการได้อย่างแนบเนียน

และถึงผมจะรู้ความรู้สึกของฟ้า และผมเองก็ชอบเขา แต่ผมไม่ได้คิดจะเร่งรีบในความสัมพันธ์ของเขา เพราะผมยังมีงานที่ผมต้องรับผิดชอบ ผมไม่รู้ว่าผมจะทำสำเร็จไหม ผมจึงไม่อยากดึงฟ้าเข้ามาเจอเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเกี่ยวกับครอบครัวของผม กะไว้ว่ารอให้ทุกอย่างเรียบร้อย ผมค่อยลงมือจีบฟ้าเต็มตัว ใครจะคิดว่าผู้หญิงที่ทางบ้านผมหามาให้จะก่อเรื่อง

แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ออกจะดีด้วยซ้ำ ถือว่าช่วยร่นระยะเวลาในการสานความสัมพันธ์ระหว่างผมกับฟ้า ไว้จะส่งของขวัญไปขอบคุณทีหลัง

ทุกคนอาจจะคิดว่าผมเก่งและเฟอร์เฟค แต่จริงๆมันก็ไม่ใช่ ผมก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีแค่สองมือหนึ่งสมอง จะให้ผมจัดการปัญหาทุกอย่าง ความรัก ครอบครัว งานในเวลาเดียวกันผมทำไม่ได้ และคิดว่าถ้าเร่งรัดทำทั้งสามอย่างพร้อมกัน ผลลัพธ์มันจะออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะผมอยากให้ทุกอย่างมันออกมาดีที่สุด ผมจึงอยากค่อยๆแก้ไปทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่องงาน เรื่องฟ้า และค่อยเป็นเรื่องครอบครัว

“แต่กูว่ามึงอย่าเพิ่งดีใจไปดีกว่านะไอ้ตรี เท่าที่มึงเล่ามาเนี่ย ฟ้าเลี่ยงมึงไม่ใช่เหรอ ไม่แน่ว่าน้องเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับมึงก็ได้นะ เป็นมึงที่มโนไปเอง”

“นั่นปากคนหรือปากหมาที่พูด

“เอาวะๆ ของขึ้นซะด้วย ฮ่าๆๆ” แล้วพวกมันก็รุมกับหัวเราะเยาะผม

“กูมั่นใจว่าฟ้าก็ชอบกู” ผมไม่คิดเข้าข้างตัวเองแน่ๆผมมั่นใจ

“อ้าว ถ้าน้องชอบมึง น้องก็ต้องดีใจดิวะที่มึงก็ชอบน้อง แต่มึงบอกว่าฟ้าไม่ยอมเล่า แถมยังทำเหมือนไม่เชื่อว่ามึงชอบอีก ไม่คิดว่ามันเป็นการเลี่ยงที่จะยอมรับเหรอวะ แบบถ้าไม่รู้ว่ามึงชอบ น้องก็ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกของมึงไง” ทิศมันพูดจริงจังจนทำเอาผมหวั่นใจไปด้วยว่าจะเป็นอย่างที่มันคิดหรือเปล่า

“แต่กูมั่นใจว่าฟ้าก็ชอบกู” ผมยังคงย้ำในสิ่งที่ผมสัมผัสได้ เหมือนไม่อยากให้ตัวเองเขวไปกับคำพูดของเพื่อน

“หรือไม่ก็มีอีกอย่างนะ ฟ้าไม่กล้าไม่คิดว่ามึงชอบ เพราะน้องมันกลัวหรือเปล่า แบบถ้าลองคิดในมุมน้อง คงคิดว่าไม่มีอะไรคู่ควรกับไอตรีมันไง ก็รู้ๆกันอยู่ว่าครอบครัวมึงร้ายกาจขนาดไหน น้องมันก็คงกลัวแหละ” เจมส์พูดตรงกับสิ่งที่ผมคิด ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจที่ฟ้าจะมีอาการตอบโต้แบบนี้ เพราะฟ้าเป็นเด็กดี ไม่เคยโลภอยากได้อยากมีเหมือนใครเขา เพราะความน่ารักตรงนี้ถึงทำให้ผมชอบ

ฟ้าบริสุทธิ์จนน่าทำให้แปดเปื้อน คุณคิดว่างั้นไหม หึหึ

แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนโรคจิตนะ ผมแค่ชื่นชอบการกลั่นแกล้งเด็กคนนี้ก็แค่นั้นเอง พอเห็นเขามีอารมณ์โกรธ โมโห สับสน เขินอาย ผมก็มีความสุขจนล้นอก

“แล้วมึงคิดไง ถึงแกล้งทำเป็นงอนเด็กแล้วหนีออกมา” ไอ้ทิศทำหน้าสงสัย มันคงไม่เคยเห็นผมทำอะไรแบบนี้ ปกติผมจะนิ่งขรึมเหมือนคนจริงจังในชีวิตอยู่ตลอดเวลา

“ก็หมั่นไส้เด็ก ทำเหมือนจะตีตัวออกห่าง”

“แล้วน้องทำหน้ายังไงวะ”

“ก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้” ผมบอกตามที่เห็นก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน ตอนนั้นผมเกือบหันกลับไปแล้วบอกว่าผมแค่แกล้งเล่นแล้ว  ถ้าฟ้าจะยอมให้ผมสักก้าวด้วยการเข้ามารั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมทำ ดื้อจริงๆ

“เห้ย จริงเหรอวะ แกล้งแรงไปหรือเปล่า”

“เดี๋ยวกลับไปโอ๋ทีเดียว”

“มึงเปลี่ยนไปนะ ตอนกลับมาใหม่ๆมึงขรึมเกินจนพวกกูเกร็ง คิดว่ามึงไม่คิดว่าพวกกูเป็นเพื่อนแล้วซะอีก”

“ขอโทษที กูเครียดมากไปหน่อย แต่ตอนนี้โอเคขึ้นละ”

ผมยอมรับว่าเคยเป็นแบบนั้น ตั้งแต่ผมกลับมาผมก็ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นกับเพื่อน ผมคิดเสมอว่าตัวเองไม่มีเวลาให้มานั่งไร้สาระ ยิ่งผมเอ้อระเหยมากเท่าไหร่ อิสรภาพของผมก็จะยิ่งห่างออกไปไกลมากกว่านั้น แต่คนที่ทำให้ผมรู้ว่าผมสามารถแบ่งเวลาให้งานและคนรอบตัวได้ก็คือฟ้า

ตั้งแต่จรดค่ำเขาหัวหมุนอยู่กับการดูแลผม แต่เขาก็มีเวลาที่จะติดต่อกับเพื่อน แวะไปพูดคุยทักทายกับคนนู้นคนนี้ในซอย ส่วนมากก็เป็นคนที่ฟ้าเคยไปทำงานด้วยหรือรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากัน

ชีวิตของเขาดูสมบูรณ์และมีความสุขทั้งๆที่เขาไม่ได้มีมากเท่าผม

เขาสอนผมโดยไม่ต้องพูดว่า ความสุขสามารถหาได้ง่ายๆจากสิ่งรอบตัวเพียงเขาคว้ามันเอาไว้ ผมจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวถ้าผมไม่คิดจะทิ้งคนที่หวังดีกับผมไว้ข้างหลัง ซึ่งตอนนี้ก็มีฟ้าและเพื่อนของผม วันนี้พอมันโทรมาบอกว่าอยากสังสรรค์กับระหว่างเพื่อน ผมก็เลยไม่ปฏิเสธ

“กลับไปก็อย่าไปแกล้งน้องมันอีกล่ะ”

“เออน่า” ผมชักจะหงุดหงิดแล้วที่พวกมันทำเหมือนเป็นห่วงคนของผมเกินหน้าเกินตา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2020 19:17:27 โดย RiRi »

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
หลังจากนั้นผมก็นั่งคุยเรื่องงานกับทั้งสองคนต่อ เพราะผมเริ่มดำเนินการสั่งผลิตสินค้าและกำลังเตรียมแผนโปรโมท และการขายของง่ายๆอย่างหนึ่งก็คือขายคนใกล้ตัว ทั้งเจมส์และทิศอยู่ไทยตลอด ดังนั้นพวกมันมีคอนเนคชั่นในหลายสายงาน เลยตกลงว่าจะช่วยผมหาลูกค้า

ผมนั่งกินดื่มกับเพื่อนจนเที่ยงคืนก็ขอตัวกลับ ร้านที่ผมมานั่งกับเพื่อนเป็นร้านที่ไม่ได้อยู่ในถนนใหญ่ ขับลัดเลาะจากซอยบ้านผมมาได้ เลยไม่ต้องกลัวกับด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ เพราะผมเองก็ดื่มมาประมาณหนึ่ง

ไม่รู้ป่านนี้เด็กที่บ้านจะหลับไปหรือยัง

ผมขับรถเข้ามาในบ้าน ภาพที่เห็นทำให้ผมแทบจะอยากจะถลาเข้าไปดึงเด็กที่นั่งก้มหน้าอยู่หน้าประตูในบ้านมากอด
พอเขาเห็นแสงไฟและเสียงรถยนต์ของผม ฟ้าก็ลุกขึ้นยืนแทบจะทันที

“คุณตรี” เสียงฟ้าสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้นานขนาดไหนแล้ว ผิวนอกร่มผ้าไม่โดนยุงดูดกัดไปหมดแล้วเหรอ

“ทำไมไม่นอน” ผมดัดน้ำเสียงให้นิ่ง ไม่ให้ดูอ่อนยวบจนเกินไปเพราะความสงสารปนเอ็นดู

“ผมรอคุณตรี ดื่มมาเหรอครับ แล้วขับรถกลับมายังไง” ฟ้าเดินเข้ามาใกล้ มองสำรวจผมทั่วทั้งตัว แววตาและน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง

ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะทำให้ผมสุขใจไปถึงไหน

ทั้งชีวิตของผม นอกจากคุณย่าแล้ว ก็มีแค่ฟ้าเท่านั้นที่เป็นห่วงผมจากใจจริง มีแค่สองคนนี้ที่ใส่ใจดูแลผม รู้ว่าผมต้องการอะไร รู้ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร พ่อกับแม่ผมยังไม่ใส่ผมเท่านี้เลย คงไม่แปลกใจไหมที่ผมจะตกหลุมรักเด็กผู้ชายตรงหน้า

“ฉันไม่เป็นไร ไปนอนเถอะ” ผมบอกเขา ทำเหมือนไม่ใส่ใจ แล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าประตูมา

หมับ!

เพียงก้าวเดียวที่ก้าวข้ามผ่านประตูมา แขนของผมก็ถูกสองมือเล็กที่ไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนมือผู้หญิงจับเอาไว้แน่น เขาลงแรงบีบจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึก เหมือนฟ้ากำลังกลัวว่าผมจะเดินหนีไป เลยต้องจับไว้ให้แน่น

หึหึ จะด่าว่าผมเลวก็ได้ แต่ผมชอบฟ้าตอนนี้จริงๆ ฟ้าตอนที่โดนผมแกล้งน่ารักที่สุดแล้ว

“มีอะไร” ผมกลั้นยิ้มถามออกไป ฟ้ายังจับมือผมไว้ เขากระเถิบเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น แต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ผมควรหยุดแกล้งแต่ตรงนี้ดีไหม สงสารเหลือเกิน เดี๋ยวเด็กร้องไห้

“ผมขอโทษ” ฟ้าพูดเสียงอู้อี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว ผมทำเด็กร้องไห้เสียแล้ว

“ขอโทษเรื่องอะไร” ผมปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ แต่คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาหลบซ่อนน้ำตาคงไม่ทันสังเกตว่าผมไม่ได้ทำเสียงเย็นชาใส่

“ผมขอโทษที่ผมปิดบัง”

“เรื่องนั้นฉันก็ได้คำตอบแล้วไง”

ซื้ด

เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้น ร่างกายของฟ้าสั่นสะท้านเล็กน้อย ผมถอนหายใจแล้วใช้มือข้างที่ช้อนจับที่ข้างแก้มบังคับให้ฟ้าเงยหน้าขึ้น
เม็ดน้ำตาไหลกลิ้งลงบนแก้มเนียน ผิวเนื้อรอๆดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ จมูกก็แดง ริมฝีปากก็แดง เห็นแล้วก็ต้องยิ้มออก คนอะไรร้องไห้ก็ยังน่ารัก

“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม ใช้มือที่ยังจับที่แก้มเช็ดน้ำตาให้

“ผมขอโทษ” ฟ้าสะอื้นพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ไม่มีคำอื่นจะพูดแล้วเหรอ” ผมคาดหวังอะไรที่มากกว่าคำว่าขอโทษจากปากจิ้มลิ้มนี่ ผมจับจ้องมองจุดที่น่าสนใจ ริมฝีปากของฟ้าในขณะนี้ดูบวมอิ่มมากกว่าปกติ คงเพราะเขาเม้มและกัดมันตลอดเวลาที่ตัวเองร้องไห้

“ผมไม่อยากให้คุณตรีโกรธผม” ฟ้าสะอึกเล็กน้อยตอนที่พูด

“ฉันไม่โกรธนายหรอก” ใครจะไปโกรธคนที่ดีกับผมขนาดนี้ได้ลงคอ

“แต่คุณตรี...ไม่พูดกับผม”

“...”

“คุณตรีไม่กินข้าวด้วย”

ผมปล่อยให้เขาพูด อยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้างโดยที่ผมไม่ต้องตั้งคำถามหรือบังคับ

“ผมไม่ได้รังเกียจคุณตรีด้วยนะครับ ที่คุณตรีว่าชอบผม ผมไม่ได้อึดอัด ผมแค่ไม่อยากเชื่อเท่านั้นว่าคุณตรีจะชอบผม”

“อืม” ผมส่งเสียงตอบรับให้เขารู้ว่าผมยังฟังอยู่

“แล้วที่ผมไม่กล้าเล่าเรื่องที่คุณดิวเล่าก็เพราะผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องจริง ถ้าพูดไปแล้วคุณตรีรู้สึกไม่ดี ผมกลัวคุณตรีจะ...” ท้ายประโยคฟ้าพูดเสียงเบาจนผมไม่ได้ยิน

“อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน”

“ผมกลัวคุณตรีจะถอยห่างจากผม” พูดประโยคนี้จบฟ้าก็เหมือนร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ ตั้งแต่ผมรู้จักฟ้ามา ครั้งนี้เขาร้องไห้ให้เป็นครั้งแรก ผมก็สำนึกผิดที่ทำฟ้าร้องไห้ แต่เดี๋ยวค่อยปลอบทีเดียว ยังไงคืนนี้ก็ต้องเคลียร์เรื่องความรู้สึกระหว่างเราสองคนให้รู้เรื่อง

“นายกลัวว่าถ้าเล่าให้ฟังแล้วฉันไม่ได้ชอบนาย จะทำให้ฉันอึดอัดใจกับเรื่องนี้เหรอ” ผมตีความในสิ่งที่ฟ้าบอก แล้วเขาก็พยักหน้า

เห้อ อยากรู้จริงๆว่าในสมองเล็กๆนี่คิดอะไรบ้าง

“ฟ้าเอ้ยฟ้า ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันจะเอาอารมณ์ไปลงกับนายทำไม คนที่ฉันควรโกรธคือคนที่มาโกหกทำให้เราสองคนผิดใจกันไม่ใช่เหรอ” ผมล่ะอยากจะเขย่าหัวเด็กตรงหน้าจริงเชียว แต่ก็ไม่กล้าทำหรอกครับ แค่คิดเท่านั้น

“ผมขอโทษ พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณตรีทีไร ผมก็กังวลไปหมด ผมไม่อยากให้คุณตรีรู้สึกไม่ดีกับผม”

“แต่นายก็ทำมันไปแล้ว” ผมยอมให้ด่าว่าเลวอีกรอบ แต่ขอสักหน่อยเถอะ เด็กคนนี้ทำผมใจเสียมาก่อนหน้านี้ ไหนๆก็ร้องไห้แล้วขอเอาคืนสักหน่อย

“ผมขอโทษ” ฟ้าเบะปากใส่ผม ผมส่ายหน้ายิ้มๆแล้วลูบแก้มปาดน้ำตาออกจากแก้มเนียน

“ฉันชอบนาย มันคือเรื่องจริง ควรจะเป็นฉันไม่ใช่เหรอที่กลัวนายจะรู้สึกไม่ดีด้วย” ผมปรับเสียงให้ทุ้มขึ้นเพื่อเป็นการปลอบคนตรงหน้าไปในตัว

“ผมไม่มีทางรู้สึกไม่ดีหรอก ขอแค่ไม่เกลียดผมก็พอ”

“หมายความว่า ต่อให้นายไม่ชอบฉัน นายก็จะไม่ถอยห่างแม้ฉันจะชอบนายใช่ไหม”

“คือ...”

“...”

“คือผม...ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ”

ผมเลิกคิ้วใส่ ฟ้าเม้มปากจนมันสั่นระริก

“ไม่ใช่ไม่ชอบอะไร ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ฉันชอบนาย หรือไม่ใช่ว่าไม่ชอบฉัน ไหนลองบอกฉันสิว่ามันคืออันไหน”

“....” ดวงตาแสนเศร้าหลุบต่ำ

“พูดสิ ฉันอยากฟัง”

“อันหลังครับ”

“อันหลัง? หมายถึงไม่ใช่ว่าไม่ชอบฉัน ใช่ไหม”

ฟ้าไม่พูดตอบ แต่พยักหน้าตอบแทน ผมหลุดยิ้มกว้างทันที ผมปลดมือฟ้าออกจากแขนของผมแล้วดึงเขาเข้ามากอดเอาไว้แน่น กดจูบที่ผมหอมและขมับบางเบา

ผมบอกแล้วไงว่าผมมั่นใจว่าฟ้าก็ชอบผมเหมือนกัน แต่คนที่ไม่มั่นใจก็คือคนที่ผมกอดอยู่ ฟ้าไม่ใช่เด็กขี้อายขนาดนั้น แต่ค่อนข้างเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัว เวลาอยู่กับเพื่อนก็ดูห้าวพอตัว เวลาอยู่กับคนอื่นก็เฮฮาตามประสาเด็กผู้ชาย แต่พออยู่กับผมทีไร เขามันเขินอายเสมอและไม่กล้าเสมอ มันเลยทำให้ผมดูออก

“แน่ใจเหรอว่านายชอบฉัน ไม่ใช่พูดเพราะกลัวว่าฉันจะโกรธ” ผมถามให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะต่อให้ผมเองว่าจะมั่นใจว่าฟ้าเองก็รู้สึกเหมือนผม แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ผมก็ไม่อยากให้ฟ้าต้องเสียสละทำเพื่อความสุขของผมแต่เพียงฝ่ายเดียว

“ผมแน่ใจ”

“จริงอ่ะ”

“ครับ”

“แน่ใจเหรอ พูดใหม่สิ ดังๆ ชัดๆ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่มั่นใจนะ”

“ผมชอบคุณตรีครับ” เหมือนจะกลัวผมไม่เชื่อ พูดชัดถ้อยชัดคำขึ้นมาเชียว

ผมปล่อยตัวฟ้า เปลี่ยนที่วางมือไปจับไว้ที่ไหล่บางทั้งสองข้างแทน ผมมองสำรวจทั่วไปหน้าของฟ้า และที่ใช้เวลามองนานที่สุดก็คือดวงตากลมที่แดงช้ำ

“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็ชอบกัน”

“ครับ”

“ขอบคุณนะ”

หากคิดถึงสิ่งที่ฟ้าทำให้ผมตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาทำมันเพราะชอบผม ไม่ได้ทำเพราะมันเป็นหน้าที่ การถูกรักมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

“คุณตรีครับ”

ผมเผลอจ้องเขานายเกินไป ถ้าฟ้าไม่เรียกผม ผมก็ยังคงยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น

“ว่าไง”

“แล้วมันจะเป็นยังไงต่อเหรอครับ” ทั้งที่ฟ้าควรจะดีใจที่เราสองคนใจตรงกัน เขากลับทำหน้าวิตกกังวลแทน

ไม่รู้ว่าหัวสมองน้อยๆนี่ต้องทำงานหนักขนาดไหนในแต่ละวัน ถ้าเขาคอยแต่จะเป็นกังวลเรื่องของผม

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ไม่ดีใจเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่ว่าคุณดิวเธอรู้เรื่อง เธอบอกด้วยว่า คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็อาจจะรู้ ถึงตอนนั้นคุณตรีจะต้องเดือดร้อน คุณดิวเธอดูโกรธมาก ผมกลัวว่ามันจะเป็นปัญหา”

ผมเข้าใจในสิ่งที่ฟ้าบอก เพราะผมก็ได้ยินทุกคำที่ดิวพูด แต่ผมไม่กลัว ผมเผชิญปัญหาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่โตมา จะมีเข้ามาอีกสักสองสามเรื่องจะเป็นอะไรไป

แต่เมื่อฟ้าพูดมาแบบนี้ ผมก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ถ้าเรื่องมันเกิดกับผมคนเดียวผมรับมือได้ แต่ถ้าฟ้าต้องโดนร่างแหไปด้วย ผมยอมไม่ได้แน่นอน

“อะไรที่มันยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปเครียด ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น เราจะแก้ไขไปด้วยกัน”

“มันจะโอเคใช่ไหมครับ”

“ไม่ลองดูจะรู้เหรอ” ผมยักไหล่ จับข้อมือฟ้าให้เดินเข้ามาในบ้าน เพราะตลอดเวลาที่เราปรับความเข้าใจกัน เรายืนอยู่หน้าประตู
ผมดึงฟ้าให้นั่งลงข้างๆกันบนโซฟา แล้วหยิบกระดาษทิชชูให้เขาเช็ดหน้าเช็ดตาและสั่งน้ำมูก ฟ้ากระแอมไอเบาๆ ผมจึงลุกไปหยิบเหยือกน้ำและแก้วในครัว

“ดื่มน้ำหน่อย” ผมส่งแก้วน้ำที่เทแล้วให้เขา ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะรับแก้วคืนมาแล้วเทดื่มมาก ผมดื่มเหล้าไปประมาณหนึ่ง ทำให้รู้สึกคอแห้งอยู่ตลอด

“คุณตรี...ไม่เอาแก้วใหม่ล่ะครับ”

“ทำไม” ผมขยับแก้วในมือมองว่ามันมีอะไรผิดปกติตรงไหน

“ก็...ผมเพิ่งใช้แก้วนั้นไป”

อ่อ หึหึ เด็กน้อยเอ้ย

“ฉันไม่ถือหรอกน่า ที่จะกินน้ำแก้วเดียวกับคนที่ตัวเองชอบ”

“...” คิดไว้แล้วว่าต้องมีคนเขิน

ผมสังเกตตั้งแต่ฟ้ายอมรับออกมาว่าชอบผมเหมือนกัน เขาดูเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก มันคงยากที่จะปรับตัวในเวลาอันรวดเร็ว ฟ้าเป็นคนยังไงผมเองก็รู้ ดังนั้นผมจะไม่เร่งรัดเขา

“อย่าคิดมาก ต่อให้เราสองคนใจตรงกัน ฉันก็ไม่ได้คิดจะเร่งรัดอะไรนายหรอกนะฟ้า”

“ครับ คือผมแค่ทำตัวไม่ถูก เหมือนกำลังฝันอยู่เลย โอ๊ย”

ผมบีบแก้มใสเข้าให้ มาขนาดนี้ยังจะทำเหมือนเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องจริง

“เป็นตัวของตัวเองก็พอ เรื่องอนาคตของเรา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน”

“อนาคตของเรา?” ฟ้าทำหน้างุนงง

ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน ผมว่าผมควรทิ้งระเบิดลูกย่อมๆเอาไว้สักหน่อย ด้วยการโน้มตัวเข้าไปใกล้ ฟ้าเอนหลังหนีเพื่อไม่ให้เราใกล้กันจนเกินไป เวลากระต่ายตื่นตกใจมันน่ารักแบบนี้นี่เอง

“อนาคตของเรา ก็คือสถานะแฟนไง ฉันจะหามาให้หลังจากที่ฉันประสบความสำเร็จ ตกลงไหม”

“ครับ”


เด็กอะไร ว่านอนสอนง่ายจริงๆ หวังว่าในอนาคตตอนที่เรานอนแล้วผมสอนอะไรบางอย่างให้จะยังว่าง่ายแบบนี้นะ





CATER TO YOU
ตอนที่22
ผมจะใช้ร่างกายของผมเยียวยาคุณ



พูดไปก็เหมือนโอเวอร์ แต่ผมใจเต้นแรงจนนอนไม่หลับทั้งคืน สมองเอาแต่คิดถึงคำพูดของคุณตรีซ้ำไปซ้ำมา ถึงขนาดเก็บเอาไปฝันจนหลับๆตื่นๆทั้งคืน


‘ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็ชอบกัน’
‘ฉันไม่ถือหรอกน่า ที่จะกินน้ำแก้วเดียวกับคนที่ตัวเองชอบ’
‘อนาคตของเรา ก็คือสถานะแฟนไง ฉันจะหามาให้หลังจากที่ฉันจีบนายติด ตกลงไหม’



แล้วสิ่งที่แย่กว่าการนอนไม่หลับทั้งคืนก็คือ ผมตื่นสาย!

เพราะนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะสมองไม่ยอมหยุดทำงาน มันมายกมือยอมแพ้ตอนที่ร่างกายอ่อนล้าเต็มทนก็ช่วงเช้ามืด ทำให้ผมหลับสนิท ตกใจตื่นอีกทีก็เกือบจะเจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว

ผมตาลีตาเหลือกลุกจากเตียง เรียกว่ากระโดดเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องพูดถึงจัดการตัวเองด้วยการล้างหน้าล้างตา ผมวิ่งไปยังห้องคุณตรีเป็นอย่างแรก เปิดประตูเข้าไปก็เจอแสงสว่าง และเจ้าของห้องก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว แม้แต่ห้องอาบน้ำหรือห้องแต่งตัวก็ไม่มี

เวลานี้คุณตรีจะต้องกำลังแต่งตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ เพราะเขาจะออกกำลังกายเสร็จประมาณหกโมงครึ่ง แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

ผมไม่มีเวลาให้คิดมาก รีบวิ่งลงไปชั้นล่าง กำลังจะเลี้ยวไปยังห้องฟิตเนส แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเบรกตัวโก่งเมื่อเกือบจะชนเข้ากับร่างสูงที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดมา

“เป็นอะไรทำไมวิ่งหน้าตาตื่นลงมา” คุณตรีถามพลางมองสำรวจอาการของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“คุณตรี...ผมขอโทษครับ ผมตื่นสาย” ผมยอมรับผิดแต่โดยดี ในตอนเช้าผมต้องไปเตรียมห้องน้ำให้คุณตรี ก่อนจะลงมาเตรียมห้องฟิตเนสและเครื่องดื่มแก้กระหายระหว่างออกกำลังกาย จากนั้นผมก็ต้องออกกำลังกายกับเขาด้วย ก่อนจะปลีกตัวไปเตรียมชุดทำงานแล้วลงมาทำอาหารเช้า

แล้วดูวันนี้สิ ผมได้ทำอะไรบ้าง คุณตรีอยู่ในชุดพร้อมออกไปทำงาน ยังเหลืออาหารเช้าใช่ไหมที่ผมพอจะทำให้ได้

“ผมจะรีบไปเตรียมอาหารเช้าให้นะครับ แต่ขอผมขึ้นไปล้างหน้าแปบหนึ่ง” ผมรีบพูดแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นห้อง

ผมทำธุระส่วนตัวภายในห้านาทีแล้วรีบลงมา แต่ก็ต้องเบรกขาทั้งสองข้างแบบกะทันหัน ถ้าเป็นรถป่านนี้แหกโค้งไปแล้ว

“คุณตรี...ผม...”

จากความตั้งใจที่จะรีบลงมาทำอาหารเช้า ทุกอย่างล่มไม่เป็นท่าเมื่ออาหารเช้าที่ว่าเจ้านายของผมจัดการทำมันด้วยตัวเองจนเสร็จสรรพเรียบร้อยพร้อมทาน

“มากินข้าวเช้า วันนี้ต้องออกไปทำงานด้วยกัน ลืมเหรอไงถึงได้แต่งตัวแบบนั้น”

ใครก็ได้มาจับผมลงไปอยู่ในโหลปลาทองแทน ที่ตรงนั้นมันควรเป็นที่สำหรับผม นอกจากจะตื่นสายจนไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ผมยังลืมอีกว่าวันนี้จะต้องออกไปทำงานข้างนอกกับคุณตรี

“ผมขอโทษครับ” อยากจะทุบหัวตัวเองสักทีสองที

“ช่างเถอะ รีบมากินข้าวเช้า” คุณตรีพูดเสียงเรียบ เขาเดินนำผมไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่เดินตัวลีบไปนั่งฝั่งตรงข้าม กลิ่นของอาหารเช้าง่ายๆอย่างขนมปังโฮลวีทปิ้ง ไข่ดาวน้ำ ไส้กรอกอกไก่ยั่วยวนให้ท้องของคนตื่นสายอย่างผมส่งเสียงประท้วง

เพราะมัวแต่หัวหมุนตั้งแต่ตื่นนอน ผมจึงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปชั่วขณะถ้าเขาไม่พูดขึ้น

“เมื่อนอนไม่หลับเหรอ คิดถึงฉันทั้งคืนหรือไง”

ถ้าหน้าผมร้อนกว่านี้อีกนิดก็คงจะใช้ต้มกาแฟให้คุณตรีได้

“ปะ เปล่านะครับ” ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด ไม่ใช่ว่าที่เขาพูดมันไม่จริง แต่มันเป็นเรื่องจริงจนน่าอายต่างหาก

“เดี๋ยวนี้หัดโกหกบ่อยนะ สงสัยฉันต้องลงโทษนายสักหน่อย วันนี้ก็ตื่นสายด้วยนี่นา”

“...” ผมมองหน้าคุณตรีทันที เขายิ้มล้อผมเหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้ง ผมบุ้ยปากใส่เขาทันที คาดว่าการลงโทษของเขามันต้องเป็นอะไรที่ผมคิดไว้แน่ๆ

เขาจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้ผม

“ฉันจะลงโทษนาย...ด้วยการเพิ่มเงินเดือน”

นั่นไง ทำไมผมซื้อหวยไม่ถูก

“คุณตรีอย่าแกล้งผมสิครับ”

“หึหึ” เขาหัวเราะอย่างร้ายกาจ ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าฝีมือคุณตรี ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อ ไม่อย่างนั้นเราจะยิ่งไปทำงานสาย





เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์ดังขึ้นดึงความสนใจจากภาพตรงหน้า ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะวางลงแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์ของคุณตรีแล้ววิ่งลงไปจ่ายเงินค่าอาหาร

“ทั้งหมด2,345บาท”

“นี่ครับ” ผมหยิบเงินสดจ่ายแล้วรอรับเงินทอน ก่อนจะหอบหิ้วถุงอาหารถุงใหญ่เดินเข้าไปในออฟฟิศของคุณตรี

ผมเดินเข้าไปจัดของกินใส่จาน เตรียมตั้งโต๊ะอาหารเย็นให้คุณตรีและพี่ๆในทีมของเขา เพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำมาทั้งอาทิตย์ ถ้าไม่เพราะว่าคุณตรีติดนอนที่บ้าน เขาคงจะกินนอนที่นี่ไปแล้ว

“คุณตรีครับ ผมว่าเราเพิ่มสินค้าดีไหม ผมมาคิดๆดูแล ตอนนี้คอลเลคชั่นนี้มีสินค้าจำนวนสิบห้าชิ้น รวมทั้งชิ้นใหญ่แล้วก็ชิ้นเล็ก”

“เพิ่มสินค้างั้นเหรอ แต่เราจะมีเวลาในการผลิตไม่ทัน”

“แต่ถ้าเราปรับลดจำนวนของแต่ละอย่างลง ก็อาจจะทำให้ไปผลิตสินค้าเพิ่มได้นะครับ”

“นายมีไอเดียของสินค้าชิ้นอื่นเหรอ”

“ครับ คือพอดีพวกผมเกิดไอเดีย...”

ผมยืนค้างเติ่งอยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าควรเข้าไปกวนดีไหมในขณะที่พวกเขากำลังจริงจังกับการทำงาน เกรงว่าถ้าผมเข้าไปขัดจะทำให้งานของคุณตรีเสียหาย

ผ่านจากวันนั้นที่เราต่างสารภาพความในใจ คุณตรีก็ยังเหมือนเดิม เขาปฏิบัติต่อผมเหมือนเดิม อ่ะ ไม่สิ ดีกว่าเดิมหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าแต่ก่อนเขาไม่ดีนะครับ  เขาดีมากๆ และยิ่งดีมากขึ้นไปอีกเพราะเขามักตามใจผม และก็ดูแลผมเพราะเขาบอกว่าจะจีบ

ผมรู้สึกดีเพราะว่าคุณตรีทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัด ผมชอบเขารักเขาก็จริง แต่ผมก็ยังมีความกลัวเยอะแยะมากมาย ไหนจะเรื่องคุณดิว และเรื่องพ่อแม่ของคุณดิวอีก ทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเองมากนัก เพราะกลัวทำให้คุณตรีต้องทุกข์นัก แค่เรื่องงานเขาก็แทบไม่ได้พักผ่อน

แป๊ะ!

“โอ๊ะ” ผมยกมือกุมหน้าผากที่โดนดีด เจ็บเหมือนมดกัด แต่ตกใจมากกว่า

“ยืนเหม่ออะไร” คุณตรีเขามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“อาหารมาส่งแล้วครับ”

“ฉันรู้ตั้งแต่นายเดินออกมาแล้ว”

“อ่อ ครับ ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ไปทานกันเถอะครับ”

“อืม”

“พี่ๆครับ อาหารมาแล้วครับ”

“โอเค”

“เย้ หิวสุดๆไปเลย”

ผมเปิดประตูออกกว้าง ให้พี่ๆทยอยเดินกันออกไปกิน ผมและคุณตรีเดินรั้งท้ายไปคนสุดท้าย บนพื้นที่ชั้นลอยที่เป็นชั้นส่วนตัวของคุณตรี เขาให้ช่างมากั้นห้องเพิ่มสองห้อง คือห้องทำงานรวมและห้องอาหาร อาจจะดูคับแคบไปสักหน่อยที่จะยัดผู้ชายเกือบสิบคนให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่มันก็สะดวกในช่วงที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา และผมก็คือคนที่คอยดูแลคุณตรีนอกสถานที่ เพราะอย่างนั้นผมถึงเห็นว่าเวลาเขาทำงานเขาต้องเหน็ดเหนื่อยมากขนาดไหน ยิ่งตอกย้ำว่าผมต้องดูแลเขาให้ดีกว่าเดิม

“คุณตรีทานอันนี้สิครับ อันนี้ไก่ทอดรสไม่เผ็ด มีทั้งเนื้อแบบไม่มีกระดูกแล้วก็ปีกไก่บนปีกไก่ล่าง”

“อันนั้นอะไร” เขาถามของที่อยู่ในถ้วยพลาสติก

“เขาว่าหัวไชเท้าดองนะครับ” ผมหยิบมาเปิดแล้วดมดู

อาหารเย็นของเราในวันนี้เป็นไก่ทอดเกาหลีจากร้านชื่อดัง คุณตรีให้พี่ๆในทีมเป็นคนเลือกอาหารเย็น พวกเขาก็เลยลงมติกันว่าจะสั่งไก่ทอดเกาหลีเจ้านี้มาทาน ผมเองก็ไม่เคยกินแต่เคยเห็นในโฆษณาอยู่ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ลองชิมว่าของแพงที่เขาฮิตๆกินกันมันอร่อยสักแค่ไหน

“นายเคยกินไหม” คุณตรีใช้ตะเกียบคีบไก่ทอดขึ้นมาพิจารณา

“ไม่เคยครับ”

“แล้วของนายรสอะไร” คุณตรีมองไก่ทอดในมือผม ผมไม่ใช้ตะเกียบแต่ใช้มือหยิบเลย ล้างมือสะอาดก่อนทานอาหาร ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องสุขอนามัยเลย

“น่าจะรสเผ็ดนะครับ” ผมบอกแล้วก็เริ่มกิน คุณตรีมองผมกิน พอเห็นเห็นว่าผมพยักหน้าส่งความหมายว่าอร่อย เขาก็ก้มกัดไก่ทอดของตัวเอง

มันอร่อยจริงๆครับ เป็นรสเผ็ดหวานแบบที่ผมไม่เคยกิน แต่ผมว่าไก่ทอดชิ้นละสิบห้าบาทในตลาดก็อร่อยดีนะครับ ยิ่งหนักกรอบๆน้ำมันที่ทอดดำๆล่ะก็ แบบนั้นยิ่งอร่อย เวลาเงินเดือนออก ผมชอบไปซื้อกินที่สามน่องใหญ่ๆเลยล่ะ

“อร่อยไหมครับ” ผมถามคุณตรี

“อร่อยดี”

“ปกติคุณตรีทานแต่อาหารสุขภาพ นานๆทีทานแบบนี้ผมก็ว่าก็ดีนะครับ”

“ที่ว่าดีเพราะนายชอบกินสินะ” เขารู้ทันผมตลอด ผมย่นจมูกใส่เขา แล้วก็กัดไก่คำโตโชว์ไปอีกทีว่าผมชอบกินอาหารแบบนี้มาก

“ครับ ผมชอบ แบบนี้มีรสชาติดี” เพราะคุณตรีกินคลีน อาหารของเขาก็เลยจะรสชาติไม่จัดจ้าน บวกกับที่เขาทานเผ็ดไม่ได้ ทำให้อาหารการกินของผมเปลี่ยนไปด้วย

“มีแต่โซเดียมละสิไม่ว่า”

“แหะๆ”

“ชอบก็กินเยอะๆ” คุณตรีหยิบไก่ในจานของตัวเองส่งให้ผมที่เพิ่งกินชิ้นในมือหมดไป

“ขอบคุณครับ”

พวกพี่ๆใช้เวลานั่งกินอาหารเย็นเกือบชั่วโมง ก็แยกย้ายกันกลับบ้านในเวลาเกือบจะสามทุ่ม ตอนนี้ทั้งตึกก็คงเหลือแค่ผมกับคุณตรี และพนักงานรักษาความปลอดภัยกะกลางคืน

คุณตรีหอบเอกสารบางอย่างกลับบ้าน เขาเหมือนมีอะไรให้คิดอยู่ตลอดเวลา และคาดว่าตอนถึงบ้านเขาก็คงจะนั่งทำงานจนดึกดื่นอีกตามเคย

“อยากแวะซื้ออะไรก่อนกลับบ้านไหม” คุณตรีถามเมื่อรถติดไฟแดง ขับเลยไปอีกนิดก็จะถึงปากซอยบ้าน ตอนกลางคืนในซอยจะมีร้านอาหารและพวกพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านขายของ เพราะเป็นซอยที่มีหมู่บ้านและห้องเช่าอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งวัดและโรงเรียนอยู่ภายในซอยด้วย จึงทำให้ครึกครื้นไปจนถึงช่วงตีหนึ่งตีสองนู่น

“ผมอิ่มมากเลยครับ แต่ถ้าได้น้ำเต้าหู้ร้อนๆก่อนนอนก็ดี”

“สั่งมาเผื่อฉันด้วยถุงหนึ่ง”

“หวานปกตินะครับ”

“อืม”

และต่อให้คุณตรีจะกินเพื่อสุขภาพยังไง จะมีสิ่งหนึ่งที่คุณตรีจะตามใจปากท้องตัวเองเสมอก็คือเครื่องดื่มรสหวาน

กลับถึงบ้านเราก็แยกย้ายกันไปจัดการธุระของตัวเอง ทุกวันนี้ผมไม่มีเวลาเลิกงานตายตัว แต่มีเวลาเริ่มงานทุกวันตอนตีห้า หลังจากลืมตาตื่นผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองจนกระทั่งทานมื้อเย็นและเก็บล้างเสร็จ หน้าที่ผมควรจะสุดอยู่ที่ตรงนั้น แต่ว่าผมยังไม่เปิดเทอม ดังนั้นหลังหนึ่งทุ่มผมก็ไม่รู้จะทำอะไร คุณตรีก็ไม่ได้เรียกใช้อะไรผมมาก แต่เป็นผมเองที่คอยดูว่าเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าอย่างเช่นพวกเครื่องดื่มชาร้อน หรือของว่างเวลาที่เขาทำงานล่วงเวลาดึกดื่น

ผมอาบน้ำเสร็จก็ลงไปเตรียมของสำหรับทำมื้อเช้า ช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่บ้านเลยไม่ได้มีเวลาเตรียมนัก เช้ามาก็ต้องรีบออกจากบ้าน ผมเลยต้องเตรียมของไว้ตั้งแต่ก่อนนอน เช้ามาจะได้ไม่วุ่นวายนัก จากนั้นผมก็ อุ่นน้ำเต้าหู้แล้วเอาไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่ห้องทำงาน

“น้ำเต้าหู้ครับคุณตรี ดื่มอุ่นๆจะได้สบายท้อง” 

“นั่งลงสิ ดื่มด้วยกัน” เขาพเยิดหน้าให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา

“คุณตรีทำอะไรอยู่เหรอครับ” ผมมองกระดาษบนโต๊ะทำงานของคุณตรี เขาจิบน้ำเต้าหู้แล้วพยักหน้าให้ผมหยิบขึ้นไปดู

“นี่มันแบบสินค้านี่ครับ คุณตรีเอามาดูทำไมเหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ผมหยิบขึ้นมาดูทีละแผ่น ภาพสินค้าพวกนี้ถูกส่งไปยังโรงผลิตแล้ว แต่ทำไมคุณตรียังเอามาดูเหมือนมีปัญหาอะไร

“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันกำลังคิดเรื่องที่คนในทีมเสนอ ว่าอยากให้เพิ่มสินค้า” คุณตรีผ่อนลมหายใจ

“เพิ่มเหรอครับ ตอนนี้เรามีสินค้าสิบห้าชิ้น ถ้าจะเพิ่มจะเพิ่มอะไรเหรอครับ”

“เรื่องเพิ่มไม่ใช่ปัญหา แต่ของจะผลิตทันกำหนดวันเปิดขายหรือเปล่า เราต้องมีของในสต๊อกของแต่ละชนิดเพียงพอ และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สองเดือน ฉันกลัวว่าจะไม่ทัน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2020 19:23:55 โดย RiRi »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ชอบที่คุณตรีจัดการกับผู้หญิงคนนั้นจังเลยค่ะ ชัดเจน ตรงไปตรงมามาก
เขินตรงคุณตรีอธิบายความสำคัญของมือน้องฟ้า ปากหวานมากพ่อคุณ เขินๆๆ

ปล.งงนิดหน่อยว่าคุณตรีรู้ว่าน้องฟ้าชอบตัวเองตอนไหนคะ คืนนั้นคุณตรีเข้าใจผิดเลยออกไปข้างนอก แล้วน้องฟ้าก็โทรหาเพื่อนแล้วก็เข้านอนไม่ใช่เหรอคะ

 :pig4:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
ผมนั่งมองคุณตรีอย่างไม่รู้จะออกความเห็นอะไร ส่วนเขาก็เอาแต่จ้องแผ่นกระดาษ ผมนั่งจิบน้ำเต้าหู้ไปเรื่อยๆจนหมดแก้ว

คิดสิฟ้า ว่าปัญหานี้ของคุณตรีจะแก้ไขยังไงได้บ้าง

คุณตรีกลัวว่าจะผลิตสินค้าไม่ทัน แล้วตอนนี้วันหนึ่งผลิตได้เท่าไหร่ ผมไม่เคยไปที่โรงผลิตสินค้า ก็เลยไม่รู้ว่าที่นั่นมีคนทำงานกี่คนและมีพวกเครื่องจักรอะไรแบบนั้นไหม แต่ถ้าจะให้จ้างคนมาทำเพิ่มก็คงเป็นไปได้ยาก คุณตรีต้องจำกัดทุน เพราะเท่าที่เป็นอยู่การเงินบริษัทก็ติดลบมากพออยู่แล้ว

แย่จัง ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ผมอยากช่วยเขาเรื่องงานได้บ้าง แต่ผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้เท่าที่ควร

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้ายุ่งอย่างนั้น” คุณตรีโน้มตัวมาจับที่ข้างแก้มของผม เขาเลื่อนนิ้วโป้งมานวดที่ตรงหว่างคิ้ว

“ผมอยากช่วย แต่คิดวิธีที่จะช่วยไม่ออก”

“นายช่วยฉันได้เยอะแยะ เรื่องงานมันเป็นหน้าที่ของฉันกับพนักงานที่ต้องคิด นายแค่ดูแลฉันก็พอ”

“ผมรู้ แต่ผมก็อยากทำได้มากกว่านั้น” ผมบีบมือตัวเองอย่างคนคิดไม่ตก

“ลุกมาตรงนี้หน่อยสิ”

คุณตรีหมุนเก้าอี้ออกด้านข้าง แล้วเรียกให้ผมไปหาเขาตรงนั้น ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคุณตรี เขาคว้ามือทั้งสองข้างของผมไปจับเอาไว้ สอดนิ้วมือทั้งสิบนิ้วประสานกับนิ้วของผม แรงบีบกระชับผ่อนหนักผ่อนเบาทำให้ผมหน้าร้อนแต่ก็รู้สึกดี

“ขอแค่กำลังใจก็พอ อยู่กับฉันอย่าไปไหน แค่นี้ฉันก็มีแรงทำงานแล้ว”

เขาต้องการแค่นี้จริงเหรอ เพียงพอแล้วจริงๆเหรอ

“แค่จับมือก็ได้กำลังใจแล้วเหรอครับ” ผมยิ้มถาม

“จริงๆก็อยากโลภมากกว่านี้นิดหน่อย” เขาทำหน้าเจ้าเล่ห์ตอบกลับมา

“อะไรครับ”

“อยากกอด”

ผมสตั้น...เขาว่าอะไรนะ อยากกอดผมเหรอ เหมือนตอนนั้นที่เขาทะเลาะกับคุณผู้ชายแล้วโดนตบหน้า เขาก็ขอกอดผมเหมือนกัน

“ได้ไหม” เขาทำหน้าอ้อน ที่นานๆจะมีโอกาสได้เห็นสักที ผู้ชายตรงหน้าคือคนที่บอกว่าชอบผม แต่ก็ใจเย็นในความสัมพันธ์ของเรา ผมรู้ว่าเขาแคร์ความรู้สึกของผม แต่บางครั้งก็ชอบแหย่ให้ผมไอ้อายแบบตั้งตัวไม่ทัน เหมือนอย่างตอนนี้ไง

“จะกอดตรงนี้เหรอครับ” ผมถามเพราะเขายังนั่งอยู่แล้วผมยืน

“อืม ขยับเข้ามาใกล้ๆสิ” เขากระตุกแขนผมให้ขยับเข้าไปหา จากนั้นก็ใช้สองแขนโอบกอดรอบเอวผมเอาไว้ ผมสะดุ้งเพราะจั๊กจี้ตอนที่ใบหน้าของเขาซุกเข้ากับช่วงอก

อยู่ใกล้กับจนแนบชิดแบบนี้ ผมรับรู้ได้ถึงความแข็งของปลายจมูกที่โด่งเป็นสัน เขาลากมันช้าๆบนเนื้อผ้าที่ผมใส่ ผมยืนนิ่งค้างเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่จะวาดวงแขนของตัวเองโอบรอบไหล่ของเขาเอาไว้เมื่อเขากระซิบเบาๆอยู่กับอกว่า...

