บทที่ 22
อากาศวันนี้หนาวกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะผมไม่มีอ้อมกอดของใครบางคนคอยให้ความอบอุ่นอีกแล้ว และพื้นที่ข้างเตียงก็ว่างเปล่าจนที่ตรงนั้นเย็นเฉียบ
ริมเขื่อนออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อคืนและตัดการสื่อสารด้วยการปิดโทรศัพท์
ผมรู้ว่าเขาเก่งพอที่จะเอาตัวรอดในต่างประเทศ และมีเงินมากพอจะไปที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินไม่พอสำหรับการหาที่พักใหม่
แต่ถึงผมจะรู้แบบนั้นก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาในตอนเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์ยังไม่สาดแสง ค่ำคืนคริสมาสต์ผ่านไปอย่างยากลำบาก มันควรเป็นวันที่อบอุ่นที่สุดอย่างที่วาดฝันกันไป
แต่ก็นั่นแหละ ผมทำมันพังเอง
สุดท้ายด้วยความฟุ้งซ่านทำให้ผมลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อเปิดไฟห้องนอน มองกระเป๋าเสื้อผ้าที่ยังวางอยู่ที่เดิม และบัตรเครดิตบนโต๊ะเครื่องแป้งที่ริมเขื่อนทิ้งเอาไว้ให้
ผมได้แต่เม้มปากตอนเห็นความห่วงใยของเขาที่หยิบยื่นมาให้แม้ตัวจะไม่อยู่ตรงนี้ สุดท้ายจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดโทรออกหาคนที่มั่นใจแน่ๆ ว่าคงติดต่อไม่ได้อีกเหมือนเคย
ผมกดโทรหาเขื่อนอยู่ราวๆ สิบรอบก็ท้อใจ หยิบสายชาร์ตแบตมาเสียบท้ายมือถือก่อนวางมันไว้บนเตียง หิมะด้านนอกตกหนักจนเห็นพื้นถนนเป็นสีขาวโพลน ผมได้แต่ยืนมองมันพลางครุ่นคิดกับตัวเองถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
สุดท้ายผมก็รักษาใครเอาไว้ในชีวิตไม่ได้
Rrrrrrrrrrr
“เขื่อน!” ผมตะโกนด้วยความตกใจตอนที่เสียงมือถือตัวเองดังขึ้นมา รีบผละออกจากประตูกระจกตรงระเบียงแล้วถลาเข้าหาเครื่องมือสื่อสารบนเตียง แต่ก็ต้องถอนหายใจออกมายืดยาวเมื่อภาพบนหน้าจอที่แสดงผู้โทรเข้าไม่ใช่ริมเขื่อนแต่เป็นแม่ของผมเอง
“Hi mom”
[How are you my boy?]
“It’s good. I think…”
[Hey] คิ้วของผู้หญิงบนหน้าจอขมวดเข้าหากัน เพราะการวิดีโอคอลทำให้ผมไม่สามารถซ่อนใบหน้าซึมเศร้าของตัวเองได้ และแม่ก็คงเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้
[ริมเขื่อนล่ะไผ่]
“He's out” ผมตอบเสียงเบา “แม่...”
[ว่าไง ทะเลาะกันเหรอ]
“Can I ask you something?”
[Everything]
ผมขบกรามแน่นหลังจากได้ยินประโยคตอบรับคำนั้น นานแล้วที่ผมไม่ได้ขอคำปรึกษาจากใคร กับพ่อก็คุยกันไม่บ่อยนัก ส่วนกับแม่ผมก็เลิกปรึกษาปัญหาชีวิตไปตั้งแต่ขึ้นมอปลาย
แต่ตอนนี้ผมกำลังเจอทางตัน ผมทำอะไรไม่ถูก ผมกลัวที่จะข้ามสะพานที่เขื่อนเพียรสร้างแถมยังทำลายมันลงด้วยมือตัวเอง และพอตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปกลับมานั่งนึกเสียใจว่าไม่น่าเลย ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี รู้แค่ว่าถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วผมคงสวมเสื้อโค้ทและออกไปวิ่งตามหาริมเขื่อนแน่ๆ
“ผมกับเขื่อน... เราเป็นมากกว่าเพื่อนแล้ว”
[I knew it]
“You know?”