“กอดฉันหน่อยสิ ขอเติมพลังนิดหนึ่ง”

“แค่นี้ ก็ช่วยได้แล้วเหรอครับ”

“แค่นี้ก็พอ ขอแค่นี้นายทำให้ฉันได้ไหม”

แค่ฟังเสียงเว้าวอนของเขา ผมก็แพ้หมดรูป

“ผมทำให้ได้ ถ้าคุณตรีต้องการ”

สมองของผมคงไม่สามารถช่วยเขาทำงานได้ แต่ถ้าร่างกายของผมจะช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าของเขาได้บ้างผมก็ยินดี



ผมไม่รู้ว่าปัญหาที่คุณตรีหนักใจในคืนนั้นถูกแก้ไขด้วยวิธีใด ผมก็ได้ยินคุณตรีกับคุณเอิงและพี่ๆในทีมคุยกันอยู่นะ แต่บอกแล้วไงว่าผมน่ะโง่เกินกว่าจะเข้าใจโลกของธุรกิจ จับใจความก็ได้แค่บางประโยค อาทิเช่น

‘เดี๋ยวส่งคนลงไปดูว่าวันหนึ่งทำได้เท่าไหร่ จดบันทึกมาด้วย’
‘ผมว่าเราเปิดแบบพรีออเดอร์ไหม่คุณตรี แบบก่อนเปิดตัวจริงสักหนึ่งเดือนให้สั่งจองล่วงหน้าพร้อมสิทธิพิเศษอย่างอื่น แบบโปรโมชั่น’
‘เอิงเอาแฟ้มยอดขายของล็อตเก่าๆมาให้ดูนะคะ คิดว่าน่าจะพอเปรียบเทียบได้ว่าแต่ละช่วงมียอดขายวันเปิดตัวเท่าไหร่’
‘ผมว่าบางอย่างเราจ้างบริษัทอื่นทำก็ได้นะครับ เอาที่ต้นทุนใกล้เคียงกับของเรา แต่เราไม่ต้องจ่ายค่าพนักงาน ยังไงเราก็ขายไอเดียวของเราอยู่แล้ว แค่เรื่องสถานที่ผลิตผมว่าไม่น่ามีปัญหา’


แล้วอะไรอีกนะ จำไม่ได้ละ

นั่นแหละครับ ผมน่ะได้ยินเพราะติดสอยห้อยตามมาดูแลคุณตรีที่ทำงานด้วย จากที่มาวันเว้นวัน ตอนนี้ก็มาเกือบทุกวัน จะมีวันหยุดของคุณตรีที่ไม่ต้องมา กับวันที่คุณตรีต้องออกไปคุยกับลูกค้าหรือไปที่โรงผลิต ผมเคยขอไปด้วย แต่เขาอ้างว่ามันไม่ใช่ที่เด็กเล่น ดูเขาพูดนะครับ ดูถูกผมเหลือทน

แต่ไม่ไปก็ดีครับ เพราะผมใช้เวลาว่างสองวันสามวันนั่นแหละ ทำงานบ้าน ซักผ้า ทำความสะอาดทุกพื้นที่ บ้านคุณตรีเขาก็ไม่เล็กนะครับ ไหนจะพื้นที่สวนนอกบ้านอีก ตอนนี้หญ้าเริ่มยาวแล้วด้วย เดี๋ยวต้องหาเวลาตัด

อ่อ ผมยังพูดเรื่องงานของคุณตรีไม่จบเลย ก็อย่างที่ผมยกตัวอย่างบทสนทนาที่คุณเขาคุยกับพี่ที่ทำงาน จากนั้นคุณตรีก็เลือกแบบสินค้าที่จะเอาใส่เพิ่ม เห็นแบบนี้ผมก็ว่าคุณตรีน่าจะหาทางแก้ปัญหาที่เขากำลังหนักอกหนักใจได้แล้ว

ผมเห็นสินค้าแต่ละชิ้น แล้วก็แบบออกแบบสามมิติเป็นตัวอย่างของสินค้าที่ถูกจัดตกแต่งไว้ในบ้าน ขอบอกเลยว่ามันสวยมากๆ สวยจนหน้าเอามาใช้ในบ้านของคุณตรี มันจะต้องทำให้บ้านดูน่าอยู่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

วันนี้ผมอยู่บ้านไม่ได้ออกไปทำงานกับคุณตรี หลังจากเก็บทำความสะอาดในบ้านแล้ว เวลาเหลือช่วงบ่ายแก่ๆผมก็เลยออกมาทำแปลงผักหลังบ้านคุณตรีฆ่าเวลา อย่างพวกผักสวนครัวเนี่ย บางทีซื้อมาเผื่อไว้แล้วก็ไม่ได้ใช้ สุดท้ายก็เน่าคาตู้เย็นต้องเก็บทิ้งบ่อยๆ ผมเลยคิดว่าปลูกเอาไว้กินเองดีกว่า แถมพื้นที่รอบบ้านคุณตรีก็เยอะและกว้าง อย่าว่าแต่ปลูกกินเลย ผมว่าทำเป็นโรงเพาะปลูกแล้วปลูกผักขายก็ยังได้

วันนี้ผมปลูกผักหลายชนิด มีพริก กะเพรา โหระพา ตะไคร้ แล้วก็ใบมะกรูด มะกรูดเนี่ยผมไม่ได้เพาะจากเมล็ดนะครับ ผมลักไก่เพราะว่าลุงเจ้าของร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่ผมรู้จักแกให้มา แกชอบเพาะปลูกเหมือนกัน เลยยกต้นมะกรูดต้นเล็กให้ผมตอนที่ผมไปถามแกเรื่องสูตรปรุงดิน

ก็อย่างนี้แหละครับ ผมมันคนดังประจำซอย ยิ่งโดนแทงเพราะโจรยิ่งดัง เขาบอกว่าพอโจรโดนจับได้ คนในซอยก็อยู่กันอย่างมีความสุขมากขึ้น แสดงว่าก็มีหลายคนที่โดนแบบผม

“มาเล่นเป็นเด็กอะไรตรงนี้”

“อ่ะ คุณตรี กลับมาแล้วเหรอครับ”

ผมใจลอยมัวแต่สนใจขุดดินตรงหน้า ยังมีเสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังคลอไม่ให้เหงา เลยทำให้ไม่ทันสนใจเสียงรถของคุณตรีที่ขับเข้ามาในบ้าน

“เล่นอะไรอยู่” คุณตรีเอียงตัวมองสิ่งที่อยู่ด้านหลังผม ผมเลยขยับตัวเบี่ยงออกเพื่อนำเสนอผลงานชิ้นโบว์แดง

“ผมปลูกผักสวนครัว ผมจะทำแบบปลอดสารด้วยนะครับ คุณตรีจะได้กินผักดีๆ” ผมพูดอย่างภูมิใจสุดอะไรสุด

“ทำให้เหนื่อยทำไม ซื้อกินเอาก็ได้”

แต่ดูเขาสิครับ แทนที่จะชมแล้วดีใจ สีหน้าของเขาดูไม่ตื่นเต้นสักนิด

“ผมปลูกกินเองมันก็ดีนะครับ ของพวกนี้ซื้อมาแล้วก็เก็บทิ้งหลายครั้งเพราะใช้ไม่หมดหรือไม่ก็กินไม่ทัน ปลูกเอาไว้ อยากกินเมื่อไหร่ก็มาเก็บ ไม่เสียของด้วย” ผมอธิบายให้คุณตรีฟังถึงข้อดีของการปลูกผักสวนครัว 

“ฉันรู้ว่ามันดี แต่ดูนี่สิ มือแดงไปหมดแล้ว แล้วทำไมใส่ถุงมือ” คุณตรีคว้ามือผมไปสำรวจ เขาแบฝ่ามือผมทั้งสองข้าง ทำหน้าไม่ชอบใจเมื่อเห็นรอยแดงและตุ่มพองเล็กๆในผิวหนัง

“ผมหาถุงมือไม่เจอน่ะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็หาย” ผมพูดให้เขาสบายใจ แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล เพราะเขายังคงจ้องมือผมแล้วทำคิ้วขมวด สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เขาปัดฝุ่นที่มือผมออกแล้วก้มหน้าลงมาจูบที่มือ

“คุณตรี มือผมสกปรกนะครับ” ผมร้องแล้วจะชักมือกลับ แต่เขาไม่ยอมปลอบ กลับจับมือผมแล้วลากผมกลับเข้าบ้าน

“วันหลังก็อย่าทำให้เลอะสิ มือของนายสำคัญกับฉันมากนะ ไม่มีมือของนาย นายจะดูแลฉันได้ยังไง”

ที่เขาพูดมันก็จริง

“เวลาฉันปวด ฉันจะเอามือเย็นๆที่ไหนมานาบที่หน้าผาก เวลาฉันอ่อนแรงฉันต้องใช้มือนายชาร์ตพลังนะ อีกอย่างมือของนายต้องผูกเนคไทให้ฉันก่อนไปทำงานด้วย รู้หรือยังว่ามือตัวเองสำคัญแค่ไหน นายควรต้องดูแลมันให้ดีๆสิ”

ใช่ ที่เขาพูดมามันจริงทุกอย่าง แต่ก็ไม่คุยพูดให้คนอื่นเขินขนาดนี้เลยนี่น่า นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ

พูดมาขนาดนี้แล้ว ไม่ตัดมือผมไปเลี่ยมทองซะเลยเล่า หุ้ย

“หึหึ เขินแรงนะ”

“คุณตรีอ่ะ ผมจะไปล้างมือแล้วก็ทาครีม พอใจไหมครับ” ผมพูดให้เขาสบายใจ เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ดีมากเด็กดี ล้างมือทาครีมเสร็จแล้วก็เตรียมอาหารเย็นได้เลยนะ วันนี้ทำอาหารเพิ่มอีกสองที่ด้วย”

“ใครจะมาทานข้าวที่บ้านเหรอครับ คุณทิศกับคุณเจมส์เหรอ”

คุณตรีส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“ไม่ใช่พวกมันสองคนหรอก”

ถ้าไม่ใช่แล้วสองคนที่จะมาคือใคร มาสองคนเหรอ สองคน เดี๋ยวนะ คงไม่ใช่...

“พ่อกับแม่ฉันเอง ดูท่าว่า ยัยผู้หญิงคนนั้น จะก่อเรื่องให้เราสองคนแล้วล่ะ”

อะไรนะ อย่าบอกนะว่าคุณผู้หญิงกับคุณชายรู้เรื่องที่คุณตรีชอบผมและผมก็ชอบคุณตรี ตายแน่ๆ โอย จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย ผมต้องโดนสับเป็นชิ้น โทษฐานที่เป็นหมาวัดแล้วอยากจะเด็ดดอกฟ้าแบบคุณตรี คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงน่ากลัวจะตาย แค่คิดก็อยากวิ่งหนีแล้วครับ


................................
ฮั่นแน่ เรารู้นะพวกเธอคิดอะไรอยู่ ทะลึ่งกันจริงๆเลยน้านักอ่านเนี่ย 55555

 :o8:




CATER TO YOU
ตอนที่23
สงครามย่อมๆบนโต๊ะอาหาร




เห็นคุณดิวเงียบไปผมก็คิดว่าเรื่องมันจะจบ ที่ไหนได้ เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ท้องฟ้าจะสงบก่อนที่พายุจะเริ่ม

“สั่งจากข้างนอกว่าดีไหมครับ ผมกลัวทำไม่ถูกปาก” ถึงแม้ว่าผมจะทำอาหารให้คุณตรีทานทุกวัน แต่มันก็เป็นอาหารรสชาติที่คุณตรีชอบ อาหารแบบคลีนๆ ดังนั้นจะให้มาทำอาหารธรรมดาแล้วรสชาติระดับภัตตาคารผมทำไม่ได้หรอก

“นายก็ทำอาหารใช้ได้นะ” คุณตรีกดเปลี่ยนช่องในโทรทัศน์ไปเรื่อย เพราะหาช่องที่เขาสนใจจะดูไม่ได้สักที

“ใช้ได้กับคุณตรีคนเดียวน่ะสิครับ” ทำไมผมจะไม่รู้ว่าบางครั้งคุณตรีก็กล้ำกลืนฝืนทนกินอาหารที่รสชาติไม่ค่อยจะคงที่ คือผมก็ไม่ได้ทำออกมาแย่หรอกครับ เพราะผมก็ชิมฝีมือตัวเองตลอด แต่มันก็แค่พอกินได้ บางวันฟลุ๊คหน่อยก็คืออร่อยจนน่าทึ่ง บางวันก็ได้แต่ถามตัวเองว่าขาดอะไร...สุดท้ายก็สรุปได้ว่ามื้อนั้นขาดความอร่อย

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณตรีใจดี เขาคงไม่ทน

“มั่นใจในตัวเองหน่อย ทำไปเถอะ ต่อให้นายซื้อมาพ่อแม่ฉันก็ไม่กินอะไรขนาดนั้นหรอก” คุณตรีตบที่นั่งด้านข้างเรียกให้ผมไปนั่ง

“ทำไมอ่ะครับ” ผมนั่งลงข้างๆเขา

“เพราะเขาไม่ได้จะมากินข้าว แต่มาจับผิดฉัน”

“จับผิดเรื่องผมเหรอ” ยิ่งคิดยิ่งเครียด ไม่รู้ว่าคุณดิวรู้เรื่องผมกับคุณตรีมากแค่ไหน แล้วพูดอะไรออกไปบ้าง

“ใช่ เพราะฉะนั้นต่อให้นายทำอาหารอร่อย พวกเขาก็ไม่สนใจหรอก”

“แล้วเราต้องทำยังไงล่ะครับ” ผมทั้งประหม่าทั้งกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย

คุณตรีท้าวศอกลงกับหน้าขาที่เขานั่งไขว่ห้าง วางสันกรามลงกับฝ่ามือตัวเองแล้วเอียงหน้ามองจ้องผมอย่างใช้ความคิด

“แสดงละครเป็นไหม”

“ห๊ะ”

“สิ่งที่นายต้องทำก็คือแสดงบทพ่อบ้านให้แนบเนียน ทำเหมือนว่านายไม่รู้ว่าฉันชอบนาย ถ้าเขาจับสังเกตอะไรไม่ได้ เดี๋ยวเขาก็ล่าถอยไปเอง”

ฟังดูก็เหมือนจะไม่ยาก ปกติผมก็ทำหน้าที่พ่อบ้านอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่คุณตรีชอบผม ถ้าคุณท่านไม่ถาม มันก็คงจะไม่มีอะไร ผมว่าผมแสดงละครได้นะ แต่คนที่จะทำไม่ได้มันน่าจะเป็นคนที่กำลังเอามือผมไปเล่นหรือเปล่า

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาบอกว่าผมสามารถช่วยให้เขาหายเหนื่อยได้ คุณตรีก็ชอบเอามือผมไปจับ ตอนเช้าก่อนไปทำงานเขาจะขอกอดเพิ่มพลัง วันไหนถ้าไปทำงานกับเขาที่บริษัทตอนเที่ยงเขาก็จะขอกอดเพราะบอกว่าแรงใกล้จะหมด ส่วนตอนเย็นเขาก็จะบอกว่าเขาหมดแรง ไม่มีแรงจะไปอาบน้ำหรือทำอะไรถ้าผมไม่ได้กอด

ถึงจะเขินแต่ผมก็ไม่เคยปฏิเสธเขา ทำยังไงได้ ก็รับปากไปแล้วนี่ครับ ว่าผมให้ได้ถ้าเขาต้องการ

“งั้นเราต้องมาซ้อมบทกันหน่อยนะครับ” ผมพูดคิดอยากจะแกล้งคิดคุณตรีสักหน่อย

“ต้องซ้อมด้วยเหรอ” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ต้องสิครับ ถ้าพลาดมาก็โดนจับได้” มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว ทำเหมือนว่ามันไม่จริง ทำเหมือนว่าระหว่างผมกับคุณตรีไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณท่านทั้งสองคนจะได้สบายใจ

“ซ้อมก็ซ้อม”

“ถ้าอย่างนั้นคุณตรีก็ปล่อยมือผมสิครับ” ผมใช้สายตานำทางให้เขาดูว่าเขากำลังจับมือผมไม่ปล่อย และคุณตรีก็คงจะรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร มุมปากรูปกระจับถึงได้ยกโค้ง

“โอเค ถ้านายแสดงเนียน ฉันจะมีรางวัลให้” คุณตรียอมง่ายๆ เขายิ้มกริ่มจนผมหวั่นใจว่าเขาจะทำอะไรแปลกๆหรือเปล่า

เรื่องซ้อมบทหรือแสดงละครตบตาก็เป็นแค่คำบรรยายสำหรับสิ่งที่เราจะทำตอนที่คุณพ่อคุณแม่คุณตรีมาถึง ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมาก แค่เว้นระยะห่าง แล้วตีกรอบหน้าที่ของตัวเอง

ผมทำอาหารทั้งหมดสี่อย่าง เลือกทำของง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความพยายามเกินไปที่จะทำให้มันอร่อยอย่าง ไข่เจียวปู ต้มยำกุ้ง ผัดผัก แล้วก็ปลาทับทิมทอด อาหารเบสิกสิ้นคิดแต่ทำให้อร่อยได้ไม่ยาก

ผมเตรียมใจตลอดเวลาที่ทำอาหาร จนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์และเสียงกริ่งหน้าประตูรั้ว ผมรีบวิ่งออกไปเปิดให้รถของคุณท่านขับเข้ามาในตัวบ้าน

เมื่อท่านทั้งสองลงจากรถ ผมก็รับรู้ได้ถึงสายตาพิฆาตของคุณผู้ชายยามมองมาที่ผม ผมพยายามปกปิดอาการหวั่นเกรงเอาไว้ ทำตัวให้ปกติที่สุด แต่การถูกจับจ้องด้วยดวงตาทั้งสี่ทำให้ผมแทบเดินสะดุดเศษฝุ่น

ผมรู้ว่าคุณท่านทั้งสองระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของผมกับคุณตรี แต่จ้องกันขนาดนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ

“ทานข้าวเลยไหมครับ ผมจะได้ให้ฟ้าไปตั้งโต๊ะเลย” คุณตรีลุกขึ้นจากโซฟาเมื่อเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาก้าวเข้ามาในบ้าน

คุณตรีนิ่งสงบทั้งสีหน้าและน้ำเสียง เหตุการณ์ครั้งล่าสุดยังติดตาผมอยู่เลย แล้วคนที่เผชิญอย่างคุณตรีจะลืมมันได้เหรอ เรื่องที่กลัวว่าความลับจะแตกแทบจะหายไปจากความคิด ตอนนี้ผมกังวลความรู้สึกของคุณตรีมากกว่า

ในตอนนี้ใจของเขากำลังเจ็บปวดอยู่ใช่ไหม

ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย

“ผมจะไปตั้งโต๊ะให้นะครับ” ผมเดินเลี่ยงออกไปจัดการอุ่นอาหารแล้วจัดขึ้นโต๊ะอาหาร วันนี้ผมตกลงกับคุณตรีแล้วว่าผมจะไม่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย เขาก็เข้าใจดีถึงเหตุผลที่เราต้องทำแบบนี้

ตั้งแต่คุณท่านทั้งสองมา คุณตรีดูเงียบขรึม เขาพูดน้อย ตอบคำถามพ่อแม่แค่สั้นๆ เขาแทบไม่มองมาทางผม ผมก็แค่ยืนนิ่งรอรับใช้หากมีใครต้องการอะไร

“อาหารพวกนี้เธอทำเองเหรอ” คุณแม่ของคุณตรีถามเมื่อมองสำรวจอาหารทั้งสี่จานที่ผมอย่างถี่ถ้วนราวกับจะสแกนหาอะไรบางอย่าง

“ครับ ผมทำเป็นแต่อาหารง่ายๆ” ผมตอบ

“ปกติแกเลือกกินกว่านี้นิ” คุณพ่อของคุณตรีพูดเหน็บ ที่ถ้าไม่คิดในแง่ร้ายมากเกินไป ความหมายของมันกว้างมากกว่าจะพูดถึงอาหาร

“ทุกวันนี้ผมก็ยังเลือกกินครับ กินของที่ตัวเองชอบและพอใจ ถ้าเราได้กินของที่เราชอบ ไม่ว่าจะถูกจะแพง มันก็ทำให้เรามีความสุขได้ จริงไหมครับ” คุณตรีเองก็ตอบกลับไปอย่างดุเดือดไม่แพ้กัน

ผมได้แต่ยืนถอนหายใจเงียบๆให้กับบรรยากาศคุกรุ่น

“ปกติเธอกับตรีทานข้าวแยกกันเหรอ” คุณผู้หญิงยิงคำถามใส่ผม ทั้งสามคนไม่มีใครแตะอาหารบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าพวกเขามากินข้าวกันจริงหรือเปล่า

“ครับ ผมเป็นแค่คนงาน คุณตรีเป็นเจ้านาย รอคุณตรีทานเสร็จผมถึงค่อยทานครับ” ผมโกหกออกไปคำโต ไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่ผมทำเพื่อให้เราทุกคนผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ถ้าไม่ทำสถานการณ์ทุกอย่างมันจะยิ่งแย่ คุณตรียังมีความเหนื่อยยากเรื่องงานที่เขาต้องผ่านไปให้ได้ และเรื่องของเราคุณท่านทั้งสองไม่มีทางยอมรับถ้าหากว่าคุณตรียังทำไม่สำเร็จ ส่วนผมก็ยังไม่พร้อมที่จะหายไปจากชีวิตเขา

ผมคงต้องขอเห็นแก่ตัว เพราะคนที่ผมแคร์ที่สุดคือคุณตรี

ผมไม่ใช่คนดีอะไรที่จะบอกให้คุณตรีกลับไปเป็นลูกกตัญญูแล้วทำตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ แต่ผมเชื่อว่าคุณตรีสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ โดยที่สามารถทดแทนพระคุณของบุพการีได้ด้วยวิธีอื่น ที่ไม่ใช่การกักขังตัวตนและความต้องการของตัวเอง

ซึ่งการแสดงละครฉากใหญ่ของเราก็คือการทำให้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ร้อนรุ่มไปมากกว่านี้ จนกว่าพวกท่านจะยอมรับในสิ่งที่ลูกชายท่านเป็น เมื่อถึงตอนนั้นอะไรๆก็จะดีขึ้น

“ได้ข่าวว่าแกพาเด็กคนนี้ไปที่บริษัทด้วย” คุณผู้ชายถามคุณตรี

“ครับ”

“ทำไมต้องพาไป ในเมื่อเป็นแค่พ่อบ้านทำความสะอาดงานบ้าน”

“ฟ้าต้องไปดูแลผม ผมไม่ได้ทำงานสบายๆนะครับพ่อ ทุกคนก็ทำงานกันยุ่ง อะไรที่มันเป็นธุระของผม เรื่องอาหารการกิน เรื่องยิบย่อย ผมก็ไม่อยากไปลำบากคุณเอิงเขา ยังไงผมก็จ่ายเงินเดือนฟ้าอยู่แล้ว จะเอาไปใช้งานนอกสถานที่มันจะแปลกอะไรล่ะครับ”

“รู้ไหมว่าฉันรู้อะไรมา อย่าให้ฉันต้องพูดมันออกมาเลย ฉันกระดากปาก”

“งั้นคุณพ่อก็ไม่ต้องพูดมันออกมาหรอกครับ ผมว่าคุณพ่อรู้จักนิสัยผม ต่อให้มันเป็นจริงพ่อก็คงห้ามผมไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ก่อนที่ผลของข้อตกลงระหว่างเราจะแน่ชัด ผมไม่ทำให้คุณพ่อต้องขายหน้าหรอกครับ”


คุณตรีตอบได้อย่างฉะฉาน เขาแทบไม่ใส่อารมณ์ใดๆในประโยคที่เขาพูด ฟังดูผิวเผินเหมือนจะไม่ใส่ใจในรายละเอียดด้วยซ้ำ ความเย็นชาของเขาที่ไม่ได้แสดงออกว่าสนใจผมเป็นพิเศษทำให้คุณท่านถอนหายใจ

อย่าว่าแต่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายเลยครับที่โล่งอก ผมเองก็โล่งอกเหมือนกัน

“ฉันจะเตือนแกอีกครั้ง แกยังทำงานที่ฉันมอบหมายให้ไม่สำเร็จ ตอนนี้ชีวิตแกยังเป็นของฉัน แกยังไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรตามใจตัวเอง คนของฉันจะจับตาดูแกทุกฝีก้าว ถ้าฉันเห็นแกออกนอกลู่นอกจากเมื่อไหร่ ข้อตกลงถือว่าเป็นโมฆะ”

“พ่อจะทำกับผมแบบนี้ไม่ได้ อย่าส่งคนมาตามดูผมเหมือนผมเป็นนักโทษ”

แต่โล่งใจได้แปบเดียวก็ต้องกลับมาหนักใจอีกรอบ คุณท่านเป็นคนที่มีฝีมือในการจุดประกายความบาดหมางภายในครอบครัวได้เก่งมากๆเลยครับ ผมไม่แปลกใจเลยถ้าคุณตรีจะเป็นคนเลือดร้อนหัวรั้น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหรอกครับ พ่อแม่เป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น

“ตรี อย่าขึ้นเสียงใส่คุณพ่อ” คุณผู้หญิงปรามลูกชาย

“ผมขอโทษ” คุณตรีก็ไม่ได้ดื้อแพ่งจนถอยไม่เป็น ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นว่าเขาควบคุมตัวเองได้ดี แม้จะมีหลุดอาการไปบ้างก็ตาม

“แกจะต้องกลัวทำไมว่าจะถูกจับตาดูไหม ถ้าแกมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรที่ฉันจะจับผิดได้”

ประโยคนี้ของคุณท่านทำเอาวัวสันหลังหวะอย่างผมสะดุ้งโหยงในความคิดเลยครับ ทำได้แค่ในความคิดนะครับ ถ้าแสดงออกภายนอกเดี๋ยวโดนจับได้ว่าผมคิดไม่ซื่อกับลูกชายท่าน

“เอาเถอะครับ พ่ออยากทำอะไรก็ทำ อีกไม่นานพ่อก็ตามควบคุมผมไม่ได้แล้ว”

“ดูแกจะมั่นใจเหลือเกินนะว่าจะทำกำไรให้บริษัทได้”

“ผมมั่นใจ”

“ก็ดี ฉันจะรอดู”

ถ้าโยนดาบสองเล่มให้คุณท่านกับคุณตรี ทั้งสองคนคงใช้มันฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เหมือนสายตาที่จับจ้องกันอย่างไม่ลดละ

“แล้วก็ เรื่องหนูดิวกับคุณครัวของคุณนวลประภา ตรีต้องหาเวลาไปขอโทษฝ่ายหญิงเขาด้วยนะ” คุณผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดบ้าง สรุปก็เขาแค่มาคุยกันจริงๆสินะ ดีที่ผมไม่ได้ตื่นตูมจนโทรสั่งอาหารที่ร้านอาหารแล้วทำของง่ายๆแทน ไม่อย่างนั้นเสียดายแน่ถ้าจะต้องมีของดีๆเหลือทิ้งโดยไม่มีใครคิดจะแตะต้องมัน

ไม่สิ ไม่เหลือทิ้งหรอก ทิ้งไปก็เสียดายแย่ บนโลกนี้ยังมีคนอดยากอีกมาก ถ้าผมสั่งมาจริงๆ ผมก็ต้องฟาดให้เรียบไม่ให้เหลือแม้แต่นิดเดียว

“ไว้ถ้าผมว่างผมจะไปขอโทษท่านทั้งสองเอง”

“แต่เรื่องหนูดิว แม่อยากให้ตรี...”

“ผมไม่ชอบผู้หญิง ผมชอบผู้ชายผมว่าผมพูดเรื่องนี้ชัดแล้วนะครับ”

“แกอย่ามาพูดโต้งๆแบบนี้ให้ฉันได้ยินนะไอ้ตรี” คุณผู้ชายตวาดเสียงเข้ม คงไม่พอใจที่คุณตรีพูดออกมาว่าชอบผู้ชาย ยังไงหัวอกคนเป็นพ่อก็คงอยากให้ลูกชายมีคู่ชีวิตเป็นผู้หญิงแบบถูกต้องตามครรลองครองธรรม เพราะนั่นหมายความว่าจะได้มีลูกหลานตามสายเลือดไว้สืบสกุล

“แค่คำพูดเองครับ พ่อควรจะต้องยอมรับมันให้ได้ จับหมอผีมาไล่ผมก็ยังชอบผู้ชายอยู่ดี”

“เหอะ แกนี่มัน ฉันล่ะระอากับลูกอย่างแกจริงๆ ไม่ได้เรื่อง” คุณพ่อของคุณตรีพูดเสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะไป

“รอด้วยค่ะคุณพี่ อย่ารีบเดินเดี๋ยวล้ม แม่กลับก่อนนะลูก แล้วก็อย่าก่อเรื่อง หนูด้วย ทำงานของตัวเองให้ดี อย่าทำอะไรให้มันออกนอกหน้านอกตามากนัก” คุณผู้หญิงทำสีหน้าลำบากใจ เธอจ้องผมกับคุณตรีแล้วก็ถอนหายใจ

“ครับคุณผู้หญิง” ผมตอบรับ

และหน้าที่ของผมก็คือการดูแลคุณตรีและทำให้คุณตรีมีความสุข มันคงไม่ผิดใช่ไหมครับ

“ก็ดี ฉันหวังว่าหนูจะไม่ทำให้ลูกชายฉันออกนอกลู่นอกทาง”

คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายกลับไปแล้ว เหลือไว้แค่เพียงคนร้อนตัวสองอัตราตรงนี้




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2020 19:25:13 โดย RiRi »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เอ็นดูความห่วงของกินของน้องฟ้า
คุณตรีสู้ๆ :ped149:

 :pig4:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld

“จ้องอะไร” คุณตรีที่กำลังจะลงมือทานข้าวเอ่ยถาม

“ผมกำลังคิดว่า...ผมจะล่อลวงคุณตรีให้ออกนอกลู่นอกทางได้ยังไงน่ะครับ” จะมองมุมไหนผมก็ไม่สามารถทำอย่างที่คุณผู้หญิงพูดไว้ได้เลยสักนิด

คุณตรีน่ะเป็นคนมั่นใจในตัวเอง และความคิดของเขาไม่ใช่ใครจะไปชักจูงหรือปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆ และผมว่าผมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

“คิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่หรือไง” ดูเขาพูดนะครับ

“ก็คุณผู้หญิงบอกว่า ห้ามผมล่อลวงลูกชายท่าน”

“อ่อ ใช่สิ นายน่ะไม่มีความสามารถล่อลวงฉันได้หรอก”

“เห็นไหมล่ะครับ ผมจะไปทำแบบนั้นกับคุณตรีได้ยังไง”

“นายทำไม่ได้หรอก ถ้าเป็นฉันก็ว่าไปอย่าง”

“...!”

“ระวังตัวไว้ ฉันจะล่อลวงนายให้ออกนอกลู่นอกทาง”

เขาทำให้ผมหน้าร้อนอีกแล้ว

พอตั้งสติได้หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะของคุณตรี ผมก็ทำหน้ายู่ใส่เขา พลางมองซ้ายมองขวา ระแวงว่าคุณท่านจะอยู่แถวนี้

บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือหลังจากที่คุณท่านทั้งสองกลับไป ความตึงเครียดที่ปกคลุมคล้ายก้อนเมฆสลายหายเข้ากลีบเมฆ ผมชอบบรรยากาศสบายๆแบบนี้ ความคิดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมดูเป็นคนไม่ดี

“ผมคิดว่าคุณท่านจะถามเรื่องที่ได้รู้มาจากคุณดิวตรงๆ” 

“ไม่ถามหรอก” คุณตรีตอบอย่างมั่นใจ

“ทำไมละครับ” ก็ในเมื่อคุณท่านมาที่นี่เพราะความสงสัย ผมก็อุตส่าห์เตรียมคำพูดเอาไว้เยอะแยะมากมาย

“นิสัยกลัวเสียหน้า นิสัยที่ไม่ยอมรับความจริง เพราะพ่อฉันรู้คำตอบแต่ไม่อยากที่จะได้ยินมัน เขาจึงไม่ถาม”

“เพราะกลัวที่จะรู้คำตอบเหรอครับ”

“อืม ฉันกับพ่อไม่เคยพูดถึงปัญหานี้ได้นานจนมันเคลียร์หรือกระจ่าง พูดได้สองสามประโยคเขาก็เลือกที่จะไม่รับรู้แล้วเดินหนี”

“ท่านคงยังทำใจยอมรับไม่ได้”

“ก็ถ้าไม่เปิดใจก็ไม่มีวันยอมรับได้หรอก แต่ช่างเถอะ ฉันเลิกแคร์ไปนานแล้ว”

ผมว่าไม่จริง คุณตรียังแคร์มากๆ แต่คุณตรีแคร์คนรอบตัวมากกว่าที่ตัวเขาคิด เขากลัวคุณพ่อคุณแม่จะไม่สบายใจจึงต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรระหว่างเรา เขาแคร์ว่าผมจะเดือดร้อนจึงต้องหาทางออกให้กับปัญหานี้ นั่นเพราะเขายังแคร์


“เลิกคิดได้แล้ว กินข้าวซะ” คุณตรีตักกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ในต้มยำให้ผม

“ขอบคุณครับ” ผมกลับมาสนใจกับข้าวสี่อย่างตรงหน้า “คุณท่านไม่กินจริงๆอย่างที่คุณตรีพูดเลย”

“ทำไม อยากให้พ่อแม่ว่าที่สามีชิมฝีมือเหรอ”

“คุณตรี!” เขาพูดอะไรของเขา เขาจะทำให้อายไปถึงไหนกัน

“แก้มแดงแล้ว”

“ทำไมชอบแกล้งผมล่ะครับ” ผมแห้วใส่

“ไม่ให้แกล้งคนที่ชอบแล้วจะให้แกล้งใครล่ะ หืม”

“ไม่ต้องมาหืมเลยครับ”

ผมอยากจะโทรเรียกคุณท่านกลับมาจริงๆ เขาจะได้เลิกหยอดผมให้เขินอายเสียที พอไม่มีผู้ใหญ่อยู่แล้วก็เอาใหญ่เลย ทำอะไรเขาไม่ได้ ก็เอามาลงกับกุ้งที่ผมกำลังเคี้ยวอยู่ในปากแทน

“ฉันไม่ได้ร่วมโต๊ะกับพ่อแม่โดยไม่มีเรื่องธุรกิจมาเกี่ยวข้องนานมากแล้ว จะให้นั่งกินข้าวร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาน่ะเหรอ ไม่มีหรอก”

อยู่ๆก็รู้สึกกลืนข้าวลงคอลำบาก ภาพของเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนมัธยมปลายนั่งกินข้าวคนเดียวในบ้านหลังก่อนฉายชัดขึ้นมาในความคิด ความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยว ทำเอาจุกจนกินอะไรไม่ลง

เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เขาถึงขอให้ผมทานข้าวร่วมโต๊ะกับเขาทุกมื้อทุกวัน

ผมนึกถึงตัวเองตอนที่ลุงยังอยู่ ต่อให้จะยากดีมีจนขนาดไหน ต่อให้อาหารมื้อนั้นเป็นแค่ข้าวคลุกน้ำปลา แต่ผมก็มีลุงนั่งกินเป็นเพื่อน ลุงที่คอยบอกว่าพรุ่งนี้จะลดดื่มเหล้าแล้วเอาเงินไปซื้อไข่มาทอดให้ผมกินกับข้าว ถึงลุงจะขี้เมา แต่ลุงก็กินข้าวกับผมทุกมื้อที่เรามีให้กิน

ผมใช้ช้อนกลางแงะเนื้อปลาชิ้นโตออกจากก้าง ตักวางใส่จานข้าวของคุณตรีพร้อมกับยิ้มให้เขา

“ต่อไปนี้ผมจะกินข้าวกับคุณตรีทุกมื้อ จะไม่ดื้อแล้วครับ” แต่ก่อนผมคำนึงถึงความเหมาะสม คิดแค่ว่าลูกน้องไม่ควรร่วมโต๊ะกับเจ้านาย จึงได้อิดออดเกือบทุกครั้งที่ต้องร่วมโต๊ะด้วยกัน แต่หลังจากวันนี้ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว

“ขอบใจนะ”

“ด้วยความยินดีครับ”



 :mew1:





CATER TO YOU
ตอนที่24
คุณตรีผู้ชื่นชอบสุภาษิตไทย




ยิ่งใกล้วันเปิดตัวสินค้า คุณตรีก็ยิ่งยุ่งจนหัวหมุน เขาแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนของจริงเพราะต้องคอยตามงานเคลียร์งาน ระหว่างที่ทำโปรเจคเฟอร์นิเจอร์รักโลก คุณตรีก็เจอปัญหาหลากหลายให้คอยตามแก้ตามปรับ

ผมเองก็ลงมาช่วยในส่วนที่ผมดูแลและสามารถทำได้เต็มตัว ทำคนเดียวไม่พอผมต้องลากแจ็คมาช่วยด้วย เพราะว่าขวดพลาสติกที่จะนำมาทอเป็นผ้าใช้สำหรับทำปลอกหมอนอิง พรม ผ้าคลุมโซฟาและหลากหลายผ้าที่ใช้ในการตกแต่งผ้ามันไม่เพียงพอ ไม่ใช่ว่าขวดพลาสติกมีน้อย ทั้งๆที่เป็นขยะที่มีจนล้นโลก แต่ขวดที่จะนำมาทอเป็นเส้นใยไปทำผ้าเป็นผืนๆได้ ต้องเป็นขวดเพชรใสไม่มีสีจำพวกขวดน้ำเปล่าหลากหลายยี่ห้อที่เราเห็น และนอกจากจะเป็นขวดสีใสแล้ว ต้องสะอาดไม่สกปรก พอได้ลงมาเห็นปัญหา มันทำให้ผมตระหนักเลยว่าพวกเราขาดการใส่ใจถึงการแยกขยะอย่างจริงจัง

พอขวดไม่พอ ทำให้การผลิตหยุดชะงัก คุณตรีเลยให้ผมอยู่จัดการเครื่องเปิดรับซื้อขวดพลาสติกใสภายในซอยหมู่บ้าน ผมก็เลยไม่ได้ไปที่ออฟฟิศกับคุณตรี ทั้งผมและคุณตรีเลยต่างยุ่งในหน้าที่ของตัวเองจนไม่มีเวลาออกนอกลู่นอกทางอย่างที่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายกังวล ทำให้หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่มาทานข้าวที่บ้านคุณตรี หรือจะเรียกว่ามานั่งให้กับข้าวจ้องจะถูกกว่า นั่นแหละครับ ผมเชื่อว่าคุณผู้ชายส่งคนมาตามดูคุณตรีจริงว่ามีอะไรเกินเลยกับผมไหม แต่พอไม่ได้ข้อมูลอะไรก็เลยล่าถอยกลับอังกฤษไปแล้ว เห็นคุณตรีบ่นๆว่าคุณท่านทั้งสองจะมาอีกทีก็วันเปิดตัวสินค้าเลย

ผมจะบอกให้เลยนะครับ ความลับตอนอยู่นอกบ้านไม่มีหรอก แต่ถ้ามาแอบติดกล้องหรือเครื่องดักฟังในบ้าน ผมบอกเลยว่าได้หลักฐานเพียบ ก็คุณตรีน่ะชอบหยอดผมให้เขิน แล้วเขาก็บอกว่าเขากำลังจีบอยู่ บางครั้งผมก็เลยเอาคืนบ้าง จีบมาจีบกลับไม่โกง แต่ส่วนมากจะเป็นผมเสียมากกว่าที่พ่ายแพ้

เช้าวันนั้นตอนที่ผมออกกำลังกับเขาในตอนเช้า

‘ฟ้า ออกกำลังกายเสร็จแล้วใช่ไหม มานี่หน่อย’

คุณตรีเล่นเวทเทรนนิ่งบนเสื่อ ผมเดินเร็วบนลู่วิ่งเสร็จคุณตรีก็เรียกใช้

‘ครับ’

‘กดหัวเข่าให้หน่อย ฉันจะซิทอัพ’ เขานอนหงายชันขาทั้งสองข้างขึ้น

‘ไม่ไปเล่นบนนั้นเหรอครับ’ ผมมองไปทางเบาะนั่งซิทอัพ

‘เล่นตรงนี้แหละ ขี้เกียจย้ายเสียเวลา’

งั้นเหรอ แต่ปกติก็เห็นไปเล่นตรงนั้นนี่นา

ผมเดินไปนั่งขัดสมาธิตรงปลายเท้า สอดขาทั้งสองข้างของตัวเองไว้ตรงช่องว่างด้านใต้ขาที่ตั้งขึ้นของเขา แล้วใช้แขนทั้งสองข้างกดหัวเข่าของเขาไว้ไม่ให้ขยับตอนที่เขายกตัวช่วงบนขึ้นมา

‘ฮึบ’

คุณตรีแรงเยอะจัง เขาสามารถซิทอัพขึ้นมาได้จนใบหน้าราวกับเทพเจ้าสรรค์สร้างเกือบจะชนกับหน้าของผม ถ้าเป็นผมยกได้สักสี่สิบห้าองศาก็ถือว่าหรูแล้ว

‘ฮึบ’


เอาอีกแล้ว ผมนั่งชิดเขาเกินไปเหรอ ทำไมเขาถึงยกตัวขึ้นมาได้ใกล้หน้าผมขนาดนี้ ใกล้อีกนิดเขาก็จูบหน้าผมได้เลยนะ

‘ฮึบ’


ผมเอียงหน้าไปด้านข้าง นอกจากความใกล้ของใบหน้ายามที่เขายกตัวแล้ว ก็มีสายตาคมแต่หวานล้ำของเขาเนี่ยแหละครับที่กำลังทำให้ผมขาดอากาศหายใจ

‘ฮึบ’


รอบนี้ถึงกลับพ่นลมหายใจใส่หน้าผมเลยเหรอ

‘ฮึบ ฟู่’


‘คุณตรี อย่าแกล้งผมสิ


‘ทำไม ใจเต้นแรงหรอ หน้าก็แดงด้วยนะ’

‘ฮึบ ฟู่’

‘ไม่ได้ใจเต้นแรงสักหน่อยครับ ผมไม่ทำแล้ว จะไปทำกับข้าว’

ผมรีบวิ่งหนีออกมาจากห้องฟิตเนส ปล่อยให้คนขี้แกล้งหัวเราะหัวร่าไปคนเดียว เขาคงชอบใจที่แกล้งผมได้ ส่วนผม ถ้าแกล้งผมแล้วเขาหัวเราะได้อย่างมีความสุขก็ทำไปเถอะครับ ผมแค่หวังเอาไว้ว่าอีกหน่อยผมอาจจะชิน

นอกจากเหตุการณ์ในห้องฟิตเนสวันนั้นแล้วยังมีตอนที่ผมทำกับข้าวเย็นให้เขา ผมเห็นคลิปสอนทำราเมนคลิปหนึ่งที่น่ากินมากๆ เห็นแล้วผมก็อยากลองทำให้คุณตรีทาน

พอมีเวลาว่างผมก็ออกไปซื้อวัตถุดิบมาลองทำ ก็ทำผิดทำถูกไปสองสามรอบ ก่อนจะได้ราเมงที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับต้นฉบับ แต่รสชาติผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแบบที่ผมทำหรือเปล่า เพราะผมไม่เคยลองชิมของที่อยู่ในวิดีโอ แต่รสชาติที่ผมทำก็ถือว่าอร่อยเหมือนกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการคิดเองเออเอง ผมก็ถามคุณตรีว่าผมทำออกมาเป็นยังไง แต่สิ่งที่เขาตอบทำให้ผมรู้สึกคิดผิดที่ไปถามความเห็นจากคนขี้แกล้งอย่างเขา

‘รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ’

ผมคาดหวังในคำตอบที่จะได้รับ

‘อืม’

เขาตักน้ำซุปขึ้นชิม แล้วหลับตาเหมือนกำลังวิเคราะห์รสชาติ

‘อร่อย...ไหมครับ’

ไม่อร่อยเหรอ ทำไมเขาทำหน้าเหมือนคิดหนัก

‘มัน...ก็’

ผมเริ่มใจไม่ดีแล้วนะ ผมว่าผมก็ชิมแล้วนะ ไหนขอลองชิมอีกรอบสิ

ผมใช้ช้อนตัดน้ำซุปขึ้นมาชิม มันก็อร่อยดีนี่

‘หึหึ’

เสียงหัวเราะเบาๆดึงสายตาจากผมให้สนใจ คุณตรีกำลังยิ้มขำ

‘อร่อยดีนะว่าไหม’

‘คุณตรีแกล้งผมอีกแล้ว’

‘คงจะจริงอย่างที่คุณย่าฉันเคยพูดเอาไว้ ว่าให้หาคู่ชีวิตที่มีเสน่ห์ปลายจวัก’

‘…’

‘ที่สามารถทำให้ผัวรักผัวหลง ตอนนี้ฉันว่าฉันเริ่มหลงแล้วแหละ’

ตอนนั้น ถ้าผมสามารถระเบิดตัวตายได้ ผมจะไม่รีรอแม้เพียงเสี้ยววินาที

คิดแล้วก็...หัวใจเต้นแรง

โป๊ก!

“โอ๊ะ!”

“เป็นอะไรของมึง ร้อนหรือไงถึงหน้าแดง”

“ห๊ะ อ่อ เออ ร้อน” ผมหลุดออกจากภวังค์เพราะโดนไอ้แจ๊คเอาขวดพลาสติกตีหัว

“แต่กูว่าไม่ใช่ มึงต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ ทำไม คิดถึงว่าที่สามีมึงเหรอ” มันหลิ่วตาล้อผม เห็นละอยากจะเตะมันสักป้าบ ข้อหารู้ดี

“ว่าที่สามีอะไรของมึง ต่อไปกูจะไม่เล่าอะไรให้มึงฟังแล้ว รู้แล้วก็เอามาล้อกู” เพราะผมมีเพื่อนที่สนิทที่สุดคือมัน ผมไม่เคยมีปัญหาที่ตัวเองแก้ไม่ได้ เพราะวันๆผมก็มีแค่กิน นอน เรียน ทำงาน คือชีวิตผมเรียบง่ายจนจืดชืด เพิ่งมารู้ว่าการมีเพื่อนที่คอยระบายได้ ปรึกษาได้มันดีก็ตอนนี้

เวลาที่ผมจัดการความรู้สึกของตัวเองเรื่องคุณตรีไม่ได้ ผมชอบโทรไปปรึกษามัน ซึ่งความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ เพียงแค่ผมชอบรู้สึกกลัวเวลาที่ผมรู้สึกรักคุณตรีมากขึ้น ยิ่งเวลาที่คุณตรีแสดงความรู้สึกต่อผม ผมยิ่งกลัว กลัวว่ามันจะไม่สมหวัง กลัวว่าจะมีปัญหาโดยเฉพาะเรื่องครอบครัวของคุณตรี ในเมื่อผมจัดการความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ผมก็เลยต้องโทรไประบายให้แจ๊คฟัง และทุกครั้งมันจะต้องด่าผมกลับเสมอ และทุกครั้งมันจะบอกให้ผมสู้อย่ายอมแพ้ในความรักของตัวเอง ในเมื่อคุณตรีดีพร้อมกว่าผมทุกอย่าง เขายังไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งที่ตัวเองต้องการเลยแม้แต่วันเดียว ดังนั้นผมที่ทั้งด้อยและกากกว่าเขาไม่ควรมีหน้าไปยอมแพ้

“ไม่เล่าก็ไม่ต้องเล่า อย่ามาง้อกูทีหลัง แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น มาช่วยกูก่อน”

“เออๆ” ผมไปช่วยมันยกถุงขวดพลาสติกที่ชั่งกิโลแล้วจ่ายเงินค่าขวดเรียบแล้วร้อยขึ้นหลังรถกระบะ

จากตอนแรกที่ประกาศเรื่องการรับซื้อขวดพลาสติกแล้วจะมีรถมารับซื้อตามวันที่กำหนด ปรากฏว่าขวดที่ได้มีการปะปนมากมาย ทำให้ต้องเสียเวลาคัดแยกเองและปริมาณขวดเพชรใสไม่เพียงพอ ผมก็เลยระดมมันสมองอันน้อยนิดของผมเพื่อคิดหาวิธี

ดั่งสุภาษิตที่เขาว่าสองหัวดีกว่าหัวเดียว ผมก็เลยโทรไปคุยกับแจ็ค เราก็เลยลงมติกันว่า ผมกับแจ็คจะไปโฆษณาพร้อมแจกใบปลิวตามบ้าน ว่าหากสนใจร่วมกันลดขยะลดภาวะโลกร้อน ก็สามารถเก็บขวดตามรูปในใบปลิว และเราจะมารับซื้อตามบ้าน

หลังจากที่ผมตระเวนทำตามแผนอยู่ห้าวันก็สามารถกระจายข่าวได้ทั่วซอย มีจุดใหญ่ๆอย่างวัดและโรงเรียนที่สนับสนุนเต็มที่

ส่วนตามบ้านก็จะโทรมาบอกให้ไปรับเมื่อเก็บขวดไว้ได้ในปริมาณที่มากพอสมควร สถานที่หนึ่งที่ต้องขอบพระคุณอย่างมากนั่นก็คือร้านอาหารของเฮียชาร์ป ที่จะมีทั้งน้ำเปล่าแบบขวดแก้วแล้วก็แบบขวดพลาสติก แบบขวดใสที่ผมต้องการเฮียชาร์ปแกให้ฟรีโดยไม่คิดเงิน แกบอกอยากช่วย ทีแรกคุณตรีรู้แกก็ไม่ยอมครับ บอกไม่อยากเอาเปรียบใคร ผมก็เลยให้ไปคุยกันเองเลย ไม่รู้คุยกันยังไงสุดท้ายคุณตรีก็ยอม

อาทิตย์หน้าก็ถึงวันเปิดตัวสินค้าแล้วครับ ตอนนี้สินค้าก็ผลิตออกมาได้จำนวนหนึ่งเท่าที่ผมถามคุณตรี เพราะทุกคนทำงานกันอย่างหนัก คาดว่าเมื่อถึงวันนั้นทุกอย่างจะเรียบร้อย

นอกจากสินค้าจะเปิดตัวอาทิตย์หน้า ผมเองก็เปิดเทอมอาทิตย์หน้าเหมือนกัน ผมกำลังจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงเข้าเรียนบ้านไม่เข้าบ้างเพราะติดทำงาน แต่ตอนนี้คุณตรีบอกว่าผมต้องไปเรียนทุกวัน ห้ามขาด ยังไงการเข้าคลาสเรียนก็ดีกว่าการอ่านหนังสือเอาเอง เพราะถ้าสงสัยก็สามารถถามอาจารย์ได้เลย ผมเองก็เห็นด้วยเลยไม่ได้ค้าน แม้ว่ามันจะกินเวลาการทำงานก็ตาม

ที่สุดท้ายที่ผมจะมาเก็บก็คือร้านอาหารของเฮียชาร์ปเนี่ยแหละ ดองไว้สามวันแล้ว น่าจะได้ขวดเยอะพอดู

♪♪♪~

“มีบ้านไหนโทรมาให้ไปรับซื้อขวดอีกเหรอ” แจ็คที่กำลังขับรถกระบะของที่บ้านคุณตรีหันมาถาม

“ไม่ใช่ คุณตรีโทรมา” ผมบอกมันก่อนจะรีบกดรับสายพร้อมกับดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย ห้าโมงสิบนาทีแล้วนี่นา อย่างนี้คุณตรีก็ใกล้จะถึงบ้านแล้วสิ

“ฮัลโหลครับคุณตรี”

“ทำอะไรอยู่” เสียงของเขาอบอุ่นจัง

“ผมออกมาเอาขวดกับแจ็คครับ กำลังจะแวะร้านเฮียชาร์ปเป็นที่สุดท้าย”

“เย็นนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับเจ้าของห้างที่เราจะเอาสินค้าไปวางโปรโมท ทานข้าวเย็นกับแจ็คได้ไหม กินที่ร้านเฮียนั่นแหละ ทานแล้วก็ลงบิลไว้ เดี๋ยวฉันโอนเงินจ่ายเฮียเอง” 

“คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมกินข้าวกับแจ็คได้ครับ ส่วนเรื่องค่าอาหาร ผมออกเองก็ได้นะ ตอนนี้ผมมีเงินเยอะแล้ว” ผมบอกอย่างเกรงใจ ผมได้เงินเดือน ได้ค่าพิเศษที่ถูกยัดเยียดให้ แถมยังได้เงินบางส่วนจากการโดนลงโทษข้อหาที่ผมดื้อกับคุณตรี เขากำลังสปอยผมในทางผิดๆ เขากำลังจะทำให้ผมเคยตัว

“ฉันจะจ่ายให้ ถือเป็นค่าอาหารพนักงานนอกสถานที่ไง แจ็คมันจะได้มีกำลังใจทำงานด้วย เจ้านายเลี้ยงข้าวสักมื้อสองมื้อคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง” แล้วคนอย่างคุณตรีก็หาเหตุผลในการจ่ายเงินให้ผมได้ตลอด ยกนิ้วโป้งให้เลยครับ

“งั้นผมจะสั่งจนอาหารล้นโต๊ะเลย คุณตรีเตรียมตัวโดนปล้นได้เลยครับ” ผมพูดอย่างถือดีติดตลกเล็กน้อย เพราะผมอยากได้ยินเสียงเขาหัวเราะ

“ฮ่าๆๆ อย่าลืมให้เฮียชาร์ปต่อโต๊ะเพิ่มให้ละ  เดี๋ยวฉันไม่หมดตัว”

“คุณตรีครับ” ผมเอ็ดเขาเสียงดุ ดูพูดเข้า ผมทำจริงขึ้นมาแล้วจะหนาว

“เอาน่า นายก็ไม่ได้ตัวใหญ่อะไร แค่นี้ฉันเลี้ยงได้ เพราะฉันก็คือจะเลี้ยงนายทั้งชีวิตอยู่แล้ว”

ฉ่า~

หยอดเก่ง จีบเก่ง โปรยเสน่ห์ แค่นี้ผมก็หลงเขาจนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว

“ผมไม่คุยด้วยแล้ว แค่นี้นะครับ”

“อืม ฉันจะรีบกลับนะ อย่าเพิ่งแอบไปนอนก่อน”

“ครับ” ผมกดวางสาย แล้วหันไปพูดกับแจ็คที่ก็คงรอให้ผมเล่า

“คุณตรีบอกว่าเก็บขวดที่ร้านเฮียชาร์ปแล้วก็ให้กินข้าวที่ร้านเฮียเลย เย็นนี้คุณตรีมีนัดทานข้าวกับลูกค้า”

“คุณตรีเลี้ยงเปล่าวะ” มันทำตาโต

“อืม กินได้เต็มที่ เดี๋ยวคุณตรีเคลียร์ค่าอาหารกับเฮียเอง”

“โอ้ เยส! บุญของกูจริงๆเลยว่าที่ได้เป็นเพื่อนมึง ดูดิ กูได้งานทำได้เงินดี แถมยังได้กินของดีๆด้วย” แจ็คมันพูดอย่างดีใจ ผมเข้าใจมัน และทุกวันนี้ก็ยังเข้าใจ ผมกับมันเราโตมาในสภาพแวดล้อมเหมือนกัน เราลำบากมาเหมือนกัน พอมีอะไรดีๆเข้ามาในชีวิตเราก็จะดีใจเป็นพิเศษ

“มึงต้องไปขอบคุณคุณตรีเขา” เรื่องที่มันมาช่วยทำงาน คุณตรีเขาเป็นคนคิด ผมไม่ได้เสนออะไรเลย

“อืม กูต้องขอบคุณเขาอยู่แล้ว คุณตรีของมึงเขาใจดีจริงๆเลยวะ ไม่รังเกียจคนจนด้วย”

ผมยิ้มเห็นด้วยกับที่แจ๊คมันพูด คุณตรีเขาใจดีจริงๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้แสดงผ่านทางสีหน้าและท่าทาง เพราะเขาค่อนข้างวางตัว แต่คุณตรีไม่เคยทำท่ารังเกียจคนที่ด้อยกว่า แม้ตอนที่เด็กน้อยเนื้อตัวสกปรกที่กำลังขายพวงมาลัยเดินมาชนเขา เขาก็จับตัวเด็กให้ลุกขึ้นแถมยังช่วยปัดเศษฝุ่นบนตัวให้ตัว เขาทำแบบนั้นโดยที่สีหน้ายังเรียบเฉย เขานิ่งมากแม้ตอนนี้หยิบเงินมาจ่ายค่าพวงมาลัยหมดตะกร้าแล้วลูบหัวเด็กด้วยความเอ็นดู

เมื่อเขามีมากกว่าคนอื่นเขาแบ่งปัน

เฮ้อ ความจริงคุณตรีน่าจะลดเสน่ห์ของเขาลงสักนิดนึง หัวใจของผมจะได้เหนื่อยน้อยลงสักนิด

พอๆ เลิกเพ้อเจ้อ งานกำลังรอผมอยู่เบื้องหน้า ถ้าผมยังไม่ลงจากรถไปช่วยไอ้แจ็คมันขนกระสอบขวดขึ้นรถ มันได้กินหัวผมแทนอาหารเย็นแน่ๆอย่างไม่ต้องสงสัย

ขนกระสอบขวดเพชรใสใส่ท้ายกระบะพร้อมใช้ผ้าใบคลุมปิดกันปลิวเรียบร้อย ผมกับแจ็คก็ขับรถกระบะกลับไปที่บ้านของคุณ แล้วค่อยขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมาอีกรอบเพื่อกินข้าวเย็น

“เฮียชาร์ปสวัสดีครับ” ผมเดินเข้าไปหาเฮียในห้องทำงาน แจ็คมันก็เดินตามมาด้วย

“ว่าไงฟ้า มาเอาขวดใช่ไหม” เฮียยิ้มต้อนรับ ชี้ชวนให้ผมนั่งลง

“ฟ้าขนไปแล้วครับเฮีย แต่มาอีกรอบเพราะมากินข้าวเย็นกับแจ็ค คุณตรีบอกว่าให้ลงบิลไว้ เดี๋ยวคุณตรีมาจ่ายครับ”

“ได้ๆ เดี๋ยวเฮียจัดการให้ แล้วไงเอ็ง จะหนีข้าไปอีกคนไหมเนี่ยไอ้แจ็ค”

“ก็ไม่แน่นะเฮีย ถ้าคุณตรีเขาอยากได้คนไปช่วยขัดหลังคาบ้านขัดกำแพงรั้วผมก็ไปนะ”

“งั้นเหรอ ฮ่าๆๆ เออดีๆ หนักให้เอาเบาให้สู้ ไม่เลือกงานก็ไม่ยากจน”

“ใช่ไหมเฮีย ไม่รู้ชาติที่แล้วไอ้ฟ้ามันทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้วาสนาดี” ไอ้แจ็คมันจับปลายคางผมบิดไปมาเหมือนมองสำรวจว่าบุญที่ผมทำไว้แต่ชาติที่แล้วมันอยู่ตรงไหน

“เขาถึงได้พูดกันไง ว่าแข่งเรือแข่งพายน่ะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาอ่ะมันแข่งกันไม่ได้ ความลำบากบางอย่างก็มาจากกรรมเก่า ส่วนเรื่องดีๆในชีวิตก็มาจากบุญที่เคยสร้าง สองส่วนนี้ไม่หักล้างกัน ดังนั้นชาตินี้พวกเอ็งก็อย่าลืมต่อบุญกันเอาไว้บ้าง ชาติหน้าจะได้ไม่ลำบากมากนัก” เฮียชาร์ปเอ่ยสอยอย่างผู้ใหญ่ที่มีใจเมตตา

“โหยเฮีย เหมือนอยู่ในวัดเลยอ่ะ สาธุ” ไอ้แจ็คมันยกมือขั้นไหว้ทูนหัวเลยครับ

“ฟ้าจะจำไว้ครับ” ว่าแล้วผมก็ได้ไอเดียวอะไรบางอย่าง เผื่อมันจะช่วยเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้กับธุรกิจของคุณตรี




เพราะคำสอนของเฮียชาร์ป ผมเลยคิดขึ้นมาได้ว่าผมไม่ได้ใส่บาตรมานานแล้ว บ้านคุณตรีก็อยู่ลึกสุดท้ายซอย บริเวณบ้านของคุณตรีจึงเหมือนเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ไม่มีใครแวะเวียนผ่านไปมาจนพลุกพล่าน ซึ่งนั่นรวมถึงไม่มีพระสงฆ์เดินผ่านมาด้วย

เช้านี้ผมเลยตื่นเร็วกว่าเดิมเพื่อที่จะทำอาหารให้คุณตรีไปใส่บาตร เมื่อคืนผมได้ชวนคุณตรีแล้ว เขาก็ดูจะสนใจไม่น้อย เขาเลยถามว่าผมพอจะทำกับข้าวที่เขาต้องการเป็นหรือเปล่า เขาบอกว่าอยากใส่บาตรด้วยอาหารที่คุณย่าของคุณตรีชอบทาน

ผมเลือกกับข้าวสองชนิดในหกเจ็ดอย่างที่คุณตรีรีเควสมาเพราะอันอื่นที่ว่ามานั้นผมจนปัญญาที่จะทำจริงๆ สองอย่างนั้นก็คือเต้าเจี้ยวหลนทรงเครื่องกับพะแนงเนื้อ อาหารทั้งสองอย่างก็เป็นอาหารที่ผมเคยกินและรู้รสชาติ ผมศึกษาสูตรจากในอินเทอร์เน็ตพร้อมจดรายการวัตถุดิบที่ต้องซื้อในตอนเช้ามืด

ตอนทำผมเผื่อของเอาไว้เพื่อรอบแรกทำพลาดจะได้มีของทำรอบสอง ผมพยายามทำตามสูตรในคลิปวิดีโอแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าเราเริ่มมีความรู้พื้นฐานในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การต่อยอดไปในทางอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก

กว่าจะได้รสชาติที่ชิมแล้วว่ายังไงก็อร่อย ผมก็ปาดเหงื่อปรุงแล้วปรุงอีกไปหลายรอบ แต่ก็ถือว่าไม่เสียแรงเปล่า ทั้งเต้าเจี้ยวหลนทรงเครื่องและแกงพะแนงที่ผมทำรสชาติดีไม่ใช่เล่นเลย

“หอมจัง” คุณตรีที่แต่งตัวพร้อมออกไปใส่บาตรเดินทำจมูกฟุดฟิดเข้ามาในครัว

“คุณตรีลองชิมดูครับ” ผมชักชวนเขาอย่างกระตือรือร้น ผมเองก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆเหมือนกันที่สามารถทำอาหารยากๆได้แม้ว่าจะทำเป็นครั้งแรก

“อร่อย แบ่งไว้หน่อยได้ไหม ฉันอยากกิน” ผมคงจะทำอร่อยจริงๆนั่นแหละเขาถึงได้ทำตาละห้อยแบบว่าอยากกินมากจริงๆ

“ได้สิครับ ผมทำตั้งเยอะ”

“แล้วให้ฉันช่วยอะไรไหม”

“อืม คุณตรีตักใส่ถุงได้ไหมครับ อย่างละสามชุด ผมอยากขึ้นไปอาบน้ำหน่อย” ผมออกไปจ่ายตลาดแล้วก็กลับเข้ามาทำกับข้าวในครัว นอกจากล้างหน้าแปรงฟันผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำ

“ได้ๆ นายไปอาบน้ำเถอะ ที่เหลือฉันจัดการเอง”

ไม่รู้ว่าคุณตรีจะทำได้ไหม แต่คิดว่าไม่มีอะไรที่คุณตรีทำไมได้ ผมจึงวางใจปล่อยให้เขารับหน้าที่ต่อ ส่วนผมก็รีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะลงมาเตรียมของต่อเพื่อไปรอใส่บาตรที่หน้าวัด

เราสองคนที่ถึงหน้าวัดตอนหกโมงครึ่ง เรายืนรอใส่บาตรอยู่ที่หน้าวัดเพราะวันนี้ไม่ใช่วันพระ ที่วัดจะไม่ได้มีการตั้งบาตร หลังจากจบข้าวแล้วไม่นานก็มีพระที่ออกไปบิณฑบาตเดินกลับมาที่วัด คุณตรีเป็นคนเอาข้าว แกง น้ำ ผลไม้และดอกไม้ใส่ลงในบาตรพระ ส่วนผมอาศัยจับที่แขนของคุณตรีแทน จากนั้นค่อยรับพร

‘…อะภิวาทะนะสีลิสสะ   นิจจัง   วุฒาปะจายิโน
จัตตาโร   ธัมมาวัฑฒันติ  อายุ   วัณโณ   สุขัง   พลัง…’
[/i]

“สาธุ” ผมเอ่ยรับพรเบาๆ แล้วเอามือลูบสามที

พอได้ใส่บาตรก็รู้สึกสบายใจ

“กลับบ้านไปต้องไปกรวดน้ำด้วยใช่ไหม ฉันจำได้ตอนเด็กๆที่คุณย่าพามาใส่บาตรที่วัดแล้วต้องกรวดน้ำ” คุณตรีถามพลางช่วยผมเก็บของใส่ถุงผ้าเตรียมกลับบ้าน

“ครับ เพื่ออุทิศบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว”

“กลับไปบ้านสอนฉันด้วยนะ”

“ครับ” เรื่องนี้ผมพอจะรู้อยู่ เพราะตอนเด็กๆก็วนเวียนเข้าวัดบ่อย ลุงชอบพาผมไปขอข้าววัดกิน ก็เลยพอจะรู้เรื่องพวกนี้บ้าง

“จะว่าไปแล้ว ที่นายชวนฉันมาใส่บาตรเพราะมีแผนหรือเปล่า” คุณตรีที่นั่งประจำที่คนขับหันมาคุยกับผม เขาสตาร์ทรถไว้แต่ยังไม่ได้ออกรถ

“แผนอะไรครับ” ผมกำลังงงว่าคุณตรีหมายถึงอะไร ถ้าจะถามถึงเหตุผลก็เพราะว่าผมอยากให้บุญช่วยให้งานของคุณตรีราบรื่น ซึ่งผมก็บอกเขาไปตั้งแต่เมื่อคืน

“ก็แผนที่ว่าทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน ชาติหน้าเราจะได้เกิดมาคู่กันอีกไง”

เอาอีกแล้ว หน้าวัดคุณตรีก็ไม่เว้น

“ไม่คิดว่าคุณตรีจะรู้คำศัพท์โบราณพวกนี้นะครับ” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งเผยอาการเขาก็ยิ่งชอบใจ

“คุณย่าฉันสอนมาน่ะ หึหึ”

“คุณตรีนี่เป็นเด็กดีจังเลยนะครับ จำคำที่คุณย่าคุณสอนได้ทุกคำ” ผมแอบเหน็บ

“อ่อ ฉันยังรู้จักอีกคำนะ” เขาทำเสียงตื่นเต้น

ผมมองคุณตรีอย่างไม่ไว้ใจ คิดว่าไอ้อีกคำของเขาคงไม่ใช่อะไรที่ดีต่อใจผม จวบจนเขาเลื่อนหน้าเขามาใกล้แล้วกระซิบใกล้หูผมด้วยเสียงกระเส่า ตอกย้ำว่าผมคิดไม่ผิดเลยสักนิด

“ชิงสุกก่อนห่าม เคยได้ยินคำนี้แต่ยังไม่เคยลองทำเลย ที่จริงก็บ่มไว้นานแล้วนะใกล้จะสุกหรือยัง หรือว่ายังห่ามอยู่”

“คนบ้า”

ยังจะมีหน้ามาถามผมอีก ผมไม่คุยกับเขาแล้ว!




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2020 19:25:42 โดย RiRi »

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่25
ผมภูมิใจในตัวคุณตรีที่สุดเลยครับ




วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดของคุณตรี ผมว่ามันต้องเป็นวันที่สำคัญมากๆสำหรับเขา ตลอดเวลาเกือบห้าปีที่เขาพยายามลงทุนลงแรงอย่างหนัก ก็เพื่อแสดงให้คุณพ่อของเขาเห็นว่า แม้เขาจะมีใจชื่นชอบเพศเดียวกัน แต่เขาก็สามารถทำงานและประสบความสำเร็จเหมือนคนปกติได้

ถ้าถามผม ผมขออวยเจ้านายของผมนิดหนึ่งว่า เขาทำได้ดีกว่าคนอื่นเสียอีก ไม่สิ คุณตรีทำได้ดีที่สุด

“คุณตรีหล่อจังครับ” ผมจัดเนคไทของคุณตรีให้เข้าที และเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้า

“ทำไมถึงเลือกสีนี้”

ชุดสูทสีที่ผมเลือกให้เขาวันนี้เป็นสีแดงเลือดหมู

“ก็คุณตรีชอบสีแดงไม่ใช่เหรอครับ” ผมจำได้ที่น้ากุ้งเคยบอก คุณตรีชอบสีอยู่สองสี แต่สีแดงคือสีที่เป็นความลับ

“สมกับที่เป็นคนรู้ใจของฉัน” เขายื่นหน้าเข้ามาให้อยู่ในระดับสายตาของผม

ผมไม่รู้จะตอบโต้อะไร เขาพูดแหย่ผมพร้อมกับสีหน้าเจ้าชู้ ผมน่ะมีบทเรียนมาหลายครั้งแล้ว ไม่ตอบโต้ให้ตัวเองเขินกว่าเดิมหรอก พอเห็นมาผมไม่เล่นด้วย เขาก็กลับไปยืนตัวตรงให้ผมจัดการแต่งตัวให้เขาต่อ

“เลือกชุดอลังการขนาดนี้ จะให้ฉันไปเดินแบบหรือยังไง”

“ก็ได้นะครับ คุณตรีเป็นนายแบบได้เลย คุณตรีทั้งหล่อ ทั้งสูง หุ่นก็ดี ใส่อะไรก็หล่อครับ” 

“ชมแบบนี้ฉันก็เขินแย่น่ะสิ”

“เขินบ้างเถอะครับ” อย่าปล่อยให้ผมต้องเขินคนเดียวเลย

“หึหึ จะบอกว่าฉันหน้าหนา?”

“ผมเปล่าพูดนะ เรียบร้อยแล้วครับ” ไม่น่าเชื่อว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมมีความรู้เรื่องเสื้อผ้ามากขึ้น จนสามารถจัดชุดให้คุณตรีได้อย่างคล่องแคล่ว

“นายเลือกชุดให้ฉันแล้ว ฉันเลือกให้นายบ้างดีไหม”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่ได้สิ ฉันจะเลือกให้เอง”

คุณตรีเดินพรวดออกจากห้องไปยังห้องผม เขาเปิดตู้เสื้อผ้าของผมแล้วยืนพิจารณา กว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ของเสื้อผ้าในตู้เป็นเขาซื้อให้ ผมแย้งเขาเรื่องซื้อของให้ผมจนเหนื่อยใจ สุดท้ายก็กลายเป็นผมที่ต้องยอม ยังดีที่เขาแค่ซื้อเสื้อผ้าภายนอกให้ ยังไม่ถึงขั้นกับซื้อกางเกงชั้นในให้ผม

“ไปอาบน้ำสิ” คุณตรีมองผมประมาณว่า จะยืนอยู่ทำไม

“ผมเลือกเองก็ได้” ผมละกลัวใจเขาจริงๆ

“ทำไม กลัวอะไรเหรอ”

“ผมไม่ได้กลัวสักหน่อย” ใครจะไปยอมรับ ยิ่งผมแสดงว่ากลัวเขาก็ยิ่งแกล้ง

“ไม่กลัวก็ไปอาบน้ำ” เขาคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำส่งให้ผม ใช้สายตากดดันให้ผมรีบไปอาบน้ำ เพราะเรามีเวลาโอ้เอ้ไม่มากนัก ก็เลยต้องทำตามที่เขาบอก แต่ก่อนจะออกจากห้อง ผมก็หมุนตัวกลับไปดูเขาอีกรอบว่าเขาจะเผลอแกล้งอะไรผมไหม แต่พอหันไปก็สะดุ้งกับสายตาที่จับจ้องเหมือนเหยี่ยว

ไปก็ได้

ผมปลอบใจตัวเองตลอดการอาบน้ำว่ามันคงไม่มีอะไร แต่การปลอบใจของผมไม่เป็นผลเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วพบกับเสื้อผ้าที่คุณตรีเลือกไว้วางไว้บนเตียง

“คุณตรี หยิบไอ้นี่ออกมาทำไมเนี่ย ฮึ้ย!” ผมคว้ากางเกงชั้นในของตัวเองมากำเอาไว้แน่น ผมว่าแล้วว่าเขาต้องแกล้งผม ดีนะที่ผมซื้อของใหม่มาเปลี่ยนยกเซตเพราะให้เป็นรางวัลตัวเองและผมก็มีเงินมากพอที่จะเปลี่ยนของใหม่ ถ้ายังเป็นของเก่าที่ย้วยๆละก็ ผมคงอายมากกว่านี้อีก

จะมีทางไหนที่ผมจะแกล้งเขาคืนได้บ้างเนี่ย ใครคิดออกคอมเม้นท์บอกผมทีนะครับ ผมอยากจะเอาคืนคุณตรีจริงๆ





“งอนอะไร หืม” เขาถามผมเสียงนุ่ม แกล้งกันแล้วก็มาทำตัวอ่อนโยนให้ผมหลงกล

“ผมจะไม่ให้คุณตรีเข้าห้องผมแล้ว” ผมบอกเขาเสียงขุ่น

“อืม ไม่เป็นไร ยังไงนายก็ย่องเข้าห้องฉันทุกเช้าอยู่แล้ว”

เดี๋ยวนะ แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน

“ผมไม่ได้ย่องสักหน่อย ผมเข้าไปปลุกคุณตรีต่างหาก” อะไรเนี่ย มาใส่ร้ายผมเฉยเลย

“หึหึ ดุจังคนนี้” เขาเอานิ้วมาจิ้มแก้มผม

“ขี้แกล้ง” ถึงจะทำเหมือนบ่นแต่ผมก็แอบอมยิ้มอย่างมีความสุข

ความสัมพันธ์ของผมกับคุณตรีดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมสามารถพูดเล่นกับเขาได้อย่างสบายใจ ผมไม่เกร็งเวลาเขาเข้าใกล้ ไม่นับรวมเวลาที่ผมเขิน ผมกล้าที่จะทิ้งตัวนั่งชิดเขาอย่างไม่ลังเล กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับเขาโดยลืมเรื่องของฐานะ ผมเปลี่ยนไปโดยที่เขาไม่ได้พูด แต่ผมการสนิทกับเขามากขึ้นเพราะความสบายใจ

เขาทำให้ผมรู้สึกสบายใจและไม่กลัวที่จะแสดงความรู้สึกที่มีต่อเขา เหมือนกับที่เขาก็แสดงความรู้สึกของเขาต่อผมโดยไม่หวง

ผมมีความสุขจัง และวันนี้คงจะมีความสุขมากขึ้นทั้งผมและคุณตรี เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่จะเอาสินค้าคอลเลคชั่นใหม่มาวางขาย

สินค้าจะถูกจัดวางที่ชั้นแรกตรงพื้นที่ตรงกลาง คือเดินเข้ามาในตึกก็จะเห็นได้อย่างเด่นชัด เมื่อวานคุณตรีก็อยู่คุมงานในการจัดวางสินค้าที่วางโชว์ มีการกั้นเป็นห้องต่างๆให้มองเห็นภาพว่าเฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นนี้ของเขาสามารถจัดตกแต่งออกมาได้แบบไหนบ้าง นอกจากสินค้าใหม่แล้ว ก็ยังมีการเอาสินค้าเก่าเข้ามาตกแต่งผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว วิธีนี้อาจจะทำให้เราขายสินค้าเก่าได้ด้วย ซึ่งสินค้าเก่าจะขายลดราคา ไม่อย่างนั้นราคามันจะโดดกับสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ที่มาในคอนเซ็ปรักษ์โลก ในเมื่อดีต่อโลกแล้วก็ต้องดีต่อเงินในกระเป๋าด้วยนะครับ

วันนี้จะเป็นการเปิดขายสินค้าวันแรก มีนักข่าวมาร่วมทำข่าวด้วย เพราะครอบครัวของคุณตรีมีชื่อเสียงในวงการไฮโซ ทำให้สื่อจำนวนหนึ่งให้ความสนใจต่อคุณตรี ยิ่งเพราะคุณตรีเป็นลูกชายสุดหล่อของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ติดอันดับของประเทศ จึงได้รับความสนใจ ทุกคนก็พูดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะถือว่าเป็นการโปรโมทสินค้าไปในตัวโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน

“ตอนนี้นักข่าวมารอกันหลายเจ้า หลังจากถึงเวลาเปิดขาย เราได้นัดให้นักข่าวมาทำการสัมภาษณ์พร้อมกันช่วงประมาณ 11 โมงนะคะ แล้วก็วันนี้ช่วงบ่ายคุณตรีจะมีให้สัมภาษณ์กับนิตยสารชื่อดังของเหล่าวัยรุ่นด้วยค่ะ” คุณเอิงรายงานเกี่ยวกับตารางงานคร่าวๆของคุณตรีภายในวันนี้

“อืม ยังไงผมฝากดูแลด้วย อย่าให้มีปัญหาอะไรในวันนี้”

“ได้ค่ะ วันนี้คุณตรีจะดูงานข้างล่างใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมอยากลงไปดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง”

“น้องฟ้าอยากได้อะไรไหมคะ” คุณเอิงหันมาถามผม พี่เอิงชอบหาขนมมาให้ผมทานถ้าผมมาช่วยงานคุณตรีที่นี่

“ไม่เอาครับพี่เอิง ขอบคุณครับ” แต่ก่อนผมเรียกว่าคุณเอิง แต่พี่เขาไม่ยอม บอกว่าฟังดูแก่ไป ขอให้ผมเรียกแค่พี่ก็พอ อะไรที่ทำให้คนสวยพอใจผมก็ยอมครับ

พอได้เวลาเปิดร้าน คุณตรีก็ชวนผมลงไปเดินดูข้างล่าง ตรงโซนที่จัดโชว์สินค้าใหม่มีคนเข้ามาเดินดูให้ความสนใจเป็นอย่างมาก พอได้เวลาที่นัดนักข่าวสัมภาษณ์ คุณตรีก็ไปยืนอยู่ด้านหน้าตรงที่มีป้ายโฆษณาสินค้าตั้ง

คุณตรีตอบสัมภาษณ์ได้อย่างลื่นไหล คำถามที่นักข่าวถามส่วนมากก็จะเป็นคำถามเกี่ยวกับตัวสินค้า ว่าแตกต่างไปจากเดิมที่เน้นแต่ความหรูหรา แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเปลี่ยนสไตล์ ร่วมไปคำถามเกี่ยวกับธุรกิจในครอบครัว

คุณตรียืนอยู่ตรงกลางที่รอบล้อมไปด้วยผู้คนที่ให้สนใจแก่เขา เขาโดดเด่นแล้วก็เจิดจรัส ถ้าผมไม่ได้รู้จักเขา เขาก็คือคนที่ผมไม่อาจจะเอื้อมถึง เขาดูสุภาพแต่ก็เข้าถึงได้ยากหากเขาไม่ต้องการให้ใครเข้าไปในชีวิตของเขา

ช่วงเสี้ยววินาทีที่เราสบตากัน เขายิ้มให้ผม และผมก็ยิ้มตอบด้วยความภาคภูมิใจ ผมเชื่อว่าถ้าคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงได้มาเห็นภาพนี้ พวกท่านทั้งสองต้องรู้สึกภูมิใจในคุณตรีเหมือนที่ผมกำลังรู้สึก

การสัมภาษณ์เป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งมาถึงคำถามสุดท้ายก่อนจะหมดเวลา

“ผมขอถามหน่อยครับ ได้ข่าวว่าคุณมีรสนิยมรักชอบเพศเดียวกัน เป็นเรื่องจริงไหมครับ” สิ้นเสียงคำถามของนักข่าวชายคนนั้น ทุกคนก็ดูจะตกใจแล้วให้ความสนใจอยากมากในทันที

“เรื่องจริงเหรอครับ”

“เรื่องมันเป็นยังไงคะ”

จากนักข่าวแค่คนเดียว ตอนนี้นักข่าวดูจะไม่สนใจเรื่องสินค้าแล้วครับ มาสนใจเรื่องส่วนตัวของเขาเอง

ผมได้แต่ยืนตกใจมองดูคุณตรีด้วยความเป็นกังวล เขามองมาทางผมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความกลัว กังวล หรือไม่พอใจ เขากวาดตามองนักข่าวทุกคนก่อนจะตอบคำถาม

“ผมคิดว่ามันไม่น่าจะสำคัญว่าผมจะชอบเพศไหน ความรักก็คือความรัก ผมมองว่าทุกความรักของคนทุกเพศทุกวัยเป็นสิ่งที่สวยงาม และถ้าจะถามว่าผมชอบเพศเดียวกันไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ แต่ความรักของผมคงไม่ทำให้โลกนี้เดือดร้อน เท่ากับปัญหาขยะล้นโลกในขณะนี้หรอกนะครับ ดังนั้นผมอยากขอให้ทุกคนดูในสิ่งที่ผมจะทำเพื่อส่วนรวมดีกว่า ขอให้ดูที่ผลงานที่ผมจะสร้างสรรค์ออกมาให้ลูกค้าของผมพอใจและมีความสุข หวังว่าเมื่อทุกคนได้คำตอบที่อยากได้ไปแล้ว ทุกคนจะให้ความสนับสนุนผมต่อนะครับ ขอบคุณครับ”

คุณตรีปิดท้ายการสัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ทำเอาผู้หญิงในบริเวณนั้นเคลิ้มไปตามๆกัน เขาตอบคำถามได้อย่างลื่นไหล แววตาของเขามุ่งมั่น คำพูดของเขาหนักแน่น จนไม่มีใครกล้าที่จะถามอะไรต่อ ได้แต่หลีกทางให้เขาเดินมาหาผมและคุณเอิงที่ยืนให้กำลังใจอยู่ไม่ไกล

“คุณตรีแมนแล้วก็เท่มากๆเลยเนอะน้องฟ้า” คุณเอิงกระซิบกับผม

“ครับ เท่มากๆเลย” ผมชื่นชอบเขาจนไม่รู้จะชื่นชอบยังไง

“แต่ว่าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูนักข่าวได้ยังไงนะ พี่ว่าพี่กำชับแล้วนะว่าไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว ทำไมยังกล้าทำ”

“เรื่องพวกนี้คนชอบเสพครับ”

“นั่นสิ คงอยากจะขายข่าวจนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่น้องฟ้าอย่าคิดมากนะ” คุณเอิงตบแขนผมเบาๆ มองมาด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้าแล้วพูดว่าผมไม่เป็นไร

ผมว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดา คุณตรีไม่ได้เปิดเผยขนาดนั้นแต่ทำไมนักข่าวถึงรู้ ผมนึกไปถึงคุณดิว เรื่องนี้จะเป็นฝีมือเธอหรือเปล่า ผมยังจำสีหน้าแววตาและความโกรธเคืองของเธอได้ เธอพูดประโยคแบบนั้นทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย

‘บอกเอาไว้เลยว่าฉันจะเอาคืนให้สาสมที่กับการที่เขากล้าแหกหน้าฉัน’

คงไม่ใช่วิธีนี้ใช่ไหม

“คุณตรีจะให้เอิงจัดการนักข่าวสำนักนั้นไหมคะ”

ผมหลุดออกจากความคิด เงยหน้ามองคุณตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม เขาดูสบายใจจนผมสงสัย เขาไม่คิดมากเลยหรือ ในขณะที่ผมรู้สึกเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร ปล่อยไปเถอะ”

“แต่ถ้าคุณท่านเห็น”

นั่นสิ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย ถ้าคุณพ่อคุณแม่คุณตรีรู้เรื่องเข้า จะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอนผมมั่นใจ

“ยังไงวันหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้ ถามมาแล้วปฏิเสธไปก่อนแล้ววันหลังมากลับคำ ไม่แย่ยิ่งกว่าหรือครับ”

“แต่ว่า...คุณท่านจะโมโหเอานะคะ”

“ยังไงเขาก็โมโหอยู่แล้วล่ะครับ อีกอย่างผมอยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง” เขามองมาที่ผม สื่อผ่านสายตาให้ผมรู้ว่าเขาจะซื่อสัตย์ต่อผม เขาทำเพื่อผมขนาดนี้เลยเหรอ แล้วผมทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง

ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงส้นรองเท้าดังก้องทั่วบริเวณเรียกความสนใจ ผมหันไปทางต้นเสียงเห็นร่างเพรียวระหงในชุดเดรสสุดหรูหรา มาพร้อมกับช่อดอกไม้ช่อโต

คุณดิว เธอมางานนี้ด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่าจะมาป่วนงานหรอกนะ

“สวัสดีค่ะตรี ดิวเอาของขวัญอีกชิ้นมาให้” คุณดิวยื่นช่อดอกไม้ให้คุณตรี สีหน้าของเธอยิ้มแย้มเกินปกติจนน่ากลัว ยิ้มแบบนางมารร้ายที่ผมดูในหนังเรื่องมาเลฟิเซนต์

คุณตรีถอนหายใจแต่ก็ยอมรับดอกไม้แล้วก็ส่งต่อไปให้คุณเอิงแบบไม่ใส่ใจ

“พอใจแล้วใช่ไหม นักข่าวนั่นก็น่าจะเป็นคุณส่งมานิ” คุณตรีพูดเสียงเย็นกับคุณดิว

“พอใจไหมน่ะเหรอ ก็พอใจนะ ช่วยไม่ได้ ตรีทำให้ดิวเสียหน้าก่อน ก็แฟร์ดีแล้วนี่” เธอพูดอย่างไม่ยี่หระ

“งั้นก็ถือว่าหายกัน”

“เหอะ ฉันจะรอดูวันที่ความรักของคุณลุกเป็นไฟก็แล้วกัน” เธอว่าอย่างเข่นเขี้ยว พร้อมตวัดสายตามองผม

“ต้องขอแสดงความเสียใจล่วงหน้าด้วยที่คุณอาจจะไม่ได้เห็นวันนั้น”

“แต่พ่อแม่คุณไม่ปล่อยไว้แน่ หึหึ” เธอยักไหล่แล้วก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างนางพญา มันจะจบแค่นี้ใช่ไหม ถือว่าคุณดิวได้เอาคืนคุณตรีแล้ว และเป็นการเอาคืนที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ซะด้วย

สงสัยผมต้องไปเตรียมชุดกอบกู้ระเบิดมาให้คุณตรีกับผมคนละชุดซะแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อนครับ

ช่วงเช้าหลังจากสัมภาษณ์คุณตรีก็เดินดูความเรียบร้อยที่ชั้นล่าง และคอยให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า และแนะนำสินค้าให้ลูกค้า ไม่อยากจะบอกเลยว่าคุณตรีก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน เขารู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์ ก็เลยใช้เสน่ห์ของตัวเองในการหลอกล่อให้ลูกค้าผู้หญิง เวลาที่เขายิ้มที ไม่ว่าจะสาวน้อยสาวใหญ่ก็ต้องหลงใหลแล้วก็ยื่นบัตรเครดิตให้เขาโดยไม่ลังเล

จริงๆแล้วผมว่าไม่ต้องคิดเรื่องการออกแบบสินค้าหรอกครับ หาคนขายหล่อๆมาขายผมว่าแค่นี้ก็ได้กำไรเยอะแล้ว ไม่ยุ่งยากด้วย

ช่วงบ่ายคุณตรีมีนัดสัมภาษณ์ให้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง เป็นนิตยสารสำหรับวัยรุ่นที่เริ่มทำงาน ดังนั้นเนื้อหาในเล่มจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ คนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นว่ามีคนที่คุณตรีรู้จักตอนไปเรียนที่อังกฤษทำงานอยู่ที่นี่ คุณตรีก็เลยได้รับเลือกให้ถูกสัมภาษณ์ในเนื้อหาเกี่ยวกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

“คุณตรีคะ คนจากนิตยสาร DOUBLE มาแล้วค่ะ เอิงเตรียมจุดสัมภาษณ์ไว้ให้แล้วค่ะ” คุณเอิงเข้ามาแจ้งคุณตรีที่กำลังนั่งพักอยู่ในห้องทำงาน

“งั้นไปกันเลยครับ ฟ้าไป” คุณตรีลุกขึ้นแล้วหันมาเรียกผม

“ผมต้องไปด้วยเหรอครับ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ต้องไป ไปให้กำลังใจฉันไง” คุณตรีดึงมือผมให้เดินตามไป ผมอยากจะดึงออกเพราะว่ากลัวคนอื่นมาเห็น แต่ผมไม่กล้าทำเพราะผมกลัวคุณตรีรู้สึกไม่ดีมากกว่า ถ้าอะไรที่เขาทำแล้วสบายใจผมก็จะไม่ขัด

เราเดินตามคุณเอิงมาที่ห้องประชุมที่ดูเปลี่ยนให้เป็นห้องนั่งเล่นแนวธรรมชาติโดยใช้เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นใหม่มาทำฉาก ยิ่งมองผลงานของคุณตรีผมก็ยิ่งมีความสุขที่เขาสามารถทำมันออกมาได้ดี ผมเชื่อว่าต้องขายดีแน่นอน

“คุณตรีคะ นี่คุณหญิงค่ะ เป็นคนที่สัมภาษณ์คุณตรี คุณหญิงคะนี่คุณตรีรักษ์ประธานบริษัทของ King’s Luxuryค่ะ”

“สวัสดีค่ะคุณตรีรักษ์ ดิฉันชื่อหญิงเป็นคอลัมน์นิสต์ คุณตรีรักษ์ตัวจริงหล่อมากเลยค่ะ” คุณหญิงทำหน้าชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณครับ เรียกผมตรีก็ได้ครับสั้นๆง่ายๆ” คุณตรียิ้มตอบ รอยยิ้มของเขาเป็นมิตรกับผู้หญิงและสิ่งแวดล้อมจริงๆ

“ได้ค่ะคุณตรี คุณตรีพร้อมไหมคะ  เราจะได้เริ่มสัมภาษณ์กันเลย”

“ได้ครับ ผมพร้อม” คุณตรีเดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาว ส่วนคุณหญิงนั่งที่โซฟาเดี่ยว ผมยืนหลังตากล้องข้างๆคุณเอิง

“หญิงจะใช้เวลาในการสัมภาษณ์ไม่นานนะคะ ประมาณหกเจ็ดคำถาม และหลังจากนั้นก็จะขอถ่ายรูปไปลงในหนังสือค่ะ”

“ครับ”

“มาที่คำถามแรกเลยนะคะ รู้สึกยังไงบ้างคะที่เข้ามาเป็นผู้บริหารของ King’s Luxury ต่อจากคุณพ่อ” คุณหญิงยิงคำถามแรกใส่คุณตรี เห็นคุณเอิงบอกว่าตรวจเช็คคำถามแล้ว การสัมภาษณ์ครั้งนี้ไว้ใจได้

“รู้สึกท้าทายครับ ผมเรียบจบก็มาบริหารงานที่นี่เลย การลงสนามจริงมันยากกว่าที่เราคิดไว้นะครับ แต่ผมก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้งานออกมาดีที่สุด”

“รู้สึกกดดันไหมคะ เพราะว่าคุณตรีไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลย แต่ต้องมารับหน้าที่สูงขนาดนี้”

“แน่นอนว่าต้องกดดันครับ เพราะเราใหม่มากๆ คนรุ่นเก่าหรือผู้อาวุโสก็จะมองว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่ว่าผมก็เปลี่ยนความกดดันเป็นแรงขับเคลื่อนครับ แล้วบอกกับพวกเขาว่า คอยดูครับ ผมจะทำให้เห็นเองว่าผมทำได้”

ว้าว คำตอบของคุณตรีอย่างเท่เลยครับ แถมเขายังแจกรอยยิ้มกระชากใจด้วย วันนี้เขายิ้มเยอะจริงๆ

“อยากทราบว่าคุณตรีได้ไอเดียในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นนี้มาจากอะไรคะ  เพราะถือว่าค่อนข้างต่างจากรูปแบบเดิมๆของแบรนด์เลยก็ว่าได้”

มาถึงคำถามนี้ คุณตรีก็เบนสายตามองตรงมายังผม เขายิ้มแล้วหันไปตอบคำถาม

“ผมได้ไอเดียนี้มาจากผู้ช่วยคนสำคัญของผมครับ ผมเรียนจบกลับมาไทยทำให้ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่เกี่ยวกับสภาพสังคม เขาทำให้ผมเห็นและจุดประกายเรื่องของการใช้ทรัพยากรในโลกให้คุ้มค่า ก็เลยออกมาเป็นไอเดียของผลงานที่เปิดตัวในวันนี้ครับ”

“แสดงว่าผู้ช่วยคนสำคัญคนนั้นต้องเป็นคนที่เก่งมากๆเลยนะคะ”

“ครับ  เขาเก่งมาก ทีมงานของผมมีความสามารถทุกคนครับ ผลงานในวันนี้จึงออกมาดี” เขาตอบคำถามไปด้วยแล้วก็คอยเหล่มองผมไปด้วย สายตาของเขาทำให้ผมเขินจนต้องยืนบีบมือตัวเอง

“คิดว่าผลตอบรับจะดีไหมคะ”

“ผมทำงานของผมเต็มที่ครับ มากกว่าเรื่องของธุรกิจ ผมอยากให้ผลงานคอลเลคชั่นนี้ของผมจุดประกายให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ช่วยกันลดการใช้ทรัพยากร ลดขยะ เรายังต้องอยู่ในโลกใบนี้อีกนานนะครับ มากกว่าตัวเราก็คือลูกหลานในอนาคต หากพวกเราช่วยกันก็จะสามารถช่วยยืดอายุให้โลกได้ครับ”

“แหม หน้าหล่อแล้วยังใจหล่อด้วยนะคะเนี่ย แบบนี้สาวๆคงติดกันตรึม”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่มีสาวๆสักคน” แล้วทำไมตอนบอกว่าไม่มีสาวๆสักคนต้องหันมาขยิบตาใส่ผมด้วย ถ้าไม่มีกล้องตั้งอยู่ใกล้ๆผม คนอื่นคงรู้ว่าเขาขยิบตาให้ใคร แต่เพราะว่ามีกล้อง คนอื่นก็เลยคิดว่าเขาขยิบตาให้กล้อง

“พูดแบบนี้หมายความว่าโสดสนิท”

“ไม่สนิทครับ ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

ผมหน้าร้อนฉ่า...คุณตรีตรงเกินไปแล้ว โอยใจ หยุดเต้นแรงสักทีเถอะ

“ว้า อกหักเลยนะคะเนี่ย คำถามสุดท้ายนะคะ อยากให้คุณตรีฝากข้อคิดหรือแนวทางการทำงานในยุคนี้หน่อยว่า ว่าทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ”

“สำหรับผมนะครับ ต้องหาให้เจอก่อนว่าความสำเร็จของตัวเองคืออะไร ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เท่ากันนะครับ เราไม่สามารถทำตามๆกันจนเป็นบล็อกเดียวกันได้ แต่สิ่งที่สำคัญหลังจากคุณวางเป้าหมายแล้วคือคุณพยายามกับมันมากแค่ไหน ทุ่มเทกับมันมากแค่ไหน ผมเองก็ยังไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด เพราะนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าคุณมุ่งมั่นทุ่มเท ยังไงวันหนึ่งก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอนครับ”

“คุณตรีเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไฟแรงจริงๆ ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะคะที่สละเวลาให้นิตยสารของเราสัมภาษณ์”

“ผมก็ต้องขอบคุณเช่นกันครับที่ให้ความสนใจในงานของผม”

“เดี๋ยวขอถ่ายรูปสักหน่อยนะคะ”

“ครับ”

ตากล้องเดินเข้าไปถ่ายรูปคุณตรีในมุมต่างๆ ทั้งตอนนั่ง ตอนยืน ตอนเหม่อ ผมไม่เห็นว่าในกล้องคุณตรีเป็นอย่างไร แต่ตัวจริงของเขาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าดูดีจนบรรยายไม่ถูก

ใครจะเชื่อว่าเด็กบ้านๆอย่างผมจะได้ใกล้ชิดคนที่ฟ้าสร้าง

ผมมีความสุขจนตัวแทบจะลอยได้เลยครับ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld


“ฟ้า เสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้วครับๆ” ผมรีบหยิบขวดน้ำผลไม้รวม น้ำเปล่า และกาแฟดำของคุณตรีออกมาจากตู้เย็นแล้วใส่ลงในถุงผ้า ก่อนจะรีบวิ่งออกไปขึ้นรถ

“ยังทันไหมครับ” ผมถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบ้าน เมื่อวานทำงานจนเหนื่อยทั้งวัน คุณตรีก็เลยตื่นสายรวมทั้งผม วันนี้ต้องไปเปิดบูธที่ห้างด้วย ค่อนข้างพิเศษเพราะเห็นว่ามีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการนำขยะหรือวัสดุธรรมชาติมาแปรรูปเพื่อลดภาวะโลกร้อน ดังนั้นภายในงานนี้ จะมีการจัดแสดงโชว์สินค้าและก็มีเวทีให้พูดคุยกับแขกรับเชิญ คุณตรีก็เป็นแขกรับเชิญที่ได้รับเชิญให้ขึ้นไปโชว์ตัวบนเวที

ห้างเปิดสิบโมง แต่เราต้องไปเตรียมตัว เตรียมซ้อมก่อนขึ้นเวทีจริง เพราะว่าจะมีคิวการแสดงโชว์อะไรอื่นๆอีกมากมาย อ่อ ที่สำคัญไปกว่านั้น สำคัญมากๆ สำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็ไปร่วมงานนี้ด้วย ไม่รู้เพราะว่ามาดูความคืบหน้าของงานที่ให้คุณตรีทำ หรือมาเพราะดูความสำเร็จของลูกชาย ท่านทั้งสองถึงได้เดินทางกลับมา เห็นว่ามาถึงเมื่อวานตอนเย็น

“ทานข้าวเช้าก่อนนะครับ” ผมเปิดกล่องข้าวที่ห่อมา วันนี้ผมทำอาหารง่ายๆอย่างหมูหมักทอด ข้าวเหนียวดำที่ผมหุงไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แล้วก็มีไข่ต้มกับซอสด้วย

“ป้อนหน่อย”

ผมใช้ผ้าเปียกเช็ดมือให้สะอาด แล้วปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อน โปะทับด้วยชิ้นหมู ก่อนจะส่งป้อนถึงปากคุณตรี

“อร่อยไหมครับ” ผมถาม ผมหมักหมูแช่ตู้เย็นไว้ ตอนเช้ามาก็รีบทอดแล้วเอาใส่กล่องมาเลย ไม่ได้ชิมว่ามันจะเค็มไปหรือเปล่า

“อร่อย หมูอร่อย นุ่มด้วย” เฮ้อ ค่อยยังชั่ว

“อร่อยก็ทานเยอะๆนะครับ  จะได้มีแรงทำงาน” ผมป้อนคุณตรีคำ แล้วก็กินเองคำสลับกันไป

“ฟ้า ถ้าเสร็จงานนี้แล้ว ไปเที่ยวกันไหม” หลังจากทานอาหารเช้าบนรถเสร็จ คุณตรีก็รับขวดกาแฟดำไปดื่มแล้วก็หันมาคุยกับผม

“คุณตรีอยากไปเที่ยวเหรอครับ” ผมถามด้วยความสนใจ จะว่าไปแล้ว ถ้าคุณตรีกลับมาหลังจากเรียนจบทันที เท่ากับว่าเขายังไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากบ้านแล้วก็ที่ทำงาน

“อืม อยากไปพักผ่อน ไปทำการบ้านมานะ ว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน”

“ครับ” ผมยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยากไปเที่ยวที่ไหน มันมีหลายที่เกินไปจนเลือกไม่ถูก ผมเองก็โตมาแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับที่ สถานที่ที่เขาว่าสิ้นคิดอย่างทะเลผมก็ยังไม่เคยไปเลย

เรามาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองก็เก้าโมงหน่อยๆ คุณตรีเดินนำไปยังลานกว้างกลางห้างที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน เขาจะมีที่กั้นเอาไว้ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานจะมีแผ่นป้ายให้คอว่าเป็น STAFF

“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะฟ้า อย่าไปซนที่ไหน” คุณตรีหาที่นั่งให้ผมในโซนของบริษัทเราพร้อมกำชับเหมือนผมเป็นเด็ก

“ผมโตแล้วนะครับ คุณตรีไปทำงานเถอะ ผมจะนั่งรอตรงนี้” ผมบอกให้เขาสบายใจ

“อืม เสร็จงานวันนี้แล้วเราจะได้กลับไปพักกัน”

“คืนนี้เรากินบะหมี่กันอีกไหมครับ แล้วก็นอนดูหนังด้วย”

“อืม เอาสิ ฉันตามใจนาย”

ผมปล่อยให้คุณตรีไปทำงาน เขาไปคุยกับทางผู้จัดงานเกี่ยวกับคิวการขึ้นโชว์ตัวบนเวที ไม่นานคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายก็มา ถ้าใครไม่รู้ตื้นลึกหนาบางภายในครอบครัวของนักธุรกิจใหญ่ มองจากมุมนี้พวกเขาก็คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่ใครจะรู้ว่าการเกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อม ก็ไม่ได้มีชีวิตที่สวยหรูโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป จะพูดให้ถูกก็คือภายใต้กลีบกุหลาบเหล่านั้นก็คือหนามแหลมที่โผล่ออกมาตามลำต้น

ผมนั่งมองคุณตรีอยู่ในมุมเล็กๆของตัวเอง ยิ้มเมื่อเขายิ้ม หัวเราะเมื่อเขาหัวเราะ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปคุณตรีเก็บเอาไว้ดู แต่ในขณะที่ผมกำลังกดถ่ายรูป สายตาของผมก็สบเข้ากับดวงตาคม

ว๊า โดนจับได้ซะแล้วว่าแอบถ่าย

ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากที่คุณตรีและคุณพ่อคุณแม่ของเขาขึ้นไปบนเวทีแล้วร่วมพูดคุยกับพิธีกรชื่อดังของประเทศทั้งสองคน ก็มีคนเข้ามาให้ความสนใจกับบูธของเรา มีลูกค้าหลายท่านที่ทำการสั่งซื้อสินค้าในทันที การมาออกบูธในครั้งนี้ จะเอาสินค้ามาจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่าง แต่จะมีแท็บเล็ตเอาไว้โชว์ภาพสินค้า ในนั้นจะระบุรายละเอียดทั้งหมด ขนาด ความกว้าง ความยาว ทำให้มองเห็นภาพและตัดสินใจง่าย

“สวัสดีครับท่านประธาน” ผู้จัดการฝ่ายขายยกมือขึ้นไหว้บุคคลที่เดินมาถึงบูธหลังจากที่หมดกิจกรรมบนเวที

“เป็นยังไงบ้าง” คุณท่านถามแล้วกวาดตามองไปทั่วบูธจนมาเจอผม

“ดีเลยครับ ผู้คนให้ความสนใจกันเยอะมากเลยทีเดียว”

“งั้นเหรอ แต่จะขายได้กำไรหรือขาดทุน มันก็ต้องดูหลังจากนี้” น้ำเสียงของคุณท่าน ทำให้พนักงานในบริเวณยืนห่อตัวกันเป็นแถว คุณตรีทำหน้าเรียบเฉย เขาหันมามองผม แต่ก็เก็บอาการ ไม่งั้นความลับแตกละก็เป็นเรื่องแน่

“ไฮ สวัสดีครับคุณทรงคุณแล้วก็คุณมณีเพชรมากเลยนะครับที่บินมาจากอังกฤษเพื่อมาร่วมงาน” มีผู้ชายคนหนึ่งที่ดูดีรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาสวัสดีทักทายคุณพ่อกับคุณของคุณตรี เขาหันไปยิ้มให้คุณตรีอย่างเป็นมิตร เขาดูจะมีอายุมากกว่าคุณตรีนิดหน่อย

“ผมก็ต้องขอบคุณคุณมากนะครับที่ให้เกียรติเชิญบริษัทลูกบริษัทเล็กๆของเรามาร่วมงาน”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ทุกธุรกิจจะโตขึ้นมาได้ก็ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆด้วยกันทั้งนั้น อีกอย่างตรีเขาก็เหมือนผม จับธุรกิจตั้งแต่เรียนจบ ผมเข้าใจเขาถึงได้สนับสนุนน่ะครับ ผมเองก็เข้าบริหารกิจการห้างสรรพสินค้าต่อจากคุณพ่อทันทีที่เรียนจบเหมือนกัน”

“นั่นทำผมแปลกใจไม่น้อยเลยที่คุณพ่อของคุณยกตำแหน่งให้คุณเข้ามาบริหารแม้ว่าคุณจะ...เป็นแบบนี้”

“คุณพ่อ”

โอ้ คุณพ่อของคุณตรีนี่ไม่ใช่เล่นเลยครับ ทำเอาผมต้องกลืนน้ำลาย ถ้าผมเป็นคนโดนพูดแบบนั้นใส่คงหน้าชาไปแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นเขากลับยิ้มแล้วก็หัวเราะเหมือนไม่คิดอะไรและคงมองว่ามันเป็นเรื่องตลก

“คุณพ่อผมเขาใจกว้างนะครับ ท่านไม่สนใจเรื่องรสนิยมบนเตียงของผมหรอก ท่านสนใจสิ่งที่เรียกว่าสมองมากกว่าหนอนน้อยในกางเกงนะครับ ถึงผมจะเป็นเกย์ แต่ผมก็สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม อยากให้คุณได้เห็นนะครับว่าผลประกอบการของห้างเราตลอดสามปีมานี้มีแต่กำไรเพิ่มขึ้นๆ เพราะคนที่ชอบเพศเดียวกันอย่างผมเนี่ยแหละครับ”

คนๆนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆเหมือนกัน ทำเอาคุณผู้ชายพูดไม่ออก

“ผมต้องขอประทานโทษนะครับถ้าพูดอะไรไม่สมควรออกไป คุณก็อายุราวๆกับคุณพ่อของผม ว่างๆให้ผมนัดคุณพ่อผมให้ได้นะครับ จะไปลองไปนั่งคุณกันแล้วปรับทัศนคติดู เรื่องใต้สะดือก็ให้เป็นเรื่องบนเตียงเถอะครับ แต่เรื่องงานน่ะให้เป็นเรื่องของสติปัญญาและสมอง”

“คนอย่างผมไม่ต้องให้คุณมาสอนหรอก คุณคิดว่าคนแบบคุณจะได้รับการยอมรับจริงเหรอ”

“คุณพ่อ พอเถอะครับ”

“คุณพี่คะ”

“ไม่เป็นครับตรี ไม่เป็นไรครับคุณผู้หญิง ผมใจกว้าง คุยแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ โลกนี้เสรีครับ อิสระทางความคิด ผมไม่สนหรอกนะครับว่าจะมีใครยอมรับผมมากแค่ไหน ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน พ่อผมสอนมาแบบนี้ คุณทรงคุณก็ลองกลับไปคิดดูนะครับ ว่าถ้าค่าของคนมันอยู่ที่รสนิยมทางเพศน่ะ ทำไมก่อนหน้านี้ King’s Luxury ถึงจะเจ๊งเอาล่ะครับ พวกคณะกรรมการในบริษัทของคุณก็ไม่ได้ผิดเพศกันใช่ไหม แต่ทำไมถึงเกือบทำบริษัทเจ๊งละครับ โลกเราไปไกลมาแล้วนะครับ เปิดตาให้กว้าง ผมเชื่อนะครับว่าลูกชายคุณ จะทำให้บริษัทของคุณเติบโตได้ อืม ภายในสองปี King’s Luxury ขยายสาขาได้ทั่วประเทศแน่นอน”

“คุณเอาอะไรมามั่นใจ” คุณพ่อคุณตรีกัดฟัน ดูก็รู้ว่าโมโหมาก แต่ก็ยังคงเก็บอาการได้ดี

“เพราะว่าเขาเป็นแบบผมไงครับ เขาต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เพราะฉะนั้นควรยอมรับในตัวลูกชายของตัวเองนะครับ คุณน่ะมีลูกชายที่ดีพร้อมและเก่งมากๆอยู่แล้ว ถ้าเขาเป็นลูกของพ่อผมนะครับ บอกได้เลยว่าตระกูลของผมคงมีแต่เจริญและเจริญ หึหึ” ผู้ชายที่ดูดีคนนั้น พูดจบแล้วก็ยกมือไหว้ เขาตบไหล่คุณตรีแล้วเดินจากไปทั้งที่ในชุดสูทสีขาวทั้งตัวกับใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม

เป็นคนที่สุดยอดจริงๆ ทำเอาคุณท่านถึงกับพูดไม่ออก ถ้าเป็นมวยก็คือโดนน็อกมืดเข้าอย่างจัง

บางทีเขาอาจจะเป็นเทวดาที่ลงมาโปรดคุณตรีก็เป็นได้



……………………
จริงๆก็ใกล้จะจบแล้วนะคะ ถือว่าเป็นเรื่องที่ริริดองไว้นาน แล้วก็ใช้เวลาแต่งนาน เนื่องจากอยากให้เป็นนิยายฟีลกู้ด แต่ด้วยปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันนี้เจอปัญหาถาโถมเข้ามามากมาย เลยแต่งเรื่องนี้ต่อไม่ออกจริงๆ  กว่าจะพยายามพาตัวเองออกจากความทุกข์ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เหมือนให้น้องฟ้ากับคุณตรีช่วยเยียวยาจิตใจ จนไม่น่าเชื่อว่านิยายเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้ว อ่อๆ ฉากเลิฟซีนมีแน่นอนนะคะ ตอนใกล้ๆจะจบ ฮ่าๆๆๆ อยากให้คนอ่านกระชุ่มกระชวยหัวใจนิดนึง
ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับนักอ่านที่ยังอยู่ตรงนี้ รออ่านนิยายของริรินะคะ ริริอ่านทุกข้อความทุกคอมเม้นท์เลย ดีใจที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้และมีความสุขค่ะ
ด้วยรัก
ริริ


ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่26
ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลาย



แผนการกลับไปนั่งกินบะหมี่แล้วก็นอนดูหนังเป็นอันต้องพับเก็บ เพราะคุณตรีโดนคำสั่งให้กลับไปกินข้าวที่บ้านใหญ่ เห็นว่าเป็นวันรวมญาติ คนในตระกูลทุกคนจะมาร่วมกันทานข้าว คุณตรีดูจะไม่อยากไปแต่ว่าก็ขัดไม่ได้ เขาเลยบอกว่าจะชดเชยให้ผมทีหลัง คืนนั้นคุณตรีก็เลยไม่ได้กลับบ้าน กลับมาอีกทีก็คือเย็นอีกวัน เขาต้องนอนค้างที่บ้าน ตื่นมาก็ไปที่บริษัทพร้อมกับคุณท่านและอยู่ทำงานจนถึงตอนเย็น

ผมเปิดเทอมมาได้สามวันแล้วครับ วันแรกๆก็ยังไม่มีอะไร มีไปรับหนังสือรับชีทแล้วก็นั่งฟังอาจารย์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะเรียนในชั้นปีที่สาม หลังจากนี้ผมคงไม่ได้ไปช่วยงานคุณตรีนอกบ้าน เขากำชับให้ผมไปเรียนเป็นงานหลัก แล้วทำงานบ้านเขาเป็นงานรอง

เขาคอยส่งข้อความหาผมว่าเขากำลังทำอะไร กำลังจะไปที่ไหน ถึงมหาวิทยาลัยหรือยัง พร้อมทั้งถามไถ่ว่าผมกำลังทำอะไร กินข้าวหรือยัง และเน้นย้ำให้ผมใส่ถุงมือหากผมอยากเข้าไปทำสวน

ผมเพิ่งรู้สึกว่าบ้านมันใหญ่มากเกินไปเวลาที่คุณตรีไม่อยู่ มองไปทางไหนก็รู้สึกโดดเดี่ยวและเคว้งคว้าง ขนาดผมอยู่แบบนี้แค่วันเดียวผมยังจิตตกได้ง่ายๆ กับคุณตรีเขาก็คงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ผมไม่น่าปฏิเสธตอนที่เขาขอให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนเลย ที่ผ่านมาคุณตรีคงเหงามาก

ตอนนี้มีคนให้คนสนใจกับโปรเจคของคุณตรีเป็นอย่างมาก เพราะว่าได้คุณ ‘เหนือ’ ผู้ชายในชุดสูทสีขาวในวันออกบูธช่วยโปรโมทสินค้าผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย มากกว่านั้นยังช่วยเชิญคนรู้จักและเหล่าคนดังในวงการบันเทิงให้มาช่วยกันสนับสนุนโครงการนี้ เลยกลายเป็นว่า นอกจากขายสินค้าแล้ว ตอนนี้คุณตรีมีการเปิดรับขวดเพื่อนำมาทอเป็นผ้าแล้วเอาไปทำเป็นข้าวของเครื่องใช้เพื่อบริจาคให้แก่ผู้ยากไร้

ตอนนี้ผู้คนหันมาสนใจแยกขยะมากขึ้น เห็นว่าตอนนี้คุณตรีให้ทีมช่วยกันคิดโปรเจคใหม่จากพวกขวดพลาสติกสีขุ่นว่าสามารถเอามาแปรรูปทำอะไรได้บ้าง จากที่คิดว่าจบงานนี้แล้วเขาคงจะได้พัก ก็คงเว้นไปอีกสักระยะ

พูดถึงคุณเหนือ คุณตรีเล่าให้ฟังว่า วันที่ไปคุยงานคุณเหนือก็แหย่แซวเพราะเห็นว่าคุณตรีหน้าตาดี คุณตรีก็เลยรู้ว่าคุณเหนือเป็นเกย์ ด้วยความอัธยาศัยดีของคุณเหนือ ทำให้คุณตรีกล้าที่จะขอความช่วยเหลือเรื่องการออกบูธ และตัดสินใจเล่าว่ากำลังเจอบททดสอบจากครอบครัวเพราะว่าตัวเองเป็นเกย์ คุณเหนือเลยเต็มใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือเต็มที่
คุณตรีบอกว่าคุณเหนือทำให้เขารู้สึกเหมือนมีพี่ชาย มีคนที่เขาสามารถขอคำปรึกษาได้ และเพราะเป็นคนประเภทเดียวกันคุณตรีจึงเปิดใจที่จะรับเพื่อนใหม่คนนี้

คุณเหนือนี่เป็นคนดีมากๆเลยนะครับ ผมได้แต่ขอบคุณเขาในใจที่เขาช่วยให้คุณตรีก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น

“จ๊ะเอ๋ น้องฟ้ากำลังทำอะไร”

“คุณเจมส์” ผมตกใจปล่อยสายยางรดน้ำต้นไม้จนมันดีดตัวสะบัดไปมา ส่งผลให้คนที่อยู่ใกล้ๆโดนสายน้ำกระเซ็นใส่จนเปียก

“ปิดน้ำก่อน” คุณทิศตั้งสติได้ไวกว่าเพื่อน รีบวิ่งไปปิดก๊อกน้ำ

“ขวัญอ่อนจังเลยนะ” คุณเจมส์ยิ้มขำ เขาดูไม่อะไรที่จะต้องตัวเปียก

“ก็คุณเจมส์มาไม่ให้สุ้มให้เสียงนี่ครับ” ผมกำลังรดน้ำแล้วคิดอะไรเพลินๆ เจอคนเข้ามาทักแบบไม่ทันตั้งตัวมันก็ตกใจกันบ้าง

“พี่นี่นะไม่ให้เสียง อย่างน้อยก็ต้องได้ยินเสียงรถนะ” คุณเจมส์ชี้ไปที่รถของเขาที่ถอยจอดในที่จอดรถเรียบร้อย

นี่ผมยืนเหม่อจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างขนาดนี้เลยเหรอ

“ขอโทษครับ” มันก็คงเป็นความผิดของผมเอง

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เรื่องเล็กน้อยเอง”

“ไอ้ตรียังไม่กลับใช่ไหมฟ้า” คุณทิศถาม

“ครับ เพิ่งจะบ่ายสามคุณตรียังไม่เลิกงานครับ”

“ดีเลย พรุ่งนี้วันหยุด พี่เลยกะว่าจะมาทำอะไรกินกันที่บ้านฉลองเรื่องงานของตรีมันน่ะ ฟ้าว่าดีไหม”

“ดีครับ”

ความจริงผมคิดอยู่ว่าอยากใช้เวลาร่วมกันคุณตรี แต่สองคนอาจจะเหงาเกินไป พอคุณเจมส์เสนอมาแบบนี้ผมก็เห็นด้วย

“แล้วเราจะทำอะไรกินกันดีครับ” ผมถามความเห็นของคุณทั้งสอง

“อยากกินอะไรแซ่บๆ ฟ้าทำอะไรเป็นบ้าง”

“ถ้าอาหารไทยก็ได้หลายอย่างครับ”

“ทำส้มตำเป็นไหม”

“ไม่เคยทำนะครับ แต่ก็พอรู้ขั้นตอน” ผมจำเอาจากตอนที่เห็นแม่ครัวในร้านอาหารทำ กับตอนไปซื้อเขากิน เวลามองแม่ค้าเขาตำส้มตำมันเพลินดีครับ ผมเองก็ชอบกินส้มตำ แต่ไม่เคยทำกินเองเพราะที่หอไม่มีครก หรือต่อให้มีก็คงไม่กล้าตำหรอกครับ เดี๋ยวคนทั้งตึกจะได้มาด่าเอา

“งั้นก็ลองดู ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยสั่งผ่านแอพให้เขามาส่ง แต่พวกต้มยำ ไก่ย่าง เราน่าจะทำกินกันเองเป็นเนาะ”

“งั้นมึงก็ไปซื้อของกับน้องนะไอ้ทิศ มึงรู้เรื่องในครัวมากกว่ากู เดี๋ยวกูรออยู่ที่นี่เตรียมสถานที่”

“เออ เอาเบียร์หรือเหล้า” คุณทิศถาม

“ฟ้ากินอะไร” แล้วคุณเจมส์ก็ถามผมต่อ

“ผมไม่ค่อยดื่มหรอกครับ คุณเจมส์กับคุณทิศเลือกกันเลยครับ”

“โอเค งั้นเราไปซื้อของสดกัน อย่าทำบ้านไอ้ตรีมันเละนะมึง กูไม่ช่วยนะบอกเลย”

“เออน่า ไปๆ รีบกลับมากูหิวแล้ว”

ผมนั่งรถออกมาเดินซื้อของที่ซูเปอร์กับคุณทิศ เห็นว่าอยากได้เมนูแซ่บๆแบบอีสาน ผมก็เลยเสนอพวกของที่ผมพอจะทำได้ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไร มีพวกลาบ น้ำตก จะทำจิ้มจุ่มด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเมนูของคุณตรี ผมจะทำปลาเผา ไก่ทอดเกลือ ไก่ย่าง คอหมูย่าง ของพวกนี้คุณตรีน่าจะทานได้ พวกต้มก็ปรุงรสอ่อนๆให้เขา

ส่วนเครื่องดื่มคุณทิศเลือกเป็นเบียร์แทนเพราะซื้ออย่างเดียวจบ ไม่ต้องซื้อมิกเซอร์ไปเพิ่ม นอกจากนั้นก็มีน้ำอัดลมอีกนิดหน่อย

ได้ของครบก็จ่ายเงินกลับบ้าน คุณทิศเป็นคนจ่าย ผมก็มีหน้าที่แค่ช่วยเลือกซื้อและช่วยถือของมาที่รถ ก่อนจะตรงกลับมาที่บ้าน

ยังไม่ทันได้ลงมือเตรียมของคุณตรีก็โทรมา ผมไม่ได้โทรไปบอกเพราะคุณทิศบอกว่าบอกว่าส่งข้อความไปบอกคุณตรีแล้วว่าจะเข้ามาทำอะไรกินที่บ้าน

“ฮัลโหลครับคุณตรี” ผมรับซ้าย ใช้แก้มกับไหล่หนีบโทรศัพท์เอาไว้ มือก็สาละวนกับการเอาของสดออกจากถุงแล้ววางลงในซิงค์ล้างจาน

“ทำอะไรอยู่ ไอ้ทิศส่งข้อความมาบอกว่าจะไปทำอะไรกินที่บ้าน”

“ครับ ผมเพิ่งออกไปซื้อของทำกับข้าวกับคุณทิศมา”

“วุ่นวายหรือเปล่า สั่งเอาไหม” ขนาดไม่เห็นหน้า แค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้เลยว่าเขาเป็นห่วงกลัวผมเหนื่อย แต่ผมจะเหนื่อยอะไรละ ผมว่าน่าสนุกดีออก ผมชอบบรรยากาศที่เราได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันหลายๆคน มันอบอุ่นไม่เงียบเหงาดี

“ไม่วุ่นวายหรอกครับ ผมชอบ เพื่อนๆมาทานข้าวกับคุณตรีก็ดีนะครับ ผมว่าเฮฮาดี”

“สนุกเราล่ะสิ”

“คุณตรีไม่ชอบเหรอครับ”

“ชอบสิ”

“เห็นไหมล่ะ”

“ชอบนายนะ”

ฉ่า เกือบเผลอตัวผ่อนแรงที่หนีบโทรศัพท์ไว้กับแก้ม ดีที่หนีบเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นโทรศัพท์ตกพื้นมาละก็ได้มีหน้าจอร้าวกันบ้าง แต่หน้าผมร้อนอย่างเดียวก็เสียอาการพอแล้วครับ อย่าให้ต้องเสียเงินค่าซ่อมโทรศัพท์เพิ่มอีกเรื่องเลย

“เงียบเลย เขินหรือไง”

“เปล่าสักหน่อย” กลบเกลื่อนไปครับ เขาไม่เห็น เขาไม่มีทางจับได้

“หึหึ ไม่เขินก็ดี ชวนแจ็คมันมากินด้วยสิ ช่วยเพื่อนมาด้วย นายจะได้ไม่เหงา”

“ได้เหรอครับ” ผมถามด้วยความดีใจ เพราะบางทีผมก็ไม่รู้จะคุยเล่นอะไรกับเพื่อนของคุณตรี ถ้ามีแจ็คมาด้วยต้องสนุกแน่ๆ

“ได้สิ เพื่อนนายก็เหมือนเพื่อนฉันแหละน่า ชวนมาเถอะ”

“ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมบอกด้วยความดีใจ

“อยากได้อะไรไหม จะได้ซื้อเข้าไปให้เพิ่ม”

“อืม ผมอยากให้คุณตรีกลับมาไวๆครับ” ผมพูดแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าเขินอยู่กับกะละมังล้างปลา แกอย่ามองหน้าฉันอย่างนั้นสิเจ้าปลาทับทิม คนมันเขินนะเว้ย

“หึหึ ทำไงดี อยากโดดงานแล้วบึ่งรถกลับบ้านเลยล่ะ”

“อย่าเลยครับ เดี๋ยวโดนหักเงินเดือนนะครับ” ผมขำกับความคิดเป็นเด็กๆของเขา

“เฮ้อ ทำไม่ได้สินะ ถ้าโดนหักเงินเดือนเดี๋ยวไม่มีเงินไปเลี้ยงเมียในอนาคตละแย่เลย ว่าไหม”

“แค่นี้นะครับ” ผมรีบกดวางสาย ขืนยังคุยต่ออีกนิดเราคงไม่ต้องจุดเตาย่างปลาแล้วละครับ เอามันขึ้นมานาบบนหน้าผมได้เลย ร้อนกว่านี้ก็พระอาทิตย์แล้ว

ผมโทรไปชวนไอ้แจ๊คมากินข้าวที่บ้านคุณตรี พอรู้ว่าจะได้กินฟรีมันก็บอกว่าจะรีบมาเลย โชคดีครับที่วันนี้หยุดเหมือนกัน มันบอกผมไว้ตั้งแต่วันก่อนแล้วครับ บ่นเร้าๆว่าอยากไปเดินตลาดเปิดท้าย แต่ช่วงนี้ผมยังยุ่งๆเลยยังไม่ได้ตกลงว่าจะไป

“ใครมาน่ะ” คุณเจมส์ที่กำลังช่วยผมหั่นผักถาม ชะโงกหน้าดูว่าใครมาที่หน้าบ้าน แต่ผมรู้อยู่แล้วว่าคนที่มาคือใคร

“เพื่อนผมเองครับ” ผมบอก ก่อนจะออกไปรับมันเข้ามาในบ้าน มันจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างๆกับรถผม

“มึง มีใครบ้างวะ คนเยอะไหม กูแบบเกร็งอ่ะ” มันทำย่อตัวมองสอดส่องไปทั่วบริเวณเหมือนโจรไม่มีผิด

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย มีเพื่อนคุณตรีสองคน คุณตรีแล้วก็กู เพื่อนคุณตรีใจดีมึง ไม่ต้องกลัว”

“เหรอวะ”

“เออ ไปๆ เข้าบ้านไปช่วยกูทำกับข้าว”

“ได้ๆ”

ผมพาไอ้แจ็คเข้าไปในบ้าน มันดูเงอะๆงะๆยามเปลี่ยนไปใส่รองเท้าสลิปเปอร์ เราจะเตรียมอาหารทั้งจุดคือที่สวนด้านนอกที่เรากินกันประจำกับในครัว พวกของต้มของทอดก็ทำในครัว ส่วนพวกที่ต้องย่างเตาถ่านก็เอาออกไปทำข้างนอกครับ

“คุณทิศคุณเจมส์ครับ นี่เพื่อนผมชื่อแจ็ค” ผมแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน

“สวัสดีครับ” ไอ้แจ็คมันยกมือไหว้แล้วก็ยิ้มแฉ่ง ดูแลตลกดี

“อืม สวัสดี ตามสบายไม่ต้องเกร็ง”

“ครับ”

“มึงย่างไก่ให้กูทีนะแจ็ค”

“เออได้”

ผมยกถาดใส่ไก่ที่หมักไว้แล้วให้แจ็คเอาไปนั่งย่างในสวน ส่วนผมก็เตรียมของในบ้าน ทำพวกต้มแซ่บต้มยำตั้งเตาทิ้งไว้ แล้วก็ทอดไก่กับเอ็นข้อไก่ อาหารวงเหล้าโดยแท้ เมื่อผมเตรียมของที่ต้องใช้ครัวในบ้านเสร็จก็ออกไปนั่งเล่นที่สวนกับคนอื่นๆ

“แล้วตอนนั้นมึงทำไงวะ”

“ทำไงอ่ะพี่ ปัดล้อฟรีแทบไม่ทัน คือถ้าผมไม่หูไวตาไวนะพี่วันนั้นซวยไปแล้ว ไหนจะไม่ใส่หมวกกันน็อค ไม่มีใบขับขี่อีก แถมพรบ.รถก็ไม่ได้ต่อ”

“มึงก็กล้าขี่ออกถนนใหญ่เนอะ”

“ใครจะไปรู้ว่าจะมีตั้งด่านล่ะพี่ ร้อยวันพันปีไม่มี”

ผมมองกลุ่มคนสามคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ ไอ้แจ็คดูจะเข้ากันได้ดีกับคุณเจมส์และคุณทิศ ตอนเข้าบ้านมาทีแรกยังทำตัวสั่นตัวเกร็งอยู่เลย

“ตรีมันใกล้ถึงยังฟ้า” คุณทิศเงยหน้าจากเตาย่างมาเจอผมก็เอ่ยถาม

“เข้ามาในซอยบ้านแล้วครับ” ผมนั่งลงตรงที่ว่าง ของกินก็เกือบเสร็จหมดแล้วครับ แต่เห็นว่าจะค่อยๆทำไปกินไปไม่ต้องรีบ คืนนี้จะอยู่ยาวทั้งคืน

ไม่นานคุณตรีก็กลับมา ผมขอตัวกับคนอื่นๆแล้วออกมารับคุณตรี ผมยกมือไหว้น้าภาพแล้วรับของๆคุณตรีมาถือไว้

“ทุ่มหนึ่งผมฝากน้าไปรับเพื่อนผมที่สนามบินด้วยนะครับ”

“ได้ครับคุณตรี”

ผมฟังคุณตรีพูดกับน้าภาพด้วยความสนใจ เขาจะมีเพื่อนมาจากต่างประเทศงั้นเหรอ ผมไม่เคยรู้ว่านอกจากคุณทิศกับคุณเจมส์แล้ว คุณตรียังมีเพื่อนคนอื่น

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าก่อนนะครับ ยังไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ ออกไปนั่งกินกลิ่นอาหารกลิ่นควันมันจะติด” ผมแนะนำ

“อืม เดี๋ยวฉันจัดการเอง” คุณตรีรับผ้าขนหนูที่ผมส่งให้แล้วเดินเข้าห้องน้ำ ผมเตรียมเสื้อผ้าให้เขาแล้วก็ลงมาเตรียมอาหารให้คุณตรี ไม่นานเขาก็ตามลงมา ผมทำเหมือนที่ทำทุกวัน ให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว หาน้ำหาท่าให้ดื่มเพิ่มความสดชื่น

“อันนี้น้ำอะไร หอมแปลกๆ” คุณตรีมองแก้วน้ำในมืออย่างสนใจ เขาดื่มอีกอึกใหญ่เกือบหมดแก้ว

“น้ำใบเตยครับใส่น้ำผึ้งครับ” คาดว่าเขาคงไม่เคยกิน แต่ผมชอบเพราะว่ามันหอมดี วันนี้เลยลองทำให้เขาชิมดู

“หอมเหมือนวุ้น”

“ชอบไหมครับ”

“ชอบ ทำบ่อยๆนะ”

“ไปตรงนั้นกันครับ” ผมชวนเขาออกไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ คุณตรีเดินสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงไปนั่งลงข้างๆเพื่อน พอเห็นคุณตรีมาคุณทิศก็ส่งแก้วเบียร์ให้คุณตรีทันที

“ทานข้าวก่อนสิครับ” ผมบอก

“ไม่ต้องเป็นห่วงมันมากหรอกน้องฟ้า ตัวโตเท่าควาย มันไม่เป็นอะไรเพียงเพราะกินเบียร์ก่อนกินข้าวหรอก” คุณเจมส์เหมือนจะพูดแหย่เพื่อนรัก

“มึงอิจฉาก็พูด หึหึ ไม่มีคนดูแลก็งี้” คุณตรีเองก็ตอกกลับได้รุนแรงไม่แพ้กัน

ผมน่ะ ชอบคุณตรีในเวอร์ชันนี้เหมือนกันนะครับ มาดชายหนุ่มกวนๆ แบบที่แตกต่างออกไปจากมาดนักธุรกิจที่แสนอบอุ่น

“มึงจะเอางี้ใช่ไหม แจ็ค เอ็งหาข้าวให้พี่กินหน่อยสิ พี่อยากได้คนดูแล”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเล่า”

“อะไรวะ ดูแลหน่อยดิ อย่างน้อยก็ตอบแทนค่าเบียร์หน่อยน้อง”

“ได้ข่าวว่ากูเป็นคนจ่าย” พี่ทิศโพล่งขึ้นกลางปล้องด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“อ้าวเหรอ เงินมึงเหรอ” พี่เจมส์ทำหน้าเขินอาย ดูแลตลกดี

“อะไรของพี่เนี่ย ฮ่าๆๆ” ไอ้แจ็คมันหัวเราะเหมือนคนเส้นตื้น ไม่รู้ว่ามันเริ่มเมาเบียร์หรือว่าเมาควันไฟย่างไก่

“พวกมึงนี่ปัญญาอ่อนกันจริงๆ” คุณทิศส่ายหน้าเอือมระอา

ผมส่ายหน้าให้คุณตรี ห้ามไม่ให้เขาดื่มเบียร์ก่อนกินข้าว เขาก็ยอมเชื่อฟัง วางแก้วเบียร์ลงแล้วหันไปจิบน้ำใบเตยที่เหลืออยู่แทน

ผมตักข้าวเหนียวแจกจ่ายทุกคน ลุกไปอุ่นต้มยำและต้มแซ่บในครัว ปรุงแยกเป็นสองชุด รสชาติเผ็ดแซ่บกับเผ็ดน้อย

“มึงยกอันนี้ไป”

“ทำไมต้องแบ่งเป็นถ้วยเล็กด้วยวะ”

“คุณตรีไม่ทานเผ็ด”

“อ่อ ของว่าที่ผัว”

“เออ ทำไม” ถ้าทำเป็นยอมรับไปหน้าด้านๆ มันก็จะไม่ล้อผม เพราะตอนนี้มันเบ้ปากใส่ผมแทนแล้วเดินฉับๆกลับไปที่วงเหล้า

วันนี้เรานั่งกินกับเสื่อครับ แต่มีหมอนแข็งให้เอนหลังกันเมื่อย

“ฟ้า ตำส้มตำเลยไหม” คุณทิศเหมือนจะอยากกินแล้ว ตอนนี้อาหารอย่างอื่นก็พร้อม ไก่ก็ทยอยย่างไปเรื่อยๆ ส่วนปลาเผาย่างเสร็จได้สักพัก น่าจะคลายร้อนพร้อมกิน

“ตำเป็นด้วยเหรอ” คุณตรีมองผมที่ประจำตำแหน่งอยู่หน้าครกด้วยความสนใจ ถึงกับขยับเข้ามาดูใกล้ๆ

“ไม่เป็นครับ แต่จะลองดู”

“กินแล้วจะตายไหมวะ” ปากไม่เป็นมงคลแบบนี้ก็ต้องเพื่อนผมแล้วครับ

“อย่ากินนะมึง” ผมเข่นเขี้ยวใส่มัน

“โอ๋ๆน้องฟ้า อย่าใจร้ายนักสิ” มันเข้ามากระแซะออดอ้อนเหมือนน่ารัก แต่ความจริงคือตรงกันข้ามจนทุกคนหัวเราะ

ผมเปลี่ยนอาชีพมาเป็นพ่อค้าส้มตำ ใส่พริกกระเทียมตำ จากนั้นก็ใส่มะเขือเทศมะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว เครื่องปรุง แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือผงชูรส ถ้าไม่ใส่ก็เททิ้งได้เลยครับ มันไม่อร่อยหรอกผมเคยลองสั่งแม่ค้าแล้ว แม่ค้าส้มตำแทบจะเอาสากเขวี้ยงใส่หัวผม เพราะถ้าส้มตำไม่อร่อยนั่นหมายถึงร้านเขาอาจจะเสียชื่อได้ ผมชิมรสชาติ แล้วก็ให้คนอื่นๆช่วยชิมด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนมาช่วยกันตำช่วยกันปรุงแล้วครับ แม้แต่คุณทิศที่ดูนิ่งๆโหดๆยังร่วมวงไปกับเขาด้วยเลย

“ครกนี้ของกูดิเจมส์ มึงอย่ามาแย่งกูปรุง”

“เอ้า กูก็อยากช่วยไง กูว่ามันยังไม่เปรี้ยว”

“ไอ้เหี้ย มึงใส่น้ำมะขามเปียกเยอะไป กูไม่ชอบกินเปรี้ยว”

“พี่เจมส์ พี่ลืมใส่ปูดองหรือเปล่า ใส่ปลาร้าด้วยไหม เอาเป็นต่อนๆเลยนะ”

“กูบอกว่าอย่ามายุ่ง ครกนี้กูจะตำ”

“เหมือนเด็กๆเลยว่าไหมครับ” ผมหันไปถามความเห็นคุณตรี มือก็ปั้นข้าวเหนียวป้อนใส่ปากคนตัวใหญ่

“พวกมันบ้า” คุณตรีพูดขำๆ

“เดี๋ยวรอพวกเขาเล่นเสร็จผมจะตำไทยให้นะครับ” ผมตำส้มตำปูปลาร้าเสร็จไปครก แต่ยังไม่ได้ตำไทยให้คุณตรีก็โดนแย่งครกไปซะแล้ว

“อร่อยไหม” คุณตรีถามผมที่กำลังจกส้มตำเข้าปาก

“อร่อยครับ ลองไหม” ผมถามไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าคุณตรีจะพยักหน้า “เผ็ดนะครับ”

“อยากลอง”

ผมลังเลที่จะให้เขากิน คือมันค่อนข้างรสจัดใช้ได้เลย ปกติคุณตรีไม่ทานอะไรที่มันเค็มเกินไป เปรี้ยวเกินไป ยิ่งเผ็ดนี่ต้องให้น้อยที่สุด

แต่พอยืนยันว่ายากลอง ผมก็ตักเส้นมะละกอที่คิดว่าโดนน้ำส้มตำน้อยที่สุดใส่จานเล็กแล้วส่งให้เขา ตอนคุณตรีเอาส้มตำเข้าปากผมออกอาการลุ้นยิ่งกว่าป้าขายไก่ทอดตอนลุ้นหวยออกเสียอีก

“เป็นไงบ้างครับ” ผมถามไถ่อาการหลังจากที่เข้ากินส้มตำเข้าไป

“เผ็ด” พอเขากลืนเขาก็รีบกระดกเบียร์อึกใหญ่

“ผมบอกแล้ว”

“แต่ก็ไม่แย่ แต่เผ็ดมาก” ดูสิครับ กินไปคำเดียวปากแดงแจ๋เลย

“กินไก่ย่างแก้เผ็ดครับ”

ผมใช้มือฉีกเนื้อไก่ป้อนเขา จะเล่าให้ฟังว่าเวลาผมกินพวกไก่ทอดไก่ย่างผมมักใช้มือหยิบกิน ตอนเขาขอให้ป้อนแรกๆผมก็ไม่ได้ใช้มือนะครับ ผมใช้ช้อนกับส้อม แต่เขาบอกว่าผมกินแบบไหนเขาก็กินแบบนั้น ถ้าผมกล้าเอามือหยิบอาหารเข้าปาก ผมก็ต้องทำแบบนั้นกับเขาด้วย หลังๆมานี้ผมต้องทำความสะอาดมืออยู่ตลอด ยิ่งก่อนจะกินข้าวคือไม่เคยลืมที่จะล้างมือเลยสักครั้ง

ประมาณสองทุ่มเสียงรถยนต์ก็ดังก้องอีกครั้งในบริเวณบ้าน เราทุกคนหันไปมองที่หน้าบ้านเป็นทางเดียว คุณตรีคือคนที่มีปฏิกิริยาไวที่สุด เขาลุกเดินออกไปหน้าบ้าน ผมนึกไปถึงสิ่งที่คุณตรีบอกกับน้าภาพตอนกลับมาว่าให้ไปรับเพื่อน

“ใครวะ ที่เดินมากับไอ้ตรีอ่ะ” คุณทิศเพ่งตามอง

“มึงไม่รู้แล้วกูจะรู้ไหม”

“ฟ้ารู้ไหม” คุณทิศหันมาถามผม

ผมส่ายหน้า “ไม่รู้จักครับ” 

คุณตรีกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่พอๆกับคุณตรีเดินตรงเข้ามา ระยะที่ใกล้มากขึ้นทำให้เห็นว่าคนที่มาคือคนต่างชาติแบบฝรั่งจ๋าเลย

“ทุกคน นี่เพื่อนฉันจากอังกฤษ ชื่อวิล”

“Hi/Hi” คุณทิศกับคุณเจมส์ยกแก้วเบียร์ทักทาย

“Wil that two guys are my friends James and Thit. And He is my boy ‘SaiFah’. And that one is fah’s friend He’s called Jack.”

คุณตรีเหมือนจะแนะนำทุกคนในที่นี้ให้เพื่อนของเขารู้จัก ฟังจากชื่อของทุกคนที่นั่งอยู่ นอกนั้นฟังไม่ออกครับ บอกเลยว่าโง่ภาษาอังกฤษของแท้

“Hi ซาหวะดีคับ”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เขาตามความเคยชิน ส่วนไอ้แจ็กก็ยกมือไหว้พร้อมโบกไม้โบกมือ ในกลุ่มนี้ก็คงมีผมกับไอ้แจ็คนี่แหละครับที่ไม่น่าจะคุยกับเพื่อนคุณตรีคนนี้รู้เรื่อง

“Is He your little boy, so cute, damn it. Why are you so lucky” เพื่อนของคุณตรีพูดอะไรสักอย่างด้วยเสียงตื่นเต้น เขานั่งลงข้างคุณตรีด้านที่ยังว่าง พร้อมกับชะโงกหน้ามาจ้องหน้าผม แต่คุณตรีก็ดันหน้าเขาออก

“Don’t come near him”
[อย่าเข้าใกล้เขา]

“Oh oh okay”
[โอ้ โอ้ ได้]

“He is possessive” คุณทิศพูดกับคุณวิลแล้วก็ยักคิ้วใส่คุณตรี
[มันหวงน่ะ]

“Yeah I see” คุณวิวหัวเราะเหมือนชอบใจอะไรสักอย่าง
[อืม ผมรู้]

ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆก็ตอนนี้ ผมอยากเข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เขาหันมาพูดกับผมด้วย แต่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ได้แต่ทำหน้าตกใจใส่เขาจนคุณตรีหลุดขำแล้วแปลให้ผมฟัง

“มันถามว่า ฉันจีบนายหรือยัง นายเป็นแฟนฉันเหรอ”

“อ่อ อ่า” ผมเข้าใจคำถามผมก็ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง คุณตรียิ้มให้ผมแล้วลูบหัวผมเบาๆไม่ให้ผมคิดมากเรื่องที่ตอบเพื่อนเขาไม่ได้

ผ่านไปสักพักทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี ประมาณสี่ทุ่มก็ย้ายเข้ามาในบ้าน ผมและแจ็คช่วยกันเก็บของไปล้างในครัว ปล่อยให้ผู้ชายตัวโตทั้งสี่คนนั่งคุยเล่นจิบเบียร์อยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น




[Three]

ผมมองดูฟ้าที่กำลังล้างจานอยู่ในครัว ผมและเพื่อนย้ายมานั่งกันในบ้านแทนเพราะข้างนอกยุงเริ่มเยอะ ผมดีใจที่วิลมาหา แม้จะกะทันหันไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร

“ฉันมาทำงานที่นี่ พอดีเขาหาคนมาสัมภาษณ์พนักงานที่สาขาที่ไทย ฉันก็เลยอาสามาเพราะว่าจะได้มาหานายด้วย” วิลตอบเมื่อผมถามว่าทำไมถึงมากะทันหัน

“อืมดี แล้วมีวันว่างไหมละ ฉันจะได้พานายเที่ยว”

“พรุ่งนี้ฉันว่าง เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดใช่ไหมล่ะ” วิวครุ่นคิด

“ใช่ นายอยากไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”

“นี่ๆ ฉันดูในไอจี ฉันเห็นมีคนลงรูปวัดสวยๆที่อยู่ริมน้ำ อยากไปที่นี่ ไกลไหม”

“วัดอะไรไหนเอามาดูสิ” เจมส์ถาม วิลเลยเปิดรูปในโทรศัพท์ให้ดู

“อ่อ วัดอรุณไง กูเคยไปอยู่นะ สวยดี” ทิศที่ดูรูปด้วยเป็นคนตอบ

“ยูเคยไปเหรอทิศ” วิลดูจะตื่นเต้นที่มีคนรู้จักสถานที่ที่ตัวเองอยากไป

“ใช่ บรรยากาศตอนเย็นริมน้ำก็ดี เหมาะแก่การพาคนรักไปเดท โรมแมนติกมาก นั่งดูวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นวิววัดอรุณแล้วก็พระอาทิตย์ตกดิน”

“ดีเหรอวะ” จากที่ไม่ได้สนใจผมก็หูผึ่ง มันดีจริงเหรอวะ

“ดีสิไอ้ตรี ทำไม ทำท่าสนใจนี่อยากจะพาน้องฟ้าไปขอเป็นแฟนเหรอไง” ไอ้ทิศมันหลิ่วตาใส่ผม

“อ้าว นี่นายยังไม่ขอเด็กนั่นเป็นแฟนอีกเหรอ แล้วเขารู้ไหมว่านายชอบ” วิลมันดูจะตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าผมยังไม่ได้ขอฟ้าเป็นแฟน

“ฟ้ารู้แล้ว แต่ยังไม่ได้ขอเป็นแฟน จีบอยู่”

“เออ มันบ้า ทั้งๆที่ฟ้าก็ชอบมัน แต่มันบอกจะจีบก่อน” ไอ้เจมส์มันผลักหัวผม

“กูเป็นผู้ชายนะ รักเขาก็ต้องจีบก่อน จีบแล้วค่อยขอเป็นแฟน เป็นแฟนแล้วค่อยเป็นเมีย กูไม่ทำอะไรข้ามขั้น”

“ถุย พ่อเทพบุตร สุภาพบุรุษสุดๆ”

“แล้วยังไง จะขอเขาเป็นแฟนเมื่อไหร่” วิลยังคงตามติดเรื่องนี้

“ทีแรกก็คิดว่าหลังเสร็จงานนี้เนี่ยแหละ จริงๆนี่ก็ถือว่าเสร็จงานแล้ว กำลังหาโอกาสอยู่”

“แล้วเป็นไงบ้าง พ่อนายพอใจกับผลงานไหม”

“ไม่รู้นะ แต่ต่อให้ผลงานมันดีฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะได้รับคำชมหรอก ดีไม่ดีดูเอาที่ตัวเลขยอดขาย รู้ไหมว่าแค่อาทิตย์เดียว ยอดขายสินค้าคอลเลคชั่นนี้ของฉันทำเงินได้มากกว่าคอลเลคชั่นที่แล้วไปแล้วเท่าตัว ถ้าหักจากต้นทุนตอนนี้ก็คืนทุนแล้ว”

“เฮ้ย ก็เท่ากับว่ามึงทำสำเร็จแล้วดิ” ไอ้เจมส์กระโดดเข้ามานั่งใกล้ผมจนแทบจะขึ้นขี่ ผมดันตัวมันออกห่าง บ้าบอหรือไงวะ

“เออไง เดี๋ยววันจันทร์มีประชุมเรื่องยอดขายเนี่ยแหละ พ่อฉันจะเข้าประชุมด้วย งานนี้ไม่น่ามีอะไรพลาด”

“ดีใจด้วยวะ ในที่สุดมึงก็ทำได้” ทิศตบไหล่ผม

“อืม กูก็ดีใจ ชีวิตกูจะเป็นอิสระแล้ว”

ผมยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะมองคนที่เดินเก็บข้าวของในบ้าน ผมไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้ถ้าไม่มีเขา คนที่เป็นทุกอย่างให้กับผม

ฟ้าเป็นกำลังใจของผม

ฟ้าเป็นความสุขของผม

ฟ้าเป็นแรงผลักดันให้ผมมีแรงสู้

และฟ้าเป็นความรักของผม ความรักที่มีแต่การให้ เขาให้ผมทุกอย่างเท่าที่เขามี ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการมีเขาอยู่ในชีวิตอีกแล้ว

และมันคงถึงเวลาที่ผมจะให้ทุกอย่างของผมกับเขาบ้าง

“พวกมึง พรุ่งนี้ช่วยกูหน่อย”

ผมขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาเพื่อนทั้งสามคนด้วยสีหน้าจริงจัง พวกมันมองหน้าผมแล้วยกยิ้มกันเป็นแถวด้วยเข้าใจว่าผมต้องการให้ช่วยอะไร

พรุ่งนี้ผมจะได้แฟนแล้วล่ะทุกคน เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ





ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่27
ผมกับเขา เราเป็นแฟนกัน



เช้าวันใหม่หลังจากที่เราสังสรรค์กันเกือบข้ามคืน ทำให้ทุกคนต้องนอนกันที่บ้านคุณตรียกเว้นแจ็คที่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปตั้งแต่เมื่อคืนตอนห้าทุ่ม บอกให้มันนอนกับผมมันไม่ยอมนอน ก็เลยต้องปล่อยให้มันกลับหอ ทันทีที่ถึงห้องมันก็ส่งข้อความมาว่าถึงห้องอย่างปลอดภัย ผมถึงได้รู้สึกสบายใจ

“กลิ่นหอมจังเลย” เสียงคุณเจมส์ดังมาก่อนตัว เขาเดินหลับตาทำจมูกฟุดฟิดตามหากลิ่น คุณทิศกับคุณตรีก็เดินตามหลังมาด้วย ผมยิ้มให้คุณตรีที่ก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน

“เช้านี้ผมทำข้าวต้มหมูเด้ง จะได้หายแฮงค์ครับ”

“โอย ดีอะไรแบบนี้ มีคนคอยดูแลเอาอกเอาใจ” คุณทิศยืดแขนบิดขี้เกียจแล้วนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว

คุณตรีเดินเข้ามาหาผม เขาช่วยผมหยิบชามออกมาสี่ใบ ผมจึงตักข้าวต้มในหม้อใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยขึ้นฉ่าย กระเทียมเจียว แล้วก็พริกไทย

“วิลยังไม่ตื่นนะ น่าจะเจ็ทแลคอยู่ ปล่อยให้นอนไปอีกสักพัก” คุณตรีชะโงกหน้าดูหม้อข้าวต้ม