[Yes, and I know you love him too. Right?]
“...I think so” ผมเม้มปาก ไม่กล้าสบตาแม่ที่จ้องมาอย่างรู้ทัน
เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแม่จับได้แล้วว่าระหว่างผมกับริมเขื่อนมีซัมติงกัน และเดาเอาว่าคงรู้มาสักพักแล้วถึงดูไม่แปลกใจเลยสักนิด
ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ๆ แล้วตัดสินพูดเข้าประเด็นต่อ
“เขื่อนขอผมคบ แต่ผมไม่ได้ตอบ”
แต่ใครๆ ก็รู้ว่าในสถานการณ์แบบนั้น การไม่ตอบคือการปฏิเสธเช่นกัน
ผมรู้ แต่ผมก็ยังหลอกตัวเองอย่างโง่งมว่าผมแค่ยังไม่ได้ตอบเท่านั้นเอง
[แล้วทำไมถึงปฏิเสธล่ะ]
“...”
ผมเลือกไม่ตอบคำถามนี้ และปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่เปลี่ยนผ่านคำถามแทน
[โอเคๆ แล้วเรื่องอะไรที่จะถามล่ะไผ่ ลูกปฏิเสธไปแล้วนี่]
“ผมไม่ได้จะปฏิเสธ” ผมบอกเสียงเบา ยังคงเฉไฉสายตาไม่กล้ามองจอโทรศัพท์ “ผมแค่...ไม่พร้อม แต่เขื่อนหนีออกไปจากโรงแรม ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน”
[แล้วทำไมปล่อยเพื่อนออกไปคนเดียวล่ะไผ่!] คราวนี้คนปลายสายตะคอกเสียงดัง
นั่นสินะ ทำไมตอนนั้นผมไม่รั้งเขาเอาไว้
ทำไมผมปล่อยเขื่อนให้ออกไปจากห้อง ทำไมวะ!
[I don’t want to see you cry]
ผมรับรู้ถึงน้ำตาบนแก้มของตัวเองก็ตอนที่แม่ส่งเสียงปลอบออกมา แต่ยิ่งมีคนมาทำท่าเป็นห่วง ผมก็ยิ่งกลั้นมันเอาไว้ไม่ไหว สุดท้ายจึงได้แต่ดึงหมอนหนุนใบหนึ่งขึ้นมาวางบนตักแล้วปล่อยหยดน้ำที่พลั่งพรูลงไปบนนั้น
น่าเบื่อชิบหาย ไผ่เงินที่อ่อนแอแบบนี้เนี่ย
[I have a question]
ผมเงยหน้าขึ้นมามองโทรศัพท์แทนการส่งเสียงอู้อี้ออกไปตอบรับ
[ทำไมไผ่ถึงยังไม่พร้อม]
...ทำไมน่ะเหรอ
เพราะผมกลัวไง
“ผมกลัว ถ้าเราไปกันไม่รอด...”
[เวลาลูกรัก ลูกไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมากมายหรอกนะไผ่]
“...?” ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แอบใช้หลังมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าด้วยขณะฟังแม่พูดอะไรยืดยาว
[ถ้าความกลัวมันทำให้ปัจจุบันพังลง ทำไมไผ่ไม่โฟกัสแค่ปัจจุบันแล้วทำมันให้ดีที่สุดล่ะ] แม่ยิ้มออกมาอย่างใจดี แม้ว่าข้างหลังจะมีผู้ชายหัวทองเดินผ่านไปผ่านมาให้ผมได้รำคาญลูกกะตาก็ตาม [ตอนแม่คบกับพ่อ เราก็ไม่เคยกลัวจะต้องเลิกกัน ตอนแม่มีแฟนใหม่แม่ก็ไม่กลัวเหมือนกันอีกนั่นแหละ]
“แม้ว่าสุดท้ายพอเลิกกันแล้วจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะเหรอครับ”
[แล้วตอนนี้มองหน้าเขื่อนติดรึไง]
“...”