“อ่อ ถ้าเขาตื่นก็ค่อยอุ่นใหม่ก็ได้ครับ” ผมวางชามข้าวต้มลงบนถาด จะได้ไม่ร้อนมือและไม่ต้องเดินหลายรอบ

“อืม”

“คุณตรีปวดหัวไหมครับ”

“ไม่หรอก เมื่อคืนไม่ได้ดื่มเยอะ แค่นั่งคุยกันเฉย”

เมื่อคืนผมขึ้นไปนอนก่อนตั้งแต่ส่งแจ็คกลับห้อง น่าจะสักเกือบจะเที่ยงคืน ตอนนั้นคุณตรีกับเพื่อนๆของเขายังคงนั่งดื่มนั่งคุยกันอยู่

“ไม่ต้องยกไปให้พวกมัน ให้พวกมันมาหยิบเอง ฟ้าหยิบน้ำของเรามาก็พอ” คุณตรียกถาดที่ใส่ข้าวต้มสองชามเดินไปที่โต๊ะ เหลืออีกถาดที่ผมกำลังจะยกแต่เขาห้ามเอาไว้

“พวกมึงไปยกข้าวมากินเอง ฟ้าทำให้แล้วยังจะต้องให้ยกมาประเคนถึงที่อีกเหรอ” คุณตรีเตะเก้าอี้ที่คุณเจมส์นั่ง เรียกให้เพื่อนของเขาที่กำลังนอนหมอบไปกับโต๊ะกินข้าวลุกขึ้น

“ครับๆ พ่อครับ รู้แล้วครับ” คุณเจมส์ยกมือขึ้นห้ามให้คุณตรีเลิกบ่น ก่อนจะลุกขึ้นมายกถาดข้าวต้มอีกถาดไป

“แล้ววันนี้เราจะไปวัดกันกี่โมง” คุณทิศถามคุณตรี

“บ่ายโมงแล้วกัน ไปถึงราวๆบ่ายสอง ไปหาอะไรกินแถวโน้นแล้วก็ค่อยเข้าไปไหว้พระ เดี๋ยววันนี้เราจะไปวัดอรุณกันนะ พาวิลไปเที่ยว” คุณตรีพูดกับเพื่อนก่อนจะหันมาบอกผม

“ให้ผมไปด้วยเหรอครับ”

“นายต้องไปกับฉันสิ เราจะไปเดทกัน”

“เดี๋ยวๆนะไอ้ตรี เดทเขาต้องไปกันสองคนไม่ใช่เหรอ” คุณเจมส์ทำหน้าเหมือนแบบมันใช่เหรออะไรประมาณนี้

“ทำไมจะไม่ได้ กูเดินกับฟ้าสองคน พวกมึงก็เดินห่างๆกู แค่นั้น”

ผมหลุดขำให้กับความคิดของคุณตรี

“อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ” คุณเจมส์เหมือนจะยังไม่เข้าใจ หันไปตั้งคำถามผ่านสีหน้ากับคุณทิศ

“มึงว่าได้ไหมล่ะ ไอ้ตรีมันพูดขนาดนี้แล้ว”

“เหรอวะ”

“ฮ่าๆๆ” พวกเขาตลกกันแต่เช้าเลย ช่างเป็นคนอารมณ์ดีกันจริงๆ

ทานข้าวเช้าเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนต่อ เมื่อคืนพวกเขานอนที่ห้องคุณตรีกันทั้งหมด ผมไม่รู้ว่านอนกันยังไง แต่ก็อัดผู้ชายเข้าไปได้หมดสี่คน

จนกระทั่งได้เวลาที่นัดเอาไว้ว่าจะพาคุณวิลไปเที่ยวที่วัดอรุณ ยอมรับเลยครับว่าพวกเขาเป็นคนตรงต่อเวลากันมากๆ บอกว่าจะออกจากบ้านตอนบ่ายโมง เที่ยงห้าสิบทุกคนก็ลงมาพร้อมกันที่ชั้นล่าง รถก็เลยเคลื่อนตัวออกจากบ้านตอนบ่ายโมงตรงเวลาเป๊ะ

ไม่ถึงชั่วโมงเราก็มาถึงที่วัด อาจเพราะเป็นวันอาทิตย์ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวกันเยอะมาก แต่โชคดีที่ได้ที่จอด ทำให้ไม่เสียเวลาในการหาที่จอดรถ

ก่อนออกมาจากบ้านผมทำแค่อาหารรองท้องง่ายๆให้พวกเขาทาน  พอมาถึงที่หมายเราก็เลยหาอะไรกินง่ายๆแถวนั้น ไม่พ้นพวกก๋วยเตี๋ยวผัดไทย คุณตรีเขาก็สั่งของที่ชอบ เพื่อนคุณตรีที่เป็นฝรั่งดูจะชอบใจกับอาหารไทยไม่น้อย เวลาเห็นอะไรน่าสนใจเขาก็จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป พอทานอาหารเที่ยงตอนบ่ายกว่าๆเสร็จก็ถึงเวลาไปเดินเที่ยวในวัด

“เคยมาไหม” คุณตรีก้มลงมาถาม เขาหมุนพัดลมไฟฟ้าในมือให้เป่ามาทางผม อากาศช่วงบ่ายสามยังร้อนไม่ใช่เล่น พอเห็นว่ามีแม่ค้ายืนขายพวกพัดเขาก็เดินเข้าไปซื้ออย่างไม่ลังเล พอผู้ชายตัวใหญ่ๆมาถือพัดลมไฟฟ้าอันเล็กก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูดี

“ไม่เคยครับ นี่เป็นครั้งแรกของผม”

“ครั้งแรกของฉันเหมือนกัน”

“จริงเหรอครับ” ไม่น่าเชื่อว่าคุณตรีก็ไม่เคยมา

“เฮ้ นี่สรุปยูจะทำเหมือนที่บอกจริงๆเหรอ มาเดทกันทั้งๆที่พวกฉันมาด้วยเนี่ยนะ” คุณวิลเดินตีเสมอมาพูดกับคุณตรี

“ก็เห็นอยู่นี่ นายอยากรู้อะไรก็ไปถามทิศสิ หมอนั่นเคยมาแล้วน่าจะรู้ข้อมูลมากกว่าฉัน” คุณตรีหันไปตอบคุณวิล

“นายนี่มัน ไหนบอกว่าจะเป็นคนพาฉันเที่ยวไงเล่า”

“แล้วนี่ฉันไม่ได้พามาเที่ยวตรงไหน อย่ากวนน่า ฉันไม่ค่อยมีเวลาจีบเด็ก วันนี้จะทำเรื่องสำคัญด้วย ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยเพื่อน”

ไม่มีเวลาที่ไหน เขาหยอดผมตลอดตั้งแต่ตื่นนอนยันเวลาเข้านอน

“โอเค ฉันขอโทษ เข้าใจแล้วแหละ ฉันจะทำตัวเป็นกามเทพสื่อรักให้กับพวกนายอย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วง”

“ขอบใจ”

จากบทสนทนาด้านบนทั้งหมด ผมฟังออกตั้งสามคำแหนะครับ มีคำว่า Okay, Sorry, และก็ Thank you

เฮ้อ ยิ่งกว่างูๆปลาๆซะอีก

วัดอรุณหรือเรียกอีกชื่อว่าวัดแจ้งเป็นวัดที่สวยงามมากๆ ไม่เหมือนวัดอื่นๆที่ผมเคยเห็น โดดเด่นที่สุดก็คือพระปรางค์ที่ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบและเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ที่มาจากจีน ความรู้พวกนี้ผมไม่ได้รู้เองนะครับ ผมได้ยินจากไกด์นำเที่ยวแถวๆนี้เขาบรรยาย ผมก็เลยทำเนียนหยุดยืนฟังไปด้วย

ในขณะที่เราเดินชมวัดก็จะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวยืนฟังไกด์นำเที่ยวบอกเล่าถึงที่มาและประวัติศาสตร์ นอกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวก็ยังมีกลุ่มนักเรียนด้วย เหมือนมาทัศนศึกษากันเลย ผมยืนอยู่ใกล้ๆกลุ่มนั้นแล้วก็ยืนฟังคนที่น่าจะเป็นอาจารย์พูดบรรยายเกี่ยวกับพระปรางค์เบื้องหน้า

“สนใจเหรอ” คุณตรีถาม

“ผมไม่เคยออกมาแบบนี้เลย” ผมชี้ให้เขาดูกลุ่มนักศึกษา

“ฉันก็ไม่เคย”

“เรียนที่ต่างประเทศไม่เหมือนที่ไทยเหรอครับ” ผมกับคุณตรีเริ่มออกเดินอีกครั้ง เพราะพวกคุณทิศเดินนำออกไปไกลแล้ว

“ไม่เหมือนหรอก ไม่ได้มีกิจกรรมรับน้อง ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษา ฉันก็ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทย บอกไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน แต่ที่ไปเรียนที่อังกฤษก็ไม่ได้แย่ การสอนน่าสนใจและเฉพาะทางมากกว่าเท่าที่เห็น สื่อการเรียนการสอนก็ทันสมัย”

“น่าเสียดายนะครับ ผมก็เสียดาย มันจะต้องสนุกมากแน่ถ้าได้มีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย”

ผมไม่รู้ว่ารสชาติของชีวิตนักศึกษาที่แท้จริงมันเป็นยังไง ต้องนับตั้งแต่เรียนมัธยมสิ ผมไม่เคยได้ไปโรงเรียน เคยคิดว่ามันจะเป็นยังไงถ้าผมได้มีโอกาสไปนั่งเรียน มีเพื่อนเล่นพูดคุยกัน มีช่วงเวลาที่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างกับเพื่อน ผ่านช่วงเวลาที่จะต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้เลือกคณะกับมหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้าเรียน ได้เข้ากิจกรรมรับน้อง เขาว่าเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนจะผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน มีทั้งมิตรภาพและความสนุกสนาน มีกิจกรรมในมหาวิทยาลัยให้ทำด้วยกัน ได้เรียนได้เล่นกับเพื่อน มันคงเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ แต่ผมก็ได้แค่เสียดายแหละครับ  ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ ผมที่เป็นผมในทุกวันนี้ก็ดีเกินกว่าที่จะคาดคิดแล้วล่ะ

“ไม่เป็นไรนะ นายมีฉันเป็นเพื่อน เพราะเราก็ไม่ได้มีช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยแบบเด็กไทยทั่วไป แต่มันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่ง เรายังมีเวลาให้สร้างความทรงจำดีๆในชีวิตได้อีกเยอะ” คุณตรีบีบกระชับมือผมเพื่อเติมกำลังใจ

“ครับ ผมจะใช้ชีวิตให้ดี ผมอยากมีความสุขในทุกๆวัน”

“หลังจากวันนี้นายจะมีความสุขมากแน่นอน ฉันสัญญา”

เราเดินชมรอบวัดและถ่ายรูปจนหนำใจ นอกจากการเดินชมศิลปะที่สวยงามภายในวัด พลาดไม่ได้ที่เข้าไปสักการะพระประธานในพระอุโบสถ ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ที่เขาบอกว่าวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผมรู้สึกว่าเป็นแบบนั้นจริง

ผมไหว้พระพระและขอพร ขอให้ชีวิตของผมมีแต่ความสุข ขอให้ไม่ว่าเจอปัญหาอะไรผมก็สามารถหาทางออกได้ และข้อสุดท้ายผมขอให้คุณตรีได้รับการยอมรับจากคุณพ่อคุณแม่ของเขา อาจจะไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ผมขอให้มีสักวัน สักวันที่คุณตรีจะมีความสุขกับเรื่องครอบครัว

“ที่นี่เย็นสบายจัง แต่ข้างนอกร้อนมาก” คุณวิลที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆพูดขึ้น และเหมือนเดิมก็คือผมฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอะไร

เรายังคงนั่งเล่นในพระอุโบสถ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ข้างในนี้ถึงได้มีลมพัดเย็นสบายจนแทบอยากจะทิ้งตัวนอนหลับ

“ดีแล้วที่นายรู้สึกเย็นสบายน่ะวิล ไม่เหมือนไอ้ทิศที่มันร้อนเหมือนตกนรก เห็นไหมเหงื่อออกอย่างเยอะ”

“อ้าว ทำไมถึงร้อนล่ะ ลมก็แรงดีออก” คุณวิลมองคุณทิศเหมือนสงสัยอะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็สงสัยเช่นกัน

“เพราะมันบาปหนาไง คนบาปหนาเข้าวัดแล้วจะร้อนเหมือนตกนรกเลยล่ะ” คุณเจมส์ป้องปากพูดเสียงไม่ดังนัก

“จริงเหรอ นายร้อนมากเลยเหรอทิศ ออกไปข้างนอกไหม” คุณวิลทำหน้าเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง หันไปพูดกับคุณทิศอย่างร้อนรน แต่คุณตรีกับคุณเจมส์กลับหัวเราะลั่น

“ไอ้พวกเหี้ย” คุณทิศกัดฟันพูด มองค้อนทุกคนที่หัวเราะเขา ประโยคนี้เขาพูดเป็นภาษาไทย แต่คุณวิลเหมือนจะเข้าใจ ทำไมถึงเข้าใจคำนี้ล่ะ

“วิลมันบอกว่าในนี้เย็น แต่ไอ้เจมส์บอกว่าไอ้ทิศอยู่ในนี้แล้วร้อนเหมือนตกนรกเพราะเป็นคนบาปหนา วิลมันเลยตกใจจะพาไอ้ทิศออกจากวัด ฮ่าๆๆ” ผมคงเผลอทำหน้าอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป คุณตรีก็เลยใจดีแปลให้ผมฟัง แต่ก็แปลไปหัวเราะไป

เขายิ้มกว้างจนตาผมพร่าไปเลย





เสร็จจากวัดอรุณ เราก็นั่งเรือข้ามฟากมาลงที่ท่าเตียน คุณวิลดูจะชื่นชอบและตื่นเต้นเป็นพิเศษ ผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่ง เวลาที่ชาวต่างชาติเขาตื่นเต้นหรือชื่นชอบอะไรสักอย่าง เขาจะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างเปิดเผย ดูร่าเริงเหมือนเด็กตัวเล็กๆดีใจที่ได้เที่ยว

ยังพอมีเวลาเหลือก็เลยพาคุณวิลไปที่วัดพระแก้วอีกวัดหนึ่ง ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย ผมเองก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก แต่คนอื่นเคยมากันแล้วแม้แต่คุณตรี ผมอดที่จะตื่นตาตื่นใจไม่ได้เลย เกิดเป็นคนไทยเพิ่งได้มีโอกาสมาไหว้พระแก้วมรกต ผมให้วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตผมเลย

“ฟ้า ขอพรอะไรตั้งนาน” คุณตรีกระซิบถามหลังจากที่ไหว้พระเสร็จ

“ผมเหรอ ผมก็ขอให้ผมมีความสุข ขอให้เวลามีปัญหาก็ผ่านไปได้ แล้วก็...” ผมไม่รู้ว่าคำขอสุดท้ายผมควรบอกเขาดีไหม

“แล้วก็อะไร” เขาทำหน้าเหมือนลุ้นอะไรสักอย่าง เห็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่กล้าทำให้เขาผิดหวัง

“แล้วก็ขอให้คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายยอมรับคุณตรีได้ทุกเรื่อง”

เขาดูอึ้งกับคำขอสุดท้ายของผมก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง

“แล้วคุณตรีขออะไรครับ” ผมถามบ้าง แต่เขากลับอมยิ้มไม่ตอบ เดินหนีผมไปเลย อะไรอ่ะ แบบนี้มันขี้โกงนี่

“คุณตรี อย่าโกงสิครับ ผมบอกของผมแล้วคุณตรีต้องบอกของคุณตรีด้วยสิ” ผมวิ่งตามเขาให้ทัน ใช้มือดึงเสื้อเขาเอาไว้ แต่เขาเบี่ยงตัวออกแล้วก็หัวเราะใส่ผม

“เขาบอกว่า...ถ้าบอกคำอธิษฐานแล้วมันจะไม่เป็นจริง”

“จริงเหรอครับ!”

“ไม่จริง”

“ห๊ะ?”

“ฮ่าๆๆ ตกใจขนาดนั้น” เขาหัวเราะสนุกสนานที่ได้แกล้งผม

“คุณตรีแกล้งผมเหรอ” ผมเผลอยกมือฟาดเข้าที่ต้นแขนของคุณตรี แต่แทบทันทีที่ผมรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรไม่ควรเกินไป เขาเป็นเจ้านายผมไม่ควรทำร้ายร่างกายเขา

“คุณตรี ผมขอโทษ” ผมกำมือตัวเองแน่น ทำไมผมถึงเผลอตัวทำอะไรที่มันไร้มารยาทแบบนั้น

คุณตรีหยุดหัวเราะแล้วมองหน้าผมเหมือนสงสัย ผมก้มหน้าลงต่ำเตรียมรับคำตำหนิ เขาต้องกำลังคิดว่าผมกล้าดียังไงไปตีเขา

ในขณะที่ผมคิดว่าเขาต้องดุแน่ๆ เขากลับจับมือที่กำแน่นของผมให้แบออก อย่าบอกนะว่าเขาจะตีมือผม มือข้างที่ทำร้ายเขา

“ผมขอโทษครับ ผมจะไม่...”

เพี๊ยะ!

“โอ๊ะ!”

เพี๊ยะ!

“คุณตรี ทำอะไรครับ อย่าตี”  ผมอุทานเสียงหลงพยายามจะชักมือกลับ แต่คุณตรีจับไว้แน่นมาก

เพี๊ยะ!

“ไม่เอา คุณตรีอย่า!” ผมกระชากมือตัวเองออกมา มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ

“เป็นอะไร ฉันแกล้งนายนี่น่า ก็ต้องโดนลงโทษ”

“ไม่เอาครับ มันไม่ควร” ผมรีบเก็บแขนเมื่อเขาทำท่าจะเข้ามาดึงมือผมไปตีตัวเองอีกรอบ เมื่อกี้เขาจับมือผมไปแขนเขาตั้งสามที

“ฟ้า วันนี้นายไม่ใช่ลูกน้อง นายคือฟ้าคนที่ฉันชอบ และวันนี้เรามาเดทกัน ดังนั้นวันนี้ก็เป็นตัวเองได้เต็มที่ ไม่ต้องคิดถึงฐานะอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม”

“ผม...”

“นะ ถ้านายไม่ปรับ เราก็ห่างกัน ความสัมพันธ์ของคนสองคน ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วเกร็ง แล้วไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกเกรงใจกันตลอดเวลา นายว่ามันไม่น่าอึดอัดเหรอ” เขาค่อยๆพูดให้ผมได้คิด มันก็จริงอย่างที่เข้าว่า

แต่สำหรับผมมันก็ยังคงอยากอยู่ดี ที่อยู่ๆจะให้เล่นหัวเล่นหางเขาเหมือนเพื่อนที่สนิทกัน แต่ถ้าเขาต้องการ ผมก็จะลองเปลี่ยนตัวเองดู

“ผมจะพยายามนะครับ”

“เวลานายอยู่กับแจ็ค นายสดใสและเป็นตัวของตัวเอง เป็นแบบนั้นนะฉันชอบ”

“ครับ”

ผมคงต้องพยายามปรับตัวเองให้มากขึ้นสินะ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แม้ว่าจะทำตัวไม่ถูก แต่ผมจะค่อยๆเรียนรู้ว่าเวลาที่คนรักอยู่ด้วยกัน ต้องทำยังไงบ้าง

ความจริงผมก็แค่กลัว กลัวที่จะเสียเขาไป ผมอยากทำให้เขาพอใจทุกอย่าง ถ้าเขาพอใจก็จะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเลิกจ้างผม แค่คิดว่าถ้าผมทำให้เขาโกรธทำให้รู้สึกไม่ดีกลับผมแล้วผมจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ ผมก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก

นี่ผมกลายเป็นคนโลภมากไปแล้วใช่ไหม

แต่ว่า ผมถอยหลังกลับไม่ได้แล้วด้วยสิ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือกระโจนลงไปทั้งตัว ถ้าความกลัวจะทำให้เรามีความสุขด้วยกันน้อยลง ผมก็จะเลิกกลัวแล้วเป็นตัวของตัวเองในแบบที่เขาต้องการ

“คุณตรี ถ้าต่อไปคุณตรีต้องปวดหัวเพราะผม ก็ช่วยไม่ได้แล้วนะครับ”

“กลัวจะไม่ปวดหัวมากกว่า”

หึ เขากล้าสบประมาทผมแบบนี้ได้ยังไง แต่เดาว่า มันคงจะเป็นเรื่องจริง ฮ่าๆๆๆ



ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld


ตลอดเวลาช่วงบ่ายเราเดินดูรอบวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งวิมานเมฆ และพระที่นั่งอนันตสมาคม พยายามจะเดินให้ครบทุกที่เท่าที่ทำได้ แต่ก็ได้เท่านี้จริงๆ ตอนนี้เย็นแล้วด้วย ทุกคนก็เลยลงมติกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ว่าคุณทิศ คุณเจมส์ แล้วก็คุณวิลบอกว่าจะตามไปทีหลัง บอกว่ามีของที่ต้องซื้อเลยตกลงแยกกันไปที่ร้าย

เดินลัดเลาะตามซอยมาเรื่อยๆ เราก็มาถึงร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำ ผมเดินตามคุณตรีที่จับมือผมไว้ไม่ปล่อย ภาพตรงหน้าทำให้ผมละสายตาไปไม่ได้เลย แสงสีทองที่สะท้อนผิวน้ำระยิบระยับเหมือนเพชรน้ำงาม พระอาทิตย์ดวงโตลอยต่ำอยู่เบื้องหลังพระปรางค์วัดอรุณ สายลมเย็นๆพัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ที่จัดตกแต่งในร้านลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ

คุณตรีพาผมไปนั่งที่โต๊ะริมระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวแบบที่ไม่มีอะไรมาบดบัง โต๊ะสำหรับหกที่นั่ง คุณตรีนั่งตรงกลางที่ฝั่งหนึ่ง ผมก็เลยนั่งที่เก้าอี้ตรงกลางฝั่งตรงข้ามเขา

“สั่งอาหารสิ” คุณตรีส่งเมนูอาหารให้ผม

“สั่งเลยเหรอครับ ไม่รอคนอื่นเหรอ”

“ไม่ต้องรอหรอก เราสั่งอะไรพวกนั้นก็กินทั้งนั้นแหละ”

“ครับ”

ผมเปิดเมนูอาหารดู เหมือนเป็นความเคยชินที่ผมจะต้องดูราคาก่อนดูอาหาร ผมจะรู้สึกไม่อยากสั่งของแพงเพราะว่าเกรงใจคุณตรี แต่ครั้งนี้คงไม่เป็นไร เพราะว่าเพื่อนคุณตรีก็ทานด้วย แต่ถึงจะเลิกสนใจเรื่องราคาอาหาร ก็ยังมีปัญหาเรื่องเมนูอาหารที่ผมไม่เคยกินเยอะแยะ

“คุณตรีช่วยผมเลือกสิครับ ผมเลือกไม่ถูกเลย บ้างอันผมไม่เคยกินด้วย”

“โอเค เดี๋ยวฉันช่วยเลือก”

ตกลงกันได้ผมก็เริ่มสั่งอาหาร ผมสั่งไปหลายอย่างอยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่าผู้ชายตัวโตๆทั้งสี่คนน่าจะกินกันเยอะ วันนี้ก็ใช้แรงเดินเที่ยวตลอดช่วงบ่าย ผมเองก็ทั้งเหนื่อยทั้งหิวมากเช่นกัน แต่มากกว่านั้นคือรู้สึกเต็มที่และมีความสุขที่ได้ออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตา

ระหว่างที่รออาหารผมก็นั่งดูบรรยากาศไปด้วย ไม่ใช่ว่าจะได้มาเห็นวิวสวยจับตาแบบนี้ได้บ่อยๆเสียเมื่อไหร่ มีโอกาสก็อยากมองให้เต็มอิ่ม

“น่าอิจฉาคนแถวนี้นะครับ ได้มองเห็นภาพสวยๆแบบนี้ทุกวันเลย” ผมหันไปพูดกับคุณตรี และผมก็ถึงได้รู้ว่าเขาเอาแต่มองจ้องผม

“ชอบเหรอ” เขาถาม แต่สายตาก็ยังไม่ละไปไหน มองกันขนาดนี้ผมก็เขินสิ

“เอ่อ ชอบครับ ที่นี่บรรยากาศดีมาก โรแมนติกมากเลยครับ”

“ฉันก็คิดแบบนั้น” แล้วทำไมเขาต้องทำเสียงละมุนขนาดนั้น ผมไม่ได้ตาบอดถึงสามารถบอกได้ว่าตัวเองรับรู้ความรู้ทั้งหมดของเขาผ่านทางแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยน

“แต่ไม่เห็นมีคนอื่นในร้านเลย ทำไมมีแค่โต๊ะเราล่ะครับ” มัวแต่มองบรรยากาศริมแม่น้ำเพลินก็เลยไม่ทันสังเกตว่านอกจากพนักงานและพวกเราแล้วก็ไม่มีคนอื่นเลย

“ฉันเหมาร้านนี้ตั้งแต่หกโมงจนถึงร้านปิด” คุณตรียกแก้วน้ำขึ้นจิบด้วยท่าทีสบายๆ ต่างจากผมที่เริ่มนั่งไม่ติด

“เหมา เหมาร้านเหรอครับ คุณตรีเหมาทำไม”

“ดูทำหน้าเข้า ไม่มีอะไร แค่อยากได้ความเป็นส่วนตัว”

แค่นั้นน่ะนะ จริงดิ

“แต่เหมาร้านมันแพงไม่ใช่เหรอครับ จริงๆเราก็น่าจะกินร่วมกันคนอื่นได้” ผมไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่น่าจะมากพอดู

“เอาน่า อย่าคิดมากสิ เนื่องในโอกาสสำคัญทั้งที”

“คุณตรีชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย” ผมบ่นเขาเสียงเบา เขาก็แค่ยิ้มใส่

“ถ้าเป็นสมัยก่อน สามีหาเงินได้จะต้องให้ภรรยาเป็นคนเก็บเป็นคนจัดสรรปันส่วน เห็นนายเป็นแบบนี้แล้วฉันก็สบายใจ ในอนาคตฉันไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทองแล้ว”

“อะไรกันครับ” ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่ไม่อยากเข้าใจให้ตัวเองใจสั่นต่างหาก

“หึหึ ก่อนจะถึงเวลานั้นก็ขอฟุ่มเฟือยก่อนนะ ไว้นายเป็นภรรยาฉันเมื่อไหร่จะให้ดูแลเรื่องเงินทั้งหมดเลย”

แล้วคนอย่างคุณตรีก็ไม่เคยพลาดโอกาสที่จะแกล้งผมให้อาย

“ผมไม่ทำหรอก เงินใครก็ดูแลเอาเองสิครับ”

“จะดื้อเหรอไง”

“ใช่ครับ คุณตรีก็อยากได้แบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

“หึหึ เป็นเด็กดีจริงเลยนะ ว่านอนสอนง่าย” เขายื่นมือมาแตะคางผม ทำท่าเกาเหมือนผมเป็นแมว ผมปัดมือเขาออกแล้วเบ้ปากใส่

“คุณตรีอ่ะ!”

“ฮ่าๆๆ”

ผมคุยเล่นกับคุณตรีจนกระทั่งอาหารเริ่มมาเสิร์ฟ ตอนนี้พระอาทิตย์ก็เกือบจะลับขอบฟ้า เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด บ้านเรือนต่างๆก็เริ่มเปิดไฟเพื่อชดเชยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะหมดไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของบรรยากาศลดน้อยลงเลย

อาหารทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมมองอาหารแต่ละจากตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น แล้วจู่ๆเสียงเพลงก็ดังขึ้น ผมหันไปมองทางต้นเสียง

“มีวงดนตรีมาเล่นด้วยเหรอครับ” ผมถามคุณตรีด้วยความสงสัย ทีแรกยังไม่มีเลย หรือว่าจะมีเฉพาะตอนกลางคืน

“อืม สำหรับโอกาสพิเศษน่ะ เพราะฉันเหมาร้าน เจ้าของเขาก็เลยจัดวงดนตรีมาให้ด้วย”

“ดีจังเลยครับ” ผมหันกลับไปมองยังกลุ่มคนที่กำลังสีไวโอลินแล้วก็เป่าเครื่องเป่าอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จัก ไม่ต้องมีเสียงร้อง ไม่ต้องรู้จักชื่อเพลง แต่ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีได้อย่างง่ายดาย

“ทำไมเพื่อนคุณตรียังไม่มาอีกละครับ เขาหาร้านไม่เจอหรือเปล่า” นี่ก็เกือบจะชั่วโมงหนึ่งแล้ว อาหารก็มาเสิร์ฟจะครบแล้วด้วย”

“พวกนั้นบอกว่าใกล้ถึงแล้วแหละ”

“อ่อครับ”

ผมนับดูแล้วอาหารบนโต๊ะมาเสิร์ฟครบตามที่สั่ง แต่พนักงานกลับเอาอาหารอีกจานมาเสิร์ฟ เขามีฝาครอบสีเงินปิดไว้ผมเลยไม่รู้ว่าข้างในมันคืออะไร จะบอกว่ามาเสิร์ฟผิดโต๊ะก็ไม่ได้ในเมื่อทั้งร้านมีแค่โต๊ะผมโต๊ะเดียว

“ฉันสั่งมาเอง” คุณตรีพูดแล้วขยับจานอาหารจานอื่น จนเว้นที่เหลือไว้ตรงกลางให้พนักงานวางอาหารจานนั้นลงตรงกลาง

ทันทีที่พนักงานล่าถอยออกไป คุณตรีก็ลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมมาหาผม ผมมองการกระทำของเขา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อคุณตรีใช้มือทั้งสองข้างของเขาปิดตาของผมเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างรอบตัว ผมนั่งเฉยๆแล้วหลับตา เสียงดนตรีเปลี่ยนท่วงทำนองเป็นทำนองที่ช้าลงแต่ฟังแล้วหวานละมุนจับใจ

“หวังว่านายจะชอบ ในสิ่งที่ฉันทำให้” คุณตรีกระซิบชิดใบหู แรงกดของฝ่ามือค่อยๆคลายตัวจนดวงตาทั้งสองข้างของผมเป็นอิสระ

แสงเทียนเป็นแสงแรกที่สาดเข้ามาในดวงตา เมื่อเริ่มปรับจุดโฟกัสได้สิ่งแรกที่ผมเห็นคือแหวนสองวงบนจานที่วางอยู่ตรงกลาง จานที่คุณตรีบอกว่าเขาเป็นคนสั่งมาเอง ผมมองไปรอบๆร้าน จากตอนแรกมีแค่แสงไฟ ตอนนี้มีเทียนจุดกระจายเต็มร้านไปหมด

คุณตรีเดินกลับไปนั่งที่เดิม เขามองจ้องหน้าผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม หางตาผมเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวจึงหันไปมอง พวกพี่เขายืนอยู่ใกล้ๆทั้งสามคน ทุกคนส่งยิ้มให้ผมเหมือนให้กำลังใจ

“ฉันเคยบอกกับนายไว้ ว่าหลังจากที่งานของฉันเสร็จ ฉันจะหาสถานะมาให้ ตอนนี้งานของฉันก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่ามันสำเร็จได้เพราะว่านาย ขอบคุณที่คอยอยู่ดูแลฉัน และให้กำลังใจฉันตลอด ขอบคุณที่ชอบคนอย่างฉันและอยู่เคียงข้างในทุกๆวัน เพราะนายฉันถึงมีวันนี้”

“คุณตรี...” ผมพูดอะไรไม่ออก ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาของเขา รวมถึงเซอร์ไพรส์ในวันนี้ ความรู้สึกตื้นตันมันตีขึ้นมาจนจุกอยู่ที่ลำคอ ดวงตาร้อนผ่าวเพราะน้ำตาที่รื้อคลอเต็มทั้งสองดวง

“นายคือคนที่เข้ามาในชีวิตฉันเมื่อสี่ปีที่แล้ว นายเข้ามาในช่วงเวลาที่ฉันหมดหวังกับชีวิต นายเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆที่พยายามจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่โหดร้ายแม้ว่านายจะไม่เหลือใครในครอบครัวก็ตาม นายทำให้ฉันเห็นว่าตัวเองมันน่าสมเพชแค่ไหนที่คิดจะยอมแพ้ให้กับปัญหา เพราะนายถึงได้มีฉันในวันนี้นะฟ้า”

ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา “เพราะคุณตรีเก่งต่างหาก”

“มีแต่นายที่บอกว่าฉันเก่งเสมอมา”

“คุณตรีเก่งจริงๆนะครับ” ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

“ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่ฉันมีนายอยู่ในหัวใจ แต่รู้ตัวอีกทีก็คิดว่าปล่อยไปไม่ได้แล้ว ฉันรักนายนะฟ้า” น้ำตาของคุณไหลลงมาหนึ่งหยด เขาปาดมันทิ้งก่อนจะยิ้ม

“ผมก็รักคุณตรี” เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าที่จะบอกความรู้สึกกับเขา ตอนนี้มันคงไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมต้องขี้ขลาดอีกต่อไป

“หึหึ ไม่รู้ว่านายจะสังเกตเห็นไหมว่าฉันชอบนายตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ฉันยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย การตัดใจไปเรียนต่อต่างประเทศทำให้ฉันร้องไห้ข้ามคืนเลยล่ะ ตอนนั้นฉันบอกกับตัวเองว่า ไม่อยากไป ไม่ไปได้ไหม ฉันอยากอยู่กับนาย ไม่ต้องมีอะไรก็ได้ มีแค่นายก็พอคนที่เข้ามาทำให้ฉันรู้ว่ายังมีคนที่ห่วงใย แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ชีวิตที่มีแค่ความรักมันไม่มั่นคง ฉันอยากแข็งแกร่งและมั่นคงพอที่จะเป็นเสาหลักให้ครอบครัวของฉันในอนาคต ต่อให้เจ็บที่ต้องจากแต่ก็ต้องทำ”

คุณตรีทำให้ผมประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่เคยรู้ แต่วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่าเราใจตรงกันมาตั้งนานแล้ว

“ผมเองก็ชอบคุณตรีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ดีจังที่คุณตรีก็ชอบผม” ผมบังคับไม่ให้เสียงสั่นจนฟังไม่รู้เรื่อง คุณตรีพยักหน้าว่าเขารู้เขาเข้าใจ

“นับแต่นี้ขอให้ฉันดูแลนายนะฟ้า ถ้าฉันจะขอยกเลิกให้นายไม่ต้องมาเป็นผู้ช่วยฉันแล้ว แต่ช่วยมาเป็นคนรักของฉันได้ไหม จะได้ไหม”

ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นแล้วพยักหน้าโดยที่ไม่ต้องคิด

“ได้ครับ ผมตกลง”

คุณตรียิ้มทั้งน้ำตาไม่ต่างจากผม เขาหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาแล้วแบมือมาตรงหน้า ผมพยายามบังคับมือตัวเองไม่ให้สั่นยามที่วางมันลงบนฝ่ามือของเขา

“ต่อไปนี้นายคือคนรักของฉัน เป็นแฟนฉันแล้วนะฟ้า”คุณตรีสวมแหวนให้ผมที่นิ้วนางข้างซ้าย มันพอดีกับนิ้วผม วงที่เขาเลือกมาเป็นแหวงเงินมีพลอยหรือเพชรสีน้ำเงินประดับรอบวง ด้านข้างของตัวแหวนเป็นลักษณะลอนคล้ายโซ่ สวยจนไม่อาจละสายตา

“ใส่ให้ฉันบ้างสิ” คุณตรียื่นมือข้างซ้ายมาหาผมเมื่อเห็นว่าผมนั่งนิ่งเอาแต่พิจารณาแหวน

“ขอโทษครับ” ผมยิ้มเขิน หยิบแหวนอีกวงขึ้นมาสวมให้คุณตรี มันพอดีกับนิ้วคุณตรีเช่นกัน

“เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

“ครับ”

“เย้”

“วิ้ว”

คุณเจมส์และคุณวิลดึงพลุกระดาษจนเศษกระดาษแผ่นเล็กๆปลิวว่อนไปทั่วร้าน ดนตรีก็เปลี่ยนทำนองเป็นเพลงเร็วให้ความรู้สึกสนุกสนานเบิกบาน

“นี่ๆดอกไม้” คุณทิศเดินช่อดอกไม้มาให้คุณตรี คุณตรีรับมาถือไว้แล้วส่งมาให้ผม

“ขอบคุณครับ” ผมรับช่อดอกไม้มาถือไว้ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เคยเห็นแค่คนได้รับเป็นผู้หญิง ผมก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งแต่กลับได้รับสิ่งที่วิเศษที่สุดจากคนที่ตัวเองรัก

“อย่างนี้ต้องฉลอง เฮ้”

เพื่อนของคุณตรีเดินมานั่งร่วมโต๊ะทานอาหาร ทุกคนต่างหัวเราะและเอ่ยคำยินดีให้ผมกับคุณตรี ผมจะจดจำวันนี้เอาไว้ จะไม่มีวันลืมเลยว่าช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตมันเกิดขึ้นมาได้เพราะเขา

ขอบคุณนะครับคุณตรี...คนรักของผม


 :mew1:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่28
ค่ำคืนและเช้าวันแรกของการเป็นแฟนกัน


เหมือนฝันเหลือเกินมีความสุขจนไม่อยากจะตื่นเลย

ผมลอบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายที่กำลังขับรถพาเรากลับบ้าน เขายึดมือข้างขวาของผมไปตั้งแต่ขึ้นรถ คอยจับคอยบีบ กุมมือผมไว้บ้างหรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นประสานนิ้วทั้งห้าของเราเข้าหากัน ภายในรถมีเพียงเสียงเพลงดังคลอเบาๆ ไร้ซึ่งการพูดคุยแต่กลับสบายใจอย่างบอกไม่ถูก จะพูดว่าไม่ได้พูดคุยกันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะคุณตรีเขากำลังพูดผ่านมือของเขา ส่งต่อความรู้สึกของเราด้วยวิธีการจับมือ

เขาจะบีบมือผมเป็นจังหวะถ้าเขารู้สึกสบายใจ

ถ้าเขาบีบมือผมแน่นๆแล้วปล่อยแสดงว่าเขากำลังมันเขี้ยวผม ผมคิดว่าอันนี้ผมมั่นใจในความหมาย เพราะเขาจะทำพร้อมกับคำรามเบาๆในคอไปด้วย

แต่เมื่อเขาเปลี่ยนอิริยาบถของมือเป็นสอดประสาน ยามที่นิ้วทั้งห้านิ้วเกี่ยวคล้องกันมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น เหมือนเราได้เข้าใกล้ๆกันมากกว่าเดิมเพียงแค่จับมือ

และตอนนี้เขาก็ยกมือผมขึ้นไปจูบ เหมือนเราจะใกล้กันขึ้นไปอีก ใกล้มากรู้จนรู้สึกร้อนวูบวาบ ผมแน่ใจว่าในอาหารเย็นไม่มีสัตว์ปีกแม้แต่ไก่ แต่ทำไมในท้องเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างบินโฉบไปโฉบมา ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง

“คืนนี้นอนด้วยกันนะ”

ผมที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับสัมผัสที่มือตวัดสายตามองคุณตรีที่หันมาเอ่ยชวนให้ผมไปนอนด้วย จากที่หัวใจเต้นแรงอยู่แล้ว ตอนนี้มันเต้นหนักขึ้นจนรู้สึกแน่นหน้าอก

“นอนเฉยๆ ฉันยังไม่รังแกนายคืนนี้หรอก”

ผมคงแสดงอาการตกใจมากเกินไป เขาถึงรีบอธิบายสิ่งที่ผมเข้าใจผิด ก็ช่วยได้นิดหน่อยแต่ก็ยังหวิวในอกอยู่ แต่หายใจหายคอคล่องได้ไม่ถึงครึ่งนาทีเขาก็ทำให้ผมสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“แต่ว่าก็เตรียมตัวไว้หน่อยแล้วกัน ฉันอดทนมามากพอแล้ว และคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ทน คงไม่ว่าใช่ไหม”

เดี๋ยวนะ นี่ไม่เรียกว่ารุกเกินไปเหรอ เท่าที่นับดูเราเพิ่งเป็นแฟนกันยังไม่ถึงหกชั่วโมงเลยนะครับ อย่าว่าแต่ข้ามวันเลย

“คุณตรีใจเย็นสิครับ” ประโยคนี้ผมบอกทั้งเขาและบอกตัวเอง

รู้ไหมว่าที่เขาพูดมาแบบนั้นตัวผมเองก็คิดดีไม่ได้เลย ผมไม่ได้ใสซื่อนะ หนังโป๊ผมก็เคยดูมาแล้ว หนังโป๊ชายกับชาย

เนี่ยแหละ คงเพราะอยากรู้อยากลองว่ามันจะเป็นยังไง บางครั้งเวลาเราถูกจิตเบื้องต่ำครอบงำน่ะ เราก็มักคิดอะไรเพ้อเจ้อ เพราะตอนนั้นที่ผมดูผมเผลอคิดว่าถ้าผมกับคุณตรีมีอะไรกันมันจะรู้สึกดีไหม แต่มันก็เป็นแค่ความคิดชั่ววูบ วูบเดียวจริงๆ เพราะคิดว่ามันเป็นแค่ความฝันที่คงไม่มีวันเป็นจริง

“ใจเย็นอยู่นะ” เขาจูบมือผมจนมีเสียงดังจุ๊บ 

“นี่เรียกว่าใจเย็นแล้วหรือครับ ผมว่ามันเร็วเกินไป” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“งั้นเหรอ แต่เรารู้จักกันมาห้าปีแล้วนะ ถึงเราจะห่างกันไปสี่ปีก็เถอะ แต่ฉันน่ะชอบนายตั้งแต่ตอนนั้น สำหรับฉันห้าปีมันนานพอแล้วนะ ไม่ได้คิดว่ามันเร็วไป”

ถ้าจะพูดแบบนั้นมันก็ใช่ แต่ก็อดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้ พอเราเป็นแฟนกัน ช่องว่างของความห่างเหินก็แทบไม่มีเหลืออยู่ คุณตรีดูจะชิลกับความสัมพันธ์ของเราในขณะที่ผมกำลังปรับตัว

“แต่เราเพิ่งเป็นแฟนกันวันนี้นะครับ ผมคงดูเป็นคนใจง่ายนะถ้าทำแบบนั้นตั้งแต่วันแรก”

“นี่ รู้ไหมว่าบางคู่เขาได้กันก่อนจะเป็นแฟนอีก” บางทีคุณตรีก็พูดตรงเกินไปนะผมว่า

“ถ้าผมไม่พร้อมคุณตรีจะบังคับผมหรือเปล่า” ผมอยากรู้ถึงได้ถาม ผมเคยฟังพวกทอล์คโชว์ตามวิทยุนะ มีคนโทรไประบายว่าแฟนขอเลิกเพราะไม่ยอมมีอะไรด้วยหรือไม่ให้มีบ่อย

“ถ้าถามแบบนี้ก็คงตอบว่าไม่บังคับหรอก” เขาหันมาตอบเอาใจผม

“ผมรู้ว่าคุณตรีใจดี” ผมยิ้มประจบ พยายามเอาใจเขา เขาจะได้เมตตาไว้ชีวิตผม

“แน่ใจ?” เขาเลิกคิ้วสูง ก่อนจะแสยะยิ้มร้าย เขาดูเหมือนตัวร้ายในละครแต่เป็นลุคที่ทำใจละลายสุดๆ

“ทำไมคุณตรีเป็นคนแบบนี้ครับ” ผมมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาหลุดหัวเราะชอบใจ

“ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ที่ไม่แสดงออกก่อนหน้านี้ก็เพราะว่ากังวลว่านายจะกลัว เวลาเราอยู่ใกล้คนที่ชอบเราก็ต้องอยากสัมผัสอยากแสดงความรักอยู่แล้ว ฉันคิดแบบนั้นกับนายมาตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว รู้ไหมว่าฉันต้องอดทนมากแค่ไหนเพราะกลัวนายจะหายไปถ้าฉันเผลอไปล่วงเกินนายแล้วทำให้นายไม่พอใจ”

“...”

“นายอาจจะมองว่ามันเร็วนะฟ้า แต่ว่าลองมองย้อนไปว่าถ้าฉันไม่ต้องไปเรียนที่อังกฤษ ถ้าเราไม่ต้องห่างกันและนายก็อยู่กับฉันตั้งแต่ตอนนั้น เราคงเป็นแฟนกันตั้งแต่สองสามปีที่แล้ว และเราก็คงจะมีอะไรกันตั้งแต่ตอนนั้น ดังนั้นสำหรับฉันแล้ว ต่อให้คืนนี้เราจะมีเซ็กส์กันฉันก็ไม่คิดว่ามันเร็วตรงไหน” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ

“...” ผมไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะว่าเขินมันก็เขินแหละ แต่ที่เขาพูดมาก็พอจะเข้าใจได้

พอคิดว่าต้องทำเรื่องอย่างว่าแบบนั้นกับเขาจริงๆ ผมก็ปั่นป่วนไปหมด

“อย่าคิดมากนะฟ้า ให้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เวลาไม่ใช่ตัวกำหนด ที่ฉันต้องพูดกับนายตรงๆก็เพราะว่าฉันรู้ตัวเองดีว่าฉันอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป สถานะของเราไม่เหมือนเดิม ในเมื่อฉันเป็นแฟนนาย ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะกอดจูบหรือทำอะไรก็ได้กับแฟนตัวเอง แต่ถ้าถึงตอนนั้นฉันทำให้นายคล้อยตามไม่ได้ ถ้านายไม่ยินยอมจริงๆฉันก็ไม่ขืนใจนายหรอกนะ สบายใจได้”

“ผมไม่ได้คิดว่าคุณตรีจะทำแบบนั้นหรอกครับ ถ้าถึงตอนนั้นผมก็คง...ยอม” ผมรู้ตัวเองดีว่าไม่ว่ายังไงผมก็ตามใจเขาเสมอ

“หืม จะยอมจริงเหรอ” น้ำเสียงของเขาติดทะเล้นเล็กน้อย

“ก็ ผมก็ชอบคุณตรีเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยทำแบบนั้นกับใคร ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ผมกลัว”

กลัวทำไม่ถูก กลัวคุณตรีจะไม่ถูกใจ

“อย่ากลัว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ” เขากดจูบที่ฝ่ามืออีกครั้ง ไออุ่นร้อนจากริมฝีปากและลมหายใจของเขารินรดอยู่ที่มือของผม ส่งต่อมาถึงหัวใจก่อให้เกิดความอุ่นซ่านขึ้นในอก

กลับมาถึงบ้านคุณตรีก็ให้ผมไปอาบน้ำ พร้อมกำชับว่าคืนนี้ผมต้องไปนอนกับเขาที่ห้องของเขา ผมไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ถ้าไม่นับว่าเขาอยากจะมีอะไรกับผมจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดมากเรื่องที่จะร่วมเตียงกับเขา กลับกันคือผมอยากอยู่ใกล้ๆเขาตลอดเวลาด้วยซ้ำ แต่ว่าผมเขินไง ทุกคนเข้าใจไหม สมองของผมมันคอยแต่จะจินตนาการว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คิดแค่นั้นผมก็ใจสั่นไปหมดแล้ว

ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งต้องมาพิถีพิถันทำความสะอาดร่างกาย แต่คุณก็รู้ใช่ไหม เวลาที่เขากอดเขาหอมหรือตอนที่เขาสัมผัสร่างกาย ผมไม่อยากให้ร่างกายผมเหม็นหรือว่ามีขี้ไคลให้ดูสกปรก แต่ผมก็ไม่ใช่คนสกปรกนะครับ ผมมั่นใจว่าผมอาบน้ำสะอาดทุกครั้ง เพียงแต่วันนี้คิดว่าต้องทำให้มันสะอาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

คืนนี้ผมใส่ชุดนอนเต็มยศ เป็นชุดนอนแขนยาวขายาวผ้านุ่มที่คุณตรีเอาเป็นคนซื้อให้ แต่ถ้าผมนอนคนเดียวผมจะใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงบ๊อกเซอร์ ใส่ง่ายสบายตัวเวลานอน

จะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว แต่ผมยังไม่ง่วงเลยแม้แต่นิดเดียว มันตื่นเต้นไปหมด ร่างกายตื่นตัวเสียยิ่งกว่ากินกาแฟเข้าไปสักสิบแก้ว

“เฮ้อ เอาวะ” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ยังไงก็ยื้อได้ไม่นานหรอก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่างน้อยคืนนี้คุณตรีก็บอกแล้วว่าจะยังไม่ทำอะไรผม

ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของคุณตรี สองมือจับชายเสื้อตัวเองแน่นเพราะความประหม่า นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณบอกคนข้างในว่าผมกำลังจะเข้าไป ผมสามารถเปิดประตูเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องรอคุณตรีอนุญาตเพราะเขาเป็นคนสั่งเอาไว้ก่อนผมจะไปอาบน้ำ

ห้องนอนคุณตรียังเย็นอยู่เหมือนเดิม และเขากำลังเดินไปเดินมาในห้อง เขาหยุดมือที่กำลังเลื่อนผ้าม่านปิดให้สนิทแล้วหันมาจ้องผม

“คิดว่าจะไม่มาซะแล้ว” คุณตรีเดินเข้ามาหาผม เขาดึงผมเข้าไปกอดหลวมๆ วางมือทั้งสองข้างตรงช่วงบริเวณเอว

“ผมไม่มาได้ด้วยเหรอ” 

“ไม่ได้ คิดไว้ว่าถ้าอีกสิบนาทีนายไม่มา จะไปอุ้มถึงห้อง”

“เกินไปแล้วครับ” ผมโขกหัวกับหน้าอกแข็งแรง

“ฟ้า” คุณตรีกระซิบข้างหู

“ครับ”

“จูบนะ” เขาพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกและค่อนข้างที่จะเว้าวอน

ผมพยักหน้าแล้วยืนนิ่งให้เขากอดแน่นขึ้น เขาเปลี่ยนเป็นใช้แขนซ้ายรัดรอบตัวผมไว้ให้ร่างกายของเราแนบชิดกัน  มือขวาประคองใบหน้าของผมเชิดขึ้น จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียไปตามแก้มผมช้าๆ ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าเขากำลังสูดดมกลิ่นจากผิวแก้มของผม

ผมร้อนวูบวาบไปหมด ตัวสั่นเพราะความวาบวามที่เขาก่อมันขึ้น ที่ยึดเหนี่ยวเดียวของผมคือร่างกายของเขา ผมเผลอกอดตอบเขาแน่นเพื่อเกร็งร่างกายไม่ให้สั่นสะท้าน

จากที่เขากำลังสูดดมแก้มของผม เขาก็ค่อยๆเคลื่อนปลายจมูกมาคลอเคลียเล่นกับจมูกของผม ยิ่งเวลาที่เราหายใจรินรดกันร่างกายก็ยิ่งร้อนวูบวาบ และวินาทีต่อมาที่เขาแนบริมฝีปากลงมาจูบ โลกทั้งใบก็หยุดเคลื่อนไหว

มันเกิดขึ้นจริงๆ จูบแรกของผม จูบแรกของเรา

วินาทีแรกที่เขาแนบริมฝีปากบนปากของผมมันบางเบาและสั่นไหว วินาทีต่อมาจูบของเขาก็หนักหน่วงขึ้น ผมไม่เคยจูบมาก่อน อย่างมากก็แค่เคยเห็นในซีรีส์หรือในหนัง พอต้องมาเจอของจริงกับตัวเองผมก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งๆให้คุณตรีจูบไปเรื่อยๆจนสมองเริ่มพร่าเบลอ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมขยับริมฝีปากและปรับเอียงองศาของใบหน้าให้รับกับริมฝีปากเขามากขึ้น มีเสียงจ๊วบจ๊าบน่าอายดังคลอไปกับการแสดงความรักของเราสองคน คุณตรีกดจูบแล้วดูดริมฝีปากผมเน้นๆ เขาพาตัวของผมเคลื่อนที่ช้าๆ และเมื่อเขานั่งลงบนเตียง ร่างของผมก็นั่งลงบนตักของเขาโดยที่ริมฝีปากของเราไม่ห่างออกจากกันเลย

“ฟ้า ฟ้าครับ” คุณตรีเรียกชื่อผมเสียงคล้ายคนละเมอ เขาพูดชิดติดริมฝีปากให้ผมได้หายใจ แล้วก็บดเบียดริมฝีปากอีกครั้ง ลิ้นของเขาสร้างความชื้นแฉะไปทั่วกลีบปาก ก่อนจะค่อยๆสอดแทรกความนุ่มหยุ่นแต่เร่าร้อนเข้ามาในปากของผม ผมหดลิ้นหนีแต่ลิ้นของคุณตรีก็ควานหาจนเจอ เขาไล่ต้อนและล่าถอย เรื่องน่าอายคือลิ้นของผมตามติดลิ้นของเขาเหมือนไม่อยากห่าง เลยกลายเป็นว่าลิ้นของผมเข้าไปอยู่ในปากของเขาให้เขาดูดเล่น

จ๊วบ!

“อื้ม” ผมครางเสียงแผ่ว ไม่คิดเลยว่าจูบกันมันจะดีขนาดนี้

มือของคุณตรีเริ่มซุกซน เขาลูบไล้แผ่นหลังของผม สอดมือเข้ามาในเสื้อนอน บีบเคล้นเนื้อตรงเอวเป็นจังหวะ คอยผ่อนหนักผ่อนเบา ในขณะที่ริมฝีปากของเขาก็ยังไม่หยุดขยับดูดกลืน

คุณตรีเหมือนไม่ใช่คุณตรีคนเมื่อวานและวันก่อนๆ เขาเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อผมมากจนผมทนรับดาเมทนั้นไว้ไม่ไหว

กว่าพายุจูบจะจบหลงก็เป็นตอนที่ตัวผมถูกจับให้นอนหงายโดยมีคุณตรีคร่อมทับอยู่ด้านบน เขาหยุดจูบแต่ไม่หยุดสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายและจิตใจของผม ใบหน้าหล่อเหลาซุกอยู่ที่ซอกคอ เขากดจูบไปตามผิวเนื้อ ผมได้แต่นอนตาปรือหอบหายใจถี่

“หอมจังเลย ฟ้าครับ” เขาพึมพำ

“อ๊ะ คุณตรีครับ” ผมร้องเสียงหลง แขม่วท้องหนีโดยอัตโนมัติเมื่อความร้อนจากฝ่ามือของคนบนร่างลูบหน้าท้องของผมเป็นวงกลม ผมเป็นคนบ้าจี้อยู่แล้ว โดนเขาสัมผัสแบบนี้มันทำให้ขนอ่อนลุกชันตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงหนังหัว โดยเฉพาะยามที่ปลายนิ้วของเขาแตะโดนรอยแผลเป็นที่หน้าท้อง ผมเกร็งแขม่วท้องหนี ไม่ได้เจ็บแต่มันเสียวแปร๊บเหมือนโดนไฟช็อต

เสียว...ผมเสียวไปทั้งร่าง

เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ผมไม่เคยมี แต่เมื่อเขานำพามาให้ผมรู้จัก แม้จะเขิน แม้จะอาย แต่ก็พูดได้เลยว่ามันดีมากจริงๆ

“รู้ไหมว่าฉันต้องการนายขนาดไหน” คุณตรียกใบหน้าออกจากซอกคอของผม เขามองจ้องเข้ามาในดวงตา ผมไม่เคยเห็นเข้าใช้สายตาแบบนี้มองผม สายตาที่ร้อนแรงเหมือนอยากจะกลืนกินผมไปทั้งตัว และร้อนมากขึ้นไปกว่าเดิมเมื่อเขาทิ้งน้ำหนักตัวช่วงล่างมาทับผม หน้าของผมร้อนไปหมด ความแข็งขึงที่ดุนดันอยู่ตรงเป้ากางเกงเป็นคำตอบของคำถามเมื่อครู่

“คุณตรีจะไม่ทำใช่ไหมครับ” ผมถามเสียงพร่าไม่ต่างจากเขา ผมรู้ว่าเขามีความต้องการ ผมเองก็เริ่มรู้สึกไม่ต่าง แต่ทว่าผมยังไม่พร้อม การร่วมรักระหว่างชายกับชายมันต้องเตรียมพร้อมมากกว่าผู้หญิง ผมอยากได้เวลาที่จะเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับเขามากกว่านี้

“แม้จะทรมาน แต่คืนนี้ฉันจะทำตามสัญญา” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอดทนอดกลั้น

“ขอเวลาให้ผมหน่อยนะครับ” ผมกอดแขนรอบลำคอของคุณตรี ปล่อยให้เขาซุกไซ้ไล้จูบไปทั่วบริเวณหน้าและลำคอ จวบจนเขาเคลื่อนตัวลงต่ำแล้วพร่ำจูบไปทั่วหน้าอกของผม

คุณตรีเป็นพวกมือไวใจเร็วไม่ใช่เล่น กระดุมเสื้อของผมหลุดออกจากรังดุมยกแผง

ผมยกหัวขึ้นมองคนตัวโตที่กำลังพรมจูบบนหน้าอก เพราะยังไม่ได้ปิดไฟจึงเห็นทุกอย่าง ภาพตรงหน้ามันน่าอาย แต่ก็น่าตื่นเต้น เขาจูบเกือบทุกพื้นที่ยกเว้นหัวนมของผมที่มันแข็งชูชัน

ไม่คิดว่าเลยตัวผมจะเป็นคนที่ลามกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีความคิดที่ว่าอยากให้เขาดูดมันเข้าปากแล้วเลียให้

บ้า มันบ้ามากๆ เขาทำอะไรกับร่างกายผม ทำไมผมถึงกลายเป็นคนหื่นกามไปได้เนี่ย

“อือ อ๊า” ผมโหยงตัวขึ้นเมื่อถูกจู่โจมในจุดที่ผมเพิ่งจะคิดไม่ดีไปเมื่อสักครู่ เขาทำอย่างที่ผมคิดจริงๆ ความเสียวแล่นไปทั่วสันหลังและช่องท้อง ยามเขาดูดมันแรงๆทีตัวผมก็กระตุกเกร็งที ยังไม่นับนิ้วมือของเขาที่บีบเขี่ยหัวนมอีกข้าง ราวกับว่าไม่อยากให้มันน้อยเนื้อต่ำใจยามที่ดูดเลียหัวนมอีกข้างหนึ่ง

“คุณตรีครับ ดะ เดี๋ยว ก็หยุดตัวเองไม่ได้นะครับ” ผมเอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเขาเริ่มพุ่งสูงขึ้นจากแรงที่เขาเสียดสีร่างกายกำยำกับร่างกายของผม

“อืม พยายามอยู่” เขาพูดว่าพยายาม แต่ไม่หยุดที่จะใช้ริมฝีปากและฝ่ามือร้อนๆปั่นป่วนผม

“อึก พอแล้วครับ” ผมหดท้องเมื่อโดนเล่นงานที่แอ่งสะดือ

“เจ็บไหม” เขาผงกหัวจ้องรอยแผลเป็นที่โดนแทง

“ไม่เจ็บแล้วครับ” ผมตอบ มองเขาใช้นิ้วแตะที่แผล ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเคลื่อนตัวต่ำจนริมฝีปากเขาแตะบนรอยนูน สัมผัสบางเบาราวปีกผีเสื้อคลอเคลียปลอบประโลม

“เฮ้อ อา” คุณตรีผ่อนลมหายใจแล้วทิ้งตัวแผ่นอนหงายข้างๆผมกะทันหัน

เสียงหอบหายใจของเราสองคนดังก้องไปทั่วห้อง ผมมองดวงไฟบนเพดาน กำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นปกติ สภาพผมตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สาบเสื้อนอนแหวกไปถึงไหนต่อไหน ยังดีที่กางเกงยังอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ผมไม่มีเรี่ยวแรงเลยเหมือนโดนสูบพลังงานออกไปจนหมด

แต่อาการผมไม่น่าแย่เท่าคุณตรี ผมเหลือบมองเขา คุณตรีหายใจแรงแต่ก็ช้าเป็นจังหวะ เขานอนหลับตานิ่งๆ มือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างข่มอารมณ์ ผมมองแล้วก็ได้แต่รู้สึกสงสาร แต่ว่ามันยังไม่ใช่วันนี้ ถ้ามันจะต้องเกิดขึ้นผมก็อย่างเตรียมตัวให้พร้อม เราจะได้รู้สึกดีด้วยกันทั้งคู่

“ไหวไหมครับ” ผมแตะที่แขนถามเขา คุณตรีสะดุ้งลืมตา เขาเบี่ยงแขนหนีเล็กน้อยเหมือนผมเป็นของร้อน

“โทษที เดี๋ยวฉันมานะ ถ้าง่วงก็นอนก่อนเลย” คุณตรีลุกออกจากที่นอนแล้วเดินตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเข้าไปทำอะไร

ผมก้มมองฟ้าน้อยในกางเกง มันเองก็กรึ่มๆเหมือนกัน แต่ผมยังพอควบคุมมันได้ ผมลุกขึ้นนั่งติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อย ก่อนจะมองดูที่ทางบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ หมอนสองใบ ผ้านวมผืนใหญ่ ห้องคุณตรีไม่มีหมอนข้าง ผมไม่ใช่คนติดหมอนข้าง แต่ผมไม่เป็นคนเอาผ้าห่อตัวแล้วนอนก่าย

“เอาไงดี” ผมหันซ้ายหันขวา ถ้าออกไปเอาผ้าห่มที่ห้องมามันจะเกะกะเกินไปหรือเปล่า อืม ถ้าใช้ผ้าห่มสำรองที่บางลงมาหน่อยก็น่าจะไม่เป็นอะไร คุณตรีคงจะไม่ว่าผมหรอก ผมเป็นแฟนแล้วนะ ว่าไม่ได้แล้วล่ะ

ผมกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ไปที่ตู้เก็บอุปกรณ์เครื่องนอนสำรอง ผมหยิบผ้าห่มขนาดกลางมาหนึ่งผืน ไม่หนามากแต่มีความนุ่มฟู แบบนี้ตอนนอนน่าจะกอดสบาย

ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง แต่ดันชนกับคุณตรี เขามองผมด้วยสายตาที่เป็นกังวลก่อนจะถอนหายใจออกมา ผมเห็นหยดน้ำที่ปลายผมของเขา คงเข้าไปจัดการตัวเองแล้วก็ล้างหน้าระงับอารมณ์ละมั้ง

“คิดว่ากลัวจนหนีกลับห้องไปแล้ว” คุณตรีว่าก่อนจะจับแขนผมที่โอบผ้านวมไว้เข้าห้องพร้อมปิดประตูตามหลัง

“ผมไปเอาผ้าห่มมา ผมติดนอนก่ายผ้าห่ม”

“มาก่ายฉันแทนสิ” เขาพูดแล้วดึงผ้าห่มออกจากมือผมโยนลงบนที่นอน

“มันไม่เหมือนกันนี่ครับ”

“แล้วใช้ของฉันไม่ได้หรือไง ผืนมันใหญ่นะ”

“ผมกลัวตอนนอนผมจะดึงมาก่ายทั้งผืนน่ะสิครับ ถึงตอนนั้นคุณตรีจะนอนโดยไม่มีผ้าห่มห่มนะ”

“งั้นก็ห่มผืนเดียวกับฉัน ส่วนที่เอามาก็เอาไว้ก่าย โอเคไหม” เขาลูบแก้มผม

“ครับ”

“นอนเถอะ ตีหนึ่งกว่าแล้ว” คุณตรีดึงตัวผมให้ขึ้นไปนอนบนเตียง ก่อนจะเดินไปปิดไฟ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดผมได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินกลับมาที่เตียงนอน ก่อนจะรับรู้แรงยวบ ผมสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มของคุณตรี จัดแจงเอาผ้าห่มอีกผืนขยุ้มเป็นก้อนวางไว้ชิดกับขอบเตียง

“ฟ้า เขยิบมานี้” คุณตรีดึงผมให้ขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ ให้แผ่นหลังของผมชนกับแผ่นอกของเขาพร้อมทั้งสอดแขนให้ผมหนุนนอน มืออีกข้างก็พาดไว้บนเอวเป็นการกอดผมกลายๆ ผมดึงผ้าห่มเข้าหาตัวแล้วเอาขาซ้ายก่ายทับ ขยับจนได้มุมที่พอดี

“ฝันดีนะครับคุณตรี” ผมกระซิบบอกเขาผ่านความมืด

“จุ๊บ ฝันดีครับ” เขากดจูบที่ข้างแก้มแล้วพูดกับข้างหู แรงกอดรัดจากคนข้างหลังแน่นขึ้นจนอึดอัดเล็กน้อย แต่ความรู้สึกดีมีมากกว่าผมเลยไม่เอ่ยขัด ผมหลับตาลงแล้วยิ้มอย่างมีความสุขในความมืด

ค่ำคืนแรกหลังจากที่เราเป็นแฟน ผมนอนในอ้อมกอดของเขา อ้อมกอดของคุณตรีอุ่นจนแอร์ในห้องทำอะไรผมไม่ได้เลยสักนิด






เมื่อคืนก่อนที่ผมจะเข้ามาในห้องนอนของคุณตรี ผมคิดว่าตัวเองจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ไหงผมนอนหลับสนิทจนไม่ตื่นละเนี่ย

“เด็กดี ตื่นได้แล้ว” เสียงรบกวนดังขึ้นข้างหู

“อื้อ” ผมครางรับในลำคอ เรียกสติตัวเองให้ตื่น การเปิดเปลือกตาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมยืดตัวบิดขี้เกียจด้วยความเคยชิน แต่ก็ทำได้ไม่สุดเพราะมีคนกอดรัดผมเอาไว้ทั้งตัว

“คุณตรี กี่โมงแล้วครับ” ผมถามทั้งที่ตายังไม่ลืม นิ้วของเขาเขี่ยแก้มผมเล่น  ผมใช้เวลาชั่วครู่ในการปรับสายตาให้คุ้นเคยกับแสงไฟในห้องหลังตื่นนอน

“จะตีห้าครึ่งแล้ว”

“ง่วง” ผมพูดอย่างที่คิด นอกจากง่วงแล้วยังขี้เกียจด้วย จะผิดไหมถ้าผมจะพูดว่าผมขี้เกียจลุกออกจากเตียง ไม่รู้สิ เพราะผมกลายเป็นแฟนคุณตรีไปแล้วหรือเปล่า สถานะพิเศษนี้ทำให้ผมนิสัยเสียไม่ยอมลุกไปทำการทำงานของตัวเอง

“หึหึ ถ้าง่วงก็นอนต่อ” แต่เขากลับไม่ว่า แถมยังตามใจอีก

“ไม่เอา ผมไม่ทิ้งหน้าที่ตัวเองหรอกครับ” ผมบอกเขาเสียงแหบ นอนในห้องแอร์เย็นจัดทั้งคืน รู้สึกคอแห้งผิวแห้งแปลกๆ

“บอกแล้วไงว่าไม่ให้เป็นพ่อบ้านแล้ว จะให้เป็น...”

ผมเอามือปิดปากคุณตรี ยังไม่อยากได้ยินอะไรที่ทำให้ใจสั่นตั้งแต่เช้า แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มีหนทางอื่นในการแกล้งผม เขามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะจูบที่ฝ่ามือและใช้ลิ้นเลีย

“คุณตรีเลียมือผมทำไมเนี่ย ถอยเลยครับผมจะลุกแล้ว” ผมชักมือกลับแล้วดันตัวเขาให้ถอยห่าง

“โอเค ลุกก็ลุก” คุณตรียอมล่าถอย แต่ไม่วายขโมยหอมแก้มผมไปอีกที

“ชื่นใจ” เสียงหัวเราะในลำคอแบบนั้นคืออะไร เขากระตุกยิ้มมุมปากแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป ผมไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้ รีบลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อย

ผมรีบไปล้างหน้าแล้วลงไปเตรียมห้องฟิตเนสให้คุณตรี และเหมือนเดิมคือเขายังคงลากผมให้ไปออกกำลังกายทุกวันหนึ่งชั่วโมงโดยการเดินเร็วบนลู่วิ่ง จากที่ไม่ชอบทำทุกวันมันก็ชิน แต่ผมก็ยังไม่ชอบอยู่ดี แบบเราไม่ได้ชอบออกกำลังกาย แต่ถ้าทำมันก็ดีกับร่างกาย อีกอย่างผมขัดใจเขาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะที่เขาสั่งก็เพราะเขาเป็นห่วงอยากให้ผมแข็งแรง

ผมจะใช้เวลาอยู่ในห้องฟิตเนสน้อยกว่าคุณตรี เพื่อไปอาบน้ำแล้วไปเตรียมเสื้อผ้าให้เขา จากนั้นก็ลงมาเตรียมอาหารเช้า เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จเขาจะเรียกผมให้ขึ้นไปช่วยแต่งตัว ซึ่งทุกวันที่ผมขึ้นมาหาเขา เขาจะสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงแล้วเรียบร้อย แต่ทว่าวันนี้ผมกลับเจอเขายืนนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวกลางห้องแต่งตัว แถมตามลำตัวยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ทั่วทุกตารางผิว

เขาดูเซ็กซี่จนผมไม่กล้ามองจ้องนานๆ

“ผมออกไปรอข้างนอกนะครับ” ผมบอก ชี้นิ้วโป้งออกไปทางประตูแล้วหมุนตัวหันหลัง แต่แขนของผมถูกคว้าเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

“จะไปไหน ไม่แต่งตัวให้ฉันหรือไง” เขาลากผมกลับไปยืนหน้าชุดที่แขวนเตรียมไว้แล้ว

“ก็คุณตรียังไม่ใส่เสื้อกับกางเกงเลยนิครับ”

“ก็จะให้นายใส่ให้”

“แล้วทำไมผมต้องใส่ให้ ปกติคุณตรีก็ใส่เอง”

“เพราะก่อนหน้านี้นายยังไม่ได้เป็นแฟนฉันไง ฉันก็เลยต้องหวงเนื้อหวงตัวไว้ก่อน” เขาพูดเหมือนผมอยากจะลวนลามหุ่นของเขาอย่างนั้น เขาน่ะร้าย อย่างคิดว่าผมไม่รู้ว่าเขากำลังยั่วผมอยู่

แต่หุ่นของเขามันก็ดูดีจนมองแล้วเคลิ้มจริงๆนั่นแหละครับ ถ้าใครมาเห็นแบบผมแล้วไม่รู้สึกว่าอยากจะลูบคลำดูสักหน่อยละก็ คงตายด้านหรือไม่ก็ละทางโลกไปแล้ว

“ตอนนี้ก็หวงได้ครับ ผมไม่ได้อยากดูหรอก”

“หึหึ ไม่อยากหวงหรอก ฉันจะออกกำลังกายจนมีกล้ามมีซิคแพคไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้แฟนชอบ อยากให้แฟนภูมิใจน่ะห๊ะ คิดสิ”

“ครับๆ ผมก็ชอบแหละ” แต่มันก็เขินไง กลัวแสดงอาการแปลกๆออกไปตอนมองสำรวจร่างกายเขา กลัวเขาจับได้ว่าผมคิดไม่ดี

“งั้นก็แต่งตัวให้หน่อย” เขากางแขนสองข้างออก ออกอาการเชิญชวนเต็มที่

ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสวมให้เขา แล้วติดกระดุมให้ทีละเม็ด พอมายืนอยู่ตรงหน้าเขา คุณตรีก็โอบเอวผมดึงตัวเข้าหาให้เราใกล้กันจนเกือบจะแนบชิด

“ผมติดไม่ถนัดนะครับ” เพราะใกล้เกินไปทำให้ต้องงอแขนจนเกร็ง เขาเห็นว่าผมไม่สะดวกจริงๆก็เลยยอมปล่อย

ใส่เสื้อให้เขาเสร็จแล้ว ผมก็หันมามองกางเกงเจ้าปัญหา นี่ผมต้องเป็นคนใส่มันให้เขาจริงๆเหรอ ทำยังกับเด็กอนุบาลที่ให้ผู้ปกครองแต่งตัวให้ก่อนไปโรงเรียน

ผมไม่อยากทำตัวเหมือนเป็นผู้หญิงที่อ่อนต่อโลกอะไรขนาดนั้น ก็เลยหยิบกางเกงของเขามาปลดกระดุม แล้วใช้มือกางเอวกางเกงออกกว้าง พร้อมหันกลับไปนั่งย่อตัวลงเพื่อให้เขาใส่กางเกง

ใครจะไปคิดว่าเขาจะปลดผ้าขนหนูออก ตอนนี้ใบหน้าของผมก็เลยอยู่ตรงกลางลำตัวเขาพอดี ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หยุดนิ่งมองสิ่งตรงหน้าราวกับว่ามีหมุดตรึงเอาไว้ไม่ให้ละสายตา

ต้องขอบคุณชายเสื้อเชิ้ตใช่ไหมที่มันยาวพอจะปกปิดอะไรๆบางอย่างของเขา

เสียงหัวเราะในลำคอฟังดูเหมือนชอบใจ ผมได้สติรีบหันหน้าหนีแล้วหลับตา แรงขยับของกางเกงที่ผมถือทำให้รู้ได้โดยไม่ต้องมองว่าเขาเอาขาสอดเข้ามาในกางเกงแล้ว

“นี่ ไม่มองแล้วจะเห็นได้ยังไง” น้ำเสียงของคุณตรีเต็มไปด้วยความเย้าแหย่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วหันไปเผชิญหน้ากับเขา ผมทำหน้านิ่งแล้วพยายามไม่โฟกัสอะไรก็ตามแต่ที่อยู่ภายใต้กางเกงชั้นในสีแดงเข้ม

ผมไม่เคยก้าวก่ายของส่วนนี้ของเขา เขาจะซักทำความสะอาดเองเสมอ เพิ่งได้เห็นวันนี้เองว่าเขาชื่นชอบสีแดงมากขนาดไหน

“จ้องมากๆระวังมันตื่น อึก!”

ผมกระชากกางเกงขึ้นอย่างเร็วและแรง คุณตรีสะดุ้งเพราะเป้ากางเกงคงกระแทกโดนน้องชายของเขา ผมรู้สึกผิดแทบจะทันทีแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ ช่วยไม่ได้เขาอยากแกล้งผมก่อน และก็เป็นเขาเนี่ยแหละที่บอกว่าอยากให้ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมก็จะไม่เกรงใจ

“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมรูดซิปติดตะขอกางเกงให้เขา ก่อนจะเงยหน้าฉีกยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดให้หนี่งที






ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่29
ชีวิตของผมไม่อาจมีความสุขไปได้มากกว่านี้แล้ว


[THREE]

ผมมองตามหลังคนที่เดินออกไปหลังจากแต่งตัวให้ผมเสร็จ ก็ได้แต่ยืนยิ้มเป็นคนบ้าอยู่คนเดียว ฟ้าน่ารัก ยิ่งตอนเขาแก้มแดงหูแดงเวลาผมแกล้งยิ่งน่ารัก ที่ผ่านมาเขามักปล่อยให้ผมแกล้งตามอำเภอใจโดยไม่โต้ตอบ นั่นเลยทำให้ผมเดาใจเขาไม่ถูกว่าเขาชอบใจในการกระทำของผมหรือไม่

เขาเป็นแบบนั้นเพราะฟ้าขี้เกรงใจ และวางตัวเองไว้ต่ำกว่าผมเสมอ เหมือนเจ้านายกับลูกน้องจริงๆ ซึ่งผมไม่ต้องการความสัมพันธ์แบบนั้น ผมอยากให้เราสนิทกันจนสามารถแสดงความรู้สึกรัก โกรธ โมโห เอาแต่ใจ ทุกๆอย่าง ผมอยากให้เขาแสดงความรู้สึกทุกอย่างเวลาอยู่กับผม อยากให้รู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่ด้วยกัน

ก็ถือว่าเขาปรับตัวได้ค่อนข้างดี คาดว่าถ้าเขินแรงกว่านี้อีกนิด โมโหผมกว่านี้อีกหน่อยน้องชายผมคงแดดิ้นคามือ

เฮ้อ ว่าแล้วก็ยังเสียวแปลบอยู่เลยครับ มือหนักเอาเรื่อง

แต่งตัวเสร็จผมก็ลงไปข้างล่าง ฟ้าที่อยู่ในชุดนักศึกษาเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแลคที่พอดีตัว อืม ผมเห็นฟ้าในชุดนี้มาสองวันแล้วนะ รู้สึกหวงขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ผมพิจารณาแล้วพิจารณาอีกก็รู้สึกว่าเสื้อมันบางไป คงเพราะใส่มาสองปีแล้ว คงต้องพาไปซื้อใหม่

“วันนี้ทำอะไรกิน” ผมเดินมายืนซ้อนที่ด้านหลังของเขา มองสิ่งที่อยู่ในกระทะแล้วก็ต้องยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ฟ้าเรียนรู้ได้ดีว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร เป็นเด็กใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่รู้เป็นเพราะว่ามันเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้วหรือว่าเป็นเพราะเขาชอบผม ถึงได้ดูแลผมดีในทุกๆด้าน

ผมก็ให้คะแนนเยอะเพราะพิศวาสนั่นแหละ ถ้าให้ประเมินกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ยังต้องแก้อีกเยอะในเรื่องของการเป็นพ่อบ้าน แต่เพราะผมไม่ได้ต้องการให้เขามาเป็นพ่อบ้านจริงๆ ผมก็เลยไม่ได้อะไร ต่อให้เขาทำออกมาได้แย่กว่านี้ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ

“ผมลองทำมันบดดู ว่าจะทำหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำสักที แล้วก็แซลมอนรวมควันกับผักย่าง คุณตรีอยากได้อะไรเพิ่มไหมครับ” เขาหันมาถามความเห็น ผมส่ายหน้า แล้วเดินไปชงกาแฟของตัวเอง

และเพราะฟ้าไม่ใช่คนใช้ และผมไม่ต้องการแม่บ้านพ่อบ้านที่ไหนมาเพิ่ม ผมก็ต้องเริ่มดูแลตัวเองบ้างเพื่อไม่ให้ภาระทุกอย่างไปตกอยู่ที่ฟ้าคนเดียว

เริ่มต้นด้วยการชงกาแฟกินเอง และรินนมกับน้ำส้มคั้นใส่แก้วสำหรับผมและเขา

“คุณตรีไปนั่งเถอะครับ เดี๋ยวผมทำให้” เขาหันมาเห็นตอนที่ผมกำลังจัดโต๊ะอาหารเช้า

“ไม่เป็นไร ช่วยๆกัน”

“แต่มันเป็นหน้าที่ผม”

“มันก็ใช่ มันเป็นหน้าที่...ของว่าที่ภรรยา แต่ว่าที่สามีคนนี้ก็อยากจะช่วย ไม่ได้เหรอ”

ผมส่งยิ้มพิฆาตไปให้ รู้อยู่แล้วว่าถ้าเล่นมุกนี้ยังไงฟ้าก็ต้องยอม เขาไม่เถียงไม่อะไร บ่นอุบอิบคนเดียวแล้วเดินถือจานอาหารสำหรับเราสองคนมาที่โต๊ะ

เรานั่งทานอาหารเช้าด้วยกันเงียบๆ ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยจนกระทั่งทานเสร็จก็ไปส่งฟ้าที่มหาวิทยาลัย เห็นว่าวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวันเช้า

“เลิกเรียนแล้วรอตรงนี้ ฉันจะให้น้าภาพมารับ”

“ครับผม คุณตรีย้ำผมทุกวันเลย ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับ” เขาทำหน้างอ ผมก็เลยลูบหัวเขาไปที

“ฉันกลัวนายแอบไปเถลไถลที่อื่น” ผมก็พูดไปอย่างนั้น ที่ต้องย้ำบ่อยๆเพราะป้องกันไม่ให้ฟ้าปฏิเสธแล้วแอบกลับบ้านเอง เขาขี้เกรงใจจะตายใครบ้างไม่รู้

“ผมไม่หนีไปเที่ยวที่ไหนหรอกครับ คุณตรีรีบไปทำงานเถอะเดี๋ยวจะสาย”

“อืม ตั้งใจเรียน ถ้าเทอมนี้ได้เกรดดีจะมีรางวัลให้”

“อะไรเหรอครับ” ฟ้าทำตาลุกวาว ขอให้เป็นแบบนี้ตอนที่ผมให้ของรางวัลแล้วกัน ไม่ใช่ทำหน้าลำบากใจเวลาที่ผมซื้อของให้

“ยังไม่บอก ของรางวัลจะใหญ่ตามเกรด ห้ามต่ำกว่า3.00”

“สบายครับ ผมไม่เคยได้น้อยกว่านั้นเลย” เจ้าตัวทำท่าภูมิใจ

“ก็ดี ฉันไปละ"

“บ๊ายบายครับ” ฟ้าโบกมือลา เขาไม่ยอมเดินไปไหนจนกระทั่งรถของผมเคลื่อนตัวออกมา

“คุณตรียิ้มบ่อยขึ้นนะครับ” น้าภาพพูดกับผมพลางมองผ่านกระจกมองหลัง

“ผมมีความสุขครับ” ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ช่วงนี้ผมยิ้มบ่อย หมดภาพลักษณ์ผู้ชายสุขุมแสนเย็นชา ทำยังไงได้ ผมมีความสุขมากเสียจนกักเก็บเอาไว้ไม่อยู่ มันชอบแสดงตัวออกมาผ่านรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังทึ่ง

ฟ้า ผมเรียกเขาว่าฟ้า สายฟ้าอาจจะดูเกรี้ยวกราดไปสำหรับเขา ความอ่อนโยน ความใจเย็น เวลาอยู่ใกล้เขาแล้วก็มีความสุข ฟ้าเปรียบเสมือนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง สวยงามและสบายตา เขาเป็นท้องฟ้าของผม




เช้านี้มีประชุมสำคัญ ตอนผมมาถึงออฟฟิศ พ่อกับแม่ก็มารออยู่ก่อนแล้ว ผมเข้าไปทักทายตามมารยาท ไม่ว่าอย่างไรพวกท่านก็คือพ่อแม่ ครึ่งหนึ่งของความโกรธความน้อยใจมันก็มีความรักซ่อนอยู่

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้ท่านทั้งสอง

“สวัสดีจ้ะลูก” แม่ตอบรับ ส่วนพ่อก็นิ่งเฉย ท่านหยิบป้ายชื่อของผมที่ระบุตำแหน่งประธานกรรมการ หรือ CEO ขึ้นมาพิจารณาก่อนจะวางลงที่เดิม

“คิดว่าวันนี้ป้ายชื่อของแกจะยังอยู่ตรงนี้ไหม” พ่อหันมาถามผมเสียงเรียบ นิ่งสงบจนเดาอารมณ์ไม่ถูก ผมไม่สนิทกับพ่อจนถึงขั้นที่ว่าเดาอารมณ์ได้ ครอบครัวเราห่างเหินเกินจนหาจุดเริ่มต้นไม่ถูก

“ป้ายชื่อนั่นมันไม่สำคัญสำหรับผมหรอก พ่อไล่ผมออกได้ทุกเมื่อที่พ่อต้องการ แต่ความจริงก็คือความจริง ถ้าผมทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพ นั่นเท่ากับว่าผมทำสำเร็จ หวังแค่ว่าพ่อจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผม”

ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากเขา จะหน้าที่การงาน บริษัท เงินทอง ผมไม่ได้ต้องการ ของพวกนั้นไม่มีความหมายสำหรับผมเท่ากับชีวิตที่เป็นอิสระ

“ดูแกจะมั่นใจเหลือเกินนะ”

“ผมมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ” ผมมองพ่อตอบด้วยแววตาแน่วแน่

“แม้ว่าแกอาจจะคิดผิด” พ่อเลิกคิ้วสูง

“ถึงมันจะผิดแต่มันก็เพราะผมเลือกด้วยตัวเอง มันไม่น่าเสียใจเท่าผิดเพราะเชื่อคนอื่นมากกว่าเสียงหัวใจตัวเองหรอกนะครับ”

“ฉันแค่ไม่อยากให้แกล้มเหลว”

“ผมเคยล้มเหลวมาแล้ว และจะไม่มีครั้งที่สอง”

พ่อทำหน้าสงสัยในความหมายที่ผมเพิ่งจะพูดไป แต่เขาก็ไม่เอ่ยถาม เขาไม่เคยถาม และผมก็ไม่อยากจะเล่า คุณรู้ใช่ไหมลูกผู้ชายบางทีก็อีโก้สูงด้วยกันทั้งนั้น

ไม่มีเวลาให้เราสองคนพ่อลูกถกเถียงเรื่องส่วนตัวกันมากนัก คุณเอิงก็เคาะประตูขออนุญาตเข้ามา

“ได้เวลาแล้วค่ะท่านประธาน”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่ห้องประชุม” พ่อผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ผมมองหน้าคุณเอิงที่มองมายังผมด้วยความเป็นห่วง

“ผมโอเคครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ” ผมสอบถามอีกครั้งให้มั่นใจว่าทุกเรื่องทุกหัวข้อที่จะโชว์ในที่ประชุมเรียบร้อยดีตามที่คาดหวัง พลางเปิดดูเนื้อหาการประชุมในแท็บเล็ตอีกรอบ

“ทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วง ทีมทนายของเราก็มารอพร้อมแล้วค่ะ เอิงเชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี”

“ขอบคุณครับ ไว้งานนี้ผ่าน ผมจะอนุญาตให้ลางานแบบฟรีๆสามวัน”

“แค่สามวันเองเหรอคะ”

“มากกว่านั้นก็ได้ครับ ถ้าผมโดนไล่ออกก่อน แต่ถ้าไม่ เรายังมีโปรเจคต่อไปที่จะต้องทำนะครับ” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ เลขาของผมก็หัวเราะตามก่อนจะทำหน้ากระเง้ากระงอด

“โหย ไม่เอาอย่างนั้นสิคุณตรี เอิงไม่อยากหางานใหม่นะคะ สามวันก็ได้ค่ะ เอิงจะไปนอนดูซีรีส์ให้หนำใจเลย” เธอพูดอย่างมาดมั่น

“ตามนั้นครับ”

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก จัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมเข้าประชุม ขณะที่ผมกำลังเดินออกจากห้องทำงานเสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูแล้วก็ต้องยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นชื่อคนส่งกับข้อความของเขา

‘สู้ๆนะครับคุณตรีของผม ขอให้การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี ผมเป็นกำลังใจให้จากห้องเรียนนะครับ’

ให้ตายเถอะ ต้องทำให้รู้สึกหลงรักอีกแค่ไหนฟ้าถึงจะพอใจ ถ้าอยู่ใกล้ๆผมจะจับมาจูบให้หายอยาก

เวลาเหลือไม่มาก ผมรีบพิมพ์ตอบกลับไปพลางคิดในใจไปด้วยว่า แก้มนุ่มๆนั่นจะต้องฉาบไปด้วยสีแดงหลังจากที่ได้อ่านข้อความของผม

‘ถ้าการประชุมผ่านไปด้วยดี ขอตัวนายเป็นรางวัลหน่อยได้ไหมครับ’

ผมว่าผมพร้อมสำหรับทุกปัญหาและอุปสรรค ในเมื่อผมรู้ว่าต่อให้จะเหนื่อยยากสักแค่ไหนก็มีคนที่รอผมอยู่ที่บ้าน ด้วยรอยยิ้มและความรักของเขา





เบื้องหน้าของผมคือพ่อและแม่ ที่ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งที่นี่เพราะตำแหน่งประธานถูกยกมาให้ผม แต่ใช่ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่าอำนาจเบ็ดเสร็จมันอยู่ที่ใคร และเหล่าคณะกรรมการผู้บริหาร ผู้อำนวยการและหัวหน้าแผนกต่างๆ ผมปราดมองไปทั่วห้อง มีทั้งพวกที่หลบสายตาและพวกที่จ้องอย่างไม่ไว้หน้ากัน

ถ้าผมไม่ถูกไล่ออก คนพวกนั้นคือคนที่จะต้องออกไปแทน

“เอาละครับ เราจะเริ่มการประชุมประจำสัปดาห์กันเลย หัวข้อการประชุมในวันนี้มีไม่กี่เรื่อง รายละเอียดอยู่ในเอกสารไม่กี่แผ่นตรงหน้าทุกท่าน สามารถหยิบขึ้นมาอ่านและทำความเข้าใจได้นะครับ จะได้รู้เรื่องเวลาที่ประชุม” ผมแอบพูดแดกดันเล็กน้อย คนที่นี่ทำงานขาดความกระตือรือร้นเกินไป เพราะคิดว่าไม่ว่ายังไงบริษัทเล็กๆนี่ก็มีบริษัทพ่อคอยโอบอุ้มแบบไม่มีวันล้ม

“ในเอกสารแผ่นแรก จะแสดงยอดขายในสินค้าคอลเลคชั่นล่าสุดของเราในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาผ่านทางหน้าร้าน แผ่นที่สองเป็นการขายท่านออนไลน์ที่มีคณะกรรมการหลายท่านในที่นี้มีข้อโต้แย้งไม่เห็นด้วยกับวิธีที่ผมจะใช้กับบริษัทของเรา ในเอกสารทั้งสองแผ่นแจกแจงรายการสินค้าแต่ละชิ้น จำนวนที่ขาย และยอดเงินที่เราได้ มีการสรุปผลกำไรและต้นทุนเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ผมอยากให้ทุกท่านในที่นี้ดูให้ละเอียด แต่ถ้าหากว่ามีท่านไหนยังไม่พอใจ เปิดดูที่แผ่นที่สามนะครับที่บรรทัดล่างสุดของตาราง ยอดตัวเลขเหล่านั้นจะตอบได้ดี ว่าสิ่งที่ผมคิดและทำไปก่อนหน้านี้ มันทำให้บริษัทของเราที่ขาดทุนมาตลอดมีผลกำไรขึ้นมาได้อย่างไร” ผมกล่าวรวดเดียวพลางใช้สายตาลอบสังเกตสีหน้าและอาการของคนแต่ละคนในห้องประชุมใหญ่ และคนที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษก็คือพ่อ

พ่อของผมเปิดเอกสารดูอย่างใจเย็น กับเรื่องงานพ่อทุ่มเทและใส่ใจทุกรายละเอียดเสมอ ชีวิตของพ่อมีแต่เรื่องงาน สิ่งที่ทำให้เขาไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต นอกจากเรื่องงาน ชื่อเสียง และเกียรติยศ พ่อก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องใดเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเป็นเรื่องของคนในครอบครัว แม้แต่ภรรยาของตัวเอง

“มีใครจะแย้งอะไรอีกไหมครับ” เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครเห็นด้วยกับคอนเซ็ปต์นี้ เพราะมันขัดแย้งกับชื่อแบรนด์และคอนเซ็ปต์แบรนด์ ที่เน้นสินค้าหรูหรา แต่แบบสินค้ารอบนี้มันดูบ้านๆเรียบง่ายเกินไป แต่ใครจะสน เรื่องค้าขายเป็นเรื่องของการเจาะความต้องการของกลุ่มผู้ซื้อต่างหาก

“มี มันอาจจะขายได้และให้ผมกำไรดีก็จริง แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่ามันขัดแย้งกับคอนเซ็ปต์ของแบรนด์” คณะกรรมการบริหารท่านหนึ่งเอ่ยแย้ง ผมไม่คิดจะจำชื่อคนเหล่านี้ อีกไม่นานก็ไม่ต้องทำงานร่วมกันแล้ว บอกแล้วไงว่าไม่ผมก็พวกเขาต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป

“ก็ถ้าคอนเซ็ปต์เก่ามันขายไม่ได้ ผมว่าเอาคอนเซ็ปต์ใหม่แล้วเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ก็ได้นะครับ อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้บริษัทขาดทุน พนักงานก็ยังมีที่ทำงานมีรายได้” ผมเหน็บเข้าให้อีกชุด จะมายึดติดแต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ไม่แปลกใจที่บริษัทนี้ไม่มีความก้าวหน้า

“คุณอย่ามาพูดเป็นเล่นนะคุณตรี คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้” คณะกรรมการอีกท่านค้านขึ้น ผมไม่เก็บมาใส่ใจ

“เดี๋ยวท่านก็รู้ว่าผมจะทำได้หรือไม่ได้ แล้วไม่ทราบว่าคุณท่านมีความคิดเห็นยังไงครับ” คราวนี้ผมหันไปถามพ่อ จะไม่ถามเขาได้ยังไง ในเมื่อทุกอย่างที่ผมทำ เพียงเพื่อให้เขายอมรับในตัวผม

พ่อเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร ถอดแว่นสายตาออก วางมือประสานกันบนโต๊ะ เกิดความเงียบขึ้นในห้องประชุม ไม่มีกล้าเอ่ยอะไร รวมไปถึงผมที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ที่ท่านดิเรกพูดมามันก็จริง คอนเซ็ปต์นี้มันขัดกับวิสัยทัศน์และจุดประสงค์ของการตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา”

“นั่นไงครับท่าน” ตาแก่นั่นรีบยกหางตัวเองแล้วหัวเราะร่า ผมข่มใจให้สงบและยืนรอฟังว่าพ่อของผมจะพูดอะไรต่อ
“แต่ว่า ก็ถือว่าช่วยกอบกู้สถานการณ์ทางการเงินได้ แม้ว่ามันคงไม่มากพอให้ล้างหนี้จากการขาดทุนที่ผ่านมาทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเธอทำได้ดีในฐานะผู้บริหาร”

“ท่าน...!” คณะกรรมการหลายท่านที่ไม่ชื่นชอบเพราะผมข้ามหน้าข้ามตาพนักงานเก่าแก่บางคนเข้ามาทำงาน พวกหัวโบราณที่คิดว่าเด็กรุ่นใหม่ต้องลงไปทำงานระดับล่างก่อน

“พวกท่านจะโวยวาย ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของผมอย่างนั้นเหรอ” พ่อพูดเสียงเหี้ยมพลางกวาดสายตามองพวกที่ต่อต้าน

ผมขนลุกกับสิ่งที่ได้ยิน ยืนมองพ่อตัวเองแทบไม่กะพริบตา

‘ลูกชายของผม’

อย่างนั้นเหรอ

ผมไม่คาดว่าเขาจะพูดคำนี้ ไม่คิดว่าจะได้ยิน

“ที่ผ่านมาผมก็เอือมระอากับการทำงานของพวกท่านเต็มทน แต่ที่ไม่พูดเพราะผมแค่จะรอให้ถึงวันที่สิ้นสุดแล้วปิดบริษัทนี้ซะ”

เท่านั้นทุกฝ่ายก็ฮือฮากันมา ถึงขั้นพูดแทรกถามคำถามว่าจะปิดตัวบริษัทจริงหรือไม่ ผมได้แต่ส่งเสียงเหอะในลำคอ เพิ่งจะมาคิดได้หรือไง กอบโกยยักยอกเงินทุนจากบริษัทไปตั้งเท่าไหร่ มันจะไม่ขาดทุนขนาดนี้ถ้าคิดจะทำให้มันเติบโตจริงๆ

“เงียบ!” เสียงของพ่อก้องกังวาน แม้ว่าท่านจะแก่แล้ว แต่ก็ยังมีแรงตะเบ็งเสียงได้ดังจนน่าทึ่ง ไม่นับรวมกับสายตาที่เต็มไปด้วยพลังและอำนาจที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมก้มหน้าต่ำ พลันทั้งห้องประชุมก็กลับเข้ามาอยู่ในความสงบ

“ในเมื่อรู้สถานการณ์ของบริษัทกันดีแล้ว ก็ช่วยให้ความร่วมมือกับคนที่ผมแต่งตั้งให้มาบริหารที่นี่ด้วย เข้าใจไหม”

“ครับ” มีบางคนรับคำ บางคนยังแข็งข้อ ก็เพราะผมไปขวางหูขวางตาพวกเขา ไม่ให้ยักยอกเงินได้ยังไงล่ะ ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่เม็ดเงินก็คงจะหายไปจากกระเป๋าพวกเขามากโข แต่วันนี้มันจะต้องจบลงแล้วล่ะ

ผมแอบทำเรื่องนี้กับคุณเอิงสองคน ผมไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้แม้แต่เพื่อนหรือฟ้า ยิ่งคนน้อยยิ่งทำงานสะดวก ความจริงมันก็ได้ยุ่งยากอะไร ที่ผ่านมาทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมมือกันปกปิดตัวเลขในบัญชี ทำกันเป็นขบวนการ คนทำผิดย่อมทิ้งหลักฐานเอาไว้ แค่เอามาดูก็รู้ได้แล้ว ส่วนหลักฐานที่ว่าก็คือการโอนเงินจากบัญชีบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัวของคณะกรรมการและพนักงานอาวุโส

ทุกเรื่องที่เป็นปัญหาในชีวิต ผมจะเคลียร์มันให้จบภายในวันนี้

“กลับมาที่เรื่องยอดขาย ดี ถือว่าทำได้ดี ผลงานในครั้งนี้ฉันคงต้องยอมรับว่ามันผ่าน” แค่คำพูดง่ายๆ กลับยกภูเขาที่ผมแบกไว้ออกจากอก

“ขอบคุณครับ”

พ่อของผมหันมาสบตาผมนิ่งๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหา ผมขยับเปิดทางให้พ่อยืนอยู่ตรงหัวตรงจุดที่ผมยืนก่อนหน้า

“ผมในฐานะประธานใหญ่ของบริษัท ขอประกาศตรงนี้ให้ทราบโดยทั่วกันว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป คุณตรีรักษ์ โอฬารทวีสิน จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริษัทอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคำสั่งของเขาในบริษัทนี้ถือเป็นสิทธิ์ขาดสูงสุด หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ” สิ้นเสียงประกาศของพ่อ คนในที่ประชุมก็แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้แต่ผม

“พ่อ...” ผมไม่อยากจะเชื่อเลย แม้ใจจะคาดหวังให้พ่อมองเห็นผลงานที่ผมทำ แต่ไม่กล้าที่จะคิดว่าเขาจะยกบริษัทนี้ให้ผมจริงๆ

“ทำไม ไม่อยากได้เหรอ” พ่อหันมาถามผม

“เปล่าครับ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้พ่อด้วยความเคารพ พ่อพยักหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งประจำที่เดิม ผายมือให้ผมดำเนินการประชุมต่อ