พูดไม่ออกเลย...
[ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ ในอนาคตเราจะได้ไม่เสียใจที่เราไม่ได้ทำมัน] แม่บอกแบบนั้น แล้วสำทับอีกหลายประโยคว่า [ถ้าอนาคตมันจะเสียใจก็ปล่อยให้ตัวเราในอนาคตเป็นคนจัดการไปสิ เราในตอนนี้ก็แค่ทำมันให้ดีที่สุดก็พอ เพราะไผ่เองก็กำลังเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปไม่ใช่เหรอ]
“ก็ใช่...”
[I always gonna be on your side my boy]
“Thanks mom”
ผมบอกลาแม่ด้วยคำขอบคุณก่อนกดตัดสายทิ้งไป ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มสว่างแล้วทำให้ผมเลือกเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันก่อนออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ให้พร้อมสำหรับการออกไปข้างนอก
ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมควรจะทำยังไงดี
ลอนดอนกว้างเกินกว่าจะตามหาผู้ชายคนหนึ่งได้ง่ายๆ แม้คนๆ นั้นจะหน้าตาโดดเด่นมากสักแค่ไหน สุดท้ายวันที่ 26 ธันวาก็ผ่านไปอย่างคว้าน้ำเหลว
ผมกลับมาที่โรงแรมในตอนฟ้ามืด ร่างกายเย็นเฉียบไปหมดจากอากาศด้านนอกที่ต่ำเกินกว่าจะใช้ชีวิตด้วยการเดินไปตามฟุตปาธที่ต่างๆ ทั้งวัน ฮีตเตอร์ภายในห้องช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากอยู่ข้างนอกนานจนเล็บมือตัวเองเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ผมถอดเสื้อโค้ทออกก่อนไปนั่งจุ้มปุ้กหน้าเครื่องทำความร้อน หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาคนที่หายไปเกือบ 24 ชั่วโมงพลางฝากข้อความเสียงทิ้งไว้
“เขื่อน กลับมาเถอะ” ผมกรอกเสียงลงอย่างเหนื่อยอ่อน การไม่ได้นอนทั้งคืนทำให้ร่างกายอ่อนล้าทั้งเปลือกตาก็หนักอึ้ง ผมทนฝืนนั่งอยู่สักพักก็วูบหลับไปบนพื้นหน้าฮีตเตอร์
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแต่ผมไม่ฝันเลยสักนิด ทำให้รู้สึกว่าคงงีบไปไม่นาน แต่ตอนที่รู้สึกตัวขึ้นมากลับพบว่าตัวเองได้ถูกไข้หวัดเล่นงานเข้าให้แล้ว
“อือ” ผมครางงึมงำอย่างหงุดหงิดเมื่อศีรษะปวดตุบๆ อยู่ตลอดเวลาและหนักอึ้งจนยกหัวตัวเองขึ้นไม่ได้ ทั้งลมหายใจและร่างกายก็ร้อนผ่าว แม้มีผ้านวมผืนหนาคลุมทับก็ยังหนาวสั่นจนต้องเผลอขดตัวเองเข้าหากันเป็นก้อน
ผมกัดปากตัวเองอย่างอารมณ์เสีย ป่วยแบบนี้แล้วจะออกไปหาเขื่อนยังไง ตั๋วเครื่องบินก็ประทับตราวันเดินทางกลับไทยเป็นพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างรุมเร้าจนสุดท้ายหัวผมก็ร้าวระบมหนักกว่าเดิม มันเจ็บจนเหมือนมีคีบเหล็กทาบรอบศีรษะก่อนกดลงมาอย่างแรง ปวดจนผมทนไม่ไหวต้องข่มตาตัวเองให้หลับไปทั้งอย่างนั้นเพื่อหนีความเจ็บปวด
...
ผมสะลึมสะลือขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปกี่ชั่วโมงไม่ทราบ อาการปวดหัวดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่างกายยังสลับร้อนหนาวอยู่จนผมไม่นึกอยากลุกขึ้นจากเตียง
ขอนอนอีกสักพักแล้วกัน
ผมตกลงกับตัวเองก่อนจะปิดเปลือกตาลง แต่เสียงบางอย่างกลับทำให้ผมลืมตาโพลงขึ้นมา ร่างกายขยับตัวลุกพรวดพราดพร้อมกับวิ่งไปที่ห้องน้ำเองโดยไม่รู้เลยว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
“เขื่อน!”
ปัง!
ผมถีบประตูห้องน้ำอยู่หลายทีเพราะเมื่อสักครู่ได้ยินเสียงคนกดชักโครก ทุบประตูอยู่สักพักคนในห้องน้ำก็เปิดประตูออกมา และใช่...
เป็นริมเขื่อนจริงๆ อย่างที่ผมหวังเอาไว้
“เขื่อน มึงไปอยู่ที่ไหนมา! มึงรู้ไหมว่ากูเป็นห่วง ไอ้เหี้ย โทรหาก็ไม่รับ เสื้อผ้าก็ไม่เอาไป คิดจะไปไหนก็ไปเลยเหรอวะ ถึงจะโกรธกูแค่ไหนก็ทำอย่างงี้ดิ ไอ้สัส!” ผมถลาเข้าไปจับไหล่กว้างมาเขย่าอย่างรุนแรง ทั้งยังตะโกนอัดหน้าไม่ยอมหยุด หัวใจผมเต้นเร้าด้วยจังหวะที่แรงยิ่งกว่าเพลงร็อคเมทัล แม้จะเริ่มเวียนหัวจากการออกแรงมากเกินไปแต่ผมก็ยังไม่ยอมเปล่าร่างสูงตรงหน้าให้เป็นอิสระ “กูเดินหามึงทั้งวัน มึง... มึงแม่ง ฮึก”
“ไผ่ ป่วยอยู่ลุกขึ้นมาทำไม”
“ฮึกก ไอ้เหี้ย มึงหุบปากไปเลย” ผมด่า ด่าทั้งที่น้ำหูน้ำตาไหล ด่ากราดแบบไม่รู้ว่าจะด่าทำไม แต่พอเห็นร่างสูงที่ไม่เห็นหน้ามาหนึ่งวันเต็มๆ ก็ห้ามปากตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ผมพยายามจะเขย่าตัวริมเขื่อนต่อ แต่พิษไข้กลับเล่นงานให้ไม่สามารถออกแรงได้มากกว่านี้ ผมหน้ามืดทรุดร่างลงไปกองกับพื้นหลังจากหัวสั่นหัวคลอนมาสักพัก
“ไปนอนดีๆ ไข้ขึ้นอีกแล้ว” ริมเขื่อนในเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ผมไม่เคยเห็นก้มตัวลงมาช่วยพยุงผมขึ้นจากพื้น แขนแกร่งสอดเข้ามาใต้รักแร้ก่อนออกแรงฉุดผมให้ลุกขึ้นเดินเพื่อไปนอนบนเตียงดีๆ
สติสตังผมค่อยๆ กลับมาตอนที่ได้พักเพราะร่างกายประท้วงด้วยฤทธิ์ไข้หวัด ผมยอมนอนอยู่ใต้ผ้าห่มเงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไร้แรงสะอื้น ทั้งยังจับข้อมือของริมเขื่อนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“จะไปไหน” ผมถามตอนที่คนตัวสูงหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป
“เอายามาให้มึงกิน ถึงเวลาแล้ว”
“กูไม่ให้ไป”
“ไผ่...” ใบหน้าสวยเบ้เล็กน้อยอย่างเอื่อมระอา “ป่วยก็ต้องกินยา”
“กูไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น” ผมขึ้นเสียง รวบรวมแรงเท่าที่มีกระชากข้อมือเขื่อนให้ล้มตัวลงมานอนข้างๆ ยกแขนยกขาไปทับร่างสูงโปร่งที่ทำท่าจะลุกขึ้นไว้แน่น “เดี๋ยวมึงหนีออกไปอีก”
“ไม่หนีไปไหนหรอก”
“มึงหนี!” พอตะโกนจบน้ำตาผมก็ไหลออกมาอีก สุดท้ายทนอายไม่ไหวจึงต้องมุดหน้าซุกไหล่กว้างไว้เพื่อซ่อนร่องรอยอ่อนไหวของตัวเอง “อย่าไปในที่ที่กูหาไม่เจอ ขอร้องเหอะว่ะ”
“ร้องไห้ทำไมอีก หืม” ลมหายใจอุ่นตกกระทบที่หลังใบหูของผมเมื่อริมเขื่อนยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ตอนนี้กลายว่าร่างกายที่ใหญ่กว่าเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายโอบกอดผมเอาไว้แทน เขาแทรกปลายนิ้วเข้ามาปาดน้ำตาออกให้พลางลูบหัวเบาๆ “กูควรจะเป็นคนที่ร้องไห้รึเปล่า ทำไมมึงร้องแทนล่ะไผ่”
“ก็มึง...”