“เอาล่ะครับ ก่อนที่เราจะคุยกันถึงเรื่องแผนการโปรโมทสินค้าในอันดับต่อไป ผมมีเรื่องสำคัญยิ่งที่อยากจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ คุณเอิงเชิญครับ” ผมส่งสัญญาณให้คุณเอิงนำเอกสารสำคัญในซองสีน้ำเงินที่ผมสั่งทำพิเศษวางลงตรงหน้าเหล่าคณะกรรมการและพนักงานที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้

ซองจดหมายสีน้ำเงิน ซองนี้มีทั้งสิ่งที่เป็นรางวัลและเป็นบทลงโทษจากผม

“ไหนๆผมก็ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้แล้ว ผมก็คงมีอำนาจมากพอที่จะจัดการสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากบริษัท เพื่อทำให้บริษัทของเรายังคงอยู่รอด กำจัดปลาเน่าแล้วเก็บปลาดีเอาไว้ เชิญทุกท่านเปิดเอกสารในซองสีน้ำเงินได้เลยครับ” ผมยิ้มเชื้อเชิญให้ทุกคนเปิดเอกสารออกมาอ่าน

แทบจะนับเวลาได้เลย แค่เพียงไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอีกครั้งในห้องประชุม ผมกระตุกยิ้มมุมปาก มองจ้องรองประธานกรรมการด้วยสายตาที่เหนือกว่า อ่า เขาชื่ออะไรนะผมจำไม่ได้ ผมไม่คิดจะใส่ใจด้วยสิ แต่หลังจากวันนี้จะไม่มีชื่อของเขาในบริษัทอีกแล้ว
“ฉันก็คิดไว้แล้วว่ามันต้องมีเรื่องแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าจะทำกันเป็นขบวนการนะท่าน” พ่อผมว่าหลังจากที่ดูเอกสารแสดงหลักฐานและรายชื่อผู้ที่ยักยอกเงินบริษัท

“ไม่ ไม่นะครับท่าน มันไม่จริง”

“จริงไม่จริง ผมจะให้ทนายของบริษัทเข้ามาชี้แจงนะครับ” ผมกล่าวด้วยความมั่นใจ

“หึ งามหน้าจริงๆ จัดการให้สิ้นซากด้วย ด้วยอำนาจที่ฉันเพิ่งให้ไป ฉันจะไปรอที่ห้องทำงาน” พ่อของผมลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุม เหล่าผู้อาวุโสร้อนรนเหมือนถูกไฟลนเก้าอี้ รีบลุกขึ้นหมายจะเรียกให้พ่อของผมอยู่ที่นี่ พวกเขาคงคิดว่าพ่อจะเห็นแก่มิตรภาพหรืออะไรก็ตามแต่เพราะว่าทำงานร่วมกันมานาน แต่ผมจะบอกให้ในฐานะลูกชายของเขาว่า ผู้ชายอย่างพ่อผม ไม่เคยมีคำว่ามิตรภาพอยู่ในหัว ถ้าใช้ประโยชน์ไม่ได้เขาก็ไม่ลังเลที่จะเขี่ยออกจากชีวิต

“ขอให้ทุกท่านนั่งประจำที่ด้วยครับ ไม่ว่ายังไง พวกคุณก็หนีคดีฉ้อโกงเงินบริษัทไปไม่ได้ครับ เพราะฉะนั้นช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นด้วย” ผมฉีกยิ้มเหยียบเย็นด้วยความสะใจ นับจากวันนี้ผมคงมาทำงานด้วยความสุขมากกว่าเดิม



ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld


ผมเดินกลับมาที่ห้องทำงานหลังจากที่สะสางจุดผิดพลาดจุดใหญ่ในบริษัทร่วมสามชั่วโมง สุดท้ายบุคคลเหล่านั้นก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้เพราะว่าหลักฐานมีพร้อม ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร และในบริษัทคงจะวุ่นวายไปสักพักเพราะว่าผมต้องการถอนรากถอนโค่นพวกคนเก่าๆที่ไม่น่าไว้วางใจออกให้หมดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำและง่ายต่อผมในการบริหารงาน

พ่อกับแม่ของผมนั่งจิบชาอย่างสบายใจ ไร้ซึ่งความตึงเครียดจากเหตุการณ์โละเซตผู้บริหารเมื่อสักครู่ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ก็พ่อผมเป็นคนแบบนี้

“เรียบร้อยดีใช่ไหม” ผมถาม ผมเดินไปนั่งที่โซฟา แม่รินชาให้ผม ผมเอ่ยขอบคุณเบาๆแล้วยกแก้วชาขึ้นจิบ ผมติดการดื่มชาจากแม่ เพราะแม่มาจากครอบครัวคนจีน ตอนเด็กๆผมก็ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

“ครับ ผมจัดการเรียบร้อย...ในแบบของผม” แบบที่ผมพอใจ แต่พ่ออาจจะไม่พอใจก็ได้

“หึหึ ฉันจะไม่ยุ่ง ในเมื่อฉันยกบริษัทนี้ให้แกแล้ว ไว้จะส่งทนายของตระกูลมาทำเรื่องยกบริษัทนี้ให้เป็นชื่อของแกก็แล้วกัน”

“พ่อครับ แล้วเรื่องสัญญา” ผมทวงถามสิ่งที่ผมต้องการที่สุด

“เฮ้อ ไม่ว่ายังไงแกก็เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหม ไอ้เรื่อง...ชอบผู้ชายน่ะ” ไม่บ่อยที่พ่อจะพูดเรื่องนี้ออกมาจากปากตัวเอง แต่เพราะวันนี้พวกเราได้เดินมาถึงจุดหมายปลายทางที่เราสองคนพ่อลูกกำหนดไว้ ไม่ว่ายังไงเขาก็เลี่ยงไม่ได้ ผมรู้ว่าพ่อเป็นคนรักษาคำพูด เพราะฉะนั้นผมถึงกล้าเดิมพันแล้วลงมาเล่นเกมนี้กับเขา

“แล้วที่ผ่านมาพ่อคิดว่าเปลี่ยนผมได้ไหม”

มันไม่ใช่เวลาแค่ไม่กี่วันไม่กี่สัปดาห์ แต่ผมพิสูจน์มาแล้วหลายปีว่าผมเปลี่ยนรสนิยมของตัวเองไม่ได้ ยังไงผมก็ชอบผู้ชาย และตอนนี้ผู้ชายคนนั้นก็ต้องเป็น...ฟ้า

“บางทีฉันก็ก่นด่าตัวเองที่ทำให้แกเกิดมาแล้วเลี้ยงแกไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่แกเหมือนฉัน นั่นก็คือความหัวรั้นไม่ฟังใคร” พ่อยิ้มเยาะกับตัวเอง ผมโคลงศีรษะว่าเห็นด้วย

“ผมขอโทษที่ผมเป็นแบบที่พ่อต้องการไม่ได้ แต่ผมยังยืนยันว่าที่ผมเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะต้องการประชด ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยถามตัวเองว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้มันก็ง่ายเสียเหลือเกิน ผมแค่ชอบแบบนี้ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” ผมพูดอย่างเหนื่อยล้ากับปัญหานี้ที่รุมเร้าเกาะกินความสุขของผมมาตลอด

พ่อของผมไม่พูดอะไร เขานั่งมองถ้วยชาในมืออย่างใช้ความคิด ผมเงยหน้ามองสบตากับแม่ เธอยิ้มบางๆให้กำลังใจผม ในแววตาของเธอนั้นเจือไปด้วยคำขอโทษและรู้สึกผิด ผมยิ้มตอบเล็กน้อยให้รู้ว่าผมไม่เป็นอะไร

ผมรู้ว่าแม่รู้สึกผิด แต่เธอเป็นผู้หญิงหัวอ่อน อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามี เธอเป็นลูกสาวของตระกูลคนจีนตระกูลใหญ่ ในฐานะลูกและภรรยาเธอทำหน้าที่ของเธอได้ดีเยี่ยม และเธออาจจะเป็นแม่ที่ดีกว่านี้ถ้าเธอมีลูกชายที่ดีที่พร้อมจะเชื่อฟังบิดามารดา เรื่องนี้ผมไม่โทษใคร ในเมื่อความคิดไม่ตรงกัน แยกกันอยู่ก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพียงแต่ผมก็อยากทำให้มันถูกต้องแล้วก็ประนีประนอมที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่คนที่ผมรักจะได้ไม่ต้องมาเป็นห่วงเป็นกังวลกับครอบครัวผมมากนัก

“ตรี” พ่อเรียกชื่อผมหลังจากที่นั่งเงียบใช้ความคิดมาสักพัก

“ครับ”

“ข้อตกลงที่ฉันเคยพูดไว้ แกได้รับสิทธิ์นั้น ต่อไปนี้แกก็ใช้ชีวิตของแกได้ตามใจชอบ อยากทำอะไร อยากเป็นอะไรก็ตามแต่ใจแก ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งอีกแล้ว”

ถ้าพ่อพูดมาแบบนั้น คือมันจบแล้วใช่ไหม

“...” อยู่ๆผมก็รู้สึกโหวง ความเสียใจมันตีตื้นขึ้นมา แต่ในเมื่อผมเลือกทางนี้แล้วผมก็ต้องยอมรับมันให้ได้

เอาเถอะ ไม่มีครอบครัว ไม่มีพ่อมีแม่ก็ไม่เป็นไร ผมยังมีฟ้า เขายังอยู่มาได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้เรามีกันและกัน มันจะเป็นอะไรไป ผมควรต้องดีใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“แต่แกจำไว้อย่างนะตรี แกยังเป็นลูกของฉันและฉันก็ยังเป็นพ่อของแก ต่อให้แกจะทำให้ฉันเสียใจมากแค่ไหน แกก็ยังเป็นลูกฉันอยู่ดี เพราะฉะนั้นแกยังกลับบ้านได้ทุกเมื่อที่ต้องการ”

ผมขยับสายตามองพ่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ความเสียใจที่ก่อตัวอยู่เมื่อครู่ถูกสายลมจากคำพูดของพ่อพัดปลิวเลือนหายไปในอากาศและพัดพาความรู้สึกผิดเข้ามาแทนที่

นึกไปถึงสิ่งที่ผมเคยทำกับพ่อ ผมเคยเกเร ผมเคยอาละวาด ผมเคยพูดให้พ่อน้ำตาตกในหลายต่อหลายครั้งเพราะความเลือดร้อนในตัวเองตอนที่ยังเด็กและไม่มีหัวคิด

ต่อให้ที่ผ่านมาผมอยากจะกล่าวโทษพ่อว่าทำไมถึงยอมรับในตัวผมไม่ได้ แต่ผมก็กล่าวโทษท่านได้ไม่เต็มปาก เพราะผมรู้ว่าพ่อไม่ยอมรับผมเพราะความแข็งกร้าวที่ผมเคยมีในวัยเด็ก ผมเองก็ทำผิดต่อพ่อไว้มากจนสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่าลูกอกตัญญู

“ขอบคุณครับพ่อ และผมขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ขอโทษที่ทำให้พ่อเสียใจ” ผมยกมือไหว้พ่อ ข่มความขำปร่าในลำคอกลืนมันลงท้อง

“อืม ช่างเถอะ ฉันขี้เกียจจะใส่ใจอะไรแล้ว แต่ว่า เรื่องที่แก...นั่นแหละ ฉันจะเป็นมองไม่เห็น อย่าควงผู้ชายออกหน้าให้มันประเจิดประเจ้อนัก รู้ไหมว่าฉันแทบอยากจะกว้านซื้อหนังสือพิมพ์ทิ้งเพราะว่าแกดันป่าวประกาศไปทั่วว่าชอบ...ผู้ชาย”

พ่อก็ยังคงเป็นพ่อ เขายังคงยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไร ความคิดคนเราเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ ผมไม่คาดหวังให้rjvอ้าแขนรับแล้วบอกว่าพ่อยินดีที่ลูกชอบผู้ชายด้วยกัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุด

“คุณค่ะ ลดเสียงลงหน่อย เดี๋ยวความดันก็ขึ้นอีก” แม่เอ่ยปรามพ่อเสียงนุ่ม เคยแบบคิดว่ามีสักครั้งไหมที่แม่ขึ้นเสียงใส่พ่อ

“ขอโทษครับ แต่ผมจะไม่โกหก พ่อคงไม่อยากมีลูกเป็นคนขี้โกหกหรอกมั้ง”

“เหอะ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งโมโห อย่าลืม ฉันไม่ได้ยอมรับ แค่จะไม่ยุ่ง จำเอาไว้ด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ยังไงก็ขอบคุณพ่อมาก ผมจะไม่ทำให้พ่อและตระกูลต้องขายหน้าเพราะเรื่องนี้แน่นอน ไว้ผมจะชดเชยให้ด้วยเรื่องอื่น” ผมมีเรื่องเดียวที่ผมจะทำให้พ่อเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณได้

“สิ้นปีนี้ ทำให้บริษัทนี้เติบโต ทำกำไรมาหักล้างหนี้ให้หมดซะ” พ่อสั่งเสียงเข็ม ดึงหน้าตึงอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ

“ผมต้องรับคำสั่งนี้เหรอ บริษัทนี้จะเป็นของผมแล้วนิ ผมจะทำยังไงแบบไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“ไอ้ตรี! แกยียวนฉันเหรอห๊ะ!” พ่อชี้นิ้วใส่หน้าผม

“เอาอีกแล้ว คุยกันดีๆไม่ได้เหรอคะ คุยกันไม่เคยเกินครึ่งชั่วโมงก็ทะเลาะกันทุกที”


“คุณก็ดูลูกชายคุณเซ่”

“แม่ก็ดูสามีแม่ด้วย”

แม่ผมได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

แต่สิ่งที่พ่อผมสั่ง ถ้ามันมีผลตอบแทนที่น่าสนใจก็ถือว่าน่าลอง

“ตกลงครับ ผมจะปลดหนี้บริษัทและทำให้บริษัทเติบโตภายในหนึ่งปี ถ้าผมทำได้ พอต้องมีรางวัลให้ผม” ผมเสนอข้อแลกเปลี่ยน พ่อมองผมอย่างหยั่งเชิงแต่ก็ตอบตกลง


“ว่ามา”

“ไปทานข้าวด้วยกันสักครั้งพร้อมกับคนรักของผม...ที่เป็นผู้ชาย”

“ไอ้ตรี!”

“กล้ารับคำท้าไหมพ่อ”

คนอย่างพ่อผม ฆ่าได้หยามไม่ได้ คำตอบเดียวเท่านั้นที่จะออกจากปากเขาก็คือ...

“เออ ฉันตกลง”

ดีลนะครับคุณพ่อ






...................................................................................
ดราม่าครอบครัวจบแค่ตรงนี้นะคะ ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี้จะดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ไม้อ่อนดัดง่ายไม่แก่ดัดอย่าง ยิ่งกับคนที่มีอีโก้สูงๆเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากๆจนติดเพดาน ได้แต่นี้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา ถ้าไม่ปิดกั้น เดี๋ยวอีกสักพักก็จะค่อยๆเริ่มเปิดใจ
มาลุ้นให้ตอนหน้ากันดีกว่าค่ะ จะมีคนไปขอรางวัลกับน้องล่ะ ฮึ่ย แค่คิดก็มันเขี้ยวแล้ว



ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่ 30
เมื่อเราต่างเป็นของกันและกัน


ตั้งแต่ช่วงเช้าจนกระทั่งช่วงเย็นฟ้ายังไม่ตอบกลับข้อความที่ผมส่งไปหา มันขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา ผมก็ไม่ได้อะไร ให้เวลาเขาได้เตรียมตัวเตรียมใจ นั่งรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี คงจะออกนอกหน้านอกตาเกินไปหน่อยถึงขนาดที่น้าภาพยังต้องเอ่ยทัก

“วันนี้มีเรื่องดีๆเหรอครับ น้าไม่ได้เห็นคุณตรีมีความสุขมานานแล้ว”

“ครับ งานของผมสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ แล้วก็ชีวิตของผมเป็นอิสระแล้ว พ่อจะไม่สร้างกฎเกณฑ์อะไรกับชีวิตผมอีกแล้ว ผมรู้สึกโล่งมากเลยครับ” น้าภาพก็เป็นอีกคนที่ทำงานกับครอบครัวผมมานาน จะมีคนงานไม่กี่คนที่ผมรู้สึกถูกชะตาที่จะอยู่ด้วย นั่นก็คือน้ากุ้ง น้าภาพ และอีกสองคนที่ยังอยู่ที่บ้านใหญ่

“น้าดีใจด้วยนะครับ ถ้านังกุ้งมันรู้ จะต้องดีใจกับคุณตรีมากๆเช่นกันครับ”

พูดถึงน้ากุ้งแล้ว ผมไม่ค่อยได้โทรไปถามไถ่ความเป็นอยู่สักเท่าไหร่ แต่ผมยังโอนเงินให้น้ากุ้งทุกเดือนเป็นเงินค่าจ้าง ยังไงวันหนึ่งผมก็อยากให้น้ากุ้งกลับมาทำงานด้วยหากว่าอะไรลงตัว

“ไว้ผมจะโทรไปเล่าให้น้ากุ้งฟังครับ”

“เฮ้อ ผมอยากเห็นวันนี้มานานแล้วครับ ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวเดียวกันต้องมาทะเลาะกันเลย ดีใจด้วยจริงๆนะครับคุณหนู” น้าภาพเรียกผมด้วยคำเรียกเดิมตอนที่ผมยังเป็นเด็ก แต่เพราะผมไม่ชอบเลยไม่อยากให้เรียกแบบนั้น และตอนนี้ผมโตแล้วด้วย

แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มรับเท่านั้น

รถยนต์ขับตรงกลับบ้าน ผมเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนสักอายุสามสิบกว่าที่มีครอบครัวแล้ว เช้าไปทำงานเย็นมาก็ตรงกลับบ้านไม่ได้ไปเถลไถลต่อที่ไหน ไม่รู้สิ เพราะผมไม่รู้สึกอยากจะไปไหนเป็นพิเศษเพราะมีหน้าที่ค้ำคอ และ...คนที่รออยู่ที่บ้านก็น่ากลับไปหามากกว่าเป็นไหนๆ

ฟ้าเลิกเรียนตั้งแต่แต่เที่ยง น้าภาพไปรับที่มหาวิทยาลัยแล้วก็พามาส่งที่บ้านก่อนจะรายงานผม ตอนนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่กับงานบ้านงานเรือน คิดแล้วก็หลุดยิ้มอีกครา ไม่ต้องมีเมียเป็นผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ทำได้เหมือนกัน หนำซ้ำยังทำได้ดีกว่าบางคนเสียด้วย

ผมลงจากรถ หยิบกระเป๋าเอกสารออกมาถือพร้อมกับเสื้อสูทที่ถอดออกตั้งแต่ขึ้นรถ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากใกล้ แฟนหมาดๆของผมวิ่งหน้าตาตื่นออกมาต้อนรับเฉกเช่นทุกวัน

แปลกๆนะ ทำไมต้องทำท่าทางลุกลี้ลุกลนขนาดนั้น หรือเพราะว่าข้อความที่ผมทิ้งไว้

“เป็นอะไร” อยากรู้ผมก็ทำ

“เป็น? เป็นอะไรครับ” เจ้าตัวทำหน้าซื่อตาใสว่าไม่รู้เรื่องในสิ่งที่ผมถาม แต่ไม่กล้าสบตา คว้าเอากระเป๋ากับเสื้อสูทผมไปถือไว้แล้วเดินเข้าบ้าน

“น้าภาพกลับไปพักผ่อนได้เลยครับ  วันนี้ผมคงไม่ออกไปไหนแล้ว” ผมหันกลับไปพูดกับน้าภาพที่ยืนรอคำสั่ง

“ครับ มีอะไรก็โทรเรียกหน้าใช้งานได้ตลอดนะครับ”

“ได้ครับน้า”

น้าภาพเดินไปที่รถจักรยานยนต์ของตัวเองแล้วขี่กลับบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก วันนี้ผมไม่มีอะไรให้ต้องทำ เรื่องงานไว้ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้ แต่ว่าวันนี้ผมขอไปแกล้งเด็กในบ้านก่อน

ผมทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา สักครู่ฟ้าก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำสีสวยในแก้วทรงสูง สีมันออกม่วงๆฟ้าๆดูแปลกตา ไม่รู้ว่าเป็นน้ำอะไร

“น้ำอะไรอ่ะ” ผมหยิบแก้วจากมือฟ้า ลองดมดู ได้กลิ่นมะนาวชัดที่สุด

“น้ำอัญชันมะนาวโซดาครับ สีสวยใช่ไหม”

“อืม สีสวยดี” ผมยกแก้วขึ้นจิบ ความหวาน ความเปรี้ยว และความซ่าของโซดาทำให้สดชื่นหายเหนื่อย

“แล้วไปเอามาจากไหน” ฟ้าเป็นคนช่างสรรหา ผมเลยได้อานิสงส์ไปด้วย ได้กินของอร่อยที่ไม่เคยกินหลายอย่าง

“ตอนเปลี่ยนคาบผมเดินไปถ่ายเอกสารหน้ามหาลัย เห็นยายแก่ๆแกขายพวกผักอยู่ริมทางเดิน เห็นมีดอกอัญชันผมก็เลยช่วยแกซื้อมา ผมซื้อตำลึงมาด้วย วันนี้ผมจะทำแกงจืดตำลึงใส่หมูสับกับเต้าหู้ไข่ให้ทานนะครับ”

“อืม ทำไมทำตัวน่ารัก” ผมชันศอกกับพนักโซฟา ใช้มือเท้าคางเอียงหน้ามองฟ้าด้วยความลุ่มหลง

“อะไรครับ” ฟ้ากลับมาทำตาเลิกลั่กอีกครั้ง

“เก็บอาการหน่อย กังวลเรื่องข้อความที่ฉันส่งให้เหรอ” ผมอมยิ้มเมื่อเห็นฟ้าตกใจอย่างน่าเอ็นดู

“ผม เปล่านะ ผมจะไปทำอาหารเย็นแล้วนะครับ”

“นี่ เดี๋ยวสิ” ผมคว้าแขนเล็กเอาไว้ ออกแรงกระตุกนิดเดียวตัวของฟ้าก็ถลาเข้ามาชนกับตัวผม

ฟ้าหลุบตาต่ำ ไม่ร้องไม่ห้าม ผมก็เลยกดจูบลงไปที่แก้มเนียนนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆของแป้งเด็ก หอมแก้มทั้งสองข้างจนพอใจ ผมก็ย้ายที่มาที่จุดสำคัญ

จุ๊บ

ผมจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปาก แล้วถอยออกมาดูอาการคนที่อยู่ในอ้อมกอด ฟ้ากะพริบตามองผมเหมือนกำลังมึนงง ผมจึงจุ๊บปากเขาอีกที คราวนี้ผมออกแรงดูดเบาๆทำให้ยามที่ถอยห่างออกมา กลีบปากนุ่มถูกดูดติดมาด้วย ผมทำแบบนั้นอยู่สี่ห้าที่ ฟ้าก็เบี่ยงหน้าหนี คงรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกผมแกล้ง

“พอแล้วครับ คุณตรีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ผมจะไปทำกับข้าว” ฟ้าดันแขนผมออก แต่เรื่องอะไรจะปล่อย ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันก็ขอชื่นใจให้หายอยากสักหน่อย แต่ผมก็มีเวลาชื่นใจทั้งคืนอยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ที่ผมเป็นคนโลภแล้วฟ้าต้องมาผูกติดกับผม

“แปบนึง ขออยู่อย่างนี้ก่อน เหนื่อยจัง” ผมขยับกอดฟ้า สูดดมความหอมจากเรือนผมแล้วก็ผิวกาย

“งานวันนี้เป็นไงบ้างครับ” เขายอมให้ผมกอดแต่โดยดี ที่ดีที่สุดคือเขากอดตอบผมด้วย ใช้สองมือที่เริ่มจะนุ่มขึ้นลูบแผ่นหลังผมขึ้นลงช้าๆ

“ฉันทำกำไรให้บริษัทได้หลังจากที่ขาดทุนมานาน และพ่อก็ยกบริษัทนี้ให้ฉันแล้ว”

“จริงเหรอครับ!” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่ต้องมองหน้าก็รู้ว่าเจ้าตัวคงจะต้องโปรยยิ้มหวานอย่างที่ชอบทำเวลาดีใจ

“จริงสิ”

“แล้วอย่างนี้ คุณท่านก็ยอมรับคุณตรีแล้วใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของฟ้าดังกรอกหู เหมือนเขาอยากจะหันมาคุยกับผมเลยพยายามเอียงหน้ามามอง

“อืม จะว่ายังไงดีล่ะ” ผมแกล้งทำเสียงเศร้า

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” และเขาก็ออกอาการกระวนกระวายตาม

ด้วยความมันเขี้ยว ผมจึงกอดเขาแน่นขึ้นแล้วฝังหน้าลงที่ซอกคอขาว ขบเม้มผิวเนื้อไปหนึ่งที

แฟนผมน่ารักจริงๆเลยครับ

“คุณผู้ชายยังไม่ยอมรับคุณตรีเหรอครับ ทำไมละครับ ในเมื่อคุณตรีก็ทำงานเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ คุณตรีขายเฟอร์นิเจอร์ได้ตั้งเยอะมันยังไม่พอเหรอครับ” ฟ้าตัดพ้อเสียงเบาหวิว

“อืม พ่อยังไม่ยอมรับ...”

“คุณตรี...”

“แต่พ่อจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันอีกแล้ว จะไม่มีการบงการหรือจับคู่ให้ฉันกับพวกผู้หญิงพวกนั้น ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว”

“...”

“ทีนี้จะให้รางวัลฉันได้หรือยัง” ผมกระซิบชิดใบหูขาว กอดแล้วโยกตัวฟ้าเบาๆ เมื่อเขารู้ตัวว่าโดนผมแกล้งก็ออกแรงดันผมออกห่าง ผมยอมปล่อยเพราะกลัวเขางอแง

“คุณตรีหลอกผมเหรอครับ” ฟ้าทำหน้างอ

“ฉันเปล่านะ” ผมไม่ยอมรับ ผมไม่ได้หลอกสักหน่อย

“คุณตรีหลอกผม” ฟ้ายังคงโบ้ยความผิดให้ผม

“เดี๋ยวๆ จะกล่าวหากันแบบนี้ไม่ได้นะ” ผมดีดจมูกฟ้าไปหนึ่งที ไม่แรงมาก เอาแค่ให้คันๆพอ

“ก็คุณตรีทำให้ผมเข้าใจผิด ผมเป็นห่วงไปหมดเลย” ฟ้าถอนหายใจพรืดใหญ่ แล้วก็ตวัดหางตามองผมอย่างไม่พอใจ

ทำหน้าแบบนี้ก็ยังน่ารัก

“เป็นห่วงฉันมากเลยเหรอ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พยายามจะเข้าไปยุ่มย่ามด้วยการโอบเขา แต่ฟ้าดันแขนผมออกห่าง ไม่ยอมให้เข้าใกล้

“ไม่ห่วงแล้วครับ”

“หึหึ เป็นห่วงฉันสินะ ฮ้า มีความสุขจัง” ผมเลิกตอแยฟ้า ทิ้งตัวนั่งพิงโซฟาแล้วยิ้มกริ่มใส่เขา

“เหอะ” เขาส่งเสียงในลำคอแล้วลุกเดินหนีผมไปเลย เด็กดื้อเอ้ย



ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld


ฟ้าไม่ใช่คนโกรธนาน เข้าครัวไปทำอาหารแปบเดียวก็กลับมาร่าเริงไร้ซึ่งความโกรธที่โดนผมแกล้งเล่น ตลอดเวลาในช่วงมื้ออาหารเย็นเขายังคงดูแลผมดีเหมือนผม ผมเลยไถ่โทษด้วยการเล่าเรื่องที่พ่อพูดกับผมให้ฟัง ฟ้าก็ทำหน้าตื่นเต้นสนใจยามที่ผมพูด เขาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ

ทานข้าวเสร็จผมก็ปล่อยให้เขาไปทำธุระส่วนตัว อาบน้ำเอย อ่านหนังสือเรียนเอย ส่วนผมอาบน้ำแล้วก็ลงมานั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่น รอจนกระทั่งฟ้าใช้เวลาของตัวเองเสร็จผมจะได้เริ่มขอของรางวัลของผมสักที

ประมาณสี่ทุ่มฟ้าก็เดินลงมาในชุดนอนผ้าซาตินแขนยาวขายาวสีฟ้าอ่อน เป็นชุดที่ผมเลือกให้ ผมชอบเวลาที่เขาใส่เสื้อผมที่ผมเป็นคนซื้อให้เขา มันเหมือนว่าเขาเป็นของผมทั้งตัว

“อ่านหนังสือเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม เขาพยักหน้าช้าๆ

“ครับ อ่านจบแล้ว”

“ขยันจัง” ผมดึงฟ้าให้ลงมานั่งข้างๆ อ้อมแขนโอบเอวบาง

“ก็...คุณตรีบอกว่าถ้าผมทำคะแนนได้ดีจะให้รางวัลผมนิครับ”

ผมไม่แน่ใจว่าฟ้าอ่านหนังสือจริงไหม เพราะเขาดูเหมือนจะไม่มั่นใจเวลาตอบ ไม่เหมือนเวลาที่เขาทำอะไรดีๆสักอย่าง เขาจะเล่ามันอย่างมีความสุข

แต่เขาจะอ่านหนังสืออย่างที่ว่าจริงหรือไม่ ก็ถือว่าเข้าทางผม

“ฉันให้แน่ๆถ้านายทำได้ แต่รางวัลของฉันล่ะให้ได้หรือยัง”

เขาเปิดโอกาสให้ผมทวงเองนะ ช่วยไม่ได้ หึหึ

“ผมยังไม่ได้รับปากเลยนะครับ” ผมเหล่ตามองผม แล้วรีบเบนกลับไปจ้องหน้าจอโทรทัศน์

“จะไม่ให้รางวัลฉันหน่อยเหรอ ทำงานเหนื่อยมากเลยนะเพื่อเราสองคนน่ะ” ผมแกล้งทำเสียงเศร้า และมันค่อนข้างได้ผลเมื่อฟ้าหันมามองผมทันที

“เอ่อ คุณตรีอยากได้อะไรครับ” ฟ้าถามเสียงเบาหวิว

ผมยกยิ้มมุมปาก ไล่สายตาจากดวงตาดวงกลมลงมาเรื่อยๆตามสันจมูกเล็กสิ่งต่อมาคือริมฝีปากสีชมพูอ่อน ที่พอรู้ตัวว่าถูกจ้องข้าวของมันก็เม้มปากหลบสายตา

“ฉันบอกไปแล้วนี่ว่าอยากได้อะไรเป็นของรางวัล”

ผมมันคนคิดไม่ซื่อ พอรู้ตัวว่าชอบผมก็ไม่เคยคิดดีกับเขาอีกเลย วัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน อยากแตะอยากต้องแต่ทำไม่ได้ ผมต้องใช้ความสงบเยือกเย็นเข้าข่มความร้อนรุ่มที่อยู่ในตัว

เวลาเขาอยู่ใกล้ผมก็อยากจะดึงมากอดรัดแรงๆ

เวลาเขาขยับริมฝีปากพูด ผมอยากบดเบียดจูบลงไปและใช้ปลายลิ้นเลาะเล็กหาสิ่งที่อ่อนนุ่มชุ่มฉ่ำ

เวลาที่ได้กลิ่นแชมพูจากเส้นผมของเขา ผมอยากเข้าไปดอมดมและซุกไซ้ ถ้าได้กลิ่นใกล้กว่านี้คงชื่นในอก

ผมมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองพอตัวและด้วยแรงดึงดูดของผม ฟ้าไม่มีท่าปฏิเสธ มีแต่จะโอนอ่อนผ่อนตาม อย่างตอนนี้ที่ผมประคองช้อนท้ายทอยของฟ้าเข้ามาใกล้ ค่อยๆหยั่งเชิงรอหากว่าเขาอยากจะปฏิเสธ เมื่อระยะห่างของเราใกล้เกินกว่าที่จะโฟกัส ฟ้าก็หลบตา ขยับปากเปิดเชื่องช้าเมื่อผมแนบริมฝีปากลงไปในที่สุด

ริมฝีปากของฟ้าเย็นชืดในวินาทีแรกที่สัมผัส แต่ไม่นานผมก็หลอมละลายความเย็นให้เร่าร้อน จุดประกายไฟแห่งความปรารถนาด้วยริมฝีปากของเราทั้งคู่

ผมทั้งขบเม้มปากหวานๆด้วยความอ่อนโยนละมุนละไม อยากให้ครั้งแรกของเราเต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี อยากให้ฟ้าจดจำความรักที่ผมจะมอบให้ไว้ในใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ยามชำแรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของฟ้า เขาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยอมให้ผมเชยชมแต่โดยดีไม่มีขัดขืน แม้จะมีเสียงโทรทัศน์ดังไปทั่วบ้าน แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงหอบหายใจของเราที่ดังแผ่วสอดประสานเป็นจังหวะ โดยเฉพาะเสียงความชื้นแฉะของลิ้นที่เกี่ยวกระวัดกันอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าเขาเผลอตัวหรือจงใจใช้ปลายลิ้นของเขารุกผมกลับด้วยท่าทีไร้เดียงสา

ผมทั้งจูบ บดคลึง แย่งอากาศของคนตัวเล็กจนเขาสิ้นแรงจึงปล่อยกลีบปากที่เริ่มบวมนิดให้ได้พักหายใจหายคอ มือก็คว้ารีโมทมาปิดทีวี ก่อนจะสอดมือใต้ข้อพับเข่าช้อนก้นของฟ้าขึ้นผม ด้วยความตกใจฟ้าจึงผวากอดคอผมแน่น สองขาก็เกี่ยวเอวผมไว้กันหลุด

อืม ท่านี้นี่แนบชิดดีอะไรอย่างนี้ ถ้าไม่มีเสื้อผ้าผมร่างกายของเราสองคนคงจะดีไม่น้อย แต่เพราะเป็นครั้งแรกของเขา ผมจึงยังไม่คิดจะเมคเลิฟกลางบ้าน เริ่มจากบนเตียงในห้องนอนน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับเขา

ผมอุ้มฟ้าด้วยท่านั้น เดินไปปิดไฟทุกดวงด้านล่าง ยิ่งแสงค่อยๆสลัวยิ่งได้บรรยากาศ ผมปัดป่ายริมฝีปากไปทั่วใบหน้าเนียน ฟ้าเดี๋ยวสบตาเดี๋ยวหลุบตา มีกดจูบปากผมบ้างยามที่สูญเสียการควบคุมตัวเอง เหมือนเขาเองก็อยากจะเรียนรู้

ผมอุ้มฟ้ามาจนถึงเตียงนอน ค่อยวางเขาลงนอนหงายบนเตียง ผมปลดกระดุมเสื้อนอนของตัวเองเชื่องช้า แต่สายตาจ้องสะกดคนบนเตียงเอาไว้ไม่ให้เขาขยับหรือลุกหนี

จัดการท่อนบนของตัวเองเสร็จผมก็ก้มตัวทับไปบนตัวของฟ้า จับสองขาเรียวกางออกเพื่อที่จะได้แทรกตัวเองไว้ตรงกลาง ผมท้าวท่อนแขนขนาบคล่องศีรษะเล็กเอาไว้ มองคนที่นอนหน้าแดงด้วยความลุ่มหลง

“ฟ้า รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงชอบสีแดงแต่ไม่แสดงออกให้ใครรู้ว่าชอบ” ผมขยับเข้าใกล้ ปัดป่ายปลายจมูกไปทั่วบริเวณกรอบหน้า ค่อยๆละเมียดละไมสูดดมกลิ่นหอมจากเนื้อผิวอ่อน

“ไม่รู้ครับ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทั้งสั่นทั้งเบา

“เพราะว่าหมายถึงความรุ่มร้อนที่อยู่ในตัวฉัน มีแค่คนพิเศษเท่านั้นที่ฉันจะให้สัมผัส”

และคนพิเศษคนนั้นก็คือเขา

ผมกดริมฝีปากลงบนผิวคอแล้วเริ่มขบเม้ม บางดูดดุนจนขึ้นรอยช้ำสีแดง

เพราะรู้ดีว่าตัวผมยิ่งกว่ากองเพลิง และฟ้าคือเชื้อเพลิงชั้นดี ผมข่มอารมณ์ไม่เข้าใกล้เขาก่อนหน้านี้ เพราะรู้ตัวดีว่าถ้าลองได้เริ่มแตะต้อง ผมไม่อาจจะหยุดความปรารถนาในตัวเองได้ ผมมีความต้องการสูง และผมกดเก็บมันไว้ได้เสมอมาภายใต้ความนิ่งสงบ ใครเล่าจะรู้ว่าลึกลงไปมันคือสมรภูมิที่แสนดุเดือดดีๆนี่เอง

ผมใช้เวลาละเลียดชิมนานอย่างที่ใจอยากทำมาโดยตลอด

ผมต้องการให้เขารับรู้ของสัมผัสทุกๆตารางนิ้วยามที่ผมขยับเคลื่อนไหวช้าๆอยู่บนตัวเขา

ผมอยากให้เขาดิ้นบิดกายเร้ายามที่ผมขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้า

และผมอยากให้เขาร้องขอให้ผมทำให้เร็วขึ้นและหนักหน่วงขึ้น

ผมต้องการให้เขาต้องการผมมากและมากขึ้นไปอีก

ฟ้าหลับตาลงซ่อนความกลัว ผมรู้ว่าเขากลัว ร่างกายผู้ชายไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นที่รองรับ แต่นอกจากความกลัวเขายังมีความกล้าที่จะตอบรับสัมผัสของเขา เขาเกาะเกี่ยวผมแน่น เขาแตะริมฝีปากของเขาที่แก้มของผมหรือบนลาดไหล่เพื่อระบายความอึดอัดที่ผมช่วยก่อ

ยามผมถอดเสื้อผ้าออกจากตัวเขา ผมใช้ปลายนิ้วลากผะแผ่วไปตามทาง สร้างความกระสันให้เขาทีละน้อยๆ ยิ่งเห็นฟ้าบิดกายเร้าๆด้วยน้ำมือผม ยิ่งทำให้รู้สึกอยากกลืนกิน

“ตัวแดงไปหมดเลยนะ” ผมเอยแซว มองสำรวจร่างเปลือยเปล่าใต้ร่างทุกซุกทุกตาราง ฟ้าทำท่าจะหนีบขาปกปิดส่วนอ่อนไว้ของเขาจากสายตาของผม แต่ทว่ายิ่งหนีบก็ยิ่งแนบชินกันมากขึ้น

“คุณตรี ผมอาย” เขาเปิดปากพูด พยายามยื่นมือมาปิดตาผม แต่ผมรวบจับข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวผมตรึงมันไว้เหนือหัว

“ไม่มีอะไรต้องอาย ตัวนายน่ารักมาก ฉันชอบมาก” ผมพูดเสียงลอยๆ ยิ่งมองยิ่งมีอารมณ์ ผมโน้มตัวลงไปจูบตีตราแสดงความเป็นเจ้าของไล่ตั้งแต่หน้าอก ปัดผ่านหัวนมสีสวยที่แข็งเป็นไตท้าทายให้ครอบครอง ผมไม่รอช้าครอบปากลงดูดตุ่มเม็ดเล็กๆขนาดเท่าลูกเกด นอกจากขนาดที่เหมือนแล้วรสชาติยังหอมหวานเหมือนกันอีกด้วย

ดีเกินไปแล้ว ดีจนอยากจะกัดแรงๆให้ร้องครางเพราะความเจ็บปนเสียว

แต่ผมต้องใจเย็นไว้ บทเรียนแรงยังไม่จำเป็นต้องรุนแรงขนาดนั้น วันนี้เอาแค่บทเรียนเบสิกไปก็พอ เดี๋ยวลูกไก่จะเตลิดไปเสียก่อน

“อ๊า” ฟ้าครางระโหย

ผมละเลียดชิมหน้าอกของฟ้าจนพอใจ แล้วจึงเคลื่อนตัวลงต่ำอีกนิดเพื่อเล่นกับหน้าท้องและแอ่งสะดือ ทุกครั้งที่ผมแนบปากจูบ ฟ้าจะแขม่วท้องหนี เดี๋ยวหดเกร็ง เดี๋ยวแอ่นสูง ทุกส่วนในร่างกายของเขาน่าเล่นไปหมด โดนเฉพาะฟ้าน้อยที่บวมเป่งรอการปรนเปรอ

ผมลากฝ่ามือลงสัมผัสกับส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในร่าง ฟ้าสะดุ้งโหยงหนีบต้นขาเข้าหากัน ผมปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ แล้วใช้มือนั้นบีบเคล้นไปตามต้นขาให้คลายความเกร็ง

“คุณตรี ผม...”

“ชู่ว ไม่เป็นไร ฉันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้น” ผมปลอบประโลม ขยับมือที่กอบกุมฟ้าน้อยขึ้นลงช้าๆแต่ลงแรงบีบแรงเคล้น ผมตัวสั่นจนเห็นได้ชัด ผมเลยลองเพิ่มความเร็วดู เสียงครางเสียงหอบก็ยิ่งดังขึ้น ผมยกยิ้มแล้วหยุดมือทันที ร่างเล็กที่กำลังจะแตะขอบฟ้าสะท้านเฮือก เขามองจ้องผมด้วยแววตาที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ เว้าวอนและร้องขอ

“รอก่อน” ผมกระซิบบอก

“แต่ผม...ไม่ไหว อื้อ” ฟ้าบิดกายไปมา พอเขาจะจับของตัวเองผมก็ปัดมือเขาออก กอบกุมมือของเขาให้มาจับที่กางเกงนอนของผม

“ถอดให้ฉันสิ ฉันจะได้ช่วยนายได้ไง”ผมตะล่อมด้วยเสียงนุ่ม ฟ้าขมวดคิ้วมองแล้วยอมหยัดตัวลุกขึ้น มือทั้งสองข้างสั่นเทายามที่รูดกางเกงผมลง ผมไม่ได้ใส่กางเกงชั้นใน ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าเราจะมาลงเอยกันบนเตียงจึงไม่มีความจำเป็นต้องใส่อะไรให้มันมากชิ้น และผมก็ไม่ใส่ชั้นในนอนอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ

ฟ้าจ้องมองที่ลูกชายผมด้วยความอึ้ง ดวงตากลมโตขยายกว้าง ผมตาไวสังเกตเห็นเขากลืนน้ำลายลงคอ ผมยิ้มออกด้วยความภาคภูมิใจ ผมจับรูดอาวุธของตัวเองเป็นการโชว์ให้ฟ้าต้องการผมมากขึ้น เขามองการกระทำของผมไม่วางตา

“เด็กลามก” ผมเอ่ย ฟ้ารีบหันหน้าหนีทันที

“คุณตรีนั่นแหละลามก” ผมว่าให้เสียงเบา

“หึหึ ไปหยิบถุงยางกับเจลที่ลิ้นชักหัวเตียงให้หน่อย” ผมบอก ฟ้าหันมามองผมก่อนจะยอมขยับคลานไปที่ลิ้นชักหัวเตียง

เดี๋ยวนะ หันหลังคลานโชว์ก้นใส่ผมนี่ไม่ได้จะยั่วกันใช่ไหม

ผมกัดฟันกรอดข่มความดิบเถื่อนในตัวเอง ไม่ให้เผลอดึงฟ้าเข้ามาแล้วแทงพรวดลงไปในความเล็กแคบทั้งในคราเดียว

เย็นไว้ ใจเย็นไว้

“นี่ครับ” ฟ้ายื่นของที่ต้องใช้ให้ผม ผมวางของสองชิ้นบนที่นอนแล้วดันตัวฟ้าให้นอนหงายอีกครั้ง หยิบหมอนมามองใต้บั้นเอว จัดท่าทางให้อยู่ในจุดที่จะกระทำได้สะดวกที่สุด

“คุณตรี...เบาๆนะครับ” ผมแตะมือผมที่กำลังบีบเจลหล่อลื่นใส่นิ้ว

“ฉันจะทำเบาๆ แต่ครั้งแรกยังไงก็เจ็บ อดทนไว้นะ” ผมพูดแล้วยิ้มให้เขาเชื่อมั่นใจตัวผม และเมื่อฟ้าพยักหน้าผมก็หลุบตามองต่ำ

ผมแบะต้นขานุ่มกางออก เปิดเผยจุดที่จะเชื่อมร่างกายของเราสองคน ผมมองรอยจีบที่ผิดสนิท พอรู้ว่าถูกจ้องมันก็บีบตัวโชว์ความแน่น

ผมรู้ว่าฟ้าไม่ได้ตั้งใจจะขมิบยั่ว แต่เขาก็เผลอทำมันไปแล้ว

ผมแตะปลายนิ้วลงไปที่จุดนั้น รอบจีบเล็กๆก็ขมิบต้อนรับสิ่งแปลกปลอม ผมลากไล้ปาดเจลไปทั่วบริเวณ ใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวกดย้ำๆให้ปากทางค่อยๆเปิดออก

“อื้อ อึก” ฟ้าตัวสั่นเกร็ง เขาเหลือบมองผมเป็นระยะ พอผมชำแรกนิ้วข้อแรกเข้าไปฟ้าก็ร้องว่าเจ็บ ผมใจเย็นกับช่องทางเล็กๆของเขา เพิ่มปริมาณเจลแล้วใช้นิ้วนำพาสารหล่อลื่นเข้าไปข้างในตัวที่คอยแต่จะบีบรัด คับแน่นจนแทบขยับนิ้วเข้าออกไม่ได้ จนกระทั่งข้างในมีความชื้นแฉะเพียงพอ ผมจึงค่อยๆเพิ่งจำนวนนิ้วเพื่อขยายช่องทาง

“คุณตรีครับ อ๊า เร็ว....เร็วได้ไหม” เหมือนผมจะขยับไม่ทันใจเพราะมันแต่อ่อนโยนจนเขาต้องเรียกร้อง เมื่อเขาของผมก็จัดให้ ขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น คนที่ร้องขอเมื่อตะกี้แอ่นตัวผวา จิกมือกับผ้าห่มแน่น และเพียงแค่ผมเร่งจังหวะไม่กี่ครั้ง ฟ้าก็ไปถึงจุดหมายอย่างที่เขาต้องการ

“แฮกๆ” เสียงหอบหายใจดังถี่ ผมขยับตัวขึ้นจูบเขาด้วยความรักความหลงใหล

“ดีไหม” ผมถาม อยากรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรจากคำพูด เขาเขินอายที่ผมถาม แต่ก็ไม่สงวนคำพูด

“ดีครับ”

“อยากดีมากกว่านี้ไหม อยากรู้สึกถึงฉันไหม” ผมถามอีก คลอเคลียจูบไม่ห่าง

“อยากครับ”

ผมอมยิ้มพึงใจ ดึงตัวขึ้นหยิบกล่องถุงยางอนามัยมาแกะออกแล้วสวมใส่ให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะรบในสมรภูมิรัก

“ใส่ถุงยางเป็นใช่ไหม คราวหน้าต้องเป็นคนใส่ให้ฉันนะ” ผมบอกเขา เขาไม่ตอบอะไร เบือนหน้าหนีแล้วหลับตารอรับลูกชายของผมที่กำลังจะมุดถ้ำ

ผมใช้นิ้วเปิดทางอีกครั้งจนคิดว่าน่าจะเพียงพอให้ผมสอดเจ้าตรีน้อยเข้าไป และเป็นอย่างที่คิด มันไม่ได้เข้าง่ายๆ ร่างกายของฟ้าต่อต้านที่สิ่งลุกล้ำอาณาเขตทันที

“เจ็บครับ คุณตรี...ผมเจ็บ” ผมร้องเสียงหลงเมื่อผมพยายามที่จะดันส่วนหัวเข้าไป

“ฉันรู้ ผ่อนคลายนะ หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆผ่อนแรง อย่าเกร็ง ค่อยๆนะ” ผมพูดปลอบและชี้นำเด็กน้อยที่เพิ่งสำหรับการถูกรักเป็นครั้งแรก นักเรียนหัวไวก็ตั้งใจทำตามที่ผมบอก ผมชโลมเจลลงบนลำกายที่ยังอยู่ด้านนอก ขยับส่วนที่อยู่ข้างในแล้วเข้าออก เพิ่มความยาวของแท่นร้อนให้เข้าลึกขึ้นทุกจังหวะ

“เจ็บครับ พอ...พอก่อน” ฟ้าแตะแขนผมแล้วเอ่ยห้ามปราม หยาดน้ำตาหนึ่งหยดไหลกลิ้งผ่านแก้มลงบนที่นอน

ผมโน้มตัวจูบน้ำตา แตะปลายจมูกกับจมูกของฟ้า ปัดผ่านถูไถแลกลมหายใจของกันและกัน

“พี่รักฟ้านะครับ” ผมเอ่ยบอกเขา ขโมยความรู้สึกนึกคิดของเขาผ่านแววตาที่บอกทุกความรู้สึกอย่างที่ผมพูด ยามเขาเผลอผมก็กดสะโพกเข้าลึกขึ้น เมื่อเขาบีบรัดแน่นจนผมเจ็บตาม ผมก็หยุดตัวเองเพื่อให้เขาปรับตัว

“ฟ้าก็รักคุณตรี” เขาพูดปนเสียงสะอื้นเล็กน้อย

“พี่ต้องการฟ้ามากนะ ต้องการฟ้าเพียงคนเดียว” ผมทรมานจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจทำเขาเจ็บด้วยการกระแทกตัวเองเข้าไปทีเดียว ฟ้ายกมือกอดตัวผมแล้วส่ายหน้าไปมากับแผงอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เขาสูดลมหายใจแล้วเคลื่อนสะโพกของเขาเข้าหาผมคล้ายจะช่วยอีกแรง

“น่ารักจริงๆเลยคนนี้” ผมดูดปากนิ่มไปหนึ่งทีแล้วกดตัวเองเรื่อยๆ ฟ้าค่อยเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายจนในที่สุดผมก็เข้าไปในจนสุดลำ

ทั้งอุ่นทั้งร้อน ข้างในนุ่มและแน่นจนผมแทบระเบิด

จุ๊บ

ผมจูบปากเขาพัลวัน เริ่มขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ ลากออกจนเกือบสุด และยัดใส่เข้าไปใหม่จนสุดทาง ผมมองสีหน้าของฟ้ายามที่ร่างกายของเราสอดประสานกันเป็นจังหวะ อยากมองทุกสีหน้าและแววตายามที่เขาแสดงอารมณ์ความต้องการ ฟ้าน่ารักน่าหลงใหล ผมลูบผมฟ้าด้วยความเอ็นดู

“ยังเจ็บอยู่ไหม” ผมถาม เพราะอยากเร่งเครื่องจะแย่แล้ว

“เจ็บครับ แต่ผมไหว”

“ไหวเหรอหืม” ผมถามให้แน่ใจ เข้าใจในความหมายที่เขาจะสื่อ

“ไหวครับ”

“โอเค” ผมตอบรับ แล้วเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นแต่ยังคงไว้ซึ่งความหนักหน่วง ฟ้าจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวยามผมโลดแล่นอยู่บนร่างกาย เขาทำให้ผมสุขสม เมื่อก่อนเคยจินตนาการและเก็บไปฝันว่าได้ร่วมรักกับเขา แต่วันนี้ความฝันนั้นเป็นจริง ผมสามารถกอดเข้าเอาไว้ ได้ครางชื่อเขา และได้ฟังเขาครางเรียกชื่อผม

“ฟ้าครับ รัดพี่แน่นจังเลย อืม”

“อ๊า ผมจุก..อื้อ”

ตรงนั้นของเราแนบสนิทกัน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั้งห้องนอน ความเย็นของเครื่องปรับอากาศไม่มีผลเมื่อความร้อนของเราสองคนพุ่งทะยานทะลุปรอท

น้ำเสียงของฟ้าแค่ฟังก็สะท้าน ผมพยายามยืดเวลาออกไปเพราะไม่อยากให้บนรักของเราจบลง แพของตาของฟ้าชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาของความปรารถนา ปลุกให้อวัยวะเบื้องล่างของผมตื่นตัวตอบสนองขยายตัวเพิ่มความคับแน่น

“ฟ้าครับ ฟ้า รัดพี่แรงๆ” ผมกระซิบเสียงพร่า หลับตารับรู้ทุกสัมผัสที่เขาตอบรับ

ใกล้แล้ว อีกนิด

“อืม ผมไม่ไหว คุณตรี ผมจะ...”