มึงหายไป กูกลัวมึงจะไม่กลับมาอีกแล้ว
ผมได้ตอบมันในใจเพราะจุกแน่นไปทั้งทรวงอก ยิ่งริมเขื่อนลูบหัวลูบหางปลอบโยนมากแค่ไหนกำแพงความอดทนของผมก็ยิ่งพังครืนลงมา พอคนเราได้ลองร้องไห้มันก็จะร้องออกมาบ่อยๆ ดังนั้นผมจึงไม่ชอบการร้องไห้สักเท่าไหร่ มันทำให้ผมสมเพชตัวเอง ดูเป็นคนอ่อนแอแบบที่ผมไม่ต้องการ
ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อตั้งสติ ในที่สุดก็หยุดการพังทลายของทำนบน้ำตาได้ แต่กว่าจะถึงจุดนี้เสื้อผ้าของเขื่อนก็เปียกชื้นเป็นดวงใหญ่ ผมเมินรอยน้ำตาของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยมีรอยช้ำที่เห็นได้ชัดเพิ่มขึ้นมา ริมฝีปากก็ไม่แดงระเรื่อเหมือนเก่า ผมเอื้อมมือขึ้นไปลูบเส้นผมยาวสลวยที่ไม่ได้รัดเอาไว้เล่นพลางบังคับให้เขื่อนสบตากันห้ามหลบ
“มึง...”
“...” เขาเงียบเพื่อรอให้ผมพูด ส่วนผมก็ใช้เวลาในการรวบรวมความกล้าอยู่นาน จนกระทั่งนึกรำคาญตัวเองเลยหลับหูหลับตาพูดโพล่งออกไปเสียงดังฟังชัด
“กูรักมึง!”
“...”
“...”
ความเงียบหลังจากการสารภาพโคตรน่าอึดอัด
ผมเผยอเปลือกตาขึ้นมาปฏิกิริยาของคนตรงหน้า และก็พบกับใบหน้าสวยที่ตกตะลึงราวกับเห็นหิมะตกในประเทศไทย กลีบปากบางของเขาแยกออกจากกัน ทั้งยังพะงาบๆ ราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ผมเม้มปากพลางปิดตาตัวเองอีกครั้ง ยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บลงบนปากของเขื่อนเร็วๆ ก่อนจะพึมพำประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงที่เบาไม่ต่างจากการกระซิบ
“กูขอโทษ กูไม่ได้จะปฏิเสธมึง กูแค่กลัว... กูไม่กล้าพอเอง มันเป็นความผิดกูเองว่ะเขื่อน”
“มึงจะพูดอะไร...” ในที่สุดริมเขื่อนก็หาเสียงตัวเองเจอ
เขาดึงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งด้วยควมจริงจัง มือหนาความจับไหล่เอาไว้ก่อนบีบมันอย่างแรงราวกับต้องการเค้นคอให้ผมอธิบายทุกอย่างออกมาให้ชัดเจน
“มึงหมายความว่ายังไงไผ่”
“กูรักมึง”
“...”
“...” ผมเงียบเพื่อรอคอยบางอย่าง แต่เขื่อนก็เอาแต่จ้องหน้าผมเขม็งจนผมได้แต่อ้อมแอ้มถามออกไปเสียงเบาว่า “ถามกูอีกครั้งได้ไหม”
ถามกูอีกครั้ง และครั้งนี้กูจะให้คำตอบมึง
ผมสื่อสารประโยคด้านบนผ่านสายตาตัวเอง บังคับให้ร่างกายที่สั่นระริกตั้งให้ตรงเพื่อรับกับบรรยากาศจริงจังที่ต้องการสร้างขึ้น
ริมเขื่อนมีสีหน้าตกใจอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เขาค่อยๆ ยิ้มออกมาเมื่อประมวลผลคำพูดของผมเสร็จ
“ไผ่...”
บ้าเอ้ย ผมปรับอารมณ์ตัวเองไม่ทัน
เมื่อกี้ยังกลั้นน้ำตาแทบตาย ตอนนี้กลายเป็นกลั้นความเขินตัวเองเสียอย่างนั้น
“ไผ่ครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลกับฝ่ามือที่ขยับลูบผิวแก้มเบาๆ ของผมนี่มัน...
เขื่อนมึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วไปป่ะวะ ช้าๆ ก็ได้กูไม่รีบ
ผมบ่นกับตัวอย่างฟุ้งซ่านเพราะนั่งไม่ติดพื้น ขยับตัวโยกไปโยกมาจนเขื่อนต้องจับหมับบ่าผมเอาไว้อีกครั้งเพื่อให้อยู่เฉยๆ เขาฉีกยิ้มบางๆ ส่งมาให้ ร่องรอยหม่นแสงในดวงตาจางหายไปแล้ว และนั่นทำให้หัวใจของผมพองโตตามไปด้วย
“คบกับเขื่อนนะครับ”
“...อืม กูตกลง” รอบนี้ผมตอบรับออกไปอย่างไม่มีลังเล ตอบเขาไปทันทีที่คำถามนั้นสิ้นสุดลง ริมเขื่อนฉีกยิ้มกว้าง รวบร่างผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณมึงเหมือนกันว่ะเขื่อน”
ขอบคุณที่มาอยู่ในชีวิตคนอย่างกู
พวกเรากอดกันอยู่อย่างนั้น ซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายของแต่ละคนเพื่อชำระล้างความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ผมเอื้อมมือไปโอบกอดร่างสูงคืนบ้าง ทั้งยังพึมพำทั้งคำขอบคุณและขอโทษไม่หยุดหย่อนจนเขื่อนต้องตบหลังผมเบาๆ แล้วกระซิบบอกว่าไม่เป็นไร
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างตักตวงไอความรักจากแต่ละฝ่ายจนเต็มอิ่ม ผมคล้ายได้ยาวิเศษที่ทำให้อาการไข้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้ถึงได้ไม่รู้สึกป่วยอะไร มีแต่ความอุ่นใจลอยฟุ้งราวกับว่าคอมฟอร์ทโซนของผมได้กลับมาแล้ว
ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคอมฟอร์ทโซนที่แท้จริงของผมไม่ใช่สถานะเพื่อนไม่จริงระหว่างเรา แต่เป็นตัวริมเขื่อนเองที่ทำให้การอยู่ใกล้เขาเป็นเรื่องสบายใจ
การกอดกันไม่ต่างจากเชือกที่เหนี่ยวสภาพอารมณ์ของพวกเราให้ลอยกลับขึ้นมาอยู่ในสภาวะมีความสุข ผมได้ยินเสียงคนในอ้อมแขนหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ ก่อนที่คนๆ นั้นจะพูดหยอกล้อติดตลกขึ้นมาว่า
“กว่าจะตกลงได้นะ ต้องให้กูหนีเป็นนางเอกละครหลังข่าวซะก่อน”
“ก็พ่อสอนไว้ว่าอย่าใจง่าย” ผมเลยรับมุกด้วยแม้ว่าจะยังสูดน้ำมูกฟืดๆ อยู่
“อยากจะถุ้ยใส่”
“กล้าก็เอาดิ”
“ไม่กล้าหรอกครับคุณพี่ไผ่ แหม”
“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะสุดเสียงอย่างที่ไม่คิดว่าจะหัวเราะได้อีกแล้วหลังจากเกิดเรื่องขึ้นระหว่างเราสองคน ใบหน้าสวยที่ขยับเข้ามาฉกจูบไปจากผมหลายทีก็ยังแต้มไปด้วยรอยยิ้มไม่ยอมหุบ
“ยิ้มอะไรเยอะแยะ” ผมเอ่ยปากแซวคนที่ชิงจูบผมไปเองแล้วก็หน้าแดงแจ๋เสียเอง เขื่อนเกาแก้มตัวเองเบาๆ แต่ก็ยังไม่วายตอบแบบกวนๆ กลับมา
“มีความสุขก็ต้องยิ้มสิ”
“เป็นบ้าเหรอ”
“อือ บ้ารักมึงเนี่ย”
ผมสะบัดหน้าหนี ขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย แต่ริมเขื่อนกลับไม่หยุดแค่นั้น เขายื่นหน้าเข้ามาประชิดใบหูของผม กระซิบเสียงแผ่วทั้งยังแอบหอมแก้มผมอีกครั้งหนึ่งก่อนถอยออกไป
“รักนะคะ คุณแฟน”
ชิท! ริมเขื่อนที่เป็นแบบนี้นี่มัน...
สุดท้ายผมก็ยังแพ้ทางคนๆ นี้อยู่ดีไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กหรือตอนที่โตเป็นควายกันแล้ว
และก็ยังจะมีแค่เด็กชายริมเขื่อนคนนี้คนเดียวที่ผมจะยอมให้ทลายกำแพงเข้ามาข้างใน... หรือบางทีเขื่อนอาจอยู่ข้างในใจผมมาตลอดโดยไม่เคยออกไปไหนเลยก็ได้
จะอย่างไหนก็ช่างเถอะ ผมไม่สนอดีต ไม่สนอนาคตอะไรอีกแล้ว
แค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็เหนื่อยเกินพอ
“กูก็รักมึง” ผมบอกเขากลับคืนบ้าง และจบท้ายด้วยการที่แผ่นหลังโดนผลักติดกับเตียงพร้อมกับริมฝีปากเป็นกระจับคู่นั้นบดเบียดลงมาบนกลีบปากผมอย่างอดใจไม่ไหว
บ้าเอ้ย! พรุ่งนี้ยังต้องนั่งเครื่องบินอีกหลายชั่วโมงนะ ไอ้เขื่อน!
[END]
__________________
Talk: ขอต้อนรับสู่บทสรุปของนิยายเรื่องนี้ค่า
ขอบคุณทุกกำลังใจ คำติชมจากทุกๆ คนนะคะ
อะไรที่ไม่ดีในเรื่องนี้ เราจะนำไปปรับปรุงในเรื่องถัดๆไป
หวังว่าจะได้เจอทุกคนอยู่ในเรื่องต่อไป
ขอบคุณและดีใจมากๆ ที่เขียนจบอีกเรื่องแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจริงๆค่ะ
นิยายเรื่องนี้กำลังจะตีพิมพ์กับ สนพ.อ่านนาน
เปิด Pre-Order 19/02/2019 นี้ค่า
ราคา 379.-(หลังปิดพรีจะมีลงร้าน B2S และ E-bookจะเปิดขายหลังเล่มวางแผงค่ะ)
ContectFacebook:
อ่านนานสํานักพิมพ์ - annan publisherTwitter:
@Annan_Books ปล.บนปกจะมีทั้ง พี่ไผ่และน้องเขื่อนนะคะ
เรายังไม่ได้ปกที่จัดอาร์ตเวิร์คแล้ว ถ้าได้แล้วจะนำมาอวดกันค่า