“ฉันรู้ ฉันจะทำให้นายมีความสุข”

ร่างกายที่เล็กกว่าผมเคลื่อนไหวไปตามแรงโยก ยิ่งความเสียวซ่านกลืนกินเรามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งซัดแรงใส่ไม่ยั้ง โจนจ้วงเข้าออกแต่ละทีชนิดที่ว่าถึงแก่น

ดี ดีมากๆ ใกล้แล้ว

“ฟ้าครับ เสียวไหม” ผมถามเสียงครางต่ำ ฟ้าหน้าแดงไปหมด ริมฝีปากของเขาหุบแทบไม่ลงเพราะต้องคอยครางและคอยคว้าอากาศเพื่อหายใจ

“เสียวครับ ผมเสียว ผมไม่ไหวแล้ว” ฟ้าตอบตาลอย สะบัดหน้าไปมาจนเส้นผมปลิวเคล้าเคลียตามใบหน้าและที่นอน

“ถ้างั้นก็ไปพร้อมกันนะ” ถึงผมอยากจะยื้อเวลาบทรักของเราให้นาน แต่ผมก็ยากแตะขอบสวรรค์พร้อมกับเขา

ผมสูดดมกลิ่นกายหอม ยิ่งมีเหงื่อออกจากบทรักที่เร่าร้อนยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งสูง ผมกระตุ้นให้เขาเสียวซ่านจนถึงขีดสุด ทะยานกายเข้าออกชนิดที่ไม่ผ่อนจังหวะ เร่งเร้าอย่างเอาแต่ใจ เรียกร้องเอาจากเขาอย่างไม่รู้จักพอ และเมื่อความอดทนได้มาถึงขีดสุด เสียงครางหวานก็เปล่งประกาย ร่างกายที่บิดเร้าๆก็เกร็งกระตุก พ่นความรักออกมาโดนหน้าท้องผมของทุกหยาดหยด ภาพนั้นยั่วยวนจนเกินคำบรรยาย แรงสอดกระแทกครั้งสุดท้ายเสยงัดเข้าไปเต็มแรงแล้วเอื้อมแตะความสุขไปพร้อมกับเขาในวินาทีต่อมา

“จุ๊บ อืม รักฟ้านะครับ รักที่สุด” ผมเสยผมที่ปรกใบหน้าฟ้าออก แล้วพรมจูบไปทั่วไปหน้าอย่างรักใคร่

“ผมก็รักคุณตรี”

“นายเป็นของฉันแล้วนะ เราเป็นคนๆเดียวกันแล้วนะ รู้ไหม”

ฟ้ายิ้มอย่างอ่อนแรงแล้วพยักหน้า เขาเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ แต่ว่า..ครั้งเดียวมันไม่พอสำหรับผม

“ฟ้าครับ อย่าเพิ่งหลับสิ”

“ผมเหนื่อย”

“เหนื่อยก็นอนไป เดี๋ยวฉันทำเอง” ผมกระซิบเสียงทุ้ม จับฟ้าให้นอนตะแคงแล้วขยับตัวไปนอนซ้อนด้านหลัง

“คุณตรี...จะต่อเหรอครับ” ฟ้าหันหน้ามาถามผมหน้าตาตื่น

“ยังไม่หายอยากเลย ดูสิ มันแข็งอีกแล้ว” ผมจับขาข้างซ้ายของฟ้ายกขึ้น กดเจ้าลูกชายถูไถไปตามร่องหลืบระหว่างแก้มก้นนิ่ม

“รู้สึกถึงมันไหม ฉันต้องการนายนะ”

“คุณตรี...”

“อีกรอบนะครับ” ผมสอดแขนรองต้นคอให้ฟ้าหนุน จับใบหน้าเล็กหันมารับจูบดูดวิญญาณและเริ่มต้นรังแกเขาอีกโดยไม่ให้เขามีโอกาสร้องปฏิเสธ

เอาล่ะ ยังไงคืนนี้ผมก็ไม่หยุดง่ายๆหรอก ต่อให้อีกคนจะสลบไปด้วยความเหนื่อยล้าก็ตาม







ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
หือออ คุณตรีฮอตจริงๆ น้องฟ้าโดนจัดหนักตั้งแต่ครั้งแรกเลย.  o18

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
CATER TO YOU
ตอนที่ 31
บทส่งท้าย
เรามีความรักให้กันอย่างเหลือล้น
มากพอที่จะแบ่งปันให้ผู้คนรอบข้าง




“ฟ้าครับ ขึ้นไปดูข้างบนอีกทีได้ไหมว่าปิดไฟปิดน้ำหมดหรือยัง”

“ได้ครับ” ผมวางกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองไว้ที่ท้ายรถ แล้วเดินขึ้นไปสำรวจบนบ้านอีกครั้งให้แน่ใจว่าลืมอะไรหรือเปล่า แต่สรุปว่าผมก็ลืมจริงๆ ไม่ใช่ว่าลืมปิดไฟปิดน้ำ แต่ผมลืมหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กลงไปด้วย

โน้ตบุ๊กเครื่องนี้คุณตรีให้เป็นของขวัญที่ผมสอบได้คะแนนดี เทอมนี้ผ่านพ้นไปด้วยเกรดเฉลี่ย 3.66 ผมก็เลยได้ของรางวัลตามที่เขาเคยสัญญาไว้ นอกจากโน้ตบุ๊กแล้วเขายังให้ของรางวัลผมอีกอย่าง

‘ครั้งก่อนนายให้ตัวนายเป็นของรางวัล คราวนี้ฉันจะให้ตัวฉันเป็นของรางวัลนายบ้าง’

เขาว่าอย่างนั้น บอกว่าอยากให้เท่าเทียมกัน แต่ไม่ว่าผมจะมองมุมไหนผมก็เสียเปรียบเขาทุกทาง แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกครับ เพราะผมเองก็ชอบสัมผัสของเขา แม้ว่าจะเหนื่อยจนสลบไปก่อนก็ตาม

เขาทำให้ผมเคยตัวไปซะทุกอย่าง ต้องโทษคุณตรีคนเดียว

ผมรีบวิ่งลงไปข้างล่าง คุณตรีขนของที่จำเป็นใส่ท้ายรถยนต์คันหรู เรากำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่ครับ ไปเปิดสาขาใหม่ที่นั่น ตอนนี้บริษัทของคุณตรีได้ทำการเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก King’s Luxury เป็น WILDWOOD

คอลเลคชั่นที่แล้วดังเปรี้ยงปร้าง จนมีคำร้องขอให้ขยายสาขาไปตามต่างจังหวัดบ้าง และโซนแรกที่คุณตรีเลือกไปก็คือภาคเหนือ เชียงใหม่จึงเป็นจังหวัดที่เหมาะแก่การขยายสาขาที่สุด

ผมปิดเทอมหนึ่งเดือนกว่าๆพอดี คุณตรีก็เลยใช้ช่วงเวลานี้ขึ้นไปจัดการความเรียบร้อยที่นั่นด้วยตัวเอง พ่วงด้วยการหนีบผมไปด้วย

บ้านที่เราจะไปอยู่เป็นบ้านที่คนรู้จักของคุณเจมส์หรือรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนของคุณตรีสมัยเรียนมัธยมขายต่อให้ เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นในเมือง ผมเห็นในรูปแล้วคือสวยและน่าอยู่มาก แต่ว่าต้องรีโนเวทใหม่ตามสไตล์ที่คุณตรีชอบ ในตอนแรกคิดว่าจะเสร็จทัน แต่ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณสองสามวันในการเก็บงานให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งคุณตรีว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะระหว่างรอสามารถไปอยู่ที่บ้านของคนที่ขายบ้านหลังนั้นให้เรา เขาเป็นหมอจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลในเชียงใหม่ ชื่อหมอนายน์

“ไม่ลืมอะไรแล้วนะ” คุณตรีคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จเตรียมจะออกรถ

“ไม่น่าลืมแล้วครับ” ผมพยายามนึก แต่คิดว่าน่าจะเอาไปครบ

“ไม่เป็นไร ถ้าลืมก็ไปหาซื้อที่นู่นเอา” คุณตรียักคิ้วประมาณว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วเราก็ออกเดินทาง อย่างน้อยๆผมก็ตุนเสบียงมาพร้อมสำหรับการเดินทาง ทั้งของกินเล่น ทั้งเครื่องดื่ม มีกาแฟของคุณตรี แล้วก็มีชานมของผมด้วย

“เราจะไปถึงนู่นตอนกี่โมงเหรอครับ” ผมถาม เราขับรถออกจากกรุงเทพตอนบ่ายสาม เพราะงานที่รัดตัวและช่วงเวลาที่บีบกระชั้นทำให้ต้องออกเดินทางวันนี้ตอนเย็น โชคดีที่คุณตรีให้ผมเรียนขับรถก่อนหน้านี้ ถ้าคุณตรีล้าผมจะได้ขับแทนได้

“น่าจะไปถึงนู่นราวๆห้าทุ่มเที่ยงคืน ฝากกดจีพีเอสให้หน่อย” คุณตรีทำหน้าคิด แล้วส่งโทรศัพท์ให้ผมเปิดหาเส้นทาง กดตั้งค่าแล้วให้ระบบในโทรศัพท์นำทาง

“แล้วอย่างนี้พี่หมอนายน์เขาจะไม่นอนแล้วเหรอครับ”

“เห็นว่ายังนะ พี่เขาบอกว่าปกตินอนตีหนึ่งตีสองน่ะ แต่ถ้าเหยียบเร็วสักหน่อยก็น่าจะไปถึงประมาณสี่ทุ่ม”

“อย่าขับเร็วเลยครับ อันตราย” ผมบอก

“ไว้ใจฉันเถอะ เหยียบไม่เกินสองร้อยหรอก”

“คุณตรี! ไม่เกินร้อยสี่สิบผมก็จะขอบพระคุณมากครับ” ผมหันไปแหวใส่ที่เขาพูดเล่น แต่ผมกลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำจริง ก็รู้อยู่หรอกครับว่ารถยุโรปอย่างBMW ที่คุณตรีขับเครื่องยนต์มันแรง แถมยังยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี เวลาขับในกรุงเทพถ้าต้องขึ้นทางด่วน คุณตรีขับร้อยยี่สิบร้อยสี่สิบมาตลอด แอบเล่าให้ฟังเลยนะครับว่าเคยได้ใบสั่งมาส่งถึงหน้าบ้านด้วย เนื่องจากขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

เราขับรถออกจากกรุงเทพก่อนเวลาที่ผู้คนจะเลิกงาน ขับมาเกือบสองชั่วโมงเราก็มาถึงอยุธยา ผมเคยได้ยินว่ากุ้งแม่น้ำเผาที่นี่อร่อย และก่อนหน้านี้ผมก็ดูละครไทยอย่างเรื่องบุพเพสันนิวาส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉากนั้นทำให้ผมอยากกินกุ้งเผาเป็นเท่าตัว พอได้มาถึงถิ่นแบบนี้ก็ต้องจัดสักหน่อย

“เราซื้อกุ้งเผาไปฝากพี่หมอนายน์ด้วยดีไหมครับ” ผมถาม พลางตักเนื้อกุ้งตัวใหญ่ไซส์เบอร์ตองที่ผ่ากลางแบะออกโชว์เนื้อขาวเด้งใส่ในจานของคุณตรี ตามด้วยมันกุ้งราดทับ แค่นี้ก็อร่อยเหาะแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้ม แต่สำหรับผมต้องจิ้มครับ ชีวิตต้องการความแซ่บ

ผมไม่รู้หรอกครับว่าเบอร์ตองคืออะไร แล้วทำไมเขาถึงเอามาเรียกกุ้งตัวใหญ่ว่ากุ้งเบอร์ตอง เหมือนจะเคยได้ยินเขาว่าไว้เรียกสาวตัวท็อปในห้องกระจก แต่ที่แบบนั้นผมไม่เคยไป เลยไม่รู้ว่าสาวเบอร์ตองที่เขาเรียกๆกันนั้นเด็ดจริงหรือเปล่า

แล้วเราออกจากกุ้งเผาไปสาวเบอร์ตองได้ยังไง ผมนี่เลอะเทอะจริงๆ

“เอาสิ จะซื้ออะไรไปบ้างก็สั่งเลย เรากินเสร็จเขาจะได้ทำเสร็จพอดี” คุณตรีพยักหน้าเห็นด้วย เขาส่งเมนูอาหารให้ผมเลือก ผมก็เลยเลือกไปหลายอย่างเลยครับ

นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมสามารถปรับตัวเข้ากับคุณตรีได้จนกลายเป็นความเคยชิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะไม่กล้าขอ ไม่กล้าเรียกร้อง เงินคือสิ่งที่ผมเคยขาดแคลนอย่างหนัก พอมีคุณตรีคอยจ่ายนู่นจ่ายนี้ให้ผมก็รู้สึกเกรงใจมากในช่วงแรกๆ ผมไม่อยากทำเหมือนมาเกาะเขากิน แต่เราก็ได้เปิดอกคุยกันและปรับความเข้าใจ จนทุกวันนี้ผมก็ไม่ค้านเวลาที่คุณตรีเป็นคนออกเงิน แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่ผมเองก็สบายใจว่าตัวเองไม่ได้เอาเปรียบคุณตรีจนเกินไปนัก

กินเสร็จก็ได้เวลาเดินทาง รอบนี้ผมขอขับเพราะว่าฟ้ายังไม่มืด ยังพอมองเห็นทางและถนนก็ค่อนข้างโล่ง สลับเปลี่ยนเป็นคุณตรีมาขับอีกทีหลังจากที่ผมขับมาได้สามชั่วโมง ระหว่างนั้นคุณตรีได้งีบไปหน่อย ทำให้สดชื่นที่จะขับต่อไปจนถึงที่หมาย

ในที่สุดเราก็มาถึงเชียงใหม่ตอนห้าทุ่มครึ่ง เพราะมีทางโค้งตอนขับผ่านเขาหลายโค้งและถนนค่อนข้างมืด ทำให้คุณตรีไม่สามารถขับรถเร็วได้อย่างใจ แต่ผมว่าก็ไม่แย่ครับ ดีเสียด้วยซ้ำ ยังไงเรื่องความปลอดภัยก็มาก่อน ช้ากว่าเดิมชั่วโมงสองชั่วโมงไม่เป็นปัญหาเลย

“อื้อ” ผมลงจากรถมายืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ

คุณตรีลงจากรถไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน ยืนรอไม่นานก็มีผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งตัวพอๆกับคุณตรีเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้คุณตรีขับรถเข้าไปจอดในบ้าน

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ คิดว่าคนนี้แหละคือพี่หมอนายน์ ภาพลักษณ์ของเขาเข้ากับอาชีพหมอมากๆ หนุ่มตี๋ใส่แว่น ขนาดตอนกลางคืนยังพอมองออกเลยว่าเขาผิวขาว รูปร่างสูงพอๆกับคุณตรีก็จริง แต่ว่าไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อสักแบบที่คุณตรีมี

“สวัสดีครับ น้องฟ้าใช่ไหมครับ พี่ชื่อนายน์นะ” พี่หมอยิ้มและแนะนำตัวกับผม

“ครับ ผมชื่อสายฟ้า เรียกสั้นๆว่าฟ้าก็ได้ คุณตรีก็เรียกแค่ฟ้าครับ” 

“อืม คงเพราะชื่อเราไม่เหมาะกับสายฟ้ามั้ง เราดูสดใสมากกว่าจะเป็นคนดุดัน” คุณหมอยิ้มละมุน แล้วเดินนำไปช่วยคุณตรีขนของเข้าไป

“เป็นไงบ้างละตรี เก่งเหมือนกันนะขับรถมาถึงกรุงเทพได้” พี่หมอเอ่ยกับคุณตรี

“ดีที่มีจีพีเอสช่วยครับ แต่ก็มีหลงแยกหลงทางบ้าง ผมแวะซื้อกุ้งเผากับอาหารมาจากอยุธยาด้วย ให้เก็บไว้ที่ไหนครับ” คุณตรีหันหน้ามาทางถุงอาหารที่ผมเป็นคนถือลงมาจากรถ พี่หมอเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยขอบคุณและรับถุงอาหารไปเก็บใส่ตู้เย็นในห้องครัว

“พี่เตรียมห้องนอนเอาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวพี่พาขึ้นไปดู” พี่หมอเดินนำขึ้นชั้นสอง ของบางส่วนเรายังเอาไว้ในรถ มีแค่กระเป๋าใบเล็กสองใบที่มีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการอยู่พักที่นี่สองสามวัน

“แล้วพี่หมออยู่กับใครเหรอครับ” คุณตรีถาม

“ความจริงพี่อยู่คนเดียว คนโสดน่ะนะ แต่สองสามวันนี้มีเด็กมาอยู่ด้วยน่ะ พักอยู่ห้องนี้” พี่หมอแตะที่บานประตูไม้บานหนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ

“เด็ก?” ทั้งผมและคุณถามเกิดความสงสัย พี่หมอหันมายิ้มอีกครั้งและเปิดประตูห้อง ผายมือให้คุณตรีกับผมเข้าไปข้างใน ห้องนอนขนาดเล็ก มีเตียงนอนขนาดห้าฟุตวางชิดมุม มีตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเก้าอี้เล็กหนึ่งชุด

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็คงได้เจอ อืม พี่จะเล่าให้ฟังนะ” พี่หมอนายน์ปิดประตูห้องและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนผมกับคุณตรีก็นั่งบนที่นอน สีหน้าของพี่หมอมีแวววิตกกังวล ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ยิ้มตลอดเวลา

“เด็กที่ว่าคือเด็กแบบตัวเล็กๆเหรอครับ” คุณตรีถาม แต่พี่หมอนายน์ส่ายหน้า

“เด็กคนนี้ชื่อสกายอายุสิบเก้า ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า พี่เป็นหมอประจำตัวเขา พอดีเกิดเหตุสุดวิสัยนิดหน่อยเลยต้องให้มาพักที่นี่ก่อน พี่เล่าให้ฟังได้ประมาณนี้ ข้อมูลที่เหลือเป็นข้อมูลของคนไข้ ที่พี่อยากจะบอกและขอความช่วยเหลือก็คือ ช่วงที่ตรีกับฟ้าอยู่ที่นี่ อาจจะต้องมีการระวังเรื่องคำพูดที่จะทำให้สกายรู้สึกไม่ดี แล้วก็ ผู้ป่วยเคสนี้ค่อนข้างหนัก เขากลัวที่คนอื่นจะรู้ว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จริงๆน้องเขาเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าไม่เรียกก็ไม่ค่อยออกมาเท่าไหร่ แต่เราพักแค่สองสามวันก็คงไม่มีอะไร พี่บอกเผื่อไว้เฉยๆ”

“ได้ครับพี่ ตอนกลางวันผมก็ไม่ค่อยได้อยู่ ต้องออกไปทำธุระเรื่องบ้านกับเรื่องร้าน แต่ผมกับฟ้าจะคอยระวังนะครับ” คุณตรีบอกกับพี่หมอ

“อืม ขอบใจมาก ยังไงวันนี้ก็พักเถอะ แล้วก็อยากได้อะไรบอกพี่ได้เสมอ ของในตู้เย็นหยิบทานได้ทุกอย่าง ห้องครัวห้องนั่งเล่นใช้ได้ตามสบาย ห้องน้ำที่ชั้นสองอยู่ฝั่งซ้ายมือตรงข้ามห้องของสกาย อยู่ที่นี่ไม่ต้องเกรงใจนะ มาถึงเหนื่อยๆก็พักผ่อนกันไปก่อน เดี๋ยวพี่จะแวะเข้าไปดูเด็กที่อยู่ห้องข้างๆหน่อย”

“ครับพี่ ขอบคุณนะครับ”

พี่หมอออกจากห้องไป คุณตรีก็เดินไปปิดประตู ผมเอาเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ออกมาจากกระเป๋า เตรียมชุดนอนและของให้คุณตรีไปอาบน้ำแล้วผมค่อยอาบต่อแล้วกลับเข้าห้องมานอน

“มานอนมา” คุณตรียกผ้านวมให้ผมสอดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“ฝันดีครับคุณตรี” ผมบอกเสียงเบา แล้วซุกหน้าลงกับอกกว้าง วันนี้คุณตรีใส่เสื้อนอน ทำให้ผมกล้าที่จะถูใบหน้าลงกับหน้าอกของเขา ถ้าเป็นอกเปลือยๆผมไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ มันยังเขินๆที่จะสัมผัสผิวเขาโดยตรง

“ฝันดี อย่าซน เดี๋ยวไม่ได้นอน” เขาดุไม่จริงจังแล้วหอมลงมาบนหัวผมทีหนึ่ง เราต่างขยับตัวจนได้มุมที่คิดว่าสบายพร้อมนอน

ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอให้ตัวเองหลับ เพราะผมไม่มีผ้าให้ก่ายตอนนอน ถึงจะได้ก่ายคุณตรีแต่ว่ามันก็แทนกันไม่ได้อยู่ดี และเรื่องที่อยู่ในหัวผมตอนนี้ก็คือเรื่องของคนที่ชื่อสกาย

พี่หมอบอกว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ผมไม่รู้ว่ามันคือโรคอะไร แต่เคยได้ยินข่าวคนฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไร เพราะวันๆสนใจแค่เรื่องปากเรื่องท้องของตัวเอง ตอนนี้ผมคงว่างเกินไปจนได้เก็บเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคิดเยอะไปหมด

ผมอยากหยิบโทรศัพท์มาเปิดหาความหมายของโรคซึมเศร้า แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเกรงใจคุณตรี เขาตื่นแต่เช้าไปทำงานครึ่งวันและก็ขับรถเดินทางกันมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนตอนนี้จะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ผมไม่อยากรบกวนคุณตรีตอนนอน

‘ฮึกฮือ’

หืม เสียงอะไร...!

ผมขยับตัวออกห่างจากคุณตรี ลืมตามองในความมืดรอบห้อง

‘ฮึก ฮือ ฮือออ’

เสียงคนร้องไห้หรือเปล่า เสียงคนใช่ไหม คงไม่ใช่เสียงผีหรอกนะ

‘ฮื้อ ฮึก ฮืออออ!’

ทำไมเขาถึงร้องไห้แบบนั้น ฟังดูเหมือนเขากรีดร้องไห้ในลำคอ มันทรมานปานจะขาดใจ เหมือนเขากำลังทุรนทุรายจากบางสิ่งบางอย่าง

“เป็นอะไร” คุณตรีพูดขึ้นเสียงงัวเงีย เหมือนเขาจะเคลิ้มหลับไปแล้ว แต่เพราะผมผุดลุกขึ้นนั่งเลยทำให้เขาตื่น

“ผมได้ยินเสียงคนร้องไห้” ผมบอก สายตาจ้องไปที่ผนังห้องที่กั้นระหว่างห้องที่ผมนอนกับห้องข้างๆ คุณตรีเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง พอเห็นเขาต้องตื่นทั้งๆที่หลับไปแล้วผมก็รู้สึกผิด แต่เพราะอยู่ๆก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ผมก็อดตกใจและแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่ห้องข้างๆ

“ขอโทษนะครับ ผมทำคุณตรีตื่นเลย” ผมบอกเขาอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร คุณตรีลุกขึ้นไปแล้วลองเอาหูแนบกับผนัง ก่อนจะเดินกลับมานั่งเอนหลังพิงหัวเตียงพร้อมดึงผมเข้าไปกอด

“น่าจะเป็นเสียงของเด็กที่ชื่อสกาย เดี๋ยวพี่หมอก็คงเข้าไปดู”

“ทำไมเขาต้องร้องไห้ล่ะ หรือเพราะโรคที่เขาเป็น โรคนี้มันเป็นยังไงเหรอครับ” ผมเงยหน้าถามคุณตรี เขาขมวดคิ้วคิดก่อนจะเรียบเรียงตอบ

“คือ เท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ตอนอยู่ที่อังกฤษเคยมีเพื่อนร่วมชั้นป่วยเป็นโรคนี้แล้วฆ่าตัวตาย มันเป็นอาการป่วยทางจิตที่จะรู้สึกว่าเศร้าและไม่มีความสุข แบบไม่อยากมีชีวิตอยู่เลยจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ฉันก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ แต่เป็นโรคที่ค่อนข้างน่ากลัว เพราะคนพวกนี้จะรู้สึกแย่กับตัวเองตลอดเวลา ยิ่งถูกกระตุ้นหรือถูกทำให้รู้สึกไม่ดี จะยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองมากจนทำให้จบลงด้วยการฆ่าตัวตาย”

ผมฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่ ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังก้องอยู่ในห้องที่ติดกัน ยิ่งทำให้รู้สึกเป็นห่วง

“แล้วเราจะช่วยอะไรเขาได้ไหมครับ” ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลย ยิ่งได้ยินเสียงเขาร้องผมยิ่งใจไม่ดี กลัวเขาคิดสั้น

“เป็นหมอหรือไงหรือเราถึงจะไปช่วยเขาน่ะ หืม เสียงเงียบไปแล้ว” คุณตรีกดจมูกหอมแก้มผมแล้วหันไปมองที่ผนังห้อง เราต่างคนต่างเงียบ เสียงเงียบไปแล้วจริง หรือว่า...เขา

ฆ่าตัวตายไปแล้ว?

ผมกระโดดโหยงลงจากเตียง วิ่งไปเอาหูแนบกำแพง ลองฟังดูว่าเสียงร้องไห้หายไปแล้วจริงไหม

‘ฮึก’

‘ไม่ร้องครับ พี่หมออยู่ตรงนี้ไง’

‘ฮึก’

‘ตาบวมตาช้ำหมดแล้ว หมดหล่อเลยแบบนี้’

ผมเป่าลมหายใจออกจากปาก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ผมคิดว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆลงไปซะแล้ว ดีที่พี่หมออยู่ตรงนั้นกับเขา

“ทำไม” คุณตรีถามด้วยความอยากรู้ ผมเดินกลับไปขึ้นเตียง สอดตัวลงในผ้าห่มอีกครั้งให้คุณตรีกอดเอาไว้

“พี่หมอเข้าไปดูเขาแล้วครับ” ผมบอก หันไปกอดคุณตรี ผมไม่ได้ยินเสียงร้องไห้แล้ว ถ้าเป็นเสียงที่ไม่ดังมากก็ไม่มีทางที่จะได้ยิน แต่เมื่อกี้เขาคงกรีดร้องสุดเสียง

“อย่าคิดมาก ตอนนี้เขาก็อยู่ในมือหมอแล้ว ยิ่งกว่าไปหาหมอรักษาอีกนะ นี่นอนในบ้านหมอเลย คงไม่มีอะไรหรอก”

“เขาจะโอเคขึ้นใช่ไหมครับ” ไม่รู้ทำไมผมถึงเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ แต่เสียงร้องไห้ของเข้ายังก้องอยู่ในหัวผมอยู่เลย ยิ่งกว่าคำว่าน่าสงสาร มันเต็มไปด้วยความทรมานอย่างบอกไม่ถูก

“ต้องโอเคแหละ ไม่เป็นไรนะ” คุณตรีปลอบผม ผมพยักหน้าแล้วจึงเลื้อยตัวลงนอน

ทั้งห้องกลับมามืดอีกครั้ง ผมนอนลืมตาในความมืดอยู่เป็นนาน ไม่มีเสียงร้องไห้อีกแล้ว มีแค่เสียงจิ้งหรีดหรือแมลงอะไรสักอย่างร้องแว่วๆ ผมคิดไม่ตกกับเรื่องของคนข้างห้องว่าทำไม เพราะอะไร ทำไมเขาถึงป่วยเป็นโรคนี้ แล้วเขาจะดีขึ้นไหม เขาจะคิดฆ่าตัวตายบ้างหรือเปล่า ผมคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว เผลอหลับไปในที่สุด




ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld

ผมตกใจตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชินแม้ว่าจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ระหว่างรอคุณตรีตื่นผมก็เลยลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าในโทรศัพท์ พอได้อ่านแล้วผมก็รู้สึกว่าโรคนี้มันใกล้ตัวมากแล้วก็เป็นโรคที่น่ากลัวมากๆโรคหนึ่ง ยิ่งอ่านผมยิ่งสนใจ เหมือนอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นยังไง อยากทำความเข้าใจคนเหล่านี้ อยากรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะช่วยเข้าได้

แต่เพราะผมไม่ใช่หมอและในอินเทอร์เน็ตก็มีแต่คำแนะนำทั่วไป ถ้ามีโอกาสผมว่าจะลองถามพี่หมอนายน์ดู

หลังจากที่คุณตรีตื่นผมก็ให้เขาไปอาบน้ำ แล้วลงไปข้างล่างผมพร้อมกันในตอนเจ็ดโมงเช้า ผมได้กลิ่นอาหารฟุ้งไปทั่วบ้าน ที่โต๊ะกินข้าวมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ พอหันมาเห็นพวกผมสองคนเขาก็ทำหน้าตื่นตระหนก

“อ้าว ตื่นกันแล้วเหรอ นั่งเลย พี่กำลังอุ่นอาหารที่เราซื้อมา จะได้กินข้าวเช้าพร้อมกัน” พี่หมอนายน์เอ่ยทักพวกเราตอนเดินออกมาจากครัว เด็กคนนั้น...สกายเขามองไปทางพี่หมอ ก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับฝ่ามือที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัว นี่คนรู้จักพี่เอง เขาจะมาเปิดร้านทำธุรกิจที่นี่ คนตัวสูงชื่อตรี อีกคนชื่อฟ้า อายุน่าจะไม่ห่างจากเรามากนะสกาย อย่าปิดกั้นตัวเอง พูดคุยกับคนอื่นบ้างนะครับจะได้ไม่เหงา” พี่หมอคุยกับสกายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง สกายเหล่มองผมกับคุณตรีที่นั่งลงตรงข้ามเขาแล้วพยักหน้าให้คุณหมอ พร้อมกับยกมือไหว้ผม

“สวัสดีครับ” เขาพูดเสียงเบาและเลี่ยงที่จะสบตา

“สวัสดี ไม่ต้องไหว้ก็ได้ พี่อายุมากกว่าสกายแค่สองปีเอง” ผมบอก พอมีคนมายกมือไหว้มันก็รู้สึกแปลกๆนะครับ

“ครับ ขอโทษครับ” เขาดูเหมือนไม่ค่อยกล้า

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก เรื่องเล็กน้อย” ผมยิ้มให้เขา เท่าที่สังเกต ผิวของเขาซีด เขาเม้มปากแทบจะตลอดเวลา สีหน้าอมทุกข์ ดวงตาก็บวมช้ำคงเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“เดี๋ยวฉันไปช่วยพี่นายน์ยกอาหาร” คุณตรีพูดแล้วลุกขึ้นไปในครัว

ผมมองสกายพลางคิดว่าจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรดี เอาจริงๆผมก็ไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่รู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้มันเงียบเกินไป

“สกาย”

พี่หมอนายน์และคุณตรีเดินออกมาจากห้องครัว วางอาหารไว้บนโต๊ะ อาหารที่ผมซื้อมาก็มีกุ้งเผาสองกล่องใหญ่ มีปูไข่หลน กุ้งผัดซอสมะขาม แล้วก็ปลากะพงราดน้ำปลา

“ทานข้าวเยอะๆสกาย เมื่อวานตอนเย็นเราทานไปนิดเดียวเอง” พี่หมอนั่งลงข้างสกาย แล้วตักข้าวในโถใส่จานให้เด็กที่นั่งเงียบ

“พอแล้วครับ ผมทานไม่หมด” สกายดันมือพี่หมอที่กำลังจะตักข้าวทัพพีที่สองให้

“โอเค งั้นต้องทานในจานนี้ให้หมดนะครับ จะได้ทานยาได้”

“ครับ”

พวกเราทานข้าวกันไป บทสนทนาบนโต๊ะอาหารผูกขาดโดยพี่หมอ ที่คอยถามคุณตรีและหันไปพูดกับสกาย เห็นว่าเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยชื่อดังของเชียงใหม่ แต่บ้านอยู่กรุงเทพ ตลอดเวลาที่กินข้าวคุณหมอไม่พูดถึงอาการป่วยของสกายเลย ส่วนมากจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่เป็นการแนะนำให้ผมและคุณตรี ก่อนจะวกไปถามสกายว่าเคยไปมาหรือยังเพราะสกายก็เหมือนเป็นเจ้าถิ่นที่นี่เหมือนกัน

“แล้ววันนี้ตรีจะออกไปทำอะไรบ้างล่ะ”

“ผมคงไปดูบ้านครับว่าเหลือเก็บงานตรงไหนก่อนจะเข้าไปดูที่ร้าน ช่างรับเหมาที่ผมจ้างค่อนข้างไว้ใจได้เรื่องเวลา แต่ก็ต้องไปคุมด้วยตัวเอง เพราะผมไม่อยากให้เกิดความล่าช้า ได้ฤกษ์วันเปิดร้านมาแล้วด้วย ยังไงก็ต้องตกแต่งร้านและออฟฟิศให้เสร็จทันเวลา”

“อืม มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ พี่ก็พอรู้จักคนที่นี่เยอะเหมือนกัน”

“ได้ครับพี่ แล้วพี่จะไปโรงพยาบาลตอนกี่โมง”

“เดี๋ยวอีกสักพักก็ไปแล้วล่ะ พี่มีตรวจคนไข้คนแรกตอนสิบโมง ฟ้ากับตรีกินกุ้งให้หมดเลยนะ สกายเขาแพ้กุ้งกินไม่ได้ ส่วนพี่ก็อิ่มแล้ว”

“อ่อ ครับ” ผมรับคำ มิน่าละผมไม่เห็นสกายแตะกุ้งเลย แต่ผมเห็นเขามองนะ คิดว่าแกะกุ้งไม่เป็นเลยไม่กิน ที่ไหนได้ เขาแพ้กุ้งนี่เอง

ผมกับคุณตรีนั่งกินกุ้งที่เหลือ พี่หมอพาสกายไปนั่งที่โซฟาแล้วกำลังบังคับให้กินยา เหมือนเขาจะเป็นคนกินยายาก กินยาเม็ดหนึ่งกินน้ำแก้วหนึ่ง พอสกายกินยาเสร็จก็เดินขึ้นไปบนบ้าน พี่หมอนายน์เดินกลับมาหาพวกผมที่โต๊ะทานข้าว

“ถ้าทานกุ้งไม่หมด พี่แนะนำให้เอาออกไปทิ้งนอกบ้านเลยนะ พี่กลัวสกายแอบกิน” พี่หมอพูดด้วยสีหน้าเครียด คอยมองไปที่บันได

“หมายความว่า ถ้ามีกุ้งเหลือ เขาอาจจะกินเพื่อ...” คุณตรีเว้นช่วงไม่พูดคำๆนั้น

“อืม เขาไม่ค่อยทานยา ไม่มีใครรู้เลยไม่มีใครคอยเตือน พี่ไม่รู้ว่าจะติดต่อพ่อแม่ญาติของเขายังไงเพราะพวกเขาอยู่กันที่กรุงเทพ พี่เองก็มีงานเยอะคนไข้เยอะ ก็ได้แต่ช่วยเท่าที่ช่วยได้”

“แล้วอย่างนี้เขาก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวเหรอครับ” ผมถาม เพราะเดี๋ยวพี่หมอก็จะออกไปทำงาน ผมกับคุณตรีก็ไม่อยู่

“ใช่ แต่พรุ่งนี้เขาก็ต้องกลับไปเรียน ที่จริงพี่อยากให้เขาดรอปเรียน แต่พี่ไม่ใช่ผู้ปกครองพี่บังคับเขาไม่ได้ ทำได้แค่แนะนำและเฝ้าดูอาการ” พี่หมอถอนหายใจ

ดูเหมือนว่าจะร้ายแรงพอตัว

ผมกับคุณตรีช่วยกันจัดการกับกุ้งแสนอร่อยที่อาจจะกลายเป็นอาวุธปลิดชีพของคนข้างบนเสร็จ เราก็ออกไปทำธุระกัน เริ่มต้นจากการไปดูช่างเก็บงานแล้วชี้จุดว่าเหลือตรงไหน ก่อนจะแวะไปที่ร้านที่กำลังอยู่ในระหว่างการตกแต่งภายใน โชคดีที่คุณตรีได้ช่างดีทั้งสองที่ ทำให้งานไม่ค่อยมีปัญหาและค่อนข้างทำได้ตามเวลาที่กำหนด


ประมาณสี่โมงเราก็ว่าง ผมเลยชวนคุณตรีไปไหว้พระที่พระธาตุดอยสุเทพ ผมอยากไปมานานแล้ว คุณตรีก็ไม่ขัด เรามีรถมาเอง อยากไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย

ช่วงเย็นแดดไม่ค่อยร้อน อากาศก็เย็นสบาย แต่การเดินขึ้นบันไดเป็นร้อยๆขั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

“แฮกๆ” ผมค้อมตัวเท้ามือกับหัวเข่าหอบหายใจแรง คุณตรีจ่อหลอดดูดน้ำให้ผมถึงปาก

“ที่นี่มีฟิตเนสอยู่ เดี๋ยวฉันจะพานายไปออกกำลังกาย แผลน่าจะหายดีแล้วใช่ไหม น่าจะออกได้มากกว่าการเดินบนลู่วิ่งแล้วนะ” คุณตรีพูดเองเออเองยาวเหยียด ผมถึงกับร้องโหยอีกรอบ

“ผมว่าผมยังเจ็บๆอยู่นะครับ” ผมโกหก เจ็บที่ไหนล่ะ ผมไม่อยากออกกำลังกายต่างหาก

“งั้นเหรอ”

“ครับ”

แปะ!

คุณตรีดีดหน้าผากผมให้เจ็บๆคันๆ

“เด็กคนนี้หัดโกหกอีกแล้ว ห้ามโยกโย้ ยังไงก็ต้องออกกำลังกาย เวลาทำอะไรๆจะได้ไม่เหนื่อยง่าย” คุณตรีโน้มตัวลงมากระซิบให้ได้ยินสองคน ผมช้อนตามองคนตัวสูง

“คุณตรีพูดเรื่องแบบนี้ในวัดได้ยังไงครับ” ผมพูดเสียงลอดไรฟัน

“ฉันพูดอะไร คิดลามกเหรอเราน่ะ ฉันหมายถึงเดินขึ้นบันไดต่างหากล่ะ หึหึ” คุณตรีใช้ขวดน้ำเย็นแตะแก้มผมแล้วก็เดินหัวเราะไปที่โต๊ะจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียน

ผมโดนเขาแกล้งอีกแล้ว สาบานเถอะว่าไม่ใช่ผมที่ลามก แต่เขาพูดชวนให้คิดแบบนั้นจริงๆ

“หึย!”

ผมเดินตามเขาไป คุณตรียื่นธูปเทียนและดอกไม้ไหว้พระให้ผม เขายิ้มหล่อท่ามกลางแสงอ่อนๆที่ตกกระทบกับตัวพระธาตุสีเหลืองทองอร่าม ทำเอาผมตาพร่าลืมเรื่องที่เขาแกล้งผมไปเลย

คุณตรีหล่ออะไรอย่างนี้

ผมจุดธูปเทียน แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐาน ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว วัดเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นที่ยึดเหนี่ยวยามผมรู้สึกท้อ เวลาที่ผมเหนื่อยล้า ผมมักจะไหว้พระขอพร ขอให้ชีวิตผมดีขึ้น ขอให้ผมเจอแต่คนดี ขอให้ผมมีความสุข และทุกสิ่งที่ผมขอวันนี้ก็บังเกิดผลกับตัวผม

ผมเชื่อว่าเมื่อเราทำดีต้องได้ดี เพราะอาจเป็นเพราะชาติที่แล้วผลกรรมชั่วไว้เยอะ ชาตินี้ผมถึงได้ลำบากและโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เกิด ในเมื่อวันนี้ชีวิตผมดีขึ้นกว่าในอดีต ผมก็อยากสะสมบุญไว้ให้มากๆ เพื่อที่ชาตินี้และชาติหน้าผมจะได้เจอแต่สิ่งดีๆและคนดีๆ จะมีอะไรที่ดีไปกว่าการที่เรามีชีวิตที่มีความสุขและได้อยู่กับคนที่เรารัก

“คุณตรีต้องตั้งใจขอเรื่องงานนะครับ เขาว่ากันว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าขอด้วยใจจริงเราจะสมหวังทุกประการเลยครับ” ผมกระซิบบอกคุณตรีจากข้อมูลที่ได้ศึกษาก่อนมา

“อืม ถ้าคำอธิษฐานเป็นจริง เรามาไหว้พระที่นี่ด้วยกันอีกนะ” คุณตรีหันมาพูดกับผม

“ครับ เราจะต้องมาไหว้พระด้วยกันที่นี่อีกครั้งแน่นอน”

“ต้นปีหน้า”

“ครับ?”

“ต้นปีหน้า ฉันจะพานายไปกินข้าวกับพ่อ แล้วก็เราจะกลับมาไหว้พระที่นี่กัน”

‘ฉันทำข้อตกลงกับพ่อไว้ ถ้าสิ้นปีนี้ฉันสามารถทำกำไรหักล้างหนี้ทั้งหมดของบริษัทได้ ท่านจะยอมไปทานข้าวกับเรา ฉันและนายในฐานะลูกชายและลูกสะใภ้ของตระกูลโอฬารทวีสิน’

ผมยิ้มด้วยความตื้นตันใจแล้วพยักหน้าให้คุณตรี ต่อให้พ่อคุณตรีจะดุสักแค่ไหน ผมก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างเขา ผมเชื่ออย่างสุดใจว่าพระธาตุมีความศักดิ์สิทธิ์จริง และผมมั่นใจว่าคำอธิษฐานของคุณตรีจะต้องสมหวังอย่างแน่นอน

ชีวิตของผมในตอนนี้ดีมากจนผมสุขล้นอก ผมจ้องมองไปที่พระธาตุแล้วนึกไปถึงเด็กคนนั้น...สกาย ความสุขที่ผมได้รับมันมีมากจนล้นอก มากจนผมอยากจะแบ่งปันให้กับคนที่ยังทุกข์ และคำอธิษฐานนี้ผมอยากขอมันให้แก่เขา เผื่อจะช่วยต่อชีวิตให้เด็กคนหนึ่งได้พบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตเช่นผม

‘ข้าแต่องค์พระธาตุ ลูกขอวิงวอนขอพรให้แก่บุคคลๆหนึ่งที่ชื่อสกาย ขอให้เขาหายจากโรคซึมเศร้า ขอให้เขาพบทางออกพบแสงสว่างของชีวิตด้วยเถิด’

ผมยิ้มให้กับตัวเอง การให้คือความสุขที่แท้จริง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อเรามีมากพอที่จะแบ่งปัน จงอย่าลังเลที่จะช่วยเหลือ

“เราจะไปไหนกันต่อดี หรือว่าอยากกลับไปพัก” คุณตรีหันมาถามผมหลังจากที่เราไหว้พระเสร็จ ผมมองจ้องเข้าไปในตาของคุณตรี ยิ้มกว้างด้วยความสุขใจ

“ไปไหนก็ได้ครับ ผมไปได้ทุกที่ที่มีคุณตรี”

“งั้นจะพาไปขึ้นสวรรค์” เขาพูดแล้วหัวเราะอารมณ์ดี มือหนายื่นมาตรงหน้าให้ผมวางมือตัวเองลงเพื่อให้เขากุมมือผมเดินไปข้างหน้า

‘ต่อให้ต้องลงนรก ถ้ามีคุณตรีอยู่ด้วยผมก็พร้อมจะไป’

ผมจำไม่ได้แล้วว่ามือของเราจับกันไว้ไม่ปล่อยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่เราก้าวเดินไปตามเส้นทางด้วยกัน เขาจะกุมมือผมเอาไว้ตลอด เป็นความนัยว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไว้เพียงลำพัง ไม่ต้องโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอย่างที่เป็นมา

ผมหวังให้บุญ ทาน และความดีทั้งหลายที่ผมได้สร้าง ส่งผลให้มือของเราสองคนจับกันไว้อย่างนี้ไม่มีวันแยกจาก ผมจะรักและดูแลคุณตรีให้ดีที่สุด เพราะชีวิตของผมนับแต่นี้มีไว้เพื่อดูแลเขาจนกว่าความตายจะแยกเราออกจากกัน





จบบริบูรณ์
[/b][/color]





ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องฟ้าต้องเป็นความสุขของคุณตรีแน่อยู่แล้วจ้า ขอให้ทั้งคู่มีความสุขมากๆ จ้า

ขอบคุณไรท์ค่ะ.   :L2:

ออฟไลน์ FaX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบพระคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้มากค่ะ แจ่มสาวมาก เอาจริงๆ ตอนเห็นชื่อนิยาย แวบแรกเลย 18+ลอยมาละ ต้องแบบแนวยั่วๆบดๆ แต่เป็นแนวบะมุนไปเสียได้ แต่พออ่านไปได้แค่ตอนเดียวเท่านั้นแหละ อื้อหือหลงรักฟ้ามากก คุณตรีก็ละมุน รักคุณคนเดียว ติดหนึบเลย ♥️♥️♥️

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เที่ยงวันยันเที่ยงคืนเลยค่ะ
ละมุนกับใจจริงๆ ถึงจะมีบางช่วงแอบจี้ดๆหัวอุ่นๆเพราะพ่อของตรีกับดิวบ้างก็ตาม 5555555
น้องฟ้าน่ารักมาก เป็นเด็กดี และเป็นพลังงานบวกให้กับทุกคนจริงๆ ไม่รู้ลุงเลี้ยงมายังไง สภาพแวดล้อมก็แย่แบบนั้น แต่น้องฟ้าเป็นเด็กดีมากจริงๆ
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ♥️

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
จบแล้วน่ารักดีค่ะ
ชอบนิสัยฟ้า น่ารักดี
ทำไมเราอยากอ่านสกาย
อยากรู้เรื่องของสกาย

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
น่ารักมาก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

ออฟไลน์ Bebii123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ละมุนสุดดด  :hao7: o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด